@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,088 รายการ

0 1 2 เป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องอจินไตย

รายละเอียด

มาถึงการเมืองแล้วนี่ กำลังกะป๊อกกะแป๊ก กระต้วมกระเตี้ยมกระเตาะกระแตะแต่ก็มีใจไม่ได้เพื่ออะไรเลย เพื่อมนุษยชาติเพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ได้เพื่อลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร เหน็ดเหนื่อยลำบากลำบน พูดไปแล้วก็เหมือนจะไปอ้อนก็เหนียมๆอยู่อาตมาพูดไปแล้ว 

แม้แต่โลโก้ ของพรรคการเมือง สัมมาธิปไตย ตอนแรกเรามีสีธงชาติพาดเข้าไปแต่งเอาไว้ ทางโน้นเขาก็บอกว่า ไม่ได้ ต้องไปขออนุญาตต่างหาก เราก็บอกว่ามันยากนักก็เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องก็ได้ 

แต่มีตัวเลข 0 1 2 เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องอจินไตย ที่สื่อได้อธิบายได้ แต่วันนี้คงไม่อธิบาย มีเวลาแค่ 7 นาทีเหลือ 

มันเป็นความหมาย สรุปรวมให้ฟังคร่าวๆว่า เป็นตัวเลขแทนพฤติกรรม เรื่องปรมัตถ์ เรื่องของจิตวิญญาณที่หมายถึง คนที่กล่าวไปเมื่อกี้คือ เป็นคนไม่มีตัวตนคือเป็นศูนย์ คนที่ทำงานซื่อสัตย์สุจริต ยืนหยัดอยู่ในฐานของการทำงานเหมือนชาวโลก แล้วรู้ความเป็นโลกเรียกว่าเลข 2 ทำงานเหมือนชาวโลกเรียกว่าเลข 1 ถ้าทำงานไม่มีตัวตนคือเป็น 0 

0 นี่คือทั้งหมด ทุกอย่าง Infinity 0นี่คือทั้งหมดที่ประดามนุษย์จะพึงมีเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่สุด 0 นี่ รวมเอาสิ่งประเสริฐทั้งหมดเอาไว้แล้ว อธิบายย่อๆคร่าวๆไว้อย่างนี้ คำพูดที่อาตมาพูด พอเข้าใจได้ไหม ไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้น ไม่ใช่เรื่องตรรกะ ไม่ใช่เรื่องภาษาบัญญัติโก้ๆ แต่เป็นเรื่องที่ทำได้จริง 

ที่มา ที่ไป

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:40:28 )

0 กับ 1 สภาพเชิงซ้อนที่เป็นอันเดียวกัน

รายละเอียด

ความจริงแล้ว 0 กับ 1 เป็นนัย สภาพเชิงซ้อนที่เป็นอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่า เรายังมีภาวะรับรู้เแล้วก็เป็นหนึ่ง ถ้าเราไม่รับรู้อะไร อยู่ว่างๆ การอยู่ว่างๆนี้ ยากกว่าการดับ การอยู่ว่างๆ โดยที่เราไม่ให้ดับแต่ให้ว่างๆ ขนาดหลับตาอยู่ว่างๆยังยากเลย ลืมตานี่ แล้วคุณก็ทำจิตว่างๆ กระทบอะไรแล้วก็ไม่ต้องรับรู้อะไรเฉยๆ อยู่ว่างๆอย่างลืมตาสว่าง อะไรก็มี กระดึ๊บกระดึ๊บ กระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่คุณไม่รับรู้อะไรเลย มันยากกว่า ลองฝึกดูสิ ลองทำดู มันฝึกยาก เรื่องของจิตใจนี้มันมีความละเอียดมากมาย อาตมาเห็นว่ามันจะต้องบอกกัน เพราะเป็นเรื่องของมนุษยชาติที่มีจิตใจ และก็ต้องเรียนรู้ แล้วสามารถทำได้ เข้าใจได้ แล้วคุณก็เลือกเอาว่าจะเอายังไหนอาตมาบอกนี้ไม่ได้บังคับว่าจะต้องมาเอาอย่างเรา แต่จะไม่ให้เราบอกว่าอย่างเรานี่ดีกว่ามันก็ต้องพูด จะไม่ให้บอกว่าอย่างเรานี่ดีกว่ามันก็ไม่ได้ เราก็ต้องบอกว่าอย่างนี้ดีกว่า เพราะถ้าไม่ดีกว่าเราจะมาอยู่ฝั่งนี้ทำไม ถ้าอยู่อย่างโน้นดีกว่าแล้วมาอยู่ฝั่งนี้ คุณจะบ้าหรือเปล่า มันก็ต้องเป็นสัจจะ เราก็ต้องสื่อออกไป ว่าอย่างนี้เหนือกว่าดีกว่า จะไม่ให้เราไม่พูดไม่ได้ เราก็ต้องพูดความจริง จะหาว่าเรายกตน ก็เราทำจริงจะหาว่าเรายกตน จะทำอย่างไร เราก็ต้องอยู่ในสิ่งที่ยก จะไปอยู่ในสิ่งที่ตกต่ำทำไม มันก็เป็นสัจธรรมแท้ๆจะเป็นเช่นนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 09:27:56 )

0 คือความจบของคนที่อาตมาเอาสภาวะมาแจกแจงเป็นภาษาไทย

รายละเอียด

นี่คือความจบของคน อาตมาอธิบายทั้งหลายที่อธิบายนี้เอาสภาวะจริงที่อาตมามี อาตมาไม่ได้ไปอ่านจากตำรามาท่องมาพูดให้ฟังเลย ตำราก็ไม่ได้อธิบายอย่างอาตมาพูดหรอก ไม่มีตำราไหนอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายเป็นภาษาของอาตมาเอง เอาสภาวะมาแจกแจงเป็นภาษาไทยเป็นภาษาถิ่น ภาษาพ่อภาษาแม่ เอามาพูดอธิบายให้พวกคุณฟัง เข้าใจใช่ไหมเป็นภาษาเรา คนฝรั่งเศสก็พูดฝรั่งเศส คนอังกฤษก็พูดอังกฤษ คนจีนก็พูดจีน สื่อแล้ว mother tongue ซึ่งภาษามันสื่อสภาวะที่ลึกซึ้งนะ ฟังภาษาไหนก็ไม่ลึกซึ้งเท่าภาษาพ่อภาษาแม่ภาษาดึกดำบรรพ์ของตนเอง ดีไม่ดีมันมีสัญชาตญาณของภาษาคนเกิดมาเป็นคนชาตินี้หลายชาติแล้วคุณก็ยิ่งรู้ลึก 

อยากให้คนอื่นจบๆเหมือนอย่างเรา มีชีวิตเบิกบานร่าเริงเหมือนอาตมาไม่มีแม้แต่ วิรชะ ความระเริงไปทางโลกเป็นรสโลกอีก เล็กๆน้อยๆ เสพไปอีก รชะ คือรส เป็นรส รื่นเริงบันเทิงใจเอร็ดอร่อยเป็นทางโลกๆ รชะ พอมาเป็นผู้ที่จะได้โลกเต็มที่ เรียกว่า ราชา บริบูรณ์ไปด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กามคุณ 5 สมบูรณ์แบบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ

พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 15:26:44 )

0 นี่แหละยิ่งใหญ่มาก

รายละเอียด

0 นี่แหละยิ่งใหญ่มาก พูดถูก พ้นทุกข์อาริยสัจ เพราะฉะนั้นการรู้เรื่องทุกข์อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วก็เรียกกันว่า หัวใจศาสนา แต่เขาไม่มาจริงจัง กับความเป็นทุกข์เป็นสุข เขายังไปหลงในเรื่องดีเรื่องชั่ว ดีไม่ดีก็ไปหลงลาภยศสรรเสริญ สักการะเยินยอ แล้วก็ไม่รู้ว่า ตัวเองติดสิ่งเหล่านั้น เป็นสุขอันแสนเนียน 

มันมียศก็ได้สุขแสนเนียน เราบอกว่าเราไม่เอาแล้วเขามาเอาให้ก็เอาไปเฉยๆ ก็แบกไป ให้เขาเรียกเรา เป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จ เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นด็อกเตอร์ เขามาให้เยอะแยะ กิตติมศักดิ์ก็เยอะ ก็ว่าไป 

อาตมาชาตินี้ แหม ช่างยอดจริงๆ ไม่มีใครมาให้อะไรเลย กิตติมศักดิ์ ก็ไม่มีใครมาให้ ให้ไปเรียนเอาสอบเอา เราไม่ไปอยู่แล้ว ก็คนเขาจะให้ก็ให้กิตติมศักดิ์ ชาตินี้มันช่างปลอดลาภยศสรรเสริญอะไรจริงๆเลย  สรรเสริญก็มีพวกคุณนั่นแหละ มาสรรเสริญ มันคนจริง พวกคุณมาสรรเสริญ ยอมรับความจริงรู้ความจริงเข้ามา สรรเสริญจริงๆ คนเขาไม่รู้เขาไม่มาสรรเสริญหรอก โพธิรักษ์พูดไปเถอะบ้าๆบอๆ โพธิรักษ์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 14:42:49 )

0 เป็นนิพพานหมดพิษภัย

รายละเอียด

เรามาเข้าสู่สภาพนิพพานกันดีกว่า ธาตุที่เป็นวงกลมเป็นตัว 0 เป็นนิพพานหมดพิษภัย จะรู้ก็รู้เต็ม จะถือว่าไม่รู้เลยก็ได้ อย่างอาตมาทุกวันนี้ใช้ความไม่รู้เลยกับพวกเราเยอะ เพราะอาตมาไม่จ่ายแคลอรี่พวกนี้ ให้พวกเรารับแบกหามไป เช่น วันนี้ขี้กี่ครั้ง คนไหนช่วยจำก็จำไป วันนี้กินข้าวหรือยัง กินแล้วก็ใช่ ให้กินก็กินก็จัดมาให้แล้วกัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่เหมือนไร้สาระ แต่อาตมาอาศัยสิ่งนี้อยู่ อย่าเลียนแบบนะคุณยังไม่ใช่ฐานะไปเลียนแบบก็ตายเปล่า ทำไม่ได้ อาตมามีสิ่งแวดล้อมเป็นเหตุปัจจัยก็เลยทำได้ มาพูดถึง สิ่งที่แจ็คหม่าก็ดี ทรัมป์ก็ดี คิมจองอึนก็ดี เป็นตัวละครของโลกตอนนี้ ไทยเราพวกเรานี่แหละ พูดกันรู้เรื่องก็ศึกษากันไป สังคมสิ่งแวดล้อมพวกเราจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ศึกษา เป็น phenomena สื่ออธิบายใช้ศึกษากัน พูดถึงเรื่องความสะอาดกับความสกปรก ความบริสุทธิ์กับความสกปรก สกปรกน้อยลงๆๆ จนกระทั่ง เข้าไปหาความสะอาดบริสุทธิ์มันจึงยากขึ้นๆ ที่จะรู้ เพราะฉะนั้นเราจะสามารถอ่านจิตเราเองที่สะอาดจากกิเลส จึงต้องศึกษาจริงๆ จะไปโมเม อย่างไม่มีสัมผัสรู้ของตัวเอง คุณทำไม่ได้หรอก ถ้าไม่ศึกษาเรียนรู้จริงๆ ยิ่งเป็นนามธรรม ที่ใช้ภาษาบาลีว่าอัตตา ภาษาไทยว่าตัว หรือตน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 23 มกราคม 2564 ( 12:22:25 )

0 เป็นหลักประกันเอา 0 เป็นหลังพิง 0 เป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อน แล้วสู้กันด้วย 1

รายละเอียด

เอาอย่างนั้นก็ได้สู้กับ 1 แล้วเอา 0 เป็นเทรนเนอร์เป็นโค้ชอยู่ข้างหลังแล้วจะมีกี่ 2 ก็นับคู่ชกมาแล้วเอาทีละ 1 หรือจะมาทีละ 2 ทีละ 3 ถ้าเก่ง เป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:24:51 )

1 นี้คือยังมีความสุข 2 คือหมดสุขหมดทุกข์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ เทว คำว่า 2 เทวคำนี้พยัญชนะแปลว่า 2 เพราะฉะนั้นจะยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ 2 แต่เขาปิดประตู 2 ห้ามแตะหน้าพระเจ้ามี 1 เดียว อย่าไปแย้งว่ามี 2 ไม่ได้เลยนะต้องมี 1 เท่านั้น เขาก็เลยแยก 2 นี้ออกไม่ได้เลยเมื่อแยก 2 ไม่ได้เลยคุณก็ทำ 1 ไม่ได้ 1 นี้คือยังมีความสุข 0 คือหมดสุขหมดทุกข์ 0 คือหมด 2 คือหมดสุข ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 12:04:28 )

1,000 ปี ศาสนาพุทธจะรุ่งเรือง 

รายละเอียด

เมื่อคุณเห็นพระสงฆ์ที่เป็นอาริยสงฆ์ สงฆ์ระดับอาตมา บอกตรงๆพูดความจริงนะ เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ เขาก็ยังเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ยังเข้าใจผิดด้วยว่า เป็นคนละเรื่อง อย่างนี้ไม่ใช่ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างมหาบัว ต้องอย่างมหาประยุทธ์อะไรอย่างนี้ ไปโน่นเลย อาตมาก็ว่าโอ้.. มันเป็นจริงสัจธรรมยุคนี้มันเป็นความเสื่อมที่เสื่อมสนิท แต่อาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมากอบกู้ขึ้นมาได้สถาปนาขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปอีก 1,000 ปี ศาสนาพุทธจะรุ่งเรือง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 21:23:16 )

10 ผลงานเด่นของรัฐบาลบิ๊กตู่ 65 

รายละเอียด

 มีคนรวม 10 ผลงานเด่นของรัฐบาลบิ๊กตู่ 65 ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี สรุป 10 ผลงานเด่นรัฐบาล“บิ๊กตู่”ปี 65 วันที่ 1 ม.ค.2565 ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC สรุป 10 ผลงานเด่นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา เกิดเรื่องดี ๆ กับประเทศไทยของเราขึ้นมากมาย PMOC คัด10 เรื่องที่ดีที่สุดมาให้คุณ และใน 10 เรื่องนี้ ท่านชื่นชอบเรื่องใดมากที่สุด มาร่วมแสดงความเห็นกัน

1. บัตรสวัสดิการ นโยบายกระตุ้น เศรษฐกิจต่อเนื่อง ช่วยตอบโจทย์คนไทยทุกระดับได้ตรงจุด

2. WHO ยกย่อง สาธารณสุขไทยสุดเข้มแข็ง แก้ปัญหาโควิดอย่างเป็นระบบ

3. ฟื้นฟูสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ในรอบ 32 ปี มิตรสหายเก่าหวนคืนมาได้ใน‘รัฐบาลประยุทธ์’

เราต้องยอมรับว่าเขารวยจริง เราก็ทำการช่วยเหลือกันค้าขายต่อกัน 

4. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมถนน สะพาน รถไฟ

5. มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G คนไทยต้องได้ใช้งานทั่วถึงทั้งประเทศ

6. ส่งเสริมรถยนต์พลังงาน EV วางไทยให้เป็น Hub EV แห่งอาเซียน

7. ปราบยาเสพติด ‘วาระแห่งชาติ’ ตัดวงจร ‘ผู้ค้า-เสพ’ แบบเห็นผล

8. IMF มั่นใจเศรษฐกิจไทย ชมว่างงาน 1% ต่ำสุดในโลก

9. ปฏิวัติดอกเบี้ยโหดในรอบ 95 ปี ช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ

10. APEC 2022 ผลงานระดับโลกภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์

(จาก เว็บไซท์สยามรัฐ https://siamrath.co.th/n/411934 )

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก

วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 10:47:43 )

10 ล้านคนที่ออกมาช่วยกันแสดงมวลเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

รายละเอียด

สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็นำกำลังพลมาสมทบ มาตั้งหลักตั้งแต่ สถานีรถไฟสามเสนแล้วเคลื่อนขบวนมาสู่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พวกเราก็อยู่แล้วก็มาสมทบ พอเคลื่อนมาประชาชนก็คึกคัก รวมกันจนกระทั่งเขาว่าเป็น 10 ล้านเต็มไปหมดในประเทศไทย แล้วสุเทพเขาจบรัฐศาสตร์ด้วย ปริญญาโท ก็เลยทำอะไรได้ถนัดมือ ก็เกิดวิธีการที่เข้าท่า ก็เลยรวมพลได้ตั้งโอ้โห.. ประมาณเป็น 10 ล้านซึ่งไม่เคยมีในโลก ประชาชนมาด้วยความสงบ ออกมาช่วยกันแสดงมวล แค่นี้ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มันสงบทั้งนั้นเลย เรียบร้อยหมดเลย มันถึงจะแสดงทั้งปริมาณของประชาชน ทั้งคุณภาพของความสงบเรียบร้อย เอาความจริงมายืนยัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 14:54:45 )

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

รายละเอียด

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

ต่อจากนี้ไป เป็นการแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม  2514

พ่อครูว่า... จะพูดสู่กันฟังโดยภาษาตรงๆ ของอาตมาคนเดียว แต่ว่าจะเอาพระสูตรมาอ่านเลยทีเดียว เอาออกมาจากพระไตรปิฎกเลยทีเดียวมาอ่านแล้วก็ขยายความกันพอที่จะขยายได้ เท่าที่จะขยายได้ทำความเข้าใจกัน ที่จริง สุญญตานั้น เป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องตื้น เป็นเรื่องที่ลึก เป็นเรื่องที่ไกล แต่ว่าเราเองก็พูดกันมานักเพราะว่า แม้กระทั่งในที่นี้ เราก็ยังพูดกัน อย่าว่าแต่สุญญตาเลย แม้กระทั่งการตายของพระอรหันต์ตายอย่างไรอย่างไรเราก็พูดกันไปจนถึงขนาดนั้น ก็เรียกได้ว่ามันสูงเกินขนาดแล้วล่ะมันสูงก็สูงกันไปพูดสูงบ้างต่ำบ้างคละเคล้ากันไป

แต่ว่า ไอ้ที่จะสูงหรือจะต่ำอะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากว่า เราเองเราจะสมมุติเอา หรือว่าจะยึดถือเอาว่าไอ้นี่สูงไอ้นี่ต่ำ หยาบหรือละเอียด เราจะดำเนินจากละเอียดมาหาหยาบก็ได้ ดำเนินจากหยาบหาละเอียดก็ได้ มันได้ทั้ง 2 ส่วน 2 ด้าน แต่ว่าโดยถูกโดยต้องแล้ว มันก็ควรจะเป็นจากหยาบไปหาละเอียด จะทำจากละเอียดมาหาหยาบมันก็ได้ แต่ว่ามันนานมันใช้เวลานาน

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเองท่านไม่พยายามให้พาทำอย่างที่ท่านได้เคยตรัสเอาไว้แล้วในเรื่องปฏิปทา 4  ซึ่งบางอย่างก็ปฏิบัติได้ เรียกว่าสะดวก แต่ว่านาน

บางอย่าง สะดวกแต่เร็วด้วย อย่างนี้เป็นต้น แต่ส่วนอีกบางอย่างนั้นทั้งยากทั้งนานหรือว่ายากแต่เร็วก็ดี ซึ่งเหล่านั้นเราก็แยกแยะให้ออกตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้แยกแยะให้ฟังแล้ว เราก็เลือกให้เป็น พยายามจัดให้ถูก ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้ ปฏิบัติละเอียดมาหาหยาบก็ได้ แต่ควรจะปฏิบัติหยาบไปหาละเอียด

พระสูตรที่อาตมาจะอ่านนี้ หรือว่าจะเอามาเล่าสู่กันฟังนี้คือ จูฬสุญญตสูตร

จูฬสุญญตานั่นเอง  จูฬสุญญตสูตร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อ 333 ที่อาตมาได้พระไตรปิฎกมาแล้ว ยังไม่มีเวลาได้อ่านเลย แต่ว่าเปิดตรงไหน ๆ ก็รู้สึกว่าดีทั้งนั้นเลย เปิดเจอตรงไหนอ่านเอาไว้แล้วก็มาร์คเอาไว้แล้วก็เล่าสู่กันฟัง

จริงๆ สุญญตะนี้ อาตมาก็เคยพูดกันมาแล้วตั้งหลายทีแล้ว แม้แต่สุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร เราก็เคยได้อธิบายถึงขนาดนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว ขั้นที่เรามาพูดสู่กันฟังนี้เป็นขั้นอาริยะนะ ที่พูดกันถึงสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร หรือแม้จะพูดถึง  อนิมิตตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน จนกะทั่งถึงสุญญตนิพพานมันเป็นที่ของพระอาริยะที่รู้อารมณ์ของนิพพาน รู้อารมณ์ของสุญญตาได้แล้ว แล้วก็มาพูดกัน ไม่ใช่ของต่ำๆ นะที่เราพูดกันอยู่นี่

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าแหม! ฟังๆ ดูแล้วก็ออกหมั่นไส้ เราเองพูดก็ออกหมั่นไส้ตัวเองเหมือนกันนะ แหม..เอาเรื่องที่มันไม่น่าพูดมาพูด ที่จริงมันเป็นเรื่องของสิ่งที่จะรู้ได้โดยสภาวะ ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดเอาเท่านั้น เพราะฉะนั้นพูดให้ฟังก็ฟังกันไปได้เฉยๆ ฟังกันไปได้เฉยๆ สำหรับผู้ที่ลูบคลำนิพพาน ลูบคลำสุญญตาจริง ๆ แท้ ๆ ได้ฟังจะ   อ๋อ.. หรือว่าจะเข้าใจ หรือว่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ลูบคลำแม้อารมณ์นิพพานเป็นยังไง อารมณ์สุญญตาเป็นยังไงจริงๆ รู้แต่สภาวะตัวหนังสือที่บรรยายออกมาเป็นบัญญัติเป็นภาษา เป็นนิรุตติเป็นคำพูดคำท่องคำอ่านอะไรก็ตามแต่ เราก็จะยึดแต่เพียงเหตุผลของภาษา เหตุผลของคำพูดนั้นๆ ที่มันมีเป็นเหตุเป็นผล คล้องจองกันไปเท่านั้นเอง มันก็ไม่ซาบซึ้งถึงขีดถึงขั้นอะไร ฟังๆ ไปจำได้ก็ดี ถ้าจำไม่ได้เลิกกันเลย หมายความว่าไม่ได้เรื่องอะไรที่ฟังไป ถ้าจำได้ก็ยังดียังติดไว้ในสมอง

แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจเจอสภาพหรือสภาวะของนิพพานจริงๆ เจอสภาวะของสุญญตาจริงๆ แล้ว เป็นสภาวะเป็นสิ่งที่มันเกิดในจิตในใจจริงๆ ผู้เจออันนั้นแล้วพออธิบายให้ฟัง ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำว่าจำเลย มันซึ้งทันที ไม่ต้องจำไม่ต้องจด เรียกว่า เข้าใจอย่างซาบซึ้งเลย จะไม่ลืมอีกเลย ยิ่งซาบซึ้งมาก ยิ่งมีสภาวะมากยิ่งซาบซึ้งมาก แล้วยิ่งจะจำติดใจไปเลย ไม่มีถอดถอน นี่แหละเรียกว่าสภาวะกับ ของ ๆ จริงมันมาสัมพันธ์กันเข้ามันจะดูดจะติดเลยพอมีสภาวะ พอกล่าวชื่อมันปั๊บ มันดูดจนติดเลย แต่ถ้าเราไม่มีสภาวะกล่าวชื่อมันก็มีแต่ชื่อ ถ้าเราไม่มีชื่อมีแต่สภาวะมันก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน มันก็มีแต่ตัวตน เป็นประโยชน์ตนเท่านั้น ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเอาชื่อมาพูดด้วยเป็นสภาวะด้วย แล้วเราก็เป็นประโยชน์ที่เอาสภาวะนั้นมาอธิบายหรือมากล่าวชื่อกล่าวนามให้คนอื่นเค้าฟังได้ด้วย มันก็เป็นประโยชน์ 2 ส่วน เป็นประโยชน์ขึ้นไปเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ หรือผู้ที่มีสภาวะแล้ว มีอรรถะแล้ว มีธรรมะแล้วในตัว ก็มาเรียนรู้นิรุตติคือมาเรียนรู้ภาษาให้มันประกอบกัน เมื่อประกอบกันแล้วก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ 2 3 4 ขึ้นไปแล้วก็เอามาพูดสู่กันฟัง

เอาลองมาฟัง จูฬสุญญตสูตร ดูซิ https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=4714&Z=4845 จูฬสุญญตสูตร

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา มิคารมารดา ในพระวิหาระบุพพาราม เขตนครสาวัตถี เนี่ยก็เป็นวิหารของนางวิสาขาสร้างเองวิหารบุพพารามเนี่ย  ซึ่งมีโลหะปราสาทเป็นเอกอยู่ในวัดนั้น ซึ่งโลหะปราสาทนั้นมีตั้ง 1,000 ห้อง คิดดูซิว่าความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้นกับความเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย เดี๋ยวนี้มันต่างกัน เดี๋ยวนี้มีมั๊ยอาคารที่ไหนมีห้องถึง 1,000 ห้อง ดุสิตธานีที่ว่าเก่งที่สุดเดี๋ยวนี้นะมีถึง1,000 ห้องไหม มีแค่ 500 ห้อง

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าความเจริญของประเทศไทยเดี๋ยวนี้อย่าอวดดีเลยว่า เจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีทางเลย ไม่มีทางเจริญเท่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย แต่เราก็อวดดีว่า เราเจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปว่าสมัยโน้นคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรต่ออะไร มีการงมงายอะไรมีอะไรต่ออะไรไม่จริงเลย ที่จริงฉลาดกว่าเราเยอะแยะ แต่เราไม่รู้ว่าความฉลาดนั้นคืออะไร แต่ว่าถ้าไปพูดถึงว่าความฉลาดทางโลก จริง เดี๋ยวนี้เราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เพราะอะไร โลกคืออะไร โลกหรือโลกีย์คือกิเลส คือกาม เพราะฉะนั้นบอกว่าเราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยโน้น จริง อาตมาไม่เถียงเลย เพราะเรามีกิเลสกามหรือกิเลสโลกียะมากกว่าสมัยโน้น อันนี้ไม่เถียง แต่ความเจริญทางโลกุตระสิ สมัยพระพุทธเจ้าเจริญกว่ามากกว่ามาก นี่แหละต้องทำความเข้าใจ

แม้พระสูตรที่ท่านตรัสเอาไว้ คำกล่าวต่างๆ นานา เราต้องมาวิจัยให้ออกว่า มันมีเหตุผลที่จะฟ้อง ที่จะแสดงอะไรต่ออะไรให้เราเข้าใจได้ด้วย เช่นว่า วิหารบุพพารามซึ่งมีโลหะปราสาทถึง  1,000 ห้อง มันก็แสดงผลให้เราเข้าใจได้ว่า ความเจริญสมัยโน้นยิ่งกว่าสมัยนี้

 [333] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากสถานที่หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

 นี่เป็นสำนวนของท่านบาลี ไปที่ไหนแล้วก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นี่เป็นภาษาบาลีก็หมายความว่า ไปถึงแล้วก็หาที่นั่งที่เหมาะๆ ควรๆ สำนวนนี้เข้าใจให้ได้ แล้วก็มี

เสมอๆ แปลทีไรก็จะมีอย่างนี้เป็นสำนวนพระสูตร ในสำนวนพระไตรปิฎก

พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อ นครกะ ในสักกชนบท ณ ที่นั้น ข้าพระองค์ได้สดับได้รับคำ ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า

ดูกร อานนท์ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ฟังดีๆ นะเริ่มต้นแล้วนะ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม มีชื่อเลย สุญญตวิหาร หรือ สุญญตวิหารธรรม  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว จึงจำไว้ดีแล้วหรือ  ไอ้ที่แล้ว ๆ แล้ว ๆ น่ะ นี่ยังไม่แน่ใจนะ ยังกำชับ เรียกว่า ยังทูลถามพระพุทธองค์ต่อไปอีกว่า ดีแล้วน่ะ ดีแล้วหรือ เพราะฉะนั้น คล้ายๆ ยังคลางแคลงตัวเองอยู่ว่าพระอานนท์คลางแคลงตัวเอง ว่าตัวเองเนี่ยจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ดีแล้วทุกอย่างแล้วหรือ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรอานนท์ แน่นอนนั่นเธอสดับดีแล้ว สดับนี่หมายความว่าฟังนะ เอาแค่ฟังนะ สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว แล้วก็รับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้วเอามาคิด ทบทวน กำหนดสัญญาลงไปในใจ ใส่ใจ จงจำไว้ดีแล้ว ผนึกลงไปเลยสัญญามันมีกำหนด กำหนดแล้วก็ฝังจำ ทรงจำไว้ดีแล้ว ท่านยังไม่ได้บอกเลยท่านยังไม่ได้บอกมากกว่านี้เลย ฟังให้ดีนะ อานนท์ แน่นอน เธอนั้นสดับมาดีแล้ว ฟัง รับมาดีแล้ว คือรับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้ว เอามาคิดดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว แล้วก็จำ ผนึกลงไว้ในใจ  ฟังให้ดีนะ มีอยู่แค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าอานนท์ไม่ได้รับอะไร ไว้เลย แต่รับไว้ เพราะแน่นอนพระพุทธเจ้าท่านขยักเอาไว้นิดนึงเท่านั้นเอง ถ้าพระอานนท์เข้าใจสุญญตวิหารธรรมนี้ได้ดีซาบซึ้งแล้ว พระอานนท์ย่อมเป็นอรหันต์ ย่อมเกิดปัญญาวิมุติ แต่นี่พระอานนท์ยังไม่วิมุติยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้แค่นี้ ก็ได้แค่ ได้สัญญาจำไว้เท่านั้น ยังไม่ดีไปกว่านี้

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ทำไมอาตมาอธิบายตอนนั้นว่า พระอานนท์ได้แค่จำได้แค่รู้เฉยๆ แต่ยังไม่แจ้ง ยังไม่สว่างถึงที่ ก็เพราะเหตุว่า ถ้าแจ้งถ้าสว่างถึงที่แล้ว พระพุทธเจ้าจะไม่ต้องอธิบายต่อ เท่านี้เองเคล็ด พระพุทธเจ้าก็ไม่อธิบายต่อเพราะคนรู้แล้วจะไปอธิบายให้เสียเวลาทำไม แต่ที่นี้พระพุทธเจ้าอธิบายต่อแสดงว่า คนขอร้องว่าพระพุทธเจ้าจะต้องสอนต่อไปอีก ท่านก็ต้องสอนให้ฟัง

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ อย่าลืมนะเราขึ้นต้นด้วยว่าขณะนี้เราอยู่ที่ปราสาทนี้ ปราสาทของนางวิสาขา  นางวิสาขานี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า มิคารมารดา คือพ่อผัวของนางวิสาขาชื่อมิคาระ แล้วมิคาระนี้เกิดเลื่อมใสยกตำแหน่งวิสาขาให้เป็นแม่ จึงเรียกว่าเป็นแม่ของมิคาระดังนี้ เพราะฉะนั้น ชื่อหนึ่ง หรือสมญานามอีกชื่อหนึ่งของนางวิสาขาคือ มิคารมารดา ขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในโลหะปราสาทอันนี้ พระพุทธองค์กำลังเปรียบเทียบอยู่

เปรียบเหมือนปราสาทของนางมิคารมารดาหลังนี้ ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา ว่างเปล่าจากทองและเงิน ว่างเปล่าจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ เหมือนกันเลยกับที่อาตมาเคยเปรียบเทียบที่นี่ว่า ที่นี่ว่างเปล่าจากช้าง แต่ไม่ได้ว่างเปล่าจากคน ซึ่งอาตมาเคยยกตัวอย่างสุญญตาตั้งแต่ก่อนโน้น ตั้งแต่ยังไม่เคยได้พระไตรปิฎกมานี่พอดีได้มาอ่านพระไตรปิฎกเข้าเจอ อ่านเหมือนกันเลย ก็เลยว่าดีเหมือนกัน ว่างจากสิ่งเหล่านั้นคือว่างจากช้าง จากโค จากม้า จากลา จากทองและเงิน ท่านอธิบายเยอะแยะ ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษคือไม่มีทั้งสตรีและบุรุษ

แต่ดูให้ดีนะ ฟังให้ดี มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น ฟังให้ดี แต่มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียวคือ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น คำอธิบายอันนี้ของพระพุทธองค์นี่ ละเอียดกว่าที่อาตมาได้เคยยกตัวอย่างว่า ที่นี่ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน ละเอียดตรงไหนละเอียดตรงที่ว่า ของท่านนอกจากไม่ว่างจากช้างแล้วก็ไม่ว่างจากม้า ว่างจากโค ว่างจากลา แล้วก็ว่างจากบุรุษและสตรีด้วย แต่ไม่ว่างอยู่อย่างเดียว ของท่านเหลืออย่างเดียวคือไม่ว่างจากพระสงฆ์ ฟังให้ดี นอกนั้นว่างหมดแต่ไม่ว่างอยู่แต่พระสงฆ์

แต่ที่อาตมายกตัวอย่าง คราวก่อนนั้น ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน และไม่ว่างจากม้านั่ง ไม่ว่างจากต้นอโศก สุดท้าย ว่างจากช้างว่างจากม้า ว่างจากคนนั้นหมายความว่า ตัดกิเลสทั้งหมดออกไป ว่างจากอะไรต่ออะไรต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นกิเลสเป็นเครื่องรบกวน เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกว่าสิ่งที่รบกวนทั้งหลายแหล่หายออกไปหมด แต่มันยังมีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่

เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าว่างจากช้าง โค ม้า ลา จากเงิน จากทอง แม้กระทั่งชุมนุมสตรีบุรุษอะไรต่างๆ ว่างหมด มีไม่ว่างอยู่คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์ แสดงว่าสิ่งที่จะให้ดูมีอย่างเดียวเท่านั้นเอง อย่างเดียวเท่านั้นที่ยึดถืออยู่  นี่แหละ ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่า จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้านและชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย ไอ้ที่ว่าป่า ไอ้ที่ว่าบ้าน ไอ้ที่ว่ามนุษย์อะไรต่ออะไร รวมลงไปหมดเลย รวมลงไปหมดเป็นสิ่งเดียว ใส่ใจแต่สิ่งเดียว

นี่พระพุทธเจ้าบอกท่านรวมลงไปให้ไม่ใส่ใจในสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า ป่า รวมลงไปหมด จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่นและนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่า ป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน ไม่แบ่งไม่แยกน่ะ  และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ฟังให้ดีนะท่านจึง บอกว่ามีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ยังมีความกระวนกระวายนะ ยังมี  มีภาวะเดียวด้วยเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น คืออันหนึ่งที่เรายึดอยู่

ก็ขออธิบายนิดนึงซะก่อน ก่อนจะต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะยึดอะไร รวมลงมาเป็นหนึ่ง เราก็ต้องว่างจากสิ่งอื่นหมด เราไม่แจง ซึ่งสมมติว่าอยู่ในบริเวณนี้ ขณะนี้ มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย ถ้าจะเราจะแบ่งแยกว่า นี่คน นี่ต้นอโศก นี่ไมโครโฟน นี่ขวดน้ำ มีแก้วอะไรต่ออะไรแยกแยะไปหมดเลยตามสมมุติโลก โลกเขาสมมุติว่าอันนี้ขวดอันนี้คน อันนี้ต้นไม้ นี้ม้านั่ง อันนี้เก้าอี้ อันนี้ว่าถ้วย ว่าชาม ต่างๆ นาๆ สมมุติโลกทั้งสิ้น  ถ้าเราไปแยกแยะจิตของเราให้ไปตามรู้พวกนี้ พวกนี้นะ เราก็จะมีการแบ่งแยกออกไปหมดเลยไม่รวมลงเป็นหนึ่ง

เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะรวมลงเป็นหนึ่ง เราต้องเห็นสิ่งพวกนี้ว่าคือสมมุติโลก ที่มันพึงเกิดพึงเป็นตามเหตุของโลก ถ้าใครที่บอกว่าไอ้นี่มีค่าเพราะมันเป็นขวด ถ้าใครเอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ ไอ้นี่เป็นเพชร แล้วก็เดือดร้อนแล้วไม่อเนญชาแล้วชักหวั่นไหวในเพชรว่า เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้นี่ ชักไม่ค่อยดี ใครเอาแบงค์ร้อยมาวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะนี้ ชักหวั่นไหวแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว  เกิดจะมี อกุศลจิต หรือ กุศลจิต เกิดขึ้นซะแล้ว คนนึกดี ก็บอกว่า เฮ้ยของใครนี่เก็บสิ ไอ้คนที่มันนึกไม่ดีมีอกุศลจิตก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ต้องไปบอกเค้าเก็บแล้ว เผลอ ๆ เราค่อยไปหยิบ มันก็เป็นได้ เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่นิ่งแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว ชักหวั่นไหวซะแล้ว แล้วก็จะได้รับความกระทบกระเทือนเฟื่องฟูออกมา คิดไปในทางต่ำหรือทางสูงได้ คิดไปได้

แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่สำคัญมั่นหมายมันเลย ไม่ไปตีค่าอะไรมันเลย เงินก็เงินสิ แบงค์แดงๆ กองอยู่บนโต๊ะก็เฉย เพชรวางอยู่บนนี้ก็เฉย แก้วน้ำขวดน้ำก็เฉย เหมือนกันกับแก้วน้ำวางอยู่  เพชรเม็ดนึงก็เหมือนกับแก้วน้ำวางอยู่เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร เห็นแล้วก็เฉย มีเงินมีทองอยู่ในนี้ล้านนึง ก็เหมือนกับเห็นกาน้ำใบนี้วางอยู่บนนี้ ไม่ไปสำคัญมั่นหมายอะไรด้วย ไม่ไปกำหนดไม่ไปสมมุติด้วย ใครจะสมมุติว่าเพชรมีค่า เงินมีค่า ไม่สมมุติด้วย ใครจะสมมติว่าแก้วมีค่าหรือน้อยค่ากว่าเพชร น้อยค่ากว่าเงินก็ไม่สมมุติด้วย เห็นอยู่อย่างนี้ สักแต่ว่าเป็นสภาวะเดียว เฉยๆ อยู่ ไม่ไปแยกไม่ไปสมมุติอะไรด้วยเลย รู้แต่ว่าเราอยู่ ณ ที่นี้ที่หนึ่งที่เดียว แล้วก็สำคัญที่เราอยู่ไม่ไปสมมุติอะไรเพิ่มขึ้นเลย นี่คือคำอธิบายของพระพุทธองค์ที่หมายถึงเมื่อตะกี้นี้  

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน มีคำอธิบายเหมือนกับที่อาตมาอธิบายแล้วอาตมายังไม่ได้อ่านต่อ เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น นี่ท่านแยกแยะแค่บ้านกับมนุษย์ อาตมาแยกแยะมากไปอีกจนกระทั่งถึงเพชรถึงเงินให้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกัน แล้วเราก็สัญญาแล้วก็เป็นแต่เพียงกำหนดลงไปแต่เพียงว่า ไอ้นี่คือสภาวะหนึ่ง อยู่ในแดนหนึ่ง อยู่ในโลกๆ หนึ่ง มีความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีสิ่งพวกนี้ๆ อยู่ เท่าไหร่ๆ ก็ตามแต่ มีคนอยู่ มีต้นไม้อยู่ มีเพชรอยู่ มีขวดอยู่ หรือสมมุติจนกระทั่งแม้เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ เอาแบงค์ร้อยมากองไว้บนโต๊ะนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีความหวั่นไหว เราไม่มีความไปสมมุติอะไรตามเดิม สมมุติแต่เพียงว่า อย่างเดียวแต่ว่า เรายืนอยู่ในโลกนี้ว่างว่างเฉยๆ อยู่นั่งอยู่ที่นี่ว่างๆ เฉยๆ คนอื่นหวั่นไหวตาม เขาเห็นว่าของเหล่านี้มีอะไรแปลกแตกต่างกันไป แต่เราไม่แปลกเราเฉยๆ เป็นอาการอย่างนั้น

และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียว คือเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย ท่านให้พิจารณาสิ่งที่เราไปยึดถือสิ่งที่เรายังไปยอมสมมุติอยู่ในนั้นด้วย แล้วสัญญาเหล่านั้นอย่าไปยึดถือ จงเห็นว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นด้วย หมายความว่าจงเห็นให้ได้ว่า มันมีอยู่ก็ช่างมันปะไรเราไม่มีเราไม่เกี่ยวข้อง มันจะเป็นของเราเปล่า ๆ หรือของใครก็ไม่เกี่ยวไม่แตะต้อง ความหมายอย่างนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย จะเป็นของเราหรือของใครก็ไม่เกี่ยว มีอยู่ก็พยายาม เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น

หมายความว่าเห็นความว่างนั้นเป็นว่างจริงๆ แม้จะมีสิ่งที่มีอยู่สิ่งที่ไม่มีอยู่ ก็เหมือนกับมีสิ่งที่ไม่มีอยู่เท่านั้นเองฟังให้ดีนะ เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ เงินมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เพชรมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี คนมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เหมือนกับสิ่งไม่มีอยู่ในสัญญาคือในความรู้สึกเท่านั้นเอง ท่านหมายความเอาอย่างนี้

และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี และให้รู้ด้วยนอกจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดลงไปอีกด้วยว่า ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เงิน ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า ขวด ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่เขาเรียกว่า คน นี่โลกเขาเรียกว่าต้นอโศก ให้รู้ชัดอย่างนั้นให้ได้ด้วย แต่สำหรับเราไม่เกี่ยวแล้วโลกนี้จะมีขวดนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีต้นอโศกนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีเพชรนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเงินแบงค์ร้อยกองอยู่บนโต๊ะนี้ก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ไม่แปลก มีความหมายของท่านอย่างนั้น

ดูกร อานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ผู้ใดที่พิจารณาอย่างนี้ อย่างที่อาตมาว่ามาแล้วนี่ ก็เป็นการอยู่ในหรือว่าก็เป็นการก้าวลงสู่สุญญตวิหาร หรือ ก้าว ลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ท่านยืนยันว่านี่แหละคืออาการของการทำสุญญตวิหาร

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดจะถึงสุญญตวิหารได้ ก็ต้องพยายามให้มันหลุดพ้นคือเรียกว่ารู้ให้ได้ก่อนแล้วทิ้งให้ได้ด้วยเรียกว่าสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์หมายความว่ารู้ความพ้น สุญญตวิมุติ หมายความว่า หลุดออกไปเลย รู้ วิโมกข์

โมกขะ หมายความว่าความรู้ ความรู้ในการหลุดพ้นนั้นด้วย โมกขะ โมกขธรรมนี้ คือความรู้ในการที่จะหลุดพ้นอันนั้น ถ้าใครรู้ในสุญญตวิโมกข์ได้แล้ว ก็ทิ้งให้ได้ๆ ทิ้งสิ่งที่ควรทิ้ง

อย่างเมื่อกี้นี้ เรารู้ให้ได้ว่าไอ้นี่มันเป็นสมมุตินะ เพชรที่วางอยู่บนนี้ก็เป็นสมมุติ แบงค์ร้อยถ้าเอามากระจายอยู่บนโต๊ะนี้ก็เป็นสมมุติ ขวดนี้ก็เป็นสมมุติ คนนี่ก็เป็นสมมุติ เพชรนี่ก็เป็นสมมุติ ต้นอโศกนี่ก็เป็นสมมุติ รู้ให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติ เมื่อรู้ได้แจ้งแท้ในใจแล้วถึงจะถึงสุญญตวิโมกข์ ถ้ารู้ยังไม่ได้ไม่ใช่สุญญตวิโมกข์

นอกจากรู้ว่าเป็นสมมุติแล้ว ใจเราอย่าไปยึดถืออย่าไปนำพาด้วย ให้รู้มันเป็นจริงให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติจริงๆ แต่โลกเขาเองเขายึดถือ โลกเขายึดถือแบงค์ แหม ใครได้แบงค์ดี โลกเขายึดถือเพชร ใครได้เพชรมาแหม ฮ้อ โลกเขายึดถือนี่ เค้าเรียกว่าคน ถ้ามีผู้หญิงก็ผู้หญิง นี่ผู้ชายแตกต่างกันเขายึดถือไปหมดเลย มีความแตกต่าง มีการเทียบค่า มีการสร้างค่า สร้างไอ้นี่ต่ำ ไอ้นี่สูง ไอ้นี่จะต้องบวกไอ้นี้ ไอ้นี่จะต้องลบไอ้นี่ ตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้อย่างนี้ได้แล้วด้วย แล้วเราก็วางให้ได้ จึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ รู้แล้ววางให้ได้เราจึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ เมื่อสุญญตวิมุติลงไปได้แล้วด้วย ผู้นั้นรู้แล้ว แล้วก็วางได้ด้วยสุญญตวิโมกข์รู้ แล้วสุญญตวิมุติก็วางได้ เมื่อรู้ด้วย วางได้ด้วย ก็อยู่ในสุญญตวิหาร เรียกว่าเป็นผู้มีสุญญตานั่นแหละเป็นเครื่องอยู่   เป็นเครื่องที่อยู่ในตนสบายเปล่าว่างดายไม่ยึดถือ เห็นสักแต่ว่าเห็นรู้สักแต่ว่ารู้ แต่เหมือนกับไม่มีเหมือนกับไม่รู้ เหมือนไม่มีเหมือนไม่รู้

นี่ภาษาพูดนะ แต่ที่นี้ถ้าใครมีอารมณ์รู้ว่าสุญญตะเป็นอย่างนั้นๆ เข้าใจอย่างนั้นเข้าใจ ซึ้งเลย ไม่ต้องไปพูดอะไรกันมากอะ ฟังเดี๋ยวนี้แค่นี้ก็จำได้ตลอดกาล เห็นเดี๋ยวนี้จำได้เดี๋ยวนี้ไปเลย ไม่ต้องไปท่องด้วย ทันที แต่คนไหนที่ยังไม่รู้เรื่องก็มานั่งท่องแล้ว ไอ้นี่สุญญตวิโมกข์มันแตกต่างกับสูญญตวิมุติอย่างไร ท่องเป็นระดับๆ ไป อะไรต่ออะไรไป

นี่ท่านอธิบายละเอี๊ยดละเอียด แต่ภาษาของท่าน พระพุทธเจ้าท่านอธิบายให้สงฆ์ฟังแค่นี้นะ ท่านเข้าใจกันแล้วเพราะมันไม่มีเรื่องมาก เพชรมันก็ไม่มี แบงค์มันก็ไม่มีมากมายถึงเดี๋ยวนี้ที่เป็นจิตสมมุติกันมากมายถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ติดสมมุติกัน โอ้โห เพชรพลอยแบงค์ร้อย มันเป็นเจ้าเป็นนายเลยมีอำนาจเหนือหัวคนเหลือเกินเดี๋ยวนี้ มันมีอำนาจเหนือหัวคนจริงๆ คนนี่ โอ้โฮ
ซูฮกมันเหลือขนาดเลย มันจึง ลำบ๊ากลำบาก ต้องอธิบายเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้เห็นเป็นสมมุติให้ได้ก็ไม่เชื่อ บอกเอามาหน่อยสักร้อย ไม่ได้หรอก แหม เอาไปได้ไงตั้ง 100 นึงอะ อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่ามันยึดอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่รู้จักวาง มันไม่มีค่าอะไร ถ้าเราไม่ไปไอ้นั่นมัน ไม่ไปสมมุติมัน ไม่ไปหลงติดมัน มันไม่มีค่าหรอก มันเป็นการสมมุติในโลกเท่านั้นเอง ให้เห็นว่าเราจำเป็นเหลือเกิน ขาดแบงค์ร้อยจะตาย ขาดเพชรจะตายให้ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเพชรแต่มีเงิน หาเงินยังไม่พอ ยังจะไปผ่อนส่งเอาเพชรมาไว้ในมือ เนี่ยเป็นอย่างนี้โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าผู้ชายไม่เท่าไหร่ พูดถึงเรื่องเพชรยังไม่ค่อยเท่าไหร่ พวกผู้หญิง แหม ไม่มีเพชรอะไม่มี ต้องไปผ่อนส่งมาให้ได้ จะใส่ เงินไปให้เขายังไม่พอเลย จะต้องเป็นของสำคัญอย่างนั้นน่ะ

เห็นไหมไปยึดไปถือมันมากแล้วมันก็ทุกข์ ไปนั่งผ่อนส่งเขาแล้วมันก็ตะแง็กๆ ไม่ทุกข์หรือทุกข์ เป็นแต่เพียงเพื่อจะได้เพชรมาไว้ในมือ ถ้าเอาเพชรนั้นโยนทิ้งไปไก่มันยังไม่กินเลย มันไม่มีค่าอะไรกันนักกันหนาดูซิ โยนให้ไก่ ไก่ก็ยังไม่จิกไม่กินอะ สู้เม็ดข้าวเปลือกเม็ดนึงก็ยังไม่ได้ มันจะไปมีค่าอะไรกันนักกันหนา

พระว่า..สุญญตวิหารเป็นขณะนั้น

พ่อครูว่า... ถ้าผู้ปฏิบัติและผู้ที่รับแล้วก็แน่นอนก็ต้องเห็นว่า สุญญตวิหารเป็นของที่สูงที่สุด แต่ก่อนจะเป็นสุญญตวิหารได้มันต้องมีสุญญตวิโมกข์ แล้วมีสุญญตวิมุติเสียก่อน เมื่อมีสุญญตวิโมกข์ มีสุญญตวิมุติ แล้วมันก็เป็นสุญญตวิหาร มันก็ไม่มี มันก็เป็นแต่เพียง สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ตาไม่บอด ใจไม่หลับ ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น ฟังแล้วอาจจะงง ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างก็ไม่รู้ทุกอย่างก็ไม่เห็น

พระว่า...มันไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะ

พ่อครูว่า... สภาวะไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะไม่ใช่พูดแต่ภาษาพูดก็พูดให้ฟังแล้วบ้า ทุกอย่างรู้ ทุกอย่างเห็นแต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น นี่คือภาษาพูดที่มันบ้าๆ แต่สภาวะมันไม่บ้าหรอกมันรู้มันเห็นจริง แต่ไม่เอาด้วย มันก็เหมือนกับเราไม่รู้ เราไม่เห็น

เหมือนกันกับไก่ มันบอกเอาเพชรไปโยนให้มัน มันบอกว่ามันไม่รู้มันไม่เห็นด้วยมันบอกว่าไม่เห็นเข้าท่าอะไรเลย มันก็เหยียบไปเลยเหยียบเลย เอาแบงค์ร้อย ไปโยนให้มันเหรอ สู้เขาเปลือกเม็ดเดียวก็ไม่ได้มันไม่เอาด้วยเพราะมันไม่สมมุติด้วย แต่กระนั้นก็ดี ไก่มันก็ไปสมมุติไอ้ข้าวเปลือกนั่นแหละมีค่าสูง ถ้าไก่มันไม่ยึดติดข้าวเปลือกด้วยนะ ไก่มันก็สุญญตวิหารเหมือนกัน

ทีนี้ไก่มันก็ยังยึดติดสิ่งที่มันยังกินอยู่อย่างนึง และสิ่งที่มันยังเสพยังหลงอยู่อีกอย่างนึงเหมือนกัน แต่มันไม่มีปัญญาที่จะมาอธิบายสุญญตาให้มันฟังได้ มันไม่มีปัญญาแน่ คนนี้แหละมีปัญญาที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้นพยายามเข้า นอกจากจะไปรู้ด้วยการฟังแล้ว ต้องพยายามไปค้นหาสภาวะที่ว่านี้ให้เจอด้วย จะมาโมเมๆ เอาไม่ได้ จะค้นได้ยังไงค้นได้สิ ทำสิ บอกแล้วว่าอย่าติดสมมุติ ก็แบงค์ร้อยอยู่ในกระเป๋า ถ้าบอกว่าเราไม่ถือสมมุติด้วย อ้าววันนี้มีแบงค์ร้อย 5-6 ใบเอาไปทำทานให้หมดเลย ดูซิ ใจมันจะวิมุติลงไปได้ด้วยไหม เอ้ย เอ้ย เอ๊ยดี กระเป๋าเรามีตั้ง 500 บาท ตอนนี้วิมุติจาก 500 บาทไปแล้วนะ หลุดพ้นจาก 500 บาทแล้ว มีว่างเปล่ามีแต่กระเป๋าว่างเปล่า เงิน 500 บาทวิมุติไปแล้ว

ลองทำดูซิแล้วใจมันจะเป็นยังไง วัตถุวิมุติไปแล้ว 500 บาทเอาไปทำทานหมด หรือเอาไปทำประโยชน์ที่มันควรที่สุด เอาไปทำไปหมดแล้ว ไม่มีแบงค์ร้อย 5 ใบอยู่ในกระเป๋า แบงค์ 100 คือสุญญตะ ไม่มี แบงค์ร้อยคือว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีแบงค์ร้อยในกระเป๋า กระเป๋าจึงว่างเปล่าจากแบงค์ร้อย

แต่ทีนี้ เมื่อเวลานั้นแหละมาดูใจตัวเองซิเป็นยังไง ใจตัวเองเป็นยังไง ยังรอนๆ คิดถึงแบงค์ร้อย 5 ใบนั้นมั้ย ยังรอนๆไหม บางคนไม่รอนๆ ธรรมดานะ เจ็บปวดเอาด้วย แหม กว่าจะหามาได้ 500 กว่าจะออกไป เจ็บปวดเอาด้วย แต่คนไหนไม่เจ็บปวด แต่ยังรอนๆอยู่ คนนั้นก็ยังมีปฏิฆะ ถ้าใครไม่มีปฏิฆะ ก็หมายความว่าไม่รอนๆด้วยเลย เฉย ว่างเปล่า แต่ไปยึดอะไร ไปยึดว่าดีแล้วเราทำบุญได้ตั้ง 500 บาท เราได้บุญนั้นแล้วเป็นรูปเป็นร่าง วาดบุญไว้เป็นรูปเป็นร่างเลย ไม่รอนๆ หรอกแต่ดีใจกับบุญ ผู้ที่ยังมีอารมณ์ดีใจอย่างนั้นอยู่นั่นแหละจึงเรียกว่า พรหม เรียกว่า พรหม เรียกว่าเป็นผู้ยังมีอรูปอย่างนึง ที่สร้างไว้เป็นลมๆ เป็นลมลอยรูป แล้วก็ยังหลงดีใจกับอันนั้นอยู่ยังมีสิ่งที่ยึดถืออยู่

แต่ถ้าผู้นี้เงิน 500 บาทก็สุญญตะไปแล้ว หายไปแล้ว ไม่มีแล้วให้เขาไปหมดจริงๆ ทำประโยชน์ในโลกไปหมดแล้ว ใจก็ไม่รอนๆ บุญก็ไม่นึกถึง อะไรก็ไม่ยึดถือไม่นึกถึงอยู่ ใจก็ดับลงไม่มีคำว่าแบงค์ 500 เมื่อกี้นี้ก็ลืมไปสิ้นด้วย ไม่มีอะไรเลยในใจว่างเปล่าใจก็ว่างเปล่าแบงค์ร้อยก็หายไปจริงๆ ด้วย ผู้นั้นแหละจึงวิมุติทั้งสภาวะ วิมุติทั้งของจริงๆ และวิมุติทั้งใจด้วย นี่แหละอาการนี้เราจะทำ

เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่เคยเลยที่จะควักแม้แต่ 100 บาท 10 บาท 20 บาทให้คนอื่นไปดูซิ ไม่เคยมีทานเลยคิดดูซิ ว่าเราจะได้มั้ย เราจะเจอสภาวะมั้ย มันก็ได้แต่หลักการที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ แล้วก็คุยหลักการว่า ฉันรู้แล้ว เข้าใจได้ซาบซึ้งแล้ว ใครมาถามก็อธิบายให้ฟังฉับๆ เลย สบาย อย่างนี้แน่มากดี อย่างนี้แจ๋วเลย แต่ตัวเองเขามาขอแค่เงิน 5 บาท 10 บาทไม่ให้ แล้วมันจะวิมุติลงไปได้อย่างไรไม่ให้ มันวิมุติไม่ได้  

เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งของหวาน ของคาว ของอร่อยก็ยังอยากได้ ไอ้นี่เมียฉัน ไอ้นี่ลูกฉัน ไอ้นี่ข้าวของฉัน ไอ้นี่รถฉัน ไอ้นี่ฐานะฉัน แหม ไอ้นี่สรรเสริญของฉัน เขาบอกว่าฉันเป็นอาจารย์ ยังยึดแม้กระทั่งคำว่าอาจารย์ไว้อีก  หรือยกคำว่า แหมฉันเป็นรัฐมนตรีติดอยู่ที่รัฐมนตรีอีก มันก็ไม่มีวิมุตได้ มันก็ไปติดเป็นติ่ง ติ่งจากตรงนี้ ละจากตรงนี้ได้ ก็ไปติ่งตรงนี้ ตรงนี้ มันจะหลุดได้จริงๆ ต้องตัดอกตัดใจแล้วก็ต้องกระทำในวาระนั้น สิ่งนั้นลองดูจริงๆ ถ้าไม่ได้ลองแล้วไม่รู้

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ลองไปนั่งแม้กระทั่ง โอ้โห บำเพ็ญทุกขกิริยา จับนิดนึงพอจะลูบหนังขนก็ติดมือขึ้นมาอย่างท่านที่อธิบายไว้นะ ถ้าท่านไม่ไปลองอย่างนั้นท่านก็ไม่รู้หรอกว่า สภาวะสุดโต่งอีกอย่างหนึ่งมันถึงขนาดไหน แล้วท่านก็ท้าด้วยว่า จะไม่มีใครมาทำได้อุกฤษฏ์อย่างท่านอีกแล้ว เรียกว่าท่านทำอุกฤษฏ์กว่าใคร ๆ ที่ทำมาแล้ว เขาบำเพ็ญตนทรมานตนมาถึงขนาดไหน ท่านบอกว่าท่านได้ทำมาหมด ทำมาจนกระทั่งอุกฤษฏ์ถึงขั้นสุดที่แล้ว ท่านถึงได้เอามาอธิบายให้กันฟังได้ สู่กันฟังได้ว่า โอ้โห ป่วยการไปนั่งทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเกินขอบเขต ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ไม่จำเป็น

แต่ทำไมท่านต้องทำ ที่ท่านต้องทำก็เพราะเหตุว่าท่านจะต้องวัด ท่านจะต้องวัด วัดวา ให้รู้ความสุดโต่งของทางนี้ และทางนี้ให้รู้หมดเลยเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามพวกเราได้เท่านั้นเอง และเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามของพวกลัทธิอื่นๆ ที่เขาไปสุดโต่งสายไหนก็ไม่รู้ ให้มันรู้ชัดรู้แจ้ง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นที่สุดที่ท่านจะต้องวัดวาสิ่งเหล่านั้นให้รู้ ไปลูบไปคลำสิ่งเหล่านั้นให้รู้โดยแท้จริง  แต่เรายังไม่ได้ประพฤติบำเพ็ญตัวเป็นพระพุทธเจ้า อย่าไปทำอย่างท่าน อย่าไปทำอย่างท่าน ประเดี๋ยวตายๆ ก็เหมือนเราอดข้าว กินวันละเท่าปลายมือ แล้วก็ลดลง 5 เม็ด 10 เม็ด ไปจนกระทั่งกินเท่าเม็ดงา กินวันละเท่าเม็ดงา จนกระทั่งไม่กินเลย ไหวมั้ย อาตมาว่าชักลงตรงนั้นก่อนนะ จะจับที่ตรงข้างหน้าท้องก็ดูเหมือนจะถึงข้างหลัง จับข้างหลังก็ดูเหมือนถึงหน้าท้องแล้ว คิดดูซิว่า มันติดหมดเลยเนี่ย เราจะทำได้อย่างนั้นมั้ย  ทำไม่ได้ และยังไม่ควรทำด้วยเพราะเป็นการสุดโต่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สุดโต่ง ท่านไม่สุดโต่ง เพราะว่าท่านทำได้ ทำแล้วไม่ตาย เราทำถ้าไปทำอย่างนั้นตายเข็ดด้วย เข็ดหลาบเลย และไม่อยากจะประพฤติธรรมต่อไป

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อาการที่ประพฤติที่สุดโต่งเนี่ยเป็นภัย เป็นภัยต่อผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น บารมียังไม่ถึงอย่าทำ เพราะฉะนั้น คุณไสวบอก อาตมาสุดโต่ง โอ้ว  ดูซิ รองเท้าก็ไม่ใส่..ไปกินทำไมมื้อเดียว.. เขาบอกว่า ไปทำอะไรสุดโต่งมัน จะไปสุดโต่งอย่างไรเราก็ยังทำได้เลย เขาก็เห็นสุดโต่งเพราะเขายังทำไม่ได้ แต่อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร อาตมาทำได้อาตมาก็ไปของอาตมาสบายๆ เขาก็เห็นว่าสุดโต่งอยู่ดี แต่เพียงว่าอาตมาเอง อาตมาเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำที่สุดโต่ง แหม ไปนั่งอดข้าวถึงขนาดนั้น หนังติด แขม่วแล้ว แหม นั่งทรมานกาย จนมือลูบนี้ขนหลุดติดมือมาเลย อาตมาก็เห็นว่ามันสุดโต่ง อาตมาไม่ทำหรอก แล้วอาตมาไม่ทำเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าได้สอนไว้แล้ว อาตมารู้จากพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าถ้าไปนั่งทำอย่างท่านนี้สุดโต่งนะ อาตมาก็เชื่อท่าน อาตมาก็ไม่ทำ

อาตมาก็ทำมัชฌิมาปฏิปทา ขณะนี้อาตมาไม่ใส่รองเท้าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันมื้อเดียวมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันข้าวเปล่าๆ กินผักได้สบายๆ เป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาสบายไม่เดือดร้อนและในสิ่งที่ควรจะสูงขึ้นอาตมาก็รู้ และอ่านให้มันชัดแล้วก็บำเพ็ญ ต่อไปเรื่อยๆ ตามลำดับไม่แปลกอะไรเลย

แต่จะให้อาตมาไปนั่งป่าแล้วก็ทำเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านทำแล้วนั้นอาตมาก็บอกแล้วว่า อาตมายังไม่ถึงขั้นจะเป็นพระพุทธเจ้า และชาตินี้ให้ต่ออีกสักกี่ชาติ ไอ้ชาตินี้ จนกระทั่งบำเพ็ญให้หนักที่สุดเท่าไหร่อาตมาก็ไม่สูง และอาตมาก็ยังไม่ทำเพราะเป็นภาวะสุดโต่ง อาตมารู้ได้เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านครอบเอาไว้แล้ว ก็อาตมาเชื่ออย่างยิ่ง มีศรัทธาในท่านอย่างสูงสุด อาตมาถึงไม่ทำ

เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจระดับขั้นให้ได้ ถ้าไม่เข้าใจระดับขั้น เราจะไปมองคนเขาว่าสุดโต่ง เช่นเดียวกันกับคนที่เขาว่าอาตมามากที่ว่า แหม พระองค์นี้เคร่ง เดินก็เดินเอาอย่างนั้นแหละ กินก็กินอย่างนี้แหละ เคร่ง อาตมาไม่เคร่ง อาตมาเฉยๆ ไม่ได้เคร่งตรงไหนเลย มันไม่ได้เดือดร้อนตรงไหนเลย เพราะฉะนั้นอาการที่เคร่งก็หมายความว่า คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำไม่ได้     (40.28 น.) ….

 

ที่มา ที่ไป

การแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม 2514


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2567 ( 18:23:17 )

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

รายละเอียด

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

ต่อจากนี้ไป เป็นการแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม  2514

พ่อครูว่า... จะพูดสู่กันฟังโดยภาษาตรงๆ ของอาตมาคนเดียว แต่ว่าจะเอาพระสูตรมาอ่านเลยทีเดียว เอาออกมาจากพระไตรปิฎกเลยทีเดียวมาอ่านแล้วก็ขยายความกันพอที่จะขยายได้ เท่าที่จะขยายได้ทำความเข้าใจกัน ที่จริง สุญญตานั้น เป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องตื้น เป็นเรื่องที่ลึก เป็นเรื่องที่ไกล แต่ว่าเราเองก็พูดกันมานักเพราะว่า แม้กระทั่งในที่นี้ เราก็ยังพูดกัน อย่าว่าแต่สุญญตาเลย แม้กระทั่งการตายของพระอรหันต์ตายอย่างไรอย่างไรเราก็พูดกันไปจนถึงขนาดนั้น ก็เรียกได้ว่ามันสูงเกินขนาดแล้วล่ะมันสูงก็สูงกันไปพูดสูงบ้างต่ำบ้างคละเคล้ากันไป

แต่ว่า ไอ้ที่จะสูงหรือจะต่ำอะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากว่า เราเองเราจะสมมุติเอา หรือว่าจะยึดถือเอาว่าไอ้นี่สูงไอ้นี่ต่ำ หยาบหรือละเอียด เราจะดำเนินจากละเอียดมาหาหยาบก็ได้ ดำเนินจากหยาบหาละเอียดก็ได้ มันได้ทั้ง 2 ส่วน 2 ด้าน แต่ว่าโดยถูกโดยต้องแล้ว มันก็ควรจะเป็นจากหยาบไปหาละเอียด จะทำจากละเอียดมาหาหยาบมันก็ได้ แต่ว่ามันนานมันใช้เวลานาน

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเองท่านไม่พยายามให้พาทำอย่างที่ท่านได้เคยตรัสเอาไว้แล้วในเรื่องปฏิปทา 4  ซึ่งบางอย่างก็ปฏิบัติได้ เรียกว่าสะดวก แต่ว่านาน

บางอย่าง สะดวกแต่เร็วด้วย อย่างนี้เป็นต้น แต่ส่วนอีกบางอย่างนั้นทั้งยากทั้งนานหรือว่ายากแต่เร็วก็ดี ซึ่งเหล่านั้นเราก็แยกแยะให้ออกตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้แยกแยะให้ฟังแล้ว เราก็เลือกให้เป็น พยายามจัดให้ถูก ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้ ปฏิบัติละเอียดมาหาหยาบก็ได้ แต่ควรจะปฏิบัติหยาบไปหาละเอียด

พระสูตรที่อาตมาจะอ่านนี้ หรือว่าจะเอามาเล่าสู่กันฟังนี้คือ จูฬสุญญตสูตร

จูฬสุญญตานั่นเอง  จูฬสุญญตสูตร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อ 333 ที่อาตมาได้พระไตรปิฎกมาแล้ว ยังไม่มีเวลาได้อ่านเลย แต่ว่าเปิดตรงไหน ๆ ก็รู้สึกว่าดีทั้งนั้นเลย เปิดเจอตรงไหนอ่านเอาไว้แล้วก็มาร์คเอาไว้แล้วก็เล่าสู่กันฟัง

จริงๆ สุญญตะนี้ อาตมาก็เคยพูดกันมาแล้วตั้งหลายทีแล้ว แม้แต่สุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร เราก็เคยได้อธิบายถึงขนาดนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว ขั้นที่เรามาพูดสู่กันฟังนี้เป็นขั้นอาริยะนะ ที่พูดกันถึงสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร หรือแม้จะพูดถึง  อนิมิตตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน จนกะทั่งถึงสุญญตนิพพานมันเป็นที่ของพระอาริยะที่รู้อารมณ์ของนิพพาน รู้อารมณ์ของสุญญตาได้แล้ว แล้วก็มาพูดกัน ไม่ใช่ของต่ำๆ นะที่เราพูดกันอยู่นี่

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าแหม! ฟังๆ ดูแล้วก็ออกหมั่นไส้ เราเองพูดก็ออกหมั่นไส้ตัวเองเหมือนกันนะ แหม..เอาเรื่องที่มันไม่น่าพูดมาพูด ที่จริงมันเป็นเรื่องของสิ่งที่จะรู้ได้โดยสภาวะ ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดเอาเท่านั้น เพราะฉะนั้นพูดให้ฟังก็ฟังกันไปได้เฉยๆ ฟังกันไปได้เฉยๆ สำหรับผู้ที่ลูบคลำนิพพาน ลูบคลำสุญญตาจริง ๆ แท้ ๆ ได้ฟังจะ   อ๋อ.. หรือว่าจะเข้าใจ หรือว่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ลูบคลำแม้อารมณ์นิพพานเป็นยังไง อารมณ์สุญญตาเป็นยังไงจริงๆ รู้แต่สภาวะตัวหนังสือที่บรรยายออกมาเป็นบัญญัติเป็นภาษา เป็นนิรุตติเป็นคำพูดคำท่องคำอ่านอะไรก็ตามแต่ เราก็จะยึดแต่เพียงเหตุผลของภาษา เหตุผลของคำพูดนั้นๆ ที่มันมีเป็นเหตุเป็นผล คล้องจองกันไปเท่านั้นเอง มันก็ไม่ซาบซึ้งถึงขีดถึงขั้นอะไร ฟังๆ ไปจำได้ก็ดี ถ้าจำไม่ได้เลิกกันเลย หมายความว่าไม่ได้เรื่องอะไรที่ฟังไป ถ้าจำได้ก็ยังดียังติดไว้ในสมอง

แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจเจอสภาพหรือสภาวะของนิพพานจริงๆ เจอสภาวะของสุญญตาจริงๆ แล้ว เป็นสภาวะเป็นสิ่งที่มันเกิดในจิตในใจจริงๆ ผู้เจออันนั้นแล้วพออธิบายให้ฟัง ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำว่าจำเลย มันซึ้งทันที ไม่ต้องจำไม่ต้องจด เรียกว่า เข้าใจอย่างซาบซึ้งเลย จะไม่ลืมอีกเลย ยิ่งซาบซึ้งมาก ยิ่งมีสภาวะมากยิ่งซาบซึ้งมาก แล้วยิ่งจะจำติดใจไปเลย ไม่มีถอดถอน นี่แหละเรียกว่าสภาวะกับ ของ ๆ จริงมันมาสัมพันธ์กันเข้ามันจะดูดจะติดเลยพอมีสภาวะ พอกล่าวชื่อมันปั๊บ มันดูดจนติดเลย แต่ถ้าเราไม่มีสภาวะกล่าวชื่อมันก็มีแต่ชื่อ ถ้าเราไม่มีชื่อมีแต่สภาวะมันก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน มันก็มีแต่ตัวตน เป็นประโยชน์ตนเท่านั้น ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเอาชื่อมาพูดด้วยเป็นสภาวะด้วย แล้วเราก็เป็นประโยชน์ที่เอาสภาวะนั้นมาอธิบายหรือมากล่าวชื่อกล่าวนามให้คนอื่นเค้าฟังได้ด้วย มันก็เป็นประโยชน์ 2 ส่วน เป็นประโยชน์ขึ้นไปเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ หรือผู้ที่มีสภาวะแล้ว มีอรรถะแล้ว มีธรรมะแล้วในตัว ก็มาเรียนรู้นิรุตติคือมาเรียนรู้ภาษาให้มันประกอบกัน เมื่อประกอบกันแล้วก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ 2 3 4 ขึ้นไปแล้วก็เอามาพูดสู่กันฟัง

เอาลองมาฟัง จูฬสุญญตสูตร ดูซิ https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=4714&Z=4845 จูฬสุญญตสูตร

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา มิคารมารดา ในพระวิหาระบุพพาราม เขตนครสาวัตถี เนี่ยก็เป็นวิหารของนางวิสาขาสร้างเองวิหารบุพพารามเนี่ย  ซึ่งมีโลหะปราสาทเป็นเอกอยู่ในวัดนั้น ซึ่งโลหะปราสาทนั้นมีตั้ง 1,000 ห้อง คิดดูซิว่าความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้นกับความเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย เดี๋ยวนี้มันต่างกัน เดี๋ยวนี้มีมั๊ยอาคารที่ไหนมีห้องถึง 1,000 ห้อง ดุสิตธานีที่ว่าเก่งที่สุดเดี๋ยวนี้นะมีถึง1,000 ห้องไหม มีแค่ 500 ห้อง

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าความเจริญของประเทศไทยเดี๋ยวนี้อย่าอวดดีเลยว่า เจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีทางเลย ไม่มีทางเจริญเท่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย แต่เราก็อวดดีว่า เราเจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปว่าสมัยโน้นคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรต่ออะไร มีการงมงายอะไรมีอะไรต่ออะไรไม่จริงเลย ที่จริงฉลาดกว่าเราเยอะแยะ แต่เราไม่รู้ว่าความฉลาดนั้นคืออะไร แต่ว่าถ้าไปพูดถึงว่าความฉลาดทางโลก จริง เดี๋ยวนี้เราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เพราะอะไร โลกคืออะไร โลกหรือโลกีย์คือกิเลส คือกาม เพราะฉะนั้นบอกว่าเราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยโน้น จริง อาตมาไม่เถียงเลย เพราะเรามีกิเลสกามหรือกิเลสโลกียะมากกว่าสมัยโน้น อันนี้ไม่เถียง แต่ความเจริญทางโลกุตระสิ สมัยพระพุทธเจ้าเจริญกว่ามากกว่ามาก นี่แหละต้องทำความเข้าใจ

แม้พระสูตรที่ท่านตรัสเอาไว้ คำกล่าวต่างๆ นานา เราต้องมาวิจัยให้ออกว่า มันมีเหตุผลที่จะฟ้อง ที่จะแสดงอะไรต่ออะไรให้เราเข้าใจได้ด้วย เช่นว่า วิหารบุพพารามซึ่งมีโลหะปราสาทถึง  1,000 ห้อง มันก็แสดงผลให้เราเข้าใจได้ว่า ความเจริญสมัยโน้นยิ่งกว่าสมัยนี้

 [333] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากสถานที่หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

 นี่เป็นสำนวนของท่านบาลี ไปที่ไหนแล้วก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นี่เป็นภาษาบาลีก็หมายความว่า ไปถึงแล้วก็หาที่นั่งที่เหมาะๆ ควรๆ สำนวนนี้เข้าใจให้ได้ แล้วก็มี

เสมอๆ แปลทีไรก็จะมีอย่างนี้เป็นสำนวนพระสูตร ในสำนวนพระไตรปิฎก

พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อ นครกะ ในสักกชนบท ณ ที่นั้น ข้าพระองค์ได้สดับได้รับคำ ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า

ดูกร อานนท์ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ฟังดีๆ นะเริ่มต้นแล้วนะ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม มีชื่อเลย สุญญตวิหาร หรือ สุญญตวิหารธรรม  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว จึงจำไว้ดีแล้วหรือ  ไอ้ที่แล้ว ๆ แล้ว ๆ น่ะ นี่ยังไม่แน่ใจนะ ยังกำชับ เรียกว่า ยังทูลถามพระพุทธองค์ต่อไปอีกว่า ดีแล้วน่ะ ดีแล้วหรือ เพราะฉะนั้น คล้ายๆ ยังคลางแคลงตัวเองอยู่ว่าพระอานนท์คลางแคลงตัวเอง ว่าตัวเองเนี่ยจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ดีแล้วทุกอย่างแล้วหรือ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรอานนท์ แน่นอนนั่นเธอสดับดีแล้ว สดับนี่หมายความว่าฟังนะ เอาแค่ฟังนะ สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว แล้วก็รับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้วเอามาคิด ทบทวน กำหนดสัญญาลงไปในใจ ใส่ใจ จงจำไว้ดีแล้ว ผนึกลงไปเลยสัญญามันมีกำหนด กำหนดแล้วก็ฝังจำ ทรงจำไว้ดีแล้ว ท่านยังไม่ได้บอกเลยท่านยังไม่ได้บอกมากกว่านี้เลย ฟังให้ดีนะ อานนท์ แน่นอน เธอนั้นสดับมาดีแล้ว ฟัง รับมาดีแล้ว คือรับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้ว เอามาคิดดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว แล้วก็จำ ผนึกลงไว้ในใจ  ฟังให้ดีนะ มีอยู่แค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าอานนท์ไม่ได้รับอะไร ไว้เลย แต่รับไว้ เพราะแน่นอนพระพุทธเจ้าท่านขยักเอาไว้นิดนึงเท่านั้นเอง ถ้าพระอานนท์เข้าใจสุญญตวิหารธรรมนี้ได้ดีซาบซึ้งแล้ว พระอานนท์ย่อมเป็นอรหันต์ ย่อมเกิดปัญญาวิมุติ แต่นี่พระอานนท์ยังไม่วิมุติยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้แค่นี้ ก็ได้แค่ ได้สัญญาจำไว้เท่านั้น ยังไม่ดีไปกว่านี้

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ทำไมอาตมาอธิบายตอนนั้นว่า พระอานนท์ได้แค่จำได้แค่รู้เฉยๆ แต่ยังไม่แจ้ง ยังไม่สว่างถึงที่ ก็เพราะเหตุว่า ถ้าแจ้งถ้าสว่างถึงที่แล้ว พระพุทธเจ้าจะไม่ต้องอธิบายต่อ เท่านี้เองเคล็ด พระพุทธเจ้าก็ไม่อธิบายต่อเพราะคนรู้แล้วจะไปอธิบายให้เสียเวลาทำไม แต่ที่นี้พระพุทธเจ้าอธิบายต่อแสดงว่า คนขอร้องว่าพระพุทธเจ้าจะต้องสอนต่อไปอีก ท่านก็ต้องสอนให้ฟัง

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ อย่าลืมนะเราขึ้นต้นด้วยว่าขณะนี้เราอยู่ที่ปราสาทนี้ ปราสาทของนางวิสาขา  นางวิสาขานี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า มิคารมารดา คือพ่อผัวของนางวิสาขาชื่อมิคาระ แล้วมิคาระนี้เกิดเลื่อมใสยกตำแหน่งวิสาขาให้เป็นแม่ จึงเรียกว่าเป็นแม่ของมิคาระดังนี้ เพราะฉะนั้น ชื่อหนึ่ง หรือสมญานามอีกชื่อหนึ่งของนางวิสาขาคือ มิคารมารดา ขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในโลหะปราสาทอันนี้ พระพุทธองค์กำลังเปรียบเทียบอยู่

เปรียบเหมือนปราสาทของนางมิคารมารดาหลังนี้ ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา ว่างเปล่าจากทองและเงิน ว่างเปล่าจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ เหมือนกันเลยกับที่อาตมาเคยเปรียบเทียบที่นี่ว่า ที่นี่ว่างเปล่าจากช้าง แต่ไม่ได้ว่างเปล่าจากคน ซึ่งอาตมาเคยยกตัวอย่างสุญญตาตั้งแต่ก่อนโน้น ตั้งแต่ยังไม่เคยได้พระไตรปิฎกมานี่พอดีได้มาอ่านพระไตรปิฎกเข้าเจอ อ่านเหมือนกันเลย ก็เลยว่าดีเหมือนกัน ว่างจากสิ่งเหล่านั้นคือว่างจากช้าง จากโค จากม้า จากลา จากทองและเงิน ท่านอธิบายเยอะแยะ ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษคือไม่มีทั้งสตรีและบุรุษ

แต่ดูให้ดีนะ ฟังให้ดี มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น ฟังให้ดี แต่มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียวคือ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น คำอธิบายอันนี้ของพระพุทธองค์นี่ ละเอียดกว่าที่อาตมาได้เคยยกตัวอย่างว่า ที่นี่ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน ละเอียดตรงไหนละเอียดตรงที่ว่า ของท่านนอกจากไม่ว่างจากช้างแล้วก็ไม่ว่างจากม้า ว่างจากโค ว่างจากลา แล้วก็ว่างจากบุรุษและสตรีด้วย แต่ไม่ว่างอยู่อย่างเดียว ของท่านเหลืออย่างเดียวคือไม่ว่างจากพระสงฆ์ ฟังให้ดี นอกนั้นว่างหมดแต่ไม่ว่างอยู่แต่พระสงฆ์

แต่ที่อาตมายกตัวอย่าง คราวก่อนนั้น ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน และไม่ว่างจากม้านั่ง ไม่ว่างจากต้นอโศก สุดท้าย ว่างจากช้างว่างจากม้า ว่างจากคนนั้นหมายความว่า ตัดกิเลสทั้งหมดออกไป ว่างจากอะไรต่ออะไรต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นกิเลสเป็นเครื่องรบกวน เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกว่าสิ่งที่รบกวนทั้งหลายแหล่หายออกไปหมด แต่มันยังมีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่

เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าว่างจากช้าง โค ม้า ลา จากเงิน จากทอง แม้กระทั่งชุมนุมสตรีบุรุษอะไรต่างๆ ว่างหมด มีไม่ว่างอยู่คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์ แสดงว่าสิ่งที่จะให้ดูมีอย่างเดียวเท่านั้นเอง อย่างเดียวเท่านั้นที่ยึดถืออยู่  นี่แหละ ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่า จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้านและชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย ไอ้ที่ว่าป่า ไอ้ที่ว่าบ้าน ไอ้ที่ว่ามนุษย์อะไรต่ออะไร รวมลงไปหมดเลย รวมลงไปหมดเป็นสิ่งเดียว ใส่ใจแต่สิ่งเดียว

นี่พระพุทธเจ้าบอกท่านรวมลงไปให้ไม่ใส่ใจในสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า ป่า รวมลงไปหมด จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่นและนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่า ป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน ไม่แบ่งไม่แยกน่ะ  และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ฟังให้ดีนะท่านจึง บอกว่ามีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ยังมีความกระวนกระวายนะ ยังมี  มีภาวะเดียวด้วยเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น คืออันหนึ่งที่เรายึดอยู่

ก็ขออธิบายนิดนึงซะก่อน ก่อนจะต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะยึดอะไร รวมลงมาเป็นหนึ่ง เราก็ต้องว่างจากสิ่งอื่นหมด เราไม่แจง ซึ่งสมมติว่าอยู่ในบริเวณนี้ ขณะนี้ มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย ถ้าจะเราจะแบ่งแยกว่า นี่คน นี่ต้นอโศก นี่ไมโครโฟน นี่ขวดน้ำ มีแก้วอะไรต่ออะไรแยกแยะไปหมดเลยตามสมมุติโลก โลกเขาสมมุติว่าอันนี้ขวดอันนี้คน อันนี้ต้นไม้ นี้ม้านั่ง อันนี้เก้าอี้ อันนี้ว่าถ้วย ว่าชาม ต่างๆ นาๆ สมมุติโลกทั้งสิ้น  ถ้าเราไปแยกแยะจิตของเราให้ไปตามรู้พวกนี้ พวกนี้นะ เราก็จะมีการแบ่งแยกออกไปหมดเลยไม่รวมลงเป็นหนึ่ง

เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะรวมลงเป็นหนึ่ง เราต้องเห็นสิ่งพวกนี้ว่าคือสมมุติโลก ที่มันพึงเกิดพึงเป็นตามเหตุของโลก ถ้าใครที่บอกว่าไอ้นี่มีค่าเพราะมันเป็นขวด ถ้าใครเอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ ไอ้นี่เป็นเพชร แล้วก็เดือดร้อนแล้วไม่อเนญชาแล้วชักหวั่นไหวในเพชรว่า เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้นี่ ชักไม่ค่อยดี ใครเอาแบงค์ร้อยมาวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะนี้ ชักหวั่นไหวแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว  เกิดจะมี อกุศลจิต หรือ กุศลจิต เกิดขึ้นซะแล้ว คนนึกดี ก็บอกว่า เฮ้ยของใครนี่เก็บสิ ไอ้คนที่มันนึกไม่ดีมีอกุศลจิตก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ต้องไปบอกเค้าเก็บแล้ว เผลอ ๆ เราค่อยไปหยิบ มันก็เป็นได้ เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่นิ่งแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว ชักหวั่นไหวซะแล้ว แล้วก็จะได้รับความกระทบกระเทือนเฟื่องฟูออกมา คิดไปในทางต่ำหรือทางสูงได้ คิดไปได้

แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่สำคัญมั่นหมายมันเลย ไม่ไปตีค่าอะไรมันเลย เงินก็เงินสิ แบงค์แดงๆ กองอยู่บนโต๊ะก็เฉย เพชรวางอยู่บนนี้ก็เฉย แก้วน้ำขวดน้ำก็เฉย เหมือนกันกับแก้วน้ำวางอยู่  เพชรเม็ดนึงก็เหมือนกับแก้วน้ำวางอยู่เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร เห็นแล้วก็เฉย มีเงินมีทองอยู่ในนี้ล้านนึง ก็เหมือนกับเห็นกาน้ำใบนี้วางอยู่บนนี้ ไม่ไปสำคัญมั่นหมายอะไรด้วย ไม่ไปกำหนดไม่ไปสมมุติด้วย ใครจะสมมุติว่าเพชรมีค่า เงินมีค่า ไม่สมมุติด้วย ใครจะสมมติว่าแก้วมีค่าหรือน้อยค่ากว่าเพชร น้อยค่ากว่าเงินก็ไม่สมมุติด้วย เห็นอยู่อย่างนี้ สักแต่ว่าเป็นสภาวะเดียว เฉยๆ อยู่ ไม่ไปแยกไม่ไปสมมุติอะไรด้วยเลย รู้แต่ว่าเราอยู่ ณ ที่นี้ที่หนึ่งที่เดียว แล้วก็สำคัญที่เราอยู่ไม่ไปสมมุติอะไรเพิ่มขึ้นเลย นี่คือคำอธิบายของพระพุทธองค์ที่หมายถึงเมื่อตะกี้นี้  

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน มีคำอธิบายเหมือนกับที่อาตมาอธิบายแล้วอาตมายังไม่ได้อ่านต่อ เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น นี่ท่านแยกแยะแค่บ้านกับมนุษย์ อาตมาแยกแยะมากไปอีกจนกระทั่งถึงเพชรถึงเงินให้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกัน แล้วเราก็สัญญาแล้วก็เป็นแต่เพียงกำหนดลงไปแต่เพียงว่า ไอ้นี่คือสภาวะหนึ่ง อยู่ในแดนหนึ่ง อยู่ในโลกๆ หนึ่ง มีความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีสิ่งพวกนี้ๆ อยู่ เท่าไหร่ๆ ก็ตามแต่ มีคนอยู่ มีต้นไม้อยู่ มีเพชรอยู่ มีขวดอยู่ หรือสมมุติจนกระทั่งแม้เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ เอาแบงค์ร้อยมากองไว้บนโต๊ะนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีความหวั่นไหว เราไม่มีความไปสมมุติอะไรตามเดิม สมมุติแต่เพียงว่า อย่างเดียวแต่ว่า เรายืนอยู่ในโลกนี้ว่างว่างเฉยๆ อยู่นั่งอยู่ที่นี่ว่างๆ เฉยๆ คนอื่นหวั่นไหวตาม เขาเห็นว่าของเหล่านี้มีอะไรแปลกแตกต่างกันไป แต่เราไม่แปลกเราเฉยๆ เป็นอาการอย่างนั้น

และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียว คือเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย ท่านให้พิจารณาสิ่งที่เราไปยึดถือสิ่งที่เรายังไปยอมสมมุติอยู่ในนั้นด้วย แล้วสัญญาเหล่านั้นอย่าไปยึดถือ จงเห็นว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นด้วย หมายความว่าจงเห็นให้ได้ว่า มันมีอยู่ก็ช่างมันปะไรเราไม่มีเราไม่เกี่ยวข้อง มันจะเป็นของเราเปล่า ๆ หรือของใครก็ไม่เกี่ยวไม่แตะต้อง ความหมายอย่างนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย จะเป็นของเราหรือของใครก็ไม่เกี่ยว มีอยู่ก็พยายาม เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น

หมายความว่าเห็นความว่างนั้นเป็นว่างจริงๆ แม้จะมีสิ่งที่มีอยู่สิ่งที่ไม่มีอยู่ ก็เหมือนกับมีสิ่งที่ไม่มีอยู่เท่านั้นเองฟังให้ดีนะ เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ เงินมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เพชรมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี คนมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เหมือนกับสิ่งไม่มีอยู่ในสัญญาคือในความรู้สึกเท่านั้นเอง ท่านหมายความเอาอย่างนี้

และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี และให้รู้ด้วยนอกจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดลงไปอีกด้วยว่า ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เงิน ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า ขวด ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่เขาเรียกว่า คน นี่โลกเขาเรียกว่าต้นอโศก ให้รู้ชัดอย่างนั้นให้ได้ด้วย แต่สำหรับเราไม่เกี่ยวแล้วโลกนี้จะมีขวดนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีต้นอโศกนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีเพชรนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเงินแบงค์ร้อยกองอยู่บนโต๊ะนี้ก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ไม่แปลก มีความหมายของท่านอย่างนั้น

ดูกร อานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ผู้ใดที่พิจารณาอย่างนี้ อย่างที่อาตมาว่ามาแล้วนี่ ก็เป็นการอยู่ในหรือว่าก็เป็นการก้าวลงสู่สุญญตวิหาร หรือ ก้าว ลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ท่านยืนยันว่านี่แหละคืออาการของการทำสุญญตวิหาร

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดจะถึงสุญญตวิหารได้ ก็ต้องพยายามให้มันหลุดพ้นคือเรียกว่ารู้ให้ได้ก่อนแล้วทิ้งให้ได้ด้วยเรียกว่าสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์หมายความว่ารู้ความพ้น สุญญตวิมุติ หมายความว่า หลุดออกไปเลย รู้ วิโมกข์

โมกขะ หมายความว่าความรู้ ความรู้ในการหลุดพ้นนั้นด้วย โมกขะ โมกขธรรมนี้ คือความรู้ในการที่จะหลุดพ้นอันนั้น ถ้าใครรู้ในสุญญตวิโมกข์ได้แล้ว ก็ทิ้งให้ได้ๆ ทิ้งสิ่งที่ควรทิ้ง

อย่างเมื่อกี้นี้ เรารู้ให้ได้ว่าไอ้นี่มันเป็นสมมุตินะ เพชรที่วางอยู่บนนี้ก็เป็นสมมุติ แบงค์ร้อยถ้าเอามากระจายอยู่บนโต๊ะนี้ก็เป็นสมมุติ ขวดนี้ก็เป็นสมมุติ คนนี่ก็เป็นสมมุติ เพชรนี่ก็เป็นสมมุติ ต้นอโศกนี่ก็เป็นสมมุติ รู้ให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติ เมื่อรู้ได้แจ้งแท้ในใจแล้วถึงจะถึงสุญญตวิโมกข์ ถ้ารู้ยังไม่ได้ไม่ใช่สุญญตวิโมกข์

นอกจากรู้ว่าเป็นสมมุติแล้ว ใจเราอย่าไปยึดถืออย่าไปนำพาด้วย ให้รู้มันเป็นจริงให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติจริงๆ แต่โลกเขาเองเขายึดถือ โลกเขายึดถือแบงค์ แหม ใครได้แบงค์ดี โลกเขายึดถือเพชร ใครได้เพชรมาแหม ฮ้อ โลกเขายึดถือนี่ เค้าเรียกว่าคน ถ้ามีผู้หญิงก็ผู้หญิง นี่ผู้ชายแตกต่างกันเขายึดถือไปหมดเลย มีความแตกต่าง มีการเทียบค่า มีการสร้างค่า สร้างไอ้นี่ต่ำ ไอ้นี่สูง ไอ้นี่จะต้องบวกไอ้นี้ ไอ้นี่จะต้องลบไอ้นี่ ตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้อย่างนี้ได้แล้วด้วย แล้วเราก็วางให้ได้ จึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ รู้แล้ววางให้ได้เราจึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ เมื่อสุญญตวิมุติลงไปได้แล้วด้วย ผู้นั้นรู้แล้ว แล้วก็วางได้ด้วยสุญญตวิโมกข์รู้ แล้วสุญญตวิมุติก็วางได้ เมื่อรู้ด้วย วางได้ด้วย ก็อยู่ในสุญญตวิหาร เรียกว่าเป็นผู้มีสุญญตานั่นแหละเป็นเครื่องอยู่   เป็นเครื่องที่อยู่ในตนสบายเปล่าว่างดายไม่ยึดถือ เห็นสักแต่ว่าเห็นรู้สักแต่ว่ารู้ แต่เหมือนกับไม่มีเหมือนกับไม่รู้ เหมือนไม่มีเหมือนไม่รู้

นี่ภาษาพูดนะ แต่ที่นี้ถ้าใครมีอารมณ์รู้ว่าสุญญตะเป็นอย่างนั้นๆ เข้าใจอย่างนั้นเข้าใจ ซึ้งเลย ไม่ต้องไปพูดอะไรกันมากอะ ฟังเดี๋ยวนี้แค่นี้ก็จำได้ตลอดกาล เห็นเดี๋ยวนี้จำได้เดี๋ยวนี้ไปเลย ไม่ต้องไปท่องด้วย ทันที แต่คนไหนที่ยังไม่รู้เรื่องก็มานั่งท่องแล้ว ไอ้นี่สุญญตวิโมกข์มันแตกต่างกับสูญญตวิมุติอย่างไร ท่องเป็นระดับๆ ไป อะไรต่ออะไรไป

นี่ท่านอธิบายละเอี๊ยดละเอียด แต่ภาษาของท่าน พระพุทธเจ้าท่านอธิบายให้สงฆ์ฟังแค่นี้นะ ท่านเข้าใจกันแล้วเพราะมันไม่มีเรื่องมาก เพชรมันก็ไม่มี แบงค์มันก็ไม่มีมากมายถึงเดี๋ยวนี้ที่เป็นจิตสมมุติกันมากมายถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ติดสมมุติกัน โอ้โห เพชรพลอยแบงค์ร้อย มันเป็นเจ้าเป็นนายเลยมีอำนาจเหนือหัวคนเหลือเกินเดี๋ยวนี้ มันมีอำนาจเหนือหัวคนจริงๆ คนนี่ โอ้โฮ
ซูฮกมันเหลือขนาดเลย มันจึง ลำบ๊ากลำบาก ต้องอธิบายเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้เห็นเป็นสมมุติให้ได้ก็ไม่เชื่อ บอกเอามาหน่อยสักร้อย ไม่ได้หรอก แหม เอาไปได้ไงตั้ง 100 นึงอะ อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่ามันยึดอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่รู้จักวาง มันไม่มีค่าอะไร ถ้าเราไม่ไปไอ้นั่นมัน ไม่ไปสมมุติมัน ไม่ไปหลงติดมัน มันไม่มีค่าหรอก มันเป็นการสมมุติในโลกเท่านั้นเอง ให้เห็นว่าเราจำเป็นเหลือเกิน ขาดแบงค์ร้อยจะตาย ขาดเพชรจะตายให้ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเพชรแต่มีเงิน หาเงินยังไม่พอ ยังจะไปผ่อนส่งเอาเพชรมาไว้ในมือ เนี่ยเป็นอย่างนี้โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าผู้ชายไม่เท่าไหร่ พูดถึงเรื่องเพชรยังไม่ค่อยเท่าไหร่ พวกผู้หญิง แหม ไม่มีเพชรอะไม่มี ต้องไปผ่อนส่งมาให้ได้ จะใส่ เงินไปให้เขายังไม่พอเลย จะต้องเป็นของสำคัญอย่างนั้นน่ะ

เห็นไหมไปยึดไปถือมันมากแล้วมันก็ทุกข์ ไปนั่งผ่อนส่งเขาแล้วมันก็ตะแง็กๆ ไม่ทุกข์หรือทุกข์ เป็นแต่เพียงเพื่อจะได้เพชรมาไว้ในมือ ถ้าเอาเพชรนั้นโยนทิ้งไปไก่มันยังไม่กินเลย มันไม่มีค่าอะไรกันนักกันหนาดูซิ โยนให้ไก่ ไก่ก็ยังไม่จิกไม่กินอะ สู้เม็ดข้าวเปลือกเม็ดนึงก็ยังไม่ได้ มันจะไปมีค่าอะไรกันนักกันหนา

พระว่า..สุญญตวิหารเป็นขณะนั้น

พ่อครูว่า... ถ้าผู้ปฏิบัติและผู้ที่รับแล้วก็แน่นอนก็ต้องเห็นว่า สุญญตวิหารเป็นของที่สูงที่สุด แต่ก่อนจะเป็นสุญญตวิหารได้มันต้องมีสุญญตวิโมกข์ แล้วมีสุญญตวิมุติเสียก่อน เมื่อมีสุญญตวิโมกข์ มีสุญญตวิมุติ แล้วมันก็เป็นสุญญตวิหาร มันก็ไม่มี มันก็เป็นแต่เพียง สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ตาไม่บอด ใจไม่หลับ ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น ฟังแล้วอาจจะงง ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างก็ไม่รู้ทุกอย่างก็ไม่เห็น

พระว่า...มันไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะ

พ่อครูว่า... สภาวะไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะไม่ใช่พูดแต่ภาษาพูดก็พูดให้ฟังแล้วบ้า ทุกอย่างรู้ ทุกอย่างเห็นแต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น นี่คือภาษาพูดที่มันบ้าๆ แต่สภาวะมันไม่บ้าหรอกมันรู้มันเห็นจริง แต่ไม่เอาด้วย มันก็เหมือนกับเราไม่รู้ เราไม่เห็น

เหมือนกันกับไก่ มันบอกเอาเพชรไปโยนให้มัน มันบอกว่ามันไม่รู้มันไม่เห็นด้วยมันบอกว่าไม่เห็นเข้าท่าอะไรเลย มันก็เหยียบไปเลยเหยียบเลย เอาแบงค์ร้อย ไปโยนให้มันเหรอ สู้เขาเปลือกเม็ดเดียวก็ไม่ได้มันไม่เอาด้วยเพราะมันไม่สมมุติด้วย แต่กระนั้นก็ดี ไก่มันก็ไปสมมุติไอ้ข้าวเปลือกนั่นแหละมีค่าสูง ถ้าไก่มันไม่ยึดติดข้าวเปลือกด้วยนะ ไก่มันก็สุญญตวิหารเหมือนกัน

ทีนี้ไก่มันก็ยังยึดติดสิ่งที่มันยังกินอยู่อย่างนึง และสิ่งที่มันยังเสพยังหลงอยู่อีกอย่างนึงเหมือนกัน แต่มันไม่มีปัญญาที่จะมาอธิบายสุญญตาให้มันฟังได้ มันไม่มีปัญญาแน่ คนนี้แหละมีปัญญาที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้นพยายามเข้า นอกจากจะไปรู้ด้วยการฟังแล้ว ต้องพยายามไปค้นหาสภาวะที่ว่านี้ให้เจอด้วย จะมาโมเมๆ เอาไม่ได้ จะค้นได้ยังไงค้นได้สิ ทำสิ บอกแล้วว่าอย่าติดสมมุติ ก็แบงค์ร้อยอยู่ในกระเป๋า ถ้าบอกว่าเราไม่ถือสมมุติด้วย อ้าววันนี้มีแบงค์ร้อย 5-6 ใบเอาไปทำทานให้หมดเลย ดูซิ ใจมันจะวิมุติลงไปได้ด้วยไหม เอ้ย เอ้ย เอ๊ยดี กระเป๋าเรามีตั้ง 500 บาท ตอนนี้วิมุติจาก 500 บาทไปแล้วนะ หลุดพ้นจาก 500 บาทแล้ว มีว่างเปล่ามีแต่กระเป๋าว่างเปล่า เงิน 500 บาทวิมุติไปแล้ว

ลองทำดูซิแล้วใจมันจะเป็นยังไง วัตถุวิมุติไปแล้ว 500 บาทเอาไปทำทานหมด หรือเอาไปทำประโยชน์ที่มันควรที่สุด เอาไปทำไปหมดแล้ว ไม่มีแบงค์ร้อย 5 ใบอยู่ในกระเป๋า แบงค์ 100 คือสุญญตะ ไม่มี แบงค์ร้อยคือว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีแบงค์ร้อยในกระเป๋า กระเป๋าจึงว่างเปล่าจากแบงค์ร้อย

แต่ทีนี้ เมื่อเวลานั้นแหละมาดูใจตัวเองซิเป็นยังไง ใจตัวเองเป็นยังไง ยังรอนๆ คิดถึงแบงค์ร้อย 5 ใบนั้นมั้ย ยังรอนๆไหม บางคนไม่รอนๆ ธรรมดานะ เจ็บปวดเอาด้วย แหม กว่าจะหามาได้ 500 กว่าจะออกไป เจ็บปวดเอาด้วย แต่คนไหนไม่เจ็บปวด แต่ยังรอนๆอยู่ คนนั้นก็ยังมีปฏิฆะ ถ้าใครไม่มีปฏิฆะ ก็หมายความว่าไม่รอนๆด้วยเลย เฉย ว่างเปล่า แต่ไปยึดอะไร ไปยึดว่าดีแล้วเราทำบุญได้ตั้ง 500 บาท เราได้บุญนั้นแล้วเป็นรูปเป็นร่าง วาดบุญไว้เป็นรูปเป็นร่างเลย ไม่รอนๆ หรอกแต่ดีใจกับบุญ ผู้ที่ยังมีอารมณ์ดีใจอย่างนั้นอยู่นั่นแหละจึงเรียกว่า พรหม เรียกว่า พรหม เรียกว่าเป็นผู้ยังมีอรูปอย่างนึง ที่สร้างไว้เป็นลมๆ เป็นลมลอยรูป แล้วก็ยังหลงดีใจกับอันนั้นอยู่ยังมีสิ่งที่ยึดถืออยู่

แต่ถ้าผู้นี้เงิน 500 บาทก็สุญญตะไปแล้ว หายไปแล้ว ไม่มีแล้วให้เขาไปหมดจริงๆ ทำประโยชน์ในโลกไปหมดแล้ว ใจก็ไม่รอนๆ บุญก็ไม่นึกถึง อะไรก็ไม่ยึดถือไม่นึกถึงอยู่ ใจก็ดับลงไม่มีคำว่าแบงค์ 500 เมื่อกี้นี้ก็ลืมไปสิ้นด้วย ไม่มีอะไรเลยในใจว่างเปล่าใจก็ว่างเปล่าแบงค์ร้อยก็หายไปจริงๆ ด้วย ผู้นั้นแหละจึงวิมุติทั้งสภาวะ วิมุติทั้งของจริงๆ และวิมุติทั้งใจด้วย นี่แหละอาการนี้เราจะทำ

เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่เคยเลยที่จะควักแม้แต่ 100 บาท 10 บาท 20 บาทให้คนอื่นไปดูซิ ไม่เคยมีทานเลยคิดดูซิ ว่าเราจะได้มั้ย เราจะเจอสภาวะมั้ย มันก็ได้แต่หลักการที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ แล้วก็คุยหลักการว่า ฉันรู้แล้ว เข้าใจได้ซาบซึ้งแล้ว ใครมาถามก็อธิบายให้ฟังฉับๆ เลย สบาย อย่างนี้แน่มากดี อย่างนี้แจ๋วเลย แต่ตัวเองเขามาขอแค่เงิน 5 บาท 10 บาทไม่ให้ แล้วมันจะวิมุติลงไปได้อย่างไรไม่ให้ มันวิมุติไม่ได้  

เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งของหวาน ของคาว ของอร่อยก็ยังอยากได้ ไอ้นี่เมียฉัน ไอ้นี่ลูกฉัน ไอ้นี่ข้าวของฉัน ไอ้นี่รถฉัน ไอ้นี่ฐานะฉัน แหม ไอ้นี่สรรเสริญของฉัน เขาบอกว่าฉันเป็นอาจารย์ ยังยึดแม้กระทั่งคำว่าอาจารย์ไว้อีก  หรือยกคำว่า แหมฉันเป็นรัฐมนตรีติดอยู่ที่รัฐมนตรีอีก มันก็ไม่มีวิมุตได้ มันก็ไปติดเป็นติ่ง ติ่งจากตรงนี้ ละจากตรงนี้ได้ ก็ไปติ่งตรงนี้ ตรงนี้ มันจะหลุดได้จริงๆ ต้องตัดอกตัดใจแล้วก็ต้องกระทำในวาระนั้น สิ่งนั้นลองดูจริงๆ ถ้าไม่ได้ลองแล้วไม่รู้

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ลองไปนั่งแม้กระทั่ง โอ้โห บำเพ็ญทุกขกิริยา จับนิดนึงพอจะลูบหนังขนก็ติดมือขึ้นมาอย่างท่านที่อธิบายไว้นะ ถ้าท่านไม่ไปลองอย่างนั้นท่านก็ไม่รู้หรอกว่า สภาวะสุดโต่งอีกอย่างหนึ่งมันถึงขนาดไหน แล้วท่านก็ท้าด้วยว่า จะไม่มีใครมาทำได้อุกฤษฏ์อย่างท่านอีกแล้ว เรียกว่าท่านทำอุกฤษฏ์กว่าใคร ๆ ที่ทำมาแล้ว เขาบำเพ็ญตนทรมานตนมาถึงขนาดไหน ท่านบอกว่าท่านได้ทำมาหมด ทำมาจนกระทั่งอุกฤษฏ์ถึงขั้นสุดที่แล้ว ท่านถึงได้เอามาอธิบายให้กันฟังได้ สู่กันฟังได้ว่า โอ้โห ป่วยการไปนั่งทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเกินขอบเขต ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ไม่จำเป็น

แต่ทำไมท่านต้องทำ ที่ท่านต้องทำก็เพราะเหตุว่าท่านจะต้องวัด ท่านจะต้องวัด วัดวา ให้รู้ความสุดโต่งของทางนี้ และทางนี้ให้รู้หมดเลยเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามพวกเราได้เท่านั้นเอง และเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามของพวกลัทธิอื่นๆ ที่เขาไปสุดโต่งสายไหนก็ไม่รู้ ให้มันรู้ชัดรู้แจ้ง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นที่สุดที่ท่านจะต้องวัดวาสิ่งเหล่านั้นให้รู้ ไปลูบไปคลำสิ่งเหล่านั้นให้รู้โดยแท้จริง  แต่เรายังไม่ได้ประพฤติบำเพ็ญตัวเป็นพระพุทธเจ้า อย่าไปทำอย่างท่าน อย่าไปทำอย่างท่าน ประเดี๋ยวตายๆ ก็เหมือนเราอดข้าว กินวันละเท่าปลายมือ แล้วก็ลดลง 5 เม็ด 10 เม็ด ไปจนกระทั่งกินเท่าเม็ดงา กินวันละเท่าเม็ดงา จนกระทั่งไม่กินเลย ไหวมั้ย อาตมาว่าชักลงตรงนั้นก่อนนะ จะจับที่ตรงข้างหน้าท้องก็ดูเหมือนจะถึงข้างหลัง จับข้างหลังก็ดูเหมือนถึงหน้าท้องแล้ว คิดดูซิว่า มันติดหมดเลยเนี่ย เราจะทำได้อย่างนั้นมั้ย  ทำไม่ได้ และยังไม่ควรทำด้วยเพราะเป็นการสุดโต่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สุดโต่ง ท่านไม่สุดโต่ง เพราะว่าท่านทำได้ ทำแล้วไม่ตาย เราทำถ้าไปทำอย่างนั้นตายเข็ดด้วย เข็ดหลาบเลย และไม่อยากจะประพฤติธรรมต่อไป

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อาการที่ประพฤติที่สุดโต่งเนี่ยเป็นภัย เป็นภัยต่อผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น บารมียังไม่ถึงอย่าทำ เพราะฉะนั้น คุณไสวบอก อาตมาสุดโต่ง โอ้ว  ดูซิ รองเท้าก็ไม่ใส่..ไปกินทำไมมื้อเดียว.. เขาบอกว่า ไปทำอะไรสุดโต่งมัน จะไปสุดโต่งอย่างไรเราก็ยังทำได้เลย เขาก็เห็นสุดโต่งเพราะเขายังทำไม่ได้ แต่อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร อาตมาทำได้อาตมาก็ไปของอาตมาสบายๆ เขาก็เห็นว่าสุดโต่งอยู่ดี แต่เพียงว่าอาตมาเอง อาตมาเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำที่สุดโต่ง แหม ไปนั่งอดข้าวถึงขนาดนั้น หนังติด แขม่วแล้ว แหม นั่งทรมานกาย จนมือลูบนี้ขนหลุดติดมือมาเลย อาตมาก็เห็นว่ามันสุดโต่ง อาตมาไม่ทำหรอก แล้วอาตมาไม่ทำเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าได้สอนไว้แล้ว อาตมารู้จากพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าถ้าไปนั่งทำอย่างท่านนี้สุดโต่งนะ อาตมาก็เชื่อท่าน อาตมาก็ไม่ทำ

อาตมาก็ทำมัชฌิมาปฏิปทา ขณะนี้อาตมาไม่ใส่รองเท้าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันมื้อเดียวมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันข้าวเปล่าๆ กินผักได้สบายๆ เป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาสบายไม่เดือดร้อนและในสิ่งที่ควรจะสูงขึ้นอาตมาก็รู้ และอ่านให้มันชัดแล้วก็บำเพ็ญ ต่อไปเรื่อยๆ ตามลำดับไม่แปลกอะไรเลย

แต่จะให้อาตมาไปนั่งป่าแล้วก็ทำเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านทำแล้วนั้นอาตมาก็บอกแล้วว่า อาตมายังไม่ถึงขั้นจะเป็นพระพุทธเจ้า และชาตินี้ให้ต่ออีกสักกี่ชาติ ไอ้ชาตินี้ จนกระทั่งบำเพ็ญให้หนักที่สุดเท่าไหร่อาตมาก็ไม่สูง และอาตมาก็ยังไม่ทำเพราะเป็นภาวะสุดโต่ง อาตมารู้ได้เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านครอบเอาไว้แล้ว ก็อาตมาเชื่ออย่างยิ่ง มีศรัทธาในท่านอย่างสูงสุด อาตมาถึงไม่ทำ

เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจระดับขั้นให้ได้ ถ้าไม่เข้าใจระดับขั้น เราจะไปมองคนเขาว่าสุดโต่ง เช่นเดียวกันกับคนที่เขาว่าอาตมามากที่ว่า แหม พระองค์นี้เคร่ง เดินก็เดินเอาอย่างนั้นแหละ กินก็กินอย่างนี้แหละ เคร่ง อาตมาไม่เคร่ง อาตมาเฉยๆ ไม่ได้เคร่งตรงไหนเลย มันไม่ได้เดือดร้อนตรงไหนเลย เพราะฉะนั้นอาการที่เคร่งก็หมายความว่า คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำไม่ได้     (40.28 น.) ….

 

ที่มา ที่ไป

การแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม 2514


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2567 ( 18:41:26 )

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

รายละเอียด

141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

ต่อจากนี้ไป เป็นการแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม  2514

พ่อครูว่า... จะพูดสู่กันฟังโดยภาษาตรงๆ ของอาตมาคนเดียว แต่ว่าจะเอาพระสูตรมาอ่านเลยทีเดียว เอาออกมาจากพระไตรปิฎกเลยทีเดียวมาอ่านแล้วก็ขยายความกันพอที่จะขยายได้ เท่าที่จะขยายได้ทำความเข้าใจกัน ที่จริง สุญญตานั้น เป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องตื้น เป็นเรื่องที่ลึก เป็นเรื่องที่ไกล แต่ว่าเราเองก็พูดกันมานักเพราะว่า แม้กระทั่งในที่นี้ เราก็ยังพูดกัน อย่าว่าแต่สุญญตาเลย แม้กระทั่งการตายของพระอรหันต์ตายอย่างไรอย่างไรเราก็พูดกันไปจนถึงขนาดนั้น ก็เรียกได้ว่ามันสูงเกินขนาดแล้วล่ะมันสูงก็สูงกันไปพูดสูงบ้างต่ำบ้างคละเคล้ากันไป

แต่ว่า ไอ้ที่จะสูงหรือจะต่ำอะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากว่า เราเองเราจะสมมุติเอา หรือว่าจะยึดถือเอาว่าไอ้นี่สูงไอ้นี่ต่ำ หยาบหรือละเอียด เราจะดำเนินจากละเอียดมาหาหยาบก็ได้ ดำเนินจากหยาบหาละเอียดก็ได้ มันได้ทั้ง 2 ส่วน 2 ด้าน แต่ว่าโดยถูกโดยต้องแล้ว มันก็ควรจะเป็นจากหยาบไปหาละเอียด จะทำจากละเอียดมาหาหยาบมันก็ได้ แต่ว่ามันนานมันใช้เวลานาน

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเองท่านไม่พยายามให้พาทำอย่างที่ท่านได้เคยตรัสเอาไว้แล้วในเรื่องปฏิปทา 4  ซึ่งบางอย่างก็ปฏิบัติได้ เรียกว่าสะดวก แต่ว่านาน

บางอย่าง สะดวกแต่เร็วด้วย อย่างนี้เป็นต้น แต่ส่วนอีกบางอย่างนั้นทั้งยากทั้งนานหรือว่ายากแต่เร็วก็ดี ซึ่งเหล่านั้นเราก็แยกแยะให้ออกตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้แยกแยะให้ฟังแล้ว เราก็เลือกให้เป็น พยายามจัดให้ถูก ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้ ปฏิบัติละเอียดมาหาหยาบก็ได้ แต่ควรจะปฏิบัติหยาบไปหาละเอียด

พระสูตรที่อาตมาจะอ่านนี้ หรือว่าจะเอามาเล่าสู่กันฟังนี้คือ จูฬสุญญตสูตร

จูฬสุญญตานั่นเอง  จูฬสุญญตสูตร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อ 333 ที่อาตมาได้พระไตรปิฎกมาแล้ว ยังไม่มีเวลาได้อ่านเลย แต่ว่าเปิดตรงไหน ๆ ก็รู้สึกว่าดีทั้งนั้นเลย เปิดเจอตรงไหนอ่านเอาไว้แล้วก็มาร์คเอาไว้แล้วก็เล่าสู่กันฟัง

จริงๆ สุญญตะนี้ อาตมาก็เคยพูดกันมาแล้วตั้งหลายทีแล้ว แม้แต่สุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร เราก็เคยได้อธิบายถึงขนาดนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว ขั้นที่เรามาพูดสู่กันฟังนี้เป็นขั้นอาริยะนะ ที่พูดกันถึงสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุติ สุญญตวิหาร หรือแม้จะพูดถึง  อนิมิตตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน จนกะทั่งถึงสุญญตนิพพานมันเป็นที่ของพระอาริยะที่รู้อารมณ์ของนิพพาน รู้อารมณ์ของสุญญตาได้แล้ว แล้วก็มาพูดกัน ไม่ใช่ของต่ำๆ นะที่เราพูดกันอยู่นี่

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าแหม! ฟังๆ ดูแล้วก็ออกหมั่นไส้ เราเองพูดก็ออกหมั่นไส้ตัวเองเหมือนกันนะ แหม..เอาเรื่องที่มันไม่น่าพูดมาพูด ที่จริงมันเป็นเรื่องของสิ่งที่จะรู้ได้โดยสภาวะ ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดเอาเท่านั้น เพราะฉะนั้นพูดให้ฟังก็ฟังกันไปได้เฉยๆ ฟังกันไปได้เฉยๆ สำหรับผู้ที่ลูบคลำนิพพาน ลูบคลำสุญญตาจริง ๆ แท้ ๆ ได้ฟังจะ   อ๋อ.. หรือว่าจะเข้าใจ หรือว่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ลูบคลำแม้อารมณ์นิพพานเป็นยังไง อารมณ์สุญญตาเป็นยังไงจริงๆ รู้แต่สภาวะตัวหนังสือที่บรรยายออกมาเป็นบัญญัติเป็นภาษา เป็นนิรุตติเป็นคำพูดคำท่องคำอ่านอะไรก็ตามแต่ เราก็จะยึดแต่เพียงเหตุผลของภาษา เหตุผลของคำพูดนั้นๆ ที่มันมีเป็นเหตุเป็นผล คล้องจองกันไปเท่านั้นเอง มันก็ไม่ซาบซึ้งถึงขีดถึงขั้นอะไร ฟังๆ ไปจำได้ก็ดี ถ้าจำไม่ได้เลิกกันเลย หมายความว่าไม่ได้เรื่องอะไรที่ฟังไป ถ้าจำได้ก็ยังดียังติดไว้ในสมอง

แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจเจอสภาพหรือสภาวะของนิพพานจริงๆ เจอสภาวะของสุญญตาจริงๆ แล้ว เป็นสภาวะเป็นสิ่งที่มันเกิดในจิตในใจจริงๆ ผู้เจออันนั้นแล้วพออธิบายให้ฟัง ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำว่าจำเลย มันซึ้งทันที ไม่ต้องจำไม่ต้องจด เรียกว่า เข้าใจอย่างซาบซึ้งเลย จะไม่ลืมอีกเลย ยิ่งซาบซึ้งมาก ยิ่งมีสภาวะมากยิ่งซาบซึ้งมาก แล้วยิ่งจะจำติดใจไปเลย ไม่มีถอดถอน นี่แหละเรียกว่าสภาวะกับ ของ ๆ จริงมันมาสัมพันธ์กันเข้ามันจะดูดจะติดเลยพอมีสภาวะ พอกล่าวชื่อมันปั๊บ มันดูดจนติดเลย แต่ถ้าเราไม่มีสภาวะกล่าวชื่อมันก็มีแต่ชื่อ ถ้าเราไม่มีชื่อมีแต่สภาวะมันก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน มันก็มีแต่ตัวตน เป็นประโยชน์ตนเท่านั้น ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเอาชื่อมาพูดด้วยเป็นสภาวะด้วย แล้วเราก็เป็นประโยชน์ที่เอาสภาวะนั้นมาอธิบายหรือมากล่าวชื่อกล่าวนามให้คนอื่นเค้าฟังได้ด้วย มันก็เป็นประโยชน์ 2 ส่วน เป็นประโยชน์ขึ้นไปเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ หรือผู้ที่มีสภาวะแล้ว มีอรรถะแล้ว มีธรรมะแล้วในตัว ก็มาเรียนรู้นิรุตติคือมาเรียนรู้ภาษาให้มันประกอบกัน เมื่อประกอบกันแล้วก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ 2 3 4 ขึ้นไปแล้วก็เอามาพูดสู่กันฟัง

เอาลองมาฟัง จูฬสุญญตสูตร ดูซิ https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=4714&Z=4845 จูฬสุญญตสูตร

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา มิคารมารดา ในพระวิหาระบุพพาราม เขตนครสาวัตถี เนี่ยก็เป็นวิหารของนางวิสาขาสร้างเองวิหารบุพพารามเนี่ย  ซึ่งมีโลหะปราสาทเป็นเอกอยู่ในวัดนั้น ซึ่งโลหะปราสาทนั้นมีตั้ง 1,000 ห้อง คิดดูซิว่าความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้นกับความเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย เดี๋ยวนี้มันต่างกัน เดี๋ยวนี้มีมั๊ยอาคารที่ไหนมีห้องถึง 1,000 ห้อง ดุสิตธานีที่ว่าเก่งที่สุดเดี๋ยวนี้นะมีถึง1,000 ห้องไหม มีแค่ 500 ห้อง

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าความเจริญของประเทศไทยเดี๋ยวนี้อย่าอวดดีเลยว่า เจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีทางเลย ไม่มีทางเจริญเท่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย แต่เราก็อวดดีว่า เราเจริญยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปว่าสมัยโน้นคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรต่ออะไร มีการงมงายอะไรมีอะไรต่ออะไรไม่จริงเลย ที่จริงฉลาดกว่าเราเยอะแยะ แต่เราไม่รู้ว่าความฉลาดนั้นคืออะไร แต่ว่าถ้าไปพูดถึงว่าความฉลาดทางโลก จริง เดี๋ยวนี้เราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เพราะอะไร โลกคืออะไร โลกหรือโลกีย์คือกิเลส คือกาม เพราะฉะนั้นบอกว่าเราฉลาดทางโลกมากกว่าสมัยโน้น จริง อาตมาไม่เถียงเลย เพราะเรามีกิเลสกามหรือกิเลสโลกียะมากกว่าสมัยโน้น อันนี้ไม่เถียง แต่ความเจริญทางโลกุตระสิ สมัยพระพุทธเจ้าเจริญกว่ามากกว่ามาก นี่แหละต้องทำความเข้าใจ

แม้พระสูตรที่ท่านตรัสเอาไว้ คำกล่าวต่างๆ นานา เราต้องมาวิจัยให้ออกว่า มันมีเหตุผลที่จะฟ้อง ที่จะแสดงอะไรต่ออะไรให้เราเข้าใจได้ด้วย เช่นว่า วิหารบุพพารามซึ่งมีโลหะปราสาทถึง  1,000 ห้อง มันก็แสดงผลให้เราเข้าใจได้ว่า ความเจริญสมัยโน้นยิ่งกว่าสมัยนี้

 [333] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากสถานที่หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

 นี่เป็นสำนวนของท่านบาลี ไปที่ไหนแล้วก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นี่เป็นภาษาบาลีก็หมายความว่า ไปถึงแล้วก็หาที่นั่งที่เหมาะๆ ควรๆ สำนวนนี้เข้าใจให้ได้ แล้วก็มี

เสมอๆ แปลทีไรก็จะมีอย่างนี้เป็นสำนวนพระสูตร ในสำนวนพระไตรปิฎก

พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อ นครกะ ในสักกชนบท ณ ที่นั้น ข้าพระองค์ได้สดับได้รับคำ ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า

ดูกร อานนท์ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ฟังดีๆ นะเริ่มต้นแล้วนะ บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม มีชื่อเลย สุญญตวิหาร หรือ สุญญตวิหารธรรม  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว จึงจำไว้ดีแล้วหรือ  ไอ้ที่แล้ว ๆ แล้ว ๆ น่ะ นี่ยังไม่แน่ใจนะ ยังกำชับ เรียกว่า ยังทูลถามพระพุทธองค์ต่อไปอีกว่า ดีแล้วน่ะ ดีแล้วหรือ เพราะฉะนั้น คล้ายๆ ยังคลางแคลงตัวเองอยู่ว่าพระอานนท์คลางแคลงตัวเอง ว่าตัวเองเนี่ยจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ดีแล้วทุกอย่างแล้วหรือ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรอานนท์ แน่นอนนั่นเธอสดับดีแล้ว สดับนี่หมายความว่าฟังนะ เอาแค่ฟังนะ สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว แล้วก็รับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้วเอามาคิด ทบทวน กำหนดสัญญาลงไปในใจ ใส่ใจ จงจำไว้ดีแล้ว ผนึกลงไปเลยสัญญามันมีกำหนด กำหนดแล้วก็ฝังจำ ทรงจำไว้ดีแล้ว ท่านยังไม่ได้บอกเลยท่านยังไม่ได้บอกมากกว่านี้เลย ฟังให้ดีนะ อานนท์ แน่นอน เธอนั้นสดับมาดีแล้ว ฟัง รับมาดีแล้ว คือรับเอามาจากฟัง ใส่ใจดีแล้ว เอามาคิดดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว แล้วก็จำ ผนึกลงไว้ในใจ  ฟังให้ดีนะ มีอยู่แค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าอานนท์ไม่ได้รับอะไร ไว้เลย แต่รับไว้ เพราะแน่นอนพระพุทธเจ้าท่านขยักเอาไว้นิดนึงเท่านั้นเอง ถ้าพระอานนท์เข้าใจสุญญตวิหารธรรมนี้ได้ดีซาบซึ้งแล้ว พระอานนท์ย่อมเป็นอรหันต์ ย่อมเกิดปัญญาวิมุติ แต่นี่พระอานนท์ยังไม่วิมุติยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้แค่นี้ ก็ได้แค่ ได้สัญญาจำไว้เท่านั้น ยังไม่ดีไปกว่านี้

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ทำไมอาตมาอธิบายตอนนั้นว่า พระอานนท์ได้แค่จำได้แค่รู้เฉยๆ แต่ยังไม่แจ้ง ยังไม่สว่างถึงที่ ก็เพราะเหตุว่า ถ้าแจ้งถ้าสว่างถึงที่แล้ว พระพุทธเจ้าจะไม่ต้องอธิบายต่อ เท่านี้เองเคล็ด พระพุทธเจ้าก็ไม่อธิบายต่อเพราะคนรู้แล้วจะไปอธิบายให้เสียเวลาทำไม แต่ที่นี้พระพุทธเจ้าอธิบายต่อแสดงว่า คนขอร้องว่าพระพุทธเจ้าจะต้องสอนต่อไปอีก ท่านก็ต้องสอนให้ฟัง

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ อย่าลืมนะเราขึ้นต้นด้วยว่าขณะนี้เราอยู่ที่ปราสาทนี้ ปราสาทของนางวิสาขา  นางวิสาขานี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า มิคารมารดา คือพ่อผัวของนางวิสาขาชื่อมิคาระ แล้วมิคาระนี้เกิดเลื่อมใสยกตำแหน่งวิสาขาให้เป็นแม่ จึงเรียกว่าเป็นแม่ของมิคาระดังนี้ เพราะฉะนั้น ชื่อหนึ่ง หรือสมญานามอีกชื่อหนึ่งของนางวิสาขาคือ มิคารมารดา ขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในโลหะปราสาทอันนี้ พระพุทธองค์กำลังเปรียบเทียบอยู่

เปรียบเหมือนปราสาทของนางมิคารมารดาหลังนี้ ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา ว่างเปล่าจากทองและเงิน ว่างเปล่าจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ เหมือนกันเลยกับที่อาตมาเคยเปรียบเทียบที่นี่ว่า ที่นี่ว่างเปล่าจากช้าง แต่ไม่ได้ว่างเปล่าจากคน ซึ่งอาตมาเคยยกตัวอย่างสุญญตาตั้งแต่ก่อนโน้น ตั้งแต่ยังไม่เคยได้พระไตรปิฎกมานี่พอดีได้มาอ่านพระไตรปิฎกเข้าเจอ อ่านเหมือนกันเลย ก็เลยว่าดีเหมือนกัน ว่างจากสิ่งเหล่านั้นคือว่างจากช้าง จากโค จากม้า จากลา จากทองและเงิน ท่านอธิบายเยอะแยะ ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษคือไม่มีทั้งสตรีและบุรุษ

แต่ดูให้ดีนะ ฟังให้ดี มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น ฟังให้ดี แต่มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียวคือ ภิกษุสงฆ์เท่านั้น คำอธิบายอันนี้ของพระพุทธองค์นี่ ละเอียดกว่าที่อาตมาได้เคยยกตัวอย่างว่า ที่นี่ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน ละเอียดตรงไหนละเอียดตรงที่ว่า ของท่านนอกจากไม่ว่างจากช้างแล้วก็ไม่ว่างจากม้า ว่างจากโค ว่างจากลา แล้วก็ว่างจากบุรุษและสตรีด้วย แต่ไม่ว่างอยู่อย่างเดียว ของท่านเหลืออย่างเดียวคือไม่ว่างจากพระสงฆ์ ฟังให้ดี นอกนั้นว่างหมดแต่ไม่ว่างอยู่แต่พระสงฆ์

แต่ที่อาตมายกตัวอย่าง คราวก่อนนั้น ว่างจากช้างแต่ไม่ว่างจากคน และไม่ว่างจากม้านั่ง ไม่ว่างจากต้นอโศก สุดท้าย ว่างจากช้างว่างจากม้า ว่างจากคนนั้นหมายความว่า ตัดกิเลสทั้งหมดออกไป ว่างจากอะไรต่ออะไรต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นกิเลสเป็นเครื่องรบกวน เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกว่าสิ่งที่รบกวนทั้งหลายแหล่หายออกไปหมด แต่มันยังมีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่

เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าว่างจากช้าง โค ม้า ลา จากเงิน จากทอง แม้กระทั่งชุมนุมสตรีบุรุษอะไรต่างๆ ว่างหมด มีไม่ว่างอยู่คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์ แสดงว่าสิ่งที่จะให้ดูมีอย่างเดียวเท่านั้นเอง อย่างเดียวเท่านั้นที่ยึดถืออยู่  นี่แหละ ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่า จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้านและชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย ไอ้ที่ว่าป่า ไอ้ที่ว่าบ้าน ไอ้ที่ว่ามนุษย์อะไรต่ออะไร รวมลงไปหมดเลย รวมลงไปหมดเป็นสิ่งเดียว ใส่ใจแต่สิ่งเดียว

นี่พระพุทธเจ้าบอกท่านรวมลงไปให้ไม่ใส่ใจในสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า ป่า รวมลงไปหมด จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่นและนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่า ป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน ไม่แบ่งไม่แยกน่ะ  และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ฟังให้ดีนะท่านจึง บอกว่ามีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว ยังมีความกระวนกระวายนะ ยังมี  มีภาวะเดียวด้วยเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น คืออันหนึ่งที่เรายึดอยู่

ก็ขออธิบายนิดนึงซะก่อน ก่อนจะต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะยึดอะไร รวมลงมาเป็นหนึ่ง เราก็ต้องว่างจากสิ่งอื่นหมด เราไม่แจง ซึ่งสมมติว่าอยู่ในบริเวณนี้ ขณะนี้ มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย ถ้าจะเราจะแบ่งแยกว่า นี่คน นี่ต้นอโศก นี่ไมโครโฟน นี่ขวดน้ำ มีแก้วอะไรต่ออะไรแยกแยะไปหมดเลยตามสมมุติโลก โลกเขาสมมุติว่าอันนี้ขวดอันนี้คน อันนี้ต้นไม้ นี้ม้านั่ง อันนี้เก้าอี้ อันนี้ว่าถ้วย ว่าชาม ต่างๆ นาๆ สมมุติโลกทั้งสิ้น  ถ้าเราไปแยกแยะจิตของเราให้ไปตามรู้พวกนี้ พวกนี้นะ เราก็จะมีการแบ่งแยกออกไปหมดเลยไม่รวมลงเป็นหนึ่ง

เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะรวมลงเป็นหนึ่ง เราต้องเห็นสิ่งพวกนี้ว่าคือสมมุติโลก ที่มันพึงเกิดพึงเป็นตามเหตุของโลก ถ้าใครที่บอกว่าไอ้นี่มีค่าเพราะมันเป็นขวด ถ้าใครเอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ ไอ้นี่เป็นเพชร แล้วก็เดือดร้อนแล้วไม่อเนญชาแล้วชักหวั่นไหวในเพชรว่า เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้นี่ ชักไม่ค่อยดี ใครเอาแบงค์ร้อยมาวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะนี้ ชักหวั่นไหวแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว  เกิดจะมี อกุศลจิต หรือ กุศลจิต เกิดขึ้นซะแล้ว คนนึกดี ก็บอกว่า เฮ้ยของใครนี่เก็บสิ ไอ้คนที่มันนึกไม่ดีมีอกุศลจิตก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ต้องไปบอกเค้าเก็บแล้ว เผลอ ๆ เราค่อยไปหยิบ มันก็เป็นได้ เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่นิ่งแล้ว ไม่อเนญชาแล้ว ชักหวั่นไหวซะแล้ว แล้วก็จะได้รับความกระทบกระเทือนเฟื่องฟูออกมา คิดไปในทางต่ำหรือทางสูงได้ คิดไปได้

แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่สำคัญมั่นหมายมันเลย ไม่ไปตีค่าอะไรมันเลย เงินก็เงินสิ แบงค์แดงๆ กองอยู่บนโต๊ะก็เฉย เพชรวางอยู่บนนี้ก็เฉย แก้วน้ำขวดน้ำก็เฉย เหมือนกันกับแก้วน้ำวางอยู่  เพชรเม็ดนึงก็เหมือนกับแก้วน้ำวางอยู่เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร เห็นแล้วก็เฉย มีเงินมีทองอยู่ในนี้ล้านนึง ก็เหมือนกับเห็นกาน้ำใบนี้วางอยู่บนนี้ ไม่ไปสำคัญมั่นหมายอะไรด้วย ไม่ไปกำหนดไม่ไปสมมุติด้วย ใครจะสมมุติว่าเพชรมีค่า เงินมีค่า ไม่สมมุติด้วย ใครจะสมมติว่าแก้วมีค่าหรือน้อยค่ากว่าเพชร น้อยค่ากว่าเงินก็ไม่สมมุติด้วย เห็นอยู่อย่างนี้ สักแต่ว่าเป็นสภาวะเดียว เฉยๆ อยู่ ไม่ไปแยกไม่ไปสมมุติอะไรด้วยเลย รู้แต่ว่าเราอยู่ ณ ที่นี้ที่หนึ่งที่เดียว แล้วก็สำคัญที่เราอยู่ไม่ไปสมมุติอะไรเพิ่มขึ้นเลย นี่คือคำอธิบายของพระพุทธองค์ที่หมายถึงเมื่อตะกี้นี้  

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน มีคำอธิบายเหมือนกับที่อาตมาอธิบายแล้วอาตมายังไม่ได้อ่านต่อ เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้าน สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น นี่ท่านแยกแยะแค่บ้านกับมนุษย์ อาตมาแยกแยะมากไปอีกจนกระทั่งถึงเพชรถึงเงินให้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกัน แล้วเราก็สัญญาแล้วก็เป็นแต่เพียงกำหนดลงไปแต่เพียงว่า ไอ้นี่คือสภาวะหนึ่ง อยู่ในแดนหนึ่ง อยู่ในโลกๆ หนึ่ง มีความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีสิ่งพวกนี้ๆ อยู่ เท่าไหร่ๆ ก็ตามแต่ มีคนอยู่ มีต้นไม้อยู่ มีเพชรอยู่ มีขวดอยู่ หรือสมมุติจนกระทั่งแม้เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ เอาแบงค์ร้อยมากองไว้บนโต๊ะนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีความหวั่นไหว เราไม่มีความไปสมมุติอะไรตามเดิม สมมุติแต่เพียงว่า อย่างเดียวแต่ว่า เรายืนอยู่ในโลกนี้ว่างว่างเฉยๆ อยู่นั่งอยู่ที่นี่ว่างๆ เฉยๆ คนอื่นหวั่นไหวตาม เขาเห็นว่าของเหล่านี้มีอะไรแปลกแตกต่างกันไป แต่เราไม่แปลกเราเฉยๆ เป็นอาการอย่างนั้น

และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียว คือเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย ท่านให้พิจารณาสิ่งที่เราไปยึดถือสิ่งที่เรายังไปยอมสมมุติอยู่ในนั้นด้วย แล้วสัญญาเหล่านั้นอย่าไปยึดถือ จงเห็นว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นด้วย หมายความว่าจงเห็นให้ได้ว่า มันมีอยู่ก็ช่างมันปะไรเราไม่มีเราไม่เกี่ยวข้อง มันจะเป็นของเราเปล่า ๆ หรือของใครก็ไม่เกี่ยวไม่แตะต้อง ความหมายอย่างนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย จะเป็นของเราหรือของใครก็ไม่เกี่ยว มีอยู่ก็พยายาม เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น

หมายความว่าเห็นความว่างนั้นเป็นว่างจริงๆ แม้จะมีสิ่งที่มีอยู่สิ่งที่ไม่มีอยู่ ก็เหมือนกับมีสิ่งที่ไม่มีอยู่เท่านั้นเองฟังให้ดีนะ เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ เงินมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เพชรมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี คนมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เหมือนกับสิ่งไม่มีอยู่ในสัญญาคือในความรู้สึกเท่านั้นเอง ท่านหมายความเอาอย่างนี้

และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี และให้รู้ด้วยนอกจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดลงไปอีกด้วยว่า ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เงิน ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า ขวด ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า เพชร ไอ้นี่เขาเรียกว่า คน นี่โลกเขาเรียกว่าต้นอโศก ให้รู้ชัดอย่างนั้นให้ได้ด้วย แต่สำหรับเราไม่เกี่ยวแล้วโลกนี้จะมีขวดนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีต้นอโศกนี้ก็ได้  โลกนี้จะมีเพชรนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเงินแบงค์ร้อยกองอยู่บนโต๊ะนี้ก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ไม่แปลก มีความหมายของท่านอย่างนั้น

ดูกร อานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ผู้ใดที่พิจารณาอย่างนี้ อย่างที่อาตมาว่ามาแล้วนี่ ก็เป็นการอยู่ในหรือว่าก็เป็นการก้าวลงสู่สุญญตวิหาร หรือ ก้าว ลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ท่านยืนยันว่านี่แหละคืออาการของการทำสุญญตวิหาร

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดจะถึงสุญญตวิหารได้ ก็ต้องพยายามให้มันหลุดพ้นคือเรียกว่ารู้ให้ได้ก่อนแล้วทิ้งให้ได้ด้วยเรียกว่าสุญญตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์หมายความว่ารู้ความพ้น สุญญตวิมุติ หมายความว่า หลุดออกไปเลย รู้ วิโมกข์

โมกขะ หมายความว่าความรู้ ความรู้ในการหลุดพ้นนั้นด้วย โมกขะ โมกขธรรมนี้ คือความรู้ในการที่จะหลุดพ้นอันนั้น ถ้าใครรู้ในสุญญตวิโมกข์ได้แล้ว ก็ทิ้งให้ได้ๆ ทิ้งสิ่งที่ควรทิ้ง

อย่างเมื่อกี้นี้ เรารู้ให้ได้ว่าไอ้นี่มันเป็นสมมุตินะ เพชรที่วางอยู่บนนี้ก็เป็นสมมุติ แบงค์ร้อยถ้าเอามากระจายอยู่บนโต๊ะนี้ก็เป็นสมมุติ ขวดนี้ก็เป็นสมมุติ คนนี่ก็เป็นสมมุติ เพชรนี่ก็เป็นสมมุติ ต้นอโศกนี่ก็เป็นสมมุติ รู้ให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติ เมื่อรู้ได้แจ้งแท้ในใจแล้วถึงจะถึงสุญญตวิโมกข์ ถ้ารู้ยังไม่ได้ไม่ใช่สุญญตวิโมกข์

นอกจากรู้ว่าเป็นสมมุติแล้ว ใจเราอย่าไปยึดถืออย่าไปนำพาด้วย ให้รู้มันเป็นจริงให้ได้ว่ามันเป็นสมมุติจริงๆ แต่โลกเขาเองเขายึดถือ โลกเขายึดถือแบงค์ แหม ใครได้แบงค์ดี โลกเขายึดถือเพชร ใครได้เพชรมาแหม ฮ้อ โลกเขายึดถือนี่ เค้าเรียกว่าคน ถ้ามีผู้หญิงก็ผู้หญิง นี่ผู้ชายแตกต่างกันเขายึดถือไปหมดเลย มีความแตกต่าง มีการเทียบค่า มีการสร้างค่า สร้างไอ้นี่ต่ำ ไอ้นี่สูง ไอ้นี่จะต้องบวกไอ้นี้ ไอ้นี่จะต้องลบไอ้นี่ ตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้อย่างนี้ได้แล้วด้วย แล้วเราก็วางให้ได้ จึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ รู้แล้ววางให้ได้เราจึงเรียกว่า สุญญตวิมุติ เมื่อสุญญตวิมุติลงไปได้แล้วด้วย ผู้นั้นรู้แล้ว แล้วก็วางได้ด้วยสุญญตวิโมกข์รู้ แล้วสุญญตวิมุติก็วางได้ เมื่อรู้ด้วย วางได้ด้วย ก็อยู่ในสุญญตวิหาร เรียกว่าเป็นผู้มีสุญญตานั่นแหละเป็นเครื่องอยู่   เป็นเครื่องที่อยู่ในตนสบายเปล่าว่างดายไม่ยึดถือ เห็นสักแต่ว่าเห็นรู้สักแต่ว่ารู้ แต่เหมือนกับไม่มีเหมือนกับไม่รู้ เหมือนไม่มีเหมือนไม่รู้

นี่ภาษาพูดนะ แต่ที่นี้ถ้าใครมีอารมณ์รู้ว่าสุญญตะเป็นอย่างนั้นๆ เข้าใจอย่างนั้นเข้าใจ ซึ้งเลย ไม่ต้องไปพูดอะไรกันมากอะ ฟังเดี๋ยวนี้แค่นี้ก็จำได้ตลอดกาล เห็นเดี๋ยวนี้จำได้เดี๋ยวนี้ไปเลย ไม่ต้องไปท่องด้วย ทันที แต่คนไหนที่ยังไม่รู้เรื่องก็มานั่งท่องแล้ว ไอ้นี่สุญญตวิโมกข์มันแตกต่างกับสูญญตวิมุติอย่างไร ท่องเป็นระดับๆ ไป อะไรต่ออะไรไป

นี่ท่านอธิบายละเอี๊ยดละเอียด แต่ภาษาของท่าน พระพุทธเจ้าท่านอธิบายให้สงฆ์ฟังแค่นี้นะ ท่านเข้าใจกันแล้วเพราะมันไม่มีเรื่องมาก เพชรมันก็ไม่มี แบงค์มันก็ไม่มีมากมายถึงเดี๋ยวนี้ที่เป็นจิตสมมุติกันมากมายถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ติดสมมุติกัน โอ้โห เพชรพลอยแบงค์ร้อย มันเป็นเจ้าเป็นนายเลยมีอำนาจเหนือหัวคนเหลือเกินเดี๋ยวนี้ มันมีอำนาจเหนือหัวคนจริงๆ คนนี่ โอ้โฮ
ซูฮกมันเหลือขนาดเลย มันจึง ลำบ๊ากลำบาก ต้องอธิบายเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้เห็นเป็นสมมุติให้ได้ก็ไม่เชื่อ บอกเอามาหน่อยสักร้อย ไม่ได้หรอก แหม เอาไปได้ไงตั้ง 100 นึงอะ อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่ามันยึดอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่รู้จักวาง มันไม่มีค่าอะไร ถ้าเราไม่ไปไอ้นั่นมัน ไม่ไปสมมุติมัน ไม่ไปหลงติดมัน มันไม่มีค่าหรอก มันเป็นการสมมุติในโลกเท่านั้นเอง ให้เห็นว่าเราจำเป็นเหลือเกิน ขาดแบงค์ร้อยจะตาย ขาดเพชรจะตายให้ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเพชรแต่มีเงิน หาเงินยังไม่พอ ยังจะไปผ่อนส่งเอาเพชรมาไว้ในมือ เนี่ยเป็นอย่างนี้โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าผู้ชายไม่เท่าไหร่ พูดถึงเรื่องเพชรยังไม่ค่อยเท่าไหร่ พวกผู้หญิง แหม ไม่มีเพชรอะไม่มี ต้องไปผ่อนส่งมาให้ได้ จะใส่ เงินไปให้เขายังไม่พอเลย จะต้องเป็นของสำคัญอย่างนั้นน่ะ

เห็นไหมไปยึดไปถือมันมากแล้วมันก็ทุกข์ ไปนั่งผ่อนส่งเขาแล้วมันก็ตะแง็กๆ ไม่ทุกข์หรือทุกข์ เป็นแต่เพียงเพื่อจะได้เพชรมาไว้ในมือ ถ้าเอาเพชรนั้นโยนทิ้งไปไก่มันยังไม่กินเลย มันไม่มีค่าอะไรกันนักกันหนาดูซิ โยนให้ไก่ ไก่ก็ยังไม่จิกไม่กินอะ สู้เม็ดข้าวเปลือกเม็ดนึงก็ยังไม่ได้ มันจะไปมีค่าอะไรกันนักกันหนา

พระว่า..สุญญตวิหารเป็นขณะนั้น

พ่อครูว่า... ถ้าผู้ปฏิบัติและผู้ที่รับแล้วก็แน่นอนก็ต้องเห็นว่า สุญญตวิหารเป็นของที่สูงที่สุด แต่ก่อนจะเป็นสุญญตวิหารได้มันต้องมีสุญญตวิโมกข์ แล้วมีสุญญตวิมุติเสียก่อน เมื่อมีสุญญตวิโมกข์ มีสุญญตวิมุติ แล้วมันก็เป็นสุญญตวิหาร มันก็ไม่มี มันก็เป็นแต่เพียง สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ตาไม่บอด ใจไม่หลับ ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น ฟังแล้วอาจจะงง ทุกอย่างรู้ทุกอย่างเห็น แต่ทุกอย่างก็ไม่รู้ทุกอย่างก็ไม่เห็น

พระว่า...มันไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะ

พ่อครูว่า... สภาวะไม่ใช่พูด มันเป็นสภาวะไม่ใช่พูดแต่ภาษาพูดก็พูดให้ฟังแล้วบ้า ทุกอย่างรู้ ทุกอย่างเห็นแต่ทุกอย่างไม่รู้ ทุกอย่างไม่เห็น นี่คือภาษาพูดที่มันบ้าๆ แต่สภาวะมันไม่บ้าหรอกมันรู้มันเห็นจริง แต่ไม่เอาด้วย มันก็เหมือนกับเราไม่รู้ เราไม่เห็น

เหมือนกันกับไก่ มันบอกเอาเพชรไปโยนให้มัน มันบอกว่ามันไม่รู้มันไม่เห็นด้วยมันบอกว่าไม่เห็นเข้าท่าอะไรเลย มันก็เหยียบไปเลยเหยียบเลย เอาแบงค์ร้อย ไปโยนให้มันเหรอ สู้เขาเปลือกเม็ดเดียวก็ไม่ได้มันไม่เอาด้วยเพราะมันไม่สมมุติด้วย แต่กระนั้นก็ดี ไก่มันก็ไปสมมุติไอ้ข้าวเปลือกนั่นแหละมีค่าสูง ถ้าไก่มันไม่ยึดติดข้าวเปลือกด้วยนะ ไก่มันก็สุญญตวิหารเหมือนกัน

ทีนี้ไก่มันก็ยังยึดติดสิ่งที่มันยังกินอยู่อย่างนึง และสิ่งที่มันยังเสพยังหลงอยู่อีกอย่างนึงเหมือนกัน แต่มันไม่มีปัญญาที่จะมาอธิบายสุญญตาให้มันฟังได้ มันไม่มีปัญญาแน่ คนนี้แหละมีปัญญาที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้นพยายามเข้า นอกจากจะไปรู้ด้วยการฟังแล้ว ต้องพยายามไปค้นหาสภาวะที่ว่านี้ให้เจอด้วย จะมาโมเมๆ เอาไม่ได้ จะค้นได้ยังไงค้นได้สิ ทำสิ บอกแล้วว่าอย่าติดสมมุติ ก็แบงค์ร้อยอยู่ในกระเป๋า ถ้าบอกว่าเราไม่ถือสมมุติด้วย อ้าววันนี้มีแบงค์ร้อย 5-6 ใบเอาไปทำทานให้หมดเลย ดูซิ ใจมันจะวิมุติลงไปได้ด้วยไหม เอ้ย เอ้ย เอ๊ยดี กระเป๋าเรามีตั้ง 500 บาท ตอนนี้วิมุติจาก 500 บาทไปแล้วนะ หลุดพ้นจาก 500 บาทแล้ว มีว่างเปล่ามีแต่กระเป๋าว่างเปล่า เงิน 500 บาทวิมุติไปแล้ว

ลองทำดูซิแล้วใจมันจะเป็นยังไง วัตถุวิมุติไปแล้ว 500 บาทเอาไปทำทานหมด หรือเอาไปทำประโยชน์ที่มันควรที่สุด เอาไปทำไปหมดแล้ว ไม่มีแบงค์ร้อย 5 ใบอยู่ในกระเป๋า แบงค์ 100 คือสุญญตะ ไม่มี แบงค์ร้อยคือว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีแบงค์ร้อยในกระเป๋า กระเป๋าจึงว่างเปล่าจากแบงค์ร้อย

แต่ทีนี้ เมื่อเวลานั้นแหละมาดูใจตัวเองซิเป็นยังไง ใจตัวเองเป็นยังไง ยังรอนๆ คิดถึงแบงค์ร้อย 5 ใบนั้นมั้ย ยังรอนๆไหม บางคนไม่รอนๆ ธรรมดานะ เจ็บปวดเอาด้วย แหม กว่าจะหามาได้ 500 กว่าจะออกไป เจ็บปวดเอาด้วย แต่คนไหนไม่เจ็บปวด แต่ยังรอนๆอยู่ คนนั้นก็ยังมีปฏิฆะ ถ้าใครไม่มีปฏิฆะ ก็หมายความว่าไม่รอนๆด้วยเลย เฉย ว่างเปล่า แต่ไปยึดอะไร ไปยึดว่าดีแล้วเราทำบุญได้ตั้ง 500 บาท เราได้บุญนั้นแล้วเป็นรูปเป็นร่าง วาดบุญไว้เป็นรูปเป็นร่างเลย ไม่รอนๆ หรอกแต่ดีใจกับบุญ ผู้ที่ยังมีอารมณ์ดีใจอย่างนั้นอยู่นั่นแหละจึงเรียกว่า พรหม เรียกว่า พรหม เรียกว่าเป็นผู้ยังมีอรูปอย่างนึง ที่สร้างไว้เป็นลมๆ เป็นลมลอยรูป แล้วก็ยังหลงดีใจกับอันนั้นอยู่ยังมีสิ่งที่ยึดถืออยู่

แต่ถ้าผู้นี้เงิน 500 บาทก็สุญญตะไปแล้ว หายไปแล้ว ไม่มีแล้วให้เขาไปหมดจริงๆ ทำประโยชน์ในโลกไปหมดแล้ว ใจก็ไม่รอนๆ บุญก็ไม่นึกถึง อะไรก็ไม่ยึดถือไม่นึกถึงอยู่ ใจก็ดับลงไม่มีคำว่าแบงค์ 500 เมื่อกี้นี้ก็ลืมไปสิ้นด้วย ไม่มีอะไรเลยในใจว่างเปล่าใจก็ว่างเปล่าแบงค์ร้อยก็หายไปจริงๆ ด้วย ผู้นั้นแหละจึงวิมุติทั้งสภาวะ วิมุติทั้งของจริงๆ และวิมุติทั้งใจด้วย นี่แหละอาการนี้เราจะทำ

เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่เคยเลยที่จะควักแม้แต่ 100 บาท 10 บาท 20 บาทให้คนอื่นไปดูซิ ไม่เคยมีทานเลยคิดดูซิ ว่าเราจะได้มั้ย เราจะเจอสภาวะมั้ย มันก็ได้แต่หลักการที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ แล้วก็คุยหลักการว่า ฉันรู้แล้ว เข้าใจได้ซาบซึ้งแล้ว ใครมาถามก็อธิบายให้ฟังฉับๆ เลย สบาย อย่างนี้แน่มากดี อย่างนี้แจ๋วเลย แต่ตัวเองเขามาขอแค่เงิน 5 บาท 10 บาทไม่ให้ แล้วมันจะวิมุติลงไปได้อย่างไรไม่ให้ มันวิมุติไม่ได้  

เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งของหวาน ของคาว ของอร่อยก็ยังอยากได้ ไอ้นี่เมียฉัน ไอ้นี่ลูกฉัน ไอ้นี่ข้าวของฉัน ไอ้นี่รถฉัน ไอ้นี่ฐานะฉัน แหม ไอ้นี่สรรเสริญของฉัน เขาบอกว่าฉันเป็นอาจารย์ ยังยึดแม้กระทั่งคำว่าอาจารย์ไว้อีก  หรือยกคำว่า แหมฉันเป็นรัฐมนตรีติดอยู่ที่รัฐมนตรีอีก มันก็ไม่มีวิมุตได้ มันก็ไปติดเป็นติ่ง ติ่งจากตรงนี้ ละจากตรงนี้ได้ ก็ไปติ่งตรงนี้ ตรงนี้ มันจะหลุดได้จริงๆ ต้องตัดอกตัดใจแล้วก็ต้องกระทำในวาระนั้น สิ่งนั้นลองดูจริงๆ ถ้าไม่ได้ลองแล้วไม่รู้

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ลองไปนั่งแม้กระทั่ง โอ้โห บำเพ็ญทุกขกิริยา จับนิดนึงพอจะลูบหนังขนก็ติดมือขึ้นมาอย่างท่านที่อธิบายไว้นะ ถ้าท่านไม่ไปลองอย่างนั้นท่านก็ไม่รู้หรอกว่า สภาวะสุดโต่งอีกอย่างหนึ่งมันถึงขนาดไหน แล้วท่านก็ท้าด้วยว่า จะไม่มีใครมาทำได้อุกฤษฏ์อย่างท่านอีกแล้ว เรียกว่าท่านทำอุกฤษฏ์กว่าใคร ๆ ที่ทำมาแล้ว เขาบำเพ็ญตนทรมานตนมาถึงขนาดไหน ท่านบอกว่าท่านได้ทำมาหมด ทำมาจนกระทั่งอุกฤษฏ์ถึงขั้นสุดที่แล้ว ท่านถึงได้เอามาอธิบายให้กันฟังได้ สู่กันฟังได้ว่า โอ้โห ป่วยการไปนั่งทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเกินขอบเขต ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ไม่จำเป็น

แต่ทำไมท่านต้องทำ ที่ท่านต้องทำก็เพราะเหตุว่าท่านจะต้องวัด ท่านจะต้องวัด วัดวา ให้รู้ความสุดโต่งของทางนี้ และทางนี้ให้รู้หมดเลยเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามพวกเราได้เท่านั้นเอง และเพื่อที่จะเอามาตอบคำถามของพวกลัทธิอื่นๆ ที่เขาไปสุดโต่งสายไหนก็ไม่รู้ ให้มันรู้ชัดรู้แจ้ง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นที่สุดที่ท่านจะต้องวัดวาสิ่งเหล่านั้นให้รู้ ไปลูบไปคลำสิ่งเหล่านั้นให้รู้โดยแท้จริง  แต่เรายังไม่ได้ประพฤติบำเพ็ญตัวเป็นพระพุทธเจ้า อย่าไปทำอย่างท่าน อย่าไปทำอย่างท่าน ประเดี๋ยวตายๆ ก็เหมือนเราอดข้าว กินวันละเท่าปลายมือ แล้วก็ลดลง 5 เม็ด 10 เม็ด ไปจนกระทั่งกินเท่าเม็ดงา กินวันละเท่าเม็ดงา จนกระทั่งไม่กินเลย ไหวมั้ย อาตมาว่าชักลงตรงนั้นก่อนนะ จะจับที่ตรงข้างหน้าท้องก็ดูเหมือนจะถึงข้างหลัง จับข้างหลังก็ดูเหมือนถึงหน้าท้องแล้ว คิดดูซิว่า มันติดหมดเลยเนี่ย เราจะทำได้อย่างนั้นมั้ย  ทำไม่ได้ และยังไม่ควรทำด้วยเพราะเป็นการสุดโต่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สุดโต่ง ท่านไม่สุดโต่ง เพราะว่าท่านทำได้ ทำแล้วไม่ตาย เราทำถ้าไปทำอย่างนั้นตายเข็ดด้วย เข็ดหลาบเลย และไม่อยากจะประพฤติธรรมต่อไป

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อาการที่ประพฤติที่สุดโต่งเนี่ยเป็นภัย เป็นภัยต่อผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น บารมียังไม่ถึงอย่าทำ เพราะฉะนั้น คุณไสวบอก อาตมาสุดโต่ง โอ้ว  ดูซิ รองเท้าก็ไม่ใส่..ไปกินทำไมมื้อเดียว.. เขาบอกว่า ไปทำอะไรสุดโต่งมัน จะไปสุดโต่งอย่างไรเราก็ยังทำได้เลย เขาก็เห็นสุดโต่งเพราะเขายังทำไม่ได้ แต่อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร อาตมาทำได้อาตมาก็ไปของอาตมาสบายๆ เขาก็เห็นว่าสุดโต่งอยู่ดี แต่เพียงว่าอาตมาเอง อาตมาเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำที่สุดโต่ง แหม ไปนั่งอดข้าวถึงขนาดนั้น หนังติด แขม่วแล้ว แหม นั่งทรมานกาย จนมือลูบนี้ขนหลุดติดมือมาเลย อาตมาก็เห็นว่ามันสุดโต่ง อาตมาไม่ทำหรอก แล้วอาตมาไม่ทำเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าได้สอนไว้แล้ว อาตมารู้จากพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าถ้าไปนั่งทำอย่างท่านนี้สุดโต่งนะ อาตมาก็เชื่อท่าน อาตมาก็ไม่ทำ

อาตมาก็ทำมัชฌิมาปฏิปทา ขณะนี้อาตมาไม่ใส่รองเท้าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันมื้อเดียวมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาฉันข้าวเปล่าๆ กินผักได้สบายๆ เป็นมัชฌิมาปฏิปทาของอาตมา อาตมาสบายไม่เดือดร้อนและในสิ่งที่ควรจะสูงขึ้นอาตมาก็รู้ และอ่านให้มันชัดแล้วก็บำเพ็ญ ต่อไปเรื่อยๆ ตามลำดับไม่แปลกอะไรเลย

แต่จะให้อาตมาไปนั่งป่าแล้วก็ทำเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านทำแล้วนั้นอาตมาก็บอกแล้วว่า อาตมายังไม่ถึงขั้นจะเป็นพระพุทธเจ้า และชาตินี้ให้ต่ออีกสักกี่ชาติ ไอ้ชาตินี้ จนกระทั่งบำเพ็ญให้หนักที่สุดเท่าไหร่อาตมาก็ไม่สูง และอาตมาก็ยังไม่ทำเพราะเป็นภาวะสุดโต่ง อาตมารู้ได้เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านครอบเอาไว้แล้ว ก็อาตมาเชื่ออย่างยิ่ง มีศรัทธาในท่านอย่างสูงสุด อาตมาถึงไม่ทำ

เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจระดับขั้นให้ได้ ถ้าไม่เข้าใจระดับขั้น เราจะไปมองคนเขาว่าสุดโต่ง เช่นเดียวกันกับคนที่เขาว่าอาตมามากที่ว่า แหม พระองค์นี้เคร่ง เดินก็เดินเอาอย่างนั้นแหละ กินก็กินอย่างนี้แหละ เคร่ง อาตมาไม่เคร่ง อาตมาเฉยๆ ไม่ได้เคร่งตรงไหนเลย มันไม่ได้เดือดร้อนตรงไหนเลย เพราะฉะนั้นอาการที่เคร่งก็หมายความว่า คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำไม่ได้     (40.28 น.) ….

 

ที่มา ที่ไป

การแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม 2514


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2567 ( 18:23:18 )

15 ปีเท่านั้นของการเปิดตัวทางการเมืองมานับตั้งแต่ พ.ศ. 2549

รายละเอียด

พ.ศ. 2549 ก็ 15 ปีผ่านมา 

15 ปีเท่านั้น อาตมาเปิดตัวทางการเมืองมา 15 ปีเท่านั้น ขอยืนยัน ก็บอกต่อไปว่ายังจะมีรายละเอียดของเรื่องการเมืองอีกที่อาตมายืนยันว่าเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยอย่างพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมแม้แต่ในเมืองไทยก็เป็นโลกุตระ แต่ยังไม่เต็มรูป ยังไม่ออกไปเท่าที่ควร อาตมาก็จะต้องทำต่อ อาตมาจะเป็นตัวนามหรือธรรมะ ผู้ที่ทำการเมืองจะต้องเป็นฆราวาสเป็นรูป สำหรับนักบวชก็ได้ประมาณหนึ่งที่พวกเราทำขนาดนี้ ไม่ได้หลบหน้าหลบตาแต่ออกมาพูดแต่รู้เขตขีดว่านักบวชควรอยู่ประมาณไหน สำหรับฆราวาสนั่นแหละจะไปออกบทบาท แม้นักบวชก็ไม่ไป แบบศรีลังกาที่เข้าไปเป็นส.ส.นั่งในสภากัน จะไม่ไปถึงขนาดนั้น เป็นแต่เพียงว่าจะเป็นปุโรหิต ให้คำปรึกษาเลือกข้างที่ถูกต้องมากที่สุดแหละ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  ทำไมพ่อครูพาชาวอโศกลงสู่สนามการเมือง วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:38:01 )

17 ปีผ่านไปหรือคนไทยยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้

รายละเอียด

 เรื่องจริงนะ เรื่องพวกนี้อยู่ในวงการ เขาจะเข้าใจเลยวิธีการทำยังไงให้ผิดหรือให้ไม่ผิดอะไรต่ออะไร จริงๆเลย แล้วคนทั่วไปไม่ได้รู้วิชาการพวกนี้ไม่ได้เข้าใจ เขาก็อธิบายได้เพราะทำสำนวนอ่อนไป ทำสำนวนให้อ่อนหรือไม่เต็มที่ คนทั่วไปไม่ได้รู้รายละเอียดอย่างชัดเจน แล้วก็เป็นอยู่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่าวิธีการพวกนี้ ทักษิณก็คงกลับมาวันที่ 22 พรุ่งนี้ เพราะว่าถ้ายึดรัฐบาลได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ว่านี้พอเข้าไปก็ไปเป็นนายกไปคุมรัฐมนตรี แม้ที่สุดคุมรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอิทธิพลของสิ่งที่คนเรายังไม่หมดกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่สะอาด ไม่ตรงทีเดียว มันจะกลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขของตนเอง นี่อาตมาก็พูดผ่านๆอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็พยายามเถอะ ตัวคนใดๆที่ฟังอาตมาพูดแล้วสามารถที่จะรู้จักกิเลสเรา แล้วไม่ลำเอียงจริงๆ ประเสริฐ คนนั้นแหละเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมที่มีมรรคมีผล 

เรื่องนี้อาตมาว่าพยากรณ์ไปทีเดียวคงไม่ดี แต่ขอพูดว่าตามความเห็นของอาตมา อาตมาเชื่อว่าทักษิณนี่เขาได้ทดสอบตัวเองมาแล้ว 17 ปี ทุกวันนี้ไม่มีใครข้ามพ้นเขาในประเทศไทย 17 ปีเขาทดสอบแล้ว ไม่มีใครข้ามพ้นทักษิณ ยังติดในอำนาจในอิทธิพลเขาอยู่ เพราะฉะนั้นเขาก็เชื่อมั่นว่าเขากลับมาแม้เขาจะเข้าคุก เขาก็มีอิทธิพลพอ แล้วก็มีเหตุปัจจัยพอ 1.แก่แล้ว 2. มีโรคอะไรก็แล้วแต่ อ้างอิงต่างๆนานา เป็นแต่เพียงว่าอาตมาจะรอดูว่าจริงๆแล้วสุดท้าย ทักษิณกลับมาว่าจะติดคุก แต่แกก็จะเดินลอยตัวอยู่ในประเทศไทยสบายๆหรือไม่ อาตมาก็จะดูว่า ประเทศไทยจะถึงขนาดนั้นไหม 

อาตมาเชื่อว่าทักษิณเขามั่นใจว่า 17 ปีคนข้ามไม่พ้นเขา แสดงว่าเขามีอิทธิพล เพราะฉะนั้นเขาเข้ามานี่ เขาก็ต้องมีอิทธิพล อย่างน้อย ฟังดูสิ พร้อมแล้วพวกแดงจะไปรับที่สนามบินเต็มพรึบเลย อะไรอย่างนี้ แล้วดูซินี่ทักษิณมา แดงจะพรึบไปรับมากกว่าไปประท้วงให้แก่พิธา หรือไม่ คอยดูเถอะ ขณะที่แดงจะไปร่วมต้อนรับทักษิณจำนวนมากกว่าไปร่วมชุมนุมประท้วงที่พิธาหรือไม่ ก็ได้ 100-200 คนหรือไม่ถึง แต่ทักษิณอาตมาว่าจะมากกว่า 200 คนแน่  เอ๊า! ดูไป พวกเราพวกดูไป พวกเราไม่ใช่พวกดูไบ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส  วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2566 ( 18:19:50 )

2 ธรรมิกราชผู้มาประกาศ วรรณะ 9

รายละเอียด

 อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีนี้ยิ่งเป็นรูปร่างของสัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วอาตมาเอามาทำในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาพุทธเสื่อมมาก เสื่อมมากยิ่งๆเลย ไม่ใช่เสื่อมน้อยแต่เสื่อมมากยิ่งๆเลย อาตมาต้องมากอบกู้ ขออภัยที่พูดใหญ่ พูดนี้ขอยืนยันว่า เป็นความจริง ก็ต้องมากอบกู้ กอบกู้ได้เท่านี้แหละ ได้เท่าที่มันมีคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย เป็นคนที่ยังพอมีภูมิปัญญารับโลกุตรธรรมหรือรับธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ จึงมาได้ ก็เท่าที่มันเห็น แต่มันเป็นรูปร่างที่ชัดเจนแล้ว เป็นสาราณียธรรม 6 ดังกล่าว แล้วก็จิตวิญญาณเป็นวรรณะ 9 

ที่อาตมาพูดพวกนี้ เพราะว่าอาตมายืนยัน ที่อาตมาพูด อาตมาสอน อาตมาเอามาอธิบายให้พวกเราศึกษาเรียนรู้จนกระทั่งพวกเราปฏิบัติได้ จนมีพฤติกรรมที่จริง ไม่ใช่มีแต่ไอเดียลิซึ่ม เป็นพวกที่มีการปฏิบัติจริง ประพฤติจริง ฝึกฝนจริง แล้วก็ได้ผลจริงขึ้นมา จนมีผลสำเร็จของชีวิต เกิดสาธารณโภคี ในสาราณียธรรม 6 แล้วก็มีทฤษฎีของวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่าย การเลี้ยงง่ายนี่แหละคือการบริหาร ที่สบายมาก บริหารโดยไม่ต้องบริหาร เลี้ยงง่าย ทำให้เจริญง่าย สุโปสะ นี่ก็คือการบริหาร เลี้ยงให้เป็นอยู่ง่าย กินอยู่ง่าย แล้วก็ให้เป็นคนมีความเจริญ ความเจริญคำนี้ไม่ใช่เจริญไปแย่งความรวย ฟู่ฟ่า หรูหรา อย่างที่ในหลวงตรัส ไม่ใช่นะ ความเจริญไม่ใช่อย่างนั้นแต่นี่คือความเจริญแบบพวกเรา เจริญที่มีพฤติกรรมกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม มีเมตตา ทั้งกาย วาจา มโน สงบ อบอุ่น สามัคคี ซื่อสัตย์ 

ถ้าจะหากลุ่มชนที่ซื่อสัตย์แล้ว อโศกนี้เป็นกลุ่มชนที่ซื่อสัตย์ที่สุด ขออภัยที่พูดความจริง แหม โลกนี้จะพูดความจริง ต้องขออภัยนะ ไม่งั้นจะหมั่นไส้กัน จริงนะ หมั่นไส้จริงๆ คนสุภาพเรียบร้อย จะพูดความจริงต้องขออนุญาต คิดดูก็แล้วกัน ทำอย่างไรได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล 


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:33:13 )

2,500 กว่าปี สัจธรรมจึงผิดเพี้ยนไปมาก!

รายละเอียด

อาตมาบอกได้จากใจจริงเลยว่า อาตมาพยายามจริงๆ ซึ่งมันเป็น“ปณิธาน”แท้ๆที่มุ่งมาด

ปรารถนา จะเห็นท่านหลุดพ้นอำนาจ“โลกียะ”ที่ผูกท่านไว้จริงๆ อาตมาสงสารท่านจริงๆ 

และก็รู้อยู่จริงๆว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ศาสนาพุทธเกิดมาเกิน 2,500 ปี ความเสื่อมมันก็เป็นไป

ตามสัจจะแห่งไตรลักษณ์ และยุคนี้พ.ศ. 2,500 กว่า ความผิดเพี้ยนมันได้เกิดได้เป็น

จริงแล้ว ยืนยัน“ความจริง”อยู่ในปัจจุบันนี้เห็นโทนโท่ ซึ่งจะนำ“โลกุตรธรรม”สถาปนาลงไปใน

กลุ่มกองผู้คนที่ได้ หลงผิดเพี้ยนไปแล้วจริง มันจึงลำบากยากเข็ญจริงๆ ก็ยิ่งเห็น“ความจริง”นี้อยู่

หลัดๆโทนโท่ ที่เป็นอยู่จริงก็มี โต้งๆเห็นๆ ในสังคมศาสนาพุทธ แม้ประเทศไทยปัจจุบันนี้ที่เป็น

อยู่กัน นี่ไง! แค่ที่พูดกันในคนไทยนี่แหละ ที่เป็นคำเดิมคำเดียวกันแท้ๆ แต่ได้หลงผิดไปจาก

พุทธธรรมกันจริงๆแล้ว และยึดมั่นถือมั่นเอาความผิดนั้น จึงเป็นความเสื่อมแล้วดังที่เห็นและเป็น

อยู่ 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 154 หน้า 137


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 10:41:20 )

3 ข้อแรกในวิโมกข์ 8 เป็นไฉน

รายละเอียด

บูชาด้วยน้ำด้วยไฟ โอ๊ยไปกันใหญ่เลย บูชาด้วยเดรัจฉานวิธี เดรัจฉานกถา ต่างๆ เพราะไม่รู้ความเป็นสัตตาวาส 9 ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักสัญญา ไม่รู้จักเวลาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติก็ต้องมี วิญญาณเป็นฐีติ มีวิญญาณตั้งอยู่ ดับวิญญาณอีก ไม่รู้เรื่อง วิญญาณต้องมีครบรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ดับรูป จะต้องมีรูปี จะต้องมีรูป แล้วเราจะเป็นรูปานิ เป็นผู้จะต้องรู้รูป ก็ไม่มีวิโมกข์แล้ว

     วิโมกข์ 2 จะต้องรู้ภายนอกภายใน อัชฌัตตัง พหิทธา ต้องรู้ต้องเห็น ต้องกำหนดรู้ทั้งภายนอกจนกระทั่งไปถึงภายในเป็นรูปจนกระทั่งถึงภายในเป็นอรูป  ก็ไปเข้าใจผิด เป็นอสัญญี จะต้องไม่มีสัญญา ทั้งๆที่อรูปสัญญี อรูปไม่ควรจะเขียนต่อกับสัญญี อรูปก็คือจาก รูปมาเป็นอรูป สัญญีคือผู้มีสัญญา รูปีคือผู้มีรูปสัญญีคือผู้มีสัญญา

     ผู้มีสัญญาต้องกำหนดรู้ตั้งแต่ภายนอก เห็นปัสสติ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอกโก พหิทธา รูปาณิปัสสะติ ไม่มีวิโมกข์ ผิดหมด สุพรรณเตวะ อธิมุตโตโหติ สิ่งที่น่าได้น่ามี น่าทำเป็นที่สุด

สุภอัณตะ เอวะ ที่น่ารักน่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นที่สุด อัณตะ   คือภาวะอย่างนั้นทำอันนั้นให้มันถูกต้อง

ให้มันเป็นอธิโมกข์ จิตจะได้ไปถูกทาง จิตจะได้โน้มน้อมเข้าหาทิศทางนิพพาน อธิมุตโต หรืออธิโมกข์ไม่มีเลย วิโมกข์ 3 ล้มเหลวหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหวังวิโมกข์อีก 4 อีก 5  4 คืออรูป 5 คือสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็เลยกลายเป็นผิดตั้งแต่วิโมกข์ 3 ก็ไม่มี ก็หลับหูหลับตาอะไรไป เสร็จแล้วก็ปั้นอากาศปั้นวิญญาณ อยู่ในภพ อรูปฌาน ไปกันใหญ่ ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นฌานลืมตา ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นพลังงานไฟเผาผลาญราคะ

     กายจะต้องมีรูปนาม ทั้งภายนอกภายใน มีธรรมะ 2 ไม่เป็นสักอย่าง กลายเป็นรูปภายนอก ตัดนามธรรมทิ้งเลย ไม่เกี่ยวกัน อ้าว เจ๊งเลย ธรรมะหนึ่งคือไปตัดตอนเค้าทิ้ง ไปหั่นธาตุรู้ไปหั่นชีวะ มันเลยกลายเป็น กายก็ส่วนนึงเลย จิตก็ส่วนนึงเลย ทำงานร่วมกันไม่ได้

ปฏิบัติก็ส่วนนึงเลย ปฏิบัติข้างนอกก็ส่วนนึงเลย คนละพวกเลย คนละหน้าที่คนละเวลา

     รูปีความเป็นรูป รูปานิผู้มีรูป ผู้ที่จะต้องเห็นรูป รูปานิ รูปีสภาพที่เห็นรูป มีรูปอันนั้นเป็นอันนั้น สัญญีมีสัญญาณอันนั้นมีการกำหนดรู้อย่างนั้น รูปคือสภาพนี้ สัญญีคือสัญญานี้  รูปานิคือผู้มีสัญญา ผู้ที่จะต้องรู้รูปนี้ เพราะฉะนั้นพอมา วิโมกข์ที่ 2 อัชฌัตตังคือภายใน อรูปสัญญี

ต้องรู้อรูปภายใน สัญญีคือผู้มีสัญญา มีความเป็นรูป ผู้มีสัญญามากำหนดรู้ ตั้งแต่รูปภายนอก พหิทธา รูปานิ จะต้องรู้รูป กับรูปภายนอก ด้วยปัสสติ ด้วยการเห็น แล้วก็ค่อยๆเห็นลึกเข้าไปหารูป แล้วก็เข้าไปหาอรูป สัญญาต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปดับสัญญา

ต้องรู้ทั้งรูป 24 เป็นรูป 28 ไม่ขาดจากกันจากรูปภายนอก 4 และรูปภายใน 24 ไม่ขาดจากกัน เป็น อิทัปปัจจยตา ปฏิสัมพัทธ์กันตลอดเวลา รูป 24 ภายนอกเขาไม่พูดกันเลย ถ้าไม่รู้จักรูป 24 แล้วจะปฏิบัติยังไง ไปหลับตาก็มีนามอยู่ในภพ รูปคุณทิ้งหมดเลย อย่างอภิธรรมก็ไปท่องกัน ไปเน้นเจตสิก จิต 89 กับ 121  อันนี้ไม่ศึกษาไม่เอาเป็นตัวอย่าง ไม่มีทางที่จะไปรู้นาม จิต 89 จิต 121 คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้เลย เพราะคุณเองมันขาดตอนแล้ว

    

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉาฯ วันที่ 13 มิถุนายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน วิโมกข์ 8 อธิบาย 3 ข้อแรก

    


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:30:33 )

3 ญาณสุดท้ายของวิชชา 8 คือเตวิชโช

รายละเอียด

ข้อที่ 5 คือ เจโตปริยญาณ 16 ข้อที่ 6, 7, 8 อีก 3 ญาณ คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ, จุตูปปาตญาณ, อาสวักขยญาณก็เป็น “เตวิชโช” ใช้เป็นการทบทวน ของเก่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อวานนี้ เราไปทำอะไรอะไรเกิดกิเลสเกิด เกิดจากเหตุอย่างไรมากหรือน้อยรู้ทันไหม รู้ทัน ทำให้กิเลสลดได้หรือไม่หรือลดไม่ได้คุณก็ตรวจสอบกิเลสมันกินเรา เจาะลึกย้อนไป 2 วัน 3 วันก็ระลึกไปมันเกิดหรือดับอย่างไร จุตูปปาตญาณ ดับได้หรือไม่ ดับสนิทหรือไม่ เกิดมากกว่าดับอย่างไร “จุตูปปาต” คือเกิดกับดับ “จุติ” แปลว่าตาย “อุบัติ” แปลว่าเกิด อันไหนตายได้ อันไหนเกิดอยู่ เหตุและปัจจัยเกิดและตาย คุณทำได้หรือไม่ ถึงขั้น อาสวะขยะ สิ้นอาสวะได้หรือไม่ นี่คือ “เตวิชโช"

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:59:54 )

3 ตระกูลใหญ่ ปัญญา ศรัทธา วิตกจริต

รายละเอียด

พวกวิตกจริตจึงวนเวียนซ้ำซากกว่าจะจบ 80 อสงไขย ศรัทธาก็ยังยาวนาน ไม่มีปัญญารู้ละเอียดลออ ถ้ามีปัญญารู้ละเอียดลออก็เร็วที่สุด ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาชมเชยตัวเอง แต่มันเป็นสัจธรรม แม้เราจะเป็นตระกูลศรัทธา เราก็ต้องมาใช้ตระกูลปัญญา จนกระทั่งคุณจะเปลี่ยนตระกูลจากศรัทธามาเป็นปัญญาก็ได้ เปลี่ยนได้แต่นานหน่อย ถ้าอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน คุณก็เอาที่เปลี่ยนตระกูลก่อนจะจบปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่คุณจะไม่เปลี่ยนตระกูลคุณเป็นศรัทธาตระกูล คุณก็ปรินิพพานได้มันก็จบเหมือนกัน หรือเป็นผู้หญิง อยากจะเปลี่ยนตระกูลมาเป็นผู้ชายก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยนก็ปรินิพพานปริโยสานได้ อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แต่โพธิสัตว์นี้ต้องเรียนรู้หมด เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย เป็นพีชะ เป็นสัตว์ เป็นจิตเรียนหมด โพธิสัตว์เรียนรู้ครบรอบหมดจึงจะมาบอกคนอื่นได้ครบ ที่พูดนี้เป็นโพธิสัตว์จริงไม่ได้เอาคำคนอื่นมาพูด เอาความรู้ของตัวเองเอามาอธิบาย อาตมาจะอธิบายโดยไม่มีอะไรมาอธิบายมันก็เละเทะ เลอะเทอะ คนฟังก็จะรู้เองว่าเป็นการสับสนวนเวียนวุ่นวาย แต่นี้มันเป็นระบบมันเป็นระเบียบ หมุนรอบเชิงซ้อนที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่พูดนี่ไม่อยากชมตัวเอง พูดไปเดี๋ยวกลายเป็นชมตัวเองมากไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:31:16 )

3 ลัทธินอกพุทธคืออะไร

รายละเอียด

ทีนี้พวกมิจฉาทิฐิไม่มีเหตุปัจจัย มิจฉาทิฏฐิ ลัทธิ 3 ของท่าน ซึ่งเป็นลัทธินอกรีต

1. ปุพเพกตเหตุวาท (ลัทธิเชื่อว่า..กรรมเก่าเที่ยงแท้) หรือลัทธิคำสอน สอนกันว่า กรรมเก่าเที่ยงแท้ ศาสนาพุทธมีส่วนเห็นว่าอันนี้ถูกอยู่ด้วย 

2. อิสสรนิมมานเหตุวาท (ลัทธิเชื่อว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่หรือเทพเจ้าเป็นผู้เนรมิตสร้างบันดาลให้) ตามเทวนิยมที่เขาเป็นอยู่อย่างส่วนใหญ่

3. อเหตุอปัจจัยวาท (ลัทธิเชื่อในสิ่งเหนือเหตุปัจจัย) ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ลัทธิอย่างนี้เดี๋ยวนี้มีอีกเยอะขึ้น พวกเทวนิยมเป็นต้น เขาไม่ถือว่ากรรมวิบากมีผลอย่างไร ไม่รู้รายละเอียดของกรรมกิริยากายวาจาใจ ไม่ได้เรียนรายละเอียดของคำว่าได้ฝึกหัดควบคุมให้กายวาจาใจของเราทำอย่างที่มีผลดีที่สุด ไม่ได้ศึกษา 

ท่านย่นย่อไว้เพียง 3 ลัทธินอกพุทธก็สมบูรณ์แบบแล้ว เดี๋ยวนี้มีหมดทั้ง 3 แบบเต็มไปหมด แล้วผู้มีศาสนาก็เป็นแบบ 2 เยอะ แบบ 1 มีน้อยแม้แต่ในพุทธเอง ไม่กลัวกรรมเก่า สั่งสมไปแล้วก็ไม่เคยแคร์ว่ากรรมเก่าที่เราสั่งสมไปแล้วมันจะมีฤทธิ์เดชกับเราบ้างนะ มีอำนาจมีผลสั่งสมเป็นต้นทุนเอาไว้มันก็มีพลัง static พลังตัวตั้ง นำพาให้เกิดพลังใหม่มีอิทธิพล ตามพลังตัวตั้ง สะสม อวิชชามาก เป็นต้น มันก็เป็นอย่างนี้ตามที่คุณถูกความเชื่อสั่งสมเป็นน้ำหนักให้ยิ่งมากยิ่งแรง ก็ยิ่งผลักดันให้คุณทำ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นมิจฉาทิฏฐิมากแรงตามที่คุณมีต้นทุน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:31:17 )

3 อาชีพของคนจนกู้ชาติได้

รายละเอียด

เรามาเป็นคนจน ชีวิตคนจนที่มี 3 อาชีพนี้แหละ เพื่อมนุษยชาติ 3 อาชีพนี้กู้ชาติได้ด้วย เพื่อมนุษยชาติได้ด้วยซึ่งคนยังเข้าใจยากอยู่ อย่างเดียวที่เขาเห็นว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรคือขยะ ขยะนี้มันจะกู้ชาติและเพื่อมนุษยชาติด้วย เชื่อไหม? ว่าขยะนี้จะทำลายมนุษยชาติต่อไปในอนาคต… เชื่อ(เสียงญาติธรรม) เดี๋ยวนี้มีก๊าซเป็นพิษ ซึ่งมันแก้ได้ยากเพราะมันเป็นขยะ ก๊าซที่เป็นพิษคือขยะแท้ๆทำร้ายมนุษย์ ขยะพวกนี้จะก่อโทษ ก่อพิษ ก่อโรคระบาดอีกเยอะแยะ ไอ้ที่แห้งก็มีพิษอีกชนิดหนึ่ง ไอ้ที่เปียกก็มีพิษอีกชนิดหนึ่ง มันฟักตัวก่อตัวทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง 

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 กันยายน 2565 ( 14:07:10 )

4 RE ในการแยกขยะจนเป็นเศรษฐี

รายละเอียด

reuse เขาไม่ใช้เราก็เอาไปใช้อีกได้

repair บางอย่างชำรุดก็เอาไปใช้ซ่อมแซม 

recycleคือ เอาไปหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่

reject มันไม่สามารถเอาไปใช้ได้อีกก็ต้องเอาไปทิ้ง

ยังจะมีการวิจัยอีกเยอะที่ต้องทำเกี่ยวกับขยะ 

ตอนนี้ทำขยะกันจนเป็นเศรษฐีกันหลายคนแล้ว เป็นคนร่ำรวยไปหลายคนแล้วโดยจัดการเรื่องขยะนี่แหละอย่างคุณสมไทย มีตั้ง 200 กว่าโรงงานขยะเผยแพร่ไปถึงต่างประเทศ เดี๋ยวนี้เป็นเศรษฐีขยะ ต่างประเทศก็มี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:48:19 )

4 คำที่มี ติปภัง คือแรงกล้า 

รายละเอียด

ถ้ารู้ว่าใครเป็นพระพุทธเจ้าใครเป็นสัตบุรุษ แต่ก่อนไม่รู้ แต่พอรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าคุณก็จะละอายที่ไม่ดีคุณเคยละลาบละล้วง คุณจะละอายมีเกรงกลัว มี 4 คำคือ 1. ละอายอย่างแรงกล้า 2. เกรงกลัวอย่างแรงกล้า 3. จะรักอย่างแรงกล้า 4. จะเคารพอย่างแรงกล้า ซึ่ง 4 คำนี้จะต้องขยายความ ความจริง ก็พอเข้าใจได้ใช่ไหม 

ละอายอย่างหนึ่ง กลัวอย่างหนึ่ง รักอย่างหนึ่ง เคารพอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกันนะ อย่างแรงกล้าทั้งนั้นเลย 

มีคำว่า “ติปภัง” คือแรงกล้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:52:29 )

4 ปีแรกยังไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย จนมีการเลือกตั้ง

รายละเอียด

เขาก็ทำมาอย่างดี เช่นกันตั้ง 4 ปีแรก จนได้รับบรมราชโองการให้บริหาร เขาก็ยังไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย เพราะไม่ได้เลือกตั้ง จนหมด 4 ปี เลือกตั้ง เขาก็โหวตให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายก ตอนนี้ก็เป็นนายกประชาธิปไตยแท้ๆ จะมาเรียกว่าเผด็จการอยู่ได้อย่างไร เป็นนายกที่ได้รับเลือกชนิดที่ ไม่ได้ไปอยู่ในพรรคไหนด้วย ไม่ได้ไปเป็น ส.ส บัญชีรายชื่อ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น เป็นคนนอก แต่เขาก็โหวตเข้าไปให้ไปเป็นนายก จึงเป็นนายกประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ทั้งกฎหมาย ทั้งพฤตินัย ของประชาชน คือนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่ยังไม่หมด 4 ปี แล้วพวกนี้ก็โวยวาย เอากฎหมายมาเล่นเหลี่ยมเล่นช่องอะไรเท่านั้นเอง นี่แหละคือนายกประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่สุด จนกระทั่งเป็นนายกคนที่ 30 ซึ่งสภาเลือกแข่งกับธนาธรมา เลือกให้พลเอกประยุทธ์มาเป็นนายก แล้วก็เป็นนายกที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ทั้งทางกฎหมายและพฤตินัยของประชาชน ในปรากฏการณ์จริง เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ที่เขาไม่อยากยกย่องเท่านั้นเอง ในโลกทั้งหลายแหล่นี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปรียบเทียบนายกฯ พลเอกประยุทธ์กับคุณทักษิณ วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2565 ( 19:04:16 )

4 วิ ที่ควรขจัดไปจากชุมชนเพื่อให้เกิดความสุขสบาย

รายละเอียด

ที่เป็นชุมชนที่มีความสุขสบาย (สัปปายะ) เช่นนั้นได้ เพราะขจัดสิ่งที่ไม่ดีเพียง 4 วิ คือ

1. วิปลาส 7 (สัญญา จิตตะ ทิฐิ / เห็น ไม่เที่ยงว่าเที่ยง, เป็นทุกข์ว่าสุข, ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน, ไม่ดีงามว่าเป็นดีงาม ผู้ที่เข้าใจชัดแล้วพ้นวิปลาสได้แล้วก็สบาย 

2. วิปริต (แปรปรวนเป็นอื่นไปจากความสงบสุข) มันฟุ้งซ่านมันกระเซ็นกระสายไป มันไม่ลงตัว มันไม่อยู่สมบูรณ์แบบ ไปจากความสงบสุข มันมีอะไรที่ทิ่มแทงอะไรที่เป็นทุกข์กระแทกกระทุ้งออกมา มันก็วิปริตไปตามฤทธิ์แรงของสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยนั้นๆ 

3. วินาศ (ย่อมพังทลาย เสื่อมไป) อะไรควรให้วินาศอะไรควรให้เสริมไปเราก็รู้จักภาวะนั้นจริงๆ จะเป็นสภาวะเป็นอาการเป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ให้มันสลายไปให้มันเสื่อมไป ให้มันไม่มีในสิ่งนั้น วินาศ

4. วิสันตโร (หาความหยุดไม่ได้ สงบไม่ได้ จึงวุ่นวายตลอด) ฟังแล้วเหมือนกับมันเสียหาย แต่ที่จริงในตัวของมันจริงๆแล้วมันมีความซ้อนอยู่ในที ผู้ที่สมบูรณ์แบบต้องตรวจสอบให้ดีจริงๆเลย วิ กับ สันตระ 

คือ จะต้องเป็นผู้ที่รู้จัก สันตะ รู้จักระหว่างความเป็นสันตะ หยาบกลางละเอียดที่ยังมีความไม่นิ่ง ถ้าเก่งแล้วจะกำหนดความสงบได้ทุกขณะ 

ที่ว่าความสงบได้ทุกขณะคือ คนเรานี้ ในเวลาหลับ เราอยู่กับตัวเรา คนที่เก่งแล้วก็อยู่สบาย จะปรุงแต่งตัวเองเท่าไหร่ก็กำหนดไป เรียกว่า วสวัตตีโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ควบคุมให้อยู่ในอำนาจได้  ต้องการปรุงแต่งน้อย  ต้องการปรุงแต่งมากขึ้น  ต้องการปรุงแต่งเต็มที่เท่าไหร่ เท่าที่มีองค์ประกอบ จะมีทวาร 5 หรือไม่มีทวาร 5 ก็ทำเท่าที่ตัวเองจะศึกษามาทำได้

ผู้ใดจะสงบขนาดไหน ก็ วิ สามารถกำหนดให้มี ยิ่ง ขนาดไหน ได้ วิ ต้องมีให้ได้ขนาดไหน หรือไม่ให้มีได้ขนาดไหนก็ทำได้ 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 10:24:48 )

4 วิ ที่จะดำรงต่อไป เมื่อทำ 8 วิได้แล้ว

รายละเอียด

เมื่อทำได้ 8 วิ ก็จะดำรงต่อไปอีก 4 วิ คือ 

9. วิสุทธิ์ (ความหมดจด) ความสะอาดสะอ้าน ความขาวผ่อง 

10. วิศิษฐ์ (เป็นเอตทัคคะ หรือ เป็นเลิศ) 

11. วิเศษ (ไม่มีสิ่งเหลือ)  เราเข้าใจในความหมาย ในพยัญชนะบอกชัดเจนว่า วิ เสสะ แปลว่า ไม่เหลือ ไม่เหลืออะไรเลย ในสิ่งที่ต้องการให้หมด ให้เกลี้ยง ให้สิ้น ไม่เหลือเลย สิ่งที่เหลืออยู่เหลือแต่สิ่งที่สุดยอดสิ่งที่ วิศิษฐ์ วิสุทธิ์ สิ่งวิเศษ สิ่งที่วิศิษฐ์ จึงเรียกว่าวิเศษ เสสะ แปลว่า เหลือ

12. วิสัย (อาศัยสิ่งที่ไม่มีแล้วเป็นความเห็นนำทาง) มีอาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย มี 4 สัยนี้ 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 10:28:28 )

4578 คืออะไร

รายละเอียด

ใครระลึกออกไหม 4578 คืออะไร คือโพธิปักขิยธรรม 37 

4 คือ  สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 นี่คือเลขสำคัญของเราตั้งแต่แรกเมื่อก่อน แต่ในยุคนี้ตอนนี้ 7 8 9 9  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 1วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 16:11:05 )

48 ปี แห่งการพิสูจน์ความจริงของชาวอโศกเป็นเช่นไร

รายละเอียด

ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงกัน ชาวอโศกตลอด 48 ปีมา โดยอาตมาเป็นต้นตอของทฤษฎีความเห็นความเข้าใจ เป็นคนที่ยืนยันได้ว่ามีศีล มีผลของศีล ไม่ใช่เป็นสีลัพพตุปาทาน หรือสีลัพพตปรามาส เป็นสิ่งที่เกิดผลที่จิตจริง ศีลข้อที่ 1 รู้ว่าสัตว์คืออะไรศีลข้อที่ 2 รู้ว่าข้าวของคืออะไร ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ไม่ได้ไปลักทรัพย์ไม่ได้เอาของของใครที่ไม่ใช่ของของเรา ศีลข้อที่ 3 สังวรระวังในเรื่องตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจสังวร กามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ใช่เรื่องเฉพาะเมถุนธรรม เรื่องคู่ผัวตัวเมียเรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าคนชาวอโศก ดูสินี่ รูปก็ดู ไม่มีสีสันฟรุ้งฟริ้ง แต่งเนื้อแต่งตัวสีสัน ธรรมชาติจะค่อนข้างมอซอด้วยซ้ำ มาอยู่ในโทนสีหมอง ไม่ได้เป็นสีฉูดฉาดจุ้นจ้านอย่างโลกเขาเลย นี่เป็นการยืนยันตามเจตนารมณ์พระพุทธเจ้าแล้ว ศีลข้อที่ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ไม่พูดปด แล้วก็ไม่มีอบายมุข ในชาวอโศกเลย นี่ก็เป็นเบื้องต้นที่พวกเรามีพฤติกรรมมีธรรมดาของการประพฤติ ของชีวิต เป็นสัมมาอาชีพ มันหยาบมันผิดโกหกตลบแตลง กุหนา ลปนา ไม่มีแล้ว ปฏิบัติเลยกว่าเนมิตกตา ถึงนิปเปสิกตา ไม่มอบตนในทางที่ผิด ชาวอโศกไม่ไปทำงานกับชาวโลก ไม่ไปรับใช้ ไม่ไปช่วยเหลือ ไม่เป็นทาสนายทุน รู้แล้วก็ไปทำส่วนตัวไม่ต้องไปเป็นทาสนายทุนโลกีย์  ยิ่งหยาบเราก็ไม่เอา นี่คือพฤติกรรมสังคมจริง ที่พูดนี่หมายความว่า อาตมาทำงานสำเร็จผลทำให้คนหลุดออกมาจากโลกีย์ออกมาได้จริงๆ แต่ทางเถรสมาคม ทำให้คนหลุดออกมาอย่างอาตมาทำนี้มั้ย มีตัวอย่างชัดเจนมีหมู่กลุ่มพฤติกรรมสังคมเป็นหมู่บ้านอย่างนี้เขาทำได้ไหม เขาทำมาเป็นร้อยเป็นพันปี อาตมาเพิ่งจะมาทำ 48 ปี ก็เห็นรูปธรรม มีมรรคผลมีบุคคลมีสังคมยืนยันเลย มีวัฒนธรรมเลย

ที่มา ที่ไป

ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 12:42:02 )

48 ปีของหลวงปู่ได้อะไรเป็นสิ่งที่ค้นพบอย่างจริงแท้

รายละเอียด

อาตมากำลังบอก อาตมาค้นพบความเป็นเทวะ 48 ปีตอนนี้อาตมากำลังพบ เทวะ ทุกสิ่งทุกอย่างจนแต้มอยู่กับเทวะ มี 2 ฝั่ง เทวนิยมกับอเทวนิยม อาตมากำลังขยายความเรื่องนี้ เทวนิยมก็มาสนใจนะ อเทวนิยมเขาก็เข้าใจไม่ถูกต้อง ชาวพุทธเป็นอเทวนิยมแต่เขาตีไม่แตกไม่เข้าใจ ก็เลยกลายเป็นยี่ห้อพุทธ แต่ความรู้ยังไม่เข้าพุทธตีแตกธรรมะ 2 ไม่ได้ แยก 2 ไม่ได้ ทำเป็น1 ไม่ได้ ทำ0 ไม่ได้ เมื่อทำ0ได้ก็จะรู้ทุกอย่าง 0ก็คือ 1 2 3 4 5 6  0ก็คือ 369 0ก็คือขยายผลไปอีกเป็น สามเส้า ต่อไปมากมายซับซ้อน ซึ่งมีระบบ ไม่ใช่เรื่องของความสับสนวุ่นวาย แต่เป็นความซับซ้อนอย่างมีระบบระเบียบ อย่างเช่น ดร.ยุค ศรีอาริยะ เขาไปเรียนวิชาเรื่องโลก ระบบโลก เขาก็เลยไปเรียนจับระบบ ตั้งแต่การเคลื่อนไหว ผีเสื้อกระพือปีก พวกคิดมากเกินไป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:46:05 )

5 ภาพแห่งความเป็นประชาธิปไตย

รายละเอียด

ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่นิจจัง แต่เป็นอนิจจัง ที่ตั้งอยู่บนฐานของ Status Quo คือสถานที่ที่ทรงอยู่ในปัจจุบันนั้นขณะนั้น แล้วอะไรเป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นประชาธิปไตย คือ 1.อิสรเสรีภาพ  2.ภราดรภาพ 3. สันติภาพ 4. สมรรถภาพ 5. บูรณภาพ  5 ภาพนี่แหละ ซึ่งมีปรากฏการณ์ของการเสียสละถ้วนทั่วของสังคม เกิดพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ที่มีพฤติการณ์จริงดังกล่าวนี้ ยืนยันได้ นี่คือความเป็นประชาธิปไตย อาจจะเป็นนิยามที่ยาวหน่อย ซึ่งองค์รวมของคำพูดคำอธิบายเมื่อกี้นี้ นิยามไปแล้ว องค์รวมของความจริงดังที่พูดไปเมื่อกี้นี้ สังคมไทย ประเทศไทยทุกวันนี้ มีจริงเป็นจริง เป็น status quo เมืองไทยเป็นตอนนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:37:28 )

5 มิถุนายน 2564 พ่อครูเกิดมาได้ 87 ปีแล้ว

รายละเอียด

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันคล้ายซ้ำที่อาตมาเกิดมา 87 ปีแล้ว อายุ 88 ปี เป็นวันเกิดใน พศ. 2564 เอา 77 ลบ 64 ได้เท่าไหร่ ก็เป็นอันว่าเต็ม 87 เริ่มต้นวันนี้  วันที่ 5 เป็นวันคลอด แม่บอกว่าตอนคลอดเห็นหลังพระกลับมาจากบิณฑบาต เห็นหลังไวๆเข้าวัด เป็นวันที่อาตมาเกิด ตรงกับแรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีจอ วันอังคาร แต่วันนี้วันเสาร์ ก็ทุกอย่างเวียนวนอยู่อย่างนั้น ในโลกก็เวียนวนกลับกาละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:02:32 )

5 มีนาคม 2558 พ่อครูประกาศตนเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

นาน กว่าจะบอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็เรียนรู้อีกหลายสิบปี มาทำงานศาสนา ก็จะพูดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ตรงๆประกาศไปทั่วก็ตอน 2558 ก็เพิ่งจะ 6 ปีเอง พูดกันเป็นกิจจะลักษณะประกาศต่อสาธารณะเลย วันที่ 5 มีนาคม 2558 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:08:06 )

5 หมวดในทฤษฎีงาน 19 ข้อ

รายละเอียด

…อาตมาจัดหมวดเอาไว้ แบ่งทฤษฎีงาน 19 ข้อนี้เป็น 5 หมวด 

หมวดที่ 1 มี 5 ข้อ (ข้อ 1-5) 

หมวดที่ 2 มี 2 ข้อ (ข้อ 6-7) 

หมวดที่ 3 มี 3 ข้อ (ข้อ 8-10) 

หมวดที่ 4 มี 2 ข้อ (ข้อ 11-12)

หมวดที่ 5 มี 3 ข้อ (ข้อ 13-15)

หมวดที่ 6 ที่เหลือ 4 ข้อ (ข้อ 16-19)

มีคนดีมีงานมีความสามารถ 

มีเวลามีโอกาสมีทุนที่เหมาะสม 

สุขภาพและกำลังดีใจรื่นรมย์ 

ช่างน่าชมขยันบากบั่นอย่างเป็นบุญ 

มีหลักระเบียบเป้าหมายชัด 

จัดสรรโครงงานแบบแบ่งงานประสานเรื่องหนุน 

ใส่ใจขวนขวายสามัคคีมีสมดุล 

ละกิเลสขัดเกลาความขุ่นกำจัดมัน 

มีความเห็นยินดีอย่างน่าทึ่ง 

เห็นจริงซาบซึ้งอย่างเชื่อมั่น 

มีสติ ปฏิภาณ ปัญญาครบครัน 

สมาธิ ฌาน อุเบกขานั้น ต้องมี

เสียสละแท้เต็มกำลัง 

มีพลังน้ำหนึ่งใจเดียวนี่ 

วิมุติเป็นพลังอย่างดี

มีเอกีภาวะจะสมบูรณ์

หายโง่ 2 ม.ค. 2564

อย่าลืมนะ “คนถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา” โศลกวันนี้ซาบซึ้งตรึงอุราดีนะ 

ที่มา ที่ไป

 เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 17:05:08 )

5 อาการคือ ผมขนเล็บฟันหนัง ใช้เป็นอุปกรณ์การศึกษาแยกกาย-จิตให้รู้แจ้งธรรมนิยาม 5!

รายละเอียด

ซึ่งส่วนภายนอก“5 อาการ” คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั้นเป็นแต่ละชนิด 

เราสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการศึกษา เพื่อเรียนรู้“การแยกกาย-แยกจิต”ให้รู้แจ้ง“ธรรมนิยาม 5”ได้อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”

ผู้ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ส่วนไหน? เมื่อใด? อย่างไร? 

ที่มันไม่ใช่“กาย”แล้ว มันเป็น“วัตถุ”ไปแล้ว 

เป็น“อุตุนิยาม” ไม่มีชีวะแล้ว 

ถ้าส่วนใดที่หลุดขาดออกไปจาก“ร่าง(สรีระ,body)”ของเราแล้ว เราก็เข้าใจง่าย ว่าส่วนนั้นไม่ใช่“กาย”ของเราแน่ 

เช่น เราตัด“ผม”ของเราขาดออกไปจาก“ผม”ส่วนที่มันยังติดอยู่กับ“ร่างกาย”ของเราแล้ว

ส่วนที่ถูกตัดขาดออกไปจาก“ร่าง”นั้นก็ไม่ใช่“กาย” มันก็รู้ได้ง่ายพอเข้าใจได้กันทุกคน ไม่ยาก ..ใช่มั้ย?

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 429 หน้า 312


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 18:48:02 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:36:09 )

50 ปี ของการประกาศโพธิกิจ

รายละเอียด

คือ จะเรียกว่า ฉลองกาญจนาโพธิกิจ ก็แปลไทยเป็นไทยอีกว่า “เฉลิมฉลองสู่แดนทองโพธิกิจ  Bodhigij  Golden  Jubilee” ตอนนี้เรากำลังเดินสู่เส้นทางการเฉลิมฉลอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 12:23:13 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 03:25:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:35:02 )

50 ปี ทำงานพาคนมาเป็นคนจนสำเร็จ

รายละเอียด

อาตมาอธิบายเรื่องความจน พาคนมาจนตั้งแต่ทำงานศาสนามาเกือบ 50 ปีแล้ว พาพวกเรามาจนกันทั้งนั้นเลย พาพวกเรามาอยู่กับคนจน จนทุกวันนี้อาตมาประกาศแล้วว่าอาตมาทำงานสำเร็จ ทำให้ประชาชนคนไทยชาวอโศกมาเป็นสังคมชุมชนมาเป็นหมู่กลุ่มที่มีพฤติกรรมอยู่กันอย่างแบบคนจน เขียนหนังสือแบบคนจนเป็นเล่มใหญ่เบ้อเร่อเท่อ ตอนนี้ก็เขียนต่ออีกยังไม่จบง่ายๆหรอก ก็เอาแบบคนจน คนที่จนได้สำเร็จ จนอย่างมีคุณภาพ ความร่ำรวยอยู่ที่ไหนในมนุษย์ ความร่ำรวยอยู่ที่สมรรถนะกับความขยันของแต่ละคน เพราะฉะนั้นกินไม่หมด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เรื่องความขยันกับสมรรถนะของคน เพราะฉะนั้นคนใดที่มีสมรรถนะและมีความขยันทำงานอยู่ สังคมที่มีคน 1. คนมีสมรรถนะของตัวเองและมีความขยันสร้างสรรค์ เป็นคนไม่สะสม เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนจน คนที่มีคุณสมบัติหรือมีคุณธรรมอันเป็นวรรณะ 9 อย่างนี้แหละ ที่อยู่ในสังคมก็จะเกิดเพิ่มขึ้นเป็น 2 คน 3 คน 4 คน 5 คน 10 คนร้อยคนพันคนก็แล้วแต่ เป็นพฤติกรรมอันเดียวมีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา เหมือนอย่างที่ราชธานีอโศก ที่นี่สร้างมายี่สิบกว่าปีเจริญกว่าหมู่บ้านข้างเคียงเยอะแยะ จนเขาบอกว่าหมู่บ้านนี้ร่ำรวย ทั้งๆที่เราบอกหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านคนจน พูดเท่าไรเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นหมู่บ้านคนจน ความเป็นหมู่บ้านคนจน หมู่บ้านจะรวย แต่คนสมาชิกของหมู่บ้านจะจน เพราะฉะนั้นถ้าขยายออกไปต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นประเทศคนจน แต่ประเทศจะอุดมสมบูรณ์ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านคนจน แต่จนนั้นคือคนนะ แต่ความมีอยู่มีกินใช้สอยเป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์อุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้เหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นได้เลย สร้างสรรแล้วก็ได้แจกจ่าย ได้ให้ ได้ทาน ได้บริจาค นี่คือหมู่บ้านคนจน หมู่บ้านคนจนจะอุดมสมบูรณ์ ดูทรัพย์สินของหมู่บ้านคนจนที่ราชธานีอโศกสิ ผลิตภัณฑ์ แจกจ่ายไป ฟักทองขนกันมากอง เก็บผลผลิตต่างๆนานา เราขยันทำก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:29:05 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:38:11 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:23:41 )

50 ปีทองคำแพง 50 ปีของโพธิกิจ

รายละเอียด

พูดมา 50 ปีนี้ถือว่าได้อธิบายอะไรครบ มีการวิจัยวิจารณ์อะไรประกอบที่มันสังเคราะห์สังขารอะไรอย่างไร จนกระทั่งพวกเราก็พอเข้าใจกันได้แล้ว จนรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อะไรควรที่จะต้องละเว้น เว้นขาดให้ได้ ตั้งแต่พฤติกรรมทางกาย ทางวัตถุที่ไม่ต้องไปแตะะต้องเกี่ยวข้องไปไกลเลย จนกระทั่งพฤติกรรมที่ควรจะแสดงออกก็เลิกมา แม้แต่ที่สุดพฤติกรรมทางใจ ที่มันยังเกิดอาการพวกนี้อยู่ เกิดอย่างเป็นสัญชาตญาณเป็นอัตโนมัติระมัดระวังไม่ทันด้วยซ้ำไป แต่มันเกิดแล้วตามสัญชาตญาณ เราก็เรียนรู้จนกระทั่งควบคุมสัญญะ ชาตะ เอ็งเกิด ก็กำหนดรู้ทัน เอ็งเกิดมาเอ็งมีผีประกอบด้วย ก็ับผีจับผีให้ทัน เมื่อจับผีทันแล้วก็มีวิธีการ อย่าให้ผีมีบทบาท หรือเอาให้ตาย การจะฆ่าผีผีตายนั้นไม่มีทางอื่นเลยนอกจากปัญญา ปัญญารู้ว่าเองเป็นผี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า เรารู้หน้าเธอแล้ว เราได้ฉีกหัวใจเธอ เธอมาสร้างอยู่ในอะไรของเรา เราเด็ดยอดเรือนของเธอสลายทันหมดแล้ว ทำลายเคหสิตเวทนาทำลายหมดเลย ไม่สามารถจะเกิดได้อีก ถาวร แน่นอน รู้ทัน เพราะฉะนั้นจะอยู่กับโลกไปอีกมีการปรุงแต่งกับชาวโลก เขารู้ไม่ทันเลยไม่รู้ครบความเป็นโลกก็ถูกโลกครอบงำเข้ามาปรุงแต่งด้วย อย่างของพระพุทธเจ้าโลกุตระเหนือโลกไม่ให้โลกเข้ามาครอบงำเราได้เลย แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราไม่อยู่กับโลก เราก็อยู่กับโลกแล้วก็ใช้โลกให้เป็นประโยชน์ ประโยชน์จริงๆของชีวิตนั้น สำหรับปัจจัยของชีวิตนั้น มี 4 อย่าง 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:25:50 )

50 ปีสิ่งที่ยากของสมณะโพธิรักษ์

รายละเอียด

คือ มีสิ่งที่ยากเป็นไปตามลำดับ  คือ อยากให้คนมีปัญญาโลกุตระสามารถมองเข้าหาตนเอง  เห็นกิเลสตัวเองแล้วลดได้  กิเลสในตัวเองได้ถูก  ปัญญานี้ก็ไม่ง่าย  ยากข้อต่อมาก็ยากยิ่งขึ้น  คือ การเลื่อนมาเป็นผู้แพ้  เดินบนเส้นทางของความเป็นผู้แพ้มากกว่าจะเอาชนะคะคาน  และข้อ 1 ข้อ 2 ก็เดินไปด้วยกัน  เมื่อตัวตนเล็กลงน้อยลง  ก็จะดำเนินไปเส้นทางผู้แพ้  คนที่ไม่มีตัวตนจะทำตัวให้แพ้ก็ได้  ชนะก็ได้เป็นผู้ผิดก็ได้  ผู้ถูกก็ได้  ยากกว่านั้นอีก คือ การมาเป็นคนจน  มารักชีวิตความเป็นคนจน  ทิ้งความร่ำรวย  ความมั่งมีออกมาสู่เส้นทางของความจน  ก็มีแต่พวกชาวอโศกที่ฟังกันรู้เรื่อง  แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการทำงาน 50 ปี  คือให้พวกเทวนิยม  ไม่ติดสุขติดทุกข์  ล้างความยึดติดในสุขทุกข์ให้หมดไปล้างเทวนิยม หมดสวรรค์  คิดว่าในศาสนาพุทธที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้  คิดว่ายากยิ่งขึ้นไปอีกงานโพธิกิจที่ทำมามีแต่เรื่องยากทั้งนั้นเลยที่จะพาผู้คนพ้นได้  ทางศาสนาเทวนิยมบอกว่าพาคนลงเรือโนอาห์แต่ของศาสนาพุทธก็พาขึ้น  นาวาบุญนิยม  มาล้างความสุขความทุกข์ให้หมดไป

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2562 ( 18:26:22 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:44 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:54:19 )

50 ปีเกิดชุมชนชาวอโศก

รายละเอียด

อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีก็เกิดชุมชนชาวอโศก เป็นอาริยบุคคล เป็นแผ่นดินพุทธมีคนที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จริง คนฟังเขาก็ไม่เชื่อ เหมือนกับอเจลกะที่มาเจอกับพระพุทธเจ้า เขาก็แลบลิ้นใส่พระพุทธเจ้า ขนาดกามนิตหนุ่ม ที่จริงมันมีอยู่ในพระไตรปิฎกไม่ใช่ชื่อกามนิต คนแต่งกามนิต ชื่อ เฮอร์มัน เฮสเส

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:22:14 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 07:10:32 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:55:35 )

50 ปีแล้วยืนยันว่าหมู่ใหญ่ผิดอย่างไร

รายละเอียด

ศาสนาพุทธเมืองไทยนั้นเสื่อมมาก จนกระทั่งอาตมามาถึงก็พยายามฟื้นฟูประกาศขึ้นมาว่าอย่างนี้มันถูกอย่างนั้นมันผิด แต่เขาหมู่ใหญ่จะเอาเราตาย มันเป็นความจริง หากเขาไม่ผิดอาตมาก็ว่าเขาถูกก็จะไม่ทะเลาะไม่ขัดแย้งกัน แต่นี่มันผิด อาตมาเข้าใจว่ามันต้องมาแก้ไขก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนี้เขาก็ต่อต้าน ก็ยืนยันชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกว่าใช่  นอกจากว่าเราผิด ก็บอกว่าถูกก็บอกว่าผิดเขาก็ซัดมาเต็มที่เลย หากเราบอกว่าถูกก็ไปด้วยกันสิ อาตมาก็ว่าเขามาเหยียบเราก็ถูกแล้ว สุดท้ายเขาเหยียบไม่ลง จนวันนี้อาตมาว่ามันจบแล้วจะเกือบ 50 ปีแล้วยืนยันว่าเหยียบอาตมาไม่ลง อาตมาก็เสียงดัง ยังว่าเขาอยู่ว่าแบบนั้นมันผิด ยังว่าเขาอยู่ โดยเฉพาะหลักสำคัญปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล เขามีที่ไหนมีแต่วินัย 227 เริ่มต้นที่ศีลทั้งนั้นแหละ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เลี้ยงลูกให้รู้จักโต วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:39:14 )

50 ปีแห่งการงานยืนยันความเป็นโพธิสัตว์ที่แท้จริง

รายละเอียด

อาตมาอธิบายธรรมะมา จนถึงวันนี้ โอ้โห จากแต่ก่อนนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่า ตนเองจริงหรือ เราเป็นพระโพธิสัตว์ จริงหรือเราจะเป็นผู้รู้ที่จะมาทำงานศาสนา แต่ก็รู้มาแต่ต้น แน่ใจมาแต่ต้น แต่ยังว่าจะยืนยันตัวเองได้อย่างไร จนกระทั่งทำมาได้ 50 ปีไม่เคยมีจิตแกว่ง จิตท้อถอย หนักหนาสาหัสอย่างไรก็ตาม อาตมาว่า ผ่านศึกมาถึงขนาดเป็นเป้าปืนอยู่บนเวที เขาก็ยิงกันเต็มไปหมด มีคนตายกันด้วย อาตมาว่า จะว่าไม่มีบารมีก็ไม่ได้นะ ที่พูดไปนะ พูดความจริงไปผ่านไปแล้ว พูดได้ ขอยืนยันความจริง รอด ไม่ใช่ปากเหยี่ยวปากกาแต่เป็นปากปืน รอดปากปืนปากระเบิดมาได้ แล้ว ยิ่งเห็นพวกเรายืนยันอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ฟังแล้วก็เอาชีวิตมา ทางโลกที่จะไปเอาลาภยศสรรเสริญ เสพโลกียสุข ไม่เอา ชัดเจน จนกระทั่งมีคนมาตอแยอาตมาว่าหลอกเก่ง หลอกให้คนมากินกล้วยหวีเดียวทำงานทั้งวัน อะไรอย่างนี้ อาตมาจะไปหลอกทำไม พวกคุณก็ปลูกกล้วยเองกินเองสิ กล้วยเต็มไปหมด ดูบนโต๊ะ มาโชว์ เขาก็โชว์กัน โชว์ความอยากได้อำนาจแย่งชิงกันเขายังโชว์กันเยอะแยะ อาตมาไม่เห็นจะต้องไปแย่งอะไรเขาเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:40:12 )

50 ปีแห่งการปฏิวัติ ปฏิรูป ศาสนาประหาร ยึดอำนาจแห่งความเป็นจริง

รายละเอียด

วันนี้ครบรอบการบวช 50 ปีของสมณะโพธิรักษ์ มาเป็นสมณะ เลิกเป็นฆราวาสมา 50 ปีทำงานมา 50 ปีโพธิกิจ วันที่ 7 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 เดือนสุดท้ายของปี ขึ้นต้นปีนักษัตรปีชวด อาราธนาเข้าสู่ปีทองคำแพงด้วย 86 ปี 5 เดือน 2 วัน อาตมา เกิดมาได้ 86 ปี 5 เดือน 2 วัน รวมเป็นเลข 7 อีกอะไรกันนักกันหนา ทำงานมาถึงวันนี้ก็ยังรื่นเริงในงาน รื่นเริงในสิ่งที่เราได้ทำ เราได้มี รีโวลูชั่น ในปฏิวัติศาสนามาได้ 50 ปี เราได้ปฏิรูปเราได้ Reform ในศาสนา 50 ปี เราได้ ศาสนาประหาร (ฝรั่งเศส: coup d’état กูเดตา) ยึดอำนาจแห่งความเป็นจริงยึดอำนาจแห่งความเป็นสัจจะ จากศาสนาที่คณะที่เขายึดเอาไปครองเสียนาน 2,500 กว่าปี ก็ต้องมายึดอำนาจเลย ได้มาได้ เสร็จแล้วก็เลยมาเป็นกลุ่มคนที่ มาชัดเจนมาเห็นจริงในสิ่งที่เราเข้าใจเราเชื่อถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างนี้เป็นของจริง อย่างนี้เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็ได้ดำเนินตามมาที่เราเชื่อมั่นเชื่อถือเชื่อมั่นว่าต้องอันนี้เอาชีวิตมาเป็นอันนี้ 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 15:10:29 )

50 ปีแห่งการพิสูจน์ความแกล้วกล้าอาจหาญ มั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจ 

รายละเอียด

ถ้าอาตมากลัวจะทำมาได้ขนาดนี้เหรอ ทำมา 50 ปีแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอาตมาไม่ได้กลัวอะไร เป็นความแกล้วกล้าอาจหาญ อาสโภ เป็นสัจจะ เป็นความเป็นจริง มันเป็นความกล้าหาญเพราะเรายืนอยู่ในความถูกต้อง ยืนอยู่ในความจริง  อยู่ในความประเสริฐ ความพิเศษ แล้วเรื่องอะไรเราจะต้องไปอ่อนแอ จะต้องไปอาย จะต้องไปเหนียม มันจะต้องไปกลัว ไม่ ไม่มีพวกก็ไม่กลัว มั่นใจเพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ เป็นสัจธรรมที่แท้ จะไปกลัวอะไร มั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า

วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 20:27:28 )

50 ปีโพธิกิจของพ่อครูสอนคนให้รู้อะไร

รายละเอียด

เริ่มต้นเราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมกันต่อ อาตมาเองทำงานมา 50 ปี ประสบผลสำเร็จในชีวิตจนได้บอกไปหลายทีแล้วว่าอาตมาขอปลดเกษียณ ทำไปก็ทำไปอย่างนั้นล่ะ ถ้าเผื่อว่า ถึงขนาดบอกว่า ขอเป็นเอกราชส่วนตัว อยากจะทำก็ทำ ไม่อยากจะทำก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นอย่าเอาตารางมาใส่อาตมา Independent ขอเป็นเอกราช แต่ก็ไม่ละเลยหรอก ที่จริงอาตมาก็ชอบสอนอยู่ ใครไม่เชื่อ! อาตมาชอบสอนนะ ใครไม่เชื่อ! เพราะว่ามันน่าสอน ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนทีไรมันเอ็นโดรฟินขึ้น เห็นไหมขนาดนี้ ปีนี้พูดได้เต็มปากว่า 87 ปี อะไรอย่างนี้ ที่จริง 86 ปี 6 เดือน ถ้าถึงวันที่ 5 มกราคมเป็น 7 เดือน 

อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสอนนี้ ไม่ใช่เพื่ออะไร ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมะของคนของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนน่าได้น่ามีน่าเป็น ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ถ้าเขาสนใจและเขามาเรียนเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ได้ ให้เข้าใจและเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้วจะเป็นคนอาริยะ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญ ประเสริฐจริงๆ ไม่ใช่ประเสริฐกึ่งๆ ไม่ใช่ประเสริฐแค่โลกียะ แต่เป็นคนประเสริฐทางโลกุตระ โลกียะก็ได้ได้คุณธรรมทางโลกีย์เต็มเหมือนกัน ศาสนาทางโลกียะทางเทวนิยมสอนความดีความชั่ว ศาสนาพุทธก็สอน เป็นสมมติสัจจะ สอนเหมือนกัน ดีอย่างไรดีเหมือนกัน สมมุติอย่างไรก็สมมุติเหมือนกัน ไปอเมริกาเขาบอกว่าอย่างนี้ดีก็ต้องปรับไปตามเขา เพราะรู้สมมุติตามโลกไม่ได้ขวางโลก อยู่ตามโลก โลกเขาว่าอย่างไรเราก็เป็นไปตามที่เขายึดถือ เขาว่าอย่างนี้ผิดอย่างนี้ถูกเราก็ทำในสิ่งที่ถูก เขาว่าอย่างนี้ดีเราก็ทำดีอย่างที่เขาว่า เขาว่าอย่างนี้ชั่วเราก็ไม่ทำ ทำด้วยตามเขา ไม่มีตัวตน 

เพราะ “ปรมัตถสัจจะ” นี่สิ เทวนิยมไม่มี ไม่ได้สอนทฤษฎีนี้ เป็นการเรียนรู้จิต เจตสิก รูปนิพพาน แล้วก็จัดการกับกิเลสในจิตจริงๆ กิเลสออกหมด หมดจนไม่เหลืออัตตาตัวตน ไม่เหลือความยึดตัวยึดตน แต่เป็นผู้ที่มีปัญญา มีปัญญาเต็ม ปัญญาไม่ใช่เฉโก ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดแบบโลกียะ โลกียะมีแต่ความฉลาดเฉโก ภาษาบาลี แต่เขาไม่ยอมใช้แล้ว เขารู้ว่าปัญญาทำความฉลาดดีกว่า เขาก็เลยเอาแต่ปัญญาไปเรียก แต่เขาไม่มีความฉลาดที่มันคือปัญญา เขาได้แต่ฉลาดเฉโก 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 07:29:41 )

500 ปี แห่งการเดินทางรับอาสาจากพระพุทธเจ้ามา

รายละเอียด

เนื้อหาโลกุตรธรรมที่ฐานบอกว่า 500 ปี ก็เป็นระยะทางการเดินทาง ที่จะใช้เวลามาตลอด อาตมาก็ไล่มาตั้งแต่ อาตมารับช่วงที่จะอาสา แล้วอาตมาก็เกิดมา จากตั้งแต่อาสาจากพระพุทธเจ้ามา ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นอะไรต่ออะไรผ่านมาจนถึงป่านนี้ อาตมาไล่เรียงไม่ได้ ระลึกไม่ออก ระลึกออกบ้างว่า อาตมาเคยเกิดเป็นใครมาบ้าง เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในประเทศไทยกี่ครั้ง เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในประเทศอื่น อยู่ในประเทศไทยกี่ครั้ง พอรู้ แต่ไม่อยากพูด เพราะอาตมาเองพูดไปแล้ว เขาก็จะค้นประวัติศาสตร์มาแย้ง แล้วประวัติศาสตร์มันเที่ยงที่ไหน ประวัติศาสตร์ของแต่ละคนเขียนคนละฉบับ เพราะฉะนั้นไม่อยากทำให้มันเกิดเรื่อง ใครจะเข้าใจ ใครจะพอเชื่อถือก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เอาสัจจะเนื้อๆเลย ไม่ต้องไปเอารายละเอียดขององค์ประกอบพวกนี้นัก พวกเรารู้พวกเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนคนที่มีปัญหาพอได้เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็มาหาเรื่องเล่นงานเรา มันก็ไม่สงบไม่สนุก มันไม่ดีก็เลยไม่ทำ เพราะฉะนั้นก็ทำเอาเนื้อสัจธรรมไปเลย อาตมาก็เลยเดินแต่เรื่องสัจธรรมไปเรื่อยๆ จะไปเอาประวัติศาสตร์รื้อฟื้นว่าอาตมาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้ เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ แม้แต่ในประเทศไทยก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาหลายช่วง แต่ไม่ต้องพูดต่อนะ แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปรื้อฟื้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 40

ปี 2564 วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 20:41:04 )

51 ปีปิดบัญชีโลกมาบัญชีทางธรรม

รายละเอียด

อาตมาก็ไปเสียเวลาอยู่แต่พอรู้ตัวก็เริ่มปฏิบัติก็ค่อยๆเข้าใจจนกระทั่งรู้ตัวเองอาตมาอายุ 36 ปีจบเลยพอรู้ตัวว่าจะต้องทำอันนี้ก็ปิดบัญชี เหมือนอย่างที่ธัมมชโยบอกปิดบัญชีโลกมาบัญชีทางธรรม ปิดบัญชีถอนหมด จนกระทั่งบัดนี้ยืนยันได้อาตมายังไม่เคยแวะออกไปทางโลกเลยมาตั้งแต่อายุ 36 ปีตอนนี้ 87 ปี ก็ 51 ปี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:36:30 )

551128

รายละเอียด

551128_เรียนอิสระตามสำนึก ณ สันติอโศก  พ่อท่านและส.เดินดิน

      ส.เดินดินเปิดรายการ ในวันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน ผ่านเหตุการณ์ 24 พ.ย.ไปกว่าสัปดาห์แต่มีควันหลง ให้คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ทั้งของค่ายรัฐบาลและนสพ.เนชั่นออกมาวิเคราะห์เจาะลึกเจาะตื้นเจาะถูกเจาะผิดกันมากมาย ซึ่งพ่อครูก็จะได้นำสิ่งที่พวกเขา แกล้งฉลาดหรือแกล้งโง่ ออกมาวิจัยวิจารณ์

ประชานที่ออกไปร่วมต่อสู้ในวันที่ 24  ที่ผ่านมาเท่าที่ได้มาให้กำลังใจพ่อครู แต่ละคนก็อยู่ในสภาพอึดอัดกันพอสมควร แต่อยากให้นึกถึงในหลวงท่านที่ทำงานมาตลอดพระชนชีพ พระองค์เหน็ดเหนื่อยมาตลอดแต่ก็มีผู้คนที่ ใช้สื่อออกมาปลุกระดมให้คนเข้าใจผิดกันมากมาย อย่างที่พ่อครูเอาบทความของนักวิชาการที่เข้าใจว่าในหลวงเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ แต่คนระดับนักวิชาการกลับเข้าใจผิดไปได้ ฉะนั้นเราคนธรรมดาหากถูกเข้าใจผิดบ้างก็ให้นึกถึงในหลวงแม้ถูกเข้าใจผิดก็ยังทรงงานอยู่ตลอดเพื่อประชาชน

ส่วนเรื่องที่ถูกเข้าใจผิดพ่อครูจะได้นำเอาบทความมาวิพากษ์วิจารณ์ เราจะได้ฟังมุมมองของพ่อครูที่มีต่อสื่อมวลชน

ขอแจ้งว่าวันนี้วันที่ 30 เรื่องที่จะแจ้งเรื่องแรกคือเรื่อง ว.บบบ. ผู้ที่จะเข้ามาสู่ภาวะความเป็นบัณฑิต ปี 2555-56 นี้ เป็นครั้งที่ 2 เป็นรุ่นที่สองของ ว.บบบ บรรดาฯ เราจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราไม่มีเวลาแล้ว บอกกันให้ทราบทั่วกัน ผู้ที่ได้ดูก็บอกแจ้งกันด้วย ยื่นใบสมัครที่สมณะประจำพุทธสถานชาวอโศก  กท.ม สมัครที่ ส.ซาบซึ้ง ปฐม ส.กรรมกร ศาลี ส.ลือคม สีมา ส.ดินทอง สครวโร ศรีษะ ส.ถ่องแท้ ราชานี ส.ห้าไท  ภูผาฯ ส.บินบ สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ ที่ส.แก่นผา สังฆสถานทะเลธรรม ส.นาไท อิสสรชโน เปิดรับสมัครตั้งแต่พรุ่งนี้ถึง 25 ธันวาคม 2555

งานเราเริ่ม 28 ว.บบบ.รุ่นที่ 2  วันที่ 123 ม.ค. บำเพ็ญธรรม สี่วันแรกบำเพ็ญคุณ  ส่วนรายละเอียดจะได้บอกในวันอื่น ให้เตรียมตัว

บอกไปทางอากาศว่าหนุ่มที่ทำเหรียญเสร็จแล้วให้นำมาให้ อีกไม่กี่วันพ่อครูจะไปราชธานีอโศก จนถึงปีหน้าจึงจะได้กลับมา

มีเรื่องที่พ่อท่านต้องขอแจงเรื่องหนึ่งก่อนคือ พ่อท่านได้พูดถึงความหมายของคำว่าอำนาจไป วันนี้ได้ฟังเรื่อง อ.จุฬส ได้อธิบายความหมายของคำว่าอำนาจ มีคนฟังพ่อครูแล้วเกรงว่าพ่อครูจะบรรยายผิด .....มีในเฟซบุค

 พ่อครูได้อธิบายกันให้ชัดๆอีกทีหนึ่ง คือคำว่า force คืออำนาจที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่บังคับ ยัดเยียด....ใน เฟซบุ๊ค

วิชาทางจิตวิทยากับทางรัฐศาสตร์อาจต่างกัน ที่จริงพ่อครูได้คำว่าฟอซกับออโทริที้ ก้ได้มาจากนักรัฐศาสตร์ ดูว่าโก้ ก็บอกกันตามจริง เพราะฉะนั้น เป็นภาษาทางรัฐศาสตร์ ในทางจิตวิทยาจะใช้ ออโทริที้ว่าเป็ฯเผด็จการ ถ้าไม่ติดยึดภาษาก็เข้าใจได้ตรงกัน

ซึ่งพ่อครูก็จะอธิบายทางจิตวิทยา อย่างพระพุทธเจ้าท่านมีอำนาจออโทริที่เต็มที่อ่านออกกม.เอง ทรงมีอำนาจนี้ ท่านเป้ฯผู้สร้างองเ ออโท นี่แปลว่าผู้สร้างจนได้สิ่งนี้ ผู้ที่มีความจริงจนได้อำนาจสูงสุด เพราคนเขายกให้เคารพยกย่องสูงสุด นี่เป็นอำนาจทางธรรม สร่างจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง ไม่ได้สับในอะไร บางคนหาว่าพ่อท่านมั่ว ปนเปเละ ก็ไม่ได้ถือสาโกรธเคืองอะไร ที่มาวาบางที่ เอส เอ็มเอส มาว่า พูดไม่รู้เรื่อง เพราะเขาจับความเข้าไปถึงเนื้อหาสาระไม่ได้ จึงหาว่าพ่อท่านพูดไม่รู้เรื่องก็ต้องขออภัย พ่อท่านมีอัตะ ธรรมะแล้วใช้นิรุติปฏิภาณ แสดงออกมายาก เพราะในปางนี้ไม่ได้ศึษาเล่าเรียนตามที่เขาเรียนกัน มันก็เลยไม่ได้มีภาษาที่เขามี่กัน แต่ก็พยายวมกัน ออโทริที้ ก็เป็นอำนาจ อย่างสูงสทส่กว่าอำนาจเผด็จการแบบฟอซ นัยยะเป็นการเบ่งข่ม เป็นเด็จการแบบอวิชชา แต่นี่เป็นอำนาจแบบวิขขาเพราะเขายกให้บูชานับถือ อันนี้คือความสูงตำ ผู้ที่มีคูรสมบัติดีจริงเป้นความขอบธนรรนม

เสมอภาคนี่เป็นความที่ท่านไม่ถือตัว ท่านก็วางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสม และผู้ที่เข้าใจแบบแข็งๆว่าความเสมอภาคนี่เป็ฯความเสมอภาคที่โดยจิตสติปัญญาที่ยอมรับ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้ามีศีลสามัญตาทิฐิ จะใช้ว่า โสนดาเมอโสดา แต่โสดาจะไม่เสอมกันสกิทา เราเคารพกันด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ สมุติกติกา แต่งตั้งเช่นคุณสุรพจน์นี่ย้อนแย้งมาอีกว่า ความเสมอภาคที่พ่อท่านอธิบายเมือว่านนี้ไม่ถูก ท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่เข้าคำว่าทุกคนเป็นคนเหมือนกัน

ซึ่งพ่อท่านเข้าใจได้ว่าคนเรามีความเป็นคนเหมือนกันแต่ก็มีคามรู้มีปรมัตถ์ไม่เท่ากัน แล้วไปเที่ยวทะเลาะเพราะฉะนั้นคนที่มีภูมิรู้ในปรมัตถ์จะเข้าใจ พ่อท่านไม่ได้อ่างว่าตนดีกว่าคนอื่น ให้คนมาเคารพเขาก็มาเคารพเอง พ่อท่านก็ไว้ตัวพอสมควรในฐานะที่ควรเป็น เป็นสมณะสารูป ก็มีจริง คนที่มีปัญญาจะรู้จักคุรุกรณะ รู้จักสูงตำที่จะยกให้ จะนับถือคนมีคุณธรรมสูงต่ำ จะยอรับว่าตนมีคุณธรรมไม่เท่าท่านจริงๆ

คุณสุรพจน์จะแย้งว่าเป็นคนเท่ากัน ไม่เถียงหรอก หรือจะเข้าใจว่าเป็นสัตว์โลกเหมือนกัน เป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน

ผมเถียงในฐานะที่.....ผมเจอท่านสมณะโพธิรักษ์ผมก็ยกมือไหว้ ทุกคนมีความเสมอภาคในการแสดงออก

ก็จริงทุกคนมีความเสมอภาคในการแสดงออก แต่ก็มีมารยาทสังคมที่มีการเลือกให้แสดงออก แต่พ่อท่านเชื่อว่าคุณสุรพจน์เข้าใจละเอียดหมด จะพูดไปก็เหมือนเป็นการแย้งไปเท่านั้น ก็จบการแย้งในส่วนนี้เพียงเท่านี้

เรามาวิพากษ์เผื่อคนที่เข้าใจไม่ละเอียด ให้เกิดความรู้ ส่วนผู้ที่รู้แล้ว และที่จะตั้งใจเอาชนะ ก็จะเถียงต่อ ส่วนทีผู้ไม่อยากเอาชนะคะคานก็จะไม่ต่อ

มีเรื่องที่คุณสุรพจน์ว่ามาหลายอย่าง ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้มากหากมีเวลาก็ค่อยมาพูดกันอีก

ส่วนเรื่องต่อไปก็จะเอาที่หนังสือพิมพ์มติชนและเนชั่นเขียนวิพากษ์วิจารณ์

เสธ.อ้ายไม่ได้ตายแบบสูญเปล่า ของเทพชัย หย่อง ในนสพ.เนชั่นรายสัปดาห์.....

การใช้คำว่า แช่แข็งประเทศ กับคำว่า  แช่แข็งนักการเมือง เป็นภาษาที่ส่อให้เห็นเจตนาของผู้ใช้ภาษานี้ทั้งที่รู้ความหมายของคำทั้งสอง

ในมติชนสุดสัปดาห์ ...ได้แสดงความเห็นว่าทำไมเสธ.อ้ายถึงเลิกการชุมนุม .....

การเป็นนายกสมาคมมวยกับการเป็นประธานองค์การพิทักษ์สยามอันไหนให้ประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่ากัน ซึ่งทำไมคนจึงเห็นว่าการเป็นนายกสมาคมมวยจะให้ความสุขกับประเทศมากกว่างานการเมือง พ่อท่านก็เห็นว่าประทเศไทยคงยากที่จะพัฒนาทางการเมือง ถ้าระดับผู้ที่ให้การสื่อสารจะสมคล้อย

พ่อท่านเป็นนักธรรมะที่อยู่กับสังคม ไม่ใช้นักธรรมะที่อยู่ป่าไม่สนใจสังคม ธรรมะนั้นมีเบื้องต้น ท่านกลางบั้นปาย  ให้ล้างอบายก่อน เช่นมวยนี่เป็นอบายมุข เพราะฉะนั้นในวงการศึกษาวิขาการยังแยกไม่ออกตว่าอบายภูมิคืออะไร เช่นการชกมวย จะมีศิลปะบ้าง ก็ไม่เท่าไหร่ แต่เอาไปเป็นอาชีพนี่ไม่ได้ เป็นอบายมุข สิ่งที่เป็ฯอบายมุขเอาไปเป็นอาชีไม่ได้ การบันเทิงเริงรมณ์ เช่นกังนัม นี่อบายมุขข้ามโลกเลย ก็เอาเข้ามาในไทย

พระพุทธเจ้าท่านศึกษามาเป็ฯล้านๆชาติ พ่อท่านก็ศึกษาตามแนสวพพ7ง ไม่ได้ไปศึกษาในตำราใด จึงเข้าใจว่าพฤติกรรมอนุษย์อะไรต่ำอะไรสูงอะไรควรลดละตามลำดับ จะได้เจริญไปตามลำดับโสดา สกิทา  แต่พุทธในไทยเป็นฤาษีหนีดับลงโลกันต์ไม่ได้เข้าใจว่ากิเลสคืออะไร

 

พ่อท่านไอ สังคมยังเข้าใจอบายว่า เสธ.อ้ายควรไปอย่างนั้นเป็นชื่อเสียหรือื

ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ารู้รอบ รู้แจ้งโลกทุกขนาด ทุกสมัย แต่ละแบบ แต่ละสังคม จะรู้ส่วนต่ำ สู่ง แล้วรู้สังคม แล้วช่วยโลก เพราะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะมีโลกุตระจิต จะมีจิตอัปมัญญา เป็นจิพระเจ้า แล้วช่วยคนเป็นโลกานุกัมปายะ ไม่ใช้ว่าไม่ช่วยสังคม ไม่ดูดำดูพดาย ถ้าสำเร็จอรหันต์แล้วต้องไปช่วยสังคม เมื่อบรรลุ อรหันต์ 60 รูป ก็บอกว่าให้ไปเข้าเมือง ไม่ได้บอกว่าไปป่า จะได้ให้คนไปตามหาอาจารย์ในป่าแต่ส่งไปในเมือง แล้วคำแรกที่ตรัสคือโลกกานุกัมปา เพราะอรหันต์นั้นมีโลกะวิทูรู้โลก รู้จักสังขารโลก ที่จะช่วยตามภูมิปัญญา แต่จะช่วยได้ไม่เท่ากัน แต่เท่ากันที่กิเลสหมดเหมือนกัน นี่คือความเสมอภาค ขนาดพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ขี้กะโล้โท้ก็เท่ากันแต่ความสามารถไม่เท่ากัน แล้วจะไปปฏิเสธว่าเท่ากันหมดไม่ได้ เพราะความเท่ากันมีนิดเดียวก็คือกิเลสหมด แต่ความไม่เท่ากันมีมากมาย มันโต่งเกินกว่าสัจจะที่มันเป็น เช่นผู้หญิงผู้ชายะนี่ไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นปัญหาทั้งโลกเถียงกันคอจะแต่พระพุทธเจ้าจะเข้าใจชัดเจนว่า ผู้หญิงจะไม่เท่าผู้ชายแต่มีสิทธิ์จะเท่ากันคือเป็นอรหันต์เท่ากันได้

อันหนึ่งที่ดีในไทยโพสท์คือคำพูดเสธ.อ้าย ผมไม่ใช่คนที่ ....ผมน้อยใจผมไม่อยากทำงานร่วมกับกองทัพอีกทหารไม่มาช่วยประชาชน ถูกตำรวจรังแก ....ต่อไปชุมนุมต้องมีอาวุธสู้มือเปล่าไม่ไหว จะเอาแบบนั้นหรือ?

ผมแค่ขอให้ทหารมาคั่นอย่าให้ตำรวจทำร้ายปชช. ผมกลัวว่าจะมีใครอะไรเข้ามา...

เสียใจนะทหารไม่ออกมาช่วยปชช.เลย ไม่ยอมรับสาย บางคนก็หนี เสียใจยิ่งกว่าทำกบฏอีก มันเสียใจน้อยใจเจ็บปวด ..
นี่แสดงว่าเสธ.อ้ายไม่ได้มีการตกลงกับทหารไม่ออกมาปฏิวัติ ก็พูดออกไปหมด ถ้ามีการสืบสวน ก็บอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มี

หมายความว่า....ต่อไปข้างหน้าเสธ.จะให้เอาอาวุธออกมาชุมนุม ซึ่งพ่อท่านไม่เอา เพราะการชุมนุมมีอาวุธไม่ใช่ประชาธิปไตย ผิดกม.ด้วย ซึ่งพ่อท่านได้เรียบเรียบเจตนารมณ์จะบอกในภายหลัง

เสธ.อ้ายเป็นคนตรงคบง่าย ที่พูดว่าต่อไปชุมนุมต้องมีอาวุธ สู้มือเปล่าไม่ไหว? จะเอาแบบนั้นไหม? ก็มั่นใจว่าเสธ.อ้ายจะไม่ทำแบบนั้น แต่จะรับรองก็ไม่แน่

แต่จะบอกเจตนารมณ์ของชาวอโศกหรือกองทัพธรรม อย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจคืออะไร.....

จะเป็นไปได้ยากปานใด เราก็จะทำ จะมีผู้เห็นดีเห็นด้วยเท่าใด เราก็พอใจเท่าที่ได้... เราไม่หวังว่าจะได้มาเป็นที่ตั้ง

 เพราะคนที่จะมีความสนใจมีความกล้ามีภูมพอจะรับคุณธรรมขั้นโลกุตระนี้ได้ มนไม่ธรรมดาสามัญทั้วไท เราไม่เคยยึดมั่นหรือมุ่งเอานะเลย เราะกรนะมี 2 อยาง

1.ชนะตามแบบ ฟอซ คืออำนาจที่มีลักษณะเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด อันเป็นอำนาจที่เราไมม่ทำอยู่แล้ว มันไม่ใช้โลกุตระ

2 ขนะแบบออดดทริที่ เท่ากับ ไร้ทเพรวเอร์ชนะเราเพีของหใชนะ คือมีบุคคลในสังคใมในประเทศเกิดสติ ปัญญา มีความขอบธรรมเมจำนวนขึ้นให้แก่ประเทศ ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้หวังดังที่คนทั้งหลายคิ

 

ซึ่งเหตุการณ์ที่เราได้เข้าไปร่วมนี้ ก็เป็นตัวชี้บ่างว่าคนอึดอัด ในภาวการณ์บริหารของรัฐบาลขณะนี้ มีจริงเป็นจริง คนที่ออกมานั้นทนไม่ไหว จึงออกมามากเกินคาด เพราะเราไม่ได้ให้

ต้องยอมรับว่าเขาเก่งวิชามาชนิดที่เก่งฉิบหาย กระนั้นฝูงชนก็ออกมามากแป็นประวัติการณ์แต่ก็ย้งไม่มากพอที่จะทำให้รัฐฐาลบอมรับว่าเป่นเสียงของประชาธิปไตย

ใครจะหาว่าเราสุดโต่งเราเพ้อฝัน

ใครมาร่วมกับเราก็พาทำ แต่ในมวลกทธ ก็ไปปฏิบัติธรรมะ ไปพยายามทำเช่นนั้นมา จะกี่ครั้งที่ผ่านมาให้ประชาชนได้เห็นได้รู้ เราบอกความจริง แล้วปฏบัติเช่นนี้ อาจมีบกพร่องบ้าง แต่ก็ไม่มีหยายบมา และตั้งใจจะให้ดีขึ้น ผู้ใดเห็นควรก็ชักชวน ก็ไม่ใช้ลากดึงกันหรอก เพระประชาธิปไตยต้องอาศัยมวล ประชาธิปไตยคือการออกมาชุมนุมแสดงมวล เพราะนี่พ่อท่านถือว่าเป็นพฤติกรรมหน้าที่ของปวงชนในระบอบประชาธิปไตย ทุกคน ยกเว้นผู้ที่มีเงื่อนไขว่าออกมาชุมนุมไม่ได้ ในกม.ลูกน้อย นกม.หลักให้สิทธิ์ออกมาบุมนุมหมด ที่ต้องถูกห้ามตามกม.ลูกก็เล็กน้อย แม้บางคนมีกม.ลูกห้าม แต่ก็ออกมาชุมนุมได้ เช่นผู้ที่หมดสิทธิ์ไปเลือกตั้งแต่ออกมาชุมนุมได้ 

ก็ขอลงลึกถึงธรรมะที่พ่อท่านพาทำนี่เป็นการปฏิบัติธรรม ยืนยันว่าท่านที่ไปต้านไม่ให้ศาสนามายุ่งการเมทือ

เป็นความเข้าใจผิด ธรรมะคือสิ่งดีงาน คนมีธรรมะจะต้องมาทำดี คนพาลไม่มีธรรมไม่ควรมายุ่งนั่นดีแล้ว แต่คนดีมีศีลต้องให้มาช่วย เป็นสิ่งที่ควร ไม่ใช่สิ่งที่น่าดูดาย แม้ในรธน.ก็ระบุไว้ถึงหน้าที่ของทุกคน

ซึ่งเป็นเรื่อสีจจะที่ถูกต้องดีงาม ถ้าผ้ใดเข้าใจว่าธรรมะไม่ยุ้งการเมือง จริงๆผิดธรรมนูญอยู่นะ อย่างมาตรา 63 ควรแล้วนะแต่ก็ไม่ทำ

อาจเรียกว่าจารีต ตามหลักกม. หลักนิติรัฐ นิติธรรมก็แล้วแต่ ถ้าคนที่มี่ภูมิปัญญาก็จะอฟอกมาช่วยกัน ที่ใช้คำว่าจารีตมาเกี่ยวนี่ เรี่องของการชุมนุมนี่ คุณสุรพจน์เรียกว่า อำนาจจารีต คำว่าจารีตคอืพฤติกรรมขอบคนในสังคมไม่ใช่คนเดียง จารีตประเพณี ขนบ จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว หรือเป็นพฤติกรรมประจำเป็นขนบ เกิดจากอบรมบ่มเพาะ ประพฤติสั่งสมอย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันเสื่อมก็ไม่เรียกว่าวัฒนธรรม เป็นจารีตปรเพณีได้ แต่เป็นจารีตประเพณีเสื่อมๆ แต่วัฒนธรรมจะมีแนวโน้มทางเจริญ แต่มันก็มีเสื่อม เช่นวัฒนธรรมการเมือง ที่จริงไม่ใช่วัฒนธรรม ท่านพุทธทาสเรียกหายนธรรม พฤติกรรมของนักากรมืเองที่ประพฤติเหมือนกันหมดเลย จนเป็นแรงเป็นอำนาจจารีตทางการเมืองเกิดจากจิตวิญญาณเขาเข้าใจอย่างนั้น แล้วก็เจตนาทำออกมาเป็นพฤติกรรมสังคมที่เรียกว่าการเมืองในขณะนี้เป็นพฤติกรรมเลวร้าย อำนาจจารีตทางการเมือง เช่นจารีตในการลงคะแนนเลือกตั้ง กม.ก็ถูกต้องดีอยู่ แต่การประพฤติแย่แล้ว หาเสียงน้ำเน่า ผิดกม.หลายอย่างเลวร้ายแต่ก็ยอมรับ จารีตขนบนี้ว่าเป็นปชตง พ่อท่านยอมรับไม้ได้ไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วเขาก็มาคุยโม้ว่านี่เป็นประชาธิปไตยเหลวไหลจริง ยิ่งเอามาประกาศในสังคมยิ่งน่สาสังเงช ที่สังคมเรามีสถานะทางการเมือยอยู้คืนี้ แล้แวก็หลงใหลว่าการเลือกตั้งนี้ยิ่งใหญ่

เพราฉะนั้นต้องเกิดจากความเข้าใจที่ถูกต้เองเป็นสัมมทิฆฐิก้นอ จะออกมาเป้ฯสัมมา ถ้ามทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่านี่คือประชาธิปไตย จะเรียกจารีตประเพณีวัฒนธรราอข่างนี้ยังจะยอมรับกันอีกหรือ ที่เสธอ้ายพูดว่ายะข่าแข็งนกม.

ในการอภิปรายในสภาก็เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ก็มันเป็นอย่างนี้จึงต้องแช่แช็งนกม. เขาก็รู้อยู่ว่าเป็นความหมายเช่นนี้ แต่ก็ใช้วาทะกรรมว่าแช่แข็งประเทศ

ถ้าเราสามารถมาทำหน้าที่ออกมาชุมนุม พ่อท่านก็นึกว่ายังไงๆก็ไม่ได้หรอกล้านคน แสนคนก็หืดขึ้นคอ แต่ก็นับกันไป ตกคณิตศาสตร์กันเลย พ่อท่านว่าคนมาวันนั้นมากกว่ามาสนามม้า ถึห้าโมงก็ยังหลั่งไหลมา ถูกต้านกันกันก็มาก ก็ทำลายนสถิติกันพอสมควร ก็ห้ารกศึกษากัน

ในมาตรา 63 เรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจาฃกอาวุธ การกำจัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่อาศัยกม.ในกรณีการประกาศสถาณการณ์ฉุกเฉิน

พ่อท่านว่ามามากว่า 28 ตุลาฯ มากกว่ามากเลย ทำไม่ต้องพูดถึงจำนวน เราเรียกกันว่าเสียงสวรรค์ เพราะเราไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้บีบบังคับ ไม่ได้ใช้วิชามารเลย จะว่าเสธ.อ้ายไม่มีคะแนนจัดตั้งเลย จะมีก็แต่จากากรชุมนุมครั้งที่แล้วชาวอศำกยังมีจัดตั้งบ้างแต่ชาวอโศกมีไม่มาก

ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ยืนยันว่าประชาธิปไตยเป็นการบริหารปกครองที่ดีที่สุด ยังมีคนลังเลสงสัยอยู่ จะดีทีสุดถ้าทำตามแบบประชาธิปไตย เอาปชชเป็นตัวตั้ง พระพุทธเจ้าเอาปชช.เถป็นตัวตั้งแต่ท่านร่างรธน.เอาไว้ก่อน นี่คือออโทริที่ พระพุทธเจ้าท่านร่าง รธน. แล้วท่านตายไป ท่านไม่ให้ตั้งใครเป็นใหญ่ นี่คือความยืนยนว่า พุทธศาสนาคือคปชตงอยู่ใต้ รธน. ทั้งธรรมแลวินัย วินัยคือกมท.อาญา เมื่อมีลักษณะไม่ตั้งใครใหญ่กว่าพุทธรรมนูญ ก็เป็นลักษณะเดียวกัย ประชาธิปไตย

ลักษณะพวกนี้เป็นเรื่องยืนยันประชาธิปไตยเป็นการให้สิทธิปลดแอกมนุษย์ตั้งแต่ยุค 2600 ปีท่านปลดแอกควารมเป็นทาส สำเร็จด้วย วิธีจะบริหารว่าความตัดสิน ล้วนแล้วแต่อยู่ในหะลักปตช.สากล ศึกษาให้ดีจะพบว่าพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ในโลก แต่ภาษาไม่ ปชตงท่สูงสุดคือธรีรมธิปไตย คือคือคนประเสริฐ ผู้ที่ความนุจคิตธรรม คือคุณธรรมที่เป็นหบักเกณฑ์ทฟษฏีสุ.สสุดคือคนเป็นอรหันต์ ผู้ที่เป็นอรหันต์จะเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง อยู่เนหือโลกธรรม หมดสุขทุกข์กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มีแต่สุขกลางๆเฉยๆ รู้ความจริงตามความเป้นจริง ไม่ได้มีเคหสิตเวทราตามคนโลกที่ยังมิวิชช แม้ตแต่เศษสุดท้าย

คนที่ได้ปกิบัติแบบนี้จนรวมเป็นพฤติกรรม ในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 นี่เป็นคนที่สูงสุดแล้วถแป็นคนที่มีคุณธรรมนี้เต็ม มีสาราณียะ เป็นคนที่จะรู้สัมพันรู้ช่วยเหลือเกื้อกูล รู้กิจที่คตวรท จะเอาใจส่เพื่อนสหธรรม ตามที่ควรเป็น คนที่อยูใกล้ไก มีคามรัก ปิอยกรณะ รักกันสัมพันกันอย่างดี ไม่ใช่ว่าแยกปลีกเดียว หลุดขาดไปจากสังคม ไม่ใช้ อยู่ด้วยแต่จิตเหนือมีพลังปัญญาอนวัชชสังฆห ทีจพลังที่พันภัย 5 แบ้วซึ่งเป้ฯคณสมบัตขงมนุษย์ ในคนที่ศึกษาบทเรียนของพระพุทธเจ้า จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติ 7 ประการนี้ แม้เราจะอยู่กับคนที่มีอบายมุข เราก็ไปข่วขยเชาขึ้นมา เท่าที่เรามีความสามรรถ มีความรัก ปรารถนาดีต่อกันไปช่วยหัน ถ้าไม่มีความรัก ไม่มีจิตใจเมตตาต่อกัน ครุกรณะท่านเป็ฯคนที่สูงสุดแตก็มีความเคารพแม้ในสมมุติ ทั้งเคารพในภาวะจจริง ก็เคารพกันด้วยความรู้วความจรงิใจ เสมอสมานกันเรียกว่าสมานนัตตตา แปลง่ายๆว่าสมานอัตตา และมีสังหฟะ คนที่ช่วยตังเองรอดแล้ง ก็มีพลัง4 เป็นการงานที่ไม่มีโทษ มีคยามขนยันหมั่นเพียร เป็นแรงกำหลังเป็นอำนาจ เอ็นเนอยี่ขอจิตวิญญาณที่ทำงานจริงทาง วาจากัมมันติ อาชีวะ เป็นอาชีพที่ไม่ต้อง มีสังฆหะเกื้อกูลกัน อย่างมีพลัง ไม่ใช่เพื่อหมู่ตัวเอง หรืออย่างเสียไม่ได้ ใครเกื้อกว่างออกไปเมื่อถึงวาระก็ทำ ไม่วิวาท พร้อมเพรียงกัน มีเอกภาพ

สรุปว่ามันมีครบหมดนี่คุณธรามพระพุทธเจ้า เราเป็นเมืองพุทธพากเพียรไปเถอะนี่แหละแดนศวิไบฌวชั้นที่ทั้งโลกต้อการ

วันนี้เราคงเข้าใจ พ่อครูให้คำจำกัดความ ธรรมธิปไตย คือประชาธิปไตยโดยชอบธรรม ที่พ่อครูออกไปติ้องการปชชที่มีสติปัญญามีความชอบธรรม ซึ่งตำรวจพยายามหาความไม่ชอบธรรมของปชช .ที่คุณแซมดิน บอกว่าทุกวิถึทางตำรวจพรยามให้เกิดความไม่ชอบธรรม ให้ควบคุมไม่ได้ แม้อารมณ์จะคุกรุ่นด้วยความไม่ขอบใจ ซึ่งสามารถตกลงให้ยุติการชุมนุมด้วยความสงบ ต่างจากการชุมนุมของเสื้อแดง

เจตนารมร์ที่พ่อครูประกาศวันนี้ ที่ต้องการคือให้บุคคลในสังคมประเทศ ให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เพียงพอแล้ว ที่ออกไปไม่ได้ขาดทุนหหรอเพาะมีคนเข้าใจเพิ่ท พ่อครูบอกว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยนี่สวยงามที่สุดแล้ว ต่างจากในต่างประเทศที่จะต้องตีกันแล้ว

ที่มา ที่ไป

551128_เรียนอิสระตามสำนึก ณ สันติอโศก  พ่อท่านและส.เดินดิน


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 13:33:23 )

551129

รายละเอียด

551129 สงครามสังคมธรรมะการเมือง โดย พ่อท่าน ที่ห้องกันเกรา สันติอโศก เรื่อง ลึกซึ้งเพียงใดประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์

วันนี้เรื่องที่จะพูดก็เป็นเรื่องต่อเนื่องที่คุณสุรพจน์ ทวีศักดิ์ เขียนลงในเว็ปประชาไท เอามาวิจัยวิจารณ์กันให้เกิดองค์ความรู้ ขอบคุณต่อผู้แสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะความคิดเห็นของสังคมส่วนรวมในการวิจัยวิจารณ์สังคมนี่มันเป็นเรื่องดีเราอยู่ในสังคมก็ควรมีส่วนร่วม แม้แต่การวิจารณ์ เราก็ต้องทำตามความปรารถนาดี ถ้าปรารถนาร้ายก็ไม่ควรทำ ถ้าเราความปรารถนาดีต่อกันก็วิจัยวิจารณ์กันได้ อาจจะเห็นกันคนละข้างคนละขั้ว แม้แต่บางคนมีจริตแรงก็ตาม แม้แต่อาตมาก็มีความแรง จริงจัง แข็ง ไม่ค่อยอ่อนไม่ค่อยนิ่มเท่าไหร่  ที่จริงอาตมาก็ไม่ได้มีบุคลิกอย่างนั้นหรอก แต่ถึงเวลาวาระที่จะต้องแสดงออกถึงสิ่งที่จริงจัง ต้องยืนยันยืนหยัดเรื่องราวสิ่งที่จริงจัง ก็จะบรรยายแรง ซึ่งถ้าธรรมดาพ่อท่านก็จะบรรยายออกจะยืดยาดช้าไปเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงเวลาเป็นโวหารที่ต้องแรงต้องผ่า ก็ต้องทำ มีคนวิจารณ์ว่าแรง จริงสำหรับผู้ที่มีความรู้สึกรับไว ก็จะกระทบหวั่นไหวไว ก็อาจจะรู้สึกว่าแรง ก็ต้องขออภัยด้วยไม่ได้มีเจตนาร้าย อันนี้เป็นเรื่องลึก อาตมาพูดอย่างจริงใจว่าที่ทำงานทุกวันนี้ไม่ได้มีความปรารถนาร้ายมุ่งร้าย ไม่มีจริงๆ เป็นความมุ่งดีปรารถนาดี บางครั้งต้องมีการตำหนิ ติเตียน เป็นเรื่องที่ต้องกำหลาบ ต้องข่ม เป็นลักษณะเช่นนั้นจริง ๆ ก็ต้องทำตามลักษณะจริงนั้นๆ มันก็เลยดูเหมือนว่ารุนแรง ถ้าคนที่ถือดีถือตัว มีความผิดในตัวเอง พอ อาตมาไปวิพากษ์ไปตำหนิกำหลาบก็เลยดูเหมือน มีอาการไม่ชอบใจมีอาการปวดเจ็บขึ้นมา แม้จะรู้ว่าตนผิด ก็จะถือสาขึ้นมา ยิ่งนึกว่าตนไม่ผิดด้วย ก็จะรู้สึกมีแรงสะท้อนตอบที่ไม่ชอบใจแรง

เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่อาตมาเรียนรู้อาการของจิตเจตสิก เรียนรู้อันนี้จริงๆ เกิดจากต้นเหตุคือ โลภ โกรธ หลง ต้องเรียนอ่านให้เห็นจริงอย่างหยาบ กลาง ละเอียด อย่างแรงอย่างแข็ง ก็ต้องรู้ของตนจริงๆ รู้แล้วก็ต้องกำจัด เพราะมันเป็นกิเลส เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงเลย ที่ต้องกำจัดกิเลสของตนเอง เราไม่มีหน้าที่จะเก็บไว้นะ ต้องกำจัดเอามันออกอย่าให้มันเหลืออยู่ในจิตใจเลย จะกำจัดอย่างไรก็ต้องใช้วิชาการ ใช้ความรู้ความสามารถที่เรามีเอาออกให้ได้ อาตมาก็ได้ทำเช่นนี้ จนมาเป็นสมณะ มาอยู่กับงานธรรมะ ถือเป็นชีวิตจิตใจเป็นงานเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำ ไม่ว่าจะชาตินี้ ชาติไหน ไม่ได้พูดเล่น พูดหัว พูดหลอก พูดลับลวงพราง หรือพูดโกหกอะไรนี่ พูดความจริงเป็นเรื่องที่เป็นจริง เพราะเห็นว่าชีวิตมนุษย์นี่ไม่มีอะไรประเสริฐไปว่าธรรมะ ถ้าเป็นมนุษย์แล้วคุณไม่จัดการเรื่องกิเลสในตัวเอง ธรรมะก็คือการรู้จักกิเลสและละกิเลส ไม่มีอื่นหรอก โดยเฉพาะในลัทธิพุทธ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กิเลสตนเองและกำจัดกิเลสตนเองให้ได้จริงๆ

ถ้ามนุษย์คนใดไม่เอาใจใส่ ในธรรมะในการเรียนรู้กิเลสตัวเอง จะเกิดสุขเกิดทุกข์ ของเท็จของหลอก ก็ต้องอยู่กับมันมั่นแหละมีสุขตัวใดเกิดก็มีทุกข์อยู่ทั้งนั้น สุขกับทุกข์มันคือตัวเดียวกัน  สุขนี่แท้จริงคือทุกข์แปลงร่าง (สุขขัลลิกะ) อัลลิกะแปลว่าหลอกลวง สุขมันเป็นของไม่จริง เป็นของเท็จ ซึ่งเป็นเรื่องลึก อาตมาไม่เคยเห็นนักปฏิบัติธรรมหรือครูบาอาจารย์คนไหนพูดเรื่องนี้ ที่อาตมาบอกว่าสุขเป็นเท็จนี่ ท่านผู้รู้ที่เรียนมามากมาย ก็ไม่ได้เห็นด้วยเช่นอาตมา ดีไม่ดีหาว่าอาตมามาอุตริมาหาเรื่อง ไม่ได้เรียนมาทำเป็นรู้ ดีไม่ดีเสียหายภาษาเขาไปโน่นเลย ก็ท่านจะยึดว่าของท่านถูกก็แล้วแต่ แต่อาตมาก็มั่นใจว่าอย่างนี้ถูกต้องจริงๆ  สุขขัลลิกะเป็นอาหารเท็จเป็นอาการหลอก เป็นอาการของจิตที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาตมาก็ได้เอามาบรรยายมาบอกมาสอนกัน ให้พวกเราปฏิบัติและพิสูจน์

อาการสุข อาตมาก็เคยมี แม้ชาตินี้เกิดมาแต่อ้อนแต่ออก จนกระทั่งต่อมารู้ตัวว่าตนเองจะต้องอยู่ในธรรมะ แล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเองจากที่เคยเป็น ก็คืออย่าไปหลงติดสุขทุกข์อยู่กับเขา ก็ต้องปฏิบัติยู่บ้างเพราะอาตมายังไม่ถึงขั้นรู้ปุ๊บทุอย่างสลายปั๊บไปเหมือน พระพุทธเจ้า ไม่เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว บางอย่างก็ต้องปฏิบัติ แต่บางอย่างมันก็หายเลย ซึ่งแต่ก่อนนี้เราถูกครอบงำอย่างโลกๆเป็นลิงลมอมข้าวพอง หลงว่าเป็นจริงอย่างเขานะ เป็นสุข แล้วก็ต้องมาทุกข์เป็นคู่กัน ก็หลงไปตามโลกๆเขานั่นแหละ จนอายุได้ 36  ก็จริงจังออกมาทางนี้ แล้วก็ปล่อยวางเลิกละโลกีย์ แล้วอาการอารมณ์ที่ว่าเป็นสุข ที่เป็นสุขเวทนา อาการอย่างนั้น ก่อนมาทางธรรมก็มีอาการอย่างโลกีย์เข้าใจรสสุขอย่างนั้น แต่พอมาทางธรรมะจะมาสลัดออกแล้ว นิสรณะ รสนั้นมันก็ไม่มี รสนั้นก็เป็นรสเฉยๆ เป็นอุเบกขา เป็นอทุกขมสุข เป็นภาวสัจจะที่เป็นจิตเจตสิก เป็นความจริงของอาตมาที่เกิดที่เป็นแล้วมาอธิบายสู่ฟัง ซึ่งบางอย่างไม่ได้ทันทีก็มีเหมือนกัน บางอย่างก็หายไปเลย ความรู้สึกรสอร่อยพอเข้าใจมันรู้มันก็สลัดคืนเป็นนิสสรณะมันไม่มีเป็นศูนย์ มันก็หมดอารมณ์ในรสนั้นเลย แม้จะสัมผัสเกี่ยวข้องแตะต้อง ถ้ายังวิชชายังเมาอยู่ก็ยังมีรส แต่เมื่อเรารู้แล้ว เกิดวิชชาเกิดรู้แจ้ง อันที่มันเป็นจริงทันทีเลย ก็ไม่มีสุขทุกข์มีอารมณ์อย่างเดิมเป็นอารมณ์เฉยๆอุเบกขามันไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะงั้นถ้าไม่เข้าใจในความจริงอันนี้นะ อันนี้แหละคือวิมุติ คือนิโรธ คือนิพพาน อุเบกขาหรืออทุกขมนุขนี่และคือฐานนิพพาน เป็นอาการจิตเจตสิกที่เป็นนิพพาน ถ้าไม่เข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างนี้มันก็หานิพพานไม่เจอ ที่อาตมาพูดนี้ไม่เคยได้ยินใครพูด แต่พ่อท่านก็พูดไป

วันนี้ดูจะเจาะลงไปชัด ง่าย วันนี้รู้สึกจะหยิบมาพูดได้ชัด ง่าย เมื่อก่อนก็พูด เรื่องอทุกขมสุข ก็พูดมามากมาย  แต่คราวนี้รู้สึกว่าพูดเจาะลงไปได้ชัด ตรง  ถ้าใครฟังตามดีๆแล้ว ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้และก็ไม่เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าส่วนใครจะเห็นต่างจากอาตมา ก็แน่นอนคนที่เห็นต่างก็จะเห็นต่างออกไป ครูบาอาจารย์อื่นท่านจะไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ ก็มีนิโรธ นิพพานของท่านก็ว่ากันไป อย่างที่ท่านเข้าใจมันก็ไม่ตรงกันแหละ แต่ของอาตมามันเป็นอย่างนี้ ก็มาเปิดเผยสู่ฟัง จริงๆนี่เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมนะ ถึงนิพพาน ไม่ใช่มาอวดเล่นๆ มันเป็นการดับเวทนา สุขทุกข์ ดับเวทนา มันดับเพาะดับเหตุจริง ถ้าสิ่งใดที่เราได้ทำมาแล้ว ก็ทำได้ง่าย สิ่งใดไม่ได้ทำมา ก็ต้องเหลืออยู่จริงก็ต้องพากเพียรปฏิบัติ

ในสายปัญญาสายใช้ความฉลาดเรียนรู้ตรรกะ เข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่มีตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างอนัตตา แล้วก็เข้าใจอย่างจริงจังว่าทุกอย่างมันไม่มีจริง มันอนัตตาทั้งนั้น แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ โดยไม่รู้ว่าตัวเองติดอยู่มีรสทุกข์สุกข์อยู่ นึกว่าตนเองเข้าชัดเลย นึกว่าตนเองบรรลุแล้ว ไม่ได้ตามตรวจดูอาการอารมณ์ขณะกระทบสัมผัส กระทบสัมผัสธรรมดาๆถ้าเรากดข่มไว้มันอยู่ลึกมันก็ไม่ออกมา ถ้าเป็นกามาวจรมันอยู่ตื้นเมื่อกระทบสัมผัสมันก็ออกมาง่าย ก็จะไม่ได้เรียนรู้ฝึกจริงเพื่อจะเข้าใจ ไม่มีญาณปัญญาที่จะรู้มันก็ไม่รู้ง่ายๆ กระทบสัมผัสจะเกิดจริงเป็นจริงอย่างไรมันก็ไม่รู้กันได้ง่ายๆ

เรื่องที่จะกล่าวต่อจากสองวันที่แล้วคือเรื่องที่คุณสุรพจน์ ทวีศักดิ์ ได้วิจัยวิจารณ์ ได้เขียนมาซึ่งเป็นการศึกษาไม่ได้มาพูดหรืออธิบาย แก้ไปแก้มา ถกไปถกมานี้ เพื่อที่จะเอาชนะคะคาน เพื่อจะถกเถียง แต่เพื่อเป็นการศึกษา ถ้าผู้ใดไม่เข้าใจตรงอย่างนี้ มามุ่งมั่นว่าอาตมาเถียงเอาชนะคะคาน ไม่ยอมแพ้ ติดยึด ก็ไม่เป็นไร ใครจะเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อาตมาว่านี่เป็นการศึกษา แต่ เพาะเชิงคิดของคุณสุรพจน์ก็มีสิ่งที่ดี ละเอียดลึกซึ้ง มีรอบลึก รอบต้นอะไรอยู่เยอะทีเดียว เป็นนักศึกษา มีคนเอาบทความของคุณสุรพจน์มาให้ อาตมาก็ดูว่าได้วิพาษ์วิจารณ์สันติอโศกอยู่มากเหมือนกัน

มีปมประเด็นและพยัญชนะ ที่อาตมาเอามาจากบทความของคุณสุรพจน์ที่เขียนในวันที่ 24 พ.ย55. จะไม่อ่านทั้งหมด เพราะมันยาว แต่จะเอามาบางประเด็นหยิบมาพูด ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองของบ้านเราที่เป็นมา  ที่มีความเห็นต่างกัน เป็นมุมมองที่เบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริงที่ต่างกัน ก็มีอยู่ที่สำคัญอยู่ 3 ประการ 1.โครงสร้างหรือระบบอันเป็นสาเหตุของปัญหาขัดแย้ง 2. เกิดมุมมองอย่างผิดพลาดว่ากลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเพียงพวกที่ไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง แค่เห็นต่างกันก็ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จบทำให้ละเลยที่จะพิจารณาว่ากลุ่มคนเหล่านั้นสู้กันด้วยอุดมการณ์อะไร  และ 3. เมื่อมองไม่เห็นและไม่ยอมมองว่ากลุ่มคนเหล่านั้นออกมาสู้ด้วยอุดมการณ์ก็ละเลยที่จะเอาอุดมการณ์ของคนเหล่านั้นมาพิจารณาว่ามีผลต่อสังคมอย่างไร  เช่นระหว่างการเชิดชูอุดมการณ์กษัตริย์นิยม กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างไหนคือทางเลือกที่ควรจะเป็นมากกว่า ซึ่งอาตมาจะพูดถึงประเด็นที่สามนี่ไม่มากนักพูดให้เข้าใจว่ามันมีนัยละเอียด

ที่อาตมาบรรยายทางfmtv เชิดชูพระจริยวัตรของในหลวงคือกษัตริย์ เพราะฉะนั้น คุณสุรพจน์คงเข้าใจว่าพวกอโศกเป็นพวกยึดมั่นในกษัตริย์นิยม อาตมาขยายคำว่า ลัทธิ  เช่นลัทธิพุทธ ผู้ที่ยึดถือระบบนี้ ระบอบนี้ ลัทธินี้หรือทฤษฏีนี้ก็แน่นอนว่าเขายึดถือ แต่เขายึดถืออย่างมีปัญญา หรือยึดมั่นถือมั่นเอาเป็นเอาตายจนกระทั่ง ใครแตะไม่ได้เกิดกิเลสเลย หรือเปล่า จุดสำคัญคือ ยึดจนเกิดกิเลส ถ้าเขายึดมั่นถือมั่นเหมือนกันเอาจริงเอาจังเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้เกิดกิเลสอะไร ยกตัวอย่างเช่น อาตมายึดศาสนาพุทธ ยึดมั่นถือมั่นในพระพุทธเจ้า และจะยึดมั่นถือมั่นไปอีกนานเพราะอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ แต่อาตมาไม่ได้ยึดอย่างมีกิเลส ยึดอย่างมีปัญญา ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธรูปเป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้าพวกที่เป็นพระพุทธเจ้าอิสซึ่ม (พูดง่ายๆให้เข้าใจแต่อาจไม่ถูกหลักภาษา) คือคนที่ยึดอย่างมีกิเลสถ้าใครไปแตะใครไปทำอะไรกับพระพุทธรูปก็จะโกรธ หรือแม้แต่กษัตริย์นิยม ใครไปแตะพระมหากษัตริย์ก็ต้องกิเลสขึ้น อาตมาว่าอาตมาไม่ได้มีกิเลสขึ้นแต่รู้ด้วยปัญญา รู้ว่าคนเขาทำนั้นเขาทำอะไร ควรหรือไม่ควร ซึ่งความถูกควรก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคน จะตัดสินเองเป็นอิสรเสรีภาพ ถ้าคนเห็นถูกเห็นควร แน่นอนอย่าไปว่าใครเขา ถ้าเขาไม่ถูกไม่ควรเราไม่เห็นด้วยอยากจะปรามก็ปราม อยากจะบอกแจ้งก็ทำตามหน้าที่ ตามหลักเกณฑ์ กฎหมาย โดยเฉพาะตามจารีตของสังคม ขนบของสังคมก็ตาม ก็ต้องทำเท่าที่ควร หรือไม่ทำเท่าที่คิดว่าไม่ควรทำ  นี่คืออิสรเสรีภาพ  ที่พูดนี้ให้ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจ สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญา อาตมาต้องใช้คำว่า หาว่าอาตมานี่หลงใหลคลั่งใคล้กษัตริย์นิยมก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าอาตมายึดคุณธรรมของกษัตริย์พระองค์นี้ท่านมีจริงเป็นจริงเท่าที่เห็น

ที่พูดต่อไปคงไม่หมิ่นพระบรมฯ อันนี้เป็นความรู้ทางวิชาการ เช่นกษัตริย์บางพระองค์ ท่านทำไม่ถูก ประพฤติไม่ค่อยดี เป็นต้น อันนี้เป็นวิชาการ ก็แน่นอนว่าเราก็ต้องรู้ว่าอันนี้ไม่น่านับถือมันเป็นสัจจะ แต่เราก็ต้องเคารพตามสมมุติสัจจะ ต้องรู้คุรุกรณะ การเคารพตจามสมมุติที่ตั้งตามโลก คุณก็ต้องทำตามโลกแม้ใจเราไม่นับถือ ยิ่งเคารพตามที่เราควรเคารพ คนอื่นเขาไม่เคารพเลยไม่เอาด้วยหรือเอาด้วยน้อย ก็เป็นสิทธิของเขา

คนไม่เคารพเลย ตีทิ้งเลย มี โดยเฉพาะในคนไทยไม่เอาเลยบอกระบบกษัตริย์ไม่เอาเลย ตีทิ้งก็มี แต่อาตมาอยู่ในยุคที่ประเทศไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราก็ต้องปฏิบัติตามระบอบนี้ แน่นอนใจใครไม่นับถือไม่เอาก็เรื่องของเขา แม้ใครเอากษัตริย์แต่เขาก็ยังเคารพกษัตริย์ผู้มีคุณธรรมมันก็เป็นได้ แต่จริงๆเขาไม่อยากได้หรอกระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เขาต้องการ ระบอบประชาธิปไตยขาเดียว

มันก็มีส่วนจริงของเขา แต่อาตมาว่าในมนุษย์มีกายกับจิต ตั้งแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้กายกับจิตก็ยังมีอยู่เช่นนั้น ในเรื่องจิตวิญญาณนี่สูงส่งมาก ถ้ามันเหลือแต่กาย ไปตีทิ้งสิ่งที่สูงส่งลึกซึ้งแล้ว ก็จบ ใช้ไม่ได้ เลิกเลย เรื่องจิตวิญญาณนี่ซับซ้อนลึกซึ้งมาก  แต่ถึงเวลาวาระใดวาระหนึ่ง ที่ประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตยขาเดียวเป็นประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ ก็เป็นได้ถึงเวลาวาระนั้นก็เป็นได้

อาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ในขณะนี้ยุคนี้โดยเฉพาะสัจจะ อาตมาเคารพพระมหากษัตริย์ ร.9 นี้ ว่าพระองค์มีจริยวัตรที่น่านับถือจริงๆอันนี้อาตมาวงเล็บเอาไว้เลย แต่อาตมาก็ไม่ได้มีความคิดว่า ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยขาเดียว หรือสองขา อาตมาไม่ต่อสู้ในประเด็นนี้ ไม่กระทำในประเด็นนี้ อาตมาถือว่า อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกาลเทศะ what ever will be will be อะไรจะเกิดมันก็เป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น แต่มันยังไม่ถึงเวลามันยังไม่เกิด อาตมาไม่เอาสิ่งเหล่านั้นมาโดยคิดแบบกระต่ายตื่นตูม เมื่อยังไม่ทันเกิดอะไร หรือเราไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ทำ  แต่ลึกๆแล้ว อาตมามีความเห็นว่าประชาธิปไตยสองขาสมบูรณ์กว่าประชาธิปไตยขาเดียว ถึงยุคที่มีแต่ประชาธิปไตยขาเดียว พระเจ้าแผ่นดินไม่มีแล้ว นั่นแหละมันใกล้กลียุค บอกให้ได้เลยจะเรียกว่าพยากรณ์ก็ได้ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้ววิญญาณจะเสื่อม คุณธรรมจะลดถอยลงจะตื้นเขินมากในเรื่องจิตวิญญาณ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆห้ามไม่ได้หรอก อาตมารู้อยู่และจะไม่ดันทุรังให้มันเกิด จะไม่เป็นเหตุปัจจัยให้มันเกิดโดยที่ว่า มันยังไม่เป็นเหตุปัจจัยของมันเอง ลึกๆอาตมาเห็นว่าประชาธิปไตยสองขานี่ดีกว่าขาเดียว ยกเว้นแต่ว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม หรือใช้ภาษาง่ายๆว่ากษัตริย์พระองค์นั้นแย่หน่อย เป็นภาษาความรู้วิชาการไม่ได้ลบหลู่พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด มันก็เป็นเรื่องไม่ดีเองเป็นเหตุปัจจัยเอง ในแนวลึกของมนุษยชาติมันมีจริงเป็นจริง อาตมารู้เรื่องเหล่านี้เพราะผ่านยุคกาลมา ในยุคนี้อาตมาไร้การศึกษา แต่พูดจากความรู้สึกจริงความเห็นจริง ไม่ใช่พูดจากตำราหรือศาสตร์ใดๆ ผิดถูกก็รับผิดชอบด้วยตัวเอง แต่อาตมาพูดด้วยความปรารถนาดี เห็นว่าควรบอกกันให้รู้อธิบายกันให้เข้าใจก็เท่านั้นเอง

ในประเด็นอื่นๆที่คุณสุรพจน์ว่าเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งกัน ก็เป็นความขัดแย้งในทางการเมือง ไม่ว่ามุมมองที่ผิดพลาดว่ากลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นพวกที่ไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง แค่ความเห็นต่างก็วุ่นวายทะเลาะกัน มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ถ้าเขายึดมั่นถือมั่นจะไปห้ามเขาได้อย่างไร จะเอาเป็นเอาตายมันก็รบกัน ก็วุ่นวาย แต่ถ้าคนที่พัฒนาตามแบบพระพุทธเจ้า รู้จักความเหมาะความควร ทำตามเหมาะควรอย่างแท้จริงจะไม่เกิดความวุ่นวายอะไร

ประเด็นที่อยากจะพูดอีกอันคือที่คุณสุรพจน์ได้เขียนโยงใยไปถึง อ.ดร.สมภาร ได้กล่าวถึงว่า รู้จักอาจารย์ชาวในอเมริกันคนหนึ่ง เขาก็มองเห็นปัญหานี้ในประเทศของเขาปัญหาที่ว่าคือมันมีความชั่วร้ายที่จำเป็น (Necessary evil)  เป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประชาธิปไตย อ.ในอเมริกาท่านนี้ก็เห็นเช่นกันและต้องการเห็นระบบสวัสดิการที่ก้าวหน้ามากขึ้น คำว่าระบบสวัสดิการที่ก้าวหน้าเป็นอย่างไร เป็นระบบที่ผู้มีคุณธรรม แล้วบุคคลที่มีคุณธรรมหลายๆคน เป็นหนึ่งเดียวกัน มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มารวมกัน มารวมกันก็เกิดเป็นกลุ่มหมู่ที่มีพฤติกรรม ที่มีคุณธรรมอย่างนั้น ก็เกิดเป็น จารีต เป็นขนบธรรมเนียม เป็นพฤติกรรมของกลุ่มสังคมนั้นๆ และรับรู้ร่วมกันในหมู่กลุ่ม เป็นสิ่งที่เป็นอยู่ประจำ เป็นครั้งคราวหรืออยู่ตลอดกาลก็ตาม เรียกว่าเป็นจารีตหรือเป็นขนบ ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างเช่นชาวอโศกมีขนบมีจารีตที่ได้ฝึกฝนศึกษาเป็นศีลสามัญญตา เป็นทิฏฐิสามัญญตา แล้วจนเกิดเป็นจารีตเป็นขนบขึ้นแล้วในสังคมของชาวอโศก จารีตและขนบคือการกระทำโดยสังคมกลุ่มหมู่นั้น เช่นว่าชาวอโศกประพฤติเช่นนี้จะเรียกว่ารวมๆว่า เป็นพฤติภาพหรือบุคลิกชาวอโศกก็ได้ ถ้าบุคลิกนี่เป็นประจำ แต่ถ้าเป็นครั้งคราวหรือประจำก็ได้ก็เรียกว่าจารีต เป็นขนบ เป็นประเพณีเหมือนกัน หรือต่อไปสูงไปเป็นวัฒนธรรมก็ได้ จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ยิ่งชัดขึ้นมีองค์ประกอบมากขึ้นก็ได้ ชาวอโศกก็มีของชาวอโศก เช่นพวกนี้เขามีจารีตไม่กินเนื้อสัตว์ เขามีขนบประเพณีของเขาอย่างนี้แหละ  เป็นครั้งคราวก็จะมาร่วมกันปฏิบัติธรรม เช่นงานพุทธาฯ ปลุกเสกฯ ก็เป็นวัฒนธรรมหรือเป็นจารีตประเพณีของชาวเรา นั่นเป็นรูปธรรมชัดๆ นอกนั้นก็มาร่วมกันทำอันโน้นอันนี้เป็นครั้งคราว ก็เป็นเรื่องที่เกิดจากแนวคิดเป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจร่วมกันฝึกฝนแล้วมาทำเอาให้เป็นพฤติกรรมของตน แล้วมันก็เสมอสมานเรียกว่าสามัญญตา ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ตามควร แล้วมีนัยละเอียดซ้อนที่ว่า คนนี้ทำได้แค่นี้ เราก็เข้าใจเขา ก็อยู่อนุโลมปฏิโลมกันไปประสานกันเป็นระดับ คนนี้ศีล 5  โสดาบันเสมอสมานกับโสดาบัน สกิทาคามีเสมอสกิทาคามี อนาคามีก็เสมอสมานกับอนาคามี แล้วอนาคามี สกิทาคามี โสดาบันก็เสมอสมานกันอยู่ เชื่อมโยงกันอยู่ ถ้าเป็นอาริยะจะเห็นพฤติภาพได้ว่าพวกนี้ ไม่ได้มีลักษณะของกิเลสโลภ  กิเลสโกรธ กิเลสราคะ อะไรออกมาเป็นพฤติภาพที่ เห็นได้ชัด

อันนี้ลึกซึ้งในวัฒนธรรมจารีต ขนบ ประเพณี ของมวลมนุษย์กลุ่มนี้ คำว่าจารีตจึงเป็นเรื่องลึกซึ้งที่เกิดจากสิ่งที่ต้องเรียนรู้ มีหลักเกณฑ์มีวินัย มีระบอบระเบียบ อย่างนี้นะเรียกว่า ศีล แล้วเราก็ใช้ศีลนี่เป็นกรอบให้แก่ตน แล้วประพฤติให้ไปตามจุดหมายเรียกว่าทิฏฐิ ทฤษฏีอย่างนี้แม้ในที่สุดอุดมการณ์ อุดมคติ สุดยอด ไปนิพพานเป็นอาริยะสูงสุด พฤติกรรมสุดยอดเป็นเช่นนี้ กาย วาจา ใจ คือ ไม่มีโลภ โกรธหลง เมื่อเราเข้าใจแล้วก็มาพากเพียรปฏิบัติ จนเกิดผลจริงเป็นจริงขึ้นมา ได้เท่าใดเป็นจริงเท่านั้นเป็นปรากฏการณ์จริง เป็นปาตุภาวะ เป็น Phenomenal เป็นปรากฏการณ์จริงของชาวอโศก

พูดถึงคำว่า จารีตของอโศก มีสวัสดิการที่ก้าวหน้ามาไกล ของระบอบประชาธิปไตย เป็นวัฒนธรรมเป็นสวัสดิการ สาธารณโภคี สวัสดิการบุญนิยมเป็นต้น เป็นจารีตบุญนิยม จารีตสาธารณโภคี ซึ่งมีลักษณะของสวัสดิการอย่างไร คือร่วมกินร่วมใช้สมบัติส่วนกลาง แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตน ใครยังยึดอยู่ก็เป็นกิเลสใครกิเลสมัน แต่รู้ร่วมกันเป็นสมมุติสัจจะว่ามีส่วนกลาง ใครจะมุบมิบเป็นส่วนตัวก็แล้วแต่ แต่รู้แล้วว่ามันยังไม่สมบูรณ์ รู้ว่าทิฏฐิสามัญตา อุดมคติสุดยอดคือหมดตัวหมดตน ไม่ถือว่าอะไรเป็นเราเป็นของเราไปจนหมด นี่คือสิ่งที่ละเอียด ที่อาตมาภูมิใจในทฤษฏีของ พระพุทธเจ้า ที่อาตมาเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้แล้วเอามาให้พวกเราได้ปฏิบัติ  จนได้มรรคได้ผลจนเกิดหมู่กลุ่มชุมชนชนิดนี้ จนเกิดเป็นจารีต ขนบประเพณี วัฒนธรรม เป็นพฤติภาพ อยู่อย่างชาวอโศกทุกวันนี้ เรียกได้อีกคำหนึ่งว่า เป็นพวกอโศกอิสซึ่ม หรืออโศกนิยม พวกบุญนิยม บุญคือการชำระกิเลส แล้วได้ผลจนเป็นคนชนิดนี้เกิดกลุ่มหมู่ มีมีจารีตมีขนบ ประเพณีวัฒนธรรม เช่นนี้ พฤติภาพเช่นนี้

อ.สุรพจน์ก็บอกว่าอาจารย์อเมริกันคนหนึ่ง ก็เห็นปัญหานี้ในประเทศของเขา เขาต้องการให้เห็นระบบสวัสดิการที่ก้าวหน้า  แต่ในอเมริกาปัญหาที่เขาพบคือพวกนายทุนใหญ่ๆต่างบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ฉะนั้นพรรคการเมืองจึงไม่ยอมออกกฎหมายที่กระทบต่อนายทุน เช่นการเก็บภาษีพิเศษเพื่อสนับสนุนสวัสดิการสังคม เหมือนในยุโรปหรือหลายประเทศเป็นต้น(มันถูกมองว่าขัดต่อหลักเสรีนิยมที่คนเขายึดถือกันอยู่) แต่อาจารย์ชาวอเมริกันคนนี้ก็เห็นว่าที่เปิดให้ประชาชนมีเสรีภารในการวิจารณ์ตรวจสอบทุกอำนาจได้ มันจะทำให้สังคมเขาตรวจสอบตัวเองและด้วยกระบวนการประชาธิปไตยมันจะค่อยๆ แก้ปัญหาของตัวมันเองไปเรื่อยๆ

ก็จริง อาตมาก็เห็นว่าอเมริกาก็ตาม อโศกก็ตาม ก็ต้องการที่จะไม่เป็นทาสของนายทุนใดๆ อเมริกาเขาก็พยายามที่จะลบล้างความเป็นนายทุน แต่สังคมอเมริกาก็เป็นสังคมของนายทุนอย่างหนักหนาสาหัส ที่นี้ชาวอโศกพยายามลบล้างความเป็นนายทุน อุดมการณ์เดียวกันเลย  และทำได้ อาจจะบอกว่าเราทำได้เพราะเป็นกลุ่มเล็กๆ อเมริกาเขาใหญ่ ก็ถูก  แต่เราทำตามพระพุทธเจ้าในท่ามกลางกระแสทุนนิยมแม้ในไทยก็ สามารถทำจนลดความเป็นนายทุน ในอโศกไม่มีปัญญามีสวัสดิการที่ก้าวหน้าได้มา ทำได้จริงไม่เพ้อฝัน หลายคนว่าสุดโต่งเกินไป ขอยืนยันว่าไม่สุดโต่งไม่เพื้อผฝันเลื่อนลอย ขอยืนยันว่าเป็นจริงได้

ประชาธิปไตยก็ตามที่ดีที่สุดเหมือน อ.คนนี้ว่าต้องไม่มีนายทุน ที่อื่นนายทุนมาสนับสนุนพรรคกฎหมายพรรคกฎหมายก็ไม่สามารถออกฎหมายที่ขัดกับนายทุนได้ ไทยก็เช่นกัน อเมริกาสำเขที่เป็ระบบปชตเรียบริอยกว่าไทยเพราะเขาบังตคับใช้กฒงจริงจัง แต่ไทยใช้กฒงไม่ได้ฃำกวา คือเข้ามีการใช้กฎหมายหลักเกณฑ์ก็ได้ผล ศีลได้ผล แต่ไม่ดีเท่าสมมารถทำหได้ถึงจิตเปลี่ยนจิตมีฤปัญญารู้กุศลอกุศลสมัครใจทำเองจะเหนือชั้นกว่าใช้กฏหมาย ประเทศที่มีกฎหมายแข็งแรงแต่จิตใจอ่อนแอ เช่นประชาธิปไตยอเมริกากับอังกฤษ

เหตุการณ์ชุมนุมที่ผ่านมาผู้ดูแลกฎหมายละเมิดกฎหมายเอง

เพราะงั้นสังคมที่มีความชั่วร้ายที่จำนนจำเป็นมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ก็แก้ไขไม่ได้ อาตมาพาชาวอโศกมีความสบายรแล้วก็ออกไปช่วยสังคมให้มีพระเพณีจารีตพฤติภาพอย่างนี้ด้วยความจริงใจ ก็พาพวกเราทำโดยไม่ได้บำเรอให้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหรือกามอัตตาใดๆ อาตมาแม่นอยู่แต่บางคนก็ยังไม่แข้งแรงพอก็มีบ้างแต่โดยรวมก็ให้คะแนน เป็นประเด็นที่คนจะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ จะมองว่าอาตมาคุยตัวแต่ก็บอกด้วยความปรารถนาอยากให้คนมาเป็นเช่นนี้ตามแบบพระพุทธเจ้าท่านพาทำมาก่อนแล้วในยุคท่านทำได้ประมาณหนึ่งแต่ยุคนี้จะทำได้กว้างกว่าทำได้มากกว่า

ที่มา ที่ไป

551129 สงครามสังคมธรรมะการเมือง โดย พ่อท่าน ที่ห้องกันเกรา สันติอโศก เรื่อง ลึกซึ้งเพียงใดประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 13:38:23 )

551202

รายละเอียด

551202-รายการวิถีอาริยธรรม โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และ ส.เดินดิน ติกขวีโร ดำเนินรายกา

วันนี้เป็นวันที่ 23 ธ.ค. 2555 คงจะบรรยากาศปทท.คงจะเข้าสู่ครบรอบ 85 ชันษาของในหลวง ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่มีปทท.มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิศราชธรรม อยู่คู่ชาติบ้านเมืองมายาวนาน พ่อครูเคยปรารภว่า ปทท.มีการปกครองในระบอบปชต.อันมีประมหากษัตริย์เป็นประมุข แล้วก็สามารถนำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองที่เป็น ปชต.ที่สมบูรณ์ได้ ในหลวงเราจะเป็นที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ แต่ตอนนี้ก็ต้องลุ้นกันว่าจะกอบกู้บ้านเมืองได้หรือไม่

ชาวอโศกเรามีงานบุญตลอดการไปชุมนุมก็ไปเปิดโรงบุญแก่พี่น้องที่มาร่วมชุมนุม พอกลับมาก็มาเปิดโรงบุญกันตาม พระพุทธศาสนาชุมชนต่างๆก็ได้เริมเปิดโรงบุญตามหมู่บ้านใกล้ๆกัน

เพราะความที่เรายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนา คิดแค่เรื่องบุญเราก็มีเรื่องให้ทำไม่รู้จบแล้ว ภาพพจน์ของชาวอโศกเลยดูเหมือนร่ำรวยเพราะแจกแบบไม่หยุดไม่หมด มันก็แปลกเหมือนกัน หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ให้พวกเราร่ำรวยอะไร ประเทศไทยเราคิดดูเหมือนกันว่า เคยได้ฟังคุณหญิงจารุวรรณ ว่าไว้ว่าถ้าสามารถเอาเงินที่ถูกนกม.โกงกินไปคืนมาได้ จะสามารถปูถนนให้เป็นทองคำได้เลย ถึงโกงกันขนาดนั้นเราก็ยังไม่ขาดแคลนอะไร

เป็นบุญของไทยที่มีในหลวงปกเกล้าคุ้มกระหม่อมไว้อยู่ และพ่อครูก็ได้ให้โศลกธรรมไว้ว่า “พระพุทธศาสนา คือประชาธิปไตย ที่ยิ่งใหญ่ในโลก) บ้านเมืองไทยเราก็ดูเหมือนว่าอยู่ในสงคราม ปชต. คือไม่ว่าไปค่ายไหนที่ต่อสู้กันอยู่ทุกวัน ก็ปักมั่นว่าฉันต่อสู้เพื่อปชต. พ่อครูก็ปักธงว่าพระพุทธศาสนาคือปชต.ที่ยิ่งใหญ่ในโลก เราก็ต่อสู้เพื่อปชต.เช่นกัน องค์ประกอบเหล่านี้เราคงได้ฟังพ่อครูพูดให้เราฟังว่า ที่พ่อครูมั่นใจว่า พระพุทธศาสนาคือปชต.ที่ยิ่งใหญ่ในโลกได้อย่างไร

ชาวอโศกเราอยู่กันมาก็คงจะรับรู้กันว่า เราไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่เราก็ได้เห็นถึงทศพิศราชธรรมของในหลวงที่มั่นคงเป็นเสาหลักให้ไทยอยู่ตลอดมา แสดงว่าพระพุทธศาสนาคงจะมีเพชรให้เราค้นหาอีกมากมาย เราคงค่อยๆได้ดูกันไปที่ละเม็ด ว่าพ่อครูจะนำเพชรเม็ดไหนมาให้เราดูกัน

อาตมามั่นใจว่า ไม่ได้พูดเล่นพูดโม้ ไม่ได้คะนองอะไร พูดด้วยความไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ไม่รู้สึกห่ามเหิ่มอะไรที่จะมาพูด  เพราะมันเป็นเรื่องชัดเจน มั่นแม่น เป็นความจริงที่อาตมามี ภาวะธรรมที่คนเข้าใจยาก เป็นภูมิปัญญา 

ภูมิปัญญาของศานาพุทธเป็นสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงของแต่ละคน อยู่ในอัตตาภาพ อยู่ในจิตเจตสิก ในวิญญาณ ซึ่งมีเวทนา สัญญา สังขารเป็นองค์ประกอบอยู่ เมื่อเวทนาก็เป็นเวทนาบริสุทธิ์  สัญญาก็บริสุทธิ์ สังขารก็บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นสังขารจิตของแต่ละคน เมื่อกิเลสมันดับไปจริงๆ ไม่มีปรุงอยู่ในจิต ไม่ว่าจะเป็นอนุสัยอาวะอะไรมันก็ไม่มี  จิตก็จะอยู่อย่างครบพร้อม ไม่มีอะไรแปรปรวน เปลี่ยนแปลง และจะคงทนตั้งมั่น เมื่อเราไม่สลายมัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์โดยแท้จริง

ศาสนาพุทธ หรือ พระพุทธเจ้า ศึกษาเรื่องคน และศึกษาเรื่องความเป็นมนุษย์และศึกษาสังคมมนุษย์เป็นหลัก จึงเข้าใจทะลุปรุโปร่งทั้งหมด อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้า ได้ความรู้นั้นมา แต่ยังไม่ถึงสัมมาสัมโพธิญาณ เท่าพระพุทธเจ้า ก็รู้ตามบารมี รู้ตามฐานะ ที่นำมาเปิดเผยก็เป็นสยังอภิญญา เฉพาะความรู้เฉพาะตน

พ่อครู ได้อ่านคอลัมน์สมาธิชาวบ้าน ใน นสพ.ไทยโพสท์ฉบับวันนี้ เขียนโดย อ.บูรพา ผดุงไทย

เป็นการเรียบเรียงคุณธรรมที่คนส่วนใหญ่ยึดถือปฏิบัติอยู่ และเห็นว่าอันนี้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ เขาเข้าใจว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ ซึ่งอาตมาเห็นต่างออกไป บทความนี้เขาตั้งชื่อว่า”ธรรมะในโลกุตระภูมิ” ซึ่ง

ซึ่งอาตมาเห็นว่าที่ท่านเข้าใจทั่วไป ต่างกับที่อาตมาเข้าใจ

อาตมาอ่านของอ.บูรพาว่า... การปฏิบัติไม่ว่าสายไหน สุดท้ายก็จะเจอลักษณะที่คล้ายๆกันหมด คือ เมื่อจิตผ่านการอบรมแล้วก็จะมีอาการนิ่งสงบลงไป พอจิตมัยนิ่งไปถึงจุดหนึ่งแล้ว จิตมันจะสงบจนพร้อมใช้งานแล้ว พร้อมใช้งานอย่างไร จิตใช้งานก็ต้องมีครูบาอาจารย์สั่งสอน ในลักษณะภูมิจิตภูมิธรรม ในระดับเดียวกับที่จิตมันพร้อมใช้งาน ถ้าจิตไปได้ธรรมะที่ต่ำกว่านี้ จิตมันก็จะไม่พิจารณา เนื่องขณะนี้จิตอยู่ในสภาวะที่จะพิจารณาของภูมิธรรมที่เป็นวิปัสสนา ดังนั้นถ้าเป็นศีลธรรมธรรมดาจิตมันจะปฏิเสธ จิตมันพร้อมที่จะพิจารณา ดังนั้นแล้วจะต้องเพาะเชื้อในภูมิวิปัสสนา พอจิตได้ฟังในภูมิวิปัสสนาอันนี้ไป จิตจะต้องมีครูบาอาจารย์คอยสอนช่วยอบรม อีกอย่างหนึ่งคือจิตสามารถที่จะเกิดอาการผุดรู้ขึ้นเอง อันสืบเนื่องมาจากจิตสามารถที่จะกำหนดให้เกิดความว่างขึ้นในช่องว่างของจิตเองได้ จิตมีความว่างเป็นอารมณ์แล้ว จิตก็เอาความว่างนั้นให้ปรากฏแล้ว จิตก็อาศัยความว่างนั้นให้ปรากฏความรู้แจ้งขึ้นเป็นระยะๆ ให้เราเข้าใจโลกเข้าใจธรรมะมากขึ้น ภูมิวิปัสสนาก็จะเดินไปเอง ภูมิวิปัสสนานั้นจะไปกำหนดให้เกิดอาการต่างๆไม่ได้ เพราะในภูมิวิปัสสนานั้นถ้ายังกำหนดได้ เราก็ยังตกอยู่ในอิทธิพลของความคิด(อาตมาแทรกว่าภูมิวิปัสสนานี่คิดอะไรไม่ได้ ต้องนิ่งเฉยถ้าขืนคิดไม่ใช้ภูมิวิปัสสนา อาตมาเห็นใจและน่าสงสารที่เห็นเช่นนี้)

         ดังนั้นภูมิวิปัสสนาที่บังคับให้คิดไปต่างๆนั้น ยังมิใช่ภูมิวิปัสสนาที่แท้จริง(อาตมาแทรกว่า คือแยกความคิดกับความรู้นี่กับการปรุงแต่งที่เป็นอภิสังขารกับสังขารที่มีการปรุงแต่งไม่ออก เวลาจิตจะสังขารอย่างไม่มีกิเลส มันก็จะเป็นอภิสังขาร นั่นแหละคือคิด แต่ทีนี้อธิบายว่าจิตว่างๆไม่ต้องคิดอะไรเลย มันก็ต้องว่างๆ จะรู้อะไรไม่ได้เลย จะรู้อะไรได้คือต้องโน้มน้อมไป อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ให้โน้มน้อมจิตไป ก็คือให้คิดนั่นเอง โน้มน้อมจิตไปทางไหน ก็คือไปทางบุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ จนกระทั่งถึงภูมิอาสวักขยญาณ ให้จิตมีมโนสัญเจตนา ให้จิตมันมุ่งไปทางนั้น แต่นี่ให้จิตมันคิดเอง)

         ภูมิวิปัสสนาของจริงแล้วอาการท่าทางของจิตจะอยู่ในความว่าง ที่เหนือการควบคุม จิตจะเหนือการควบคุมให้ไปคิดหรือไม่คิดอะไร คือจิตมันจะไปเป็นเอง แต่การที่จะรู้ก็จะรู้ขึ้นมาเอง (อาตมาแทรกว่า ที่จริงก็เป็นไปได้) แต่ถ้าบังคับให้รู้นี่ไม่ใช่ภูมิวิปัสสนาที่แท้จริง เพราะจิตยังมีอุปาทานสัญญาต่างๆที่จิตยังตัดไม่ขาด เราก็จะเห็นไปตามอุปาทานสัญญาต่างๆ ในใจเรามันก็ยังไม่ใช่ภูมิวิปัสสนา สัญญาต่างๆที่มีกิเลส 

         (อาตมาขออธิบายแทรกที่เห็นต่าง ก็ตรงที่ว่า ในขณะนี้ ถ้านั่งหลับตาแล้วก็ผู้ที่เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิก็จะโน้มน้อมจิตไปเพื่อให้มันคิด แล้วมันจะไปคิดอย่างรู้ เรียกว่า บุพเพนิวาสาสุสสติญาณ มีสติสัมปัชชัญญะโน้มน้อมไปหาสัญญาเดิม สัญญาเก่าๆ ไม่ใช่ไปอยู่เฉยๆให้อุปาทานมันมาสั่งการอย่างที่ท่านอธิบาย ว่าให้มันว่างๆ มันก็ดึงเอาอุปาทานขึ้นมาคิด อันนี้ จริงแล้ว ถ้าจิตมันว่างๆของคนที่ไม่มีอุปาทาน เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็นั่งใต้ต้นโพธิ์ ท่านก็นั่งสมาธิเข้าไปอยู่ในภวังค์ แล้วท่านก็โน้มน้อมจิตไปเป็น บุพเพนิวาสาสุสสติญาณ ในยามแรก คือให้จิตมันคิดไป ไปเอาสัญญาเก่ามาคิด เพราะฉะนั้นสัญญาท่านไม่มีอุปาทาน เรื่องราวรูปร่างของสัญญา จะออกมาเป็นของจริงที่มีแล้วเป็นแล้วอยู่ในสัญญาไม่ใช่ความคิด แต่เป็นของจริงที่ผู้นั้นมีของตนเองแล้ว เป็นสยัมภูของท่าน ท่านผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นอันใดเป็นของเก่าความเก่า เมื่อครั้งยังมีกิเลส ท่านก็จะเห็นตัวท่านเมื่อนั่นเมื่อนี่ว่ามีกิเลส เมื่อมาได้เรียนรู้ได้มาปฏิบัติแล้ว ก็ได้ชำระกิเลสแล้วกิเลสก็ไม่มี ต่อมาๆก็มีภูมิพามาเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแล้วเป็นอรหันต์แล้ว บำเพ็ญโพธิสัตว์ต่ออีก ก็จะรู้ว่ามันหมดคืออะไร ไอ้ที่ได้ชำระไปคืออะไร เที่ยงแท้มั่นคงถาวรแล้วหรือไม่ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้วคืออะไร จนเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นๆเป็นลำดับจนถึงลำดับที่ 8 ที่9 ไม่ใช่ความคิดแต่เป็นความรู้ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

         ในสิ่งที่เกิดที่ดับก็คือสิ่งที่สัญญาจำได้ จากเรื่องเมื่อนั่นมีกิเลสอยู่แล้วก็ล้างกิเลสอย่างนี้ กิเลสก็หมดอย่างนี้ ท่านก็จะรู้จักวิธีการว่าทำอย่างนี้มันจึงหมด ทำทวนอย่างนี้เป็นอาเสวนาภวานพหุลีกัมมัง จนสมบูรณ์เป็นนิจจัง ทุวัง สัสสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปังอย่างไร เป็นตถาคตาแล้ว โดยไม่ต้องไปทำอะไร ก็เป็นได้แล้ว นั่นคือจุตูปปาตญาณ ท่านก็เห็นความเกิดความดับ เจริญขึ้นมาเรื่อยๆ จนครบสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านก็รู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความคิด คือผลักความรู้มโนสัญเจตนา ไปให้สัญญาเก่าของจริงที่เรามี ไม่ใช่ที่รู้ขึ้นมาเอง รู้ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องโน้มน้อมจิตไป ก็เป็นได้ คือจิตว่างๆ มันรู้ขึ้นมาเอง นั้นแหละคือผู้ที่มีของจริงเป็นสยังอภิญญา บรรลุแล้ว หรือแม้ยังไม่จบก็จะรู้ความจริงของตนได้ แต่มันก็นานกว่าจะไล่ปรากฏออกมา เปิดจิตที่จะรู้ไม่ใช่ลอยๆเฉยๆ

ทีนี้คนที่มีอุปาทานอยู่ มันก็จะขึ้นมาทำงานปรุงแต่งเป็นของปลอม มันไม่ใช่ของสะอาด บริสุทธิ์ ก็เห็นว่านี่แหละสิ่งรู้ ส่วนมากเป็นของไม่สะอาด ไม่ได้รู้ความจริงตามความเป็นจริงในสัญญา ปล่อยให้จิตทำงานตามอุปาทานที่ทำงานเป็นหลัก  เพราะมันมีอยู่ สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่ปรุงแต่งโดยกิเลส จึงเป็นภาพหลอกภาพหลอนเสียเยอะ

เพราะงั้นในการนั่งให้จิตว่างๆมันไม่ใช่คิดแต่มันคือเตวิชโช เพราะญาณหยั่งรู้มันเป็นวิปัสสนาญาณสัมผัสสภาวธรรมนั้นๆ อ.บูรพานิยามวิปัสสนาญาณว่าคือญาณอย่าคิดอะไร ญาณอยู่ว่างๆแล้วจะเกิดวิปัสสนาเองจะเกิดรู้เห็นเอง ถ้าคิดอย่างนี้ก็ผิดเลย เพราะวิปัสสนาญาณคือสัมผัสของจริงเลยแล้วก็เห็นรู้ตามสัมผัส เรียกว่ารู้อย่างสัมผัสเห็นๆแล้วจะเกิดเวทนาอย่างไรก็รู้หมดแบ่งแยกออกหมดแล้วจะดับตรงไหน วิตกวิจารณ์แยกออกหมด จะดับถูกต้องหมด นี่คือวิปัสสนาวิธีให้เกิดวิปัสสนาญาณ แล้วก็ปฏิบัติอย่างปอกเปลือก ปอกมะม่วงก็รู้ว่าปอกมะม่วงอยู่ หั่นเนื้อมันออกมาเป็นชิ้นๆก็รู้หมด นี่คือวิปัสสนาญาณ อยู่กับมือแล้วสัมผัสอยู่กับตัวก็รู้หมด แม้แต่นี่คืออาการกิเลส นี่คืออาการกิเลสลด กิเลสหมดแล้ว ทำให้แข็งแรงสมบูรณ์ก็รู้หมด ท่านก็มาเรียบเรียบไว้ เป็นวิปัสสนาญาณ 9 เพราะฉะนั้นถ้าวิปัสสนาญาณคืออยู่เฉยๆ ก็คงไม่ต้องมีภาษามาเรียกวิปัสสนาญาณ 9 ขั้น อันมีตั้งแต่อุททัพยานุปัสสนาญาฯ..... 

เป็นมุญกิจตุกัมยญาน ต้องรู้อาการจิตที่เป็นญาณเหล่านี้ มันเป็นคุณสมบัติของญาณที่จะเกิดเป็นขั้นๆ...อาตมากล่าวต่อเป็น  วิปัสสนาญาณ 16 (โสฬสญาณ) ...บันทึกไม่ทัน ถ้าวิปัสสนาญาณคืออยู่เฉยๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องบัญญัติภาษาเหล่านี้

จะเกิดวิปัสสนาญาณเพราะปฏิบัติลืมตาปฏิบัติเป็นขั้นๆ ตามลำดับนี่คือความละเอียดที่เข้าใจไม่ง่าย ก็เห็นใจโดยเฉพาะเดินทางผิดปฏิบัติมิจฉาสมาธิ ผิดทาง ไม่เป็นการปฏิบัติโดยตาเปิดมีผัสสะเป็นปัจจัยจะรู้ว่าวิญญาณเราสะอาดขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ใช่ไปกำหนดวิญญาณว่าตายแล้วค่อยล่องลอยเหมือนภิกษุสาติ โดยไม่เรียนรู้จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ในปัจจุบันนี้ที่มีผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่นในขณะนี้ ไม่ได้เรียนเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ เป็นอิทพรหมจริยวาโว ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่านี่แหละ คือชมพูทวีปที่มี สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส อย่างนี้แหละ มันก็เลยนอกทางที่ต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอน มันนก็เลยนอกทางที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้)

พ่อครูอ่านต่อ ส่วนเมื่อจิตสงบดีก็จะตัดกระแสต่างๆตักกระแสสมมุติ ตัดกระแสบัญญัติเกิดความรู้ขึ้นเอง แล้วจิตก็ไต่ความรู้นั้นไป พิจารณาไปตามธรรมชาติของจิต (อาตมาแทรกว่า ไอ้ที่พิจารณานี่คิดไหม? มันก็ต้องคิด พิจารณานี่คือวิจัยมันต้องขบคิด ถ้าเอาแต่สักแต่ว่ารู้มันก็ไม่ต้องขบคิด แต่นี่พิจารณาอ้าวแล้วคุณเอาพิจารณาไปใส่ไว้ทำไม คือเอาบัญญัติภาษารู้ว่าต้องพิจารณาเหมือนกัน เพราะเฉยๆก็แค่รู้แล้วมันจะไปแยกแยะอะไรออกเล่า ก็เลยเอาคำว่าพิจารณามาใส่ ส.เดินดินแทรกว่า ก็เขาหมายความว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิปุ๊บนี่ มันจะเข้าไปรู้โดยไม่ต้องโน้มน้อมอะไร อาตมาแทรกว่า คำว่าพิจารณานี่เอาพยัญชนะนี้มาใช้นี่ ผมถึงถามว่าพิจารณานี่มันมีวิจัยขบคิดไหม มันมีใช่ไหม่ ส.เดินดินตอบว่า ก็คิดครับ อาตมาแทรกต่อว่า มันก็เลยย้อนแย้งความจริงไง  มันเป็นธรรมชาติของจิตของมันเอง เขาว่างั้นนะ มันคิดเอง ก็ไม่ว่ากัน หยวนๆ จะบอกว่าคิดเองก็ไม่ว่ากัน

พ่อครูอ่านต่อว่า... การเกิดความรู้แจ้งนี้เป็นความรู้แจ้งในโลกียภูมิ ยังไม่เป็นพระนิพพาน ต่อเมื่อจิตสามารถก้าวพ้นสมมุติบัญญัติโลกนี้ได้ ขึ้นสู่โลกุตรภูมิ (อาตมาแทรกว่า แล้วสมมุติบัญญัติและก้าวพ้นสมมุติบัญญัติคืออย่างไร นี่อยู่กับภาษาทั้งนั้นนะ) อันเป็นธรรมะที่ไม่มีสมมุติบัญญัติแล้ว (อาตมาแทรกว่า พยัญชนะก็ถูก แล้วมันอย่างไร จิตมันต้องรู้ความจริง แต่นี่ก็สมมุติเป็นภาษาไปเรื่อยๆ อย่าลืมว่าจิตก็ยังมีอุปาทานอยู่นะคนที่พูดนี่) พอจิตไปรู้เรื่องกระบวนความคิดภายในจิต รู้เรื่องจิตกับความคิดที่เกิดดับขึ้น ภายในจิต ไปรู้จิตที่ปรุงแต่งเมื่อไหร่ ก็เอาความปรุงแต่งนั้นมาใส่ความคิดเหล่านั้น ซึ่งขบวนการเหล่านี้จะส่งให้จิตถึงโลกุตรภูมิ

พ่อครูว่า..มันไม่รู้เรื่องเลย มันเอาจิตที่ปรุงแต่งนั้นมาใส่ความคิด มันก็เป็นจิตปรุงแต่งสิ แล้วก็แยกไม่ออกอีกว่า เป็นสังขารแบบไหน เป็นปุญญาภิสังขาร หรือสังขารที่ไม่มีกิเลสแล้ว เป็นอปุญญาภิสังขารหรือ อเญชาภิสังขาร ถ้าผู้ที่ไม่มีความรู้เลยนี่ปุญญาภิสังขารไม่ได้ คุณจะชำระกิเลสไม่ได้ เพราะไม่รู้จักวิธี  รู้วิธีชำระกิเลสจึงเป็นปุญญาภิสังขารเป็นเสขบุคคล(บุคคลที่ยังชำระกิเลสอยู่) พอชำระได้หมดก็เป็นอปุญญาภิสังขาร เพราะฉะนั้นปรุงแต่งโดยไม่มีกิเลสถ่ายเดียว เป็นกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม ไม่มีบาป เป็นสัพพาปัสสอกรณัง แต่นี่อ.บูรพา เขาพูดว่า เอาความปรุงแต่งมาใส่ความคิดเหล่านั้น แล้วเป็นโลกุตรภูมิมันจะไม่โมเมไปหน่อยหรือ

พ่อครูอ่านต่ออีก พอจิตถึงโลกุตรภูมิแล้ว ธรรมะต่างๆที่มีสมมุติบัญญัติอยู่ก็หมดความหมายเพราะจิตของผู้ปฏิบัติรู้แล้วว่า จิตที่สำเร็จนั้นเป็นโลกุตรภูมิ จิตไม่ได้สำเร็จที่โลกียภูมิ

พ่อครูว่าแต่ของอาตมาจิตสำเร็จที่โลกียภูมิ รู้จักโลกียะรู้จักกิเลส พอดับกิเลสจิตก็เป็นโลกุตรภูมิ นี่อาตมาอธิบายอย่างนี้ แต่ของเขาอธิบายเหมือนภูมิเป็นแหล่งๆ เหาะลอยไปตามภูมิต่างๆเป็นสภาวะเป็นแท่งเป็นที่มันไม้เห็นว่ากิเลสดับก็เข้าโลกุตรภูมิ เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลก็เป็นโลกุตรภูมิขั้นหนึ่ง พอสกิทาคามีมรรคก็ปฏิบัติไปเป็นสกิทาคามีผลก็เป็นขั้นสองแล้วเป็นอนาคามีมรรคอนาคามีผลก็ขึ้นไปอีกสองภูมิ เป็นหกภูมิ ขึ้นสู่อรหัตมรรคอรหัตผล ก็จบสมบูรณ์เป็นโลกุตรภูมิที่ 9 เพราะพ้นโลกุตรภูมิทั้ง 8 ไปได้ ก็รู้สภาวะของภูมิเหล่านั้นอย่างชัดเจนว่าอยู่ในระดับโสดาฯอย่างไร ในระดับสกิทาฯอย่างไร กามาวจรภูมิซึ่งเป็นอบาย ดับอบายได้ก็เหลือกามาวจรภูมิของสกิทาคามี พอดับสกิทาคามีไปเรื่อยๆ  สั่งสมเป็นอนาคามีไปเรื่อย จนหมดกามาวจรภูมเหลือแต่รูปาวจรภูมิและอรูปาวจรภูมิ อนาคามีก็ดับรูปาวจรภูมิกับอรูปาวจรภูมิของตนอย่างมีผัสสะด้วย ลืมตาเห็นอยู่หลัดๆว่าสัมผัสอยู่กิเลสเกิดจริงและกิเลสดับจริง ไม่ใช่ไปนั่งเอาสัญญามาขบคิด ยกชั้นนั้นใส่ชั้นนี้อย่างที่ท่านอธิบาย มันไม่ใช่เลยเห็นไหม มันต่างจากเชิงตรรกะที่ท่านอธิบาย แต่ที่อาตมาอธิบายเป็นเชิงของจริง ตามที่พวกเราตามสัมผัสมา ตามลำดับเท่าที่พวกเราปฏิบัติได้ แม้จะไม่รู้ทั้งหมด ยิ่งถ้าคนรู้ถึงอรูปาวจรภูมิเลยก็ยิ่งจะชัด อาตมาไม่ถามว่าใครรู้ถึงอรูปาวจรภูมิแล้วบ้าง ก็ของใครก็ของตนเองก็แล้วกัน มันจะมั่นใจเองว่ารู้ถึงแล้ว รู้ด้วยญาณของตัวเอง 

พ่อครูอ่านต่อ...พอจิตของผู้ปฏิบัติแล้วรู้ว่าจิตสำเร็จนั้นสำเร็จที่โลกุตรภูมิ ไม่ได้สัมผัสที่โลกียภูมิ จิตพอเลย สมมุตติบัญญัติแล้วนั้น จิตจะรู้ว่าพระนิพพานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับธรรมะที่สอนด้วยสมมุติบัญญัติ (อาตมาแทรกว่าแล้วพระพุทธเจ้าจะมาบัญญัติสิ่งเหล่านี้ไปทำไม ท่านจะมาบัญญัติให้มันเหนื่อยทำไม ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องใช้ นี่ใช้ไม่เป็นก็เลยตีทิ้งไปหมดเลย อาตมาขออภัยอ.บูรพา อาตมาไม่ได้ว่าอ.บูรพาหรอก เห็นใจสงสารเข้าใจ เสียเวลาไปเรียนตามๆกัน ก็แน่นอนว่าคนเรามันก็ต้องเรียนผิดก่อนถูกก็ค่อยๆเป็นไป)

ส.เดินดิน..แทรกว่า “ของจริงต้องนิ่งใบ้ ถ้าพูดได้ไม่ใช่ของจริง” อาตมาบอกว่าอันนี้โมเม ก็มันไม่รู้มันก็เลยพูดไม่ได้สิ เป็นข้อแก้ตัว ที่จริงที่พูดไม่ได้คือมันไม่รู้ ใช้คารมกลบเกลื่อนตัวเองปิดไว้สนิท เก่งจริงๆ

พ่อครูอ่านต่อ...พระนิพพานเกี่ยวเพียงธาตุรู้ สติที่เห็นความคิดแล้วเท่าทันความคิด ไม่หลงปรุงหลงแต่งหรือจิตดวงไหนไปหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจังเกิดเป็นอวิชชาขึ้น จิตคิดที่ไหนปรุงที่ไหนก็เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น เมื่อจิตเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่า แท้ทีจริงเราต่างเวียนว่ายอยู่ในความคิดความฝันของตัวเราเอง พอจิตเริ่มรู้อย่างนี้ จิตก็เริ่มรู้ความจริงหลายอย่าง ก็ขอให้ผู้ปฏิบัตินั่งดูความคิด ดูตัวของตัวเอง เท่าทันมันหมดทุกกระบวนการ ทำสมาธิก็พุ่งตรงไปยังที่จิต อย่าไปดูอย่างอื่น เพราะอย่างอื่นไม่ใช่พระนิพพาน ดูไปก็เสียเวลาไม่มีประโยชน์อะไร จะสำเร็จพระนิพพานได้มันก็ต้องดูจิตของคนเรา ไม่ต้องไปรู้อย่างอื่น รู้เพียงจิตของตนเอง รู้ในจิตของตนเองหมดสิ้นเมื่อไหร่ จิตก็จะได้พระนิพพาน ไปรู้อย่างอื่นเยอะขนาดไหน แต่ถ้าไม่รู้จิตตัวเองก็ไม่สำเร็จพระนิพพาน

อาตมาวิจารณ์ว่า ตกลงรู้ตัวเองอย่างเดียว แล้วตัวเองมันมีหลากหลายที่มันเป็นตัวตนมันเป็นอัตตา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อะไรอย่างไร อ.บูรพา พอได้ศึกษาพอได้ลดละตั้งแต่ โอฬาริกอัตตาไปบ้างหรือยัง แล้วมันไปยึดอยู่ในจิตเป็นมโนมยอัตตาขนาดไหน พอจะรู้ไหมนี่ยังหลงยังมีมโนมยอัตตาไปบ้าง เกินไปบ้างอยู่ ต้องเห็นจิตในจิตที่เป็นสภาวะที่ไม่เลยเถิด อะไรปรุงเข้ามา อะไรคือปรุง ปรุงมาเป็นกุศลหรือไม่ปรุง กามสังกัปปะเป็นอย่างไรมันมีอาการ กาม อาการพยาบาทอย่างไร เข้ามาร่วมปรุง หรือมันปรุงโดย ไม่มีกาม พยาบาทเป็นอย่างไร มันต้องรู้ในภาพอภิสังขารอย่างนั้น กำลังมีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงก็จับไว้ ถ้ามันไม่มีอาการกิเลสแล้วก็เป็นอภิสังขารโดยไม่มีกิเลสร่วมปรุงเลย ก็จะชัดเจนด้วยการรู้จริงตามความเป็นจริง

อาตมาแวะไปให้ความคิดกับแนวสองแนวคือแนวที่เข้าไปสงบแบบฤาษีซึ่งเป็นแนวใหญ่แนวหลักทั่วไปเลย ที่จมอยู่แบบนี้เยอะ กว่าจะมาปฏิบัติตามแนวพระพุทธเจ้า ที่อภิธรรมแจกแจงไว้เยอะ ที่อาตมาพยายามหยิงมาเรื่อยๆเป็นขั้นๆ แม้แต่โสฬสญาณหรือวิปัสสนาญาณก็ขยายไปเรื่อยๆ สักวันก็จะเอาญาณทั้ง73 ญานมาอธิบายสู่ฟังบ้าง ซึ่อาตมาบอกก่อนเลยว่าไม่ได้รู้หมดทั้ง 73 แต่ก็พอบอกได้ ยังมีทิฏฐิ 62 อีก ที่อาตมามีอัตถะธรรมะแต่ต้องฝึกนิรุตติปฏิภาณอีก ที่พูดไม่ได้พูดอวดอ้างแต่อย่างใด แต่พูดความจริงสู่ฟัง จะโกหกไปทำไม ถ้าโกหกก็บาป แล้วเก่งโกหกจะอยากเก่งไปทำไม นี่คือคนหลงโมหะที่โกหกเก่งแล้วให้คนเชื่อ อาตมาว่าโกหกเก่งนี่ไม่ประเสริฐ บริสุทธิ์เก่งก็ยังดีกว่าโกหกเก่ง บริสุทธิ์ดีกว่าแม้จะไม่เก่ง ไม่มีคนทึ่ง คนจะนับถือหรือไม่ แต่เราบริสุทธิ์ก็พอแล้ว

 มาเข้าเรื่องที่อาตมาตั้งใจจะสาธยาย เรื่องความรู้ของพระพุทธเจ้าคือ วิชชาจรณะสัมปัณโณ จรณะคือความประพฤติ ทางกายวาจาใจ คือความรู้ที่ไม่ใช่โลกๆ สามัญโลกีย์ ความรู้ทางเทคนิค ความฉลาดจะสร้างทำอาศัยกินอยู่ก็จำเป็นต้องรู้เลี้ยงตัวให้รอดเช่นเดรัจฉานทุกตัวต้องมีความรู้เทคนิคในการเอาตัวรอด แต่เราเป็นเหมือนเดรัจฉานนั่นแหละ แต่เราต้องทำให้ได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ส่วนความรู้ที่รู้จักสัจธรรม รู้จักปรมัตถธรรม รู้จักสังขารกาย สังขารจิต รู้จักกิเลส นี่คือความรู้วิชชา ถ้าไม่รู้คืออวิชชา ผู้ที่จะไปศึกษาเทคนิคมาก ยิ่งมีอวิชชามากขึ้นด้วย เพราะเอาความรู้นั้นมาทำให้กิเลสโตได้ สมโลภ สมโกรธ สมโมหะ โมหะนี่หลอกเขาได้และตัวเองก็หลอกตัวเอง หลอกเขาได้โกหกเขาได้เก่ง อย่างพวกบริหารประเทศในระดับสูงทั้งข้าราชการประจำและการเมือง ก็หลอกตัวเอง ทั้งนักวิชาการก็หลงตัวเอง ก็ภาคภูมิหลงความรู้ แต่ไม่ได้เรียนทางปรมัตถธรรม ไม่ใช่ความรู้ทางเทคนิค แต่ความรู้อันนี้ไม่ได้ด้อยความรู้ทางเทคนิค ที่จะเลี้ยงตนรอด เมื่อมีความรู้ทางปรมัตถ์ เราก็จะกินน้อยใช้น้อยลง ไม่เปลืองไปเรื่อย ๆ มีเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องสะสมกอบโกย เป็นเพียงเอามาอาศัย จนกระทั่งกิเลสที่จะโลภเอามาเป็นของตัว ถ้ามีกิเลสมากก็ยังเอามาเผื่อไว้มาก กิเลสน้อยเราก็มั่นใจเรากินน้อยใช้น้อยอยู่แล้วสมรรถนะเราก็สูงอยู่แล้ว มันจะมีกำลัง 4 ปัญญา อนวัชชะ สังฆหะ การสังฆหะมันจึงสูง การสละการไม่เอาไว้ให้แก่ตัวเองก็สูง ก็เจริญขึ้น แล้วงานการก็ยิ่งดีขึ้นเพราะยิ่งกินน้อยใช้น้อย มีการบำเรอตัวเองน้อย

เราไม่ได้สะสมเราไม่ต้องยึดถือว่าเรามีเท่าไหร่ ช่างมันซิ ดีไม่ดีคนอื่นเขาสะสมแทนมีอะไรเขาก็อุดหนุนจุนเจือ อุดหนุนจุนเจือน้อยเราก็ทำน้อย  มีมากเราก็ทำมาก ไม่เห็นเสียหายเลย ทีนี้มันซ้อนอยู่ว่า เขาเห็นว่า ถ้าอุดหนุนจุนเจือเราก็จะได้ทำดีต่อสังคมมากขึ้นเพราะทำงานให้แก่สังคมไม่ใช่แก่ตน ผู้ที่เข้าใจก็จะยินดีที่จะสนับสนุนท่าน ท่านทำได้ท่านไม่ได้สะสมกอบโกย ท่านทำงานให้สังคม มันเป็นสัจจะที่เขาจะนับถือจะยอม อุปภัมภ์ค้ำชู 

อาตมาก็มีมีบารมีเท่านี้ มีผู้อุปภัมภ์ค้ำชูเท่านี้ อาตมาก็ทำเต็มที่เท่านี้ ที่จริงก็ยังเฟ้อยังเกินอยู่นะ ไม่ได้เรียกร้องเลย ถ้ามันขาดนี่นะ จะเรียกร้องรับรอว่ามีคนช่วยออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม ก็ยังเหลือกินเหลือใช้อยู่เลย

มาเข้าสู่เนื้อหาของ วิชชาจรณะ วิชชาคือความรู้ จรณะคือความประพฤติ สองอย่างนี่สำคัญ ทีนี้คนที่ประพฤติ ยังชีวิตอยู่เลี้ยงชีวิตอยู่จะมีการเลี้ยงชีวิตอยู่ 5 ประการเรียกว่า อาชีวะ

 1 กุหนา 2 ลปนา 3 เนมิตกตา 4 นิปปุนา 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา

ทั้ง 5 นี้ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร ในมรรคองค์ 8  ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไม่รู้ว่าจะไปละอะไรแค่ไหน ให้เป็นลำดับ ลำดับแรกที่จะต้องละคือ กุหนา คือเลวร้าย ทุจริต คอรัปชั่น  โกงตัวแม่หรือตัวพ่อ ส่วน ลปนาคือโกงตัวลูก ในระดับแรกเลย คืออบายมุช ไม่ซื่อสัตย์สุจริต โกงเป็นอบายมุข เราต้องเลิก เราต้องมาเรียนรู้ ศีล 5 เป็นข้อต้นของการไม่มีอบายในข้อต้น

ชีวิตคือชีวิต ชีวิตสัตว์ก็ชีวิต ชีวิตเราก็ชีวิต อย่าไปฆ่าสัตว์ ถ้าคุณเองยังติดเนื้อสัตว์ คุณ ยังเลี่ยงไม่ได้ก็อย่าไปฆ่า คุณก็กินโดยไม่ฆ่า อย่าไปบอกให้เขาฆ่า ถ้าบอกก็เป็นการเชื่อมต่อ คุณไม่ได้บอกแต่คุณไปซื้อหมูที่เขียง คุณไม่ได้บอกให้ไปฆ่ามานะ แต่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งให้เขาไปฆ่า ก็มีเชื้อให้เขาฆ่าหมู ถ้าคน 100 คนกินหมู1 ตัว เขาก็ต้องฆ่าหมู 1 ตัวให้พอดี คน 100 คนกิน แต่ถ้าคนกิน 50 คนก็จะลดขนาด จำนวนการฆ่าลง ให้พอเหมาะกับคน 50 คน  ถ้า 100 คนนี้ไม่กินเนื้อหมู เขาก็ไม่รู้จะฆ่าให้ใครกิน มาขายให้ใครกิน

เพราะฉะนั้นอนุโลมให้คุณเลย คุณจะไปซื้อหรือต้องอาศัยให้เขาไปซื้อมาก็ตามที เป็นนัยละเอียด มันก็ยังเป็นเชื้อเป็นเหตุ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าสัตว์มันตายโดยคนฆ่า แต่ก็ไปแปลว่าระบุบุคคลว่าคนนี้กินไม่ได้ ไม่ใช่ เป็นการระบุว่าฆ่าโดยคน ท่านมีหลักฐาน 5 ประการว่า การฆ่าของเขาจะครบองค์ 5 ของปาณาติบาต  5 คือ 1.รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 2 .สัตว์นั้นมีชิวิติ  3.ไปผูกมันมา 4.พยายามฆ่า 5.ฆ่าสำเร็จ

ยังมี 5 ข้อที่ละเอียดลึกซึ้ง ในบาป 5 ประการ คือ ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์นั้นมา(อุทิศมังสะ) สัตว์นั้นเมื่อถูกผูกคอมามันย่อมเสวยทุกข์ เป็นบาป สัตว์มันอยู่ดีๆ (ส.เดินดินแทรกว่า สูตรนี้อธิบายว่าการเอาสัตว์มาทำบุญ มันได้บาปมากกว่าบุญ โดยโทษ 5 ประการ) แม้กระทั่งข้อสุดท้ายก็ได้แกงไก่ถวายท่าน เพื่อให้ท่านได้เอร็ดอร่อย แกงสุดฝีมือ ทำให้ดีที่สุดอย่างนักโภชนาการเลย ถวายเพื่อยังตถาคตและสาวกให้ยินดีด้วยเนื้อนั้น ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก แค่เอาไปถวายให้สมระ ภิกษุ ให้ยินดีในเนื้อสัตว์ก็บาปเป็นอันมากแล้ว แม้คุณไม่ได้ฆ่าเอง แต่คุณปรุงเนื้อสัตว์มาให้ภิกษุด้วยประณีต เต็มไปด้วยการปรุงแต่งเต็มที่ จะเป็นการทำบาปโดยไม่รู้เรื่องเลย(ส.เดินดินแทรกว่า เคยคุยกับโยมว่าวันเกิดโยมจะเอาหูฉลามมาถวาย ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เขาเห็นคนเอาปลามาให้ก็กินไม่ลงเขาก็เลิกกินปลา แต่เวลาทำบุญนี่คิดว่าถ้าได้ถวายอาหารที่ปราณีตเช่นหูฉลามจะได้บุญมากที่สุด เขาไม่ได้เจอสูตรนี้)

         ก็ลงลึกในรายละเอียดเพื่อให้เห็นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า มรรคองค์ 8 มีโพธิปักขิยธรรม วิชชาจรณะ มรรคองค์8 วิชชา8 ก็คือศีล-สมาธิ-ปัญญา ก็มีปัญญาร่วมไปด้วยตลอดเป็นยาดำ ซอกแซกรู้ไม่ให้ตกหล่น ถ้าตกหล่นก็ต้องทำให้ครบ สูตรหลักเดิมแต่มีรายละเอียดไปหลายแง่

         ปฏิบัติมรรคองค์8 ก็คือสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ หยิบอาชีวะมาพูดตั้งแต่หยาบ เลี้ยงชีพตนด้วยการฆ่าสัตว์ หรือในฐานะอันเป็นขโมยไม่ใช่สุจริตของเรา ตามสิทธิที่ควรได้ควรเป็น ไม่ใช่ลาภธรรมิกา ไม่ใช่ลาภโดยธรรม แต่เป็นลาภที่มีส่วนทุจริตโลภ แม้แต่เอาเปรียบที่ก็ทุจริต แต่ก็ตามฐานะ เช่นโสดาบันก็มีเอาเปรียบบ้าง

         เนมิตกตา คือฐานอาชีพที่เลือกจำเพราะสำหรับเรา เลือกพอเหมาะ ในเบื้องต้นศีล 5 คืออย่าให้ผิด การไม่ใช้เงินใช้ทอง ศีล 8 ศีล 10 อย่าเพิ่งอะไรที่มันยังใหญ่โต มากมายอยู่ก็อย่าเพิ่ง เอาแต่พอสมควร มันมาเกินจัดจ้านไปก็ต้องรู้ของตัวเอง มัน มหัปปิจฉะมากไปก็ต้องรู้ตัวเอง แต่ยังไม่เป็นจริงเป็นจังนัก ยังไม่ถึงขั้นอุจจาสยนะมหาสยนาเสียทีเดียว มาลาคันธวิเลปนธารนมันฑนะก็อย่าเพิ่ง เอาแค่ศีล 5 การกินการอยู่ก็โภชเนมัตตัญญุตาหรือ วิกาลโภชนา ให้มีมื้อมีคราว รู้จักครั้งจักคราว ผู้ปฏิบัติธรรมในขั้นแรก กินไปเถอะสามมื้อ นั่งใน สามที่นั่ง  โสดาบันจะกินสามมื้อก็ไม่ว่า นอกมื้ออย่าไปกินเล่นกินจุบจิบ แล้วก็อ่านกิเลสให้รู้ ว่าเห็นอันนั้นอันนี้ก็น่ากิน สัมผัสแล้วก็อยากไปเรื่อยๆ

         สรุปแล้วในข้อ 4 ไม่มีทุจริตวาจา ในทุจริตของวาจา 4 มีพูดปด มุสาฯ นอกนั้นคุณอาจมีส่อเสียด เพ้อเจ้อ หยาบ บ้างก็ว่ากันไปก่อน แต่ในโสดาบันนี่จะไม่พูดปดมุสานี่คุณต้องเด็ดขาดว่าคุณต้องไม่มี ในมิจฉา 4 ของวาจา อย่างน้อย 1 ข้อคุณต้องเอาให้ได้ หรือคุณจะเอาหยาบๆของส่อเสียด หยาบๆของเพ้อเจ้อ คุณก็ต้องอย่าหยาบมันก็เป็นเบื้องต้น 

มิจฉา 3 ในกัมมันตะ คือในการกระทำทุกอย่าง 1 ฆ่าสัตว์ 2 ลักทรัพย์ 3 กาเมสุมิจฉาจาร นี่คือการกระทำทุกอย่างในกายวาจาใจคุณต้องประมาณ 1.ไม่ฆ่าสัตว์อธิบายไปแล้ว 2.ของที่ไม่ใช่ของเราอย่า 3.เรื่องกามประมาณเอา กาเมสุมิจฉาจาร อนุโลมพอประมาณ อย่างรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็ประมาณเอาสิ อันไหนมันมากไปแล้วเราไม่เอาหรอกอันนี้ พอ มันหนัก มันแรง มันจัดจ้านไปแล้ว

สรุปแล้วกุหนาคือทุจริตตัวแม่ ตัวพ่อ  ลปนาทุจริตตัวลูก เนมิตตกตาคือประมาณเสี่ยงโชค เนมิตกะแปลว่าการเสี่ยงโชค เราจะได้โชคก็ต่อเมื่อเราทำศีล 5 สำเร็จ เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย เมื่อคุณปฏิบัติเนมิตกตาสำเร็จคุณก็บริสุทธิ์

เมื่อคุณบริสุทธิ์แล้วคุณอย่าไปสนับสนุนในอาชีพในส่วนของนิปเปสิกตา คุณอย่าไปร่วม คุณอย่าไปมอบตนในทางที่ผิด คนที่ยังฆ่าสัตว์ ที่ยังขี้โกงทุจริต คุณยังไปร่วมในบริษัทที่โกง คุรก็ได้ส่วนแบ่งอยู่ในนั้นด้วย  นิปเปสิกตาคุณบริสุทธิ์ในศีล 5 แต่ยังไปร่วมกับคนผิด เป็นนิปเปสิกตาไปมอบตนในทางผิด คุณก็ต้องเลิกออกมา แต่บางคนจำนน เขาทำแต่เราไม่ได้ทำเราทำนี่สุจริตทั้งนั้น แต่ไปร่วม บริษัทนี้รายได้มา คุณก็ต้องรับรายได้จากเขา อ.สมภาร พรมทา บอกว่าการกินเนื้อสัตว์คือการรับของโจร คุณไม่ได้ไปขโมยเองหรอก

เมื่อคุณนิปเปสิกตาไม่ไปมอบตนในทางที่ผิด อิสรเสรี พึ่งตนเองรอดหรือมาพึ่งบริษัทที่สะอาดบริสุทธิ์ถูกต้อง แต่ยังเอาสิ่งแลกเปลี่ยน ยังมีส่วนแบ่งอยู่ ยังลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ยังมิจฉาชีพอยู่เลย  สุดยอด อาชีพของพระพุทธเจ้า โสดาฯสกิทาฯ ก็อาจจะยังไม่ถึง ก็ค่อยๆลดละมา พอถึงอนาคามีล่ะก็ ก็ไม่เอาแล้วทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน อยู่สบายแล้วเลี้ยงตนรอด มีสถานที่อยู่ มีหมู่กลุ่มมีคณะ อยู่อย่างสาธารณโภคี สนับสนุนปนเปกันไป กิเลสเราเราอาจจะยังไม่ถึงอนาคามีอะไรหรอก แต่เราก็อยู่กับหมู่ไป  เราก็ลดกิเลสไปตามฐานานุฐานะ นี่มันละเอียดซับซ้อน ผู้ใดทำได้อย่างพวกเรามีไม่เอาลาภยศสรรเสริญแลกเปลี่ยน ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา

อนาคามีนี่กิเลสกามหมดเหลือแต่ราคะ อรูปราคะ แต่แม้กิเลสกามเรายังไม่หมด ก็ไม่เป็นไร เราอยู่ที่นี่ เราทำงานฟรี เราก็ได้อันนี้ไปเราก็ไม่สะสมลาภยศอะไรไป กามเราก็ลดของเราไปสิ ส่วนลาภยสเราก็ไม่ได้สะสม เราก็ไปลิ่วๆเลยสิ

ผู้ที่เข้าใจรายละเอียดก็ปฏิบัติธรรม ไปตามลำดับ ก็มีความประพฤติมีความรู้เป็นอำนาจเป็นกำลังเป็นพฤติภาพ เป็นจารีตประเพณี เป็นวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นความประพฤติของคนๆหนึ่งเมื่อสะอาดบริสุทธิ์แล้ว มาร่วมกันเป็นร้อยคนพันคน เป็นความประพฤติที่สามัคคีพร้อมเพรียงกัน เมื่อคนมาทำพฤติภาพรวมกันเป็นศีลสามัญตาทิฏฐิสามัญตา เป็นพฤติภาพของกลุ่มทำด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมแม้เป็นอาชีพด้วย เป็นหมู่กลุ่มเช่นชาวอโศกนี่มีพลังอำนาจนะ เป็นอำนาจที่เป็นในตัวเอง เราไม่เอา เราพึ่งพาตนเอง เราขยัน สร้างสรรค์และแจกจ่ายเจือจานช่วยผู้อื่นอีก  มันก็เป็นพฤติภาพที่ปรากฏในโลก เป็นกำลังคุณงามความดี เพราะเป็นการขยันหมั่นเพียร เป็นกำลังของปัญญา เรารู้ว่าทำอันนี้นี่แหละดี เรามีความสามารถเราก็ทำ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ และงานที่ทำหมู่กลุ่มก็เลือกแล้วว่า ไม่ใช่งานอบาย หรืองานเป็นบาปภัยอะไรหรอก ต่างคนช่วยกันคิด จนกว่าเราจะอนุโลม แต่ก่อนเราเคร่งหลายอย่าง ตอนอนุโลมไปช่วยสังคมก็ลดลงไป เนื่องจากเรามีฐานแข็งแล้ว พอจะช่วยเขาได้ มีสังขารุเปกขาญาณ 

ซึ่งอาตมาก็ดูแลอันนี้อยู่ จึงสังฆหะได้มากขึ้นๆ การพึ่งตนเองและขยันหมั่นเพียร เสียสละมันเป็นพฤติภาพ เป็นรูปแบบเป็นพลังงานหมู่กลุ่มนี้ ถ้ากองทัพธรรมนี้ออกไป เบาแรงเยอะเลย พวกเราเป็นพวกรับใช้ เก็บกวาดเก่ง แม้แต่ขี้แต่เยี่ยวมันก็เก็บกวาดไปหมดเลย ที่อธิบายเป็นสภาวะจริง ไม่ได้อวดโอ่แต่ให้เห็นความเป็นจริงที่เป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคม เป็นรูปธรรมเป็นพฤติภาพอย่างนี้ มันเป็นไปจนชำนายเป็นปกติ เป็นพลังรวมเป็นเอกภาพ ได้ประโยชน์ต่อสังคมไปเรื่อยๆ แม้เขาจะเห็นว่าต่ำ         แต่สำคัญจำเป็นต่อสังคม แม้แต่แบกหาม ก็คิดแพงนะ แต่เราแบกฟรี แม้บางคนเป็นด๊อกเตอร์ เป็นป.โท เป็นเจ้าสัวนะ มีครอบครัวของกัปตันเครื่องบินมาช่วยเก็บเต้นท์จนเสร็จเลย อย่างนี้คือปัญญาที่ไม่ถือเนื้อถือตัว ว่าตนเป็นกัปตันอยู่บนฟ้า มาทำงานบนดินได้ มาทั้งครอบครัวกัปตันเลยดูเหมือนจะเป็นกัปตันหน่อย    

สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติภาพ เมื่อมารวมกันก็เป็นประเพณี เป็นจารีต เป็นวัฒนธรรม ถ้าบอกว่าวัฒนธรรมชาวอโศกเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้อโศกปลอมตัวอย่างไรเขาก็พอรู้ มันเป็นสัญลักษณ์ เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ อะไรอยู่ในตัว

 อันนี้แหละเป็นอำนาจที่เป็นคุณงามความดี โดยธรรม กับอำนาจที่เรียกว่า Force ที่ไปชุมนุมเราเรียกอำนาจนี้ว่า Authority เราไม่ได้ใช้อำนาจ Force แต่ทางการรัฐบาลใช้ Force เราอยู่ตลอดเวลา เขาจะรู้ไหม

อาตมาได้อ่านเรื่องของ Force and Authority ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องของอำนาจ

สมณะโพธิรักษ์

         (1) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด
                                    ครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้
                                    อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ
                                    ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ
                                    ก็คือ การใช้อำนาจนั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ
                                    นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม  
                                    ซึ่งเป็นอำนาจ ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล
                                    อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขาตกอยู่ใต้อำนาจ
                                    เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ
                                    ผู้ที่ยังมีพฤติที่สร้างอำนาจเป็นความชอบธรรม
                                    นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่า
                                    ตนคือผู้มีอำนาจ นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force
                                    ซึ่งเรียกว่ายังเป็นเผด็จการอยู่มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง
                                    คนฉลาดในโลกจะสร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว
                                    จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง
                                    จึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม
 (2) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม
                                    ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม 
                                    จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม
                                    ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น
                                    แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือ
                                    จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น
                                    อย่างอิสรเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย
                                    นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ
                                    ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร                                                        เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คนยอมยกอำนาจนั้น
                                    ให้แก่ผู้น่าเคารพ นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority =
                                    right power หรือจะเรียกว่าเผด็จการโดยธรรมก็ได้ ถ้า                                                            ไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา
                                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น
                                    ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น
                                    ดังนั้น ผู้น่าเคารพ จึงเป็นเสมือนผู้มีอำนาจ
                                    ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะ
                                    เชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา
                                    นี่คือ ผู้มีพฤติที่สร้างความชอบธรรมเป็นอำนาจ
                                    เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว
                                    ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว
                                    จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง
                                    จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม
                                     
                  อธิบาย ; อำนาจ ที่ภาษาอังกฤษว่า power, energy, authority, force, sovereignty=soverein power =supreme =independence =อำนาจใหญ่,อธิปไตย
kinetic energy, potential energy,
author = ผู้แต่ง, เจ้าของ, ผู้สร้างสรร,
พระพุทธเจ้าเป็น authority = ต้นตำหรับอำนาจโดยธรรมแบบของพระองค์ 
force = กดดัน, บังคับ, บีบ, เร่ง, บุก, ยัดเยียด, ทึ้งดึง,แข็งขืน
forced = ซึ่งถูกบังคับ, ซึ่งถูกบีบ, ใช้แรงฝืนใจ forcible = ใช้กำลัง, โดยพลการ
authorize = อนุมัติ, ยินยอม, อนุญาต, มอบอำนาจ, ต่งตั้ง, มอบหมาย
authorizable = พอจะมอบอำนาจให้ได้, พอจะยอมรับได้ 
authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี, เชื่อถือได้, มีหลักฐานพิสูจน์ได้, เผด็จการ
authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ
[Authority by force is less enduring than authority by kindness.
 อำนาจโดยพระเดชนั้น ไม่ยืนนานเหมือนอำนาจโดยพระคุณ]
ใครจะ made a forcible = โดยพลการ ก็อย่าทำเลย

เจตนารมณ์ของเรา

         เจตนารมณ์ ของเราชาวอโศก หรือ กองทัพธรรม อย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจ
                                    คือ อย่างไร?
                                    คือ ความมุ่งมั่นสร้างความชอบธรรม ตามโลกุตรธรรมธรรม
                                    ของพระพุทธเจ้า
                                    จะเป็นไปได้ยากปานใด เราก็จะทำ
                                    จะมีผู้เห็นดีเห็นด้วยเท่าใด เราก็พอใจเท่าที่ได้.....
                                    เราไม่หวังว่าจะได้มากเป็นที่ตั้ง
                                    เพราะคนที่จะมีความสนใจ มีความกล้า มีภูมิถึงขั้น                                                               จะรับคุณธรรมขั้นโลกุตระนี้ได้ มันไม่ธรรมดาสามัญทั่วไป 
                                    เราไม่เคยยึดมั่นหรือมุ่งเอาชนะเลย เพราะการชนะมี 2 อย่าง
                                     (1) ชนะตามแบบ force คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของ                                                         เผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด ครอบงำให้จำนน
                                    อันเป็นอำนาจ     ที่เราไม่ทำอยู่แล้ว มันไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่                                                  อุดมคติของกองทัพธรรม เพราะมันเป็นอำนาจที่ยังมีอวิชชา
                                     (2) ชนะตามแบบ Authority = right power ที่เป็น                                                        อำนาจ ความถูกต้อง ความดี       งาม ชนะด้วยวิชชา มีสติ                                                         ปัญญา ความชอบธรรม ซึ่งต้องสัมมาทิฏฐิ
                                    เรารู้ว่า คนยุคนี้มีกิเลสจัดจ้าน ใกล้กลียุคแล้ว เต็มไป                                                         ด้วยกิเลสมากมายไปหมด เรารู้ดี จึงไม่ได้หวังชนะสูงสุด                                                                หรือชนะเด็ดขาด ชนะสุดท้าย จบ final หรือ the end
                                    ตามที่คนในสังคมประเทศเขานับว่าเป็นความชนะกัน  
                                    เราเพียงขอให้ชนะ คือ มีบุคคลในสังคม ใน                                                                   ประเทศเกิดสติ ปัญญา มีความชอบธรรม เพิ่มจำนวนขึ้นให้                                                 แก่ประเทศ ก็เพียงพอแล้ว 
                                    ไม่ได้หวังดังที่คนทั้งหลายคิด ไม่ได้หวังมากกว่านี้
                                    แต่ถ้าบุญของประเทศไทย จะมีปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์                                              
                                    ซึ่งเหตุการณ์ที่เราได้เข้าไปร่วมทำงานมาแล้ว ตั้งแต่                                                          เปิดตัวกองทัพธรรมกับสังคมเป็นปรากฏการณ์ ก็ชี้บ่ง
                                    ชัดเจน   ว่า คนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการเมืองในปัจจุบันนี้                                                    ที่มีนักการเมืองบริหารกันอยู่อย่างเป็นจริงมีจริง
                                    คนที่ออกมานี้เป็นเครื่องยืนยันว่า เขาทนไม่ไหว จึง                                                             ออกมาชุมนุมได้มากเกินคาด หรือมากอย่างไม่เคยปรากฏ                                                     เพราะเราประกาศให้มาชุมนุมกันอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีวิธีการที่                                                   ใช้อำนาจตามแบบ force คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของ                                                       เผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด ดังที่กล่าวมาแล้ว เรามีแค่                                                              ต่อรอง ทั้งๆที่ถูกรัฐบาลใช้วิชามารสารพัดจะสกัดประชาชน                                                  ได้อย่างมากจริงๆ ต้องยอมรับว่าเขาเก่งวิชามาร ชนิดที่ต้องขอ                                                เรียกว่าเก่งฉิบหายกันเลย ต้องขอใช้คำคุณศัพท์อันนี้
                                    กระนั้น ฝูงชนก็ออกมาชุมนุมกันมากเป็นประวัติการ                                                         มากเกินคาดเกินคิดจริงๆ ตามแบบ authority คือ อำนาจ
                                    ที่ได้โดยธรรม ซึ่งแสดงถึงความชอบธรรม เป็น อำนาจ  
                                    แต่ถ้ายังไม่มากพอที่จะทำให้รัฐบาลยอมรับ ว่า เป็น                                                           คะแนนเสียงประชาชน ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยอันจะทำให้                                               รัฐบาลจะต้องยอมแพ้ รัฐบาลก็ยืนยันความถูกต้องออกมา
                                    ถ้าเสียงของประชาชนคนตัวเป็นๆ ออกมาชุมนุมกันมาก                                                             พอ มันแสดงถึงความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย                                                          แล้ว ที่รัฐบาลจะต้องเคารพ คะแนนเสียงนี้เป็นเครื่องตัดสิน
                                    แต่นั่นแหละ นักการเมืองหรือรัฐบาลจะมีวุฒิภาวะ                                                               ทางการเมืองสูงส่งดังกล่าวนี้         ได้ เราก็ต้องช่วยกันสร้างคน                                                               สร้างความรู้ สร้างความจริงของการเมืองไทยต่อไปด้วยอุตสาหะ
                                    กองทัพธรรม มุ่งมั่นดังกล่าวนี้
                                    ใครจะหาว่า เราสุดโต่ง เราเพ้อฝัน ก็ไม่มีปัญหา
                                    เราจะพากเพียรพยายาม จนกว่าจะตาย.

สรุปว่ากำลังพวกนี้แหละจะสั่งสมเป็นพลังงานที่เป็น potential energy เป็นพลังงานแฝง คนไม่มีปัญญาไม่รู้ สั่งสมเป็น ปัญญาพละ วิริยะพละ อนวัชชพละ สังฆหพละ ผู้ที่ทำกำลังนี้ได้สูงก็ไม่กลัว อาชีวิกภัย ไม่ต้องหาเงิน อาตมาไม่กลัวเลยที่จะไม่ต้องไปหาเงิน เจ็บป่วยคุณจะไม่รักษา อาตมาไม่มีเงินถ้าป่วย ต้องใช้เงินเป็นล้าน ถ้าต้องใช้เงินขนาดนั้น แล้วไม่มีใครช่วยรักษาอุปภัมภ์ก็ตาย แต่ถ้ามีคนช่วยให้ไม่ตาย ก็รับใช้ต่อ เพราะเรามีชีวิตยินดีในการรับใช้คนอยู่แล้ว ปรปฏิภัทา เม ชีวิกา มีชีวิตให้คนอื่นเลี้ยงไว้ จะกินอยู่หลับนอน คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ทั้งนั้น ในอำนาจที่เรียกว่า ออโทไรซ์ Authorize  เป็นพลังที่สร้างปรุงแต่งของตนเองขึ้นมาให้แก่ตนเอง หมายความว่าเป็นอำนาจที่สมบูรณ์ เป็นอำนาจที่ยอมให้ ยกให้ สมบูรณ์ ผู้ที่รู้ที่เห็นว่าผู้นี้มี ออโทไรซ์เอเบิล มีอำนาจที่ควรยกให้ท่าน มันก็จะมีออโทไรซ์เอเบิลของผู้นั้น ตามจริงสะสมไปเรื่อยๆ เพราะคนเขายกให้เรื่อยๆ เขาก็จะมี ความมีอำนาจในตนเองไปเรื่อยๆ มีบารมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี  สุดท้ายก็เป็น authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ

ก็ศึกษาภาษาเขามา สุดท้ายก็เป็น เหมือนพระพุทธเจ้าที่คนยกให้ท่าน อาตมาก็สะสม authority นั้นเหมือนกัน คุณจะเอาด้วยไหม อย่าไปสร้างอำนาจ force เรามาสร้าง authority กัน คุณก็จะได้ right power มา

ส.เดินดิน สรุป วันนี้พ่อครูเริ่มทิศทางของการปฏิบติธรรมที่ไม่มีสัมมทิฏฐิ กับมีสัมมาทิฏฐิ ก็จะต่างกัน ซึ่งคนทั่วไปทั้งโลกเขา มีเข็มทิศมุ่งในการปฏิบัติ พอเขาศึกษาพระพุทธศาสนาปุ๊บ ก็จะทำอย่างไงให้จิตใจเราสงบ ทุ่มเททั้งชีวิตให้จิตสงบ และจะเรียนรู้มาว่า จิตจะสงบต้องรับรู้ให้น้อยที่สุด ปิดหูปิดตา ทุกอย่างให้น้อยที่สุด จนจิตสงบก็จะเกิดพลัง เกิดวิปัสสนาขึ้นเอง จะบรรลุเป็นโลกุตระเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พ่อครูบอกว่ามันเป็นการสูญเสียเวลาไป แทนที่จะเอามารับรู้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ อย่างนั้นแทบไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมได้เลย พ่อครูมาบอกว่าจิตวิญญาณเราจะสงบ อาตมาทุ่มเทที่จะแสวงหาความสงบไปตามลำดับ โดยทิศทางที่จะลดกิเลสมาเป็นลำดับ จึงเกิดจิตสงบจากกิเลส ตั้งแต่เรื่องอบายมุข และกามคุณ

พ่อครู ต่อ ...ขอแถมว่าสงบของเราคือตัวกิเลสที่มีบทบาทอยู่ในจิตเป็นตัว kinetic energy สงบคือมันหมดความเคลื่อนไหวแล้ว มันหมดพลังงานที่จะไปเคลื่อนไหวแล้ว เรากำจัดมันจนตาย อย่างรู้ๆ ไม่ใช้ว่าแค่หลับตาแล้วมันจะดับไปเอง แต่เราเห็นกิเลส อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ต้องดับอาสวะสิ้นตายแล้วต้องทำซ้ำหมดเกลี้ยง จนแน่ใจว่ามันหมดจริงๆ ปานนั้น

ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดหมดบทบาท หมดลีลา ที่จริงแล้วบทบาท ลีลาของการทำงาน พลังของปัญญา วิริยะ อนวัชช และสังฆหพละ ยิ่งสูงส่งเลย มันไม่สงบอยู่นิ่งทั้งพวง แต่ไอ้ที่เป็นตัวการที่มันหยุด เหมือนเขาปราบเด็กแว้นได้แล้ว ถนนสงบ ทีนี้วิ่งถนนสบายเลย รถวิ่งได้คล่องตัวเลย อย่างนี้ต่างหาก

ส.เดินดิน ว่า..อย่างนี้เป็นการสงบที่เป็นการกำจัดเชื้อชั่วที่ไม่มีวันตาย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเสื้อแดง เขาก็ว่าเราเป็นเชื้อชั่วที่ไม่มีวันตายเลยทีเดียว อาตมาว่าใครกันแน่เชื้อชั่วไม่ตาย

ส.เดินดินว่า.ทุกวันนี้มันใช้ภาษาเดียวกันหมดเลย ของเราก็คิดว่าความสงบนี่คือความสงบที่จัดการเชื้อชั่วที่ไม่มีวันตาย ไม่ใช่ไปกดข่มไม่ใช่ลืมไปเฉยๆ

พ่อครูว่า..เน้นว่าต้องเกิดจากมีข้อประพฤติปฏิบัติที่เป็นวิชชาจรณะ  มีความรู้ และจะให้เกิดกำลัง ซึ่งในชาวอโศกดูกำลังง่ายๆคือกำลังที่จะไปช่วยสังคม กำลังที่เราอยู่กันง่ายๆและไม่มีอาวุธปืนอะไร แต่ขโมยก็ไม่เข้ามายุ่งอะไรกับเรา ยกเว้นพวกหยาบจริงๆ ข้าวของวางไว้ก็ไม่หาย สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังที่เกิดมาอย่างน่าอัศจรรย์ และจะมีสิ่งสังเคราะห์ออกไปช่วยโลกช่วยสังคม อย่างที่พ่อครูพาเราออกไปช่วยสังคม ดังที่ประกาศในเจตนารมณ์ของกองทัพธรรม ว่าการชนะไม่ได้อยู่ที่การต้องไปโค่นรัฐบาล หรือไปตามเงื่อนไขการเรียกร้อง ซึ่งจะมองได้ยากเหมือนกันว่าสิ่งที่พ่อครูต้องการนี่ ต้องการประชาภิวัฒน์ เป็นประชาชนที่มีความตื่นรู้ตื่นตัว ซึ่งคิดว่าอย่างงานนี้ คนที่ออกมามีวิจารณญาณเอง ไม่ได้มีแกนนำชี้นำ อย่างเสธ.อ้ายก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่อย่างใด แม้จะถูกสกัดทุกวิถีทางเขาก็ยังออกมา คนที่ขึ้นมาพูดบางคนเป็นปชป.แต่เขาก็ได้ความเข้าใจชัดเจนขึ้นมา แม้จะถูกสื่อสนพ.ว่าคุณไปข้างแก๊สน้ำตาใส่ตำรวจ คุณไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนที่อยู่ในบรรยากาศ ในเหตุการณ์เขาจะบอกเลยว่า เขามีความจริงที่ยืนยันได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พ่อครูต้องการที่เป็นเป้าหมายของกองทัพธรรมว่า ได้คนทีมีความจริง ความกล้า มีความชอบธรรม แม้จะถูกยั่วยุ ให้ไปทำลายอะไรเขาก็ควบคุมอยู่ในสงบสันติได้ ซึ่งพ่อครูก็มั่นใจว่าประเทศไทยเท่านั้น ที่จะได้คนที่มีคุณภาพมีคุณธรรมมีความกล้าหาญ มีความเสียสละ มีความชอบธรรมอย่างนี้ขึ้นมาในโลกนี้ได้ นี่คือองค์ประกอบของวิชชาและจรณะที่พ่อครูคิดว่ามันจะสัมพันธ์ไปกับปชต.ที่มีคุณภาพคุณธรรม ที่จะสร้างพุทธศาสนาให้เป็นปชต.ที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ ให้พวกเราช่วยกันรักษาสุขภาพอยู่นานๆช่วยกันสร้างสิ่งที่พ่อครูหวังอย่างนี้ขึ้นมาให้ได้....จบ

ที่มา ที่ไป

551202-รายการวิถีอาริยธรรม โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และ ส.เดินดิน ติกขวีโร ดำเนินรายกา


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 13:45:48 )

551203

รายละเอียด

3/12/2555 17:48:33 รายการเรียนอิสระตามสำนึก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ดำเนินรายการโดย อ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล

3/12/2555 18:03:50 คุณกฤษา ได้เปิดรายการ ว่าเดือนนี้เข้าสู่เดือนสำคัญเดือนแห่งวันพ่อ เป็นวันจันทร์ด้วยซึ่ง เป็นวันประสูติของในหลวง มีสีเหลืองเป็นสีประจำวัน

ในรอบสัปดาห์ในรอบปีที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์หลากหลาย โดยเฉพาะที่เราได้ไปร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้าย จึงมีปรากฏการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ ที่ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไถ

ประเทศไทยเรามีการซ่อนเร้นปิดบังเอาทรัพยากร และความมั่งคั่ง โดยขโมยไป

3/12/2555 18:07:36 พ่อครูก่อนอธิบายจะประชาสัมพันธ์เรื่อง งานว.บบบ. ของวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม เป็นการศึกษา รัฐพุทธศาสนศาสตร์บัณฑิต เราจัดครั้งแรกเมื่อต้นปี 55 พอเป็นครั้งที่สองนี้ ตอนนี้เราเปิดรับสมัครแล้ว สถาบันบุญนิยมมีความยินดี รับผู้สนใจเข้าร่วมอบรมบัณฑิตาราม รุ่น 2 28-3 ม.ค. 56 ที่หมู่บ้านชุมชนราชฯ มีการปฏิบัติแบบพุทธศาสนศาสตร์ เป็นฌานลืมตา ฝึกการเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ในสาธารณโภคี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น กินฟรี นอนฟรี ตลอด 7 วัน ยื่นใบสมัครได้ 9 แห่ง ทั้งพุทธสถานและสังฆสถาน ตามสมณะประจำพส.(ไม่ได้บันทึกชื่อสมณะ)

3/12/2555 18:11:52 สมัครได้ตั้งแต่วันที่ 1 จะปิดรับสมัคร ในวันที่ 25 ธ.ค. 55 จะเริ่มงานวันที่ 28 ธ.ค. กำหนดเงื่อนไขคือผู้สมัครต้อง รับประทานอาหารมังฯมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี (ต้องกินมังฯเป็นประจำเป็นหลักในชีวิต อาจบกพร่องบ้าง ไม่ว่ากัน ใน1 ปี ก็ได้ 8-9เดือนก็ได้) คือตั้งใจทานมังฯเป็นหลัก อย่างนี้มีสิทธิ์สมัคร

3/12/2555 18:13:52 เป็นขั้นอุดมศึกษา มีปัญญาบัตร เหมือนปริญญา ปัญญาบัตรของเราผู้สมัครจะได้ 2 แบบ คือจบปริญญาตรีแล้วเราเรียกว่าพวก บัณฑิตวิชญ์ ส่วนผู้ไม่จบป.ตรี เรียกว่าบัณฑิตชาญ มีหลักเกณฑ์ต้นๆแค่นี้ ปีนี้กำหนดหนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ เป็นหนังสือหลักในการสอบ รุ่น 1 มาลงซ้ำได้

3/12/2555 18:16:13 ถ้านิสิตสอบได้จะได้ปัญญาบัตร และเข็มพระธรรม(เป็นทองคำแท้หนักเกือบ 1 บาท) เฉพาะค่าเข็มใช้เงินกว่า 2 ล้านบาท ทองหนักบาทละ 2หมื่นห้าพันบาท เข็มมีประทับตราว่ารุ่น1 รุ่นอื่นๆ จะได้ปีละ 154 คน ผู้ที่สอบได้ในปีที่แล้วจะมาสอบได้อีก แต่จะไม่ได้ปัญญาบัตร ได้แต่เข็มพระธรรม จะได้เข็มพระธรรมมากที่สุดได้ไม่เกิน 4 เข็ม ส่วนปัญญาบัตรถ้าได้ครบ 4 เข็มจึงจะได้ปัญญาบัตรใบที่สอง เวลาคิดคะแนนหากคะแนนผ่านเกณฑ์ แม้ไม่อยู่ใน 154 คน ก็จะถือว่าสอบผ่าน และจะได้บัตรรุ่น

3/12/2555 18:21:08  ใน 4 วันแรก(28-31 ธ.ค. 55) เป็นวันบำเพ็ญคุณ อีก 3 วันหลังเรียกว่าบำเพ็ญธรรม มีปรัชญาว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชาสำหรับระดับ ปริญญา ในระดับมัธยมของพวกเรามีปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชชา

3/12/2555 18:22:52 พ่อท่านมุ่งมั่นพากเพียรที่จะให้เกิดการใส่ใจในธรรมะ ของพุทธที่สัมมาทิฏฐิ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

3/12/2555 18:23:21 เป็นปรากฏการณ์ไตรสิกขาเชิงรูปธรรม ครบปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพราะการปฏิบัติธรรมพพจ.จะส่งผลให้เกิดจริงตามพฤติกรรม พฤติกรรมจะเปลี่ยน เช่นขั้นต้น ผู้ปฏิบัติจะปฏิบัติศีล ตามศีล สมาธิ ปัญญา จะต้องเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิ ชัดเจน จึงจะบรรลุผลเป็นปฏิเวธธรรมมีวิมุติ นิพพาน ซึ่งไม่ใช้ธรรมะลึกลับ อธิบายไม่ได้ คลุมเครือ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ศาสนาพพจ.นั้นเอหิปัสสิโก ให้มาพิสูจน์ได้

3/12/2555 18:25:34  พ่อครูอ่านบทกลอนในปกเราคิดอะไรฉบับล่าสุด เรื่อง ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไถย                                ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไถย

 

(1) เมืองไทยทุกข์หนักร้าย                                         เหลือทน

เพราะรัฐบาลพิกล                                               กาจกร้าน

ทั้งลวงปดคดจน                                                  เลวจัด

ทั้งทุจริตแรดด้าน                                                ต่อหน้าสาธารณ์

(2) บ้านเมืองทุกข์หนักหนี้                                      ทับถม

หนี้ชาติหนี้ชนจม                                                 เจ็บช้ำ

แจกดะประชานิยม                                                    พรางหลอก

เศรษฐกิจไวท์ไลย้ำ                                                       แย่ซ้ำเลวเหลว

(3) ลงเหวลึกยากแก้                                           เกมกล

ชาติหุ่นเชิดทรชน                                               ตากหน้า

หลอกโลกแรดหรูจน                                       เจนจัด

โจรเก่งกาจฉลาดกล้า                                       เทียบชั้นใดเทียม

(4) มิเหนียมใดสักน้อย                                         กันเลย

โชว์ชั่วหน้าตาเฉย                                                    เบ่งบ้า

เกิดมาก็บ่เคย                                            พานพบ

ทำแต่ร้ายหยาบช้า                                             ชาติยั้งยืนไฉน

(5) ไทยกลายเป็นถิ่นด้าว                                      แดนไถย

มีขโมยขม้ำไทย                                                  เถื่อนแท้

เป็นไทยลักไทยไฉน                                        เลวหนัก ฉะนี้เวย

ไถยะจริตร้ายแล้                                      ล่มแล้วไทยเอย

(6) หากเฉยเมยบ่รู้                                           อธิปไตย

สิทธิ์ประท้วงไม่เอาใจ                            ใส่บ้าง

ทิ้งชาติล่มจมไป                                      ใจจืด ยิ่งแล

ปล่อยชาติเปลี่ยวอ้างว้าง                               เหว่ว้าอาธรรม

(7) คำว่าไถยะนั้น                                               คือขโมย

ปล้นชาติบี้บีบโบย                                      บิ่นบ้า

ไทยคืออิสระโดย                                        กำเนิด แท้แฮ

ฤาหมดฤทธิ์อ่อนล้า                                 ไม่สู้หรือไฉน.

 

สไมย์ จำปาแพง  3 ธ.ค. 2555 [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 270 ประจำเดือน มกราคม 2556]

3/12/2555 18:29:37ในความทั้งหมดนี้อธิบายสภาพของประเทศไทยที่กลายเป็นประเทศไถย คำว่าไถย คือ ขโมย โจร เป็นกรรมกิริยาที่บอกชัดเจน ไท แปลว่าอิสระโดยกำเนิด แต่ตอนนี้กลายเป็นไถย ประเทศก็ล่มจมไปหมด ทั้งหยาบแรงร้ายกาจกร้าน ทั้งลงปดคดจนเลวจัด ทั้งทุจริตแรดด้าน ไม่อายแม้ในสาธารณะ แต่ละคนทุกคนในไทยทุกหัว เป็นหนี้ ไม่รู้เท่าไหร่ และก็จะกู้เพิ่มอีก แจกดะประชานิยมพรางหลอก พูดหลอกสารพัด ซ้ำหนำออกมาพูดว่ากำลังไปได้ดี ลงเหวลึกยากแก้ เกมกล ชาติหุ่นเชิด ต่างหน้าไปทั่วโลก หลอกโลกอย่างแรดหรู เจนจัด ไม่รู้จะไปเทียบกับใครดี จะยอดเยี่ยมในทางไม่ดี ทำกันอย่างไม่เหนียมไม่อาย เกิดมาก็ไม่เคยเห็นเคยพล มีขโมยขม้ำไทย เป็นไทยลักไทย

3/12/2555 18:33:45 ถ้าคนไทยเฉยเมยไม่รู้สิทธิ์ว่าตนเองมีสิทธิ์ประท้วง จะปล่อยให้ชาติอ้างว้าง มันก็ไม่ดีไม่งาม พ่อครูก็เห็นว่าประเทศไทยถูกขโมยไปแล้ว

อ.กฤษฎา เสริมว่าเราจะปล่อยให้ประเทศไทยเป็นเช่นนี้หรือ ควรออกมาช่วยกันประท้วง

3/12/2555 18:35:13 พ่อท่านมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่สัจธรรม สิ่งที่เป็นความจริง แก่มนุษย์ และไม่ได้อ้าขาผวาปีก ไปทำเกิน ก็จะทำในประเทศไทย พ่อท่านเห็นว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ครบพร้อมทั้งด้านการเมือง รัฐสาสตรื  เศรษฐศาสตร์ ดีพร้อมในระดับวิสามัญ สามัญคือระดับ mundane แต่ของพพจ.นี่ระดับ supramundane เป็นโลกุตระ ส่วนสามัญคือโลกียะ เช่นโลกียะมีความดีความชั่ว มีการปฏิบัติพฤติกรรให้เป็นคนดี นความหมายที่เขาเข้าใจ ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากโลกุตระเบื้องต้น พอสูงขึ้นไปก็จะต่างกัน จนกระทั่งคนละขั้ว เช่นถ้าโลกียะได้ลาภ ได้เงินทองข้าวของสมบัติยศ ศักดิ์ อำนาจยศศักดิ์(คือสิ่งที่จะกำหนดบทบาทหน้าทีในสังคม ตามสมรรถภาพ) ทางด้านโลกุตระมีเหมือนกัน ได้เหมือนกัน แต่พอสูงเป็นโลกุตระแล้วไม่หลงยินดียินร้ายสะสมในลาภยศสรรเสริญ และไม่ติดยึด โดยเฉพาะข้าของเงินทอง เราก็มีมากได้ แต่จะสะพัดไม่ยึดเป็นของตน นี่คือสิ่งที่จะย้อนแย้งกับโลกียะ เขาจะทำงานได้ คิดราคาค่าแรงงานผลผลิต ราคาก็เท่ากันสมรรถภาพ แต่คนยิ่งสูงในโลกุตระ ก็จะสร้างสรรการงานอันไม่มีโทษเหมือนโลกียะเขา แต่ทางโลกียะไม่ได้ละ ถ้าทางโลกียะเขามีคุณธรรมก็จะสละออกเหมือนกัน แต่ในโลกุตระก็สละ แต่โลกียะจะไม่สามารถรู้จิตได
3/12/2555 18:41:12 จุัดสำคัญความต่างอยู่ที่ อ่านมีปัญญาอ่านปรมัตถธรรมของตนออก รู้อริยสัจ4 รูทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ และดับเหตุแห่งทุกข์อย่างรู้ๆ ซึ่งทางโลกียะ ไม่สามารถมีญาณ เช่นญาณ 16 เป็นต้น ทางโลกียะไม่รู้จักจิตเจสิกอย่างละเอียดลออ แม้จะเป็นโสดาบันขั้นต้นของโลกุตระ ซึ่งมี 9 ขั้น ของคุณธรรมจิตวิญญาณ ผู้ทีปฏิบัติโลกุตระธรรมของพพจ. จะต้องรู้เจ้งเช่นนั้นส่วนผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ อาจปฏิบัติอาสวะบางอย่างหมดได้แต่จะไม่ทั้งหมด

3/12/2555 18:43:41 อ.กฤษฎา ว่า หากประสบผลสำเร็จทางโลกียะ เช่นเป็นนายกฯ ก็ยังไม่ได้สุขที่แท้จริง

พ่อท่าน บอกว่าโลกุตระเป็นปธ.ศาลได้ เป็นประธานาธิบดีได้ แต่จะประพฤติไม่เหมือนโลกียะ ซึ่งชาวอโศกมีตำแหน่งสูงสุดทางนิตินัยคือ ผุ้ใหญ่บ้านและอบต. ที่ ราชธานีอโศกและศีรษะอโศก คืออุ่นเอื้อและ มิ่งหมาย มุ่งมาจน ผญบ.ของเรานี่ ที่ศีรษะฯจบ ป.เอกนะ ผญบ.ที่ราชธานี ก็จบป.โท กำลังทำป.เอก มีตำแหน่ง ผญบ. มีอบต.ด้วยทั้งสองแห่ง

หรือต่อไปในอนาคตรับตำแหน่ง ผญบ. มีเงินเดือน 8 พันแต่ไม่ได้เอาเข้ากระเป๋า ให้เข้ากองกลาง ซึ่งเป็นระบบที่ เวลาเลือกผญบ. ก็มาโวทกัน มาเข้าประชุม เห็นว่าคนไหนควรก็เสนอกัน วิจัยกันแล้วก็เลือกกันอย่างจริงใจ ที่จริงเกี่ยงกันเป็นเสียด้วยซ้ำ เพราะต้องมารับผิดชอบ เห็นว่าใครเหมาะควรก็ให้เป็น ในอนาคตจะเป็น สจ. สข. สส. ผู้ว่าฯ ก็อาจเป็นไปได้ แต่เรายังไม่เกื้อกว้างขนาดนั้น เกิดจากจิตที่ลดโลกธรรม ตัวแท้ ไม่ใช่มานั่งกดข่มไว้ กดข่มไว้ได้ แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ต้องกดข่ม

3/12/2555 18:49:10 เรารู้แล้วก็เข้าใจทำเหมือนเขา แต่เราไม่ได้ตกเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียะสุข ก็ทำไปตามสมรรถภาพที่เราทำได้ เลือกผญบ.เราไม่มีปัญหาเรื่องเลือกตั้ง ให้ทางอำเภอไม่ต้องให้เลือกตั้งได้ไหม แต่เราก็สมัครเพียงคนเดียว แล้วก็ต้องมาลงคะแนนให้มีตัวเลขส่ง ก็เป็นเอกฉันท์ ทำเป็นรูปแบบ ซึ่งเราต่อรองกับอำเภอว่าไม่ต้องมีได้ไหม เขาก็ไม่ยอม ต้องมีการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยง การเลือกตั้ง พวกเราที่รับมาก็เอามาเข้ากองกลาง หลังเสร็จการเลือกตั้งก็ไม่มีการแบ่งฝักฝ่าย นี่คือสิ่งที่พ่อท่านว่ามันต้องเกิดได้ และที่จริงไม่ได้เจตนาให้เกิดอย่างนั้น แต่ให้ปฏิบัติธรรมะลดกิเลส มันก็จะเกิดเอง ทั้งหมู่บ้านชุุมชนพุทธ ทุกคนถือศีล ไม่มีอบายมุข ไม่มีแม้เหล้าขวดหนึ่ง บุหรี่แม้มวนเดียว ไม่มีสิ่งที่จัดจ้านทั้งหลาย แต่มีเรื่องบันเทิงเรื่องสุขภาพในฐานของผู้ที่ต้องใช้ มีการศิลปะ แม้แต่พ่อท่านก็ยังแต่งเพลงเลย ทำให้เกิดการพัฒนาจิตวิญญาณ เป็นมงคลอันอุดม เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เป็นพฤติภาพ ยืนยันว่าอย่างนี้แหละคือ ปชต.

3/12/2555 18:54:47 สมัยพพจ.ให้บวช คนที่วรรณะสูงต่ำ คนที่วรรณะสูงบวชทีหลังต้องกราบคนที่มีวรรณะต่ำกว่าแต่บวชก่อน เช่นกัลบกพระอุบาลีบวชก่อน ส่วนเจ้าชายอื่นๆ ให้บวชทีหลังก็ต้องกราบพระอุบาลี เป็นความเสมอภาคที่แท้จริง ยิ่งกว่าสมัยนี้ สู้สมัยพพจ.ไม่ได้ ....

โดยยังไม่มีภาษาบัญญัติเลย อ.กฤษฎา พุดถึงบ้านราชฯ ซึ่งมีความหลากหลาย ใช้กติกาศีล เป็นหลัก ก็บริหารกันมีหลักเกณฑ์ ไม่ผิดกม. ส่งเสริมกม.ด้วยซ้ำไปเหนือกว่ากม. เป็นสหประชาชาติมารวมกัน มีพฤติภาพ จับต้องได้เป็นรูปธรรม มีสัมมาอาชีพ

3/12/2555 18:58:07 พ่อท่านได้อธิบายในวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาว่า เป็นวิชชาจรณะสัมปัณโนที่เป้นควยามรู้อย่างวิเศษ เมื่อปฏิบัติธรรม จะเห็นเป็นจรณะ ความประพฤติ ที่จริงจังทั้งนอกและใน เพราะได้รับมรรคผลแล้ว ตามหลักมรรคองค์ 8 ตัวปฏิบัติที่เป็นพฤติกรรม คือสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ คือพฤติกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ กรรมกิริยาการงาน เรียกรวมว่ากัมมันตะ และอาชีวะ สัมมาอาชีวะเป็นพฤติกรรมที่เห็นชัดเจน ในสังกัปปปะมี มิจฉา 3 วาจามี มิจฉา 4 กัมมันตะมีมิจฉา 3 อาชีวะมีมิจฉา 5 ส่วนสัมมาทิฏฐิเหมือนท่านเปา ส่วนสัมมาวายามะ และสัมมาสิต เป็นเหมือนผู้ช่วยหวังเฉาหม่าฮั่น สั่งสมเกิดเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา อันนี้แก้ยาก เพราะติดยึดสมาธินั่งหลับตา ซึ่งเป็นของฤาษี มีมาก่อนพพจ.เสียอีก พอพพจ.อุบัติก็มีมรรคองค์ 8 มีสัมมาสมาธิ จิตเป็นเอกัคคตา สัมมาสมาธิเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์ โดยมีเหตุองค์ประกอบ สองอย่าง คือ 7 อย่างของมรรคองค์ 8 ทำแล้วสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิซึ่งกำกับว่าเป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ เมื่อจิตปฏิบัติจะเกิดเป็นฌาน ไม่มีนิวรณ์ จะเป็นฌาน 1-4 ซึ่งจะยังไม่ลงลึก

3/12/2555 19:04:18 นี่คือสัจจะที่เพี้ยนไป พ่อท่านจึงถูกหาว่าเพี้ยนไป โชคดีที่ยังมีหลักฐานเป็น พระไตรปิฎก ยืนยัน เลยเถึยงไม่ออก ที่สำคัญคือพ่อท่านนำเอาสิ่งนี้มาให้คนทำจนเกิด คนที่เป็นอาริยะบุคคลได้จริง แต่ละคนก็บอกได้ ว่าเขาอยู่ในระดับไหน (พ่อท่านไอ อ.กฤษฎา จึงบอกว่าประเด็นที่พวกเรามักสับสน ว่าเมื่อมีความขัดแย้งให้ไปดูที่ตปฎ. ก็จะมีการอินเสิร์ทภาพ ว่าเราใช้พตฎ ฉบับหลวง) ให้ตรวจสอบได้ในพตฎ.ฉ.หลวง เล่มไหน ข้อไหน ผู้ที่ติดตาม รายการสามารถสืบค้นได้ )

3/12/2555 19:08:12 เมื่อปฏิบัติแล้วพฤติกรรมจะเปลี่ยนไป ทั้ง อาชีพ การกระทำ วาจา ใจ จะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่กดข่ม การสมถะกดข่มก็ช่วยบ้าง แม้แต่สมาธิหลับตาเราก็นั่งเป็นการเสริม แต่ไม่ใช่ทางเอก ที่จะปฏิบัติอยู่ในสังคม จะรู้จักอาชีพ เช่นแต่ก่อนเรามีอาชีพอบายมุขขายเหล้า มอมเมาอื่นๆ เรื่องอกุศล พ่อท่านจะไล่ให้ฟัง อาชีพขั้นต่ำขั้นอบาย ในอาชีวะ 5 มีมิจฉาอาชีวะ 5 มี กุหนา ลปนา เมนิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังฯ มีหยาบกุหนา การโกงทุจริต คอรัปชั่นเหลวไหล ทุกวันนี้คือนักบริหารในประเทศที่ทำงานกับปชช. ทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง ยิ่งเป็นสส. รมต. ถ้ายังไม่หลุดพ้นอาชีพอบายมุขประเทศไม่รอดหรอก บางคนอาจเรียนมาสูง แต่ไม่เข้าใจว่านี่คือทุจริตไม่เข้าใจและทำอยู่ประเทศไม่รอดหรอก พ่อท่านเอาหลักฐานมายืนยัน ว่าการโกงนี่หยาบสุด ลปนาก็รองลงมา เนมิตกตา จะเป็นอาชีพที่เข้าสู่อาริยะชน เริ่มต้นศีล 5 อบายมุข คือยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดผัวเมีย พูดปด เสพอบายมุข 6 ต้องเข้าใจสาระของมัน ไม่ใช่เอาแค่บัญญัติ ทุกวันนี้อบายมุขมันจัดจ้าน กว่าที่มีบัญญัติไว้ในอบายมุข เช่นเหล้า ก็มีน้ำเมาอื่น เช่นเบียร์ ยาเสพติดเป็นต้น ซึ่งมันพาซื่อกันไปหมด โดยเฉพาะกุหนามันโกหกตลบแตลง นี่มันอบายมุขทั้งหมด

3/12/2555 19:14:29 แม้แต่ข้าราชการส่วนใหญ่ที่ยังซื่อสัตย์ จะหาได้ไม่กี่คน พูดไปก็กระทบคนที่เลวร้าย คนที่ไม่เป็นก็รอด คนที่ผิดก็ปรับปรุงก็แล้วกัน ถ้าอย่างเน้นสังคมไม่รอด ข้าราชการนี่ฉ้อฉล ตั้งราคาเงินเดือนสูงกว่าคนชั้นล่าง ทำให้เกิดช่องว่างรายได้ เกินของเขต ไม่ควรเอารัดเอาเปรียบกันมากขนาดนี้ สังคมจะไม่สงบ เพราะมันต่างกันมาก

3/12/2555 19:16:38 อย่างชาวอโศก ที่เป็นอบต.มีตำแหน่งทางการ ก็เสมอภาคกับพลเมือง ได้เงินมาก็ใส่กองกลาง สวัสดิการก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่มีรายได้ บางคนไม่ได้ทำงาน แก่ป่วย ต้องมีคนมาบริการ ก็เสมอภาค กินใช้ร่วมกัน ของเรามีของส่วนกลางกินใช้ร่วมกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่เหมือนกันหมดหรอก เช่นผญบ.ต้องมียูนิฟอร์ม ไม่เหมือนใคร ก็เข้าใจกัน อย่างเช่นเสื้อผ้า สำหรับกันแมลงสัตว์กัดต่อย กันร้อนกันหนาว ไม่ใช่เป็นเครื่องเบ่งฐานะ แต่สำหรับใช้สอย ใช้ให้ครบประโยชน์แค่นั้น ส่วนที่เฟ้อคือเอามาอวดกิเลสกัน สิ่งที่ไม่จำเป็น จะต้องมีอะไรมาโก้เก๋กว่าเขาต่างๆนานา ยิ่งไม่ต้องไปคดเลย ส่วนรวม ส่วนใครจะมีความเหมาะสม จะต้องใช้เครื่องมือ มากกว่า ก็เข้าใจไม่ได้ถือว่าเป็นความเหลือมล้ำตำสูงแต่อย่างใด อย่างเช่นสัมมาสิกขาเราไม่รับ tablet ไม่ต้องห่วง เด็กเก่งกว่าเราแน่นอน ไม่ต้องเสียเวลาไปมั่วหมุน บางคนเล่นจนตายเลย อย่างเด็กขนาดนี้อย่าเพิ่งให้จับมีด ถ้าถึงเวลาวาระก็ให้จับได้ ฉันเดียวกันเด็กที่นี่ไม่ให้ใช้เงิน พ่อแม่จะเอามาฝากให้ลุกไม่ได้ เพราะจะเกิดความเหลื่อมลำต่ำสูง ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้ไม่เป็นถึงวาระก็จะเป็นไป จะเป็นเครื่องมือสมัยใหม่ ก็ต้องให้สมกับการใช้ หรือจะเป็นเครื่องอุปโภค บริโภค ศาสนาพพจ.สอนให้รู้เท่าทันแล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ต้องกลัวว่าจะรู้ไม่เท่าทันเขา ตามที่ในหลวงว่าไม่ต้องก้าวหน้าอย่างเขา ....

3/12/2555 19:23:49 อ.กฤษฎา ให้ข้อมูลว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ลดการใช้เงินลง พ่อท่านยกตัวอย่างกระเป๋าถือใบละ 4 ล้าน เป็นต้น จริงเท็จไม่รู้ ถ้าถือปั๊บแล้วเหาะได้หรือ เป็นเรื่องหลอกมอมเมา ให้หลงติดเป็นทาส ไม่มีก็ต้องกระเสือกกระสน มันไม่ได้ทำให้ดีกว่าเดิมมีแต่จะให้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อ.กฤษฎาว่า คนพยายามหาเรื่องหลอกกันตลอด

3/12/2555 19:26:16 พพจ.สอนปรมัตถ์ เป็นความจริงระดับสัจธรรมว่า ความสุขเป็นเรื่องหลอก เป็นสุขขัลลิกะ อัลลิกะเป็นเรื่องหลอก เรียกเต็มว่า กามสุขขัลลิกะ เป็นเครื่องสมใจใน รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส เป็นสมมุติสัจจะ ที่คนที่อวิชชาที่ตกเป็นทาส ก็จะเกิดรส ในสมมุติสัจจะ พอเรียนรู้แล้วก็จะไม่มีรสเหล่านี้ เช่นกระเป๋าใบละ 4 ล้านเราก็ถือได้ใช้ได้ ใส่ทิชชู ปลาร้าปลาเค็มก็ได้ แต่คุณซื้่อสี่ล้านคุณก็ไม่กล้าใส่ปลาร้าหรอก คุณถือว่าศักดิ์ศรี เอาปลาร้าใส่ เชอะ นี่คือถูกกำหนดไปด้วยความโง่ อวิชชาให้ตัวเองยุ่งยากวุ่นวายยึดถือ แล้วก็ไม่รู้

3/12/2555 19:29:31 สุขเวทนาเป็นโลกีย์ทั้งสิ้น เป็นของหลอกของเท็จทั้งสิ้น เมื่อเราปฏิบัติธรรมะเราจะอยู่เหนือมัน แต่เราจะรู้ยังอยู่กับมัน ไม่หนี ในวาระที่เรายังไม่อยู่เหนือเงิน เราก็ลองห่าง ไม่ใช้เงินดู เมื่อเราไม่ติดมันเราก็ใช้เงินมันเหมือนกับเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ธนบัตรคือสิ่งที่บอกราคาของสิ่งต่างๆ

3/12/2555 19:31:01 เช่นซื่อของราคาเป็นพันหมื่น เป็นแสนวางทิ้งขว้างที่บ้าน เพราะใช้งานพอแล้ว เดินผ่านก็ไม่ดูแลมันหรอก จะรู้สึกว่าไม่มีราคา แต่ถ้าธนบัตรใบละพันตก จะรีบเก็บเลย แต่ข้าวของที่ทิ้งขว้างราคาแพง ก็ไม่เก็บ เดินแตะมันด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องศึกษาไม่ให้เป็นทาสมัน

3/12/2555 19:32:36 เป้าหมายของสังคม เข้าหาการเมือง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพพจ.อยู่เหนือ โลกธรรม เราจะรู้ตามสัมมาทิฏฐิ จะสังวรลดละ กันไป อยู่ปะปนไปในสังคม ออกไปทำงานกับสังคม โดยจิตไม่อยากได้ในโลกธรรม แม้บางคนจะไม่มีคุณธรรมถึง แต่เมื่อไปกับหมู่จะรักหน้าหมู่ จะซื่อสัตย์ ถ้าคนไม่มีกิเลสก็ยิ่งจะทำงานได้อย่างดี พ่อท่านชื่นชมเด็กพวกเราไป ร่วมกันสร้างส้วมเสร็จรวดเร็ว เสร็จแล้วเก็บภายในวันเดียว เขาไม่ได้ทำเพื่อลาภ ไม่มีเบี้ยเลี้ยง คนไหนถนัดอันไหนก็ทำไป จะมีเลี่ยงบ้างก็มี มีอำนาจของหมู่เป็นสนามแม่เหล็ก มีโมเลกุลใดวิ่งเข้ามาก็จะมีสนามแม่เหล็กจัดระเบียบ ให้เข้าที่เข้าทาง เราทำงานมีสิ่งปรากฏเป็นพฤติภาพ พ่อท่านต้องไปคอยกำกับก็ไม่ต้อง เขามีสำนึกตามฐาน แต่จะสูงกว่าสามัญอยู่

3/12/2555 19:36:17 อ.กฤษฎา มานั่งนึกเมื่อวานว่า การพิจารณาอศุภะ เมื่อเทียบการไปมองศพ กับการที่เราไปเก็บกวาด สิ่งสกปรก จะได้ทั้งรูปธรรมนามธรรม เป็นประโยชน์กับหมู่กลุ่มอีก เด็กๆ ตอนแรกก็อาจจะขยะแขยง แต่เมื่อเข้าใจก็จะไม่รังเกียจ เวลาเราล้างก้นเราก็จับขี้่ของเราเอง แต่จะเข้าใจว่า บางสิ่งมีพิษมีภัยกว่าดมอุจจาระปัสสาวะ ที่ขึ้นห้าง บางอย่างมีภัยกว่าขี้ พ่อแม่ของเด็กข้างนอกหลายคน คนที่มีปัญญาก็จะอยากให้ลูกเรามาบ้าง แต่มีบ้างที่ไม่เอาก็มีเหมือนกัน อย่างนี้ดีกว่าเด็กแว้น ดีกว่าพาลุกไปทำอย่างอื่น

3/12/2555 19:39:30 อ.กฤษฎา สมัยเป็นเด็กถูกบังคับให้เรียนงานปูนงานไม้ รู้สึกตอนนั้นว่าไร้สาระ แต่พอนึกก็พบว่า รูปแบบการเรียนมันทำให้เราไม่สนใจ แต่เด็กสัมมาฯ เขาได้ฝึกเรียนโดยธรรมชาติ พ่อท่านว่านี่คือ ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชชา ให้พึ่งตนเองได้  คนข้างนอกตะลอนหาเงินมามากมาย ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แต่คนที่อยู่จริงคือคนใช้ เอาไว้ให้แขกดูว่าบ้านเราใหญ่โตแค่นั้น  คนใช้ถ้าทำตัวดีดีก็อยู่สบายไปจนตายเลย

3/12/2555 19:43:00 นร.สัมมานั้นเป็นการ ยิ่งเด็กคนไหนอ่านสภาวะจิตได้อย่าดูถูกในยุคพพจ.เด็กก็เป็นอรหันต์ ของพพจ.นั้นได้ทั้งสองส่วน งานนอกก็ได้ลดกิเลสก็ได้ งานการข้างในก็มีทุกอย่างเป็นการยังชีพทุกอย่าง ที่เราไปทำกับสังคมก็มี แต่งานในหมู่บ้านก็มี เด็กก็ต้องรู้ว่าผู้ใหญ่เขาทำอะไร ก็ไปศึกษา ก็คือชีวิติที่จะศึกษาให้มีความรู้ความสามารถทำอยู่ทำกิน แม้จะเป็นงานอาชีพต่างๆ งานเทคนิค ถ่ายทำโทรทัศน์ คนไหนสนใจเราก็ฝึกให้ เด็กหลายคนไปทำงานโดยไม่ต้องผ่านนิเทศศาสตร์

3/12/2555 19:45:36 เรามีการใช้ระบบแม่ไก่ลูกไก่ หลังฟังธรรม ทำงานก็มีการไปสรุป เป็นการบูรณาการ ใน 8 สาระวิชา เรียนในเรื่องจริง ทั้งภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ อื่นๆด้วย อ.กฤษฎาเห็นว่าหลังฟังธรรม นั้นมีการไปสรุป และมีการสนทนาธรรม กันด้วย มีทั้งศึกษาหลักสูตร และมีการเป็นงาน ด้วย มีศีลเป็นหลัก เป็นงาน และมีวิชาการตามหลักสูตรของกระทรวงด้วย เด็กบางคนเข้ามาแรกๆ รุ้สึกว่าเราเรียนน้อย ไม่พอ แต่จริงๆแล้วไม่ตกหรอก เรียนพอ เช่นเด็กของเราจลออกไป จะจบออกไปไม่มากเพราะเรารับไม่มาก จบแล้วเอ็นทรานซ์ได้ก้มีมากบางทีก็แค่ลองสอบ ได้แล้วไม่เรียนแต่จะเรียนมหาลัยปิด ทำงานไปด้วย เด็กเราไปเรียนมหาวิทยาลัยอุบลฯ ส่งไปเรียนรุ่นแรก ตั้งแต่ ปี 51 ไปเรียน 18 คน ที่จริงเข้าไปเรียน 21 คน แต่จบมา 17 คน แต่ได้เกียรตินิยม 4 คน ปีที่สองเรามี 7 คน ได้เกียรตินิยม 3 คนมีอันดับหนึ่ง 2 คน รุ่นที่3 มี 5 คนเอง ก็จะมีเกียรตินิยมเหมือนกัน ไม่ใช้เรื่องฟลุ๊คๆ ถ้าปีนี้มีเกียรตินิยมอีกหมายความว่าอะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องห่วงหรอก เด็กเราจบไปก็จบป.โท ป.เอกหลายคน เป็นงานด้วย มีศีลธรรมด้วยเราตั้งมา 20 ปี

3/12/2555 19:52:14 อ.กฤษฎา ซักถามพ่อครู เราสามารถมองชี้วัดวิธีการวิถีพุทธว่ามีผลดีต่อสังคมอย่างไร พ่อท่านว่าเด็กเราจบมาไม่ตกงานซักคนแย่งกันด้วยซ้ำ เด็กบางคนไปทำงานแล้วรู้สึกไม่เข้าท่าก็ออก ไปหางานก็ง่ายเด็กพวกเรา สิ่งเหล่านี้ พ่อท่านมั่นใจว่าเด็กเรามีคุณธรรม ไม่หยิบโหย่ง เราเคี่ยวเข็ญฝึกฝนความอดทนให้จริงๆ นี่คือการศึกษาที่เราเป็นแบบบุญนิยม มาถึงวันนี้แล้ว เกือบ 20 ปีสามารถยืนยันว่ามีผลดี อยากให้ประเทศได้ลองดูบ้าง พ่อท่านมีคำขวัญว่า การศึกษาที่ไมลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

อ.กฤษฎา ว่าสมรรถนะของอโศกนี่เหนือคนธรรมดาเพราะมีกระบวนการฝึกฝน ที่เราออกไปชุมนุมนี้ รบ.ออกพรบ.มั่นคง และไม่ให้เด็กต่ำกว่า 18 มาชุมนุม พ่อท่านก็บอกว่าเด็กเรามาเรียนไม่ได้มาชุมนุม

ขอจบว่าเจตนารมณ์ของเราชาวอโศกที่มาชุมนุมคืออะไร พ่อท่านจะพูดย้ำซ้ำๆให้ฟัง

เจตนารมณ์ของเรา

เจตนารมณ์ ของเราชาวอโศก หรือ กองทัพธรรม อย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจ
                                    คือ อย่างไร?

                                    คือ ความมุ่งมั่นสร้างความชอบธรรม ตามโลกุตรธรรมธรรม
                                    ของพระพุทธเจ้า
                                    จะเป็นไปได้ยากปานใด เราก็จะทำ
                                    จะมีผู้เห็นดีเห็นด้วยเท่าใด เราก็พอใจเท่าที่ได้.....
                                    เราไม่หวังว่าจะได้มากเป็นที่ตั้ง
                                    เพราะคนที่จะมีความสนใจ มีความกล้า มีภูมิถึงขั้น                                                                        จะรับคุณธรรมขั้นโลกุตระนี้ได้ มันไม่ธรรมดาสามัญทั่วไป 
                                    เราไม่เคยยึดมั่นหรือมุ่งเอาชนะเลย เพราะการชนะมี 2 อย่าง
                                     (1) ชนะตามแบบ force คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของ                                                                  เผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด ครอบงำให้จำนน
                                    อันเป็นอำนาจ     ที่เราไม่ทำอยู่แล้ว มันไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่                                                           อุดมคติของกองทัพธรรม เพราะมันเป็นอำนาจที่ยังมีอวิชชา
                                     (2) ชนะตามแบบ Authority = right power ที่เป็น                                                                 อำนาจ ความถูกต้อง ความดี        งาม ชนะด้วยวิชชา มีสติ                                                                  ปัญญา ความชอบธรรม ซึ่งต้องสัมมาทิฏฐิ
                                    เรารู้ว่า คนยุคนี้มีกิเลสจัดจ้าน ใกล้กลียุคแล้ว เต็มไป                                                                  ด้วยกิเลสมากมายไปหมด เรารู้ดี จึงไม่ได้หวังชนะสูงสุด                                                                         หรือชนะเด็ดขาด ชนะสุดท้าย จบ final หรือ the end
                                    ตามที่คนในสังคมประเทศเขานับว่าเป็นความชนะกัน  
                                    เราเพียงขอให้ชนะ คือ มีบุคคลในสังคม ใน                                                                            ประเทศเกิดสติ ปัญญา มีความชอบธรรม เพิ่มจำนวนขึ้นให้                                                             แก่ประเทศ ก็เพียงพอแล้ว 
                                    ไม่ได้หวังดังที่คนทั้งหลายคิด ไม่ได้หวังมากกว่านี้
                                    แต่ถ้าบุญของประเทศไทย จะมีปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์                                              
                                    ซึ่งเหตุการณ์ที่เราได้เข้าไปร่วมทำงานมาแล้ว ตั้งแต่                                                                   เปิดตัวกองทัพธรรมกับสังคมเป็นปรากฏการณ์ ก็ชี้บ่ง
                                    ชัดเจน   ว่า คนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการเมืองในปัจจุบันนี้                                                             ที่มีนักการเมืองบริหารกันอยู่อย่างเป็นจริงมีจริง
                                    คนที่ออกมานี้เป็นเครื่องยืนยันว่า เขาทนไม่ไหว จึง                                                                      ออกมาชุมนุมได้มากเกินคาด หรือมากอย่างไม่เคยปรากฏ                                                              เพราะเราประกาศให้มาชุมนุมกันอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีวิธีการที่                                                             ใช้อำนาจตามแบบ force คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของ                                                                  เผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด ดังที่กล่าวมาแล้ว เรามีแค่                                                                       ต่อรอง ทั้งๆที่ถูกรัฐบาลใช้วิชามารสารพัดจะสกัดประชาชน                                                           ได้อย่างมากจริงๆ ต้องยอมรับว่าเขาเก่งวิชามาร ชนิดที่ต้องขอ                                                           เรียกว่าเก่งฉิบหายกันเลย ต้องขอใช้คำคุณศัพท์อันนี้
                                    กระนั้น ฝูงชนก็ออกมาชุมนุมกันมากเป็นประวัติการ                                                                  มากเกินคาดเกินคิดจริงๆ ตามแบบ authority คือ อำนาจ
                                    ที่ได้โดยธรรม ซึ่งแสดงถึงความชอบธรรม เป็น อำนาจ  
                                    แต่ถ้ายังไม่มากพอที่จะทำให้รัฐบาลยอมรับ ว่า เป็น                                                                    คะแนนเสียงประชาชน ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยอันจะทำให้                                                             รัฐบาลจะต้องยอมแพ้ รัฐบาลก็ยืนยันความถูกต้องออกมา
                                    ถ้าเสียงของประชาชนคนตัวเป็นๆ ออกมาชุมนุมกันมาก                                                                      พอ มันแสดงถึงความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย                                                                        แล้ว ที่รัฐบาลจะต้องเคารพ คะแนนเสียงนี้เป็นเครื่องตัดสิน
                                    แต่นั่นแหละ นักการเมืองหรือรัฐบาลจะมีวุฒิภาวะ                                                                        ทางการเมืองสูงส่งดังกล่าวนี้         ได้ เราก็ต้องช่วยกันสร้างคน                                                                        สร้างความรู้ สร้างความจริงของการเมืองไทยต่อไปด้วยอุตสาหะ
                                    กองทัพธรรม มุ่งมั่นดังกล่าวนี้
                                    ใครจะหาว่า เราสุดโต่ง เราเพ้อฝัน ก็ไม่มีปัญหา
                                    เราจะพากเพียรพยายาม จนกว่าจะตาย.
                                     
                 

 

ขอย้ำว่ากองทัพธรรมออกไปชุมนุมจะไม่เหมือนใคร แม้คุณสุรพจน์จะท้วงว่าไม่เป็นปชต. ก็ขอยืนยันว่าเราไม่ได้ไปโยงใยกับใคร เราหมายว่าเราส่งเสริมสิ่งที่ใช้ได้ให้เหมาะกับกาละครั้งคราว อาจมีข้อบกพร่องบ้าง ซึ่งสุดยอดของปชต.คือเช่นนี้

คุณกฤษฎา สรุปว่า ถ้าคุณสุรพจน์เป็นนักวิชาการ ก็ต้องมาเรียนรู้ไม่ใช่แค่ตีความ พ่อท่านว่า คุณสุรพจน์เคยว่าพ่อท่านหนีตายที่โดนแก๊สพิษ พ่อท่านอธิบายว่า พ่อท่านหนีตายแต่พ่อท่านไม่ได้กลัวตาย เพราะพ่อท่านไม่ควรตาย จึงไม่ยอมตาย เหมือนพระโมคคัลลานะ จิตอย่างนี้ คุณสุรพจน์ จะไปรู้จิตพ่อท่านได้อย่างไร ถ้าพ่อท่านไม่มีจิตจริงเช่นนี้ พ่อท่านปาราชิกนะ

อ.กฤษฎา คิดว่าเป็นคนนอกที่ได้มาใกล้ชิดพ่อครูอย่างใกล้ชิด เชิญให้คุณมาดูมาพิสูจน์ ตามกาลามสูตร วันนี้เห็นได้ชัดการแบ่งโลกีย์กับโลกุตระ ได้แสดงถึงการเรียนตั้งแต่สัมมาสิกขาถึง ว.บบบ
วันนี้ อ.
กฤษฎาใส่เสื้อสีน้ำเงิน เพราะเป็นสีแห่งพระมหากษัตริย์ อย่าลืมมาแสดงมวลพลัง ว่าเราสนับสนุนการปกครองระบอบปชต.อันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข....จบ

 

ที่มา ที่ไป

3/12/2555 17:48:33 รายการเรียนอิสระตามสำนึก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ดำเนินรายการโดย อ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 13:50:38 )

551204

รายละเอียด

551204-สงครามสังคมธรรมะการเมือง โดย พ่อท่าน ตอน รายละเอียดของ ว.บบบ

4/12/2555 18:11:46 เรื่องที่จะพูดวันนี้คือเรื่องของ ว.บบบ. ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 จะต้องพูดกันยาวหน่อย ว.บบบ. ว คือวิชชาลัย สวน บ แรกคือ บรรดา หรือประดา ส่วน บ. ที่สองคือ บัณฑิต จำกัดความว่าเป็นบัณฑิตบุญนิยม บ. ที่สามคือบุญนิยมนั่นเอง บุญนิยมถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งชีวิตทั้งชีวิตก็มาทำเรื่องนี้แหละ บรรดาคือเราไม่ได้จำกัดว่าเป็นใคร แม่แต่ศาสนาอื่นจะเข้ามาสอบเป็นบัณฑิตอันนี้ก็ได้ มันเป็นการทดสอบการศึกษาทดสอบสร้างให้เกิดภาวะบัณฑิตที่แท้จริงแก่คน เรามีใบรับรอง ที่เขาเรียกกันทั่วไปว่าปริญญาบัตร หรือประกาศนียบัตร แต่ของเราเรียกว่าปัญญาบัตร  และมีบัตรประจำตัวรุ่น ผู้ใดสอบได้แต่ละรุ่นก็เข้ารุ่น ที่สำคัญคือจะมีเข็ม ถือว่าเป็นบัณฑิตเลยมีเข็มนี่ติด จะติดเป็นประจำเลยก็ได้ หลังเข็มจะบอกรุ่นไว้ด้วย รุ่น 1 ผ่านไปแล้ว แต่ละรุ่นจะมีผู้ได้เข็มทองคำ เป็นสัญลักษณ์ ชี้บ่งผู้ที่สอบได้เป็นบัณฑิต เป็นทองคำแท้ ไม่ใช่ทองชุบ นำหนักเกือบบาทหนึ่ง หนัก 13.27 กรัม ซึ่งหนึ่งบาทหนัก 15 กรัม เดี่ยวนี้ 1 บาทราคา สองหมื่นห้าพันบาท ตกอันหนึ่งก็เกินสองหมื่นห้า มีคน  sms. ว่าพท.ลงทุนไปมากอย่างนี้ทำไม 3064 sms ว่า ได้โปรดเมตตาอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมต้องทำเข็มทองติดเสื้อด้วย เอาเงินไปจ่ายค่าดาวเทียมไม่ดีกว่าหรือคะ? พท.ก็เข้าใจผู้ทักท้วงว่าทำไมต้องใช้เงินทองมากขนาดนั้น แต่

4/12/2555 18:16:06 พท.เห็นว่าสิ่งนี้ พท.ทุ่ม ถ้ามีเงินมากกว่านี้ ฐานะดีกว่านี้ รวยกว่านี้ พท.คงทุ่มมากกว่านี้แน่นอน ขนาดนี้คนเขาก็พูดกันว่ามากไป แต่ละครั้งก็หมดไปหลายล้าน แค่ค่าเข็มก็สองล้านแล้ว เราจะมีเป็นประจำเลย ต้นปี เดือนม.ค. งานโพชฌังคาริยสัจจายุ งานที่ พท.มีอายุครบ 77  ปี 7  เดือน 7  วัน ในความเป็นมนุษย์ใครก็แล้วแต่ เกิดมามีอายุ ได้ถึง 77  ปี 7  เดือน 7  วัน ได้อย่างนี้ จะมีเพียงครั้งเดียว ผู้ที่มีอายุรอดมาขนาดนี้ หลายคนก็ไม่อยู่แล้ว เราก็มีชีวิตเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมก็น่าภูมิใจ ก็คิดว่าน่าจะเป็นวันที่สำคัญ เพื่อที่จะได้ใช้เตือนสิต ถ้าใครก็แล้วแต่ มีอายุขนาดนี้ ได้เพียงครั้งเดียว หากจะมีครั้งที่สองรอบที่สองของชีวิต ก็ไม่ง่ายเลย ถ้าเป็นรอบที่สองคือ 155 ปี 2 เดือน 14 วัน ก็ยากรอบที่สองนี่ แต่ว่ามีนักวิทยาศาสตร์ นักสรีระวิทยาตรวจสอบว่าคนมีอายุเกิน 175 ปีได้ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ทำให้พท.เห็นทางไรๆ เพราะพท.เอาแค่ 151 ปีก็คงได้นะ

4/12/2555 18:20:40 พท.ดำริงานนี้ขึ้นมาเพื่อ “สร้างคน” ขอใช้คำนั้น  รู้สึกใหญ่โก้เหมือนกัน ในการสร้างคน ให้คนพัฒนาเป็นชีวิตที่ดีประเสริฐที่เรียกว่า “อาริยะ” เป็นความเจริญในระดับโลกุตระ ซึ่งเป็นชีวิตที่พ้นทุกข์ลดทุกข์ได้ ลดได้จริง แล้วก็เป็นคนดีของสังคม ลดกิเลสตามทฤษฏีของพระพุทธเจ้า ลดกิเลสแล้วเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งพท.เห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในความเป็นมนุษย์ ที่ตั้งใจทำตั้งแต่ออกมาจากชีวิตโลกๆ ที่เคยวิ่งไล่ล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข  ออกมาก็เห็นว่าดี ทำมาได้ตั้งแต่อายุ 36 ก็ผ่านมาอีกรอบบวชมาอีก 36ปีเป็น 72 นี่เลย 72 มาหลายปี ก็รู้สึกดี เราทำได้ผล จนเกิดกลุ่มหมู่อโศก เรียกว่าบุญนิยม เราพยายามให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นกรอบการศึกษา เป็นระบบการศึกษาเปิด ที่ไม่ชื่อว่าอยู่ในกรอบของกระทรวง ทางมหาวิทยาลัยเราพยายามจะตั้งแต่ยังไม่สำเร็จ เราก็ไม่มีปัญหา พท.พยายามทำแบบของเราเองโดยตรง จะกำหนดความรู้ขึ้นมาให้เป็นลักษณะที่เป็นอาริยะอย่างที่ตั้งใจเข้าใจมั่นใจเข้าใจ โดยไม่ถูกกฎระเบียบมาวุ่นวาย ก็เลยคิดโครงร้างการศึกษานี้ขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่า “วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม” ชื่อย่อว่า “ว.บบบ.” แล้วก็ร่างโครงร่างเป็นการเรียนอย่างอิสระ เมื่อทำอันนี้ขึ้นมาแล้วก็มาทำรายการโทรทัศน์ว่า “เรียนอิสระ(ตามสำนึก)” ให้สำนึกเองมุ่งมั่นเอง พท.ก็ถ่ายทอดทางสื่อสาร เป็นทางอากาศ สื่อออกไปอยู่ตลอดเวลา ใครสำนึกเห็นว่าควรศึกษา ก็ศึกษาเอา ถึงเวลาปีหนึ่งก็มาสอบทีหนึ่ง ซึ่งเปิดกว้าง ไม่กำหนดอายุ เปิดรุ่นแรกมีอายุ 7 ขวบ 8 ขวบ จนถึง 80 กว่า โดยมีเกณฑ์คือ 1.ต้องกินมังสวิรัติมาแล้ว 5 ปี และ 5 ปีที่ว่า ไม่ได้หมายความขาดหกตกหล่นไม่ได้เลย สรุปแล้ว คือตั้งใจกินมังสวิรัติได้ 2 ในสาม ของที่เรากินมา ใน 5 ปี ก็คือกินมาได้ 3 ปีกว่า นอกนั้นก็ขาดหกตกหล่นได้ไม่ได้เคร่งครัดเกินกาล ให้เข้าใจว่ามากินมังสวิรัตินี่เพื่อตัดกิเลส 2.ถือศีล 5  3. คือไม่มีอบายมุข

4/12/2555 18:28:41 ผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่า มนุษย์ไม่มีอบายมุข ถือศีล 5 กินมังฯ สามเงื่อนไขถ้ามนุษย์มีคนปฏิบัติอย่างนี้ได้ปีหนึ่ง ไม่ต้องมากมาย ปีหนึ่งได้ซัก 20 คน ห้าล้านบาทก็คุ้ม ก็พอแล้ว  พท.กล้าทุ่มเลยก็ลองดูซิ รุ่นหนึ่งก็ไม่ถึงห้าล้าน ในปีแรกมาสมัครเกือบหนึ่งพันคน เราถือว่าให้เกียรติกัน ในความเป็นคน เขาก็ต้องมีสำนึกของเขา

4/12/2555 18:30:54 พท.ว่าถ้าชีวิตนี้ได้ช่วยคน ให้มีคุณธรรมให้มีคุณสมบัติดังกล่าว ประเทศก็จะมีอาริยะ ไม่เป็นภาระสังคม จะทำให้สังคมไม่วุ่นว่าย ไม่ได้มักมาหรอก ปีหนึ่งได้ 10 20 30 คน ร้อยคน มาถึงวันนี้ หลายสิบปี ก็ได้เป็นโล้เป็นพายอยู่ มาถึงวันนี้ก็มีหมู่กลุ่มชุมชน ทั่วประเทศ  เกือบร้อยกลุ่ม มายืนยันปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นต่ำคือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ตามฐานะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข อย่างที่เห็นทุกวันนี้เราก็เปิดเผยตัวต่อสังคม เขาก็รู้แล้ว ใหม่ๆที่เปิดตัวออกไปเขาก็งง เราออกไปเดิน ถ้า          ชุุดอโศกเต็มรูปไม่ใส่รองเท้า คนก็ดูตั้งแต่หัวจรดเท้า มันจะมีเอกลักษณ์ สัญลักษณ์ชาวอโศกอยู่หลายอย่าง มันทวนกระแสโลก เขาจะต้องตกแต่งพริ้งพรายอะไร แต่เราก็ไม่อย่างนั้น  มีทั้่งพฤติกรรมการเป็นอยู่ กินอยู่ที่จะร่วมในสังคมหลายอย่าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ สัญลักษณ์ชาวอโศกเรา

4/12/2555 18:33:03 มาถึงวันนี้ พท.คิดว่าธรรมะของพพจ.ทฤษฏีพพจ.นี่ศึกษาแล้วจะเป็นประโยชน์มา ที่สำคัญธรรมะของพพจ.เป็นธรรมะโลกุตระ ที่ปลดแอกความเป็นทาสโลกธรรม มีชีวิตมีปัญญามีความเข้าใจมีความรู้อย่างรู้ ชัดเจนว่า ถ้าเราเป็นคนไปแย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งกามในโลก มันไม่ใช่ความประเสริฐความเจริญอย่างแท้จริง ซึ่งธรรมดาสามัญคนเกิดมาก็พยายามมุ่งมาดปรารถนาดิ้นรนเพื่อ ต้องมาแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แม้แต่ศาสนาไม่ใช่โลกุตระก็ไม่เช้าใจชัดมากหรอก เขาก็เข้าใจเหมือนกันว่าไม่ให้มันจมอยู่อย่างนี้ แต่จะไม่ชัดเจนเท่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธชัดเจน แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อม ศาสนาไม่เสื่อมหรอก แต่คนชาวพุทธเสื่อม คือไม่เข้าใจว่าพุทธเป็นโลกุตระแล้ว รู้เลาๆเพียงภาษา แต่ไม่รู้ว่าโลกุตระคืออะไรเป็นอย่างไร ขีดไหนจึงเข้าโลกุตระ เข้ากระแสเป็นโสดาฯ จึงเป็นมนุษย์ที่มีเชื้อโลกุตระ แต่ไปเข้าใจว่าพุทธสอนสะกดจิต เป็นสมาธิฌาน วิมุติ ทั้งที่พพจ.มีทฤษฏีเอกคือ โลกุตระมีมรรคองค์ 8 แต่ก็ไม่เข้าใจ ในมรรคองค์ 8 เบื้องต้นซึ่งต้องเข้าใจว่า ทานอย่างไรกิเลสลด ปฏิบัติศีลอย่างไรให้กิเลสลด แล้วต้องรู้ต้องเห็นว่ากิเลสลด รู้หุตัง คือจิตเสวยผล ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ศีลพรตปฏิบัติให้ไปโลกุตระทำอย่างไร นั่นคือสัมมทิฏฐิเบื้องต้นของมรรค มันมีผลที่จะเดินทางเข้ากระแสโลกุตระอย่างไร ไม่เข้าใจกัน ไม่พูดกันเลย เพราะมันรู้ไม่ตรงไม่ถูก ก็เลยไปนั่งหลับตาสมาธิ ซึ่งไม่ใช่ทาง ศาสนาพุทธต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์จึงสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ  ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ตีทิ้งหมดเลย แต่ถ้าท่านรู้ท่านเข้าใจอย่างที่พท.พูดเข้าใจตรงกันก็สอนอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร แต่ท่านที่สอนไม่ตรงกับพท.อาจจะถือสา ก็ต้องขออภัย ไม่ได้เจตนาหาเรื่อง ไม่มีเจตนาจะไปลบหลู่ ที่พูดถึงนี้พูดธรรมะ

4/12/2555 18:38:51 เมื่อพท.เห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐจึงทุ่มเทลงทุนลงแรง จึงเกิดเป็น ว.บบบ.ขึ้นมา รุ่นแรกในต้นปี 55 รุ่นสองเป็นปี 56 จะมีรุ่นสาม รุ่นสี่ ก็จะเอาวันนี้แหละ ซึ่งในปีแรก จะใช้วัน โพชฌังคาริยสัจจายุ คือ เกิดจากอายุ 77 ปี  7เดือน 7 วัน มีเลข 7 สี่ตัว นี่คือที่ไปที่มาของวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม

4/12/2555 18:40:55 ก็ทบทวนให้ฟังว่ารายการนี้ เจตนาให้คนศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นไตรสิกขา ศีล-สมาธิ-ปัญญา ผู้ที่จะมาร่วมศึกษา ตั้งใจมาเป็นนิสิตวิชชาลัยนี้ มาสมัครได้ตั้งแต่ ห้าหกเจ็บขวบ จะเขียนหนังสือไม่เป็นก็มาสมัครได้ จะต้องหาผู้ช่วยมาเขียนให้ ก็บอกเขาให้เขียนให้สอบให้ นอกนั้นไม่ตอบข้อสอบก็ปฏิบัติประพฤติ มีหลักคือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ซึ่งในระดับมัธยมก็เป็น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา อย่างพระอรหันต์ถือว่าเป็นศีลบุคคล หรือผู้ใดปฏิบัติศีลได้เต็มระดับโสดาบัน ก็มีศีล 5 เต็ม เป็นปกติ ไม่ละเมิด มันมีขีดหยุดขีดพอ ศีลนี่มีคุณสมบัติให้จิตดับกิเลสจนเต็ม ตัดอบายต่างๆไปตามลำดับ

4/12/2555 18:47:01 ในการสมัครจะเปิดตั้งแต่ 1-25 ธ.ค. 55 ถ้ามาตามเวลาก็จะไม่ตกหล่น ถ้ามาสายใกล้เวลาก็อาจตกหล่นได้ ผู้ที่จะสมัครไม่เสียเงินเสียทองอะไร เวลามาเข้าสอบทั้งหมด 7 วัน ปีหนึ่งก็ต้องมาเข้าสอบอยางสำคัญเลย  4 วันแรกเรียกว่าบำเพ็ญคุณ 3 วันหลังเป็นการบำเพ็ญธรรม จะมีคุรุ อาจารย์มีพี่มีน้อง พาทำ แล้วให้คะแนน นอกนั้นจาก 7 วันแล้วก็สำนึกเอาเอง เป็นการเรียนอิสระตามสำนึก จะมีการจับกลุ่มกันทำเป็นระยะก็แล้วแต่ แรกๆสันติอโศกก็ ฟิตทำหลังๆ ก็ยืดๆไป ก็ตามสำนึกมากน้อยแล้วแต่ใคร ศาสนาพุทธไม่บังคับ ให้เป็นไปตามสำนึกมีญาณปัญญา มีอุตสาหะวิริยะ ให้รู้ว่าดีก็ควรทำ เพราะการปฏิบัติธรรมมรรคองค์ 8 ทำที่ไหนก็ได้ พพจ.ไม่เกี่ยงเวลาสถานที่ ไม่เกี่ยงบรรยากาศ อย่างลดละกิเลสจริงๆจนเกิดมรรคผล ได้ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าต้องไปแต่หาที่สงบ แล้วก็นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป  แต่สงบก็เป็นเพียงอุปการะ แต่จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ พูดอยู่ก็ให้มีสัมมาวาจา มี สติปัฏฐาน4 สัมมัปทาน4 อิทธิบาท4 นี่คือหลักปฏิบัติของพพจ.อยู่ตลอดเวลา ให้รู้จักกิเลส รู้จักวิธีกำจัดกิเลส ตลอดเวลาที่ลืมตา แล้วเป็นของจริงด้วย มีสัมผัสเป็นปัจจัย แต่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด จิตอยู่ข้างใน ว่าต้องไปหลับตาปี๋ ไม่ให้รับรู้อะไรเลย นี่เป็นวิธีที่เก่าครำคร่าคร่ำครึ เก่าแล้ว เป็นประจำโลก แต่ของ พพจ.นี่มีเมื่อพพจ.เกิดขึ้นตั้งอยู่ดังไป แต่ถ้าหมดยุคที่หมดศาสนาพุทธ ยุคพุทธันดร ก็จะไม่มีธรรมะแบบศาสนาพุทธ ไม่มีพพจ.

4/12/2555 18:52:40 ผู้ใดที่เข้าใจศาสนาพุทธได้ดีอย่างนี้่ ก็ทำได้ตลอดเวลาที่ไหนก็ได้ และจะรู้มีสำนึกว่า ต้องมีกัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กัลยาณสัมปวังโก หลักข้อแรกต้องมาก่อนมรรคองค์ 8 แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี คือการมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่หนีไปไม่มีเพื่อนมีดวก หลับตาออกไปปลีกวิเวก ปลีกเดี่ยว เป็นเรื่องนอกรีต ในพตฏ. ไม่มีคำว่าปลีกวิเวก เป็นศัพท์ที่พูดกันเอง แม้แต่คำว่า ลีนัตตัง คือหลีกเร้นหลีกออกไปพัก ก็ไม่ใช่ว่าปลีกวิเวกที่เขาเข้าใจ

4/12/2555 18:54:18 ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวิชชาลัย บบบ, เข้าง่ายออกง่ายไม่มีสัญญาอะไร เข้ามาแล้วก็ตั้งใจเอา ให้ขยันอุตสาหะพากเพียรเอา ให้อิสระเต็มที่ สำนึกเอง แล้วไม่ได้บังคับ ได้ผล พท.เน้นที่ผลจริง ไม่เน้นปริมาณ ปีหนึ่งรุ่นหนึ่ง ร้อยคนมาสอบ พันคนมาสอบ รุ่นหนึ่ง สมัคร แปดร้อยกว่าคน ไม่ได้เสียค่าสมัครอะไร เขาก็ไม่เสียดาย แต่มาสอบ 700 กว่าคน ถือว่าเป็นผลสำเร็จ สอบกันได้แล้ว 500 กว่าคน แต่สอบได้นี่ไม่ได้เข็มทั้งหมด ผู้ได้เข็มจะได้อยู่แค่ 154 คน จะได้ใบปัญญาบัตร แค่ 154 ใบ กับเข็มทอง จะมีสองแผนก แผนกวิชญ์ กับแผนกชาญ ผุ้ที่จะได้กำหนดปีละ 154 คน ส่วนผู้ทีสอบได้หลังจากนั้น จะได้บัตรประจำตัวให้ เป็น  เครื่่องหมาย และจะได้เสื้อ ซึ่งมีคนอนุเคราะห์อยู่ ปีแรกเป็นฆราวาส ปีที่สองมีบริษัททำเสื้อมาร่วมมือกับเข้าเดิมด้วย เป็นสองแรง จะมีเสื้อที่เป็นเครื่องอหมาย มีตราของ ว.บบบ. ทุกคน แต่คน 154 คนแรกจะได้เสื้อสีเข้ม ส่วนนอกนั้นทุกคนที่สอบได้จะได้เสื้อสีน้ำตาล เป็นเช่นนั้น ยังมีอีกหลายอย่างอธิบายไม่หมด

4/12/2555 18:59:50 ผู้ที่สอบได้แล้ว หรือสอบตก ก็มาสอบซ้ำได้ มาสอบได้ทุกปี ผู้ที่สอบได้เข้มแล้ว ในปีต่อไปก็จะสอบอีกก็ได้ ถ้าสอบได้อีก ก็จะได้เข็มทองอีก จะได้จำกัดรวมแล้วไม่เกิน 4 เข็ม จะได้ตำแหน่งเรียกว่า บูรณ์บุญบัณฑิต แล้วก็จะได้ปัญญาบัตร ในปีแรก และปีสุดท้ายที่สอบได้ คิดว่าในอนาคต ผู้ที่มาเรียนรู้ผ่านไป หลายปีก็จะเข้าฝักเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาในโลก

4/12/2555 19:03:24 ผู้ที่เป็นคุรุอยู่ฝ่ายใน สมณะสิกขมาตุก็ช่วยกันหน่อย ต่อไปในอนาคต เป็นบูรณ์บุญบัณฑิตขึ้นมาหรือเป็นบัณฑิตที่สูงขึ้นมา ก็จะมาเป็นพี่เลี้่ยงหรือผู้ช่วยมารับผิดชอบช่วยงาน มีเกียรตินิยมด้วยในแต่ละปี ผู้ใดได้ 80 % ขึ้นไป เป็นเกียรตินิยม ถ้าคะแนนเกิน 90 % คือเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเรียกว่า บุญบัณฑิต ถ้า 80 % ขึ้นไปไม่ถึง 90 % เรียกว่าคุณนิยม มาขอใบสมัครไปกรอกได้ จะโหลดเอาได้จากเว็บ จะไปสมัครโดยตนเองหรือทางไปรษณีย์ก็ได้ สมัครได้ 9 แห่ง พุทธสถาน 7 แห่ง สังฆสถานอีก 2 แห่ง ส่วนเวลาที่จะสอบให้ไปที่ ราชธานีฯ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2555

4/12/2555 19:08:46 สอบเสร็จแล้วต้องรีบทำบัตร พร้อมกันกับแจกเลย เป็นงานจุลกฐิน ผู้ใดมีน้ำใจก็มาช่วยกัน ทางธุรการ ก็ขอบคุณล่วงหน้า แจ้งไปที่ราชธานีอโศก

4/12/2555 19:09:32 การทุ่มของพท.นี่ให้อิสระแก่พวกเรา ที่พท.บรรยายคือการศึกษาออกไปทุกวันทั้งศีลธรรม และสมรรถภาพที่เป็นสัมมาอาชีพ ทั้งความรู้วิชาการด้วย ไม่ใช่ว่าเอาแต่วิชาการเฉยๆไม่ใช่ว่าเรียนป.เอกแต่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ศีลธรรมยิ่งไม่เอาไหน นี่คือความล้มเหลวของการศึกษาทั่วโลก ทำให้เกิดการล่มสลาย และมีหนังสือที่จะอ่านประกอบคือ หนังสือธรรมที่เป็นพุทธ ออกเมื่อตุลาคม หนา 300 หน้า คุณไปสมัครจะได้รับแจกฟรีเลย เอาไปอ่านอย่าเอาไปหนุนหัวอย่างเดียว

4/12/2555 19:12:12 ต่อไปเป็นการตอบประเด็นจากผู้ชมทางบ้าน

 Sms มาถามว่า โปรดเมตตาอธิบายให้ลูกฟังทีเถิดว่าทำไมต้องใช้ทองในการทำเข็มติดเสื้่อ เอาเงินไปจ่ายดาวเทียมไม่ดีกว่าหรือ?  พท.ตอบว่าดาวเทียมก็ทำอยู่แล้วต้องจ่ายอยู่แล้ว แต่ว่าอันนี้ก็ต้องทำ เมื่อมีทุนมีแรงเหลืออยู่พอจะทำได้อีก ก็เอามาเสริมทำอันนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้  เป็น 20 ปีที่แล้ว พท.ทำไม้ได้ เพราะยังไม่มีทุนมาทำถึง 2 ล้าน เพื่อที่จะทำเข็มนี้ แต่เดี๋ยวนี้มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูที่จะทำพอได้ ซึ่งพท.ทำงานศาสนามานี่จะไม่เรี่ยไร ยังไงให้เป็นตายอย่างไรก็ไม่เรี่ยไร และไม่หาเงินด้วย เช่นไปเทศน์ไปกิจนิมนต์ได้ค่าเทศน์ไม่เอา ไม่ตั้งกล่องรับบริจาค ถือว่าเป็นเรื่องน่าอาย นอกจากไม่เอาแล้วยังมีกติกาว่าใครจะบริจาคเงิน ต้องมาคบคุ้นศึกษากับเรา อย่างน้อย 7 ครั้ง ซึ่งต้องตั้งใจมาศึกษาจริงให้รู้หลักเกณฑ์ปฏิบัติ หรืออ่านหนังสือของเราอย่างน้อง 7 เล่มขึ้นไป (อ่านทั้งหมดเล่มจนครบ) หรือฟังเทปคาสเซท(สมัยก่อน) 70 ม้วน ส่วนดูโทรทัศน์กี่เดือนกี่ปี นี่วัดไม่ได้เลย ก็เลยไม่ตั้งกฎนั้น ใช้กฎเกณฑ์เดิม ไม่ใช่เรื่องดัดจริต ไม่ใช่เรื่องเล่นเล่ห์อะไร แต่เป็นเจตนาว่าเรื่องเงินทองนี่ เป็นเรื่องเครื่องใช้ เป็นวัตถุเป็นอุปกรณ์  ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพุทธนี่มีเงินทองทุนรอนเหลือ คือ 1.จะไม่เป็นหนี้เพราะมักน้อยสันโดษ รู้จักสิ่งกินใช้อุปโภค บริโภค รู้จักความพอเพียง รู้จักอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ คือไม่หลงสวรรค์หลอกลวงไม่ต้องไปเปลืองไปผลาญกันมันแล้ว อบายมุขต่างๆเป็นต้นหรืออย่างที่เขาหลอกว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ก็เอาเงินไปเสีย จะรู้เท่าทันสังคม จะไม่สูญเสียไม่เปลืองไม่ผลาญ ประหยัดมัธยัสถ์โดยไม่ต้องไปอดไปทน โดยไม่ต้องไปจ่าย จะขยันหมั่นเพียร มีรายได้มากใช้น้อย 2.จะเลี้ยงตนรอด 3.จะมีส่วนเกิน 4. เอาส่วนเกินไปทำทานแจกจ่ายเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นได้ นี่คือสัจจะของผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพุทธที่บรรลุธรรม ทำมา 40 ปีตามนัยยะของพระพุทธเจ้า ภูมิใจที่ไม่ได้เรี่ยราย นอกจากบางครั้งนานๆที จะต้องบอกบุญ เราไม่ได้สะสมจึงไม่มีเงินก้อน อย่างจะซื้่อที่นี่มันหลายสิบล้านก็ต้องบอกบุญกันหน่อยเป็นต้น ก็ทำเป็นครั้งคราว อย่างเราสร้างพระวิหารต้องใช้ทองคำมาพ่นมาหุ้มอะไรอย่างนี้ เราก็บอกบุญไป แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่เอา คือมันเป็นความเข้าใจเป็นปัญญา มันเป็นความละอาย ไม่ใช่ศาสนาขี้ขอ ไปเรี่ยไรอยากได้เงินไม่ใช่ ที่บอกว่าจะเอาไปจ่ายค่าดาวเทียมไม่ดีกว่าหรือ? เราก็จ่ายอยู่ก็พอเป็นไป และก็มีเหลือที่จะมาทำอันนี้เพิ่มเติมขึ้น ให้ประโยชน์ก็อธิบายไปแล้วว่า มันเป็นเรื่องที่พ่อท่านต้องทุ่ม ต้องทำ พยายามพากเพียรที่จะให้เกิด และวิธีที่ทำนี่เป็นวิธีของศาสนาพุทธเลย ให้แต่ละคนสำนึกเตือนตนมุ่งมั่นพากเพียรใฝ่ดีเองไม่ต้องมีใครบังคับ เตือนสติกันอยู่พ่อท่านที่ออกอากาศนี่ก็เป็นการเตือนสติตลอดเวลา เท่านั้นเองพอแล้ว ส่วนใครจะปล่อยปะละเลย ก็ตัวใครตัวมัน ใครจะขวนขวายเอาก็เป็นบุญของแต่ละคน เพราะฉะนั้นที่มาท้วง มาเตือน ว่าเงินนี่ไปทำดาวเทียมไม่ดีกว่าหรือ นี่ก็ดีเราก็พอเป็นไปได้จึงมาทำอันนี้เพิ่มเติมนะ คิดว่าอนุญาตนะ

4/12/2555 19:21:16 สำหรับชาวพุทธที่ยังไม่รู้คำตอบที่แท้จริงของวิธีการปฏิบัติธรรมที่เป็นสัมมาปฏิบัติเมื่อเขาอยู่กับจิตชนิดนี้ต่อไปเรื่อยๆ วิปัสสนาญาณหรือญาณที่เข้าไปรู้เห็นกิเลสจะเกิดขึ้นเองใช่ไหม ผู้ถามนึกไม่ออกว่าแล้วเขามีวิธีทำลายกิเลสเมื่อเจอกับกิเลสตัวเป็นๆอย่างไร? ...พท.อธิบายว่า พท.ก็พยายามที่จะอธิบายจุดนี้ให้ฟังอยู่บ่อยเสมอ แต่ก็ไม่ค่อยจะกระเตื้องเท่าไหร่ คือผู้ที่นั่งสงบ นั่งสมาธินี่จิตที่อยู่นิ่งๆเฉยอยู่ในภวังค์ได้ แล้วเชื่อว่ามันจะเกิดปัญญาเกิดวิมุติได้เอง คุณคนนี้ก็สงสัยว่ามันจะเกิดเองอย่างไร แล้วเขาจะทำลายกิเลสอย่างไร  มันจะเกิดทำลายกิเลสเองยังไง แล้วที่พพจ.ท่านอธิบายปหาน 5 มี ถ้ามันจะต้องทำลายเอง แล้วจะต้องไปนั่งอธิบายปหาน 5 นี้ทำไม ก็นั่งอย่างนี้เข้าไปแล้วกิเลสมันก็ทำลายเอง แล้วปหาน 5 นี่พพจ.ท่านจะตั้งหลักเกณฑ์มาทำไม อย่างนี้เป็นต้น

4/12/2555 19:23:27 พท.พยายามยืนยันให้ฟังว่านั่นไม่ใช่วิธีของพพจ. นั่งเข้าไปแล้วจะเกิดรู้เอง จะเกิดวิปัสสนาญาณเอง มันไม่ใช่ วิปัสสนาญาณจะต้องพากเพียรปฏิบัติ มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีอะไรที่ท่านอธิบายอยู่ตลอดเวลา แล้ววิธีกำจัดก็วิธี วิกขัมภนปหานอย่างไร ตทังคปหานอย่างไร ก็อธิบายสู่ฟัง เมื่อปหานมันลงไปกิเลสมันจางคลายมันดับ ก็มีญาณในขณะผัสสะไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตา แล้วก็กิเลสมันเกิดในขณะผัสสะ  ที่ไม่ผัสสะนั่นไม่ใช่กิเลสสด เป็นกิเลสแห้ง ผัสสะนี่มันกิเลสสดๆสัมผัสเดี๋ยวนี้ ตากระทบรูปกิเลสก็เกิดตอนนี้ของจริงนี่เกิดจากเหตุปัจจัย พพจ.ท่านเรียกว่าเกิดวิญญาณในวิญญาณนี่เป็นวิญญาณผี เรียกว่าสัตว์โอปปาติก ธาตุรู้นี่มันเป็นสัตว์ ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลานสัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ 4ขา2ขา  ต้องศึกษาเห็นจริงว่าเรายังเป็นสัตว์อยู่ ถ้าฆ่าสัตว์ตัวนี้ได้ก็หมดสังโยชน์ พ้นสังโยชน์ หรือสังโยค เรียกว่าพ้นจากความผูกสัตว์ไว้ แต่ก่อนนี้เราก็ถูกผูกยึดไว้ ถูกถือถูกผูกไว้เป็นสัตว์ สัตว์ทางจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์นรก สัตว์สวรรค์ สัตว์นรกคือทุกข์ร้อนตกนรกหมกไหม้ลำบากลำบน ส่วนสัตว์สวรรค์คือหลงความสุข สวรรค์กับนรกมันเป็นอันเดียวกันจริงๆ มันแปลงตัวเป็นสวรรค์ แท้จริงต้นเหตุมันคือ นรก ต้นตอมันคือกิเลส เสร็จแล้วเมื่อไม่ได้ ก็คือตกนรกหรือมีความซับซ้อนของจิตกิเลสนี่ มันทำลายย่ำยีตนเองก็ตกนรก ที่ตกนรกหนักก็เพราะว่าซับซ้อน เรียกว่าวิบากซ้ำ วิบากซ้อน วิบากหนักวิบากหนา กิเลสหนานั่นเอง ก็นรกก็ทุกข์ร้อนจัด โง่จัด หลงจัด แล้วก็ทุกข์ร้อนอย่างไม่รู้เรื่อง มาอธิบายไม่ไหวเป็นกรรมวิบากที่อจินไตยซึ่งคิดยาก

4/12/2555 19:26:27 ผู้ที่จะนั่งหลับตานั้นต้องมาศึกษาให้มีสัมมาทิฏฐิดีๆจะได้ไม่หลงงมปฏิบัติในทางนั้นผิดอยู่ ก็เห็นใจว่าเขายึดถือกันอยู่กับอาจารย์กับสิ่งที่ปรัมปรา ศึกษามาเก่าแก่ ยึดถือผิดมานานแล้ว ทุกวันนี้ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ ทุกวันนี้ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไม่เป็น ปฏิบัติสัมมาสมาธิไม่เป็น ไปได้แต่สมาธิอย่างนั้น แล้วก็ไปหลงผิดทิศทางไปนั่งหลับตานั่นแหละ หลับตาแล้วเข้าไปอยู่ในภวังค์ จิตสงบแล้วทุกอย่างจะเกิดเอง จะบรรลุเอง อย่าไปคิดอะไร ถ้าคิดอะไรนี่ผิด ให้มันเด๋อว่างเดี๋ยวมันจะเกิดเองรู้เอง นั่นเป็นเชิงปัญญา ถ้าไม่เชิงปัญญาก็จะบอกว่าให้ดับจิต ให้จิตมันไม่คิดอะไรเลยแล้วมันก็จะตกลงไปดิ่งลงไป แล้วดับ ดับให้มีสติด้วยนะ โดยไม่ง่วงไม่มีอาการถีนมิทธะ มีสติใสๆๆเข้าไป พท.ก็เคยทำมาอย่างนี้แต่ก่อน มีมิจฉาทิฏฐิพท.ก็เคยทำ สามารถทำได้ และถือว่าอันนั้นแหละนิโรธ ไม่สว่างก็ดับ ถ้าสว่างก็จะเกิดอาการรู้อะไร สัญญามันจะเกิดให้รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยไม่คิด เป็นความสุขนิโรธ เมื่อทำให้ได้เก่งก็ชำนาญแคล่วคล่องก็ตัดสินเอาเองว่า สบายแล้วเพราะว่านั่งทีไรมันก็สบาย ถือว่านั่นแหละนิโรธ ไม่สว่างก็ดับ สัญญามันจะเกิด โดยไม่คิด สัญญาจะผุดมาให้รู้ มันเป็นสัญญาเป็นความจำ คุณไม่ได้ญาณใหม่ คุณไม่ได้รู้ตัวสมุทัย ไม่รู้ตัวกิเลส คุณไม่ได้ปฏิบัติ ลดกิเลสนี้เพราะพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันก็ค่อยๆดับไปจนมันไม่มีตัวตน มันเป็นอนัตตา คุณยังไม่รู้ไม่เห็น อย่างนี้เลยคุณยังไม่เห็นตัวตนของกิเลสนั้นอย่างชัดเจนเลย มี นามรูปปริเฉทญาณ มีปัจยปริคหญาณ มีสัมมัสนญาณ มีอุทัพยานุปัสสนาญาณ มีพังคานุปัสสนาญาณ มีภยตูปถานญาณ ในญาณ 16 คุณจะไม่เข้าใจ คุณจะไม่รู้ว่าญาณพวกนี้คืออะไร พอญาณนี้มันสูงขึ้นไปถึงนิพพิทาญาณ มุลกิจตุกัมยญาณ ญาณมันปล่อยมันเปลืองปล่อย ไม่ได้ไปดับ ไม่ได้ไปสะกดจิต พลังปัญญามันทำให้กิเลสมันดับ มันจางมันหายไปเลย จนเก่ง สัมผัสอยู่อย่างนี้ก็กิเลสมาไม่ได้เลย กิเลสไม่เกิดเลย เกิดมานิดๆหน่อยๆ จนกระทั่งมันเกิดแรงแล้วก็เบาไป เกิดนิดหน่อย จนกระทั่งมันไม่เกิดเลย สัมผัสยังไงมันก็ไม่เกิดเลยว่างเลยซึ่งเป็นการบรรลุธรรมที่เห็นเลย พิสูจน์ได้ชัดไม่งมงาย ไม่คลุมเครือ ไม่เดาเอา ไม่ประมาณเอา จนรู้แจ้งรู้ชัด เรียกว่าสัจฉิกัตตวา รู้กันอย่างแจ้งชัดๆ นิโรธแจ้ง มันเกิดเห็นๆอย่างรู้แจ้ง ไม่ใช่ไปดับจิตไม่รู้แจ้ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ใช่ คนก็ฟังแล้วไม่เข้าใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ พท.ก็ว่าอธิบายเก่งเท่านี้

4/12/2555 19:30:35 กรุณาบอกวิธีขั้นตอนของการตามรู้ อิริยบถต่างๆ ว่าควรมีลำดับขั้นตอนอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้ตามรู้อิริยาบถต่างๆได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งตามรู้ในอิริยาบถเท่าที่มี ตามที่พ่อครูสอน กรุณาอธิบายด้วย? ส่วนความปรารถนาที่จะทำให้ได้ และการตั้งจิตที่จะทำ มีผลหรือไม่?อย่างไร?

พท.ตอบ..การตั้งจิตจะทำนั่นทำนี่มันไม่ใช่กิเลสไปทั้งหมด เขาเรียกมโนสัญเจตนาหาร มันมีสามอย่าง 1.กามตัณหา 2.ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา ถ้าต้องการกามเรียกว่ากามภพ ถ้าต้องการภวตัณหา ก็กิเลสในภพเรียกว่าอัตตาเป็นรูปราคะ อรูปราคะ แต่ถ้าปฏิบัติธรรมตามแบบพพจ.นี่คือถ้าอยากอย่างนี้ประกอบไปด้วยกามประกอบไปด้วยรูป หรืออรูปแบบนี้ นี่กิเลส แต่ถ้าตัดกิเลสของพพจ.ตามลำดับแล้วก็ปฏิบัติตัดตัวกามนี้ก่อน กิเลสกาม ลืมตาปฏิบัตินี่ ตั้งแต่อบายของหยาบ แล้วก็ขั้นสกิทาคามีนี่ก็ลดลงไปเรื่อยๆ ในขณะตาหูจมูกลิ้นกายกระทบอยู่ จนกระทั่งความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางตา ทางกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ทวาร5 นี่ มันหมด มันไม่สุขไม่ทุกข์แล้วมันเฉยๆ อุเบกขา เรียกว่าเนกขัมสิตะอุเบกขา มีอาการอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ ลืมตานี่แหละ

ฐานที่มันดับอยู่ สัมผัสเมื่อไหร่มันก็ดับอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ไปหลับตานะ ลืมตาสัมผัสอยู่ก็ไม่มีกิเลสเกิด คุณตัดกิเลสในขนาดที่คุณกำหนดไว้ จนกระทั่งจากโสดาฯ สกิทาฯแล้งหมดขั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรก็แล้วแต่ ลาภยศสรรเสริญหรือกาม ตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็ไม่ได้เกิดกิเลสเลย ไม่ได้อยากเสพอยากได้อยากสุขอยากทุกข์เพราะมันเลย ลืมตาเป็นอนาคามี เรียกว่ากามสังโยชน์หมด แล้วอยากปฏิบัตินี่คุณก็ต้องอยาก คุณก็จะต้องปรุงแต่งเรียกว่าสังขารเรียกว่าอภิสังขาร ถ้าคุณทำเป็นแล้วเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร สังขารก็คือการทำจิตอย่างนี้แหละ คิดนึก แต่ว่าคิดอย่างเห็นจริง แล้วก็ปฏิบัติจิตของเราด้วย ต้องปฏิบัติจิตนั่นแหละ ปฏิบัติอย่างลืมตา เราต้องทำจิตอย่างนี้เรียกว่า มนสิการ เป็นโยนิโสมนสิการ ทำใจของเราให้กิเลสมันจางคลาย มีการพิจารณาด้วยการกดข่มมีวิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน เพื่อจะทำวิปัสสนาวิธีให้รู้ว่า ทำใจให้รู้ว่ากิเลสมันไม่ใช่ตัวจริงมันเดี๋ยวเดียว มันของปลอม พอหมดผัสสะแล้วมันก็ไม่มี แม้ผัสสะอยู่มันก็ไม่อยู่อย่างเก่าหรอกรสสุขน่ะ ซ้ำๆซากๆอยู่อย่างนั้น ถ้านานไปชินไปมันก็ไม่เกิดรสสุขหรอก ทั้งๆที่ไม่ได้ปละปล่อย ตาก็ยังกระทบรูปอยู่ หูก็ยังกระทบอยู่ มันก็เบื่อ นอกจากคนที่จะติดนานๆก็โอโห ทั้งวันทั้งคืน 5 วัน 5 คืนก็ไม่เบื่อ เอาไปสิห้าวันห้าคืนไม่เบื่อก็ห้าสิบวันไม่เบื่อหรือ ต่อไปอยู่อย่างนั้น ก็เบื่อ มันไม่เที่ยงหรอก เมื่อไม่มีผัสสะมันก็ไม่มีแล้ว อันนี้แหละยาก มันไม่ใช่ผีสดๆถ้าสัมผัสมันเป็นผีสดๆ  แล้วมันก็มีเทวดาสดๆแล้วเทวดานี่มันเกิดจากการได้สมใจ สมเสพแล้วก็เกิดเทวดา ถ้าคุณเองไม่มีตัวกิเลสไปเป็นตัวร่วมปรุง สัมผัสอย่างไรมันก็ไม่มีกิเลสเกิด จิตก็ว่างๆ เฉยๆ แต่จะรู้ความจริงตามจริง รูปก็เห็นรูป สีก็เป็นสี เสียงก็เป็นเสียง กลิ่นก็เป็นกลิ่น รสก็เป็นรสธรรมดา แตะทางลิ้นมันก็ธรรมดากลางๆ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไรนี่ แต่มันรู้ความจริงว่าแดงก็แดง เขียวก็เขียว เหลืองก็เหลือง เสียงอย่างนี้ดังอย่างนี้เบา กลิ่นอย่างนี้หอมเหม็นอย่างนี้ มันก็แยกได้ตามปฏิภาณปัญญาของเราตามจริงเท่านั้น แต่มันไม่มีอารมณ์ แยกอารมณ์กิเลส อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ อารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ อิฏฐารมณ์ อนิษฐารมณ์ คุณแยกให้ออกแล้วว่าอิฏฐารมณ์ อนิษฐารมณ์ของเราไม่มี เราแยกรูปแยกนาม มีปัจยปริคหญาณ แยกสิ่งที่มันเป็นเหตุปัจจัยต่างๆ มันละเอียดอย่างนี้ไม่ใช่เป็นทึ่มๆทื่อๆเป็นแท่งก้อนอย่างนั้นหยาบๆไม่ใช่ มันละเอียดมากเลย คัมภีรา ทุทสา ทุรนุโพธา ละเอียดลออ คัมภีระ ลึกซึ้งเห็นตามได้ยาก ตรัสรู้ตามได้ยาก จะต้องศึกษาแล้วปฏิบัติประพฤติให้เห็นจริงๆ

การที่จะให้พท.อธิบายว่าตามรู้อิริยาบถอย่างไรก็คือการกระทบทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ต้องอ่านอารมณ์ให้ตัวเองเป็น มันเป็นการประชุมรวมกันในจิต เป็นกายในกาย แล้วกายในกายก็จะมีการกลายตัวเป็นเวทนา เป็นอารมณ์เป็นความรู้สึก แล้วมันก็จะปรุงแต่งเป็นความรู้สึก เราก็พิจารณาเวทนา ถ้าเป็นวิธีของพพจ.ท่านก็ ไม่ต้องให้มันเสพ อย่าให้มันเสพสัมผัสทางตา เราก็ไม่ให้มันสัมผัส สัมผัสหูก็ไม่ต้องให้มันสัมผัส สัมผัสทางลิ้นก็ไม่ต้องให้มันสัมผัส เมื่อไม่ให้มันสัมผัส ถ้ามันมีกิเลสอยากอยู่แต่ไม่เห็นกิเลสตัวตนมันเลย เมื่อไม่ให้มันสัมผัส มันก็โผล่มันก็ดิ้นเลยไม่ให้มัน นี่เป็นอุบายเครื่องออกวิธี เว้นขาด เวรมณี อรติวิรติ ปฏิวิรติ เว้นขาดนี่อย่าไปให้มัน นี่แหละชัดเลย จะเกิดกิเลสนี่เป็นตัวจริงเลย นี่เรียกว่าเราพยามยามพากเพียรปฏิบัติเพื่ออยากลดกิเลส อยากไปนิพพาน อยากฆ่ากิเลส เรียกว่าวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่จะไม่ให้เกิดภพ ตัณหาที่อยากดับกามภพ เพราะมันมีอยู่สองสายใหญ่ๆ กามภพเป็นข้างนอก กับภวภพข้างใน เมื่อเป็นอนาคามีแล้วไอ้ข้างในมันไม่ออกมาสัมผัส ก็จะเหลือเบาๆบางๆเป็นรูปภพ อรูปภพ รูปาวจร อรูปาวจร ก็ปฏิบัติลืมตา พระอนาคามีก็ปฏิบัติลืมตา ละกิเลสสังโยชน์เบื้องสูง ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องไปนั่งหลับตา รูปาวจรไม่ต้องไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ไอ้นั่นก็เป็นกิเลสแห้งอีกนั่นแหละ เอาสัญญาเข้ามานึกในภวังค์ สัมผัสเดี๋ยวนี้แหละมันเหลืออยู่เท่าไหร่ เหลือราคะ รูปราคะ อรูปราคะ ก็เกิดจากสัมผัสนั่นแหละ แต่ข้างนอกนั่นมันไม่เอาแล้ว หยาบๆอย่างนั้นน่ะมันเหลือนิดหน่อย หรือมันเกิดมานะอย่างไรก็อ่านในสัมผัสนี่แหละเกิดมานะ ก็สัมผัสนี่แหละมานะมันเกิดเก่งนัก ถือดีถือตัว ก็เวลาสัมผัสนี่แหละ อยู่เฉยๆไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมันจะไปเกิดอะไรนักหนาเล่า มานะ อุทธัจจะนั่นคือธุลีละอองเศษส่วนที่เหลือละอองสุดท้าย คุณก็เรียนรู้ไปตามลำดับ ก็เกิดจากผัสสะที่แหละจึงเกิดกิเลส แม้เป็นอนาคามีสุดท้าย รูปาวจร อรูปาวจร ก็ปฏิบัติจากผัสสะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วก็ไปละกิเลสสังโยชน์เบื้องสูง รูปาวจรอรูปาวจรข้างในมันไม่ใช่ มันต้องสัมผัสข้างนอกนะ  นี่คือสัจจะที่ยากที่พท.อธิบายไม่เก่ง ซ้ำซากยังไงก็อธิบายอยู่นะ จะบอกว่าคุณไม่ฉลาดก็ไม่ได้ ก็ต้องโทษตัวเองว่าบรรยายอย่างไงไม่เก่งซักที

4/12/2555 19:41:41 พลเรือตรีมินทร์ รายงาน

4/12/2555 19:41:48 จากชม. กระผมเป็นเสื้อเหลือง อยู่ท่ามกลางเสื้อแดง ใจก็มีอคติต่อเชา เขาเอาเสื้อเหลืองไปเช็ดเท้าก็แค้น จะบาปไหมครับ? ...พท.ว่าก็บาปคือสิ่งไม่ดีใจเป็นตัวตั้ง ใจคุณมีความยึดติดมันก็บาป คุณยิ่งไปผู้พยาบาทก็ยิ่งมากขึ้น คุณทำเองโดยอวิชชา เขาทำเป็นเรื่องของเขา อย่าไปติดใจอะไรมากมายถ้าเขาทำไม่ดีเป็นอกุศลเป็นสิ่งที่ต่ำที่ชั่วก็เป็นของเขา แต่คุณไม่ฉลาดพอ คุณก็ไปกับเขา บาปตามไปกับเขา คุณไปเป็นทาสเขาเมื่อไหร่ (ขี้ข้า) ก็เขาทำของเขาแต่คุณเองเอาใจไปโกรธ หรือรัก ไม่ชอบก็ชัง ก็เป็นเรื่องของเขา ใจของเราก็คือเรา รักษาใจเราให้ได้ นี่คือการปฏิบัติธรรม กรรมเขาเป็นคนทำ เราไปสัมผัสแต่เขาทำ เราไปถูกอำนาจเขาดึง ให้ไปเป็นขี้ข้า เป็นทาส ให้ปลดแอกปลดความเป็นทาสเป็นขี้ข้าอย่าให้ถูกจูงดึงไปก่อนให้เกิดรักเกิดชัง

4/12/2555 19:44:45 พธม.นนท์ เมื่อวานกลับจาก จ.แพร่ ไปกับพธม. ผู้จัดงานได้พาไปฮอมบุญอโศก จ.แพร่ เป็นชุมชนเล็กๆ มีที่ดินประมาณ 70 ไร่ ทึ่งเขา ประทับใจที่เขาทำอาหารมังฯให้กิน ไปที่ไหนก็เจอชาวอโศก  พท.ว่ามีคุณอำนวย เจ้าของที่ดูแลอยู่เอาจริงเอาจัง แต่คนก็ยังไม่มาก

4/12/2555 19:46:28 ความฝันของเรามันคือกิเลสหรือเปล่า?.. ตอบเลยว่าความฝันของปุถุชนคือกิเลสทั้งนั้น คือการฟุ้งซ่านของจิตปรุงแต่ง เป็นมโนมยอัตตา จริงๆมันเป็นสัญญาความจำ ถ้าคุณปั้นจะเป็นรูปหรือไม่มีรูปก็ได้ ถ้ามีรูปคือมโนมยอัตตา ถ้าไม่มีรูปเรียกอรูปอัตตา ที่เราสร้างขึ้นแทนรูปร่างคน หรืออื่นๆ เหมือนเราวาดเนรมิตภาพนั้นเอง คุณเป็นคนสร้างเองในจิต มันจะเป็นนิมิต หรือรูปก็ ได้มีภาพหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีภาพแล้วคุณไปจริงจังจนเกิดอารมณ์ ดังนั้นปุถุชน เมื่อมีรูปก็เกิดอารมณ์เกิดสุขทุกข์ นั่นคือกิเลส แต่ถ้าไม่มีอารมณ์คือไม่มีกิเลส พระอรหันต์ จะปรุงแต่ไม่มีกิเลส

4/12/2555 19:50:26 ขอคำอธิบายกิเลสอบายในกามภพ?....อบายแปลว่าต่ำ กามภพคือภพแรกเกิดจากการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ส่วน รูปภพ อรูปภพ อีกสองชั้น ถ้ากระทบทางภายนอกแล้วอยากแรง จะเอามาให้ได้ นั่นคือหยาบมากแล้ว ทุจริตทางกุหนา ลปนา เรียกว่าอบายทั้งสิ้น อบายของโสดาบัน คือ ในศีล 5 ในสกิทาคามีก็ต้องพยายาม จนกว่าจะเป็นอนาคามีจะไม่เกิดทางภายนอก จะเกิดแต่ในใจเท่านั้นเอง อบายในกามภพคือเกิดจากกระทบในตาหูจมูกลิ้นกายนี่แหละ เอาศีล 5 เป็นเกณฑ์

4/12/2555 19:53:45 จากปราจีนบุรี เมื่อเช้าที่ Fmtv เอารายการจุดเปลี่ยนมาให้ดู ดีมากเลย ทำให้ตระหนักโทษภัยในสารเคมีที่อยู่ในอาหาร ให้ฉายซ้ำก็ดี และจุดเปลี่ยนยังมีอีกหลายเรื่องที่ดีครับ

4/12/2555 19:54:58 หวยรัฐงวดที่แล้วมีข่าวครึกโครม พระครูถูกหวยถึง 50 ล้านบาท ผมเห็นว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ช่วยอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ แล้วพระผู้ใหญ่ทางเถรสามาคาทำอะไรอยู่?...พท.ก็ทำอยู่จนไม่มีเวลา มีโวหารว่าขอซื้อเวลา ขอขโมยเวลา จะว่าไปแล้วเขาไม่ศึกษาโดยละเอียดแต่อย่างใด ถ้าว่าไปยังมีอีกมากที่เละเทะ ถ้าไม่ศึกษาให้ดี ศาสนาไปไม่รอด พระดีดีก็มี แต่ที่อาศัยศาสนา มาอาศัยผ้าเหลืองมาศึกษา มีอาบัติสังฆาทิเสส ปาราชิกบ้าง จีบหญิงนี่ธรรมดาก็สังฆาทิเสสแล้ว บางคนจีบเขาเขียนกลอนเป็นต้น

4/12/2555 19:58:35 ผมดูพท.ประจำเรื่องดาวเทียม Fmtv มีประโยชน์การกระทำเพื่อสังคม

4/12/2555 19:59:03 ผมอยู่ข้างนอกอโศกอยากจะสมัคร ว.บบบ.บ้างจะได้ไหม พท..ตอบว่า ว.บบบ ก็เจตนากว้างเกื้อแก่พวกคุณนั่นแหละ ต้องมีคุณสมบัติ กินมังฯ 5 ปี แต่ผู้ที่จะสอบได้ต้องกินมังฯอย่างน้อย 5 ปี ถือศีล 5 ละอบายมุข สมัครเดี๋ยวนี้ได้ทันที แต่จะได้สอบต้องมีครบคุณสมบัติ

4/12/2555 20:01:41 ประชาสัมพันธ์ ในวันพุธที่ 5 ธันวาคม 2555 ชมการแสดงสด มหาอุปรากร เรื่อง silent princes เตมีย์ใบ้ ครั้งแรกในปทท. โดย สมเถา สุจริตกุล ติดตามได้ทางช่อง Fmtv หรือที่ www. fm-tv.tv เวลา 2 ทุ่มตรง

4/12/2555 20:04:34 ขอย้ำเรื่องของ ว.บบบ. อย่าลืม เข้ามาสมัครเพื่อชีวิตของคนทุกคน ผู้ที่ไม่ได้ธรรมะไปเรียกว่าโมฆะบุรุษ พพจ.ว่าภิกษุใดไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติผิด พพจ.เรียกว่าโมฆะบุรุษ ส่วนฆราวาสนั้นโมฆะบุรุษอยู่แล้ว ในพตฎ เยอะเลย คือเกิดมาสูญเปล่า เกิดมาควรได้โลกุตรธรรม ไม่งั้นก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอยู่อย่างนั้นแหละ พูดแล้วมันเมื่อย มันน่าเบื่อจริงๆ 4/12/2555 20:06:54 ....จบ 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:13:59 )

551206

รายละเอียด

6/12/2555 18:07:01 รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอน ปรากฏการณ์ พลังธรรมราชา

 6/12/2555 18:08:46 วันนี้พท.ตั้งใจจะอธิบายเหตุการณ์5ธันวา 55 เป็นปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ของโลก ที่ประกาศความเป็นปชต.อันยิ่งใหญ่จริงๆ ทำไมพท.เรียกว่าปชต. พท.แปลปชต.ว่าการแสดงมวลของปชช.ออกมา ถ้ามีเรื่องต้องประท้วงก็ประท้วง แต่นี่มอบอำนาจให้ แต่นี่เป็นการแสดงมวลออกมารวมตัวกัน เหลืองทั้งแผ่นดินโดยแท้ ซึ่งขออภัยที่คุณจะทำแดงทั้งแผ่นดินคุณต้องทำแบบ force  แต่นี่เหลืองทั้งแผ่นดินโดยไม่ force นี่คือเป็นอำนาจโดยธรรม เกิดโดยสำนึกแห่งจิตวิญญาณ

6/12/2555 18:11:50 ซึ่งพท.บอกว่าปชต.คือปชช.มีอำนาจ แล้วขยายความคำว่าอำนาจในสังคม ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตย โวเวอริตี้ เพาเวอร์ เอนเนอร์จี้ เกิดจากคนสร้าง มีจิตเป็นประธาน มีทั้งอำนาจที่เป็น  KINETICและPOTENTIAL ENERGY (ที่แฝงเห็นไม่ชัดมันมีอำนาจในตัวแต่ไม่แสดงโจ่งแจ้ง คนที่ไม่มีภูมิปัญญาสามารถล่วงรู้ก็จะไม่รู้ ต้องพยายามศึกษาจึงรู้ได้ เป็นพลังอำนาจกำลังหรืออิทธิพล

6/12/2555 18:13:56 เมืองไทยเป็นเมืองที่มีปชต.ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พท.จึงเรียกว่าปชต.สองขา คือเป็นปชต.ที่มีพลังทั้งพลังของทางกายทางรูปวัตถุและพลังทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งมากเลย ถ้าไม่มีปัญญาพอจะไม่รู้ว่าพลังงานจิตวิญญาณเป็นไปได้ ได้คือปรากกฎการณ์วันที่ 5 ธ.ค. 49 ที่ทรงออกมหาสมาคมก็เป็นปรากฏการณ์เหลืองมากแล้ว แต่วันนี้ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ปชช.ออกมาแสดงมวลว่าเรานับถือเทิดทูนพระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุขของปทท.ที่มีระบอบปชต.สองขา ปท.ที่มีปชต.ขาเดียวจะไม่ได้อำนาจอย่างนี้ เพราะเขาจะเปลี่ยนคนมาปกครองเป็นหัวหน้ารัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่ปท.ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่ปท.ที่มีรธน.มาริดรอนอำนาจพระมหากษัตริย์ อำนาจจึงไปอยู่ที่ปชช. แต่พท.ก็เคยเอาหลักกม.สากล ที่เป็นความจริงแท้ nation security ความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นกม.สูงสุด

หลักสากล ความมั่นคงแห่งชาติ หลักสากลที่เป็นความจริงแท้ (Reality) ความมั่นคง แห่งชาติ เป็นกฎหมายสูงสุด (Nation Security is Supreme Law) เหนือกว่า หลักนิติธรรม (The Rule of Law) เหนือกว่ากฎหมายหลัก คือ รัฐธรรมนูญ (Principal Law) เหนือกว่ากฎหมายสามัญ (Common Law)

โดยหลักกฎหมาย ระหว่างประเทศ ได้รับรองไว้ในหนังสือ International Law Vol.1 Peace โดย H. Laurterpacht Q.C.LL.D.F.BA. (Third Impression 1958) page 758-761 แปลว่า... "ทุกระบอบกษัตริย์ กษัตริย์ดำรงสถานะ เป็นตัวแทนแห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงดำรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ เป็นความจริง ที่กฎหมาย ระหว่างประเทศ ให้การยอมรับ ถึงแม้ กฎหมายภายในประเทศ จะมีข้อความ ที่แตกต่างกัน ในประเทศทั้งหลาย ประเด็นนี้ ไม่ถือ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น กฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความยอมรับกับ ระบอบกษัตริย์ ทั้งหลาย มีอำนาจ ดังกล่าว เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่า ตำแหน่ง พระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญ จะมีความแตกต่างกัน และขึ้นกับ กฎเกณฑ์ ที่กำหนดเอาไว้ ในรัฐธรรมนูญที่แตกต่าง กัน... ผลที่เกิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้แล้ว ให้การยอมรับว่า ระบอบกษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ ประมุขแห่งรัฐ อย่างแท้จริง และตลอดกาล ชั่วนิรันดร..."

เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นตัวแทน แห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ และเป็นองค์ รัฎฐาธิปัตย์ ทรงเป็นประมุข แห่งรัฐ (The Head of State) จึงทรงถือ ความมั่นคง แห่งชาติ คือ อธิปไตยของ ปวงชน เป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) อยู่เหนือหลัก นิติธรรม (The Rule of Law) หลักนิติธรรม อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ (Principle Law) และรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมายสามัญ (Common Law) พระมหากษัตริย์ จึงทรงใช้กฎหมายสูงสุด โดยมีกองทัพ อันเป็นกำลัง เป็นฐานแห่งอำนาจ ปฏิบัติกฎหมายสูงสุด เพราะพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นจอมทัพ...

6/12/2555 18:22:21 ที่พท.เอาอันนี้มายืนยันก็เพื่อให้เข้าใจว่าปชต.สองขาเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณ พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม คนที่บอกว่าอย่าเอาการเมืองไปยุ่งกับท่าน คนนี้ไม่รู้รัฐศาสตร์จริงและเลอะพูดเลอะเทอะ เพราะพระมหากษัตริย์ มีมาตั้งแต่โบราณ คือหัวหน้าเผ่า แต่นกม.คือผู้ที่ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ผู้ที่ดูแลแว่นแคว้นบ้านเมือง คอยดูแลปกป้องส่งเสริมให้บ้านเมืองเป็นไปได้ดี สงบสุข เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่คือปชต. ตั้งแต่ยุคไม่มีปชต.ก็เป็นสมบูรณายาสิทธิราช เพราะฉะนั้น พระเจ้าแผ่นดินเป็นรัฏฐาธิปัตย์ พระเจ้าแผ่นดิน ถ้ามีคุณธรรมรักปชช.ทรงงานเพื่อปชช.ให้ปชชอยู่เย็นเป็นสุขอย่างจริงจังนั่นแหละคือนักปชต.เบอร์หนึ่ง แม้จะเรียกว่าเผด็จการก็ตาม แต่พระจริยาวัตรนั้นรักษาหมู่กลุ่มของท่านด้วยเรี่ยวแรงเลือดเนื้อของท่าน เพราะฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า ถ้าปชต.จะแปลว่าปชช.มีอำนาจ ไม่ใช้ให้ใครมีอำนาจมากกว่าก็ได้ แต่ในมนุษยชาติมันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ก็มีหัวหน้าเผ่า จนมาถึงยุคนี้่ระบอบก็เป็นปชต.เพื่อให้ปชช.อยู่ดีมีสุข ไม่เดือดร้อน ถ้าเผื่อว่าพูดว่าเป็นสุขก็หมายความว่ารวย มีฐานะดีมีเงินมีทอง เท่าเทียมกัน จะบอกว่าเป็นสุข ไม่ใช่ ถ้าคนมีกิเลสแล้วได้ดังใจหมดก็เป็นสุข ก็ใช่ แต่มันมีคุณธรรมของมนุษย์ที่เป้ฯได้ คุณธรรมไม่เห็นแก่ตัวไม่โลภไม่เบียดเบียน มีความเสียสละช่วยเหลือคนอื่น ไม่เห็นแก้ได้ ไม่เอาเปรียบเอารัด ตัวเองมีน้อยหรือสุดท้ายไม่ต้องมีก็ได้ ถึงขึ้นไม่ต้องมีสมบัติอะไรเลยก็ได้ นี่คือคุณวิเศษ เรียกว่าอุตริมนุสสธรรม โดยสามัญบุคคล มนุษย์จะต้องเห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ แต่ในคนที่เป็นอาริยะเจริญเพาะจิตวิญญาณลดกิเลส ไม่สะสมไม่เอาเปรียบเอารักเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูล จนตัวเองไม่ต้องมีอะไรแต่อยู่ได้เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณ และมนุษย์มีคุณธรรม คุณธรรมจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่

6/12/2555 18:30:12 วันที่ 5 จะทำอย่างไรให้คนมีคุณธรรมแล้วพร้อมเพรียงกันบ้านเมืองก็มีความสุข เถียงไม่ได้ คำว่าคุณธรรมนี่มนุษย์เป็นได้เหนือวกว่าสัตว์เรียกว่าอุตริมนุสสธรรมคือคุณธรรมที่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไป ยืนยันว่าเป็นไปได้ ถ้าใครคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็แล้วไป แต่พท.พาทำมาไม่ต้องไปกลัวไม่หวังว่าจะได้ด้วย ได้แต่ทำ เพราะพท.มีทฤษฏี ที่ศึกษาตามพพจ.มาประกาศอธิบายยืนยัน แล้วเราจะมีคุณสมบัติขั้นวิเศษ ทำมาท่ามกลางความเชื่อและเข้าใจผิดว่าพท.จะมาทำลายมาขบถต่อธรรมะพพจ. พท.ก็เข้าใจเขา ว่าเช้าใจไม่ได้ง่ายๆ พูดตรงๆว่าความเห็นที่พท.เห็นว่าถูกเป็นอย่างนี้ ก็นำเสนอ คนที่มาเอามาปฏิบัติตามท่ามกลางการต่อต้านไม่มีใครมาส่งเสริม พท.ทำงานมา 30 กว่าปีแล้ว ไม่มีใครมาส่งเสริมมีคนเห็นด้วยน้อย แต่ค่อยๆยืนยันมีคนทำตาม มีคนมาทดลองพิสูจน์ ได้ตั้งแต่พท. ปัจจัตตัง ไม่โกหกหลอกลวงไม่ โพรโพรกันด้าpropagunda เขาหาว่าโฆษณาชวนเชื่อ พท.ว่าไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ เพราะการโฆษณาจะมีการโน้มน้อม หาวิธีการเรียกว่าศิลปะกลเม็ดต่างๆนานา พท.ว่าพท.ไม่มี พท.โนแพลนนิ่ง โนโพรเจ็ค เอาทฤษฏีพพจ.มาอธิบาย ให้คนอิสระเสรีทั่วไปฟังแล้วเข้าใจ เห็นดียินดี ก็มาศึกษา ซึ่งพท.ทำอย่างนี้มันตรงตามทฤษฏีหลักของพพจ. ที่ว่าเป้าหมายแห่งพรหมจรรย์เป้าหมายแห่งศาสนานี้ "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย !  เราประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อ...
มิใช่เพื่อหลอกลวงคน 
มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ 
มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะ และความสรรเสริญ 
มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อ เป็นเจ้าลัทธิ และแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ 
มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวเราว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ 
แต่..ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อ
เพื่อ สังวระ คือความสำรวม 
เพื่อ ปหานะ คือความละ 
เพื่อ วิราคะ คือ ความคลายกำหนัดยินดี 
และเพื่อนิโรธะ  คือ ความดับทุกข์"

6/12/2555 18:38:24 ถ้าคุณรู้แล้วไม่ประพฤติ แม้จะเข้าใจดีก็ตาม ก็เป็นธรรมนุธรรมะปฏิปัติ คนที่มีธรรมะอย่างนี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อผู้อื่น ลดที่จะเอาอำนาจให้แก่ตัว ลำเรออัตตาตัวเอง ก็ลดจริงๆ แล้วก็ยังอยู่กับปชช.อยู่กับสังคมอยู่กับโลก ได้มรรคได้ผลเรียกว่าโลกุตระจิต เข้าใจโลกเรียกโลกะวิทู ตราบใดที่คนมีเลวมีดีต่างกันจะให้เท่ากันไม่ได้ ให้วิจารณ์กันได้เท่ากันได้ เสมอภาค แต่ให้เท่ากันในด้านอื่นๆมันไม่ได้หรอก ความสามารถความรู้ ความเสียสละมันเท่ากันไม่ได้ แม้แต่ในเชิงรูปธรรม ปรมาณู 2 อันจะให้เหมือนกันไม่ได้ ยิ่งนามธรรมยิ่งเล็กละเอียดกว่ามันก็ไม่เท่ากัน ไม่มีอะไรเท่า คนที่ฝันเพ้อว่าต้องเท่ากันเสมอภาคกันมันเพ้อพก มันมีรายละเอียดทีไม่เท่ากันอีกมาก โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นคุณธรรมในจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณธรรมสูงไม่ควรวิจารณ์เสียด้วยซ้ำเรียกว่าอย่าเลย อย่าไปตีเทียบไปวิจารณ์ท่านเพราะท่านบริสุทธิ์ปรารถนาดีกว่าคุณเยอะ สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดของมีทั้งสิ่งที่เป็นโทษ

6/12/2555 18:43:14 อย่างพพจ.ท่านมีคุณมาก อย่างพระมหากษัตริย์ ดังไปทั่วโลก เป็นไปได้อย่างไร มีสิ่งจริงที่คนพยายามเบี่ยงเบนให้คนเข้าใจผิด พท.ไม่เถียงด้วยว่าอย่าเอาการเมืองไปใส่ท่าน พท.เข้าว่าคืออย่าเอาการเมืองเลวๆไปใส่ท่าน ท่านปกครองมากว่า 60 ปีว่าเราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ท่านก็เป็นทั้งนั้น ท่านเป็นนกม.ที่ยิ่งใหญ่ท่านทำเพื่อปชช. รู้ว่าเขาไม่ค่อยอยากฟังพท.จึงต้องพูดแรงๆหน่อย เป็นแรงดันเป็น Force ให้คนฟังให้เข้าใจชัดๆ เป็นมโนสัญเจตนา เป็นจิตมุ่งหมาย มุ่งมาดปรารถนา

6/12/2555 18:46:26 แล้วเห็นตามที่ประมวลมาว่าท่านทำงานขนาดไหน ทำด้วยบริสุทธิ์ใจ ท่านเห็นว่าเป็นหน้าที่ของตน ทุกวันนี้แม้ทรงพระชราท่านยังทรงงานไม่มีหยุดเลย นี่คือนักปชต.เบอร์หนึ่งของโลก แล้วแสดงความเป็นปชต.ทุกคนก็ให้อำนาจแก่ท่าน ทรงบริหารมาตลอดคนก็ยกให้ท่านเป็นความชอบธรรมที่เป็นอำนาจ ท่านไม่ได้ใช้อำนาจเชิง Force เลย เพราะฉะนั้นท่านทรงสร้างความชอบธรรมให้เป็นอำนาจ ที่คนต้องยอมรับด้วยความชอบธรรมและคุณธรรม ไม่ใช่อย่างที่นกม.เขาใช้วิธีขี้โกงเป็นเรื่องเหลวไหลขั้นเลว เป็นเรื่องโชคร้ายของปทท.ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก็บอกว่าปชต.ของฉันนี่แหละ ใช้เล่ห์ทุกอย่างแล้วก็หลงใหลว่าเป็นปชต. จะออกกม.เพื่อให้ได้เปรียบ นี่มันปชต.อะไร

6/12/2555 18:49:49 เมื่อวันที่ 5 คือการแสดงสิ่งที่ไม่เคยเห็นในโลก ปชช.มาลงคะแนนเสียงสดๆ เลือกถาวรอยู่แล้ว คนใส่เสื้อเหลืองเต็มแผ่นดินยินยันว่ารัฏฐาธิปัตย์คือพระเจ้าแผ่นดิน สามารถรู้ได้อ่านได้เลย ในทำเนียมของการทูลถวายพระพร นายกฯที่เป็นตัวแทนของรัฐบาล พอเริ่มอ่านเลยปชช.โห่เลย เป็นลูกคลื่นเลย เสียงที่มามันไม่เท่ากัน ปรากฏการณ์มันเป็นอย่างนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทรงถวายพระพรองค์แรก ปชช.เงียบ คนที่สองคือ นายกฯเสียงทรงพระเจริญออกมาเลย เป็นการเสียมารยาท ซึ่งเป็นความจริงจากใจปชช. มีเสียไม่เอาๆออกไปๆด้วย คนที่สาม ประธานสภาฯ ได้เสียงโห่เหมือนกัน นี่เป็นสัจจะที่ออกมาจากใจของเขา จากนั้นก็ประธานศาลฏีกา ก็ไม่มีเสียงโห่ และมีปรากฏการณ์แปลกๆอีก พอไปถึงผบ.สส. ไม่มีเสียงโห่ พอถึงเวลาปฏิญาณมีปรากฏการณ์แปลกว่าปชช.ปฏิญาณด้วยไปกับทหารหมด สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องนัดแนะกันมา เป็นเรื่องจริงๆๆเลย เป็นเรื่องชี้บ่ง ถ้าไม่น่าอาย ก็ควรจะเปลี่ยนแปลง นี่คือปรากฏการณ์ปชต.อันยิ่งใหญ่ของโลก ใครจะบอกว่าอธิบายข้างๆคูๆบ้าๆบอๆ แต่พท.ว่าเป็นของแท้สดๆ เมืองไทยให้ภาคภูมิใจว่าเมืองไทยยังมีปชต.อยู่ ซึ่งเขามักอ้างว่าปทท.ไม่มีปชต. แต่ปรากฏการณ์นี้ทำให้เข้าใจว่าปชต.มีแล้วในปทท. ผู้รู้จะเห็นชัดเจน จะเอาเงินมาจ้างไม่ได้ทำไม่ได้ จ้างก็ทำไม่ได้ คนมีเงินหลายแสนล้านเอามาจ้างให้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก

6/12/2555 18:56:28 ในความเป็นปชต. พท.หยิบเอามาพูดเพื่อให้เราศึกษาอ่านพิจารณา ความเป็นปชต.แม้ลินคอน บอกว่าโดยปชช.เพื่อปชช.ของปชช. นี่แหละในหลวงท่านก็เป็นปชช.ท่านทรงงานก็โดยปชช. ท่านทรงงานเพื่อพระองค์เองหรือ เพื่อครอบครัวพระองค์หรือ พระองค์ไม่ได้เพื่อแม้แต่ครอบครัวเลย ท่านเพื่อปชช. ท่านเป็นปชช.ทรงงานเพื่อปชช.และของปชช. คือปชช.เป็นผู้ได้ นี่คือสุดยอดปขต.แล้ว ถ้าคุณสามารถหยั่งรู้ถึงพระทัยท่านจริงเลย พท.ว่าท่านทรงงานติดต่อจนมา 66 ปีแล้ว ทำตลอดท่านไม่มีวันหยุดวันพัก อันไหนจำเป็นท่านก็ทรงตลอด กลางวันกลางคืนไม่มีนอกเวลาราชการ ไม่มี เพราะฉะนั้นต่างปท.จึงยกให้ท่าน ท่านไม่ได้เคยหาเสียง

6/12/2555 18:59:31 นายกฯของเราหาเสียงเก่ง ต่างประเทศไปบ่อย เอาหน้าไปขาย คราวนี้มีคนจับผิดอ่านผิดคือคำว่าบริบาลเป็นคำว่าบริวาร เขาพยายามจับผิด ถือว่าสอบได้ผิดคำเดียว แต่เห็นใจเหมือนกันว่าถูกโห่ คุมท่าทีไม่แตกสติไม่แตกก็ดีแล้ว ปชช.นี่ก็ช่างกระไรไม่ไว้หน้าไว้ตากันเลยแสดงออกจริงใจๆ อันนี้มันเป็นสัจจะเห็นใจปชช.ว่ามันทนไม่ไหว

6/12/2555 19:03:28นี่คือสิ่งที่พท.เอามาขยายความเพื่อศึกษาให้รูแจ้งความจริงว่าปทท.อันไหนเป็นปชต.แท้อันไหนปลอม แล้วปชต.แท้มีพฤติกรรมอย่างไร มีตัวอย่างอันดีประเสริฐเลิศยอดแล้ว ท่านก็ไม่ได้มีเลิศเล่ห์อะไรสะอาดสูงส่ง มีคุณธรรม ที่มีอย่างยอดเยี่ยมคือ ไม่กดดันใครเลย ไม่ฟอซ มีแต่ยอมอยู่ตลอด อดทนมาก พากเพียรมา พท.เห็นว่า มีเตย์มีใบ้ เป็นปางหนึ่งของพพจ. ที่พระมหากษัตริย์ร.9 ทรงบำเพ็ญ ไม่พูดให้ใครระคายเคือง

6/12/2555 19:05:57 พท.พูดถึง โอเปร่าที่เรื่องเตมีย์ใบ้ ที่ฉายเมื่อคืนนี้ แทรกความรู้เรื่องศิลปะ 5 ขั้น

1. ลามก 2.ราคะ 3.สาระ 4.ธรรมะ 5.โลกุตระ สองขั้นแรกไม่เรียกว่าศิลปะ ขั้นลามกเป็นเรื่องหยาบต่ำใครสัมผัสก็รู้ ขั้นราคะเป็นกันมากในสังคม ยังไม่ถือว่าเป็นศิลปะ อันที่สามนี่เข้าขั้นศิลปะ ซึ่งมีทั้งสาระศิลป์และสุนทรียศิลป์ ซึ่งไม่ใช้ให้คนไปหลงงมงายอยู่ในสุนทรีย์ แต่จับสาระไม่ได้งานนี้ไม่ใช่งานศิลปะ ถ้างานใดได้สาระมากกว่ามอมเมา สาระเป็นกลางอาจเป็นคุณธรรมหรือเพื่อชีวิตก็แล้วแต่ ศิลปะก็เริ่มตรงที่ให้คนได้สาระหรือเพื่อชีวิตเพื่อธรรมชาติ ส่วนธรรมะคือเรื่องมีน้ำใจ เสียสละ มีคุณค่า เป็นโลกียธรรม ยังไม่เข้าปรมัตถ์ ยังไม่ถึงขั้นลดกิเลส 5 ขั้นนี้พท.กำหนดเอง ไม่ได้มีใครกำหนดหรือตำราไหน พท.บัญญัติเอง นี่คือสิ่งที่มีอยู่ในพฤติกรรมมนุษย์ และยืนยันว่าพท.ทุกวันนี้ทำงานศิลปะ ใช้หมดตั้งแต่ ใช้หมดเป็นองค์ประกอบ เปลี่ยนจิตวิญญาณมนุษย์ให้เกิดธรรมรส ถ้ามอมเมาเป็นกามารมณ์โลกียารมณ์ โลภในการในอัตตา นั่นอนาจารทั้งนั้นไม่ใช่ศิลปะ ยิ่งไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่ใช่ศิลปะ

6/12/2555 19:12:16 ให้ศึกษาปรากฏการณ์ในวัน นี่คือปรกกฎการณ์ที่ประกาศความยิ่งใหญ่ของปชต.ที่มีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นปชต.สองขา ทรงย้ำมานานและคราวนี้ก็ย้ำของเดิม คนฟังก็ชื่นชมแล้วก็หายไป ไม่พากเพียรที่จะสร้างคุณธรรมให้ตนเอง จะแก้ปัญหาบ้านเมืองต้องแก้ที่การศึกษาที่สร้างคุณธรรมให้กับมนุษย์ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ ศาสนาพุทธเป็นสาสนาที่ละกิเลนได้จริง เมื่อละกิเลนได้ก็เรียกว่าอาริยะบุคคล ตั้งแต่โสดาฯเป็นต้นไม ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดีฯ โลกไม่ว่าจากพระอรหันต์  ยังกู้กลับได้ แม้แต่กระแสหลักก็ยังกู้ได้

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธตั้ง 95 น่าจะได้ศึกษา เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ จะได้ไปทั่วโลก เพราะเขามีปัญญาแสวงหาความประเสริฐ แล้วทฤษฏีไหนประเสริฐ พอรู้ว่าละกิเลสนี่ดีเสียสละนี่ดี แล้วมันจะมีทฤษฏีใดให้มวลปชช.เป็นอย่างนั้น เขาแสดงหากันทั่วโลก พท.ภาคภูมิใจที่ 40 ปีได้ประชากรชาวอโศกได้แค่นี้ ถ้าทำแล้วได้ละกิเลส แล้วช่วยปชช. มันก็เป็นหนึ่งเดียวกันหมด แม้แต่อัตตาถือตัวถือดีว่าก็จะมาหากันจะมารวมกันด้วยสัจจะ ถ้าเป็นสัจจะจะร่วมกันเอง น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เมืองไทยยังไม่สิ้นหวัง สามารถประกาศสัจจธรรมนี้ได้ ไม่ใช่ประกาศเพื่อไปเป็นใหญ่เบิ้ม ไม่ใช่เลย  ที่ชี้นี้ให้เห็นว่าเมืองไทยเป็นปชต.แค่ไหน เท็จจริงอย่างไรผู้รู้ก็แก้ไขมา ถ้าดีแล้วก็แจ้งให้ทราบหรือผ่านไป

6/12/2555 19:18:27 อธิปไตยแปลว่าอำนาจ ปชต.คืออำนาจเป็นของปชช.ถ้าเข้าใจ ไม่รวมตัวปชช.ด้วยวิธีForce สร้างอำนาจให้เป็นความชอบธรรม แต่ความเป็นจริงแล้ว ปชต.จะสร้างความเป็นธรรมเป็นอำนาจมาช่วยกันสร้างความชอบธรรม มีคุณธรรมดังที่ในหลวงท่านตรัส แล้วไม่ใช่ว่าอยู่แต่เฉย ไม่ใช่อย่างนั้น ความสงบคือความขยันหมั่นเพียร เสียสละไม่มีพลังให้เกิดวิวาทะ มีแต่อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ระลึกถึงกันอย่างปรารถนา มีความรักสามัคคี มีความเคารพกัน ครุกรณะ นี่คือความเสมอภาค มีปัญญารู้ว่าสิงที่ควรเคารพก็ยกย่องไว้ โดยสมมุตก็เคารพกันหรือเคารพด้วยคุณวุฒิ มีการเก้อกูลช่วยเหลือเฟือฟายกันพร้อมเพรียงกันเป็นปึกแผ่นเป็นเอกีภาวะ ชาวอโศกพอมี

6/12/2555 19:23:16 ตอบประเด็น........

6/12/2555 19:24:22 ผมติดตามแนวทางของสันติอโศกมานมนมากผมเชื่อว่าแน่วทางนี้เป็นแสงสว่างของสังคม ขอชื่นชม

6/12/2555 19:24:57 อยากกราบเรียนถามพท.ว่าการที่เราบริจาคร่างกายให้รพ.ตอนตายเราจะได้บุญตามที่เข้าใจไหมคะ.....ตอบ...ได้เหมือนบริจาควัตถุไว้ เป็นประโยชน์ให้นศ.แพทย์ศึกษาเพื่อช่วยมนุษย์ บุญไม่ใช่น้อยเลย แต่ขออธิบายต่อ บริจาคร่างกายนี่มันเป็นของที่ถ้าคุณไม่บริจาค เขาก็ไม่มีสิทธิ์ คุณบริจาคนี่จึงเป็นสิทธิของคุณ ถ้าคุณไม่บริจาค ก็ไม่มีใครแย่งชองคุณ มันต่างจากเงินทอง ที่ถ้าคุณตายแล้วไม่ได้ทำพินัยกรรม คุณก็ไม่ได้บุญแล้ว การทำพินัยกรรไม่ถือว่าได้บุญ ไม่ได้บริจาคเพราะแม้คุณไม่ทำพินัยกรรมเขาก็แย่งเอาไปแยู่แล้ว แต่ถ้าคุณทำพินัยกรรมก็เป็นการให้เขาไม่แย่ง และเป็นประโยชน์ ได้ แต่ร่างกายคุณเขาก็ไม่เอา เอาไปทำปลาแดกหรอก คุณต้องอนุญาตเขาจึงเอาไปทำประโยชน์ได้

6/12/2555 19:28:50 7822 ช่วงกลียุคจะมีพระอาริยะมาเกิดบ้างไหมคะ?  ตอบ...มีจะมีพระอาริยะหรือโพธิสัตว์มาเกิด แต่ทำอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีมารับวิบากด้วย ตามวิบากแต่ละองค์ ช่วยเขาไม่ได้หรอก โพธิสัตว์นี่ไม่ได้มีน้อยๆ มีเยอะ โพธิสัตว์ที่เข้าขั้นคือ โพธิสัตว์ระดับโสดาบัน คนที่ไม่มีการบรรลุธรรมดีไม่ดีขโมยของเขามา มันไม่มีทรัพย์ของตนเอง พระโสดาบันก็อย่าไปอวดสิ่งที่เกินตน เอาแค่เท่าที่ตนมี แต่ถ้าไปแสดงท่านก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์ สกิทาฯอนาคาฯก็เช่นกัน นิยตะโพธิสัตว์ระดับ 7  จะเกิดตามบารมีและวิบกา

6/12/2555 19:32:24 จากกทม. หลักวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ว่าให้รู้อิริยาบถ 4 ยืนเดินนั่งนอนถูกหรือไม่? ...ตอบ คนที่บรรลุธรรม จะมีอิริยาบถ 4 สำเร็จอิริยาบถ อยู่ จะมีอิริยาบถหลัก 4 นอกนั้นจะเป็นอิริยาบถย่อยอีกมาก เป็นองค์ประชุม พพจ.ท่านว่าผู้จะบรรลุธรรมต้องสำเร็จอิริยาบถอยู่อย่างมีสัมผัสเป็นปัจจัย กาเยนะ ผุสิตะวาวิหารติ มีปัจจุบันนั้นอยู่ เรื่องนี้พท.ขออธิบายเสริมอันนี้ให้ละเอียดลออ

6/12/2555 19:34:45 คือมีสัมผัสเป็นปัจจัยนี่มันสำคัญ ที่จะบรรลุธรรมต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย ผู้ไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัยปฏิบัติธรรมไม่ถูกพพจ. ส่วนข้างในเรียกว่า ธรรมารมณ์ ข้างนอกเรียก โผฏฐัพพารมณ์ การปฏิบัติธรรมให้ปฏิบัติจานอกไปใน จากหยาบไปหาละเอียด จึงปฏิบัติในโลกกามาจาร กามภพ โดยการลืมตาหูจมูกลิ้นกายใจ คนหลงว่าเป็นกามคุณแต่จริงๆเป็นกามโทษ เสพกามนั่นมันโทษ กามามีนวะ ไม่ใช่กามคุณนะ ถ้าไม่เช้าใจกามโทษ ก็ไม่เข้าใจธรรมะพพจ. หยาบกว่ากามภพ เรียกว่าอบายภพ จริงๆก็คือขั้นต่ำที่สุดของกามภพนั่นแหละ หยาบที่สุดของใครก็ตั้งใจปฏิบัติ เรียนรู้กิเลสที่ไปติดยึด กำหนดรู้ลืมตาสัมผัส เห็นตัวจริงของกิเลส แล้วก็ฆ่ามัน นี่คือจับโจร แต่ทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาไม่มีการสัมผัสรู้ ไม่มีหยาบกลางละเอียด จึงไม่บรรลุจริง ในการที่จะศึกษาวิปัสสนาคือการรูแจ้งเห็นจริง ปัญญามันเป็นญาณ มีนามปริเฉทญาณ รู้ในนอก กำหนดรู้จิตเจตสิกเป็นนามกาย จนแยกแยะออกว่ากายในกาย จิตใจจิต ธรรมใตะธรรม จนรู้จัดเจนว่าเป็นโทษ อาทีนวญาณ กามทั้งหลายเป็นโทษ ตามเห็นตามเป็นโทษจึงเกิดความคลายหน่าย ปัญญาญาณต้องเกิดจริงเป็นจริงดังว่านี้ จะเกิดคุณสมบัติตามภาษาที่พพจ.ท่านว่าไว้ มุญกิจตุกัมยญาณ มันไม่เอาแล้วปล่อยแล้ว กระทบอยู่อย่างนี้เห็นเลยว่ามันวางปล่อย อย่าไปนั่งเอาความจำเก่าเอาสัญญามา คือเอาตำรามาอ่านนั่นเอง นั่งสมาธิก็คือเกิดสัญญา เป็นของเแห้งเกิดจากสัญญา วิปัสสนาแม้ล้วงกามภาพเป็นสกิทาคามี แม้เป็นอนาคามีก็ต้องมีสัมผัส แล้วกิเลสรูปภพ อรูปภพก็จะวิ่งออกมา ไม่ใช้

6/12/2555 19:42:31 Sms จากอุทัยธานี ผมรู้สึกว่ารัฐบาลร้ายกาจมาก ปชช.มือเปล่าจะไปสู้อะไรได้

ตอบ..มาช่วยกันชุมนุม อย่างที่ในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เอาสิจะชนะไหมจะได้เป็นปชช.เพื่อปชช.อย่างแท้จริงอย่าไประคายเคืองพระยุคลบาทท่านอายุมากแล้ว แล้วชุมนุมอย่างสงบ ขอยืนยันเจตนารมย์ของกองทัพธรรมชาวอโศก

อาริยะขัดขืน อารยะทำลายขนบ คือโห่นายกฯขณะถวายพระพรในหลวง ทั้งที่รู้ว่าเสียมารยาท รวมทั้งปฏิญาณตนประหนึ่งเป็นทหารไปด้วยเลย เราออกไปชุมนุม 24 พ.ย. ชาวโลกเขาว่าเราแพ้ แต่เราไม่ได้แพ้ เราชนะ เราออกไปแสดงมวลของปชต. เราถูกวิชามารสกัดอีกมาก แต่ออกมาได้ขนาดนั้นก็เยี่ยมแล้ว แต่เราก็มามากกว่าครั้งที่ผ่านมา เราไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน สร้างการศึกษาไปด้วยได้ทุกที เราได้ประโยชน์ ปชต.เจริญ ขอยืนยันว่าเราจะปฏิบัติแม้คนเข้าใจยากก็ตามที แม้บางทีเราจะบาดเจ็บ พท.บอกแทบขาดใจ ดีว่ายังมีกำลังวังชา ยังไม่แก่

6/12/2555 19:49:44 จากพธม. คนทำดีแล้วยังไม่ได้ดีเพราะอะไรคะ พ่อเราทำดีมาทั้งชีวิต ยังถูก

ตอบ...ตอบคำถามแรก ทำดียังไม่ได้ดี เพราะยังโง่ ถ้าเข้าใจทำดีแล้วก็คือการได้ทำกรรมดี เป็นสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แต่คุณไปคิดว่าได้ดีคือได้ลาภยศสรรเสริญ ได้กามได้อัตตา นี่คือความผิดพลาด คุณทำดี ก็ได้ดีอยู่แล้วคือได้ทำดี เช่นเรามาเสียสละ คุณก็ได้เสีย ก็ได้ดีอยู่แล้ว สอนมาผิดๆ ทำดีทำบุญแล้วจะได้อีกมากๆ ตั้งใจผิด เป็นจิตขี้โลภ ไม่ได้ลดกิเลส มันขึ้นอยู่ที่จิต เพราะโง่ ถ้าแน่ใจว่าทำดี ก็ได้แล้ว ทำไมไม่ได้ตอบแทน ก็ได้ให้แล้วไง จะให้หรือจะไปเอา

ตอบคำถามที่สอง....พ่ออาจหมายถึงพ่อแห่งชาติพระเจ้าอยู่หัว หรือคุณหมายถึงพ่อไหน .....อย่าท้อเราทำดีแล้วอย่าท้อ ถ้าแท้แล้วอย่าท้อ มั่นใจว่าที่เราทำเป็นกรรมกิริยาที่ดี ยกตัวอย่างไปแย่งเขาแล้วรวย มันไม่ดี ถ้าไปสร้างสรรเสียสละแล้วอย่ารวยให้มาจน อโศกนี่หยิ่งจะตายไม่ได้ไปรีดนาทาเร้น ถ้าคุณจะให้แล้วไม่ตรงกติกา เมื่อไม่เป็นหนี้แล้วพึ่งตนเองพึ่งอาชีพที่เราทำ พอกินพอใช้ มีเหลือกินเหลือใช้ เรายิ่งละยิ่งละ ยิ่งเรียนรู้กิเลส เราก็ไม่เปลือง ปัจจัยชีวิตแท้ๆมีนิดเดียว ที่เฟ้อๆมอมเมา ถามดูที่มาบวชแต่ก่อนหากินซอก พอมาอยู่ เรายิ่งให้ได้มากเราก็เป็นบุญได้มา ถ้าเราอยากได้นี่ลบ อยากได้คืนมานี่ลบ คุณให้ไป1000 ถ้าคุณได้กลับคืนมา 1000 ก็หมดเจ๊า ถ้าคุณได้ให้ไป1000 ได้คืนมา 500 ก็ได้บุญไป500

6/12/2555 19:58:53 คนสุจริตและสรรเสริญสถาบันแล้วชีวิตเจริญได้ฉันใด คนที่ทุจริตและ

6/12/2555 19:59:23 จากพธม.นนทบุรี ตอนที่ยิ่งลักษณ์อ่าน ปชช.ไม่ชอบรบ.ชุดนี้แล้วเขาจึงโห่ฮา พอ ปธ.สภา ปชช.ก็โห่ แล้วรบนี้จัด เวลาในหลวงตรัสเสียงจะเบา เวลายิ่งลักษณ์พูดจะแรง แล้วพอทหารปฏิญาณ ปชช.รูว่าทหารไม่เป็นที่พึงจึงโห่ฮา

6/12/2555 20:00:46 การถือศีล8 แล้วตัดผมสั้นมีข้อดีอย่างไร ...ตอบจริงๆโกนผมนี่สบายกว่าเยอะ ถ้าตัดผมสั้นมันก็ไม่ต้องรกรุงรัง ไม่ต้องไปรักษามากมาย ไม่ต้องไปสระหวี เซ็ท ไปเมาๆๆ

6/12/2555 20:01:57 จากนครสวรรค์ จากบทสวดพาหุง ฯ ท้าวพกาพรหม ยึดถือความเห็นตนว่าถูกว่าดีเหมือนรบ.ใช่ไหม...ตอบ ใช่อย่าว่าแต่รบ.เลย พวกนักวิชาการที่ยึดก็มากมาย ถ้ายึดแล้วใครแตะไม่ได้วิจารณ์ไม่ได้ ถ้าไม่ยึดแล้วเขาวิจารณ์ได้ ด่าได้ด่าผิดด่าถูกก็ไม่ติดใจ แต่เราทำไมเรายืนหยัดยืนยันอย่างที่เราคิด เราพยายามใช้ปัญญา

6/12/2555 20:03:50 จากพิษณุโลก ทำไมสังคมไทยเราจะมอมเมากัน เช่นทีวีช่องหนึ่ง เล่าเรื่องผี แล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญเมาออกรายการ ...ตอบ มันอยู่ที่ความรู้ แม้เขาไม่รู้แต่เอาของมามอมเมา ไม้ไม่มีเจตนาก็บาป คือมีวิบากมาทำร้ายเรา อย่างเราเหยียบหัวงู ไม่เจตนา แต่วิญญาณมันพยาบาทได้ เช่นไปทำกับพระอรหันต์ท่านไม่ได้โกรธตอบเราเลยนะ ซ้อนกลับว่าวิบากบาปยิ่งกว่าไปเหยียบหัวงู โดยไม่เจตนาก็ได้ ยิ่งเจตนายิ่งบาป คนที่ไม่รู้ก็ไม่เกรงใจ แต่รู้ทั้งรู้แต่ไม่กลัวบาป ก็ยิ่งทวีคูณ คนไม่เชื่อกรรมวิบาก สังคมเดือดร้อนเพราะคนเหล่านี้

6/12/2555 20:06:48 จากพธม.จากนนทบุรี มีผู้นำที่ดินถวายวัดผู้ถวายจะได้บุญเท่าไหร่ครับ ส่วนผู้รับที่ดินรักษาไว้ไม่ได้ตกเป็นของนายทุน แล้วนายทุนที่มาซื้่อจะได้บาปแค่ไหนครับ

ตอบ...ขั้นตอนที่ถามมา ก็มีซับซ้อนไปเรื่อย....พท.ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ ผู้บริจาค มีจิตที่ปราศจากกิเลสแค่ไหน ถ้าตั้งจิตขี้โลภ คุณเป็นหนี้ เป็นหนี้บาป ถ้าให้เป็นหนี้บุญ ถ้าเอาคุณเป็นหนี้บาป ทีนี้ผู้รับที่ดินคือเจ้าอาวาสรักษาที่ดินไว้ไม่ได้ ถ้าเจ้าอาวาสขายเองจะบาปแต่ประมาณคำณวนให้ไม่ได้ ก็บาปไปเรื่อยๆ เป็นพระแล้วไม่มาสะสมที่ดิน มาบวชนี่มาแต่ตัวกับหัวใจ เป็นหนี้บาป ผู้รับซื่อที่ดินมาแสวงประโยชน์ตนจะตกนรกขุมไหน ตอบ..เขาตั้งชื่อขุมนรกเพื่อให้รู้จักทุกข์ร้อนให้กลัวนรก ทุกข์จริงเป็นอาริยสัจจ์ ส่วนสุขนั้นของหลอกแป๊บเดียวก็หาย ความสุขเกิดยามสัมผัสแล้วหายวับ แต่คนยังจำได้จะรักษายึดไว้เป็นอุปาทาน ว่างๆก็มาเคี้ยวใหม่ เหมือนคุณฝัน จริงๆรู้สึกแป๊บเดียว แต่ทุกข์นี่อยู่นานเท่าที่คุณยึดไว้ไม่ปล่อย ทุกข์เป็นอริยสัจจ์ คนไม่เชื่อบุญเชื่อวิบาก ก็ปล่อยเขาไป พพจ.สอนว่าบาปแม้น้อยอย่าทำเสียเลย...จบ6/12/2555 20:13:32


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:20:33 )

551208

รายละเอียด

551208-เรียนอิสระ(ตามสำนึก) พ่อครูและส.เดินดิน ตอน ความเสมอภาคอยู่ไหน อยู่ที่ใจนิพพาน

8/12/2555 18:02:37 เรียนอิสระตามสำนึก พ่อท่านฯและส.เดินดิน ณ ราชธานีอโศก

8/12/2555 18:02:47 ส.เดินดินเปิดรายการ พ่อครูเดินทางจากสันติฯ มีคนถามว่าจะอยู่บ้านราชฯนานเท่าไหร่ พท.ตอบว่าปีหน้าจึงจะได้กลับมา ในช่วงก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพท.ได้เอาบทความของอ.สุรพจน์ ทวีศักดิ์ เขาก็เห็นด้วยหลายอย่าง แต่ก็มีหลายอย่างที่เขาไม่เห็นด้วย ตรงที่เราไปสนับสนุนโครงสร้างเชิงอำนาจ คือสถาบัน เขาติดใจเรื่องความเสมอภาคอย่างมาก เขายกคำพูดของพ่อครูว่า การตั้งคนขึ้นมาสร้างคนขึ้นมาแล้วบังคับให้คนอื่นยอมจำนนอันนี้ไม่ใช่ความเสมอภาค เขาเห็นด้วย แต่พท.บอกว่า ถ้าเขายกให้ด้วยคุณความดีอย่างนี้ก็คือความเสมอภาค ทัศนะนี้คุณสุรพจน์เขาบอกว่ามีปัญหา บอกว่าถ้ายกให้เป็นอภิสิทธิ์แล้วจะเรียกว่าเสมอภาคได้อย่างไร ซึ่งก็ย่อมหมายถึงความไม่เท่าเทียมกันนั่นแหละ ถ้าสังคมในมีการกำหนดให้คนๆหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งมีอำนาจกว่า จะเรียกว่าความเสมอภาคได้อย่างไร

ซึ่งพพจ.ก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด ใครจะวิจารณ์จะด่าก็ได้ ซึ่งคุณสุรพจน์เขาเคยถูกข้อหาหมิ่นพระบรมฯอยู่นั่นเอง

ส.เดินดินว่าการประกาศทศพิธราชธรรมก็คือให้คนมาตรวจสอบได้

เขาขมวดว่าประเด็นความเสมอภาคไม่ควรมีการให้อภิสิทธิ์ ถ้ามีการให้อภิสิทธ์ก็ไม่น่าจะเป็นความเสมอภาค

8/12/2555 18:09:46 พท.รู้สึกว่าความเห็นของดร.สุรพจน์นี่กับพท.เป็นความเห็นที่ต่างกัน ก็แลกความเห็นกัน พท.จะได้แสดงความเห็นเรื่องความเสมอภาคอย่างเต็มที่

8/12/2555 18:10:45 พท.มีเรื่องแจ้งคือเรื่อง ว.บบบ (วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม) ซึ่งเป็นระดับการศึกษาของชาวอโศกโดยตรง เป็นรุ่นที่สอง จะเริ่มในวันที่ 28 ธ.ค. 55 ไปถึง 3 ม.ค. 56 รวม 7 วัน เป็นการศึกษาอิสระ(ตามสำนึก) ไม่ได้จำกัดในสถานที่ใดๆ ไม่ได้บังคับหลักสูตร เป็นอิสระอย่างยิ่ง ผู้มีสำนึกใคร่ศึกษาโปรดติดตาม ไม่มีการจ่ายเงินจ่ายทอง มีแต่พท.จะทุ่มโถม จ่ายเรี่ยวแรงบรรยาย ในความรู้ศาสนาพุทธเป็นหลัก และกว้างขวางไปกินความถึงรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง เราเรียกว่า   บัณฑิตาราม เป็นการศึกษาที่พัฒนากาย วาจา และเน้นที่จิตต้องพัฒนาขึ้นให้ได้ ในปีหนึ่งจะมีการสอบไล่ 1 ครั้ง ทั้งหมด 7 วัน นอกนั้นเป็นอิสระใครจะเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์อย่างไรก็ได้ มีปรัชญา คือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ศีลเต็มคือศีลที่บริบูรณ์เป็นปกติ เป็นศีลบุคคล เอาหลักเกณฑ์ข้อไหนมาจับ ผู้ที่เป็นอรหันต์ จะมีศีลเต็ม ท่านเว้นขาดได้อย่างที่มีชีวิตปกติ ต้องมีเงื่อนไขหลักว่าไม่มีกิเลสนั้นได้อย่างปกติ ตามขั้นโสดาฯไปจนถึงอรหันต์ เจริญในศีล อธิศีล อธิปัญญา อธิวิมุติ

เข้มงานคือ ทำงานได้เข้มข้น สืบสานวิชชา คือความรู้ที่ไม่ใช่อวิชชา ผู้บรรลุวิชชา คือผู้ที่มีความรู้ที่สมบูรณ์ การเมืองก็บริสุทธิ์ เศรษฐกิจก็บริสุทธิ์ มีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อสับคม นี่คือคนที่สำเร็จวิชชาของพพจ. เป็นการศึกษาที่เป็นบัณฑิตจริงของพพจ.จะมีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมมาก

8/12/2555 18:17:54 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 1 -25 ธ.ค. 55 เริ่มสอบ 28 ธ.ค. เริ่มเข้าพื้นที่บ้านราชฯ เมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ  แม้แต่ชาวต่างชาติก็มาสอบได้ เช่นคุณทรอย เป็นต้น

8/12/2555 18:19:08 มีข้อผิดพลาดในใบสมัคร ว.บบบ. ซึ่งมีคำว่า ลงชื่อ...ผู้รับสมัคร ให้แก้เป็น ผู้สมัคร  และแก้ไข บรรทัดแรก นักปฏิบัติธรรมชาวอโศก ให้นับนักบวชได้ หรือให้เติมคำว่านักบวชลงไปก็ได้ แต่ฆราวาสก็ได้ เพื่อให้ชัดเจน

8/12/2555 18:21:46   4 วันแรกบำเพ็ญคุณ สามวันหลังเป็นการบำเพ็ญธรรม คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบได้

1. กินมังฯมาถึง 5 ปี (แม้ไม่เต็มล้มลุกบ้าง ก็ต้องได้ฝึกหัด เกิน 70 % ขึ้นไป)

2. ศีล 5

3. ไม่มีอบายมุข

เป็นงานมาปฏิบัติจรณะ 15 นั่นเอง เป็นหลักการ มีการทวช. ทวย. มีการฟังรายการสส.ธม. บำเพ็ญคุณ-ธรรม มีการสังสรรกับนักปฎิบัติด้วยกัน คนทั่วไปที่ยังไม่มีคุณสมบัติถึง แม้ไม่มาสอบ ก็มาร่วมปฏิบัติได้ จะมีการแบ่งกลุ่ม ก็ไปขอเข้ากลุ่มได้ เพียงแต่ไม่ได้ถูกคิดคะแนนเท่านั้นเอง เป็นงานที่เป็นกิจลักษณะ

พท.ทุ่มโถม ทำเข็มทองคำให้ หมดไปหลายล้านบาท ก็มีคนท้วงว่าเอาเงินไปทำประโยชน์อื่นไม่ดีกว่าหรือ ? แต่พท.เห็นความสำคัญของอันนี้มากถ้าสามารถให้คนพัฒนาทางศีลธรรมได้ แต่จะไม่เป็นหนี้และไม่ไปเรี่ยรายเงิน เป็นอุดมคติ อุดมการณ์ของพท.เลยทีเดียว ชาวอโศกอย่าดูดายจะถึงวันงานอยู่แล้ว อีกแค่ 20 วันเท่านั้น

หนังสือที่จะให้อ่านปีนี้คือ หนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ

8/12/2555 18:28:38 มีsms กราบนมัสการพท. ผมได้ยินว่าพส.จะมีอายุไปถึง  5000 ปี แล้วจะมีพระศรีอาริยเมไตยมาช่วยโลก วันนี้ก็เลยครึ่งมาแล้ว ถามว่าศาสนาพุทธของพระสมณะโคดมจะสิ้นสุดในปีที่ 5000 จริงหรือ จาก ดช.....

พท.ตอบว่า ยืนยันโดยภูมิของพท.เห็นว่าจริง ซึ่งพพจ.ท่านไม่ได้ทำนายไว้หรอก แต่โบราณาจารย์ท่านมีภูมิรู้ เหมือนพท.นั่นแหละ แต่อย่าไปเข้าใจเป๊ะๆ ว่าพอถึง5000 ปีก็จะกุดห้วนเลย มันจะมีอะไรผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่เนื้่อแท้จองศาสนาพุทธไม่มีแล้ว เหมือนกลองอานกะ อย่าไปตัดเป๊ะๆ อย่างนั้นมันหมายความว่าไม่มีน้ำหนักน้ำเนื้อของพุทธแล้ว แต่เปลือกๆจะมีอยู่แน่นอน
8/12/2555 18:32:42 ศาสนาอื่นจะแยกออกไป เช่นศาสนาเชนก็มีหลายศาสนา แต่ศาสนาพุทธมีนานาสังวาส จะไม่แยกเป็นหลายศาสนา แต่ศาสนาอื่นๆจะมีการแยกศาสนา บางศาสนาจะมีเค้าเงื่อน ประวัติศาสตร์คล้ายๆกัน แต่ศาสนาพุทธ จะไม่แตกแยกศาสนา แต่จะเป็นนิกาย แต่ไม่รบกัน ศาสนาพุทธไม่มีรบกัน แม้ในยุคนี้ยังไม่รบกันเลย

8/12/2555 18:35:15 พอพุทธศาสนาหมด ก็จะมีการว่างเว้น เป็นยุคพุทธันดร แม้ในศาสนาพุทธกับพราหมณ์ แท้จริงคืออันเดียวกัน แต่มันเพี้ยนไปเป็นเทวนิยม เหมือนในยุคนี้ ชาวพุทธเป็นเทวนิยมไปเกือบหมด ศาสนาพราหมณ์ฮินดูจะไม่รู้ว่าใครเป็นศาสดา เพราะเก่าแก่มาก ถ้าหมดศาสนาพุทธยุคพระสมณะโคดม จะเป็นการล้างยุค คนจะแย่มาก เป็นยุคพุทธันดร คนดีหมดแล้ว แต่เมื่อหมดพุทธันดร จะมีคนดีเกิดมา นานกว่าจะมีพระศรีอาริยเมตไตย เกิด

8/12/2555 18:38:05 ศาสนาพุทธจะยืนยาวไปถึง 5000 ปีก็ขึ้นอยู่กับคนที่มีเนื้อแท้ของศาสนา

8/12/2555 18:38:38 พท.ได้อ่าน เรื่อง

                              ความเสมอภาค เขียนโดย สมณะโพธิรักษ์

ในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา พระราชดำรัสในหลวง ประเด็นสำคัญที่พระองค์ให้แก่ปวงประชาชนชาวไทยคือ “คุณธรรม กับ ความสามัคคี”

เรื่องคุณธรรม เป็นประเด็นหลักของมนุษย์

เมื่อคนมีคุณธรรม สังคมจึงจะมีสามัคคีที่แท้จริงได้

ดังนั้น เราจึงจะต้องมาศึกษากันให้จริงจัง ว่า ทำอย่างไรคนในสังคม ในประเทศจะมี “คุณธรรม” กันได้จริง อย่างเอาแต่พูด และฟังกันไปอย่างหลวมๆ แล้วก็ปล่อยปละละเลย

หากคนในสังคมไม่มี “ คุณธรรม “ สังคมก็ต้องออกกฎมาบังคับกันให้มันอยู่ในสภาพ “สามัคคี” กันไปได้ ถูๆไถๆตามข้อบังคับนั้น ซึ่งมันก็คือ การบังคับ มันก็ได้บ้าง ตาม “ คุณธรรม” ของคนในสังคมนั้นๆอีกแหละ จึงไม่ได้อย่างดี อย่างยั่งยืนถาวรไปได้

ปัญหาโลกแตกข้อหนึ่งของนักคิด หรือคนช่างคิด ก็คือ ความเสมอภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจสูงสุดได้ยากมาก จึงเป็นปัญหาโลกแตกมาจนทุกวันนี้

ใครๆก็อย่า “หลง” ความคิดให้เลยเถิดไปเด็ดขาด ในเรื่องของ “ความเสมอภาค”

          เช่น อย่าคิดว่า  “เกิดมาเป็นคนจะต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน” เป็นต้น

อย่างน้อย กฎหมายก็กำหนด “สิทธิ” ของประชาชนแล้วว่า มีคนบางคนมีสิทธิ์มากกว่าอีกบางคน เป็นต้น เช่น “สิทธิในหน้าที่” เป็นต้น หรือ “สิทธิที่เป็นเอกสิทธิ์ในบางคนบางหน้าที่” หรือความมีสิทธิ์ “ตามธรรมเนียม จารีต ประเพณี” ในความเป็นคนของแต่ละชนชาติที่ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ซึ่งมีมากแง่มากมุมมากเชิงมาก

แม้แต่ในความเท่าเทียมกันในความเป็นคนในครอบครัว ในสังคมตั้งแต่เล็กสุด 2 คนขึ้นไป ก็มีความไม่เท่าเทียมกันแล้ว ทั้ง “ความรู้และความสามารถ หรือจริตบุคลิก และความคิดต่างๆ

ในคนทุกคนในโลกทั้งใบนี้  ไม่มีใครเท่าเทียมกันอย่างไม่มีจุดต่างกันเลยเด็ดขาดในมหาจักรวาลนี้ ไม่ว่า “รูปธรรม” แม้จะเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันที่สุด ก็หาความแตกต่างกันได้ โดยเฉาะ “นามธรรม” ยิ่งละเอียดลึกล้ำกว่ากันนักกว่านัก

เราไม่สามารถจะหา “ความเท่าเทียมในอะไรทั้งรูปธรรมและนามธรรมในสิ่ง 2 สิ่งภาวะ 2 ภาวะได้เลยในมหาจักรวาล"”

นอกจาก “กำหนด” ที่ไม่ละเอียดสุดแล้วสมมุติกัน หรือให้ยอมรับกันโดยปริยายว่า

ขอให้ยอมรับความเท่าเทียมกันในเรื่องนี้ เช่น ในเรื่องของ “สิทธิบางประการ”

แต่จะไปบังคับให้ยอมรับกันว่า ทุกคนจะต้องมีทรัพย์สินเท่าเทียมกัน มีมากมีน้อยกว่ากันไม่ได้ ทุกคนจะต้องได้รับความเคารพเท่าเทียมกัน ใครสูงต่ำกว่ากันไม่ได้ ทุกคนจะต้องนั่งในที่เสมอกัน จะไปกำหนด ไปยกให้ใครต้องนั่งสูงนั่งต่ำกว่าใครไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น

มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีคนที่มีความคิดสับสน หรือเข้าใจในความจริงเหล่านี้ไม่ได้ ส่วนมากจะเป็นคนช่างคิด หรือคนที่ไม่มีปัญญาแท้จริง แต่เป็นคนที่มี “ความยึดมั่น จะเอาชนะในประเด็นความเท่าเทียมกัน” อย่างไม่รู้แจ้งในประเด็นว่า

“หากลงลึกถึงรายละเอียดของรูปธรรมและนามธรรมแล้วไม่มีอะไรในมหาจักรวาลนี้เท่าเทียมหรือเท่ากันจริงๆเลย”

เพราะในสังคม ทุกสังคม ไม่ว่าสังคมเล็กหรือใหญ่ต่างกันเท่าใด ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่ละบริบทของสังคมก็มี “ความไม่เท่ากัน” ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรมถ้าลงลึกเข้าไปในรายละเอียดจริงๆของสรรพสิ่งแล้ว

นอกจากจะ “กำหนด” โดยอนุโลมให้ยอมรับกัน ว่า ควรให้มีความเท่าเทียมกันบ้างอย่าให้มันแตกต่างกันมากนักเลย โดยขอให้ยอมรับ หรือเฉลี่ยสิ่งหรือภาวะของผู้มีมาก ควรเกื้อกูลเอื้อเฟื้อผู้ด้อยกว่าบ้าง

หรือมีความได้เปรียบมากแล้วก็อย่าใช้ความได้เปรียบนั้นข่มเบ่ง ทำร้ายคนด้อยกว่านักเลย ควรมีการเกื้อกูลด้วยสิ่งที่ตนมากกว่า เหนือกว่านั้นด้วยจิตเมตตาจริงใจเถิด

เรื่องนี้ แต่ละสังคม ต่างก็มีกฎที่กำหนด มีขนบธรรมเนียม และจริงก็มี “จิตใจ” ที่มีเมตตาจริงของผู้ที่เสียสละจริง แม้จะด้อยกว่าจะน้อยจะเล็กกว่าก็ยอมเสียสละให้แก่ผู้มากกว่าผู้เหนือกว่าด้วย “ความยินยอม” อย่างยกย่องบูชาในคุณธรรมบ้าง

อย่างนับถือในความสามารถบ้าง

อย่างจำยอมในเชิงต่างๆเพราะสู้ไม่ได้จริงๆบ้าง

อย่างจำยอมเพราสะกฎหมาย หลักเกณฑ์สังคมบ้าง นี่ก็ฉ้อฉลไปตามความเลวร้ายของผู้ออกกฎนั้น

อย่างจะยอมเพราะถูกกดขี่ข่มเหงจนต้องจำนนบ้าง นี่และที่เลวร้ายที่สุด

ที่สำคัญก็คือ “ยินยอม” เพราะ “พลังพฤติกรรมทางรูปธรรมและนามธรรมในสังคม” ที่มีพลังเหนี่ยวนำให้เป็นไป อย่างสำคัญมาก

“ผู้นำ” หรือ “พฤติกรรมแฟชั่น” จึงสำคัญมากในสังคม ที่จะจูงนำให้สังคมเป็นไปสู่สุขหรือสู่ทุกข์สู่ความเจริญ หรือสู่ความเสื่อม

ค่อยอธิบายเรื่อง “พลังเหนี่ยวนำขอบผู้นำและพฤติกรรมแฟชั่น”

ซึ่งจะต้องใช้... “สัปปุริสธรรม 7” และ “สาราณียธรรม6 พุทธพจน์ 7” และ “พลัง 4 พ้นภัย 5” เป็นเครื่องประกอบคำอธิบาย เป็นต้น

แล้วจะมี “คุณธรรม” ดังกล่าวนี้ได้อย่างไร?

ก็ต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่าง “สัมมาทิฏฐิ” ขอย้ำนะว่าแม้จะเป็นชาวพุทธแท้ๆ ก็ต้อง “สัมมาทิฏฐิ” จริงๆ จึงจะได้ “คุณธรรม” ดังกล่าวนี้

แล้วจะมี “พลังเหนี่ยวนำ” ที่เป็น “อำนาจหรือพลังเหนี่ยวนำที่เป็น Authority อันคือ อำนาจหรือพลังเหนี่ยวนำในสังคมตามที่แต่ละคนมีจริง

อำนาจ หรือพลังเหนี่ยวนำที่ว่านี้ มี 2 อย่างใหญ่ๆ คือ

  1. Authority =     อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือจึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น อย่างอิสระเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย
    นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คนยอมยกอำนาจนั้น ให้แก่ผู้น่าเคารพ นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority = right power หรือจะเรียกว่าเผด็จการโดยธรรมก็ได้ ถ้าไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น ดังนั้น ผู้น่าเคารพ จึงเป็นเสมือนผู้มีอำนาจ ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะเชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา
    นี่คือ ผู้มีพฤติที่สร้างความชอบธรรมเป็นอำนาจ เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว
          ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม

จึงจะไม่เป็น “อำนาจเหนี่ยวนำ” ที่มีลักษณะ Force

  1. Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียดครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ ก็คือ การใช้อำนาจนั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ
           นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม  ซึ่งเป็นอำนาจ ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขาตกอยู่ใต้อำนาจ เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ ผู้ที่ยังมีพฤติที่สร้างอำนาจเป็นความชอบธรรม นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่าตนคือผู้มีอำนาจ นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force  ซึ่งเรียกว่ายังเป็นเผด็จการอยู่มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง คนฉลาดในโลกจะสร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติงจึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม

ในสังคมปกติทั่วไปทั้งโลก มีพลังหรืออิทธิพลของ “อำนาจ” อยู่จริง ซึ่งเป็นพลังหรืออิทธิพลของ “อำนาจ” ที่มีฤทธิ์มีแรงทั้งทางรูปธรรมโดยเฉพาะทาง “นามธรรม” สามารถเหนี่ยวนำ สามารถผลักดัน สามารถครอบงำ จนถึงขั้นสามารถบังคับ กดขี่ ให้มวลอันคือมนุษย์ในสังคมเป็นไปตาม  “อำนาจ”นั้นได้แท้จริง

          ไม่ว่า จะทำให้เกิด “กรรมกิริยาทางกายกรรม-วจีกรรม”  หรือไม่ว่า จะทำทำให้เกิดกรรมกิริยาทาง “มโนกรรม” หรือ “ความรู้สึก” ซึ่งเป็น การเกิดอารมณ์ชอบหรือชัง-เฉยๆ

          คำว่า “อำนาจ” ที่ภาษาอังกฤษว่า power, energy, authority, force, sovereignty=soverein power =supreme =independence =อำนาจใหญ่,อธิปไตย
                                                                        kinetic energy, potential energy,

author = ผู้แต่ง, เจ้าของ, ผู้สร้างสรร,
              พระพุทธเจ้าเป็น authority = ต้นตำหรับอำนาจโดยธรรมแบบของพระองค์ 
force = กดดัน, บังคับ, บีบ, เร่ง, บุก, ยัดเยียด, ทึ้งดึง,แข็งขืน
forced = ซึ่งถูกบังคับ, ซึ่งถูกบีบ, ใช้แรงฝืนใจ forcible = ใช้กำลัง, โดยพลการ
authorize = อนุมัติ, ยินยอม, อนุญาต, มอบอำนาจ, แต่งตั้ง, มอบหมาย
authorizable = พอจะมอบอำนาจให้ได้, พอจะยอมรับได้ 
authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี, เชื่อถือได้, มีหลักฐานพิสูจน์ได้, เผด็จการ
authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ
[Authority by force is less enduring than authority by kindness.
                            อำนาจโดยพระเดชนั้น ไม่ยืนนานเหมือนอำนาจโดยพระคุณ]
ใครจะ made a forcible = โดยพลการ ก็อย่าทำเลย

 

ส.เดินดินได้เปรียบเทียบเหตุการณ์วันที่ 24 พ.ย. เป็นการใช้ Force กับปชช. ส่วนในวันที่ 5 ธันวาฯ ที่ผ่านมาเป็นอำนาจแบบ Authority

พท.ขอขยายความคำว่า kinetic และ potential energy

เหตุการณ์วันที่ 5 ธันวาฯ ปชช.มารวมตัวกันอย่าง มาให้อำนาจ Authority แก่ในหลวง มีคนวิจารณ์ว่าในหลวงมีคนมามากเพราะว่า รัฐบาลช่วย พท.ว่าก็มีส่วน คือ Autho แปลว่าเป็นผู้สร้างเอง ทำเอง ทำความชอบธรรม ทำคุณธรรมให้แก่ตนเอง จะเกิดเป็นความชอบธรรมจนคนอื่นยกให้ พระเจ้าอยู่หัวร.9 เรา 66 พรรษาที่ทรงงานเพื่อปชช.ในฐานะของพระองค์ คนที่ไม่เข้าใจเรื่องความเสมอภาค เข้าใจเพี้ยนไป เป็นคนที่มีจิตใจสับสน เป็นคนไม่มีปัญญาแท้จริง เป็นคนที่มีความอยากเอาชนะให้เกิดความเท่าเทียมกัน และเข้าใจความเท่าเทียมกันอย่าง Absolute ซึ่งพท.ได้อธิบายว่า ในความละเอียดเล็กเท่าใดก็ตาม ในปรมาณู อะตอม นิวเคลียส ก็ไม่สามารถสร้างให้เท่ากันได้ แต่ในมหาจักรวาล นี้มีความเท่าเทียมกันคือพระนิพพาน แม้พระอรหันต์ขี้กะโล้โท้ ไม่มีความเก่งอะไรเลยแต่สามารถทำจิตให้สะอาดปราศจากกิเลสได้เท่าเทียมกันกับพพจ. ในความว่างอื่นๆจะมีความไม่เที่ยง แม้แต่อารมณ์ว่างๆจริงๆก็ยังไม่ว่าง แต่อรหันต์ที่ดับกิเลสได้อย่าง นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

คนที่มีความคิดมุ่งมั่นให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน มีแต่ต้องทำอรหันต์ให้แก่ตนเองได้เท่าเทียมกัน ผู้หญิงก็ทำภาวะอรหันต์ได้เท่าเทียมกันกับผู้ชาย

8/12/2555 19:12:54 คนที่มีความยึดมั่นจะเอาชนะในประเด็นความเท่าเทียมกัน จะให้เท่าเทียมกันในประเด็นอื่นๆนอกจากนิพพานแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นผู้ที่สับสนโดยมีความยึดมั่นอยู่อย่างนั้นน่าสงสารเพราะไปมุ่งมั่นในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในแนวลึก ขนาดแนวตื้นยังเป็นไปไม่ได้เลย เช่นสัจจะของเวนัยสัตว์และอเวไนยสัตว์ ผู้ที่เป็นพพจ.กับปัจเจกพพจ.ก็ไม่เท่ากัน โพธิสัตว์ก็ไม่เท่ากัน มีความแตกต่างกันมากมาย

มีความสัมพันธ์ผู้ที่มีคุณธรรมมี Authority ในหลวงท่านก็เป็นนักสร้างนักทำจนมี Authority ของท่านมา ท่านไม่ได้มาForce ไม่ได้ไปยัดเยียดบังคับใครเลย Authorize  Authorizable คือสร้างจนเขายอมรับได้ Authoritative คือมีอำนาจบารมีจนเชื่อถือได้ มีจนเรียกว่าเผด็จการคนอื่นก็ยกให้เพราะมั่นใจในคุณธรรมและความเฉลียวฉลาด ผู้ที่ใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างเช่นพพจ. ผู้ใดจะ made a forcible โดยพละการ อย่าทำเลย

8/12/2555 19:19:03 มันเป็นพลังงานที่ไม่มีรูปร่างเป็นนามธรรม เกิดจากพฤติกรรมของ คน 1 คน  2 คน จนหลายๆคน มีตัวจิตที่เข้าใจยาก แต่สุดยอดในมวลมนุษยชาติ ถ้ามีคุณธรรมอันเดียวกันสอดคล้องกัน จะมีอำนาจเหนี่ยวนำ เป็นสนามแม่เหล็ก ไปในทิศทางเดียวกันเป็นกำลัง หนึ่งคนก็มีพลังแล้ว สองคน ห้าคน ร้อยคน พันคน หมื่นคนก็มีพลัง

8/12/2555 19:20:36 พลังงานทางชั่วเกิดจากพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ถ้ามันเหมือนกันสอดคล้องกันก็เป็นพลังอำนาจ รวมกันชั่วก็คนค้านแย้งไม่ได้เหมือนกัน คนชั่วก็พยายามสร้าง คนดีก็พยายามทำ คนดีแพ้คนชั่วตรงที่ทำชั่วเลวร้ายได้ไม่เหมือนคนชั่ว แต่คนดีมีน้ำหนักมาก ปทท.ขณะนี้อำนาจชั่วกำลังครอบงำมากเลย แสดงเป็นพลังงานเคลื่อนไหว kinetic ใช้ force กดดันแรงบังคับออกมาให้เกิดพลังอำนาจ จนคนเกรงกลัวไม่กล้าติเตียน ดีไม่ดียอมแพ้โดยเฉพาะคนที่มีกิเลส แพ้อำนาจโลกธรรม คนที่ล้างกิเลสจะมีพลัง 4

8/12/2555 19:23:01 พลัง 4 มี 1.พลังปัญญา 2 พลังความเพียร 3 .พลังอนวัชชะ (ไม่ตำหนิติเตียน) คือผู้ที่ไม่มีภัย ปราชญ์ไม่ตำหนิ ทำการทำงานที่ไม่เป็นโทษ 4 พลังสังฆหะ กำลังของการเกื้อกูลช่วยเหลือ ไม่ใช่ไปขูดรีดทำร้ายทำลายใคร

พลัง 4 นี้จะพ้นภัย 5

ผู้มีคุณธรรม มีพลัง 4 เมื่อปฏิบัติธรรมพพจ. เช่นพวกเรามาทำงานฟรี ทำการช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น เขาตำหนิไม่ได้หรอก แต่ถ้าช่วยเขาแบบประชานิยม คือเลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา ซึ่งปราชญ์จะมองเห็นจะรู้ว่าช่วยอย่างสุจริตใจหรือไม่ จะดูออก ผู้ที่มีพลัง 4 เข้าใจบรรลุวิชชา จะมีพลังในการทำงาน และทำงานที่ไม่เป็นพิษภัย ทำแต่ดี เพราะจิตท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว และการงานท่านไม่เพื่อตนเองแล้ว จะมีคุณสมบัติ 5 ประการ

1.ไม่กลัวการยังชีพต่อไป (อาชีวิตภัย) คนที่พึ่งตนรอดไม่มีกิเลสมาก พึ่งตนอาศัยปัจจัย 4 แม้ไม่มีบริขารก็อยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานไม่มีบริขารอะไรก็อยู่ได้ คนมีแค่ปัจจัย 4 ก็อยู่รอด มีข้าว ผ้า ยา บ้าน ก็พอ ไม่สะสม ไม่หลงใหลได้ปลื้มสะสม ก็จะมีปัญญาทำงานมีความเพียรความขยันเต็มที่ ช่วยเหลือเกื้อกูล ชีวิตจึงไม่กลัว ไม่ต้องสะสม เราสามารถพิสูจน์ในแวดวงอโศก ถ้าคุณมีคุณงามความดีอย่างแท้จริง ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องพึ่งลูกหลานเลย ทุกคนจะช่วยกันพึ่งกันได้ ในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีสังคมศาสนามีกลุ่มหมู่อโศก พท.มั่นใจว่าจะไม่ย่อยยับไปง่ายๆ ถึงแม้จะไม่เที่ยง แต่ก็จะอยู่ไปอีกนาน มีชีวิตปรปฏิพัทธาเมชีวิกา มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ไม่สะสม สัตว์เดรัจฉานไม่สะสมก็อายุยืนได้ เช่นเต่า อายุถึง 100 ปี ไม่สะสมอะไร

2. อาสิโลกภัย ไม่ต้องเกรงกลัว ใครจะตำหนิติเตียน แต่มีมารยาทสังคม มีสัปปุริสธรรม รู้จักประมาณ รู้จักท่าทางลีลา นัจคีตวาทิตะ มีศิลปะ รู้จักการแสดงออก คนติเตียนคือคนไม่มีปัญญา จะประมาณกระทำอย่างมีผลดี จะรู้อรรถะธรรมะ ยุคกาลหมู่กลุ่ม บุคคล ตัวเรา เขายอมรับเราแค่ไหนในหมู่กลุ่ม สรุปแล้วไม่เกรงกลัวคำติเตียน แต่จะรู้อนุโลม รู้เข้าใจสังคม

3. ปริสารัชชภัย ภัยที่จะสะทกสะท้านต่อสังคม เช่นกลัวจะถูกแก๊สน้ำตาถูกฆ่า ขออภัยพท.ไม่ได้กลัว ที่หนีนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ควรตาย พท.ไม่ได้กลัว เป็นอาการของจิตเป็นอุตริมนุสสธรรม พท.ไม่กลัว แต่พท.เห็นว่ายังไม่ควรตาย อยู่ก็ไม่ได้เอาลาภยศสรรเสริญอะไร อยู่เพื่อทำให้ ยืนยันว่าผู้สั่งสมคุณธรรมพพจ.เป็นจริงได้ ไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่จะมีคุณธรรมเท่าพพจ.ไม่ได้ เป็นอฐานะ แม้ในยุคใกล้เคียงก็เป็นไปไม่ได้ ท่านมี Authority ทุกคนยอมยกให้

พท.ไอ...ส.เดินดินอธิบายภาพของ 5 ธันวาฯ กับวันที่ 24 พ.ย. อันไหนเป็นปชต.มากว่า อันไหนเป็นความเท่าเทียมกัน แม้ในปท.คอมมิวนิสต์เพื่อบ้านใครเห็นต่างจะถูกเอาเรื่องมากเลย แต่ในปทท. เราแม้วิจารณ์สถาบันก็ยังอยู่ได้เลย แล้วที่เขมร ลาว ใครคิดต่างจะถูกกำจัดเลย

8/12/2555 19:38:05 พท.จะพยายามอธิบายต่อ ผู้ที่ไม่สะทกสะท้านอะไร คือ 1.เราไม่ได้ทำผิด 2.เราไม่ได้มาทำชั่ว มาทำดี พูดอย่างจิรงใจ ไม่ได้อยากอวดอยากอ้างอยากเด่นอะไรเลย นี่เป็นอุตริมนุสสธรรม ก็แสดงออกไปจริงๆ แต่ในใจไม่มีอยากอวดอ้างใหญ่โตเด่นดี ไม่ต้องการให้คนมาเป็นบริวาร หรือเพื่อกามอัตตาแต่อย่างใด แม้แต่ไม่ได้สร้างหมู่กลุ่มเพื่อเป็นใหญ่

มีกองทัพธรรม ในเพลงกองทัพพุทธธรรม เป็นกองทัพมือเปล่า สร้าง Authority เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหว เขาเป็นจอมแห่งยุทธ อาวุธคือมือเปล่าๆ แต่ก็เพียรรบรา ฆ่าคนลึกซึ้งถึงแก่นใน เลือกจะสร้างสุขสรร นั่นมันฝันของใคร คือจะให้เลือดตกยางออกจะสร้างสุขสรรมันเป็นไปไม่ไร้ มันเป็นกองทัพที่ให้ดูไปเรื่อยๆ

8/12/2555 19:42:18 ให้มีพฤติกรรมในสังคมมีพฤติภาพ เป็นพลังอำนาจที่เป็นไปสู่ทิศทางเดียวกันเหมือนสนามแม่เหล็ก ข้างบนเป็นkinetic energy แต่จะมีพลังแฝงที่เป็น potential energy เป็นพลังแห่งคุณธรรม

4. มรณะภัย ผู้มีพลัง 4 จะไม่สะทกสะท้านแม้ในสนามรบ ในบริษัทใดๆ ซึ่งแก๊สน้ำตานี่สูดเข้าไปอาจทำให้ถึงตายได้ ในเรื่องของไม่กลัว 5 อย่างนี้ เป็นจริงได้อย่างนี้เป็นปาฏิหาริย์ การมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่นทำงานให้แก่สังคมโลกนี่แหละ พท.พาทำงานกับคนนอกมากกว่า มันเป็นเรื่องสูงลึกซึ้งท่านเอามาจากสัจจะ เรียบเรียบอย่างลึกซึ้ง ไม่หามๆด้วย อาจมีผู้ที่ไม่มีข้อมูลไม่พอเขาจะติเตียน แต่ถ้าเขารู้แล้วว่าไม่ได้ทำเพื่อเอาแก่ตัวไม่มาหาบริวาร ไม่ต้องการมาลบล้างหมู่ใคร หรือให้ใครเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษ

เราก็ทำอย่างไม่สะทกสะท้านเราไม่ได้ไปทำชั่วทำเลว ไปทำให้เขาด้วย ไม่กลัวตายเพราะรู้นิยามชีวิต รู้จักการเวียนว่ายตายเกิด รู้อะไรเหลืออะไรอยู่ แม้แต่อรหันต์จะให้อะไรเกิดอะไรเหลือ จะรักษาจิตนิยามอยู่ จิตนี้อยู่อย่างไร เป็นอมตะบุคคล จิตนี้จะให้อยู่ก็อยู่ จะให้ตายสูญก็สูญ จะไม่กลัวมรณะภัย คุณที่ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิดนี่ทุกข์ทั้งนั้น คนเหล่านี้จะทำบาปเก่ง คนนี้ไม่กลัววิบากจะทำเลวได้เก่ง พยายามจะฉลาดจะไม่ให้ใครมาทำร้ายตน จะกลัวมาก เพราะเชื่อว่าตายแล้วตายเลยตายสูญ เพราะเขาเชื่อว่าตายสูญจบ ถึงเวลาตายก็ตาย มันก็วางใจ แต่คนรู้นรก รู้ว่าตนทำชั่วจะกลัวตายสาหัส คนทำดีไม่ค่อยกลัวตายเท่าไหร่ แต่หลอกตนเองได้ว่าทำดี ก็สงบ ไม่ดิ้น หลงว่าตนเป็นอรหันต์ก็ไม่ดิน เดี๋ยวเสียอรหันต์เก่งในการใช้จิตกดข่มแต่ไม่รู้ว่าสูญหรือไม่ อะไรสูญต้องรู้

5. ทุกคติภัย ท่านที่บรรลุอรหันต์ท่านหมดกรรมคือหมดกรรมชั่วมีแต่กรรมดี ขนาดพพจ.ท่านยังไม่สันโดษในกุศล พพจ.ทุกองค์สร้างศาสนาเสร็จก็ปรินิพพานหมด ท่านจะทำไปทำไป คนจะรู้สิ่งควรไม่ควรเป็นเรื่องภูมิปัญญาจริง เราไม่กลัวทุกคติภัยเพราะไม่กลัวต่ำอีกแล้วเราไม่ทำอีกแล้ว ผู้ที่ลดกรรมชั่วลงเรื่อยๆ จนเป็นอรหันต์หยุดกรรมชั่วทำแต่กรรมดี มีแต่กำไรท่าเดียวจะกลัวทำไม อรหันต์จะกลัวตายไปทำไป จะไปกลัวทุกคติภัย แม้จะอยู่ในสังคมใดเราก็ไม่กลัว เพราะเราไม่ได้ทำชั่วแม้อยู่ในสังคมชั่ว คนทำชั่วสิควรกลัว แต่มันโง่เลยไม่กลัง

ในพลัง 4 มีปัญญานำ จนมีอินทรีย์พละเต็ม ปัญญาอรหันต์ไม่เท่ากันแต่ปัญญาที่รู้ว่ากิเลสหมดเท่ากัน ไม่งมงายประมาณเอา เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ

8/12/2555 19:55:21 พลังงานของหมู่ของปชต. วันที่ 5 ธันวาฯเป็นการแสดงพลังปชช.
มวลปชช.แสดงอำนาจ authority ในหลวงไม่ได้ไป force ปชช.ที่มาในวันนั้นเลย แต่มีใครforceไม่ให้มาในหลายๆเล่ห์ ไม่เช่นนั้นก็จะมามากกว่านี้อีก

ในวันที่ 24 พ.ย. นั่นโดน Force ชัดเจน ปชช.จะมาแต่ถูกสกัด อย่างชัดเจน แต่ในวันที่ 5 เขาไม่กล้าละเมิด แม้แต่มารแท้ๆยังเกรงเลย นี่คือพฤติภาพที่ชัดเจน

เป็นการแสดงอำนาจปชต.ของปชช.ที่ชัดเจน ไม่มีใครห้ามไม่ให้มาแสดงได้ มันแสดงออกชัดที่ ตัวแทนรบ.กล่าวต่อในหลวง ปชช.ที่ไม่ยอมให้เป็นตัวแทนของเขา ปชช.ไม่เอาๆ โห่ใหญ่เลยแล้วกล่าวเองว่า ทรงพระเจริญ ๆ ไม่เอาของคุณ แม้แต่ปธ.รัฐสภา เขาเห็นว่าเป็นขี้ทูดกับหู ปชช.ก็ไม่เอา ซึ่งต่างจากประธานศาลฏีกา เขายกให้นี่คือพฤติภาพที่ดูได้ ความไม่เท่าเทียมกันของสองสามคน ยิ่งไปถึงพวก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ที่จะให้ทหารปฏิญาณตน ต่อในหลวง ปชช.ก็ไม่เอาเขาขอปฏิญาณเองเลย เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่มีใครบังคับ เป็นอาริยะขัดขืน เป็นการฝืนขนบ แสดงความจริงจากใจ เป็นการแสดงปชช.เขาให้อะไรแก่ในหลวง เขามาเสียสละแรงงานทุนรอนแรงงาน มีคนบอกว่ามันเป็นวันใหญ่โตมากเลย สิ่งเหล่านี้เป็นการส่อแสดงถึงจิตวิญญาณเขาซึ่งบังคับเขาไม่ได้ เขาแสดงออกอย่างเต็มที่

8/12/2555 20:02:47 ส.เดินดิน ...สรุป เห็นว่าคนมาหลายแสน สามารถควบคุมเรื่องอุจจาระปัสสาวะได้อย่างไร เป็นเรื่องพลังจิต เขามีไหวพริบปฏิภาณได้ บังคับไม่ได้ คนมามากขนาดนี้ แต่จัดการได้อย่างไร กรณีกำนันผญบ.ชุมนุม ใช้เงินไป 400 ล้าน  แต่นี่เป็นเรื่องมาด้วยใจเลยเรียบร้อย เป็นสุดยอดปชต.เป็นผลงานของในหลวง จึงเกิดปาฏิหาริย์ในวันที่ 5 ธันวาฯ

8/12/2555 20:05:13 จบ....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:23:24 )

551210

รายละเอียด

10/12/2555 18:11:06 รายการเรียนอิสระตามสำนึก โดยพ่อครูและส.เดินดิน ที่บ้านราชฯ เรื่อง 5 ธันวา 55 วันพิพากษา โดยพลังมหาประชาชน

ส.เดินดินเปิดรายการ...วันนี้เป็นวันที่ 10 ธันวาคม 2555 อ.กฤษฎา ต้องไปทำหน้าที่ จึงมาออกรายการไม่ได้  วันนี้ดูเหมือน นกม.ทุกพรรค จะออกมาพูดเรื่องปชต.เหมือนปชต.กำลังเบ่งบาน แต่ก็ดูเหมือนกับกำลังเกิดสงครามปชต. ปชต.กลายเป็นปัญหาให้คนออกมาเข่นฆ่า ออกมาต่อสู้เรื่องปชต.กัน มันก็คงมีปชต.ของใครของมัน ยังมองหากันไม่เจอว่าปชต.แบบไหนที่พอพูดแล้วทุกคนก็ ok เอาแบบนี้เลย ทุกวันนี้พอพูด ปชต.ก็เตรียมรบเตรียมทำสงครามกันเลย ทำให้เกิดความร้อนแรงในหัวใจของคนที่กำลังหาปชต. แต่ในเหตุการณ์การเรียกร้องปชต. ปทท.ก็ยังมีวันร่มเย็นวันมหาปีติ ในวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ทางค่ายแดง อดีตนายาฯทักษิณออกมาพูดถึงปรากฏการณ์วันที่ 5 แม้แต่ในผจก.ออนไลน์ อ.ปานเทพ ก็ยังเขียนว่า คนยังมามากกว่าในปี 49 ที่ในหลวงเสด็จออก ณ สีหบัญชร ปชช.มามากมาย ที่แปลกอีกอย่างคือปชช.แสดงออกอย่างไม่ได้เขียนสคริป คือในหลวงออกปชช.ก็ทรงพระเจริญ พอนายกฯและปธ.สภาฯออกมาพูด ปชช.ก็โห่ พอทหารออกมาปฏิญาณ ปชช.ก็แสดงออกปฏิญาณตนมา แต่ไม่ได้เขียนสคริป ซึ่งปรากฏการณ์นี้ยังไม่ได้มีใครถอดรหัส มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าติดตามมากเลย ก็ขออาราธนาพ่อครูอธิบาย

10/12/2555 18:11:19 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องอธิบาย เป็นปรากฏการณ์ของสังคม ยุคนี้ปชต.80 ปีแล้ว ในเมืองไทย จะเกิดความรู้ความเข้าใจอะไร มันก็สะสมใส่จิตวิญญาณจนทุกวันนี้ ออกมาหลายๆอย่าง จึงออกมาสื่อแสดงอยางคาดไม่ถึง หรือเกิดอย่างเป็นตัวชี้บ่งว่าคืออะไร วันที่ 5 ธันวาคม 2555 นี่ พค.ใช้ภาษาว่า เป็นวันพิพากษาความเป็นปชต. ต่างก็พยายามยื้อว่าข้างตน ตอนนี้มี 2 ข้างใหญ่ๆ คือฝ่ายปชต.ฝ่ายแดง อีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายเหลือง เอาง่ายๆก็แล้วกัน ที่ใช้อย่างนี้

พค.ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่เอาสัจธรรมมาแสดงเพื่อให้กระจางชัด  ฝ่ายแดงเขาก็แสดงออกอย่าง เข้มข้นเอาใจใส่ เอาจริงเอาจัง มีรร.ปชต.นปช.แพร่ไปทั่วประเทศ ดูเหมือนจะมีถี่มาก วันนี้มาเปิดที่อุบลฯ ก็เข้าใจในลักษณะที่เขาสื่อตามประสาที่มีความรู้รัฐศาสตร์ตามแบบพค. แล้วเขาก็เป็นตามที่เขาเป็น ซึ่งเราก็เปิดเผยว่าเราโน้มเน้นไปทางเหลืองไม่ได้ปิดบัง แต่เวลา ความเป็นปชต.ในวันที่ 5 เป็น ที่พค.ใช้ภาษาว่าคือวันพิพากษา คือวันตัดสิน คือ ปชต.คือการแสดงมวล แล้ววันนั้น ก็มีการแสดงมวลว่านี่คือปชต.ฝ่ายเหลือง ก็ต้องยอมรับว่า เป็นปรากฏการณ์ที่แท้จริงว่า มีมวลมากกว่าแดง ซึ่งของแดงเขามาหมื่นก็บอกว่ามาแสน วันที่ 5 ธันวา ก็ดูเอาเองว่ามีมากเท่าไหร่ เฉพาะแต่ในถนนราชดำเนินตั้งแต่พระบรมรูป ยาวไปตามถนนราชดำเนินสุดลูกหูลูกตา ตลอดสายทางเดินทางไปศิริราชสองข้างทางเดิน ที่จะทรงดำเนินมา คนก็ไปดัก ไปกันจนไม่มีที่ จะต้องไปเฝ้าพระองค์ แล้วตกหล่นอยู่ที่นั่นที่นี่อีกล้วนแล้วแต่เสื้อเหลือง คนเหล่านี้มีใครจ้างไหม มีคนจัดการไหม เป็นข้อชี้บ่งยืนยันว่า ไม่ต้องไปใช้ปัญญาลึกซึ้งอะไร ถ้าจะวัดกันที่คะแนนเสียงมวลปชช. คือเหลืองชนะแล้ว คุณจะอ้างว่าคะแนนเลือกตั้งมันคนละบริบท เลือกตั้งคืออีกหนึ่งบริบท นี่ก็อีกบริบท ฝ่ายแดงก็พยายามชุมนุมกันมากมาย แม้แต่ในวันที่เขาไปชุมนุมกันเต็มที่เดือนเมษาฯที่ราชประสงค์ ก็ไม่ได้ถึงอย่างนี้ไม่ ก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนี้ พค.อธิบายตามความเป็นจริง ชี้ให้เห็นว่าเป็นความจริง

ถ้ามาลงรายละเอียด ว่าลักษณะปชต.ต่างคนต่างยืนยันปชต. ทางโน้นก็ตู่ว่าเป็นอำมาตยาธิปไตย ทางเราก็ว่าทางโน้นเผด็จการเพื่อคนๆเดียว มีตัวแทน มีนอมินี แต่เขาก็พยายามใช้ภาษานี้เหมือนกัน บอกว่าเราก็เพื่อคนๆเดียว แต่ก็พูดไม่เต็มปาก เขาก็พยายามลบหลู่คนๆเดียวของฝ่ายนี้ ด้วยนัยอันซับซ้อน คือจับส้นได้ว่าพยายาม ลดความเชื่อถือตลอดเวลา ทางโน้นก็เพื่อคนๆเดียว จริงแล้วในความเป็นจริงของดลก จะมีคนคนเดียวที่เป็นหัวหน้าใหญ่ไหม?ในการบริการปกครอง มันมีอยู่ตลอดเวลา จริงโดยปริยายโดยความเข้าใจโดยทั่วไปก็เอาหมู่บริหาร แต่จริงๆแล้วในการปฏิบัติประพฤติ ทางฝ่ายแดงในความเป็นหมู่ แม้แต่นายกฯ ที่มีตำแหน่งเป็นทางการ มีอำนาจจริงไหมแค่นายกฯนะไม่เอารมต. รมต.ต้องเทียวไล้เที่ยวขื่อหานายกฯแฝง ผู้ไม่มีร่องรอย หรือผู้มีบารมีนอกรธน. ของฝ่ายแดงคือผู้มีบารมีนอกรธน.แท้ๆ แต่ทางนี้อย่างน้อยก็มีรธน.รับรอง เพราะในหลวงเป็นประมุขของปชช. แต่อันนั้นสิไม่มีรธน.รับรอง แต่อันนั้นสิอย่าโจ่งแจ้งเลยว่าไม่มีรธน.รับรอง ขออภัยที่พูดไม่ได้ชิงชัง แต่เขาไม่อยู่ในร่องในรอยของสัจธรรม หรือตามระบอบที่ควรจะเป็น พค.เปิดโรงเรียนปชต.แบบโลกุตระ ก็พยายามอธิลายไปตามเวลาวาระ ไม่ได้ตั้งเป็นกิจลักษณะแบบแดงเขาทำ ก็ทำตามประสา

ในความเป็นปชต.สองแบบ เอาของจริงมาศึกษา ขอสรุปไว้ก่อนในช่วนี้ว่า แบบที่ฝ่ายแดงทำอย่างเห็นว่าแบ่งแยก ซึ่งพค.ไม่ได้ทำความแตกแยก ในปทท.มันมีความแตกแยกนี้อยู่แล้ว ให้ยอมรับความจริงว่ามีสองฝ่ายในสถานะของปทท. พฤติกรรมของฝ่ายแดงใช้คำว่า force หรือจะเรียกว่าอิธิพล  ส่วนทางด้านฝ่ายเหลือง พค.ใช้คำว่า Authority หรือคำว่าบารมี การฟอซ มีการกดดัน ครอบงำ ยัดเยียดกดดัน ไม่ต้องพูดถึงเล่ห์โกง  ที่มีสารพัด ประมุขฝ่ายเหลืองนี่จ่ายเงินไหม?ซื้อไหม? ประมุขฝ่ายแดงซื้อนี่ซื้อไหม?และจ่ายเงินไหม? มีรายละเอียดชัดเจนมากมาย ก็อธิบายไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ทางด้านฝ่ายเหลืองในวันที่ 5 ธันวา 55 อยากจะให้ดูพระราชดำรัสในวันที่ 5 ก็ท่านตรัสว่าอย่างนี้

พระราชดำรัสของในหลวงในวันที่ 5 ธันวาคม 2555.......


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ในพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ความว่า

"คำอวยพรและคำปฏิญาณสัญญา ที่ทุกท่านได้กล่าวนั้น เป็นที่ประทับใจมาก ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลาย ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน ที่พรั่งพร้อมกันมาด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต

ความปรารถนาดีและความพร้อมเพรียงกันของทุกท่าน อย่างที่ได้เห็นในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น ด้วยมีความเชื่อเสมอมาว่า ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญ ที่จะยังความพร้อมเพรียงให้เกิดมีขึ้น ทั้งในหมู่คณะ และในชาติบ้านเมือง และถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำอยู่ในจิตใจ ก็มีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงมั่นคงต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน"

"ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่าน และชาติไทย ให้มีแต่ความผาสุก ร่มเย็นยั่งยืนไป"

10/12/2555 18:26:35 นี่เป็นพระราชดำรัสของในหลวงซึ่งสรุปผลได้ว่าท่านทรงชี้ให้เห็นชัดว่าปท.จะไปรอดได้คือคนไทยต้องมีคุณธรรม จะเกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน จะเกิดจริงไม่ได้ด้วยการซื้อตัวจัดตั้ง หรือกดดันด้วย force แต่จะเกิดความสามัคคีได้ด้วยคุณธรรม ที่พค.พูดว่าวันที่ 5 ธันวาฯเป็นวันพิพากษานั้น ตัดสินชัดเจนว่าปทท.ตอนนี้ยังมีปชต.ที่ปชช.มาแสดงมวลแสดงเสียงออกมายืนยันชัดเจน เป็นตัวบุคคลจริงเกิดจากจิตวิญญาณจริงของบุคคล มีเหตุการณ์อื่นๆในวันนั้น ประกอบการตัดสินเป็นต้นว่า เมื่อนายกฯอ่านคำถวายพระพร ปชช.ที่มาในงานร่วมกันโห่ไปทั้งหมดไม่ยอมรับคำถวายพระพรนั้น กลบด้วยเสียงทรงพระเจริญ ก็เป็นที่ทราบว่านายกนี่อยู่แดงหรือเหลือง นี่คือองค์ประกอบส่วนหนึ่งในการพิพากษาตัดสิน แม้แต่ประธานสภาฯ ซึ่งประธานสภาแสดง ออกผู้มีปัญญารู้ก็พอตัดสินได้ ให้คำตอบตัวเองได้ว่า ประธานสภาเอียงไปข้างเหลืองหรือแดง ทีนี้ในวันนั้นซึ่งปชช.ก็แสดงออกชัดอีกประธานสภาฯกล่าวคำถวายพระพร ก็โดนโห่อีก ปชช.ก็ทีเสียงทรงพระเจริญๆกลบอีก เป็นการชี้บ่ง ว่าเป็นเสียงปชช.ที่แท้จริง เป็นคำพิพากษาที่แท้จริง และปชช.ที่มามากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์นี้ เป็นปชช.ที่เขาใช้จิตวิญญาณของเขา มีความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ แล้วเขาต้องรู้ว่าฝ่ายเหลืองหรือฝ่ายที่มีพระมาหากษัตริย์เป็นประมุข กับฝ่ายแดงที่มีผู้มีบารมีนอกรธน.เป็นประมุข เอาแค่ในบัญญัติในรธน. เขาก็ตู่แล้วว่าเป็นผู้รับใช้ผู้นอกรธน. เขาตู่ว่าฝ่ายเหลืองคือผู้ที่รับใช้อำมาตย์ หรือกำกวมอยู่ว่าผู้ที่มีบารมีนอกรธน. แล้วจริงๆคำว่าผู้มีบารมีนอกรธน.ตัวจริงคือใคร? ถ้าจะบอกที่เขากำกวมคลายๆว่าคือในหลวง นี่นอกรธน.หรือ ส่วนคนจริงๆฝ่ายแดงนั้นคนนอกหรือในรธน. เขาว่าใคร? ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองใช่ไหม? นี่คือความสับสนทางปัญญา แล้วก็เอาปัญญาสับสนมาครอบงำปชช.  แล้วปชช.ได้รับความครอบงำ เชื่อว่านี่คือปชต.ที่ไปหลงตามอำมาตย์  ทั้งๆที่พูดไปแล้วพิสูจน์ไปแล้วว่า คนที่มีบารมีนอกรธน.คือฝ่ายแดงต่างหาก แล้วเขาก็กลับคำซะ มาครอบงำทางความคิด คนที่เห็นตามถูกครอบงำทางความคิด หลงเชื่อตามฉลาดหรือโง่? พค.ไม่ตัดสิน ก็ถูกครอบงำทางความคิดไปแล้วก็หลงเชื่อมาจนทุกวันนี้

10/12/2555 18:33:46 จริงๆที่กล่าวตู่ฝ่ายเหลืองเป็นฝ่ายอำมาตยาธิปไตยหรือเป็นฝ่ายรับใช้ผู้มีบารมีนอกรธน.จริงแล้วมันเป็นเท็จ แล้วตัวจริงที่เป็นผู้มีบารมีนอกรธน.คือใครกันแน่ ในเหตุการณ์ที่กำลังแย่งชิงคำว่าปชต.เราต้องมาพูดกันว่าแล้วคำว่าปชต.ที่ดีงามที่แท้จริงที่ควรจะเป็นนั้นเป็นอย่างไร?

10/12/2555 18:34:44 เริ่มต้นพค.บอกว่าเมืองไทยมีความรู้ทางปชต.หรือการเมือง ดีขึ้น โดยองค์รวมเจริญขึ้นปชช.เข้าใจมาก ในวันพิพากษา ปชช.จึงมากันมากขึ้น มาแสดงคะแนนเสียงเพื่อแสดงมวลออกมาชุมนุม เป็นการแสดงเสียงอย่างสดๆ ไม่ใช่คะแนนแห้ง เป็นปชต.สดไม่ใช่ปชตแห้ง เป็นปชต.ระดับหนึ่ง ออกมาแสดงคะแนนเสียงด้วยตัวบุคคล นับหัวกันเลย1 คน  1เสียง ร้อยคนร้อยเสียง ล้านคนล้านเสียง

ในการบริหารปชต.ของไทยเป็นปชต.สองขา ถามจริงๆเถอะในหลวงท่านทรงงานนี่เป็นปชต.ไหม? เป็นการเมืองไหม? การเมืองคืออะไรซึ่งพค.ก็พูดๆ คือการทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง หรือจะเป็นการเมืองเผด็จการ จะเป็นสังคมนิยมก็ตาม หรือคอมมิวนิสต์ก็ตาม หรือปชต.ก็ตาม ถ้าเขาทำงานเพื่อปชช.เป็นอยู่สุข ไม่เอาเปรียบรีดนาทาเร้น ให้อยู่อย่างสามัคคีมีเมตตา ดังที่ในหลวงท่านตรัสและทรงยืนยันทำมาตลอด 60 ปี ทรงมาตลอดเวลา เป็นการยืนยันความเป็นปชต.หรือพระองค์ทำงานการเมืองไหม?  ในรธน.ชี้บ่งว่า บอกว่าท่านมีรัฐาธิปัตย์ในมาตรา2 หรือในรธน.มาตราอื่นๆ ก็พอรู้ว่ามันมีอยู่ด้วย ด้วยมีพระจริยวัตรในการบริหารปกครองท่านทรงมีอำนาจตั้งไม่รู้กี่อำนาจ อำนาจตามหน้าที่อยู่ในรธน.ระบุไว้ ท่านไม่เคยผิดหลักเกณฑ์กม.อะไร ท่านระมัดระวังที่สุด ซึ่งต่างจากอีกฝ่ายที่ละเมิดกันอย่างโจ้งๆ อย่างกดขี่ น่าเกลียด อย่างกร้านกาจ อย่างแรดหรู ละเมิดกันอย่างนั้นเลย อย่างเห็นๆ น่าเกลียดน่าชัง ขออภัยไม่ได้ไปลงโทษ หรือโกรธเกลียดไม่ใช่พูดแก้ตัว แต่ต้องใช้สำนวนโวหาร อธิบายสัจธรรม เป็นการขยายความสภาวธรรม แม้จะใช้คำที่หนักๆ พยายามประดิษฐ์ใช้คำไม่ให้แรงเช่นกร้านกาจ แรดหรู เป็นคำจัดสรร ไม่ได้เจตนาให้มันหยาบคาย

10/12/2555 18:39:49 ในประเด็นว่าอย่างเอาการเมืองไปใส่ในหลวง พค.ขอแก้ว่าคนพูดคนนั้นไม่ได้เข้าใจปชต.ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเลย ถ้าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวต้องตัดคำว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ออกสิ คุณกล่าวหรือบัญญัติอย่างนั้นทำไม หรือในรธน.มาตรา 3 ทรงใช้อำนาจแทนปวงชนเป็นต้น ท่านก็ต้องทรงงานแทนปชช. ในปชต. ในรธน.ชี้บ่งชัดเจนแม้จะผ่านสามสถาบันก็ตาม ท่านก็คือผู้ต้องทำงานการเมืองทำงานปชต.นั้นอยู่ ท่านก็ทรงอย่างตำหนิไม่ได้เลย ไม่มีบกพร่อง ยอมด้วย ขอใช้คำนี้ ยอมอย่างไม่น่าจะต้องลงพระปรมาภิไธยไทยเลยในหลายๆเรื่อง แต่ท่านก็ทรงยอม ประนีประนอมมาตลอด จึงเห็นพระทัยท่านอย่างมากเลย ท่านทรงอดออม ท่านทรงขันติ ท่านทรงยอม ไม่แข็งขืน แข็งกระด้าง หาพระมหากษัตริย์อย่างนี้ได้ที่ไหน ซึ่งพค.ก็มั่นใจว่าท่านทรงรู้เห็น ด้วยปัญญา แต่ท่านก็ทรงประนีประนอม แต่แทนที่จะสำนึก เขากลับหยิ่งผยอง ละเมิดอะไรต่อมิอะไรอีก หยาบคายร้ายแรงเพิ่มขึ้น แล้วออกไปทั่วสื่อสารออกไปทั่ว เช่นทางเน็ตทางเว็บไซด์ ลบหลู่ดูถูกก็รู้กันเกลื่อนอยู่เต็มไปหมดเลย แล้วจนท.บ้านเมืองอยู่ในอำนาจใคร ทำไมไม่ทำงาน ถ้าจะเอากันจริงๆจังๆมาตรา 157 นี่จะผิดกันมากไหม จนท.ต่างๆ อย่างนี้เป็นต้น พระองค์ก็ทรงสงบอยู่อย่างนั้น เห็นพระทัยท่านไหม? ในความเป็นจริงของสังคมทุกวันนี้

10/12/2555 18:43:47นี่เป็นรายละเอียดที่พยายามเอาสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริง ชี้ให้เห็นว่าการเมืองคืออะไร ปชต.คืออะไร การเมืองในภาคที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นสถานภาพอันดำเนินในปทท.ปัจจุบันี้ แต่ผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงจากปชตงสองขาไปเป็นปชต.ขาเดียวหรือจะเปลี่ยนประมุขใหม่ก็ไม่รู้แหละ พค.ไม่รู้ใจของเขา แต่มีพฤติกรรมที่พอรู้ได้ แต่ก็ไม่ชัดนัก เขาก็แก้ตัวไป อย่างเมื่อวานก็ออกมาแก้ตัว ออกทางสาธารณชน เป็นพฤติกรรมที่เขาแสดงอยู่ตลอดเวลา ออกมาจริงเท็จก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องให้เกียรติแก่จำเลย เพราะยังไม่มีการรู้ของจริง ไปพิพากษาไม่ได้

10/12/2555 18:45:50 เราก็ต้องเข้าใจว่า ในบริบทของปทท. ที่มีปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี่ พระมหากษัตริย์คือใคร? พระมหากษัตริย์คือประมุข คือผู้บริหารประเทศ ผู้มีอำนาจที่จะลงพระปรมาภิไธยในเรื่องใหญ่ๆของประเทศใช่ไหม? เป็นจอมทัพใช่ไหม? แต่ก็ทรงประพฤติอย่างไม่ พยายามจะใช้อำนาจอย่างที่พระองค์มี แม้เป็นจอมทัพก็ไม่ใช้อำนาจอย่าง force ท่านพยายามสร้างคุณงามความดี สร้างคุณธรรม

ในพรรษาที่ 66 ท่านครองราชย์มา เท่าที่พค.มีอายุมาจนประมาณนี้ พค.เกิดหลังความเป็นปชต.มาเล็กน้อย พค.เกิดปี 2577 ก็เห็นมาไม่ต่ำกว่า 70 ปี ในหลวงท่านทรงครองราชย์มาแต่ปี 2489 เป็นเวลากว่า 66 ปี พระองค์ทรงงานบริหารทรงงานปกครองที่จะเป็นประมุขของประเทศมาตลอดพระชนม์ พฤติกรรมหรือพระจริยาวัตรชัดเจนว่าพระองค์ทรงธรรม ทรงประพฤติด้วยคุณธรรม ถ้าปชช.มีคุณธรรม ที่มีความพร้อมเพียงอย่างที่แสดงออกในวันที่ 5 เป็นสามัคคีที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าคนไทยเรามีความเข้าใจปชต.แบบนี้ไปได้เรื่อยๆ เป็นอันหวังได้

ขณะนี้ในปทท.ความเป็นปชตนี่ปชช.ซับซาบว่าปชต.ต้องมีคุณธรรม ไม่ใช่ปชต.ที่มีการกดขี่ข่มเหงครองงำแบบ force อย่างที่อีกฝ่ายหนึ่งแสดงออก เปรียบเทียบกันเลย อย่างที่อีกฝ่ายหนึ่งมีความหลอกลวงเล่ห์เหลี่ยมกลับกลอก แม้แต่โกงกิน จะเห็นชัดเจนว่า ปชต.แบบคุณธรรม ปชช.เข้าใจ อย่างที่เห็นในวันที่ 5 ธันวาฯ 55 ปชช.เป็นวันพิพากษาออกมาแสดงความจริงด้วยปัญญา เห็นเองเสียสละเอง เขาเต็มใจมาชุมนุมแสดงมวล นี่คือการยืนยันที่พค.ได้นิยามว่า ปชต.คืออะไร นี่คือการdemonstrate ของ ปชต.มาให้คะแนนยืนยัน แบบมีคุณธรรม แบบauthority ไม่เอาแบบอธรรม ไม่เอาแบบForce หรือแบบอิทธิพล ไม่เอา จะใช้คำว่าบารมีไปแทนมันก็ยังสับสนกับคำว่าผู้มีบารมีนอกหรือในรธน.

สรุป ปชช.เขาเอาปชต.ที่มีคุณธรรม ขอถามอีกทีว่า แล้วโลกทั้งโลกจะเอาปชต.แบบไหน จะเอาปชต.ที่มีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม หลับตาตอบปิดสมองตอบก็ได้ เขาก็ต้องเอาปชต.แบบมีคุณธรรม หรือว่า ปชต.ที่ให้อิสระเต็มที่กับแบบที่ไม่ให้อิสระเสรีภาพเต็มที่ สรุปสว่าจะเอาปชต.แบบ Force หรือจะเอาปชต.แบบ Authority แสดงว่าคนไทยมีความรู้ในความเป็นปชต.เพิ่มขึ้น อีกฝ่ายจะตั้งโรงเรียนครอบงำความคิดปชช.ดูซิว่าปชช.จะตกอยู่ในอำนาจครอบงำหรือไม่ พค.ไม่กล้าท้าทายหรอก ขอยืนยันว่าพค.จะช่วยปชต.ที่มีคุณธรรม ใครจะร่วมช่วยปชต.ที่มีคุณธรรมยกมือขึ้น (ยกมือ)

10/12/2555 18:55:22 สรุปว่าโดยรวมการเมืองของไทยเจริญขึ้นปชช.ไปอย่างอดทน ให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ให้เกิดควมรุนแรง ต้องใช้เวลา ส่วนอีกฝ่ายต้องการเผด็จศึก ต้องรวบรัดเสมอ แล้วก็รุกคืบไปเรื่อยๆจนมีอำนาจเผด็จการทางสภา รวบได้ทั้งอำนาจครม.และนิติบัญญัติตามที่ปชช.เห็น แล้วเขาก็ไม่เอา เพราะเขาเห็นว่าไม่เป็นปชต. จึงมาพิพากษาในวันที่ 5 ว่าการบริหารของนายกและรบ.เขาไม่เอา ทางศาลเขาก็ยังยกให้ ส่วนทางทหารเขาจะร่วมกับทางทหาร ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของปชช.แท้ๆ แต่ก็เอาด้วย นี่คือปรากฏการณ์ในปทท.

10/12/2555 18:57:35 มาขยายความคำว่าคุณธรรม ปชต.ที่มีคุณธรรมคืออะไร ปชต.ที่แบบ Force ที่ตอแหล หลอกลวงอย่างนั้นไม่ใช่คุณธรรมเราไม่เอาแน่ อย่างนั้นเราไม่พูดถึง ก็ทิ้งไว้ ถ้าใครจะประพฤติก็ประพฤติ ถ้าทางนั้นจะมาประพฤติคุณธรรมก็มาสิ เอาคำตรัสในหลวง ที่มีรมต.เกาหลีมาเข้าเฝ้ากระองค์ รมต.เกาหลีทูลถามท่านว่า ขอความกรุณาอธิบายการปกครองบริหารแบบปชต. จะบริหารแบบไหน กรุณบอกสอนด้วย ในหลวงก็ทรงตรัสว่าประเทศท่านก็เจริญดีอยู่แล้วอะไรอย่างนี้ เขาก็เซ้าซี้ให้ในหลวงตรัส สุดท้ายพระองค์จึงตรัสตอบว่าให้ เอาแบบคนจน เอาคำตรัสที่ได้บันทึกไว้ใน 4 ธันวาคม 2534  .....คำพ่อสอน
หมวด แบบคนจน

" ต้องแบบคนจน เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำงานตามวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบคนจน ใช้ความอะลุ่มอล่วยกันตำรานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้า “เรื่อยๆ”"
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534)

10/12/2555 19:02:32 มาขยายความพระราชดำรัสนี้อีก ขยายตั้งแต่คำว่า เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ อันนี้เป็นพระปัญญาธิคุณที่สุดยอด ที่จะต้องรู้ว่าในสังคมมนุษย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่ำรวย มีพอสมควร อยู่อย่างพอประมาณก็อยู่ได้ ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างอโศก ทำตามคำสอนพพจ.มา ถ้าจะเปิดตำรา ต้องเปิดตำราคำสอนของพพจ. ถ้าจะเปิดตำราที่ไม่ใช้ตำราพพจ.หรือตำราสมัยใหม่ ซึ่งพพจ.ท่านตรัสไว้ว่า ในอนาคต จะมีกลองอานกะ ซึ่งในตอนแรกก็เป็นกลองเต็มใบ แต่พอนานไปกลองจะแตกจะลิ คนจะเอาเนื้ออื่นมาแทรกมาเติมมาแปะ จนไม่เป็นกลองอย่างเดิม ชื่อว่ากลองอานกะแต่เนื้อแท้ไม่ใช่กลองอานกะแล้ว เช่นเดียวกับคำสอนของพพจ. ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปถูกแก้ เรียกว่าศาสนาพุทธแต่คำสอนถูกแก้ พพจ.ว่าเขาจะไปหลวงแต่คำสอนที่ให้เขาถูกใจ ซึ่งมีแต่โลกียะ หลงโลก คำสอนที่เป็นโลกุตระจะไม่เอา เป็นคำสอนสมัยใหม่เป็นคำสอนที่เป็นทุนนิยม เป็นโลกียะจัดจ้าน ตำราเดี๋ยวนี้เป็นตำราทุนนิยม ตำราเศรษฐกิจ maximize prifit ต้องรวยยอดเลย แข่งกันรวยทั้งนั้น แย่งกันรวยอย่างเดียว ตำราที่พิมพ์มาขายคือมีวิธีสร้างความรวย ซื้อกันแหลกเลย ถ้าจะทำตำรา ทำอย่างไรจะจน จะมีคนซื้อบ้างไหม มี แต่จะมีน้อยเพราะคนที่มีปัญญาจะมีน้อย พระราชดำรัสนี้ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะเขาเข้าไม่ถึงคำตรัสนี้ พค.ขอยืนยันว่าเข้าถึงคำตรัสของในหลวง มีข้อมูลว่าหลังจากที่พระองค์ตรัสกับรมต.เกาหลีแล้วก็มาเรียบเรียงแล้วพูดในมหาสมาคมอีกในภายหลัง

10/12/2555 19:08:22 ในหลวงตรัสว่า เราไม่อยากจะเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก บอกถึงพระทัยเลยว่าไม่อยาก แต่ฝ่ายแดงเขาครอบงำปชช.อย่างพระสารีบุตรหลังจากที่จะไปพบพพจ.ก็ไปชวนอาจารย์ คือสัญไชยเวลันทบุตร แต่ก็ปฏิเสธ แล้วบอกถามพระสารีบุตรว่า คนในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก พระสารีบุตรตอบว่ามีคนโง่มาก อาจารย์สัญชัย ก็บอกว่าเราเลือกอยู่กับคนโง่หมู่มาก

ส.เดินดินว่า อยากเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต

พค.บอกว่าเหมือนปชช.ที่ถูกหลอกว่า จะให้รวยกันทุกคนภายในหกปี แล้วจริงๆใครรวย ปชช.หรือตระกูลนั้นรวย ขออภัยที่พูดแรงผ่า นี่เป็นความจริงไม่ได้พูดให้สะใจ แต่พูดให้ถึงใจคนที่เป็นคนฉลาดแกมโกง จะหาพวกจะให้รวยๆ เขาทำไม่ได้หรอกแต่คนก็เชื่อ ก็ได้พวก แต่ก็พิพากษากันในวันที่ 5 ปรากฏว่าคนยังเอาแบบคนจนอยู่นะ อย่างที่ในหลวงตรัสมันต่างจากที่พวกแดงเขาพูดนะ เขาจะให้มารวย ในหลวงจะให้มาจน

10/12/2555 19:13:46 เราไม่อยากเป็นปท.ก้าวหน้าอย่างมาก คือเป็นมหาอำนาจที่คนจะสยบด้วยอำนาจ Force ไม่ใช่อำนาจคุณธรรมแท้จริงที่เสียสละอย่างซื่อสัตย์สะอาด ชาวอโศกยืนยันประพฤติอย่างนี้อยู่ เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมา ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านต้องตรัสอย่างมีภูมิปัญญา ไม่ใช่ตรัสเฉพาะส่วนด้วย ตรัสออกไปทั่วโลก มันก็ไปกระทบบอกความจริงไปทั่วโลก ว่าประเทศที่ก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านยืนยันว่าเขาถอยหลัง ในประเทศอุตสาหกรรมเขาก็ขายสินค้าแบบทุนนิยมค้าแบบขูดรีดเขาก็รวย ถ้าอุตสาหกรรมนั้นเทียบกับกสิกรรม ที่ในหลวงพาทำอยู่มาก เน้นกสิกรรม มีอุตสาหกรรมประดิษฐ์บ้างไม่มาก แต่ถ้ากสิกรรมจะค้าแบบอุตสาหกรรมจะค้าแบบแพงๆ จริงๆข้าวนี่จำเป็นกว่าเครื่องมือทางวิศวกรรม ซึ่งสำคัญน้อยกว่าผลผลิตกสิกรรม ยกตัวอย่างอาวุธฆ่ามนุษย์มันทำกำไรเท่าไหร่ ตีราคาเท่าไหร่ แต่ถ้ากสิกรรมจะตีราคาสูงๆ อย่างอาวุธบ้าง เอากำไรอย่างอาวุธบ้าง โลกจะฉิบหายไหม เพราะคนจนหรือรวยต้องกิน เขาจะเอาอาวุธไปทำไม หรือแม้แต่เครื่องใช้อุปโภค ความสำคัญก็น้อยกว่าบริโภค พพจ.จึงตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวไม่ใช่สินค้าแต่เป็นอาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน จะมาทำข้าวให้ราคาแพงไม่ส่งเสริม ชาวนาชาวสวนนี่แหละคนมีบุญ แต่คนที่ทำอุตสาหกรรมที่จริงคือคนบาป และตีราคาให้สูงกว่ากสิกรรมไม่ถูก เพราะฉะนั้นการตีราคาอุตสาหกรรมให้มากให้เจริญจึงเป็นการถอยหลัง แต่อันนั้นเหนือกว่าจำเป็นกว่าแต่ขายราคาถูกกว่า นี่คือแบบคนจน แบบนั้นจึงเป็นการถอยหลัง ถอยหลังอย่างน่ากลัว

10/12/2555 19:21:44 ตัวอย่างประเทศที่เป็นมหาอำนาจ เทคโนโลยีเก่งๆ เราก็อาศัยอยู่บ้าง แต่ว่าแนวคิดเชิงคิดคุณธรรมมันไม่ใช่เอาเปรียบไม่ใช่คุณธรรมการช่วยคนอื่นให้มากเป็นคุณธรรม จริงๆพวกอุตสาหกรรม ควรราคาถูก บริโภคควรอยู่สูงกว่าอุปโภค อย่างนี้เป็นต้น

10/12/2555 19:23:05 แต่ถ้าเริ่มมีการบริหาร ที่ท่านทรงประพฤติ ท่านก็บอกแก่ผู้บริหารอื่นๆ ถ้าบริหารแบบคนจน คณะรมต.ขณะนี้เป็นแดง และบริหารแบบคนรวย เขาสอนให้คนจนไม่ได้หรอก เขาจะให้คนมาพัฒนาแบบคนจนไม่ได้หรอก แต่ในหลวงท่านก็เอาแบบคนจน ท่านก็เป็นผู้บริหารใช่ไหม แต่ทำไมนักบริหารไม่เอาไปศึกษาไปทำแบบในหลวง ไม่หูกระดิกเลย

ส.เดินดินแทรกว่า...วัดที่สอนให้คนมารวย คนถูกปอกลอกกันจนหมดตัว เร็วๆนี้ยายที่ป่วยอยู่ถูกหลอกว่าถ้าทำบุญจะหายป่วย น้องสาวเอาเงินไปทำบุญหมดไปหลายแสน เมื่อยายกลับบ้านมาแทบจะเป็นลม

10/12/2555 19:25:52 พค.ว่าพฤติกรรมมันส่อความจริง เรามีความเข้าใจอย่างนี้ก็ทำเช่นนี้ เขาเข้าใจเช่นนั้นก็ทำเช่นนั้น

10/12/2555 19:26:25 ที่ในหลวงบอกว่า แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี้แหละ คือเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำงานตามวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก "อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้อง เปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง

10/12/2555 19:28:43 เพราะพค.ไม่ได้ไปเรียนตำราเหล่านั้นมันต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้คือมาเป็นคนจน เลยไม่ต้องปิดตำรา เพราะไม่ได้เรียนมาแต่ต้น

วิชาการในตำราในโลกล้วนแล้วแต่พาให้รวย แต่ในหลวงท่านพาให้มาจน อย่าไปเอากำไรอย่างที่โลกเขาทำ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตรัสตรงๆ แต่คนเข้าใจยากเพราะกิเลสมันมาก พพจ.สอนให้ทำอย่างมีลำดับ อย่างที่พค.พาทำ ใครจะมาก็ค่อยๆมาค่อยๆเป็นไป ก็มั่นใจว่าจะเป็นทางรอดทางออกที่ชัดเจนที่สุดเป็นสุขจริง แล้วจะช่วยโลก เป็นคนจนมหัศจรรย์ ไม่จนเพราะเห่อตามสังคมสุรุ่ยสุร่าย ขี้่เกียจ

ในหลวงตรัสว่าอย่าไปทำตามตำราเขา คนที่จะมีปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญปางเตมีย์ใบ้และปางพระมหาชนก ซักวันจะเจอนางเมขลา ซึ่งก็คือปชช.นั่นเอง จะต้องมีราชประชาสมาสัย ราชและประชาพึ่งพาอาศัยรวมกัน

10/12/2555 19:33:56 ในวันที่ 5 ธันวาฯ 55 เป็นปรากฏการณ์ราชประชาสมาสัย ปชช.จะร่วมกันพระมหากษัตริย์ ท่านก็ทรงร่วมกับปชช.ด้วย ท่านจึงตรัสว่าท่านรู้สึกประทับใจปลาบปลื้มใจที่มีปชช.มาอย่างนี้ ท่านขอบพระทัยผู้ที่ช่วยทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และปชช. ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจและ............ความพร้อมเพรียงสามัคคีจะเกิดเพราะมีความปรารถนาดีต่อกัน

10/12/2555 19:35:51 พค.พูดต่อว่า พค.ที่พูดตอกย้ำนั้นพูดด้วยความปรารถนา พูดว่าลูกที่สอนไม่ฟัง พูดย้ำปากเปียกปากแฉะ เป็นความปรารถนาดีอย่างพ่อแม่ ไม่ใช่พูดเพราะอยากจะโขกสับ เป็นการทำด้วยความปรารถนาดีอย่างที่ในหลวงตรัส

10/12/2555 19:37:48 สรุปแล้วจะเป็นความพากเพียร เป็นความพยายามที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงเป็นคุณธรรมทั้งสิ้น พาพวกเราทำไปเสียสละ ไปขายของถูก ไปแจก ไปรับใช้สังคม ทั้งที่เราจน อย่างที่ในหลวงตรัส ให้ผู้ตรวจเงินแผ่นดินมาตรวจเลย เฉลี่ยเงินที่มีในอโศกทุกแห่ง มาเฉลี่ยแบ่งทุกคนจะมีเท่าไหร่ ทุกคนมีสมรรถภาพทำงานถ้าคิดราคาแรงงานตามโลก พวกเราจะมีรายได้วันละเท่าไหร่ พวกเรามาอยู่นี่ไม่ได้มีเงินเดือน ทำงานก็ถัวเฉลี่ยก็พอกินพอใช้มีเหลือแบ่งสู่สังคม ทำตามพพจ.สั่งสอน มั่นใจว่าเป็นจริง เกิดมรรคผลที่พวกเราได้เปลี่ยนแปลงชีวิตจากแต่ก่อนก็เอาเปรียบเอารัดแต่ปัจจุบันมาทำงานหนักอย่างเต็มใจ

10/12/2555 19:41:01 วันนี้ไปที่ศีรษะอโศก ก็เปรยๆว่ามาช่วยทางนี้ได้ไหม ผู้ที่ทำเต็นท์ในงาน ก็ไม่ได้เงินได้ทอง ไปทำฟรี เขาทำด้วยจิตด้วยใจต้องเทิดทูนน้ำใจคนพวกนี้ ถ้าเป็นงานทางโลกตีราคาก็จะได้ไม่ใช่น้อยเลย เป็นความจริงที่ซับซ้อนที่คนไม่เข้าใจ ที่พูดไม่ได้อวดอ้างหรอก แต่พวกที่ขี้โกงก็อวดดันจัง อย่างพวกเราที่มาจนไม่เห็นมีใครมาสัมภาษณ์ไปโฆษณากันให้มาก มีแต่ไปสัมภาษณ์คนรวยออกไป ส.เดินดินแทรกว่าเพราะเขารู้ว่าออกไปแล้วขายไม่ได้ ขายไม่ออก

10/12/2555 19:43:44 พค.ก็ยังเห็นว่าวันหนึ่งข้างหน้าคนจะเข้าใจในสิ่งที่ควรเปิดเผยควรชี้ชวน อย่างดาราที่กระแด็กๆ ออกงานอีเว้นตีราคางานมากมาย เป็นล้านรวยเละเลย ก็เป็นตัวอย่างประโคมกันหาเงินได้ร่ำรวยกัน ทั้งโลกก็ทำเช่นนั้นอย่างเราก็มาทำกันอย่างอุตสาหวิริยะไม่เห็นมีใครมาชมชื่นก็ไม่เป็นอะไร เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ซึ่งคนเข้าใจยาก

10/12/2555 19:45:39 ความเป็นปชต.ที่มีคุณธรรมคือ ปชต.ที่ทำเพื่อปชช.เสียสละเพื่อปชช.ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หากินบนความเป็นปชช.ไม่กวาดเอารายได้จากการอาศัยปชช.เป็นตัวอ้าง หรือมีวิธีการผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างนี้กำไรของเราคือขาดทุนของปชช. เขาก็ทำอย่างนี้พวกทุนนิยม แล้วหลอกว่าปชช.จะรวยปชช.จะได้แต่ผลประโยชน์ตกแก่นายทุน ซึ่งเป็นลัทธิที่เลวร้ายมากเลย ตอนนี้ประเทศที่รุ่งเรืองด้านทุนนิยมสูงสุดคือสหรัฐอเมริกา ตอนนี้กำลังจะผลัดเปลี่ยนเป็นจีนซึ่งจีนเขาเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งจะคลุมเครือว่าจะมารวยหรือจน แต่พุทธนี่ชัดเจนเลยว่ามาจน มาลดกิเลส จนเพราะพอจริงๆ คอมฯเขาไม่มีวิชชาจะสอนให้คนเขาก็กดข่มบังคับ ขูดรีดจากคนที่ได้มากมาเฉลี่ยกัน ก็ไปไม่รอด ทางจีนตอนนี้ก็ใช้ทุนนิยาประสาน ซึ่งพลเมืองเขามาก เขาก็ไม่ได้สอนให้มาลดละ ตอนนี้จีนก็แย่งชิงกันหนักขึ้น แล้วเขาก็จะแย่งได้ เพราะคนเขามากแล้วเขาฉลาดด้วย ไม่นานเขาก็จะเป็นมหาอำนาจอย่างที่ประเทศอื่นๆเป็น ลักษณะของโลกีย์คือสมบัติผลัดกันชม เขากำลังจะถอยหลังไม่ใช่ก้าวหน้า

10/12/2555 19:51:33 ถ้าเทียบจีนกับอินเดีย อินเดียเป็นคุณธรรมคือจิตวิญญาณที่ยอมยกให้พระเจ้าหรืออย่างปทท.ที่ยอมให้ในหลวงทั้งที่่่ท่านไม่ได้ครอบงำความคิดปชช.ให้รู้เองเห็นเอง ที่พระองค์และข้าราชบริพารประพฤติแม้รบ.บริหารไม่สอดคล้องกับพระองค์ ความเป็นปชต.ที่พระองค์พาทำ กับปชต.ที่รบ.หลายยุคพาทำไม่ได้สอดคล้องกัน จะบอกว่าแบบทหารก็มีในยุคของท่าน จะบอกว่าแบบปชช.ก็ไม่สอดคล้องกับพระองค์ คือจะเอาแบบคนรวยไม่เอาแบบคนจน เพราะฉะนั้นถ้าจะมาเอาแบบคนจน ต้องมีคุณธรรม เมื่อทำได้แล้วถาวรด้วยเพราะไม่ได้กดขี่แบบคอมมูน ซึ่งจะกดขี่ ส่วนปชต.นั้นให้อิสระ ซึ่งต้องสอนให้เสียสละเห็นแก่ตัวน้อยลง จนกระทั่งไม่เห็นแก่ตัวต้องให้เป็นจริงเมื่อจิตใจเป็นอย่างนั้นถาวร จะเกิดความสามัคคี เช่นชาวอโศก ไม่ได้บอกว่าทำแล้วจะได้อะไรแม้แต่สรรเสริญ ทำแล้วก็หายไป คุณธรรมของพพจ.ที่เป็นโลกุตระต้องอย่างนี้ถึงได้ พพจ.บอกว่าต่อไปคนจะไม่เอาแบบโลกุตระเข้าใจไม่ได้ โลกุตระคือจิตอยู่เหนือโลกีย์ แล้วก็ไม่ได้หนีโลก ต่างจากโลกันต์ที่หนีโลก โลกุตระคือต้องเหนือโลก แล้วต้องมีโลกะวิทูเรียนรู้โลกจึงจะช่วยโลก จะมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิ

10/12/2555 19:57:44 ถ้าการศึกษาในปทท.เปลี่ยนเป็นศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา และผู้ทำเป็นโลกุตระ 7 ปียกไว้ ถ้าวงการศาสนาพุทธในไทยเป็นโลกุตรธรรม ปทท.จะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะหลักฐานทางศาสนาก็ไม่เป็นโลกุตรธรรม ขออภัยที่เห็นต่างท่านจะยืนยันว่าท่านเป็นโลกุตระก็แล้วแต่ท่าน ไม่ได้ไปเอาชนะคะคาน ขอเป็นผู้แพ้แต่ไม่หยุด แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง

10/12/2555 19:59:59 ส.เดินดินสรุป...วันนี้เราก็คงจะแยกแยะได้ว่าปชต.ที่มีคุณธรรมกับปชต.ที่ไม่มีคุณธรรมคือ force กับ Authority คือใช้ธรรมเป็นอำนาจอย่างที่ในหลวงท่านตรัสว่าจะทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เป็นภาพที่คนไทยเกิดมาก็จะได้จดจำ แต่ปชต.ที่ไม่มีคุณธรรมก็ใช้ทุกวิถีทางเผด็จการเพื่อให้ได้อย่างที่ตนต้องการ ในไทยก็จะเห็นสภาพสองสภาพ ใช้ความฉลาดทั้งคู่ บางทีใช้คำเหมือนกัน เช่นวันนี้ที่พค.ว่าในสังคมไหนๆก็ต้องมีผู้นำเบอร์หนึ่ง ต้องมาดูว่าอย่างพค.เป็นผู้นำอโศกใช้การบริหารแบบไหน ใช้ force หรือ authority ตอนนี้สังคมก็มีฝ่ายแดงฝ่ายเหลือง ก็ใช้คำว่าผู้มีบารมีนอกรธน.เหมือนกัน วันนี้ฝ่ายแดงเขามีแรลลี่ว่าเป็นขี้ข้าทักษิณแล้วจะทำไป จุดจบความภาคภูมิใจของปชช.คือได้เป็นขี้ข้าทักษิณ อีกฝ่ายก็เหมือนกันก็ขอเป็นข้าพระบาทเช่นกัน คงต้องให้พ่อครูมาอธิบายกันต่อไป ...จบ

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:26:19 )

551219

รายละเอียด

551219_รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและส.เดินดิน เรื่อง ดับอวิชชา ดับเหตุแห่งกองทุกข์ ตอนที่ 7 (สิ้นภพก็จบชาติ )

ส.เดินดินเปิดรายการ...ว่าด้วยเรื่องของวันสิ้นโลกว่าเรากำหนดอะไรไม่ได้ แต่ทำอย่างไรเราจะสิ้นโลกที่เวียนวายตายเกิดอยู่ในโลกแห่งอบายมุข ในกามคุณ ในโลกธรรม

ความกังวลเหล่านี้จะหมดไปถ้าเรามีความชัดเจนในชีวิต ถ้าเรามีพลัง 4 ก็จะพ้นจากภัยทั้ง 5 ได้ พ่อครูทั้งสอน ทั้งพาฝึกอยู่ตลอดเวลาด้วย ดังนั้นในแวดวงอโศกจึงไม่ค่อยไตื่นเต้นกับการสิ้นโลกซักเท่าไหร่ แต่เรามาให้ความสำคัญในการสิ้นชาติที่เกิดตายในจิตวิญญาณเราต่างหาก

19/12/2555 18:09:45 พ่อครูได้อธิบายเนื้อความในพระไตรปิฏกเล่ม 16 ต่ออีก ซึ่งได้เทศนามาได้หลายตอน เป็นเนื้อหาของปฏิจจสมุปบาท

19/12/2555 18:14:50 พ่อครูได้เน้นให้ความสำคัญในเรื่องของชาติ ให้เราปฏิบัติได้อย่างไม่เสียชาติเกิด มีเกณฑ์ขั้นต้นที่ศีล 5 อย่างน้อยแม้จิตยังไม่เกิดจำเพาะ(คือการเกิดทางจิตวิญญาณ) แม้ว่าจิตยังไม่เกิดแต่สามารถให้การกระทำภายนอก เช่นทางทวาร 5 มีความหลงในกามคุณไม่จัดจ้านเกิน ทั้งทางกาย วาจา ใจ สรุปว่าทั้งกายและวจีไม่ละเมิด ก็ยังถือว่าไม่ก่อบาปใหม่ ถ้ายังไปผิดศีล ก็ยังก่อบาป ทั้งๆที่เราเป็นเมืองพุทธแต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ผู้ที่มีบุญเก่าไม่ละเมิดก็แล้วไป แต่ผู้ที่มีบุญเก่าอยู่แต่ไม่มีใครสอนต่อ ก็ตายไปเปล่า บางทีเพิ่มแต่บาป เป็นปุถุชน บาปหนาขึ้นเรื่อยๆ มันน่าเสียดายชาติที่เกิดมา แล้วไปหลงระเริงที่เขาหลอกให้บำเรอกิเลส ได้ผิดศีล และได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โกหกไปเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญ กาม อัตตา และยังใช้สติปัญญาไปแสวงหามาเสพติดเพิ่มขึ้นอีก ก็เลยยิ่งหนักซ้ำเติมเข้าไปอีก

19/12/2555 18:19:21 พ่อครูมีเจตนาดี มีความเมตตาเห็นใจที่คนวนเวียนในวัฏสงสาร ตกต่ำไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นกลียุคในยุคนี้ ยิ่งหลงหนักหนาสาหัส แต่ก็ไม่มีทางเลี่ยงที่พ่อครูต้องยิ่งชี้ชัดในบาป ชี้อย่างเร็ว อย่างแรง ผ่า มันก็ต้องไปกระทบ ไปถูกคนที่มีกิเลสเหล่านั้น แต่คนที่ฟังด้วยดี ย่อมได้รับปัญญา ก็เข้าใจ แล้วจะสำนึกแล้วรีบเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขมีขมันศึกษาปฏิบัติ พ่อครูยิ่งพูดแรง เน้นหนัก บางคนดูว่าสภาพเช่นนี้ไม่ใช่พระอาริยะ แต่พ่อครูใช้ลีลาแรง เพราะยุคนี้คนกิเลสหนา แข็ง ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งเป็นยุคจัดจ้าน

19/12/2555 18:22:55 ในยุคนี้บางคนที่มีกิเลส จะสร้างอัตตาตัวเองด้วยการทำภาพพจน์ให้ดูดี ดูน่าเลื่อมใส แต่อย่างนั้นพ่อครูเห็นว่าไม่มีฤทธิ์ในการชำแรกกิเลส ลอกกิเลสได้ ซึ่งพ่อครูทำงานมาก็ได้เป็นกอบเป็นกำ ได้ผลเป็นมวลแน่น เป็นมวลเอกภาพเป็นปึกแผ่น เป็นคนที่มีศีลสามัญตาทิฏฐิสามัญตา มีเมตตา กายวจีมโน ทั้งอาชีพ ก็มีเมตตา ไม่เอาเปรียบเอารัด เป็นอาชีพที่เอื้อเฟื้อเจือจานผู้อื่น เป็นพฤติที่เห็นได้ว่าเป็นพรหมวิหาร 4 ผู้ช่วยโลกช่วยมนุษยชาติ

19/12/2555 18:28:40 ภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามภพ เราต้องอ่านต้องรู้ว่ามันคืออะไรอย่างไร อาการกามคือความใคร่อยาก กามนี่เป็นคำรวม คำว่าโลภะ คือการรวมเอามาเป็นของตน

คำว่าราคะหรือกาม คือได้มาเสพรส

อาการอารมณ์รสนั้นอ่านยาก ในกามภพ คำว่ารส เป็นการเสพรส เมื่อมีการสัมผัส ถ้าไม่ได้สัมผัสมันไม่ได้รสจริง คุณปั้นสร้างเองได้เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มโนมยอัตตา ได้แต่มันไม่ง่าย และไม่มีเหตุปัจจัยจริงลมๆแล้งๆ ส่วนการสัมผัสจริงๆทางทวาร 5 แต่คุณเพี้ยนมีการปรุงแต่งจากความเป็นจริงของมัน ปรุงแต่งแล้วมีการชอบหรือชัง ก็เกิดรส คือรสชอบ รสไม่ชอบ คืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ในรูปตามความเป็นจริงทุกคนก็เห็นเหมือนกัน แต่การปรุงแต่งของแต่ละคนไม่เท่าไม่เหมือนกัน มีทั้งที่ขนาดต่างกัน หรือไม่ชอบหรือชอบต่างกันก็ได้ รสนั้นเป็นของไม่เที่ยง แปรปรวนไป พอได้เสพสมใจได้สุขก็เป็นอาการของเทวดา ในพวกที่นั่งสมาธิก็ไปเสพอาการสงบเป็นการเสพรูปภพ อรูปภพ โดยไม่เข้าใจสภาวะจริงของภพ

19/12/2555 18:38:10 ผู้ที่ตั้งใจเรียน ว.บบบ. ข้อสอบจะอยู่ในนี้ไม่น้อย ซึ่งเป็นระดับสูง ระดับลึกไม่น้อย

19/12/2555 18:40:15 สุขที่สัมผัสปุ๊บ คือคุณมีสังขารธรรมด้วยอวิชชา ซึ่งเป็นอัตโนมัติของผู้อวิชชาทุกคน พอสังขารก็อยู่ในภพเลย ถ้าเป็นกามภพ คือเมื่อสัมผัสทางทวาร 5 ก็จะเกิดเวทนาทันทีโดยสามัญ เป็นสมมุติสัจจะ แต่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่ามีปรมัตถสัจจะ ที่เหนือกว่าสมมุติสัจจะ

19/12/2555 18:43:27 อารมณ์คือเวทนา มันไม่เที่ยง ความสุขมันปลอม มันไม่จริง พอสัมผัสแล้วมันเกิด พอไม่มีสัมผัสมันก็ขาดไป ที่บอกว่าสุขหรือทุกข์ก็ไม่มีแล้ว มันไม่มีตัวตนหรอก พอคุณสัมผัสปุ๊ปมันก็ปรุงแต่งด้วยอวิชชา มีอุปาทานเป็นตัวตั้ง พอทำงานก็เป็นตัณหา เมื่อมันตรงกับอุปาทาน ก็ไปเอามา ส่วนที่ไม่ตรงกับอุปาทาน มันก็จะทำลายเลย เอาออกไป ยกตัวอย่างที่เป็นข่าวว่าผัวซ้อมเมียเสียชีวิตเพราะทำอาหารไม่ถูกปาก เป็นต้น

19/12/2555 18:46:40 พ่อครูไอ...ส.เดินดินจึงสรุปต่อว่า คนไม่ค่อยตื่นเต้นกับวิญญาณที่เกิดอยู่ตลอดเวลาทางทวารของเรา แต่ไปตื่นเต้นกับวิญญาณที่คนเขาหลอกว่ามีอยู่นอกตัวเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งพ่อครูมาสาธยายต่อว่า...ทุกวันนี้มันเพี้ยนไปแล้ว จริงๆ วิญญาณจะเกิดต่อเมื่อมี ทวาร ตาหูจมูกลิ้นกาย และมี รูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสกาย มาเป็นองค์ประชุม เมื่อได้มาสัมผัสก็เป็นสุขหรือทุกข์ ถ้าไม่มีสัมผัส วิญญาณ ไม่เกิด ถ้ามีการกระทบแล้วคุณก็อ่านวิญญาณนี้ออกนั่นคือคุณมี นามรูปปริเฉทญาณ รู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

อ่านอาการเมื่อมีผัสสะ จับนิมิตให้ได้เมื่อมีผัสสะ แล้วมันจะเห็นความต่างเรียกว่าลิงค ความต่างนี้อย่างน้อยก็ต่างที่สุขหรือทุกข์ หรืออื่นๆ และจะเห็นได้ว่าความสุขนั้นมันเป็นเท็จ มันไม่เที่ยง

            19/12/2555 18:56:25 พระอรหันต์ก็สัมผัสเช่นเดียวกับปุถุชน เช่นฟักทองลูกนี้ที่ตรงหน้า ถ้าคนปุถุชนได้เห็นได้สัมผัส คุณก็เห็นว่าชื่นชอบ มีความสุขเมื่อได้สัมผัส ซึ่งจริงๆมันมีอยู่แป๊บเดียว แต่คุณก็ยิ่งไปจดจำ สัญญามันไว้ หรือจะบ้าปรุงแต่งไปให้ยิ่งกว่านี้อีก มันก็ยึดไปเรื่อยๆ บ้าไม่มีที่จบ ถ้าคุณเป็นอรหันต์ฝึกจนเห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นโทษภัยของการไปยึดไว้ว่ามันเป็นสุข เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ที่ต้องไปแย่งชิงเขาอีก แต่จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่เที่ยง ความสุขมันอยู่แต่ในความทรงจำ สัญญา ไม่ใช่ สัจจะ

19/12/2555 18:59:53 ในพระไตรปิฎก ล. 16 ข้อ 14

[14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

19/12/2555 19:03:17 ถ้าเป็นพระอาริยะตั้งแต่พระอนาคามีเป็นต้นไป เมื่อมีสัมผัสทางทวาร 5 ภายนอก ก็รู้ความจริงที่เป็นสมมุติตามที่คนรู้ แต่ไม่มีชาติ ไม่มีสุขหรือทุกข์ แต่ถ้าเป็นอนาคามีอาจมีเหลือระริกระรี้อยู่ภายใน ถ้าเป็นอรหันต์แล้วไม่มี กลางๆเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่านิโรธ คือดับชาติของเทวดาและสัตว์นรก เพราะรู้แล้วว่าเป็นเทวดาเก๊ ปฏิบัติแล้วอุปาทานตายแล้ว รู้จริงตามจริงด้วยปัญญา แต่ไม่มีโลกียรส ไม่มีตัวตนของตัณหาอุปาทาน ไม่มีชาติแล้ว ไม่มีตัวที่เกิดเป็น อภินัพพัตติ ไม่มีการเกิดทางจิตวิญญาณ แม้จะมีมโนสัญเจตนา เช่นเดี๋ยวไปเอาฟักทองอันนี้ลูกสวยๆมา เพื่อทำอาหาร เพื่อที่จะกินเอาธาตุอาหาร แต่ไม่เอาไปเสพรส อย่างนี้เป็นต้น

19/12/2555 19:07:33 ทุกข์เป็นอาริยสัจแต่สุขนั้นเป็นอัลลิกะ เพราะสุขนั้นเกิดเพียงแว้บเดียว ที่เหลือคือความทรงจำ สัญญา ไม่ใช่ความจริง ระลึกมาเป็นสัญญาเท่านั้น อาจมีเวทนาได้ เป็นรูปารมณ์ อรูปารมณ์ สำเร็จอารมณ์นั้นด้วยสัญญา ไม่ได้มีจริง คุณเอาความจำมาปรุง ของที่ผ่านไปแล้วไม่ให้ผ่านไปแล้ว เหมือนเอาขี้ที่ออกจากก้นมาแล้วมาขยำมันใหม่อีก ถ้าปัจจุบันแล้วคุณสัมผัส จึงอ่านวิญญาณได้ จะเห็นผีเห็นวิญญาณได้จริง

19/12/2555 19:14:06 พ่อครูพักเพื่อฉันยาลดอาการไอ...

19/12/2555 19:15:47 ต้องเชื่อตามหลักกาลามสูตร ฟังให้ละเอียดแล้วเอาไปพากเพียรปฏิบัติ ซึ่งพระพุทธเข้าท่านให้ตั้งต้นที่ กามภพ สุขนั้นไม่มีจริงแต่ทุกข์นั้นมีจริง สุขมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป สุขมันไม่แน่ไม่นอน ตอนแรกกินก็อร่อยสุข พอกินเข้าไปเต็มท้องความอร่อยก็หายไปไม่อยากกินแล้ว ความอร่อยไม่เที่ยง มันทำให้เราเป็นทาส ต้องไปหามาบำเรอมัน เช่นกามตายด้าน ก็ต้องไปหาไวอะกร้ามาเพื่อปลุกกาม กามเรื่องเพศนั้นรวมหมดเลย ทางตาหูจมูกลิ้นกายและใจ เป็นสุขเป็นทุกข์ บำเรอกิเลสให้จัดจ้าน

19/12/2555 19:19:51 ส่วนทุกข์นั้นเป็นอาริยสัจของผู้ประเสิรฐ ถ้าไปยึดเป็นอุปาทาน ตัณหาอยู่มันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ต่อไป

19/12/2555 19:20:16 ต้นยิ่งกว่ากามภพ ก็คือ อบายภพ ผู้ที่ฉลาดรอบรู้ดับอบายภพ ก็เป็นผู้ฉลาดรอบรู้ลำดับที่ 1 ของศาสนาพุทธ คือพระโสดาบัน โสดาปัตติยังคะ คือศีล 5 (องค์คุณของโสดาบัน)

19/12/2555 19:23:57 ศีลข้อ1 อย่าฆ่า อาหารไม่ต้องมีเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้ แล้วจะมีปัญญาว่าพืชก็เป็นอาหาร พืชเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครอง ส่วนสัตว์นั้นมีวิญญาณครอง มีกรรม มีการจองเวรจองกรรมกันได้ เราไม่จองเวรจองกรรมกับใคร ไม่ต้องไปผูกพยาบาทกับใคร แม้ใครจะมาทำร้ายเราเราก็ไม่ผู้พยาบาท เราหยุดแล้ว

19/12/2555 19:26:30 ความรักผูกพันนั้นเราก็ไม่เอา มีแต่รักแบบช่วยเหลือเกื้อกูล และไม่ไปจดจำเพื่อเอามาเป็นบุญคุณ หรือให้เขามาตอบแทนเราอีก สำหรับผู้ที่มีความกตัญญูเขาก็จะหาทางตอบแทนเอง

19/12/2555 19:29:01 เรื่องภพ พระพุทธเจ้าจึงให้ดับที่กามภพต่อ ซึ่งแจกแจงต่อไปคือให้ดับอบายภพก่อน ให้รู้วิญญาณสัตว์ที่เกิดขณะมีผัสสะ อย่าไปรู้แต่ว่ามีวิญญาณเมื่อตอนกายแตกตาย ซึ่งวิญญาณอย่างนั้นมันแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ให้รู้วิญญาณที่เป็นสัตว์แท้ๆในขณะที่ยังเป็นๆอยู่ แล้วทำให้ความเป็นสัตว์ทั้งสัตว์เทวดาสัตว์สวรรค์และสัตว์นรกตายไป ด้วยการดับเหตุที่ทำให้สุขทุกข์ กามภพเรื่องหยาบเมื่อดับได้จะเหลือในรูปภพ อรูปภพ

19/12/2555 19:31:37 เช่นสิ่งเสพติดต่างๆ บางอย่างทำลายระบบประสาท บางคนทำขายมอมเมาเขา แล้วเอาเงินไปสร้างอำนาจต่อ เท่ากับคุณฆ่าคนตาย แล้วเอาเนื้อคนตายไปแจกคนอื่นให้เขายินดีกับเรา ให้เขาคิดว่าเราเป็นประโยชน์ เช่นเดียวกับการเอารายได้จากน้ำเมาเอาไปสร้างโรงพยาบาล บริจาคโรงเรียน ซึ่งเป็นแค่เศษเงิน ส่วนใหญ่คุณเอาไปเสพ เอามาเป็นของกู มาเป็นอัตตา ตอนนี้มีสามหมื่นล้าน ถ้าลดลงมาไม่ได้ ต้องให้มันเพิ่มขึ้นอีก ก่อนจะตายต้องให้ได้แสนล้าน แล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน การสร้างบาปนี้ เรียกว่าอบายมุข ซึ่งเขาไม่ฟังหรอก เขาถือว่าเป็นสิ่งสำเร็จของชีวิต ได้ขึ้นป้ายว่าเป็นเศรษฐีท็อปของประเทศ แม้ไม่มอมเมา คุณเป็นเศรษฐีโดยเอาสัตว์มาเลี้ยงเพื่อขายแบบอัดฉีดให้มันโตไว ทำเป็นอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก คุณฆ่าไก่ เอาชีวิตสัตว์มาเป็นเครื่องมือโลภให้แก่ตัวเอง อีกมากมาย

19/12/2555 19:35:53 ให้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอบายภพ บางอย่างแฝงมาในสิ่งบันเทิงเริงรมย์เป็นยอดมหาอบายมุข แม้แต่อบายมุข 6 ก็ให้เลิกเสียเถิด การผิดศีล 5 การฆ่า การพูดปด การเสพกาม การเสพติดในสิ่งต่างๆ รวมทั้งการงาน ก็มีทุจริตอยู่ในนั้น อะไรที่ทุจริตอบายมุขทั้งนั้น อะไรที่ผิดศีล 5 อบายมุขทั้งนั้น

19/12/2555 19:37:59 ขั้นต้นผู้ที่ไม่ละเมิดศีล 5 ได้คืออาริยบุคคลขั้นต้น ถ้าทางกาย วาจา ไม่ละเมิด แม้จิตคุณยังมีอาการ ถ้าอาการแรงคุณก็ต้องออกมาข้างนอก แต่ถ้าคุณทนได้แม้น้ำตานองหน้า คุณก็ตัดโคตรมาเป็นโคตรภูบุคคล จนจิตมันลดมันจางคลาย จิตมันไม่เกิด มีปัญญารู้ชัดเจน มีโคตรภูญาณ รู้ว่าโคตรของสัตว์อบายไม่เกิดแล้ว

19/12/2555 19:41:56 อนาคามี แม้กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่ต้องทน สิ่งที่เราชอบ จะทนได้ไม่ต้องเอามาเสพให้ได้สมใจแล้ว แต่ภายในใจจะละอายว่าเรายังมีเศษเหลือของกิเลสอยู่ มันเกรงกลัวสิ่งที่ชั่วมากพอ จิตจะแข็งแรง ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ทนได้ไม่สวาปาม แต่มีกิเลสในจิต ถ้าหยาบเรียกว่ารูป ถ้าละเอียดเรียกว่าอรูป เป็นฌาน 4 จะสำนึกว่าเรายังไม่ดี guilty จะเห็นกิเลสว่าเป็นพิษภัย แม้เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ส่วนมานะอุทธัจจะก็เป็นธุลีละออง

19/12/2555 19:42:52 ในกามภพ ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ แม้อนาคามี ปฏิบัติรูปภพ อรูปภพ ก็ต้องมีสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ในการปฏิบัติฌาน มีส่วนที่ชำระได้ให้ผลแก่ขันธ์ และมีส่วนที่เหลือที่ต้องชำระอยู่

19/12/2555 19:44:25 อาการที่มันซ้อนละเอียดมีได้ถึง เป็นอรหัตผลในอบาย ในวิโมกข์ 8 จะต้องสัมผัสด้วยกาย (กาเยน ผุสิตวา วิหรติ) มีกายสักขี ถ้าคุณมีองค์ประกอบภายนอกพร้อม แล้วสัมผัสอยู่ เป็นปัจจุบัน แล้วคุณมีปัญญาเห็นในวิโมกข์ 8 (ข้อ 1-3 คือรูปฌาน 4 ที่เหลือคืออรูปฌาน 4) ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้อง 7 ปียกไว้ คุณจะปฏิบัติได้ถึงอนาคามีเป็นอย่างน้อย

19/12/2555 19:48:58 นี่คือความหมุนวนอยู่ในสุข-ทุกข์-เฉยๆ แล้วไม่เรียนรู้โลกุตรธรรม ซึ่งคนไม่ค่อยชอบ เพราะเป็นธรรมะที่ขัดเกลากิเลส จะรู้สึกไม่เพราะ ซึ่งคนก็จะหาแต่ฟังธรรมเพราะๆ จะห่างไปสัจธรรมไปเรื่อยๆ ศาสนาหรือคำสอนก็จะเป็นดังกลองอานกะ

19/12/2555 19:53:47 โลกุตระนั้นคือผู้ที่รู้จักกระแสโลกุตระ คือโสตาปันนะ อย่างน้อยรู้จักโลกอบาย อย่างเช่นผู้ที่โกงกินเขามากมาย เป็นล้านๆ มันไม่มีความพอเพียงสันโดษ การทำเหล้าขาย ยิ่งคนกินมายิ่งขายดีมาก ก็ยิ่งเสียหายมาก คนที่เข้ากระแสจะรู้ว่านี่เป็นอบาย จะเลิกทำ การขายเหล้า ขายเนื้่อสัตว์ ก็เป็นอบาย ถ้าเราเข้ากระแสจะรู้ว่าเราไปยินดีอยู่ในอบาย ให้ตั้งจิตเลิกเลย แล้วไปหางานกุศลอื่นทำ แล้วเราอ่านจิตเราว่าได้แค่นี้พอไหม สันโดษไหม ดับอบายได้ก็เป็นอาริยะ ถ้าประเทศไทยปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ กฎระเบียบ กฎหมายจะไม่ต้องออกมามากมายอย่างนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติ คนยังไม่ดี คนก็จะละเมิดกฎหมายอยู่ดี แต่ถ้าทำให้คนปฏิบัติธรรมได้อย่างน้อยถือศีล 5 ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจเลย ให้ละอบายมุข

19/12/2555 19:59:11 ส.เดินดินสรุป...แค่ชุมชนเรามีคนที่ถือศีล 5 ละอบายมุข ก็ไม่มีเรื่องราวที่เป็นปัญหามากมายแต่อย่างใด ทำอย่างไรเราจะตามจับวิญญาณที่เกิดในขณะผัสสะในปัจจุบันขณะ ที่จะพาเราไปลงนรกขึ้นสวรรค์มานานแล้ว แค่อาหารไม่ถูกปากก็เกิดความแค้น กระทืบเมียตาย ในอดีตก็มีกษัตริย์ที่ติดในรสเนื้อสัตว์ จนต้องถูกออกจากการเป็นกษัตริย์ เพราะติดรสในเนื้อมนุษย์ เป็นอุปาทานที่ติดยึดฝังอยู่ในวิญญาณ ทำให้หัวปั่นเป็นเวรานุเวร จนบ้านเมืองวุ่นวาย ในปัจจุบัน แค่การเลี้ยงฉลองบ้านเมืองก็วุ่นวายกันใหญ่

            เมื่อเราจับวิญญาณในขณะผัสสะปัจจุบันได้ ความเป็นนรกสวรรค์ก็เบาบางลงลดน้อยลงไป ทำให้เราเข้าใจ เข้าใจนรกสิ้นไปเดรัจฉานสิ้นไปแล้ว ....จบ19/12/2555 20:04:40

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:28:58 )

551226

รายละเอียด

บันทึกย่อ เรียนอิสระฯ ณ บ้านราชฯ บันทึกโดย สู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม

พุธ 26 ธ.ค. 2555 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน1 ปีมะโรง เริ่ม 18:03 น.

ตอน.. “ชาติดับนิพพานเกิด” (ดับอวิชชาฯ ตอน 12)”

1. ท่านฟ้าไทว่าทางคณะสมณะกำลังคัดเลือกข้อสอบ ว.บบบ. ให้อ่านหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ ไม่กล้วยเหมือนปีที่แล้ว เป็นการศึกษาที่คิดออกแบบวางแผนมายากมาก จะให้ได้ดีที่สุดกับองค์ประกอบที่ดีที่สุด และผู้เข้าสอบก็อายุต่างกันมาก จึงท้าทายที่สุด ยากตั้งแต่เริ่มขบวนและยากทั้งการวินิจฉัย

2. พ่อครูว่าอย่าไปเกร็งจนรู้สึกน่ากลัวตามท่านฟ้าไทเลย ถ้าเราตั้งใจมาทำดีในนี้แล้ว ไม่มีทางเสีย นอกจากจะมาทำบาปในนี้ คนอื่นเข้าใจในความเป็นอาริยบุคคลว่า ต้องเป็นเรื่องลึกๆลับๆ ยากมืดแปดด้าน ต้องงมๆคลำๆ แต่อาริยะของพุทธนั้นแม้จะยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ล้ำลึกๆ แต่ก็ยิ่งสว่างขึ้นๆ มีความแจ่มใส เบิกบาน เปิดเผย กระฉับกระเฉง ฯลฯ

3. พ่อครูอ่านเล่ม16 ข้อ4-7 วิภังคสูตร จากเรื่องชาติ สัญชาติ สัญชานาติ สัญจรติ โอกันติ นิพพันติ อภินิพพันติ คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ ... พ่อครูแย้มข้อสอบปีนี้ว่า จะให้ความสำคัญในสาระต่างๆของคำว่าชาติ พ่อครูให้ถ่ายต้นฉบับที่เขียนปรับปรุงขึ้นใหม่ อธิบายคำว่าชาติ2อย่าง มี5ความหมาย 1.ชาติทางกาย 2.ชาติทางจิตวิญญาณ พ่อครูนึกถึงคนที่เข้าใจไม่ได้ ท่านฟ้าไทจึงสรุปว่า คุณ0556หาว่าพวกลูกๆนั้นไม่เข้าใจหรอก แต่ทำเป็นเข้าใจเพื่อหลอกลวง โกหกพ่อครูให้สบายใจ (เพราะมีน้ำจึงดำน้ำ อาจจะปั้นน้ำเป็นตัว พ่อครูกับท่านฟ้าไทสนทนากัน ถึงความเป็นอยู่แบบครูที่ต้องคอยเคี่ยวเข็ญลูกๆ) เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนจะไม่เข้าใจในโลกความเข้าใจของคนอื่น จึง.. ยังไงๆ ก็ไม่เชื่อ

4. 6258ว่า “ถ้าจิตยังสัมผัสว่างเปล่าๆไม่ได้ มึงนั่นแหละรกโลก ยังยึดติดสรรพสิ่งเต็มๆ เทวทัตสันดานไม่เคยเปลี่ยน ดีแต่พูดๆๆ” พ่อครูเคยอธิบายเรื่องอุเบกขา จำแนกความว่างอย่างเคหะและแบบเนกข์ พวกเราฟังแล้วก็เข้าใจ แต่เขาไม่รู้เรื่องเลย พ่อครูย้ำการสัมผัสนักหนา แม้จะสัมผัสอยู่ก็มีจิตว่างเปล่า ... 4039ว่า “เมื่อจิตรู้สึกในสิ่งใดสิ่งนั้น จึงจะถึงความมีขึ้นมาในโลก .. ควบคุมโลกได้ จงจัดการที่จิต อย่าไปเสียเวลาจัดการอารมณ์ พ่อครูรู้และเข้าใจตามที่เขามาว่า เหตุในอารมณ์นั้นเป็นเพียงการปรุงแต่ง

5. สัญญานั้นย่อมจำ โดยเก็บสะสมข้อมูลความรู้เป็นสมบัติเก่าเอาไว้มาก การระลึกชาติของพพจ. ทรงระลึกรู้การผ่านความรู้อันมีครบหมดแล้ว พ่อครูบอกพระองค์ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย ตลอดเวลาที่แสวงหาในป่า 6 ปีนั้น ก็เป็นเพียงการไปชดใช้กรรมเก่า ที่เคยละเมิดต่อพระกัสปะพุทธเจ้า ดังมีในพระไตรฯ ล.32 ข.392 ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่าโชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จากโพธิ-มณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูก บุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก(อโศก) ฯลฯ พ่อครูว่า ไม่ได้เอาหลักฐานมาข่มเบ่งเอาชนะคะคานท่านผู้รู้เก่าเลย

6. ผู้รู้ชอบอธิบายจิตวิญญาณ เป็นของคนตายไปแล้ว ไปเจอคนนั้นคนนี้ ก็ย่อมเจอจริงๆ เพราะเจอโดยมโนมยอัตตา ธรรมกายจึงแตกเป็นสองสำนัก เพราะเห็นพระพุทธเจ้าหัวแหลมกับหัวปุ้ม จึงแยกออกไปเป็นธรรมกายรังสิต นี้คือการเห็นโดยมโนมยอัตตาจริงๆ พ่อครูก็เคยเห็น เพราะเคยเล่นแบบนี้มา 8 ปี เล่นถึงอรูปพรหมกันเลยเชียว (พ่อครูกำลังยกตัวอย่างประกอบเรื่องชาติแบบโอปปาติกะ) ...

7. ที่จะต้องรู้จักโอปปาฯได้ด้วยการรู้นามรูป คือ 1.รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล) 2.รู้ด้วยลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต เช่นโลภต่างจากโทสะ) 3.รู้ด้วยนิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิตขณะนั้น) 4. รู้โดยอุทเทส (คือ การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย) (พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60) ... สุขมันมาจากเหตุอะไร คือการกำหนดยึดสเป๊คอุปาทานเอาไว้ พอตรงกับอุปาทานก็สุขใจ เช่น คนติดรสปลาแดกว่าอร่อย แต่ฝรั่งไม่ยึดด้วยจึงไม่อร่อยตาม

8. พ่อครูอ่านความหมายของชาติทั้ง 5 ประการให้รู้ และเน้นบอกความหมายของชาติที่ 5 อันไม่มีใครเคยอธิบายได้ คือ ชาติที่พระอาริยะมาเกิดโดยมีปัจเจกภูมิมาแล้ว ในระยะแรกของชีวิตนั้น ท่านยังจะไม่สามารถระลึกรู้ตัวของท่านขึ้นมาเลย พ่อครูเรียกว่า “ลิงลมอมข้าวพอง” จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยมากระตุ้น (อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด) เกิดตามเหตุปัจจัยที่สร้างเพิ่มเติม ส่วนคนที่มีบารมีสูงแล้วก็ไม่ต้องสร้างเหตุเพิ่ม ดังนั้นสภาพลิงลมอมข้าวพองจึงมีได้แม้แต่ พพจ.

9. สัญชาติคือการบังเกิด มีคำว่าสัง หรือสัญ หมายถึงพร้อม, กับ, ดี, มีปัจจัยอื่นประกอบกับ หรือดี .. พ่อครูอธิบายคำว่า นิพพัตติ อันผู้รู้เคยแปลว่าการเกิดขึ้น ผลิตขึ้น พ่อครูว่านิพพัตตินั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดับ แต่เรารู้ดีว่าจิตส่วนไหนที่ดับ แล้วจิตส่วนไหนที่เกิด เราจะรู้ชัดโดยไม่ต้องเมาหมัด นิพพานคือการเกิดที่เกิดมาจากความตาย นิพพัตติตะจึงเกิดนิพพานสำเร็จแล้ว คือ ทำกิเลสได้ดับสนิท จึงเกิดจิตพิเศษ ... พ่อครูอ่านและอธิบายไปอย่างละเอียดดีมาก ไปขยายเรื่องความมี ความไม่มี ที่ลึกซึ้ง (ซึ่งผมเข้าใจ และเข้าใจถึงคนที่เข้าใจยาก พยายามที่จะเข้าใจ)

10. ท่านฟ้าไทสรุป ฟังธรรมของพ่อครูวันนี้ จะต้องเงี่ยโสตสดับฟังอย่างตั้งใจให้มาก คนที่รู้เรื่องดี ก็ย่อมไม่ใช่มานั่งโกหกแสดงอาการว่ารู้เรื่อง.

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:31:59 )

551231

รายละเอียด

31/12/2555 17:35:56 รายการภาคค่ำ งานโพชฌังคาฯ โดยพ่อท่าน ณ เดิ่นเบิงฝ้า

31/12/2555 17:36:53 วันนี้ต่างคนต่างลุ้นกันว่า พ่อท่านจะสามารถมาเทศน์ได้หรือไม่เพราะก่อนหน้านี้พ่อท่านมีอาการไอและเป็นหวัด ซึ่งไม่สามารถไปเทศนาได้สองวันแล้ว แต่วันนี้พ่อท่านก็สามารถมาเทศน์ได้

31/12/2555 17:44:58 พ่อท่านเกริ่นกล่าวให้ทุกคนไหว้พระด้วยใจที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ซึ่งน้ำเสียงพ่อท่านวันนี้ก็มีเสียงแหบแห้งยังไม่หายจากอาการเป็นหวัดอย่างเต็มที่

31/12/2555 17:46:16 จริงๆแล้วพ่อท่านตั้งใจจะแสดงธรรมตลอดงานให้รู้ในธรรมะที่พ่อท่านเห็นว่าควรเปิดเผย เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง พ่อท่านพยายามมากที่จะจัดสรร สร้างสรรธรรม พ่อท่านให้ทั้งเหตุการณ์พฤติกรรม และหลายองค์ประกอบศิลป์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ให้ได้สัดส่วนที่มีผลจูงนำไปสู่จุดหมาย

31/12/2555 17:47:57 การจัดองค์ประกอบศิลป์นี่เรียกว่า composition ซึ่งจะมีผลนำไปสู่ interest point ให้เป็นมงคลอันอุดม ซึ่งในโลกนี้ศิลปะไม่ใช่ศิลปะที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นอนาจารเสียมากกว่า ซึ่งการจัดสัดส่วนนี้ ในสัปปุริสธรรมคือ มัตตัญญุตา คือจัดองค์ประกอบให้มีอำนาจมีพลัง ต้องเข้าใจองค์ประกอบของดิน น้ำไฟลม และอื่นๆที่จะนำมาประกอบ ในระดับป.เอกทางศิลปะมีคนพูด อย่างดร.ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งจบ ป.เอก ว่า เรื่องศิลปะนั้นต้องสูงส่งที่เข้าถึงจิตวิญญาณเป็นอภิธรรม ซึ่งศิลปะในระดับอภิธรรมหรือสัจจธรรม นั้นคนต้องมีภูมิจึงทำได้

31/12/2555 17:51:49 พ่อท่านพยายามฝืนคำห้าม เพื่อมาบรรยายธรรม ซึ่งมีผู้น้ำเสนอให้พ่อท่านพักในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้พ่อท่านได้พักจะได้หายป่วย แต่พ่อท่านก็ขอดูปัจจุบันธรรมก่อน

31/12/2555 17:52:50 พ่อท่านแสดงให้เห็นว่า วิภวตัณหา นั้น ไม่ใช่เจตนาเพื่อให้คนมานับถือ หรือได้บริวาร ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ไปล้มล้างลัทธิอื่น ไม่แม้แต่คนเข้าใจว่าเราวิเศษเราเก่ง แต่อย่างใด พ่อท่านมั่นใจว่าเราไม่ได้ไปโกหกใคร พ่อท่านมั่นใจว่าไม่ได้มีมโนสัญเจตนาอย่างนั้น ว่าไม่ได้มีจิตลามกอย่างนั้น ยืนยันว่านี่คือ วิภวตัณหา ไม่ใช่กามตัณหาหรือภวตัณหาแต่อย่างใด พ่อท่านจะได้สอนให้พวกเราล้าง กามตัณหา และภวตัณหา ซึ่งมีรูปและอรูป

31/12/2555 17:56:10 พ่อท่านได้อ่านโคลงสี่สุภาพ ของ อ.เป็นต้น นาประโคน

                     บำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม

 บำเพ็ญคุณค่าล้ำ                              เหลือหลาย      

เมื่อมุ่งมีจุดหมาย                              หลุดพ้น

เพาะบ่มจิตหน่ายคลาย             จากเหตุแห่งทุกข์

คุณค่ามากเหลือล้น                 ล่วงแล้วนิพพาน

          บำเพ็ญธรรมเพื่อพ้น     จากทาส

ธรรมประทีปพิลาส                  ส่องหล้า

มีธรรมย่อมองอาจ                  เยี่ยงอย่างนักรบ

ปลายอุโมงค์สว่างฟ้า               ส่องแจ้งแสงธรรม

          คุณธรรมอย่าหลุดแล้ง    โลกเลย

สรรพสัตว์อย่ามัวเฉย               ชักช้า

มัวนอนหลับหนุนเขนย             ขนาบแน่นอยู่ ฤา

มัจจุราชผงาดกล้า                   ห่อนง้อรอใคร

          กลียุคเริ่มดุร้าย            รุนแรง

บู้บทบอกตะแบง                               สัตว์บ้า

คนพาลเริ่มกำแหง                   เหี้ยมโหด สูเอย

ปลาเน่าหนึ่งบอกหน้า              คละเคล้าหมดหนอง

          ฝากข้อคิดขุดค้น                    จากใจ

บันทึกธรรมเป็นไท                  แน่แท้

มัวประมาทอยู่ไฉน                  วัยร่วงลับลา

ชีพดับลับโลกแล้                     ล่วงพ้นทุกข์เทอญ

                                                                        อ.เป็นต้น นาประโคน 27 ธ.ค. 55

31/12/2555 17:58:53 เป็นกวีที่น่าฟัง เนื้อหาดีมาก น่าฟัง ไพเราะใช้ได้

31/12/2555 17:59:11 พ่อท่านทำงานก็มีคนช่วย ทำคนเดียวไม่ได้หรอก มีคนอดตาหลับขับตานอนช่วยทำ ซึ่งเป็นไปได้ที่จิตมนุษย์มาช่วยกันทำเพื่อประโยชน์แห่งธรรมะเป็นหลัก เพื่อให้เห็นว่า เรากล้าลงทุน ลงแรง หนักลำลากเท่าไหร่เรากล้าทำ

ทำไมต้องทำใหญ่ เรือใหญ่ มาทุ่มอะไรกับเงินทอง ให้มาสอบเอาทองมาล่อก็เหมือนชาวโลก มีผู้ส่งข้อความมาว่า ไม่เห็นด้วย เอาทองมาล่อ เขาไม่เห็นด้วย ซึ่งพ่อท่านทำล้อเลียนกับโลก แต่มีรายละเอียดที่ไม่เหมือน ซึ่งจะไม่ลงรายละเอียด พวกเราต้องตามรู้ พ่อท่านใช้ สัปปุริสสธรรม และมหาปเทส เพื่อทำงาน ซึ่งพ่อท่านภาคภูมิใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้ผลมาเรื่อยๆ บางคนบอกว่าพ่อท่านพาทำอะไรเรื่อยๆไม่เห็นมีหยุดมีหย่อนเลย ซึ่งพ่อท่านว่า เราทำอย่างรู้พักรู้เพียร

31/12/2555 18:05:40 ศาสนาพุทธในไทยทุกวันนี้ ไปใช้กม.ลูก ใช้วินัยมาเป็นหลัก แล้วก็ไม่ทำจริงด้วย ไม่ใช้ธรรมนูญพุทธ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ทำให้ประเทศเลวร้ายอย่างนี้

31/12/2555 18:07:09 ชาวอโศกมีกระจุกอยู่แค่นี้ แต่มีพฤติกรรม ตามมรรคองค์ 8 อยู่ในร่องในรอยของศาสนา มีฌาณ มีสมาธิ ที่ถูกต้องตามพุทธ เป็นสมาธิพุทธ เป็นญาณปัญญาที่รู้ว่าชีวิตที่เป็นโลกุตระ ที่เจริญ เป็นอย่างนี้ มีสาราณียธรรม เห็นจริงว่าเป็นไปได้ในพวกเรา เพราะพวกเราได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มีความเป็นเอกภาพ

31/12/2555 18:09:59 เข้าสู่บทเรียน ในพระไตรฯเล่ม 16 ซึ่งเป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท

ว่าด้วยความ มี กับ ความไม่มี  ความมีนั้น คือ การเกิด การดับของโลก ส่วนความไม่มี นั้นคือสุญตา คือนิพพาน เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรมีอย่างยิ่ง โลกสมุทัย คือความเกิดแห่งโลก ส่วน โลกนิโรธนั้น คือความดับแห่งโลก

เราต้องรู้ต้นตอแห่งการเกิด หรือชาติ ซึ่งคือความเกิดที่เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ หรือโอปปาติกโยนิ ซึ่งเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ คัมภีรา ทุทสา ทุรนุโพธา สัญญา ปณีตา

สัตตาโอปปาติกา ในข้อที่ 9 ของสัมมาทิฏฐิ 10 หากไม่เข้าใจอันนี้ แล้วปฏิบัติไม่เข้าถึงอันนี้ก็ไม่มีทางเจริญ ไม่มีทางสู่ผลสำเร็จ ถ้าไม่ได้ตรงต้นทาง คือมโนปุพพังคมาธัมมา เป็นความจริงเป็นความรู้พิเศษยิ่ง ของศาสนาพุทธโดยเฉพาะ

31/12/2555 18:16:16 สัตว์ทางใจ(วิญญาณ)นี้เห็นไม่ได้ด้วยตาเนื้อ (อนิทัสสนัง) ต้องเห็นด้วยตาปัญญา เห็นด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ใช้นามรูปปริเฉทญาณ แยกนามรูปได้ และต้องได้รับการอธิบายจากสัตบุรุษเสียก่อน การยกหัวข้อมาอธิบาย สาธยายนั้นคือ การอุเทศ จากสัตบุรุษเท่านั้น ในข้อ 10 ของสัมมาทิฏฐิ คือต้องพบกับสมณะพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่แท้จริง ได้ฟังอย่างมีสัมมาทิฏฐิ และเข้าใจชัดๆ นำพาให้เห็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน ต้องเห็นด้วยตาธรรมะ ไม่สามารถเห็นด้วยตาเนื้อ ต้องสัมผัสอย่างเหมือนตาเนื้อสัมผัส แต่ใช้ตาธรรมะ

31/12/2555 18:20:39 แต่เวลาปฏิบัติต้องมีสัมผัสทาง ทวาร 5 ด้วยแล้วจะเกิดการต่อเนื่องสู่ทวาร

ใจด้วย ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าไล่จาก สัมผัส แล้วก็เกิดอายตนะ มีตากับรูป หูกับเสียงเป็นต้น พอสัมผัสจึงเกิดวิญญาณ  มีผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา ถ้าอวิชชาก็จะปรุงแต่งสังขาร ให้เกิดสุขเท็จ (อัลลิกะ) คือสุขเท็จ สุขมันดับไปแล้ว แต่คุณจำมันไว้เป็นสัญญาแล้วคุณยึดว่ามันต้องได้ต้องมีต้องเป็นมันก็คืออุปาทานนั่นเอง อธิบายเพิ่ม ตอนคุณตาย มันเหลือแต่จิต จิตของคุณมันมีแต่รูปาวจร อรูปาวจร มันไม่มีกามาวจร ในจิตจึงมีแต่สุขหลอก ตามอุปาทานที่ติดอยู่กับคุณตลอด สุขนั้นมันแวบเดียว ยิ่งกว่าพยับแดด ฟองน้ำ ฯลฯ เราต้องมาศึกษามาอ่านจิตที่เราไปหลงสุขเท็จ แต่เป็นทุกข์แท้

31/12/2555 18:27:19 เราสัมผัสได้สดๆ ทุกข์สดๆ สุขสดๆ บำบัดสุขเท็จ บางทีนึกเอา เป็นมโนมยอัตตา สำเร็จความใครทางจิต มันคิดปรุงปั้น สำเร็จความใครทางจินตนาการ

31/12/2555 18:28:33 เมื่อมีสัมผัสภายนอก แล้วจะมีการต่อเนื่องเข้าไปในจิต ให้เรารู้ได้ มันไม่มีรูปร่าง ความสุข ทุกข์ โกรธ โลภ ไม่มีรูปร่าง แต่มันมีอาการอยู่ในจิตคือสิ่งที่มันเกิดจริงในจิต (เห็นจิตในจิตคือเห็นอาการจิต) แล้วเราก็กำหนดเครื่องหมายให้รู้ เป็นนิมิต เพื่อจับอาการนั้นๆให้ได้ แล้วกำหนดความต่างกันของอาการทั้ง ลักษณะ สุข ทุกข์ โกรธ โลภ เป็นต้น มันมีอาการต่างกันคือกำหนด ลิงค ที่แยกความแตกต่างของมัน แม้แต่อาการทางอุปกิเลส ชั่วดีต่างๆ เป็นจิตเจตสิก เราก็ไปกำหนดหมาย และที่พ่อท่านยกมาพูดนี้ ก็คือการ อุเทศ ซึ่งเราได้ไปเรียนรู้อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ก็จะรู้ นาม รูป คือมีนามรูปปริเฉทญาณ

31/12/2555 18:32:33 จะเห็นการเกิด อันดับแรกคือเห็น โอกกันติ ก่อน ซึ่งมีการเกิดต่อมาคือ นิพพัตติ และอภินิพพัตติ การเกิดอย่างนิพพัตติ คือการเกิดอย่างอรณะ ไม่ใช่อรณะ คือรู้การตายของจิตใจ ไม่มีรูปร่างแต่มันรู้ได้ ถึงการเกิด

31/12/2555 18:35:12เพราะมีการตายการสิ้นไป(ขีณตา) ของจิตใจส่วนหนึ่ง จีงมีการเกิด(นิพพัตติ) ของจิตใจอีกส่วนหนึ่งเพราะดับเหตุแห่งทุกข์คือกิเลส มี (นิพพาติ) แปลว่าดับกิเลส คือดับทุกข์

31/12/2555 18:35:24 เรื่องอย่างนี้เดาไม่ได้ ต้องเป็นสภาวะที่ผู้มีสภาวะจึงเอาสิ่งนั้นออกมาพูดได้ เราต้องทำคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

31/12/2555 18:36:19 การเกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ) เป็นการผุดเกิดขึ้นมาทันทีจากการตายที่ไม่มีซาก คือการเกิดทางจิตที่เป็นการปฏิบัติธรรม หมายเอาการเกิดทางอาริยะ รู้กิเลส ทำให้กิเลสตายได้ คือการตายของอกุศลจิตพอตายจบจิตที่เป็นจิตเจริญก็เกิดเป็นอภินิพพัตติ ไม่ได้เกิดแล้วแตกตัวหรือเกิดในไข่หรือในครรภ์แต่เป็นการเกิดอย่างโอปปาติกะ ไม่เหมือนกับการเกิดอาการเกิดโกรธ โลภ มันก็เกิดแต่มันหมุนเวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไปตามไตรลักษณ์สามัญ ทุกคนเคยเกิดอาการแล้วมันก็หายไป คือมันตายไปชั่วคราว แต่มันไม่แสดงอาการ ซึ่งไม่ใช่การตายจริง มันยังวนมาเกิดใหม่ มันแค่พักยก บ้างก็เร็วบ้างก็นาน เป็น ไตรลักษณ์ที่เป็นสามัญลักษณ์ ผู้ที่สัมมทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้าจะรู้จักไตรลักษณ์ 2 อย่าง

          1. สามัญลักษณ์ นั้นมันไม่ได้ตายจริง กดข่มไว้ เช่นชาวฤาษีที่นั่งสมาธิทุกวันนี้ จิตคนอวิชชาจะหลงยึดติดว่ามันตาย หลงว่าจริงแล้วก็จะไปยึดติดว่ามันจริง นึกว่ามันพักยกนี่มันตายสนิท จริงๆมันยังเป็นอุปาทานอยู่

          2.ปัจจัตตลักษณ์  คือ การตายอย่างสัมมาทิฏฐิที่กำจัดอกุศลเหตุแบบถูกตัวตน ให้มันตายสนิทได้ ในขณะที่เราสัมผัสอยู่โต้งๆ เราก็ปฏิบัติอย่าง สมถะหรือวิปัสสนาหรือปหาน 5 เราสัมผัสอยู่แล้วเห็นว่ามันไม่เที่ยงอย่างเห็นสภาวะ ตามเห็นแล้วก็ให้มันลดลงได้จริงๆ อย่างมีปัญญา คนที่ยึดว่าเที่ยงนั้นจะทุกข์อยู่ชั่วกาลนาน แล้วพิสูจน์ให้มันรู้แจ้งว่ามันไม่ใช่ตัวตนมันไม่มีอยู่จริง มันเป็นสามัญลักษณ์อย่างนั้นไม่มีหยุดหย่อน แต่ถ้าเราปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ เราก็จะทำให้อกุศลหรือการยึดติดอุปาทานนี้ ตายลงได้ ซึ่งจะเห็นว่ามันพาเราเสพสุข ได้บำเรออัตตานี่คือโลกีย์ เห็นว่ามันไม่จริง มันพาทุกข์ มันสุขหลอก เราจะเห็นความไม่เที่ยง เห็นจางคลาย เห็นการดับของมัน ด้วยญาณปัญญาไม่กดข่ม เห็นได้ว่ามันตายจริง ไม่เวียนมาเกิดอีก อย่าง นิจจัง ทุวัง สัสสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง อย่างแท้จริง เห็นความปล่อยว่าง มุลจิตุกัมยญาณ ในญาณ 16 เราเห็นไตรลักษณ์เช่นนี้ เรียกว่าเป็น "ปัจจัตลักษณ์" คือเป็นเฉพาะตนเกิดผลจริงกับตนอย่างแท้จริง คุณทำมันเองให้หายไปอย่างไม่กลับกำเริบ ใครทำได้ก็เป็นปัจจัตตัง เฉพาะตน แต่จะอยู่กับโลกกับสังคมไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้หลับตา สัมผัสอยู่อย่างเปิดจิตขึ้นรับวิถีทุกทวาร เรากำหนดหมายการประมาณ จัดสัดส่วนอยู่กับสังคมด้วย สัปปุริสธรรม และมหาปเทส แม้โลกเขาจะมอมเมาเราก็ไม่หวั่นไหวไปกับโลก จิตที่เกิดอย่างนี้จึงถือว่าเกิดทางจิตใจหรือวิญญาณ ซึ่ง การเกิด (ชาติ) หมายถึงการเกิดของ สัตว์นรกเทวดามารพรหม อย่างแท้จริง เกิดเพราะจิตอกุศลนั้นตายลงอย่างไม่มีซาก จึงมีจิตที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตายจากสัตว์นรก เกิดมาเป็นเทวดา อันเป็นการเกิดการตายอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นสุขขัลลิกะแต่เป็นทุกข์แท้ ผู้เป็นอาริยะจะเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตนจริงหรอก
31/12/2555 18:52:55 ถ้าเป็นชั้นสูงขึ้น คือจิตที่ตายจากสัตว์เทวดา ไปเป็นสัตว์พรหม คือจิตสงบไม่มีอาการในขณะนั้นเรียกว่าจิตมีนิโรธ ก็เห็นของจริง ถ้าเป็นพรหมแบบฤาษีอาจดับไปนานเป็นกัป แต่ไม่สนิท ไม่ดับอย่างนิรันดร เพราะไม่ได้ดับเหตุได้สำเร็จแท้จริง ศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยมสามารถทำได้จริง ไม่กลับกำเริบได้แท้ คือการเกิด(ชาติ) การตาย(มรณะ คือการตายตามปกติ แต่ ในผู้สัมมาทิฏฐินั้นเรียกว่า อรณะ) อรณะคือไม่มีสงครามแล้ว คือไม่มีกิเลสแล้วนั่นเอง  ในปฏิจจสมุปาทนั้นคือการเปลี่ยนจาก มรณะ เป็น อรณะ นั่นเอง

31/12/2555 18:57:52 การตายอย่างถาวร นั้น คือ อดีตกับอนาคต ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่กลับกำเริบ เด็ดขาด ไม่ให้เหลือซาก ไม่เหลือเศษให้มันเกิดได้อีก ผู้ใดทำได้คือไตรลักษณ์ชนิด ปัจจัตตลักษณ์ ไม่ใช่ สามัญลักษณ์ทั่วไป (คำว่าปัจจัตตลักษณ์นั้นได้จากพจนานุกรมประมวลศัพท์)

31/12/2555 19:00:13 โอกกันติ ต่างจาก ขณิก ซึ่งคือการเกิดอย่างขณะชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แม้ 1 วินาที 10 วินาทีก็ตามก็เรียกว่า ขณิก ส่วนโอกกันติกะ คือการเกิด ตาย อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดหย่อนตลอดกาลนาน ซึ่งอุปาทานมันอยู่ในวิญญาณคุณ มันจะพักยกอยู่เป็นกัปก็ได้ ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ถ้าจะทำให้มันตายก็ให้ตายอย่างต่อเนื่อง ไม่ตลอดเลย คนเราทั่งไปจะมีการเกิดอย่างโอกกันติ แต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรม จะมีการเกิดของการตาย คือเป็นนิพพัตติ กิเลสในตาย อกุศลจิตตายดับไป ก็มีกุศลจิตเกิด และอภินิพพัตติ ก็คือตัวนิพพานนั่นเอง

31/12/2555 19:03:33 "กามาวจร" คือภพของกามคุณ 5 หรือกามาทีนวะ คือการเกิดของกิเลสกาม ที่คนคิดว่ามันเป็นคุณ คุณต้องรู้กามาวจร มันต้องมีสวรรค์ทางทวาร 5 เมื่อไม่ได้เสพ มันก็มีนรกทางทวาร 5 ถ้าคุณตายไปคุณก็ไม่มีสวรรค์ทางทวาร 5 แต่คุณมีนรกคืออุปาทานที่ติดไปตลอด มันไปสู่กามาวจรไม่ได้เพราะไม่มี ทวาร 5 แล้ว คุณไม่รู้ว่าคุณดิ้นหรอก คนตายที่ไม่ได้ล้างกามาวจร ก็จะมีนรกแท้อยู่  ถ้าคุณเป็นอนาคามี คุณฆ่า กิเลส ทางทวาร 5 แล้ว สัมผัสคุณก็มัชฌิมา ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่อยาก ก็เฉยๆ ถ้าอนาคามีตายไป ท่านจึงไม่มีนรกทางกาม เพราะกามาวจรนั้นท่านไม่ต้องไปดิ้นแล้ว ส่วนคนที่มิจฉา นึกว่าตนเป็นอรหันต์ แต่คุณยังติดน้ำหวาน ติดหมาก บุหรี่ ตอนเป็นคุณยังไม่รู้ว่าติด เมื่อตายไปคุณก็ต้องไปแสวงหา นึกว่าตนดับอรูป รูป ไปแล้ว แต่ตนยังติดอยู่ในกามาวรอยู่นั่นเอง ไม่มีเจตนาจะว่าท่านจะข่มท่าน แต่มันต้องเปิดเผย ก็เคารพท่านในฐานะที่ท่านมักน้อยสันโดษ บางท่านก็แม้ไม่หลอกเอามาเป็นของตนท่านก็เอาไปให้ประเทศชาติ แม้แต่ฤาษีที่ไม่นุ่งผ้า ก็เคารพในฐานผู้นักน้อย เป็นทักขิเณยบุคคล ผู้ควรเคารพได้ เคารพในส่วนที่ควรเคารพ แต่สิ่งที่ผิดธรรมที่เป็นพุทธก็ต้องเปิดเผย สงสาร เมตตาด้วย จึงตำหนิ ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ตำหนิด้วยเกลียดชัง ไม่ได้มีสาเฐยจิต

เปิดเผยเพื่อไม่ให้คนหลงผิดต่อไป การมักน้อยสันโดษนั้นพระพุทธเจ้าให้มักน้อยอย่างอยู่กับมันแต่เหนือมันได้

31/12/2555 19:12:03 มาสู่บทเรียนทบทวน ในพระไตรปิฎก

 

31/12/2555 19:14:55 1.ใบไม้กำมือเดียว มี2 ความหมายคือ 1.บรรยายเฉพาะพาพ้นทุกข์ (อาริยสัจจ์) 2.อธิบายอย่างสั้นๆ แต่พ่อท่านไม่มีบารมีอย่างพระพุทธเจ้า จึงต้องอธิบายหว่านไปทั้งป่า อย่างอิสระตามสำนึก มีหน้าที่ให้อย่างเดียว พ่อท่านยังไม่ถึงขั้นสร้างศาสนา อย่างรวบรวมพลพรรค ยังไม่ถึงสยัมภู จึงต้องเหนื่อย ก็มีคนท้วงให้พัก ก็ต้องขอบคุณ ที่หวังดี แม้แต่ผู้หวังร้ายก็ขอบคุณ ซึ่งเหมือนกับเขาเอาของมาให้ถ้าเราไม่รับสิ่งนั้นก็เป็นของเขา

2. ผัคคุนสูตร

          [31] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย   อาหาร 4 เหล่านี้ ย่อมเป็นไป

เพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หรือเพื่อ   อนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4

 เป็นไฉน คือ (1) กวฬิงการาหารหยาบหรือละเอียด (2) ผัสสาหาร (3) มโนสัญเจตนาหาร

(4) วิญญาณาหาร    อาหาร 4 เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว

หรือ เพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

31/12/2555 19:18:54 คำว่าแสวงหาที่เกิด ผู้ที่เป็นอาริยะอรหันต์จะแสวงหาอย่างไม่มีภพ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้วิญญาณขณะเป็นๆ ตายไปแล้วเรียกว่า มโน หรือใจไปซะ ถ้าสามารถเรียนรู้อาหาร 4 ทุกคนต้องมีอาหาร อนาคามีนั้นชัดในกามาวจร รู้ในการปรุงแต่งในกามาวจร พระอนาคามี ไม่ต้องเรียน กวฬิงการาหาร และผัสสาหาร แต่ท่านจะเรียนเฉพาะ มโนสัญเจตนาหาร กับ วิญญาณาหารเท่านั้น 

31/12/2555 19:21:18 ในกามาวจร กวฬิงการาหารนั้นสำคัญ จนน่ากลัว ที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายใน ปุตตมังสสูตร ล. 16 ข้อ 240 ว่า

3. ปุตตมังสสูตร

[240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว

หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬีการาหาร หยาบบ้าง

ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย

 อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่

เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

[241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือน

อย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาเสบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร

เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดาร

อยู่ เสบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขา

ทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า เสบียงเดินทางของ

เราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย เสบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดาร

นี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ

คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร

จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากัน

พินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจ

นั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้าม

ทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า

ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย

ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อ

ความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทาน

เนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า

ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้น

เหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่ง

เกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์

อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

31/12/2555 19:25:27 พ่อทานอธิบายว่าการวงเล็บว่า (เปรียบด้วยเนื้อบุตร)นั้นจะดูว่าเป็นการเห็นไปในทางดีก็ได้แต่พ่อท่านว่าจะทำให้ความหมายการปฏิบัติเสียไป พระอานาคามีก็กินอาหารอย่างไม่ติดในกามคุณ ไม่มีกามาวจรแล้ว ไม่ดิ้นรนเดือดร้อนอยากไปกิน แต่จะมีความจำได้ว่ามีรสมีชาติอยู่ เราเอาความจำมาคิด ต้องแยกว่า เหลือเป็นความจำว่าอร่อยกับ เหลือเศษการติดในรสอร่อยอยู่ อนาคามีจะขายหน้าว่าเหลือเศษของการติดในอร่อยอยู่ ต้องเห็นความไม่เที่ยง เห็นวันมันหลอกเราอยู่ อนาคามีจะไม่แย่งหมู่ ไม่เป็นภัยกับหมู่ ไม่ยินดียินร้ายแล้ว อนาคามี ถ้ามีเสพ จะทุกข์มากกว่าสุข จะรู้สึกว่าเมื่อไหร่มันจะหมด ข้างนอกจะสบายจริง ไม่ทำให้เสียไม่เอามาปรุงแต่งให้ตัวเองหรอก

31/12/2555 19:33:47 พระพุทธเจ้าท่านยกเรื่องอาหารมาสอนในเรื่อง วิกาลโภชนา หรือมัตตัญญุตาจพัตตสมิง วิกาลโภชนานี่อย่างน้อยต้องกำหนดมือกำหนดคราว อย่างรีบร้อนปฏิบัติจนเลยเถิด กินอาการจนเลี้ยงร่างกายไม่พอ อะไรที่ติดมากก็งดเว้นไว้ก่อน เช่นหูฉลาม ปาท่องโก๋ เป็นต้น อะไรที่เราติดจัด มันเป็นโทษเห็นๆก็เลิก เอาอันอื่นมาแทน แล้วอ่านจิตในเรื่องกามคุณ ปฏิบัติในเรื่องอาหารนี่ถึงอรหันต์ ในเรื่องของกามคุณอื่น การสัมผัสเสียดสี ก็ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ในเรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ต้องมีให้พอเหมาะ ที่อยู่อาศัยก็ให้พอเหมาะพอสม อย่างพวกเรานี่ไม่ต้องมีบ้านช่องเรือนชานก็ได้ ยารักษาโรค ไม่ใช่ยากินเล่น ไม่ใช่ยาเสพติด รักษาโรคจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง ถ้าจำเป็นก็แล้วไป ส่วนบริขารอื่นๆ เช่นแว่นตา คอมพ์ฯ เราพิจารณาว่ามันต้องดีต้องหรู ตามที่เราชอบหรือไม่ เราเอาเนื้อๆที่จำเป็นต้องใช้ก็พอ อย่างพ่อท่านมีคนใช้คอมพ์ราคาแพงประสิทธิภาพสูง แต่พ่อท่านใช้เฉพาะเขียนหนังสือเท่านั้น ซึ่งในคอมพ์ฯมีผีเยอะเลย ซึ่งพ่อท่านไม่ได้อยากดูเลย

31/12/2555 19:41:07 สรุป เอาไว้ต่อ ในเรื่องของอาการ 4 เรื่องวิญญาณาหารสำคัญสุด

 

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:34:49 )

5600726

รายละเอียด

5600726_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะหนึ่งเดียวของโลกและอัตตา

สมณะฟ้าไทว่า…26 กรกฎาคม 2560 ที่บ้านราชฯ วันนี้ฝนตกเกือบทั้งวัน แดดไม่มีเลย น้ำท่วมแถวศรีสะเกษ หรือที่ใกล้เคียงน้ำท่วมแล้ว เราก็เตรียมเก็บของไว้ที่สูง  คงจะท่วมบ้างไม่มากก็น้อย

ที่บ้านราชฯช่วงนี้มีกิจกรรม ค้นหาพระโสดาบัน ก็มีคนมาร่วมกันมาก ได้ประโยชน์มาก และพ่อครูได้เน้นให้เราทำใจในใจให้เป็น อ่านกิเลส กาม พยาบาทเป็นไหมเราปรับสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะให้เข้าสู่สัมมาเพิ่มขึ้นหรือไม่

เรามาฟังธรรมที่นี่จะได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษผู้มีสยังอภิญญา สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้า สามารถพาคนปฏิบัติได้ เมื่อเราทำได้ชัดเจน ก็จะเป็นคนโลกใหม่

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัย กับ  SMS วันที่ 24 กรกฎาคม 2560

 

33867ม๋าต๋ายุคล้ม..เผาเมืองเป็นผู้พิทักษ์สันติรัฐ(สภา)ไทยใหม่?โปลิศยุคคืนความสุขให้ปชช.ในชาติเป็นผู้ปราบปรามทุจริตชน!สิ่งที่ปชช.อยากได้จากตร.2แผ่นดิน คือหัวใจผู้พิทักษ์สันติราษฎ์เพื่อประโยชน์สุขราษฎรตามรอยพ่อฯ!

พ่อครูว่า... อาตมาก็วิจัยแล้วว่า ตำรวจมีอำนาจมากเกินไปในประเทศไทย จะปฏิรูปก็ยังไม่ลงเลย แม้แต่ทหารก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้ มีอำนาจบาตรใหญ่ซับซ้อนหลายชั้น เพราะมีเกี่ยวทั้งวัตถุ อำนาจ มวลชน เกี่ยวกับอรูปที่อาตมาก็บรรยายไม่ถึงทีเดียว มีทั้งเรื่องบุญคุณ ความเกรงกลัว เกรงกลัวคนก็ยอม มีบุญคุณคนก็ยอม แล้วแต่ใครจะเห็นบุญคุณใคร

กรอบขอบเขตสากลของตำรวจ ต่างประเทศก็ให้เป็นผู้ดูแลช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้ให้มีอำนาจบาตรใหญ่อย่างนี้ เป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนตามกรอบขอบเขต ก็จะต้องมีความสามารถที่จะดูแลได้ ถ้าต่างจังหวัดก็มีกรอบขอบเขตเขา สูงสุด ตำรวจไม่น่าจะมีความจริงใจเกินกว่ากรอบขอบเขตของแต่ละจังหวัด ไม่น่าจะมีอำนาจข้ามจังหวัดได้

เช่นในบ้านหลังหนึ่ง มีพ่อแม่ มีอำนาจสูงสุดในบ้าน ก็มีกรอบขอบเขตแค่ในบ้านตน ไม่ใช่นอกบ้าน มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ที่จะมีอำนาจเกินกรอบขอบเขตที่ควรเป็น ไม่ได้ดูถูกตำรวจ แต่มันเกินกรอบขอบเขตมากไป

อาตมาก็แสดงออกตามความเห็นในทางประชาธิปไตย

 

เห็นเจดีย์ใหญ่ริมแม่น้ำถูกน้ำกัดเซาะพัดเจดีย์จมหายไปกับแม่น้ำอิรวดีในพม่า!เตือนภัยเพื่อนบ้านริมน้ำทั่วเอเซียบทเรียนภัยอันตรายที่ตามหลังอุทกภัยคือโคลน ลนถล่มดินทรุดตลิ่งพัง!ไม่มีกำแพงใดป้องกันอุทกวิปโยคได้นอกจากถอยร่นไปตั้งหลักก่อนหายไปกับน้ำ!

 

_3867 ร.ร.สสข.คงมีฝึกสอนเด็กนร.ว่ายน้ำเมื่อเจอภัยน้ำหลากอย่าว่ายทวนน้ำให้ว่ายตามน้ำ!บอกต่อผองเพื่อนยิ่งว่ายต้านน้ำยิ่งเสี่ยงสูญแรงพัดพาจมหาย!

พ่อครูว่า...คือให้ว่ายแบบมีองศา ที่จริงว่ายตรงไป ฝืนบ้างไม่มาก แล้วน้ำจะพัดไปสู่จุดเหมาะสม แต่ถ้าทวนไปนี่ไม่ได้ ตามเลยก็ไม่ได้

 

_3867พิธีกรรมเก่าแก่ของพุทธจีนในวันตรุษจีนสารทจีนจะหยุด  ด้วยธูปเทียนตามลัทธิอื่นได้ฤา?พิธีก.แต่โบราณของพุทธไทยจะหยุดไหว้ด้วยธูปเทียนได้ฤา?พ่อค้าสังฆภัณฑ์แม่ค้าผลิตธูปเทียนคงถาม?

พ่อครูว่า…

 

_3867ยุคไอทีภิวัฒน์เจริญด้วยนวัตกรรมใหม่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์เช่นถ่านเตาครัว,ยากันยุง,ธูปเทียนฯลฯทำจากสมุนไพรสูตรลดควันน้อยลงฯสิ่งเก่าแก่ที่เปลี่ยนแปลงพิธีก.ไม่ได้แต่แปรรูปสิ่งที่ใช้ในพิธีกรรมได้!สณ.สม.เห็นเป็นเช่นไร?

พ่อครูว่า...ก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ อย่างครัวเตาถ่าน ก็ไม่เป็นพิษภัยเกินการณ์อะไร ถ้ายากันยุงมีสารพิษก็ต้องศึกษา โดยเฉพาะธูปเทียนที่ใช้บูชา อันนี้อาตมาตัดสินได้เลยว่า ไม่มีประโยชน์อะไร เปลือง ดีไม่ดีไหม้ข้าวของบ้านเรือนไหม้มาเยอะแล้ว ทรัพย์สินหมดเพราะธูปเทียนแค่อันเดียว ก็มีมาแล้ว

คนตายไปแล้วไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มารับรู้หรอก แล้วจะไปบอกว่าจิตหยั่งรู้เอง ก็คิดง่ายๆ จิตวิญญาณที่ยังไม่มาเกิดในโลกนี้ ไม่ได้เกิดมามีอาการ 32 นั้นมันนับไม่ถ้วนไม่ได้อาศัยสถานที่  วัตถุ อะไรเลย ละเอียดจนเข้าใจไม่ได้

พูดถึงกายทิพย์ นิรมานกาย อาทิสมานกาย ธรรมกายกัน จนอธิบายไม่ไหว เกินกว่าสภาวะรูปธรรม เกินอรูปที่เราไม่สามารถเดาได้เลย แค่เสียงแสง กลิ่น รส สัมผัส เราก็รู้สู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เยอะไป  มันละเอียดสัตว์รับได้ แต่เรารับไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น มันเกิน เราเองก็ไปตามเหตุปัจจัย สังขาร สังเคราะห์

 

_0015หลักสูตรสัมมาสิกขา มีการเรียนลูกเสือ ยุวกาชาดบ้างหรือไม่ครับ

  พ่อครูว่า...มี ของเรามีเต็มสภาพ เราก็เลยไม่มีบัญญัติเอาเนื้อหาเราเป็นเลย มีนามธรรมแล้ว

 

_0015การเดินสายไหว้พระ 9 วัดเกิดอานิสงส์อย่างไรครับ

  พ่อครูว่า...ไม่เกิดประโยชน์มีแต่ความเสีย เสียเงินทองเสียเวลา เสียแรงงาน แต่ถ้าจะไปสงเคราะห์เกื้อกูล อุดหนุนจุนเจือ คุณไปเถิด ได้ประโยชน์แน่ แต่ถ้าจะไปวัดเหล่านี้เพื่อให้เกิดความหลงติดยึด ก็ไม่น่าไป คนสายศรัทธานี้เสียเวลากว่าสายปัญญาสองเท่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท

จำแนกตามความยิ่งหย่อนของปัญญา ศรัทธา และ วิริยะ คือ

1. ผู้ที่เป็นปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญา สะสมบารมีน้อยที่สุดคือ 4 อสงไขยแสนกัปป์

2. ผู้ที่เป็นสัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธา สะสมบารมีปานกลางคือ 8 อสงไขยแสนกัปป์

3. ผู้ที่เป็นวิริยาธิกะ ยิ่งด้วยวิริยะ สะสมบารมีมากที่สุดคือ 16 อสงไขยแสนกัปป์

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม 2 ภาค 3 ตอน 1 - หน้าที่ 17

 

_6965ขอนอบน้อมแด่หลวงปู่ครับ ขอท่านจงสุขภาพแข็งแรงนะครับ{ดอกแคขาว}

 

SMS เฟซบุ๊ค

 

_วาส ทองจันทร์ · กราบมัสการพ่อครูเป็นอย่างสูงครับ วันนี้ฟังพ่อครูที่บ้านทางบุญนิยมเพราะกระผมได้กราบลาท่านฟ้าไท กลับบ้านเพื้อมาหาหมอและรับยา พอเสร็จธุระที่บ้านก็จะรีบกลับบ้านราชครับ

 

_SMS วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 (สมณะสิกขมาตุ-สันติอโศก)

 

_3867นมก.พ่อครูณ.บวรบ้านราช!สณ.สม.จรธ.ญตธ.บวรสันติโศก!กับธ.สันติสุขในจิต!สันติธรรมในใจ!เพื่อสังคมสุขสงบสันติสาธุ!seufaasin

 

_3867กราบอนุโมทนาธ.ท.จันทร์ ท.ซึ้งท.ฉิกตาฯกับธ.อันให้ เกิดการลดอัตตาด้วยทุกกรรมกิริยากับบุคคลสังคมสิ่งแวดล้อมทุกที่อันเกื้อกูลให้จิตวิญญาณละกิเลสได้จากสัปปายะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน องค์คุณ 4 โสดาบัน

_ทำทุกข์ที่เกิดปัจจุบันให้เป็นศูนย์ได้ก็เป็นอรหันต์ได้

พ่อครูว่า...ศูนย์อย่าง นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ได้ก็ใช่เลย

โสดาบัน ต้องรู้ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วต้องรู้ว่าเราเข้ากระแส โสตาปันนะ แล้วเรารู้ว่าเข้าไปได้แล้ว รู้ฐานของจิตว่าไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่ยึกยัก แช่อยู่นาน อย่างนางวิสาขา ตอนนี้ก็ยังช้า ไม่รู้ว่าพอจะบรรเทาการเสพสุข อย่างปปัญญจรามตา ยินดีในความเนิ่นช้า มันยิ่งกว่าสีลลัพพตปรามาส

ถ้าผู้ใดเข้าใจความเป็นทุกข์ แล้วจับเหตุแห่งทุกข์ได้ มีวิธีการที่จะประหารกิเลสให้ดับสนิทได้แล้วทำให้เต็มที่ ทำให้กิเลสที่เป็นตัวเหตุ ในทุกปัจจุบันเลย สัมผัสแล้วก็ศูนย์อย่างเด็ดขาด คนจะมีชีวิตอีกกี่ปี กิเลสก็ไม่เกิดอีกเลย นั่นแหละอรหัตตผล 10 ปี 20 ปี 30 ปี บางทีสิบปีก็มีแวบอีก คือผีหลอก ก็ต้องทำเข้าใจ อย่าให้มันเกิดอีก 20 ปี ถ้ามันแวบอีก ก็ของคุณ แต่คุณก็อยู่มาได้ 20 ปี หรือ 30 ปี 40 ปี แวบก็ตาม แต่มันไม่น่าจะเกิน 30 ปี ไม่น่าจะเกินไปถึงเลข 4

ถ้า 30 ไม่แวบอีกแล้ว นั่นแหละเรยกว่านิยตะ เที่ยง แต่ถ้าอวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่แวบได้ ยึกยักอยู่ ถ้ายึกยักมาก ก็เรื่องของใครของมัน แต่ต้องไม่ตกต่ำ คุณอย่างไรก็ไม่หลุดออกจากกระแสโสดาบัน นั่นคือ อวินิปาตธรรม จะเหลืออีกน้อยนิดเท่าไหร่

นิยตะนั้นเที่ยง ในความเที่ยง ประมาทไม่ได้ ถอยออกมาเป็นอนาคามีซ้อนในโสดาบันก็ได้

บางคนอาจติดดอกสเลเต หอมหวานประแล่มๆ แม้จะเหี่ยวแล้วก็ยังหอม ก็อธิบายไปตามลำดับ แต่ชัดเจนแล้วว่าเราไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ต้องอ่านจิตว่าโลกียะ โลกุตระเป็นอย่างไร อ่านอาการ เนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา ชัดเจนว่าออกจากรสโลกีย์ จนเบาบาง

อวินิปาตธรรม ไม่โกรธอีกแล้วแต่มันก็มีอีก จนเที่ยงแล้ว นิยตะ เราแยกชัดว่านี่โลกียรส มันยังชื่นชอบใจกับเฉยๆ มันจะไม่เหลือทุกข์ทรมานเท่าไหร่หรอก คนที่เหลือเศษธุลีละออง มันแวบๆแต่ไม่ได้ทำลายให้เราตกต่ำหรอก แต่ไม่จบ นี่แหละพวกนี้พวกไม่จบ ปปัญจรามตา ระวังเถอะ มันไม่เป็นโทษใช้อะไรมากนี่ ตัวผีหลอกนี่สำคัญมากคือความประมาท แต่โทษของคุณคือไม่ไปไหนสักที ติดแป้นอยู่นั่นแหละ เหมือนเสี้ยนในจิต มันไม่ห่างสักที จะไปไหนรอด

 

อาตมาทำงานด้านนี้มายิ่งชัดเจนมั่นใจว่า พวกเราจะเป็นผู้ที่ สร้างความเป็นโลกุตระบุคคล อาริยบุคคลมาสืบสาน ศาสนาพระพุทธเจ้าไปถึง 5000 ปีได้ ตั้งอกตั้งใจให้ดีก็แล้วกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โสดาบันเอกพีชี กับสกิทาคามีต่างกัน

_คำถาม ข้อ 1 ขอคำอธิบาย กับคำว่า ถ้าทำทุกข์ปัจจุบันให้เป็นสูญ ก็เป็น อรหันต์ได้

 

 ข้อ 2 ขอความกระจ่างแจ้ง คำว่า  "ปัญญินทรีย์" ค่ะ

 

จาก  "ชาวบ้าน " ค่ะ

อินทรีย์ก็เป็นกำลัง แต่พละนี้สูงกว่า ปัญญาพละคือผลจบสูงสุด ปัญญิทรีย์คือขั้นกลาง เลยกลางเป็นอินทรีย์สูงขึ้นไปจนจบ อินทรีย์เป็นกำลังนี้จะเยอะ

เช่นในโสดาบัน นับไปถึงขั้นสอง ขั้นหก เรียกว่าสกิทาฯ ถ้าขั้นเจ็ด

1-7 เรียก สัตตักขัตตุ ปรมโสดาบัน

2 คือสกิทาคามี

3 สูงขึ้นไปอีก 4 5 6

พอ 7เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบันขั้นสูงสุด ซ้อนสกิทาคามีขั้นแท้ เป็นโสดาบันขั้นสูงสุด

ขั้น 2-6 เขาถึงนับว่าเป็นสกิทาฯ บางทีเรียกโกลังโกละ

ถ้าขั้นเอกพีชี ท่านเรียกอีกศัพท์หนึ่ง

คนสงสัยว่า โสดาบันเอกพีชี กับ สกิทาคามี ต่างกันอย่างไร เพราะทั้งสองคำแปลว่าเกิดอีกชาติเดียว

คนที่ยังไม่เข้าใจการเกิดของนามธรรม สัตว์โอปปาติกะก็เลิกพูดกันอธิบายไม่ถูกแน่ต้องมีภูมิรู้การเกิดการตายของจิต

เอกพีชี กับสกิทาคามีต่างกัน คือ

บารมีของโสดาบัน เป็นคนบารมีไม่สูง พอเริ่มเป็นโสดาบันได้ ก็พากเพียรได้ อุตสาหะ แล้วบรรลุพระอรหันต์ได้ในชาตินั้น โสดาบันแล้วพากเพียร 2 3 4 โกลังโกละ บรรลุอรหันต์ได้ในชาตินั้น

มีฐานบารมีมา พากเพียรบรรลุได้ในชาติเดียว

ส่วนสกิทาคามี ไปตามลำดับ ไม่ต้องพากเพียรมากเท่า โสดาบัน ก็สามารถจะบรรลุอรหันต์ได้ในชาติเดียวเหมือนกัน ต่างกันตรง บารมีกับความเพียร

บารมีของสกิทาคามีต้องมากกว่าโสดาบัน

สกิทาคามีชาตินี้ก็ได้อรหันต์แต่นอนไม่ต้องพากเพียรมาก แต่โสดาบันหากไม่พากเพียรไม่ได้บรรลุ แต่ถ้าพากเพียรมากก็บรรลุได้เช่นกัน

สกิทาคามีไม่ต้องพากเพียรมากก็บรรลุได้ในชาตินี้

 

คนไม่มีพื้นฐานก็จะฟังไม่เข้าใจ ยิ่งมีสภาวะจะเข้าใจได้ง่าย แต่ถ้ามีปฏิภาณบางคนก็เข้าใจได้เช่นกัน ถ้ามีพื้นฐานแต่ไม่ฟังเต็มที่ไม่ค่อยใส่ใจก็ยากแน่

 

_อโศกสัมปวังโก … (เชิงมีศรัทธาดีแต่อาจเป็นวิริยาธิกะได้ แต่เห็นมีศรัทธามากแล้วพยายามเพิ่มปัญญา)

ผมว่า ถ้ามีความเข้าใจในหลักประชาธิปไตยแบบพุทธ เป็นอย่างนี้… คือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และยุติธรรมในสมัยพุทธกาล ต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ เป็นไปตามความเห็นชอบของอัครสาวกไปตามลำดับ หากไม่มีอัครสาวก ก็ให้เป็นไปตามความเห็นชอบของพระอรหันต์ หากไม่มีพระอรหันต์ก็ให้เป็นไปตามความเห็นชอบของพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบันไปตามลำดับ หรือต่อไปก็เป็นความเห็นชอบของ หมู่มาก

พ่อครูว่า..คุณเข้าใจถูกส่วนหนึ่ง แต่ไม่ครบ หากยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์ใช้อย่างที่ว่านี้เป็นเกณฑ์ได้ แต่อันนั้นจะเรียกว่าประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าก็เป็นประชาธิปไตยแม้ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ใช้ตามเกณฑ์อย่างที่ว่า แต่ในยุคนี้เป็นประชาธิปไตยเอาอย่างนั้นมาใช้ไม่ได้ อันนั้นมันต้องอนุโลม คือต้องเอาคนมีภูมิธรรมสูงมากตัดสิน ต้องอาศัยอันนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คำจำกัดความสายเจโต สายปัญญา

_คำจำกัดความของสายเจโต สายปัญญาของชาวอโศกไม่แน่ชัด โดยคนส่วนมากเข้าใจว่าสายเจโตคือไม่ฉลาด สายปัญญาคือฉลาด สายเจโตจะพอใจเมื่อคนมองว่าตนเป็นสายปัญญา คนสายเจโตจะไม่พอใจเมื่อคนมองว่าตนเป็นสายเจโต ชาวอโศกส่วนใหญ่จะพอใจเมื่อคนอื่นมองว่าตนเป็นสายปัญญา

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ฟังคำจำกัดความของสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน

ท่านจำกัดความว่า คือคนที่แม่นแต่ไม่มุ่งมั่น ส่วนสายเจโตคือมุ่งมั่นแต่ไม่แม่น

พ่อครูว่า อย่าไปตีขลุม คนที่ชัดก็ชัดแล้ว คุณก็พยายามถ่วง จริงๆแล้วสายปัญญาฉลาดจริงกว่าเจโต แต่คุณก็พยายามแก้ตัวให้เจโต ไม่มั่นใจว่าปัญญาจะเก่งกว่าเจโตหรือไม่ กำลังหลงปัญญา ทั้งที่ตนเป็นแกนเจโต ไม่ยอมรับตัวเอง คือวิตักกจริต มันจะสลับกลับไปกลับมา ความคิดจะเพี้ยนไปได้ กลับไปกลับมา นึกว่าถูกแล้วแต่มันผิด เลยอยู่อย่างนั้น

จะเป็นปัญญาหรือเจโตก็ตามใครจะชี้อย่างไรเราก็ไม่น่าจะไม่พอใจ ต้องตรวจสอบตนเองเรื่อยๆใครจะว่าอะไรก็ได้ จนคุณก็เอาคะแนนจากคนที่มาชี้ได้

จะบอกว่า ก็ไม่ผิด เพราะปัญญามันคมชัดเร็ว แม่น แต่ไปเข้าใจแล้วตัดสินให้ตัวเองเร็วก็หลุดได้ ถ้าจะบอกว่าผิดพลาด สายปัญญาจะผิดพลาดได้มากกว่าสายเจโต แต่ไม่ยอมรับได้ง่ายๆ สายปัญญาจะแกว่ง

การสลับไปสลับมานี่บางทีอาตมาก็พลอยเมาไปด้วย ไม่ใช่ง่าย รายละเอียดหนักเข้าต้องตั้งสติให้ดี คนชัดเจนในความจริงก็เอาความจริงเป็นหลัก ถ้ากำหนดผิดไปรู้ก็แก้ แต่ถ้าคนมีตัวตนก็จะช้า

การอยู่ในหมู่บัณฑิตมีภูมิปัญญาแล้วก็เอาความเห็นของ หมู่ เยภุยสิกา ไม่ต้องเสียเวลา แต่ถ้าอยู่ในหมู่ไม่ใช่บัณฑิตอย่าเอามติหมู่มาตัดสิน

 

 

ขออ่านเรื่องของการเมืองต่ออีก…

            “ระบอบการปกครอง”ของมนุษย์      

           

      (1) การปกครองมนุษย์นั้น แสนยาก     

      เพราะมนุษย์หลายจิตหลาก      กิเลสล้น

      แต่ละชาติต่างต้องพาก-           เพียรสุด กำลังเฮย

      ทั้งพูดทำคิดค้น                เพื่อได้ทางเจริญ

      (2)  ไม่เกินกว่ามนุษย์รู้           ศึกษา   

      ทุกประเทศล้วนเสาะหา           ทิศก้าว 

ตามภูมิแห่งเฉกา              ที่ฉลาด สุดแล                 ใครไป่ปรารถนาน้าว        ชาติให้เลวเลย    

      (3) แต่เคยสะดุดบ้าง         มีไหม

      ว่า“ระบอบ”ดีสุดใด                  นั่นแท้  

      มี“ทิฏฐิวิเศษ”ไหน            สร้างโลกุตร์

      ตรา“กฎธรรมนูญ”แล้        เลิศพร้อมเพ็ญพูน

      (4) “ธรรมนูญ”พุทธพิสุทธิ์แท้  รู้เถิด

      สามหมวด“ศีล”สุดประเสริฐ ยิ่งล้ำ

      “จุลศีล”หมวดหนึ่งเกิด       อาริยะ- ชนเฮย

      “มัชฌิมศีล”สองย้ำ                  ขยายซ้ำละเอียดเสริม

      (5) เติม“มหาศีล”เข้าครบ         หมวดสาม

      ข้อกำหนดห้ามปราม         วิเศษนี้

      หากใครปฏิบัติตาม           ศาสน์สุด สะอาดแฮ

      ไร้“ดิรัจฉานวิช”ชี้            พุทธแผ้ววิสุทธิ์ธรรม  

      (6) กำหนดได้ระบอบนี้            ดีวิศิษฏ์

      หลักพุทธแสนสุจริต               ประสิทธิ์แท้

      ปกครองมนุษย์ชนิด          “ธรรมาธิ- ปัตย์”เลย

      ชัด“อัตตา-โลก”แก้                  ปรับได้โดย“ธรรม”

      (7) สัมฤทธิ์“อธิปัตย์”ล้วน        พิเศษผล

      “ระบอบพุทธ”สัมมาชน            สำเร็จได้

      มี“ศีล”กำกับคน                ตัดกิเลส

      “สมาธิ-ปัญญา”ไซร้                ชี้มนุษย์เจริญจริง.                 

                          “สไมย์ จำปาแพง”   

12 ก.ค. 2560                                                    

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 325 ประจำเดือนสิงหาคม 2560]

 

โลกุตระนี้ นิยามคือทำให้กิเลสหมดไปจากจิตได้จริงถาวร ถ้ากดข่มไว้อย่างไรมันก็ต้องออกฤทธิ์ แต่ของพุทธนี้สะอาดจริงไปได้เรื่อยๆ ไม่มีอะไรตีตลบ  หลังเลย อาตมามั่นใจ ในยุคที่ใกล้กลียุคมีคนจะแสวงหามาเอาปัญญา แม้จะมีน้อยก็มีฤทธิ์มาก มีน้ำหนักมาก

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี้ครบหมดแล้ว ไม่ใช่ศีลสำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์ปฏิบัติได้ ทำได้ผลเป็นได้ตั้งแต่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามีอรหันต์  มีนิยาม 5 ของชีวิตพร้อมหมดแล้ว ศีลคือธรรมนูญของศาสนาพุทธ

สังคมอโศกมีมหาศีล สะอาดจากเดรัจฉานวิชชาทั้งหมด เอาสิ่งที่ต้องสูญเสียคืนมาได้หมด เป็น ครน.หรม.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัจจะหนึ่งเดียวของโลกและอัตตา

อำนาจของศาสนาพุทธที่ไม่ใช่อำนาจของตัวเอง ไม่ได้เป็นอำนาจเบงข่มทำให้คนอื่นกลัว อำนาจที่เป็นธรรมาธิปไตยเขาจะเกรงแต่ไม่ใช่กลัว จะมีความรักบูชาเชิดชูแต่ไม่ได้กลัว นักรัฐศาสตร์บอกว่าการเมืองคือการแย่งชิงอำนาจ อาตมาว่านี่คือความล้มเหลวตั้งแต่ต้น แต่ที่จริงต้องไม่แย่งชิงอำนาจจากประชาชนเป็นผู้ยอมรับให้เขาได้ใช้อำนาจเพราะว่าพวกนี้ 1 มีปัญญา 2 ไม่มีอัตตาโต ไม่บังคับข่มเหงไม่เบียดเบียนใคร มีแต่ช่วยคนอื่นเสียสละ ผู้นี้ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีแต่คุณค่าประโยชน์ คนผู้นี้จึงถือว่ามีอำนาจสุดยอดแห่งอำนาจ จึงเรียกว่าธรรมาธิปไตย ท่านเป็นอย่างนั้นได้เพราะว่าท่านเข้าใจเรื่องโลกและอัตตา

 

พระพุทธเจ้าท่านได้สอน อธิปไตยมีสาม

1.โลกาธิปไตย 2.อัตตาธิปไตย 3.ธรรมาธิปไตย ท่านสอนเท่านี้ แต่มีความจบสมบูรณ์สุด

โลกคือสภาพที่ร่วมกับคนอื่น อัตตาคือเรื่องของตัวเองไม่ร่วมกับใคร

คนที่มีความร่วมกับผู้อื่น เอาผู้อื่นเป็นหลัก ถ้าเอาผู้อื่นเป็นหลักโดยไม่เอาเราเลย เราก็โง่ไปกับโลก เช่น ในสังคมตอนนี้คนมีกี่แบบมีจำนวนมาก หากเอาคนมากเป็นหลักไม่เอาเราถ่วงเลย กิเลสก็จะเป็นใหญ่ เราต้องมีความถ่วงดุลโลก เราจะถ่วงได้ คนในโลกนั้นจะต้องยอมรับเรา ว่าคนนี้ซื่อสัตย์สุจริตไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัว ฉลาดรอบรู้มีสมรรถนะช่วยผู้อื่นได้อย่างมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เขาก็จะยกให้ตามจริง ใครที่มากที่สุดยกให้เป็นเบอร์ 1 รองลงมาเป็นเบอร์ 2 เป็นสัจจะ

ท่านผู้ที่มีอำนาจจะไม่ได้อยากได้อำนาจแล้วไม่ยึดติดว่าเป็นอำนาจของเราด้วย คนอื่นยกให้ท่าน นี่คืออำนาจโดยธรรมว่า คนนี้ซื่อสัตย์สุจริตมีความรอบรู้มีความเมตตามีความไม่ลำเอียง ชัดเจน เหมาะสม เป็นนักอภิบาล เป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่เพราะว่ามีธรรมะเป็นอำนาจ จึงอภิบาล บริหารปกครองดูแล ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรม เพราะมีธรรมะเป็นอธิปไตย จึงทำธรรมาภิบาลได้

คนจะไปอภิบาลคนอื่น ถ้ามีธรรมะเลอะเทอะก็อภิบาลอย่างเลอะเทอะ

ผู้ที่รู้โลก รู้สิ่งผสมกันร่วมกัน ตั้งแต่ 2 สิ่งจนถึงเป็นล้านสิ่ง จัดการร่วมกันอยู่ อยู่ร่วมกันก็พยายามปรับปรุงกัน เรียกว่าสังขาร ปรุงแต่งกันแยกแยะสังเคราะห์ อะไรไม่ดีก็มาตกลงกันนะว่าไม่เอาก็ปฏิสังเคราะห์สังขารตลอดเวลา แล้วเหตุปัจจัยไม่เที่ยง แต่ละวินาทีแต่ละนาที แต่ละองค์รวม มีข้อมูลใหม่มาเร็ว ยิ่งตอนนี้ ข้อมูลใหม่มาเร็วเยอะด้วย เราก็ต้องรู้ทัน ใครเก็บข้อมูลได้ครบก็ดี

ผู้ที่รู้เรื่องโลก อธิบายเรื่องโลก ว่าจะต้องมีการผสมกับคนอื่น

อัตตา อยู่แต่ตัวคนเดียว ไม่เกี่ยวกับใครก็อยู่ในภพ หลับตา อยู่คนเดียวจริงๆ ต่อให้คุณเก่งทางอาเทศนาปาฏิหาริย์ สามารถส่งจิตไป แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลย ใครจะมารับรองคุณ ก็ไม่มีประโยชน์กับใคร อันนี้ตีทิ้งได้เลย จริงหรือไม่จริงไม่รู้ คำว่าจริงของโลกต้องมีสอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว แต่ถ้าสองคนรับรองว่าตรงกันเป๊ะก็หนึ่งเดียวกัน สามคน ห้าคน ร้อยคน ตรงกันเป๊ะ แสนคน ล้านคนก็ยืนยันตรงกันเป๊ะ สัจจะมีหนึ่งเดียว ยิ่งคนอื่นรับรองกันมากขึ้นก็ยิ่งจะตรงกันเป็นสัจจะตรงกันมีหนึ่งเดียว แต่ถ้าคุณคนเดียว ก็รับรองไม่ได้ แต่ถ้ามีสองคน อีกคนรับไม่ได้ก็ไปไม่ออก

สัจจะมีหนึ่งเดียวไม่ใช่ว่าสัจจะกูคนเดียว แต่สัจจะคือคนอื่นเห็นร่วมได้มากก็เป็นสัจจะเท่านั้น

คนเถียงกัน เอาเหตุผลมามุมไหนก็ได้ ความรู้แล้วถึงไม่เถียงกัน ความเห็นของคุณก็ของคุณ ของเราก็ของเรา

โลกจะต้องมีสองแต่ความเห็นต้องเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะเป็น สัจจะเป็นหนึ่งเดียว

อัตตา

อัตตาตัวตน ถ้านั่งหลับตาสะกดจิต อยู่คนเดียวต่อให้เป็นยอดรู้สักเท่าไหร่ แต่ไม่ร่วมกับคนอื่นเลยก็ไม่ถือเป็นสัจจะในโลก เพราะฉะนั้นจะมีหรือไม่มีก็ต้องให้คนอื่นร่วมรับรู้ ตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไปรับรอง แต่ 2 คนก็จะน้อยไป ในโลกนี้มีคนเป็นล้านคนจะต้องมีคนรับรองมากพอสมควร แม้คนจะมีโลกีย์อวิชชามากก็ตาม จำนวนคนที่ควรก็มีพอสมควร

 

พระพุทธเจ้าสมณโคดมพยากรณ์ด้วยว่า หมดพุทธกัปป์นี้ไปจะเป็นพุทธันดร คือระยะที่ว่างจากศาสนาพุทธไปอีกนาน แล้วจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มา พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาประกาศศาสนา ทุกองค์ชื่อว่า ศรีอาริยเมตไตรย

คำว่าศรีอาริยเมตไตรยเป็นชื่อของตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้า ไม่ได้เป็นชื่อ proper noun ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแต่เป็น common noun เป็นชื่อสามัญ

ธรรมะพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรย ของศาสนาอื่นก็มี เป็นคำสามัญนามมีเหมือนกันไม่ได้ชื่อตายตัว แต่เป็นชื่อตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้า

แต่ของพระพุทธเจ้าองค์นี้พยากรณ์ไว้ว่า องค์ข้างหน้าจะมีคนเจริญมาก เพราะยุคนี้ใกล้กลียุค โลกจะแตก และต่อไปโลกจะฟักตัวใหม่ ต่อไปจะเกิดมนุษย์ขึ้นมาใหม่อีก โลกจะแตกก่อนหรือไม่ เราไม่ไปคิดให้ปวดหัว

สรุปแล้วจะมีคนเกิดในระยะต่อมา คนก็จะยังไม่เลว กิเลสก็จะไม่มาก ต่อมานานเข้า กิเลสคนมาก จนอำมหิตฆ่ากันแรง ในระหว่างคนมีกิเลสไม่มาก สังคมมนุษยชาติก็อยู่กันอย่างไม่เดือดร้อน จนเดือดร้อนมากพอ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจะต้องมาอุบัติ นั่นแหละคือ พระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรย ในยุคคนดีมาก คนเลวน้อย เพราะฉะนั้นสอนก็ต้องได้ดี สอนได้เร็ว เข้าใจไหม มันเป็นสัจจะของมัน จะต้องเป็นเช่นนั้น

 

อาตมาเกิดมาในยุคนี้ไม่สงสัยว่าต้องโดนอย่างนี้ เป็นการทดสอบตัวเอง หนักหนาสาหัสพอควร ยากก็ยาก มันเกิน 45 ปีแล้ว พระพุทธเจ้าสมณโคดมสร้างศาสนามา 45 ปีก็ปรินิพพาน อาตมายังไปได้ไม่ถึงไหนเลย ไม่รู้จะถูไถไปได้สักเท่าไหร่ จะถึง 151 ปี ก็เหลืออีก 67 ปี

อาตมาพยายามที่จะยื้อ อายุขัย นี่ยื้อมาได้ 1 นักษัตรแล้ว ถ้ายื้อไปได้อีก 1 นักษัตรก็เป็น 96 ปี ถ้ายื้อไปอีก 1 นักษัตรก็เป็น 108 ปี จาก 108 ปีเป็น 120 ปี จากนั้นเป็น 132 ปี จากนั้นเป็น 144 ปี สามเส้าอีก

พูดนี่หลายคนก็ฝันเพ้อว่าอาตมาจะได้ 151 หรือเผื่อจะน่าเห็นใจว่าไม่ต้องอยู่ถึงขนาดนั้นหรอก หากไม่ไหวแล้ว คนก็ไม่อาลัยอาวรณ์มาก ไม่ได้ร้องหาอาลัย

สมณะฟ้าไทว่า...ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่า 80 ​ปี สรีระพระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือน เกวียนคร่ำคร่าแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อัตตาสามอันลึกซึ้ง

พ่อครูว่า...สิ่งเหล่านี้ เป็นสัจจะ เหตุปัจจัยต้องลงตัว สรุปคือต้องเรียนรู้ อัตตาสาม

โอฬาริกอัตตา มโนมยาอัตตา อรูปอัตตา

โอฬาริกอัตตาคือหยาบหนักหนา จัดจ้าน ก็หมดไป จิตคุณเหนือได้ ถ้าคุณมีกำลัง จิต เหนืออัตตาได้ เป็นอธิปไตย ไม่ได้หมดอัตตา แต่อาศัยได้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ผู้เป็นอมตบุคคล นี่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ท่านอยู่เหนือแล้ว จะตายหรือไม่ตายก็ได้ อาศัยอัตตานี้ไป

อัตตาที่อยู่เหนือโลกหยาบ หมดอบายไปตามลำดับ อบายที่คนทั่วไปรู้แล้ว หยาบต่ำหนักหนาสาหัสแล้ว ก็จะ  ของหยาบที่คนนักเลง ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ใครก็รู้ได้ง่าย อย่างธัมมชโยหรือว่าทักษิณนี้ คนดูได้ยากกว่า แต่ทำลายประเทศได้ยิ่งกว่านักเลงตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก เลวร้ายกว่าไม่รู้กี่รอบ

คนจะไปรู้เรื่องหยาบของคนเลวร้ายเรื่องโลกอย่างทักษิณกับธัมมชโยแล้วสร้างหมู่กลุ่มอีก โง่ สกุลเดียวกัน เขาเรียกว่าตระกูลแดง อยู่อย่างนั้นโดยเขาไม่รู้คือโอฬาริกะ อย่าว่าแต่ธัมมชโยเลย ขนาดเณรคำก็ยังมีพระมาเถียงให้อีก

สมณะฟ้าไทว่า...มีญาติธรรมบอกว่าสามีตนไปกราบเณรคำอีก ผมก็เลยว่าคนทำไมเป็นถึงขนาดนี้

พ่อครูว่า..เขาก็ดูไม่ออกยังเชื่อมั่นเข้าใจว่าดี เราไปบังคับความเฉลียวฉลาดคนไม่ได้ ภูมิใครก็ภูมิใคร

คนที่เข้าใจแล้วว่าอัตตาตัวตนของใคร เขาก็เป็นของเขา เราจะไม่กดขี่ข่มเหงแม้ธัมมชโยก็มีอัตตาเช่นนี้ จิตเราไม่ได้โกรธเคือง แต่มีเมตตาสงสารแต่ต้องประกาศให้โลกรู้ว่ามันต่ำ 

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...มีโลกและอัตตา แต่สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่ต้องมีตั้งแต่สองคนเข้าใจตรงกันยืนยันกันได้ ตั้งแต่สองคนเป็นต้นไป

พ่อครูว่า...ตัวเองก็ติดยึดในสิ่งหยาบๆนี้เป็นตัวตน เป็นอำนาจ หลอกให้คนอื่นมาเป็นพวกของตนได้อีก คนนี้หลงอัตตาตัวตน

ใครที่หลุดออกมาได้ จากอบาย จากกาม ตั้งแต่ภายนอก เป็นมโนมยอัตตาภายนอกเป็นกายภายนอก รูปร่างตัวตนเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ที่สุด มันไม่มีรูปร่าง ตัวตนก็นึกว่าเห็นรูปร่างตัวตน เช่นเห็นผี เห็นเทวดา มันไม่มีของจริงเหรอ แม้ทางแพทย์เรียกภาพหลอน เสียงหลอน ไม่มีกลิ่นเขาก็สัมผัสกลิ่น  ไม่มีสัมผัสเขาก็รู้สึกสัมผัสได้ บางคนมีผัวเป็นพระพรหมเลย เขาก็ปั้นได้ในจิตเขา

ยิ่งละเอียดกว่านั้น รสอร่อยไม่มี เราไปสร้างมันเอง หรือแม้อันนี้สวย คนนี้มาดูว่าสวย แต่อีกคนหนึ่งมาดูว่าไม่ได้สวยอะไร บางคนว่ากลิ่นอย่างนี้หอม บางคนบอกว่าเหม็น ไม่ชอบ

ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่าหยาบ แต่เราก็ไม่เห็นว่าหยาบคือเรามีโอฬาริกอัตตา มีการยึดถือวัตถุสมบัติเป็นชิ้นเป็นอันเป็นของเรา ทั้งที่ไม่ใช่ของเราตัวเรา มันก็อาศัยเพียงชั่วระยะเวลา ในกามภพ แม้แต่ยึดถือคนนี้ๆ คนนี้หน้าดี มีตรงนั้นตรงนี้ดีแล้วแต่ก็บ้าๆบอๆไป แค่ถุงขี้ผูกโบว์(หญิง)หรือแค่หนังควายหุ้มขี้(ชาย)

เป็นมโนมยอัตตา เมื่อเรารู้ชัดเจนก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นไม่ต้องเอารสชาติ แต่ที่สุด สัมผัสเสียดสี เป็นรสชาติ อันนี้แหละยาก โผฏฐัพพารมย์เหมาหมด สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นโผฏฐัพพะ ทั้งกายผิว ภายนอก สมมุติไป บางคนบอกว่าฝ่าเท้าเธอนี่อร่อยมาก หรือบางคนบอกว่าอร่อยที่กระดูกสันหลังก็สมมุติไป บางคนกินน่องไก่ ตีนไก่ ตูดไก่ แต่ก่อนเราเคยสั่งตูดเป็ดตูดไก่กิน ร้านแถวนางเลิ้ง

มโนมยอัตตามีภายนอกและภายใน โอฬาริกอัตตามีแต่ภายนอก คนเห็นผี ไม่มีรูปร่างแต่คนเห็นได้ ปั้นเป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต แม้ที่สุดสำเร็จด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหมด จนกระทั่งเห็นเป็นกระดูกเดินได้ มันไม่มีหรอก แต่ก็เห็น เห็นผีกระสือมีไส้ลอยตุ๊ปป่อง มีอวัยวะน้อยใหญ่ ไม่บกพร่อง

หากเราหมดมโนมยอัตตาภายนอกก็ยังมีมโนมยอัตตาภายใน แบบนี้สอนยาก อย่างพวกนั่งหลับตาปฏิบัติ เห็นเทวดาอีก ปั้นให้ว่าอายุยืนด้วยอยู่นาน แต่ละองค์ๆ อายุยืน ว่ากันไปอย่างอาจารย์มั่นสอนเทวดามาจากเยอรมัน ก็ว่าไป เป็นมโนมยอัตตาที่ไม่เข้าใจอัตตาภายใน เห็นเป็นรูปร่างตัวตนภายในสารพัด

หมดมโนมยอัตตาก็เป็นอรูปอัตตา

อรูปอัตตา 4 ขั้นคือ อากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญาฯ เนวสัญญานาสัญญา ค่อยอธิบายที่หลัง มีพรหมอีก 20 ค่อยอธิบายทีหลัง


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:25:05 )

560101

รายละเอียด

1/1/2556 4:11:32 รายการเทศน์ทำวัตรเช้า งานโพชฌังคาริยสัจจายุ โดยพ่อท่าน ณ ใต้เฮือนสูญฯ

1/1/2556 4:13:11 พ่อท่านได้เกริ่นกล่าวถึง อภิมหาอนิจจัง เราต้องมาทำวัตรเช้าที่ใต้เฮือนศูนย์ ทั้งที่เมื่อวานบอกว่าจะไปทวช.ที่เดิ่นเบิงฝ้า วันนี้ 15 องศาซี

1/1/2556 4:15:36 เมื่อวานเราพูดถึง ผักคุณสูตร ได้พูดถึงอาหาร 4 อาหารคือเครื่องอาศัย ผู้ที่ไม่คำนึงถึงอาหารนี้เลยไม่อยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าอยู่กับอาหาร 4 ตลอดเวลา คือ โอกกันติ คือเกิดต่อเนื่องตลอดเวลา ถ้าขาดไปเมื่อไหร่เรียกว่า ขณิกะ ส่วนโอกกันตินั้นคือการเกิดตลอดเวลาไม่มีอะไรคั่น

1/1/2556 4:17:51 คนเราอาศัยอาหารนี้อยู่ ถ้าเราพิจารณากวฬิงการาหาร ผู้ปฏิบัติธรรม ก็จะกำหนดมื้อคราว ไม่มากมื้อมากคราว จริงๆแล้วมื้อเดียว พระพุทธเจ้าท่านไม่มีสอนให้ฉันสองมื้อ พระพุทธเจ้าสอนใน วิกาลโภชนา หรือ มัตตัญญุตาจพัตตสมิง มัตตัญญุตาคือการประมาณ คือมีการกำหนดรู้แจ้งในการเมาอาหาร เมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในอาหาร มัตตะ แปลว่า เมา ถ้าผู้ใดไม่ศึกษาธรรม ก็เมาตลอด โอกกันติ เมาในรูปน่ากิน รสอร่อย อาหารนั้นไม่มีเสียง แต่มีสัมผัส กลิ่น มีรส ผู้ติดก็คือผู้อาศัยความเมาตลอดชีวิตตลอดชาติ

1/1/2556 4:20:46 ส่วนโภชเนมัตตัญญุตา คือ รู้ด้วยญาณ ในเรื่องของความเมาอาหาร ท่านตรัสไว้ในอาหารแรกคือ กวฬิงการาหาร

เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่ง

เกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์

อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

เมื่อกำหนดรู้กามคุณก็เป็นภาคปฏิบัติของการกินอาหาร ผู้ไม่ได้เรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ พ่อท่านไม่เคยเห็นอาจารย์ท่านใดสอนในเรื่องการปฏิบัติในเรื่องอาหาร ที่ไปนิพพาน ให้เรียนรู้การลดละกามคุณในเรื่องอาหารอย่างแท้จริง พ่อท่านได้ถามนิสิตว่ามีอาจารย์คนไหนสอน มีบางท่านบอกว่า มีอาจารย์บางท่านสอน นิสิตบางท่านบอกว่า หมอเขียว ก็เอามาจากพ่อครู

ในอาหารคือคำข้าว มันเกี่ยวด้วยผัสสะ เกี่ยวด้วยมโนสัญเจตนา เกี่ยวด้วยวิญญาณ ไม่ได้แยกกัน ถ้าคุณสมาทานไม่กินอันนี้แล้ว ก็ไม่ได้สัมผัสทางลิ้น ปาก ก็ไม่มีรสจริง เมื่อปั้นเสพเอาก็เป็นสวรรค์แห้ง หรือมีมโนสัญเจตนา ในการระวัง วดเว้น สมาทานไว้แล้วว่าจะเว้นขาด จะทำลายกิเลส คุณก็มีความรู้ในมโนสัญเจตนา ในการดับภพดับชาติ คุณก็จะปฏิบัติเมื่อมันเกิดอาการกาม คุณก็ต้องอ่านรู้ด้วยจิต คือการรู้ นามรูป อาการกิเลสที่เป็นกามคุณในจิต คุณก็ต้องจัดการด้วย วิกขัมภนปหาน ตทังคปาหาน สมุทเฉทปหาร ปฏิปัสสัทธิปหาน จนกระทั่ง นิสสรณปหาน (ปหารอย่างเด็ดขาดไม่กลับคืนมา เปลื้องปล่อย อย่างมีปัญญา ไม่ได้กดข่มเลย เห็นมันอยู่จิตก็ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา) เมื่อคุณบรรลุแล้ว แม้ว่าคุณจะกินมัน สัมผัส ใส่ปาก ก็ไม่เกิดอาการของความสุข ทุกข์ มีจิตอุเบกขา เพราะเราได้เนกขัมมสิตอุเบกขา ได้ทำออกกำจัดล้างกิเลสจริง จนถึงเนกขัมมสิกตโสมนัส-โทมนัส

1/1/2556 4:33:03 ขณะเป็นฌาน ฌาน 1 มีวิตกวิจาร ก็ยังไม่สนิทในการระงับกิเลส ยังต้องเคร่งคุมเหมือนขี่จักรยาน เอวคดไปคดมา นั่งถีบได้แล้วแต่ก็ต้องระมัดระวังอยู่ คือมีเนกขัมสิตโทมนัสเวทนา ยังเหลือทุกข์อยู่ แต่ทุกข์อย่างเนกขัมมะ มีสัมมัปปทาน 4 สติปัฏฐาน 4 อ่านเวทนาในเวทนา ธรรมในธรรมอยู่ สังวรปทาน เกิดผลบ้าง ภาวนาปทาน แม้ขณิกะอยู่ ไม่อุเบกขาต่อเนื่องเป็นโอกกันติ กำลังเผาเป็นฌาณนั้นไม่ได้มีแค่วิตกวิจาร แต่มีปีติ สุข อุเบกขา อยู่ด้วย มันจะรู้ว่าปีติลึกๆสุขลึกๆ การปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ จะเป็นการใช้ปัญญาประกอบทุกอย่าง ฌานต้องมีปัญญาอยู่ร่วมตลอด

1/1/2556 4:35:29 จะเห็นความเกิดดับที่ละเอียดยิ่งขึ้นถ้าญาณของเราละเอียดขึ้น ในแต่ละมื้อๆเราได้ปฏิบัติจริง จะเห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปในการกิน รู้ทั้งเนกขัมมสิตเวทนาและเคหสิตเวทนา

1/1/2556 4:37:22 อธิบายให้ง่ายหน่อย อาหารในขณะเราหยิบเข้าปากก็ผ่านรูปไปแล้ว ถ้าจะลดการติดรูป ก็ลองตักใส่ปาก สัมผัสรส แล้วเคี้ยวแล้วก็คายออกมามันจะน่ากินอยู่ไหม รูปมันยังไง กลิ่นมันยังไง อาหารเราอยู่ในปากเราแท้ๆ คายออกมาเรายังรู้สึกไม่ชอบ คายใส่ช้อนเมื่อเคี้ยวแหลกแล้ว มันก็คืออาการที่เราเคี้ยวอยู่ อาหารมันไม่รู้สึกอะไร คุณไปสมมุติมันทั้งนั้น คุณทำมันเองแล้วก็รู้สึกเอง เคี้ยวอร่อยอยู่แท้ๆ คายออกมา ถ้าคุณไม่ผลักไม่ดูด คุณก็ไม่รู้สึกอะไร จะเห็นรูปมันไม่เที่ยง แต่อารมณ์เราชอบไม่ชอบ เปลี่ยนไม่เปลี่ยน ศึกษาเวทนาในเวทนา ศึกษา จิตในจิต คือ เจโตปริยญาณ 16 (พ่อท่านหยุดไปอยู่ 3 ที) เมื่อเราคายออกมาก็รู้ ไม่ชอบก็คือโทสะ เคี้ยวอยู่รู้สึกชอบก็ราคะ คายออกมาแล้วเอาใส่ไปใหม่ จะเป็นราคะหรือโทสะ จนกว่าคุณจะอุเบกขา แต่ทีนี้เวลาปฏิบัติอย่าไปมองของใคร ปฏิบัติของใครก็ของใคร ว่าเรามีวีตะโทสะ ราคะไหม

1/1/2556 4:42:50 โภชเนมัตตัญญุตา คือการปฏิบัติที่ไม่ผิด จะพาไปเป็นอรหันต์ ที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบว่าพ่อแม่เดินทาง กินเนื้อบุตร คือผู้เดินทางสู่นิพพาน ถ้าไม่รู้ก็เหมือนคนเดินไปนรก ถูกสวรรค์ลวงหลอก ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้ว่านิพพานไปทางไหน คนกินอร่อยนี่ไปนรกหรือสวรรค์(พ่อท่านถาม) ก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง ถ้าสัมมาทิฏฐิคุณก็จะมีทางมีแผนที่ ในการเดินทาง คุณต้องกินอาการเพื่อเดินทาง ไม่ใช่ไม่มีทิศทาง ฆ่าลูกกินอยู่ยังมาถามว่าลูกไปไหน เห็นความโง่ ความอวิชชาของคนไหม ไม่รู้แม้ฆ่าลูกกินแล้ว เป็นความอวิชชา ความโมหะของคน ที่ซ่อนอยู่ในนิทานของพระพุทธเจ้า

1/1/2556 4:47:45 คนที่ได้ศึกษาถูกทางก็จะพาไปนิพพาน ในผัสสาหารท่านอธิบายไว้ว่า

[242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนม

ที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูก

พวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและ

กัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็น

อันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน

สถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อ

อริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้

เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

1/1/2556 4:49:13 ท่านให้กำหนดรู้ใน 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 ผัสสะ 6 อายตนะ 6 วิญญาณ ถ้าใครกำหนดนามรูปไม่เป็นไม่มีนามรูปปริเฉทญาณไม่เป็นไม่มีทางปฏิบัติได้ผล กำหนดรู้ในเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

1/1/2556 4:53:19 การกำหนดรู้ใน 6 นี้ ก็ใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ในการกำหนดรู้เช่นกัน คำว่าเหตุนั้น คือที่เกิด ส่วนคำว่า สมุทัย คือเป็นที่ตั้ง  แดนเกิดคือสัมภวะ หรือภพ

1/1/2556 5:00:16 มโนสัญเจตนานั้นพระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า

[243] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัญเจตนาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า

มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควัน

ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษสองคนมี

กำลังจับเขาที่แขนข้างละคนคร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจ

อยากจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิง

นี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้น

เหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้

แล้ว เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้

ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

1/1/2556 5:02:27 ส่วนมโสมัญเจตนาหารนั้นพระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวก

เจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมี

พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มใน

เวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็น

เวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้น

เป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแส

รับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มใน

เวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน

ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษ

คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมี

พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่ม

ในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุ

ทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอก

ร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น

มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย

ความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหาร

อยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน

 เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมา

กำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

จบสูตรที่ 3

1/1/2556 5:18:59 เหตุ นิทาน สมุทัย ชาติ ภพ นั้นคุณต้องกำหนดในปัจจุบันขณะที่สัมผัสอยู่ ส่วนการรู้นามรูปในเบื้องต้นนั้นกำหนดด้วย เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ส่วนปัจจุบันขณะที่ผัสสะนั้นกำหนดรู้ด้วย เหตุ ว่ามันมีอะไร มีนิทานเรื่องราวอย่างไร แล้ว รู้การเกิด เอาตัวอย่างปัจจุบันที่ลำโพงตอนนี้ไม่ค่อยดัง แล้วเรารู้ว่ามีการเกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือไม่ มันมีเหตุ มีนิทานอย่างไร แล้วเราจะปฏิบัติอย่างปัจจัตตลักษณ์หรือสามัญลักษณ์ เหมือนกับ เรากำลังถูกบุรุษดึงลงหลุมถ่านเพลิง แล้วเราก็ยื้อไม่ยอมลง มันเป็นลักษณะของมโนสัญเจตนาหาร คุณจะทุกข์ขนาดไหน

1/1/2556 5:23:06 ส่วน วิญญาณหารนั้น คุณไม่รู้ว่าถูกฆ่าอยู่ตลอด เสวยแต่ทุกข์โทมนัส ถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มหลายเวลา ก็ยังไม่ยอมตาย ก็เป็นเช่นคนไม่รู้จัก นามรูป หอกเล่มเดียวก็ทุกข์แล้ว แต่นี่สามร้อยเล่ม เจ้าคนนี้ยังไม่ตายเลย เพราะมันโง่ที่ไม่รู้จักทุกข์ทั้งที่ทุกข์อยู่ทุกขณะ เปรียบประดุจผู้ไม่รู้จักวิญญาณ แล้วไม่ศึกษาเพื่อจะดับวิญญาณให้ได้

1/1/2556 5:24:59 นิทานที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมันลึกซึ้งสุดยอด ซับซ้อนทุกนิทานเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกวฬิงการาหาร (กินเนื้อบุตร) ผัสสาหาร(โคไม่มีหนังหุ้ม) มโนสัญเจตนาหาร(ไม่อยากตกหลุมถ่านเพลิงเลย ก็ดิ้นรน เดี๋ยวอยากเดี๋ยวไม่อยาก สับสนไม่รู้จะเอาอย่างไร) เราต้องรู้ว่าต้องมีวิภวตัณหา ไม่ให้สับสน มาเป็นนร.ว.บบบ. ใช้ปัญญาขนาดไหน

1/1/2556 5:28:39 ในการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าพ่อท่านพยายามใช้อัตถะ ธรรมะ นิรุติ ปฏิภาณ ก็ยังไม่ถึงใจยังไม่ละเอียดที่จะให้เป็น แต่คุณก็ได้รู้ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งฟังก็จะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเสมอๆ แต่ก็ยังไม่ถึงใจอย่างที่ว่า

1/1/2556 5:29:57 สรุปว่าในอาหาร 4 นี่คือตัวแท้ของการปฏิบัติ โดยเฉพาะกวฬิงการาหาร คุณก็จะเรียนรู้ผัสสะ เวทนา มโนสัญเจตนา คุณก็ต้องรู้นามรูปคือรู้วิญญาณไม่อย่างนั้นคุณก็จะเป็นเช่นบุรุษถูกหอกสามร้อยเล่มประหารอยู่ตลอดเวลา มันยากในการรู้ทุกข์เหมือนกับยิงลูกศร 10 ดอกให้เข้าสู่รูกุญแจรูเดียว เหมือน จักเส้นผม 1 เส้นให้เป็น 7 แฉกให้เท่ากัน นิทานพระพุทธเจ้านี่ยากแต่เป็นไปได้ คนเรานี่มันด้านวิ่งหาทุกข์หาหลุมถ่านเพลิงทั้งๆที่ลึกๆใครก็ไม่อยากวิ่งหาทุกข์ จะรู้ว่าเราโง่ขนาดไหน คนเราเกิดมาเดี๋ยวนี้โลกมันแรง ชาติลิงลมอาข้าวพอง คือได้ภูมิมาแล้ว เกิดมายังไม่ตั้งหลักถูกโลกครอบงำ เมาไปกับเขาไม่รู้จักทุกข์นึกว่าเป็นสุขหลงไปกับเขา จนอายุ 36 ค่อยทยอยรู้ออกมาเรื่อยๆ แต่ของพระพุทธเจ้าวันเดียวจบ ม้วนเดียวจบ ระลึกไปจนจบครบเลย

1/1/2556 5:34:57 จากผัคคุณสูตร พระพุทธเจ้าสรุปว่า กวฬิงการาหาร มีผัคคุณนี่ถามแต่ถามไม่ถูก พระพุทธเจ้าแก้ถามว่า วิญญาณาหารมีเพื่อเกิดในภพต่อไป เมื่อวิญญาณาหารเกิด จึงมีสฬายตะ มีสฬาสยตะจึงมีผัสสะ

ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา พอมีเวทนาแล้วในคนไม่รู้จักวิญญาณก็แสวงหาทุกข์เป็นสุข ไม่อยากวิ่งหาหลุมถ่านเพลิง แต่ก็มีคนหามเข้าหลุมถ่านเพลิง มันย้อนแย้งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้มโนสัญเจตนา ก็วิ่งหาสุข ก็เกิดตัณหา เป็นกามตัณหา จริงๆไม่อยากทุกข์ แต่คุณก็หาตัณหา บำเรอตัณหาซึ่งคือเหตุแห่งทุกข์อยู่ตลอดเวลา

1/1/2556 5:40:52 เมื่อคุณมีความรู้ในสังกัปปะ 7 (ตักกะ วิตักกะ อัปปนา พยับปนา เจตโสอภินิโรปนา วจรสังขารา) ในมหาจัตตารีสกสูตร ในตัวสังกัปปะ 7 นี่คือการปฏิบัติที่แท้ เมื่อคุณมีกามตัณหาเกิด คุณก็ต้องดูนิทาน สมุทัย ชาติ ภพ เมื่อคุณรู้ว่ากามมันเกิด คุณต้องอ่านจิต ตักกะ ในความดำรินึกคิดเมื่อมันมีดำริในกามคุณต้องมีญาณ ต้องฝึกให้มีวสี แคล่วคล่อง ชำนาญ ก็จะมีวิจัยไปในตัว ปัจจัยปริคหญาณ แล้ว รู้สามัญลักษณ์ ซึ่งคนไม่รู้จะเป็นอย่างนี้ แต่เราต้องปฏิบัติให้เกิดปัจจัตลักษณะ อ่านการเกิดดับของตน เมื่อคุณเห็นกามมันกำลังเกิดมันดำริ เกิดเป็นปัจจุบันขณะสัมผัส แล้วคุณก็ปหาน ด้วยปหาน 5 ปหานอย่างกดข่มหรือด้วยปัญญาก็รู้ได้ ปหานได้ดีมีเจโตวสิปัตตโต คือจิตที่มีตัวพลังแข็งแรง มีอำนาจของฌาณ ของไฟ เก่งขึ้่น มันก็จะยิ่งทำลายตัวกามที่เราเห็นในปัจจุบันหรือถ้าเก่งมากขึ้น ถ้ากามมันเกิดไม่ใหญ่มากเราจับได้ก่อน แล้วกำจัดมันก็ไม่ไปสู่ วิกตักกะ (คือปรุงอย่างยิ่ง) เราต้องทำให้เป็น วีตะราคะ ผ่านวิตักกะ คือทำให้มันไม่มี แต่ถ้าคุณไม่รู้มันก็มียิ่งๆ มันปรุงก็เป็นสังกัปปะ เป็นต่อไปจนมีวจีสังขารต่อไป เพราะจิตไม่มีสมาธิตั้งมั่น มันไปกับกามอองลองๆ เลย นี่เป็นนิทานที่พ่อท่านใช้ลีลาของตัวโจรพวกนี้มาอธิบาย การปรุงแต่ง ใน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คุณทำเป็นก็ลดได้ ถ้าคุณเก่งก็จะลดได้ตั้งแต่ต้นทาง จิตที่เก่งมีกำลังของฌาณ ฝึกไปก็จะมีสมาธิที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นอภินิพพัตติ

1/1/2556 5:49:43  พระพุทธเจ้าท่านตรัสในผัคคุณสูตรท่านอธิบายแจกตั้งแต่ ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ วิญญาณ ทั้ง 6 มันมีเหตุ นิทาน สมุทัย ชาติ ภพ ในเวทนาสุข นั้นมันเป็นผีแปลงเป็นเทวดามาหลอก ว่ามันตรงตามสเปค ตามอุปาทาน สุขหอฮ่อ เป็นสุขหลอกตัวเอง อุปาทานมีตั้งแต่ กามุปาทาน เมื่อคุณลดกามได้ อุปาทานลด การปฏิบัติธรรม ต้องมี 6 วิญญาณ 6 อายตนะ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 ตัณหา มันเป็นเหตุปัจจัยกันและกัน นอกจากตัวธรรมารมณ์ เรายกไว้ก่อนมาอธิบายทีหลัง เราเรียนรู้ในกามคุณ 5 ก่อน กามตัณหาก็เกิดจาก การกระทบทวาร 5 ในนิทานเรื่องโจรถูกจับลงหลุมถ่านเพลิงนั้นตัวทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ นี่คือโรคที่รักษายากมาก คือโรคอวิชชา

1/1/2556 6:02:22 ในสมณพราหมณ์ สูตร ประไตรฯ ล. 16 สูตรที่ 4

3. สมณพราหมณสูตรที่ 1

         [38] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด

เหล่าหนึ่ง ไม่รู้จักชราและมรณะ ไม่รู้จักเหตุเกิด     แห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักความดับแห่งชรา

และมรณะ ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ ไม่รู้จักชาติ ... ไม่รู้จักภพ ...

ไม่รู้จักอุปาทาน ... ไม่รู้จักตัณหา ... ไม่รู้จักเวทนา ... ไม่รู้จักผัสสะ ... ไม่รู้จักสฬายตนะ ... ไม่รู้จัก

นามรูป ... ไม่รู้จักวิญญาณ ... ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร ไม่รู้จัก  ความดับแห่งสังขาร

 ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นจะสมมติว่าเป็นสมณะ

ในหมู่สมณะ หรือสมมติว่าเป็นพราหมณ์   ในหมู่พราหมณ์ หาได้ไม่ แลท่านเหล่านั้นมิได้กระทำ

ให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของ ความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่ง

เองใน  ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

         [39] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักชราและมรณะ รู้จัก

รู้จักความดับแห่งชราและมรณะ   รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ รู้จักชาติ ... รู้จัก

ภพ ... รู้จักอุปาทาน ... รู้จักตัณหา ... รู้จักเวทนา ... รู้จักผัสสะ ... รู้จักสฬายตนะ ... รู้จักนามรูป ...

รู้จักวิญญาณ ... รู้จักสังขาร ... รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร รู้จักความดับแห่งสังขาร รู้จักปฏิปทาที่จะให้

ถึงความดับแห่งสังขาร สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล สมมติได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ

และสมมติได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นได้กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของ

ความเป็นสมณะ และประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ

                              จบสูตรที่ 3

1/1/2556 6:04:19 การบรรลุนั้นต้องขณะผัสสะในปัจจุบันจึงเป็นของจริง แล้วปัจจุบันนั้นเราเข้าถึงหรือบรรลุอยู่หลัดๆ ความเป็นปัจจุบันนั้นยิ่งกว่าเป็นจุดของปลายเข็ม สุขนั้นหลอกได้สนิท แวบเดียว แล้วฝังอยู่ในจิตเป็นอุปาทาน ไปตลอด เมื่อคุณมีไม่มีอวิชชาคุณก็ผัสสะอย่างรู้ มีความถาวรด้วยอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขาหรือสมบูรณ์ด้วย มัชฌิมา ในธัมจักกัปปวัตนสูตร คุณก็จบในการปฏิบัติเป็นผู้รู้ตื่นเบิกบายอยู่

1/1/2556 6:07:40 จบ ในตอนเย็นจะพูดถึง ความมี และความไม่มี

 

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:37:25 )

560104

รายละเอียด

4/1/2556 18:05:09 รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อท่านและ ส.ฟ้าไท ที่บ้านราชฯ ตอน คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์

 

4/1/2556 18:05:52 ส.ฟ้าไทเปิดรายการ....ทุกวันนี้คนเดือดร้อนเพราะอบายมุขฟูเฟื่อง ขณะนี้ก็มีเรื่องร้อนว่าไทยน่าจะเสียดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร วันนี้ไทยยังเป็นทาสอยู่ วันนี้พ่อครูจะมาเทศน์เรื่อง คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์

 

4/1/2556 18:07:55 พ่อครูยืนยันว่าคนเราขาดธรรมะไม่ได้ พ่อครูได้อ่านโคลงสี่สุภาพ เรื่อง "คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์......เพิ่งเสร็จสดๆจะนำไปลงเราคิดอะไร

             คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์

                                           (1) ชาติคือบ้านที่แท้                           ของตน

                                           มนุษย์ชาติไทยทุกคน                          พี่น้อง

                                           ทั่วไทยใช่ต่างชน                                 ต่างชาติ 

                                           ล้วนญาติชาติเชื้อต้อง                         ผนึกให้เป็นจริง

                                           (2) กิเลสสิงใจชั่วไซร้                          ไม่ระลึก

                                           หลงโลกไป่รู้สึก                                    สักน้อย

                                           ทำไฉนจักสำนึก                                  อริยสัจ บ้างนอ

                                           ไทยนี่พุทธอ้อยต้อย                             แต่ร้างแรมธรรม                                              

                                           (3) จึงระกำช้ำชอก                             ฉะนี้แล

                                           หลงศาสตร์บ่แยแส                             ศาสน์บ้าง

                                           เป็นทาสขลาดอ่อนแอ                         สุดสุด                     

                                           สยบเยี่ยงผีถูกจ้าง                               โม่แป้งขบถธรรม   

                                           (4) ย้ำให้ไทยทุกผู้                              ทบทวน                                             

                                           ทุกระบบทุกกระบวน                           หมดหล้า                                           

                                           คือระบอบแห่งโซ่ตรวน                        ผูกมนุษย์์ ไว้แฮ

                                           ลาภยศแผลงฤทธิ์กล้า                         เบ่งบ้าเป็นนาย

                                           (5) คนกลายเป็นสัตว์ผู้                       ถูกมัด    

                                           สังโยชน์ผูกร้อยรัด                               หลุดมิได้   

                                           อะไรผูกก็บ่ชัด                                     เท่าอวิช- ชาเลย

                                           นายที่โหดเหี้ยมใช้                              กิเลสร้ายผูกคน

                                           (6) ช่วยตนโดยก่อหนี้                         คือแอก

                                           รัฐช่วยกระหน่ำซ้ำแบก                        แต่หนี้

                                           บริหารแบบกู้แหลก                             แจกล่อ

                                           สร้างระบบทาสเช่นชี้                           ชัดฉะนี้บรรลัย

                                           (7) หากไทยหวังพ้นทาส                     กันจริง

                                           ต้องปลดแอกตามคิง                           ธ ไท้

                                           พึ่งพุทธมิต้องอิง                                 แอบอื่น อีกเลย     

                                           ช่วยมนุษย์พ้นทาสได้                          ชาติพ้นทุกข์ระทม.              

             

                                                                                      สไมย์ จำปาแพง                                

                                                                                                     4 ม.ค. 2556

                            

ไม่ว่าคนสัญชาติใดก็เป็นคนไทยทั้งนั้น ล้วนเป็นญาติชาติเชื้อต้องผนึกกันให้ดี แต่มันมีกิเลสสิงใจคน หลงไปกับโลกไม่รู้สึก ก็จะทำอย่างไรจึงจะสำนึกถึงสัจธรรม ไทยนี่เพราะขาดพุทธรรมจึงทำให้ชอกช้ำระกำใจกันไป คนถูกสังโยชน์ผูกร้อยรัด มีอวิชชาเป็นตัวผูกมัดที่แน่นที่สุด คนทำประชานิยมใช้กิเลสล่อ เป็นนายที่เหี้ยมโหด ใครใช้กิเลสผูกตัวเองนี้โง่ รัฐบาลก็ใช้กิเลสล่อคน เป็นทาสทั้งรัฐบาล ทั้งเป็นทาสตัวเองด้วยปล่อยไม่ไป ไม่แน่ใจว่ารัฐจริงใจหรือไม่ที่ใช้นโยบาย ที่อาจทั้งรู้ว่าเลวร้ายหรือไม่รู้ เช่นรถคันแรก บ้านหลังแรก ทำให้คนเป็นหนี้เป็นสิน รถล้านคันใกล้จะออกแล้ว เชื่อแน่ว่าคนส่งค่ารถไม่ได้หมดหรอก กทม.รถจะติดขนาดไหน พอรถติด ค่าน้ำมันก็กินมากเปลืองผลาญขึ้นไปอีก ค่าน้ำมันก็แพงขึ้นไปอีก เขาห้ามขาย แต่ห้ามให้ตายคนมันก็เอาไปขายจนได้ เช่นเดียวกับที่ สปก. ห้ามขายแต่ก็ห้ามไม่ได้

 

4/1/2556 18:23:34 กฎหมายหรือหลักเกณฑ์ข้อบังคับไม่มีทางแก้ปัญหาคน แก้ปัญหาสังคมได้ มันจะได้ชั่วคราว พอคนหาทางเลี่ยงหาทางดันทุรังก็จะใช้ไม่ได้ หรือคนหน้าด้านดันทุกรังก็จะทำผิดกม.อย่างหน้าด้านๆ ต้องแก้ที่กิเลสคน ต้องฆ่ากิเลส ลดกิเลส อันนี้คือการแก้ปัญหาที่สมบูรณ์ที่สุด

 

4/1/2556 18:24:59 ขณะนี้อยู่ในยุคทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จะปลดแอกต้องทำตาม King ทำตามแบบพุทธ ไม่ต้องอาศัยอย่างอื่น ก็จะช่วยชาติได้ให้พ้นทุกข์ระทมแน่นอน

 

4/1/2556 18:27:53 พ่อท่านมั่นใจว่าจะพิสูจน์เรื่องปลดแอก ให้พ้นทุกข์ได้โดยแท้จริง เมื่อพ้นทุกข์ได้ก็จะเป็นคนที่ช่วยผู้อื่นด้วย ศาสนาเถรวาทเอาแต่ประโยชน์ตน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก  ท่านให้คำนึงประโยชน์ตน แต่ไม่ได้ให้หนีสังคม อย่าเข้าใจว่าปฏิบัติต้องไปอยู่เดี่ยวอยู่ป่า ในพระไตรปิฏกมีสำนวนว่าให้อยู่เดี่ยวเดียวอยู่มาก แต่มาจากภาษาบาลีว่า เอโก ซึ่งแปลว่า โดยส่วนตน จริงๆคือพูดให้ครบว่า อยู่ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง เพราะปราศจากราคะ โทสะ โมหะ โดยส่วนเดียว เป็นผู้มีความเพียรให้ละกิเลสตัณหาอุปาทานโดยส่วนเดียว รู้ว่าตัณหาเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์แล้วเว้นขาดโดยรอบ อย่างนี้คือความเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว จริงๆอยู่ผู้เดียว คือ ไม่มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง อย่าแปลตื้นๆว่าไปอยู่แต่ร่างกายไปอยู่เดี่ยวๆ กลายเป็นฤาษีเข้าป่าหมด ซึ่งขัดแย้งกับหลักมรรคองค์ 8 ที่จะพาบรรลุธรรมตามลำดับ มีศีลเป็นกรอบขีดขั้นให้ปฏิบัติไปตามเหมาะควร ท่านมีกำหนดไว้หมดแล้ว

 

4/1/2556 18:33:51 การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ไปอยู่ป่ามันไม่มีผัสสะ หนีผัสสะ ตามพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วจะเห็นวิญญาณผี เห็นตัณหาอย่างถูกตัวตน ไม่มีผัสสะจะไม่มีตัณหา มันจะหมกหมักอยู่ในอนุสัย ไม่ถูกล้าง ถ้ามิจฉาทิฏฐิจะไม่ได้ผล ก็จะไม่มีฤทธิ์จริง ท่านเข้าใจมานานหลายร้อยปี พอพ่อท่านมาอธิบาย ก็เลยหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ไม่ท้อ ทำมานาน 40 ปี ธรรมะก็เป็นไปได้ มีมรรคผล คนที่ทำได้ผลก็มารวมเป็นหมู่กลุ่ม เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ

 

4/1/2556 18:36:29 ถ้าปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิจะช่วยบ้านช่วยเมือง แต่ยากเพราะคนใหญ่โตในบ้านเมือง เป็นลูกศิษย์ลูกหาของกระแสหลัก เราก็ค่อยๆสร้างทำมา พึ่งตนได้รอดก่อน พอออกไปหน้าบ้านออกถนนได้บ้าง เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างไปบ้าง ยืนยันประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เมื่อคนละกิเลสได้จริง ก็จะลดความเห็นแก่ตัว จิตจะเป็นพรหมวิหารมีอัปปมัญญา จะมีวิญญาณที่มีบทบาทต่อกันและกัน ไม่ใช่หนีสะกดจิตลึกยิ่งลืมยิ่งหาย ไม่มีประโยชน์ตน-ท่านที่แท้จริง ผลไม่เกิด ไม่แกล้วกล้าอาจหาญต่อสังคม ศรัทธาความเชื่อจึงไม่มี จะถอยออกมาๆ ปล่อยสังคมเขาไม่เกี่ยวกับเรา ทั้งๆที่ในศรัทธา 10 จะมีการแกล้วกล้าอาจหาญแสดงธรรมต่อบริษัท ยิ่งความยินดีในเสนาสนอันสะงัด อยู่ป่าเป็นวัตร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเมือง ยินดีในเสนาสนะอันสะงัดคือเรายินดีในความสงบ ไม่ยินดีในความเอะอะมะเทิ่ง เรายินดีในป่ามากกว่าเมือง ยินดีในธรรมชาติมากกว่าตึก แต่คนที่ไม่ติดป่า ไม่ติดธรรมชาติ เราก็ไม่ต้องเสพแสวงหา เราก็มาทำงานตามหน้าที่ที่ควรทำ แม้มันจะยาก แน่นอนอยู่ในที่สงบมันก็ง่าย แต่เราก็ไม่ได้กลัวในที่ๆไม่สงบ อธิบายศรัทธาสูตร นั้นแสดงให้เห็นว่าการยึดอย่างเขายึดในความสงบอยู่ป่า ก็ฟังพ่อท่านไม่ขึ้น ทั้งที่เอาหลักฐานไตรปิฎก ทั้งอธิบายเหตุผล คนที่ไม่ยึดมากก็จะเข้าใจตอบรับมา เป็นเรื่องที่พิสูจน์จริง

 

4/1/2556 18:43:31 ที่ทำงานทุกวันนี้อยู่รอดเพราะ คนเราแม้จะโง่อย่างไรก็มีความฉลาดอยู่บ้าง นอกจากคนปิดประตูรับสนิท แต่คนที่ไม่ปิดสนิท มีปรโตโฆษะบ้าง แม้เขาจะมีเศษความฉลาดอยู่บ้าง ทำให้เราอยู่ได้ และถ้าคนฉลาดจริงก็จะส่งเสริมเราด้วย ดังนั้นเราอยู่ได้ในสังคมไทยเราทุกวันนี้ เพราะ เขายังมีเศษของความฉลาดอยู่บ้าง เป็นธัมโมหเวรักขติธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม คนยังมีฉลาดปฏิภาณเหลือบ้างก็ยังให้เราอยู่ได้ ถ้าคนโง่หมดเราอยู่ไม่ได้หรอก

 

4/1/2556 18:46:30 เราหลุดจากโซ่ตรวนที่ผูก คือสังโยชน์ เราจึงสามารถปลดแอกให้แก่มวลมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้คนพ้นทาส ชาติจึงพ้นทุกข์ ถ้าคนไม่พ้นทาส ชาติไม่มีทางพ้นทุกข์ ขอยืนยัน ทาสตัวนี้ไม่ใช่เหมือนสมัยปัจจุบัน มีการล่าอาณานิคมแบบสมัยใหม่ ใช้ความรู้ ลาภ ใช้ความเฉโก ล่าลาภยศ เขาทำกันทั่วโลก ใช้วาทะใช้แถลงการณ์แก้ตัวโต้กันไปมา ที่แถลงเพื่อส่วนรวมก็มี แต่ส่วนใหญ่เพื่อเห็นแก่ตัว พ่อท่านทำงานนี่ไม่ได้เอาชนะคะคานใคร พระพุทธเจ้าสอนให้หมดปัญหา ปัญหาก็เป็นปัญญา เป็นคนหมดปัญหา ไม่มีปัญหา เข้าใจเขา เรามีแต่ปัญญา

 

4/1/2556 18:50:07 ผู้ใดสามารถหลุดพ้นแอกตามทฤษฏีพระพุทธเจ้า ก็จะกอบกู้มนุษยชาติได้ แม้ยุคนี้ก็เป็นไปได้ พ่อท่านแย่งยื้อพลเมืองออกมาจากโลกเขาได้ คนที่มาในงานว.บบบ.ก็เป็นเครื่องยืนยัน เป็นพัฒนาการเป็นความก้าวหน้า เป็นสิ่งที่พ่อท่านมุ่งมั่น แม้ยากขึ้น คนที่มีภูมิปัญญาก็มาจนเหลือน้อยอยู่บ้าง แต่ในการปฏิบัติ เราจะเปิดเผยความปฏิบัติที่จริงออกไป เราจะแสดงความไม่ทุกข์ แพ้ก็ไม่ทุกข์ ไม่ต้องเอาชนะ ตัวไม่ทุกข์นี่คือตัวยืนยันแท้ๆ จนแต่เป็นสุข

 

4/1/2556 18:52:47 มีคำตรัสว่า ความเป็นหนี้เป็นทุกข์ แต่พุทธพจน์ที่ว่า ความจนเป็นทุกข์นั้นต้องไขความคนจน ที่พ่อท่านพาเรามาจน ก็ยืนยันชัดๆทำจริงๆ จนพวกเรากล้าเปลี่ยนนามสกุล มีทั้ง จนดีจริง-มุ่งมาจน-เต็มใจจน-พร้อมจน-จนกระจุก และอีกมากมายในตระกูลจน

 

4/1/2556 18:59:47 การช่วยสังคมทุกวันนี้เราก็ทำให้เขาเชื่อถือเราได้พอสมควร และเราทำนี่ไม่ได้อยากใหญ่ แต่เราพามาพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า พามาจน อย่างไม่ได้นึกว่าอีกหน่อยเราจะไปรวย บางคนก็ยังอยากรวย ก็จะดูว่าจะไปได้อีกกี่น้ำ สังคมเขาแย่งชิงกัน ของเรานอกจากไม่แย่งแล้วยังแบ่งปันให้เขาอีก มันจะไม่ทุกข์ เรานอกจากจะช่วยตัวเองรอดก็จะช่วยคนอื่น มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ถ้าสัมมาทิฏฐิจะไม่ขัดแข้งกันในคำสอนพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ธรรมะของศาสนาพุทธมีแต่เบี่ยงเลี่ยงทุกข์มันก็พักยกไปชัวคราว ไม่ถาวรยั่งยืน และไม่ชัดเจนในปัญญา ของเรานี่รู้ว่าเราพอจริงๆ แต่ก่อนเราไม่รู้จักพอ แต่เดี๋ยวนี้เราพอ แม้เรามีที่เรายังไม่หมด แต่เราก็จะรู้จักพอในขอบเขตของเรา และยิ่งถ้าพัฒนาจิตใจเป็นอาริยะสูงขึ้น ก็จะยิ่งมักน้อยลง น้อยก็พอ เราไม่ต้องการมาก เป็นคุณธรรมแท้ แค่นี้ก็พอ สงบ จะอ่านจิตเราออกว่าไม่ดิ้น ไม่บังคับมันก็ไม่ดิ้นนี่คือปวิเวกะ

 

4/1/2556 19:05:55 ส่วนอสังสัคคะ คือ ไม่เอาสวรรค์โลกีย์ สวรรค์เท็จ เราแปลตามสภาวะ แต่ท่านจะแปลเลี่ยงเพี้ยนไปตามที่เห็นผิด เลี่ยงบาลี เบี้ยวบาลี ซึ่งขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์ เช่นอุทิศมังสะ คือเนื้อสัตว์ฆ่าโดยมีเจตนา 5 (สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต สั่งให้ฆ่า พยายามฆ่า ฆ่าสำเร็จ) นี่คือสัตว์ตายด้วยเจตนา

 

4/1/2556 19:08:21 อีกสูตรหนึ่งบอกว่า ทำบุญแต่ได้บาป 5 ประการ คือ 1.ท่านทั้งหลายจงนำสัตว์นั้นมา เขาว่านี่คืออุทิศมังสะ เช่นไปจับไก่ตัวนั้นมา บอกชื่อสัตว์ ท่านจงไปนำสัตว์ชื่อนั้นมา 2.สัตว์นั้นถูกจับมา 3.ให้เอาสัตว์นั้นมา 4.สัตว์นั้นกำลังถูกฆ่า ย่อมเสวยทุกข์เวทนา  5.นำเนื้อสัตว์มาปรุงแต่งให้สาวกพระพุทธเจ้ารับประทาน

 

4/1/2556 19:10:59 ยืนยันว่า อุทิศมังสะ ไม่ใช่ว่า ระบุว่าให้ภิกษุชื่อนี้รับประทานไม่ได้ คนอื่นไม่ใช่ชื่อนี้ก็รับประทานได้ อย่างนี้เป็นการไม่ถูกต้อง ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เบี้ยวบาลีชัดๆ ฟังแล้วตลก ในชีวกสูตรเรื่องอุทิศมังสะ ที่บอกว่า พระพุทธเจ้ารับนิมนต์จากคหบดี ซึ่งคหบดีก็บอกให้ไปซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า(แต่เขาไม่ได้อธิบายว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์หรือไม่)แต่ว่า อเจลกะพยายามทำลายพระพุทธเจ้าโดยบอกว่า เจ้าข้าเอ๊ย พระสมณะโคดมฉันเนื้อสัตว์ด้วย ให้ประชาชนฟัง เป็นการตู่ท้วง ซึ่งเราฟังแค่นี้ต้องรู้ว่า โดยปกติ พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์แน่นอน ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ทำไมต้อง ตู่ว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ด้วย ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าปกติ พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์

 

4/1/2556 19:15:55 ศีลเบื้องต้นห้ามฆ่าสัตว์ ในมิจฉาวณิชชา ก็ห้ามขายเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ฆ่าไม่ซื้อแล้วจะเอาจากไหนมากิน ก็คือ 1.สัตว์ตายเอง 2.เดนสัตว์กิน(อย่าไปแย่งสัตว์) พระพุทธเจ้าก็อนุญาตเพียงแค่นี้ เรื่องมังสวิรัตินั้นเป็นบุญญาวุธหมายเลย 1 ของอโศกก็ไปได้ไกลแล้ว ก็อย่าหาว่ายกอ้างอโศก พูดดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่มีเจตนายกตนข่มท่าน แต่เจตนาอธิบายสัจธรรม โดยมีหลักฐานยืนยันประกอบ ชาวอโศก มาปฏิบัติแม้มักน้อยแต่เราก็ขยันทำงานมีผลผลิต และเราก็ไม่บำเรอ เราจึงมีส่วนเกิด เราเอามาพัฒนาสร้างบ้านแปลงเมืองอยู่บ้าง แต่เราก็ไม่ได้สร้างใหญ่โตเกินตัว เราก็มีส่วนเหลือ ไปช่วยข้างนอกเขา นี่คือเรื่องสัจจะที่แท้จริง คนที่รวยกว่าเราเขายังไม่มาทำอย่างเรา แต่อโศกทำได้เพราะทำถูกต้องตามธรรมพระพุทธเจ้า

 

4/1/2556 19:21:15 หลักสำคัญคือ อัปปิจฉะ สันตุษฐิ หรืออปัจจยะนี่คือเราไม่สะสม เราสร้างมาก็เอามาหมุนเวียนไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ไม่ให้เกิน แล้วก็ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตั้งแต่เราช่วยกันเอง ในพี่ในน้อง แล้วเราก็ช่วยผู้อื่น หลักธรรมมักน้อยสันโดษคือหัวใจ และก็มีวิริยารัมภะ คือขวนขวายขยันกระปรี้กระเปร่า ขยันหมั่นเพียร เราเป็นคนจนแต่ไปช่วยคนรวย ของเขาคนรวยบางเจ้า รายเดียวเขามีทรัพย์สินมากกว่าอโศกเขายังไม่มาทำงานช่วยสังคมอย่างอโศกเลย แต่ที่พูดไม่ได้โอ้อวด แต่เป็นการอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ ให้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องรวยก็ช่วยคนอื่นได้ เราจนแต่เราก็ช่วยคนอื่นได้ อย่างเรานี่ไม่รวย เราจนแต่ไม่มีหนี้ แต่มีเงินหนุน เรามีหลักว่าเราไม่ไปกู้หนี้ยืมสินธนาคารหรือใครที่จะเสียดอกเบี้ย แต่เรามีเงินหนุน ที่หยิบยืมมาหมุนเวียนใช้ในหมู่พวกเรา มันเป็นจิตที่ไม่หวงแหน ไม่ได้แกล้ง แต่เป็นจิตที่ได้พัฒนาลดความโลภเห็นแก่ตัวขี้เหนียว และกลายเป็นจิตใจที่เสียสละออกไป ถ้าเป็นระบบที่หลอกกันไปให้สงบให้นั่งว่างๆใสๆสบายๆ ให้ขยันทำงานให้ยิ่งรวยๆ จะปลุกระดมกันไป แต่ของเราไม่ได้ต้องการไปรวย การไปสร้างใจคนครอบงำคนให้ไปรวย มันก็ค้านแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าทันที ไม่มักน้อย แถมไม่พออีกต่างหาก ขัดกับกถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 ที่มีอปจยะ และมีวิริยารัมภะ คือขยันจนเป็นปกติ ไม่มีขี้เกียจแล้ว จะมีพลัง 4 ทำการงานอันไม่มีโทษ แล้วทำเพื่อสังฆหะ เป็นพลังกำลังฤทธิ์แรงทำอย่างมีพลังกำลังดี ไม่เฉื่อยเนือย

 

4/1/2556 19:29:50 ในธรรมวินัย 8 ในข้อ 1.คือวิราคะ 2.วิสังโยคะ 3.อปจยะ(ไม่สะสม) 4.อัปปิจฉะ 5.ปวิเวกะ 6......... วิราคะคือกิเลสจางคลาย ส่วน วิสังโยคะ คือกิเลสหลุดถูกปลดปล่อยไปแล้ว  ถ้าอ่านวิราคะไม่เป็นเห็นความจางคลายในวิราคานุปัสสี ตามอ่านกิเลสในขณะที่เราลืมตามีผัสสะ อ่านตามเห็นในภาคปฏิบัติ ให้เห็นอนุปัสสี 4 สัมผัสแตะต้องอย่างเห็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบันนั่นเที่ยว มีกาเยนะผุสิตวาวิหารติ เรามีผัสสะอ่านเวทนาแล้วทำให้ตัณหาลด ต้องรู้ภาวะจริงตามจริง ไม่ใช่คิดเอา พิจารณาเห็นอาการกิเลส ทำวิกขัมภนปหานกดข่มเช่นนี้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณา เห็นความจางคลาย ความไม่เที่ยงเห็นกิเลสมันลดไป แม้ไม่ต้องกดข่มมันก็ลด หรือจะกดข่มช่วยมันก็ลดลงไป เห็นอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี แล้วเราทำจนมีวสีชำนาญ เห็นวิธีปฏิบัติ มันหมดแล้วก็เป็นนิโรธานุปัสสะ แล้วก็ทำทวนทำซ้ำ ปฏินัสสัคคานุปัสสี แล้วก็ชัดแจ้งชัด เห็นในขณะมีผัสสะเป็นปัจจุบันนั่นเทียว

 

4/1/2556 19:36:30         ความสุขมันมีเมื่อผัสสะจึงรู้แจ้งได้เพียงชั่วแวบเดียว แล้วก็หลงเหลือเป็นความจำเป็นสัญญาเป็นของแห้ง เราต้องแยกให้ออกว่า สุขสด กับสุขแห้งว่าต่างกันในอาการ เมื่อคุณจำได้ คุณถ้าแยกไม่ออกก็จะเห็นว่าสุขแห้งเป็นสุขสด แต่คนที่แยกออกคือคนที่มีญาณละเอียด  เมื่อปฏิบัติเราจะรู้เห็นว่าอารมณ์สุขทุกข์นั้นหายไป แต่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงในสมมุติ

 

4/1/2556 19:41:29 ในโลกสมุทัยคุณต้องทำให้มันลดเพราะมันเป็นเหตุแห่งทุกข์เมื่อดับโลกสมุทัยก็มีโลกนิโรธ คือไม่มีกิเลส และรุ้ทางปฏิบัติ คือคนที่มีมรรคผล (อัตถิ) ส่วนคนไม่มีมรรคผล คือ (นัตถิ) โลกคือความวนถ้าเราดับความวนจนจบกิจไม่ต้องทำอีกแล้วเสร็จแล้วถาวรยั่งยืนแล้ว ส่วนฤาษีนั้นจะไม่ยั่งยืนถาวรเพราะไม่มีการปฏิบัติอย่างมีอายตนะมีผัสสะครบ จึงไม่รู้จักตัณหา และสายของปฏิจจสมุปบาท

 

4/1/2556 19:52:53 คำว่าเอาผีมาโม่แป้ง เป็นการเปรียบเทียบว่า ใช้เงินปลุกผีมาทำงานให้ ใช้เงินใช้อำนาจซื้อ ใช้สรรเสริญ ใช้กามซื้อ ให้มาทำงานให้ บางทีใช้อำนาจยศศักดิ์ ถ้าเอ็งไม่ทำก็ปลด ก็แป๊ก จากตำแหน่ง แต่อโศกเราทำด้วยปัญญา โดยไม่ได้ใช้เครื่องล่อแต่อย่างใด ไม่ได้ให้คุณมาทำเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญ หรือเพื่อความใหญ่โต แต่เราทำเพื่อมนุษยชาติ คุณก็ใช้ปัญญาตัดสิน พิสูจน์ได้มีสิ่งปรากฏจริง มีรูปร่างปรากฏชัด โดยไม่มีการบังคับ ไม่ล่อหลอกประเล้าประโลม

 

4/1/2556 19:58:05 ขณะนี้ ว.บบบ. มีคนท้วงว่าพ่อท่านใช้ทองมาล่อ แต่พ่อท่านรู้จักลักษณะของการล่อ แต่ลักษณะที่ทำนี้คือการใช้ตัณหาล้างตัณหา เอากิเลสล้างกิเลส ซึ่งลึกๆจริงๆแล้วพวกเราไม่ต้องการทองคำหรอก แต่ทองคำมันมีคุณค่าอย่างไรลึกซึ้งอีก จะไม่ขยายความยาวในวันนี้ จะสาธยายในโอกาสอื่น ซึ่งมันเป็นการหมุนรอบเชิงซ้อน เช่นเดียวกับการเอาโทรทัศน์มาดูในวัด แรกๆก็มีปฏิกิริยาโต้ต้าน แต่ปัจจุบันก็ไม่เห็นพวกเราติดโทรทัศน์ เราก็ทำการงานได้ปกติ ถ้าติดโทรทัศน์จนไม่ทำการงาน เราไปไม่รอดหรอก ซึ่งแต่ก่อนการแสดงละครก็ไม่คอยมี เราตั้งกฎว่า ถ้าอายุ ต่ำว่า 15 หรือสูงกว่า 45 ปี ไม่ให้ขึ้นไปแสดงบนเวที แต่เดี๋ยวนี้อายุ 20-30 ก็ขึ้นได้ ก็ไม่เห็นจะเต้นอะไรกันมากมาย

 

4/1/2556 20:01:52 ส.ฟ้าไทสรุป...คนที่จะมาเรียนรู้อาริยคุณ โลกสมุทัย ก็จะได้ความพ้นทุกข์ โลกนิโรธ แล้วเอาการมุ่งมาจนของพวกเรามาเป็นองค์ประกอบอธิบายความจริง อย่างอ่อนน้อมไม่ได้เป็นการข่มเบ่งโอ้อวดแต่อย่างใด

 

จบ.4/1/2556 20:03:51

 

 

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:40:36 )

560106

รายละเอียด

6/1/2556 8:58:47 รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท ตอน..ผู้หลุดพ้นแล้วจากความซับซ้อนในแรงเงา

                                                 

6/1/2556 9:04:30 ส.ฟ้าไท เปิดรายการ....วันนี้พ่อครูก็จะมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์สันติอโศกในแง่มุมต่างๆซึ่งเป็นลักษณะของปรโตโฆษะเพื่อนำมาโยนิโสมนสิการต่อไป เป็นสิ่งที่ชาวอโศกทำในแง่ที่นำสิ่งที่เราถูกวิพากษ์ทั้งแง่เสียแง่ดี นำมาวิเคราะห์ทำให้เกิดการพัฒนาการเจริญได้ยิ่งขึ้นสมบูรณ์ขึ้นไม่บกพร่องได้ง่าย

 

6/1/2556 9:08:35 พ่อครู...วันนี้จะนำเอาประเด็นที่ผู้รู้ได้วิพากษ์ไว้เป็นบทความที่มีคนส่งมาให้นานพอสมควรแล้วอาจเป็นเดือนๆ นำมาแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะถ้าความเห็นไหนที่ตรงกันก็ไม่ต้องนำมาพูดมากนัก แต่ความเห็นที่ต่างออกไปจากเราก็น่าจะนำมาแสดงความคิดเห็น ซึ่งทุกวันนี้เป็นยุคที่แสดงความเห็นกันได้อย่างอิสรเสรี แต่ที่แสดงความเห็นก็ไม่ได้เพื่อข่ม เพื่อทำลายล้างหรือเพราะเกลียดชัง ไม่ชอบใจติดใจแต่อย่างใด หากท่านจะหมั่นไส้ ไม่เชื่อก็แล้วแต่ ก็ได้ ไม่เป็นไร

 

6/1/2556 9:12:07 เบื้องต้นจะอ่านบทความนี้ก่อน ......จากคุณเขียดอีโม้ (ในเว็บประชาไท)

1.ทั้งๆที่สันติอโศกปฏิเสธโครงสร้างในการใช้อำนาจของมหาเถรสมาคม โดยการประกาศตนเป็นอิสระอย่างที่ทราบกันดีแล้ว แต่สันติอโศกกลับไม่ได้ใช้โอกาสที่ว่านี้ให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็นเพราะมีวาระอะไรบางอยางซ่อนเร้นอยู่จริง(ตามที่อาจารย์สุรพจน์อ้าง) ดังนั้นสันติอโศกจึงมิอาจกล่าวยกตนเอง ได้เต็มศักดิ์ศรีว่า ดำเนินชีวิตตามอุดมคติทางพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ได้จริงๆ คือ อาจกล่าวยกย่องตนเองเหนือกว่าคนอื่นนั้นพอได้ แต่ความเป็นจริงก็คือการหลอกตนเองมิใช่ของจริง

2.เมื่อดำเนินการใดๆก็ตามอย่างมีวาระซ่อนเร้น (จะเรียกว่า วาระทางการเมือง?) ก็อาจเป็นเหตุให้กระทำการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างที่เป็นไปเพื่อปกป้องตนเอง หรือบอกสังคมว่า ตนเองยังมีอำนาจต่อรองและพร้อมที่จะชนในทุกสถานการณ์ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เรียบร้อยปกติก็ตาม แต่ถ้ากลุ่มของตนเสียผลประโยชน์เมื่อใด ก็พร้อมที่แตกหักกับกลุ่มอื่นๆได้ง่ายเช่นเดียวกัน

3.การต่อสู้ของสันติอโศกมีความเหมือนกับมหาเถรสมาคมแบบไม่ต้องสงสัยเลย คือการพยายามรักษาปกป้องอำนาจแบบจารีตดั้งเดิม และการนิยมใช้อำนาจเชิงเผด็จการในการแก้ปัญหาบ้านเมืองฯลฯ และมีปกติอวยเจ้าแบบสุดๆ มีเจตนาและพฤติกรรมแบบมหาเถรสมาคม ทั้งๆที่ถูกมหาเถรสมาคมถีบกระเด็นออกมาจากโครงสร้างอำนาจเผด็จการแล้ว ในแง่บวกก็นับว่าให้ความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ในการเป็นตัวของตนเองได้แล้ว แต่กลับเสียศูนย์ไปเอง เพราะเหตุปัจจัยอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นี่มันแปลว่าอย่างไรหรือ? มหาเถรสมาคมกับสันติอโศกก็ไม่ต่างอะไรกันเลยใช่หรือไม่? สุดท้ายมันบอกความจริงให้เราทราบว่า สันติอโศกก็ยังมีความจัดแย้งในตนเองสูง ก้าวข้ามไม่พ้นจากพันธนาการแบบหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ

4.จุดศูนย์รวมของมหาเถรสมาคมกับสันติอโศกก็คือ สถาบัน คำถามคือ ทำไมทั้งสองปีกจึงมีจุดร่วมเช่นนี้ได้ คำตอบผมคิดว่า หลายท่านคงทราบดียู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขยายความกระมัง?

 

6/1/2556 9:20:27 มีของคนอื่นด้วย ....ไทยภูไท ณ ภูพาน ...พวกมารศาสนาอลัชชีตาบอด แม้จะบำเพ็ญไปอีกพันชาติก็อย่าหวังว่าจะบรรลุอรหันต์ได้ เพราะการทรยศต่อชาติบ้านเมือง ทรยศตอพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นอนันตริยกรรม เทวทัตกลับชาติมาเกิดโดยแท้

 

คุณ dk.....โมเดลสันติอโศก ได้แก่ขบถต่อระบบ แล้วค้นหาตนเอง สร้างชุมชนที่พึ่งตนเองได้อย่างบูรณาการ พัฒนาตนเองจากภายในสู่ภายนอก ยกระดับสู่การเมือง ตามสถานการณ์เป็นเรื่องๆ

พวกเขาไม่ได้หวังสูงหรือ มีสูตรสำเร็จประกาศแจ้ง แต่วิธีการคือเป้าหมายที่บรรลุแล้วในจุลภาค ขัดแย้งตัวเองหรือไม่ ก็คงอยู่ในระยะทดลองคิด ทดลองทำไปเรื่อย(มั้ง) ไม่ได้มีภาพนิ่งตามตรรกะ รู้อย่างหนึ่งว่า พวกเขาถอนรากถอนโคนในวิธีคิดพุทธฯ และได้ลงมือทำจริงมายาวนานแล้ว ยึดพื้นที่ แนวทางสาธารณสุขเชิงรุก(ป้องกัน) มากกว่า แนวราชการแบบตั้งรับ(รักษาโรค) ที่ประเคนค่ายาและสร้างประชากรที่อ่อนแอทั้งแผ่นดิน ดังประจักษ์ตามรพ.ดุจเทศกาลของความตาย อย่างจำนน หรือไม่ได้รับรู้ทางเลือกอื่น

         การเมืองอันสันติอโศกมายุ่งเกี่ยว มีวาระอย่างไรก็ช่าง เพราะเป็นสิทธิพลเมือง ผมไม่ใช่พวกเขา รับรู้เพียงว่า บุญนิยมอันพวกเขายึดถือ คนละทิศกับความรุนแรงแน่ เพราไม่ใช่ทำเข้าหาตัว แต่เพื่อสิ่งอื่นภายนอก และเป็นการฝึกฝนปฏิบัติการเป็นผู้รับใช้ ผู้ละ ผู้ให้ และสไตล์คนติดดิน ที่ทวนกระแส ทุนนิยมเสรี แน่...

 

คุณสุรพจน์ ทวีศักดิ์...........คุณ dk ครับ ประวัติศาสตร์สอนเราว่า สงคราม และการเข่นฆ่ามักมาจากการอ้างความดีงาม สิ่งดีงามเสมอ โดยเฉพาะการอ้างความดีงามเพื่อทำลายล้างสิ่งที่อ้างว่าชั่วร้าย ระยะหลังมานี้ผมมักสงสัยในอะไรที่ดูดี เช่น จ่าประสิทธิ์ กับอภิสิทธิ์ ผมว่ามีจุดเด่นคนละอย่าง จ่าประสิทธิ์มีจุดเด่นในเรื่อง “ดูไม่ดี” อภิสิทธิ์มีจุดเด่นในเรื่อง “ดูดี” แต่เราพบว่าคนดูไม่ดี แบบจ่าประสิทธิ์ นั้นยากนะครับที่จะได้เป็นนายกฯแล้วสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองจนมีคนตายเกือบร้อยศพ แล้วกล้าที่จะบอกกับสังคมว่าตนเองไม่ผิดใดๆเลย

 

dk....ตอบมาต่อว่า....ความจริงมันซ่อนอยู่ในเงามืดครับ จึงไม่มีใครรับผิดชอบอย่างเต็มปาก ความทับซ้อนของแรงเงา ยังคงทำงานต่อไป...

 

จากคนมาตรฐานเดียวกัน............เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ผมเองก็มองกลุ่มนี้ตั้งแต่ตอนร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬแล้วครับ ครั้งนั้นจำลองมันพาคนไปตาย เพื่อผมก็ตายคาแขนผม จนได้รธน. 40 มาที่ว่ากันว่าเป็นรธน. ที่เป็นฉบับประชาชนมากที่สุด แต่มาวันนี้ จำลอง ศรีเมืองคนเดิม กลับมาบอกว่า รธน. 40 มันเลว มันชั่ว แล้วไม่พอ สนับสนุนการรัฐประหาร เชียร์รธน. 50 ซึ่งร่างโดยเผด็จการ ผมล่ะงงไอ้คนหัวเกรียน อาบน้ำ 5 ขันคนนี้จริง โครจะโง่ศรัทธาคนแบบนี้ก็เชิญเถอะครับ แต่สำหรับผม เห็นควรจะ “กำจัด” กลุ่มคนเหล่านี้ออกไปจากสังคมด่วน ปล่อยไว้คงเหมือน “มะเร็ง” ที่มันจะเกาะกินประชาธิปไตยครับ (สังคมไทยมันเลยคำว่า “ปรองดอง” ไปแล้วครับ

 

6/1/2556 9:28:59 ตบท้ายด้วยคุณ ณัฐวิทย์ พรหมสอน ....เห็นด้วยกับทุกประเด็นครับ แต่ขอเสริมว่าสันติอโศกเคยได้รับเงินอุดหนุน และมีบทบาททางสังคมมากในยุคหนึ่งจากรัฐบาล ผ่านศูนย์คุณธรรม โดยมีจำลอง ศรีเมือง 

 

6/1/2556 9:30:04 พ่อท่านขอตอบอันนี้ก่อน ไขข้อมูลจริงจากเจ้าตัวคือ พ่อท่านและกลุ่มสันติอโศก...ว่าไม่ได้รับเงินสนับสนุนโดยตรง แต่ว่าเขาเอาเงินมาทำในเรื่องของคุณธรรม อโศกนี่ได้รับน้อย ซึ่งเขาก็เอาไปส่งเสริมทั่วไปในสังคม และคุณจำลองไม่ใช่คนที่จะมาเห็นแก่ตัวเองหรือพรรคพวก อย่าหวังว่าฉันจะคุกเข่าให้ อย่าหวังว่าคุณจำลองจะเซ็นอะไรมาให้สันติอโศก เป็นเรื่องที่ระมัดระวังอย่างยิ่งเลย เป็นความเห็นที่ขัดกับที่ทำอยู่เลย คนที่มองอยู่นี้เป็นการอ่านด้วยปัญญาชั้นเดียวผิวเผิน ที่พูดนี้ไม่ได้ไปยกตนข่มใคร

 

6/1/2556 9:33:15 อ่านต่อ.....สันติอโศกนี้ก้าวเป็นอิสระจากมหาเถรสมาคม และเป็นอิสระอย่างไร....คำว่าอิสระในที่นี้ คนเข้าใจคำว่าอิสระในหลายมิติ สำหรับพ่อท่านเข้าใจได้หลายนัย....

 

1. อิสระจากวัตถุ(อุปาทายรูป) 2.อิสระทางจิตวิญญาณ 3.อิสระทางสังคม อิสระคือการหลุดพ้นจริงๆ เราไม่ได้ถูกอำนาจทั้งสามอย่างเป็นตัวมีอำนาจเหนือเรา เรามีวิชชาไม่ตกอยู่ในอำนาจของสังขาร นามรูป เวทนา เราหลุดพ้นหมด ทั้งกามตัณหา ภวตัณหา นี่คืออิสระสัมบูรณ์ที่แท้จริง เป็นผู้ที่มีอิสระต่อสังคมอย่างแท้จริง แต่จะรู้ประมาณในการทำงานกับสังคมอย่างอิสระ เพราะเป็นผู้มีปัญญารู้ว่า ทุกอย่างสัมพันธ์กัน รู้ยิ่งกว่าไอสไตน์ที่รู้ทฤษฏีสัมพัธภาพ พระพุทธเจ้ารู้ในอิทัปปัจยตา ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยต่อเนื่องกัน

 

6/1/2556 9:38:42 ส่วนผู้ที่คิดว่าการหลุดพ้นคือการหนีห่างออกจากสังคมนั้นไม่ใช่ เช่นเราพ้นจากอบาย เราก็ยังอยู่กับโลกอบาย ทั้งกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ก็มีอยู่ในสังคมทั้งสิ้น ก็สงสารพวกที่จมอยู่กับภพ คือพวกนักคิดทั้งหลาย จะเป็นผู้เสพอารมณ์เป็นอาหารไปวันๆ หาที่จบไม่ได้ พวกตรรกะนักคิดทั้งหลาย เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอรูปภพ เพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ในความวนของตรรกะ แล้วแยกแรงเงาของตรรกะต่างๆไม่ออก ในความหยาบมันมีเงาของความหยาบเห็นได้ง่าย คนเหล่านี้อยู่ในโลกของรูปและอรูป ....พ่อท่านเว้นวรรคไอ.....ท่านผู้ที่ใช้ปัญญาสายนักศึกษาวิชาการจะไม่ลงมาคลุกกับ ความหยาบ กลาง ไม่ลงมาติดดิน จะไม่รู้เงา หรือไม่รู้ลักษณะความซ่อนบาง หนา เพราะหลงไปศึกษาแต่ในอรูป จะไม่รู้ความละเอียดในความหยาบ และหลงมุมละเอียด แต่ไม่รู้มุมหยาบของตัวเอง หรือความหยาบของสังคม ควรอยู่กับความหยาบก่อนความละเอียด หยาบนี่คือที่สัมผัสได้ก่อน พวกนักคิดจะจมอยู่ในความคิด จะไม่รู้มุมเหลี่ยมของการเกิดเงา เขาจะอยู่กับเงาของความละเอียด จึงรู้แต่ความเบาบางผิวเผินของสิ่งละเอียด จะไม่รู้เงาของสิ่งหยาบที่ตนอาศัยอยู่ ศึกษาแต่ในอรูปภพ รูปภพ แต่ไม่รู้ว่าที่แท้คนอาศัยอยู่ในกามภพไม่ใช่รูปภพอรูปภพ

 

6/1/2556 9:42:58 คุณเขียดอีโม้เขาว่าเราอยู่กับการหลอกตัวเองไม่ใช่ของจริง...ต้องขออภัยไว้ก่อนที่เอาบทความคุณมาพูด... คนที่ติดในของหยาบเช่นทองคำ ก็จะยึดว่าจริง หากคนไม่ยึดก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกนี้ไม่มีความจริง มีเพียงแต่สมมุติสัจจะที่ยึดถือกันไป อย่างทองคำพ่อท่านก็ใช้ทองคำเพื่อเป็นสมมุติ เรารู้จักระดับคุณค่าในสังคมว่าเขายึดถือหรือไม่?

ผู้เป็นอิสระแท้คือความหลุดพ้น แต่ไม่ได้หนีสิ่งที่ตนหลุดพ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ความหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าคือ ท่านหลุดพ้นจากกิเลส ท่านก็ไม่ได้หนีกิเลส อยู่กับกิเลส แต่ในใจท่านไม่มีกิเลส และท่านก็ทำงานกับกิเลส ไม่ได้หนี แต่ใจท่านกิเลสเข้าไม่ได้ นี่คือความจริงสุดยอดของพระพุทธเจ้า ใครมีกิเลสท่านก็เป็นมิตรเพื่อช่วยเขา

 

6/1/2556 9:48:16 คำว่าอิสระคำนี้ลึกซึ้งมาก คนที่อยู่ในโลกของความคิดก็ไม่ได้เป็นอิสระจากความคิด ติดว่าความคิดนี้ดี คมแหลม จะเสพอารมณ์เป็นอาหารตลอด คุณจะรู้เงาของอารมณ์บ้างแต่ไม่ละเอียดพอ คุณก็จะหลงเงาซ้อนเงาอยู่อย่างนั้น ความคิดนึกนั้นปั้นเป็นรูปได้ นักปั้นรูปในภพคือพวกนั่งสมาธิ ปั้นเป็นตัวตนบุคคลเราเขา เป็นมโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต ส่วนพวกสายปัญญาจะอยู่กับอรูปภพจมอยู่ในความวนของตรรกะแล้ววนไม่มีที่สิ้นสุดเพราะมันละเอียด

 

6/1/2556 9:50:46 ผู้ที่อิสระเสรีแบบพระพุทธเจ้า หลุดพ้นจากวัตถุจะรู้มหาภูตรูป และอุปาทายรูป เมื่อสัมผัสกับสิ่งภายนอกก็จะรับรู้เป็นอุปาทายรูป สายปัญญาจะปั้นอรูป สายเจโตจะปั้นเป็นรูป สายพุทธนั้นจะไม่ติดทั้งมหาภูตรูปและอุปาทายรูป

 

6/1/2556 9:53:18 ในภายในมีมนายตนะ ไม่ต้องมีผัสสะภายนอก สิ่งที่อยู่ในจิตเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณ พระอรหันต์จะมีธรรมะหรือสิ่งทรงไว้เป็นสิ่งสะอาด ผู้ที่ยังไม่อยู่ไม่แตกสลายไม่ปรินิพพานก็ต้องอาศัย เรียกว่า อาลยวิญญาณ เป็นธาตุรู้ ส่วนผู้มีเศษเหลืออยู่ในใจคืออนาคามี จะไม่มีผลเสียกับภายนอก เพราะท่านรู้ผลเสียต่อภายนอกของท่านที่จะไปก่ออกุศลกับภายนอก ส่วนอนาคามีจะมีแต่ภัยผลเสียต่อตนเท่านั้น ผู้ที่ยังไม่ใช่อนาคามีอรหันต์จริงก็ยังมีภัยต่อโลกอยู่ ยังมีอกุศลเพราะยังมีจิตกิเลสต่อสิ่งที่ตนสัมผัสอยู่นั่นเอง แต่อนาคามีท่านไม่ได้หนี แต่ไม่มีกิเลสในกามาวจรแล้วท่านก็จะไม่เป็นภัยต่อใครกลับจะเป็นประโยชน์ แม้แต่ศัตรูเราก็เป็นประโยชน์ได้

 

6/1/2556 9:57:34 ผู้ที่อิสระจากวัตถุและจิตแล้วจะอยู่กับสังคมไม่เป็นภัยต่อสังคมและจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย อย่างผู้หลงว่าเป็นอรหันต์แต่ที่จริงท่านยังติดบุหรี่ หมาก น้ำหวานอยู่ ยังตกเป็นทาสกรรมกิริยาที่หลงว่าเป็นกุศล เช่นพ่อท่านพาพวกเราไปชุมนุม คนไม่รู้ว่าเราไม่ได้ไปตกเป็นทาสกรรมกิริยาที่ต้องการอามิส อำนาจ สรรเสริญ ท่านก็เดาเรา แต่พ่อท่านว่าตนเองไม่มี แต่ชาวอโศกก็ไปรับรองแทนทุกคนไม่ได้ แต่ในฐานะผู้นำก็ขอบอกว่าไม่ได้ตกเป็นทาสกรรมกิริยาแต่อย่างใด คนที่ไม่ชอบใจเขาก็ทำร้ายเราทั้ง M 79 แก๊สน้ำตาเป็นต้น ที่พาไปไม่ได้พาไปเอาแต่ไม่รับรองแทนผู้อื่นแต่พูดในฐานะของผู้นำ ส่วนผู้ที่ท่านติดหมากติดบุหรี่น้ำหวานท่านก็อาจบอกว่าไม่ติดก็ได้ แต่ท่านอ่านจิตของท่านได้หรือไม่ แต่มันก็ต้องให้พอเพียง ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องกินมัน ทั้งหมากพลูบุหรี่น้ำหวานน้ำเปรี้ยว ยาดม ยาหอม แม้อย่างนี้เป็นวัตถุท่านก็ไม่รู้ว่าติด จะไปเป็นอรหันต์ได้อย่างไร นี่วิเคราะห์ตามเหตุปัจจัยไม่ได้ไปว่าท่านนะ

 

6/1/2556 10:04:01 เมื่อมีความหลุดพ้น จะมีจิตที่กลางไม่มีดูดผลักเมื่อสัมผัสกับสิ่งที่เคยติด แม้จะมีการสัมผัส คนจะมายั่วย้อมมอมเมา เราก็ไม่ดูดผลัก เช่นทองคำไม่ว่าจะเอากรดหรืออะไรไปราดก็ยังคงเดิม และเรารู้ด้วยว่าสิ่งที่สัมผัสคืออะไร แต่เราไม่ทุกข์ไม่สุข และจะรู้ว่าจะช่วยเขาด้วย ไม่เกลียดไม่ชัง ไม่รักไม่ดูด เราไม่ได้ทำเพื่ออะไรตอบแทน แต่ทำเพราะรู้ว่าจะมีผลดีต่อเขา ผู้ที่อยู่กับสังคมแล้วอยู่กับสังคม ก็คือผู้อิสระจากวัตถุ และจิตใจรูปอรูป อย่างอิสระสมบูรณ์จะไม่หนีจะอยู่กับสังคมและหลุดพ้นจากอำนาจสังคมจึงมีสาราณียธรรม 6 มีพลัง 4

 

6/1/2556 10:07:20 สาราณียธรรม 6 คืออยู่กับสังคมด้วยเมตตา มีกรุณา มุทิตาอุเบกขา ใจเป็นสาธารณโภคี อยู่ก้นอย่างพยายามเป็นนักเศรษฐกิจชั้นสูงแจกจ่าย และไม่กลัวว่าชีวิตนี้จะไม่มีใครเลี้ยงดู เราฝากชีวิตไว้กับการทำคุณความดี ฝากชีวิตไว้กับผู้อื่น แม้ป่วยไข้เขาก็จะรักษา พ่อท่านพิสูจน์ชัด ว่าไม่คิดจะสั่งสมสิ่งของเป็นของตน แต่ในรูปตื้นทำงานก็จะมีสิ่งของ อย่างกระดาษ ปากกานี่มีเป็นกอง หอบไม่พอเลย ส่วนเทคโนโลยีก็พอใช้อย่างถูไถ แต่ได้ละเอียดพอใจในการทำงานแล้ว และไม่ตะกละตะกราม ทุกวันนี้ก็ทำจนไม่มีเวลาแล้ว เป็นสัจจะจริงของสาธารณโภคี คือไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราอะไรที่เขาให้สิทธิเราใช้เรารักษาเราก็ทำ อะไรเขาไม่ให้สิทธิเราเราก็ไม่ทำ

 

6/1/2556 10:12:13 เรารู้หลักการของอโศกและของข้างนอกเราก็ทำให้เหมาะสม เรารู้ทางเดินหลักการทฤษฏีหรือรู้โดยภูมิปัญญาคือทิฏฐิ เป็นความคิดความเห็น ทุกคนมีสาราณียธรรม 6 เต็มสมบูรณ์เมื่อเป็นอรหันต์ ผู้มีฐานะอย่างไรก็ใช้ฐานะนั้นของตนตามจริง คนที่จิตเขาไม่มีความโกงเขาจะเอาที่ไหนมาใช้ เขาก็ใช้ตามที่สังคมให้ใช้ คือจิตจะมีการระลึกถึงไม่ใช่คนใจเดียวไม่เกี่ยวกับใคร มีระลึกถึงกัน และไม่เกี่ยวแบบผูกพัน แต่ทำงานกับสังคม ไม่ใช่ไปเอาอะไรจากเขา แต่เราจะไปให้เขา เรามั่้นใจว่าคนจะมาช่วยเรา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ไม่ต้องกังวลหรอกว่าเขาจะไม่ช่วย ตายเขาก็เผา ทำงานไม่ต้องขอ เขาก็มีปฏิภาณให้เรามาใช้ พ่อท่านจะไม่ขอโดยเฉพาะวัตถุนี่ขอให้น้อยที่สุด แต่คนก็เอามาให้มากมาย ต้องคอยระบายออกบ้าง

 

6/1/2556 10:15:54 ส.ฟ้าไทถามว่าพ่อท่านออกกำลังกายเพื่อ...............พ่อท่านตอบว่าแข็งแรงไปรับใช้ผู้อื่น กลับมาสู่พุทธพจน์ 7 สาราณียธรรม 6 คือท่านจะเกี่ยวข้องเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคม มีพรหมวิหารที่แท้จริง ตื่นขึ้นมาก็จะระลึกว่าจะไปช่วยใครดี คำว่าครุกรณะคือความไม่เสมอภาค ในมหาจักรวาลไม่มีอะไรจะเท่ากันหรอก ไม่เสมอกันหรอก ความเสมอภาคที่เขาคิดว่าต้องเท่ากันหมดนี่เพ้อพก เป็นไปไม่ได้ คนเลยเถิดเสมอภาคจะเลอะเทอะอยู่ในภพที่เป็นไปไม่ได้นี่น่าสงสาร เราควรเคารพกันในสมมุติ ความรู้ ฐานะ ตำแหน่ง เราอยู่ในสังคมก็ทำตามควร เราอาจขัดขื่นอย่างอาริยะขัดขืนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต้องมีปัญญา คนที่จบกิจจะมีคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่เป็นประธานนี่ลึกซึ้ง จะมีอวิวาทะจริง จะวางโดยอัตโนมัติไม่วิวาท แต่จะมองว่าเชื่อมต่อได้แค่ไหนจะช่วยได้แค่ไหน จะมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ เอามาปรับใช้ความขัดแย้งมาปรับเพื่อความสมบูรณ์อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและกฎเกณฑ์สำคัญ คือ อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ก็ให้พิจารณาตามควร แต่สิ่งที่บัญญัติไว้ก็ให้พิจารณาตามควร เพราะปัจจุบันธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการประกอบ อาจจะขัดกับอันเก่าที่เป็นธรรมเนียมแต่เมื่อตรวจสุดแล้ว ตามหลัก      มหาปเทส 4 คือ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หาก

สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

 

6/1/2556 10:26:28 สมมุติบัญญัติในปัจจุบัน ควรหรือไม่ว่าเราต้องเสียดินแดนให้เขมร พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อนุญาตไว้แต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเสีย เราเห็นแก่คนไทย เราก็ไม่ควรให้เสียดินแดนไป เราก็ต้องทำต้องยุ่งเกี่ยว และจะมาตั้งหลักเกณฑ์ว่าไม่ควรยุ่งกับการเมือง แล้วผิดนักหรือที่เราจะไปทำงานการเมืองเพื่อช่วยสังคม พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ว่าห้ามหรือไม่ห้ามในการทำงานการเมือง แต่ว่าผิดที่นักธรรมะนี่กันไม่ให้ธรรมะไปยุ่งกับการเมือง คนเหล่านี้ไม่รู้จักอธิปไตย 3

 

6/1/2556 10:29:42 คนที่รู้จักอธิปไตยคุณจึงจะทำงานกับประชาชนอย่างมีคุณภาพ

1.โลกาธิปไตย คืออำนาจโลก เหมือนแรงดึงดูดสนามแม่เหล็กที่จะดึงไปสู่ศูนย์กลางอำนาจของมัน คุณจะรู้อำนาจกระแสสังคมอย่างไร

2.อัตตาธิปไตย คืออำนาจของตน คุณมีแรงเท่านี้ คุณเข้าไปในสนามแม่เหล็กสังคม คุณเห็นว่าสังคมมีกระแสอย่างนี้คุณมีอำนาจพอไหมที่จะไม่ถูกอำนาจสังคมโลกเขากลืนกินคุณไปหมด อย่าอวดดี พ่อท่านพาไปสู่สังคมการเมือง นี่จะไปช่วยให้สังคมหายพิการ ถ้าคุณไม่รู้โลก รู้ตน คุณก็อย่าไปพูดถึงธรรมาธิปไตย คุณเกื้อกูลไม่ได้ ทุนรอนก็ไม่มี อย่างที่เราออกไปอย่างน้อยในเรื่องอาหารเราก็ช่วยได้ อย่างไม่ได้ไปเรี่ยไรเลย เราก็เอาของเราชักเลือดเนื้อเราออกไปช่วยเขาได้ เราไม่ต้องการการตอบแทนเราพอมีทุนรอน แรงงานสมรรถนะ เท่าที่อโศกมี ไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน แล้วเรามั่นใจว่าเราเข้าไปจะถูกพรรคไหนอำนาจไหนดึงไป เรารู้ว่าเรามีอำนาจเป็นกลางได้แค่ไหนที่จะไม่ถูกดึงไป ยกตัวอย่างหลังสุดที่ชุมนุมร่วมเสธ.อ้าย เราก็ไปเพราะเราเห็นควร หลายคนไม่เห็นด้วย แต่เราไปเราไม่ได้ผลเสียเราได้ผลดีต่อประเทศชาติ เราวัดค่าตามภูมิของเรา พวกนักคิดที่เอาแต่คิดก็มีประโยชน์บ้างที่เอามาคิดแต่ก็น่าสงสารเขา เขาก็เข้าใจว่าเขามีประโยชน์ต่อสังคม แต่สายเจโตนั้นไม่ค่อยเห็นแก่สังคม แต่สายนักคิดจะห่วงสังคม แต่เขาไม่รู้ว่าเขาตกอยู่ในรูปภพ อรูปภพ เหมือนกับเด็กที่ติดเกมไม่รู้ว่าติดก็หลงเล่นจนตายเลยก็มีใช้พลังเกินไปก็ขาดก็ตายได้

3.ธรรมาธิปไตย โลกทั้งโลก มีคนมาวิ่งเต้นให้ไทยไปเชื่อมโยงกับทั้้่งโลกเราก็เข้าใจ คนประมาณผิดก็ตาย คนประมาณถูกก็อยู่ได้ ถ้าคนเข้าใจธรรมาธิปไตยคือรู้ความควรความเหมาะสม รู้ผลเสียผลดี เรียกว่ารู้กุศลอกุศล คือรู้ธรรมะก็ทำให้เจริญ โดยทำงานกับสังคม ผู้ที่ช่วยอนุเคราะห์สังคม พอพระพุทธเจ้าท่านได้อรหันต์ 60 รูปแรก เป็นนักการเมืองรุ่นแรก โดยประกาศสิ่งที่เป็นคำแห่งประชาธิปไตยคือ พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ และจะรู้ว่าสุขที่แท้จริงคืออย่างไรไม่หลงเสพในอรูปหรือรูป การอยู่ในอรูปจะไม่รู้แรงเงาของอรูปได้ง่ายเลยเพราะมันละเอียดเบาบาง ผู้จะมีธรรมาธิปไตยต้องมีธรรมะในตัว คือเราต้องมีอธรรมในตัวน้อย และมีธรรมะมาก และรู้ความควรการประมาณไม่ทำเกินตัว ทำมากไปก็ไม่ไหว ทำน้อยไปก็ไม่มีผล

 

6/1/2556 10:43:24 อย่างคุณเขียดอีโม้ว่าเราเหมือนกับมหาเถรสมาคม ที่ส่งเสริมอำนาจจารีตดั้งเดิม และมีปกติอวยเจ้าและเผด็จการปกป้องอำนาจจารีต ใช้เผด็จการแก้ปัญหาบ้านเมือง  .....เราก็ดูตัวเราว่าเรามีเผด็จการอย่างไรแค่ไหน ส.ฟ้าไทแทรกว่าที่เราไปเกิดมีทหารมาปฏิวัติในปี 49 พ่อท่านว่าเราไม่มีอำนาจไปให้ทหารปฏิวัติ

 

6/1/2556 10:45:06 ขออธิบายว่าที่คุณเขียดอีโม้ว่าเราอวยเจ้าสุดๆนั้นคืออะไร?  ขณะนี้ไม่มีช่องไหนที่เอาคำตรัสในหลวงมาแสดง เราไม่ได้อวยเจ้าแต่เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าที่ว่า ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม เราไม่ได้ไปชะเลีย เพราะอยากได้อะไรจากเจ้า...ขออภัยที่ต้องพูดว่า....ต้องยกในหลวง ต้องข่มทักษิณ เพราะใครๆก็รู้ว่าเป็นสงครามระหว่างสองอำนาจนี้ ขั้วอำนาจเป็นอย่างนี้ในปัจจุบัน จะปฏิเสธอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจพอเพียงเราก็เอาเนื้อหาของผู้ที่เรายกมาอธิบาย ว่ามาจนนี่ดีกว่ามารวย อย่างกษัตริย์ท่านตรัสว่าเอาแบบคนจนขาดทุนคือกำไรนี่ เขาไม่คอยเข้าใจ พ่อท่านก็พยายามมาสาธยาย ซึ่งคนที่เขราไม่เข้าใจเขาก็วนอยู่ในแรงเงาความคิดความวนของเขา  และท่านก็ระวังอยู่แล้วว่าไม่ให้มีอะไรที่มาเกี่ยวเนื่องถึงอโศกอันนี้เป็นเรื่องที่ sensible มาก แต่คุณมองไม่เห็นว่าควรยกชมใคร ควรข่มใคร คุณไม่มีปัญญารู้จึงเห็นไม่ได้ต่างหากเล่า

 

6/1/2556 10:50:11 อย่างที่เห็นว่าเราเหมือนมหาเถรสามาคม เราก็ไม่เหมือนแน่นอน คุณจะบอกว่าเราส่งเสริมอำนาจจารีตดั้งเดิม แต่คุณดูถูกอำนาจจารีตดั้งเดิม แต่เราอยู่กับจารีตของพระพุทธเจ้า ที่ให้เราอยู่เหนืออำนาจโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย เราอยู่เหนือโลก แต่ช่วยโลกตามควรไม่ให้เกินตัว เพราะเราไม่ต้องการอะไรมาเป็นของตัวเราจึงทำงานอย่างเป็นธรรม  คุณเข้าใจอำนาจจารีตคือสิ่งที่ยังติดยึดอยู่สังคมส่วนใหญ่ก็จริงเพราะสังคมมีคนมีกิเลสมาก มากกว่าคนมีกิเลสน้อย เมื่อสังคมมีคนมีกิเลสมาก็จะมีกระแสอย่างที่คุณว่า แต่เราไม่ได้ตามกระแสสังคม อย่างเช่นสังคมชอบรวย ชอบสวย เราก็ไม่ได้ตามเขา เราพามาจน เราพามามอซอ แล้วจารีตดั้งเดิมนั้นคุณตามไม่ทันต่างหาก คุณว่าคุณไม่เอาจารีตอำนาจดั้งเดิม ให้ดูคนที่มีอุดมคติอุดมการณ์ 14 ,16 ตุลาฯตอนนี้ก็ไปเป็นใหญ่โต เขากดข่มกิเลสอยากใหญ่โตเอาไว้ต่างหากตอนนี้ก็เห็นแล้ว

 

6/1/2556 10:55:23 คุณว่าเราใช้เผด็จการ แต่พ่อท่านว่าเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะไม่ใช้อำนาจเผด็จการ ไม่นิยมอำนาจเผด็จการ คุณจะเดาไปเอง อยู่ในกาลามสูตร เชื่อตามอาการ แล้วเข้าใจไม่ได้ อย่างพ่อท่านแสดงอาการหยาบ เช่นวิ่งหนีแก๊สน้ำตาก็ตาม ซึ่งพ่อท่านไม่ได้กลัวตาย แต่หนีเพราะรู้ว่าควรหนี ยังไม่ควรตาย จึงหนีตายก่อน

 

6/1/2556 10:58:41 พ่อท่านมีเจตนาทำงานกับสังคม ให้สังคมได้ประโยชน์จริง ไม่ได้เพื่อประโยชน์ตน พอแล้วจริงๆ มีพอสมควรไม่ขาดแคลน และเต็มใจเหนื่อยทำงานเพื่อสังคม ถ้าผู้ใดเห็นดีจะมาช่วยทำงานก็เอา เดี๋ยวนี้สื่อสารมันทั่้วถึงกันไม่มีขีดขั้น เป็นแต่เพียงว่าทุกวันนี้ Globalization ทั่วถึงกันหมดแล้วเป็น Borderless คือไม่มีขอบเขตขีดขั้น

 

6/1/2556 11:01:08 ส.ฟ้าไทสรุป....ให้แง่คิดเรื่องพวกนักคิดที่ชอบวิพากษ์ จะอยู่ในความคิดของตน เป็นอรูปภพ ส่วนพวกเจโตจะอยู่ในรูปภพ จะไม่รู้จักแรงเงาของตนเอง พ่อท่านเน้นเรื่องอิสรเสรีภาพ คนที่อิสระจริงจะอยู่กับกิเลส แต่ใจจะไม่มีกิเลส และช่วยเหลือสังคม ส่วนคุรุกรณะคือความไม่เสมอภาค ต้องมีสมมุติที่เคารพกัน มันมีเอกสิทธิ์ในทางสมมุติ และเอกสิทธิ์ทางปรมัตถ์ ทั้งบุญเก่า มันจะไม่เท่าเทียมกัน

         พ่อท่านได้อธิบายหลักมหาปเทส 4 ให้เราเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

         พ่อท่านได้อธิบายถึงอธิปไตยทั้ง 3 อย่าง ให้เรารู้ประมาณในการทำงานกับสังคม

คนที่ไม่มีเผด็จการได้สมบูรณ์คือคนที่ไม่มีกิเลสเท่านั้น.........................................6/1/2556 11:05:49

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:45:56 )

560108

รายละเอียด

8/1/2556 17:58:27 รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อท่าน ตอน หลักตัดสินความถูกต้องแห่งสังคมธรรม

 

8/1/2556 18:03:48 พ่อท่านเทศนาที่ชั้นสอง เฮือนศูนย์สูญ รายการวันนี้เป็นรายการแรกของ FMTV ที่ออกอากาศถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไทยคม 2/5  ระบบ C-Band,   frequency = 3640, symbol rate = 28066, แกน Horizontal (แนวนอน) รับชมได้ทั้งหมด 170 ประเทศ 4 ทวีป ออกอากาศได้ในวันนี้เวลา 16.17 น.

 

8/1/2556 18:06:33 ขณะนี้สังคมในบ้านเมืองเราจะมีความร้อนแรงกันมากขึ้น สงครามทางธรรมะทีวีดาวเทียมบางช่องประกาศจัดการกับพ่อท่าน ว่าเป็นการช่วยรักษาศาสนา มีทั้งพระและฆราวาสช่วยกันทำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจะเป็นบาปกรรม พ่อท่านก็ไม่ได้หนักอกหนักใจอะไร สิ่งที่พ่อท่านสาธยายนั้นเป็นการชี้แจงเรื่องสัจธรรม ชี้ถูกชี้ผิดตามสัจธรรม ก็ไม่ได้ไปจาบจ้วงคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ไปบอกชื่อนั้นชื่อนี้ มีแต่ที่พูดไปแล้วมันชัดว่าอะไรกุศลอกุศลแล้วก็ไปถูกเขา นานๆที่ก็จะออกชื่อออกเสียงนานๆที นอกนั้นก็พูดแจงธรรมะและอธรรม แล้วก็ไปกระทบคน คนดีเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย ส่วนคนที่ไม่ค่อยดีก็จะดิ้น ตอบโต้ และด่าทอมาด้วย ก็เป็นเครื่องส่อให้รู้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไม่เดือดร้อนใจ ไม่มีภาวะอะไรที่จะมีการตอบโต้ด่าทอผลักไสถล่มทะลายเขาโดยเฉพาะเป็นบุคคลเลยจะไม่มี

 

8/1/2556 18:11:20 พ่อท่านทำงานมามากกว่า 40 ปี ตอนนี้ก็ขึ้นทศวรรษที่ 5 แล้ว ก็ยังไม่ท้อถอยยังมุ่งมั่นสบายใจ การต่อต้านจัดการก็มีอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ได้เห็นเป็นสิ่งประหลาดไม่น่าจะเป็นก็ไม่ใช้ แต่ยิ่งแสดงให้เห็นความจริงว่าสิ่งที่แสดงไปกระทบสิ่งที่ไม่ถูกต้องจึงดิ้นออกมาให้เห็นชัดๆสดๆ ให้รับรู้ได้ พ่อท่านทำงานแล้วสบายใจตรงที่ทำงานแล้วไม่สูญเปล่า มีผู้รับได้ ทั้งๆที่แสดงไปเป็นธรรมะระดับยาก ระดับโลกุตระ อเทวนิยมเช่นนี้ ย้อนแย้งกับกระแสหลัก แต่ก็มีคนเห็นดีด้วย แล้วมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ชีวิตได้ มาลดโลภ โกรธ หลง ลดกามพยาบาทวิหิงสา ลดได้อย่างมีพฤติภาพ สามารถอยู่คบคุ้นกันไปนานๆก็จะรู้ความจริงนั้นได้ คนเราจะสามารถควบคุมอิริยาบถกิเลสไม่แสดงออกภายนอกได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันจำเจ ก็จะเห็นกันได้ ซึ่งนานเข้าจะสนิทสนมจะเห็นได้ ไม่สามารถปกปิดกันได้ตลอดไป ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นจริง ก็มีสิ่งที่ยืนยันได้มาก จนสามารถเป็นสาธารณโภคี อยู่กันเป็นหมู่รวม

 

8/1/2556 18:17:17 พระพุทธเจ้าท่านทำได้แต่ของสงฆ์นักบวช ซึ่งยุคโน้น ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่สามารถทำได้ไปถึงฆราวาสนั้นเพราะคนยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นยุคทาส เป็นยุคที่ไม่สามารถทำให้กว้างได้ ประชาชนยังไม่มีอิสรเสรีภาพเพียงพอ เพราะระบบพระพุทธเจ้านั้นคนต้องสมัครใจมาทำ ไม่เหมือนคอมมิวนิสต์ที่เป็นการบังคับ แม้แต่ระบบประชาธิปไตย ก็เป็นการหาวิธีรีด เอาภาษีมาเข้าส่วนกลาง โดยที่ประชาชนไม่เต็มใจให้รีด ส่วนพระพุทธเจ้านั้นผู้ที่จะเต็มใจมาอยู่ในสาธารณโภคีคือเอาทรัพย์สินมากินใช้ส่วนกลางนั้น แต่ละคนสมัครใจมาเอง อันนี้เป็นประเด็นหลัก สำคัญ ประเด็นใหญ่ ในยุคพระพุทธเจ้าเกิดได้ในเฉพาะพวกปัญญาชน แต่มีเฉพาะในวงสงฆ์เท่านั้น ถ้าเป็นฆราวาสแยกออกมาไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ไม่มีปัญหาเรื่องอิสรเสรีภาพ ซึ่งทั่วถึงกันหมดทั้งโลก

 

8/1/2556 18:19:50 ประเด็นอิสรเสรีภาพนี้ยิ่งใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ปลดแอกมาจากระบบทาส ออกจากระบบวรรณะ เป็นเรื่องจริงสอบทานได้ตามตำนาน ซึ่งสมัยพระพุทธเจ้าความพ้นทาสนั้นยิ่งใหญ่ที่ผู้มานั้นเป็นผู้จิตหลุดพ้น นี่คือความยิ่งใหญ่ ท่ามกลางสังคมทาส แต่จิตทานหลุดพ้น ทุกวันนี้ไม่มีสังคมทาส แต่จิตไม่หลุดพ้น สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสังคมทาสกันทั่วโลก พระพุทธเจ้าท่านปลดแอกทางจิตวิญญาณได้แล้วพอมายุคนี้เกือบทั่วโลกไม่มีระบบทาส แต่จิตใจกลับตกไปเป็นทาสหนักกว่าเข้าไปอีก ถ้าผู้มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะหลุดพ้น วิมุติ จากความเป็นทาส คือทาสทางวัตถุ-ทาสทางจิตวิญญาณ-ทาสทางสังคม

 

8/1/2556 18:23:13 วันนี้จะขยายความเป็นทาสทางสังคม....คือกระแสอำนาจความนิยมของสังคมเขา เป็นแฟชั่น เป็นพลังของสังคม เช่นสังคมยุคนี้มีอะไรที่ทำให้คนตกเป็นทาส คือเงินทอง คนเป็นทาสเงินทองหนักกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เป็นทาสยศศักดิ์ สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีการแก่งแย่งศักดินากันมาก อยากได้แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นแฟชั่นไปแย่งชิงอำนาจ จะมีก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ โดยเฉพาะในราชวงค์ผู้ครองแผ่นดินจะมีการแย่งชิงกันในกลุ่มไม่กว้างขวาง แต่ยุคนี้แย่งตำแหน่งหน้าที่กันซับซ้อนมากมาย มีเหลี่ยมคูทุจริตติดสินบนกันมากมาย มหาวายร้ายกัน แย่งลาภยศสรรเสริญ ผู้ที่ได้รับการสรรเสริญมีค่าในสังคม ปีนี้ฑูตทางวัฒนธรรมนั้นแต่งตัวยิ่งกว่าพริตตี้อีก เป็นผู้แทนวัฒนธรรมวัยรุ่นไทย ก็แสดงให้เห็นภูมิธรรมผู้บริหารประเทศอย่างนี้ยังไม่เข้าใจว่าเป็นการเสื่อมหนัก มีสรรเสริญบวกกับเรื่องกามอีก เป็นโลกีย์ธรรมดานั่นเองไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นพุทธร่วมลงมติก็ส่อให้เห็นฐานะทางคุณธรรมของประเทศว่าตกต่ำอย่างยิ่ง

 

8/1/2556 18:28:59 พ่อท่านมั่นใจว่าสังคมจะสงบสุขอบอุ่นมันต้องมีคุณธรรมแบบโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม ซึ่งต้องพูดถึงชาวอโศกเพราะเป็นหมู่กลุ่มที่ยืนยันคำสอน พระพุทธเจ้า หลักกถาวัตถุ 10 หลักวรรณะ 9  ธรรมวินัย 8 เป็นต้นที่เอามาตรวจสอบกับชาวอโศกได้ว่าตรงกันอย่างไร          หลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการเช่น

          ข้อ1-วิราคะคือ กิเลสลดละจางคลาย,

          ข้อ2-วิสังโยคะ คือพ้นจากสังโยชน์คือความเป็นสัตว์,

          ข้อ3-อปัจจยะ คือไม่สะสมอันนี้ดูกันง่ายเป็นรูปธรรม เรามาอยู่รวมกันเป็นหมู่กลุ่มก็มีแต่ของส่วนกลาง จริงๆข้อนี้คือไม่สะสมกองกิเลสและจะไม่สะสมวัตถุไปด้วย

          ข้อ4-อัปปิจฉะ คือมักน้อย กล้าจน

          ข้อ5-สันตุฏฐิ คือ ใจพอ น้อยก็พอ ไม่ใช่แปลว่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่  แต่ให้มักน้อยลงเรื่อยๆแต่ใจก็รู้สึกว่าพอเพียง น้อยก็พอเช่น เช่นผู้ใดกินไม่มีมื้อมีคราวก็ให้ลดละลงมา กินสามมื้อก็ให้กินในที่นั่งเพียงสามครั้งคราว กินไปไม่มีมื้อนั้นเสียหายทั้งเปลืองและเสียนิสัยกิเลสก็เพิ่ม ถ้าจะกำหนดสามมื้อก็ให้สามมื้อจริง

8/1/2556 18:43:50 วันหนึ่งใช้เงินห้าหมื่นก็ให้ลดลงมา ในคนธรรมดาเดือนหนึ่งห้าหมื่นก็มากเกินไป ให้ลดลงมาเหลือสามหมื่นให้อยู่ได้ ตัดสวรรค์เท็จสวรรค์ลวง เราจะขยันมีปัญญารู้ทำสิ่งที่ควร ถ้าขี้เหนียวจะมีกักเก็บอะไรเยอะเลย ปฏิบัติแล้วฐานะจะดีขึ้นไม่พูดว่ารวย ไม่อยากจะพูด แต่จริงๆจะมีผลได้มากขึ้นมีเหลือพอ มันจะเกินไปได้จริงๆ ส่วนเกินเมื่อใจเราพอแล้วจะเอามาแบ่งปันให้คนอื่น ถ้าปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะได้

          ข้อ6-ปวิเวกะ คือสงบแล้วไม่ดิ้น แต่สงบอย่างวิเศษ ไม่ดิ้นไม่รน

          ข้อ7-อสังสัคคะ คือจิตไม่หลงสวรรค์แล้ว ไม่ไปหลงกับคณะที่หลงสวรรค์ ไม่ไปกับคนพาลคือคนที่อ่อนเยาว์เขลา ไม่ไปร่วมเพลิดเพลินกับเขา ถ้าจะไปก็ไปช่วยให้เขาขึ้นจากนรก

          ข้อ8-วิริยารัมภะ คือขยันเสมอ

 

8/1/2556 18:48:28 ในหลักวรรณะ 9 มีข้อ อัปปิจฉะ เลี้ยงง่าย เช่นคนกินสัตว์ไม่ใช่คนเลี้ยงง่าย หาสัตว์ฆ่าสัตว์มากินยากกว่าเด็ดผักมากิน คนกินมังฯเป็นคนไม่ลำบากเลี้ยงง่ายกว่า และปาณาติบาตเป็นบาป

8/1/2556 18:48:38 ที่ว่าอุทิศมังสะ คือเจาะจงชื่อสัตว์นั้นมาฆ่า นั่นเป็นบาป ไม่ใช่แปลว่าเจาะจงบุคคล อุทิศมังสะคือมีห้าอย่าง เช่น

1.เมื่อเจอเพื่อนก็บอกว่าให้คนไปฆ่าไก่ในเล้ามาทำอาหาร

2.ผู้ที่ไปดึงผูกจับมันมา มันก็ทุกข์โทมนัสมันบาปแล้ว

3.เสร็จแล้วก็บอกว่าเอามันไปฆ่าเสีย และ

4.ขณะกำลังถูกฆ่ามันจะทุกข์ขนาดไหน ซึ่งสื่อให้เห็นว่าคนที่เจาะจงเจตนาฆ่าสัตว์มันก่อบาปเวรอย่างนี้ ไม่ควรไปกินเนื้อย่างนี้

5 แม้แต่เอามาให้คนกิน ให้เขายินดีในเนื้อสัตว์นั้นก็เป็นบาปอย่างมาก แล้วเขาก็แปลอุทิศมังสะว่า เป็นการเจาะจงระบุบุคคลที่จะให้กินสัตว์ที่ฆ่า อย่างนี้กินไม่ได้ถือว่าเจาะจงบุคคล นั่นคือการสอนผิดๆ ฟังแล้วตลกดี เฉพาะการฆ่าก็บาป การกินก็บาป ท่านว่าไว้ครบหมด อย่าไปเบี้ยวบาลี เช่นฆ่าในตลาดนั้นไม่ได้ออกชื่อคนที่กินเนื้อสัตว์ จริงๆคือคนในย่านนี้กลุ่มนี้แหละที่บอกให้เขาฆ่า ถ้าหมู่นี้กิน 5 ตัวเขาก็ฆ่ามา 5 ตัว ถ้าคนที่กินเกิดหยุดกินไปครึ่งหนึ่งเขาก็จะฆ่าลดลงครึ่งหนึ่งเหลือสองตัวครึ่งเป็นต้น(นี่พูดให้ตลกไป) แต่ที่จริงคนที่ไปซื้อกินนั่นแหละคือผู้ที่เจาะจงให้เขาฆ่ามานั้่นเอง ยิ่งอธิบายยิ่งชัดเจน

 

8/1/2556 18:55:37 ทั้งที่มังสวณิชชา พระพุทธเจ้าไม่ให้ค้าขายเนื้อสัตว์ สัตว์มันมีชีวิตเอามาเป็นสินค้าได้อย่างไร? เขาบอกว่าพวกกินเนื้อสัตว์เป็นพวกเลี้ยงยาก โดยเอาที่ว่าพวกกินมังฯนั้นหากินยาก แต่ที่จริงข้าวสุกนี่ก็มังฯแล้ว ขนมสดก็มังฯแล้ว อาหารไม่มีเนื้อสัตว์นั้นมีมากกว่าอาหารมีเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำ แต่คนไม่ฉลาดพอ แม้ร้านขายเนื้อสัตว์ก็มีพืชผักทั้งนั้น แต่คนเราติดรสต่างหากจึงไม่พากเพียร

 

8/1/2556 18:58:00 ในหลักของกถาวัตถุ 10 ห้าข้อแรกคือ อยู่ในหลักธรรมวินัย 8

อีกห้าข้อหลังคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ กถาวัตถุคือการพูดเรื่องราวจะพูดอย่างไรให้อยู่ในหลัก 10 ข้อนี้ ให้เจริญในศีลในธรรม ในการเจริญสมาธิ มีความสงบจากกิเลสคือเป็นสมาธิ พูดอย่างไรก็ให้เจริญในธรรม และพูดไปสู่วิมุติญาณทัสสนะ คือมีปัญญาเห็นความวิมุติของเรา ในห้าข้อแรกนั้นอยู่ในหลักตรวจธรรมวินัย 8 ข้อหมดแล้ว

 

8/1/2556 19:03:16 ในหลัก อนุบุพพิกกถา ข้อสาม ต้องรู้โทษของกาม กามคุณนั้นไม่จริง ที่จริงคือกามโทษ แต่คนหลงว่ากามเป็นสุข จริงๆเป็นสุขเท็จ ซึ่งเหตุคือกามคือตัณหานั่นเอง ต้องกำจัดเหตุคือตัณหาก็จะไม่สุขไม่ทุกข์ จิตก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ทุกวันนี้ไม่เข้าใจสับสนจึงปฏิบัติเบลอๆ ไม่ได้ผล ที่พูดนี้ไม่ได้ไปว่าใคร แต่คนที่สอนไม่ถูกไม่เหมือนที่พูดก็หาว่าไปว่าเขา เราไม่ได้ว่าเราแจกแจงธรรมะ แต่เขาทำไม่ถูกจึงโดนเขา ผู้ที่เห็นต่างย่อมแสดงความเห็นต่างกัน เมื่อเห็นต่างกันแล้ว ก็ต่างคนต่างแสดง มีหลักนานาสังวาสแยกกันทำก็ต่างคนต่างทำ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้ฟังความทั้งสองข้าง แล้วให้เลือกในธรรมวาที อันไหนอธรรมวาทีก็อย่าเอา นี่คืออิสรเสรีภาพในสมัยพระพุทธเจ้าที่เยี่ยมยอดที่สุด หลักนานาสังวาสนี่ เมื่อห้ามไม่ได้ต่างคนต่างยึด ก็ให้ทำได้ต่างกันไป ใครจะไปอยู่กับใครก็แล้วแต่ ยุคโน้นจะมีคนโง่มากกว่าคนฉลาด ยุคนี้จะมีฉลาดเฉโกมากแต่โง่ในธรรมหนักกว่ายุคพระพุทธเจ้า

 

8/1/2556 19:07:49 ในปาติโมกข์นั้นพระพุทธเจ้าว่าอนูปวาโท ท่านแปลว่าอย่าไปพูดกระทบตนกระทบท่าน นั่นเป็นการแปลที่ผิด อนูปวาโทคืออย่าเอาสิ่งที่ไม่ดีไปพูดใส่เขา จะให้พูดไม่กระทบทั้งดีทั้งชั่วก็ไม่กระทบ อย่างนั้นไม่ถูกต้อง

 

 

8/1/2556 19:09:32 ช่วงต่อไปเป็นการตอบปัญหา และอ่าน ข้อความที่ส่งมา

 

8/1/2556 19:13:15 ดิฉันอยู่ในพุทธสถานหนึ่ง แต่เพื่อนแนะให้มาอยู่ในอีกพุทธสถาน แล้วดิฉันถูกข้อหาร้ายแรงมาก ถามว่า ดิฉันต้องมาชดใช้กรรมในอดีตใช่ไหมคะ......ถ้าดิฉันไม่เคยได้ทำกรรมที่ถูกกล่าวหาเลย เพื่อนบอกว่าได้ใช้วิบากและเลื่อนฐาน???.....ตอบ..นี่คือโจทย์ที่ให้คุณเลื่อนฐานแต่คุณสอบตก ตอบไม่ได้ว่าเป็นกรรมแต่ปางไหน แต่เป็นของคุณ แม้แต่มีคนไม่ชอบหน้าส่อเสียดคุณ แล้วใครไปบอกให้เขาส่อเสียดเกลียดคุณ จะเป็นวิบากแต่ปางไหนตอบไม่ได้....เลื่อนฐานคือ คุณกลับโง่ คุณกลับแพ้โจทย์ คนเราถ้าไม่ได้ผิดอย่างที่เขาพูดเราจะกลัวอะไร หรืออัตตาสูง ถ้าไม่มีอัตตาใครจะแตะเราก็สบายๆไม่ติดใจไม่ถือสา เพราะเรารู้ความจริงว่า หนึ่ง คนที่ว่าเราเขาข้อมูลไม่ครบเขาจึงว่า สอง เขาไม่ฉลาดพอจะรู้ความจริง สามเขายังไม่คบคุ้นมากพอจะมีคำตอบและเชื่อสนิทใจกับเราได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปห้ามใจเขา ก็น่าสงสารที่คุณสอบตก โจทย์อย่างนี้คุณต้องเจอไปทุกชาติ พระพุทธเจ้ายังต้องเจอพระเทวทัต เจอนางจินจมาณวิกา คุณจะใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าขนาดไหน จะถือดีถือตัวใครว่าไม่ได้ อย่าไปโต้เถียงไปแย้งเขา มีโอกาสค่อยชี้แจง เขาไม่อยากฟังก็ไม่ต้องไปพูด เสียเวลา  เมื่อเรายืนอยู่ฐานความจริงอย่าไปกลัว อย่าหวั่นไหว ถ้าเราหวั่นไหวคือเรามีโลกธรรมมีอัตตา

 

8/1/2556 19:20:32 จากอ.อุ้มผาง กรณีเขาพระวิหารดูแล้วยิ่งยุ่งเหยิงไม่เห็นทางออก....ตอบ คือต่างคนต่างเห็นต่างกัน แต่ดูความซับซ้อนของสองขั้ว ขั้วหนึ่งคือโน้มเอนให้เสียให้เขา  ส่วนอีกขั้วหนึ่งจะบอกว่าคลั่งชาติก็แล้วแต่ แต่ต่างคนต่างหาหลักฐานมา ก็ดูน้ำหนักที่แท้ควรช่วยกลุ่มไหน .....ก็ตอบกันในห้องส่งว่า ควรเชื่อพวกรักชาติที่เขาว่าคลั่งชาติมากว่า ก็ให้ดูตามเหมาะตามควร พ่อท่านก็เชื่อกลุ่มรักชาติตามที่ข้อมูลมี เราก็ไม่ได้ไปเอาแผ่นดินของเขา เราอยู่มาก่อนแล้ว แล้วเราเอาให้คนโตมาตัดสิน เราก็มีแต่จะเสมอตัวกับจะเสียเปรียบเท่านั้น แทนที่เราจะยืนยันว่าเป็นของคนในชาติ แต่ไปแสดงว่าเป็นของคนชาติอื่น...มันมีวาระอะไรอยู่ในใจหรือไม่??? พ่อท่านโน้มเอนให้สู้เขา รักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษที่มีหลักฐานยืนยันมาชัดเจน ถ้าจะออกไปประท้วงก็จะร่วมด้วยช่วยประท้วง ต้องเร่งเพราะศาลโลกจะตัดสินตอนเมษายนนี้ ซึ่งศาลโลกเราไม่ได้เป็นสมาชิกไม่มีสิทธิมาตัดสินเรา แต่คุณก็ยังจะดันเอาหัวไปขึ้นเขียงเขามันส่ออยากจะเสียให้เขาเต็มที อย่างนี้คนไทยจริงหรือเปล่า เป็นบาปอย่างสมมุติสัจจะที่ควรไม่ควรได้เป็นบาป เราไม่สนับสนุนทางบาป

 

8/1/2556 19:27:39  การกินรังผึ้งกับรังนกผิดศีลข้อ 1หรือไม่....ตอบ....ถ้าจะเอาอย่างละเอียดก็ผิด....รังนกไม่ควรกินอยู่แล้ว แต่น้ำผึ้งนั้นมีความซับซ้อนยังมีกรรมวิธีการนำมาซึ่งแตกต่างกันไป สรุปแล้วเรื่องจะกินอะไร เราควรเลี่ยงสิ่งที่สงสัย มีอะไรทดแทนมากมาย ถ้ามันติดก็จะกินอยู่

 

8/1/2556 19:31:07 มหาปเทส 4 คืออะไร?....ตอบ....

คือเครื่องตัดสินวินิจฉัยว่าเราควรทำหรือไม่ควรทำ....เช่นควรออกไปร่วมชุมนุประท้วงกับเขาไหม?

หลัก      มหาปเทส 4 คือ

1.  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

8/1/2556 19:35:15 การไปร่วมชุมนุมนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต แต่สิ่งนั้นควร เข้ากับสิ่งควร ขัดกับสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นควรทำ พ่อท่านก็ใช้หลักมหาปเทสในการทำงาน

 

8/1/2556 19:36:31 นโยบายประชานิยมของรัฐบาลนี้จะทำให้เกิดประชาระบมขึ้น

 

8/1/2556 19:38:01 การชุมนุมบางแห่งมีแม่หม้ายพ่อหม้ายสาวแก่ มารวมกัน เป็นไปได้ว่าจะมีเรื่อง...ตอบ เป็นไปไม่ได้ คุณอย่าหาเรื่อง

 

8/1/2556 19:38:44 พระอรหันต์ตายไปจะไปอยู่ที่ดุสิต...ตอบ....จริงๆแล้วมันไม่มีสถานที่หรอก จิตวิญญาณของกามาวจร 6 เขาเรียกว่าภพของเทวดา 6  เทวดาของกามเป็นเรื่องของโลกีย์เป็นหลัก....

1. จตุมาหาราชิกา คือสวรรค์ของผู้ปกครองมหาราช 4 ทิศมีคนมารองรับ คนก็พากเพียรทำกันทั่วโลก เสพสมเป็นเทวดาเจ้าโลก ทั่งสี่ทิศ ในสมัยโบราณก็ล่าอาณานิคมทั้ง 4ทิศ นี่คือเทวดาขี้หมา เป็นเทวดาเลว จึงเขียนรูปเป็นเทวดาแต่หน้าเป็นยักษ์ มีเขี้ยวตาโปนถืออาวุธ ต้องเข้าใจว่าไม่ได้ส่งเสริมให้เป็นแต่เขาอยากเป็นกันทั้งโลก จะสร้างภพใหญ่

2.ดาวดึงนั้นก็ปั้นมาเสพเป็นอาการที่ 33 ซึ่งคนมีแค่อาการ 32 เท่านั้น

3. ยามา คือจะให้มีระยะเวลาเป็นเทวดายิ่งใหญ่เป็นเจ้าโลกให้นานที่สุด

4.ดุสิตคือสงบ อาจพักยกเป็นอุเบกขา เพียงชั่วคราว

5. นิมานรดีก็เนรมิตได้สมใจกิเลส เนรมิตได้เสวยสุขที่ปั้นเองทำเอง

6.ปรนิมิตวสวตี คนอื่นทำให้สนองอำนาจ ชี้สั่งเอาได้หมดเลย

          ส่วนผู้ที่เป็นโพธิสัตว์นั้นจะอยู่ที่ชั้นดุสิต คือสามารถพักอยู่ได้มีอุเบกขาแบบพุทธ คนอื่นจะมาช่วยสร้างให้เป็นปรนิมิตนวสวตี เช่นพระเจ้าอยู่หัวเป็นต้น ก็พยายามอธิบายเป็นแบบโลกุตระ

 

8/1/2556 19:49:43 พ่อครูเทศน์กัณฑ์แรกที่ไหนเมื่อไหร่มีซีดีไหม?....ตอบ...คงจะตั้งแต่ฆราวาสเปิดคอลัมน์ธรรมะในหนังสือบันเทิงชื่อ "ดาราภาพ" ซึ่งพ่อท่านสมัยเป็นฆราวาสร่วมกับคุณชวน ทำหนังสือดาราภาพออกมาขาย ก็ขายดีมากเลย จนหนังสืออื่นๆทำตามมีถึง 11 ฉบับที่ออกมาแข่งลอกเลียนกัน พ่อท่านก็เปิดคอลัมน์ธรรมะชื่อ "ชีวิตนี้มีปัญหา" เลยไม่รู้ว่าเทศน์เมื่อไหร่? นอกนั้นก็มีคอลัมน์อีกมากมายมากว่า 10 นามปากกา

 

8/1/2556 19:54:17 ตลาดอาริยะน่าจะจัดบนเรือเป็นตลาดน้ำ เพราะเรามีเรือเยอะ....ตอบ..ในอนาคตจะมี ตอนนี้เอาตลาดบนบกก่อน มาช่วยกันสิ

 

8/1/2556 19:55:58 ถูกกลั่นแกล้งที่ทำงานแล้วฟุ้งซ่านใจไม่คิดเอาคืนแต่ก็ไม่เลิกเศร้า  เศร้าเป็นกิเลสใช่ไหมจะเลิกอย่างไร....เศร้าเกิดจากกิเลส จิตพวกนี้เป็นจิตอวิชชาจิตโง่ ความจริงจิตมันไม่มีเศร้าหมอง ไม่เว้าแหว่ง แต่คนเอาไปใส่จิตทั้งนั้นเพราะความโง่ รากเหง้าคือความโง่ อวิชชานั่นเอง มันไม่มีจริง ใจเว้าใจแหว่ง มันโง่ อย่าไปเศร้าเสียใจ เราหาต้นเหตุแล้วฆ่ามันเลย ส่วนมากมันไม่สมใจทั้งนั้น ทีเศร้าโศกเสียใจเพราะจิตเรียกร้องต้องการแล้วไม่ได้นั่นเอง

 

8/1/2556 19:59:01 ผู้เคยเกิดและเป็นอรหันต์ในชาติปางก่อน พอมากเกิดร่วมกับพระโพธิสัตว์ ท่านจะรู้ตัวไหม....ตอบ หลายคนไม่รู้ว่าเป็นอรหันต์มาก่อน อาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ถ้าไม่มีคนอธิบายให้รู้ แต่จะสบายไม่ทุกข์อยู่แล้วเพราะมีภูมิธรรม และการต่อภพต่อภูมินั้นก็จะเป็นไปตามจริงได้

 

8/1/2556 20:00:57 ไทยเรามีแต่เสมอตัวกับเสีย...เพราะตั้งอยู่บนคำว่าเราอยู่บนพื้นที่พิพาท.....เราจะได้นั้นต้องบอกว่าเป็นที่ดินของเราเอง แต่ที่จริงคือได้ที่ดินของเราคืนมา ไม่ถูกโกงเอาไป...ตอบ แน่นอนคือที่ดินไทยเราเก่า แล้วเขาจะมาโกงเอาไป ทำไมต้องใช้ภาษาว่าให้คนเสียดายหรือใช้ภาษาว่าตนเองเสีย แสดงว่าคุณมีแนวโน้มว่าจะต้องเสียสิ ถ้าเขาเจตนาว่าจะให้กระตือรือร้นให้ไปช่วยกันเอาคืนมานี่ก็ไม่มีลักษณะเช่นนั้น ไม่แสดงท่าทางหน้าที่ที่จะทำ แต่แสดงท่าทางว่าเขาจะเอาไปก็เอาไปเช่นนี้ คือสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ทำไม่ต้องให้เขามองว่าเราจะเสีย                            8/1/2556 20:05:22 ...จบ8/1/2556 20:05:26
 

ที่มา ที่ไป

รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อท่าน ตอน หลักตัดสินความถูกต้องแห่งสังคมธรรม 8/1/2556


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:47:08 )

560113

รายละเอียด

13/1/2556 8:59:19 รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อท่านและส.เพาะพุทธ  เรื่อง....ศิลปะสร้างโอสถทิพย์แทรกในขุมขน

 

13/1/2556 9:09:58 รายการจัดที่ศาลาฉันสันติอโศก...  ส.เพาะพุทธ เปิดรายการ ...วันนี้เราจะมารับฟังธรรมจากพ่อครูที่ได้เทศนาต่อเนื่องมาในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นความลึกซึ้งของปัจจัยการ และที่พ่อครูได้สาธยายอย่างลึกซึ้งในปฏิจจสมุปบาท ว่าสิ่งที่ควรดับ คือตัณหา เพราะถ้าดับตัณหา อุปาทานก็จะดับ ตัณหาคือตัวเคลื่อน อุปาทานคือตัวนิ่ง การดับอย่างถูกต้อง แม้หมดตัณหา ก็ยังมีเวทนาได้ มีสังขารได้ คือต้องดับสิ่งที่แฝงมาในสังขาร

            เรามาฟังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รู้ว่าจะดับในสิ่งไหนที่ควรดับ ซึ่งต้องใช้ความตั้งใจในการฟังอย่างมาก

             พ่อครูเป็นศิษย์เก่ารร.เพาะช่าง ปีที่จบการศึกษาคือปี 2505 ในปีนี้ เป็นปีที่ครบ 100 ปีรร.เพาะช่าง ศิษย์เก่าเพาะช่างได้นำหนังสือมาถวายพ่อครูด้วย

 

13/1/2556 9:16:16 พ่อท่านได้เทศนา...วันนี้พ่อท่านได้คุยกับเทวดา ได้บอกให้อธิบายปฏิจจสมุปบาท ในอวิชชาข้อที่ 8 ถ้าไม่เข้าใจจะไม่สามารถรู้ชัด ในการเกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ) คือการเกิดอย่างพิเศษไม่ใช่สามัญทั่วไปที่คนคิดว่าคือการเกิดตายทางกาย หมดลมหายใจคือตายนอนแน่นิ่งอย่างนี้คือการตาย อันนั้นไม่ผิด แต่ไม่ใช่เป้าไม่ใช่สิ่งจำเพาะที่พระพุทธเจ้าหมาย

            ในนัยที่ละเอียดลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าให้เจาะไปที่การเกิดจำเพาะที่เหตุ คือสมุทัย มีเหตุที่ดีและไม่ดี เหตุดีนั้นเราไม่ควรไปดับ แต่ให้ดับในเหตุที่ไม่ดี เมื่อเหตุไม่ดีดับก็จะมีแต่เหตุดี ก็ใช้ในการช่วยโลกช่วยสังคมต่อไป นี่คือต้องลงไปถึงที่เกิด คือโยนิโสฯ

13/1/2556 9:20:00 เหตุที่แย่ตั้งแต่โลกอบายนั้นแย่สุด สังขารนั้นไม่ใช่เราไปดับสังขาร แต่ให้ดับเหตุที่มันมาร่วมสังขาร ในมรรคองค์ 8 และสติปัฏฐานที่พ่อท่านมาอธิบาย ตัวสำคัญคือจะต้องรู้สังกัปปะ 7 นี่คือต้องรู้เป็นองค์ประกอบของการปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าท่านแยกออกไป 7 คำ

 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร

วจีสังจารคือรู้ว่าเป็นภาษาอยู่ในจิต ไทยก็เป็นภาษาไทย อังกฤษก็เป็นภาษาอังกฤษ สังขารตัวนี้ต้องเรียนรู้ให้ดีว่าเป็นอภิสังขารคือทำให้เจริญ หรือสังขารที่พาไปทุกข์ร้อน เพราะมีเหตุไม่ดีมาปรุงแต่ง คือมิจฉา 3 ที่มาปรุงแต่งอยู่ในจิต เราต้องอ่านวิจัยให้ละเอียด ตั้งแต่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ต้องแยกแยะออก ใช้ปัจจยปริคหญาณ แยกนามธรรมระดับจิตเจตสิก แยกให้ออกว่าอย่างนี้คืออาการกาม อาการพยาบาท อาการวิหิงสาคือตัวละเอียดที่เหลือ เราต้องจับตัวหยาบก่อน เป็นลำดับ ต้องจับอาการกาม ที่ไปร่วมปรุงแต่งในจิต เมื่อมีสัมผัสเป็นปัจจุบัน ก็จะเกิดวิญญาณในขณะสัมผัส พระพุทธเจ้ายืนยัน ในพต.เล่ม 16  ข้อ 164

โลกนิโรธสูตร

[164] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับแห่งโลก  เธอ

ทั้งหลายจงฟัง ... ภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดแห่งโลกเป็นไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป

จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม3 ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทาน

เป็นปัจจัย จึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชราและ

มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดแห่งโลก เพราะ

อาศัยหูและเสียง ... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ...เพราะอาศัยลิ้นและรส ... เพราะอาศัยกายและ

โผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการ

เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา ฯลฯ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชราและมรณะ

โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดแห่งโลก ฯ

 

13/1/2556 9:27:12 ในลักษณะของกามคือความอยาก ถ้าอยากทำงานเพื่อผู้อื่นโดยไม่มีกิเลสก็อยากไปเถอะ โดยใช้พลัง 4 ทำงานอย่างมีปัญญาคัดเฟ้นทำงานที่ไม่มีโทษ อย่างปราชญ์ไม่ตำหนิ อย่างพ่อท่านมีคนด่า เราก็รู้ว่าเขาหยาบหรือไม่หยาบ มีผนวกอารมณ์หรือไม่มีอารมณ์ ก็พอรู้ได้ เราก็รู้ว่าอะไรคืออะไร แยกแยะวิจัยธรรมแล้วจัดสัดส่วนให้พอเหมาะ ถ้าเราไม่มีกิเลส เราก็มีวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ขาดจากตัณหาอุปาทาน ไม่ยึดไว้แต่จะสมาทาน เราต้องรู้กิเลสอ่านออกแม้เหลือเล็กน้อยก็ต้องล้าง จิตที่เรามีส่วนไปปรุงแต่งโดยไม่มีตัวผีตัวร้ายไปร่วมปรุงแต่ง สังขารก็เป็นวิสังขาร เป็นการสังขารที่ยิ่งใหญ่เรียกว่า อภิสังขาร เป็นสังขารที่ไม่มีบาป คือ อปุญญาภิสังขาร เป็นการปรุงอย่างไม่มีบาป (ในสังขาร 3) อย่างรู้ว่าอะไรคือกิเลสและก็ชำระกิเลสได้ ผู้เป็นเสขบุคคลก็จะมีสังขาร 3 ตั้งแต่อเสขบุคคลคือบุคคลที่เป็นอาริยบุคคลท่านก็จะรู้อภิสังขาร แต่ยังฝึกฝนอยู่ แต่ขั้นที่ท่านหมดกิเลสท่านก็ปรุงอย่างอปุญญาภิสังขาร คือไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว นี่คือภาะที่อตักกาวจรา ไม่สามารถเดาได้ด้วยเหตุผล ต้องมีสภาวะจริง เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งหลายชั้น เป็นเรื่องละเอียดขั้นโลกุตระ

 

13/1/2556 9:34:16 การแปลบาลีเป็นภาษาไทยถ้าแปลตามพยัญชนะจะผิดได้ อย่างอปุญญาภิสังขารนั้น ไม่ได้แปลว่าสังขารอย่างไม่มีบุญ แต่แปลว่าสังขารอย่างไม่มีบาป คือไม่ต้องลดกิเลสแล้วนั่นเอง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ต้องมีปรโตโฆษะ ถ้าฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ก็อาบน้ำแบบวันเอา ไม่ยอมเปียก คนพวกนี้คือคนไม่ยอมรับความจริงก็จะไม่รู้เรื่อง

            ผู้ที่มีอเนญชาคือไม่หวั่นไหวแล้วแข็งแรงมั่นคง ท่านจะทำงานอย่างไม่กลัวว่าจะกระทบกับชีวิต อาชีวิตภัย หรือกลัวคนติเตียน ผู้เป็นปราชญ์จะไม่ตำหนิ แต่คนโง่ก็ติเตียนไปตามโง่ เพราะท่านทำงานอย่างมีปัญญาไตร่ตรองแล้วว่าคุณ ถ้าใครจะติเตียนท่านก็ไม่กลัวเพาะได้ใช้มหาปเทส 4 ประมาณแล้ว

 

13/1/2556 9:41:49 ดังนั้นวิญญาณจึงเป็นองค์รวม เวทนาสัญญา สังขารก็จะทำงานให้วิญญาณ เมื่อจิตคนอวิชชา ตากระทบรูปก็จะเกิดวิญญาณ คนอวิชชาก็จะปรุงทันที เสพรสก็ไม่รู้เรื่อง พิจารณาเวทนาในเวทนาไม่เป็น สัญญาก็จะกำหนดรู้อย่างปรุง สังขารก็ปรุงเป็นสุข ถ้าอวิชชาก็ชื่นใจดูดดื่มซึ่งเป็นสุขเท็จ เกิดแวบเดียว คนไม่ศึกษาก็หลงเพ้อไปกับสุขเท็จ เช่นดูภาพโป๊ก็เกิดสุข ได้บำเรอกามเขาไม่รู้ตัว ดูไอ้สิ่งที่ทำให้เกิดรสกาม  ได้ดูสวนสวยงามคุณก็ชื่นใจอยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่ได้เป็นเจ้าของก็ขอให้ได้ดู มันผัสสะเสร็จกลับบ้าน หรือหลับตามันก็ไม่มีของจริงแล้ว มีแต่ของจำ เมื่อหลับตาแล้วเป็นของจำ ไม่ใช่ของจริง ของจำไม่ค่อยเหมือนจะเบลอไม่ชัด บางคนจำได้ชัดดี เขียนออกมาได้เหมือนเลย ไม่ต้องดูภาพเลยเขียนได้เหมือน พ่อท่านจะเขียนภาพไม่เก่งขนาดตาดูยังเขียนไม่เหมือนเลย ความจำมันลมๆแล้งๆ เหมือนพยับแดด ฟองคลื่น ฟองน้ำ มีอยู่แวบเดียว พอหมดสัมผัสมันก็ไม่มีแล้ว ก็เหลือแต่ความจำ เอาความจำมาฝันมายึดว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อมันแรงก็ต้องเสาะแสวงหามาเสพ พอได้เสพก็สุข ก็พักยกติดตัวไปไม่รู้กี่ชาติ ถ้าเราชัดเจนเราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในรสสุข ถ้าเราเรียนรู้จริงอย่างฝรั่้งไม่ติดอร่อยปลาแดก สัมผัสปลาแดกก็ไม่เอา ไม่สุข แต่คนอีสานเห็นปลาแดกบอกของดี ของแซบ มันก็ยึดต่างกัน สมมุติต่างกัน อย่างพริกนี่มีธาตุแสบร้อน แต่คนไปยึดว่าดี มันดี แสบดี อย่างคนจีนกินน้ำร้อนก็เช่นกัน คนก็ฝึกจนดื่มน้ำร้อนได้คนธรรมดาไปดื่มรับรองปากพอง เขาฝึกจนมีพลังพิเศษ เดินลุยไฟ บนดาบ หรือปั้นจนเห็นรูปไปได้เลย มีเสียงลวง ภาพลวง เช่นมีกลิ่นคนตาย ได้กลิ่นธูป อุปาทานสร้างมาได้จริง

 

13/1/2556 9:47:32 ความซับซ้อนเหล่านี้ เราจะรู้อุปาทาน ที่มันน่ามีน่าเป็นน่าได้ อร่อยชื่นใจอย่างนี้คือคุณปั้นมันเอง เนรมิตมันมาเสพเอง คนที่สัมมาทิฏฐิ ยกตัวอย่างพริก พ่อท่านเคยเป็นคนอีสาน กินพริกขี้หนูทีละเม็ดก็อร่อย แต่ตอนนี้จำรสอร่อยไม่ได้แล้ว ตอนนี้พอแตะพริกก็จะไอทันที จำรสอร่อยของพริกไม่ได้แล้ว และสรีระยังไม่รับอีก แต่บางทีร่างกายก็ต้องการธาตุที่มาจากพริกบ้างก็ต้องกินบ้าง ถ้าเราไม่อ่านอารมณ์ที่เราไปติดยึด เราก็ต้องลนลานหาสัมผัส ถ้าคุณแม้สัมผัสก็ไม่ได้เกิดรสอัสสาทะ ถ้าเราไม่มีรสอัสสาทะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ผุททัสสะโลกธัมมเนิฯฯ สัมผัสแล้วก็อุเบกขา สัมผัสอยู่หลัดๆ แต่ก่อนนี้ปรุงเป็นรสอย่างอวิชชา แต่มันก็รู้รสสีกลิ่นได้เหมือนคนอื่น ตากระทบรูป ก็เห็นรู้อย่างมนุษย์ ส่วนผู้ที่ไม่ศึกษาจะไม่เห็นเป็นรูปอย่างปกติ แต่จะเห็นว่าเป็นอาการชอบอาการสุข คุณไปยึดเองว่าสวยก็ชอบ ไม่สวยก็ไม่ชอบ จิตไม่ยินดี เกิดจากคุณไปสมมุติ ไปตั้งเองติดเองทั้งนั้น มันไม่มี แต่คุณมีอยู่อย่างนั้น มี ต้องรู้อย่างมีอัตถิ คือรู้โลกสมุทัย พอรู้โลกนิโรธ คือความไม่มี ผู้ได้ความไม่มีคือ นโหติ ส่วนผู้ไม่ได้นั้นคือ นัตถิ ต้องอยู่สุขทุกข์ในโลกสมุทัย แต่พอมาเรียนรู้ออกจากตัณหาอุปาทาน มันก็ไม่มีสุขทุกข์ เรียกว่าไม่มีชาติ ไม่มีภพ มีแต่โลกนิโรธ มันหมุนเวียนแต่รู้ความจริงตามจริงที่ทุกคนรู้หมด รู้รูปปลาแดกเป็นของเน่ากลิ่นเป็นของเหม็น ถ้าฝรั่งเขาก็ไม่ชอบ สัมผัสก็ทุกข์ ถ้าอีสานก็ชอบ สัมผัสก็สุข ถ้าไม่มีความยึดสัมผัสปลาแดกก็รู้เหมือนกันหมด ว่าเป็นของเน่าของเหม็น ก็ปรุงอย่างไม่มีดูดผลัก จะรู้จริงตามความเป็นจริง

 

13/1/2556 9:55:30  อวิชชานั้นหลอกคนทั้งโลกมานาน วิญญาณผีเทวดาหลอกคนมาตลอด เทวดาคือเทวดาสมมุติที่ยึดถือกันทั่วไป แต่ผู้ดับเหตุหมดตัณหาอุปาทาน คุณก็ยังมีสังขาร ก็สังขารอย่างสะอาด วิญญาณก็สะอาด นามรูปก็สัมผัสอยู่ รู้อยู่อายตนะก็ทำงานเชื่อมต่อ ตัณหาก็มีแต่ไม่ได้อยากมีอยากเป็นกับโลกสมุทัย ไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว สังขารก็ปรุงเพื่ออนุโลมปรุงแต่งให้เขา ช่วยเขาให้ลดละตามลำดับ ในวัดเราทำอาหารปรุงแต่งขนาดหนึ่ง ให้ข้างนอกปรุงอีกอย่าง

 

13/1/2556 9:58:13 ในวัดปรุงแต่งน้อยกว่าให้นอกวัด แต่อีกขนาดที่ปรุงแต่งมาให้พ่อท่าน ก็จะรู้ว่าถจืดกว่านั้น ง่ายกว่านั้น อย่างแกงสวรรค์ก็เอาผักไปลวกไปต้มก็เรียบร้อย บางคนก็ปรุงมาเล็กน้อย แต่ถ้าปรุงจัดเกินพ่อท่านก็จะบอก ในสามระดับผู้ที่ยึดถือก็จะไม่ได้สมใจอย่างที่ตนยึดสเปคได้ว่าจะต้องได้ตามกำหนด นี่คือการกำหนดของตนเองกำหนดอย่างโง่หรือฉลาด ถ้าล้างความยึดถือมาก็จะกำหนดอย่างฉลาด

 

13/1/2556 10:00:23 เมื่อเรารู้มิจฉาสังกัปปะว่ามีกามพยาบาทวิหิงสาปนหรือไม่ เราก็ปรุงอย่างอนุโลมให้เขา เราปรุงให้ลูกหลานประมาณนี้ แต่ถ้าเราเราไม่กิน เราก็ทำตามลำดับอนุโลมผู้อื่น พ่อท่านทุกวันนี้อนุโลมจนหยาบ ในท่าทางลีลา ในภาษา พ่อท่านปรุงไปเพื่อเป็นศิลปะในการสื่อภาษาออกไปให้เขารับได้เป็นประโยชน์ พ่อท่านก็ต้องคำนวณ ในกลุ่มที่จะให้ และปรุงเท่าไหร่แรงเบาก็ต้องให้พอเหมาะ จัดสัดส่วนให้ได้ผล นี่คือการทำงานศิลปะ ไม่ใช่แบบโลกียะ ซึ่งพ่อท่านเคยทำมาในโลกมายามาก่อน พอออกมาก็เลิกไปมาปรุงแต่งอย่างให้พอดี

 

13/1/2556 10:03:18 ศิลปะนั้นต้องเข้าถึงจิตวิญญาณคน ถ้าซาบซึ้งใจในกามนั้นไม่ใช่มงคลอันอุดม เป็นข้าศึกแก่กุศล กิเลสก็โตขึ้นหนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างศิลปินเขียนรูปนู๊ด ใครดูแล้วกามเหี่ยวกามลดเลยนั้นคือมีศิลปะ ถ้าดูแล้วกามขึ้นนั่นคืออนาจารไม่ใช่ศิลปะ หรือเสียงเพลงมี 5 ระดับที่พ่อท่านให้ไว้คือ

1.ลามก

2.ราคะ

3.สาระ

4.ธรรมะ

5.โลกุตระ

ธรรมะอยู่กึ่งระหว่างโลกีย์กับโลกุตระ แต่มีธรรมะ

ภาพของปีกัสโซ่นั้นเขียนภาพนู๊ดอย่างมีศิลปะ ทำให้ไม่เกิดกาม มีแต่กามเหี่ยว

13/1/2556 10:12:50 ศิลปินอย่าง แวนก๊อก คนหลงไปว่ามีจุดสนใจให้คนดู แต่ไม่ได้มีสาระอะไรให้คนได้ประโยชน์เลย คนก็นิยมไปปรุงแต่งเป็นของหายาก เป็นของชิ้นเดียวในโลกก็ตั้งราคาขึ้นมา

 

13/1/2556 10:14:53 อย่างคุณอังคาร กัลยาณพงศ์ เขาไม่ปรุงแต่งไปจนเฟ้อ ในทางจิตรกรรม เขามีอัตตลักษณ์ของเขา แล้วก็ไม่ปรุงจนเกิดกิเลส จนเกิดการ และเขาก็มีการผสมสัดส่วนที่ใครมีการกระทบสัมผัสแล้วแปลกใหม่แต่มีเนื้อหา  

 

13/1/2556 10:18:15 เรื่องของศิลปะทั้ง 5 ประการ เป็นสิ่งที่จำแนกขั้นตอน อย่างขั้นลามกและราคะนั้นไม่นับเป็นศิลปะ อย่างราคะไม่ว่าจะในสาขาไหน ไม่ว่าจะเป็นเพลงการ ที่แสดงทุกวันนี้ไม่ได้ไปถึงขั้นสาระ แต่อยู่ในขั้นลามก ราคะทั้งนั้นเลย ดาราไม่ขายเต้าก็ไม่ดัง ที่รวยกันมากในวงการนั้นเป็นราคะและลามกทั้งสิ้นไม่ได้เข้าขั้นสาระเลย

 

13/1/2556 10:20:41 สินใจกับนกสองนกเขาทำเหนือเมฆมาเป็นขั้นสาระขึ้นมาบ้าง แล้วเมืองไทยเป็นเมืองมาเฟีย พอลามกราคะก็โมเมให้ออก แต่พอสาระจะเข้ามาก็แบนเลย เมืองไทยไม่มีสาระสัจจะเลย ต้องมาช่วยกันรังสรรสาระสัจจะขึ้นมา

 

13/1/2556 10:21:59 ท่านจันทร์....ได้มาเข้าใจใหม่ในวันนี้ เพราะเมื่อก่อนเข้าใจว่าอปุญญาภิสังขาร เข้าใจว่าคือสังขารในสิ่งที่ไม่เป็นบุญ เป็นบาปอย่างยิ่ง คือความโง่ ผมเองมาวันนี้ได้มาฟังสองหู แล้วไตรตรองตามที่พ่อครูเทศนา ตอนที่ฟังเกือบๆจะท้วงว่าพ่อครูกำหนดหมายผิด พอฟังไปฟังมาเห็นทีเราต้องท้วงตัวเองแล้ว ครั้งก่อนได้ทราบทางเว็บเพจ ทบทวนธรรมะสมณะโพธิรักษ์ มีประเด็นที่พ่อครูบอกว่า บุญ คือ ความดีที่เป็นการชำระกิเลส ฉะนั้นบุญจะเป็นสิ่งที่ต้องเป็นผู้ที่จะเข้ากระแส...จนไปสู่พระอรหันต์จะไม่ต้องบำเพ็ญบุญต่อไป แต่จะเป็นการบำเพ็ญกุศลอย่างเดียว พระอรหันต์นั้นไม่ได้ทำทั้งบุญและบาป ที่หลวงพ่อพุทธทาสบอกว่ายึดชั่วยึดดีอัปรีย์ทั้งนั้น มีคนที่ด่าท่านจันทร์ว่า "พระอัปรีย์มึงพาคนไปชนกับตำรวจ" ท่านจันทร์ไม่มีจิตขุ่นเคือง จิตยังดีอยู่

 

13/1/2556 10:27:41 ในคำว่า นัตถิ ..คือการปฏิบัติที่ไม่มีผล แต่ถ้าคุณมีผลคุณจะมี "อัตถิ" ส่วนคำว่า โหติ คือมี น โหติ คือ ไม่มี   วันนี้ท่านจันทร์จึงได้เข้าใจใหม่ในคำว่า อปุญญาภิสังขารใหม่

 

13/1/2556 10:28:49 ท่านจันทร์....อปุญญาภิสังขารนี้คือวิภวตัณหา เป็นอภิสังขารในระดับสมบูรณ์แล้ว ที่ไม่ คือสมบูรณ์และที่มี ก็สมบูรณ์ ไม่มีบาป มีแต่กุศล

 

13/1/2556 10:29:43 อภิสังขาร 3 คือสังขารของผู้เข้ากระแสเป็นต้นไป ชำระกิเลสไปจนเสร็จสิ้นก็เป็นอปุญญาภิสังขาร ท่านก็มีแต่อภิสังขาร พระอรหันต์นั้นไม่มีบุญมีบาป ทำแต่กุศลอย่างเดียว

 

13/1/2556 10:31:06 คำว่าอเนญชาภิสังขาร เป็นภาวะที่ไม่กระเทือนไม่หวั่นไหวต่อการกระทบ ส่วนอปุญญาภิสังขาร คือจิตที่ทำงานที่ปรุงใหญ่ มีการกระเทือนกระทบ แต่ไม่มีบาป เป็น dynamic  energy  ส่วนอเนญชาภิสังขารเป็น potential energy

 

13/1/2556 10:32:46 การทำงานงานของพ่อท่านปัจจุบันเป็นการปรุงแต่งอย่างยิ่ง ไม่ได้ทำงานเพื่อลาภยศหรือหาบริวาร แต่เพื่อสร้างสรรเสียสละสร้างคนให้มีอาริยภูมิ องค์ประกอบของการปรุงแต่งที่ทำขณะนี้ ก็ใช้องค์ประกอบของสื่อสาร ที่ทำอยู่ก็มีคนช่วยกันให้มีออกดาวเทียมดวงใหม่ ของไทยคมเพิ่มขึ้น ก็ดิ้นรนจนเกิดได้ช่องนี้เพิ่มอีก ขณะนี้ FMTV ออกทั้งดาวเทียม NSS 6 ก็ยังส่งออกอากาศอยู่ แล้วเราแถมทางดาวเทียมไทยคมอีกช่อง ซึ่งไปได้ไกลกว้างกว่า NSS 6 เป็นการทำงานขยายผลสื่อออกไป ถ้าNSS 6 ดูที่ช่อง 39 เฉพาะกล่องอัตโนมัติ OTA ส่วนของไทยคมนี่มี Frequency 3640 symbol rate 28066 แกนแนวนอน horizontal สิ่งเหล่านี้ถ้าอยากรู้รายละเอียดก็โทรถามช่างเทคนิค 027335281 หรือช่างเทคนิคเลย 0804574844 หรือ 0897872940

            การใช้สื่อนี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ไทยเรามีสื่อ ทั้งหนังสือทุกรูปแบบ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ สื่อโทรทัศน์มีผลมากเร็วไว ทันใจ เราอยู่ในยุคที่พอทำได้ตามบารมี เราสอนให้คนมาจน ให้เสียเปรียบ เสียสละแล้วอยู่ให้ได้อย่างเสียสละเพราะเรามีส่วนเกิน เรากินน้อยใช้น้อยแล้วไม่หลงโลก หลงแบรนเนม จนกระเป๋าถือใบละ 4 ล้านบาท ซื้อเข้าไปได้อย่างไร ข่าวทุกวันนี้ปิดหูปิดตาก็ได้ยิน สื่อสารข่าวคราวมีอิทธิพลถึงขนาดนั้น ในขณะนี้สื่อสารนี่เอามาปรุงสังขารให้มีสุนทรียศิลป์พอประมาณ คือสร้างโอสถทิพย์แทรกเข้าไปในขุมขนให้เขาสัมผัส ให้เขาว่าเป็นทิพย์ ชักจูงคนไปได้คือสุนทรีย์เหยาะให้แต่ไม่ให้เป็นพิษ จะเสีย รู้ว่าอันไหนควรข่มไว้ไม่ให้ออกมาทำลาย ทุกวันนี้พ่อท่านพยายามเบรกสิ่งที่จะออกมาทำร้ายสังคม และต้องเบรกอย่างเก่งไม่ให้เกิดการโต้ตอบจนเราอยู่ไม่ได้ ต้องใช้มหาปเทส 4 ต้องรู้จักวิญญาณเมื่อเขากระทบในสิ่งที่เราให้ดูให้เห็นทางโทรทัศน์ สัมผัสนั้นรวมทั้งหมดตาหูจมูกลิ้นกาย พ่อท่านต้องทำเพาะมีอิทธิพลสูงเร็วไวไปไกล

 

13/1/2556 10:44:05 ถ้าอวิชชาก็ปรุงให้คนหลงมอมเมาในกามในอัตตาหรือโลกธรรม  เขางมงายมัวเมาไม่รู้กามอัตตาก็ปรุงมอมเมา เอากามเอาพยาบาทผสมเข้าไป คนกระทบก็มีวิญญาณผีเป็นโลกสมุทัย ก็ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ จนกว่าจะมารู้ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งอุปาทานนั้นไม่หยุดแต่มันแตกตัวอยู่ข้างในเป็นโอปปาติกโยนะอยู่ตลอด เมื่อเราปฏิบัติรู้ ต้องมีผัสสะ แล้วเกิดเวทนาในปัจจุบัน แล้วอ่านเวทนาในเวทนา ก็จะรู้เหตุคือตัณหา ถ้าผู้มีวิชชาก็เป็นวิภวตัณหา มุ่งหมายอย่างไร้ตัวตน มีแต่ประโยชน์ท่าน เป็นตัณหาอุดมการณ์ มีอปุญญาภิสังขารแล้ว คนที่มีสภาวะจริงจึงพูดได้อย่างไม่กลัวไม่งง ไม่สับสน คนไม่มีสภาวะก็รู้ตามได้แต่ยาก ต้องมีการแยกนามรูปได้ คนไม่รู้ก็ปรุงแต่งเป็นนรกสวรรค์ที่ปรุงมาก็คือเวทนานั่นเอง ต้องมาเรียนรู้เวทนาในเวทนา แล้วมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ รู้สมุทัยคือเหตุแห่งโลก เราทำอย่างไร้เหตุอกุศล ก็ได้โลกนิโรธ คือความหมุนเวียนอย่างไม่มีตัณหาอุปาทาน ไม่มีภพชาติ เป็นวิภวภพ แต่มีโลกมีภพไว้อาศัย เพื่อรับใช้โลก โลกานุกัมปา รู้ความเกิดความดับแห่งโลก ก็ปรุงแต่งอย่างยาทิพย์ไปรักษาโรค โลกกิเลส ผู้ทำได้ก็เป็นพหุชนะหิตาย พหุชนะสุขายะ สงบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ดับปี๋ เฉยๆ สงบอย่างก้อนดินก้อนหิน ก็สงบเกิดสุดโต่ง แต่สงบของพระพุทธเจ้าจะดับตัวกวนตัวโจร ตัวเลว ก็สงบอย่างสร้างสรรมีประโยชน์ ตามลำดับขั้นตอน ตามฐานะ ผู้ใดมีภูมิธรรมสูงก็ทำตามจริงตามขั้นตอน

 

13/1/2556 10:52:06 ผู้มีอวิชชาจะไม่เรียนรู้สังขาร ในมติชนรายสัปดาห์มีบันทึกของเจ้าคุณท่านหนึ่ง ทำให้เข้าใจท่าน ว่าท่านอธิบายได้ละเอียดมากแต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ ก็นับถือว่าท่านเป็นทักขิเนยบุคคลผู้หนึ่ง พยายามรักษาธรรมวินัยให้ดี แต่ไม่บรรลุ ท่านไม่พยายามให้ศาสนาเสื่อม แม้ยากหน้านองน้ำตาท่านก็รักษาธรรมวินัย ท่านก็แสดงออก ในเรื่องสังขารท่านใช้เชิงเหตุผลอยู่มากแต่ไม่เข้าถึงจิตเจตสิกแท้ ที่เอามาพูดไม่ได้เพื่อข่มเบ่งแต่อย่างใด

 

13/1/2556 10:56:31 พ่อท่านสรุป...ที่ทำงานก็ใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าเท่าที่ตนเองมีความโง่ความฉลาดอย่างเต็มที่ คนโง่ไม่เป็นอยู่กับโลกยาก คนฉลาดจะโง่เป็น เขาว่าเราโง่ก็ไม่เป็นไร เขาเข้าใจผิดไป ความโง่ก็อยู่ที่เขา แต่เขาว่าเราโง่แล้วเราไม่รู้นี่โง่ซ้อนโง่อีก

พ่อท่านพยายามพากเพียรใช้อิทธิบาทให้กายสังขารมีอายุยืนยาวเพื่อพุทธศาสนาต่อไป

 

13/1/2556 10:58:35 ท่านจันทร์สรุป...ขอบพระคุณพ่อท่านที่ทำให้เข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ใครที่ฟังแล้วยังเก็บประเด็นไม่ได้ ก็ให้ไปตามทบทวนเนื้อหาสาระในหน้าเพจ ทบทวนธรรมะสมณะโพธิรักษ์ได้ ซึ่งคุณสู่แดนธรรมได้บันทึกสรุปไว้อย่างดี และขอถอนคำพูดที่เคยปรามาสการทำงานสรุปของคุณสู่แดนธรรมไว้ในโอกาสนี้ ดังนั้นอย่าไปเชื่อตัวเองให้มาก สามารถเปลี่ยนได้ ....13/1/2556 11:02:19 จบ .......สงบในงานสังขารในบุญกุศล.....

 

 

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:48:51 )

560117

รายละเอียด

560117_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อท่าน เรื่อง ตอบ sms ผู้หลงนิรัตตา

 

17/1/2556 18:05:17 พ่อท่านเปิดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ.......ขอบคุณท่านผู้ที่ส่งประเด็น ก็ไม่ได้เอามาอ่านนัก เพราะบางคนก็ใช้เป็นเวทีคุยกัน โต้กันบ้าง บางทีก็วนเวียนซ้ำซาก ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ ความเห็นบางอย่างวน วันนี้จะเอา sms บางอันมาอธิบายขยายความ ผู้ที่ส่งมาถ้าพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์ก็จะนำมาอธิบาย

 

17/1/2556 18:09:49 วันนี้ มีประเด็นหลายๆประเด็นที่จะนำมาขยาย โดยเฉพาะคุณ 4424 ซึ่งเป็นความเห็นที่วนซ้ำซาก ก็จะนำมาอธิบาย แต่จะอธิบาย ประเด็นอื่นๆก่อนจะไปถึง คุณ 4424 ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกตนข่มท่าน ไม่ได้ยึดว่าของตนถูกคนอื่นผิด ก็จะแสดงออก จะบอกว่ายึด ก็ยึดอย่างสมาทาน ยึดอย่างสมณะ คือผู้สงบ

 

17/1/2556 18:12:58 เมื่อวานนี้รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) ได้นำเรื่องของ มิสป่าตอง มานำเสนอ ได้อย่างชัดเจนเยี่ยมยอด เขาอายุตั้ง 72 ปีแล้ว หาดป่าตองมีชีวิตชีวาเพราะคนนี้ เขาอยู่ในภพของเขา

 

17/1/2556 18:14:17 ประเด็นของ 7081 ดูชีวิตของมิสป่าตองมีความสุขดีกับสิ่งที่เขาเชื่อ

17/1/2556 18:14:44 ของคุณ 8845 น่าสงสารชีวิตมิสป่าตองอยู่ในโลกฝันลืมตา!ชีวิตติดวิบาก!

17/1/2556 18:17:02 อีกอันมิสจิตใจดี แต่ขาดปัญญา คนมีปัญญาโลก แต่จิตชั่วมีมากในสังคม

17/1/2556 18:17:08 มิสจิตใจดีแต่ขาดปัญญาคนมีปัญญาโลกแต่จิตชั่วมีมากในสังคม:-)

                              คนบ้าอย่างมิสไม่เป็นพิษกับแผ่นดินแต่คนบางคนหนักแผ่นดิน?

คนนี้ก็มักจะให้มีสัมผัสแรงๆอยู่บ้าง ก็เพลาๆลง

17/1/2556 18:18:08 อีกอัน มิสไม่มีบารมีเก่าจึงเป็นอย่างนี้

17/1/2556 18:18:11 มิสนี่ช่างเหมือนใครบางคนน้า ที่หลงว่าตนสวยเริ่ดซะไม่มี

 

17/1/2556 18:18:44 คนที่จะหลงภพ เป็นอัตภาพของตนเอง นี่ล่ะเรียกว่า อัตตา อย่างคุณ 4424 จะแย้งเรื่องอัตตา เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง

 

17/1/2556 18:19:18 การหลงว่าตนสวยนี่เขายึดว่าจริงของเขา อยู่ในภพว่าจริง เขายกให้ คนเขาก็เอ็นดู ยึดอย่างหลงซื่อสนิท แล้วแกก็มีความสุขในสิ่งที่เขายึดนั้น แกจริงจังใครไปว่าแก แกชี้หน้าอย่างแรงเลย ว่าฉันไม่ชอบ คนก็ไม่กล้าตอแย แกเป็นคนจริงจัง

แต่ซื่ออย่างน่าสงสารเป็นวิบากที่มาตกภพ แล้วก็ใช้วิบากไป จริงๆ แกทำวิบากน้อย เพราะแกก็ทำมาหากินไป มีคนสงสารให้แก เพื่อให้แกมีชีวิตอยู่ได้ คนที่ยึดว่าอะไรเป็นสุข นี่คือสุขเท็จ ใครก็เห็นว่านี่คือสุขเท็จ ถ้าใครเห็นว่าอันนี้ดีเข้าท่ามันก็ไม่เข้ากับสมมุติในโลกนี้

 

17/1/2556 18:22:27 จริงๆแล้ว บอกได้อย่างหนึ่งว่า มิสคนนี้ แกมารับวิบาก เฉพาะส่วนของปางนี้ที่ชีวิตแกจะมี เป็นวิบากแท้ๆ ยากที่จะอธิบาย เป็นอจินไตย หลายอย่างดี เช่นซื่อ จริงใจ ไม่หลอก คนเข้าใจง่าย แกไม่เป็นพิษเป็นภัย เพราะแกไม่ศึกษาจึงอวิชชา ก็ปรุงแต่งสวยงามตามภพ ตามที่เห็นว่าดี  คนอย่างนี้อยู่กับโลกไม่เป็นภัย ใครก็ไม่ตั้งเป้าเป็นศัตรู จะมีคนอย่างนี้อยู่มากในโลก

 

17/1/2556 18:25:44 บางคนที่คนค้นคนเอามาออก มีผู้ชายไม่ใส่เสื้อ รับใช้สังคมอยู่ในตลาด ให้เงินแกก็ไม่เอา แกเข้าบ้านไหนเขาให้กินข้าวหมด แกรับใช้ทุกคนในหมู่บ้าน แกไม่ไปทำทุจริต เข้าบ้านไหนเขาหาให้กินหมด แต่แกไม่เอาเงิน ให้บ้างนิดๆหน่อย สำหรับใช้สอย มีคนอย่างนี้ เขามาสร้างบารมี คนนี้ไม่มีลักษณะหลงว่าจริงตามสังคมหลอก ไม่เหมือนกับมิสป่าตองที่หลงว่าจริงตามเขาหลอก คนในโลกนี้ เป็นเช่นมิสป่าตองส่วนมาก คือไปหลงว่าสุขมันจริง แต่เรามายืนยันว่าสุขเท็จ คนในโลกนี้หลงโลก

 

17/1/2556 18:26:57 ที่คุณ ...บอกว่ามิสนี้ช่างเหมือนใครน้าที่หลงว่าตนสวยเริ่ด...เดาว่าเขาหมายถึงเบอร์หนึ่งของไทยนี่แหละที่หลงว่าสวยเริ่ด คนไม่กล้าติ เพราะแกจะซัดเอา

 

17/1/2556 18:28:19 คนหลงสวยทุกขุมขนที่เขาหลอก คือผู้ติดภพติดชาติเช่นมิสป่าตอง ติดสวยคือติดภพติดสุข เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง (คัมภีรา) เพราะเห็นได้ยาก (ทุททสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก (ทุรนุโพธา) สงบพิเศษ (สันตา) ละเอียดลุ่มลึก (ปณีตา) ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตรรกศาสตร์ (อตักกาวจรา) ต้องมีฝีมือเข้าขั้นภูมินิพพาน (นิปุณา) รู้ยิ่งเห็นจริงได้เฉพาะบัณฑิตจริงที่ทั้งรู้ทั้งถึงความจริงนั้นเท่านั้น (ปัณฑิตเวทนียา)

 

17/1/2556 18:30:31 พระพุทธเจ้าไม่ตรัสให้ไปอยู่ในสองส่วนทั้งกามและอัตตา ที่เขาถามว่าทุกข์มีอยู่หรือเปล่า พระพุทธเจ้าว่าทุกข์มีจะบอกว่าทุกข์ไม่มีนั้นหาไม่ได้ ซึ่งจะไปขยายความไปถึง อุทเฉททิฏฐิและสัสตะทิฏฐิ

 

17/1/2556 18:32:17 ลาภ-ยศ-สรรเสิรญ-กาม ก็เป็นภพ อัตตาที่เป็นกามนั้นเราถือว่ากามเป็นภพหยาบ แต่อัตตานั้นเรารวมทั้งหมด คืออยากอย่างแสวงหาภพชาติ กามคืออัตตาหยาบ (โอฬาริกอัตตา) มโนมยอัตตาก็เป็นกามหยาบส่วนหนึ่ง คือสิ่งที่สมมุติว่ามี เหมือนมิสป่าตอง คือแกไม่สวยเลย แต่ไปแต่งตัวอย่างนั้น แล้วคิดว่าสวย ก็ไม่ได้มีจิตลบหลู่ใคร เอามาอธิบายธรรมะเพื่อให้ได้ประโยชน์ ไม่ได้เกลียดชัง โกรธแค้น แต่สงสารด้วย ที่เขายึดอย่างนั้น ยึดอย่างนานาสังวาส เข้าใจคนละทางก็ไม่มีปัญหา อย่างคุณ 4424 ก็แสดงอย่างไม่อุโกตะนา คือไม่ให้ถึงขั้นฟ้องร้อง หรือทำร้ายทำลายกัน แรงจนเกิดเรื่อง  แต่จะปฏิโกสะนา คือท้วงกันได้ไม่ให้ถึงขั้นอธิกรณ์ เป็นคดีความ ฟ้องร้องกัน หรือจนเกิดมีเรื่องทำร้ายทำลายกัน ส่วนทิฏฐาวิกรรมคือแสดงความเห็นแย้งกันได้ในหมู่กลุ่ม ทักท้วงกันจะแรงหรือไม่ก็ประมาณกันเอง

 

17/1/2556 18:36:52 เรื่องที่เอามิสป่าตอง มายืนยันว่าคนในโลกอวิชชา หลงว่าต้องมีสุขเพราะได้โลกธรรม ได้กาม ได้อัตตา ย้ำว่าอัตตา กาม มีจริง และก็คือเหตุแห่งทุกข์ด้วย จึงต้องศึกษา และสำรอก

ที่มันเห็นเช่นนั้นเพราะอวิชชา จึงต้องปฏิบัติให้ดับอวิชชาจนพ้นเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงเป็นคนพ้นอวิชชาสังโยชน์ เพราะสำรอกอวิชชาโดยไม่เหลือแล้ว จะสำรอกต้องรู้ว่าอวิชชามี ทุกข์ มี แต่ถ้าเข้าใจว่า ตัวตนไม่มี ไม่ใช่ตัวตน เป็น นิรัตตา อัตตาไม่ใช่ตัวตน

 

17/1/2556 18:39:30 จริงอัตตามี อย่างมิสป่าตองไปยึดของไม่จริงว่าเป็นจริง จึงมีอัตตาขึ้นมา เป็นสุขทุกข์อยู่ อย่างโสดาบัน เรียนรู้เลิกความสุขทุกข์ในโลกอบายได้ เห็นจิตของตนมีอวิชชาไปยึด แล้วแสวงหามาครอบครอง ยึดเป็นตนเป็นของตนอยู่ตลอดกาล นี่แหละคือมิสป่าตอง...ยกมือขึ้นใครเคยเป็นมิสป่าตอง...

 

มิสป่าตองหลงว่าตนสวย อย่างยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจริง แล้วก็สุขทุกข์เพราะได้หรือไม่ได้ คนจะอ่านสุขทุกข์ออกให้เป็นมโนปวิจารณ์ 18 คือสัมผัสทางทวาร 6 แล้วก็เกิดเป็นภพชาติ เป็นอัตตา ชาติคือตัวตนของสิ่งที่ไม่จริง ผู้สมบูรณ์ด้วยปรมัตถสัจจะ จะรู้ว่าทุกข์ก็มี อัตตาก็มี อะไรๆก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าว่าธรรมนิยามก็มีอยู่ในโลกนี้ พระพุทธเจ้ามาศึกษา แล้วสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี นโหติ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสกับอเจลกะว่า

ก. ความทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม ฯ

ภ. ความทุกข์ไม่มีหามิได้ ความทุกข์มีอยู่ กัสสป ฯ

ก. ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ไม่เห็นความทุกข์ ฯ

ภ. เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นความทุกข์หามิได้ เรารู้เห็นความทุกข์อยู่ กัสสป ฯ

 

17/1/2556 18:45:34 พระพุทธเจ้าตั้งมาตรฐานว่า อย่างน้อยต้องปิดอบาย คือมีศีล 5 จริงๆแล้วอบายที่ต่ำกว่าอบายมีอยู่ คือ อบายมุข เราอ่านตนเองถ้าเราไม่หยาบจนไปติดอบาย โกงกัน เป็นล้านขึ้นไปบาปแล้วอบายมุขแล้ว คนหลงสวยอย่างมิสป่าตองหรืออย่างใครน้า...หรือดาราที่หลงกันมาก ที่แก่กว่ามิสป่าตองก็ยังเช้งวับก็มี ขออภัยที่ว่ากระทบคนที่เป็น ก็ว่าโดยสัจจะธรรมะ ถ้าไปกระทบคนให้โกรธก็ขออภัย...

 

17/1/2556 18:48:24 คนอวิชชาจะไม่รู้ ตั้งแต่การสังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ ....ก็จะมีอย่างไม่รู้ ถ้าเรามีการกำหนดรู้ว่า อาการอย่างนี้มันทุกข์ จะใช้สัญญาในการกำหนดรู้ จะรู้ว่าอาการอย่างนี้คือตัณหา แล้วจะเรียนรู้ นามรูปอีกมาก อ่านตัวตนออก ตัวตนอย่างหยาบเรียกว่า สักกายะ ...มีหยาบ กลาง ละเอียด ให้เรียนรู้ แล้วเราจะปหานมันด้วย อนุปัสสี 4

 

17/1/2556 18:51:25 ผู้เนกขัมมะเป็นคือผู้มีโยนิโสมนสิการ เป็นผู้กำจัดตัวตนตั้งแต่สักกายะ ...อัตตาต่างๆ จนตัวปลายเรียกว่าอาสวะ.....สรุปที่ขยายความเรื่องมิสป่าตอง คนทั้งหลายที่อวิชชาก็จะเหมือนมิสป่าตอง ไม่รู้ว้าตนยึด แม้แต่ยึดความรู้ก็อวิชชา ก็ขอยกตัวอย่างคุณ 4424 ยกมาอย่างไม่ได้ถือสา คุณจะว่ามาได้เต็มที่ คุณเข้าใจและยึดถือต่าง นั่นแหละคืออัตตาอยู่ คุณก็ต้องเห็นว่าคุณยึดอย่างคุณถูก เป็นนานาสังวาสอย่างแท้จริง

 

17/1/2556 18:53:42 ดูมิสป่าตองหลงโลกแล้วก็ให้รู้สึกว่าเหมือนสมณะอโศกเด๊ะ ที่หลงทางธรรม

17/1/2556 18:54:04 มิสไม่ยอมแก่บอกเพิ่งอาย 18 โพธิรักษ์ก็ไม่ยอมตาย บอกจะอยู่ให้ถึง 151

ตอบ....แต่ก่อนพ่อท่านว่าไม่แก่ ร่างกายกำลังปรับแต่มันมีเหี่ยว ก็อาจจะปรับได้ แต่ที่ยืนยันได้คือสมอง ตรวจทางวิทยาศาสตร์ 10 ปีก่อน สมองเหมือน คน 40 หัวใจเหมือนอายุ 35 วันนี้ก็ไปตรวจปอด หมอที่ตรวจบอกยืนยันเลยว่า ปอดเหมือนคนอายุ 30 ปี ที่พูดไม่ได้หมายถึงพ่อท่านหลง ก็ไม่เสียดายที่จะต้องตายวันนี้พรุ่งนี้ ไม่ได้เสียใจ เพราะเข้าใจในวัฏสงสาร จะยอมเกิดอีกหรือไม่ทำได้หรือไม่ก็เป็นความจริงของพ่อท่าน

 

17/1/2556 18:56:35 ที่เขายกให้มิสว่าเป็นนางงาม ก็เหมือนที่เขายกให้โพธิรักษ์ ว่าเป็นอรหันต์...

17/1/2556 18:57:04 ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่สามารถสอนเทวฑัตไม่ได้ จึงsms มาโดยไม่หวังว่าจะสอนโพธิรักษ์ได้...ตอบ...ขออภัยเช่นเดียวกัน พ่อท่านก็ไม่หวังจะสอนคุณ แต่ที่เอามาอธิบาย ก็เพื่อสอนคนอื่น อย่างที่เขาไม่เอาขึ้นออกให้ แต่พ่อท่านก็ยังนำประเด็นของคุณ 4424 มาออกในขณะนี้

 

17/1/2556 18:58:27 ถ้าหากเป็นผู้มีบารมีมาบวชจริงอย่างช้าต้องบรรลุใน 7 ปี แต่นี่บวชมา 40 ปี ยังหาเลศเล่ห์มาหลอกบริวาร เอาเข็มทองมาหลอกบริวาร กลัวตนตีจากหายศมาล่อตั้งแต่โสดาฯยันอรหันต์...ตอบ

พ่อท่านเอาทองคำมาเพื่อให้สำหรับผู้ที่ยังยึดถือมาปฏิบัติ อนาคตก็จะเข้าใจว่าทำไมต้องเอาทองคำ ไม่เอาทองชุบ คนที่หลงจริงก็จะหลงจริง คนไม่หลงก็จะไม่หลงจริง เป็นการวัดค่าวิญญาณพวกเราด้วย เขาจะเข้าใจซ้อนว่า พ่อท่านไม่ได้ร่ำรวย คนจะรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้เขาอยากได้ เขามาพิสูจน์ว่าเขาสอบได้ ได้แล้วมาพิสูจน์อีก เขาก็จะอ่านว่าเขาอยากได้ติดทองคำหรือไม่....คุณ 4424 จะเข้าใจอาจเป็นได้

 

17/1/2556 19:00:29 รู้สึกสงสารมิสป่าตองแต่สมเพศชีวิตสมระที่เอาชีวิตของเธอมาล้อเล่นแต่แสร้งทำว่าเชิงวิชาการ..ตอบ..พ่อท่านก็พูดเชิงวิชาการไม่ได้ล้อเล่น แต่คนที่เห็นวิชาการว่าเป็นเรื่องล้อเล่นก็เข้าใจ ลักษณะของสีทนนไชย เป็นลักษณะวาทะกรรม ก็หาหมู่พวกบริวารไป

 

17/1/2556 19:04:34  มิสป่าตองมีสุขกว่าสมณะ แต่สมณะชอบดูคนอื่น...ตอบ.มิสป่าตองนั้นดูตัวเองไม่เป็น ไม่ได้ดูตัวเอง หลงตัวเอง ใครว่ามิสป่าตองดูตัวเอง คนนั้นไม่ฉลาด เพราะมิสแกอวิชชาจริง แกยึดอย่างจริงใจ แค่นี้ก็ดูไม่ออกแล้วมาตู่เรา เราดูคนอื่นเป็นการศึกษา เพื่อดูตัวตนอัตตาของเราเอง เพราะเราเชื่อว่าเรายังมีอัตตา

 

17/1/2556 19:06:06 คุณ 4424 ทุกตัณหามีทางออก แต่ทุกทางออกของสมณะอโศกล้วนมีแต่ตัณหา.....ตอบ...นี่คือคำพูดที่คือเป็นลักษณะตัวริษยา..ไปอ่านดีๆ

 

17/1/2556 19:06:48 คุณ 4424แกนนำแดงเขายกย่องแม้วอย่างไร เขาก็ยกย่องโพธิรักษ์เช่นนั้น.....ตอบ...คนเขายกย่องแม้วเพราะแม้วมีลาภยศสรรเสริญมาล่อ  แต่พ่อท่านตรงกันข้ามกับแม้วเลย ไม่ได้เอาโลกธรรมมาล่อ คนละทิศเลย คุณ 4424 ดูให้ชัด

 

17/1/2556 19:08:12 คุณ 4424 ให้ประเด็นนี้คือ... 1.ถ้ามีตัวตนเป็นความจริงแล้วไซร้ ฉะนั้น การพ้นทุกข์ย่อมไม่มีได้จริง

 2. ถ้าไม่มีตัวตนเป็นความจริงแล้วไซร้ ฉะนั้นถึงแม้ทุกข์จะมีอยู่จริง ก็ไม่มีใครได้รับทุกข์อันนั้น....ดังนั้นจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไปปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์อีกเล่า.....

 

ตอบ...เหมือนฝรั่งที่เมามาถามพ่อท่านเมื่อสมัยก่อน ....พ่อท่านว่าให้ไปล้างบุหรี่ เหล้าก่อน....เขาก็พูดเลยว่า ในเมื่อตัวตนไม่มีจะเอาอะไรมาปฏิบัติ....เหมือนที่เขาเขียนมาเลยว่า

 

 

17/1/2556 19:14:37 ขอบคุณนะคุณ 4424 ซึ่งคนเข้าใจแบบคุณมีเยอะ แบบนี้มันเป็นแต่ตรรกะอยู่...ที่คุณบอกว่า "มีตัวตนมีอยู่จริง การพ้นทุกข์ย่อมไม่มีได้" เขาก็ตีเลยว่าคุณไปคิดหมายว่าใครเห็นคิดว่าตัวตนมี เพราะคุณ 4424 เล่นคารมว่า ใช่-มี-เป็น อันเดียวกัน แต่คุณนี่หลงคารมตนเอง เลยเล่นคารมว่า ทั้งมิใช่ตัวตน และคำว่า มิใช่ไม่มีตัวตน

 

17/1/2556 19:18:08 คุณ4424 อยู่ในอุทเฉททิฏฐิ เพราะคุณไม่มีทั้งสองอย่างเลย คือทั้งไม่มีตัวตน และ....คุณก็เลยไม่มีซักอย่างเลยคืออุทเฉททิฏฐิ คือเป็นการยึดอย่างพระพุทธเจ้าว่า เป็น นิรัตตา

 

17/1/2556 19:20:31 คุณ4424ว่าถ้าไม่มีตัวตนเป็นความจริงแล้วไซร้ ฉะนั้นถึงแม้ทุกข์จะมีอยู่จริง ก็ไม่มีใครได้รับทุกข์อันนั้น....ดังนั้นจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไปปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์อีกเล่า ...คุณคนนี้ไม่เข้าใจทุกข์ คุณคนนี้มีทุกข์อยู่แต่ไม่รู้ทุกข์ ถ้าคุณรวยอย่างเจ้าชายอนุรุธ ที่ติดขนม อยู่มาวันหนึ่งข้าราชบริภารบอกว่าขนมไม่มี เจ้าชายก็บอกว่า เอาขนมไม่มี นี่และมาให้กิน นี่และคือภพชนิดหนึ่งเป็นภพอัตวาทุปาทาน ก็เลยมีภพมีชีวิตอยู่กับชาติ ฟุ้งๆฝันๆ ถ้าคุณ 4424 รวยก็เอาไปซื้อบำเรอความอยากได้ แต่ถ้าฐานะไม่ดี ไม่ได้บำเรอก็ให้อ่านทุกข์ แม้ฐานะดีก็ตอนมีตัณหาแล้วเรียกร้องนั่นก็คือทุกข์แล้ว คนฐานะดีอย่างพระอนุรุธ จึงไม่เห็นทุกข์ เพราะได้บำเรอจึงสุข มีพักยกเป็นอทุกขมสุข แต่พักยกอย่างเคหะสิตะนั้นไม่พ้นทุกข์

 

17/1/2556 19:23:48 คุณ 4424 คุณศึกษาต้องมีญาณหยั่งรู้ มีญาณรู้ เคหสิตะ และ เนกขัมมสิตะ เวทนา คือต้องแยกระหว่างปุถุชนกับอาริยชน เพราะคุณตัดตัวตนโดยที่คุณยังไม่รู้จักตัวตน พระพุทธเจ้าให้ศึกษาโอฬาริกอัตตาก่อน คือความหยาบ แล้วเรียนรู้มโนมยอัตตาซึ่งก็มีหยาบและกลางละเอียด อย่างมิสป่าตอง เขาหลงสวยก็เป็นมโนมยอัตตา มิสแกไม่ล้างหรอกเพราะไม่รู้ว่าติดหลง อย่างอเจลกัสสปะ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เรารู้เห็นทุกข์ ทุกข์นั้นมีอยู่ เห็นอยู่รู้อยู่ แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสด้วยสมมติสัจจะให้ศึกษา พระพุทธเจ้าท่านพ้นทุกข์แล้ว

 

17/1/2556 19:26:49 คุณ4424ก็ว่าพ่อท่านงมโข่งอยู่เลย บวชมา 40 ปี ...พ่อท่านว่าไม่ได้ปฏิบัติถึง 6 ปีอย่างพระพุทธเจ้า พ่อท่านไม่ได้ปฏิบัติถึง 6 ปี ก็บรรลุแล้ว พ่อท่านจากนายรักมาบวชมีคนว่าบ้าหรือ เพราะอะไรจึงทิ้งลาภยศสรรเสริญ ...พ่อท่านตอบเขาว่า เพราะบรรลุธรรม...ขอให้คุณอายุยาวไปถึง ตอนพ่อท่านอายุ 151 ปี ศ.หงเจากวางว่าคนอายุได้ถึง 175 ปี...พ่อท่านอยู่อย่างไม่ได้หาบริวาร อย่างที่คุณว่าพ่อท่านหาบริวาร

 

17/1/2556 19:29:21 พวกอัตวาทุปาทานคือผู้ยึดอัตตาได้แต่วาทะไม่ได้สภาวะ คนนี้จึงได้นิรัตตา โดยเห็นอัตตาเป็นนิรัตตา เป็นมิจฉาทิฏฐิ การหมดอัตตาต้องรู้อัตตาตัวแรกเลย แล้วตามเห็นตามลดละอัตตา ตั้งแต่สักกายะ คือ proper noun ส่วนอัตตาคือ สักกายะคือจับตัวได้เลย มีนามรูปปริเฉทญาณ รู้ตัวตนที่จะลดละทำลาย คนที่เอาแต่คิดไม่ปฏิบัติได้แต่ปัญญาเฉโก อย่างสายมหายาน เอาแต่คิดอย่างที่คุณว่า ไม่มีตัวตนแล้วจะเอาอะไรไปปฏิบัติ แล้วจำเป็นหรือที่จะให้ใครมาปฏิบัติอีก คนเหล่านี้จะไม่ค่อยปฏิบัติ สรุปแล้ว 4424 เป็น อัตวาทุปาทาน ที่ได้ นิรัตตา. ขอบคุณคุณ 4424 ก็ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ถ้าละลาบละล้วงก็ขออภัย

 

17/1/2556 19:34:34 ต่อไปเป็นการตอบประเด็น.....

 

17/1/2556 19:35:39 พ่อท่านจะพิสูจน์สัจจธรรม อิทธิบาทโดยใช้ 8 อ. ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะ 40 ปีที่ผ่านมาได้กำไรได้เปิดเผยสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ตายตาหลับ ตั้งใจจะยิ้มสวยๆก่อนตาย

 

17/1/2556 19:38:57 พ่อท่านไม่ได้ทำเพื่อให้ได้โลกธรรม ทำงานการเมืองตามสัปปุริสสธรรม และมหาปเทส 4 สิ่งใดพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ได้อนุญาตก็ใช้สัปปุริสธรรมทำตามสิ่งที่ควร ที่ผ่านมาก็ได้ประโยชน์ตามควร ประเทศจะเป็นอย่างไรก็เห็นด้วย ยังวนอยู่ ยื้อกันอยู่ เคยพูดแล้วว่าไทยเรา มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข แต่มีคนกำลังจะโค่นให้เป็นแบบไม่มีพระมหากษัตริย์ แต่เขาก็โกหกว่ายังจงรักภักดี แต่พฤติกรรมมันส่อ สรุปว่าไทยเรามีสองอย่างคือ 1 ประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับ 2 ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.....ถามใจว่าคุณจะเอาอย่างนั้นจริงหรือ..ถ้าไม่คุณก็หยุดซะ หรือไม่คุณก็ไปหาความจริงให้ได้ว่า เขาหลอกคุณว่ายังจงรักภักดีอยู่หรือไม่ อย่างที่เขากำลังใช้ประชานิยมอยู่นี่ พยายามเอาเงินของรัฐมาหลอก และยังคอรัปชั่นมากมาย หาความจริงให้ได้จะรู้ว่าไทยเราเหลวแหลกเพราะคนเหล่านี้ ประชาชนต้องรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น.....ก็เห็นพระทัยในหลวงมาก ท่านบำเพ็ญเป็นเตมีย์ใบ้กับมหาชนก

คำตอบคือ พักความเห็นแย้งมาร่วมกันทำงานเพื่อกอบกู้สิ่งนี้ให้ได้ พักไว้ก่อนในความขัดแย้งซึ่งทิฏฐิย่อมแตกต่างมีแน่ มารวมกันแล้วให้เลือกว่าจะเอาแบบไหน

 

17/1/2556 19:44:58 ที่นางเลิ้่งมีอาหารมังฯหรือเปล่า......ตอบ มีอาหารมังฯแน่... 40 ที่ (มีคอนเสิร์ทที่สนามม้านางเลิ้งในวันที่ 19 ม.ค. 56 ส่วนวันที่ 20 ม.ค. มีงานเลี้ยงที่สนามม้าฯ)

 

17/1/2556 19:46:30 การที่บอกว่านายกฯหญิงของไทยว่าเป็นคนสึ่งตึงนั้นบาปหรือไม่....ตอบ.สึ่งตึงคือคนไม่เต็ม...เราก็มีปัญญาเท่าที่เราโง่ ถ้าสึ่งตึงแปลว่าโง่ ไม่เต็ม

 

17/1/2556 19:47:28 เคยได้ยินว่าผู้ทำอนันตริยกรรมสร้างบุญต่อได้ แล้วผู้ปาราชิกสร้างบุญได้หรือไม่...ตอบ ได้ ปาราชิกนั้นก็เป็นอนันตริยกรรม คือชาตินี้ทั้งชาติตัดนิพพาน และภาคปฏิบัติคนก็อย่าไปส่งเสริมธรรมะ เพราะโทษหนักกว่าพรหมฑัณฑ์ (คือการไม่สอนแต่ไม่ได้ไล่ออกจากหมู่) แต่ปาราชิกคือไล่ออกจากหมู่ไม่ส่งเสริมธรรมะตัดประตูเหมือนตาลยอดด้วย ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้ว  ถามว่าบรรลุธรรมได้...ตอบว่าได้ อย่างเทวฑัตก็เป็นปัจเจกพุทธ ไม่ได้สร้างศาสนา

 

17/1/2556 19:49:54 มีคนมีลูกหลายคน ลูกคนเล็กตายก็คร่ำครวญ...ไม่ดูแลลูกคนอื่น....พอมีคนเตือนเขาก็ได้สติ...เช่นเดียวกับนางปฎาจารา...จะใช้กรณีนี้กับคนเช่นมิสป่าตองได้อย่างไร.........ตอบ...คนที่จมจริงๆแล้วเช่น.คนที่เป็นอเวไนยสัตว์คือยึดมั่นถือมั่นจนสอนไม่ได้ อย่างมิสแกก็คงสอนยาก หรือคนที่มุ่งโลกธรรมอย่างต้องเอาให้ได้ คงเป็นคนที่สอนไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป ส่วนคนที่ได้ก็ค่อยๆว่ากัน พระพุทธเจ้าว่าคนที่หมดภูมิที่จะรับฟังอันอื่นแล้ว เช่นปทปรมะบุคคลคือคนที่ทรงจำพุทธพจน์ก็มาก สอนคนก็มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้น เขาก็ปทปรมะทั้งชาติเลย (ทั้งชาติที่เป็นร่างกายตาย) ถ้าเข้าใจว่าชาติคือการเกิด-ตายของกิเลส คือชาติในปฏิจจสมุปบาท ต้องเรียนรู้ให้ได้ ถ้าดับชาติตัวนี้ไม่ได้ตั้งแต่เป็นๆ คุณก็เป็นปทปรมะบุคคล อาจหลงว่าเรารู้ขนาดนี้ไม่บรรลุธรรมได้อย่างไร

 

17/1/2556 19:55:04 ความรู้ทางโลกนั้นถ้าไม่มีธรรมะคุณก็เท่ากับยื่้นศาสตราแก่ผู้ไม่มีธรรมะคือผู้มีโลภโกรธหลง ซึ่งความโลภก็ผยองกับศาสตร์ที่มี เหมือนจอมยุทธ ผลิตอาวุธได้สารพัดเลย เก่งแต่ไม่มีธรรม ก็ปราบกันพังหมด ในหนังจึงให้จอมยุทธสุดท้ายคือผู้ใช้มือเปล่า ใช้นามธรรม นี่คือการคิด แต่ก็เป็นจริงด้วย อย่างพ่อท่านไม่มีอาวุธอื่น แต่มีธรรมะเป็นอาวุธ เราจึงไม่เอาโลกธรรม ไม่เอากาม ไม่เอาอัตตา

 

17/1/2556 19:58:04 ในวิโมกข์ 8 คำว่าอากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี คือ..ตอบ...แล้วเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่คือ....ตอบ คนจะมีสิทธิ์อยู่ในภพอรูปฌาณ ต้องผ่าน รูปฌาณก่อน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านไปสอนอรูปฌาณก่อนปฏิบัติ รูปฌาน และไปสอนกันอย่างฤาษี ที่เป็นการสร้างภพในจิต คุณทำภพอากาศได้แล้ว คุณยังไม่รู้ตัว เมื่อคุณรู้ตัวของคุณว่าเป็นใครและกำลังเสวยภพอากาศอยูู่นี่คือฌาณฤาษี ทีนี้อากิญจัญญายตะที่เข้าใจผิดๆคือ เขาแปลว่าดับไม่ให้มีธาตุรู้อย่างอาฬารดาบสนั่งดับปี๋เลย แสงสว่างไม่มี วิญญาณไม่มี แต่ดับได้อย่างไม่สูญเพราะยังมีธาตุรู้เป็นวิญญาณฐีติ จึงจัดอยู่ใน เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ยิ่งไปดับทั้งเวทนาและสัญญา โดยไม่รู้จักสัญญาเวทนาคืออะไร ไม่กำหนดรู้ ดับไม่ให้มีอะไรเลยนิดหนึ่งน้อยหนึ่งจึงเป็นลักษณะของสัตว์ในวิญญาณฐีติ จัดเนวสัญญานาสัญญายตนภพเป็นสัตว์สุดท้าย เพราะเขาไม่สามารถมีปัญญาที่จะรู้ว่าจริงๆมันมี มันมีธาตุรู้อยู่แต่คุณไปดับมันไม่ให้รู

            ที่นี้อุทเฉททิฏฐิกดาบสนั้น รู้ว่ามันยังมีก็ยังตื่นมารู้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พอเขารู้มาแวบ เขาก็พยายามดับมันอีกไม่ให้มันรับรู้อะไรอีก ก็จะรู้บ้างไม่รู้บ้าง เขาได้สูงสุดได้แค่นี้

            พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ ไม่ใช่ดับไปทุกอย่าง อากาสาฯของพุทธนั้นปฏิบัติลืมตา นิพพานนั้นปฏิบัติลืมตา จักขุมาปรินิพพุโพติ ถ้าถึงอรูปฌาณ มีฐานอุเบกขา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา จึงเรียกว่าโลกนิโรธ เพราะดับสมุทัยได้ ถ้าทำได้ยั่งยืนถาวรคือนิพพาน ก่อนจะนิพพานต้องปฏิบัติทำซ้ำ อาเสวนาภวนาพหุลีกัมมัง และตรวจสอบความเหลือในอรูปฌาน 4 ตรวจความว่างเมื่อไหร่? คือเมื่อมีผัสสะ ตอนนี้ดับรูปภพแล้วกำลังจะดับอรูปภพ ตรวจความว่าง ตรวจวิญญาณที่สะอาดไม่มีกิดเลส แล้วอากิญจัญญาฯ คือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งไม่ให้มี คือตรวจเศษที่เป็นธุลีละอองก็ไม่ให้เหลือ อโสกัง วิระชัง เขมัง แล้วอย่างผุทธัสสะโลกะธัมมเมหิ จิตตังยัสสะ น กัมปติ อยู่กับโลกธรรม แต่เราดับหมด ไม่มีเหลือเศษ

            หลุดพ้นจริง ตรวจให้พ้นเนวสัญญาฯ ต้องรู้ให้ครบหมด รู้อากาสาฯ อากิญจัญญาฯ ก็ไม่เหลือจริงๆ เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ คือเคล้าเคลียอารมณ์ ทำให้เป็นศูนย์ สั่งสมในอดีตจนอนาคตมั่นใจว่า ศูนย์แน่ๆ  ล่วงพ้นเนวสัญญาฯ คือรู้จนไม่มีอะไรจะไม่รู้ คือสิ้นอวิชชาสังโยชน์ เข้าสู่นิโรธสุดท้ายที่เคล้าเคลียเวทนาครบ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ สมบูรณ์ด้วยสามหมวดสุดท้ายของเจโตปริยญาณ 16...

             17/1/2556 20:12:38 เรารู้ทั้งแบบฤาษีและแบบพุทธ .....มั่นใจว่าคนปฏิบัติแบบนั่งหลับตาเขาก็อธิบายสภาวะไม่ออก เป็นสภาวะระดับปรมัตถธรรม ถ้าไม่เข้าใจจริงก็จะไม่รู้.....

 

17/1/2556 20:13:39 สมณะที่พูดปดผิดศีล 5 ข้อ 2 ..ตอบ .ถ้าราคาเกิน 5 มาสก ถือว่าปาราชิก สมัยนี้ 5 มาสกก็ประมาณ 1-2 พันบาท ถ้าโกหก ตัวเองโกหกว่าไม่ได้ขโมย เรื่องนี้ละเอียด ถ้าศึกษาแล้วพระในไทยเราปาราชิกเรื่องเงินมหาศาล...17/1/2556 20:15:23 จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:52:10 )

560118

รายละเอียด

18/1/2556 18:06:07 รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อท่าน และส.เดินดิน....เรื่อง

 

18/1/2556 18:06:35 ส.เดินดิน เปิดรายการที่ห้องกันเกรา...สันติฯ....ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายการที่นำเอา มิสป่าตองมาฉาย แล้วพ่อครูก็นำมาขยายผลต่อ มีผู้ sms มามากมาย ก็อาจให้มิสป่าตองเป็นมิสปฏิจจสมุปบาทได้ ...คือคุณยายสูงวัยอายุ 80 กว่า มีคนกำหนดหมายว่ายายสวย ยายก็เลยปรุงแต่งสังขารตามไปด้วย ถ้าไล่ไปตามลำดับเราจะเห็นวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพ่อครูก็ได้วิเคราะห์ว่า ถ้ามีใครมาว่าคุณยาย จะโกรธ จะให้เรียกว่า มิสป่าตอง อย่างเดียว คุณยายจะว่าฉันไม่ใช่มิส ฉันเป็นมิสป่าตอง ซึ่งแกยึดภพ ภพนั้นเหมือนอุจจาระ พอภพแตกก็เหมือนอุจจาระแตก คิดดูว่าถ้าเราตั้งภพไว้ แล้วไม่ได้ตามภพ ก็จะทำหน้าเหมือนระดมส้วมมา

            ตัวอย่างเช่นมิสป่าตองเป็นตัวอย่างของคนในโลกอวิชชา ที่เกิดมาก็ไม่ยึดว่าจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นสุข ก็ยึดเป็นภพชาติ ก็มีชรา มรณะ โศก...ตามมาอยู่ทุกขณะ และ ตัวอย่างของมิส ก็เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเรา มิสเขายึดในสิ่งที่คนอื่นเขาหลอก และมิสก็มีมโนมยอัตตาตามไปด้วย แต่ความจริงในโลกนี้มียิ่งกว่า ดับเบิ้ลมิสเลย เช่นคนที่ไปทำศัลยกรรม คนจีนไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี กลับมามีเรื่องกับตม.เลยเพราะหน้าตาต่างไป มิสแกบอกว่าสวยแต่คนอื่นบอกว่าไม่สวย แต่คนที่ทำหน้าสวยมาก็หลอกคนได้ด้วยว่าสวย นี่ยิ่งจะทุกข์กว่ามิสป่าตองเสียอีก นี่คืออวิชชาพาเขาเป็นไปตามสายปฏิจจสมุปบาท มีคนหนักหนาสาหัสกว่ามิสป่าตองอีก 

             พ่อครูก็สรุปว่า ไม่ว่ายึดอะไรก็เป็นอัตตา อย่างคุณ 4424 ก็พยายามแย้งว่าอัตตาก็มิใช่ตัวตน แต่มิสป่าตองเขายึดนั้นไม่ใช่แค่ภาษา แต่เป็นตัวตนจริงๆยึดไว้จริงๆ ดังนั้นตัวตนมีทั้งหยาบกลางละเอียด อย่าง 4424 ก็ยังไม่เข้าใจมี sms มาอีก

 

18/1/2556 18:14:39 พ่อครู...จะได้ต่อเนื่อง ก็ขอบคุณท่านที่ยังเป็นเหตุปัจจัยที่จะนำ sms มาวิเคราะห์วิจัยเพื่อการศึกษา จะได้อธิบายถึงปัจยการ หรืออิทัปปัจจยตา เพราะเหตุนี้จึงมีอย่างนี้ ต่อเนื่องไปไม่จบ การไม่ต่อเนื่้องคืออวิชชา เป็นความหมุนเวียนของวัฏสงสาร ดูเหมือนมันเกิดแล้วก็ดับ แต่ก็ยังต่อเนื่องไปอีกไม่มีจบสิ้น นี่คืออวิชชา

18/1/2556 18:16:36 ผู้ที่จบก็สรุปตามหลักฐานพระพุทธเจ้ามายืนยันว่า...ความคิดของคน มีสิ่งที่มี กับสิ่งที่ไม่มี ซึ่งต้องทำการศึกษาให้จบ สิ่งที่มีกับไม่มี ท่านจัดได้สองทิฏฐิ คือ 1.สัสตะทิฏฐิ (ต่อเนื่องไม่มีจบ) ส่วน 2.อุจเฉททิฏฐิ(คือความเห็นที่ขาดสูญ) คนที่เห็นขาดสูญตั้งแต่เป็นๆนั้นน่าสงสารที่สุด จะไม่กลัวเพราะตายแล้วไม่มีอะไร ไม่มีการต่อข้างหน้า เขาตายแล้วก็จบสูญไม่มีอะไร นี่คือความเป็นภัยอย่างมากของคนที่เข้าใจเช่นนี้ อุทเฉทฯนั้นมีข้อบ่งชี้ว่า ขณะที่เขาเป็นๆจะเข้าใจว่าอัตตาไม่มี อย่างคน 4424 ยึดภาษาว่า ไม่ใช่ ถ้ามีใช่ก็ไม่ได้ เขาคงลืมคิดว่า มีไม่ใช่ แล้วมีใช่ได้หรือไม่?  ทั้งคำว่า มี - ใช่ - คือ - เป็น - อยู่ นี่ก็คือคำที่เหมือนกัน   คนคิดเช่นนี้เขาก็อยู่ไปต่อสู้ดิ้นรนไป ถ้าเป็นคนดี สิ่งที่ไม่ดีจะไม่ทำ ทำแต่สิ่งที่ดี ก็ปล่อยเขา อยู่ได้ตายไปก็สูญ แต่คนอย่างนี้ปิดประตูนิพพาน เขาถือว่าสูญแล้วตายไปก็นิพพาน เหมือนเขาเข้าใจแล้ว เขาจะบอกว่าสูงส่งนะ คนที่เข้าใจว่าอัตตาไม่ใช่ตัวตน อุทเฉททิฏฐิในขณะเป็นๆ ใครจะอธิบายธรรมะอะไรก็จะมีปฏิภาณค้านแย้ง มีวาทะคารมโวหารมาค้านแย้งเป็นเครื่องอลังการในการพาความเห็นของตนให้ไปรอดอยู่ตลอดเวลา เขาเล่นภาษา เป็นพวกอัตตวาทุปาทาน รู้อัตตาแต่แค่วาทะ

 

18/1/2556 18:24:14 พอเรื่องมิสป่าตองนี้มา sms มาเยอะเลย ต้องคัดออกบ้าง มิสป่าตองเป็นเหตุทั้งนั้นเลย จะลองอ่าน sms เมื่อวานเลย

0838677xxx    มิสป่าตองรับใช้มนุษยชาติจำลองอนาคตชาวอโศก  พ่อท่านว่าดูก็รู้ว่ามิสป่าตองเป็นคนไม่เต็มเป็นคนบ๊องคนบ้า แล้วไม่มีพิษมีภัย ก็เลี้ยงไว้ แกก็อยู่ไปตามประสา แกไม่ได้ไปทำทุจริตอะไร ก็ฟังหมอดู 8677  เขาจำลองอนาคนอโศก ก็ดูไป

 

0867081xxx มีสป่าตองมีความสุขเพ้อฝันแต่บางคนเจอเรื่องทุกข์ผิดหวังจนถึงขั้นฆ่าตัวตายโถ!ชีวิต

0868293xxx    ที่เราเคารพพ่อท่านเพราะพ่อท่านสอนให้เรามีปัญญาค่ะ แถมให้ฟังว่าคนหลงความฉลาดแบบเฉกา คือฉลาดแกมโกง เอาเปรียบ ฉลาดโลภ เป็นคนไม่ดี แล้วเอาพยัญชนะคำว่าฉลาดไปใส่คำว่า เฉโก แล้วเข้าใจว่าฉลาดแบบแกมโกงไม่เอา คนเลยไม่เอาคำว่าเฉโกมาใช้เพราะไม่อยากถูกบอกว่าเป็นคนขึ้โกง คำว่าเฉโกเลยไม่มีใครใช้ ใช้แต่คำว่าฉลาด ซึ่งความจริงมีแต่ฉลาดเฉโกทั้งนั้น

0806550xxx    4424ไม่มีปัญญาเห็นความจริงมิจฉา พระอ๊อด เพชรบุรี

0815371xxx            คนผู้นี้แตบงไปเรื่อยเพื่อหาความรู้จากพ่อครูมากกว่าครับ

0868845xxx นิ้วมือยังไม่เท่ากันฉันใดรอยหยักมันสมองคนฉลาดก็ไม่เท่ากันฉันนั้นเหมือน4424งัย?

0806550xxx เป็นกำลังใจให้พ่อครูทำงานต่อไปนานๆด้วยความเคารพอย่างสูงพระอ๊อดเพชรบุรี

0894424xxx มิสโดนทักว่าไม่สวยย่อมดิ้นพล่านฉันใด,โพธิรักโดนว่าเป็นมิจฉาทิฐิก็ย่อมดิ้นพล่านฉันนั้น!

0886968xxx    ปลายฝน เทศน์ใครอยู่หรือ? /สะดุ้งมาร

0867081xxx มีญาติทิ่เพ้อฝันหมกมุ่นแต่เรื่องสวยงามวันวันส่องกระจกแล้วภูมิใจตัวใครเผลอติเป็นเรื่องกราบ พ่อท่าน ขอกรุณาเตือนช่องแดง ว่าอย่าทำบาปส่อเสียด

0894424xxx      เพราะอนัตตาเป็นภูมิปัญญาชั้นสูง,ชาตินี้โพธิรักจึงไม่มีวันเข้าใจได้!!!

0868845xxx มิสป่าตองจิตใจดีแต่ด้อยปัญญาธรรมแต่4424ดูเหมือนมีปัญญาแต่อวิชชาบังตาว่ากูเก่งธรรม           

0886968xxx    นมัสการ พ่อท่าน และสวัสดี ทีมงาน ครับผม/สะดุ้งมาร

0894424xxx มิสบรรลุเป็นมิสตั้งแต่18,โพธิรักก็บรรลุตั้งแต่ยังไม่ได้บวชเลยฉันเดียวกัน!

0890499xxx 4424อย่านำพระผู้มีศีลไปเทียบกับโจรโกงชาติบาปนะจ๊ะจากจ.ประจวบฯ

0849181xxx    คุณ4424คุณอำมหิตที่สุดทำร้ายได้แม้กระทั่งตัวคุณเอง : ฟ้าห่วน

0868845xxx ไม่ได้เทศน์แค่ติเบาๆด่าแรงเดี๋ยวFMTVม่ายยให้ปลายฝนมากระแดะบนจอจ้าสะดุ้งมารจ๋า:-)555

0894424xxx โพธิรักไม่ใช่คนบ้า,แต่ที่ศรีธัญญาฯเขาเรียกโพธิรักว่าเป็นคนไข้(ทางจิต)!

0871317xxx    ไม่มีใครชักนำเข้าอโศก มาเองเพราะอยากรู้ความจริง ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้

0868845xxx คนบ้าดูดียังน่าสงสารคนดีแกล้งบ้ากวนส้นตีนกับมือตบจริงป่ะสะดุ้งมาร:-)ปลายฝน

0894424xxx คนทั่วไปมองมิสยังไง,อริยะทั้งหลายก็มองโพธิรักเป็นเช่นนั้นฉันเดียวกัน!

0890499xxx            หนูถวายอายุให้พ่อเทศน์โปรดคนโกงคนหลงผิดไปอีกนานๆๆๆ

0824039xxx สมมติเราคือธาตุหนึ่งแล้วคิดไปว่าเราไม่มีตัวตนแล้วความคิดที่ว่าไม่มีตัวตนมาจากไหน?..

0894424xxx มิสแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไว้โชว์ฉันใด,โพธิรักก็แสดงธรรมด้วยพตปฎ.เพื่อโชว์ฉันนั้น!

0868845xxx            เหนือเมฆมีฟ้าเหนือมารเรียกพญามาร4424นั่นงัยใช่เลย?ปลายฝน

0868474xxx    ธรรมะพระพุทธเจ้าลึกซึ้งจริงๆ คนบางคนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจจริงๆ ฉ ช

0886968xxx    ให้เขาโชว์ความเขลามาเถอะ แม้เราจะมองเขาอย่างสมเพท

0824039xxx ความคิดที่ว่าไม่มีตัวตนนั่นน่าจะมาจากการมีตัวตนซึ่งก็คือธาตุนั้นๆเอง!ตนคิดถูกไหมเนี่ย!

0849181xxx    บาปใครบุญมันสุดท้ายก็เอกจะรัง

0871317xxx    ศรัทธาตั้งมั่น เกือบ25ปีแล้ว

0845519xxx    พ่อครูบรรลุสัมมาทิฐิ 4424บรรลุมิจฉาทิฐิ

0806550xxx    4424ตำหนิทำลายผู้อื่นเพราะอคติความเกลียดชัง พระอ๊อด เพชรบุรี

0879769xxx    กราบนมัสการพ่อครู ชอบฟังพ่อครูสอนมากครับ

0824039xxx เห็นแย้งกันเรื่องมีทุกข์ไม่มีทุกข์แล้วที่คิดว่ามีกับไม่มีเนี่ยคิดออกมาตรงไหนจบก๊ะ!  พ่อท่านแทรกว่าถ้าผู้ใดมีทุกข์ ก็เลิกสมุทัยของทุกข์ดับให้ได้ เมื่อหมดสมุทัยก็เป็นคนไม่มี นโหติ แล้วจริงๆที่สุดมันก็ไปจบที่ไม่มีตอนปรินิพพาน แต่ตอนที่ไม่ปรินิพพานท่านก็คือผู้มีกุศลอยู่ตลอดกาล

0894424xxx พุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น,แต่โพธิรักกลับไปสนใจเรื่องอื่นคือเรื่องมีตัวตนกับไม่มีตัวตน!โง่บัดซบจริง!

0815371xxx    4424ปาราชิกไปแล้วครับ

0886968xxx    4424 คุณจิตตก หรือไม่ก็ ฟั่นเฟือน หยุดละเมิดผู้ทรงศีล

0868474xxx    สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อตระกูล ความคิดเห็นส่อปัญญา

0868845xxx 4424ไม่รู้ใครโง่ส่องกระจกแปรงฟันหมั่นแปรงลิ้นไก่กันมะๆเร็งนะจ๊ะๆ?

0890499xxx    ยกให้4424เป็นลูกน้องเทวฑัตตกยุคน่าสมเพช

0894424xxx เด็กเล่นไม้ขีดไฟ,โจรเล่นปืน,นักบวชมิจฉาทิฐิแสดงธรรม,ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภัยอันตรายทั้งสิ้น!

0894424xxx        นกไม่เห็นฟ้า,ปลาไม่เห็นน้ำ,มิสไม่เห็นป่าตอง,โพธิรักก็ไม่เห็นอเวจี!

0868845xxx คนแก่จุดไฟอ่านธรรมะลืมใส่แว่นตาเลยมองไม่เห็นธรรมเหมือนตางัย4424?

0815371xxx    ฝ่ายเถระฯย่อมต่อต้านอยู่เสมอครับ.... พ่อท่านแทรกว่าไปว่าอย่างนั้นไม่ได้ติเรือทั้งโกลนไม่ได้ เพราะฝ่ายมหาเถระสมาคมที่เห็นด้วยก็ไม่น้อย ถ้าไม่เห็นด้วยหมดพ่อท่านก็แบนแล้วยิ่งกว่าเหนือเมฆ

0853681xxx    Long live the king, long live the queen.

0894424xxx    โพธิรักอยู่เหนือโลก,แต่ทำไม?จึงพลาดไปโดนกระป๋องแก๊สน้ำตาจนได้!

พ่อท่านว่า...18/1/2556 18:58:51 บอกได้เลยว่าเป็นพวกอุทเฉททิฏฐิจึงไม่กลัวบุญกลัวบาปเวรอะไรเลย ทำไม่อย่างอัครสาวกเบื้องซ้ายพระโมคคัลลาฯต้องถูกทำร้ายจนตาย ให้คุณ 4424 ศึกษาเรื่องวิบากกรรมบ้างจะได้ไม่ถามมาอย่างไม่รู้

0868845xxx แก่แดดยังดีกว่าแก่ลมลมม๊ากมากผายตดไม่หมดเลยปากเหม็นจัง4424?

0824039xxx พ่อครูเผยแพร่ธรรมะเคารพบูชาพระพุทธเจ้าแต่เทวทัตลบหลู่ตถาคต!ดูไม่ออกฤาอริ

 

18/1/2556 19:00:28 พ่อท่านตั้งข้อสังเกตว่าที่ 4424 ว่าเพราะอนัตตาเป็นภูมิปัญญาชั้นสูงชาตินี้โพธิรักจึงไม่มีวันเข้าใจได้....พ่อท่านมั่นใจว่าพ่อท่านเข้าใจอนัตตาตามที่คุณ 4424 เข้าใจซึ่งก็เข้าใจอย่างตรรกะ ที่ 4424 เข้าใจว่าทุกอย่างทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน สัพเพธัมมาอนัตตา ติ (ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรก็ไม่ใช่ตัวตน) พ่อท่านเข้าใจที่ 4424 เข้าใจ ว่าความไม่ใช่ตัวตนนี่จะไปโง่อยู่ว่ามันใช่ตัวตนได้อย่างไร ทำไมโง่อย่างนี้ นี่คือปัญญาแค่ตรรกาวจรา (เหตุผลแค่ขบคิด) จึงเข้าถึงความเป็นอัตตา หรือบรรลุเข้าใจความเป็นอัตตาแค่เหตุผลคาดเดา หรือแค่มโนมยอัตตา คือเข้าใจไปตามที่สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปที่เป็นความรู้ที่เป็นอรูปในตัวมันเอง เป็นภพแห่งความฉลาดชนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงจัดให้อยู่ในพวกอัตตวาทุปาทาน ตีทิ้งว่า ทุกอย่างไม่ใช่อัตตา แต่เขาไม่ได้เข้าถึงสภาวะ อัตตาว่ายังมีในโลก

 

18/1/2556 19:05:48 คุณ 4424 จะไม่รู้ว่า อัตตา 3 คืออะไร ไม่มีทางรู้ และอัตตาก็ยังเหลืออยู่และก็ยังเป็นเหตุให้ทุกข์อยู่ ซึ่งที่จริง อัตตาตัวไหนที่เราจับได้นั่นคือ สักกายะทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ แล้วก็ต้องล้างสักกายะ จนเหลือตัวปลายคืออาสวะ พอหมดอวิชชาสวะก็จบ เพราะฉะนั้นคุณ 4424 พ่อท่านไม่อยากจะให้ตกอยู่แต่ในภูมิเช่นนี้ น่าจะเลื่อนภูมิสูงขึ้นบ้าง แต่แม้คุณจะไม่ได้เรื่อง ก็ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยให้เอามาบรรยาย ถ้ามีคนที่เห็นอย่างคุณ แต่มีปรโตโฆษะตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมได้ผล และก็แผ่ส่วนกุศลไปถึงคุณด้วยได้นำมาบรรยายพลอยให้คนอื่นบรรลุได้ ก็ถือเป็นเหตุให้คนอื่นรับกุศลผลบุญ

 

18/1/2556 19:08:52 ที่ 4424 ว่าคนทัวไปมองมิสอย่างไง แล้วอริยะทั้งหลายก็มองโพธิรักษ์เป็นเช่นนั้น....พ่อท่านว่าอันนี้คุณผิดถนัดเพราะ ถ้าเป็นอาริยะจริงๆแท้ๆ ส่วนคนทั่วไปก็มองว่ามิสบ้า เขาจะไม่เป็นเช่นมิสป่าตองแน่นอน พวกเราแต่ก่อนก็สวยกว่ามิสแต่ตอนนี้มาหน้าตาแย่กว่ามิสอีก เราไม่ไปทำอย่างมิสแน่ๆ  แต่อาริยะแท้ๆจะมองภพชาติของมิสได้แน่นอน แต่4424 จะมองอาจตีความได้ว่าภพชาติเป็นอย่างนั้น แต่พ่อท่านคิดว่า 4424 ไม่รู้ภพชาติที่แท้แน่นอน อย่างมิสแกยึดภพว่าต้องได้รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอย่างนี้

          4424 หาพวกว่าอริยะทั้งหลายมองโพธิรักว่าเหมือนมิสป่าตอง ซึ่งคุณก็จัดว่าคุณเป็นอริยคนหนึ่ง อย่างนั้นผิดถนัด คุณต่างหากที่มองเหมือนคนทั่วไป ถ้ามองอย่างอริยะจะรู้ว่ามิสแกติดภพชาติได้ชัด แต่คุณ 4424 จะมองออกหรือ ถ้าเป็นอาริยมองโพธิรักษ์แล้วไปผ่าว่ามองเหมือนกับคนทั่วไปมองมิส ก็เอาว่า อาริยะมองเหมือนคนทั่วไป เอาแค่ว่าคนทั่วไปมองมิสว่าปกติ แต่พ่อท่านมองว่ามิสแกติดภพ ถ้ามองมิสจะเห็นจิตกามราคะของมิส และจะเห็นกิเลสเพ่งโทส แค้นเคืองไม่ชอบใจในมิส อย่างคุณ 4424 มองพ่อท่าน อย่างนั้นมีกิเลสโทสะมูลอยู่ในนั้นเยอะ ดังนั้น คุณ 4424 จะมองไม่เห็น ซึ่งมันหยาบมากแล้ว แต่คุณ 4424 เป็นอุทเฉททิฏฐิ จึงมองไม่เห็นกิเลสของตนเหล่านั้นเลย คนที่มีความแค้นเคือง อิสสาริษยา ก็จะมองพ่อท่านอย่าง 4424 นี่และ

         

          0894424xxx พุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น,แต่โพธิรักกลับไปสนใจเรื่องอื่นคือเรื่องมีตัวตนกับไม่มีตัวตน!โง่บัดซบจริง!  แล้วคำนี้คนที่อยู่ในอารมณ์อย่างไรจึงออกมาอย่างนั้น พ่อท่านก็ว่า ตั้งแต่ฆราวาสแล้วพ่อท่านไม่เคยไปด่าทอใคร แต่พ่อท่านพูดอย่างเก่งก็ว่า โง่ฉิบหาย ซึ่งจะใช้เมื่อใดก็บอกเสมอว่าไม่ได้ใช้ด้วยอารมณ์ วจีสังขารไม่ได้ใช้ด้วยโทสะ ไม่ได้ใช้คำแรงด้วยอารมณ์ ตั้งแต่ฆราวาส พ่อท่านไม่เคยด่าใคร โต้เถียงด้วยเหตุผลแต่ไม่หยาบคาย แม้แต่ในครอบครัวก็ไม่หยาบคาย อาจว่ากันดุกันในครอบครัว ก็เจตนาจะว่ากันดุกัน ในชีวิตเรียกตัวเองว่า กู รู้ดีคำว่ากูมึง แต่ในครอบครัวใช้ไม่ออก พ่อท่านมีเพื่อนหลายคน อย่างสุเทพ วงศ์คำแหง เขาจะใช้กู มึง แต่พ่อท่านไม่ใช้ พูดไม่ออก อย่างมากก็ใช้อั๊วลื้อ แค่นั้น หรือ เอ็ง ข้า แทน พ่อท่านก็ไม่ได้ติดใจไม่ถือสาที่เขาใช้ก็ด้วยสนิทสนม แต่เล่าให้ฟังว่านิสัยเป็นอย่างนั้นแต่ต้น ที่คนว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล นั้นก็ให้เห็นว่าตระกูลของพ่อท่านมาเป็นอย่างไร หลายครอบครัวเขาก็ใช้ภาษาหยาบกัน แต่พวกพ่อท่านไม่ได้ใช้ นอกจากนั้นภาษาที่จะใช้ด้วยอารมณ์ในครอบครัวนั้นมี แต่ไม่ได้ใช้คำหยาบ ใช้แต่คำแรงเท่านั้น

 

18/1/2556 19:27:45 มาเข้าสู่ประเด็นที่ 4424 พูดในเรื่อง อัตตา กับอนัตตา

 

18/1/2556 19:28:05 คำว่าอัตตา คำว่า อนัตตา คำว่าอนัตตาแปลเป็นไทยว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นตัวตน ไม่มีตัวตน แต่ไม่ใช่ว่าแค่ศึกษารู้ก็ไม่มีตัวตนแล้ว ถ้าไม่ศึกษาจะไม่รู้เลย อย่าง 4424 ยึดภาษามาเป็นทิฏฐิ มีความเห็นว่า "อัตตา ไม่ใช่อัตตา ตัวตนไม่ใช่ตัวตน" ก็ยึดได้แค่ภาษาคำพูด ไม่รู้ว่าความเป็นอัตตานั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอัตตาที่เป็นอกุศลที่เป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น 4424 ไม่รู้จริงๆ พอพ่อท่านว่าอัตตาคือเหตุแห่งทุกข์ คุณก็จะแย้งว่า อัตตาก็อัตตาสิ สมุทัยก็สมุทัยสิ โดยพยัญชนะแล้วมันแยกกัน แต่ความจริงแล้วมันเป็นสภาวะเดียวกัน คุณอาจจะพักยกได้ คุณอาจอาศัยอารมณ์สุขของคุณ ถามจริงๆว่า คุณแสวงหาอารมณ์สุขไหม พอมีอารมณ์ทุกข์ คุณก็เปลี่ยนเป็นสุขได้ แต่คุณไม่ได้รู้เหตุ ไม่ได้กำจัดเหตุ ไม่ได้ทำตามปัจจัยการเลย โดยเฉพาะเมื่อมันหลบไปมันก็ไปอยู่ในภพของอนุสัย มันนอนเนื่องคุณก็ไม่รู้ว่ามี พอกระทบอีกมันก็ขึ้นมาอีกคุณก็ผลักมันทิ้งอีก การพิจารณาอย่างคุณคือผลักไปว่ามันไม่ใช่ตัวตน แต่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างรู้เหตุจริง แล้วกำจัดจริง ทวนแล้วทวนอีก จนกว่าจะตายสนิท คุณปฏิบัติอย่าลัทธิทำสติ สมาธิ รู้ นิ่ง วาง เฉย คุณจะไม่เดินตามอริยสัจ ตามมรรคองค์ 8 ที่ปฏิบัติอยู่ทุกอิริยาบถ คุณไม่ได้ปฏิบัติอย่างนั้น ถ้าเอาแค่คุณว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องบัญญัติ อริยสัจ มรรค 8 ถ้าแค่รู้ นิ่ง เฉย แล้วมันก็ดับไป ไม่มีตัวตนหรอก ทำอย่างนั้นมันง่าย ช่วยได้ ทำแล้วก็ชำนาญด้วย แต่สุขมันมาเมื่อไหร่คุณก็เสพเสวยสุขไป เรื่อยๆ ถ้าไปดูพระอนุรุธ เจอแต่สุข ทุกข์ไม่เคยเจอ ตอนที่อำมาตย์บอกว่า ขนมไม่มี เจ้าชายอนุรุธจะขึ้นไหม จะสั่งตัดคออำมาตย์ไหม? ตกลงว่าอนุรุธก็ไม่ได้กินขนมไม่มี เพราะไปฆ่าคนที่บอกว่า ขนมไม่มีแล้ว ก็คิดต่อไปเรื่อยๆ เป็นเชิงตรรกะได้

 

18/1/2556 19:37:11 ในคำว่าเป็นอัตตานั้น จะต้องรู้ว่าตัวตนอัตตามีอยู่เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์ ยืนยันอย่างอเจลกัสสปะ ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่าทุกข์มีอยู่ แล้วก็ต้องมีสมุทัย และต้องวิธีออกจากทุกข์ จึงจะเกิดความจางคลายจากทุกข์ คุณจะเอาแต่อัตตวาทุปาทาน คุณจะไม่มีทางทำใจในใจไม่เป็น คนที่ปฏิบัติอริยสัจ 4 จะต้องรู้ตัวทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้วิธีปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ การทำใจในใจคือ รู้ตัวเหตุ แล้วกำจัดมันอย่างถูกต้อง มีอนุปัสสี 4 ตามเห็นความจางคลาย ความไม่เที่ยง (คุณต้องเห็นว่าโพธิรักษ์ไม่เที่ยง ถ้าคุณปล่อยจะเห็นความจางคลาย จะเห็นว่าพ่อท่านพูดมีเหตุมีผล แต่คุณไม่เห็นยึดว่าพ่อท่านเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนจึงไม่เห็น) ไม่ได้หวังว่า 4424 จะเปลี่ยนแปลง แต่เผื่อคนอื่นๆที่คิดเช่นนั้น แล้วเปิดใจได้ แต่ถ้า 4424 จะเปลี่ยนได้ก็ดี

 

18/1/2556 19:41:4 การบรรลุธรรมเร็วกว่าพระพุทธเจ้า มีพ่อท่านบอกว่า เมื่อวานพ่อท่านใช้เวลาบรรลุธรรมเร็วกว่าพระพุทธเจ้า ก็เป็นความจริงใจในการตอบ การตอบว่าบรรลุธรรม พ่อท่านอธิบายได้ ไม่ได้ตอบเล่นพูดเล่น แล้วเรื่องอจินไตยที่พระพุทธเจ้ากว่าจะบรรลุก็อายุ 29 ปี พอบวชแล้วกว่าจะบรรลุธรรมต้องไปใช้วิบากอีก 6 ปี แต่ตอนที่ท่านจะบรรลุท่านทำเตวิชโชทันที ท่านก็รู้ได้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ผ่านมาหลายชาติ ตั้งแต่ปุถุชนจนมาเป็นอริยะจนเป็นอรหันต์ต่อมาเป็นโพธิสัตว์จนมาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็สารภาพว่าท่านไปปฏิบัติผิด 6 ปี ท่านตรัสเองว่าเสียเวลาไป 6 ปี โชคดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฏกมายืนยัน มีพวกที่หาว่าพ่อท่านไปลบหลู่ศาสนา แต่เรามีไตรปิฎกเล่นเดียวกันยืนยันได้

          และในอจินไตย พระพุทธเจ้าก็สายปัญญาใช้เวลา 20 อสงไขยฯกับ...บรรลุได้เร็ว และพระสารีบุตร บรรลุช้ากว่าพระโมคคัลลา พ่อท่านก็เทียบว่าเป็นพระโมคคัลลา แต่พ่อท่านเป็นสายปัญญา เป็นสายสารีบุตร สูงสูดก็เท่ากับพระพุทธเจ้า สุดท้ายสูงสุดก็จะมีเจโตปัญญาเท่ากัน ในการกลับไปกลับมาที่ซับซ้อน ที่ว่าพ่อท่านบรรลุเร็วกว่าพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าพ่อท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้า อย่างพระสารีบุตรบรรลุทีหลังโมคคัลลา ก็ไม่ได้หมายถึงโมคคัลลาเก่งกว่า แต่อัครสาวกเบอร์หนึ่งเลยคือสารีบุตร เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพธรรม อย่างพระพาหิยะฯก็บรรลุเร็ว แต่ ก็ไม่ได้เก่งเท่าสารีบุตร

 

18/1/2556 19:51:09 มีประเด็นที่อธิบายจากประเด็นเมื่อวาน จากลูกกทม.ว่า พวกยึดศีลยึดพรตกับพวกยึดความรู้โดยไม่ปฏิบัติคือพวกสุดโต่งสองด้านใช่หรือไม่.
ตอบ....พวกยึดศีลพรต คือศีลพตุปาทาน พวกยึดความรู้คือ ทิฏฐุปาทาน

พวกศีลพตุปาทาน คือพวกทำตามอาจารย์ตาพึด พาลงเหวลงถ้ำ ทำตามอาจารย์

ส่วนพวกทิฏฐุปาทานสายปัญญาจะเถียงอาจารย์มาก พอปัญญาหนักเข้าก็ออกไปตั้งหมู่ใหม่ สู้กับอาจารย์เลย

 

18/1/2556 19:54:18  ทิฏฐุปาทานคือสายปัญญา พวกมหายาน คือพวกคิดเอาแต่เหตุผลความรู้ ไม่ปฏิบัติ อย่างพวกเซ็น จะมีโกอาน พวกนี้จะมีสังฆปรินายก มอบจีวรให้ไปต่อทอด คือคิดโกอาน ไม่ปฏิบัติเอาแต่คิด ไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าว่าไว้

ส่วนสายศีลพตุปาทาน จะปฏิบัติแต่ไม่คิด นั่งไปอย่างไปคิด หยุดคิด อย่างสายเถรวาท แต่จะมักน้อยสันโดษ เพราะเห็นง่าย สายปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นจะมักน้อยแต่เห็นยาก มีการอนุโลมปฏิโลม โดยตัวเองอยู่เหนือ จิตไม่ดูดไม่ผลัก อันนี้เดาเอาไม่ได้ ตนมีกิเลสแลบเลีย หลงว่าตนหมดก็เป็นวิบากไป อย่างสายปัญญาพ่อท่านพาทำ คนจะไม่เห็นว่า ไม่บรรลุมีกิเลสอยู่ ส่วนสายป่าก็จะปฏิบัติอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านให้ปัญจวัคคีย์ปฏิบัติในป่า แล้วบรรลุก็พาออกจากป่า ไปเจอลูกเศรษฐี ที่พูดว่า "วุ่นหนอๆๆ" พอเจอพระพุทธเจ้าท่านมีบารมี ก็พาเพื่อนฝูงมาออกบวช ไม่ช้าไม่นานก็ได้อรหันต์ 60 รูป แล้วออกจากป่าหมดทั้งปัญจวัคคีทั้งพระยสะและเพื่อน รวม 60 รูป ...

 

18/1/2556 19:59:26 ในอัมพัตสูตร ว่า ในอนาคตจะเสื่อมว่า หลงออกป่า ไปหาอาจารย์ในป่า

 

18/1/2556 20:01:00 สรุป....ความเสื่อม  4 ประการ

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะแต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า (อรหันต์ 60 องค์แรกก็ออกจากป่า) โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2. ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้ามไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4. สร้างเรือนไฟมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพรง(คือใหญ่หรูหราดักไว้สี่ทิศ) แล้วพำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่

            สรุปคือความเสื่อมอยู่ในป่า พระป่าพระกรรมฐานไปสร้างอะไรเยอะเลยในป่า

 

18/1/2556 20:05:37 ส.เดินดินสรุป...เราต้องขอบคุณทั้งมิสป่าตอง ที่ทำให้อธิบายมิสป่าตองได้เป็นครูให้เราได้เห็นแม้แต่ 4424 ก็ได้ทำให้เราเห็นทิฏฐุปาทาน อัตตวาทุปาทาน แต่ที่พ่อครูนำมาสอนก็คือนำมาเป็นตัวอย่างที่เขาแสดงตรรกะวาทะมาจริงๆ ก็มีแต่ภาษา ว่าดิ้นพลาน ลงนรก แต่ไม่ได้แสดงว่าไม่ถูกธรรม ไม่เป็นธรรมอย่างไร พระพุทธเจ้านั้นให้ดูว่าอันไหนเป็นธรรมวาที อธรรมวาที และพ่อครูเวลาจะพูดก็ขออภัยแล้วอภัยอีกก่อนพูด ก็ไม่ได้พูดผิดธรรมวินัยแต่อย่างใด .....นักธรรมะต้องดูที่ใจไม่ใช่หาทางว่า หาทางเอาชนะอย่างไร....ต่อไปคุณ 4424 ก็คงจะระมัดระวังเวลาจะส่งอะไรมา.......จบ18/1/2556 20:09:12


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:53:49 )

560120

รายละเอียด

20/1/2556 9:02:03 รายการวิถีอาริยธรรม โดย พ่อท่าน และ ส.เพาะพุทธ...เรื่อง ตอบ sms ผู้หลง นิรัตตา ตอนที่ 3

2

20/1/2556 9:16:18 ส.เพาะพุทธเปิดรายการที่ศาลาฉัน สันติฯ...ในช่วงที่ผ่านมาจะมีตัวละครที่พวกเราได้หยิบยกนำมาอธิบายธรรมะคือ มิสป่าตอง จนมีขาประจำ sms มาตำหนิติเตียน ใช้ตำรุนแรง เช่น โง่บัดซบ เป็นต้น  ซึ่งพ่อครูก็ได้นำมาอธิบายธรรมะ เปลี่ยนดินเป็นพระ เปลี่ยนขยะเป็นปุ๋ย ก้อนอิฐที่ขว้างปามา เราจะเปลี่ยนเป็นดอกไม้มาประดับ พ่อครูจึงได้ใช้คำตำหนิติเตียนเหล่านี้มาอบรมสั่งสอนลูกๆให้รู้ลึกซึ้งในธรรมะมากยิ่งขึ้น เขาใช้คำว่า โง่บัดซบ พ่อครูก็เปลี่ยนเป็น โง่ซบ

 

20/1/2556 9:20:12 พ่อครู ...เคยเป็นครูภาษาไทยมาก่อน และมีความเข้าใจแตกฉานภาษาไทยมาแต่ดั้งเดิม และยังได้ใช้ภาษากวีการมาทำงานอีกด้วย

คำว่าโง่ฉิบหาย  คำว่าฉิบหาย แปลว่า เสียหาย ซึ่งมีความแรงน้อยกว่าบัดซบ ฉิบหายคือทำงาย ส่วนใหญ่จะโง่เรื่องราคะ เรื่องติดยึด มาบำเรอตนให้สุข แล้วก็ผลาญทำลายของตน

ส่วนโง่บัดซบนั้นทั้งโง่ทำลายตนและทำลายคนอื่น เป็นเชิงโทสะ ออกไปสู่คนอื่่น ตนเองก็บำบัดโทสะของตนเอง การว่าคนอื่นว่า โง่บัดซบ นั้น เป็นเชิงโทสะไปทำลายคนอื่่นและทำลายตนด้วย

 

20/1/2556 9:22:58 จาก sms ของคุณ 4424 ที่ขยันอุตสาหะส่งมา พ่อท่านก็จะได้นำมาอ่านให้ฟัง แล้วค่อยเก็บประโยชน์จากคำแย้งสู่กันฟัง

 

20/1/2556 9:24:49 ของคุณ 8677

0838677xxx            โพธิรักเหมือนกับมิสป่าตองตรงยังมีความอยากเหมือนกัน

 ขออธิบายไว้ว่า ความอยากเป็นอาการจิต ซึ่งรู้ได้โดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ผู้รู้จะอ่านอาการจิตทั้ง สุข ทุกข์ หรือหงุดหงิด โกรธ ชอบ ไม่ชอบซึ่งมีละเอียดได้มากมาย ผู้ที่ไม่ได้ฝึกอ่านสภาวจิตนั้นเช่นพวกที่เป็นสายปัญญาตรรกะ ในพวกสายเซ็น เขาว่า ถ้าเราไม่มีกระจกเราก็ไม่ต้องเช็ดให้ใส คนเหล่านี้จะเป็นอัตวาทุปาทาน อย่างเช่น คุณ 4424 จะเป็นตระกูลนี้ หรือแม้แต่ 8677 พยายามฟัง

 

20/1/2556 9:29:56 ในความอยาก พพจ.ก็อยากหรือต้องการให้ ศาสนาพุทธมั่นคง มีอุบาสก อบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ที่มีมรรคผล เฉลียวฉลาด เป็นพหูสูต สามารถเปิดเผยจำแนก กระทำให้ง่าย สามารถแสดงธรรมปาฏิหาริย์ ข่มขี่ ปรับปวาทะ โดยสหธรรม ถ้าทำยังไม่ได้เราจะไม่ปรินิพพาน ซึ่งเป็นมโนสัญเจตนา แต่พพจ.ไม่ได้มุ่งมาดอย่างมีกิเลสตัณหา เป็นวิภวตัณหา ส่วนคนที่เล่นแต่ตรรกะจะไม่รู้จักความอยากที่ไม่มีกิเลส เขาจะไม่รู้จักรายละเอียด ของการละกิเลส ตั้งแต่หยาบกลางละเอีดย เพราะเขาคิดว่าในเมื่อทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วจะเอาตัวตนที่ไหนมาปฏิบัติ อย่างเช่นฝรั่งที่มาสากัจฉาธรรมกับพ่อท่านเมื่อก่อน ที่พูดเรื่องอนัตตา แต่พ่อท่านก็ให้ไปล้างอัตตาอย่างติดเหล้าติดบุหรี่เสียก่อนให้ได้ อ่านกิเลสเหล่านี้ ล้างให้หมดในอบายมุข เขาก็ขึ้นเลยว่า ในเมื่อทุกอย่างไม่มีตัวตน แล้วจะเอาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ พ่อท่านก็ว่าอย่างนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง คุณไปเถอะ...ธรรมะของพพจ.นั้น ภัมภีรา.... ผู้บรรลุธรรมนั้น จะมีจิตไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จิตไม่กระเพื่อม ถูกเขาด่าว่าพ่อท่านก็ไม่ได้มีความสะเทือนต่ออาสิโลกภัย จิตสุญญตา สงบจากกิเลส ความสงบของพพจ.นั้น สันตา ปณีตา อตักาวจรา บัณฑิตเวทนียา(ผู้เป็นบัณฑิตจึงรู้ได้) อย่างที่คุณ 8677 ว่าพ่อท่านมีความอยากเหมือนมิสป่าตอง แสดงว่าเขาไม่เข้าใจในความอยากที่ไม่มีกิเลส ซึ่งต้องล้างตั้งแต่ กามภพ ตั้งแต่อบายมุข คือกามหยาบๆ ถ้าดับได้จะมีโมเดล มีโครงสร้าง มีมรรควิธีในการปฏิบัติกิเลสตัวอื่นด้วย ดับได้ขั้นแรกคือ โสดาบัน ถ้าปฏิบัติจะดับกามภพต่อ ก็เป็นสกิทาคามี ส่วนถ้าหมดกาม ปฏิบัติรูปภพ อรูปภพ ต่อคือพระอนาคามี...

 

20/1/2556 9:40:11 อาการจิตที่ปรุงเป็นสุข เป็นทุกข์ ปรุงเป็นราคะ โทสะ เป็นอย่างไร ซึ่งผู้อวิชชาจะไม่รู้สิ่งเหล่านี้ แต่จะปรุงแต่งไปในทางเอาเปรียบ เก่งในทางโลกีย์ ซึ่งความเก่งเหล่านี้คืออวิชชา ซึ่งเรียกว่า เฉกา ไม่ใช้ฉลาดที่แท้

 

20/1/2556 9:43:39 การกระทบสัมผัสทางทวารนอก มี 5 ทวาร ส่วนทวารใจนั้น มีสัมผัสเป็นโผฏฐัพพารมย์ ปรุงแต่งเป็น ธรรมารมย์ อยู่ข้างใน ถ้าไปปฏิบัติอย่างไม่มีผัสสะ ไปตัดลัดเอาแต่ใจไปคิดนึก พอคิดได้ก็เรียกว่า ซาโตริแล้ว อย่างนี้ช้านาน สายปัญญาจะจบช้าอย่างพระสารีบุตรจบช้ากว่า พระโมคคัลลานะ ซึ่งถ้าไม่มีผัสสะจะไม่รู้จักนามรูปที่แท้จริง

 

20/1/2556 9:47:46 อย่างคุณ 8677 เอาความอยากของพ่อท่านไปเปรียบกับความอยากของมิสป่าตอง อย่างหยาบภายนอก มิสป่าตองเขาก็เสพไปวันๆ แต่พ่อท่านนั้นทำงานเพื่อคนอื่นเหน็ดเหนื่อย ซึ่งแค่หยาบๆเขาก็แยกไม่ออกระหว่างความอยากที่แตกต่างกัน เขาเข้าใจไม่ได้ว่าความอยากมีระดับมีความแตกต่างกัน อย่างนี้ปิดประตูนิพพานเลย

            อย่างพระอนาคามี ไม่มีวิญญาณกามภายนอกแล้ว จะสัมผัสทวาร 5 อยู่กับโลกเขา แต่จิตไม่กระดิก กามตัณหาดับ ไม่มีความอยากนกามตัณหา ไม่ได้กดข่มเสแสร้ง เหลือแต่ รูปภพ อรูภพ เป็นเศษเหลือของราคะเป็นรูปหรืออรูป ซึ่งก็เป็นภวตัณหา ก็ล้างของตนอีก อย่างสำเร็จอิริยาบทอยู่

มีสังโยชน์เหลือ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มี มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เหลืออยู่ ต้องทำต่ออีก ซึ่งเป็นโลกสมุทัยที่เหลืออยู่ แต่ในอรหันต์นั้นจะปรุงอย่างหมดตัวตน ไม่มีกามตัณหามาร่วมปรุง ซึ่งอ่านจาก สังกัปปะ 7 อ่านนามรูปออก ซึ่งได้ปฏิบัติตั้งแต่ สักกายะ ซึ่งคืออัตตาตัวใหญ่ ต้องใช้นามรูปปริเฉทญาณ นามรูป ไม่ใช่ นามกาย อ่านสังกัปปะ 7 ตั้้งแต่ ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ ต้องอ่านให้รู้นามธรรม ซึ่งเป็นนามรูป (คือนามธรรมที่ถูกรู้จึงเรียกว่า นามรูป) ไม่ใช่ดินน้ำไฟลมภายนอก แต่เป็นองค์ประชุมอยู่ภายใน เช่นความจำ เห็นจากภายนอกแล้วก็จำติดไว้ในใจ เรียกว่า กายในกาย ซึ่งธาตุวิญญาณจะเป็นตัวกำหนดรู้ภายใน

            อย่างพวกเพ่งกสิณ ให้ลืมตาจดจำนิมิต แล้วปิดตา กำหนดรู้ในสิ่งที่ได้จดจำมา เช่นกำหนดรู้ลูกแก้ว สีอื่นๆ ให้จะต่อจากที่เห็นตอนลืมตา เรียกว่า อุคหนิมิต คือให้มันจำต่อเนื่องไม่ให้หลุดหายไป แล้วก็เล่นต่อให้มันขยายใหญ่ขึ้นเรียกว่า ปฏิภาคนิมิต

           

20/1/2556 10:01:12 ในเรื่องของสังขารที่เป็นวจีสังขารอยู่ในจิต คนที่ศึกษา เมื่อมีการกระทบสัมผัส จะเห็นจิตที่มันปรุงแต่ง เช่นเป็นมิจฉาสังกัปปะ 3 คือ กาม พยาบาท วิหิงสา อย่างอนาคามี จะดับ กาม พยาบาท และเหลือภพละเอียดคือ วิหิงสา  คือการปรุงแต่งถ้ามากมีกามเป็นตัวครอบครองก็จะออกมาเป็นพฤติกรรมทางภายนอก คุณไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึก คุณก็กั้นมันไม่ได้  คุณปรุงแต่งเป็นวิญญาณผีแล้ว ถ้าคุณทำอย่างสมถะก็กดข่มไว้ แต่พพจ.นั้นจะสอน วิปัสสนาวิธี การสมถะนั้นฤาษีเขาสอนกันมาก่อนแล้ว แต่พพจ.สอนให้วิปัสสนา ในสายปัญญานั้นจะสมถะแบบลืมตา เพียงแต่รู้นิ่งเฉย ปล่อยแบบไม่มีวิปัสสนา ก็ไม่มีทางจะบรรลุธรรม        เมื่ออ่านจิตตน รู้การปรุงแต่งจนมีชวนจิต มีมุทุภูเต มีความแววไว อ่านรู้เห็นจิตจริงของตนได้ เรียนรู้ ตักกะ วิตักกะ ของตน ส่วนสังกัปปะนั้น เป็นการปรุงอย่างสมบูรณ์ ถ้าคุณสู้กิเลสในตอน ตักกะ วิตักกะ คุณก็สังกับปะไปแล้ว ถ้าคุณทำได้ก่อน ก็คือสำเร็จอย่างวิเศษเลย คือวิตักกะ ถ้าดับมันได้เลยสังขารคุณก็ไม่มีกาม คุณก็ปล่อยมันออกมาได้ หรือคุณจะกดข่มมันไว้ก็ได้ เราดับเพราะตทังคปหาน เป็นวิปัสสนาวิธี พลังปัญญามันทำให้กิเลสตาย เผาด้วยฌาณ เป็นไฟอันวิเศษ เมื่อกิเลสไม่มาปรุงร่วม สังขารก็บริสุทธิเกิดวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ดีขึ้นเรื่อยๆ

20/1/2556 10:08:33 เมื่อมีการผัสสะ ถ้าคุณอวิชชาก็ปรุงคือสังขารปุ๊บเลย ถ้าปฏิบัติธรรมได้เก่งจะรู้จักการสังขาร มากน้อยก็แล้วแต่การปฏิบัติ ถ้าพากเพียรสัมมาทิฏฐิจริง พพจ.ตรัสเลย 7 ปียกไว้ ไม่ได้อรหันต์ก็ได้อนาคามี ถ้าปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทจะรู้จัก ทั้งสายปฏิจจสมุปบาท อวิชชาก็จะเป็นวิชชาหมด พระอรหันต์ก็มีวิชชาเต็มท่านมีการสังจาร มีวิญญาณคือธาตุรู้ที่สมบูรณ์

 

20/1/2556 10:11:51 เมื่อปฏิบัติจึงรู้ตัวเหตุคือตัณหา ซึ่งเป็นตัวตน ไม่ใช่เอาแต่ตรรกะว่ากิเลสตัณหานั้นไม่มีตัวตน แล้วจะต้องไปปฏิบัติอะไรอีกในเมื่อมันไม่มี ซึ่งเป็นความเข้าใจของพวกอุทเฉททิฏฐิ อย่างนี้ไม่มีวันได้บรรลุธรรม ซึ่งแม้จะเข้าใจอย่างนั้นว่าไม่มีตัวตน แต่ความจริงตัวตนของเขายังทำงานอยู่ตลอดเวลา สั่งสมเป็นพลังงานเลว ที่นิ่งอยู่ก็คืออุปาทาน หากออกมาทำงานอาละวาดอย่างเขาไม่รู้ตัว (เพราะคิดว่าไม่มีแล้ว) เป็นพลังงานเคลื่อนไหว

 

20/1/2556 10:14:32 แต่ผู้ที่ได้ปฏิบัติจะรู้จักเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย เพราะได้ฝึกอ่านรู้มาตั้งแต่ กามตัณหา ภวตัณหา และจะรู้วิภวตัณหา อย่างคุณ 4424 มาว่า มิใยที่อริยะเช่นเราจะทักแล้วทักอีก,เตือนแล้วเตือนอีก,SMSแล้วSMSอีก,โพธิรักก็ยังคงเป็นโพธิรัก!มิสก็ยังคงเป็นมิส!ฉะนั้นจึงขอเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก,ก็เพื่อจะเพิ่มรอยหยักให้โพธิรักนั่นเอง

ซึ่งรอยหยักสมองนั้นเป็นเพียงอวัยวะสมอง จะมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ทำให้รู้ว่าเขาแยกระหว่างสมองกับวิญญาณไม่ออก ซึ่งวิญญาณหรือจิตของพ่อท่านนั้นไม่ได้เสื่อมแต่อย่างใด

 

20/1/2556 10:17:42 ในผู้ที่ปฏิบัติมีมรรคผลสมบูรณ์เป็นอรหันต์แล้ว อวิชชาก็จะเป็นวิชชา ภพ ก็จะเป็นวิภวภพ ชาติก็มีอยู่ แต่ไม่ใช่ชาติที่บำเรอตน ซึ่งชาติตัวนี้สำคัญมาก ส่วนโศกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเท่านั้นที่อรหันต์จะไม่มี แม้แต่ชรา นั้นก็ยังมีอยู่ อย่างพพจ.ท่านก็ต้องมีร่างที่ชราลงอยู่นั่นเอง ส่วนจิตนั้นจะไม่มีชราหรือมรณะ จิตนั้นเป็นอมตะแล้ว คือจิตจะตายหรืออยู่จะสูญหรือต่อไปก็ได้ นั้นคือ อมตะบุคคล

 

20/1/2556 10:20:25 อ่าน sms ของ 4424

0894424xxx 1)ถ้ามีตัวตน(สัสสตทิฐิ)เป็นความจริงแล้วไซร้,ฉะนั้นการพ้นทุกข์ย่อมไม่มีได้จริง!เพราะว่าถึงอย่างไร.ตัวตนนี้ก็ต้องแก่เจ็บตายคือทุกข์อยู่ดี!.

                        2)ถ้าไม่มีตัวตน(อุจเฉททิฐิ)เป็นความจริงแล้วไซร์,ฉะนั้นถึงทุกข์จะมีอยู่จริง.ก็ไม่มีใครได้รับทุกข์อันนั้น.ดังนั้นจะไปหาตัวตนได้มาจากที่ไหนให้มาปฏิบัตธรรมเพื่อพ้นทุกข์อีกด้วยเล่า?จริงไม๊!.

                                    จึงสรุปได้ว่า ทั้ง2ทิฐิคือทั้งเห็นว่ามีตัวตนและเห็นว่าไม่มีตัวตนล้วนเป็นมิจฉาทิฐิด้วยกันทั้งคู่!แต่โพธิรักเป็นคนสมองตื้นเลยไม่เข้าใจตามที่พุทธเจ้าตรัสไว้ว่าความเห็นว่ามีตัวตนและความเห็นว่าไม่มีตัวตน,ทั้ง2ความเห็นนี้เป็นสุดโต่งทั้ง2ด้าน,พุทธองค์จึงแสดงสัจธรรม(อนัตตา)ที่ตรงตามความเป็นจริง,โดยเรียกว่าธรรมสายกลางเพื่อให้ออกห่างจากมิจฉาทิฐิสุดโต่งทั้ง2 คือสุดโต่งด้านมีตัวตนกับสุดโต่งด้านไม่มีตัวตน.ซึ่งปุถุชนอย่างโพธิรักเข้าไม่ถึงสายกลางอนัตตา.จึงต้องเอียงไปเอียงมาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง!,กิจเพื่อความเป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนี้,ย่อมมิได้มี!

                        ฉะนั้นโพธิรักที่อ้างตนเป็นอรหันต์และกำลังสั่งสมคะแนนหรือหน่วยกิจบารมีเพื่อจะไปต่อเป็นพุทธเจ้านั้น.จึงเป็นเรื่องโหลยโท่ยโดยแท้.ฟันธงได้เลยว่าโพธิรักเป็นอรหันต์ปลอมชัวร์ล้าน%.ก็เหมือนกับมิสที่ชอบสมมุติตนเองเป็นมิสป่าตองนั่นแหละ,โดยถึงจะปลอมก็ช่าง,เพราะเมื่อสมมุติเป็นมิสหรือสมมุติเป็นอรหันต์แล้ว.ให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก! ใบไม้กำมือเดียวคือสอนเฉพาะที่มีสาระคือเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น,ส่วนใบไม้ทั้งป่าที่อยู่นอกกำมือล้วนไม่มีสาระจะดับทุกข์ได้,พุทธองค์จึงไม่ทรงนำมาสอน,เช่นเรื่องทางโลก,การเมืองการปกครอง,หรือความรู้เรื่องเอกภพ(ดาราจักร)เป็นต้น,แต่ฝ่ายนักบวชที่ชอบคุยโม้โอ้อวดทั้งหลายโดยเฉพาะอรหันโพธิรัก,ก็จะฉวยโอกาสบอกแก่บริวารว่า.เราจะแสดงธรรมที่อยู่นอกกำมือของพุทธเจ้าด้วย,ทั้งนี้ก็เพื่อจะโชว์อ๊อฟว่าตนแสนรู้นั่นเอง!

                                    0894424xxx ความเห็นว่ามีตัวตนย่อมเกิดจากอุปทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา),ทั้งความเห็นว่าไม่มีตัวตนก็ย่อมเกิดสืบเนื่องจากอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา)เช่นกัน.แต่เมื่อจิตหลุดพ้นจากอุปาทานว่าเป็นตัวตนแล้ว.ดังนั้นความเห็นว่ามีตัวตนก็ดีและความเห็นว่าไม่มีตัวตนก็ดี,ทั้ง2ความเห็นนี้ย่อมพลอยดับไปด้วย.แต่เนื่องจากสัมมาทิฐิคืออนัตตา(=ไม่ใช่ตัวตน)นี้หาผู้เข้าใจยาก!เพราะคนทั่วไป99.99%ล้วนเป็นปุถุชนทั้งนั้นรวมโพธิรักด้วย,ซึ่งย่อมกอร์ปไปด้วยอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ด้วยกันทั้งสิ้น,จึงชอบที่จะหลุดปากออกมาเป็นความเห็นว่ามีตัวตนหรือไม่ก็ไม่มีตัวตน,ไม่ความเห็นใดก็ความเห็นหนึ่งเช่นนี้เสมอ!โดยเข้าใจเอาเองว่านี่แหละคืออนัตตาซะอีกด้วย!!!มิใยที่อริยะเช่นเราจะทักแล้วทักอีก,เตือนแล้วเตือนอีก,SMSแล้วSMSอีก,โพธิรักก็ยังคงเป็นโพธิรัก!มิสก็ยังคงเป็นมิส!..ฉะนั้นจึงขอเอวังเพียงแค่นี้ก่อนเด้อฯ

 

20/1/2556 10:29:14 มี sms ของวันที่ 19 อีกว่า

                                    0894424xxx สมมุติว่ามีกระดาษตัดเป็นแผ่นวงกลม,โดยแบ่งครึ่งวงกลมเป็น2ด้านๆหนึ่งสีขาว,อีกด้านหนึ่งทาสีดำ,แล้วเจาะรูที่จุดศ.ก.แผ่นวงกลมเพื่อใส่ด้วยแกนดินสอ,จากนั้นให้หมุนแผ่นวงกลม,แล้วสังเกตุดูว่าขณะที่แผ่นวงกลมนี้หมุน,จะเห็นว่าแผ่นวงกลมได้กลายเป็นสีเทาแล้ว,โดยไม่มีสีขาวหรือสีดำเหลือให้เห็นอีกเลย!..

                        ฉันใดก็ฉันนั้น,ถ้าจะเปรียบรูปนามนี้ขณะที่ปรากฏอยู่(=มี)ว่าเป็นสีขาว,และเปรียบรูปนามขณะที่ดับไป(=ไม่มี)ว่าเป็นสีดำ, และเมื่อความเป็นจริงแล้ว,รูปนามนี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา,ฉะนั้นเมื่อเพ่งมองไปที่รูปนามขณะที่กำลังเกิดดับอยู่ด้วยปัญญาแล้ว,จึงไม่เห็นว่ารูปนามปรากฏอยู่อย่างเดียว,และอีกทั้งไม่เห็นว่ารูปนามดับอยู่อย่างเดียวด้วย.ซึ่งถ้าเห็นว่ารูปนามปรากฏอยู่ตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลง,ก็ย่อมหมายถึงว่ามีตัวตนเป็นสัมมาทิฐิ!และถ้าเห็นว่ารูปนามดับอยู่ตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลง,ก็ย่อมหมายถึงว่าไม่มีตัวตนเป็นสัมมาทิฐิ!

                        แต่ก็ดังที่กล่าวแล้วว่าโดยความเป็นจริง,รูปนามนี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา,ฉะนั้นแล้วจึงไม่สามารถเห็นรูปนามนี้ว่าปรากฏอยู่ตลอด(หรือไม่สามารถเห็นเป็นสีขาว),และอีกทั้งก็ไม่สามารถเห็นรูปนามนี้ว่าดับอยู่ตลอด(หรือไม่สามารถเห็นเป็นสีดำ),ฉะนั้นแล้วจะเห็นว่ารูปนามนี้เป็นเช่นไร?ซึ่งคำตอบก็คือเห็นเป็นอนัตตา(=ไม่ใช่ตัวตน)!หรือเห็นเป็นสีเทานั่นเอง,และต้องยอมรับว่าสีเทาก็ไม่ใช่สีขาว,และสีเทาก็ไม่ใช่สีดำ,ฉันใดก็ฉันนั้น..อนัตตาก็ไม่ใช่อัตตา            (=มีตัวตน)และอนัตตาก็ไม่ใช่นิรัตตา(=ไม่มีตัวตน)..

                        ฉะนั้นเมื่ออุตส่าห์หาคำอธิบายมาอย่างยากเย็นเช่นนี้แล้ว,จึงหวังว่าโพธิรักคงจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อย,แต่ถ้ายังไม่เข้าใจอีกละก็,นั่นย่อมแสดงว่า,โพธิรักเปรียบเหมือนคนที่ถูกธนูยิงได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส,แต่แทนที่จะรักษาทุกข์อันเกิดจากแผลธนูให้หายก่อน,แต่กลับไพล่ไปถามหาว่าใครเป็นคนยิง?ซึ่งย่อม=เป็นการถามหาอัตตา!.

                        จึงสรุปได้ว่าโพธิรักยังคงติดอัตตาอยู่นั่นเองความเห็นว่ามีตัวตนย่อมเกิดจากอุปทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา),ทั้งความเห็นว่าไม่มีตัวตนก็ย่อมเกิดสืบเนื่องจากอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา)เช่นกัน.แต่เมื่อจิตหลุดพ้นจากอุปาทานว่าเป็นตัวตนแล้ว.ดังนั้นความเห็นว่ามีตัวตนก็ดีและความเห็นว่าไม่มีตัวตนก็ดี,ทั้ง2ความเห็นนี้ย่อมพลอยดับไปด้วย.แต่เนื่องจากสัมมาทิฐิคืออนัตตา(=ไม่ใช่ตัวตน)นี้หาผู้เข้าใจยาก!เพราะคนทั่วไป99.99%ล้วนเป็นปุถุชนทั้งนั้นรวมโพธิรักด้วย,ซึ่งย่อมกอร์ปไปด้วยอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ด้วยกันทั้งสิ้น,จึงชอบที่จะหลุดปากออกมาเป็นความเห็นว่ามีตัวตนหรือไม่ก็ไม่มีตัวตน,ไม่ความเห็นใดก็ความเห็นหนึ่งเช่นนี้เสมอ!โดยเข้าใจเอาเองว่านี่แหละคืออนัตตาซะอีกด้วย!มิใยที่อริยะเช่นเราจะทักแล้วทักอีก,เตือนแล้วเตือนอีก,SMSแล้วSMSอีก,โพธิรักก็ยังคงเป็นโพธิรัก!มิสก็ยังคงเป็นมิส!ฉะนั้นจึงขอเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก,ก็เพื่อจะเพิ่มรอยหยักให้โพธิรักนั่นเอง

 

20/1/2556 10:39:27 ถ้าเอานิยายเซ็นของพระสองรูปไปด้วยกัน เห็นผู้หญิงตกน้ำ ก็เถียงกันว่า จะช่วยหรือไม่ พระรูปหนึ่งบอกว่าไม่ได้ผิดวินัย พระอีกรูปหนึ่งบอกต้องช่วย จึงกระโดดไปช่วย เสร็จแล้วเดินไป พระเคร่งวินัยก็บอกว่าท่านไม่น่าผิดวินัยเลย พระที่ไปช่วยไว้บอกว่า ผมวางผู้หญิงไปนานแล้ว แต่ท่านยังอุ้มไว้อยู่หรือไม่?....ซึ่งเป็นตรรกะเท่านั้น ความเป็นจริงพระที่ไปช่วยมีกามหรือไม่...หรือพระที่เคร่งวินัยยึดอยู่ ซึ่งพระที่จะผิดวินัยสังฆาทิเสสนั้น จะต้องประกอบด้วยการไปจับต้องการหญิงด้วยจิตมีกาม จึงต้องอาบัติ ส่วนในเรื่องที่จะเป็นกุศลในการช่วยคนให้รอดชีวิตนั้นเป็นส่วนกุศลจริง แต่ในปรมัตถ์ต้องไปอ่านจิตของตนดู

 

20/1/2556 10:43:45 มาวิเคราะห์วิจัยของ 4424  ที่ว่า ซึ่งถ้าเห็นว่ารูปนามปรากฏอยู่ตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลง,ก็ย่อมหมายถึงว่ามีตัวตนเป็นสัมมาทิฐิ!และถ้าเห็นว่ารูปนามดับอยู่ตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลง,ก็ย่อมหมายถึงว่าไม่มีตัวตนเป็นสัมมาทิฐิ!

พพจ.ท่านว่า ถ้าเห็นความจางคลายของกิเลสเรียกว่า วิราคานุปัสสี ถ้าเห็นความดับของกิเลสอีกเรียกว่า นิโรธานุปัสสี แล้วทำซ้ำทำทวนให้มันตายสนิทเรียกว่า ปฏินิสสัคคานุปสสี แต่คุณ 4424 นั้นแค่ขบคิดตรรกะใช้เหตุผลจึงไม่ได้มีรายละเอียดของการปฏิบัติ และพูดว่าตนเป็นอาริยะอีกด้วย

 

20/1/2556 10:47:01 ตั้งแต่ตอนต้นที่คุณ 4424 ว่าถ้ามีตัวตนคือสัสตะ ถ้าไม่มีตัวตนเรียกว่าอุทเฉททิฏฐิ
พ่อท่านว่า  ถ้ามีตัวตน นั้นมันจะมีทุกข์เพราะมันเป็นเหตุ ถ้าดับเหตุ คือดับตัวตน ทุกข์ก็จะหายไป ทุกข์ก็จะไม่มีตัวตน จะมีแต่สุขอย่างสงบจากกิเลส มีความว่างความเบาสบาย อุเบกขา รู้ความจริงตามจริง ไม่มีจิตชอบไม่ชอบ ไม่มีทั้งกามและอัตตา แต่จะรู้ความจริงตามสมมุติคือสมมุติสัจจะของคนทั่วไป เรารู้ว่าเขาติดปลาร้าก็จะรู้ได้ แต่เราจะรู้ว่าเราไม่ติดปลาร้า ซึ่งคือใบไม้กำมือเดียว ส่วนของคนอื่นคือใบไม้ทั้งป่า เมื่อเราจบกิจ เป็นอรหันต์ แล้วจะเรียนต่อใบไม้ทั้งป่า ซึ่งอาจต้องไปเกิดเพื่อเรียนรู้ บางที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ทั้งที่ท่านหมดทุกข์ตนแล้ว แต่ยังข้องใจในทุกข์ของคนอื่นสัตว์อื่น ก็ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานเพื่อเรียนรู้

 

20/1/2556 10:53:12 ผู้ที่มีปรมัตถสัจจะที่แท้จริง จะรู้สมมุติสัจจะด้วย ผู้ออกมาได้จะเห็นความวนของเขา อย่างของ คุณ4424นี่เอียงไปทางอุทเฉททิฏฐิ ซึ่งลึกๆก็มีสัสตะทิฏฐิลึกๆอยู่ เขาจะฝังว่าในเมื่อไม่มีตัวตนจะเอาอะไรไปปฏิบัติอีก ความคิดผิดเช่นนี้จะฝังลึกอยู่ในอนุสัยไปเรื่อยๆคือสัสตะไปเรื่อย คนยึดความไม่มีตัวตนนี่จะไม่รู้ตัวตนไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ เขาหลงปัญญาฉลาดว่า สัพเพอนัตตา ทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วจะเอาตัวตนไหนมาปฏิบัติ อย่างนี้ลึกมากน่าสงสาร อย่างพวกติดภพ เช่นอาฬารดาบส ทุทกอาบส นั้นจะจมลึกเท่าที่มีแรงของความยึดภพเท่านั้นจนกว่าจะหมดแรงก็จะตื่นมาแสวงหาอีก

 

20/1/2556 10:56:47 การไม่รู้ตัวเหตุเพราะเอาแต่นึกคิดเอาเอง การสรุปว่าจะเอาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ คือการกล่าวตู่คำสอนของพพจ. การไปสมมุติแค่วัตถุมาอธิบายนั้นเป็นเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้น เขานึกว่าพ่อท่านไม่มีปัญญารู้หรอก ขอบคุณที่คิดประเด็นมาให้บรรยาย

 

20/1/2556 10:59:15 สรุปว่า ในเรื่องการศึกษาของพพจ. ปฏิจจสมุปบาทเป็นตัวจริงที่จะต้องศึกษา

มันเริ่มที่อวิชชา ซึ่งคนทุกคนเกิดมามีอวิชชา ยังไม่เป็นอรหันต์ แม้แต่เป็นอรหันต์เกิดมายังมีลิงลมอมข้าวพองอย่างพพจ.เป็นต้น

 

20/1/2556 11:04:37 ในอุปาทานพพจ.แบ่งไว้ 4 ความเห็น

1.ทิฏฐุปาทาน อย่าง 4424 คือทิฏฐุปาทาน เพราะบอกไว้ว่า ไม่ต้องเอาอะไรไปปฏิบัติ ซึ่งได้แต่ทิฏฐิ ยังไม่ได้พูดถึงกามุปาทานเลย เขาจะเสพกามด้วยจิตวาง อย่างคนฐานะดี จะใช้เงินบำเรอความอยากได้มาก ถ้าทุกข์มาก็จะทำการปัดทิ้งไป บำบัดเพียงชั่วคราว

2.กามุปาทาน

3.ศีลพตุปาทาน

4.อัตวาทุปาทาน...อันนี้จะตกหนัก เพราะ ยึดได้แต่อัตตาที่ว่าไม่ใช่ตัวตน มีแต่ทิฏฐุปาทาน อัตาวาทุปาทานเท่านั้น พวกนี้อุทเฉททิฏฐิ พวกนี้จึงปิดนิพพาน ก็น่าสงสาร

 

20/1/2556 11:07:47 ส.เพาะพุทธ ...พ่อครูได้เชื่อมโยงให้เห็นถึง อัตวาทุปาทาน คือการใช้วาทะความเห็นความรู้สะกดจิตตัวเอง เป็นวิกขัมภนปหาน คือเขวี้ยงทุกข์ทิ้งของคนมีฐานะ แม้แต่ทิฏฐุปาทาน ยึดทิฏฐิ จนกลายมาเป็นอัตวาทุปาทาน เช่นเมื่อไม่มีกระจกก็จะเอาอะไรไปเช็ดกระจกให้ใสอีกเล่า...ความคิดเช่นนี้น่ากลัวมากในโลก พ่อครูบวชมา 36 ปี พระโพธิสัตว์นั้นหมดทุกข์ตนเองแล้ว แต่จะเรียนรู้ทุกข์ของสัตว์โลกเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นใบไม้ทั้งป่า

            อุทเฉททิฏฐิน่ากลัวกว่าสัสตะทิฏฐิ ส่วนพุทธศาสนาทั่วไป สายปัญญาอย่างจีนจะเป็นอุทเฉททิฏฐิ ส่วนสายเจโตอย่างอินเดียจะเป็นสัสตะทิฏฐิ ซ

            ความอยากนั้นวิภวตัณหาคือความอยากที่เราต้องมีต้องเป็นต้องใช้

            สมองเสื่้อมได้ วิญญาณนั้นถ้าถึงขึ้นนิยตะวิญญาณจะไม่เสื่อม

            เราปฏิบัติธรรมอย่าข้ามขั้น เน้นโผฏฐัพพารมณ์ มากกว่า ธรรมารมย์ เน้นอายตนะนอกมากว่าอายตนะใน ซึ่งคนทั่วไปจะเอาแต่ใจไม่ยึด วางนิ่งเฉย แต่ไม่ได้เรียนรู้กิเลสที่จะให้บรรลุธรรมไปตามขั้นตอนอย่างแท้จริง ไม่ไปติดในทิฏฐิ ในนิมิต ต่างๆ เพราะไม่รู้อัตตาตามขั้นตอนที่แท้จริง

            อยากเสพนั้นไม่ควรมี แต่อยากสร้างสรรนั้นควรมีต่อไป......20/1/2556 11:15:12 จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:55:39 )

560122

รายละเอียด

560122_รายการสงครามสังคมฯ โดยพ่อท่าน เรื่อง สัมมาทิฏฐิ 10 แท้ของพุทธ

  1. พ่อครูเกริ่นที่ห้องกันเกรา สันติฯ ว่า ....ได้ค้างเอาไว้ในเรื่องของทิฏฐิ 10 เป็นเรื่องที่สำคัญมากถ้าความเห็นไม่สัมมาแล้วปฏิบัติธรรมให้ตาย ก็ไม่ถึงนิพพาน เพราะผิดตั้งแต่บทแรก จึงต้องทำความเข้าใจให้ดีเป็นปฐม

วันนี้จะนำเอา sms มาอ่านให้ฟังอย่าง คุณ 0838677xxx วิภวตัณหาตีความไปคนละเรื่องนอกคำสอนเลยศึกษาดี ๅ

ซึ่งพ่อท่านก็เข้าใจสิ่งที่เขาสอนกัน แต่พ่อท่านก็มีความเห็นต่างว่าอย่างนั้นยังไม่ใช่ และแย้งอย่างไม่ได้เพื่อเอาชนะหรือให้โก้หรูแต่อย่างใด เพราะคำว่าวิภวภพ นั้นคำว่าวิ คือไม่ ในตัณหา 3 ถ้าปรารถนามีกามก็คือกามตัณหา ในภวตัณหา คือ รูปาวจร อรูปาวจร ถ้าไล่ไปตามล้างภพทั้ง 3 นั้น จึงเป็นความถูกต้องที่แท้จริง อย่างที่ท่านสอนนั้น พ่อท่านก็เข้าใจ ว่าอย่างนั้นท่านไม่ได้ดับมาตั้งแต่กามภพไล่เรียงมา 

0838677xxx สิ่งที่อโศกคุยว่าลดละเลิกได้ก็ไม่ได้ต่างกับสำนักอื่นแต่คุยอวดมากกว่า

0838677xxx สิ่งที่อโศกคุยว่าลดละเลิกได้ก็ไม่ได้ต่างกับสำนักอื่นแต่คุยอวดมากกว่า

แต่พ่อท่านว่าต่าง แต่ที่บอกว่าเราคุยอวดได้มากกว่านั้นเพราะเรามีมา

0867081xxx เรียนรู้ฝึกฝนตามแนวทางอโศกพ่อครูสอนให้เข้าใจความเป์นจริงของชีวิตคุณจะพบความสุขนะครับ4424

0814727xxx โพธิรักอ้างคำสอนเพื่อรองรับสิ่งที่ตนทำโดยไม่ได้ทำตามคำสอน

0815371xxx เจริญธรรมสำนึกดีพี่น้องชาวอโศกทุกท่านสิ่งที่ปฎิบัติอยู่มันยากที่คนดูจากSMS4424ก็รู้ว่าใจสูงหรือต่ำใจสะอาดหรือสกปรก ดิ้นพราดเลยธรรดาจะเข้าใจครับ

0861214xxx การฟังเทศน์พ่อท่านต้องฟังด้วยจิตพินิจจึงจะเข้าใจเพราะไม่ใช่การเทศน์ให้ลุ่มหลงอย่างที่คนทั่วไปกุ้นชินจ้ะ

0849181xxx ระยะทางพิสูจน็ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน :

 

  1. มาเข้าเรื่องของทิฏฐิ 10

สัมมาทิฏฐิข้อแรกคือ

1.   ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

คำว่าทาน เป็นทานที่ทำแล้ว ให้แล้ว ทานที่ปฏิบัติสำเร็จแล้ว แล้วไม่ได้เกิดผลชำระกิเลสให้เกิดความหนายคลาย ซึ่งในสังคมก็ไม่มีการสอนให้ทำใจให้ละกิเลสในการทาน มีแต่สอนให้ขอ คือการทำใจให้มีความโลภสูงขึ้น ให้รวยมากๆให้ได้บุญใหญ่ ยิ่งทำยิ่งความโลภยิ่งมาก เพราะทำใจในใจไม่เป็น คือทำจิตให้ลดละกิเลสไม่เป็น

ในบุญกิริยาวัตถุมี

    1. 1.    ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ - การสละออก) 2.   ศีลมัย (บุญสำเร็จด้วยการชำระล้างกิเลสออก) 3.    ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยการทำผลเจริญให้จิต)

แต่ที่เขาทำกันทุกวันนี้เป็นเรื่องผิดที่ทำให้ใหญ่โต เป็นการบำรุงบำเรอกิเลสให้หนาให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

2.   ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

  1. 3.   สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

คือการทำเพื่อให้เกิดสิ่งเจริญงอกงาม สิ่งที่จะทำให้เจิรญคือการลดละกิเลส คือการทำ ทาน ศีล ภาวนา คือให้เกิดผลลดกิเลส

โดยการใช้อนุปัสสี 4

1.   อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา).

2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

3.   นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

 

  1. 4.   ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  . 
    (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

จะเห็นจากกรรมที่เราทำ ว่าจะทำให้ลดกิเลสหรือเพิ่มกิเลส จะเป็นโลกียธรรมหรือโลกุตรธรรม ก็รู้จากกรรม

5.   โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .

การไม่สามารถทำให้หยุดวนได้เพราะจิตยังมีเหตุคือโลกสมุทัยอยู่ จนกว่าจะดับสมุทัยได้ คือมีนิโรธ ก็ได้โลกนิโรธ จะไม่วนอีกต่อไป จะมีโลกดับ

คำว่าปรโลกถ้าอธิบายว่าคือการตายไปอยู่ในโลกที่เป็นการตายเกิดทางร่างกายในภายหน้านั้นไม่ถูกทาง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านไม่สอน ท่านสอนภพหรือโลกในปัจจุบันขณะ

   คำว่าโลกนี้คือคุณวนอยู่ในโลกีย์ด้วยอวิชชา มีสุขทุกข์แบบโลกีย์ ได้โลกธรรมก็สุข ได้กามได้อัตตาก็สุข ทุกคนในโลกีย์ก็เป็นแบบนี้ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า พอรู้แล้วก็ออกมาคือมาอยู่ใน

6.   โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

คือโลกที่ไม่ต้องไปวนเวียนสุขทุกข์เพราะโลกธรรม กามหรืออัตตา ซึ่งต้องทำตามลำดับ

       ผู้ที่รู้ก็จะดับโลกสมุทัย จะไม่เกิดสุขทุกข์แบบโลกีย์อีกแล้ว มีแต่ความว่างสบาย ตัวเหตุปัจจัยของตัวตนหมด

7.   พ่อท่านได้อธิบายถึงจิตของสัตว์โอปปาติกะ ในคนที่ปฏิบัติศีล เริ่มต้นที่ศีล 5 แล้วเรียนรู้ที่จะอ่านจิต ในขณะปฏิบัติลดกิเลส ขณะปฏิบัติศีล โดยมีปัญญารู้ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ

มาล้างทั้งสัตว์นรกและเทวดาสมมุติ คือสมมุติเทพ ซึ่งคือจิตที่เสพสุข ซึ่งเป็นสุขเท็จ ปฏิบัติตั้งแต่ศีล 5 ละเลิกจากการติด โดยมีปัญญารู้แจ้งรู้จริงตาม ปัญญาจะทำการดับสังโยชน์คือเครื่องผูกสัตว์

       ถ้าทำตามจารีตประเพณี ทำศีลอย่างตามๆกันมา ก็จะไม่ได้ผลในการลดละกิเลสได้

8. ต่อไปเป็นการตอบปัญหา และประเด็นที่ส่งมา

- มีผู้นั่งสมาธิเป็นเวลาหลายร้อยหลายพัน ชม.เป็นพระอาริยะ โสดาฯ สกิทาฯ เป็นได้ไหม?...ตอบ..การนั่งสมาธิหลับตาเป็นอุปการะบ้าง แต่ไม่ใช่วิธีของพุทธ เป็นวิธีที่ทำกันมาทั่วไป ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิไม่พาบรรลุธรรม แต่ถ้าผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้วการนั่งสมาธิจะช่วยได้ เป็นการปฏิบัติในภพ ซึ่งไม่ใช่การลดกิเลสที่แท้จริง ของพระพุทธเจ้านั้นให้ปฏิบัติอย่างกาเยนะผุสิตะวาวิหารติ คือ มีกายสัมผัสอยู่รู้กิเลสในปัจจุบันขณะที่ผัสสะ

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ
แบบสะกดจิตให้สงบ (เจโตสมถะ)

1.   ได้พักผ่อนแบบสงบจิต

2.   ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.   เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

เตวิชโช มี 3 ข้อคือ

1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อาริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

2. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรือสัตว์อริยะ) .

3. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

4.   สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง   ฤทธิ์ที่พาไปสู่การดับระงับกิเลส  เพื่อนิโรธ - นิพพาน)  ข้อนี้ไม่แนะนำให้ปฏิบัติ เพราะเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์

การปฏิบัติสัมมาสมาธิของพระอาริยะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย

ดังนั้นที่ถามมา ถ้าผู้ใดปฏิบัติถูก ก็นั่งหลับตาไปตรวจสอบตนเองก็ใช้ แต่ถ้าไม่สั

  • เมื่อเราสัมมาทิฏฐิเราก็ปฏิบัติแค่รู้แค่ทางทวาร 6 เวทนา 3 ทำไมต้องรู้หมวดธรรมต่างๆมากมาย...ตอบ ก็รู้แค่นั้นก็ปฏิบัติแค่นั้น ถ้าเรารู้ละเอียดมากขึ้นจะได้รู้ว่าเราปฏิบัติได้ละเอียดขึ้น อย่างเวทนา 3 ถ้าเรารู้ในเวทนา 108 เราก็จะรู้ทั้ง ส่วนอดีต ส่วนอนาคต เราก็จะรู้ชัดเจน ส่งเสริมให้เราปฏิบัติได้
  • ขอบอกพระมหา 4424 ด้วยว่า เปรียญธรรม 9 เอามาวัดความเป็นคนดีไม่ได้....ตอบ คุณจะเดาเอาหรือรู้ความจริงก็ไม่รู้ ...แต่ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ เปรียญ 9 ก็ยิ่งส่งเสริมในการปฏิบัติ แต่ถ้าไม่สัมมานั้น ก็ไม่มีประโยชน์ หรือแม้รู้แต่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างถูกทางก็ไม่พ้นศีลพตปรามาส คุณก็ไม่พ้นสังโยชน์ข้อ 1
  • เวลาในโลกทางจิตกับเวลาในโลกเท่ากันไหม....ตอบ...เวลาในจิตที่มีนรกสวรรค์นั้นเอาเวลาทางโลกไปจับไม่ได้
  • มีคนบอกว่า เสรี ก็เป็นคนของทักษิณที่มาตัดคะแนนสุขุมพันธ์..ตอบ....พ่อท่านไม่ได้มองอย่างเกมทางการเมือง ไม่มองว่าใครจะมาตัดคะแนนใคร ไม่เกี่ยง มีแต่จะทำงานเพื่อสังคม ก็มีความเห็นว่า ผู้ว่าฯกทม.ต้องมีคนใดคนหนึ่ง ซึ่งใครจะเล่นเล่ห์หรือตัดคะแนนก็แล้วแต่ แต่พ่อท่านมุ่งที่คนไหนเหมาะที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ ก็ไม่รู้ก็ดูไป แต่เท่าที่มีก็เห็นว่า คุณเสรีพิสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นผู้ว่า ก็บอกไปตามความจริง เราตรงๆซื่อๆในจุดสำคัญที่มุ่งหมาย มองที่คน แล้วจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แล้วก็จะไม่ถามคุณเสรีด้วย ผิดถูกก็คือเรามีวิจารนญาณ และมั่นใจว่าไม่ผิด
  • ภูผาฯหนาวแล้ว อย่าลืมแอ่วหาเด้อ....ตอบ..พ่อท่านก็แจ้งล่วงหน้าว่า ไม่ได้ไปฉลองหนาวในปีนี้เพราะความไม่เหมาะสมหลายประการ
  • ขอบอกว่า เราได้เงินจากการทำงานขยะ เอามาทำ FMTV ซึ่งรายได้จริงคือได้มาจากขยะ คนอาจไม่เชื่อแต่เป็นจริง แต่ก่อนเรามีโฆษณา แต่ไม่เหมาะกับการปฏิบัติธรรม เราก็เลือกสินค้ามาออก ต่อมาเราก็ไม่เอาโฆษณา เราช่วยกันทำเพื่อให้ออกทีวีดาวเทียมได้ มีทั้ง NSS 6และ Thaicom ซึ่งพวกเราปรึกษากันก็พอถูไถไปได้
  • ดิฉันไปที่สขจ. มีจนท.บอกราคาของว่า 100 บาท คาดว่าสมณะบอก เรียนถามว่า สมณะตั้งราคาของได้ไหม....แต่ก็น่าจะได้เพราะไม่ได้ขายของ...ตอบ...สมณะเราก็ไปเสริมแยกขยะกัน ในเรื่องขายตั้งราคา เขาก็ถามมาพระก็ไม่ได้ไปกำหนดราคาอะไร ก็อาจจะได้ยินมา
  • เวลาตากระทบรูป ถ้ายังไม่ละสายตาไป ความสุขก็หายไปแล้ว...แล้วความสุขก็ยังอยู่....เราจะใช้มรรค 8 หรือโพชฌงค์ 7 ในการปฏิบัติ...ตอบ.... ก็ได้ เห็นความไม่เที่ยงของมัน ของจริงมันไม่มีแล้ว มีแต่ของจำ ที่สุขด้วยการสัมผัสนั้น มันไม่มีแล้ว สัมผัสอยู่มันก็หายไปแล้ว ...ให้อ่านอารมณ์ ว่าสัมผัสแล้วอาการสุขมันแวบเดียวมันก็หายไป พอขาดสัมผัสมันก็หายไป ในความสุขทุกข์นั้นมีอยู่ขณะที่เป็นๆยังไม่ตาย ตายไปแล้วมีแต่สุขในความจำในรูปภพ อรูปภพ ซึ่งก็คืออุปาทายรูป ปั้นขึ้นมาใหม่มาสุขทุกข์อยู่เละเทะ สุขเท็จซึ่งรู้สึกจริงๆนั้นเกิดในปัจจุบันขณะสัมผัสเท่านั้น
  • โสดาบันตายไปแล้วชาติหน้าจะเกิดเป็นเดรัจฉานหรือไม่...ตอบ ถ้าโดยรูปซึ่งเป็นสัตว์สี่ขาสองขา นั้นก็เป็นได้ ไปใช้วิบาก แต่ในวิญาณนั้น จิตจะปิดอบาย คือไม่มีอารมณ์อาการอบายเกิดอีก แต่เกิดเป็นรูปกายอื่นเป็นสัตว์สี่ขาก็ได้ ....แต่เป็นอจิตไตยที่ จะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำเดรัจฉาน...นั้นเป็นเรื่องไม่ต้องคิดอจินไตย แต่รู้ว่าเราหมดความหมุนวนในจิต
  • รู้ว่าธรรมกายสอนผิดทาง...ถามว่าคนที่ปฏิบัติอย่างธรรมกายเขาจะได้ปิติบ้างไหม..ตอบ...เขาก็สอนเรื่องอบาย ให้เลิกมาทำมาหากิน ให้รวยๆดีกว่า...นั่นเป็นการกดข่มสมถะไว้ เขาก็รักดีเหมือนกันก็ตั้งใจทำมาหากิน แต่ไม่ได้ล้างกิเลสจริง เช่นเดียวกับฤาษี ไม่ทำชั่ว แต่ข่มไว้ได้นานนับชาติ
  • อยากได้ข้อสรุปเป็นข้อๆ ที่พ่อครูอินเสิร์ทจดไม่ทัน...ตอบ..ให้ติดตามไปเรื่อยๆเราสอนซ้ำทวนอยู่
  • เป็นอะไรถึงจะดีที่สุด...ตอบ...เป็นพระพุทธเจ้าจึงจะดีที่สุด เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็เป็นอรหันต์ ก็ดีที่สุดแล้ว อย่างอื่นไม่มีดีกว่านี้
  • เห็นเพื่อนชายที่แต่งงานแล้วแต่มีความสุขกับการมีผู้หญิงมากหน้าหลายตา ผู้หญิงหลายคนก็ทุกข์เพราะเขา เห็นเขามีสุขดี...ตอบ ...วิบากยังไม่มาถึง ถ้าเป็นความชั่วอย่าไปมองเขาในทางสุข เราไม่น่าสงเสริมมองทา
  • คนที่เลวไม่รู้ตัวกลับไปว่าคนอื่นที่ดีอยู่แล้วเรียกว่า..ตอบ..เรียกว่าคนที่ไม่รู้ตัว เป็นคนหลงตัว ไม่ดูตัวเอง คือ ไม่รู้จักตัวเอง ไปทำนาคนอื่น ไม่ทำนาตนเอง....ถ้าจะมองให้ดีก็มองเอาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอย่าไปทำตาม
  • ดิฉันไม่เลือกเสาไฟฟ้า จะเลือกเสรีฯ เพราะคงเลวกว่าเสาไฟฟ้าสองเสา...ตอบ....ที่เขามองว่าตนเองมีคนนิยมมากมั่นใจตนเองมากว่าคนเขาต้องเลือกหัวหน้า เลือกพรรคตนแน่ แม้จะส่งเสาไฟฟ้า ก็จะได้รับเลือกตั้ง ดีไม่พูดว่าส่งหมูหมาก็ได้รับเลือก...
  • เทวดามีจริงหรือไม่ พ่อท่านเคยเห็นหรือไม่...ตอบ เห็นๆ พ่อท่านเห็นเทวดาจริง ผีจริง พรหมจริง.....เทวดาเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ นอกจิตวิญญาณไม่มีเทวดา ผี หรือพรหม จะบอกว่าเทวดา ผี พรหม อยู่ที่ต้นไม้ นั้นไม่ได้ ต้นไม้ไม่มีวิญญาณ จะบอกว่าผีสิงอยู่ที่ต้นไม้นั้น .....ขออธิบายว่า ในวิญญาณมนุษย์เป็นๆ นี่แหละ เมื่อมนุษย์มองเห็นต้นไม้เห็นคุณค่า ก็ยินดีชอบในต้นไม้ เมื่อมีหลายคนมายินดีรักต้นไม่ ก็มีจิตวิญญาณรวมกันที่ต้นไม้มาก ก็จะอนุรักษ์ต้นไม่ ถ้ามีคนไปตัดต้นไม้จะมีผีไปหักคอนั้นไม่จริงหรอก  ...เมื่อก่อนพ่อท่านเล่นไสยศาสตร์ ถ้ามีต้นไหนมีผีสิง ก็ทำพิธีไล่ผี ตัดต้นไม้มา ก็ไม่เห็นผีมาหักคอ ถอนศาลพระภูมิ ตั้งศาลพระภูมิก็ทำมามาก
    • จิตของเราใฝ่ต่ำคือผี มีกิเลสกามก็ผีกาม ในรูปาวจร อรูปาวจรกิเลสก็คือผี เทวดานั้นคือเราบำบัดกิเลสก็ได้เป็นเทวดาปลอม แต่เทวดาอุบัติเทพคือปฏิบัติลดละกิเลสได้ก็เกิดเป็นเทวดา เราดับอบายก็เป็นเทวดาโสดาบัน บริสุทธิ์ได้ก็คือจิตพรหม สูงไปเรื่อย จะนับขั้นพรหมจริงๆคือนับตั้งแต่อนาคามี

พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้จักเทวดามารพรหมจริง ผู้ที่จะเห็นผี เทวดา มาร พรหม ที่แท้จริงมีแต่พระอรหันต์กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น

  • ส.บินก้าวไปจูนทีวีที่อินเดีย มีFMTV ดูได้ชัดมาก...
  • ในการเผยแพร่ไป แม้แต่คนไทย พ่อท่านทำงานมา 40 ปีก็ใช้ภาษาสื่อกัน ใช้พฤติกรรมกิริยาทางกายก็ไม่ชัดเท่ากับภาษา ที่ไม่เผยแพร่ไปต่างประเทศ เพราะไม่ถนัดภาษา และเราไม่มักใหญ่เราทำตามกรอบที่พอทำได้ เราไม่มีอยากให้คนรู้กว้างไกลมักใหญ่นั้นมันจะทำลายมากกว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมความมักใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะปฏิเสธ ถ้าเหตุปัจจัยพอจะขยายก็ทำ พยายามระมัดระวังไม่ให้ฟ่าม อยากให้แน่นจะได้ไกลได้นาน  แม้ว่าปัจจุบันจะแพร่ไป 170 ประเทศ ก็อาจมีผลดี เพราะทำงานมา 40 ปี ประเทศไทยอาจจะหมดแล้ว นอกนั้นก็ฟังแล้วบาดหู พามาจนเขารับไม่ได้ แม้เขาจะเข้าใจแต่เขายังไม่เอาก็มี เพราะฉะนั้น 40 ปีก็เกือบจะรู้กันหมดแล้ว จะเผยแพร่ออกไปต่างประเทศบ้างก็ดี แม้ฟังไม่รู้แต่ภาพมันสื่อชัดเจน ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดพันคำ ....
     

02 ชม.  00นาที

เริ่ม 18:05  จบเมื่อ 20:06 น.)


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:57:34 )

560124

รายละเอียด

24/1/2556 17:59:31 รายการสงครามสังคมธรรมะ การเมือง โดยพ่อท่าน....เรื่อง...ตอบด้วยอาริยสัจแห่งชีวิต

 

24/1/2556 18:07:09 พ่อท่านเปิดรายการที่ห้องกันเกราสันติฯ.....เริ่มรายการจะอ่านประเด็นที่คุณ 4424 ส่งมาให้เมื่อนำมาต่อกันยาวถึงสองหน้าครึ่ง.....ท่านก็คงปรารถนาดีจึงส่งมา....

0894424xxx เมื่อความทุกข์กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า,สมควรหรือไม่ที่จะมัวถามหาว่าใครเป็นผู้กระทำให้ทุกข์เกิดขึ้น?หรือว่าทุกข์นั้นเกิดขึ้นเองโดยหามีใครเป็นผู้กระทำไม่,ใช่หรือไม่?ซึ่งคำถามทั้งหลายเหล่านี้ไม่สมควรจะถามอย่างยิ่ง,เพราะสมควรจะกระทำซึ่งความดับทุกข์ก่อนมากกว่า!เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกธนูยิง,สมควรจะรักษาแผลให้หายเสียก่อน.ซึ่งที่พุทธเจ้าตรัส ไว้เช่นนี้,ก็เพราะว่าปุถุชนทั้งหลายมีวิจิกิจฉาลังเลสงสัยมาก,จึงไม่รู้ว่า,ไปโดยปริยาย!นั่นเพราะจะเป็นเช่นเดียวกับอรหันต์ที่เมื่อทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นไปแล้ว,คำถามที่จะสงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำถ้าเมื่อความทุกข์อันเกิดจากแผลธนูได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว,คำถามทั้งหลายเหล่านั้นย่อมเป็นอันถูกยกเลิกให้ทุกข์เกิดขึ้น?หรือที่จะสงสัยว่าทุกข์เกิดขึ้นเอง,โดยหามีผู้กระทำให้เกิดขึ้นไม่?ซึ่งคำถามทั้งหลายเหล่านี้ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย!ในเมื่อทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นไปแล้ว,และนี่แหละคือสาเหตุที่ว่าทำไม?พุทธเจ้าถึงตรัสว่าให้รักษาแผลธนูอันเป็นทุกข์ให้หายก่อน!แทนที่จะเสียเวลาไปถามหาว่าใครเป็นผู้ยิง?หรือถ้าเทียบเป็นทางธรรม,ก็=การถามหาว่าอัตตามีอยู่จริง!หรือว่าอัตตาไม่มีอยู่จริง!นั่นเอง,ซึ่งข้อวิจิกิจฉาในเรื่องของอัตตานี้,พุทธเจ้าจะเลี่ยง,ไม่ตอบ!นั่นเพราะอะไร?ก็เพราะว่าปุถุชนยังฝังหัวอยู่ด้วยอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตน!ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะให้ปุถุชนเข้าใจถึงคำตอบที่คืออนัตตาได้!ซึ่งอนัตตานี่แหละไม่มีในศาสนาอื่น,แต่มีเฉพาะในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น!และก็มิได้หมายความว่า,เมื่อศาสนาพุทธปฏิเสธเรื่องมีอัตตาแล้ว,ก็จะไปยอมรับในเรื่องไม่มีอัตตาดังที่คนทั่วไปเข้าใจกันนั้น,ก็หาไม่!.ในทางโลก,เขาวัดความฉลาดกันด้วยIQ,ส่วนในทางธรรมก็แบ่งปัญญาเป็น3ขั้น(ต่ำ,กลาง,สูง)คือสุตะ,จินตา,ภาวนา.ซึ่งปัญญาที่จะรู้ถึงอนัตตาได้,ต้องเป็นระดับสูงคือภาวนาเท่านั้น!ฉะนั้นแม้ในชาวพุทธเอง,จะหาผู้มีปัญญารู้ถึงอนัตตาได้,จึงหาได้ยากยิ่งนัก!,แต่ถึงอย่างไร,ถ้าผู้ศึกษามีปัญญาอยู่ในขั้นกลางคือจินตามยปัญญา,ก็ยังพอสามารถจะนึกตรองตามได้,เช่นสมมุติว่า..มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่เครื่องหนึ่ง,ก่อนจะใช้งาน,ก็ต้องป้อนข้อมูลเข้าไปก่อน,เช่นเอาปากกามาวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงที่ลูกตาของมัน,แล้วป้อนข้อมูลบอกกับมันว่า,นี้คือปากกา!,เสร็จแล้วลองชี้ไปที่ปากกาตรงหน้ามัน,แล้วถามมันว่า,ปากกามีอยู่ไหม?ซึ่งแน่นอนมันย่อมตอบว่ามี!,จากนั้นให้เอาปากกาออก,แล้วลองชี้ไปที่เดิมซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าแล้ว,ถามมันใหม่ว่าปากกามีอยู่ไหม?ซึ่งแน่นอน,มันย่อมตอบว่าไม่มี!.ถึงตอนนี้แล้ว,ให้ทำการลบข้อมูลที่ป้อนไว้แต่ทีแรกที่ว่า,นี้คือปากกา,ออกเสียจากเครื่อง.ซึ่งเมื่อข้อมูลถูกลบไปแล้ว,ทีนี้ให้เอาปากกามาวางใหม่ตรงที่เดิม,แล้วชี้ไปที่ปากกา,ถามมันใหม่ว่าปากกามีอยู่ไหม?มันก็จะตอบเป็นอักษรLที่แปลว่าตอบไม่ได้!,จากนั้นให้เอาปากกาออก,แล้วชี้ไปตรงที่เอาปากกาออก,ถามมันใหม่อีกครั้งว่าปากกามีอยู่ไหม?ซึ่งมันก็จะตอบเป็นอักษรLที่แปลว่าตอบไม่ได้อีกเช่นกัน!,สรุปก็คือว่าเมื่อเอาข้อมูลที่ว่า,นี้คือปากกา,ออกเสียจากเครื่องแล้ว,มันก็ไม่สามารถจะตอบได้ว่ามีปากกาหรือไม่มีปากกาได้เหมือนเดิมอีกแล้ว!,ฉันใดก็ฉันนั้น.ถ้าจะเปรียบจิตเหมือนกับเครื่องคอมฯ,อุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตนก็ย่อมเปรียบเหมือนกับข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไปในเครื่อง,ซึ่งธรรมดา..ปุถุชนย่อมถูกฝังหัวไว้แล้วด้วยอุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตนมานานแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน!,ฉะนั้นรูปนามของปุถุชนจึงย่อมมิใช่รูปนามPureๆ,เช่นรูปก็มิใช่รูปPureแต่เป็นรูปูปาทานักขันโธ(รูป+อุปาทาน),เวทนาก็มิใช่เวทนาPureแต่เป็นเวทนูปาทานักขันโธ(เวทนา+อุปาทาน),สัญญาก็มิใช่สัญญาPureแต่เป็นสัญญูปาทานักขันโธ(สัญญา+อุปาทาน).ฯ.และซึ่งปุถุชนยังกอร์ปอยู่ด้วยอุปาทานคือข้อมูลที่ว่ารูปนามเป็นตัวตนเช่นนี้แล้ว,ฉะนั้นจึงย่อมก่อให้เกิดความเห็นผิดได้!เช่นว่า,เมื่อเห็นรูปนามปรากฏอยู่ตรงหน้า,ก็จะกล่าวว่ารูปนามมีตัวตน,และเมื่อเห็นรูปนามดับหายลับไปตรงหน้า,ก็จะกล่าวว่ารูปนามไม่มีตัวตน..ซึ่งทิฐิคือความเห็นของปุถุชนเยี่ยงนี้,ย่อมจะไม่ตรงกับสัจธรรมความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์!,แต่สำหรับผู้ที่มีจิตหลุดพ้นเพราะเห็นสัจธรรมความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์แล้ว,ย่อมหมายถึงว่า,อุปาทานในรูปนามว่าเป็นตัวตนหรือคือข้อมูลที่เคยฝังหัวอยู่ไว้ในจิตย่อมจะถูกลบออกไปจนหมดสิ้น,ฉะนั้นรูปนามของผู้หลุดพ้นนี้จึงกลายมาเป็นรูปนามที่บริสุทธ์!เช่นรูปก็คงเป็นรูป,เวทนาก็คงเป็นเวทนา,สัญญาก็คงเป็นสัญญาเป็นต้น,โดยที่ขันธ์5คือรูป,เวทนา,สัญญา,ฯ,ยังคงอยู่ครบ,เพียงแต่มิได้+กับอุปาทาน!เท่านั้นเอง..ซึ่งจิตที่หลุดพ้นจากอุปาทานเพราะได้ลบข้อมูลที่ว่าเป็นตัวตนไปแล้วนั้น,ก็ย่อมเปรียบเหมือนกับเครื่องคอมฯที่ถูกลบข้อมูล(ว่านี้เป็นปากกา)ออกไปแล้วนั่นเอง,แต่ก็มีต่างกัน,ตรงที่ข้อมูลในคอมฯที่ถูกลบออกไปนั้น,เป็นการลบทิ้งสัญญา,แต่ส่วนสัญญาในจิตที่หลุดพ้นนั้น,มิได้หายไปไหน!แต่ยังคงอยู่เป็นสัญญาบริสุทธ์ที่มิได้+ด้วยอุปาทานเท่านั้นเอง,และเมื่อเครื่องคอมฯถูกลบข้อมูลออกไ ปแล้ว,จึงไม่สามารถจะตอบได้ว่ามีปากกาหรือไม่มีปากกา,ฉันใด..จิตที่หลุดพ้นจากอุปาทานเพราะได้เห็นปรมัตถธรรมคืออนัตตานั้นแล้ว,ก็ฉันนั้น!เพราะเมื่ออุปาทานว่ารูปนามเป็นตัวตนได้ถูกลบออกไป(จากจิต)แล้ว,จึงย่อมไม่กล่าวว่า,รูปนามมีตัวตน!และอีกทั้งย่อมไม่กล่าวว่า,รูปนามไม่มีตัวตน! ซึ่งนั่นย่อมแสดงว่า,ทั้งมีตัวตนและทั้งไม่มีตัวตนย่อมเป็นมิจฉาทิฐิทั้งคู่!.เมื่อปุถุชนฟังแล้ว,แน่นอนว่าย่อมจะไม่เข้าใจ!โดยเฉพาะโพธิรักต้องหูหักแง๋ๆ,ทั้งนี้ก็เป็นเพราะถูกฝังไว้ด้วยหัวตะปูอุปาทานว่ารูปนาม เป็นตัวตนมาตั้งแต่เกิดเป็นด.ช.รักรักพงษ์แล้ว,ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะอ่านพตปฎ.จนจบหลายแสนล้านรอบก็ตาม,มิสก็ยังคงเป็นมิส!โพธิรักก็ยังคงเป็นโพธิรัก!ที่ไม่อาจจะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่าอนัตตาแม้เพียงคำเดียวได้เลย!แต่ก็น่าให้เห็นใจอยู่,เพราะถ้าอนัตตาอันเป็นปรมัตถธรรมนี้สามารถจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ,ป่านนี้คนทั้งหลายก็คงจะบรรลุกันหมดแล้ว!และจะหาใครมาสมัครเป็นศิษย์โพธิรักได้อีกเล่า!ว่าไม๊?และเพื่อมิให้โพธิรักกล่าวหาเราได้อีก,โดยหาว่าเรากล่าวตู่พตปฎ.!จึงต้องขอยกที่พุทธเจ้าตรัสว่า,ดูกรภิกษุทั้งหลาย,หากว่าธรรมอันเราตถาคตกล่าวไว้นั้นดีแล้ว,ย่อมจะเข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทาคือไม่ไปสู่ส่วนสุดโต่งคือทิฐิ2อย่าง,1)ความเห็นว่ามีตัวตน,นี้เป็นสุดโต่งด้านที่หนึ่งที่ธรรมะของเราตถาคตย่อมไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดโต่งด้านนี้,2)ความเห็นว่าไม่มีตัวตน,นี้ก็เป็นสุดโต่งอีกด้านหนึ่งที่ธรรมะของเราตถาคตย่อมไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดโต่งด้านนี้อีกเช่นกัน!,และขอขยายเพิ่มอีกว่า,ความเห็นว่ามีตัวตนย่อมก่อให้เกิดอัตติกิละมถานุโยค,ส่วนความเห็นว่าไม่มีตัวตนย่อมก่อให้เกิดกามสุขัลลิกานุโยค,ฉะนั้นแล้วอะไรเล่า?ที่จะก่อให้เกิดมัชฌิมาปฏิปทาได้!,ซึ่งย่อมแน่นอนว่าการเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์เท่านั้น,ที่จะก่อให้เกิดมัชฌิมาปฏิปทาได้!,ซึ่งปรมัตถธรรมที่ว่านั้นก็คือสัพเพธัมมาอนัตตา,หรือสั้นๆก็คืออนัตตา!นั่นเอง,สรุปก็คือ..อนัตตาหรือความเห็นว่ามิใช่ตัวตนนี้แหละ,ที่ก่อให้เกิดมัชฌิมาปฏิปทา!อันเป็นเส้นทางที่มีเฉพาะในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น!และที่ได้ชื่อว่าสายกลางนั้น,ก็เพราะว่าอยู่ตรงกลางระหว่างสุดโต่งทั้ง2ด้านคือสุดโต่งด้านมีตัวตนกับสุดโต่งด้านไม่มีตัวตน!,ฉะนั้นเมื่อได้ยกพตปฎ.มาแจกแจงจนละเอียดดุจผงแป้งเช่นนี้แล้ว,จึงขอให้อรหันโพธิรักจงยอมรับแต่โดยดี,อย่าได้ขืนดันทุรังเถียงต่อไปอีกเลย!และอย่านึกว่าเรารู้ไม่ถึงความคิดในทางธรรมของโพธิรัก!คือโพธิรักย่อมคิดว่า.การที่จะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนนั้นขึ้นอยู่กับว่ารูปนามนั้นเป็นใคร?ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่มีตัวตน,แต่ถ้าต่ำกว่าอรหันต์ลงมาย่อมมีตัวตนอยู่ทั้งสิ้น!ฉะนั้นโพธิรักจึงมิให้เครดิตกับคำว่าอนัตตาซักเท่าไร!ซึ่งก็มิได้แปลกอะไร!นั่นเพราะว่า,รู้ดีถึงความคิดของโพธิรัก!ที่แม้ว่าความคิดนี้จะเกิดขึ้นโดยโพธิรักเอง,แต่ก็นับเป็นได้แค่ขั้นกลางคือขั้นจินตาเท่านั้น!,ฉะนั้นโพธิรักจึงยังต้องพัฒนาปัญญาของตนต่อไปอีก,เพื่อให้สูงขึ้นถึงขั้นภาวนา,โพธิรักถึงจักสามารถรู้ถึงปรมัตถ์คือรู้ถึงอนัตตานั้นได้,แต่ที่ซึ่งโพธิรักมักบอกว่าตนรู้ปรมัตถ์คือจิต,เจสิก,รูป, นิพพานนั้น,โพธิรักก็อาศัยท่องจำเอามาพูดเท่านั้น!แต่ที่จะให้รู้เลยไปถึงขั้นรู้ว่าทำไม?ทั้งจิต,เจสิก,รูป,นิพพาน,แต่ละอันถึงต้องเป็นอนัตตาด้วย!และก็รู้ด้วยว่าอนัตตานี้เป็นยังไง?ซึ่งความรู้เรื่องเหล่านี้ล้วนเกินจินตามยปัญญาของโพธิรักทั้งสิ้น!.สรุปก็คือว่าปัญญาของโพธิรักแทนที่จะได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้นถึงขั้นภาวนาหรือขั้นปรมัตถ์,แต่กลับสะดุดหยุดลงอยู่แค่ขั้นจินตาคือขั้นสมมุติเท่านั้น!(มิน่าเล่า!ถึงแต่งสมาธิพุทธเล่ม2ไม่จบซักที!)และหากให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป,เมื่อไร!โพธิรักถึงจะมีปัญญารู้ถึงปรมัตถ์ซักที!,เพราะหากไม่รู้ถึงปรมัตถ์แล้ว,ย่อมไม่รู้ถึงอนัตตาด้วย!,และหากไม่รู้ถึงอนัตตา,ย่อมเข้าไม่ถึงมัชฌิมาปฏิปทาด้วย!,และหากเข้าไม่ถึงมัชฌิมาปฏิปทา,ย่อมไม่เห็นอริยสัจจ์4ด้วย!,และหากไม่เห็นอริยสัจจ์4,ย่อมดับทุกข์คือกิเลสตัณหาอุปาทานไม่ได้ด้วย!,ฉะนั้นเพื่อที่จะช่วยพัฒนาภูมิปัญญาให้โพธิรัก,ทางเราจึงยินดีขยันSMSเพื่อช่วยจุดเทียนในที่มืดให้แก่คนเดินทางที่กำลังหลง!อมิตตาพุทธฯโพธิรักIQเตี้ย,IDEAต่ำ,แถมEQผิดปกติอีก!จึงชอบฟังไม่ศัพท์จับไปกระเดียด! สงสัยกรรมฐานแตกก่อน,โพธิรักเลยแต่งตำราสมาธิพุทธเล่ม2ไม่จบซักที!ถ้าฮีสทีเรียแพร่ระบาดหนัก,อาจมีSuperอรหันโพธิสัดเพิ่มขึ้นอีกหลายตน! ให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทานทั้งปวง,ถ้าให้อธรรม,เปลืองเวลาFMTVอยากรู้ว่าศูนย์รวมมิจฉาทิฐิอยู่แถวบึงกุ่มรึเป่า?และแพร่สาขาที่ไหนบ้าง? หลายช่องTVโฆษณาแข่งขายสินค้า,ไม่เว้นนักบวชโฆษณาเก่งธรรมะ! ถ้าโพธิรักเข้าถึงอนัตตาจริง!คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้,ที่ระรานเขาไปทั่ว!!! ผู้ไม่รู้จริงแต่ชอบสอนคนอื่น,จะต่างอะไรกับคนตาบอดที่สอนวิชาแสงสว่าง!พวกมิจฉาทิฐิควรต้องโดนยาแรง!เช่นใส่ยาโง่บัดซบลงไป,ดิ้นพราดๆเลย!ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก่อนเกิดกายเดิมนั้นไม่มี!พอเกิดก็มีกายออกมาเป็นตัวตนสักวันก็ดับสิ้นตัวตนไม่มีกายแต่..ให้สมณะลองถามจิตใต้สำนึกของตนเองดูซิ!ว่ารู้สึกว่าชาวพุทธส่วนใหญ่ชิงชังพวกตนใช่ป่าว?

24/1/2556 18:28: เขาอ้างพุทธพจน์ฟังดูดี แต่ว่าเรื่องปรมัตถธรรม คุณ 4424 ก็คิดว่ามีปรมัตถธรรม และพ่อท่านก็ว่าตนเองมีปรมัตถธรรมเช่นกัน และพ่อท่านจะไม่ตอบทุกคำความแต่จะเอาสิ่งที่พ่อท่านได้เขียนมาอธิบายให้ฟัง

 

            อาริยสัจคืออะไร

1. อาริยสัจ คือ ความจริงของผู้เป็นโลกุตรบุคคลจริง ที่เข้าถึง "ปรโลก" ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แล้วนำมาประกาศให้สังคมมนุษย์รู้ตาม ปฏิบัติเข้าสู่โลกอสาริยะที่เป็น "โลกใหม่" นี้ตาม (โลกนี้คือโลกียะ ปรโลกคือโลกอื่นที่ต่างจากโลกียะ ซึ่งมันทวนกระแสกับโลกียะ ซึ่งโลกียะคือโลกที่สุขด้วยกามและอัตตา ซึ่งความเป็นกลางของ 4424 กับของพ่อท่านนั้นคนละอย่าง ของพ่อท่านคือ ผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติก็จะลดกาม และอัตตาฝั่งการนั้นจะทำให้หลงสุข เป็นกามสุขขัลลิกะ ส่วนอัตตานั้นทำให้เป็นอัตกิลมถานุโยค อัตตาขั้นหยาบคือ อบายมุข ส่วนอัตตาที่รองลงมาคือกาม เราต้องล้างตัณหา ที่เป็นเหตุให้เกิดกาม ผู้ที่ดับกามดับอัตตาได้ จนกระทั่งไม่โต่งไปทั้งสองฝ่ายคือ กาม กับอัตตา พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติกามภพก่อน เมื่อหมดกามก็เหลือรูปภพ อรูปภพ คือด้านอัตตา จึงเกลี้ยง เรียกว่าจิตผู้นี้ถึง มัชฌิมา แล้วได้อย่างถาวร เป็นอนัตตาคือไม่มีตัวตนทั้งกามและอัตตา ก็จบเป็นคนที่เป็นกลาง คือเข้าถึงความเป็นกลาง มัชฌิมานั้นคือตัวผล ไม่ใช่ตัวมรรค ถ้าไม่มีสภาวะจะสับสน )

คนผู้เอาแต่ "ขบคิด" ซึ่งใช้แค่เหตุผล(ตรรกะ) แล้วหลงว่า "การขบคิดจนทะลุ" นี้คือ "ภาวนามยปัญญา" จึงเอาแต่ใช้การขบคิดจนมี "ผล" สรุป แล้วหลงว่าตนบรรลุ ไม่ได้ปฏิบัติด้วย "มรรค อันมีองค์ 8" หรือไม่ได้ปฏิบัติตาม "โพธิปักขิยธรรม 37" จนรู้แจ้งสัมผัสเห็น "เวทนา 108 เกิด "เจโตปริยญาณ 16" เพราะผู้เอาแต่ "ขบคิด" นั้นแม้แต่ "ไตรสิกขา" ก็ไม่ได้ปฏิบัติเลย ได้แค่ "ผลของการขบคิด" แล้วหลงว่าเป็น "ปัญญาขั้นสูง"  แล้วหลงว่าเป็น "ภาวนามยปัญญา"

            คนชนิดนี้คือ ผู้ไม่ได้มี "ปฏิบัติ" เพราะเมื่อสำเร็จด้วย "ตักกาวจรา" ได้แก่ ผู้สำเร็จ "การขบคิด" ด้วยเหตุผลเท่านั้นแล้ว ก็จะไม่ปฏิบัติอะไร เช่น พวกลัทธิเซ็น หรือสายปฏิบัติเอาแต่ "สติ" แล้วรู้ แล้วนิ่งเฉย ตัดทิ้งไปเลย อย่าคิดอะไรต่อ ทำใจให้สบายพอแล้ว

            เพราะส่วนมากจะจ้าใจว่า "ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่ตัวตน" (สัพเพธัมมา อนัตตา) มาเป็นตัวต้น ทั้งๆที่เป็น "ตัวจบ" หรือ "ตัวปลาย" ของการปฏิบัติจนบรรลุสูงสุด

            แต่นี่หลงอยู่แค่ "ผลการขบคิด" มันรู้ดีแล้วนี่ว่า "ตัวตนใดๆก็ไม่มีในโลก" เมื่อ "ตัวตน" ไม่มี จะเอา "ตัวตน" ที่ไหนไปปฏิบัติ คนชนิดนี้คือ ผู้มีแค่ "อัตตวาทุปาทาน" = ยึดมั่นถือมั่นได้แค่ "วาทะ" ว่าเป็นตัวตน

ยกตัวอย่างมาลุงกยบุตร...ในมาลุงกยสูตรดังนี้

พระสูตร จูฬมาลุงโกยวาทสูตร

เรื่อง พระมาลุงกยบุตรดำริถึงมิจฉาทิฏฐิ 10

[147] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมาลุงกยบุตรไปในที่ลับเร้นอยู่ เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ ทรงงด ทรงห้ามทิฏฐิเหล่านี้ คือ โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ข้อที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ ทิฏฐิเหล่านี้แก่เรานั้น เราไม่ชอบใจ ไม่ควรแก่เรา เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามเนื้อความนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์แก่เราฯลฯ เราก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ เราก็จักลาสิกขามา เป็นคฤหัสถ์   พระมาลุงกยบุตรทูลบอกความปริวิตก

24/1/2556 18:53:44 คุณ 4424 นั้นจับแพะมาชนแกะ ซึ่งมาลุงกยบุตรนั้นถามเรื่องมิจฉาทิฏฐิ แต่คุณ 4424 ตัดเอาแต่ที่ว่าทุกข์นี้เกิดหรือไม่เกิด แต่ที่จริง ทุกข์นั้นเกิดที่ไหนใครทำนั้น อยู่ที่อเจลกัสสปะสูตร...

 [47] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน

เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือ

บาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ อเจลกัสสปได้เห็น

พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ สถานที่นั้น

ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว

ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

             [48] ครั้นแล้ว อเจลกัสสปได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพเจ้าจะขอ

ถามเหตุบางอย่างกะท่านพระโคดม ถ้าท่านพระโคดมจะทรงกระทำโอกาส เพื่อทรงตอบปัญหาแก่ข้าพเจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกัสสป ยังมิใช่เวลา

จะตอบปัญหา เรากำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้าน แม้ครั้งที่ 2 ... แม้ครั้งที่ 3

อเจลกัสสปก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพเจ้าจะขอถามเหตุบางอย่างกะท่าน

พระโคดม ถ้าท่านพระโคดมจะทรงกระทำโอกาส เพื่อทรงตอบปัญหาแก่ข้าพเจ้า

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกัสสป ยังมิใช่เวลาตอบปัญหา เรากำลังเข้าไปสู่

ละแวกบ้าน ฯ

             [49] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อเจลกัสสปได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคว่า ก็ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะถามท่านพระโคดมมากนัก ฯ

             ภ. ดูกรกัสสป ท่านจงถามปัญหาตามที่ท่านจำนงไว้เถิด ฯ

             ก. ข้าแต่ท่านพระโคดม ความทุกข์ตนกระทำเองหรือ ฯ

             ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป ฯ

             ก. ความทุกข์ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม ฯ

             ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป ฯ

             ก. ความทุกข์ตนกระทำเองด้วย ผู้อื่นกระทำให้ด้วยหรือ ท่านโคดม ฯ

             ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป ฯ

             ก. ความทุกข์บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่น

กระทำให้หรือ ท่านพระโคดม ฯ

             ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป ฯ

             ก. ความทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม ฯ

             ภ. ความทุกข์ไม่มีหามิได้ ความทุกข์มีอยู่ กัสสป ฯ

             ก. ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ไม่เห็นความทุกข์ ฯ

             ภ. เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นความทุกข์หามิได้ เรารู้เห็นความทุกข์อยู่ กัสสป ฯ

พระพุทธเจ้าท่านถามตรงประเด็นเลย อย่าไปมัวแต่ไปหาว่าใครทำหรือเราทำให้ทุกข์ ให้ถามว่าทุกข์มีอยู่หรือไม่......ที่พ่อท่านแสดงออกนั้นไม่ได้มีทุกข์แต่แสดงอาการลีลาเพื่อสอนผู้อื่น

             ก. เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ความทุกข์ตนกระทำเองหรือ

ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ความทุกข์ผู้อื่น

กระทำให้หรือ(อันนี้อุทเฉททิฏฐิ) ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น กัสสป เมื่อข้าพเจ้า

ถามว่า ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้

หรือ(อันนี้สัสตทิฏฐิ) ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น(คือมันโต่งไปคนละด้าน) กัสสป เมื่อข้าพเจ้าถามว่า

ความทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า ความทุกข์ไม่มีหามิได้ ความทุกข์

มีอยู่ กัสสป เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ไม่เห็น

ความทุกข์ ท่านตรัสว่า เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นความทุกข์หามิได้ เรารู้เห็นความทุกข์

อยู่ กัสสป ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสบอกความทุกข์

แก่ข้าพเจ้า และขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงความทุกข์แก่ข้าพเจ้าด้วย ฯ

คุณ 4424 นั้นไม่ได้เรียนรู้ทุกข์เลย แต่ไปคิดเอาว่าไม่มีตัวตนปุ๊ปเลย อะไรๆก็ไม่มีเลย อันนี้เป็นอุทเฉททิฏฐิ ตีทิ้งเรื่องอัตตะเลย จึงไม่สามารถเข้าถึงอัตตานุทิฏฐิ ในขบวนการละทิฏฐิ 3

คือ 1. เห็นความไม่เที่ยงจึงละ มิจฉาทิฏฐิได้ 2. ตามเห็นรู้ความเป็นทุกข์ได้ จึงละสักกายะทิฏฐิได้(สักกายะคือ proper noun เป็นปัจจัตลักษณ์ เป็นการอ่านกิเลสของตนได้ก่อน แล้วลดสักกายะซึ่งก็คือการลดอัตตานั่นเอง จนถึงตัวสุดท้ายคืออาสวะอนุสัย เมื่อดับสิ้นก็คืออนัตตา เข้าถึง 3.อัตตานุทิฏฐิ เรียกว่าไม่มีตัวตน คือ "อนัตตา" เป็นอรหันต์

            ในผู้ที่เอาแต่เหตุผลหรือเห็นว่าทุกอย่างไม่มีตัวตน การปฏิบัติก็จะเป็นหมันไปหมด อย่างคุณ 4424 นี่ก็น่าสงสาร จึงจัดอยู่ในคนผู้มิจฉาทิฏฐิ จำพวก "อุทเฉททิฏฐิ" คือนัตถิกทิฏฐิเพราะไม่มีผลการปฏิบัติ ไม่มี "อัตตทิฏฐิ" จึงไม่สามารถมี "อัตตานุทิฏฐิ" ในขณะปฏิบัติ จนถึงที่สุด "มีอนัตตา" ในตนได้บริบูรณ์สัมบูรณ์ โดยการตรวจด้วย "เวทนา 108" หรือตรวจด้วย "อรูปฌาน 4" หรือตรวจด้วย "อนุปุพพวิหาร 9" หรือตรวจด้วย "เจโตปริยญาณ 16" หรือตรวจด้วย "วิชชา 8"

            ถ้าเอาแต่ "ขบคิด" ก็บรรลุได้แล้วไซร้ หลักธรรมที่อาตมานำของพระพุทธเจ้ามายกอ้างเป็นตัวอย่างต่างๆข้างบนนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าจะต้องให้ปฏิบัติจนเข้าถึงหรือบรรลุธรรมอันละเอียดลึกซึ้งนั้นกันไปทำไม? ก็เอาแต่พากเพียร "ขบคิด" กันเหมือนชาวมหายานที่หลง "การขบคิด" กันนั้นก็พอแล้ว เสียเวลาสาธยายละเอียดลอที่ลึกซึ้งเป็นคัมภีรากันไปทำไม

            เพราะผู้เอาแต่ "ขบคิด" ยัง "มีอวิชชา" จึงไม่รู้อย่าง "อัตตา" ทั้งไม่รู้ความเป็น "โลก"

 

24/1/2556 19:13:23 ต่อไปเป็นการตอบประเด็น....

24/1/2556 19:13:42 การโกงเรื่องอะไรของนายกฯครั้งล่าสุดที่จะทำให้เขาตกนรกจาก 1500 ชาติเป็น สองแสนสี่หมื่นชาติ....ตอบ...ตอบไม่ได้ จำนน.....ตอบว่า การโกงเรื่องอะไรก็แล้วแต่เป็นการตกนรกทั้งสิ้น มีการโกงโดยไม่รู้ตัวก็มีน้อย ทุนนิยมนั้นมีวิธีการโกงเยอะ การโกงอย่างรู้ๆเดี๋ยวนี้มีเยอะ ซับซ้อน เอาประชาชนเป็นเบี้ยให้ซับซ้อน ไม่ให้ใครรู้ เขาไม่กลัวสัจธรรม เดี๋ยวนี้บ้านเมืองโกงจัดจ้านมากเลย น่าจะต้องแก้ไขกัน เราก็ได้แต่ต้องพยายามเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศให้ปฏิบัติ อย่างไม่กดดัน ใครมีปัญญาคุณก็มาเอาเอง พากเพียรเอาเอง เป็นการคัดเลือกเพราะไม่ได้เอาอะไรมาล่อ

24/1/2556 19:19:30 รู้จักคนวัดคนหนึ่ง เธอสนใจเรื่องของคนอื่นมากทั้งที่ข้อมูลที่เธอฟังมักฟังความข้างเดียว ซึ่งดูเธอภาคภูมิใจในสิ่งที่เธอได้ยินได้ฟังมา แต่เธอจะสื่อก่อนด้วยการพูดแสดงความสงสารผู้ที่ถูกกล่าวหา พฤติกรรมเช่นนี้ผิดศีล เวลาฟังเธอสื่อควรทำใจอย่างไร...ตอบ รู้ให้ทันใจตนเอง ถ้ามีข้อมูลก็ช่วยให้ข้อมูล ไม่ใช่การฟ้อง ให้ข้อมูลแก่ผู้ที่จะช่วยแก้ไขได้ การฟ้องนั้นจิตใจไม่ดี เป็นการทำร้าย แต่การให้ข้อมูลคือการบอกด้วยจิตซื่อๆ อยากให้เขาได้ดีขึ้น ก็ทำใจในใจให้ดี เพราะพวกเราชอบในการติเตียนติติง...ผู้ให้ข้อมูลมานี้ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ถ้าเขาจริง คุณก็ผิด ต้องหาข้อมูลให้ดี

 

24/1/2556 19:23:01 ทุกข์ที่เกิดจากฐานความผิดที่ไม่ได้กระทำผิด เราต้องทุกข์ทันที่ที่ต้องรับรู้หรือไม่ ยุติธรรมหรือเปล่า ผู้กล่าวมีความผิดไหม?....ตอบ..ถ้าเขาว่าเราผิดๆ เราไม่ได้ผิดแบบที่เขาว่า คนว่าก็เป็นคนผิด เราไม่ผิดแล้วเราเป็นทุกข์ทำไม เราโง่ เราไม่ได้ผิดไม่ได้ชั่ว เราอย่าโง่ อย่าบ้าจี้ตามเขาว่า ถ้าทุกข์ เราเสียใจแล้วเราไม่ได้ทำผิด เราจะทุกข์ทำไม นี่คืออัตตา อัตตาว่า เราจะผิดหรือถูกมาว่าไม่ได้ เราเป็นคนว่าไม่ได้ อัตตาข้าใครอย่าแตะ ก็อาจจะเคืองไม่ชอบใจเป็นโทสะมูลนั่นก็คือทุกข์ ตอบอื่นไม่ได้นอกจากโง่อย่างเดีย ข้อสำคัญอย่าเข้าข้างตัวเอง ตรวจสอบให้ดี ถ้าไม่ใช่เขาก็ไม่มีข้อมูลจริงผิดบาปอยู่ที่เขา เราอย่าหวั่นไหว แต่ถ้าเราลำเอียง เราเป็นอย่างที่เขาว่าจริง เราก็ซวย อย่ามีอคติ อย่าเข้าข้างตนเอง

 

24/1/2556 19:27:24 จากคนที่ทนเห็นสังคมเน่าเละตุ้มเป๊ะไม่ไหว?.....เรื่องมิสป่าตองค่ะ ...ที่ทุกคนได้หยิบยกมาพูดหนูว่าไม่มีอิทธิพลเท่ากับมิสนางงามเวทีต่างๆหรอกค่ะ ที่ต่างถอดเสื้อผ้าอวดทรวดทรงกันอย่างไม่อาย พอได้ชนะก็ถือว่ามีหน้าตาแก่ตนและวงค์ตระกูล นี่คือการสร้างต้นแบบที่เลวร้ายกับเยาชน ได้แค่นี้หรือผู้หญิงเรา เห็นแล้วน่าสงสาร...พ่อครูมีความเห็นกับความคิดอย่างนี้.....ตอบ....พ่อท่านเห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่งสังคมมันเหลงเละ ไม่เฉพาะเมืองไทย ไปหลงความงามขี้หมูขี้หมา คุณค่าของคนไม่ใช่อยู่ที่ความสวยงามความหล่อ ...เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทำไมชาวพุทธไม่ชัดเจน ไปหลงยกย่องสรรเสริญพวกนี้ คนดีไม่ค่อยได้รับการสรรเสริญ คนก็เลยหลงแต่ความงามภายนอก ไปขายของเสริมสวยกันรวยเละ คนโง่จมตกเป็นแมงเม่ามากมาย ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ตกต่ำ คุณค่าของคนมีมากกว่าความสวยเยอะเลย แต่งมงายกันหมดโลก ทั้งการละเล่นเสพรส สารพัดแข่งขัน มีการพนัน โลกต่ำลงทุกวัน ข่าวที่จะเชิดชูความดีไม่ค่อยมี มีแต่ข่าวมอมเมาแล้วโลกจะไม่งมงายได้อย่างไร สื่อสารทุกวันนี้ เป็นสื่อเสียไปแล้ว หลายคนก็บอกว่าเขาต้องทำมาหากินต้องเอาตามความนิยมของคน คือมันอ่อนแอพึ่งตนไม่รอด

 

24/1/2556 19:33:39 ผมเคยถูกทำร้ายเมื่อ 2 ปี จึงเกิดอาการหวาดกลัวหวาดหวั่น....จะทำใจอย่างไร....ตอบ.....ทางจิตวิทยาเขาก็มีการศึกษามีการทำเพื่อให้ลดความกลัว แต่ทางธรรมะต้องศึกษาให้ถึงความจริง พระพุทธเจ้าสุดท้ายแล้วจะหายกลัว จะพ้นภัย ไม่กลัวตาย ไม่กลัวทุคติ ไม่กลัวตกนรก ไม่กลัวติเตียน ไม่สะทกสะท้านในบริษัท ไม่กลัวการดำเนินชีวิตไม่กลัวเสื่อมลาภยสสรรเสริญสุข พ่อท่านว่าคนที่ไม่ดีก็ไม่กลัว จะแกล้วกล้าอาจหาย จะมีพลัง 4 ทำให้พ้นภัย 5 ได้อย่างแท้จริง เราจะทำเพื่อสังคมเพื่อมนุษยชาติ โดยพึ่งพากันได้ในหมู่ ไม่ต้องอาศัยนายทุน แต่มีผู้มีปัญญาช่วยเกื้อกูลสงเคราะห์ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้

 

24/1/2556 19:37:41 ศีลธรรมเป็นกม.สูงสุดเพื่อปกครองมนุษยชาติฉันใด รัฐธรรมนูญก็เป็นกม.สูงสุดเพื่อปกครองประเทศฉันนั้น...

 

24/1/2556 19:38:24 1.ผัสสะคืออะไรครับ... 2.ผัสสะมีเหตุปัจจัยอะไรบ้างครับ   3...แล้วจะใช้ผัสสะในการปฏิบัติอย่างไร?? ...ตอบ..การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย อยู่ในหลายสูตร...........ผัสสะนั้นจะเกิดเมื่อมีการกระทบสัมผัส ระหว่างทวารนอกและใน เช่นตากระทบรูป แล้วจะเกิดวิญญาณ (คือเจตสิกอย่างหนึ่ง) วิญญาณ หรือเรียกว่า นามรูป ,

            นามรูปมีอะไรบ้างคือ 1.เวทนา 2.สัญญา 3.เจตนา  4.ผัสสะ  5.มนสิการ

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ สำคัญ เพราะต้องใช้ในการกำหนดรู้ทุกเวลา คือใช้กำหนดรู้ทั้งเวทนา และ มนสิการ(คือการทำใจในใจ) โยนิโสมนสิการ คือทำใจให้แยบคายให้ลงไปถึงที่เกิดโดยเฉพาะตัวอกุศล เมื่อผัสสะจึงมีนามรูปให้ปฏิบัติ

            ผัสสะ = ทวารทั้ง 5+ทวารใจ(เรียกว่ามนายตนะ) เกิดเป็นวิญญาณ

ทวาร 5 คือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น และกายกระทบสัมผัส....ก็จะเกิดวิญญาณ รวมทั้ง 3 ธรรม เรียกว่า ผัสสะ

            เมื่อตายไปหรือหลับไปนั้น คนเหล่านี้ไม่มีผัสสะ เมื่อไม่มีผัสสะจึงไม่มีวิญญาณให้ศึกษา

ผัสสะนำไปปฏิบัติ คือเมื่อมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา นี่คือเหตุเกิดแห่งทุกข์ เราต้องปฏิบัติตรงนี้แหละ ที่จะดับโลกสมุทัยได้ ต้องใช้ผัสสะให้เป็นประโยชน์

 

24/1/2556 19:49:37 หากเราถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลแล้วจะเลื่อนเป็นปุถุชนได้หรือไม่?...ตอบ ...หากเป็นโสดาปัตติมรรคนั้นมีสิทธิ์ตกลงไปได้ แต่ที่จริงถ้าประมาท อาจตกลงไปได้บ้าง แต่โดยจิตลึกๆจริงๆแล้วมันไม่เอา พระพุทธเจ้าว่าโสดาปัตติผลมีคุณลักษณะ 8 คือรู้อริยสัจ 4 แล้ว เมื่อรู้แล้วก็ปฏิบัติจนเห็นอาการจิตของนรก 4  อันมี นิรยะคือร้อนเร่าดิ้นรน  ต่อมาคือปิตวิสยะ คือดิ้นอยากอยู่นั่นแหละ แต่ความแรงลดจากนิรยะ  ถ้าเป็นเดรัจฉาน คือโง่หลงขวางทางนิพพาน และที่ต่ำสุดคืออปายทุคติวินิปาต คืออบายที่เสื่อมจนไม่มีที่จะเสื่อมต่ำกว่านี้ ซึ่งโสดาบันจะพ้นจากสี่อย่างนี้ แล้วจะรู้ว่า มีจิตเข้ากระแส คือมี

1.โสตาปันนะ(คือเข้ากระแสโลกโลกุตระ1ใน 4 คือมีอารมรณ์ที่เป็นเนกขัมมะ จะรู้ทิศทางที่ทวนกระแสโลกีย์ ต้องรู้ทางอลมริยา ต้องรู้มโนปวิจาร 18 สามารถอ่านอารมณ์ออกระหว่างเนกขัมมะกับเคหะสิตะ ถ้าไม่รู้อันนี้ก็งมงาย 

2.อวินิปาตธรรม (คือเข้ากระแสฯ 2ใน 4หรือ 50% คือไม่ตกต่ำอีก อาจมียึกยักๆบ้าง ถ้าไม่ตกต่ำจึงจะใช่

3. นิยตะ คือเที่ยงแท้ 3ใน 4

4.สัมโพธิปรายนะ คือ เที่ยงแท้สู่พระนิพพาน

 

24/1/2556 19:58:18 เมื่อสองวันก่อนดูรายการ fmtv เอาคุณเสรีพิศุทร์ ออก อยากถามว่าเดี๋ยวนี้สันติอโศกเป็นหัวคะแนนแล้วหรือคะ....ตอบ ...ใช่ เราทำงานการเมือง คนไม่ทำงานการเมืองคือไม่ใช่พลเมืองของประเทศ เราต้องช่วยทำงานเพื่อสังคม หากเราไม่ช่วยจะใจดำมากเลย คุณอาศัยสัง

คมอยู่ คุณอยู่คนเดียวลำบาก จะอยู่แบบฤาษีนั้นก็ไม่ใช่แบบพุทธ ท่านให้บิณฑบาต เพราะตัวเองไม่มีงานที่ไปทำเพื่อตัวเองแล้ว ต้องฝากชีวิตไว้กับชาวบ้านโดยต้องทำงานเพื่อประโยชน์สังคม แต่ทุกวันนี้การเมืองเป็นงานที่หากิน ไปเอาการเมืองมาหาเงินเลี้ยงตน งานพระกับงานนักการเมืองนั้นเป็นงานเดียวกัน ถ้าทำเพื่อสังคมคนอื่นจะกราบไหว้บูชายกย่อง ในหลวงทำงานการเมืองคนกราบไหว้ยิ่งกว่าพระหลายรูป ท่านคือนักการเมืองเบอร์หนึ่ง เป็นจอมทัพ เป็นผู้ใช้อำนาจทางการเมืองแทนประชาชน ท่านก็มีสิทธิ์สูงสุด ที่จะยุบรัฐบาลได้ แต่ท่านจะทำหรือไม่ก็ได้ เป็นสุดยอดของนักการเมืองคุณธรรม

            สรุปงานการเมืองคืองานช่วยพลเมือง สันติอโศกไปเป็นหัวคะแนนให้นักการเมืองก็ใช้ เพราะตอนนี้จะเลือกนักการเมืองไปปกครอง กทม. จึงดีที่สุดที่จะส่งเสริมนักการเมืองที่ ตอนนี้พรรคมันเละไปหมดแล้ว คุณเสรีพิศุทธิ์ นั้นไม่สังกัดพรรค และเราต้องไม่พยายามไปเสียสิทธิ์ในการเลือก พ่อท่านพิจารณาแล้วว่าคนนี้เหมาะสมในการไปทำมากกว่าคนอื่น เลือกเอาเนื้อว่าควร ไม่ได้ทำเพื่อที่จะได้อะไร ต้องการให้เขาไปทำงานให้ประชาชนกทม. พ่อท่านไม่ได้บังคับชาวอโศกใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ให้สิทธิเสรีภาพ

 

24/1/2556 20:06:26 ได้ทราบว่าอิริยาบถสามารถบังทุกข์ได้ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา ใจ...ตอบ ...เป็นสำนวน บังทุกข์ แต่ความจริงแล้วอิริยาบถนี่แหละจะทำให้เราเรียนรู้ทุกข์ แต่ที่ใช้สำนวนบังทุกข์เพราะคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่เรียนรู้ทุกข์ เราต้องอ่านทุกข์ที่เกิดทุกอิริยาบถ ซึ่งจำเป็นต้องมีศีลกำกับในทุกอิริยาบถ ต้องเอาตามเหมาะควรกับตัวเองว่าจะเอาศีลขนาดไหน

 

24/1/2556 20:08:47 จะต้องทำกำหนัดอย่างไรด้วยกลยุทธกลวิธีอย่างไร ต่อปูชนียบุคคลของประเทศหรือไม่ จึงจะเกิดเป็นแมลงสาปร้อยชาติแสนชาติ.....ตอบ...ระวังไปกำหนัดกับปธน.เขาจะลงนรกร้อยชาติแสนชาติใช้women touch อะไรอย่างนี้

 

24/1/2556 20:10:00 ถ้าดับสัญญา จะเป็นการดับภพชาติหรือไม่...ตอบ ไม่ได้ เจ๊ง สัญญานั้นคือสิ่งสำคัญที่เราจะใช้ในการรู้ เราต้องรู้ภพรู้ชาติด้วยสัญญา สัญญาคือตัวกำหนดหมาย กำหนดรู้ ไม่ใช่ว่าสัญญากลายเป็นตัวเลอะเทอะ แม้แต่ในอรูปฌานก็ใช้สัญญาในการตรวจสอบ ไปจนพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ จบสิ้นเคล้าเคลียเวทนาด้วยสัญญา จบสิ้นเป็นนิโรธ (สัญญาเวทยิตนิโรธ)

24/1/2556 20:12:09 ...จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:59:59 )

560125

รายละเอียด

25/1/2556 17:48:03 รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อท่าน.....เรื่อง....ตอบด้วยอริยสัจแห่งชีวิต ตอน 2

 

25/1/2556 18:05:47 พ่อท่านเปิดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ ...วันนี้พ่อท่านมาคนเดียว เพราะท่านเดินดิน ไปงานฉลองหนาวที่ภูผาฟ้าน้ำ พ่อท่านเลยต้องมาว่าการคนเดียว.....แค่สองชม.เอง

 

25/1/2556 18:06:55 พ่อท่านจะพิสูจน์อิทธิบาทของพระพุทธเจ้า ใช้อิทธิบาทช่วยทั้งกายและใจ และใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าใจไม่มีภูมิพอยาก คนที่พัฒนาตนเองด้วย 8 อ.นั้นก็มี แต่ไปได้ไกลเกินกว่ากัปป์นั้นหาได้ยาก ถ้าใจไม่สปาร์คไม่สูญเสียมาก จะมีอิทธิบาทในการเสริมทางร่างกาย ส่วนผู้ที่ใจสปาร์คบ่อยจะสูญเสีย อย่างคนดีใจมากๆ เสียใจมากๆ ก็ช็อคตายได้ นั่นคือพลังงานทางจิตมันชักนำ พลังงานทางจิตทั้งทางพอใจและเสียใจมันสปาร์คทั้งคู่ทำให้ตายได้ ผู้ที่ศึกษาทางธรรมที่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานแล้วจะเป็นไปได้จริงๆ จะพยายามทำให้ชีวิตนี้ยืนยาวไปได้

 

25/1/2556 18:10:29 ตอนนี้ไปเช็คร่างกายดู ไปเช็คครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดประมาณ 16 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอายุประมาณ 70 ปี ตอนนั้นหัวใจเขาบอกว่าเท่ากับคนอายุ 35 ปี ส่วนสมองเท่ากับคนอายุ 40 ปี ซึ่งพ่อท่านพยายามฝืนอายุขัย ซึ่งเดิมจะมีอายุ 72 ปี ก็ต้องตาย แต่ก็ใช้อิทธิบาทช่วยมา

            และล่าสุดไปเช็คมา ปอดก็มีสมรรถภาพเท่ากับคนอายุ 30 ปี  ซึ่งตอนนี้อายุประมาณ 80 ปีแล้ว จริงๆแล้วในจิตใจพ่อท่านรู้สึกว่าจิตใจไม่ได้แก่เลย ว่าเอ๊ะอายุ 80 ปีได้อย่างไร อีกไม่กี่เดือนถ้าวันที่ 5 มิ.ย. 56 ก็เริ่มอายุ 80 ปี 1 วัน

 

25/1/2556 18:14:43 จิตใจไม่รู้สึกว่าอายุ 80 แต่พอดูร่างกาย ก็เห็นว่ามีรอยย่นรอยเหี่ยว ก็ลองดูว่าเราจะทำให้รอยเหี่ยวย่นลดได้หรือไม่ โดยไม่ไปทำอย่างเขาเช่นผ่าตัด ใช้เคมี ใช้สเตมเซลล์ แต่จะใช้วิธีธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมะ ที่จะช่วยให้เป็นไป ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของจิตใจ เพราะจิตใจเป็นตัวประธาน เป็นตัวนำพาไปได้อย่างดียิ่ง

 

25/1/2556 18:17:57 การศึกษาพระพุทธเจ้าจึงให้ศึกษาที่ใจ จะต้องรู้จักใจ (จิตเจตสิกต่างๆ) ต้องอ่านสัมผัสเข้าไปถึงใจ คือมนสิการ ถ้าสามารถอ่านจิตเป็น อันนี้แหละที่เป็นความรู้ที่ต่างจากอาจารย์ทั้งหลายแหล่ ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี ก็เกรงใจ แต่ต้องพูดความจริง

 

25/1/2556 18:19:13 มี sms มาว่า...0806432xxxเห็นด้วยกับคุณ4424นะโพธิรักสอนจากการคิดนึกของตนสมัยพุทธกาลก็มีผู้ปฎิบัติแล้วหลงว่าตนเป็นอรหันเมื่อมีผู้ติติงก็ดูตนและแก้ไขส่วนโพธิรักไม่ปฎิบัติได้แต่ท่องจำและจงใจหลอกลวงตั้งตนเป็นอรหันและยังปรามาสการปฎิบัติของหลวงปู่ต่างๆที่เป็นพระสุปะฎิปันโนแก่มากแล้วนะบั้นปลายชีวิตกลับใจเป็นสัมมาทิฐิเถอะ

25/1/2556 18:20:10 ก็เห็นใจท่านที่เตือนติงมา ก็พยายามตรวจสอบ เช่นเวทนา พ่อท่านว่าท่านสามารถอ่านเวทนาได้ตามสติปัฏฐาน 4 แม้ที่สุด เวทนา 108 ซึ่งไม่เห็นตำราเล่มไหนเขียนอธิบาย ซึ่งวันนี้จะได้เจาะปรมัตถ์อันนี้ให้ฟัง

 

25/1/2556 18:21:17 ไล่ตั้งแต่ เวทนา 2 มี 1.เวทนาทางกาย(กายิกเวทนา เกี่ยวเนื่องด้วยกายนอก) 2.เวทนาทางใจ (เจตสิกเวทนา อาศัยอุปาทายรูป)  ซึ่งการที่จะรู้อารมณ์หรือเวทนาทางใจ อารมณ์ที่เป็นของจริงที่สุดจะต้องมี ผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะจะไม่มีอาการทางจิต การเกิดนี้่จะต้องเกิดสดๆ เกิดพร้อมๆ ต้องมี ตาหู จมูกลิ้นกายใจ และมีสัมผัส จึงเกิดมีวิญญาณ

 

25/1/2556 18:23:26 ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่มีวิชชาของพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอวิชชาทั้งสิ้น จะรู้เฉลียวฉลาดมากมายอย่างไรหากไม่รู้ปรมัตถ์ก็อวิชชาทั้งสิ้น คนที่อวิชชาจะมีอาการโศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งสิ้น ส่วนคนมีวิชชา จะรู้สภาวะในปฏิจจสมุปบาททั้งสาย เมื่อมีการกระทบทางทวารนอก ก็จะเกิดอาการทางนามธรรม เป็นทุกข์สุขในใจ ส่วนทวารใจนั้นท่านเรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ ในไตรปิฎก อัญญติตถิยสูตร หน้า 30 ข้อ 288

 

25/1/2556 18:28:03

4. อัญญติตถิยสูตร

[71] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน  เขตพระนคร

ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปสู่พระนคร

ราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้มีความคิดดังนี้ว่า เวลานี้ยังเช้าเกินไป

ที่จะเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เถิด ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

[72] ท่านพระสารีบุตรพอนั่งเรียบร้อยแล้ว พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ได้กล่าวกะ

ท่านดังนี้ว่า ดูกรท่านสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งผู้กล่าวกรรมย่อมบัญญัติว่า ทุกข์ตน

ทำเอง มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งผู้กล่าวกรรม ย่อมบัญญัติว่า ทุกข์ผู้อื่นทำให้ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งผู้กล่าวกรรม ย่อมบัญญัติว่า ทุกข์ตนทำเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย อนึ่ง มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งผู้กล่าวกรรม ย่อมบัญญัติว่า ทุกข์เกิดขึ้นเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำมิใช่ผู้อื่นกระทำ   ดูกรท่านสารีบุตร ก็ในวาทะทั้ง 4 นี้ พระสมณโคดมกล่าวไว้อย่างไร บอกไว้อย่างไร พวกข้าพเจ้าพยากรณ์อย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระสมณโคดมกล่าวแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระสมณโคดมด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้ ฯ

 

ของอาศัยเหตุเกิดขึ้น ทุกข์อาศัยอะไรเกิดขึ้น ทุกข์อาศัยผัสสะเกิดขึ้น บุคคลผู้กล่าวดังนี้

จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง

และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ ก็จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชน

จะติเตียนได้ ดูกรท่านทั้งหลาย ในวาทะทั้ง 4 นั้น แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเอง ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย

แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่าเกิดเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ

มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดูกรท่านทั้งหลาย ในวาทะทั้ง 4 นั้นพวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์ตนทำเอง เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยทุกข์ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ แม้พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์ผู้อื่นทำให้ เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยทุกข์ดังนี้ ก็มิใช่ฐานะที่จะมีได้ แม้พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์ตนทำเองด้วยผู้อื่นทำให้ด้วย เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยทุกข์ดังนี้ ก็มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ถึงพวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์เกิดเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยทุกข์  ดังนี้  ก็มิใช่ฐานะจะมีได้ ดังนี้ ฯ

[74] ท่านพระอานนท์ได้ยินท่านพระสารีบุตรสนทนาปราศรัยกับพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์

เหล่านั้นแล้ว ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ในกาลภายหลัง

ภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ

ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลถ้อยคำสนทนาของท่านพระสารีบุตรกับพวกปริพาชกอัญญ

เดียรถีย์ซึ่งได้มีมาแล้วทั้งหมดแด่พระผู้มีพระภาค ฯ

[75] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ อานนท์ ตามที่สารีบุตรพยากรณ์ชื่อว่าพยากรณ์

โดยชอบ ดูกรอานนท์ เรากล่าวว่าทุกข์เป็นของอาศัยเหตุเกิดขึ้นทุกข์อาศัยอะไรเกิดขึ้น

ทุกข์อาศัยผัสสะเกิดขึ้น บุคคลผู้กล่าวดังนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าว

ตู่เราด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ ก็จะ

ไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้ ดูกรอานนท์ ในวาทะทั้ง 4 นั้น ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์

ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่าตนทำเอง ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณ

พราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวก

สมณพราหมณ์ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะ

เป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า เกิดเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่

ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ ก็ย่อมเกิด เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดูกรอานนท์ ในวาทะ

ทั้ง 4 นั้นพวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์ตนทำเอง เว้นผัสสะเสีย

เขาย่อมเสวยทุกข์ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ แม้พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติ

 

25/1/2556 18:39:38 ในขณะที่ผัสสะขณะนั้นคุณเกิดอาการสุขหรือทุกข์ ความสุขนั้นมีเฉพาะตอนได้ผัสสะ ส่วนเลยจากนั้นไม่มีสุขสดๆจริงๆอีกแล้ว เป็นเหลือแต่ความทางจำ อย่างคนโลกๆเขาว่า เราจะจดจำความรู้สึกดีๆอย่างนี้ไว้ร่วมกัน คือเอาของแห้งๆเก็บไว้อยู่ชั่วกาลนาน ผู้ใดพอเข้าใจ ก็พยายามฝึก ให้รู้ว่าสุขนั้นของเท็จ สุขไม่จริงสักแบบ ถ้ามันจริง คนสัมผัสอันนี้เหมือนกันก็จะสุขเหมือนกันหมด เป็นแต่เพียงคล้ายกันบ้าง อย่างปลาร้า ให้คนฝรั่งเจอ ปลาร้าชนิดกลิ่นแรง เขาก็บอกว่าของเน่า เขาจะมีสุขได้อย่างไร ส่วนคนอีสานขอกว่าของดีเยี่ยม ยกตัวอย่างผู้หญิง อยู่ในยุคแฟชั่น พอปีหน้าก็เปลี่ยนสีฮิต พอปีหน้าอีกเขาก็เปลี่ยนสีอีก ก็ตามเขาอีก แล้วก็บอกว่าสีเดิมไม่สวยแล้ว ทั้งๆที่สีของเสื้อมันก็คงเดิม แต่คนมีกิเลส(กิรดั่งได้ยินมา) เมื่อติดสิ่งเหล่านี้ก็ทุกข์ซ้ำซากวนเวียน อย่างรองเท้าปีนี้ส้นสูง ปีหน้าส้นตัด กระโปรงปีนี้ยาว ปีต่อไปสั้นนะ ก็ปั่นป่วยกันสารพัด ที่ให้เห็นความหลงไหล บ้าตามเขา 

 

25/1/2556 18:50:05 เด็กเกิดมาจะบอกว่าเด็กเกิดมาไม่มีกิเลสนั้นไม่ได้ แต่ในไตรปิฎกท่านว่ามีอนุสัย เพราะฉะนั้นเด็กนั้นไม่รู้ว่ามีอนุสัย แต่อนุสัยเขาจะทำงาน เขาจะแสดงออกถึงความต้องการเต็มที่เท่าที่อนุสัยจะแสดงออกมา และเชื่อไหมว่ากิเลสอนุสัยนั้นมีเยอะ เพราะฉะนั้นการจะให้กิเลสอนุสัยหมดนั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยผัสสะในการกระแทก เราต้องรู้ตั้งแต่ตัวหยาบ จากอบายภพ การปิดอบายภพก็คือมีภูมิพระโสดาบัน พอดับอบายได้ก็มีโครงสร้างมีโมเดลในการปฏิบัติต่อ ในเรื่้องกามภพ ต่อจากภพหยาบคือกิเลสในระดับต้น(วีติกมกิเลส) แล้วจะพ้นไปเรียนรู้ (ปริยุฏฐานกิเลส) ในญาณพระโสดาบันมี

1.รู้จักปริยุฏฐานกิเลส เพราะเมื่อก่อนเราจะจมอยู่กับวีติกมกิเลส เราก็จะไม่รู้กิเลสที่ละเอียดขึ้น เมื่อเราพ้นวีติกมกิเลส ก็จะเห็น 2.ปริยุฏฐานกิเลส แล้วเมื่อเราล้างวีติกมกิเลส ก็จะเห็นอนุสัยกิเลส

 

25/1/2556 18:54:46 ผู้ที่เอาแต่ขบคิดนึกเอา นึกว่าจะได้เหมือนพระอนุรุธ พระพาหิยะ ที่ท่านฟังธรรมไม่กี่ประโยคก็บรรลุ แต่เรายังไม่มีบารมีอย่างนั้นอย่าฝันว่าจะทำได้อย่างนั้น ส่วนปทปรมะบุคคลก็น่าสงสารเปรียบเหมือนบัวใต้ตม หรือบัวใต้ตึก คือผู้ที่ทรงจำก็มากเรียนรู้ธรรมะบอกสอนเขาก็มากแต่ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ ซึ่งชาติตัวนี้เป็นตัวสำคัญที่พาเกิด

 

25/1/2556 18:59:26 การเกิดตายที่สำคัญที่เราต้องเรียนรู้เพื่อบรรลุธรรมนั้น พระพุทธเจ้าท่านหมายให้เรียนรู้การเกิดตายทางนามธรรม หรือทางจิตวิญญาณ...ไม่ใช่แค่การเกิดตายทางร่างกายเท่านั้น....

 

25/1/2556 19:03:35 มี sms ของคุณ 4424 ส่งมาเมื่อวานนี้ว่า...ถ้าเมื่อความทุกข์อันเกิดจากแผลธนูได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว,คำถามทั้งหลายเหล่านั้นย่อมเป็นอันถูกยกเลิกให้ทุกข์เกิดขึ้น?หรือที่จะสงสัยว่าทุกข์เกิดขึ้นเอง,โดยหามีผู้กระทำให้เกิดขึ้นไม่?ซึ่งคำถามทั้งหลายเหล่านี้ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย!ในเมื่อทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นไปแล้ว,และนี่แหละคือสาเหตุที่ว่าทำไม?พุทธเจ้าถึงตรัสว่าให้รักษาแผลธนูอันเป็นทุกข์ให้หายก่อน!แทนที่จะเสียเวลาไปถามหาว่าใครเป็นผู้ยิง?หรือถ้าเทียบเป็นทางธรรม,ก็=การถามหาว่าอัตตามีอยู่จริง!หรือว่าอัตตาไม่มีอยู่จริง!นั่นเอง

 

25/1/2556 19:07:0  สุขนั้นเป็นเท็จ และเหลือเป็นเพียงสัญญามีอุปาทานฝังไว้อยูู่ซึ่งล้างยาก คุณ4424 นั้นว่าไม่ให้ถามเรื่องทุกข์ แล้วก็ให้ยกเอาสูตรมาชนกัน ซึ่งจริงๆทุกข์นั้นแหละที่เราควรต้องถามตัวเองควรเรียนรู้ทุกข์ที่ตนเอง ส่วน 4424 นั้นว่าควรจะต้องปฏิบัติก่อน นั่นเพียงแค่ตรรกะคิดนึก เป็นอัตวาทุปาทาน ซึ่งคุณคิดแค่ว่าทุกข์ไม่มี ก็แค่ทับถมมันไว้กลบๆมันไว้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติละล้างเหตุ ไม่ได้มีผัสสะจริง ไม่ได้เดินตามมรรคองค์ 8 หรือแม้แต่สายปัญญาจะมีสมถะลืมตา สัมผัสมีทุกข์แล้วก็ปล่อย ให้รู้ นิ่งเฉย ก็ปล่อยได้แต่เป็นการกลบเกลื่อน ถ้าอะไรทุกข์ก็ปัดไป แต่ถ้าอะไรสุขนั้นก็เสพไป เอาแต่สบายใจ หัดหมกไว้อย่างชำนาญหมกไว้ในอนุสัย ไม่ได้เรียนรู้เหตุปัจจัยที่แท้จริง ไม่ได้พิจารณาถึงไตรลักษณ์ ที่เห็นอาการมันแวบหายไป สุขไม่ได้อยู่ชั่วกาลนาน คุณอาจสร้างภพให้สุขอยู่นานๆ มันก็ไม่เที่ยง อยู่เป็นชาติก็ได้ ชาติหน้าอาจเหมือนเก่าหรือน้อยกว่าเก่าหนักกว่าเก่าก็ได้..มันไม่เที่ยง ถ้าไม่ละล้างคุณก็วนเวียนอยู่นานนับชาติ

 

25/1/2556 19:14:08 คนที่จะรู้อัตตารู้ความเป็นอริยสัจจ์นั้นไม่ง่ายเลย มีที่เรียบเรียงเรื่องอริยสัจจ์แห่งชีวิตไว้....ต่อจากเมื่อวานนี้...เป็นเรื่องโลก
อาริยสัจคืออะไร

1. อาริยสัจ คือ ความจริงของผู้เป็นโลกุตรบุคคลจริง ที่เข้าถึง "ปรโลก" ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แล้วนำมาประกาศให้สังคมมนุษย์รู้ตาม ปฏิบัติเข้าสู่โลกอสาริยะที่เป็น "โลกใหม่" นี้ตามคนผู้เอาแต่ "ขบคิด" ซึ่งใช้แค่เหตุผล(ตรรกะ) แล้วหลงว่า "การขบคิดจนทะลุ" นี้คือ "ภาวนามยปัญญา" จึงเอาแต่ใช้การขบคิดจนมี "ผล" สรุป แล้วหลงว่าตนบรรลุ ไม่ได้ปฏิบัติด้วย "มรรค อันมีองค์ 8"

 

พ่อท่านได้กล่าวถึงกถาวัตถุ 10 และวรรณะ 9 และหลักตรวจธรรมวินัย พระพุทธเจ้า แทรกในระหว่างการอ่านบทความที่เขียนมา

เพื่อตรวจสอบพวกเรา ที่มารวมกันเป็นสังคม ตามหลักตรวจธรรมวินัยพระพุทธเจ้า  ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
1. วิราคะ คือ คลายความกำหนัด ความไม่ติดพัน เป็นอิสระ มิใช่เพื่อความกำหนัดย้อมใจ การเสริมความติด
2. วิสังโยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด ความไม่ประกอบทุกข์ มิใช่เพื่อผูกรัด หรือประกอบทุกข์
3. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูกกิเลส มิใช่เพื่อพอกพูนกิเลส
4. อัปปิจฉตา คือ ความมักน้อย มิใช่เพื่อความอยากอันใหญ่ ความมักใหญ่ หรือ มักมากอยากใหญ่
5. สันตุฎฐี คือ ความมีใจพอ
6. ปวิเวก คือ ความสงบจากกิเลส
7. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน
8. สุภรตา คือ ความเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก

 

25/1/2556 19:46:01 กลับมาที่อาริยสัจ เป็นความจริงที่ต้องเรียนรู้ ตั้งแต่ความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์คือสิ่งที่เราไปติดยึด ความรวยก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งแบ่งได้เป็นกามและอัตตา อัตตานั้น มี เรา และเป็นเรา คำว่า โลภ นั้นเป็นของเรา ส่วนคำว่ากามหรือราคะนั้นถ้าหมด สัมผัสแล้วก็ไม่เสพแล้ว หมดกาม ส่วนราคะนั้นเป็นกามที่ละเอียด โลภนั้นเป็นของเราเป็นการเสพภายนอก ส่วนราคะนั้นเป็นการเสพภายใน........

 

25/1/2556 19:49:27 ศาสนาทุกวันนี้มีสองฟาก 1 ฟากศรัทธา พระพุทธเจ้าแบ่งว่าเป็นสัทธานุสารีย์ ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นพวกปัญญา เรียกว่า ธัมมานุสารีย์ ฟากปัญญาจะหลงความฉลาด ส่วนฟากศรัทธาจะหลงความเชื่อ ส่วนปัญญานั้นคิดวิจัยอะไรๆไปมากมาย ทีนี่มันนานเข้าๆ ความเจริญของความนึกคิดที่มีต่างๆนานาในยุคนี้ การปรุงแต่งขบคิดมันมาก ส่วนพวกศรัทธานั้นน้อยลง จึงกลายเป็นเรื่องปรุงแต่ง แต่มีศรัทธาเล็กลงๆ จึงเหลือสภาพความไม่เอาอะไร จะดูคนสองอย่างนี้ให้ดูที่จีนและอินเดีย

 

25/1/2556 19:51:33 อินเดียมีสายศรัทธา ส่วนจีนนั้นเป็นสายฉลาด มีเฉกามาก สายศรัทธาจะหมกกิเลส สายปัญญานั้นจะปรุงกิเลส สายศรัทธาจะไม่ค่อยวุ่นนัก สายฉลาดจะซัดกันมากวุ่นวายมาก สายศรัทธาจะสงบกว่าสายปัญญา ส่วนพระพุทธเจ้านั้นรู้ทั้งสองอย่าง แต่แน่นอนคนเราจะมีแกนจิตอยู่ ผู้ศึกษาทางศาสนานั้น สายปัญญานั้นจะบรรลุเร็ว ถ้ามีเชื้อศรัทธา แล้วใช้ปัญญานำจะเร็ว ศรัทธาที่มีปัญญาช่วยจะเร็ว

 

25/1/2556 19:53:36 ในบุคคล 7 ของพระพุทธเจ้า

สายปัญญาจะไปเป็น ธัมมานุสารี แล้ว เป็นทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงปัญญาวิมุติ

ส่วนสายศรัทธานั้นจะไปเป็น สัทธานุสารีย์ แล้วเป็น กายสักขี และเข้าถึง สัทธาวิมุติ

สัทธานุสารีย์นั้นถ้าไม่ได้ปฏิบัติอย่างมีวิโมกข์ 8 นั้นจะไม่ได้บรรลุธรรมจริง พ่อท่านได้อธิบายถึงหลักวิโมกข์ 8 ต่อ ซึ่งมีรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ตัวปฏิบัตินั้นเป็นรูปฌาน ส่วนอรูปฌานนั้นเป็นขั้นตรวจสอบ ซึ่งทั้งรูปฌานและอรูปฌานล้วนปฏิบัติแบบลืมตามีผัสสะเป็นปัจจัยทั้งสิ้น

 

พ่อท่านอ่านบทความที่นำมาต่อ.....ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตาม "โพธิปักขิยธรรม 37" จนรู้แจ้งสัมผัสเห็น "เวทนา 108 เกิด "เจโตปริยญาณ 16" เพราะผู้เอาแต่ "ขบคิด" นั้นแม้แต่ "ไตรสิกขา" ก็ไม่ได้ปฏิบัติเลย ได้แค่ "ผลของการขบคิด" แล้วหลงว่าเป็น "ปัญญาขั้นสูง"  แล้วหลงว่าเป็น "ภาวนามยปัญญา"

            คนชนิดนี้คือ ผู้ไม่ได้มี "ปฏิบัติ" เพราะเมื่อสำเร็จด้วย "ตักกาวจรา" ได้แก่ ผู้สำเร็จ "การขบคิด" ด้วยเหตุผลเท่านั้นแล้ว ก็จะไม่ปฏิบัติอะไร เช่น พวกลัทธิเซ็น หรือสายปฏิบัติเอาแต่ "สติ" แล้วรู้ แล้วนิ่งเฉย ตัดทิ้งไปเลย อย่าคิดอะไรต่อ ทำใจให้สบายพอแล้ว

            เพราะส่วนมากจะเข้าใจว่า "ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่ตัวตน" (สัพเพธัมมา อนัตตา) มาเป็นตัวต้น ทั้งๆที่เป็น "ตัวจบ" หรือ "ตัวปลาย" ของการปฏิบัติจนบรรลุสูงสุด

            แต่นี่หลงอยู่แค่ "ผลการขบคิด" มันรู้ดีแล้วนี่ว่า "ตัวตนใดๆก็ไม่มีในโลก" เมื่อ "ตัวตน" ไม่มี จะเอา "ตัวตน" ที่ไหนไปปฏิบัติ คนชนิดนี้คือ ผู้มีแค่ "อัตตวาทุปาทาน" = ยึดมั่นถือมั่นได้แค่ "วาทะ" ว่าเป็นตัวตน

จบ.........


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:01:21 )

560127

รายละเอียด

27/1/2556 8:53:10 รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อท่านและส.เพาะพุทธ...เรื่อง ปฏิจจสมุปบาทจนถึงโลกุตรภูมิ 9

 

27/1/2556 9:00:00 วันนี้พ่อท่านจะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างสำคัญ

27/1/2556 9:04:59 ส.เพาะพุทธเปิดรายการที่ศาลาฉันสันติฯ...วันนี้ในช่วงบ่ายจนถึงเย็นจะมีงานพระราชทานเพลิงศพของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ในเวลา 17.00 น. มีสมเด็จพระเทพฯเสด็จมาพระราชทานเพลิงด้วย และยังมีงานนิทรรศการต่างๆ ณ วัดทองนพคุณ กทม. ท่านจันทร์และส.เลื่อนลิ่วจะไปร่วมงานด้วย วันนี้พ่อครูติดภารกิจในการดูแลสุขภาพจึงไม่ได้ไปร่วมงานด้วย เชิญญาติโยมไปร่วมด้วยเพื่อเป็นเกียรติแก่ศิลปินแห่งชาติ

            ก่อนออกรายการได้เอ่ยธรรมะจากหลวงตาบัวว่า จิตเป็นมหาเหตุทั้งกิเลสและธรรมะ และพ่อครูได้อธิบายเพื่อเติมว่า อวิชชาต่างหากเป็นมหาเหตุ ของกิเลส และสำหรับธรรมะนั้นถ้ากำจัดอวิชชาได้ก็จะมีวิชชามีธรรมะ

            หลวงตาบัว ว่า ให้ทราบตามอาการอย่างถือเป็นอารมณ์ อันนี้พ่อครูว่าใช้ได้

          หลวงตาบัว ว่า การแจกหนังสือ ถ้าให้ก็ต้องให้ทุกคน ถ้าไม่ให้ทุกคนก็เป็นเรื่อง ถ้าไม่ให้ก็ไม่เป็นเรื่อง

            หลวงตาบัว ว่า ถ้าใครนิมนต์ให้ไป ถ้าไปก็ไปหมดทั้งตัว ถ้าไม่ไปก็ไม่ไปทั้งตัวเลย

            หลวงตาบัว ว่า ชิงดีชิงเด่น ดีขี้หมาอะไร ชิงชั่วชิงเลวต่างหาก

            มีคำที่พ่อครูนำจากไตรปิฏกมาคือ โยนิโสมนสิการ หลวงตาบัวว่า หาต้นหาตอ หารากแก้วรากฝอย

            ก็นำประเด็นที่ได้ฟังจากวิทยุหลวงตาบัวมานำเสนอ...

 

27/1/2556 9:21:17 พ่อท่านว่า...เราต้องมาเริ่มต้นว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ และได้นำมาเปิดเผย แม้พ่อท่านก็ได้เรียนรู้ปฏิบัติตาม แล้วนำมาเปิดเผยในสิ่งที่มีที่ได้นั้นๆ เป็นการทำคุณอันสมควรก่อนจะพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง

 

27/1/2556 9:22:31 ก็มีคนว่ามาว่า 1. พ่อท่านไม่ได้ปฏิบัติ   2. พ่อท่านไม่ได้บรรลุจริง  ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ต่างกัน

            ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ใครได้อะไรก็นำเสนออย่างนั้น ถ้าเหตุในการทำไม่เหมือนกัน ผลที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ก็ธรรมดาไม่ได้แปลกอะไร ทีนี้ไม่เหมือนกันเราก็นำสิ่งที่ต่างกันมาเป็นเหตุมาศึกษา ว่าอันไหนดำอันไหนขาว เอามาเปรียบเทียบ คนฟังก็อย่าสับสนว่าอันไหนเป็นของใคร แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลของตน

 

27/1/2556 9:24:59 ที่ผ่านมาก็มีคุณ 4424 และคุณ 8677  แต่คราวนี้ก็มีคุณ 8131 มาอย่างแรงเลยว่า0828131xxx          กูจะฆ่าเองไอ้สัตว์มึงเกิดบนแผ่นดินไทยทำไมไอ้รักรักพงษ์เทวทัต

....องค์นี้แรงมาก องค์ลง....ซึ่งก็เป็นความยึดติดเป็นอุปาทานของแต่ละคน

27/1/2556 9:26:18 คุณ 4424 ว่า เขาเรียนจากข้างในมาหาข้างนอก แต่โพธิรักษ์นั้นเรียนจากข้างนอกมาหาข้างใน...ซึ่งพ่อท่านว่า...ใช่เลย เราปฏิบัติจากนอกไปหาใน จากกามภพ ไปรูปภพ อรูปภพ ซึ่งมั่นใจว่าตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

27/1/2556 9:27:15 0894424xxx              เขาวิปัสนากันที่ผัสสะภายในจุดเดียว!คือที่ธรรมารมณ์กระทบกับใจ!27/1/2556 9:27:57 0894424xxx          ความเห็นว่าอัตตาเป็นตัวตนคือสักกายะทิฐิ!โพธิรักจะต้องละให้ได้ก่อน

พ่อท่านว่า...สาธุเลย คือสักกายะคือตัวใหญ่ ที่ต้องทำลายก่อน ก็สอนบอกจนน้ำลายเหือดแห้งแล้ว

27/1/2556 9:28:51 0894424xxx          ประสบการสภาวธรรมก่อให้เกิดปัญญา,มิใช่ปัญญาอ่านสภาวธรรม!

พ่อท่านว่า.....เช่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่อง สังกัปปะ 7 คือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา เราต้องดูอาการตั้งแต่ตักกะ คือเริ่ม ถ้าเราทำได้ตั้งแต่วิตักกะ คือสังกัปปะได้จัดการจนมีสัมมาสังกัปปะ ซึ่งคืออ่านจิตตั้งแต่เริ่มดำริคือตักกะ คือให้จิตมีฌาน ไม่ฟุ้งซ่านในนิวรณ์ และทำใจในใจคือมนสิกโรติ ให้รู้ว่าขณะนี้เรากำลังนึกคิดมีสังกัปปะ อย่างมีเหตุสัมผัสข้างนอกทางทวารนอก ต่อเนื่องมาสู่ภายใน มีญานรู้นามรูป คือรู้อุปาทายรูป  เป็นการรู้กายในกาย รู้องค์ประชุมนี้เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ซึ่งถ้าอ่านนามรูปได้ตามปฏิจจสมุปบาท เวลาผัสสะก็คือมาวิญญาณเกิดก็อ่านวิญญาณได้ ซึ่งคือองค์ประชุมของธาตุรู้ทั้งหมดเลย ซึ่งนามรูปนั้นมีทั้ง เวทนา สัญญา ผัสสะ เจตนา มนสิการ ในพระไตรฯ เล่ม 16 ข้อ 4ที่ท่านว่า

 

27/1/2556 9:33:30                2 วิภังคสูตร

       [4] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาท นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

       [5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป   เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย

จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

       [8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

       [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทานอัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

       [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

       [11] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

       [12] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส    โสตสัมผัส ฆานสัมผัสชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

       [13] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ      นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ

       [14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

 

 

27/1/2556 9:34:2 ถ้าปราศจากผัสสะแล้ววิญญาณเกิดไม่ได้ คือไม่มีเหตุปัจจัยให้มีผัสสะ 3 อย่างคือ การกระทบสัมผัสทางทวารนอก และทวารใน และมีวิญญาณเกิด

27/1/2556 9:39:07  0894424xxx พระดังๆที่มรณะไปแล้วซึ่งทุกวันนี้คนทั้งหลายก็ยังนับถืออยู่,แต่หารู้ไม่ว่าท่านเหล่านั้นกำลังตกนรกอยู่!ฉะนั้นโพธิรักจึงควรระวังไว้ด้วย,เพราะเกรงว่าท่านจะเป็นเหมือนกับพระเหล่านั้น!ซึ่งพระดังๆที่ตกนรกอยู่นี้,ส่วนใหญ่เป็นสายปัญญา(ฟุ้ง)เหมือนโพธิรักทั้งสิ้น!เพราะเป็นพวกที่บรรลุด้วยการอ่านจิตของตนแล้ววิเคราะวิจัยทั้งนั้น!แต่บังเอิญว่าวิจัยผิดเพราะเป็นวิปัสนึก(เอาเอง)!แล้วชอบเอามาแต่งเป็นตำราสอนผิดๆอีกด้วย!

พ่อท่านก็เคารพทุกความเห็นแม้แต่คนที่จะมาทำร้ายมาฆ่า ...พ่อท่านก็ว่าควรลดความรุนแรง ให้สติว่าอย่าคิดอย่างนั้น คิดอย่างนั้นรุนแรงผิดกฎหมายด้วย

 

27/1/2556 9:41:31 มีคนเห็นด้วยกับคุณ 4424 คือ0806432xxxเห็นด้วยกับคุณ4424นะโพธิรักสอนจากการคิดนึกของตนสมัยพุทธกาลก็มีผู้ปฎิบัติแล้วหลงว่าตนเป็นอรหันเมื่อมีผู้ติติงก็ดูตนและแก้ไขส่วนโพธิรักไม่ปฎิบัติได้แต่ท่องจำและจงใจหลอกลวงตั้งตนเป็นอรหันและยังปรามาสการปฎิบัติของหลวงปู่ต่างๆที่เป็นพระสุปะฎิปันโนแก่มากแล้วนะบั้นปลายชีวิตกลับใจเป็นสัมมาทิฐิเถอะ

27/1/2556 9:42:25 ก็ขอบคุณที่แนะนำมา แต่พ่อท่านว่า ตอนนี้ยังไม่แก่นะ กำลังวัยทำงานเลย เท่ากับคนอายุ 40 ปี ส่วนคุณจะมองว่าแก่แล้วก็ไม่เป็นไร จะขออธิบายที่พ่อท่านรู้สึก ว่ายังรู้สึกหนุ่มแน่น และหมอก็ตรวจมาแล้วว่า สมองเท่ากับคนอายุ 40 ปี หัวใจเท่ากับคนอายุ 35 ปี ส่วนปอดเท่ากับคนอายุ 40 ปี

 

27/1/2556 9:43:56 และมีคนว่า 0838677xxx      โพธิรักบรรลุแล้วควรเขียนคัมภีร์เองอย่าอิงพระพุทธเจ้าแล้วตีความไปเรื่อย

ซึ่งพ่อท่านว่า พ่อท่านอ้างอิงพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ อย่างเช่นการปฏิบัติไปอยู่ป่านั้นผิด..ก็มีหลักฐานในพระไตรฯ อย่างเช่นก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะใช้เตวิชชโชขณะจะตรัสรู้นั้นก่อนหน้านั้นท่านไม่รู้เรื่องธรรมะ แต่พอท่านได้ทบทวนย้อนไปท่านก็ได้รู้ในภูมิสยัมภูของท่าน ท่านตรวจจนรู้ว่าตนเป็นพระพุทธเจ้า พอรู้แล้วจึงมาบอกกับปัญจวัคคีย์ว่าตนเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งท่านมีเค้าอยู่แล้วว่าจะมีพระพุทธเจ้าเกิด คืออัญญาโกณฑัณยะได้ทำนายได้ก่อน แต่ก็ไม่เชื่อแน่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในตอนที่เลิกทรมานตน พอพระพุทธเจ้ามาครั้งนี้ก็นัดแนะว่าจะไม่ลุกรับ ไม่เชิญนั่ง แต่พอพระพุทธเจ้ามาพวกปัญจวัคคีย์ก็เลิกลั่ก ลุกรับเชิญนั่ง แถมพระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อ้าวทำไมจากกันไม่นานก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เราเคยบอกมาก่อนไหมว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า ...ปัญจวัคคีย์จึงฟังธรรมพระพุทธเจ้า...นี่คือพ่อท่านยืนยันว่า พระพุทธเจ้าท่านมีพุทธการกธรรมแล้วชาตินี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยในชาตินี้ ซึ่งพ่อท่านไม่ได้คิดเขียนเอง แต่อ้างอิงพระพุทธเจ้าตลอด

            ส่วนพ่อท่านก็อ้างของตนว่า ตนเป็นโพธิสัตว์ คือเอาของตนเองมาสอน และไม่ได้เอาของคนอื่นมาสอน ถ้าอ่านอรรถกถาจารย์มากแล้วก็จะมีข้อแย้งมากว่านี้อีก ขนาด sms ยังแตกต่างกันขนาดนี้

27/1/2556 9:51:57 0894424xxx        อริยะจริงย่อมไม่เผยตัว!เพราะมิใช่ฮิสทีเรียที่ต้องการคำชื่นชมจากคนอื่น!

27/1/2556 9:53:56 การเผยตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านชมตนเอง ไปอ่านในพระไตรฯเล่ม 9 ท่านเผยตัวว่าเรานี่ยิ่งกว่าใคร..พ่อท่านก็เผยตัวทำตามพระพุทธเจ้า พ่อท่านเผยตัวอย่างมีการอ่านใจตนเองเป็น ว่า ไม่มีสาเฐยจิต คืออยากอดเพื่อให้คนสรรเสริญเยินยอว่าตนเก่ง นี่พ่อท่านได้ศึกษามาว่าอยากให้ตนได้รับการนับถือ ให้คนยกว่าเป็นผู้วิเศษหรือเปล่า ก็อ่านได้ว่า มันไม่มีนะ ซึ่งคุณก็ต้องไม่เชื่อ มันไม่เข้าไปในใจของคุณเลย มันฟังทะลุแต่หู ได้ยินภาษาแล้วก็ยกมาโต้แย้ง มันก็เลยไม่ได้ แล้วก็เพ่งโทส เอาแต่คำที่จะมาค้านแย้ง พ่อท่านว่าอย่างนี้มาตู่มากเกินไปจะลำบากนะ

27/1/2556 9:57:36 คุณ 4424 ว่าพ่อท่านไม่ได้ปฏิบัติ เอาแต่คิดนึก เอาคำพูดทีว่าเมื่อความทุกข์กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า,สมควรหรือไม่ที่จะมัวถามหาว่าใครเป็นผู้กระทำให้ทุกข์เกิดขึ้น?หรือว่าทุกข์นั้นเกิดขึ้นเองโดยหามีใครเป็นผู้กระทำไม่,ใช่หรือไม่?ซึ่งคำถามทั้งหลายเหล่านี้ไม่สมควรจะถามอย่างยิ่ง,เพราะสมควรจะกระทำซึ่งความดับทุกข์ก่อนมากกว่า!เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกธนูยิง,สมควรจะรักษาแผลให้หายเสียก่อน.เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าทุกข์เหมือนถูกธนูยิง ควรรักษาแผลก่อน เหมือนพระมาลุงกยบุตรถามพระพุทธเจ้า ...ซึ่งมาลุงกยบุตรนั้น ไม่ใช่ประเด็นเรื่องถามทุกข์ แต่เป็นการถามเรื่องทิฏฐิ 10 ซึ่ง พ่อท่านก็ยืนยันว่าต้องรู้ทุกข์ก่อน ไปฟังอย่างไรหาว่าพ่อท่านฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด  ส่วนเรื่องทิฏฐิ 10 นั้นคือ

มาลุงกยะบุตร ! เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ถูกลูกศรอันกำซาบด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า, มิตร อมาตย์ ญาติสาโลหิต จัดการเรียกแพทย์ผ่าตัดผู้ชำนาญ. บุรุษอย่างนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวบุรุษผู้ยิงเราว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ศูทร ชื่อไร โคตรไหน ฯลฯ, ธนูที่ใช้ยิงนั้นเป็นชนิดหน้าไม้หรือเกาทัณฑ์ ฯลฯ เสียก่อนแล้ว, เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงนั้น. มาลุงกยะบุตร ! เขาไม่อาจรู้ข้อความที่เขาอยากรู้นั้นได้เลย ต้องตายเป็นแท้ !

อุปมานี้ฉันใด , อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน, บุคคลผู้นั้นกล่าวว่า เราจักยังไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า จนกว่าพระองค์จะแก้ปัญหาทิฐิ 1o แก่เราเสียก่อน, และตถาคตก็ไม่พยากรณ์ปัญหานั้นแก่เขา เขาก็ตายเปล่าโดยแท้.

มาลุงกยะบุตร ! ท่านจงซึมซาบสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ไว้ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. ซึมซาบสิ่งที่เราพยากรณ์ไว้ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์ ? คือความเห็นสิบประการว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สิ้นสุด โลกไม่มีที่สิ้นสุด ฯลฯ (เป็นต้น), เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์.

มาลุงกยะบุตร ! อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ? คือสัจจะว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์," ดังนี้ : นี้เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์.

เหตุใดเราจึงพยากรณ์เล่า ? เพราะสิ่งๆนี้ย่อมประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน.

 

27/1/2556 10:03:4  ส.เพาะพุทธ...เสิรมว่า ประเด็นที่มีผู้ค้านแย้งมา ขอบอกว่าคนฟังหากโกรธใครก็ควรรู้ว่าเป็นใคร แต่หากเราฟังคุณsms มาเป็นตัวเลข เราจะไปโกรธตัวเลขนั้นก็ใช่ที่ แต่เรากลับรู้สึกว่าเขาช่างยอมเสียสละเวลามาsms ท่านทั้่งหลายต้องเข้าใจว่า sms นั้นต้องกดทีละตัวๆ มาส่ง ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว

และพ่อครูยังได้อ่านถึงข้อความของคนที่ขู่ฆ่า...ซึ่งถ้าฆ่าความเป็นสัตว์ในจิตวิญญาณนั้นก็เป็นเรื่องที่ควรทำและท่านจันทร์ก็กำลังทำอยู่

            ประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมแต่มีพุทธการกธรรมอยู่แล้ว นั้นทำให้ได้เข้าใจประเด็นที่พ่อครูเคยบอกว่าไม่ค่อยได้ศึกษาไม่เป็นนักศึกษา เพราะถ้าอ่านมากพ่อครูก็จะมีประเด็นแย้งมาก อย่างคำที่หลวงตาบัวพูดว่า จิตเป็นมหาเหตุทั้งกิเลสและธรรมะ(ท่านจันทร์ต่อให้) แต่พ่อท่านว่า จะไปโทสจิตไม่ได้ ให้กำจัดอวิชชาต่างหากที่แฝงอยู่ในจิต ขนาดพ่อครูอ่านไม่มาก เราก็ติดตามฟังไม่หวาดไม่ไหวต้องปีนตึกฟัง

            ประเด็นเร่งด่วนคืออย่าไปตอบสนองความอยากรู้ อย่างในมาลุงกยบุตร นั้นเราไม่ควรไปเสียเวลากับทิฏฐิ 10 เราควรกำหนดรู้(ปริเยยะ=พึงหรือควรกำหนดรู้) ส่วนสัญญาคือตัวทำงาน คือการกำหนดรู้เลย

            ผัสสะคือเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณ โดยเฉพาะผัสสะ 3 อันนี้สำคัญ จะเรียนรู้วิญญาณนั้นต้องไม่หนีผัสสะต้องมีผัสสะ

            ประเด็นที่พ่อครูนั้นได้อ้างอิงพระพุทธเจ้าเพราะถ้าไม่อ้างอิง ก็จะเป็นของตนเอง ซึ่งพ่อครูก็มีการอ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้าแม้ว่าพ่อครูจะไม่เคยอ่านมาก่อน แต่ความจริงที่พ่อครูมีนั้นก็สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าเขียน อย่างเช่นการอยู่ป่านั้น ให้เป็นการทำจิตใจให้สงบจากกิเลสมากกว่า ซึ่งเราควรฟังธรรมแล้วนำไปทำหรือพิสูจน์อย่างอาบน้ำอย่ากลัวเปียก

27/1/2556 10:14:03 ท่านจันทร์เชื่ออย่างบริสุทธิเต็มร้อยว่าพ่อครูไม่ได้มีจิตปฏิคะแต่อย่างใด ซึ่งแม้แต่ท่านจันทร์เองก็ไม่ได้มีจิตขุนเคืองแต่อย่างใด (ท่านจันทร์ว่าก็เคยได้รับการว่าด่าต่อหน้าก็ไม่ได้มีจิตขุ่นเคืองแต่อย่างใด) ให้ถือว่าเป็นผัสสะที่เราจะได้นำมาทำใจของเราให้สูงขึ้น อย่างที่พ่อครูนำดินมาปั้นเป็นพระ นำขยะมาทำเป็นปุ๋ย คือนำประเด็นต่างๆมาเป็นประโยชน์ อย่างเช่นกลอนของท่านอังคารว่าไว้.....

“น้ำเน่าขังท่อ ข้างถนน
มันย่อมเป็นเมฆฝน แห่งฟ้า
ถึงต่ำแต่หมายผล เลอเลิศ
เพียรเปรื่องปราชญ์มิช้า ช่วยขึ้นมิติสรวง”

27/1/2556 10:16:5พ่อท่านพูดต่อ... ในปฏิจจสมุปบาท เริ่มตั้งแต่ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย......ที่มันเกิดทุกข์ได้เพราะอวิชชาเป็นต้นเค้า และสำหรับคนที่มีวิชชา อย่างพระอรหันต์ คือมีนิพพานแล้ว อวิชชาดับแล้ว ไม่ใช่หมายความว่า สังขาร..วิญญาณ..นามรูป..สฬายตน...ไปตลอดจะไม่มีเลยนั้น ถ้าพูดถึงการปรินิพพานนั้นก็ใช่ เพราะท่านตัดรอบไม่ต่ออีกทั้งหมด สำหรับผู้ที่หมดอวิชชาแล้วจริง ท่านก็ทำได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนพวงมะม่วง เมื่อหลุดจากขั้วตกมาแล้ว จะไม่มีใครได้เป็นพวงมะม่วงนั้นอีกเลย.....พระอรหันต์องค์ใดถ้าท่านไม่ดับภพจบชาติจริงๆ ท่านมีสันตติ จะต่อภพภูมิ แต่ท่านมีวิชชาแล้ว ท่านก็มีสังขาร อุปาทานก็เป็นสมาทาน ภพก็เป็นวิภพ ชาติก็เป็นการเกิดระดับ อภินิพพัตติ

 

27/1/2556 10:26:03 พระพุทธเจ้าสอนใบไม้กำมือเดียว แต่ท่านรู้ทั้งป่า ส่วนพ่อท่านนั้นไม่ได้รู้ใบไม้ทั้งป่า ซึ่งในเถรวาทนั้นจะให้รู้ใบไม้กำมือเดียวให้พ้นทุกข์ แต่พอฟังที่พ่อท่านพูดในภูมิโพธิสัตว์นั้น เขาจึงฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพ่อท่านไม่รู้ใบไม้กำมือเดียว พ่อท่านผ่านมาแล้วรู้แล้วและทุกวันนี้ก็พยายามบอกใบไม้กำมือเดียวอยู่

 

27/1/2556 10:28:29 ที่4424 นั้นว่าให้เข้าใจภายในให้รู้แต่ในจิตใจ นั้น ถ้าสังขาร

สังขารนั้น มีการสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร

กายสังขารคือองค์ประกอบเต็มทั้งนอกและใน เป็นวิโมกข์ข้อที่ 2 อัชชตังพหิธารูปนิปัสสติ อย่างมีกาเยนะผุสิตวาวิหารติ พ่อท่านก็อ้างอิงให้ไปตรวจสอบไตรปิฎกคือ ต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส คือมีผัสสะ จึงจะมีวิญญาณเกิด ที่พระพุทธเจ้าสอนกับภิกษุสาติ ว่าสาติใครไปสอนเธอให้ไปเอาวิญญาณที่ล่องลอยจากร่างไป แต่ให้เธอรู้วิญญาณที่เกิดในปัจจุบัน ที่เกิดจากผัสสะสดๆจะเห็นวิญญาณสดๆ

 

27/1/2556 10:32:55 มาดูการสังขาร 3

1.กายสังขารคือองค์ประชุม นอกและใน อย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ผัสสะอยู่ในปัจจุบัน คือตากระทบรูปก็มีจักขุวิญญาณเกิดก็รู้เห็นได้ นี่คือกายสังขาร

2. วจีสังจาร คือต่อเนื่องจากกายสังขาร ที่ยังไม่ขาดการสัมผัสอยู่ ไม่ใช่เอาความจำมาอ่าน และคำว่าวจีสังขารอยู่ในตปฏ.เล่ม 14 ข้อ 263 {263} สัมมาสังกัปปะอันเป็นอริยะ    ที่ไม่มีอาสวะ    เป็นโลกุตตระ    เป็นองค์แห่งมรรค    เป็นอย่างไร   คือ    ความตรึก    ความวิตก    ความดำริ    ความแน่วแน่    ความแนบแน่นความปักใจ    ความปรุงแต่งคำ(วจีสังขาร)   ของภิกษุผู้มีจิตไกลจากข้าศึก    มีจิตหาอาสวะมิได้เพียบพร้อมด้วยอริยมรรค

ทีนี้จะไล่ตามพระไตรฯตั้งแต่ข้อ

{256} สัมมาทิฏฐิ    เป็นอย่างไร

            คือ    เรากล่าวสัมมาทิฏฐิว่ามี    2    ได้แก่

                      1.    สัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะ    เป็นส่วนแห่งบุญ (บุญคือเครื่องชำระกิเลสอย่าเข้าใจว่าได้โลกธรรม)  ให้ผลคืออุปธิ(ให้ผลแก่ขันธ์ คือขันธ์5 สะอาดขึ้นๆ)

                      2.    สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ    ที่ไม่มีอาสวะ    เป็นโลกุตตระ เป็นองค์ แห่งมรรค (ที่จริงโลกุตระภูมินั้นไม่ใช่ว่าต้องปฏิบัติให้เป็นอรหันต์ได้อย่างเดียว แต่โลกุตตรภูมินั้นมี 9 ภูมิคือ โสดาฯมรรค...ไปจนถึง อรหัตผล..และพระนิพพาน)โลกุตรภูมิ 9 คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1)

ต้องมีการทำใจในใจให้สู่ความเป็นกลาง คนที่กำลังเดินทางออกจากโลกโลกียะเนกขัมมะออกไป 180 องศากับโลกียะ คือต้องอ่านทิศทางของเนกขัมมะ กับเคหสิตะ ออก คืออ่านเวทนา 18 ออก เป็นมโนปวิจาร 18  อย่างมีการสัมผัสของจริง ทั้งทวารนอกและใน โดยมีธัมวิจัยสัมโพชงค์ และกำลังบีบคอกิเลส ให้กิเลสจางคลาย นั่นคือการทำ ปุญญาภิสังขาร เมื่อชำระกิเลสจนหมดก็ไม่ต้องปรุงเพื่อละกิเลสก็เป็น อปุญญาภิสังขาร คือสังขารเพื่อทำแต่กุศลอย่างเดียวเท่านั้น (คำว่ากุศลนั้นกว้างกว่าบุญ)

            ผู้ที่รู้จักสัมมา-มิจฉาทิฏฐิดีแล้ว...ดูในข้อ{258} สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ ที่ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรคเป็นอย่างไร

            คือ    ปัญญา    ปัญญินทรีย์    ปัญญาพละ    ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์    สัมมาทิฏฐิ

องค์แห่งมรรคของภิกษุผู้มีจิตไกลจากข้าศึก    มีจิตหาอาสวะมิได้    เพียบพร้อมด้วยอริยมรรค    เจริญอริยมรรคอยู่    นี้เป็นสัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ    ที่ไม่มีอาสวะ    เป็นโลกุตตระ    เป็นองค์แห่งมรรค    ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฏฐิ    ยังสัมมาทิฏฐิให้ถึงพร้อม    ความพยายามของภิกษุนั้น    เป็นสัมมาวายามะ    ภิกษุนั้นมีสติ    ละมิจฉาทิฏฐิ    มีสติเข้าถึงสัมมาทิฏฐิอยู่    สติของภิกษุนั้นเป็นสัมมาสติ

ธรรม    3    นี้    คือ    (1)    สัมมาทิฏฐิ    (2)    สัมมาวายามะ    (3)    สัมมาสติ    ย่อมห้อมล้อมคล้อยตามสัมมาทิฏฐิของภิกษุนั้นไป    ด้วยประการฉะนี้

 

คำว่าอนาสวะนั้น เริ่มตั้งแต่โสดาบัน จะทำอนาสวะของภูมิโสดาบันไป ...ทำตามภูมิก็คือผู้สิ้นอาสะบางอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละคือลำดับไปสู่อนาสวะสุดท้ายคืออรหันต์ จนสู่ภูมิสุดท้ายคือโลกุตรภูมิสูงสุด

27/1/2556 10:52:36 การเจริญอริยมรรคคือองค์ แห่งมรรคทั้ง 6 เจริญ โดยทำมรรคทั้ง5 โดยมีสัมมาวายามะ และสัมมาสติเป็นตัวห้อมล้อมผู้ช่วย เพื่อให้องค์ทั้ 5 คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกับปะ สัมมาวาจา สัมมาวายามะ สัมมาอาชีวะ เจริญขึ้น จะเรียกว่า สัมมาสติกับสัมมาวายามะช่วยประธานคือสัมมาทิฏฐิให้ คิด พูด ทำ อาชีพ เจริญ รวมผลเป็นสัมมาสมาธินั่นเอง

 

27/1/2556 10:55:01 {279} [141]    ภิกษุทั้งหลาย    บรรดาองค์    7    นั้น    สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า

            สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า    เป็นอย่างไร

            คือ    ผู้มีสัมมาทิฏฐิ    สัมมาสังกัปปะก็มีพอเหมาะ    ผู้มีสัมมาสังกัปปะ    สัมมาสัมมาอาชีวะก็มีพอเหมาะ    ผู้มีสัมมาอาชีวะ    สัมมาวายามะก็มีพอเหมาะ    ผู้มีสัมมาวายามะ    สัมมาสติก็มีพอเหมาะ    ผู้มีสัมมาสติ    สัมมาสมาธิก็มีพอเหมาะผู้มีสัมมาสมาธิ    สัมมาญาณะก็มีพอเหมาะ    ผู้มีสัมมาญาณะ    สัมมาวิมุตติก็มีพอเหมาะ

            ภิกษุทั้งหลาย    พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์    8    จึงเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์    10    (แม้ในบรรดาองค์เหล่านั้น    บาปอกุศลธรรมเป็นอเนกไปปราศแล้วย่อมถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนาโดยสัมมาญาณะ)    ด้วยประการฉะนี้

            {280} [142]    ภิกษุทั้งหลาย    บรรดาองค์    7    นั้น    สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า

            สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า    เป็นอย่างไร

            คือ    สัมมาทิฏฐิ    ย่อมทำลายมิจฉาทิฏฐิได้    และบาปอกุศลธรรมเป็นอเนกอันมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย    ก็เป็นอันถูกสัมมาทิฏฐินั้นทำลายแล้ว    กุศลธรรมเป็นอเนกอันมีสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย    ย่อมถึงความเจริญเต็มที่

            สัมมาสังกัปปะ    ย่อมทำลายมิจฉาสังกัปปะได้    ...

            สัมมาวาจา    ย่อมทำลายมิจฉาวาจาได้    ...

            สัมมากัมมันตะ    ย่อมทำลายมิจฉากัมมันตะได้    ...

            สัมมาอาชีวะ    ย่อมทำลายมิจฉาอาชีวะได้    ...

            สัมมาวายามะ    ย่อมทำลายมิจฉาวายามะได้    ...

            สัมมาสติ    ย่อมทำลายมิจฉาสติได้    ...

            สัมมาสมาธิ    ย่อมทำลายมิจฉาสมาธิได้    ...

            สัมมาญาณะ    ย่อมทำลายมิจฉาญาณะได้    ...

            สัมมาวิมุตติ    ย่อมทำลายมิจฉาวิมุตติได้    และบาปอกุศลธรรมเป็นอเนก    อันมีมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัย    ก็เป็นอันถูกสัมมาวิมุตตินั้นทำลายแล้ว   

 

สัมมาสมาธิคือจิตที่เต็มไปด้วยสัมมาญาณสัมมาวิมุติ ไม่ใช่สัมมาสมาธิสั่งสมเป็นสัมมญาณสัมมาวิมุติ

 

27/1/2556 11:02:10 สรุป ในการปฏิบัตินั้น ถ้าสัมมาทิฏฐิเป็นประธานแล้ว องค์แห่งมรรคต่อมาก็เป็นสัมมา ถ้าพอเหมาะได้ และในสัมมาทิฏฐิในส่วนของอนาสวะนั้น มีปัญญา  ปัญญินทรีย์    ปัญญาพละ    ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์    สัมมาทิฏฐิ  องค์แห่งมรรค ที่จะปฏิบัติไปให้เป็นอนาสวะตั้งแต่ขั้นต้นโสดาบัน....ไปจนตลอดโลกุตรภูมิ 9(มรรค4 ผล 4 และนิพพาน 1)

 

วันพรุ่งนี้จะมาต่อเรื่อง วจีสังขาร......

 

 

27/1/2556 11:07:51  ส.เพาะพุทธสรุปว่าได้อานิสงส์ แห่งการฟังธรรมโดยเฉพาะมีสัมมาทิฏฐิที่ถูกตรงขึ้น.....เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์......จบ.......................27/1/2556 11:09:06


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:04:39 )

560131

รายละเอียด

31/1/2556 17:57:30  รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อท่าน...เรื่อง...ตอบผู้ปริเทวอันไม่รู้จักเลิก

 

31/1/2556 18:06:19 พ่อท่านเริ่มรายการที่ห้องกันเกรา  สันติฯ.... วันนี้จะได้นำsms ของคุณ 4424 ที่ได้ส่งมาแม้ไม่ใช่รายการของพ่อท่านก็ยังส่งมา เราเป็นสถานีอิสระ ไม่ได้เกี่ยงว่าใครจะผิดจะถูก แม้ใครจะแย้งจะด่า เราก็ไม่เกี่ยง เรามีสิทธิ์จะเซ็นเซอร์ บางอย่างถึงขั้นก็ไม่ให้ออก เราก็มีสิทธิจะให้ออกหรือไม่ก็ได้ จะลองอ่านของคุณ 4424 ดู  ของเราข้อความละ 3 บาท เขาทำด้วยโปรโมชั่น ก็จะอ่านลุยไปจนจบเลย

 

31/1/2556 18:12:53

0894424xxx ก่อนที่นายพรานจะเข้าป่าล่าสัตว์,จะต้องเตรียมอาวุธก่อน,ถ้ามิเช่นนั้นเมื่อเจอสัตว์,จะเอาอาวุธอะไรไปฆ่ามันได้!ฉันใดก็ฉันนั้น,เมื่อนักปฏิบัตธรรมประสงค์จะฆ่ากิเลส,ก็ต้องเตรียมอาวุธคือปัญญา,แต่ว่าลำพังเพียงอ่านพตปฎ.จบอย่างโพธิรักนี้ก็เป็นแค่สุตมยปัญญา,และถึงแม้จะเอามาวิเคราะห์วิจัยจนเก่งสักแค่ไหน!ก็ยังเป็นแค่จินตามยปัญญาหรือที่โพธิรักคิดนึก(ตู่)เอาเองทั้งสิ้น,จึงยังไม่ถึงขั้นภาวนามยปัญญาหรือขั้นอาวุธจริง!ที่จะสามารถฆ่ากิเลสได้จริง!,และซึ่งภาวนามยปัญญานี้,ก็มิใช่สิ่งที่นักปฏิบัตจะกระทำให้เกิดขึ้นในตนเองได้โดยตรง,ด้วยวิธีวิเคราะห์วิจัยใดๆหาได้ไม่!หากแต่จะต้องปฏิบัตวิปัสนาตามแนวทางที่พุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้ให้แล้วอย่างถูกต้องเท่านั้น.ถึงจักเป็นผลให้ภาวนามยปัญญาที่พึงประสงค์นั้น,ผุดขึ้นเองได้!,

เปรียบเหมือนชาวสวนที่ต้องการผลไม้,เพราะว่าไม่มีชาวสวนคนใดที่สามารถปั้นผลไม้ขึ้นมาได้เองกับมือ,หากแต่เมื่อได้กระทำตามวิธีที่ถูกต้องคือหว่านพืช,พรวนดิน,รดน้ำแล้ว..ผลไม้ที่ต้องการนั้นถึงจักเกิดขึ้นเองได้!,ฉะนั้นชาวสวนจึงมีหน้าที่แค่หว่านพืช,พรวนดิน,รดน้ำเท่านั้น,ฉันใดก็ฉันนั้น..

นักปฏิบัตธรรมก็ไม่มีหน้าที่อื่น,นอกเสียจากแค่ปฏิบัตตามแนวทางสติปัฏฐาน4เท่านั้น,ซึ่งวิธีสติปัฏฐาน4นี้ก็มิใช่แบบวิธีวิเคราะห์วิจัยที่โพธิรักคิดขึ้นเองด้วย!เพราะแท้จริงแล้ว,โพธิรักเป็นคนโง่เขลาแถมหยิ่งทรนงด้วยที่เรียกว่าโง่แกมหยิ่ง!จึงหารู้ไม่ว่า,เมื่อแรกเริ่มปฏิบัตนั้น,จะต้องยอมรับความเป็นจริงว่า,ปัญญาขั้นภาวนานั้นจะเกิดมีขึ้นก่อน,ย่อมหาได้ไม่!,ฉะนั้นแล้ว,จะเอาภาวนามยปัญญาตัวไหน!เพื่อไปใช้วิเคราะวิจัยธรรมะได้เล่า?และลำพังแค่จินตามยปัญญาที่มีอยู่เดิมของนักปฏิบัตนั้น,ย่อมไม่มีกำลังเพียงพอที่จะสามารถทำการวิเคราะวิจัยธรรมะใดๆตามที่โพธิรักกล่าวอ้างได้เลย!,เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้ว,ต่อไปชาวสวนก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหว่านพืช,พรวนดิน,รดน้ำอีกแล้ว,เพราะเพียงแต่หยิบดินขึ้นมา,ก็วิเคราะวิจัยปั้นเป็นผลไม้ได้แล้ว!,

  และนี่แหละคือความหลงผิดของโพธิรัก!ที่ภาษาธรรมะเขาไม่เรียกวิธีวิเคราะวิจัยเชิงแก่วิทยาศาสตร์(หรือเรียกให้ชัดๆว่าเชิงแก่แดด!)ของโพธิรักนี้ว่า,เป็นวิปัสนาวิธี!หากแต่เขาจะเรียกว่าวิปัสนึก(เอาเอง!)ต่างหากจ้า!,แต่ก็ไม่แน่นะ,เพราะแม้วิธีวิปัสนึกนี้จะใช้ไม่ได้กับนักปฏิบัตอื่นทั่วไปก็จริง.แต่ก็อาจยกเว้นกับโพธิรักก็เป็นได้!ทั้งนี้เพราะว่าโพธิรักเคยตรัสรู้มาแล้วแต่ชาติปางก่อน!ฉะนั้นเพียงแค่วิปัสนึกย้อนถอยหลังไปนิดหน่อยไม่กี่ภพชาติเท่านั้น,โพธิรักก็สามารถซาโตริ(Enlightenment)ได้ทันที!ว่าไม๊?แต่ถ้ามีผู้เถียงขึ้นมาว่านั่น!เป็นเพียงสัญญาในอดีตที่จำผลการบรรลุไว้,ซึ่งมิใช่ปัจจุบันธรรม!ฉะนั้นพอตื่นขึ้นมา,จึงกลายเป็นสัญญาที่เพ้อฝันไปเท่านั้นเอง!ซึ่งถ้าไม่เชื่อ,ก็ลองไปถามมิสป่าตองเธอดูก็แล้วกัน,เพราะได้ยินว่ามิสเองก็เคยคอนเฟิมมาเช่นนี้เหมือนกัน!,

จึงสรุปได้ว่า,วิธีวิเคราะวิจัยเชิงแก่แดดของโพธิรักนี้,ย่อมเกิดจากอวิชาความหลงผิดของโพธิรักเองโดยแท้!ซึ่งถ้าภาษาบ้านๆจะเรียกว่าโง่แกมหยิ่งหรือโง่อวดฉลาดนั่นเอง!,แต่บังเอิญว่า,สาวกบริวารผู้โง่เขลาเช่นเดียวกับโพธิรัก,ยังสรรเสริญบูชาโพธิรักอยู่,ปานดุจพ่อ!โพธิรักก็เลยหลงระเริง!โดยไม่ยอมรับรู้ความเป็นจริงภายนอกว่า,สังคมชาวพุทธส่วนใหญ่เขามองโพธิรักเช่นไร!ซึ่งแน่นอนว่าเขาเหล่านั้น,ก็ไม่จำต้องมาบอกว่า,เขาคิดเช่นไรกับโพธิรัก!เพราะเป็นเรื่องของสามัญสำนึกCommonSenseที่เขาไม่จำต้องบอกกันหรอก!ก็อย่างที่ชาวบ้านป่าตองไง!ก็มิได้บอกอะไรตรงๆกับมิสเหมือนกัน!

ฉะนั้นโพธิรักจึงต้องหัดคิดเอาเองบ้าง!แต่ถึงยังไง,ก็คิดว่าโพธิรักคงจะรู้ตัวเองบ้างเหมือนกัน,เพียงแต่ว่ายังไม่กล้ายอมรับความเป็นจริงอันแสนจะรันทดเท่านั้นเอง!และต้องบอกว่าเรานั้นไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ถือคติว่า,ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์!เพราะเมื่อเห็นว่าโพธิรักกำลังทำคำสอนให้วิปริต!

เราจึงทนดูไม่ได้จนต้องSMSชี้แจง!เผื่อว่าโพธิรักจะตาสว่างเห็นมิจฉาทิฐิของตนได้บ้าง!เช่นที่พุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัตธรรมที่ใจ!(เพราะเป็นศูนย์รวม)แต่โพธิรักสมองตื้น,กลับไปสอนปฏิบัตที่ภายนอกคือที่ตาหูจมูกลิ้นกาย,ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จริงแล้ว,ถ้างั้น,คนตาบอดหรือหูหนวกก็ปฏิบัตธรรมไม่ได้ซิ!แล้วทำไม?พระจักขุบาลตาบอดถึงบรรลุอรหันต์ได้เล่า!,ซึ่งเหตุผลง่ายๆเพียงเท่านี้,โพธิรักก็ยังคิดไม่ออก!(โง่บรม!),

และขอยืนยันว่า,เรานั้นมิได้มีอคติกับใครๆทั้งกับโพธิรักด้วย!,แต่เพราะเห็นว่าโพธิรักมิได้มีปัญญาลึกซึ้งอะไรถึงขั้นที่นับว่าเป็นภาวนามยปัญญาได้!แล้วยังบังอาจเอาปัญญาที่ขี้เท่อของตนนั้น,มาวิเคราะห์วิจัยปรมัตถธรรมของพุทธเจ้า,จึงทำให้ธรรมะวิปริตผิดเพี้ยนไปหมด!ซ้ำร้ายยังกลับไปกล่าวหาผู้อื่นทั้งหมดว่า,ล้วนแต่เห็นผิด!เพราะว่ามีตนเองถูกต้องอยู่คนเดียวในประเทศไทยนี้!,ซึ่งมิจฉาทิฐิเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย,หากว่าโพธิรักจะไม่หลงผิดว่าวิปัสนึกของตนนั้นก็คือวิปัสนา!ฉะนั้นถ้าพุทธเจ้ายังอยู่,ป่านนี้คงต้องกำราบโพธิรักหมอบราบคาบไปแล้ว!ไม่ปล่อยให้มานั่งฝอย(โชว์โง่)อยู่ทุกวันนี้หรอก!,

สรุปว่าเป็นเพราะความดื้อรั้นที่หมุนรอบเชิงซ้อนของโพธิรักเองแท้ๆ,จึงศึกษาธรรมะไม่ระวังเพราะนึกว่าตนเองเก่งอยู่แล้ว!กระโดดออกมาประกาศสัจธรรมให้ชาวโลกได้รับรู้!,สุดท้ายก็เหมือนมิสป่าตองที่เดินไปไหนก็ประกาศไปทั่วว่าพรุ่งนี้จะแต่งงานแล้ว!แต่สำหรับพวกเดียถีแล้วมักฉลาด!เลี่ยงที่จะประกาศโดยตรงว่าตนบรรลุ!แต่จะใช้วิธีอ้อมแทน!คือใช้เล่เพทุบายสร้างภาพสมถะ!ก็สามารถเรียกศรัทธาทั้งหลายให้มานับถือตนได้แล้ว!ทั้งนี้ก็เพื่อลาภสักการะชื่อเสียงนั่นเอง!

จึงแปลความได้ว่านักบวชมิจฉาทิฐิพวกนี้มิได้มุ่งศึกษาธรรมเพื่อต้องการทำความพ้นทุกข์ให้แก่ตน,หากแต่ศึกษาเพียงเพราะมุ่งหวังอยากเป็นอาจงอาจารย์เท่านั้น!และให้บังเอิญว่าสมัยนี้,จะหาสาธุชนทั้งหลายที่พอจะเข้าใจในพุทธรรมคำสอนได้บ้างมีน้อยมาก!ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า,คำสอนของพุทธนั้นลึกซึ้งเกินธรรมดา!กว่าศาสนาอื่นมาก!จึงยากที่คนทั้งหลายจะเข้าใจได้!หรือแม้แต่จะจินตนาการตาม,ก็ยังยาก!และเหตุนี้เอง,จึง=เปิดช่องว่างให้นักฉวยโอกาส!คือนักบวชพวกเดียถีทั้งหลายที่มุ่งหมายบวชมาเพื่อเป็นอาจงอาจารย์อยู่แล้ว(ซึ่งแม้หมอจะบอกว่าให้ระวังน้ำลายแห้งก็ตาม!),ถือโอกาสแสดงตนเป็นอรหันโพธิสัตC7,ประกาศให้ชาวพุทธได้รับรู้กันทั่วไปซะเลย!ซึ่งถ้าประกาศด้วยความบริสุทธใจแล้ว,ก็จะเป็นเหมือนอย่างมิสที่ประกาศจะแต่งงานกับเยอรมัน!ซึ่งพอให้อภัยได้!แต่ถ้ามิเป็นเช่นนั้นล่ะ!แสดงว่าย่อมเกิดจากมิจฉาทิฐิอย่างแน่นอน!เหตุว่านักบวชพวกทิฐิจริตนี้,ชอบแข่งขันกันแสดงภูมิปัญญา!อวดว่าใครจะรู้เก่งเหนือกว่าใคร!ฉะนั้นนักบวชพวกนี้จึงยังไม่ทันที่จะปฏิบัตตนให้สำเร็จ,ก็ทนความอยากอวดเก่งของตนไม่ไหวแล้ว!กระโดดออกมาประกาศสัจธรรมให้ชาวโลกได้รับรู้!โดยให้เหตุผลว่าเพราะเคยบรรลุมาแล้วแต่ชาติปางก่อน!ฉะนั้นชาตินี้ไม่จำต้องปฏิบัตให้เสียเวลา!เพียงแค่ระลึกถอยหลังไปนิดหน่อยเท่านั้น,ก็ตรัสรู้ซาโตริได้ทันที!ก็ด้วยสัญญาที่จำผลของการบรรลุมาแล้วได้นั่นเอง!หรือเรียกว่าสะยังอภิญญาหรือBornToBeGodก็ว่าได้!,ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า!แม้จะโม้ถึงขนาดนี้แล้ว,ก็ยังอุตส่าห์มีพวกสาวกตาบอดทั้งหลายพากันหลงเชื่อไปได้อย่างไร?นอกเสียจากว่า,จะเป็นการสมรู้กัน!หรือเล่นปาหี่-ยี่เกโรงเดียวกันเท่านั้น!ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า,จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ยี่เกคณะอโศกอยู่รอด!หรือให้เรตติ้งพุ่งกระฉูด!ด้วยแรงศรัทธาจากแม่ยกชาวอโศกทั้งหลายนั่นเอง,

ฉะนั้นจึงจำต้องอุปโลกหัวหน้ายี่เกโพธิรักให้เป็นอรหันโพธิสัตC7ผู้วิเศษ!ที่เก่งเหนือกว่าอรหันทุกองค์ในประเทศไทย!โดยให้ยอมรับแต่เพียงว่าเป็นรองพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น!,ซึ่งอโศกในตอนเริ่มต้น,โพธิรักก็ยังโม้ไม่มาก!เพราะบอกเป็นแค่โสดาบัน!(แต่ก็เตะคนได้!),โดยเน้นสร้างภาพด้วยวิธีสมถะมักน้อยสันโดษ!ตามแบบฉบับของพวกเดียถี+เสริมด้วยโปรตีนถั่ว(=มังสวิรัต)ของเถรเทวทัตนิดหน่อย!,แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่า,มีปัญญาชนแห่กันไปฟังธรรมของพุทธทาสที่อธิบายธรรมเก่งเป็นปรัชญา!เช่น เรื่องสูญตาเป็นต้น,โพธิรักก็เลยเอาอย่างบ้าง!คือเริ่มสมถะน้อยลง,แล้วหันมาเดินสายแสดงธรรมมากขึ้น!แต่ไม่ใช่ธรรมกถึกแบบสมัยก่อน,แต่แสดงธรรมเฉลยนิพพาน!พร้อมโจมตีคณะสงฆ์ไปด้วย!,

ฉะนั้นจึงคล้ายกับวิธีของนักการเมืองเปิดนโยบายไฮป๊าคมากกว่า!ในที่สุด,รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง!หรือรายการธรรมะครึ่งหนึ่งการเมืองครึ่งหนึ่ง,จึงถือโอกาสอุบัตขึ้นแล้วณ.บัดนี้!,โอ้เวรกรรมประเทศไทย!ก็เพราะความโง่เขลา(อวิชา)ของชาวพุทธแท้เทียว!จึงเปิดโอกาสให้นักบวชมิจฉาทิฐิหลายสำนัก,หากินกันได้สะดวก!กับศรัทธา(ที่ขาดปัญญา)ของปชช.ชาวพุทธได้!ฉะนั้นจึงขอเตือนชาวพุทธทั้งหลายว่า,ก่อนที่จะศรัทธาสำนักใด,จงใช้วิจารณญานใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน!

และให้ตั้งเป็นข้อสังเกตุว่าพระดีจะไม่ค่อยดัง,ส่วนพระดังจะไม่ค่อยดี!และหากไปเจอกับพระสายปัญญาที่ชอบพูดแม้แต่ข้อใดข้อหนึ่งใน4ข้อนี้ว่า1)สวรรค์จริงนรกจริงไม่มีหรอก,มีแต่สวรรคในอกนรกในใจเท่านั้น2)ธรรมะคือธรรมชาติ3)สอนทำจิตว่าง(หรือไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น)4)อนัตตาคือไม่มีตัวตน,นั่นย่อมแสดงว่าปัญญาของพระพวกนี้เป็นปัญญาเก๊!เพราะยังเข้าไม่ถึงสัจธรรมที่แท้จริง!แต่ชอบจะแสดงธรรมอวดภูมิ(ไม่รู้)มากกว่า!เช่นปัญญานันทะภิกขุเป็นต้น!เพราะเคยมีคนไปถามท่านว่า,สมัยก่อนได้ยินว่าท่านเทศโจมตีพระรับยศ,แต่ทำไม?เดี๋ยวนี้ท่านจึงรับยศเป็นเจ้าคุณซะเอง!ซึ่งท่านก็ฉลาดตอบแบบศรีธนญชัยว่า,ที่อาตมามียศนี่,ก็เหมือนไม่มียศเพราะอนัตตา!คือ.มีก็เหมือนไม่มี!และบังเอิญว่าขณะนั้น,ขอทานได้ยินเข้าพอดี!จึงถามสวนเจ้าคุณกลับไปว่า,แล้วที่ผมไม่มีเงินนี่,จะให้เหมือนมีเงินเพราะอนัตตา!ด้วยรึป่าว?ซึ่งจากเรื่องนี้ย่อมชี้ชัดแล้วว่า,กิเลสของนักบวชมิจฉาทิฐิมีมากเช่นไร!ถึงขนาดที่แปลธรรมะอนัตตาให้เข้าข้างตนเองก็ยังได้!และหลังจากที่ท่านมรณะไปแล้ว,ก็ไม่รู้ว่าท่านจะไปตกระกำลำบากรอโพธิรักอยู่ณที่ใด!

จึงขอสรุปว่าอนัตตาคำเดียวเท่านั้น!ก็เพียงพอแล้วที่อริยะทั้งหลายจะพิสูจน์ได้ว่า,นักบวชท่านใดเป็นสัมมาทิฐิ!หรือเป็นมิจฉาทิฐิ!เพราะดูได้จากที่นักบวชท่านนั้นๆเข้าใจขยายความคำว่าอนัตตาได้ถูกต้องหรือไม่!ฉะนั้นอนัตตาจึงเป็นเหมือนรหัสลับ!ที่รู้กันเฉพาะในหมู่อริยะหรือโพธิสัตว์เท่านั้น!แต่ถ้ายังขืนยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ว่าอนัตตาคือไม่มีตัวตน!,ก็=ว่า,นอกจากจะเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว!ยังชื่อว่ากล่าวตู่คำสอนของพุทธเจ้าอีกด้วย!ก็ในเมื่อทรงตรัสแล้วว่า.มัชฌิมาปฏิปทาคือให้หลีกห่างจากความเห็นสุดโต่ง2ด้าน!คือที่เห็นว่ามีตัวตนกับที่เห็นว่าไม่มีตัวตนดังนี้แล้ว!ฉไนเลย!โพธิรักถึงยังดื้อจะแปลอนัตตาอันเป็นสัมมาทิฐินั้น,ให้เป็นเหมือนมิจฉาทิฐิคือความเห็นสุดโต่งด้านไม่มีตัวตน,อยู่อีกเล่า?

(ป.ล.,ถ้าโพธิรักเป็นอรหันตโพธิสัตว์ผู้มีใจเปิดกว้างจริง!..คงจะกล้าอ่านข้อความSMSข้างต้นทั้งหมด,ที่ต่อเนื่องกันนี้!ออกรายการให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง!เพื่อว่าแต่ละคนจะได้พิจารณาด้วยปัญญาของตนเอง!,ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ได้ละก็..เราก็ขอสัญญาว่า,ต่อจากนี้ไป..จะเลิกส่งSMSมาตอแยอีกแล้ว!OK..ไม๊?)

0894424xxx แข่งกันไม่มี,อวดกันว่าไม่มี!คือทิฐิจริตเช่นอโศก,เพราะไม่รู้สายกลาง!แข่งกันมี,อวดกันมีคือตัณหาจริต!เช่นธรรมกายเพราะไม่รู้สายกลาง!อโศกกับธรรมกายจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน!เพราะอุปาทานตรงข้ามกัน!อโศก,ธรรมกายเป็นปฏิปักต่อกัน!เพราะอุปาทานตัวเดียวกันแต่คนละด้าน!ทั้งอโศก,ธรรมกายยังมิจฉาทิฐิทั้งคู่!ต่างชอบโชว์อ๊อฟ,จึงไม่พ้นทุกข์ทั้งคู่!อโศกอวดความไม่มี,ธรรมกายอวดความมี!สรุปว่าอวิชชาทั้งคู่!OKไม๊?โพธิรักและธัมมะชโยสอนผิดทั้งคู่!ระวัง!ถ้าบุญไม่พอ,อาจตกนรกทั้งคู่!          ถ้าสวรรค์หลอกยังมีได้!ถ้างั้น,นรกหลอกๆก็น่าจะมีได้ซิ!          สวรรค์นรกไม่เคยหลอก!นอกเสียจากว่า..ท่านจะหลอกตัวท่านเอง!

31/1/2556 18:31:41

31/1/2556 18:32:09 พ่อท่านว่า...คราวนี้ 4424 ว่ามายาว ...พ่อท่านว่าไม่ได้มาท้าพนันกับใคร เพราะฉะนั้นคุณจะ ok หรือไม่ก็เรื่องของคุณ จะมาตอแยหรือไม่ก็เรื่องของคุณ เป็นอิสระ เพราะทำงานมา ไม่ได้มาชี้ว่าคนนี้ดีคนนี้ไม่ดี แต่จะบอกสัมมาทิฏฐิ ว่าอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี แค่มีคนชอบแย้ง เพราะที่พูดอย่างนี้มิจฉาทิฏฐิก็ไปโดนพวกที่เขาเป็นซึ่งเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้ 4424 ด้วย พอโดนก็ดิ้นสิ แล้วดิ้นยาว ปริทเวนาการมากกว่าคนอื่น พ่อท่านขอบอกว่าไม่ได้ไปตอแยกับใครหรือถกเถียงกับใคร ก็ไม่ได้ไปสัญญาอะไรกับใคร ก็เอาพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้ามาประกาศ มิใช่เพื่อ

ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป 
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น        ก็หามิได้

          ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท

 .....ที่ถามว่า ok ไหม พ่อท่านว่า ok ซึ่งไม่ได้หนักใจไม่ได้เดือดร้อนอะไร ซึ่งมีคน sms

0897224xxx         ชีวิตเหมือนเดินอยู่กลางทะเลทราย มองไม่เห็นจุดหมาย ต้องเดินไปตามกิเลสทุกๆวัน

0824039xxx จะทำบุญช่วยส่งรายการเย็นพักหลังบ่ขึ้นจอเลยนั่งเฉยตาดูหูฟังโชคดีแต่งสวยบ่เป็น!กะโปโลประสาช่างศิลป์เซอร์ติสท์

0898533 ประทับใจที่ทีมสิกขมาตุเอาคำสอนของพ่อครูมาทบทวนขยายความทำให้ชัดเจนมากขึ้นป้าบุญระบบ

0880917xxx         ตอนนี้กำลังพยายามลดละ และศึกษาธรรมที่พ่อสอน น้ำเพชรพุทธ

0861214xxx         ชอบคำอธิบายของท่านสิกขมาตุมากขอบคุณเจ้าค่ะ

 

0894424xxx       พุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัตธรรมที่ใจ,แต่โพธิรักดื้อ!ปฏิบัตที่ตาหูจมูกลิ้นกาย!

 

คุณ 4424 นั้นฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติธรรมอย่างไร ต้องติดตามดูต่อไป....

คำว่าภาวนาพ่อท่านแปลว่าการเกิดผล ไม่ได้คือการนั่งหลับตา แล้วผลจะผุดเกิดขึ้นมาเอง ซึ่งไม่ใช้ภาวนาที่แท้จริง ที่เกิดจาก ทาน ศีล ภาวนา ตามทิฏฐิ 10 คือทินนัง ยิตถัง หุตัง ....ซึ่งคุณ 4424 นั้นไม่รู้เรื่องจึงเถียงมา เพราะการทานอย่างสัมมาทิฏิแล้วปฏิบัติศีลจึงมีผลเป็นภาวนา

31/1/2556 18:42:570894424xxx          โพธิรักตั้งจิตไว้ผิด,ยิ่งเรียนมาก,มิจฉาทิฐิของโพธิรักก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น!

0894424xxx       โพธิรักบอกตรัสรู้แล้วแต่ชาติก่อน!แต่นั่นมิใช่ปัจจุบันธรรม,เป็นแค่สัญญา

31/1/2556 18:43:21 พระพุทธเจ้าที่ท่านนั่งเตวิชโชนั้น ท่านมีสัญญาที่ระลึกรู้ได้ครบบริบูรณ์ แต่ของพ่อท่านนั้นสัญญาระลึกได้ไม่ครบสมบูรณ์ แต่รู้ว่าธรรมะที่ได้นั้นมีอยู่ในสัญญาของตน

0894424xxx          พุทธเจ้ามีปัญญามากแค่ไหน,ก็ไม่สามารถจะแก้มิจฉาทิฐิโพธิรักได้!

คุณเขียนมาอย่างนี้แล้วว่าขนาดพระพุทธเจ้ายังแก้พ่อท่านไม่ได้ แต่คุณแน่ขนาดไหน ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือไงจึงพยายามแก้ไขพ่อท่าน ซึ่งพ่อท่านก็ไม่ว่ากระไร คุณจะปรารถนาดีก็ได้จึงพยายาม

0894424xxx        แทบไม่น่าเชื่อว่าโพธิรักโม้ขนาดนี้แล้ว,ยังมีสาวกตาบอดพากันหลงเชื่อ!

ก็มีคนตาบอดคนหนึ่ง เป็นคริสต์มาฟัง ตั้งชื่อให้ว่า "บารมี" ก็เห็นคนที่มาฟังนั้นก็ตาดีกันเกือบทุกคน

0894424xxx      ถึงโพธิรักจะพูดผิดพูดถูกอย่างไร,ชี้นกเป็นไม้,สาวกตาบอดก็เชียร์อยู่แล้ว

ใครที่ฟังอยู่นี่ก็ให้ตรวจให้ดี ถ้าฟังแล้วไม่ถูกเป็นเรื่องผิดก็ให้รีบถอย ให้ใช้ปัญญาของตนตัดสิน

0894424xxx         พวกที่ตามก้นโพธิรัก,สงสัยอยากจะตกนรกอเวจีตามโพธิรักไปหรือไร?

คนที่ปฏิบัติธรรมถูกจะรู้จักนรกสวรรค์ที่แท้จริง จะรู้ว่าใครตกนรกขึ้นสวรรค์

0894424xxx    ถ้ากล้าเปิดSMSให้คนด่าได้!รับรองว่าจะมีSMSด่าโพธิรักกันทั้งประเทศ!

ก็เปิดขนาดนี้แล้ว มีช่องไหนสถานีไหนที่เปิดให้คนว่ามาขนาดนี้ แต่ก็เห็นว่ามีอยู่ไม่กี่จ้าวที่เขียนมา ก็เปิดให้ทั้งประเทศ

0894424xxx         ทำไม8677,4727หายไปไหน?สงสัยเพราะไปจี้แทงใจดำโพธิรักมากไป!

0894424xxx   ถ้าโพธิรักเป็นอรหันจริง,ใยจึงกลัวคนด่า!ถึงไม่กล้าเอาSMSที่ด่าขึ้นหน้าจอ

0894424xxx       ยังไง!โพธิรักก็ต้องตกนรกอยู่แล้ว!แต่ที่SMSมาก็หวังเตือนพวกบริวาร!

31/1/2556 18:51:06

31/1/2556 18:51:09 พ่อท่านได้นำเอาเทศนาสูตรและวิภังคสูตร ในพระไตรฯ เล่ม 16 สูตรที่1 และ 2 มาแจกแจงให้ฟัง[3] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะ  นามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ    เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ      เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับชราและ มรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่า  นั้นมีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

เมื่อเราดับอวิชชานั้น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหาก็เป็นวิภวตัณหา อุปาทานก็เป็นสมาทาน ภพก็เป็นวิภพ ชาติก็เป็นชาติอาริยะ

          มีคน sms ว่ารู้สึกว่าท่านสอนอย่างท่องจำมาใช่ไหม? ..ท่านอธิบายธรรมะจากความจำท่านท่องมาใช่ไหม?....พ่อท่านว่า....พ่อท่านเป็นนักท่องที่เลวมาก เป็นคนที่สัญญาแย่ ขนาดพยาบาลที่อยู่ถามว่า เมื่อกี๊ไปกี่ครั้ง ก็ตอบว่าไม่รู้ นอกจากอะไรที่จำได้ อย่างบางอย่างที่จำข้ามชาตินั้นบางอย่างก็พอฟื้นได้ และก็ไม่ใช้คนช่างท่อง เรียนเคมีสอบได้ 10ส่วน100 ก็เลยสอบตก

 

31/1/2556 18:58:26 พ่อท่านได้ทวนในวิภังคสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ว่าไว้...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ

ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ

 ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

          [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

          [8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

          [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทานอัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

          [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหารสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

          [11] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชา

เวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

          [12] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส    โสตสัมผัส ฆานสัมผัสชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

          [13] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ      นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ

          [14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านาม

รูป ฯ

          [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ   โสตวิญญาณฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า   วิญญาณ ฯ

          [16] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

          [17] ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์นี้เรียกว่าอวิชชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

          [18] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึง ดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

                                 จบสูตรที่ 2

                                3 ปฏิปทาสูตร

          [19] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงมิจฉาปฏิปทา และ

สัมมาปฏิปทา พวกเธอจงฟังปฏิปทาทั้ง 2 นั้น  จงใส่ใจให้ดีเถิดเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

          [20] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาปฏิปทา เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความเกิด

ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ  อย่างนี้ นี้เรียกว่ามิจฉาปฏิปทา ฯ

          [21] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณ จึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์

ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เรียกว่า สัมมาปฏิปทา ฯ

31/1/2556 19:02:13  การสำรอกคือไม่ได้หมายความว่านั่งหลับตาไปได้ที่แล้วก็ปึ๊งสว่างเลย ไม่ต้องปฏิบัติเบย อย่างนั้นไม่ใช่การสำรอก ....การสังขารอย่างอปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ก็เป็นการสังขารอย่างไม่เป็นทุกข์แล้ว ส่วนอเนญชาภิสังขารเป็นการสังขารอย่างไม่หวั่นไหว การสังขารที่ทำให้ทุกข์นั้นดับไป เหลือแต่สังขารอย่างไม่เป็นทุกข์ ส่วนท่านที่ตีความว่าอปุญญาภิสังขารคือสังขารอย่างไม่เป็นบุญ แต่พ่อท่านอธิบายอย่างมีสถาวะ ว่า อปุญญาภิสังขารคือการสังขารของผู้ที่เป็นอเสขบุคคล นี่คือแปลต่างกัน

 

31/1/2556 19:06:35 มาต่อที่วิปัสสีสูตร...

[23] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะ อะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมีชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... .....เอาไว้ขยายต่อในครั้งต่อไป...

31/1/2556 19:09:15 ที่มีคนว่าพ่อท่านว่าคนอื่นนั้นเป็นความเห็นที่ผิด เพราะที่พ่อท่านพูดนั้นไม่ได้ไปว่าใครแต่ชี้สิ่งที่ถูกที่ผิด ว่าสัจธรรมอย่างนี้มันถูกหรือผิด ไม่ได้ไปว่าใคร อย่างคุณ 4424 นั้นก็ไม่ได้ไปว่าคุณ แต่คุณเห็นไม่ตรงกับที่พูดจึงรู้สึกว่าถูกว่า ก็บอกเลยว่าไม่ได้ไปว่าคุณ คุณไม่มีโยนิโสมนสิการ

 31/1/2556 19:12:23 คุณ 4424 นั้นว่าถ้าใครว่าสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้นว่ามีอยู่ คือว่าอัตตามี หรือว่าอัตตาไม่มี นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นตรัสทั้งสองส่วน ทั้งส่วนที่ควรให้ไม่มีนั้นมีอยู่ แต่ก็ต้องมีอีกสิ่งหนึ่งแทน แม้แต่วิญญาณพระพุทธเจ้าท่านก็มีวิญญาณอาศัย เรียกว่าอาลัยวิญญาณ .......

 

31/1/2556 19:13:54 ต่อไปเป็นการตอบประเด็น.....

 

31/1/2556 19:15:09 ระหว่างข่าวธรรมกายถูกโจมตีเพราะเดินทำให้รถติดมากมาย กับสันติอโศกชุมนุมทำให้รถติดเหมือนกันอย่างไหนจะถูกติมากกว่า...ตอบ...เราไม่ได้ไปตรวจสอบ แต่ก็วัดสิ่งตอบกลับสิ่งสะท้อนตอบก็เห็นว่า..เท่าที่ได้โดยความจริงมันก็ดี แต่ไม่ได้เทียบว่าใครถูกติมากกว่ากัน ก็ไม่รู้ แน่นอนว่าต้องมีคนตำหนิอยู่ แต่อย่างนั้นมันเป็นวิธีล่อหลอกคนอื่น มอมเมา ซึ่งเขามีทุนมากเป็นกลุ่มใหญ่ เขาบำรุงบำเราด้วยโลกธรรม อามิส เขาก็ต้องใหญ่ แต่ของเรานี้ขูดอามิส คนก็ต้องน้อย เราก็ไม่ได้ตั้งใจมาล่าอามิส ให้คนมานับถือแต่อย่างใด

 

31/1/2556 19:18:49 เมื่อคืนวันที่ 29 ม.ค. มีนักคิดนักเขียนได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้่งผู้ว่ากทม.ไว้ว่า....1.เลิกเลือกตามกระแส 2.เลิกเลือกเบอร์นี้เพราะกลัวเบอร์นี้จะได้  2. ก่อนเลือกให้คิดว่าใครจะมาบริหารกทม.ให้ดีได้ ....ตอบ...พ่อท่านว่า ตอนนี้การเลือกตั้งก็กำลังเล่นยี่เกกันมาก โอเวอร์กันขนาดหนัก คือมันมอมเมากันจัด ล้างความคิดกันจัด แล้วแสดงให้ใครดู คนดูเขามีภูมิธรรมขนาดไหน คุณเป็นสัญชัยเวลัตบุตรที่ถามพระสารีบุตรว่า โลกนี้คนโง่มากหรือน้อยกว่าคนฉลาด ซึ่งแน่นอนว่า คนโง่ก็มากกว่าคนฉลาด ดังนั้นคนที่หาเสียงนั้นยังไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือความจริง ไม่ต้องหาเสียง ไม่ต้องการให้ใครมานับถือ ไม่ต้องการบริวาร แต่แสดงความจริงออกไป คนจะเห็นว่าสมควรเป็นหรือไม่ อย่างที่พูดมานี่ถูก เพราะไม่ต้องเลือกตามกระแส และไม่เลือกเพราะกลัวว่าใครจะได้ ....ซึ่งพ่อท่านว่าเราสนับสนุน "เต็งสาม" ซึ่งมีเต็ง 1และ 2 นั้นแย่งชิงกัน ส่วนคนที่ตามมาคือเต็ง 3 ตามมาต้อยๆ คือพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งพ่อท่านก็พิจารณาแล้วว่าเราต้องเลือกผู้ว่าฯ เราไม่นอนหลับทับสิทธิ์  เราพิจารณาแล้วว่าคนที่จะไปบริหารต้องเป็นอิสรเสรีไม่อยู่ในการควบคุมของพรรคใด ไม่ต้องเกรงใจพรรคใด แต่ที่เราส่งเสริมคุณเสรีฯนั้นเราต้องการให้เขาไปบริหารกทม.ให้เจริญ เราไม่ต้องการให้เขามาทำอะไรให้เรา หรือให้มาเกรงใจเรา

 

 31/1/2556 19:28:07 ทุกวันนี้หลวงปู่บอกว่า สส.สอ.แย่ที่สุดตกต่ำที่สุด

สิ่งที่รับรองว่าพัฒนาขึ้นคือ มีนร.รับเข็มทอง 3 คน ที่สอบก็ผ่านกันเกือบทุกคน อยากทราบว่า มีสิ่งไหนเป็นตัวชี้วัดว่าสิ่งไหนควรปรับปรุง.....ตอบ....ให้พยายามสังเกตสัมมาสิกขาที่อื่นบ้าง อย่างไม่ลำเอียง ว่าเขาอยู่กันอย่างไม่แข็งข้อต่อคุรุ เหมือนกับว่าเราแข็งข้อ พูดยากบอกยาก ความจริงแล้วก็มีทุกสัมมาสิกขา แต่ที่บอกนี้คือพวกเราแย่กว่าทุกสัมมาสิกขา แต่พวกเราก็มีส่วนดีอยู่ ทีนี้ถ้าตั้งใจพัฒนาขึ้นมาก็ดี มีหลักฐานในการพัฒนา...ซึ่งหน้าที่ของหลวงปู่ คุรุ นั้น ไม่ได้ทำงานเพราะเอาค่าจ้าง แต่มาทำงานด้วยใจบริสุทธิ์ มาอย่างสมัครใจ ไม่ได้บังคับกัน ไม่ได้ทำงานเพื่อแลกอามิสอะไร จึงเป็นความปรารถนาที่ดีจริงใจต่อพวกเรา ให้ดูว่าผู้ใหญ่ปรารถนาดี แม้ผู้ใหญ่จะมีความเห็นไม่ตรงกับเรา แต่เขาก็ผ่านประสบการณ์มาก่อน ถ้าเห็นว่าไม่ตรงกันมากเราไปไม่ได้ ก็อย่าให้รุนแรง ให้พูดกับผู้ใหญ่คนอื่น หรือขอประชุมกันอย่างประชาธิปไตย ต้องพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ความเห็นของหมู่กลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใหญ่และนร. ถ้าส่วนใหญ่เห็นอย่างไรก็ควรทำตาม ไม่ควรเอาแต่แข็งข้อ....

 

31/1/2556 19:33:26 ดิฉันเชื่อว่าคนอโศกเป็นคนดี จึงหลงผู้ชายอโศกคนหนึ่งต่อมาพบว่าเขาผิดศีล 5 ทุกข้อ..อโศกมีกี่ระดับคะ....ตอบ...ศีล 5 บางคนเขายังไม่เคร่งครัดหลวมๆเลอะๆ บกพร่อง แต่พยายามมาอยู่กับอโศก อยู่ในนี้ก็พอได้ แต่พอออกไปก็ไม่ได้ อย่าเหมาเข่งว่าผู้ชายอโศกเป็นเช่นนั้นหมด มันมีความเข้มความจางหลายระดับ

 

31/1/2556 19:35:2 พลเรือตรีมินทร์ ได้ตรวจพบว่าตนเองมีมะเร็งที่ปอด ...จากการได้รับพิษจากบุหรี่ที่คนอื่นสูบ....ตอบ...พ่อท่านว่า ....ก็แสดงความเสียใจด้วย เป็นวิบาก อายุมากแล้วก็ปลงไป

 

พ่อท่านมีแวะไอประมาณ 5 ครั้ง ไม่มีเสมหะ ไม่แรงมาก..

 

31/1/2556 19:37:27 มีหมอว่าให้พ่อท่านกลืนน้ำลายบ่อยๆ ซึ่งที่ไอนี้หมอพบว่ามีสิ่งพิเศษ ที่คอ มีติ่งพิเศษงอกอยู่ที่หลอดลม ซึ่งขนาดใหญ่กว่าคนอื่นด้วย ....ไม่ใช่เนื้อร้าย ถือว่าเคราะห์ดี เป็นเหมือนไส้ติ่ง แต่มันเอียงขึ้นไม่เอียงลงทำให้อะไรลงไปยาก

 

 

31/1/2556 19:39:47 เวลาอยู่ในหมู่กลุ่มรู้สึกมีพลังดี พอออกนอกกลุ่มก็รู้สึกหมดพลัง ทำอย่างไร...ตอบ...พระพุทธเจ้าตรัสว่าการอยู่กลับหมู่กลุ่มนั้นดี บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดมีพลังดี ...มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมีมิตรดีเป็นแสงเงินแสงทองมาอันดับแรก พระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าคือมิตรดีของเธอ การปฏิบัตินั้นไม่ได้แยกไปทำเดี่ยว แต่ให้อยู่กับหมู่กลุ่ม พระอานนท์อุทานกับพระพุทธเจ้าว่า อยู่กับหมู่มิตรดีนั้น (พ่อท่านว่าเหมือนเป็นสนามแม่เหล็กธรรมะที่เข้มแข็ง) ไม่มีทางใดเลยนอกจากว่าอย่างห่างหมู่อย่างห่างธรรม

 

31/1/2556 19:44:16 บุญโลกียะและโลกุตระให้ผลมากน้อยอย่างไร?...ตอบ บุญโลกียะนั้นจริงๆไม่เรียกบุญ ให้เรียกว่ากุศล ซึ่งแท้จริงบุญคือเครื่องชำระกิเลส ซึ่งก็อนุโลมกันไปว่าบุญคือการทำกุศล  จะใช้คำว่ากุศลคือความดีแบบโลกีย์ ส่วนบุญโลกุตระคือความดีชนิดลดกิเลสได้ คนที่จะเข้าใจว่าปฏิบัติแล้วจิตเข้ากระแสโลกุตระต้องอ่านมโนปวิจารณ์ 18 ออก ซึ่งจะมีทิศทาง2 อย่างคือ เนกขัมมสิตะกับเคหสิตะ เวทนา ผู้ปฏิบัติสังกัปปะ 7 จะอ่านรู้วิจัยได้หรือธัมวิจัยออกว่า นี่คือกามวิตกหรือกามสังกัปปะ ทั้งรู้จักตักกะ วิตักกะ

31/1/2556 19:48:16ต้องรู้จักมโนปวิจารณ์ 18 ซึ่งไม่ได้มีแต่ทวารใจอย่างเดียว มีทั้ง 6 ทวารซึ่งต้องอ่านเวทนาในเวทนาเหล่านั้นออก

บุญโลกียะคือยังไม่เข้ากระแส ผู้ที่จะรู้ว่าเข้ากระแสต้องอ่านเวทนาในเวทนาออก คืออ่านมโนปวิจารณ์ 18 ออก ว่านี่คือเนกขัมมหรือเคหสิตะ จึงจะรู้ว่าจิตเราเข้ากระแสหรือไม่?.....จะเห็นเลยว่าเราลดกิเลสได้หรือไม่ตามอานาปนสติ 16 ขั้นใน 4ข้อสุดท้ายซึ่งต้องปฏิบัติอย่างลืมตามีผัสสะอยู่ในปัจจุบันนั่นเทียวจึงบริบูรณ์ ซึ่งความเห็นนี้ค้านแย้งก้บ 4424 ก็ให้เลือกเอาว่าใครเป็นธรรมวาที

 

19.55 น.....คำว่าเคราะห์นั้นน่าจะหมายถึงเรื่องที่เราจะทำเป็นเรื่องเสียหายแต่มีอะไรมาหยุดไว้ก่อน เช่นขับรถประมาทแล้วเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ถึงตาย..ส่วนเคราะห์ร้ายนั้นได้รับอุบัติเหตุตายไป หรือจะทำเลวแล้วก็ถูกจับเป็นต้นนี่คือเคราะห์ร้าย....ตอบ...พ่อท่านว่าก็ถูกต้องแล้ว ถ้าถูกรถชนแล้วบอกว่าโชคดีนั้นคงไม่ใช่ แต่เป็นเคราะห์ดีต่างหาก

 

นิทานสมุทัย ชาติ ภพ มีหัวข้อธรรมว่าอะไรเกี่ยวกับอะไรคะ....ตอบ...เรียกกว่ามีเหตุ นิทาน สมุทัย   นิทานคือเรื่องราว สมุทัยคือเหตุ ชาติคือเหตุ ภพคือที่อยู่ของชาติ ถ้าปฏิบัติให้สัตว์โอปปาติกะไม่เกิด ก็ไม่มีชาติของอกุศลกรรมอันนี้ นิทานกับสมุทัยก็เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน คนที่หมุนเวียนในวัฏฏะ จะมีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย system analysis  คือมีเหตุคือตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องคือนิทาน มีเหตุเสริมคือสมุทัย และเกิดเป็นเรื่องราว ก็มีปัจจัยต่อเนื่องอีก ถ้าเหตุปัจจัยเป็นกุศล ผลจึงเป็นกุศล

 

ถาม. จากคุณบูรณ์ชัย เพชรบุรี

หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเราตายแล้ว

เราจะผูกจิตไว้กับอะไรครับ(คราวที่แล้วผมถามตอนก่อนสิ้นชีวิต

แต่ตอนนี้ถามถึงเมื่อสิ้นจากชีวิตครับ)

 

ตอบ. เออ...นะ แต่ก่อนนี่ถามตอนก่อนสิ้นชีวิต

ตอนนี้มาถามว่าหลังสิ้นชีวิต อา..สิ้นชีวิตไปแล้วนี่นะ คุณถามว่า

หลังสิ้นชีวิตจะรู้สึกว่าเราตาย อาตมาก็บอกแล้วว่าในขณะคุณฝัน

นอนฝันนี่นะ คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณเป็นใคร คุณรู้ตัวมั้ย

รู้ตัวอย่างไม่รู้ตัว คุณรู้ตัวว่าคุณเป็นคุณ

แต่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณเป็นใครที่ถูกต้อง

เพราะงั้นคุณอยู่ในโลกฝันๆนี่แหละ

คุณตายแล้วคุณก็อยู่ในโลกฝันๆ เพราะฉะนั้นคุณตายไปแล้ว

คุณอยู่ในโลกฝันๆ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณตาย

คุณนอนหลับฝันทีไรๆ แม้แต่คุณจะฝันว่าคุณตาย

คุณฝันว่าคุณตาย คุณก็ตลกอยู่ในความตายนั้น

แต่ความจริงนั้นคุณตาย คุณไม่รู้หรอกว่าคุณตาย

เพราะฉะนั้นพวกที่เดาๆบอกว่า ตายไป 7 วันจึงจะรู้ตัว

หรือว่าทำพิธีอย่างโง้นอย่างงี้ตายแล้วคนตายจะรู้ตัวนี้

ไม่มี ไม่มี คุณจะรู้ตัวเมื่อคุณปฏิบัติธรรม คุณจะมีสติ

จนกระทั่งแม้ในปัจจุบันคุณก็สามารถมีสติ

นอนหลับคุณก็รู้ตัวว่าคุณนอนหลับ

คุณจะรู้ตัวตอนนั้นตอนนี้ ตอนนี้ตอนนั้นอะไรได้บ้าง

ซึ่งไม่ง่ายที่จะรู้ครบ ขอยืนยันไม่ง่ายเลย

ภูมิธรรมระดับโสดา สกิทา ยังไม่รู้ตัว ตอนนอนหลับ

อนาคาขึ้นไปถ้าเผื่อไม่พยายามที่จะเรียนสติให้แข็งแรง

ไม่รู้ตัวหรอก

ต้องครบทั้งเจโตและปัญญาจึงจะรู้ตัวในขณะนอนหลับ

ต้องครบทั้งเจโตและปัญญา ขอบอกให้ทราบนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะงั้นจะให้ตอบว่า จะผูกจิตไว้กับอะไร

ไปผูกอะไรเล่าผูกจิต มีแต่จิตของคุณไปผูกอยู่กับความเป็นสัตว์

ก็ไปเรียนรู้ความเป็นสัตว์ แล้วล้างความเป็นสัตว์ออกจากจิต

 

เรียกว่าไม่มีตัวถูกผูกสัตว์ไว้ แล้วคุณก็จะหมดสิ่งเหล่านั้น

แล้วคุณก็จะรู้ความจริง

คุณอาจจะถามว่า จิตจะไปเกาะอยู่กับอะไร

ตายแล้วจิตควรจะไปเกาะอยู่กับอะไร

เกาะหรือไม่เกาะคุณเองคุณมีอุปาทาน มันเกาะของมันอยู่แล้ว

อุปาทานคือตัวเกาะตัวยึด ยึดอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่เรียนรู้จากอุปาทานแล้วล้างอุปาทาน

แม้คุณรู้อุปาทานที่เป็นชั่วเป็นอุปาทานทุกข์

คุณไม่ได้ล้างเหตุพวกนี้อย่างสมบูรณ์จริง

มันก็ทำงานเอาคุณลงนรกอยู่นั่นแหละ คุณกลั้นไม่ได้

คุณหยุดไม่ได้หรอก จะเป็นนรก สวรรค์มันปลอม

ตกนรกพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไอ้ที่ขึ้นสวรรค์นั้นมันสวรรค์ป

ลอม คือความจำแล้วหลงว่า แล้วจำประเดี๋ยวมันก็ลืม

เสร็จแล้วคุณก็จะจมอยู่กับนรก คนเรานี่นะเสวยผล

กับอยู่กับอยากนี่นะ คุณเสวยผลน้อยกว่าคุณอยู่กับอยาก

อยากโน่นอยากนี่ไปต่างๆนานาสารพัดคุณเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยแหละ

อ่านให้ดี คุณอยากเลย แล้วก็ได้มาเลย ไอ้ง่ายๆมันก็ไปทำเนา

ไอ้ที่อยากยากๆมากๆคุณทุกข์ คุณจะต้องแสวงหา คุณแสวงหา

ไม่ได้คุณจะดิ้นรน ไม่ดีจะทำชั่ว จะทำอกุศลไปอีก แล้วก็ได้เสพ

ถ้าไม่สมใจนิดหน่อย แม้คุณจะพยามรักษาความจำ

มันก็ไม่จริงหรอก คุณจะรักษาความจำมันก็ไม่จริงหรอก

มันไม่ใช่สุขจริงแล้ว แต่คุณก็จะอยากใหม่อีกต่อไปอื่นๆ

เพราะงั้นไอ้นี่เป็นเรื่องอจินไตยที่ละเอียด

อาตมาก็พูดๆให้ฟังเท่านั้น ดับเหตุที่อาตมาพาศึกษานี่เถอะ

แล้วคุณก็จะเข้าใจอย่างที่อาตมาพูดได้

 

 

  • พุทธพจน์ นี้คือ " ดูกร..จิตนี้คือธรรมะแต่ต้องเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา ปุถุชนย่อมไม่รู้ส่วนอริยสาวกที่ได้สดับย่อมมีการอบรมจริง เราไม่เล็งเห็นสิ่งใดจะเปลี่ยนแปลงเร็วเท่ากับจิต ศีล จิต และภาวนา เมื่อเธอกำหนดรู้แล้วปฏิบัติ  อันนี้เรียกว่าผู้ถึงความสงบ ผู้พ้นทุกข์ผู้ถึงธรรม.......ตอบ เรื่องนี้ละเอียดไม่ง่ายต้องมีสัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง ทาน ศีล ภาวนา  การทานนั้นมีทั้งเทวดาปลอมและเทวดจริง คนที่เสียสละวัตถุ แต่ไม่ได้ทำจิตให้ลดกิเลส คุณก็จะได้ผลทางโลกีย์ ซึ่งจะทำให้หลงประมาทคะนอง ใช้เงินทำบาปทำเลวร้ายต่อไปอีก เช่นทุกวันนี้มีตัวอย่างเขาใช้อำนาจเงินทำบาปมหาศาล ดีไม่ดีใช้เงินของรัฐทำบาปอีก ซึ่งพวกนี้คือพวกแต่ก่อนทำทานมาก ได้แต่กุศลโลกียะแต่ไม่ได้กุศลโลกุตระ คือทินนังที่ไม่มีผล เป็นนัตถิทินนัง ทำใจในใจไม่เป็น ทำใจให้สละโลภไม่เป็น

        สรุปว่าเมื่อปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐินั้น มีทั้งทาน ศีล ภาวนา มีทั้งพุทธ ธรรม สงฆ์....

 

  • สภาพจิตปัจจุบันควรปรุงแต่งให้มีอยู่เสมอมี 5 ข้อดังต่อไปนี้ ปีติ ปราโมทย์ ปัสสัทธิ สุข สมาธิหรือไม่?.....ตอบ ในศรัทธาสูตร เมื่อปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิจะเกิดอย่างที่ว่ามา   ศีล ปฏิบัติแล้วจะมีอวิปฏิสาร(คือจิตไม่ลำบาก)   แล้วจะเกิดปราโมทย์ แล้วมีปีติ มีปัสสัทธิ แล้วจะมีสุข เป็นสมาธิ เป็นยาถาภูตญาณทัสสนะ

 

  • พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์กับใคร....ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่ได้ระบุไว้ แต่ว่าถ้าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจะมีผลเกิด สองส่วน คือ 1 ประโยชน์ตน และได้ 2 ประโยชน์ผู้อื่น  นี่คือทั้งอรหันต์และโพธิสัตว์อยู่ด้วยกัน ซึ่งเถรวาทจะไม่รู้โพธิสัตว์ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนโพธิสัตวภูมิ ซึ่งท่านสอนใบไม้กำมือเดียว ถ้าคุณทำสัมมาทิฏฐิจะได้อรหัตผล

 

 

  • 20.15  ข้อมูลจากพธม.ว่า การที่คนเทให้สุขุมพันธ์เพราะกลัวว่าแดงจะมา ส่วนตัวเขาเองนั้นเลือกเสรีพิศุทธิ์อยู่แล้ว.....ตอบ....การเลือกแล้วกลัวใครจะมาก็เป็นการเล่นเกมการเมืองเราต้องทำสัจจะให้ตรงไม่เพี้ยน...เห็นว่าดีก็ควรเลือก......

 

จบ.............ตอน....ตอบผู้ปริเทวอันไม่รู้จักเลิก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:07:16 )

560201

รายละเอียด

1/2/2556 18:03:01 รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท..เรื่อง.ละกามละภพจบอัตตา

1/2/2556 18:03:23 ส.ฟ้าไทเริ่มรายการที่ ชั้น 2 เฮือนศูนย์สูญ ราชธานีอโศก....วันที่ 6 ก.พ. 56 ที่ชุมชนดินหนองแดนเหนือจะครบรอบก่อตั้งชุมชน 14 ปี ซึ่งวันนี้พ่อครูจะได้มาสาธยายต่อในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งได้บรรยายธรรมโดยพ่อครูมาหลายตอน

 

1/2/2556 18:13:48 พ่อครู...

คุณ 4424 ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติธรรมที่ใจแต่โพธิรักษ์สอนให้ปฏิบัติที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งพ่อครูก็ได้นำมาอธิบายให้คนฟังได้เข้าใจ ซึ่งประเด็นนี้ พ่อครูได้เน้นมานานแล้วให้ทำที่ใจ ให้แยบคายถ่องแท้อย่างโยนิโสมนสิการ แต่คุณ 4424 ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอย่างที่พ่อครูเน้นย้ำ ซึ่งเราไม่ปักมั่นมั้งจิตนิยมและวัตถุนิยม เราเรียนทั้ง 2 อย่าง วัตถุนั้นเราต้องอาศัยใช้สอย แต่ใจนั้นเป็นประธาน ต้องทำใจในใจอย่างโยนิโสมนสิการซึ่งไม่ใช่แค่คิดนึกให้เข้าใจหรือแค่อ่านใจพิจารณาแต่ในใจเฉยๆเท่านั้น ซึ่งพ่อครูได้อ่านพระไตรฯ เล่ม 16 ในวิปัสสีสูตร

[23] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะ อะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมีชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่   อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี   ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะ  ผัสสะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงจะมี สฬายตนะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่  วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี   สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชา มีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา

 

การทำใจในใจนั้นไม่ใช่แค่คิดนึกเอา โดยไม่ได้ทำ ไม่ได้มีการกระทำใจในใจ แต่แค่คิดผกผัน แต่การทำใจในใจ คือทำใจให้เปลี่ยนแปลง โดยการกำจัดเหตุให้หมดไป (โยนิโสฯคือการทำใจในใจเป็น) แต่คนที่ไม่มีสัมมาทิฏฐินั้น ทำใจในใจเหมือนกันแต่ทำให้กิเลสลดไม่ได้

1/2/2556 18:26:47 จากนั้นพ่อครูได้อ่านพระไตรฯในวิภังคสูตรต่อ

[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

มรณะนั้นคือความเคลื่อนไป คำว่าชราและมรณะนั้นถ้าเข้าใจเป็นรูปธรรมก็เข้าใจง่าย แต่ถ้าเป็นนาธรรมนั้นต้องรู้ว่ามันชราอย่างไรมรณะอย่างไร และยังมีชาติซึ่งหมายถึงการเกิดตายทางใจ   ส่วนการเกิดนั้นถ้าเป็นการเกิดที่เจริญพัฒนาขึ้นเรื่อยๆนั้นเรียกว่า นิพพัตติ ซึ่งไม่ใช่การเกิดตามธรรมดาทั่วๆไป ส่วนการเกิดจำเพาะนั้น คืออพินิพพัตติ คือการเกิดอย่างเลิศ

การปรุงอย่างไม่มีกิเลสเรียกว่าอปุญญาภิสังจาร ส่วนอเนญชาภิสังขารนั้นก็บ่งบอกลักษณะความไม่หวั่นไหวเป็นความสมบูรณ์

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

       [8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

 

1/2/2556 18:38:09 ภพนั้นเป็นไฉน ซึ่ง มี 3 ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามภพคือการเสพทางทวาร 5 ข้างนอก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ผู้ไม่ศึกษาก็เสพกามคุณ แต่โดยสัจจะนั้นพระพุทธเจ้าว่ามันคือกามโทษ เป็นอาทีนวะ ถ้าเป็นโทษ คนที่เสพกามนั้นก็มีโทษ ซึ่งที่เป็นสุขนั้นจริงๆเป็นสุขเท็จ ซึ่งใครฟังแล้วก็ให้พยายามทำออก ให้ล้างกามออกจากใจ คือเนกขัมมะ ซึ่งเหตุคือกามคือตัวความใคร่ความอยาก ถ้าล้างได้จริงทุกข์ก็ลดลง เพราะเหตุแห่งสุขเท็จหรือเหตุแห่งทุกข์นั้นลดลง เมื่อสุขทุกข์ลดลง โดยการปฏิบัติเมื่อมีการกระทบ ทวาร 5 ภายนอก ซึ่งทำตั้งแต่ขั้นต่ำที่สุดคือขั้นอบาย ท่านก็ยกตัวอย่างตั้งแต่ การพนัน สิ่งเสพติด ละคร เที่ยวกลางคืน การละเล่นกีฬา ซึ่งจัดจ้านมอมเมากัน เล่นเกมจนตายคาจอ หรือการติดลาภยศสรรเสริญ ทุจริตมา อยากใหญ่โกงบ้านโกงเมือง ให้เลิก ทำใจให้เลิก แต่ให้ปฏิบัติโดยมีการกระทบทางทวาร 5 แล้วจะเห็นกิเลส เอาตั้งแต่อบายทำให้ได้เป็นโมเดลแรก ถือว่าเข้าขั้นอาริยะเป็นพระโสดาบัน

 

1/2/2556 18:44:23 ผู้ที่เข้าใจว่าการปฏิบัตินั้นให้พิจารณาในใจเท่านั้น เมื่อตัวตนไม่มีจะเอาอะไรไปปฏิบัติซึ่งก็คือความเห็นของสายปัญญา ซึ่งไม่ตรงกับที่พ่อครูเข้าใจ ให้ฟังทั้งสองข้างแล้วพิจารณาเลือกสิ่งที่เป็นธรรมวาที

 

1/2/2556 18:45:34 ในระดับรูปภพ อรูปภพนั้นต้องปฏิบัติมาตั้งแต่ระดับอบาย ระดับกามคุณมาก่อน ซึ่งพอทำได้ในเรื่องหยาบจะรู้ทิศทางในการทำขั้นสูงต่อไป อย่างผู้ที่เข้าใจว่า ไม่ต้องรู้ตัวตน ตัวตนไม่มีให้ปฏิบัตินั้น ในสายนั่งหลับตาจะมีสองอย่าง คือ แบบสว่าง(อภัสสรา) กับแบบมืด(ศุภกิณหะ) ซึ่งก็คือการสร้างตัวตนปั้นขึ้นมาทั้งสองแบบนั่นเอง

 

1/2/2556 18:47:26 ส่วนอัตตานั้นคุณต้องกำหนดหมายรู้ ซึ่งต้องใช้สัญญากำหนดรู้ตัวตน ตั้งแต่ตัวกาม ซึ่งก็คือองค์ประชุมคือกาย ท่านเรียกว่า "สักกาย"  ซึ่งถ้ามีญาณปัญญาเห็นสักกายะก็เรียกว่าพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 ต้องอ่านตัวนี้ให้ออก ซึ่งสักกายะนั้นเป็นตัวตนที่เฉพาะที่ตนรู้ ส่วนคำว่าอัตตานั้นเป็นตัวตนที่เป็นกลางๆ

 

1/2/2556 18:51:33    

 [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทานอัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

ทิฏฐิของลัทธิสายปัญญามหายานนั้น จะเอาแต่นึกคิดเอา พิจารณาเอาแต่ในใจ แล้วใช้ประโยคภาษาที่มาผกผันทำให้เข้าใจว่าบรรลุธรรม ใช้ปฏิภาณปัญญามายึด เช่นความเห็นว่าไม่มีตัวตนแล้วจะเอาอะไรมาปฏิบัติ หรือแค่นั่งหลับตาสมาธิ ไม่เกี่ยวกับทวารนอก ให้ดับทวารนอก แล้วทำนิโรธให้แจ้ง ซึ่งมีทั้งแบบมืดและแบบสว่าง คนที่นั่งสมาธิไปถึงอรูปฌาน (อากาสาฯ) ซึ่งเป็นการสร้างอรูปภพ เป็นอรูปภพแห่งความสว่าง เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ในวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 มีกายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกันเช่น เราจะต้องนั่งให้จิตอุเบกขา เฉยวางว่าง แล้วจะเกิดสภาพจิตที่ปราศจากนิวรณ์ (คือมีสัญญาว่าไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน) แต่กายต่างกัน ในภาวะที่ปฐมฌาน ในองค์ประชุมของจิตที่ได้จะต่างกันระหว่างฤาษีกับแบบพุทธ

สัตตาวาส 9

1.        สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.       สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .

3.       สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) .

            การนั่งสมาธินั้นเป็นการไปสร้างรูปภพ อรูปภพไว้ในจิต ซึ่งมีทั้งสว่างและแบบมืด เป็นองค์รวมของจิตที่ได้ต่างจากที่แบบพุทธที่ปฏิบัติธรรมแบบมีผัสสะขณะลืมตา ซึ่งทั้งแบบพุทธและแบบฤาษีนั้น มีความเหมือนกันในสัญญาคือสภาพการไร้นิวรณ์เช่นกัน (มีสัญญาอย่างเดียวกัน)

            พ่อครูได้อธิบายสภาวะของแบบฤาษีที่เมื่อนั่งแล้วเกิดความว่างจิตก็ใส ก็สามารถพิจารณาไปได้ลึกซึ้งกว้างไกล แต่ทั้งหมดที่ได้คือภพที่ไปสร้างเอาเอง ไม่ใช่แบบที่ละล้างกิเลสให้ออกไปจากจิต จนจิตใสปราศจากกิเลส

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพ..สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

กายอย่างเดียวกันคือดับมืด แต่สัญญาอย่างเดียวกัน ผู้หลุดพ้นแบบพุทธนั้นจะล้างกิเลสได้แบบรู้ๆเห็นๆตรงกัน กำหนดสัญญาระหว่างผู้ทำแบบพุทธจะกำหนดได้ตรงกันทั้งกายและสัญญาจะตรงกัน และพวกมิจฉาทิฏฐินั้นที่กำนดให้ไปสู่ความดับความมืด เขาก็ได้สร้างภพแห่งความมืด ได้ตามที่มิจฉาทิฏฐินั้น ดับอย่างมืดซึ่งถือว่าเป็นโชคของเขา เขาถือว่านี่คือนิโรธ เมื่อได้อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ แล้วเขาก็จะพยายามดับให้ไม่มีอีกแม้แต่น้อยนิดก็ไม่ให้มีความสว่าง ให้มืดไปหมดๆ พวกนี้จะวนเวียนไปนานนับกัปป์กาล นี่คือพวกที่เข้าใจว่าต้องดับจึงจะนิโรธ ก็คืออาฬารดาบส

5.   สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6.    สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง

8.   สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 

9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23   ข.228)  และ 11/353

1/2/2556 19:15:07 ในวิญญาณฐีตินั้นไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเขามีมาก็ดับๆๆๆ ในอุทกดาบสนั้นก็รู้ว่ายังมีธาตุรู้คือวิญญาณอยู่จึงพยายามดับต่อไป สร้างภพดับต่อไป แต่ธาตุรู้นั้นมันเป็นธาตุที่เก่งกว่า อาฬารดาบส คือมันก็ต้องตื่นมารู้อีก เขาก็ต้องพยายามดับต่อไปอีก สภาพที่รู้สลับกับการดับ คือเนวสัญญานาสัญญายตนะภพ ซึ่งฤาษีจะไปได้แค่นี้ แต่ของพุทธนั้นมีถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ คือต้องรู้ กำหนดหมายในความเป็นนิโรธอย่างเคล้าเคลียเวทนาอยู่อย่างมีผัสสะเป็นปัจจุบัน ในความเป็นนิโรธแบบพุทธ

 

1/2/2556 19:18:19 พวกที่ปฏิบัติอย่างฤาษีนั้นจะไม่ได้ดับมาตั้งแต่กามภพ ดังนั้นพวกนี้จะยังมีกิเลสกามอยู่ ก็จะมีการกดข่มได้บ้าง แต่พอมีกามมาเขาก็มีปฏิภาณรู้ว่าน่าอายต้องสำรวมเขาก็จะไม่แสดงออกได้ แต่เขาจะไม่ได้ปฏิบัติละล้างกิเลสแต่อย่างใด และยิ่งพวกที่เข้าใจว่าขบคิดเอา ตัวตนไม่มีแล้วไม่ต้องปฏิบัติพวกนี้ก็จะเป็นสายปัญญา มีอรูปอัตตาเป็นภพที่เขามีอยู่ ซึ่งจะมีทั้งดับและสว่าง ส่วนพวกที่สายมโนมยอัตตานั้นก็จะไปปั้นเมืองนิพพานเป็น รูปภพอยู่ในใจอีก

 

1/2/2556 19:25:32 กามุปาทาน เมื่อคุณปฏิบัติไปตามขั้นตอนนั้นเมื่อหมดกามก็เป็นอนาคามี ซึ่งต้องศึกษาในเรื่องรูปภพและอรูปภพต่อ คนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติล้างกามภพ คุณก็จะไม่รู้รูปภพอรูปภพจริง เอาแต่นึกคิดเอาเดาเอา แต่คนที่ล้างกามภพได้จริงจึงจะมีญาณรู้รายละเอียดของรูปภพอรูปภพได้ พวกที่ไม่ได้ปฏิบัติมาตามลำดับนั้นจะเสพกามอย่างไม่รู้ และคิดว่าตนไม่ได้ติด ท่านว่าท่านไม่มีตัวตนแต่ท่านก็เสพอยู่ เขาสามารถนั่งดับหลับตาไปได้ ตอนตื่นมาจะนั่้งเสพอย่างไรก็ไม่เกี่ยว แต่พอไปนั่งแล้ว ไม่มีกามก็ใช้ได้ซึ่งนี่คือความเห็นของเขา

[9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

 [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหารสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

1/2/2556 19:32:39 ในวิภังคสูตรนั้น พออุปาทาน 4 แล้วก็เป็นเรื่องของ ตัณหา...  ซึ่งในวิภังคสูตรนั้น พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ว่าเป็น ตัณหา 6 หมวด คือตัณหาที่เกิดจาก รูป  รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ซึ่งจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติทั้ง 6 ทวาร ไม่ใช่เอาแต่ปฏิบัติที่ใจอย่างเดียว

[11] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

และยังมีเรื่องเวทนาอีกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ปฏิบัติรู้ที่ ทวารทั้ง 6 ที่มีการเกิดของเวทนา

[12] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส    โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

 

จะเห็นว่าในปฏิจจสมุปบาทนั้น ทุกอย่างปฏิบัติที่ใจทั้งหมด

[13] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ      นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ

[14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

1/2/2556 19:36:44 รูปนั้นคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่ไปรู้รูป อย่างเวทนานั้น ถ้ามีญาณอ่านรู้อย่างมีสภาวะที่แท้ว่า นี่คืออาการสุข อันนี้คือเวทนาทุกข์ หรือมีเวทนาแบบไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งก็ต้องใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ (คือนาม) ไปรู้นามที่มีอยู่คือเวทนา ที่เป็นเคหะสิตะหรือเนกขัมสิตะเวทนา ซึ่งเวทนานี้เป็นนามก็จริง แต่ถ้าใช้สัญญาไปกำหนดรู้นามเหล่านี้ นามคือเวทนาเหล่านี้ก็คือรูปที่ถูกรู้นั่นเอง เราต้องรู้ของตนเองเป็นปัจจัตตัง ของคนอื่นก็มีแต่เราอย่าแส่ไปรู้ของคนอื่นเขา

 

1/2/2556 19:40:23 ดังนั้นสัญญาตัวนี้ในนามรูปซึ่งอยู่ในข้อ 14 นั้นจึงสำคัญ รู้ทั้งเจตนาที่เราจะลดละกิเลส และต้องมีผัสสะ ที่มีกายในกาย ที่ต่อเนื่องเป็นเวทนาในเวทนา เราต้องรู้และต้องจัดการใจในใจอย่างมีมนสิการ ต่อจากนั้นในข้อ 15

1/2/2556 19:42:30 [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ   โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า   วิญญาณ ฯ

วิญญาณเกิดเมื่อมีผัสสะ มีการกระทบทั้งทวารนอกกับทวารใน ซึ่งต้องปฏิบัติในขณะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ไปปฏิบัติเมื่อตายแล้ว อย่างภิกษุสาติที่ว่า....วิญญาณนั้นล่องลอยไป ซึ่งไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าให้ทำ ที่ให้ปฏิบัติคือในปัจจุบันมีร่างกายมีทวาร 5 สัมผัสอยู่แล้วมีวิญญาณเกิด

       ภิกษุสาติ  มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. 

 

องค์ประชุม3 เป็นผัสสะเกิดทุกข์.

[154] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์ เธอทั้งหลายจงฟัง  ก็ความเกิดแห่งทุกข์เป็นไฉน ความเกิดแห่งทุกข์นั้น คือ  อาศัยจักษุและรูป เกิดจักขุวิญญาณ รวมธรรมทั้ง 3 ประการเป็นผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา .

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา นี้เป็นความเกิดแห่งทุกข์ ...  อาศัยหู... อาศัยจมูก...  อาศัยลิ้น...  อาศัยกาย... 

อาศัยใจและธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ  รวมธรรม 3  ประการเป็นผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา  เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา  นี้แลเป็นความเกิดแห่งทุกข์ ฯ 

 

 

1/2/2556 19:47:09 ผู้ปฏิบัติที่ตัดทวารนอกนั้นจะปฏิบัติบรรลุยาก อย่างสายสัทธานุสารีย์นั้นอย่างเก่งก็ได้แค่กายสักขี ผู้ที่ลืมตาปฏิบัติจึงจะพ้นทั้งนอกและใน คือสายปัญญาเป็นสายธัมมานุสารีย์ จะเป็นทิฏฐิปัฏฏะ คือบรรลุตามที่มีความเห็นถูกตรง แล้วจะไปจบที่ปัญญาวิมุติเป็นอรหันต์ได้ ส่วนสายสัทธานุสารีย์นั้น อย่างมากก็ไปที่สัทธาวิมุติซึ่งได้แค่อาสวะบางอย่างดับได้ ซึ่งต้องปฏิบัติอย่างมีปัญญาคือ[40] บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่  ทั้งอาสวะของผู้นั้น  ก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า  “อุภโตภาค-วิมุต”

กตโม  จ  ปุคฺคโล   อุภโตภาควิมุตฺโต  อิเธกจฺโจ   ปุคฺคโล อฏฺฐ  วิโมกฺเข  กาเยน  ผุสิตฺวา  วิหรติ  ปญญาย  จสฺส  ทิสฺวา อาสวาปริกฺขีณา โหนฺติ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุตฺโต ฯ

 

1/2/2556 19:54:02  [16] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

ตัววจีสังขารนั้นไม่ใช่วจีกรรม ซึ่งในสังกัปปะ 7 ที่พระพุทธเจ้าตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร ในอนาสวะของสังกัปปะ วจีสังขารคือการทำใจในใจแล้วออกมาเป็นภาษาในใจแต่ไม่ได้พูดออกมาเป็นคำพูดทางปาก ถ้าสามารถกำจัดมิจฉาสังกัปปะได้ กำจัด กาม พยาบาทได้ ให้มันเป็นวิตักกะ คือไม่ให้ดำริในอกุศล จิตต้องเร็ว มีธัมวิจัย แยกแยะกำจัดกิเลส แล้วก็ปรุงออกมาเป็นวาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็ไม่มีกามพยาบาทมาปรุงร่วมด้วย ถ้าไม่ได้เรียน สังกัปปะ 7 นั้นยากที่จะเรียนวจีสังขารได้

1/2/2556 19:57:55 กายสังขารคือต่อจากข้างนอก จิตสังขารคือการปรุงกันอยู่ข้างใน และหมายเอาในอานาปานสติ 16 ขั้น ซึ่งมีขั้นต้นเมื่อเข้าไปในรูปภพ อรูปภพ ตัด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ท่านเอาลมหายใจเป็นกาย แล้วก็ระงับ คนที่ปฏิบัติมิจฉาทิฏฐินั้นก็จะเข้าใจ

อานาปานสติ 16 ขั้น

(1) เมื่อหายใจเข้ายาวก็ รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาวก็ รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
(2) เมื่อหายใจเข้าสั้นก็ รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้นก็ รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
(3) สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด กองลมทั้งปวง หายใจออก
(4) สำเหนียกว่าจะ ระงับ กายสังขาร หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ ระงับ กายสังขาร หายใจออก
(5) สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด ปีติ หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด ปีติ หายใจออก
(6) สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด สุข หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด สุข หายใจออก
(7) สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด จิตตสังขาร หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด จิตตสังขาร หายใจออก
(8) สำเหนียกว่าจะ ระงับ จิตตสังขาร หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ ระงับ จิตตสังขาร หายใจออก
(9) สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด จิต หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ รู้ชัด จิต หายใจออก
(10) สำเหนียกว่าจะ ยังจิต ให้บันเทิง หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ ยังจิต ให้บันเทิง หายใจออก
(11) สำเหนียกว่าจะ ตั้งจิต มั่น หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ ตั้งจิต มั่น หายใจออก
(12) สำเหนียกว่าจะ เปลื้องจิต หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ เปลื้องจิต หายใจออก
(13) สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ว่าไม่เที่ยง หายใจออก
(14) สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความคลายออกได้ หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความคลายออกได้ หายใจออก
(15) สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความดับไป หายใจเข้า
สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความดับไป หายใจออก
(16) สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความสละคืน หายใจออก
สำเหนียกว่าจะ พิจารณาเห็น ความสละคืน หายใจออก

 

1/2/2556 20:06:41 ส.ฟ้าไทสรุป...คนเรามีกิเลสตัณหาอุปาทานไปสร้างทุกข์ให้ตนเองมากมาย เป็นสายเพราะมีความโง่คืออวิชชาเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วพ่อครูมาอธิบายขยายความให้เรารู้ในรายละเอียด แม้แต่อย่าเสพกามแม้แต่ลมหายใจ แม้แต่ความปีติก็ต้องเปลื้องออก แล้วทบทวนทำซ้ำให้มั่นใจ ทำซ้ำทำทวนมากมาย ซึ่งผู้ที่ทบทวนจริงนั้นจะรู้ว่ากิเลสนั้นไม่ง่ายที่จะหมด ยังมีความละเอียดลอออีกมากมายที่ต้องตามล้าง ....1/2/2556 20:09:13


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:08:40 )

560203

รายละเอียด

3/2/2556 9:03:35 รายการเรียนวิถีอาริยธรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท...เรื่อง..ไฟฌานเผาผลาญอวิชชา

3/2/2556 9:07:25 ส.ฟ้าไทเริ่มรายการที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์สูญ...วันนี้พ่อครูก็คงจะมาทบทวนธรรมะที่ลึกซึ้งต่อจากครั้งก่อน ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่พ่อครูได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้ง การปฏิบัตินั้นต้องมีผัสสะอย่างลืมตาอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การหลบลี้หนีจากความเป็นจริงของชีวิตไปนั่งหลับตาแต่อย่างใด ให้เรียนรู้สติปัฎฐาน 4 ในชีวิตประจำวัน โดยอ่านลงไปถึง วจีสังขาร และสามารถละล้างกิเลสให้มีการปรุงสังขารอยู่ในภายในจิตให้เป็นวจีสังขารที่ดีก่อนพูดออกมาเป็นวจีกรรม ส่วนจิตสังขารนั้นต้องอ่านให้เห็นถึงเจโตปริยญาณ 16 วันนี้พ่อครูก็คงจะอธิบายต่อในเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้่ง มากยิ่งขึ้น....

 

3/2/2556 9:12:56 พ่อครู....วันนี้จะพยายามอธิบายให้ได้มากที่สุด ก่อนอื่นทบทวนที่ได้เอาวิภังคสูตรในพระไตรฯเล่ม 16 มาอธิบาย...ที่ท่านได้ไล่เรียงปฏิจจสมุปบาท.. ผู้จะปฏิบัติธรรมนั้นต้องเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะ โศก ปริเทว(การต่อเนื่องของความโศก) ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เราต้องเรียนรู้อ่านให้ออก แล้วล้างเหตุ ไม่ใช่ไปหลบลี้หนีจากโลก ซึ่งเป็นลัทธิที่ครองโลกอยู่ มีกายสักขี เห็นได้ชัด คนก็เชื่อง่าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้น สงบที่จิต จิตไม่หวั่นไหวแม้มีการกระทบสัมผัส จิตอเนญชา ไม่หวั่นไหว และเที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่กลับกำเริบ

ซึ่งผู้ที่ท่านไม่เข้าใจก็ตู่ว่าสอนผิดซึ่งมีการส่ง sms มาว่าอยู่หลายราย

0888705xxx    มียาแรงอยู่ อยากส่งให้ แต่กลัวชาวอโศกจะรับไม่ไหว แต่ถ้าสนใจ ก็จะส่งให้

0888705xxx       อโศกน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักโม้สู้ฟัด108มนุษย์ติดเข็มทองของอรหันต์

0888705xxx    เพราะใจเป็นที่รวมของทุกทวาร ปฏิบัติที่ใจ=ปฏิบัติทุกทวารแล้ว อย่าโง่นัก

0888705xxx    มิจฉาทิฐิกันทั้งสำนัก เขาsmsมาเตือน ไม่เคยฟัง เพราะอยากดิ่งลงนรกเอง

0888705xxx    มิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยให้คลุ้มคลั่ง สอนธรรมะแบบบ้าระห่ำ หน้าตาบึ้งขมึงตึง

เวลาพ่อท่านพูดจริงจังก็ดูขึงขัง แต่ไม่ใช่ถึงขนาดยิ้มไม่ออก การพูดจริงจังถ้าทำหน้ายิ้มก็ดูเหลาะแหละ ซึ่งต้องสอดคล้องกัน ก็ยินดีให้ท่านแย้งได้

 

3/2/2556 9:22:22 มาทวนต่อ ถ้าเราดับชาติได้ ชราและมรณะก็ไม่มี ถ้าจะไล่ไปตั้งแต่อวิชชาไปจนจบก็มี 11 ตัว ถ้าเราดับอวิชชาทุกอย่างที่ตามมาก็ดับ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจบนั้นก็จะมีสิ่งที่ดับหรือไม่มี และท่านก็จะมีสิ่งที่่ท่านอาศัยใช้ทำงานเพื่อกตัญญูต่อศาสนาต่อไป ...

 

3/2/2556 9:24:20  การปฏิบัตินั้น ต้องปฏิบัติที่ใจถูกต้องแต่ต้องไม่ทิ้งมหาภูตรูปเพราะอุปาทายรูปนั้นต้องอาศัยมหาภูตรูปต่อเนื่องจึงครบการมีผัสสะ แล้วจึงอ่านรู้นามธรรมที่เป็นอุปทายรูปในใจ ดังที่มีปรากฏในพระไตรปิฏกท่านให้เรียนรู้ เวทนา 6 ตัณหา 6 ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านหมายอย่างแน่ชัดว่า เวทนา ตัณหา นั้นเกิดจากทวารทั้ง 6 ซึ่งไม่ได้มีแต่ทวารใจทวารเดียว แม้แต่ อายตนะ ก็มี 6 แม้แต่วิญญาณ ก็มี 6 เช่นกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านชี้ชัดว่า ไปทิ้งตาหูจมูกลิ้นกายไม่ได้ ถ้าไปทิ้งจะเอาแต่ที่ใจ ซึ่งเราไม่ทิ้งใจ เราปฏิบัติทั้งกายและใจ แต่คุณที่ท้วงมาเอาแตใจ ทิ้งกาย ซึ่งก็จะไม่มีสัมมาทิฏฐิที่พอเหมาะ แล้วมรรคองค์อื่นที่ตามมานั้นก็จะไม่พอเหมาะ ซึ่งเกิดจากมิจฉาทิฏฐิที่เอาแต่ใจนั่นเอง

 

3/2/2556 9:29:16 เมื่อมาไล่แต่อวิชชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร.....

และคำว่าสังขารนี่ให้อ่านเรียนรู้ตรงวจีสังขาร ซึ่งคือการปรุงแต่งตั้งแต่อยู่ในจิต โดยต้องปฏิบัติอย่างโยนิโสมนสิการ ให้ถ่องแท้แยบคายให้ถึงแดนเกิด มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ในมูลสูตร นั้น จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติที่แดนเกิดเป็นสนามรบของเรา เราต้องจัดการกับข้าศึกให้ถูกต้องจริง

 

3/2/2556 9:35:45 ต่อไปเป็นการอธิบายอวิชชาก่อนที่จะอธิบายวจีสังขารที่มีคนเรียบเรียงมาจากการเทศน์ในครั้งก่อนๆ

อวิชชา ในปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวการใหญ่เลย พระพุทธเจ้าท่านว่า ถ้าสำรอกดับอวิชชาไม่เหลือ สังขารก็ดับไม่เหลือไปด้วย....ซึ่งก็คือการดับอกุศลทั้่งหมด แต่ก็จะมีสิ่งที่เหลือที่ใช้อาศัยอยู่ คือมันหมดไม่มี แต่ก็ยังมีอยู่ คือยังมีขันธ์ 5 ที่สะอาด แม้สะอาดเราก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ว่าไม่เป็นเราเป็นของเรา เป็นเฉพาะตนที่รู้ คนอื่้นรู้กับเราไม่ได้ ซึ่งอวิชชาที่พระพุทธเจ้าสรุปไว้ มีอวิชชา 8 ในอวิชชาสูตร

 

อวิชชาข้อที่ 1-4 คือไม่รู้ในอริยสัจ 4 ในข้อที่5 คือไม่รู้ในส่วนอดีต คือในส่วนของเสขบุคคลคือกำลังทำให้กิเลสสูญอยู่แต่ยังไม่สูญหมด

อวิชชาข้อที่ 5 คือไม่รู้ในส่วนอนาคต คือ ในส่วนของความเจริญที่ยังไม่เที่ยง เป็นของเสขบุคคลเช่นกัน

อวิชชาข้อที่ 6 คือ ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต อันนี้คือส่วนที่ทำให้กิเลสสูญได้จนเที่ยง เป็นส่วนของอเสขบุคคล เป็นการอนุรักขณาปทานเป็นการสั่งสมผลได้อย่างเที่ยงแท้ นิจจัง ทุวัง สัสสตัง อวิปรณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง....ทำมาจนชัดเจนแม่นมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งท่านทำได้มาอย่างซ้ำทวนแน่นอน ในผู้ที่ไม่ประมาทจะทำอย่างทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจ ซึ่งก็แล้วแต่บารมีของแต่ละท่าน

อวิชชาข้อที่ 8 คือไม่รู้ในปฏิจจฯ

 

3/2/2556 9:44:40 อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 อาหารของนิวรณ์ 6 คือทุจริต 3 อาหารของทุจริต 3 คือการไม่สำรวมอินทรีย อาหารของการไม่สำรวมอินทรีย์คือ การไม่มีสติสัมปัชชัญญะ อาหารของการไม่มีสติสัปัชชัญญะคือ การไม่มีโยนิโสมนสิการ(อโยนิโสมนสิการ) ไม่มีศรัทธา(มิจฉาศรัทธา) อาหารของมิจฉาศรัทธาคือ การไม่ฟังสัทธรรม อาหารของการไม่ฟังสัทธรรมคือ การไม่คบสัตบุรุษ

อวิชชาสูตร พตปฎ.  เล่ม 24  ข้อ 61

 

1.     การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ .สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ .  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

3/2/2556 9:47:49  สังกัปปะนั้นคือสนามรบแห่งจิตสังขาร แล้วเราก็ทำการรบอยู่ในนั้น มีองค์ธรรม 7 ประการของสังกัปปะ 7 (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา) ซึ่งคือองค์ธรรมของสัมมาทิฏฐิในส่วนอนาสวะ เป็นองค์แห่งมรรค ในพระไตรฯ เล่ม 14

 

สัมมาสังกัปปะ 7  ที่เป็นอนาสวะของพระอาริยะ

ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว (dynamic ขั้วลบ)ที่สัมปทาแล้ว

1.    ความตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ)  ถ้าตักกะมีกามมีพยาบาท เราต้องมีธัมวิจัย เพื่อแยกแยะและทำการกำจัดเหตุคือกามและพยาบาทนั้น โดยทำอย่างวิตักกะ

2.    ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) วิคือทำได้อย่างวิเศษแล้วเป็นสังขารที่เยี่ยมแล้ว

3.ความดำริ-มีความคิดหวัง  (สังกัปปะ)

 

ฝ่ายตั้งมั่น (static ขั้ว+ ที่สมบูรณ์) เป็นแกนกำลังให้ขับเคลื่อน

4. ความแน่วแน่ (อัปปนา)

5. ความแนบแน่น      (พยัปปนา)

6. ความปักใจมั่น       (เจตโส อภินิโรปนา)

7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร)

(พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 263)

 

3/2/2556 9:53:47 ถ้าเราไม่สามารถทำในขั้นตอนสังกัปปะ 7 นี้ได้ทัน เราก็จะห้ามกันสิ่งที่ปรุงแต่งด้วยกิเลส ออกมาเป็นคำพูดเป็นวจีกรรม ดังนั้นสนามรบของเรานักปฏิบัติธรรมคือในองค์ธรรมสังกัปปะทั้ง 7 นี่คือการทำฌาน คือการเอาไฟแห่งปัญญาไปเผา ไฟกามและพยาบาท ไปฌานที่ไปเผาให้เอาชนะกามและพยาบาท ถ้ามีพลัง มีความแน่วแน่ แนบแน่น และมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ

 

3/2/2556 9:56:35 ภาคอัปปนาพยับปนา เจตโสอภินิโรปนา คือภาคแห่งสมถะ ที่สั่งสมพลังงานบวก เป็นพลังงานศักย์ ส่วนภาค ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นั้นเป็นภาคปัญญา เป็นพลังงานลบ เป็นพลังงานจลย์

 

3/2/2556 10:02:02 เมื่อ ได้คบสัตบุรุษ และได้ฟังธรรมและมีศรัทธา การมนสิการจึงเป็นโยนิโส คือถ่องแท้แยบคายลงไปถึงที่เกิด คือในสนามรบ คืออ่านใจ อย่างมีญาณปัญญาอ่านทะลุทะลวงลงไปถึงใจ อย่างมีญาณ จับกิเลสได้ ลดกิเลสได้อย่าง ปหาน 5  ซึ่งการโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์จึงมี สติที่สามารถรู้จักรูปตั้งแต่ผัสสะ 6 ตัณหา 6 เวทนา6 สฬายตนะ 6 วิญญาณ 6 ไล่มาตั้งแต่ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ซึ่งคือการรบในจิต ถ้ารบชนะ วจีสังขารก็เป็นกุศล ถ้ารบไม่ชนะวจีสังขารก็เป็นอกุศล  และถ้าสติสัมปัชชัญญะที่บริบูรณ์ก็จะมีการสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์คือการมีจรณะ 15 นั้นเอง ตั้งแต่มี สังวรศีล มี อปัณกปฏิปทานั่นเอง....

 

การสังวรศีลนั้น เริ่มตั้่งแต่ศีล 5 เป็นเบื้องต้นเลย การละอบายมุข ซึ่งอย่างนักการเมืองที่โกงกินนั้นเป็นมหาอบายมุข ใช้อำนาจในการออกกฎหมาย ให้คนจำนนหมด ยอมเสียเปรียบหมด ให้พวกคุณได้เปรียบ ซึ่งคุณก็ไม่มีปัญญารู้ว่านี่คือมหาอบายมุข ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวนี้สังคมก็ไปไม่รอด อย่างพวกเราได้ฝึกมาถ้าได้ไปบริหารประเทศก็จะไม่ไปเอาเปรียบเพราะได้ล้างกิเลสจริง....เราทำศีลนั้นก็จะเข้าไปถึงจิตด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นไม่แยกกัน ปฏิบัติศีล ให้อ่านจิต ในเวลามีผัสสะซึ่งทำได้อยู่ทุกเวลา แล้วมีอิทธิบาท 4 สัมมัปปทาน 4 สติปัฏฐาน 4 แล้วก็ปฏิบัติให้เกิดมีอินทรีย์ 5 พละ  5 จนเกิดเป็นโพชฌงค์ 7 มรรค 8 ต่อไป

 

3/2/2556 10:10:53 ในอปัณกปฏิปทา  ข้อโภชเนมัตตัญญุตานั้น คือการหมายถึงเครื่องกินเครื่องใช้ อุปโภค บริโภค ที่เกี่ยงข้องในชีวิต ที่สัมผัสสิ่งเหล่านี้ แล้วคุณเกิดกิเลสหรือไม่ เมื่อเรามีกิเลสเราก็อ่านออก ในตักกะ วิตักกะ ก็อ่านออกได้ คือการสำรวมอินทรีย์ โดยเฉพาะเรื่องการกิน มีกามคุณอยู่ในนั้นเยอะ ซึ่งในอาหารสูตร แม้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอรหันต์นั้นก็ต้องกินอาหาร แม้ปัจจัย 4 อื่นๆไม่มีก็ไม่ตาย แต่กวฬิงการาหารนั้นขาดไม่ได้ เราต้องรู้กามที่มีอยู่ขณะสัมผัสสะอาหาร โดยอยู่ในชีวิตประจำวัน ถ้าปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ จะปฏิบัติอย่างลืมตา ในชีวิต แต่ตื่นรู้ไม่เป็นทาสกิเลส ส่วนคนที่ไม่มีธรรมะจะหลับไหล เมามายไปกับกิเลส

 

3/2/2556 10:14:38 ในชาคริยานุโยคะ นั้นไม่ได้หมายถึงการหลับนอนทางกายแต่อย่างเดียว แต่หมายถึงการหลับใหลมัวเมาไปกับกิเลสตัณหาอุปาทาน ตั้งแต่อบายมุขเป็นต้น ซึ่งคือเหตุหลักที่ทำให้เราหลับใหล ถ้าเราตื่นรู้ได้เต็มก็คือพุทธ กิเลสหมดทั้งกามคุณ โลกธรรม โลกอัตตา เราอยู่เหนือมันหมด ก็คือผู้เป็นพุทธที่สมบูรณ์  คือผู้ชาคริยะที่แท้จริง คือตื่นจากโลกแห่งโลกียะมาเป็นคนโลกุตระนั่นเอง

 

3/2/2556 10:17:13 ในจรณะข้อที่เหลือ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ศรัทธาคือความเชื่อที่จะปฏิบัติอปัณกปฏิปทา 3 ถ้าทำให้ถูกก็มีผลได้ เช่นเห็นกามเราก็อายกาม มีหิริ คือละอายต่อเหตุแห่งชั่วในตัวเรา เมื่อหิริมีอินทรีย์สูงขึ้นก็เป็น โอตตัปปะ คือการกลัวต่อเหตุแห่งบาป เราก็จะกำจัดเหตุ กำจัดได้เราก็จะเป็นพหูสูต ซึ่งคือผู้มีภูมิปัญญา ดับกิเลสได้จริง หรือเรียกว่าพาหุสัจจะ คือมีความจริงที่มากหลากหลายบรรลุธรรมได้หลากหลายแล้วมากแล้ว แล้วก็ทำต่อไป โดยมีวิริย มีสติ มีปัญญา เป็นตัวเสริมหนุน คล้ายกับบารมี 10 ทัศ

( 1.ทานบารมี         2.  ศีลบารมี 3.เนกขัมมบารมี   4.  ปัญญาบารมี  5.      วิริยะบารมี              6.  ขันติบารมี7. สัจจะบารมี     8.  อธิษฐานบารมี      9. เมตตาบารมี    10. อุเบกขาบารมี    )    วิริยะ ขันติ สัจจะ ก็มีองค์ธรรมคล้ายกับในจรณะ 15 ส่วนอธิษฐานคือตั้งใจมั่น เชียร์ต่อไปให้วิริยะ ให้ขันติวิริยะต่อนั่นเอง

 

3/2/2556 10:24:17 สรุปแล้ว จรณะ 15 คือการทำฌาน ทำให้เกิดไฟปัญญาอันวิเศษ นั้นเอง

 

3/2/2556 10:31:03 กลับมาที่วจีสังขารต่อ พ่อครูจะอ่านสังกัปปะ 7 ที่ได้เรียบเรียงมา

 

                    วจีสังขาร ในสังกัปปะอนาสวะ 7 ไม่ใช่วจีกรรม แต่เป็นสังขารธรรมที่อยู่ในจิต (สังขารที่อยู่ในภาวะของเวทนา) เป็นคำพูดอยู่ภายในจิตที่พร้อมจะออกมาเป็นคำพูดภายนอก เป็นกระบวนการของจิตสังขารที่เกิดวจีสังขาร เป็นการรวมทั้งกายสังขาร เกิดตั้งแต่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส และใจสังขารอยู่ในใจ เป็นอุปาทายรูป แล้วอ่านกายในกาย องค์ประชุมในกายซึ่งต่อเนื่องเป็นอุปาทายรูปจากข้างนอกไปหาข้างใน เรียก "กายในกาย"

                    กายในกายที่ผู้ปฏิบัติมีฌาน(นามรูปปริเฉทญาณ)หยั่งรู้ได้ กายนั้นอยู่ในฐานะ "สิ่งที่ถูกรู้"นี่คือรูป  จึงเรียกนามรูป หรือนามกาย  นามธรรมที่เป็นกายนี้ คือองค์ประชุมของภาวะที่เกิดจากตากระทบรูปภายนอก แล้วต่อเนื่องเข้าไปให้เรารู้ได้ถึงภายใน  รูป(นามรูป) เหล่านี้มีอาการของเวทนา อาการของความรู้สึกซ้อนอยู่ในนี้

                    เมื่อปรุงแต่งกันแล้วมีกามสังกัปปะ คือความรู้สึกเป็นอารมณ์ เวทนา ถ้าสมใจก็สุข ไม่สมใจก็ทุกข์ สุข-ทุกข์ เรียกว่าเวทนา (สังขารที่ปรุงจากกายภายนอกมาเป็นเวทนา)

                    เมื่อรู้อารมณ์ รู้ความรู้สึก ก็คือสังขาร เป็นจิตสังขาร (อานาปานสติข้อ 7) เราจะเรียนรู้แยกจิตในจิต (เจโตปริยญาณ 16) (เวทนาใน ซึ่งมี จิตสังขาร-นาม, เวทนานอก-อารมณ์สุข-ทุกข์-รูป)

                    จิตสะอาด คือธาตุรู้สามัญ วิญญาณสะอาด มโนสะอาด คือธาตุรู้สามัญ แต่ที่ไม่สามัญ คือมีกิเลสเข้ามาร่วมปรุงจากอวิชชา

                    จิตเมื่อเริ่มดำริทำงานเรียกว่าตรรกะ ในองค์ 7 ของสังกัปปะ ถ้าไม่มีวิปัสสนาญาณรู้รายละเอียดขององค์ทั้ง 7 เหล่านี้ ไม่มีการสอบผ่านแน่นอน ทำไปก็เป็นการเดา ไม่แจ้งชัด ไม่เป็นสัจฉิกรณะ จึงไม่มีทางเป็นสัจฉิกัตวาสามารถแจ้งจบ เมื่อเวลากิเลสสงบสูงสุด

                    นามรูป มี  เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

                    สิ่งที่เป็นรูป คือมหาภูตรูปและสิ่งที่อาศัยอยู่ในมหาภูตรูป มีทั้งรูปและนามไม่ขาดกัน

                การที่จะเกิดสังขารเป็นวจีเพราะมีลักษณะของพลังงานลบหรือพลังจลน์ (ตรรกะ วิตกรรกะ สังกัปปะ) กับพลังงานบวก หรือพลังงานศักย์(อัปปทา พยัปปนา เจตโสอภินโรปนา) ทำงานกันอยู่ เมื่อเวลาสัมผัสข้างนอกแล้วมีการรับรู้เข้าไปข้างในแล้วสังขารปรุงแต่งไปตั้งแต่ข้างนอกเข้าไปถึงข้างใน ผู้เรียนรู้ก็จะเรียนรู้ทำจิตให้แววไวให้จิตรู้ทัน วิเคราะห์วิจัยทัน เรียกว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ซึ่งสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นๆ จนมีคุณสมบัติวิจัยธรรม เรียกว่า วิตกวิจารในฌาน 1

                    เพราะฉะนั้นในขณะใดที่จิตทำได้ (ทำฌานได้=มนสิการเป็น) หมายความว่า กำลังทำให้กิเลสนั้นๆไม่มีอาการอยู่ในจิตขณะนั้น แต่ยังอยู่ในสภาพฌาน 1 นั่นคิอ ผู้ปฏิบัติยังต้องเคร่งคุมฝืนการปฏิบัติของตนอยู่ ยังทำไม่ได้คล่องแคล่วง่ายดายเป็นปกติ จนเต็มบารมี ยังต้องเสริมบารมี 10 ทัศ ข้อ 5 ,6,7,8 คือยังต้องเพียร(วิริยะ) ต้องอดทน(ขันติ) ทำความจริงให้เป็นความจริง กล่าวคือ ยังพากเพียรอดทนให้ได้ให้ทรงสภาพกุศลจิตนั้นขึ้นมาให้เต็มสัมบูรณ์ให้ได้อยู่(สัจจะ) ยังตั้งใจแน่วแน่สร้างบารมีนี้อยู่(อธิษฐาน) ภาวะนี้เรียกว่า วิตกวิจาร คือทำฌานอยู่ในขั้นวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จึงชื่อว่า ฌาน 1

                    วิตก คือวิตรรกะในสังกัปปะ 7 ได้แก่ จิตที่ดำริขึ้นมา ต้องพยายามดักรู้มันให้ทันตั้งแต่เริ่ม แล้วใช้ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือพิจารณาแยกแยะจิตเจตสิกด้วยสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น โดยเฉพาะต้องจับตัวกิเลสให้ได้ และกำจัดมัน

                    วิจาระ คือพฤติกรรมของสังขารจิตขณะนั้น ผู้กำลังมี "การทำใจในใจหยั่งลงไปถึงที่เกิด" (โยนิโสมนสิการ) ก็คือ การจัดการสังขารหรือพฤติกรรมนี้ให้ดีที่สุดให้ได้

                    มโนปวิจาร 18 ที่เป็นลักษณะเคหสิตเวทนา 18 คือ จิตที่มีกิเลสปรังแต่งกันเป็นอารมณ์ของปุถุชนสามัญ 18 อาการ  และเนกขัมมสิตเวทนา 18 คือ จิตที่ปฏิบัติทำใจในใจให้ออกจากกิเลส เช่น ออกจากกามเป็นต้น ของอาริยชน 18 อาการ

                    เคหสิตเวทนา 18 ปรุงแต่งโดยอวิชชาเป็นโลกีย์ เพราะไม่รู้การวิจัย สังขาร การปรุงแต่งที่ไม่สามารถมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่สามารถเข้าไปอ่าน ไปวิจัยพฤติเรียกว่าวิจาระ เป็นพฤติกรรม 18 ลักษณะเกิดจากอาการเมื่อกระทบสัมผัสข้างนอกจากทวารทั้ง 6 กระทบแล้วปรุงเป็นเวทนา 3 (สุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์)

                    ในเวทนาที่สุข-ทุกข์ มีตัณหาเป็นเหตุตามปฏิจจสมุปบาท

                    เมื่อตากระทบรูปเกิดจักขุวิญญาณ เรามีวิญญาณที่จะอ่านนามรูปของวิญญาณนี้ออก โดยอ่านเป็นนามรูป คืออาการของนามธรรมมันถูกรู้ เรียกว่านามรูป หรือนามกาย อาการเป็นสุข-ทุกข์ เป็นสังขารธรรม แล้วก็วิจัยวิจาร จริงๆ คือพฤติกรรม เรียกว่าวิจาระ

                    ซึ่งมันมีการสังขารคือจิตมันปรุงแต่งกันอยู่ ผู้อ่านสังขารจิตได้คือผู้เริ่มสัมมาปฏิบัติ  เป็นผู้ "พ้นอวิชชาหรือฌาฯ 16" ข้อต้น ตามปฏิจจสมุปบาทที่ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เมื่อสัมมาทิฏฐิ และสัมมาปฏิบัติ อธิปัญญาสิกขาจึงเริ่มเกิด วิชชา นั้นคือมี นามรูปปริเฉทญาณ และปัจจัยปริคหญาณ แล้วก็จะมีสัมมสนญาณ เมื่อเราเริ่มปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37  ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 ด้วยอิทธิบาท 4 ก็จะเกิดฌานหรือวิชชาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  หรือปฏิบัติ "จรณะ 15 วิชชา 8" นั่นเอง หรือปฏิบัติครบการศึกษาแท้ของพุทธ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา "ไตรสิกขา"  เต็มองค์ประกอบแห่งการศึกษาของพุทธ

                    หาก "ทำใจในใจ" (มนสิกโรติ) ของตนเป็น คือทำถูกต้องสัมมาปฏิบัติ  ก็จะหยั่งถึง "วิตก วิจาร" สามารถทำให้วิตกได้ผล เพระาอ่านวิจารได้ด้วยญาณ จนสามารถรู้แจ้งได้โดยมโนปวิจาร 18 ซึ่งเป็น "วิจาร" (พฤติของจิต) ของเวทนาในเวทนา สำหรับผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อย่างสัมมาทิฏฐิ

                    นี่คือกระบวนการของโยนิโสมนสิการ ฉะนี้เองชื่อว่าการทำฌานแบบพุทธ ไม่ใช่การทำฌานนั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์เท่านั้น แต่คือการทำฌานในชีวิตปกติลืมตาปฏิบัติให้เกิดสัมมสังกัปปะ-สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ อยู่ด้วย สัมมาวายามะ-สัมมาสติ โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ โดยการปฏิบัติครบทั้ง 3 สิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา อย่างเป็นองค์รวมไปในทุกขณะของชีวิตทุกอิริยาบถ  พยายามอ่านหรือวิริยารัมภะด้วยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็จะ "วิตกวิจาร" จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ได้สำเร็จไปตามลำดับ

                    วิจาระ คือกริยาของจิต เป็นอาการที่พระพุทธเจ้าให้ดับตั้งแต่วิตก (เริ่มดำริ) พยายามดับให้ทัน จับเหตุ(สมุทัย) ที่ก่อให้เกิดกามสังกัปปะให้ได้ มิจฉาสังกัปปะ 3 ได้แก่ กาม พยาบาท วิหิงสา ตั้งแต่เริ่มดำริในกาม หรือในพยาบาทตามอาการของจิต(นามรูป) แล้วปฏิบัติด้วยการปหาน 5 กำจัดตัวเหตุอันเป็นสมุทัยอริยสัจนี้ได้ นี่คือ "กระบวนการสังกัปปะ 7"  ซึ่งเป็น "การทำใจในใจให้ถ่องแท้หรือลงถึงที่เกิด " (โยนิโสมนสิการ) อันเป็นแดนเกิเด (สัมภว) โดยฝึกอธิปัญญาสิกขาตามหยั่งรู้จิตในจิตของตน จึงต้องศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ

                    เพราะฉะนั้น อุบายเครื่องออกคือ อย่าให้อาหารกิเลส มันก็จะไม่สุข อาหารก็คือตามใจกิเลส เพราะมันมีเหตุ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่จะสุข คือกาม ก็ต้องมีการงดเว้น (เวรมณี) อย่าให้มันได้เสพสมใจอยาก ตั้งกฎหรือตั้งศีลไม่ให้มัน เมื่อไม่ให้มัน มันก็ดิ้น อยากจะได้ตามธรรมชาติของความเป็นกิเลสกาม ถ้าได้มันก็สุข

                    กิเลสความอยาก ถ้าเคลื่อนตัวออกมา เป็นตัณหา ถ้าอยู่นอนนิ่งข้างในก็เป็นอุปาทาน ก็วิเคราะห์รู้ตัวรูปร่างมันได้  ถ้านอนนิ่งรู้ยาก ถ้าออกมาก็รู้ง่ายจึงต้องมีอุบายคือมีผัสสะ แล้ววิเคราะห์รู้ตัวตน หรือรู้อาการ-นิมิตของมันให้ได้ วิธีจัดการคือปหาน 5ถ้าปล่อยให้มันดับไปเอง มันก็ไม่ตายจริง จึงต้องกำจัดมัน ให้มันละละจางคลาย(วิราคะ) กระทั่งดับ (นิโรธ) ไปต่อหน้าจริง จึงเรียกว่าปหาน อันหมายความว่รา กำจัด การละ และการกำจัดการละนี้มี 5 ประการคือ  มี   1.วิกขัมภนปหาน 2. ตทังคปหาน 3. สมุจเฉทปหาน 4. ปฏิปัสสัทธิปหาน 5.นิสสรณปหาน 

                    การกดข่มไว้ หรือทำเป็นลืมๆเรื่องทุกข์นั้นไป ทิ้งๆมันไป ไม่ตั้งใจเข้าไปจับตัวมันศึกษา วิธีอย่างนี้เรียกว่า วิธีสมถะ คือ วิกขัมภนปหาน คนทุกคนทำเป็นทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องทำด้วยเป็นอุปการะ

                    ส่วนตทังคปหาน คือ ปฏิบัติด้วยวิธีวิปัสสนา ซึ่งผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ยังทำได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น

                    เมื่อปหานเป็นแล้ว ทำกิเลสสงบเป็นแล้ว พระพุทธเจ้ายังให้ทำซ้ำทำให้คุ้นให้เคย(อาเสวนา) ทำตามเดิมอย่างที่ทำให้เกิดผลได้นั้นแหละ(ภาวนา) ทำให้มากๆ (พหุลีกัมมัง) รักษาผลซ้ำเข้าไปอีก เรียกว่า

 อนุรักขณาปธาน เกิดผลคือภาวนาปธาน เมื่อเกิดผลแล้วก็รักษาผลอนุรักขนาเข้าไป เรียกว่าปฏิปัสสัทธิปหาน

                    กิเลสลดโดยวิธีวิกขัมภนปหาน ถ้ายังไม่สมบูรณ์ก็ต้องตทังคปหาน

                    ตทังค แปลว่า ทำได้เป็นครั้งเป็นคราว เมื่อทำแล้วได้ผลก็ทำซ้ำอีก เรียกว่าเนกขัมมะเกิดผล เป็นเนกขัมสิตเวทนา ก็ทำซ้ำทวนแล้วทวนอีกเรียกว่ารักษาผล (อนุรักขนาปธาน)

                    สัมมัปปธาน 4 ได้แก่ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน เพราะฉะนั้นเมื่อสังวรปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์ สำรวมศีลตามฐานะของเราแล้วจนสามารถรู้จักสังกัปปะ 7 อ่านกิเลสได้ รู้จักกิเลส แล้วฆ่ากิเลสได้โดยวิปัสสนาวิธี เมื่อตทังคปหานโดยวิปัสสนาวิธี ถ้าวิกขัมภนปหานคือสมถะวิธี

                    วิปัสสนาวิธี คือเกิดปัญญาเห็นจริงว่ามันไม่เที่ยงในอนัตตา 5 ประการ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไป อาการของกิเลสมันไม่อยู่คงที่ ไม่ให้มันก็ไม่อยู่คงที่ ให้มันก็ไม่คงที่ ความสุขอยู่แป็ปเดียวก็หายไปเหมือนพยับแดด ฟองคลื่น

                    ความเป็นฌานคือเกิดไฟเป็นปัญญา

                    ญาณ 16 คือไฟปัญญา วิปัสสนาญาณ 9 คือไฟปัญญาแท้ๆ

                    อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภังคานุปัสสนาญาณ ภยตูปัฏฐานญาณ เป็นไฟปัญญาที่เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สุดท้ายมันดับไปมากกว่าอยู่ เกิดขึ้นน้อย ตั้งอยู่ก็เดี๋ยวเดียว วนอยู่เช่นนี้ จากภยตูปัฎฐานญาณ ก็เกิดปัญญาสูงขึ้นเป็นอาทีนวานุปัสสนาญาณ เป็นญาณที่เห็นเป็นโทษว่าไม่ใช่ กามคุณ เป็นกามโทษ คือกามาทีนวะไปหลงสวรรค์ในอนุปุพพิถา 5 (สวรรค์หลอก) คือการแสดงธรรมไปตามลำดับ 1. ทานกถา (เรื่องทาน) 2. สีลกถา (เรื่องศีล) 3. สัคคกถา (เรื่องความสุขที่พรั่งพร้อมด้วยกาม) 4. กามาทีนวกถา (เรื่องโทษของกาม) 5. เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์-ในการออกจากกาม) (พระไตรปิฎกเล่ม 4 “มหาขันธกะ ยสกุลบุตร” ข้อ 27)

                  เมื่อสามารถรู้ด้วยญาณเห็นโทษอย่างที่กล่าวในอาทีนวานุปัสสนาญาณ รู้แล้วสัคคะใน อนุปุพพิกถา 5 ก็จะเกิดเบื่อหน่ายเกิดนิพพิทา เกิดกำลังของปัญญาที่ฉลาดอย่างอาริยะในโลกุตตระเห็นแจ้งเห็นจริงที่โง่มาหลงในสวรรค์แบบนี้ มาหลงสังขาร วิญญาณอย่างนี้

                    วิญญาณเกิดจากผัสสะ 3 เมื่อมีญาณอ่านรู้เกิดนามรูปปริจเฉทญาณ เกิดญาณที่รู้จักนามรูป เมื่อรู้แล้วเวลาปฎิบัติ อายตนะกระทบสัมผัส แล้วจะเกิดเวทนาหรือสังขารในปฏิจจสมุปปบาท มีทั้งกายสังขาร จิตสังขาร ส่วนวจีสังขารต้องมีภูมิรู้จึงอ่านออกในสังกัปปะ 7 ถ้าปฏิบัติไม่ถูกไม่มีโอกาสเห็นวจีสังขาร

                    เมื่อปฏิบัติถูกต้อง มีผลเจริญขึ้่นๆ ญาณที่เป็นพลังงานทางจิต ซึ่งมีฤทธิ์ดั่งไฟวิเศษที่เรียกในภาษาบาลีว่า "ฌาน" ก็จะมีกำลังสลายอกุศลที่เรากำจัดลงไปได้

                    ญาณที่สูงขึ้นกว่าอาทีนวญาณ ก็คือ นิพพิทาญาณ เบื่อหน่าย และสูงขึ้นไปอีกก็คือญาณขั้นมุญจิตุกัมยตญาณ ฌานหรือไฟวิเศษก็ละลายหรือสลายอกุศลเหตุนั้นๆไปได้ เปลื้องปล่อยอกุศลจิตนั้น ไม่ว่ากิเลสที่ยึดถือ หรืออุปาทานขันธ์ที่ยึดถือ

                    เมื่อทำอย่างที่กล่าวมาก็จะรู้จักสังกัปปะ 7 อย่างดีโดยการปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะและอนาสวะ ถ้าเป็นสาสวะคือได้ผลไปตามลำดับ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลไปตามลำดับเรียกว่า ปุญญภาคิยา หรือ อุปธิเวปักกา เป็นผลแก่ขันธ์ คือขันธุ์สะอาดขึ้นๆ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สะอาดขึ้น

                    เกิดได้เพราะองค์ 6 ของทิฎฐิ ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์  ปัญญาพละ ซึ่งเป็นภาคปัญญา เป็นภาคปัญญาที่มีฤทธิ์เดชหรือบุญฤทธิ์ของปัญญาสูงขึ้นเรียกว่า อินทรีย์-พละ เป็นน้ำหนัก เป็นคุณภาพ เป็นฤทธิ์ เป็นแรง แต่เป็นตัวจบ

                    การที่จะเกิดสูงขึ้น ก็เกิดจากการทำธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฎฐิ และองค์แห่งมรรค

                    องค์แห่งมรรค 8 ที่ปฏิบัติจริงๆ คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ โดยมีสัมมาทิฎฐิเป็นประธาน มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นห้อมล้อมช่วยช่วยประธาน

                    สติ เป็นตัวต้นของการปฏิบัติโพชฌงค์ ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมในขณะลืมตาถ้าทำได้ตรงวิ (ตรรกะ) ให้มันลดการปรุงไม่ให้เกิดเลย  สังกัปปะ ก็เป็นสัมมา เป็นฌาน 1 คือวิตกวิจาร วิตก     คือ วิตรรกะ วิจาระ ก็คือ มโนปวิจาร 18 ทั้งเคหสิตะเวทนาและเนกขัมมสิตะเวทนา

                     แม้เป็นฌาน 1 การปฏิบัติที่สัมมาแล้ว ก็ทำให้อกุศลขั้นต่อไปที่เป็นส่วนละเอียดขึ้น เช่น ปีติก็ดี สุขก็ดี ก็ต้องวิตกวิจาร และลดละกันต่อไป

                    ปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาพละ องค์ธรรม 3 นี้เป็นภาคปัญญา

                    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฎฐิ มัคคังคะ เป็นองค์ประกอบของการปฏิบัติที่จะส่งผลให้สัมมาทิฎฐิเจริญไปเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ

                    จะเจริญธรรมะ เมื่อทั้งปฏิบัติธรรมและทั้งฟังธรรม ขึ้นเรื่อยๆ

                    เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ ฟังธรรมไปเรื่อยๆ สัมมาทิฎฐิก็จะเจริญขึ้นจะเกิดอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการขึ้นเรื่อยๆ "สัมมาทิฏฐิ" ทั้งที่เกิดจากการฟังธรรม ทั้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งสภาวธรรมในขณะปฏิบัติจริง ก็จะเจริญขึ้นเป็น "สัมมาทิฏฐิ" ที่อภิวัฒน์ เกิดอานิสงส์พัฒนาขึ้นไปเป็น ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ ไปตามลำดับ

                    เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุติจึงพอเหมาะได้

 

3/2/2556 11:04:27 ส.ฟ้าไท สรุป.....วันนี้ได้ฟังธรรมะที่ลึกซึ้งละเอียด พ่อครูให้เห็นอวิชชา ปอกลอกอวิชชา เหมือนชักหญ้าปล้องออกจากไส้ เหมือนงูลอกคราบงู โดยมีการกำจัดอาหารที่ทำให้เกิดอวิชชา หรืออาหารที่ทำให้เกิดกิเลสนั่นเอง แต่ละคนก็จะได้ทบทวนว่าอาหารอะไรที่ทำให้กิเลสเพิ่มเราก็จะได้ละละต่อไป......3/2/2556 11:06:46                    


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:09:49 )

560204

รายละเอียด

4/2/2556 17:57:17  รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและอ.กฤษฎาเรื่อง นี้ไง โสดาบันและนรกสวรรค์หลังตาย

 

4/2/2556 18:06:41 อ.กฤษฎา เปิดรายการโดยการสไกป์จากสันติอโศก.....ได้ข่าวว่ามีการลงเรือสำรวจเส้นทางในการโดยสารทางลำน้ำมูล...พ่อครูว่า ตั้งใจจะปลุกชีวิตลำน้ำมูล ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใสสะอาด สวย ซึ่งน่าจะใช้ประโยชน์ในการคมนาคมได้อย่างดี แต่บัดนี้เงียบเหงา ซึ่งพ่อครูก็ค่อยๆทำไป ไม่เผยอะไรมาก อ.กฤษฎา ว่านั่นเป็นมิติของการเริ่มต้น

 

4/2/2556 18:09:24 อ.กฤษฎา ว่าได้คาถาจากพ่อครูไปปฏิบัติ คือ ละ-หน่าย-คลาย-จาก-พราก ซึ่งในเส้นสายของการดำเนินไปจากอวิชชานั้นเป็นปฏิจจสมุปบาท ที่พ่อครูได้อธิบายถึงเรื่องสังกัปปะ 7 ที่มีเรื่องวจีสังขารเป็นเนื้อหาหลัก ...เทียบเคียงกับการดำริในเรื่องของการปลุกชีวิตลำน้ำมูลนั้นก็เริ่มมาจากการดำริ ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้ในกระบวนการก่อนที่จะมีการกระทำออกไป มีกระบวนการคิดอย่างไรในการสร้างคิดทำอะไรขึ้นมา

 

4/2/2556 18:11:45 พ่อครูว่า ในกระบวนการคิดการสร้างการทำอะไร ทำอย่างไรไม่ให้กิเลสเข้าไปร่วมด้วย พ่อครูว่าก็คิดอย่าให้กิเลสเข้าไปปรุงร่วม...ขยายความว่า เราจะสร้างคิดทำปรุงแต่งอะไรมา เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า สิ่งที่เราปรุงแต่งนั้นเพื่อตัวเองหรือไม่? เราจะไปมีส่วนได้เสียอย่างไร ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ หรือได้เพื่อความสุข เป็นรสชาติทางกาม ได้สร้างรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ให้ได้สมใจเราในกามคุณ 5 อย่างนี้เป็นต้น หรือตัวลึกคืออยากบำบัดบำเรอใจเราเป็นอัตตา ซึ่งจะได้บำเรอให้เรารู้สึกดี รู้สึกมัน รู้สึกเป็นรสในใจที่สมใจ หรือเรียกว่าลักษณะ มาซูคิส คือได้สะใจเรา มันก็ต้องมีการกระทบกระแทกอัตตาตน แล้วเห็นว่าอันนี้เป็นรส สิ่งเหล่านี้ลึกซึ้งยากจะรู้

 

4/2/2556 18:14:51 เราต้องปฏิบัติธรรมให้กิเลสเราลดจนหมด ถ้าเป็นอรหันต์นั้นจะคิดทำอะไรก็ไม่เพื่อตนเอง ไม่ได้เพื่อกามหรืออัตตา แต่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคมโลก อันนั้นคือการสร้างสรร ทำอย่างมีมโนสัญเจตนาหรือเป็นอากังขาวจร มีเจตนาที่ต้องการมุ่งหมาย เพื่อ...ทีนี้ถ้าเพื่อคือมโนสัญเจตนา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ามี 3 คือ 1.ต้องการเสพกาม เรียก กามตัณหา 2 ต้องการเสพ รูป อรูป เรียก ภวตัณหา 3 การไม่ต้องการให้มีภพเรียกว่าวิภวตัณหา ซึ่งอันที่ 3 นี้ คิดไม่เหมือนกับที่ท่านทั่วไปในสังคมคิด เขาแปลว่า วิภวตัณหาคือการไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ส่วนภวตัณหานั้น แปลว่า การอยากได้อยากมีอยากเป็น ซึ่งเป็นการแปลที่ทำให้คนเฉื่อย คนจะเรียนรู้อารมณ์ไม่เป็น คนจะไม่มีพลังอะไรที่จะพุ่งเพ่งศึกษาจิตอะไรเลย ก็ล้มเหลวแต่ต้นทาง ซึ่งพ่อครูก็รู้ว่าเขาเข้าใจอย่างนี้กันส่วนมาก พ่อครูว่าที่เข้าใจอย่างที่พ่อครูเข้าใจนั้นมีน้อย พ่อครูยกอ้างแม้แต่ความปรารถนา ความมีฉันทะ เป็นความต้องการปรารถนาดี แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีจิต มีมโนสัญเจตนาตัวนี้ จะเรียกว่าตัณหาของพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่เป็นวิภวตัณหา เป็นความต้องการที่ไม่มีกิเลส

อย่างที่มาร มาอาราธนาพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ใหม่ๆ ให้ปรินิพพานเสียตายเสีย แต่พระพุทธเจ้าว่าเรายังไม่ยอมตาย จนกว่า ...หากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกและสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม  ยังไม่ได้รับคำแนะนำ  ไม่แกล้วกล้า  ไม่เป็นพหูสูต  ไม่ทรงธรรม   ยังปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม   ไม่ปฏิบัติชอบ  ไม่ประพฤติตามธรรมที่เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว

          ยังบอกแสดงบัญญัติแต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก  กระทำให้ง่ายไม่ได้  ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์  และข่มขี่ปรับปวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด   เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น  ฯลฯ .  (มหาปรินิพพานสูตร พตปฎ.เล่ม 10  ข้อ 102)

 

4/2/2556 18:21:51 โดยภาษาก็เห็นว่าท่านมุ่งหมายต้องการ ท่านอยาก ผู้ที่อ่านสภาวจิตไม่เป็นจะไม่รู้ว่าจิตมีมโนสัญเจตนาอย่างไร มีกาม มีพยาบาทอย่างไร ถ้าไม่รู้ปรมัตถ์เหล่านี้จะพูดไม่ได้ มีแต่ตรรกะ อย่างที่ท่านที่sms มาแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้เข้าถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่อย่างใด ไม่ได้ไปว่าแต่อาศัยเป็นนิทาน ในการศึกษา

 

4/2/2556 18:24:36 คนที่บรรลุอรหันต์นั้นมีจิตที่จะไม่ทำเพื่อตัวตน ไม่มีกิเลสที่จะมาทำเพื่อตัวเองอีกเลย แม้แต่ชีวิตนี้ก็มั่นใจว่าจะอยู่กับสังคม มอบตนให้สังคมเขาเลี้ยงดูไว้ ปรปฏิพัททา เม ชีวิกา (คือชีวิตเราเนื่องด้วยผู้อื่น ให้ผู้อื่นเลี้ยงดูไว้) โดยตัวเองไม่ต้องทำงานสะสมเพื่อตัวเอง แต่ทำงานเพื่อสังคมเท่านั้น ส่วนบริขารองค์ประกอบใช้สอย ก็เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อบำบัดอารมณ์ตัวเอง ผู้บรรลุจะมีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งเขาไม่เชื่อว่าคนแบบนี้มี แล้วเขาก็ดูไม่ออกด้วย เพราะอธิบายอรหันต์อย่างไม่เอาถ่านเลย ดูดาย เฉย นิ่ง ไม่เอาภาระ เลยสุดโต่งไป โดยไม่เข้าใจอรหัตผลแบบพุทธที่ตัดกิเลสได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ สันติ (สงบ) ปณีตา (ประนีตลึกซึ้ง) อตักกาวจรา(ด้นเดาเอาไม่ได้ ต้องปฏิบัติเอา) นิปุนา(เป็นขั้นนิพพาน) บัณฑิตเวทนียา(บัณฑิตเท่านั้นที่รู้ได้) แม้จะยากเย็น แต่ก็ยังมีคนสนใจศึกษาจนมีผล เกิดเป็นชาวอโศกเช่นนี้ คนเหล่านี้จะพยายามทำให้เป็นอย่างที่พ่อครูพูดไว้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกต่อต้าน คนเห็นด้วยก็ยังไม่กล้าเปิดเผยกับสังคม ยังคลางแคลงว่าจะบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ไม่ได้ทำเพื่อหมู่กลุ่มอย่างเดียว ยิ่งลีลาบทบาท พ่อครูนั้นเขาจะยิ่งไม่เชื่อ เพราะ พ่อครูได้เปลี่ยนแปลงอนุโลม ไปจนเป็นโครงสร้างของชีวิต ที่จะล้างทันทีไม่ได้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

 

4/2/2556 18:30:47 ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านมีสังขารอย่างยิ่ง ซึ่งมีผู้แย้งการสังขารมาว่าเป็นอภิสังขาร เขายังแปลอย่างโลกีย์ แต่พ่อครูแปลอย่างโลกุตระ ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านเสวยวิมุต 49 วัน ใหม่ๆท่านยังไม่มีโครงสร้างของการอนุโลม ยังไม่ได้ตั้งจิตทำงานเพื่อสังคมเลย ส่วนนามธรรมได้ ของท่านเหนือชั้น ส่วนของพ่อครูนั้นยังไม่รู้ว่าจะอยู่ถาวร เหมือนนั่งร้าน พระพุทธเจ้าท่านทำได้เร็วไว ล้างนั่งร้านได้ไว ส่วนพ่อครูนั้นทำได้ยากนานกว่า

 

4/2/2556 18:32:58 พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า ให้ปูผ้าให้ใต้ต้นไม้ เราจะพักผ่อนเป็นที่สุดท้าย แล้วท่านก็นอนบนผ้า พระอานนท์ก็สังเกตว่าพระพุทธเจ้าทำไม่ผิวผ่องจังเลยสะดุดตาจนต้องอุทานออกมา พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสต่อพระอานนท์ว่า เป็นเช่นนั้น ท่านก็อธิบายว่า ที่ตถาคตจะมีผิวพรรณผ่องใสอย่างสิ่งใน 2ระยะ คือ 1.ตรัสรู้ใหม่ๆ (เสวยวิมุติยังไม่ตั้งจิตทำงาน)  พอเริ่มทำงานก็จะมีโครงสร้าง...จนกระทั่งเสร็จท่านจะวางขันธ์ นั้น  2.พระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ..คือท่านรื้อนั่งร้านออกแล้ว  ....เป็นเรื่องลึกซึ้งที่คนจะเข้าใจไม่ได้ในการอนุโลม ...ใครจะเห็นแย้ง จะเอาตำรามาจับพ่อครูแล้วเห็นว่าพ่อครูไม่จริง แล้วยิ่งยุคนี้พ่อครูต้องปรุงแรง ดีไม่ดีหยาบเลย เพราะเป็นยุคมนุษย์หนังแรด จึงจำเป็นต้องจัดจ้านแรง ก็ไม่ได้พูดแก้ตัว

 

4/2/2556 18:37:20 เมื่อเราจะทำงานเพื่อสังคม ก็ต้องล้างกิเลสเรา แม้เราจะปรุงแต่งอะไรกิเลสก็ไม่ขึ้น เพราะเรามีอเนญชาภิสังขาร จิตมีสังขารุเปกขาญาณ เป็นญาณที่รู้จักการสังขาร รู้ว่าจิตเรามีฐานอุเบกขาขนาดไหน เรามีกิเลสมาร่วมด้วยขนาดไหน เราทนต่อสังขารได้ขนาดไหน ไม่เปลี่ยนแปลงได้ด้วย ผู้เป็นสัตบุรุษจะรู้ประมาณ พระอรหันต์นั้นจะยังประมาณไม่ได้ดีที่สุด เป็นอุปกิเลสตัวสุดท้าย

 

4/2/2556 18:39:06 แต่โสดาบันขึ้นไปก็จะมีการเห็นแก่ตัวน้อยลงไป เห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ที่จะเห็นแก่คนอื่น ส่วนสกิทาคามี จะเห็นแก่ตัวลดลงได้ 75 เปอร์เซ็นต์ ยังเห็นแก่ตัว 25 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งเป็น อนาคามีจะมีเห็นแก่ตัวลดลงไปอีก จนเป็นอรหันต์ก็เห็นแก่ตัว 0 % ผู้ที่ศึกษาธรรมะทุกวันนี้ เขาบอกตนเองไม่ได้ว่าตนเองเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ไม่ต้องพูดไปเลยว่าเป็นอรหันต์เลอะไปหมดเลย เพราะไม่มีญาณ ไม่มีภูมิอ่านจิตตนเองได้จริง แม้แต่ในเวทนา 108

 

4/2/2556 18:43   สรุปแล้วต้องมีญาณหยั่งรู้จิตของตน อย่างโสดาบันนั้นจะมีญาณ 7 พระโสดาบัน

1.        รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์5 ,  การวิวาทกันด้วย .หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯยังไม่ได้ ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

2.        อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ).เช่นกิเลสอบายเป็นต้น จะรู้ว่าการเสพการล้างอารมณ์ จะอ่านออก จะเป็นธรรมะที่ไม่เหมือนใคร จะมีปีติ เราจะพยายามรักษา ให้มากขึ้น เป็นสิ่งวิเศษ  ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา)  ทำให้มีผลเจริญ.(ภาวนา)  ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง) มันจะมั่นใจเลย ทุกวันนี้เขาปฏิบัติกันแบบบอกตนเองไม่ได้ ต้องให้คนอื่นบอก แล้วก็เข้าข้างตนเองว่าเป็นอรหันต์แล้ว แต่ยังไม่สามารถละกามหยาบๆได้แต่อย่างใด

3.        อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือ ไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย  คือเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากที่เขาได้ เขาได้ลาภยศ เขาได้โลกียรส แต่เราได้โลกุตรรส จะรู้ว่าทางแห่งโลกุตระธรรมเป็นอย่างไร ทั้งอารมณ์ทางจิต และวัตถุทางโลกจะคนละเรื่องจากปุถุชน เราวัตถุก็น้อยลง จิตใจก็ปีติ ซึ่งไม่ใช่ปีติอย่างปุถุชน ที่ได้ชื่นใจกับลาภยศสรรเสริญสุข แต่ของเราจะลดลงว่างลง มีปีติเหมือนกันแต่คนละทิศทาง และในสำนักต่างๆที่ได้ธรรมะแบบของเขา ผู้เป็นโสดาบันก็จะรู้ในความแตกต่างของธรรมะสภาวะที่ได้...

4.        อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย  ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน

5. อาริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ . ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขา ของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่   เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น

4/2/2556 18:54:46 ข้อนี้คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจไม่ได้ว่า ผู้บรรลุธรรมจะทำงานให้สังคม ไม่ได้หนีสังคม และคุณสมบัติที่บรรลุนั้นจะเหนือกว่าสิ่งที่ทั้งโลกเขาเป็นทาส จะมีเนญชาภิสังขาร ไม่หวั่นไหวเลย แม้อยู่กับโลก  และทำทั้งประโยชน์ตน(แม่โคเล็มหญ้า) และประโยชน์ผู้อื่น(ชำเลืองดูลูกด้วย) ข้อนี้เป็นคุณลักษณะสำคัญของพุทธ ไม่ใช่โต่งอย่างเถรวาท ที่บรรลุต้องอยู่ห่างสังคม เป็นฤาษีสมัยโบราณเก่าไปหมด พ่อครูพยายามพาเราเข้าสังคม อย่างใน   สัทธาสูตร.....

1.  ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.  ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.  พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้นไม่ใช่ท่องจำได้เป็น learned man เท่านั้น)

4.  เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง โดยทำคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง)

5.  เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น ไม่ได้หนีสังคม) .

6. แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7. ทรงวินัย (ยิ่งศึกษาธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ยิ่งสูงยิ่งต้องมีวินัย)

8. อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (จิตผู้ที่บรรลุแล้วจะยิ้นดีในที่สงบสงัด แต่ท่านไม่เสพไม่ติดที่ แล้วท่านจะออกมาทำงานกับสังคม เพราะสังคมขาดแคลน แต่มีจิตอุเบกขา) . .

9. ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.          ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

 

4/2/2556 19:02:36  มาต่อในญาณ 7 พระโสดาบันข้อต่อไป

6. มีพลังทำประโยชน์  ทำไว้ในใจ  กำหนดด้วยจิตทั้งปวง     เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคต  อันบัณฑิตแสดงอยู่

4/2/2556 19:04:33 จะมีพลังมาก มีพลัง 4 ทำงานให้แก่สังคม เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรับใช้สังคม ไม่โลภโมโทสัน อย่างฤาษีกับโสดาบันจะต่างกัน ฤาษีจะหนีออกป่า แต่พระโสดาบันจะอยู่ช่วยสังคม จะเห็นว่าเสียสละ กล้าหาญ คนจะขยัน ทำงานที่ไม่มีโทษ ตัวเองกินน้อยใช้น้อย เวลาทุนรอนที่ไปกับอบายมุขไม่มี แต่มีเวลาทุนรองแรงงานไปสร้างสรร มากกว่าคนโลกียะ สรุปจะรวยกว่าเก่าและจะกล้าเสียสละให้แก่สังคม จะพยายามฝึกตนให้ลดละ ไม่ประมาท โสดาบันจะเห็นชัดเป็นกายสักขี อย่างพวกเรา หลายคนคิดว่าเราคงได้สกิทาฯ เพราะเรามาลดละอยู่ในสาธารณโภคีอย่างกับเป็นอนาคามี แต่ลึกๆจริงหรือเปล่าต้องพิจารณาให้ดี อนาคามีนั้นไม่มีกามภพ แต่เรื่องสมบัตินั้นอยู่กับหมู่นั้นไม่มีก็ได้ แต่เรื่องกามนั้นจะชัดอ่านออกว่าเราเท่าไหร่? ... ถ้ามีคุณสมบัติแท้ๆซักแสนคน ถ้าอโศกมีเนื้อแท้เป็นโสดาฯซักแสนคน  ...คงน่าดู

7. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม  ปราโมทย์  รู้จริงครบถ้วนธรรม 

(โกสัมพีสูตร  ทิฐิที่เป็นนิยายิกธรรม  ล.12  ข. 543 - 550

เป็นญาณมีองค์ 7 เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน)

4/2/2556 19:09:01 ผู้ที่เป็นโสดาบันนั้นจะมีคุณสมบัติ 8 อย่างคือ

อริยสัจ  4(สี่ข้อ) -โสตาปันนะ -อวินิปาตธรรม-นิยตะ-สัมโพธิปรายนะ ถ้าได้คุณสมบัติอย่างนี้ซักแสนคน พ่อครูจะพาลงเลือกตั้ง ทำงานกับสังคมจะชัดเจน อย่างน้อยปัญญาชนจะเห็นชัด สังคมบ้านเมืองต้องการคนดีไปบริหารบ้านเมือง แต่ตอนนี้อโศกยังน้อยนัก บารมีก็ได้แค่นี้ ซึ่งไม่ได้ล่อหลอก ไม่ประเล้าประโลม และยัง.........มีแต่เปิดเผยธรรมะใครเห็นดีก็มาเอา ไม่หาบริวาร ที่จะไปแลกลาภยศสรรเสริญไม่ทำแน่นอน

 

4/2/2556 19:12:28 และนอกจากจะมีญาณ 7 ต้องอ่าน 8 อย่างนี้ออก คือ

อ่านอริยสัจ 4 คือรู้ทุกข์ของโสดาบันคือออกมาจากอบาย รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ภาวะดับทุกข์

ข้อ 5 รู้จิตเจตสิก ที่เป็นนามรูป คือ(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)  ต้องแยกแยะเวทนาออกเป็นมโนปวิจาร 18 จะรู้จักวิตกวิจาร อ่านเคหสิตะและเนกขัมมสิตะ ของเวทนา ซึ่งเกิดจากการกระทบทางทวาร มีสัญญากำหนดรู้อ่านแล้วก็ไปเป็นปัญญา จะรู้ทั้งเจตนา ที่มุ่งหมายให้เป็นอย่างไร มีเจตนาแล้วก็ปฏิบัติมีผัสสะ และข้อสุดท้ายมีมนสิการ ต้องทำอย่างลงไปถึงที่เกิด ที่ที่กิเลสมันเกิด แล้วจับกิเลสได้ตรงต้นตอที่มันเกิด ตั้งแต่ สังกัปปะ 7 (ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา  เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร ) เป็นการทำสังขารให้เป็นปุญยาภิสังขารเป็นอภิสังขาร โดยเฉพาะวจีสังขาร ที่จะอ่านออกว่า เป็นเคหสิตะแล้วกำจัดกิเลส ตรงกามสังกัปปะ หรือพยาบาทสังกัปปะ หรือกามวิตก พยาบาทวิตก จิตก็อ่านพฤติกรรมมันได้ แล้วกำจัดตัวกาม พยาบาท ไม่ให้เป็นเหตุให้ไปปรุงร่วม จนเป็นญาณรู้การสังขาร เป็นสังขารุเปกขาญาณ

 

4/2/2556 19:19:13 ในโสดาบันก็ต้องรู้วจีสังขาร ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าตนกำจัดกิเลสได้จริงหรือเปล่า? แต่ในโสดาบันก็ไม่ง่าย เราอาจไม่รู้ทันทันที

4/2/2556 19:20:06 พ่อครูมีมโนสัญเจตนา ว่าจะอยู่ให้นาน เพราะสงสารประเทศที่มีประชากรที่มีคุณสมบัติของพระพุทธเจ้านั้นน้อยเหลือเกิน แล้วจะหกคะเมนตีลังกาไปตกต่ำมาก มันก็น่าจะมาช่วยกัน....สร้างมนุษย์อาริยะให้ได้ เป็นให้ได้จริง ซึ่งบางทีตอนไม่มีลาภยศสรรเสริญนั้น ก็คิดได้ว่าจะไม่โกงกิน จะช่วยเหลือสังคม แต่พอไปเป็นจริง ก็ถูกโลกธรรมกระแทกกระทุ้งเอา 100 ล้านไม่เอา ถ้า พันล้านไม่แน่ อย่างลาภยศที่สูงก็เช่นกัน เราต้องทำให้มีคนจริง มั่นใจว่าโลกุตระธรรมพระพุทธเจ้านั้นมีจริง ที่ทำงานทุกวันนี้หัวเดียวกระเทียมลีบด้วย แต่ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยก็ยังมีอยู่ ถ้าในบางยุค นั้นเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีพุทธุปาทกาละ หยั่งดูว่ายังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยอยู่ ท่านก็ประกาศศาสนา ซึ่งเป็นยุคก่อนกลียุคแล้ว มีสหัมบดีพรหมมาอาราธนา ซึ่งเป็นบุคลาธิษฐาน แต่จริงๆคือ ความเป็นพระพรหมของท่านเอง ที่บอกตัวท่านเอง ...

 

4/2/2556 19:27:08 พ่อท่านมั่นใจว่าถ้าเราปฏิบัติ 8 อ. โดยเฉพาะข้ออิทธิบาทอย่าคิดว่าตนเองแก่แล้วแก่เลย คนที่ไม่เห็นว่าตนแก่จะแก่ช้า นอกจากคนที่ทำลายตนเอง 1.จ่ายพลังงานมาก 2.เอาโรคเข้าตัว แน่นอนว่าต้องเสื่อมต้องทรุดแม้ใจจะไม่อยากแก่ก็ตาม

 

4/2/2556 19:30:23 ผู้ที่ฟังธรรมเพื่อจับผิด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าผู้ฟังธรรมเพ่งโทส เป็นความเสื่อมข้อที่ 5 ในความเสื่อม 7 ประการ ของชาวพุทธ

1.          ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ) .

2.          ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.          ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.          ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง ท่านเป็นทักขิเนยบุคคล แม้ไม่บรรลุธรรม แต่ท่านอยู่ในศีลในวินัย ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาทนอยู่ ถือว่าอยู่ในสมณะเพศ ถือเป็น

              โคตรภูบุคคล

[ล.12  ข.518]  ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน  แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?  ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้มีราคะกล้าโดยปรกติ  ย่อมเสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ  เป็นผู้มีโทสะกล้าโดยปรกติ  ย่อมเสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ  เป็นผู้มีโมหะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวยทุกข-โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ    บุคคลนั้นถูกทุกข์บ้าง โทมนัสบ้าง ถูกต้องแล้ว เป็นผู้มีใบหน้านองด้วยน้ำตาร้องไห้อยู่  แต่ประพฤติพรหมจรรย์บริบูรณ์บริสุทธิ์  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้  เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป.

 

5.          เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.          แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.          ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ)   (พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 27)

 

4/2/2556 19:35:58 ผู้ที่เข้าใจจิตเจตสิกรูปนิพพาน นั้น พระพุทธเจ้าไม่นิยมอธิบายตอนตายไป ว่าคนนี้ตายไปไปสู่ภูมิไหนท่านไม่พยากรณ์เท่าไหร่ พ่อครูนั้นไม่พยากรณ์อย่างพระพุทธเจ้า แต่จะอธิบายในขณะมีชีวิตเทียบเคียง ถ้าเข้าใจในปริยัติแล้ว พอตายไปก็จะมีโครงสร้างทำได้บ้าง ยกตัวอย่างว่าที่พ่อครูสอนว่า ตายไปเหมือนคุณนอนหลับอยู่ หรือมีสภาพไม่เปิดทวาร 5 อยู่ในรูปภพ อรูปภพ ถ้าฝึกจิตดีๆ คุณจะรู้ได้ แต่ถามหน่อยว่าถ้าฝันอยู่ คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนตื่นลืมตา หรือจะรู้สึกเหมือนว่าเราไม่ตื่นลืมตา ..ตอบ..คุณจะรู้สึกว่าตื่นลืมตา เหมือนอยู่ในโลกจริงๆ รู้สึกไปเองว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ที่จริงไม่มี แล้วก็จะไปอยากเอาให้ได้เสพทางทวาร 5 แต่มันไม่ได้หรอก มันจะมีภาวะตอบกลับ ในการที่จะพยายามไปหาที่อยากได้ แต่มันไม่ได้จริง...มันไม่รู้หรอก ตอนเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย เราก็ยังกลับมาอยู่กับทวาร 5 ออกมาเสพได้อีก แต่ตอนตายไปนั้นไม่สามารถกลับมาแล้ว มันจะยิ่งทรมาน ฮึดฮัดใหญ่เลย ...เป็นอจินไตย ไม่จำเป็นต้องรู้ก่อน แต่อธิบายให้กลัว

 

4/2/2556 19:43:04 เวลาคุณเสพสุข มันแวบเดียวตอนมีผัสสะ จะเหลือแต่ความจำ เป็นอุปาทานอยู่ในจิต ยิ่งตายไปก็มีแต่ความจำที่มีอุปาทานเลอะเทอะ แล้วก็หลงว่ามันเป็นความจริงอีก คนทั้งโลกมองว่าสุขนั้นมันของจริง เขาจะฮึดฮัดขนาดไหน พระพุทธเจ้าท่านว่าเหมือนฟองน้ำ พยับแดด แต่ทุกข์เพราะมีอุปาทานนั้นมีจริงอยู่นานกว่า แล้วจะปั้นเป็นมโนมยอัตตาหลอกตนเอง ปุถุชนคนส่วนใหญ่ตายแล้วจึงมีนรกสวรรค์ที่เหมือนปั้นเอา จะเป็นมโนมยอัตตา คนที่ตายแล้วฟื้นจะกลับมาเล่าว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง เป็นรูปร่างจริง แต่เป็นของปลอมที่แท้จริง ...เหมือนคุณฝัน คุณตกนรกขึ้นสวรรค์คนเดียว นรกนั้นมีมากนาน แต่สวรรค์นั้นมีนิดเดียว คนตกนรกจะมากกว่าคนขึ้นสวรรค์ ไขความจริงว่า คุณตายไปก็มีนรกสวรรค์เป็นมโนมยอัตตา แม้แต่ในตอนเป็นก็มีฝันเป็นตุเป็นตะมากมาย คุณก็หลงอยู่อย่างนั้น เมื่อคุณได้ฟังมีความรู้แล้ว เมื่อตายไปก็ไม่หลงมาก ดิ้นน้อยลง ยิ่งฟังแล้วก็เชื่อถือก็ดิ้นน้อยลง ถ้าไม่เชื่อก็ดิ้นอยู่อย่างนั้น

 

4/2/2556 19:48:01 ผู้ที่มีภูมิตั้งแต่พระอรหันต์เลยไปถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพูดเรื่องผี เรื่องเทวดาได้ถูกจริง ส่วนผู้ยังไม่อรหันต์นั้น ยังพูดไม่จริง เพราะยังไม่ล้างมโนมยอัตตา (อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต) ปั้นแม้แต่ว่าเหมือนสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวมีพระพรหมณ์เลย ยิ่งเห็นรูปภาพแล้วเอาไปปั้น แล้วก็หายไป เป็นผีมาหลอกคุณเองปั้นเองเป็นมโนมยอัตตา

 

4/2/2556 19:52:54 สรุปว่า...เรื่องสังขารนั้น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คนอวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร เมื่อเริ่มเรียนรู้จะรู้จัก กายสังขาร จิตสังจาร กายสังขารคือต่อเนื่องจากมหาภูตรูป ก็เป็นกายมาจากกายสังขาร เมื่อเรียนเข้าไปถึงจิต ในขันธ์ 5 มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรื่องจิต แต่ต้องต่อเนื่องมาจากกาย ถ้าคุณฝันมีดินน้ำไฟลม ปรุงแต่งเป็นเรื่องราว เป็นอัตตา ถ้าคุณชัดเจนจนไม่ปรุงไปกับมัน รู้ว่าอาการ ราคะ โทสะ เป็นผีแท้ๆ ซึ่งไม่มีตัวตนหรอก แต่คุณก็เห็นเป็นตัวตน เป็นรูปเป็นร่าง หากไม่ศึกษาจะไม่รู้เลย แม้แต่จิตสังขาร ถ้าสายปัญญาก็ไม่ต้องปรุงเป็นตัวเป็นตน รู้แต่นามธรรม เป็นสังขารที่ปรุงแต่ง จะอ่านเหตุออก แล้วเฉพาะวจีสังขาร เราจะเห็นที่พระพุทธเจ้าอธิบายอยู่ในสังกัปปะ 7 วจีสังขารไม่ใช่วจีกรรม แต่คือสิ่งที่ปรุงแต่งเป็นคำพูดอยู่ข้างใน ถ้าไม่อ่านองค์ธรรมสังกัปปะ 7 จะไม่รู้จักวจีสังขาร มันคือจิตในจิตล้วนๆเลย ถ้าไม่มีภูมิธรรม ไม่มีองคาพยพ ของ ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ที่เป็นทั้งเจโตและปัญญา นั้นก็ไม่มีทางอ่านวจีสังขารได้เลย.....

 

4/2/2556 20:01:07 อ.กฤษฎา ได้สรุปไว้ว่า.....วันนี้พ่อครู ได้อธิบาย คุณสมบัติของพระโสดาบัน......


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:11:04 )

560207

รายละเอียด

7/2/2556 17:55:00 รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู เรื่อง..ใช้ไฟฌานจัดการกิเลส

 

7/2/2556 18:04:21 พ่อครูจัดรายการที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์ฯบ้านราชฯ วันนี้มีนร.ทั้งตัวเล็กตัวโตมาฟังธรรมด้วย

 

7/2/2556 18:07:47 ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น

1.คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.ทุททัสสา (เห็นตาได้ยาก)

3.ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.สันตา(สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5. ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6. อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8. ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต)

ความสงบแบบพุทธนั้นมีนัยที่ลึกซึ้ง(คัมภีรา) ไม่ใช่สงบแบบทั่วๆไปที่นิ่งดูสงบ แต่ของพุทธนั้นจิตสงบ ซึ่งอาจดูกายกรรม วจีกรรมจะดูไม่สงบดูวุ่นอยู่ แต่ทำงานขยันทำกุศล คนทั่วไปจะเดาเอาแต่ภาพภายนอกว่า ไม่สงบ คาดเดาเอาไม่ได้ 

 

7/2/2556 18:12:53 ในวันอังคารที่ 5 กพ. 56 ที่ผ่านมาได้อธิบายในปฏิปทาสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในเรื่องสัมมาปฏิปทา กับมิจฉาปฏิปทา สัมมาแปลว่าถูก มิจฉาแปลว่าผิด  ซึ่งคำว่าถูกก็ไม่ได้หมายถึงว่าผิดทั่วๆไป คำว่าผิดก็ไม่ได้หมายถึงผิดตามสมมุติทั่วไปเช่นผิดกฎหมาย แต่คือผิดจากทิฏฐิหรือทฤษฏีของพระพุทธเจ้า  ดังนั้นคำว่า มิจฉาหรือสัมมา จึงไม่ได้ใช้อธิบายความผิดถูกทางโลกเช่น รัฐธรรมนูญเป็นต้น แต่โดยความจริงนั้นคือความผิดถูกจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นคำว่า อวิชชา ซึ่งแปลว่า "ไม่รู้" หรือ "โง่" ซึ่งไม่ได้ใช้กับความโง่ทั่วไปแต่อย่างใด แต่คำว่าอวิชชานั้นแปลว่าไม่รู้ คำว่าวิชชาคือรู้ รู้ในศาสตร์ของพระพุทธเจ้า หรือธรรมะของพระพุทธเจ้า

            ธรรมะพระพุทธเจ้าคือคำสอนที่ทำให้รู้จักกิเลส แล้วลดละดับกิเลสให้ได้ ดังนั้นความรู้ในศาสตร์ต่างๆทั่วโลกนั้นไม่ใช่วิชชา แม้แต่สอนพุทธศาสน์ แต่อธิบายไม่เข้าเป้า ไม่รู้จักการละหน่ายคลายจางจากกิเลส ก็คือความอวิชชาทั้งสิ้น ในนิยามของพระพุทธเจ้า

            ทำไม พระพุทธเจ้าจึงตีวงตีกรอบเอาเฉพาะเท่านั้น เพราะพระองค์เห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านนั้นครอบคลุมไปทั้งหมด คือคลุมความเป็นชีวิตของมนุษย์ทั้่งหมด และคลุมสังคมทั้งหมด นอกจากนั้นยังเป็นศาสนาที่ไม่ได้ไปทำลายความรู้ความสามารถทางเทคนิค ความสามารถทำมาหากิน การปกครองการเป็นอยู่ ในหลายแขนง ศาสนาพุทธก็ไม่ได้ไปขัดแย้งหรือล้มล้างความรู้เหล่านั้น เพราะศาสนาพระพุทธเจ้านั้นมี "โลกะวิทู" คือรู้ความเป็นไปของโลก ว่าอย่างนี้ดี (กุศล) อย่างนี้ไม่ดี(อกุศล) ของพระพุทธเจ้าอยู่กับสังคม ไม่หนีสังคม เจริญกันไปเป็นขั้นๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ขั้นแรกคือ โสดาบัน ต่อไปเป็นสกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ในที่สุด

 

            7/2/2556 18:20:35 ยิ่งเด็กๆยิ่งดี ยังไม่มีความวุ่นวาย ยังสะอาดอยู่ ก็จะเรียนรู้ได้ดีและอยู่กับสังคมเขาไปได้ และไม่ได้ตกความรู้ทางโลก แต่ถ้าความรู้นั้นทำให้ตนเองและสังคมเสื่อมเสีย เราก็ไม่ทำ มีคำสอนให้รู้จักความควรไม่ควร รู้ผิดรู้ถูก เพราะตัวกิเลสเป็นตัวพาให้โง่ ถ้าลดกิเลสจะฉลาด ที่ฉลาดในคุณธรรมรู้การลดกิเลส และรู้การอยู่กับโลกกับสังคม อย่างลึกซึ้่ง

 

            7/2/2556 18:22:18  ทางโลกเขามีความรู้ความสามารถมากมาย แต่เขาไม่รู้ว่าหลายศาสตร์นั้นมอมเมาซับซ้อนทำให้เกิดความเสื่อมแก่ตนและสังคม มันหลอกว่าดูดี แต่แท้จริงทำลายสังคม เช่น พระพุทธเจ้าสอนให้อย่าโลภ คือการไม่ต้องการเอามาเป็นของตนมากขึ้น คนก็มองตื้นๆว่าถ้าเราไม่โลภเลย ทำไปซังกะตาย ไม่มีความปรารถนาไม่ให้มีให้เป็นจะกลายเป็นคนเฉื่อยไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ การขยันหมั่นเพียร ทำให้ได้มากๆ นั้นทำเลย และทำแล้วไม่ขี้เหนียวหอบหวงไว้ คือไม่โลภ แล้วแบ่งแจกจ่ายเจือจาน มีจิตปรารถนาดีต่อกัน ทำงานสร้างสรรให้ได้ แต่กิเลสเอาเป็นของตัวของตน หวงแหน อยากได้ของตัวมากๆ ใครมาเอาต้องแลกเปลี่ยนมาให้ได้มากกว่าเดิม อย่างนี้โลภ

            การทำงานสร้างสรรทั้่งแรงกายแรงความคิด เราก็ช่วยเหลือเจือจานกัน ไม่ใช่ว่าเอาค่าแรงงานมากๆ ซึ่งคนในระดับสูงจะทำงานได้มาก เพราะมีความสามารถมาก มีความรู้มากกว่าเขา สร้างสรรอะไรได้เยอะและดีกว่าเขา นั่นคือการได้เปรียบในความเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปตีค่าความรู้ความสามารถนี้ให้มากยิ่งขึ้นอีก แทนที่เราจะสร้างทำแล้วแจกจ่ายเกื้อกูลแก่คนอื่นให้มาก อย่าเป็นคนหวงแหนให้ตนได้มาก ตีราคาให้สูงเพื่อให้ได้กลับมามากๆอีก

            ถามว่า อย่างที่ทำดีได้มากๆ แล้วเอาไปแบ่งแจกจ่ายเจือจานแก่คนอื่นให้มากๆ กับ ทำได้ดีมากๆ แล้วหอบหวงไว้ เอาไปตีราคาสให้ทำกำไรให้แก่ตนมากๆ นั้นอย่างไหนดีกว่ากัน ...นร.ตอบว่าอย่างแรกคือทำได้มากแล้วแบ่งแจกจ่ายเจือจานนั้นดีกว่า

            ไม่ต้องเอาคนฉลาดมากมายก็ตอบได้ เด็กๆก็ตอบได้ แต่คนมีกิเลส เสริมกิเลส โดยเฉพาะผู้นำที่เป็นตัวอย่างในสังคมนั้นทำเป็นตัวอย่าง ขี้เหนียวเห็นแก่ได้ แล้วไปยกยอกันว่าคนนี้มีเกียรติ มียศ แล้วเอาไปเบ่งอำนาจ ให้คนยอมคนหงออีก สังคมก็เลยเลวร้ายขึ้นทุกทีๆ

 

7/2/2556 18:30:43 ถ้าไม่เรียนรู้จิตตัวโลภของตนที่โลภอยากได้มากๆ อยากให้ได้ความใหญ่โต  อีก พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า บาป เรียกว่า เลว พระพุทธเจ้าสอนว่าจิตมีกิเลสเป็น

7/2/2556 18:31:41 พระพุทธเจ้าให้วิจัยอ่านแยกแยะกิเลสออกจากจิตให้ออก ให้เรียนฝึกฝนปฏิบัติประพฤติจนจิตหยั่งรู้อาการจิตของตนได้ จึงเป็นสิ่งประเสริฐทำให้มนุษย์พัฒนาเป็นอาริยะ อย่างเป็นสัจธรรม ไม่ย้อนแย้งเลย

7/2/2556 18:32:53 ความรู้พระพุทธเจ้าเปิดเผยสั่งสอนมา 2500 กว่าปีแล้ว แล้วก็ใช้กันมาเรื่อย คนก็สอนกันมาผิดเพี้ยนไปเยอะเลย ให้ไปตรวจสอบให้ดีว่าสิ่งที่พ่อครูได้พูดนั้นเป็นจริงไหม? ที่พูดนั้นทวนประแสย้อนแย้งแต่ถูกต้องไหม? ถ้าเห็นว่าดีก็ลองฝึกฝน ถ้าไม่ลองปฏิบัติดูจะไม่รู้หรอก มันต้องมีผลเกิดกับตนจะมีสภาวะรองรับความจริง การที่เอาแต่ตรรกะคิดนึกนั้นไม่ได้จริง

7/2/2556 18:34:47 จะว่าถ้าเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าสูตรหนึ่งสูตรใด เข้าใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติให้เป็นสัมมาปฏิบัติก็บรรลุธรรมได้ เช่นปฏิจจสมุปบาทที่ได้สอนกันมา

 

7/2/2556 18:35:37 [20] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาปฏิปทา เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ  อย่างนี้ นี้เรียกว่ามิจฉาปฏิปทา ฯ

       [21] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณ จึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เรียกว่า   สัมมาปฏิปทา ฯ

7/2/2556 18:36:36 เราต้องรู้วิธีปฏิบัติที่สัมมา ดังนั้นเราต้องรู้มิจฉาด้วย พระพุทธเจ้าท่านตรัสในมหาจัตตารีสกสูตรว่า สัมมาทิฏฐิเป็นประธานของมรรค 8 องค์ เราต้องปฏิบัติมรรค เพื่อให้ดับกิเลส อย่างรู้เห็นเหตุที่แท้จริงตั้งแต่สักกายะ ซึ่งเมื่อเรียกให้ชัดไปเลยว่า คือตัณหา อันเกิดจากการสังขาร ที่มีทั้ง กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

            วจีสังขารคือสังขารในจิตออกเป็นวจีในจิต แต่ยังไม่ออกมาเป็นวาจาภายนอก ยังอยู่เป็นคำพูดในจิต เราจะสามารถหยั่งรู้ดักรู้ได้เลย ในขั้นตอนทั้ง 7 ของการสังกัปปะ คือ(ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา) ต้องเรียนรู้ในแต่ละสภาวะขององค์ธรรมทั้ง 7 ว่ามีอาการ ลักษณะอย่างไร

           มีผู้ถามมาว่า การปหานกิเลสใน "ตรรกะ" เป็นการทำฌานเพื่อสั่งสมสมาธิพุทธ หรือคือ จิตที่มี อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ....ใช่หรือไม่...? ตอบว่าใช่ ในการตรรกะนั้นเป็นการเริ่มดำริ ซึ่งธรรมดาจะมีกิเลสราคะ โทสะ โมหะ มาปรุงร่วม เราก็อ่านวิจัยเข้าไปให้เห็น ตัวกิเลสที่มาปรุงร่วม ให้เป็นรสชาติ เราก็ทำการงดเว้น เราไม่ให้มันได้สมใจเราก็จะเห็นตัวอยาก ตัวดิ้น เราต้องทำการ อารติ วิรติ เวรมณี คือ การงด การเว้น การขาด  นี่คือการทำฌาน คือไม่ให้มัน สิ่งที่เราสมาทาน เราก็กระทบมัน แล้วไม่ให้มัน ก็จะเห็นอ่านอาการที่มันดิ้่น ก็จะเห็นตัวจริงของมัน ดังนั้นการทำฌานของพระพุทธเจ้า จึงต้องปฏิบัติอย่างลืมตา มีผัสสะ จึงจะได้ปฏิบัติจริง 

            7/2/2556 18:48:13 ผู้ที่ปฏิบัติตรงตามธรรมพระพุทธเจ้ายืนยันว่าจะลดละกิเลสได้จริงๆ คำว่าฌาน สมาธิ ที่เป็นสัมมาปฏิบัติ ซึ่งไม่เหมือนกับที่คนเขาทำกันมาสืบทอดกันมาว่า การทำฌานทำสมาธิ คือการไปนั่งหลับตาทำสมาธิ แบบนั้น พระพุทธเจ้าก็เคยปฏิบัติผิดมา และเป็นการออกนอกทางของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็มีการเน้นเรื่องเหล่านี้มากเลย เช่นในการปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท คือการทำให้กิเลสลดได้ คือการทำฌาน ทำให้จิตตั้งมั่น คือภา

            7/2/2556 18:50:44 การปฏิบัติ ในภาคปัญญา คือจับการดำริในกาม ในพยาบาท ซึ่งเมื่อจับมันได้ ไม่ให้มันมาปรุงร่วม การปรุงแต่งต่อไป การดับก็เป็นภาคเจโต การปรุงนั้นเป็นภาคปัญญา ซึ่งเจโตและปัญญาก็จะช่วยกัน ท่านบอกวิธีปฏิบัติว่า ให้พิจารณาว่าตัวเหล่านี้นั้น ไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ และก็กำจัดมันออกไป เราอยากเป็นคนดีก็ต้องกำจัดสิ่งไม่ดีออกจากจิต กำจัดโดย กดข่มมัน(วิกขัมภนะ) และก็พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันผ่านมาก็ผ่านไป แม้ให้มันสมใจมันก็หายไปหยุดอยาก แม้ไม่ให้มันกดข่มดื้อดึงไม่ให้มัน มันก็ผ่านไปอยู่ดี จะอยากแรงขนาดไหน ขนาดอยากยาเสพติด ฮึดฮัดก็น้อยราย ก็ตั้งใจสู้มัน เราเก่งกว่ามัน สู้มันได้ ไม่ตายหรอก เมื่อสู้ได้จะเห็นว่ามันไม่เก่งเท่าเราเราลดละได้ เราจะมีปัญญา เป็นไฟกองวิเศษเป็นพลังแห่งความรู้ ไปทำลายตัวที่ทำให้เสื่อมต่ำเหล่านี้ เพราะธรรมดาสามัญทุกคนแม้แต่โจรก็ยังอยากทำความดีมากกว่าความไม่ดี ดังนั้นเวลาทำไปจริงๆ ไฟปัญญาจะสูงกว่าไฟกิเลส จิตก็เป็นพลังงาน กิเลสก็เป็นพลังงาน ถ้าเราแพ้ก็โดนพลังงานกิเลสเล่นงาน ถ้าเรามีไฟแห่งปัญญาสูงจริงจะไปลดละดับกิเลส จึงเป็นการดับกิเลสด้วยปัญญา เรียกว่าวิธี "วิปปัสสนา" หรือวิปัสสนาญาณ  แต่การกดข่มสมถะก็เป็นอุปการะบ้าง เบื้องต้นต้องทำวิขัมภนปหาน กดข่ม จนทำได้เป็นครั้่งคราว จนทำได้เก่งทำได้ชำนาญขึ้น เรียกว่า สมุทเฉทปหาน เมื่อทำไปก็จะรู้วิธีทำฌานแบบลืมตา มีผัสสะ จนได้แข็งแรงดีขึ้นก็จะรู้วิธีทำได้ แล้วก็ทำซ้ำทำทวน ให้กิเลสสงบได้รำงับได้ คือ ปฏิปัสสัทธิปหาน จนสมบูรณ์ เรียกว่า นิสสรณะปหาน เรียกว่าได้อย่างสลัดออกเลย เด็ดขาดทิ้งไปเลย ฆ่าได้ทันที ยกตัวอย่างเหมือนกับว่า เราเอาอะไรที่ปลิงกลัวมาทา พอปลิงเกาะก็ร่วงผล็อยไปเลย เหมือนกิเลสก็จะร่วมผล็อยไปเลย คือทำได้ชำนาญกิเลสตายแล้วตายเลย เป็นอัตโนมัติ เที่ยงแท้ถาวร ไม่กลับกำเริบเลย

 

7/2/2556 19:00:18 สรุปวิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า มี 2ทาง

1.ปฏิจจสมุปบาทในทางที่กิเลสมันเกิด เพราะจิตมันอวิชชา ไม่รู้สังขาร วิญญาณ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน  ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะปริเทว ทุกข โทมมนัส อุปายาส

2.ปฏิจจสมุปบาทในทางที่จะให้ดับ ดับที่ไหนคือ ดับที่เหตุ การดับเหตุนั้นลึกซึ้ง คือให้ดับตัวตนกิเลส คือสักกายะ อัตตา

เมื่อมีผัสสะ ตากระทบรูป เกิดวิญญาณ ก็อ่านตัวผีตัวที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณอกุศล การปฎิบัติให้เกิดกิเลสก็คือมิจฉา ส่วนการปฏิบัติที่ทำให้ลดกิเลสก็คือสัมมา

 7/2/2556 19:08:16 ในสูตรต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี  วิปัสสีสูตร

       [23] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะ อะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย .

7/2/2556 19:09:42 การโยนิโสมนสิการ คือการกระทำใจในใจเป็นและได้ ไม่ได้หมายความว่าแค่คิด แต่พิจารณาคืออ่านเห็นของจริงในจิตว่ามีตัวเกิดอย่างไร ตัวปฏิบัติให้มันดับได้อย่างไร ผู้ใดทำโยนิโสมนสิการเป็น

... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมีชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็น

ปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่   อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี   ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะ  ผัสสะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงจะมี สฬายตนะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูป จึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่  วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี   สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชา มีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ในธรรม   ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้าง

เกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ

       [24] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่า

เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชรา และมรณะจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ  กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติ

ไม่มี ชราและมรณะ  จึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึง

ไม่มี  เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ...  เมื่ออะไร

หนอไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ เมื่ออุปาทานไม่มี   ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับ

ภพจึงดับ ... เมื่อไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มีเพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่อตัณหาไม่มี

อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะ

อะไรดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอ

ไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มีเวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับ

เวทนาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึง ไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่อสฬายตนะ

ไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี

เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูป ดับ สฬายตนะ

จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูป

จึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูป จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ

วิญญาณจึงดับ  เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย

 ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ  ไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะ

อะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล   พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ

โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ

 เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับ  แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี

ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ      ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น

แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมที่ไม่ เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้ ฯ

7/2/2556 19:16:08 อันนี้ความเจริญแห่งปัญญา วิชชา แสงสว่างนี้ คืออาภัสรา ความสว่างนี้เป็นปัญญา (แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี) ความลึกซึ้งอันนี้คือสภาวธรรมที่ผู้มีสภาวธรรมเข้าถึงวิชชา เป็นอาภัสราพรหม

 

 

7/2/2556 19:19:21 อยากให้ญาติธรรมได้ขึ้นมาพูดคุยกับพ่อครูอีก อย่างที่เคยจัด....?..ได้เห็นแม่แบบรู้สึกว่าดีค่ะ....ตอบ ก็เห็นว่ามีรายการลักษณะเช่นนี้อยู่ รับไว้พิจารณา

 

7/2/2556 19:20:06 ผมอยากถามว่าเป็นนร.ยังไม่มีกำลังพอจะตัดกิเลส เช่นของหวาน เห็นก็กินทุกที เห็นไม่ได้เป็นต้องกินทุกที กลัวจะหมดอีกด้วย จะทำอย่างไรดี...ตอบ...กิเลสนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล เรื่องเหล้า อะไรต่างๆที่มามอมเมาหลอกล่อ แล้วไปอวิชชาโง่หลงตามเขาหลอก ว่าเป็นอย่างนี้ คำว่าอร่อยนั้นเป็นของไม่จริง เด็กนร.ก็ทำกิเลสพวกนี้ดับได้ สมัยพระพุทธเจ้าเด็ก 7 ขวบก็เป็นอรหันต์แล้ว

            ลองตั้งใจตั้งศีล อย่าไปกินขนม ขนมมีหลายชนิด ชนิดไหนที่เราชอบมากให้เลิกกินก่อน ไปกินขนมอื่นก่อน ตั้งสัจจะว่าเราจะไม่กินขนมนี้อีกเลย จะเห็นกิเลสมันทำงาน มันอยาก พิจารณาให้ดี มันไม่เที่ยง แค่ติดขนมไม่ให้มันกินก็ไม่ตาย ไม่กินขนมกินแต่ข้าวก็ไม่ตาย ขนมมันมาหลอกกันเต็มโลก ไม่มีกิเลสก็สบาย ไม่ดูดดึง กินก็ไม่ได้รู้สึกอร่อย ดีไม่ดีก็เลี่ยงซะมันหวาน บางคนติดหมากพลู  คนที่ไม่ติดไปกินหมากกับพลู กินแล้วก็จะหน้าเบ้ ไม่ใช่ของน่าติดน่าได้ แต่ก็เอาใจไปหลงติด จิตอวิชชาโง่ ไปติดมันเลย ให้มาศึกษาดีๆแล้วเลิกละให้ได้

            หลวงปู่ ชาตินี้ถูกเขาหลอกให้ชอบ แต่ว่ามันได้ล้างกิเลสมาในชาติก่อนๆ เช่นเหล้าบุหรี่ ชาตินี้ก็ไม่ได้ชอบกินเลย แต่แล้วก็ถูกสังคมเขาหลอกว่า เป็นชายไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้านั้นไม่แมน ก็ไปหัดกินหัดดื่ม แต่มันก็ไม่ติดเหมือนเขา เขาหลอกก็ไปตามเรื่องกับเขา ดังนั้นถ้าเราได้ละเลิกลดกิเลสได้จริง จะทำให้เราไม่เป็นคนโง่ ของเสพติดที่รู้ได้ง่าย อย่าไปติดยึดตามเขา แม้จะเป็นขนม ก็ลองดู อ่านใจเป็นจะเห็นเลยว่า พอตัวสมุทัยละได้ รสอร่อยจะลดลงไปด้วยจะเห็นความจริงว่า แต่ก่อนเราโง่อวิชชาจริงๆ พิสูจน์ได้ เป็นเรื่องจริง ในกิเลสลาภยศสรรเสริญ มาลดละแล้วจะเห็นว่าชีวิตไม่ต้องมีสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ได้ และชีวิตก็มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม อย่างหลวงปู่ก็มีคนมาให้ใช้มากมาย ไม่ได้ขาดแคลนหรอก

 

7/2/2556 19:28:45 ทำอย่างไรจึงละการกินขนมได้ เพราะดิฉันติดมากเลยค่ะ เห็นทีไรอยากกิน ขอให้เป็นของหวานก็แล้วกัน...

 

7/2/2556 19:30:05 เมื่ออายตนะกระทบผัสสะ เช่นเห็นทุเรียน ที่เคยชอบกินมาก ก็อยากกินทันที แต่มีสติรู้ทัน พิจารณาจนจิตคลายหน่ายไม่อยากกิน จิตก็เกิดปีติ สุข อุเบกขา...อย่างนี้คือทำฌานใช่ไหม?....ตอบ..ใช่ และจะให้ดีควรทำอย่างให้พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง ถ้าสู้เฉยๆแล้วมันลดไปเองก็เป็นวิกขัมภนะ แต่ถ้าพิจารณาเห็นไตรลักษณ์(ถ้าสามัญลักษณ์นั่นจะเห็นว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปซึ่งเกิดเป็นสามัญ) แต่การพิจารณาแบบไตรลักษณ์ที่ลึกซึ้งนั้นคือ จะเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และแท้จริงมันไม่มีตัวตน มันหายไป และยิ่งกระทบสัมผัสมันก็ลดลงเรื่อยๆจะหายไปตลอดกาล เห็นอย่างนี้เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ์" (คือลดละกิเลสได้ด้วยญาณปัญญาของตนมีไฟฌานที่เผากิเลสได้เฉพาะตน)

 

7/2/2556 19:36:09 อยากให้พ่อท่านอธิบายปหาน 5 ในเรื่องการถูกใช้บ่อยๆ?...ตอบ....ให้พิจารณาบ่อยๆเห็นให้ได้อ่านให้ออก ในองค์ธรรมของสังกัปปะ 7 แยกแยะวิจัยธรรม กำจัดเฉพาะตัวกิเลสที่ไปปรุงร่วม อย่างที่มีผัสสะ ไม่ต้องหนีสังคม ทำอยู่ในกรรมการงาน อาชีพ ซึ่งเราก็ละมาตั้งแต่อาชีพที่มิจฉา เราก็มาทำอาชีพที่สัมมา มาเรียนรู้กัมมันตะ วาจาที่สัมมา แล้วอ่านสังกัปปะ 7 ให้ออก  อยู่ในชีวิตประจำวันไม่ต้องหนีโลก โดยอ่านผัสสะที่มาทางทวารทั้ง 6 เกี่ยวข้องทั้งนอกและใน ไม่ใช่ไปหลับตา เอาแต่ใจในใจ แต่ทำที่ใจนั้นแหละสำคัญ ให้รู้จักนามรูป (คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

 

7/2/2556 20:08:12 ขอให้พ่อครูอธิบายปหาน 5   ...ตอบ ปหาน 5 คือการกำจัดกิเลส

1.วิกขัมภนะคือการกดข่ม ลืมๆทิ้งๆมันไป การไปนั่งหลับตาคือตัวแท้ของการกดข่มวิกขัมภนเลย มีแต่อยู่ในภพ ไม่มีของจริง ถ้าปฏิบัติของจริงต้องทำทั้ง6 ทวาร การกดข่มก็ช่วยได้เป็นอุปการะ

2.ตทังคปหาน คือการทำได้ชั่วคราวอย่างวิปัสสนาวิธี คือการพิจารณาให้เห็นว่า

3.สมุทเฉท คือทำได้เก่งขึ้นอีก

4.ปฏิปัสสัทธิปหานคือ ทำซ้ำทำทวน

5. นิสสรณปหาน คือทำได้อย่างเที่ยงแท้

 

7/2/2556 19:44:12 ผมไม่ชอบคนๆหนึ่ง พยาบาทมากๆ เขากวนสุดๆ เขาว่าคนใต้มันมึนจะแก้นิสัยเขาได้อย่างไร?.....ตอบ ให้บอกผู้ใหญ่ ให้บอกอย่างให้ข้อมูลอย่าใส่ใข่  การให้ข้อมูลกับการฟ้องนั้นต่างกัน อย่าไปเกลียดเขา คนไม่ดีนั้นน่าสงสาร และเขาก็บาปเสียหายต่อตนและผู้อื่น หยุดเลย อย่าไปทำใจโกรธ (โกรโธ ทุเมธ โคจรโร) คือเลวอย่างฉลาด คือคนโกรธเป็นคนปัญญาทราม คือฉลาดในเชิงโง่ซับซ้อน ถ้าใจเรามีโกรธอย่าไปคิดเอาฉลาดอย่างอื่นทั้่งสิ้น เราต้องเอาออกให้เร็วที่สุด ถ้าอ่านอาการจิตออก มันมีอาการโกรธอย่างหยาบ กลาง ละเอียด เล็กบรรจุซองละเอียดอย่างไร ให้ kick it out ดีดมันออกไปเลย มันพาเราทุกข์ มันไม่พาเราเจริญ มันพาเราเสื่อม มันไม่เที่ยง มันไม่ดีสักอย่าง

 

7/2/2556 19:48:00 มิติที่ 4 คืออะไร?..........ตอบ....มิติที่ 4 ในความรัก 10 มิติ คือหมายถึงสังคมนิยม

มิติที่ 1 คือคนคู่เห็นแก่เราสองคน เห็นแก่ตัวกิเลสจัดๆ....

มิติที่ 2 คือปิตปุตานิยม หรือพันธุนิยม คือเห็นแก่พ่อ แม่ ลูก

มิติที่ 3 คือ ญาตินิยม คือขยายเผื่อแผ่สู่ญาติ กว้างขึ้นอีกเอื้อเฟื้อเจือจาน

มิติที่ 4 คือ สังคมนิยม

มิติที่ 5 คือ ชาตินิยม

มิติที่ 6 คือ สากลนิยม คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในวงแคบ

มิติที่ 7 คือเทวนิยม คือมีจิตที่รักเผื่อแผ่เพื่อมวลมนุษยชาติ อย่างศาสดาศาสนาต่างๆ

มิติที่ 8 คือ อเทวนิยม คือ ผู้ที่ได้ศึกษาในมิติต่างๆที่เป็นขั้นต้น เจริญมาตามลำดับ มาเป็นแบบพุทธ อย่างน้อยเป็นอนาคามีขึ้นไป

มิติที่ 9 คือนิพพานนิยมหรืออรหันต์นิยม

มิติที่ 10 คือพุทธภูมินิยม

 

7/2/2556 19:52:50  โสดาบันเป็นความรักมิติที่เท่าใด   ตอบ..อย่างน้อยน่าจะมิติที่สี่เป็นต้นไป

 

7/2/2556 19:55:04   เคยฟังธรรมะหลวงตาบัวว่า เวลาบรรลุธรรมจะมีแสงสว่าง เป็นแบบใด?...ตอบ อย่างนั้นไม่ใช่ แสงสว่างที่พระพุทธเจ้าว่านั้นหมายถึงว่า วิชชาหรือความรู้ยิ่งเปรียบเหมือนแสงสว่างเท่านั้นเอง

 

7/2/2556 19:57:54 ชาวอโศกอุบล ควรมีชั่วโมงปฏิบัติบ้าง เพื่อสร้างสภาวะรองรับผัสสะ....ตอบ เราปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา มรรคองค์8 นั้นปฏิบัติตลอดเวลา ถ้าสัมมาทิฏฐิจะไม่ต้องเสียเวลาไปปลีกปฏิบัติ

 

7/2/2556 20:00:34 ทำไมร่างกายของคนจึงมีลักษณะเช่นนี้......ทำไม่มีแขนสองข้าง นิ้วทำไม่มี 5 นิ้ว และไม่เท่ากัน ...ตอบ  มันจะเป็นอย่างนี้หรืออย่างไหนอย่าไปคิด เราเอาร่างกายที่ได้มาปฏิบัติธรรม มาทำสิ่งดีงาม อันนี้เป็นประโยชน์กว่าไปคิดฟุ้งซ่าน

 

7/2/2556 20:02:11 อยากให้หลวงปู่อธิบายคำว่าสารานิพนธ์...ตอบ. คือข้อเขียน คำประพันธ์ ของเรา ที่มันมีสาระ ที่กำหนดหมายว่าคือสาระของเรา ในแง่ต่าง เป็นประสบการณ์ จะเอาตั้งแต่เราอยู่สัมมาสิกขามา หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ เป็นการบรรยายประสบการณ์ตนเอง เป็นประโยชน์สาระ

 

7/2/2556 20:03:39 เมื่อก่อนกลัวผี ตอนนี้เลิกกลัวผีได้เลย ตั้งแต่ฟังFMTV ฟังธรรมะพ่อครูมา...สามารถทำปหานได้....มีความสุขมากครับ...อยากให้พ่อครูจัดคิวเทศน์ ว่าอันนี้เทศน์อย่างต้นอย่างกลาง อย่างปลายครับ....ตอบ เรามีธรรมะหลายรายการหลายผู้หลายท่าน แต่ละท่านก็มีศิลปะในการบรรยายธรรมตามขนาด ของพ่อครูก็มีอย่างพ่อครูต้องเทศน์

7/2/2556 20:05:36 จบ....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:13:41 )

560208

รายละเอียด

8/2/2556 18:01:09 รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท..เรื่อง.จิตว่างมิใช่สร้างภพ.

8/2/2556 18:01:43 ส.ฟ้าไทเปิดรายการที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์ฯ.....รายการนี้หลายตอนที่ผ่านมาเน้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยเฉพาะเรื่องวจีสังขาร ที่เราจะตัดกิเลสได้โดยการปหาน 5 เมื่อวานพ่อครูได้พูดถึงข้อปฏิบัติที่จะลดละอวิชชา คือสัมมาปฏิบัติ เราควรมาเรียนรู้การดำเนินไปของชีวิตของกิเลส พ่อครูมีความพากเพียรมาก ไม่เคยได้ยินพ่อครูบอกว่าย่อท้อ สอนชาตินี้จนถึงชาติต่อไป เราเจอครูเช่นนี้ก็เป็นบุญของชีวิต เราต้องมาลดละให้ได้......

 

8/2/2556 18:11:51 ก่อนจะได้พูดถึงธรรมะก็ขอบอกแจ้งแก่ผู้สนใจเรื่องวันโพชฌังคาริยสัจจายุของคุณจำลอง ศรีเมือง ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ปฐมอโศก ที่พ่อครูตั้งงานโพชฌังคาฯขึ้นมามีเจตนาให้มนุษย์สังสรรกันให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เกิดโทษ ซึ่งทุกวันนี้วันเกิดของเขาเป็นวันมอมเมาตนเองและสังคม และให้ชื่อนี้(โพชฌังคาริยสัจจายุ) สำหรับผู้ที่จะจัดงานวันเกิดครบรอบ 77 ปี 7เดือน 7วัน ถ้าผู้ที่เป็นที่รู้จักในสังคมก็จะมีคนมาร่วมงานมาก แล้วใช้องค์ประกอบนี้ทำงานสร้างสรร มีการปรุงแต่งตามฐานะอันเหมาะควร เป็นยัญพิธีเพื่อลดละกิเลส ไม่ให้เป็นการกลบสาระ ถ้าจัดแล้วเป็นการทำให้เกิดการเสียหายเปลืองเปล่าก็ไม่ควรจัด วันโพชฌังคาริยสัจจายุนี้ ไม่ใช่จัดเฉพาะพ่อครู แต่ใครจะเอาไปจัดเพื่อให้เกิดความเป็นคุณค่ากันขึ้นก็ให้เอาไปทำ ไม่ใช่ไปจัดมอมเมากันให้เละเทะ ผลาญพร่ามากขึ้นมีโทษมากกว่าประโยชน์ก็ให้แก้ไขกัน    งานจัดที่ปฐมอโศก ซึ่งคุณจำลองเป็นคนสร้างบ้านหลังแรกของปฐมอโศก ตั้งแต่พศ. 2528-29 มาถึงปีนี้ก็เกือบ 30 ปีนานพอสมควร

 

8/2/2556 18:26:37 เรื่องที่จะพูดก็คือปฏิปทา คือมรรค หรือทางปฏิบัติ ถ้าไม่ตรงแล้ว จะได้ผลไม่ตรง คนที่ตีหัวคน ถ้าตีไม่ถูกหัว ก็ตาย ถ้าทำผิดก็ไม่ได้ผล หรือได้ผลอย่างมิจฉา มันต้องถูกทางตามที่พระพุทธเจ้าหมายจึงได้ผล ซึ่งถ้าเข้าใจผิดอย่างตื้นเขินว่า ปฏิบัติสมาธิก็ไปนั่งเอาสิ แล้วจะได้ปัญญา ส่วนศีลก็เคร่งคุมเอา...อย่างนี้เป็นต้น

 

8/2/2556 18:29:18 ปฏิจจสมุปบาทนั้นคือตัวแท้ของการปฏิบัติ ก็คือจรณะ15 วิชชา 8 หรือศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขานั่นเอง ถ้าเข้าใจผิด หรือเข้าใจไม่ได้ก็ปฏิบัติผิดๆ วิธีปฏิบัติท่านให้ไว้สั้นๆคือ ทาน ศีล ภาวนา  การ ภาวนานั้น ไม่ใช่การปฏิบัติ แต่เป็นผลของการปฏิบัติ ทาน กับ ศีล จึงเกิดผล(ภาวนา) ซึ่งเขาเพี้ยนไปแล้ว เข้าใจว่าคือการท่องบ่นคำสอนของพระพุทธเจ้า คือภาวนา ก็ไปกันใหญ่ ซึ่งการเกิดผล(ภาวนา)ของพระพุทธเจ้านั้นทำให้เกิดที่ใจเป็นหลัก แต่มีเกิดที่กาย วาจาด้วย แต่ต้องที่ใจเป็นหลัก เกิดที่กาย วาจานั้นไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะ การกระทำทางกาย วาจา ก็มาจากใจนั้นเองที่สั่งการ  ถ้าไม่เข้าใจให้ครบ ก็ผิดทาง เข้าใจอย่างแยกส่วน การปฏิบัติศีลก็แค่กดข่ม ไม่ให้ผิดศีล  ปฏิบัติสมาธิ ก็เอาแต่ไปนั่งให้ใจมันสงบ ซึ่งสมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่เอาแต่ไปนั่ง และก็มีสำนวนในพระไตรฯว่า ให้นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น แล้วปฏิบัติอานาปานสติ 16 ขั้นตอน ก็ไปยึดเอาแต่ตรงนั้นว่านั่นคือการทำสมาธิให้จิตสงบ แต่ว่านั่นยังไม่เข้าใจพอ อานาปานสตินั้นเกี่ยวเนื่องกับมหาสติปัฏฐานด้วย ท่านอธิบายอย่างไม่ได้แยกกันเลย

 

8/2/2556 18:37:20 โดยเฉพาะมหาจัตตารีสกสูตรท่านระบุไว้เลยว่า "อริโยสัมมาสมาธิ" นั้นเกิดอย่างไร ท่านบอกไว้ชัดๆว่า  "ข้อปฏิบัติที่จะให้เกิดสมาธิที่เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบให้เกิดสัมมาสมาธิ หรืออริโยสัมมาสมาธิ ว่า "[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมา

อาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

8/2/2556 18:42:40 ยืนยันว่าไม่ใช่ไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น กำหนดรู้ลมหายใจ แต่นั่นคือองค์ประกอบในการทำเตวิชโช คือการนั่งทบทวนตนเอง  ดังนั้นจึงมั่นใจว่าท่านที่ให้คนปฏิบัติอยู่ทั่วไป มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นใหญ่เป็นโตทั่วบ้านเมืองนั้น ไม่มีผลลดกิเลส มีแต่คนที่ปฏิบัติอย่างนั้นจะไปโกงกินบ้านเมืองอยู่อย่างที่เห็นกันเต็มบ้านเต็มเมือง

 

8/2/2556 18:44:57 การปฏิบัติสมาธิ การปฏิบัติศีล การจะให้เกิดปัญญาก็ต่างกัน

ที่เข้าใจผิดคือ ปัญญาที่ท่านเข้าใจว่า ปัญญาจะเกิดเอง โดยการปฏิบัตินั่งสมาธิให้จิตสงบ ใจมันใสใจมันไม่มีนิวรณ์(ไม่มีกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) และท่านว่ามีฌาน สมาธิ คือการสงบจากอาการกิเลส มันก็ได้จริงถ้านั่งสมาธิ เขาก็ได้สภาวะที่ไม่มีนิวรณ์เหมือนกันทั่วโลก เมื่อจิตมันใส ท่านก็ว่าให้ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วก็ระลึกครุ่นคิด จะเห็นความละเอียดลออ ทำความเข้าใจอะไรได้ง่าย มีความเฉลียวฉลาดในการรู้ธรรมะได้ ท่านก็ถือว่านั่นคือปัญญา แต่ดีไม่ดีปรุงแต่งขึ้นฟุ้งซ่านมาก็เรียกว่าปัญญา ซึ่งพ่อครูว่าไม่ใช่ ไม่ใช่การรู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่คือการปรุงแต่งขบคิดเอา

 

8/2/2556 18:50:09 แล้วการทำสมาธิแบบลืมตา เมื่อเจอผัสสะ จะเห็นอาการอยากภายนอก แล้วรู้ว่าภายในมีอะไรมาร่วมปรุงแต่ง จะเห็นความจริงตามความเป็นจริงของนามธรรม (ซึ่งรูปธรรมนั้นเห็นจริงตามจริงได้ง่ายอยู่แล้ว) ซึ่งปัญญานั้นผู้รู้ว่าคือการเห็นความจริงตามความเป็นจริง แต่ต้องมีการผัสสะทางทวารทั้ง 6 จริง มีการต่อเนื่องกันจากภายนอกสู่ภายในจริง แม้แต่ว่ามีการต่อสู้กับกิเลส มีอนุปัสสี 4 จนสั่งสมอดีตของความสูญให้ครบพร้อม เป็นอนาคตที่เที่ยงแท้

 

8/2/2556 18:53:17 ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด คือมีอวิชชาเป็นเหตุแรก เป็นตัวตั้ง ก็จะไม่รู้สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ก็ไม่รู้ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลก็เกิด  พออวิชชาดับด้วยการสำรอกไม่เหลือจริงไม่ใช่เอาแต่ขบคิด แต่จะสำรอกไปทีละขั้นตอน อวิชชาไม่ใช่ดับทีเดียวพรวด แต่จะค่อยๆดับ ค่อยๆสำรอกจนไม่เหลือ ในวิภังคสูตร ท่านก็ย้อนปฏิจจสมุปบาทสายดับว่า....[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุดผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความ

ทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

 [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ (ชาติมีสัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

8/2/2556 19:00:26 ชาติอะไรที่เราไม่ควรให้เกิด ก็คือกิเลส เราไม่ควรให้เกิดทั้่งกาย วาจา อาชีวะ ก็ไม่ควรให้เกิดที่ใจ แม้จะไม่ให้เกิดกิเลสเมื่อเราต้องทำการอนุโลมเพื่อช่วยคนอื่น เราไม่ควรทำให้เกิดบาป เพราะเราไม่ได้มาทำเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ ทำไปแล้วได้บาปจะทำไปทำไม

8/2/2556 19:01:54 ตัณหาที่สำคัญคือ ตัณหา 3 (กาม-ภว-วิภวตัณหา) แต่ในวิภังคสูตรนี้ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ตัณหา 6 เวทนา 6 ที่เกิดจากการกระทบสัมผัสทางทวาร 6 นี่คือการแจกแจง(วิภังค์) ในปฏิจจสมุปบาท จึงชัดเจนว่า ถ้าไม่เปิดทวารทั้ง 6 ก็ปฏิบัติผิด หรือไม่ได้ผลลดกิเลสจริง แม้แต่ ผัสสะท่านก็ให้พิจารณา ผัสสะ 6  จากนั้นก็เป็นอายตนะ 6 อีก ส่วนนามรูปท่านก็หมายถึง(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) นี้เรียกว่านาม ซึ่งมหาภูตรูปก็คือรูป ส่วนรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 ก็คืออุปาทายรูป นามและรูปคือย่างนี้

เมื่อปฏิบัติเราต้องใช้ทั้ง เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คือการทำใจให้ถ่องแท้ ลงไปถึงที่เกิดของกิเลส นี่คือการทำสมาธิลืมตา คือเมื่อมีการกระทบนอกแล้วใจเรามีกามสังกัปปะ  พยาบาทสังกัปปะ วิหิงสาสังกัปปะหรือไม่ เราก็ปฏิบัติที่สังกัปปะ 7

8/2/2556 19:07:44 แม้แต่วิญญาณ 6 ก็ให้ดูการเกิดกิเลสที่ทวารทั้ง 6 ให้ปฏิบัติ

8/2/2556 19:08:10 สังขาร 3 มีกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังจาร โดยเฉพาะวจีสังขาร พระพุทธเจ้าท่านว่าให้ปฏิบัติที่จิตที่มีทั้งสมถะ(ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ) และจิตที่มีสมถะ(อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา) ก่อนไปเป็นวจีสังขาร

8/2/2556 19:09:24 ส่วนอวิชชานั้นคือ การไม่รู้ในอริยสัจ4 ท่านสรุปในสูตรนี้ว่าอวิชชาคือความไม่รู้ใน 4 อย่างนี้่

 

8/2/2556 19:10:06  เมื่อปฏิบัติ คุณต้องรู้ว่าส่วนอดีต(ปุญญาภาคิยะ อุปธิเวปักกา) ที่ทำไปเป็นสัมมาหรือไม่ คือการทำให้ลดกิเลสได้เป็นส่วนแห่งบุญเป็นผลแก่ขันธ์หรือไม่ เป็นนิโรธหรือไม่ ให้ตรวจดูโดยมีอ่านเวทนาทั้ง 108 แยกเวทนาที่เป็นเนกขัมมะและเคหสิตะออกได้ แล้วมีวิธีกำจัดเหตุได้ มีทุกขนิโรธคามินีปฏิบปทา มีสัมมาปฏิบัติ อ่านผลที่เป็นเนกขัมมะ นี่คือปัญญาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง  เห็นตั้งแต่ว่ากิเลสมันอ้วนโตเพิ่มขึ้น แล้วเราทำให้มันลดลงได้ จนหมดได้ แล้วก็ทำทวนซ้ำ จนสั่งสมอดีตอย่างเพียงพอ จนมั่นใจว่า ส่วนอดีตนั้นมันสูญจนมันเป็นของเที่ยง ผ่านการปฏิบัติใน 3 กาละของเวทนา 108 ปฏิบัติไม่ได้หนีจากโลกโลกีย์ เป็นเคหสิตะ เราก็เห็นว่ามันกระทบสัมผัสเราอยู่เป็นปัจจุบัน แต่จิตเราอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ปัญญาก็มีอินทรีย์พละ จนทำเคหสิตะเวทนา ให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา ทำจนได้เองเป็นอัตโนมัติ สั่งสมจะไม่ต้องวิตกวิจาร เป็นตถตา เป็นการบรรลุสูงสุด มีการตรวจสอบในทุกผัสสะ จนสั่งสมความสูญ มากี่ท่า ท่าไหนก็เป็นสูญ ก็จะมีญาณรู้ ว่าตนจบกิจแล้ว เป็นตัวเที่ยง เป็นนิโรธสมบูรณ์ เพราะปฏิบัติเวทนา 108 ทั่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็เป็นสูญ ดังที่ท่านอธิบายไว้ในอวิชชา 8 ที่ในข้อที่ 7 ว่ามีการรู้ทั้งอดีตและอนาคต สามารถพยากรณ์ได้ว่ากิเลสสูญ....

 

ในสัมมาทิฏฐินั้น ให้เชื่อมั่นว่า ชาตินี้มี ชาติหน้ามี  มีการสั่งสมภูมิธรรมมาต่างกันอย่างพ่อครูนั้น มีสยังอภิญญา คือมีอภิญญาเป็นของตนเองมาก่อน และก็บอกอย่างไม่ได้จะมาเอาอะไร ไม่ได้อวดดิบอวดดี แต่พอประกาศโพธิสัตว์คนก็ว่าโพธิสัตว์ระดับไหน จึงต้องบอกว่าระดับ 7 ซึ่งถ้าบอกว่าระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 8 มันก็ผิดจากที่เป็น ซึ่งในสัมมาทิฏฐิ 10 ในข้อที่ 10 นั้นว่าไว้คือ  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญโลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

8/2/2556 19:27:23 จิตที่มันเกิดก็คือการมีชาติ ในปฏิจจสมุปบาท ส่วนภพนั้นก็คือความวนเวียน ในโลกทางจิตวิญญาณ สิ่่งที่วนเวียนเกิดอยู่คือ โอปปาติกะสัตว์ ส่วนการทานนั้นทำอย่างไรให้มีผลชำระกิเลส ก็ต้องดูความวนในจิตที่ทำทานแล้วเกิดความโลภเพิ่มขึ้น หรือว่าทำให้ความโลภลดลง พวกเราที่มาศึกษาปฏิบัติก็เข้าใจแล้วกล้าทาน เสียสละ ออกมาลดละออกมา มาจนกัน จนอีหลีอีหลอ ทิ้งฐานะที่เคยมีมากมาย มาหมดเนื้อหมดตัว ทิ้งมาหมด กลับไปก็ไปไม่ได้แล้ว ที่นี่ไม่มีสัญญาอะไรที่มาประกันไว้ว่า ถ้าไปไม่รอดจะให้ทุนไปทำต่อ ก็ไม่ได้ประกันอย่างนั้น

8/2/2556 19:30:53 แต่เราอยู่ไปก็จะเกิดภูมิปัญญาว่า พึ่งตนเองรอดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปนั่งขอทานก็รอด ไม่ต้องไปแย่งงานเขาด้วย อย่างคนที่เขาเอามาออกทีวี ที่ช่วยคนอื่นเข็นผักในตลาด ไม่ค่อยเอาเงินอะไร ใครให้มาก็เอาบ้างไม่เอาบ้าง ไปกินข้าวใครเขาก็ให้กิน แกก็มีชีวิตอยู่รับใช้สังคมไป แกก็อยู่ได้

 

8/2/2556 19:32:39  รูปฌานแบบไปนั่งสมาธินั้นคือการสร้างภพ แม้แต่อรูปฌานก็ไปสร้างอรูปของอรูปฌาน ก็คือ "ความว่าง" นั่นเอง

อรูปฌาน มี 4 ระดับ

1.อากาสานัญจายตนะ เนื้อหาหลักคือคำว่า อากาส สนธิกับคำว่า อายตนะ ซึ่งทางรูปธรรม อากาศหมายถึงที่ว่าง หรือท้องฟ้า ถ้าทางนามธรรม ก็คือ อารมณ์ว่างๆ อาการของนามธรรมที่ว่างใส ผู้ปฏิบัติก็พยายามสร้างอารมณ์ภายในจิตใจให้เกิดอาการ ว่างๆ แจ่มใส เวิ้งๆว้างๆ ประหนึ่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวโปร่งใสไปไกลไม่มีที่สุด

          ในความเป็น "อรูปฌาน" นิ่งหลับตาปฏิบัติสะดกจิตแบบนี้ ก็ทำต่อ "รูปฌาน" ที่ทำได้แล้ว คือสร้างอารมณ์จาก "วางเฉย" ให้ "ว่าง" หรือให้สะอาดใสยิ่งกว่าความเป็น "อุเบกขา" ที่ตนทำได้นั้นยิ่งๆขึ้นไปอีก ตามที่ตนเข้าใจซึ่งก็คล้ายคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจเรื่อง "ฌาน" กันในยุคนี้

          คือ จากที่จะมีอารมณ์เฉยๆ มีความรู้สึกกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ก็จะสร้างหรือทำใจให้เข้าไปเป็น อารมณ์ที่ว่างๆเวิ้งว้าง ดั่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวใสโล่งโปร่งทะลุไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตามแต่ใครจะกำหนดภาวะที่ตนเข้าใจในความเป็น "อากาส" เท่าที่ภูมิปัญญาของตนมี

          นักปฏิบัติผู้ใดสร้าง "ภพ" ซึ่งเป็น "แดนเกิด" (สัมภว) ที่เรียกว่า "อากาสานัญจายตนะ" (อากาสานัญจายนตภพ) สำเร็จได้ ก็เป็นผู้บรรลุภพแห่ง "ที่ว่าง" หรือมีความรู้สึก(อารมณ์,เวทนา) ประหนึ่่งได้เข้าสู่ท้องฟ้ากว้างไกลอันเวิ้งว้างว่างในสะอาดปราศจากธุลีใด แล้ว "เสพรส"จากที่ว่างนั้น

          ซึ่งไม่ใช่ "ความรู้สึก" (เวทนา) อัน "ว่าง" จากกิเลสเลย

          ผู้ปฏิบัตินี้แค่ได้ความว่าง(อากาสปฏิลาโภ) เสพอารมณ์ "ที่ว่างใส" อันเวิ้งว้างนั้น อยู่อย่างนั้น เป็นการเข้าสู่ "ภพ" ภพหนึ่งเท่านั้น แล้วเสพอารมณ์ที่เป็น "อากาส" โดย "ตนเอง" ขณะเข้าสู่ "อากาสานัญจยตนณาน" นี้ตนเองก็ยังไม่รู้ตัว มีแต่เสพ

          หมายความว่า "ตนเองยังไม่รู้ตัว" ว่า ตัวเราคือใคร ซึ่งในขณะนั้นจะมีแต่ "ความรู้สึกเสพรสว่าง" (เวทนา) นี้ ขณะนี้เองที่ชื่อว่า "อากาสานัญจายตนฌาน" คือตัวเองยังไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร เพื่ออะไร หรือไม่รู้อะไรอื่นต่างๆ จะได้แต่จมด่ำดิ่งอยู่กับการเสพรสนั้น (เสพรสว่าง) "ธาตุจิต" ยังเป็นแค่ "เวทนาเสพ" ยัง "จมดิ่งอยู่แต่กับรสเสพ" ยังไม่ใช่ "วิญญาณ" ที่บริสุทธิ์ ยังเป็นแค่ อารมณ์เสพ(เวทนา) ซึ่งเป็น "อารมณ์ของสัตว์โอปปาติก" อยู่  และ "ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว" เพราะด่ำดิ่งจมอยู่กับอารมณ์เสพนั้นอย่างลืมตัวไปเลย ภาวะของ "อากาสานัญจายตนสัตว์" นี้จึงได้แก่ "อารมณ์ว่างๆเท่านั้น" จิตใจหรือวิญญาณจมอยู่ใน "ความเป็นสัตว์เต็มตัว" เพราะยังไม่ได้ลดละ ภพ-ชาติแต่อย่างใด "วิญญาณ" ขณะนี้อยู่ในความเป็นสัตว์เต็มสภาพ ลืมความเป็นตัวเองไปเลย ยัง "ไม่รู้ตัวเอง" นั่นเอง จึงยังมิใช่ "ธาตุรู้" (วิญญาณ) ที่รู้ตัวของตนเต็มตัว

          ต่อเมื่อ "ธาตุรู้" อันคือ "วิญญาณ" ได้ทำหน้าที่รู้ตัวว่า เป็นเรา รู้ตัวเองเต็มตัว ว่า ตัวเองคือใคร และขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในแดนแห่งความว่าง รู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้นี้ เรายังไม่รู้ตัว มีแต่อารมณ์จมดิ่งดื่มด่ำอยู่กับรสเสพ ลืมตัวไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อผู้นี้เข้าสู่ภาวะ "รู้ตัว" ผู้ปฏิบัตินี้ก็เข้าสู่ความเป็น "วิญญานัญจายตนฌาน" ณ บัดนี้

          แล้วก็เป็นผู้เสพ "ภพแห่งวิญญาณ" ที่สามารถสร้าง "ภพ" ในภวังค์อันเป็น "อรูปภพ" ให้แก่ตนได้ปานฉะนี้ ต่อไป

          ฌานหรือสมาธิ แบบที่ไม่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ นี้ก็จะเป็น"ภพ" เป็น"ชาติ"ตามนัยนี้ "วิญญาณ" มีความตื่นจากที่ได้ลืมตัวไปชั่วขณะ บัดนี้วิญญาณแห่งความเป็น "ตัวเอง" เกิดขึ้นใน"อรูปฌาน" แล้ว หลังจากมีแต่ "เวทนา" ขมด่ำดิ่งฤษณาลืมตัวอยู่กับ "ความว่าง" (อากาส) ตกอยู่ใน "อากาสานัญจายตนภพ"มาชั่วครู่

          ตอนนี้ ตื่น(ชาครติ) และรู้สึกตัวจาก "ภพ" เดิม(อากาสานัญจายตนภพ)นั้น มีสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวมากขึ้นต่อจากสติเข้าไปสู่แนวลึกภายใน) รู้ตัว ว่าตนเองเป็นใครที่เสพอารมณ์นี้อยู่ มีสัมปัชชัญญะได้มากขึ้น แต่ยังไม่มากถึงขั้นมีสัมปชาน(ความรู้สึกตัวต่อจากสัมปชัญญะสูงขึ้นไปอีก) จึงไม่มีภูมิรู้ถึงขนาดจะ "รู้ความจริง" ถึงขั้นแยก "ภพ-ภูมิ" ออก ว่าตนเอง ณ บัดนี้ (สัมปติ) อยูู่ใน "อรูปภพ" หรืออยู่ใน "กามภพ" หรืออยู่ใน "รูปภพ" ผู้นี้ก็จะยังไม่มีภูมิสามารถรู้แจ้งในเรื่อง "ภพ" เรื่อง "ชาติ" หรือเรื่อง "อัตตา" ที่มี "อธิปัญญาสิกขา" ที่เจริญพัฒนาด้วยไตรสิกขาถึงขั้นเกิดสัมมาญาณพอรู้ได้

          เพราะคนผู้นี้ยังตกอยู่ใน "ภพ" นั้นด้วยอวิชชา ยังมี "วิชชา" หรือโลกุตรภูมิไม่ถึงขั้น จนสามารถรู้ธรรมะขั้นนี้ได้

          จึงไม่มีภูมิรู้พอ ว่าตนเองอยู่ใน "กามภพ" นะขณะนี้ หรือรู้ตัวเองว่า เป็นตัวเองตกอยู่ใน "รูปภพ" นะขณะนี้ หรือตอนนี้ ตนเองอยู่ใน "อรูปภพ" นะ เพราะยังไม่เรียน ยังไม่ได้ฝึกตนเพื่อรู้แจ้งเรื่อง "ภพ" ต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ขั้น "กามภพ" แถมยังต้องแยกเรียนรู้ "อบายภพ" ที่เป็นเบื้องต้นของ "กามภพ" ก่อนเสียอีก เป็นต้น แล้วจึงจะรู้แจ้งจริงใน "รูปภพ" และ "อรูปภพ" เป็นลำดับ ความรู้ในเรื่อง "ภพ-ชาติ-อัตตา" ยังไม่มีมากพอ จึงไม่สามารถรู้แจ้งจริงในความเป็น "ชาติ" เป็น "ภพ" โดยเฉพาะความเป็น "อัตตา" ต่างๆ

          "วิญญานัญจายตนฌาน" ขั้นที่ 2 ขอ "อรูปฌาน" ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐินี้ ณ บัดนี้ จึงเป็น "อัตตา" อยู่ตามภูมิตน

          เพียงแต่ วิญญาณหรือภาวะธาตุรู้ของคนผู้นี้ รู้สึกตัวขึ้นมาจาก "เวทนา" หลับมาสู่ความเป็นตนเองเต็มสภาพของ "วิญญาณ" ของตนเอง จากที่ "จมดิ่ง " หลงดำฤษณา อยู่กับ "รสเสพ" นั้นแล้ว บัดนี้กลับมา "ฟื้นคืนความรู้ตัว" แล้ว

          ตอนนี้อยู่ใน "ภพ" ที่เรียกว่า "วิญญานัญจายตนภพ" ซึ่งมิใช่ "การดับภพ" แต่อย่างใด แต่กลับยิ่งสร้าง "ภพใหม่" ขึ้นมาอีกลึกลับไกลเวิ้งว้างออกไปจาก "ภพ" แห่งมนุษย์สามัญ จึงยิ่งลึกยิ่งลับจาก "ภพสามัญ" ของคนธรรมดาโลกเข้าไปอีก

          เมื่อได้ "ภพอรูป" ขั้นนี้ ผู้นี้ก็ "เสพภพ" นี้ต่อไป ซึ่งเป็นภพ "ที่ว่าง" (อากาส) แต่ขณะนี้อยู่ในฐานะของผู้ "รู้ตัวเอง" แล้วมี "วิญญาณ" อันเป็น "สัตว์โปปาติกะ" ของตน ทำงานเต็มสภาพแล้ว มีเวทนา -สัญญา-สังขาร ทำงานตามหน้าที่ของเจตสิกด้วยอวิชชาอยู่ในภวังค์เท่านั้น

          และจมอยู่แต่ในภวังค์คือ ภพภายใน ไม่มีส่วนรับรู้เกี่ยวเนื่องกับภายนอกเลย ปิดสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย(กามทวาร) ทั้งหมดอยู่ แล้วก็ “รู้” เฉยอยู่อย่างนั้น

          ความว่าง(อากาส) ก็สว่างใสกว้างไกลไปไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตัง อากาโส) วิญญาณสิงสู่เสวย “ภพ” นี้อยู่ ก็ถือว่า นี่คือ ภูมิ “วิญยานัญจายตนฌาน” ของการปฏิบัติ “ฌาน” ในแบบนี้ ซึ่งผู้สร้าง “ภพ” นี้ได้สำเร็จ ก็กำลังเสพ “อากาส” หรือเสวยอารมณ์ว่างๆสว่างใสนี้อยู่อย่างภาคภูมิใจ

          “ภพ” นี้แล คือ ภพ “อาภัสสราพรหม” ซึ่งเป็น”ภพ” จริงๆ เพราะไม่ได้ “ดับภพ” อะไรเลย แต่ยิ่ง “เกิดภพ” ยิ่งขึ้น เป็น “ภพแห่งความสว่างใสมีรัศมีซ่านแผ่ไปไกล” อะไรก็ว่าไป ตามแต่จะ “สร้าง” ได้ และรู้สึกเอาได้ ซึ่งเป็นความรู้สึกอย่างผู้เสวยภพนี้อยู่ รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จิตของท่านผู้นี้จึงบรรลุความเป็น “อาภัสราพรหม”

          นี่คือ การบรรลุธรรมของ “เทวนิยม”

          “อาภัสรา” คือ ความสว่างใส ซึ่งตรงกันข้ามกับความมืด ที่ศัพท์บาลีว่า “กิณหะ” เป็น “อาการ” ของจิตใจที่รู้สึกอย่างนั้นอยู่จริงๆ เป็นเรื่องของ “นามธรรม” เองโดยเฉพาะแท้ๆ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ใช่เรื่องของวัตถุธรรมเลย

          จึงยิ่งทำผู้ปฏิบัติตามแบบนี้ ลัทธินี้หลงซ้ำหนักเข้าไปใหญ่ว่า นี่แหละคือ “ปรมัตถ์” เพรามันเป็นเรื่องของ “จิตเจตสิก” ล้วนๆ “อภิธรรม” แท้ๆ นอกจากจิตไม่เกี่ยวอื่นใดเลย มันก็จริง อาตามไม่เห็นขัดแย้งเลย อาตามารู้ได้

          ถ้าเป็นทางรูปธรรมหรือวัตถุธรรม ความสว่างใสก็คือ สภาวะที่มันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติภายนอกจิตใจซึ่งเป็นภาวะภายนอกต่างหากจากจิตวิญญาณ คนจะเอา “ตา” ไปสัมผัสมันหรือ ไม่สัมผัสมัน มันก็เกิดของมันตามธรรมชาติของมัน ไม่เกี่ยวกับคนมันก็สว่างใสของมันเองอยู่แล้ว ตามความเป็นตัวของมันเอง นั่นคือ ความจริงของธรรมชาติ เป็นของแท้ทางรูปธรรม ฟิสิกส์รู้กันดี

          ถ้ามีใครมี “ตา” ไปสัมผัสมัน ก็เห็นว่ามันสว่างใสตามความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่ จะสว่างอย่างใดก็เห็นอย่างนั้น

          แต่ถ้าหลับตาก็ไม่เห็นความสว่างนั้น เพราะหากคนหลับตาลง ก็จะมีแต่ความมือ(กิณหะ) เท่านั้นในขณะหลับตาสนิท ย่อมไม่ได้สัมผัสกับความสว่างที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีแต่ความมืดตามสัจธรรมในขณะหลับตา นี่คือ ความจริงแท้ของสัจธรรม แม้ทางฟิสิกส์

          แต่ที่ใครก็ตามรู้สึกว่า มีความสว่างใสอย่างนี้บ้างหรือมีแสงสีอย่างอื่นบ้าง เกิดหรือมีอยู่ในขณะหลับตานั้นนั่นมันคือ “มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ” ซึ่งเป็น อุปาทานทั้งนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าตัวปั้นขึ้นเองพากเพียรทำขึ้นมาจนสำเร็จ จึงเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นหลอกตนเอง เป็นเท็จ(อลิกะ)แท้ๆ

          ผู้ยังไม่สามารถเข้าใจในสัจธรรมต่างๆเหล่านี้ ก็จะยังอวิชชาอยู่ ยังไม่รู้แจ้งใน “ความมี” ของสรรพสิ่ง และหรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความมีที่เป็นปรากฏการณ์หลอก” หรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความไม่มี” ที่จริงแท้ ได้ถูกต้องกันง่ายๆ

          ส่วนอาภัสรา หรือ ความสว่างใส ที่เป็นภาวะเกิดอยู่ในจิตใจของผู้ “ทำฌาน” แบบนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในภวังค์ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ขณะนี้ เพราะตามจริงมันไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นจริงตามที่วิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ ได้พิสูจน์ยืนยันแล้วว่า ตามนุษย์ไม่สามารถรับแสงสว่างใสอย่างที่ภายนอกมีนั้นได้ แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่ตนสร้างขึ้นมาเองในจิตใจ เป็นปรากฏการณ์หลอกตนเอง ซึ่งเป็นของเท็จ(อลิกะ) เป็นสมมุติธรรมเท่านั้น คือธรรมะที่จริงโดยสมมุติ หรือธรรมะที่รู้ร่วมกันแล้วยอมรับว่าจริงร่วมกันของคนหมู่หนึ่ง ยังไม่ใช่ปรมัตถธรรม ซึ่งเป็น”อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” เรียกว่า มโนมยอัตตา เพราะตนสามารถสร้างความสว่างใสนี้ขึ้นมาด้วยตนเองจนสำเร็จ

          ไม่ใช่แสงสว่างใสที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแท้ ในความเป็นคนนั้นถ้าหลับตาลงสนิท แสงสว่างใส (อาภัสสร,ปภา,อาโลกา) ที่ว่านี้จะไม่ปรากฏให้สัมผัสเห็นแต่อย่างใด ผู้ใดเห็นแสงสีต่างๆไม่ว่าใดๆ อันไม่ใช่ความมืด (กิณหะ,กัณหะ) เมื่อหลับตาสนิท จึงเป็นเท็จ(อลิกะ)

          ธรรม คือ ภาวะที่ทรงอยู่ในใจ ไม่มี “ชาติ” (ไม่ใช่ธรรมชาตินั่นเอง) โดยเฉพาะ “ชาติ” ที่เกิดด้วย “อวิชชา” ผู้ที่ “พ้นอวิชชา” คือผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ชาติ” สัมบูรณ์ และอาศัย “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม” เท่านั้น ไม่งมงายไปกับ “ธรรมชาติ” ที่เกิดใดๆในโลกนั้นทั้งภายนอกและภายในจิตใจ

          ธรรมเป็นได้ทั้งรูป หรือเวทนา หรือสัญญา หรือสังขารหรือวิญญาณ ถ้าเป็น “ความเห็นร่วม” หรือเป็น “ความจริงโดยสมมุติ” หรือ “ภาวะที่สมมุติรู้ร่วมกัน” ก็เป็นแค่ สมมุตธรรม ซึ่งอาจจะเป็นความเห็นที่ร่วมรู้กันมากทั่วไปส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ใช่ “ความจริงที่จริงแท้หรือจริงที่ประเสริฐยิ่ง ดียิ่ง มีคุณค่ายิ่งจริงแท้กว่า” ที่เรียกว่าปรมัตถธรรม

          ผู้ที่เรียนมายังไม่สัมมาทิฏฐิ หรือยังอวิชชาอยู่ก็จะ เข้าใจภาวะต่างๆที่เป็นปรากฏการณ์ขั้นภายในจิตนี้ยากมาก

          ภาวะ “ความใสสว่าง” นี้ถ้าศึกษาให้ดีตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในความเป็น “วิญญาณฐีติ 7” หรือ “สัตตาวาส 9” ก็จะเห็นสัจธรรม เข้าใจในความเป็นฌาน ทั่งที่เป็นแบบพุทธและแบบที่ไม่ใช่พุทธ อย่างมีนัยสำคัญ

          “วิญญาณฐีติ 7” หรือ “สัตตาวาส 9” ในข้อที่ 3 พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกันแต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น สัตว์พวกอาภัสรา”

          สัตว์ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงนี้ คือ ความเป็นสัตว์ในจิตใจ(โอปปาติกสัตว์) ได้แก่ จิตใจหรือจิตวิญญาณเป็น “สัตว์อาภัสสรา” เป็นสัตว์(จิตใจ) เสพความสว่างใส อยู่ใน “ภพ” ที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วตัวเองก็เกิดเสพเป็นผู้เสวยสุขอยู่

          ซึ่งความสว่างใสนี้ ถ้าเป็นภาวะแบบไม่ใช่พุทธ ก็จะมีการกำหนดหมาย(สัญญา) คนละอย่างกัน กล่าวคือ “ภพ” ของอาภัสสราพรหม หรือเทวดาขั้นเสวยแดนที่ว่างสว่างใสนี้ ก็เป็นการกำหนดตามความรู้ ความเห็น หรืออุปาทานว่า ต้องเป็นปรากฏการณ์เช่นที่ตนเห็นว่าว่าง

          ความสว่างใสตามี่ตนกำหนดหมายยึดไว้นี้ก็เป็น “ภพ” ที่เป็นความสว่างใสเกิดขึ้นในใจจริง อย่างนี้แหละมันว่าง มันสว่างใสเป็น “ภพ” ให้ผู้บรรลุได้เสพอยู่อาศัย ผู้นี้ก็มีความสว่างใส(อาภัสสรา) นี้จริง แต่ไม่ใช่แสงสว่างตามธรรมชาติ หรือไม่ใช่ของจริงที่แม้แต่ภายในใจคนที่ต้องเกิดต้องมีกันทุกคน มันเป็น “อัตตาหรือรูปที่สำเร็จด้วยใจ” ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “มโนมยอัตตา”

          แต่ถ้าเป็นแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิแล้ว ภูมิที่ได้หรือที่บรรลุก็จะไม่สร้าง “ภพ” ไม่เป็นภพเป็นชาติ แต่การบรรลุภาวะของ “องค์ประชุม” หรือกายที่เราอาศัยก็จะเป็นภาวะที่ว่าง สว่างใสอยู่โดยปราศจากการสร้างใดๆ ในจิตใจจะสะอาดสว่างปราศจากกิเลส เป็นภาวะที่สะอาดสว่างใสเหมือนแสงสว่างเกิดขึ้นในใจเรา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นภาวะแห่ง “จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เรา” (จักขุ อุทปาทิ ญาณ ปญญา อุทปาทิ วิชชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ)

          ภาวะที่เราเป็นอยู่หรืออาศัยอยู่ก็เป็นภาวะ “ว่าง-สว่างใส” เป็น “กาย” หรือองค์ประชุมของสภาวธรรมอย่างเดียวกัน จึงเรียกว่า “กายอย่างเดียวกัน”............

 

8/2/2556 20:09:08 ส.ฟ้าไทสรุป.... ก็ได้เข้าใจเรื่องภพของความวน ที่คนเราปั้นเก่ง แล้วก็ไปหลงวนเวียน อย่างในเรื่องของฌานหลับตาที่พ่อครูนำมาอธิบายได้อย่างมีรายละเอียด คนที่นั่งหลับตานั้นจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างพ่อครู และพ่อครูก็ยังได้อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นการทบทวนให้พวกเรา ก็คงต้องอธิบายอีกหลายรอบ พวกเราก็ต้องตั้งใจฟัง แม้ลดละกิเลสได้ เราก็ต้องฟังต่อเพื่อให้มีความสว่างชัดในญาณปัญญามากขึ้น...จบ....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:15:14 )

560210

รายละเอียด

10/2/2556 9:03:07 รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท..เรื่อง ศึกษา อรูปฌาณ อรูปภพ ให้พ้น อวิชชา

 

10/2/2556 9:04:03 ส.ฟ้าไทเปิดรายการที่ชั้น 2 เฮือนศูนย์ฯ ราชธานีอโศก..ตอนนี้รบ.จะกู้เงิน 2 ล้านๆมาใช้จ่าย แต่พ่อครูจะกู้เวลามาสอนพวกเรา แต่ไม่มีใครให้กู้

          เราฟังเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่พ่อครูอธิบายมาหลายตอน เราฟังแล้วก็ยังอยากฟังอีก ฟังแล้วลดกิเลสได้ เราฟังแล้วแม้ลดกิเลสยังไม่ได้แต่เราจะมีความเข้าใจที่จะปฏิบัติในการลดละกิเลสต่อไป

          พระโพธิสัตว์อยากได้อะไรที่สุด...คำตอบคือ...เวลานั่นเอง

 

10/2/2556 9:16:06 พ่อครูว่า ทุกวันนี้ทำงานไม่ทันกับผี หรือความเลว ที่เขาไม่หยุดหย่อน หรือเว้นวรรคเลย และทำได้เร็วได้แรงอีกด้วย ถ้าเราทำอย่างเซื่องซึมก็ตายอย่างเดียว เราต้องขยันพากเพียร แม้ไม่ทันก็อย่าให้ทิ้งส้นเขาก็แล้วกัน

 

10/2/2556 9:17:38 วันนี้พ่อครูจะสอนสู่อรูปภพ ซึ่งอรูปภพหรืออรูปฌานแบบฤาษีที่เขาทำกันได้ทั่วไปนั้น เขารู้และอธิบายได้ไม่เท่าพ่อครูหรอก ซึ่งพ่อครูอธิบายทั้งรูปฌาน,อรูปฌานได้อย่างลึกซึ้งกว่าที่เขาอธิบายกันทั่วไปอีก

ซึ่งอรูปฌานแบบฤาษีนั้นมีดังนี้

 

อรูปฌาน มี 4 ระดับ

อันดับแรก คือ อากาสานัญจายตนะ เนื้อหาหลักคือคำว่า อากาส ซึ่งทางรูปธรรมก็หมายถึง ที่ว่าง หรือท้องฟ้า ถ้าทางนามธรรม ก็คือ อารมณ์ว่างๆ อาการของนามธรรมที่ว่างใส ผู้ปฏิบัติก็พยายามสร้างอารมณ์ภายในจิตใจให้เกิดอาการ ว่างๆ แจ่มใส เวิ้งๆว้างๆ ประหนึ่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวโปร่งใสไปไกลไม่มีที่สุด

          ในความเป็น "อรูปฌาน" นิ่งหลับตาปฏิบัติสะกดจิตแบบนี้ ก็ทำต่อ "รูปฌาน" ที่ทำได้แล้ว คือสร้างอารมณ์จาก "วางเฉย" ให้ "ว่าง" หรือให้สะอาดใสยิ่งกว่าความเป็น "อุเบกขา" ที่ตนทำได้นั้นยิ่งๆขึ้นไปอีก ตามที่ตนเข้าใจซึ่งก็คล้ายคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจเรื่อง "ฌาน" กันในยุคนี้

          คือ จากที่จะมีอารมณ์เฉยๆ มีความรู้สึกกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ก็จะสร้างหรือทำใจให้เข้าไปเป็น อารมณ์ที่ว่างๆเวิ้งว้าง ดั่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวใสโล่งโปร่งทะลุไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตามแต่ใครจะกำหนดภาวะที่ตนเข้าใจในความเป็น "อากาส" เท่าที่ภูมิปัญญาของตนมี

          นักปฏิบัติผู้ใดสร้าง "ภพ" ซึ่งเป็น "แดนเกิด" (สัมภว) ที่เรียกว่า "อากาสานัญจายตนะ" (อากาสานัญจายนตภพ) สำเร็จได้ ก็เป็นผู้บรรลุภพแห่ง "ที่ว่าง" หรือมีความรู้สึก(อารมณ์,เวทนา) ประหนึ่่งได้เข้าสู่ท้องฟ้ากว้างไกลอันเวิ้งว้างว่างในสะอาดปราศจากธุลีใด แล้ว "เสพรส"จากที่ว่างนั้น

          ซึ่งไม่ใช่ "ความรู้สึก" (เวทนา) อัน "ว่าง" จากกิเลสเลย

          ผู้ปฏิบัตินี้แค่ได้ความว่าง(อากาสปฏิลาโภ) เสพอารมณ์ "ที่ว่างใส" อันเวิ้งว้างนั้น อยู่อย่างนั้น เป็นการเข้าสู่ "ภพ" ภพหนึ่งเท่านั้น แล้วเสพอารมณ์ที่เป็น "อากาส" โดย "ตนเอง" ขณะเข้าสู่ "อากาสานัญจยตนณาน" นี้ตนเองก็ยังไม่รู้ตัว มีแต่เสพ

          หมายความว่า "ตนเองยังไม่รู้ตัว" ว่า ตัวเราคือใคร ซึ่งในขณะนั้นจะมีแต่ "ความรู้สึกเสพรสว่าง" (เวทนา) นี้ ขณะนี้เองที่ชื่อว่า "อากาสานัญจายตนฌาน" คือตัวเองยังไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร เพื่ออะไร หรือไม่รู้อะไรอื่นต่างๆ จะได้แต่จมด่ำดิ่งอยู่กับการเสพรสนั้น (เสพรสว่าง) "ธาตุจิต" ยังเป็นแค่ "เวทนาเสพ" ยัง "จมดิ่งอยู่แต่กับรสเสพ" ยังไม่ใช่ "วิญญาณ" ที่บริสุทธิ์ ยังเป็นแค่ อารมณ์เสพ(เวทนา) ซึ่งเป็น "อารมณ์ของสัตว์โอปปาติก" อยู่  และ "ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว" เพราะด่ำดิ่งจมอยู่กับอารมณ์เสพนั้นอย่างลืมตัวไปเลย ภาวะของ "อากาสานัญจายตนสัตว์" นี้จึงได้แก่ "อารมณ์ว่างๆเท่านั้น" จิตใจหรือวิญญาณจมอยู่ใน "ความเป็นสัตว์เต็มตัว" เพราะยังไม่ได้ลดละ ภพ-ชาติแต่อย่างใด "วิญญาณ" ขณะนี้อยู่ในความเป็นสัตว์เต็มสภาพ ลืมความเป็นตัวเองไปเลย ยัง "ไม่รู้ตัวเอง" นั่นเอง จึงยังมิใช่ "ธาตุรู้" (วิญญาณ) ที่รู้ตัวของตนเต็มตัว

          ต่อเมื่อ "ธาตุรู้" อันคือ "วิญญาณ" ได้ทำหน้าที่รู้ตัวว่า เป็นเรา รู้ตัวเองเต็มตัว ว่า ตัวเองคือใคร และขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในแดนแห่งความว่าง รู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้นี้ เรายังไม่รู้ตัว มีแต่อารมณ์จมดิ่งดื่มด่ำอยู่กับรสเสพ ลืมตัวไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อผู้นี้เข้าสู่ภาวะ "รู้ตัว" ผู้ปฏิบัตินี้ก็เข้าสู่ความเป็น "วิญญานัญจายตนฌาน" ณ บัดนี้(สัมปติ)

          แล้วก็เป็นผู้เสพ "ภพแห่งวิญญาณ" ที่สามารถสร้าง "ภพ" ในภวังค์อันเป็น "อรูปภพ" ให้แก่ตนได้ปานฉะนี้ ต่อไป

          ฌานหรือสมาธิ แบบที่ไม่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ นี้ก็จะเป็น"ภพ" เป็น"ชาติ"ตามนัยนี้ "วิญญาณ" ที่มีความตื่นจากที่ได้ลืมตัวไปชั่วขณะ บัดนี้วิญญาณแห่งความเป็น "ตัวเอง" เกิดขึ้นใน"อรูปฌาน" แล้ว หลังจากมีแต่ "เวทนา" จมด่ำดิ่งฤษณาลืมตัวอยู่กับ "ความว่าง" (อากาส) ตกอยู่ใน "อากาสานัญจายตนภพ"มาชั่วครู่

          ตอนนี้ ตื่น(ชาครติ) และรู้สึกตัวจาก "ภพ" เดิม(อากาสานัญจายตนภพ)นั้น มีสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวมากขึ้นต่อจากสติเข้าไปสู่แนวลึกภายใน) รู้ตัว ว่าตนเองเป็นใครที่เสพอารมณ์นี้อยู่ มีสัมปัชชัญญะได้มากขึ้น แต่ยังไม่มากถึงขั้นมีสัมปชาน(ความรู้สึกตัวต่อจากสัมปชัญญะสูงขึ้นไปอีก) จึงไม่มีภูมิรู้ถึงขนาดจะ "รู้ความจริง" ถึงขั้นแยก "ภพ-ภูมิ" ออก ว่าตนเอง ณ บัดนี้ (สัมปติ) อยูู่ใน "อรูปภพ" หรืออยู่ใน "กามภพ" หรืออยู่ใน "รูปภพ" ผู้นี้ก็จะยังไม่มีภูมิสามารถรู้แจ้งในเรื่อง "ภพ" เรื่อง "ชาติ" หรือเรื่อง "อัตตา" ที่มี "อธิปัญญาสิกขา" ที่เจริญพัฒนาด้วยไตรสิกขาถึงขั้นเกิดสัมมาญาณพอรู้ได้

          เพราะคนผู้นี้ยังตกอยู่ใน "ภพ" นั้นด้วยอวิชชา ยังมี "วิชชา" หรือโลกุตรภูมิไม่ถึงขั้น จนสามารถรู้ธรรมะขั้นนี้ได้

          จึงไม่มีภูมิรู้พอ ว่าตนเองอยู่ใน "กามภพ" นะขณะนี้ หรือรู้ตัวเองว่า เป็นตัวเองตกอยู่ใน "รูปภพ" นะขณะนี้ หรือตอนนี้ ตนเองอยู่ใน "อรูปภพ" นะ เพราะยังไม่เรียน ยังไม่ได้ฝึกตนเพื่อรู้แจ้งเรื่อง "ภพ" ต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ขั้น "กามภพ" แถมยังต้องแยกเรียนรู้ "อบายภพ" ที่เป็นเบื้องต้นของ "กามภพ" ก่อนเสียอีก เป็นต้น แล้วจึงจะรู้แจ้งจริงใน "รูปภพ" และ "อรูปภพ" เป็นลำดับ ความรู้ในเรื่อง "ภพ-ชาติ-อัตตา" ยังไม่มีมากพอ จึงไม่สามารถรู้แจ้งจริงในความเป็น "ชาติ" เป็น "ภพ" โดยเฉพาะความเป็น "อัตตา" ต่างๆ

          "วิญญานัญจายตนฌาน" ขั้นที่ 2 ของ "อรูปฌาน" ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐินี้ ณ บัดนี้ จึงเป็น "อัตตา" อยู่ตามภูมิตน

          เพียงแต่ วิญญาณหรือภาวะธาตุรู้ของคนผู้นี้ รู้สึกตัวขึ้นมาจาก "เวทนา" หลับมาสู่ความเป็นตนเองเต็มสภาพของ "วิญญาณ" ของตนเอง จากที่ "จมดิ่ง " หลงดำฤษณา อยู่กับ "รสเสพ" นั้นแล้ว บัดนี้กลับมา "ฟื้นคืนความรู้ตัว" แล้ว

          ตอนนี้อยู่ใน "ภพ" ที่เรียกว่า "วิญญานัญจายตนภพ" ซึ่งมิใช่ "การดับภพ" แต่อย่างใด แต่กลับยิ่งสร้าง "ภพใหม่" ขึ้นมาอีกลึกลับไกลเวิ้งว้างออกไปจาก "ภพ" แห่งมนุษย์สามัญ จึงยิ่งลึกยิ่งลับจาก "ภพสามัญ" ของคนธรรมดาโลกเข้าไปอีก

          เมื่อได้ "ภพอรูป" ขั้นนี้ ผู้นี้ก็ "เสพภพ" นี้ต่อไป ซึ่งเป็นภพ "ที่ว่าง" (อากาส) แต่ขณะนี้อยู่ในฐานะของผู้ "รู้ตัวเอง" แล้วมี "วิญญาณ" อันเป็น "สัตว์โปปาติกะ" ของตน ทำงานเต็มสภาพแล้ว มีเวทนา -สัญญา-สังขาร ทำงานตามหน้าที่ของเจตสิก แต่ “วิญญาณ” ก็เป็น “ธาตุรู้” ที่อวิชชาอยู่ในภวังค์เท่านั้น ยังเป็นสัตว์(ยังไม่พ้นสังโยชน์) ที่ด่ำดิ่งใน “ภพของการเสวยความว่าง” นี้

          คือจมอยู่แต่ในภวังค์คือ ภพภายใน ไม่มีส่วนรับรู้เกี่ยวเนื่องกับภายนอกเลย ปิดสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย(กามทวาร)ทั้ง 5อยู่ แล้วก็ “รู้” เฉยอยู่อย่างนั้น

          ความว่าง(อากาส) ก็สว่างใสกว้างไกลไปไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตัง อากาโส) วิญญาณสิงสู่เสวย “ภพ” นี้อยู่ ก็ถือว่า นี่คือ ภูมิ “วิญยานัญจายตนฌาน” ของการปฏิบัติ “ฌาน” ในแบบนี้ ซึ่งผู้สร้าง “ภพ” นี้ได้สำเร็จ ก็กำลังเสพ “อากาส” หรือเสวยอารมณ์ว่างๆสว่างใสนี้อยู่อย่างภาคภูมิใจ

          ความเป็น “ภพ” คือ “ภพอาภัสสรา” หรือ “แดนแห่งความสว่างใส” นี้แหละ ซึ่งเป็น “ภพ” จริง เพราะไม่ได้ “ดับภพ” แต่อย่างใดเลย กลับสร้าง “ความสว่างใส” ขึ้นมาใส่จิตใจตนยิ่งขึ้น จึงยิ่ง “เกิดภพ” เพิ่มขึ้นเสียอีก เพราะยังอวิชชา ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นภพ-ชาติ จึงยังหลง “ทำให้เกิด” แทนที่จะ “ทำให้ดับ” และหลง “เสพภพแห่งความสว่างใส มีรัศมีซ่านแผ่ไปไกล” อะไรก็ว่าไป ตามที่พูดกัน ยืนยันกันอยู่ ซึ่ง “สร้าง” (นิมมิต=เนรมิต) ภพสว่างใสนี้ขึ้นมาจนสำเร็จได้ และรู้สึกเอาเองได้ ซึ่งเป็นความรู้สึกเป็นแดนที่น่าอยู่น่าเป็นน่ามี(ภวภพ)จริงๆ รู้สึกอย่างนี้อยู่จริงจิตของท่านผู้นี้จึงบรรลุความเป็น “อาภัสสราพรหม”

นี่คือ การบรรลุธรรมของ “เทวนิยม” หรือผู้สามารถเข้าถึง “แดนแห่งความสว่างใส ด้วยการนั่งทำฌานแบบหลับตาสะกดจิตเข้าไป “เกิดภพ” อยู่ในภวังค์หรือในองค์ของภพ

อาภัสรา” คือ ความสว่างใส ซึ่งตรงกันข้ามกับความมืด ที่ศัพท์บาลีว่า “กิณหะ” เป็น “อาการ” ของจิตใจที่รู้สึกอย่างนั้นอยู่จริงๆ เป็นเรื่องของ “นามธรรม” เองโดยเฉพาะแท้ๆ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ใช่เรื่องของวัตถุธรรมเลย

จึงยิ่งทำผู้ปฏิบัติตามแบบนี้ ลัทธินี้หลงซ้ำหนักเข้าไปใหญ่ว่า นี่แหละคือ “ปรมัตถ์” เพราะมันเป็นเรื่องของ “จิตเจตสิก” ล้วนๆ “อภิธรรม” แท้ๆ นอกจากจิตไม่เกี่ยวอื่นใดเลย มันก็จริง ไม่ขัดแย้งเลย  มันเป็นเรื่องของจิตในจิต แต่มันมีนัยสำคัญ ว่า แบบไหนเป็นไปเพื่อเพิ่ม “สมุทัย” หรือเพื่อลดละ “ภพ-ชาติ” ลดละภาวะกิเลสไปสู่ “นิโรธ”

          ถ้าเป็นทางรูปธรรมหรือวัตถุธรรม ความสว่างใสนี้ก็คือ สภาวะที่มันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติภายนอกจิตใจซึ่งเป็นภาวะภายนอกต่างหากจากจิตวิญญาณ(เป็นมหาภูตรูป) อย่างคนจะเอา “ตา” ไปสัมผัสมัน หรือ ไม่สัมผัสมัน มันก็เกิดของมันตามธรรมชาติของมัน ไม่เกี่ยวกับคนมันก็สว่างใสของมันเองอยู่แล้ว ตามความเป็นตัวของมันเอง นั่นคือ ความจริงของธรรมชาติ เป็นของแท้ทางรูปธรรม ฟิสิกส์รู้กันดี

          ถ้ามีใครมี “ตา” ไปสัมผัสมัน ก็เห็นว่ามันสว่างใสตามความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่ จะสว่างอย่างใดก็เห็นอย่างนั้น

          แต่ถ้าหลับตาก็ไม่เห็นความสว่างนั้น เพราะหากคนหลับตาลง ก็จะมีแต่ความมืด(กิณหะ) เท่านั้นในขณะหลับตาสนิท ย่อมไม่ได้สัมผัสกับความสว่างที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีแต่ความมืดตามสัจธรรมในขณะหลับตา นี่คือ ความจริงแท้ของสัจธรรม แม้ทางฟิสิกส์

          แต่ที่ใครก็ตามรู้สึกว่า มีความสว่างใสอย่างนี้บ้างหรือมีแสงสีอย่างอื่นบ้าง เกิดหรือมีอยู่ในขณะหลับตานั้นนั่นมันคือ “มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ” ซึ่งเป็น อุปาทานทั้งนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าตัวปั้นขึ้นเองพากเพียรทำขึ้นมาจนสำเร็จ จึงเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นหลอกตนเอง เป็นเท็จ(อลิกะ)แท้ๆ

          ผู้ยังไม่สามารถเข้าใจในสัจธรรมต่างๆเหล่านี้ ก็จะยังอวิชชาอยู่ ยังไม่รู้แจ้งใน “ความมี” ของสรรพสิ่ง และหรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความมีที่เป็นปรากฏการณ์หลอก” หรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความไม่มี” ที่จริงแท้ ได้ถูกต้องกันง่ายๆ

          ส่วนอาภัสสรา หรือ ความสว่างใส ที่เป็นภาวะเกิดอยู่ในจิตใจของผู้ “ทำฌาน” แบบนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในภวังค์ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ขณะนี้ เพราะตามจริงมันไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นจริงตามที่วิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ ได้พิสูจน์ยืนยันแล้วว่า “ตา” มนุษย์ไม่สามารถรับแสงสว่างใสอย่างที่ภายนอกมีนั้นได้ แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่ตนสร้างขึ้นมาเองในจิตใจ เป็นปรากฏการณ์หลอกตนเองยังมีความไม่รู้(อวิชชา) ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดในขณะหลับตานั้นเป็นของเท็จ(อลิกะ) เป็นสมมุติธรรมเท่านั้น คือธรรมะที่จริงโดยสมมุติ หรือธรรมะที่รู้ร่วมกันแล้วยอมรับว่าจริงร่วมกันของคนหมู่หนึ่ง ยังไม่ใช่ความจริงขั้นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็น “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” เรียกว่า มโนมยอัตตา ซึ่งตนเองแท้ๆสร้างความสว่างใสนี้ขึ้นมาด้วยตนเองจนสำเร็จมาให้ตนหลงว่าจริง

          ไม่ใช่แสงสว่างใสที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแท้ เพราะโดยสัจธรรมนั้น ในความเป็นคนนั้นถ้าหลับตาลงสนิท แสงสว่างใส (อาภัสสร,ปภา,อาโลกา) ที่ว่านี้จะไม่ปรากฏให้สัมผัสเห็นแต่อย่างใด

 ผู้ใดเห็นแสงสีต่างๆไม่ว่าใดๆ อันไม่ใช่ความมืด (กิณหะ,กัณหะ) เมื่อหลับตาสนิท จึงเป็นของเท็จ(อลิกะ)

ถ้าไม่ใช่ภาพที่ปรากฏขณะที่ “ตา” สัมผัส “รูป” อยู่ อยู่ในสภาพคนลืมตาเห็นสิ่งนั้นโทนโท่ ซึ่งเป็นภาวะที่อยู่ในปัจจุบันขณะของ “กามาวจรภูมิ” (ซึ่งอาศัยอยู่ในกามภพ)...

จิตใจรับรู้ทุกทวารทั้ง 5 ได้แก่ ทวารภายนอกทั้ง 5 ทำงานมีสัมผัสอยู่แล้วจิตใจ(ทวารที่ 6) ก็ทำงานรับรู้ต่อเนื่องกับใจทำงานครบ “อุปาทายรูป” (รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป) เรียกว่า ปกติที่มีชีวิตสามัญ จิตก็ยังมี “กามาวจรจิต” อยู่(จิตซึ่งอาศัยกามอยู่, จิตซึ่งท่องเที่ยวไปในกาม)

เราก็สามารถอ่านได้จากตั้งแต่พฤติกรรมของอาการที่มันยังมีกิริยาของอาการทางวจีทางกายภายนอก ที่หยาบก็ดีขนาดกลางก็ดี แม้ที่สุดนิดน้อยๆ เรียกว่า ผู้ยังมีกามตามเล่นงานอยู่ เรียกว่า “กามานุสารี” (ผู้ยังมีใจเยื่อใยใฝ่กามอยู่)

เพราะจะสามารถเรียนรู้ความเป็นกามของตน ที่มันยังทำให้เรามีพฤติกรรมทางกามอยู่ไม่ขาดสิ้น ยังมีกามเป็นเหตุให้เราต้องประพฤติอาการของกามทางภายนอกอยู่ เรียกว่า “กามาธิกรณะ”  (มีความใคร่เป็นเหตุให้เกิดเรื่อง)

ซึ่งผู้ปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะสามารถศึกษาได้จากรายละเอียดของ “ความยังมีภาวะในความเป็นกาม โดยเฉพาะอ่านได้จากในจิตใจตนที่มันเป็น “ตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ” (กามวิตก,กามสังกัปปะ) ด้วยพลังของสัมมาสมาธิ ที่มีสัมมาปฏิบัติ ก็จะเกิด “สัมมาญาณ-สัมมาวิมุติ” ในจิตส่วนที่เป็นความควบแน่น ได้แก่ จิตที่เรียกว่า “อัปปนา-พยัปปนา-เจตโสอภินิโรปนา” (ปัญญินทรีย์,ปัญญาพละ) ซึ่งในพลังแฝงอยู่ในจิต(potential energy) นั้น มี “พลังปัญญา”อยู่อย่างสำคัญ

จิตยังไม่หมดอาการใคร่อยากในทวารทั้ง 5 ยังมีกิริยาอาการของความเสพทางกามคุณ 5 อยู่ โดยเฉพาะมันมีพฤติทางภายนอกเมื่อสัมผัสก็ยังเสพกามรสนั้นๆอยู่ มากหรือน้อยตามที่ผู้นั้นยังเสพอยู่จริง เรียกว่ายังมี “กามาวจรกิริยา” (จิตที่เป็นกิริยาของการเสพกาม)

จิตใจของคนผู้นี้ยังมีความวนเวียนอยู่ในกาม เรียกว่า “กามาวัฏฏะ” (ความวนเวียนอยู่ในกาม)

เพราะยังมีความยึดติดในกามอยู่ หรือยังมีอุปาทานที่เรียกว่า “กามุปาทาน” (ความติดยึดในความอยากใคร่นั้นๆ)อยู่

เพราะยังมีสาสวะ หรือยังไม่หมดกิเลสถึงขั้นสิ้นอาสวะ โดยเฉพาะแม้ทางกามภพ หรือกามทางทวาร 5 ภายนอก เรียกว่า ยังมี “กามาสวะ” (ความใคร่อยากยังไม่หมดอาสวะ)

ภาพที่เกิดในจิตใจโดยไม่มีการ “สัมผัส” (ผัสสะ) ด้วยตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย จึง “ไม่ใช่ของจริง” โดยตรง ไม่ใช่ “ภาพ” จากกามาวจร แต่เป็น “ของเท็จ” (อลิกะ) ทั้งสิ้น

แม้จะเป็น “การเห็น” ภาพอะไรต่ออะไรต่างๆในภพภายในจิตใจ ก็ล้วนเป็น “การเห็นของเท็จ” ทั้งสิ้น ซึ่งมันไม่ใช่ “ภาวะที่เห็นจากการสัมผัสตรงที่เป็นของจริง”

เช่น ภาพหรือ “รูปธรรม” ที่ไม่ใช่เกิดจากการสัมผัสด้วยทวาร 5 แต่เกิดจาก “ความจำ” (สัญญา) ซึ่งจะระลึกนึกขึ้นมาด้วยเจตนา หรือมันเกิดโดยไม่เจตนาก็ตาม ก็ล้วนเป็น “ของเท็จ”(อลิกะ) ไม่ใช่ “ของจริง” สดๆแท้ๆ

แม้จะระลึกนึกขึ้นมาได้ตรงกับ “ความจริงของเดิม” ที่เราเคยจำได้ เคยรู้จากของจริงมาก่อนก็แค่เหมือนของเดิมที่เป็น “ภาพแห้ง” ที่สร้างขึ้นมาใหม่ นำขึ้นมาเห็นอีกที ไม่ใช่ “ของสด-ของแท้” จึงชื่อว่ายังเป็น “ของเท็จ” (อลิกะ) อยู่ดี

ถ้าระลึกได้ ไม่เหมือนของเดิม แตกต่างไปจากของเดิม ก็ชัดๆอยู่แล้วว่า ไม่ใช่ของจริง ผิดเพี้ยนไปจากของจริง  ก็ยิ่งไม่จริง ก็ยิ่ง “เท็จกว่า” ภาพที่ระลึกได้เหมือนของเดิม

ดังนั้น “ภาวะที่ปรุงแต่งออกนอกของจริงหรือเกินไปจากของจริง “ที่สัมผัสรู้ตามความเป็นจริงจากทวารนั้นๆ ก็คือ “ของเท็จ” (อลิกะ)แท้ๆ

เป็นต้นว่า ภาพสีแดง ของจริงก็คือแดง ภาพสีเขียว ของจริงก็เขียว แต่ถ้าปรุงแต่งไปเป็นแดงสวย เขียวสวย หรือแดงไม่สวย เขียวไม่สวย หรือปรุงแต่งไปเป็นความขี้เหร่ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ฯลฯ ในประดาความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) ออกนอก “ความจริงตามความเป็นจริง” ไปเยี่ยงนี้เอง ที่ล้วนเป็น “ของเท็จ” (อลิกะ)ทั้งสิ้น

ด้วยนัยนี้เอง ภาวะที่เกิดขึ้น ทรงไว้ในใจ ที่เรียกว่า “ธรรม” จึงต้องศึกษาอย่างสำคัญยิ่ง ที่มีประโยชน์ก็มีได้ เป็นได้ แต่ที่เป็นโทษ พาทุกข์ พาทำลายนั้นมากยิ่งกว่า นักกว่านัก

         

 (มีเกร็ดส.ฟ้าไทแทรกว่า เคยมีสภาวะมีสัมผัสแล้วมีอาการทางกายแต่ใจเราไม่มีอาการก็เป็นสภาวะที่มีได้ในนักปฏิบัติธรรมซึ่งพ่อครูก็รับรองว่าเป็นได้จริง)

          ส.ฟ้าไทว่า กลิ่นเหม็นเรารู้ว่าแสบเหม็น พ่อครูว่าเราจะรู้ตามสมมุติโลก ไปจบที่ผลักหรือดูด ถ้ายังไม่กลางก็ยังไม่อุเบกขา ถ้าจิตไม่ผลักไม่ดูด ก็คือนิวทรอน จะกระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว และเราจะรู้เท่าทันเป็นโลกะวิทู หลายอย่างเขาปรุงไปเกินตามเรา เราปรุงไปไม่ไหวไม่รู้ว่ามันสุขมันมันอย่างไร เราก็ไม่ต้องไปเสียใจ

           อย่างนักบอล มาราโดน่าพ่อครูก็พอรู้ แต่กังนัมสไตล์นั้นเขามันอย่างไรพ่อครูก็ไม่รู้ด้วย นี่คือความปรุงแต่งในโลกที่เขาไปหลงติดหนาเข้าไปเรื่อยๆ

          ส.ฟ้าไทว่า เราปรุงตามโลกนั้นต้องปรุงให้อร่อยตามเขาไหม?  พ่อครูว่า ก็ไม่มาก จะต้องไปปรุงให้อร่อยแล้วเราต้องไปล้างอีกทำไม จะโง่ทำไม

          อย่างเรื่องเพลงที่พ่อครูแต่ง นักดนตรีเขาไปเรียบเรียง ไปร้อง เขาว่ามันมาได้อย่างไร มันแปลก มีความขัดแย้งอยู่ในตัว แต่ก็อยู่ร่วมกัน ฮาร์โมนี่ด้วยกันได้ บางอย่างแตกต่างกันคนละขั้วเลยแต่ก็ไปด้วยกันได้

 

          เราเข้าใจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปปรุงร่วมกับเขา พ่อครูนั้นต้องช่วยเขาเลยต้องปรุงอนุโลมร่วมกับเขาจนเป็นลิงเป็นค่างไปแล้ว จะมาสงบใหม่ต้องใช้เวลา ส่วนพระพุทธเจ้าท่านมีกายที่ผ่องใสในสองครั้งคือ ตอนตรัสรู้ใหม่ๆ และตอนปรินิพพาน คือตอนยังไม่ปรุงทำงานอะไร และตอนที่ปลงอายุสังขารแล้วปลงภาระแล้ว

 

ธรรม คือ ภาวะที่ทรงอยู่ในใจ เมื่อไม่มี “การสัมผัส” ในปัจจุบันนั้น ก็ไม่มี “ของจริง” เกิดขึ้นในจิตใจ ด้วยประการฉะนี้แล พระพุทธเจ้าจึงให้ศึกษาจาก “ของจริง” ที่เกิดจาก “สัมผัส” ทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย เป็นเบื้องต้น

          เพราะของหลอกหรือของเท็จที่ “ปรุงแต่ง” (สังขาร) ออกไปจาก “ความจริงตามความเป็นจริง”นั้น มากกว่ามากเหลือเกิน ที่คนรู้ไม่เท่าทัน แล้วหลงติดหลงยึดกันมาก จึงพากันทุกข์มาก  และเป็นภัยเป็นโทษมาก

        สิ่งที่ “เกิด”เพราะ “การปรุงแต่ง” นี่แหละที่มากมายสุดจะประมาณของมนุษย์ทำขึ้น สร้างขึ้น มอมเมากัน

        “ความเกิด” ที่ภาษาบาลีว่า “ชาติ” จึงเป็นต้นตอหรือเป็นปัจจัย ให้เกิดภพ เกิดอุปาทาน เกิดตัณหา เกิดเวทนา เกิดผัสสะ เกิดอายตนะ เกิดนามรูป เกิดวิญญาณ เกิดสังขาร และที่สุดเกิด “อวิชชา” ฉะนี้เอง

        สิ่งที่ “เกิด” หรือ “ความเกิด” ที่เรียกว่า “ชาติ” จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา และรู้จัก “ความเกิด” ให้เท่าทัน ลึกซึ้งละเอียดลออ จึงจะทุกข์น้อยลง จนกระทั่งสิ้นทุกข์สนิทและเป็นคนมีประโยชน์ในสาระแท้ได้มากขึ้น

 

พ่อครูได้แจกแจงภพที่เราไปหลง ตั้งแต่อยู่ภายในเป็นรูปภพอรูปภพ และอธิบายเนื่องมาถึงภพภายนอกคือกามภพ ...ซึ่งเกิดจากความโง่ที่ไม่รู้ในการสังขาร เราต้องเรียนรู้ไปถึงองค์ธรรมของสังกัปปะ 7 ต้องเรียนรู้ใน ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา  วจีสังขารา ต้องเรียนรู้ให้ถึงอย่างนี้จึงคือการทำโยนิโสมนสิการได้ จะปฏิบัติไม่ถูกแท้หรอก กว่าพ่อครูจะมาอธิบายได้ ต้องรู้เหตุ รู้กามานุสารีย์ กามธิกรณะอย่างมากมายจึงมาอธิบายได้

 

ส.ฟ้าไทสรุป...วันนี้ได้ฟังสิ่งที่ลึกซึ้งมาก บางสิ่งเราไม่สามารถรู้ได้เช่นอรูปฌานแบบฤาษี ที่เราไม่มีสภาวะ แต่ก็พอทำความเข้าใจตามได้  และไปถึงเรื่องกามภพ กามตัณหา ที่มีนัยละเอียดลึกซึ้งที่เกิดจากกามุปาทาน สิ่งเหล่านี้จะหมดได้ เราต้องปฏิบัติถึงในสังกัปปะ 7 แต่จะมีได้เราต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังให้บริบูรณ์ ศรัทธาให้บริบูรณ์ แล้วเราจะทำอย่างไรให้บริบูรณ์เราต้องพยายามต่อไป....         


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:16:43 )

560217

รายละเอียด

560217_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท  เรื่อง อรูปฌานพุทธ ไม่เคยหยุดรู้ข้างนอก

วันนี้พ่อครูได้เทศนาถึงเรื่องอรูปฌาน 4 ซึ่งเป็นการทบทวนและเพิ่มเติมในเรื่องอรูปฌานที่เคยได้เทศนาในครั้งก่อนดังนี้

อรูปฌาน มี 4 ระดับ

อันดับแรก คือ อากาสานัญจายตนะ เนื้อหาหลักคือคำว่า อากาส ซึ่งทางรูปธรรมก็หมายถึง ที่ว่าง หรือท้องฟ้า ถ้าทางนามธรรม ก็คือ อารมณ์ว่างๆ อาการของนามธรรมที่ว่างใส ผู้ปฏิบัติก็พยายามสร้างอารมณ์ภายในจิตใจให้เกิดอาการ ว่างๆ แจ่มใส เวิ้งๆว้างๆ ประหนึ่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวโปร่งใสไปไกลไม่มีที่สุด

          ในความเป็น "อรูปฌาน" นิ่งหลับตาปฏิบัติสะกดจิตแบบนี้ ก็ทำต่อ "รูปฌาน" ที่ทำได้แล้ว คือสร้างอารมณ์จาก "วางเฉย" ให้ "ว่าง" หรือให้สะอาดใสยิ่งกว่าความเป็น "อุเบกขา" ที่ตนทำได้นั้นยิ่งๆขึ้นไปอีก ตามที่ตนเข้าใจซึ่งก็คล้ายคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจเรื่อง "ฌาน" กันในยุคนี้

          คือ จากที่จะมีอารมณ์เฉยๆ มีความรู้สึกกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ก็จะสร้างหรือทำใจให้เข้าไปเป็น อารมณ์ที่ว่างๆเวิ้งว้าง ดั่งท้องฟ้าที่สะอาดขาวใสโล่งโปร่งทะลุไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตามแต่ใครจะกำหนดภาวะที่ตนเข้าใจในความเป็น "อากาส" เท่าที่ภูมิปัญญาของตนมี

          นักปฏิบัติผู้ใดสร้าง "ภพ" ซึ่งเป็น "แดนเกิด" (สัมภว) ที่เรียกว่า "อากาสานัญจายตนะ" (อากาสานัญจายนตภพ) สำเร็จได้ ก็เป็นผู้บรรลุภพแห่ง "ที่ว่าง" หรือมีความรู้สึก(อารมณ์,เวทนา) ประหนึ่่งได้เข้าสู่ท้องฟ้ากว้างไกลอันเวิ้งว้างว่างในสะอาดปราศจากธุลีใด แล้ว "เสพรส"จากที่ว่างนั้น

          ซึ่งไม่ใช่ "ความรู้สึก" (เวทนา) อัน "ว่าง" จากกิเลสเลย

          ผู้ปฏิบัตินี้แค่ได้ความว่าง(อากาสปฏิลาโภ) เสพอารมณ์ "ที่ว่างใส" อันเวิ้งว้างนั้น อยู่อย่างนั้น เป็นการเข้าสู่ "ภพ" ภพหนึ่งเท่านั้น แล้วเสพอารมณ์ที่เป็น "อากาส" โดย "ตนเอง" ขณะเข้าสู่ "อากาสานัญจยตนณาน" นี้ตนเองก็ยังไม่รู้ตัว มีแต่เสพ

          หมายความว่า "ตนเองยังไม่รู้ตัว" ว่า ตัวเราคือใคร ซึ่งในขณะนั้นจะมีแต่ "ความรู้สึกเสพรสว่าง" (เวทนา) นี้ ขณะนี้เองที่ชื่อว่า "อากาสานัญจายตนฌาน" คือตัวเองยังไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร เพื่ออะไร หรือไม่รู้อะไรอื่นต่างๆ จะได้แต่จมด่ำดิ่งอยู่กับการเสพรสนั้น (เสพรสว่าง) "ธาตุจิต" ยังเป็นแค่ "เวทนาเสพ" ยัง "จมดิ่งอยู่แต่กับรสเสพ" ยังไม่ใช่ "วิญญาณ" ที่บริสุทธิ์ ยังเป็นแค่ อารมณ์เสพ(เวทนา) ซึ่งเป็น "อารมณ์ของสัตว์โอปปาติก" อยู่  และ "ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว" เพราะด่ำดิ่งจมอยู่กับอารมณ์เสพนั้นอย่างลืมตัวไปเลย ภาวะของ "อากาสานัญจายตนสัตว์" นี้จึงได้แก่ "อารมณ์ว่างๆเท่านั้น" จิตใจหรือวิญญาณจมอยู่ใน "ความเป็นสัตว์เต็มตัว" เพราะยังไม่ได้ลดละ ภพ-ชาติแต่อย่างใด "วิญญาณ" ขณะนี้อยู่ในความเป็นสัตว์เต็มสภาพ ลืมความเป็นตัวเองไปเลย ยัง "ไม่รู้ตัวเอง" นั่นเอง จึงยังมิใช่ "ธาตุรู้" (วิญญาณ) ที่รู้ตัวของตนเต็มตัว

          ต่อเมื่อ "ธาตุรู้" อันคือ "วิญญาณ" ได้ทำหน้าที่รู้ตัวว่า เป็นเรา รู้ตัวเองเต็มตัว ว่า ตัวเองคือใคร และขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในแดนแห่งความว่าง รู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้นี้ เรายังไม่รู้ตัว มีแต่อารมณ์จมดิ่งดื่มด่ำอยู่กับรสเสพ ลืมตัวไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อผู้นี้เข้าสู่ภาวะ "รู้ตัว" ผู้ปฏิบัตินี้ก็เข้าสู่ความเป็น "วิญญานัญจายตนฌาน" ณ บัดนี้(สัมปติ)

          แล้วก็เป็นผู้เสพ "ภพแห่งวิญญาณ" ที่สามารถสร้าง "ภพ" ในภวังค์อันเป็น "อรูปภพ" ให้แก่ตนได้ปานฉะนี้ ต่อไป

          ฌานหรือสมาธิ แบบที่ไม่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ นี้ก็จะเป็น"ภพ" เป็น"ชาติ"ตามนัยนี้ "วิญญาณ" ที่มีความตื่นจากที่ได้ลืมตัวไปชั่วขณะ บัดนี้วิญญาณแห่งความเป็น "ตัวเอง" เกิดขึ้นใน"อรูปฌาน" แล้ว หลังจากมีแต่ "เวทนา" จมด่ำดิ่งฤษณาลืมตัวอยู่กับ "ความว่าง" (อากาส) ตกอยู่ใน "อากาสานัญจายตนภพ"มาชั่วครู่

          ตอนนี้ ตื่น(ชาครติ) และรู้สึกตัวจาก "ภพ" เดิม(อากาสานัญจายตนภพ)นั้น มีสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวมากขึ้นต่อจากสติเข้าไปสู่แนวลึกภายใน) รู้ตัว ว่าตนเองเป็นใครที่เสพอารมณ์นี้อยู่ มีสัมปัชชัญญะได้มากขึ้น แต่ยังไม่มากถึงขั้นมีสัมปชาน(ความรู้สึกตัวต่อจากสัมปชัญญะสูงขึ้นไปอีก) จึงไม่มีภูมิรู้ถึงขนาดจะ "รู้ความจริง" ถึงขั้นแยก "ภพ-ภูมิ" ออก ว่าตนเอง ณ บัดนี้ (สัมปติ) อยูู่ใน "อรูปภพ" หรืออยู่ใน "กามภพ" หรืออยู่ใน "รูปภพ" ผู้นี้ก็จะยังไม่มีภูมิสามารถรู้แจ้งในเรื่อง "ภพ" เรื่อง "ชาติ" หรือเรื่อง "อัตตา" ที่มี "อธิปัญญาสิกขา" ที่เจริญพัฒนาด้วยไตรสิกขาถึงขั้นเกิดสัมมาญาณพอรู้ได้

          เพราะคนผู้นี้ยังตกอยู่ใน "ภพ" นั้นด้วยอวิชชา ยังมี "วิชชา" หรือโลกุตรภูมิไม่ถึงขั้น จนสามารถรู้ธรรมะขั้นนี้ได้

          จึงไม่มีภูมิรู้พอ ว่าตนเองอยู่ใน "กามภพ" นะขณะนี้ หรือรู้ตัวเองว่า เป็นตัวเองตกอยู่ใน "รูปภพ" นะขณะนี้ หรือตอนนี้ ตนเองอยู่ใน "อรูปภพ" นะ เพราะยังไม่เรียน ยังไม่ได้ฝึกตนเพื่อรู้แจ้งเรื่อง "ภพ" ต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ขั้น "กามภพ" แถมยังต้องแยกเรียนรู้ "อบายภพ" ที่เป็นเบื้องต้นของ "กามภพ" ก่อนเสียอีก เป็นต้น แล้วจึงจะรู้แจ้งจริงใน "รูปภพ" และ "อรูปภพ" เป็นลำดับ ความรู้ในเรื่อง "ภพ-ชาติ-อัตตา" ยังไม่มีมากพอ จึงไม่สามารถรู้แจ้งจริงในความเป็น "ชาติ" เป็น "ภพ" โดยเฉพาะความเป็น "อัตตา" ต่างๆ

          "วิญญานัญจายตนฌาน" ขั้นที่ 2 ของ "อรูปฌาน" ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐินี้ ณ บัดนี้ จึงเป็น "อัตตา" อยู่ตามภูมิตน

          เพียงแต่ วิญญาณหรือภาวะธาตุรู้ของคนผู้นี้ รู้สึกตัวขึ้นมาจาก "เวทนา" หลับมาสู่ความเป็นตนเองเต็มสภาพของ "วิญญาณ" ของตนเอง จากที่ "จมดิ่ง " หลงดำฤษณา อยู่กับ "รสเสพ" นั้นแล้ว บัดนี้กลับมา "ฟื้นคืนความรู้ตัว" แล้ว

          ตอนนี้อยู่ใน "ภพ" ที่เรียกว่า "วิญญานัญจายตนภพ" ซึ่งมิใช่ "การดับภพ" แต่อย่างใด แต่กลับยิ่งสร้าง "ภพใหม่" ขึ้นมาอีกลึกลับไกลเวิ้งว้างออกไปจาก "ภพ" แห่งมนุษย์สามัญ จึงยิ่งลึกยิ่งลับจาก "ภพสามัญ" ของคนธรรมดาโลกเข้าไปอีก

          เมื่อได้ "ภพอรูป" ขั้นนี้ ผู้นี้ก็ "เสพภพ" นี้ต่อไป ซึ่งเป็นภพ "ที่ว่าง" (อากาส) แต่ขณะนี้อยู่ในฐานะของผู้ "รู้ตัวเอง" แล้วมี "วิญญาณ" อันเป็น "สัตว์โปปาติกะ" ของตน ทำงานเต็มสภาพแล้ว มีเวทนา -สัญญา-สังขาร ทำงานตามหน้าที่ของเจตสิก แต่ “วิญญาณ” ก็เป็น “ธาตุรู้” ที่อวิชชาอยู่ในภวังค์เท่านั้น ยังเป็นสัตว์(ยังไม่พ้นสังโยชน์) ที่ด่ำดิ่งใน “ภพของการเสวยความว่าง” นี้

          คือจมอยู่แต่ในภวังค์คือ ภพภายใน ไม่มีส่วนรับรู้เกี่ยวเนื่องกับภายนอกเลย ปิดสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย(กามทวาร)ทั้ง 5อยู่ แล้วก็ “รู้” เฉยอยู่อย่างนั้น

          ความว่าง(อากาส) ก็สว่างใสกว้างไกลไปไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตัง อากาโส) วิญญาณสิงสู่เสวย “ภพ” นี้อยู่ ก็ถือว่า นี่คือ ภูมิ “วิญยานัญจายตนฌาน” ของการปฏิบัติ “ฌาน” ในแบบนี้ ซึ่งผู้สร้าง “ภพ” นี้ได้สำเร็จ ก็กำลังเสพ “อากาส” หรือเสวยอารมณ์ว่างๆสว่างใสนี้อยู่อย่างภาคภูมิใจ

          ความเป็น “ภพ” คือ “ภพอาภัสสรา” หรือ “แดนแห่งความสว่างใส” นี้แหละ ซึ่งเป็น “ภพ” จริง เพราะไม่ได้ “ดับภพ” แต่อย่างใดเลย กลับสร้าง “ความสว่างใส” ขึ้นมาใส่จิตใจตนยิ่งขึ้น จึงยิ่ง “เกิดภพ” เพิ่มขึ้นเสียอีก เพราะยังอวิชชา ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นภพ-ชาติ จึงยังหลง “ทำให้เกิด” แทนที่จะ “ทำให้ดับ” และหลง “เสพภพแห่งความสว่างใส มีรัศมีซ่านแผ่ไปไกล” อะไรก็ว่าไป ตามที่พูดกัน ยืนยันกันอยู่ ซึ่ง “สร้าง” (นิมมิต=เนรมิต) ภพสว่างใสนี้ขึ้นมาจนสำเร็จได้ และรู้สึกเอาเองได้ ซึ่งเป็นความรู้สึกเป็นแดนที่น่าอยู่น่าเป็นน่ามี(ภวภพ)จริงๆ รู้สึกอย่างนี้อยู่จริงจิตของท่านผู้นี้จึงบรรลุความเป็น “อาภัสสราพรหม”

นี่คือ การบรรลุธรรมของ “เทวนิยม” หรือผู้สามารถเข้าถึง “แดนแห่งความสว่างใส ด้วยการนั่งทำฌานแบบหลับตาสะกดจิตเข้าไป “เกิดภพ” อยู่ในภวังค์หรือในองค์ของภพ

อาภัสรา” คือ ความสว่างใส ซึ่งตรงกันข้ามกับความมืด ที่ศัพท์บาลีว่า “กิณหะ” เป็น “อาการ” ของจิตใจที่รู้สึกอย่างนั้นอยู่จริงๆ เป็นเรื่องของ “นามธรรม” เองโดยเฉพาะแท้ๆ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ใช่เรื่องของวัตถุธรรมเลย

จึงยิ่งทำผู้ปฏิบัติตามแบบนี้ ลัทธินี้หลงซ้ำหนักเข้าไปใหญ่ว่า นี่แหละคือ “ปรมัตถ์” เพราะมันเป็นเรื่องของ “จิตเจตสิก” ล้วนๆ “อภิธรรม” แท้ๆ นอกจากจิตไม่เกี่ยวอื่นใดเลย มันก็จริง ไม่ขัดแย้งเลย  มันเป็นเรื่องของจิตในจิต แต่มันมีนัยสำคัญ ว่า แบบไหนเป็นไปเพื่อเพิ่ม “สมุทัย” หรือเพื่อลดละ “ภพ-ชาติ” ลดละภาวะกิเลสไปสู่ “นิโรธ”

          ถ้าเป็นทางรูปธรรมหรือวัตถุธรรม ความสว่างใสนี้ก็คือ สภาวะที่มันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติภายนอกจิตใจซึ่งเป็นภาวะภายนอกต่างหากจากจิตวิญญาณ(เป็นมหาภูตรูป) อย่างคนจะเอา “ตา” ไปสัมผัสมัน หรือ ไม่สัมผัสมัน มันก็เกิดของมันตามธรรมชาติของมัน ไม่เกี่ยวกับคนมันก็สว่างใสของมันเองอยู่แล้ว ตามความเป็นตัวของมันเอง นั่นคือ ความจริงของธรรมชาติ เป็นของแท้ทางรูปธรรม ฟิสิกส์รู้กันดี

          ถ้ามีใครมี “ตา” ไปสัมผัสมัน ก็เห็นว่ามันสว่างใสตามความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่ จะสว่างอย่างใดก็เห็นอย่างนั้น

          แต่ถ้าหลับตาก็ไม่เห็นความสว่างนั้น เพราะหากคนหลับตาลง ก็จะมีแต่ความมืด(กิณหะ) เท่านั้นในขณะหลับตาสนิท ย่อมไม่ได้สัมผัสกับความสว่างที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีแต่ความมืดตามสัจธรรมในขณะหลับตา นี่คือ ความจริงแท้ของสัจธรรม แม้ทางฟิสิกส์

          แต่ที่ใครก็ตามรู้สึกว่า มีความสว่างใสอย่างนี้บ้างหรือมีแสงสีอย่างอื่นบ้าง เกิดหรือมีอยู่ในขณะหลับตานั้นนั่นมันคือ “มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ” ซึ่งเป็น อุปาทานทั้งนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าตัวปั้นขึ้นเองพากเพียรทำขึ้นมาจนสำเร็จ จึงเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นหลอกตนเอง เป็นเท็จ(อลิกะ)แท้ๆ

          ผู้ยังไม่สามารถเข้าใจในสัจธรรมต่างๆเหล่านี้ ก็จะยังอวิชชาอยู่ ยังไม่รู้แจ้งใน “ความมี” ของสรรพสิ่ง และหรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความมีที่เป็นปรากฏการณ์หลอก” หรือยังไม่รู้แจ้งใน “ความไม่มี” ที่จริงแท้ ได้ถูกต้องกันง่ายๆ

          ส่วนอาภัสสรา หรือ ความสว่างใส ที่เป็นภาวะเกิดอยู่ในจิตใจของผู้ “ทำฌาน” แบบนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในภวังค์ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ขณะนี้ เพราะตามจริงมันไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นจริงตามที่วิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ ได้พิสูจน์ยืนยันแล้วว่า “ตา” มนุษย์ไม่สามารถรับแสงสว่างใสอย่างที่ภายนอกมีนั้นได้ แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่ตนสร้างขึ้นมาเองในจิตใจ เป็นปรากฏการณ์หลอกตนเองยังมีความไม่รู้(อวิชชา) ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดในขณะหลับตานั้นเป็นของเท็จ(อลิกะ) เป็นสมมุติธรรมเท่านั้น คือธรรมะที่จริงโดยสมมุติ หรือธรรมะที่รู้ร่วมกันแล้วยอมรับว่าจริงร่วมกันของคนหมู่หนึ่ง ยังไม่ใช่ความจริงขั้นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็น “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” เรียกว่า มโนมยอัตตา ซึ่งตนเองแท้ๆสร้างความสว่างใสนี้ขึ้นมาด้วยตนเองจนสำเร็จมาให้ตนหลงว่าจริง

          ไม่ใช่แสงสว่างใสที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแท้ เพราะโดยสัจธรรมนั้น ในความเป็นคนนั้นถ้าหลับตาลงสนิท แสงสว่างใส (อาภัสสร,ปภา,อาโลกา) ที่ว่านี้จะไม่ปรากฏให้สัมผัสเห็นแต่อย่างใด

 ผู้ใดเห็นแสงสีต่างๆไม่ว่าใดๆ อันไม่ใช่ความมืด (กิณหะ,กัณหะ) เมื่อหลับตาสนิท จึงเป็นของเท็จ(อลิกะ)


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:19:38 )

560219

รายละเอียด

19/2/2556 18:01:50 รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู...เรื่อง.เต็งสามเกิดได้ประชาธิปไตยคืนชีพ

 

19/2/2556 18:05:47 ตอนนี้ออกอากาศที่บ้านราชฯ รายการนี้ ที่ผ่านมามีคน sms มา มีอยู่รายหนึ่งส่งมามากข้อความ ส่งมาในรายการเมื่อวานนี้ถึง 207 ข้อความ เป็นความยาวถึง 4 หน้ากว่าๆ เป็นความอุตสาหะพยายาม ก็ต้องขอบคุณที่มาบอกแนวคิดของท่าน และยังมีการท้าทายให้อ่านออกรายการอีก ว่าพ่อครูไม่กล้าอ่านเพราะกลัวว่าคนจะหันมานับถือคน sms และจะไม่นับถือพ่อครู ซึ่งพ่อครูก็ไม่ได้ตีทิ้ง ได้ข่าวว่าเขาก็ไม่เอาขึ้นจอให้เพราะคนอื่นเขาจะไม่ได้ออกให้ พ่อครูก็คิดว่าถ้ามีเวลาจะอ่านสู่ฟัง แล้วจะวิจัยวิจารณ์บ้าง ผู้ฟังก็ตัดสินเอาเอง พ่อครูก็ได้รับประโยชน์ ผู้ที่ sms มาคือรหัส 8705 นั่นเอง...

 

19/2/2556 18:14:09 การออกมารวมตัวกันของประชาชนไทยเราที่มีความเห็นร่วมกัน เป็นประชาธิปไตยที่มีพลังอำนาจ ซึ่งเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เป็นแต่เพียงตอนนี้ยังเลือดไม่เข้าตา คนจึงยังไม่มารวมกัน พ่อครูบอกอย่าให้ถึงเลือดเข้าตาเลย ควรออกมารวมตัวกันใช้สิทธิ์

19/2/2556 18:15:42 ในการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยขั้น 4 หรือ 5

ขั้นแรก คือประชาชนออกมาประท้วงเลย แสดงตัวตนเลย 1 คน 1เสียง ล้านคนล้านเสียง จะเป็นการแสดงความเห็นใดๆก็ตามที่ประชาชนจะเอาอย่างใด ถ้าไทยเราออกมา 30ล้านคน ทั่วประเทศไทยเรา รับรองว่าจะแสดงประสิทธิภาพประชาธิปไตยของไทยเราอย่างลือลั่น บรรลือโลกเลย นั่นคือการแสดงออกประชาธิปไตยของประชาชนที่รู้สิทธิ์ในการแสดงออกเต็มที่ ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ หากินไปวันๆ ไม่เอาภาระ อย่างนั้นเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่เห็นแก่บ้านเมือง ไม่กตัญญูบ้างเลย เป็นคนชั่วจริงๆ ไม่ใช่ความดีงามเลย ทุกวันนี้บ้านเมืองเดือดร้อน

 

19/2/2556 18:18:57 ยืนยันว่า ชาวอโศก เราไม่ได้เดือดร้อน เราพึ่งตนรอด ทำมาหากินกันมีเกินกินเกินใช้ มีเศรษฐกิจพอเพียงถึงสาธารณโภคี กินใช้ของส่วนกลางร่วมกัน ทำงานสร้างสรรกันไป คนไหนเจ็บป่วย แก่ชรา หรือเด็กมากๆ คนพิการ หรือคนด้อยที่ช่วยตนไม่รอด เราก็อุ้มชูกันไป เลี้ยงดูกันไปจนกว่าจะตาย คนไหนแข็งแรงก็ทำเผื่อคนอื่น สร้างสรรสังคมไป นี่คือความสำเร็จของชีวิต เป็นหมู่กลุ่มที่ครบวงจร มีความเป็นอยู่ดี มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม ไม่ใช่คุยโม้โอ่อวด ใครจะต้องการพิสูจส์ความจริงก็เชิญมาพิสูจน์ได้ เป็นการประกาศธรรมะพระพุทธเจ้าที่คนเห็นดีด้วยก็มาปฏิบัติตาม อย่างมีวรรณะ 9 เรามีอัปปิจฉะ (มักน้อย) สันตุฏฐิ(ใจพอ) ถึงขนาดไม่ต้องมีบ้านช่องเป็นของตน หยูกยาก็ไม่ต้องเก็บกักตุนไว้ให้ใช้ของส่วนกลาง แต่ทางโลกเขาส่งเสริมให้กอบโกยแข่งกัน ให้มีมาก แต่เรามีน้อยก็พอ เราอสังสัคคะ เรารู้โทษของสวรรค์  รู้โทษของกาม  เราไม่ได้ทำเพื่อให้มีบริวาร หรือไปสร้างหมู่กลุ่มเพื่อล้มล้างหมู่ใด เราปวิเวกะ เรามีความสงบ อย่างโลกุตระ รู้จักโลกสมุทัยแล้วดับได้ มีโลกสมุทัยไปตามลำดับ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ โดยปฏิบัติอย่างมีสัมผัสเป็นปัจจัย เกิดวิญญาณผี วิญญาณเทวดา แต่เรารู้และเรามีจิตที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่โต่งไปในกามและอัตตา มีอุเบกขาถาวร

 

19/2/2556 18:26:25 เมื่อเราช่วยตนได้รอดตามฐานะ (เราทำอย่างประมาณ ไม่เตี้ยอุ้มค่อม) พ่อครูพาพวกเราไปช่วยสังคมภายนอกมากขึ้น เพราะสังคมส่วนกลางเขาเดือดร้อน เราเรียกว่างานสังคม หรืองานการเมือง พ่อครูพามาถึงขนาดนี้ทุกคนก็เห็นอยู่ว่ากระแสที่เป็นข่าวใหญ่ ที่สังคมเขาเห็นเป็นข่าวที่ลือลั่นตื่นตัวกัน ในแต่ละวัน คือข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

ทำไม่เขาตื่นตัว...ขณะนี้การเมืองของไทย มีคณะที่ยึดหัวหาดการเมืองไทยได้ เขามีค่ายกลมีคณะที่แข็งแรงไม่น้อยเลย ซึ่งเกิดจากประชาชนไม่แยแส ไม่เอาใจใส่ เขาจึงสร้างคณะได้แข็งแรง คนก็เลยชักท้อ จะมาทางรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี อย่าไปยุุ่งกันเลยกับการเมือง เป็นลูกศิษย์สุนทรภู่ ซึ่งเป็นความคิดที่เหลวไหล ซึ่งถ้าเราอยู่ในสังคม เราไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเราจะถ่วงสังคมด้วย อย่างเด็กอโศกที่ยังไม่รู้เรื่องราวมากแต่ก็ร่วมไม้ร่วมมือกับสังคมได้ หรือผู้ที่ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดมากเขาก็มีส่วนร่วมโดยไม่ได้ถูกครอบงำทางความคิด

 

19/2/2556 18:30:59 เมื่อการเมืองระดับชาติถูกเขายึดหัวหาดไปแล้ว มีเผด็จการทางรัฐสภา มีเผด็จการทางอำนาจปกครองเขาก็ได้ไปมากแล้ว ส่วนอำนาจทุนเขาก็ยึดได้เกือบหมดแล้ว มีนักการเมือง มีข้าราชการที่ถูกครอบงำแล้ว อย่างนั้นไม่ใช่อำนาจทางประชาธิปไตย แต่เป็นสิ่งที่ใช้วิธีการจัดตั้งขึ้นมาก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าพวกพลังเงียบที่มีสิทธิ์มีเสียงอยู่ ถ้าออกมาทำหน้าที่ที่ตนมีอำนาจ ออกมาถ้าไม่เห็นด้วย ที่เขาจะเอาแผ่นดินไปขาย เสียดินแดน เอาพลังงานไปซุกซ่อนตักตวงสู่พวกพ้อง แล้วให้ประชาชนรับกรรม ขึ้นราคาน้ำมัน มีผู้รู้เขามาเปิดเผย ก็ไม่มีคนกล้าออกมาแย้งก็แสดงว่ามันเป็นความจริง เขาก็เอาหลักฐานมาแสดงว่ามีพวกข้าราชการ นักการเมืองตกเป็นขี้่้ข้าเขา เพราะจิตไม่แข็งแรง มีความโลภ ขัดขืนไม่ได้ ต้องกินไปตามเขา มอบตนในทางผิด (นิปเปสิกตา) และยังมีกุหนา ลปนาด้วย โดยไม่มี นิปเปสิกตา (คือพยายามพากเพียรสู่ความดีงาม)

 

19/2/2556 18:35:18 เมื่อการเมืองระดับชาติแก้ไม่ได้ ที่เหลือก็มีการเมืองระดับท้องถิ่นในกทม. กทม.เป็นตัวอย่างซ้อนในประชาธิปไตยของไทย ที่คณะรัฐบาลก็พยายามยึดหัวหาดนี้อีก ถ้าเขายึดได้จะยิ่งหนักเข้าไปอีก ประชาชนทั้งหลายตื่นตัวมารู้ภัยร้ายนี้เถิด เราประมาทเขาดูถูกคนไทยถึงขนาดที่ว่า ส่งเสาไฟฟ้าลงเลือกตั้งก็จะได้รับเลือกตั้ง ซึ่งก็มีคนตื่นตัวว่า ถ้าไม่ถ่วงดุลเอาไว้ เขาก็จะกินรวบไปหมดเลย จะไม่มีอะไรเป็นของประชาชนจะตกในอำนาจเผด็จการสมบูรณ์แบบ ซึ่งก็มีกระแสเต็งอยู่สองเบอร์ เขามีกลเม็ดเด็ดพรายในการระดมเสียง ทั้งระดมโพล ระดมทุกอย่าง ส่วนฝ่ายค้านก็พยายามถ่วง ดังนั้นก็มีผู้มีปัญญาพยายามจะถ่วงมาลงคะแนนให้ฝ่ายค้าน พ่อครูก็เข้าใจ แต่พ่อครูเห็นว่าการเมืองไทยนั้นล้มเหลว ที่จะมาสู้กันด้วยเกมการเมือง มาเอาชนะคะคานกันอย่างกับเล่นเกม...พ่อครูจึงเห็นว่า มีทางออกคือ เต็งสาม ก็มองว่า ที่เขาจะเลือกเต็งสอง เพื่อถ่วงดุลเต็งหนึ่ง พ่อครูก็เข้าใจ ถ้าใครจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่มันไม่จบ มันเป็นการเล่นเกมการเมืองอยู่ตลอดเวลา พรรคไหนก็คือเหมือนกันคือมีนักการเมืองมาเล่นเกมการเมืองอย่างเดิม เรามาตั้งหลักใหม่ เลือกเต็งสาม ที่ไม่อยู่ในอำนาจของพรรคการเมือง อย่างเต็ง 1 หรือเต็ง 2 ก็อยู่ในเกมการเมืองน้ำเน่าอย่างเก่า ถ้าจะบอกว่าพรรคเต็งสองนี้ยิ่งไม่เอาอ่าว แล้วคุณจะไปเลือกทำไม คนเขาก็ยังว่าพรรคเต็งหนึ่งแม้โกงก็ยังดีกว่าอีก บางคนก็เห็นว่าเต็งหนึ่งเลวร้ายกว่าก็ได้ แต่พ่อครูว่าเรามาสร้างประชาธิปไตยดีกว่า มีคนค้านแย้งว่า จะเป็นการตัดคะแนนเต็งสอง แต่พ่อครูก็เห็นว่า มันสู้เต็งหนึ่งเขาไม่ได้หรอก ดังนั้น วิธีแก้ ...ให้คนที่จะเลือกเต็งสอง มาเลือกที่เต็งสามให้หมด ชนะเต็งหนึ่งแน่นอน สองต่อหนึ่งอันนี้มีหวังชนะแน่นอนกว่า อย่าไปคิดติดอยู่กับประชาธิปไตยเน่าๆอยู่อย่างเดิม

 

19/2/2556 18:43:21 เลือกผู้สมัครอิสระที่ไม่ตกภายใต้พรรคการเมืองเก่าๆ และเต็งสามนั้นก็ไม่ขี้เหร่เลย สอบได้ ทั้งในแง่ความสามารถและคุณธรรม สู้กับอีก 20 คนที่สมัครได้เลย พ่อครูเห็นว่าพวกคุณตกอยู่ในวัฏฏะวงจรน้ำเน่าเก่าๆ สมบัติผลัดกันชมอยู่เช่นเดิม แต่ก็เห็นใจผู้ที่เห็นอยู่อย่างเดิม แต่มันไม่จบ เราต้องออกมาสู่ประชาธิปไตยที่อิสระเสรี คนที่จะเลือกเต็งสองมาเลือกที่เต็งสามให้หมด ถ้าจะให้เต็งสองชนะเต็งสามนั้นคงยาก เขามีอำนาจรัฐ และที่สำคัญคือโกงเก่ง ทุจริตอย่างหน้าด้านเสียด้วย ให้ตัดใจเสีย อย่าเสียคะแนนทิ้งเสียเปล่า เอาคะแนนมาให้เต็งสามเสียดีกว่าไหม?  เหลืออีกแค่ 13 วันก็เลือกตั้งแล้ว ....เข้าโค้งสุดท้ายแล้ว เลี้ยวให้ดี เลี้ยวไม่ดีคว่ำ ยิ่งเร่งความเร็วด้วย ต้องเอียงให้มีมุมดี ไม่ล้มไม่ไถลด้วย

 

19/2/2556 18:48:42 พ่อครูทำงานไม่คิดเอาชนะคะคาน ไปแข่งขันเขา เราทำงานได้เพราะแพ้เขามาเรื่อยๆ แต่เรามีความก้าวหน้า เราชนะรายทาง ดูภายนอกหยาบๆแพ้ อย่างที่ออกไปชุมนุกับเสธ.อ้าย เราลงทุนลงแรง กางเต็นท์ได้ 9 หลังจาก 15 หลัง ยังไม่กางไม่หมดเลย แต่เห็นท่าว่าถ้าดันทุรังไปจะเสียมากกว่าได้ เราก็พอ แต่แค่นั้นก็ได้วัดค่าประชาชน วัดค่าของกระแสความยอมรับ เห็นความเลวร้าย ผิดกฏหมาย เห็นความโหดร้ายเลวร้ายของรัฐบาล ข้าราชการ ได้อะไรมากๆเลย ส่วนความจริงลึกทางจิตวิทยานั้นไม่แพ้เลย เป็นการชนะใจ ไม่ใช่ไปติดที่เอาแพ้ชนะคะคาน เรามีทั้งรุกทั้งรับทั้้งถอย เราก็เดินอย่างพอเป็นไป

 

19/2/2556 18:51:35 พ่อครูว่า ไม่ได้มาก ได้แต่น้อย ก็ไม่รังเกียจ ไม่ตะกละตะกราม อย่าให้เราขาดทุนเสียหายล้มละลาย เรามีอัตราการก้าวหน้าชนะรายทางอยู่ เช่นในหลวงตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เรามีขาดทุนแต่เราไม่ถึงขนาดเข้าเลือดเนื้อ หรือเราเสื่อมทรุดแต่อย่างใด แต่เรามีส่วนเกินส่วนเหลือสละให้เขาได้ แต่ถ้าคิดถึงราคาทุน เราขาดทุนจริงๆ(คิดทั้งค่างแรงงาน โสหุ้ยต่างๆ) เราคิดอย่างสุจริต แล้วมาดูของเรา เราไม่เอาแม้ค่าแรงงาน ถ้าเราตีค่าตัวเราเท่าไหร่เราก็เอามาลดให้คนอีก ...เราขาดทุนแต่อยู่ได้ เพราะเราไม่ได้ฟุ้งเฟ้อบำเรอตน เรากินใช้แต่พอเพียง เราขยันเสมอพากเพียงสร้างสรรได้เกินกินเกินใช้ เมื่อมารวมกันก็สามารถขาดทุนให้แก่สังคมได้ อย่างเราไม่ทรุดเสื่อม สามารถสร้างชุมชนให้เจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ

 

19/2/2556 18:55:34 เป็นแนวคิดการบริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง แบบบุญนิยม เกิดจากจิตวิญญาณ ที่ได้รู้จักกิเลส ลดกิเลสได้จริง และมีปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริงโดยชอบ(สัมมัปปัญญา) ที่พจจ.ท่านได้สั่งสอนให้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งเสื่อมสิ่งเจริญ พ่อครูก็ศึกษาตามพระพุทธเจ้าก็เห็นดีแล้วนำมาเผยแพร่แก่พวกเรา ก็ยังทำมาในเวลาสั้น 40กว่าปี สู้หัวเดียวกระเทียมลีบ และยังโดนต่อต้านหนัก จะเอาให้ตาย แต่ก็หัวแข็งพอได้แล้วก็เจริญมาได้นี่คือ ธัมโมหเวรักขติ ธัมจาริง (ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม) จะเอา วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 พุทธพจน์ 7 สาราณียธรรม 6 มาจับก็เป็นไปได้ ทำงานเกิดผลเกิดประโยชน์ต่อมหาชนเป็นอันมาก มีคนเห็นแย้ง ก็ให้ท่านไปตรวจสอบหมู่กลุ่มของท่านว่ามีความเป็นจริงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าหรือไม่? ให้ตรวจสอบดีๆเถอะอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิย้อนแย้ง และมีคำหยาบมาด้วยอีก

 

19/2/2556 19:04:42 ต่อไปเป็นการตอบปัญหา และประเด็น

 

19/2/2556 19:08:50 สมณะในอโศกปฏิบัติอย่างไรเพื่อบรรลุธรรม....ตอบ...อย่างที่พ่อครูบรรยายอยู่ทุกวัน ขยายความอยู่ตลอด เอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ซึ่งไม่มีอะไรขาดหกตกหล่นเลย แต่เรายังนำเสนอไม่ครบ

 

19/2/2556 19:10:02 พ่อท่านครับ อาหารคือสิ่งเสพติดไหมครับ.........ตอบ...ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก ผู้ที่เข้าใจโภชเนมัตตัญญูตา หรือมัตตัญญุตา จ พัตตสมิง อยู่ในจระณ 15 มีอปัณกปฏิปทา 3  มีตั้งแต่ศีล ต้องกำหนดให้ตรงตามกรอบที่เราจะประพฤติเริ่มแต่ศีล 5 ไม่ตายตัวตามแต่คน ส่วน  สำรวมอินทรีย์                    โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ต้องตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา สร้างจิตที่เป็นฌานเป็นสมาธิ คำว่าฌานแปลเอาอัตถะว่าคือความสงบ หรือแปลว่าการเพ่งเพื่อให้จิตสงบ ถ้าเข้าใจว่าเพ่งกสิณให้จิตสงบเป็นสมถะนั่นคือของฤาษี แต่ของพุทธนั้นคือการเพ่งเผาทำไฟฌาน เพื่อให้ลดกิเลสราคะ โทสะ โมหะ จนควบแน่น เกิดความแน่วแน่ ปักมั่น เรียกว่าสมาธิ ดังนั้นฌานจึงปฏิบัติให้เกิดสมาธิ ในสมาธิ มีสัมมาญาณ สัมมาวิมุต หรือมีนิโรธ กับญาณปัญญา (ในสมาธิมีญาณกับวิมุติที่เกิดจากการทำฌาน) ส่วนใหญ่จะสอนฌานผิดๆ อวดอุตรมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนที่ถูกต้อง อวดไปเลอะๆเทอะๆ จึงทำให้ศาสนาเสื่อม แล้วไปยืนยันว่าถูกต้องมันก็ฉิบหายสิ การเห็นฌานสมาธิก็เห็นต่างกันแล้ว อย่างที่เขาอธิบายกันพ่อครูก็เข้าใจ และทำมาแล้วด้วย

          คำว่าโภชเนมัตตัญญุตา ไม่ใช่แค่ประมาณอาหาร แต่ให้เรียนรู้กาม ที่มีมาในอาหาร ที่เราไปยึดติดชอบใจใน รูป รส กลิ่น สัมผัสที่มีในอาหาร มันเป็นการติดในกาม ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ปฏิบัติธรรมในเรื่องอาหาร จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด การปฏิบัติในเรื่องอาหารอย่างเดียวจะรู้ทั้งกามและอัตตา จะลดได้ถึงเป็นอรหันต์เลย แม้เป็นอรหันต์ก็ยังต้องกินอาหาร แต่กินอย่างไม่สุขไม่ทุกข์ กินตามได้ตามมีตามเป็น

          ถามว่าคือสิ่งเสพติดไหม? นั่นคือตัวการใหญ่เลย ถ้าหิวหรือความอยากนั้นคือความต้องการอย่างเป็นอัตตาชนิดหนึ่ง หรือเป็นกาม ที่ติดใน กามคุณ 5 ส่วนอัตตาคือตัวสุขภาพเสียบ้างเป็นต้น ถ้าเป็นความโหยที่ร่างกายต้องการจริงๆนั้นๆคือไม่ใช่กิเลส แต่เรื่องหยาบๆนั้นให้เรียนรู้เถอะ เริ่มจากให้กินเป็นมื้อเป็นคราว ตั้งแต่ สามมื้อ จะกินอะไรที่คิดว่าดีต่อสุขภาพก็กินเข้าไป กินแล้วลุกในที่นั่งแห่งเดียว ลุกจากที่นั่นกินหนึ่งมื้อแล้วอย่าไปกินอีก ไม่แม้แต่น้ำปานะ ก็กินให้เต็มที่ในสามมื้อ อย่ากินจุกจิก คุณจะได้เรียนกิเลสอย่างแท้จริง จะรู้ว่าเราติดกามคุณ ติดโลกธรรมอะไรต่อไปอีก

          ถ้าสามมื้อสบายก็ลดลงเหลือสองมือ แล้วเหลือมื้อเดียวต่อไป

 

19/2/2556 19:25:33 มีเพื่อนบ้านที่มารุกรานทั้งวัตถุและจิตใจ เคยปีนมาตัดต้นไม้ในบ้าน ปีนมาทุบลูกแก้วในบ้าน...พูดยั่วยุ...มาพูดว่า เราไม่เป็นที่ต้องการ ทั้งที่เขามาอยู่ได้แค่ 4-5 ปี เขาอายุ ไม่มาก อยู่กินกับคนอายุน้อยกว่าเป็นวัยรุ่น......ขอคำชี้แนะ.....ปรับใจอย่างไรไม่ทุกข์....ตอบ....ให้ตรวจตัวเองว่าเราไปแสดงอาการไปละลาบละล้วงเขาให้เขาไม่ชอบใจจนมารุกรานตอบโต้ ถ้าตรวจแล้วก็ยังเห็นว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรเรานะ ถ้าไม่มี เขาก็เป็นตัวกวนเราแน่....ก็ยังไม่อยากให้เข้าใจว่าเป็นกรรมเก่าคู่เวร ซึ่งพ่อครูเชื่อว่ามีจริง กรรมเก่า คู่เวรมีจริง แต่อย่างนั้นมันแก้ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเราแก้ได้..

1.เขาจะมาร้ายเราก็ทำดีต่อเขา แม้จะแจ้งความแล้วตำรวจก็เฉย ความจริงตำรวจไทยเก่งมีฝีมือแต่ไม่ค่อยทำ

2.ให้ข้อคิดว่าทำดีไปเถอะไม่เสียหลาย เราทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ แต่คุณทำดีมันเป็นความดีของคุณ ไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด

 

19/2/2556 19:32:28 ทำไมที่ทะเลธรรมจึงขายของแพงมาก ซึ่งชาวอโศกจะไม่ขายของแพงเกิน?....ตอบ ...ก็ให้ตรวจสอบปรับปรุงพัฒนากัน ถ้าขายของแพงเกินก็ขัดหลักการอโศก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้ปิดไปเลย

 

19/2/2556 19:34:01 ถ้ามีคนมาด่าเรา โดยเราไม่รู้เรื่องเลย เป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่?...ตอบ...เป็นได้ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่

          ถ้าเป็นกรรมเก่าก็เป็นการตอบแทนที่เราทำไม่ดีงาม เขาก็มาตอบแทน แต่มันเป็นกรรมใหม่ได้ คือคนที่เขาทำกรรมใหม่กับเรา ถ้าเขาเป็นคนชั่ว คือเขาเห็นเราเป็นคนไม่สู้คน แหยๆ ใครรังแกก็ยอม คนจิตใจเลวๆก็จะย่ามใจรุกเอาๆ เราก็ให้ทำดี ใช้ความดีชนะความชั่ว ใช้ความไม่โกรธเอาชนะความโกรธ เราเสียเปรียบนั้นเป็นบุญ ถ้าเราต้านไม่ให้เขาทำชั่วไม่ไหวเราก็ต้องยอม ต้านอย่างไม่ให้มีการทะเลาะตีกัน ถ้าเราห้ามกั้นไม่ให้เขาทำเลวร้ายไม่ได้ เขายังดันทุรังทำชั่ว ก็ต้องยอมให้เขาทำชั่วไป สรุปแล้วก็ต้องยอมให้เขาทำ

 

19/2/2556 19:37:06 พระพุทธเจ้าทำไมถึงบวช ทำไม่ถึงมีศาสนาด้วย ตอบ...พ่อครูยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าจึงตอบแทนพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าพ่อครูทำไม่บวช ...บวชคือสถานะของศาสนาพุทธที่จะทำงานได้เต็มที่ มีหลักเกณฑ์ ธรรมวินัยที่จะทำงานศาสนาได้เต็มที่ มีชีวิตให้คนอื่นเลี้ยงไว้ ท่านวางระบบไว้หมดแล้ว แม้พระพุทธเจ้าเองท่านก็มีบารมีที่จะมาบวช คือตอนเกิดมาก็มีพราหมณ์ทำนาย มีทำนายสองคติอยู่

7 คน แต่โกณฑัณยะทำนายว่าจะมาบวชคติเดียว  การมาบวชทำงานได้เป็นประโยชน์สูงสุด มีเอกสิทธิ์ แม้จะไม่ยอมรับ ไม่อยากเคารพแต่ก็ต้องยกให้ มีธรรมเนียม จารีต มีสมมุติสัจจะ มีสิ่งที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้มากมาย พ่อครูจึงไม่ยอมสึก พ่อครูไม่ได้ผิดจึงไม่สึก แต่ก็แพ้เพราะเขาเป็นคณะใหญ่ พ่อครูเล็กนิดเดียวก็แพ้ ก็ไม่ยอมสึก สรุปคือบวชเป็นฐานะของมนุษย์โดยเฉพาะบวชให้ได้จริงจึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์

ทำไม่ต้องมีศาสนา ต้องถามว่า ทำไมคุณต้องมีจิตใจด้วย เพราะศาสนาอยู่กับจิตวิญญาณ ศาสนาต้องกล่อมเกลาจิตที่เป็นประธานให้ไม่มีกิเลสจริง แล้วเข้าใจโลก ช่วยโลก มีโลกุตระ-โลกะวิทู-โลกนุกัมปายะ (คือตรีมูรติ)

          โลกุตระจิตคือเหนือโลก ทั้งโลกกาม โลกโลกธรรม โลกอัตตา มีการรู้ทันโลก และช่วยเหลือโลก เป็นประโยชน์ต่อโลก

          แม้แต่การเมืองที่มีขาเดียว คือไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน จะไม่สมบูรณ์ ในวันที่ 5 ธันวาฯ ประชาชนยอมรับว่าต้องมีพระเจ้าแผ่นดินที่ท่านมีทศพิธราชธรรม มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ คือพลังของพระสยามเทวาธิราช(คือความดีที่คุ้มครองดูแลประเทศ) เป็นสภาพจิตวิญญาณที่ช่วยเหลือโลกอยู่

 

19/2/2556 19:48:07 หากท่านไม่ยุ่งการเมือง อโศกจะมีคนมานับถือมาก .....ตอบ.....พ่อครูก็ใช้การประมาณไตรตรองทั้งสังคม ทั้งเขาและเรา ก็เห็นว่าที่ท่านปรารถนาดีไม่อยากให้ยุ่งการเมืองนั้น....พ่อครูพาทำนั้นไม่ได้ไปเล่นเกมการเมือง ไม่ได้ไปรับตำแหน่งหน้าที่อันใดเลย(แม้จะมีกฏหมายให้นักบวชรับตำแหน่งได้ก็ตาม)จะเป็นปุโรหิตอยู่อย่างนี้ เทศน์ฝากลมฝากแล้งอย่างวันนี้ต่อไป ไม่ได้ทำเพื่อให้คนมานับถือ ให้เป็นเจ้าลัทธิ หรือไปล้มล้างลัทธิใด พ่อครูทำงานการเมืองนั้นมีแนวลึกซึ้งมาก และงานการเมืองขณะนี้ไม่ได้เรื่องก็ถูก แต่เราได้เรื่องแล้วก็ไม่ใจดำก็ต้องไปช่วยคนที่ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าเราไปช่วยแล้วเราไม่ได้เสีย เราไปช่วยมาหลายงานเราก็มีแต่ได้ ทางโลกเขาก็ได้ เราก็ได้ เสียนี่คือเราเลว คือเราไปเอาลาภยศ ทุจริตแฝงเร้นอะไร เราก็ไม่ได้ทำ เราไปเสียสละเรามีแต่ได้ แต่ความกังวลความห่วงใยของคุณก็ของคุณมาก แต่เราเห็นอยู่ว่าเราไม่เสียหาย คุณเห็นว่าเราจะไปเป็นเบี้ยให้เขาใช้ก็พยายามระวังเข้าใจอยู่

 

19/2/2556 19:52:56 ถ้าคุณเสรีฯเป็นคนของทักษิณ ถ้าได้เป็นผู้ว่าฯแล้วเขากินรวบประเทศไทย....จะทำอย่างไร...ตอบ....ก็ดูว่าคุณเสรีฯไม่น่าจะไปเป็นพวกทักษิณ (มีคนว่าทักษิณฉลาดคงไม่ส่งคนมาตัดคะแนนเสาไฟฟ้าเขาหรอก) แต่ถ้าในอนาคตจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องขอยอมรับอย่างที่เคยช่วยทักษิณมาแล้วผิดพลาดไป (หมอเสมฯ ที่เสียชีวิตไปแล้วก็เคยผิดพลาดเหมือนเรา) ท้วงมาก็ดี แต่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอย่างที่ว่า

 

19/2/2556 19:55:31  คุณภายัพ บวชที่อินเดียก็ได้รับยศ....อย่างนี้ผิดไหม ปล.พระพยอมว่าไม่ผิด...ตอบ ก็ดูสังคมว่าผิดก็ผิด สังคมว่าไม่ผิดก็ผิด นี่ตอบโดยสมมุติ  แต่โดยปรมัตถ์ นั้นผิดแน่นอน อย่างพ่อท่านกว่าจะได้ตำแหน่งพ่อครูนั้นยาวนาน แต่เขามุบมิบกันให้เป็นไม่ถูกแน่ก็ดูไป ไม่ต้องไปดูไบ

 

19/2/2556 19:57:16 ได้ข่าวพระสันตปาปา ลาออกเขาพูดกันแง่ลบเราควรคิดอย่างไร?...ตอบ ไม่ต้องละลาบละล้วงเขาหรอก

 

19/2/2556 19:57:51 งานพุทธาฯมีการปฏิบัติอย่างไรบ้าง.มีกิจวัตรอย่างไร.....ตอบ....จะไปร่วมงานพุทธาฯได้ แต่บอกไว้ว่า งานนี้กินมือเดียว ไม่ใส่รองเท้า ถือศีล 8 จะทำได้ไหม ถ้าตั้งใจทำจริง ก็ยินดีต้อนรับ....

          ตื่นตั้งแต่ ตี 3 ครึ่ง สวดมนต์เลยตอนตีสามครึ่ง แล้วก็ฟังธรรมะ เสร็จประมาณ 6 โมง แยกย้ายใส่บาตร

          จากนั้นก็มีการบำเพ็ญคุณ ก็คือทำงาน ส่วนบำเพ็ญธรรมก็ทำตลอด ในชีวิตประจำวัน จะมีงานที่ต้องไปรวมตัวก็ไปทำ

          9 โมงเข้าศาลาฟังธรรม จนถึง 10-11 โมงเช้า แล้วแต่ จากนั้นก็ทานอาหาร นั่งเป็นแถว เหมือนให้อาหารไก่อาหารหมู ในขณะตักอาหารก็ปฏิบัติธรรม อย่าขี้โลภให้โภชเนมัตตัญญุตา อย่าไปหลงผีที่มีในอาหาร

          หลังอาหารก็พักผ่อน แล้วก็จะมีการบรรยายธรรม ในที่ต่างๆ ใครจะฟังก็ไป ใครจะพักก็พัก

          14.00-16.00 ก็ฟังธรรม ในตอนเย็นอาจมีกิจกรรมก็แล้วแต่

          18.00-20.00 ก็มีรายการภาคค่ำ จากนั้นก็พักผ่อนนอนหลับ

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 37 ทั้งปลุกเสกฯและพุทธาภิเษกฯ รวมสองงานเป็นครั้งที่ 74 ทั้งสองงานมีนัยคล้ายกัน เราได้ดีเพราะการอบรมธรรมอย่างนี้แหละ พ่อครูจะว่าการในทุกทำวัตรเช้า  และมีตอบปัญหาภาคบ่ายสองวัน ถ้ามีมาฆบูชาก็มีเทศน์ภาคค่ำอีก 1วัน นอกนั้นก็มีทั้งสมณะสิกขมาตุ ที่ว่าการ มีแซมด้วยอื่นๆการบ้านการเมืองบ้าง

 

19/2/2556 20:06:40 .....จบ...


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:22:36 )

560221

รายละเอียด

21/2/2556 18:06:36 รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู...เรื่อง..คนหลงพร่ำเพ้อธรรมผู้รู้ย้ำความจริง

 

21/2/2556 18:07:00  พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ เกริ่นว่า วันนี้ต้องของเวลาในการพูด อาจจะไม่ได้ตอบประเด็นอื่น เพราะ มีประเด็นที่คุณ 8705 หรือว่าอาจคือคุณ 4424 นั่นเอง เพราะสำนวนเหมือนกัน ที่ขยันส่งประเด็นมาทักท้วง ล่าสุดในวันจันทร์ที่  19 ในรายการสุขทุกข์ของชีวิต คุณ 8705 ก็ได้ sms มาเป็นจำนวน 207 ข้อความ เมื่อนำมาเรียงต่อกันให้ได้ความ ได้ถึง 4 หน้าครึ่งกระดาษ A4 ก็จะได้นำเป็นประเด็นที่นำมาอธิบาย เพราะความเห็นอย่างคุณ 8705 นี่จะมีอยู่มากในสังคม วันนี้ก็จะพยายามตอบ

 

21/2/2556 18:10:49 เริ่มต้นอ่านของคุณ 8705 ดังนี้

0888705xxx         โดยสัจธรรมแล้ว,รูปนามนั้นเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา แต่คนทั่วไปหาได้รู้ความจริงข้อนี้ไม่! เพราะเข้าใจแต่เพียงว่า..เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็คือเกิด ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็คือตายหรือดับ ซึ่งอันนี้เป็นความเข้าใจที่ยังหยาบอยู่! ต่อเมื่อได้ปฏิบัตตามสติปัฏฐาน4แล้ว จนเกิดวิปัสนาญาณเห็นความจริงของรูปนามว่า..เกิด-ดับสืบต่อกันอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดลงได้เมื่อใด! และเหตุนี้เอง,พุทธเจ้าจึงตรัสว่า เมื่อบุคคลเห็นความเกิดของโลก(หมายถึงเห็นขณะที่เกิดรูปนาม) ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว ฉะนั้นความเห็นว่าไม่มี..ย่อมจะไม่ปรากฏขึ้น(=นะ โหติ) อธิบายว่าเมื่อบุคคลเห็นขณะที่รูปนามเกิดอยู่..จึงย่อมไม่ปรากฏความเห็นว่าไม่มี(ตัวตน) และพุทธเจ้ายังตรัสต่อว่า เมื่อบุคคลเห็นความดับของโลก(หมายถึงเห็นขณะที่ดับรูปนาม) ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว ฉะนั้นความเห็นว่ามี..ย่อมจะไม่ปรากฏขึ้น(=นะ โหติ) อธิบายว่า เมื่อบุคคลเห็นขณะที่รูปนามดับไป..จึงย่อมไม่ปรากฏความเห็นว่ามี(ตัวตน) ฉะนั้นจึงสรุปตามที่พุทธเจ้าตรัสได้ว่า เมื่อบุคคลได้เห็นทั้งความเกิดของโลกและได้เห็นทั้งความดับของโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว ฉะนั้นความเห็นว่าไม่มี ก็ดี และความเห็นว่ามี ก็ดี ทั้ง2ความเห็นนี้ย่อมจะไม่ปรากฏขึ้น(=นะ โหติ) อธิบายว่า เมื่อบุคคลได้เห็นทั้งขณะที่รูปนามเกิดอยู่และได้เห็นทั้งขณะที่รูปนามดับไป หรือกล่าวคือ..ได้เห็นตลอดที่รูปนามนั้นเกิด-ดับสืบต่อกัน ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว นั่นเอง และเมื่อนั้น,จึงย่อมไม่ปรากฏทั้งความเห็นว่าไม่มี(ตัวตน) และย่อมไม่ปรากฏทั้งความเห็นว่ามี(ตัวตน) กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อบุคคลได้เห็นโลก(ทั้งความเกิด-ความดับ) ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลนั้นย่อมจะไม่ปรากฏ(นะ โหติ)ความเห็นว่าไม่มีตัวตน และทั้งไม่ปรากฏ(นะ โหติ)ความเห็นว่ามีตัวตน ด้วย! หรือคือ..ทั้งความเห็นว่าไม่มีตัวตนก็ดี และทั้งความเห็นว่ามีตัวตนก็ดี ทั้ง2ความเห็นนี้..ย่อมจะไม่ปรากฏขึ้น(=นะโหติ)ในบุคคลผู้ที่ได้เห็นโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงนั้นแล้วฉะนั้น,ซึ่งความเห็นทั้ง2 ที่ว่า1.ไม่มีตัวตน(นิรัตตา)ก็ดี และ2.มีตัวตน(อัตตา)ก็ดี ทั้ง2ความเห็นนี้..จึงย่อมเป็นความเห็นที่ผิดจากความเป็นจริงด้วยกันทั้งคู่! ฉะนั้น,พุทธเจ้าจึงเริ่มนับจากปัญญาที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดทั้ง2(ไม่มีตัวตน,มีตัวตน)นี้ว่า..เป็นสัมมาทิฐิ! โดยเรียกปัญญาที่เห็นอนัตตา(เพราะปฏิเสธความเห็นผิดทั้ง2คือทั้งนิรัตตา,ทั้งอัตตา)นี้ว่า..อุทัพยญาณ! (อันนับเป็นญาณที่4ในวิปัสนาญาณ16 นั่นเอง) เพราะเปรียบญาณที่เริ่มเห็นสัจธรรม..ก็เหมือนกับแสงอาทิตย์อุทัย นั่นเอง ฉะนั้น,จึงยังต้องปฏิบัตสติปัฏฐาน4เพื่อเจริญวิปัสนาญาณต่อไปอีก และลำพังเพียงปัญญาสัมมาทิฐิแค่ขั้น(ญาณ4)ที่เห็นอนัตตานี้..ยังไม่พอที่จะประกอบสัมมาสมาธิอันประกอบขึ้นด้วยองค์7ได้หรอกนะ,มหาโพธิรัก!!!แต่ถึงอย่างไร..แม้ว่าญาณขั้นเห็นอนัตตานี้จะเป็นวิปัสนาญาณขั้นต้น! ก็ตาม แต่ก็ยังกล่าวได้ว่า..หากว่าบุคคลใดถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้ง151ปี แต่ไม่เคยเห็นอนัตตา ยังประเสริฐสู้บุคคลที่เห็นอนัตตาแม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ไม่ได้เลย! สรุปเรื่องของเรื่องก็คือ เป็นเพราะพธร.เอง..ยังไม่เคยเห็นอนัตตา! ฉะนั้นถึงแม้จะเปิดตำราอธิบายแล้ว..ก็ยังอธิบายไม่ค่อยจะถูก เล่นเอาสาวกบริวารงงเป็นไก่ตาแตก! แต่สะเออะอยากจะเป็นดอกเตอ อาจง อาจารย์ (แต่ระวัง! คนฟังอาจอาเจียร) ซึ่งถ้าหากว่า..พธร.เป็นผู้รู้จริงแล้วละก็ การอรรถาธิบายธรรมะ คงจะเรียงไปตามลำดับโดยไม่สับสนวกวนอย่างนี้! จงดูอย่างเราซิ ทำไม?เราจึงสามารถเรียบเรียงธรรมะSMSให้คนอ่านแล้ว เข้าใจง่าย! นั่นก็เพราะว่าเรารู้จริง..ถึงมีปัญญารู้จักอธิบายเรียบเรียงไงล่ะ! จนพธร.ไม่กล้าเอามาอ่านออกรายการ! เพราะกลัวว่าเมื่อเราอธิบายได้ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ถ้าขืนยังเอามาอ่าน..มีหวังสาวกบริวารเมื่อได้ฟังและเข้าใจแล้ว ก็คงจะตีจากพธร.ไปเป็นแน่! หรืออย่างน้อย..ก็ทำให้พธร.เสียหน้าได้! แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ที่เรามิได้อธิบายธรรมะขั้นที่สูงไปกว่าอุทัพยญาณ(ที่เห็นอนัตตา)นี้ นั่นเป็นเพราะว่าเราดูแล้วว่า แม้เพียงแค่ขั้นอนัตตานี้ พธร.ก็ยังเข้าใจไม่ได้เลย! แล้วจะไปอธิบายขั้นที่เห็นอริยสัจจ์4 พธร.จะเข้าใจได้อย่างไรกัน! ทั้งนี้ก็เพราะว่า..พธร.ยังคงติดอยู่กับอัตวาทุปาทาน จึงแยกไม่ออกระหว่าง3คำคือ1.อนัตตา(=ไม่ใช่ตัวตน) 2.อัตตา(=มีตัวตน) 3.นิรัตตา(=ไม่มีตัวตน)และเมื่อไม่เข้าใจ3คำนี้ว่าแตกต่างกันอย่างไรแล้ว..จึงย่อมทำให้พธร.เข้าใจคำอื่นๆ(ที่มีพื้นฐานไปจาก3คำนี้)ผิดไปหมด!!! เช่นว่าโอปะปาติกะ,โอฬาริกะอัตตา,มโนมยอัตตา,อรูปะอัตตา,สูญญตา,สมมุติ,ปรมัตถ์,โลกียะ,โลกุตระ,นิพพาน เป็นต้น สรุปว่า..พธร.ต้องลองหัดทำความเข้าใจง่ายๆก่อนแล้วกัน เช่นว่า เมื่อบุคคลทำผิดกฏหมายแล้ว ถามว่า..บุคคลนั้นจะสามารถตัดสินความผิดของตนได้ด้วยตนเองหรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่ เพราะหากว่าตัดสินเอง..ก็ย่อมจะลำเอียงเข้าข้างตนเองได้ ฉะนั้นจึงต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสินเท่านั้น ถึงจะยุติธรรม! ฉันใดก็ฉันนั้น,เมื่อบุคคลทำบาปอันใดแล้ว บุคคลนั้นจะตัดสินเองได้หรือว่า ที่ตนเองต้องมีทุกข์ก็เพราะว่าได้ทำบาปอันนั้น! แล้วจะต้องลงโทษตนเองอย่างไร..ถึงจะเหมาะสมกับบาปที่ทำอันนั้นด้วย! ซึ่งแน่นอนว่าความลำเอียงเข้าข้างตนเองนี้ ย่อมจะเป็นอุปสรรคในการตัดสินโทษของตนว่าผิดหรือไม่! จะป่วยกล่าวไปใย..ถึงการที่จะสามารถลงโทษตนเองได้! ฉะนั้น,ด้วยหลักการให้ผลของกรรมอันเป็นอจินไตย..จึงไม่ต้องไปสงสัยเลยว่า ทำไม?ถึงต้องมียมบาลมาเป็นผู้ตัดสินและลงโทษสัตว์นรก..ก็เพราะเพื่อความเที่ยงธรรมนั่นเอง! ฉะนั้น,คงจะไม่ใช่เหมือนฝันไปตามที่พธร.จินตนาการคาดคะเนเอาเองอย่างแน่นอน! เพราะถ้าหากว่า มีแต่สวรรค์ในอก นรกในใจแล้ว..เขาจะสร้างคุกไว้ทำไม?ให้เปลืองงบประมาณ! แต่พธร.เองก็ยังมีบุญอยู่นะ..ถึงได้มีเราแจกแจงธรรมะชี้ทางสว่างให้ แต่สำหรับอริยะท่านใดที่สูงกว่าเราแล้ว คิดว่า ท่านนั้นคงวางไปแล้ว..จะไม่เสียเวลามาตอแยกับพธร.ดอก! และขอย้ำว่าที่เราส่งSMSบ่อยๆนี้..ก็เพื่อให้เป็นกระจกเงาสะท้อนภาพจริงของพธร. เพราะพธร.ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ร้าย แต่กลับเข้าใจผิดว่าตัวเองหล่อเหมือนพระเอก! จึงหวังว่า..วันหนึ่งภาพของปีศาจควายคงจะปรากฏชัดขึ้นในกระจกให้พธร.ได้เบิ่ง! พุทธทาสเป็นคนแรกที่สอนว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริงอย่างที่คนโบราณเชื่อถือกันมานมนาน โดยอ้างว่านรกสวรรค์แท้จริง,หมายถึงสภาวะจิตต่างหาก! เลยทำให้พวกปัญญาชนหัววิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นรกอยู่แล้ว..พากันนับถือพุทธทาสกันใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะพุทธทาสเป็นพวกนักตรึกนักคิด! อ่านพตปฎ.แล้วก็อวดฉลาดตีความเอาเอง และบังเอิญว่าคำสอนที่ปฏิเสธนรกสวรรค์นี้..ถูกจริตกับคนสมัยนี้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นปัญญาชน เพราะเห่อเหิมแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว..จึงดูหมิ่นคนโบราณหาว่าเป็นพวกโง่เขลา เพราะเดี๋ยวนี้เขาไปกันถึงดาวอังคารแล้ว ทำไม? ยังหลงงมงายเชื่อถือสวรรค์นรกอยู่ได้! และโดยเฉพาะพวกที่ทำบาปหนักๆ เช่นนักธุรกิจโกงเมือง ยิ่งไม่อยากให้มีขุมนรกใหญ่ เพราะถ้าขืนมีขุมนรกจริง..ก็กลัวว่าตัวเองจะต้องไปชดใช้กรรมในนรก! และยังพวกนักบวชสายปาราชิกอีก ที่ชอบอวดตัวเป็นอรหันต์ ก็จะชอบเทศน์ปลอบใจตนเองบ่อยๆ..ว่าสวรรค์นรกไม่มีจริงๆหรอก! เพราะคงเป็นแค่ธัมมาธิษฐานเท่านั้น ซึ่งเมื่อคำสอนของพุทธทาสที่ว่านรกสวรรค์ไม่มีจริงนี้ ได้รับความเชื่อถือจากพวกปัญญาชนและนักธุรกิจโกงเมือง พธร.ก็เลยเอาอย่างบ้าง โดยสอนว่าคนเราพอตายแล้วก็เหมือนหลับฝันไปเท่านั้น ถ้าฝันดีก็เป็นสวรรค์..ถ้าฝันร้ายก็เป็นนรก! สรุปว่าพุทธทาสกับพธร.เหมือนกัน คือเป็นพวกนักตรึกนักคิด..ที่ตีความพตปฎ.ตามใจชอบ และสุดท้าย2คนนี้ คาดว่าก็คงจะไปนั่งตีความกันต่อในนรกขุมใดขุมหนึ่งเป็นแน่แท้! แต่พธร.ก็ยังเป็นเหมือนพระโปธิละในสมัยพุทธกาล..ที่ถูกพุทธเจ้าตำหนิว่าเป็นโมฆะบุรุษ! สาเหตุก็เพราะว่า..พระโปธิละเรียนมากรู้มากเสียเปล่า!          แถมเป็นอาจารย์อีกด้วย..แต่ตัวเองกลับปฏิบัตไม่เป็น! เพราะดันไปเปิดหมดทั้ง6ทวาร..โดยหวังจะเปิดรับผัสสะทั้ง6 จนต้องให้เณรอรหันต์มาสอนว่า..ต้องปิดเสีย5ทวาร ให้เหลือไว้แต่เพียงทวารเดียวคือใจ! ถึงจะสามารถดักจับเจ้าตัวกิเลสได้! และเมื่อพระโปธิละยอมละทิฐิ..ปฏิบัตตามที่เณรสอนได้ ไม่ช้านานก็ได้บรรลุอรหันต์ ซึ่งเรื่องของพระโปธิละนี้ พธร.ควรจะดูเป็นต.ย.แล้วเลิกยึดมั่นสมาธิลืมตาเปิดรับผัสสะทั้ง6ได้แล้ว ก็ยังอาจมีโอกาสบรรลุอรหันต์กับเขาได้บ้าง เพราะมิเช่นนั้น..ก็ยังไม่พ้นโมฆะบุรุษอยู่ดี ลำพังเพียงอาศัยตีความพตปฎ.เก่ง..ไม่อาจทำให้บรรลุอะไรได้หรอก! จึงขอเตือนมาด้วยความหวังดี และขอเพิ่มกาลามะสูตรให้อีกข้อหนึ่งว่า การที่มีสาวกบริวารมาเชื่อถือเรา นั่นก็มิได้หมายความว่า เราจะเป็นผู้บรรลุธรรมจริง! เพราะดูได้จากสาวกบริวารที่นับถือนิกร,ยันดะ,พุทโธ,ธัมมะชโย ล้วนแต่มีจำนวนมากด้วยกันทั้งสิ้น และขอให้พธร.อย่าได้เหมือนกับคนที่แบกหินมาไกล พอมาเจอทอง ก็ไม่ยอมสลัดทิ้งก้อนหินลง..เพราะเสียดายที่อุตส่าห์แบกมาไกล! คือหมายถึงว่า เมื่อเหตุผลสู้เขาไม่ได้ ก็อย่ากลัวเสียหน้า! ให้ยอมละทิฐิแต่โดยดี เหมือนกับที่พระโปธิละยอมให้แก่สามเณร สรุปว่ายังไม่สายเกิน กว่าจะถึง151ปี..ยังกลับตัวทัน! สาธุฯในหลักกาลามะสูตร มีข้อหนึ่งบอกว่า อย่ารีบเชื่อ..แม้ว่าผู้พูดจะคือเราตถาคต! ที่ทรงตรัสเช่นนี้..มิได้หมายความว่าธรรมะของพุทธองค์จะผิด,ก็หาไม่! แต่ที่จำต้องตรัสไว้ ก็เพราะว่า..การรีบเชื่อพุทธเจ้าเลย จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด! เพราะต้องไปปฏิบัตด้วยตนเองก่อน ถึงจะเกิดปัญญาเห็นธรรมได้ และเมื่อนั้น,ก็จะเชื่อพุทธเจ้าไปเองโดยปริยาย ฉันใดก็ฉันนั้น..ที่ในกาลามะสูตร ก็มีอีกข้อหนึ่งที่บอกว่า อย่ารีบเชื่อ..แม้ว่าจะตรงกับหลักตรรกศาสตร์!(=หลักแห่งเหตุผล)ก็ตาม ซึ่งที่ตรัสไว้เช่นนี้ ก็มิได้หมายความว่า หลักตรรกศาสตร์จะผิดแต่ประการใด,ก็หาไม่! แต่เพราะทรงเป็นห่วงว่า ถ้าหากได้ข้อมูลมาไม่ครบบริบูรณ์ แล้วขืนนำข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นี้ มาวิเคราะวิจัยด้วยหลักตรรกศาสตร์ละก็..แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ ย่อมจะไม่ตรงกับความเป็นจริง! เช่นเรื่องเทวดาเป็นต้น ก็เพราะว่า..เทวดานั้น,ไม่ได้เห็นกันทุกคน แต่เห็นได้เฉพาะบางคน ดังนั้นคนที่มองไม่เห็นเทวดา ก็จะค้านทันที! แถมยังกล่าวหาด้วยว่า คนที่เห็นเทวดานั้น เป็นเพราะมโนมยอัตตาปั้นรูปเทวดาขึ้นมาเอง! ซึ่งที่เขาสรุปว่าเทวดาไม่มีจริงเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่า เขาใช้หลักตรรกศาสตร์ในการตัดสิน นั่นเอง แต่บังเอิญว่า ข้อมูลที่เขามีอยู่นั้น ยังไม่พอ! ที่จะนำตรรกศาสตร์มาใช้ตัดสินได้ และนี่แหละคือสิ่งที่พุทธเจ้าเป็นห่วง! เพราะธรรมดา,แม้ว่าคนเราจะมีอินทรีย์ถึง6 แต่คนส่วนมากใช้ได้จริง! ก็แค่5 คือตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย ดังนั้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ใจนั้นเป็นอินทรีย์พิเศษทีสามารถรู้แจ้งธรรมารมณ์ทั้งหลายได้อย่างไรบ้าง! เช่นเห็นรูปทิพย์เทวดาได้ หรือฟังเสียงทิพย์ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพราะคนส่วนมาก มีจิตไม่เป็นสมาธิ จึงทำให้ใจ(มนินทรีย์)นั้น บกพร่อง! ไม่อาจทำหน้าที่รู้แจ้งธรรมารมณ์ เลยเป็นเหตุให้ไม่สามารถเห็นเทวดาได้ นั่นเอง และในบรรดาคนเหล่านี้ ถ้าเป็นคนหัวอ่อนหน่อยเพราะยังมีศรัทธา ก็ย่อมจะเชื่อครึ่ง-ไม่เชื่อครึ่ง! ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่เป็นผู้มีศรัทธา จึงมักเป็นคนประเภทนี้ ถึงชอบพูดกันบ่อยๆว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่! แต่ถ้าเป็นคนจำพวกหัวแข็งโป๊ก! เพราะไม่ค่อยจะมีศรัทธาสักเท่าไร แถมยังเป็นเลินเนทแมนอีกที่เก่งวิเคราะทฤษฎีแต่ภาคปฏิบัตไม่เอาอ่าว! จึงชอบที่จะตีความพตปฎ. ให้เข้ากับทิฐิของตน ฉะนั้นคนจำพวกเจ้าทิฐิ(=ลัทธิ)นี้ ที่ยืนยันเฉพาะความคิดเห็นของตนเท่านั้นว่าถูกต้อง! จึงต้องขัดแย้งกับคนอื่นอยู่เสมอเช่นเมื่อตนมองไม่เห็นเทวดา ก็เลยใช้ตรรกศาสตร์แบบผิดๆว่า เมื่อตนไม่เห็น ก็แสดงว่าเทวดาไม่มีจริง! ฉะนั้นถ้าคนอื่นไปเห็นเทวดา ย่อมแสดงว่าเป็นภาพลวงตา หรือเป็นเพราะมโนมยอัตตาปั้นรูปเทวดาขึ้นมาเอง หรือถ้าได้ยินใครเขาพูดว่า เมื่อนั่งสมาธิหลับตาแล้ว แลเห็นแสงสว่าง! ก็จะโต้แย้งเขาว่า เป็นเพราะมโนมยอัตตา จินตนาการสร้างมโนภาพแสงสว่างขึ้นมาเองหาใช่แสงสว่างจริงๆไม่! โดยอ้างหลักวิทยาศาสตร์แบบโง่ๆว่า เมื่อหลับตาแล้ว,จะไปเห็นแสงได้ยังไง แล้ววิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกรึว่า คลื่นแสงมีหลากหลายชนิด บางชนิด,ตาเรามองเห็นได้ แต่บางชนิด,ตาเรามองเห็นไม่ได้ เช่นคลื่นแสงอินฟาเรดเป็นต้น อย่างในเวลากลางคืนที่เราคิดว่าไม่มีแสงนั้น นั่นเพราะว่าตาของเรามองไม่เห็น แต่แท้จริงแล้ว,แสงนั้นยังมีอยู่ โดยมาจากดวงดาวหลายล้านๆดวงในเอกภพ แต่ว่ามาจากที่ไกล จึงทำให้คลื่นแสงชนิดที่เรามองเห็นได้ มีพลังอ่อนจนไม่พอที่จะเห็นได้ แต่ว่ายังมีคลื่นแสงอีกหลากหลายชนิดที่สามารถใช้กล้องพิเศษเช่นกล้องอินฟาเรดเป็นต้น ถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ ซึ่ง=เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แสงมีอยู่ตลอดแม้ในเวลากลางคืน! เพราะถ้าไม่มีแสงแล้ว จะถ่ายรูปติดได้ยังไง! ฉะนั้นการที่นั่งสมาธิหลับตา แล้วเห็นแสงสว่างได้ จึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกแต่อย่างใด!เพราะการเห็นแสงได้นั้น ใช่ว่าจะต้องเห็นได้ด้วยตาอย่างเดียว เพราะหากว่าเป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้วก็สามารถเห็นแสงที่มีอยู่แล้วได้เช่นกัน แต่มิใช่เห็นด้วยตาเนื้อธรรดา แต่เป็นการเห็นได้ด้วยมนินทรีย์คือใจ! เพราะว่าใจนั้นพิเศษยิ่งกว่ากล้องอินฟาเรดเป็นไหนๆ อย่างเช่นพระอนุรุทธที่สามารถมองเห็นได้3พันโลกธาตุ ก็เห็นได้ด้วยใจนี้แหละ! แต่เพื่อเทียบกับการเห็นด้วยตา จึงเรียกว่าจักขุทิพย์ นั่นเอง ฉะนั้นถ้าพธร.ยังไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ดีแล้ว..ก็อย่าซี้ซั้วพูดดีกว่า! เพราะวิทยาศาสตร์,ยังบอกอีกว่า เมื่อ13,700ล้านปีมาแล้ว ตอนเกิดBigBang..ก่อนที่จะเป็นเอกภพอย่างทุกวันนี้ ซึ่งBigBangได้ระเบิดออกมาจาก0..กลายเป็นหลายหมื่นกาแลคซี่ ในแต่ละกาแลคซี่ยังกอร์ปไปด้วยดวงอาทิตย์หลายแสนล้านดวง แต่ละดวงอาทิตย์ก็ยังกอร์ปด้วยดาวบริวารคือดาวเคราะห์ใหญ่นับสิบๆดวง+บริวารดาวเคราะห์น้อย อีกหลายหมื่นดวง โดยยังไม่นับพวกดาวหาง เนบิวล่า หลุมดำ ฯ สรุปแล้วก็คือนับไม่ถ้วน! แต่ถึงฉะนี้,วิทยาศาสตร์ก็ยังบอกอีกว่า ในเอกภพที่กอร์ปไปด้วยสสารและพลังงานนี้ คาดว่า..มีที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถสัมผัสได้เพียงแค่4%เท่านั้น เพราะยังคงมีสสารและพลังงานที่มนุษย์เรายังไม่สามารถจะสัมผัสได้ แม้จะด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆก็ตาม..ยังเหลืออีกตั้ง96% และนี่แหละคือสิ่งที่พุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า..อจินไตย! ฉะนั้นจึงไม่ต้องไปสงสัยให้มาก! เช่นว่าวิมานเทวดาสูงตั้ง500โยชน์ มาได้ยังไงกัน? ก็ขนาดจาก0แท้ๆ..ยังระเบิดออกมาเป็นเอกภพอันแสนมหัศจรรย์พันลึกได้ถึงปานนี้! โดยที่ดาวแต่ละดวงก็ยังมีกฏทางฟิสิคที่แตกต่างกันด้วย! หรือแม้ดาวบางดวงเป็นเพชรทั้งดวง ก็ยังมี! ฉะนั้นซึ่งความอัศจรรย์เหล่านี้ แม้ว่าจะมีบุคคลที่ฉลาดกว่าไอสไตน์ตั้งล้านเท่า!.ก็ไม่สามารถจะวิเคราะห์วิจัยหาเหตุผลที่มาได้หรอก! รวมทั้งที่มาของวิมานเทวดาสูง500โยชน์ด้วย! ทั้งนี้ก็เพราะว่า..เรื่องของเอกภพดวงดาว(+โลก)ก็ดี,หรือเรื่องการให้ผลของกรรม(เช่นวิมานเทวดาสูง500โยชน์ฯ)ก็ดี..พุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ล้วนอจินไตย..ที่ไม่ควรคิดควรนึก(หาเหตุผลใดๆ)ทั้งสิ้น ฉะนั้นพุทธเจ้าจึงทรงสอนเฉพาะแต่เรื่องดับทุกข์เท่านั้น! โดยเรียงลำดับคำสอนตั้งแต่ทาน,ศีล,เนกขัมมะ(=สมาธิตั้งแต่ขณิกะ,อุปจาระ,ถึงอัปปนา) และสติปัฏฐาน4อันเป็นหนทางเดียวที่จะให้เกิดปัญญาเห็นธรรม(คืออริยสัจจ์4)ได้! เท่านั้น โดยให้เลิกคิดนึกหาเหตุผลในเรื่องอจินไตย เช่นเรื่องกำเนิดโลก+ดวงดาว(BigBang) หรือเรื่องการให้ผลของกรรม เช่นวิมานเทวดาสูง500โยชน์ เป็นต้น เพราะล้วนเป็นเรื่องที่สูงเกินจินตนาการของมนุษย์! ถ้าไปคิดนึก(หาเหตุผล)แล้ว..อาจเป็นบ้าได้! แต่ที่พุทธองค์จำต้องเอาเรื่องภพของเทวดาและขุมสัตว์นรกมาชี้แจง..ก็เพราะว่าเป็นข้อมูลที่มีอยู่จริง! จำเป็นที่ผู้มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้าพอที่จะไปโลกุตระได้..จะได้ใช้อาศัยภพสวรรค์นี้เป็นอุดมคติที่ไป แต่ถ้าเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ก็จะเลือกปฏิบัตสติปัฏฐาน4 คือเห็นก็สักแต่ว่าเห็น,ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน,..,รู้แจ้งธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่ารู้          แจ้งธรรมารมณ์ ฉะนั้นจึงเห็นชัดว่า แม้พุทธเจ้าเองก็ยังต้องแบ่งการสอนเป็น2 คือ1.ทางไปสู่สุคติภพคือภพมนุษย์,เทวดา,พรหม 2.ทางไปสู่โลกุตระภูมิคือภูมิโสดา..ถึงอรหันต์ แต่เป็นเพราะพธร.งี่เง่าไม่รู้จริงในคำสอนของพุทธองค์ ฉะนั้นพธร.จึง(ต้องสะเออะ)มั่วสอนธรรมะ! โดยบังคับเอาแต่โลกุตระเท่านั้น เพราะเข้าใจผิดนึกว่าภพเทวดาเป็นของเก๊! แถมยังซาโตริผิดอีกด้วยว่านิพพานเป็นปัจจุบันธรรม! สรุปว่าพธร.น้ำชาล้นถ้วย! เอวังฯ

 

ตอบประเด็นคุณ 8705

          พ่อครูได้เริ่มต้นวิจัยวิจารณ์ว่า...........ที่คุณ 8705 ว่า รูปนามเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลานั้น” ขอถามว่า ในขณะนั่งหลับตาอยู่ในภวังค์ จะมีรูปอันคือ มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 (อุปาทายรูป) ตรงไหน? ที่คุณ 8705 เห็นมันเกิด มันดับ อย่างที่พูด มีมหาภูตรูป 4 ได้ยังไง? ในเมื่อหลับตาแล้ว ยิ่งถ้าเข้าไปอยู่ในภวังค์ได้สนิท ไม่รับรู้ทางทวาร 5 ข้างนอกแล้ว ...แสดงว่า ที่พูดนั้นเป็นตรรกะทั้งนั้น มีแต่วาทกรรมที่ผูกขึ้นจากเหตุและผลเท่านั้น ต้องขออภัยต่อคุณ 8705 มากๆนะ ที่จะขอวิจัยวิจารณ์ด้วยหลักธรรมะมากหน่อย เพราะอาตมาไม่ค่อยเก่งที่จะใช้แต่ความรู้ตนเองอธิบายได้

ทีนี้มาว่ากันต่อ เมื่อ “รูป” อันคือ มหาภูตรูป 4 มันไม่มีให้คุณเห็นในขณะนั่งหลับตาอยู่ในภวังค์ ที่คุณว่า คุณเห็น รูปนามเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา นั้น คุณก็เห็นแต่ “นาม” เท่านั้น ในเมื่อคุณ 8705 ไม่เห็นพูดถึงมหาภูตรูปบ้างเลย คุณปฏิเสธปฏิบัติลืมตา แต่อาตมาไม่ได้ปฏิเสธปฏิบัตินั่งหลับตานะ อาตมาก็ยังอาศัยนั่งหลับตาทำสมาธิซึ่งมีอุการะมาก ใช้ประโยชน์ได้อย่างน้อยก็เตวิชโช เพียงแต่อาตมายืนยันว่านั่นไม่ใช่ทางเอก ไม่ใช่เอเสวะมัคโค ไม่ใช่เอกายนมัคค แต่คุณ 8705 สิ คุณไม่ได้เห็น “มหาภูตรูป 4” หรือคุณลึกละเอียดกับเรื่องของ “รูป” ที่เป็นอุปาทายรูปก็ดี หรือ “รูป”ที่เป็น “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”แค่ไหน

  ดังนั้น ตรรกะที่ยืนยันว่า นี้เป็นความจริงคุณ 8705 จึงเป็นแค่อัตตวาทุปาทาน 100% และแถมใช้วาทกรรมคาดคะเน ยกเอา “ความเดา”ของตนเองมาเปรียบเทียบ โดยตู่อาตมามีความรู้แค่เห็นว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่คือ  “เกิด” ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ก็คือ “ตาย”หรือ “ดับ” เพื่อให้คนฟังเห็นว่า อาตมารู้แค่หยาบๆเท่านี้ ที่จริงอาตมาก็ไม่ได้เป็นคนเฉลียวฉลาดอะไรดังที่คุณว่า ก็จริงอยู่ แต่ที่คุณว่าอาตมารู้แค่นั้นนั่นหนะ นั่นผิดนะ อาตมาพอรู้เรื่อง “การเกิด-การตาย”มากกว่าที่คุณตู่นั้นอยู่บ้าง

    คุณ 8705 นี่ จะจัดอยู่ในลักษณะ “อัตตวาทุปาทาน” ได้ไหมน้อ! .. นั่นคือ ยึดได้แค่คำพูดเท่านั้นว่า เป็นอัตตา คนแบบนี้ๆนี่แหละล้วนคือ “นักเดา” นักคาดคะเน หรือนักตรรกะ ทั้งนั้น ไม่ว่าสายปัญญาหรือศรัทธา ซึ่งเป็นชาวเทวนิยม

ถามอีกทีว่า  “รูป”ที่คุณ 8705 ยืนยันว่า ความรู้ที่คุณรู้นี้เป็นความจริง  “รูป”ที่ว่านั้นเป็นความจริงอย่างไร คุณสัมผัส “เห็น”รูปที่เป็นมหาภูตรูป 4 จริงๆหรือ? อย่างแสงอินฟาเรด แสงเอกซเรย์ แสงเลเซอร์ คุณจะสัมผัสได้อย่างไร? ขณะที่คุณอยู่ในภวังค์ มีมหาภูตรูปให้คุณสัมผัสได้อย่างไร ในเมื่อคุณหลับตา ปิดทวารภายนอกทั้ง 5 หมดอยู่อย่างนั้น และยิ่งตัดความรู้สึกไม่รับรู้ทางภายนอกทั้ง 5 ได้สนิทเข้าไปรับรู้ได้อยู่เฉพาะในภวังค์อีกด้วย แล้วคุณจะรู้ “รูป”ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดๆว่า คือมหาภูตรูป ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีตาสัมผัสรูป ไม่มีหูสัมผัสเสียง เป็นต้น ที่คุณว่า คุณรู้โดยสัจธรรมแล้ว  “รูปนาม”นั้นเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่คุณหลับตาตกอยู่ในภวังค์ แล้วมหาภูตรูป 4 มีให้คุณรู้ตรงไหน หรือแม้ “นาม”ที่คุณจะรู้ว่ามันเกิด-ดับ ก็ต้องเป็น “นาม”ที่เป็น “นามรูป” ซึ่ง “นามรูป”ก็คือภาวะรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 ที่เรียกว่าอุปาทายรูปอยู่ดี ...คุณ 8705 พูดโก้ว่า “รู้ความจริงนี้อยู่ตลอดเวลา”เสียด้วยนะ

ภาวะอย่างนั้น “รูป”มีให้คุณ “สัมผัส”รู้จริงอยู่ตลอดเวลาที่ไหนกัน? เพ้อเจ้อแท้ๆ ก็ไม่รู้ตัว ขณะนั้นคุณ 8705 ไม่ได้ “ผัสสะ”หรือสัมผัสมหาภูตรูป 4 ใช่ไหม?การปฏิบัติสัมมาสมาธินั้นต้องมีการผัสสะทางทวารทั้ง 6  อย่างคุณ 8705 มีทั้งอุทเฉททิฏฐิ(อัตตาไม่มีแล้วจะเอาที่ไหนไปปฏิบัติ) และมีทั้งสัสตะทิฏฐิ

การรู้ความจริงที่เป็นปรมัตถ์นั้น ต้องรู้อย่างมีผัสสะ คุณ 8705 อย่าเถียงพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้นฟังท่านบ้าง เพราะจะ “เห็น”(ปัสสโต) ความเกิดแห่งโลก ซึ่งก็คือการเห็นกามราคะอันเป็น “สมุทัย”ของโลกขั้นต้น จึงจะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว กามราคะนั้นคือ กิเลสในกามภพนะ ที่ต้องกำจัดเป็นเบื้องต้น แล้วจึงจะลึกเข้าไปถึงขั้น “เห็น”รูปราคะต่อไป และ “เห็น” อรูปราคะขั้นสังโยชน์ระดับปลาย ก็ต้องมีตาสัมผัสรูปหรือมีทวาร 5 ภายนอก ซึ่งก็คือการเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง ที่สัมผัสของจริงอยู่โทนโท่ในขณะนั้นทีเดียว แล้วจะรู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงมีความปรากฏให้รู้ให้เห็นว่า “มี”คืออย่างไร ซึ่งจะต้องปฏิบัติเพื่อให้ถึงขั้นกิเลส “ไม่มี” และที่สุดรู้เห็นว่าภาวะ “ไม่มี”คืออย่างไร

ความมี คือ ภาวะความเกิดขึ้นหรือเกิดอยู่ ก็ “เห็น”(ปัสสโต)ความเกิดนั้นๆอยู่โทนโท่ ว่า “ความเกิด” คือ  “มี”  ..ยิ่งเห็น “สมุทัย”แห่งความเกิด และยังไม่ได้ “ดับ”สมุทัยนั้น หรือยังดับสมุทัยยังไม่หมดสิ้นถึงขั้น “ไม่มี” มันก็คือ ยัง “มีกิเลส”เหลืออยู่ ก็รู้แจ้งในตนว่ายัง “ไม่มี”โลกนิโรธ หรือยัง “ไม่มี”ความดับแห่งโลก

จนกระทั่งสามารถปฏิบัติถึงขั้นทำ “ความดับแห่งโลก”ได้สำเร็จ จึงชื่อว่าเป็นผู้ “มี”ความดับแห่งโลก(มีโลกนิโรธ) นี่แหละคือ คนผู้ไม่มีภาวะที่ควรไม่มี

ความไม่มี คือ ความดับ ก็ “เห็น”(ปัสสโต)ความดับนั้นๆอยู่โทนโท่ว่า ความดับ คือ ไม่มี ..จึงเป็นผู้เห็นความไม่มีอยู่โทนโท่ ว่า  “ไม่มี”หรือ “ดับ”อยู่ๆๆๆ
              “เห็น”ว่า เราดับอัตตานั้นๆได้สนิทแล้ว ไม่มี “ัตตา”นั้นมาวนเวียนอยู่ในจิตอีกแล้ว จิตจึง “ไม่มี”โลกสมุทัยได้สำเร็จแล้ว เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว นั่นคือ  “เรามี..ความไม่มี” อยู่ทั้ง 2 สภาพ  จึงไม่ได้ยึดมั่นทั้ง “ความมี” และ “ความไม่มี” และไม่ได้เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสอง

เพราะคนผู้นี้เห็น “ความมีในโลก”(โลเก อัตถิตา จนถึงขั้นโลกนิโรธ) เมื่อทำให้ “สมุทัย”ของตนจนกระทั่ง “ไม่มี”(น โหติ)ได้แล้วในตน คนผู้นี้ย่อมไม่มี(น โหติ) ตามความเป็นจริง ด้วยประการฉะนี้

คุณ 7805 พอจะฟังแล้ว ใช้ตรรรกะตามไหวมั้ย มันอาจจะไม่ง่ายๆตื้นๆ อย่างคุณพูด หรืออย่างที่คุณต้องการเท่าไหร่ เพราะที่อาตมาพูดนี้มันไม่ใช่แค่ตรรกะ มันมีความลึกซึ้ง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ยากที่จะเข้าใจได้ คัมภีราอยู่จริง ซึ่งเห็นตามได้ยาก ทุทฺทส ซึ่งรู้ตามได้ยาก ทุรนุโพธ เป็นเช่นนั้นอยู่จริง

ที่คุณ 8705 สร้างวาทกรรมมานั้น ฟังได้ว่า เป็นตรรกะ เป็นเหตุผลของภาษาที่ร้อยเรียงให้ดูมีเหตุมีผลแต่ตามปัญญาของอาตมาที่มีไม่มากนักเห็นว่า ไม่มี “เนื้อ” ของสภาวะอะไรเลย ไม่มี “ความปรากฏ”ที่จริงทั้ง “ความมี”และ “ความไม่มี”ให้เห็นด้วยปรากฏการณ์ในตนทั้ง 2 สภาพ ขออภัยถ้าอาตมาจะว่า คุณมีแต่จินตนาการแท้ๆ โดยเฉพาะทั้งจินตนาการใน “ความมี” และ “ความไม่มี”ที่เป็นมหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 เพราะคุณพูดตัดทิ้งความรู้แจ้งเห็นจริงที่มี “สัมผัส”ภายนอกไปเสียสิ้นแล้ว เอาแต่นั่งหลับตาอยู่ในองค์ของ “ภพ”ภายใน ...ไม่มีภพภายนอกอาศัยรู้ด้วยเลย แล้วคุณจะเอา “ภาวะของจริง”ที่ไหนมารู้ความจริงที่เป็นจริง

พวกสายสว่างก็คือธรรมกาย ก็คือมโนมยอัตตา สายดับ คือสายนั่งหลับตาแบบดับมืด กิณหะ เขามีกันจริงและก็ติดยึดกันมานาน สิ่งเหล่านั้นเป็นมโนมยอัตตา เมื่อมีปัญญาเข้าใจแล้วก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องส่วนสุดทั้งสองด้าน คือ มีหรือไม่มีก็ไม่ไปหลงกับมัน

เพราะตามปัญญาของอาตมาเท่านั้นนะ อาตมาว่า คุณ 8705 แยกรูปแยกนาม ออกจากกันยังไม่ได้ ยังไม่มีลักษณะของปัญญาหรือญาณแม้แต่ “นามรูปปริจเฉทญาณ”คือ ปัญญาอันพิเศษที่สามารถรู้โดยสัมผัสว่า อย่างนี้ๆ คือ “รูป” อย่างนี้ๆคือ  “นาม” เป็นการกำหนด “รูป” กำหนดนามได้  (พ่อครูยกตัวอย่างลูกชำมะเลียงที่ตั้งบนโต๊ะ พอตาเราสัมผัสรูปชำมะเลียง เราก็จะเกิด “วิญญาณ” แต่คุณไม่ได้เห็นรูป แล้วจะเกิด “วิญญาณ”อย่างไร อย่างมากก็คือการนึกเอา เอา “สัญญา” ดึงขึ้นมาดูในจิต ซึ่งลูกชำมะเลียงมีรูปดูดี แต่รสชาติฝาด สิ่งที่จะเรียนรู้จากรูปมีตั้งแต่กามราคะ คนที่มีกามก็จะเกิดกาม แต่พระอนาคามีท่านเห็นรูปเหมือนกัน แต่ท่านไม่มีกิเลส แต่ท่านก็ยังมีอยู่ คือมี “ความไม่มี” แล้วเราควรอยู่กับความมี หรือความไม่มี เราควรไม่มีกิเลสตลอดกาล แต่มีร่างกายไว้อาศัยเลี้ยงชีพ อย่างลูกชำมะเลียงก็กินเพื่อเลี้ยงชีพ ท่าน “ไม่มี” แต่ท่าน “มี” (มีอาหารชำมะเลียงไปใส่ร่างกาย) แต่ท่านไม่ติด ท่านไม่มีกาม ถ้าท่านมีจิตที่เด็ดขาดถึงขั้นไม่ติดไม่ยึดแล้ว ก็กินอย่างไม่ติด อาจเหมือนคนติดได้เลย ท่านมี “สัจจนุโลมมิกญาณไ และก็ใครไม่จริงก็จะเป็นสัมปชานะมุสาวาสก็บาปของคนๆนั้น) และมีปัจจยปริคคหญาณ”สามารถแยกรู้ กำหนดรู้เหตุ รู้ปัจจัยที่มีสภาวะที่มีจริงเป็นจริง ถึงขั้นมี “สัมมสนญาณ”ที่สามารถรู้ทั้งความเกิดและความดับได้ หรือเริ่มจากตามเห็นความไม่เที่ยง ไม่เป็นอยู่อย่างคงที่ ไปถึงตามเห็นความเป็นทุกข์ แล้วจึงจะตามเห็นความดับ หรือความไม่มีตัวตนนั้นๆจริง นี่คือความละเอียดลึกซึ้งปราณีตถึงขั้นนิพพาน เป็นเรื่องเฉพาะบัณฑิตเท่านั้นที่รู้

คุณ 8705 พอจะชี้ว่า “รูป”ว่า “นาม” แยกกันออกชัดๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นามคือ เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง เจตนาบ้าง ผัสสะบ้าง มนสิการบ้าง โดยเฉพาะชี้ว่า “รูป”คือ มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นั้น คืออย่างไร เป็นอย่างไร คุณ 8705 แจกแจงได้บ้างไหมล่ะ อย่าทำเป็นว่า สามารถล่วงรู้ถึงขั้น อุทยัพพยานุปัสสนาญาณเลย (ที่คุณ 8705 เรียกว่า อุทัพยญาณ(ที่เห็นอนัตตา)นั่นเอง) แค่ตามเห็นความจริงของรูปของนามด้วยอนุปัสสี 4 ก็ให้มีปรากฏการณ์จริงให้ได้เถิด

สูงกว่านั้นคือ “ภังคานุปัสสนาญาณ” คือเห็นความเสื่อมสลาย จะมีปัญญา ความเฉลียวฉลาดว่าไปยึดทำไม ไปถึง “ภยตูปัฏฐานญาน” คือเห็นความน่ากลัว ไปถึง “อาทีนวานุปัสสนาญาณ” คือเห็นโทษภัย แล้วจะมี “นิพพิทานุปัสสนาญาณ” คือญาณที่ตามเห็นความจริงตามความเป็นจริง แล้วจะมี “มุลจิตุกัมยตาญาณ”....คือญาณที่ปลดปล่อย อย่างไม่ได้กดข่ม อย่างวิกขัมภนปหาน แต่คือญาณที่เห็นแจ้งรู้จริง มีการทำฌาน อย่างเป็นไฟปัญญา ที่ไปเผาผลาญหักล้าง ไฟราคะ โทสะ โมหะ ที่ร้อน แต่ไฟฌานเหนือกว่า มีดีกรี ความแรงเหนือกว่าที่จะไปกำจัดไฟราคะ โทสะ โมหะ อย่างไม่ได้กดข่ม ทำลืม ทำบ่อยอย่างเดียว แต่นี่ก็ทำบ่อยแต่ทำบ่อยอย่างวิปัสสนา

การรู้รูปนามนั้นรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ซึ่งรูปนามนั้นพระพุทธเจ้าให้รู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ผู้ “เห็น”แจ้งตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จะ “เห็น”ทั้งความเกิด ปรากฏของตัวตน และความไม่ปรากฏตัวตนแล้ว ด้วยความเป็นจริง

วันพรุ่งนี้

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • อัลไซเมอร์กับผู้บรรลุธรรมต่างกันอย่างไร?..ตอบ...คำว่าอัลไซเมอร์คือสมองเสื่อม สัญญาเสื่อม ผู้บรรลุธรรมจะมีสัญญาที่จำได้ดีกำหนดได้ดี ส่วนอัลไซเมอร์นั้นกำหนดจดจำ สัญญาไม่ดี
  • การปฏิบัติวิปัสสนา ใช้อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วกำหนดให้รู้รูปนาม ไม่ใช่ตัวเรา ถูกไหม?? ...ตอบ.. จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องรู้ว่าตัวเรา คืออะไร มีอาการอย่างไร อาการยึดถือที่เป็นอัตตาในตัวเราเป็นอย่างไร มีอาการบ่อย มาก แรง จัดหนัก จัดเต็มอย่างไร เราก็ต้องรู้อาการนี้ในตัวเรา เมื่อเรามีญาณปัญญาก็จะอ่านรู้สิ่งเหล่านั้นในตัวเรา จะมีนามรูปปริเฉทญาณ อย่างนี้คือ ปัจจยปริคหญาณ หรือญาณที่รู้ความวน คือสัมมสนญาณ สูงกว่านั้นก็จะเห็นความเสื่อม เป็นอุทยัพยานุปัสสนาญาณ และจะรู้นึกถึงความเป็นลมๆแล้งๆเหมือนพยับแดด หยวกกล้วย เป็น ภังคานุปัสสนาญาณ....เป็นต้น
  • พลเรือตรีมินทร์ ว่า คนอายุน้อยก็จะเรียนรู้การเกิด ส่วนคนอายุมากก็จะเรียนรู้การตาย.......
  • “ภพ” ภาษาบาลีว่า “ภว” คืออะไร? ภวังค์กับหลับต่างกันอย่างไร?   ตอบ...คำว่าภพ อธิบายว่า คือแผ่นดิน คือสถานที่ (รูป) ส่วนนามธรรม คือที่ที่อยู่ ที่เป็นแดนเกิดแดนอยู่ มีความหมายว่า....ถ้าเราเข้าใจความเป็นภพ พระพุทธเจ้าแบ่งภพ เป็นสามภพ กามภพ คือแดนที่จิตเรามีการเกิดที่อาศัยทวารทั้ง 5 กระทบแล้วมีเรื่องเป็นเรื่อง คืออยากได้อยากมีอยากเป็น จนกว่าจะล้างกิเลสหมด ก็จะมีอวจร(คือมีชีวิตอยู่กับโลกเขา) แต่เราไม่มีการเสพกาม คือเรามีอยู่แต่ไม่มี
  • ตกภวังค์ หรือจมเข้าอยู่ในภพ คืออย่างไร?..ตอบ...คำว่าภวังค์คืออยู่ข้างใน อยู่แต่ในองค์ของภพ คือรูปภพ อรูปภพ ไม่เกี่ยวกับทวาร ทั้ง 5 ภายนอก เช่นคุณนั่งเหม่อ ไม่รับรู้ทั้งทางตา หู จมูก กาย ลิ้น ทิ้งภายนอกหมด อยู่ในภพข้างใน หรือพอหลับตาแล้วไม่รับรู้ตา ไม่รับรู้เสียง ไม่รับรู้ทางกาย ก็คือตกภวังค์ หรือคนสลบ คนหลับ ก็อยู่ในองค์แห่งภพ คำว่าภวังค์หมายถึงหลายลักษณะ แต่คำว่าหลับก็คือการหลับนัยเดียว การหลับก็อยู่ในภวังค์ การสลบ หรือตายก็อยู่ในภวังค์ ผู้มีภูมิอนาคามี แม้ลืมตาก็มีภูมิรู้อรูปภพ รูปภพ (โสดาฯก็ยังพอรู้แต่ไม่ชัด) อนาคาฯจะรู้ข้างนอก แต่ท่านรู้เหมือนไม่รู้ ท่านมีเหมือนไม่มี ท่านจะปรุงแต่งร่วมหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ท่านจะทำแต่สิ่งทีเป็นคุณค่าประโยชน์
  • การเรียนพระอภิธรรมจะต้องระวังจุดไหนที่จะเรียนผิด.....ตอบ...พ่อครูไม่ได้ไปเรียนอภิธรรม แต่ตอบว่า พระอภิธรรมท่านนำภาวะภายในมาเรียน และมีภาษามากมาย เรารู้ต้นๆหลักๆ รู้กามภพ จะรู้รูปภพ อรูปภพเลาๆ ดังนั้นเรามาศึกษา กามภพ เบื้องต้นคืออบายภพก่อน แล้วจะค่อยๆรู้ชัดในกามภพ รูปภพ อรูปภพต่อไป สรุปแล้วอย่าไปดูถูกอภิธรรม แต่อย่าไปหมกมุ่นอภิธรรม ให้เรียนไปตามลำดับทำตามลำดับ ถ้าไปเรียนก่อนจะไปหลงรู้แต่ลีลาภาษา แต่ไม่อ่านรู้สภาวะอาการจริงในตน ก็เรียนดู
  •  เด็กสส.ธ.ฝ่ายหญิงไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ.....ตอบ ถ้าเป็นการให้ข้อมูลก็ดี แต่อย่าให้เป็นการฟ้องการใส่ร้าย
  • คนที่เป็นศิลปินจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าคนปกติ เขามีอัตตามากใช่ไหม?....ตอบ...พ่อครูเป็นศิลปิน เรียนมาเรื่องนี้โดยตรง พ่อครูใช้ศิลปะมาทำงาน สามารถสร้างองค์ประกอบศิลป์ จนมีอำนาจเปลี่ยนแปลงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ได้
  • เราสามารถอุทิศบุญกุศลให้พ่อแม่ที่เสียชีวิตด้วยการสวดมนต์ได้ไหม? แล้วเราจะมีวิธีอุทิศส่วนกุศลอย่างไร?...ตอบ...  การอุทิศคือการเจาะจง คือการตั้งใจ อย่างคนจะสอนกัน คนที่จิตตกต่ำมีจิตเป็นเปรต สัตว์นรก ก็สอนให้เขาได้รับผลเจิรญ (ปรทัตตูชีวกเปรตคือเปรตที่ต้องอาศัยผู้อื่น คือต้องอาศัยผู้นำพาจึงจะมีการขัดเกลาเจริญขึ้นได้)  ถ้าตายไปแล้วไม่มีทวารรับได้ จะให้ข้าวของ หรือให้ธรรมะไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ เช่นฐานะที่ทำให้พ่อแม่หรือผู้มีบุญคุณ มันเป็นการให้การทาน เป็นสังคมสงเคราะห์เป็นคุณความดี แต่ในปรมัตถ์นั้นไม่ถึง คนตายไม่มีร่างกาย  จะมีก็แต่บุญบาปที่ตนเองทำก็ต้องรับของตน แบ่งกันไม่ได้ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมปฏิสนโณ แบ่งบุญบาปนั้นเป็นเรื่องเลอะเทอะ แต่ไม่ได้ไปทำลายสังคมศาสตร์ที่เขาทำกัน เขาไม่เอาปรมัตถ์ก็แล้วแต่ เขาก็ทำไปแค่ทาน เป็นการระลึกถึงคนตายก็ทำไป
  • อุปาทาน เป็นอดีต ตัณหาเป็นปัจจุบันใช่หรือไม่??  ตอบ...ก็พอได้
  • ลูกสาวเพื่อนจบป.ตรีจุฬาฯ ไปหลงเข้าธรรมกายกลายเป็นเด็กเนรคุณพ่อแม่จะทำอย่างไร?..ตอบ....ก็ค่อยๆให้ปัญญา เพราะเขามีกลวิธีหลอกล่อมากมาย ก็ให้ค่อยๆใช้ศิลปะหาทางให้ออก เพราะเวลาเขาคลั่งไคล้เขาไม่ให้พ่อแม่เลยเอาไปให้เขาหมด
  • เราทั้งหลายให้เป็นผู้คุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย ให้เป็นผู้ไม่ร่วมถือ ไม่แยกถือ หมายถึง?....ตอบ..ก็ไม่ไปถือทั้งรวบ และ แยก เช่นถ้าเห็นหรือได้ยินมาก็อย่าไปรวบไปถือ ให้พิจารณาให้ดีก่อน
  • ตั้งแต่ออกรายการหลวงปู่ไม่รู้สึกว่าอายหรือเขินหรือครับ?  ทำไมออกข้อสอบ ว.บบบ.ยากจังเลย....ตอบ...พ่อครูออกรายการทำสิ่งดีงาม ไม่ได้ทำเอาเงินทอง ลาภยศ ก็ไม่เขินไม่อาย ....และพ่อครูไม่ได้เป็นคนออกข้อสอบ.......จบ....................


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:23:56 )

560225

รายละเอียด

560225_ทำวัตรเช้างานพุทธาฯ ครั้งที่ 37  เรื่อง “ธรรมที่เป็นพุทธ” ตอน 1 โดยพ่อครู

ทำวัตรเช้า เป็นภาษาที่เป็นประเพณีในการบำเพ็ญธรรม มาต่อสู้ตั้ง ทางด้านศาสนาหมู่ใหญ่ท่านก็สวดมนต์เป็นหลัก ฟังธรรมแต่น้อย นอกจากบางที่ที่มีนักเทศน์ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ทำวัตรก็คือมาสวดมนต์ พค.เคยบวชอยู่ในวัดใหญ่ พอได้เวลาทำวัตรก็มาสวดมนต์ มีหลายบท เป็นการสวดสังคีติ ท่องจำไว้ ให้จำบทมนต์ไปเรื่อย ก็ได้ประโยชน์ที่มาร่วมกันมีใจที่มีกิจร่วมในกิจศาสนาที่จะบำเพ็ญธรรม แค่มารวมตัวกันก็ดีแล้ว มาปฏิบัติธรรม นั่งให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ให้นิ่ง ถ้าเฉยๆเรียกว่า meditation เป็นลัทธิเก่าแต่โบราณ เป็นบทต้นให้สงบ ก็มีผลดี ถ้ายิ่งมีอะไรเพิ่มขึ้นในพิธีการ อย่างพวกเรามีปลุกเสกฯพุทธาฯ จนมาถึงปีที่ 37 ก็ลงตัว มีสวดมนต์บาง แล้วก็มาฟังธรรมเป็นหลัก แล้วก็จะมีอื่นอีกมีสังวรศีล  มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา มีชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติจรณะ 15 เป็นสำคัญ ชาคริยาฯ เราต้องมีสัมปัชชัญญะ สัมปันนะ คือให้สติเราเป็นตัวต้น เรียกสติสัมโพชฌงค์ สติคือความรู้ตัว เป็นคำรวม ถ้าเราไม่ศึกษาต่อ ก็ไม่รู้ว่า สัปปัชชัญญะ สัมปฌานะคืออะไร ก็คือลีลาการต่อเนื่องจากสติ ที่มีการต่อเนื่อง สัมปัชชัญญะคือระลึกรู้ตัวต่อจากสติ รู้รอบในการสัมผัสสัมพันธ์ ทางทวาร รู้กรรมกิริยา ทั้งวาจา ซึ่งสังกัปปะคือพฤติกรรมองค์รวมของจิต ที่มีบทบาทแจกเป็น 7 อย่าง

              ถ้าไม่รู้จักสัมปปัชชัญญะ สัมปฌานะ สัมปัชระติ สัมปัตตะ....สัมปันนะ คือเข้าถึงการบรรลุธรรม ถ้าเรารู้ตลอดสาย ตั้งแต่เกี่ยวข้องสัมผัสทางทวาร 6 แล้วเราก็มีสัมปัชชัญญะรู้ต่อจากทวาร 6 รู้กิริยาข้างนอกที่กระทบสัมผัส แล้วเข้าไปต่อข้างในใจ รับรู้ ยิ่งรู้ไปถึงมีการวิจัยวิจาร มีการอ่านจิต ซึ่งอ่านภายนอกก็รู้ง่าย ว่ามิจฉาหรือสัมมา ทั้งวจีกรรมก็จะรู้ว่ามิจฉาหรือสัมมา สำหรับอาชีวะ เราก็จะวิจัยวิจาร ต่อเนื่องเข้าไปสู่ใจ ที่เรามีวิตกวิจาร วิจารคือความประพฤติ ทั้งภายนอกภายใน เราจะฝึกชวนจิตคือจิตที่แววไว เร็วไว ฝึกให้มันสัมผัสรู้ เสวยอารมณ์ทุกอย่างก็ต้องรู้

              สัมปฌานะ คือรู้รอบรู้ถูกผิด มีวิจัยวิจารให้รู้ รู้ว่าเป็นฌาน 1 คือจิตเราไม่มีนิวรณ์ ขณะใดเราไม่มีนิวรณ์คือเราทำฌาน ทั้งที่มีกระทบทางทวาร 6 ก็มีต่อเนื่องรับรู้ถึงภายใน คืออาศัยมหาภูตรูปแล้วต่อเนื่องเป็นมหาภูตรูป (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือรูป) คำว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็จะรู้ในใจเรา

สัมปชัญญะ   =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ    =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ    =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

 

              วิตกวิจาร ตัวแรกคือทำจิตเราไม่ให้มีนิวรณ์ 5 จะด้วยวิขัมภนะ กดข่ม หรือด้วยวิธีใดๆก็แล้วแต่ ไม่ให้มี กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจะ ก็ไม่มีเราก็สบายใจ มีปีติ สงบอยู่ มีเอกัคคตา ฌาน1 ก็ลืมตาเป็นแบบพพจ. ส่วนของหลับตาเขาก็ไม่ให้มีนิวรณ์ ก็ทำกันทั่วโลก เรียกว่า เจโตสมถะ แต่ของพพจ.ทำวิปัสสนา ปัสสะคือการเห็นโต้งๆอยู่ แล้วก็ทำให้จิตสงบมีสมถะเหมือนกัน มีปหาน  5 ก็มีกดข่มได้ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณสามัญ ที่เรียกว่ามารยาท เมื่อกระทบสัมผัส แม้คนอวิชชาก็มีมารยาท ก็มีการระงับได้ แม้ว่าจะมีอาการจิตว่า น่าแตะน่าทำอะไรออกไปเราก็ยังมีมารยาทก็กดข่ม โดยสัญชาติญาณทำเป็นปกติอันโนมัติ เป็นสัจจะก็เกิดอยู่ตลอดเวลา

              แต่เรามาเรียนรู้มันว่าเราเป็นไหม ซึ่งธรรมดาคนก็เป็นกันทั้งนั้น เราอยู่กับสังคมก็มีมารยาท มีกาม มีโทสะก็ระงับ ถ้ามันแรงก็ระงับนอกจากมันไม่ไหวก็ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ตามปรารถนาออกไปก็เป็นเรื่องจริง

              แต่เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้ว่าอันนี้ให้ระมัดระวังนะ เช่นที่เรากำหนดศีล 5 เราต้องลดละอะไรบ้าง มันจะเกิดอาการทางใจเมื่อสัมผัส แล้วกิเลสเกิด เราก็ต้องมีวิธีลดละ เรามีวิปัสสนา คือการมีสติแล้วปฏิบัติให้ครบจนเป็นวิมุติ ให้กิเลสลด จะวิขัมภนะช่วย แล้วมีวิปัสสนา พิจารณให้กิเลสลด แม้ระงับแล้วมันก็ยังเกิด เราก็พิจารณามันว่ามันไม่เที่ยง มันก็อยู่ได้นะ มันไม่เที่ยงแต่มันเบาบางลง แม้ชั่วคราว ก็ตทังคะ ถ้าทำได้ต่อเนื่องได้เร็วได้เก่งไวขึ้น จนเห็นได้อย่างเด็ดขาดคือสมุทเฉทปหาน เราสัมผัสกิเลสเกิด เราก็ทำให้ขาด ทำได้เร็วขึ้น ทำวิปัสสนาวิธี ส่วนตทังคะคือได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเอง ซึ่งมันเกิดดับเอง แล้วบอกว่าเห็นอนัตตาแล้ว อย่างนี้แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ตัวตน อย่างที่มีคน sms มาบอกว่านี่ไม่ใช่ตัวตน ก็เป็นแต่ภาษาที่เอามาถกกันเท่านั้น อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ ว่า ควอนตัมนั้นเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวต่อเป็นสายไม่เป็นแท่งก้อน แต่โปรตอนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนเป็นแท่งก้อน เขาก็เถียงกันอยู่

              แต่ของพุทธก็มีสิ่งที่เป็นตัวตน เรียกว่า อัตตา กำลังแสดงบทบาทเป็นเจ้าของใจเรา กำลังออกฤทธิ์ให้ทำตามมันเลยนะ มันยังมีอาการ แต่เราก็เห็นว่ามันก็ไม่เที่ยง ไม่คงที่ แม้จะมันบำเรอมันก็เดี๋ยวมันก็ดับ มีธรรมะหลายสายบอกว่าให้อยู่ไปเรื่อยๆ มันอยากอะไรก็ให้แล้วมันก็หยุด หนักเข้ามีสายกาม อยากเสพเมถุนก็ทำให้เต็มที่จนมันหยุด อยากได้ก็ให้มันทุกอย่างซักวันมันก็หยุด คนคิดแบบนั้นก็มี ซึ่งถ้าไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิก็ไปกันใหญ่

              เมื่อมาปฏิบัติจนเข้าใจสติ มีสติสัมโพชฌงค์ คือปฏิบัติตามมรรคองค์ 8 รู้ว่ามีการสัมผัสภายนอกมหาภูตรูปแล้วรู้เนื่องไปในมหาภูตรูป เป็นองค์ประชุมภายใน เป็นกายในกาย ตอนรู้ภายในตอนเริ่มต้นเป็นวิญญาณคือธาตุรู้ทั้งหมด แต่ที่ปรุงแต่งเร็วปุ๊ปนั่นคือการสังขาร

              พพจ.สอนให้รู้นามรูป (นามรูปปริฉทญาณ) ในปฏิจจสมุปบาทเรียกว่า นาม-รูป แต่ทั่วไปบอกว่าให้รู้รูป-นาม ซึ่งมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องรู้ว่า นาม-รูป คือนามธรรมที่ถูกรู้ คือการขยายวิญญาณนั่นเอง นามคืออะไรคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ส่วนรูปคือมหาภูตรูปและอุปาทายรูป (อุปาทายรูปคือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) เราต้องชัดเจนว่า เราต้องรู้ทั้ง นามและรูป

              ต้องรู้อาการมันว่า เวทนา มีอาการจิตอย่างไร สัญญามีอาการจิตอย่างไร ต้องกำหนดรู้ คือสติปัฏฐาน 4 คือการปฏิบัติเอาสติเป็นที่ตั้ง อย่างไร? คือพิจารณา รู้กายในกาย เวทนาในเวทน รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม ให้สติทำงาน ไปจนถึงอานาปนสติ รู้ว่ามีกายสังขาร รู้จิตรำงับ รู้จิตปรุงแต่งแล้วให้รำงับ

              กายในกาย คือการรู้ทุกอริยาบท แล้วต่อเนื่องไปเป็นอุปาทายรูป มีจิตสังขาร ให้ตามรู้ อนุปัสสี 4 ตามรู้ความไม่เที่ยง ความจางคลายกิเลส จนกิเลสดับ และมีการทำซ้ำทำทวนอยู่ตลอดเวลา

              เมื่อทำใจเราให้กิเลสลดละจางคลายได้ สติเช่นนี้เรียกว่าสติสัมโพชฌงค์ ทุกเวลาต้องทำสัมมาสติ ควบคู่กับมรรคทั้ง 7 องค์ ซึ่งสติก็แจกละเอียดได้อีกหลายภาวะ สรุปคือบทบาทลีลาของจิตที่ทำงานต่อเนื่อง แล้วสุดท้ายรู้แจ้งแทงตลอด มีสัมปันนะคือความสำเร็จ แล้วทวนตลอด เรียกว่าสตินำพาสู่การตรัสรู้คือ สติสัมโพชฌงค์ มีทุกอย่างครบหมด

              นี่เรียกว่ากระบวนการ หรือมนสิการของจิต ให้รู้ว่าเรามีสติถึงขั้นไหน แล้วพยายามให้มันยิ่งขึ้น ให้มีบทบาท แล้วเรารู้การทำของมัน มีการเผา(สัมปัชรติ) คือมีไฟฌานในการเผาทำลายกิเลสให้เบาบางจางคลาย นี่คือฤทธิ์แรงอุณหธาตุที่ไปทำลายกิเลส จนมีผลเรียกว่า สัมปันนะ แล้วทำทวนแทงตลอดใน คือสัมปัตติเวช ต้องมีสติที่ครบบริบูรณ์จึงบรรลุเต็ม

              ตอนนี้วิจัยธรรมะในกลุ่มของสติสัปปัชชัญญะ แล้วเอาไปทำ ตั้งแต่จิตมันเริ่มดำริ มีวิตรรกะ เราใช้คำว่าวิ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าวิตก คือการกังวลใจ คือมันยังไม่สำเร็จผล แต่ความจริงแล้วมันแปลว่าสำเร็จผลด้วย แต่มันยังกังวลว่ามันมีกิเลสอยู่ เป็นอาการแรกของวิตก แต่เมื่อเราทำเข้าปฏิบัติเข้า เราทำปหาน 5 ไปจนถึงนิสสรณะปหาน ซึ่งคำของพพจ.นั้นมีละเอียดลออมากมาย ท่านทำไมต้องบัญญัติมามากมาย ซึ่งท่านไม่ได้ตั้งขึ้นมาเฉย แต่ตั้งมาให้รู้และเรียกสภาวะที่มีรายละเอียด ที่เป็นธรรมชาติ แจกละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆในบางคำก็เอามาใช้กัน แต่ส่วนใหญ่นั้นคำบาลีไม่ได้นำมาใช้ทางรูปธรรม เพราะมีความละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นคำแทนสภาวะ

              มีศัพท์อยู่สองคำคือ ร่วมถือ และแยกถือ  คำว่าร่วมถือคือความยึดถือจากที่รวบรวม แต่แยกถือก็คือแยกแยะออกแล้วก็ถือไว้ ซึ่งถ้ารวบถือมันก็ไม่รู้ ก็จะยึดมั่นถือมั่นได้ แต่คำว่าแยกถือก็มีลักษณะดีกว่า คำว่าร่วมถือ

              ตอนนี้จะนำหนังสือธรรมที่เป็นพุทธมาเรียนกัน ถ้าใครอ่านแล้วเกิดธรรมรส อ่านไปถึง 3 เที่ยวอย่างน้อย แล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นคุณอาจอ่านเที่ยวที่ 4 ที่ 5 ต่อไป เป็นหนังสือที่เขียนด้วยภาษาง่ายๆ

              สารบัญ

บทที่ 1. ขอบคุณชีวิต       บทที่ 2. ชีวิตชาติชั่ว      บทที่ 3. ชาตินี้ของชีวิต         บทที่ 4. สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว

ขยายความ ที่ตั้งชื่อนี้ตั้งแล้วจึงเขียน ในบทที่ 1 ขอบคุณชีวิต ต้องขอบคุณที่พค.ได้ทำงาน ได้มีศาสนาพุทธอยู่กับชีวิต เป็นศาสนาที่อยู่กับชีวิตเรา เพราะศาสนาพุทธคือทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ เมื่อรู้ใจก็ไปรู้กาย วจี ไปถึงอาชีพ มันจะมีภูมิปัญญารู้ไปหมด เมื่อดับกิเลสได้ เป็นคุณค่าชีวิตจริงๆ ได้มาลดละสิ่งไม่ดีงาม จนได้อาศัย ธรรมะที่เป็นพุทธ แล้วก็มีชีวิตต่อไปอีก ก็ตั้งใจอยู่ถึง 151 ปีก็ขอบคุณอีก สมมุติว่าพค.ไม่มีกิเลส(เพราะบางคนไม่เชื่อ) ถ้าพค.จะอยู่ต่อไปอีก ตามโครงการขยายอายุขัย สมมุติอยู่ต่อ ก็ต้องขอบคุณพวกคุณที่มาปฏิบัติธรรม พวกที่ไม่มาก็อยากขอบคุณ แต่เขาไม่มาให้ขอบคุณ คนเก่าเคยมาเดี๋ยวนี้ก็ไม่มาเพราะมีโทรทัศน์ดู มาแล้วไม่มีอิสระ หรือมีเหตุผลอีกมากที่จะไม่มา ก็เลยไม่ได้ขอบคุณเขา แต่พวกที่มาอย่างน้อยก็ให้เห็นหน้าตา ว่าเจริญขื้นหรือไม่ เห็นว่ายังอยู่ ก็มารวมหมู่กลุ่ม ทำให้มวลโต ซึ่งดี เพราะมามากแล้วสงบ ไม่เหมือนกับบางหมู่รวมกันแล้วก็ไม่สนใจคนพูด แต่พวกคุณมาตั้งใจฟังธรรม จะมีหลับบ้างเท่านั้นเอง ก็ช่วยไม่ได้ ไม่อยากหลับหรอก ถึงมีมวลมากก็ไม่กวน ถ้ามามากแล้วจอแจ อย่างกับโต๊ะจีน อย่างนี้ไม่ไหว

              ถ้าพค.จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพื่อสร้างประโยชน์ แล้วก็มีความชำนาญเพิ่ม ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วก็หมดประโยชน์ตน จบกิจแล้ว คือกิเลสตนหมดเกลี้ยงแล้ว จิตมันเที่ยงแท้ถาวรมั่นคง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่กลับกำเริบ ทั้งเวทนา 108 ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็มีกิเลสสูญ จะมีอมตะ คือไม่ตายไม่เกิด มีอตัมยตา คือจะตายก็ได้ จะเกิดก็ได้ จะไม่มีก็ได้ มีก็ได้ มีก็ปรุงแต่งเพื่อคนอื่น ให้คนได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น

              ประโยชน์ตนจะว่าได้ก็เป็นความชำนาญ ความฉลาดขึ้น เป็นประโยชน์ตนที่ไม่แท้ คือเก่งฉลาดขึ้นก็เพื่ออะไร ก็เพื่อมาให้กับคนอย่างเก่า แต่ประโยชน์ตนจบแล้ว ไม่ต้องมีอีกแล้ว แต่มีเพื่อให้ใช้งานให้แก่คนอื่นมากขึ้น ก็ไม่ได้มาทำเอาแต่มาทำให้ (บางคนเผินว่าแค่ได้ฉลาดขึ้นดีขึ้นเก่งขึ้น ก็ได้แล้ว แต่นั้นไม่ใช่ประโยชน์ตนที่แท้)

              ชีวิตชาติชั่ว พท.เกิดมาทำชั่วไม่ได้เหมือนกับคนอื่น เป็นลิงลมอมข้าวพอง แม้จะมีของเก่าแล้ว แต่เกิดมาก็ไม่ได้รู้ตัวทันที พพจ.เกิดมาเป็นเจ้าชาย ก็ไม่รู้ว่าเป็นพพจ. มีคนทำนายได้ แต่พ่อหาเมียให้ มีลูกก็มี มีปราสาทสามฤดู มีกามคุณบำเรอ พออายุ 29 มีลูกคลอดออกมา ก็รู้สึกแล้ว ว่ามีห่วง แม้ออกไปบวชอีก 6 ปีท่านก็ลิงลมอมข้างพอง บวชไปตามโลก อย่างโลกมีสองสาย สายหนึ่งสูงสุดก็ไปเป็นสังฆราช อีกสายก็ไปเป็นอรหันต์ในป่าเขา ซึ่งท่านก็ทำไปตามโลก แต่ท่านทำเก่งกว่าเขาทุกคน ท่านอดข้าวเก่งกว่าทุกคน ทรมานตนเก่งกว่าทุกคน ทำหมดตามเขาหมด นั่นคือลิงลมอมข้าวพอง ท่านก็ตรัสยืนยันไว้ว่าทำผิดมาก่อน

              ผู้ที่จะออกป่าต้องมีสมาธิพอสมควร ถ้าไม่มีพอออกป่าไปก็ไม่จมก็ลอย ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก ป่าจะเอาใจไปเสีย หาความอภิรมณ์หาความวิเวกได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งลึกซึ้ง การทำความวิเวกนั้นไม่ใช่แค่ออกป่า

              ........การไม่มานั้นถ้าคุณจะต้องฝืนสิ่งที่เป็นพรหมลิขิตหรือมาตั้งตนบนความลำบากนี่แหละคือสิ่งดี เราเห็นแล้วว่าเหตุปัจจัยควรมาได้ก็มาเลย

ชาตินี้ของชีวิตนั้นต้องมาเรียนคำว่า “ชาติ” ชาติ คือความเกิด ก็มีการแยกแยะถึง 5 อย่าง ชาติคือการเกิดของกิเลส ซึ่งมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ก่อนจะคลอด มันเห็นหัวเลย คุณรู้ได้ก็ยิ่งเก่ง อย่าให้มันมี ถ้าขจัดมันได้ มันเป็นสังกัปปะ คือความนึกคิด เต็มรูปก็คือสัมมาสังกัปปะ สะอาดจากมิจฉาทั้งหลาย ก็จัดการที่ใจ ให้ตัวเหตุมันดับไป คราใดที่ดับได้ก็เป็นการปรุงแต่งจากตัวต้นทาง ก็ออกมาเป็นวจีสะอาด กายกรรมสะอาดอย่างไม่ต้องกดข่ม ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจคือมโน สำเร็จได้อย่างมโนมยิทธิ คือการทำสังกัปปะ 7 นั่นเอง

ถ้าทำไม่ได้ เพราะมีอวิชชาอยู่ วิจัยวิจาร ฆ่ากิเลสไม่เป็น เมื่อสัมผัสก็มีสังกัปปะ แล้วไม่ได้ฆ่ากิเลสในกระบวนการ วิตรรกะ ที่จะออกไปเป็นวจีสังขาร ออกไปเป็นวจีกรรม กายกรรม อาชีพที่ดี แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ออกมาพรวดเป็นมิจฉาสังกัปปะ แม้จะมีมารยาท กรองไว้บ้าง เช่นโกหกอย่างนี้ไม่ควรโกหกก็ไม่ทำ แต่บางอย่างโกหกแล้วได้ประโยชน์ก็ทำออกไป บางอย่างไม่ฆ่า ไม่ละเมิดเอาของเขา ปุถุชนก็มีการกดข่มไว้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งถ้าทำอย่างรู้ๆ ทำในสังกัปปะ ทำให้จิตสะอาดสั่งสม หน่วยกิจที่จิตตั้งมั่น ทวีเป็นฐานความสมถะเป็นพลังแห่งความแข็งแรง มีทั้งลักษณะเสถียรและเคลื่อนไหว มีทั้งสมถะและวิปัสสนา เจริญไปด้วยกันทำงานช่วยกันเสมอๆ

ใครไม่เรียนรู้มาก็ทำแต่วิกขัมภนะทำตามมารยาท ก็จะไม่รู้ธาตุจิตว่ามีผี มีวิญญาณเลวร้ายมีผีอยู่ในตน ถามว่ามนุษย์ทั้งหลายเป็นผีหรือคนมากกว่ากัน...ตอบว่า ...ผี ...เพราะกิเลสมีมากก็ผีตัวใหญ่ กิเลสน้อยก็ผีตัวน้อย กิเลสไม่มีก็เป็นเทวดาวิสุทธิเทพ ก

เทวดาที่เป็นสมมุติเทวานั้นได้สิ่งเสพสมบำเรอ พวกจตุมหาราชิกา คือใช้เงินมาซื้อมาล่าความใหญ่โตทั้งสี่ทิศ เขาเขียนรูป มีสี่มือสี่หัว เป็นยักษ์ แย่งชิงเขามา พอได้มาก็เป็นสุข ตั้งแต่กามาวจรที่เป็นอบาย อย่างพวกที่บริหารประเทศตอนนี้ แปลงตัวเป็นมารแล้วหลอกคนอยู่ทุกวันทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมือง ทำชั่วโดยแนบเนียนหลอกเขา ทั้งทุจริตโกงกินโหดร้าย เอาเปรียบเอารัดมากมาย นั่นแหละผีใหญ่เป็นจตุมหาราชิกา

เทวดาทั้ง 6 คือผีหลอกทั้งนั้น

  1. จตุมหาราชิกา
  2. ดาวดึง คือ 33 ชีวิตคนมีแต่อาการ 32 แต่หลงหลอกให้มีอีกอาการคือ อาการ ที่ 33 ไปหลงเสพ เป็นอาการหลอกเสพติดในกามาวจร
  3. ยามา แปลว่าเวลา คือจะต้องให้ได้เสพเป็นเทวดาได้นานเท่าที่ต้องการ อยู่ไปตลอดกาลนาน ต้องการบำบัดให้ไม่ขาดตอน พยายามสั่งสมยามา
  4. ดุสิต แปลว่า พัก แม้จะต่อเนื่องอย่างไรต้องมีการพักยก งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา มีการสงบ โดยโลกีย์ก็มีพักยกหยุด เรียกว่า เคหะสิตอุเบกขา (อภยกฤติ) ซึ่งธรรมดาจะลนลานหาสุข แสวงหา ไปเรื่อยๆ จะแสวงหาสุขให้ทุกอย่าง ว่างๆปากก็หาอะไรมาอม หาอะไรมาดม หาอะไรมาฉุน ตลอดเวลา คุณหาอะไรมาบำเรอความต้องการ ที่ไร้สาระมากมาย ถามตัวเองบ้างว่าตนกำลังทำอะไร บางอย่างเลอะเทอะ มาทำสิ่งดีกว่านี้เถอะ เราไปเสียเงินให้เขาแคะขี้เล็บ ทำเล็บทีหนึ่งเป็นพันบาทเลย ไร้สาระ ซึ่งเศรษฐศาสตร์มองตื้นๆว่าเงินสะพรัด แต่เวลาแรงงานที่เสียไปสิไม่นับ การแคะขี้เล็บยังเป็นประโยชน์แต่การเล่นหวยนั้น ไร้ประโยชน์กว่าอีก ที่จริงการแคะขี้เล็บยังมีประโยชน์ แต่การแต่งเล็บเพ้นท์เล็บนั้นเสียเวลา แรงงาน แรงคิด ขอวิจารณ์เต็มเหนี่ยว มากมายไม่รู้กี่อย่าง คนเราไม่รู้สาระชีวิต คนรู้สาระว่าเป็นสาระคนนั้นมีสาระ
  5. นิมานรดี คือเนรมิตเอง สร้างเอง มีเงินก็เนรมิตเอง จ้างเทวดามาล้างส้วมให้ได้ นี่คืออำนาจที่สร้างเอา
  6. ปรนิมิตสววิตี คือมีอำนาจให้คนกลัวเกรง จนคนอื่นมาสร้างมาทำให้หมด

พอถึงขั้น 5 หรือ 6 คือพวกมีอำนาจบันดาล จนกระทั่งคนอื่นมาทำให้ แค่แสดงท่าทีนิดหน่อยก็มีคนทำให้ แค่ล้วงบุหรี่มา ไฟแช็คก็มาเลย ขอให้บอกเถอะนาย และไม่ต้องให้บอกหรอก แค่สังเกตุก็ทำให้นายก่อนเลย นายเสียไปหลายคนเพราะลูกน้องรู้ดีกว่านาย ฉิบหายก็มีมาแล้ว เลขาทำป่วน

       นี่คือเทวดา 6 อย่าง อย่าอยากเป็นเลย ไม้ได้หมายความว่าเป็นแต่ชาตินี้ บำเรอตนเองด้วยโลกธรรม เทวดานั้นเป็นโลกียะทั้งนั้น ส่วนพรหมนั้นเขาว่าเป็นโลกุตระ แต่ที่จริงยังไม่ใช้บริสุทธิ์

       ตอนนี้กำลังอธิบายสารบัญ......

       ถึงสารบัญบทที่ 3 ชาตินี้ของชีวิต คือมาเรียนสิ่งที่ชั่วของชีวิต ถ้าพลาดไปก็ไม่ได้เรียน เพราะชาตินี้ที่มี กายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ เราเท่านั้นที่เรียนรู้ได้ มีสุรภาโว สติมันโต อิทะพรหมจริยวาโส ถ้าทำความสะอาดเป็นพรหมได้ตั้งแต่เป็น โสดาบัน สิกทาฯ อนาคาฯ อรหันต์  ถ้าทำความเป็นพรหมตั้งแต่อิทโลกนี้ ตายไปก็ได้ แต่ถ้าทำความเป็นพรหมในตอนเป็นไม่ได้ ตอนตายก็ทำไม่ได้ พพจ.ไม่ได้ให้ปฏิบัติตอนตาย แต้ให้ทำตอนนี้ ขณะมีร่างกายพร้อมใจนีแหละที่จะปฏิบัติธรรมได้ เรียกว่ามนุษย์ชมพูทวีป

       คำว่าดาวดึงท่านใช้เรียกการเสวยองคาพยพที่ 33 เป็นอาการหลอกที่คิดว่ามีจริง นึกว่ามีแดนเป็นภพชาติจริงที่ได้เสพ เป็นเทวดดาวดึง มนุษย์อุตรกุรุทวีป อุตระคือสูงขึ้น จนไปถึงนิพพานได้ จะเป็นพพจ.แม้จะตรัสรู้ตายไป ก็ต้องมาเกิดให้มีร่างกายครบ 32 จึงจะบรรลุเป็นพพจ.สูงสุด

       ที่เขาเล่าว่า ก่อนเป็นพพจ.นั้นเป็นเทวดาในชั้นดุสิต ก็คือการพัก ไม่ใช่แดนที่จะปฏิบัติหรือจะเป็นพพจ. ท่านก็พักอยู่เฉยๆไม่มีอะไรกระดิก แต่ถึงเวลาท่านก็เกิดมามีอาการ 32 ครบ มาเป็นพพจ. เป็นแดนบริสุทธิ์สะอาดที่จะแสดงตัวได้ ถ้าตายแล้วแสดงอะไรไม่ได้ ไม่มีที่ไหนแสดง ดังนั้นแดนที่เป็นชมพูทวีป

       เมืองไทยเป็นชมพูทวีป เพราะมีคนเรียนรู้ธรรมะพพจ.ได้มากกว่าที่ใดๆ มาอยู่ในเมืองไทยนานแล้ว แต่เสื่อมไป ตอนนี้พค.จะมากู้คืน ที่ไหนมีรากฐานของพุทธรรมมากก็เป็นแดนชมพูทวีป เป็นการพูดด้วยสัจจะ ไม่ด้นเดา

       บทที่ 4 สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว ชีวิตก็ทำชั่วไม่เป็น จะอธิบายต่อในวันต่อไป.......


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:26:02 )

560225_เทศน์กัณฑ์ พิเศษมาฆะบูชา

รายละเอียด

560225_เทศน์กัณฑ์ พิเศษมาฆะบูชา โดยพ่อครู ที่ศาลีอโศก

          สังคมมนุษย์ก็จัดพิธีกรรมในวันสำคัญต่างๆ มาร่วมพัฒนาทำสิ่งดี ให้เจริญ ในทางโลกต้องการให้คนมารวมกันมากๆ ก็ใช้เครื่องล่อ เครื่องเล่น เอากิเลสจูงใจคนให้มาร่วมกันมากๆ คนก็มา แต่พอหนักเข้า แทนที่จะได้การสร้างสรร กลับเรื้อกันไปเอาแต่สนุกสนาน คนทำ คนมาก็ไม่รู้เป้าหมายสาระ มาแต่เอิกเริกเฮฮา หยำเป ก็ไม่ได้เรื่อง คำว่าสนุกสนาน เป็นคำที่สำคัญ เพราะคำว่าสนุกสนาน เพลิดเพลินเอร็ดอร่อย เป็นรสกาม รสความใคร่อยากของมนุษย์ ที่ได้บำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสร็จแล้วก็สมอุปาทาน สมกิเลสที่ไปติดยึด ก็เกิดผลสังขารกันแล้วก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ศึกษาศาสนา ก็สังเคราะห์ปรุงแต่งสังขาร เป็นรสชาติ อยู่ตราบนิรันดร์ ผู้ไม่ศึกษาศาสนาจนถึงขั้นรู้ความเป็นกาม คือความใครอยากแล้วแสวงหามาบำเรอความใคร่อยากก็เป็นทาสกามอยู่ตลอดกาลนาน

          วันนี้วันมาฆะบูชา 25 ก.พ. 56 พวกเรามาบัดนี้ก็รู้ธรรมะที่พค.ได้พากเพียรบรรยายได้มากขึ้น ธรรมะพพจ.เป็นของที่ไม่ลึกลับ เป็นไปได้ เป็นสวากขาตธรรม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

          ต้องเอาตัวเองมาปฏิบัติ(สันทิฏฐิโก) ยุคไหนก็ปฏิบัติได้(อกาลิโก) ข้อสำคัญต้องสัมมาทิฏฐิ สามารถยืนยันให้ใครดูได้ เชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ เป็นดอกฟ้าที่หมาวัดควรเอื้อม(โอปนยิโก) เป็นสิ่งสูงที่แม้เราจะต่ำก็ควรเอาให้ได้ จะเกิดกี่ชาติก็ตาม ควรได้ที่สุดคืออาริยธรรม ที่พพจ.ตรัสรู้ คืออาริยสัจ 4 ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนๆก็ตรัสรู้อันนี้ เป็นสูตรสมบูรณ์

          ความรู้อันนี้ก็ได้ประกาศออกไป แล้วก็ใช้ได้ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เพี้ยนไป มีภาษาเดิมอยู่ แต่เอาความเห็นความเข้าใจของตนไปใส่ จนเพี้ยนออกจากเนื้อแท้ของพุทธ เรียกว่าได้มิจฉาผล เพราะไม่มีสัมมาอาริยมรรค ไม่มีผลจริงที่เห็นได้ว่า ศาสนาพุทธจริงๆเป็นศาสนาสังคม มีโลกะวิทู มีความรู้ความเข้าใจโลก (รู้ชัดรู้ดีด้วย) และมีโลกุตรธรรม อยู่เหนือโลกีย์ได้อย่างแท้จริง อยู่เหนือแต่ไม่ข่มเบ่งโลกีย์ แต่เข้าใจ เห็นใจ เมตตาด้วย ช่วยให้เขาพ้นทุกข์อย่างเราบ้าง ให้เขามีสุข พหุชนะสุขายะ

          ซึ่งไม่ใช่สุขโลกีย์ ในโลกุตระก็ใช้คำว่าสุข แต่จริงๆไม่สุขอย่างโลกีย์ ที่เขาสุขอย่างบำเรอตัณหาอุปาทาน ได้สมที่ต้องการ ก็สุข ได้บำเรอทวารนอกก็สุข แต่กิเลสก็โตก็อ้วน เมื่อมีการกระทบทวาร ก็เกิดอารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ แล้วคนก็แย่งชิงกันไปบำเรอใจตนเอง ตามกิเลสบงการ ตามที่เรายึด ตามสเปค ของใครก็ของมัน ได้ก็สมใจ แต่มันมันหลอก ตัวสุขนี้เป็นตัวล่อ ให้คนหลงว่ามันจริง ถ้าไม่ได้ก็แห้งเหี่ยว โหยหา หมดชีวิตชีวา เขาก็ปรุงแต่งกันจัดจ้าน หลอกล่อ ปรุงไม่หยุดหย่อน จัดจ้านวิตถารมากมาย ไม่ว่าจะให้ได้สมกามหรืออัตตาก็ตาม

          เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ว่าคนจะไปทิ้งมันทำไม ได้ลาภยศมาก็ต้องยินดี ถ้าได้มาก็เฉยๆ ไม่ต้องไปแย่งชิง จะไปคิดอย่างนั้นทำไม่ เขาคิดว่าได้ยศมาก็ดี ได้อำนาจมาก็ดีสิ เรื่องอะไรต้องไม่อยากได้ เรื่องสรรเสริญ เขามาว่าเราดีมันก็ดีสิ คนก็เอาความคิดแบบโลกีย์สามัญมาคิด อธิบายออกนอกไม่ได้ ทวนกระแสไม่ได้  การได้มาบำเรอทวาร 6 หาทางเอามาให้ได้ รุนแรงทำลายยังทำ เลวร้ายก็ทำเพื่อสมกิเลส ในยุคไหนก็ทำกันเช่นนี้ ยุคนี้ยิ่งชัดเห็นง่าย มโหฬารพันลึก

          ผู้ที่จะมีภูมิธรรมจะรู้แจ้งเห็นจริงว่าเราต้องลดละปล่อยวางออกมา แล้วจะเห็นคุณค่าของการลดละว่าดีอย่างไร จะเป็นปัญญาของผู้ที่ได้รู้แจ้งเห็นจริง อย่างไม่ต้องให้ใครบอก คนอื่นบอกก็ไม่เท่าเราเห็นเอง จะตรงหรือไม่ก็ตาม เราก็เห็นเอง

          คำสอนพพจ.คือให้เรียนรู้ตัวกิเลสไปเป็นลำดับ ตั้งแต่อบาย เป็นเริ่มต้น แต่ทุกวันนี้เขาไปตัดลัดเอาแต่ภายใน แต่ภายนอกที่หยาบนั้นไม่ศึกษา ซึ่งการศึกษาปรมัตถ์ไม่ว่าหยาบกลางละเอียดก็ต้องมีสัมผัสภายนอก เพื่อเรียนรู้อาการใคร่หยาบที่เรียกว่า “กาม”  เป็นตัณหาเบื้องต้น แล้วค่อยไล่ไปหา ภวตัณหา คือตัณหาข้างใน เป็นรูปภพ อรูปภพ เรียนรู้ตัณหา มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งเขาไม่เข้าใจในวิภวตัณหา ว่าคือความต้องการล้างภพชาติ เมื่อล้างกามในกามภพแล้ว ผู้ที่บรรลุกามภพ บรรลุกามราคะดับกิเลสได้จริง ตั้งแต่อนาคามี เป็นต้นไป แม้จะเป็นอนาคามีก็รู้จักกามาวจรภูมิ คือภูมิที่ดำเนินไปกับทวาร 5 ก็มีการสัมผัสกระทบ แต่ท่านรู้ทันหมด ว่ากิเลสมันเกิดจากทางทวาร 5 แต่ท่านก็ดับกิเลสได้หมด เรียกว่านิโรธ ดังนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่ามี “โลกนิโรธ” ก็คือพระอนาคามีเป็นต้นไป แต่เขาเข้าใจผิดว่าไปนั่งหลับตามีนิโรธภายใน ซึ่งเป็นทางผิด ที่บอกนี้ไม่ได้มีเจตนายกตนข่มท่านแต่เลี่ยงไม่ออก ก็ต้องชี้ให้ชัด ให้รู้เรื่อง แต่ไม่ได้มีจิตที่จะไปข่มเบ่งยกตนเหนือ ไม่มีจิตลามก แต่ทำด้วยเมตตาสงสาร แต่ท่านที่ไม่เชื่อก็ห้ามท่านไม่ได้หรอก

          พระอนาคามีถ้าล้างกามาวจรจนสามารถดับกิเลสกามได้เลย ถึงขั้นดับกามได้สุดเรียกว่า “กามาภิพู” แปลว่าผู้ชนะกาม ผู้ครอบงำความใคร่ ได้เสร็จ นั่นคือผู้มีภูมิขั้นอนาคามีเป็นต้นไป ผู้ที่สามารถดับกามได้ก็อยู่กับ โลกธรรม กับกามคุณเขานี่แหละไม่ได้หนีไปไหน ซึ่งเราอยู่แล้วเราให้เขา เขาก็ยิ่งจะให้เราอีก ถ้าความสามารถเรามี เขาก็จะยิ่งให้เราเพราะเราจะขยันสร้างสรร สิ่งที่เขาควรมีในโลกที่เป็นประโยชน์เราก็จะสร้างสรรให้คนอื่นแจกจ่ายเจือจานเกื้อกูล ก็ยิ่งได้กลับมามาก เป็นการทดสอบใจผู้ที่บรรลุด้วย จะไม่ตื่นเต้นยินดียินร้ายใดๆ แล้วก็จะสละออกให้คนอื่นอีก เป็นพุทธเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดเลย

          ยกตัวอย่างอโศกมีพาณิชย์บุญนิยม คือมันทวนกระแสทุนนิยม ที่เขาต้องได้กำไรสูงสุดให้ได้ แต่บุญนิยมจะขาดทุนให้ได้มากที่สุด เอาไว้ให้น้อยที่สุด แต่อยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ ในการทำการค้า ดังที่เราได้เอาพระราชดำรัสในหลวง ว่า “แบบคนจน” ทุกวันนี้มั่นใจว่าไม่ได้หลงไป เพราะพวกเราทำได้จริง ยิ่งชัดว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรายิ่งชัดอีก ทุกวันนี้สังคมตีไม่แตกแต่ค้านแย้งในหลวงไม่ได้ เราจึงมีสิ่งยืนยันทั้งของในหลวงและของพพจ. ยืนยันว่าเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ไม่ต้องไปทำงานลาภแลกลาภ พ้นลาเภน ลาภัง นิชิคิง สนตา ในมิจฉาชีพข้อที่ 5 ของการมีสัมมาอาชีวะ ถ้ายังทำงานเพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนอีก นั่นคือไม่พ้นลาภแลกลาภ แต่พวกเรามีทำให้ฟรีเลย ในงานประจำชีวิต สามารถให้คนอื่นอย่างไม่ต้องรับสิ่งแลกเปลี่ยนเลย ในสาธารณโภคี เลี้ยงดูกันไป มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

          ตามมรรคองค์ 8 ท่านได้ตรัสถึงการเรียนรู้ถึงขั้นทำใจในใจ เรียกว่า มนสิการ หรือมนสิกโรติ ในการจัดการทำใจให้กิเลสลดกิเลสดับทำอย่างไร จะรู้จะแยกแยะได้อย่างไร จะชัดเจนอย่างไร จนถึงขั้นรู้สังขาร ที่เรียกว่า “วจีสังขาร” คือการสังขารในใจ ถ้าเรารู้แล้วว่ามันมีการปรุงข้างในเป็นคำพูดเป็นเรื่องราว แต่ยังไม่เป็นวจีกรรม มีแต่ในใจเป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเรียนรู้ถึงขั้นนี้รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ถึงนามธรรม ตัวจิตที่เป็นองค์ประกอบกัน เรียกว่าเห็นด้วยปัญญา คือ “ยถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ปัสสโต” ยถาภูตังคือเห็นตามจริงว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่อย่างไร อ่านสภาพนั้นอย่างเห็นความจริงตามความเป็นจริง ที่แจกเป็น “วิปัสสนา” เป็นวิชชาหนึ่งในวิชชา 8 ประการ ต้องเห็นตั้งแต่โสดาบัน เริ่มแยกออกว่า นี่คือกาม นี่คือพยาบาท ซึ่งกามและพยาบาทคือมิจฉาสังกัปปะ ซึ่งมีสาม (อีกอันคือวิหิงสา ก็คือขั้นกลาง ปลายของกามและพยาบาทนั่นเอง) ให้หมดเกลี้ยง เรียนรู้ลักษณะของกาม พยาบาท คือลักษณะดูด ลักษณะผลัก เป็นพลังงานทางจิต รู้โดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อุเทศคือการยกเอาสภาวะออกมาเป็นภาษา เป็นคำความดังที่กำลังพูดอยู่นี่ เมื่อฟังเข้าใจเราก็ต้องไปปฏิบัติโดยอ่าน อาการ ลิงค นิมิต นิมิตคือเครื่องหมาย เราจะหมายรู้ว่านี่คือกาม นี่คือพยาบาท ซี่งจิตนั้นไม่มีสรีระ (อสรีรัง) มันเป็นนามธรรม เห็นด้วยญาณ หรือสัญญาของเราทำกำหนดหมายรู้เกิดเป็นปัญญา ซึ่งสัญญาจะเป็นตัวทำงานตลอด ให้รู้จักอาการกาม มันขึ้นมาอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นสัญญาณก็เป็นคำนาม เช่นสัญญาณทางไฟฟ้าวิทยุ มันเป็นอรูป ไม่มีสีสัน แต่ก็หาวิธีสัมผัสได้ วัดค่าได้ แต่ของพุทธไม่ได้ตั้งค่าเหมือนฟิสิกส์ ที่เขาตั้งค่าละเอียดให้รู้กัน แต่เราต้องกำหนดอ่านรู้ของตนเอง ให้ฝึกในขณะที่มีทวาร 6นี่แหละ

          ตอนนี้พค.ก็สอนในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่มีการสัมผัสรู้ภายนอกทางทวาร 6 แล้วต่อเนื่องไปสู่ในใจ ที่พค.ยังอธิบายยังไม่ต่อเนื่องคือ เมื่อพระอนาคามีดับกิเลสกามแล้ว แม้จะเจอรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวาร 5 ท่านสัมผัสอยู่ท่านก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ท่านไม่ต้องหนี ท่านรู้โลกะวิทู ท่านไม่เป็นทาสมัน อะไรที่จะพออาศัย ในรูป เสียง กลิ่นรสก็ดี สัมผัสอะไรที่พออาศัยใช้ท่านก็ใช้ แต่ท่านไม่ได้มีอาการเสพ ท่านไม่ได้เกิดรสอร่อยเพราะอัสสาทะดับสนิทแล้ว ท่านเหลือแต่สังโยชน์ชั้นใน ที่เป็นภวานุสัย ท่านดับกามานุสัยได้แล้ว ยังเหลือแต่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ท่านก็ยังต้องสัมผัสทาง ทวาร 5 อยู่ ท่านอยู่ในกามาวจร แต่ท่านมีโลกุตรภูมิสำหรับกามแล้ว เมื่อกระทบสัมผัสแล้ว ถ้ารูปราคะยังมีอยู่ มันก็เกิดให้เห็น เมื่อมีสัมผัส ในขณะผัสสะสดๆเลยก็เกิด รูปราคะ อรูปราคะ ให้เห็นได้เลย แม้จะดับได้อีก เหลือแต่มานะ อุทธัจจะ อวิชชา คืออรหัตมรรค ก็ยังต้องมีการสัมผัสอยู่ ปฏิบัติขณะมีผัสสะอยู่ ท่านยังเหลืออุทธัจจะซึ่งเข้าข่ายอรูปฌานแล้ว อุทธัจจะคือของเล็กน้อยส่วนเหลือที่เราต้องอากิญจัญญะ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี แม้อวิชชานิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี ให้พ้นอวิชชาสังโยชน์ พ้นอวิชชาสวะ นี่คือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะสัญญา ต้องใช้สัญญาในการกำหนดหมาย ทางทวารทั้ง 6 อยู่ในชีวิตประจำวันไม่ได้แยกออกจากชีวิตประจำวันเลย แม้บรรลุถึงสัญญาเวทยิตนิโรธก็ยังลืมตาอยู่ แต่กิเลสดับสนิทไม่เกิดเลยเห็นอยู่ทนโท่ เรียกว่า รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง คือ ยถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ปัสสโต ไม่ได้หมายความว่าหลับหูหลับตาเลย มุมนี้ให้เป็นของขวัญวันมาฆะบูชาเลย

          เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เขาทิ้งไปแล้วไปนั่งหลับตา แต่พค.ให้มาลืมตาปฏิบัติตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฏกเล่ม 16 วิภังคสูตร

[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

          ถ้าเราดับชาติได้ ชรา มรณะก็ไม่มีแล้ว เราเอาคำว่าชาติให้สำคัญ

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ซึ่งที่เขาแปลมามันให้ความหมายได้ไม่ชัดเจน ต้องดูพระบาลี จึงจะทำให้แยกแยะสภาวะได้ชัดคือ

  1. ชาติ  แปลว่า ความเกิด
  2. สัญชาติ คือความบังเกิด
  3. โอกกันติ คือ เขาแปลว่า ความหยั่งลง พค.แปลว่า ความเกิดที่ต่อเนื่องตรงข้ามกับคำว่า ขณิกะ(คือขณะ) แต่ถ้ามันต่อเนื่องไม่มีขาดคือผู้บรรลุสูงสุด ไม่มีตัวอกุศลมาคั่น จะมีแต่กุศลต่อเนื่องไม่ขาดสาย
  4. นิพพัตติ คือ ใกล้กับคำว่า นิพพาน คือการเกิดอย่างลดกิเลสได้ อันหนึ่งตายอีกอันหนึ่งเกิด อกุศลจิตตาย กุศลจิตก็เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์เขาเถียงกันว่า แสงเป็นควันตัม กับ แสงเป็นโฟตอน ซึ่งทั้งไม่ขาด และไม่เป็นก้อน แต่ต่อเนื่องกันไป นิพพัตติ คือการเกิดในจิตที่เรียกว่า “โอปปาติกโยนิ”
  5. อภินิพพัตติ ท่านแปลว่า เกิดจำเพาะ แต่พค.แปลว่า “เกิดสูงสุด” คือมันเกิดอย่างแข็งแรงถาวร อภิคืออย่างยิ่ง อย่างยอดเยี่ยม เราจะเห็นอาการเหล่านี้เกิด

ถ้ารู้สภาวะก็จะอ่านรู้ได้ มีอนุปัสสี ตามเห็นกิเลสจางคลาย ตามเห็นมันดับ จะทำทนทำซ้ำ รักษาผล อาเสวนาภาวน พหุลีกัมมัง ให้เกิดผลเช่นนี้ ทำเกิด ทำดับได้ ทำภาวนาคือให้เกิดผล ทำให้มากแล้วก็อ่านจิตให้แข็งแรงมั่นคง

           [8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

ถ้าปฏิบัติจนเข้าถึงโลกุตรภูมิได้ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค คุณก็จะเหนือโลก อยู่กับโลก แต่กิเลสทำอะไรคุณไม่ได้  ซึ่ง ในโลกุตรภูมิ 9 มี โสดาฯมรรค โสดาฯผล สกิทาฯมรรค สิกทาผลฯ อนาคาฯมรรค อนาคาฯผบ อรหัตมรรค อรหัตผล และนิพพาน

ในกามาวจรภูมิ คือชั้นหรือระดับที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภพ เรียกว่า กามาวจรภูมิ อวจรคือมันยังอยู่คือยังดำเนินบทบาทลีลาอยู่กับโลกกาม แต่อยู่เหนือโลกกาม

กามรส คือรสของกาม คือจิตที่ยังเสพอยู่ ยังมีอาการรสชอบชื่นใจเสพสุขในกามรส เราสัมผัสก็จะอ่านกามรส ไม่ได้หมายความว่ากามคือตาบอด กามคือไม่มีความใคร่อยาก ไม่มีการเห็นทางตา หู จมูกลิ้นกาย เห็นเป็นกามโทษ คือมันมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูก กาย ก็มีความชื่นใจชอบใจ ความชื่นใจก็คือทวารที่ 6 คือใจ ก็มาจากทวารทั้ง 5 นั่นแหละเป็นอุปาทายรูป หรือเป็นวิญญาณเลย พอชื่นใจก็เป็นเทวดาสุขขัลลิกะ  คือมีกามรส

ต่อมาคือกามานุสารีย์ คือผู้มีใจเยื่อใยใฝ่กามอยู่ ยังมีน้องแน้ง จนกว่าจะเรียนรู้ลดละได้นึกว่ามันจะขาด มันก็ยังมีน้องแน้งอยู่ หรือมันตามติดเลยไม่ขาด คุณก็ต้องรู้ตัวว่าเรานี่มันตามแจ หรือมันลดลงเหลือเพียงพริ้วพราย ถ้าใช้อนุสารีย์ แล้วก็ตามมีสาระ

คำต่อมาคือ กามาทิกรณะ หมายความว่า มีกาม มีความใคร่เป็นเหตุให้เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอะไรเช่น ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เอาบ้านเมืองมาให้ได้ เอาแผ่นดินตรงนี้แล้วจะได้ทรัพยากรทางทะเล เป็นเรื่องเพราะยังมีความใคร่อยาก กามทำให้เกิดเรื่อง คนที่หมดกามแล้ว ไม่อยากไปมีเรื่อง

ต่อมาคือ กามาวจรกิริยา คือจิตที่มีกิริยาของอาการเสพกาม           คือกิริยาของกามาวจร ยังอยู่ในแดนของกามคุณ

ต่อมาคำว่า กามาวัฏฏะ คือความวนเวียนอยู่ในเรื่องของกาม พอได้เสพก็สบายก็พักยก แล้วก็มาเวียนเสหใหม่ เกิดเป็นสวรรค์ปลอม นรกจริง วนเวียนไป นรกจริง เพราะมันฝังเป็นอุทาทาน แต่สุขปลอมนั้นมันแค่ชั่วสัมผัส พอเลิกสัมผัสก็หมดไป ฝังเหลือแต่อุปาทาน ทำให้ทุกข์จริง ฝันเองปั้นเองก็เอาแต่ของแห้งมานึกคิดเอาซึ่งไม่ใช่รสจริงๆ

คำต่อมาคือ กามาวจรวิปาก คือเป็นผลของกามาวจร คือมั่นสั่งสม เป็นผลตากเป็นกามภพ ก็เกิดจากการบำเรอ ตกเป็นวิบากสั่งสมไป เรารวยกามจนเต็มถัง มันใหญ่ หนาอ้วนโต คุณจะรู้ว่าเราสั่งสมกาม

ต่อมาเป็นกามุปาทาน ก็มันยึดไว้ ถ้าภาษาปากก็ว่ายึดไว้ทำไม่ปล่อยเสียสิ แต่ปล่อยได้จริงไหม 

ถ้าไม่สร้างไฟฌาน ที่แรงพอจะไปละล้างกิเลส ของพพจ.ไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำฌาน จะเกิดเมื่อปฏิบัติมรรคคังคะ จะมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิจัยวิจารด้วยตน จะรู้แจ้งเห็นจริง จะมีกำลังของปัญญา จนเป็นปัญญาพละเป็นผลระงับกิเลส จึงจะล้างตัณหาได้ ล้างตัณหาได้ก็สามารถล้างอุปาทานไปด้วย เพราะมันเป็นตัวเดียวกัน แต่ต่างสถานะ เหมือนกับที่พูดว่า จิตตัวเดียวกันแต่ต่างสถาน เมื่อล้างอกุศลเสร็จ กุศลก็เกิดทันที การตายการเกิดก็เกิดเนื่องกัน ตายแบบสนิท ไม่กลับกำเริบ ตัณหาก็ขับเคลื่อนออกมาเป็นพลังจลน์ แต่อุปาทานเป็นพลังนิ่ง เป็นพลังงานศักย์ ล้างอุปาทาน ภพก็ดับ ชาติก็ดับ

ดับตั้งแต่สักกายะตัวต้น ตัวกลางไปจนตัวปลายคือ กามาาสวะ เราสิ้นอาสวะเกลี้ยงก็สูงสุดเป็น    “กามาภิพู” คือผู้ชนะกาม คือผู้ครอบงำความใคร่

          [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

           ทิฏฐิคือความเห็น ความรู้ หรือแปลว่าลัทธิเลยก็ได้ ลัทธินั่งหลับตา เพ่งลูกแก้ว พุทโธ ยกมือ ก้าวหนอย่างหนอ ก็ไปติดอยู่ในกสิณนี้ บางอย่างก็มาใช้ได้ แต่เขาไปปรุงแต่งกันมากมาย พพจ.ไม่พาทำเลย แม้แต่คำว่าหลับตา ก็ให้ค้นหาในพระไตรฯว่ามีไหม แต่พค.ไม่เคยเห็น มีแต่ให้ลืมตาปฏิบัติ

          ส่วนวิธีปฏิบัติที่ไปยึด คือศีลพัตตุปาทาน จะต้องแบบนี้ อย่างนี้ ไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช้ เช่นยึดนั่งหลับตาเป็นตั้น ซึ่งไม่ใช่สติปัฏฐานสมบูรณ์

          อัตตวาทุปาทานคือยึดติดในวาทะ ได้แค่ภาษายึดเป็นอัตตา (มีโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ) จะมากอยู่ที่มโนมยอัตตาที่รวมอยู่ในกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ก็รวมในมโนมยอัตตา

          [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา

       [11] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

       [12] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส   โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

       [13] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ

          ผัสสะเป็นนาม เพราะเป็นอาการทางจิต อย่างอวิชชาพอปรุงแต่งก็สุขๆทุกข์ เป็นทาสมัน   ถ้าไม่มีทวารกระทบรูป อายตนะไม่เกิดขึ้น ใจนั้นไม่ต้องกระทบ แต่จะปรุงแต่งมากระทบก็ได้ หรือปรุงอย่างไม่กระทบคือธรรมารมย์  การปรุงแต่งอย่างกระทบทำให้เราอ่านอารมร์ออก เช่นการตรวจอรูป ก็ต้องมีสัญญาอ่านอากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญายตนะ แล้วก็อ่านธรรมารมณ์ต่างๆ ที่เราไปยึดติดความว่าว วิญญาณ ติดนิดน้อย ยึดในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ อ่านความยึดความจมในภพนั้นให้ได้ ซึ่งทวารใจมีนัยต่างจากทวารนอก

          ถ้าไม่มีผัสสะ 6 ก็ไม่มีอายตนะ 6 ต้องมีอายตนะ (เกิดในขณะมีสัมผัสนอกกับใน มีการกระทบต่อเนื่องเป็นสะพาน อายตนะเกิดขึ้นแล้วก็จะหายไป โดยอัตโนมัติ ไม่มีความตั้งอยู่  มันทำงานเฉพาะที่มีการกระทบนอกและใน มันไม่เกิดขึ้น ไม่ดับไป มันทำงานเฉพาะเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่มีตกค้างที่ไหน หาที่ไหนไม่เจอ จะหาเจอเมื่อมีการสัมผัสทางทวาร เท่านั้น การเกิดนี้เมื่อมีผัสสะ ทางทวาร 6 จึงจะทำสตัปัฏฐาน 4 ได้ การปฏิบัติธรรมต้องมี 6 อย่างนี้จึงเจริญได้สูงสุด

[14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

[15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ   โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า   วิญญาณ ฯ

เมื่อรู้จักนามรูป และวิญญาณทั้ง 6 ได้จึงจะรู้ มโนปวิจารณ์ 18 ได้ ถ้านั่งหลับตา ก็ไม่มีมโนปวิจารณ์ 18 คุณไม่ชัดเจนหรอก ว่าเคหสิตโสมนัส เคหสิตโทมนัส เป็นอย่างไร จะไม่รู้เรื่อง เพราะนั่งหลับตาเล่นไปกับจิต ที่มีหลายหลากอาจารย์

[16] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

          การปฏิบัติธรรมต้องอ่านกายสังขารที่เนื่องจากข้างนอก จิตสังขารคือบทบาทของจิตทั้งหมด วจีสังขารคือมโนกรรมในจิต ยังไม่ออกมาเป็น วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

          คนที่ไม่สามารถรู้วจีสังขารจะไม่รู้ตัว แต่พอรู้โดยสัญชาติญาณ ยกตัวอย่างว่าอยากด่า แต่พูดในใจ แต่มีมารยาทยั้งไว้ได้ รู้แต่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ศึกษาอย่างรู้ ตักกะ วิตักกะ แล้วรู้กามที่มาร่วมปรุง แล้วกำจัดเหตุ ให้มันปราศจากกาม พยาบาท แล้วหรือยัง  แล้วเราจะให้มันออกไปทำงานเมื่อไหร่ จะทำการทางวจี เบาๆ หรือทำทางกายกรรม ประกอบอาชีพ ก็จัดสรรมันได้หมด ในวจีสังขาร เป็นสิ่งสำคัญมาก กายสังขารก็หยาย จิตสังขารก็ละเอียดมากไป ให้จับที่วจีสังขารนี่แหละมีลีลาหลายอย่าง ที่ไม่ใช่แค่พูดในใจ

          ผู้ใดรู้จักสังขารก็มีวิชชา ใครไม่รู้สังขารก็อวิชชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร คุณก็ปรุงแต่งไปแต่ละวันแต่ละเดือนไป ปรุงเป็นสุขทุกข์ไป งมงายอยู่ไปตลอดกาลนาน  ซึ่งต้นเหตุแรกมาจากการไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ตามในอวิชชาสูตรมี

1.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) .เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา          


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:29:02 )

560226

รายละเอียด

560226_รายการทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ 37 เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ 2 โดยพ่อครู

          ชาติ เป็นการเกิด ถ้าการเกิดของกาม เรียกว่า ชาติของกาม ยังมีชาติของพยาบาท ที่เกิดมา มีอาการ มีภาวะคือ ความปรากฏมาให้เราเห็น ตัวนี้แหละที่เรียกว่าอัตตา บางทีก็สับสน เพราะ พพจ.ท่านแจกไว้ว่ากิเลส มีกาม กับ อัตตา แต่ก็เหมือนกัน ในเนื้อแท้ที่แยกอย่างไม่ติดภาษา ลักษณะของอัตตาที่เป็นกาม มีภาวะที่ต่างกัน กามนั้นกว้าง แต่อัตตานั้นลึก

          กามนั้นกว้าง คือเอามาเป็นสิ่งที่จะเสพ อยากได้มา โลภก็เป็นกาม ราคะก็เป็นกาม ราคะอยากได้มาเสพรส โลภอยากได้มาเป็นเรา ส่วนโทสะหรือพยาบาท คือตัวไม่ชอบใจ รุนแรง ทำร้ายทำลาย อาการเกิดทางนามธรรมพวกนี้แหละที่เราต้องเรียนรู้

          ในพระไตรฯเล่ม 16 ข้อ 4 นามธรรม มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

          พพจ.ว่าจะต้องมีเหตุปัจจัยคือ ทวาร 6 แล้วมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมรมณ์ ก็จะเกิดนามธรรม โดยเฉพาะจะเกิดวิญญาณต้องมีการกระทบมีผัสสะ เช่นตากระทบรูป หกระทบเสียง

          เราเรียนอย่างอเทวนิยม ไม่ใช่อย่างภิกษุสาติว่า เราย่อมรู้เห็นพพจ.ว่าวิญญาณนั้นล่องลอยไป แต่พพจ.ไม่สอนอย่างนั้น บอกว่าภิกษุสาติ มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ว่าวิญญาณนี้ย่อมท่องเที่ยวแล่นไป ตุ๊บป่องๆ ทีนี้เพื่อนภิกษุทั้งหลายก็เห็นว่า ภิกษุสาติ เห็นผิดแน่ อยากให้ปลดเปลื้องทิฏฐิลามกนี้เสีย จึงไปสอบสวนไล่เรียงกับสาติ ว่าท่านกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้นนะ

          พพจ.ว่า วิญญาณนั้นย่อมมีปัจจัยให้เกิด ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี ในมหาตัณหาสังขยะสูตรเล่ม 12ข้อ 440 นี่คือเนื้อแท้ศาสนาพุทธ

          พพจ.ว่าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์เป็นอย่างไร?

ความเกิดแห่งทุกข์นั้น อาศัย จักษุและรูป สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ รวมธรรมทั้งสาม เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา นี้คือเหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นลัดไปว่า วิญญาณมีเวทนาเป็นปัจจัย

นามรูปนั้น รูปคือ มหาภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนนามนั้นคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ถ้าเราไม่เรียนรู้นามธรรมเหล่านี้มันก็เกิดสังขารอยู่ตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง ซึ่งในมหาจักรวาลสิ่งที่คงที่มีอย่างเดียวคือ นิพพาน คืออนัตตา คือสุญญตา คือวิมุติ หลุดพ้นอย่างไม่กลับกำเริบ (นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง) อะไรๆก็ไม่มีเที่ยงแท้เลยทั้งนั้น แต่สิ่งที่จะเที่ยงแท้ คือนิโรธ นิพพาน วิมุติ สุญญตา เรียกได้หลายอย่าง มีในอรหันต์เป็นต้นไป ตายแล้วตายเลย ไม่กลับกำเริบ ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรมาล้มล้างความเป็นอรหันต์ไม่ได้ เที่ยงแท้ ยังยืน ตลอดกาลนิรันดร์

สิ่งที่ไม่มีก็มี แต่สิ่งที่จะมีอยู่ก็ยังมี คือ กายขันธ์ คือจิตที่สะอาด จะมีสภาพได้อาศัยแล้ว สำหรับอรหันต์ แต่โสดาบันก็มีสภาพนี้ได้ ที่ดับอบายได้ แต่ที่มีกิเลสอื่นยังมีอีกเยอะอยู่ คือดับได้ 1ใน 4 จะเรียกว่า สูญ ยังยาก สกิทาฯก็ยังยาก แต่ในอนาคาก็เรียกว่า สูญได้ ถ้าแบ่งสองส่วน ส่วนนอกอย่างหยาบก็หมดแล้วไม่เป็นเหตุให้ท่านไม่เที่ยงแล้ว มีนิโรธในกามภพ กามวจร ในกามทั้งหลายท่านหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ท่านรู้สึกทุกข์สุขจากกาม ดังนั้นผู้ที่จะรู้เรื่อง กามภพ กามวจรภูมิ กามรส กามานุสารีย์ กามาทิกรณะ กามาวจรกิริยา กามาวัฏฏะ กามาวจรวิปาก กามมุปาทาน กามาสวะ กามภิพู

กามภพเป็นคำนาม กามาวจรเป็นคำกิริยา กามาวจรภูมิเป็นคำนาม เป็นชั้นระดับของกาม ที่ยังท่องเที่ยวในกาม ยังมีบทบาทดำเนิน(อวจร) ในพระอนาคามีก็มีกามาวจรกิริยา มีกิริยาที่อวจรในนั้น แต่ได้แต่ว่าสักแต่ว่าอวจรอยู่ มีกิริยาอยู่ แต่ในชั้นต่ำก็ยังเสพกามอยู่ แต่ในกามาวจรภูมิของอนาคามี ก็ยังดำเนินไปในโลกกามภพ แต่ไม่มีกิริยาที่มีกิเลสผสม

ความไม่เที่ยงอะไรๆก็ไม่เที่ยง แม้แต่จะช้าสุด จะเร็วสุดก็ไม่เที่ยง การไม่มีทางวัตถุท่านก็ไม่รับรองว่าไม่เที่ยง ท่านรับรองว่ามันเที่ยงอย่างเดียว คือไม่มีกิเลสอย่างเดียว ที่เที่ยงที่สุด นั่นเป็นการไม่มีเกิด “ชาติดับ”

เมื่อวานพค.อธิบายสารบัญถึงบทที่สาม ชีวิตชาติชั่ว

ชาติที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป มันมีชาติ 5 อย่าง ที่ได้เรียบเรียงไว้มาก่อน

ชาติ 2 แบบ
1. ชาติ = ชีวิตที่เกิด-ตาย ทางร่างกายที่เวียนวน ของสัตวโลก
2. ชาติ = การเกิดทางใจ หรือการเกิดทางวิญญาณ คือ การเกิดทางปรมัตถธรรม เรียกว่า โอปปาติกโยนิ

ชาวพุทธมีบทเรียนอันนี้เป็นอเทวนิยม คือไม่โง่ไปกับเทว ซึ่งไม่ใช่ว่า ไม่มีเทวะ และเทวนิยมคือนิยมเทวะ แต่อเทว นั้นไม่ได้โง่ต่อเทวะ แต่ไม่โง่อย่างพ้นอวิชชา คือพ้นความโง่ คือรู้เทวาที่แท้จริง อย่างพ้นอวิชชา จึงเรียกว่า อเทวะ แต่ไม่ได้ไปแย้งเถียงโลกเขา เข้าใจพวกเทวะที่ไปยึดเป็นตัวตน มีสภาพ เช่น เทวดาที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลเขาเรียกว่า “เทพเจ้า” เขาก็ว่ามีสภาพที่คนมองเห็นไม่ได้ แต่มีตัวตน แล้วแต่ใครจะบอกว่าเป็นอย่างไร คนที่เขาเก่งเขาพบพระเจ้า อย่าง “โมเสก” ก็พบพระเจ้า ได้บัญญัติ 10 ประการ แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่า พพจ.เป็นอย่างไร มีโฉมกายอย่างไร ยิ่งอิสลามว่า อย่าไปพูดว่ารูปพระเจ้า ไม่มีรูปให้เคารพ พระเจ้าไม่มีรูปให้พบ อย่างนี้เรียกว่า อรูปอัตตา เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก บรมอัตตาเป็นปรมาตมัน

พพจ.ไม่แย้งเถียงในพลังงานภายนอกว่าไม่มี แต่พิสูจน์ได้ยาก แต่ให้พิสูจน์พลังงานภายใน เป็นกัมพันธุ กัมโยนิ กัมปฏิสรโณ มีพลังพิเศษ เป็นปรมาตมันของใครก็มีของตน มีฤทธิ์ในตน บันดาลให้ตนได้ ถ้าพลังทางดีเรียกว่าพระเจ้า ถ้าให้ผลไม่ดีเป็นพลังงานไม่ดีก็เป็นบาป ให้ผลต่อตน เป็นที่พึ่งของตน ใครมีพลังชั่วเป็นบาปก็ได้พึ่งกามบาป (กัมปฏิสรโณ) สรณะแปลว่าสงคราม ถ้าทำสงครามให้ลดลงก็เป็นกรณะ เป็นกิจที่ควรทำ ใครไม่รู้ก็จะทำสงคราม(สรณะ) อยู่เป็นสิ่งชั่ว ถ้าทำดีลดสงครามก็เป็นกรณะ จนหมดสงครามก็เป็น “อรณะ” เป็นจิตอรหันต์ ไม่มีการรบ สงครามไม่มีสำหรับเรา จิตที่ไม่มีสงครามเป็นจิตที่เที่ยง เราไม่สามารถรู้พลังที่ล่องลอยออกไปแต่เราเรียนรู้ที่อยู่ในตัวเรา ในคูหาสยังนี้ นอกจากในคูหาสยัง เรียนรู้ จัดการมันไม่ได้ มนสิการมันไม่ได้

ในคูหาสยังนี้ มีอิทพรหมจริยวาโส คือที่ๆจะสร้างพระพรหม มีที่เดียว คือกายยาววา หนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจนี้ ที่สร้างพรหม คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากนี้สร้างไม่ได้ เพราะมีทวาร 6 ให้วิญญาณออกมาปรากฏ จึงต้องมีผัสสะ เป็นอุบายวิธีของพพจ. ในพระไตรฯข้อ 43 เล่ม 16 วรรคหลัง ท่านว่า ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก(โลเก นัตถิตา) ย่อมไม่มี(น โหติ)

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธหรือโลกอมตะ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

          ในมูลสูตร คนที่ยินดีในกุศลธรรม ในธรรมะขั้นพาบรรลุนิพพาน เช่นคนมาปลุกเสกฯนี่ต้องมีฉันทะ ใครอยู่บ้านดูทีวี ก็ได้แต่ไม่เท่ากับมาปลุกเสกฯ พุทธาฯ เพราะมีองค์ประกอบกิจกรรมหลายอย่าง คนที่จะมาต้องมีฉันทะ 

          ถ้ามีกองเพชรเท่าภูเขา กับกองปรมัตถ์กองเล็กๆ คนเห็นสองกองนี้ แล้วมายินดีกองปรมัตถ์มากกว่ายินดีกองเพชรเท่าภูเขานั้น ต้องมีภูมิ มีฉันทะ ต้องมีปัญญา มันเป็นแสงเงินแสงทอง เป็นแสงอรุณที่มาก่อนพระอาทิตย์ คือมิตรดี ของเราเป็นกลุ่มมิตรดี กัลยาณมิตโต คือจิตใจ(คำว่ามิตรคือจิตใจ จิตที่แท้ที่ดี) ส่วนสหายโย คือผู้มีประโยชน์ร่วมกัน ส่วนสัมปวังโก คือองค์ประกอบร่วม คือสังคมสิ่งแวดล้อม

          เริ่มต้นที่มิตรดี ต้องอยู่กับหมู่ดี หมู่บัณฑิต อย่างน้อยต้องมีผู้สยังอภิญญาเป็นมิตรดีคนแรก พพจ.ว่าเราเป็นกัลยาณมิตรของเธอทั้งหลาย ต่อมา ก็ต้องพากันมีศีล เป็นแสงอรุณข้อที่สอง การศึกษาของพุทธ มีอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ในพระไตรฯ จะมีว่าเกิดพพจ.จึงเกิดมีศีล แล้วจะมีจรณะ 15 ตามมา โดย พพจ.ให้กำหนดศีลตามควรแต่ละคน จากนั้นก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นภาคปฏิบัติต่อไป

          เข้ามาสู่การเกิด คือ ชาติ ...เมื่อเราได้รู้จักรูป-นาม ที่เป็นเหตุ ผู้ที่ไปพัวพันในอุบาย อุปาทาน อย่างไร

อุบายคือกลไก ถ้าทางนามธรรม คือเชิงคิด คือสูตร คือวิธีการต่างๆ ซึ่งคนไปติดในกลไกตรงนี้ ติดในลัทธิศีลพรต ในความเห็นทิฏฐิ ทฤษฏี เขาไปติดในอุบายนี้ บางคนไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่าอาจารญ์พาทำเช่นนี้ บางคนก็ยึดทฤษฏีความเห็น ใครมาเถียงไม่ได้ ไม่ฟังเสียงคนอื่นที่เขาปฏิบัติได้ผล

          ส่วนคำว่าไม่เข้าถึง คือ น อุเปติ และคำว่าไม่ถือมั่นท่านว่า น อุปาทิยติ  ส่วน ไม่ตั้งไว้ คือ นาฐิฏฐาติ ? คือไม่ทั้ง ถือมั่นหรือเข้าถึงในความเป็นอัตตา

          ถ้าเราสามารถรู้อาการที่มันมี แล้วทำให้มันไม่มีในสิ่งที่ควรไม่มี และทำให้มี ในสิ่งควรมี ทำอย่างมีปัญญา มีธาตุรู้ พพจ.จึงปฏิเสธ ความไม่รู้ ลัทธิ อสัญญี คือลัทธิที่ไม่มีสัญญา ไม่มีกาย ไม่มีสัญญาให้ศึกษา กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่ง ในสัตตาวาส 9 ท่านจัดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง หรือไปหลงในเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ คือสัตว์อย่างเดียวกับอสัญญี แต่ไปหลงผิดในอรูปฌานแบบเทวนิยม ดับไป ในอาฬารดาบสดับได้ถึงอากิญจัญญายตน แต่ยังไม่ดับได้สูงสุด ซึ่งในทิฏฐิสูงสุด ทั้งอากิญจัญฯ และเนวสัญญาฯ นั้นเป็นสัตว์อวิชชา

          ในผู้มีพ้นอวิชชา จะไม่เข้าถึง ไม่ตั้งมั่นไว้   คือ น อุเปติ  น อุปาทิยติ  นาฐิฏฐาติ ?

          จริงแล้วนามธรรม คุณรักมากกว่ารูปธรรม แต่คุณไปหลงรูปธรรม เพราะนามธรรมสัมผัสยาก แต่ที่จริงคุณรักนามธรรมมากกว่า ใครจะไปรักลมๆแล้งๆก็รัก เช่นคุณรักสิ่งที่มีเหตุปัจจัย เกิดเป็นนิทานขึ้น แล้วคุณก็ฝังใจรัก ตายไปก็หอบหวง ทั้งๆที่มันเกิดครั้งเดียว แต่คุณก็หอบไปสร้างนิทานใหม่ ทั้งๆที่มันเปลี่ยนตัวละครใหม่แล้ว อย่างกามนิต วาสิฏฐี ซึ่งอาจทรงสภาพได้ระยะหนึ่ง อาจเป็นล้านๆๆๆปี อาจนานเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่นิรันดรในสิ่งมี แต่สิ่งไม่มีเท่านั้นที่จะอยู่นิรันดร

          พระเจ้าคือ พระผู้เมตตา คือพระผู้สร้าง คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ พพจ.ท่านมาพิสูจน์เรื่องจิตที่เป็นเอกจรัง(ไปเดี่ยว)  ทุรังคมัง(ไกล)  สันติเก(ใกล้)  ไม่มีวิญญาณใดไปเจอกันได้ นอกจากคุณจะสัมผัสกันในขณะมีทวารทั้ง 6 นี่คือความรู้พพจ.ที่สำคัญที่สุด ที่ต่างจากลัทธิเก่า ที่เดียวนี้ก็เพี้ยนไป ไปนั่งหลับตาอย่างเก่า

          เขาอ้างว่าพ่อท่านเป็นภิกษุโปฐิะ เขาว่า ภิกษุโปฐิละว่ามีทิฏฐิมา ไปหาเณรอรหันต์ให้สอน เณรก็สอนว่าให้ปิดทวารทั้ง 5 เณรสอนว่า ทวาร 6 เหมือนรูที่จะออกเช่นเหี้ยมีรูออก เราต้องปิดรูทั้ง 5 แล้วคอยจับที่รูเดียว คือที่ทวารใจ พค.ว่าไม่เจอในพระไตรฯ เขาว่าพค.เป็นพระใบลานเปล่า เหมือน พระโปฐิละ

          พค.ว่าไม่มีปัญหา ถ้าจะไม่สำคัญในทวารนอกแล้วอ่านทวารใจ แต่ไม่จำเป็นต้องปิดทวารนอก เราก็ฟังเสียง เห็นรูปเต็มๆ เราเห็นก็ไม่สำคัญมั่นหมาย แล้วเราก็รู้การปรุงต่อเนื่อง ที่สังขารต่อไป ว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น หรือไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น กำจัดออก นั้นคือสิ่งที่ต้องรู้ต่อไป เรากระทบภายนอกให้รู้จริงตามจริงเท่านั้นแล้วปิด จบ ให้เร็ว ต่อจากนั้นให้อ่านสังขารที่เกิดต่อไป

          เอทวนิยม คือผู้ที่เข้าใจในเทวะที่แท้จริง มารคือความหลอก พรหมคือความสะอาด มีเทวะหรือพรหม 20 ลักษณะ หรือพรหม 20 ชั้น หรือเทวะ 6 ชั้น ก็เป็นลักษณะเทวะ ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องก็ไปหลง ก็กลายเป็นมาร

          วิญญาณต้องเรียนรู้ในปัจจุบันขณะในขณะมีทวารทั้ง 6 ครบ เราจะเรียนรู้วิญญาณสัตว์ วิญญาณเทวดา วิญญาณพรหมก็ต้องเรียนรู้ปัจจุบันขณะ ซึ่งต้องรู้กำหนดหมายที่พค.สอน แล้วไปมีผัสสะเอง กำหนดรู้เอง นั่นคือสัญญา แต่ว่าการฟังพค.นั้น แต่ละคนจะกำหนดหมายแตกต่างจากพค. แต่ถ้ามันกำหนดตรงกันอย่างรวมๆ ยกตัวอย่าง

ในวิโมกข์ 8 ข้อ 1-3 คือรูปฌาน ในข้อ 4-8 คืออรูปฌาน

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน อันนี้ท่านอรรถกถาจารย์แปลเอง)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   ( รูปี รูปานิ ปัสสติ) คำว่าปัสสตินั้นต้องมีการกระทบทวาร ดังนั้น ในข้อนี้ ต้องรู้ว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งภายนอกเรียกมหาภูตรูป และรูปภายในเรียกอุปาทายรูป มันจะเป็นความรัก ความโกรธ เมื่อมันถูกเรารู้ มันก็กลายเป็นรูป

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (*พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

ข้อ 4-7 นั้นเป็นอรูปฌาน คือการตรวจสอบ ตรวจผ่านไปที่ละขั้น

4. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ท่านแปลไม่เข้าท่า)  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ) พค.แปลว่า การกำหนดรู้อัตตาต่าง ๆจนกระทั่งไม่ต้องทำใจในใจ(อมนสิการ)

อัตถังคมาพค.แปลว่า บรรลุเข้าไปถึงเนื้อหา  เมื่อเรียนรู้หมดก็นานัตสัญญา เป็นการตรวจสอบว่ามันว่างจริงหรือไม่ ว่างจากเหตุแห่งทุกข์ ว่างอย่างอากาสาฯ แม้ที่สุดกิเลสอาสวะก็ตรวจสอบ มีเศษเสี้ยวเท่าไหร่ก็ตรวจสอบ ตรวจมันให้ละเอียดไปจนถึงขั้นไม่มีรูป

จบ.................


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:30:17 )

560227

รายละเอียด

560227_ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ 37 เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ 3 โดยพ่อครู

ความสงบของพุทธนั้นสงบอย่างมีปัญญาแคล่วคล่องสมรรถนะแข็งแรง มีปัญญาพละ วิริยะพละ อนวัชชะพละ สังคหะพละ ไม่ใช่ว่าสงบอย่างดับทวาร เลยขาดเนื้อหาสาระที่ถูกต้องไป ก็เกรงใจที่เขาอธิบายพยัญชนะผิดจากสภาวะไปไกล จนพ่อครูเห็นได้ว่ากลุ่มหมู่ของผู้ที่ปฏิบัติธรรมเป็นพุทธปัจจุบัน เสร็จแล้วก็ได้มรรคผล ทำให้พฤติกรรมของชีวิตปรับเปลี่ยนอย่างไร ดำเนินหรืออวจรไปอย่างไร? มันก็เป็นเครื่องแสดงภาวะจริง พฤติภาพจริงที่เป็นปกติที่เป็นค่ารวมก็ดูได้อ่านออกเข้าใจ เมื่อมารวมเป็นกลุ่มหมู่ก็แสดงเป็นภาพรวม ใครมาสัมผัสอย่างชาวอโศกเขามาสัมผัสก็จะรู้ เมื่อมารวมมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอโศกองค์รวม ที่มีสนามแม่เหล็กที่มีพลังงานกายจาวาใจ พลังทุกอย่างของรูป และนาม ทั้งมหาภูตรูป และอุปาทายรูป ของนามธรรม ทั้งเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ในวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ในเรื่องความเกิดเป็น 5 คำ มีคำว่า อภินิพพัตติ แปลว่า ความเกิดจำเพาะ เป็นการเกิดอย่างที่ท่านตรัสรู้ถึงอภิธรรม มันเป็นการเกิดอย่างยิ่ง อย่างสำคัญ และเป็นการตายอย่างสำคัญที่สุดเป็นอตัมยตา แม้แต่คำต่อมาบอกว่า “ภพ” ซึ่งมีทั้งที่เป็นภพ 3 หรือตัณหาก็มีตัณหา 3 แต่ท่านก็ระบุไปว่าเป็น เวทนา 6 ซึ่งเป็นข้อสังเกตุ ที่เป็นเนื้อแท้ที่ชี้บ่งว่าควรเอาอะไรมาใช้ในปฏิจจสมุปบาท

ตัณหาก็ 6 ผัสสะก็ 6 เวทนาก็ 6 ทั้งที่ท่านจะแจกเป็น 108 ก็ได้ และในนามรูปท่านก็แจกให้ชัดเจน ซึ่งรูปก็คือสิ่งที่ถูกสัมผัสรู้ ส่วนนาม ก็คือเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เราก็ต้องเห็นความสำคัญในจุดนี้ ที่พระพุทธเจ้าเน้นในสูตรนี้  จิตเจตสิกถ้าไม่กำหนดรู้ก็ไม่สามารถมนสิการได้

สังขารท่านก็แยกเป็น 3 อย่างคือ  กายสังขาร- จิตสังขาร- วจีสังขาร จุดเน้นสำคัญอยู่ที่วจีสังขาร คือองค์รวมของการปรุงแต่ง เป็นคำพูดก็ได้ แต่ยังอยู่ภายใน ไม่ออกมาเป็นวจีกรรม ซึ่งคนเราจะมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

ในภาคต่อจากวิภังคสูตรก็เป็นปฏิปทาสูตร ก็ยืนยันให้เห็นว่ามิจฉาฯกับสัมมาฯ และในวิปัสสีสูตรท่านก็แจกให้รู้ว่าสิ่งทีควรมีคืออะไร สิ่งที่ควรไม่มีคืออะไร และการมนสิการ คือการทำใจในใจ คือทำที่ใจ พ่อครูมาแปล เมื่อรวมกับคำว่าโยนิ คือคำว่า โยนิโสมนสิการ คือให้มันละเอียดลออ แยบคาย ครบครัน ซึ่งจะสัมมาทิฏฐิจะต้องเข้าใจคำว่า โยนิโสมนสิการ ต้องเห็นความสำคัญอย่างมาก อย่างในปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ  คือเราต้องฟังคนที่อธิบายธรรมให้ทำใจในใจอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิ และทำอย่างไรเป็นสัมมาปฏิบปทา ในการปฏิบัติให้ลงไปถึงที่เกิด ที่ตั้งของกิเลส

  ท่านเน้นในปฏิจจสมุปบาทว่าการปฏิบัติให้สัมมาให้ลงไปถึงที่เกิดนั้น ตัณหาจะเกิดต้องมีผัสสะ ซึ่งมี 6 อย่างทั้งนั้นในปฏิจจสมุปบาท แม้อายตนะก็ 6 วิญญาณ ก็6 ท่านก็แจกให้เข้าใจโดยเฉพาะการแจกนามรูป ท่านให้รู้นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คนก็งงว่า ผัสสะทำไม่เป็นนาม เพราะว่าถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดนามจริง ไม่มีองค์รวมเป็นกาเยนะ จะไม่มีกาเยนะสัมมัปปัญญา คือปัญญาที่เป็นสัมมา ต้องมีองค์ประชุมที่เป็นกายนอกกายใน ในเวทนาก็แจกได้เป็น 108   มนสิการแปลได้อีกว่าแดนเกิด โยนิโสนี้แปลว่าแยบคายหรือถ่องแท้

          ความเสื่อมของภิกษุผู้แสวงหามี

ไปตั้งใจเข้าใจว่าอาจารย์ต้องอยู่ที่ป่าเป็นความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ในพลความเก็บผลไม้กิน  อยู่ในจุลศีล ท่านไม่ให้พรากพืชคาม ตอนนั้นยังไม่ออกวินัยมีแต่ศีล
  1. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

ในข้อนี้ไม่มีในศีล

  1. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ 

คือการทำให้มีควัน ใช้กำยาน ข้าวสาร เป็นต้น ออกนอกรีต มีจุดธูปเทียนบูชา เป็นองค์ประกอบของพิธีกรรม เขาเป็นกันทั้งโลกในชาวพุทธทั้งโลก ซึ่งศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนามาท่ามกลางเทวนิยมที่เขายึดถือกันทั่วโลก และยืนยาวมาถึงปัจจุบัน

ในตัณหาสูตรมี

1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ

ถ้าคุณเชื่อถือสัทธรรมอย่างไรตามที่ศรัทธาก็จะทำใจในใจอย่างนั้น(คือโยนิโสมนสิการ) ซึ่งคำว่าโยนิโสมนสิการไม่มีในปฏิจจสมุปบาท  การทำใจในใจต้องมีผัสสะ ที่เป็นคำที่อยู่ในนามที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาท

เจตนา มีอยู่ในอาหาร 4

1.       กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.       ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.       มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.       วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น)

อาหารก็มียืนยันในอาหาร 4 อาหารเป็นเครื่องอาศัยที่จะมีชีวิตอยู่ และชาติที่จะเกิดจากผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีอะไรเกิด แต่ก็มีในใจอย่างเดียวก็เกิดได้ แต่ไม่ครบ สุรภาโว คือภาวะ(ความจริง) ที่ปรากฏ ไม่ครบทั้งนอกและใน ไม่ครบอาการ 32 เมื่อมาเป็นคนได้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีกายยาววา หนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ถือว่าเป็นที่ๆครบในการปฏิบัติ ถ้าเข้าใจไม่ครบก็ปฏิบัติได้ไม่สมบูรณ์

ทั่วไปเขาเข้าใจว่าแม้จะอธิบายอภิธรรมเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่นั่งสมาธิไม่เข้าป่าปฏิบัติก็ยังไม่แน่ แต่แม้ยังไม่ได้เรียนบัญญัติอะไรบวชแล้วไปออกป่าเลยอีก 10 ปีก็ออกมาได้ ถ้าไม่ตายก่อน ไม่ถูกเสือกัดกินก่อน ก็จะมีนิทานเล่าว่าได้ต่อสู้อดทน กับสิ่งต่างๆ แต่ไม่มีในพระไตรฯว่าได้ต่อสู้กับอะไรในป่า แต่ในพระไตรฯกลับบอกว่า ไปแสวงหาอาจารย์ในป่านั้นเป็นความเห็นผิดต่างหาก ที่เข้าป่าแล้วตกเหวตายไปก็มาก ไม่มีประวัติพวกนี้เลยในพระไตรฯ มีแต่บอกว่าไปบำเรอไฟสร้างวิหาร สร้างเรือนไฟมีประตูสี่ด้าน ซึ่งสมัยโบราณไม่ใช่เล็กๆมีประตูสี่ด้าน อยู่ในทางสี่แพร่ง ท่านอธิบายให้เห็นว่าไปสร้างอะไรใหญ่โตเพื่อล่าบริวารทั้ง 4 ทิศ แต่ศาสนาพุทธไม่ได้เพื่อล่าลาภยศ ล่าบริวารแต่อย่างใด ซึ่งมันออกนอกรีต ไปเป็นอาจารย์ในป่า

เป็นการปฏิบัติที่ไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สัมมาปฏิบัติก็ทำใจในใจไม่ถูกต้อง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้วิญญาณใน 6 ทวาร ที่จะศึกษาวิญญาณได้ และในวิญญาณก็ต้องรู้ทั้ง เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

จนกว่าจะรู้จักชาติ คือการเกิดในนัยต่างๆก็จะขยายคำว่า “ชาติ” ให้เห็นพอสมควร

ชาติ 5 แบบ
1. ชาติ = การเกิดขึ้นเป็นประเทศ ... ชาติรัฐ,  ชาติประเทศ

2. ชาติ = การเกิดของความเป็นตระกูล ... ชาติพันธุ์, ชาติตระกูล, สกุลรุนชาติ
3. ชาติ = ชีวิตที่
เกิด-ตายทางร่างกาย ซึ่งเป็นการเวียนวนของสัตวโลก แต่ละชาติๆ การเกิด-การตายชนิดนี้ ต่างก็รู้ก็เข้าใจกันทั่วไปดีอยู่แล้ว มีแต่ว่าร่างกายจะทำให้มันเกิดอย่างเรียบร้อย ไม่เจ็บไม่ป่วย สุดท้ายมันก็ตายก็เลิกกันไปหนึ่งชาติ
4. ชาติ = การเกิดของจิตในจิต มีการเกิด-
มีการตายของจิตในจิต เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เป็น ปรมัตถธรรม ชาติอันนี้แหละคือความจริงอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องเรียนรู้กันเป็นการตาย การเกิดของสัตว์ทางจิตใจ ท่านมีภาษาเรียกว่า การเกิดของโอปปาติกะ(โอปปาติกโยนิ หมายถึง สัตว์ทางวิญญาณ หรือทางจิตใจ ซึ่งเป็นความรู้พิเศษยิ่งของศาสนาพุทธโดยเฉพาะ)

5. ชาติ = การเกิดในสภาพลิงลมอมข้าวพอง
          คือ การเกิด(ชาติ)ในขณะผู้เป็นอาริยบุคคลที่มีปัจเจกภูมิของตนแล้ว ภาวะลิงลมอมข้าวพอง
คือการเกิดมาแล้วปัจจเจกภูมิของตนยังไม่แสดงตัว จึงเป็นคนเหมือนไม่มีปัจเจกภูมิในของตนเองเลย จะเมาไปตามโลก จะถูกสังคมครอบงำให้หลงไปตามโลกีย์ชั่วระยะหนึ่ง เฉพาะช่วงต้นของชีวิตที่ปัจเจกภูมิของตนยังไม่ปรากฏ การเกิดช่วงนี้จึงเป็นการใช้หนี้วิบากของตนในช่วงที่ภูมิปัจเจกของตน ยังไม่ตื่นฟื้นขึ้นเต็มสภาพ ก็จะถูกครอบงำไปตามกระแสโลก ชั่วระยะหนึ่ง  แล้วแต่หนี้ และวิบากของแต่ละท่านตามบารมีตน  เมื่อฟื้นตื่นสู่ปัจเจกภูมิหรือสยังอภิญญาของตน จึงจะหายเมาจากที่หลงไปตามโลกีย์ ก็พ้นจากภาวะลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่สยัมภู ก็จะมีภาวะลิงลมอมข้าวพองนี้จนกว่าจะถึงเวลาจึงจะเข้าสู่ภูมิบารมี

          เช่นพระพุทธเจ้าท่านถูกพระราชบิดามอมเมายิ่งกว่านกในกรง มา 29 ปี แต่เพราะไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไรก็ปฏิบัติแม้บวชก็ออกปฏิบัติผิดๆไปตามเขา ไปอัตกิลมถานุโยคอีก 6 ปี กว่าจะตรัสรู้ก็อายุถึง 35 ปี แต่ก็ถึงคราวถึงเวลา ท่านมีเหตุปัจจัยที่ท่านจะได้ท่านก็ไปนั่งระลึกรู้ชาติเก่าๆ เป็นสมบัติเก่า ในสัญญาที่เก็บไว้

ธรรมดาเราที่ไม่มีสัญญาเก็บไว้พอมาเจอกันก็ไม่รู้ว่าเรามีความเกี่ยวข้องอะไรกัน แม้มีสัญญาอยู่แต่ระลึกไม่ได้ พอเจอกันเราก็ระลึกไม่ได้ เอาปัจจุบันก็ตาม เราเจอใครแล้วไม่รู้จัก พอเขาทักว่าเคยพบเราที่นั่นที่นี่ เราก็เริ่มฟื้นสัญญามารู้ได้ก็มีเป็นต้น

          พระพุทธเจ้าจำได้แม้เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นความจำในจิต ท่านระลึกได้ว่าท่านได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ระลึกไปถึงว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆท่านได้สอนอย่างนั้นอย่างนี้ มีอัครสาวกที่เคยมีบุญบารมีร่วมกัน พออัครสาวกเดินมาก็บอกว่านี่คืออัครสาวก ทั้งที่ชาตินั้นยังไม่เคยเจอกันมาก่อน เป็นความจำของท่าน

          ความจำที่ไม่ใช่ของจริงก็มี แต่ความจริงที่จะจริงต้องเกิดขณะผัสสะในเดี๋ยวนี้ คนที่จะมีผัสสะกระทบในตน เป็นของตนคือมีปัจจัตตัง เป็นผัสสะปัจจุบัน คือสภาพที่มันได้รู้กระทบสัมผัสเกี่ยวข้องกับตน (อัตตะ กับ ปัจจัตตะ) เป็นตนที่จะต้องได้คือได้ วิทิตัพโพ วิญญูหีติ คือได้ความรู้ยิ่ง เข้าไปในวิญญาณ ได้ผลเป็นสัมมาผลเป็นมรรคผล ก็เป็นปัจจัตตังที่เป็นเวทิตัพโพวิญญูหีติ คุณก็ได้สมบูรณ์เต็มหน่วยของผลธรรม ได้กี่หน่วยก็เป็นปัจเจกเฉพาะตนใครทำใครได้ ทำชั่วก็ได้บาปเป็นปัจเจก แต่ไม่ใช่เวทิตัพโพ ไม่ใช่ความรู้ที่ควรบันทึกในวิญญาณ ลืมได้ก็ลืมไปพวกอกุศล ลืมไปคุณไม่เลวหรอก แต่กุศลคุณอย่าไปลืม

          เมื่อเป็นปัจเจกก็เป็นปัจเจกภูมิ สั่งสมไปสยังอภิญญา  คำว่า สยังคือของตนเอง ก็เป็น เอง ซึ่งในภาษาไทยมีสองคำ คำว่า เอ็ง ก็คือ เขา แต่คำว่าเอง ก็คือเรา 

          ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ยืนยันได้ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

          ที่สูงกว่าสยังอภิญญา คือปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ แต่ยังไม่ถึงขั้นสยัมภู  คำว่าปัจเจกมีสองคำ คือปัจเจกที่ยังไม่ถึงสยังอภิญญา และปัจเจกที่ยังไม่ถึงขั้นสยัมภู อันนี้คือท่านมีภูมิเท่ากับสัมมาสัมพุทธเข้าแต่ท่านยังไม่ถึงขั้นสร้างศาสนา ซึ่งเขาแปลว่าปัจเจกสัมพุทธะนั้นสอนคนไม่ได้ แต่ที่จริงแม้พระโสดาบันก็สอนคนได้แล้ว แต่แปลอย่างไรว่า เป็นถึงปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับจะสอนคนไม่เป็น อย่างนั้นเป็นการตีความที่ไร้เหตุผล ตีความผิด

          ถ้าเข้าใจสยังอภิญญาไม่ได้และไม่เชื่อว่า ผู้ที่มีสยังอภิญญามีจริง ถ้าพ่อครูมีสยังภิญญา และก็ประกาศไป ประกาศโลกนี้โลกหน้า ขยายความอิมัญ จ โลกัง และปรัญ จ โลกัง พ่อครูมาอธิบายให้เกิดโลกใหม่ตั้งแต่โสดาบัน ซึ่งเป็นโลกุตรภูมิ มี 9 ขั้น  

          เริ่มต้นรู้จิตเจตสิก แยกเวทนา แยกจิตเจตสิกอย่างนี้ พ่อครูก็อธิบายตามสยังอภิญญา มั่นใจว่าถูกต้อง และระวังในเรื่องความผิดพลาดเพราะมันเป็นบาป โดยเฉพาะผิดในเรื่องพุทธธรรมของพุทธเจ้า พ่อครูไม่ต้องการให้ผิด มันเป็นกรรมเป็นบาป ในเรื่องอนุตริมนุสธรรม มันเป็นอนันตริยกรรม และที่พ่อครูจะพูดไม่ให้ผิดนั้นมีมาก และไม่มีสิทธิให้ใครเชื่อด้วย เป็นสิทธิของแต่ละคน บังคับไม่ได้ พ่อครูไม่เก่งในการให้คุณล่าลาภยศ ที่ให้พวกคุณมานี่ไม่ได้ใช้คารมล่อ แต่พูดสัจจะผ่าให้รู้ความจริง ให้แรงให้ถึง

          ภาวะลิงลมอมข้าวพอง เป็นทวิชาติ คือจมอยู่ในภาวะลิงลมอมข้าวพอง ไปตามวิบาก ซึ่งจะไม่รู้ทันทีไหม ก็ไม่ง่าย พระพุทธเจ้าท่านก็มีบารมีมีวิธีของท่าน ของพ่อครูก็มีภาวะลิงลมอมข้าวพองและรู้ไปตามลำดับวิธีของตนเอง ได้มาก็มั่นใจว่าอย่างนี้ถูกต้อง ไม่เหมือนแน่กับท่านที่ได้รู้ตกทอดกันมานาน ก็เห็นใจเขา แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านในวันสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าเหลือวิธีสุดท้ายคือการระลึกชาติ แล้วก็เห็นความจริง โดยไม่มีตำราไหนบอก แต่พ่อครูยังดีมีตำราพระไตรฯอยู่ ก็อ่านแล้วก็เข้าใจต่างจากที่เขาแปลมา ที่ใช้คือพระไตรฯฉบับหลวง มีคณะสงฆ์ที่รวมกันแปล ในปี 2500 สมัยจอมพลป. ซึ่งพยายามไม่ให้ผิด จะมีพระอรหันต์หรือไม่ในการสังคายนาก็ไม่รู้ได้ ก็แปลมาจากภาษาบาลี ก็ใช้อันนี้อ้างอิง

          อย่างในปฏิจจสมุปบาทก็อาศัยที่แปลจากท่านที่ทำมาก่อน และอาศัยภูมิตนที่มี พยายามไม่ให้ผิด พ่อครูไม่กล้าทำผิดทำบาป ซึ่งเป็นทรัพย์แท้  จะไม่สะสมบาป จะสั่งสมแต่สิ่งดี

          โย ธัมมัง ปัสสติ โส มัง ปัสสติ คือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต หรือโย ธัมมัง ปัสสติ โส  ปฏิจจสมุปาทังปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท หรือโย ปฏิจจสุปาทัง ปัสสติ โส ธัมมังปัสสัสติ คือผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม..........จบ......         

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:33:46 )

560228

รายละเอียด

560228_รายการตอบปัญหา(ละ)ดับชาติ ตอน 1 งานพุทธาภิเษกครั้งที่ 37 โดยพ่อครู

  1. เรื่อง มี กับ ไม่มี ดิฉันเข้าใจว่า ถ้าเกิดกุศลขึ้น อกุศลจะดับไปใช่หรือไม่?  หากใช่แล้วปุถุชนก็ทำบุญให้ทาน อกุศลจะดับไปใช่หรือไม่....ตอบ  การทำทานที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ดับกิเลสหรอก อาจได้อัตตาเพิ่มขึ้น ทำบุญแค่ 10 บาทอธิษฐานอยากได้ 100ล้าน กิเลสเพิ่ม เป็นการทำใจในใจไม่เป็น ต้องฝึกแยกแยะทำใจอย่างมีความรู้ความสามารถให้กิเลสลด
  2. ญาติธรรมหญิงเอาผู้พิการชายมาดูแล ทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ขัดสีฉวีวรรณที่ห้องน้ำวัด นอนในมุ้งเดียวกัน ทุกคนก็รังเกียจ เป็นพฤติกรรมแหกกฏ และยังส่งเสียงดังเวลานอน บางครั้งก็ไม่ได้อยู่ด้วย หลายคนวางใจเมตตาสงสารแต่ก็รู้ว่าเมตตาต้องมีประมาณ....ตอบ...ในเรื่องสังคมเขายึดถือจารีตประเพณี แต่ก็ยังไม่มีความผิดพลาดเรื่องราว มันก็เป็นเมตตา แม้ไม่ใช่ญาติก็มีน้ำใจดูแล ก็ไม่ได้ผิดศีลธรรมอะไร แต่มันเป็นความยึดถือ สังคมเรายึดถือเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ต่อให้เป็นอรหันต์ก็ต้องมีรูปธรรมให้คนอื่นได้ระแวงสงสัย เราก็ต้องทำ ก็ให้พิจารณาดูผู้ที่จะปฏิบัติ ถ้าเรียบร้อยโดยสัจจะก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ให้ดูโลกวัชชะ
  3. ชื่อรายการเก๋มากค่ะ หากย้อนไปได้ 43 ปีพ่อครูจะคิดทำอะไร?....ตอบ...ก็มาทำอันนี้แหละเป็นทางประเสริฐทางเดียว
  4. จากพ่อท่านเพียงคนเดียวมาถึงวันนี้มีหมู่กลุ่มชุมชนสาธารณโภคี เป็นตางึด ...ตอบ...สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในหมู่สงฆ์ ก็รู้สึกว่าที่ปัจจุบันทำได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ยุคนี้เขาก็ต้องการ แต่เราเผยแพร่ไม่เก่ง เขายังไม่รู้ เพราะทฤษฏีศาสนาพุทธที่เขาสอนกันเขายังทำไม่ได้ถึงสาธารณโภคี ขนาดสงฆ์ยังไม่ได้เท่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย แต่ของเราทำได้เกิดจากจิตจริงๆของแต่ละคน เราไม่ได้ไปครอบงำความคิด ถ้สาทำเช่นนั้นพวกคุณมีกิเลสมาเหมือนไก่ยัดในเข่งเดียวกันรับรองจิกกันตาย เรามาไม่ได้มีอามิสล่อ เป็นการยืนยันของจริงว่าเป็นได้ มาอย่างนี้ไม่มีสัญญาอะไร ถ้าทำไม่ดีเขาก็ให้คุณออกได้นะ

พ่อครูมั่นใจว่าการทำระบบสังคมอย่างที่เราเป็น พ่อครูว่า คนกำลังศึกษาเพื่อยืนยันพิสูจน์ถ้าเขามั่นใจว่าทำได้จริง ไม่ใช่ทำเพื่อโชว์ ทำเพื่อโก้เฉย แต่นี่คือความจริงเลย พ่อครูว่าคนจะต้องมาศึกษาพิสูจน์เอาไปสร้าง เชื่อว่าคนที่มีบารมีในโลกนี้ ยังมี จะศาสนาไหนๆก็ตาม แม้แต่พุทธเองที่ยังไม่ยอมรับ

  1. อะไรทำให้พ่อท่านสอนแสดงธรรมอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย...ตอบ พ่อท่านก็เหนื่อยเป็น
  2. พ่อท่านเทศน์ภูมิอนาคามีเสียส่วนใหญ่ในงานนี้ ...ตอบ..ก็สอนมาหลายสิบปีแล้ว ก็ให้ตรวจภูมิตัวเอง
  3. ช่วยอธิบายสัตตาวาส 9 อีก....ตอบ...ก็ตั้งใจอธิบายอยู่ สัตตาวาส 9 กับวิญญาณฐีติ 7 นั้นเหมือนกันเลย แต่ สัตตาวาสมีเกินวิญญาณฐีติ 7 ในสัตตาวาสก็หมายถึงสัตว์ในภพชาติของจิตใจ ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ แม้ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ วิญญาณคือธาตุรู้ พอเป็นสัตว์ วิญญาณฐีติ 7 ก็เป็นสัตว์เพราะมิจฉาทิฏฐิ ต่อให้ได้อรูปฌานถึงอากิญจัญยายตนะ(วิญญาณฐีติมีถึงแต่อากิญฯ) ในสัตตาวาสจะมีอสัญญีสัตว์ และเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ในอสัญญีเขาเข้าใจว่าเป็นสภาพดับสัญญา ในอรูปฌานฤาษีเขาเข้าใจว่าให้ดับหมดแม้แต่สัญญาและเวทนา ผู้ที่ไม่รู้สภาพรายละเอียดของฌานไปเลยเขาอาจเป็นได้ทั้งสองอย่างเลย คนที่ศึกษาผิดก็ดับผิดๆ
  4. อยากให้พ่อท่านมีเครื่องชี้วัด อาทิเช่น ไฟสีแดงขึ้นคือโสดาบัน ไฟเขียวคือสกิทา ไฟเหลืองคืออนาคามี ไฟสีชมพูคืออรหันต์ ไม่มีสีใดคือ....ตอบ...ก็ช่างคิด ตลก ให้ฟังดีๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าพ่อท่านได้อธิบายอยู่หลายนัย โสดาบันก็ไม่ง่ายที่จะมีญาณไปรู้นามธรรมบางอย่างแต่ก็พอพูดได้ เพราะไม่ใช่อ่านแต่ตัวหนังสือ ให้ติดตามฟังดู
  5. จิตแต่ละขณะเสวยอารมณ์เดียว...ตอบ...พระพุทธเจ้าว่าขณะที่เรามีสุขเวทนาเราก็ไม่ตกในทุกขเวทนา ขณะเรามีทุกขเวทนาก็ไม่มีอุเบกขาเวทนา ซึ่งจิตมีทีละอารมณ์แต่อาจสลับกันไปมาได้ แต่เราจะสับสนจับอ่านไม่ง่าย เช่นในฌาน1 ยังมีวิตกวิจาร ยังทำได้ยากได้ลำบาก แต่เราก็มีปีติอยู่ได้ สลับกันไปได้
  6. ขณะเรากำลังเกิดกิเลส เราก็ยังไม่ได้สร้างจิตกุศลใช่ไหม?....ตอบ..ไม่ต้องสร้างเพียงแต่ดับกิเลส กุศลจิตก็จะเกิด หลายสำนักสอนให้สร้าง แต่พุทธไม่ต้องสร้างภพชาติ แต่ดับตัวเหตุไม่ให้มันเกิด พอตัวเหตุตาย จิตก็จุติหรือเกิด เมื่อจิตที่ปรุงด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานดับลงจิตกุศลก็เกิดโดยไม่ต้องสร้าง หรือว่าจิตกุศลก็ต้องสร้าง....พ่อท่านว่าต้องรักษาผลก็คือการสร้างกุศลให้สมาธิตั้งมั่น ตกผลึก สรุปต้องละกิเลสก่อน เมื่อมีนิโรธได้ ปหานกิเลสได้ ก็เกิดกุศลเป็นการรักษาผลแล้ว
  7. พบอโศกครั้งแรกไปที่ส.ขจ. เมื่อสินบุญแม่ก็อยากเข้าร่วมช่วยส.ขจ. ไปร่วมงานว.บบ.และงานฉลองหนาวฯ ครั้งนี้คืองานพุทธาฯ ความรู้สึกที่เข้ามาตอนแรก 100 เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ ปกติเป็นคนใจร้อน ไม่ยอมคน โมโหร้าย มาแล้วคิดว่าจะทำให้อโศกอึดอัด จะทำอย่างไร?...ตอบ... คุณไปเก็บไว้ทำไม่เยอะแยะ..รอดคุกก็ดีแล้วรอดถูกจับก็ดีแล้ว ก็ให้ตั้งใจให้ลองฝึกตนข้างนอกก่อน ว่าเปลี่ยนอาการได้ไหม แล้วก็ลองมาศึกษาดู ถ้าใจคุณว่าขนาดนี้น่าจะได้ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำยาก มาอยู่กับหมู่จะง่ายกว่า เช่นกินเนื้อสัตว์ในหมู่ก็ไม่มีกิน หรือกินมื้อเดียวอยู่กับหมู่ก็ทำได้ แต่ไปข้างนอกทำไม่ได้ เป็นพลังสนามแม่เหล็กธรรมะเหนี่ยวนำได้จริง
  8. เคยไปอยู่ที่สถานธรรม วิถีอนุตรธรรมต่างจากวิถีธรรมอย่างไร เขามีกราบสามครั้ง กราบ 10 กราบ 100 กราบ 1000 ครั้ง ต่างกันอย่างไร...ตอบ..ที่อื่นก็ตามเขาจะกราบจน 1000 ครั้ง เขาก็จะสร้างศรัทธาอย่างหนึ่งเป็นการเคารพ ว่าอย่าเบื่อหน่ายในศรัทธา เป็นการทำเพื่อศาสนา แต่ไม่ได้เป็นการเรียนรู้ไปหากิเลส ในอริยสัจ 4 ก็ทำให้เกิดความชินทางโลกเขาก็ทำกัน ให้เกิดผลเป็นกุศลโลกีย์ การกราบอย่างนี้  ของเรากราบเพื่อแสดงความเคารพเชิดชูบูชาสิ่งควรเคารพ แต่ต้องมีมนสิการให้ถูก การมนสิการไม่ถูกก็คือตั้งจิตใจให้กราบเพื่อขลัง บรรดาล ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นการออกนอกพุทธ มีมากเลยแม้ในวงการศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยมก็ตาม เป็นศาสนากรรมนิยม ไม่ใช่ใครมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร จิตก็ให้ทำใจในใจให้เป็น ทำแล้วมีอานิสงส์ในการลดกิเลส

เขากินอาหารเจ ไม่กินกระเทียม ส่วนเรากินมังสวิรัติ เจมากินมังไม่ได้ แต่มังฯไปกินเจได้ แต่ให้เป็นไปเพื่อการละกิเลสจึงจะดี

  1. ก่อนบรรลุโสดาบัน เมื่อละกิเลสปริยุฏฐาน จนมีอธิศีล อธิปัญญา ต้องเป็นคนจนเท่านั้นหรือรวยได้?...ตอบ ตอบตายตัวไม่ได้ บางคนเขารู้โสดาบัน ทำโสดาบันได้ แต่ที่ชัดเจนคือเขาจะลดความโลภ คุณจะรวยกว่าเก่าจริง เพราะมีคุณธรรมขยัน รู้อะไรควรไม่ควร ได้เวลาแรงงานคืนมาจากที่เสียไปกับโลกอบาย ก็เอามาสร้างสรร ก็รวยกว่าเก่า แต่ผู้รู้ภูมิธรรมถูกต้องก็จะมักน้อยจะกล้าจนลงมา ไม่ใช่ว่าลดกิเลสมาก็มักมาขึ้นโลภมากขึ้น มันจะไม่ย้อนแย้งความจริง คุณจะรวยขึ้น แต่ก็ยังรักในลาภยศ แต่พวกชั้นต่ำคุณไม่ทำ จะไม่จนหรอก แต่จะเข้าใจว่าต้องจน ใครมีภูมิธรรมก็จะรู้วิธีทาน รู้วิธีสละออก รู้ทินนัง คนที่ติดยึดมาติดแป้นก็จะช้านาน ใครอยากนิพพานเร็วก็จะสละเร็ว แต่ก่อนไม่เคยทำทานพอเป็นโสดาบันก็จะทำทาน จะเป็นฐานเลี้ยงศาสนา พอสกิทาฯก็จะสะสมน้อยลงๆ พออนาคาฯก็ไม่สะสมข้างนอกแล้ว เป็นคนไม่มีแล้ว ยิ่งเป็นสังคมสาธารณโภคียิ่งชัดเจน
  2. ทำแบบไหนที่จะให้ขี้เหร่มากขึ้นหรือจะเอาถ่านดำทาหน้าดีคะเป็นการป้องกันตัว?...ตอบ....แนะนำไม่ได้ ทำไม่สวยงามนักหนาปัญหาแบบนี้ก็มีด้วยในคนเรา คิดอย่างไร จริงๆแล้วสัจธรรมจะขี้เหร่หรือสวยเป็นคนเราไปตั้งค่าเอา มันก็หาได้ร้อยแปดเหลี่ยมมุม ก็สมมุติกันไปไม่ตรงกันทีเดียว อย่าไปถือสาเลยบุญทำกรรมแต่ง เอาที่เราได้มาครบ 32 ก็สร้างกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมให้ลดละกิเลส การปฏิบัติธรรมจะเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีที่สุด จริงๆว่าถ้าฐานสูงขึ้นยิ่งจะหล่อรวยขึ้นใช่ไหม แต่พ่อท่านไม่เห็นหล่อได้เป็นพระเอกหรือมีคนทำบุญน้อยกว่าคุณจำลอง ซึ่งมันเป็นอจิตไตยอธิบายไม่ไหว ซับซ้อน แต่ก็เป็นสิ่งที่เจริญ ยกตัวอย่างว่าพ่อท่านเกิดมาทำไมไม่มีทุนทางสังคมเลยในชาตินี้ เรียนไม่จบปริญญาที่ไหน หรือเป็นศิษย์สำนักไหน มองไปแง่ร้ายเหมือนกระจอก แต่ในทางกลับกันก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ พ่อท่านต้องเอาแต่ธรรมะเพียวๆเลยในการสร้าง แม้แต่ทางธรรมะที่มากับพ่อท่านก็พาให้หมดเนื้อหมดตัว มันเป็นองค์ประกอบในการสร้างธรรมะว่าไม่มีอะไรช่วยนี่ไปรอดไหม ไม่ต้องกินใช้อย่างอื่นเลยนอกจากธรรมเพียวๆแล้วรอดไหม โลกุตระแข็งๆด้วย เป็นการพิสูจน์ว่าไม่มีอยู่แล้วก็ใช้ธรรมะเต็มที่
  3. ได้ไปอบรมธรรมสถานฝงเต๋อ สาขาของไต้หวัน เขากินเจ ไม่กินหอมกระเทียมผักกุยฉ่าย ไม่กินของฉุน วิถีอนุตรธรรมกับวิถีธรรมต่างกันอย่างไร?...ตอบ....คำว่าวิถีธรรมเป็นคำกลางๆธรรมะเป็นกลางๆ แต่ถ้าวิถีอตุตรธรรม เป็นภาษาของศาสนาพุทธแปลว่า ธรรมะเหนือโลก แต่โดยปฏิบัติจะเป็นพุทธหรือไม่ก็ไม่อยากวิจารณ์มาก วิถีอนุตรธรรมในทางปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่
  4. การปฏิบัติธรรมมีสี่ระดับใช่หรือไม่? ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีมิตรดี หรือนักบวชคอยแก้ปัญหาธรรมะหรือไม่? เมื่อได้พบมิตรดีก็ทำทุกข์นั้นตกร่วงไปได้ แต่อีกพวกก็ไม่ช่างถาม คอยฟังธรรม แล้วแก้ทุกข์ตัวเองปฏิบัติด้วยตนเอง  โดยไม่มีพี่เลี้ยงมีแต่พ่อเลี้ยง (หมายถึงพ่อท่าน) ผู้ปฏิบัติทั้งสองแบบจะแยกขั้นอย่างไร..ช่วยวิจัย.....ตอบ....มีหลากหลายทั้งจริตและบารมี พระพุทธเจ้าแบ่งคนออกสี่แบบ

1.  อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น)

2.  วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร)

3.  เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป  โดยอุทเทส (หัวข้อ)   โดยไต่ถาม  โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  โดยการสมาคม   โดยคบหา   โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร) 

4.  ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก  กล่าวก็มาก  จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินั้นเลย) เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ   หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก

ก็แล้วแต่จริตใคร  อย่างในสมัยพระพุทธเจ้าก็จะมีการสากัจฉาธรรมกันมาก พวกเรามาแล้วก็จะมีแต่สนทนาเรื่องธรรมะเกิดธรรมรส เรื่องโลกๆเราก็ไม่ค่อยมีรส

  1. ชุมชนเลไลย์อโศกยังอยู่ดีมีแรงหรือไม่ ได้ยินว่าต่างคนต่างมีผัสสะจนต้องแยกกระจายกันไป?..ตอบ...จะถือว่าพ่อท่านลงทัณฑ์ก็ได้เพราะมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ได้ข่าวว่าเขาก็พยายามปรับตัวกัน ยังไม่หายไปหรอก เรามีหลายที่ต้องบูรณะ พวกเราก็ให้ช่วยกันหน่อย
  2. พระอนาคามีมีกามาจรหรือไม่? อสัญญีเท่ากับเนวสัญญานาสัญญาหรือไม่?  ตอบ...พระอนาคามี นั้นคำว่ากามาวจรนั้นคือจิตของเรามีการดำเนินไปในแดนกามอยู่ แต่ท่านมีภูมิกามาวจรภูมิจนสามารถอยู่เหนือกามาวจรภูมิ เช่นมีกามาภิภู คือพ้นกามแล้ว เราก็อยู่กับกามไม่หลบไม่หนี มีแดนของกามอยู่กับทวาร แต่จิตท่านมีโลกุตรจิตอยู่เหนือแล้ว ดังนั้นพระอนาคามีมีกามาวจรอยู่

ส่วนอสัญญีสัตว์นั้นไม่มีสัญญาทำงาน ดับ เป็นสัตวภูมิ ยังไม่พ้นสังโยชน์ ในฌาน 4 นั่งหลับตาก็ทำอสัญญีสัตว์ได้ ไม่ต้องไปมีอรูปฌาน ดับเลย

  1. ปัจจุบันพ่อท่านเชื่อแค่ไหนว่า ลูกหลานศิษย์เก่าจะกลับมาคะ...ตอบ..เมื่อชาวอโศกที่เป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุตายไป จะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพวกศิษย์เก่าที่ออกไปจะกลับมาสืบสานงานอโศก จะกลับมาเร็วช้าแค่ไหน...เท่าที่พ่อท่านใช้เหตุผล ถ้าโลกเดือดร้อนมากๆ เร็วก็จะกลับมาเร็ว กำหนดเวลาไม่ได้ แต่ข้างนอกจะเดือดร้อนอย่างไรพวกเราก็อยู่ได้สบาย เขาอาจกลับมาเพราะเดือดร้อยดันเขาเข้ามา หรือเขาอาจกลับมาด้วยปัญญา เขามีอริยภูมิขึ้นมา  แต่อาจมีอีกอย่างหนึ่งคือ สมมุติว่าสันติอโศกจะล้มละลายเลย พวกนี้ก็จะรู้ว่าสมบัติส่วนกลางจะเป็นของใคร เขาจะปล่อยให้รัฐริบไปหรือไม่ โดยเฉพาะรัฐบาลปู พวกเราคงไม่ปล่อยให้สาธารณโภคีล้มไปหรอก แต่กรณีนี้ไม่คิดว่าจะเกิดไม่ง่าย เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด มีแต่จะเจริญแม้ไม่เร็ว
  2. ทำอย่างไรจะลดอัตตาและให้รู้จักยอม...ตอบ....ยอมแล้วจะขาดใจ ตายชัก ให้ลองดูซักที สองที สามที ยอมคนที่เราถือสามากๆ เตรียมรถแอมบูแลนซ์ไว้หามไปรพ. มันไม่ถึงตายหรอก กิเลสไม่เก่งเท่าเราหรอก ให้พิจารณาด้วยปัญญาว่ายอมก็ดี ยอมก็เชื่อมต่อกันได้ ไม่ยอมก็กระทบขัดแย้งกันไป ทำทั้งกดข่มและพิจารณาจนเกิดปัญญา กิเลสมันสู้ความจริงไม่ได้หรอก
  3. ฆ่ากิเลสหรือฆ่าโทสะทำอย่างไร?...ตอบ....เราต้องเรียนรู้หัดอ่านจิต แล้วให้จับตัวกิเลสให้ได้ เมื่อมีการกระทบสัมผัสก็เกิดเวทนาที่มีการสังขารให้เกิดสุขหรือทุกข์ได้ หัดอ่านนามรูปโดยใช้อาการลิงค นิมิต อุเทศ มันมีวิญญารเกิดเป็นผีหรือเทวดา คือไม่สมใจ กับสมใจ
  4. เวลามีปัญหาหรืออุปสรรค์ควรทำอย่างไร?...ให้เรียนรู้ว่าปัญาหาอุปสรรค มีเหตุปัจจัยจากอะไร เช่นตะหลิวมันไม่ได้มีปัญหา ก็เคาะจนตะหลิวหัก ก็ใจคุณนั่นแหละเป็นตัวปัญหาที่จริงอุปสรรคนี่คือสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ ต้องดูที่อาการใจ ถ้าไปถือสาก็คือปัญหา ต้องมาปฏิบัติธรรมให้เข้าใจ จะด่ามาชั้นสูงชั้นต่ำอย่างไร ด่าด้วยเมตตา ด่าให้โกรธให้ชัง ด่าให้สะใจเขาเฉยๆ ด่าให้มันถูกทำลายก็มีหลายนัยที่เขาด่าพ่อท่านมา พ่อท่านไม่ได้มีปัญหาด้วย เพราะพ่อท่านมีปัญญา เข้าใจแล้ว รู้ว่าเขาด่า อ๋อรู้ว่าอย่างนี้คือเขาด่ามา ด่ามาหลายแบบก็รู้ ก็ฟังเนื้อหา บางทีเขาด่าสาดเสียเทเสียไม่มีสาระด่าเอาสะใจ เช่น ไอ้สัตว์หมา อย่างนี้ด่าทิ้งขว้าง เราไม่ได้เป็นสัตว์ ข้างนอกเขาเห็นเขาเป็นหมาเป็นสัตว์ แต่ข้างในเราไม่ใช่หมาไม่ใช่สัตว์แสดงว่าคุณรู้ผิดๆเขาเป็นคนรู้ผิด ผิดอยู่ที่เขา เขาอ่อนทางปัญญาไม่รู้ความจริง เห็นผิด ก็อย่าไปโกรธ จะเจออุปสรรค อุปคือใกล้ สรรคคือสวรรค์ เขาเอาเหตุปัจจัยมาให้อย่างหนังสือพิมพ์พญาครุฑ เขาขึ้นหน้า เดรัจฉานโพธิรักษ์สันติอโศก ท่านสมณะลักขโณเอามาให้ตอนพ่อครูกำลังเข้านอน พ่อท่านก็อ่านออก อ่านได้ รู้แล้วก็แล้วไปก็นอน พ่อท่านแปลออกเขาเข้าใจทำลายเราตอนมีกรณีสันติอโศก ว่าเป็นศาสดามหาภัย อัครมหาโจร ขบวนการมิจฉาชีพชั้นสุดยอด เป็นต้น เราต้องเจออุปสรรค เราก็จัดการแก้ไขตามที่ควร ไม่ไปตอบโต้ให้เกิดสงครามร้ายแรงอะไร เราก็พยายามอ่านความจริงว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัย อยู่ที่เขาหรือเรา อยู่ที่เขาก็แก้ไม่ได้ อยู่ที่เราก็แก้ที่เรา
  5. เวลาเราโกรธจะทำอย่างไร?..ตอบ..ก็หยุด จะเอาไว้ทำไม่ เวลาโกรธมันมีอาการอย่างไร มันร้อนใจ มันพาไปพาลสารพัด ตามแต่นิสัย มันพาเสีย ไม่ดี ต้องพิจารณาให้เลิก แม้จะหยุดข่ม พระพุทธเจ้าท่านว่าโกโธทุเมธะโคจโร คนโกรธเป็นคนมีปัญญาทราม
  6. จะเรียนสัมมาสิกขาอย่างไรให้จบม. 6...ตอบ...ก็พิจารณาว่าอยู่แล้วดีอย่างไร ยืนยันว่าอยู่แล้วดีกว่าข้างนอกแน่ ยิ่งตอนนี้เขาให้ไว้ผมตามสบายได้ เราจะไปหากิเลสทำไม  พวกเราก็เลี้ยงดูกันไป อบรมกันไป ถ้าอยู่ไม่ได้คือทำต่ำกว่าเกณฑ์ หรือออกไปเองก็มี เราสร้างมา 20 ปี เข้าม.1มา 30 คนรอดถึงม. 6 แค่ 10 คน แต่ 20 ปีที่ผ่านมาคนที่ออกไปก็ไม่มีใครมาว่ารร. มีแต่เขาว่าดีแต่เขาทนไม่ไหวอยู่ไม่ได้ ยังไม่มีใครมาโวยวายว่าอยู่ยาก แย่มาก ไม่ได้เรื่องเลย มีแต่ออกเพราะอยู่ไม่ได้
  7. ถูกชี้ขุมทรัพย์อย่างแรง ถูกหมัดเหล็ก ความรู้สึกแรงว่าตายแล้วทันที อยากหยุดหายใจเลยทีเดียว ช็อค อยู่กับตัวเอง 7 วัน สัตบุรุษให้ปัญญาจึงเริ่มยอมรับและศึกษาทุกขอาริยสัจจ์ แต่ก่อนไม่เข้าใจ มีทุกข์ก็จะเข้าข้างตัวเองร่ำไป เกิดการต่อสู้ระหว่าง ขอบคุณคนชี้ขุมทรัพย์ขอบคุณทุกข์ กับไม่อยากทุกข์ ผูกโกรธคนชี้ขุมทรัพย์ จะทำอย่างไร จะขอบคุณทุกข์ขอบคุณคนชี้ขุมทรัพย์ได้ ตามคำสอน...ตอบ...โดยจิตวิทยา คนเราไม่อยากไปว่าเขาไม่ดีหรอกไปกระทบคนหรอก พ่อท่านจะว่าแต่ความไม่ดี ศาสนาพุทธจะพูดความไม่ดีก่อนสิ่งไม่ดีต้องรีบรู้รีบแก้ สิ่งไม่ดีอยู่กับเราเท่านานเท่าใดก็พาเราไม่ดี แต่สิ่งดีอยู่กับเรานานเท่าใดก็ช่างมันสิ แต่สิ่งไม่ดีอยู่กับเราวินาทีเดียวก็ไม่ดีให้รีบเอาออก ใครจะมาชี้อย่างไรชี้ไม่ถูกก็แล้วไป ถ้าชี้ถูกก็กราบเขาเลยมาบอกถูก ขอบคุณเขาไป
  8. ศาลีอโศกว่างจากช้างม้า เสือสิงห์กระทิงแรด เนื่องจากพ่อครูให้จัดงานพุทธาฯทำให้ว่างจากช้างม้าเสือสิงห์กระทิงแรด ยังเหลือนกพิราบหมามาครอบครอง บ้านเรือน ศาลาพุทธาฯ พ่อครูช่วยสงเคราะห์สัตว์เหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะนก สุนัขและแมวในร่างของลูกอโศกทุกคน...ตอบ...ขนาดสายเงียบ สายวัดป่า เขาก็ยังให้มารวมตัวกันมาสวดมนต์บางทีก็เทศน์มหาชาติ ใส่ทำนองกันไม่ให้เงียบเกินไป ก็ต้องค่อยๆให้เป็นไปก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
  9. การสร้างสภาพดับสัญญาและเวทนาเป็นแนวฤาษีโดยปุถุชนที่ไม่กำหนดรู้เป็นตามสัญชาติญาณ เป็นการตอกย้ำสัญชาตญาณให้ดำดิ่งไปเรื่อยพ่อท่านคงหาญาติได้ยากขึ้นเพราะสังคมนิยมให้อาหารมอมเมาเขาไปหมด ศิษย์เก่าจะกลายพันธุ์หรือไม่???..ตอบ...พ่อท่านตามหาลูกมาตั้งแต่บวช ก็ได้มาเรื่อยก็มีลูกๆมันออกไปเที่ยวอีกเดี๋ยวมันก็มา แต่อีกหลายเดี๋ยวมันก็ไม่มาก็มี สังคมเขาสร้างอาหารให้เปรตผีอสุรกายกันจัดจานมาก ก็มีบ้างที่ได้ภูมิธรรมไปแต่เชื่อว่าคงไม่มีใครเลยเถิดไปเอาเปรียบสังคมอย่างเลวร้าย จะกลายพันธุ์คนที่ไม่เข้ากระแสก็จะเป็นได้ พ่อท่านทำมา 40กว่าปีก็ไหวอยู่ จะได้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ดูค่าเฉลี่ยแล้วคนอโศกเพิ่มขึ้น ที่มั่นใจเพราะได้เนื้อๆ ไม่ได้ล่อหลอกหว่านล้อมแบบทุนนิยม พ่อท่านไม่เอา หลายคนเข้าใจตีความว่า ให้เข็ม ว.บบบ.นี่เอาอามิสล่อ พ่อท่านว่ามางานนี้มีคนให้เข็มคืนมาเป็นสิบเข็มแล้ว แต่ไม่ใช่พูดให้คนมาคืนเข็มนะ ถ้าเอาทองคำล่อก็หมดเนื้อหมดตัวแน่นอน แต่ครั้งนี้ก็ให้ดูไป...จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:39:50 )

560229

รายละเอียด

560229_เทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ 37 เรื่อง “ธรรมที่เป็นพุทธ” ตอนที่ 4 โดยพ่อครู

ธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้คนเปลี่ยนไป อย่างพวกเรามีที่มา 30 ปีขึ้นไป ลองยกมือขึ้น....ก็มีไม่น้อย มีชีวิตมาอยู่ในระบบนี้ ถึงขั้น สาธารณโภคี เป็นชีวิตที่เห็นชัดเจนว่า แปลกแยกจากชีวิตมนุษย์ธรรมดา อยู่กันคนละความมุ่งหมาย ตั้งแต่สติ(ความระลึกรู้ตัว) ซึ่งสติของเขา ถ้ามีแต่สติ แต่ไม่มีสัมปัชชัญญะก็จะรู้อย่างสามัญจะมีกิเลสร่วมปรุง แต่ถ้าเป็นผลจากสติความตื่นรู้ทางทวารตื่นมาสัมผัส ขณะสัมผัสแล้วเราก็ไม่มีเจตนามุ่งหมาย ไม่มีการกำหนด สัญญาไม่มีกำหนด เจตนาก็ไม่มี ผัสสะก็ล่องลอย (นามธรรมมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

ซึ่งในอวิชชาสูตรมีการคบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม มีศรัทธา มีโยนิโสมนสิการ และก็จะมีสติสัมปัชชัญญะบริบูรณ์ แต่ถ้าไม่มีมันก็จะปล่อยว่างปล่อยวาง เขาว่ามีจิตว่างๆสบาย ลอยๆ ที่เขาสอนกันส่วนใหญ่ก็จะให้ปล่อย ให้สบาย แต่ไม่ค่อยตั้งตนบนความลำบาก ไม่มีสัมมาวายามะ ไม่มีสัมมาสติที่จะช่วยกันกับสัมมาวายามะ ที่จะให้เกิดสัมมาสมาธิ ตามมรรคองค์ 8 เราก็ต้องรู้มีสติสัมปัชชัญญะ มีสัมปชานะ ต่อเนื่องอย่างมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีความเพียรพยายามอยู่เสมอ เป็นความเพียรให้เกิดผลให้รู้ว่าในขณะนี้เรามีการลดละอย่างไร

พ่อครูที่เทศน์ในวันที่ผ่านมาได้ไล่เรียงในปฏิจจสมุปบาทเรื่อง  ชาติก็มี   ชาติ สัญญาชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ต่อมาก็ได้ไล่เรียงในเรื่อง  ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา

ในเวทนาก็มี 6 อย่างที่เกี่ยวข้องตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสกาย ใจกระทบธรรมารมณ์ ก็ต้องมีทวารทั้ง 6 เสมอ เมื่อสัมผัสก็มีอายตนะเกิด

ต้องรู้จักนาม-รูป ซึ่งนามธรรม มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าเราปล่อยไปไม่กำหนด จะไม่รู้นามธรรมเหล่านี้ชัด เช่นเรื่อง เวทนา ทั่วไปเขาให้ปล่อยลอย สบายๆ เมื่อการนั่งสมาธิ แต่เมื่อจะศึกษาก็เอาตำรามาอ่าน ซึ่งไม่ได้ฝึกฝนให้ระลึกรู้ในทุกอิริยาบท ให้ฝึกสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเตมัตตัญญุตา(รู้ประมาณ และจัดการว่าเรามัวเมาอะไรอยู่)ให้มีชาคริยานุโยคะ เมื่อสัมผัสแล้วมีเวทนาอย่างไร กำหนดรู้ตามที่เรมีเจตนา ซึ่งเจตนาก็คือตัณหา เจตนาในปุตตมังสสูตร เรื่องมโนสัญเจตนาท่านให้กำหนดรู้ ตัณหา 3(กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ขณะที่เราสัมผัส มีเจตนาหรือไม่ มีการอยากคือตัณหาแบบไหน มันไม่ผลักมันก็ดูด หรือไม่ก็เฉยๆ มีสายกาม กับสายพยาบาทนั่นเอง ในสังกัปปะก็มี กามกับพยาบาท ส่วนวิหิงสาเป็นส่วนละเอียดของกาม พยาบาทของแต่ละคน ต้องอ่าน โดยอาการลิงค นิมิต อุเทศ ให้ชัดเจน

เมื่อเรารู้เจตนาชัด หรือความอยากชัด เราก็อย่าให้มันเกิด คืออย่าให้มีชาติ มีภพ อย่าให้มันอยากดูด อยากเสพ ก็จัดการอย่างมีสติสัมปัชชัญญะ มีสัมปชานะ มีวิจัยรู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี อะไรเป็นตัวการของมิจฉา 3 เป็นมิจฉาสังกัปปะ ในขณะสัมผัส นี่คือขบวนการของมนสิการ เรามีเจตนา มีความต้องการละกิเลสหรือไม่

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาก็จะไม่ได้กำหนดรู้ ซึ่ง ทุจริต 3 เป็นอาหารของนิวรณ์ 5 เราต้องรู้กรรม 3 (กาย วจี มโน) ของเราให้พร้อม รู้ตั้งแต่กายนอก ที่สัมผัสทางทวาร และเรามีกายกรรมอย่างไร อิริยาบทอย่างไร กำลังทำอะไร ทำสิ่งนี้เป็นการงานมีโทษหรือไม่ มีเจตนาไปร่วมปรุงอย่างไร มีผัสสะทางทวาร มีเจตนาไปสู่การพ้นทุกข์หรือไม่ การพูดก็พูด ทำก็ทำ ในจิตเราก็อ่านสังปัปปะ 7 มันเริ่มดำริอย่างไรขณะทำงาน มีกายสังขารปรุงแต่ง จนเป็นการทำงาน จนเป็นอาชีพที่เป็นกายนอก เป็นสิ่งที่เป็นมิจฉา 5 ของอาชีวะ เป็นมิจฉา 3 ของกัมมันตะ เป็นมิจฉา 4 ของวาจาหรือไม่ เราแยกแยะออก มิจฉาหรือสัมมา แล้วมีการพิจารณาจัดการ เอาอกุศลออก ทำแต่กุศล อันไหนเป็นอกุศลที่กาย หรือวาจา หรือใจ จัดการเอาออกโดยปหาน 5 จนสำเร็จเป็นนิสสรณะปหานให้ได้ก็จะเกิดผล สัมปชรติ ก็เกิดสภาพลดละจางคลายก็ให้เห็นอนุปัสสี ตามเห็นว่ามันลดละได้ เราจะเห็นว่าจิตเจริญ เป็นจิตจางคลาย มันดับได้จริงๆ เราก็รู้ว่าเราทำวิปัสสนาวิธี ที่มีสมถะช่วย เป็นการสังขาร อย่าง    ปุญญาภิสังขาร (อ่าน ปุน-ญา- พิ-สัง-ขาน) พร้อมกับการปฏิบัติการงาน

กายสังขาร จิตสังขารก็มี พร้อมกับวจีสังขารก็มีพร้อมไปด้วยกัน จะเป็นคนจากที่มีอวิชชา มีสังขารปรุงแต่งไปหมดมีกิเลสปนร่วมอย่างไม่รู้ตัว พอมาศึกษาให้รู้สติมีการทำใจในใจ ให้คิดอย่างไรก็ให้รู้ตัว

หลักการพระพุทธเจ้ามีมากมายที่สาธยายเป็นการร้อยมาลัย ที่เกิดจากการสังขาร ในการปฏิบัติก็มีสังขารทั้ง 3 ถ้ามีสัมมาปฏิบัติก็จะจัดการกับสังขาร 3 ได้ กำจัดมิจฉา3ของกัมมันตะ มิจฉา4ของวาจา มิจฉา3 ของสังกัปปะ เราก็จะรู้ว่าเรามีกามาวจรภูมิ หรือไม่ เราเป็นกามาภิพูหรือไม่เป็นอนาคามีก็จะรู้ได้ ถ้าสังขารปรุงแต่งก็จะไม่มีกาม

ในวจีสังขาร เราก็จะรู้ สังกัปปะ 7 เราก็รู้ว่า มีกามาธิกรณะ เป็นกามานุสารี เป็นกามาธิกรณะ มีกามาวจรกิริยา มีกามาวัฏฏะ มีกามาวจรวิบาก เป็นกามาสวะ หรือไม่ แม้จำภาษาไม่ได้แต่ก็ให้ตามสภาวะ จนกว่าจะเป็นกามาภิพู สามารถครอบงำความใคร่ได้ กำจัดกามได้หมด

เมื่อจิตเข้าสู่อนาคามี จิตก็จะมีนิโรธแท้แล้ว ให้ตรวจของแต่ละคน ในกามตั้งแต่อบายภูมิ เราสัมผัสกับกามตอนนี้ มันก็สังขารอย่างอปุญญาภิสังขาร มันผ่านปุญญาภิสังขารแล้ว เป็นกามาภิภูแล้ว เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่

เมื่อปฏิบัติเราจะรู้สังขาร 3 เราจะรู้ว่าเราปฏิบัติได้ กายสังขารเราก็มี องค์ประชุมภายนอกภายในเราก็รู้ ใน มีอัชฌัตตัง  อรูปสัญญี   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ เราก็มีการกำหนดรู้ เรามีการทำใจในใจ รู้มโนปวิจารณ์ 18 ในอนาคามีจะรู้ รูปาวจร อรูปาวจร ซ้อนอยู่ ต้องรู้อาการ และมีนิมิตคือการกำหนดหมายรู้ อย่างอนาคามี ไม่มีกามหยาบภายนอก แล้วไม่ใช่ภูมิโสดาฯสกิทาฯ ไม่มีกามที่ก่อเรื่องแล้ว ไม่มีแรงของกามที่จะมาบังคับเราให้แสดงออก แต่มันอยู่ที่ใจ มันไม่ออกมาหาวจี แต่มันยังมีวจีสังขาร เป็นผีร่วมปรุงอยู่นะ เป็นมโนกรรม เป็นกิริยาของใจอยู่ ถ้าไม่แรงก็เป็นรูปาวจร หรือถ้ามันนานๆทีมี ก็เป็นอรูปาวจร มันเป็นชั้นสูงแล้ว เป็นกามาภิภู เป็นอนาคามีในระดับอรูปาวจร ขั้นอรูปฌาน กำลังใช้ไฟฌานผลาญเผาซึ่งระดับกามาวจรเราผ่านมาแล้ว มันไม่มีแล้ว ระลึกดูอดีตว่าเราสัมผัสมาได้ปฏิบัติมาทุกอิริยาบท มีจรณะอยู่ มีสติปัฏฐาน 4 อยู่ ตรวจสอบโดยเจโตปริยญาณ 16 มันเลยสังขิตตัง วิขิตตังหรือยัง มันมีมรรคมีผลก็รู้ ตอนนี้เป็นฌานขั้นไหน ในฌาน 1 ก็ยังวิตกวิจาร ยังตั้งตนบนความลำบาก เป็นเนกขัมมะโทมนัสเวทนา แต่มันก็มีปีติสุขซ้อน แต่ก็ยังไม่สบายนัก ยังไม่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ต้องคุมเคร่งระมัดระวังอยู่ จนกว่าจะทำได้อย่างแคล่งคล่องชำนาญ จนกิเลสมันถูกกำจัดทำลาย เรามีการสังวรปธาน มีปหานปธาน เราก็ทำให้ได้ผลภาวนาปธาน แล้วก็รักษาผลอนุรักขณาปธาน ฌาน1ก็ลดลง มีปีติสุข สบายขึ้น มันไม่ได้ดับปีติ แต่มันเบา ให้เป็นแค่พรรณาปีติ อย่าให้เป็นอุพเพงคาปีติ เหมือนจุนสีในน้ำให้แผ่ซ่านไปทุกซอกมุม อย่าให้แรงอย่างอุพเพงคาปีติ ต้องให้แรงๆ เป็นมาซูคิส หรือซาดิสม์

ถ้าอุเบกขาอย่างไม่เป็นปีติแล้ว แต่มีสุขที่เบาบาง คุณก็ต้องรู้ว่าเราได้สิ่งดีแล้ว ดีที่สุดก็คือ สูญตา คือความว่าง คือนิโรธ มีแต่ความผ่องใส ปภัสสรา การงานก็ทำอยู่  องค์ 5 ของอุเบกขาคือ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมันยา ปภัสสรา มีอเนญชาภิสังขาร จิตตั้งมั่นแข็งแรงแม้มีการงานอย่างไร เป็นการงานที่ไม่มีโทษอย่างไรก็ตั้งมั่น มีลักษณะ 5 ของอุเบกขา มีลักษณะ 6 ของฌาน

ปริสุทธา คือแม้ปรุงแต่งอย่างไรก็ผ่องแผ้ว จิตก็แววไวมุทุภูเต จะปรับเปลี่ยนไว จุดปุ๊ปติดปั๊ป เปิดปิดไว มันมีทั้งอัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนา(ปักใจมั่น) สั่งสมเป็นจิตที่ตั้งมัน มีอเนญชา

เราจะรู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ  อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารอย่างไร มีจิตมุทุภูเต มันรื่นราบ มันคล่องตัว มีความเร็ว เป็นชะวะนะจิต ทำอะไรได้เร็ว เหมือนเข้าเกียร์อัตโนมัติได้เร็วเลย มันก็อยู่ที่การฝึก เรามีพื้นฐานในการเรียนรู้ปฏิบัติมายาวนาน ถ้าไม่มีพื้นฐานก็เห็นใจ นี่ก็จะเต็มทศวรรษที่สี่แล้ว

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่แยกปฏิบัติในทวารทั้ง 6 ตั้งแต่กายนอกมันก็เป็นเหตุ อยู่ที่ภูมิธรรมเราที่จะอ่านทันหรือไม่ ตั้งแต่ กามาวจร หรือรูปาวจร หรืออรูปาวจร ในโสดาบันก็ยังไม่หมดกามเลย ก็ยังไม่ต้องไปคิดถึง ภวาสุสัย ให้ทำในกามรส กามวัฏฏะ กามาวจรกิริยา กามาวจรวิบาก กามุปาทาน เรายังมีอยู่เลย  เราจะรู้ว่ากามคืออะไร เป็นอัตตา เป็นตัวตนของกิเลส กามกับอัตตาคือสภาวะตัวตนกิเลส ถ้าเราหมดกามานุสัย เป็นอนาคามีก็มีแต่ภวานุสัย ในอนาคามีเบื้องต้นเป็นภวานุสัย แล้วก็มีปฏิฆานุสัย ซึ่งในอนุสัย 7 จะมี

1. กามราคะ (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) อนาคามีภูมิกามานุสัยจะหมด แต่จะเหลือรูปราคานุสัยเป็นภวาสุสัย และก็ยังมี

2. ปฏิฆะ (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)

3. ทิฏฐิ (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) ถ้าอนาคา

4. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)

5. มานะ (ความถือตัวทั้งหลาย)

6. ภวราคะ (ความอยากในภพ)

7. อวิชชา (ความไม่แจ้งในอาริยสัจ)

ก็ให้ตรวจสอบขั้นปลายคืออนุสัย ในตัวละเอียด ในเรื่องสังโยชน์เป็นโครงสร้างอย่างหยาบๆ แต่เรื่องอนุสัยเป็นเรื่องละเอียดลงไป ก็ต้องตรวจในเศษเล็กเศษน้อย โดยใช้อรูปฌานตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ให้พ้น อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นการเผาขั้นละเอียด เปรียบกับการขัดมันขัดเขาในงานปั้นงานเผา นี่คืออรูปฌานของพุทธ

ในสัตตาวาส 9 เป็นการตรวจขั้นละเอียดคือ

  1. สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า  คือองค์ประชุมในขั้นอรูปที่ปรุงแต่งกันอยู่ ในวิญญาณระดับพื้นฐานปุถุชน เช่นวิญญาณมนุษย์ ผี เทวดา สัตว์นรก มนุษย์ ที่เป็นธาตุรู้ เราก็จะได้ศึกษา ซึ่งปุถุชนเป็นวิญญาณฐีติข้อนี้หมด คือต่างกันไปหมด แม้แต่แฝดแท้ๆก็มีส่วนต่างกันอยู่บ้าง ถ้าไม่แฝดยิ่งมีความต่าง ตั้งแต่มหาภูตรูปโฉมกายก็ต่างกันแล้ว  มนุษย์โลกนี้กับมนุษย์โลกดาวอังคารที่เขาจินตนาการก็ต่างกันไป เรามีการกำหนด(สัญญา)ที่ต่างกัน กำหนดเทวดาก็ต่างกัน ทั้งกายก็ต่างสัญญาก็ต่าง แม้แต่เรียนกันในเจ้าเดียวกัน เช่นพระพุทธเจ้าเขาปั้นก็ต้างกัน ที่สำคัญคือคนปฏิบัติธรรมของพุทธกับของฤาษี จะมีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นฌานของพุทธ กับฤาษีเขาก็จะต่างกัน

2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิ ปฐมฌาน เป็นต้น .  เอาแค่รูปนอกก็ต่างกัน คนหนึ่งหลับตา คนหนึ่งหลับตา  ของพุทธลืมตามีผัสสะ ซึ่งกายในก็ต่างกัน เช่นความสงบของจิต แบบพุทธ สงบทั้งที่ลืมตา มีกิริยาอยู่ สงบยังพูดอยู่เลย พูดดังด้วย เช่นขณะพ่อครูพูดก็มีจิตสงบ จิตเมตตาอุเบกขาทำงานอยู่เลย เมตตาคือการทำงาน มีกิริยา มีสรรถนะ มีพฤติภาพ เป็นองค์ประชุม แม้จะสัญญาอย่างเดียวกัน อย่างสัญญาเรื่องฌาน 1 ไม่ว่าฤาษีหรือพุทธก็กำหนดไม่ให้มีนิวรณ์เหมือนกัน แต่องค์ประชุมในกาย วาจา ใจก็ต่างกัน ความรู้สึกก็ต่างกัน ของฤาษีอยู่ในภพ รู้แต่ข้างใน แต่กำหนดว่าไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน

3.  สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส .. สว่าง.. แผ่กว้าง) . อันนี้ไปถึงอรูป ผู้ได้กายว่างๆเหมือนกัน แต่ว่างลืมตากับว่างหลับตา มันก็ต่างกันมาก แม้แต่ว่าไปนั่งหลับตาปั้นแสง ก็ได้ต่างกัน ไม่มีค่าวัดได้ เขาได้แสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด และจะปั้นใสอย่างไรก็ได้ เขากำหนดว่าใสแค่นี้โสดาฯ ใสแค่นี้ สกิทาฯ อนาคาฯ เขากำหนดก็ไม่มีมิเตอร์วัดหรอก แต่ของพุทธก็ว่างก็ใส แต่ก็ใสต่างกัน อรูปฌานแต่ละคนก็ต่างกัน ซึ่งเมื่อปฏิบัติถึงอรูปฌานก็มีลักษณะคุณสมบัติอุเบกขาของแต่ละคนก็ของแต่ละคน แต่มีกายอย่างเดียวกัน คือว่างแล้ว แต่สัญญาแต่ละคนต้องกำหนดความว่างของแต่ละคน จะต่างกันไป ยิ่งของผู้ลืมตายิ่งว่างต่างกันเยอะเพราะคุณต้องปรุงแต่งทำงาน ต้องกำหนดให้ดี อ่านจิตเลยว่าจิตเราว่างไม่มีกิเลสมาปรุงร่วม แต่ต้องกำหนดหมายเอง

4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพ..สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ขั้นนี้สูง ในองค์ประกอบทั้งกายและจิต แม้แต่ในจิตสังขาร วจีสังขาร มันว่างจริงๆ ถ้าเป็นนิโรธลืมตาก็จะดับกิเลสว่างไปหมด แต่สายฌานฤาษีเขาจะดับมืดหมดเลยในองค์ประชุม เขาถือว่านิโรธเขานั่งหลับตา เขาไม่เรียกว่าเขามีวิญญาณ เขาถือว่าถ้ามีธาตุรู้มันยังไม่ดับ ของพุทธนิโรธอย่างสว่างอย่างรู้ แม้อากิญจัญยายตนะฤาษีเขาก็พยายามดับไม่ไห้รับรู้อะไร แต่ที่จริงจิตมันเป็นธาตุรู้มันก็ต้องฟื้นมารู้ แต่คุณก็จะต้องดับมันอีก เขาก็ทำให้เป็นวันเป็นหลายวันเลยเช่นอาฬารดาบสเป็นอากิญจัญญายตนฌาน แต่อุทกดาบสเก่งกว่าก็ดับต่อเพราะรู้ว่าอากิญจัญยะยังมีแวบเล็กน้อย จะรู้ก็ดับมันอีก เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นสูงสุดของอรูปฌานฤาษี

ของพุทธนั้นที่เราดับเป็นศุภกิณหาก็มีอยู่เป็นรูปฌานอยู่ แต่ลืมตาอยู่มีผัสสะอยู่ ของพุทธก็ต้องตรวจความไม่มีกันต่อ ตั้งแต่อากาสาฯ ความว่างมีไหม แล้วก็ตรวจ วิญญานัญจาฯ ในการเกี่ยงข้องสัมผัสทวาร 6 ว่ายังสะอาดอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ ตรวจว่ามันยังมีอะไรอีกแม้เล็กน้อยหรือไม่เป็นอากิญจัญญาฯ และก็ตรวจไปถึงสัญญา ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ในสัญญากำหนดรู้ทุกอย่างให้พ้นความไม่รู้ ก็เข้าสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ คือใช้สัญญากำหนดเคล้าเคลียอารมณ์ทุกเวทนา 108 จนครบสามกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งอารมณ์ 3 มันมากองที่เนกขัมสิตะอุเบกขาหมดเลย มีองค์คุณอุเบกขา 5 (ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมันยา ปภัสสรา)

5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง

8. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 

9. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

ในเจโตปริยญาณ 18 เราจะรู้จิตของเราว่าเจริญขึ้นหรือไม่ มีอะไรเหลืออยู่ที่เป็นกุศล ตรวจต่อไปว่าเรายังไม่จบ จิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินจบ สั่งสมเป็นความตั้งมั่น แล้วยังมีอวิมุติใดเหลืออยู่อีก ก็ตรวจอีก มันวิมุติแล้ว แต่ต้องตรวจอีก ก็ไม่มีภาษาแล้วก็ใช้คำว่า อวิมุติ ในการตรวจอีก

ในกิจญาณก็คือการลดละกิเลส ในทุกอิริยาบททุก

สัมปชัญญะ      =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ        =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ         =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ       =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

ในกายสังขารจิตสังขาร เรามีอภิสังขาร อยู่กับสังคมอย่างมีสติสัมปัชชัญญะอย่างผู้รู้ตื่น เบิกบาน แม้แต่ฝันก็ไม่ฝันเลอะเทอะ คนที่มีจริตทางมีรูปมีเรื่องก็ฝันมีรูปเรื่อง คนสายปัญญาจะไม่มีรูปมีร่างเวลาฝัน แม้จะเป็นพยัญชนะก็มีจะบอกเรื่องราวบ้างได้ ในสายดับจิตเขาถือว่าผู้บรรลุธรรมจะไม่มีฝันเลย สายปัญญาที่ปฏิบัติอย่างไม่มีเจโตสมถะมีแต่โลกุตระจะฝึกดับได้บ้างก็ทำได้ ก็จะฝันไม่มากจะไม่ฝันร้าย คำว่าร้ายคือจิตมันปะทะมีความรุนแรง แต่ถ้าไม่รุนแรงก็มีรสอื่น ตามฐานะ โสดาบันก็จะมีรสสุข อร่อยเพลิดเพลิน สกิทาฯก็ลดลง อนาคาฯก็จะน้อย มีแต่นิมิตหรือเป็นสภาพอื่น คนที่ไม่ฝึกก็จะมีรูปเรื่องไปตาม ที่สำคัญเราต้องอ่านอารมณ์เสพ อารมณ์ปรุง แม้แต่ลืมตาก็ฝึกอ่านรู้อารมณ์เสพอารมณ์สุข ปรุงไปตามเจตนาที่เป็น กามตัณหา หรือภวตัณหา แต่เราจะมีเจตนาที่เป็นวิภวตัณหา จะไม่มีสัตว์ร้าย มีแต่จิตเทวดาพาสะอาดพาเจริญปรุง ก็อ่านอีก ว่าเรามีมาเป็นเราเพื่อเรา ของเราหรือเปล่า ถ้าปรุงเพื่อตัวเอง มีความรักมิติที่เท่าไหร่ ให้มีเลยมิติที่ 7 เพื่อผู้อื่นเพื่อจักรวาล ก็ดีเลย แต่เราช่วยได้เท่าที่เราเอื้อเอื้อเกื้อกว้าง ไม่ได้ทำเพื่อตัวตน เราทำไม่ได้คิดถึงตัวตนเลย เราดูแค่ว่าร่างกายเราควรได้เท่าใด มีมากก็แบ่งแจกไป ไม่มีจน เพราะมันจนที่สุดแล้ว เรามีพอแค่อาศัย แต่ต้องไม่เข้าข้างตน ว่าเอามาแค่อาศัย แต่หอบไว้มากมายเป็นขยะนี่ก็ไม่เอา เรามาพิสูจน์กันไป.............จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:35:27 )

560301

รายละเอียด

560301_ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอน 5 โดยพ่อครู

พระพุทธเจ้าท่านให้รู้เหตุที่แท้คือกิเลส จับตัวกิเลสได้ แล้วปหานได้ลดละจางคลายไปตามลำดับ เขย่าบัลลังค์มันได้แล้วคืออนิจจานุปัสสี เราทำให้มันลดได้ใช้ฝีมือ วิขัมภนปหานกดข่มไว้ก็ตาม มีญาณหยั่งรู้เลย กดข่มไว้ก็ตามมารยาท เป็นวิกขัมภนปหานก็ได้ชั่วคราว จนมันเกิดปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เห็นรายละเอียดของจิตวิญญาณ มันเกิดแล้วก็ดับ ในพวกที่เขาไม่รู้ตัวจะเห็นเป็นตรรกะฟังตามพยัญชนะภาษาเขาก็เดาเขานับเป็นครั้งๆเลย เขาว่าความเกิดดับๆมันก็เคลื่อนไปเหมือนโฟตอน ไม่เห็นความขาดตอนออกมาเป็นตัวตนเป็นชิ้นๆอันๆ ก็เห็นเป็นสองนัยเห็นมันเคลื่อนมันเกิดแล้วก็ดับอันนี้ก็เป็นตรรกะ ที่จริงก็ใช่แต่มันไม่ใช่เป้าหมาย จิตที่ควรให้ดับก็ทำให้ดับ กุศลก็ควรให้เกิดมีต่อเนื่อง จิตที่เกิดดับคือตัวอกุศลให้มันดับ แล้วเราก็เห็นภาวะอกุศลดับจิตที่มันเกิดก็เป็นจิตเทวดา คือสัตว์นรกตายเทวดาเกิด เกิดอย่างไม่มีซาก อสรีรัง ไม่มีตัวตน เป็นโอปปาติกโยนิ ถ้าไปเข้าใจว่าเกิดดับวินาทีละ 4 ครั้ง 5 ครั้งอย่างนี้มันจะเกิดกี่ครั้งก็ตามให้กุศลเกิด อกุศลดับไปก็แล้วกัน

          ถ้าพ่อครูหลงไปตามโลก ก็จะเสียดายชีวิตมาก ที่ไม่รู้จักคุณค่า ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบและมาเปิดเผยประกาศ เราก็เคยหลงวิ่งหัวซุกหัวซุนแย่งชิงไปกับเขา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ ในพวกฤาษีชีไพรเขาก็รู้ว่าไม่ควรสะสมลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ชีวิตเขาไม่เป็นโลกะวิทู โลกานุกัมปา ชีวิตเขาหลุดพ้นได้อย่างเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ต่อหมู่ชนเป็นอันมาก การปฏิบัติเขาหนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ซึ่งไม่ใช่หลุดพ้นที่แท้จริง

          ผู้บรรลุธรรมเป็นผู้ลืมตาเปิด มีชีวิตอยู่ในกามาวจร แต่หลุดพ้นมาตามขั้นตอน หลุดพ้นอบายเป็นโสดาบันแล้วก็ทำต่อ ลดกามคุณ ลดโลกธรรม ลดอัตตาต่อ โลกเขามีแต่เราหลุดพ้นได้ เรามีอวจรไปกับเขาดำเนินชีวิตไปกับเขานั่นแหละ และก็จะไม่ไปแข่งกับเขาไม่ฉลาดเอาเปรียบ และก็ไม่ได้ลดหย่อนสมรรถนะจิตเป็นโลกะวิทูมากขึ้น และก็เป็นโลกานุกัมปา ช่วยโลก และก็ไม่ใช่ไปสุขแบบบำเรอ เพราะแยกสุขแบบโลกีย์กับรสสุขแบบโลกุตระออก เป็นวูปสโมสุข สุขสงบ ทั้งๆที่เขาเอะอะมะเทิ่ง เหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย เหมือนวุ่นวายจุ้นจ้าน มีบทบาท แต่สงบจากโลภโกรธหลง มีแต่วิภวตัณหา อยากช่วยอยากสร้างสรร มีประโยชน์ รู้การประมาณ มีสัปปุริสสธรรม ตามบารมี ตามฐานะ

          พวกเรามาเจอมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นแสงอรุณ เป็นกัลยาณมิตโต มีจริตขัดแย้งกันบ้าง กิเลสยังไม่หมดก็ขัดเกลากันไปเป็นธรรมดา แต่โดยกฏเกณฑ์หลักๆก็ได้กัน แต่จริตก็มีหลากหลายมีแปลกๆ เราไม่มีก็แล้วไป แต่เขายังมีอยู่ยังติดอยู่ อย่างพระสารีบุตรยังมีกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยสุภาพเหมือนคนอื่น ถ้าคนติดใจถือก็มี แต่ท่านมีดีมีเก่งและพระพุทธเจ้าก็รองรับ คนก็ไม่กล้าถือท่านมาก มันเป็นวาสนาบารมีติดตัว ทั้งรู้ว่าไม่มีแต่ก็เอาออกไม่ได้ เราต้องเข้าใจสิ่งที่เรายึดถือ มันดีจริง แต่สิ่งดีเขามีเท่าไหร่ สิ่งไม่ดีเขามีเล็กน้อย อย่างเอาขี้หมาไปแลกทองคำ ใครเอาขี้หมาเปื้อนทองคำนิดนึงก็โยนทองคำทิ้ง

          ชีวิตชาติชั่ว ถ้าเรายังมีกิเลสอยู่พาชั่วทั้งนั้น มีหยาบกลางละเอียด คนที่พ้นมาจากหยาบได้ มันก็มีชาติชั่วที่สูงขึ้น (พ่อท่านหยุดไออยู่ 5 ที) อย่างโสดาบันเราเลิกหยาบมาได้แล้ว ที่เหลือก็คือหยาบของเรา เราละอบายได้แล้วละวิติกมกิเลสได้ เราก็มีปริยุฏฐานกิเลสเป็นอบายของเรา เป็นสกิทาคามีตามลำดับ จนดับกามภพได้แล้ว ที่เหลือคือรูปภพ อรูปภพ ก็เป็นอบายของพระอนาคามี เราชัดเจนของใครของมัน อย่าเอาไปเทียบกัน คนไม่รู้ก็เอาไปเทียบกับกิเลสขั้นสูง (ไออีก 4 ที) เราละ ดับชาติได้

          ในบทที่ 3 ชาตินี้ของชีวิต ก็มาเรียนรู้ชาติ

          บทที่ 4 สิ้นชาติ ก็สิ้นชั่ว หมดชาติที่ชั่ว ก็เหลือแต่ชาติที่ดี เหมือนแม่หมาลูกหมาไปเจอศพ ลูกว่าอยากกินส่วนนั้นส่วนนี้ของศพ แม่ห้ามไม่ให้กินซักอย่าง ก็บอกว่าคนนี่ไม่มีดีอะไรซักอย่าง ตกลง ชาติคนนี่ไม่ดีซักอย่าง หมาเลยบอกว่าชาติหมาดีกว่าชาติคน ยิ่งหัวใจก็ร้ายใหญ่ เป็นบทเรียนที่น่าคิด แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แค่คิดแต่ท่านเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จนท่านเรียนรู้สัตว์ที่ยิ่งใหญ่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ คนไม่รู้ก็ผูกสัตว์ไว้ เป็นสังโยชน์ เราเองก็ไม่รู้วิธีแก้ ในข้อ 9 ของทิฏฐิ 10 ต้องเข้าใจว่าสัตว์ที่ท่านหมายคือสัตว์ทางจิตวิญญาณ(ความเป็นสัตว์คือใจต่ำ) เป็นเทวดาเก๊ มีอาการอย่างไรก็ให้รู้จริงอ่านให้ได้ มันไม่มีรูปร่างเส้นแสงอะไร แต่มันมีอาการ ใครสามารถเห็นสัตว์เหล่านี้ของตนบ้าง.....ยกมือ ........อย่าไปสู่รู้ของคนอื่น รู้ของตนว่ามันกำลังเกิด ก็เห็น ตอนมันไม่เกิดก็ไม่เห็น พระพุทธเจ้าท่านจึงมีอุบายให้มีผัสสะ จึงจะเกิดให้เห็นจริงๆ ผู้ใดยังไม่มีสัมมาทิฏฐิแม้แต่สัตว์โอปปาติกะไปปฏิบัติก็ไม่แท้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามโนนั้น อสรีรัง แล้วตัวอาการเป็นอย่างไรก็ให้ชัดเจน ไม่สงสัย แต่ที่เขาเขียนออกมา เขาจินตนาการว่ามีรูปร่างสีสันตัวตน เราก็ไม่ไปสงสัยด้วย เราชัดเจน

          สัตว์ที่เป็นพรหม เป็นสัตว์ที่บริสุทธิ์จากสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด หมดเกลี้ยง แม้นิดน้อยนึงก็ไม่เหลือเศษความเป็นสัตว์เลย อากิญจัญยะเลย  แต่จะนั่งหลับตาก็มีประโยชน์

          ในบุคคล 4 มี

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ            แต่ไม่ได้เจโตสมถะ . นี่คือแบบพุทธสายปัญญา

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ        และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

ในฌานลืมตากับหลับตา ผู้รู้พุทธชัดเจน ก็รู้ทั้งสองอย่าง อย่างหลับตาคือแบบทำฌานให้เย็นๆ ไม่ใช่มีฤทธิ์แรงเป็นธาตุไฟที่ไปสลายราคะโทสะโมหะ ในภาษาวิทย์ ความร้อนกับความเย็นอันเดียวกัน ความร้อนมากความเย็นมันก็หายไป ความเย็นคือความร้อนที่หายไป มันเป็นพลังงานชนิดหนึ่งคืออุณหธาตุคือไฟ เป็นไฟชนิดที่ทำลายกันได้จริงๆ มันไม่มีตัวตน ต้องมีองค์ประกอบจึงทรงความร้อนเย็นได้ เขาพยายามจับมาศึกษาในฟิสิกส์

          เวลาปฏิบัติแบบพุทธ แม้อนาคาฯก็มีกามาวจร มีกระทบทวาร 5 แต่เรื่องที่จะไปปรุงทางกาม ท่านอยู่เหนือแล้ว กิเลสไม่เกิดแล้ว ก็อยู่ในเมืองนรก เขาปรุงแต่งลาภยศสรรเสริญ ท่านก็อยู่ร่วมด้วย ท่านก็อนุโลมกับเขาได้ อยู่กับโลกได้ ก็พาไปเรื่อยๆอยู่แล้ว ในแดนมหาอเวจีใหญ่ นรกใหญ่หลุมคอรัปชั่นใหญ่อย่างรัฐสภาซักวันก็จะพาไป ยิ่งกว่าบ่อนการพนันนรกมหาศาล

          ฌานลืมตา สมาธิลืมตา ก็ไม่ได้ไปดูแคลนสามาธิหลับตา แล้วก็ทำฌานให้เป็น ฌานคืออะไร? คือปัญญา ยิ่งเป็นฌานยิ่งมีปัญญา เป็นคำตรัส พระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีปัญญาไม่เรียกฌาน เป็นพลังปัญญา ที่สามารถสลายธาตุที่ไม่ดีได้อย่างแท้จริง แต่จะนั่งหลับตาเป็นอุปการะก็ได้ เรียนรู้ตามเขาได้ ก็มีประโยชน์ การนั่งสมาธิได้ประโยชน์มีสี่อย่าง คือ

1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต

2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์  ใช้ศึกษาปั้นมโนมยอัตตาก็ได้ ไว้ศึกษา

3.   เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

4.   สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  เอาไปใช้เป็นฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสิรม แต่ก็มีได้จริง คนจะหลงติดได้ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ มันเก่งกว่าคนธรรมดาคนก็หลงติดง่าย ถ้าอยากมีให้เป็นอรหันต์ก่อน และจะสร้างได้ง่ายกว่า ปางนี้ตอนเป็นฆราวาสพ่อครูก็ฝึกอยู่แต่มาบวชแล้วไม่ใช้เลย ในยุคนี้ไม่ต้องใช้เลย

          ในวิญญาณฐีติ 7 ต้องดูความแตกต่างทางนามธรรม หรือจิตวิญญาณให้ออก ในเรื่องกายนอกก็ดูออกง่าย ในจิตนั้นแยกยากกว่า มันเป็นองค์ประชุมมีทั้งเทวดาและสัตว์นรก ที่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่า เทวดา สัตว์นรกเป็นสิ่งนอกตัวมีรูปร่าง แต่พอมาเรียนรู้ถูกต้องก็รู้ว่า มันเป็นอุปาทายรูปที่เนื่องมาจากการกระทบทวาร แม้จะกระทบรูปหมาภายนอก แล้วเกิดเห็นรูปหมาภายในใจ มันก็ไม่ใช่รูปธรรมภายนอก เรียกว่าเป็นนามกาย และมันไม่เที่ยงได้ยิ่งกว่ารูปนอก สิ่งภายนอกมหาภูตรูปนั้น มันคงที่กว่า แต่ที่จำไว้ในใจนั้นไม่เที่ยงกว่าข้างนอก บางคนจำได้ชัด บางคนจำได้ไม่ชัด แล้วแต่ใครจะกำหนดได้ชัดกว่า แต่ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งภายนอกนี้แล้ว

ในสัตตาวาส 9 ข้อ 1 และวิญญาณฐีติข้อ 1 มี

  1. สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า คือเราเห็นรูปนอก ว่าต่างกัน แล้ว แต่การกำหนดสัญญาภายในเป็นอุปาทายรูปภายในก็ไม่เหมือนกันอีก ขนาดฝาแฝดยังไม่เหมือนกันหมดเลย 
  2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น เช่นคนเรารู้จักคนนี้ เช่นคุณยิ่งรัก(ตั๊ก) ให้หลับตาลงแล้วให้สร้างภาพยิ่งรักในจิตก็ไม่เหมือนกันในแต่ละคนที่สร้างภาพยิ่งรักในจิต

และยกตัวอย่างคนหลับตาสมาธิฌาน กับคนลืมตาสมาธิฌาน

เรามีจุดมุ่งหมายจะทำฌาน เหมือนกัน แบบฤาษีก็ทำฌาน แต่กายที่ได้ต่างกันหมดเลย ไม่ว่าอาจารย์เดียวกันหรือคนละสำนัก เช่นเขาสัญญาอย่างเดียวกันว่า ปฐมฌานจะต้องไม่มีนิวรณ์ แต่เวลาคุณนั่งแล้วในจิตไม่มีนิวรณ์ แล้วความเคร่งคุม มันจะไม่เท่ากัน แล้วอารมณ์สภาพ ความคิด ก็จะต่างกันไป

          ในโลกุตระลืมตาด้วยมีฌาน1 ไม่มีนิวรณ์ เห็นกายต่างกัน อย่างน้อยลืมตา ถีนมิทธะก็ไม่เหมือนแน่ ลืมตานั้นกามกับพยาบาท จะเกิดอาการแท้ เกิดกามชัดกว่าและไม่มีกามก็จะชัดเจนกว่าพวกลืมตาว่าเราไร้กามแน่นอน สภาพจะไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ไปนึกเอากำหนดเอาเองอย่างพวกหลับตา

          ฌานพุทธมีโลกะวิทูด้วย และโลกุตระคือไม่มีนิวรณ์แน่นอน แต่เรามีโลกะวิทูในโลกภายนอก แต่พวกหลับตาก็มีโลกะวิทูแต่ภายใน และลีลาบทบาท ของฤาษีก็มีแต่นั่งหลับตา แต่ของพุทธจะรู้ร่วมไปกับโลก รู้วรยุทธ์ต่างๆ รู้ว่าโลกจะกระแทกเราลีลาไหน เราก็จะทำฌานให้ได้แข็งแรงๆได้มากขึ้นๆ ดังนั้นฌานของพุทธกับฤาษีจึงต่างกัน

          ฌานของวิโมกข์นั้น ข้อ 1-3 เป็นรูปฌาน  และข้อ 4-7 เป็นอรูปฌาน ข้อ 8 คือสัญญาเวทยิตนิโรธ  วิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คือเห็นก็คือไม่ได้หลับตา ปิดจมูกหู คือมีรูป แล้วเราก็เห็นรูปทั้งหลาย อย่างไม่หลับตา

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . เอโก พ่อครูแปลว่าโดยส่วนตนที่มีการรู้การเห็นสัมผัสที่มีทวารทั้ง 6  ส่วนอัชฌัตตังแปลว่าภายในเหมือนกัน ส่วน คำว่า อรูปสัญญี พ่อครูแปลว่า ไม่ใส่ใจในอรูป และก็พหิทธารูปานิ ก็คือรูปนอกก็ไม่ให้ทิ้ง ให้เห็นทั้งรูปภายนอกภายในต่อเนื่องกันหมด นี่คือรู้นาม-รูป

เราจะรู้ทั้งภายนอกภายในละเอียดไปตามลำดับ วิโมกข์ข้อนี้คือตัวเนื้อของการปฏิบัติธรรม

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)  สุภะ+อันตะ คือเจริญขึ้นดีขึ้น อย่างไม่มีที่สุดเลย(พ่อท่านไออีก 5 ที)

ในข้อ 3 ของวิญญาณฐีติคือ

  1. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) เช่นอาภัสสรา การจะได้รับแสงสว่าง ตอนลืมตาก็จะเห็นแสง ตอนหลับตา คุณก็จะเอาแสงอย่างนี้เข้าไปข้างในหลับตาให้เห็นแสง ก็ได้แสงต่างกันไป เป็นสัญญากำหนดความสว่างภายใน  ก็สัญญาว่าแสง แต่จะไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน จะอาภัสสราคนละอย่างกัน  อย่างในวิโมกข์ข้อ 3 นั้นบอกคุณภาพ เป็น สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ คือเจริญไปสู่สิ่งที่สูงสุด เป็นรูปฌาน แล้วจะตรวจสอบในอรูปฌานในวิโมกข์ข้อ 4-8 ส่วนสูงสุดในรูปฌานฤาษีจะเหมือนกันหมด คือเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นสัตว์ดับดิ่ง สุภกิณหะ หรืออาภัสสรา เป็นสายมืดกับสายสว่าง สำหรับพวกนั่งหลับตา สายสว่างเขาก็นั่งสบายๆเบาๆนุ่มๆ ไม่ต้องไปอยากได้เดี๋ยวมันมีเอง ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็มีใสโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯจะไปถึงใสพระพุทธเจ้า  คือกายอย่างเดียวกันคือใสแต่ก็ใสต่างกันคือสัญญาต่างกัน สุดท้ายไปเจอพระพุทธเจ้าต่างกัน มีหัวปุ้มกับหัวแหลม ก็เลยมีธรรมกายสองอย่าง ก็เลยทะเลาะกัน 

เมื่อหลับตาไม่มีแสงสว่างแล้วแต่ก็ไปปั้นให้มีแสงสว่าง สร้างใสสว่างกันเอง มันปั้นก็เป็นมโนมยอัตตา ได้ใสใครใสมัน กำหนดกายว่าอย่างเดียวกันคือใส แต่ไปสำเร็จด้วยสัญญามันสร้างขึ้น

  1. กายอยางเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพรหมสุภกิณหา กิณหะคือความดำความมืด ยิ่งหลับตามืดแล้วก็ไปดับมันให้มืดต่อไปอีก ก็สัญญาว่านี่คือนิโรธ แต่อย่างพุทธมีดับไม่เหลือ แต่ลืมตาสว่าง และไม่มีแสงเลย ไม่มีเพราะมีทิพยโสติ มีตาทิพย์ สีแดง ตาของทุกคนก็เห็นแดง แต่คนทั่วไปก็จะมีแดงสวย ชอบแดง คนไม่ศึกษาก็อ่านไม่ออก แต่คนที่ศึกษาจะรู้จะเห็นรูปทิพย์ว่าเป็นความชอบ  เป็นความปรุงแต่งนอกเหนือของแท้ คนตาทิพย์จะรู้แล้วก็ไม่ไปปรุงแต่งร่วมด้วยให้ทุกข์ 

อย่างสุภกิณหะมีสัญญาอย่างเดียวกันคืออย่างดับอย่างมืดเหมือนกันแต่ได้มาคนละการดับ ของฤาษีได้มืดได้บอด แต่เราทำให้ดับในสิ่งควรดับให้หมดในสิ่งที่ไม่ควรมี ให้ดับมืดไปหมดเลย  เขาไปได้มืดเขาก็ว่าดี ของเราได้ทั้งมืดทั้งสว่าง เป็นอมตะบุคคล เป็นอตัมยตา ทำให้มืดก็ได้ทำให้สว่างก็ได้ เช่นเราจะหลับตาทำให้มืดก็ได้ทำให้สว่างก็ได้ เพราะเข้าใจแล้ว ผู้ที่มีเจโตสมถะและโลกุตระทำได้หมดเลย แต่คนที่ได้แต่โจโตสมถะทำได้แต่ความมืด แต่อย่างลืมตาทำให้สว่างได้อย่างลืมตาเลย เพราะคนนี้มีมรรคผล (โลเกอัตถิตา น โหติ) ผู้ที่บุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้วความมีในโลกย่อมไม่มี  คือมีโลกนิโรธ อยู่กับโลกแต่เหนือโลก ไม่มีอะไรก็ไม่มีโลกสมุทัย ดับได้เกลี้ยงสนิท โลเกนัตถิตา คือความดับ โลเกอัตถิตาคือความมีมรรคผล อนาคามีจึงจะมีโลกนิโรธได้ ในโลกๆเขาอธิบายว่าอนาคามีสามารถเข้านิโรธได้ ซึ่งจะเอาการนั่งหลับตาไปวัดไม่ได้

ที่ตั้งข้อสังเกตุว่าการปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท ท่านให้ปฏิบัติในทวารทั้ง 6 ท่านเอาหมวด 6 มาใช้ทั้ง ตัณหา วิญญาณ เวทนา ก็ชี้บ่งว่าท่านให้เรียนรู้ปฏิบัติแบบลืมตา 6 ทวารทั้งสิ้น แม้เป็นอนาคามี ถึงอรูปฌานก็ลืมตาปฏิบัติ สัมผัสหลัดๆ อนาคามีท่านก็เห็นว่ารูปราคาะ อรูปราคะ แต่คนที่ไม่ถึงจะไม่เห็นอ่านไม่ออก ท่านดับรูปหมดแล้วก็เหลืออรูป ก็ยังลืมตาสัมผัส เปิดทวาร 6 อยู่ในรูปาวจร อรูปาวจรก็มีการปฏบัติมรรคองค์ 8 ไม่ได้หยุดกรรมกิริยาวาจาอาชีพเลย จะไปเตวิชโชตรวจ ลงบัญชีก็ให้ทำบ้าง เราขาดทุนหรือกำไร ผ่านมามีผลได้ผลเสียอย่างไร เห็นการเกิดดับกิเลส ทำให้จิตอกุศลดับ กุศลไม่ต้องดับ แต่จะให้ดับให้พักก็ได้ คืออมตะบุคคล สามารถกำหนดให้จิตเราปรุงอย่างไรก็ได้ เป็นผู้อปุญญาภิสังขาร ทำสสังขารได้ให้เหมาะควร และปรุงอย่างไม่ได้เสพรส ให้จิตทำงานทำประโยชน์ไป ............จบ

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:41:50 )

560301_รายการตอบปัญหา

รายละเอียด

560301_รายการตอบปัญหา(ละ)ดับชาติ ตอน 2 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 37 โดยพ่อครู

          เมื่อวานมีคนเขียนขึ้นมาที่วิจารณ์คนวัดที่มีการเลี้ยงดูผู้ชาย ให้นอนด้วยกัน อาบน้ำประเจิดประเจ้อ วันนี้มีคนเขียนมาชี้แจงว่า

ก่อนอื่น นส.ใจฟ้า ทรัพย์สินทวีลาภ ขออภัยที่ทำให้หลายคนเกิดความไม่พอใจ หลังรายการมีเด็กนร.สัมมาสิกขาชี้ไปที่ลุงเต็ม แล้วถามใจฟ้าว่า ลุงเขาเป็นอะไรครับ...ตอบว่า ลุงเป็นโรคลมชักมาตั้งแต่เกิด แต่พอวันที่ 28 เย็น หลังจบรายการ น้องสัมมาสิกขาท่านเดิมก็มาบอกว่าวันนี้พ่อครูประจานลุงทุกอย่างเลย ฟ้าส่งน้องสัมมาสิกขาตัวน้อยมาให้มีสัญชาติคนตรง ขออนุญาตบอกข้อมูลดังนี้คือ

ผู้ชายคนนี้เขาชื่อว่า เต็มบุญ ซื่อศิริกุลชัย เป็นโรคลมชักมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่สามขวบ หมอต้องให้ยามาระงับ และต่อมามีการล้มลงแล้วตะโพกหัก ไม่สามารถรักษาได้ เจ็บสะโพกมาก ขี้เยี่ยวไม่ได้ ลุกไม่ได้ คนดูแลก็โมโห คนเลี้ยงดูก็ไม่ไหว เฮียเต็ม เกิดมารับวิบากกรรม แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ ปฏิบัติกินมังไม่กินไข่ ปัจจุบันพัฒนา จากเดิม มาเข้าคอร์สว.บบบ. กลับบ้านเลิกกินกาแฟได้ งานพุทธาฯกินมื้อเดียวบริสุทธิ์ไม่กินน้ำชาไม่นอนกลางวัน ทำวัตรเช้า-เย็นหากไม่เพลียจะไม่กลับที่พัก จะทำวัตรให้ได้ และที่ว่ากลางคืนจะร้องนั้นไม่ใช่แต่เป็นดิฉันที่ไอ อยากให้เฮียเต็มมาใกล้มิตรดีสังคมสิ่ง ชักทุกเดือนเดือนละสี่ครั้ง  ขี้เยียวไม่เป็นเวลา วุ่นวายตลอด  อยู่กับยมฑูตตลอด ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องกาม ต่อไปจะพาไปอยู่บ้านราชฯคนบ้านราชฯจะรับไหม?...

มีคนเขียนมาเพิ่มเติมอีกว่า....ดิฉันได้ยินคนตำหนิญาติธรรมที่เอาญาติมาเลี้ยงแล้ว ก็เข้าใจ สัมผัสญาติธรรมหญิงท่านนั้นแล้วก็ชื่นชมที่เอาภาระคนป่วย ก็เห็นความพัฒนาการว่าเขาสงบได้มากขึ้น ส่งเสียงน้อยลง ก็แอบชื่นชมอนุโมทนากับพี่ใจฟ้า

พ่อท่านว่า..จริงๆเขาไม่ใช่ญาติกัน จะมีวิบากอะไรก็ไม่รู้ ก็รับมาดูแลกัน จะมาอยู่ก็ถามกรรมการชุมชนดู คุณใจฟ้าเขาก็คนเก่าคนแก่ พค.ตอบแทนกรรมการไม่ได้ ที่บ้านราชฯตอนนี้มีทั้งคนแก่คนป่วย คนทุพพลภาพ นอนเตียงก็ผลัดกันไปดู มีญาติของคนนั้นคนนี้ มาก็จำนน บางทีพี่น้องเขาไม่เอาเขาก็ให้คนอยู่วัดเขาว่าไม่มีงาน เขาเข้าใจว่าคนในวัดไม่มีงานไม่ได้หาเงิน คนเขาคิดง่ายๆตื้นๆก็ไม่เป็นไร บางทีพ่อแม่ อายุมากแล้วก็มา เราพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันพอได้

ตอนนี้บ้านราชฯจะสร้างรพ.ที่ให้กว้างขวางพอได้ ก็ทำลำลองเป็นศาลาสุขภาพแล้วแต่ก็คับแคบ มีบ้านชิดตะวันกับพ่อแม่เขาสร้างบ้านแล้วก็ไม่ตลอดสร้างแล้วก็ทิ้งไว้นาน สุดท้ายก็ยกให้บ้านราชฯไปเลย จึงจะยกให้เป็นอาคารศาลาสุขภาพ กำลังต่อเติมไปไม่เสร็จทีเดียว ทีนี้พค.มาเห็นวิมานของปฐมอโศกสร้างก็น่าจะเหมาะสมกับเป็นศาลาสุขภาพมากกว่าและปฐมอโศกก็น่าจะไปอยู่ที่บ้านชิดตะวันแทนก็ให้ไปพูดคุยกันดูที่พค.ดำริอย่างนี้จะพอเป็นไปได้ไหม ก็แสดงความเห็นไม่ได้สั่งการ ก็ไปคิดพิจารณากัน จะเป็นไปได้อย่างไร

  • พค.คิดว่าโครงการคืนชีวิตให้แม่มูนจะมีคนตอบรับอย่างไร?.........ตอบ....พค.เสียดายลำน้ำมูล ที่แต่ก่อนมีชีวิตชีวา มีเรือแจวเรือข้ามฟาก เราก็จะทำตลาดน้ำเสริมกับตลาดอาริยะเดิม จะได้รับการตอบรับเท่าไหร่ไม่รู้ เราทำไปตามแรงสมรรถนะที่เราพอทำได้ในปัญญาพวกเรา ไม่ได้ทำเพื่อหากิน ล่าลาภยศ โลกธรรม แต่ทำเพื่อปฏิบัติธรรม ตามมรรคองค์ 8 จรณะ 15 ให้มีพลังปัญญาเจริญขึ้น อวิชชาลดลง ให้มีวิชชา 8 มีโลกุตระ โลกะวิทู โลกานุกัมมปา ทำอย่างมีสัมมาทิฏฐิ มีพฤติภาพที่เป็นพุทธ กินอยู่หลับนอนชีวิตดำเนินไป ซึ่งจะเป็นอย่างไรเชิญมาดูได้ มาสัมผัสดูเอง ก็ชื่นใจดีใจที่พพจ.ยืนยันมา 2600 ปีก็ยังอกาลิโก มีอาริยะมีโลกุตระได้ และพยากรณ์ต่อไปว่าอนาคตคนจะไม่เอาของพพจ. จะมีที่เพี้ยนไปมาสอน
  • รัฐเขตกำลังฟังพ่อท่าน อยู่ริมมูลพืชผักปลูกเยอะ อาจเหลือ อยากให้จัดยาวเพิ่มอีก งานปลุกเสกฯ 7 วันแล้วต่อตลาดอาริยะอีก 13-15 เป็นเวลา 10 วันเต็มถ้วนเลย ...ตอบ...ถ้าจะต่อก็บอกได้เลยถ้าคนครึกครื้นก็จะต่อไปก็ไม่มีปัญหาถ้าเรามีแรง แต่ถ้าเราหมดแรงแล้วก็ต้องให้พักก่อน
  • ถ้าปฏิบัติกดข่มแล้วจางคลาย จะเรียกว่าปฏิบัติได้ผลหรือไม่?...ตอบ การกดข่มก็จางคลายได้ เป็นอุปการะได้แต่นานมาก แต่ถ้าไม่เกิดปัญญาว่าไม่มีมันดีกว่ามี ยกตัวอย่างแต่ก่อนมีคู่ว่าดี แต่พอเลิกแล้วดีกว่าก็ไม่มีอีก แต่ถ้ายังไม่ชัดก็จะกลับไปอีก
  • ช่วยเฉลยข้อสอบข้อ 10 ด้วย ทำไม่พ่อครูต้องขอบคุณชีวิต ? เขาว่าน่าจะเป็นข้อ ค.จึงถูก....
  1. ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ข.ได้ทำประโยชน์เพื่อมวลมนุษย์  ค.ได้เรียนรู้ทุกข์ ง.ไม่มีข้อถูก  ...ตอบ.....ตอบ ข.
  • ผมอยู่ด้านนอกไม่ทราบเลยว่าตนมีศีลธรรมมากน้อยเพียงใด รู้แต่ว่าตนไม่เห็นแก่ตัว พบชาวอโศกตอนชุมนุม ชื่นชอบมาก ทำให้มีความหวังที่จะได้ศึกษาแก่นแท้ของพุทธศาสนา และบอกกับน้ำดินว่าจะมาปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่ได้มาซักที อยากทราบขั้นตอนการบวชเป็นพระอโศกมีขั้นตอนอย่างไร ยังคงอยู่หรือไม่?. ผมได้ลงทะเบียนด้วยชีวิตแล้ว มีการบ้านที่เกิดในเวลา 1 ปี ควรเข้าหาอาจารย์ท่านใดเพื่อปฏิบัติต่อ..ตอบ...ก็ยังคงมีระเบียบหลักเกณฑ์ ในการมาบวชเช่นเดิม
  • เท่าที่ทราบทุกพุทธสถานต้องการเพิ่มมวล แต่ปัจจุบันมีผู้แนะนำให้เข้ามาแต่ตัวเขาที่แนะนำมาเขาก็ยังไปๆมาๆ เมื่อสัมผัสกับอโศกแล้วก็รู้ว่ายาก ทำไมคนกินมังฯมานาน เนื้อตัวน่าจะมีแต่พืชผักมีแต่ความสดใส ไม่มีสัตว์อยู่ แต่ก็มีคนที่ยึดว่าวัดของตน และก็มีคนที่มีเมตตาอยู่ ดูจากภายนอกเท่าที่ดูจากการชุมนุม เด็กอโศกดูดี แต่ก็กลับเรื่องเล็กน้อยเด็กอโศกกลับทำไม่ได้...ตอบ การตำหนินั้นพพจ.ว่า การชี้ขุมทรัพย์นั้นดี
  • ดิฉันเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์มานานแล้ว ได้ไปสอบ ว.บบบ. ปี 56 ผ่านค่ะ ดิฉันจะไปช่วยสร้างริมมูล 1 เดือนค่ะ เพราะชอบธรรมชาติ พค.ก็ชวนให้มาเป็น 1 ในพัน แต่ไม่มาไปปลูกบ้านที่วังน้ำเขียว บัดนี้ต้องปล่อยต้นไม่ขาดน้ำตาย แต่ก็ตัดใจจากต้นไม้ไปแม่มูล 1 เดือน....ตอบ.....
  • ประมุขศาสนาคริสต์ลาออกเพราะอะไรมีแรงกดดันหรือไม่ มีผลต่อโลกต่อพุทธจักรอย่างไร ....

ตอบ... ลาออกทำไม...ไม่รู้ แต่ตามข่าวคือสุขภาพเสื่อมโทรมจนรับงานไม่ได้ มีแรงกดดันหรือไม่...ไม่รู้เลย   มีผลต่อชาวโลกก็ไม่รู้ จะมีผลต่อพุทธจักร ก็ไม่รู้อีก   ก็น่าจะมีอิทธิพล คริสต์มีคนนับถือมากกว่าพุทธ อิสลามมีคนนับถือมากสุดในโลก แต่คนนับถือศาสนาเงินมากที่สุดในโลก มีเงินเป็นพระเจ้ามากที่สุด

  • ผู้ยังห่างไกลศาสนาและไม่รู้อยู่มาก...การทำทานให้เงิน สิ่งของ คนที่ให้ก็นับถือศรัทธาคนที่ให้ ผู้รับก็รับไปใจผู้รับจะคิดอย่างไร ผู้ให้ก็ไม่เคยจะรับรู้ความคิดของผู้รับ ผู้ให้ก็ดีใจเหลือเกิน จึงพูดด้วยความดีใจที่ได้ให้ การพูดอย่างนี้เป็นบาปด้วยหรือเป็นกิเลสด้วยหรือ?...เป็นกามราคะหรือไม่....จะทำอย่างไร?....ตอบ.....สรุปความคือผู้ให้ให้ด้วยสุจริตใจ ศรัทธาในผู้รับ ไม่คิดว่าเขาจะเอาไปทำอะไร ก็ไม่เป็นบาป ถ้าพูดในสิ่งที่ได้ทำดี ได้ภูมิใจในสิ่งที่ทำดี มีแต่ว่าให้อ่านจิตที่เราได้ทำทานเรามีจิตอยากอวดโอ่ เป็นอัตตา เป็นการเสริมกิเลสหรือไม่ ถ้าไม่มีกิเลสก็พูดได้ อธิบายเพื่อความเข้าใจ ข้อสำคัญต้องตั้งจิตไว้ชอบ ทำใจในใจให้ทานเพื่อละโลภ อย่าคิดนึกเอามาให้ตนเอง ต้องคิดว่าให้ไปไม่ใช่เอามา เป็นมโนกรรมที่ให้
  • เคยสัญญากับหลวงปู่ว่าจะเลิกกินไข่ แต่ก็ไปกินอีก ต่อมาก็ไปสารภาพบาปกับหลวงปู่อีก ก็สัญญาอีกแต่แล้วก็กลับไปกินอีก......หนูขอยกเลิกสัญญาได้ไหม?........ตอบ...ก็ถ้าไม่ไหวก็ให้ยกเลิกสัญญา พักไว้ก่อนได้
  • จิตใต้สำนึก กับจิตไร้สำนึก จะเรียนรู้ได้อย่างไร?.......ตอบ  จิตใต้สำนึก เรียกว่า subconscious ถ้าลึกลงไปอีกเรียก จิตไร้สำนึกUnconscious คนเราในชีวิตก็พยายามใช้จิตสำนึก เราก็ระวังจิตใต้สำนึก ถ้าเป็นคนจิตดีก็ใช้จิตใต้สำนึกที่ดีมาใช้ได้ แต่ถ้าไม่ศึกษาจิตก็จะมีจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกมา วิธีที่จะเข้าถึงจิตใต้สำนึก คือล้างที่อยู่ในสำนึกเรานี่แหละ แล้วจะมีพลังเจโต ปัญญา รู้จิตที่อยู่ในระดับสองสาม นั้นออกมาให้ล้าง แต่ถ้าไม่ถูกวิธีจิตใต้สำนึกและไร้สำนึกก็จะหลบลึกลงไปอีก การนั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ทางแท้ทางเอก ส่วนทางเอกนั้นปฏิบัติมรรค 7 องค์ และปฏิบัติอย่างรู้ทวาร 6 เปิดตาลืมตา รู้นามรูป ในปฏิจจสมุปบาท อย่างมรรคองค์ 8 เรื่องสัมมาสมาธินั้นปฏิบัติมรรค์ 7 องค์มาสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ การไปนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ทางเอก พค.อุตส่าห์บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ ถ้าไม่จริง พค.จะขยายพระไตรฯไปรอดได้อย่างไร ที่อธิบายหลักการพพจ.ได้รัดร้อย เป็นมาลัยมีสีสัน ก็ไม่ได้ยกตัวเองหรือแก้ตัวแต่อย่างใด
  • หลวงปู่คะ ทางกระทรวงการศึกษา เขาอนุญาตให้เด็กนร.ไว้ผมยาวได้ ทำไมรร.เราไม่อนุญาตให้ไว้ได้ ตอบ....ขนาดกระทรวงเขาไม่มีว่าไม่ให้ใช้มือถือ แต่สัมมาสิกขาเราไม่ให้มี เราไม่ให้ใช้เงินหนักกว่าอีก แค่ไม่ตัดผมอย่ามาขอเลย มันเป็นไปเพื่อขัดเกลา ข้างนอกเขาเละเลย กดโทรศัพท์กันเลอะเทอะ
  • ตัณหามีอะไรบ้างคะ....ตอบ....ตัณหามี 6 เกิดจาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง กลิ่นกระทบจมูก รสสัมผัสลิ้น สัมผัสกายกระทบกาย ธรรมารมณ์กระทบใจ  มีตัณหา 3 คือ กามตัณหา(กามภพ) ภวตัณหา(รูปภพพ อรูปภพ) วิภวตัณหา (ความอยากไม่ให้มีภพ เป็นตัณหาล้างตัณหา)
  • มาใหม่ใจเต็มร้อย...ญาติธรรมหลายคนไม่ได้ดังใจถูกขัดจากหมู่กลุ่ม เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ประจำต่อเนื่อง พอเข้าไปในหมู่ก็เพ่งโทส พอถูกคนอยู่ประจำว่าก็เผ่นหนี...จะเห็นใจใครดี..ตอบ...ก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย พยายามดูเข้าใจให้ถูก ว่าคนนี้คนนั้นเป็นอย่างไรแล้วเอาความจริงมาพิจารณา ถ้าปล่อยไปจะเสียหายก็ไปบอกข้อมูลผู้ใหญ่ ไม่ใช่ฟ้อง การฟ้องคือไปรายงานแต่ใส่ไข่ การให้ข้อมูลให้รายงานตามจริง แล้วผู้ใหญ่ก็จะช่วยกัน
  • มีโครงการลากเรือลงน้ำ เหมือนภาพประวัติศาสตร์ที่เคยดูเมื่อไหร่....ตอบ..ในงานนี้แหละมีเรือใหญ่ที่เราจะลากลงน้ำอีกสามลำ ใครอยากลากเชิญ ...กำลังเร่งกันอยู่ เราจะใช้เรือนี่วิ่งให้จุ้นจ้านในแม่มูนเลย มันลำใหญ่เท่ากับตึกค้าขายสองตึก ความยาวลำละ 20 เมตรขึ้น กว้างมากกว่า 8 เมตร เท่ากัน 2 คูหาตึก ไม่มีลำไหนต่ำกว่า 50 ตัน
  • การบูชาพุทธ ธรรม สงฆ์ ด้วยการจุดเทียน บูชาดอกไม้มีผลอย่างไร?จำเป็นหรือไม่?...ตอบ มีหลักฐานอ้างอิงในจุลศีล มัชฌมศีล มหาศีลว่า ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ไม่มีการใช้แบบเทวนิยมในการบูชา ในไทยเรามีท่านพุทธทาสพยายามไม่เอาให้ใช้พวกนี้ พพจ.ให้เว้นขาด อัคคียัญ สิญจนยัญ ในการบูชา แต่พุทธเพี้ยนไปแล้วมาก ขนาดพพจ.ก่อนปรินิพพานว่า ดอกไม้ไม่ใช่เครื่องบูชา การปฏิบัติคือเครื่องบูชา ถือว่าดอกไม้เป็นวัตถุอนามาสสำหรับนักบวช เด็ก ผู้หญิง เงินทอง ถือเป็นของอนามาส พวกเราอโศกไม่จำเป็นต้องใช้พวกนี้ดอกไม้ธูปเทียนเราไม่ใช้
  • เห็นสังคมข้างนอกถวายน้ำขวด กับศาลพระภูมิสามารถส่งถึงคนตายไปแล้วได้หรือไม่?ให้คนที่จะเป็นไม่ดีกว่าหรือ?..ตอบ...เป็นวิธีแบบเทวนิยม เขาเชื่อวิญญาณแบบล่องลอย แต่พพจ.ว่าตายไปแล้วก็ไปตามวิบาก มันมีพื้นแบบเทวนิยมมานานแล้ว พอพพจ.ตรัสรู้มาคนก็เข้าใจได้ยากได้น้อย แต่เป็นประโยชน์คุณค่าจริง จะได้น้อยได้มากก็ไม่ใช่ปัญหา
  • เลือกตั้งผู้ว่า กทม. 3 มี.ค. 56 คุณเสรีฯควรทำอย่างไรให้พลังเงียบออกมา?...ตอบ...ก็พยายามยืนยันว่าให้เลือกคุณเสรีฯ เขาก็ไม่ได้มาจ้าง แค่เขามาบอกว่าจะลงสมัคร มีหลายคนก็มาบอก แต่ที่ต้องเลือกเพราะมีความสำคัญ ในเต็ง 1 และ 2 นั้นเขามีอำนาจเงินชี้นำ ส่วนคุณเสรีฯนั้นเต็งสาม พค.ก็ดูว่า เต็ง 1 และ2 นั้นพายเรือในอ่าง และจะยิ่งหนัก ถ้าคนที่ได้อำนาจอยู่แล้วได้ไปอีกจะเป็นมหาเผด็จการ คนก็มาบอกว่าให้เอาเต็งสองมาสิ แต่พค.ว่าเต็งสองมาเป็นรัฐบาลไม่เห็นจะทำอะไรดีขึ้นเลย พรรคนี้ตั้งมา 60 ปีแล้วควรจะพอแล้วดังนั้นอย่าไปเลือกแบบหุ่นเชิดพรรคเลย ถ้าเต็งสองจะมาเทให้เต็งสามเลยจะได้ คนพลังเงียบมีปัญญาจะเลือกเต็งสาม ก็จะได้ ที่สำคัญคือจะสอนการเมืองสอนประชาธิปไตยกันในการเลือกตั้งครั้งนี้ การหาเสียงหลายอันผิดกฏหมาย พรรคใหญ่ผิดกฏหมาย แม้แต่เกมการเมืองก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ให้คนออกมาเลือกคนที่เหมาะควร ไม่ควรไปอิงพรรค พรรคคือตัวครอบงำนักการเมืองอีกที ให้กทม.เป็นตัวอย่าง
  • เห็นว่าศิษย์เก่ามารวมตัวกัน หากเราจัดให้แบบพอทน คือหาที่ดินที่พักใกล้ชุมชน ให้หารายได้พอสมควร 3000-10000 บาทดีกว่าไปรับใช้นายทุนเสียหมด อย่างศาลีชราภาพมากแล้วควรมีผู้สืบทอด..?..ตอบ...ก็น่าคิดนะ ศิษย์เก่าจะมา ส่วนรายได้นั้น เพราะมาสาธารณโภคี ส่วนมากจะไม่รับเงิน เคยทำมาหลายชุมชนแล้วก็ไม่ได้ ที่จะทำแบบมีแบ่งรายได้ แต่เอาไปเอามามันกลับไปเป็นสาธารณโภคีไปเสียทุกที และที่ทำแบบแบ่งรายได้นั้นจะยุ่งยากกว่ามาก ส่วนคนที่มาช่วยอโศกเต็มตัว ถ้าเอาของมาฝากขายก็ให้ออกไปจากที่ทำงานเสีย อย่ามาทำงานในร้าน แต่ถ้าจะมาฝากขายก็ให้อยู่ข้างนอก หรือเด็กนร.ปิดเทอมมีคนว่าจ้างให้ทำงานในวัดได้ไหมตอนปิดเทอม พค.ว่าเป็นการอกตัญญู เราเลี้ยงดูมาแทนที่จะอยู่ช่วยกันไปแต่กลับต้องจ้างให้อยู่ ถ้าทำเช่นนั้นจะเห็นแก่ได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ และที่จะทำแบบมีรายได้นั้นจะทำยาก แต่คนที่มาอยู่ข้างวัดเขาก็ทำกันอยู่แล้ว ก็พอเป็นไป แต่ถ้ามีเพิ่มก็จะช่วยได้มากขึ้น
  • หลายเรื่องต้องดูแลและบริหาร พ่อแม่ ครอบครัว งานส่วนกลาง หาเงินพออยู่ไม่รวย ต้องบริหารเงินบริหารเวลา คิดว่าถ้าเราไม่ซีเรียสคล้ายเราหลุดพ้นแล้ว....ถามว่าเริ่มอย่างไรให้ใจมันเบาๆง่ายๆ.เหมือนพ่อท่านดูสบายๆ..ตอบ..พค.ก็พาปฏิบัติพาทำอยู่ ในเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอยู่แล้ว
  • การที่รุ่นพี่ที่อยู่มาก่อนเห็นรุ่นน้องพูดถึงสมณะบ่อย รุ่นพี่ก็บอกว่าจะสึกสมณะหรือ รุ่นน้องก็บอกว่าไม่ แต่รุ่นพี่ก็บอกว่าคิดจะสึกแน่ และรุ่นพี่ก็ไม่สนใจใส่ใจรุ่นน้อง รุ่นน้องก็กระเด็นไปอยู่กับรุ่นพี่คนใหม่ แต่รุ่นน้องก็ทำพฤติกรรมเช่นเดิม แต่ก็อยู่กับรุ่นพี่คนใหม่ได้นานกว่า ....ทำไม่อยู่กับรุ่นพี่คนใหม่ได้นานทำไม่รุ่นพี่คนแรกไม่เอาใจใส่เหมือนรุ่นพี่คนที่สอง การปฏิบัติธรรมควรทำอย่างรุ่นพี่คนไหน ?...ตอบ...ก็ต่างจริต บางจริตเคร่งก็บอกตรงบอกผ่า แต่อีกคนก็บอกด้วยศิลปะ ก็อยู่กันได้นานหน่อย จริงๆเราไม่ได้อยู่แค่ไม่กี่คนเราอยู่กันปนกันคละเคล้ากันไป ถ้าเป็นที่อื่นเละแล้ว เราไม่มีกฏระเบียบเคร่งครัดมากเหมือนข้างนอก แต่เราเอาใจใส่ และทำแบบมรรคองค์ 8 ทำอยู่ตลอดเวลาจึงมีผลมาก มีอินทรีย์พละมากกว่า เป็นสหศึกษา สหสังคมอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าภูมิธรรมไม่ถึงจะเละกว่านี้ อย่างน้อย สมณะสิกขมาตุก็คงเละกว่านี้มากเลย ข้างนอกไม่ได้อย่างเราก็ยังเละ
  • ถ้าทางศาลโลกตัดสินว่าทางกัมพูชาถูกต้อง ถ้าไทยต้องแพ้การตัดสิน เสียแผ่นดิน พค.จะพาลูกๆไปนอนที่ชายแดนไหม ถ้าไปจะเตรียมตัว หาเมล็ดพันธุ์ไปปลูกกิน ...ตอบ..ก็คิดเล่นๆว่า ถ้าเสียแผ่นดิน ศีรษะอโศกต้องเป็นของเขมร ไปอยู่เขมรก็ทำพาสปอร์ตวีซ่าเอา เขาก็ให้เป็นเชื้อชาติไทยสัญชาติเขมร
  • หลวงปู่จะปรินิพพานในชาตินี้หรือไม่? จะเกิดชาติหน้าไหม ถ้าเกิดจะเกิดเป็นอะไร และทำไมต้องเกิดด้วนในเมื่อปรินิพพาน..ตอบ...คำว่านิพพานคือยังไม่ใช่ปริโยสาน ใน มูลสูตรว่าไว้ว่า ในข้อที่ 10 อันปลายเป็นปริโยสานคือนิพพาน   ในข้อที่ 8 คือวิมุติ ข้อ 9 คือมนุษย์อมตะ(ไม่เกิด-ไม่ตาย)

1.  มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.  มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . .

3.  มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4.  มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5.  มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

ก็ถ้ายังไม่ปรินิพพาน คือนิพพานรอบเลยไม่เหลือ นิพพานก็หายไป คนที่เป็นอรหันต์ไม่ตั้งจิตเกิดต่อไป อปนิหิตะ (คือไม่ปรารถนา)  ถ้าจะเกิดชาติหน้า พค.จะเกิดชาติหน้าอีก และตอบไม่ได้ว่าจะเกิดเป็นอะไร? แต่จะเกิดเป็นโพธิสัตว์ต่อไปรับใช้โลกต่อไป

  • พค.บอกว่าการเลือกตั้งกทม.ถือเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นผิด....ตอบ...เมืองพัทยาและกทม.เป็นการปกครองพิเศษ แต่ก็เหมือนกับท้องถิ่น เช่นผู้ใหญ่ กำนัน เขาก็เลือกกันในนั้นเอง ไม่ได้ขึ้นกับมหาดไทย
  • ทำไม!! หลวงปู่ไม่หยิบแผ่นเล็กบ้างคะ?....ตอบ ทำไมไม่เขียนแผ่นใหญ่มาล่ะ
  • เกียวกับหลวงพ่อเกจิอาจารย์ดังๆทำไมเผาไม่ไหม้ ตายไม่เน่า ไข่ไก่ไม่มีตัวจะเป็นอาหารเจไหม.. นมวัวเป็น มันจะหน้าเจ็บหน้าบูดเบี้ยวไหม?...ตอบ..มันคงไม่เจ็บเขามีวิธีดูด มีเครื่องดูด นอกจากทำไม่เป็น  และคนกินเจมีระดับๆๆ คนกินไข่กินนมถือว่าเป็นระดับบ๊วย สูงขึ้นไปก็กินนมอยู่ สูงขึ้นไปอีกก็กินแต่ผัก สูงกว่าอีกพวกเจเขาไม่กินผักบางชนิด .....ทำไมเผาไม่ไหม้ ก็ราดน้ำมันไม่มาก ฟืนไม่มาก ศพไม่เน่าเพราะมีเหตุปัจจัยให้ทำได้ของเราก็ทำดอกไม้งามไม่เน่า หนังหุ้มอยู่ หรือมียาไปใส่เข้าไป ฉีดยาเข้าไปก็ไม่เน่ามีสารเคมี เหมือนทำมัมมี่ คลายกัน ก็ไม่เน่าได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่าไปนั่งคิดว่ามีฤทธิ์เดช ไม่มีประโยชน์ จริงกระดูกอรหันต์เป็นพระธาตุได้แต่ไม่ทุกองค์ แต่พวกฤาษีมีมากที่เป็นพระธาตุ แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันอาริยะ ที่กระดูกมันจับตัวเป็นธาตุ อย่างพพจ.เป็นพระธาตุแน่ บางองค์ไม่เป็นพระธาตุก็เป็นอรหันต์ อย่างเรื่องเน่าหรือไม่ก็ไม่ใช่เครื่องชี้อาริยะแต่อย่างใด เอาธรรมะศึกษาธรรมะแล้วรู้ปัจจัตตัง แล้วก็รู้แล้วก็ถามบอกกันได้ ไม่ใช่บอกกันไม่ได้
  • เราโดนชี้ขุมทรัพย์เรารู้ว่ามันกดดันจะทำอย่างไร?....ตอบ...ก็ดีเขาท้วงติงตำหนิก็ต้องกดดัน อาจว่าเกินจริงก็ตรวจดู หรือบางทีติมาถูกมาก บางทีน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่ควรมีอคติ ถ้าเราไม่เป็นอย่างเขาว่ามันก็ผิดที่เขา มี่ต้องไปถือสา ถ้าเขาชี้ถูกก็ควรขอบคุณเขา
  • คิดอย่างไรกับสัมมาสิกขา...ตอบ...ก็คิดว่าให้ทำดี เป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
  • ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พค.จะพาออกไปประท้วงอีกไหม ไปนอนพักข้างนอกมันตื่นเต้นดี......
  • เสียศีรษะอโศกให้เขมรก็ดีจะได้ไปอยู่บ้านราชฯ....จะได้ถึงพัน....ตอบ...ก็เคยมีอบต.มาเอาป่าช้าสาธารณะที่เราใช้เป็นศีรษะอโศกเดิมเอาคืนไป แต่ตอนนี้บอกว่าให้เราเข้าไปทำอย่างเก่าเถอะ แต่ทุบศาลาเราทิ้งไปแล้ว เขาจะกลับให้เราดูแล ตอนที่เขาจะมารื้อ เราก็จะขายทิ้งมาอยู่บ้านราชฯเลยแต่ก็บอกให้อยู่กันไปก่อน นี่ก็เป็นปัญหา (ละ)ดับชาติเหมือนกัน
  • จากเฟซบุ๊ค ..ผุดรู้ กับปัญญาณ ต่างกันอย่างไร...ตอบ...ปัญญาณนั้นหมายถึงไม่รู้ คำว่าปัญญาคือรู้ ถ้าอัญญาณนั้นแปลว่าไม่รู้
  • การที่จิตสงบนิ่งแต่ดูเหมือนเห็นการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบด้าน เหมือนมีแก้วบางๆรอบตัว เป็นสภาพใด ..ตอบ..คือสภาวะการใช้การฝึกหรือจะมีเอง สามารถใช้สมาธิกลายๆ ให้มันเป็นหนึ่งไม่กระจายมากและก็ให้รู้รอบข้าง อย่างเราอยู่ในภวังค์ กับไม่เข้าภวังค์นั้นต่างกัน บางคนสามารถเข้าภวังค์แต่สามารถให้หูได้ยินเสียงบางทีชัดกว่าธรรมดาด้วย อย่างนี้พค.ทำได้ จิตแข็งแรงในการนิ่งเป็นหนึ่งและก็รับรู้ได้ดี นั่นคือสมาธิสมบูรณ์ ไม่ได้หมายถึงการให้จิตปิดไม่รับรู้นั้นเป็นเจโตสมถะ ส่วนวิปัสสนาไม่ใช่อย่างนี้
  • กลอนสอนใจปิดท้าย

“หากวันนี้มีแม่พ่อ”

 ทานข้าวกับแม่ซักมื้อ ถือน้ำให้พ่อสักแก้ว

กราบแทบเท้าสักครั้ง ฟังท่านพูดสักคราว

เวลาผ่านเร็วเหลือเกิน เงินก็คือเงิน  ระหกระเหินหาเงินกันไป

ใจก็คือหัวใจ แต่เงินซื้อใจไม่ได้  หากแม่พ่อจากไป..........เงินเท่าไหร่จึงจะซื้อคืน........

โดย....สตรีผู้ใฝ่ธรรม.................จบ....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:43:17 )

560302

รายละเอียด

560302_ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ 37 เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ 6 โดยพ่อครู

            พ่อครูระลึกไม่ได้ว่าชาติที่แล้วได้เรียนบาลีหรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องบาลีว่าเขาเรียนเขาสอนกันอย่างไร แต่คนเราทุกคนรู้จักการใช้ภาษามากกว่าสัตว์อื่น คนใช้ละเอีดดลออกมาก สื่อรู้ชัดในนามธรรม และในรูปธรรมมีมากละเอียดลออจริงๆ แต่ในพระไตรฯเล่ม 16 ข้อ 14 พระพุทธเจ้าตรัสถึงรูปและนามว่า รูปคือมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ส่วนนาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งต้องมีสภาวะต่างๆรู้สภาวะต่างๆ ว่าต่างกันอย่างไร เป็นนามทั้งนั้นแต่เอามา 5 ชื่อนี้ มาขานเพื่อให้รู้ว่าให้ใช้และปฏิบัติได้ แม้ในเวทนาก็แจกไปอีกถึง 108 อย่าง ต้องรู้ว่าการปฏิบัติในภาวะปัจจุบันเป็นอย่างไร และรู้มโนเจตนาว่าเรามีวิภวตัณหา อ่านเวทนาที่เกิดจากทวาร 5 กระทบมหาภูตรูป มีผัสสะ ก็เป็นกายในกาย เกิดเวทนาในเวทนา ต่อเนื่องไปถึงจิตในจิต ที่เป็นเจโตปริยญาณ 16 อีก รู้ว่ามีกิเลสเกิดอย่างไร เราก็ทำการปหาน 5 ได้อย่างเป็นลำดับจนมั่นคงแข็งแรง จนสัมผัสกิเลสอย่างไรก็ไม่กระดิกเลย ต้องพิสูจน์ให้ได้ในทุกปัจจุบัน ในเวทนา 36 ของปัจจุบัน ให้สมบูรณ์มีผลครบ เป็น โลเกอัตถิตา คือมีผลแล้ว (มีความไม่มี) ก็ปฏิบัติมีผลสูงสุดคือกิเลสสูญในทุกปัจจุบัน ผู้นี้แหละคือผู้ที่มี เป็นความประเสริฐที่มนุษย์ทุกผู้ต้องรู้ความมี (มีชีวิต) แต่คุณก็ไม่มี (ไม่มีกิเลส) ใครจะกระทุ้งกระแทกยั่วยวนจนถึงฆ่าเรา เราก็ไม่มีกิเลส มีนิโรธสนิท เที่ยงแท้ยั่งยืน ถาวรไม่กลับกำเริบ

            เพราะเราได้ตรวจสอบถึง อรูปฌาน ที่ก็ต้องลืมตาสติปัฏฐานในการปฏิบัติ ความมีเช่นพระอรหันต์ท่านก็ยังมีชีวิต มาอธิบายธรรมะ แต่ท่านก็ไม่มีกิเลสเลย

          เราต้องมีตัวรู้ของเรามีญาณของเราเป็นตัวกำหนดว่า อารมณ์ตอนนี้เราอุเบกขาไหม มันกลางคือไม่มีกาม หรือพยาบาท ไม่ผลักไม่ดูด แต่มันรื่นเริงเบิกบาน ไปในทางสดชื่นไหม ไม่ได้ขุ่นมัว (พ่อครูว่ากำลังอ่านใจในปัจจุบันให้พวกเราฟัง อ่านเหมือนการรายงานข่าว พร้อมกันนั้นก็ผัสสะกับคุณอยู่ เจตนาปรุงแต่งนิรุติปฏิภาณ แสดงนัจจะคีตะวาทิตะมีกรรมกิริยาคือให้คุณได้รู้ธรรมะ แต่สิ่งที่ไม่มีๆๆๆๆๆๆๆๆคือกิเลส แต่อนุโลม มีการยินดีไหม  มียินดี อนุโมทนาที่พวกคุณรู้เรื่อง แม้จะพูดไปคนก็ไม่ฟัง คุยกัน ไม่น่าควรยินดี แต่เราก็ไม่เกิดความผลัก แต่ก็จะไปชอบได้อย่างไร เพราะเขาขัดแย้งกับสิ่งที่ควร แต่เราอุเบกขาอยู่ จิตจะอนุโลมไปสู่ความหม่นหมองไม่มี ในสติปัฏฐาน มีการทำจิตให้ร่าเริงอยู่ตลอดเวลา จิตปัสสัมภยังจิตตัง  จิตอภิปโมทยังจิตตัง ทำให้จิตสมาทหัง (แข็งแรงตั้งมั่น) จิตอนุโลมได้ ไม่ได้ว่าง เพราะมีร่าเริงเบิกบาน เป็นอุเบกขา แต่จิตร่าเริงเบิกบานในกุศล ไม่ใช่เรื่องแรง เป็นผรณาปีติ แผ่ซ่านไป ไม่ใช่อุพเพงคาปีติ ได้ในฌาน 3 ฌาน 4 หรือมีฌาน 2 ปีติปราโมทอยู่ แต่ก็รู้ว่าผรณาปีติจะมากไปยินดีมากไปหนักไป มันจะติดได้มันจะจับตัว ต้องมีปัญญาอย่าหลงจับตัวกับมัน จิตจากเดิมเป็นยางธรรมชาติ ต่อมาเป็นกาวตราช้าง และต่อไปมันจะเป็นยางเหนียวจนกลายเป็นอีพ็อกซี่ไปเลย ถ้าไปปรุงแต่งด้วยอวิชชาจะเป็นยางเหนียว อีกกี่ชาติมันจะหยุด

            เรามีวิญญาณเป็นแค่อาลยวิญญาณหรือไม่ เป็นเครื่องอาศัยเพื่อทำงาน เมื่อเราไม่ทำงานก็อุเบกขา เราทำงานด้วยเมตตา ซึ่งต้องใช้สัญญาในการกำหนดในปัจจุบัน ส่วนปัญญาเป็นองค์รวมใหญ่ในการรู้ สัญญาเป็นตัวปฏิบัติในปัจจุบัน และเป็นคลังเก็บข้อมูลใหญ่ มากมายจนบางทีชักออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน ส่วนปัญญาคือตัวกำหนดรู้ ปริเยยยะคือการกำหนดรู้ ก็คือปัญญาคือการรู้รอบ

            เหล่านี้เป็นรายละเอียดของนามธรรม ที่มีมากมาย พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นพยัญชนะมากมาย มีบางคนเขาไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ เขารู้ว่าไม่มีอะไรเป็นอัตตาเลย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน สัพเพธัมมาอนัตตา เขาคิดว่าอันนี้คือเบื้องต้น แล้วเขาจะรู้การปฏิบัติอย่างไร ถ้าเขาปฏิบัติให้ถูกในเบื้องต้นจะรู้ว่าเรามีอัตตาอะไร และได้ปฏิบัติให้เห็นอนัตตาในแต่ละระดับ กิเลส มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ พวกเราก็เรียนรู้แล้วไปอ่านกิเลสได้จริง แต่คนที่ฟังไม่รู้เรื่อง เขาว่าไม่มีกิเลสหรอก จึงไม่มีการปฏิบัติเมื่อตายไปก็สูญ นี่ก็คืออุจเฉททิฏฐิ ขาดสูญ

            ก็เข้าใจความเห็นของพวกขาดสูญ เขายึดทิฏฐุปาทานอย่างนั้นจริง เขาว่าเขาก็สงสารพ่อครู เขามีเมตตาจึงส่ง sms มาชี้แจง เขาว่า

 8705   ทีนี้จะขอย้อนกล่าวถึงเรื่องของอัตตาฦที่พธร.เข้าใจผิดคิดว่าคือตัวกิเลส! เพราะแท้จริงโดยปรมัตถ์แล้วฦหาอัตตามิได้พบ! แล้วจะเป็นตัวกิเลสหรือเป็นตัวทุกข์ได้อย่างไรเล่า! และขอให้จำไว้ว่า สิ่งที่มนุษย์ต้องการจะทำให้สำเร็จฦโดยสิ่งนั้นไม่มีวันที่จะให้สำเร็จได้! ก็สิ่งนั้นคืออะไรเล่า? ก็คือการพยายามสร้างอัตตาของตนขึ้นมา นั่นเอง! และนี่แหละคือกองทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น! นอกเสียจากว่า จะหยุดสร้างอัตตาของตน)เมื่อไรฦเมื่อนั้นทุกข์ก็จะค่อยๆดับไปเอง! ฉะนั้นจึงเห็นชัดว่าการที่จะดับกองทุกข์ได้นั้นฦจึงมิใช่เป็นการไปฆ่าอัตตาฦหากแต่เป็นการไม่สร้างอัตตา(ของตน)ขึ้นมาเอง ต่างหากเล่า! เพราะว่าโดยปรมัตถ์ ทั้งรูปและนามฦต่างก็หาอัตตามิได้ตั้งแต่แรกแล้ว! แล้วจะไปฆ่าอัตตาที่ตรงไหนจ๊ะ? หรือว่ามหาโพธิรักยังจะเถียง! ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือฦพธร.โง่บรม)ตั้งแต่แรกแล้วฦที่ไปหลงเข้าใจผิดคิดว่า อัตตามีมาตั้งแต่แรกแล้วจึงดันทะลึ่งไปตั้งอัตตาไว้ก่อน! และนี่แหละคืออัตวาทุปาทานของพธร.!

เขาเอาความไม่มีอัตตาของเขาไปเป็นอัตตานั่นเอง

ต่อไปจะต่อเรื่องวิโมกข์ ข้อที่ 4

4. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)  เราอ่านอาการของความรู้สึกสุข เมื่อมันถูกรู้ก็จะกายเป็นรูป(อุปาทายรูป)  เราต้องรู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ รวมเป็นมนสิการ คำว่า นานัตตสัญญา คือกำหนดรู้สัญญาต่างๆ

ในวิญญาณฐีติ 7 ข้อ 5

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

ในปฏิฆะสัญญานั้นจะดับเลย คำว่า คำว่าอมนสิการท่านแปลว่าไม่ใส่ใจซึ่งไม่นาจะถูก บาลีว่า อมนสิการ คือไม่ต้องทำใจในใจ เพราะเสร็จกิจแล้ว เป็นขั้นอนุโลม ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารได้แล้ว

            ถ้าเป็นฌานหลับตา คำว่าอากาสานัญจายตนะของพวกไม่สัมมาทิฏฐิ อารมณ์ว่างจากนิวรณ์นั้นมี จิตมีกุศลจิต มีกุศลสังกัปปะ นึกคิดอะไรได้ดี เพราะไม่มีกิเลสกวน จิตใส แต่ก่อนคิดไม่ออก แต่พออันนี้คิดได้ดีได้ไว แล้วหลงว่านี่คือปัญญา (ที่จริงปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความคิดที่ไปคิดต่อเนื่องจากสัมผัส คิดผกผันอะไรก็ได้ คิดเป็นวิมานปรุงแต่งอะไรก็ได้ เหตุผลคิดมาหักล้างกี่ตลบก็ได้ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่เห็นความจริงตามความเป็นจริง โดยมีสัญญาเป็นตัวกำกับด้วย ปัญญาไม่ได้ขาดสัญญา ) แต่ปัจจุบันที่ไม่มีสัมผัส ก็ไม่ใช่ความจริงแล้ว นี่คือความติดยึด ที่คุณดึงเอาสัญญาความจำมาระลึกรู้ ถ้าสัมผัสแล้วกำหนดรู้ก็เป็นปัญญา  แต่พอไม่ได้สัมผัส วิญญาณทางตาก็ไม่มี ปัญญาทางตาก็ไม่มี แต่คุณมีสัญญา แล้วก็เผลอว่าเป็นของจริงที่สัมผัสอยู่เมื่อกี้นี้ แล้วก็ไปยึดว่ามี เป็นตัวจริงเป็นสุขอย่างที่สัมผัสเมื่อกี้นี้ มันก็หลงว่าสัญญาเป็นอัตตา เป็นตัวตน ที่จริงเป็นความจำไม่ใช่ความจริง

            พอผัสสะไม่มีแล้วไม่มีปัญญามีแต่สัญญา แต่พอคุณนั่งสมาธิคุณไม่มีรูปจริงให้สัมผัส คุณก็เอาสัญญามาขบคิดผกผันทั้งนั้น ไม่ใช่ปัญญา มีแต่สัญญา แล้วก็ไปยึดว่าจริง ยึดสัญญาเป็นตน ที่เราเน้นหนักคือไม่ให้ยึดสุขยึดทุกข์ แม้อุเบกขาก็ไม่ให้ยึดเป็นเรา เราไม่ยึดแต่เราอาศัยอุเบกขา มีเมตตาเป็นตัวทำงาน เป็นพระพรหม มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา (มีองค์คุณ 5 คือ มุทุ กัมมันยา ปภัสสรา) ปภัสสราคือความว่างความใส คืออากาสาฯ คุณนึกคิดปรุงแต่งอยู่ก็เป็นอภิสังขารอยู่ เป็นกัมมันยาคือทำการงานด้วยอัญญา อัญญาจึงเป็นความฉลาดที่เหนือกว่าสัญญา และปัญญา ปัญญามีเมื่อมีการกระทบสัมผัส เมื่อไม่มีสัมผัสปัญญาไม่มี เช่นกำลังไปรู้ความว่างในอากาศ คุณไม่มีปัญญาทางตา หู ไม่มีการรู้ความจริงตามความเป็นจริงในทางตา ทางหู ไม่เห็นไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น คุณเหลือแต่ใจในใจแล้วก็ดึงสัญญามาคิด เมื่อมันปรุงคุณก็รู้ว่ามันปรุงอะไร จะบอกว่าความรู้นั้นครบไหม ก็ไม่ครบ มันรู้แต่ในใจเท่านั้น มันรู้ความจริงตามจริง ของการปรุงแต่งสัญญา จึงเรียกว่า “อากาศของความว่าง หรืออภัสสรา” ที่จริงมันมืดแต่คุณไปปั้นแสงสว่าง ก็เป็นแสงสว่างของแต่ละคน ในการหลับตาที่จริงมีแต่มืด เป็นกิณหา แล้วก็หลงกิณหาความมืดว่าเป็นนิโรธ เรียกว่าเป็นนิโรธ ในพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่นั่งหลับตาให้มันดับ ก็ได้ความมืด และสายอาภัสสราก็ไปได้ความสว่าง กายของอาภัสสราก็เป็นความสว่าง แต่ความมืดมีได้อย่างเดียว แต่ของอุทกดาบส อาฬารดาบส ก็ยังได้แบ่งได้สองอย่าง อย่างอาฬารดาบส มีแต่การเกิดความมืออย่างต่อเนื่องไม่มีอะไรคั่นเลย คือโอกกันติ แกก็มืดต่อเนื่องเลย แต่อุทกดาบสมีขณิกะคั่นจึงมีการแว่บรู้ แต่มีความยึดว่าต้องดับ ก็ดับมันได้ก็สำเร็จแบบสายมืดแล้ว ทั้งคู่ดับมืดดำ เป็นกายเดียวกัน

            ส่วนสว่างมีหลายขนาด กายจึงต่างกัน แต่สัญญาว่าเหมือนกัน แต่พวกมือจะมีกายอย่างเดียวกันคือมืด แต่การกำหนดต่างกัน คือรู้ว่ามีการแวบรู้มาสว่างแวบ แล้วเขาก็รีบดับให้มันมืด ส่วนพวกอาภัสรานั้นเป็นพวกสว่างขาว เป็นการเห็นความสว่างเป็นมโนมยอัตตามันก็ไม่เท่ากันหรอก แต่พวกทำให้มืดจะมืดเหมือนกัน แต่พวกมืดจะต่างกันว่ามีแวบสว่างกับพวกไม่มีแวบดับหมดต่อเนื่อง แสงเป็นโฟตอนหรือควันตัม ถ้ามันมีตัวก็เป็นโฟตอนคือมันมีการคั่น  แต่ถ้ามันไม่มีอะไรคั่นมันต่อเนื่องมันก็ไม่มีตัวก็เป็นควันตัม ที่เขาเถียงกันในวิทยาศาตร์ว่าแสงเป็นโฟตอนหรือควันตัม(คนเถียงกันตายไปหลายคนแล้ว) คล้ายกับที่ 8705 เถียงมา โดยตรรกะว่ารูปนามมันก็ต่อเนื่องไม่มีการขาด ความเห็นของเขาเป็นลักษณะโฟตอน ซึ่งธาตุรู้นั้นจะต้องรู้ แต่เขาไปดับให้มันไม่รู้ ก็ได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้ายังมีอัตภาพ ยังมี ขันธุ์ 5 อยู่ ถ้าไม่สลาย จนไปยึดมันก็เป็นรูป  แต่ถ้ารู้มันก็เป็นนาม จะอยู่ในฐานของ เวทนา สัญญา ก็ตาม แต่ผู้สลายตายลงจริงๆ มันจะกลายเป็นผู้ไม่มีรู้ มันจะเป็นรูป สัญญา เวทนา สังขาร ไม่มีแล้วสลายมันก็คือเหลือแต่อุตุนิยาม จนกระทั่งพัฒนาต่อมาเป็นธาตุพีชะมีการปรุงแต่ไม่มีเวทนา ไม่มีเจตนา ไม่มีตัณหา ปรุงแล้วก็จบ ไม่มีมีเวรกรรมต่อไป มันเกิดแล้วตายมันก็สูญ พืชนั้นสูญพันธุ์ง่าย แต่สัตว์นั้นสูญพันธุ์ยากเพราะเป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง

            อากาสาวิญญายตนะของชาวฤาษีสร้างภพ อาภัสสรา(ความว่าง สว่างใส รุ่งเรืองชัชวาล) ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อนันโตอากาโสติ แต่ของพุทธ ว่างแบบไม่มีแสง มันว่างอาการว่างจากทุกข์จากสุข ว่างจากอำนาจของความไม่สบาย(อบาย) ถ้าจะว่างกลางๆก็เฉยเด๋อ คนที่ทำได้ก็ได้ บางคนว่างไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ต้องอ่านความว่างในขณะลืมตา ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นอะไรก็เฉย แต่ความเฉยคือไม่มีอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมย์ ไม่ผลักไม่ดูด เป็นมัชฌิมา ลางมัชฌิมานั้นสูงกว่าอุเบกขา มีนิวทรอน มีอะไรเข้ามาก็เป็นกลาง ไม่บวกไม่ลบ ไม่แข็งไม่อ่อน แต่รู้ความจริงตามสัมผัส ก็รู้ตามสัญญามีทั้งรู้เป็นอรูป และเป็นรูป (อรูปที่สำเร็จด้วยสัญญา แต่รูปนั้นสำเร็จด้วยจิตคือมโนมยอัตตา) 

พวกมโนมยอัตตาเวลาปั้นใส จะซาบซึ้งในการสร้างแสงสว่างใสต่างกัน จะปั้นให้เป็นใสแบบนี้ว่าโสดาฯ แบบนี้สกิทาฯ แต่ใสโสดาฯของสองคนก็จะใสไม่เหมือนกัน แบบสว่างจะมีกรรม พักกรรม (แต่ไม่หมดวิบาก) ส่วนพวกใสจิตจะทำงาน มีกรรม แต่ไม่เหมือนกันหรอก เพราะแม้แต่ปรมาณูสองตัวที่เล็กที่สุดก็ยังไม่เท่ากัน อย่างแก๊สแต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน จนเล็กแยกต่อไม่ได้ เขาก็ยังแยกต่อไปอีก เขาแยกนิวเคลียสได้ แต่เขายังแยกนิวเคลียร์ไม่ได้ ถ้าเขาแยกนิวเคลียสออกเป็นนาโนได้อีก จะมีพลังงานสูงกว่านิวเคลียร์อีก นิวแปลว่าใหม่ เคลียร์แปลว่าสว่างสะอาด มันคือความสว่างแสงไฟอุณหธาตุฝ่ายร้อน ส่วนพวกมืดก็ตรงกันข้าม

สรุปแล้วคนนั่งหลับตาจะสร้างแสงใสต่างกัน กายต่างกัน แต่สัญญาว่าสว่างในโชติช่วงชัชวาล ไป แต่พวกมืดจะเป็นพวกไม่มีพวกดับ สายดับจะไปมีนิพพานอยู่ที่มืดคนเข้าใจว่านิโรธคือความดับ มันหยุด คนเข้าใจได้มากกว่าพวกสว่าง เพราะสายปัญญามันปรุงฟุ้งไปได้มาก เขาเข้าใจว่าปัญญาที่จริงเป็นมโนมยอัตตา เป็นการปั้นส่วนตน ส่วนอรูปนั้นเอาไปให้คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ คุณรู้แต่เอโก ปั้นแสงสว่างเป็นอรูป ก็เป็นส่วนตน ไม่มีใครรู้ได้ด้วย เป็นองค์ประชุมที่สร้างมาเอง แม้จะสร้างตัวตนซ้อนในความไม่มีตัวตน ไปสร้างวิมานเป็นสวรรค์ คนก็ไปติดสภาพปรุงแต่ง เป็นแรดหรู แรดคือแวบๆแป็บๆ คือสายสร้างวิมาน ไม่มีจบ แต่พวกสายมือจะจบหยุดได้ง่ายกว่า จะเฉื่อยช้า แกะแคะไม่ขึ้น

            ในวิโมกข้อสาม 3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) แม้แต่ในระดับปรมาณูก็ยังมีต่างกัน ในนิวเคลียสก็ต่างกัน มันต่างกันน้อยมาก เวลาทะเลาะกันมันจึงทะเลาะกันแรงมาก ระเบิดเลย

            มาสายมืดจะอยู่ในวิญญาณฐีติข้อ 4 สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพ..สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ในอุทกดาบสจะให้ดำมืดเป็นความต่อเนื่อง ในอาฬารดาบสกำหนดเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าต้องดับ จึงทำให้มืดต่อไปอีก ก็คือมีกายอย่างเดียวกัน วิญญาณเป็นธาตุรู้ต้องออกมารู้ทางทวาร 6 อย่างเก่า ถ้ายังไม่ปรินิพพาน 

            การเสพจะได้เมื่อมีสัมผัส แต่เมื่อคุณไม่มีทวาร 5 แล้วเมื่อตายไป คุณมีกิเลสอันไหนอยากได้มากๆ ที่คุณเคยได้สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ได้เสพ หรือคุณจะได้สัมผัสในฝัน เสพรสแต่ในฝัน ไม่ทำงานทำกรรมกิริยา เสพแต่อยู่ในภพ ถึงเวลากินก็กิน แต่ก็ไม่ใยดีในรสนอกเท่าไหร่ ชอบอยู่กับภพมากกว่า นี่คือสายฤาษีไปดับอย่างเดียวแต่ก็ไปเสพ  อีกพวกไปนึกคิดนึกฝันเพ้อบ้าบอ แต่เป็นไปไม่ได้ คือสายฟุ้ง ในพวกเราจะเป็นสายฟุ้งมากกว่า

            วิญญาณคือธาตุรู้ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด คือการปรุงแต่ง ปรุงเป็นวิมานได้ไม่สิ้นสุด แต่สายดับสายกิณหาจะหยุดได้ พวกปรุงฟุ้งจะเสียเวลาไปมาก คุณปรุงเป็นรูปก็ยังออกมาเป็นสภาพภายนอกตัวตนได้ แต่ถ้าปรุงอรูปนั้นไปแบ่งใครไม่ได้เลย มันจะสำเร็จด้วยสัญญา ไม่มีสภาวะมหาภูตรูปเกี่ยวข้องเลย ไม่เป็นปัญญา ไม่ให้คนอื่นเห็นหรือสัมผัสได้ จมกับอารมณ์ตัวคนเดียว ไม่มีอายตนะต่อข้างนอกเลย

            ในสภาพวิญญาณคือธาตุรู้ พระพุทธเจ้าว่าวิญญาณจะเกิดได้ให้ยืนยันในขณะมีเหตุปัจจัย คือต้องมีผัสสะ 3 คือมีทวาร ตาหูจมูกลิ้นกายให้ แต่อยู่ข้างในมีธรรมารมณ์(ไม่มีผัสสะ มีแต่จิตที่ทรงไว้แล้วปรุงเป็นอารมณ์เอง) อยู่ภพในเรียกว่า มน หรือจิต แต่ออกมาข้างนอกรู้ภายนอก เรียกว่า วิญญาณ ซึ่งคนเลยเข้าใจเลยเถิดว่าวิญญาณนั้นล่องลอยมีตัวตน  ที่จริงแล้ววิญญาณให้ศึกษาทางทวาร 5 จะดับวิญญาณต้องตอนเป็น เมื่อมีการปรุงออกมาข้างนอกเรียกว่า กายสังขาร แต่จิตสังขารนั้นอยู่แต่ในภายใน เมื่อมีสัมผัสภายนอกแล้วก็มีวิญญาณเกิดในภายใน แยกเป็นจิตเจตสิกต่างๆมีอาการสุขทุกข์อุเบกขา หรือแจกจิตเจตสิกออกไปได้มากมายจิตจึงมีมากดวง พวกอภิธรรมประมวลได้มากมาย แต่ที่จริงละเอียดได้มากกว่านี้อีก แต่แค่นี้ก็มากแล้ว ให้ศึกษาแค่เวทนา 108 ก็เหลือกินแล้ว

            วิญญาณสะอาดกับวิญญาณอยู่ว่างๆ ในศาสนาพุทธให้ตรวจว่าสว่างว่างจากสิ่งที่พาชั่วพาเลว มีแต่ความสว่างสะอาดมีแต่กุศล ใช้ทำงานที่ดี แต่พวกมโนมยอัตตาจะปรุงไปในจิตเราคนเดียว ถ้าไม่บอกคนอื่นก็จะรู้คนเดียว แต่พอบอกไปก็กิระดั่งได้ยินมา ก็ปันกันต่อไป สืบต่อกันไปบอกกันไปก็ปรุงกันไป จนเป็นสำนักที่ปั้นสวรรค์หลอกกันไปมากมาย แต่ไม่มีจริงเลยในโลก เช่นคนเขาปั้นเรื่องสัตว์หิมพานต์ สารพัดสัตว์จะมีในตำนานมากมาย แต่ไม่มีตัวตนหรอก เช่นเดียวกับที่ปั้นสัตว์นรก สัตว์สวรรค์ ก็จิตวิญญาณไม่มีรูปร่างพระพุทธเจ้าว่า คุณจะเชื่อนักเทวนิยมหรือเชื่อพระพุทธเจ้า แต่แบบเทวนิยมนั้นปั้นยากมากนะ อย่างฤาษีลิงดำปั้นมากมาย เก่งเรื่องปั้น สามารถเหาะได้ เหาะเอาธรรมมาสไปได้ด้วย แล้วก็ปั้นสวรรค์วิมานได้เยอะ มีอรูปที่สำเร็จได้ด้วยสัญญาของตนเอง เป็นมโนมยอัตตา

            ความสว่างในแบบพุทธ อรูปฌานของพุทธคือรู้ความจริงตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัยที่มาผัสสะ ถ้าไม่ประสาทหูตาจมูกลิ้นกายเสีย คุณก็จะสัมผัสแล้วรู้ร่วมกันได้หมด เพราะกำหนดสมมุติร่วมกันได้ ที่ว่าว่างคือว่างจากเหตุปัจจัยที่เรียกว่าอกุศล แต่ไม่ได้ว่างจากสิ่งที่เจริญประโยชน์คุณค่าความดีงาม วิญญาณจึงสะอาดเป็นพระพรหม เทวาดา คือจิตสูงที่สะอาดจากอกุศลทั้งหมด ปรุงแต่งเก่งด้วยมีสมรรถนะสามารถ มีจิตเมตตาจริง ปรารถนาเห็นคนพ้นทุกข์ มีประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างมีเมตตา มีความว่าง สามารถอนุโลม อย่าไปตกผลึกเป็นอุพเพงคาปีติ ให้ไปถึงขั้นมันร้อนแรง ดีใจแรงเกิน จนต้องอุปาทานขนาดไว้ว่าต้องถึงขนาดนี้จึงจะสมอุปาทาน ต้องสวยขนาดนี้ แดงขนาดนี้ จึงจะพอ

            สรุปแล้วความใสว่าง วิญญาณสะอาดให้ตรวจวิญญาณสะอาดไม่ได้อยู่เฉยๆไม่ใช่อยู่ในภพ ไม่ใช่รับลูกไม่ได้ แต่คุณล้างกรรมที่บำเรอราคะโทสะโมหะ แต่ถ้าคุณมีก็มีอยู่ในของคุณเองก็เป็นอนาคามี ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่สุขทุกข์ แต่ถ้าเป็นระดับอื่นก็ต้องสุขทุกข์ตามทวารภายนอก ในอนาคามียังมีทวาร 5 ทำงานร่วมกับใจ แต่ก็อวจรอยู่ มีใจรู้พร้อมรับวิถี แต่มันวิสังขารไม่มีกิเลสร่วมปรุงแล้ว ก็ไม่เอาแล้วรสกาม มันแรงไป อนาคามีจะมีแค่นี้สันโดษแล้วรับผิดชอบตัวเอง แต่มันมีเชื้อมันโตได้นะ ในกิเลสที่เหลือถ้าไม่ทำให้เที่ยงแท้ถาวร ในเวลาวัฏฏะที่ยาวนาน ล้านๆๆปีมันก็ไม่ออกฤทธิ์ แต่มันก็สลายได้ เพราะเมื่อร่างกายสลายเป็นดินน้ำไฟลมแล้ว กว่ามันจะไปปรุงแต่งจนเป็นตัวตนได้อีกก็ต้องสร้างอารมณ์สมมุติใหม่อีก มันจำไม่ได้หรอก เพราะมันนานมาก

            ในจิตที่สะอาดมีการลืมตากำหนดหมายรู้อะไรควรไม่ควรกุศลอกุศล แล้วก็ร่วมปรุงไปกับสังคมอนุโลม สอนคนให้เจริญได้ แล้วทุกวันนี้สังคมเขาถือมาก เช่นเรื่องนุ่งผ้า ถ้าไม่นุ่งไม่ได้ แต่สมัยดึกดำบรรพ์นั้นไม่นุ่งผ้าเลยก็ไม่อยู่กัน แต่มันเดี๋ยวนี้ถือ กามก็ไม่เกิด ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ผลักไม่ดูด มันก็ธรรมดา ยกตัวอย่างลองเดาตาม ม้ามันไม่ถือว่ากลิ่นตดเป็นของชอบหรือไม่ชอบ ม้าจะตดมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะมันไม่ถือ แต่คนตดมันก็ถือ ม้าจะถือสา กลิ่นตดไม่มีพิษนะ แต่แก๊สหลายอย่างมีพิษที่ปรุงกันมาให้ดมนะ

            โปรดติดตามฉบับต่อไป........สิ่งที่พูดเป็นไปได้ ไม่ใช่วิมานที่สำเร็จด้วยสัญญาของตนเอง ...จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:44:38 )

560303

รายละเอียด

560303_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.เพาะพุทธ เรื่อง การเกิดของการตายที่เที่ยง

          ส.เพาะพุทธเริ่มรายการที่ศาลาฉันสันติอโศก .....กระแสความสนใจในบ้านเมืองอยู่ที่การรับข้อมูลข่าวสารอย่างฉับพลันและมีความร้อนรนในจิตใจ ก็มาพิจารณาว่าข่าวสารที่รวดเร็วนั้นบางทีก็ไม่ถูกต้องแม่นยำ ปัจจุบันมีวิธีรับสื่อสารมากมายหลายวิธี ที่ต่างแข่งขันกันว่าเร็ว ไวที่สุด แต่ไม่ได้เน้นว่าถูกต้องที่สุด จนจิตใจคนเราขาดความสุขุมรอบคอบ ขาดความจริง มักวิ่งตามข้อมูลข่าวสาร คนสมัยก่อนจะสนใจวรรณกรรม วรรณคดีมากกว่าปัจจุบันที่คนสนใจข่าวสารมากกว่าวรรณกรรม ทำให้ความละเอียด เรื่องศิลปะลดลง

          จึงตั้งใจอธิษฐานว่า จะไม่จดจ่อ ไม่จดจ้อง ข้อมูลข่าวสารในทางใดๆ เป็นการทวนกระแส แต่จะมีส่วนในการทำให้จิตใจสงบขึ้น และมีกวีกลอนมาบอกเล่าดังนี้

ผู้พากเพียรติดตามไม่ตามข่าว จะเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ

อายุยืนอยู่ยาวนานทุกท่านเธอ          รับข่าวช้าจะพาเจอข้อมูลจริง

จงตั้งใจใช้ชีวิตปิดโทรทัศน์               ข่าวเบียดเสียดเยียดยัดเป็นอย่างยิ่ง

อินเทอร์เน็ตเร็วไวจัดหัดประวิง         เปลี่ยนท่าวิ่งเป็นท่าเดินเจริญใจ

          ผู้ไปเต้นตามคลื่นตื่นตามลม มักมีลักษณะเครียด ไม่ผ่องใส แต่พ่อครูแม้ว่าจะรับข้อมูลมากแต่ก็ผ่องใสอยู่เสมอ แต่ใครที่รับข้อมูลมากแล้วย่อยไม่ทัน ไม่เป็นอาจจะเครียดได้ ท่านจันทร์ปกติเป็นคนที่รับข้อมูลข่าวสารมาก แต่ก็พยายามจัดสรรให้ช้าลงและตกผลึกก่อนรับมากขึ้น

          พ่อครู.....ก็พร้อมเทศนาอยู่แล้ว ตั้งใจอธิบายเรื่องลึกซึ้งที่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า แต่คนที่เอาแต่นึกคิดไตร่ตรอง แต่มีได้ปฏิบัติ และหนักถึงขั้นว่า เมื่อไม่มีตัวตน แล้วจะเอาอะไรไปปฏิบัติ ที่เป็นความเห็นที่ผิด หลงยึดแต่ว่า สัพเพธัมมาอนัตตา เขาจะปฏิบัติไม่เป็น จะไม่ได้มีผลเป็นสภาวะจริง แต่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติให้รู้ความยึดหรืออัตตา แล้วค่อยละล้างไปตามลำดับ แต่เขาเอาปลายมาเป็นต้น จึงนึกคิดไป คิดว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติลดละจริง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นให้ปฏิบัติให้รู้วิญญาณ ว่ามีผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ แล้วทำให้วิญญาณสะอาดจากกิเลส สุดท้ายก็ไม่ให้ยึด ขันธ์ 5 เป็นเราอีก แม้มันจะสะอาดก็ไม่ให้ยึดเป็นเรา แต่เขามีทิฏฐุปาทาน ยึดได้แค่ทิฏฐิ หรือยึดแค่วาทะ เป็นอัตตวาทุปาทานไป

          พระพุทธเจ้าตรัสใน สุริยเปยยาลสูตร ว่าแสงเงินแสงทอง นั้นมี อัตตสัมปทา คือ ต้องเข้าถึงความเป็นอัตตา ถ้าไม่มีแสงอรุณนี้ก็ไม่มีมรรคองค์ 8 แต่เขาว่าเขารู้แจ้งแล้วไม่มีตัวตน จะมีอะไรไปปฏิบัติ ซึ่งในแสงเงินแสงทองที่พระพุทธเจ้าตรัสมีตั้งแต่ คบมิตรดี มีศรัทธาให้บริบูรณ์ แล้วให้มีมนสิการ อย่างโยนิโส  (คือลงไปถึงที่เกิดกิเลส) ส่วนมนสิการคือการทำให้จิตมีการทำงาน ให้มันแก้ไขปรับปรุง ทำงานล้างอัตตาที่เราไปยึดไว้ และอัตตาเป็นแสงเงินแสงทองที่ต้องรู้ เป็นอัตตสัมปทา คือมีข้อปฏิบัติที่เข้าถึงอัตตา ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วพระพุทธเจ้าจะให้รู้ทำไม ให้รู้อัตตสัมปทาทำไม ก็ไม่มีอัตตาให้ปฏิบัติแล้ว พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ทำไม อัตตามีตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ให้เรียนรู้

          มีคุณ 8705 sms มาแย้งว่า เห็นใจพ่อครู ว่าอริยะอย่างเราทนดูไม่ไหวจึง sms มาช่วยพ่อครู และว่าพ่อครู โง่บรมเลย ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ว่าไอคิวต่ำมาก สอนเท่าไหร่บอกเท่าไหร่ก็ยังโง่อย่างเดิม

เขาว่าผู้ปฏิบัติไม่มีใครฆ่ากิเลสได้หรอก ..พ่อครูว่า และจะมีปหาน 5 ทำไม

เขาว่าปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั้นแหละจะทำให้มีแสงสว่างแห่งธรรม ....และใช้ภาษาว่าเมื่อแสงสว่างมีความมืดก็หายไป ................พ่อครูว่าพูดก็ถูก แต่มันเป็นแค่ตรรกะ

          ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ แล้วต่อให้ทำจนมี กายสักขี อย่างกับอรหันต์ แต่ถ้าผู้นั้นไม่เข้าเกณฑ์ในวิโมกข์ 8 ข้อ 2 ท่านเน้นว่า (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)

          ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คือผู้ปฏิบัติต้องเห็นรูปทั้งหลาย คือไม่ใช่ไปนั่งหลับตา จะจมอยู่แต่กับตรรกะ

          เขาว่าการจะดับกองทุกข์ไม่ใช่ไปฆ่าอัตตา แต่คือการไม่ไปสร้างอัตตาของตน  เป็นคำที่เท่ดีนะ แต่ว่าถ้าคุณไม่รู้จักอัตตา แล้วคุณจะไปสร้างอัตตา คุณจะไปรู้ได้อย่างไรว่า จะไม่สร้างอัตตา คุณไม่เรียนอัตตาว่ามันมีตัวตน ก็ไม่ได้เรียนรู้อัตตา แต่อัตตาก็มีจริงในตัวคุณ แต่คุณตีทิ้งไปโดยเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าอัตตาคืออะไร อัตตวาทุปาทานคืออัตตาที่ยึดได้แค่โวหารตรรกะ ศีลพรตก็ยึดได้แค่รูปแบบ แต่ไม่เข้าถึงเป้าหมายที่แท้จริง

          เขาว่าพ่อครูเกิดมามิจฉาทิฏฐิล้วน ๆ เขาว่า สิ่งที่ไม่เห็นได้ด้วยตาก็มี .เช่นธรรมารมย์และกลิ่นเสียง เป็นต้น .....จึงไม่จำเป็นต้องลืมตาเลย....พ่อครูก็ว่า ถ้าไม่ลืมตาจะเห็นรูปที่สัมผัสด้วยตาได้อย่างไร

ที่บอกว่า  กาเยนะผุสิตวาวิหารติ ถ้าเรียนองค์ประชุมกาเยนะต้องรู้ว่ากายคืออะไร คำว่า กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน ในสัตตาวาส 9 เป็นต้น เขาเข้าใจไม่ได้จึงบอกว่า ผู้ฟังพ่อครูเข้าใจเป็นคนโกหกทั้งสิ้น เขาเป็นอัจฉริยะแล้วยังฟังไม่เข้าใจ เขาจึงสรุปว่า คนที่ยกมือว่าเข้าใจพ่อครูพูดนั้นโกหกทั้งนั้น จึงทำให้พ่อครูรู้ว่าเขาไม่เข้าใจ

0888705xxx       พธร.อ่านพตปฎ.แล้วคิดนึกธรรมะพยากรณ์เอาเองก็เหมือนกับคนตาบอดอ่านวิชาแสงสว่าง(ด้วยอักษรเบล) แล้วก็คิดนึกพยากรณ์เอาเองว่า แสงสีขาวคงเป็นอย่างนั้นนะ แสงสีเขียวก็คงเป็นอย่างนี้นะ เป็นต้น! สรุปว่านร.ตาบอดคนนี้เดาเอาฉันใด พธร.ก็ฉันนั้น เป็นนักคิดนักเดา พยากรณ์ธรรมะเอาเอง ทั้งสิ้น! ส่วนเราเห็นธรรมะของจริงอยู่จึงเข้าใจความหมายในพตปฎ.ดีโดยไม่ต้องเดา ฉะนั้นจึงรู้ด้วยว่า พธร.จมอยู่ในมิจฉาทิฐิล้วนๆ!แม้กระทั่งคำง่ายๆว่า รูป! ก็ยังไปเข้าใจผิดว่ารูปหมายถึงเฉพาะรูปภาพที่ต้องเห็นได้ด้วยตา เท่านั้น! โดยลืมไปแล้วหรือว่า ทั้งเสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส,ธรรมารมณ์ ต่างก็เป็นรูปทั้งสิ้นที่ไม่จำต้องเห็นด้วยตาเลย! หากแต่สามารถรู้ได้ด้วยหู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ ใช่หรือไม่! ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลืมตาเลยก็สามารถกำหนดสติเพื่อระลึกรู้รูป-นามได้ จริงหรือไม่! ก็อย่างเช่นในอานาปานะสติปัฏฐานไง! ที่ให้กำหนดสติระลึกรู้ที่ลมหายใจเข้า-ออก เป็นรูป ส่วนความรู้สึกร้อน-เย็นที่เกิดจากลมมากระทบปากรูจมูก ก็เป็นนามไง! ซึ่งถ้าพธร.เข้าใจตามนี้ได้ คงไม่ต้องไปร้องแรกแหกกระเชอ ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ว่า นั่งสมาธิหลับตานั้นจะไม่ได้กระทบกับรูปคือผัสสะแบบสดๆได้เลย!!! จึงแสดงออกถึงความโง่หลงงมงายของพธร.โดยแท้!แล้วอย่างนี้จะ=ว่าพธร.โชว์โง่ได้หรือป่าว? แล้วยิ่งคำว่าอนัตตาอันมีเฉพาะในศาสนาพุทธ! มหาโพธิรักยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่! ซึ่งถ้าจะอธิบายให้พธร.เข้าใจได้ละก็คงจะต้องพิมพ์SMS กันจนเมื่อยมือ! เพราะรู้สึกว่าพธร.IQ จะต่ำมาก! และไอ้ที่ชอบไปว่าเขาว่าหลับตาแล้วก็ปั้นโน่นปั้นนี่ขึ้นมาเองนั้น! ขอถามหน่อยว่า จะเอาอะไรมาปั้น? เพราะลัทธิปั้นก็มีแต่เฉพาะในศาสนาที่มีพระเจ้า เท่านั้น ที่อ้างว่าพระเจ้าปั้นโลกขึ้นมา! สรุปแล้วก็คือว่า พธร.ไม่ใช่สายมืดและก็ไม่ใช่สายสว่างหากแต่เป็นสายเดา ต่างหาก! และบังเอิญว่าเดาผิดเสียด้วย จึงขอเตือนให้ระวัง! เพราะถ้าสอนผิดแล้วจะตกนรกกระป๋องแก๊สได้!!! เจริญพร สาธุฯ โชคดี OK เซ็งลี้ฮ้อ!

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสภาวะที่รู้ ในการกำหนดรู้นามรูป รู้ตั้งแต่มหาภูตรูป ไป อุปทายรูป ไปรู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ทั้งหมดถูกรู้โดย “ญาณ”  สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นรูป คือ อัตตา แล้วก็ล้างสิ่งที่แฝงมา คือตัวปลอมของอัตตาที่ต้องกำจัด ไม่ต้องไปกำจัด เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ แต่อรหันต์ที่ตั้งปรารถนาที่จะยึดถือ อัปนิหิตตะ ที่สักแต่ว่าอาศัยขันธ์ 5 ไปทำงาน นี่คือโพธิสัตวภูมิ ในพวกที่คิดว่าตายแล้วสูญจะคิดอย่างนี้ไม่ได้ ไปไม่เป็นหรอก (คือพวกอุจเฉททิฏฐิ) มีเหตุว่ามีปัญญารู้สวรรค์นรกก็ไม่มี แล้วตายแล้วก็สูญ

          เหตุที่มีอวิชชาจึงพาเกิดสังขาร มีสังขารจึงมีนามรูป (เวทนา) วิญญาณจะเกิดเมื่อมีผัสสะ ต้องมีอายตนะ 10 (ส่วนอายตะอีก 2 คือใจกับธรรมารมย์นั้นไม่ต้องมีผัสสะก็เกิดได้เอง) ผู้ใดได้เริ่มต้นปฏิบัติมรรคองค์ 8 จะต้องเริ่มที่สัมมาทิฏฐิ คือต้องมีมิตรดี มีพระพุทธเจ้า มีสัตบุรุษที่อธิบายได้ แต่ถ้าได้ผู้อธิบายผิด อาจารย์ผิดๆ ก็จะพาไปนรก ไม่ใช่พาไปนิพพาน แต่โลกุตระนั้นต้องพาล้างความติดยึดในลาภยศสรรเสริยสุข ตั้งแต่อบาย ต้องเอาออกก่อน ทวนประแส(ปฏิโสตัง)ก่อนเลย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็จะเอียงไปมาไม่ตรงเป้า

          แสงเงินแสงทอง มี มิตรดี   5.ทิฏฐิ  6. อปมาทะ 7.โยนิโสมนสิการ  ถ้าเข้าใจโยนิโสมนสิการได้จริงก็ไม่บรรลุธรรม ซึ่งเกิดจากการคบมิตรดีที่สัมมาทิฏฐิจริง ถ้าไม่มีสัตบุรุษก็โยนิโสมนสิการไม่เป็น จะโยนิโสมนสิการไม่เข้าหลักเกณฑ์ ไม่ได้ผลจริง ต้องออกจากความเห็นผิดมาฟังคนอื่นที่สัมมาทิฏฐิ เพราะถ้าสัมมาทิฏฐิก็จะโยนิโสมนสิการเป็นถูก ถ้ายึดไม่ยอมปรโตโฆษะ ไปเจอผู้เป็นสัตบุรุษ อาจฟังแต่ก็อาบน้ำกลัวเปียก ไม่ปฏิบัติ ผู้ที่จะเกิดนามรูปปริเฉทญาณ แยกรูป-นามได้ ต้องมีผัสสะ

          พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ผัสสะตั้งแต่กามหยาบๆ เมื่อเราอยู่เหนืออบายภพแล้วเราก็อยู่กับมันแต่มันทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านเที่ยงแท้ มั่นคงแข็งแรงตั้งมั่นยั่งยืนตลอดกาล ท่านก็ดับกิเลสกามภพต่อ ในตาหูจมูกลิ้นกาย เปิดหมดทุกทวารเพื่อเรียนรู้และดับกิเลสในกามภพ แม้ในอรูปภพก็ต้องมีการรู้ทางทวาร 5 มีกาเยนผุสิตวาวิหารติ สำเร็จอิริยาบถอยู่ทุกอิริยาบถ แล้วเห็นด้วยปัญญา (วิโมกเข)

          แม้วิโมกข์ ข้อ 2 นั้นก็ต้องลืมตาปฏิบัติ (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) คือเห็นรูปทั้งหลายอยู่ภายนอก แล้วมีญาณไปหยั่งรู้แม้เป็นอรูปเลยในภายใน

          ในปฏิจจสมุปบาท

          อวิชชาเป็นไฉน อวิชชาคือผู้ไม่รู้ในอริยสัจ 4 แม้แต่ทุกข์ก็ไม่รู้เลย ก็ดับทุกข์โดยใช้สุขเท็จมากลบหลอกอยู่เป็นกาลนานเลย  เราก็มาเรียนรู้ว่าเมื่อไม่ได้สมใจสุขเท็จนั้นก็ทุกข์นะ

          สังขารเป็นไฉน คือสังขาร 3 มีกายสังขาร จิตสังขาร และวจีสังขาร  ซึ่งสังขารอื่นมีอีกมาก แต่ในปฏิจจญต้องรู้สามอย่างนี้

          วิญญาณเป็นไฉน ต้องรู้วิญญาณที่เกิดจาก ทวารทั้ง 6 ที่กระทบสัมผัสอยู่ เมื่อเว้นจากปัจจัยแล้ววิญญาณไม่มี

          นามรูปเป็นไฉน  นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการ ส่วนรูปคือ มหาภูตรูป อุปาทายรูป  อุปาทายรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ 

          แม้แต่ตัณหาก็มี 6 เวทนาก็มี 6 อายตนะก็มี 6 มันต้องมีการกระทบสัมผัสจึงเกิดสิ่งที่ถูกรู้ รู้ข้างนอกก็เรียกว่ากายนอกกาย ส่วนรูปที่ต่อเนื่องจากมหาภูตรูป 4 ภายนอก ก็ไม่ได้ขาดกัน ตาก็กระทบรูป ต่อเนื่องมาสู่ภายใน มีเวทนา และญาณก็ไปรู้เวทนาอีก(ถูกรู้โดย นามปริเฉจทญาณ) โดยเอาสัญญาไปกำหนดว่ามันเป็นอย่างไร มีอาการลิงค นิมิตอุเทศอย่างไร เป็นปัจจุบัน มีกาเยนผุสิตวาวิหารติ  มันก็เป็นอุปาทายรูป 

ในรูปวาจรนั้นสำเร็จด้วยจิต แต่ในอรูปสำเร็จด้วยสัญญา

สัญญานั้นถ้ามีการฝึกฝนก็กำหนดรู้ (ควรกำหนดรู้คือปริเยยยะ) เมื่อเวทนานี้ถูกรู้ ก็อ่านเข้าไปอีกในเวทนาในเวทนา และอ่านต่อไปในจิตที่มีเจตนา ก็สัญญะในเจตนา คือมโนสัญเจตนา ซึ่งมี 3 อย่างคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แต่ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้ศึกษา ตัณหา 6 อีก ท่านไม่ได้บอกว่าให้รู้ตัณหา 3 แต่กลับบอกว่า ตัณหา 6 [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

เราต้องกำหนดรู้ตัณหา 3 ในตัณหา 6 การกระทบรูปทางตาก็มีกามตัณหา มีภวตัณหา ได้ เราใช้วิภวตัณหาในการล้างตัณหา ล้างภพ

ในกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ไม่ได้ทิ้งกาย ทั้งภายนอกภายใน เห็นต่อเนื่องกันหมด จากมหาภูตรูปต่อเนื่องไปเป็นอุปาทายรูป  เวทนาที่ถูกรู้ก็เป็นอุปาทายรูป กายเป็นมหาภูตรูปเนื่องไปหามหาภูตรูป เนื่องเข้าไปเป็นนามธรรมในจิต ไม่ได้ทิ้งทั้งกายและจิตและวจีสังขาร ในจิตสังขารนั้นจะเรียนรู้การทำใจในใจอยู่จึงเรียนรู้จิตสังขาร ที่จะไปเรียนรู้วจีสังขาร ซึ่งไม่ใช่วจีกรรม แต่เป็นกรรมในจิต คนทั่วไปก็กดข่มไว้ได้บ้าง จะระงับวจีสังจาร ได้บ้างก็ทำวิกขัมภนปหานได้ตามมารยาท แต่มันไม่ได้ล้าง ไม่ได้เกิดปัญญาในการละล้างกิเลสที่มันทำให้สังขารเลวร้ายในจิตเป็นวจีสังขารที่ชั่วร้ายในจิต แต่ไม่ใช่ว่าให้มันละไปเองไม่ได้ใช้ปัญญาตนเองในการละล้าง  ถ้าคุณเรียนรู้แล้วล้างตัวกิเลสที่มาปรุงร่วมด้วยก็มีสังขารเป็นวจีสังขารที่ควบคุมได้ว่าจะให้ออกไปอย่างไร  ถ้าไม่เรียนรู้จัดการสังขารในจิตจัดการวจีสังขาร ก็ไม่สามารถกำจัดกิเลสได้ บรรลุธรรมไม่ได้

เวลาปฏิบัติต้องมีกายสังขาร เพื่อเนื่องไปถึงจิตสังขาร ว่ามี กาม พยาบาท วิหิงสาไปปรุงแต่งร่วมหรือไม่ ถ้าไม่มีก็เป็นวิสังขาร

วิญญาณ 6 ก็คือเรียนรู้วิญญาณทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วคุณจะไปหลับตา ปิดหู คุณจะเรียนรู้วิญญาณ 6 อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสได้อย่างไร

การทำใจในใจก็ต้องรู้วจีสังขาร ว่ามี กาม พยาบาท วิหิงสา มาร่วมปรุงปนด้วยหรือไม่ ? แต่ทำอย่างกดข่มวิกขัมภนปหานก็ทำทุกคน แต่เขาไม่ได้เรียนรู้วิธีล้างละด้วยปัญญา คนที่รู้วิธีจัดการกิเลสไม่ให้สังขารร่วมด้วยได้อย่างมีปัญญาก็จะมีวิโมกข์ไปตามลำดับ และจะรู้ว่าอะไรที่ไม่ควรให้มี 

ภพเป็นไฉน...ถ้าเข้าใจผิด เรียนรู้ภพไม่เป็น ภพมีสาม คือ 1.กามภพ 2.รูปภพ 3.อรูปภพ

แบ่งหยาบคือกามภพ ในกามภพเบื้องต้นคืออบายภพ มันเป็นเรื่องส่วนตนได้ผลก็เกิดเฉพาะตน เกิดความรู้มีผลได้เฉพาะตนคุณก็ทำของตนเอง เป็นเอโก

ใน จิตสังขาร นั้นรู้ทั้งจิตที่สงบ มีทั้งอภิปโมทยังจิตตัง การรู้ภพนั้นต้องรู้ทั้งกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร เมื่อคุณทำปุญญาภิสังขาร คือกำจัดกิเลส ชำระกิเลสได้เป็นเสขบุคคล จนกิเลสหมดก็ไม่ต้องชำระเป็นอเสขบุคคล จะปรุงอย่างไรก็ไม่มีกิเลสร่วมเป็นอปุญญาภิสังขาร  พระอรหันต์พระพุทธเจ้าก็สังขารตลอดให้มีประโยชน์เป็นการงานที่ไม่มีโทษ มีวาจา กัมมันตะ อาชีวะ ที่ควรทำ มันเป็นวิสังขาร คือสังขารวิเศษ

ตัวต้นคือปุญญาภิสังขาร ตัวปลายคือ อปุญญาภิสังขาร กับอเนญชาภิสังขาร คือปรุงอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ปรุงอย่างไรก็ไม่เป็นบาป  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ไปเรื่อย ในมหาจัตตารีสกสูตรก็ตรัสไว้

ชาติเป็นไฉน   [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ถ้าไม่รู้จักสังขาร 3 ความเกิดของคุณก็จะเป็นการเกิดที่มีความหยั่งลงเป็นสัตว์ เป็นการผูกสัตว์ไว้

โอกกันตินั้นตรงข้ามกับขณิกะ การเกิดต่อเนื่องคือโอกกันตะ ถ้ากิเลสกามหยั่งลงต่อเนื่อง คุณก็มีอวิชชาเกิดไปต่อเนื่องไปเรื่อย ไม่มีอะไรคั่นเลย แต่ถ้ามีอะไรคั่นมาก็เป็นขณิกะ เป็นการเกิดขณะหนึ่ง แต่ถ้าเอาขนาดมาจับก็เป็นขนาดหนึ่ง แต่ทั่วไปการเกิดกิเลสจะเกิดอย่างไม่เที่ยง การเกิดอย่างเที่ยงไม่มี แต่การดับอย่างเที่ยงนั้นมีอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะดับอย่างไม่เที่ยงคือวิกขัมภนปหาน แต่ถ้าทำให้ดับสนิท แล้วทำทวน ทำซ้ำ จนทำอดีตให้สั่งสมเป็นความดับสูญของกิเลสได้อย่างแน่นอนมั่นคงยั่งยืนแล้ว ก็คือการดับอย่างนิรันดร์ เป็น นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง มันไม่มีการเกิดอีกก็ไม่มีอะไรตาย เป็นอมตะบุคคล

โอกกันติ ท่านโบราณาจารย์เทียบเคียงกับ ชราพุชโยนิ หรืออัณฑชะโยนิ

          เมื่อเราหยุดการเกิดได้อย่างเที่ยงแท้ ก็เป็นการเกิดอย่างนิพพัตติ (เทียบเคียงกับ สังเสทชะโยนิ)

          ส่วนอภินิพพัตติ โบราณาจารย์ท่านเทียบเคียงกับ โอปปาติกโยนิ

          คำว่าชาติ(การเกิด) นั้นที่สำคัญคือการเกิดทางนามธรรม นามที่สำคัญคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งต้องรู้ต่อเนื่องมาตั้งแต่มหาภูตรูป มาสู่อุปาทายรูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ มีตั้งแต่มหาภูตรูป จนถึงอุปาทายรูป เวทนาก็ถูกรู้ สัญญาก็ถูกรู้ เจตนาก็ถูกรู้ รู้ด้วยปัญญาญาณ

          อภินิพพัตติ คือผลของการหยั่งลง จะมีการหยั่งลงเป็นผีหรือเป็นเทวดาเก๊ก็แล้วแต่ ก็กลายเป็นการโตของกิเลส และตัวตนทั้งหมด แต่ถ้าสามารถทำให้หยั่งลง ทำมนสิการที่นามธรรม ทำใจในใจให้กิเลสจางคลายไป อวิชชาดับไปเรื่อย วิชชาเจริญมาตามลำดับ การสสังขาร หรือสังขารอย่างอภิสังขาร แต่คนทั่วไปอสังขาร คุณไม่เรียนรู้การประกอบ หรือคุณสสังขารแต่สังขารด้วยอวิชชา เพราะไม่เรียนรู้การมนสิการ

          เมื่อสมารถทำให้เกิดนิพพัตติ เกิดไปสู่ความเป็นอุบัติเทพ ไปสู่วิสุทธิเทพ เกิดอย่างสมบูรณ์ เป็นอภินิพพัตติ คือการเกิดของการตายที่เที่ยง การตายของการเกิดที่เที่ยง

    ส.เพาะพุทธสรุป....พ่อครูได้พยายามเปิดเผยความเที่ยงและความไม่เที่ยง ใน1 ขณะที่เป็นการเกิดของดวงจิต พระพุทธเจ้าว่า ขณะอย่าล่วงเลยไปเสีย เพราะบุคคลผู้ปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปย่อมเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ในนรก ซึ่งขณะนั้นเร็วกว่าวินาทีเสียอีก เราก็ได้เข้าในสังขารทั้ง 3 อย่าง และรู้ว่าปุญญาภิสังจารคือของเสขบุคคล ส่วนอเนญชาภิสังขาร และ อปุญญาภิสังขารคือส่วนของอเสขบุคคล ซึ่งคืออรหันต์ และการตั้งจิตต่อเรียกว่า ปนิหิตตะนิโรธ การไม่ตั้งจิตต่อพุทธภูมิของพระอรหันต์คือ อปนิหิตตะนิโรธ

ขอให้พวกเราน้อมนำจิตสู่ วิมติ อธิวิมุติ จากปุญญาภิสังขารไปสู่อปุญญาภิสังขารสู่อเนญชาภิสังขา.......จบ 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:46:04 )

560305

รายละเอียด

560305_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู เรื่อง ผู้มีปัญญารู้ทั้งสัมมาและมิจฉา

  • การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าถ้าถูกทางจะไปหาทิศทางเดียวกัน ในกายวาจาใจ ที่เป็นองค์รวมอันเดียวกัน และที่พ่อครูเน้นในสิ่งที่ค้านแย้งกับกระแสหลักที่เขายึดถือว่า การปฏิบัติให้เกิดสมาธิ(อธิจิต) เขาแน่ใจว่ามีวิธีเดียวคือนั่งสะกดจิตหลับตา แต่เราไม่เถียงว่าการทำให้จิตสงบเป็นหนึ่งเดียวนั้น จะเป็นอุปการะได้

แต่ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า สัมมาสมาธิ และท่านบอกไว้ว่าการปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธินั้นมีองค์ประกอบมีเหตุปัจจัย ว่าในสัมมาสมาธินั้น ตั้งแต่เริ่มต้นตรัสบอก ว่าพระพุทธเจ้าจะแสดงสัมมาสมาธิให้ฟัง ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราจะแสดง สัมมาสมาธิของพระอาริยะอันมีเหตุมีองค์ประกอบคือ [253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

[254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

[255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ

  • ต้องเข้าใจว่าทานอย่างไร ปฏิบัติแล้วมีปัญญาเห็นผล ได้รับผล (สังเวย) ที่ได้ปฏิบัติหรือไม่ (ทำทานมัย ศีลมัย แล้วมี ภาวนามัยหรือไม่) คือปฏิบัติให้เกิดผลโลกุตระหรือไม่ จะเป็นผลที่เกิดสัมมาสมาธิได้หรือไม่ ถ้าไม่รู้ก็มิจฉาอยู่ ไม่ว่าจะทำทาน หรือทำศีลพรตใดๆหากไม่ได้ลดกิเลสก็มิจฉาทาน มิจฉาปฏิบัติ
  • การทำดีทำชั่ว แล้วมีผลเป็นโลกุตระที่จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิอันเป็นอาริยะได้หรือไม่ สัมมาสมาธิอันพอเหมาะจะเกิดสัมมาญาณอันพอเหมาะได้ สัมมาญาณอันพอเหมาะจะเกิดสัมมาวิมุติอันพอเหมาะได้
  • การทำมรรคทั้ง 7 องค์จะประกอบรวมกันเป็นสัมมาสมาธิ ส่วนสัมมาญาณและสัมมาวิมุติก็คือวิชชาและวิมุติ ต่อเนื่องกันสัมพันธ์กันไปหมดเลย โดยการทำมรรคทั้ง 7 องค์
  • เราจะได้โลกียผลหรือโลกุตรผล ก็ต้องรู้ ซึ่งมีทั้งผลดีและผลไม่ดีทั้งโลกียะและโลกุตระ แม้จะมีสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ทำไม่มีผลเพราะยังไม่สัมมาปฏิบัติ
  • [256]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง  1 สัมมาทิฐิของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ
  • [257]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว  มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล  ผลวิบากของกรรมที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่  โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามี  บิดามี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี 
  • กัมมันตะนั้นคือการรวม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทั้งสิ้น
  • อาชีวะคือการเลี้ยงชีพคือกรรมต่างๆที่ปฏิบัติรวมกันนี่แหละ แต่ทำมรรคให้เป็นสัมมา เพื่อสังสมสัมมาสมาธิ อันเป็นอาริยะ
  • คุณต้องรู้ว่าโลกคือความวน ในกรรมทั้ง 3 ไปวนเสพสุขมีทุกข์หลงใหลว่า อบายมุขน่าได้น่ามีน่าเป็นทั้งวัตถนอกและอามรมณ์ข้างใน ไปหลงกาม หลงอรูปข้างใน ถ้าไม่รู้ว่าการได้สมใจเป็นสุข โลกหน้าหรือโลกอื่น หรือโลกใหม่ ในปุถุชนออกไม่ได้ แต่ถ้าเนกขัมมะก็ออกได้ จากสุขขั้นต่ำคืออบาย เป็นพื้นก่อนเลย ต้องเรียนรู้เบื้องต้นอย่าไปลัดตัด ไปสู่รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ต้องมีองค์ประชุมพร้อมทั้งนอกและใน มีกาเยนผุสิตวา วิหารติ  ให้กำหนดรู้ในรูปทั้งหลาย อัชฌัชตัง อรุปสัญญี เอโกพหุทารูปานี ปัสสติ
  • ถ้าไม่รู้โลกนี้(อยังโลโก) โลกหน้า(ปรโลก)  ซึ่งโลกนี้คือความวนในสุขทุกข์ในกาม อัตตา โลกธรรม เมื่อได้มาก็มีสุข เมื่อไม่ได้มาก็เสื่อมก็ทุกข์ ที่ปุถุชนอยู่ แล้วไล่ล่าตามไขว่คว้า พยับแดด ต้องรู้ว่าอารมณ์เสพจริงคืออะไร ในองค์ประชุมที่เป็นสภาวธรรม นั้นประชุมลงไปที่เวทนา (สัมโมสรณา) เป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์  ก็วนเวียนไปในสามอย่างนี้ ไม่เที่ยง ไม่รู้แล้วไม่รู้จบ
  • พหิทารูปานิ คือองค์ประชุมของรูปทั้งหลายภายนอก ต้องมีกาเยนผุสิตวา ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิ ปัสสติ เห็นรูปภายนอกแล้วกำหนดรู้ภายใน ถึงขั้นอรูป (อัชฌัตตังอรูปสัญญี) ถ้าไม่มีอันนี้ไม่มีทางบรรลุอรหันต์
  • ต่อให้ปฏิบัติมีกายสักขี มีอาสวะบางอย่างดับไป แต่ถ้าไม่สำเร็จถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ ก็จะไม่เที่ยง ไม่สมบูรณ์ด้วยมรรค 8 ยังไม่นิโรธ ขนาดนิโรธแล้วยังให้ทำทั้ง 3 กาละ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ให้มีความเที่ยงแท้
  • ต้องรู้รูปนามด้วย อาการลิงค นิมิต อุเทศ ต้องมีนามรูปปริเฉจทญาณ  รู้ว่าเวทนามีตัณหาเป็นปัจจัย ตัณหามีผัสสะเป็นปัจจัย เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดวิญญาณ ถ้าไม่มีผัสสะจะอ่านนามรูปไม่เป็น อ่านวิญญาณ 6 ไม่เป็น ซึ่งสัมผัสภายในไม่เรียกว่าโผฏฐัพพารมณ์ เรียกว่า ธรรมารมณ์
  • ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็เป็นมิจฉา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ก็สัมมา ผู้ที่มีปัญญาจะเข้าใจสัมมาว่าเป็นสัมมา มิจฉาว่าเป็นมิจฉา
  • คำว่ามาตา ปิตา ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่เป็นตัวตน แต่หมายถึงพ่อแม่ทางจิตวิญญาณ แล้วเกิดสัตว์โอปปาติกะ จากสัตว์ชั้นต่ำไปสู่ชั้นสูง จากสัตว์นรกดับไป สัตว์เทวดาก็เกิด เป็นสัตว์พรหม  นี่คือการเกิดดับทางจิตวิญญาณ ต้องทำอย่างสัมผัสด้วยทวาร 6 เมื่อดับเชื้อของสัตว์นรกได้จะเห็นได้ยืนยันได้โดยเราเอง เป็นของส่วนตน เป็นเรื่องไม่งมงาย ไม่เดา ไม่ใช่ศึกษาจากคนนั้นคนนี้ ไม่ได้เชื่อคนอื่น แต่ต้องเชื่อจากการสร้างการทำของตน ว่ามันเป็นตถตา เป็นเช่นนี้เอง จะมีญาณเห็นความเป็นเทวดาที่ตายจากสัตว์นรกมาจุติเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็เห็นการเกิดดับของโอปปาติกะ เป็นรูปนาม  มีเหตุคือแม่ พ่อ เช่น ศีล ปัญญา (ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ) ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่นก็ช่วยกัน เป็นฌาน ฌานใดไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน ศีลช่วยกับปัญญาเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ช่วยกันคลอดสัตว์ทางจิตวิญาณ คือโอปปาติกโยนิ กิเลสตาย ไม่มีซาก ตายแล้วมีการผุดเกิด ไม่มีร่องรอยเลย พอครบเหตุปัจจัยก็เกิดผล เป็นวิสุทธิเทพที่สุด
  • ในข้อที่ 10 ของทิฏฐิ ข้อนี้ คือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลก  มีอยู่  นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  ฯ 
  • ในเรื่องของการนั่งสมาธิหลับตาพ่อครูก็ผ่านเรียนรู้และทำมา เขาก็ทำกันมากมายเป็นอุปการะได้ แต่สิ่งที่เน้นคือสัมมาสมาธิแบบพุทธ ที่ปฏิบัติลืมตามีสัมผัสทุกทวารนั้นไม่มีคนสอนแล้ว แล้วใครสัมมาใครมิจฉาแท้ พ่อครูก็ไม่ได้กำหนดว่าให้เอาแต่ของตน จะไม่ตีทิ้งของคนอื่น ให้ปฏิบัติเอา จะได้ผลอย่างไรก็พิสูจน์กันไป เมื่อไม่เหมือนกันมันก็ต้องผิดกันมันคนละอย่าง แต่จะแย้งให้แรงกันอย่างไรก็อย่าให้ถึงขั้นหาเรื่องฟ้องร้องกัน (ปฏิโกสนา) พระพุทธเจ้าท่านมีหลักในนานาสังวาส
  • ในสัมมาทิฏฐิข้อ 10 เบื้องต้นต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ซึ่งในแสงอรุณที่จะต้องมีก่อนที่จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ก็ต้องมี มิตรดีก่อนเป็นข้อแรกเลย ในข้อแรกที่เป็นประธานถ้าไม่เข้าใจว่าต้องไม่ผูกสัตว์ไว้อย่างไรก็ต้องมีสัตว์นรกสัตว์สวรรค์อยู่ในใจในอกต่อไป อย่างเห็นๆขณะมีชีวิตเลย สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ถ้าแยกไม่ออกพาซื่อไปเชื่อแต่ตอนตายแล้วจึงมีนรกสวรรค์นั้นก็ใช่ เพราะขนาดตอนเป็นๆยังมีเลย ตอนตายก็ต้องมีแน่นอน
  • ต่อไปเป็นการตอบประเด็นและปัญหา
  • 0871317xxx แน่จริงเชิญมาถามตอบออกTV กับพ่อท่านจะหลบอยู่ทำไมล่ะท่านอริยะ8705กล้ามะ
  • 0819494xxx 8705 พุดได้สะใจ มากๆ
  • 0888705xxx เดี๋ยวถ้าว่างเมื่อไร จะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ เพราะเนื่องจากพธรโง่มาก
  • 0838677xxx โพธิรักจะค้นหาอัตตาเพื่อทำความรู้จักอัตตาแล้วจึงละอัตตา ใช่ป่ะสาวก
  • คุณ 8705 บอกว่าพ่อครูโง่  ทั้งโง่บัดซบก็เคยว่า แต่พ่อครูก็เข้าใจ แต่บอกด้วยความจริงใจว่า ไม่ได้เห็นคุณ 8705 โง่เลย เห็นการแสดงออกความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ แต่พ่อครูก็ไม่เคยบอกว่าเป็นคนโง่เพราะเห็นว่าเป็นคนฉลาด ฉลาดกว่าพ่อครูด้วย พ่อครูคงจะรู้น้อยกว่า แต่คุณ 8705 เท่าที่แสดงออกมาเท่าที่สัมผัสได้ ก็ว่ารู้มากอยู่ แต่ที่พ่อครูเข้าใจตามปัญญาก็เห็นว่ายังฉลาดไม่เข้าเป้าธรรมะที่เป็นอาริยะของพุทธ ฟังดูก็ว่าท่าทางรู้มาก และที่สาธยายก็ไม่รู้ว่า 8705 จะรู้อย่างที่พ่อครูพูดหรือไม่ จึงใช้ภาษาว่าไม่รู้สิ่งที่พ่อครูพูด
  • 0817404xxx เชิญ(นิมนต์)ท่าน8705มาอธิบายให้ละเอียดด้วยตัวท่านเองดีกว่านะท่าน.
  • 0888705xxx ถ้าอปุญญาภิสังขารมิใช่สังขารบาปแล้ว ถามว่าแล้วเอาบาปไปไว้ไหนในสังขาร3?
  • พ่อครูว่า ....บาปก็คือเหลืออยู่ในปุญญาภิสังขารคือเสขบุคคลก็ชำระบาปให้หมดพอหมดก็อปุญญาภิสังขาร และก็อเนญชาภิสังขาร ไม่หวั่นไหวเป็นอนัตตระจิตแล้ว
  • และที่ว่าพ่อครูจะค้นหาอัตตาเพื่อทำความรู้จักอัตตาและจึงละอัตตาใช่ไหม?...พ่อครูว่าพ่อครูก็ค้นหาอัตตาทำมาก่อนทำความรู้เรื่องอัตตา พอรู้ว่าอัตตามีก็เข้าถึงอัตตสัมปทา (ในสุริยเปยยาล สูตร) อัตตามันมีเป็นเรา คืออัตตา และของเราเรียกว่า อัตนียา และถ้ารู้แล้วก็ล้างอัตตา เหตุคือความยึดทำให้เกิดอัตตาแล้วก็ล้างมัน
  • 0869660xxx คุณ8705ด่าพ่อท่านแบบสัตว์นรกชั้นสูง
  • 0888705xxx รูปมี นามมี มนุษย์มี เทวดามี ผีมี แต่ที่มีทั้งหมดนั้นไม่ใช่ตัวตนอนัตตา
  • พ่อครูว่าถูกต้อง ต้องรู้ตัวมีให้จริง มนุษย์คือผู้มีจิตสูง(เป็นสามัญนาม) เทวดาก็จิตสูง (วิสามัญนาม) ต้องเรียนรู้ให้เป็นอุบัติเทพจนเป็นวิสุทธิเทพให้ได้ พวกผีเป็นอย่าไรก็รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ เป็นอัตตาทั้งสิ้น เมื่อกำจัดอัตตาหมดก็เป็นอนัตตา ซึ่งไม่ใช่ว่าไปตู่ว่าไม่ใช่อัตตาทั้งหมด แล้วไม่ใช่ตัวตนจะเอาตัวตนที่ไหนให้ปฏิบัติ
  • รวมความแล้วตัวตนก็คืออัตตา มีตัวตนของความเป็นสัตว์ถ้าไม่เรียนรู้ก็จะยังผูกสัตว์ไว้อยู่นานเท่านาน อัตตานั้นเราไปยึดถือว่าเป็นเรา ที่จริงมันเป็นของหลอก มันเป็นแค่แขกไม่ใช่ตัวเรา แต่เราไม่ยึดมันต่างหากจึงเกิดตัวเรา
  • 0818887xxx แต่ก่อนผมฟังธรรมอย่างท่าน8705มาก่อนแต่ลดกิเลสไม่ได้มาฟังพ่อครูเพียง3ปีและปฏิบัติตามผมหยุดกินเนื้อสัตว์ไม่ยึดติดในรสอาหารเลิกอบายมุขทั้งหมดกินข้าวมื้อเดียวเกือบ2ปีและตั้งใจทำต่อไปตลอดชีวิต/วิเชียร
  • 0888705xxx ถ้าเปรียบอริยะ=คนในโลกยุคปัจจุบันแล้ว..พธร.ก็เหมือนกับมนุษย์โลกล้านปี!
  • 0888705xxx ถ้าดูถูกคนนั่งหลับตาปฏิบัตแล้ว..อาจต้องไปเกิดเป็นฤาษีพิการตาบอด500ชาติ
  • พ่อครูไม่ได้ดูถูกคนนั่งหลับตา บอกว่าการนั่งสมาธิหลับตาเป็นอุปการะ แต่คุณไม่เข้าใจจึงเขียนมาเช่นนี้ พ่อครูอธิบายว่าเป็นอุปการะแต่ไม่ใช่ทางหลัก ทางเอก ทางเอกคือมรรคองค์ 8 แต่การนั่งสมาธิหลับตาเป็นเจโตสมถะก็มีประโยชน์คือ ได้เตวิชโช ได้พักจิต ได้เรียนรู้จิต แต่การนั่งสมาธิหลับตาที่ทำกันขรมนั้นไม่ใช่ทางเอก
  • 0838677xxx สรุปแล้วโพธิรักเห็นแจ้งนี่เพราะเห็นอัตตาหรือเห็นอนัตตา
  • พ่อครูว่าขอบอกว่า พ่อครูเห็นอัตตาก่อนแล้วจึงดับอัตตาเป็นอนัตตาเป็นผล
  • 0888705xxx คำว่าเห็นของพุทธเจ้า มิใช่ต้องลืมตาเห็น แต่หมายถึงเห็นด้วยปัญญาต่างหาก
  • พ่อครูว่า....เห็นด้วยปัญญา ลืมตา หรือหลับตาก็มีปัญญา พระพุทธเจ้ายืนยันว่าเห็นด้วย กาเยนผุสิตวาวิหารติ (เห็นด้วยปัญญาอันชอบแล้วตามความเป็นจริง) มีทั้งเห็นกายนอกกายในต่อเนื่องกันเป็นโอกกันติ แล้วก็เห็นสภาพเหล่านี้ เห็นแม้แต่ความสิ้นกิเลสรอบ อาสวะปริขีณา โหติ (สภาพไม่มีอาสวะ) และก็มีกาเยนผุสิตวาวิหารติ ไม่ได้แย้งว่าเห็นด้วยปัญญา แต่คุณเห็นแต่ภายใน แต่เราเห็นทั้งภายนอกและภายใน
  • 0824039xxx อนัตตา..มัชฌิมา..มี,แต่มิใช่อัตตา..3อันเนี่ยใครช่วยอรรถาธิบายเพิ่มเติมโหน่ยดิ
  • มัชฌิมาคือไม่มีส่วนโต่งใด ทั้งอัตตาที่เป็นกาม และทั้งมโนมยอัตตา และอรูปอัตตา ไม่โต่งทั้งฝั่งกามและอัตตา ต้องเรียนรู้ทั้งสองฝั่งแล้วดับทั้งสองฝั่งเข้าสู่ความเป็นกลาง
  • 0888705xxx ที่พุทธเจ้าพูดถึงอัตตา3..ต้องการให้คนได้รู้ถึงอุปาทานในอัตตา ของตนเอง!
  • พ่อครูว่า เขาพูดถูกนะ ต้องให้รู้อุปาทานในอัตตา เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่ถูก ก็น่าจะเข้าใจรู้อัตตาของตนได้นะ ซึ่งถ้าเขาไม่ติดพยัญชนะก็น่าจะเรียนรู้ได้
  • 0897146xxx นั่่งสมาธิเป็นกัมมันตะหรือไม่
  • พ่อครูว่า ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิก็เป็นสัมมากัมมันตะ ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็เสียผล จะเป็นมิจฉากัมมันตะ
  • 0888705xxx ถ้ามหาโพธิรักเป็นสัมมาทิฐิจริงแล้ว ทำไม?คณะสงฆ์ไทยถึงไม่ยอมรับ ล่ะจ๊ะ!
  • พ่อครูว่าให้ไปอ่านหนังสือประณีประนอมกันด้วยนานาสังวาสที่พ่อครูได้เขียนไว้  พ่อครูลาออกจากมหาเถระสมาคมเองพาคณะสงฆ์ออกมา มี ภิกษุ 21 รูป ประกาศนานาสังวาสที่วัดหนองกระทุ่ม ว่าพวกเราขอออกไปเปิดร้านปาท่องโก๋เล็ก อโศกเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ได้โกรธเคืองถือสา เพราะเข้าใจเห็นใจท่านที่ต้องรักษาสถานะของมหาเถระสมาคม เราจึงขอออกมาตั้งร้านใหม่ เราเสนอสูตรปาท่องโก๋ใหม่ที่เป็นสูตรของพระพุทธเจ้า เพราะสูตรที่ท่านทำกินนั้นกินแล้วท้องอืดเฟ้อ เสนอสูตรใหม่ท่านก็ไม่รับจึงต้องออกไปเปิดร้านเล็กๆ ไม่ได้คิดไปโค่นล้มท่าน ที่เป็นร้านใหญ่ ถ้าเราเสนอแล้วประชาชนกินได้รับได้ก็อยู่ต่อไปได้ ซึ่งพ่อครูได้พูดอย่างนี้ต่อหน้าพระสงฆ์ที่วัดหนองกระทุ่มเมื่อหลายสิบปี่ก่อน ดังนั้นที่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับเพราะท่านเห็นอย่างนั้น แต่เราลาออกแล้ว เป็นนานาสังวาส มีหลักฐานแล้ว เขารับแล้วว่าให้ลาออกมาแต่ต่อมาเขาก็มีการฟ้องร้องอีก เป็นคดีความจนแพ้คดีความ
  • มีคนถามมาว่า
  • 0899181xxx               อยากถามท่านพ่อว่า เมื่อตายเเล้วจ้ดงานให้ผู้ตายตามปะเพณีทุกอย่าง กับ
  • 0899181xxx               ตายโดยไม่จัดงานสักอย่าง ผู้ตายจะต่างกันใหม คือว่าจะได้ไปเกิดเหมือนกันไหม
  • พ่อครูว่า....ผู้ตายก็ต้องไปรับวิบากตามอัตภาพ ถ้าผู้อยู่จะจัดงานหรือไม่จัดงานก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับผู้ตายไปก็ไปตามกรรมวิบากที่ทำมาแล้ว บุญบาปนั้นแบ่งกันไม่ได้ ถ้าแบ่งได้ก็แบ่งบาปออกให้หมดได้ เอาแต่บุญไว้สิ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
  • 0897146xxx               อัตตากับอนัตาอะไรเกิดก่อน
  • ตอบ..อัตตาหาที่ต้นไม่ได้ แต่อนัตตาจะเป็นได้ตามหลัง  เพราะมันอวิชชามาตั้งแต่ต้น ตอนไหนพระพุทธเจ้าก็หาที่ต้นไม่เจอ อัตตาเราเกิดตั้งแต่เมื่อไหรหาไม่ได้หรอก
  • 0899181xxx               ท่านพ่อช้วยให้ความจริงเรีองปีชงหนอยเถิด ตกลงเราจะเชื่อเวรกรรมทําให้เกิด หรือคิดว่าเเก้ชงเเล้วจะเเก้กรรมได้ ผมสับสนเพราะทุกวันนี้คนเชื่อมาก
  • พ่อครูว่า...ก็ไม่มีความรู้เรื่องปีชง แต่ก็มีคนค้นgoogleว่า ปีชง เป็นเรื่องของดวงดาวโหราศาสตร์ แต่ก็ขอตอบว่าที่จะไปแก้กรรม แก้ปีชง นั้นไม่ได้หรอก ที่เขาทำกันก็จะไปถูหลอกได้
  • ช่วยแจกแจง โจตโสอภินิโรปนา เข้าใจว่าเป็นอุปาทานในความนึกคิดใช่ไหม ......ตอบ...เจตโส คือคุณสมบัติของจิตที่ตกผลึก เป็นความแน่นแข็งแรงตั้งมั่น แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พยัปปนา) ปักมั่น(เจตโสอภินิโรปนา)เป็นคุณสมบัติของธาตุจิตที่ปฏิบัติได้มรรคผลตกผลึก มีคุณสมบัติทั้งแข็งแรงและมีปัญญา มีทั้งพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ ยิ่งลึกยิ่งปัญญาสูง จึงไม่ใช่แค่ความนึกคิดในใจ
  • กายสังขารจิตสังขารคืออะไร  ..ตอบ...กายสังขาร คือองค์ประชุมครบหมด กายสังขาร มีทั้งจิตสังขาร และวจีสังขาร แต่จิตสังขารคือภายในจิต และวจีสังขารก็คือซ้อนอยู่ในจิตสังขาร เป็นลักษณะองค์ประชุมที่เสร็จแล้วปรุงเสร็จสังขารอยู่ในใจ ผู้หยั่งรู้วจีสังขารจึงมีภูมิธรรมรู้บรรลุธรรมได้ เป็นองค์ธรรม 7 ของสังกัปปะ
  • ผู้ที่ถือศีล 5 บริบูรณ์ถือผัวเดียวเมียเดียว แต่ยังมีเสพเมถุนอยู่ และก็ลดละไปเรื่อยๆจะบรรลุธรรได้หรือไม่..ตอบ...ได้....
  • เหตุที่ถูกมารผจญเพราะมีกรรม............ตอบ..ต้องเรียนรู้ทั้งกรรมเก่าและใหม่ให้ดี
  • ในฐานะเจ้าสำนักท่านดูแลลูกศิษย์ท่านอย่างไร??....ตอบ  ดูแลลูกศิษย์โดยไม่จ้องมองก็แลๆไปก็เทศน์โดยรวม นานๆทีก็จะบอกเฉพาะตัวบ้าง ไปจี้ทุกคนไม่ไหว
  • ฟังท่านว่าโลกนี้โลกหน้าก็เข้าใจ แต่ว่าวิญญาณที่มีอยู่ทางทวาร 5 จะไปอย่างไรตอนตาย..ตอบ.........ตาหูจมูกลิ้นกายมีแต่ตอนเป็นตอนตายไปไม่มีแล้ว ในใจที่ตายไปแล้วดวงไหนไปเกิดก็คือใจ ตาหูจมูกลิ้นกายใจก็ไม่มีหรอกตายแล้ว
  • ................จบ....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:47:28 )

560312

รายละเอียด

560312_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู เรื่อง สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกายคืออย่างไร?        

พ่อครูเปิดรายการที่บ้านราชฯชั้น 2 เฮือนศูนย์สูญ วันเวลาผ่านไปเร็วมาก พ่อครูอาการหนักๆ คือวิ่งไล่เวลา เผลอแป็นเดียวหมด วิ่งไล่เวลาไม่ทัน

              รายการนี้บรรยายธรรมในช่วงนี้ลึกซึ้งมากหากไม่ตั้งใจฟังไม่รู้เรื่องแน่ ซึ่งกำลังขยายความตามพระไตรฯเล่ม 16 และตอนท้ายรายการก็จะตอบประเด็นตามที่เคยทำมา

              มาต่อกันด้วยธรรมะต่อจากวานนี้ ที่ได้พูดถึงรายละเอียดเจาะลึกถึงอาสวะ โดยการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ด้วยสัมมัปปัญญา องค์ประชุมคือสิ่งที่มารวมกัน กาเยนผุสิตวาคือรวมทั้งกายนอกกายใน วิหรติ คือเห็นกันอยู่หลัดๆเลยทีเดียว

              บุคคลที่มีกายสักขี ต้องมีการสัมผัสด้วยกาย แล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้ตนว่าอาสวะสิ้นแล้วหรือไม่ สรุปว่าแม้จะปฏิบัติเก่งขนาดไหน เป็นสัทธานุสารี เป็นกายสักขี หากไม่ได้สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย ให้ครบองค์ประชุมทั้งกายนอกกายใน ของพพจ.เป็นปกติลืมตาใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะปฏิบัติ กามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร แล้วก็มีนิโรธลืมตา อย่างโสดาบันยังไม่ถือว่ามีนิโรธ ก็เก็บหน่วยกิจไปเรื่อยๆ จนไปถึงอนาคามีก็ถือว่ามีนิโรธแล้ว ลืมตาสัมผัสอยู่ กิเลสก็ดับ ไม่มีกิเลสเกิดเลย สบาย แม้มีเหตุปัจจัยมาใหม่มาแรงอย่างไรก็เฉย คือผู้มีเจโตและปัญญาอันไม่กลับกำเริบ

              พวกที่นั่งเข้านิโรธ ขนาดนั่งตัวแข็งแกะไม่ออกเลย แข็งเกร็งหมดเลย ผลักไม่ล้ม กลิ้งเหมือนลูกขนุนเลย (พรหมลูกฟัก) ส่วนผู้มีนิโรธพุทธแท้นั้นจะดูยาก ดูไม่ออก ลืมตา แต่ไม่มีกิเลส ทำอาสวะสิ้นไปได้หมด ต้องชัดเจนเลยว่าแบบไหนทำออกได้หมด แบบไหนไม่ได้ ถ้าไม่ชัดเจนก็จะไม่ค่อยถูกต้อง

     จะบรรลุได้ต้องสัมผัสด้วยองค์ประชุมทั้งภายนอกภายในพร้อมทั้งหมด(กาเยน ผุสฺสิตวา วิหรติ)เห็นอยู่หลัดๆ ด้วย ดังนั้น กายสักขีบุคคลผู้ใด ถ้ายังไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และเห็นด้วยปัญญาที่สัมมาพร้อม ก็ทำให้อาสวะสิ้นไปไม่ได้

              พระพุทธเจ้าจึงทรงยืนยันว่า สายศรัทธาที่ปฏิบัติมาถึงขั้นกายสักขีปานนี้ ถ้าไม่ถูกต้องหรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วเห็นด้วยปัญญา ก็ไม่สามารถทำให้อาสวะสิ้นไปได้เลย เพราะถูกต้องหรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วเห็นด้วยปัญญา นั่นแหละ จึงมีผลอาสาวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว แค่ระดับต้นขั้นศรัทธาวิมุติ และศรัทธานุสารีจึงไม่ต้องพูดเลย

              ส่วนสายปัญญานั้น ย่อมสัมมาทิฏฐิมาแล้วแต่ต้นตั้งแต่ธัมมานุสารีก็ต้องมีอาริยผลมาตามลำดับ (เพราะถ้าขนาดสายปัญญาแท้ๆยังสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับไม่ได้ แล้วจะเป็นทฤษฎีสัมบูรณ์ได้อย่างไร) ยิ่งถึงขั้นทิฏฐิปัตตะ ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่า ท่านเรียกว่าทิฏฐิปัตตะ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ บรรลุแล้ว,ถึงแล้ว(ปัตตะ) จะบรรลุก็ต้องได้ด้วยความเห็น(ทิฏฐิ)ที่เป็นสัมมาแน่นอน จึงจะบรรลุสัมมาผล ใช่มั้ย?

              สายปัญญา จึงปฏิบัติโดยมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญา มาตั้งแต่ธัมมานุสารี เมื่อถึงขั้นปัญญาวิมุติ พระพุทธองค์ก็ตรัสให้เห็นชัดว่า ไม่ต้องกล่าวหรอกว่า สายนี้จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

              พยายามทำความเข้าใจอย่างสำคัญตรงนี้ให้ดีๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนะ จึงจะสามารถทำอาสวะบางอย่างสิ้นหมดไปได้บ้าง(อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสฺตวา วิหรติ ปัญญาย จัสส ทิสฺวา เอกัจเจ อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ) แล้วจึงจะถึงขั้นทำอาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา คำว่า เอกัจจ ซึ่งหมายถึง บางอย่าง ยืนยันอยู่ชัดๆ

              หากไม่สามารถถูกต้องหรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะเห็นด้วยปัญญาแล้ว จะมีวิธีอะไรที่จะดับสิ้นอาสวะลงได้บ้างล่ะ?

              ถึงขั้นดับอาสวะนะ หมายถึงล้างเชื้อขั้นปลายสุดของกิเลสกันทีเดียว เพราะอาสวะ คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานดังของหมักดองชนี้ เป็นกิเลสหรืออนุสัย ซึ่งเป็นอนุสัย นั้นก็คือ กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานถึงก้นบึ้งของจิตนี้ เป็นสังโยชน์ขั้นปลายสุดท้าย  

              ดังนั้น ผู้ที่สามารถทำอาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา จึงจะชื่อว่า อุภโตภาควิมุตติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้มีเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้

ตามคำตรัสที่ว่า ถูกต้องหรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา (อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสฺตวา วิหรติ ปัญญาย จัสส ทิสฺวา  อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ)               เพราะการบรรลุธรรมขั้นอรหัตตผลที่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธนั้น ตัวจิต(เจโต)ก็ต้องวิมุตติ และตัวรู้ปัญญา)ก็ต้องรู้ตนเองของตนเองว่าเรามีวิมุตติแล้ว จึงจะชื่อว่าอรหันต์ ผู้บรรลุถึงที่สุดใน อรหะ(ตามพยัญชนะคือภาวะหมดสิ้นความลับในเรื่องของกิเลส ตามอัตถะก็คือความไกลจากกิเลส)

              ซึ่งบุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุตติ ก็คือ คนที่อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา เป็นผู้มีเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้พระพุทธเจ้าตรัสสำนวนอย่างนี้ไว้ มีมากมายนับไม่ถ้วน               ซึ่งหมายถึงผู้ดับอาสวะสิ้นได้แล้ว ก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแน่นอน เพราะการปฏิบัติที่สมบูรณ์ด้วยสัมมาปฏิบัติของพุทธที่พระพุทธเจ้า จะต้องสมบูรณ์ด้วยปฏิจจสมุปบาท ที่ครบบริบูรณ์ทั้งรูปและนาม ทั้งภายนอกและภายใน

              เช่น ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ผู้จะพ้นอวิชชาหรือทำให้อวิชชาซึ่งเป็นเหตุต้นตอในปฏิจจสมุปบาทถึงขั้นดับสนิทได้นั้น ท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ต้องเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอายตนะ 6 _สัมผัส 6 _เวทนา 6_ตัณหา 6 _วิญญาณ 6 จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสังขาร 3(กายสังขาร,วจีสังขาร,จิตสังขาร) -นาม 5(เวทนา,สัญญา,เจตนา,ผัสสะ,มนสิการ) -รูป 2(มหาภูตรูป,อุปาทายรูป) -ชาติ 5(ชาติ,สัญชาติ,โอกฺกันติ,นิพพัตติ,อภินิพพัตติ)ได้ตามพระวัจนะที่ตรัสในวิภังคสูตรนี้แหละ(ในสูตรอื่นๆมีอีกมาก)

              ซึ่งในอัญญติตถิยสูตร(ข้อ 71 เป็นต้นไป)พระองค์ก็ทรงเน้นให้เห็นชัดว่า หากไม่มีผัสสะ(สัมผัส)เป็นปัจจัย  ก็จะไม่เห็นทุกข์เกิดขึ้นให้เห็นเป็นของแท้ ประเด็นนี้พระพุทธเจ้าทรงเน้นสำคัญด้วยนะว่า ถ้าเข้าใจไม่ถ่องแท้ตรงนี้ คนมักจะกล่าวตู่พระพุทธเจ้าคือ กล่าวผิดเพี้ยนไปจากคำตรัสของพระองค์ จึงผิดไปจากความตรัสรู้ของท่าน

              ผู้มีผัสสะ(สัมผัส)จึงจะรู้ตัวยึดถือว่า ตนเองมีความ(อุปาทาน)อยู่แท้ๆ เพราะภาวะหรืออาการของอารมณ์สุขหรือทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์อันเกิดจากสัมผัส 5 คือ ตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย ชื่อว่าโอฬาริกอัตตา(อัตตาหยาบ)ยังมีอยู่

              ในทุกขนิโรธสูตร(ข้อ 161 เป็นต้นไป) พระวัจนะก็ทรงยืนยันชัดว่า การประชุมแห่งธรรม 3 เป็นผัสสะ จึงจะสามารถศึกษาทั้งรูปธรรม(อุปาทายรูป)และนามธรรมที่เป็นวิญญาณ_เวทนา_ตัณหา_อุปาทาน_ภพ_ชาติบริบูรณ์

              ในโลกนิโรธสูตรต่อไปอีก(ข้อ 164)จะรู้จักโลก จะเห็นความเกิดแห่งโลก ก็เพราะอาศัยตาและรูป จึงเกิดวิญญาณทางตา(จักขุวิญญาณ) ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ เป็นต้น จึงจะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ(โลก)-ชาติ-ชราและมรณะ... ซึ่งเกิดขึ้น_ตั้งอยู่ ยังไม่ดับ ชนิดที่สัมผัสเห็นอยู่โต้งๆ หลัดๆ ไม่ใช่จินตามยปัญญาเท่านั้น

              แล้วจึงสามารถดับภาวะที่ควรดับต่างๆเหล่านั้นได้อย่างเป็นจริง เห็นของจริง มีสภาวะจริงสัมผัสอยู่โทนโท่ เป็นภาวนามยปัญญา คือ ปัญญขั้นมีผลเกิดให้รู้เห็นนี่คือ โลกหยาบ ขั้นต้น ที่จะต้องมีผลดับเหตุได้

              ดังนั้นในใจเองนั้น ถ้าไม่มีผัสสะ ไม่ต้องอาศัยสัมผัสภายนอก โอฬาริกอัตตาย่อมไม่เกิด คือไม่เกิดอัตตาหยาบ ซึ่งเป็นอัตตาขั้นต้นที่จะต้องเรียนรู้ได้ก่อนลำดับแรก ก็ไม่ได้เรียนให้งามทั้งขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย จึงจะลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล สง่างดงามตามพระอนุสาสนี

              ใจโดยไม่มีผัสสะ(สัมผัส)ก็เกิดอัตตาเองได้ เรียกว่า ธรรมารมณ์ ไม่เรียกว่าโผฏฐัพพารมณ์ ซึ่งในภาวะที่เป็นมโนมยอัตตาก็คือ รูปหรืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต

              ส่วนในภาวะที่เป็นอรูปอัตตาก็ อรูปหรืออัตตาที่สำเร็จด้วยสัญญา ตามที่ตนพึงสร้างเพราะความหลงยึดติด อันยังเป็นอุปาทานอยู่ของตน อีกหนะแหละ     

              คำพูด หรือความคิดจินตนาการ นั้น เป็นแค่โวหาร (การกล่าว,การเรียก) จินตนาการออกมาเรียก จะเป็นอะไรก็ได้ มีได้เป็นได้ หรือไม่มีก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ ก็แค่โวหาร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในชาณุโสณิสูตร(ข้อ 172 เป็นต้นไป) ยังไม่ใช่ภาวะความจริง_ของจริงตามที่มีให้สัมผัสได้จริง  

              หรือแม้แต่โลกายติกสูตร(ข้อ 175 เป็นต้นไป)ทิฏฐิก็สามารถสร้างทิฏฐิ ด้วยการรู้การเรียนได้แค่ความเข้าใจ,ความเห็น แค่โลกายตศาสตร์(ประดาความรู้ของชาวโลกทั้งหลาย ปรัชญาที่ประชาชนยึดถือ ที่ยังไม่สัมมาแบบพุทธ หรือยังไม่ใช่โลกุตรศาสตร์) จะเห็นว่าอะไรมี(อัตถิ) หรืออะไรไม่มี(นัตถิ) ก็สามารถคิดเห็นหรือเข้าใจไปได้ทั้งนั้น จะโต่งไปข้างไหนก็ได้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ยังไม่ใช่ความจริง ยังไม่ใช่ความแท้ ตอบข้างใดข้างหนึ่งว่า นั่นถูก นี่ผิด ใดๆยังไม่ได้

              ต่อเมื่อเข้าข่ายเป็นอริยสาวกคือ ผู้ได้สดับ หรือได้ฟังธรรมที่เป็นพุทธ จนมิได้มีความสงสัยอย่างนี้ ว่า เมื่ออะไรมี(โหติ) อะไรจึงมีหนอแล เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี เมื่ออะไรมี เวทนาจึงมี เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี เมื่ออะไรมี ภพจึงมี เมื่ออะไรมี ชาติจึงมีี  เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี ฯ (อริยสาวกสูตรที่ 1 ข้อ 178 เป็นต้นไป)     

              อริยสาวกคือ ผู้ได้สดับ หรือได้ฟังธรรมที่เป็นพุทธ จนมิได้มีความสงสัยอย่างนี้ ว่า เมื่ออะไรไม่มี     (น โหติ) อะไรจึงมีหนอแล เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี เมื่ออะไรมี เวทนาจึงมี เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี เมื่ออะไรมี ภพจึงมี เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี  เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี ฯ    

              แม้ได้ฟังคำตรัสแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่เชื่อเลยว่า มี (โหติ) หรือไม่มี(น โหติ) จะต้องปฏิบัติจนมีญาณในปฏิจจสมุปบาททั้งหลายนั้น โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น นั่นคือ สัมผัสภาวะนั้นๆโดยตนเองของตนเอง(เอโก) เห็นโดยตนเอง(เอโก) หยั่งรู้โดยตนเอง(เอโก) ทั้งนาม ได้แก่ เวทนา_สัญญา_ เจตนา_ผัสสะ_มนสิการ ทั้งรู้ ได้แก่ มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 (อุปาทายรูป) จึงจะชื่อว่า ถูกต้อง

              หรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ว่า อาสวะหมดสิ้นแล้ว (อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสฺตวา วิหรติ ปัญญาย จัสส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ)

              ข้อ 179 พระพุทธเจ้าตรัสว่า โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น    นี่คือ การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงวิญญาณว่ามี ในอริยสาวกสูตร(ข้อ 178) และสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอวิชชาว่ามี ในอริยสาวกสูตร(ข้อ 183) มิใช่ไปเข้าใจผิดหรือมิจฉาทิฏฐิไปว่า อัตตาไม่ใช่อัตตา แล้วตีขลุมว่า อัตตานั้นมีก็ไม่ได้ ไม่มีก็ไม่ได้ ขืนใครมีหรือไม่มีนั่นแหละคือ พวกมิจฉาทิฏฐิ จัดอยู่ในพวกนิรัตตา ที่แท้ ผู้เข้าใจผิดดังว่านั้นต่างหากคือ ผู้นิรัตตา คือ ผู้ไม่มีอัตตาชนิดที่มีก็ไม่ได้ ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะคนผู้นี้ยึดได้แค่อัตตาเป็นวาทะ คือ ยึดได้แค่คำพูดเท่านั้น

              ตราบที่ผู้ใดยังยึดด้วยอวิชชา ความยึดภาวะนั้นก็คืออัตตาอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่ารูปหรือนาม ไม่ว่ากาย

หรือใจ ผู้มีสัมมัปปัญญาหรือมีวิชชาย่อมรู้แจ้งเห็นจริง

              ดังนั้น กายสักขีบุคคลต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญาที่เป็นสัมมัปปัญญา ใช่ไหม จึงได้ทำให้ อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นอาสวะทั้งหลายของตนหมดสิ้นบริบูรณ์สัมบูรณ์

              นั่นก็คือ การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ถึงขั้นได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และเห็นด้วยปัญญาชนิดที่เรียกว่า สัมมัปปัญญาแล้วละก็ จะไม่สามารถดับสิ้นอาสวะไปได้สักอย่าง เพราะในวิโมกข์ 8นั้นสัมบูรณ์ถึงขนาดต้องผ่านอรูปฌาน 4แบบพุทธ ขอยืนยันนะว่าแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐินะ จึงจะบริบูรณ์ถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งเป็นนิโรธพิเศษ เป็นคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)แท้ เป็นของพุทธเท่านั้น นิโรธชนิดนี้มีในขณะลืมตาชีวิตปกติสามัญ อันแตกต่างจากนิโรธที่ไม่ใช่ของพุทธ เพราะนิโรธแบบนั้นมีได้ในขณะหลับตาอยู่ในภวังค์   

              คำตรัสนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า การปฏิบัติธรรมแบบพุทธต้องสัมบูรณ์ด้วยวิโมกข์ 8อย่างสัมมาทิฏฐิ

เพราะสัมผัสเห็นอยู่พร้อมทั้งกายภายนอก 

              กายสักขี ก็คือ ผู้ที่ต้องเข้าถึงกาย เป็นพยาน(สักขี)ยืนยันกับตนเองได้ ว่า เป็นผู้มีกาย  และต้องสัมผัสกายนี้ เห็นกายนี้ ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสิ่งนั้นและภาวะนั้นอยู่ทุกอิริยาบถ

              คำว่ากายที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกายนี้ คือ กายที่เป็นองค์ประชุมของรูปของนาม ครบพร้อมรูปทั้งหลายภายนอก(พหิทธารูปานิ) และสามารถกำหนดหมายรู้ได้ทั้งรูปทั้งหลายภายใน และละเอียดไปถึงอรูปภายใน(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี)กันทีเดียว

              ในพระไตรปิฎก เล่ม 20 ตั้งแต่ข้อ 210-218 ท่านขยายความไว้ชัดเจนทั้งรูปภายนอก ทั้งรูปภายใน ทั้งอรูปภายนอก ทั้งอรูปภายใน จะต้องกำหนดรู้(สัญญา) ต้องทั้งรู้(ชานาติ)ทั้งเห็น(ปัสสติ) และเลยไปถึงข้อ 226 จนถึง 246 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ธรรมข้อหนึ่งซึ่งบุคคลทำให้มากแล้ว เพื่อความเจริญทางโลกุตรธรรม คือ เป็นไปเพื่อความสังเวช เป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ เป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะ  เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ เป็นไเพื่อญาณทัสสนะ เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เป็นไปเพื่อให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ ธรรมข้อหนึ่งนั้น

คือ กายคตาสติ

              กายคตาสติ ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์แปลไว้ว่า สติที่เป็นไปในกาย, สติอันพิจารณากายให้เห็นตามสภาพที่มีส่วนประกอบ ซึ่งล้วนเป็นของไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจทำให้เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงใหลมัวเมาซึ่งเป็นไปเพื่อความละ หน่าย คลาย ถึงขั้นมุตโต  หรือวิมุตติ หรือโมกโข คือ ถึงขั้นหลุดพ้น ขั้นจบเสร็จสิ้น พ้นแล้วทีเดียว

              แต่พอเป็นคำว่าอธิมุตโตหรืออธิโมกโข ท่านแปลว่า โน้มใจเชื่อ เช่น สุภันเตว อธิมุตโต(หรืออธิโมกโข) ท่านก็แปลว่า น้อมใจไปว่างาม แล้วมันจะสมคล้อยกับ...การละ หน่าย คลาย หรือหลุดพ้น กันได้ละหรือ?

              แม้ในวิโมกข์ข้อที่ 3 ท่านก็แปลกันว่า น้อมใจไปว่างาม หรือ กสิณเป็นของงาม อาตมาก็ขอแปลว่า จิตเจริญโน้มไปสู่สุภ ซึ่งหมายถึง ความน่าพึงใจ

              ดังนั้น ในสัตตาวาส ข้อ 4 ที่แปล สุภกิณหะ กันว่า เทพที่มีแสงรุ่งโรจน์ หรือ พวกมีลำรัศมีกระจ่างจ้า อาตมาเห็นใจผู้ที่ออกจากทิฏฐิที่ยังเป็นเทวนิยมยังไม่ได้ ย่อมยังเข้าใจอัตตาเป็นตัวตน อัตตาหรือจิตใจวิญญาณเป็นรูปร่างอยู่ หรือเห็นอัตตาเป็นภาวะที่มีมหาภูตรูปเหมือนสิ่งที่สัมผัสได้ทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่

อาตมาก็ขอเอาตามสภาวธรรมที่อาตมามี อาตมาก็เห็นว่า อธิมุตต มันน่าจะนัยเยี่ยงเดียวกับคำว่า อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา ที่แปลกันหมายไปสู่ทางเจริญสูงขึ้นๆ ไปหาจุดหมาย คือ วิชชา และวิมุตติ มันไม่น่าจะขัดแย้งกันปานนั้น

              อาตมาจึงขอแปล อธิมุตโต หรืออธิโมกโข ว่า จิตเจริญโน้มไปสู่ที่หมายดังนั้น ผู้มีสภาวธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมขั้นอาริยะตามแบบพุทธก็จะเข้าใจคำว่ากายหรือคำว่าสัญญาที่ท่านตรัสไว้ในสัตตาวาส 9ก็ดี วิญญาณฐีติ 7ก็ดี ว่าหมายถึงสภาวะอย่างไร ต่างกันอย่างไร อย่างเดียวกันอย่างไร

             

              ต่อไปเป็นการตอบประปัญหาและประเด็น

  • ชินชาในการทำดีทำชั่วแบบเฉยๆทั่วๆไป ต่างจากแบบพุทธอย่างไร?  ตอบ...คำว่าชินชา หรือชาชิน มาจากบาลีว่า คำว่า ชิน คือชนะ คำว่า ชา คือ เผา เป็นคำที่ดี แต่ในภาวะที่มันเฉยแบบไม่สนใจทำดีทำชั่ว มันเป็นอัตตา เสพอัตตาตัวเอง ทำแต่เรื่องของตัวไม่เกี่ยวกับคนอื่น คือพวกเฉยมิจฉาทิฏฐิ เฉยแบบพาล แบบนั้นมันเฉยแบบใจดำ ต่างจากการไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ การไม่ตกเป็นทาสสิ่งเร้าภายนอก และไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ตน หรือทาสอัตตาตน ไม่ตกเป็นทาสสิ่งเร้าภายนอก
  • ผมเคยตั้งกลุ่มสนทนาธรรมมานาน ก็พบว่าคนที่เรียนอภิธรรมมักใช้ สัมมาทิฏฐิที่เป็นตัวปลายมาอ้าง เช่นต้องเห็นว่าเป็นอนัตตาก่อน ...ตอบ..พ่อครูว่า มันต้องมีการปฏิบัติที่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ในมิจฉาทิฏฐิสูตร ต้องรู้เห็นความไม่เที่ยงของกิเลส ในสักกายทิฏฐิสูตร ต้องรู้ทุกข์ แล้วรู้เหตุแห่งทุกข์ คือกิเลสตัณหาอุปาทาน แล้วมีการปหาน 5 อย่างมี อนุปัสสี 4 แล้วจึงเป็นความไม่มีตัวตนของกิเลสได้จริง  
  • ความถนัดในงานที่เราไม่ถนัดเอาซะเลย (พ่อครูว่าคุณไม่ถนัดก็ทำให้ถนัดก็เก่งนะ) ทั้งจิตเราก็ไม่คิดจะฝึก เป็นกิเลสที่ขี้เกียจ หรือเป็นความพากเพียรที่เราต้องทำต้องฝึกเพราะเป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อส่วนรวม...ตอบ..สิ่งที่ควรทำควรฝึก เราก็ต้องทำ มันเป็นประโยชน์ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำจะด้วยขี้เกียจ หรือรังเกียจก็ตาม คนพวกนี้ไม่เจริญ เพราะว่ามีตัวอกุศลจิตพาเป็น เราควรฝึก ถ้าทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แม้ไม่ถนัดก็ตาม แต่ก็น่าจะมีงานที่เราถนัดบ้างที่มีประโยชน์
  • หลวงพ่อเคยมีเรื่องราวที่ฝังใจลึกมากไหม ทำอย่างไรจะลบได้...ตอบ...มี คือ ต้องเป็นโพธิสัตว์ อย่างอื่นไม่มี

       ถ้าไปดูดดื่มในเรื่องใดก็ตามไม่ดี ทั้งเรื่องรัก เรื่อง พยาบาท ซึ่งพ่อครูเห็นว่าตนมีน้อย เหมือนคนใจจืด แต่ไม่ใจดำ ไม่เห็นว่าตนมีความจี๋จ่า ในเรื่องโกรธ ในเรื่องสัมพันธ์ ก็มีสัมพันธ์กันแต่ไม่จี๋จ่า ในอดีต พ่อครูพยายามมีเพื่อน แรกๆก็ผู้สัมพันมีเพื่อนมาก มีแฟนตั้งแต่อายุ 14 ปี พออายุ 15 จบม. 6 เข้ากทม.ก็จากกันไป ยังเคยแต่งเพลง รักไกลรักใกล้ ตอนนี้ก็ลืมไปแล้ว พ่อครูมีเพื่อนหรือแฟนก็ไม่ได้จี๋จ่า พยายามเป็นตัวหลักที่จะ ติดต่อเพื่อนๆ  มีเพื่อนรุ่นรร.เพาะช่าง เราเรียนจบเรามีเงินซื้อรถติดแอร์แล้ว แต่เพื่อนรับราชการขี่รถหลวง  เดี๋ยวนี้ก็จางคลายไป แม้แต่เพื่อนเพาะช่างก็ตายไปหลายคน บางคนก็หาว่าพ่อครูกบฏต่อศาสนา ชิงชังก็มี ซึ่งพ่อครูก็เข้าใจ คนเรามีสิทธิ์เชื่อตามปัญญาตน ดังนั้นในเรื่องฝังใจพ่อครูไม่ค่อยมี พพจ.ว่าเป็นเรื่องล้างยาก ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องอาศัยกัน หรือเพื่อมาใช้วิบากต่อกัน บางคนเป็นลูกเป็นพ่อแม่กัน ก็มาใช้วิบากกัน บางคนก็รักผูกพันกันหนัก ก็มีได้ทั้งสองทิศ ต้องเรียนรู้ดีๆว่าทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน ต้องมีปรารถนาดีต่อกัน จะทำอย่างใดให้ละล้างได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรจะไม่พรากจากกัน

  • เมื่อการรับรู้เวทนาตายลง กลายเป็นสัญญา การกำหนดรู้ต้องใช้สัญญาใช่ไหม?   ตอบ..ไม่ใช่ การที่เราจะรู้อารมร์ เราต้องใช้เจตสิกเชิงปัญญาเราฝึกให้มันอ่านนามธรรมที่เป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ โกรธ โลภ อ่านให้ออกในปัจจุบัน โดยใช้อาการลิงค นิมิต อุเทศ

       ต้องเรียนรู้ นาม คือรู้จัก เวทนา สัญญา เจตนา  ผัสสะ มนสิการ  เมื่อเรามีญาณรู้ในเวทนาได้ ก็ต่อเมื่อมันมีผัสสะ แล้วกิเลสเราจะออกมาทำงาน ให้เรารู้ว่าเป็นเวทนาอย่างไร และจะรู้ในเจตนา(ตัณหา) เพื่อให้เรามีมนสิการอย่างใดให้กิเลสลด เจตนาคือ(กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ต้องรู้ในเจตนาอะไรในนามธรรมของเรา หรือเป็นขั้นสูงในรูปภพ อรูปภพ ทั้งหมดคือการทำใจในใจ คือกระบวนการจัดแจงปรับปรุงทำการ ให้มีอภิสังขาร แล้วก็กำจัดสิ่งที่ควรกำจัด นี่คือนามธรรมเป็นโยนิโสมนสิการ การทำใจในใจอย่างถ่องแท้แยบคาย อย่างหยั่งรู้ไปถึงที่เกิด

       ส่วนรูปนั้นมี มหาภูมตรูปและอุปาทายรูป อาศัยกันก่อเกิด เนื่องไปถึงนามธรรมภายใน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ อย่างสภาวะจิตวิญญาณเมื่อเรามีปัญญาอ่านออกหยั่งรู้นาม นามนั้นก็กลายเป็นรูป หรือเรียกว่า นามกาย มันไม่มีตัวตนสีสันโฉมกาย แต่เรารู้ได้ด้วย อาการลิงค นิมิต อุเทศ

  • ทำอย่างไรจะเลิกซาดิสม์หรือมาซูคิสได้...ตอบ....ต้องเรียนรู้ว่าเรามันจัดนะ เห็นคนเขาตีกันชกกัน เขาจัดจ้านกันในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ส่วนมาซูคิสคือเกิดในใจตน สะใจของตน เจ็บปวดของตนเอง....ก็ต้องเห็นความจริงว่าตนเองไปเสพสิ่งแรงๆก็เป็นภัยสิ ก็ต้องหัดลดละไป ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เช่นลิ้นก็ให้ลดรสจัดๆลง
  • ผู้บรรลุธรรมจำไม่ได้เพราะไม่ยึดเอาไม่ให้ความสำคัญใช่ไหม?...ตอบ...จำไม่ได้เป็นอกุศล ที่จริงจำได้มากๆยิ่งดี พพจ.ท่านระลึกชาติได้มากมายเลย เราต้องฝึกว่าจะจำในสิ่งที่ควรจำให้ดี พ่อครูไม่พยายามไปใช้พลังงานในการจำสิ่งที่ไม่ควรจำ มาใช้จำในสิ่งที่ควรจำ
  • ขอทราบความหมายของอุปกิเลส 16 เป็นระดับจิตใด ตอบ....อุปกิเลส 16 คือ

1. อภิชาวิสมโลภะ คือความเพ่งเล็งกล้าอยากได้ เป็นตัวแรกเลย นอกนั้นท่านไล่เป็นเชิงพยาบาทเสีย

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.    มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง) คือสิ่งที่เป็นมารยาท

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง) คืออยากแสดงอยากอวดอ้างอวดโอ่

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

  • พลเรือตรีมินทร์

1.กระผมได้บริจารเงินภาษี 100 บาทให้พรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งมีอุดมการณ์บุญนิยมมากว่าบาปนิยม

2.รัฐบาลยุคนี้นิยมบาปนิยม

3.ปตท.สผ. คือเปรตต้มไทยเสียผี

  • ในหลักการที่ว่า สันตติ คือหลักปฏิจจสมุปบาทที่เป็นสันตติใช่หรือไม่?....ตอบ... สันตติคือสิ่งที่ต่อเนื่องกันไป ทำให้เหมือนกับอยู่กับที่ มันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เห็นเหมือนอยู่นิ่ง หลักปฏิจจสมุปบาทเป็นการต่อเนื่องอย่างอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่แบบสันตติ
  • คำว่า ญาณ กับฌานต่างกันอย่างไร?..ตอบ.. ญาณคือความรู้ ฌานคือไฟกองใหญ่อันวิเศษที่เผากิเลส ถ้าอธิบายอย่างฤาษีคือการเพ่งกสิณให้จิตสงบ แต่ของพุทธคือไฟที่ทำให้กิเลสตายไปหมดไป
  • ความหมายที่แท้จริงของความสุขคือ  ..ตอบ.. อยู่ที่ตรงหมดความสุขโลกีย์ เป้นความสุขที่เที่ยงไม่แปรปรวนเที่ยงแท้ ส่วนความสุขโลกีย์นั้นไม่เที่ยง วนเวียนหลงสุขๆทุกข์ ต้องมารู้จักสุขอย่างพุทธ แต่บางคนก็หลงอยู่เฉยสงบสุข แต่ไม่เหมือนแบบพุทธ ที่เป็นวูปสโมสุข สุขอย่างไม่มีกิเลสกวน มีแต่เรื่องดีกุศล
  • สุตมยปัญญา กับ จิตตามยปัญญาอะไรมาก่อน ตอบ. อะไรก่อนก็ได้ จะคิดก่อนฟัง หรือฟังก่อนคิดก็ได้
  • ปฏิบัติธรรมตามลำดับจนถึงโสดาบัน....ตอบ...ก็สอนอยู่ทุกวัน ศีล 5 เป็นหลักต้น ไม่ฆ่าสัตว์ก็อ่านใจว่ามีพยาบาทไหม เราไม่ฆ่า ใครจะฆ่าเราก็จะไม่ฆ่า ไม่ลักทรัพย์ไม่ขโมย ไม่เอาของเขา ให้ทำด้วยตนเอง ต้องเห็นว่ามันชั่วมันไม่เที่ยงเป็นบาป ในเรื่องกามเบื้องต้นแค่ผัวเดียวเมียเดียว มีกามคุณ 5 พอประมาณ ให้เลิกอบายมุขที่ติดออกมา เบื้องต้นให้ไม่สุขทุกข์กับอบายนั้นคือโสดาบัน
  • สุญญตา คืออย่างไร?...ตอบ...สุญตาคือสูญ จะสูญอย่างไร ต้องเข้าใจให้ถูก พพจ.ท่านว่า ศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากคน ศาลานี้ว่างจาก....ก็ละเอียดไปเรื่อยๆ....
  • คนว่ายากสอนยากกับอเวไนยสัตว์ต่างกันอย่างไร ตอบ...  อเวไนยสัตว์นั้นเป็นวิบากเขาสอนไม่ได้จริงๆ แต่คนที่ว่ายากสอนยาก อาจฉลาดเป็นกลด แต่มีมานะ สอนยาก พพจ.ปรับสังฆาทิเสส
  • กินมังฯมา 7 ปีเต็ม พบมะเร็งเต้านม จึงผ่าตัด แล้วหมอบอกให้กินเนื้อสัตว์จึงจะไม่เป็นมะเร็งอีก? แต่ดิฉันไม่กิน ญาติให้กินไข่อาทิตย์ละ 2 ครั้งพออนุโลมได้ไหม ตอบ..ได้
  • อายุ 78 มีพยาบาลถามว่า ยายกินอะไร ไม่มีไข้ไม่มีความดัน...จึงตอบไปว่า ยายกินมังฯ
  • ทุกข์ที่เป็นมาก พอผ่านไปทุกข์ก็หาย สิ่งที่จำได้เป็นสัญญาใช่ไหม?...ตอบใช่ ..แต่ที่มันจางอาจไม่หมดมันหลบอยู่ก็เป็นได้
  • ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักคอร์สสุขภาพมีมาก ปัจจุบันดูจะมีสามสำนัก แต่ละสำนักมีสูตรของตนและมีเห็นด้วยกับสูตรอื่น จะเห็นว่า มีสำนักบางสำนักที่ไม่มีแฟนคลับไม่มาก โจมตีอีกสองสำนัก อยากให้พ่อท่านให้สัมมาทิฏฐิ....ตอบ...ที่ผ่านมามีหลายเจ้ามาให้พ่อท่านเลือก พ่อท่านก็ผลัดไป เพราะเดี๋ยวจะเกิดความนิยมที่เกิดจากตัวพ่อท่านทำแบบนั้น...............จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:48:55 )

560314

รายละเอียด

560314_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู เรื่องศึกษาสังขารด้วยมนสิการให้ถึงตัวตน

          พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ....พ่อครูกำลังเจาะลึกเรื่องอภิสังขาร ในเรื่องรูปกาย นามกายเป็นต้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่สามัญปุถุชน

          วันนี้จะนำเอา sms ของคุณ 8705 ในวันที่ 12 มี.ค. 56 ที่ผ่านมามาอ่านดังนี้

0888705xxx   เพราะว่า..ธรรมชาติของสังขารทั้งหลายต้องอาศัยกันและกัน..ถึงเกิดขึ้นได้! ฉะนั้นจึงไม่มีสังขารอันไหนที่จะมีความเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เองหรือเป็นขึ้นเองหรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้! ดังที่ปฏิจสมุปปาทก็แสดงอยู่แล้วว่า..เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมีเพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด และเหตุนี้..สังขารทั้งหลายจึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้! หรือก็คือที่เรียกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร3 ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี3เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้นเกิดที่ภายใน ส่วนวจีสังขาร+กายสังขารเกิดที่ภายนอกจ๊ะ!

          ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาหลงว่าตนเป็นโพธิสัตว์ ชาติหน้าบ่ายแก่ๆพธร.กำลังตีความปฏิจสมุปปาทก็เหมือนเด็กอนุบาลกำลังตีความทฤษฎีE=mcกำลัง2พธร.เรียนมากรู้มากแต่ไม่ปฏิบัต..จึงไม่มีสภาวธรรม เลยตีความธรรมะผิดหมด!ฅำสอนต่างๆนำไปเทียบว่าลงได้กับพระวินัยและพระสูตรถ้าลงกันได้คือคำสอน          ของพรพุทธ อย่ามั่วทำไมถึงไม่ยอมให้SMSเพื่อนๆขึ้นจอเลย..หรือว่ากลัวเสียเรตติ้งอรหันต์จ๊ะ!

            ตอบประเด็นคุณ 8705 (12มีค.56)

          ที่คุณ 8705 แสดงความเห็นมาแล้วว่า "รูปนามเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา" เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เป็นสันตติ ไม่ใช่ตัวตน
          ก็เท่ากับว่า ถ้าผู้ใดขืนเห็นว่า "มีตัวตน" ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว "ผู้เห็นว่ามีตัวตน" แล้วก็ไปวุ่นวายทำให้ "ตัวตน"หมดไปหรือ "ดับไป" นั้น ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่
          ใครยังขืนเห็น "ความไม่มีตัวตน" จนได้นั้น ผู้นั้นต้องจัดอยู่ในพวก "เข้าใจว่ามีตัวตน" แล้วยังดัน   ทุรังไปมัวทำให้ "ตัวตน"(อัตตา)หมดไปหรือดับไปจนสำเร็จ "ไม่มีตัวตน" อยู่อีก ผู้เข้าใจความ "ไม่มีตัวตน"แบบนี้ คือ "ผู้มีนิรัตตา"
          นิรัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน ผู้ยึดถือ "ความไม่มีตัวตน"แบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
          ผู้สัมมาทิฏฐิ จะต้องมี "ปัญญาอันเฉียบแหลมยิ่ง" เห็นแจ้งใน "ความไม่ใช่ตัวตน"เท่านั้น จึงจะสัมมาทิฏฐิ เพราะ "อนัตตา"แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน อย่าไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" จะเป็นคนโง่ และโง่มากๆอย่างที่คุณ 8705เคยว่าอาตมานั่นแหละ

          การเห็นความ "ไม่ใช่ตัวตน" ของคุณ 8705 นั้น คือ เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" มันก็ "เกิด-ดับ เกิด-ดับ"ต่อเนื่องกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ขาดสาย เป็นอยู่นิรันดร ใครจะไปจับให้มันเป็นตัวตนได้  ในเมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป เป็นสามัญลักษณ์ เป็นธรรมชาติ  
          ใครอย่าไปแปล "อนัตตา"ว่า "ไม่มีตัวตนเชียว" มิจฉาทิฏฐิแล้ว
          ความเข้าใจในคำว่า "นิรัตตา"กับ "อ"นัตตาของคุณ 8705 กับความเข้าใจของอาตมา กลับขั้วกัน หรือคนละความหมาย มีนัยสำคัญคนละอย่าง ทั้งการใช้ภาษาอธิบายความเป็นนิรัตตาและอนัตตา โดยเฉพาะการมีสภาวะ อาตมาก็เห็นสภาวะคนละอย่างต่างกับคุณ 8705 ถ้าคุณ 8705 จะมีสภาวะนะ ท่านก็เห็นสภาวะของท่านอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ คือ เห็นแต่มันเกิดดับเป็นสายต่อกันอยู่อย่างนี้  แยกอะไรไม่ได้ แยกรูปแยกนาม ไม่ได้
          โดยเฉพาะแยกความเกิดของรูป ความตั้งอยู่ของรูป ความดับไปของรูป ที่เป็นมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ความเกิดของนามที่เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการจนสามารถการสัมผัสเห็น "ความเกิด
"ของรูปนั้นๆ และความดับของรูปนั้นๆ ท่านแยกไม่ได้ ท่านเห็นแต่ว่า มันต่อเนื่องกันเป็นสันตติ เห็นไหมว่า สันตตินี่แหละมันบังความเป็นรูปนาม
          โดยเฉพาะการเห็นความเกิดของนาม เห็นความดับของนาม ที่เป็นเวทนาเกิด เวทนาดับ ซึ่งพระพุทธเจ้าแจกเวทนานี้ไว้  "มี"ทั้ง เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 และเมื่อทำให้เวทนาที่เราสำคัญมั่นหมายนั้นจนมัน "ไม่มี" ก็คือทำให้เวทนานั้นๆ "ดับ" ได้สนิทไม่เกิดอีกนั่นแหละ คือ ผู้เห็นแจ้งความเกิด-ความดับของปรมัตถธรรม เป็นต้น สัญญาก็เห็นแจ้งในความเกิด-ดับได้ เจตนาก็เช่นกัน ผัสสะก็เช่นกัน มนสิการนั่นแหละคือ การทำใจในใจหรือทำนามธรรมตัวตนนั้นให้มันไม่เกิด หรือตัวตนมันดับได้สำเร็จ
          คุณ 8705 ก็ต้องเข้าใจว่าอาตมาอธิบายเอาเองแน่นอน เพราะยังไม่มีใครอธบายอย่างนี้ให้คุณ 8705 ได้ยินมาก่อนแน่ อาตมาจึงค่อนข้างจะเชื่อว่า คุณ 8705 จะไม่เข้าใจที่อาตมาพูดไปนั้น เพราะเข้าใจที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ เนื่องจากคุณ 8705 ไม่มีสภาวะตามที่อาตมาพูดนี้แน่ๆ คุณ 8705 จึงสรุปว่าอาตมาเข้าใจธรรมะของพุทธผิด เพราะอาตมา "มี"ความเข้าใจแบบพุทธไม่เหมือนกับคุณ 8705 มัน "ผิด"กัน มันก็ต้องต่างกัน ก็ต่างคนต่างเห็น มันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่เห็นแปลกอะไร คุณเข้าใจอย่างหนึ่ง อาตมาก็เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ต่างก็แสดงความเห็น      
          และคุณ 8705 แสดงความเห็นมาอีกในวันที่ 12 มีค.นี้ว่า
          เพราะว่า.. ธรรมชาติของสังขารทั้งหลายต้องอาศัยกันและกัน..ถึงเกิดขึ้นได้! ฉะนั้นไม่มีสังขารอันไหนจะมีความเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เองหรือเป็นขึ้นเองหรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!
          ดังที่ปฏิจจสมุปบาทก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด และเหตุนี้..สังขารทั้งหลายจึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้! หรือก็คือที่เรียกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร 3 ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี 3 เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านันเกิดที่ภายใน

          ส่วนวจีสังขาร + กายสังขาร เกิดที่ภายนอกจ๊ะ!

          ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาหลงว่าตนเป็นโพธิสัตว์ ชาติหน้าบ่ายๆ พธร.กำลังตีความปฏิจจสมุปบาทก็เหมือนเด็นกอนุบาลกำลังตีความทฏษฎี E = mc กำลัง 2 พธร.เรียนมากรู้มากแต่ไม่ปฏิบัติ.. จึงไม่มีสภาวธรรม เลยตีความธรรมะผิดหมด!
          ก็ที่คุณ 8705 ว่า "ไม่มีสังขารอันไหนที่จะเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เอง หรือเป็นขึ้นเอง หรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้"นั้น
          ก็หมายความว่า ต้องอาศัยอันอื่นเป็น "เหตุ"ใช่ไหม? จึง "มีการเกิดขึ้น-การเป็นขึ้น-การเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ"..ได้ 
          ก็นั่นแหละ คุณเองก็บอกว่า "ไม่มีสังขารอันไหนที่จะเป็นเอกเทศ!" เกิดเองไม่ได้! เป็นขึ้นเองก็หามิได้! หรือเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!
          ก็แสดงว่ามันต้องมี "เหตุ" ต้องอาศัยมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ เป็นขึ้นได้ กระทั่ง(หลงยึด)เป็นตัวของตนเองโดยเฉพาะ..เข้าไปจนได้
          ดังที่ปฏิจจสมุปบาทก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด
          ก็ต้องศึกษาตามหา "สิ่งนี้"ที่มันเป็นเหตุปัจจัยให้ "สิ่งนั้นจึงมี" นั่นแหละให้ได้ แล้วถ้าเห็นชัดเจนแล้วว่ามันเป็น "อกุศลเหตุ"เราก็กำจัด "เหตุ"นี้ให้ดับสนิทหรือให้ "ไม่มี"จนสำเร็จเสียซี สำเร็จอย่างถาวรยั่งยืนให้ได้ การเกิดขึ้น การเป็นขึ้น ที่คุณ 8705 ยัง "อวิชชา"ว่า เป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็จะหมดไป
          เพราะคุณ 8705 ไปเอา "ตัวจบ"มาเป็น "ตัวต้น" คือ ไปรีบเอา "สัพเพ ธัมมา อนัตตาไ อันเป็น "ตัวจบ"มาเป็น "ตัวต้น" จึงยึดได้แค่ภาษาว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน  แล้วก็เชื่อว่า และเหตุนี้..สังขารทั้งหลายจึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้!
          คนที่ "อวิชชา" ก็หา "ตัวตน"บ่ได้นั้นแน่นอน หรือคนที่ไม่ได้ศึกษาค้นหาตัว "ตัวตน"ก็หา "ตัวตนบ่ได้"! แน่เสียยิ่งกว่าแน่
          แต่คนที่มี "วิชชา"หรือมีสัมมาทิฏฐิ จะไม่รีบด่วนหลงเข้าใจผิดว่า "ตัวตนมีหรือไม่มี" จะเริ่มปฏิบัติ "ตามเห็นตัวตน
"(อัตตานุทิฏฐิ)ให้ได้ ก็คำว่า "อัตตทิฏฐิ"(ความรู้อันเกี่ยวกับตน,ความเห็นว่ามีตน)ก็มีอยู่โต้งๆ แสดงว่ามันมีสภาวะนี้ และในบทศึกษาของพุทธก็มีอยู่โต้งๆ และคำว่า "อัตตานุทิฏฐิ"(ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน)ก็มีอยู่ในหลักศึกษาของพุทธ
          เฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "อัตตสัมปทา" นั้น ยิ่งเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น"แสงอรุณที่จะมาก่อนพระอาทิตย์ คือมาก่อนการเข้าถึงมรรคองค์ 8 พระอาทิตย์ท่านเปรียบกับมรรคองค์ 8"ก็ชัดเจนยิ่งว่าต้องเข้าถึงความเป็นอัตตา(อัตตสัมปทา) เป็นแสงอรุณ ไม่ใช่เข้าถึง "อนัตตา"เป็นแสงอรุณ ก็มันเป็นคนละสภาวะอยู่โต้งๆ  "อนัตตา"มันมิใช่แสงอรุณ ท่านไม่ได้ตรัสว่า "เข้าถึงอนัตตสัมปทา"เลย 
          ผู้ปฏิบัติก็จะปฏิบัติจนกระทั่ง "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนของเหตุที่เป็นปรมัตถธรรมได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "อนิจจานุปัสสี"แปลว่า "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" แล้วจึงจะ "ตามเห็นความจางคลายของกิเลสหรือตัวตนของเหตุที่เป็นปรมัตถธรรมได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "วิราคานุปัสสี"แปลว่าตามเห็น "ความจางคลายในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป"  กระทั่ง "ตามเห็นความดับของกิเลสในใจ" ที่บาลีว่า "นิโรธานุปัสสี"แปลว่า "ตามเห็นความดับในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" เป็นต้น
          แต่เพราะคุณ 8705 ไม่ยอมศึกษา "ค้นหาความเป็นตัวตน"เลย เนื่องจากไปจับเอา "ตัวปลาย" มาเป็น "ตัวต้น" แล้วหลงว่าบรรลุ "ความไม่ใช่ตัวตน"แล้ว จึงไม่ต้องไปศึกษาค้นหา "ตัวตน"มาเห็นจริงว่าเออ.."เรามันยังมีตัวตน"อยู่จริงๆว่ะ!  
           เพราะไป "รู้แจ้งจริงจบ"ด้วยภาษาว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง จึงสรุปให้อาตมาด้วยคำว่า เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร 3 ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี 3 เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้นเกิดที่ภายใน
          ก็นี่แหละ ถ้าขืนใครเอาแต่ "อวิชชา"อยู่ มันก็มีสังขาร 3 อยู่ อย่างไม่รูจักสังขาร 3 กันสักที จึงมีลูกน้องเหมือน 3 เกลอนี่อยู่แน่นอน
          สังขาร 3 นี้คือ กายสังขาร วจีงขาร จิตสังขาร มันก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติ เป็นสามัญลักษณ์ตามประสาไตรลักษณ์ของปุถุชนอยู่นิรันดร์ ที่เขาเรียนกันอยู่ทั่วไปก็คือเรียนสามัญลักษณ์ทั่วไป

          จึงถูก "สังขาร 3"นี้หลอกหลอนอยู่เป็น "สามัญลักษณ์"ตามไตรลักษณ์ที่เป็นของปุถุชนทั่วไป  ไม่สามารถทำให้เกิด "ปัจจัตตลักษณ์"ตามไตรลักษณ์ที่เป็นปรมัตถ์ของอาริยชนสำเร็จ
          ยิ่งใครยัง "อวิชชา" อยู่ ก็ยิ่งไม่รู้ว่า สังขารมัน "มี" และแยก "สังขาร 3" นี้ไม่เป็น  จึงทำ "อภิสังขาร"ให้เป็นบุญไม่ได้
          "อภิสังขาร"ที่เป็นบุญ ในภาษาบาลีคือ "ปุญญาภิสังขาร" หมายความว่า สังขารที่พิเศษยิ่ง หรือปรุงแต่งที่พิเศษยิ่ง และทำได้อย่างเป็นบุญ คือ ทำได้อย่างมีการชำระ
          "บุญ"หมายถึง เครื่องชำระกิเลส การชำระกิเลส มาจากภาษาบาลี "ปุญญ"  รากแห่งความหมายเดิมจริงๆนั้น คือ ชำระจิตสันดานให้หมดจด เป็นภาวะของ "ปรมัตถธรรม"โดยแท้
          สังขาร มีคำแปลอยู่มาก เช่นว่า การจัดแจง,การตระเตรียม,การรวมการกระทำ, การรวมเหตุ,ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น,สิ่งที่เกิดร่วมกันทางใจ,การประกอบขึ้น,ธาตุที่เป็นองค์ประกอบทางใจกับทางกายด้วย
          "อภิ"นี้ มีความหมายลึกซึ้ง เท่าที่ประมวลได้ ก็คือ เผชิญหน้าไปยังที่,มีอำนาจเหนือ,ทับ,ข้างบน,เพิ่มให้มากขึ้น,มากมาย,ใหญ่หลวง,เข้าครอบครอง,เป็นเจ้าของ,เป็นใหญ่,อุบัติขึ้น,งอกขึ้น
          "ปุญญาภิสังขาร" เป็น "สังขาร"ขั้น "อภิ" คือ สังขารอย่างเป็น "บุญ"        
          เมื่อไม่สามารถมี "วิชชา"พอที่จะเห็นความเป็น "สังขารที่เป็นปรมัตถธรรม"ได้ จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า "วจีสังขาร"นั้น คือ ภาวะที่ยังเกิดอยู่ใน "ใจ"เท่านั้น ยังไม่ใช่"วจีกรรม" ยังไม่ออกมาสู่ภายนอกเป็น"กรรมทางวาจา" ยังเป็นเพียง "มโนกรรม"อยู่ในใจ อยู่ภายใน ยังไม่ออกมาภายนอก
          การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น "บุญ"หรือ "ปุญญ"อันเป็นการชำระกิเลสที่เป็น "เหตุ"นั้นๆ เมื่อชำระได้หมดสินบาปในตนเกลี้ยงแล้ว ก็ไม่ต้องชำระอีก นั่นคือ ไม่ต้องทำบุญนั้นอีก ซึ่งจะพูดว่า "ไม่ทำบุญ"ก็ดี  "ไม่ต้องชำระกิเลสนั้นอีกแล้ว" ก็ดี นี้แหละคือคำว่า "อปุญญ"
          การ "อภิสังขาร" ที่เป็น "อปุญญ" ไม่เป็นบุญ จึงที่ประกอบไม่ต้อง "ทำบุญ" ถ้าจิตของผู้นั้นยัง "สังขาร" คือ ยังมี "การปรุงแต่ง" มี "ศักยภาพประกอบกันขึ้น" อยู่ จึงเกิดผลของการปรุงแต่งเป็นแต่ "กุศล" คือ เกิดผลแต่เป็นประโยชน์ เป็นคุณงามความดีโดยเฉพาะท่านจะทำเพื่อทุกคน ไม่เจาะจง ไม่หลงยึดว่า เป็นตัวตน เป็นของตน เฉพาะตนเท่านั้น ใจกว้างไม่ยึดความเป็นของตนจริงใจ
          ยิ่งคำว่า "กายสังขาร"ที่เป็น องค์ประชุมของใจ ที่เป็น "นามกาย"ที่สังขารอยู่ในใจ หรือ "ประชุมของนามธรรม"ที่มีอยู่ในใจ และเป็นการสังขารที่ยังมีการเชื่อมต่อการสัมผัสภายนอกไม่ขาดสายอยู่ด้วย ยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องแน่กับคุณ 8705 เพราะเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป หรือปรมัตถธรรมแท้ๆ ที่ถ้ายังพูดถึงความเป็น"กายสังขาร" ขั้นนี้แล้ว คุณ 8705 กับอาตมามีสภาวะคนละอย่างกันแน่ๆ
          ขอยืนยันว่า ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงสภาวะของจิต เจตสิก หรือความเป็น "รูป"ที่ หมายถึง "สิ่งที่ถูกรู้"โดยเฉพาะสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นแหละเป็นต้น ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าก็ระบุ "นาม"ตัวสำคัญไว้ให้ เช่น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
          ผู้ที่ไม่มีสภาวะ จะไม่รู้ความจริงของความเป็น "วจีสังขาร" จึงเดาเอาเท่านั้น
          ผู้จับตัว "อัตตา"ได้ เรียกว่า "พ้นสักกายทิฏฐิ" นับว่าพ้นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นว่า เจ้าตัวนี้เองที่ "หลอก"เราอยู่ได้ ที่แท้มันไม่เที่ยง เดี๋ยวก็มี คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นความวนไม่จบ นั่นคือ ยังเป็นโลก หรือเป็นภพ
          เมื่อผู้ที่จับ "ตัวสักกายะ"ได้ คือ ตัวตนของตัณหา หรืออุปาทาน 

          ทั้งตัณหา และอุปาทานนี้ คือ กิเลสนั่นแหละ เมื่ออยู่ในฐานะอุปาทาน มันก็เป็นธาตุ "ยึดมั่นอยู่" ซึ่งเป็นอาการที่ "นิ่งๆอยู่" พอมัน "ไหวตัวออกมา" มันก็กลายเป็นฐานะของ "ตัณหา" เป็นอาการที่เห็นได้ง่าย ได้ชัดกว่าฐานะที่เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้าจึงทรงให้กำจัด "ตัวตัณหา"นี้แหละ เพราะมันง่ายกว่าไปกำจัดอุปาทาน
           มันเป็นเหตุแห่งทุกข์แท้ ต้องกำจัดตัวนี้ คือ ปหานมันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จนมัน "ดับสนิท" ก็ไม่มีตัวตนมาเกิดขึ้น มาตั้งอยู่ มาให้ดับไปกันอีกเลย
          จึงสิ้นภพ จบชาติ "ไม่มีตัวตน"ตัวนั้นมาอาศัยกันเกิดอีกแล้ว เพราะสิ้น "ตัวตน"จะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปเรียบร้อยแล้ว
          ผู้เห็น "ไตรลักษณ์" ที่ครบทั้งเห็นแจ้ง "ความไม่เที่ยง"(อนิจจัง) เห็นแจ้ง "ความเป็นทุกข์"(ทุกขัง) อีกทั้งตามหา "ตัวเหตุแห่งทุกข์"พบแล้วกำจัดตัวเหตุอริยสัจ นี้ได้จริง ความเป็นอนัตตา(ความไม่มีตัวตน)จึงปรากฏให้เจ้าตัวผู้ปฏิบัติถึงขั้นบรรลุผลอนัตตาจริงอย่างเห็นแจ้งๆโต้งๆชัดๆสัมผัสอยู่ๆ(สัจฉิ)
          ผู้บรรลุผลเอง เห็นภาวะนั้นๆเอง ในตนเอง ของตนเอง เช่นนี้แลที่ชื่อว่า เป็นผู้เห็น "ไตรลักษณ์"ชนิดที่เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ์" คือ เห็นอย่างสูงส่งละเอียดไปถึงปรมัตถธรรมขั้น อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา จึงสำเร็จขั้นมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิคือ เห็นด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริง อย่างรู้จัก(ตัวตน)ชนิดที่รู้แจ้งรู้จริงในของจริง สภาวะจริง "เฉพาะตน"(ปัจจัตตัง,ปัจเจก)ในปรมัตถ์ของตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความจริงของจริงนั้นๆเองของตนเองที่ปฏิบัติได้เอง ในตนเอง โดยตนเอง(เอโก)
          จึงไม่ใช่เพียงแค่เห็นความ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" อย่างต้นๆตื้นๆง่ายๆหลวมๆเป็นตรรกะ หรือเห็นแค่จินตามยปัญญา ที่ไม่มีภาวะของ "ภาวนามัย" ไม่มีความสำเร็จขั้นเกิดผลธรรมมาให้เห็นแจ้ง ก็ไม่ถึงขั้นมี "ภาวนามยปัญญา" การเห็นไตรลักษณ์แค่ขั้นเห็นความ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"ในลักษณะนี้ ก็เป็นเพียงผู้เห็นไตรลักษณ์ที่เป็น "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็น ลักษณะ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" ที่ยังไม่ถึงขั้นผู้ปฏิบัติหยั่งรู้แจ้งใน"ปรมัตถธรรม" นั่นคือ ไม่เข้าถึงการ "สัมผัส"สภาวะจริงของ "จิต-เจตสิก-รูป" จนกระทั่งเห็น "อนิจจัง" เห็น "ทุกขังไ เห็น "อนัตตา" และที่สุดสัมผัสภาวะของ "นิพพาน"ปรากฏให้เห็นได้เอง อยู่เป็น "ตถตา"
          การเห็นได้รู้ได้ อย่าง "สามัญลักษณ์"นั้น มันเป็นความเข้าใจทั่วไปที่ปุถุชนก็เข้าใจได้ทั้งนั้น จึงเรียกว่า"สามัญลักษณ์"ซึ่งเป็นแค่ตรรกะ เป็นเพียงความรู้ความเห็นทั่วไปที่ร่วมรู้กันได้ เป็น "สามานยนาม"ใครๆก็เข้าใจกันเป็นสาธารณะของปุถุชนที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ 
          แต่ไม่ใช่ "วิสามานยนาม"ที่เฉพาะเจาะจง มีการระบุ "ตัวตน"ได้ ในขณะที่มี "ธาตุรู้ของเราสัมผัสภาวะนั้นๆหลัดๆรู้จักรู้แจ้งรู้จริง "ตัวต"นนั้นอยู่ทีเดียว" ซึ่งเป็นการรู้ขั้น "ญาณหรือปัญญา" ที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน"(อสธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน(อสธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) เป็นญาณข้อที่ 1 ใน 7ของพระโสดาบันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 543
          การรู้หรือมีความรู้ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"นั้น เป็นสาธารณะกับปุถุชน ปุถุชนทั่วไปพอรู้ได้ รู้อย่างซาบซึ้งก็ได้ 
          แต่ "การรู้หรือมีความรู้" ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตนอย่างเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ"นี้ "ไม่ใช่สาธารณะกับพวกปุถุชน"(อสธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน(อสธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) ซึ่งมีนัยสำคัญที่ผู้มีจริงจะรู้แจ้งเห็นจริงเอง ปัจจัตตัง
          การสามารถสัมผัสรู้จัก "ตัวตน"ของกิเลสแล้วเราก็กำจัด ซึ่งเป็นการจัดแจง(สังขาร) เป็นการทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนโดยตน เป็นการรวมการกระทำหรือเป็นการจัดแจงที่เรียกว่า "สังขาร"ของพระโยคาวจรที่มีภูมิเข้าขั้นอาริยบุคคล
          อาริยบุคคลจึงจะทำ "สังขาร" ขั้น "อภิ"ที่เป็น "บุญ"ได้ 
          ดังนั้น "สังขาร 3"ที่เป็น "ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร"นั้น จึงเป็น "อภิสังขาร" ขั้นโลกุตระ มิใช่ "สังขารธรรม"ที่เป็นการกล่าวถึง "สังขาร 3"ทั่วไป ซึ่งแค่สามานยนาม เป็นคำนามที่กำหนดกันกลางๆทั่วไป เช่น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เท่านั้น
          ผู้ปฏิบัติที่มีภูมิเข้าขั้นโลกุตระ เป็นอาริยะเท่านั้นจึงจะสามารถมีอภิสังขาร 3 ได้ เพราะผู้จะสามารถปฏิบัติสัมมามรรคองค์ 8 ถึงขั้นทำวจีสังขาร เป็นอภิสังขารได้สำเร็จ เป็นลำดับๆไป ต้องเป็นอาริยบุคคลจริง
          เพราะสามารถทำใจในใจเป็น "สัมมาปฏิบัติ" ได้แล้ว จึงสามารถทำการจัดแจงหรือการรวมการกระทำขั้น "อภิสังขาร" ที่ปรุงแต่ง "สังกัปปะ 7"จนกระทั่งทำให้ "วจีสังขาร"เกิด จาก "ปุญญาภิสังขาร"ไปจนถึงผลอปุญญาภิสังขารคือ จัดแจงปรุงแต่งสำเร็จได้ถึงขั้น "ไม่ต้องชำระกิเลสในใจอีกแล้ว"เพราะ "ดับสนิทไม่กิดอีกแล้ว
" ซึ่ง "ไม่เกิดอีก" ชนิดที่กระทบสัมผัสโลกธรรมใด ในใจก็ไม่เกิด แม้แต่แค่ "การหวั่นไหวอย่างใดก็ไม่มี" (ผุฏฐัสสะโลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสส น กัมปติ) จึงเรียกว่า "อเนญชาภิสังขาร"(สภาพปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว)
ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
          คุณ 8705 sms ว่า "คนที่ไปเป็นสาวกบริวารให้พธร..นั่น=ว่าพวกคุณหนุนให้พธร.หลงผิดยิ่งขึ้น
"
          คุณ 8705 ไม่เชื่อหรอกว่า อาตมาแสดงธรรมหรือสาธยายธรรมอยู่ตลอดเวลานี้ อาตมาทำใจในใจได้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ได้ทำเพื่อให้คนมานับถือหรือไม่ได้ทำเพื่อจะได้บริวาร ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม 8 จะได้ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ ไม่ได้ทำเพื่อจะได้เป็นลัทธิใหญ่แล้วไปล้มล้างลัทธิอื่นๆ ไม่ได้ทำเพื่อจะได้ให้ใครๆมาเห็นว่าเราวิเศษเก่งกล้า
          ชาวอโศกที่เขามาปฏิบัติตามที่อาตมาสาธยายไป ก็เพราะเขาฟังรู้เรื่อง เขาเข้าใจซาบซึ้ง จึงได้กล้ามาปฏิบัติลดละ ทิ้งโลกธรรมมาอยู่อย่างคนจนตามที่เป็นที่มีอยู่นี้ เขาทั้งหลายไม่ได้มาหนุนให้อาตมาหลงผิด แต่เขามาหนุนเพิ่มขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นหลักฐานให้อาตมาเห็นจริงว่า ธรรมะที่ทวนกระแสโลก ที่โลภในลาภยศสรรเสริญสุขโลกีย์ กลับมาลดละ จนจางคลาย ถึงขั้นดับความเป็นโลกได้กันไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม อย่างที่เห็นได้เป็นจริงอยู่นี้ บรรดาเขาทั้งหลายยิ่งมาสนับสนุนอาตมา ก็ยิ่งเป็นเครื่องแสดง เป็นหลักฐานยืนยันให้อาตมาเห็นความจริงว่า  "ความเห็น" หรือ "ทิฏฐิ"แบบคุณ 8705 นี่แหละคือ การหลงผิด จริงยิ่งๆขึ้น ต่างหากเล่าคุณ 8705
          แม้จะได้แค่ที่ได้เท่าทุกวันนี้ มันก็เป็น "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" น่ามหัศจรรย์ ที่ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยในยุคนี้ สามารถมองเห็นพุทธธรรมที่เป็นโลกุตระได้
          อาตมาก็จะทำงานประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป อย่างมั่นใจนี่แหละ คุณ 8705 ก็พยายามตามพิสูจน์นะ! อย่าเพิ่งรีบถอยไปไหนเสียล่ะ
          และที่อาตมาสาธยายธรรมอยู่ในขณะนี้ โดยเอา sms ของคุณ 8705 มาเป็นประเด็นในการสาธยายนี้ ก็ไม่ใช่เป็นการถกเถียงกับคุณ ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งกับคุณ แต่เป็นการแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ "ปรัปปวาท"ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม
          หมายความว่า เมื่อมีผู้ทำคำสอนให้คลาดเคลื่อนหรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น(ปรัปปวาท) ก็จำเป็นที่อาตมาจะต้องแสดงธรรมให้มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ "หลักการที่เป็นอย่างอื่นไปจากของพระพุทธเจ้า" (ปรัปปวาท) ให้กลับสู่ความเป็น ของพระพุทธเจ้า "อย่างเดิม"ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม
          โดยสหธรรมก็คือ "กับธรรมะ"นี่แหละ หรือมีธรรมะนี่แหละ "พร้อม" หรือ "ธรรมะนี่แหละร่วมกัน" ซึ่งทั้งรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายที่อาตมาสามารถทำให้เกิดขึ้นมาก็ยืนยันพร้อม รวมกันร่วมกันทั้งผู้คนที่แสดงตัวเป็นมวล รวมกันร่วมกันทั้งแสดงความเป็นพฤติพุทธ รวมกันร่วมกันทั้งการดำเนินไปพร้อมกับธรรมะที่สามารถพิสูจน์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จริง      
          ว่า ไม่ใช่เพื่อโลกธรรม หรือไม่ใช่เพื่อให้ใครมาเป็นบริวารสนับสนุน แต่เป็นการเกิดมวลตามสหธรรมเอง จะเป็นการหนุนไปในทางใด คือ หนุนกันไปในทางผิด หรือหนุนกันไปในทางถูก ก็เป็นไปตามสัจธรรมที่เป็นจริงของสัจธรรมแท้ๆ ใครเป็นสัจธรรม ก็ฝ่ายนั้นแหละ อาตมาอาจจะเป็นผู้ผิดตามที่คุณ 8705 ว่าก็ได้ เพราะไม่มีใครสามารถตัดสินสัจธรรมได้หรอก สัจธรรมเท่านั้นที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมเอง  ก็พิสูจน์กันไป
          ขอให้คุณ 8705 อย่าเป็นผู้หลงผิดเลย
          ขอให้เป็นผู้สัมมาทิฏฐิจริงเทอญ
          อาตมาพูดด้วยความจริงใจนะ แต่คุณ 8705 คงจะรู้ความจริงใจอาตมาได้ยากยิ่ง เพราะดูท่าทีคุณ 8705 จะไม่เชื่ออะไรจากธรรมะที่อาตมาแสดงออกไปเอาเสียเลย  ก็ไม่เป็นไร ด้วยความปรารถนาดี ก็ขอแสดงความจริงใจไว้กันอย่างนี้ก็แล้วกัน
          อย่างน้อยเชื่อสักนิดได้ไหมว่า ที่อาตมาพูดว่า "ความจริงใจ"นี้ เป็น "ความจริงใจ"ที่อาตมาสามารถ "อ่านใจตนเองได้" จึงพูด ตามจริงนั้น?
          และขอยืนยันว่า ที่อาตมาสามารถ "อ่านใจตนเองได้"นี้ จนสามารถนำมาประกอบการอธิบายธรรมกันตลอดมานี้ ก็เพราะอาตมามี "ทิฏฐิ"ที่คุณ 8705 เชื่อมั่นว่า อาตมา "มิจฉาทิฏฐิ"นี่แหละ
          อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะอวยพร ว่า ขอให้คุณโชคดี เกิดสัมมาทิฏฐิเถิด อาตมาก็ทำไม่ได้อีกแหละ เพราะอาตมาเชื่อว่า คุณ 8705 ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้วก็ต้องรู้ว่า อวยพรด้วยปากอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากคุณ 8705 เอง ตนเองต้องเรียนรู้ เชื่อเอง และสัมมาทิฏฐิเอง หรือมิจฉาทิฏฐิเอง.

 

          ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • การทำความเข้าใจในวิโมกข์ข้อที่ 1 คำว่า รูปี รูปานิ ปัสสติ แม้เป็นคำสั้นๆ แต่มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรูปเยอะครั้ง พระพุทธองค์สอนให้เบื่อหนายจากรูป การพิจารณาว่ารูปทั้งหลาย....ก็ถูกต้อง
  • คำว่าอัตตาที่ปุถุชนเห็นว่าเป็นสิ่งเที่ยงแท้
  • 1.ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่เรามีคุณค่าและทำให้คนอื่นมีคุณค่าใช่ไหม?..ตอบ..ใช่ ต้องมีคุณค่าอย่างมีธรรมด้วย
  • คุณ 8705 สับสนในตัวเองหรือเปล่า ตอนต้นบอกว่าธรรมะทั้งหลายอาศัยกันต่อเนื่องจึงเกิด แต่ตอนท้ายกลับเห็นว่าทุกอย่างไม่มีตัวตน
  • เมื่อไร พธม. กับสันติอโศกจะร่วมมือกันปฏิรูปประเทศไทย ช่วยเป่านกหวีดเร็วๆหน่อย บ้านเมืองจะล่มจมหมดแล้ว.....ตอบ...ร่วมมือ และปฏิรูปอยู่แล้ว หายใจเข้าก็ทำหายใจออกก็ทำ ปฏิรูปประเทศมีหลายนัยยะ ทำได้หลายหน้าที่ ทำจนหัวเป็นน็อตตัวเป็นเกลียวอยู่แล้ว ทั่งเราและพธม. ก็ช่วยกันเถอะ
  • พท. ช่วยดูพระไตรฯล. 23 หน้า 117...ว่า เพื่อเป็นการยืนยันว่าธรรมะเป็นสิ่งที่เป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าเริ่มที่อะไรก็ไม่ใช่ตัวตนเลย.....ตอบ....  ปหาราทสูตร

     [109] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้

กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม

พระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะ

จอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูร

กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ

     พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูร

เห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ

     ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า 8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด

ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด

 ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา

ประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่

มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ใน

มหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร  คลื่นย่อมซัดเอา

ซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และ

ในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมี

มาประการที่ 3 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา  อจิรวดี สรภู

มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่า

มหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา

อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด

 ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในมหาสมุทร

ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

         อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจาก

อากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศ

ตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่

น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่

มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในมหาสมุทร

 ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

         อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ

 แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต

 ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ

 แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์   สังข์  ศิลา   แก้วประพาฬ   เงิน  ทอง   ทับทิม   มรกต

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึง

อภิรมย์อยู่ ฯ

         อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตใน

มหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลาพวกอสูร นาค คนธรรพ์

แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ ก็มีอยู่

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตใน

มหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์

แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500โยชน์ ก็มีอยู่

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึง

อภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา 8 ประการ ในมหาสมุทร

 ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรม

วินัยนี้บ้างหรือ ฯ

         พ. ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้ ฯป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร

ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     พ. มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะมหาสมุทรลาด ลุ่ม

ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา

ไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผล

โดยตรง ดูกรปหาราทะข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ

 มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยทรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคย

มีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวก ทั้งหลายของเรา

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่

สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่า

อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

         พ่อครูแวะ....คนทุกวันนี้สาบานไปทั่ว ขอให้ฟ้าผ่า ขอให้ฉิบหาย ทั้งที่มีหลักฐานว่าผิดๆ ก็ยังกล้าสาบาน เป็นยุคคนไม่กลัวบาป

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร  คลื่นย่อมซัดเอา

ซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกันบุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม

มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้

ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน(เน่าใน) ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดัง

หยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่

ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา

ดูกรปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว

 ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติ

พรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น

ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันทีแม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3

ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา  อจิรวดี สรภู มหี

แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทร

นั่นเอง ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์

แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและ

โคตรเดิมเสียถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ

กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว

ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์

อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

         ดูกรปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศ

ตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ดูกรปหาราทะ

 ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุ

ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะ

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึง

อภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว  คือ  รสเค็ม  ฉันใด   ดูกรปหาราทะ ฉันนั้น

เหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ

 วิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลาย

เห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ

แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด

ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้น

มีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7อริยมรรคมีองค์ 8 ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัย

นั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5พละ 5 โพชฌงค์ 7

อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุ

ทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร

นั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มี

ร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่

ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ

สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือพระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล

 พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อ

กระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์

         ดูกรปหาราทะข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ใน

ธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่า

อัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

                          จบสูตรที่ 9

 

  • คุณแม่ทำขนมขายที่ชมร. มีคนชมว่าขนมอร่อย คุณแม่จะเป็นคนที่มอมเมาคนให้ติดอร่อยหรือไม่?...ตอบ....ก็มอมเมา แต่ว่าอย่าไปเคร่งตึงมากไป แม้แต่อรหันต์ก็ต้องสัมผัสรสอร่อยเพื่อไว้ดูจิตใจว่ายังมีดูดหรือผลักหรือไม่...แต่ก็อย่าไปแสวงหาสัมผัสมากเกินไป ทำเท่าที่มีให้หมดก็แล้วกัน
  • กายสังขารที่เป็นองค์ประชุมของใจ ที่เป็นนามกาย คืออะไร?...ตอบ..คือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง.........ทั้ง 5 ทวาร พอสัมผัสแล้ว ธาตุรู้คือจิตของเราคือนาม ก็รู้เชื่อมโยงไปข้างใน ก็เริ่มต้นเป็นนามแล้ว เมื่อเริ่มรับรู้ เกิดวิญญาณที่เกิดจากการสัมผัส เพื่อกระทบแล้วมีการปรุงแต่งอย่างไร เช่นกระทบหัวมันเทศ มันแกว ที่หน้าโต๊ะพ่อครู มีมันชื่อที่พ่อครูตั้งชื่อให้ว่า "มังกรหยก" แต่ชื่อเดิมลืมแล้ว เราใช้ใบมากิน เสียบแล้วติดง่าย มันคือผลผลิตของชาวอโศก  พอมาเป็นกายในกาย แล้วสิ่งที่เราสังขารเข้าไปเป็นเวทนา(เป็นอารมณ์)มันปรุงปุ๊ปเลยเป็นสุขหรือทุกข์ นั่นแหละคือนามกาย ที่เราต้องรู้ คือสิ่งที่ถูกรู้ก็เรียกว่ากาย หรือรูป แต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นเป็นนามธรรม เช่น สุขหรือทุกข์ เมื่อมันถูกรู้มันก็คือรูป หรือเรียกว่า "นามกาย" ให้ตามรู้ ทางทวารทั้ง 6 ที่มันจะรับมาสังขาร พวกโลกๆก็จะสังขารไปอย่างไม่รู้ก็เกิดสุขเกิดทุกข์ แต่เราจะเรียนรู้ ในมโนปวิจารณ์ 18 ที่เป็นนามกาย เราก็ทำให้มันเป็นเจโตปริยญาณ 16

     ที่เขาเรียนมาก็มีแต่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต จะพามาทำอย่างพุทธแบบลืมตาก็ไม่ง่าย ดีที่มีพระไตรฯ

  • การปหานกิเลส ในตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นการทำฌานเพื่อสะสมสมาธิพุทธ คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ใช่หรือไม่....ตอบ...ใช่ ...การทำฌานคือจิตก็ต้องรู้สภาพนี้ ต้องรู้ว่าอาการตักกะคืออย่างไร วิตักกะคืออย่างไร สังกัปปะคืออย่างไร สังกัปปะก็เกิดมาจากการตักกะ วิตักกะ ให้ดูเหตุที่มาปรุงแต่งในจิต ก็คือกามและพยาบาท เมื่อกำจัดมันด้วยปหาน 5 มันก็จะสั่งสมฌาน สมาธิ อย่างลืมตามีผัสสะ ไม่เหมือนการทำสมาธิหลับตา
  • ช่วยแนะการทำใจในใจ โดยเฉพาะรบ.กำลังขายชาติทั้งเขาพระวิหาร และน้ำมัน..ตอบ...ก็ปลงเสียเถอะยุคนี้เป็นยุคที่ซวยมากแล้ว คนบริหารเขาไม่นึกถึงปชช. เพราะเขามีฐานะแล้ว ยิ่งเขาทำเขายิ่งได้ทรัพย์ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มาช่วยกันทำการเมือง เมื่อเราจะมาประท้วงรบ.ที่ไม่ชอบมาพากล พอถึงเวลาประท้วงก็ให้มากันมากๆพอ ไม่วันใดวันหนึ่ง ถ้าไม่มากพอเขาก็ย่ามใจ ต้องรู้ว่าปชต.คือ 1 คน 1เสียงเป็นคะแนนสด ไม่ใช่ว่าไปลงคะแนนเสียงมันเป็นเรื่องไกล เรื่องใกล้สุดคือมาประท้วง เรามาประท้วงอย่างสงบ เปิดเผย จะมีฤทธิ์ แต่เมืองไทยยังขี้เกียจ เห็นแก่ตัว เอาแต่ทำมาหากิน กลัวเปลืองตัว แต่ถ้ามามากจริงก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ....ก็พยายามวางใจ และช่วยกัน
  • การเสี่ยงทายตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้แล้วลอยถาดทองคำ หากผมจะเสี่ยงเซียมซีจะได้ไหม?...ตอบ...คุณไปรู้ใจพระพุทธเจ้าได้อย่างไรว่าที่ท่านลอยถาดทวนน้ำคือการเสี่ยงทาย แต่ถ้าเป็นบุคคลาฐิษฐาน การลอยถาดทวนน้ำคือ ท่านเกิดสภาวะอันทวนกระแส ท่านจะบรรลุ
  • หากผมจะสรุปว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้สะอาดจะบรรลุธรรมได้ไหม?...ตอบ...สุดท้ายก็คือโอวาทปาติโมกข์
  • ความโกรธกับอาการโกรธต่างกันอย่างไร ..ตอบ...อาการโกรธ แล้วเรารู้สึกอ่านออกว่าเราโกรธในจิต การรู้สึกอย่างนั้นแล้วเราก็อ่านอาการออก การอ่านอาการนั้นคือ "นาม" ส่วนความรู้สึก "โกรธ" คือนามหรือสิ่ง ถูกรู้
  • อรูปที่เป็นภายนอกคือ.อะไร?  ตอบ....คือสิ่งที่ละเอียดแล้ว ไม่ใช่โอฬาริกอัตตา คืออัตตาระดับมโนมยอัตตา คือคุณล้างกิเลสแล้ว คุณก็ไม่เกิดกิเลสในระดับมโนมยอัตตาหรือรูปาวจร พอล้างรูปาวจรได้ ก็เหลือสิ่งละเอียดอีกเรียกว่า "อรูป" แม้เป็นนามกาย ก็คือสิ่งที่ถูกรู้ได้อีก ก็ทำอย่างลืมตานี่แหละ นี่คือของพระอนาคามี
  • ตั้งแต่เปลี่ยนเป็นจานดำ มีพธม.ดูเอฟเอ็มทีวี มากขึ้นอีก...อยากให้พ่อท่านแนะนำ ส.ขจ. ครับ....
  • ขอยืนยันบอก 8705 ว่าถ้าคุณมีปัญญาจะฟังโลกุตรธรรมเข้าใจ คุณต้องปฏิบัติให้มีสภาวธรรมจึงฟังธรรมจากสัตบุรุษได้ ยืนยันว่า คำสอนที่เป็นสัจจธรรมมีหนึ่งเดียวเท่านั้น....
  • พ่อครูสรุปว่า.....ธรรมะทุกวันนี้ที่พ่อครูพยายามอธิบายแจกละเอียด รู้สึกว่าเหนื่อย แต่มี เอ็นโดฟีน พ่อครูตั้งใจทำงานเหล่านี้ ก็ให้ตั้งใจฟังดีๆ ใช้สมาธิให้ดี พวกเราก็ฟังกันดี ตั้งใจฟังกันดี อันนี้ก็ดี ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการมาอย่างสมัครใจ ก็เกิดกำลังใจที่ไม่เสียเปล่าที่ทำงานมา แม้ยากแม้ละเอียดก็ยังมีคนฟังแล้วเกิดธรรมรส ก็ขอบคุณทุกคนที่มารับฟังธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วเอาไปทำให้เกิดผล สืบทอดชีวิตพระพุทธศาสนาต่อไป....จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:50:07 )

560317

รายละเอียด

560317_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่องดับตัณหาในเวทนาจนเกิดอปุญญาภิสังขาร
          ส.ฟ้าไทดำเนินรายการ ที่บ้านราชฯ...ตอนนี้ในเวลาไม่ถึง 1 เดือนก็จะมีงานตลาดอาริยะที่ราชธานีอโศก เป็นตลาดที่ขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน สิ่งที่จะขาดทุนได้มากคือ ปุ๋ย จาก 280 บาทเหลือ 180 บาท ซื้อได้คนละ 2 ตัน นำบัตรประชาชนมาด้วยในการซื้อ และยังมีกสิกรรมแฟร์มีพืชผักหลายชนิดให้ชม ใช้เวลา 1 เดือนเศษในการเนรมิต ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีแต่อย่างใด เป็นการพิสูจน์ศักยภาพของชาวอโศก เหมือนใช้คาถาเสกขึ้นมา

          ที่ผ่านมามีคุณ 8705 โต้แย้งมา พ่อครูก็ได้นำมาตอบประเด็น คนชมก็เลือกเอาว่าสิ่งไหนเป็นธรรมวาที สิ่งไหนเป็นอธรรมวาที เป็นการปรับปวาทะ ทำให้เราคนฟังหรือสาวกได้ชัดเจนขึ้น

          พ่อครู...ขอใช้คำนี้คือคำว่า ปรัปปวาทะเป็นคำกล่าวนำ ที่พูดกันนี้บางคนว่าเป็นการแย้ง หรือการเถียง ในการแย้งเราก็แย้ง ในการเถียงคือการเอาชนะคะคานกัน แต่แย้งคือเชิงวิจัยวิจารณ์ทำให้เข้าใจได้ดีขึ้น พระพุทธเจ้าใช้คำว่า ปรัปวาทะ มีคำว่า ปร กับ วาทะ  คำว่าปร คือเป็นอื่น วาทะ คือคำพูด ถ้าคำพูดใดที่เป็นอื่นไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า

          พระพุทธเจ้าท่านก่อนปรินิพพานท่านได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใดเราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

          แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ คือแสดงธรรมข่มขี่ อย่างปาฏิหาริย์ด้วย ทำให้เกิดความเรียบร้อยมีความเข้าใจ แม้ถึงขนาดที่ผู้ที่แย้งมาเกิดความเข้าใจได้ แต่พ่อครูไม่แน่ใจว่าคุณ 8705 จะเข้าใจได้ ทั้งที่เรามี สหธรรม คือผู้ที่มาร่วมกันรวมกันอย่างชาวอโศกมาเป็นหมู่กลุ่มเลย มีพฤติพุทธ สุขสบายไม่มีการแย่งชิง อย่างโลภ โกรธหลง สังเกตุได้เราไม่เหมือนกับชาวโลกเขา เราแสดงทั้ง กาย วาจา ใจ แก่โลกเขา เราทำเสียสละเพื่อคนอื่น ไม่ไปแย่งชิงเขาอย่างแท้จริงเลย

          คุณ 8705 sms มาเมื่อวานนี้ว่า 0888705xxx          ถ้าพระทั้งหลายในอดีต ตีความธรรมะเพี้ยนแบบพธร..พุทธศาสนาย่อมเจ้งไปแล้ว!    0888705xxx     นักธุรกิจโกงเมืองกับนักบวชที่ปาราชิกแล้ว..ย่อมไม่อยากให้มีขุมนรกจริง!

0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีตแปลธรรมะมั่วแบบพธร.ป่านนี้พุทธศาสนาก็คงเจ้งไปแล้ว!

 

          พ่อครูตอบว่า..... คุณไม่มีภูมิรู้เองว่าพุทธศาสนามันเพี้ยนไปแล้ว มันสมบูรณ์ไปด้วยโลกธรรม ด้วยอวิชชา เต็มไปหมด มันเหมือนกลองอานกะ มีชื่อว่าศาสนาพุทธ แต่เนื้อไม่ใช่กลองอานกะแล้ว เหมือนพุทธ แต่ก็ยังเรียกว่ากลองอานกะ ยังเรียกว่าพุทธ เช่นเดิม แต่ก็ไม่ขอรับถ้าเขาจะยกมาเป็นแบบเราเลย เพราะเรารับไม่ไหว คุณต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติให้มีมรรคผลพอสมควร จึงมาอยู่กับชาวอโศกได้

          ถ้าคุณบอกว่าพ่อครูตีความเพี้ยน นั้นเป็นการใส่ความ เพราะถ้าพลเมืองเรามีการนับถือศาสนาพุทธ95 เปอร์เซ็น บ้านเมืองเราไม่แย่ขนาดนี้หรอก เพราะที่บริหารบ้านเมืองทุกวันนี้ เป็นลูกศิษย์ลูกหาของใคร แต่พ่อครูเราไม่ค่อยให้ใครเรียกว่าอาจารย์ มีเรียกว่าครู คือพ่อครู และที่ต้องบอกแสดงว่าเป็นโพธิสัตว์เพราะจะเป็นต้อง พูดข่มขี่ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม อย่างที่พวกเรามาฟังนี่แหละ ในทุกอิริยาบถอยู่ สำเร็จอิริยาบถอยู่

          ให้เข้าใจว่ามนุษย์ที่เป็นพุทธอยู่อย่างนี้ เสียสละหรือเอาเปรียบอย่างไร สงบสุข ไม่เดือดร้อนอย่างไร เป็นอาริยะอย่างไร คนที่มีปัญญาจะอ่านออก จำเป็นต้องเปิดเผย ไม่ได้ยกตัวยกตน แต่เพื่อแสดงปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทะให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

          มันเป็นปาฏิหาริย์เพราะเป็นไปได้ยาก ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าแสดงกายธรรม ที่มีคนมาอยู่เป็นหมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้าน อ.พิภพ ว่าถ้าประเทศไทยเรามีหมู่บ้านอย่างอโศกกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไทยเราจะดีขึ้นไม่น้อยเลย ซึ่งพ่อครูว่าเราจะอยู่กันกระจายเป็น ข่ายแห (Pyramidal web)มีลักษณะจนกระจุก รวยกระจาย แต่ทุนนิยม รวยกระจุก จนกระจาย

          แม้แต่ในสังคมพระ ผู้ที่เป็นใหญ่จะรวย รัฐบาลไม่เข้าใจก็ไปให้เงินเดือนพระอีก ก็นิสสัคคียะปาจิตตีย์ ส.ฟ้าไทว่า ถ้าไม่ให้ก็ไม่มีพระ....พ่อครูว่าให้หมดไปเลยดีกว่าเป็นอย่างนี้

          ส.ฟ้าไทว่า แต่ก่อนเราก็ไปวัด แต่สังคมก็แย่ลงๆ เปรียบเทียบกับที่มาอยู่กับพ่อครู ได้เห็นสังคมพัฒนา ตัวเราก็เห็นแก่ตัวน้อยลงเสียสละเพิ่มขึ้น สังคมก็ดีขึ้นได้

          มีคุณ 8705 sms มาซ้ำว่า 0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีตแปลธรรมะมั่วแบบพธร.ป่านนี้พุทธศาสนาก็คงเจ้งไปแล้ว! ก็ส่งมาซ้ำๆ ซึ่งพ่อครูไม่เอาชนะคะคาน แพ้ได้ แต่ก็ยืนยันสัจธรรมไป ก็ขอบคุณที่ส่งมาเพื่อให้เป็นประเด็น เป็นเหตุปัจจัยให้เรามาอธิบาย

          และยังมีมาว่า 0888705xxx ชาวอโศกรู้ได้อย่างไรว่ากระทะทองแดงในขุมนรกไม่มีจริง..เคยตายมาแล้วหรือ?

          ขอตอบตรงๆว่า พ่อครูเคยตาย คุณเองไม่เคยตายก็เรื่องของคุณ นี่เป็นลักษณะของอุจเฉททิฏฐิ ทำไม่แค่เดาว่าคุณเชื่อไหม ที่พระพุทธเจ้าว่าเวียนเกิดเวียนตาย ทำไม่เราจะไม่เคยตาย แต่ตายด้วยอวิชชามันก็ไม่รู้ แต่พ่อครูว่า พ่อครูเคยตาย แต่ตายด้วยวิชชา สามารถรู้รูปธรรม นามธรรม ของจิตได้ ไม่ใช่ตายอย่างปุถุชนที่ต้องไปรับวิบาก แต่พ่อครูเคยตายอย่างมีสติสัมปชัญญะ

          เมื่อตายไปจิตวิญญาณจะไม่มีสรีระรูปร่างอะไรหรอก แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ดูถูกนรกที่เป็นรูปร่าง เพื่อให้คนที่ยึดถือสมมุติสัจจะได้กลัวบ้าง แต่จิตวิญญาณนั้น อสรีรัง เอกจรัง ไม่ได้เดา แต่ยืนยันหลักฐานตามพระพุทธเจ้า พ่อครูสามารถที่จะมีเช่นนั้นจึงเอามาพูด ทั้งที่ค้านกับคนทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะมันเพี้ยนเป็นกลองอานกะไปแล้ว จำเป็นต้องแสดงปาฏิหาริย์ข่มขีปรับปวาทะให้เรียบร้อยโดยสหธรรม แสดงทั้งตัวเองและพวกคุณที่มาเป็นสหธรรม ไม่ได้เถียงเพื่อเอาชนะด้วย แต่พูดด้วยเหตุผล

          พ่อครูไม่ได้ปฏิเสธนรกว่าไม่มี เคยมีคนอ้างพระไตรฯบอกว่านรกมีจริงแบบมีภูมิศาสตร์มีดินน้ำลมไฟเลย แต่มีพวกเราไปค้นพระไตรฯ ปรากฏว่าพระองค์ทรงเปรียบเป็นอุปมาอุปไมย แต่มีสิ่งที่เปรียบเทียบไม่ได้เลยคือ นิพพาน คือนัตถิอุปมา นอกนั้นอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบได้หมด คนที่ไม่รู้ก็ไปจับเอาสิ่งที่อุปมาอุปไมยมาเป็นจริงเป็นตัวเป็นตนไป

          คุณ 8705 มาอีกว่า 0888705xxx นักธุรกิจโกงเมืองกับนักบวชที่ปาราชิกแล้ว..ย่อมไม่อยากให้มีขุมนรกจริง!

          ก็จริง นักบวช นักธุรกิจโกงเมือง ที่ชั่วเขาก็รู้ว่าทำชั่ว เขาก็ไม่อยากให้มีนรก แต่นักบวชที่ไม่ปาราชิกจะไม่กลัวนรกเลย เพราะมีกำลัง 4 พ้นภัย 5 แล้ว พ้นทุคติภัยคือนรก ไม่ได้กลัวเลย ไม่ได้อยากหรือไม่อยากมี เพราะนรกก็มีอยู่ตลอดสำหรับผู้ที่มีภูมิตกนรก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ แม้คุณจะเข้าใจผิด เช่นคนที่ฆ่าสัตว์ หรือเดรัจฉานฆ่ากัน (โพธิสัตว์ที่ไปเป็นเดรัจฉานจะไม่ทำบาปไม่เหมือนเดรัจฉานทั้งหลาย)  พ่อครูไม่ได้เดาแต่พูดด้วยความจริงของตน

          ผู้ที่เป็นนักบวชไม่ปาราชิก มีปัญญา จะรู้และพ้นภัย ทั้งมรณะภัย ทุกคติภัย ปาริสสารัชชภัย(ไม่สะทกสะท้านในบริษัท) อาสิโลกภัย(กลัวคนติเตียน) ไม่ใช่หน้าด้าน เดี๋ยวนี้คุณ 8705 ไม่ค่อยด่าหยาบแล้วก็พัฒนาขึ้น

          ที่ว่าพระพุทธเจ้ายืนยันว่า นรกสวรรค์ที่มีตัวมีตนไม่มีจริง...แต่คือการอุปมาอุปไมยนั้น มีอยู่ในพระไตรปิฏก เชิญไปค้นดูได้

          0888705xxx          เดี๋ยวนี้มหาจำลองเอาเข็มเทียนแห่งธรรม(หรือเข็มทองแห่งธรรม!) มอบแก่ผู้บริจาคเงินให้ASTVแล้ว แต่บังคับว่าจะต้อง10000บาทขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีสิทธ์ได้รับเข็มเทียนแห่งธรรม! ซึ่งนั่นก็แสดงว่า..เข็มทองแห่งธรรมที่พธร.เคยบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้บรรลุโลกุตระ! ฉะนั้นจะมอบให้เฉพาะแก่ผู้บรรลุโลกุตระแล้วเท่านั้น เช่นว่า ถ้าใครได้1เข็มทอง ก็=ผู้นั้นเป็นโสดาแล้ว ถ้าใครได้2เข็มทอง ก็=ผู้นั้นเป็นสกิทาแล้ว ถ้าใครได้3ทอง ก็=ผู้นั้นเป็นอนาคาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น แต่แล้วเพราะเหตุใด..นอกจากพธร.จะใช้เข็มทองเพื่อล่อให้สาวกบริวารหลงติดอยู่กับลัทธิของตัวเองแล้ว..เดี๋ยวนี้มหาจำลองก็เลยเอาอย่างพธร.บ้าง ด้วยการเอาลาภแลกลาภ!แต่บังคับว่า จะต้องบริจาคหมื่นบาทขึ้นไป ถึงจะมีสิทธ์ได้รับเข็มทอง ฉะนั้นจึงแปลความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า..ถ้าใครบริจาค10000บาทขึ้นไป ก็เป็นโสดาได้แล้ว! เพราะว่ามีเข็มทองแห่งโลกุตรธรรมเป็นสัญ-ลักษณ์นี่ไง! จึงถามหน่อยว่า เดี๋ยวนี้มหาจำลองจะยึดเอาธุรกิจศาสนาของพธร..มาแปลงเป็นธุรกิจการเมืองเลียนแบบมหาทักษิณณ.ดูไบ แล้วหรือ? สรุปว่า ถึงพธร.จะถูกกล่าวหายังไง..แต่สะยังอภิญญาระดับศรีธนญชัยของพธร.ก็คงจะสามารถหาข้อแก้ตัวไปได้แบบน้ำขุ่นๆอยู่แล้ว..ชิมิๆ สวัสดีเข็มทอง

0888705xxx       ถ้าอยากรู้ว่าเดียถีในสมัยพุทธกาลเป็นยังไง..ก็ดูได้จากกลุ่มอโศกนี่แหละ!

          พ่อครูจำเป็นที่จะไม่อธิบายไม่ขยายความ เพราะเป็นจิตวิทยาในภูมิสังคมของพ่อครู ถ้าไปอธิบายไปเปิดเผย จิตวิทยานี้ก็ด้านไปหมด ไม่หลงลมไปเปิดเผย แต่ขอยืนยันว่า มีผลสำเร็จโดยไม่ต้องจ่ายเงินเหมือนคุณจำลอง ในบริบทสังคมคุณจำลอง กับของพ่อครูนั้นคนละบริบทจ๊ะ ของคุณจำลองเป็นแนวกว้าง แต่ของพ่อครูนั้นคนที่มาได้รับการคัดมาระดับหนึ่ง อย่ามั่วมามอบให้พ่อครู

          น้ำของพ่อครูใส แต่ตาของคุณ ขุ่นต่างหาก

          0888705xxx       อสังขาริกหมายถึงไม่ต้องมีผู้ชักชวน! แต่พธรกลับไปแปลเพี้ยนเป็นอย่างอื่น

          เดิม โบราณาจารย์แปล ท่านพรหมคุณาภรณ์ แปล อสังขาริกะ คือไม่ถูกชักจูงจากภายนอกแล้ว  แต่ของพ่อครูขยายความแปลว่า ไม่ถูกชักจูง ลากจูงจากภายนอกคือ รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส จากมนุษย์โลก ดึงออกไป พาไปสู่โลกแล้ว

          เขาแปลตามพยัญชนะเป็นการยึดตัวอักษร แต่ไม่มีสภาวะก็แปลไม่ถูกปรมัตถ์ ก็น่าสงสาร

          มีคนที่ทนไม่ไหวฟังรายการพ่อครูแล้วส่งความเห็นมาว่า คิดอย่างนี้ บาปหรือไม่ครับ? ...ยิ่งนานวันคนมิจฉาทิฏฐิที่ตั้งใจจะสร้างปัญหา สะสมปัญหา จนยากที่คนผู้ตั้งใจเอาภาระสังคมต่างเมื่อย จนคิดจะถอดใจ ถ้าหากสังคม สามารถมีผู้ที่ใจเด็ดแบบนักบินญี่ปุ่นเมื่อครั้งสงคราม ที่เมื่อรู้ว่า เทคโนโลยีตน เครื่องบินของตน สู้ข้าศึกไม่ได้ โดยตนจึงเต็มใจ นำชีวิตตนจักต้องแลกชีวิตผู้บุกรุก จากการโดนยิงให้ตก และก่อนจมลงในมหาสมุทร ก็ฮึดสู้พุ่งชนเรือข้าศึก พร้อมสละชีวิต นั่นคือ ยุทธวิธีคะมิกาเซะ

          ที่ถาม เพราะคนมิจฉาทิฐิ จะรู้ดีว่า ความชอบธรรมอันเป็นพลังโดยแท้ที่จะปราบตน จะต้องใช้มวลชนจำนวนมาก ถึงจะมีความชอบธรรม ถูกธรรม ตรงธรรม ตน และพวกตนจึงตั้งใจสร้างปัญหาให้เกิดมากๆๆๆ จนคนที่ตั้งใจ ...เกิดอาการเบื่อหน่าย ไม่ก็ เซ็ง แบบธุระไม่ใช่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเหล่ามิจฉาทิฏฐิ ที่จะทำร้ายแผ่นดินต่อไป อย่างย่ามใจ ส่วนใครที่คิดจะเป็นคิมิกะเซะ โดย จะเกิดหรือไม่ก็ตาม ขอถามว่า หากเกิดมีจริง คนที่จะกระทำต่อคนมิจฉาทิฏฐิ ที่ทำร้ายชาติ ในทัศนะของนักการศาสนา จัดว่า จะเป็นบาป หรือ จัดว่าเป็นการเสียสละ?

          เขาเสียสละเพื่อส่วนรวม พวกมนุษย์กามิกาเซะ เขาเสียของตนเองเพื่อให้ได้กำไรเพื่อส่วนรวม มันมีส่วนบาปและส่วนบุญ คุณเสียสละเพื่อมวลชน ถึงตายคุณไม่ได้บุญเลยนะ บุญไม่ใช่กุศล เมื่อหมดบาปก็หมดบุญ บาปหมดแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีก หมดกิเลสให้ชำระแล้ว

          เขาไม่ได้เจตนาฆ่าตัวตาย แต่เขาจำนนว่าเขายอมเสีย เขาพ้นมรณภัย เขาไม่กลัวตาย แต่บางศาสนาบอกว่าตายเพื่อศาสนาเป็นบุญ ทำคาร์บอม แต่ศาสนาพุทธมีสองนัย อย่าฆ่าตัวตาย แต่ถ้าสุดวิสัยก็จบ จะว่าเป็นกุศลก็เป็นกุศลแน่ แต่ว่าจะเป็นบุญนั้นแล้วแต่ว่าจะลดกิเลสหรือไม่ 

คะมิกะเซะ (ญี่ปุ่น: 神風 Kamikaze ?) หรือ เรียกอย่างเป็นทางการว่า กองกำลังจู่โจมพิเศษ (特別攻撃隊 โทะกุเบะสึโคเกะกิไต) เป็นคำในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่าลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ คะมิกะเซะในภาษาญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เรียกลมสลาตัน และนำมาใช้เป็นชื่อฝูงบินและนักบินคะมิกะเซะเท่านั้น ต่างไปจากในภาษาอังกฤษที่ชาวตะวันตกนำคำๆ นี้มาใช้เรียกการโจมตีแบบพลีชีพ (suicide attacks) คำๆ นี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย

ญี่ปุ่นใช้ยุทธวิธีพลีชีพด้วยฝูงบินคะมิกะเซะนี้เป็นอย่างมาก ในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นบุกฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) และเพื่อหยุดยั้งการบุกของกองทัพเรือฝ่ายสัมพันธมิตร และที่เมืองโอะกินะวะ

          ต่อไปพ่อครูจะอ่านที่ได้เรียบเรียบตอบคุณ 8705 ดังนี้

                            ตอบประเด็นคุณ 8705 (12มีค.56)

            ที่คุณ 8705 แสดงความเห็นมาแล้วว่า "รูปนามเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เป็นสันตติ ไม่ใช่ตัวตน"
            ก็เท่ากับว่า ถ้าผู้ใดขืนเห็นว่า "มีตัวตน" ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ผู้เห็นว่า "มีตัวตน" แล้วก็ไปวุ่นวายทำให้ตัวตนหมดไปหรือ "ดับไป"นั้น ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่
            ใครยังขืนเห็น "ความไม่มีตัวตน" จนได้นั้น ผู้นั้นต้องจัดอยู่ในพวกเข้าใจว่ามีตัวตน แล้วยังดันทุรังไปมัวทำให้ตัวตน(อัตตา)หมดไปหรือดับไปจนสำเร็จ "ไม่มีตัวตน "อยู่อีก ผู้เข้าใจความ "ไม่มีตัวตน "แบบนี้ คือ ผู้มีนิรัตตา
            นิรัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน ผู้ยึดถือ "ความไม่มีตัวตน" แบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
            ผู้สัมมาทิฏฐิ จะต้อง "มีปัญญาอันเฉียบแหลมยิ่ง" เห็นแจ้งใน "ความไม่ใช่ตัวตน" เท่านั้น จึงจะสัมมาทิฏฐิ เพราะ "อนัตตา" แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน อย่าไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" จะเป็นคนโง่ และโง่มากๆ โง่ต่ำๆอย่างที่คุณ 8705 เคยว่าอาตมาไว้นั่นแหละ
            การเห็น "ความไม่ใช่ตัวตน"ของคุณ 8705 นั้น คือ เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" มันก็ "เกิด-ดับ เกิด-ดับ" ต่อเนื่องกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ขาดสาย เป็นอยู่นิรันดร ใครจะไปจับให้มันเป็นตัวตนได้  ในเมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป เป็นสามัญลักษณ์ เป็นธรรมชาติ  
            ใครอย่าไปแปล "อนัตตา" ว่า "ไม่มีตัวตนเชียว" มิจฉาทิฏฐิแล้ว
            ความเข้าใจในคำว่า "นิรัตตา"กับ "อนัตตา"ของคุณ 8705 กับความเข้าใจของอาตมา กลับขั้วกัน หรือคนละความหมาย มีนัยสำคัญคนละอย่าง ทั้งการใช้ภาษาอธิบายความเป็นนิรัตตาและอนัตตา โดยเฉพาะการมีสภาวะ อาตมาก็เห็นสภาวะคนละอย่างต่างกับคุณ 8705 ถ้าคุณ 8705 จะมีสภาวะนะ ท่านก็เห็นสภาวะของท่านอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ คือ เห็นแต่มันเกิดดับเป็นสายต่อกันอยู่อย่างนี้  แยกอะไรไม่ได้ แยกรูปแยกนาม ไม่ได้
            โดยเฉพาะแยกความเกิดของรูป ความตั้งอยู่ของรูป ความดับไปของรูป ที่เป็นมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ความเกิดของนามที่เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการจนสามารถการสัมผัสเห็น "ความเกิด" ของรูปนั้นๆ และความดับของรูปนั้นๆ ท่านแยกไม่ได้ ท่านเห็นแต่ว่า มันต่อเนื่องกันเป็นสันตติ เห็นไหมว่า สันตตินี่แหละมันบังความเป็นรูปนาม
            โดยเฉพาะการเห็นความเกิดของนาม เห็นความดับของนาม ที่เป็นเวทนาเกิด เวทนาดับ ซึ่งพระพุทธเจ้าแจกเวทนานี้ไว้  "มี" ทั้ง เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 และเมื่อทำให้เวทนาที่เราสำคัญมั่นหมายนั้นจนมัน "ไม่มี" ก็คือทำให้เวทนานั้นๆ "ดับ"ได้สนิทไม่เกิดอีกนั่นแหละ คือ ผู้เห็นแจ้ง "ความเกิด-ความดับ"ของปรมัตถธรรม เป็นต้น สัญญาก็เห็นแจ้งในความเกิด-ดับได้ เจตนาก็เช่นกัน ผัสสะก็เช่นกัน มนสิการนั่นแหละคือ การทำใจในใจหรือทำนามธรรม "ตัวตน"นั้นให้มันไม่เกิด หรือ "ตัวตน"มันดับได้สำเร็จ
            คุณ 8705 ก็ต้องเข้าใจว่าอาตมาอธิบายเอาเองแน่นอน เพราะยังไม่มีใครอธิบายอย่างนี้ให้คุณ 8705 ได้ยินมาก่อนแน่ อาตมาจึงค่อนข้างจะเชื่อว่า คุณ 8705 จะไม่เข้าใจที่อาตมาพูดไปนั้น เพราะเข้าใจที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ เนื่องจากคุณ 8705 ไม่มีสภาวะตามที่อาตมาพูดนี้แน่ๆ คุณ 8705 จึงสรุปว่าอาตมาเข้าใจธรรมะของพุทธผิด เพราะอาตมา "มี" ความเข้าใจแบบพุทธไม่เหมือนกับคุณ 8705 มัน "ผิด"กัน มันก็ต้องต่างกัน ก็ต่างคนต่างเห็น มันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่เห็นแปลกอะไร คุณเข้าใจอย่างหนึ่ง อาตมาก็เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ต่างก็แสดงความเห็น      
            และคุณ 8705 แสดงความเห็นมาอีกในวันที่ 12 มีค.นี้ว่า
            เพราะว่า.. ธรรมชาติของสังขารทั้งหลายต้องอาศัยกันและกัน..ถึงเกิดขึ้นได้! ฉะนั้นไม่มีสังขารอันไหนจะมีความเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เองหรือเป็นขึ้นเองหรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!
            ดังที่ปฏิจจสมุปบาทก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด และเหตุนี้..สังขารทั้งหลายจึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้! หรือก็คือที่เรียกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร 3 ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี 3 เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้นเกิดที่ภายใน ส่วนวจีสังขาร + กายสังขาร เกิดที่ภายนอกจ๊ะ!
            ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาหลงว่าตนเป็นโพธิสัตว์ ชาติหน้าบ่ายๆ พธร. กำลังตีความปฏิจจสมุปบาทก็เหมือนเด็นกอนุบาลกำลังตีความทฏษฎี E = mc กำลัง 2 พธร.เรียนมากรู้มากแต่ไม่ปฏิบัติ.. จึงไม่มีสภาวธรรม เลยตีความธรรมะผิดหมด!
            ก็ที่คุณ 8705 ว่า "ไม่มีสังขารอันไหนที่จะเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เอง หรือเป็นขึ้นเอง หรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้" นั้น
            ก็หมายความว่า ต้องอาศัยอันอื่นเป็นเหตุใช่ไหม? จึงมีการเกิดขึ้น-การเป็นขึ้น-การเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ..ได้ 
            ก็นั่นแหละ คุณเองก็บอกว่า "ไม่มีสังขารอันไหนที่จะเป็นเอกเทศ!" เกิดเองไม่ได้! เป็นขึ้นเองก็หามิได้! หรือเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!
            ก็แสดงว่ามันต้องมี "เหตุ" ต้องอาศัยมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ เป็นขึ้นได้ กระทั่ง(หลงยึด)เป็นตัวของตนเองโดยเฉพาะ..เข้าไปจนได้
            ดังที่ปฏิจจสมุปบาทก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด
            ก็ต้องศึกษาตามหา "สิ่งนี้" ที่มันเป็นเหตุปัจจัยให้ "สิ่งนั้นจึงมี" นั่นแหละให้ได้ แล้วถ้าเห็นชัดเจนแล้วว่ามันเป็น "อกุศลเหตุ"เราก็กำจัด "เหตุ" นี้ให้ ดับสนิทหรือให้ "ไม่มี"จนสำเร็จเสียซี สำเร็จอย่างถาวรยั่งยืนให้ได้ การเกิดขึ้น การเป็นขึ้น ที่คุณ 8705 ยัง "อวิชชา"ว่า เป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็จะหมดไป
            เพราะคุณ 8705 ไปเอา "ตัวจบ"มาเป็น "ตัวต้น" คือ ไปรีบเอา "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" อันเป็น "ตัวจบ" มาเป็น "ตัวต้น" จึงยึดได้แค่ภาษาว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน  แล้วก็เชื่อว่า "และเหตุนี้..สังขารทั้งหลายจึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้!"
            คนที่ "อวิชชา" ก็หา "ตัวตน" บ่ได้นั้นแน่นอน หรือคนที่ไม่ได้ศึกษาค้นหาตัวของ "ตัวตน" ก็หา "ตัวตนบ่ได้!" แน่เสียยิ่งกว่าแน่
            แต่คนที่มี "วิชชา"หรือมีสัมมาทิฏฐิ จะไม่รีบด่วนหลงเข้าใจผิดว่า "ตัวตนมีหรือไม่มี" จะเริ่มปฏิบัติ "ตามเห็นตัวตน"(อัตตานุทิฏฐิ)ให้ได้ ก็คำว่า "อัตตทิฏฐิ"(ความรู้อันเกี่ยวกับตน,ความเห็นว่ามีตน)ก็มีอยู่โต้งๆ แสดงว่ามันมีสภาวะนี้ และในบทศึกษาของพุทธก็มีอยู่โต้งๆ และคำว่าอัตตานุทิฏฐิ(ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน)ก็มีอยู่ในหลักศึกษาของพุทธ
            เฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "อัตตสัมปทา"นั้น ยิ่งเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น "แสงอรุณที่จะมาก่อนพระอาทิตย์ คือมาก่อนการเข้าถึงมรรคองค์ 8" พระอาทิตย์ท่านเปรียบกับมรรคองค์ 8 ก็ชัดเจนยิ่งว่าต้อง "เข้าถึงความเป็นอัตตา"(อัตตสัมปทา) เป็นแสงอรุณ ไม่ใช่เข้าถึง "อนัตตา" เป็นแสงอรุณ ก็มันเป็นคนละสภาวะอยู่โต้งๆ  "อนัตตา"มันมิใช่แสงอรุณ ท่านไม่ได้ตรัสว่า "เข้าถึงอนัตตสัมปทา"เลย 
            ผู้ปฏิบัติก็จะปฏิบัติจนกระทั่ง "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนของเหตุที่เป็นปรมัตถธรรมได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "อนิจจานุปัสสี"แปลว่า "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" แล้วจึงจะ "ตามเห็นความจางคลายของ กิเลสหรือตัวตนของเหตุที่เป็นปรมัตถธรรมได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "วิราคานุปัสสี"แปลว่า "ตามเห็นความจางคลายในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" กระทั่ง "ตามเห็นความดับของกิเลสในใจ" ที่บาลีว่า "นิโรธานุปัสสี"แปลว่า "ตามเห็นความดับในตัวตนของเหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" เป็นต้น
            แต่เพราะคุณ 8705 ไม่ยอมศึกษา "ค้นหาความเป็นตัวตน"เลย เนื่องจากไปจับเอา "ตัวปลาย"มาเป็น "ตัวต้น" แล้วหลงว่าบรรลุ "ความไม่ใช่ตัวตน"แล้ว จึงไม่ต้องไปศึกษาค้นหา "ตัวตน"มาเห็นจริงว่าเออ..เรามันยังมี "ตัวตน"อยู่จริงๆว่ะ!  
             เพราะไป "รู้แจ้งจริงจบ"ด้วยภาษาว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง จึงสรุป
ให้อาตมาด้วยคำว่า เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร 3 ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี 3 เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้นเกิดที่ภายใน
            ก็นี่แหละ ถ้าขืนใครเอาแต่ "อวิชชา"อยู่ มันก็มีสังขาร 3 อยู่ อย่างไม่รู้จักสังขาร 3 กันสักที จึงมีลูกน้องเหมือน 3 เกลอนี่อยู่แน่นอน
            สังขาร 3 นี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร มันก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติ เป็นสามัญลักษณ์ตามประสาไตรลักษณ์ของปุถุชนอยู่นิรันดร์
            จึงถูก "สังขาร 3" นี้หลอกหลอนอยู่เป็น "สามัญลักษณ์" ตามไตรลักษณ์ที่เป็นของปุถุชนทั่วไป  ไม่สามารถทำให้เกิด "ปัจจัตตลักษณ์"ตามไตรลักษณ์ที่เป็นปรมัตถ์ของอาริยชนสำเร็จ
          ปัจจัตลักษณ์คือ ลักษณะของผู้ที่ปฏิบัติจนมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ คือคนที่มีปัจจัตตลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตน

          ยิ่งใครยัง "อวิชชา" อยู่ ก็ยิ่งไม่รู้ว่า สังขารมัน "มี" และแยกสังขาร 3 นี้ไม่เป็น  จึงทำ "อภิสังขาร"ให้เป็น "บุญ"ไม่ได้
            "อภิสังขารที่เป็นบุญ" ในภาษาบาลีคือ "ปุญญาภิสังขาร" หมายความว่า สังขารที่พิเศษยิ่ง หรือปรุงแต่งที่พิเศษยิ่ง และทำได้อย่างเป็นบุญ คือ ทำได้อย่างมีการชำระ
            "บุญ"หมายถึง เครื่องชำระกิเลส การชำระกิเลส มาจากภาษาบาลี "ปุญญ" รากแห่งความหมายเดิมจริงๆนั้น คือ ชำระจิตสันดานให้หมดจด เป็นภาวะของ "ปรมัตถธรรม"โดยแท้
            สังขาร มีคำแปลอยู่มาก เช่นว่า การจัดแจง,การตระเตรียม,การรวมการกระทำ,การรวมเหตุ,ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น,สิ่งที่เกิดร่วมกันทางใจ,การประกอบขึ้น,ธาตุที่เป็นองค์ประกอบทางใจกับทางกายด้วย
            "อภิ"นี้ มีความหมายลึกซึ้ง เท่าที่ประมวลได้ ก็คือ เผชิญหน้าไปยังที่,มีอำนาจเหนือ,ทับ,ข้างบน,เพิ่มให้มากขึ้น,มากมาย,ใหญ่หลวง,เข้าครอบครอง,เป็นเจ้าของ,เป็นใหญ่,อุบัติขึ้น,งอกขึ้น
            "ปุญญาภิสังขาร"เป็น "สังขาร"ขั้น "อภิ" คือ สังขารอย่างเป็น "บุญ"        
            เมื่อไม่สามารถมี" วิชชา"พอที่จะเห็นความเป็น "สังขารที่เป็นปรมัตถธรรม"ได้ จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า "วจีสังขาร"นั้น คือ ภาวะที่ยังเกิดอยู่ใน "ใจ"เท่านั้น ยัง "ไม่ใช่วจีกรรม" ยังไม่ออกมาสู่ภายนอกเป็น "กรรมทางวาจา" ยังเป็นเพียง "มโนกรรม" อยู่ในใจ อยู่ภายใน ยังไม่ออกมาภายนอก
            การรูจักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น "บุญ"หรือ "ปุญญ"อันเป็นการชำระกิเลสที่เป็น "เหตุ"นั้นๆ เมื่อ "ชำระได้หมดสิ้นบาปในตนเกลี้ยงแล้ว" ก็ไม่ต้องชำระอีก นั่นคือ "ไม่ต้องทำบุญ"นั้นอีก ซึ่งจะพูดว่า  "ไม่ทำบุญ"ก็ดี ไม่ต้องชำระกิเลสนั้นอีกแล้ว ก็ดี นี้แหละคือคำว่า "อปุญญ "
            การ "อภิสังขาร"ที่เป็น   ไม่เป็นบุญ จึง ไม่ต้องทำ "บุญ" ถ้าจิตของผู้นั้นยัง "สังขาร"คือ ยังมี "การ ปรุงแต่ง" มี "ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น"อยู่ จึงเกิดผลของการปรุงแต่งเป็นแต่ "กุศล" คือ เกิดผลแต่เป็นประโยชน์ เป็นคุณงามความดี โดยเฉพาะท่านจะทำเพื่อทุกคน ไม่เจาะจง ไม่หลงยึดว่า เป็นตัวตน เป็นของตน เฉพาะตนเท่านั้น ใจกว้างไม่ยึดความเป็นของตนจริงใจ
            ยิ่งคำว่า "กายสังขาร" ที่เป็นองค์ประชุมของใจ ที่เป็น "นามกาย"ที่ "สังขารอยู่ในใจ" หรือ "การประชุมของนามธรรม"ที่มีอยู่ในใจ และเป็นการสังขารที่ยังมีการเชื่อมต่อการสัมผัสภายนอกไม่ขาดสายอยู่ด้วย ยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องแน่กับคุณ 8705 เพราะเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป หรือปรมัตถธรรมแท้ๆ ที่ถ้ายังพูดถึงความเป็นกายสังขาร ขั้นนี้แล้ว คุณ 8705 กับอาตมามีสภาวะคนละอย่างกันแน่ๆ
            ขอยืนยันว่า ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงสภาวะของจิต เจตสิก หรือความเป็นรูปที่หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้ โดยเฉพาะสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นแหละเป็นต้น ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าก็ระบุนามตัวสำคัญไว้ให้ เช่น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
            ผู้ที่ไม่มีสภาวะ จะไม่รู้ความจริงของความเป็น "วจีสังขาร " จึงเดาเอาเท่านั้น
            ผู้จับตัว "อัตตา "ได้ เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ นับว่าพ้นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นว่า เจ้าตัวนี้เองที่ "หลอก "เราอยู่ได้ ที่แท้มัน "ไม่เที่ยง " เดี๋ยวก็ "มี " คือ  "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป " วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นความวนไม่จบ นั่นคือ ยังเป็นโลก หรือเป็นภพ
            เมื่อผู้ที่  "จับตัวสักกายะ "คือ ตัวตนของตัณหา หรืออุปาทาน 
            ทั้งตัณหา และอุปาทานนี้ คือ กิเลสนั่นแหละ เมื่ออยู่ในฐานะอุปาทาน มันก็เป็นธาตุ  "ยึดมั่นอยู่ " ซึ่งเป็นอาการที่  "นิ่งๆอยู่ " พอมัน "ไหวตัวออกมา " มันก็กลายเป็นฐานะของตัณหา เป็นอาการที่เห็นได้ง่าย ได้ชัดกว่าฐานะที่เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้าจึงทรงให้กำจัด "ตัวตัณหา "นี้แหละ เพราะมันง่ายกว่าไปกำจัดอุปาทาน
            มันเป็นเหตุแห่งทุกข์แท้ ต้องกำจัดตัวนี้ คือ ปหานมันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จนมัน "ดับสนิท" ก็ "ไม่มีตัวตน"มาเกิดขึ้น มาตั้งอยู่ มาให้ดับไปกันอีกเลย
            จึงสิ้นภพ จบชาติ "ไม่มีตัวตนตัวนั้นมาอาศัยกันเกิดอีกแล้ว" เพราะสิ้น "ตัวตน" จะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปเรียบร้อยแล้ว
            ผู้เห็น "ไตรลักษณ์" ที่ครบทั้งเห็นแจ้ง "ความไม่เที่ยง"(อนิจจัง) เห็นแจ้งความเป็นทุกข์(ทุกขัง) อีกทั้งตามหา "ตัวเหตุแห่งทุกข์"พบแล้วกำจัดตัวเหตุอริยสัจ นี้ได้จริง ความเป็น"อนัตตา"(ความไม่มีตัวตน)จึงปรากฏให้เจ้าตัวผู้ปฏิบัติถึงขั้นบรรลุผล "อนัตตา"จริงอย่างเห็นแจ้งๆ(สัจฉิ)โต้งๆชัดๆสัมผัสอยู่ๆ
            ผู้บรรลุผลเอง เห็นภาวะนั้นๆเอง ในตนเอง ของตนเอง เช่นนี้แลที่ชื่อว่า เป็นผู้เห็น"ไตรลักษณ์"ชนิดที่เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ์" คือ เห็นอย่างสูงส่งละเอียดไปถึงปรมัตถธรรมขั้นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา จึงสำเร็จขั้นมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิคือ เห็นด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริง อย่างรู้จัก(ตัวตน)ชนิดที่รู้แจ้งรู้จริงในของจริง สภาวะจริง "เฉพาะตน"(ปัจจัตตัง,ปัจเจก)ในปรมัตถ์ของตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความจริงของจริงนั้นๆเองของตนเองที่ปฏิบัติได้เอง ในตนเอง โดยตนเอง(เอโก)
            จึงไม่ใช่เพียงแค่เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"อย่างต้นๆตื้นๆง่ายๆหลวมๆเป็นตรรกะ หรือเห็นแค่จินตามยปัญญา ที่ไม่มีภาวะของ "ภาวนามัย" ไม่มีความสำเร็จขั้นเกิดผลธรรมมาให้เห็นแจ้ง ก็ไม่ถึงขั้นมี "ภาวนามยปัญญา" การเห็น "ไตรลักษณ์"แค่ขั้นเห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"ในลักษณะนี้ ก็เป็นเพียงผู้เห็นไตรลักษณ์ที่เป็น "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็น"ลักษณะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"ที่ยังไม่ถึงขั้นผู้ปฏิบัติหยั่งรู้แจ้งใน "ปรมัตถธรรม" นั่นคือ ไม่เข้าถึงการสัมผัสสภาวะจริงของจิต-เจตสิก-รูป จนกระทั่งเห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา และที่สุดสัมผัสภาวะของ"นิพพาน"ปรากฏให้เห็นได้เอง อยู่เป็น "ตถตา"
            การเห็นได้รู้ได้ อย่าง "สามัญลักษณ์"นั้น มันเป็นความเข้าใจทั่วไปที่ปุถุชนก็เข้าใจได้ทั้งนั้น จึงเรียกว่า "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็นแค่ "ตรรกะ" เป็นเพียงความรู้ความเห็นทั่วไปที่ร่วมรู้กันได้ เป็น "สามานยนาม" ใครๆก็เข้าใจกันเป็นสาธารณะของปุถุชนที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ 
            แต่ไม่ใช่ "วิสามานยนาม"ที่เฉพาะเจาะจง มีการระบุ "ตัวตน"ได้ ในขณะที่มี "ธาตุรู้ของเราสัมผัสภาวะนั้นๆหลัดๆรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตัวตนนั้นอยู่ทีเดียว" ซึ่งเป็นการรู้ขั้น "ญาณหรือปัญญา"ที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน"(อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) เป็น "ญาณข้อที่ 1 ใน 7"ของพระโสดาบันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 543
            การรู้หรือมีความรู้ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"นั้น เป็น "สาธารณะกับปุถุชน" ปุถุชนทั่วไปพอรู้ได้ รู้อย่างซาบซึ้งก็ได้ 
            แต่ "การรู้หรือมีความรู้" ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"อย่างเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระนี้ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) ซึ่งมีนัยสำคัญที่ผู้มีจริงจะรู้แจ้งเห็นจริงเอง "ปัจจัตตัง"
            การสามารถสัมผัสรู้จัก "ตัวตน"ของกิเลสแล้วเราก็กำจัด ซึ่งเป็น การจัดแจง(สังขาร) เป็นการทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนโดยตน เป็นการรวมการกระทำหรือเป็นการจัดแจงที่เรียกว่า "สังขาร"ของพระโยคาวจรที่มีภูมิเข้าขั้นอาริยบุคคล
            อาริยบุคคลจึงจะทำ "สังขาร"ขั้น"อภิ"ที่เป็น"บุญ"ได้ 
            ดังนั้น "สังขาร 3"ที่เป็น "ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร"นั้น จึงเป็น "อภิสังขาร"ขั้นโลกุตระ มิใช่ "สังขารธรรม" ที่เป็นการกล่าวถึง "สังขาร 3"ทั่วไป ซึ่งแค่ สามานยนาม เป็นคำนามที่กำหนดกันกลางๆทั่วไป เช่น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ซึ่งเป็น "สังขาร"สามานยนามเท่านั้น
            ผู้ปฏิบัติที่มีภูมิเข้าขั้นโลกุตระ เป็นอาริยะเท่านั้นจึงจะสามารถมีอภิสังขาร 3นี้ได้ เพราะผู้จะสามารถปฏิบัติ "สัมมามรรคองค์ 8  "ถึงขั้น ทำ "วจีสังขาร " เป็นอภิสังขารมีผลเป็นบุญขั้นอาริยะ ขั้นโลกุตระไปตามลำดับๆนั้น ต้องเป็นอาริยบุคคลจริง
            นั่นคือ ต้องเป็นผู้ที่สามารถทำใจในใจเป็น "สัมมาปฏิบัติ "ได้แล้ว จึงสามารถทำการจัดแจงหรือการรวมการกระทำขั้น "อภิสังขาร " ที่ปรุงแต่ง "สังกัปปะ 7 "ในการปฏิบัติ "สัมมามรรค " จนกระทั่งทำให้ "วจีสังขาร "เกิดความเจริญเป็น "สัมมาอริยผล "ไปตามลำดับ จาก "ปุญญาภิสังขาร " คือ ปรุงเป็น "บุญ "ที่หมายถึง  "การชำระจิตสันดาน " เจริญขึ้นๆจนถึงผล "อปุญญาภิสังขาร " คือ  "จัดแจงปรุงแต่งสำเร็จ "ได้ ถึงขั้น "ไม่ต้องชำระกิเลสในใจอีกแล้ว "เพราะ "ชำระกิเลสจากจิตสันดาน "ได้หมดแล้ว  "ดับสนิทไม่เกิดอีกแล้ว " ซึ่ง "ไม่เกิดอีก "ชนิดที่กระทบสัมผัสโลกธรรมใด ในใจก็ไม่เกิด  แม้แต่แค่ "การหวั่นไหว "อย่างใดก็ไม่มี (ผุฏฐัสสะโลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสส น กัมปติ)จึงเรียกว่า "อเนญชาภิสังขาร "(สภาพปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว)ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
          ส.ฟ้าทำสรุปว่า....วันนี้เราได้ฟังธรรมที่เป็นการปรับปวาทะ อย่างที่เขาว่าเราเคยตายหรือไม่ เราก็เชื่อว่าเราเคยตาย แต่เราจำไม่ได้หรอก

          เรื่องนาม มี 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อย่าง 8705 บอกว่าต้องรู้ความไม่ใช่ตัวตนก่อน แต่พ่อครูว่าต้องรู้ตัวตนคืออัตตะทิฏฐิก่อน ซึ่งเป็นความรู้เป็นญาณปัญญาที่ไม่สาธารณะกับปุถุชนทั่วไป มีเฉพาะอาริยะบุคคลเท่านั้น.....จบ              

 

 

         


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:51:54 )

560318

รายละเอียด

560318_รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและอ.กฤษฎา เรื่อง ปรับปวาทะของผู้ถึงอมตะนิพพาน

อ.กฤษฎา.เปิดรายการโดยการสไกป์จากสันติอโศก.....ตอนนี้พ่อครูอยู่ที่บ้านราชฯ ก็ต้องอาศัยการสไกป์จัดรายการไปก่อน ตอนนี้เราระดมสรรพกำลังทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปที่บ้านราชกัน ประเด็นในวันนี้คงจะต้องต่อประเด็นที่คุณ 8705 ได้ส่งประเด็นมาค้านแย้ง พ่อครูก็ต้องทำการปรับปวาทะ (คือวาทะที่เป็นอื่นไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน)

พ่อครูว่าการปรับปวาทะ คือปรับ วาทะที่ผิดเพี้ยนให้มาสู่ความถูกต้อง ท่านใช้สำนวนว่า แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์และข่มขี่ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม คือพระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นพุทธพจน์ เป็นอนุสาสนีย์ต่างๆ เป็นคำจริงที่จะไม่เป็นอื่นไปจากนั้น คนที่สืบทอดก็ได้พูดผิดเพี้ยน ออกนอกศาสนาพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่าวาทะที่เป็นอื่น ปร คือไม่ หรืออื่น ดังนั้นคำพูดใดที่นอกไปจากความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัส จึงเป็นหน้าที่ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็พูดกับมารไว้เลย ตอนมารจะมาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ...หากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกและสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม  ยังไม่ได้รับคำแนะนำ  ไม่แกล้วกล้า  ไม่เป็นพหูสูต  ไม่ทรงธรรม   ยังปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม   ไม่ปฏิบัติชอบ  ไม่ประพฤติตามธรรมที่เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอกแสดงบัญญัติแต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก  กระทำให้ง่ายไม่ได้  ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์  และข่มขี่ปรับปวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด   เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น  ฯลฯ .  (มหาปรินิพพานสูตร พตปฎ.เล่ม 10  ข้อ 102)

ท่านยืนยันว่าท่านจะยังไม่ตาย ต้องทำงานก่อน มันเป็นมโนสัญเจตนา ที่จะต้องสร้างศาสนา ดังนั้นประเด็นที่เราเอามาพูดกันคือ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ผู้ที่จะแสดงปรับปวาทะจะต้องมีปาฏิหาริย์ โดยช่วยกันทุกคน โดยสหธรรม ทั้งตัวบุคคลและหมู่กลุ่ม ที่มีพฤติกรรมรวมกัน เช่นพฤติกรรมแสดงความไม่โลภโกรธหลง เช่นชาวอโศกมีพฤติกรรมตรงตามกถาวัตถุ 10 ธรรมวินัย 9 สาราณียธรรม 6 เป็นต้น

อ.กฤษฎา ว่าเคยมีย่าที่ไปวัดไปวาทำบุญสร้างศาสนวัตถุ แต่เรื่องของทักขิเนยบุคคลเหมือนมีอะไรที่เขาก้าวข้ามไม่พ้น มีป้ายบอกบุญอะไรอย่างนี้ มิติพวกนี้ เป็นสิ่งที่บอกว่านั้นคือพุทธแท้หรือไม่ มันจะต้องมาปรับปวาทะกันไหม ก็นิมนต์พ่อครูปรับปวาทะ ให้เข้าใจกันด้วยครับ

เทศน์ทุกวันนี้ดูเหมือนจะโอหัง มีมมังการ มันอวดดี คล้ายๆอย่างนั้น แต่ก็จำนนที่ต้องแสดง อย่างที่ 8705 ว่าถ้าพระทั้งหลายในอดีต ตีความเพี้ยนอย่างโพธิรักษ์ พุทธศาสนาย่อมเจ๊งไปเสียแล้ว

ที่จริงถ้าพระทั้งหลายในอดีต ไปตีความธรรมะเพี้ยนเขาเข้าใจว่าของพ่อครูเพี้ยน ศาสนาเจ๊งแล้วก็ใช่ แต่จริงๆมันซับซ้อน พระทั้งหลายตีความมาอย่างนั้นปฏิบัติตามกันมา ก็เหมือนกับกลองอานกะ ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า ศาสนาพุทธที่ท่านประกาศจะผิดเพี้ยนไปเหมือนกับกลองอานกะ ที่มีชื่อว่ากลองอานกะเหมือนเดิม แต่ว่าคนได้แต่งเนื้อกลอง ตัวกลองเป็นอื่นไปหมดแล้ว แต่ก็ชื่อเดิม เช่นเดียวกับศาสนาพุทธในปัจจุบัน และก็จริงคือพระในอดีตตีความเพี้ยน ไม่เหมือนโพธิรักษ์ พุทธศาสนานั้นตอนนี้เจ๊งไปแล้ว แต่คุณก็คงเข้าใจไม่ได้ มันเหลือแต่โลกียธรรม ที่เต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา

อาณิสูตร (กลองอานกะ)

[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

มี sms มาว่าถ้าพระทั้งหลายตีความแบบพ่อครูป่านนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยไปโลด ศาสนาพุทธในไทยเป็นเนื้อของศาสนาพราหมณ์ไปมากแล้ว

อ.กฤษฎา ว่าพระพุทธเจ้าเห็นไตรลักษณ์ ที่เป็นสามัญลักษณ์ แล้วพระองค์ก็ค้นหาไตรลักษณ์ที่เป็นปัจจัตลักษณ์ ทรงออกจาวังไปแสวงหาความหลุดพ้น เป็นปัจจัตลักษณ์

พ่อครูว่า ปัตจัตตลักษณ์ เป็นของเฉพาะตนของพระพุทธเจ้าที่มีมาเดิมเป็นสยัมภูแล้วคำว่า ภู คือความยิ่งใหญ่ ที่ตนได้บำเพ็ญตรัสรู้มา ด้วยพุทธการกธรรม บำเพ็ญมาไม่รู้กี่ล้านปีแล้ว ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัทถะท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ท่านปฏิบัติตามค่านิยมของโลก เขาพาออกป่า ทรมานตน ทุกรกิริยา ท่านก็ทำได้ยิ่งกว่าเขาด้วย แต่ไม่ได้ปฏิบัติพุทธรรมเลย ก็น่าเห็นใจพวกที่ไปทำอย่างพระพุทธเจ้าแบบที่พระองค์ทำทุกรกิริยา ถ้าทำแบบนั้นลงเหวเลย มีหลักฐานยืนยันในพระไตรฯ เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ  ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก  ท่านจะได้จากโพธิ-มณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”  ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก  สิ้นเวลา 6 ปี   เราถูก  บุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

พระพุทธเจ้าท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าด้วยการระลึกชาติ ท่านเกิดมาได้พบพระพุทธเจ้ามาแล้วห้าแสนกว่าพระองค์ จนกระทั่งมีพุทธการกธรรม มีบารมีเต็มแล้ว ที่ท่านบำเพ็ญมาแล้วกี่ล้านๆๆชาติ สั่งสมมาแล้วเป็นบารมี เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ง่าย ธรรมดาวิบากกรรมคนธรรมดาก็เข้าใจไม่ง่าย ยิ่งเป็นพุทธวิบากยิ่งจะเข้าใจได้ยากยิ่ง แต่คนก็เอาแบบที่ท่านไปทำผิดมาทำต่ออีก แต่พ่อครูนำเอาคำตรัสมาสอน และไม่เอาที่พระพุทธเจ้าว่าเป็นทางผิดมาสอนให้พวกเราทำ

พระพุทธเจ้าว่าศาสนาจะเสื่อมเพราะไปแสวงหาอาจารย์ในป่า ต้องขออภัยไม่ได้เจตนาจะลบหลู่ใคร แต่ก็ต้องพูด อาจมีลักษณะข่มเขา ดูใหญ่โต แต่ด้วยความจริงใจ เป็นความจำนนที่ต้องพูด

เราอย่าไปถกเถียงเลย อย่างที่คุณ 8705 แย้งมา ก็เห็นว่ามีเนื้อหาที่เขาเข้าใจมาปรับปวาทะ คือมีการเป็นอื่นไปจากวาทะของพระพุทธเจ้าเอามาแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ต้องทำให้เรียบร้อยตรงทางเดิมของพระพุทธเจ้าโดยสหธรรม ทั้งพ่อครูและพวกเราช่วยกันพูด ช่วยกันแสดงเป็นพฤติพุทธ ดำเนินชีวิตอย่างนี้สอดคล้องกับหลักธรรมพระพุทธเจ้าหรือไม่ หลักธรรมวินัย กถาวัตถุ วรรณะ 7 สาราณียธรรม พุทธพจน์ พลัง4พ้นภัย 5 เท่าที่มีความรู้ก็หยิบมายืนยันก็สอดคล้องตามหลักพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ถ้า

อ.กฤษฎา ว่าที่ตั้งคำถามพ่อครูเพื่อให้ตนเข้าใจในปัจจัตลักษณ์ ในบทสวดก็มีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ การเข้าใจตัวตนของแต่ละคน ด้วยตนเอง ต้องปรากฏความเป็นปัจจัตลักษณ์ด้วยตนเอง

พ่อครูก็ทวนย้ำว่า ไตรลักษณ์ มีสองแบบ (การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป)

ในสามัญทุกคนก็เข้าใจได้ไม่ยากในไตรลักษณ์ ส่วนไตรลักษณ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ
ผู้เห็น "ไตรลักษณ์" ที่ครบทั้งเห็นแจ้ง "ความไม่เที่ยง"(อนิจจัง) เห็นแจ้งความเป็นทุกข์(ทุกขัง) อีกทั้งตามหา "ตัวเหตุแห่งทุกข์"พบแล้วกำจัดตัวเหตุอริยสัจ นี้ได้จริง ความเป็น"อนัตตา"(ความไม่มีตัวตน)จึงปรากฏให้เจ้าตัวผู้ปฏิบัติถึงขั้นบรรลุผล "อนัตตา"จริงอย่างเห็นแจ้งๆ(สัจฉิ)โต้งๆชัดๆสัมผัสอยู่ๆ
            ผู้บรรลุผลเอง เห็นภาวะนั้นๆเอง ในตนเอง ของตนเอง เช่นนี้แลที่ชื่อว่า เป็นผู้เห็น"ไตรลักษณ์"ชนิดที่เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ์" คือ เห็นอย่างสูงส่งละเอียดไปถึงปรมัตถธรรมขั้นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา จึงสำเร็จขั้นมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิคือ เห็นด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริง อย่างรู้จัก(ตัวตน)ชนิดที่รู้แจ้งรู้จริงในของจริง สภาวะจริง "เฉพาะตน"(ปัจจัตตัง,ปัจเจก)ในปรมัตถ์ของตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความจริงของจริงนั้นๆเองของตนเองที่ปฏิบัติได้เอง ในตนเอง โดยตนเอง(เอโก)
            จึงไม่ใช่เพียงแค่เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"อย่างต้นๆตื้นๆง่ายๆหลวมๆเป็นตรรกะ หรือเห็นแค่จินตามยปัญญา ที่ไม่มีภาวะของ "ภาวนามัย" ไม่มีความสำเร็จขั้นเกิดผลธรรมมาให้เห็นแจ้ง ก็ไม่ถึงขั้นมี "ภาวนามยปัญญา" การเห็น "ไตรลักษณ์"แค่ขั้นเห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"ในลักษณะนี้ ก็เป็นเพียงผู้เห็นไตรลักษณ์ที่เป็น "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็น"ลักษณะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"ที่ยังไม่ถึงขั้นผู้ปฏิบัติหยั่งรู้แจ้งใน "ปรมัตถธรรม" นั่นคือ ไม่เข้าถึงการสัมผัสสภาวะจริงของจิต-เจตสิก-รูป จนกระทั่งเห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา และที่สุดสัมผัสภาวะของ"นิพพาน"ปรากฏให้เห็นได้เอง อยู่เป็น "ตถตา"
            การเห็นได้รู้ได้ อย่าง "สามัญลักษณ์"นั้น มันเป็นความเข้าใจทั่วไปที่ปุถุชนก็เข้าใจได้ทั้งนั้น จึงเรียกว่า "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็นแค่ "ตรรกะ" เป็นเพียงความรู้ความเห็นทั่วไปที่ร่วมรู้กันได้ เป็น "สามานยนาม" ใครๆก็เข้าใจกันเป็นสาธารณะของปุถุชนที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ 
            แต่ไม่ใช่ "วิสามานยนาม"ที่เฉพาะเจาะจง มีการระบุ "ตัวตน"ได้ ในขณะที่มี "ธาตุรู้ของเราสัมผัสภาวะนั้นๆหลัดๆรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตัวตนนั้นอยู่ทีเดียว" ซึ่งเป็นการรู้ขั้น "ญาณหรือปัญญา"ที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน"(อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) เป็น "ญาณข้อที่ 1 ใน 7"ของพระโสดาบันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 543
            การรู้หรือมีความรู้ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"นั้น เป็น "สาธารณะกับปุถุชน" ปุถุชนทั่วไปพอรู้ได้ รู้อย่างซาบซึ้งก็ได้ 
            แต่ "การรู้หรือมีความรู้" ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"อย่างเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระนี้ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) ซึ่งมีนัยสำคัญที่ผู้มีจริงจะรู้แจ้งเห็นจริงเอง "ปัจจัตตัง"
            การสามารถสัมผัสรู้จัก "ตัวตน"ของกิเลสแล้วเราก็กำจัด ซึ่งเป็น การจัดแจง(สังขาร) เป็นการทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนโดยตน เป็นการรวมการกระทำหรือเป็นการจัดแจงที่เรียกว่า "สังขาร"ของพระโยคาวจรที่มีภูมิเข้าขั้นอาริยบุคคล

“สสังขาริกะ“คือต้องมีผู้ชักนำชักชวน (ท่านพรหมคุณาภรณ์คือผู้ชักนำโดยภายนอก ภายนอกคือทางทวารทั้ง5)  จึงจะบรรลุ เมื่อบรรลุจบแล้วก็เป็น “อสังขาริกะ“   

อาริยบุคคลจึงจะทำ "สังขาร"ขั้น"อภิ"ที่เป็น"บุญ"ได้ 
            ดังนั้น "สังขาร 3"ที่เป็น "ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร"นั้น จึงเป็น "อภิสังขาร"ขั้นโลกุตระ มิใช่ "สังขารธรรม" ที่เป็นการกล่าวถึง "สังขาร 3"ทั่วไป ซึ่งแค่ สามานยนาม เป็นคำนามที่กำหนดกันกลางๆทั่วไป เช่น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ซึ่งเป็น "สังขาร"สามานยนามเท่านั้น
            ผู้ปฏิบัติที่มีภูมิเข้าขั้นโลกุตระ เป็นอาริยะเท่านั้นจึงจะสามารถมีอภิสังขาร 3นี้ได้ เพราะผู้จะสามารถปฏิบัติ“สัมมามรรคองค์ 8 “ถึงขั้นทำ“วจีสังขาร“ เป็น“อภิสังขาร“มีผลเป็น“บุญ“ขั้นอาริยะ ขั้นโลกุตระไปตามลำดับๆนั้น ต้องเป็นอาริยบุคคลจริง
            นั่นคือ ต้องเป็นผู้ที่สามารถทำใจในใจเป็น“สัมมาปฏิบัติ“ได้แล้ว จึงสามารถทำการจัดแจงหรือการรวมการกระทำขั้น“อภิสังขาร“ ที่“ปรุงแต่ง“สังกัปปะ 7ในการปฏิบัติสัมมามรรค“ จนกระทั่งทำให้“วจีสังขาร“เกิดความเจริญเป็น“สัมมาอริยผล“ไปตามลำดับ จาก“ปุญญาภิสังขาร“ คือ ปรุงเป็น“บุญ“ที่หมายถึง การชำระจิตสันดาน เจริญขึ้นๆจนถึงผลอปุญญาภิสังขาร“ คือ จัดแจงปรุงแต่งสำเร็จได้ ถึงขั้น“ไม่ต้องชำระกิเลสในใจอีกแล้ว“เพราะ“ชำระกิเลสจากจิตสันดานได้หมดแล้วดับสนิทไม่เกิดอีกแล้ว“ ซึ่ง “ไม่เกิดอีกชนิด“ที่กระทบสัมผัสโลกธรรมใด ในใจก็ไม่เกิด แม้แต่แค่ “การหวั่นไหว“อย่างใดก็ไม่มี (ผุฏฐัสสะโลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสส น กัมปติ)จึงเรียกว่า“อเนญชาภิสังขาร“(สภาพปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว)ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
          คุณสมบัติของจิตใจ ณ บัดนี้ “ได้ปุญญาภิสังขารมาจนสัมบูรณ์แล้ว นั่นคือได้ทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ด้วยการสังขาร(การปรุงแต่ง)ที่สัมมาปฏิบัติจนกระทั่งมีผลธรรมครบบริบูรณ์แล้ว เต็มแล้วด้วยบุญ คือบุญเต็มแล้ว ได้ทำบุญครบแล้ว กำจัดบาปหมดแล้ว ชำระบาปสิ้นเกลี้ยงแล้ว จบแล้ว
         เพราะได้ปุญญาภิสังขารเสร็จสัมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว
         ต่อจากนี้ไปจึงอปุญญกันแล้ว คือไม่ชำระบาปอีกแล้ว ไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว ไม่ต้องล้างบาปใดๆอีกแล้ว บาปของตนไม่มีให้ชำระอีกแล้ว เพราะปุญญ(ชำระจิตสันดาน)เสร็จจบหมดแล้ว จึงมีแต่อปุญญ
          ชีวิตคนผู้นี้ จึงอยู่จบพรหมจรรย์ จึงหมดสิ้นความโต่งไปทั้งข้างไม่มี คือไม่มีบาปสนิทจบแล้ว และหมดสิ้นความโต่งไปทั้งข้างมี คือมีบุญ“ (ชำระจิตสันดาน)จบสนิทแล้วเช่นกัน ยังเหลือก็แต่เพียงยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย และยังมีกำลังแห่งการขยันหมั่นเพียร(วิริยพละ)ด้วยนะ  เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็มีกรรม มีการงานการกระทำ จึงมีแต่การกระทำการงานที่เป็นกุศล เท่านั้น ด้วยพลัง 4(ปัญญา-วิริยะ-อนวัชชะ-สังคหะ) แต่ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในกุศล หรือไม่สำคัญมั่นหมายว่า กุศลนั้นเป็นตน เป็นของตนแล้ว
          เพราะท่านไม่มีอุปาทานทั้งปวงสนิทแล้วจริง  “อวิชชาสวะ“ได้หมดสิ้นไปแล้ว “อวิชชาสังโยชน์“ก็หลุดพ้นสัมบูรณ์  จึงหมดสิ้นความยึดถือใดๆอย่างไม่เป็น“อวิชชา“  ยังเป็นอยู่แต่“วิชชา“เท่านั้นที่เป็นกิริยา เป็นกรรม เป็นการกระทำการงานทั้งหลายอยู่ ด้วย“พลัง 4“
          ชีวิตจึงมีแต่ ไม่ทำ“บาป“ทั้งปวง(สัพพปาปัสสะอกรณัง) ทำกุศลให้ถึงพร้อม(กุสลัสสูปสัมปทา) เพราะชีวิตนี้ได้ทำจิตให้สะอาดปราศจากกิเลส“(สจิตตปริโยทปนัง)สำเร็จเสร็จจบแล้ว  จิตใจได้เข้าถึงอมตนิพพานแล้ว   
           ในคุณสมบัติของจิตที่ถึงที่สุด“อมตนิพพาน“นี้ เป็นความสงบสังขารทั้งปวง ซึ่งการจะมีกิเลสเข้ามาปรุงแต่งจิตของคนผู้นิพพานแล้วอีกนั้น เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 30 ข้อ 659 ว่า อมตนิพพาน“ ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ท่านกล่าวว่า นิพพาน อันอะไรๆนำไปไม่ได้ ในอุเทศ ว่า อสังหิรัง อสังกุปปัง ดังนี้ ฯ
          ความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใด ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้น มิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) มั่นคง(สัสสตัง) มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(อวิปริณามธัมมัง) เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้(อสังหิรัง) ไม่กำเริบ

หลักฐานนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง คำว่า อสังหิรัง ที่แปลว่า อันอะไรๆนำไปไม่ได้ หรืออันอะไรๆก็มาหักล้างไม่ได้ นี้ เป็นคำยืนยันของพระพุทธเจ้าว่า ราคะ โทสะ โมหะ หรืออุปกิเลส 16 กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง คือ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง นำไปไม่ได้ นั่นคือ
อกุศลทั้งปวงจะปรุงแต่งจะจัดแจงแรงร้ายอย่างไร ก็หักล้างไม่ได้

คำว่า อกุสลาภิสังขาร นี้แหละเป็นตัวยืนยันชัดว่า สังขารทั้งหลาย ต่อให้เป็น “สังขารชั่วสังขารเลวที่ร้ายที่แรงยิ่งใหญ่ปานใดก็ตาม“ ก็ไม่สามารถจะหักล้างคุณสมบัติที่เป็นนิพพานนี้ หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจเราที่เป็นจิตใจสะอาดปราศจากกิเลสแล้วนี้ ให้สกปรก ให้เปลี่ยนแปรไปทางต่ำทางเสื่อมอย่างใดอีกได้  เพราะเมื่อบรรลุ“ปุญญาภิสังขาร“แล้ว ถึงขั้นสู่การเป็น
“อปุญญาภิสังขาร“และ“อเนญชาภิสังขาร“นั้น คือ ผู้ผ่านการปฏิบัติประสพความจริงแห่งรูปนามของโลกธรรมทั้งหลายจนยืนยันว่า ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ อันหมายความว่า จิตไม่หวั่นไหว แม้สัมผัสโลกธรรมอยู่ 

อกุสลาภิสังขาร มาจากคำ 2 คำ อกุศล กับ อภิ กับ สังขาร

คำว่า อกุศลก็ชัดๆอยู่แล้ว แปลกันว่า ความไม่ดี ความชั่ว ไม่ฉลาด สภาวะที่ตรงกันข้ามกับกุศล

อภินี้ มีความหมายลึกซึ้ง เท่าที่ประมวลได้ ก็คือ เผชิญหน้าไปยังที่,มีอำนาจเหนือ,ทับ,ข้างบน,เพิ่มให้มากขึ้น,มากมาย,ใหญ่หลวง,เข้าครอบครอง,เป็นเจ้าของ,เป็นใหญ่,อุบัติขึ้น,งอกขึ้น 

ส่วนสังขาร มีคำแปลอยู่มาก เช่นว่า การจัดแจง,การตระเตรียม,การรวมการกระทำ,การรวมเหตุ,ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น,สิ่งที่เกิดร่วมกันทางใจ,การประกอบขึ้น,ธาตุที่เป็นองค์ประกอบทางใจกับทางกายด้วย

ดังนั้น อกุสลาภิสังขารทั้งปวง นำไปไม่ได้ หรือหักล้างไม่ได้ จึงหมายถึง การจัดแจงหรือการรวมการกระทำที่มีอำนาจเหนือ หรือมีอำนาจเป็นใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นความไม่ดี ความชั่ว ไม่ฉลาด สภาวะที่ตรงกันข้ามกับกุศล นำไปไม่ได้ หรือหักล้างไม่ได้ เด็ดขาด 

อมตนิพพาน นี้จึงเป็นคุณชาติเที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) มั่นคง(สัสสตัง) มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา(อวิปริณามธัมมัง) เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้(อสังหิรัง) หรืออันอะไรๆ หักล้างไม่ได้(อสังหิรัง)

นั่นก็คือ ไม่มีอะไรๆจะสามารถหักล้างความเป็นอมตนิพพานลงไปได้ ซึ่งภาษาบาลีว่า อสังหิรัง ที่หมายถึง อันอะไรๆนำไปไม่ได้ หรือไม่มีอะไรๆเอาชนะได้ หรือไม่มีอะไรๆหักล้างได้ ซึ่งเป็นความคงมั่น ที่ไม่หวั่นไหว ที่แน่มั่นปักมั่นชนิดที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้(อสังหิรัง) ไม่มีอะไรๆเอาชนะได้(อสังหิรัง) หรือไม่มีอะไรๆหักล้างได้(อสังหิรัง) 

พระพุทธเจ้าตรัสย้ำอีกว่า ความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใด ย่อมปรากฏ  ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่แท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง  ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆนำไปไม่ได้(อสังหิรัง) ไม่กำเริบ(อสังกุปปัง)  

คำว่า สังขารที่สัมบูรณ์ เรียกว่าวิสังขาร

วิสังขารนี้ มีนัยสำคัญ 2 นัย

นัยที่ 1 แม้ตาหูจมูกลิ้นกายทวารภายนอกทั้ง 5 ของเราจะกระทบสัมผัสเหตุภายนอกที่จะทำให้เราเกิดกิเลส หรือที่เคยทำให้เราเกิดกิเลส บัดนี้จะกระทบกระแทกอย่างไร ก็ไม่หวั่นไหว ไม่มีเกิดกิเลสออกมาปรุงแต่งจิตเราได้อีกแล้วอย่างเที่ยงแท้,ยั่งยืน ฯลฯ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิต  ดังที่มีหลักฐานคำตรัสของพระพุทธเจ้ายืนยันมาแล้วนั้น 

วิตามนัยที่ 1 นี้คือความหมายว่าไม่ เป็นจิตลักษณะตั้งมั่น,ยืนหยัด เป็นสมถะ อัปปนา,พยัปปนา,เจตโส อภินิโรปนา เป็นแกนหลัก อยู่กับที่ เป็นลักษณะไฟฟ้าบวก พลังงานศักย์  static แต่เป็น potential energy จึงจัดอยู่ในฝ่ายไม่ เช่น ไม่มี-ไม่เป็น-ไม่ใช่-ไม่อยู่-ไม่ปรุง-ไม่ทำ-ไม่สังขาร เป็นต้น
ส่วน วินัยที่ 2  แม้เราจะปรุงแต่งในจิตใจของเราเอง คือ ให้จิตใจของเราสังขาร หมายความว่า ใจเราจัดแจง,ใจเรารวมการกระทำ,ใจเรารวมเหตุ,ใจเรามีศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น  ถ้าผู้ใดมีญาณสัมบูรณ์ด้วยสังขารุเปกขาญาณและสัจจานุโลมิกญาณจริง ก็จะปรุงเป็นอภิสังขารขั้นอปุญญาภิสังขาร เท่านั้น คือ จะจัดแจง,รวมการกระทำ,รวมเหตุ,ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้นก็ทำได้อย่างวิเศษ

วิตามนัยที่ 2 นี้คือความหมายว่ามี เป็นจิตลักษณะเคลื่อนไหว,ใช้งาน เป็นวิปัสสนา ตักกะ,วิตักกะ,สังกัปปะ เป็นแกนวิ่ง ไม่อยู่กับที่ เป็นลักษณะไฟฟ้าลบ พลังงานจลน์ dynamic  แต่เป็น kinetic energy จึงจัดอยู่ในฝ่ายมี เช่น มี-เป็น-ใช่-อยู่-ปรุง-ทำ-สังขาร เป็นต้น ซึ่งมีอย่างวิเศษ เป็นคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)ทีเดียว

จิตใจของผู้มี“นิพพาน“นี้ ในพระไตรปิฎก เล่ม 30 ข้อ 660 พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่มีอุปมา นัตถิ อุปมา คือ ไม่มีข้อเปรียบเทียบ ไม่มีสิ่งเสมอ ไม่มีอะไรเปรียบ ไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ จึงชื่อว่า ไม่มีอุปมา

ซึ่งผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นมีสภาวะจริง ก็ยากมากที่จะคิดเอาเองได้อย่างถูกต้องจริง อาตมาก็พยายามทั้งขยายความตามสภาวะที่อาตมา“มี“ ทั้งใช้หลักฐานอ้างอิงกันอย่างที่ได้ทำนี้ ก็ไม่รู้ว่า คุณ 8705 จะพอฟังเข้าใจขึ้นบ้างไหม

ถ้ายังจะ“ปรัปปวาทะ“ไปจากพระอนุสาสนีนี้อีก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องของ“ความเห็น-ความรู้-ความเข้าใจ-ความฉลาด“ที่ต่างกันเท่านั้น

คุณ 8705 sms ว่า “คนที่ไปเป็นสาวกบริวารให้พธร..นั่น=ว่าพวกคุณหนุนให้พธร.หลงผิดยิ่งขึ้น  “

คุณ 8705 ไม่เชื่อหรอกว่า อาตมาแสดงธรรมหรือสาธยายธรรมอยู่ตลอดเวลานี้ อาตมาทำใจในใจได้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ได้ทำเพื่อให้คนมานับถือหรือไม่ได้ทำเพื่อจะได้บริวาร ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม 8 จะได้ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ ไม่ได้ทำเพื่อจะได้เป็นลัทธิใหญ่แล้วไปล้มล้างลัทธิอื่นๆ ไม่ได้ทำเพื่อจะได้ให้ใครๆมาเห็นว่าเราวิเศษเก่งกล้า

ชาวอโศกที่เขามาปฏิบัติตามที่อาตมาสาธยายไป ก็เพราะเขาฟังรู้เรื่อง เขาเข้าใจซาบซึ้ง จึงได้กล้ามาปฏิบัติลดละ ทิ้งโลกธรรมมาอยู่อย่างคนจนตามที่เป็นที่มีอยู่นี้ เขาทั้งหลายไม่ได้มาหนุนให้อาตมาหลงผิด แต่เขามาหนุนเพิ่มขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นหลักฐานให้อาตมาเห็นจริงว่า ธรรมะที่ทวนกระแสโลก ที่โลภในลาภยศสรรเสริญสุขโลกีย์ กลับมาลดละ จนจางคลาย ถึงขั้นดับความเป็นโลกได้กันไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม อย่างที่เห็นได้เป็นจริงอยู่นี้ บรรดาเขาทั้งหลายยิ่งมาสนับสนุนอาตมา ก็ยิ่งเป็นเครื่องแสดง เป็นหลักฐานยืนยันให้อาตมาเห็นความจริงว่า “ความเห็น“หรือ“ทิฏฐิ“แบบคุณ 8705 นี่แหละ คือ การหลงผิด จริงยิ่งๆขึ้น ต่างหากเล่าคุณ 8705

แม้จะได้แค่ที่ได้เท่าทุกวันนี้ มันก็เป็น“อนุสาสนีปาฏิหาริย์“ น่ามหัศจรรย์ ที่ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยในยุคนี้ สามารถมองเห็นพุทธธรรมเข้าถึงโลกุตระได้

อาตมาก็จะทำงานประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป อย่างมั่นใจนี่แหละ คุณ 8705 ก็พยายามตามพิสูจน์นะ! อย่าเพิ่งรีบถอยไปไหนเสียล่ะ

และที่อาตมาสาธยายธรรมอยู่ในขณะนี้ โดยเอา sms ของคุณ 8705 มาเป็นประเด็นในการสาธยายนี้ ก็ไม่ใช่เป็นการถกเถียงกับคุณ ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งกับคุณ แต่เป็นการแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่“ปรัปปวาท“ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

หมายความว่า เมื่อมีผู้ทำคำสอนให้คลาดเคลื่อนหรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น(ปรัปปวาท) ก็จำเป็นที่อาตมาจะต้องแสดงธรรมให้มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ “หลักการที่เป็นอย่างอื่นไปจากของพระพุทธเจ้า“(ปรัปปวาท) ให้กลับสู่ความเป็นของพระพุทธเจ้า“อย่างเดิม“ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

โดยสหธรรมก็คือ “กับธรรมะ“นี่แหละ หรือมีธรรมะนี่แหละพร้อม“ หรือ“ธรรมะนี่แหละร่วมกัน“ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายที่อาตมาสามารถทำให้เกิดขึ้นมาก็ยืนยัน“พร้อม“ ซึ่งรวมกันร่วมกันทั้งผู้คนที่แสดงตัวเป็นมวล รวมกันร่วมกันทั้งแสดงความเป็นพฤติพุทธ รวมกันร่วมกันทั้งการดำเนินชีวิตไปพร้อมกับธรรมะที่สามารถพิสูจน์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จริง      

ว่า ไม่ใช่เพื่อโลกธรรม หรือไม่ใช่เพื่อให้ใครมาเป็นบริวารสนับสนุน แต่เป็นการเกิดมวลตามสหธรรมเอง จะเป็นการหนุนไปในทางใด คือ หนุนกันไปในทางผิด หรือหนุนกันไปในทางถูก ก็เป็นไปตามสัจธรรมที่เป็นจริงของสัจธรรมแท้ๆ ใครเป็นสัจธรรม ก็ฝ่ายนั้นแหละ อาตมาอาจจะเป็นผู้ผิดตามที่คุณ 8705 ว่าก็ได้ เพราะไม่มีใครสามารถตัดสินสัจธรรมได้หรอก สัจธรรมเท่านั้นที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมเอง  ก็พิสูจน์กันไป

ขอให้คุณ 8705 อย่าเป็นผู้หลงผิดเลย

ขอให้เป็นผู้สัมมาทิฏฐิจริงเทอญ

อาตมาพูดด้วยความจริงใจนะ แต่คุณ 8705 คงจะรู้ความจริงใจอาตมาได้ยากยิ่ง เพราะดูท่าทีคุณ 8705 จะไม่เชื่ออะไรจากธรรมะที่อาตมาแสดงออกไปเอาเสียเลย  ก็ไม่เป็นไร ด้วยความปรารถนาดี ก็ขอแสดงความจริงใจไว้กันอย่างนี้ก็แล้วกัน

อย่างน้อยเชื่อสักนิดได้ไหมว่า ที่อาตมาพูดว่าความจริงใจนี้ เป็นความจริงใจที่อาตมาสามารถอ่านใจตนเองได้ จึงพูด ตามจริงนั้น?

และขอยืนยันว่า ที่อาตมาสามารถอ่านใจตนเองได้นี้ จนสามารถนำมาประกอบการอธิบายธรรมกันตลอดมานี้ ก็เพราะอาตมามีทิฏฐิที่คุณ 8705 เชื่อมั่นว่า อาตมามิจฉาทิฏฐินี่แหละ

อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะอวยพร ว่า ขอให้คุณโชคดี เกิดสัมมาทิฏฐิเถิด อาตมาก็ทำไม่ได้อีกแหละ เพราะอาตมาเชื่อว่า คุณ 8705 ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้วก็ต้องรู้ว่า อวยพรด้วยปากอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากคุณ 8705 เอง ตนเองต้องเรียนรู้ เชื่อเอง และสัมมาทิฏฐิเอง หรือมิจฉาทิฏฐิเอง.            

ต่อไปเป็นเรื่องของสติปัฏฐาน 4  ที่เกี่ยวเนื่องในวิโมกข์ 8

สติปัฏฐาน คือการทำสติให้เป็นตัวหลักของชีวิต คำว่าสติมีลักษณะอย่างไรก็ต้องศึกษา ให้สติเจริญไปเป็นสัมมาสติตามมรรค 8 และเป็นสติสัมโพชฌงค์

ในบัญญัติบุคคล 4 มี

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ             แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

อรรถาธิบายโดยพ่อครู

1.บุคคลที่ทำแต่โจโตสมถะล้วนๆ คือผู้ที่เข้าใจว่าทำฌานและสมาธิ คือการนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์เท่านั้นการลืมตาปฏิบัติไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่สมาธิ

ในสายโต่งไปทางศรัทธา (พวกเจโตแท้ๆ)จะใช้ศรัทธานำ เป็นสายสมถะมักเข้าป่า จะอดทนเก่ง ตอนที่พระพุทธเจ้าออกบวชไปตามคนเขาทำกันแล้วปฏิบัติไม่เอาอะไรเลยทรมานตนสารพัด หนาวแสนหนาวก็ไม่นุ่งผ้า อดทนเก่งอดกลั้นเก่ง พวกนี้จะยังไม่ใช่แม้แต่สัทธานุสารี ยังไม่ใช่ผู้แล่นไปตามศรัทธาที่เป็นของศาสนาพุทธอย่างแท้จริง ยังไม่นับว่าเป็นทักขิเนยบุคคล 7

2.พวกสติปัฏฐานล้วนๆ แต่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จะเข้าใจว่าการปฏิบัติต้องนั่งหลับตาทำสมาธิ ส่วนสายที่โต่งไปทางปัญญาแท้ๆ จะแก่กล้าในความฉลาดจนเลยเถิด ยังไม่เข้าข่ายแม้แต่ธัมมานุสารีเลย การทำสมาธิคือการทำจิตให้สงบเป็นหลัก ยังไม่เป็นฌานเลย เพราะเข้าใจว่าการทำฌานคือการนั่งเข้าภวังค์เป็นหลัก ตามสมมุติที่เข้าใจผิดไปจากพุทธแท้ต่อกันมา พวกนี้จะเข้าเมือง ไม่ใช่เขาป่า แต่ลึกๆแล้วสายนี้เชื่อว่าผู้ปฏิบัติเอาจริงเอาจังต้องเข้าป่า ส่วนตัวเองหลงศิวิไลซ์หลงโลกธรรม ซับซ้อนไม่มีจบสิ้น ยังไม่ใช่ผู้แล่นตามธรรมที่เป็นศาสนาพุทธเลย เป็นผู้แล่นตามธรรมที่เขาเข้าใจแต่ไม่ใช่พุทธ ยังไม่นับในทักขิเนยบุคคล 7

3.สายเจโตสมถะที่มีสติปัฏฐานบ้าง แต่ยังมีสัมมาทิฏฐิไม่สมบูรณ์ จึงปฏิบัติให้เกิดสัมมาฌาน สัมมาสมาธิไม่เป็น ไม่บริบูรณ์ เพราะยังเข้าใจความเป็นกายไม่ถูก ยังมีสัญญาวิปลาสอยู่(วิปลาสคือกิริยาอาการที่ถือผิดไปจากพุทธจริง) เพราะยังมีทิฏฐิวิปลาส จึงมีสัญญาวิปลาส แต่ไม่ถึงจิตวิปลาส วิปลาสว่าการนั่งหลับตาสะกดจิตไม่รับรู้ภายนอก ทำให้ไม่มีนิวรณ์ในภวังค์คือการทำฌาน ทำสมาธิ

สายเจโตที่ใช้ปัญญาในการปฏิบัติ แม้ทำฌานก็ไม่ใช่ฌานพุทธ ทำแค่ให้จิตสงบแบบทั่วไปเป็นหลัก เพราะเข้าใจว่าการทำฌานทำสมาธิคือการนั่งหลับตาทำสมาธิ นับเอาการเข้าภวังค์คือการทำฌาน ยังเข้าใจวิโมกข์ 8 แบบพุทธไม่สัมมาทิฏฐิ เพราะยังแยกรูป-นาม ไม่ได้ลึกซึ้ง ยังแยก กาย-เวทนา-จิต-ธรรมไม่เป็น ก็จะไม่ชัดในสัตตาวาส 9 เพราะต้องแยกรูป-นามออก

ถ้าพากเพียรปฏิบัติได้ชำระในบางส่วนบ้าง ถ้าสัทธานุสารีผู้ใดพบสัมมามรรคก็เริ่มนับผู้นี้ว่าเป็น ทักขิเนยบุคคล 7 แต่แม้สัทธานุสารีจะสามารถสัมมาทิฏฐิได้บ้าง แต่ก็จะไม่สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์และยากด้วย เพราะว่าแม้แต่กามุปาทานก็ยังยากที่จะพ้น ยังมีศีลพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน ที่ยังยึดถือเทวนิยมก็ยังมี ยากที่จะล้างให้หมดสิ้นเกลี้ยง เพราะได้ยึดถือมาก่อนแล้ว ยึดตามอาจารย์มา ถ้าจะนับก็ว่าเป็นทักขิเนยบุคคลบ้าง ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ อย่างที่เถรวาท ที่เห็นในเมืองไทย

4.ฝ่ายสติปัฏฐานที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ แม้จะทำสติปัฏฐาน ก็ต้องทำในมรรคองค์ 8 ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ 10 เข้าใจไม่สมบูรณ์แม้ทำเจโตสมถะก็ยังเข้าใจว่าการนั่งหลับตาเข้าภวังค์เป็นการทำฌาน ยังมีสัญญาวิปลาสอยู่ ทำสติปัฏฐาน แต่ทำฌานพุทธไม่เป็น เข้าใจว่าทำฌานต้องนั่งหลับตาเข้าภวังค์

สายปัญญาจะเข้าเมืองจะหลงโลกธรรม มีความเฉโก ซับซ้อนมากมายหลากหลายไม่จบสิ้น อย่างที่พวกมหายานเป็นกันส่วนใหญ่

สายเจโตสมถะก็เป็นหีนยาน เข้าป่าโต่งไปอีกด้านหนึ่ง

ถ้าสายปัญญาผู้ใดเข้าใจสัมมาอาริยมรรค สมกับที่เป็นสายปัญญา คือเข้าใจการทำฌานทำสมาธิอย่างสัมมาทิฏฐิ เข้าใจรูป-นามได้อย่างสัมมาทิฏฐิก็เข้าใจวิโมกข์ 8 ก็จะไปจบที่สัญญาเวทยิตนิโรธ  อย่าฤาษีเขาไปยึดเนวสัญญานาสัญญยตนะฌานหรืออสัญญีสัตว์เป็นนิโรธ ส

5.เจโตสมถะที่มีสติปัฏฐานบ้าง หลักๆทำเจโตสมถะนั่งหลับตา แต่ก็ทำสติปัฏฐานบ้าง แต่ก็ยังเข้าใจความเป็นกายไม่สมบูรณ์ยังสัญญาวิปลาสอยู่ ยังมีทิฏฐิวิปลาส ว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าภวังค์ แล้วทำนิวรณ์ให้ไม่มี ทำฌานสมาธิต้องนั่งหลับตา สายเจโตที่ใช้ศรัทธานำทำจิตให้สงบแบบทั่วๆไปทำคิดว่านี่คือฌานสมาธิ นับเอาการนั่งหลับตาเข้าภวังค์คือฌาน แบบนี้จะไม่สัมมาทิฏฐิสมบูร์แบบพ้นวิจิกิจฉา

ผู้สัมมาทิฏฐิที่จะพ้นวิจิกิจฉา จะทำไปก็ตรวจตนได้ว่าพ้นวิจิกิจฉา เพราะมีวิชชา 8 ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ สายเจโตที่มีสติปัฏฐานบ้าง เป็นแกนเจโต แม้จะมีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังแยกรูป-นามไม่ได้ลึกซึ้งนัก จึงไม่สามารถรู้แจ้งสัตตาวาส 9 ว่ากายแค่ไหน สัญญาแค่ไหน แต่ก็พยายามพากเพียรให้สัมมาทิฏฐิบ้างถ้าได้บ้างก็ยังได้ส่วนชำระที่เป็นบุญให้ผลแก่ขันธ์

ถ้าสัทธานุสารีบรรลุสัมมาผลก็นับว่าเป็นสัทธาวิมุติ แม้จะได้สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ก็ยังไม่ง่ายที่จะเจริญไปเป็น เพราะกามุปาทานก็ยังยาก ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล แม้จะพ้นศีลพตุปาทาน อัตวาทุปาทาน ทิฏฐุปาทานก็ยังยากที่ละล้างให้สิ้นเกลี้ยงเพราะไปยึดอย่างของเก่ามานานแล้ว แม้จะได้ผลก็ยังไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายยากมาก จะนับเข้าทักขิเนยบุคคลได้ยาก

6.ฝ่ายสติปัฏฐานผู้มีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์จะทำฌานทำสมาธิได้บริบูรณ์ และเข้าใจว่าเจโตสมถะมีอุปการะ แม้จะหลับตาก็ทำเตวิชโช เป็นอุปการะ เพราะมีความเข้าใจกายได้สมบูรณ์ ไม่สัญญาวิปลาส

สายปัญญาจะอยู่ในเมืองเข้าใจโลกธรรม แต่รู้หลากหลาย รู้ความควร มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เพราะเข้าใจการทำฌานสมาธิอย่างสัมมาทิฏฐิ ตรงตามวิโมกข์ 8 ผลที่สุดได้คือสัญญาเวทยิตนิโรธ

จากทิฏฐิปัตตะก็จะเจริญไปสู่ปัญญาวิมุติ

อ.กฤษฎาสรุป...ช่วงท้ายพ่อครูอธิบายเรื่องของสายปัญญากับสายเจโต การจะเข้าสู่ทักขิเนยบุคคล จะทำได้อย่างไร จุดหมายปลายทางของเราคืออมตะนิพพาน ต้องเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธที่มีแต่ในพุทธศาสนาเท่านั้น .....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:53:03 )

560319

รายละเอียด

560319_รายการเรียนสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครูเรื่อง แก่นแท้แก่นธรรมแก่นกลองอานกะ

          วันนี้พ่อครูอยู่ที่บ้านราชฯ วันนี้รายการก็ดำเนินไปตามปกติ แต่วันนี้จะไม่สาธยายเรื่องที่เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งซับซ้อน ซึ่งสูตรของพระพุทธเจ้านั้น ถ้าใครมีสภาวะรู้จิตเจตสิกได้ จะเข้าใจสภาวะลึกซึ้งซับซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนได้ จนกระทั่งไม่พูดถึงตัวตนเลยในขั้นอภิธรรม ขั้นปรมัตถ์ ซึ่งก็ยากที่จะอธิบาย ในขั้นโลกุตรธรรมก็เป็นเรื่องสูงเรื่องยาก

          ในธรรมะระดับโลกียะทั่วไปเขาก็อธิบายทั่วไปแล้ว ในธรรมะขั้นโลกุตระถ้าไม่มีสภาวะจะวน อธิบายได้ไม่ลึก อย่างเช่นเวทนา 108 ที่ท่านแจกไปถึง 108 ที่มีมโนปวิจารณ์ 18 ซึ่งมีทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าเรามีสภาวะจริงที่ตกผลึกสะสมขึ้นมา เป็นสภาวะที่หยั่งลง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรคือความมีกิเลสลดลง จนกิเลสศูนย์แต่จิตเราก็เจริญขึ้นอีก อย่างพระอรหันต์ก็พัฒนาไปสู่สัมมาสัมโพธิญาณ

          อย่างเถรวาท นั้นจะไม่ได้พูดถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าพูดก็พูดเป็นเรื่องไกล ยาก เป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งจากอรหัตภูมิก็จะมีการพัฒนาไปเป็นอนุโพธิสัตว์.....มหาโพธิสัตว์ ต่อไป

          ที่ผ่านมาพ่อครูได้ตอบประเด็นคุณ 8705 ไปก็รู้สึกเกรงใจทางพุทธศาสนิกชน เกรงใจทางมหาเถรสมาคมมาก ก็จะพูดให้ชัดว่า...ถ้าอย่างไรที่พ่อครูได้พูดไปแล้วในประเด็นที่คุณ 8705 ว่า 

0888705xxx        ถ้าพระทั้งหลายในอดีต ตีความธรรมะเพี้ยนแบบพธร..พุทธศาสนาย่อมเจ้งไปแล้ว! 

0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีตแปลธรรมะมั่วแบบพธร.ป่านนี้พุทธศาสนาก็คงเจ้งไปแล้ว!

          พ่อครูตอบว่า..... คุณไม่มีภูมิรู้เองว่าพุทธศาสนามันเจ๊งไปแล้วจริงๆ ก็พูดไปขอโทษไป พูดด้วยสัจจะ เพราะศาสนาพุทธในปัจจุบันมีแน่เทวนิยมและเป็นเดรัจฉานวิชชา ในสังคมพระก็มีแต่โลกธรรม มีส่วนปฏิบัติที่จะเป็นความละล้างกิเลส เนกขัมมะเหมือนสมัยพระพุทธเจ้านั้นเขามาปฏิบัติธรรมก็มาทิ้งโลกียสุข เขาก็ออกป่า มาทรมานตนเอง อย่างกดข่ม ทรมานตน เป็นทุกรกิริยา พระพุทธเจ้าท่านมีบารมีสูง แต่ก็ทำตามเขาเป็นอย่างนี้กันหมดเลย พ่อครูก็เห็นว่าเหมือนกับฤาษีอาฬารดาบส อุทกดาบส เขาถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติที่จบแล้ว แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ 

          อย่างที่พ่อครูให้มาทำก็คือการลดละออกมาจากโลกอบายภูมิ คือโลกที่เสื่อมต่ำ ที่เข้าใจว่าเราไปรวยลาภยศสรรเสริญ ใช้เล่เหลี่ยมเอาชนะเอาเปรียบ ในโลก ถ้ามองตื้นๆแบบโลกียะที่เขาได้รวยๆนั้นก็จะดูดี แต่ว่าทางโลกุตระนั้นเป็นสิ่งเลวร้าย ซึ่งเป็นธรรมเนียมของโลกที่เป็นการกดขี่ เป็นอบายเป็นความเสื่อมซับซ้อนเขาก็ไม่เข้าใจ ก็ยังไปนับถือกันอยู่

      คนที่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะต้องมาศึกษาให้ลึกซึ้งซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น คนพยายามเข้าใจแม้แต่ว่า "นิพพาน" ไม่ใช่ทั้งอัตตา และไม่ใช่ทั้งอนัตตา (นัตถิอุปมา คือไม่ต้องไปเปรียบกับอะไร) ซึ่งคิดเช่นนั้นก็ถูกในคนที่เข้าถึงสภาวะนิพพานแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาเปรียบ เป็นสภาวะที่ต้องมีเองของตน

          ผู้เป็นอรหันต์ อัตตาที่เป็นรูปธรรม หรือว่า "อรหัตตา" ท่านก็มีอัตตาอย่างอรหันต์ ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่มีร่างกาย แต่ท่านไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่ยึดจริงๆ อย่างถ้าเอาไม้ฟาดหัวพระอรหันต์ท่านก็ร้องว่าเจ็บอย่างนี้เป็นการพิสูจน์ที่ไม่ได้เรื่อง  แต่ท่านหมดในความยึดถือ ความกังวลแล้ว ท่านพ้นทุกข์แล้ว จะเห็นความเป็นนิพพานในตน เขาจะว่าโง่ว่าฉลาด ว่าซ้ายว่าขวา ก็เข้าใจดี แต่จิตเราก็อ่านจิตว่าเราไม่ฟูไม่แฟบจริงๆเลย มันเป็นเรื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตคนที่พ้นอวิชชาแล้ว มีวิชชาเต็มๆ ก็จะรู้จักสังขาร รู้ปัจจัยที่ก่อการสังขาร และรู้ว่า สังขาร มีกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารเป็นอย่างไร จะรู้ว่า สสังขาริกะ อสังขาริกะก็จะรู้สภาวะ จะมีพยัญชนะอย่างไรก็เข้าใจในสภาวะเปรียบเทียบได้

          ศาสนาพุทธทุกวันนี้ที่ว่า เจ๊งหรือเสื่อมไปแล้วนั้น พ่อครูก็พูดไปอย่างจริงใจ ไม่ได้มีจิตไปข่มเบ่งแต่อย่างใด เพราะเห็นว่า ศาสนาพุทธที่มีรากเค้ามานมนานในเมืองไทย พ่อครูก็ยังรู้สึกว่าเป็นบุญที่ได้อยู่ในแวดวงของพุทธ ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงพุทธก็อาจออกนอกลู่นอกทางไปก็ได้ ก็อาจไม่ได้มาอยู่มาทำอย่างนี้

          ตั้งแต่เล็กพ่อครูไม่ได้สนใจพุทธศาสนา คุณยายพาไปวัด ไปนั่งสวดมนต์ท่องไปไม่รู้กี่สูตร ฟังซ้ำไม่รู้กี่สูตร ก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่จะมีประโยชน์ พอโตมาเรียนมัธยม ก็ไม่สนใจวัด แต่เข้าวัดเพราะพ่อแม่ล้มละลาย ต้องไปอยู่วัด แต่ก็ยิ่งไม่ชอบใจวัด สุดท้ายก็ออกไปจากวัดโดยไม่ลาเลย เพราะไม่เคารพศรัทธา           แต่มาถึงทุกวันนี้ก็เห็นคุณค่าประโยชน์ แม้โครงสร้างศาสนาจะเป็นกลองอานกะที่ไม่มีเนื้อพุทธแล้ว พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าเหมือนกลองอานกะ แม้แต่ว่าศีลที่เป็นธรรมนูญ (จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล) ที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศว่าศาสนาของท่านเป็นอย่างนี้นะ ยกตัวอย่างมหาศีล บอกไว้ว่า

       (1) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างสมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(2) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(3) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(4) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จัดมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างมักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(5) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์ โลกายศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(6) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

(7) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

          นี่คือหลักฐานที่เอามาสาธยายกัน พ่อครูก็ต้องขออภัย ที่ต้องว่าวัดไหนๆในไทย ในต่างประเทศก็ทำกันเช่นนี้หมด แล้วของเราก็ยืนยันว่า เราปฏิบัติศีล ไม่ค้านแย้งกับพระพุทธเจ้า และเราทำสมาธิก็ไม่เหมือนเขาทำกัน ของเราเป็นสัมมาสมาธิอย่างในมหาจัตตารีสกสูตร มีพวกเราเรียบเรียบเป็นหนังสือ "สมาธิพุทธ" เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าที่ไม่เหมือนศาสนาใดเลย สมัยโน้นพระพุทธเจ้าก็ประณีประนอมกันมากเลย สมัยนี้พ่อครูแต่ก่อนพูดอย่างถนอม แต่ตอนนี้พ่อครูก็พูดกันแรงกว่าก่อน ในเชิงปัญญาก็ยิ่งเป็นปรมัตถ์ที่ซับซ้อน

          พวกปัญญาฟุ้งเฟ้อฟุ้งซ่านนั้นเป็นวิปัสสนูปกิเลส ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสในมหาสุญตสูตร นั้นการว่างหรือการไม่มีนั้นคือการว่างจาก อบาย จากกามคุณ จากโลกธรรม จากอัตตา คำว่าปีติก็เป็นกิเลสซ้อน ความสงบ ความสุขก็ดีที่เป็นอุปกิเลส เขาก็เข้าใจเพี้ยนไป คำว่าอธิโมกโข นั้นเป็นสภาวะที่น้อมใจไปให้เจริญไปมีขั้นตอน ตามอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปสู่ที่สุด คือสุภันเตวะ สิ่งที่สูงสุดที่น่าพึงได้

          ความเพียรก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ซึ่งวิปัสสนูปกิเลสมี 10 อย่าง

1.โอภาส (แสงสว่าง) 2.ญาณ (ความหยั่งรู้) 3.ปีติ (ความอิ่มใจ) 4.ปัสสัทธิ (ความสงบเย็น) 5.สุข (ความสุขสบายใจ) 6.อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ) 7.ปัคคาหะ (ความเพียร) 8.อุปัฏฐาน (สติแก่กล้า)9. อุเบกขา (ความมีจิตเฉยๆ) 10.นิกันติ (ความพอใจ, ติดใจ)

          คนที่เข้าถึงความว่างความไม่ยึดติดแล้วจะไม่มานั่งเถียงกันหรอก จะไม่ดันทุรัง เพราะท่านไม่ยึดติดในความถูกผิด  ท่านไม่มีความเอาชนะคะคานแล้ว และท่านจะรู้การอนุโลม มีการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างรู้ประมาณ ในวิปัสสนาญาณ 16 ที่มี ญาณที่

10.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง .  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .

11.สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย . . .จิตเราเป็นอสังขารแล้ว แต่ก็ต้องสสังขารไปกับเขา เหมือนแม่ครัวต้องปรุงรสให้คนอื่นกินได้ จะให้หมดเลยไม่ได้ จะเข้าใจการทำเพื่อผู้อื่น แต่จิตตนไม่มีแล้ว เขาก็เห็นอาการแล้วก็เชื่อตามอาการ นั้นไม่ได้ เพราะอมตะบุคคลท่านพ้นแล้วเลยแล้ว มันอาจเหมือนคนกลับกลอกตอแหล แต่ที่จริงท่านทำเพื่อผู้อื่นทั้งหมด อนุโลมเพื่อเขา ทำเพื่อเขา ถ้าเพื่อตนเองไม่มีแล้ว อันนี้เป็นพุทธวิสัยที่สูงส่ง คือมีความเป็นพุทธสมบูรณ์ จะเดาไม่ได้ เพราะมีไม่รู้กี่ชั้น

          พระพุทธเจ้าเกิดมาก็คุยตัวใหญ่โต ไม่มีใครยิ่งใหญ่เทียบเท่าพระพุทธเจ้า เวลาสอนก็จั่วหัวด้วย พุทธคุณ 9 ข่มมนุษย์เทวดามารพรหม หมดทั้งโลก ท่านบอกเองเลย ท่านไม่ได้มีกิเลสยกตัวยกตน ท่านตรัสด้วยความจริงสูงสุดแล้ว

          พ่อครูก็เข้าใจ ว่าที่ทำไปออกไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น        ก็หามิได้  ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

          ผู้จะกล่าวเช่นนี้ต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา แม้อรูปฌานก็ต้องตรวจอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะลืมตามอยู่ปัจจุบัน ก็อ่านรู้ว่าหมดอวิชชาสวะ แม้นิดแม้น้อยจะเหลือเท่าไหร่ก็พ้นหมด เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ คือสัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์ ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธย่อมอาศัยอายตนะเพื่อรู้การสิ้นอวิชชาสวะ (อายตนะ 2 เป็นสิ่งอาศัยซึ่งกันและกัน  ใช้เป็นเครื่องอยู่อาศัย  เป็นนิโรธลืมตาที่มีความรู้ตื่นเต็ม)

          ศาสนาพุทธทุกวันเจ๊งไปแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

          พ่อครูว่าไม่ได้มาเพื่อหาบริวาร ไม่ได้มาเพื่อให้คนมานับถือ ใครมีดวงตาเห็นธรรมก็มาเอา ใครไม่มาเอาก็ไม่ว่าอะไร เราก็ว่าเท่าที่เรามีปัญญา เราทำอย่างมีพรหมวิหาร 4

          เมตตาเขาก็แปลว่า อยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็เข้าใจว่าอยากให้เขามีสุข มุฑิตาก็แค่ยินดีที่เขามีสุข และอุเบกขาก็แค่วางเฉย  ซึ่งก็แปลกันแค่นั้น

          อย่างมัชฌิมาปฏิปทา ก็ไปแปลว่าทางสายกลาง แต่ที่จริงมัชฌิมาก็คือความเป็นกลางแล้ว ปฏิปทาก็คือทางปฏิบัติ แล้วเขาก็เข้าใจว่าปฏิบัติไม่ให้เคร่งให้หย่อนเกินไป แต่ส่วนใหญ่กิเลสก็จะบอกว่าให้ทำแบบสบายแบบขี้เกียจ ซึ่งไม่ใช่ เราต้องทำอย่างตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมจะเจริญยิ่ง

          พ่อครูก็ต้องมาพูดประณีประนอม ไม่ได้ตีทิ้ง แม้ลาออกจากมหาเถรสมาคม ที่จริงพ่อครูก็เกิดมาจากมหาเถรสมาคม ที่ออกมาก็ขอออกมาตั้ง 14 ค่ำเดือน 8 ปี 2518 ขณะประชุมสมณะนวกะที่วัดหนองกระทุ่ม พ่อครูก็บรรยายว่า จะขอออกมาตั้งร้านปาท่องโก๋ร้านเล็ก ไม่ได้คิดอวดดี แต่ขอมาทำตามสูตรตัวเองที่คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อประชาชน ก็ทำตามสุจริตใจ เมื่อทำมาก็ยิ่งมั่นใจว่าสามารถพาคนออกจากโลกียะได้จริง แต่จะให้พ่อครูมาทำศาสนาพุทธทั้งเมืองไทยเลย นั้นไม่ได้หรอก มันต้องมีการทำเป็นขั้นตอน ค่อยๆทำให้สุกไปตามลำดับ ยัดเข้าเตาเลย ก็จะดำไหม้ไม่ได้ผล 

          ต่อไปเป็นการตอบประเด็นและปัญหา

  • ธรรมกาโม(ผู้ใคร่ในธรรม) ....สงสัยว่า เอกพีชีโสดาฯ ที่พ่อครูอธิบายว่าจะตัดสังโยชน์อีก สังโยชน์เดียวก็จะบรรลุอรหันต์ต่างจากอนาคามีอย่างไร?...ตอบ...โดยปรมัตถ์ ในสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ในกายสักขีโสดาบัน เหมือนพระอานนท์เป็นโสดาบันลากไปจนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่นานเลยก็เป็นอรหันต์ มันจะไปลัดไม่ได้ เอาแค่รูปนอกก็เป็นโสดาบัน แต่ในเนื้อธรรมปรมัตถ์นั้นต่างไป

     สกิทาคามีก็แปลว่าเกิดหนเดียว อนาคามี ถ้าไม่ติดยึดในภูมิอนาคามี พอตายแล้วไม่ขอกลับมาเกิดมีร่างกายก็จะค่อยๆสลาย แต่จะช้ามาก ไปตามแล้วแต่ฐานของอนาคามี นานนับไม่ถ้วนเลย แต่ถ้ามาเกิดอย่างมีร่างกาย มีชมพูทวีปจะเร็วและชัดเจนที่สุด พระพุทธเจ้าจึงว่าท่านปราถนาสัมโพธิญาณท่านไม่ปรารถนาเกิดในสุทธาวาส 5 อย่างอนาคามี ถึงเวลาท่านก็มาเกิด

     คุณธรรมที่ซับซ้อนนี้จะเปรียบเทียบไม่ได้มันคนละบริบท คำว่าเอกพีชี ก็เป็นสภาวะ อย่างอนาคามีก็เป็นเอกพีชีได้แน่ แต่คำว่าชาตินั้นมีทั้งภูมิของกาม อย่างสกิทาคามีจะมาล้างภพหยาบเลิกไปแล้ว ในกามภพที่เหลืออีกเป็นภวภพก็เหลืออีกชาติหนึ่งได้ ภูมิธรรมอย่างโสดาบันเป็นได้ สกิทาคามีก็เป็นได้ ภูมิธรรมเหล่านี้ซับซ้อน เปรียบเทียบกันยาก (นัตถิอุปมา) ให้ปฏิบัติไปจะมีสภาวะรู้ได้ อธิบายไม่ยาก ถึงเวลาวาระก็ไม่ต้องเชื่อใคร จะรู้ด้วยตน

  • จะมีวิธีการใดที่ทำให้นร.ที่ตกภพในเรื่องความรัก ออกจากภพกามได้ ...ตอบ...ต้องค่อยๆบอกค่อยๆสอน คนเรามีฐานจิตที่เป็นอัตตามีจริงของเขา เด็กที่เขาตกภพ เราก็ค่อยๆบอก โดยใช้ศิลปะ อย่ายึดมั่นว่าจะสอนได้ทุกคน พวกอเวไนยสัตว์ก็สอนไม่ได้ ให้ใช้พรหมวิหารเท่าที่เราทำได้ เป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม ทั้งตังเขาเองมีบารมีเท่าไหร่ด้วย แม้เขาจะมาอยู่กับเราได้ มาอยู่ ม.1 ก็ไม่จบม.6 ก็มีแล้ว ไม่ใช่ของง่ายต้องค่อยเป็นไป อย่ายึดมั่น ก็เห็นแล้วว่า คนภายนอกเขาก็ตกภพมากกมาย
  • ขอท่านอธิบายวิโมกข์ 8 อีกซักรอบ...ตอบ...ก็ให้ตามฟังอีก

สามข้อแรกคือ รูปฌาน ข้อ 4-7 คืออรูปฌาน

ในข้อ 1-3 ก็อธิบายถึงจิตกับปัญญา

สติ)  วิโมกข์ 8 ของพุทธ

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป) คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจสัญญากำหนดรู้

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

     สามข้อนี้คือลักษณะของรูปฌาน อย่างลืมตา การหลับตาทำก็ได้แต่มีข้อจำกัด จะรู้แต่ในอรูปหรือในสัญญาเท่านั้น เราต้องตรวจในอุเบกขา มันมีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีให้ได้ ถ้า

     ในอากาสานัญจายตนฌานคือ บอกถึงอาการว่างๆเหมือนอากาศ  และอีกอันคือ วิญญานัญจายตนะฌาน จะบอกธาตุรู้ที่สะอาด และที่ไม่สะอาดมีธุลีหมองธุลีเริงมีสิ่งไม่สมบูรณ์คือ อากิญจัญญายตนะอย่างไรก็ต้องตรวจให้ละเอียด แล้วคุณต้องกำหนดหมายให้รู้ให้หมดให้พ้น เนวสัญญานาสัญญา ให้สิ้นเกลี้ยง จนพ้นความไม่รู้ ไม่มีเศษที่ไม่รู้จนสิ้นอาสวะอนุสัย หมดอวิชชานุสัย ก็สิ้นเกลี้ยงเลย

  • ปหาน 5 มีอะไร ใช้ทำอะไร...ตอบ... ให้ปหานกิเลส ปหาน 5 มี

1.  วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) เช่นทำอย่างมีมารยาท แต่ก็เป็นอุปการะได้

2.  ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .คือทำอย่างวิปัสสนา ใช้ปัญญาเป็นปัจจัตลักษณ์

3.  สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.  ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) . (ในอนุปัสสี 4 คือปฏินิสสัคคานุปัสสี)

5.  นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ) เหมือนเราเอายาหม่องทาขาลงน้ำ ปลิงมาแตะก็ร่วมผลอยเลย เกาะไม่ติด มันแพ้เลย มันเป็นไปเองเลย

  • พุทธคุณ 9 โดยสังเขป....ตอบ....คุณของพระพุทธเจ้ามี 9 ประการคือ

1. อรหํ เป็นพระอรหันต์

2. สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญเอง ขนาดพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ใช่สูงมากมาย ต้องบำเพ็ญอีกมาก ขนาดนี้ก็ยังเห็นว่าเป็นเอง ไกลจากคนอื่นมิใช่น้อย

3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

4. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว คือเป็นผู้ที่ไปดีท่าเดียว ท่านไม่มีอะไรบกพร่องอีกเลย

5. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ในโลกกามภพ รูปภพ อรูปภพ ท่านก็รู้แจ้งหมด ทั้งโลกุตระ โลกียะก็จะรู้หมด อย่างโสดาฯก็ต้องรู้โลกอบาย โลกกามคุณที่คุณดับ คุณเหลือ ...ไม่ใช่ว่าเป็นแต่ของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้านี้สุดยอดแห่งโลกะวิทู

6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านเหนือกว่าทุกคน

8. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว

9. ภควา เป็นผู้จำแนกธรรม

  • ถ้าความหมายคำว่าบุญ แบบโลกีย์เป็นสากลหรือไม่ ถ้าไม่ก็แล้วแต่ศาสนาใดจะสมมุติ ถ้าเราสมมุติว่าเราทำอะไรตามใจก็เป็นบุญได้หรือไม่..ตอบ..ถ้าตามคุณสมมุติก็จะสมมุติได้ แต่สัจธรรมนั้นก็จะตัดสินเองโดยสัจจะ พระเข้าคือตัวสัจจะที่ตัดสินความจริงอย่างไม่มีเบี้ยว
  • ท่านเทศน์ถึงสำนักอื่น ท่านเอาข้อมูลจากไหน ท่านมีมานะทิฏฐิหรือไม่?...ตอบ พ่อครูก็ต้องถือในส่วนดีมีทิฏฐิความเห็น แต่จะยึดถือหรือไม่ก็แล้วแต่เรา พ่อครูว่าไม่ได้มีการยึดถือ และรู้ว่ามานะอย่างไรควรอาศัย และก็มีทิฏฐิออกไปเป็นภาษา แต่ความจริงก็เป็นของตน และที่รู้ว่าจริงอย่างไร ก็ได้ฟังตามที่ขาปิดกันให้แซด และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ระบุบุคคล ส่วนใหญ่ก็พูดกลางๆไป แต่พูดธรรมที่จริง มันก็ไปเจอคนที่เขาละเมิด มันเลี่ยงไม่ออก จะว่าว่า ก็ใช่เลย แต่จริงๆก็ไม่ไปรู้เขาหรอกว่าเป็นหรือไม่ แต่เขาก็ปิดกันให้แซด จะพูดดีก็กระทบคนดี พูดชั่วก็กระทบคนชั่ว พูดไม่ชั่วไม่ดีก็กระทบคนไม่ชั่วไม่ดีอีก  การกระทบในโอวาทปาติโมกข์ คือการไปพูดทำร้ายเขา (อุปวาโท) ถ้าแปลว่าอย่าไปพูดกระทบนั้นเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างไรก็กระทบ แต่ว่าร้ายก็ว่าได้ แต่เขาร้ายก็ต้องกระทบเขา
  • มีสำนักไหนบ้างที่พอมีเนื้อหาพุทธ...ตอบ...พ่อครูไม่ได้ไปทำสถิติ เท่าที่พอระลึกได้ก็มี สำนักท่านพุทธทาส ก็พอมีเนื้อหา อย่างพระป่าก็ให้พระอาจารย์เทศน์ อาจารย์ชา เป็นต้น พ่อครูก็เคยระบุอารยิบุคคลว่ามีหลวงปู่มัน อ.เทศน์ อ.ชา ท่านพุทธทาส เจ้าคุณนอ เป็นต้น พ่อครูเคยหลงลมพระยันตะ ก็พลาดไป อย่างนี้เป็นต้น ในขบวนนี้ทั้งหมดยกให้เจ้าคุณนอ ท่านมีเชิงเจโตจัด พ่อครูให้ในระดับอนาคามีภูมิ นอกนั้นก็ไม่ได้ไปพยากรณ์
  • คุณ 8705 แกทำให้เราได้ฟังธรรมะพ่อครูน้อยลงครับ.ผมรู้สึกว่าฟังแกแล้วอัตตาขึ้น..ตอบ...ไปมองอย่างนั้นได้ไง เขาทำให้พ่อครูได้ตรวจสอบค้นคว้ามากมายให้พวกเรา ได้ละเอียดลออ...ควรมองทุกคนให้เป็นประโยชน์ ศัตรูเราก็คือคนทีทำให้เราพัฒนาขึ้น มองในแง่ดีเถิด เอามาใช้ได้ ทำให้พวกเราได้ฟังธรรมละเอียดลึกซึ้ง สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมอง
  • เวลาจะสิ้นใจจะทำอย่างไรไม่ทรมาน....ตอบ..คนที่ตายสงบคือจิตเขาสงบ โดยฝึก ก็มี แต่คนที่สงบโดยไม่ฝึกก็เป็นบารมีเขา มีสองอย่างที่เขาทรมาน คือ 1.ร่างกายทรมาน 2.ร่างกายไม่ทรมานแต่จิตเขาดิ้นรนห่วงหาอาลัย พ่อครูเคยไปโปรดคนเป็นมะเร็งเน่าเหม็นใกล้ตาย แต่ห่วงลูกคนโต ทรมาน ไม่มีทางหายแต่ก็ไม่ยอมตายเพราะห่วง พ่อครูถูกนิมนต์ให้ไปโปรด ซึ่งจะอาบัติดีไม่ดีปาราชิกได้ถ้าทำเขาตาย  พ่อครูก็ให้เขาเห็นความจริง ว่าเราห่วงอะไรก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา ซึ่งก็ไปหลายครั้งเลย แต่ก็สำเร็จ มันทรมานทั้งจิตทั้งกาย การทนพิษบาดแผลนั้นแต่ละคนทนได้ไม่เท่ากัน บางคนตายง่ายแผลนิดเดียว แต่บางคนก็ทนได้มากมายเลย ต้องฝึกให้มีเจโตสมถะ ซึ่งตอนนี้พ่อครูก็ไม่ได้ฝึกเรื่องพลังจิตโจโต ก็ต้องฝึกถ้าไม่ฝึกก็ไม่ได้ เวลาจะสิ้นใจก็ให้ปล่อยวาง อย่าไปห่วงหาอาลัย
  • ไม่อยากเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร?...ตอบ..ต้องปฏิบัติธรรมพุทธนี่แหละจะไม่เกิดได้จริง ต่างจากศาสนาอื่น
  • วัดทั่วไปสอนให้สวดมนต์ทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่ว่าคนที่ศึกษาคำสอนให้เข้าใจไม่สวดมนต์ อย่างไหนจะดีกว่าได้บุญมากกว่า...ตอบ..ถ้าสวดมนต์แล้วจำได้ แล้วก็เอาไปปฏิบัติก็จะดีกว่า ถ้าไม่สวดไม่จำเลยก็จะไปปฏิบัติอย่างไรล่ะ
  • sms เมื่อวานนี้ ว่า เอามาอ่านอย่างนี้ใครๆก็ทำได้ โอ้โหยกยอกันเอง...ตอบ....เขาว่าพ่อครูอ่านเอา แต่ที่จริงพ่อครูก็อ่านของตัวเองที่ได้เรียบเรียงมา อ่านให้ฟัง เพื่อให้ครบไม่ตกหล่น มีหลักฐานอ้างอิง ไม่ใช่เอาของคนอื่นมาอ่านหรืออ่านแต่พระไตรฯเฉยๆ แต่นี่อ่านที่เราเรียบเรียงมาก็เหมือนพูดของตน ก็ดีที่ติติงมาก
  • การสำรวมภายในผมพอรู้จากที่ท่านอธิบายแต่ขอคำแนะนำการสำรวมภายนอก...ตอบ...คือเอาใจภายในที่รู้ภายในและรู้ภายนอกด้วย ซึ่งต่อเนื่องกัน เช่นตากระทบรูป (บนโต๊ะมีกล้วย ประนมมือ สาธุ)กล้วยมีลักษณะเหมือนคนประนมมือ พอเห็นใจเราก็ชอบกิเลสขึ้น ขอซื้อเขาไม่ขาย ก็คิดจะขโมย อ่านใจเราที่ต่อเนื่องจากภายนอก จากนอกไปในนี่แหละคือกาโย (องค์ประชุม) กายมีรูปกายและนามกาย รูปกายคือสิ่งที่ถูกรู้ นามกายคืออารมณ์จิตภายในที่ต่อเนื่องจากภายนอก

     ในวิโมกข์ 8 ข้อ 2 ที่ให้รู้รูปภายนอก และพิจารณาตามไปในรูปภายใน จนถึงอรูป ก็กำหนดรู้ให้ต่อเนื่องกัน เวลาจะตรัสรู้ต้อง "สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง" จะรู้ได้ต้องมีอาการของวิโมกข์ 8 สัมผัสทั้งนอกและในตลอดเวลา ไม่ขาดกัน ถ้าเราจะตัดข้างนอกโดยสัญญากำหนดขึ้นมา แต่จริงๆเวลาตรัสรู้ต้องรู้ทั้งนอกและใน ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ

  • อยากให้ Fmtv เชิญคนของราชการ กระทรวงพลังงานมาออกรายการ....ตอบ....เขาจะกล้ามาออกหรือ?  ขณะนี้มีการเปิดโปงข้าราชการกระทรวงพลังงาน ว่าโกงกิน มากมาย แต่เขาไม่กล้าฟ้อง ...อันนี้เป็นเครื่องชี้บ่งว่าเป็นเรื่องจริง อาจตีความว่าเขาไม่อยากเอาเรื่อง แต่เขาถูกว่าต่อเนื่องมานานก็ยังเฉย..
  • เอวัง.....


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:54:38 )

560321

รายละเอียด

560321_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู เรื่อง ถ้ามีวิมุติในตนใยต้องโหนกระแสโลกีย์

พค.จัดรายการที่บ้านราชฯ...ในช่วงปีใหม่ไทยในเดือนเมษายนที่จะมาถึงเราก็จะมีการจัดงาน เราเป็นคนเล็กๆจึงต้องจัดงานใหญ่ๆ ปีนี้เรามีงานตลาดอาริยะที่เราจะมีโครงการ "คืนชีวิตให้แม่มูน" เราเห็นว่าแม่น้ำมูน ทั้งกว้างใหญ่ สะอาดสะอ้าน แต่ไม่มีชีวิตชีวา ไหลอยู่เฉยๆ ไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร แต่ในอดีตเคยเป็นที่ใช้สอย เป็นที่คมนาคม เราก็เห็นว่าประโยชน์น่าจะมีมาก เช่นทำเป็นตลาดน้ำ พวกเราก็พยายามกัน

          เราทำตลาดน้ำ ก็จะเอาพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่เรากำลังปลูกกำลังทำกัน ตลาดอาริยะเรามีวันที่ 13-15 เมษายน หลังงานปลุกเสกฯ ที่จะจัดวันที่ 6-12 เมษายน เดิมเราจัดตลาดอาริยะ 12-14 เมษายน แต่เนื่องจากความต่อเนื่องจากงานปลุกเสกฯจึงต้องเลื่อนการจัด

          เราจะมีเรือใหญ่ที่เราได้ซ่อมแซมขึ้นมา ลงที่ลำน้ำมูน จะมีเรือเครื่อง เรือพาย มีเรือใช้ติดต่อกันระหว่างท่าเรือบ้านราชฯ กับท่าน้ำกรมเจ้าท่าที่อยู่ใกล้กับตลาดเมืองอุบลฯ เราจะมีเรือใหญ่เป็นเรือเวที และเรือตั้งร้านขายสินค้าด้วย ที่ท่าน้ำกรมเจ้าท่า มีร่องน้ำที่ตื้น ก็ขอให้เรือดูดทรายไปดูดทรายออกให้ร่องน้ำลึกขึ้นเพื่อให้เรือใหญ่เราไปจอดได้

          ที่ผ่านมามีคนที่เขียนพาดพิงถึงพวกเราอโศก มีคุณสุรพจน์ ทวีศักดิ์ ได้ถาม อ.ส.ศิวรักษ์ ว่าสันติอโศกปฏิเสธอำนาจมหาเถระ แต่มหาเถรขึ้นอยู่กับระบบสมณศักดิ์ ซึ่งขึ้นตรงต่อพระราชอำนาจ ทว่าสันติอโศก กลับต่อสู้ทางการเมืองด้วยการโหนเจ้า และยึดอุดมการณ์ชาตินิยม อาจารย์มองว่า อนาคตของศาสนากับการเมืองตามแนวทางสันติอโศกจะเป็นอย่างไร?

          อ.ส.ศิวรักษ์ ว่า...ก็ไปถามสันติอโศโดยตรง ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกันเรื่องนี้ เขาเป็นขบวนการประชาชน เขาพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงก่อนคนอื่นเลย แล้วเขาทำจริงด้วย เขาปฏิเสธทุนนิยม บริโภคนิยมชัดเจน แล้วสมัยหนึ่งเขาก็ปฏิเสธศักดินาทั้งหมด แต่ตอนหลังผมก็ไม่เข้าใจ อาจจำเป็นที่ว่าเขาจะไม่เอาทักษิณลงก็ได้เลยหันมาเข้าร่วมทางนี้ อาจเป็นแผนที่พวกเสื้อเหลืองต้องรวมตัวกันเอาทักษิณลง เลยต้องอิงกันไว้ พวกนี้เห็นว่าอิงเจ้าก็ไม่เป็นไรหรอก อันนี้ผมเคยถามท่านจันทร์ ท่านไม่ตอบผมด้วยซ้ำ อันนี้สำนักเขาอาจถือเป็นอุปายโกศลอย่างหนึ่ง แต่ผมเห็นว่าอันตราย โดยเฉพาะอ้างว่าเป็นสมณะ สมณะจุดยืนต้องมั่นคง ชัดเจนในจริยธรรม ถ้าไม่มั่นคงในจริยธรรมก็เป็นสมณะปลอม

          พค.ที่จะพูดอธิบายนี้ ไม่ได้โต้แย้งโต้เถียง แต่เป็นความต่างทางความคิดเห็น ของพค.เข้าใจความเป็นจิตวิญญาณ เข้าใจอุปาทาน ตัณหา หรือจิตของคน ที่จะมีธรรมชาติอย่างไร และแต่ละคนจะไปยึดอะไรของแต่ละคน พค.ว่าได้ศึกษาเรื่องปรมัตถ์ก็เข้าใจค่าต่างๆเช่นนี้อยู่ เท่าที่พค.เป็นได้ คนเราก็รู้ของตนเองว่าเป็นอย่างไร คนที่จะเข้าขั้นไม่ยึดถือไม่มีอุปาทาน คือคนที่เข้าถึงมัชฌิมา มาสภาพอตัมยตา เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ เรื่องของปัจจัตตังนั้นเดายาก

          คำว่าโหนเจ้า คือคนอาศัยเจ้าเพื่อต้องการผลประโยชน์อะไรบางอย่าง แต่พค.เห็นมั่นใจว่าไม่ได้โหนในหลวง โหนเจ้า เพื่อจะได้ประโยชน์อะไรส่วนตัว แต่ผู้ที่เข้าใจว่าเราโหนเข้านั้นเห็นว่า เรายกย่องพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านตรัสเราก็เอามาออกซ้ำๆ อย่างเช่น แบบคนจน ขาดทุนคือกำไร เป็นต้น เพื่อให้คนได้ฟังได้ยินได้เห็น จะได้ปฏิบัติได้

          เราเห็นว่ามันดี เป็นสิ่งวิเศษที่ในหลวงทำ ทำแบบคนจน ทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะว่าเราโหน โดยจะเอาประโยชน์อย่างที่เราหมายก็ได้ แต่เราไม่ได้ไปเกาะโหนเพื่อเอาประโยชน์อะไรจากท่าน

          เรื่องการยกหรือการข่มเราทำตามพพจ.ว่า นิคคันเห นิคคะหาระหัง ปัคคันเห ปัคคะหาระหัง คือยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม

          ในประเทศไทยมีคนที่ควรยกจริงๆ เป็นตัวอย่างให้สังคมไทยนั้นมีเท่าไหร่กี่คนเชียว แล้วเราเห็นว่าในหลวงท่านประเสริฐ ท่านเป็นโพธิสัตว์ เราเห็นอย่างนั้นจริงเลย

           ท่านเป็นประมุขของประเทศแต่ท่านตรัสว่า ให้บริหารแบบคนจน

“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยูได้ แต่..ไม่เป็นประเทศที่กาวหนาอยางมาก  เราไมอยากจะเปนประเทศกาวหนาอยางมาก

เพราะถาเราเปนประเทศกาวหนาอยางมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหลานั้นที่เป้นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จะมีแต่ถอยหลัง  และถอยหลังอยางนากลัว  แตถาเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยูได้ตลอดไป...”

          คำตรัสนี้ถือว่าเป็นภาษิตที่เยี่ยมยอด แสดงถึงภูมิรู้ที่สูงส่ง ท่านเป็นประมุขของประเทศ ท่านตรัสโดยแก่สาธารณชนเลย ท่านก็ต้องการให้เป็นจริงเลย แต่คนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะคนส่วนใหญ่มีกิเลสมาก คนที่เป็นปุถุชนทั่วไปก็จะทำตามกิเลสก็อยากรวยทั้งนั้น แต่ท่านตรัสอย่างนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเลย

          แต่คนรับความรู้ของท่านเอาไปทำจริงไม่ได้ แต่ชาวอโศก(ขออภัย) ที่ต้องบอกว่าเราทำได้ ตรงตามในหลวงตรัส เราก็ต้องยกย่องบูชา เราเห็นว่าดีจริงเราก็ต้องยกย่องชมเชย ซึ่งไปเข้าใจว่าการยกย่องของเราคือการโหนเจ้า เขาก็มองตามภูมิของเขา

          เขาว่าสันติอโศกปฏิเสธอำนาจมหาเถรสมาคม แต่มหาเถรสมาคมกับอยู่ใต้อำนาจสถาบันมีศักดินา แล้วอโศกปฏิเสธศักดินา แต่ทำไม่กลับไปยกเจ้าโหนเจ้า เขาเห็นว่าเจ้าก็มีศักดินา ทำไม่อโศกไปส่งเสริมแต่คุณ ส.ศิวรักษ์ว่า แต่ก่อนเขาก็ปฏิเสธศักดินา แต่ตอนหลังผมก็ไม่เข้าใจเขา

          พค.ว่า ความเสมอภาคในโลกนี้มันไม่มี ไม่มีอะไรเท่าเทียมกันเลย แม้แต่ปรมาณูเล็กที่สุดก็ไม่เท่ากัน ยิ่งนามธรรมยิ่งไม่เท่ากัน นิ้วมือยังไม่เท่ากันเลย คนที่คิดว่าทุกอย่างต้องเสมอภาคนั้นเป็นความคิดสุดโต่ง

          ยกตัวอย่างว่า แม่ของคุณก็คือสมมุติสัจจะอย่างหนึ่ง ถ้าสมมุติว่า แม่คุณชั่ว คุณจะต้องไปประจานแม่ไหม จะต้องให้เท่าเทียมกันทุกคนใช่ไหม แล้วคุณจะยกแม่คุณไว้ไหม? อย่างนี้เป็นต้น อาจมีตัวอย่างอื่นก็ได้แต่ยกแค่นี้พอ

          ในโลกนี้จะให้เท่ากันเสมอภาคหมด ไม่ต้องมีผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้กลาง ผู้ที่จะต้องยกย่องนั้น มันไม่ได้ มันต้องมีตามขนาด และต้องมีการประมาณว่าขนาดนี้พอเหมาะ มันไม่เที่ยง ไม่คงที่ สัตบุรุษต้องมีการประมาณ อาศัยองค์ประกอบอยู่ตลอดเวลา อาศัย สัปปุริสธรรม 7 อยู่ตลอดเวลา ต้องเข้าใจความสำคัญของแต่ละครั้งแต่ละเรื่อง และต้องรู้ตัวเราที่จะไปจัดสรร ต้องรู้หมู่กลุ่มบุคคล กาละเวลา ต้องเอามาประมาณให้หมด ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปตามข้อมูลในปัจจุบัน ทุกวันนี้ พค.ใช้สัปปุริสธรรม กับมหาปเทส ในการประมาณ บอกตายตัวไม่ได้

          ภูมิของแต่ละคนมีหลากหลาย จะถือว่าอะไรจริงอะไรถูก อะไรเท็จ อาจตัดสินไม่ได้เลย ยากคาดเดา แต่ก็ต้องอธิบายตามสัจธรรม ก็ตอบอีกทีว่า หลายเรื่องที่เรา ทำเป็นเรื่องโลกุตรธรรม เป็นสัจจะย้อนสภาพ ใช้สัจจานุโลมมิกญาณ ในการร่วมกับสังคม ใครจะว่าพค.ชั่ว ผิด ก็แล้วแต่ พค.ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4 ในการตัดสินอยู่ตลอด ซึ่งทุกวันนี้ความไม่เที่ยงมันจัดจ้านมาก มันต้อง up to second แล้วไม่ใช่ up to date แล้ว มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงเร็วมากเยอะมาก

          สิ่งที่ทำนี้เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจ ในกลุ่มอโศกที่พค.พาทำและพวกเราก็เชื่อมั่นในการทำ พค.ไม่ได้บังคับให้ทำ เพียงขอความร่วมมือก็มาทำ โดยไม่ได้อาศัยอามิส หรือโลกธรรม ทุกวันนี้พค.ภูมิใจที่พาพวกเราดำเนินชีวิตโดยไม่เป็นทาส โลกธรรม

          อย่างโลกียสุข พวกเราก็ฝืนฝึก เพื่อละล้าง ตั้งตนบนความลำบาก อย่าว่าแต่ลาภยศสรรเสริญเลย แม้แต่ความสุขที่จะเสพสบายพวกเราก็ไม่ปราถนาพยายามลดล้างอยู่ตลอด พยายามตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง พวกเราทำมาก็ได้ผลเรื่อยๆ ดูหัวหอมที่อยู่บนโต๊ะพ่อครูได้หัวใหญ่เท่ากำปั้น(เป็นหอมแขก) ปลูกที่สวนงานเมืองใหม่

          พวกเราทำอย่างที่พค.พาทำไม่ได้ไปโหน ผู้มีอำนาจ ไม่ได้โหนกาม โหนอัตตา หรืออามิสใดๆ เราไม่ต้องไปอาศัยอิทธิพลของโลกธรรม ผู้ที่พ้นความเป็นทาสแล้วก็ไม่โหนอะไร แต่เราก็ทำไปอย่างอาศัยการศึกษา สังคม ทำงาน โดยไม่ได้ไปเอาเปรียบการศึกษาเพื่อล่าโลกธรรม หรือไปทำงานการเมืองเพื่อไปล่าโลกธรรม จากงานการเมืองเราก็ไม่ไปทำ อาศัยสังคม เราก็ไม่ได้ไปล่าอะไรจากสังคม หรือไปเอาเปรียบสังคม พวกเราไปเสียสละ ไปเสียเปรียบ เรามั่นใจว่าพึ่งตนรอด

1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.พัฒนาสร้างสรรมีส่วนเกิน 4.เอาส่วนเกินไปช่วยเขา ตั้งแต่วัตถุ แรงงาน เรามีแรงงานเหลือก็ไปออกแรงให้ข้างนอกโดยไม่คิดค่าแรงงาน หรือจะไปได้อะไรตอบแทนมา แต่เพื่อสงเคราะห์เกื้อกูลมนุษยชาติ พูดไปเหมือนยกตัวข่มคนอื่น เราทำอย่างนั้นจริง

          เรามาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครช่วยเหลือสนับสนุนเลย แล้วก็กว้างมาเรื่อย คนที่เห็นดีเห็นงามก็ไม่มีคนที่มีอำนาจทางสังคม จะมีก็แต่คุณจำลอง ศรีเมืองที่มา เราก็อาศัยกันบ้างพึ่งพากัน แต่ก็ไม่ได้ไปรบกวนเขามากมาย ไม่ได้เอาอิทธิพล อำนาจคุณจำลองไปเบ่ง ไปเอาอะไร แม้แต่บางคราว ที่คุณจำลองจะแสดง ที่คุณจำลองเป็นประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ก็แสดงบ้าง

          คนจะเข้าใจในพฤติกรรมอาริยะได้ยาก เพราะเป็นธรรมทวนกระแสสังคม มันยาก มีคนมาย้อนแย้งก็เป็นอย่างนั้น เพราะมันเข้าใจไม่ง่าย ต้องเป็นคนที่มีวิมุติ

          เรื่องของวิมุติ มีอยู่ใน พร 5 ประการ คือ

          1. อายุ มีเครื่องแสดงคือ อิทธิบาท จะเห็นว่าคนที่ยังมีชีวิตจะมีอิทธิบาท มีความยินดีขยันเอาใจใส่ ทำการงานอันไม่มีโทษ นี่คือเครื่องแสดงความเป็นผู้มีอายุของผู้บรรลุธรรม

          2.วรรณะ คือมีศีลเป็นเครื่องแสดง ศีล 8 จะสูงกว่าศีล 5 (ใครไม่เห็นว่าสูงกว่าก็แล้วไป) ผู้มีศีลนั้นคือผู้บรรลุศีล คือจิตจะบรรลุเลยในศีลแต่ละข้อ ในโสดาบันก็บรรลุศีล 5 จิตเป็นปกติที่จะไม่ฆ่าสัตว์ คำว่าปกตินี้ลึกซึ้งถึงปรมัตถ์ อย่างศีลข้อ 1 จิตล้างกิเลสอยากฆ่าสัตว์ไม่เหลือจนเป็นปกติสามัญชีวิต นี่คือปกติที่เป็นศีล มันไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน ผู้มีวรรณะคือผู้มีศีล อย่างจิตไม่ฝืนเลย ไม่ต้องการของๆคนอื่น ไม่มีกิเลสไปนอกใจคู่สามี ภรรยาของเรา ไม่ติดในสิ่งมอมเมา อบายมุข เราก็ปกติสบาย

          ศีล 5 เป็นโสดาบัน  ศีล 8เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี จิตจะสูงขึ้นจริง ไปถึงศีลโอวาทปาติโมกข์ ผู้มีชั้นวรรณะจะเอาศีลเป็นเครื่องแสดง ยิ่งบรรลุแล้วก็จะไม่แสดงออกทางกายวาจา ดีไม่ดีจะมีการใช้สัจจะย้อนสภาพได้ด้วย

          3. สุข เพราะมีฌาน ฌานคือจิตที่ไม่มีนิวรณ์ อย่างลืมตา เราจะไม่มีนิวรณ์ได้ระดับไหน เรามีไฟฌานในการเผากิเลสให้หมด เราก็สุขสงบจากกิเลส แม้ลืมตามีการกระทบเราก็เฉยได้สงบสบาย ผู้มีฌานจะอยู่กับโลกสัมผัสกับโลกธรรมจิตก็ไม่หวั่นไหว( ผุฏฐัสสะ โลกะ ธัมมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ ) นี่คือนิพพานังปรมังสุขัง มันนัตถิอุปมา ไม่มีอะไรเปรียบได้

          4.โภคะ โภคทรัพย์ มีอปมัญญาหรือพรหมวิหาร 4 เป็นเครื่องแสดง มีจิตอยากช่วยโลกเป็นจิตพระเข้า ผู้มีทรัพย์มหาศาล คือผู้ที่มีพรหมวิหาร นี่คือคนรวยมากๆ มันเป็นอาริยทรัพย์

          5.พละ หรือพลัง มี วิมุติเป็นเครื่องแสดง อันนี้คนเข้าใจยาก อย่างพวกเรานี่ทำอย่างด้วยจิตที่ไม่ได้มีอามิสล่อ เราทำอย่างตั้งใจทำ ยิ่งไม่มีกิเลสยิ่งเป็นพลังที่ประเสริฐ เราทำงานที่ไม่มีโทษ ทำเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น เพราะเราเองเหลือกินเหลือใช้แล้ว เรามีพลัง 4 พ้นภัย 5ได้ เราไม่กลัวการมีชีวิตแม้มาอยู่อย่างไม่มีเงินเราก็ไม่กลัว เรามาอยู่กันหลายคนอายุมาก ไปไหนไม่รอดแล้ว ก็ไม่กลัวว่าชีวิตจะอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่ได้มีเงินทองทรัพย์สินเป็นประกัน เราเชื่อระบบสาธารณโภคี เราเชื่อบุญเราเชื่อมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี สอดคล้องกับธรรมะพพจ.จะอธิบายได้ตรงชัดหมด เพราะเราทำตรงตามพพจ.

          พค.มีวุฒิทางโลกเขาเทียบแล้วแค่อนุปริญญา แต่ไม่ได้น้อยใจ ความรู้ที่ได้เรียนมาก็เอามาใช้บ้าง แต่ใช้ความรู้เรื่องศีลธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ดูแคลนความรู้ทางโลก ถ้าเรามีปัญญาเลือกเฟ้นสิ่งที่ควรและไม่ควร เรามีมหาปเทส เราก็เอามาใช้ได้ ถ้าชีวิตเรามีธรรมะเราก็สบาย เราใช้เวลา เดี๋ยวหมดวันๆ เลยแก่ไม่ทันเลย รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

          ย้ำว่าไทยเรามีคนที่ควรถูกยกมากหรือไม่อย่างไร? พค.ก็เห็นว่าในหลวงทรงงานหนัก แม้มีคนมองว่าในหลวงทำงานอย่างไร ไม่เห็น เขาก็มองไม่ออก เพราะกิเลสบัง แล้วมองไปสุดโต่ง ว่าต้องเท่าเทียมกัน

          ต่อไปเป็นการตอบประเด็น ปัญหา?

  • นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นแก๊งค์เดียวกันกับนายสมศักดิ์หรือไม่เพราะเวลานายสมศักดิ์วิจารณ์สถาบันก็แย้งนิดหน่อยแล้วก็เออออไปด้วย...ตอบ...พค.ว่าไม่มีสิทธิไปวิพากษ์วิภาษณ์อะไรเพราะเขามีภูมิความรู้มากอย่างเขา พค.ไม่ขอบังอาจไปวิจัยวิจารณ์ วัยวุฒิอ.ศ.แก่กว่าพค. 2 ปี ส่วนคุณวุฒิก็สูงกว่าเยอะ จบปริญญาหลายใบ ได้ถูกขนานนามว่า เป็นปัญญาชนสยามด้วย
  • การทำบุญด้วยการกรวดน้ำได้ผลอย่างไร?  ตอบ...คำว่าบุญ ทุกวันนี้เพี้ยนไปไกล พค.จึงต้องมาสร้างความเข้าใจให้ถูก คำว่าบุญ นี้ มาจากภาษาบาลีว่า ปุญญะ จากรากศัพท์ แปลว่า "ชำระจิตสันดานให้ผ่องแผ้ว สะอาด" ชำระไปถึงสันดานที่อยู่ภายใน ก็คือกิเลสนั้นเอง ให้บริสุทธิ์สะอาด แต่เขามาเข้าใจว่า บุญคือคุณค่าประโยชน์อย่างโลกียะ เป็นโลกธรรม เมื่อมันเพี้ยนแล้ว เอาไปแปลเป็นบุญในเรื่องสังขารอย่าง  ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร เขาก็ไปแปลผิดๆ ที่จรงิอปุญญาภิสังขารควรหมายความว่า ไม่ต้องปรุงบุญคือการชำระบาปแล้ว 

ในพระไตรฯเล่ม 35 ข้อ 257 ว่าไว้ดังนี้ [257] "สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นไฉน

     ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขารวจีสังขาร จิตตสังขาร

     ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน  กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วย    ทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จ ด้วยภาวนา นี้เรียกว่า  ปุญญาภิสังขาร

     อปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน  อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร

     อาเนญชาภิสังขาร เป็นไฉน  กุศลเจตนาเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร

     กายสังขาร เป็นไฉนกายสัญเจตนา เป็นกายสังขาร วจีสัญเจตนา เป็นวจีสังขาร มโนสัญเจตนา เป็น  จิตตสังขาร เหล่านี้เรียกว่า สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย"

         พค.ขยายความ....อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร คืออุกศุลเจตนาที่เป็นกามาวจร อกุศลเราก็ไม่ต้องชำระแล้ว แม้ในกามาวจร พพจ.ท่านอธิบายผู้บรรลุธรรมพพจ.แม้ในกามาวจรกิเลสท่านก็ไม่มีนี้คือปุญญาภิสังขารของท่านผู้บรรลุธรรม

          อย่างอเนญชาภิสังขาร คืออรูปาวจรในจิต จิตของผู้นี้ถึงขั้นอรูปาวจรก็เป็นกุศลหมด เมื่อข้างในเป็นกุศลหมด ข้างนอกก็ต้องเป็นกุศลหมด คือจิตผู้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม แม้อยู่กับภายนอก จิตเป็นประธาน จิตของผู้บรรลุธรรม ไม่ต้องชำระจิตอกุศลเจตนา และในขณะอวจรในอรูปภพ ท่านก็ไม่หวั่นไหว มีอเนญชา

          การเรียนรู้ที่จะพ้นอวิชชา ต้องเรียนรู้สังขาร 3 ที่มีกายสังขาร ต่อเนื่องไปสู่จิตสังขาร ท่านให้ศึกษาจิตในจิต คือสติปัฏฐาน 4 ทำใจในใจเป็น เช่นทำสังกัปปะ 7 เป็นก็จะเห็นวจีสังขาร ถ้าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นทำใจในใจเป็นจนกระทั่งรู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา  วจีสังขาร  คือการสังขารในจิต แล้วก็รู้ชำระสังขาร อย่างปุญญาภิสังขาร ศึกษาวจีสังขารอย่างไรให้ไม่มีกิเลส ก็ทำตั้งแต่ในจิต ซึ่งจะเจริญไปตามลำดับของพระโยคาวจร เกินสามัญเกินที่คนคาดเดา ถ้าไม่รู้สังขาร ก็จะปรุงแต่งไปตามกิเลส แต่ถ้าปฏิบัติ รู้สังขาร ตั้งแต่ควบคุม ตักกะ วิตักกะ ก็จะมีสังกัปปะที่เป็นกุศล เราวิจัยจิตว่ามีโทสะ ราคะ โมหะ ให้มันลดลง ตามมหาน 5 หรือพิจารณาในไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันพาทุกข์นะ สุขน่ะสุขหลอก มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อกำจัดเหตุได้ จึงจะเข้าใจอภิสังขารได้อย่างไม่เดา 

          บุญคือการชำระกิเลส คือสิ่งยิ่งใหญ่ ถ้าไม่เข้าใจก็แค่แปลกลับไปกลับมา เหมือนกับแปลสุขกับทุกข์แค่กลับกันไปมา เช่นในพรหมวิหารแปลกันว่า เมตตาคือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ กรุณาคือให้เขามีสุข อย่างนี้มันแปลวนไปมา ไม่ใช่โลกุตระ

          ประเด็นที่กรวดน้ำ ตอบ...ยิ่งกรวดน้ำยิ่งบาปมากขึ้น เพราะคุณไปทำทาน แล้วก็ไปกรวดน้ำ ส่งไปให้ผู้ตาย เขาไปแปลว่าบุญคือตัวตน หรือโลกธรรมก็ยังวนอยู่ คุณจะได้บุญคือต้องชำระกิเลส แต่คุณทำทานก็ต้องชำระกิเลส โลภ ทานหรือสละของตัวให้คนอื่น มือและปากบอกให้ ใจก็ต้องสละด้วย แค่คุณอยากได้นั่นก็ไม่เป็นบุญแล้วเป็นบาปแล้ว ยิ่งไปกรวดน้ำย้ำไปอีก มียายคนหนึ่งแกกรวดน้ำเอาถังใบใหญ่เทลงไปเลย นั้นยิ่งย้ำลึกเข้าไปให้โลภมากขึ้นๆ ว่าจิตเราต้องเอาให้ได้ เป็นมโนกรรมที่ยิ่งโลภเข้าไปอีก

          มีกลอนตลกๆว่า

          ธรณี นี่นี้ เป็นพยาน
อันตัวลูกได้ทำทาน เสร็จแล้ว
จึงยืมถังท่านสมภาร มากรวด น้ำเฮย
คนอื่นใช้ขวดและแก้ว ลูกว่า เล็กไป

          เพราะสิ่งหวังในใจลูก มากมี
ขึ้นศกใหม่ทั้งที ต้องเริ่ด
จะขอเผื่อสามี และบุตร ด้วยแฮ
ชวนมาวัดทำเชิ่ด ทั้งลูก และผัว

          หากชาติหน้าเกิดอีก ฉันใด
ขอเกิดประเทศไทย นะแม่
เกิดต่างแดนคงทำใจ ลำบาก
ภาษาอังกฤษฉันแย่ แต่เล็กจนโต

          ขอให้สวยสุดหล้า ปฐพี
ได้ประกวดบนเวที หมู่บ้าน
มีสติปัญญาดี มิโง่
ให้โลกสะเทือนสะท้าน นี่แหละ หญิงไทย

          ขอผัวที่ดี เก่ง และรวย
ผัวกระบักกระบวย ขอเว้น
มีผัวผิดคิดจนงงงวย ผัวเหี่ยว
ได้ดั่งใจลูกจะเซ่น ด้วยกิ๊กหนึ่งคน

          ถ้ามีลูกขอลูกอย่า ทิ้งฉัน
เวลาแก่ตัวมัน ลำบากเน้อ
เลี้ยงโตแล้วทิ้งกัน หนีหมด
ปล่อยแม่คิดถึงเก้อ นี่หรือลูกเรา

          ขอตัดเวรกับเจ้าหนี้ ทั้งปวง
ชาตินี้ไม่มีดวง จ่ายให้
จงอย่าเสียเวลาทวง วานบอก ทีแม่
ชาติหน้าอาจจ่ายได้ ถ้าผัวฉันรวย

          ขอมากไป? หรือแค่ ชิวชิว?
แต่ตอนนี้ ลูกเป็นตะคริว ช่วยด้วย!!!!!
ว้าย !

         เป็นเรื่องบานปลายของพิธีกรรม ถ้าอนุโลมก็คือการระลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ เป็นการเผื่อแผ่ เป็นสังคมศาสตร์นิดๆ แต่ทำลายสัจธรรมพุทธศาสนา ทำให้เข้าใจผิดเป็นทานที่เพิ่มกิเลส เป็นมิจฉาทิฏฐิ

  • ขอพค.อธิบายว่า อภิสังขารมารของพระอาริยะคือ??.ตอบ..พระอาริยะมีหลายระดับ ของโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯก็ยังมีมาร แม้แต่พพจ.ก็มีมาร อย่างในโสดาฯก็มีอภิสังขารมาร คือมารที่ปรุงแต่งในใจ หลอกเรา เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดอภิสังขารมารสำหรับปรมัตถ์ แต่อภิสังขารมารที่อธิบายภายนอก คือมารที่ปลอมตัวเป็นเทพบุตร ในปรมัตถ์คือหลอกตัวเอง ในรูปธรรม คือพวกขี้โกงที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสังคม ดูดี แต่จิตมีแต่กิเลสทำชั่ว
  • อย่าไปสนใจคุณ ส.ศิวรักษ์ ผมรู้มาแต่เด็ก ว่าคนนี้เขาไม่สนใจความดีสถาบันหรอก ขอโทษผมรู้สึกหงุดหงิด..ตอบ...จริงๆแล้วคุณสุรักษ์มีแนวคิดตน และเลื่อมในสถาบันลึกๆ  แต่ในแง่รัฐศาสตร์เขาว่าควรวิพากษ์ได้ไม่อย่างนั้นจะเหลิง ถ้าแตะไม่ได้เลยก็ไม่ดี ควรแตะให้พอเหมาะพอควร เขาก็ต่อสู้ตามความเห็น เขาเห็นว่าถ้ายกไว้หมดทั้งประยูรวงศ์อย่างนี้เขาไม่เห็นด้วย
  • มีคนได้ยินพค.ตอบกรณีโหนกษัตริย์....แสดงความเห็นว่า รู้ว่าพค.ไม่ได้โหนสถาบัน แต่มีคนกล้าหาญทำเพื่อประเทศเท่าท่านไหม
  • ชาวอโศกมีวิธีจัดการมดแมลงสาป หนู อย่างไรไม่ให้ผิดศีล  ตอบ...โยมๆตอบว่า ทำ 5 ส. หรือใช้จุลินทรีย์ไล่มันไป เป็นเรื่องยาก คนที่ทนไม่ได้ก็ฆ่าแกงกัน แม้จะเสียของบ้างก็ยอมให้มดปลวกบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะกล้าปล่อยให้สัตว์ทำข้าวของเสียหายไหม มันก็มีส่วนบาปและบุญ มันมีวิบากซ้อนอยู่มาก ถ้าวิบากดีก็มีคนรองรับ คนที่ยังมีอาชีพ เป็นเพชรฆาตก็ฆ่าคน เขาก็ต้องรับฐานะฆ่าคน เขาก็บาปแต่จิตเขาไม่ได้ฆ่าเพราะมีกิเลสโกรธเกลียด แต่เขาฆ่าตามหน้าที่ ต่างกับคนที่ฆ่าเพราะโหดร้ายอยากฆ่า เพรชรฆาตเขาสงสารอยู่ แต่คนนี้เป็นคนร้ายก็ต้องฆ่า เพราะปล่อยไปก็ทำร้ายสังคม หรืออย่างตำรวจทหารต้องฆ่าคนเพื่อบ้านเมือง ก็ทำหน้าที่ไป ก็เป็นบาปได้เขาก็โกรธแค้นได้ แต่เราไม่มีเจตนาด้วยโกรธเกลียดแต่อย่างใด แม้แต่เราไปเหยียบหัวงูตายเราไม่มีเจตนา แต่งูจะพยาบาทเราเป็นเวรภัยแล้ว เป็นอจินไตย
  • ช่วยขยายอรหันต์ 7 ข้อ 1 สัทธวิมุติด้วยครับ? ตอบ  ..เป็นทักขิเนยบุคคล 7 มากกว่าอรหันต์ 7 และข้อสัทธาวิมุติก็เป็นข้อ 3 ต่างหาก ...ค่อยๆฟังไป อรหันต์ 7 นั้นเป็นคำอธิบายของ วิสุทธิมรรค ไม่ใช่คำสอนพพจ.ทีเดียว อย่างเช่นสุขวิปัสสโก คืออรหันต์ที่ไม่มีฌานเลย ก็ค้นไม่เจอในไตรปิฎก
  • สุตมยปัญญา กับจินตามยปัญญาอะไรมาก่อน...ตอบ..อะไรมาก่อนก็ได้ ถ้าคุณคิดของตนไม่ฟังใครมาก่อนก็ได้ แต่จริงๆแล้วเขาจะเอาสุตมยปัญญามาก่อน แล้วค่อยขบคิดใคร่ครวญ แต่ก็เป็นสภาพตรรกะทั้งสิ้นจนกว่าจะทำจนบรรลุ
  • หากเราถูกเขาชี้ชุมทรัพย์แล้วเราก็นิ่งฟัง โดยจิตเราก็ไม่หวั่นไหว แล้วเราก็วิจัยวิจาร์ของเราถูกไหม?...ตอบ..ถูกทำให้ได้
  • อุปกิเลส 16  ทำไม ไม่มีสายพยาบาท ?..ตอบ  อภิชฌาวิสมโลภะ คือข้อ 1 เป็นสายโลภ แต่ข้อ 2 ไปเรื่อยๆเป็นสายพยาบาทไปหมดเลย
  • การทดแทนพระคุณพ่อแม่ที่ตายไปแล้วทำอย่างไร?  ตอบ...การตอบแทนคุณต้องทำตอนเป็น พพจ.ไม่เคยเห็นว่าท่านสอนการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตอนตายไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เพราะพพจ.สอนว่า กัมมัสโกมหิ(กรรมเป็นของๆตน) กัมมทายาโท(เราเป็นทายาทรับกรรมที่เราทำ) กัมมโยนิ(เรามีกรรมเป็นที่เกิดที่กำเนิด) กัมมพันธุ(เราเกิดมีกรรมเป็นเผาพันธุ์) กัมมปฏิสรโณ(เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง)  ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วจะไม่หลงผิด พ่อแม่ตายแล้วอย่าไปห่วงหาอาวรณ์ ตายไปแล้วก็ไปรับวิบากของท่าน เราเองก็มีวิบากเรา ไม่ได้พูดให้ไปลบหลู่คุณท่าน แต่ให้ปฏิบัติให้ถูก
  • บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี ต่างกันอย่างไร??...ตอบ....

บารมีคือคุณธรรม เป็นคำกลางๆ

อุปบารมี คือบารมีที่สูงขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นลักษณะกลางๆ โลกียธรรมก็ได้ โลกุตรธรรมก็ได้

ปรมัตถบามี คือบารมีในระดับจิตเจตสิก รูป นิพพาน เช่น บารมี 10 ทัศน์ เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานในขณะเป็นๆเลย

  • ทางสันติอโศกจะเข้าข้างปชป. รังเกียจพรรค เพื่อไทย  ผมอยู่ภาคใต้รู้ดีว่าปชป.มีสิ่งไม่ดีมาก หากจะเชียร์ฝ่ายใดจะไม่ถูก..ตอบ..อโศกจะเชียร์ทุกพรรคที่ทำถูกต้อง พรรคไหนทำไม่ถูกต้องก็ไม่เชียร์ แม้พรรค พฟด. ใครทำไม่ถูกก็ไม่เชียร์
  • พค.ช่วยการเมืองเป็นอนัตตาหรือไม่?   ถ้าไม่ ทำไมไม่วางเพราะเป็นเหตุขวางคนเข้ามาขัดเกลากิเลส.....ตอบ...ใช่ ช่วยการเมืองด้วยจิตอนัตตา  จะว่างอย่างไรก็ไม่มีตัวตนแล้ว และพค.ก็เดาความเข้าใจคุณไม่ออก คุณเข้าใจอโศกไม่ถูกนะ....ตอบไม่ไหว?............จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:56:46 )

560329

รายละเอียด

560329_รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่อง ทุกขสัญญาพาให้เกิดสังขาร

          ส.ฟ้าไทเปิดรายการ ที่บ้านราชฯ..ตอนนี้พ่อครูสอนธรรมที่ลึกซึ้งถึงขั้นนิพพาน ที่จะต้องรู้จิตเจตสิก รูป นิพพาน รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ  เราต้องเรียนรู้สังขาร ที่แบ่งได้เป็นหลายแบบ ตั้งแต่สังขาร 3 (กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร) หรือว่า เป็น ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร ถ้าเราไม่ได้ฟังพ่อครูอาจเข้าใจผิดได้ เช่นเรื่องอปุญญาภิสังขาร ที่เป็นสังขารของผู้ที่ไม่ต้องลดกิเลสแล้วเพราะไม่มีกิเลสให้ลดเพราะทำมาแล้วในปุญญาภิสังขาร

          พ่อครูขออธิบายแก่ประชาชน... มีผู้ที่รายงานว่า มีผู้ส่งข่าวว่า ขณะนี้ในโลกโซเชียลมีเดีย กำลังอึงมี่ในการวิพากษ์วิจารณ์การถูกแบนของ FMTV จากจานดาวเทียมไทยคม C - band เรื่องนี้ไปถึงคุณสุภิณยา กลางณรงค์ บอร์ด กสทช. แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร อยากทราบความรู้สึกพ่อครู ในเรื่องนี้

          กรณีนี้ พ่อครูก็ได้ข่าว ก็ดำเนินไปตามความจริง ขอยืนยันว่าที่ทำนี้เพื่อประโยชน์สังคม ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มาเอาโลกธรรม แต่ก็ธรรมดา ในโลกเราพูดความจริงก็ไปกระทบคนอื่น และคนไม่ดีคนชั่วเขาก็ทำชั่วได้ เราจะไปทำชั่วตอบก็ไม่ได้ บุญใครบาปมัน เราเชื่อในกรรมในวิบาก เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องดี ไม่มีแฝงอะไร มีความจริงใจจะทำ ส่วนจะเกิดผลให้ทำงานได้เท่าใดก็ไม่เป็นอะไร เรายืนยันในธรรมะในสัจจะ คนที่เขาว่าเราทำไม่ดีเป็นบาปก็มีด้วย เราบังคับใครไม่ได้

          พ่อครูก็รู้สึกว่ามันเป็นไปตามสัจธรรม ไม่ได้ดิ้นรนอะไรหรอก มีอะไรควรก็ทำไปตามควร มากน้อยเท่าที่ทำได้ บอกตามความจริง

          จะอยู่อย่างไรไม่ให้ทุกข์เดือนร้อนกับการทำชั่วของคนชั่ว ...เราก็อยู่ไป เข้าใจเขาว่าเขาต้องทำชั่ว เราจะไปฆ่าเขา เราไปทำรุนแรงกับเขา เราทำไม่ได้ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาได้ เราไม่ทำหรอก เราเชื่อมั่นในธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม มันจะเป็นไปตามธรรม ถ้าเราไม่มีบุญพอไม่มีใครช่วย ให้เราหยุดเราก็หยุด เราไม่งานอื่นทำมากมาย แต่งานนี้เราเห็นว่าจะมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติเราก็ทำ คนชั่วย่อมทำชั่ว เป็นธรรมดา เราอย่าไปยึดถือ ทำให้เราทุกข์ หัดวาง ไม่ใช่ว่าเราจะไปแกล้งคนชั่ว ที่เราไปขัดขวาง แต่เราไม่อยากให้เขาทำชั่วเพิ่มขึ้นเท่าที่เราจะทำได้ ทำไม่ได้เราก็วาง

          0838677xxx เห็นแจ้งแล้วแต๋สอนตามที่เห็นแจ้งไม๋ได้ต้องอาศัยคัมภ์เขามาดัดแปลงสภาวะแต๋ใช้สอนไม๋ได้ใช้อ้างตอนเถียงกับคนอื่นอย๋างเดียวอัตตวาทุปาทานเห็นเป็นอยู่คนเดียวตลอดแต๋ชอบยัดเยียดให้คนอื่น

          พ่อครูก็ว่าสอนอยู่แต่คนไม่รู้เรื่องก็ว่าไม่ได้สอน แต่คนรู้เรื่องเขาก็ว่าพ่อครูสอน  ก็ขอยืนยันว่า ธรรมะของพุทธนั้นเพี้ยนไปแล้วอ้างอิงหลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกลองอานกะ ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสธรรมะยังไม่เพี้ยน แต่ท่าพยากรณ์ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ! กลองศึก เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น;ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย, สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง)เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้งเป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึงและจักสำคัญไปว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.

          มีคนส่ง sms แย้งมาว่า

          0888705xxx นายกปูตายน้ำตื้นเพราะให้เงินกู้ฉันใด..พธร.ก็ตายน้ำตื้นเพราะแปลอปุญญาภิสังขารผิดฉันนั้น! ส่วนที่พธร.บอกว่าตนเองมีปัจจัตลักษณ์นั้น! แต่เราคิดว่าพธร.น่าจะมีอัปลักษณ์มากกว่า! เพราะพธร.ยังก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณ(=อวิชชา)..เพราะยังคงติดใจยึดแนวทางของ3เกลออยู่!(=ปุญญาภิสังขาร,อปุญญาภิสังขาร,อาเนญชาภิสังขาร) ทั้งนี้ก็มิใช่เพราะอะไร! หากแต่ย่อมเป็นเพราะว่า..พธร.ตั้งใจจะแปลคำสอนของพุทธเจ้าให้กลายเป็นลัทธิม๊าคซิสคอมมูนิสต์ ก็เพื่อที่จะให้เกิดปรโลกคือโลกสังคมนิยมคอมมูนนั่นเอง! แต่ถ้ามิใช่ดังนี้ละก็..นั่นย่อมเป็นเพราะพธร.เอง! ต้องเป็นโรคจิตประสาทที่ชื่อว่าอรหันต์บ้องตื้นซินโดม! ที่ปราศจากCommonSenseใดๆ เพราะมีIQ,EQต่ำที่สุด! ซึ่งชาวพุทธทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวอโศกแล้ว ย่อมจะมีCommonSenseที่ดีกว่านี้! และย่อมจะไม่หลงเชื่ออรหันต์ติ๊งต๊องอย่างพธร.เด็ดขาด! ฉะนั้นพธร.และชาวอโศกจึงเป็นชุมชนชาวพุทธกลุ่มน้อยในสังคมไทย!

          พ่อครูก็รับฟังด้วยดี ให้เขาได้ระบายออกมาก็ดี

          ตอนนี้เราใกล้จะถึงงานมหกรรมสินค้าราคาต่ำกว่าทุน ในงานเปิดตลาดน้ำ

          เรามีงานปลุกเสกฯ วันที่ 6-12 เมษายน เรามาปฏิบัติธรรมกัน แล้วก็ต่อกันในงานตลาดอาริยะเลย ก็ต้องมาช่วยกันเตรียมงานก่อน งานปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อน เพราะมีตลาดน้ำด้วย การจัดสถานที่จะไม่เหมือนเดิม อย่ามัวแต่หลับใหล ต้องตื่นมาจัดงาน ยังไม่รู้ว่าจะจัดร้านตรงไหนอย่างไรเลย ให้สัญญาณไป

          มาเข้าเรื่องธรรมะ ที่พ่อครูได้สาธยายเรื่อง สังขารที่อวิชชากับวิชชาเป็นไฉน? ก็ได้บรรยายมาในช่วงที่ผ่านมา พ่อครูก็เรียบเรียงอยู่เรื่อยๆ ยิ่งต่อเนื่องยิ่งละเอียดลออ แต่พวกเราฟังจะชัดเจนขึ้นบ้างหรือเปล่า ที่เขาเข้าใจว่า ถ้าถามพวกคุณว่า พวกคุณเข้าใจไหม ใครตอบว่าเข้าใจนั้นคือโกหก ก็เขารู้ใจคนอโศกได้ด้วย

           หมอดูทำนายคนที่โลกุตระนั้นจะทำนายไม่ค่อยถูก เพราะคนโลกุตระจะเปลี่ยนแปลงฐานชีวิตเลย หมอดูตกกระป๋องเลย ถ้ามาดูคนโลกุตระ ขนาดวังคีสะว่าแน่ยังทำนายไม่ได้

          คำตรัสของพระพุทธเจ้า มีว่า
            อกุศล เจตนา กามาวจรา นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร เท่านี้เท่านั้น
            อกุศลในภูมิอปุญญาภิสังขารนี้ หมายถึง ผู้ที่ยังมีชีวิตกามาวจรตามที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้
คือ คนที่ยังดำเนินชีวิตท่องเที่ยวอยู่กับกามภพ นี่เอง
            ไม่ใช่หมายเอา คนที่เอาจิตเข้าไปจมอยู่กับภวภพ โดยไม่รับรู้กามภพ
            ซึ่งผู้ที่อยู่กับกามภพ ก็คือ ชีวิตผู้อยู่กับภาวะเปิดทวาร 5 และมีสติรู้รอบด้วยทวารใจครบอยู่ตามสามัญของคนตื่น ทุกทวารทำงานปกติรู้จักรู้แจ้งรู้จริง(คือใจรู้)ทุกอย่างที่สัมผัสด้วยทวารนั้นๆ อันมี ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย
            ส่วนผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ไม่ได้ปฏิบัติไปจากเบื้องต้น
เบื้องกลาง เบื้องปลายเป็นลำดับ ก็จะไม่เริ่มจากเบื้องต้นคือกามภพ จึงตัดลัดเข้าไปปฏิบัติอยู่กับภวภพ เป็นชีวิตผู้อยู่กับภาวะปิดทวาร 5 สนิท ไม่รู้อะไรจากทวาร 5 ภายนอกแล้ว  มีรู้อยู่แต่กับทวารใจอยู่กับภพของใจเท่านั้น
            ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ปฏิบัติเอาแต่หลับตานั่งทำสมาธิหรือทำฌานแบบอยู่ในภวังค์ คือ ภวภพ นั่นแหละ เป็นหลักปฏิบัติที่มั่นใจว่าเป็นทางเอก เพราะไม่เชื่อว่าสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการปฏิบัติลืมตาด้วยมรรค 7 องค์ เป็นทางเอก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281 มหาจัตตารีสกสูตร  
ผู้ที่ปฏิบัติเอาแต่หลับตานั่งทำสมาธิหรือทำฌานแบบอยู่ในภวังค์จึงปฏิบัติไม่ใช่ทำสัมมาสมาธิในขณะมีชีวิตลืมตาสามัญคนมีการกระทำมีงานการมีอาชีพปกติ
            คือ ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิในขณะที่มีความนึกคิดอยู่ก็มีสติและพยายามให้เป็นสัมมาสังกัปปะ ในขณะที่มีการพูดอยู่ก็มีสติและพยายามให้เป็นสัมมาวาจา ในขณะที่มีการทำงานทำการทุกอย่างอยู่ก็มีสติและพยายามให้เป็นสัมมากัมมันตะ ในขณะที่มีการทำอาชีพเลี้ยงตนอยู่ก็มีสติและพยายามให้เป็นสัมมาอาชีวะ
            ตามสัมมาทิฏฐิที่ตนมีเป็นประธานของมรรค 8นั่นเอง และวิธีปฏิบัติ(เหตุ)ก็คือ ปฏิบัติมรรค 7 องค์ พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดๆ ไม่ใช่เพ่งกสิณใดๆเลย
            ผลธรรมจึงจะเกิดสัมมาสมาธิที่เป็นอาริยะ(อริโย สัมมาสมาธิ)
            ดังนั้น ถ้าผู้ใดปฏิบัติด้วยวิธีนั่งเพ่งกสิณ แม้แต่เพ่งลมหายใจเข้าออก ก็ตาม ที่เรียกกันว่าเป็นการปฏิบัติอานาปานสตินั้นแหละ ก็เป็นการเพ่งกสิณลมหายใจอยู่ดี เพราะเหตุที่ปฏิบัติ ก็คือเพ่งกสิณนี้เอง แล้วก็เข้าใจว่า ปฏิบัติแบบนี้แหละ จะทำให้เกิดสมาธิ เป็นผลชำระจิตสันดานให้หมดจด
            ขอยืนยันว่า การปฏิบัติด้วยวิธีเพ่งกสิณนี้  ไม่สำเร็จเสร็จสัมบูรณ์แน่ เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกายนอกกาย อันมีความจริงมากมายหลากหลายที่คนเกี่ยวข้องและยึดติดอยู่จริง  ซึ่งเป็นขั้นต้นอีกด้วย อีกทั้งเป็นของหยาบที่จะรู้ง่ายก่อนขั้นรูปภพ-อรูปภพ อันเป็นขั้นกลาง-ขั้นปลาย
            จึงเป็นผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงที่คนอยู่ ในกามาวจรจริง เมื่อไม่ได้เรียนรู้กามาวจรเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตสันดานทั้งหลายของตนได้ชำระให้หมดจดสัมบูรณ์ในขั้นต้น ก็ขนาดจิตสันดานหรืออนุสัยขั้นหยาบขั้นกายนอกกายแท้ๆ อันได้แก่ " กามราคานุสัย"  คุณก็ยังไม่ได้ฝึกฝน คุณยังไม่สามารถชำระอนุสัยขั้นกามราคะนี้ได้
            นั่นคือ ยังทำ" ปุญญาภิสังขาร" ขั้น" กามาวจร" ยังไม่ได้
            ต้อง" ปุญญาภิสังขาร" กิเลสใน" กามาวจร" ได้แล้ว จึงจะ" ชำระจิตสันดาน" ขั้น" รูปาวจร" ต่อไปให้หมดจดอีกที ซึ่งก็เป็น" อภิสังขาร" ขั้น" ปุญญาภิสังขาร" นี่เอง
            ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กุศล เจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า " ปุญญาภิสังขาร"
            และขั้นต่อไป" อปุญญาภิสังขาร"  จึงจะตรงตามที่พุทธวจนะที่ว่า อกุศล เจตนา เป็นกามาวจร นี้เรียกว่า " อปุญญาภิสังขาร"  
            แล้วขั้นปลาย" อาเนญชาภิสังขาร"  จึงจะตรงตามที่พุทธวจนะที่ว่า กุศล เจตนา เป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า " อาเนญชาภิสังขาร"  
            เพราะอรูปนั้นมันขั้นปลาย และอยู่ในจิตใจของตนเท่านั้น จึงมุ่งหมาย(เจตนา)ให้มีแต่กุศลถ่ายเดียว เป็นความไม่หวั่นไหว(อาเนญชา)ของจิตใจตนเท่านั้นที่ยิ่ง" อภิสังขาร" ก็ยิ่งสั่งสมแข็งแรงมั่นคงยิ่งขึ้นๆ 
            ซึ่งตั้งแต่ขั้นต้น-ขั้นกลางก็ต้องชำระกิเลสขั้นนั้นๆมาตามลำดับ นั่นคือ" ปุญญาภิสังขาร"  เป็นการชำระกิเลสจากจิตสันดานมาตามลำดับที่ถูกต้องตามพระวัจนะ
            เมื่อสามารถชำระจิตสันดานคือ ทำปุญญขั้นต้น-ขั้นกลางมาได้แล้ว ก็ไม่ต้องชำระขั้นต้น-ขั้นกลาง ภาษาบาลีก็คือ " อปุญญ"  ที่แปลว่า ไม่ต้องชำระจิตสันดานอีกแล้ว เพราะชำระได้แล้วจริงอย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นวิทยาศาสตร์
            และที่ชัดเจนยิ่งก็คือ ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ผู้ปฏิบัตินั้นก็ยังมีชีวิตปกติท่องเที่ยวอยู่ใน กามภพนั้นแหละ อยู่ตามเดิมนั่นแล จึงเรียกว่ากามาวจรที่สำคัญยืนยันชัดก็คือ เมื่อมีการท่องเที่ยว(อวจร)หรือมีการอาศัยอยู่(อวจร)
            ใน" กามภพ" ก็ต้องได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจครบถ้วนกายนอกกาย ทั้งหมด แล้วรู้แจ้งด้วยวิญญาณร่วมรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะมีสัมผัสด้วยปัจจัยก็ย่อมมีวิญญาณ 6เกิดรู้เกิดเห็นยืนยันของจริงแท้
            แต่ถ้าปฏิบัติไม่มีสัมผัสภายนอก วิญญาณ 6ก็ย่อมไม่มีแน่นอน
            เมื่อไม่มีสัมผัสจริง วิญญาณ 6อันเกิดจากเหตุปัจจัยนั้นๆจริงๆ ผู้ปฏิบัติก็ไม่รู้จริง แล้วผู้ปฏิบัติจะรู้ได้อย่างไร ว่า จิตสันดานหรือกามจิต-รูปจิต-อรูปจิตที่มันฝังอยู่ในขั้นไหนของสันดาน ว่า มีหรือไม่มี
            ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงต้องให้ปฏิบัติตามลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลายครบกามาวจร-รูปาวจร-อรูปาวจร ตามลำดับ ด้วยประการฉะนี้
            นี่คือ ลำดับขั้นต้น-ขั้นกลางในการชำระกิเลสของอภิสังขาร 3  
            ซึ่งการปฏิบัติที่ว่านี้ เป็นการปฏิบัติในชีวิตปกติขณะที่มีสติสัมปชัญญะ-สำรวมอินทรีย์ 6 แล้วพยายามจัดแจงหรือปรุงแต่ง(อภิสังขาร)..อาชีวะ-กัมมันตะ-วาจา โดยเฉพาะสังกัปปะ ให้เกิดผลเป็นสัมมา คือ ให้พ้นมิจฉาอาชีวะ 5-พ้นมิจฉากัมมันตะ 3-พ้นมิจฉาวาจา 4-พ้นมิจฉาสังกัปปะ 3 ให้ได้ทุกกรรมกิริยา ชนิดที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่(อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ)ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันทีเดียว
            เฉพาะอย่างยิ่ง สังกัปปะ 3เพราะเป็นมโนปุพพังคมาธัมมา หมายความว่า ต้องทำที่จิตใจนี่แหละให้สำเร็จก่อนธรรมอื่น(มโนปุพพังคมาธัมมา) และเป็นการทำใจในใจ(มนสิการ) ซึ่งก็คือ การจัดแจง-การปรุงแต่ง(อภิสังขาร)นั้นแหละ ให้ถ่องแท้-ให้แยบคาย-ให้ลงไปถึงที่เกิด(โยนิโส)ในขณะที่ลืมตามีกรรม-กิริยา สัมผัสสัมพันธ์กับความเกี่ยวข้องทุกอย่างตามปกติสามัญชีวิตประจำวันนั้นด้วยนะ
            เพราะจิตใจเป็นประธานของกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าการพูดจา(วาจา)-การกระทำทุกอย่าง(กัมมันตะ)-การทำงานเลี้ยงชีพ(อาชีวะ)จะเจริญขึ้นประเสริฐขึ้นได้ด้วยจิตใจ(มโนเสฏฐา) จะสำเร็จได้ก็จากจิตใจ(มโนมยา)นี่แหละ เป็นหัวใจสำคัญ เพียงแต่ว่าวิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้านี้ มันเป็นวิธีเฉพาะที่พระองค์ตรัสรู้หรือทรงค้นพบของพระองค์เอง(สัมมาสัมพุทโธ,สยัมภู) ที่ต่างจากวิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิของแบบอื่นของลัทธิอื่นทั้งหลาย แม้วิธีปฏิบัติที่ผิดของพุทธ
            ต้องปฏิบัติอย่างที่ยืนยันนี้ คือ การทำสมาธิตามแบบของพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ จึงจะเกิดสัมมาสมาธิที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ
            เมื่อปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิได้ไปตามลำดับ เป็นธรรมสมควรแก่ธรรม ก็ได้บุญ(ได้ชำระกิเลสในจิต)เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรชัดๆ  จิตก็เกิดฌาน คือ ได้เผากิเลส(ฌาเปติ,ฌาม)ไปตามลำดับ จิตก็สะอาดขึ้นๆๆได้สั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ
            นี่คือ จิตที่เป็นสมาธิ เพราะจิตที่เกิดสัมมาญาณกับสัมมาวิมุติสั่งสมลงไป
            ส่วนผู้ปฏิบัติสมาธิแบบไม่ใช่สามัญของคนตื่นๆ ที่เอาแต่ทวารใจเท่านั้น ส่วนทวาร 5 ภายนอก ไม่รู้อะไรจากสัมผัสทวารภายนอกสนิทแล้ว อยู่กับทวารภายนอก ก็จะสามารถรู้ได้ว่า ขณะที่เราอยู่กับภพภายนอกนั้น เรามีกายสังขาร-วจีสังขาร-จิตสังขารอย่างไรบ้าง อย่างครบถ้วนไม่ขาดไม่ตก
            ซึ่งผู้ได้เรียนรู้ฝึกฝนก็จะได้พ้นอวิชชา เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3นี้
            คนที่ยังอวิชชา ย่อมไม่รู้ แน่นอน ว่า ชีวิตที่อยู่กับภพ คือ ภาวะอย่างไร
            แม้แต่ภพภายนอก ที่หยาบๆ และตื้นๆ มีสติได้เต็มๆ  ผู้อวิชชาก็ไม่รู้หรอก ว่า ภพคือภาวะอย่างไร ปรุงแต่ง(สังขาร)กันอยู่อย่างไร อาศัยอยู่นั้น..ไฉน 
            ผู้ปฏิบัติผิดจากสัมมาทิฏฐิของพุทธ ภพภายนอกนั้นไม่รู้แน่ๆอยู่แล้ว เพราะปิดทวาร 5 ไปหมดแล้ว
            จึงไม่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่(ภาวะ)เป็นอย่างไร  อาศัยอยู่ ดำเนินไปอยู่ ท่องเที่ยวอยู่(อวจร)  ปรุงแต่งกัน(สังขาร)อยู่อย่างไรนั้น เป็นไฉน
            ซึ่งที่จริง ต้องเกี่ยวกับวิญญาณ(ธาตุรู้)เสมอ จึงจะรู้อะไรต่ออะไรได้
            ถ้าขาดวิญญาณร่วมรู้อยู่ด้วย ก็เป็นอันว่า ผู้นั้นไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม?
            เช่น วิญญาณฐีติ 7(มีวิญญาณดำรงอยู่) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จึงจะสามารถมีการกำหนดรู้(สัญญา)ต่างๆ ครบกายทั้งหลายต่างๆได้สัมบูรณ์
1.สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) . ขนาดในพวกนั่งหลับตาทำสมาธิยังสัญญาต่างกัน เช่นธรรมกาย คนหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าหัวปุ้มอีกคนหนึ่งได้หัวแหลมทะเลาะกันก็แยกวัดกัน แต่เขาได้กายเหมือนกันคือในเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงมุมเหลี่ยม

4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ฌานฤาษีกับพุทธก็ได้ความดับความไม่มีตัวตนเหมือนกัน แต่ของฤาษีได้ความมืดเป็นกิณหพรหม เป็นความืด แต่ของพุทธนั้นหายไปเลยดับไปเลยไม่มีตัวตนรูปร่าง มีกายอย่างเดียวกันคือไม่มีเหมือนกัน วิญญาณผีหายไปเหมือนกัน ของพุทธเราลืมตาก็ดับวิญญาณผีขาดเลย แต่ของฤาษีนั้นได้เฉพาะตอนลืมตา และที่ดับคือเป็นนิมิตที่ปั้นเองทั้งนั้น เป็นโชคหรือศุภกินหาเหมือนกัน

5. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์  เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)

6. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)

7. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)

          เพราะวิญญาณคือธาตุรู้ของความเป็นคน หรือของสัตว์โลก
            เมื่อวิญญาณไม่ทำงาน หรือวิญญาณไม่มี ย่อมไม่มีภาวะการรู้ใดๆ
            จึงไม่รู้สภาวธรรมของอะไรต่ออะไรได้ แม้แต่ความเป็นกาย ซึ่งเป็นธรรมขั้นหยาบแท้ๆ ก็ไม่ได้เริ่มต้นเรียนรู้ จึงไม่ต้องพูดไปถึงความเป็นใจที่เป็นภาวะนามธรรม ล้วนๆที่ไม่เกี่ยวกับมาหาภูตรูปเลย ซึ่งละเอียดยิ่งกว่า จึงรู้ยากเห็นยากกว่ากายที่เป็นองค์ประชุมรวมกันทั้งภายนอกและภายในเป็นไหนๆ
พยายามตั้งใจทำความเข้าใจกับคำว่ากายให้ชัดๆ ดีๆ
            คำว่า กายนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า  กายนอกกายนั้นแน่นอนว่า คือกาย แม้แต่กายในกายก็ยังคือกาย และถึงขั้นเวทนาในเวทนาหรือจิตในจิตก็เป็นภาวะที่เรียกว่า กาย คือนามกายนั่นเอง
            ที่สุดขั้นธรรมในธรรมนั้นเป็นภาวะทั้งรูปกายและนามกาย
            และตอนนี้เรากำลังพูดแค่ภาวะภายนอก ซึ่งต้องเกี่ยวกับวิญญาณอยู่ดีจึงจะรู้สิ่งที่ปรากฏ ถ้าปราศจากวิญญาณทำงานรับรู้ร่วมอยู่ก็ไม่มีอะไรทำหน้าที่รู้
            คนผู้ยังมีอวิชชา คือ ไม่มีปัญญารู้ธรรมของพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ คือ ไม่ได้เข้าใจว่า เราจะต้องตั้งใจเรียนรู้ความเป็น-ความมี(ภาวะ)ต่างๆที่ปรากฏอยู่เสมอ ที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปนั้น ว่า อะไรเป็นอะไร อย่างไร มันมีอะไรปรุงแต่งกันอยู่ ตัวไหนพาให้ทุกข์ ตัวไหนพาให้สุขกันแท้ ควรดับตัวไหน ควรอาศัยตัวไหน
            เพราะอวิชชานี้แหละจึงเกิดสังขารที่เป็นทุกข์ อันไม่รู้จักจบสิ้นไปได้
            ผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทุกขสัจจะ ซึ่งหมายความว่า ความจริงคือทุกข์,ภาวะที่เป็นทุกข์จริง,ความจริงแห่งทุกข์ หรือภาวะที่มีลักษณะทุกข์ที่แท้จริง หรือท่านเรียกกันยิ่งกว่านี้ว่าทุกขอริยสัจ อันหมายความว่า ผู้เป็นอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะรู้จักทุกข์ที่ว่านี้ ได้จริง
            ดังนั้น ถ้าผู้ใดไม่มีทุกขสัญญา คือไม่มีความกำหนดหมายรู้ว่าเป็นทุกข์ หรือไม่มีการกำหนดหมายให้มองเห็นสังขารที่เป็นทุกข์ได้จริง ผู้นั้นก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทุกขลักษณะ     (เครื่องกำหนดว่าเป็นทุกข์,ลักษณะที่จัดว่าเป็นทุกข์,ลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นทุกข์)  ได้แก่
1. ถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา [ผู้อวิชชาไม่รู้สึกหรอก ว่าภาวะเหล่านั้นบีบคั้นตน ยอมเป็นทาสให้บีบคั้น ไม่สามารถเลิกความบีบคั้นนั้นได้]   
2. ทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ [ซึ่งหมายถึงอนิจจัง ผู้อวิชชาไม่รู้จักหรอก ว่า ภาวะเหล่านั้นมันเป็นดังที่อาริยบุคคลรู้จัก ผู้รู้จักรูแจ้งรู้จริงอนิจจังดังว่านี้ได้ ก็ต้องมีภูมิอาริยบุคคล]
3. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ [ผู้อวิชชานั้นรู้ไม่ได้หรอก ว่า ภาวะเหล่านั้นเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์อย่างไร อยู่ที่ไหน และไม่คิดจะหาทางขจัดภาวะนี้ออกไปจากจิตให้หมดสิ้น]
4. แย้งต่อสุขหรือเป็นสภาวะที่ปฏิเสธความสุข
            สภาวะที่สุขปฏิเสธ ก็คือทุกข์นั่นเอง
            ทุกข์จึงตรงกันข้ามกับสุขตลอดกาลนาน
            คนที่หลงติดสุขว่าเป็นภาวะที่น่าได้น่ามีน่าเป็น จึงดิ้นรนแสวงหาสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดหย่อน
แต่กระนั้นโดยธรรมชาติมันก็ยังมีโอกาสที่ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นครั้งคราว
       ทว่าผู้หลงมัวเมาติดสุขก็ยังไม่เข้าใจความไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออุเบกขานี้ ว่าเป็นความสงบจากทุกข์จากสุข(วูปสมสุข=อทุกขมสุข,อุเบกขา)แม้จะเป็นอารมณ์ที่เกิดโดยธรรมชาติก็ตาม
            ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ดีวิเศษกว่าอารมณ์สุข เพราะอารมณ์สุข(สุขเวทนา)นั้นเกิดขึ้นเฉพาะขณะที่บำเรอตัณหา-อุปาทานอยู่เท่านั้น แล้วมันก็หายไป เมื่อหมดสิ้นสัมผัส(ผัสสะ)ลงคราใด
            ซึ่งปราชญ์และศาสดาทั้งหลายต่างยืนยันตรงกันว่ายิ่งกว่าสุข(ปรมัง สุขัง) หรือสุขวิเศษกว่าสุขที่ไม่สงบ(วูปสมสุข) ผู้อวิชชาหรือหลงติดสุขอยู่ นึกไม่ออกแน่
            เดาลักษณะจิตใจของผู้เห็นจริงเป็นจริงแล้วว่า สุขสงบนี้แหละวิเศษกว่าสุขแบบโลกีย์หรือสุขที่ต้องบำเรออารมณ์(โลกียสุข)นี้ ไม่ได้จริงๆ [อตักกาวจร]
            เพราะผู้อวิชชา ไม่รู้หรอกว่า สุขนี้แหละตัวหลอก เป็นเท็จ(สุขัลลิกะ)
            ทุกข์ต่างหากที่มันเป็นสัจจะยิ่งกว่า พระบรมศาสดาจึงตรัสเรียกทุกข์ ว่าทุกขสัจจ์ มีคำว่าสัจจะ แต่ตรัสเรียกสุขว่าสุขัลลิกะ มีคำว่าอลิกะ
            เพราะทุกข์ที่มีเหตุแห่งทุกข์ของผู้อวิชชา นี้ มันฝังอยู่ในใจคนผู้อวิชชา เรียกด้วยภาษาว่าอุปาทาน มันเป็นอนุสัยเชียวนะ
            อนุสัยนี้คือ กิเลสที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ,กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน นี่แหละคือ จิตสันดาน ที่ต้องชำระให้หมดสิ้นเกลี้ยงให้ได้
อนุสัยหรือกิเลสตัวอื่นๆก็ล้วนเป็นตัวตนที่หยาบกว่าตัวตนที่เรียกด้วยคำว่าอนุสัยทั้งนั้น
            จริงๆนั้นอนุสัยหรือกิเลสทั้งหลาย มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงอะไรเลย มันแค่เป็นอาคันตุกะ แค่ตัวอื่น ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเข้ามาเยือนจิตใจเรา แล้วเราก็โง่(อวิชชา)ไปหลงยึดว่ามันเป็นตัวเรา มันจึงมีตัวตน(อัตตา)ฝังลึกอยู่ในตัวเราด้วยความโง่คืออวิชชาแท้ๆ ที่เรียกว่าอนุสัยนี่ไง!
            คนที่หมดสิ้นอวิชชาสวะหรืออวิชชานุสัยจึงจะหมดสิ้นตัวตนเกลี้ยง 
            ถ้าใครมัวไปหลงอยู่แต่ว่า กิเลสที่เราจะต้องเรียนรู้ตัวตน(อัตตา)ของมันที่มันฝังตัวอยู่ในจิตใจเรา แม้เราจะเข้าใจในความหมายแล้วล่ะว่ามันไม่ใช่ตัวตน,มันไม่ใช่ตัวเราอะไรนั่นหรอก แต่มันมีตัวตนในตัวเราไหมล่ะ?
            เราหมดสิ้นอวิชชาสวะหรืออวิชชานุสัยแล้วหรือ? กำจัดละล้างตัวตนขั้นอนุสัยสุดท้ายออกไปไม่ได้หมดสิ้นเกลี้ยงจนเด็ดขาด กระทั่งไม่มีการวนกลับมาเกิดอีก(อสังกุปปัง) ได้จริงแท้หรือยัง?  
            ถ้าผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ในจิตใจเรานั้น หมดสิ้นอวิชชานุสัยแล้วจริง เราก็ไม่มีตัวตนใดๆอีกแล้ว แต่ถ้าใครตรวจจิตใจตนเองได้ว่ายังมีอนุสัย   
            ตราบใดที่ยังกำจัดชำระล้างอนุสัยออกจากจิตใจไม่หมด ก็ยังไม่หมดตัวตน ยังไม่หมดสิ้นทุกขอริยสัจ ยังไม่ชื่อว่า อรหันต์
            จึงยังเป็นผู้หลงใหลสุขโลกีย์นี้อยู่ ว่า สุขนี้แหละต้องได้ต้องมีต้องเป็น เพราะไม่เห็นว่า สุขนี้เป็นเท็จ(อลิกะ) สุขนี้มันไม่ใช่ของจริง(อลิกะ) สุขนี้มันผ่านมาหลอกคนแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเหลือ,ว่างเปล่า,ไร้ประโยชน์(ตุจฉ)
            ทุกข์ต่างหากที่จริงกว่า บีบคั้นเราอยู่ประจำชีวิตของผู้อวิชชาตลอดที่มันยังไม่หมดตัวตนสิ้นเกลี้ยงไปจากจิตใจเรา แล้วมันก็บังคับให้ผู้อวิชชานั้นหลงเป็นทาสหาทางบำบัดทุกข์อยู่ทุกลมหายใจที่ยังมีตัวตน

      ส.ฟ้าไทสรุป....ถ้าเราไม่มีผัสสะในกามาวจรก็ย่อมไม่สามารถเห็นกิเลสได้ ถ้าไม่ตั้งใจตั้งศีล ตามจรณะ 15 ก็ไม่สามารถเรียนรู้ปุญญาภิสังขาร ที่จะลดล้างกิเลสได้แน่นอน ที่พ่อครูอธิบายแต่ละเรื่องเราก็ต้องไปตรวจสอบ ว่าสภาวจิตเราเป็นอย่างไร อย่างสภาวะฤาษี เราก็ไม่เคยปฏิบัติ แต่ก็เทียบเคียบว่า การที่เราอยากเสพสบายอยากอยู่คนเดียวนั่งสมาธิ มันจะสงบต่างจากสภาวะแบบพุทธ แบบนั้นมันจะเห็นแก่ตัว ไม่อยากเอาภาระช่วยคนอื่น แต่ว่าแบบพุทธนั้นยาก แต่ว่ามีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเป็นได้จริงไม่กลับกำเริบ ...จบ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:59:02 )

560331

รายละเอียด

560331_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่อง ดับกิเลสสดๆแบบเห็นๆเป็นเช่นนี้

          ส.ฟ้าไท แจ้งข่าว สำรหับ นิสิตว.บบบ.ที่ได้รับเข็มพระธรรมเข็มที่สอง ให้มารับในวันที่ 7 มี.ค. นี้เวลา 7.77 นาที ในงานปลุกเสก

          รายการของพ่อครูในรายการที่ผ่านมา ได้บรรยายถึงสังขาร 3 ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้ง และเราก็ช้าในการรู้และปฏิบัติด้วย ต่างจากภูมิรู้ของพ่อครูมาก

          ทุกข์อาริยสัจจ์ ต้องเป็นอาริยบุคคลเท่านั้นจึงรู้จักได้ และต้องกำหนดหมาย เรียกว่า "ทุกขสัญญา" และจะมี "ทุกขลักษณะ" ว่ามีอย่างไรบ้าง

          เหตุแห่งทุกข์คืออุปาทาน พ่อครูว่าคืออนุสัย(กิเลสที่ฝังลึกในก้นบึ้งของจิตใจ) หรือกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน (เหมือนไม่มีแต่ถึงเวลาแสดงออกก็มาทำให้เราทุกข์) เรามาเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจะหมดกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ แม้ฟังรู้เรื่องก็ตาม

       พ่อครู...ขออภัยที่ต้องพูดเรื่องธรรมะขั้นลึกนี้อีกสำหรับผู้ที่ฟังยังไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องขอเวลาลุยไปบรรยายไปอย่างต่อเนื่องให้จบก่อน แล้วค่อยย้อนไปหาเบื้องต้น ท่ามกลางต่อไป

          ขอย้ำว่า เราเริ่มต้นงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ในวันที่ 6 ไปถึงวันที่ 12 เม.ย. 56 เรากำหนดเวลา 7.77 นาที(คือ 8.11 น.) เราจะเริ่มต้นแจกเข็ม ว.บบบ. และเสื้อรุ่น

          จากนั้นก็จะถึงงานตลาดอาริยะ พวกเราก็เตรียมงานจนเข้มเลย ผิวเข้ม อุณหภูมิบางวันถึง 50 องศาเซลเซียสเลย ในบริเวณกลางแดด พวกเรามีไม่มากคนแต่ก็มีพฤติพุทธ มีกำลัง 4 พ้นภัย 5

          เราทำอย่างอิสระ เราทำอย่างรู้คุณค่า เพื่ออะไร ไม่ใช่อยากเอาหน้า ใจเราจะอ่านอาการจิตว่าเรามี สาเฐยยะจิตหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องปราบของตนเอง ต้องรู้ตัวทุกขสมุทัย ต้องรู้ทุกขสัญญา กำหนดหมายรู้ ต้องทำงานเป็นว่าจะรู้ทุกขลักษณะ รู้ลักษณะเหตุแห่งทุกข์ ก็จะสามารถรู้ได้ และรู้ลึกละเอียดโดยมีญาณปัญญาหยั่งรู้ได้

          ลักษณะของทุกข์ที่เป็นอนิจจัง ที่มันบีบคั้นเราอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สามารถเลิกมันได้ หรือว่ามันคงอยู่ไม่ได้ในสภาพเดิม มันทนได้ยาก ต้องเปลี่ยนไป เรียกว่า อนิจจัง ผู้อวิชชาจะไม่รู้ภาวะเหล่านี้ได้ พระอาริยะจึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสภาวะทุกข์นี้

          หรือว่าสภาพที่มันตั้งอยู่ที่ไหน ก็ที่ใจเรา เราจะมีญาณอ่านเห็นทันที เป็นประสพการณ์ทันทีเลย เรียกว่า (ญาณินทรีย์) คือเห็นเป็นประสพการณ์ในเฉพาะหน้าทันทีเลย เห็นที่ตั้งแห่งทุกข์หลัดๆเลย แต่ถ้ามันมีอยู่แต่ไม่รู้ ในภาวะที่แย้งหรือปฏิเสธความสุข แต่คนไม่รู้เป็นทาสความทุกข์

          คนที่มีสภาวะเหล่านี้จะบอกได้อธิบายได้ กล่าวถึงอย่างชัดเจน ไม่ใช่พูดแต่พยัญชนะ ทุกข์กับสุขเป็น "ทวิภาวะ" ถ้ายังมีสุขก็จะมีทุกข์อยู่

          ดังนั้น ถ้าผู้ใดไม่มีทุกขสัญญา คือไม่มีความกำหนดหมายรู้ว่าเป็นทุกข์ หรือไม่มีการกำหนดหมายให้มองเห็นสังขารที่เป็นทุกข์ได้จริง ผู้นั้นก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทุกขลักษณะ     (เครื่องกำหนดว่าเป็นทุกข์,ลักษณะที่จัดว่าเป็นทุกข์,ลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นทุกข์)  ได้แก่
1. ถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา [ผู้อวิชชาไม่รู้สึกหรอก ว่าภาวะเหล่านั้นบีบคั้นตน ยอมเป็นทาสให้บีบคั้น ไม่สามารถเลิกความบีบคั้นนั้นได้]   
 2. ทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ [ซึ่งหมายถึงอนิจจัง ผู้อวิชชาไม่รู้จักหรอก ว่า ภาวะเหล่านั้นมันเป็นดังที่อาริยบุคคลรู้จัก ดังนั้น ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอนิจจัง ดังว่านี้ได้ ก็ต้องมีภูมิอาริยบุคคล]
3. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ [ผู้อวิชชานั้นรู้ไม่ได้หรอก ว่า ภาวะเหล่านั้นเป็นที่ตั้ง แห่งความทุกข์อย่างไร อยู่ที่ไหน และไม่คิดจะหาทางขจัดภาวะนี้ออกไปจากจิตให้หมดสิ้น]
4. แย้งต่อสุข หรือเป็นสภาวะที่ปฏิเสธความสุข
            เมื่อปฏิเสธความสุข หรือแย้งความสุข มันก็คือทุกข์นั่นเอง
          ทุกข์จึงตรงกันข้ามกับสุขตลอดกาลนาน  เป็นภาวะคู่ที่แท้จริง
          ถ้ายังมีสุขก็ยังมีทุกข์อยู่  ต้องหมดสิ้นสุขจึงจะหมดสิ้นทุกข์แท้
            คนที่หลงติดสุขว่าเป็นภาวะที่น่าได้น่ามีน่าเป็น จึงดิ้นรนแสวงหาสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดสนิท ชนิดที่ไม่เกิดอีกเลยตลอดกาลเด็ดขาด ก็ยังมีทุกข์
            แต่โดยสามัญปุถุชนคนทั่วไปก็ตาม ก็จะมีหยุด คือมีอารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์-อารมณ์เฉยๆแบบพักยกตามธรรมชาติอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่า อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขา(เคหสิตอุเบกขา)นี้จะพักนานหรือจะพักสั้นเท่านั้นเอง
            ซึ่งมันก็ยังมีภาวะบีบคั้นในใจอยู่ เพียงแต่ผู้มีนั้นไม่สามารถรู้ตัวเองได้    
            ความบีบคั้นให้ดิ้นรนแสวงหาเพื่อมาบำเรอเวทนา ภาวะฉะนี้แหละที่เป็นตัวการจริงๆ คือเหตุแท้ จึงเป็นตัวทุกข์แท้
            เวทนาที่ตนติดยึด(อุปาทาน)ว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น อยู่ จึงดิ้นรนไม่หยุดเด็ดขาดลงได้ จะต้องให้เกิดเวทนานั้นอยู่ไม่คราใดก็คราหนึ่งจนได้ เมื่อมันเกิดการบำบัดอารมณ์ที่น่าได้น่าเป็นของตนขึ้นมาทีไร ก็เรียกมันว่าสุข
กระนั้นโดยธรรมชาติมันก็ยังมีโอกาสที่ไม่ทุกข์ไม่สุข(อุเบกขา)เป็นครั้งคราว
          ทว่าผู้หลงมัวเมาติดสุขก็ยังไม่เข้าใจความไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออุเบกขานี้ ว่าเป็นความสงบจากทุกข์จากสุข(วูปสมสุข=อทุกขมสุข,อุเบกขา)แม้จะเป็นอารมณ์ที่เกิดโดยธรรมชาติ แค่มันพักยกก็ตาม
            ซึ่งความสงบนี้เป็นอารมณ์ที่ดีวิเศษกว่าอารมณ์สุข เพราะอารมณ์สุข(สุขเวทนา)นั้นเกิดขึ้นเฉพาะขณะที่บำเรอตัณหา-อุปาทานอยู่เท่านั้น แล้วมันก็หายวับไป เมื่อหมดสิ้นสัมผัส(ผัสสะ)ลงคราใด ภาวะนั้นก็หายไป ไม่มีอยู่
            ซึ่งปราชญ์และศาสดาทั้งหลายต่างยืนยันตรงกันว่า อารมณ์สงบนี้แหละ
            ยิ่งกว่าสุข(ปรมัง สุขัง) หรือสุขวิเศษกว่าสุขที่ไม่สงบ(วูปสมสุข) ผู้อวิชชา หรือหลงติดสุขอยู่ นึกไม่ออกแน่ๆ
            เขาเดาลักษณะจิตใจของผู้เห็นจริงเป็นจริงแล้วว่า สุขสงบนี้แหละวิเศษกว่าสุขแบบโลกีย์หรือสุขที่ต้องบำเรออารมณ์(โลกียสุข)นี้ ไม่ได้จริงๆ[อตักกาวจร]
            เพราะเขายังหลงจมดำฤษณาอยู่กับความสุขแบบโลกีย์ ยังไม่หมดเชื้อ
            เพราะผู้อวิชชาอยู่จริง ไม่รู้หรอกว่า สุขที่ต้องบำเรออารมณ์นี้แหละ คือ ตัวหลอก เป็นเท็จ (สุขัลลิกะ)  แท้ๆ..มันมีทุกข์เป็นเหตุอยู่ ยังยึดอยู่
            และความสงบนั้น ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่งอีก นั่นคือ ปราชญ์ผู้ใดจะสามารถทำให้ความสงบของตนได้แท้แน่นอนยิ่ง ถาวรยั่งยืนจริง ยิ่งกว่ากัน
            ซึ่งลัทธิทั้งหลายที่แสวงหาความสงบเช่นกันนั้น ล้วนยังค้นหาตัวตนของเหตุที่เป็นตัวการก่อความไม่สงบ คือ อัตตาหรืออาตมันหรือปรมาตมัน ซึ่งตัวการแท้ตัวนี้ก็คือ อวิชชานุสัยนั่นเอง เขายังสัมผัสอัตตาไม่ได้
            อวิชชาก็ดี อนุสัยก็ดี นี้แหละคือ ตัวตนแห่งผีร้าย ที่รู้ตัวยากยิ่งที่สุด 
            หรือแม้จะสามารถจับตัวตนของอัตตาได้แล้ว ก็ต้องมีวิธีดับที่วิเศษสำคัญอีกด้วย ถ้ายังไม่มีแม้แค่วิธีดับที่วิเศษ ก็ยังไม่สามารถดับตัวเหตุ
        ให้หมดเกลี้ยงสิ้นสนิทจนกระทั่งดับหมดสิ้นอย่างละเอียดสัมบูรณ์ได้
            ดังนั้น การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นตัวตน ที่บาลีว่า อัตตสัมปทานั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เป็นแสงอรุณก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น หรือก่อนจะมีสัมมามรรคอันมีองค์ 8 ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติอันเอกได้ ด้วยประการฉะนี้ 
            ด้วยความตรัสรู้แท้ๆ พุทธจึงสามารถพิสูจน์ด้วยของจริง ทำจริงบรรลุผลสำเร็จจริง แล้วยังตรวจแล้วตรวจอีก ด้วยทั้งอรูปฌานหรือวิโมกข์ 8 และทั่งปฏิบัติจนกระทั่งเกิดความตั้งมั่น ด้วยกาละ 3คือ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต โดยการทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยอาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมมัง จนมั่นใจในสัจจญาณ-กิจจญาณ-กตญาณ จึงถึงที่สุดแห่งความสงบสัมบูรณ์แท้
            ดังนั้น ผู้ที่แม้แค่ความสงบก็ไม่มีปัญญารู้ว่าวิเศษกว่าสุข ผู้นี้ก็แก้ยากแน่

            สงบแบบพุทธไม่ใช่เฉยๆ แต่สงบแล้วช่วยคนด้วย จะทำประโยชน์เพื่อคนอื่น เราอยู่เฉยๆก็ตายไว น้ำนิ่งๆนั้นจะเน่างายกว่าน้ำที่ไหลอยู่เสมอๆ เราออกไปทำงานเพื่อคนอื่น เราก็ได้ประโยชน์ด้วย เราทำอย่างไม่อยากได้อะไรตอบแทน ยิ่งอยากได้ตอบแทนยิ่งลดค่าสิ่งที่เราทำ ยิ่งเราไม่อยากได้อะไรตอบแทนสิ่งที่เราทำยิ่งจะมีค่า

            คนที่ยังหลงผิด เชื่อว่า สุขมันเป็นของถาวร มันมีอยู่จริง ก็เพราะผู้นั้นยังยึดมันไว้อยู่ในอนุสัยอยู่นั่นแหละ..นี่หนึ่ง ความยึดว่าสุขอย่างนี้ๆเอง ที่ยึดว่าจริง ตนยังต้องได้ต้องมี ฉะนี้แลคืออุปาทานที่ฝังลึกอยู่สุดลึกในใจ
            อีกอย่างหนึ่ง..ก็คือ ไปหลงสัญญา ซึ่งเป็นแค่ความจำเท่านั้น ว่า เป็นความจริง คือหลงเอาความจำมาเป็นความจริงสดๆ นี่ก็หลงผิดแล้ว
            ที่แท้อารมณ์สุขนั้นมันหายไป ตั้งแต่ไม่มีผัสสะ(สัมผัส)แล้ว
          เมื่อไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีความจริงสดๆที่มี ที่เป็นอยู่ มันหายไปแล้ว
            ผู้แยกแยะได้ว่า ความจำไม่ใช่ความจริงเพราะมีอาการแตกต่างกัน
            ภาวะที่สัมผัสอยู่สดๆหลัดๆนี้ จริงกว่าภาวะที่เราไม่ได้สัมผัสอยู่สดๆจริง ณ บัดนี้ ฉะนี้คือ วิทยาศาสตร์ ที่จริงทั้งเป็นสิ่งมีอยู่โทนโท่ และทั้งปัจจุบันกาล
            ความจำมันเป็นของแห้งที่ธรรมชาติของจิตมันเก็บไว้ได้เท่านั้น
คนผู้ที่มีภาวะสดๆสัมผัสอยู่ก็รู้สึกหิริถึงขั้นโอตตัปปะในภาวะสดนั้นได้แล้ว แต่ยังเหลือภาวะแห้งอยู่บ้าง นั่นคือ ผู้สิ้นทุกข์ภายนอกได้ ถือว่า สิ้นกิเลสในกามภพ ถ้าทำได้อย่างนั้นจริงถาวรยั่งยืน ก็นับเป็นผู้เข้าสู่อนาคามีภูมิ 
            ผู้แยกความแตกต่างได้ว่า การระลึกเอาของแห้งขึ้นมา ระลึกเมื่อใดก็เป็นของแห้งเมื่อนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ของสด แล้วเห็นได้ว่า สดกับแห้งนี้ เข้าใจได้ว่า สดมันจริงกว่าแห้ง มันเป็นความจริงกันคนละระดับ ผู้นั้นก็มีภูมิรู้ยิ่งกว่าสามัญ
            ผู้บรรลุธรรมสัมบูรณ์ของพุทธนั้น หมดสิ้นความสุขความทุกข์แท้ในภาวะที่เป็นทั้งของสดทั้งของแห้ง กล่าวคือ มีหรือไม่มีของสดอยู่ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มีหรือไม่มีของแห้งอยู่ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ หมายความว่า มีหรือไม่มีก็ไม่สุขไม่ทุกข์ 
            แต่ความจำก็ยังมีได้ มีของแห้งได้ แม้ว่า ผู้นั้นจะระลึกนึกดึงเอา ความจำหรือของแห้งนั้นๆมารู้อีกเห็นอีกอย่างไร มันก็ไม่มีความสุข และไม่มีความทุกข์กันอีกแล้ว ซึ่งความจริงสดๆนั้นไม่มีความสุข-ความทุกข์แล้ว
            ผู้บรรลุพุทธธรรมต้องมีถึงขั้นดังว่านี้ดังนั้น แม้สัมผัสอยู่สดๆ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ที่ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วจริง
        และเป็นความสงบที่ปราศจากความสุขความทุกข์ถาวรยั่งยืนตลอดไป
            ความสงบที่..ไม่มีทั้งความสุขและไม่มีทั้งความทุกข์นี้ แม้เราจะสัมผัสอยู่กับเหตุปัจจัยที่เราเคยหลงว่าสุขนั้นปานใด สำหรับผู้บรรลุธรรมแบบพุทธที่เป็นโลกุตระจริงนั้น จะไม่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้ง 2 อย่าง
            แม้บัดนี้เราจะสัมผัสมันอยู่อย่างไร จิตใจเราก็ไม่มีอารมณ์สุข
            เพราะทุกข์ที่มีเหตุปัจจัย เราได้กำจัดเหตุนั้นหมดสิ้นแล้วสนิท
          ทุกข์ก็ไม่มี เหตุแห่งทุกข์ก็ไม่มีในใจเราอีกเลย 
            สุขจึงไม่มี  เพราะเหตุแท้ เราได้ดับมันสนิท ไม่เกิดอีกถาวรแล้ว
            พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนมาแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกสรรพสิ่งย่อมดับ จึงเป็นสัจธรรมที่จบบริบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้
            เห็นได้ไหมว่า ทุกข์ต่างหากที่มันเป็นสัจจะยิ่งกว่า เป็นต้นตอยิ่งกว่าสุข เพราะสิ่งนี้มี(คือทุกข์) สิ่งนั้นจึงมี(คือสุข) พระบรมศาสดาจึงตรัสเรียกทุกข์ ว่าทุกขสัจจ์ มีคำว่าสัจจะกำกับอยู่ชัดๆ ส่วนคำว่าสุขนั้นท่านกลับตรัสเรียกสุขตัวนี้ไว้ชัดอีกเช่นกันว่าสุขัลลิกะ มีคำว่าอลิกะกำกับอยู่แท้ๆ
            ที่ว่าทุกข์มันจริงกว่านั้น เพราะทุกข์ที่มีเหตุแห่งทุกข์ของผู้อวิชชา นี้ มันฝังอยู่ในใจคนผู้อวิชชา เรียกด้วยภาษาว่าอุปาทาน มันเป็นอนุสัยเชียวนะ
            อนุสัยนี้คือ กิเลสที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ,กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน นี่แหละคือ จิตสันดานที่ต้องชำระให้หมดสิ้นเกลี้ยงให้ได้
            อนุสัยหรือกิเลสตัวอื่นๆก็ล้วนเป็นตัวตนที่หยาบกว่าตัวตนที่เรียกด้วย คำว่าอนุสัยทั้งนั้น
            จริงๆนั้นอนุสัยหรือกิเลสทั้งหลาย มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงอะไรเลย มันแค่เป็นอาคันตุกะ แค่ตัวอื่น ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเข้ามาเยือนจิตใจเรา แล้วเราก็โง่(อวิชชา)ไปหลงยึดว่ามันเป็นตัวเรา มันจึงมีตัวตน(อัตตา)ฝังลึกอยู่ในตัวเราด้วยความโง่คืออวิชชาแท้ๆ ที่เรียกว่าอนุสัยนี่ไง!
            คนที่หมดสิ้นอวิชชาสวะหรืออวิชชานุสัยจึงจะหมดสิ้นตัวตนเกลี้ยง 
            ถ้าใครมัวไปหลงอยู่แต่ว่า กิเลสที่เราจะต้องเรียนรู้ตัวตน(อัตตา)ของมันที่มันฝังตัวอยู่ในจิตใจเรา แม้เราจะเข้าใจในความหมายแล้วล่ะว่ามันไม่ใช่ตัวตน,มันไม่ใช่ตัวเราอะไรนั่นหรอก แต่มันมีตัวตนในตัวเราไหมล่ะ?
            เราหมดสิ้นอวิชชาสวะหรืออวิชชานุสัยแล้วหรือ? กำจัดละล้างตัวตนขั้นอนุสัยสุดท้ายออกไปไม่ได้หมดสิ้นเกลี้ยงจนเด็ดขาด กระทั่งไม่มีการวนกลับมาเกิดอีก(อสังกุปปัง) ได้จริงแท้หรือยัง?  
            ถ้าผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ในจิตใจเรานั้น หมดสิ้นอวิชชานุสัยแล้วจริง เราก็ไม่มีตัวตนใดๆอีกแล้ว แต่ถ้าใครตรวจจิตใจตนเองได้ว่ายังมีอนุสัย   
            ตราบใดที่ยังกำจัดชำระล้างอนุสัยออกจากจิตใจไม่หมด ก็ยังไม่หมดตัวตน ยังไม่หมดสิ้นทุกขอริยสัจ ยังไม่ชื่อว่า อรหันต์
            จึงยังเป็นผู้หลงใหลสุขโลกีย์นี้อยู่ ว่า สุขนี้แหละต้องได้ต้องมีต้องเป็น เพราะไม่เห็นว่า สุขนี้เป็นเท็จ(อลิกะ) สุขนี้มันไม่ใช่ของจริง(อลิกะ) สุขนี้มันผ่านมาหลอกคนแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเหลือ,ว่างเปล่า,ไร้ประโยชน์(ตุจฉ)
            ทุกข์ต่างหากที่จริงกว่า บีบคั้นเราอยู่ประจำชีวิตของผู้อวิชชาตลอดที่มันยังไม่หมดตัวตนสิ้นเกลี้ยงไปจากจิตใจเรา แล้วมันก็บังคับให้ผู้อวิชชานั้นหลงเป็นทาสหาทางบำบัดทุกข์อยู่ทุกลมหายใจที่ยังมีตัวตน
            ผู้ที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตัวตน แล้วกำจัดออกได้หมดสิ้นจนกระทั่งไม่มีตัวตน(อนัตตา) จึงเห็นชัดแจ้งได้ว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป
            เพราะเห็นจริงว่า กามาวจร คือ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตท่องเที่ยวอยู่กับกามภพเป็นสามัญแล้วก็ยังเสพสุข รวมทั้งท่องเที่ยวอยู่กับรูปภพ(รูปาวจร)ในภาวะที่ภูมิสูงขึ้นด้วย เราก็เสพสุข ตามที่มียืนยันอยู่ในปุญญาภิสังขารนี้ จึงต้องชำระจิตสันดานคือทำบุญนี้ให้หมดจด กระทั่งสูงขึ้นสู่ความเป็นอปุญญาภิสังขาร จึงจะเห็นความจริงระดับปรมัตถธรรมทุกภพทุกภูมิอย่างสัมบูรณ์  
            จึงรู้ตัวเองว่าเป็นคนผู้ยังไม่หมดอวิชชา เพราะรู้จักสังขาร ฉะนี้เอง
แล้วก็ปฏิบัติความเป็นสังขารนั้นๆอย่างมีวิชชาให้ได้(อภิสังขาร)จนกระทั่งสามารถชำระจิตสันดานให้หมดจด(ปุญญ)ได้ไปตามลำดับ ถึงขั้นสำเร็จก็เข้าสู่ภูมิอปุญญาภิสังขาร ซึ่งปฏิบัติที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกิเลสทั้งในกามาวจรและรูปาวจร จึงเหลือก็แต่อรูปาวจร ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในภูมิที่เป็นอาเนญชาภิสังขาร
            ผู้ใดไม่รู้ภพภายนอก ตั้งแต่กามาวจรและรูปาวจรจึงขาดธาตุรู้คือวิญญาณ 6ที่ต้องร่วมรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งรูปธรรมและนามธรรมครบหมดทุกภพภูมิ
            หากขาดธาตุรู้คือวิญญาณ 6ก็รู้รูปธรรมนามธรรมภายนอกไม่ได้
            จะรู้ความเป็นกายไม่ครบ ก็ไม่สามารถจะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151 สำเร็จสัมบูรณ์ไม่ได้
            การปฏิบัติธรรมของพุทธจึงต้องมีวิญญาณ 6ทำงานร่วมอยู่ตลอด จึงจะชัดเจนในวิญญาณฐีติ 7 และมีวิโมกข์ 8สัมบูรณ์   
            แต่ถ้าปฏิบัติปิดทวารภายนอกหมดสนิทแล้ว ก็ย่อมไม่พ้นอวิชชาแน่นอน
            ดังนั้น คำว่ากามาวจรจึงเป็นภาวะที่บ่งชี้ชัดเจนถึง ภาวะผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุ อปุญญาภิสังขาร ด้วยประการฉะนี้
            และเมื่อถึงภูมิอปุญญาภิสังขารก็ไม่ต้องกล่าวคำว่ารูปาวจรอีกแล้ว เพราะเราต้องทำสำเร็จตั้งแต่ภูมิปุญญาภิสังขารโน่นก่อนแล้ว ได้สำเร็จแล้วจึงจะผ่านพ้นเข้ามาสู่ภูมิอปุญญาภิสังขาร
            เมื่อบรรลุหลุดพ้นภูมิปุญญาภิสังขาร เป็นผู้มีภูมิอปุญญาภิสังขารนั้น ก็มีชีวิตอยู่กับกามาวจรอยู่เป็นปกติสามัญนั่นเอง พระวัจนะจึงมีแค่กามาวจร
            ทีนี้ อีกคำหนึ่งที่ว่า อกุศล คำนี้ท่านตรัสไว้ในภูมิของอปุญญาภิสังขาร โดยมีคำว่าเจตนา ที่แปลว่า ความมุ่งหมายหรือความจงใจเป็นคำสำคัญอีกคำหนึ่ง ที่ทำให้ความจริงชัดเจนยิ่งขึ้นในความเป็นพุทธธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
            ผู้มีภูมิอปุญญาภิสังขารนั้น คือ ผู้ ไม่ต้องทำบุญและบาปแล้วตามที่ได้อธิบายมาตลอด แต่ยังมีชีวิตจึงทำกุศลได้ ดังโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว-สัพพปาปัสสะ อกรณัง แต่ยังกุศลให้ถึงพร้อม-กุสลัสสูปสัมปทา คือ ยังทำกุศลให้ถึงพร้อมอยู่ สำหรับผู้ทำจิตสะอาดผ่องใส(อรหัตผล)
            ดังนั้น ทุกกรรม ทุกการกระทำของท่านผู้ที่อปุญญแล้วนี้ เมื่ออภิสังขารคือปรุงแต่งใดๆตามฐานะของท่าน ก็ต้องคำนึงอย่างสำคัญ สังวรอกุศลเสมอ เพราะในโลกีย์ไม่มีอะไรเที่ยง มันเกิดจากเหตุปัจจัยซึ่งก็ไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ และเป็นเหตุที่พาอกุศลได้มากเหลือเกินในกามาวจร
            แม้ตัวท่านแน่นอนว่า ไม่ทุกข์ ไม่มีอกุศลจิต แต่ท่านก็ต้องทำความสุขให้แก่มวลชนเป็นอันมาก(พหุชนสุขายะ)ตามคุณธรรมแท้ของพุทธอยู่ จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่าให้เกิดอกุศลให้ได้เสมอ
            กระนั้นในสังคมโลกที่มีลาภสักการะเสียงสรรเสริญ พระพุทธเจ้าตรัสสำทับไว้ว่า มันยังเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่กับอรหันต์หรือขีณาสพปานนั้นทีเดียวใน
            การดำเนินชีวิตอยู่กับแดนดงกาม(กามาวจร)นี้ จึงต้องระมัดระวังอกุศลตัวนี้อยู่ อย่าให้เกิดได้ ต้องมัตตัญญุตาด้วยสัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 อย่างสำคัญ
            ตัวท่านเองไม่ใช่ตัวอันตราย แต่แม้มีอรหัตตผลแล้ว ทำการงานก็อาจจะเกิดขาดตกบกพร่องได้ อาจจะหนักถึงขั้นเป็นอันตรายได้ ถึงขนาดอันตรายอันแสบเผ็ดก็เป็นได้ พระพุทธเจ้าจึงต้องให้สังวรเสมอ
จึงเป็นการอภิสังขารกับชาวโลกีย์เขา กับพหุชนเขา(มวลชนเป็นอันมาก)ที่ต้องอนุโลม-ปฏิโลมอย่างมีการประมาณ(มัตตัญญุตา)ด้วยสัจจานุโลมิกญาณ
            คือ ด้วยปัญญาที่ใช้ประมาณในการอนุโลมตามสมุติสัจจะนั้นๆให้เป็นกุศลอันถึงพร้อมเสมอ อย่าให้เกิดอกุศลเป็นอันขาด
            นี้คือ เจตนา(ความมุ่งหมาย)ที่ต้องระมัดระวังด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง ถ้าขืนผิดพลาดบกพร่องแล้ว มันเสียหาย เป็นอันตรายต่อสังคม
            สำหรับผู้มีอรหัตตผลขึ้นไป ความเสียหายต่อสังคมนั้น แม้เล็กแม้น้อย ก็ต้องสังวรอย่างยิ่ง ว่า เป็นความแสบเผ็ดเสมอ  
            สาธยายมาถึงตรงนี้ ก็คงมีบางคน ที่พอได้ฟังที่อาตมาพูดอย่างนี้ ก็คงจะสะดุดใจว่า ทำไมอาตมาพูดอย่างนี้ อรหันต์ทำอะไรบกพร่อง ทำผิดได้ด้วยเหรอ?
            มีคนไม่รู้แจ้งสัจธรรม มักเดาเลยเถิดไปว่าอรหันต์ทำอะไรไม่ผิด หรือทำผิดไม่ได้ บกพร่องไม่ได้ ซึ่งเป็นการเดาที่ผิด  อรหันต์ก็ทำผิดได้ ตามภูมิรู้แห่งฐานะหรือตามบารมี ซึ่งอรหันต์ย่อมมีความรู้ในทางโลกมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เท่ากัน อรหันต์แต่ละท่าน จะใช้สัจจานุโลมิกญาณ หมายถึง ปัญญาของอรหันต์แต่ละท่านที่จะอนุโลมกับสังคมโลกเขา ท่านก็ต้องประมาณด้วยสัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4ของท่านให้พอเหมาะของแต่ละท่าน
            และโดยส่วนตัวอรหันต์แต่ละท่านก็มีสังขารุเปกขาญาณ อันเป็นภูมิปัญญาที่มีกำลัง 4(พลัง 4)ที่จะทำงานกับสังคม ได้แก่
1.พลังปัญญา ถ้าปัญญาที่รู้กิเลส-กำจัดกิเลสของท่านท่านมีเต็มแล้ว แต่ปัญญาที่รู้จักสังคม รู้จักสังคมและความสามารถทางสังคมท่านมีเท่าที่ท่านมาบารมี
2.พลังความเพียร ท่านมีเต็มที่ตามบารมี หมดความขี้เกียจแน่ๆ เมื่อกิจตนหมดแล้ว จึงมีแต่กิจเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม เพื่อโลก ตามที่พระพุทธเจ้าเริ่มมีอรหันต์ 60 องค์แรก ก็ตรัสว่า พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ เธอจงไปทำเถิด
3.พลังการงานอันไม่มีโทษ ท่านจะต้องระวังอกุศลดังกล่าวแล้ว ต้องทำการงานอันไม่มีโทษ ต้องประมาณด้วยสัปปุริสสธรรม 7 และมหาปเทส 4ด้วยความไม่ประมาทจริง และด้วยพลังปัญญาแห่งความเป็นอรหันต์ ซึ่งไม่มีกิเลสมานะ
4.พลังการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ซึ่งเป็นน้ำใจของอรหันต์ทุกองค์ เพราะมันเป็นธรรมชาติของผู้หมดความเห็นแก่ตัว และชีวิตก็ยังอยู่ กินข้าวมีชีวิตอาศัยสังคมอยู่ ท่านมีกตัญญุตาแน่นอน จึงต้องทำงานช่วยสังคม ช่วยโลกอยู่จริงๆ
            ซึ่งอรหันต์แต่ละองค์ โดยภูมิธรรมของจิตแต่ละท่านตามสัจจะก็มีอุเบกขาบารมี คือ ความวางเฉย(อุเบกขา) และมีการปรุงแต่ง(สังขาร)ขั้นอภิสังขารแน่นอน จะมากและเข้มแข็ง พอที่จะสามารถอนุโลม ได้แค่ไหน อย่างไร ก็ตามภูมิบารมีของแต่ละท่าน เท่าที่ท่านได้สั่งสมมาเป็นบารมีที่สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่โสดาบันภูมิมาทีเดียว
        อรหันต์แต่ละท่านต้องประมาณด้วยความสังวรยิ่งที่จะไม่ให้เกิดอกุศล อย่างสำคัญ ด้วยความมุ่งหมาย(เจตนา)ที่แน่นอนว่า สำหรับคนระดับอรหันต์ ย่อมไม่มีอกุศลเจตนานั้นแน่ยิ่งกว่าแน่อยู่แล้ว
ความผิดของพระอรหันต์หรือความบกพร่องของอรหันต์จึงไม่มีอกุศลเจตนาแน่ นี้เป็นสัจธรรม  ซึ่งไม่ใช่อรหันต์เก๊ นะ!
            นี่คือ ข้อยกเว้นที่เรียกว่า สติวินัยของพระอรหันต์ ไม่ให้เอาผิดกับอรหันต์แม้จะมีความผิดบกพร่อง จึงไม่ปรับอาบัติอรหันต์ 
          ส.ฟ้าไทสรุป   ทุกข์คือความดิ้นรนแสวงหา แล้วทำให้เราทุกข์มากขึ้น พ่อครูได้อธิบายให้เราได้เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์คือกิเลส ทั้งของสดและของแห้ง คนที่หมดกิเลสสดๆ คือพระอนาคามี เหลือแต่กิเลสแห้ง ได้ฟังแล้วเราก็ต้องไปทบทวนที่พ่อครูเทศนา ฟังซ้ำอ่านซ้ำให้เกิดความเข้าใจ เราต้องพยายามศึกษา เพื่อความเข้าใจลึกซึ้งเป็นบัณฑิตได้......

          พ่อครูแถม ว่า ตอนนี้อากาศร้อนมาก น้ำซับที่เราใช้ก็ออกไม่ทัน เวลาจะอาบน้ำก็ให้ไปอาบที่แม่มูนได้ อีกอย่างคือ ป่ายางที่ใกล้เฮือนสุดชีวิตเรามีไฟไหม้ป่า ให้ช่วยกันไปดับไฟด้วย....เอวัง


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:00:56 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์