@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

จากอาริยบุคคลเต็มเริ่มบำเพ็ญพุทธภูมิจนถึงมหาโพธิสัตว์จึงเรียกอภิภูได้

รายละเอียด

แต่อภิภูนี้เลยไปจากนั้นแล้ว เป็นผู้ทำลายกิเลสพวกนี้ได้แล้ว โพธิสัตว์ 4 ระดับ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยบุคคล ถึงขั้น อรหันต์ ก็เป็นอาริยบุคคลเต็ม 

พอเลยจากอาริยบุคคลเต็มขั้นที่ 4 ไปสู่ขั้นที่ 5 ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็หมายความว่าจะเริ่ม บำเพ็ญพุทธภูมิ ขั้นแรก อนุโพธิสัตว์ ผู้ที่บำเพ็ญภูมิขั้นแรกนี้ยังไม่เป็น อภิภู หรอก 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ยังไม่เป็นขั้น อภิภู แม้แต่ขั้นที่ 7 ก็ค่อยๆ สะสมไปเป็นลำดับ ขนาดอาตมาสะสมอภิภู ไปเรื่อยๆ มหาโพธิสัตว์ถึงเรียก อภิภูได้เต็มปาก อาตมาพยายามอธิบายนี้เป็นการสะสมความเป็น อภิภุยฺยะ ไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 15:13:09 )

จากอุเบกขา 5 พาเกิดพรหมวิหาร 4 ในคนเป็นๆ อย่างเรา!

รายละเอียด

ซึ่งเป็นพฤติกรรม “พรหมวิหาร 4” ที่ยิ่งใหญ่ในคนเป็นๆ นี้เอง หรือชื่อว่า “อัปปมัญญา 4” ธรรมที่เผยแผ่ไปไม่มีประมาณอันหมายถึง เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา นั้นแล“เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา” นี้เป็นพฤติกรรมจริงของชีวิตคนเป็นๆ แสดงปรากฏการณ์ของ “พรหมวิหาร 4” อยู่โต้งๆ   สัมผัสกันได้ด้วย “สัมผัส 6” ของมนุษย์ด้วยกันยืนยันความเป็น“พระพรหม” ซึ่งก็คือ “พระเจ้า” แท้ๆที่เป็น “ปรมาตมัน” จริงๆ

พิสูจน์ความเป็น “พระเจ้า” อันคือ “จิตวิญญาณ” แท้ๆ ขั้น“ปรมัตถสัจจะ” ที่มีจริง  “สัมผัส” ได้จริงโทนโท่ โต้งๆ หลัดๆแน่ๆ แท้ๆ ณ ปัจจุบันธรรมนี้ขณะนี้ในชีวิตคนเป็นๆนี้นี่เอง ไม่ใช่ “พระเจ้า” ที่ลึกลับจากไหนมาแสดง “อุเบกขาธรรม”สำเร็จความเป็นพรหม (วิหาร) 4 แต่ในคนเป็นๆนี่เองแสดง “ธรรมกาย” ครบ “กายเทฺว” หรือ “เทฺว ธัมมา” ที่มี “นามรูป(ภาวะ 2)” อันให้จับต้องได้จริงยืนยันแก่กันและกันโต้งๆ หลัดๆ นี้ แน่แท้ ที่เกิดได้ด้วย “กรรม” อันปรากฏ “พฤติการณ์” โทนโท่ ยืนยันชัดเจน จับต้องสัมผัสได้ว่า เกิดได้ด้วย “กรรม” 

เห็นมั้ยว่า ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าเกิดได้ด้วย God หรือเกิดได้ด้วยการบันดลบันดาลของ “พระเจ้า” ที่ยัง “ลึกลับ” อยู่

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 312 หน้า 237


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:52:06 )

จากเจตสิกเป็นปาณะ 

รายละเอียด

จากเจตสิกก็เป็นปาณะ 

ปาณะนี่แหละ เป็นตัวกลางของการเป็นสัตว์ นี่แหละ ข้ามขีดมาจะเป็นสัตว์แล้ว พระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้ว่า ถ้ามันเป็นพืชมันไม่มีบาป ถ้ามันเป็นสัตว์มันจะบาป เพราะฉะนั้นอย่าไปทำลายพลังงานระดับ ปาณะ 

ปาณาติปาตาเวรมณี อย่าไปทำลายพลังงานระดับนี้ โพธิสัตว์จึงจะรู้เรื่องของ ปาณะ หรือ ปาณาติปาตาเวรมณี อย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับอาตมา ก็อธิบายว่าอย่าฆ่าสัตว์ ก็พูดกันหยาบๆ เท่านั้น สัตว์มันยังตัวหยาบ ตัวใหญ่ กว่าปาณะเยอะ ในพลังงานจิต เข้าใจไหม 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงสอนไว้นี้สอนโพธิสัตว์ อย่าทำให้ปาณะตกร่วง อย่าให้ตกต่ำหรืออย่าให้สูญเสีย เพราะพลังงานนี้มันกอบก่อมา สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติก็ตาม ที่จริงมันก็มาตามธรรมชาติ 

ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่จะมาเรียนรู้ธรรมะแล้ว จึงจะมาทำลายพลังงานธรรมชาตินี้ดับไปได้ ทำลายจิตนิยามมาเป็นพีชนิยาม มาเป็นปาณะ เป็นเจตสิก ทำลายไปจนกระทั่งมาเป็นมหาภูตรูป แล้วก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ไปตามลำดับ ควบคุมได้ รู้จักพลังงานแต่ละลำดับ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:53:22 )

จากเทฺวนิยมสู่อัญญธาตุด้วยการรับฟังจากสัตบุรุษ

รายละเอียด

จนกว่า “เทฺวนิยม” จะเกิด “อัญญธาตุ”โดยได้รับฟังหรือได้รับรู้จากพระพุทธเจ้าหรือจากสัตบุรุษ หรือจาก “ชาวพุทธ” ผู้มี “สัมมาทิฏฐิ” ที่อยู่ในฐานะครูแท้ๆ ซึ่งแน่นอนว่า จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญโลกียะเด็ดขาด ก็มาแจกแจงความเป็น“ สิริมหามายา” กันให้กระจ่างขึ้นดูซิ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 33 หน้า 62


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 15:15:47 )

จากเพลงผู้แพ้สู่การยอมแพ้ด้วยปัญญา

รายละเอียด

อย่างหลวงปู่นี้ ลาออกมาจากเถรสมาคม ไปยังไม่ได้หรอก เขายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ 

เรารู้ว่าแพ้ด้วยปัญญา การยอมคือการไม่ยึดตัวตนไม่ยึดตัวเองแพ้ก็แพ้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง เพลงผู้แพ้แต่งเมื่อตอนอายุ 20 พอดี 2497 ยังเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์อยู่เลย ถีบจักรยานส่งหนังสือพิมพ์แล้วก็ได้เงินเรียนหนังสือไป เลี้ยงตัวเองไป 

เราเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ถีบจักรยานไปส่งหนังสือพิมพ์ คนที่เขามารับหนังสือพิมพ์จากเรา เขาก็ร้องเพลงผู้แพ้มา ก็ยังเคยนึกเลยว่า จะถามว่าเพลงนี้เพราะดีหรือครับ ผมแต่งนะครับเพลงนี้ บอกไปเขาจะเชื่อไหม เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เขาก็รับหนังสือพิมพ์จากเรา ร้องเพลงผู้แพ้มาเฉย เราจะบอกว่า เพลงนี้เพราะดีไหมครับ เพลงนี้ผมแต่งนะครับ เขาจะทำหน้าตาเหรอ เด็กคนนี้มันอย่างไร เพราะสมัยนั้น เด็กๆ ที่จะมาแต่งเพลงดังได้อย่างนี้ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่หายหมดมีแต่เด็กแต่ง เพลงเด็กๆ ทั้งนั้นผู้ใหญ่หายหมด ผู้ใหญ่แก่แล้วแก่เลยไปหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌. ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌

ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 18:30:27 )

จากเวทนา 36 ปฏิบัติทุกปัจจุบัน ตามกาละ 3 เป็นเวทนา 108

รายละเอียด

เวทนา มโนปวิจาร คุณต้องดูสภาวะที่ละเอียดทั้ง 18 และ 18 นี้ให้ได้ เหลือสุดท้าย 18 กับ 18 รวมเป็น 36 เป็นคู่เป็นเทวะ (คู่ 18 โลกีย์กับคู่ 18 โลกุตระ) คุณก็ปฏิบัติทุกปัจจุบัน ตาม กาละ 3

ชาติเกิด ชาติตัวสุดท้าย อภินพพัตติ เกิดชาติแล้วรู้แจ้งจบ ใน 36 ปัจจุบันก็หายไปหมดเลย ปัจจุบันก็หายไป อดีต อนาคต ก็คือ สองฟาก สิ่งที่ยังมาไม่ถึง กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คุณทำให้ผ่านปัจจุบัน ทำให้เป็น 36 นี่แหละกระบวนการของเคหสิตะกับเนกขัมมะ ทำให้สมบูรณ์แบบ ทั้งความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ของ กาม ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วค่อยมาทำใจทีหลัง 

เมื่อทำปัจจุบันได้ สั่งสมลงเป็นอดีตก็แข็งแรงเต็มรูป 36 ปัจจุบันเต็มรูปแบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) อดีตก็ใส่คลังใส่เก๊ะ ไม่มีอะไรหักล้าง เป็นอย่างนี้ อนาคตไม่รู้มันจะมาถึงเมื่อไหร่ ทำปัจจุบันได้สำเร็จไหม อนาคตมาถึงก็เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็จัดการ อภิสังขาร จัดการได้ ทำได้ เพราะมีปัญญา นิรันดรกุลเลย ทำได้ 

ได้อีกก็ส่งเป็นอดีต จนกระทั่งอนาคตเมื่อเดินทางมาถึงปัจจุบันเมื่อไหร่ เสร็จปัจจุบัน มีอัตโนมัติ มีความเร็ว ความเก่ง ความครบสมบูรณ์ ไม่ต้องทำอะไรเลย อัตโนมัติจัดการเอง สมบูรณ์แบบ กิเลส จนกระทั่งแม้แต่อนาคตมันไม่กล้าเข้าไปรวมกับอนาคตมาหาเรา อนาคตจะมาถึงเรา มันมาสะอาดแล้ว เพราะกิเลสมันรู้อนาคตนี้เป็นเรา เพราะอดีตก็เป็นเรา ปัจจุบันก็เป็นเรา อนาคตมันรู้แล้วว่าเป็นของผู้นี้นะ อย่าเข้าใกล้นะเอ็งตาย อย่าเข้าใกล้แม้อนาคต มันไม่มาแล้ว นี่พูดเป็นภาษาคนๆ ภาษาไทยไทย เอาสภาวะมาคลี่กระจายอย่างสุภาพ ให้คุณฟัง รู้จักสุภาพ คลี่ขจาย ไหม นามปากกา ฉัตรเชิงดอย ทุกวันนี้ก็ยังออกอากาศอยู่ 

มาถึงขั้น กาละ 3 อดีต ปัจจุบัน อนาคต คุณก็ทำได้สำเร็จเสร็จสรรพเป็น 0 หมด ทำกิเลสให้เป็นอุเบกขาได้ 0 หมดอย่างเชี่ยวชาญชำนาญสุดยอด ก็จบเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 04:37:55 )

จากโลกียะ สู่โลกุตระ โดยบ้านเล็กเมืองน้อย

รายละเอียด

Chaos ทั่วทุกมุมโลกที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้…..ทั้งโคลัมเบีย ชิลี ซีเรีย โบลิเวีย ฝรั่งเศส เลบานอน ลิเบีย สเปน เวเนซุเอลา อิรัก เอกวาดอร์และ ฮ่องกงล้วนเป็นผลมาจาก…..การแพร่กระจายของโรค“ทุนกลิ ”ที่แฝงมากับ   “ประชาธิปไตยเทียม ”…..ทำให้เสรีภาพที่ชนชาวโลกต่างแสวงหา ถูกแทนที่ด้วย”เงิน”….ซึ่งไปกระตุ้นอาการที่ 33 ให้กำเริบ จึงโหยหากันแต่เพียง“เสรีภาพในการเสพสุข”………เมื่อ“โลภ”ระบาด…..ชาวโลกต่างขมีขมันแย่งชิงกันสร้างฐานะเสียสติให้แก่ความโลภโจนลงสู่หลุมดำอันแล้งน้ำใจ เมื่อสิ้นสัมปชัญญะด้วยโมหันต์  จึงถีบจักรส่งส่วยอย่างบ้าคลั่ง เพื่อจ่ายค่าคงอัตภาพในสังคมทุนหวังเพียงที่จะชนะคงโลกียสุขไว้นิรันดร์…..โดยไม่รู้ว่า Game of “ทุน”ก็คือบ่อนcasinoที่เจ้าของบ่อนชนะตลอดกาล….ด้วยpropaganda ปล่อยให้ผู้มีconnectionเล่นชนะบ้าง(0.0001%)เศรษฐีทุนใหม่อย่างธนาธรจึงเป็น presenter ชั้นดีให้ดูเหมือนเป็น Game of “ธร”  ที่ธรสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาบนลำแข้งของตัวเอง  จนหนูถีบจักรต่างพากันหวัง ที่จะมีอนาคตใหม่ได้อย่าง“ธร” …….สังคมโลกจึงเคยชินกับการเอาเปรียบ ไม่รู้สึกผิดกับความรวยที่ไม่รู้จักพอ  หนุนส่งความเหลื่อมล้ำจนสุดโต่ง………เพียงไม่กี่วันในการทำงานของมหาเศรษฐี กลับมีรายได้เท่ากับค่าแรงทั้งชีวิตของคนงาน………กฎหมาย 2 มาตรฐานถูกบังคับใช้จนความอยุติธรรมกลายเป็นเรื่องปกติ…….หากลุกฮือขึ้นเรียกร้อง ก็จะถูกยัดเยียดให้เป็นพวกหัวรุนแรงที่สร้างความวุ่นวาย……บ่อยครั้งจึงถูกปราบปราม   แต่บ่อยครั้งยิ่งกว่า…..ที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือกดดัน ต่อรองอำนาจและผลประโยชน์……เหตุการณ์ประท้วงรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้น สะท้อนความพิการของสังคมโลกจากเชื้อทุนกลิ จนต้องพึ่งพาการขับเคลื่อนจากระบบเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้การเมืองถูกทุนสามานย์ครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ความร่ำรวยเรื้อรัง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้เติมแต่งความยากจนให้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ ยิ่งแก้ไข ยิ่งเพิ่มความสูง–ต่ำของรายได้ส่งผลให้มหาเศรษฐีที่มีอยู่เพียง 1%ในโลก กลับมีทรัพย์สินมากกว่าคนที่เหลือทั้งโลกรวมกัน………..“อภิชน”เหล่านี้ ใหญ่เกินกว่าจะล้ม โตเกินกว่าคุกจะขังจนกลายเป็น Deep Stateที่อยู่เบื้องหลังความโกลาหลของโลก ย้อนไปสู่ยุคหิน…หลังจากที่บรรพบุรุษของมนุษย์ ได้กำจัดเผ่าพันธุ์ อีเล็กตัส กับ นีแอนเดอร์ทัลพ้นไปจากห่วงโซ่อาหาร…..จนเมื่อประมาณ 2หมื่นกว่าปีก่อน ความกลัวที่จะอดอยาก เป็นแรงกระตุ้นให้มนุษย์ เปลี่ยนจากหาของป่าล่าสัตว์ มาทำการเพาะปลูก จากชุมชนเล็กๆน้อยๆเริ่มรู้จักกักตุนสำรอง…เมื่อหมดภัยคุกคามจากสัตว์สายพันธุ์อื่น มนุษย์ก็เริ่มหันมาเอาเปรียบคุกคามกันเอง…….จนกลายเป็นสังคมเมืองในยุคสัมฤทธิ์มีนวัตกรรมทุ่นแรงในการดำรงชีพมาเป็นลำดับ โดยมีแรงงานหลักคือมนุษย์และสัตว์เลี้ยง…และแล้ว…ชนชั้นพ่อค้าก็ถือกำเนิดขึ้น ท่ามกลางการดูหมิ่นเหยียดหยามต่อการดำรงชีพที่เอาเปรียบกันซึ่งๆหน้าแบบไม่ต้องลงแรง….การถูกปฏิเสธจนชาชินได้เพาะสร้างจิตใจที่กระด้างเย็นชาเช่นเดียวกับที่ เด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยกได้รับด้วยความสะกดข่มเพื่ออยู่ให้รอดได้พัฒนาเป็นความเฉกาจนทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้น ชนชั้นพ่อค้าจึงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ลดลง จนกระทั่งเมื่อ 260 ปีที่แล้ว…ก็สุกงอม ในช่วงปี ค.ศ.1760……การปฏิวัติครั้งแรกของนายทุน เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ด้วยฉากบังหน้าของการปฏิวัติอุตสาหกรรม…..“เครื่องจักรไอน้ำ”เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์  ถ่านหินถูกขุดขึ้นมาเป็นเชื้อเพลิง   ความรวดเร็วของเครื่องจักรเพิ่มผลกำไรจนเจ้าของโรงงานกลายร่างเป็นนายทุนหน้าเลือด….แรงงานทอผ้ามากมายในอังกฤษจึงต้องหายไป พร้อมกับการสถาปนาชนชั้นอำมหิตที่เหยียบย่ำมนุษย์ด้วยกันขึ้นสวมหมวกทรงสูงได้สำเร็จ…….เหล็กกล้าได้ถูกถลุงมาใช้ ทำรางแก่รถจักรไอน้ำเพื่อย่นเวลาเดินทางไปเอาเปรียบผู้อ่อนด้อยที่ล้าหลัง……จนทรัพยากรทั้งโลกก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการแก่สาวกของAdam Smithเพียงผู้เดียว ถัดมาในช่วงปี ค.ศ. 1870 ที่สหรัฐอเมริกา…..การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้น หลังจากการแย่งชิงกันเป็นผู้กำหนดในสงครามกระแสไฟฟ้าที่ Thomas Edison พ่ายแพ้ให้แก่ George Westinghouse  ทำให้โลกต้องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตตามมา…ขบวนการบำเรอความสะดวกสบาย spoil มนุษย์ก็เริ่มขึ้น เมื่อไฟฟ้าถูกจ่ายมาตามบ้านเรือน….เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้มนุษย์เลิกอบไอน้ำ–ผลาญถ่านหิน แล้วหันมาสวาปามเชื้อเพลิง fossil ระบบสายพานการผลิต ได้ป้อนอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งรถถังเครื่องบิน แก่มหาสงครามโลกทั้ง2 ครั้ง ที่กินเวลารวมเพียง 30 ปีแต่นำมาซึ่งความสูญเสียกว่าร้อยล้านชีวิต….ทำให้เกิดนโยบายBaby Boom(เพิ่มปุถุชน–วางยาอนาคต)พร้อมกับแผนส่งเสริมการขาย“American Dream”ทำรถยนต์ให้เป็น mass products….ตามด้วย“ปฏิวัติเขียว” จนป่าไม้วอดวายด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตป้อนประชากร(ด้อยคุณภาพ)ที่เพิ่มขึ้น…..สารเคมีเพื่อ(ทำลาย)การเกษตร จึงถูกผลักดันให้กลายเป็นนโยบายหลักของแทบทุกประเทศ ทำให้ประเทศเกษตรกรรมบางแห่งต้องล้มละลายด้วยหนี้สิน เกษตรกรรายย่อยต้องล่มสลาย สารพิษตกค้างในระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม… ตลอดจนปัญหาสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคเป็นมรดกบาปที่ชนรุ่นหลังต้องทนรับ…. แต่นายธนาคารและกลุ่มบรรษัท ที่นอกจากจะร่ำรวยขึ้นจากสงครามแล้วยังยึดครองที่ดินเพิ่มขึ้นจากการตกเขียวไปไม่น้อย ในค.ศ.1969….เครื่องไม้เครื่องมือซึ่งผู้ว่าจ้างระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ electronics ถูกต่อยอดเป็น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นำไปสู่ยุค digital ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3…..เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มกระจายลงสู่บ้านผู้คนในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พร้อมกับการเชื่อมโยงเครือข่ายถึงกันทางโทรศัพท์ได้พัฒนาไปเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศอินเตอร์เน็ต(ITสามารถซื้อของและทำธุรกรรมการเงิน online ได้ ด้วย smart phone  ที่ผู้ใช้ไม่ smart enough กับข้อมูลข่าวสาร…..ทั้งจริงทั้งลวง สร้าง ความสับสนงมงาย ทั้งโฆษณาสินค้าและบริการ ที่ถูกกฎหมายและผิด  ตั้งแต่…พนันบอล.. เกม casino online…ภาพลามก… บริการจับคู่หนุ่มสาว…ทั้งหมดอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส….ทั้ง Fake ทั้ง Lie จนกลายเป็นสังคมก้มหน้า………….ในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารมีค่ามากกว่าทองคำ ร่องรอยที่ทิ้งไว้ในโลก online จะถูกนำมาวิเคราะห์ความคิดและพฤติกรรม “มันเป็นยุค ที่มีคนรู้ว่าเราคิดอะไร….ก่อนที่เราจะคิด  และสามารถเปลี่ยนความคิดของเรา ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้” สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ evil marketingโดยผนวกเอาความรู้ด้านจิตวิทยามาเขียน algorithm แล้วใช้A.I.ประมวลผล ด้วย Machine Learning จาก Big Data วิเคราะห์วิจัยพฤติกรรม แล้วโน้มน้าวให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง ...ขอต้อนรับสู่…การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4...ด้วยสังคมสูงวัยที่กระจายตัวไปทั่วโลก biotech และ genetic engineering จะทำให้เศรษฐีมีอายุยืนเกิน 100 ปี….. ในขณะที่แนวโน้มการเกิดลดลงการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยิ่งถดถอย งานที่ทำซ้ำ แบบเป็น pattern จะถูกทดแทน ด้วย A.I แม้แต่งานที่ต้องใช้ “ความคิด” แบบซ้ำๆเช่น หมอ ทนาย นักบัญชี ก็จะถูกกวาดหายไป รวมถึงงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากอย่าง “การเขียน” …..บทความที่ถูกเขียนด้วย algorithm อ่านแล้วแยกแทบไม่ออกว่าอันไหนคนเขียน หรืออันไหนคอมเขียน…..ทั้งระบบเงิน Cryptocurrency ที่จะใช้ในโลก online เช่น Libra ก็อาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของทั้งโลก รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว…ตลอดจนมิติทางศีลธรรมสิทธิมนุษยชนความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันของการเข้าถึงเทคโนโลยี…..การว่างงานจากการถูกแทนที่ด้วย A.I. …ปัญหาคุณภาพชีวิต และความเห็นใจกันที่ลดลงจะก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางสังคมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ…….อีกทั้ง ZombieและFrankenstein ที่เกิดจากการตัดต่อ DNA ด้วยนาโนเทคโนโลยี…. Cloning…Stem Cells สร้างอวัยวะเทียมเป็นอะไหล่ชีวภาพ…..ถ้าเกิดการปนเปื้อนไปในสภาพแวดล้อมจะส่งผลกระทบอย่างไร?..…...เป็นอันตรายต่อโลกมากน้อยแค่ไหน……..ก็ยากจะคาดเดา! นิจจังที่แท้คือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเปลี่ยนไป หมุนวนผลัดกันชมสมบัติ ที่วนสุข วนทุกข์ มาด้วยเสมอ….แต่แมลงวันก็มิอาจไม่ตอมสิ่งเน่าเหม็น….. การปฏิวัติอุตสาหกรรมของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุน ได้ต้อนผู้อ่อนแอให้ตกอยู่ในหล่มของความยากจนข้นแค้นมาอย่างยาวนาน…..จนกระทั่ง King Of Kings ผู้อุทิศพระองค์เป็นแบบอย่างแห่งความพอเพียง ได้กอบกู้ความดีงาม“แบบคนจน” กลับคืนมา เปลี่ยนแมลงวันให้กลายเป็นผึ้ง……………….พร้อมทั้งการเปิดเผยสัทธรรม ของ……….The Great Whistle Blower ผู้มีสยังอภิญญาที่เผยความจริงแท้ จนถูกสังคมทุนกลิถล่มยับ แต่ท่านก็ยังยืนหยัดกอบกู้พุทธศาสนาอย่างมุ่งมั่น ทำให้ผู้มุ่งมาจนกลุ่มหนึ่งUpgrade เป็นคนวรรณะ 9 ได้สำเร็จจริง  ยังจิตให้อยู่ในอำนาจเหนือสุขเหนือทุกข์ได้แท้ ตามคำสอนพระศาสดา……ด้วย “การปฏิวัติศีลธรรม” ให้คืนมาสู่ใจตน โดยทำ“กิเลสประหาร”สลายพลังสนามแม่เหล็กของกิเลสออกจากจิต ให้เป็นอิสระจากอุปาทานขันธ์ 5 (อิสระจากโลกของทุนกลิ)…จึงหมุนวนได้สูงขึ้นกว่าระนาบเดิมๆ…….จนเกิดเป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงอยู่ร่วมกับหมู่สงฆ์…..ด้วยการเฉลี่ยแบ่งปันกัน อันเรียกว่า “สาธารณโภคี”……ผสานกับศาสตร์พระราชา จนมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบบุญนิยมที่ “ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา” …..ก่อเกิดเป็นแผ่นดินพุทธดินแดนสัปปายะริมน้ำมูน อันมีชื่อว่า “ราชธานีอโศก”….ต้นแบบของชมพูทวีปแห่งใหม่นี้ จะรับประกันความอมตะ(อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ)ที่เป็นจริงได้ แก่ผู้มีอัญญาทั่วโลก  ว่าจะไม่ถูกทำให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปอย่าง…ในยุคหิน เหนื่อยนัก….ก็เชิญมาพักได้…ที่….แดนเพลิน…..“Pleasant Land…….Please Rest”

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ธรรมะคือเครื่องถ่วงดุลยุคทุนนิยมเคออส วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 14:48:09 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:41:39 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:49:34 )

จากโสดาปัตติผลจนบรรลุอรหันต์

รายละเอียด

จากโสดาปัตติผลจนบรรลุอรหันต์ ฟังให้ดี การเป็นโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดอยู่แล้วว่า เอาสังโยชน์ 3 เป็นตัวตัดสิน สังโยชน์ 3 ก็คือ 1. รู้จัก กาย มีความรู้ในเรื่องกาย พ้นความไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิ แล้วคำว่ากาย คำนั้น ก็ต้องน้อมเข้ามาที่ตัวเรา สักกะ เป็น สักกายะ ตรวจภาวะของความหมายของคำว่า กาย และ ทำสภาวะ อ่านสภาวะ รู้อาการของสภาวะของตนได้ กายนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ เลย คำที่ยิ่งใหญ่มาก กาย นี่

อธิบายคร่าวๆ ว่า กายก็คือสภาวะ 2  กายมีสภาวะ 1 ไม่ได้ เช่น รูปกับนาม คือกาย อายตนะสัมผัสกันแล้ว มันจะมี 2 ใน 1 ก็คือ กาย เวทนา 2 ขึ้นไป หรือมีองค์ประชุมไปอีก เวทนา สัญญา สังขาร ประชุมกันอีก เรียกว่า กาย เป็นองค์ประชุมของเจตสิกต่างๆ เรียกว่า กาย 

เพราะฉะนั้นท่านรวมตั้งแต่ 2 ขึ้นไป จนกระทั่ง นับไม่ถ้วน ประชุมกันเข้าเรียกว่า กาย ทั้งภายนอก ต้องมีภายนอกอีกด้วย ถ้าไม่มีภายนอก ไม่มีกาย ไม่ถือว่าเป็นกาย และอาการกายนี้ซับซ้อนลึกซึ้งไปถึงว่า ถ้าในจิตมียึดมั่นถือมั่นว่าเป็นกายของเรา เรามีกาย ไม่บรรลุอีก ต้องอย่ายึดกายเป็นของเรา แต่อาศัย และอย่ายึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีกายของเรา จะต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ตุลาคม 2565 ( 13:52:18 )

จาคสัมปทา

รายละเอียด

ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 168


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:26:03 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:12:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:50:15 )

จาคสัมปทา

รายละเอียด

ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:26:23 )

จาตุมฺ มหาภูติโก

รายละเอียด

สิ่งที่เป็นมหาภูตรูป 4

หนังสืออ้างอิง

จากถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 64


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:26:38 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:13:12 )

จาตุมฺมหาภูติโก

รายละเอียด

มหาภูตรูป 4

หนังสืออ้างอิง

จากเปิดโลกเทวดา หน้า 143


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:27:07 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:13:49 )

จาบจ้วงพระพุทธเจ้ากัสสปะในอดีตชาติ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้…เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริกขีโณ) (พระไตรปิฎก เล่มที่ 32 ข้อ 392) ตอนนั้นพระพุทธเจ้ากัสสปะกำลังหาที่นั่งเพื่อตรวจสอบระลึกตัวเอง โพธิญาณของตัวเอง โชติปาละสู่รู้ว่า จะได้โพธิญาณอย่างไรกับการมานั่งใต้ต้นไม้นี้ ต้นไม้ต้นนั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เรียกว่าเป็นต้นโพธิ์ โชติปาละไปจาบจ้วงท่าน เท่านี้ ทำไมโชติปาละรู้ว่าคนนี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนพระสมณโคดมเขาก็รู้กันทั้งหมดว่าองค์นี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ก็รอ ปัญจวัคคีย์ก็ไปรอ แต่ไม่เห็นเป็นพระพุทธเจ้าสักที พวกพราหมณ์ 7 รูปก็ทำนายไว้แล้ว องค์นี้อุบัติขึ้นมาจะเป็นพระพุทธเจ้าอนาคต ก็รอกันอยู่อย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2563 ( 14:59:44 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:44:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:51:05 )

จาบจ้วงสำนักอื่น

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้ไปจาบจ้วง แต่สิ่งที่เขาทำผิด อาตมาพูดก็ต้องตำหนิสิ่งผิด แต่ตำหนิด้วยเมตตา ไม่ได้ตำหนิเพื่อแย่งลาภยศ แต่ที่พูดนี้จะโดนคนมาตำหนิด้วยซ้ำ เช่นคุณว่ามาว่าอาตมาไปจาบจ้วงทำไม คุณจะใช้ภาษาว่าอาตมาจาบจ้วงก็ไม่เป็นไร ถ้าคำว่าจาบจ้วงหมายความแง่อกุศล แต่อาตมาไม่มีจิตอกุศล คำที่พาดพิงบุคคลนี้ อย่างที่ ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าว่าตำหนิอาจารย์ต่างๆท่านก็พูดถึง แต่จิตอกุศลท่านไม่มี แต่หากดูตามอาการ ก็ตีความไปเอง คุณอย่ามาห้ามเลย ที่อาตมาทำนี้คุณจะให้หยุดมันไม่ได้ผลหรอก อาตมาขอบอก 

อาตมาเข้าใจคุณแต่ขอละเมิดว่า อาตมาต้องแรงเพราะว่าในยุคนี้เป็นยุคที่คนมีความด้านมาก อาตมายืนยัน พระไตรปิฎกหลักฐาน ที่ทำนี้ก็ดูจะระคายผิวที่ด้านเข้าไปได้เรื่อยๆ บางคนใช้ศัพท์ว่าด้านตาใส หรือดื้อหนังหนา ก็แล้วแต่คล้ายๆกัน คุณอย่าทำอย่างอาตมานะ คุณไม่มีบารมีเท่าอาตมาหรอก อาตมาทำอันนี้ได้เพราะบารมี ซึ่งเป็นของแต่ละคน ในความรู้สึกของคุณ คุณพูดถูกแต่คุณเอามาเทียบกับอาตมาแล้วจะให้ทำอย่างคุณ มันผิดฝาผิดตัว อาตมาก็มีสัปปุริสธรรมของอาตมาคุณก็มีของคุณ อาตมาทำมาก็ได้ผลไปเรื่อยๆ จนเป็นผลทุกวันนี้ อาตมาเห็นผลสำเร็จของอาตมา แต่คุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ สิ่งที่เป็นผลสำเร็จตามวิธีการและพฤติกรรมของอาตมาทำ มันจึงเป็นผล มันอธิบายยากกว่า อย่างนักมวย เขามีวิธีการชกต้องมีการดันการผลักการหลอกการชก ให้เขาชกแล้วเราก็บวกไปให้เกิดแรงมีประสิทธิภาพสูง อาตมาก็มีน้ำหนักในการให้เขาเข้ามาแล้วจะได้ยิงหมัดให้ได้แรงได้ตรง มันเป็นวิธีการความสามารถความเข้าใจของอาตมาซึ่งลอกเลียนได้ยาก อันนี้ลึกละเอียด ถ้าคิดว่าคุณเข้าใจแล้วก็คงไม่สามารถเข้าใจ อาตมาขอบอกคุณอย่าพูดเลยว่าไม่ให้อาตมาทำห้ามไม่ได้หรอก อาตมาขอบอกเลย คุณพูดมาเสียเวลาเปล่า แต่เขาจะเข้าใจแล้วจบหรือไม่ก็ไม่รู้นะ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 สิงหาคม2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:49:11 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:46:27 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:51:52 )

จาระ

รายละเอียด

คือรูปให้รู้  ส่วนตักกะเป็นตัวนาม ตัวรู้ เป็นตัวย่อย ของผลของจิตที่ได้ปฏิบัติวิตกวิจารไปตามลำดับของฌาน 1 2 3 4

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 79 วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 15:17:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:48:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:52:32 )

จำนนต่อความตายอย่างไร

รายละเอียด

น้องบัวไม่ต้องไปคิดถึงความตาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคิดถึงความตาย เราพยายามที่จะร่าเริงเบิกบาน แล้วก็เรียนรู้ทำให้ดีๆสิ่งที่ดีๆ เสร็จแล้วไม่ต้องไปคิดถึงความตาย เราจะหาย เราได้สิ่งที่ดีๆและเราจะเกิดปัญญา จะรู้ว่าความตายเป็นสิ่งธรรมดาที่เราจะต้องเจอ ใครจะตายเมื่อไหร่ จะตายก็ตายถึงเวลาจะตายเราห้ามไม่ได้ เด็กก็ตายได้ผู้ใหญ่ก็ตายได้คนแก่ก็ตายได้ ต้องตาย เพราะฉะนั้นเราต้องจำนน รู้จักคำว่าจำนนไหม เราจะต้องยอมรับ น้องบัวรู้จักจำนนไหม

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:05:40 )

จำนนต่อสังขารไม่จำนนต่อมาร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า โอ้โห.. น่าเห็นใจที่มันได้เสื่อมไป 2,500 กว่าปี ก็เสื่อมไปหมด อาตมาจึงต้องมากู้กลับ ต้องมาเริ่มคำว่า กาย ก็คิดว่า เพิ่งมาอธิบายไม่กี่ปีนี้ก็ยังน้อยอยู่ ก็คงยังต้องพยายามอยู่อธิบายไปอีกนานพอสมควรทีเดียว เพราะฉะนั้น ถึงพยายามจะไม่ตายเร็วๆ ไม่ตายง่ายๆ ถ้าสังขารมันพูดไม่ได้อธิบายไม่ได้ก็ต้องตายแล้ว แต่มันยังอธิบายยังพูดได้อยู่ก็ไม่ตาย ยังไงก็ไม่ตาย มารจะมานั่งบอกไปได้แล้ว ตายได้แล้ว เราก็บอกว่าไม่ตาย มารมันเก่งกว่าเราไม่ได้หรอก จนกว่าเราจะจำนนต่อสังขาร มันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องจำนนก็ต้องไป ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่า แหม หนัก พยายามประคองสังขารให้มันอยู่ หนัก แต่พูดไปก็เท่านั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 05:28:21 )

จำนนต้องประกาศว่าตนคืออรหันต์ ตอน 1

รายละเอียด

 เกิดมาชาตินี้ “อาตมา” จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก “ตัวเอง” ว่า “อาตมา”  เป็น “อรหันต์” และเป็น “โพธิสัตว์” เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น “อรหันต์” ก็ดี ว่าอาตมาเป็น “โพธิสัตว์” ก็ดี ซึ่งมันเป็น “ความจริง” ที่จริงที่สุดและยุคนี้มันไม่มี “อรหันต์จริง” หรือ “โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่ “อรหันต์เก๊” หรือ “โพธิสัตว์เก๊” กันทั้งนั้น

ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น “คำตรง” เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมจำต้องเอา “ตนเอง” นี้แหละ “ตัวแท้” ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน เพื่อเปรียบเทียบกับ “ความไม่จริง” ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ “อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊” กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนักซึ่งมันก็รู้ “ความจริง” กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วยว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!!

ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้ ความเสื่อมของคนชาวพุทธ มันเสื่อมกันสุดๆ แล้ว มันมีแต่ “อรหันต์เก๊” ไม่รู้จัก 

“อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” หรือมีแต่ “อรหันต์” ที่ต้อง “เดา” เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!!เพราะ “พระอาจารย์” หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น “อรหันต์เก๊” ว่าเป็น “อรหันต์” มันก็หลอกคนอยู่  

ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม” ไม่ได้เป็นอันขาด ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้ “ตนเอง” นี้แหละเป็น “เป้าให้ยิง” กันเลย

ถ้าอาตมา “เป็นของเก๊” อาตมาถูกยิงเผาขนมาหนักหนาสาหัสมาป่านนี้ ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา “ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน” แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่อยู่ยงคงกะพันกันถึงวันนี้ วินาทีนี้หรอก อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น “อมตบุคคล” กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี “ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น “ความจริงที่ข้ามชาติ” มาเป็นผู้ “เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์” กันขึ้นในยุคนี้ 

อาตมาผู้เป็น “ของจริง” ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน กับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ “ของเก๊” กัน ชาวพุทธด้วยกันแต่ท่านไปหลงของเก๊ ตัวเองเป็นของเก๊แล้วเอามาประกาศ อยู่ร่วมสมัยกัน มีทั้งของจริงและของเก๊ อาตมาประกาศตนว่าตนเป็นของจริง และผู้ที่ไม่ตรงกับอาตมาเป็นของเก๊ 

อาตมาเห็นแล้ว จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน “ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้  เพื่อให้สังคมรู้  “ความจริง” ด้วยจริงใจใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมาก ยังไม่รู้ว่า “ความจริง” หรืออรหันต์จริงเป็นเช่นใด? ...กันแท้! เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ส่วนใหญ่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โลกุตรธรรม” กันแล้ว เสื่อมกันไปจริงๆ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน “อาณีสูตร” เรื่อง “กลองอานกะ” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672  เป็นการยืนยันคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า “จริงแท้” มันมี “ความเสื่อม” ตามที่เป็นจริง ปรากฏกันให้เห็นกันหลัดๆ โต้งๆ โทนโท่อยู่ให้สัมผัสได้ในขณะนี้ ยุคนี้ แล้วมันจะ “ไม่จริง” ได้ยังไง?!  ในเมื่อมันมี “ความเสื่อม” สัมผัสได้อยู่    

เมื่อยุคนี้มัน “ไม่มีความจริง” ของอรหันต์-โพธิสัตว์กันแล้ว อาตมาจึงต้องแสดงตัวขึ้นมาให้ปรากฏ ให้คนพิสูจน์ “ความจริง” ว่า อาตมาคือ ตัวตนยืนยัน “ความจริงของอรหันต์-ของโพธิสัตว์” จริงๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ “ความไม่จริง” ที่คนในยุคนี้ ไปหลงเชื่อถือ และหลงเข้าใจผิดๆอยู่กับ “ของปลอม-ของเก๊” กัน ซึ่งเป็นทั้งปลอมทั้งเก๊ใน “ความรู้-ความเข้าใจ” และทั้งปลอมทั้งเก๊ในคำพูดคำอธิบาย และทั้งการเป็นอรหันต์ที่คนทั้งหลายไปพากันหลงผิด เชื่อผิด อรหันต์เก๊นั้นๆกัน แบบ “เดาๆ” กันด้วยนะ!

อาตมาผู้เป็น “ของจริง” ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม-จำต้องยืนยันตนเอง-บอกตนเองขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้ “ความจริง” ด้วยความจริงใจใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมากยังไม่รู้ "ความจริง” หรือไม่รู้ “อรหันต์จริง” เป็นเช่นใด? ขอแวะตรงนี้ว่าถ้าท่านไม่ตรงกับอาตมาท่านหยุดเสีย ท่านทำผิด ซึ่งกรรมเป็นอันทำ ใช้ยางลบลบไม่ได้ ไปทำกรรมผิดๆ เป็นสมบัติของท่าน อาตมาถึงขอปราม หยุดเถอะ อย่าทำเลยสิ่งผิด แต่แน่นอนท่านไม่หยุด แต่ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ 

เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โลกุตรธรรม” กันแล้ว ตามคำพยากรณ์เรื่องกลองอานกะของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เมื่อ “ความรู้จริง-อรหันต์จริง” ประกาศตนต่อสังคมยุคสมัยที่เสื่อมจริงๆ นี้ จึงยากที่จะให้ “คนเสื่อม” ซึ่งพากัน “มิจฉาทิฏฐิ” ไปสุดหนักหนาสาหัส และหลงยึดมั่นถือมั่นใน “ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊หรืออาริยะเก๊” กันสนิทเนียนแล้วนั้น กลับมา “เข้าใจ” หรือ “เชื่อถือในความรู้จริง-อรหันต์จริงหรืออาริยะจริง” กันได้ง่ายๆ มันย่อม “ยากสสส์” สุดยากกันแน่ยิ่งกว่าแน่!!!

แต่อาตมานั้น “ง่ายสสสส์” สุดแสนง่ายที่อาตมาจะบอก“ความจริง-ยืนยันตนเองที่เป็นจริง” ของอาตมา นำออกมาแสดงต่อสังคมกันอยู่จริงๆนี้ ตามที่ตนเองเป็นตามที่อาตมามี “ผลของความสำเร็จในการเป็นอรหันต์จริง” นั้นๆ มาแล้ว และผ่าน “ความเป็นอรหันต์” เป็น “อนุโพธิสัตว์” ผ่านขึ้นไปเป็น “อนิยตโพธิสัตว์” กระทั่งเจริญขึ้นผ่านมาเป็น “นิยตโพธิสัตว์” คือโพธิสัตว์ระดับ 7 และกำลังมีกระแสความเป็น “มหาโพธิสัตว์” ระดับที่ 8 ขึ้นไปเป็นลำดับๆ นี้ มันมี “สภาวธรรม” จริงในตนเองแท้ จึงนำเอา “คุณวิเศษ” อันเป็น “นามธรรม” แท้ๆ ที่ “วิเศษแท้” นี้ออกมาพูดมาบอกได้ง่ายๆ เป็นลำดับๆ อย่างน่าอัศจรรย์ด้วย 

ถ้าอาตมา “ไม่มีคุณวิเศษ” เหล่านี้จริง อาตมาจะเอาอะไรมาพูด มาบอกต่อประชาชน ต่อสังคม ที่เป็นทั้ง “ความจริง” ของ “สภาวะแห่งคุณวิเศษจริง” ทั้ง“ความจริงที่ถูกต้องถ่องแท้ของคำสาธยายคำอธิบาย” ทั้ง “ความรู้-ความคิด-ความเห็น-ความเข้าใจ-ความเชื่อ” ทั้ง “ความสอดคล้องเรียงร้อยที่เป็นลำดับไม่สับสน” ทั้ง “ความเป็นได้” ที่มีคนมีสังคมกลุ่มหมู่มวลมนุษย์จริง-บรรลุธรรมได้เป็นคุณวิเศษพิเศษขั้น“โลกุตระ” ซึ่งเป็น “อื่น (อัญญะ)” ไปจาก “โลกียะ” เป็นภาวะ “โลกอื่น” ที่ภาษาเรียกว่า “โลกุตระ” นี้แหละ ให้คนทั้งหลาย “สัมผัส” ได้ด้วยตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจกันเลย  

เพราะ “ความรู้” ก็ดี “ความเป็นอรหันต์” ก็ดี มันมีในตัวอาตมาอยู่แล้วแท้ๆ มีข้ามชาติตั้งแต่ชาติก่อนๆ ติดตัวมา ซึ่งยุคนี้ในโลกทั้งโลก มันไม่มี “ความรู้คุณวิเศษ” ที่เป็น “โลกุตระ” กันแล้ว อรหง-อรหันต์ไม่มี แม้แค่ “รู้จัก” ก็ไม่รู้จักกันแล้วจริง ไม่ต้องไปพูดคำว่า “รู้แจ้ง-รู้จริง” กันเลย มันไม่มีใครมีความรู้ถึงขั้น “ปัญญา” รู้จัก “โลกุตระ” เถรสมาคมก็ตาม เทวนิยมทางตะวันตกก็มีแต่ความรู้ เฉโก กันเป็นโลกียะ ส่วน ปัญญาเป็นโลกุตระ ในโลกยุคกึ่งพุทธกัป พ.ศ. 2500 ก่อนอาตมาจะเกิด จึงไม่มีอรหันต์แท้ มีก็แต่อรหันต์เก๊กันทั้งนั้น ก่อนอาตมาเกิดก็มีคนประกาศอรหันต์แต่เป็นอรหันต์เก๊ 

ดังนั้น ความเป็น “อรหันต์” มันจึงไม่มีใครรู้จริงกันแล้วจริงๆ เพราะ “อรหันต์” เป็น “โลกุตรธรรม” แต่ “ความรู้โลกุตระ” มันไม่มีแล้วในโลกยุคกึ่งพุทธกัปป์นี้ ตามที่อาตมาก็ได้เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน “อาณีสูตร” เรื่อง “กลองอานกะ” ที่เป็นเรื่องของ “โลกุตระ” ในโลกยุค “กึ่งพุทธกัปป์” นี้ ก่อนอาตมาจะเกิดจึงไม่มี “อรหันต์แท้"  มีก็แต่ “อรหันต์เก๊” กันเท่านั้น ยุคนี้อาตมาเกิดมา ในตัวอาตมามี “ความเป็นอรหันต์ติดตัวมาแล้ว” มาเกิดเป็นคนในยุคนี้ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า  “อรหันต์เก๊” ก็คือ “ของไม่จริง” อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ที่จำต้องเอา “ตนเอง” ที่เป็น “อรหันต์จริง” มายืนยันขึ้นในสังคมพุทธ ที่ถูกครอบงำด้วย “ของเก๊-ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊” กันมานานแล้ว ให้พิสูจน์ ให้สัมผัสกัน ให้มาใช้เรียนรู้ “ถลกหนัง-ลอกคราบ-ยิงเป้า” กันจริงๆ

ถ้าอาตมา “ไม่ใช่ของจริง” อาตมาก็พรุนแหลกราญไปทั้งกายทั้งจิตใจแน่ๆ แต่อาตมา “อยู่ยงคงกระพัน” จริงๆ ดังนั้น ในยุคเดียวกันร่วมสมัยกันนี้ ที่โลกยุคนี้สมัยนี้ร่วมกันอยู่ มีทั้ง “ของเก๊” และมีทั้ง “ของจริง” แสดงตัวกัน เมื่อ “ของเก๊-อรหันต์เก๊” ก็แสดงตัวอยู่แล้ว ยืนยันตัวเองแล้วในสังคม ขณะนี้ เผยแพร่กระจาย “ความเก๊” มาก่อนที่อาตมาจะปรากฏตัวด้วยซ้ำ ชาวพุทธก็ได้รับซับทราบ และได้เชื่อถือกันมาแล้วก่อนอาตมาจะเกิดมาในยุคนี้  

ที่จริงอาตมาประกาศอรหันต์ พ.ศ.2558 อาตมาใช้คำว่า โพธิสัตว์ไปก่อน แล้วค่อยใช้เวลา กว่าจะประกาศอรหันต์ก็รอจนปี 2558 อาตมาไม่ได้ตะกละตะกรามอวด อาตมาใช้เวลา 45 ปี ค่อยประกาศ แต่อาตมาเคยเล่าว่าเคยบอกแก่คนที่มาถามส่วนตัว คือ ขวัญดี กับ อ.แสง จันทร์งาม ตอนนั้นยังไม่ได้ถึงเวลายืนยัน แต่เขาเซ้าซี้มากก็เลยบอกไป ก่อน พ.ศ.2558 ส่วน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ไป คุยแต่เนื้อหาธรรมะ แล้วท่านก็ไปกล่าวข้างนอกรับรองว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ก็ไม่ได้บันทึกอะไร 

“อรหันต์เก๊” เขาก็แสดงตัวกระจาย “ความเก๊” ตามทิฏฐิของเขา ต่างก็มีคนปักใจเชื่อกันถึงขั้น “ยึดมั่นถือมั่น” เพราะเป็น “ยุคเสื่อม” จริง จึงได้แต่ “ของเก๊” กัน อาตมาผู้เป็น “ของจริง” เป็น “อรหันต์จริง” แท้ๆ เกิดมาในยุคนี้ร่วมสมัยอยู่นี้ มายืนยันความเป็น “อรหันต์” อย่างองอาจแกล้วกล้า (อาสโภ) ตามคุณลักษณะของอาตมา ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้รู้ได้เห็นได้ “สัมผัส” คนที่ยืนยันตนเองกันจริงๆ  เห็นกันโต้งๆ โทนโท่ ถึง “ของเก๊” กับ “ของจริง” ในยุคกึ่งพุทธกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ก็ต้องใช้วิจารณาญาณของแต่ละคนอย่างอิสระตัดสินลือกเฟ้นด้วยตนเองเถิด ว่า อันไหนจริง-อันไหนเก๊! 

ด้วยความเมตตาสงสารของอาตมาอย่างจริงใจแท้ๆ อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมเอา “ตนเอง” ที่เป็น “ของจริง” ชนิดที่ “จำต้อง” เปิดเผย “ความจริง” ขึ้นมาให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ศึกษาพิสูจน์กัน ชนิดที่ไม่เคยมีใครแสดงออกอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ มี “อาสโภ” ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเป็น “มังกุ” ใดๆ ในจิตเลย ดั่งที่อาตมาเป็นอาตมามีกันนี้หรอก จิตที่ “อาสโภ” ถึงขั้นไม่มี “ความเก้อยาก” คือ ไม่มี “มังกุ” นี้ เป็นอจินไตย เป็นอาการของจิตในจิตที่คนไม่มีเอง เป็นของตนเอง จะคิดเอาอย่างไรก็ไม่ตรงตามจริงได้  

มังกุ เป็นอาการขวยเขินน้อยๆ แต่ อุทธัจจะ เป็นการขวยเขินมากกว่า หากไม่ใช่อาริยะขั้นสูงจะไม่รู้อาการนี้ เพราะจะมีอาการหยาบกว่ามังกุมาก อรหันต์คือผู้ที่หมดอาการมังกุ เมื่อสังคมพุทธมีแต่คนผู้ไม่ใช่ “คนจริง” ในความเป็นผู้ “สัมมาทิฏฐิ” ตั้งแต่ “ความรู้” ก็ “มิจฉาทิฏฐิ” ใน “การปฏิบัติ” ก็ “มิจฉาปฏิบัติ” ใน “ผลที่ได้บรรลุ” ก็ “มิจฉาผล” อาตมาผู้มี “ความจริง” ใน “ความเป็นอรหันต์-เป็นโพธิสัตว์”  ที่มี “ผลสำเร็จ” ถึง “ระดับ 7” มาแล้ว นำ“ความจริง ที่มีผลสำเร็จระดับ 7 จริง (สยัง อภิญญา)” นั้นติดตัวมาเกิดข้ามชาติมาเป็น “โพธิรักษ์” มีร่างกายตัวตนเป็น “คนจริง” ในยุคนี้ พบ “ของเก๊” ที่ในโลกยุคนี้มี 

อาตมาจึงสุดทางเลือก ที่จำต้องทำอย่างที่ได้ทำมา นั่นคือ ต้องบอก “ความจริง” ว่า จริง บอก “ความเก๊” ว่า เก๊ มันจำนน จำเป็นที่ต้องย้ำยืนยัน วันนี้เป็นวันสำคัญก็เลยย้ำหนัก เพราะเป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันอโศกรำลึกวันแรก และเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีด้วย ก็ได้ทำมาตามลำดับ ซึ่งได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ คือ เริ่มต้นกันตั้งแต่ “ศีลให้สัมมาทิฏฐิ” แล้วจึงต่อ “สมาธิ” ให้สัมมาทิฏฐิ และ “ปัญญา” ให้สัมมาทิฏฐิ จน กระทั่งถึงขั้น “วิมุติ” ให้สัมมาทิฏฐิ ที่สุด “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” ที่สัมมาทิฏฐิ

ที่มา ที่ไป

พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2566 วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566 ที่บวราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2566 ( 17:57:50 )

จำนนที่มีข้อด้อยถึง 10 ข้อเพราะเหตุใด

รายละเอียด

โลกนี้จึงต้องพูดกันอย่างชัด จัดๆ แรงๆ มันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดจัดๆ ชัดๆ แรงๆ เพราะโง่หนัก จนต้องใช้วิธีนี้ที่มันหนักและแรง เพื่อแก้ประเด็นที่มันติดยึด มันหลงมันคลั่งก็แก้ไม่ออกแก้ไม่ได้ แล้วมันก็น่าสงสารนะ อย่างหมอรักษาคนนี้ต้องใช้ยาแรงไม่อย่างนั้นมันตายทันทีเลย มันโคม่าแล้ว จะต้องให้คนเขาตำหนิ หรือว่าต้องให้มอร์ฟีนก็ต้องจำนน อาตมาถึงยอมที่จะมีข้อด้อยถึง 10 ข้อ จำนนที่จะมีข้อด้อยดังนั้นอยู่ ถ้าไม่เช่นนั้นทำงานไม่ได้ ถึงเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ก็พูดกันไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:46:12 )

จำนวนผู้ฟังในวันนี้

รายละเอียด

โอ้โห..มีจำนวนพันได้ แล้วจำนวนพันได้ตัวเลขท้าย 79 คน ตัวเลข 7 กับตัวเลข 9 นี้เยี่ยมเลยนะ อั้นนั่นแน่… เลข 7 กับเลข 9 นี้สุดยอดที่สุดแล้ว  เลข 9 คือเลขจบ เลข 7 คือเลขที่พยายามไปสู่เลข 8 เลขที่เกิน 6 ไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41

วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 11:47:55 )

จำนวนพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าที่พระสมณโคดมได้ผ่านพบ รวมทั้งสิ้น 512,027 พระองค์ 

ทั้งหมดนี้มีพระพุทธเจ้าเพียง 24 พระองค์เท่านั้นที่ทรงพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2562 ( 21:49:45 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:53:18 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:53:07 )

จำเป็น จำนน จำยอม เอาตัวเองเป็น

รายละเอียด

และยุคนี้มันไม่มี “อรหันต์จริง” หรือ “โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่ “อรหันต์เก๊” หรือ “โพธิสัตว์เก๊” กันทั้งนั้นต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น “คำตรง” เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม จำต้องเอา “ตนเอง” นี้แหละ “ตัวแท้” ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน 

เพื่อเปรียบเทียบกับ “ความไม่จริง” ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ “อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊” กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนักซึ่งมันก็รู้ “ความจริง” กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วย ว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!! ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้คนที่เป็นชาวพุทธได้เสื่อมไปจากเนื้อหาสาระขั้น “โลกุตระ” กันหมดแล้ว ไม่มีแล้ว มันเสื่อมกันสุดๆ แล้ว มันมีแต่ “อรหันต์เก๊” หรือมีแต่ “อรหันต์” ที่ต้อง “เดา” เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!!  ชาวพุทธไม่รู้จัก “อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” 

เพราะ “พระอาจารย์” หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียวจึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้เอาคนผิดที่เป็น “อรหันต์เก๊” ว่าเป็น “อรหันต์” มันก็หลอกคนอยู่  ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม” ไม่ได้เป็นเด็ดขาด ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกได้อีกแล้ว จำต้องใช้ “ตนเอง” นี้แหละเป็น “เป้าให้ยิง”กันเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ งานอโศกรำลึก 2566 ธัมมิกราชประกาศโลกุตรธรรม วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
วันสื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราชต้องมีองค์ประกอบครบ


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:50:54 )

จำเป็นต้องประกาศว่าตนเป็นสยังอภิญญา

รายละเอียด

เรื่องนี้ จำเป็นที่อาตมาต้องประกาศว่าตนเองมีธรรมะของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนๆ เป็นของตัวเองจริงๆ แล้วก็บอกไปจนกระทั่งยอมให้คนเขม่น ยอมให้คนหมั่นไส้เข้าใจไม่ได้ว่าอาตมาคือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 11:30:03 )

จำเป็นต้องฝืนกินเมื่อหมดการเสพแล้ว

รายละเอียด

ฉะนั้นแค่อาหาร 4 รู้จักผัสสะ แล้วก็รู้ว่าเราติดยึดในรูป ติดยึดในรูป การเสพเป็นตนเป็นของตน ซึ่งภาษามีแค่นี้ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ตนต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นไม่มี ขาดใจตายเลย ต้องอาศัยพวกนี้อยู่ขาดไม่ได้ มันรุนแรงอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นนามธรรมแต่มันจริงๆ อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ขาดแล้วมันเป็นเรื่องน่าเบื่อ อย่างอาตมาขาดแล้วมันน่าเบื่อ แต่ก็จำเป็น ต้องยังขันธ์ด้วยสิ่งเหล่านี้ 

เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจยาก ไม่ใช่อาตมาแกล้งพูดว่า ต้องกินอีกแล้ว กิน มันหลายอย่าง ตั้งแต่ตัวเองจะต้องตาย แต่ก็ต้องฝืนไม่ตาย เมื่อฝืนไม่ตายก็ต้องกิน ก็เลยต้องฝืนกินอีก มันก็เลยเวลาหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2565 ( 11:48:50 )

จำเป็นต้องแรงเพราะไม่รู้จักวิญญาณนามรูป

รายละเอียด

ที่อาตมาจำเป็นต้องทำคือ จำเป็นต้องแทงด้วยหอก แต่หอกอาตมาหักหมด ไม่รู้กี่เล่มแล้ว เขาไม่รู้เรื่องวิญญาณ นามรูป วิญญาณก็ไม่รู้เรื่อง ไปหลงวิญญาณ นิรมาณกาย ยิ่งกว่าวิญญาณล่องลอย แต่ไม่รู้วิญญาณ​นามรูป อาตมาต้องย้ำ พูดมากก็เพราะ ลูกศิษย์ลูกหาเขามีเยอะ ไม่ว่าจะเป็นสำนัก News 1 นี่ก็ตาม ก็เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์เขา ขออภัยยกตัวอย่างชัดเจน มันยาก อาตมาจึงจำเป็นจะต้องแรงและชัดเจนแยกให้ขาด เพื่อที่จะให้รู้ชัดเจน ไม่ใช่ไปกระหน่ำย่ำยี ท่านมหาบัว ไม่ใช่ อาตมาก็ขออภัยท่านอยู่แล้วในฐานะที่ท่านเป็นภันเต บวชก่อนอาตมาจนสิ้นไปแล้วอายุ 96 ปี

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 12:09:28 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:40 )

จำเป็นไหมที่คนต้องรู้ว่าตนเป็นสายปัญญาหรือสายศรัทธา

รายละเอียด

ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ อย่างไรๆ คุณก็เป็นอย่างที่คุณเป็น แต่รู้บ้างเข้าใจว่าเออ..เราอยู่สายปัญญา เราอยู่สายศรัทธา ก็ดี มันจะได้มีปฏิภาณไหวพริบว่า เราสายศรัทธาเราต้องเพิ่มปัญญาให้มากๆ เราสายปัญญาก็ต้องพยายามสร้างศรัทธาให้มากๆ 

ศรัทธามันคือตัวหยุด ปัญญามันคือตัวกระจ่าง สว่าง มันมีลักษณะต่างกัน จริงๆแล้วมันจะต้องมีทั้ง 2 อย่าง อุภโตภาควิมุติ ต้องมีชัดเจนได้ทั้ง ศรัทธาคือจิต ปัญญาก็คือปัญญา ความรู้ ความฉลาด จิตกับความรู้ จิตกับความฉลาด มันก็ต้องมีสมบูรณ์แบบทั้งคู่ 

เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ตัวเองไหม​​ รู้ก็ดี ไม่รู้อย่างไรคุณก็เป็นอย่างที่คุณเป็นอยู่แล้ว ที่จริงมันก็พอรู้ตามปฏิภาณไหวพริบของคน ถึงแม้จะเป็นคนซื่อบื้อสายศรัทธาที่ปฏิภาณน้อย มันก็รู้อยู่ว่าควรมีความเฉลียวฉลาด 

ปัญญามันฉลาดภายนอกด้วย เกี่ยวข้องกับอะไรต่ออะไรต่างๆ ภายนอกด้วย ได้ละเอียดลออดี ส่วนศรัทธานั้นรู้แล้วมันรู้จบ รู้นิ่ง รู้หยุด รู้เป็นก้อนๆ แท่งๆ รู้ไม่คิดมากแล้วก็เบา สบาย มันก็พาหยุดพาจบ มันก็ไม่กว้าง 

กิเลสที่จริงมันคือทวารทั้ง 5 และจิต เป็น 6 รวมแล้ว สายศรัทธาจะไม่ค่อยเก่งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะเก่งไปหยุดจิตแบบเดียรถีย์สอน  นั่งหลับตา เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในจิต แล้วดับนิ่ง นิ่งจนกระทั่งหลงผิดว่า ดับนิ่งๆ ได้นี่คือนิโรธ คือหมดกิเลส คือไม่ทุกข์แล้ว ไม่ต้องอะไรแล้ว จนลืมตามาก็ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงไม่อะไรทั้งนั้น บื้อ อย่างนั้น แล้วนึกว่านี่คือ การไม่ทุกข์ ไม่สุขแล้ว คือการเป็นอรหันต์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่จริง มันไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริง 

พระพุทธเจ้าถึงได้สอนตามศีลแต่ละข้อ นี่คือความละเอียดลออทั้งหมด เพราะฉะนั้นนั่งหลับตานี้ไม่เกี่ยวเลย ศีลก็ไม่เกี่ยว ปัญญาก็ไม่เกี่ยว สะกดจิตเป็นสมาธิอย่างเดียว มันง่าย แล้วมันไม่บรรลุธรรมจริงเลย  เพราะฉะนั้นตีทิ้งได้ หลับตาสมาธิ อาตมาก็พูดแล้ว ตีทิ้งได้ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ 

นั่งหลับตาสมาธิ มีอุปการะไหม…มี ไม่ขยายความแล้วขยายความมาหลายทีแล้ว อุปการะในการนั่งหลับตา 

เพราะฉะนั้นมาศึกษาดีๆ ไปตามลำดับ ตามแบบจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งอาตมาก็อธิบาย ก็เมื่อยนะ มันลึกซึ้งธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วมันครบครัน บริบูรณ์ 

 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 18:45:18 )

จำเป็นไหมที่ต้องทำสาธารณโภคีกันทุกคน

รายละเอียด

ก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ถึงขนาดเล็งผลเลิศถึงขนาดจะต้องเป็นสาธารณโภคีกันหมด มันมีขั้นตอน เราพูดไปหมดแล้ว ขั้นหยวนๆ หยาบๆ ได้แค่ 5% 10% 20% 30% 50% ก็ได้ไปตามฐาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:02:23 )

จำแนกปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

ก็นามรูปเป็นไฉน .  (นาม 5) เวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ. .มนสิการ  นี้เรียกว่า “นาม” มหาภูตรูป 4 และ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4   นี้เรียกว่า “รูป” นามและรูปดังพรรณนามาฉะนี้  เรียกว่า นามรูปฯ ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวด (ฉ กายวิญญาณ) เหล่านี้คือ  จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ  ชิวหา-วิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ    นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้ คือ  กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร  ฯ

ที่มา ที่ไป

วิภังคสูตร เล่ม16 , ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 21:40:32 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:57:56 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:55:13 )

จำได้แต่แก่นซึ่งเป็นอนุสัยสัจธรรมฝ่ายดี

รายละเอียด

ถามความลับ อาตมาไม่บอกหรอก ที่จริงแล้วระลึกไม่ได้จำไม่ได้ คือความจำสิ่งที่มันจำได้มันเหมือนต้นไม้ สะเก็ดข้างนอกจะร่วงก่อน เปลือกก็จะหายตาม แล้วกระพี้ แล้วแก่น อาตมาก็จะเหลือแต่แก่น ส่วนกระพี้ เปลือกหายไปหมด จำได้แต่แก่น แก่นเป็นอนุสัย เป็นอนุสัยสัจธรรมฝ่ายดี อาตมาเคยอธิบายอนุสัยฝ่ายดีฝ่ายชั่วฝ่ายอกุศลฝ่ายกุศล คนเข้าใจทั่วไปว่าอนุสัยคืออกุศล นั่นก็ขั้นหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี พระโพธิสัตว์จะรู้จักอนุสัยฝ่ายดีเพราะต้องรู้จักยืนยันอนุสัยเอาไว้ สย แปลว่าตัวเอง อนุ ก็ตาม เป็นสิ่งที่ละเอียดเล็กน้อยจะต้องรู้ให้ชัดเจนที่จะต้องใช้อาศัยอยู่ จึงเรียกว่าอาศัยด้วยอนุสัย อาตมาไม่ได้ปิดบังหรอก อะไรไม่ควรบอกไปทั่วก็บอกไปไม่ดี คนชอบถามซอกแซก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2563 ( 13:10:35 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:56:01 )

จำได้แม่นในแก่นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธได้

รายละเอียด

ก็ขออย่าให้อาตมาเล่าเลย หากเล่าไป จริงหรือเท็จก็เป็นสิ่งที่อาตมาเล่าให้คุณฟัง คุณจะสามารถมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้ตามที่อาตมาพูดได้หรือ? ไม่ใช่ดูถูกนะ ถึงรู้ได้ อาตมาก็ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคุณ เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีประโยชน์มากแม้คุณจะสามารถรู้ได้ ไม่ว่าคุณสามารถรู้ได้คุณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ยิ่งไม่รู้แล้วยิ่งไม่ได้ประโยชน์ใหญ่ ที่สำคัญ อาตมาไม่ได้จำได้อย่างละเอียดละออ อาตมาจำได้แม่นในแก่นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธได้ ก็เอาแค่นี้ก็แล้วกันน่า เรื่องเหล่านั้นก็ช่างเถอะอาจเล่าแถมไปอย่างมั่นใจก็แล้วแต่ในอนาคต ก็ฟังสิ่งที่เป็นธรรมะปัจจุบัน เอาสิ่งที่เป็นปัจจุบันยืนยันกันได้อันนี้เป็นเนื้อแท้ความจริงปรากฏการณ์จริงที่ยืนยันกันได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2563 ( 13:26:56 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:28 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:56:27 )

จิต

รายละเอียด

1. นาม คือจิตใจ 

2. เทียบได้กับอธิบดีกรม 

3. เป็นอรูปกาย 

4. ใจ , วิญญาณ 

5. “ธาตุรู้”หน่วยใหญ่รวมทั้งหมดซึ่งเป็นจิต เป็นวิญญาณแท้ ๆ ที่มีอยู่ในคน และก็คือจิตวิญญาณเยี่ยงเดียวกันในสากลโลกในมหาจักรวาลนี้นั่นเอง หรือแม้ที่สุดจิตวิญญาณในความเป็นพระเจ้าก็เป็นธาตุจิตอย่างหนึ่งอย่างเดียวกัน 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 23 , 67 , 148 , 418

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 74


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:28:32 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:14:26 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:56:49 )

จิต

รายละเอียด

มีกรรมวิบากสืบต่อ จองเวรกรรมข้ามชาติได้ไปนานนับไม่ถ้วน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:06:03 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:01:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:57:07 )

จิต

รายละเอียด

นามธรรมหรือ “ธาตุรู้”หน่วยใหญ่รวมทั้งหมดซึ่งเป็นจิต เป็นวิญญาณแท้ ๆ ที่มีอยู่ในคน และก็คือจิตวิญญาณเยี่ยงเดียวกันในสากลโลกในมหาจักรวาลนี้นั่นเอง

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:27:21 )

จิต คือ ธาตุรู้

รายละเอียด

พอแตกเป็นดินน้ำไฟลมมันก็ศูนย์ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า สามารถทำให้ถ้าจิตนิยามเป็นอุตุ ได้ หรือแค่พีชะ จิตมีสภาพอุตุ พีชะได้ ในจิต จิตก็เลยเป็นจิตที่เก่ง ทำให้จิตใจตัวเองอยู่ในอำนาจได้ วสวัตตีโก เมื่อได้แล้วซึ่งสามารถควบคุมการควบคุมธรรมะให้เป็น กัมมนิยะ เป็นธรรมะอันประเสริฐ ธรรมะขั้นอรหันต์ขั้นนิพพาน พ้นทุกข์พ้นสุขได้ 

เลิกความสุขความทุกข์ โลกต่ำอบายเราก็หลุดพ้นได้ ยืนยันได้ ใครเข้าใจไหม รู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นเหล่านี้ได้จากโลกของกาม ปรุงแต่งเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้าน แต่ก่อนนี้ติดในรูปสวย รสอร่อย ติดของหอมของเหม็น ติดในอะไรต่างๆแต่ก่อนนี้ เราลดลงได้ไหม  คนลดกามคุณ 5 มีรูปภพ อรูปภพก็เป็นอนาคามีภูมิ ยืนยันได้ปฏิบัติได้ ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ จนล้างรูปภพ อรูปภพได้  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่ดับความสุขความทุกข์ หรือดับเทวะ เทวะแปลว่า 2 คือสุขกับทุกข์ ศาสนาพุทธเป็นอเทวะอยู่เหนือเทวะ เหนือความสุขความทุกข์ เหนือเทวดามารพรหม 

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 14:54:52 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:03:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:57:36 )

จิต คืออะไร

รายละเอียด

จะตอบสั้นๆ ถ้าตอบยาวก็ไปอีกสัก 50 ปี

จิต คือ ธาตุรู้   มันเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ธาตุวัตถุที่ไม่รู้เรื่อง แต่เป็นธาตุรู้ที่รู้เรื่องยิ่งกว่าพืช พืชมีแต่สัญญากับสังขาร แต่ไม่มีเวทนา แต่จิตนี้มีครบหมดเลย มีทั้งรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอัตตาหรืออนัตตา พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่ามันเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา แต่คนที่ไม่รู้มีอวิชชามันก็ยังเหลืออัตตาอยู่นั่นแหละ จนกว่าจะเรียนรู้แล้วละล้างเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นยึดถือเป็นอัตตาหมดจากจิตจริงๆ เป็นพระอรหันต์เป็นต้นจึงจะหมดอัตตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 55 ธรรมิกราชแจกแจงสังขารในปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 18:00:33 )

จิต ที่หลุดพ้นฌาน 4 ตอนนี้แหละเป็นฐานอุเบกขาแท้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ฌาน 4 เป็นอุเบกขาเต็มตัวแล้ว พอฌาน 3 ก็มีอุเบกขา สุขก็เริ่มหายไป สุขกับทุกข์มันอันเดียวกันมันก็หายไปพร้อมกันนั่นเป็นสถานที่ตรงกัน พอพ้นฌาน 4 ไปแล้วเลยไปอีกก็แสดงว่าจบความรู้จบความเป็นไปได้ของจิต ที่หลุดพ้นฌาน  4  ตอนนี้แหละเป็นฐานอุเบกขาแท้ปริสุทธา แล้วก็จะเป็น ปริโยทาตา จิตเป็นมุทุภูตธาตุที่เก่งขึ้นแล้วเอาไปใช้เป็นกรรม การงานที่เป็นกัมมัญญา เป็นการงานที่เหมาะสมควรที่ดีที่เป็นประโยชน์เป็นผู้เจริญขึ้นได้เรื่อยๆ จิตก็ยิ่งเจริญ ก็คือประภัสสร คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ใช้พยัญชนะว่าประภัสสร ซึ่งมันเป็นคุณลักษณะที่สูงกว่า ในพระไตรปิฎกท่านผู้แปลภาษาไทยก็แปลเก่ง ท่านก็แปลว่า บริสุทธิ์ท่านเข้าทับศัพท์บริสุทธิ์สะอาด พอมาถึงปริโยทาตาท่านก็แปลว่าผุดผ่องหรือขาวรอบ พอมามุทุ มันก็แปลว่าอ่อน ท่านก็แปลตามพยัญชนะเลย แล้วกัมมัญญาก็แปลว่าควรแก่การงาน พอถึงประภัสสรก็แปลว่าผ่องแผ้ว มีคำว่าผุดผ่องกับผ่องแผ้ว ภาษาไทย อันไหนมันแน่กว่ากันนะ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 10:37:48 )

จิต มโน วิญญาณมีพร้อมฝึกได้เลย!

รายละเอียด

ผู้ได้ “อัตภาวะ” มาเป็นสัตว์ มีความเป็น “จิต-มโน-วิญญาณ”อยู่ประชุมพร้อมที่จะให้เรียน และให้ปฏิบัติจัดการกันตรง “จิต, มโน,วิญญาณ” นี้เองเป็นสำคัญ เป็น “แดนเกิด” (สัมภวะ) ให้มีการศึกษา ถึงขั้นมี “การทำจิตในจิต (มนสิการ)” ได้ หรือ “ทำใจในใจ” เป็น 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 93 หน้า 100


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 19:32:45 )

จิต อภิปโมทยังจิตตัง

รายละเอียด

จิต อภิปโมทยังจิตตัง เป็นจิตที่ได้ปฏิบัติหรือว่าทำไว้ดีแล้ว อย่างอาตมานี่มีจิต อภิปโมทยังจิตตัง อยู่ในตัวเองตลอดเวลา เบิกบานร่าเริง ไม่เคยมีเศร้า มีหมอง อโศกะ ไม่มีเศร้าหมองมีแต่เบิกบาน ร่าเริง สบายชื่นใจ เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง คนด่าคนว่า คนอะไรเราก็ไม่ได้ไปในทางลบ ไปในทางถือสา ติดใจ โกรธเคือง หงุดหงิด..ไม่มี มีแต่ อภิปโมทยังจิตตัง นี่เป็นลักษณะจริง ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้ทับถม ไม่ได้ไปลบหลู่ใคร แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตที่ปฏิบัติไว้ดีแล้วมันเป็นอย่างนั้น มันจะไม่ได้เป็นทุกข์ให้แก่ตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องจบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:19:33 )

จิต เดียรถีย์ เป็นเช่นไร

รายละเอียด

จิตที่จะตกไปในภวังค์นั้นคือจิตที่เป็นเดียรถีย์ จิตของพระพุทธเจ้านั้นออกจากภพ ไม่อยู่ในวงของภวังค์ องค์ของภพไม่มี ออกมาทางตาหูจมูกลิ้นได้ มีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้กามภพ เป็นกามาวจร เป็นการดำเนินอยู่ อวจร ดำเนินอยู่ทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นได้รส สัมผัสทางกายรู้จักเย็นร้อนอ่อนแข็งเ ห็นอยู่ อันนี้คือความเป็นคน 

คนที่มีแต่อยู่ในภวังค์จิตอยู่ในภวังค์นั้นเป็นสัมภเวสีเป็นผีเป็นเทวดาล่องลอย พูดกันไม่รู้เรื่อง รู้กันเป็นส่วนตัวส่วนตนเท่านั้นไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปรู้ร่วมกันได้ คนตายไปแล้วจะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายให้ไปรู้จักกัน อยู่ในจิตของตัวเองอยู่ในภพของตัวเองคนเดียว เพราะฉะนั้นที่บอกว่าวิญญาณตายไปจะไปพบกัน ไปคุยกัน เพ้อเจ้อทั้งนั้น ผิดหมด ไม่มี ไม่มี ไม่อธิบายต่อแล้วอันนี้ มันลึกเกินไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาโยมบุญให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 แรม 6 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 12:38:29 )

จิตกับกิเลส

รายละเอียด

อุปสมะหรือวูปสมะ แปลว่าสงบ แต่เอาภาษาไทยมาใช้อธิบายไม่พอ สงบคือจิตของเราไม่มีกิเลสมากวนเลย นี่คือจุดสำคัญเนื้อแท้ไม่มีอะไรอย่างอื่นมาก จิตกับกิเลสจะว่าตัวเดียวกันมันก็ตัวเดียวกัน จะว่าไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเดียวกับจิตหรอก มันเป็นแขกมันเป็นอาคันตุกะ มาทำทียึดครองจิตเรา เราโง่ให้มันยึดครองจิตใจเรามานาน เมื่อเรารู้แล้วว่ามันมาบงการมาเป็นเจ้าของสั่งการอยู่ ก็กลายเป็นตัวเรา กลายเป็นเจ้าหนี้มาบงการ ให้เป็นสัตว์นรกอเวจีไปใหญ่เลยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็กว่าจะแก้กลับ กว่าจะมาทำคืน ก็ยากแสนยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2563 ( 14:18:43 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:05:17 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:58:02 )

จิตกับกิเลส

รายละเอียด

คำว่าจิตกับกิเลส มันเป็นสอง จิตมันเป็นตัวดิ้นยิ่งกว่าลิง เร็วยิ่งกว่าลิง เพราะฉะนั้นจิตที่มันถูกกิเลสควบคุม มันก็จะเป็นลิงโง่ๆ ลิงรวนๆ ลิงไม่ได้เรื่องบ้าบอ พอเราล้างกิเลสออก จิตก็จะยิ่งเร็ว เร็วชนิดไม่ใช่แบบงูๆ ปลาๆ ไม่เข้าท่า กิเลสออกไปจิตมันก็เลยยิ่งแคล่วคล่องว่องไวตามลักษณะของอรหันต์ ตามลักษณะของจิตที่เป็นอาริยะคุณ มันก็ยิ่งดี

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:17:02 )

จิตกับความคิดต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาว่าคุณถามมาที่จะต้องให้อาตมาอธิบายเรื่องจิตคืออะไร จิตกับความคิดต่างกันอย่างไร คงจะต้องใช้เวลานานมาก ให้คุณติดตาม อาตมาอธิบายไปตลอดเวลาไม่ได้ออกไปนอกเหนือจากความเป็นจิตกับความเป็นความคิด และมีความปรุงแต่งอย่างอื่นอีกเยอะ เจตสิกของจิตหรืออาการของจิต ที่มีนัยยะต่างๆ มากมาย แม้แต่อาการของจิตที่ชื่อว่าเวทนาก็สำคัญที่สุดมีทั้ง 108 กระบวนการอย่างนี้เป็นต้น ติดตามฟังให้ดีๆ อาตมาเกิดมาชาตินี้เป็นไก่ตัวพี่ในเรื่องของศาสนาพุทธโลกุตระธรรม ในยุคนี้จึงมาพูดเรื่องจิตหรือจิตศาสตร์ของพระพุทธเจ้านี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:22:37 )

จิตกับวิญญาณ

รายละเอียด

จิต คือคำรวมของธาตุรู้ที่เอามาทำงาน เอามาเป็นก้อน จิตกับวิญญาณแตกต่างกันในนัยละเอียดคือวิญญาณเป็นคำรวม ธาตุรู้ทั้งหมดรวมทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณทีนี้ในวิญญาณ​แตกตัวมาเป็นเจตสิก เวทนาเจตสิก แยกเวทนา แยกเวทนานี่แหละ ออกเป็นรายละเอียด 108 ตัวสำคัญ​ ในนี้ก็ต้องอ่านอาการของจิตที่มันเป็นตัวโต จิตที่หยาบกว่าเวทนา ตัวเวทนานี้ละเอียดกว่าจิต จิตเป็นความรวมมี static มากกว่า เวทนามี dynamic มากกว่า พอรวมก็เรียก สราคะ สโทสะ สโมหะ พอทำให้กิเลสลดลงได้ทำให้ไม่เป็นได้เรื่อยๆ ไม่เป็นราคะ ราคะลดลง ไม่เป็นโทสะโทสะหายไป ไม่เป็นโมหะ โมหะหายไปเรื่อยๆ ก็เป็นวีตะ ส่วน ส  คือมีคือเป็น ก็ทำให้เป็นวีตะ ไม่มีไม่เป็น 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 10:19:51 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:23:21 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:58:28 )

จิตกับใจ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

จิตเป็นภาษาบาลีหรือแม้แต่สันสกฤตก็ใช้ ส่วนใจนั้นเป็นภาษาไทย บาลีสันสกฤตเขาไม่รู้เรื่องหรอก ใจนี้เป็นภาษาไทยเดิมๆ เลย คือเป็นธาตุรู้ เป็นพลังงานในร่างกายเราเรียกว่านามธรรม สภาวะแท้เป็นอันเดียวกัน แต่พยัญชนะคนละตัวเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เศรษฐกิจดี หรือ เศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2566 ( 17:08:42 )

จิตกับใจต่างกันไหม

รายละเอียด

จิตกับใจไม่ต่างกันเลยในสภาวะธรรม แต่มันต่างกันตรงที่เขียน 2 ภาษาจิตมันคือภาษาบาลี ใจมันคือภาษาไทย บาลีบอกไม่รู้เรื่องหรอกคำว่าใจ เพราะมันเป็นภาษาไทย แต่จิตเป็นภาษาบาลี แล้วจิตก็แตกออกไปอีก จิตคือจิตนิยาม วิญญาณก็ขันธ์ ก็แตกออกเป็นเจตสิกหลากหลายเจตสิก  

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2563 ( 09:37:27 )

จิตกัมมัญญตา

รายละเอียด

ถ้าจิตกัมมัญญตา ก็แสดงว่ามันอยู่ในจิตไม่ออกมา มันเป็นการงานอันเหมาะควรของจิตของเรา คนอื่นก็ไม่เห็นกายกรรม วจีกรรมของเรา มีแต่มโนกรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:56:43 )

จิตของคนไทยเป็นจิตอิสระอย่างไร

รายละเอียด

ไทย นี้แปลว่าจิตอิสระ เพราะฉะนั้นจิตของคนไทยเป็นจิตอิสระ ที่โดยอจินไตยแล้วจิตอิสระที่มีคุณธรรมจริง เข้ารอบโลกุตรจิต เข้าขั้นอาริยะ จึงจะมาเกิดในภพในแดน สัมภวะ ที่เป็นแดน ชมพูทวีป คือ ประเทศไทย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 11:21:17 )

จิตของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่กลับมาอีก

รายละเอียด

เพราะจิตเป็นความว่างเปล่าจิตใจจะหมดความติดยึด เกาะกลุ่มกัน จิตไม่มีพลังงานแม่เหล็กที่จะเกาะกุมกันอีก พระอรหันต์แต่แล้วจะหมดความที่ยึดไว้ เรียกว่า พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยึดแต่เพียงอาศัย ไม่เรียกว่า  อุปาทาน แต่เรียกว่า สมาทาน ยึดอย่าง สมะ ไม่ได้ยึดอย่างอุปะ  คำว่าอุปะ  แปลว่าใกล้ แปลว่าเกิด แต่สมะ คือ สงบ แล้ว สบายแล้วก็คือยึดไว้อย่างสบาย  พระอรหันต์จิตท่านว่างเปล่าจากกิเลสแล้ว   จิตท่านไม่มีกิเลสแล้ว แต่ยังไม่ตายท่านก็อาศัย อันนี้ไป หรือท่านจะไม่ตาย  ท่านก็สามารถรู้ว่า แยกจิตให้เป็นธาตุดิน น้ำไฟลมไปเลย  เป็นอุตุธาตุได้เลย  อย่างเป็นๆ ก็อาศัยพีชะ  หรือหลายอย่างก็ทำเป็นอุตุเลย  อย่างเช่นโลกอบาย  หรือโลกกาม จิตท่านเป็นอุตุแล้ว ทิ้งไป เป็นลักษณะของโลกที่เป็นอยู่แต่เราไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:55:16 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:09:16 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:59:24 )

จิตของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่กลับมาอีก

รายละเอียด

เพราะจิตเป็นความว่างเปล่าจิตใจจะหมดความติดยึด เกาะกลุ่มกัน จิตไม่มีพลังงานแม่เหล็กที่จะเกาะกุมกันอีก พระอรหันต์เป็นแล้วจะหมดความที่ยึดไว้ เรียกว่า พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยึดแต่เพียงอาศัย ไม่เรียกว่า  อุปาทาน แต่เรียกว่า สมาทาน ยึดอย่างสมะ ไม่ได้ยึดอย่างอุปะ  คำว่าอุปะ  แปลว่าใกล้ แปลว่าเกิด    แต่สมะ คือ สงบ แล้ว สบายแล้วก็คือยึดไว้อย่างสบาย  พระอรหันต์จิตท่านว่างเปล่าจากกิเลสแล้ว   จิตท่านไม่มีกิเลสแล้ว แต่ยังไม่ตายท่านก็อาศัยอันนี้ไป หรือท่านจะไม่ตาย  ท่านก็สามารถรู้ว่า แยกจิตให้เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม  ไปเลย  เป็นอุตุธาตุได้เลย  อย่างเป็นๆ ก็อาศัยพีชะ  หรือหลายอย่างก็ทำเป็นอุตุเลย  อย่างเช่นโลกอบาย  หรือโลกกาม จิตท่านเป็นอุตุแล้ว ทิ้งไปเป็นลักษณะของโลกที่เป็นอยู่แต่เราไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 20:20:46 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:11:16 )

จิตของอภิภายตนะข้อที่ 1

รายละเอียด

ในขณะนั้นจิตของอภิภายตนะข้อที่ 1 จะมีการรู้ภายนอกภายใน มีจิตรู้ภายในและรู้ภายนอก ในขณะเดียวกันเลยนะ จิตจะมีสภาพที่มีธาตุรู้รวม ที่รู้อยู่ในนี้ครบพร้อมหมดเลย รู้นอกรู้ในพร้อมกันผู้ที่ไปหลับตาไม่มีภายนอก มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ซึ่งไม่รู้จะพูดยังไง  พูดก็ว่าแต่ความจริงเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ยังติดยึดหลับตากันอยู่นั่นแหละบอกว่าเลิกได้แล้วศาสนาพุทธไม่มีการนั่งหลับตาปฏิบัติ ต้องมีภายนอกและภายในเรียกว่ากาย ตัวตนของสักกายทิฏฐิ

กายตัวนี้ มาธาตุเดียวแต่เป็นธาตุ 2 อย่างเป็นต้นไป เป็นองค์ประชุม เป็นหมู่ เป็นพวก เป็นฝูง ไปเปิดพจนานุกรมบาลีดู กาย มันต้องมีภายในและภายนอกด้วยร่วมกัน เป็นหมวดหมู่ของเจตสิก เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น เป็นองค์ประกอบของเจตสิกต่างๆ หรือจิตนั่นเอง ทั้งหมดทั้งมวล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ตอน สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 13:48:05 )

จิตของเขาตกร่วงจะถือว่าทำปาณาติบาต

รายละเอียด

อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ปาณาติปาตา เวรมณี ปาตะคือตกร่วง ยังไม่ถึงฆ่า ทำให้จิตของเขาเสื่อมลง ปาณะมันเสื่อมลง มันตกร่วงก็คือมันต่ำลง เสื่อมลง 

อย่าฆ่าสัตว์นี้ก็หยาบแล้วมันบาปใหญ่แล้ว ลึกไปกว่านั้นก็ยังมีบาปละเอียดลงไปอีก ท่านอนุโลมให้เป็นพื้นฐานขั้นต้น ขั้นหยาบ อย่าฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์นั้น ฉะนั้นการฆ่าคนจะบาปไหม ...บาป

ก็แค่ฆ่าสัตว์นี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่องกันเลยคน ใช่ไหม จะไปพูดทำไมถึงละเอียดลออไปถึงขั้นปาณะ ขั้นอะไรอีก อย่าไปทำให้ตกร่วงนะ ถือว่าเป็นบาปเหมือนกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:54:33 )

จิตของเรา อาศัยความสะอาดจากกิเลส

รายละเอียด

หรือจิตของเราจะอาศัย อาศัยความสะอาด อาศัยความสะอาดจากกิเลส ก็คือ วิสุทธิเทพหรือชั้นพรหม สะอาด สะอาดอย่างน้อยๆ ปริตตา สะอาดอย่างชั้นครู ปุโรหิตา สะอาดอย่างมหา จนเป็นอตัปปา เวหัปผลา อะไรไปโน่น อาตมาก็ไม่อธิบายต่อแล้วมันคือภพชาติไม่รู้จักจบตั้งไป เพราะฉะนั้นอรหันต์ พระพุทธเจ้ารู้ว่าเขายังมีภพชาติต่อไปอีก มันเป็นโลกจินตา สร้างไปได้ จนทุกวันนี้มหายานมีพุทธเกษตรมีพระพุทธเจ้าอยู่ในนั้น ยังไม่ตายนะพระพุทธเจ้าอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้พระพุทธเจ้าอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าอมิตาภา พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ อยู่ในนั้นเต็มพุทธเกษตร ไม่ต้องไปไหนกันพอดีเป็นภพเป็นชาติ เฮ้อ

มันไปเข้าใจผิด ความไม่มี มันไม่มีแล้วก็ยังไปมีอีก ยังทำเป็นสูงเป็นชั้นๆ ต่อไปได้อีก เสร็จแล้วก็ไปกองอยู่ในพุทธเกษตร ไม่มีอะไรจะให้แล้วก็เลยสร้างภพเป็นที่อยู่ให้ไปกองอยู่ในนั้น เป็นที่ของพระพุทธเจ้าอาศัยอยู่ก็เป็นภพอยู่ ตามความหมาย ตลก 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบญาติธรรมสันติอโศก วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2566 ( 19:19:27 )

จิตคืออย่างไร

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่าข้างนอกกายสัมผัสสัมพันธ์ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จิตก็เตรียมตัวรับต่อรับรู้ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่รู้อะไร จิตของคนไม่มีปฏิภาณไหวพริบ ไม่มีเจตสิกสัญญากำหนดให้รู้ร่วม คุณก็นั่งทื่อ รูปสัมผัสอย่างไรก็ทื่อ แต่จิตคุณ สัญญาปรุงแต่งกับอะไรไม่รู้ จิตมันไม่ร่วมให้เลย 

แม้เวทนาก็ไม่รู้สึกกับสิ่งที่มากระทบ สัญญา สังขารไม่ร่วม จิตก็ล่องลอยเป็นสัมภเวสีไปปรุงแต่งอยู่กับอะไรที่ไหนไม่รู้ ตาลืมนะ แสงเข้าลูกกะตาของภาพเข้าไปนะ แต่จิตคุณไม่รับ เวทนาไม่รับ สัญญาไม่ทำงาน สังขารไม่ปรุง คุณก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เห็นไหม มันละเอียดลอออย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 20:54:14 )

จิตคุณมีกิเลสแต่บอกว่าไม่มีกิเลสนี่แหละเป็นการโกหกที่เรียกว่า ปาราชิก

รายละเอียด

รูปราคะ ก็หยาบกว่า อรูปราคะ เราก็ต้องมาล้างรูปราคะ ในรูปราคะ เราก็ยังมีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอยู่กับภายนอกเรียกว่ากามภพ ยังมีกามาวจร แต่เรามีโลกุตรจิต มีจิตอยู่เหนือ กามได้ แต่มันยังมีต่อเนื่องมาสู่ภายใน สัมผัสกับเหตุอันนี้แหละมันยังเขย่าจิตเราภายใน แต่มันไม่ออกไปหยาบสู่ภายนอก ข้างในเราเต๊ะท่ากดข่มได้ดี เหมือนอรหันต์เลยนะ แต่ไม่มีใครรู้กับเราอยู่ในจิต เราก็รู้เขาบอกเราก็ไม่ปดเขาบอกไป แต่ถ้าเขาไม่บอกแล้วก็วางท่าเหมือนไม่มีกิเลสเลย แต่จิตคุณมีกิเลสแต่บอกว่าไม่มีกิเลสนี่แหละเป็นการโกหกที่เรียกว่า ปาราชิก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิด แต่ไปโกหกว่าตัวเองถูก นี่แหละตัวร้ายกาจมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่โกหกทั้งๆที่รู้ ว่านั่นคือการโกหก ผู้นี้ทำชั่วอะไรที่ชั่วทั้งหลายแหล่ทำได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ในความชั่ว มันร้ายกาจมาก มันสุดยอดแห่งตอแหลเลย ตัวนี้ ระวังเชียว อย่าไปทำเป็นอันขาด 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่  22 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:31:50 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:06:56 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:00:55 )

จิตชาคริยา

รายละเอียด

ไม่ใช่ฌานแบบตกในภพ แต่ฌานแบบตื่นเต็มแจ่มใสผ่องแผ้ว นอนหลับก็แจ่มใส ไม่มีง่วงไม่มีซึมเซา ตื่นก็คือตื่นหลับก็หลับ หลับคือเข้าในภพไม่รับรู้ภายนอก อยู่กับสัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ผู้ไม่รู้นามรูปก็คือโจรปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตาย วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563 


เวลาบันทึก 20 มกราคม 2563 ( 08:15:22 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:14:11 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:01:31 )

จิตดีจิตชั่วเกิดขึ้นพร้อมกันในจิตเรา

รายละเอียด

ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องให้ล้างกิเลสในปัจจุบันเหมือนกัน ในทุกปัจจุบันนอกจากจะทำให้เป็นกุศลเป็นบุญแล้ว จะต้องลึกซึ้ง ของพุทธนี้จะต้องมีตัวที่ไปด้วยกัน ต้องรู้จักกิเลสว่ามันเกิดพร้อมกันในจิตของเรา จิตชั่วก็เกิดกิเลสจิตดีก็เกิดกิเลสได้ จิตใจที่ดีก็เกิดกิเลสได้ใจที่ชั่วก็เกิดกิเลสได้ ต้องอ่านกิเลสให้เป็นแล้วอย่าให้เกิดกิเลส เมื่อไม่เกิดกิเลสได้นั่นคือความจบสมบูรณ์คือความเที่ยง แม้แต่กุศลคุณก็จะเที่ยง อกุศลก็จะไม่มีอย่างเที่ยงเลยไม่มีอกุศลไม่มีบาป สัพพปาปัสสะ อกรณัง ทุกกรรมกิริยาก็จะมีแต่กุศล กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะมีอย่างนั้นจริงๆนี่คือสัจจะของกรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:20:25 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:02:04 )

จิตดีที่สุดมีอยู่สามเส้า อนุตรจิต สมาหิโต และวิมุติ

รายละเอียด

เจโตปริยญาณ 16 จะพูดถึงการหมดกิเลส จนกระทั่งจิตอยู่เหนือมีจิตที่ดีที่สุดเรียกว่าอนุตรจิต จิตดีที่สุดมีอยู่สามเส้า อนุตรจิต สมาหิโต และวิมุติสมาหิโต ก็คือ สมาธิ แต่มันเป็นสมาธิที่หลังจากการทำสมาธิที่ดับอาสวะได้แล้ว เมื่อดับอาสวะได้แล้ว จิตก็จะสั่งสมความสะอาด และจะสะสมความสะอาดมากยิ่งขึ้นจนหมดอนุสัย จิตสมาธิ เรียกเป็นคำกลางๆ สมาธิ จึงเป็นคำที่จิตสะอาด หลังจากสิ้นอาสวะ แล้วก็มาสะสมจิตสะอาด ก็จะมีสะอาดต่อไปอีก อันใหม่มาอีก ก็จึงสะอาดอีก แม้แต่จะเป็นกิเลสอันเก่า เหตุที่คล้ายๆอันนี้ แต่มันพิสดารกว่านี้หน่อย ก็สะอาดอีกสะสมอีก เหตุที่คล้ายกันไปแต่พิสดารอีก หรือจะเป็นสะอาดอันอื่นอีกก็ตาม จากเหตุด้านอื่นอีกก็ตาม ก็สะสมลงไป สะสมเป็นจิตที่สะอาดเรียกว่า สมาหิโต เป็น past perfect tense เป็นคำที่ผ่านอดีต สำเร็จแล้ว ได้แล้ว เป็นสมาธิแล้ว จิตตั้งมั่นแล้ว มีคำว่า “แล้ว” อยู่ในภาษาไทย กำกับไว้ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:37:22 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:07:27 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:02:46 )

จิตตกร่วง (ขวัญเสีย) ผู้ทำให้ตกร่วงเป็นบาป

รายละเอียด

ถ้าทำให้ตกร่วงมันก็เป็นบาป เป็นปาณะแน่นอน ขวัญเสีย เสียมันก็ต้องตก เสียมันไม่ใช่ดี 

ถ้าคำว่าเสียภาษาไทยคำว่าเสียสละเป็นดีนะ แต่ขวัญเสียมันไม่ดี มันก็ทำปาณะให้ร่วง ให้ไม่เข้าท่า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:08:19 )

จิตตปฏิสังเวที

รายละเอียด

กำหนดรู้ชัดจิตตัวเองอยู่

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 283


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:29:53 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:15:04 )

จิตตปฏิสังเวที

รายละเอียด

กำหนดรู้ชัดจิตตัวเองอยู่

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:44:47 )

จิตตมัสสะ ปสีทติ

รายละเอียด

จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส หรือจิตโล่งโปร่งเลื่อมใสสัจธรรมยิ่งขึ้น

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 276


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:30:48 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:15:38 )

จิตตมัสสะ ปสีทติ

รายละเอียด

จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส หรือจิตโล่งโปร่งเลื่อมใสสัจธรรมยิ่งขึ้น (ข้อที่ 5 ของอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ)

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:45:49 )

จิตตวิเวก

รายละเอียด

จิตตวิเวก คือ ทำรูปฌาน อรูปฌาน อย่างลืมตา ขั้นอรูปฌานก็ลืมตาหมด แม้จะต้องล้างอนุสัย กิเลสจากสังขารนิมิตภายนอกทั้งหมด ทำจิตวิเวกภายนอก

คือ ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง

คำอธิบาย

จิตตวิเวก  ย่อมมีแก่บุคคลผู้มี่จิตบริสุทธิ์  ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่13 ตุลาคม 2562

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16  ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 13:53:15 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:38:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:03:47 )

จิตตวิเวก 

รายละเอียด

จิตตวิเวก  คือ ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌานมีจิตสงัดจากนิวรณ์  บรรลุทุติยฌานมีจิตสงัดจาก วิตกวิจาร  บรรลุตติยฌานมีจิตสงัดจากปีติ  บรรลุจตุตถฌานมีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌานมีจิตสงัดจากรูปสัญญา  ปฏิฆสัญญา  นานัตตสัญญา  บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน  บรรลุเนวสัญยานาสัญญายตนฌาน  มีจิดสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น)

-                เป็นโสดาบันบุคคล   มีจิตสงัดจากสักายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสทิฏฐานุสัย  วิจิกิจฉานุสัยและจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้น

-               เป็นสกทาคามีบุคคล  มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์  ปฏิฆสังโยชน์อย่างหยาบ กามราคานุสัย  ปฏิฆานุสัย อย่างหยาบและจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคาสังโยชน์อย่างหยาบ เป็นต้น

-               เป็นอนาคามีบุคคล  มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์  ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียด กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้น

-               เป็นอรหันตบุคคล  มีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะ  อวิชชา  มานานุสัย ภวราคานุสัย  อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับ รูปราคะเป็นต้นนั้น  และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่า  “จิตตวิเวก”

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:39:25 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:48:32 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:04:31 )

จิตตวิเวก 

รายละเอียด

จิตตวิเวก  คือ   

-              ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน  มีจิตสงัดจากนิวรณ์ 

-               บรรลุทุติยฌาน  มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร 

-               บรรลุตติยฌาน  มีจิตสงัดจากปีติ 

-               บรรลุจตุตตถฌาน  มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์

-               บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน  มีจิตสงัดจากรูปสัญญาปฏิฆสัญญา  นานัตตสัญญา 

-               บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน  มีจิตสงัดจากอากาสานัญญายตนสัญญา 

-               บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน  มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา 

-               บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน  มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา

-                (เมื่อภิกษุนั้น)  เป็นโสดาบันมีจิตสงัดจากกัยกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีพัพพตปรามาส  ทิฏฐานุสัย  วิจิกิจฉานุสัย และกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้น

-               เป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์  ปฏิฆสังโยชน์อย่างหยาบ  กาม ราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ  และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น

-               เป็นอนาคามีบุคคล  มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียด  กามราคานุสัย  ปฏิฆานุสัยอย่างละเอียด  และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้น

-               เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะ  อวิชชา  มานานุสัย  ภวราคานุสัย  อวิชชานุสัย  กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกัน  กับ  รูปราคะเป็นต้นนั้น  และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอกนี้ชื่อว่า  จิตตวิเวก  คุณออกป่า  คุณว่าคุณได้วิเวก  แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นผู้ไกลจากวิเวก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่16  ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 12:39:36 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:51:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:04:57 )

จิตตะ

รายละเอียด

ความเอาใจใส่จดจ่อ ความเต็มใจตั้งใจ ใจที่มีพลัง

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 347


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:32:06 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:16:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:05:14 )

จิตตะ วิมังสา

รายละเอียด

จิตตะ อาตมาแปลว่า มีใจจริงเท่าไหร่โถมลงไปเต็มที่ มันเข้าหาเนื้อเลย วิมังสา คือเนื้ออย่างยิ่งเลย เข้าไปหาเนื้อหาแก่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชนะมารอย่างไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพาหุงฯ 8 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:42:22 )

จิตตักเขป

รายละเอียด

ความฟุ้งซ่านแห่งจิต , ความวิกลจริต

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 279


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:31:29 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:16:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:05:32 )

จิตตั้งมั่นของสากลทั่วไปทั้งโลก กับจิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

จิตตั้งมั่นของสากลทั่วไปทั้งโลกเป็นเจโตสมาธิหรือสมถะ จิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธท่านก็อย่างหนึ่ง เป็นโลกุตระที่ไม่เหมือนใคร เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 โดยไล่เรียงตามจิต เจโตปริยญาณ 16 มีหลักฐานพวกนี้ศึกษาให้ดี ปฏิบัติจึงจะรู้สภาวะจริง เจโตปริยญาณ 16 คุณก็ปฏิบัติจริงมีลักษณะพวกนั้นมาตามนั้นเลย จนกระทั่งเป็นจิต สมาหิโตหรือสมาธิ เป็นวิมุติ อวิมุติ สุดท้ายที่สรุปจบ อุตตริมนุสสธรรมสูงสุด ที่เป็นอนุตตรังจิตตัง สุดท้ายคือสมาหิโต กับวิมุติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 22 ยุคนี้สมาธิชาวอโศกเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 21:48:17 )

จิตตั้งมั่นแบบจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นอย่างไร

รายละเอียด

 

จิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้านั้น คือจิตที่ได้ปฏิบัติรู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงขั้นเรียกว่า อาสวะ 

อาสวะสิ้นดับ อาสวะตาย กิเลสระดับอาสวะตาย ตายสนิท ตายไม่เกิดอีก  แล้วจิตตายสนิท ตายไม่เกิดอีกนั่นแหละตกผลึก สั่งสมเป็นอาเนญชา 

สร้างจิตสะอาดหมดอาสวะ แล้วจิตบริสุทธิ์จากกิเลสขั้นอาสวะนั่นแหละ 

ขั้นอาสวะ เป็นกิเลสขั้นปลายละเอียดสุดแล้ว หมดแล้วดับแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้วมาตกผลึกสะสมเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่เรียกว่า อุเบกขา 5 องค์ธรรม 

เพราะฉะนั้นจิตสะอาดหรือจิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้าคือจิตตั้งมั่นจากกิเลส จิตสะอาดแล้วเอามาตกผลึกสะสม เลือกเอาแต่จิตสะอาดจากอาสวะมาสะสมตกผลึก ไม่ใช่ปุโลปุเลทำให้จิตแน่นเข้า จะสะอาดหรือยังก็ไม่รู้ก็นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปอย่างเดียว มันคนละโลกคนละเรื่อง จิตต่างกันไกลลิบคนละอย่างเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 22 ยุคนี้สมาธิชาวอโศกเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 21:52:33 )

จิตตานุสสติกับธัมมานุสสติ

รายละเอียด

เราพิจารณารูปนาม สิ่งที่ได้ในตัวเราเป็นแกนหลัก ให้แกนเคลื่อนแกนลบเป็นตัวที่ตรวจสอบ ยิ่งแกนนิ่งยิ่งตรวจสอบได้ไว หากไม่นิ่งก็เป๋เลย ต้องได้สัดส่วน หากแกนตั้งไม่แข็งแรงพอก็เละ หากแกนตั้งแข็งเกินไปก็ไปไม่ออก มันแน่นเทอะทะ ไปด้วยกันไม่ได้

คู่ นามรูป บวกลบ ต้องได้สัดส่วนพอเหมาะจึงเจริญไปพร้อมกันก้าวหน้าได้สัดส่วนพอเหมาะตลอดไป

การพิจารณาจิตกับธรรม ถ้าแยกเป็นภาษา จิตมันเป็นองค์รวมของนาม ธรรมะเป็นองค์รวมของรูป ธรรมะคือ static จิต คือ dynamic

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA

วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:15:09 )

จิตติดยึดปมเสียในอดีต 

รายละเอียด

จิตติดยึดปมเสียในอดีต  คือ  จิตที่มันติดยึดที่รู้สึกเป็นปมเสีย  สิ่งที่คุณได้ทำไปแล้วผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้วสิ่งที่ทำไปแล้วผ่านไปแล้ว วิบากเกิดไปแล้วจบแล้วแต่คุณยังซ้ำแซะ ไปเอาความจำสิ่งที่ผ่านไปแล้วมาย้ำคิดย้ำทำ  พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า  คนเราที่ยังไม่พ้นทุกข์มันก็มีทุกข์อยู่แล้วยังเอาความทุกข์มาทับถมตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก คนอย่างนี้เรียกว่า โง่ อภิมหาบรมโง่  มันไม่ควรจะไปย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็เป็นอดีต  อนาคตคือสิ่งที่มายังไม่ถึง คนที่ไปจมอยู่ในอดีตมากก็จะเป็นคนทุกข์  แล้วก็ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านกับอนาคตมากเกินไป  สร้างอะไรต่ออะไรมากเกินไปเดี๋ยวมันจะบ้า  คิดปรุงสร้างหมายอยากได้  อยากมีอยากเป็นมากจะบ้า

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 13:59:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:07:27 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 08:01:50 )

จิตตื่น

รายละเอียด

จิตขึ้นรับวิถี

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 154


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:32:42 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:17:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:07:46 )

จิตตเกฬิสา

รายละเอียด

ความรื่นเริงแห่งจิตใจ

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 279


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:29:23 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:18:02 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:08:05 )

จิตถึงขั้นสาธารณโภคีต้องเป็นเองรู้เอง

รายละเอียด

ยิ่งเศรษฐกิจ มาทำงานฟรีมีเงินเดือน 0 บาทอะไรอย่างนี้ เขาก็งงหัวแตกอยู่อย่างไร ใครมาอยู่ โดยไม่มีเงินเดือนรายได้ 0 บาท เป็นของแปลกใหม่มากเป็นไปได้อย่างไรคิดไม่ออกเขาไม่เคยประสบพบเจอว่ามีที่ไหน เขาไม่ได้เข้ามาประพฤติปฏิบัติจริงๆ 

แม้ว่าบางคนไม่ได้ประพฤติปฏิบัติจริงๆ มาสัมผัสอยู่ 3 วัน 5 วัน 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือนก็จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ ถ้าเขาจะมาอยู่จริงๆ มาอยู่กับชาวอโศกอาศัยกับสาธารณโภคีมันจะเป็นอย่างไร จิต จะเป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าคิดเอาเองไม่ได้ อจินไตย ต้องเป็นเองรู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ มีจิตใจถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:54:29 )

จิตที่ตั้งมั่น 

รายละเอียด

ในมูลสูตร 10 จากเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วมีสมาธิเป็นประมุข เป็นหัวหน้าเลย สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็ยืมคำว่า สมาธิ ที่เป็นคำกลางๆ ทั่วไปรู้จัก หมายถึง จิตที่ตั้งมั่น 

ทีนี้จิตที่ตั้งมั่นของพระพุทธเจ้านั้นเขาเข้าใจผิด เขาไปทำผิด เป็นเจโตสมาธิ เป็นสมาธิแบบโลกๆ โลกีย์ไปหมด ท่านก็มาอธิบายใหม่ว่า สมาธิของท่านนั้น ต้องมีเจโตปริยญาณ 16 อาตมาใช้คำว่า ต้องมี ถ้าไม่มีมันก็ไม่ได้ มันก็ไม่รู้ความจริง มันก็ไม่เป็นความจริง คุณมีกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว คุณก็ทำออกให้มันเป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ คือทำให้มันไม่มีไปเป็นลำดับ ลดลงไปๆ คู่แรกของ เจโตปริยญาณ 16 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2566 ( 14:38:02 )

จิตที่ตั้งไว้ผิด

รายละเอียด

โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก  ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้เป็นคู่เวรกัน  พึงทำความฉิบหายและความทุกข์ใดให้ 

จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด  พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหายและความทุกข์นั้น   (ทิโส  ทิสัง  ยันตัง กยิรา เวรี  วา ปน เวรินัง มิจฉาปณิหิตัง จิตตัง ปาปิโย นัง ตโต กเรติ)

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมบท  เล่ม 25/13  และโคปาลสูตร เล่ม 25/92 

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 20:03:03 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:01:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:09:20 )

จิตที่ทำความไม่มีได้สำเร็จ 

รายละเอียด

ผู้เข้าใจเทวะแล้วไม่ได้ไปเข้าใจว่าเทวดาล่องลอยอะไรอย่างนั้น แต่เทวะคือสภาพ 2 เป็นรูปนาม เป็นวิญญาณ มีปัญญาเข้าใจ เทวะได้ คือเราจะรู้ 2 ตัวที่มีเวทนาเก๊ กับเวทนาแท้ ทำให้เวทนาเก๊ดับไป เหลือแต่เวทนา1 คือเวทนาแท้ 

ผู้ที่เข้าใจอธิบายอย่างไรมันก็ถูก เราฟังแล้วก็จะเข้าใจ จิตไม่มีความเป็นกายนี้เป็นอนุปคัมมะ จึงเป็นจิตที่ทำความไม่มีได้สำเร็จ ความไม่มีกาย เคยอธิบาย ความไม่มีกายของจิต ท่านให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอาที่เล็บมันยาวออกมา เล็บที่ ยาวออกมาพ้นปลายประสาท มันไม่เจ็บไม่ปวดมันรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร นั่นแหละคือจิตวิญญาณเราไม่มี กาย มันไม่ทุกข์ไม่สุข มันไม่เจ็บไม่ปวด มันกลางๆ เฉยๆ ทั้งๆ ที่มันยังเป็นชีวะ แล้วเราก็เป็นคนมีจิตนิยาม 

นั่นแหละทำอันนี้ให้ได้อย่างนี้ ทำจิตให้ได้อย่างนี้ เราก็ยังมีจิตนิยาม  แต่จิตนิยามเราไม่มีกาย  ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ไม่มีภาวะ 2 ไม่มีเทวะ แล้ว เป็น สุญญตวิโมกข์ เป็น 0

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบญาติธรรมสันติอโศก วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2566 ( 18:59:44 )

จิตที่บำเพ็ญบารมีมาก่อนบรรลุธรรมได้เร็ว

รายละเอียด

จิตเดิมแท้จากท่านพุทธทาสเอามาเผยแพร่ ท่านชอบแบบเซน ไปเอาอย่างท่านผู้ที่มีบารมีไว้แล้วเช่นพระพาหิยะทารุจีริยะ ฟังธรรม 4 ประโยคก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้นี่แหละแบบเดิม ก็จะเอาอย่างแต่ตัวเองไม่มีบารมีเท่า พระยสะฟังธรรมพระพุทธเจ้า 2 กัณฑ์ก็เป็นอรหันต์ เนี่ยเซ็น ซึ่งไม่รู้รากฐานว่าพวกนี้บำเพ็ญมาแล้วมีบารมีมาแล้ว เมื่อได้อะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย 

เช่นพระจูฬปัณฑก พระพุทธเจ้าให้ลูบผ้าขาวก็เห็นความไม่เที่ยงของผ้าขาวและจิตใจตัวเองกิเลสตัวเอง ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ 

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเองมาเจอกับเทวทูตทั้ง 4 ก็สะดุดใจว่าอย่างนี้ไม่เอา ก็มีสมณะให้เห็น ท่านมาบวชเพื่อแสวงหาทางออก ท่านก็บอกว่าจะเอาแบบนี้ จนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 จึงระลึกชาติ ยามที่ 1 2 3 ระลึกได้หมดว่าเราบรรลุธรรมมาแล้วไม่ต้องปฏิบัติอะไรหรอก แม้ได้แล้วท่านก็ยังมาทบทวนอีกตั้ง 49 วันอย่างนี้เป็นต้น ติดตามดีๆ แล้วจะได้รายละเอียดอีกเยอะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:00:06 )

จิตที่มีอุตริมนุสสธรรม

รายละเอียด

หากเข้าใจว่าจิตใจของเราสามารถมนสิการ ทำจิตใจของเราให้เป็นอุตุธาตุได้ให้มีเวทนาเหมือนกับเป็นอุตุธาตุได้ ให้มีลักษณะเหมือนกับพีชธาตุได้ แล้วจิตเราก็เป็นจิตนิยามอยู่ดี แต่เราให้มันเป็นพีชะ เป็นอุตุ เมื่อเป็นอุตุได้ เมื่อเราจะไปสัมผัสกับอะไร เราก็ไม่เอามาเกี่ยวกับเรา มันก็เป็นอุตุธาตุของมันเป็นส่วนตัวของมันก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับมันแล้ว เราก็รู้ ดิน น้ำ ไฟ ลมต่างๆ เพชรนิลจินดาธนบัตรเอามาใช้ได้โดยไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นหรือว่าเป็นพืชที่เราจะเอามาใช้ประโยชน์ ก็จะรู้จักของจริงทั้งหมดเลยในมหาจักรวาลในวัฏสงสารตั้งแต่เป็นธาตุดินน้ำไฟลมเป็นพืช โดยเราเป็นธาตุจิตที่เป็นจิตที่มีอุตตริมนุสสธรรม เป็นจิตชั้นสูงที่สามารถจะเข้าใจหมดแล้ว ก็ดูแลเอามาใช้ได้อย่างที่อยู่เหนือมันได้เลย อยู่เหนือสิ่งต่างๆทั้งวัตถุทั้งพืชทั้งสัตว์มนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถที่จะอยู่เหนือ แม้แต่ที่สุด มนุษย์ทั้งหลายเช่นพระพุทธเจ้าอยู่เหนือมนุษย์ได้ ท่านก็สามารถที่จะบริหารมนุษย์ได้เลย แต่ท่านก็ไม่ไปอวดดีที่จะไปบริหาร ท่านใดที่จะมาให้ท่านบริหารท่านก็ทำได้ดีมาก อาตมาก็เหมือนกันอาตมาบริหารได้ให้อาตมาบริหารประเทศก็ทำได้ แต่ว่าอาตมาไม่ทำเพราะมันยากมันเยอะก็บริหารแค่นี้ ใครสมัครเป็นสมาชิกให้อาตมาบริหารก็มา ยังดีมีคนอย่างพวกคุณมา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:25:08 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:24:13 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:09:56 )

จิตที่รู้วิธีการลดกิเลสอย่างสัมมาทิฐิ

รายละเอียด

ทำให้กิเลสคือตัวทำให้มันไม่สงบใหญ่  ทำให้มันตายจากจิต กิเลสตายเป็นคราว  อย่างตทังคปหาน  เสร็จแล้วได้ไปที่ละส่วน2 ส่วน 3  ส่วน 4  ส่วน เสร็จแล้วได้เด็ดขาด  ก็ทำทวนเลย เรียกว่า  ปฏิปัสสีทธิ เป็นความสงบที่เกิดจากเอากิเลสออกมาฆ่ากิเลสได้จริง  เมื่อไหร่ใจก็ทำซ้ำ  อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง  แปลว่า รักษาผล  ผลที่มันได้แบบนี้แหละรักษาผลทำซ้ำ ให้ได้ตกผลึก  เป็นอเนญชา ภิสังขาร  

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  11 พฤศจิกายน2562                           


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:07:52 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:07:30 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:11:02 )

จิตที่วิสุทธิ

รายละเอียด

ใช่ มันไม่ผี เทวดาก็ไม่มี จริงๆ อาตมาไม่เป็นทั้งเทวดาหรือผี อาตมาเป็นวิสุทธิเทพ เป็นจิตที่วิสุทธิ อาตมาพูดง่ายกับพวกเรา แต่กับคนอื่นเขาจะหาว่าหลงตัวหลงตนเป็นวิสุทธิเทพ

วิสุทธิเทพ คือ ผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว สะอาดบริสุทธิ์หมดทุกอย่าง ไม่มีแม้สุขทุกข์ ไม่มีแม้บาปบุญ วิสุทธิเทพก็คืออรหันต์นั่นแหละ อาตมาก็เป็นอรหันต์จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ทุกวันนี้อาตมาก็สบาย ไม่ได้มานั่งมังกุ  ไม่ได้เหนียมเขิน พูดด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ พูดธรรมะทุกอย่างสะดวก เพราะไม่ได้ปิดบังอะไรเลย

จะให้ผีแปลงตัวเป็นเทวดามาหลอกอาตมาไง ใครจะทำผีเป็นเทวดามาหลอกอาตมาได้บ้าง ก็ลองดูสิ

วิสุทธิเทพไม่มีปลอม ปลอมอยู่คุณจะไปเรียกว่าวิสุทธิได้อย่างไร วิสุทธิมันไม่ปลอมแล้ววิสุทธิ เอาพยัญชนะมาเบี้ยวบาลี คุณเอาเก๊ไปใส่วิสุทธิเขาได้อย่างไร อาตมาจึงแยกอรหันต์เก๊ได้ ถึงได้พูดถึงได้บอก ว่าเก๊

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 20:48:31 )

จิตที่ว่างจากกิเลสคือหัวใจศาสนาพุทธ

รายละเอียด

พหุชน คือมวลชน หิตะ คือประโยชน์ สุข คือความสุขสงบ หรือสุข แปลว่า ว่างนี่แหละดี นี่แปลโดยพยัญชนะเลย แยกสุ กับ ข  ข แปลว่า ว่าง   สุ แปลว่า ดี  ข คือที่ว่าง กลางหาว ท้องฟ้า เวิ้งว้าง ทีนี้สัจธรรมไม่ใช่พยัญชนะเปล่าๆดูปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้าด้วย ก็แปลว่าจิตที่ว่างจากกิเลส ตัวจิตที่ว่างจากกิเลสนี่แหละเป็นหลักธรรมของพุทธเจ้า หัวใจศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้ ว่ากิเลสคืออะไร

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:47:28 )

จิตที่สบายแล้วเบิกบานร่าเริงอยู่เสมอ 

รายละเอียด

ที่อาตมาร้องเพลง กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ อันนี้เป็นปฏินิสสัคคะใช่ เหมือนร้องเพลงเล่น เขาก็หาว่าอาตมาเป็นการติดร้องเพลง แต่ที่จริงเป็นจิต อภิปโมทยังจิตตังของอาตมา เป็นจิตเบิกบานร่าเริงของอาตมา เป็นจิตที่สบายแล้ว ทำกายสังขารังปัสสัมภยัง จิตสังขารังปัสสัมภยังจบแล้ว จึงมี อภิปโมทยังจิตตัง จึง

คนที่เข้าใจว่า นั่งหลับตา ถ้านั่งหลับตาแล้วจะต้องไปทำกายสังขารังปัสสัมภยังทำไม เพราะว่านั่งอยู่แล้วมันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มันมีแต่ลมหายใจเข้าออกที่เหลืออยู่ 1 เดียวเท่านั้นใน 6 ทวาร อีก 5 มันไม่มี มีเหลืออีกสิ่งเดียวคือ กาย คุณจะขาดรอนๆ แล้วนะ แล้วจะปฏิบัติธรรมอะไร กับสิ่งที่นิดเดียว รอนๆ ต้องมาปฏิบัติกับทวารทั้ง 6 เต็มๆ สิ ปฏิบัติกับทวาร 5  นิดเดียวติ่งๆ มันจะได้อะไรทั้งหมดเล่า ก็เข้าใจกันไม่รอบไม่ได้กัน  อ่านพระบาลีพระพุทธเจ้าแล้วเข้าใจไม่ได้ 

ดี คนมีบารมีน้อยเข้าใจได้ขนาดนี้ อาตมาก็สบายใจ ถ้าคนมีบารมีมากก็เป็นอรหันต์กันแล้วตามจริง คุณเอาดีๆ เผลอๆ ก็รู้เสียแล้ว เราสำเร็จแล้วยังไม่รู้ พอนึกขึ้นมาก็สายเสียแล้ว ทำไม ที่จริงเราสำเร็จแล้ว ปัดโธ่! ลุกขึ้นมา สว่างแล้วทำไมยังมืดมิด มันสายแล้วยังมืดอยู่หรือ ก็คุณสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นรู้ตัวก็ สายเสียแล้วอีก พอรู้ตัวก็สำเร็จเสียแล้ว คุณก็หมดไม่ต้องสาย ไม่ต้องมืดอีกแล้ว มืดแล้วต้องมีสว่างมีสาย พอสำเร็จแล้ว สายก็รู้สาย สุภกิณหา สายก็รู้สาย สว่างก็รู้ รู้สว่าง มืดก็รู้มืด มืดไม่ใช่นิโรธ 

แต่ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน คำว่ามืด แต่มิจฉาทิฏฐิจะเห็นว่ามืดนั้นคือนิโรธ สัมมาทิฏฐิเห็นความมืดก็คือความมืดธรรมดา ตรงกันข้ามกับความสว่าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 04:55:17 )

จิตที่สะอาด

รายละเอียด

จึงมี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ลหุตา คือ เบา มุทุ คือ จิตไว หัวอ่อน ไม่กระด้าง จะปรับ ทางเจโตก็ปรับได้ไว ปัญญาปฏิภาณรู้ทันรู้เร็ว แล้วจิตที่ดี สามารถกำหนดทำให้เบาขนาดนี้ จิตเราเร็วไว้ทำงานได้ขนาดนี้จึงเป็นคุณสมบัติของกัมมัญญตา การงานที่คุมด้วยอัญญะ ควบคุมด้วยจิต อัญญธาตุ ปัญญาที่วิเศษ เป็นกัมมัญญตา เป็นสภาวะที่เหมาะควรแก่การงาน ทำการงานได้ดีที่สุด เพราะว่าจัดการได้ดีแล้ว จะทำการงานได้ดี เพราะว่าสามารถควบคุมจิตของเรา จะทำให้แรงให้เบาเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่เจตนาจะทำให้เบา อย่าให้มันแรง จนกระทั่งเบียดเบียนจนกระทั่งไปทำร้ายทำลายไปทำความเสียให้มันเกิด จะต้องให้มันได้คุณค่าประโยชน์ แรงก็ต้องให้แรงอย่างได้ขนาดมีคุณค่าประโยชน์ จึงใช้คำว่า ลหุตา เป็นตัวกำหนด ส่วน มุทุตาคือ ปรับได้อย่างดี

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอน 1 วันศุกร์ที่ 31 มกราคม2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:54:25 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:12:41 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:11:58 )

จิตที่สะอาดจากกิเลสมีพลังงานพิเศษมีคุณค่าสูงส่ง

รายละเอียด

โลกก็มีจุดมุ่งหมาย วันคล้ายวันเกิด ก็เป็นจารีตประเพณีเป็นค่านิยมไปทั่วโลก ถือว่าวันเกิดมาบรรจบทีนึง ในวัฏฏะของสุริยะจักรวาล ครบรอบ 12 เดือน นับไปกว่าจะถึง 86 ปีนานเหมือนกันนะ ถึงวันที่ 5 มิถุนายนก็นับเป็นเลข 87 แล้ว ก็ไม่ใช่น้อย เป็นเรื่องจริงที่อาตมาพยายามใช้พลังงานจิต พร้อมกับกาย อาตมาไม่เก่งจะอธิบายว่า จิตวิญญาณมนุษย์ที่เป็นจิตสะอาดมันมีพลังงานพิเศษ จิตที่สะอาดจากกิเลส แล้วก็มีพลังงานกุศล มีพลังงานความดีงามและสะอาดจากกิเลส พลังงานที่จิตปราศจากกิเลสเป็นจิตที่ประเสริฐแล้ว และแถมยังมีพลังงานจิตที่ขวนขวายอุตสาหะ เพิ่มพลังช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับประโยชน์อย่างไม่ต้องการอะไรตอบแทนอีก ใสสะอาด มันเป็นพลังงานที่ทับทวีปฏิภาคทวีที่ซับซ้อน มีคุณค่าสูงส่ง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 08:50:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:52:22 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:12:27 )

จิตที่อุปาทานยึดติดการนั่งหลับตา

รายละเอียด

จิตเขาไปมีอุปาทานยึดติดการนั่งหลับตา แต่อาตมาตีทิ้งเขาก็เจ็บ ก็ไม่ยอม ไม่ยอมก็จะต่อสู้ อาตมาก็ไม่สามารถไปห้ามไปบังคับไปเปลี่ยนแปลงเขาได้ เห็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น ก็จะได้ผลตามที่คุณปฏิบัติอย่างนั้น คือ อาตมาก็ได้แต่สงสารคุณ หากคุณจะยึดติดอย่างนั้นแล้วก็เอาแต่นั่งหลับตาก็คงจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้แต่สงสารคุณ สงสารหรือสังสารวัฏ แปลว่าโลก คุณก็จะได้แต่วนเวียนอยู่ในโลกแคบ ที่เกิดจากการนั่งหลับตาจะโลกอื่นที่ มีครบทุก 6 ทวาร คุณก็ไม่ได้สัมผัสคุณก็มีแต่ความมักน้อย ความมักน้อยไม่ใช่แค่นั้นมันมีความลึกซึ้งมากกว่านั้นอีก คุณเป็นพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัวอยู่ในซอกหลืบเล็กของคุณ จะไปบังคับให้คุณเข้าใจจะบังคับได้หรือ อาตมาก็ได้แต่อธิบายขยายความไปนี่แหละ พูดมากเจ็บคอ ล้อเลียนโลกเขาหน่อย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 11:32:24 )

จิตที่เป็นฌานของพุทธต่างจากของฤาษีนอกรีต

รายละเอียด

ผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ยิ่งจิตเป็นฌานแล้วฆ่ากิเลสได้เป็นบุญที่เป็นตัวปลายของฌาน จิตยิ่งสดใสเบิกบานจิตยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ใช่ยิ่งทื่อเฉื่อยๆ กายก็ยิ่ง นัจจะคีตะวาทิตะก็ยิ่งคล่องตัว อย่างอาตมา กิเลสตายไม่ได้ดับจิตสะกดจิตทั้งดวง แต่กำจัดกิเลส กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ยิ่งคล่อง ท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียงก็ยิ่งใส วาทิตะก็ยิ่งสรรหาคำที่เหมาะควรมาพูดได้เยอะแยะมากมาย นั่นคือฌาน สมาธิ วิมุติของศาสนาพุทธ แต่ของฤาษีนอกรีตยิ่งช้าเฉื่อยๆ แข็งทื่อไม่พูด ยิ่งไม่เอาใจใส่ก็ยิ่งดับนิ่งคนเดียว หนีสังคม หนีสัมผัส มันมีนัยยะต่างกันชัดเจน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 18:58:19 )

จิตที่เป็นพรหม

รายละเอียด

คือ จิตที่เปี่ยมด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตที่ไม่ว่าง เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความปรารถนา และการช่วยเหลือผู้อื่นมีความสุข โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เรียกว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับความเกลียด ความมุ่งร้าย การทำลายล้าง เพราะเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 392


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 12:21:30 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:14:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:12:58 )

จิตที่เป็นสมาธิ

รายละเอียด

จิตที่เป็นผลจากการปฏิบัติวิชชาจะระณะสัมปันโนและวิชชา 8 จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธ เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้วิชชาจะระณะสัมปันโน ไม่อย่างนั้นไม่มีสมณะ 4เหล่าไม่มีมรรคผลนิพพาน

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่23 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:42:15 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:15:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:13:24 )

จิตที่เป็นสมาธิของพุทธคือจิตสะอาดพ้นฌาน 4

รายละเอียด

ฌาน เป็นพลังงานที่ทำลายกิเลสเลยอยู่ในจรณะ 15 เมื่อทำลายกิเลสได้กิเลสก็ลดไปตามลำดับ จนหมดสิ้นอาสวะ พอหมดสิ้นอาสวะก็เป็นจิตสะอาด ฟังให้ดีนะ ตรงนี้ตามให้ดี จิตที่จะเป็นจิตสมาธิของศาสนาพุทธนั้นคือจิตสะอาด จิตที่พ้นฌาน 4 ผ่านอุเบกขามีปริสุทธา มีการกระทบแล้วก็สะอาด ปริโยทาตา มีมุทุ กัมมัญญา ยิ่งมีกายปาคุญญตา มีเวทนา สัญญา สังขาร ยิ่งคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นๆ จึงเป็น กัมมัญญา หรือกัมมัญญตาก็ยิ่งเก่ง สรุปแล้วความสะอาดที่รวม ยิ่งสะอาดซ้ำซ้อน ยิ่งสะอาดมากๆ เรียกว่าประภัสสร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2563 ( 10:25:26 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:53:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:13:52 )

จิตที่เป็นอนัตตาจึงเป็นอมตะบุคคล

รายละเอียด

สติเราเป็นอธิปไตยเต็ม ทำให้มันเสร็จไปหมด เพราะแก่นของจิตเราเต็มไปด้วยวิมุติแล้ว การกระทำของเรา ทั้งสำเนียงซุ่มเสียง ท่าทีลีลา อยู่เหนือหมดเลยเป็นอุตร เป็นปัญญา เพราะเรามีแก่นเป็นวิมุติแล้ว จึงเป็นอมตบุคคล เป็นจิตที่เป็นอนัตตา เป็นตัวอนัตตาเลย เป็นตัวที่ไม่มีตัวตน แต่จะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ เพราะรู้จักตัวตนได้สมบูรณ์แบบว่ามันคือเหตุปัจจัยของธาตุรู้ คุณเกิดมาเป็นสัตว์โลกอย่างไรอย่างไรคุณก็ต้องเกิดมามีธาตุรู้ แต่ถ้าไม่ศึกษาคุณก็ยิ่งโง่ลงไปทุกที ถูกโลกมันครอบงำถูกโลกมันหลอกไปทุกที แต่ถ้าศึกษาแล้วจึงจะพ้นความโง่เข้ามามีตัวอิสรภาพที่เป็นตัวเองจริงๆ ที่จะรู้ชัดเจนในความเป็นจริงตามความเป็นจริงทั้งนั้นเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 เปิดยุคบุญนิยมระดมปัญญา-อนัตตา ตอน 4 วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:42:33 )

จิตที่เป็นอรหันตตผล เป็นจิตวิญญาณพีชะ

รายละเอียด

พีชะ ก็เป็นสังขารสิ่งที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาอีก มีชีวะแล้ว แต่คุณสมบัติของพีชะ เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีเวทนา คือ ไม่มีความรู้สึกทุกข์ไม่มีความรู้สึกสุข ไม่มีวิญญาณไม่มีบาปไม่มีบุญ พลังงานที่อยู่ในขั้น พีชะเป็นพลังงานที่เป็นคุณ เป็นคุณค่าชนิดหนึ่ง เป็นพลังงานที่สร้างการปรุงแต่งได้ พระพุทธเจ้าก็เอาพลังงานแบบนี้ให้คนเรียนรู้ เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์โลก เป็นจิตนิยาม พลังงานจิตนิยามเป็นสัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียวขึ้นมา มีบาปมีบุญมีรักมีชัง มีดูดมีผลัก มีเวทนา มีวิญญาณ ก็มาเรียนรู้ในจิตวิญญาณ แล้วทำให้จิตวิญญาณนี้เป็นจิตวิญญาณพีชะให้ได้ ก็จะเป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีบาป ไม่ทำบาป สุดท้ายก็ไม่ทำบุญด้วย ก็จบ ผู้ที่จิตเป็นอรหัตตผล จิตนั้นฆ่ากิเลสแล้ว เป็นอรหัตตผลแล้ว แม้แต่เรื่องนั้นจิตผู้นั้นไม่มีกิเลสแล้ว ก็เป็นจิตไม่มีบาปไม่มีบุญ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:22:15 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:14:24 )

จิตที่เป็นอุตุ

รายละเอียด

เป็นตัวอย่างของการแยกกายแยกจิตได้จริง ก็คุณทำให้จิตของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกไม่ต้องมีรสชาติ เป็นวัตถุจริงๆไม่ปรุงแต่งอะไรกับชีวิตโยนทิ้ง เป็นเศษของทิ้งไปเลยอุตุ ใครเห็นลิปสติกเป็นดินเป็นหินเลยก็ไม่ต้องมาเกี่ยวกันเลย ก็เห็นธนบัตรเห็นทองเห็นเงินเป็นเศษดินเศษหินเลยก็ไม่ต้องไปร่วมไปมี มีก็อาศัย เราก็อาศัยดินน้ำไฟลม ก็อาศัย ไม่มีก็ไม่เป็นไร อะไรทดแทนก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 08 มีนาคม 2563 ( 08:43:43 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:24:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:14:45 )

จิตที่เป็นอุตุธาตุกับจิตที่เป็นพีชธาตุต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คุณซักตรงนี้มาก็ดี แต่อาตมาก็ได้เปรยได้พูดไปแล้วบ้าง ถึงเรื่องของ 1. มหาภูต 2. ภูตคาม 3. เจตภูต เพราะฉะนั้นในภาวะที่ทุกอย่างมันจะเหลื่อมกัน มันจะค่อยๆ เชื่อมกันเข้าไป ก็เหลื่อมกันอยู่ ของพลังงานที่เป็นวัตถุ แล้วค่อยๆ กลายมาเป็นพืช กลายมาเป็นจิต พัฒนาขึ้นมาเป็นพืช พัฒนาขึ้นมาเป็นจิต นี้มันมีสภาวะของมันจริงๆ ที่บอกว่าอุตุธาตุมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น ถ้าจับความแต่ตรงนี้ อุตุนิยามไม่ใช่ชีวะ ไม่มีชีวะเลยใช่ไหม ทีนี้ สัญญานี่ มันเป็นชีวะเริ่มแล้ว อุตุเป็นสังขารเท่านั้น เป็นพลังงานบวกลบ ปรุงแต่งกันอยู่ มันไม่มีชีวะ ไม่มีธาตุสัญญา ไม่มีธาตุชีวะเลย แต่อาตมาไปเขียนว่า อุตุนิยาม มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น มันก็ไม่ผิด ถูกต้องที่คุณท้วงมาว่า อุตุนิยามมีสัญญาด้วยหรือ? มันเป็นสังขารนั้น..ใช่ มันปรุงแต่งกันอยู่ด้วยพลังงานบวกลบ เป็นพลังงานสสาร แต่มันไม่ใช่สัญญา ไม่ได้มีตัวกำหนดตัวมันเอง ถ้าพีชธาตุนั้น มีรูป สัญญา สังขาร 

ที่จริงจะว่าไปแล้ว อุตุก็มีรูป ยังไม่ได้พูดถึง ละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นธรรมดาของรูป เป็นมหาภูตรูป ทุกอย่างต้องมีรูปทั้งนั้น แม้แต่ อรูป ก็เป็นรูป ทั้งๆ ที่มันบอกว่า อรูป ไม่ใช่รูปแต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง! มันไม่มีพยัญชนะจะพูดแล้ว อรูป ไม่ใช่รูป แต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง ไม่มีตัวจะพูดแล้วนะ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าอุตุธาตุไม่มีสัญญา มีแต่สังขาร ตามที่คุณสินสำนึกเข้าใจและเขียนมาถาม ก็พืชธาตุเท่านั้นถึงจะมีสัญญา สังขาร​ เพราะพืชไม่มีความอาฆาตพยาบาทแล้ว จึงยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นจิตนิยาม หรือยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ มันยังไม่ครบขันธ์ 5 

(พ่อครูอ่านทวนจากที่เขียนมาถาม)

_ลูกจึงเกิดความสงสัยเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดที่ 13 ทุกครั้งว่าช่วงกาละใดที่อุตุธาตุ มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้นเช่นเดียวกับพีชธาตุ ก็เชื่อมต่อกับจิตธาตุเหมือนกัน ก็มีแต่รูปสัญญาสังขารเหมือนกัน ..

อันนี้จริงๆ แล้ว มันก็น่าจะกล่าวว่า อุตุนี่มีแต่สังขาร ไม่มีสัญญา​ มันก็น่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ทีนี้อาตมาก็คงจะพอมาพูดถึงมหาภูต แล้วก็ภูตคาม แล้วก็เจตภูต มหาภูตนั้นแน่นอน มันเป็นอุตุ 100% พอเป็นภูตคาม เริ่มมาเป็นชีวะแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นชีวะอย่างสมบูรณ์ ยังมีภูตคาม มีพีชคาม ภูตคาม ยังไม่ขยับตัวออกไปเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบของมันเท่าไหร่ มันยังเป็นรากเป็นเหง้า ยังเป็นก้อน เป็นตัว ยังไม่มีปัญจสาขา หรือยังไม่มีส่วนอะไรที่ออกไป จากภูตคามพอเป็นพีชคาม ก็ออกลักษณะที่เป็นพืชแล้ว อย่างนี้เป็นต้น มันละเอียดขึ้น

เพราะฉะนั้นมหาภูต ภูตคาม และเจตภูต นั้น เจตภูต ก็เริ่มมีลักษณะของจิต เจต (อ่านเจตะ) นี้เริ่มมีลักษณะของธาตุวิญญาณ ธาตุจิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในความหมายที่อาตมาได้พูดแล้ว อาตมาไม่ได้พูดเองหรอก มีอยู่ในพระไตรปิฎก มีพยัญชนะพวกนี้ อาตมาเจอพยัญชนะพวกนี้ถึงเอามาพูด ซึ่งเป็น สัตตะ เป็น ปาณะ แล้วก็เป็นภูตะ เป็นชีวะ เพราะฉะนั้น ภูตะนี่แหละ ที่มันจะเปลี่ยนจากลักษณะละเอียดของวัตถุขึ้นมาหาพืช ขึ้นมาหาจิต มหาภูตะ คือ วัตถุแท้ๆ สสาร พลังงาน พอเริ่มมาเป็นภูตคาม มันจะเข้ามาหาชีวะแล้ว เมื่อกี้แถมพีชคามด้วย แต่อาตมาตอนนั้นไม่ได้พูดถึงพีชคาม

ดูเหมือนสู่แดนธรรมจะท้วงหน่อยหนึ่ง  มหาภูตแล้วก็เป็นภูตคาม แล้วก็มาเจตภูต 

เจตภูตเหลื่อมมาหาจิต ก็เป็น 3 เส้าที่มันอยู่ระหว่าง 3 อย่าง อุตุ พีชและจิต  เหลื่อมมาหาจิต ส่วนย่อยที่มันเริ่มพัฒนาพลังงานต่างๆ ที่จะ breed ตัวเองขึ้นมา มันก็เป็นไปตามลำดับ ทีนี้มาแยกเป็นมหาภูต ภูตคาม เจตภูต  3 อย่างก็จะง่ายขึ้น

1. มหาภูต เป็นสสารวัตถุแท้คือมหาภูต 2. ภูตคาม เริ่มจะไปพีชคาม หรือเป็นพืชขึ้นมา แล้วจึงมาหา 3. เจตภูต เริ่มมามีอาการลักษณะธาตุของจิตเข้าไปร่วมหน่อยๆ แล้วนะ เป็นต้น

ฉะนั้นการพัฒนาของชีวะต่างๆ มันจึงเป็นไปละเอียดลอออย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะค่อยๆ เข้าใจไป ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ บางทีมันก็ไม่มีพยัญชนะจะสื่อ เขาก็เอามาซับซ้อนวนกัน มันก็เลยทำให้เราวนไปตามพยัญชนะที่สื่อเหล่านั้นบ้าง อาตมายิ่งอธิบายไปนี้ยิ่งงงไหม ยิ่งวนยิ่งสับสนไหม กระจ่างขึ้นก็แล้วกัน เอาเท่านี้เดี๋ยวจะวนไปอีก 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2566 ( 19:40:48 )

จิตที่เป็นอุเบกขา

รายละเอียด

จิตที่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมปัญญา ปภัสสรา  สิ้นอาสวะเป็นฐานอุเบกขา เป็นฌานที่ 4จิตที่สะอาดตกผลึกสั่งสมแข็งแรงตั้งมั่น เป็นสมาธิที่สมบูรณ์แล้ว สมาหิโต เป็นจิตที่ถูกต้องปฏิบัติได้จริง มีสมณะเราองค์หนึ่ง  สมณะโพธิรักษ์ตั้งฉายาว่าสมาหิโต อย่าหลงตนว่าสมาหิโตแล้วหลงยึดมั่นถือมั่น โดยไม่ทำตน ไม่พยายามตรวจสอบ สอบทามความจริงของตนเองให้ได้ นี่ก็เตือนสติ ท่าทางท่านจะเอนเอียงไปทางหลงไป ถ้าไม่หลงก็ดี ก็เตือนไว้ หลงได้จริงๆจะเสียแน่ จะบ้าเอาด้วย

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:44:00 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:15 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:15:22 )

จิตที่เป็นอุเบขาทำให้แตกสลายไม่ไห้เกิดการจับตัวเป็นจิตวิญญาณได้อย่างไร

รายละเอียด

อุเบกขาเป็นการสลายตัวปลอมไม่ใช่ไปดับสลายจิตที่ใสสะอาด แต่จิตใจยิ่งใสสะอาดเป็นจิตไม่มีอะไรหมองไม่มีอะไรปนเปื้อนเลยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ไปสลายจิต แต่ไปสลายกิเลส ล้างสิ่งที่ไม่ใช่จิตนั่นแหละออก ที่เป็นตัวปลอมเป็นตัวมาร พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหักขั้วเรือนยอดเธอแล้วมารเอ๋ย ไม่ให้เกิดจับตัวเป็นจิตวิญญาณได้ อย่างไรคะ ก็ฟังอาตมาพูดไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจกับคำอาตมาพูด ตลอดอาตมาไม่พูดอย่างอื่นหรอก พูดให้ล้างกิเลสทำจิตให้เป็นอุเบกขาทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:37:25 )

จิตที่เสพอากาศ

รายละเอียด

จิตที่เสพอารมณ์ว่าง ๆ

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 30


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:33:15 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:15:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 07:16:23 )

จิตที่ใสสะอาดคือเอาขี้ไคลแห่งความคิดออก

รายละเอียด

ต้องไม่ให้มันตั้งอยู่อย่างนี้ ต้องให้มันคลี่คลาย แล้วไม่ให้มันเจริญงอกงามไพบูลย์ ให้มันเสื่อม ให้กิเลสเสื่อม จนจิตใสสะอาดมากขึ้นไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น จิตมีแต่เอาออก จิตที่ใสสะอาดก็คือเอาขี้ไคลแห่งความคิดออก ขี้ไคลของความคิดคุณมากเข้าก็จะกลายเป็นหูด เป็นพวกเนื้อเสียเป็นก้อน ตัดทิ้งได้ไม่เจ็บ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กายแล้ว เหมือนเล็บ ผม เฉือนออกได้ไม่เจ็บหรอก หูดเป็นโพรงๆ หน่อย แต่หนังจะแข็งเป็นก้อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 6 วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2564 ( 19:28:37 )

จิตที่ไม่มีกาย หรือจิตที่เป็นมนุษย์พืช คือจิตพิการเป็นสัมภเวสี

รายละเอียด

ตายแล้วจิตวิญญาณก็ควรทิ้งร่างไป แม้ที่สุด ร่างที่จะเป็นแค่พีชะอยู่ ก็ไม่ควรอยู่แล้ว เพราะมันไม่เป็นกายแล้ว จิตพิการแล้ว กายพิการแล้ว คือไม่มีกายมันก็พิการแน่ จิตไม่มีกายมันก็พิการ เพราะจิตมันต้องมีกาย จิตไม่มีกาย ในร่างที่คุณเองถือว่าเป็นกายของคุณ ที่จริง มันไม่ใช่กายของคุณแล้ว คุณไม่ได้รับรู้สึกภายนอกเลย ใครจะกระทบกระเทือนกระแทกกระทุ้ง คุณก็ไม่รับรู้สึก จิตของคุณอยู่ที่คุณ ถ้าคุณเกาะอยู่ที่ร่าง มันก็อยู่ในร่าง แต่มันไม่อยู่ในร่างหรอกมันเป็นจิตสัมภเวสี จิตของคุณที่เป็นมนุษย์พืชนี้ มันไม่อยู่ที่ร่างหรอก มันเป็นสัมภเวสีเหมือนนอนหลับ คุณนอนหลับจิตมันก็เป็นสัมภเวสีแล้วออกไปท่องเที่ยวเรียกว่า จิตท่องเที่ยว จิตล่องลอย จิตไม่มีที่เกิดไม่ได้รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่รู้เรื่อง มีแต่จิตอยู่ในภพของมันเอง ถ้าใครเผาร่างกายนั้นทันที เผาในขณะที่ เป็นมนุษย์พืช ร่างนี้ก็ไม่รู้สึก ร่างนี้ก็ถูกเผาไป จิตก็ออกไปอยู่แล้วแหละ เพราะจิตไม่ได้เกาะกับกายแล้วไง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 17:39:46 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์