@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ชาวอโศกเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างไร

รายละเอียด

อาตมาจะต้องพูดถึงเรื่องคนจนอีกมาก อีกนานทีเดียว ถึงบอกว่าตายไม่ลง เพราะมันยังไม่กระจ่าง ว่าคนจนจะไปสู้อะไรเขาได้ คอนเซ็ปต์เก่า บอกว่าคนจนเป็นเรื่องต่ำช้าขาดแคลนอดอยากปากแห้ง ซึ่งมันไม่ใช่

คนจนที่อุดมสมบูรณ์อย่างเช่นชาวอโศก มีความเฉลียวฉลาดไม่เอาเปรียบใคร เป็นคนสะสมน้อยจึงจน แต่ไม่ขาดแคลน สร้างสรร ไม่เป็นหนี้ เป็นคนจนมหัศจรรย์แปลกประหลาด จึงต้องพูดอีกมากเลยในเรื่องนี้ผู้ที่นำเศรษฐกิจแบบคนจนคือในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาก็พูดด้วยแต่คนจะไม่ให้น้ำหนัก

จะบริหารอย่างไรให้คนมาจนแล้วมันจะไปรอดหรือ ถ้าเข้าใจง่ายก็ฉลุย

เอาง่ายๆ อย่างดร.ต้อม เป็นตัวอย่างจริงทำมาจริง ก็ทำงานอยู่ในกระทรวง การไปต่างประเทศได้รับเงินเดือนตั้ง 500,000 รับเงินเดือนนี้ตกประมาณวันละ 16,000 เฉลี่ยแล้ว

ทุกวันนี้ เจ้าต้อมลาออกมา อย่างไม่ได้มีความผิดอะไร แต่มันเบื่อหน่าย อ่อนแอสังคมโลกีย์ แพ้โลกีย์ก็เลยลาออกมาอยู่กับพวกเรา มาอยู่ก็ช่วยทำงานการ แล้วคิดเฉลี่ย ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย มีประชากรตัวเล็กตัวน้อย 407 คน นี่ล่าสุดของเดือนพฤศจิกายน 407 คนนี้ หาค่าเฉลี่ยแล้วทุกคนได้ค่าตัววันละ 34.20 บาท เขาไม่เอาวันละ 16,000 มาเอาวันละ 34 บาท 20 สตางค์ แล้วทำงานเต็มที่ด้วยเพราะว่าเต็มใจกว่าด้วย มันต่างกันกับที่ทำแบบเดิม ที่จริงน่าจะได้มากกว่าวันละ 16,000 บาท เพราะว่าเต็มใจกว่า แต่กลับมาเอาแค่วันละ 34.20 บาท คุณคิดดูว่าซับซ้อนทางเศรษฐกิจกี่ชั้น จริงๆ แล้วค่าแรงต้องแพงกว่านี้อีก อธิบายยกตัวอย่างแค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว นี่คือคนจนที่ยิ่งใหญ่ คนจนมหัศจรรย์ เราไม่เอาเงินจากคนอื่นมาให้แก่เรา หรือเราเอาแต่น้อย เราไม่เอาให้แก่เราเลย เราก็อยู่กับหมู่ ชัดเจนในวัฒนธรรมหมู่ พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ

ชาวอโศกจึงเป็นตัวอย่างของคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ต้องกังวลในความเป็นอยู่เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 12:37:45 )

ชาวอโศกเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างไร

รายละเอียด

คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ หรือคนจนที่อุดมสมบูรณ์ คนจนที่เผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจานผู้อื่น คนจนที่ไม่เป็นหนี้ แต่ได้เป็นเจ้าหนี้แต่ไม่ได้ยึดถือว่าเราเป็นเจ้าหนี้เขา นี่แหละคือคนจนมหัศจรรย์ ชาวอโศกนี่แหละเป็นคนจนมหัศจรรย์ มหัศจรรย์แม้แต่ดอกสุพรรณิการ์ก็ดอกใหญ่งามจริงๆ เลย แล้วมากมาย ไม่ได้ปลูกแต่มันก็เกิดตามประสา หักไปเสียบบ้าง มันก็เกิดก็มี แม้แต่มะระจีน ดูสิ ลูกหนึ่งแกงได้ 2 หม้อ หม้อเล็กๆ นะ เคยพูดว่ามันประชดหรือยังไงปลูกอะไรก็งดงามก็ใหญ่ ต่างๆนานาพวกนี้

มันเป็นความพยายามที่เรารู้เหตุแล้วก็จะสร้างเหตุให้มันดี สร้างเหตุคือสร้างดินให้มันดีสร้างเหตุปัจจัยที่จะเกิดพืชพันธุ์ธัญญาหารดี แล้วก็ลงทุนทำเหตุ ผลมันก็เกิดอย่างที่มันเป็น มาพยายามเข้าไปลึกๆ พูดกันอธิบายให้เข้าถึงลึกๆ เป็นคนจนมหัศจรรย์ มาเป็นคนจนไม่ใช่เรื่องไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องตกต่ำ ไม่ใช่เรื่องเสื่อมทรามอะไรเลย มันเป็นเรื่องประเสริฐจริงๆ แล้วเราก็ยินดีที่จะมาเป็นคนจน 

ใครยังจนไม่ลงก็ตัวใครตัวมัน ยังยักไว้ ยังสะสม ยังมีอะไรต่ออะไรอยู่ไม่กล้าจนอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอยู่ในนี้มีส่วนกลาง มีสาธารณโภคีที่จะ ถ้าเราไม่เป็นคนต้องการมาก มักมาก อยู่กับส่วนกลางที่มีตามที่เขาให้ ถ้าเราไม่เป็นหมาหัวเน่าจริงๆ มันก็อยู่ได้สบาย ก็พออยู่พอกินเลี้ยงชีพอะไรไปสบาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 13:25:21 )

ชาวอโศกเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างไร

รายละเอียด

มาเข้าเป้าที่ความมหัศจรรย์ ชาวอโศกเป็นคนจนมหัศจรรย์ กินง่ายอยู่ง่ายเลี้ยงง่ายมหัศจรรย์ เป็นคนพัฒนาให้เจริญแบบนี้ เจริญแบบไหน เจริญแบบมาเป็นคนจน มาเป็นคนรับใช้ประชาชน นี่ รับใช้อย่างไม่เกี่ยงงอนอย่างเต็มใจและไม่ต้องการสิ่งตอบแทนด้วย นี่แหละ คนอย่างนี้ คุณเข้าใจแล้วคุณก็มาสมัครใจเป็นจริงๆ ด้วย แล้วมันจะอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เพราะว่ามวลนี้เป็นวัฒนธรรม มวลชาวอโศกเป็นวัฒนธรรมหมายถึงอะไรก็พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้อยู่แล้ว ไม่ได้งอมืองอเท้า

ปัจจัย 4 อุดมสมบูรณ์ นอกจากปัจจัย 4 ยังมีบริขารอื่นที่พอสร้างพออาศัยก็ไม่ลำบาก แม้แต่สร้างไม่เป็นก็พอมีเงินไปซื้อมาใช้ อย่าง คอมพิวเตอร์เราสร้างไม่เป็น แต่ก็พอมีสตางค์ไปซื้อมาใช้อาศัยเขา ไม่ซื้อมาอวดอ้าง ไม่ซื้อมาข่มเบ่งกันเล่น ก็ซื้อมาที่พอใช้ ดีหน่อยก็ดี ประสิทธิภาพสูงเราก็ใช้เป็นบ้าง สูงเกินบางทีใช้ไม่เป็นไม่เอา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 05:19:22 )

ชาวอโศกเป็นคนจนสำเร็จแล้วอย่างไร

รายละเอียด

ทีนี้ ชาวอโศกเข้าใจความเป็นเศรษฐกิจดี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสบอกว่า ถ้าจะปกครองบริหารประเทศ หลักเศรษฐกิจ จะทำเศรษฐกิจแบบไหน ท่านก็ตรัสว่า “แบบคนจน” นักเศรษฐศาสตร์ได้ยินแล้วท่านก็ตรัส ใช่ไหม พระราชดํารัสเอามาเปิดอยู่ทุกวัน พวกนักเศรษฐกิจได้ยินแล้วก็จะบอกว่า ไม่ใช่ พูดอย่างนั้นอะไรไม่ถูกหรอก แต่มันก็เป็นอย่างนั้นท่านก็ว่า ต้องเอาแบบคนจน… ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้นไม่ใช่เรื่องพูดปากเปล่า ไม่ใช่เรื่องพูดเท่ๆโก้ๆ มันเป็นเรื่องจริงต้องเอาแบบคนจน คนจนคืออะไร คนจนคือคนมักน้อย มีปฏิภาณปัญญา สมัครใจมาเป็นคนจนตั้งใจมาเป็นคนจน ไม่ได้มาเป็นคนจนเพราะเสียรู้หรือไม่สามารถที่จะไปรวยได้จึงต้องจน ไม่ใช่จะรวยก็ได้จะมีมากก็ได้ แต่สมัครใจจะเป็นคนมีน้อย น้อย จนกระทั่งถึงอยู่ในสังคมนี้ ตัวเองอยู่ในฐานสูง ไม่ต้องไปสะสมสมบัติส่วนตัวแล้ว มีพออาศัย มีพอมีใช้อาศัย มีบริขาร ที่ตัวเองจะต้องใช้นอกนั้นก็แบ่งแจกไปไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรชซึ่งอาตมาพูดแล้วก็ภูมิใจที่ชาวอโศกปฏิบัติประพฤติได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเศรษฐศาสตร์เจริญสูงสุด พูดได้ว่าอย่างชาวอโศกนี้แหละเป็นคนจน สำเร็จแล้วด้วยเป็นคนจนสำเร็จ ซึ่งเป็นเศรษฐศานสตร์เศรษฐกิจที่ดีที่สุดเพราะไม่เบียดเบียนสังคม ไม่เป็นภาระรัฐบาลไม่เป็นภาระสังคมไม่เบียดเบียนมีแต่ช่วยสังคม เกื้อกูลสังคม มีส่วนเหลือส่วนเกินให้แก่สังคมตัวเราก็กินพอเพียงใช้พอเพียงพอกินพอใช้อยู่ในชีวิต  สบาย มีเท่านี้กินเท่านี้  เหลือกินด้วย อุดมสมบูรณ์กินจนท้องจะแตกในแต่ละวัน  หากใครตะกละตะกลามกลัวจะไม่พอกิน ทุกคนมาก็เลยกินเยอะ พอเอาไปเอามา ก็จะรู้ว่าไม่ต้องไปเห็นไปกินอะไรมากมายมันเต็มท้องแล้ว ต่อมาก็จะกินลดลง ที่นี่ไม่อดอยากหรอก มันเหลือเฟือ นี่คือการมีเศรษฐศาสตร์หรือมีเศรษฐกิจเจริญสมบูรณ์แบบ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หรือนักบริหารปกครอง ก็ยังไปหลงทฤษฎีของทุนนิยม ของนักล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อย่างไม่รู้จักจบสิ้นไม่เสร็จ กำไรต้องสูงสุด Maximize profit ซึ่งเป็นคนใจไม่พอ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:37:28 )

ชาวอโศกเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติอย่างไร

รายละเอียด

ชาวอโศกเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสังคมอันสงบ รัฐบาลไม่ต้องใช้ตำรวจมาดูแลเลย เพราะไม่มีเรื่องที่จะให้ตำรวจมาช่วย มากินข้าวกินน้ำก็ได้ นายตำรวจมานั่งฟังธรรมนี้ก็มาเอาธรรมะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร นานๆจะไหว้วานให้ช่วย ช่วยติดต่ออันโน้นอันนี้ให้ทีบ้าง ตำรวจมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ทุกข์โลกๆ อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสังคมที่ไม่เดือดร้อน ถนนเขาไม่เทให้สักทีเราก็เทเองก็ได้ ไม่มีปัญหาเราลงทุนเองอยู่แล้ว อาตมามีจิตใจอยากจะช่วยจริงๆเขาไม่ทำเราก็ทำอยู่แล้ว ที่เราเป็นคนจนเพราะหนึ่งเราเป็นคนที่มาจน 2 ไม่เอาเปรียบ 3 ไม่สะสม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเงินอะไรเลยที่เป็นคงคลัง ดอกเบี้ยก็ไม่เอา เพราะไม่มีเงินของทางเศรษฐกิจโลกโลกีย์ที่มีวิธีได้เงินให้เงินออกดอกปันผลอะไรอีกเยอะแยะ เราไม่เอาสักวิธีแบบนั้น แต่ว่าอยู่รอด เพราะว่าเราเองฝึกให้กินน้อยใช้น้อยสร้างสรรไม่งอมืองอเท้า เราเองไม่ได้ฟุ่มเฟือยให้เสียศูนย์จนเขาหลอก มีสาระเป็นปัจจัยชีวิต สิ่งที่เกินปัจจัยชีวิตเราก็ไม่จำเป็นต้องไปจ่าย นอกจากพอกินพอใช้แล้วเหลือด้วย สะพัดแก่สังคม ตลาดอาริยะ ตอนนี้จะเปิดอาคารบวร จะขายเท่าทุนไปตลอดด้วย มาซื้อเมื่อไหร่ก็เท่าทุน แต่ตลาดอาริยะขายขาดทุน ตอนนี้คนรู้ข่าวกันทั่วแล้ว เปิดตลาดอาริยะคนก็แน่นเลย อาคาร 11 ไร่ของเรา วันแรกวันที่ 2 คนก็เต็มแน่นเลย แต่วันที่สามคนซาลง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:22:04 )

ชาวอโศกเป็นคนมหัศจรรย์ จนอย่างมีภูมิปัญญามีความอุดมสมบูรณ์เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

รายละเอียด

สรุปตีหัวเข้าบ้าน คนจะไม่รู้ว่าชาวอโศกเป็นคนมหัศจรรย์ มาจนก็มหัศจรรย์ เราไม่ได้จนเล่นๆ จนอย่างเข้าใจ จนอย่างมีภูมิปัญญา จนอย่างจริงๆ จนแล้วก็มีความสุข จนแล้วก็มีความอุดมสมบูรณ์ จนแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จนแล้วก็เป็นเจ้าหนี้ด้วย ไม่ใช่เป็นลูกหนี้ เป็นยังไงนะจนแล้วเป็นเจ้าหนี้ จริง แต่เราไม่ทวงหนี้ ไม่คิดดอก เราเป็นคนให้ประโยชน์ผู้อื่น เราสร้างแล้วเราผลิตแล้วเราก็ให้ ให้ แจกจ่ายไป โดยไม่ได้คิดว่านี้ต้นทุนนะ เอาดอกคืนนะ หรือจะคืนต้นทุนด้วยก็ดีไม่เลย ให้ไปแล้วก็ ไม่มีสาเปกโข ไม่มีอะไรตอบแทน  ซึ่งเป็นเรื่องบริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัวแก่ตน มันเป็นไปได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ 

แล้วคุณเองคุณไม่มีส่วนได้ ได้เป็นลาภที่เราทำเองสร้างขึ้นมาเอง ด้วยเรี่ยวแรงด้วยความรู้ความสามารถสิ่งที่ควรสร้าง ไม่เอาเรี่ยวแรงความรู้ความสามารถไปสร้างสิ่งไร้สาระ แต่สร้างสิ่งที่ได้อาศัย สร้างได้อย่างเหลือเฟือเจริญด้วย เช่นได้หอมหัวใหญ่งาม มะระจีนงามใหญ่ ดอกสุพรรณิการ์ มันอยู่ในดิน ที่นี่ดินดีมันก็งาม ไม่ใช่ไม่มีเหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุทั้งนั้นผลจึงตามมาจึงเจริญ เจริญ และความมักน้อยสันโดษ ไม่สะสม พึ่งความขยัน สมรรถนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 15:14:50 )

ชาวอโศกเป็นคนมหัศจรรย์ตรงไหน 

รายละเอียด

พูดถึงเรื่องพวกเรา พวกเรานี้เป็นคนมหัศจรรย์ เป็นคนมหัศจรรย์ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดเรื่องจริงพูดความจริง เป็นคนมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตรงไหน แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็เป็นคนมหัศจรรย์แล้ว คนไม่ฆ่าสัตว์หมายถึงว่า ไม่ฆ่าคนด้วยนะ อันนี้แหละสำคัญ คน คนนี้แหละอย่างไรๆ ก็ไม่ฆ่าคน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะไม่ฆ่าใคร ไม่ฆ่าคน คนอื่นมาฆ่าเรา เราก็ยังยอม คนนี้แหละคือคนมหัศจรรย์ 

คนใดที่ยังฆ่าเขาตอบ ทำร้ายเขาตอบ คนนั้นยังไม่ใช่คนมหัศจรรย์ 

คนที่เขาทำร้ายเรามันจะเป็นอยู่ 2 อย่าง 

1. ไม่มีทางสู้ สู้เขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เขาทำร้าย 

2. คนมีทางสู้และสู้ได้ด้วย แต่ไม่ยอมทำเขา ยอมแพ้เขา นี่คือคนไม่มีตัวตน คนที่ยอมแพ้เขาคือคนไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌

ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 18:25:44 )

ชาวอโศกเป็นคนมีคุณสมบัติวรรณะ 9 สามารถทำสาธารณโภคีได้

รายละเอียด

ชาวอโศกเราเป็นมนุษย์เหมือนคนทั้งหลายในโลก แล้วเราสามารถทำสาธารณโภคีได้ ทำคนเป็นคนมีคุณสมบัติวรรณะ 9 มีคุณธรรมตามหลัก พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ได้  

แล้วมันทำได้จริง มันจึงเป็นจริง อยู่ในสังคมมนุษยชาติ บอกแล้วว่า แม้แต่คุณจะเสแสร้งให้เป็น คนมีคุณสมบัติ สาราณียะ เชิญสิ คุณสมบัติ ปิยกรณะ มีความรักมิติที่สูงขึ้นไปเชิญสิ ครุกรณะ เคารพกันอย่างรู้ขั้นรู้ตอน สังคหะ ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เชิญสิ ได้ช่วยเหลือกันทำได้ก่อนก็ทำใครยังทำไม่ได้ก็ตามกันไป เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องไม่จริงที่ไหน สัจจะพระพุทธเจ้ามาศึกษาให้ดีๆ แล้วทำไปเถอะ ตรงตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไปตามขั้นตอนต่างๆ อย่างที่พวกเราทำแล้วไม่ต้องไปตัดลัดขั้นตอน ทำตามลำดับยิ่งงดงาม ไม่มีฟันหลอ ไม่มีขั้นประดักประเดิดอะไรเลย เรียงลำดับลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลยิ่งกว่ากระจก ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม 

เป็นคำสรุปที่อาตมาสรุป ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 14:29:42 )

ชาวอโศกเป็นคนรวยที่สุดแต่จนที่สุดเพราะเหตุใด

รายละเอียด

ชาวอโศกถึงจุดสำคัญที่เป็นสาธารณโภคี ชาวอโศกอยู่ในนี้เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานทำการในนี้ทำอย่างไม่รับเงินทำฟรีแล้วตัวเองกินใช้ในนี้ตัวเองก็มักน้อยสันโดษกินง่ายอยู่ง่าย ไม่เปลืองผลาญไปกับโลก เป็นคนประโยชน์สูงประหยัดสุดจริง จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่วิเศษที่สุด แล้วเรียกได้ว่ามาเป็นคนจนของโลก คนจนของประเทศ เป็นคนจนของสังคม มาเป็นคนจนของหมู่บ้าน เป็นคนจนของครอบครัว แม้แต่ในครอบครัว ก็ให้คนอื่นมากกว่าให้ลูกมากกว่าให้พ่อให้แม่ให้หลานให้เหลน มากกว่าตัวเองตัวเองจนกว่า ตนเองหาได้มากกว่าเขาแต่ใช้น้อยกว่าเขา นี่เป็นสภาพ dialectic ที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นสิริมหามายาที่ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะ 2 ที่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยิ่งใหญ่ รวยที่สุดแต่จนที่สุด นี่คือภาษา 2 คำซ้อนกันข้างใน เป็นตัวตนที่0 แต่เป็นตัวตนที่ศูนย์เพื่อผู้อื่นที่สุด เต็มที่เลยให้หมดเนื้อหมดตัว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 11:53:24 )

ชาวอโศกเป็นความจริง

รายละเอียด

อาตมาก็ว่ายังไม่ได้ข่าวได้คราวที่ไหนเขาทำแบบเรา ปีนี้น่าจะมีสื่อสารมวลชนมา ถ้าเผื่อเราจัด น่าจะมีสื่อสารมวลชนมาทำข่าว เพราะว่ามันไม่เหมือนยุคก่อน ยุคก่อนพวกเราเป็น Untouchable  ห้ามแตะต้อง คุณจะอยู่เหมือนคุณไม่มีอยู่ในสังคม คุณจะทำอะไรก็เหมือน จัณฑาล ห้ามแตะต้องเป็นคนน่ารังเกียจ คล้ายๆ อย่างนั้นอโศก แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปบ้างแล้ว มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างเก่า ชาวอโศกไม่น่าจะเป็นจัณฑาลแล้ว อย่างน้อยก็เป็นซักประมาณ แพศย์ หรือเป็นศูทรก็ได้ ไม่ถึงระดับกษัตริย์หรือระดับพราหมณ์ คงไม่ใช่ จัณฑาลเหมือนเก่า ใช้ภาษาทางโลกมาเปรียบเทียบ เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงหรอกคนเรายึดถือกัน 

แต่ของเราไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าหรอกไม่ได้เป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร อย่างที่ว่าหรอก เราเป็นพราหมณ์เป็นนักบวช เราไม่ได้ไปติดยึดอะไรพวกนี้หรอก แต่เราเป็นความจริง เราเป็นวรรณะ 9 เราไม่ได้เป็นวรรณะ 4 ตามที่อินเดียเขายึดถือกันจัด แล้วก็มีวรรณะที่ 5 คือจัณฑาล เราไม่ได้เป็น เราไม่ได้ใช้วรรณะนั้นแบบนั้น วรรณะของเราเป็นวรรณะ 9 

หรือ วรรณะที่เป็น สุพรรณะ ไม่ใช่ทุพรรณะ นี่ต้องเข้าใจอย่างดีในระดับอภิภู ระดับโพธิสัตว์ระดับ 8 อาตมาก็พยายามเริ่มอธิบายระดับ 8 ขึ้นไปบ้างค่อยๆสาธยายกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 05:11:46 )

ชาวอโศกเป็นชาวพุทธไทยที่มีโลกุตระเป็นมหัศจรรย์

รายละเอียด

มาพูดถึงความมหัศจรรย์ทางโลกุตระ ชาวอโศกเป็นคนที่มีอยู่ในโลก ที่เป็นคนมหัศจรรย์ที่สุดที่มนุษย์ยังไม่เห็น มนุษย์ส่วนใหญ่ชาวโลกียะเขามองไม่ออก แม้แต่ชาวพุทธซึ่งเสื่อมไปจากโลกุตรธรรมกันก็ไม่รู้ ชาวพุทธไทยนี่แหละ ชาวอโศกนี่แหละ คนไทยชาวพุทธไทย แล้วมีโลกุตระเป็นมหัศจรรย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 09:17:44 )

ชาวอโศกเป็นชุมชนที่มีโลกุตรธรรม

รายละเอียด

เราเป็นศาสนาพุทธมีแกนแล้ว ชาวอโศกมีโลกุตรธรรม เป็นชุมชนที่มีโลกุตรธรรม ขออภัยไม่ได้อวดโอ่แต่บอกความจริงอันประเสริฐ ขอเชิญให้มาตรวจสอบ เอาพระไตรปิฎกมาตรวจสอบเลยฉบับสยามรัฐนี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 12:07:44 )

ชาวอโศกเป็นตัวอย่างคนจนสุขสำราญที่ช่วยเศรษฐกิจได้

รายละเอียด

เชิญชวนให้มาดู เอาละ ยังไม่มีปฏิภาณปัญญาถึงขั้นว่าเป็นอย่างไร คนจนนั้นเป็นคนสุขสำราญเป็นคนช่วยเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์สูงส่งลึกซึ้ง แล้วเป็นคนช่วยเศรษฐกิจได้อย่างไร มันก็เป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่คนจะต้องค่อยๆศึกษากันไป พวกเราทำได้เป็นตัวอย่างแล้วเป็นจริงเป็นจัง ทำให้ดีทำให้ลึกซึ้งทำให้สมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆเถอะ เขาจะมาดู เราก็ไม่ได้ฝืนอะไรทำได้แล้วกับเรื่องสัจจะสบายจริงๆ ไม่ได้ทำเป็นเต๊ะ ไม่ได้ทำอวดอ้างทำเป็นเล่น แต่ทำจริงมันเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็เป็นจนตาย สบาย พิสูจน์กันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 20:20:10 )

ชาวอโศกเป็นตัวอย่างเศรษฐกิจการเมืองสังคม

รายละเอียด

เศรษฐกิจการเมืองสังคมความหมายถึงแค่ไหนอย่างไร แล้วมันมีตัวอย่างไหม

อาตมาว่า ชาวอโศกเรามีครบพร้อม แม้รูปไม่โต ปริมาณไม่ใหญ่ แต่อาตมาว่าคุณภาพคับแก้วนะ แม้ว่ารูปร่างไม่ใหญ่โตมโหฬาร แต่มีรูปทรงองค์ประกอบที่มีรูปแบบไปตามลำดับ เราระมัดระวังอยู่ ไม่ให้ใหญ่เฟ้อเกิน หรือเล็กลงเราก็ไม่ให้เล็กลง ก็ให้เจริญขึ้นอยู่ แต่ไม่ให้เจริญแบบเตี้ยอุ้มค่อม หรือฟ่าม ไม่งั้นจะเสียผล

เราก็พยายามพัฒนาอยู่ ใจร้อนใจเร็วอยากเห็นความชัดเจน อยากเห็นสิ่งที่เกิดที่เป็นมันเป็นรูปร่างสมบูรณ์แบบ ที่งดงามที่ประเสริฐอย่างบริบูรณ์จริงๆ มันเป็นความเข้าใจเป็นความปรารถนาของทุกคนแหละ แต่มันยังทำได้ไปตามลำดับ อาตมาถ้าจะว่าอยากให้มันเร็วให้มันได้ไวๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย กาละเวลาพอสมควร มันก้าวหน้าขนาดนี้อาตมาก็ใช้ปัญญาประมาณ ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:27:45 )

ชาวอโศกเป็นตัวอย่างให้กับคนที่มีธุลีในดวงตาน้อยเป็นคนที่ไม่มีอคติในจิต

รายละเอียด

พูดไปแล้วคนไทย เมืองไทย ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เป็นเหมือนอย่างกับชาวอโศก เพราะชาวอโศกก็เป็นตัวอย่างให้กับคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย เป็นคนที่ไม่มีอคติในจิต ก็ยังเห็นว่า มนุษยชาติ ชีวิตบรรลุผลสำเร็จ บรรลุธรรมหรือบรรลุผลสำเร็จในความเป็นชีวิตนี้เป็นเช่นนี้เอง เขาก็จะเห็นว่า เป็นได้ เป็นอรหันต์ เป็นอนาคามี เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบัน เป็นอย่างนี้นะ 

คนที่ไม่อคติจริงๆ ได้ศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าพอสมควรจริงๆ จะเห็น แต่เขาก็ซวยตรงที่ว่าเขาขึ้นหลังเสือ หรือว่าเขาไปตกอยู่ในที่ที่เขาจะมาก็มาไม่ได้ อยากมาก็มาไม่ได้ ไม่ต้องเอาอะไรไกล แค่พวกเราอยากเข้ามาบ้านราชฯ อยากมาอยู่บ้านราชฯ แค่พวกเรานะ แล้วคนข้างนอกจะเป็นอย่างไร… 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤษภาคม 2565 ( 12:43:16 )

ชาวอโศกเป็นที่พึ่งของประเทศไทยและของโลก

รายละเอียด

คนนี้ให้คำตอบมาเลย อาตมาก็ไม่อยากจะรับคำนี้ออกไปเต็มๆ แต่มันก็เป็นความจริง คนเขาหมั่นไส้อาตมาเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วมันเป็นสัจจะ อาตมามีความรู้ในเรื่องโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่จะช่วยโลก มันเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่คนอย่างพระพุทธเจ้า ในกาละยุคกัปหนึ่งๆ อย่างพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็คือพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่จะมายืนยันความรู้เรื่องโลกุตระให้คนในโลกนี้ได้รับประโยชน์ หมดยุคพุทธกัปของศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วมันก็หมดไป ไม่มีใครจะรู้ได้ ต้องมีพระพุทธเจ้าอีกองค์อื่นๆ  ขึ้นมา องค์ใหม่มาประกาศอีก มันจึงจะเกิด เพราะฉะนั้นมันยังไม่หมดกัป โพธิสัตว์เจ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เหลือแต่โพธิสัตว์ค่อยๆ สืบทอดเอาไว้เพื่อให้ครบพุทธกัปของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เข้าใจขึ้นนะ อย่างนี้เป็นต้น เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 15:07:35 )

ชาวอโศกเป็นนักการเมืองชั้นสูงโดยมีพ่อครูเป็นนักการเมืองตัวเอก

รายละเอียด

นักการเมืองน่าจะเรียนรู้ แต่นักการเมืองมักบอกว่าผมจะไปรับใช้ประชาชนซึ่งไม่จริงหรอก ต้องมาศึกษาศาสนาพุทธจริงๆ จึงจะไม่มีตัวตนได้คนนี้คือนักการเมืองตัวเอก 

อย่างอาตมาเป็นนักการเมืองตัวเอก พวกคุณเป็นนักการเมืองชั้นสูง ไม่ต้องไปวุ่นกับพวกนั้นหรอก พวกนั้นยุ่งชิบหายเลย พวกเราเป็นนักการเมืองในประเทศและต่างประเทศได้แล้ว เพราะพวกเราเป็นนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตยที่ดีที่สุด และก็ปฏิบัติประพฤติอยู่ในสังคมในโลก โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐบาล ไม่ต้องเป็นภาระของผู้บริหารต่างๆ เพราะเราทำตนเป็นพลเมืองที่ดีที่สุดแล้ว ผู้สำเร็จธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เป็นพระอาริยะแล้ว สบายแล้ว ไม่เป็นภาระของการบริหารประเทศ ผู้บริหารไม่ต้องห่วง สบาย นี่ไม่ใช่พูดเอาดีใส่ตัวแต่พูดความจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 19:11:27 )

ชาวอโศกเป็นนักประชาธิปไตยอย่างไร

รายละเอียด

ถ้าคุณเข้าใจว่าประชาธิปไตยคือประชาชนมีอำนาจ คุณมาเรียนรู้ในหมู่ชนชาวอโศกดูบ้าง แล้วพยายามอย่าเอาอคติ อย่าเอาความยึดถือความรู้ของตัวเองมาฟัง อย่าเอาถ้วยใส่น้ำชามาเต็ม มาดูว่า ชาวอโศกเป็นนักประชาธิปไตย มีธรรมาธิปไตย สมาชิกในสังคมเป็นผู้บริหารอธิปไตยนั้น เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาจัดสัดส่วนโลกและอัตตาสมดุล จึงอยู่กันอย่างสบาย ชาวอโศกไม่ได้มีแค่ความคิดนึกตรรกะ ไม่ได้มีแต่ทิฐิความรู้ความเห็น แต่ได้ทั้งกระทำความรู้ความเห็นการพูดประพฤติจริงจนสำเร็จผลจริง เป็นสังคมมนุษยชาติจริง เป็นสังคมจริงอยู่ท่ามกลางประเทศไทย ประชาชนชาวอโศกทำได้อย่างสุดยอดเป็นขั้นเป็นสังคมสาธารณโภคี ประชาชนในกลุ่มนี้เห็นแก่ส่วนกลาง ทำงานเสียภาษี 100% ประชาธิปไตยในโลกนี้ทำไม่ได้ แต่ประชาชนอโศกทำได้ พอได้ศึกษาธรรมะจนความเห็นแก่ตัวอย่างแรงกล้านั้นหมดไปแล้ว มีความเห็นแก่กลุ่มหมู่ อย่างที่เห็นว่ากลุ่มหมู่นี้สามารสพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ มีเศรษฐกิจร่วมกันได้รัฐกิจร่วมกันได้อย่างดี จึงสมัครใจอยู่กับสังคมนี้กลุ่มนี้ ตามวัฒนธรรมของสังคม ตามหลักเกณฑ์ทางสังคม อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:14:46 )

ชาวอโศกเป็นนักศึกษาไม่ใช่บริวาร

รายละเอียด

ใช่ อันนั้นก็ด้วยอาตมาไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวาร บริวารหมายความอย่างไร บริวารหมายความว่ามาเป็นลูกไม้ลูกมือ เป็นผู้รับใช้ พวกคุณไม่ได้มาเป็นคนรับใช้อาตมา พวกคุณมาเป็นนักศึกษา พวกคุณไม่ได้เป็นคนรับใช้อาตมาแต่พวกคุณเป็นนักศึกษา อาตมาก็เป็นครูที่ให้ความรู้ พวกคุณก็ช่วยเลี้ยงอาตมาไว้ 

ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา พวกคุณก็เลี้ยงอาตมาไว้ อาตมาก็เอาเวลาแรงงานมาสอนมาให้ความรู้ อาตมาเลี้ยงง่ายๆ ไม่ยากหรอก ไม่ต้องฆ่าสัตว์มาเลี้ยง พืชพันธุ์ธัญญาหารพอสมควรก็อยู่ได้แล้ว ง่ายๆ ไม่ยากอะไร เลี้ยงง่าย สุภระ สุโปสะ มักน้อย เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม
อวรรณะ 6 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:25:00 )

ชาวอโศกเป็นนักเศรษฐกิจแบบประหยัด

รายละเอียด

เข้าใจให้ได้แล้วคุณจะเป็นนักเศรษฐกิจที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า Economy ซึ่งแปลว่าประหยัด พวกเรานี้เป็นพวกประหยัดไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าฟุ้งเฟ้ออะไรเลย กินพอควรแล้วก็อยู่ในดินแดนที่กินน้อยใช้น้อยไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่ส่วนรวมนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ อย่าว่าแต่ส่วนรวมที่เรามีกินมีใช้แล้วให้คนอื่นมาแบ่งกินใช้อาศัยได้ เพราะว่า เราอยู่อย่างเหลือเฟือ เอาส่วนที่เหลือมาสร้างที่พักที่อยู่ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้เด็กเล็กๆ มาเล่น อยากให้ผู้ใหญ่มาเล่นด้วย

ที่นี่จะมีร้านค้าประชารัฐจะเป็นดินแดนถิ่นประชารัฐ ที่ประชาชนทั้งหลายแหล่ ได้มาอาศัยพักผ่อนหย่อนใจ หรือจะมาซื้อมาขายมาแลกเปลี่ยน มาได้ แม้จะบอกว่ามาขอกินข้าวกับลูกหน่อย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่นี่ไม่ได้ขี้เหนียวไม่ได้หวง แต่มามากเกินก็ไม่ไหว เราเป็นคนไม่สะสมจนกระทั่งมาเท่าไหร่ก็เลี้ยงได้หมด แต่มันเป็นสังคมตัวอย่างมนุษย์ชุมชนตัวอย่าง ที่ว่ามีพฤติกรรมสังคมแบบนี้สิ เขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชุมชนบุญนิยมสร้างจากคนจนมหัศจรรย์


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:07:13 )

ชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง

รายละเอียด

คุณแก้วตะวันก็ศึกษาตามไปเรื่อยๆ ก็เห็นจริงที่อาตมาได้ย้ำชาวอโศกนี่แหละเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 จนมีพฤติกรรมสังคมของชาวอโศกถึงขั้นสาธารณโภคี ชุมชนราชธานีอโศกก็มีสาธารณโภคี ไม่ได้เป็นของเล่นแต่เป็นของจริง ทุกคนไม่ได้สะสมเงินทอง ไม่มีใครเอารายได้ จากการทำงานในนี้ เอาเข้าส่วนกลางทั้งหมด สงสัยจะแอบแฝงก็เป็นของตนเอง มีตัวมีตนก็ทำไปตามฐานะความจริงของเขา จะเอาไว้มากหรือน้อยก็เป็นตัวเขาจริงๆ ส่วนผู้ที่ไม่มีตัวตนจริงๆ แล้วอยู่ในสาธารณโภคีอย่างสบายมาก สบม. ปกติ ปกต สบายมาก สบม หายห่วง หห จริงๆ จจ. ก็ทำได้ มชยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:49:02 )

ชาวอโศกเป็นประชาธิปไตย มีอธิปไตยส่วนตน

รายละเอียด

ก็มาสรุป เรื่องประชาธิปไตยใครจะว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาก็ขอยืนยันว่า อธิปไตยในสมัยพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย แต่ท่านตรัส อธิปไตย 3 คือ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย  คนที่เข้าใจก็จะสร้างอธิปไตยหรืออำนาจให้เกิด ถ้าไปเป็นของส่วนตัวคนใดคนหนึ่งนั้น แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เขาก็ไม่ยินยอมเขาก็ไม่ชอบใจ แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งโลกเป็นยุคทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ก็เลยต้องจำนนอยู่อย่างนั้น แต่ท่ามกลางสังคมยุคนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังสามารถสร้างประชาธิปไตย หรือให้คนมารู้จัก โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยแล้วทำธรรมาธิปไตย ให้แก่ตัวเองได้สำเร็จตามหลักสูตรวิชชาจะระณะสัมปันโนหรือว่า ศีล สมาธิ ปัญญาได้สำเร็จ คนที่มาเข้ารีตมาเป็นพุทธมามกะปฏิบัติได้แล้วก็จะเป็นอิสระ เป็นประชาธิปไตยที่มีอิสระในตัวเอง ซึ่งซับซ้อน เพราะในสังคมส่วนใหญ่เหมือนกับทุกวันนี้สังคมส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นอิสระไม่เป็นอธิปไตยส่วนตน แต่ชาวอโศกเป็นประชาธิปไตย มีอธิปไตยส่วนตน ในยุคของพระพุทธเจ้าทำได้เป็นจริง ตอนนั้นยังเป็นยุคของสมบูรณาญาสิทธิราชย์มนุษยชาติยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนแต่พระพุทธเจ้าทำได้เพราะท่านเยี่ยมยอด แต่ในยุคนี้ไม่มีทาสแล้วรู้จักสิทธิมนุษยชนดีอาตมาจึงทำได้ง่าย ทำได้ถึงฆราวาสเลยไม่ใช่เฉพาะในภิกษุเท่านั้น มีสมบัติส่วนกลางเอามารวมกัน ยุคนี้เงื่อนไขข้อจำกัดมันต่างกัน เป็นการเปิดโลก globalization แล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 12:04:36 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:47:28 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:20:11 )

ชาวอโศกเป็นผู้ที่มาเป็นคนจนอย่างมีภูมิปัญญา

รายละเอียด

คือ หากคนมาส่งเสริมให้คนมาเป็นคนจนแบบนี้ได้ สังคมโลกจะเจริญทั้งโลก สังคมโลกจะเจริญทั้งโลกเลย ถ้าคนมีภูมิปัญญาหรือว่าความจนประเสริฐอย่างนี้แล้วพากันมาที่บ้านความจนให้คนเข้าใจแล้วมาปฏิบัติ อย่างสมัครใจมาเป็นคนจนอย่างมีปัญญา ไม่ใช่มาเป็นคนจนอย่างโง่เง่า ชาวอโศกเป็นผู้ที่มาเป็นคนจนอย่างมีภูมิปัญญา เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าใครจะปฏิเสธว่าท่านไม่สมัครใจมาเป็นคนจนไม่ได้หรอก ท่านมาเป็นคนจนอย่างไม่มีอะไรจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ สมณะโพธิรักษ์เองก็สมัครใจมาเป็นคนจน ท่านอยู่ทำงานไปจนกว่าจะสิ้นชีพ มั่นใจว่าชาวอโศกมาเป็นอย่างนี้เยอะ อย่างน้อยท่านเดินดินก็มานี่ ให้น้องสาวรับมรดกของพ่อแม่ไปเลย พ่อแม่มีสมบัติพัสถานนะคนนี้แต่ไม่เอา มันมีภูมิปัญญาที่แท้จริง เราไม่ได้โกงใค ละเมิดใคร เราขยันหมั่นเพียรสร้างสรรควรจะเป็นเจ้าของสิ่งนั้นแต่เราก็ไม่เอา เราก็สะพัดเผื่อแผ่จึงเป็นคนมีประโยชน์ต่อโลก เป็นคนช่วยเศรษฐกิจให้แก่โลกให้แก่สังคม คนจนชนิดนี้ไม่ได้พูดโมเมหลงตน ไม่ได้พูดทวงบุญคุณแก่ใครแต่พูดสัจธรรม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:13:41 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 11:57:39 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:22:01 )

ชาวอโศกเป็นผู้มีเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

รายละเอียด

เศรษฐกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ชาวอโศกเป็นผู้มีเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ..เศรษฐกิจแปลว่าอะไร …เสฏโฐ ภาษาบาลี ส่วนเศรษฐะเป็นภาษาสันสกฤต เสฏฐะ คือผู้ประเสริฐผู้เจริญกิจของผู้เจริญ คำว่าเจริญ คำนี้ ซับซ้อนเป็นภาษาสิริมหามายา เป็นความเจริญ ยุคนี้คนเจริญต้องเป็นคนจน คนรวยไปแอบแฝงเอาชื่อเจริญมาเท่านั้นแต่ไม่จริง คนเจริญจริงต้องจน เพราะคนจนนั้นเป็นผู้ไม่เป็นภัยโทษต่อสังคม ไม่ใช่คนจนสิ้นไร้ไม้ตอกขี้เกียจขี้คร้านไม่มีความรู้สำมะเลเทเมาหรืออวดดีล้มละลายเป็นหนี้…ไม่ใช่!

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 10:38:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 12:00:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:36:46 )

ชาวอโศกเป็นพรหมมีสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์

รายละเอียด

พวกชาวอโศกเรานี่เป็นพรหม มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างเมตตา อยู่กันอย่างเมืองพรหม มีหลักเกณฑ์ มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา มีศีลมีทิฏฐิเสมอสมานกัน แล้วก็อยู่กันอย่างสร้างสรร สร้างสิ่งที่เป็นสาระก็มาทำ พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสาระแท้ที่เป็นหนึ่งในโลก เอามารวมกัน 

ใครสร้างได้มากใครสร้างได้น้อย ไม่มีปัญหาเอามารวมกันเป็นหนึ่ง ของกลาง ส่วนกลาง เราสร้างได้มากแล้วใครจะมาเอาจากเราต้องมาง้อมาอ้อนวอนร้องขออะไรอย่างนั้นไม่ทำ มีลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคีเป็นของส่วนกลางแล้วก็แบ่งกัน 

ใครสร้างมากก็กินเท่าที่ควร ใครสร้างน้อย สร้างไม่ค่อยได้ป่วยบ้างแก่บ้างเจ็บบ้างก็ไม่เป็นไร ก็กินกันพอควรเหมือนกัน คนตะกละหน่อยก็กินมากหน่อย ใครไม่ตะกละก็ไม่ต้องไปลำบาก ก็มีให้กินไม่ขาดแคลน ยิ่งนับวันยิ่งอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน 

เมื่อ 5 ปี 10 ปีที่แล้วไม่อุดมสมบูรณ์เท่านี้ ทุกวันนี้ โอ้โห! ที่อื่นก็เอามาให้อีกเห็นไหมนี่คือสาธารณโภคี เราเองก็โอ้โห! มีกินมีใช้อยู่อย่างเหลือเฟือแล้ว ที่อื่นก็ยังเอามาให้อีก พวกเราเองส่งมากันด้วยน้ำใจ การแสดงออกซึ่งน้ำใจมันไม่ง่าย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 41 อาหารเป็น 1 ในโลก วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 20:43:00 )

ชาวอโศกเป็นพวก Untouchable น้อยคนที่จะกล่าวถึง

รายละเอียด

ก็ประเทศไทยเราที่มีชาวอโศกแสดงตัวตนอยู่ อาตมาไม่ได้ขี้โม้ไม่ได้อวดอ้างแต่เป็นเรื่องจริงที่เป็นปรากฎการณ์จริงที่มันเกิดแล้ว คนไทยกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่คนเดียว ก็ไม่น้อยนะสะดุดตาพอมีรูปธรรม สังคมเขาก็รู้ แต่ก็น้อยคนที่จะกล้ากล่าวถึง เป็นพวก Untouchable เป็นพวก ตาบู อย่าแตะต้อง ที่จริงเรายินดีที่จะสัมผัสสัมพันธ์มาวิจารณ์วิจัยเราก็ไม่ว่า เราก็รับฟัง จะด่าทอมา ถ้าคนที่ด่าทอเรามาเฉยๆ โดยคุณด่าอย่างบำเรอใจ อยากด่ามันสะใจ คุณก็ได้ด่า เราไม่มีปัญหาหรอกคุณด่าได้ฟรีๆ เราไม่มีสะทกสะท้านไม่ถือสาหรอก ไม่โกรธไม่เคืองคุณหรอกไม่ไปตอบโต้หรอก ไม่จองเวรจองภัยคุณหรอก คุณจะด่าก็ด่าไปเถอะ ดูดีนะ ทำไมไม่ตอบ ถ้าคุณอยากด่าน่ะ ส่วนคนที่เขารู้เขาเห็นแต่เขาก็เฉยเมย ดีไม่ดีเขารู้ด้วยนะว่า อันนี้มันดี อาตมาว่าพวกนี้น่าสงสาร รู้ว่าดีนะ แต่เขาก็เฉยเมย อาตมาก็ว่าน่าสงสาร เขาไม่รู้ จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ แต่นี่รู้นะ แต่ทำไมไม่เอา ชีวิตคุณเกิดมาต้องการอะไร ถ้าคุณไม่รู้ก็แล้วไป ตอนนี้คุณก็รู้ดี อโศกเป็นอย่างไร ดี แล้วทำไมคุณไม่เอา อาตมาข้องใจอยู่เหมือนกัน ข้องอยู่ในถ้ำ เออ ทำไมไม่มีปฏิภาณ ไหวพริบ แล้วคุณเกิดมาจะเอาอะไร? ถ้าคุณมองไม่เห็นอะไรดีเลย ก็แล้วไป ฟังขึ้นไหมฟังเข้าใจไหม ก็คิดว่าเห็นว่าดีก็คงคิดว่าดี แต่คงดียังไม่พอที่เขาจะมาเอา เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่เรา เราก็ต้องทำดีให้เขาเห็นจนกว่าจะเข้าตาเขา จนรู้ว่าดีขนาดนี้ต้องมาเอาแล้ว ตอนนี้เพราะว่าเราบกพร่องเขายังไม่มาเอา เราดีอยู่แต่ยังไม่ถึงขีดความดีที่เขาจะมาเอา เพราะงั้นเราช่วยกัน ให้ดีขึ้นไปอีกกว่านี้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2563 ( 14:49:39 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:51 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:27:01 )

ชาวอโศกเป็นพวกหัวเจาะ นำสังคมและมนุษยชาติ

รายละเอียด

ในความรู้ทั้งหลายที่อาตมาพูดไปนี้ไม่ได้ลอกเลียนมาจากใคร เป็นความรู้ที่อาตมารู้แล้วทำ ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ตัวเองอยู่ว่า เป็นไปตามที่พูดนี้ไหม ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้น หรือ ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น อาตมาว่าอาตมาจริงใจ พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น พวกเราเป็นพวกหัวเจาะ เป็นพวก Pioneer เป็นพวกนำสังคม นำมนุษยชาติ พูดไปแล้วใหญ่นะ นำมนุษยชาติในโลกประมาณ 200 กว่าประเทศ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:32:39 )

ชาวอโศกเป็นพวกโลกุตระบุคคล

รายละเอียด

คือ  สังคมเขาก็ต้องการอย่างนี้ (แบบชาวอโศก) แต่เขาทำไม่ได้หากประเทศไทยมีผู้บริหารประเทศที่เข้าใจอันนี้ ของพระพุทธเจ้าอย่ามาเข้าใจว่าอันนี้เป็นของโพธิรักษ์ โพธิรักษ์ไม่มีน้ำยาอะไรที่จะมีความรู้ขนาดนี้ เรื่องสาธารณโภคีแต่เป็นของพระพุทธเจ้า แล้วเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยมีอนุสัยของโลกุตรธรรม ฝังรากมา แม้ยังไม่มีใครขุดคุ้ย แต่สมณะโพธิรักษ์ก็ขุดคุ้ยขึ้นมา ขอยืนยันว่าชาวอโศกเป็นพวกโลกุตระบุคคล เป็นแดนโลกุตระ แดนศิวิไลซ์ อย่างนายธเนศ วรากุลนิเคราะห์ ร้องเพลงแดนศิวิไลซ์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:49:57 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 12:01:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:22:57 )

ชาวอโศกเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบทำ 4 ข้อที่สร้างสรรให้มนุษย์ได้อาศัย

รายละเอียด

แล้วพวกเราก็เป็นไปได้ที่ยืนยันอยู่นี้ ทุกวันนี้นี่นะ คนในประเทศไทย แม้แต่ผู้บริหาร ก็ยังไม่ชัดเจน อาตมาว่าอย่างนั้นนะ ยังไม่ชัดเจน พอจะรู้บ้างแล้วล่ะ แต่ยังไม่กล้าที่จะทุ่มโถมลงมา เอาแบบนี้ ให้มันอย่างเดียวกันเหมือนกับชาวอโศกทำ มาเป็นคนจน มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นคนทำตนให้ 

1. หมดหนี้  

2. ทำเลี้ยงตัวเองรอดพออยู่พอกิน 

3. ทำเกินอยู่เกินกินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี 

4. เอาที่มันเกินมันมากเกินนี้เอาไปแจกเอาไปขายอย่างถูกๆ ไปแพร่ให้ไปเสียสละให้ผู้อื่นมากๆ 

4 หลักนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วไม่เป็นหนี้ทำพออยู่พอกิน ทำให้เกินให้มากขึ้น เป็นสิ่งที่เป็นสาระสัจจะที่แท้ อะไรเป็นสิ่งที่ควรจะต้องสร้างสรรขึ้นไปให้มนุษย์ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่ แล้วเผื่อแผ่เจือจานเกื้อกูล แจกให้แก่ผู้อื่นกัน เสียสละกันเต็มที่ 

4 ข้อนี่แหละ ไม่เป็นหนี้ ทำให้พึ่งตนเองรอดมีเหลือ มีมากขึ้นก็แจกจ่ายเจือจาน เท่านี้แหละสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ในความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์แบบจริงๆ 

พวกเราทำได้แล้วแน่นอน อาตมามั่นใจ ทำได้แล้ว แล้วเราก็มีปัญญารอบรู้ ด้วยว่าการกระทำอันนี้เป็นที่จบสูงสุดแล้วของมนุษย์ ใครจะทำให้ดีและทำให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง ทำได้ดีและทำให้มากขึ้นไปกว่านี้ แล้วก็หาทางที่จะเผื่อแผ่ รู้จักการแจกจ่าย การให้การแจกก็ต้องมีปัญญาอีก รู้ว่าใครควรได้รับการแจก รู้ว่าใครควรกว่า ใครไม่ควรกว่า ก็เข้าใจด้วยความจริงใจว่าคนนี้เหมาะควรจริงๆ ที่จะได้รับการแจกจ่ายก่อน จึงสุดยอดในการที่จะบริหารหรือว่าในการเกื้อกูล การอยู่กับสังคมที่จะมีพฤติกรรม มีการกระทำ อยู่กับสังคมที่เป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติในสังคม 

ซึ่งมันแตกต่างกันมากเลย กับความเป็นปุถุชน เป็นชาวโลกีย์ส่วนใหญ่ของคนในโลก ในเกือบ 200 ประเทศในโลก มีประเทศไทยที่มีโลกุตตรธรรม เป็นหลักแล้วก็มีอยู่ในกลุ่มชาวอโศก มีพฤติกรรมพฤติการณ์ทำกันอยู่จริงๆ  พาทำตั้งแต่เด็กเล็กกระจองงอแงมา วิ่งมากราบที่เห็นนี่ แล้วก็นักเรียนที่เห็นอยู่ และก็มีจนกระทั่งหนุ่มสาวผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ก็มีพลังงานสร้างสรรช่วยกัน ทำอยู่ในแนวคิดอันนี้ อยู่ในกรอบของแนวคิดโลกุตรธรรมอันนี้ ไม่ได้สงสัย 

มันยังสงสัยก็ต้องทำความสงสัยให้หมดไปให้ได้ โอ้โห..มันสุดยอดแล้วในความเป็นมนุษยชาติ ต้องมาเป็นคนแบบนี้สุดยอด อาตมาพูดความจริงนะนี่ อาตมาไม่ได้ทำเป็นยกย่องยกยอแนวคิดนี้ เป็นแนวคิดของพระพุทธเจ้า แนวคิดของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ของในหลวง ร. 9 ของอาตมา เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 16:51:37 )

ชาวอโศกเป็นลัทธิพุทธ

รายละเอียด

ลัทธินี้แปลว่า ความรู้ ความเชื่อถือ อยู่ในคน ย่อมเป็นธรรมดาธรรมชาติที่จะมีลัทธิหรือความรู้ความเชื่อถือ เป็นแต่เพียงว่าใครจะมีความรู้มีความเชื่อถือไปอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเอง เพราะฉะนั้นลัทธิมันไม่หายไปหรอกจากโลก โดยเฉพาะ อาตมากับชาวอโศกนี้เป็นลัทธิพุทธ แล้วเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เพราะฉะนั้นคุณพยายามเปิดดวงตา ไขจิต อย่ามืดอยู่อย่างเดิม อย่าปิดประตูใส่กลอนของคุณ เปิดแง้มเปิดตาขึ้นดูบ้าง เผื่อจะได้เห็นแสงสว่างอะไร ไม่อย่างนั้นคุณจะจมอยู่ในความมืดอยู่ตลอดไป ยิ่งโลกหรือสังคมศาสนาพุทธที่มีคนอย่างคุณอยู่นี้ จำเป็นที่สุดที่จะต้องมีลัทธิอย่างนี้ที่คุณหมายถึงนี้ลัทธินี้ อโศกนี้ เป็นลัทธิที่สัมมาทิฏฐิเป็นโลกุตระ จึงจำเป็นที่จะต้องมี ยิ่งมีคนอย่างคุณมากลัทธินี้ยิ่งจะไม่หายไปแน่ ไม่อย่างนั้นพุทธต้องสูญไป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2563 ( 09:35:43 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:22 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:23:48 )

ชาวอโศกเป็นสาธารณะโภคีตัวอย่างที่ 1 เป็นยอดพีระมิด

รายละเอียด

ทำมาอย่างน้อยก็เกือบ 50 ปีแล้ว มีอัตราการเจริญอยู่ ที่ได้ทำแพทเทิร์นเอาไว้ มันจะขึ้นไปก่อน จนไปสู่ความสูงที่สุด มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตามไตรลักษณ์ จักรวาลของโลก เมื่อมันลงแล้วมันจะมีเนื้อหา ตอนขึ้นมันจะมี Co-efficient แต่ตอนลงมันจะมีโมเมนตัม มันจะมีลำดับเป็นขั้นตอนอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาจะทำได้อย่างนี้หมดทุกคน แต่เขาจะมีทิฐิตรงกันว่า เป็นยอดยกไปเลยว่าชาวอโศกเป็นสาธารณโภคีเป็นตัวอย่างที่ 1 เป็นยอดพีระมิด คนอื่นก็เป็นฐานของพีระมิดไปตามลำดับจะนับถือกัน พระโสดาบันเสมอพระโสดาบัน พระสกิทาเสมอพระสกิทา  พระอนาคาเสมอพระอนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ จะมีลำดับขั้นที่ยอมรับนับถือกันอย่างแท้จริง เพราะมันมีทิฏฐิสามัญญตา และมีศีลสามัญญตา มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎี มีข้อปฏิบัติไปตามลำดับ เข้าใจกันหมดแล้วใครทำได้เท่าไหร่ก็รู้คนนี้มีศีล 5 ได้อธิศีลอย่างนี้ได้ อธิศีลด้วยกัน คนนี้มี อธเิศีล 5 มากกว่าเรา คนนี้มีอธิศีล 8 มากกว่าเรา หรือศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็ตาม มีหลักเกณฑ์ให้ยืนยันพิสูจน์ทำได้จริง 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 15:48:51 )

ชาวอโศกเป็นหนึ่งเดียวคือมหาสมุทรแห่งตระกูล “จน”

รายละเอียด

ทุกคนมีทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจึงมารวมอยู่ที่นี่หมดเลย มหาสมุทรนี้ใหญ่ แม่น้ำเล็ก แม่น้ำน้อยไหลมาอยู่ที่นี่หมดเลย มาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วเรียกชื่อเดียวกันหมดเลย แม่น้ำร้อยพันสาย มารวมกันที่นี่หายไปหมดเลยชื่อเดิม เป็นหนึ่งเดียวคือมหาสมุทรนี้ ใครๆ ก็เป็นตระกูล “จน” หมด นามสกุล “จน” ของชาวอโศก เท่าที่นับได้ตอนนี้ 

1. จนดีจริง 

2. มุ่งมาจน 

3. กล้าจน 

4. ตั้งใจจน

5. เต็มใจจน 

6. พร้อมจน 

7. มาจน 

8. จนสุขสำราญ 

9. จนอีหลี 

10. จนอีหลีอีหลอ 

11. จนทุกชาติ 

12. จนแล้วจนรอด

13. จนสำเร็จ 

14. จนนะจน 

15. ชื่นใจจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 16:10:15 )

ชาวอโศกเป็นอเทวนิยมโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิ 

รายละเอียด

เทวนิยมมีเยอะยังไม่เข้าใจสัจธรรมโลกุตรธรรม สมัครเป็นอเทวนิยมโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิ 

ทุกวันนี้ก็ยืนยันชาวอโศกเป็นหลัก จนอาตมายืนยันว่าที่นี่เป็นแผ่นดินพุทธ เป็นชมพูทวีป เป็นมวลชาวพุทธแท้ ที่มีโลกุตรธรรมจริง รู้จักโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ที่เป็นสภาวะในชีวิตจริง เทวนิยมไม่รู้นามธรรม แยกรูปไม่ได้ แยกภาวะ 2 ไม่ได้ วิญญาณก็แยกไม่ได้ จิตก็แยกไม่ได้ พระเจ้าไม่ให้แยกจิตวิญญาณ ห้ามเด็ดขาด ก็จึงจมเป็นหนึ่งอยู่นิรันดร 

จึงต้องมาแยกให้รู้สภาวธรรม พระพุทธเจ้ารู้จุดที่จะให้แยกคือ เวทนา นามรูป ก็เป็นสภาวะ 2 อันหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ อันหนึ่งเป็นธาตุรู้ของตัวเอง วิญญาณมีแยกเป็น 2 คือนามรูป พอผัสสะ มีผัสสะ ภายนอกกับภายใน เอาหยาบก่อน จึงเกิดเวทนา เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึกจากอันนี้แหละ มาแยกนามรูป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:33:31 )

ชาวอโศกเป็นเนื้อเดียวกันตลอดเวลา

รายละเอียด

อาตมาว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ธรรมดามนุษย์ในโลกไม่ว่าจะเป็นชาติไหนมันก็ครอบครัวใครครอบครัวมัน..ใช่ไหม บ้านใครบ้านมันต่างคนต่างอยู่ โอกาสที่เขาจะมารวมกันเขาก็มารวมกัน แต่มันจะไม่เหมือนอย่างที่พวกเราทำ เพราะพวกเรามันเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่แค่บางเวลา แต่มันเป็นเนื้อเดียวกันตลอดเวลา มันลึกซึ้งนะ เป็นเนื้อเดียวกันตลอดเวลา แน่นอน มีความคิดเห็นแตกต่าง มีความคิดแยก มันไม่รวมเป็นหนึ่งเหมือนกับก้อนดินที่รวมเป็นก้อนผนึกกันอย่างนั้นหรอก แต่มันก็รวมทางจิตวิญญาณแล้วก็มันอยู่อย่างเป็นไปได้ ที่เป็นไปได้นี้อาตมาว่าสุดยอดแล้ว อาตมาว่าอาตมาเก่งนะ ไม่มีใครชมอาตมาอาตมาชมตัวเอง เก่งที่สามารถนำความรู้ของพระพุทธเจ้า ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าออกมาให้คนฟัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:41:24 )

ชาวอโศกเป็นเนื้อแท้ธรรมะที่ 1 ในโลก

รายละเอียด

ชาวอโศกเป็นเนื้อแท้ เขามองความจริงไม่ออกว่าชาวอโศกนั้นเปลือกคือ สิ่งที่เขามองเหมือนว่ามันไม่จริงพวกนี้ เปลือกคือมันไม่จริง จริงอยู่ที่ศาสนาพุทธของไทย ใช่ จริงอยู่ที่ศาสนาพุทธของไทย จริง แล้วเขาบอกว่าพวกเราไม่จริงแฝงอยู่ นี่คือสิริมหามายาเนื้อแท้จริงๆคือชาวอโศก เนื้อไม่แท้ก็คือ เถรสมาคม นี่คือสภาพคู่ ใครแยกเทวะออกอันไหนจริงอันไหนไม่จริง อันไหนแท้อันไหนไม่แท้ วาระนี้ คนตาดีมองออกว่าสาระเนื้อแท้คือชาวอโศก เปลือกนอกคือพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นที่ 1 ในโลก เขายกให้ประเทศไทยมีธรรมะเป็นที่ 1 ในโลก ในยุคนี้เป็นยุคที่ปรากฏจริงแล้วก็ 2,500 กว่าปีขึ้นมา ครึ่งพุทธกัป ศาสนาพระพุทธเจ้า 5,000 ปี แล้วก็ยืนยันสิ่งเหล่านี้จริง

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันพฤหัสบดีที่ 31ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:21:39 )

ชาวอโศกเป็นแกนของจิตวิญญาณคนไทยก็ดีที่สุด

รายละเอียด

อย่างไรอย่างไรจิตวิญญาณของคนไทยก็ดีที่สุด แม้แต่ระบบของโลกเรื่องของรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ก็จะนำหน้าที่อื่น สำนัก Bloomberg ตรวจสถิติแล้ว เมืองไทยเป็นที่ 1 ในการทุกข์น้อยที่สุดของโลก 3 4 ปีติดต่อกัน เป็นเมืองที่น่ามาลงทุนเป็นเมืองที่น่ามาเที่ยวอย่างนี้จริง สำนัก Bloomberg เขามีหลักเกณฑ์ตรวจสอบ

สรุปแล้วเมืองไทยรักษาสภาพเหล่านี้ให้ดีอาตมาว่าจะดีขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่าพูดดังไป มีชาวอโศกเกิดขึ้นมา ในสังคมโลกในเมืองไทย เป็นแกนของจิตวิญญาณ เรามีแกนจิตวิญญาณที่เป็นจริงเรามีทั้งอธิบายบัญญัติภาษาทฤษฎี พฤติกรรมที่เป็นความรู้ออกไปอีก คนเราก็แสวงหาความจริงที่สุด เป็นแต่เพียงว่า อาตมาเกิดมาอาภัพ มันเป็นความจริงไง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เลี้ยงลูกให้รู้จักโต วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:36:48 )

ชาวอโศกเรียนรู้เกิดจากการเข้าใจแล้วก็ลดละ

รายละเอียด

ชาวอโศกเราพอทำได้ ปฏิบัติมา เกิดจากการเรียนรู้เกิดจากการเข้าใจแล้วก็ลดละ 

  1. ลดละไม่แย่งวัตถุ ลาภ

  2. ไม่แย่งยศอำนาจ 

  3. ไม่หลงสรรเสริญ ​แย่งชิง ความเด่นดัง ทำดีไปเถอะแล้วมันจะได้รับการยอมรับจากสังคมเป็นสัจธรรม ไม่ต้องอยากให้คนสรรเสริญเยินยอยกย่อง ไม่ต้องแย่งลาภยศสรรเสริญ เข้าใจเรื่องความสุข 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 10:29:38 )

ชาวอโศกเรียนรู้เรื่องหมดสุขหมดทุกข์เป็นหลัก

รายละเอียด

คือมันจะไม่เหมือนกับโลกทางโลกีย์เขา คุณเห็นอยู่ คุณก็แลอยู่ แต่คุณก็ ลับของคุณเอง ต้องมาศึกษาพวกมนุษย์ลับแลเขาอยู่อย่างไร เป็นสุขดีอยู่หรือ ... เป็นสุขดี เขาตอบว่าเป็นสุขดี ไม่แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ นี่สุขแล้ว

ไม่แย่งแล้วก็มาสร้างมาอาศัยในสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต สิ่งไม่เป็นปัจจัย ก็เลิกมาเบามาก็สบาย 

เสร็จแล้วสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต อาศัยกินอยู่เป็นสาธารณโภคีพูดแล้วก็อาตมาภาคภูมิใจธรรมะพระพุทธเจ้า พวกคุณก็เป็นคนในยุคเดียวกันกับคนอื่นเขา แต่พวกคุณมาทำสาธารณโภคีได้สำเร็จ อยู่อย่างสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ใครเจริญก็เจริญไป เป็นอรหันต์ไปทีละคน ทีละคนไป ดีจริงๆ มีที่ยืน

เป็นมนุษย์ที่มีทางเดินที่เยี่ยมยอดแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบทางเดินของมนุษย์ พวกคุณนี่ พวกที่เข้าใจไม่ได้ก็มองเป็นเมืองลับแล แล้วเขาก็ไปเป็นหมาหอบแดด แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ทางโน้น ดีไม่ดีก็ด่าพวกเราด้วย 

ด่าพวกเรา.. อะไรวะ บางคนเขาก็หลงความรู้ศึกษาหัวผุหัวพังเป็นปทปรมะบุคคล เรียนรู้พุทธพจน์ก็มาก สอนผู้คนอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ แล้วก็มาตำหนิเราอีก หาบาปใส่ตัว ซึ่งมันก็น่าสงสาร เพราะเขาทำอย่างไม่รู้  

ที่ทำอยู่นี้เป็นเรื่องเหนือกว่าความดีความชั่ว แต่เป็นการล้างความสุขความทุกข์ ทางโลกีย์ทางโลกเทวนิยมเขาไม่รู้จักสุขทุกข์ แต่เขาติดในความสุขเขาแสวงหาแต่ความสุข เขาจะไม่เอาความทุกข์ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้  เขาก็พยายามหาทางเลี่ยงที่จะไม่ให้ทุกข์ ให้ตัวเองไม่รู้สึกทุกข์ แต่แบกความสุขนั่นแหละคือความทุกข์เขาไม่รู้  สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเปลี่ยนไป หรือเพี้ยนไปจากที่มันได้เท่านี้มันก็อยากได้เพิ่ม แต่มันไม่ได้ มันก็ตกเสื่อมหาเบื้องล่างอย่างเก่า ก็ศึกษากัน เขาบอกว่าพวกเราจะทำให้บ้านเมืองเจริญในทางความดีด้วย แต่เหนือกว่านั้นคือ พ้นทุกข์พ้นสุข 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระคือสิ่งสำคัญสุดที่เกิดมาแล้วต้องเอาให้ได้ วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2565 ( 10:57:25 )

ชาวอโศกเศรษฐกิจไม่ตก

รายละเอียด

ขออภัย ต้องยืนยันชาวอโศก อาตมาพาทำ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างเช่นสมาชิกบ้านราชฯแก้ปัญหาการเมืองเศรษฐกิจสังคมตก มีชีวิตอยู่สบายๆสบม.ทมด ปกต.หห

ข้าวมีกิน ดินมีเดิน แดดมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ คนที่ไม่หมดบุญก็ทำบุญจนหมดบุญต่อไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หลวงปู่สู้ใจตนเองอย่างไร


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:58:27 )

ชาวอโศกเสียภาษี 100% ดูแลแบบโลกุตระ

รายละเอียด

ชาวอโศกหาได้ 100 เอาเข้ากองกลาง 100 ที่อเมริกาเขาก็ดุนะภาษีของเขา แต่เขามีเกณฑ์หักรายได้จากระดับต่างๆ สูง บางคนเสียภาษี 90% เลยนะ แต่มันก็มีวิธีหลบเลี่ยง อาตมายังไม่มีรายละเอียด แต่มีต่างประเทศเขาทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว คุณจนแท้ บุญคุ้มมาจน เข้าใจถูก มันซ้อน คนชาวอโศกเรานี้ แม้จะมีสวัสดิการหรือดูแลกัน แต่คนชาวอโศกเองก็ไม่มีอะไรมากเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนกล้าจน เป็นคนพอเป็นคนสบายแล้ว ใครที่ยังติดค้างอะไรก็มี สัลเลขธรรม มีข้อปฏิบัติต่ำ กลาง สูงไปเป็น ธูตะ มีอาการดีขึ้นน่าเลื่อมใสขึ้น เป็น ปาสาทิกะ จะไปจบที่ไม่สะสมได้สมบูรณ์แบบ และยอดขยัน วิริยารัมภะ 

เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติสุดท้ายไม่สะสมเป็น 0 แล้วยิ่งอยู่กับหมู่สาธารณโภคี จะไปสะสมให้โง่ทำไม เก็บเงินสะสมไว้มันก็ต้องรักษาดูแลก็ห่วงหา ก็ลำบากลำบนอะไรอย่างนี้ ก็มีกองกลางมีเจ้าหน้าที่ มีผู้ดูแลรักษาให้เบิกได้ แล้วเราก็ไม่ได้ขี้โลภขี้ตะกละ ไปเบิกเอามากมาย เรามีความละอายตนเอง เบิกเอามากมายก็ละอายตนเอง ละอายอย่างแรงกล้าด้วย มันซ้อนคำว่าละอายอย่างแรงกล้า มันเป็นสำนึกจริงๆ ของคน ว่าจะมาเอามากเอาเปรียบมันไม่ควรนะ มันจะรู้สึก คนมันจะรู้สึก เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมหรือการเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณมันเจริญพัฒนาจริงๆ แล้วเจริญอย่างโลกุตระด้วย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 เมษายน 2566 ( 20:18:03 )

ชาวอโศกเสียภาษี 100% อย่างเต็มใจ

รายละเอียด

ไม่ต้องไปตื่นเต้นเท่าไหร่หรอก เขาเสียภาษี 5% แต่ของเราชาวอโศกเสียภาษี 100% หัวเราะฮ่าๆๆ ด้วยความยินดีเต็มใจด้วยนะ 

ของชาวอโศกเราเสียภาษีไม่ได้ถูกกดข่ม ไม่ได้ถูกบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพที่คุณจะเข้ามาอยู่ในสังคมนี้ แล้วคุณก็ทำงานเสียภาษี 100% อย่างเต็มใจ ซึ่งไม่เหมือนที่อื่นเลย มันอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ ชาวอโศกเราตระหนักถึงการเสียภาษีไหม ...​ตระหนัก พวกเราตระหนักถึงการเสียภาษี คือการให้เงินไปให้แก่กองกลางส่วนกลาง

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:55:37 )

ชาวอโศกเห็นต่างจากคนทั้งโลกถูกต้องไหม

รายละเอียด

ขอพูดคำความตามที่เขาเขียนมา พวกเราฟังก็อย่าไปมีใจสะใจหรือรังเกียจ คนทั้งโลกเป็นปุถุชนเยอะ พวกเราก็ต้องเห็นต่างจากพวกคนทั้งโลก เพราะพวกเราเป็นพวกอยู่ปลายอยู่ยอดพีระมิด อยู่ส่วนบนสุดแหลม มันก็ต้องน้อย คนทั้งโลกมันต้องส่วนใหญ่ ไล่ลงไปมาหาฐานปิรามิด เรื่องสัจจะคนที่เป็นอารยะเป็นอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นมันจะไปมีส่วนมากได้อย่างไร มันมีเป็นส่วนน้อยแน่นอนพูดไม่ผิดหรอก และพวกเราก็ต้องเห็นต่างจากคนทั้งโลก คุณต้องคิดให้ดี เข้าใจให้ดีๆ ว่าจริงนะ คุณซุปเปอร์วาว แล้วคนที่มีจำนวนน้อย กับคนที่มีทั้งโลกจำนวนมากเป็นปุถุชน คนจำนวนน้อยนี่แหละเป็นอริยะ หากคุณจะมัวติดอยู่กับคนส่วนมากที่เป็นปุถุชน คุณก็อยู่ที่ตีนพีระมิด  อยู่ฐานพีระมิด ไปถามหนอนที่มันอยู่ในกองขี้กำลังกินขี้ เทวดาก็บอกให้ออกจากกองขี้ หนอนก็จะบอกเทวดาว่า เทวดาจะรู้อะไร หนอนก็อยู่สบายกับขี้แล้วอยู่กับฐาน(ส้วมโบราณ) ขี้ลงไปก็กองเบะๆ แล้วแมลงวันก็จะอาศัยเป็นที่เพาะเชื้อไข่มีหนอนออกมากินขี้อยู่อย่างนั้น หนอนก็ต้องอร่อยกับขี้ต้องกินขี้อยู่ตรงนั้น พวกเราเห็นว่าความรวยไม่ดีเป็นต้น เห็นว่าความเป็นโลกีย์ไปติดยึดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขว่าไม่ดี เขาก็สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 11:05:17 )

ชาวอโศกเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้าของในหลวงมาประพฤติ

รายละเอียด

ชาวอโศกเป็นผู้ที่เข้าใจเศรษฐกิจได้อย่างดีเยี่ยม ทุกวันนี้ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ มาถึงวันนี้แล้วสบายไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีชีวิตสามารถพึ่งพาตนเองทำอยู่ทำกินได้ ไม่ไปเดือดร้อนวุ่นวายแก่คนอื่น เป็นประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติ ซึ่งมันจบแล้ว ชาวอโศกเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้าของในหลวงมาประพฤติ เป็นอันเดียวกันของในหลวงกับของพระพุทธเจ้า แม้แต่ที่อาตมาอธิบายก็อันเดียวกัน เป็นเศรษฐกิจแบบนี้สุดยอดแล้ว จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:34:48 )

ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบแล้วก่อนสังคมใดๆ ในโลก

รายละเอียด

อาตมาว่า ชาวอโศกกอบกู้เศรษฐกิจได้แล้ว มีแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเรื่อยไป เราเข้าใจและมีของจริง เป็นไปได้ ทำโดยไม่ขัดเขินสำเร็จ

ชาวอโศกถือว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบแล้วก่อนสังคมใดๆในโลก ขออภัยพูดใหญ่ด้วย แก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จสิ้นแล้วสบาย และฝังรากความรู้ไว้แก่ผู้ที่จะเป็นผู้สืบทอด มีปัญญา อัญญา ไม่ใช่แค่สัญญาความรู้โลกีย์ มีปัญญาสืบทอดต่อเชื้อนี้ได้แล้ว ไม่ใช่คนเดียว มีเป็นร้อยเป็นพันอาจจะถึงหมื่น ถ้าเป็นแสนนี้ยังไม่กล้าพูด 

ปุญญะนี้มันเป็นบุญ ตัว บ. คำว่า ปัญญานี้ เป็น ป.ปลา ขยายความได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ปัจฉิมกถาปิดงาน มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดินครั้งที่ 12
ที่มาบเอื้อง จ.ชลบุรี วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:14:08 )

ชาวอโศกแสดงภาษากายอันสงบในการสื่อสารการทำทาน

รายละเอียด

ต้องอธิบายกันพอสมควรทีเดียวประเด็นนี้ สวยๆ

ที่บอกว่าชาวอโศกแสดงภาษากายอันสงบในการสื่อสารการทำทาน อันไม่สาเปกโข

สาเปกโข หมายความว่าเป็นความหวังมีความหวัง จิตมันมีจิตออกไป ต้องดูอาการของจิตเรา จิตเรามันจะแลบเลียออกไป มันจะมีเจตนา มีความมุ่งอะไรออกไป เพื่อได้อะไรตอบแทน ต้องอ่านอาการจิตให้ดีถ้าจิตไม่มีแวบ เป็นสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ เป็น 4 อันในทานสูตร 

จิตไม่มีสิ่งเหล่านี้เป็นอานิสงส์ในการทำบุญแบบต่างๆ และจิตเสียสละจบทั้งนั้นเลย จบตรงนั้น ทานเสร็จจบ ไม่มีอาการของจิตที่จะเป็นเชิงกิเลสแลบเสียออกไป การปฏิบัตินี้คือเป็นการทำทั้งสมถะและทำทั้งปัญญา มีทั้งสมถะและปัญญา จิตมันเรียบร้อย สงบ จบ ที่จริงไม่เรียกว่าสมถะ เรียกว่าปัสสัทธิ สงบ และ ปัญญาก็รู้ทันจิตของเรา แต่อาตมาใช้สมถะคือจะได้รู้กันทั่ว แต่ ปัสสัทธิกับสมถะคล้ายกันตรงมันสงบเหมือนกัน มันหยุดเหมือนกัน แต่หยุด ปกติมันมีปัญญา ปัสสะคือเห็น ส่วนสมถะมันมืดไม่เห็น แต่ ปัสสัทธิมันเห็นแจ้งครบทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 12:57:17 )

ชาวอโศกโชคดีแค่ไหนที่ได้รู้จักทางโลกุตระ

รายละเอียด

ดีนะที่พบทาง พระพุทธเจ้าเป็นคนเหมือนเรา ผ่านชีวิตมามาก จนสุดท้ายจะมีอะไรก็ได้นะ แต่ก็ไม่เอา มาเป็นคนไม่มีอะไรเลย ทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ไม่ต้องไปมีอะไร มีแต่ผ้านุ่งห่ม 3 ผืน ไปอย่างไม่สะสมอะไรเลย แม้แต่ข้าวในแต่ละวันก็ไม่สะสมกินแล้วก็เลิก บิณฑบาต ถ้าให้กินอยู่ก็กิน ถ้าไม่ศรัทธาจะให้กินแล้วก็ไม่ต้องกิน แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะท่านมีคุณธรรม ขนาดเราเป็นบิณฑบาตก็ยังได้เต็มบาตร ซึ่งเป็นสัจธรรมที่สุดยอดจริงๆ 

ผู้ที่รู้จักทางแล้ว อาตมาก็พยายามบอกความจริงให้รู้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ปัญญาปฏิภาณ ชีวิตมันไปอย่างนั้น ถ้าเราจะเพลิดเพลินไป เรายังไม่เป็นเศรษฐีพันล้านหมื่นล้าน ยังไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ครองโลก เราก็ต้องไปเป็นก่อนถึงจะมา คนคนนั้นก็สร้างวิบากไปเรื่อยๆ มันจะมีกรรมวิบากที่สร้าง กว่าจะได้เป็นอย่างนั้นต้องมีคู่วิบากไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบบริหารประเทศที่โลกมีกัน 9 แบบ วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2564 ( 05:17:21 )

ชาวอโศกใช้บุญมาล่อหรือไม่

รายละเอียด

จะใช้คำว่าบุญก็ได้ บุญหมายความว่าเป็นการชำระกิเลส แล้วเราก็ขยายความคำว่าบุญ ให้รู้ชัดเจนเลยว่ามาจัดการกิเลสของตนเองนะ มาไหม ใครจะเอา มาๆๆ มาเอา ที่จริงเอาไม่ได้หรอก มาทำมาสร้างจิตให้เป็นบุญให้เป็นพลังงานขจัดกิเลสให้ได้ แล้วคุณเสียด้วยซ้ำไปคือ กิเลสนั่นแหละถูกเสียไป ที่ในหลวงบอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ มันเป็น 2 สภาวะ สิริมหามายาเป็น dialectic พูดอีกอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยเป็นความจริงด้วยไม่ได้เป็นมายากล ประเด็นนี้แหละเป็นประเด็นสัจจะที่ ยอดยาก ยอดจริง ที่จะต้องยอดรู้ให้ได้ 

จะว่าล่อก็ได้ แต่คนที่จะมาเอาต้องฉลาด แล้วเราก็ไม่ได้ไปหลอกด้วย จะว่าล่อก็ล่อ โดยบอกความจริง บุญ เป็นอย่างนี้นะ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คนที่เข้าใจถึงเนื้อถึงสาระแท้ก็จะมาเอา แต่คนที่ไม่เข้าใจคำว่าบุญ เข้าใจเพียงแต่กุศลก็มาหลงได้ แต่เขาก็พยายามทำความหลงของเขาให้ชัดเจนให้เข้าใจให้ได้ อย่าไปหลงผิด ให้ไปคิดถูกให้ได้ก็เพิ่มมวลขึ้นตามลำดับ จะบอกว่าล่อก็ได้ แต่ไม่ได้ลวงไม่ได้หลอกไม่ได้ทำให้หลง ทำให้ถูกต้อง 

ที่จริงถ้ามีการล่อหลอก มันจะทำหลายชั้น เสียเวลาเมื่อย ตรงๆ แล้วไม่เมื่อย ไปคัดเลือกผู้ที่มีปัญญาจะเอาจริง ขนาดนั้นมันยังยากเลย ผู้ที่ถูกคัดเลือกและมีปัญญาเฉลียวฉลาดจริงรู้ว่าเป็นเป้าหมายที่จะมาเอาจริงยังไม่ง่ายเลย แล้วเราจะขนขยะมาทำไมอีกมากมาย ทางโลกีย์เขาชอบมวลมากๆ แต่ของเรานี้เอาคุณภาพ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:25:56 )

ชาวอโศกในชุมชนต่างๆ อยู่ในขั้นอนาคามีภูมิ

รายละเอียด

พวกเราพอเข้าใจได้จึงเอาไปปฏิบัติธรรมได้ จึงบรรลุความจริง เป็นปรากฏการณ์จริงเป็น phenomenon อย่างแท้จริง

อาตมาถึงบอกว่าชาวอโศกในชุมชนต่างๆ ทุกวันนี้อยู่ในขั้นอนาคามีภูมิ เพราะว่าบางทีขั้นของโสดาบัน สกิทาคามี ยังอยู่ยากเลย ปุถุชนไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งพวกอบายมุข อบายภูมิอยู่ในนี้ไม่ได้หรอก กระเด็นไปหมด ซึ่งในที่นี้ก็ไม่มีเลยอบายภูมิเขาไม่มีเลย ขั้นกามหยาบๆ ก็ยังอยู่ยากเลย เพราะฉะนั้นมันต้องสูงขึ้นมาระดับพอสมควร อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งยืนยันความจริงของสังคมชาวอโศกจะเป็นอย่างนี้ไปทุกสังคม ชุมชนเล็กชุมชนฟ้าใจน้อย ชุมชนใหญ่ก็แล้วแต่ก็เป็นไป... นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:28:37 )

ชาวอโศกในอนาคตจะเป็นคนที่มีอายุยืนจริงไหม เพราะอะไร

รายละเอียด

พวกเรา อาตมาว่า คุณอ่านใจตัวเองของแต่ละคนนะ ชีวิตเป็นของคุณเองใช่ไหม คุณมาอยู่ขณะนี้ มาก (หลายคน) เลยนี้ หนุ่มๆ สาวๆ อายุ 20-30 น้อย นี่พวกเรา ใครอายุ 20-30 บ้างยกมือ มีอยู่ 2-3 คนเอง คนเป็นร้อยหลายร้อย นอกนั้นโอ้โห แก่แล้วทั้งนั้นเลย เลย 30 ไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นจะต้องเอาให้ดีๆ นะ เลย 30 ไปแล้วนี่มันถึง 40 นี่ เขาถือว่าชักจะไม่ค่อยจะ ถ้า 40 นี่ถือว่ามันกึ่งหนึ่งของ 80 แล้วนะ ค่าเฉลี่ยคนประมาณ 80 ปีใช่ไหม ค่าเฉลี่ยอย่างสูง เลย 80 ปีไปนี้ก็น้อยแล้ว อย่าไปพูดถึง 100 เลย เพราะฉะนั้น 40 ปีนี่ครึ่งหนึ่งของอายุขัยที่เราจะพัฒนาการ 

เพราะฉะนั้นอย่าประมาท พวกเรา พวกเราจะมีสิ่งพิเศษอยู่ มันไม่เหมือนสามัญคนทั่วไปเขาอยู่ มันเป็นของพิเศษ มันมีลักษณะพิเศษ มันมีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งมันจะว่าสูงก็สูงกว่าคนสามัญธรรมดาโลกๆ 

เพราะอะไร มันมีเหตุมีผลของมัน พวกเรานี่ไม่ได้เอาพลังงานไปฟุ่มเฟือย ไปวุ่นวาย ไปปนอยู่กับไอ้เรื่องโลกๆ โลกๆ นี่มันเป็นโรคด้วยนะ ฟังเข้าใจไหม โลกๆ นี่มันเป็นโรคด้วยนะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้ไปทำอย่างโลกๆ เขาเป็น ไอ้โรคๆ มันก็ไม่มี เพราะฉะนั้นมันจึงแข็งแรงกว่าปกติอยู่ นี่เป็นสัจจะอธิบายง่ายๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่มีเหตุไม่มีผล มันมีเหตุมีผลของมันแท้จริง 

เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะ อาตมาถึงบอกว่าพวกเราชาวอโศกนี่ต่อไปในอนาคตจะเป็นคนที่มีอายุยืน เหมือนชาวหรรษา จะเป็นคนอายุยืนต่อไปในอนาคตแล้ว อยากจะเห็นคนอายุ 100 อายุยาวยืนให้มาดูที่ชาวอโศก เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นหลังๆ ที่เกิดมาเขาจะอายุยาวกว่านี้ ถ้าเขาไม่ออกไปจากวงสายสิญจน์ของชาวอโศก เด็กๆ รุ่นหลัง ถ้าเขายังอยู่ในสายศีลของชาวอโศก เขาจะอายุยืน  เขาจะรักษาเขาจะเป็นลูกหม้อ เขาจะเป็นตัวต่อเชื้อ ตัวที่เสริมสานขึ้นไปอย่างแท้จริง 

อาตมาว่านี้ อาตมาพูดนี้โมเมไหมที่อธิบายไป โมเมไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคนเราจะมีปฏิภาณปัญญารู้ค่า ว่าคุณค่าของอันนี้ว่าจริงหรือเปล่า ใช่ไหม จะรู้คุณค่าจริง 

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำจริง ชาวหรรษานี่เขาเป็นโดยธรรมชาติ เขาไม่ได้มีความรู้ทางพระพุทธเจ้าตรงๆ เหมือนอย่างพวกเรา เขาเป็นโดยธรรมชาติของเขา มันก็เข้าล็อคเดียวกันกับที่พวกเราพาเป็น ไม่หลงโลก ไม่เอาโรคจากชาวโลกๆ มา เขาก็อายุยืน แค่นี้ก็พิสูจน์ยืนยันสัจจะแล้ว 

เพราะฉะนั้นยิ่งพวกเราก็เข้าใจชัดเจน รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง เพราะฉะนั้นมันจะต้องอายุยาวยืนกว่าชาวหรรษาด้วย นอกจากพวกคุณนี่แต่ละคนมีวิบากมา เพราะฉะนั้นจะมีวิบากตัดรอนบ้าง ก็ไม่ต้องเสียใจหรอก แต่ละคนมีวิบากตัดรอนบ้าง ก็อาจจะไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ เราเติม เราได้เติมนะ ยังไงๆ คุณก็ได้เติม 

  1. เราปิดประตูที่จะเอาเชื้อโรคจากทางโลกีย์เข้ามา 

  2. เราเข้ามาอยู่ในนี้ เพื่อเติมเชื้อของโลกุตระ เติมเชื้อของสัจธรรมขึ้นไปๆ 

คุณปิดจริงหรือเปล่า คุณไม่ไปรับจริงหรือเปล่า คุณไม่ไปรับทางโน้น แต่ก็มารับทางนี้ มันก็ต้องได้ทางนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะ มันเป็นเรื่องจริง มันจะออกนอกความจริงไปได้ยังไง มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ 

คนชาวโลกโลกีย์ไม่ได้รู้ง่ายๆ เลยอย่างพวกเรา แต่ก็ดี ถ้าเขารู้แล้วเขาเฮโลเข้ามา เละเลยพวกเรานี้ คนเห่อเนี่ย คนเห่อนี่แย่เลยนะ จะมาปล้นนะ เขาก็จะมาเอาโดยที่ว่ามันไม่ได้เรื่องเลย เขาจะมาเอาโดยที่เขาไม่ได้มีคุณธรรม เขาไม่ได้มีฐานรองรับอะไร จะมาปล้นเอาดื้อๆ มันพังเลยนะ พวกเราก็ตาย เพราะฉะนั้นสัจจะอันนี้มันไม่เป็นหรอก เพราะพวกเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้หว่านล้อม คนเข้ามาต้องมีภูมิธรรมจริงเข้ามา มันจึงเป็นการคัดเลือก นี่มันเป็นสัจจะคัดเลือกโดยธรรม คนเข้ามาที่นี่ถึงเป็นคนที่จริง โดยคุณเองรับรองตัวคุณเอง ตัวคุณเองเป็นคนตัดสินและเลือกเอง เป็นตัวปัญญาพามา เป็นปัญญาแท้ๆ พามา ไม่ใช่ถูกครอบงำเหมือนอย่างที่พวกพิธาเขาทำ พวกทักษิณเขาทำ หรืออย่างพวกทางตะวันตก พวกอเมริกา ทำกันอยู่อย่างโลกๆ เขาทำอย่างนั้น เราไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย เราไม่ได้อยากได้คนอย่างที่พิธีกรรม วิธีอย่างโลกๆ เขาทำ แล้วเขาก็ได้คนเหล่านั้นไป เราไม่ได้อยากได้คนอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นวิธีที่คนจะมาหาเรา จึงคนละวิธีกันเลย ไม่ได้ขัดแย้งกันด้วย วิธีของเขาก็อย่างหนึ่ง วิธีของเราก็อย่างหนึ่ง ไม่ขัดแย้งกันด้วย จะว่าจริงๆ แล้ว พลเมืองคนละกลุ่ม พวกเรากับทางโน้นพลเมืองคนละกลุ่ม คนละฐานความคิด คนละฐานความเข้าใจ คนละฐานความเชื่อถือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 43 คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 14:57:00 )

ชาวอโศกให้ดูหมู่ใหญ่อย่าแตกแยกออกไปเลย

รายละเอียด

คนโง่ๆก็เป็นไปลูกๆหลานอาตมาก็ไม่ใช่คนฉลาดหมดหรอก คนโง่ก็ถูกดึงไปบ้าง แต่คนฉลาดเขาก็มีจิตแน่นอน มีสัญญายนิจจานิ มีการกำหนดรู้ที่แน่นอนในโลกว่าอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง อันไหนคือสิ่งที่ดีที่สุด ก็จะมีหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นจิตใจที่เป็นโลกุตระจิตใจที่เป็นอริยสัจรู้จักอย่างแท้จริงแล้ว จะไม่เป๋ๆไป๋ๆแตกแยกจากหมู่ใหญ่ ชาวอโศกอาตมาเคยแนะแล้วดูให้ชัดๆให้ดูหมู่ใหญ่หรือหมู่ไหนที่อาตมานำพานี่แหละ อย่าไปออกแตกแยกไปเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:26:12 )

ชาวอโศกได้ประโยชน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ซึ่งเรื่องนี้ศาสนาพุทธได้เพี้ยนไปไกล ซึ่งแทบจะเรียกว่าไปไหนมาสามวาสองศอกพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาฟังอาตมาแล้วก็บอกว่าไม่เข้าใจ เขาฟังแต่เรื่องศาสนาเทวนิยมสากลทั่วไปมีแต่ดีแต่ชั่ว แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมีกิเลสและลดกิเลสหมด ดับสุขดับทุกข์ ดับนรกสวรรค์ ดับภพชาติ  นี้คือศาสนาพุทธ อาตมาพูดไปก็เลยเหมือนกับคนบ้า พูดอยู่ได้คนอื่นเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย อาตมายังมีพวกที่บ้าด้วยกันอยู่กับอาตมากลุ่มนึงพวกชาวอโศกเป็นต้น เขาก็ได้ประโยชน์ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:16:00 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:48:13 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:18:29 )

ชาวอโศกไม่ลำบากด้วยเหตุใด

รายละเอียด

แล้วคุณก็บอกว่าอาตมาจะมีลูกศิษย์ลูกหามาก อาตมาก็ขอยืนยันว่าไม่มาก คุณมาบอกว่าลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ก็จะได้ไม่ลำบาก แล้วพวกเราลำบากกันไหม พวกเราไม่ได้ลำบากด้วยเพราะได้รับธรรมะที่ถูกต้อง เข้ามาจนมาลดละ มาลดความโลภ ลดความโกรธ และมันจะลำบากอะไร มันเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:35:24 )

ชาวอโศกไม่เดือดร้อน เรียกว่าพ้นภัย 5 ได้อย่างไร

รายละเอียด

โควิดคราวนี้ลำบากหลายอย่าง ที่เรียกกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี ว่ากันว่าจะมีคนที่ขาดรายได้ ขาดลาภปฏิลาโภ ก็เดือดร้อนกัน อันนี้ยิ่งเห็นมีการแสดงออกตอบรับกันมาก็แสดงให้เห็นชี้บ่งถึงว่า เข้าปฏิบัติธรรมไม่ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็เดือดร้อน ธรรมชาติก็ให้เดือดร้อน ธรรมชาติแปรปรวนทำให้เดือดร้อน อะไรต่างๆนานาเข้ามาแทรกแซงทำให้เดือดร้อนเท่านั้น แต่ผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างเช่นชาวอโศกจะไม่เดือดร้อน เรียกว่าพ้นภัย 5 พ้นอาชีวิตภัย การดำเนินชีวิตอยู่ธรรมดา ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร อาสิโลกภัยการติเตียนจากโลก ก็พ้น ปาริสารัชภัย การสะทกสะท้านในบริษัทต่างๆก็พ้น แม้ที่สุดมรณภัยก็พ้น ภัยจากความตาย หลายคนพวกเราก็ไม่ตกตกใจ ไม่เดือดร้อนตื่นเต้นกับความตาย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เรื่องตายถือเป็นเรื่องใหญ่ ใครตายก็ตามหรือเราตาย เราใกล้จะตายก็จะกลัวมาก แต่พวกเราจะเข้าใจถึงความเกิดความตาย ความเกิดความดับ หากควรตายก็ตาย แม้ตายเพราะอุปัทวเหตุก็ตาม ยิ่งคนอย่างปะดาวบุญ มีความเจ็บป่วยต้องนอนติดเตียงมาหลายปีเป็น 10 ปีสุดท้ายก็ต้องไปไม่ได้มีความประหลาดอะไร มรณภัยก็ยิ่งไม่มีปัญหาโดยเฉพาะ ทุคติภัย กลัวจะตกนรก ผู้มีฐานจิต โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีจะถึงอรหันต์ไม่กลัวตกนรก เพราะอะไรมันไม่มีนรก อนาคามีก็ไม่กลัว สกิทาคามีก็อาจวิเคราะห์บางช่วงที่เป็นนรกของตัวเองบ้าง แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่เราต่อไปจะไม่ทำ สิ่งที่ทำไปแล้วก็ไม่รู้มันเป็นอวิชชา ทำแล้วเป็นอันทำ แต่ที่จะทำต่อไปก็ระมัดระวัง สกิทาคามี โสดาบัน ก็เช่นกัน แต่ข้างนอกเขาไม่รู้เรื่องนรก ทั้งๆที่รู้ว่าชั่วก็ทำ เพราะว่าตะกละในลาภ จะอกุศลทุจริตอย่างไรก็ทำ นี่เป็นการพ้นภัย 5 อย่างแท้จริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:11:05 )

ชาวอโศกไม่เป็นภาระแต่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร

รายละเอียด

มีใครเป็นอย่างที่อาตมาว่าอาตมาโมเมหรือไม่ …ยกมือ ไม่เหมือนอย่างที่ชาวโลกเขาคิดจึงไม่ปฏิปักษ์ไม่เป็นคู่แข่งกับชาวโลกเขา นี่คือคนที่อาตมามาช่วยสอนมาแนะนำช่วยให้มามีวิถีชีวิตอย่างนี้ดำเนินชีวิตอย่างนี้ ก็ไม่เป็นภาระต่อสังคม ไม่เป็นคู่ต่อสู้ของสังคมแล้ว แม้แต่ทางด้านเศรษฐกิจ ก็มีแต่จะช่วยเศรษฐกิจให้สังคมมีมากมีเกินมีเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไป หลักเกณฑ์ 

  1. ไม่เป็นหนี้ 

  2. ขยันหมั่นเพียรช่วยตัวเองรอด 

  3. สร้างสรรค์ให้เหลือเกิน 

  4. แล้วแบ่งแจกผู้อื่น 

พูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว 4 หลักนี้ ชาวอโศกเราทำสำเร็จจึงไม่เป็นภาระประเทศไม่เป็นภาระสังคม มีแต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีคนที่บอกหาว่าราชธานีอโศกทำประเทศฉิบหาย ให้คุณศึกษาให้ดี 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:56:00 )

ชาวอโศกไม่เป็นหนี้ มีแต่เงินเกื้อเงินหนุน

รายละเอียด

แต่ชาวอโศกไม่เป็นหนี้ ไม่ไปกู้คนอื่นมา แต่เรามีแต่เงินเกื้อเงินหนุน เป็นการยืมกันภายในที่ไม่มีดอกเบี้ย เกื้อมาเท่าไหร่ก็คืนเท่านั้น จะคืนเพิ่มก็ไม่เป็นไร แต่เขาไม่เรียกร้อง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 20:45:04 )

ชาวอโศกไม่เป็นเผด็จการ เพราะมีอิสรภาพเสรียิ่งใหญ่

รายละเอียด

ทุกคนทำงานอยู่ในนี้ชาวอโศก คอมมิวนิสต์ก็ริษยา ประชาธิปไตยก็ริษยา ถ้าหากเผด็จการแล้วไม่ริษยาก็ชอบใจเลย ถ้าทุกคนทำให้ส่วนกลางหมดเลย เผด็จการที่ดูแลส่วนกลางก็ชอบใจ ผู้มีอำนาจใหญ่ก็ชอบใจ ทำให้เท่าไหร่ก็ชอบใจ บอกให้หมดเลย พวกเผด็จการคนเดียวก็แบบฟาสซิสต์ ส่วนแบบคณะเผด็จการก็เป็นคอมมิวนิสต์ มันก็มีการบริหารของโลกแบบนี้

พวกอโศกเป็นคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่เป็นเผด็จการ มีอิสระเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่แทนที่จะเป็นเผด็จการ ชาวอโศกมีอิสรภาพเสรียิ่งใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 05:58:07 )

ชาวอโศกไม่เล่นคริปโต ไม่เล่นแชร์ ไม่ทำการพนัน

รายละเอียด

ชาวอโศกไม่เล่นหรอกแบบนี้ พวกที่เล่นอย่างนี้ไม่ใช่ชาวอโศก พวกที่เล่นหุ้น แม้แต่เล่นแชร์ก็ไม่เอา ชาวอโศกไม่เล่น ถ้าเล่นอย่างนี้ไปอยู่ข้างนอก มันลากจูงให้มัวเมาในเรื่องเงินๆทองๆ อาตมาพูดอย่างนี้แหละเอาเข้มๆหน่อยชาวอโศก มันเป็นไปได้อย่างดีอยู่แล้วอย่ามาทำให้ความสะอาดของเขาแปดเปื้อน มันบาปนะ นี่พูดสัจธรรมว่ามันบาปไม่ใช่ขู่

ตอน ตัวตน ที่เจริญถึงขั้น อภิภายตนะ 8

มาพูดถึงความเป็นผู้ไร้ตัวตน ลึกซึ้ง ความเป็นผู้ไร้ตัวตน ฟังดีๆ คิดว่า จะอธิบายกันไปให้ละเอียดลึกซึ้งพิสดาร ตัว เป็นภาษาไทย เอาไปกำกับคำว่า ตนะ หรือตน คำว่า ตัวเป็นภาษาไทย เป็นลักษณะนามกำกับลงไป เหมือนเป็นตัวๆ บอกตนะเป็นตัว ตัวตน ตนะ มีอีกคำว่า คือ อายะ อายตนะ คนที่มีสังขารมีรูปนาม เกิดสังขารมาอายตนะเกิด ตัวของตนที่มีสะพานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา มี 2 สภาพขึ้นมา เป็นสังขารเป็นรูปนาม แล้วมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีอายตนะเกิด อายตนะไม่มีสภาพ นอกจากปัจจุบันที่มีผัสสะ

พอมีผัสสะ อายตนะก็เกิดในปัจจุบันนั้น พอเลิกจากปัจจุบันนั้นไป อายตนะก็หาย ไม่สะสมไม่อยู่ในที่ไหนๆ ไม่เป็นสมบัติ ไม่เป็นอะไร เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันเท่านั้น อายะ ตัวมันเองแปลว่าประโยชน์หรือแปลว่า กำไร แปลว่าสิ่งที่ได้ ขึ้นมาให้แก่ตน หรือ สิ่งที่ได้ขึ้นมาแก่ตัวตน หรือสิ่งที่เป็นตนเป็นตัวตน เป็นสิ่งที่ได้มาให้แก่ตัวตนนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดมาเป็นสัจจะ สมมติขึ้นในโลก เกิดเป็นสภาพสภาวะขึ้น ความจริงมันไม่มีตัวตน มีแล้วมันก็ไม่เที่ยงแล้วมันก็ตั้งอยู่บ้าง ไม่นานนักมันก็จะหายไป สุดท้ายมันก็หมด  หมดตัวตน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ตอน สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 09:22:10 )

ชาวอโศกไม่เหมือนชาวโลก

รายละเอียด

พวกเรานี้ปฏิบัติธรรมผู้หญิงก็ตัดผมสั้นอย่างกับผู้ชายเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรมดานะ เป็นเครื่องแสดงการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง อาตมาก็ว่าชาวอโศกนี้ไม่เหมือนชาวโลกเขา ที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาก คนประมาณนี้ มวลคน อาตมาว่า พวกเรามีโรคภัยไข้เจ็บน้อย ไม่มาก เดินแกว่งแขนก็รู้ได้แล้วนะ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:24:35 )

ชาวอโศกไม่ได้เป็นคนล้าหลัง

รายละเอียด

พอมาสมัยนี้ อาตมายืนยันว่า ศาสนาพุทธหรือความรู้ ความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าที่นำมาประกาศนำมาสอน มันไม่ได้เป็นความรู้ความฉลาดความจริง ธรรมดาเท่านั้น มันเป็นรู้ความฉลาดความจริงที่ทันสมัย นำยุคนำสมัยเสมอ ไม่เคยเก่า  

อันนี้คนฟังจะฟังเข้าใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะยาก มันเป็นเรื่องจริงเลยว่าไม่เคยเก่า อย่างชาวอโศกนี้ไม่ได้เป็นคนล้าหลังเลย ไม่ได้เป็นคนหลังเขาเลย แต่คนที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา โดยเฉพาะคนทั่วไปที่มองว่า อโศกนี้เป็นคนตกยุค เป็นคนไม่ทันสมัย ไม่เหมือนชาวโลกเขาที่ไปถึงไหนแล้ว เขาจะออกนอกโลกไปดวงดาวดวงนั้นดวงนี้แล้ว อาตมาบอกได้เลยว่าผู้ที่จะคิดไปดวงดาวดวงนั้นดวงนี้ขณะนี้ เป็นพวกเพ้อเจ้อเป็นพวกตกยุค ไม่ใช่ตกยุคหรอกเขาคิดว่าเขาก้าวหน้า แต่เขาเข้าใจผิดที่ความคิดก้าวหน้าของเขา ไปห้ามเขาไม่อยู่หรอก ห้ามเขาไม่ได้ เพราะเขาหลงในเทคนิค หลงในสิ่งที่เขาสามารถที่จะคิด คิดจรวด คิดดาวเทียม คิดอะไรต่ออะไรออกไป แล้วก็จะออกไปจนกระทั่งจะไปสร้างสถานีเป็นของตัวเองที่จะเป็นดินแดนที่จะอยู่ในอวกาศอะไรไปพวกนี้ มันเพ้อเจ้อไปแล้ว คุณจะไปคิดทำไม อยู่ในนี้ดินก็ดี อะไรก็ดี บรรยากาศอะไรก็ดีหมด ทำมาหากินอยู่ในนี้เลี้ยงชีพชีวิตไปให้อยู่อุดมสมบูรณ์ สงบอบอุ่นดี อะไรต่ออะไรไป แล้วก็เกิดก็ตาย

คุณจะเกิดจะตายไปอีกกี่ชาติ รับรองว่าสูงสุด เจริญเป็นมนุษยชาติที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดแล้ว ให้ออกไปนั้นมันเป็นความคิดเพ้อเจ้อ นึกว่ามันเป็นความเด่น ความฉลาด นึกว่ามันเป็นความเก่ง ความสามารถที่ มันเป็นโลกจินตา เป็นความคิดของโลกที่มันเพ้อเจ้อเพ้อพก เขาคิดว่าเขาเจริญเราก็ไปห้ามความคิดความเห็นความเข้าใจเขาไม่ได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 10:24:50 )

ชาวเทวนิยมจะรู้จักตัวตนได้อย่างไร

รายละเอียด

คำว่า เทวะ นี่ จึงยิ่งใหญ่ จนสุดจะกล่าว ในเรื่องของธรรมะทางโลก ทางเทวนิยมเขาก็เห็นว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ พระเจ้าเป็นเทวะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีอะไรเทียม เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย เพราะว่าพระเจ้าหรือเทวะเป็นอัตตา เป็นอาตมัน หรือเป็นปรมาตมัน ที่ชาวเทวนิยมจมอยู่กับตัวตน จะไม่รู้ตัวตนกันได้ง่ายๆ เลย ตราบเท่าที่ยังไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้พบกับสัตบุรุษ ชาวเทวนิยม จะไม่รู้จักตัวตน เทวะ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ ก็จะอยู่กับตัวตน อยู่กับตัวตนตลอดกาลอันไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่รู้จัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่รู้จัก อัตตา อาตมัน หรือปรมาตมัน 

ซึ่งก็น่าเห็นใจมาก ผู้มีจิตนิยาม แต่ไม่รู้จักโลกุตระไม่มีภูมิปัญญารู้จักโลกรู้จักอัตตา อยู่ในโลกและอัตตาเรียกว่าโลกุตระ ก็จะจมลงอยู่กับเทวะอันอวิชชา นาน นานจนนิรันดร จนกว่าจะได้ยินสัตบุรุษพูดโลกุตรธรรมให้ได้ยิน แล้วท่านก็ปฏิบัติให้เห็นด้วย และก็มีหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติโลกุตระเป็นสังคมโลกุตระ จะเกิดแม้แต่ยุคนี้ที่เป็นยุคที่ศาสนาพุทธเสื่อมมามาก จนโลกุตระใน 2,500 ปีนี้ไม่เหลือแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 12:30:16 )

ชาวเทวนิยมไม่ได้เรียนรู้วิญญาณและความหมดตัวตน

รายละเอียด

ชาวเทวนิยมไม่ได้เรียนรู้วิญญาณ ไม่ได้ศึกษาวิญญาณเลย จึงหลงสุขหลงทุกข์ หลงความทุกข์เป็นความสุข แล้วก็จะมีชีวิตเพื่อที่จะได้สุข จะได้ด้วยวิธีใดๆ ก็รบราฆ่าฟันแย่งกัน จนกระทั่งมามีความรู้ในศาสดาทางสายเทวนิยมว่า อย่าแย่งกันเลย แบ่งกันเถิด ก็มีจิตเอื้อเฟื้อ มีจิตเกื้อกูล ผู้ที่มีจิตเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแบ่งคนอื่นมากขึ้นก็ถือว่าเป็นผู้เจริญ เป็นผู้ที่มีมิตรจิตมิตรใจ เป็นผู้ที่มีเมตตา 

จนกระทั่งผู้นี้แหละก็พยายามที่จะให้คนทำจิตทำใจ เผื่อแผ่ผู้อื่นเถิด เกื้อกูลผู้อื่นเถิด ก็เป็นความดีงาม เกิดความพออยู่ได้ของสัตว์โลก ไม่เบียดเบียนกัน ไม่แย่งกันเต็มที่ แต่มันไม่หมดตัวตน ไม่รู้ว่า จริงๆแล้วจิตของเรานี้มันไม่มีตัวเราเลย มันมีแต่ธาตุรู้ที่รู้สิ่งจริงตามความเป็นจริง เกิดมาเป็นจิตนิยาม กำหนดรู้ รู้แล้วจริงๆ มันก็ไม่เป็นอะไรของใคร มันก็เป็นสิ่งจริงเท่านั้น แต่เรามาหลงว่าเป็นเรา เป็นของเรา จะต้องไปโลภหลง ไปแย่งชิง ไปโกรธอะไรกัน มันก็เลยโง่ไปใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:01:15 )

ชาวเทฺวนิยมย่อมสำคัญว่าพระเจ้าเป็นเจ้านายของวิญญาณ!

รายละเอียด

ชาว“เทฺวนิยม”เชื่อกันว่า “พระเจ้า”เป็นเจ้านายของวิญญาณ

และ“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”ไม่สูญหายไปได้ ต้องไปอยู่กับ“พระเจ้า”ผู้เป็น“วิญญาณ”ยิ่งใหญ่ที่สุดสูงสุดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นเจ้าของ“วิญญาณ”ทั้งหมด แล้วแต่“พระเจ้า”จะให้อยู่สวรรค์ หรือลงนรก

ที่เชื่อมั่นกันสูงสุดก็คือ “วิญญาณ”มีอยู่นิรันดรด้วย 

แม้“ตัวตน”ของ“พระเจ้า”เอง ก็ยังไม่มีใครคนใด“รู้จัก

รู้แจ้งรู้จริง”ด้วย“การสัมผัสตัวตน”ของ“พระเจ้า”ได้เลย

แล้วจะเอา“ความจริง”ที่สัมบูรณ์ครบถ้วนไม่มีอะไรลึกลับ คลางแคลง

สงสัยตั้งแต่ความเป็น“พระเจ้า”ต้นตอแท้ๆได้ยังไง? 

“พระเจ้า”ต้นตอก็“คลุมเครือ-ลึกลับ”ตลอดกาลอยู่ฉะนี้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 253 หน้า 204


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:09:03 )

ชาวโลกีย์จะมีทางออกจากการวนเวียนได้อย่างไร

รายละเอียด

แปลก เป็น common noun อัญญะเป็น proper noun 

ต้องเรียกว่าคนแรกในโลก เพราะคนที่ตรัสรู้โลกุตรธรรมแล้วนำมาเปิดเผยในโลก เมื่อโลกไม่มีโลกุตรธรรม มีผู้นำมาประกาศในโลกผู้นั้นก็เป็นคนแรก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเองเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครๆ คนโลกียะอยู่ในกระเปาะไข่ วนเวียนอยู่ในโลกโลกียะเดิม ออกไม่ได้ ไม่มีทางออก 

ผู้ที่จะมีทางออกก็คือผู้ที่ได้เชื้อ ได้เชื้อแล้วจนกระทั่งไปอยู่ในไข่ก็เจาะไข่ออกมาเองได้ ถ้าไม่มีเชื้อจะออกมาเองไม่ได้ จะอยู่ในไข่นั้นตลอดกาลนานนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงยากมากเลยสำหรับชาวโลกีย์ที่จะได้รู้ ก็จะต้องแสวงหาหรือได้ฟังได้ยิน ว่า อันนี้แปลก ความแปลกนี้เป็นสิ่งสำคัญ คนไหนมีปฏิภาณปัญญา คนนั้นเริ่มเห็น แล้วตามใส่ใจศึกษาว่าแปลกนี้คืออะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:20:09 )

ชาวโลกุตระมี “ปัญญา”

รายละเอียด

ชาวโลกุตระจึงจะมี “ปัญญา” รู้ว่า “สุข-ทุกข์” เป็นมายา

      “สุข-ทุกข์” เป็น “อุปาทาน” เป็นความ “ติดยึด” ทาง
จิตวิญญาณ ซึ่ง “พลังงานทางจิต” เป็น “ชีวะ” แล้วเริ่มมีภาวะตั้งแต่ขั้น “เจตสิก” ขึ้นไป สู่ “จิต” สู่ “วิญญาณ” เต็มสภาพ   

      แล้วก็เคลื่อนไหวออกมาเป็น “ตัณหา” ทำหน้าที่ตั้ง แต่หยาบสุดคือ  “กามตัณหา” 

      ถ้าคนผู้อวิชชาที่ “ไม่รู้” เรื่อง “กาม” ก็จะ “ใคร่อยาก” ดึง ดูดแย่งชิงมาให้ตน “เสพสุข” หรือ “ใคร่อยาก” ผลักดันออกไป ถึงขั้นทำลายทำร้ายฆ่าแกงกันทีเดียว ด้วย “ความไม่รู้ (อวิชชา)”

      “ความไม่รู้” นี้ศัพท์บาลีว่า “อวิชชา” ซึ่งใน “วิญญาณ” ของสัตวโลก จะสะสมใส่จิตวิญญาณของตนโดย “ความไม่รู้” นั่นแหละ จนกว่าจะได้พบ “ศาสนาพุทธ” ได้พบ “คนชาวพุทธ” ได้ฟังธรรมขั้น “โลกุตระ” จากผู้รู้ที่ “สัมมาทิฏฐิ” หรือจาก “สัตตบุรุษ” ยิ่งได้ฟังจากพระพุทธเจ้าก็ยิ่งโชคดีสุดยอด

      “อวิชชา” จะตกผลึกสะสมอยู่ใน “อาสวะ”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 20:11:19 )

ชาวโลกุตระมีเป้าหมายเดียวคือนิพพาน

รายละเอียด

ขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแก อาตมาไม่ได้รู้ว่าใครมาเกิดอาตมาไม่ทำด้วย ไม่พยายามรู้ไม่พยายามจะไปเพ่งไปหาว่าคนไหนมาเกิด อาจจะหลอกกันไปว่าคนนั้นคนนี้พูดกันไปเล่นๆ ได้ คนที่อยู่ในวงสัมพันธ์กัน ก็เกิดวนเวียนเป็นพ่อ เป็นลูก เป็นตา เป็นทวด วนเวียนอยู่ในนี้ แล้วก็เชื่อมต่อกัน ยิ่งเป็นชาวโลกุตระ ยิ่งมีเป้าหมายเดียว “ทิฏฐิสามัญตา” จุดหมายไปนิพพานเหมือนกัน มันยิ่งรวม ส่วนโลกียะ เขามีเป้าหมายเหมือนกันว่ารวยให้มาก สวยให้มาก เก่งให้มาก แต่มันคนแย่งมากไหม แย่งมาก โลกุตระคนแย่งมากไหม ไม่แย่งเลย มันอิสระเสรี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 11:43:19 )

ชาวโลกุตระหากมีญาติสักแสนคนจะไปได้ไกล

รายละเอียด

ขณะนี้เป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว นับเป็นญาติธรรมกันแล้ว คุณก็ยังจะไม่เอาญาติอีกหรือ ก็ต้องมีญาติบ้างสิ เป็นญาติธรรม คำว่าญาติธรรมนี้ลึกซึ้งนะ พวกเรามีแต่ญาติธรรม นับจำนวนพันเป็นอเนก กี่พันก็ได้ ล้านพันก็ได้ 

ตอนนี้ ขอให้ชาวโลกุตระเรามีญาติกันสักประมาณ จะได้สักแสนคนจะไปได้ไกล เป็นเชื้อโลกุตระจริงสักแสนคนจะได้ไกล อาตมาว่าน่าจะเป็นไปได้ คนที่มีเชื้อของโลกุตระแล้วนะ น่าจะไม่ถึงแสน ถ้าถึงแสนคนในคนประเทศไทย 70 ล้านคน แสนคนนี้เวิร์คเลยนะ 

ทุกวันนี้ได้ตัวตนบุคคลรูปร่าง ในบ้านราชฯ ขอสัก 777 คนยังไม่ได้เลย เพราะว่าวิธีการของอาตมาที่จะพยายามให้พวกเรามา มันไม่เป็นวิธีประโลมหลอกล่อ มีแต่บอกว่าคนยังไม่แน่อย่าเพิ่งเข้ามา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 08:13:58 )

ชาวไทยทำปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จครั้งแรก

รายละเอียด

เป็นการมองอย่างผู้ที่ไม่มีอคติมองจะเห็นเหมือนอย่างอาตมา นายกฯ ตู่ มารับไม้ต่อจากประชาชน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นนักปฏิวัติรัฐประหารที่ทำประหารรัฐบาล ไม่ได้เป็นคนลงมือ ด้วยภาษาว่าปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลลง ไม่ใช่ พฤติกรรมแท้จริงๆ ผู้ที่ปฏิวัติรัฐบาลลงคือพฤติกรรมของประชาชนชาวไทย ประชาชนชาวไทยทำรัฐประหารสำเร็จ ตั้งแต่นายกฯทักษิณ อันนั้นเริ่มต้นก็มี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้ช่วย ลงมือเป็นกองทหารมาทำ แต่ไม่ได้ทำเหมือนกัน เอาเครื่องมือออกมาเท่านั้นเอง เอารถถังเอาปืนออกมาเท่านั้นเองแต่ไม่ได้ยิงสักนัด ไม่ได้ทำอะไร พอออกมาแล้วก็สำเร็จแล้ว เพราะว่าทักษิณไม่ได้เข้ามา ไม่กล้าเข้ามา เพราะตัวเองก็ผิด ทำผิด คดีความตัดสินเข้ามาไม่ได้ แล้วยังมีคดีอื่นๆอยู่อีกตั้งหลายคดี ถูกตัดสินแล้วเข้ามาก็เข้าคุก แต่แกไม่ยอมมาเข้าคุก ก็จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แล้วแกก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ พยายามเอานอมินีขึ้นมา เอาสมัครขึ้นมา สมัครก็ถูกล้มลงไปด้วยสัจธรรมของประชาชนนี่แหละ เราก็ออกไปไล่สมัคร 

สมชายขึ้นมาอีก ไล่สมัครออกไปก็ยังไม่ชัดกันอีก เพราะว่าเอาคำตัดสินของศาล ก็บอกว่าไม่ใช่ประชาชน ที่จริงก็เป็นประชาชนนั่นแหละที่เป็นอำนาจที่เป็นองค์ประกอบให้ทำ สิ่งเหล่านี้รัฐศาสตร์ควรศึกษาให้สำคัญ จนกระทั่งสมชายเข้าทำเนียบไม่ได้ ประชาชนยึดทำเนียบเสร็จเรียบร้อยเลย จนเป็นคดีอยู่ถึงทุกวันนี้

สรุปต่อว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ทำการรัฐประหาร ไม่ได้ทำการปฏิวัติใดๆ เลย ประชาชนจริงๆ ทำ เป็นตัวอย่างของโลกที่ยังไม่มีประเทศไหนทำได้สวยงามเท่า แล้ว ยืนยันไม่ใช่รัฐบาลเดียว ประชาชนปฏิวัติตั้งแต่ทักษิณ แต่มันยังผสมผเส กับคณะทหาร พลเอกสนธิ ก็ยกไว้ 

สมัครมาอีก ก็เป็นประชาชนจริงๆ ไปไล่ ก็ไปเนื่องกับทางตุลาการ ศาลเป็นผู้ตัดสินให้สมัครลง 

แต่พอมาสมชาย ก็ประชาชน พอมาถึงยิ่งลักษณ์ ก็เป็นประชาชนเต็มไม้เต็มมือ สมบูรณ์แบบเลย แต่นักรัฐศาสตร์ก็ยังงงๆอยู่ แม้แต่เราชนะแล้วในเหตุการณ์ เราไปถวายฎีกาแล้ว ไปถึงวังแล้ว เข้าไปส่งฎีก เจ้าหน้าที่ก็ เงอะๆ งะๆ มันไม่เคยมีตัวอย่าง ถือแล้วจะเอาไปให้ในหลวงอย่างไร มันมีตัวอย่างที่ไหนยังไม่เคย ถือกลับมาคืน ก็ต้องกลับไปประชุมต่ออีกตั้งแต่สมชาย มาถึงยิ่งลักษณ์เราก็ประท้วงต่ออีก ตอนไปถวายฎีกาก็มีสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาใส่รถนำหน้าไป พลเอกปรีชา เป็นคนไปยื่นให้

สรุปแล้ว ประชาชนทำชนะเสร็จเรียบร้อย กระทั่งสุดท้าย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว เพราะว่าหลุดหมดแล้ว ตามหลักนิตินัยไม่มีแล้ว สุดท้ายรอจนกระทั่ง พลเอกประยุทธ์ อยู่ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจนะ ก็ต้องใช้วิธีการสื่อลักษณะพวกนี้ เพราะไม่ใช้รูปลักษณ์ พฤตินัย ของพวกนี้ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ลงมือลงไม้ ไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ พูดกันอย่างสุภาพ คุยกันดีๆ ด้วยว่า ตกลงคุณตกลงกันได้ไหม ถ้าไม่ได้ผมขอยึดอำนาจ 

ตั้งแต่นั้นมา พลเอกประยุทธ์ก็บริหาร ซึ่งโลกตอนแรกไม่ยอมรับ เขาถือว่าใช้อำนาจทหารปฏิวัติ เขาก็ไม่ยอมรับ แต่เมื่อบริหารต่อไปแล้ว สภาก็เลือกอีก ก็ได้เลือก พลเอกประยุทธ์ กลับมาอีก คณะ สส. ก็เลือกเอาพลเอกประยุทธ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ซึ่งมันงดงามมากแล้วท่านนักรัฐศาสตร์ทั้งหลายตรวจสอบให้ดีๆ เถอะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 17:20:08 )

ชาวไทยสามารถปฏิวัติรัฐบาลทรราชได้ด้วยพลังประชาชน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเราไปสู้ คนไทยเป็นคนพุทธ เราสามารถปฏิวัติรัฐบาลทรราชได้ ด้วยพลังประชาชน ไปชุมนุมแสดงความจริงประท้วงว่า รัฐบาลท่านผิด รัฐบาลท่านทุจริต รัฐบาลท่านเลวร้ายให้ออกไป ไม่ได้ไปเอาอาวุธ เรี่ยวแรงอย่างโลกๆ แต่เอาความจริงกับความรู้ไปเปิดเผยยืนยันว่า ผิดอย่างนี้ โกงกินอย่างนี้ ทำผิดพลาด ทำไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายผิดสัจจะก็ผิด ประเทศเสียหายอย่างไร ยืนยันความจริงทุกอย่าง ประชาชนก็เห็นหมด เข้าใจว่ามีหลักฐานความจริง เขาก็ต้องออกไป เข้าไม่ได้ กฎหมายให้เข้ามาก็ถูกจับว่าความก่อน เขาก็ไม่กล้าเข้ามา ตัวเขาเองไม่เปลี่ยนแปลง ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ไม่ยอมถูกจับก่อน ก็หนีตลอด เดี๋ยวนี้ก็ยังหนีอยู่ หนีเป็นการค้างหนี้ไปชาติหน้าชาติโน้น ไม่รู้กี่ชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 12:05:56 )

ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน รวยไม่ได้ แต่ต้องมีปัญญา

รายละเอียด

ถ้าจะมาเป็นกสิกรรม เอาคนมาเป็นกสิกรจึงจะต้องอยู่ในฐานของแบบคนจนตามในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะว่าชาวไร่ชาวนาชาวสวนรวยไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์รวย แล้วไม่ต้องทำตัวแบบนั้นต้องมีปัญญารู้ว่าเราจะไปรวยทำไมมันเป็นเศษกระดาษ เรารวยผลผลิตทางพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ อุดมสมบูรณ์ นอกจากจะอุดมสมบูรณ์แล้วรวย เย้ยธนบัตร เอาของไปแจกเลย ไม่เอาธนบัตรด้วย เกินนี้เราก็ไม่ให้ เราก็กินบ้าง ให้เท่าที่เราให้ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 14:48:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:10:48 )

ชำนาญเรื่องเดียวอย่างอื่นอาศัยเขาบ้าง

รายละเอียด

คนที่อยู่ในฐานะผู้บริหารผู้รับหน้าที่รับผิดชอบ แง่นั้นเชิงนี้ ในแง่วิศวกรรม การสื่อสาร ชลประทานอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้วก็คือสิ่งที่มนุษย์อาศัย กับการเฉลี่ยที่เราได้ชำนาญในเรื่องใด แม้ว่าเรามีความชำนาญในเรื่องเดียว คนปลูกพืชผักอย่างเดียว คุณก็ทำ แล้วอันอื่นก็อาศัยของเขาบ้าง ในคนก็มีการแลกเปลี่ยน การขายก็สบายกว่าแลกเปลี่ยน เดี๋ยวนี้มีการขายทางไลน์ ทางอากาศ อยากได้อะไรก็กดสั่ง มีเงินจ่ายเขาก็แล้วกัน ยิ่งสะดวกเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2564 ( 21:18:09 )

ชำระกิเลสก็คือ บุญ ไม่ใช่กุศล

รายละเอียด

คำว่า ชำระกิเลสก็คือ บุญ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันเสื่อมจนกระทั่งคำว่า บุญ เขาไม่เข้าใจแล้ว บุญ เขาไปหมายถึง กุศล ได้กุศล 

คำว่า บุญ เพี้ยนผิดไปเป็นกุศลเท่านั้นเอง เสื่อมแล้วศาสนาพุทธ ไม่มีโลกุตรธรรม บุญมันคือ อาวุธฆ่ากิเลส สะสมไม่ได้ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีบุญ หมดบุญ หมดบาป สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ หมดบุญหมดบาป ก็เป็นพระอรหันต์ 

ยังไม่หมดบุญก็จะลดลงเรื่อยๆ เป็นโสดาบัน บุญก็ลดลงประมาณหนึ่ง เพราะว่าทำจิตให้สะอาดผ่องใสจากกิเลสไปได้จำนวนหนึ่ง สกิทาฯ ก็ลดลงไปได้อีก อนาคาฯ ก็ลดลงไปได้อีก อรหันต์หมดเลย บุญก็หมดเกลี้ยง บุญไม่ได้กลับไปเป็นบาปอีก ไม่ คนที่ได้แล้วได้เลย บุญหมดแล้วก็หมดเลย บุญจึงไม่เกิดในตนในผู้ที่หมดกิเลสนั้นแล้ว พระอรหันต์จึงไม่มีบุญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2566 ( 12:41:55 )

ชำแหละอัตตวาทุปาทานของพญาครุฑและพญานาค

รายละเอียด

ขออธิบาย อัตตวาทุปาทาน ให้ละเอียดๆ สักนิดนึง

มันมี อัตตา อันนึง วาทะอันนึง อุปาทานอันนึง

อุปาทาน คือการยึดติดด้วยอวิชชาไม่เข้าใจไม่รู้แต่ยึด

แล้วไอ้ที่ยึดที่เรียนกันอยู่เป็นปราชญ์ ถือว่าเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในศาสนาพุทธ เขายึดได้แต่แค่ วาทะ เท่านั้น เป็น อัตตา ของเขา เป็นทั้งอัตตาด้วย ไม่ได้ออกนอกอัตตา ไม่ได้เป็นอนัตตาเลย ยึด 

ยึดอะไร ยึดวาทะ คือได้แค่บัญญัติ ได้แค่พยัญชนะ ได้แค่เรื่องราว ได้แค่คำพูด ไม่ได้เข้าไปถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เลย นี่คือ อัตตวาทุปาทาน 

ทวนอีกทีนึง คือเขาเป็นนักปราชญ์ เป็นนักศึกษา เป็นนักรู้ เป็นนักปฏิบัติธรรม เรียนรู้มากเลยนะ เก็บความรู้มา รู้หมด เป็นผู้รู้แล้วจริงด้วยเป็น Learned Man แต่เขาก็ได้แค่วาทะ ได้แค่ภาษา ได้แค่คำพูด เก่งมากแค่เรื่องราว เก่งหน่อยก็แค่เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็ลึกขึ้นไปในเรื่องราว ก็เป็นเรื่องราวของ ของเรื่อง นอก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของสักกายะของตนเอง เป็น ปทปรมบุคคล เป็นผู้รู้ธรรมะ รู้ธรรมบท รู้พุทธพจน์ก็มาก จำได้มาก สาธยายอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินั้นๆ ไม่ได้สลายอัตตา ไม่ได้รู้จักทะลุเข้าไปถึงอัตตาจนเป็นอนัตตา เป็นอาริยะ 

ถ้าหากอนัตตาก็มีอรหัตผลไปตามลำดับ โสดาบัน ก็มีอรหัตผลในโลกอบาย โลกต่ำ สูงขึ้นมาก็เป็นโลกกาม แล้วก็โลก รูปาวจร อรูปาวจร ก็หมด

แต่นี่ไม่รู้อัตตา อัตตา มีอยู่ 3 ภาษา  

1.โอฬาริกอัตตา 2. มโนมยอัตตา 3. อรูปอัตตา 

อัตตาทั้ง 3 นี่แหละเขาไม่รู้จักอัตตาเลยได้แต่วาทะ ตนเองเต็มไปด้วยอัตตา โดยปรมัตถ์ตนเองเต็มไปด้วยอัตตา ที่ได้ก็ได้แต่วาทะ 

แยกให้ดีนะ และตนเองมีโอฬาริกอัตตาอยู่เต็มบ้องเลยก็ไม่รู้ตัว โอฬาริก อลังการ อัตตาที่ยิ่งใหญ่มากเลย ใหญ่โตอลังการแบกลาภ แบกยศ แบกสรรเสริญ แบกความสุข เพราะตนเองมีความรู้ก็เลย คนมีความรู้นี่แหละเลย ได้ลาภจากความรู้  ได้ยศจากความรู้ ได้สรรเสริญจากความรู้ โลกียสุขจากความรู้ เสพสุขโดยไม่รู้จักสุขจักทุกข์ จมอยู่กับสุข ได้อย่างเต็มที่บริบูรณ์เกือบจะไม่มีขั้นเลยนะ ทุกข์น่ะ 

เอาเถอะได้ลาภจนกระทั่งเนียนคืออยากได้เมื่อไหร่ก็ได้ ขอให้ออกปากเถอะ ไม่ต้องเรี่ยไร แล้วก็ทำเป็นว่าไม่สะสมด้วยเหมือนมหาบัว ไม่สะสมหรอกแต่เอาไปไว้ที่ประเทศไทยไปที่คลังประเทศไทย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าอยู่ ทั้งๆที่เขาสะพัดไปที่ไหนๆแล้ว ฟังให้ดีนะอาตมาอธิบายนี้ซับซ้อน ลึกซึ้งซับซ้อนมาก 

เพราะฉะนั้นนี่ไม่ได้ไปยึดทางนั้น แต่ไปยึดความรู้ว่าเป็นลาภ ยึดความรู้ว่าเป็นยศ มันซ้อนนะ มันซ้อนยิ่งกว่ามหาบัว มหาบัวยังเป็นวัตถุเป็นทองคำ แหม ดอลลาร์เสียด้วยนะ จะสะสมแบงค์บาทก็ไม่เอาสะสมดอลลาร์หัวสูงเสียด้วย แต่นี่ไม่ ความรู้เป็นลาภ ความรู้เป็นยศ ความรู้เป็นสรรเสริญ ความรู้เป็นสุข เป็นพญาครุฑ

เพราะฉะนั้น สภาพปรมัตถสัจจะของพญาครุฑ หรือสภาพ

ปรมัตถสัจจะของพญานาค 2 อย่างนี้ พญาครุฑคือหลงรู้ พญานาคคือหลงสภาวะ 

สภาวะอะไร สภาวะเป็นผู้ที่ดับ ดับได้สนิทดับได้นานถึงขั้นจมอยู่ใต้ก้นบาดาล แล้วก็จะดับไม่รู้สึกตัว จะรู้สึกตัวทีหนึ่งก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก แต่ละองค์ พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก 1 องค์ จะลอยถาดมา เอาถาดทองคำมาแล้วก็โยนลงไป ตกลงไปกริ๊ก พอกริ๊ก ก็จะเกิดเวทนาให้รู้สึกตัวขึ้น นิดนึง 

ที่รู้นิดนึงอะไร ตัวพญานาคตัวนี้แกจะรู้ว่า อ๋อ.. พระพุทธเจ้าได้เกิดอีกแล้วเหรอจ๊ะ แล้วก็หลับดับดิ่งอยู่ใต้ก้นบึ้งของ จะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้มันลึกสุดลึกต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอุบัติ ความหมายก็คือในโลกนี้มีศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้เลยว่าศาสนาพุทธคืออะไร รู้แต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาประกาศศาสนาพุทธ รู้เท่านั้น แล้วก็ดับ เฝ้า เป็นพญานาคเฝ้า เฝ้าความรู้ ความรู้ที่ถือว่าเป็นความรู้ที่สุดยอดก็คือพุทธศาสนานี่แหละอยู่อย่างนี้ นี่คือพญานาค ส่วนพญาครุฑนั้นเหินฟ้า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ ข้านี่แหละรู้ทั่ว ที่จริงอันเดียวนั่นแหละ ยึดทั้งคู่ เป็นอัตตาทั้งคู่ ทั้งพญาครุฑ ทั้งพญานาค คือจอมอัตตา 

เพราะฉะนั้น โอฬาริกอัตตา เต็มสภาพเป็นอัตตาที่อลังการ เป็นอัตตาที่โอฬาริก อัตตา แต่คนดูไม่ออก แต่อาตมาดูออกก็มาขยายให้ฟัง อัตตาของพญาครุฑก็อย่างหนึ่ง อัตตาของพญานาคก็อย่างหนึ่ง 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงอัตตาในระดับ มโนมยอัตตา ก็ต้องลด ต้องเรียนรู้ลดอัตตาตนเองจึงจะลดได้จริง จึงจะมาอยู่ในขั้นที่ 2 คือเรียนรู้อัตตาในสภาพที่ถูกต้องสภาวะสัจธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นอาริยบุคคล ก็ลดกิเลสลงไปได้เรื่อยๆ มโนมยอัตตา อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต

มโนมยัง แต่ว่าสำเร็จด้วยจิต อัตตาที่ทำให้ตนเองบรรลุสำเร็จด้วยใจไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นยังงมงายยังมี โอฬาริกอัตตา อาตมาเห็นแล้วน่าสงสารทุกวันนี้ ผู้ที่เป็นปราชญ์ขออภัยต้องพูดอันนี้คำนี้ ผู้ที่เขายกย่องนับถือกันว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธทุกวันนี้ ที่อาตมายืนยันว่า เป็นยุคเสื่อมของศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนี้ อย่างแท้จริง ผู้ที่เป็นปราชญ์ยุคนี้คือโอฬาริกอัตตา จมอยู่ในนั้น ยังไม่ได้เข้ามาหามโนมยอัตตาเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงอรูปอัตตาที่จะ เหลืออัตตาสุดท้ายที่จะหมด 

โอย.. ก็พูดความจริงขึ้นมาก็เมื่อย อาตมาเมื่อยเพราะอาตมาเมื่อยจริงๆ นะ ต้องแสดงธรรมะอยู่ทุกวันนี้เมื่อยจริงๆ 

เมื่อยเพราะลากขันธ์แล้ว 90 แล้ว ยังไม่แล้วนะยังไม่เต็ม วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ถึงจะเต็ม 90 ขึ้น 91 ก็ลากขันธ์ไปให้มันได้ อาตมามุ่งมั่นจริงๆ ว่าจะให้ถึง 100 อายุนะ เกินกว่าได้ก็เอา แต่เอา 100 เป็นเป้าก่อน อีก 10 ปีเองนะทำเป็นเล่นไป ไม่นานนะ 10 ปี 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 49 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 15:31:11 )

ชิคุจฉติ

รายละเอียด

1. เกลียด 

2. เกลียดชัง 

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 37

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 124


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:11:05 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:05:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:25:13 )

ชิคุจฉามิ

รายละเอียด

ชิคุจฉามิ  คือ  ความเกลียดชัง

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2562 ( 17:09:43 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 12:04:30 )

ชิคุจฉามิ

รายละเอียด

รังเกียจ , เกลียด

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 200


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:12:49 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:06:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:25:58 )

ชินชา 2 ความหมายที่เป็นเหตุปัจจัย

รายละเอียด

ชินแปลว่าผู้ชนะ ชาแปลว่าผู้รู้ ภาษาบาลี เมื่อมาเป็นภาษาไทย ชินชาแปลว่าเฉย ชา แปลว่าความรู้ ชินะ แปลว่า ชนะ คือผลงานที่เราทำได้ ตอนแรกก็ตื่นเต้นเมื่อนั้นเขาก็เคยชิน ชนะ ชนะจนกระทั่ง ไม่เห็นน่าตื่นเต้นเลย ชนะมาตั้งร้อยครั้ง ชนะมาตั้งพันครั้ง ไม่เห็นมันตื่นเต้นเลย ชนะมาตั้งหมื่นครั้งแสนครั้ง น้ำหนักของความชินชาจะมากขึ้นอย่างไร

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:36:20 )

ชินชา คือ อย่างไร

รายละเอียด

ที่จริงคำว่า ชิน กับคำว่า ชา ภาษาบาลีคำว่า ชิน แปลว่า ชนะ คำว่า ชา แปลว่า รู้ ภาษาไทยมาจากภาษาบาลี ชินชา มันชนะใครๆ แล้ว ด้วยความรู้ ชา หรือ ปรีชา หรือชานติ แปลว่า ความรู้ แล้วมันเป็นความรู้ระดับโลกุตรธรรมด้วย เป็นความรู้ที่ไม่เหมือนชาวโลกเขารู้ เช่น ชาวโลกเขาจะแย่งกันไปรวย แต่ ในหลวง ร. 9 เราบอกว่า มาจน มาขาดทุน จะไปทำได้อย่างเขานั้น มันโง่ตายเลย มันไม่เจริญไปหาแต่กำไร อโศกนี้เจริญ ทำแต่เรื่องขาดทุน ไม่หากำไร เจริญมาก โอ้…พูดอย่างนี้เหมือนกับพูดเล่นนะ พูดเท่ๆ โอ้โห สร้างความเท่

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:02:03 )

ชินะ

รายละเอียด

1. เป็นผู้ชนะอย่างจริง เป็นผู้สูญสิ้นกิเลส ตัณหา อุปาทานอย่างเกลี้ยงเกลา เป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ของศาสนาพุทธทีเดียว

2. ผู้ชนะ 

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 99

ทางเอก ภาค 3 หน้า 11


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:13:50 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:06:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:26:26 )

ชินแปลว่าอะไร

รายละเอียด

ชิน ภาษาบาลีแปลว่า ชนะ  แต่ทีนี้ คำ ชิน แปลว่า มันชนะ แต่ทีนี้ ความหมายมันซับซ้อน อย่างที่คนนี้บอกว่า ชินแล้วคือยอมให้เขา คนยอมคือคนชนะ เขายอมแบบไม่อยากมีเรื่อง ก็อย่างนี้แหละยอมไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง ชินก็เลยแปลว่า มันเคยแล้ว มันมีภาษา ชินชา ชิน แปลว่า ชนะ, ชา แปลว่า ความรู้ แต่มันผิดเพี้ยนกลายเป็นเรื่องไม่เอาเรื่องเอาราว ชินชาคือไม่เอาเรื่องเอาราว มันก็ได้อย่างนึงคือไม่ต้องยึดถือปล่อยไปเถอะ ชินชา ก็เลยกลายเป็นว่า ความชินชากลายเป็นความด้านทน ไปเป็นความหมายอีกด้านมันก็เลยเป็นคำเสียไป อาตมาก็แหม อายุ 151 มันจะน้อยไปไหม นี่ก็อธิบายไม่จบ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:55:15 )

ชิวหาวิญญาณ

รายละเอียด

1. ความรับรู้ที่อาศัยลิ้น 

2. ความรับรู้เมื่อรับมาจากทางลิ้นแล้วร่วมปรุงแต่งด้วยกิเลสในใจ

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 220

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 105

 


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:14:50 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:07:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:32:17 )

ชิวหาสัมผัส

รายละเอียด

ความกระทบที่มาสัมผัสทางลิ้น

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 220 ,ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 106


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:15:27 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:08:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:26:58 )

ชิวหาสัมผัสชาเวทนา

รายละเอียด

ความรู้สึกที่เกิดจากการแตะต้องทางลิ้น

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 118


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:16:00 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:08:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:27:17 )

ชีพ หรือ ชีวะ

รายละเอียด

แยกเป็น 2 คือ พืชนิยาม กับจิตนิยาม

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:03:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 12:06:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:06:39 )

ชีรณุปาทาน

รายละเอียด

สักแต่ว่ายึดไว้อย่างนั้นเอง มีแต่จะแก่ลง เสื่อมสลายไปเป็นที่สุดโดยจะไม่มีฤทธิ์โงหัวขึ้นมาอีก

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 287


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:16:38 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:09:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:27:44 )

ชีวกสูตร

รายละเอียด

กรรมหนักตกถึงแม่ท่านแน่ เพราะพระพุทธเจ้าได้บรรยายในเรื่องเนื้อสัตว์นี้ใน ชีวกสูตรละเอียดมากจนคนเข้าใจกันยาก หรือไม่ได้เลยในชีวกสูตรว่า บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย 5 ประการ บุญสักนิดน้อยไม่มีเลย

  1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

  2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

  5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ  ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60

การเจาะจงนั้นเขาขยายความเพื่อให้คนกินเนื้อสัตว์ได้ ยิ่งเบี้ยวบาลีก็ยิ่งทำผิดหนักเข้าไปอีก ผิดซ้ำซ้อนอีก โดยอัตตาความเห็นแก่ตัวก็เลี่ยงไป คุณเองกินเนื้อสัตว์ก็บาปแล้ว แถมมาโกหกเบี้ยวคำสอนพระพุทธเจ้าอีก ก็บาปเพิ่มขึ้นอีกซ้ำซ้อน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 11:14:40 )

ชีวกสูตร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ) 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:30:39 )

ชีวกสูตร 5 ข้อ

รายละเอียด

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา  โวโรเปตา)   

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส   

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”   

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส   

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 

(ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)

 

ที่มา ที่ไป

ชีวกสูตร พตปฎ. ล.13   ข.60  


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2567 ( 16:01:08 )

ชีวกสูตร 5 ข้อที่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ

รายละเอียด

ข้อที่ 1 กล่าวถึงชื่อสัตว์ก็บาปแล้ว เพราะคนจะกล่าวชื่อสัตว์นี้ถ้ามีอกุศลเจตนาในจิตแล้ว กล่าวชื่อสัตว์ใดๆ ขึ้นมา ก็บาปทันที มีอกุศลเจตนาในจิตว่า จะไปจับมันมา เท่านั้นแหละ เจตนาจะให้ไปจับมันมา ถ้ากล่าวชื่อสัตว์ลอยๆ เช่น นก แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่มีเจตนาที่จะให้ไปจับ มันก็จะไม่มีเจตนาข้อที่ 2 ก็คือ 

ข้อที่ 2 ให้ไปจับมาผูกมามัดมา ใส่เข่งใส่กรงขังมา ไปจับมัน มันก็หมดอิสระ ธรรมดามันก็อยู่ของมันอิสระ อันนี้เป็นบาปเป็นอันมากข้อที่ 2 เพราะสัตว์มันไม่ต้องการให้ใครจับมันมา นอกจากหลอกล่อให้มันมาหลงรัก หลงผูกพัน นั่นก็อีกเรื่องซับซ้อน จะไม่ขยายความ มีอกุศลเจตนาตั้งแต่ข้อ 1 ข้อที่ 2 จับมันมาก็ได้สัตว์นั้นมา 

ข้อที่ 3 สั่งฆ่าเลย ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ออกชื่อสัตว์ชนิดนี้ตัวนี้ เป็นบาปข้อที่ 3 แล้ว สั่งสมเข้าไปอีกหนักหนาสาหัส ข้อที่ 3 ก็เป็นบาปหนักเป็นอันมาก ชั้นที่ 3 ทับถม 

ข้อที่ 4 สัตว์นั้นกำลังถูกเขาฆ่า  มันจะเสวยความทุกข์หรือเสวยสุข....ความทุกข์ เป็นบาปของคนสั่งฆ่า แม้ไม่ใช่คนฆ่าเองนะ แต่เป็นคนสั่งฆ่า ก็บาปเป็นอันมาก มหาศาล ฆ่าจนสัตว์เขาตาย ตายแล้วก็เอาไปทำอาหาร ทำกับข้าว 

ข้อที่ 5 ทำกับข้าวอย่างดี ทำอาหารอย่างประณีต ใช้เชฟ พ่อครัวแม่ครัวชั้น 1 เลย ปรุงมาอย่างดีให้อร่อยให้วิเศษเลิศเลออย่างไรยิ่งใหญ่ก็แล้วแต่ เพื่อที่จะเอาเครื่องปรุงตกแต่งแบบโลกีย์ที่คนนิยม เอามามอมเมา สาวกของพระพุทธเจ้า เอามามอมเมาพระพุทธเจ้าอีกที ให้ยินดี ให้หลงติดในอาหารเนื้อสัตว์นั้น ที่เขาใช้เนื้อสัตว์เป็นเหตุปัจจัย มาปรุงแต่งเป็นอาหารให้กิน 

แค่เอาเนื้อสัตว์ไปถวายพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็บาปเป็นข้อที่ 5 แล้ว ฟังให้ดีๆเถอะ มันไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน แต่เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมาก คนจะฟังรู้เรื่องเข้าใจแล้วสำนึก ก็จะ โอ้โห.. ปานฉะนี้เชียวหรือ ตายๆๆๆ เราถวายมานักแล้ว แล้วก็ปรุงแต่งให้ท่านชอบด้วย ปากก็บอกว่าโยม วันนี้ไม่ทำแกงไก่มาให้กินเหรอ วันนี้ไม่ทำพะแนงมาให้กินหรือ พระสงฆ์สาวกหน้าด้านก็จะขออย่างนี้ ขออภัยที่พูดเร็วพูดแข็งพูดชัดพูดตรง มันเป็นอย่างนั้นจริง รายละเอียดของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้ดีๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:45:43 )

ชีวกสูตร 5 ข้อเป็นวิบากบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย

รายละเอียด

ที่อาตมายกใน ชีวกสูตร 5 ข้อ เป็นวิบากบาป ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ข้อ อธิบายกันเท่าไหร่ คนก็ยังรู้ความสุขุม ประณีต ละเอียด ของคำสอนพระพุทธเจ้าอันนี้ไม่ได้ ก็ชอบอ้างกันนักว่าพระพุทธเจ้าให้บริสุทธิ์โดยส่วน 3 และบริสุทธิ์โดยส่วน 3 นั้นลึกซึ้งแค่ไหน ซึ่งเขาแปลเพี้ยนไปว่า เขาฆ่าเฉพาะผู้นั้น ชื่อนั้น เท่านั้นกินไม่ได้ ที่จริงไม่ได้หมายความถึงอย่างนั้น แต่หมายความถึงว่า สัตว์ใดหรือตัวใดที่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า เจตนาพระพุทธเจ้าแยกรายละเอียดถึง 5 ชั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 20:43:49 )

ชีวกสูตร 5 บาปที่เกี่ยวข้องกับสัตว์

รายละเอียด

อาตมาก็เอา ชีวกสูตร 5 อธิบายมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ตั้งแต่ไปกล่าวชื่อมัน ไปจับมันมา ไปฆ่า ฆ่าแล้วเอาไปถวายพระพุทธเจ้า หรือสาวกพระพุทธเจ้าอีก มันเป็นบาป 5 ขั้นตอนเลยนะ ละเอียดลออ แม้แต่จะกล่าวชื่อสัตว์ที่มันเป็นจิตนิยาม จะเอามากินหรือจะเอามาฆ่าก็อย่าทำเชียว 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

พระพุทธเจ้าสอนละเอียดลึกซึ้งถึงขนาดนั้นก็ยังไม่รู้เรื่อง อย่าเอาอาหารเนื้อสัตว์ไป ถวายสงฆ์ ไปถวายพระพุทธเจ้าให้บอกว่าเป็นของดีนะจ๊ะ ทั้งที่มันเป็น อกัปปิยะ มันเป็น ของไม่ควร มันเป็นของที่เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย ข้อที่ 5 นี้มันเป็นของไม่ควรจะเอาไปถวาย มันเป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย แค่นี้ก็ไม่รู้จะไปพูดทำไมถึงไปลากสัตว์มาไปจับสัตว์มาไปผูกคอมาแล้วลงมือฆ่า ทั้ง 5 ข้อนี้ ข้อที่ 5 นี้ก็เข้าใจไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก  


เวลาบันทึก 18 มกราคม 2566 ( 12:30:12 )

ชีวกสูตร 5 ประการ ที่เป็นบาปไม่ใช่บุญเลย

รายละเอียด

แม้แต่ศีล เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างสัมมาทิฏฐิ อปัณณกปฏิปทา 3 เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างจริงจังเพราะฉะนั้นสัทธรรม 7 อย่าหวังเลยว่าจะเข้าถึงตรงนี้ ยิ่งฌาน 4 หลังจากสัทธรรม 7 ไม่ใช่เลยไม่มีเลย ซึ่งมันเป็นของพุทธนะ แต่ฌานหลับตาของ เดียรถีย์ของโลกียะทั่วไป ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร 

ศีลข้อ 1 2 3 ท่านแยกไว้ชัดเจนแล้ว 

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน เรื่องของสัตว์เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกัน สัตว์มันก็มีวิบากของสัตว์ เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วยวิธีใดๆ เลย แล้วมาเรียนรู้กรรมวิบาก ที่มันยังสืบเนื่องสืบต่อกันอย่างลึกที่สุดเลยกรรมวิบากนี่ 

อาตมาขอยกชีวกสูตร 5 ประการ ที่เป็นบาปไม่ใช่บุญเลย 5 ประการนี้อีก 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

 (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน   ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60 

สัตว์หากคนไม่ได้เลี้ยงมันจนเชื่อง มันก็ไม่ต้องการให้มาจับมันหรอก ซึ่งบางคนก็จะเลี้ยงให้เชื่องแล้วก็ฆ่ามันเพื่อเอาไปกิน 

เอาอาหารเนื้อสัตว์มาถวายพระสงฆ์ ถวายพระพุทธเจ้า เป็นอาการที่ไม่ควรกระทำ อกัปปิยะ แค่เข้าใจข้อ 5 ตรงนี้ก็รู้ว่า การทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุกับพระพุทธเจ้าเป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง แค่ข้อ 5 ข้อเดียวนี่ก็อ่านพระไตรปิฎกอ่านคำตรัสของพระพุทธเจ้าไม่แตก ฟังแล้วจะเห็นว่าอาตมาได้ใส่ความเข้าข้างตัวเองหรือไม่ ก็ชัดเจนตามพระบาลี อกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรที่จะเอามาถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า เขาจะมาถวายเพื่อให้ท่านเบื่อหน่าย รังเกียจเนื้อสัตว์ใช่ไหม ก็ไม่ใช่ เขาต้องมาถวายเพื่อให้ท่านยินดีไปด้วยเนื้อนี่แหละ ซึ่งเป็นการไม่ควร 

ในยุคนั้นคนไม่ฉันไม่กินเนื้อสัตว์จนเป็นอันมากไปแล้วในชาวอินเดียนักบวช อย่าว่าแต่ชาวพุทธเลย นักบวชฮินดูก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์กันเยอะแยะ เป็นที่รู้กันทั่วไปไม่ต้องมาเป็นบัญญัติอะไร มันเป็นจำนวนที่มากแล้ว ขนาดพระเทวทัตก็ฉันมังสวิรัติ ขนาดโง่อย่างพระเทวทัตยังไม่ฉันเนื้อสัตว์ คนอื่นจะบอกทำไมให้เขาไม่ฉันเนื้อสัตว์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์จากพ่อครูผู้ตามรอยบาทพระศาสดา วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤษภาคม 2565 ( 11:21:35 )

ชีวกสูตร ข้อ 1 เจาะจงฆ่าสัตว์ชื่อนั้น ไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน

รายละเอียด

เมืองไทยนั้นไม่ได้โหดร้ายรุนแรงเหมือนอย่างทางต่างชาติ เขายิงกันหน้าตาเฉยเลย เขาทิ้งระเบิดกัน ตายกันเป็นร้อย หลายร้อย เขาก็ยังเฉยๆ  ไม่เข้าใจ เขาเห็นชีวิตมนุษย์เป็นอย่างไร ศีลข้อ 1 เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย เพราะฉะนั้นในจิตที่ลึกซึ้งตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาได้นำ ชีวกสูตร ในการที่มีจิตที่รู้คุณค่าของชีวิต คุณค่าของความมีชีวิต ไม่พยายามที่จะต้องไปมี สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง ไม่ต้องไปมีจิตที่จะมุ่งร้ายต่อชีวิตถึงขั้น ปาณะของสัตว์เลย ขั้นปาณะละเอียดลออ เป็นจิตถึงขั้น ภูตะ เจตภูติ เป็นปาณะ ถึงในระดับ จิตวิญญาณของสัตว์ ถ้าคุณมีจิตมุ่ง สัญจิจจะ มีทิศมุ่งไปหาสัตว์ที่มี โวโรเปตุง คือจิตมันไม่มุ่งดี 

ข้อ 1 มุ่งกล่าวชื่อสัตว์แล้วจิตก็มี โวโรเปตุง ไอ้จิตมันไม่ดีแล้ว มันมีทิศทางไปไม่ค่อยดี แค่กล่าวชื่อสัตว์นั้นก็บาปแล้ว แล้วยิ่งให้ไปจับมา

ข้อ 2 จับสัตว์นั้นมาเป็นบาปที่ชัดขึ้นอีกมากมาย ไม่ใช่เรื่องตื้นนะ แต่เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมากเลย 

ข้อที่ 3 สั่งฆ่า คิดดูสินี่คือบาปที่พระพุทธเจ้าให้ระมัดระวังกัน แค่มีจิตมุ่งกล่าวชื่อสัตว์ มีจิตมีทิศทางมุ่งไม่ค่อยดีแล้ว โวโรเปตุง มันก็บาปแล้ว มันก็ชั่วแล้ว มันก็เลวแล้ว ยิ่งให้ไปจับมา สั่งฆ่า แล้วฆ่าได้สำเร็จ ยังไม่พอ ยังเอาไปเย้ยถวายภิกษุ ถวายพระพุทธเจ้า ให้ยินดีในเนื้อสัตว์นี้อีก น่ากินนะจ๊ะ จะบ้าหรือ ตัวเองจะหยาบคาย ตัวเองจะบาปหนากินหัวไป ไม่เกรงใจเลยว่า ท่านรู้แล้ว ภิกษุที่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ท่านไม่ยินดีหรอกในเนื้อสัตว์ คุณจะเอามาถวายท่านยังไงๆ ท่านก็ไม่ยินดีหรอก มันเป็นของไม่ควรจะไปทำด้วย อกัปปิยะ เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ถวายพระพุทธเจ้า มันไม่ควร แค่ถวายก็ยังไม่ควร อกัปปิยะแล้ว 

ไม่ได้เข้าใจพระพุทธเจ้าสอนไว้ละเอียดลออ แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ก็ไม่รู้จักธรรมะ เรื่องการกินเนื้อสัตว์นั้น ถ้าเข้าใจเรื่องนี้นะ เรื่องทีี่อธิบาย มันเป็นเรื่องของการบาป บาป 4 ข้อแล้ว รวมบาปข้อที่ 5 รวมเป็นบาปใหญ่เลย ยังมีน้ำหน้าทำบาปมา 4 ข้อแล้ว แล้วยังจะเอาเนื้อสัตว์ไปถวาย เอาเนื้อสัตว์ที่เป็นของบาป บาปมาตั้ง 4 ข้อแล้วยังจะเอาไปถวายพระพุทธเจ้า ถวายภิกษุ เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุอีกเป็น อกัปปิยะ พูดไปใยถึงการฆ่าสัตว์มา 4 ข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้วไปสั่งฆ่าแล้วสัตว์ก็ตายจริง เอาไปทำเป็นอาหารมาถวาย อ่านให้มันแตกสิพระไตรปิฎกคำสอนพระพุทธเจ้า ฟังชัดขึ้นไหม นี่เอามายืนยันอาตมาพูดซ้ำซากให้ละเอียด ที่จริงน่าเห็นใจไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในชีวกสูตรอันนี้ว่า ไม่ใช่บุญเลย ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นการกำจัดกิเลสอะไรเลย มันเป็นเรื่องบาป บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย

จะอุทิสะ หรือสัญญจิจะ แปลว่า จิตมีทิศมุ่ง เขาไปแปลว่า จิตเจาะจง จงใจ จิตมุ่งหายไปสู่หรือจิตมีทิศมุ่งไปนั้นแหละ ไปสู่สัตว์ แล้วมีโวโรเปตุง จิตไม่เข้าท่า จิตมุ่งร้าย มันมีอาการร้ายๆ อยู่ในจิตกล่าวชื่อสัตว์เท่านั้นก็บาปแล้ว เห็นรายละเอียดของความเป็นบาปไหม กล่าวไปไยถึงการฆ่าสัตว์ แต่เขาไปแปลว่า เจาะจงบุคคล เจาะจงภิกษุ เจาะจงพระตถาคตด้วยเป็นบุคคล แล้วเอา 4 ข้อไปทิ้งที่ไหนล่ะจ๊ะ เจาะจงหรือเปล่า อีก 4 ข้อนั้น แล้วคุณเอาไปทิ้งทำไม ไปเอาเจาะจงบุคคล ตีกินในข้อสุดท้าย แล้วอีก 4 ข้อมันไม่เจาะจงเหรอ จิตมีทิศมุ่งไปสู่สัตว์แล้วไปเจาะจงอะไร เจาะจงฆ่าสัตว์ ไม่ใช่เจาะจงบุคคล เจาะจงที่เป็นตัวจิตร้ายต่อสัตว์ จิตของคุณนั้นเจาะจงร้ายกาจกับสัตว์ นั่นต่างหากล่ะ แล้วคุณก็ไปเบี้ยวบาลีว่าเจาะจงบุคคล เจาะจงภิกษุ เจาะจงตถาคต แต่ 4 ข้อนั้นคุณทิ้งไปเลย 4 ข้อคือการเจาะจงทั้งนั้น 

ก็เลยจำกัดจำเขี่ยแค่คนที่ีเจาะจงนี้กินไม่ได้ คนอื่นกินได้หมด เห็นไหมการเบี้ยวบาลีเพื่อจะทำบาปให้แก่ตัวเอง ทำไมถึงโง่ขนาดนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนละเอียดลออถึงขนาดนี้ ผู้ฟังเข้าใจแล้ว ไม่ใช่อาตมามาดัดจริต ทำเป็นไม่กินเนื้อสัตว์ กินผักกินหญ้าเหมือนควาย นั่นแหละว่าไปโน่นเลย เขาก็ประชดประชันไปอย่างนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เข้าใจที่เขาไม่เข้าใจ มันก็ไม่ใช่ง่าย เราเข้าใจแล้วเราก็ทำของเราไป กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก 

ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ   ปาณํ   ชีวิตา  โวโรเปตา) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13   ข. 60 


 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 36 ชีวกสูตรคือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2566 ( 12:47:00 )

ชีวกสูตร ว่าด้วยการเกี่ยวเกาะกับสัตว์ในศีลข้อ 1

รายละเอียด

ซึ่งอาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอน ยกตัวอย่าง ชีวกสูตร 5 ประการ

 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อยู่ดีๆ จะไปกล่าวชื่อสัตว์ทำไม นอกจากพวกที่เรียนรู้วิชาการ แต่พวกเรียนรู้วิชาการเขาไม่ฆ่าสัตว์นะ เขาก็ศึกษามันแล้วก็ปล่อยมันไป พวกศึกษาสัตวศาสตร์เขาจะไม่ฆ่าสัตว์ เขาจะรู้จักชีวิต ชีวะ น่ารักษา น่าศึกษา นอกจากว่าเขาสับสน ไม่ฆ่าสัตว์หรอก แต่ยังกินเนื้อสัตว์ พวกสับสน ดีไม่ดีบางทีก็ฆ่าเองก็กิน ถ้าธรรมดาก็รักสัตว์ มันสวยงามมันน่าเอ็นดู อย่างที่เราดูในสารคดีศึกษาสัตว์ในชีววิทยา แต่เสร็จแล้วก็สับสนฆ่าสัตว์กินเองหรือไม่ฆ่าก็ยังกินอยู่ อาจจะกินเนื้อดิบด้วย บางที

คนที่ไม่ได้ศึกษาแม้แต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ได้สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกี่ยวกับสัตว์เอามาทำเป็นเครื่องใช้หรือแม้แต่เอามันมาใช้เราก็ไม่ใช้ ให้มันอยู่ไปตามวิบากกรรม มันก็อยู่ของมันช้างม้าวัวควาย แต่นี่ไปเอามาสารพัดสารเพ จะแฝงเอาประโยชน์จากมันเอามาเป็นสินค้าเอามันมาฆ่าเอามันมาขาย ยังกับ ตัวเองเป็นเจ้าของ มาซื้อ แลกเปลี่ยนเป็นเจ้าของผูกไว้ใส่คอกไว้ ซึ่งชีวิตจะเกี่ยวเกาะกับสัตว์ไปอีก วิบากมันลึกซึ้งมาก 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา  อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13 ข.60 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระคือสิ่งสำคัญสุดที่เกิดมาแล้วต้องเอาให้ได้ วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2565 ( 11:15:26 )

ชีวกสูตร ว่าด้วยการไม่กินเนื้อสัตว์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์แล้วแม้จะไม่กินแล้วจนกระทั่งถึงขั้นชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60 

แม้กระทั่งมีที่จิตเป็นอกุศลแล้ว เปล่งชื่อสัตว์ เฮ้ย ปลาช่อนตัวนั้น ชี้บอกคนอื่น คนอื่นไปจับมาเลย ถ้าเรามีอิทธิพล เราพูดอย่างนี้ผู้ที่สนองอิทธิพลจะรีบไปจับมาเสนอหน้าเลย จับปลาช่อนตัวนั้นมา 1. แค่กล่าวชื่อเอ่ยชื่อปลาช่อน  2. สัตว์ตัวนั้นถูกจับผูกมามันไม่ชอบมันก็เป็นทุกข์มันก็ผูกโกรธ บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยเป็นข้อที่สอง 3. สั่งฆ่า คิดดูสิ มันจะเป็นลำดับๆๆ ของมัน ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ สั่งฆ่าแน่นอนชัดเจนแค่สั่งให้ฆ่าด้วยเจตนากุศล มันบาปได้อย่างไร เพราะว่าคุณมีอกุศลจิตเป็นต้นเค้าแล้ว สัตว์มันมีอยู่จะไปออกชื่อมันทำไม บอกชื่อด้วยอกุศลจิต หากเป็นกุศลจิตออกชื่อมันก็อาจจะอีกอย่างหนึ่ง นี่มันอกุศลจิต แล้วคนก็ไปจับมาสนองอารมณ์ตัวเองเลย สัตว์มันก็ทุกข์ทรมานที่มันถูกจับผูกมัดมา มันก็เป็นวิบากบาปแล้ว สะสมลงไปแล้ว 

พอมาถึงยังไม่พอ ยังสั่งฆ่า แน่นอน คนสั่งฆ่าบาปแน่นอน สัตว์ตายด้วยการถูกฆ่า ทรมานทรกรรม บาปแรงกล้าเป็นข้อที่ 4 เลย 

ข้อที่ 5 ยังไม่น่าอีก เอาเนื้อสัตว์ที่ฆ่ามาทำอาหาร อาหารอย่างปราณีตเลยฝีมือปรุงแต่งอย่างเก่ง เพื่อไปถวายภิกษุ สาวกพระพุทธเจ้า หรือถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้ยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ ร้ายแรงที่สุดเลยคนที่มีจิตแบบนี้แล้วทำแบบนี้ ฟังดีๆ ทวนมาไม่รู้กี่ทีแล้ว นี่ชัดยิ่งขึ้นไหม มันเป็นอกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรเลยในความเป็นคนที่จะกระทำ เอาเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ยิ่งพระพุทธเจ้าอยู่เอาไปถวายพระพุทธเจ้า จะได้บาปหรือได้บุญมาก แม้กระทั่งว่าจะถวายพระพุทธเจ้า เด็กๆ ลองตอบซิ เอาแกงเนื้อสัตว์อาหารเนื้อสัตว์อย่างดีไปถวายพระพุทธเจ้า กับไปถวายภิกษุธรรมดา จะให้ภิกษุยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ อย่างไหนบาปกว่ากัน ....ถวายพระพุทธเจ้าก็ต้องบาปมากกว่าแน่ บังอาจทำให้พระพุทธเจ้าไปติดยึดในเนื้อสัตว์ 5 ข้อนี้ ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว ใครมันจะกล้าไปกินเนื้อสัตว์ เรื่องของกรรมวิบากเป็นอจินไตยอย่างนี้ปานฉะนี้ แต่มันเป็นอจินไตย คุณไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกันขนาดนี้หรือบาปบุญมันเป็นอย่างนี้หรือก็อธิบายสู่ฟังไม่ได้โมเม ไม่ได้จับแพะชนแกะแต่มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมวิบาก 

เพราะฉะนั้นการไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละ คนไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละเป็นความมหัศจรรย์ไหม แล้วเรามาไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องสุขภาพ กินแล้วสุขภาพจะได้ดี กินแล้วจะได้กุศลได้บุญแบบโลกีย์คิดๆ ไป ไม่ใช่ แต่ลึกซึ้งเป็นโลกุตระ เพราะเป็นกรรมวิบากที่เป็น อจินไตยที่ไม่ได้เข้าใจง่าย อย่างที่อธิบายไป คร่าวๆ นะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 29 อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 13:44:19 )

ชีวกสูตรชี้ชัดเรื่องชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์

รายละเอียด

แม้แต่เรื่องการกินเนื้อสัตว์ ศาสนาพุทธทั่วโลกเขารู้กันว่าชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์แต่ชาวพุทธในเมืองไทย กลับกินเนื้อสัตว์เป็นปกติ ยินดีในเนื้อสัตว์ 

ชีวกสูตร

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  เล่ม 13   ข้อ 60 

ข้อที่ 5 นี้บาปหนักที่สุดเอาไปถวายภิกษุถวายพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความยินดีด้วยเนื้อสัตว์ บาปเต็มบ้อง บาปพูนล้น บาปเต็มโลก ไม่ได้ใส่ความไม่ได้หาเรื่องว่า ถ้าหากอ่านพระไตรปิฎกคำสอนพระพุทธเจ้าแตกฉานแล้วจะชัดเจน ชัดเจนแล้วคุณจะไปกินเนื้อสัตว์อะไรได้เพราะว่าท่านไม่ให้แตะต้องแม้แต่จะให้บอกชื่อมาไม่ให้มีจิตยินดีด้วย จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สนับสนุนแม้แต่การเลี้ยงสัตว์ เมื่อมาบวชแล้วอย่าไปเลี้ยงสัตว์ แต่เดี๋ยวนี้มันเลอะเทอะไปหมด แม้แต่จะไปเลี้ยงเสือ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:55:46 )

ชีวนุปาทานธาตุ

รายละเอียด

อุปาทานใหม่ที่มีการปรุงตัวอยู่บ้าง เพราะชีวิตยังเป็นปัจจัย

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า286


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:17:59 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:10:09 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:28:07 )

ชีวประวัติโดยย่อของพ่อครู

รายละเอียด

ให้เท่ากับข้าราชการเลยหรือให้เท่าที่ควรได้ควรมี ซึ่งไม่เหมือนข้าราชการก็เป็นพิเศษก็ได้จริงๆ ที่จริง คนไทยนี่ อาตมาว่า แต่อ้อนแต่ออกแต่เดิม อาตมานี่ ปู่ย่าตายายก็ทำนา ทำสวน ทำไร่ ตั้งแต่เด็กอาตมาก็อยู่กับสวน กับไร่ กับนา อาตมาอยู่ที่พิบูลมังสาหารและก็มาอยู่ที่วาริน จบ ม. 6 แล้วจึงเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 14 ปี จากนั้น 50 ปีกว่าจะได้วกกลับมาตั้งหลักฐานที่วารินชำราบ อยู่ชีวิตทางฆราวาส 36 ปี แล้วก็บวชอยู่ที่กรุงเทพฯ บวชที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ แล้วก็ทำงานไปทางโน้น ตั้งนานกว่าจะออกมาจากที่โน่น ย้อนกลับมาที่นี่จนกว่าจะมาปลูกฝังอยู่ทางนี้ ก็มาอุบลนี่แหละ เพราะอาตมาเป็นเหลนท้าวคำผง หรือเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล) อาตมาเป็นทายาทลำดับ 7 ของเจ้าคำผง 

อาตมาเมื่อเรียนจบมาก็ไม่ได้รับราชการเลย ไปทำงานสถานีโทรทัศน์ จึงไม่ได้รับยศตำแหน่งทางราชการเลย พวกน้องๆ เขาก็ยังได้รับตำแหน่งราชการบ้าง อาตมาก็ทำแต่งานเอกชนส่วนตัว มีส่วนตัวเป็นหลัก จนกระทั่งเลิกแล้วงานทางโลกก็มาทำงานทางธรรม 51 ปีย่างเข้าแล้ว แล้วก็จะทำต่อไปอีก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:42:45 )

ชีววิทยาทางจิต อธิบายตั้งแต่เป็นพลังงาน

รายละเอียด

ชีววิทยาทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ ชีววิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต โอ้โห ศาสนาพุทธนี้ไปไกลมาก 

อาตมาอธิบายธรรมะชีววิทยา เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตให้พวกเราฟังทุกวันนี้ ถึงขั้นแยกอาการของจิตตั้งแต่เป็นพลังงาน 

พลังงานทางวัตถุเป็นอุตุ เป็นพลังงานของดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป 4 นี่เป็นเรื่องวัตถุแท้ๆ ไอสไตน์เรียนรู้แล้วก็เอามาใช้เป็นสูตร  E=mc2 ใช้งานอยู่ในโลกทุกวันนี้บริบูรณ์แล้ว แต่รายละเอียดที่เข้าไปถึงจิตวิญญาณมนุษย์ที่ควบคุมรายละเอียดเป็นคุณธรรมที่ลึกซึ้งซับซ้อนอีกหลายชั้นมากเลย ในความเป็นชีวะ ชีววิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต 

ซึ่งอาตมาตอนนี้กำลังขยายความเป็นพลังงานทางวัตถุแล้วมันจะเริ่มจากมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม พยายามมันจะเริ่มเลยในตอนต่อมา ขอไล่เป็นพยัญชนะบาลี

จาก มหาภูตรูป 4 มาเป็น อหิจฺฉตฺตก แปลว่าเห็ด พลังงานมหาภูตรูป 4 จะกลายมาเป็นพลังงานเห็ด

จากเห็ด แล้วจึงจะมาเป็น ภูตคาม 

จากภูตคาม แล้วจึงจะมาเป็น พีชคาม 

จากพีชคาม มาเป็น เจตภูต

จากเจตภูต แล้วมาเป็น ปาณะ

ขอแวะตรงนี้นิดนึง พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้ทำลายความเป็นพลังงานชีวะมาถึงขั้น ปาณะ เป็นศีล ข้อที่ 1 ปาณาติปาตา แล้วแปลหยาบๆ ว่าอย่าไปฆ่าสัตว์ ซึ่งมันเป็นสัตว์ขั้นไหน ชีวะขั้นไหน เดี๋ยวค่อยๆ อธิบายกันอีกที 

จากปาณะ ก็เป็นเจตสิก แล้วจึงจะเป็น สัตตะ แล้วจึงจะเป็นจิตนิยาม จิตนิยามก็เป็นธาตุรู้ที่เต็มคน หรือเต็มสัตว์ สัตว์ชั้นต่ำเดรัจฉานก็ถึงขั้นจิตนิยามเหมือนกัน หรือจิตวิญญาณ  จิตวิญญาณจะมีวิบากเต็มรูป พูดไว้อย่างนี้ก่อน กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตยไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องยากมากเอาไว้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2567 ( 12:38:15 )

ชีวะ

รายละเอียด

ความเป็นชีพ , ความมีชีวิต

คำอธิบาย

คือ แยกได้ว่าเป็นพืช ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีกรรมวิบาก ไม่มีการจองเวรจองกรรม ไม่มีรักกันข้ามชาติ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68วันจันทร์ที่ 9เดือนกันยายน 2562

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 12


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:18:45 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 12:09:19 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:29:34 )

ชีวะ กับดินน้ำไฟลมอะไรเกิดก่อน

รายละเอียด

คุณว่าชีวะ กับดินน้ำไฟลมอะไรมันเกิดก่อนกัน ...ดินน้ำไฟลม พวกคุณเก่งนะ ไม่ใช่ ชีวะเกิดก่อน ก็ชีวะของพระเจ้าเกิดก่อน แล้วท่านก็มาสร้างดินน้ำไฟลม มันก็เป็นความรู้ทางเทวะ ที่เป็นผู้สร้างดินน้ำไฟลม ภูเขา แม่น้ำ สร้างอะไรต่ออะไรขึ้นมา สร้างโลกแต่ละลูก แล้วก็สร้างสัตว์โลกขึ้นมา 

ก็แล้วแต่ใครจะยึดอันไหนเอาอย่างไร อันนี้มันก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณของแต่ละคน ที่มันชอบ เราชอบเป็นเทวะ ชอบอย่างอเทวะ หรือชอบอย่างพุทธก็แล้วแต่คน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 09:40:04 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์