@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

590113

รายละเอียด

590113_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก การเกิดของโลกสู่แผ่นดินพุทธ

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พลังงานพีชนิยามไม่ยึดแบ่งเราเขา

พ่อครูว่า...ก็มาที่ศีรษะอโศกอีกวาระ ศีรษะนี้ก็มีอาการ 32 ในอาการ 32 นี้ที่เป็นตาหูจมูกลิ้นกายก็รู้ง่าย แต่ภายในส่วนที่เป็นอาการ 32 อื่นรู้ได้ยากมาก องค์รวมของรูปนาม เรียกว่ากาย คำว่ากายต้องมีสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ถูกรู้ และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งรู้ ที่ปรุงแต่งกัน ต้องเป็นธรรมะ 2 นี้ตลอดกาลและนาน วิทยาศาสตร์ทางโลกไม่สามารถเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงขั้นวิญญาณ

 ผมขนเล็บฟันหนังเป็นกรรมฐาน 5 เรียกว่ามูลกรรมฐาน ที่พระภิกษุทุกรูปในศาสนาพุทธอุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐานนี้ เพื่อเรียนรู้แยกกายแยกจิต

ต้องอ่านศึกษารูปและนามธรรมเหล่านี้ รูปและนามธรรมที่ย่นย่อลึกสุดนามธรรมก็คือวิญญาณ รูปที่ลึกสุดในชีวของสัตว์โลกที่เป็นจิตนิยาม รูปที่ลึกที่สุดคือ ธาตุน้ำ ส่วนเล็กที่สุดของชีวะที่เป็นจุดแรกคือ เซลล์ ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่ากลละ ถ้าไม่มีอะไรเชื่อมต่อก็จะเสื่อม แต่ถ้ามีอะไรเชื่อมต่อ มีชีวะเพิ่มขึ้นก็จะต่อ มีสองชิ้น คือความว่าง กับกลละ สองอย่างนี้ปรุงแต่งเป็นสาม ก็เป็นชีวะขึ้นมาเป็นธาตุใหม่ มีสามเส้า คือ ความว่าง+1+2 เป็นสาม

ถ้าเป็นสามนี้เรียกว่า พีชนิยาม เซลล์นี้ก็เป็น self เป็นตัวตน เป็นตัวเองขึ้นมา เป็นธาตุชีวะมีสาม 0 กับ 1 กับ 2 หรือ จะเรียก 1 2 3 ก็ได้ แต่ถ้ามี 4 ขึ้นมาก็เรียกว่ามี ish เริ่มมีเราก่อน คือตัว i พอมีเธอ มีเขา ก็คือมี she มี he ขึ้นมา

ish นี้ รวมกับ self จึงเป็น selfish คือเห็นแก่ตัวขึ้นมา แล้วก็แตกตัวจาก สามเส้า เป็นสี่เป็นห้าเป็นหก ก็มีสองเส้า แล้วเริ่มมีเจ็ด ก็ไปอีกเป็น แปดเป็นเก้า ก็เป็นสามเส้าใหญ่ แล้วก็แตกออกไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

นี่คือพัฒนาการของพลังงาน พลังงานคือการเคลื่อนที่อยู่ ถ้านิ่งนิ่งไม่มีบทบาทอะไรเป็นตัวเองเท่านั้นเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ธรรมะสองของชีวจิตนิยามคือเลือดและวิญญาณ

ทีนี้ที่อาตมาอธิบายกันมาถึงขั้นชีวะระดับจิตนิยาม ก็จะมีน้ำที่เรียกว่าเลือด

หรือ โลหิตะ

เลือด คือธาตุน้ำที่เล็กละเอียดที่จะมีวิญญาณผสมเข้าไป อย่างเพศหญิงกับเพศชาย จะมีไข่แล้วมีตัวน้ำเชื้ออสุจิเป็นเชื้อชีวะ ถ้า 2 อันนี้รวมกันเข้าปรุงแต่งจับตัวเป็นพลังงานใหม่เรียกว่าวิญญาณ จับตัวเป็น 3 เป็นวงจรสมบูรณ์เป็นธาตุใหม่  เป็นชีวของสัตว์ แต่ถ้าไม่มีวิญญาณเกิดก็เรียกว่าวิญญาณล่วงเลย หรือว่าถ้าไม่มีตัวเชื้อของเพศชายไปผสมก็ไม่เกิดวิญญาณ

 สำหรับผู้หญิงโสดก็จะสร้างไข่ก็คือเลือดไข่ขาวผสมกับไข่แดงที่แยกมาแล้วก็จะละเอียดซ้อนไป ที่พูดนี่เป็นเรื่องของธาตุน้ำ อาโป ทั้งนั้น ยังไม่เป็นธาตุดิน ธาตุไฟ เข้าไปผสม ถ้าไม่มีวิญญาณร่วมก็จะหายไป เพราะฉะนั้นไข่ที่ไม่มีอสุจิผสมถึงเวลาก็จะสลายกลายเป็นเลือดไหลออกมา ก็คือเชื้อของชีวะที่เริ่มเกิดเป็นเซลล์หรือกลละ ไหลออกมาเป็นเลือดท่านเรียกว่าระดู หรือ ภาษาบาลีว่าอุตุ อุตุนี่ทิ้งออกมาแล้วนะ ถ้ายังเป็นเลือดไม่เรียกว่าระดู แต่เรียกกลละ

กลละ อัพพุทะ เปสิ คณะ ปัญจสาขา  เปสิคือกลางๆ ถ้าได้รับการผสมก็จะเกิดสภาพของคณะ เป็นการรวมก้อน แล้วจะเกิดปัญจสาขา

ถ้าได้รับผสมก็เป็นชีวะ เป็นเลือดแท้ เป็นคณะ เป็นวิญญาณ ครบปัญจสาขา สิ่งลึกซึ้งในความเกิดธาตุแท้เรียกว่าธรรมะสองของชีวจิตนิยาม คือ เลือดและวิญญาณ เป็นธรรมะสอง

ผู้สามารถเข้าใจเลือดและวิญญาณ และสามารถปรับปรุงสองอย่างนี้ให้เจริญคนนี้เจริญตลอดกาล ในร่างกายเลือดสร้างโดยหัว วิญญาณสร้างโดยจิต เราเรียกในภาษาว่า ใจเป็นองค์รวมของเลือดและวิญญาณ สิ่งที่จะให้เกิดหัวท่านเรียกว่าหัวใจ สิ่งที่จะให้เกิดวิญญาณท่านเรียกว่าจิตใจ

หัวใจกับจิตใจ หัวใจนี้คือแหล่งที่จะเกิดเลือด อยู่ในก้อนหัวใจที่สูบฉีดเลือด เรียกว่าหัวใจ เป็นแหล่งที่ให้เลือดอาศัยและสร้างเลือดเรียกว่าหัวใจ ส่วนหัวกะโหลกนี่มีสมอง สมองนั้นคือหัวใจของกะโหลก ส่วนสำคัญของกะโหลกทั้งหมดคือสมอง สมองเป็นที่ให้จิตใจอยู่อาศัยทำงาน ธาตุของวิญญาณทำงานที่สมอง ส่วนที่ธาตุเลือดทำงานอยู่ที่ออฟฟิศของเลือดอยู่ที่หัวใจ ออฟฟิศของวิญญาณอยู่ที่สมอง

นี่คือแหล่งจิตใจกับแหล่งของหัวใจทำงานอยู่อย่างสัมพันธ์กัน หากหัวใจวายหรือสมองวายก็ตายทั้งคู่

ที่พูดมานี้เป็นโครงสร้างระดับลึก แต่ถ้าขยายมาโครงสร้างใหญ่ มีตำบลอำเภอ จังหวัด จนถึงรัฐจะถึงประเทศจะถึงทั้งโลก ก็คือสิ่งที่ให้มนุษย์อาศัยอยู่ในนี้แล้วก็ดิ้นด๊อกแด๊กมีพฤติกรรมอยู่ในนี้ร่วมกัน ถ้าจิตใจไม่เจริญเป็นธาตุรู้ที่ดีแล้วเลือดเป็นเลือดที่ไม่สะอาด ที่ถูกปรับปรุงแต่งจิตพลาดไปจากความสมดุล ก็เป็นเลือดเสีย

ถ้าขยับมาเป็นตัววัตถุ คนแต่ละคนนี่คือก้อนเลือดสังคมทั้งสังคมที่มีการเคลื่อนไหว มีพลังงานผลักดันอยู่อย่างสมดุล ก็เรียกว่าองค์รวมของธรรมะสอง คือคนกับพฤติกรรมสังคมที่อยู่อย่างสมดุล สงบเรียบร้อย ราบรื่นง่ายงาม ทำงานตามหน้าที่อย่างได้สัดส่วนสมดุล ถ้าเข้าใจโทษและเข้าใจคุณ แล้วเราไม่ให้เกิดโทษไม่ให้เกิดอกุศล เกิดแต่คุณ มีแต่คุณเป็นทศนิยมขึ้นไปเรื่อยๆ สังคมนั้นไม่เกินและไม่ขาด สังคมนั้นก็อยู่อย่างสมดุลหมุนเวียน อยู่อย่างสงบเรียบร้อยดี นี่เป็นสูงสุดแห่งสภาพที่จะต้องจัดการเรียกว่า อภิสังขาร จัดแจง ปรุงแต่ง ปรับปรุงให้ดี

 จิตวิญญาณเป็นต้นทาง เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เกิดจากมโนหรือจิตวิญญาณ วิญญาณนี่เป็นองค์รวม จิตเป็นธาตุรู้พร้อมทำงานเลย แยกจากจิตก็เป็นเวทนา สัญญา สังขาร เจตสิกสามที่ทำงานตลอดเป็นสามเส้าเลย ก็คือธาตุรู้ที่รู้กุศล อกุศล รู้คุณรู้โทษ รู้ควรไม่ควร ไม่ให้สิ่งไม่ควรอยู่ ให้มีแต่สิ่งควรอยู่ ก็จะเรียบร้อยดี ผู้ที่เข้าใจพลังงานอย่างที่กล่าวคร่าวๆ แล้วจัดสรรจิตวิญญาณตัวตนของตัวเองและให้คนอื่นรู้ได้ด้วยตาม

 เมื่อธาตุกุศลมากพอ มากกว่าธาตุอกุศลสังเคราะห์กันและสามารถทำให้มันลงตัว เป็นธาตุอภยกฤติ ที่เป็นกลาง ที่จะมีพลังงานเกิดหรือเสื่อม คืออุปจยะกับชรตา ผู้รู้จะจัดสรรให้พอเหมาะ ถ้ามากเกินไปจะเสียค่า พอดีพอเพียงจะได้สัดส่วนจะไปด้วยดีตลอดเวลา ผู้สามารถทำได้ถึงขั้นจิตวิญญาณเป็นประธานในคน และเป็นคนที่มีกุศลมากกว่าอกุศล คนนั้นก็จะเป็นตัวหลักของสังคม เป็นคนที่มีแต่กุศลมากกว่าอกุศลก็เป็นตัวหลักของสังคม สามารถทำให้พลังงานร่วมสังเคราะห์ตลอดเวลาดำเนินไปอย่างดีสงบสุข และมีพลังงานสร้างสรรประเสริฐ

เป็นพลังงานที่เป็นเลือดและวิญญาณที่เป็นธรรมะ 2 สุดท้ายแล้วที่จะเรียนรู้ในความเป็นชีวะในโลก และควบคุมจัดการชีวะที่เป็นพลังงานขั้นจิตนิยามกับองค์ประกอบทั้งหลาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ไทยเป็นประชาธิปไตยสองขาที่มีทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐ

เมื่อขยายจากคนก็เป็นหมู่บ้าน มาเป็นตำบล เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด เป็นประเทศ เป็นสหรัฐ เป็นสาธารณรัฐ (สายคอมมิวนิสต์) ส่วนสายสหรัฐก็เป็นสายประชาธิปไตย สาธารณรัฐคือส่วนกลาง ส่วนสหรัฐนี้ยังมีศักดินาผสม มีชั้นสูงชั้นต่ำ ทางอเมริกาเขาไม่เรียกตนว่า สาธารณรัฐ แต่ทางรัสเซียหรือลาวก็เรียกว่าสาธารณรัฐคือ commune ไม่โดดเดี่ยว เป็นองค์รวมมากกว่า

ไทยเรานี่เป็นอะไร? จะเป็นสาธารณรัฐหรือสหรัฐ ลักษณะของไทยนี้จะเป็น 2 อย่างเป็นธรรมชาติ 2 ลักษณะของรูปจะเป็นสหรัฐ ลักษณะของนามจะเป็นสาธารณรัฐ จะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย 2 ขา คือจะมีพระเจ้าแผ่นดินด้วย แล้วก็จะมีนายก จะมีการบริหารอย่างประชาธิปไตยเรียกว่าประชาธิปไตย 2 ขา นายกก็จะเป็นผู้ที่เป็นหัวหน้าดูแลบริหารรัฐ ส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะเป็นเพราะพรหมมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่แท้จริง ไม่อคติ ไม่ลำเอียง อย่างประเทศไทยนี้เป็นตัวอย่างชัดเจน เป็นตัวอย่างองค์รวมของประชาธิปไตย 2 ขา มีในหลวงที่เป็นผู้ยอดและมีการบริหารที่มีนายก เช่นเดียวกับอังกฤษ ที่เป็นต้นทางความรู้ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย

แต่แล้วอังกฤษก็เปลี่ยนไป จนไม่สามารถทำได้ดีเท่ากับประเทศไทย เพราะฉะนั้น king ของอังกฤษมาเห็น king ของไทยเข้า ก็เลยอุทานเลยว่าเกิดมาไม่คิดว่าจะพบ king of kings ที่ปกครองในธรรม ที่ดีเยี่ยม ลึกๆพระราชินีอังกฤษก็คงจะรู้ว่ายังมีผีรุกรานในประเทศไทยอีกเยอะ แต่ในหลวงของเราก็สามารถที่จะอยู่กับผีเหล่านี้  ทำให้ผีเหล่านี้แพ้ภัยตัว หลุดออกไปหลุดออกไปจนกระทั่งเหลือผีตัวสำคัญคือทักษิณ อาการหนักมากเลย

ช่วงระยะเวลา 60 ปีในหลวงที่ครองราชย์นานกว่าในหลวงของอังกฤษ ในหลวงของอังกฤษอายุมากกว่าในหลวงของเรา แต่ในหลวงของเราครองราชย์ก่อนราชินีอังกฤษ ในหลวงเราประพฤติเป็นประชาธิปไตยได้มากกว่าดีกว่าที่อังกฤษ นี่เป็นพุทธศาสนาตามภูมิที่อาตมาเล่าไปสู่ฟังอย่างวิชาการไม่ได้คิดว่าต้องข่มใคร

ในประเทศไทยมีเสือสิงห์กระทิงแรดที่ในหลวงจะต้องทำงานอย่าง ธรรมะขันติ ทมะ จาคะ ท่านก็ประคองให้ประเทศไทยไม่เกิดสงครามกลางเมือง อังกฤษที่แตกตัวเป็นอเมริกา ไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ทุกวันนี้ถ้าใครสามารถเข้าใจได้ ความอบอุ่นความเป็นอยู่ดีของอเมริกาสู้อังกฤษไม่ได้หรอก อังกฤษแก่กว่าอเมริกาด้วย อเมริกาสร้างตัวเองมา 200 กว่าปีเอง เขาเติบโตทั้งกามและอัตตา เราอย่าเอาเป็นแบบอย่าง

ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ จะรู้ว่าในหลวงเราไม่ใช่ธรรมดาเลย มีความลึกซึ้งในภูมิธรรมของท่าน ท่านตรัสถึงการบริหารประเทศแบบคนจน ตรัสถึงลักษณะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ส่วนคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นคำกลางๆของความสันโดษ แต่คนเข้าใจไม่ได้ แต่อาตมาเข้าใจ จึงนำมาเป็นหลักยึดทั้งอธิบายและทั้งพาประชาชนให้อยู่ในระบอบเศรษฐกิจพอเพียง ระบอบแบบคนจน ระบอบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะมีชีวิตเช่นนี้ไปตลอด เกิดอีกกี่ชาติ ตายอีกกี่ชาติ ก็จะยืนหยัดยืนยันอยู่ในลักษณะนี้ เป็นคนจนที่เลี้ยงตนเองรอด ขยันทำงานสร้างสรร สัตว์เดรัจฉานมันก็สร้างก็ก่อตามที่มันสามารถทำได้ คนเราก็พึ่งตนเองก็ได้เช่นกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ไม่เห็นแก่ตัว

ของอโศกเรามีสาธารณโภคี และมีความเป็นสห เป็นมิตรดี สหายคือ ผู้ร่วมประโยชน์ เป็นกัลยาณมิตรที่ดีทั้งองค์รวม สัมปวังโก เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ชาวอโศกเราทำได้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

ตั้งแต่เกิดรวมตัวเป็นชุมชนสังคมเป็นแหล่ง เกิดศีรษะอโศก ศาลีอโศก ปฐมอโศก สันติอโศก จนเกิดชุมชนอโศกมากมาย แล้วมารวมตัวกันที่ราชธานีอโศกปฐมอโศกและศีรษะอโศกไขว้กัน จริงๆแล้วเกิดพร้อมกันคือศาลีอโศกและศีรษะอโศก ศาลีอโศกและศีรษะอโศกก็เป็นพลังงานระดับหนึ่ง พอมาเกิดเส้าที่ 3 ก็เป็นปฐมอโศกกับสันติอโศกซ้อนกันขึ้นมา ที่จริงสันติอโศกเกิดก่อนปฐมอโศก สันติอโศกเป็นวงกว้าง ปฐมอโศกเป็นวงแคบจึงเกิดก้อนแท่งที่มีความควบแน่นเป็นพลังงาน ก็เลยพึ่งตนเองได้รอดก่อน ตอนนี้สันติอโศกก็กำลังสังเคราะห์ตัวไปเรื่อย 

พวกเราเป็นรูปแบบของสังคมที่รวมกันทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐ เป็นธรรมะสองเสมอ ถ้าเป็นชีวะต้องมี 2 เสมอ สันติอโศกกับปฐมอโศกก็เป็นคู่ ศาลีอโศกกับศีรษะอโศกเป็นอีกคู่ ศาลีอโศกเป็นไทยๆชาวบ้านๆ ส่วนศีรษะอโศกเป็นอินเตอร์ อินเตอร์แบบชาวบ้าน สันติอโศกเป็นเมือง ปฐมอโศกก็เป็นเมือง แต่ปฐมอโศกพึ่งตนเองรอด แต่สันติอโศกนี่รวมตัวยาก คนจะมาอยู่ต้องเคี่ยวข้น มีลักษณะนิวเคลียร์ฟิวชั่นน้อยกว่าฟิชชั่น ส่วนปฐมอโศกมีนิวเคลียร์ฟิวชั่นมากกว่านิวเคลียร์ฟิชชั่น

ตอนนี้แต่ละแห่งกำลังก่อร่างสร้างตัวพัฒนาตัวเอง อย่างสีมาอโศก ภูผาฟ้าน้ำ จนแม้กระทั่งเกิดเก้าอาวาสสถาน พัฒนาการขึ้นมาตลอดเป็นไปตามจริงขึ้นเรื่อยๆ เกิดสังคมเครือแหของชาวอโศก หรือเครือแหสาธารณโภคี เป็นสหกรณ์ มีสหกรณะคือร่วมมือทำ

อาตมาเคยคิดจะให้พวกเราตั้งสหกร(ไม่มี ณ) เราทำแบบไม่ต้องนิตินัย จะมาจับเราไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ในสหกรณ์ของคุณ นี่เลี่ยงได้ ร่วมมือกันทำ อาตมาเข้าใจ ความหมายลึกซึ้งอันนี้ เราร่วมกันในสมมุติสัจจะร่วมกันเลย สหกรนี่ส่วนตัวไม่มี ณ ไม่สมมุติกับข้างนอก เราทำอย่างซื่อสัตย์ เรามั่นใจว่าของเราซื่อสัตย์สุจริตทำอย่างจริงใจ แต่ไม่อยากเป็นนิตินัยจะพูดกันยากกับเขา

ถ้าแต่ละที่ภายในเป็นอยู่อย่างดี มีความขัดแย้งกันพอเหมาะ ร่วมมือกันอย่างดี อย่างปฐมอโศกนี่ร่วมมือกันอย่างดี ขัดแย้งพอเหมาะ พฤติกรรมบทบาทของการเคลื่อนที่จะสร้างสรร

ที่สันติอโศกจะรวมกันยาก เรามีธนาคารที่ไม่มีดอกเบี้ย มารวมกันมีผู้จัดการทำงาน เราก็มี มีกองบุญส่วนกลาง ส่วนสัจจะออมทรัพย์ก็มีปันผล ซ้อนกันสองแบบนี้ดำเนินไป ถ้าไม่ซื่อสัตย์กันแล้วก็จบทุกอย่าง ถ้าซื่อสัตย์อยู่ก็ไปรอด แล้วก็จะไปดี เพราะจะมีเครือแห มีพลังงานที่จะสร้างสรรต่อไป

จะมีตัวจริง อย่ามีตัวเก๊ กิเลสที่เกเร มันเก แล้วเกเร แล้วก็เก๊ พวกเรานี่มันจะเกไปเรื่อย พอถึง เร ก็ห่ามไป ห่ามไปอีกทีก็ เก๊เลย  แต่ละคนต้องพยายามรักษาความตรงแล้วก็จะไปได้ คนที่ทำงานจะต้องขยายออก ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้มันก็จะรวนเลย มันจะเก แล้วเร เรรวน จากนั้นคือเก๊เลย นี่ไม่ใช่เล่นภาษานะ

อย่างศีรษะอโศกถูกกระทบก็เลยเริ่มเป๋เริ่มเก แล้วเริ่มควบคุมไม่ได้ก็เร รวนเร แล้วจะเก๊ ต้องเอามารวมกันให้ตรง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดด้วยฟลุค เกิดโดยสัจธรรม พวกคุณเป็นหน่วยอณูของสังคมนี้ แต่ละหน่วยแต่ละหน่วยของอโศก ของ ศีรษะอโศกเนี่ย แต่ละคนเข้ามาสัจจะพามา แต่คุณจะเอาสัจจะนี้ต่อหรือไม่เอาก็อยู่ที่ตัวเอง ถ้าคุณเลือกแล้ว ไหนว่าหมู่นี้ดีแล้ว อาตมาก็ขอรับรองว่าหมู่นี้ดีแล้ว เมื่อเราเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปอยู่ที่อื่น ก็ทำงานทำการปักหลักปักแหล่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชาวอโศกแม้ว่าคุณจะปักหลักอยู่ที่นี่ อโศกทุกแห่งก็เป็นญาติของคุณแท้ทั้งสิ้น ที่คุณจะไปกินไปนอนไปพักอาศัย อยู่นานหรือไม่นานก็แล้วแต่ได้หมด ถ้าเรามีคุณภาพไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ไม่มีใครเขาไล่คุณออก นอกจากคุณจะเกเรบางคราวจนถูกขับออกไป 5 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง หรือออกไปแบบไม่มีกำหนด นั่นถือว่าซวยมาก คุณต้องทำความดีจนคนเขารับได้ ให้เข้ามาอีกก็ได้

 ตอนนี้เรามาพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า เมืองไทยนี้เป็นชมพูทวีปประเทศไทยมีคนนับถือศาสนาพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ลดลงแต่อาจจะเพี้ยนไปบ้างตามสำมะโนครัว แต่ว่าเลือดลึกลึกก็รักพระพุทธศาสนา รักจนกระทั่งตายแทนได้ก็แล้วแต่ รักแต่ไม่เอาเนื้อแท้ของพุทธนี่มันงมงายจริงๆ รักแต่ว่าไม่ได้เนื้อหนัง ได้แต่เป็นจับกังแบกลังทองไปให้เขา ได้แค่ค่าจ้าง แต่เนื้อทองนี้ไม่ได้จับเลย อย่างนี้ไม่ดี จะต้องเป็นเจ้าของทองให้ได้

ตอนนี้อโศกแต่ละแห่ง ที่นี่เป็นหัวของใจเริ่มแรก อย่าให้เพี้ยนนะศรีษะอโศกเป็นหัวของใจ อโศกทุกแห่งรวมตัวกันชื่อว่าใจ หัวเป็นเจ้าของเลือด จิตใจเป็นเจ้าของวิญญาณ ก็เป็นธรรมะสอง สูงสุดในมหาจักรวาลก็มีเท่านี้

เมื่อเรารู้กายรู้จิต จัดแจงให้เป็นอภิสังขาร ไม่มีเชื้อเลวร้ายในโลกเลย ก็จะมีแต่ความซื่อตรงซื่อสัตย์ มีพลังงานสร้างสรร ไม่มีตัวตน ไม่มี ish ไม่มี i ไม่มี she ไม่มี he แต่ก็ต้องอยู่กับองค์รวมของสามนี้เสมอ แต่ถ้าไม่ลำเอียงแล้ว i คือตัวเรารู้จักเขา รู้จัก she กับ he แล้วรวมตัวกันให้ได้

she กับ he เขาจะทะเลาะกันตลอดกาล มีอิตถีภาวะและปุริสภาวะ เราต้องเป็นนปุงสกลิงค์ให้ได้ เราอย่าไปเป็นเพศชายที่ข่มเพศหญิง ถ้าเขารวมกันมาต่อต้านเอกบุรุษนะ ก็ยากเลย เพศหญิงนี่รวมหัวกันเก่งนะ

ถ้าไม่ใช่ช้างมาตังคะเก่งจริง ออกจากหมู่ก็เจริญได้ยาก หรือไปไม่รอด แต่ถ้าเป็นมาตังคะ ที่เป็นช้างตัวเองรู้ว่าอยู่กับหมู่ไม่รอด พัฒนายากก็จะออกมาพัฒนาหมู่ของตนได้ อย่างอโศกออกจากเถรสมาคม

ศีรษะอโศกนี้เป็นเนื้อใน เป็นหัว ก็ต้องดูเนื้อในให้ดีๆ ให้ผู้ที่เป็นหัวหน้านี้ไม่ไปเบ่งทับใคร แล้วเป็นคนที่ยอม แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี มีน้ำใจมีเมตตามีภูมิธรรมในตัว ให้ทำไปเถอะ คุณมีคุณค่าในตัว คุณทำดียอมไป ทุกคนจะเห็นความจริงได้ ทุกคนจะยกให้คุณเอง คุณไม่ต้องอยากได้เลยที่จะให้ใครมายกย่องเชิดชู ให้เราเป็นเบอร์ 1 ไม่ต้องอยากเลยเขาจะให้ ขอให้คุณทำเถอะ ขอให้คุณทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ

ในหลวงของเรานี้ทำเพื่อผู้อื่นมาตลอดจริงตามฐานะของพระองค์ เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่คนไม่เข้าใจจะให้มาเสมอภาค ทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด ไม่มีสิ่งที่จะต้องยกให้ยกไว้ คนนั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักสัจธรรมที่สมบูรณ์แบบ

ศีรษะอโศกนี่มีลักษณะของ Big bang เป็นครั้งคราว พอเกิดแล้วก็ให้อยู่กันอย่างนิวเคลียร์ฟิวชั่นให้ได้ อย่าไปอยู่แบบนิวเคลียร์ฟิชชัน ให้รวมตัวกันรังสรรกันต่อ มีลักษณะ Big bang เป็นครั้งคราวแตกตัวกัน แล้วก็รวมกัน ถ้าเราเองเรามั่นคงเราแน่นอนและเป็นผู้ถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ถ่อมตนและรับใช้อยู่ตลอด ไม่ต้องถือตัวคิดว่าตัวเองเก่ง เรามีสมรรถนะเก่ง เราจะมีเราก็ทำเต็มที่ ทำให้แก่สาธารณโภคี

เราเดินทางมาถึงขนาดนี้แล้ว เราเลือกแล้วว่าหมู่นี้ดี รวมกันเป็นญาติธรรมที่มี dna เป็นพุทธ เป็นสัมมาด้วย คุณจะไปเลือกที่ไหนอีก ไปหา dna ที่เป็นพุทธอย่างสัมมาที่ไหนอีก ไปหามาหน่อย dna ที่เป็นพุทธ ถูกต้องตรงตามพระอนุสาสนีย์มีรูปธรรมมาจริงๆปรากฏอยู่ในโลก อยู่ไหน มีตัวบุคคลมาเลย ถ้าเป็น dna พุทธจริงจะมีลูกหลานมาแน่นอนเป็นของแท้ ใครจะแท้กว่าใครก็แล้วแต่ ผู้ที่มีสัจธรรมแท้จะรู้ว่าใครเป็นของแท้ อาตมารู้ว่าในหลวง ไอน์สไตน์ คานธีนี้เป็นพระโพธิสัตว์

ในหลวงท่านเป็นคนมักน้อยสันโดษมาจน แต่ท่านอยู่ในฐานะในหลวงเท่านั้น ท่านจนที่สุดแล้ว คนก็หาเรื่องว่าท่านไปเล่นหุ้นไปหาสัมปทานอะไรต่างๆจริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่พวกนี้คนให้ได้ ยัดเยียดให้ได้ เล่นหุ้นลมที่จะให้แก่ผู้มีเครดิตทางสังคม เพื่อให้ประโยชน์แก่ตนเอง ผู้ไม่รู้สัจธรรมความจริงก็ขี้ตู่กันไป แต่เราดูพฤติกรรมพระจริยวัตรของในหลวง พระราชินีของอังกฤษอุทานว่าได้พบคิงออฟคิงที่แท้จริงจนถึงทุกวันนี้ ท่านไม่ได้หาเสียง ท่านทรงงานมีพระจริยวัตรอย่างจริงพระทัยอย่างเต็มพระทัย ซึ่งท่านทำได้เป็นพุทธที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระโพธิสัตว์

ขนาดสหประชาชาติยังมาให้รางวัลถ้วยเป็นเกียรติยศ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เขาพอเข้าใจแต่ก็ลงลึกยังไม่ได้ เข้ายังไม่ถึง ประเทศไทยนี้มีสัจธรรมมีสภาวะเป็นจริงอยู่แล้ว จงมาร่วมกันสร้างเศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน หนึ่ง เราพึ่งตนเองรอด สอง เราทำให้เหลือให้มาก สาม แล้วก็แบ่งให้ผู้อื่น ให้แล้วเขาจะตอบแทนหรือไม่ก็แล้วแต่คุณความดีความกตัญญูของเขา ไม่ต้องไปบังคับเขา เขาไม่รู้จักปฏิภาณจะกตัญญู ก็ปล่อยเขาไปที่ชอบที่ชอบ แต่ที่ชอบที่ชอบนี่คือนรก ก็ลงต่ำเอง

ในหลวงเรานี้มาบำเพ็ญปางพระเตมีย์ใบ้และพระมหาชนก ดูแล้วท่านก็ยังคงพยายามพากเพียรอยู่ ท่านอายุ 88 ปีแล้วอาตมาอายุ 82 ปีต่างกันร่วม 7 ปี อาตมาก็พยายามจะรับสืบทอดและทำ แต่อาตมามาสายธรรมะ ไม่ใช่สายโลก ก็จะไม่ไปทำอะไรกับโลกมาก พระพุทธเจ้าก็เอาทางเดียว ไม่เอาทางพระมหาจักรพรรดิ์

 เราก็พยายามทำ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

ภราดรภาพคืออยู่อย่างพี่อย่างน้อง เป็นญาติธรรมกันถึงสาธารณโภคี เสียภาษีให้ส่วนกลางเต็มร้อย ใครไม่สมัครใจก็ไปอยู่เขตอื่น แต่ถ้าเข้ามาในเขตนี้ มารับสวัสดิการจากที่นี่คุณก็เสียภาษี 100 เปอร์เซ็นต์ 

ทุกวันนี้อโศกเรามีความเป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว มีสติมันโต มีอิทธพรหมจริยวาโส  หูตาจมูกลิ้นกายใจที่เปิดรับวิถี รู้อย่างสมเหมาะสมควร ไม่เกิดเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นจนเกินไป มีเอกภาพเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ไม่เป็นกลุ่มเอาเปรียบเอารัดสังคม เป็นหมู่ที่เสียสละแก่สังคม อยู่อย่างขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา แม้ขาดทุนเราก็อยู่รอด เพราะเราพึ่งตนเองรอด ต่อไปในอนาคตเราจะสร้างสิ่งที่เราต้องอาศัย

ทางด้านวิศวกรรม ก็อยากให้พวกเราศึกษาพลังงานจากพระอาทิตย์มาใช้ พระอาทิตย์ท่านสบายมาก ใครจะจดทะเบียนเอาไปเป็นของตัวเองไม่ได้ พลังงานฟอสซิลนี้จะหมดลงไปเรื่อยๆ แต่พลังงานจากพระอาทิตย์นี้ไม่มีวันหมดจนกว่าพระอาทิตย์จะแตกดับ

ที่ราชธานีอโศกนี้เราจะใช้พลังงานจากพระอาทิตย์นี้แหละ จึงอยากให้พวกเรามีความรู้เรื่องสร้างเรื่องซ่อมพลังงานโซล่าเซลล์นี้ให้ได้ เราถึงต้องตั้งโรงเรียนตั้งวิทยาลัยเพื่อจะให้มาศึกษาพวกนี้ เด็กๆที่ได้ยินได้ฟังแล้วหรือผู้ใหญ่ได้ฟังแล้วก็ให้รู้ให้มาเริ่มต้นช่วยทำ จะเกิดเป็นรากฐานของสังคมมนุษย์ที่จะเป็นแกนหลัก ถ้าทำได้ก็จะช่วยประเทศได้ เช่น เราสร้างแผ่นโซลาร์เซลล์ได้อย่างละเอียดเนียนเล็กๆ ก็มีคุณภาพสูงได้ เราก็จะสร้างเพื่อใช้และเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้อื่น ถ้ามันเหลือใช้ก็จำหน่ายด้วยราคาขาดทุน ใช้เหลือเราเผื่อแผ่ชุมชนข้างเคียง

บ้านราชเราจะมีน้ำตกลำธารที่ไหลด้วยพลังงานพระอาทิตย์ที่มีทศนิยมไม่รู้จบ ส่งมาตลอดเวลา เราจะไม่มีตัวขาด เรามีแต่ตัวเร่ง เราเอามาไม่หมดหรอกพลังงานจากพระอาทิตย์นี่นะ

พลังงานบางอย่างเป็นพลังงานที่เป็นลบจะเข้ามาทำให้เกิดการสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้นอีก จะต้องควบคุมและกำกับให้ได้ ในศีรษะอโศกก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ปฐมอโศกทำมาก่อนแล้วไปรอด เกิด Big bang แล้วแตกตัวแล้วก็สงบแล้วก็ไปรอด นิวเคลียร์ฟิวชันจับตัวกันได้ดี นิวเคลียร์ฟิชชั่นก็เลยทำอะไรไม่ได้

ที่ปฐมอโศกมีโรงงานปุ๋ยและโรงงานยาสมุนไพรเป็นหลัก และมีอื่นๆประกอบอีกบ้าง รวมแล้วก็เกิน เพราะเรากินน้อยใช้น้อยกว่ารายจ่าย ก็เลยมีเกิน

อันนี้นักเศรษฐศาสตร์ต้องมาศึกษาว่าขาดทุนแต่ทำไมอยู่ได้ ทุนนิยมที่ Maximize profit นี้บรรลัยจักร เราต้องทำเศรษฐกิจแบบ Minimize profit คนที่สูญแล้วจะกินน้อยใช้น้อยที่สุด จะทำงานได้อย่างมากที่สุด จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ไม่มีเห็นแก่ตัวเลยทำได้ หนึ่งหน่วยก็เป็นอรหันต์หนึ่งหน่วย ทำได้เต็มก็เป็นอรหันต์เต็มร้อย เข้าใจกันไหม แต่ที่ทำไม่ได้เพราะอัตตา แล้วจะเอาอัตตาไปไว้ทำไม ถ้าทำได้ไม่เอา ish เลย ish อยู่รวมกันอย่างดี มีทศนิยมสัดส่วนถูกต้อง มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นนักคำนวณชั้นยอด

อาตมาพาทำการเมืองเศรษฐกิจสังคมตลอด แม้ไม่ได้ไปประท้วงอย่างเคยทำมาแล้วก็ตาม เราก็ใช้ความสงบ คุณธรรม เสียสละ ปัญญาเสนอให้เขา ก็ผ่านสงครามมา ชนะหรือแพ้? เราก็ชนะมาเห็นๆ ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

ที่นี่ผู้ที่ถูกการปรับเปลี่ยนก็ไม่เป็นไร ส่งเสริมกัน ผู้ที่จะขึ้นมาทำงานก็ทำให้เต็มที่

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วใช้ให้ตรง จบ นี่เป็นโศลกที่จบ ไม่มีอะไรที่สูงสุดไปกว่านี้ เช่น ความบริสุทธิ์ใจของเรา เรามีอัตตาไหม

ถ้าคุณไม่รู้จักอัตตา ยังยึดว่าตนถูกตนดีก็ยังมีตัวตนอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไม่ยึด เราเชื่อว่าดีก็ทำไป เราเชื่อว่าถูกก็ทำไป หมู่จะทำก็ประสานกันให้ได้ ถูกผิดหรือดีชั่วก็เป็นสมมุติสัจจะ เราไม่มีอะไรขัดแย้งกับหมู่ ถ้ามีตัวเราก็ขัดกับหมู่ ถ้าไม่มีตัวเราก็ไปกับหมู่ได้ พลังงานจะรวมแรงเร็วไปได้ดีกว่า พระพุทธเจ้าว่าสัจจะไม่มีในโลก แต่สัจจะมีหนึ่งเดียว แล้วก็ สัญญา ย นิจจานิ สัจจะที่ตนยึด

ผู้ที่ยึดแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อได้องค์รวมพอเหมาะ หมู่ใหญ่เห็นอย่างนี้ก็จบ เพราะเราเองมาอยู่กับหมู่นี้ เราก็ต้องคัดเลือกแล้วว่าหมู่นี้คือปัญญาชนสุจริตชน เป็นคนที่มีความรู้ทางพุทธธรรมแท้ ปรมัตถ์แท้ คุณเลือกแล้วก็ต้องให้เกียรติทุกคน แม้เป็นกรรมการ คนจะมาร่วมสังฆกรรมก็คัดเลือกตามฐานะ บางคนอายุไม่ถึง ไม่มีคุณสมบัติก็ยังไม่ได้มาเป็นคณะกรรมการ ต้องคัดมาแล้ว ถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ยกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว

อย่างเมืองไทยเราก็มีในหลวง อาตมาถึงสะท้อนใจน้ำตาไหลครั้งหนึ่ง เมื่อระลึกถึงในหลวง อาตมาได้รับทราบข้อมูลว่า ท่านมองไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็เปรยว่าเราไปทำอะไรให้เขาหนอเขาถึงทำกับเราเช่นนี้ แล้วน้ำพระเนตรท่านก็ไหล อาตมาก็สะท้อนใจที่สุด น้ำตาไหล ที่ในหลวงได้รับการยอมรับเพราะคุณธรรมคุณวิเศษ ท่านไม่ได้หาเสียง ท่านไม่ใช้อำนาจข่มเบ่ง ท่านยอมด้วยซ้ำ อย่างพระราชินีอังกฤษต้องบอกว่า ไม่นึกว่าจะได้เจอ king of kings อาตมามั่นใจว่าพูดถูกและมีหลักฐานพอสมควร เราเป็นส่วนหนึ่งอณูหนึ่งของโลก เรามาพัฒนาปรมาณูเราให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดี เพื่อเป็นตัวจักรหนึ่งที่จะได้ช่วยประเทศชาติ ช่วยโลกได้ต่อไป

เพราะคอมมิวนิสต์ก็พังแล้ว ประชาธิปไตยก็เป๋ไปมาก เหลือแต่ในเมืองไทยนี่จะพิสูจน์ตัวเอง ถ้าประชาธิปไตยในประเทศไทยเอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาโลกหรือเอาอัตตาเป็นหลัก โลกนี้หมายถึงมวลชนส่วนใหญ่ เราเอาปัญญาเราเป็นหลัก ไม่ได้เพื่อตนเอง ไม่ได้เพื่อครอบครัวหมู่ฝูง ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ทำเพื่อประชาชนจริง ถ้าแน่ใจอย่างนั้นแล้ว มีอาญาสิทธิ์ควรทำจงทำ

 ตอนนี้ทางธรรมะหรือสัจธรรมมันเกิดเลวร้ายสุดสุด รู้เห็นกันอยู่ว่ากลุ่มที่ทำผิดร่วมมือสุมหัวกันอยู่เป็นคณะใหญ่ เมื่อคณะใหญ่ที่ผิดรวมกันก็บรรลัยมาก ขงเบ้งรวมกับเล่าปี่เตียวหุย คณะใหญ่อย่างโจโฉก็แพ้ได้ เมืองไทยมีอาญาสิทธิ์จงใช้ มั่นใจว่าเราถูกจริงไหม ใช้ปัญญาตนเองไม่ต้องบังคับใคร ถ้าจริงแล้วต้องเอาถูกเข้าว่า ไม่เอาทางผิด

อาตมาก็ใช้ปัญญาว่าตนลำเอียงไหม ไปว่าธรรมกายหรือทักษิณเขามากไปไหม อาตมาก็ว่าตรงๆไม่ลำเอียง ถ้าขืนให้อำนาจทางธรรมที่ผิดนี้ขึ้นมา แล้วคุณต้องกราบต้องเคารพด้วยนะ แม้ในหลวงด้วย จะไปไหนรอด มันมีหลักฐานทั้งตัวตนยืนยันครบหมด ในประเทศไทย เหตุการณ์ครั้งนี้ทางด้านวิญญาณก็ตัดสิน รูปธรรมก็ตัดสิน

ด้านวิญญาณสมเด็จพระสังฆราชก็ตัดสินปาราชิก ทาง dsi รูปธรรมก็ตัดสินปาราชิก แล้วจะรออะไรอีก แม้เราไม่รู้ก็มีผู้ช่วย ทั้งคู่ท่านทำงานมาทั้งคู่แล้วท่านก็ตัดสินแล้วนะ จะรออะไรอีก ถ้าอาญาสิทธิ์ไม่ลงอาญา อาตมาว่าบ้านเมืองไทยยากและขอพูดต่อไปนี้ไม่ได้ไปว่าไปขู่นะ

ผู้มีอาญาสิทธิ์แต่ไม่ทำตามสมควรนั้นก็รับวิบากเอง เพราะได้อาญาสิทธิ์แล้วไม่จัดการ ได้ดาบอาญาสิทธิ์เอาไปปราบมารแล้วไม่ปราบมารก็ผิด 157 โดยโลก โดยสัจธรรมก็ผิดด้วย 

ประเทศไทยกำลังทำงานระดับโลกนะ ถ้าทำได้ดี อาเซี่ยนจะไปได้ดี เขามองเราอยู่นะ ถ้าเราทำตามสัจจะได้ดีจริงที่สุด ประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษยชาติมากที่สุดก็ควรทำเถอะ จะทำหรือไม่ทำก็แล้วแต่ท่าน เป็นแต่เพียงแนะให้ความเห็นไม่บังอาจไปสั่งท่านหรอก

พวกเราแต่ละคนก็อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ผู้ใดยอมก่อนก็ชนะก่อน ผู้ใดยอมทีหลังก็เป็นผู้แพ้ พวกเรานี้เหลือแต่มานะอุทธัจจะ นอกนั้นราคะ เรื่องกาม ปฏิฆะโลกๆก็สบายกันแล้วไม่ลำบากอะไร ก็ขอให้กำลังใจ อาตมาจะมีพลังที่จะให้ได้เท่าไหร่ให้พวกเราหมดเลย อาตมาหาเอาใหม่ โดยเฉพาะหัว ตอนนี้ปฐมอโศกพึ่งตนเองรอดแล้วช่วยพี่ช่วยน้อง ถ้าศีรษะอโศกพึ่งตนรอดและช่วยน้องได้อีก เป็นเสือติดปีกแน่... เจริญธรรม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:50:26 )

590125

รายละเอียด

590125_เทศนาเพชรพุทธ 13 กะรัต ที่ธุลีฟ้ารีสอร์ท

ขณะนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะรีสอร์ทธุลีฟ้าข้างหลังคือดอยธุลีฟ้ามีการเทศน์กัณฑ์พิเศษเหตุเพราะว่าตอนนี้อากาศวิปริตมากบุญนิยมทีวีอยู่บนภูผาฟ้าน้ำนั้นล้มละลายเลยต่อไม่ติด ทำอะไรไม่ได้ก็เลยโยนทิ้งจากดอยภูผาฟ้าน้ำมาให้ดอยธุลีฟ้ารับช่ว590125ง อาตมาก็เลยต้องรับช่วงเข้าให้เทศน์ตอนนี้  อาตมาก็เลยอยู่กับพระไตรปิฎกเล่ม 9


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:53:25 )

590126

รายละเอียด

590126_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ชมร.เชียงใหม่    

วันนี้วันอังคารที่ 26 มกราคม 2559 พ่อครูมาเทศนาก่อนฉัน ที่ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทยสาขาจังหวัดเชียงใหม่ พ่อครูเดินทางมาถึง ชมร.เชียงใหม่ ตอนประมาณเกือบ 8 นาฬิกา จากนั้นพ่อครูเดินชมภายในบริเวณ ชมร.เชียงใหม่ ทักทายโอภาปราศรัยกับญาติธรรมชาวเชียงใหม่ที่มากันอย่างล้นหลาม จนแน่นขนัดไปทั่วภายในชมร.เชียงใหม่ จากนั้นพ่อครูนำสมณะบิณฑบาตภายในชมร.ชม.

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ต้องเรียนรู้เวทนา จึงฆ่าอาการที่33ได้

  พ่อครูว่า….จะหมดเดือนอีกแล้ว ยังไม่ทันหายใจเลยกองบรรณาธิการก็ทวงต้นฉบับแล้ว ก็บอกว่าขอเวลาป่วยหน่อยได้ไหม ทวงแม้กระทั่งตอนป่วย ก็ไม่เป็นไร เราก็สู้ได้ เขาบอกว่าที่นี่ตอนนี้สิบองศาเซลเซียสก็เย็นพอสมควรขออนุญาตสวมหมวก เพราะตอนนี้ก็ยังไม่หายสนิทดีทีเดียว แต่ก็คิดว่า 99.95 %แล้ว  ก็ฟังดูว่าจะหายจริงหรือไม่ ว่าจะมีอาการต่างๆที่จะสอนให้เห็นความจริงได้ความสมดุลหรือไม่สมดุล ก็สังเกตจากอาการ เช่น อาการ 32 ในร่างกายมนุษย์พระพุทธเจ้าประมวลไว้มันมีอาการให้เรารู้ แต่อาการต่างๆข้างในเรารับรู้ได้ยาก พระพุทธเจ้าก็ให้เรียนรู้อาการของ 32 ส่วนอาการที่ 33 ที่เรียกว่าดาวดึงส์ เป็นอาการที่คนโลกๆไม่เข้าใจ ก็ไปเข้าใจว่าเป็นอาการของจิตที่เป็นเวทนาเป็นความรู้สึกของสวรรค์ ของสิ่งที่ชอบใจที่พอใจ สบายใจ อิฏฐารมณ์ เป็น สวรรค์

อารมณ์สวรรค์ที่จริงไม่มีจริงเป็นของหลอก แต่อาการที่ 33 นี้มีจริง จะเรียกว่าสังขารจิตหรือจะเรียกว่าเวทนา เป็นองค์รวมเลยก็ได้

เช่น ตากระทบรูปก็เห็นภาพแล้วก็ปรุงแต่ง มันมีสัญญาบอกตัวเองว่าคืออะไร เช่น ตาเรากระทบรูปสัมผัสรูป รูปนี้มันดูดี เราก็ใช้ศัพท์ภาษาไทยว่าสวยงาม บาลีเรียกว่าสุภะ ตามสมมุติโลกก็เขียนได้ว่าขี้เหร่หรือว่าสวย แต่ใจเรานี้มีอาการชื่นใจชอบใจ มีอาการกับที่เราเห็นตามสมมุติโลกว่าแบบนี้มันดีรูปร่างอย่างนี้สวยดีหรือไม่ดี มันมีนิมิตหมายถึงให้เราเห็น ให้เรารู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ละคนก็กำหนดเอาตามที่ตนเองตัดสินว่าเอง ของใครของมัน จะใกล้เคียงกันจะสำคัญหรือเหมือนกันที่สุดก็ได้ แต่มันมีความต่างเรียกว่าลิงคะ อาการของจิตมีความพอใจชอบใจ พอใจอาการอันเกิดรุนแรง ก็ไม่ชอบน้อยลงมา ให้ลดลงมา คนที่ไม่มีอะไรรุนแรง ก็ไม่มีอะไรผลักดันเป็นอาการพลังงานที่ออกไปดิ้นรนแสวงหา แต่ถ้ามีแรงมากก็จะอยากได้มาเป็นของตัวเอง อยากได้ไปนานๆถาวรอย่างนี้เป็นต้น 

คนก็เป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็น มีอาการเห็นแก่ตัวที่เกิดความจริงตามความเป็นจริง คำว่าความจริงตามความเป็นจริงคืออะไร คืออันนี้มันก็เป็นจริงอย่างนี้ ใครเห็นเหมือนกันหมด ส่วนอันนี้มันเกิดการเปรียบเทียบ สมมุติว่ารูปนี้มันไม่สวยเท่ารูปนี้ คุณว่ารูปนี้สวยกว่า รูปนี้ไม่สวย ที่จริงรูปของโพธิรักษ์รูปไหนก็สวยหมดแหละ  (พ่อครูยกภาพพ่อครูให้ดู)

สมมุติโลกมันก็ต่างกันไป แต่อารมณ์ที่คนมีอาการชอบใจไม่ชอบใจนี้มีแต่จิตของคุณหรือไม่ จิตของคุณไม่มีอาการฟูฟองกระเพื่อม แล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริงของโลกสมมุติ แต่จิตของเราไม่มีอาการฟูเลย ก็ธรรมดาก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่านี้คืออะไร แต่จิตเราไม่ฟูฟองอะไรเลย คนนี้แหละคือคนไม่มีโรคไม่มีอาการของโลกธรรมที่ทำให้จิตฟูฟอง เรียนรู้อาการฟูฟองที่เป็นอาการซ้อนอาการ

อาการรู้ความจริงตามความเป็นจริงก็เป็นอย่างหนึ่ง เรียกว่าธรรมะ 1 เอกัคคตาจิต ถ้าเรามีเอกัคคตาจิตแข็งแรงไม่ฟูไม่ฟองกับอะไร พระอรหันต์มีจิตเอกัคคตาตลอดถาวร รู้ตามโลกตามสมมุติว่า เขาว่าดีว่างามว่าสวยหรือไม่สวยตามเขา บางอย่างอาจจะไม่รู้สมมุติตามเขาก็ได้ พระอรหันต์ท่านไม่รู้ตามเขาทัน แต่ท่านก็ไม่ทุกข์

แต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าอยากจะรู้ตามเขาก็ต้องเข้าไปเป็นเหมือนเขาคลุกคลีไปตามเขาให้รู้รสชาติมีอารมณ์เหมือนเขา พระโพธิสัตว์บางทีต้องไปเกิดมีจิตมีชีวิตมีวิญญาณร่วมกับเขา ดีไม่ดีก็เกิดเป็นชาติเลย อยากจะรู้ว่าสัตว์ชนิดนี้มีอารมณ์อย่างนี้ พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ที่ท่านอยากจะรู้ก็เกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นเป็นเดรัจฉานตัวนั้น เพื่อจะรู้ความจริงว่ามันเป็นอย่างไร 

  อาการที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง กับอาการของกิเลสมันต่างกัน การศึกษาต้องศึกษาจิตที่มีอารมณ์อาการมีรสชาติต่างกันอย่างนี้แหละ เวทนาจึงเป็นแหล่งกลางของการศึกษาที่จะบรรลุถึงอรหันต์ได้ ถ้ารู้เวทนาในเวทนา 108 รู้จักอารมณ์ที่จริงมันมีเป็นล้านล้านอารมณ์ แต่ในหลักวิชาของพระพุทธเจ้าเรียบเรียงไว้ 108 แยกเป็น 108 ลักษณะ 

กายนั้นพระพุทธเจ้าเรียกว่า จิต เรียกว่ามโน เรียกว่าวิญญาณ เป็นหลัก แต่ก็รวมถึงดินน้ำไฟลมภายนอกด้วย มีสองอย่างแล้วก็ไปศึกษาที่จิต ไม่ใช่ไปศึกษาที่ร่าง ไม่ใช่ศึกษาเอาภายนอกเป็นหลัก ต้องศึกษาเข้าไปถึงภายใน หรือเข้าไปถึงอนุสัย แล้วล้างอนุสัยก็จบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พุทธสอนให้ทำดี แต่ไม่ยึดดี 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนผิดจนไม่เป็นพุทธ ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีอาริยธรรม กลายเป็นเหมือนศาสนาอื่นที่เขามีมาแล้วที่ปราชญ์ได้ศึกษาความดีที่สุดของโลกียะเขาได้ศึกษามาแล้ว มีปราชญ์มีศาสดามีผู้รู้ได้ศึกษาทางโลกีย์นี้

 โลกียะคือจิตวิญญาณที่เข้าใจความดี ดีสูงสุดเลยตามสมมุติของแต่ละยุคไม่เท่ากันหรอก ของแต่ละยุคก็สมมุติความดีสูงสุดต่างกัน แล้วช่วงต่ำสุดต่างกันอย่างไร นั่นคือสมมุติของชั่วของดีเป็นโลกียะบนขึ้นไปสู่ดีแล้วก็ค่อยลดลงมาเป็นชั่ว จากชั่วก็ค่อยขึ้นไปดี ไม่เลิกชั่วเลิกดี ศาสนาโลกียะไม่เลิกชั่วไม่เลิกดี เลิกชั่วเลิกดีไม่เป็น เพราะฉะนั้นผู้ใดแปล สัพพปาปัสสะ อรกณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง แปลเป็นว่าคือดีกับชั่ว แยกบาปบุญไม่ออก ได้แต่แค่ดีกับชั่ว

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ดีก็ชั่ว ถ้าไม่ชั่วก็ดี ไม่ชั่วไม่ดีเลยคือจิตลดชั่วลดดี จิตลดชั่วลดดี จนจิตหมดชั่วหมดดี แล้วก็รู้ความชั่วในโลกรู้ดีในโลก ไม่ได้ยึดติดความดีความชั่วในโลกได้ อยู่อย่างมีโลกะวิทูรู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็น ทำความดีที่ควรจะเป็นให้แก่โลก เขาผู้นี้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ไม่คิดดีคิดชั่ว ไม่ติดดีติดชั่ว จิต หลุดพ้นจากดีจากชั่ว

มีดีมีชั่วตามโลกเขา แต่ท่านไม่ติดไหนดีไหนชั่ว แล้วก็รู้ว่าควรจะมีดีในมนุษย์มากกว่าชั่ว แล้วก็ มีความดี แต่อย่ายึดดียึดชั่ว

แม้เราจะชอบความชั่ว มันมีรสชาติเหลือเกิน เช่น รวยนี่มันชั่ว แล้วคนที่อยากรวยมากเท่าไรก็ยิ่งชั่วมากเท่านั้น คนที่อยากจะรวยต่อไปเรื่อยก็ชั่วต่อไปเรื่อย แล้วก็อยากรวยต่อไปเรื่อยก็ชั่วต่อไปเรื่อย infinity เลยไม่มีจบ เคยเป็นไหมเคยมีไหม เดี๋ยวนี้ยังอยากเป็นไหม ไม่เป็นแล้วก็ดีมาก

สุดท้ายของสุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเหลือให้คุณจริง ถ้าคุณเกิดชาติเดียวแล้วสูญ คุณจะแย่งเอาไปไว้ทำไม ชาติเดียวก็จบ ต่อให้คุณเกิดมาอีก ชาติหน้าก็ไม่ใช่ของตัวคุณแล้ว คุณจะแย่งไปทำไม  มีบางวงการบอกว่าเกิดมาใหม่ ก็ตามหาชาติที่แล้วถูก เขาก็ยอมยกทรัพย์สมบัติให้แก่คนที่เกิดมาใหม่นี้เลย เช่น ทิเบต สมบัติ ดาไล ลามะ เป็นของกลาง คนเกิดมาใหม่ก็ตามคืนสมบัติให้เลย

การไปยึดมาเป็นเราเป็นของเรามันเป็นเรื่องของจิตที่ยึดมาเป็นเราเป็นของเราเองทั้งสิ้นเลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้จะรู้ว่าเราเองมันโง่เอง ไปคิดมาเอง เข้าใจให้ได้จริงสมบูรณ์ คุณก็จะรู้ว่าโง่ไปยึดทำไม คุณก็จบแล้ว ก็อยู่กับสิ่งที่จะต้องอาศัยเช่น คุณทนไม่ได้มันหนาว คุณก็ต้องอาศัยสิ่งที่แก้หนาว 

พวกเราที่มีภูมิธรรมมีบารมี ติดตามฟังเข้าใจได้เห็นจริงได้รู้ได้ ติดตามมาพากเพียรมาเอา คนชนิดนี้มีอยู่เป็นคนโลกุตระ ซึ่งไม่ง่าย คนที่มีก็มีจำนวนน้อย ซึ่งยุคนี้คนที่เกิดมาจะได้อย่างนี้ก็มีน้อย มันมีความซับซ้อนอีกเยอะ

 

บทกวีของไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ตื่น ตื้น ตัน …...

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พลังพีชะคือจิตที่ล้างความเห็นแก่ตัวช่วยเหลือผู้อื่น

ที่ได้บรรยายธรรมะมามีคำอยู่ 3-4 คำโดยละเอียด ขยายความถึงคำว่าเซลล์ ที่เป็นเรื่องของชีวะ พีชะเริ่มเกิดชีวะ เซลล์อันแรกเลยที่เกิดเป็นชีวะ niche คือห้องว่าง ในมหาจักรวาลเรียกว่าโพรงอากาศ หรือ space กำหนดแคบหรือกว้างแล้วแต่ ในพลังงานจิตช่องว่างเล็กมาก ในมหาจักรวาลกว้างมาก ในโพรงไม่มีอะไรในนั้น แต่ในนั้นมีอะไรอยู่ตามสภาพ มีอะไรไปอยู่เป็นเทหวัตถุขึ้นมาก็เป็นหนึ่ง

เข้ามาหาจิต จิตมีช่องว่าง ทำให้ดูนี่เป็นการขยายล้านๆๆๆเท่า ของความจริงของช่องว่างของจิตเล็กกว่าที่ทำให้ดูนี้ไม่รู้กี่ล้านเท่า ความจริงมันนิดน้อยมาก  niche แล้วเริ่มเกิดเซลล์

พีชะก็เกิดช่องว่าง แต่โตกว่าจิต แล้วเริ่มเกิดเซลล์ เซลล์ก็คุณสมบัติไม่เหมือนเซลล์ของจิต เซลล์ของพืชเกิดมาเป็นตัวเอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า I(ไอ) ถ้าไม่ต่อก็เกิดชีวะไม่ได้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าถามภิกษุว่า ถ้ามีอันหนึ่งเกิด แล้วไม่มีการต่อเป็นอีกหนึ่งสิ่งนี้ก็ต้องเสื่อมลงไป ชรตา มีช่องว่างหรือ space เรียกว่ารูป มีหนึ่งขึ้นมา ก็รวมเป็น 2 ถ้าไม่มี 3 ก็ไม่ต่อ แต่ถ้ามี 3 หน่อยครบก็เป็นวงจรขึ้นมาได้ก็จะเกิดมี 3 จุดนี้ก็ยังไม่เคลื่อน ต้องมีอะไรอีกอันหนึ่งเป็นอันที่ 4 จึงจะเคลื่อน ถ้าไม่เคลื่อนที่มันก็จะเสื่อมลงเหมือนกันของชีวะ แต่ถ้าเคลื่อนที่และหมุนในตัวมันเอง มันก็จะไม่ออกนอกวง หมุนในวัฏฏะนี้ ออกไปไม่ได้ นี่เป็นชีวะของพืช

ชีวะของจิตนี้นัยยะคล้ายกัน แต่สภาพการรับรู้ต่างกัน  มีเวทนามีสัญญามีสังขาร แต่พืชนี้มีแต่สัญญากับสังขาร ถ้ามีสังขารปรุงแต่งเป็นตัวตน จึงเกิด 3 อย่าง  จะเรียกว่า ish คือ i และshe และ he เครื่องเป็นวงวนสามอย่างนี้  ish แต่ถ้า  ish นี้ ออกมาเป็น 4 ตัวนี้เชื้อดีเอ็นเอ ish ออกมาเป็น 4 จะเกิดการเคลื่อนที่ แต่ถ้าไม่มีออกมาเป็น 4 จะไม่เคลื่อนที่แม้มันมีตัวเอง แต่ไม่เคลื่อนออกจากตัวเองไม่ได้หมายความว่าตัวมันไม่เคลื่อนไปไหน แม้พืชมันเป็นตัวเองของมันก็เพียงแต่รวบรวมอันอื่นมาเป็นตัวของมันเอง อะไรไม่ใช่ส่วนที่มันต้องเอาตามที่มันมีสัญญากำหนดรู้มันก็ไม่เอา เช่น มะม่วงก็ต้องอาศัยธาตุที่มามีสีมีกลิ่นมีรสเป็นมะม่วงอย่างนี้ มันไม่เอาที่ไม่เกี่ยวกับมัน 

พระพุทธเจ้าสอนให้จิตวิญญาณลดความเห็นแก่ตัว ish คือให้กลับมามีสภาพจิตวิญญาณคล้ายพีชะ มี ish แต่ไม่ออกไปทำร้ายใคร วนของตนเท่านั้น ท่านให้ล้างตัวพิษภัยตัวที่สี่นี้ ให้ทำเป็นลำดับ ตั้งแต่ลดตัวที่ล้านๆลดมาเป็นปริตตัง จนเป็นอนาคามีจะเหลือในวงวน 9 แล้วลดลงมาอีก จนเป็นสาม เป็นสองหนึ่ง ถ้าหนึ่งก็ปลอดภัยแล้ว จนลดเหลือ นปุงสกลิงค์

 เป็นพลังงานที่สะอาดไม่มีพิษภัย มีพลังงานในลักษณะพีชะ สมมุติว่าผู้ที่มีพลังงานร้อยมีพลังงานพันมีพลังงานหมื่น จิตลดมาเป็นพีชะ แต่ว่ามีคุณภาพมีปริมาณพีชะที่มาก เป็นพลังงานสะอาดสร้างแต่ประโยชน์ ตัวมันเองสะสมตัวมันเองเท่านั้น

 พระพุทธเจ้าทำพลังงานจิตให้มามีลักษณะของพีชะ  ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำประโยชน์ได้มากเหมือนพืชตามฐานะบารมี วิธีการพระพุทธเจ้าทำสิ่งเสียให้เป็นดี กุสลัสสูปสัมปทาได้มาก เพราะสัพพปาปัสสะอกรณังแล้ว มีสจิตตปริโยทปนัง เป็นผู้ที่ช่วยโลกได้มากจริงๆ

เมื่อเป็นเซลล์หนึ่ง เกิดสามเซลล์ก็เป็น self แต่ไม่เป็นพิษภัย เป็นพีชนิยามทำแต่ประโยชน์ เมื่อ ish ออกไปอาละวาด เป็น selfish ในตัว self มันมี ish ของมันแล้ว สามเส้านี้มี ish แล้วมันรวม ish มาเป็นอันที่สี่ เป็น selfish เอาไปอาละวาดมาให้ตัว คืออวิชชาตัวแรกคือไม่รู้ ต้องเริ่มจากอวิชชาทั้งนั้น แล้วก็เพิ่มเป็นสี่เป็นห้าเป็นหกจนเป็นสิบ แล้วเพิ่มอีกจนมีหลายสิบมากมาย

โลกนี้จึงซับซ้อนมากคนไหนหลอกมาให้ได้มากคนก็ตกเป็นเหยื่อได้มาก โลกนี้ศึกษาความซับซ้อนแล้วเอาความซับซ้อนที่รู้มากกว่าคนอื่น เอาไปอาละวาดต่อ ด้วยอำนาจ selfish   

มันมี ish สองลักษณะ คือแบบที่ไม่ระรานใครเป็นพีชะ กับ ish ตัวเลว ตัวนี่ต้องล้างออกให้ลดลง จนเป็นอรหันต์จะเหลือ ish คือ self ไม่เป็น selfish มีแต่ self ที่เสียสละ จะมีไหมภาษาอังกฤษที่เป็น self ที่เสียสละ

นี่อาศัยภาษาไม่ใช่เดานะ ภาษาสื่อสภาวะ ต่อให้ใครหาว่าอาตมาเดา แต่มันเป็นโครงสร้างสัจธรรมแสดงว่าอาตมาใช้สิ่งที่มีมาให้คุณเข้าใจเอาไปล้างกิเลสได้ก็ทำได้ตามสมมุติ ถ้าคุณทำได้ก็เป็นปรมัตถสัจจะของคุณแล้ว คนทำได้จะมีสมมุติและปรมัตถ์ จะรู้สมมุติได้ดีด้วย คนที่ถึงที่สุดปรมัตถ์ก็อยู่กับสมมุติ อนุโลมช่วยเขาไป เป็นอรหันต์ก็เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าจนกว่าปรินิพพาน

อาตมาใช้ภาษาบัญญัติมาสื่อสภาวะ แม้ชาตินี้ไม่เก่งแต่ก็ขออาศัย เพราะมันกว้างขึ้นทำให้คนอื่นเข้าใจเพิ่มได้

คำว่า i คำว่า she คำว่า he ใครเข้าใจภาษาก็เอาไปปฏิบัติ มันคือพลังงาน ish ระดับพีชะ หรือ ish ระดับเลวร้ายอาละวาดก็มี ต้องเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ ให้คนเข้าใจภาษานี้ปฏิบัติได้ด้วย

ยกตัวอย่าง นิวเคลียสเป็นองค์รวมพลังงานเล็กสุด พอแตกระเบิดจะเป็นสอง เป็น Isotope เป็น Chain reaction ต่อไปเรื่อยๆรวมตัวไม่ติดเป็นวิกขิตตังจิตตัง ไปไกล Infinity เลย เลยตัดแต่ Half life จะรู้ระยะสลายได้ ครึ่งเวลา มีขุฑกะกับขณิกกะ

อีกอันมีลักษณะรวมตัวกัน ถ้าแตกจะมีสองแบบ คือแบบรวม สังขิตตังจิตตังกับวิกขิตตังจิตตัง ทางฟิสิกส์ก็มีสองแบบ Fusion กับ Fission

คนสามารถรู้ได้ นิวเคลียร์ Fusion กับ Fission  เป็น he กับ she แล้วก็มีเราคือนามไปรู้รูปคือ she กับ he ได้ ก็เป็นสภาพสองเล็กสุดก็เป็น Fusion กับ Fission  รวมในนิวเคลียสเท่านั้นเอง นั่นคือทางวัตถุก็จบ

นามธรรมแบ่งเป็น i เป็น she เป็น he ภาวะสองคือ เป็น she เป็น he แล้วแยกให้ออกว่าอันไหนเป็นอิตถีภาวะที่ดิ้นไม่หยุด Fission ส่วนปุริสภาวะรู้จักหยุดรู้จักพอ Fusion มีเศรษฐกิจพอเพียงหยุดได้ ส่วนพวกไม่พอก็หยุดไม่ได้เป็น Chain reaction ไปไม่รู้จบหมด ดิ้นไม่หยุด เพศหญิงเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงจะมีอิตถีภาวะมากพอจะมีตัวตนเป็นเพศหญิง ในสัจธรรมจะมีอิตถีภาวะมากกว่าปุริสภาวะ แต่ผู้หญิงที่อยากเป็นชายก็เลยเป็นกระเทย มันอยากเป็นแต่ความสมบูรณ์คุณยังไม่ได้ก็ยอมรับดีกว่า แล้วทำสัจจะให้ครบอย่าไปนั่งตะแบงก็เสียเวลา

ลักษณะกระเทยนี่ดิ้นยิ่งกว่าเพศหญิงเสียเวลา ดัดจริตมากกว่าหญิงแท้อีก นี่เป็นสัจธรรมลักษณะเพศหญิงคือดิ้น ลักษณะเพศชายคือหยุดจบ

พระเจ้าอยู่หัวท่านบำเพ็ญปางเตมีย์ใบ้ ท่านตรัสน้อยบอกแต่สัจธรรม ว่าให้พอเพียงเสียที แล้วก็รวมเศรษฐกิจพอเพียงแต่คนไม่พอก็ไม่รู้จักพอ บอกว่า ความรวยนี้จะพอไหม แล้วบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็รวยได้ ต้องไปถามธัมมชโย ว่าจะพอไหม ตายแล้วก็ไม่จบยังพยาบาทต่อ เกิดมาก็ยังทำแบบนี้ต่อ พวกนี้โง่ไม่เสร็จตายแล้วก็เกิดมาโง่ใหม่ น่าสงสาร

ในหลวงตรัสเศรษฐกิจพอเพียง ต่อมาก็มาตรัสเรื่องแบบคนจน คนก็ไม่เข้าใจว่าจนคืออะไร ความจนก็คือการขาดทุน แล้วขาดทุนคือตนเองจะต้องเสียออกไป แล้วขาดทุนนั่นแหละคือกำไร คุณอยากได้กำไรคุณก็ต้องขาดทุนสิ ถ้าเข้าใจได้ก็มาเป็นคนขาดทุนก็จบเลยชีวิตนี้มีแต่ขาดทุน ยกตัวอย่าง เราสร้างอันนี้ได้ลงทุนไป 100 เอาไปแลกเป็นสินค้าราคา 100 คืนมาก็เจ๊า ไม่มีใครได้ใครเสียค่าของนี้คุณลงทุนไป 100 คิดค่าโสหุ้ยให้หมดแล้ว คุณจะไปแลกที่ราคาแล้วมันได้น้อยกว่า 100 ได้แค่ 80 คุณก็ได้ 80 มานั่นแหละคือคุณได้กำไร  20

ถ้าคุณเต็มใจบอกว่าได้กำไร 20 ก็สบายใจ ได้ขาดทุนไป 20 นี้คือกำไร 20  คุณจะขาดทุนอย่างนี้ต่อไปได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ขาดทุนต่อไปเลยคุณก็กลายเป็นคนเสียสละ เสียสละทีละ 20 ก็เอาละเสียสละให้ได้ตลอดกาลก็แล้วกัน อย่าไปแอบเอาเปรียบเขามาแล้วมาบอกว่าเสียสละออกไป เพราะแสดงออกขาดทุนทีละ 20 แต่ไปแอบหามาเยอะกว่านั้น แบบนี้นั้นหลอกกัน 

ถ้าคุณถูกหลอกให้เห็นว่าอะไรก็ดีไปหมดสวยไปหมดเงินไปหมดก็ไปโดนหลอกไปเอาขี้หมาที่มาทาสี ก็ไปซื้อหามา

เช่น ชามแตกชามบกพร่อง ชามไม่สมบูรณ์ที่เรียกว่าเครื่องสังคโลก เขาก็ทิ้งไป เขาโยนทิ้งแล้วคนก็ไปเก็บมาได้ของเก่าแบบนี้คนไม่ทำอีกแล้ว เขาก็มาตีราคาสำหรับนักโบราณคดีเอาไว้ศึกษาเรื่องโบราณคดีเท่านั้น แต่ถ้าไม่ใช่นักโบราณคดีคนเอาไปหาหอกทำไม คนก็ไปตั้งโชว์ในตู้ ซื้อมาแพงมากเอามาโชว์ทำไม เอาไปให้นักโบราณคดีศึกษาได้ความรู้จะดีกว่า ตนเองก็หวงแหนไว้ มีเงินซื้อมาแต่ไม่มีความรู้จะศึกษาเลย คนแบบนี้ทำลายโลก เอาเงินเป็นที่ตั้งแล้วเบ่งอำนาจ พวกนักโบราณคดีอยากได้ไปศึกษาก็เอาไปไม่ได้ คุณก็หวงเอาไว้เท่านี้ก็ไม่จบหรอก โง่ดักดานโง่ไม่จบ ชาติหน้าก็โง่หนักกว่านี้ แล้วไม่เจริญเท่าเก่าด้วย 

ชามแตกชามพิการเอาไปใส่อะไรกินก็ไม่ได้ มันรั่วออกตั้งไว้เป็นของโชว์ซื้อมาราคาแพงมีสิ่งเดียวในโลก นี่คือคนบ้าชนิดนี้ทุกวันนี้เขาก็นิยมกัน  เอาไปประมูลมามีชิ้นเดียวในโลก กูก็ชนะประมูลมาเท่ชิบหายเลย ก็ชิบหายสิเงินซื้อไปมันแพงเท่าไหร่ 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ถ้าเป็นหนึ่งที่ไม่มีความรู้ เห็นแก่ตัวจัดจ้าน เอาแต่กูจะมี he มี she เท่าไหร่กูไม่สน เอาแต่กูอย่างเดียวอันนี้เห็นแก่ตัวเลวร้ายสุด

แต่ถ้าทำให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างมีความรู้ ถ้าเข้าใจลักษณะสองลักษณะสาม แล้วขยายเป็นสี่เป็นห้าต่อไปอีก ถ้าเข้าใจแก่นแกนแล้วก็สรุปรวมลงได้ ถ้าเข้าใจก็จบ อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ไม่ติดไม่ยึดแล้ว อาจพูดว่าติดที่ต้องศึกษาต่อ ไม่เพื่อตนแต่เพื่อช่วยผู้อื่นได้กว้างขวางต่อไป ถ้าจะหยุดวันนี้พรุ่งนี้ก็หยุดจบได้ แต่เราจะศึกษาต่อก็ช่วยคนอื่นต่อ แต่อย่างพระสมณโคดมท่านจบแล้ว ท่านจะจบชาตินี้ ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว ไม่เป็นพระพุทธเจ้าสองสมัย ท่านไม่ใช่บารัค ไม่ใช่ทักษิณ

เปรียบเทียบคุณจำลองกับคุณทักษิณ ทักษิณนี่ไม่จบ ไม่ยอมจบ ถ้าเขาจบก็สบายสงบ แต่คุณจำลองนี้จบไม่ต่อ แต่จบอย่างไม่เข้าใจ จบอะไร อาตมาพูดถึงความเก่า คุณจำลองได้เป็นผู้ว่ากทม. อาตมาบอกว่า Thailand is Bankok และ Bankok is Thailand. คุณจำลองไม่ทำอย่างอาตมาพูด พอสมัยสองก็ไปสมัครสส.ไม่ทำปริตตัง เป็นสมัยสองก็ไปตั้งพรรคพลังธรรม มาพบอาตมาแล้วบอกว่าตั้งแล้ว มีโลโก้มาเลย อาตมาก็ลงเรือลำเดียวกัน ก็ไปดันพลังธรรมก็เลยเข้าถ้ำเลย ไม่สมบูรณ์ คุณจำลองก็มารู้ทีหลังว่าเราไม่พอ ถ้าสะสมคนดี ทำกทม.นี่แหละ ประเทศไทยจะไปได้ดีกว่านี้อีก แต่ก็ไม่เสียท่าทีเดียว เมืองไทยยังรักษาทางธรรมได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ใครคือปรอท ใครคือโฟม

โลกเขาทำสถิติว่าประเทศไทยก็ยังมีทุกข์น้อยกว่าทุกประเทศ เศรษฐกิจประเทศไทยก็ยังดีกว่า แต่คนทำสถิติก็ยังคิดโลกุตระไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นประเทศเศรษฐกิจลำดับที่ 21

ตอนนี้อาตมาก็จะพยายามลากสังขารเพื่อช่วย อาตมาไม่ได้คิดว่าตัวเองดีเด่นอะไร อาตมาให้ฟรี เอาหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาเกิดมาให้อย่างเดียว ใครจะเอาหรือไม่เอาไม่มีปัญหา อาตมามีแต่ปัญญา ที่อาตมาให้นี้ให้ สูญ

อาตมาหมดสูญแล้ว ไม่มีอะไรอื่นมีแต่สูญ จะเอาอะไรอีกก็มีแต่สูญ อาตมาให้ไม่หมดเพราะมีสิ่งที่ไม่มี ให้ มีแต่สูญ จะเอาอีกเมื่อไหร่ก็สูญ​

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนจะเห็นเรา เหมือนพวงมะม่วงสมบูรณ์แบบครั้งสุดท้าย เมื่อถูกตัดลงแตกกระจายจากขั้วแล้ว จะไม่รวมตัวกันติดอีกแล้ว คนจะเห็นพวงมะม่วงชื่อว่าตถาคตครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้จะไม่มีพวงมะม่วงที่ชื่อว่าตถาคตอีกแล้ว 

ในหลวงท่านตรัสเรื่องแบบคนจนกับรัฐมนตรีเกาหลี บอกว่าจะบริหารประเทศแบบคนจน เกาหลีก็ปวดหัวเลย จะบริหารประเทศแบบไหน ทุกวันนี้เกาหลีแข่งรวยกันจนชนะหลายประเทศแล้ว แล้วแบบคนจนที่ไปรอดจะนึกออกอย่างใด

อาตมาก็เท่าที่จะมีความรู้สามารถจะสืบสานบริหารแบบคนจน ทุกวันนี้อาตมาบริหารชาวอโศกอย่างแบบคนจน ทุกวันนี้มีขบถอโศกนี่เราดูออกนะ ว่าซ่อนแฝงมีตัวกูของกูมา ถ้าผู้ใดมีลักษณะจริง ชาวอโศกเราก็อยู่รอดแบบคนจน เราก็ปราบกบฎพวกเราอยู่นะ ใครจะมาแฝงเราก็ขจัดออกได้ อย่าปล่อยอย่างเลี้ยงกบฎออกลูกออกหลานมานะ พวกนี้แตกตัวเร็วเหมือนแบคทีเรียด้วย

แบบคนจนนี้มีในเมืองไทยแล้ว จึงกล้าประกาศแบบที่เป็นคนอยู่พื้นดินจริงๆแล้วก็มีฟ้าอย่างในหลวง ใครจะเป็นดินยิ่งกว่าประมาณนี้อยากรู้ที่ถูกกระทืบกระทืบกระทืบจนจมดิน ทุกวันนี้ 45 ปีก็ยังถูกกระทืบอยู่ ก็ยังยินดีที่จะถูกกระทืบ เพราะเป็นดินไม่ได้เป็นฟ้า ฟ้าท่านก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ

ในหลวงท่านก็ทำด้านบน อาตมาก็ทำด้านล่าง คนที่เข้าใจก็มารวมกันติด  แต่ด้านบนนั้นไม่เข้าใจได้แต่เข้าหู เข้าหูนานๆแล้วก็ไหลเป็นขี้หูออกไป ไม่เข้าถึงกลางใจข้างในเลย คนเข้าใจแล้วไม่ไปรวยจริงๆจึงร่วมกันได้ คนเกือบ 70 ล้านไม่ได้เท่านี้แหละแต่ถึงมีเท่านี้ ก็คือปรอท คนในประเทศไทยทั้งหมดคือโฟม ไม่กลัวหรอก เท่านี้แหละถ่วงอยู่ แต่ตอนนี้ต้องถ่วงหนักต้องใช้แรง จนกว่าจะมีมวลมาช่วยเพิ่มขึ้นก็จะเบาแรง ถึงจะถ่วงโฟมนี้อยู่ได้ มันมี 2 อย่างแค่นี้แหละคือปรอทกับโฟมอยู่เท่านี้กาลนาน เมื่อถึงจุดก็จะหมุนแรงและเร็วได้อาศัยความแรงและเร็วสร้างสรรให้แก่โลก เท่านั้นแหละคือสิ่งที่เป็นไปในโลก เราต้องการพลังงาน ทุกวันนี้พลังงานชาวอโศกมาได้เท่านี้ ถ้าได้น้ำหนักที่ได้สัดส่วนมากกว่านี้ก็จะหมุนได้แรงและเร็วกว่านี้ จะมีทั้งแรงที่สร้างได้แน่นสูงขึ้นเร็วขึ้นมากขึ้น

ข้อสำคัญของสัจจะมีอยู่ที่ว่า สิ่งที่จริงแล้วมีความเสถียรอย่างยั่งยืน เป็นหลักประกัน ไม่จริงไม่มีการเสถียรไม่ยั่งยืน จริงแล้วจะยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คือนิพพานเท่านั้นแหละที่เที่ยงแท้

ชาวอโศกอยู่ในเมืองไทย รวมกลุ่มอยู่ในเมืองไทย อาศัยเมืองไทยอยู่ในนี้มีเปลือกหอยคือพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีตัวที่ไปขโมยเอาเปลือกคือปูเสฉวนนี้อยู่ ตอนนี้ปูเสฉวนกับเปลือกหอยพุทธนี้ไปเยอะ ทุกวันนี้เอาเปลือกหอยคือพุทธนี้ไปอาศัยเยอะแต่ไม่รักและคอยหลอก อาศัยเปลือกหอยนี้เลี้ยงตัวเองจนอ้วน อ้วนแล้วก็ไปหาเปลือกหอยอื่นอีก จนเปลือกหอยไม่มีแล้วมันก็โง่หาเปลือกหอยไม่ได้ ก็ไปเอากระป๋องโค้กกระป๋องเบียร์เป็นเปลือกอยู่ไป ตอนนี้ปูเสฉวนมันทำเป็นหลอกโลกอยู่ทุกวันมีเปลือกว่าเป็นพุทธ

แต่พวกเรานี้เนื้อเป็นพุทธแท้ไม่ใช่ปูเสฉวน ได้หยั่งลงในประเทศไทยแล้ว โดยมีดินกับฟ้าเป็นดัชนีตัดสินว่านี่คือเมืองพุทธ กระแสโลกก็ให้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เราไม่ได้คิดตัวเรา เรามีเนื้อจริงขอยืนยันถึงบอกประกาศไปว่าประเทศไทยเป็นชมพูทวีป ชมพูทวีปคืออะไร คือมนุษย์ที่มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส มีอาการ 32 ครบ มีสติตื่นรู้ทั้งนอกและใน เป็นสติมันโต รู้อัชฌัตตัง อรูปสัญญี ในภาวะกรรมของโลก

กรรมที่หนึ่งเรียกว่าอาชีพ กรรมอีกอันคือรวมทั้งหมดกาย ท่าทีลีลา นัจจะคีตะ รวมทุกอย่างคำพูดด้วย เรียกว่าองค์รวมทั้งหมดคือ อันตา คือ กัมมันตะ สติมันโต คือ องค์รวมครบนอกใน ในรูป 28

ที่โลกต้องการมีปัญญาที่แท้จริงเป็นปัญญาที่พึ่งตนเองรอดไม่เบียดเบียนใคร แล้วเอาสิ่งที่ตนเองสร้างเหลือ เกินกินเกินใช้นี้ไปช่วยคนอื่น อย่างจริงใจอย่างบริสุทธิ์ ประเทศไทยจะมีพาณิชย์แบบบุญนิยม จะมีการเมืองแบบบุญนิยม จะมีการศึกษาการกสิกรรมแบบบุญนิยม จะมีสื่อสารแบบบุญนิยม จะมีการศึกษาแบบบุญนิยม ที่จะทำกับสังคมเขา

บุญนิยมหมายถึงล้างกิเลส ละกิเลส ไม่เอากิเลสมาอีก ไม่เอาเปรียบใคร มีแต่เสียสละอย่างแท้จริง เราจะช่วยโลกอยู่อย่างมีอะไรจะเสียเท่านั้น ไม่เป็นหนี้ ไทยจะเป็นประเทศตัวอย่างที่เป็นประเทศไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นประเทศที่รวย ที่ไม่รวยเพราะสร้างเท่าไหร่ก็เผื่อแผ่คนอื่น สร้างมากเท่าไหร่ก็กระจายให้คนอื่น เรามีตัวคนเดียวแต่เราจะช่วยคนอื่นอีกเป็นร้อย ประเทศทุกวันนี้ก็มี 200 กว่าประเทศ หรือยังมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยก็มีแต่จะช่วยคนอื่นเขาเท่าไหร่มันก็ไม่พอ แล้วเราจะไปมีวันรวยได้อย่างไร ไม่มีวันรวยแต่มีแต่จะสะพัดให้มาก

แม้ประเทศเราจนจะมีผู้ร่วมด้วยจะมีผู้ร่วมมือ เพราะจะมีประเทศที่มีปัญญาว่าต้องอย่างนี้ ถึงประเทศไม่เอาเปรียบใครมีแต่เสียสละให้แก่ประเทศอื่น นี่คือความจริงนี่คือความดี ประเทศที่มีปัญญาเขาก็จะมาร่วมมือและจะช่วยกัน เราก็จะได้ประเทศที่มีปัญญามาช่วย ไม่เอาประเทศควายมาช่วยมันจึงไม่มีตกต่ำ 

มั่นใจเถิดชาวอโศกว่าเราคือหน่อเนื้อเชื้อแท้ของพุทธ เป็น dna พุทธแท้เอาให้บริบูรณ์เป็นอรหันต์ให้ได้เร็ววันที่สุดก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครตั้งใจปฏิบัติ มันมีบารมีของแต่ละคน จะอายุยืนจะแข็งแรงมันก็เป็นบารมีของมัน คนพากเพียรไปจะมีคนดูแลคนเสียสละด้วย ถ้าคุณให้ คนอื่นก็จะมาเสียสละด้วย ยิ่งเสียสละมากเท่าไหร่ คนอื่นก็จะยิ่งมีมาเสียสละเพิ่มขึ้นเท่านั้น เท่าที่บารมีคุณมี คุณไม่สามารถเอามากกว่าบารมีที่คุณมีได้ อาตมาจึงไม่เคยกังวลเรื่องบารมีตัวเอง อาตมาได้เท่าไหร่ก็เท่านี้แหละ ไม่ได้น้อยใจไม่ได้เสียใจ  ถ้าเราไม่ได้ดี ก็ทำดียังไม่มากพอ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐต่อไป 

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด เข้าใจได้ง่ายๆเลย 

ปัญญาเข้าใจได้ แต่เหลือแต่ทำให้ได้เท่านั้น มีส่วนที่บกพร่องต้องทำอีกหากทำไปจะรู้ว่ามีอะไรเหลือ ในเจโตปริยญาณ 16 จะรู้ว่าจิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก  สอุตตรังจิตตัง  จะมีปฏิภาณรู้ว่ายังมีสูงกว่านี้อีก อนุตตรังจิตตัง คนที่ทำความบริสุทธิ์จะเกิดปัญญาที่บริสุทธิ์จะรู้ความจริง ไม่ลำเอียงไม่เข้าข้างแม้แต่ตัวเองว่ามันยังไม่บริสุทธิ์ไม่สูงสุดก็จะรู้ แต่คนที่ไม่บริสุทธิ์จะหลงตัวตนเองบริสุทธิ์แต่มันยังมีอีกเรื่องก็จะไม่รู้เพราะโง่ ส่วนคนที่สะอาด ก็จะรู้ว่าตนเองยังไม่บริสุทธิ์หรือไม่ นี่คือฐานจิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก สอุตตรังจิตตัง เหมือนอาตมาพยายามพากเพียรเป็นพระพุทธเจ้าก็รู้ว่ามีดีกว่านี้ยังมีอีกเยอะกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า

 จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:54:42 )

590127

รายละเอียด

590127_พุทธศาสนาตามภูมิ แสงอรุณ 7 ก่อนมรรคมีองค์ 8

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในสูตรแรก

พ่อครูว่า…. วันนี้วันพุธที่ 27 มกราคม 2559 เดี๋ยววันเดี๋ยววันอาตมาแกไม่ทัน คงไม่ได้แก่ก็คงจะได้อยู่ไปเรื่อยนี้แหละ คนหาว่าอาตมาแก่อยู่เรื่อย อาตมาไม่เห็นว่าแก่อยู่ตรงไหน   ไม่ได้อยู่ เพราะพวกเราที่ราชธานีอโศก 15 วันก็ถือโอกาสไปพักที่ทางเหนือ เอาเสร็จแล้วกลับมาก็พอดี ร่างกายก็พอใช้ได้ 

เราก็มาเรียนกันต่อ ผู้ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็ฟังใหม่ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วก็ฟังซ้ำ  ตั้งใจเอาพระไตรปิฎกเล่ม 1  ที่ต่อจากพระวินัย 8 เล่ม ที่เป็นหลักเกณฑ์ของพระสงฆ์ 

สูตร 1 ของพระสูตรคือพรหมชาลสูตร ว่าด้วยเรื่องศีล ศีลเป็นเรื่องต้น เป็นหลักชี้บ่งศาสนาพุทธ เป็นหลักเกณฑ์ที่ผู้ศึกษาศาสนาพุทธต้องนำมาศึกษาและปฏิบัติ หมวดแรกคือจุลศีล ศาสนาพุทธก็มีศีลเป็นหลัก ไม่มีศิลป์ไม่ใช่ศาสนาพุทธเส้นอย่างง่ายๆว่าศาสนาพุทธมีศีล 5  ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ ศีลข้อ 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ศีลข้อ 4 ไม่พูดปดศีลข้อ 5 ไม่ลงติดอบายมุข ชาวพุทธต้องเอาใจใส่ลดละปฏิบัติ ให้ได้ผลตามศีลแต่ละข้อ

จุลศีลมี 26 ข้อ มัชฌิมศีลมี 10 ข้อมหาศีลมี 7 ข้อ  

จุลศีล เป็นศีลหลักปฏิบัติส่วนตน

มัชฌิมศีลก็ขยายจุลศีล ส่วนมหาศีลก็เป็นศีลที่บ่งบอกลักษณะของศาสนาพุทธ จะต้องไม่มีการประพฤติอยู่ในชาวพุทธ โดยเฉพาะ ปวดเป็นภิกษุผู้สืบสานศาสนาต้องไม่มีไม่เป็นเด็ดขาด ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่ชี้บ่งว่าศาสนาพุทธคืออะไรก็ไม่มี พระในมหาสิน เนื้อแท้นั้นคือ เดรัจฉานกถากับเดรัจฉานวิชา คือความรู้ ที่ไม่พาไปบรรลุเนื้อหาธรรมะของพุทธคืออาริยธรรม  พุทธธรรมแท้ๆ

ภิกษุเร่ิมต้นมาบวชก็ต้องไม่ประพฤติเลย ต้องสังวรสำรวมจริงๆ พากเพียรให้บรรลุธรรม มาศึกษาปฏิญาณตนสืบสานศาสนาต้องอยู่ในกรอบของพุทธ แต่ทุกวันนี้ล้มเหลวสิ้นเชิง พระทั้งหลายเกือบหมด ละเมิดเกือบหมดทุกข้อ น้อยบ้างมากบ้างเกือบหมดทุกข้อ หาไม่ละเมิดเลยไม่ได้ แต่ละข้อแต่ละอย่าง เพราะท่านตรัสไว้ชัด เช่นในเดรัจฉานวิชชามีรดน้ำมนต์ท่านไม่ให้ทำ ไม่จุดธูปเทียนบูชาไฟ แล้วจะเหลือหรือ มีพระไหนที่ไม่จุดธูปเทียนบูชาไฟ ซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาเดียรถีย์เขายุคไหนก็ตามเขาปฏิบัติอย่างนั้นพระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาท่านว่าให้เว้นขาด ว่าไม่ให้มีนะ  นี่คือความสำคัญของศีลเราจะดูศาสนาพุทธได้อย่างไรก็เอาศีลนี่มาจับว่ามีศาสนาพุทธหรือไม่แล้วถ้าประพฤติได้ก็คือศีลเข้าไปขัดเกลาจิต จนเกิดเป็นสมาธิคือจิตไม่มีความฝืนเลยแล้วมีปัญญารู้ชัดเจนว่าของศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้มีพลังของปัญญาไม่ต้องฝืนต้องฝืนไม่ต้องกดต้องข่มมีพลังของปัญญาเป็นสมาธิอันบริบูรณ์ คือจิต ละเว้นขาดไม่มีหลุดพ้น

เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธกลายเป็นว่าสมาธิต้องไปนั่งหลับตาซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าเลย ในจุลศีลเขามีบ้างก็เป็นไปอย่าง ไม่บริบูรณ์   ไม่มีปัญญาที่จะรู้ถึงอธิศีลอธิจิตอธิปัญญาอธิวิมุติไม่เกิดความรู้ปฏิสัมพันธ์ต่างๆของศีลสมาธิปัญญา วิมุต วิมุติญาณทัศนะ แจ้งยืนยันได้ว่าศาสนาพุทธไม่มีเนื้อแท้แล้ว  

พระพุทธเจ้าเริ่มต้นที่ศีลในพรหมชาลสูตร เล่นขั้นต้นเป็นพื้นฐานเป็นเครื่องชี้บอกว่าศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้เพราะมีศีลจึงถือว่าเป็นศาสนาพุทธจะชมพระพุทธเจ้าก็ต้องชมว่ามีสิ่งอย่างนี้  จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เช่นนี้  อาจมีบางคลอดซ้ำซ้อนกับศาสนาอื่นได้ยืนยันว่าไม่เหมือน เส้นศาสนาอื่นไม่ฆ่าสัตว์ก็ไม่เกิดภูมิปัญญาในจิต อย่างที่มีปัญญารู้เลยว่ามีกิเลสตัวไหนในจิต ที่ทำให้เราได้ละเมิดศีลนี้ไปฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์อยู่หรือไม่เกิดเมตตา ไม่เข้าใจในความเป็นชีวิตของสัตว์โลก ให้มีแต่ใจเมตตาเกื้อกูลปรารถนาดีแก่กันและกัน มันเป็นอาการอย่างไรของจิต  มีความละอายมีความเอ็นดูหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง  เพราะมันเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งตัวเกิดมารับวิบากเราจะไปทำร้ายเขาทำไม เราก็มีวิบากของเราสัตว์ทั้งหลายก็มีวิบากของเขาเราจะเอาตัวเราไปร่วมวิบากทำไม  เราก็มาปลดปล่อยมาให้อภัยสวนสัตว์ตัวไหนเขาจะคาดพยาบาทก็จะไปบังคับใจเขาไม่ได้แต่เราทำของเราให้ดี ก็จะปลดปล่อยมันจึงจะมีนิพพานถึงจะหลุดพ้นจากความคล่องแคล่วก็ติดอะไรโดยเฉพาะเราไปก็ติดข้องเกี่ยว ไม่เช่นนั้นเราจะมีจิตวิญญาณเกาะเกี่ยวเรื่องอาฆาตมาดร้าย

ต้องเรียนรู้จิตที่จะมีอาการให้เราได้เรียนรู้นี่คือศาสนาพุทธ ถ้าเข้าใจความสำคัญยิ่งของศีลนี้แล้วเอาศีลนี้เป็นเครื่องตัดสินว่าจะบรรลุไปถึงนิพพานเช่นตั้งแต่โสดาบันก็บรรลุสินไปตามลำดับ ตั้งแต่ศีล 5  จิตหลุดพ้นศีล 5 ก็เป็นโสดาบัน สูงขึ้นไปเป็นสกิทาคามีอนาคามี อนาคามีก็เป็นศีล 10  จากศีล 10  ก็ไปหาอนาคามีผลเป็นอรหัตตมรรคก็ได้ไปครับ

มหาศีลก็ได้มาตั้งแต่ต้นเพราะต้องเลิกเดรัจฉานวิชาที่เป็นเบื้องต้น พอศึกษาก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องของศาสนาอื่นไม่ใช่เรื่องของหลักเกณฑ์ที่จะพาให้บรรลุธรรม มันเป็นเดียรถีย์เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องไม่ได้นำพา ให้เป็นแบบศาสนาพุทธไม่ได้เกิดการบรรลุเดรัจฉานแปลว่าขวางทางนิพพาน มหาศีลไม่ได้พาไปนิพพาน แต่จุลศีลมัชฌิมศีล พาไปนิพพานแต่มหาศีลยิ่งใหญ่เพราะยืนยันความเป็นศาสนาพุทธ 

แล้วเดี๋ยวนี้เอาเดียรัจฉานวิชชามาเป็นสรณะก็หมดรูปศาสนาพุทธ เอามหาศีลมาจับก็ไม่เหลือ ศีลจะพาสู่นิพพานได้ ไม่รู้เรื่องกันแล้ว แล้วไปอธิบายว่าศีลควบคุมกายกับวาจาเท่านั้น มันชัดเจนที่สุดว่าศาสนาพุทธไม่เหลือแล้วไปเอาพระวินัย 227 มาเป็นสรณะก็ยังดี ไม่เช่นนั้นไม่เหลืออะไรเลย  

ในทุกสูตรต่อไปในเล่มนี้จำย้ำเรื่อง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตลอด ทำให้เห็นถึงความสำคัญของ  จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  ในวัดวาไหนก็ไม่เห็นพูดกัน แก่นศาสนาพุทธจึงไม่เหลือ ยังดีมีพระไตรฯเหลืออยู่ให้เห็นเป็นกุศลแก่ศาสนา สมมุติว่าเขาตัด จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ออกจากไตรปิฎกแล้ว หมดเลย อาตมาทำงานต่อไม่ได้ ไม่มีหลักฐาน นี่เกือบไป ก็ขอบคุณที่ยังรักษาไว้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ต้องมีแสงอรุณ 7 ก่อนมรรคมีองค์ 8

พรหมชาลสูตรนอกจากศีลที่สำคัญแล้วก็ยังมีเรื่องความรู้ความเห็น แล้วมี 62 ทิฏฐิที่มิจฉา ซึ่งศาสนาพุทธทุกวันนี้จมในมิจฉานี้ อาตมาขอไม่เสียเวลาที่พูดประนีประนอมแล้ว ทำงานมา 45 ปีแล้วก็ต้องพูดให้ชัดเจนยืนหยัดยืนยัน

ทิฏฐิที่ผิดหมดคือศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลก็ไม่เหลือ สมาธิก็นอกพุทธ เป็นสมาธิตามทิฏฐิ 62 ไปนั่งหลับตาได้เจโตสมาธิ จมในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ปฏิบัติธรรมะต้องปัจจุบันแล้วปัจจุบันคือมรรคมีองค์ 8 ลืมตาปฏิบัติในทุกกรรมการงานอาชีพ กัมมันตะ แล้วเรียนรู้หยั่งถึงสังกัปปะ เป็นการทำใจในใจต้องทำที่สังกัปปะ ไม่ใช่ทำที่อื่น แต่ทำขณะพร้อมประกอบอาชีพการงานการพูด การคิดการนึก ไม่ใช่ว่าอยากคิดๆ อาตมาอ่านของอ.บูรพา เล่มหลังสุดที่ออกมา ในไทยโพสต์ เห็นแล้วก็สงสาร บรรยายว่า นั่งสมาธิแล้วให้หยุดคิดหมด แต่ศาสนาพุทธต้องใช้ความคิดพิจารณาอย่างยิ่งต้องมี analysis ต้องมีวิจัยวิจารณ์วิเคราะห์ แต่ไม่ กลับให้หยุดคิดนิ่งเฉย น่าสงสาร

เพราะแสงอรุณ 7 อย่างนั้นไม่มี ก่อนจะได้ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ต้องมีแสงอรุณ 7 อย่างเสียก่อน นี่คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า แสงอรุณ 7 อย่างนี้มี

สุริยเปยยาลสูตร (เล่ม 19 ข.129 - 136)

[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

เป็นไปตามอวิชชาสูตร เมื่อไม่ได้คบสัตบุรุษก็ไม่ได้ฟังสัทธธรรม ก็ไม่เกิดศรัทธา หรือมีก็เป็นมิจฉาศรัทธา ไม่ได้คบสัตบุรุษที่เป็นมิตรดี มิตรดีคือผู้มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาปฏิปัณณาสัมมัคตา เป็นสัมมาทิฏฐิ_ปฏิบัติ_ผล ก็ได้รังธรรมะที่เพี้ยน ศรัทธาก็เพี้ยน ก็ อโยนิโสมนสิกมาร

ทำใจในใจเพี้ยน เช่นจะให้เกิดสมาธิต้องไปนั่งหลับตา นี่คืออโยนิโสมนสิการเลย แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิจะไปนั่งก็ได้ นั่งเป็นอุปการะตัวเสริมไม่ใช่ตัวแท้ เมื่อไม่ได้ฟังสัทธรรมก็ไปศรัทธาเดียรถีย์นอกพุทธก็โยนิโสฯไม่ถูกตรง

จะปฏิบัติก็เอาสติสัมปชัญญะไม่ถูก ก็เอาแต่มีสติอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าควบคุมกรอบขอบเขตเช่นไหน กรอบศีล5 เราก็มีกรอบของเรา มีสติสัมปชัญญะ สัมปชานะ สัมปัชลติ สัมปฏิเวธ อย่างนี้เขาไม่รู้กันแล้ว คืออธิจิตที่พาเจริญไปเรื่อยๆ ลึกซึ้งไปตาม

สัมปัชชติ เป็นเรื่องค่อยๆลึกขึ้นไปแยกแยะชัดเจนจนถึงสัมปัชชลติ มีพลังปัญญาไปสลายกิเลสได้เลย มันทำให้เกิดใสสะอาดเรืองรอง มีพลังปัญญาเป็นไฟฌาน สลายไฟราคะโทสะโมหะ เป็นอุณหธาตุ ที่อธิบายนี้เอาสภาวะที่ตนมีมาพูด ไม่ได้แปลตามแต่พยัญชนะ แต่ก็เป็นไปตามพยัญชนะด้วย เก็บละเอียดสมบูรณ์

สติสัมปชัญญะก็ไม่ถูกต้องไม่เป็นสัมมาสติ จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ด้วยสัมมาสติไม่เข้าเกณฑ์เลย ไปสำรวมอินทรีย์ 6 ก็ได้แต่เดินหนอก้าวหนอ สักแต่ว่ารู้ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไปเอาคำจบมาพูด แต่ไม่ทำอย่างเป็นลำดับ ตามเห็นกิเลส ตามเห็นความจางคลายความดับกิเลส แล้วทำทวนทำซ้ำเป็นลำดับ เขาไม่ทำอย่างนั้นเลย

ถ้าเมื่อไม่มีมิตรดีมาเป็นแสงอรุณเริ่มต้นคุณจะไม่ได้ คุณจะมาสำรวมอินทรีย์ 6 ก็ไม่ได้สุจริต 3 ก็ไม่รู้เรื่องยิ่งสติปัฏฐาน 4 ก็เลิกเลยคำว่ากายในกายก็ไม่รู้ คำว่ากายทำเดี๋ยวนี้ หากไม่รู้เรื่องจะไปพิจารณาถึงเวทนา 108 ได้อย่างไรแล้วจะไปแจกเจตสิกอีกตามอภิธรรมอีกก็ไม่ต้องพูดให้ยาวความ

1เมื่อมีมิตรดีแล้วก็ต้องมีข้อ 2 คือมีศีลเป็นแสงอรุณข้อที่ 2 ก่อนจะมา ของพระอาทิตย์จะต้องเห็นแสงอรุณก่อนผู้จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องมี 7 ข้อของแสงอรุณนี้ก่อน    แล้วต้องเข้าใจอัตตาว่าลักษณะอย่างไรคืออัตตา ถ้าไม่รู้ผู้รู้จะแจกแจงให้ฟัง  เริ่มปฏิบัติที่ศีล เมื่อปฏิบัติแล้วคนก็จะต้องมีใจฉันทะ เป็นข้อที่ 3 ของแสงอรุณ ถ้าไปยังเหนื่อยหน่ายฝืนอยู่ก็ไม่สำเร็จ แต่ใจต้องเห็นว่าน่าสนใจ ต้องมีตัวฉันทะ ถ้ายากอย่างไรก็ต้องมีฉันทะแม้เวลาน้อยก็ต้องมีฉันทะ จะหาเวลามาจะมีใจมา  ถ้าไม่มีฉันทะตัวนี้เพียงพอก็เมินเสียเถิด

เมื่อมีฉันทะเพียงพอก็มาเรียนรู้อัตตา พระศาสนาพุทธให้เรียนรู้อัตตากับโลก โลกกามโลกรูปโลก โลกอรูปโลก ความเป็นโลก กับอัตตาเป็นอย่างไรต้องเรียนรู้ อัตตาเราไปโง่กับโลก อัตตากับโลกไม่ได้แยกกันเรียนรู้หรอก คือตัวเราคือจิตเรา คือความโง่ความฉลาดของเรา

เมื่อไม่เข้าใจอัตตาคืออะไรตั้งแต่สักกายะตัวแรกเลย คืออัตตาตัวแรกต้องแยกรูปแยกนามออก แยกตัวที่เป็นเหตุเป็นสมุทัยได้ ต้องกำจัดให้ชัดไม่ใช่สะกดจิตทั้งดุ้นเลยไม่มีวิจัยวิจารละอียดไม่ใช่แค่หยาบๆตื้นๆ

ถ้าไม่ได้เรียนรู้ละเอียดละออกจากผู้สัมมาทิฏฐิจะไม่ครบ

เมื่อรู้อัตตาก็จะรู้ทิฏฐิ 10  ตั้งแต่ทานศีลภาวนา   

ทาน คือทินนัง ศีลคือยิฏฐัง ได้ผลคือภาวนาเป็นหุตัง เสวยผล ทำทานให้ได้ผลเป็นยิฏฐัง ก็ต้องรู้สัมมาทิฏฐิ 3 ข้อต้นแล้วปฏิบัติอาชีพคือกรรม วาจา กัมมันตะ ต้องปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะนี้เป็นหลักแล้วจะได้ผลเป็นสุกฏทุกตานังอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกรรม

ต้องเรียนรู้ขณะมีผัสสะ กระทบแล้วเกิดกุศลอกุศลในจิตอย่างไร ถ้าอ่านไม่ชัดไม่ถูกต้องก็เลอะเทอะ

ปฏิบัติธรรมจะได้อาริยผล โลกุตรผล ได้มรรคผลจากกรรม มรรคองค์ 8ก็คือกรรม สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะคือกรรม 4 จะสัมผัสอย่างไรจะวิเคราะห์อย่างไรจะตัดตรงไหน

จากนั้นท่านก็ขยายความถึงโลกนี้ คือโลกโลกียะ ตั้งแต่ต่ำกว่าศีล 5 ต้องอ่านว่ามีอาการของโลกๆ กายนั้นมาเป็นเวทนา เราทำเหตุให้ลดได้ด้วยวิปัสสนาวิธี ตามเห็นความไม่เที่ยงว่ามันโตขึ้นแปลว่าใหญ่ขึ้นมันมากขึ้น ก็ไม่เที่ยงมันลดลงแล้วทำให้มนุษย์ทำให้มันจางคลายมันก็ไม่เที่ยงจะเห็นความไม่เที่ยงของจิตจริงไม่ใช่แค่ตรรกะ  ตามเห็นความจางคลาย ในอนุปัสสี 4

อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี พิจารณาอย่างนี้กิเลสเราลดลง แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละแง่ เห็นความไม่เที่ยงเห็นความยึดด้วยเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ของใครก็ของใคร

สรุปเห็นความไม่เที่ยงทำให้จางคลายได้ไม่ใช่กดข่มมัน แต่ด้วยไฟฌานที่มันทำให้กิเลสลด เห็นสภาวะอาการราคะ โทสะโมหะเป็นอย่างไรมันจางคลาย ไม่ใช่แค่พยัญชนะท่องเอา แต่มันเข้าใจพยัญชนะความหมายแล้วเอาปฏิบัติกิเลสจางคลายได้จนกิเลสดับสนิทไม่มีอาการเคลื่อนไหว ไม่มีวิญญัติ ไม่ใช่สะกดจิตให้นิ่ง ไม่มีอาการเพราะค่อยลดจางคลายไม่ใช่กดข่ม ไม่ใช่สะกดไว้กับกสิณ หยุดนิ่งกับกสิณ อย่างนั้นมันสะกดจิต hypnotize ไม่ใช่ analyse อันหนึ่งมีปัญญาเห็นว่าหมด แต่อันหนึ่งให้นิ่งให้ทิ้งไปเกาะอันอื่น มันคนละอย่างเลย ถ้าเข้าใจจะรู้เลยว่าเคยหลงทางกันมานะ

สัมมาทิฏฐิต้องเข้าใจโลกนี้โลกหน้า แยกออก แล้วมีเหตุปัจจัยคือมาตา ปิตามีเหตุปัจจัยเป็นธรรมะสองที่จะช่วยกันสร้างให้จิต เกิด เป็นสัตว์โอปปาติกะ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เป็นต้นแล้วทำให้เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปัญญากับศีลช่วยกันเหมือนมือล้างด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า เกิดอุบัติเทพวิสุทธิเทพ จิตเป็นเทวดาจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่เทวดาใส่ชฎาเหาะลอยไปมา อย่างอ.ใหญ่ๆท่านบอกว่านั่งสมาธิเก่งแล้วสอนเทวดาที่เหาะไปมา มันไม่ใช่

เทวดาคือนามธรรมในตนที่จะเจริญเป็นอุบัติเทพวิสุทธิเทพ ต่างหาก

ต้องทำสัตว์ในจิตเราสัตว์โอปปาติกะในจิตเราให้สะอาดพ้นสัตตาวาส 9 ก็จะได้ผลจริง ตามมรรคองค์ 8 แล้วอย่าประมาท ในแสงอรุณข้อ 6 แล้วจะทำโยนิโสมนสิการได้ตามข้อที่ 7 โดยปฏิบัติมรรค 7 องค์ ได้สัมมาสมาธิ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน สามัญผลสูตรอันลึกซึ้ง

พอมาสามัญผลสูตรก็มาปฏิบัติศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ มีการสันโดษอันเป็นอาริยะ เรียกว่าใจพอเข้าไป จนสุดท้ายถึงสูญ หมดตัวตนแล้วสูญเลย อัปปิจฉะสันตุฏฐิปวิเวก อสังสัคคะวิริยารัมภะ ไปตามลำดับ จิตก็จะพอ เช่นเรายกตัวอย่าง

ใช้เงินเดือนละแสนก็ลดลงไป เอาเดือนละห้าหมื่นก็พอพากเพียรทำจนจิตคลาย จะกินใช้แค่นี้ก็พอ ต่อมาลดลงอีกเหลือสองหมื่นก็พอ พอได้จิตก็วิเวกสงบ ไม่ใช่นั่งหลับตาสะกดจิต แต่กิเลสหายไปไม่วุ่นวายนี้คือสงบจิต กำจัดกิเลสตายครึ่งหนึ่งก็สงบครึ่งหนึ่ง เหลือเศษเท่าไหร่ก็ไม่สงบเท่านั้น จนหมดสมบูรณ์ ทำกรรมกิริยากับโลกแข็งแรงเต็มที่ มีกายกัมมัญญตา มีกายปาคุญญตา องค์ประชุม สัญญา เวทนา สังขารแคล่วคล่อง อารมณ์แคล่งคล่อง กำหนดรู้ ต่างแข็งแรงปราดเปรียวว่องไว นี่คือองค์ประชุมรูปนามที่เป็นกายกัมมัญญตา เวทนาสัญญาสังขารแคล่งคล่องว่องไว เป็นเรื่องเดาไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาวะสัจจะจริงไปไม่ออก

อสังสัคคะ เขาแปลกันว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ก็ไม่รู้ว่าคณะอะไร คณะคือกอบกองของมวลสวรรค์รสโลกีย์แม้แต่อุปกิเลสก็เป็นสวรรค์ อุบัติเทพก็ต้องลด มันดีแต่อย่ายึดถือให้จางคลายเป็นผรณาปีติ อย่าไปเกาะเกี่ยวสร้างกลุ่มก้อนเป็นอุพเพงคาปีติ แต่ให้มีปีติ มีอภิปโมทยังจิตตัง ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่แห้งเหี่ยว เป็นพุทธคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานไม่ใช่ผู้แห้งเหี่ยวเดียวดาย

ในอุนุปุพพิกถาแม้สวรรค์ก็ไม่ได้ให้ยึดถือในรสอร่อย ก็ไม่เห็นโทษอาทีนวะ ไม่เห็นเนกขัมมะแน่ อสังสัคคะไม่ได้ แม้ทานศีลภาวนาจะทำอย่างไรให้เกิดผลก็ไม่รู้

1.      เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .

2.      เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.      เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .

4.      เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .

5.      เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .

6.      เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.     เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา) .

8.      เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.      เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.    เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 69)

ก็ทำให้เกิดผลไปตามลำดับ แต่ทุกวันนี้กถา แปลว่าคำพูดไม่ได้พูดไปตามกถาวัตถุ 10 หรอก แต่พูดเดรัจฉานกถา พูดไปเรื่องต่างๆแต่ไม่เป็นกถาวัตถุ 10 กลายเป็นเรื่องจะไปรวย สุขสบาย เจริญ โลกีย์ไปหมด ไม่เป็นลำดับต้นกลางปลาย เป็นแต่เดรัจฉานกถา

มาเข้าสามัญผลสูตร

สำรวมอิทรีย์ สติสัมปชัญญะ

ปฏิบัติศีลก็สำรวมอินทรีย์ โดยมีสติสัมปชัญญะ โดยเป็นองค์รวม จิตจึงเกิดสันโดษ มีผล สมาธิปัญญาวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ หรือเป็นตามวรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ

เข้าตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าคือมีสัจธรรม สัลเลขธรรม นิยานิกธรรม สันติธรรม ปฏิบัติธรรมนี้อยู่กับคนอื่น ที่คอยยอดจี้ ยอดขลัดเกลา เราก็ทำจิตให้สงบได้ สุดท้ายก็มีสันติธรรม

ปฏิบัติธรรมให้มีศีลเคร่งเป็นธูตะ คือปฏิบัติได้ก็ศีลเคร่งขึ้นๆ เพราะปฏิบัติได้ ไม่ใช่ว่าธุดงค์คือการเดินออกป่า หรือเดินดราม่า เอาดอกดาวโรยโปรยแล้วเดิน นี่คือไม่รู้เรื่อง เขลา โง่ ทำไปตามประสา ดูแล้วน่าเกลียดแล้วหลอกชาวบ้านชาวเมือง

ธูตะคือศีลเคร่งที่ปฏิบัติได้แล้วก็จะไม่เคร่งเลย ทำได้อย่างสบาย แต่มันเคร่งสำหรับคนทำไม่ได้นะ ปฏิบัติแล้วตายเลย แต่ท่านทำได้แล้วไม่เคร่งอย่างพระมหากัสสปะ มีธุดงควัตร 13 ข้อ เช่นใช้แต่ผ้าบังสุกุล ผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาตัดเป็นผ้านุ่มห่ม สมัยโบราณผ้าหายากจริงๆ

ธุดงควัตร หมายถึงกิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเป็นข้อสมาทานละเว้น และข้อสมาทานปฏิบัติ คือ

  1. ปังสุกูลิกังคะ ละเว้นใช้ผ้าที่ประณีตเหมือนที่คหบดีใช้ (พระป่านิยมใช้ผ้าท่อนเก่า) สมาทานถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้ว
  2. เตจีวริตังคะ ละเว้นการมีผ้าครอบครองและใช้สอยผ้าเกิน 3 ผืน (วัดป่าสมาทานการใช้สอยผ้าไตรจีวร ในความหมายว่าผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าคลุมด้วย
  3. ปิณฑปาติกังคะ ละเว้นรับอดิเรกลาภ (คือรับนิมนต์ไปฉันที่ได้มานอกจากบิณฑบาตรเช่นไปฉันที่บ้านที่โยมจัดไว้ต้อนรับ) สมาทาน เที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ
  4. สปทานจาริปังคะ บิณฑบาตไปทางเดียว ไม่ข้ามฝั่งถนนไปรับบาตรอีก
  5. เอกาสนิกังคะ ละเว้นอาสนะที่สอง สมาทานอาสนะเดียว (ฉันมื้อเดียว).
  6. ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร.
  7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ละเว้นการรับประทานอาหารเหลือ สมาทานเมื่อเริ่มลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม.
  8. อารัญญิกังคะ ละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน
  9. รุกขมูลิกังคะ ละเว้นนอนในที่มีที่มุงที่บัง (เช่นบ้าน ถ้ำ กุฏิ) สมาทานอยู่โคนไม้
  10. อัพโภกาสิกังคะ ละเว้นการเข้าในที่มีที่มุงที่บังและใต้ต้นไม้ สมาทานอยู่กลางแจ้ง
  11. โสสานิกังคะ ละเว้นการอยูในสถานที่ไม่เปลี่ยว สมาทานอยู่ป่าช้า ในคัมภึร์หมายถึงป่าช้าเผาศพ ซึ่งต้องเคยมีการเผาศพมาก่อนอย่างน้อยครั้งหนึ่ง
  12. ยถาสันถติกังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) ในเสนาสนะ สมาทานอยู่ในที่ตามมีตามได้ เสนาสนคาหาปกะจัดให้อย่างไรก็อยู่ตามนั้น.
  13. เนสัชชิกังคะ สมาทานถืออิริยาบถนั่ง-อิริยาบถยืน-อิริยาบถเดินเพียง 3 อิริยาบถไม่อยู่ในอิริยาบถนอน

...เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สามัญของศาสนาพุทธ เป็นกรณีพิเศษสุดของศาสนาพุทธมีแค่ทานกัสสปะท่านเดียว เพราะท่านสั่งสมจริตเช่นนี้เป็นวิสัยของท่านไม่สามัญทั่วไปจะไม่เอาตามก็ไม่เป็นไรมันเกินไปทางทุกรกิริยา

สามัญผลคือผลที่ทำให้บรรลุธรรมเป็น โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ จริง

เมื่อสำรวมอินทรีย์ทำให้สันโดษได้ ใจมันพอมันหยุดมันจบ โดยปฏิบัติมักน้อยสันโดษไปเรื่อยๆจนอสังสัคคะ มีธูตะ ปาสาทิกะ มีอาการน่าเลื่อมใสเป็นปกติ จะอนุโลมปฏิโลมอะไรก็ได้ ถ้าได้แล้วก็มีสัจจานุโลมมิกญาณ เพราะสังขารุเปกขาญาณแข็งแรง จิตอุเบกขาแข็งแรงกับสังขารทั้งหลายก็ทำให้อเนญชาภิสังขาร ไม่กระทบกระเทือนกับสวรรค์ ท่านจะประมาณของท่านเอง เช่นจะช่วยคนตกบ่อก็จะช่วยได้อย่างไรตามน้ำหนักที่ท่านรับไหว แน่ใจว่าคนข้างล่างดึงท่านลงบ่อไม่ได้นะ ไม่เช่นนั้นจมบ่อทั้งคู่แน่ ต้องไม่ประมาท ผู้ทำได้จะอนุโลมปฏิโลม

เมื่อสามารถสันโดษอันเป็นอาริยะได้ คุณสมบัติอันเป็นอาริยะนี้เจริญเป็นฌาน เป็นสมาธิ

ฌานเป็นภาคปฏิบัติเพ่งเผา มีพลังปัญญาเป็นไฟฌาน ไม่กดข่ม แต่จะละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ไฟฌานมีฤทธิ์ไปสลายได้จริงๆเมื่อถึงขีดถึงรอบจะสลายได้จริงๆ 

จิตที่ได้จะสั่งสมฌาน เป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรงสั่งสมผลตกผลึกจิตตั้งมั่นจากฌาน เป็นสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิแล้วเกิดฌาน แต่ฌานจะสั่งสมลดละจางคลายตกผลึกควบแน่นเป็นสมาธิตั้งมั่น เป็นสมาหิโต ตั้งมั่นสมบูรณ์แล้วทำได้แล้ว

อนุตตรังจิตตังจะต้องสั่งสมเจโต ปัญญา มีวิมุติ มีสมาหิตังจิตตังสมบูรณ์แบบเต็มรูป เป็นอุภโตภาค มีเจโตวิมุติปัญญวิมุติเต็มรอบ

ลืมตาปฏิบัติมีฌาน 1 2 3 4 โดยมีปัญญาที่เรียกว่าวิชชา 8 ร่วมตลอด

วิปัสสนาญาณ รู้เห็นตลอด มีรู้ๆเห็นๆวิปัสสะ คือความรู้หลัก ถ้าไม่รู้อย่างเห็นๆเลย วิ แปลว่าย่ิง ปัสสะแปลว่าเห็น รู้อย่างเห็นยิ่งเลย วิปัสสนาญาณคือรู้อย่างเห็นยิ่งเลย ต้องมีตัวเห็นตัวสัมผัสกันรู้ เช่น กิเลส รู้จักิเลส ปฏิบัติแล้วเห็นกิเลสจางคลาย มีนิโรธานุปัสสี อย่างจริง ปฏิบัติมีเวทนา 108 จับเหตุที่เป็นเคหสิตะได้ จับได้เป็นอัตตาก็กำจัดมันด้วยวิธีต่างๆ มีวิกขัมภนะ ปหาน 5 ก็เกิดวิปัสสนาวิธี ด้วยการพิจารณา ให้เกิดพลังปัญญาอย่างเห็นๆทำได้ก็มีมโนมยิทธิ มีฤทธิ์เดชเก่งทำได้ มีฤทธิ์ทำให้กิเลสลดไม่ใช่เหาะเหินเดินน้ำดำดิน ไม่ใช่ไปหลงโลกีย์หมด แล้วแยกมโนมยิทธิ กับอิทธิวิธญาณกันไม่ออก

มโนมยิทธิคือทำได้ เมื่อทำได้ก็หลากหลายเรียกว่า อิทธิวิธญาณ

เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

ก็ไม่ใช่ว่า มีฤทธิ์เนรมิตคนเดียวให้เป็นหลายคนได้เหมือนกันหมดเต็มห้องมีแฝดเป็นพันเลย ก็ว่ากันไปแล้วหาตัวจริงไม่เจอ

นอนนั้นทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายก็ได้ คือกิเลส ถ้าคุณทำได้เก่งแล้วจะอนุโลมก็ได้ แต่บางอย่างลองไม่ได้นะ อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องร่วมรู้ไปกับเขา ไม่อย่างนั้นก็ช่วยเขาไม่ได้ เช่นแม่ไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก ไม่เช่นนั้นอยู่ด้วยไม่ได้เลี้ยงดูกันไม่ได้

ทำให้ทะลุกำแพงภูเขา หากไม่มีสภาวะก็คิดเป็นตัวตนไปเลอะใหญ่ นั่นมันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าท่านเบื่อหน่ายระอาเกลียดชัง

เพราะฉะนั้นกองกิเลสเท่าภูเขาเราเดินผ่านได้เหมือนไปในที่ว่าง ทุกวันนี้กิเลสกองยิ่งกว่าภูเขา แข็งยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก แต่ผู้พ้นแล้วก็เดินผ่านไปได้สบาย เหมือน invisible man

อย่างท่านพุทธธรรมตั๊กม้อ เดินบนน้ำเลย เอามาฉายกันดูอย่างนั้นไม่ใช่ไม่ใช่เรื่องศาสนาพุทธ

หมายความว่าท่านเหนือโลกีย์ไม่สามัญปุถุชน ปุถุชนนั้นทนไม่ได้ เดินบนน้ำก็ตกตุ๋ม ดำดินก็หัวแหลก แต่ของท่านนี้อยู่กับกิเลส กิเลสมันเผาไหม้ ชาวโลกเขาทำไม่ได้แต่ท่านทำได้ กลับกับชาวโลกเขา ปฏิโสตังทวนกระแส

น้ำก็เดินบนน้ำไม่ได้ ดำดินไม่ได้แต่ท่านทำได้กลับกันทวนกระแสกับเขา เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ไม่ใช่เหาะจริงๆแต่เบาว่างเหมือนเหาะอยู่ลอยพื้นไม่ติดดินสบายคือว่าง ลอยเบา เหมือนบาตรบริหารท้องจีวรบริหารกายเหมือนนกน้อยปีกแข็งบินไปได้ทั่วสารทิศ

ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ที่มีอานุภาพด้วยฝ่ามือ ไม่ใช่เอามือไปทำจริง แต่คือท่านมีสิ่งเกินกว่ามนุษย์ทำได้จะมีไฟราคะไฟโทสะเท่าใด ท่านก็สัมผัสได้แตะต้องได้ไม่ต้องหนีหลีกเร้นไปผู้เดียวแต่อยู่กับกองไฟ ไฟนรก แต่ท่านอยู่ได้ไม่มอดไหม้ ลูบคลำแตะต้องได้ด้วยฝ่ามือไม่หนีไปไหน แม้ที่สุดใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกได้ พรหมโลกคือที่สะอาด อำนาจรูปนามท่านก็ไปที่บริสุทธิ์ได้เมื่อใดก็ได้จะเข้าไปคลุกคลีได้ ใจท่านสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลาทำได้

หรือจะอนุโลมไปคลุกคลีกกับเขาก็แตะไม่เปื้อนปริสุทธา ปริโยทาตา จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นเรื่องความวิเศษ อิทธิวิธญาณ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์แต่เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

ทิพยโสตย์คือลึกละเอียดไปเรื่อยๆ เหมือนบุรุษเดินทางไกลได้ยินเสียงกลอง เสียงดังก็ได้ยิน เสียงเบาก็ได้ยิน ไกลใกล้ได้ยินตามบารมี นอกจากได้ยินแล้วแยกเสียงออกด้วยว่าเสียงนี้ตะโพน กลอง บัณเฑาะว์ เปิงมาง จะแยกแยะออก ผู้ลึกซึ้งจะสัมผัสอาการกิเลส แม้แรง เบาก็รู้ได้แยกแยะออกได้ว่าราคะ หรือโทสะหรือโมหะ แยกละเอียดแม้คล้ายกันมากก็แยกได้มีเล็กน้อยก็แยกได้

แยกแยะ เจโตปริยญาณ 16

สังขิตตังจิตตัง คือ fusion

วิกขิตตังจิตตัง คือ fission

ลักษณะสองนี้จะเกิด ตามจริต จริตศรัทธาจะเป็นสังขิตตัง จริตปัญญาจะเป็นวิกขิตตัง พวกเราฟังธรรมอาตมาก็ดูเข้าใจๆ แต่มันกระจายหายไป ก็พยายามทำให้รวมติดให้รู้ครบ หรือที่ตีไม่แตกออกมาหมดทุกซอกมุมทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็อมหรรคตะ ถ้าทำได้ก็มหรรคตะ เจริญได้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้

มีวิมุติหลุดพ้นก็ผ่านล่วงเลยได้เป็นทั้งเจโตและปัญญาสมบูรณ์แบบ เป็นอนุตตรังจิตตังคือมาตรวัดสิ่งที่เราได้เรามีเราเป็นผลที่เรามี ก็รู้คร่าวๆแล้วตรวจสอบตนเองจึงรู้ถึงที่สุดถึงอาสวักขยญาณ จบหมดถอนอาสวะแล้วตั้งมั่นในอดีตอนาคต สมบูรณ์ทุกปัจจุบัน….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:57:21 )

590128

รายละเอียด

590128_พุทธศาสนาตามภูมิ นัยละเอียดของวิชชา 8

          พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 28  มกราคม 2559  แรม 5 ค่ำเดือนยี่ปีมะแม ท่าทางออกเสียงเหมือนคนแก่นะ ก็ดูไม่ดีหรอกไปแสดงราศีคนแก่ได้อย่างไร

เราก็มาเรียนธรรมะต่อไปเรื่อย วันนี้มี sms มาของเมื่อวานนี้

 

Sms 27-01-16

0893867xxx โลกโชคดีมีทุกคำสอนในพระศาสดาของทุกศาสนาดีที่สุด!แต่โลกโชคร้ายมีคนบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนเลวที่สุด! แต่โลกยิ่งแย่ที่มีผู้รู้ถูกปล่อยผู้ไม่รู้ผิดเบียดเบียนโลกแย่ที่สุด

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูสอนธรรมพระศาสดาตามภูมิ!มักน้อย,ใจพอ,ไกลกิเลส,พากเพียร,ศีลสมบรูณ์,มั่นในกุศล ,ปัญญาเกิด,รู้แจ้งหลุดอัตตาพ้นตัวตนสาธุ!

 

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมจรธ.สำนึกในน้ำใจทุกๆท่านที่คนจมโลกธรรมมองไม่เห็นแต่คนพ้นโลกธรรมมองเห็น!

 

0836965xxx นาอินทรีย์ วิถีไทย หลังไม่สู้ฟ้า ดำนานั่งแพ ใช้เมล็ดพันธุ์ 1 กก.ต่อไร่ ทำได้60ไร่แล้วเพื่อฟ้าดิน

 

0817978xxx ขอบคุณบุญนิยมที่นำคำสอนขององค์ท่านมาเผยแพร่ทำให้เข้าใจตามความเป็นจริงจากสุรินทร์ค่ะ

 

0893867xxx ตั้งใจแอบส่งหลังจอรู้กันในหมู่กลุ่ม!โผล่จอทุกอันรู้หมดเลยเชื่อแล้วจ้าความลับบ่มีในโลก!ขอบคุณ

 

0817978xxx ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลฟังทุกวันการฟังธรรมก็คือการภาวนานั่นเองค่ะ

 

คำถามจากพระตำนานไท

ขุมทรัพย์ทั้งสี่

ขุมทรัพย์ทั้ง 4 หรือนิธิกุมภี คือขุมทอง 4 ขุม ได้แก่ ขุมทองสังขนิธี ขุมทองเอลนิธี ขุมทองอุบลนิธี ขุมทองปุณฑริกนิธี

(เป็นขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับผู้มีบารมี เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีบุญญาธิการ ขุมทรัพย์ทั้ง 4 หรือนิธิกุมภี ได้แก่ ขุมทอง4 ขุม ประกอบด้วย สังขนิธิ เอลนิธิ อุบลนิธิ ปุณฑริกนิธิ ได้บังเกิดขึ้นที่มุมกำแพงพระนครทั้ง 4 ด้าน ในวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ทรัพย์สินที่พระองค์มีอยู่ก็ใช้ไม่หมด)  

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้ เลยไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร อาตมาเชื่อเรื่องบารมีเหมือนกัน ถ้าไม่มีมันก็ไม่มี แต่เราอย่าห่าม อย่าทำอะไรที่ไม่สังวรระวังไม่ระมัดระวัง พยายามทำตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า มักน้อยสันโดษใจพอ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มนุษย์ไม่มีศีลคือโมฆะบุรุษ

เราได้เอาพระไตรปิฏก ล.1 สุตันตปิฎก ที่พูดเช่นนี้เพราะว่าเล่ม 1-8 เป็นพระวินัยเป็นกฎหมายของภิกษุ ส่วนเล่ม 1 ที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่

โบราณาจารย์สังคายนาไว้เล่ม 1​ อาตมาหยิบพรหมชาลสูตรมาอธิบาย ก็ได้เห็นว่าได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น อันไหนยังไม่เข้าใจก็ค่อยไปค้นคว้าต่อ ก็บรรยายทวนไปมาหลายรอบ แต่เพราะมันเป็นหลักเบื้องต้นคือศีล กับความรู้ความเห็นทิฏฐิ เป็นพื้นฐานชีวิต

มนุษย์เกิดมาแล้วไม่มีศีลเป็นหลักของชีวิตนั้นโมฆะและซวย ได้อกุศลวิบาก ได้วิบากบาปตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้แช่งแต่น่าสงสาร ใครก็ตามเกิดมา ศาสนาแต่ละศาสนา ถ้าไม่สนใจธรรมะของศาสดา สักแต่ว่าเป็นศาสนิกไป

แต่เราพูดของศาสนาพุทธหากไม่สังวร ตนเองเกิดมาเก่งอย่างไร ไม่มีหลักเกณฑ์ชีวิต อย่างน้อยตรวจสอบตนว่ามีศีล 5 จิตมีเมตตาไหม จะรุนแรงกับสัตว์ใด ถ้าจิตไม่มีเมตตา หวังร้ายต่อสัตว์อื่น อ่านอาการจิตให้ดี แม้แต่ศัตรูเราก็ไม่ควรหวังร้ายต่อเขา

เราต้องพยายามหวังให้เขาได้ประโยชน์แม้ศัตรูกับเรา อย่างน้อยที่สุดให้เขาเลิกคิดชั่วร้ายเลว จะทำอย่างไร พูดติเตียนทักท้วงให้เขาสำนึกหรือใช้จิตวิทยาอย่างไรก็แล้วแต่ ข้อสำคัญการพูดติเตียนด้วยจิตเลว เอาความชั่วเขามาประจานมีเจตนาอกุศล อย่างนั้นเป็นคนเลว แต่คนไม่มีเจตนาอย่างที่ว่านี้มีหวังประโยชน์ต่อเขาไหม ให้เขาดีขึ้นให้เขาเจริญขึ้น นี่เป็นจิตดีที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นความหมายดีงาม

ผู้ใดมีจิตหวังประโยชน์ต่อผู้อื่นแม้เป็นศัตรูก็ตาม ถ้าเขามีจิตหวังร้ายแล้วเราก็แรงไปเลย ก็เป็นกันในสังคมเป็นธรรมชาติ ศีลที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นสุดยอดแล้วในศาสนาพุทธ จิตใจสัตว์หรือโดยเฉพาะมนุษย์เกิดมาร่วมโลกเราก็ปรารถนาดีต่อกัน

สัตว์ทุกตัวเกิดมารับวิบาก เขาก็รับวิบากของเขา พัฒนาตน อย่าให้วิบากเลวเพิ่ม เขาจะปล่อยตัวให้วิบากมากขึ้นก็แล้วแต่เขา แต่เราไม่ควรไปซ้ำเติมไม่ว่าสัตว์เล็กน้อยใหญ่ มนุษย์ด้วยกันก็ไม่น่าซ้ำเติม

เช่น เขาเป็นศัตรูเรา เราก็ไม่ควรซ้ำเติมทำชั่วไปกับเขาเพิ่มขึ้น ถ้าเขาไม่ทำชั่วกับเรา ใครเขาก็ไม่อยากอยู่แล้ว แม้เขาไปทำชั่วกับคนอื่นเราก็ไม่ควรให้เขาทำชั่วกับใคร น่าจะทำดีไปทุกอย่าง นี่แค่ศีลข้อ 1

คนเราหากศึกษาจะเกิดจิตอย่างที่อาตมาสาธยาย ฟังแล้วดีไหม ไปทำให้ใจเราเป็นอย่างนี้จริงๆสิ อาตมาได้ทำเช่นนั้น อาตมาได้ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าแม้เรื่องศีลข้อนี้

ศีลข้อ 2 อย่าไปยึดเอาของเขา ถ้าเขาทำก็อย่าให้เขาทำต่อ ให้เขาคืนเสีย แต่ถ้าเขามีสิทธิ์ของเขาถูกต้องแต่เราสิไปแย่งของเขา พระพุทธเจ้าว่าเราต้องการแต่ของที่เขาให้ รับแต่ของที่เขาให้ มันฟังง่ายแต่ลึกซึ้ง หรือบางขณะจิตเราต้องการมันจำเป็น เช่น เราป่วยเราต้องการยา เราก็ต้องการของที่เขาให้ ถ้าเขาไม่ให้ก็อย่าไปมีจิตต้องการสิ่งที่เขาให้แม้เราเจ็บป่วย หรือเราหิว อดอาหารหลายวัน ก็ต้องการ เราก็ต้องพึงต้องการของที่เขาให้ จิตอย่าไปต้องการของที่เขาไม่ให้

ผู้ใดมีจิตที่ขนาดอาตมาว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติภาษานี้มาสูงส่งไหม แทนที่จะบอกว่าอย่าไปขโมย อย่าทุจริตเอาของคนอื่น ทำได้อย่างนั้นก็ดีแต่ถ้าทำจิตได้อย่างที่อาตมาว่าจะไม่ทะเลาะวิวาทแย่งชิงวุ่นวายเดือดร้อนอะไร สังคมเราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ศึกษาให้ดี ทำจิตในจิตให้เข้าใจว่าเป็นได้ถึงอย่างนี้หรือ เราก็ค่อยทำโน้มจิตไป เกิดผัสสะเกี่ยวข้องเหตุการณ์ทำจิตเราให้เป็นเช่นนี้ได้

แม้แต่ในราคะมูล ก็ลดมัน การอยากเอามาเป็นของตนคือโลภะ ส่วนราคะเอามาเสพรส ในเรื่องราคะอยากได้เสพรสใดๆ ได้สัมผัสเสียดสีในชีวิตเรา เสียดสีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้เสพรส เราก็ไปอยากได้เสพรสนั้น ต้องอ่านใจเลิกเสพรสเหล่านี้

ทางภายนอกทวาร 5 มีชอบใจไม่ชอบใจ ก็เป็นกิเลส ถ้าฝึกฝนลดแล้วสัมผัสก็ไม่มีราคะมูล รู้ความจริงตามความเป็นจริง รูปเสียงกลิ่นรสตามจริงของมันจะเย็นจะร้อนอ่อนแข็งก็เป็นไปตามจริงของมัน อะไรยากหรือไม่ยากก็รู้ น้ำมันร้อนจัดไปซดเข้าไปปากไม่ได้ ก็รู้ว่ายาก อาหารมันเผ็ดไปไม่ไหวมันเค็มมากไป แต่ว่าไม่ต้องชอบ ไม่ต้องไม่ชอบ ไม่ต้องมีอาการเหล่านี้ 

รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าควรตอบรับอย่างไร ตามควรของโลกเขาก็ไม่เกิดการวุ่นวาย ไม่ดูดมาเป็นของตน ไม่ผลักออกไป ควรรับมาอย่างพอเหมาะพอดีก็ทำ เมื่อกิเลสลดก็จะเป็นอย่างนี้ มีแต่เสียสละสร้างสรร

ส่วนทิฐิ ก็ละเอียดลงไปอีกถึงทิฏฐิ 62 เป็นความยึดผิด และที่สุดก็คือยึดถูก ถูกที่ยังติดอยู่ไปหลงติดก็เป็นทุกข์ แม้ถูกจริงๆคนยึดอยู่ก็เป็นตัวกูของกู เกิดความหวงแหน เกิดการป้องกัน ถ้าเราไม่ยึดติดก็ให้คนอื่นได้

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ปฎิบัติญาณ1-5 แล้วตรวจสอบด้วยญาณ6-8

มาเข้าสู่บทเรียน อาตมาอ่านวิชชา 8 มาได้ 5 วิชชาแล้ว คือ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ ทิพพโสตญาณ เจโตปริยญาณ ญาณ 5 ญาณนั่นแหละที่ใช้ ส่วน 3 ญาณหลัง คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เป็นเตวิชโชที่ใช้ตรวจสอบและลงบัญชี 3 ญาณหลังนี่ไม่ยาก เป็นตัวลงบัญชี ไม่ได้เป็นตัวปฏิบัติอะไร 

ก็ลงบัญชีตรวจสอบว่าได้ผลหรือไม่อย่างไร คุณเป็นนักค้าขาย ทำญาณ 5 ญาณนั้นมา ได้เสียขาดทุนกำไรอย่างไร คุณก็มาตรวจสอบว่าได้ผลสมบูรณ์หรือไม่ เที่ยงแท้แน่นอนหรือไม่ ทำให้กิเลสเกิดดับอย่างไร ไม่ใช่ตรรกะว่าทุกอย่างมีความเกิดความดับ แต่ไม่ได้ทำอะไรก็ไม่เกิดผล สู้คุณเห็นอกุศล กิเลสคุณเกิด แล้วคุณก็ดับกิเลสตัวเดียวนี้ได้ จะดีกว่ารู้ไปหมดว่าเกิดดับ แต่ทำให้ดับไม่ได้สักตัว

อกุศลจิตนั้นไม่เกิดในจิตคุณเลยอันนั้นคือนิพพาน นี่คือเห็นจิตเกิดจิตดับ ไม่ใช่แค่คิดนึกตรรกะเอาว่าจิตเกิดจิตดับ เราต้องอ่านอกุศลจิตที่หยั่งลงโอกกันติแล้ว เราก็ต้องทำนิพพัตติ อภินิพพัตติ ให้ได้ นี่คือเข้าเป้า โยนิโสมนสิการลงถึงสัมภวะ จิตมันเกิดเราก็ทำจิตให้ดับได้ อยู่ที่หทยรูป คือแหล่งที่มันมีอาการเกิด จับได้ที่ไหนมันอยู่ตรงนั้น

วิปัสสนาญาณคือต้องเห็นอย่างยิ่งอย่างวิเศษเลย ต้องมีสภาวะนั้นจริงๆ ไม่ใช่โมเมผิดเพี้ยน อ่านจิตออกตั้งแต่สักกายะของตน มีเวทนาสุขหรือทุกข์ ชอบหรือชัง โกรธหรือรัก ต้องอ่านอาการนี้ให้ออก คืออ่านรูปนามได้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือญาณปัญญาที่ไปอ่านรู้อ่านออกขณะมันเกิดอาการเลย นี่คือสักกายะต้องมีรูปกับนามเสมอ

กายมี 1 ไม่ได้ มีแต่รูปไม่มีนามไม่ใช่กาย มีแต่นามไม่มีรูปก็ไม่ใช่กาย

เรามีวิปัสสนาญาณ อ่านจิตเจตสิกรูปนิพพานได้ แยกเจตสิก จิต ออก แล้วมันก็ถูกรู้ได้ คำว่านามรูปคือหมายถึงทั้งวัตถุและนามธรรมได้

นามที่ถูกรู้ก็เป็นรูป เราต้องไม่สับสน อ่านรูปนามออก สุดท้ายถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ รู้สูงสุดถึงขนาดนั้น

มโนมยิทธิ คือภาวะจิตที่เก่ง ทำได้สำเร็จในตัวเรา เมื่อเราทำสำเร็จมีฤทธิ์อำนาจสำเร็จ เก่งทำให้กิเลสในจิตเราลดได้

คนจะเก่งมากมายอะไร อาตมาก็ไม่ทึ่งเลย แต่ถ้าทำให้กิเลสลดได้ นี่สิอาตมาว่า ขอยกมือไหว้เลยคนนั้นที่ทำให้กิเลสตนเองลดได้ อย่าทำเก่งทำกิเลสคนอื่นลดได้ จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น อาตมาไม่ไปแย่งเก่งใคร เราทำความเก่งให้กิเลสเราลดได้ก็ดีที่สุดแล้ว

จะเก่งภายนอก ทำสร้างสรรเทคนิคอะไรก็ดี อย่าไปเอาไปทำเบ่งข่มคนอื่นเขา คนเอาความเก่งสร้างอาวุธมาฆ่าคนก็เลวแล้ว แล้วเอาไปเอาเปรียบคนอื่นข่มคนอื่นอีก เลวจริงๆเลยจิตอย่างนี้ ใครหาว่าอาตมาด่าก็ด่าคนเลว หมาบางตัวมันดีกว่าอาตมายังด่าไม่ได้เลย ก็ต้องด่าคนเลวนี่แหละ จะไปด่าหมาทำไม บางทีมันดีกว่าคนอีก ถึงหมาเลวอย่างไรไปด่าหมามันก็ไม่รู้เรื่องหรอก เสียน้ำลายทำไม

สรุปเข้าเป้ามีฤทธิ์ทำให้กิเลสตนเองลดคืออิทธิวิธี

อิทธิวิธี คือ มากมายหลากหลายเยอะแยะทำได้มากมาย แล้วลึกซึ้งทิพยโสตญาณ ทำได้ยิ่งขึ้นๆ

เจโตปริยญาณคือมาตรวัด เริ่มทำได้ยังไม่เก่งเคร่งคุม เหมือนคนหัดจักรยานได้ใหม่ๆ หรือเป็นแบบเกาะตัวแน่นไม่รู้ว่าได้อะไร เป็น Fusion หรือกระจายออกไปหมด วิขิตตังจิตตัง เป็น Fission ใครจะจริตไหนก็ต้องรู้ลักษณะแท้ให้ชัด

ดีขึ้นเรื่อยๆ สอุตตรังจิตตัง ก็ดีขึ้นๆ ก็ทำต่อให้จบ ถ้าไม่มีก็เดาไม่ได้หรอก ต้องมีสัจจะ ว่าถึงสมาหิตังอย่างไร วิมุติหลุดพ้นสมบูรณ์หรือไม่ ขาดอย่างกระทบกระเทือนอย่างไรก็ไม่มีกิเลส อย่างไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่กลับกำเริบ โดยญาณปัญญาคุณจะรู้ว่าจบสนิท Ultimate ได้ เลยอนุตตรังจิตตังไม่มีกว่านี้อีกแล้ว

ถ้าไม่มีสภาวะจริงคุณอธิบายอย่างอาตมานี้ไม่ได้ ต่อให้คุณมีพยัญชนะฟังอาตมาเข้าใจ แล้วคุณเอาไปอธิบายคนอื่น ถ้าผู้รู้ไปซักคุณเข้าคุณจะจนมุม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
           [136] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัป
(คือวนในกัปที่คุณรู้ดี)เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัป     (คือกัปนั้นคุณรู้บ้างไม่รู้บ้างหรืออีกนัยคือรู้ได้ดีที่สุด)เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า

(สมมุติว่าเมื่อวานนี้ตากระทบรูปมะม่วงเขาเอามาอวดเรา เราก็เห็นแล้วอยากได้น่ากิน อยากได้ก็ขอเขา เขาไม่ให้เราก็เกิดอาการจิตไม่ชอบใจคนไม่ให้ เราก็ทบทวน เราเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่า? ก็ทบทวนระลึกชาติ หรือเขาไม่ให้เราก็เฉยๆ ไม่มีปัญหา เขาไม่ให้ก็อาจเสียดาย ก็แล้วแต่ก็ทบทวนอ่านจิตเรา เหตุการณ์เกิดยิ่งกว่าละครน้ำเน่า นั่นคือหนัง มี 3 ลักษณะ หนังรัก หนังบู๊ หนังน้ำเน่า

พวกศิลปินจะรู้น้ำเน่า ถ้าสีมาผสมกันเละสีเน่าเลยต้องทิ้งไป ไม่ได้สัดส่วน

สิ่งที่เกิดแล้วมันจะดีหรือไม่ดีเราก็รู้  แต่สิ่งที่เป็นอดีตแล้วแก้ไม่ได้

ขี้หลุดออกมาจากร่างกายแล้วอย่าเอามาขยำ บ้าหรือเปล่าไปขยำขี้อยู่นั้นแหละ อาตมาถือว่าคนที่เอาอดีตมาจมงมกับอดีตคืองมขี้ แต่จะเอามาใช้สอยเพิ่มเติมก็ได้คุณมีจริงก็เอามาใช้ ไม่ต้องไปโม้ แต่ถ้าคุณไม่มีจะเอามาใช้ไม่ได้ แล้วโกหกชาวบ้านชาวเมืองเขาอีก

ระลึกชาติต้องมีของจริง มีเรื่องราวเหตุปัจจัยอย่างไร เรามีสมุทัยอย่างไร เราได้ดับมันไหม นี่คือปรมัตถ์ อย่าไประลึกบ้าบออะไรเลย จะระลึกได้เท่าใดกี่ชาติก็แล้วแต่คุณจะทำได้เท่าไหร่ แล้วท่านก็ต่อว่า)

 

ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น (ภพนั้นคุณเกิดในยุคนั้นได้ชื่ออย่างนั้น จะเอาเป็นตัวตนบุคคลเราเขาก็ได้ ผิวพรรณหมายถึงชั้นวรรณะความดีงาม คำว่าอาหารคือเครื่องอาศัย เราก็เข้าใจอาหารที่เราอาศัยในชีวิต เสวยสุขทุกข์อย่างไร

อาหารกินเข้าร่างกายก็เรียกว่าบริโภค อาหารที่ใช้สอยก็เป็นเครื่องกินใช้ บ้านช่องเรือนชานก็คืออุปโภค หากไปยึดเป็นเราเป็นของเรา หรือเสพรสก็มีโลภะ ราคะ โทสะมูล ถ้าได้ก็เสวยสุข ไม่ได้ก็เสวยทุกข์ ได้นานก็คือกำหนดอายุเท่านั้น อายุของสงครามที่คุณมัวเมาไปแย่งเป็นตัวกูของกู นานเท่าไหร่ก็บ้าเท่านั้น ถ้าหยุดแย่งได้ก็หมดอายุ ยังอยากแย่งอยู่ไหม

อายุที่ว่าคืออายุสุขทุกข์ กับการแย่งตัวกูของกู แย่งเสพโลภกับราคะ ถ้าไม่ได้ก็โทสะ ก่อเวรภัยฆ่าแกง พยาบาทอาฆาต กี่ชาติ อย่างที่เขาทำ

ขอยกตัวอย่าง อย่างลูกน้องคุณทักษิณทำงานให้ดี เพราะว่าได้ผลประโยชน์จากทักษิณ พอทักษิณไม่ให้ก็โกรธ คุณแน่ใจว่าเลี้ยงเสือตะเข้แน่ใจอย่างไรว่ามันจะไม่พยาบาท ในชีวิตอย่าสร้างสงครามทั้งรักและชัง เป็นเวรทั้งนั้น ไม่ใช่ well นะแต่เป็นเวร เวร มันเวรทั้งนั้นทั้งรักและชัง การยึดมั่นเป็นตัวกูของกูกับการได้มาเสพรสเท่านั้นเอง นี่คือสิ่งที่อาตมาย่อให้ฟัง)

 

ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น (เท่านี้แหละวนอยู่เท่านี้แหละในความเป็นมนุษย์)

 

ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ (อาการคือสิ่งที่เป็นปฏิกิริยาของรูปธรรมนามธรรม แต่อาการของจิตสิต้องศึกษา อาการ 32 ก็เป็นการเคลื่อนไหวของเหตุปัจจัย ข้างนอกก็มีนัจจะคีตะวาทิตะ อย่างนี้เรียกว่าชก อย่างนี้เรียกว่ารำ อย่างนี้เรียกว่าลูบคลำ มีคีตะสุ้มเสียงสำเนียงภาษาพูด ก็เท่านี้เอง แม้แต่นกก็พูดภาษานก ลิงก็สื่อภาษาลิง อาการต่างๆที่ประกอบด้วยปฏิกิริยาทุกอย่าง ข้างนอกถึงข้างใน

ผมขนเล็บฟันหนังมีอาการปรุงแต่งเรียกลักษณะ 4

1. ลักษณะ รูปร่าง

2. สสัมภาระ คือมีการปรุงแต่งสังขาร ภาษาอีสานมีระดับการสุกว่า สุก เที๊ย สู๋ เน่า เช่น ขี้ลี้ข้อล้อแคแล้โคโล้ จิงปิงโจงโปงแจงแปงจางปาง

3. อารัมนะ คืออาการของอารมณ์ อาการสิ่งประชุมกันเรียกว่าลักษณะอาการที่ทำการประชุมกันเรียกว่าสสัมภาระ อาการของอารมณ์เรียกว่าอารัมนะ ก็เอามาเรียก

4. สมมุติ ต้องเข้าใจว่านิยามสมมุติกันอย่างไร

อารมณ์หมายความว่าอย่างไร ก็รู้คำจำกัดความว่าหมายถึงอย่างนี้ สมมุติเป็นตัวตนว่าอย่างนี้คือคน ในภาษาไทย ก็เข้าใจกัน ลักษณะอย่างนี้สสัมภาระ อารมณ์อย่างนี้ คนเขาจะรู้ว่าคนนี้อย่าเข้าใกล้ คนนี้ควรเข้าใกล้จะรู้ เรียกสมมุติกันอย่างไรก็มี 4 ลักษณะ )

พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ (เริ่มต้นสองแล้วจะมีความต่างกัน ไม่มีอะไรเหมือนกัน จะคล้ายกันได้ เอโก แต่จริงๆแล้วส่วนตัว คนอื่นจะคล้ายก็ว่าไป แต่เราจะต้องรู้คล้าย กับอันเดียวกัน กับไม่มี คุณทำของคุณให้ได้ แม้เหมือนกันยิ่งกว่าแฝด แม้พลังทางวัตถุเขาก็แยก fusion กับ fission สรุปรวมลงนิวเคลียสเท่านี้เอง เป็นพลังงานฟิสิกส์ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นพลังงานจิต คุณเข้าใจจิตได้ไม่ง่ายเพราะจิตละเอียดกว่าฟิสิกส์ ในฟิสิกส์ไม่มีอารมณ์ ถ้าไปเรียน psychology ก็อาจมีบ้างแต่ไม่ลึกเท่าของพระพุทธเจ้า

อาการตั้งแต่รูปธรรมถึงอาการของนามธรรม ที่เป็นจิตเจตสิกรูปนิพพานแล้วเอามาเป็นอุเทสสื่อให้ฟัง เราจะขยายความให้คนรู้จากที่เราอุเทส ต้องรู้อาการจริงเสียก่อนแล้วจะเอาอาการไปอุเทสได้ แล้วคุณรู้แต่บัญญัติก็ไม่ได้รู้อาการจริง

คำว่านิเทส คือมันเทศน์โดยไม่มีเนื้อแท้ มีแต่บัญญัติ สื่อสารนี้มีแต่บัญญัติไม่ใช่เนื้อแท้เป็นนิเทศน์ไม่ใช่อุเทศ)

 

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น แล้วจากบ้านนั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม (วนอยู่อย่างนี้นานนับกัปกาล อาจมีมากอย่างแล้วก็วนตลอดกาลนาน) เขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้นได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้นเราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ (คือความวน ความไม่จบนี้คือความวน ความจบคือไม่ไปบ้านไหนแล้ว ถึงไปก็ไม่แปลก ไปอย่างรู้ อย่างเป็นประโยชน์ หากไม่ไปอย่างเป็นประโยชน์อย่าไป)

ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้างสามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้างตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้นแม้ในภพนั้นเราก็มีชื่อนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น (ผิวพรรณคือชั้นสูงชั้นต่ำ) มีอาหารอย่างนั้น (อาหารคือเครื่องอาศัยที่ไปสมมุติว่าชั้นสูงชั้นต่ำ) เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรมหาบพิตรนี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ข้อก่อนๆ

คนคิดว่าจะต้องเป็นใหญ่ของโลก เขาก็เคยมี บ้าๆบอๆ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เราเห็นว่ามันบ้า ถ้าคิดในวงแคบ ก็วุ่นวายในวงแคบ นี่ดันมาคิดในวงกว้าง แล้วมีฤทธิ์แรงในวงกว้างด้วย บรรลัยจักรเลย อย่าง นายคิม เกาหลีเหนือคิดอยากใหญ่ สร้างระเบิดไฮโดรเจนได้แล้ว เอาไว้ขู่ประเทศต่างๆในโลก ประเทศไหนยอมก็ชื่นใจ เราเห็นความงมงายของคน งมงายไปทำไมขนาดนั้น แทนที่จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน มาปลูกผักแจกกันนี่ดีกว่านายคิม

อรหันต์ไม่มีตัวตนแล้วจะรักหน้าทำไม จะไปทำเพื่อหน้าทำไม ประมาททำไม แต่อรหันต์นี้รักหน้ายิ่งกว่าใครนะ เพราะหน้าแตกแล้วหมอที่ไหนจะรับเย็บ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน จุตูปปาตญาณ

จุตูปปาตญาณ

จุติคือเคลื่อนไป จะเคลื่อนสู่สูงก็คือเกิด เคลื่อนสู่ต่ำก็เรียกว่าตาย จุติหมายถึงเคลื่อนสู่สูง หรือต่ำ หรือตายก็ได้ ถ้าคุณไปเห็นสัตว์ตัวนี้กำลังเคลื่อนไป ลงหรือขึ้น หรือเห็นคนนี้เกิดหรือเจริญหรือเสื่อม คุณก็เห็นแค่รู้คนอื่นเขา แต่ถ้าคุณมารู้ตัวเอง คุณอ่านการเกิดการดับ คุณก็มาอ่านของตนเอง หากคุณอ่านแค่ร่างก็แค่นั้น แต่ถ้าอ่านจิตว่ามันเลื่อนสูงหรือต่ำหรือเกิด เกิดสูญ ไม่เกิดอีก หรือยังเกิดอีกหยั่งลงอีก ถ้าไม่รู้ก็โอกกันติหยั่งลงเป็นชาติ สัญชาติใส่ความจำใส่เซฟ ก็ชาติสัญชาติโอกกันติไปเรื่อยๆ คนในโลกจะมีชาติสัญชาติโอกกันติเท่านั้น จะหยั่งลงโลกุตรจิตหรือไม่ คุณได้ละหน่ายคลาย ทำให้จิตนิพพัตติได้ มีอภินิพพัตติได้สมบูรณ์เป็นรอบๆของโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์

คนในโลกก็มีชาติสัญชาติโอกกันติ คุณห้ามอกุศลจิตไม่ให้เกิดไม่ได้ ดีไม่ดีหลงอร่อยเป็นเรื่องน่าสะสม ก็สะสมอร่อยไปเรื่อยๆ กิเลสจะหนาขึ้น จะไม่มีที่สิ้นสุด สนุกสนานรสชาติจัดจ้านขึ้นๆ ไม่มีขีดจบ ถ้าไม่พอมาหาสูญก็ไม่จบ ถ้าไม่พอก็ไป infinity คนไปดีดดิ้นสะสมรสชาติ อีกหน่อยจะมีคนเส้นโลหิตแตกตายในสนามฟุตบอล ที่เอาชนะกัน สุดยอดไคลแมกซ์ คนไหนเตะเข้าโกลก็แสดงอาการ อาตมากลัวเส้นโลหิตแตกตาย เขาไม่รู้ว่าเขาบำเรออารมณ์ คนรู้แล้วว่าเป็นมาไม่รู้กี่ชาติ สะสมไปก็ได้มากจัดจ้านมากขึ้นก็นึกว่าคุณเก่ง

เช่น กระเทยนี่สะสมความดีดดิ้นของอิตถีภาวะ เขาก็นึกว่าเขาประเสริฐเลิศเลอทุกทีก็น่าสงสาร ซับซ้อนไปเรื่อยๆ คนที่ไม่รู้จักการเกิด การเกิดแล้วเคลื่อนไปสู่สูงหรือต่ำ จึงต้องมาเรียนรู้อารมณ์จิต เรียนเวทนาในเวทนานี่แหละจบ แยกเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนาได้ ทำให้เกิดลดละจางคลายดับได้ ถ้าอ่านอาการอารมณ์ลักษณะพวกนี้ไม่ออก อย่าหวังเลย

ใครจะเอาเกิดตลอดเป็นจุติเทพอาตมาไม่เอาด้วย อาตมาจะรู้เกิดรู้ดับ คุมการเกิดการดับได้ เป็นอมตบุคคล คนเป็นอรหันต์แล้วจิตจะดับได้ อ่านของตนเองว่าคุณหยุดจิตตนเองได้ ลืมตาอยู่แล้วกระทบกับอะไรตอนนี้ จะรับรู้แล้วคุณอ่านจิตคุณไม่ปรุงเลย กระทบแล้วไม่ปรุงเลย คุณคิดนี่แหละ ตอนนี้คุณก็กระทบสัมผัสแล้วคุณไม่คิด เฉยเลย บางคนไม่กระทบก็อยู่กับความคิดที่หยุดไม่ได้ อยู่เฉยๆแม้หลับตาก็หยุดคิดไม่ได้

จิตอรหันต์คือจิตหยุดได้ ลืมตากระทบก็หยุดคิดได้ หลับตาก็หยุดคิดได้ ไม่คิดเลย นั่นคือความสามารถ อาตมาสงสารผู้ที่ท่านพากเพียรทำอันนี้เฉยๆ ไม่มาเรียนทางพระพุทธเจ้าเป็น analysis แต่ไปเรียน hypnosis เมื่อไม่กี่วันก็อ่านของ

อ.บูรพาว่าให้หยุดคิด มันไม่ใช่ต้องมาวิจัยวิเคราะห์หยุดคิดเป็นอันๆ แล้วสั่งสมความสามารถ พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมีเหตุปัจจัยลืมตา แล้วหยุดได้ในเหตุปัจจัยใดที่ให้หยุดได้ ไม่ใช่ไม่ให้เกิดความคิดเลย

พวกสมถะต่างจากวิปัสสนาเช่นนี้ แต่วิปัสสนานี้อย่างเห็นๆแล้ววิจัย ไม่ใช่เห็นๆแล้วหยุด ของพระพุทธเจ้าวิจัยแล้วดับเหตุอย่างมีปัญญา ไม่ต้องข่มจิตเลย

การข่มจิตกับการรู้ว่ามีพลังปัญญาสลายสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าไม่เกิดเช่นนี้ไม่มีวิปัสสนาญาณ

การเกิดของศาสนาพุทธไม่เรียกดับ แต่เรียกว่าวุฒิ มีการเข้ากับออก หลุดพ้นไปแล้วรู้ว่าเราเนกขัมมะขาดเด็ดออกมาได้เลย นิโรธคือนิโรธวุฒฐานะ

ความเลวกับประณีต ก็ไม่ยาก เลวก็คือหยาบ ประณีตคือละเอียด

ผิวพรรณดีกับผิวพรรณทราม ก็คือสิ่งเห็นได้สัมผัสได้ จะเป็นความรู้ชั้นเชิง วุฒิ มันสูงหรือต่ำ มันดีหรือทราม

ได้ดีตกยาก สุกฏะหรือทุคตะ ไปดีหรือไปไม่ดี ก็สามารถอ่านออกของแต่ละคู่ได้ ถ้าเรามีอาการหรือกรรม มีความเป็น กรรม มีอาการ ที่เป็นกิริยากรรม ก็แบ่งได้ว่าดีหรือเลว ละเอียดหรือหยาบ ได้ดีหรือตกยาก ไม่เป็นทั้งสองอย่างกลางๆ แต่รู้ว่านี่ดีนี่ทรามโดยสมมุติ แล้วเราไม่เป็นทั้งสองอย่าง ถ้าเราจะเป็นเราก็เป็นแต่ดี ถ้าเราจะอยู่กับสมมุติก็ต้องอยู่กับสิ่งดี ไม่เอาสิ่งไม่ดี แต่ถ้าไม่อยู่กับสมมุตติเราก็ว่าง

สัตว์คือจิตเราเป็นไปตามกรรมที่ทำ ได้ดีหรือตกยากก็อยู่ที่กรรมที่ทำจริง ผู้ใดชัดเจนเชื่อกรรมวิบากจะไม่ทำกรรมชั่วกรรมไม่ดีเด็ดขาด จะทำแต่สุวรรณะ ไม่ทำทุวรรณะ จะทำแต่สิ่งปราณีตไม่ทำสิ่งหยาบ จะทำแต่สุกฏะ ไม่ทำทุคตะ ด้วยตาเรามีทิพย์รู้แจ้งของเราเอง อย่าไปใส่เกือกรู้ของคนอื่น แต่ถ้าจะรู้ตามบารมีก็ได้ตามธรรม เราจะช่วยเขาบ้างก็ดี แต่ช่วยเขาไม่ได้รู้ไปก็เท่านั้น แต่รู้ของเราก่อนทำของเราให้ดี

สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ผู้ที่ติเตียนพระอาริยเจ้านั้นเพราะเขายึดมิจฉาฯ

จบ..


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:58:02 )

590129

รายละเอียด

590129_พุทธศาสนาตามภูมิ อาสวักขยญาณในสามัญผลสูตร

พ่อครูว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559 แรม 6 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม ก่อนบรรยายก็ของประกาศแจ้งข่าวดี เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า  ครั้งที่ 7 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
          ศุกร์ที่ 29 - อาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2559
          รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ(จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)
          สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม) คุณชญาดา 087-4437865
คุณปองแสงพุทธ 099-6408898 ดาวโหลดใบสมัครได้ที่
http://www.boonniyom.net/?p=63012และเฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
          ส่งใบสมัคร online ได้ที่ เฟซบุ๊กกองทัพธรรมFP หรือ อีเมล์ s.pupha@gmail.com  พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น" (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สุริเปยยาล 7) ตอน แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี

ชุมชนชาวอโศกทุกแห่งเรามุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ชุมชนพูดได้ว่าเป็นชุมชนนักปฏิบัติธรรม โดยมี "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น" (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ)คือมรรคองค์ 8 ไม่มีทางอื่น คนเขาบอกว่าทางไปนิพพานมีหลายทาง อันนั้นนอกคำสอนพระพุทธเจ้า แต่เคยได้ยินบรรดาอาจารย์หลายคนบอกว่าทางไปนิพพานมีหลายทาง ซึ่งไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในที่ไหน พูดเช่นนั้นเป็นการพูดนอกคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าว่ามีทางเดียว แล้วท่านกำกับด้วยว่า ไม่มีทางอื่น นัตถัญโญ มีทางเดียวคือ มรรคมีองค์ 8 ต้องเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ

ทุกวันนี้ไม่สัมมาทิฏฐิกัน พูดแล้วพูดอีก ไปเปิดดูได้

พระไตรปิฎก ล.25 ข.30         

[30] ทางมีองค์แปดประเสริฐกว่าทาง (หรือมรรค)ทั้งหลาย  ธรรมอันพระอริยะเจ้าพึงถึง 4 ประการ  ประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย  วิราคธรรมประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย ฯลฯ 

ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง  ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ (พตปฎ. ล.25   ข.30)

ทางนี้มีมารและเสนามารมาก ผู้ใดหลงทางก็ออกไปสู่มารไปกับเสนามาร ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีทางบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า

มรรคองค์ 8 นี้ มันมีอะไรที่ต้องศึกษา อย่างน้อยสำหรับพวกเราที่พูดกันบ่อย แต่สำนักอื่นไม่ค่อยเห็นพูด คือจะเห็นพระอาทิตย์ต้องเห็นแสงอรุณก่อน ต้องศึกษาว่าแสงอรุณคืออะไร ถ้าไม่ได้ตรวจสอบตามลักษณะแสงอรุณ 7 ตามที่พระพุทธเจ้าบอก ถ้าไม่มีแสงอรุณ 7 นี้ไม่มีทางได้พบพระอาทิตย์ คือไม่มีทางไปเข้ามรรคองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเลย เบื้องต้นแสงอรุณก็ไม่พบ แล้วจะไปพบพระอาทิตย์ได้อย่างไร ไม่มีทางพบมรรคองค์ 8 คุณอาจท่องได้ นำมาปฏิบัติด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเพียงเรื่องลอยลมเปล่า ไม่มีทางเข้าไปถึงมรรคองค์8

เจ็ดหลักที่ต้องทำความเข้าใจก่อนปฏิบัติมรรค์มีองค์ 8 คือ

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

มิตรดีคือใครต้องชัด ไม่เช่นนั้นไปนับถือครูบาอาจารย์คนไหนๆ ก็ไม่ตรง ครูบาอาจารย์ที่ตั้งหน้าตั้งตาสอนพุทธธรรม ไม่ได้หมายถึงมิตรดีทั้งหมด แต่มิตรดีคือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นอาริยบุคคล แม้ไม่เป็นก็ต้องรู้คำสอนอย่างสัมมาทิฏฐิ ต้องพบคนนี้ก่อน เพราะอะไร เพราะว่าศาสนาพระพุทธเจ้านั้นเป็นสัมมาสัมพุทโธ

หมายความว่า ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ตรัสรู้เองโดยชอบแต่ผู้เดียว คือสายของพระพุทธเจ้าตรงเท่านั้น หากไม่ใช่สายพระพุทธเจ้าโดยตรงคนอื่นไม่มีสิทธิ์รู้ คิดเอาเองไม่ได้ คนที่ไม่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของผู้มี dna ของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธเป็นเชื้อพุทธที่แท้ ถ้าไม่ได้ฟังจากปากจากคนมีเชื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ไม่รับรองว่าจะถูก เพราะเป็นเองไม่ได้ คนนอก dna รู้เองไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์เลย นอกจากได้รับถ่ายทอดจากปากผู้เป็นอาริยะจริง

ไม่ก็ต้องรู้ปริยัติจริงอย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งไม่เป็นหลักประกันง่ายๆ เพราะจะเพี้ยนง่าย ขยายความไม่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอาริยะที่ปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่าไม่ปฏิสัมภิทาญาณเป็นสายศรัทธาจริตก็อธิบายไม่ได้มาก แต่ก็มีคำที่ตรงที่แม่นที่ชัด คำที่ตรงก็จะตรงกับของพระพุทธเจ้า จะไม่ออกนอก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จำเพาะ หรือเฉพาะจริงๆ จึงจำเป็นต้องพบมิตรดีก่อน พบสัตบุรุษก่อนจึงได้ฟังสัทธรรม จึงเกิดศรัทธาที่เป็นสัมมา ที่ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน

ทุกวันนี้ ผู้ที่สอนธรรมะทั่วไปส่วนใหญ่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่ใช่สัตบุรุษ ยังไม่ใช่ สัมมัคคตา สัมมา ปฏิปัณนา ที่แท้จริง

เข้าใจยากเพราะศาสนาพุทธมักน้อยสันโดษ เป็นแกนของผู้ลดละโลกธรรมผู้บรรลุ ศาสนาที่เขาปฏิบัติโดยทั่วไปสามัญสากลเลย คือผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุต้องมักน้อยสันโดษ

แต่ของพระพุทธเจ้านี้ยาก ท่านมักน้อยแต่ก็อยู่กับโลก ดีไม่ดีมีสิ่งแวดล้อมเหมือนท่านไม่ได้หลุดพ้น มีองค์ประกอบความเป็นอยู่ต้องทำงานกับสังคม ยิ่งยุคนี้ด้วย

สังคมเหมือนแดนนรก ก็ต้องคลุกคลีกับแดนนรก ก็มีแดนนรกห้อมล้อม แต่จิตบรรลุแล้วอยู่เหนือมัน ศาสนาพุทธมีโลกุตรจิต เป็นจิตเหนือโลกียะ ถ้าหนีไปจากลาภยศก็ดูง่าย ไม่เกี่ยวข้องเลย ไม่เข้าใกล้เลยก็ดูง่าย แต่ของพุทธอยู่กับลาภ ยศสรรเสริญสุข แต่มีโลกุตรจิตจริง จิตเหนือโดย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเหล่านั้นไม่ทำให้จิตท่านอยากได้อยากมีอยากเป็นเลย เป็นลักษณะที่ดูยากในผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า

ยิ่งยุคนี้มีโลกธรรมมาก มีวัตถุมากไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนเจริญคนเมือง ไม่ใช่ศาสนาคนป่าคนดอย เป็นเรื่องเข้าใจยาก

ในยุคพระพุทธเจ้าสองพันห้าร้อยกว่าปี ยุคนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเขามากมาย แล้วผู้ปฏิบัติธรรมออกป่าก็ไม่ได้ไปไกลมาก

ยกตัวอย่าง ในสามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรู ปรารภกับข้าราชบริพาร พระองค์มีทุกข์ ไปหาอาจารย์ที่ว่าแน่ๆในยุคนั้น 6 อาจารย์ ไม่ได้ผล ช่วยท่านไม่ได้เลย ท่านก็ทุกข์ เพราะท่านสร้างอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ทุกข์ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าอชาตศัตรูก็เป็นคนดี แต่เป็นไปตามโลกต้องประหารพ่อเพื่อชิงราชบัลลังก์

หมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เลยเสนอว่าไปพบพระสมณโคดมสิ ตอนนั้นท่านยังไม่แพร่หลายทั่วไป ในวังนั้น ท่านก็ยกพลไปไม่นานก็ถึง แปลว่าเขาคิชฌกูฏก็ไม่ไกลจากวังของท่านเลย ป่าสมัยนั้นกับเมืองก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรกัน

เล่าย้อนเรื่องอาตมาตอนเป็นฆราวาสเริ่มปฏิบัติธรรม ก็เปิดคอลัมน์ธรรมะในหนังสือดาราภาพ ก็ตั้งใจจะเผยแพร่ธรรม ตอนนั้นทำงานทางโทรทัศน์อยู่ ก็บรรยายตามประสาอาตมา ใช้นามปากกาว่า โพธิรักษ์ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าคือโพธิสัตว์ แต่อย่างไรก็ไม่รู้ใช้นามปากกาว่าโพธิรักษ์ ก็อาตมาชื่อรัก แล้วเอาคำว่าโพธิมาต่อ พอเอามาต่อแล้ว โพธิรัก ก็จะดูอย่างไรไปทางโลกีย์ ก็เลยใช้นามปากกาว่า โพธิรักษ์ ตั้งนามปากกามา พอไปบวชก็ชอบชื่อนี้ อุปัชฌาย์ก็จะตั้งชื่อให้ ก็บอกว่าขอใช้ชื่อโพธิรักษ์ได้ไหม มีบาลีคือโพธิรักขิโต ท่านก็ตรวจบาลีดูบอกว่าเป็นตัวกาลกิณีนะ อาตมาก็บอกว่า ผมไม่แคร์หรอก กาลกิณี ไม่ได้ติดใจไม่ถือเลย เรื่องนั้น ท่านก็บอกว่าเอาสิหากไม่ติดใจ

ที่เปิดประเด็นว่าพระพุทธเจ้าอยู่ป่าใกล้วัง แต่ก็ออกมาจากป่าไปเข้าเมืองหมด

พอได้สาวกที่เป็นอรหันต์ 60 องค์แรก ท่านก็ว่าให้เข้าสู่นิคม แม้เราก็จะเข้าสู่อุรุเวฬาเสนานิคม พวกเธอจงไป อย่าได้ไปร่วมทางเดียวกันสองรูป ให้แยกกันไป จงแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย จงประกาศธรรมให้งามโดยพยัญชนะอัตถะ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่

แต่ทุกวันนี้เข้าใจผิดเพี้ยนว่า พระปฏิบัติต้องเข้าป่า เป็นพระป่า ไปนั่งสมาธิ แต่ในพระไตรปิฎกว่า อยู่ในป่าในที่แจ้งลอมฟาง ป่าช้าก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้ ท่านประนีประนอมมากนะ ท่านประกาศศาสนาท่ามกลางสิ่งที่เขาไม่รู้เรื่อง เขารู้กันว่าปฏิบัติต้องเข้าป่า ต้องสงบต้องนิ่ง หนีโลกีย์ ไปอยู่กับโลกีย์ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องปฏิโสตัง ทวนกระแสโลกีย์

ศาสนาพุทธประกาศมาแล้ว 2600 ปี ศาสนาพุทธตอนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศไม่มี ท่านประกาศแล้วต้องประนีประนอมอย่างมากพอจะหักโค่นกับความคิดของเขา ที่รู้กันว่าจะปฏิบัติธรรมต้องเข้าป่า hypnotize แต่ของพระพุทธเจ้า analyze ต้องมีการคิดวิจัยวิจาร แต่อันโน้นกลับให้หยุดคิด 

ได้อ่านของอ.บูรพาว่าต้องให้มาหยุดความคิด มันตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าว่าต้องวิเคราะห์วิจัยให้ละเอียดลึกซึ้ง สติปัญญาต้องแตกแยกแยะให้ละเอียดจากความจริงที่สัมผัส คนละเรื่องกับที่เขาต้องหนีต้องหยุด 

ทุกวันนี้ปฏิบัติตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลย ยุคพระพุทธเจ้ายากกว่ายุคนี้อีก เพราะใหม่มาก ต้องปฏิบัติทวนกระแส ต้องไปทางอลมริยา ไม่ใช่

นาลมริยา ต้องข้ามเขตคนละทิศ ทวนกระแสเลย พระพุทธเจ้าประกาศมาสองพันหกร้อยกว่าปี อาตมาต้องมาดึงกลับโดยใช้หลักฐานที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ทำมา 45 ปีแล้วก็จะพากเพียรต่อไปอีก จะกระเสือกกระสนต่อไปอีก เพื่อเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายืนยันพิสูจน์ตราลงไปอีก เพื่อช่วยมนุษยชาติด้วยมุ่งมั่นจริงใจ

ยิ่งทุกวันนี้เห็นว่าต้องมาเอาหลักจากพระไตรปิฎกไล่ไปตามหลักเลย ก็ยิ่งมั่นใจชัดขึ้น

         

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานคือมรรค สมาธิคือผล

เราบรรยายมาตั้งแต่ศีล ศีลกับปัญญาต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า เป็นสัตตาโอปปาติกา เป็นอธิจิตเกิด โดยการปฏิบัติตามทางในสามัญญผลสูตร มีศีล สำรวมอินทรีย์ ยังไม่ได้ไล่ โภชเนมัตตัญญุตา

ชาคริยานุโยคะ ไล่เป็น ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา ฌาน1-4 ไปถึงจรณะ 15 ท่านยังไม่ได้ตรัสเช่นนั้น แต่เนื้อเดียวกัน

          ศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็เข้าสู่สันโดษ สี่คำนี้แล้วมาสรุปว่า ศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ สติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ

ดูเหมือนว่าสำนักไหนๆก็ไม่เน้นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอาริยะต้องเป็นโลกุตระจริงๆ แล้วขยายความโลกุตระต่างกับโลกียะอย่างไร ไม่ได้ทำความแตกแยกนะ ว่าชั้นนั้นต่ำหรือสูง ไม่ใช่ แต่มันเป็นสัจจะของมัน

มันเป็นโลกียะก็แน่นอนว่าต้องมีโลกุตระที่สูงกว่า เป็นเนื้อแท้ที่พระพุทธเจ้าประกาศให้คนปฏิบัติให้เป็นอาริยบุคคล พูดเป็นเนื้อแท้ ไม่ใช่พูดยกตนข่มท่าน ซึ่งจะหาเรื่องก็หาได้

เมื่อเป็นวิชชา คือต่อจากศีล สมาธิ ก็เป็นวิชชาหรือปัญญา สมาธิคือจิต เมื่อสำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ ก็เกิดผลลดละจางคลาย เป็นผู้สันโดษ เหมือนในหลวงของเรา

ท่านตรัสว่า พอเพียง พยัญชนะคำนี้คือ สันโดษ คือรู้จักพอ เพียงใดเพียงหนึ่งที่คุณจะรู้จักพอ ไม่ใช่ตะลุยรวยไปไม่รู้พอ เพียงคือแค่นี้ มีเขตพอ แต่เขาไปแปลคำ ขยายความแปลงสารของในหลวงของพระพุทธเจ้า ที่ในหลวงตรัสนี้เป็นเนื้อแท้ของพุทธ อาตมาก็บอกแล้วว่าในหลวงคือพระโพธิสัตว์ แต่คนเข้าถึงได้ยาก

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องนี้ ก็ค่อยเรียบเรียงกันมา คำว่าจรณะ 15 ในเล่มนี้ก็มี เป็นวิชชาจรณะ แต่ในสูตรต้นๆยังไม่ได้กล่าว

ปัญญาจะประกอบในศีลในจิต มีสันโดษมีปัญญามีจิตหลุดพ้นไป จากมากลดไปน้อย จนถึง0 จน0ก็พอ หมดตัวหมดตน หมดสิ่งโลกีย์ออกจากจิต เนกขัมมะออกหมด 0 แล้วอยู่อย่างสบาย อยู่อย่าง 0

ก็ขอพูด อาตมานี่หัวเดียวกระเทียมลีบ มาทำแบบคนจนอย่างในหลวงตรัส ไม่ได้กอบโกยสะสม พูดตรงไม่ปะเหลาะ คนที่ฐานะดีติดยึดพอสมควรจะไม่เข้าใกล้อาตมา เพราะอาตมาไม่เอาใจ ไม่ปะเหลาะ อาตมาก็จะอยู่กับคนจนจริงๆ อยู่ได้ ตั้งแต่คนเดียวเป็นหลายคนได้ พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้  เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

จนทุกวันนี้เป็นกองทัพธรรม เป็นเหตุปัจจัยที่เราต้องใช้ชื่อกองทัพธรรมมูลนิธิ จดทะเบียนนิตินัยเลย ให้คุณจำลองเป็นประธานกองทัพธรรมตั้งแต่เริ่มจนบัดนี้ จนคุณทมยันตีจะทำเป็นละครกองทัพธรรม เอาคุณจำลองเป็นพระเอก แต่บัดนี้ก็ไม่ได้ทำ

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวปฏิบัติ ได้ผลเป็นวิมุติ แล้วมีวิมุติญาณทัสนะเป็นตัวปัญญา มีเจโตได้จริงสมบูรณ์ อุภโตภาควิมุติ

เราได้สาธยายศีล สำรวมอินทรีย์ มีสันโดษ มีฌานเป็นตัวปฏิบัติ ฌานคือมรรค สมาธิคือผล มีผลจากฌานเพ่งเผากิเลส วิจัยวิเคราะห์จนทำให้กิเลสลดลงไป จนขึ้นฐานนิพพานคืออุเบกขา อุเบกขาเป็นฐานนิพพานคือฌานที่ 4 ก็ตกผลึก อุเบกขาจึงเป็นอธิจิตสมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น แข็งแรงกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ท่านก็แปลสมาธิว่าคือความตั้งมั่นของจิตก็ใช่ แต่คือการสั่งสมผลจากฌานไม่ใช่สั่งสมนั่งสมาธิแล้วเข้าฌาน นั่นเป็น general meditation ไม่ใช่แบบของพระพุทธเจ้า ที่เกิดจากปฏิบัติมรรค 7 องค์ สั่งสมผลเป็นสัมมาสมาธิ

เมื่อเกิดปัญญาเกิดวิมุติ ก็มีปัญญารู้จักวิมุติ เรียกวิมุตติญาณทัสสนะ รวบรวมเป็นปัญญา ก็มีปัญญา 8 ที่เรียกว่า วิชชา 8

1. วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง)  

2. มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถเนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) 

3. อิทธิวิธญาณ (ความเก่งหลายอย่างในการที่จิตมีอานุภาพ เพราะปราศจากกิเลสแล้ว)

4. ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆของตนได้รอบถ้วน)

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อาริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรือสัตว์อาริยะ) 

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

สามอันสุดท้ายเป็นตัวที่ประมวลผล เป็นการทบทวนผล ลงบัญชีการปฏิบัติ

สิ่งที่ได้คือที่เกิดที่ดับ กิเลสเกิดแล้วทำให้กิเลสดับได้คือ จุตูปปาตญาณ จุติเลื่อนชั้นเจริญขึ้นเรื่อยๆ อุบัติเป็นสมมุติ  เลื่อนเป็นอุบัติเทพ เป็นอาริยบุคคล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อาสวักขยญาณ รู้ว่าสิ้นอาสวะ

อาสวักขยญาณ
          [138] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ

คำว่าโน้มน้อมคือ อธิมุตโต อธิโมกโข คือจิตมีกระแสเจริญไปสู่ที่สูงไปหานิพพาน ระลึกตรวจสอบจะค่อยเห็นค่อยเข้าใจจุตูปปาตะ จิตเจริญสูงขึ้น แล้วจะโน้มน้อมเข้าไป ความเป็นจิตนี้เจริญ มีทิศทางสัมโพธิปรายนะ จนถึงจุดสุดท้ายคือ อาสวักขยญาณ ตรวจสอบมาเรื่อยๆว่าอันนี้ทำได้ดับไปได้เรื่อยๆ ก็

เจริญขึ้นๆ โน้มไปสู่จุดสูงสุด คือถึงขั้นจิตเหลืออาสวะ คือหน่วยสุดท้ายของกิเลสตัวบางเบาตัวสุดท้ายตัวปลาย เพื่อจะเกิดความรู้ว่าอาสวะนี้สิ้นแล้ว อาสวะขยะคืออาสวะจะหมดแล้ว จิตเจริญสู่ทิศทางนี้ ย่อมรู้ชัดตามจริง

ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

คุณจะชื่ออะไร โคตรอะไรก็โคตรกิเลส ชื่อกิเลสก็ชื่อ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วโคตรกิเลสไง ระลึกในบุพเพนิวาสานุสติญาณ ว่ามีชื่ออย่างนั้น โคตรเช่นนั้น ผิวพรรณอย่างนั้น ผิวพรรณของราคะโทสะเป็นอย่างไร หรือชั้นวรรณะ วรรณะคือชั้นเชิงลีลามันอยู่ในระดับไหน เช่น เราเป็นราคะชั้นเอก โทสะชั้นเอก มีฤทธิ์มาก

มีอาหารอย่างไร อาหารมีอาหาร 4 ในคำข้าวนี้ก็มีกิเลสประกอบ แต่นี่อาหารสดๆ เป็นอาหารราคะ อาหารโทสะ อาหารอย่างไร ของคาวของหวานเป็นอย่างไร

คนเขาพูดภาษาธรรมะแต่จีบกันในภาษาธรรมะก็มี แต่อาตมาพูดนี้ภาษาโลกๆแต่เป็นธรรมะ สื่ออะไรต้องมีสัจจะที่เป็นธรรมะ ผู้มีทิพยโสตก็อ่านเสียงทิพย์ที่ปนมาได้ เรานี่ซ่อนเชิงไว้อย่างไรก็รู้ได้ เราอยากได้เสพสุขเท็จ แท้จริงมีแต่ทุกขสมุทัย สุขก็โลกีย์ ทุกข์ก็โลกีย์ เราดับเหตุได้ก็หมดสุขหมดทุกข์

มีอายุเพียงเท่านั้นก็หลงเป็นเทวดาเก๊ นรกกับสรรค์มันคู่กัน คุณได้เสพสุข แล้วก็เป็นสวรรค์ แล้วก็อยากใหม่ ในอันเก่าที่คุณติดยึดไม่คลาย นั้นคืออายุ คุณติดในสวรรค์นั้น ติดอันนี้แล้วต้องมาสัมผัสใหม่ได้ใหม่ ได้แล้วก็พักยก มาเสพสัมผัสใหม่ วนเวียนเช่นนี้นานเท่าใดก็คืออายุ กำหนดอายุเท่านั้น กำหนดให้สั้นลงๆ จนหมดอายุ กลายเป็นคน นิยตายุโก เป็นคน อมโม อรปิคโห นิยตายุโก เป็นคนหมดตัวตน ไม่มีตัวตน อมโม เป็นคนอปริคโห หมดติดยึดแล้ว เป็นคนมีอายุที่เที่ยง นิยตายุโก

ความเที่ยงมีอยู่ที่ไหนเอ่ย ทุกอย่าง สัพเพธัมมาอนิจจัง แต่มีเที่ยงอยู่ที่อภยกฤติ อันนั้นพิเศษเที่ยงแท้ อยู่ที่นิพพาน คือนิยตายุโก นิยตะคืออายุที่เที่ยงแล้ว แต่นี่เดี๋ยวก็เกิดก็ดับ ก็พักยกวนเวียน นึกว่าชาตินี้หมดแล้ว แต่เกิดอีกไม่หยุดอีก เหมือนผู้นึกว่าตนเป็นอรหันต์แล้วแต่ไม่ได้จริง พอตายไปเกิดมาก็อย่างเก่าเพราะไม่สัมมานิโรธแท้

อันนี้จบ นิยตายุโก มีอายุ 0 แน่นอน อาตมากล้าพูดว่าไม่มีใครหยิบมาอธิบายหรอกในเรื่อง มนุษย์ชมพูทวีป อุตรกุรุทวีป ดาวดึงส์เหล่านี้ อาตมาเอามาขยายความให้ฟังแล้ว ดาวดึงส์ท่านไม่เรียกมนุษย์แต่เรียกเทวดา ไปติดสุขทิพย์วรรณะทิพย์เป็นสุขเก๊ อยากให้สุขนานๆ เป็นอายุยาวยืน

เราจะรู้จักในแง่ของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้นิโรธอย่างสัจฉิกรณะ สัจฉิกตา จนชัดเจนในนิโรธ แจ้งด้วยญาณตน สัจฉิกตา สำเร็จหลุดพ้นไปได้

มาถึงอาสวะตัวปลาย อย่างนี้อาสวสมุทัย อย่างนี้อาสวนิโรธ มันดับได้อย่างนี้ ปฏิบัติไปจะมีอัตถิ เกิดผลในการปฏิบัติ อย่างที่ท่านตรัสในพระไตรปิฎก ล. 16 ข.(43)

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี (โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

มีสำนักที่หลอกชาวบ้านชาวเมือง สอนให้ทานอย่างมีจิตขี้โลภเพิ่มขึ้น ไม่รู้จักโลภะคืออะไร มีแต่กดข่มเรื่องโทสะ แต่ไม่รู้โลภะ สอนจนจิตมีแต่กิเลสโลภ แล้วฝากไว้กับอนาคต ถูกหลอก ไม่รู้จักอดีตอนาคต แล้วนึกว่าจะได้สวรรค์นิพพาน เอานิพพานไปแปะใส่สวรรค์ภพชาติอีก เลอะเทอะปนเปไปหมด

กว่าจะได้ญาณสุดท้ายว่าอาสวะสิ้น ต้องแน่ชัดในอวิชชาข้อที่ 7 คืออดีตกับอนาคต อดีตที่สะสม 0 ในเวทนา 108 มี 36 อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต ดับทุกปัจจุบัน จนตั้งมั่นแข็งแรงอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

จะมาอย่างทีเผลอหรือตอนไหนก็แล้วแต่ แบบไหนก็แล้วแต่ ทุกลีลาก็ 0 คือทำทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีตที่ 0 จนพยากรณ์ได้ว่าอนาคตก็ 0 แน่ อนาคตไม่เคยมี อนาคตมาไม่ถึงทุกที แต่คุณต้องรู้ว่าอนาคตคุณต้อง 0 ทุกที โดยปฏิบัติให้กิเลส 0 ทุก เวทนาใน 36 อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต

จิตหลุดพ้นแล้ว อวิชชาสิ้นแล้ว ก็เพราะว่ารู้ว่า จิตย่อมหลุดพ้นจากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ ไล่มาตามลำดับ อาสวะของกาม อาสวะของภพ (รูปภพ อรูปภพ) แล้วก็ละเอียดถึงอรูปภพ อาสวะสุดท้ายอยู่ที่อรูปภพ ตรวจด้วยอรูปฌาน 4 เมื่อได้ฌานข้อ 4 ก็ฐานอุเบกขาว่างกลางเฉยแล้ว ก็เป็นลักษณะปุงลิงค์ เอกัคคตา แล้วก็ทำซ้ำทำทวน เพื่อจะได้เกิดความว่างยิ่งขึ้น เรียกว่าอากาสานัญจายตนะ ก็ตรวจอ่านความว่างจากอุเบกขา สะอาดว่างจากกิเลส

เหมือนคุณขัดเพชรไป ยิ่งขัดยิ่งใส ทำให้มากทำให้บ่อย อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง คนจะจบได้ต้องพิสูจน์ กตญาณ กิจญาณ สอุตรังจิตตังกว่าจะครบอนุตตรังจิตตัง ก็ทำซ้ำไป จนกามาสวะหมดแล้ว ภวาสวะในรูปภพหมดไป ก็ทำในอรูปภพต่อ

อากาสาฯเป็นสิ่งอาศัย แล้วมีธาตุรู้คือวิญญานัญจายตนะ ก็จะสะอาดขึ้นเรื่อยๆ ก็ตรวจอากิญจัญญายตนะว่ารูปก็หมด อรูปก็หมดไปเรื่อยๆ จนไม่มีสิ่งที่เป็นเศษเลย อากิญจัญคือคล้ายกับอากาสาฯคือให้หมด แต่เนวสัญญาคือต้องกำหนดรู้ว่ามีธุลีละอองอะไรต้องรู้ให้หมดครบ จนรู้หมด ไม่มีไม่รู้ ไม่รู้ไม่มี จึงเรียกว่าพ้นอวิชชา สิ้นอาสวะสิ้นตัวสุดท้าย พ้นความไม่รู้ตัวสุดท้าย กำหนดรู้เคล้าเคลียเวทนา เห็นเวทนาหมด ตั้งแต่เวทนาโลกีย์กับโลกุตระ 18 ก็รู้ ทั้ง 36 นี้ ทำทุกปัจจุบันให้ 0 ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่ 0 อนาคตก็0

จนไม่มีไม่รู้ ไม่รู้ไม่มี ของพระพุทธเจ้านี้ ไม่มีไม่รู้ ไม่รู้ไม่มี พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ มีอายตนะให้อ่านตรวจรู้ มีรูปนามรองรับ รู้จบด้วยธรรมะสองว่ามันไม่มีโลกีย์แล้ว มันเห็นโทนโท่ว่าอาสวะไม่มี มันก็จะเป็นสองในหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

จะเห็นว่าเวทนาโลกีย์ไม่เหลือแล้ว สัญญาก็จำได้ โดยส่วนสอง สัมผัสเมื่อไหร่คุณก็มีของจริงอยู่ ไม่ใช่แบบพวกเซน ซาโตริ มีแต่ตรรกะ น่าสงสารมหายานที่เพ้อไปถึงเซน ขออภัยท่านพุทธทาสก็ไปหลงเซน ซึ่งมันค่อยๆแยกออกไปจากสัจจะพระพุทธเจ้า มหายานไม่เหลือเลย หนักเข้ามีกิจการเป็นพระแต่มีลูกเมียสืบทอดกิจการ รวยจนถ้าถอนเงินในธนาคารออก ธนาคารนั้นล้มเลย เขาสืบทอดเป็นตระกูลเลย

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว
บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่าสระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้างฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล

เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
          นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัยนี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ ดูกรมหาบพิตร ก็สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อนี้ ย่อมไม่มี

ไม่มีผลสามัญผลที่จะบรรลุที่สูงกว่านี้แล้ว นี่คือข้อที่สูงสุดแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติอีก ทำเสร็จแล้วกิจอื่นที่จะทำให้กิเลสลดไม่มีแล้ว มีแต่อนุโลมปฏิโลมช่วยคนอื่นไ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สามัญญผลสูตร) ตอน พระเจ้าอชาตศัตรูขอเป็นอุบาสก

พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก
          [139] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนม์ชีพ พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว ทรงสารภาพตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคลเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริง แล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัยของพระอริยเจ้าแล

[140] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอได้กราบทูลลาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ขอมหาบพิตรทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด

ครั้งนั้นแล พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ทรงเพลิดเพลินยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จไป

 เมื่อท้าวเธอเสด็จไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล
          จบสามัญญผลสูตร ที่ 2. 

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:58:40 )

590131

รายละเอียด

590131_วิธีอาริยธรรม บ้านราชฯ ให้เรียกเราว่าสมณะอย่าเรียกพระ

ส.ฟ้าไทว่า … วันนี้ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2559 แรม 8 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม พบกับรายการวิถีอาริยธรรมเช่นเคย เวลา 9 นาฬิกาถึง 11 นาฬิกาโดยประมาณทุกวันอาทิตย์ วันนี้ถ่ายทำที่บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงการเตรียมงานตลาดอาริยะ ที่จะจัดในช่วงวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี ปีนี้ตลาดอาริยะ เราจะใช้อาคารที่เราจะสร้างขึ้นมา ช่างเขารับปากไว้ว่าจะทำให้เสร็จ

ที่ริมมูลก็มีการปลูกพืชผักไร้สารพิษเต็มไปหมด อีกฟากหนึ่งของมูลยังไม่มีคนทำ ใครสนใจจะมาทำก็ได้ และมีแปลงนาคำยอด ที่กำลังดำนากันเต็มที่

แล้ววันนี้ก็มีค่ายสัมมาอาริยมรรค มีคนมาเข้าค่าย 32 คน มีนร.มาเข้าอบรมจาก รร.บ้านหนองสนิท จ.สุรินทร์ บอกว่ากลับไปแล้วจะเอาพ่อแม่มาอบรมด้วย 

พ่อครูว่า...แสดงว่าหุ้นขึ้น เห็นว่าเป็นผลดี ก็เอาพ่อแม่มาอบรมอีก 

ส.ฟ้าไทว่า...ตอนนี้ก็มีข่าวบ้านเมืองที่กำลังดังหลายข่าว พ่อครูก็เป็นคนที่ล้ำสมัย เอาข่าวบ้านเมืองมาวิเคราะห์วิจัย ที่โด่งดังมากคือพระฆ่าตัวตาย แล้วไม่ใช่พระธรรมดาด้วยนะ มีข่าวพระไปเล่นน้ำทะเล ข่าวคดีพระ ท่านธัมมชโย จะเอาอย่างไรกันแน่ แหล่งข่าวก็บอกว่าเสร็จในรัฐบาลนี้แน่ โปร่งใส เขาพูดกันว่าถ้าปฏิรูปสงฆ์ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะแก้ไขประเทศไทยได้เลย หมดความหวัง ถ้ารัฐบาลนี้ไม่สามารถปฏิรูปสงฆ์ได้  

สำหรับพ่อครู ถ้าสังคมจะหาเรื่องตำหนิท่านหาได้ยาก เพราะท่านตั้งอยู่ในความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง ทั้งรูปสมมติและนามธรรมก็สอดคล้อง เรามองเห็นอยู่ทุกวันก็ยาก บุคคลที่จะมาวิจัยวิจารณ์ ถ้าเอาความดีเป็นที่ตั้ง มีความเป็นกลาง ก็จะทำให้สังคมได้ประโยชน์

 

พ่อครูว่า...วันนี้ก็ได้บทความจากผู้รู้ในสังคมมาถึง 4 บทความ บทความหนึ่งก็ให้แปลมาจากบทความต่างประเทศเลย อาตมาจะอ่านสู่ฟังแล้วค่อยมาวิจารณ์

 

บทความแรก 

บทความของคุณเปลวสีเงิน 29 มกราคม 59

'พระพรหมสุธี-ธัมมชโย' ใน มส.

 "ผูกคอตาย" บ่อยในวิถีคนโลก แต่ไม่บ่อยในวิถีคนธรรม ยิ่งเป็นพระ โดยเฉพาะพระสมณศักดิ์สูงระดับ "พรหม" ไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีปรากฏ....ก็น่าคิด?

กรณี "พระพรหมสุธี" หรือ "เจ้าคุณเสนาะ" แห่งวัดสระเกศ ผูกคอตายในกุฏิ เมื่อ 25 ม.ค.59 นั่นแทบไม่ต้องคิด....ก็เห็นเหตุ ไม่ว่าพระรูปไหน เมื่อเหจาก "ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค" ไปสู่ กิน-กาม-เกียรติ

บั้นปลาย...ก็เช่นนี้แหละหนอ!

การมรณะของท่าน ไม่เป็นปริศนาทางคดี แต่เป็นปริศนาทางกรรม

กรรม ในที่นี้คือ "การกระทำ" ซึ่งประกอบด้วย ตัวเจ้าคุณเสนาะ-สตง.-มหาเถรสมาคม-สำนักงานพระพุทธฯ-รัฐบาล

สิ่งที่เกิดกับเจ้าคุณ ถือเป็นผล...ก็คอยดูกันต่อไป ว่าในระหว่าง "ตัวร่วมเหตุ" ดังกล่าว

ใคร-ส่วนไหน จะต้องเป็นฝ่าย "รับผล" ในวันหน้าบ้าง?

กรณีนี้ ถือเป็นกรณีศึกษา........

ถ้าใช้ภาษาเสื้อแดงถาม ก็ต้องถามว่า "มหาเถรสมาคม 2 มาตรฐานหรือเปล่า ในการตัดสินคดีความ?"

ระหว่างคดีธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ที่ถูกกล่าวหายักยอกเงินและที่ดินบริจาค จนตกเป็นจำเลยต่อศาล เมื่อปี พ.ศ.2541-2547

กับคดีท่านเจ้าคุณเสนาะ วัดสระเกศ ที่ถูกกล่าวหาเมื่อ ธ.ค.57 ว่า มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เกี่ยวกับการใช้งบประมาณแผ่นดิน ที่ใช้ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ "สมเด็จพระพุฒาจารย์" ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จำนวน 67 ล้านบาท

ผมจะลำดับวัน-เวลา ให้ดูคร่าวๆ ดังนี้

-17 ธันวา 57 มีผู้ร้องเรียนต่อ สตง.

-15 มกรา 58 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

"เซ็นคำสั่งปลด" เจ้าคุณเสนาะ ออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม นับจากวันที่ 14 มกรา

-15 มกรา 58 พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการ มส.ในฐานะเจ้าคณะ กทม.ถอดเจ้าคุณเสนาะจากเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

แต่งตั้งพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นรักษาการเจ้าอาวาส ทันที

-15 มกรา 58 นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) บอกว่า....

“สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เห็นว่าทาง สตง.มีหนังสือแจ้งรายงานถึงความผิดปกติของการใช้งบประมาณแผ่นดิน ที่ใช้ในพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ 67 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง จำนวน 3 ฉบับ

ฉบับสุดท้าย 8 ม.ค.58 สตง.ได้มารายงานทางลับโดยตรงกับผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งผมก็อยู่ด้วยในเหตุการณ์ดังกล่าว

เนื่องจากเป็นเรื่องลับที่ สตง.มารายงานต่อหลวงพ่อ ผมก็ต้องออกมาจากห้องของท่านด้วย

ดังนั้น เรื่องการปลดพระพรหมสุธี จึงมีสาเหตุหลักมาจากการตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน จำนวน 67 ล้านบาทของ สตง.”

-16 มกรา 58 มหาเถรสมาคมตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด

ชุดแรก "สมเด็จพระพุฒาจารย์" วัดไตรมิตรฯ สอบสวนข้อเท็จจริง กรณีเงินบริจาคที่ไม่โปร่งใส เมื่อครั้งพระพรหมสุธี รักษาการเจ้าอาวาส วัดโสธรวรารามวรวิหาร ปี 2547-2552

ชุดที่สอง "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" วัดพิชยญาติฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีงบประมาณแผ่นดิน 67 ล้าน

-17 มกรา 58 นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง.บอก...

"เรื่องยังไม่ได้ข้อยุติ ต้องตรวจต่อ รวมทั้งต้องขึ้นอยู่กับรักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศรูปใหม่ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร

ถ้าหากมีเงินบริจาคในงานศพมากพอที่จะเบิกจ่ายทดแทนเงินงบประมาณฯ นำมาส่งคืนให้แก่รัฐ ก็สามารถทุเลาปัญหาลงได้บ้าง"

-1 กรกฎา 58 นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ บอกว่า....

พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ทำหนังสือถึงนายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ

แนบเช็คธนาคารกรุงไทย จำนวน 25,225,000 บาท มาด้วย

รายละเอียดในหนังสือมีว่า....

"ตามหนังสือที่อ้างถึง พศ.ได้แจ้งให้ทราบว่า สำนักงบประมาณ ได้อนุมัติงบกลาง จากงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ พ.ศ.2556 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 67,550,000 บาท เพี่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ความละเอียดแจ้งแล้ว

วัดสระเกศได้จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ รวมค่าใช้จ่ายจากเงินอุดหนุนดังกล่าว 42,325,000 บาท

ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นที่เกิดขึ้นระหว่างงาน ได้เบิกจ่ายจากเงินผู้มีจิตศรัทธาบริจาค ดังนั้น จึงมีเงินอุดหนุนคงเหลือ 25,225,000 บาท จึงขอส่งคืนเงินอุดหนุนจำนวนดังกล่าว เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการและประเทศชาติต่อไป"

สรุป...คืนเงิน...จบ นายชยพลบอกว่า

"อาจมีข้อยุติ เพราะถือว่าทางวัดได้คืนเงินให้แผ่นดินแล้ว"!

แต่นับจาก กรกฎา 58 จนถึงมกรา 59 ประมาณ 6-7 เดือน.........

ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งสำนักงานพระพุทธฯ และ มส. ในเมื่อพระพรหมสุธีไม่ผิด แล้ว มส.จะคืนความชอบธรรมให้เขาอย่างไร?

จนถึงวันที่ 25 มกรา 59 ก็มีเหตุการณ์ตอบรับ 2 มาตรฐานของ มส.

"พระพรหมสุธี กระทำอัตวินิบาตกรรม มรณภาพคากุฏิ"!

ประเด็นที่ควรพินิจในกรณีนี้ คือ........

การปลดเจ้าคุณเสนาะออกจากกรรมการมหาเถรสมาคม หรือรัฐมนตรีสงฆ์ รวมทั้งถอดจากตำแหน่งเจ้าอาวาส

เร็วส่อพิรุธ.....!?

15 ม.ค.ปลดฉับพลันทั้ง 2 ตำแหน่ง

16 ม.ค.ตั้งกรรมการสอบ กำหนด 2 เดือน

17 ม.ค.สตง.บอก เรื่องยังต้องสอบต่อ

จะเห็นว่า มส.โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) ปลดก่อน-สอบหาข้อเท็จจริงทีหลัง!?

สตง.เองก็บอก ยังต้องสอบสวนต่อ หมายถึงยังไม่เป็นที่ยุติ แต่เหตุใด และอาศัยข้อเท็จ-ข้อจริงใด มส.จึงปลดทันที?

และกระทั่ง 1 ก.ค.58 สำนักงานพระพุทธฯ ก็รับทราบ-รับเงิน 67 ล้าน คืนจากวัดครบถ้วนแล้ว เรื่องทางคดี "ข้อหาทุจริต" เป็นอันยุติ

แต่ทำไม มส.จึงไม่แสดงความรับผิดชอบ ด้วยคืนความชอบธรรมให้พระพรหมสุธี กลับทำเหมือนทิ้งมีดที่ปักคาหลังประจานอยู่อย่างนั้น

นี้...2 มาตรฐานหรือเปล่า?

เพราะเมื่อเทียบกับคดีธัมมชโย ถูกกล่าวหาถึงขั้นส่งฟ้องศาล ร่ำๆ จะติดคุกด้วยซ้ำ แต่ด้วยอำนาจทักษิณ อัยการขอถอนคดีเสียก่อน

จากปี 2541 ที่ต้องคดียักยอกทรัพย์และเงินบริจาค จนถึงปี 2547 รวม 7 ปีเต็มๆ

จะเห็นว่า มหาเถรสมาคม ไม่แตะต้องธัมมชโยเลย อ้างว่าเป็นข้อกล่าวหา คดียังไม่เป็นที่ยุติ

แม้ "สมเด็จพระญาณสังวร" พระสังฆราช มีพระลิขิตถึงมหาเถรสมาคมสมัยนั้นถึง 5 ฉบับว่า

ตามพระธรรมวินัย "ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก" แล้ว!

มหาเถรสมาคม ก็ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามพระลิขิต ซ้ำยังบิดเบือน-เฉไฉคำพระวินิจฉัย ด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา

นี่....จะเห็นความแตกต่างในการปฏิบัติของ มส.ชัดเจน

คดีพระพรหมสุธี แค่ 3 วัน "ปลดเรียบ" ทุกตำแหน่ง โดยไม่สอบหาข้อเท็จจริงก่อน

แต่คดีธัมมชโย 7 ปี และบวกอีก 12 ปี จาก 47-59 รวมเป็น 19 ปี

มส.โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อุ้มธัมมชโยอยู่ในตำแหน่ง ทั้งที่ทั้งข้อเท็จ-ข้อจริง หึ่ง...ทั้งประเทศ!

เอ้า...เรื่องเก่า ยกประโยชน์ให้โจรศาสนาก็ได้....

แต่เรื่องใหม่ คดียักยอกเงิน "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น" เป็นหมื่นล้าน ที่ธัมมชโยพัวพันอยู่กับตัวการ "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร"

นั่น...ด้วยนิยามเดียวกันกับเคสพระพรหมสุธี!

แต่พระพรหมสุธี 3 วัน..ปลด แม้คดีจบ ก็ไม่คืน-ไม่พูดถึง ด้วยอ้าง.......

"เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของมหาเถรสมาคม และคณะสงฆ์โดยรวม รวมถึงไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคมอีกต่อไป"

แล้ว "ธัมมชโย" ล่ะ?...

มส.อย่าอ้างในการอุ้มนะขอรับ ว่า.....

"เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความอยู่ดีมีสุขของมหาเถรสมาคม และธรรมกายโดยรวม รวมถึงไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคม ต่อการหลอกขายสวรรค์แล้วนำมาแบ่งปันมส."?

พ่อครูว่า...มีคนบอกว่าพระลิขิตของพระสังฆราชเป็นของปลอม แล้วใครปลอมถึง 5 ฉบับ แล้วบอกเรื่องเดียวคือเรื่องปาราชิกของธัมมชโยนี้แหละ            เรื่องนี้เป็นความน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง อาตมาพูดด้วยลีลาโลกๆให้ฟัง แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องเดรัจฉานวิชชา อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหารย์ ว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจน่าห่างไกล ฉันเดียวกับที่อาตมาใช้คำว่า น่าทุเรศ กับมหาเถรสมาคม อาตมาไม่ได้มีจิตรังเกียจ แต่พูดโดยโวหารให้ฟัง แต่อาตมาสงสารเขา

 

บทความที่สอง

นสพ แนวหน้า บ้านเกิดเมืองนอน โดยสิริอัญญา

“การอุ้มโกงแบบคืนเงินแล้วจบ”

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคปฏิกูลทางกฎหมายครั้งสำคัญแล้ว นั่นก็คือเป็นยุคแห่งความเสื่อมทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ที่กำลังลุกลามยิ่งกว่าปลวกที่กินขื่อแปบ้านเมืองจนพินาศวายวอดไปทั้งหมด

นั่นก็คือการขยายผลของความคิดและการปฏิบัติในเรื่องคืนเงินแล้วจบ ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ และวงการอื่นๆ

โดยเฉพาะวงการสงฆ์นั้น มีการทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน รู้เห็นเป็นใจให้คนห่มเหลืองที่เป็นปาราชิก เป็นอลัชชี เป็นเดียรถีย์ ประพฤติตนลวงโลก โกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา โกงประชาชน ทำกันอย่างครึกโครมทั้งแผ่นดิน พอถูกจับได้ก็อุ้มโกงกันเป็นระบบ เป็นขบวน แล้วก็จะจบเรื่องแบบคืนเงินแล้วจบ

ทรยศต่อพระธรรมวินัย ทรยศต่อกฎหมาย ชนิดไม่อายฟ้า ไม่เกรงดิน ไม่กลัวบาป ไม่กลัวนรกกันอีกต่อไปแล้ว

ดังกรณีธัมมชโยที่เป็นปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมหาเถรสมาคมเมื่อครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังทรงพระชนม์อยู่ เคยมีมติรับรองพระลิขิตเหล่านั้นและมีมติว่าพร้อมสนองพระบัญชา แต่ต่อมาก็บิดเบี้ยวไม่ทำตาม อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งเป็นความผิดทางอาญาด้วย

ต่อมาก็อาศัยอำนาจทางการเมืองถอนฟ้องคดีฉ้อโกงวัด จากนั้นก็อาศัยอำนาจอันวิปริตขอรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้แก่ผู้ต้องปาราชิกอีก ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดที่ร้ายแรงและเป็นการทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรง

ที่ทำกันได้ถึงเพียงนี้ก็แลเห็นได้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แค่คนสองคนที่จะทำได้ และไม่ใช่แค่พระสงฆ์เท่านั้นที่จะทำได้ ย่อมต้องมีพวกนักการเมืองและนักกฎหมายตัวฉกาจร่วมสังฆกรรมอยู่ด้วย หาไม่แล้วจะทำเช่นนี้ไม่ได้เลย

ข้ออ้างที่ใช้ทำการฉะนี้มีประการเดียวเท่านั้น คืออ้างว่าเรื่องจบไปแล้ว เพราะเอาที่ดินมาคืนวัดแล้ว

เป็นการทรยศต่อพระรัตนตรัยอย่างออกนอกหน้า เพราะการเป็นปาราชิกนั้นไม่สามารถฟื้นคืนได้ ไม่ว่าปาราชิกข้อไหน

เสพกามแล้วชักออกมาก็เป็นปาราชิก ลักทรัพย์แล้วเอาไปคืนหรือถูกจับได้ก็เป็นปาราชิก อวดอุตริมนุษยธรรมแล้วถูกจับได้ จากนั้นรับสารภาพว่าลวงโลกก็เป็นปาราชิก ฆ่ามนุษย์ตายไปแล้วก็เป็นปาราชิก พระวินัยบัญญัติชัดเจนอย่างนี้ ยังทรยศโดยไม่ละอายต่อบาป จึงเป็นต้นเหง้าของความเสื่อมของการบริหารพระศาสนาในประเทศไทย

หลังจากนั้นก็เกิดลัทธิเอาอย่าง ดังเช่นกรณีการยักยอกงบประมาณแผ่นดินในงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง ที่ยักยอกเอาเงินไปถึง 67 ล้านบาท โดยใช้เงินบริจาคของชาวบ้านไปทำการแทนตามที่ได้รับงบประมาณนั้น ครั้นถูกครหาจับได้ก็คืนเงินแล้วบอกว่าจบแล้ว

เรื่องแบบนี้กำลังเป็นแบบอย่างลุกลามไปในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ จึงเป็นเหตุให้มีการเอาแบบเอาอย่างอย่างกว้างขวาง

ใครจะทำอุบาทว์ลามกเป็นปาราชิกอย่างไร ก็สามารถอ้างว่าจบแล้วเพียงแค่เอาทรัพย์ไปคืน แต่จะมีการเอาทรัพย์ไปแบ่งกันหรือไม่ เท่าใด ก็ต้องไปถามขบวนการที่เกี่ยวข้องกันเอง

มาถึงวันนี้กลายเป็นว่ามีขบวนการทำมาหากินกับศาสนาที่ใหญ่โตมาก จนน่าตื่นตระหนกตกใจ

มีการค้าสมณศักดิ์ที่ถือเอาผลงานจากการก่อสร้างเป็นหลักเกณฑ์ ไม่ได้ถือภูมิธรรมในพระศาสนาเป็นหลักเกณฑ์ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อครั้งท่านเจ้าคุณปัญญานันทะยังมีชีวิตอยู่ ก็เคยประณามผู้ใหญ่หน้าโง่ที่ทำหน้าที่บริหารคณะสงฆ์อย่างรุนแรงมาแล้ว แต่ก็หาใครไยดีไม่ เพราะขบวนการนี้ยังมีอำนาจอยู่ในการบริหารคณะสงฆ์

เรื่องนี้เป็นรากเหง้าสำคัญ เพราะทำให้เจ้าคณะต่างๆ และผู้ได้สมณศักดิ์ต่างๆ เมื่อได้มาด้วยอามิสก็ย่อมแสวงหาอามิสและประพฤติผิดพระธรรมวินัยโดยไม่ยำเกรงผู้ใด เพราะถือว่ามีเจ้านายหรือลูกพี่คุ้มครอง

ดังนั้นพวกทุศีล พวกอลัชชีเดียรถีย์จึงได้ช่อง ใช้อามิสเข้าซื้อหาตำแหน่งลาภยศจนคึกคักครึกโครมเสียยิ่งกว่าฆราวาสมากมายหลายเท่านัก

ใครว่าง ๆ ก็ลองไปดูที่พุทธมณฑลเวลามีการประชุมมหาเถรสมาคม ก็จะเห็นรถราม้าช้างข้าทาสบริวารมากมายใหญ่โตเสียยิ่งกว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีเสียอีก

เมื่อการได้ยศได้วาสนาเป็นเพราะการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมาซื้อหาเอา จึงทำให้การแสวงหาเงินทองเพื่อเป็นต้นทุนในการซื้อหาตำแหน่งและสมณศักดิ์จึงขยายตัวออกไป ดังนั้นใครจะทำอะไรก็ได้ ขอให้ได้เงินและใช้เงินกับผู้มีอำนาจก็ย่อมเป็นผลสำเร็จ

ดังนั้นสังคมไทยจึงได้เห็นพระเสพยาเสพติด พระเมาสุรา พระตั้งแก๊งเล่นการพนัน พระตั้งสำนักทำเดรัจฉานวิชา พระตั้งก๊วนแสดงจำอวดแสดงตลกโดยอาศัยการเทศนาบังหน้า กระทั่งทำมาหากินด้วยวิธีทุศีลต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงติเตียนโดยไม่ไยดี

เหตุนี้จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปการบริหารกิจการศาสนา ที่สำคัญจะต้องแยกทรัพย์สมบัติของพระศาสนา ของวัด ให้เป็นทรัพย์สมบัติของวัด ของศาสนาชัดเจน ไม่ให้ใครสามารถยักยอกเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้อีกต่อไป

 

บทความที่สาม

เป็นรายงานข่าวมติชนรายวัน 31 มกราคม 59 ฉบับต่างจังหวัด

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า จากกรณีพระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติการณ์ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญาของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายคณะสงฆ์ และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ

โดยดีเอสไอ ได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏข้อเท็จจริงทาง การสืบสวนสรุปได้

กรณีพระธัมมชโยถูกกองปราบปรามแจ้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องต่อศาลอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งเมื่อผ่านการต่อสู้ในชั้นศาลเป็นระยะเวลาเกือบ 7 ปี พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอถอนคดีต่อศาลอาญา ให้เหตุผลสรุปได้ว่า จำเลยกับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ที่มีทั้งที่ดิน และเงินอีก 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยครบถ้วนทุกประการ

อย่างไรก็ตาม การกระทำของพระธัมมชโยถือเป็นการกระทำผิดที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ทุกประการแล้ว แม้จำเลยจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายในภายหลัง ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป ที่สำคัญที่ดินที่มีข้อพิพาทในแทบทุกรายการ เกิดจากการใช้ตัวแทนไปติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของที่ดินยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัด หรือบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อให้ไปซื้อที่ดิน ให้พระธัมมชโยเป็นการส่วนตัว

เมื่อซื้อแล้วพระธัมมชโยได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อ ที่ดินดังกล่าว และกลับใส่ชื่อของตัวเอง แทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การที่จำเลยไม่ยอมมอบที่ดินคืนให้แก่วัดทันทีตามลิขิตของพระสังฆราช ที่ว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันทีไม่คิดให้โทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด"

แต่พระธัมมชโยไม่ยอมคืนที่ดินให้วัด แต่กลับต่อสู้คดีทางศาล ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่า 7 ปี เมื่อจำเลยรู้ว่าไม่มีทางที่จะทำให้ชนะคดี จึงยอมมอบทรัพย์สินที่มีข้อพิพาท คืนให้กับทางวัด การกระทำเช่นนี้ของพระธัมชโยกับพวกเป็นการกระทำที่มีเจตนาในการกระทำความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้

ในส่วนกรณีอาบัติปาราชิกนั้น เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2542 กรมการศาสนาได้นำพระดำริสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระดำริเพิ่มเติม กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณา และที่ประชุมมีมติมอบเอกสารให้เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา โดยตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 8 บัญญัติว่า สมเด็จพระสังฆราชดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชา การคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระวินิจฉัยในกรณีพระธัมมชโยแล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมมีมติที่ 193/2542 ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายเถรสมาคม

แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการติดตามผลเพียงเรื่องเดียว คือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินของวัดพระธรรมกายเท่านั้น ในส่วนประเด็นวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่าพระธัมมชโยต้องปาราชิกนั้นยัง ไม่ได้มีการดำเนินการ ทั้งที่ผลการดำเนินการคดีทางโลกเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากพยานหลักฐานทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ต่างมีพยานระบุยืนยันเจตนาการกระทำผิดของพระธัมมชโยอย่างชัดเจน จึงชี้ชัดได้ว่าพระธัมมชโยได้กระทำผิดโดยเจตนาแล้ว แต่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมยังไม่สนองงานตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้ครบถ้วนทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินการในเรื่องการลงนิคหกรรมแก่พระธัมมชโย ที่ต้องอาบัติปาราชิก จึงถือเป็นหน้าที่ตามระเบียบและกฎหมายที่มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมโดยเร็วต่อไป หากปล่อยปละละเลยไม่ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ อาจมีส่วนในการถูกพิจารณาความผิดทางอาญาฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

โดยดีเอสไอเห็น ว่ายังมีประเด็นที่สำนัก งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องพิจารณาใน 2 กรณี คือ

1. การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน และ

2. ให้พิจารณาดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการตามข้อ 1

พ่อครูว่า...ขออภัยถามว่าขี้ออกจากก้นไปแล้ว จะเอาขี้นี้มาใส่ปากกินเข้าไปอีกเหมือนข้าวได้หรือไม่?...ไม่ได้

ก็วิจัยวิจารณ์มามากแล้วจนน้ำลายแห้ง ถ้าเอาน้ำรดหัวตอก็ยังเปียก แต่นี่รดลงไปแห้งเหือดไปหมด 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน พ่อครูให้ใช้คำว่า “สมณะ” อย่าเรียก “พระ”

ต่อไปนี้พวกเราอย่าเรียกพวกเราเองว่าพระ ขอให้พระนี้ไปตกกับพระมหาศาล ต่อไปนี้พวกเราเรียกกันว่าเป็นสมณะเท่านั้น อย่าไปเรียกว่าพระ ขอเรียกพวกเราว่าสมณะดีแล้ว มันเป็นไปโดยธรรม

เราได้ประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม มาเป็นนานาสังวาสต่อหน้าพระสังฆาธิการและพระลูกวัดอีก 180 รูปแล้ว ตั้งแต่ปี 2518

แต่วันร้ายคืนร้าย เขาก็ดึงพวกเราเข้าไปอีก มาฟ้องร้องเป็นคดีความอีก ซึ่งที่จริงนานาสังวาสกันไม่ให้ทำสังฆกรรมกัน แต่เขาก็ทำการบอกว่าอัปเปหิพวกเราออกมา บอกว่าน่ารังเกียจ แท้จริงแล้วใครน่ารังเกียจกันแน่ นี่เป็นพฤติกรรมที่มหาเถรสมาคมทำกับพวกชาวอโศก ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ประสีประสาเหมือนเด็กๆ ก็ไม่ถือสา แต่มันก็ต้องฟ้องบอกต่อประชาชน ต่อศาสนิกชน ให้รู้ว่าการกระทำนี้พฤติกรรมของเถรสมาคมนั้นกระทำอย่างนี้ มันน่ารังเกียจ พอดึงเข้าไป ก็ไปว่าความ ไปลงมติ ประชาชนที่ยอมรับนับถือเถรสมาคมก็พลอยรังเกียจอาตมามาจนถึงทุกวันนี้ ก็น่าสงสาร เขาไม่รู้เขาก็เชื่อตามองค์กรหลักของประเทศ เรียกว่าเป็นสถาบันของประเทศ เป็นสถาบันหลักทางศาสนาเลย

อาตมาไม่รู้สึกเจ็บปวดหรอกเพราะเข้าใจสัจธรรมอยู่ มันไม่ได้เจ็บปวดจริงๆแต่พูดถึงความเป็นจริงสู่กันฟัง ให้เห็นว่าความเลอะเทอะ ความไม่อยู่กับร่องกับรอย ความเหลวเละของวงการศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้ ก็ต้องพูดสู่กันฟัง เป็นเรื่องเจตนาให้รับรู้กันว่าต้องปรับปรุง ต้องปฏิรูป ต้องจัดการจริงๆ ถ้าไม่จัดการ ยิ่งปล่อยยิ่งเละยิ่งเลอะเทอะมันอุบาทว์ใหญ่แล้ว มันถึงขั้นการเงินก็แล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐกิจบุญนิยม) ตอน ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว

ต่อไปจะอ่านบทกวีที่อาตมาได้แต่งขึ้นมา

                                                 

ความก้าวหน้าอย่างมากนั้น มีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว

*********************************

(1) เพชรไทยมีหนึ่งให้              โลกเอย

ล้ำยุคกว่าใครเคย                      กล่าวกล้า

เกินปราชญ์ชาติใดเฉลย            แก่ภพ เลยแล

คำตรัสหยัดฟ้องฟ้า                    ชัดท้าโลกีย์

 

(2) คงมีเคยสดับบ้าง                  วิเศษพจน์

ภูวนารถไทยกำหนด                  ตรัสไว้

คือเศรษฐกิจใหม่สด                   กว่าโลก มีแฮ

ทำ แบบคนจนให้                      สำเร็จไซร้เป็นเจริญ

 

(3) เกินยินเกินคิดได้                 สามัญ

เพราะโลกตีบตื้นตัน                   หมดแล้ว

ก้าวหน้า แข่งรวยกัน                 จนสุด ทางพ่อ

ผู้ชนะจึ่งบ่แคล้ว                        เล่ห์ล้วนกลเลว

 

(4) ลงเหวกันหมดถ้วน               มวลมนุษย์

โลกตกต่ำถึงจุด                         โปรดรู้

ก้าวหน้าอย่างนั้นสุด                  เสื่อมหนัก แล้วนา

มีแต่ถอยหลังกู้                          บ่ได้น่ากลัว

 

(5) เพราะมัวแต่มุ่งหน้า              สะสม

โลภจัดทุนนิยม                          ใหญ่เบิ้ม

สร้างอาวุธรวยจม                      บรมจัด

จิตวิทยาเยิ้มเคลิ้ม                      คร่าซื้อเครื่องประหาร

 

(6) บ้านเมืองเรืองรุ่งด้วย           กลลวง

แข็งนอกแต่ในกลวง                  โง่เหง้า

มารยาททุกชาติหวง                  จริงกลบ ไว้เลย

มีแต่ลิงหลอกเจ้า                        ทั่วแคว้นโลกา

 

(7) ก้าวหน้ากันอย่างนั้น           พึงคะนึง เถิดเทอญ

รวยแข่งกันจนตึง                      เครียดแค้น

กับจนแต่เข้าถึง                         ธรรมเมต- ตารา

เผื่อแผ่แม้ดูแม้น                         ต่ำต้อยแต่จริง

 

สไมย์ จำปาแพง

27 ม.. 2559

นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 308 ประจำเดือน มีนาคม 2559

 

มาพัฒนาตนเองให้มีจิตที่เป็นพรหมวิหาร อย่างชาวอโศกที่ทำได้ก็ยังไม่ดีนัก บอกได้ว่าชาวอโศกดี แต่ยังไม่ดีนัก แต่มีเนื้อหาของเมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขาแล้ว ยังไม่ดีนักแต่เป็นจริง พูดอย่างไม่ได้ลำเลียง ไม่ได้เข้าข้างพวกตัวเอง ปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้า สามารถอยู่ได้แบบคนจนแล้วเผื่อแผ่แก่คนอื่นด้วย ใครจะดูว่าอโศกนี้ต้อยต่ำ เป็นคนไม่มีอะไร ไม่ได้หรูหราใหญ่โตเหมือนทั้งโลกเขาเลย แต่จริงใจ จริงจัง จริงแท้ มีสัตย์มีคุณธรรม เป็นคนจนที่เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นช่วยเหลือโลก  

ถ้าไปมุ่งมั่นไปรวยแบบทั้งโลก ก็ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ไปทางโลกีย์ก็ถูกลากจูงถูกปั่น เหมือนเครื่องปั่นเราเอาอะไรใส่เข้าไป เอาลูกท้ออินเดียนี้ใส่เข้าไป เอาชมพู่ใส่เข้าไป ที่นี่มีผลไม้พืชผัก ที่ปลูกแล้วได้ผลดี ชาวอโศกปฏิบัติธรรม พยายามให้ถูกตรงตามสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ก็ได้ผลตามที่บอก แต่ยังไม่ได้มากนักหรอก แต่ก็เป็นจริง เพราะที่นี่ไม่ได้เน้น quantity แต่ที่นี่เน้น quality ไม่ได้เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพได้จริง ปริมาณยังไม่ได้มาก คนโลกๆนี้หลงปริมาณมาก ไปหลงโฟมแทนที่จะเอาปรอท 

ความหมายของคำว่าก้าวหน้าอย่างมาก ที่ในหลวงบอกว่าเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ถอยลงไปในเหวยังไม่รู้อีก ตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ ถอยไปหาเหวอีก ลงไปก็ยังไม่รู้ตัว ลุกขึ้นมาใหม่ก็ถอยต่อไปอีก เหวยิ่งเน่าใหญ่เลยยิ่งเน่าต่อไปอีก นี่คือถอยหลังอย่างน่ากลัว 

ที่นี่ขุดคลองถอยหลังเข้า ใครจะมาที่นี่มาถอยหลังเข้ามา เดินเข้ามาแบบโลกโลกไม่ได้ ถอยหลังดู

 

บทความที่สี่

มาดูบทความของสำนัก bloomberg แปลแล้ว จากเว็บ

http://www.bloomberg.com/news/articles/2015-03-03/the-15-happiest-economies-in-the-world

15 เขตเศรษฐกิจที่มีความทุกข์จากสภาพเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลก ตามลำดับ

รู้สึกหดหู่ในเรื่องเศรษฐกิจหรือไม่

ถึงเวลาเก็บกระเป๋าไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้วล่ะ

นั่นคือวิธีหนึ่ง ที่จะอ่านโชคชะตาของเศรษฐกิจของ 51 ประเทศ (รวมประเทศที่ใช้เงินยูโร) ปีนี้ ตามการคำนวณของ bloomberg ที่ใช้ดัชนีชี้วัดที่รู้จักกันในนามว่า Misery Index (ดัชนีความทุกข์ยาก)

ปัจจัย 2 ประการที่ทำให้ผู้บริโภคไม่มีความสุขคือ ภาวะเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน ซึ่งต่ำมากๆใน 15 ประเทศที่เห็นในแผนภูมิด้านล่าง ซึ่งได้รับการจัดอันดับจากการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าว bloomberg

เพราะว่าฉันมีความสุข

แผนภูมิ : ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่าทำได้ดีที่สุด จากดัชนีวัดความทุกข์ยาก 2015

ในขณะที่ธนาคารชาติของสวิส ได้ตกเป็นหัวข้อข่าวความสับสนวุ่นวายเมื่อตอนต้นปี แต่ดินแดนสวรรค์ของนักเล่นสกีและดินแดนที่ขึ้นชื่อของช็อกโกแลต ก็ยังคงโดดเด่นเปล่งประกาย ในการสำรวจครั้งนี้ ว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่

สำหรับแรงงานในวัยงานแล้ว สวิตเซอร์แลนด์มีอัตราการว่างงานเพียง 3.3 % ปีนี้ (ประมาณการว่ามูลค่าเงินที่ลดลง 0.9 %ในปี 2015 ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์อัตราการแลกเปลี่ยนเงินที่สูงขึ้น) ทั้งสองเหตุผลก็เพียงพอที่ทำให้

สวิตเซอร์แลนด์มีดัชนีความทุกข์ยากที่ต่ำ(ดัชนียิ่งต่ำยิ่งดี)

นั่นคือข่าวดี สำหรับประเทศที่มั่งคั่งอยู่แล้ว สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศร่ำรวยเป็นอันดับ 4 จากการจัดอันดับของ IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) โดยวัดจาก GDP per capita ในปี 2015

ประเทศในความฝันอื่น ขึ้นไปตอนเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่นอร์เวย์ ดัชนีราคาผู้บริโภค consumer prices เท่ากับราคาขายปลีกของสินค้าและบริการที่ใช้ในการบริโภคเพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ปีนี้ อาจจะสูงกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารหลักๆส่วนมากตั้งเป้าหมายไว้ อัตราการว่างงานคาดว่า 3.75 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 ส่วนรายได้ดีที่สุดของในกลุ่มคาดว่าสูงถึง 67,619 ดอลล่า GDP per capita ปีนี้

และที่น่าจะนำความประหลาดใจมาให้ คือประเทศที่มีดัชนีความทุกข์ยากต่ำสุดในการวิเคราะห์ของเรา คือประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณอัตราการว่างงานที่ต่ำมากอย่างไม่ปกติ ต่ำกว่า 1 % เสียอีกทำให้เงินเฟ้อไม่ถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามดินแดนแห่งรอยยิ้ม (the land of smile) ที่ปัจจุบันอยู่ใต้กฎอัยการศึก หลังจากการปฏิวัติของทหารปีที่แล้ว ยังมีหนทางอันยาวไกลที่ต้องเดิน กว่าจะใกล้เคียงกับมาตรฐานการครองชีพของประเทศพัฒนาแล้ว

ประเทศอื่นๆในเอเชียมีสองประเทศหลักๆ ที่มีความแตกต่างกัน แต่ประชาชนมีมาตรฐานการเป็นอยู่ที่ดีเหมือนกัน

ญี่ปุ่นที่ต้องต่อสู้กับภาวะเงินฝืดที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปี 1990 ที่เห็นว่าค่อยๆลดลงจนได้เห็นเงินเฟ้อ 1% ปีนี้อัตราการว่างงานมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์หลังจากเฉลี่ยที่ 3.6% ปีที่แล้ว

ประเทศจีนที่เงินเฟ้อและอัตราการว่างงานค่อยๆลดลงทำให้ประเทศเป็นอันดับ 7 ที่เป็นประเทศที่มีความสุขเลื่อนขึ้นมา 2 อันดับจากปีก่อน

อเมริกาพิสูจน์ได้ว่า ขนาดไม่ใช่ทุกอย่างประเทศที่จัดว่าเป็นประเทศทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด ถูกจัดอันดับเป็นอันดับ 8 ในการจัดลำดับความทุกข์ยาก เนื่องจากภาวะอัตราการว่างงาน GDP per capita ของอเมริกายังตามหลังนอร์เวย์และฮ่องกง

ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานต่ำเพียง 0.6 เปอร์เซ็นต์นี่คือเหตุผล

อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการของประเทศไทย ณ ปลายปี 2014 คือ 0.56 เปอร์เซ็นต์ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในโลก เทียบกับ 94 เปอร์เซ็นต์ในอินเดีย และ 6 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาค

นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ล่าสุดในประเทศไทยที่คนว่างงานต่ำกว่า 1000 เส้นตั้งแต่ปี 2011 อัตราว่างงานสูงสุดคือ 5.73% ได้เดือนมกราคม 2014 แห่งชาติเปิดเผยข้อมูลพูดเตือนเป็นครั้งแรก

อัตราการว่างงานของเราต่ำ เพราะคำจำกัดความของเราต่างจากประเทศอื่นและปัญหาที่ต่างกัน ธีรเทพ เสรีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าว ภาคการเกษตรมีการทำงานสูงสุด และคนที่หางานทำไม่ได้ก็จะทำงานได้แบบไม่เป็นทางการ หรือจากอะไรทำตามประสาของตนเอง

เนื่องจากการไม่มีหลักประกันสำหรับผู้ว่างงานในประเทศไทย คนจึงว่างงานไม่นานนัก คนที่ตกงานก็จะรับหางานที่เรียกว่าไม่เป็นทางการ หรือหางานไม่ประจำทำ หรือทำงานส่วนตัว

ดินแดนแห่งเกษตร

มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศไทยทำการเกษตร ที่จะมีการงานให้ทำตลอดเวลา จะว่างงานเพียงนอกฤดูการเกษตรเท่านั้น การทำงานในภาคเกษตร นับรวมในการทำงานด้วย เช่น ถ้าคุณตกงานจากการเป็นพนักงานธนาคาร และกลับบ้านก็สามารถไปช่วยพ่อทำงานในนาในสวน 1 ชม.ต่อสัปดาห์ก็ถือว่าไม่ตกงานแล้ว

มีลูกน้อย

ปี 2014 ปี 2015 un คาดการณ์ว่าอัตราการมีบุตร 1.4 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 3.4 เปอร์เซ็นต์ในฟิลิปปินส์ ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 15% ปีที่แล้วต่ำกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ได้ ปี 1994 จะมีประชากรเกษียณจากงานประจำ และส่วนอื่นก็ยังทำงานไม่ประจำ เทียบกับญี่ปุ่นมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรอายุมากกว่า 65 ปีและผู้ไม่มีงานทำสูงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์

มีแรงงานต่างชาติสามล้านคนจากเขมร ลาว พม่า ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทะเบียน รัฐบาลไทยพยายามให้มีการลงทะเบียน แต่ปัญหาเรื่องภาษายังเป็นอุปสรรคอยู่

ภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการหมายถึงผู้ที่ไม่ได้ทำงานอย่างเป็นทางการมีประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในปี 2013 รวมถึงคนขายของตามถนน คนขับวินมอเตอร์ไซค์ ทำงานส่วนตัวฯลฯ ซึ่งจัดว่าเป็นผู้มีงานทำ

ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนนโยบายเรื่องตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 การคาดการณ์ของธนาคารกลางช่วง 1-4% ยังคงเป็นไปอย่างไม่มีสัญญาณที่รัฐบาลหรือสถาบันการเงินจะกังวลในเรื่องอัตราการว่างงาน ดังนั้นอัตราการว่างงานยังคงต่ำอยู่ตลอดไป

พ่อครูว่า...อาตมาเข้าใจเศรษฐกิจตามแนวของพระพุทธเจ้า อาตมาตั้งชื่อว่าบุญนิยมไม่ใช่ทุนนิยม ตรงกับที่ในหลวงบอกว่าให้มาแบบคนจน แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ซึ่งโลกเขาก็ยังมึนอยู่ว่าใครจะมาบริหารแบบคนจนได้ ที่นี่เอาแบบพระพุทธเจ้า ให้มาเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว ทำงานแล้วรายได้เอาเข้ากอง

กลางหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ทำแค่วันสองวัน แต่ทำมา 30 ถึง 40 ปีแล้ว ทุกคนในนี้เป็นสมาชิกก็ได้รับสวัสดิการของชุมชน ทำเงินฟรีทุกคน ไม่มีใครได้มากได้น้อยกว่าใคร ไม่มีใครได้ส่วนตัวได้เบี้ยเลี้ยง 

นี่เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบและเอามาให้ประชาชนทำ ยุคของพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้กว้างเพราะเป็นยุคของทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ก็เลยทำได้เฉพาะในวงการของสงฆ์

ในยุคนี้คนเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนกันแล้ว มีสิทธิในการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ การแสดงออก ท่าทาง ความนึกคิดอะไรต่างๆ เข้าใจหมดแล้ว ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ทั้งด้านรัฐศาสตร์ทั้งด้านสังคมศาสตร์ ที่บอกว่าพาล้ำสมัยนี้ถูกต้องที่สุด เพราะอาตมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นคนที่ทำถูกต้องสนองพระราชดำรัสของในหลวง มาเป็นคนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาเป็นคนอยู่กันแบบคนจน เราจะมีจิตเมตตาเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีลาภโดยธรรมแล้วเอาเข้ากองกลางเป็นสาธารณโภคี แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ได้ดี ใครมาอยู่ในนี้ก็ได้รับการเลี้ยงดู ตอนนี้ราชธานีอโศกสิ่งแวดล้อมกำลังจัดสรรอยู่ ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยที่ตอนนี้ทัวร์จีนก็มาแล้ว 

อาตมารังเกียจนักเที่ยว แต่ยินดีต้อนรับนักศึกษา ผู้ที่จะมาศึกษามาได้ ก็ไม่ค่อยได้เครียดอะไร มีสวัสดิการมีการต้อนรับอะไรให้ดี แต่ผู้ที่มาเที่ยวแล้วไม่มีมารยาท ไม่มีหลักเกณฑ์ก็ไม่ไหว เลอะเทอะพูดกันไม่รู้เรื่อง นักเที่ยวที่ไม่มีมารยาทก็มี ขาดจริยธรรมของสังคมในประเทศเขาไม่มี

 ควรมาดูสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของที่นี่ ก็เข้าใจตามภูมิและทำตามภูมิที่จะพอเป็นไปได้ แล้วเราไม่ไปเป็นหนี้ใคร  พี่ช่วยน้องน้องช่วยพี่ เป็นภราดรภาพไป เพราะเราไม่เป็นหนี้ หลักเกณฑ์ของชาวอโศกคือ 1. เราไม่เป็นหนี้

2. พึ่งตนเองรอด  3. สร้างให้มากเกินกินเกินใช้ของเราเอง 4. สะพัดแจกจ่ายเจือจานเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น 

แม้แต่ธรรมชาติก็เข้าข้าง ขนาดลูกท้ออินเดียนี้ก็สมบูรณ์ ชมพู่ดีก็ลูกใหญ่ รสชาติใช้ได้เลย พูดตามโลกเขาก็เนื้อดีกลิ่นดี แต่ใจอาตมาว่าอาตมาไม่ได้ชอบไม่ได้ติดใจ

โลกหลงความก้าวหน้าที่เป็นโลกียะ แข่งรวยแข่งเด่นแข่งได้เปรียบเชิงแย่งชิงฆ่าแกงข่มขี่กันทั้งโลก ซึ่งเราก็ช่วยได้ประมาณหนึ่ง ไม่เป็นการเตี้ยอุ้มค่อม

เป็นคนจนที่ไม่สะสม อยู่ในครรลองของพระพุทธเจ้า ในวรรณะ 9 สุภระ สุโปสะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลข ธูตะ ปาสาทิกะ อปจยะ วิริยารัมภะ

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

อยู่อย่าง

อิสรเสรีภาพ (Independent) มีอิสรภาพ พ้นอำนาจกิเลส

ภราดรภาพ  มีภาวะแห่งรักกว้างออกไปดุจดั่งญาติ

สันติภาพ  มีภาวะสงบแท้  ไม่มีตัวเหตุเบียดเบียน

สมรรถภาพ  มีความสามารถสรรสร้างประโยชน์สุข

บูรณภาพ  ปรับปรุงพัฒนาให้เจริญ  ให้เต็มบริบูรณ์

 

มีความเป็นสาราณียธรรม 6 เกิดพุทธพจน์ 7

มีเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ลาภธัมมิกา(สาธารณโภคี) ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา

เกิด สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ

 

อาตมาชาตินี้เหมือนถูกสาป ทำไปก็ไม่ได้รับความร่วมมือยอมรับ แต่ก็ได้ค่อยทำไป จนเกิดหมู่กลุ่มเกิดเป็นชุมชนที่เป็นตัวอย่างเป็นโมเดลให้แก่โลก

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:59:16 )

590201

รายละเอียด

590201_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อัมพัฏฐสูตร ตอน1

พ่อครูว่า...วันนี้ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 คนที่เห็นคุณค่าความสำคัญที่เราจะใช้เวลาทำอะไรให้เกิดการพัฒนาชีวิตที่สำคัญ คนที่รู้ความสำคัญในความสำคัญก็พยายามทำเอา พากเพียรเอา ส่วนคนที่ไม่รู้จักความสำคัญในความสำคัญนั้น นี่เป็นสำนวนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ เป็นสาระแห่งชีวิตจึงเป็นผู้มีปัญญามีความเฉลียวฉลาดในชีวิต ไม่มีชีวิตเป็นโมฆะ แต่ละวันเวลาวินาทีให้เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย อยู่กับมิตรสหาย ที่จะประพฤติปฏิบัติโดยกรรมของเราให้เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายเสมอเสมอจนจบเป็นอรหันต์ ผู้นั้นคือผู้รู้จักสาระสำคัญ เห็นความสำคัญในความสำคัญของชีวิตจริงๆ 

ชีวิตก็วนเวียนตกหลุมนรกหลงสวรรค์มีแต่ยิ่งหนักขึ้น ถลำตัวไปใหญ่ขึ้นตลอดเวลา ถ้าไม่มีมิตรดีสหายดีไม่มีสัตบุรุษที่คอยกระตุ้นเตือนแนะนำ คอยนำพากันจริงๆ ยิ่งทุกวันนี้เป็นยุคใกล้กลียุค เดินทางเข้าสู่ความเสื่อมของโลกีย์ เป็นกัปที่ออกปลายแล้ว 

สนามแม่เหล็กของโลกีย์นั้นจัดจ้าน แม้แต่เรื่องของศาสนาก็เลวร้ายจัด แต่เราก็ตัวเราก็เท่านี้ ทำก็ได้ผลเท่าที่เห็น ไม่มีสิทธิ์ใช้ม.44 กับเขาเลย เราก็หวังพึ่งผู้ใช้ม.44 ควรใช้อาญาสิทธิ์นั้น จะทำให้สังคมประเทศไทยเจริญขึ้นจริงๆ ไม่ใช่พูดปะเหลาะ ถ้าท่านใช้ความกล้าหาญ อาสโภ อย่างจริงจังได้นะ จะเป็นบุญคุณแก่โลกเลย โดยเฉพาะประเทศไทยอย่างสำคัญยิ่งเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37_สติปัฏฐาน 4) ตอน เรียนรู้เวทนาในเวทนา

มาอ่าน sms

0893867xxx พ่อครูเคยสอนเคหสิตเวทนา18เนกขัมภสิตเวทนาถ้ารู้แจ้งเวทนา36ในกาลทั้ง3ก็จักรู้แจ้งรู้จริงเวทนา36อดีตปัจจุบันอนาคตเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา! การปฏิบัติธรรมขั้นอนัตตาธรรมที่เห็นความเป็นจริงของอนาคต36ซึ่งความเป็นอนาคตนั้นไม่เคยมีในโลก!มี แต่อดีต36กับปัจจุบัน36ซึ่งความเป็นอนาคตที่เที่ยงแท้แน่นอน!พ่อครูเคยบอกไว้

พ่อครูว่า...เราต้องวิจัยเวทนา 3 นี้เป็นหลัก ที่จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ที่จมหลงว่ามันมีจริงเป็นอัตตา หลงว่ามันเที่ยง หลงว่าเป็นสุข แทนที่จะเห็นเป็นทุกขอริยสัจ กลับกลายเป็นเห็นทุกข์โลกีย์ การอยากได้เมื่อไหร่ก็ทุกข์ แต่ไม่ได้หาว่าเป็นทุกข์แท้นะ มันทุกข์จริงมากกว่าสุขที่เป็นปัจจุบันเดี๋ยวเดียว แต่ทุกข์นี้ฝังในอนุสัย มันอยู่กับเราเที่ยงกว่า แต่สุขไม่อยู่กับเราเที่ยงเท่าไหร่ เดี๋ยวก็วนไปเวียนมา ส่วนอทุกขมสุขก็เป็นบ้างในบ้างครั้งเรียกว่าไม่ทุกข์ไม่สุขแบบพักยก เต็มอิ่มแล้วก็ขอพัก ว่างไป ไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ ไม่ได้เป็นเนกขัมมะที่ชัดเจน

นอกจากเวทนา 3 ก็มีเวทนา 5 อันนี้เป็นดีกรี หรืออินทรีย์ของสุขทุกข์ อินทรีย์ที่ทั้งอ่อน หยาบ ละเอียด ถ้าหยาบก็ภายนอก เรียกสุข ทุกข์ แต่ถ้าเป็นภายในเรียกว่าโสมนัสหรือโทมนัส ถ้าละเอียดลึกเข้าไป แล้วมีอุเบกขาอีกอย่าง เป็น 5

เวทนา 6 เกิดทางทวาร 6 กระทบสัมผัสแล้วเกิดธรรมะสองขึ้นมา มันเกิดอาการจริง เราก็สัมผัสแล้วอ่านอาการออกให้ได้จริง เห็นอาการแล้วสามารถบัญญัติเข้าใจตรงภาษาที่ท่านบัญญัติไว้ นี่คือการเรียนรู้ปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

เวทนา 6 เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตากระทบรูปเป็นสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้หรือเฉยๆก็ได้ หูกระทบเสียงก็เช่นกัน จมูกลิ้นกายสัมผัส หรือในใจปรุงแต่งขึ้นมาเอง 6 ทวาร อายตนะ 6 เมื่อสัมผัสก็เกิดอายตนะเชื่อมต่อมีภาวะอาการ เป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ พยัญชนะเหล่านี้บอกให้อ่านอาการให้ออก ถ้าเข้าใจได้ตรงคือการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วคิดว่านี่คือเอกัคคตา ไปหลงแบบเดียรถีย์ที่เขาติดยึดกันนานแล้ว เป็นธรรมะตื้นๆที่ครองโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าอุบัติ ก่อนนั้นก็หลงไปติดกับเขา แล้วท่านก็พบว่าไม่ใช่ทาง สุดท้ายก็พบพระพุทธศาสนา ทวนกระแสกับเขาเลย 180 องศา

ประเด็น เวทนา 3 กับเวทนา 6 นี่แหละ เมื่อสัมผัสแล้วเกิดเวทนา สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ แจกเป็นทวาร 6 รวมเป็น 18 เวทนา

รากฐานของสุข คือ สุ=ดี ข=ว่าง ที่จริง ว่างนี่แหละดี แต่นี่มันไม่ว่าง ต้องว่างจากสุขทุกข์นี่คือสุขโลกุตระ สมบูรณ์แบบเป็นปรมังสุขัง ถ้าคนเรียนรู้แล้วลดละได้ สงบสุขจากโลกีย์ได้ ก็ค่อยๆลดลงไป การแยกอาการของเนกขัมมสิตเวทนา ออกจากรสโลกีย์ได้ จากเคหสิตะ ออกมาก็เป็นเนกขัมมะ ทำให้กิเลสจางคลายได้อ่านอาการกิเลสออกว่า จางคลายหรือหมดได้

 

มีผู้ถามมาจากแฟนเพจ

ผมปฎิบัติธรรมตามคำสอนของพ่อท่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้คือ ผมจับความคิดทัน จับอาการเวลาเกิดกิเลสทัน กำหนดอุเทศ แต่ผมเห็นไม่ชัดในอนุปัสสี 4 ได้ ผมอยากทราบว่ายังขาด ตก บกพร่อง ธรรมส่วนไหน ครับ?

พ่อครูว่า…อนุปัสสี 4 ปฏิบัติแล้วต้องตามเห็น 4 อย่างนี้ คือ ตามเห็นความไม่เที่ยงของอาการกิเลสเรียกว่าอนิจจานุปัสสี ตามเห็นความจางคลายได้คือวิราคานุปัสสี ตามเห็นความดับได้ของกิเลสก็นิโรธานุปัสสี ตามเห็นที่ทำซ้ำทำทวนให้นิโรธอีกเรียกปฏินิสสัคคานุปัสสี คนที่ปฏิบัติธรรมต้องตามเห็นความจริงอันนี้ จะเห็นถึงความไม่เที่ยง แยกเป็นสองอย่าง

หนึ่ง ไม่เที่ยงแบบโลกีย์ คืออาการจิตเราไม่เที่ยงแบบมากขึ้นหนาขึ้นใหญ่ขึ้นปุถุขึ้นนั้นเอง เห็นความเป็นปุถุชนของตน นี่ก็เห็นอนิจจัง

สอง แต่เมื่อเราทำแบบทฤษฎีพระพุทธเจ้าถูกต้อง ก็จะเห็นว่ากิเลสมันลดลง สมมุติว่ามันมีร้อย อาการมันลดลงสิบ ก็คือวิราคานุปัสสี กิเลสตัวเล็กลง ดีกรีน้อยลงแรงมันน้อยลง รสชาติมันเบาบางลง

รู้กิเลสได้ด้วยอาการลิงค นิมิต อุเทศ มันมีอาการที่ให้เรารู้ได้ ทำให้กิเลสลดได้เป็นอุบัติเทพ จนมันดับได้ก็เป็นวิสุทธิเทพ เป็นนิโรธานุปัสสี เห็นความเกิดดับของกิเลส ที่เป็นอกุศลจิต ไม่ใช่เดาหรือตรรกะคิดเอา ไม่ใช่ แต่เห็นอาการจริงๆเลย อาการกิเลสจางคลาย อกุศลจิตดับ รู้จักความเกิดดับ ไม่ใช่ตรรกะ ขบคิดเอาตามเหตุผล ซาโตริเองไม่ใช่ แต่เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนทำได้

นิโรธานุปัสสี ทำซ้ำทำทวนให้ชำนาญมั่นคงแข็งแรงปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำให้หมดสวรรค์โลกีย์นี่แหละ จนเป็นนิสสรณะ จนมันไม่มีเป็นที่พึ่งเลย ไม่มีสิ่งนี้สมบูรณ์แบบ หรือสลัดออกอย่างสำเร็จเลย แตะปั๊ปก็หลุดเลยๆ

รู้เวทนาในเวทนา ปฏิบัติทุกปัจจุบัน 36 สั่งสมเป็นอดีต 36 ส่วนอนาคตก็ไม่มาถึงสักทีหรอก ในวิชชา 8 ต้องรู้ อาริยสัจ 4 เป็น 4 ​ข้อแรกของ  8 ส่วน 5 คือส่วนอดีต 6 ก็ส่วนอนาคต 7 ก็ส่วนอดีตส่วนอนาคต

เราทำปัจจุบันให้หมดกิเลส สั่งสมเป็นอดีตที่ 0 ไปตลอดเวลา ทั้งอดีต อนาคตก็ย่อม 0 ตลอดแน่นอน ให้เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง(ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

อนาคตคือ ปัจจุบัน+อดีต มันไม่เที่ยงหรอก อดีตกับอนาคต ทั้งปุถุชนและอรหันต์ แต่ส่วนที่มัน 0 นี่และเที่ยง 0+0 = 0 จะบวกลบคูณหารอย่างไรกับ 0 ก็ 0 เสมอ ถ้าเข้าใจสภาวะจะไม่งง

มาสู่บทเรียน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สามัญญผลสูตร) ตอน สมณะ 4

สามัญญผล แปลว่าอะไร แปลว่าผลที่ทำให้เป็นสมณะ สมณะคือผู้ปฏิบัติแล้วมีมรรคผล เป็นอาริยบุคคล ผลเบื้องต้นคือโสดาบัน

สมณะที่ 1 คือโสดาบัน นั้นรู้จักหลักเกณฑ์ รู้จักตัวตนเรียกว่าสักกายะ อ่านตัวตนอ่านอัตตา (ตัวเราเอง) ตัวอะไร? ก็ตัวของนามธรรมของจิตเจตสิกต่างๆที่มันมีอาการของกิเลส ตัวตนของจิตทั้งหมดก็ยังไม่ครบ ยังไม่ใช่ตัวตนของทุกข์ของสมุทัย ไม่ใช่ว่าไปอ่านสุข อันไหนสุข ท่านก็ให้เว้นขาด เมื่อเว้นขาดจิตมันก็จะดิ้นก็ทุกข์ เมื่ออยากแล้วหามาบำเรอก็สุข ก็หลงกับของหลอกอันนี้ สุขเกิดจากการบำบัดตัณหา คือตัวการคือสมุทัย

แล้วทำอย่างไรมันจะจางคลาย เพราะความจริงมันไม่เที่ยง แต่คุณก็หลงให้มันอยู่ยาวนานเป็นอายุทิพย์ พระพุทธเจ้าว่ามันไม่จริง ต้องเห็นให้ได้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง เป็นตัวเก๊ตัวผีปลอม เห็นความจางคลาย จนดับมันได้ ทำได้ชั่วคราวก็ทำต่ออีกจนทำได้แข็งแรงถาวรมั่นคง เป็นกิจญาณ เสร็จแล้ว กตญาณ มันทำได้สมบูรณ์ อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง(ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ผล โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ สี่ฐานเรียกว่าสมณะ 4 สามัญญผลทำให้เกิดสี่อย่างนี้เป็นของจริง เรียกว่าสามัญญผล

คำว่าสามัญนี้แปลไทยว่าเป็นของดาษดื่น แต่ของพุทธนี้ลึกเข้าไปคือของจริงคือสมณะ นี่คือสามัญญผล

พระเจ้าอชาตศัตรูก็มาถามพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังก็เข้าใจ เบื้องต้นให้เอาศีลเป็นหลัก เริ่มต้นด้วยจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตั้งแต่ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์ใด ในธรรมนูญพุทธ พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นปราชญ์ก็เข้าใจได้ ปฏิบัติแล้วลดละหน่ายคลาย มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า สมบูรณาญาสิทธิราชไม่ว่าของแคว้นไหนท่านก็จัดการของท่านไป แต่นี่ของพระพุทธเจ้าก็บอกหลักเกณฑ์ให้ เขาทำแล้วได้ผล ท่านก็ถามว่าถ้าข้าทาสของท่านที่ใกล้ชิดมาก เป็นคนโปรดของท่านเลย ถ้าเขาจะมาเข้ารีตแบบนี้ ไม่อยากไปอย่างเดิมแล้ว ยุคนั้นยุคทาสนะ พระเจ้า

อชาตศัตรกูก็บอกว่าได้เลย ให้ไปเลยและต้องเคารพเขาด้วย นี่คือผลที่พิสูจน์ได้ จึงมีคนมาทำตาม

เมื่อมีศีลก็ทำตามกรอบปริตตัง เกิดผลเป็นสำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ สันโดษอันเป็นอาริยะ มีจิตที่มีฌาน 1-4 แล้วเป็นวิชชา 8

ซึ่งเกิดผลที่ต่างจากทั่วไปเขาทำกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกตักกีวิมังสีนั่งนึกคิดเอา ก็ไม่เกิดผล หรือไปนั่งหลับตาสมาธิ ก็ไม่เกิดผลแบบนี้ ไม่ใช่ทางของพุทธเป็นมิจฉาทิฏฐิ ใน 62 ทิฏฐิของพรหมชาลสูตร เป็น meditation แต่ที่อาตมาอธิบายเป็นแบบของพระพุทธเจ้าคือ supra concentration พระพุทธเจ้าท่านประกาศอย่างประนีประนอม แต่อาตมานี้มารื้อเอาของพระพุทธเจ้ามาประกาศ อาตมาก็ค่อยพูดมาเรื่อย แล้วก็ตอนนี้แรง เพราะไปว่าสิ่งผิดคนที่ผิดก็กระเทือนมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน อัมพัฏฐสูตร ว่าด้วยศากยวงศ์

มาเข้าสู่อัมพัฏฐสูตร

[141] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป บรรลุถึงพราหมณคาม แห่งชาวโกศล ชื่ออิจฉานังคลคาม ได้ยินว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขตอิจฉานังคลคาม

[142] ก็สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติอยู่ครองนครอุกกัฏฐะ ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชน และหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย

  พราหมณ์โปกขรสาติได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล แล้ว เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ถึงอิจฉานังคลคามโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขตอิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

  แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล

อาการคือลักษณะที่มันเคลื่อนที่ เป็นอาการในใจ ใจเราโกรธก็ผี ใจเราโลภก็ผี แต่ก่อนเราไม่เคยอ่านอาการมันเลยมีแต่ส่งเสริมสนับสนุนมัน มันอยากโกรธก็โกรธสมใจ มันอยากโลภก็ให้มันโลภสมใจ อยากเสพรสก็ให้มัน เราเป็นทาสของกิเลส ใครไม่เคยเป็นทาสยกมือขึ้น? ไม่มีละเว้นหรอก แม้แต่อาตมาก็ยังเคย พระพุทธเจ้าก็ยังเคย อันนี้คือทาสร้ายแรง พระพุทธเจ้ามาปลดแอกทาส

พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสูงสุดก่อนใครเลย สองพันหกร้อยกว่าปีท่านปลดทั้งทาสทั้งวรรณะ นี่คือนักประชาธิปไตยมือเอกเลย นักประชาธิปไตยแท้มีแต่ช่วยเหลือรับใช้เขา รับใช้สังคม อาตมามั่นใจว่าพวกเรานี้นักประชาธิปไตยแท้พวกเราสีน้ำตาล มีสุญญตาอยู่กลาง

เทวดาบำเรอกิเลสเรียกว่าสมมุติเทพ รู้ได้ทั่วกันหมด หลงกันหมด แต่ของพระพุทธเจ้านี้ให้มาลด พอลดได้คืออุบัติเทพให้กิเลสจางคลาย เป็นเทวดาแท้ แยกให้ออกระหว่างเคหสิตเวทนากับเนกขัมมสิตเวทนา นี่คือเทวดาแท้สัตว์นรกแท้ ทำได้หมดกิเลสสะอาดบริบูรณ์เรียกว่าวิสุทธิเทพ

ทำได้ชั่วคราวก็ได้ชั่วคราว เราก็รู้เทวดา มาร พรหม เห็นเทวดาจริง เปิดโลกในจิตเราที่วนเวียนนี่แหละ หลงเสพอบายโลกีย์ จนมารู้ทางออกได้ ค่อยปฏิบัติลดละมา

 

เรื่องอัมพัฏฐมาณพ

 [143] สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมาณพ ศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียนทรงจำมนต์รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ [เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยชื่อของสิ่งต่างๆมีต้นไม้เป็นต้น] คัมภีร์เกตุภะ [เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยกิริยาเป็นประโยชน์แก่กวี] พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5  [เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงพงศาวดาร มีภารตยุทธเป็นต้น ซึ่งประพันธ์ไว้แต่บุราณกาลนับเป็นคัมภีร์ที่ 5 คือ นับคัมภีร์อิรุพเพทเป็นที่ 1 คัมภีร์ยชุพเพทเป็นที่ 2 คัมภีร์สามเพทเป็นที่ 3 คัมภีร์อาถรรพณเพทเป็นที่ 4 คัมภีร์อิติหาสนี้เป็นที่5] เป็นผู้เข้าใจตัวบทเป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ [เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยเรื่องไม่น่าเชื่อต่างๆ] และ มหาปุริสลักษณะ อันอาจารย์ยกย่องและรับรองในลัทธิปาพจน์ คือ ไตรวิทยา อันเป็นของอาจารย์ของตนว่า ฉันรู้สิ่งใด เธอรู้สิ่งนั้น เธอรู้สิ่งใด ฉันรู้สิ่งนั้น

  ครั้งนั้นแล พราหมณ์โปกขรสาติ เรียกอัมพัฏฐมาณพมาเล่าว่า พ่ออัมพัฏฐะ พระสมณะโคดมศากยบุตร พระองค์นี้ทรงผนวชจากศากยสกุล แล้วเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป ถึงอิจฉานังคลคามโดยลำดับประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวันใกล้อิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปอย่างนี้ว่า

   แม้เพราะเหตุนี้ๆพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล

  พ่ออัมพัฏฐะ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงรู้ว่าเกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราทั้งหลายจะได้รู้จักท่านพระโคดมพระองค์นั้นไว้ โดยประการนั้น

  อัมพัฏฐมาณพถามว่า ท่าน ก็ไฉนเล่า ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าเกียรติศัพท์ของท่านพระโคดม พระองค์นั้นที่ขจรไป จริงอย่างนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่?

  พราหมณ์โปกขรสาติตอบว่า พ่ออัมพัฏฐะ มหาปุริสลักษณะ 32 ประการมาแล้วในมนต์ของเรา ซึ่งพระมหาบุรุษประกอบแล้วย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ 7 พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิตจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

พ่อครูว่า...เป็นบุญญาบารมี มิใช่อาชญาบารมี

พ่ออัมพัฏฐะ เราเป็นผู้สอนมนต์ พ่อเป็นผู้เรียนมนต์

อัมพัฏฐมาณพรับคำพราหมณ์โปกขรสาติแล้ว ลุกจากที่นั่ง ไหว้พราหมณ์โปกขรสาติกระทำประทักษิณ แล้วขึ้นรถม้าพร้อมด้วยมาณพหลายคน ขับตรงไปยังราวป่าอิจฉานังคลวัน ตลอดภูมิประเทศเท่าที่รถจะไปได้ ลงจากรถเดินตรงไปยังพระอาราม

[144] สมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังจงกรมอยู่กลางแจ้ง

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่จงกรม ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ เวลานี้ท่านพระโคดมพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้าพากันเข้ามาที่นี่เพื่อจะเฝ้าพระองค์ท่าน

ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นคิดเห็นร่วมกันเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้เป็นคนเกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง ทั้งเป็นศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติผู้มีชื่อเสียงอันการสนทนาปราศรัยกับพวกกุลบุตร เห็นปานนี้ ย่อมไม่เป็นการหนักพระทัยแก่พระผู้มีพระภาคเลยดังนี้แล้วจึงตอบอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ นั่นพระวิหารมีประตูปิดอยู่ ท่านจงสงบเสียงเข้าไปทางพระวิหารนั้น ค่อยๆเข้าไปที่เฉลียง กระแอมไอแล้วเคาะบานประตูเถิด พระผู้มีพระภาคจักทรงเปิดประตูรับท่าน

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพสงบเสียง เข้าไปทางพระวิหารซึ่งมีประตูปิดอยู่นั้น ค่อยๆ เข้าไปยังเฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตู พระผู้มีพระภาคทรงเปิดประตู อัมพัฏฐมาณพ เข้าไปแล้ว แม้พวกมาณพก็พากันเข้าไปปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

 [145] ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพ เดินปราศรัยบ้าง ยืนปราศรัยบ้าง กับพระผู้มีพระภาค ผู้ประทับนั่งอยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า อัมพัฏฐะ เธอเคยสนทนาปราศรัยกับพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เหมือนดังเธอ เดินบ้างยืนบ้าง สนทนาปราศรัยกับเราผู้นั่งอยู่ เช่นนี้หรือ?

  อ. ข้อนี้หามิได้ พระโคดมผู้เจริญ เพราะว่าพราหมณ์ผู้เดิน ก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้เดิน พราหมณ์ผู้ยืนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้ยืน พราหมณ์ผู้นั่งก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นั่ง พราหมณ์ผู้นอนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นอน

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แต่ผู้ใดเป็นสมณะโล้น เป็นคฤหบดีเชื้อสายกัณหโคตร เกิดจากพระบาทของท้าวมหาพรหม ข้าพเจ้าย่อมสนทนาปราศรัยกับผู้นั้น เหมือนกับที่สนทนาปราศรัยกับพระโคดมผู้เจริญนี้

อัมพัฏฐะ ก็เธอมีธุระจึงได้มาที่นี้ ก็พวกเธอมาเพื่อประโยชน์อันใดแล พึงใส่ใจถึงประโยชน์นั้นแหละไว้ให้ดี ก็อัมพัฏฐมาณพ ยังไม่ได้รับการศึกษาเลย สำคัญตัวว่าได้รับการศึกษาดีแล้ว จะมีอะไรอีกเล่า นอกจากไม่ได้รับการศึกษา

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพถูกพระผู้มีพระภาคตรัสตำหนิด้วยพระวาจาว่า เป็นคนไม่ได้รับการศึกษา โกรธ ขัดใจ เมื่อจะด่าข่มว่ากล่าวพระผู้มีพระภาค คิดว่าเราจักต้องให้พระสมณโคดมได้รับความเสียหาย ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

ท่านโคดม พวกชาติศากยะดุร้าย หยาบช้า มีใจเบา พูดพล่าม เป็นแต่พวกคฤหบดี แท้ๆ ยังไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์

ท่านโคดม การที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย

อัมพัฏฐมาณพ กดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งแรก ด้วยประการฉะนี้

[146] อัมพัฏฐะ ก็พวกศากยะได้ทำผิดต่อเธออย่างไร?

ท่านโคดม ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปยังนครกบิลพัสดุ์ด้วยกรณียกิจบางอย่างของ พราหมณ์โปกขรสาติผู้อาจารย์ ได้เดินเข้าไปยังสัณฐาคารของพวกศากยะ เวลานั้นพวกศากยะและศากยกุมารมากด้วยกัน นั่งเหนืออาสนะสูงๆในสัณฐาคารเอานิ้วมือสะกิดกันและกันเฮฮาอยู่ เห็นทีจะหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเป็นแน่ ไม่มีใครเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้านั่งเลย

ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย

อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆนี้เป็นครั้งที่สอง ด้วยประการฉะนี้

[147] อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ก็ยังเป็นสัตว์พูดได้ตามความปรารถนาในรังของตน ก็พระนครกบิลพัสดุ์เป็นถิ่นของพวกศากยะ อัมพัฏฐะไม่ควรจะข้องใจเพราะการหัวเราะเยาะเพียงเล็กน้อยนี้เลย

ท่านโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร บรรดาวรรณะ 4 เหล่านี้ 3 วรรณะคือ กษัตริย์ เวสส์ ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์พวกเดียวโดยแท้

ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย

อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สาม ด้วยประการฉะนี้

[148] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้ กล่าวเหยียบย่ำพวกศากยะอย่างหนัก โดยเรียกว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ ถ้ากระไร เราจะพึงถามถึงโคตรเธอดูบ้าง

แล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กับอัมพัฏฐมาณพว่า

อัมพัฏฐะ เธอมีโคตรว่าอย่างไร?

กัณหายนโคตร ท่านโคดม

อัมพัฏฐะ ก็เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้า เธอเป็นลูกนางทาสีของพวกศากยะ ก็พวกศากยะเขาพากันอ้างถึงพระเจ้าอุกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษ

 

ว่าด้วยศากยวงศ์

[149] อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าอุกกากราชทรงพระประสงค์จะพระราชทานสมบัติให้แก่พระโอรสของพระมเหสี ผู้ที่ทรงรักใคร่โปรดปราน จึงทรงรับสั่งให้พระเชฏฐกุมาร คือพระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินีกราชกุมาร และพระสีนิปุระราชกุมาร ออกจากพระราชอาณาเขต พระกุมารเหล่านั้น เสด็จออกจากพระราชอาณาเขตแล้ว จึงไปตั้งสำนัก อาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้สากะใหญ่ริมฝั่งสระโปกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์ พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน

อัมพัฏฐะ ต่อมาพระเจ้าอุกกากราชตรัสถามหมู่อำมาตย์ราชบริษัทว่า บัดนี้พวกกุมารอยู่กัน ณ ที่ไหน?

พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ มีราวป่าไม้สากะใหญ่อยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี ข้างภูเขาหิมพานต์ บัดนี้ พระราชกุมารทั้งหลายอยู่ ณ ที่นั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน

อัมพัฏฐะ ทีนั้นพระเจ้าอุกกากราชทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านทั้งหลาย พวกกุมาร สามารถหนอ พวกกุมารสามารถยอดเยี่ยมหนอ 

อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่าศากยะปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และพระเจ้าอุกกากราชพระองค์นั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกศากยะ

และพระเจ้าอุกกากราชมีนางทาสีคนหนึ่งชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะ กัณหะพอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉันจากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่

อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจ ว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้ว ปีศาจเกิดแล้ว อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และกัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ

อัมพัฏฐะ เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้า เธอเป็นลูกทาสีของพวกศากยะ ด้วยประการฉะนี้แล

 

ว่าด้วยวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ

[150]เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาณพเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยพระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตเจรจาไพเราะเป็นบัณฑิต และเธอสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมผู้เจริญได้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพจงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราในคำนี้

  ก็ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ พวกเธอจงหยุดเสียเถิด อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับเรา ในคำนี้ 

มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมได้ พวกข้าพเจ้าจักนิ่งละ อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับพระโคดมในคำนี้เถิด

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:00:00 )

590202

รายละเอียด

590202_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อัมพัฏฐสูตร ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559  แรม 10 ค่ำเดือนยี่ปีมะแม เราก็มาตั้งใจเล่าเรียนศึกษา คนไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเราต้องศึกษา เป็นคนเราไม่ศึกษาก็ไม่ใช่คนแล้ว เป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องเกิดมาแล้วไม่ใฝ่การศึกษา เพราะคนมีการศึกษามีระบบมีวิธีการมากมาย ที่ทำให้คนสามารถรู้ รู้จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งชีวิตว่าเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วจะไปไหน อยู่อย่างไร จะเลิกเวียนได้อย่างไร จนกระทั่งสามารถที่จะไม่เกิดอีกได้เลย ออกจากการเกิดของความเป็นคนของเราได้เลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของคน

 เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็รู้ตัวก็ไปศึกษา ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ไม่ใฝ่การศึกษา แม้แต่ความรู้ตัวว่าเขาเป็นมนุษย์เขาก็ไม่รู้ เขาก็ยังปล่อยตัวไปตามประสาเหมือนเดรัจฉาน หากินไปตามสังคมเขาพาหากิน สัตว์เดรัจฉานก็พากันหากินตามประสามัน คนก็พากันหากินตามประสาคน คนที่หากินตามประสาไปเรื่อย แล้วก็ถูกมอมเมายิ่งกว่าสัตว์ ให้ไปติดยึดมากมายหลายอย่าง จึงทุกข์ยากกว่าสัตว์เดรัจฉานอีกเยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเราต้องศึกษา ปล่อยตัวไปตามเรื่องตามราวที่โลกอันคนไม่รู้มีอยู่มากนำพาไป ก็ไปเละเทะอย่างนั้น ก็น่าสังเวชใจ

 ผู้ใดเข้าใจที่อาตมาพูดนี้ดี แล้วสำนึกตั้งใจว่าจริงหนอ ถ้าผู้ใดได้ฟังที่อาตมาพูดสะดุดใจเลยว่าจริง ว่าเราเกิดมามีแต่ใฝ่หาสิ่งมาบำเรอใจ ทำมาหากินไป ก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉานที่ทำมาหากิน แต่มันถูกมอมเมาไม่มากเท่ากับคน คนนี่ถูกมอมเมามาก แล้วก็หลงเลอะเทอะมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน จึงทุกข์สุขมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทุกข์ก็ทุกข์มากกว่า สุขก็สุขหลอก ทุกข์ก็ทุกข์แท้ทุกข์จริง

ทุกขอริยสัจ จึงยิ่งหนัก

 ศาสดาหลายศาสนาก็พยายามหาทางออกให้คนเจริญ ให้คนพ้นทุกข์แม้จะเป็นทุกข์ทางโลกีย์ก็ตาม ที่สุจริตก็ยังเข้าท่า ยิ่งผู้เป็นมนุษย์แล้วค้นพบศึกษา จนรู้จักทางที่พระพุทธเจ้าพาทำ มีทฤษฎีที่สามารถที่จะพาหลุดพ้นได้พ้นทุกข์ได้เลย ถ้าจะอยู่ก็อยู่อย่างคนประเสริฐ ไม่สร้างบาปสร้างเวรสร้างภัย อยู่ดีเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อโลกนี้ต่อไปด้วย ผู้ที่มีปฏิภาณรู้อันนี้จึงใฝ่การศึกษา แม้ศึกษากันแล้วทุกวันนี้ก็เพี้ยนไปจากความรู้ของพระพุทธเจ้าเยอะ หลงผิดยึดผิดไปอีกมาก มันก็ยิ่งน่าสังเวชใจ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ก็ได้แต่บอกไปตามความเห็น ที่เห็นว่าถูก ไม่ได้หลงตนว่าใหญ่อะไร ก็พูดความจริงสู่กันฟัง

 

Sms 310159

0816956xxx รัฐธรรมนูญใหม่ออกมาแยกขาวแยกดำนักการเมืองและประชาชนได้เลย ฟันธง ก ท ม

 

0827534xxx อย่าเอาใจนักการเมืองเลยในการร่างรัฐธรรมนูญเอาความถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่ชาติดีกว่า

พ่อครูว่า..ตอนนี้ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญมา ประเด็นที่เขากำลังพยายามที่จะเข้าหาประชาชน ไม่ไปเอาใจนักการเมืองไม่เห็นแก่นักการเมือง เพราะประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเป็นมา 83 ปีแล้ว ก็ล้มลุกคลุกคลานจนป่านนี้ ประชาธิปไตยก็ยังไม่ไปไหนเลย เป็นประชาธิปไตยผูกขาดของนักการเมือง อาตมาเห็นเช่นนั้นจริงๆ 

เป็นประชาธิปไตยผูกขาดของนักการเมืองบางกลุ่ม ที่มีจำนวนไม่เกิน 5000 คน เป็นเรื่องทำมาหากินทั้งนั้น ซึ่งผิดตั้งแต่ต้น การเมืองไม่ใช่เรื่องทำมาหากิน

การเมืองเป็นเรื่องจริงของประชาชน เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ประชาชนต้องเอาใจใส่ เพราะเป็นเรื่องของประชาชนทั้งหมดโดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็แล้วไปเถอะ เพราะยังไงก็ไปออกเสียงออกสิทธิ์ไม่ได้

แต่ในประชาธิปไตยนี้มีสิทธิ์ออกเสียงได้ทุกคน แต่คนไทยนั้นก็ยังงมงายในเรื่องนี้มาก ยังไม่ตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตย ยังจมอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส ยังไม่ตื่นจากตรงนี้

พวกนักการเมืองใช้เราเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่นักการเมืองที่แท้จริง นักการเมืองนั้นต้องเป็นผู้ที่มีจิตอาสา ทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นงานอาชีพ ไม่ใช่ทำเพื่อเลี้ยงตน ล่าลาภยศโลกียสุข ไม่ใช่

พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าแห่งประชาธิปไตย ที่ตอนนั้นไม่ได้เรียกว่าประชาธิปไตย แต่ท่านเรียกว่าอธิปไตย โดยความรู้ของท่านก็รู้จักอธิปไตย 3 อธิปไตยของโลก อธิปไตยของบุคคลที่เป็นตัวตน กับอธิปไตยที่แท้จริงคือธรรมาธิปไตย เรียกว่า โลกาอธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย

นี่คืออธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งรู้จักโลก ก็คือกระแสความสัมพันธ์มวลมนุษยชาติ อยู่กันอย่างไร สัมพันธ์กันอย่างไร ปกครองกันอย่างไรในกลุ่มนั้น แล้วก็มีแต่ละคนคืออัตตา คือแต่ละคนก็ใช้ตัวตนแทรกแซงอยู่ในโลกเพื่อแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กอบโกยตะกละตะกลามด้วยเล่ห์เหลี่ยมมาเป็นตัวกูของกู ก็มีชีวิตอยู่เช่นนั้น

ผู้ที่เข้าใจโลกเข้าใจสังคมและเข้าใจอัตตา อยู่เหนือความเป็นโลกความเป็นสังคมอยู่เหนืออัตตา จึงเป็นผู้ที่มีอำนาจแท้ เรียกว่าอำนาจที่เป็นธรรม จึงช่วยโลก ช่วยคนที่มีอัตตา คนที่มีอัตตานั้นเป็นคนบาป อัตตาคือความเห็นแก่ตัว

 ถ้าอัตตาในระดับพีชนิยามจะไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มี selfish ไม่มี ish   เมื่อมันเป็นจิตนิยามก็มีความเห็นแก่ตัว ยิ่งมาเป็นมนุษย์ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ที่ต้องมาแก้ไขให้กลับมาเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนที่มีจิตทราม ให้หลุดพ้นความเป็นสัตว์มีจิตประเสริฐจริง

 

Sms 10259

0893867xxx นมก.พ่อครูฯปชธต.ของนักโกงกินเมืองอธรรมคือปชช.อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรบ.อันไม่เป็นธรรม!ปชธต.ของนกม.มีธรรมคือปชช.มีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนโดยถูกต้องชอบธรรมถูกไหม?เมื่อไรจะพบหนอ?

พ่อครูว่า...รัฐบาลคือกลุ่มที่จะไปรับใช้ ที่จะไปทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เป็นเจ้านายประชาชน

 

0893867xxx ปชธต.ใบขาวสะอาดที่สุด ที่จริงคนไทยมีมานานแล้วดังพ่อครูเคยกล่าวพระนามพ่อหลวงฯของปท.ไทยทรงเป็นนักปชธต.ซึ่งทรงงานด้วยทศพิธราชธรรม ที่สวยงามที่สุด!ยิ่งกว่าปชธต.ใดๆในโลก! 

พ่อครูว่า...อาตมาว่าเห็นด้วย แต่ประชาชนโดยมากยังไม่เข้าใจที่ในหลวงตรัส ซึ่งท่านอนุโลมปฏิโลมให้มาก ในหลวงตรัสชัดเจนว่าเราไม่เคยทำผิดกฎหมาย เราปฏิบัติอยู่ในรัฐธรรมนูญของไทย เราไม่เคยผิดกฎหมาย ใครเคยได้ยินบ้างว่าท่านตรัสอย่างนั้นจริงๆ ท่านตรัสอย่างนั้นเพื่อบอกว่าพวกคุณเป็นนักการเมืองนักบริหารประเทศ แล้วคุณไปทำผิดกฎหมาย เบ่งข่มโดยอำนาจที่ตนมี ยิ่งมาตอนหลังก็เละเทะ ใช้อำนาจในสภาซื้อนักการเมืองในสภา ใช้อำนาจในสภาทำตามใจชอบอย่างเต็มที่ แล้วยังหลอกว่าตนเป็นประชาธิปไตยและจะเอาประชาธิปไตยคืนมา พวกเราอยู่ในยุคนี้ก็ต้องแก้ไขปรับปรุง ผู้ที่มีปัญญาและหวังดีมีหน้าที่ก็ทำอยู่เต็มที่ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน อัมพัฏฐสูตร วิชชาและจรณะ

มาสู่อัมพัฏฐสูตร สูตรที่ 3 ในพระไตรปิฎก ล.9 เป็นสูตรที่ท่านสอนศีลสมาธิปัญญา ธรรมะของพุทธเอาศีลเป็นหลัก และปฏิบัติไปตามเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย มีศีล 5 เป็นเบื้องต้น และปฏิบัติให้เกิดฌานให้มีมรรคผลตามกิมัตถิยสูตร  

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นเจ้าของวิชชาจรณสัมปัณโณ จรณะคือความประพฤติ ก็พัฒนาให้ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าค้นพบ จะบรรลุเป็นจิตสูงจนเป็นอรหันต์ แล้วท่านก็บอกความเสื่อมของชาวพุทธ 4 ประการ ศาสนาพุทธคือวิชชาจรณะ แต่วิชชาจรณะไม่เสื่อมหรอก แต่คนต่างหากที่เสื่อมจากวิชชาจรณะ

 

เรื่องวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ

พวกมาณพกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยพระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิตและเธอสามารถจะโต้ตอบกับพระองค์ได้

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าพวกเธอคิดว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทรามและไม่สามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพจงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราแทน

ถ้าพวกเธอคิดว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิตและสามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้ พวกเธอจงหยุดเสียเถิดอัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับเรา มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ปัญหาประกอบด้วยเหตุนี้มาถึงเธอเข้าแล้ว ถึงเธอจะไม่ปรารถนา เธอก็ต้องแก้ ถ้าเธอจักไม่แก้ก็ดี จักกลบเกลื่อนด้วยคำอื่นเสียก็ดี จักนิ่งเสียก็ดี หรือจักหลีกไปเสียก็ดี ศีรษะของเธอจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกันหายนะ อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเสีย

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามเป็นครั้งที่สอง อัมพัฏฐมาณพก็ได้นิ่งเสีย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงแก้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนิ่ง เพราะผู้ใดถูกตถาคตถามปัญหาอันประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้วไม่แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี่ (พระไตรปิฎก ล. 9/อัมพัฏฐสูตร/150-151/86-87)

 

ยักษ์วชิรปาณี

สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่ลุกโพลงโชติช่วงยืนอยู่ในอากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ถ้าอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้ว แต่ไม่แก้ เราจักต่อยศีรษะของเขาให้แตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้ พระผู้มีพระภาคและอัมพัฏฐมาณพเท่านั้นเห็นยักษ์วชิรปาณีนั้น อัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวขนพองสยองเกล้า ทูลขอให้พระผู้มีพระ

ภาคนั่นเองเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นที่พึ่ง กระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วกราบทูลว่า

พระโคดมผู้เจริญ ได้ตรัสคำอะไรนั่น ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดตรัสอีกครั้งเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ?

อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาเหมือนอย่างที่พระโคดมผู้เจริญตรัสนั่นแหละ พวกกัณหายนะเกิดมาจากกัณหะนั้นก่อน และกัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ(เล่ม 9/อัมพัฏฐสูตร/152/87-88)

 

ลูกทาสี

เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวเช่นนี้ มาณพเหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม ๆ มิใช่บุตรผู้มีสกุล เป็นลูกทาสีของพวกศากยะ เป็นโอรสของเจ้านายอัมพัฏฐมาณพ พวกเราไพล่ไปสำคัญเสียว่าพระสมณโคดมผู้ธรรมวาทีพระองค์เดียว ควรจะถูกรุกรานเสียได้

พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า มาณพเหล่านี้พากันเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีหนักนัก ถ้ากระไรเราพึงช่วยปลดเปลื้องให้ จึงตรัสว่า พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนัก เพราะกัณหะนั้นได้เป็นฤาษีคนสำคัญ เธอไปยังทักษิณาชนบทเรียนมนต์อันประเสริฐ แล้วเข้าไปเฝ้าพระอุกกากราช ทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าอุกกากราชทรงพระพิโรธขัดพระทัยแก่พระฤาษีนั้นว่าบังอาจอย่างนี้เจียวหนอ ฤาษีเป็นลูกทาสีของเราแท้ ๆ ยังมาขอธิดาชื่อว่ามัททรูปี แล้วทรงขึ้นพระแสงศร ท้าวเธอไม่อาจจะทรงแผลง และไม่อาจจะทรงลดลง หมู่อำมาตย์ราชบริษัทพากันเข้าไปหากัณหฤาษีแล้วกล่าวว่า ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา แต่ว่าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรลงไปเบื้องต่ำ แผ่นดินจักทรุดตลอดพระราชอาณาเขต อำมาตย์กล่าวว่า ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท แต่ถ้าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรขึ้นไปเบื้องบนฝนจักไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตถึงเจ็ดปี อำมาตย์กล่าวว่า ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ขอฝนจงตกเถิด ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท ฝนจักตก แต่พระราชาต้องทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ พระราชกุมารก็เป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงกลัวถูกขู่ด้วยพรหมทัณฑ์จึงได้พระราชทานพระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤาษีนั้น พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย กัณหะนั้นได้เป็นฤาษีสำคัญแล้ว (ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/153-154/88-89)

 

ทรงเปรียบเทียบวรรณะ

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิดแต่นางพราหมณกัญญากับขัตติยกุมารนั้น จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่ ? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกบ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์จะควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ว่าควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรจะถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสถามว่า เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ข้อนี้ไม่ควรเลย ตรัสถามว่า เพราะเหตุอะไร? กราบทูลว่าเพราะเขาไม่บริสุทธิ์ข้างฝ่ายมารดา

ตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางขัตติยกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้นบุตรผู้เกิดแต่ขัตติยกัญญากับพราหมณกุมาร จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสถามว่า เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ว่าข้อนี้ไม่ควรเลย ตรัสถามว่า เพราะเหตุอะไร? กราบทูลว่า เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายบิดา

ตรัสถามว่า เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ทั้งหลายในโลกนี้พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่าไม่ควรได้เลย ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่าไม่ควรบอกให้เลย ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่าเขาควรถูกห้ามทีเดียว

ตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่าควรเชิญให้เขาบริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสว่า กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง เมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว (ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/155-158/89-91)

 

คาถาสินังกุมารพรหม

สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ว่า "กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คาถาที่สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า "กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์" (ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/159-161/91-92)

 

วิชชาจรณสัมปทา

อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉน? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา อาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล

พ่อครูว่า...วิชชาจรณะคือประชาธิปไตยที่แท้

อัมพัฏฐมาณพทูลถามซ้ำว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉนเล่า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบย้ำว่า พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ (ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/162-163/92-93)

พ่อครูว่า...นักบวชในอโศกต้องมีโภคขันธาปหายะ ทิ้งทรัพย์ศฤงคารมาโดยไม่อนุโลมเลย ส่วนญาติปริวัตตังปหายะนั้นก็ให้ทิ้งมาเช่นกัน แต่ก็มีอนุโลมอยู่บ้างตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

อาตมาภูมิใจว่าสมณะอโศกละทิ้งทรัพย์ศฤงคารมาแล้ว แต่ก็มีบางผู้บางคนก็เก็บสะสมวัตถุบ้าง แต่ไม่ใช่วัตถุใหญ่โตอะไรนักหนา ก็ให้ไปเอาไว้ที่สขจ.ดีกว่า ระวังงูเห่ากัดตายนะ อาตมาสามารถทำได้แม้แต่สิกขมาตุให้มาบวชถือศีล 10 ก็พยายามสละทรัพย์สินศฤงคาร ก็ทำได้อย่างน่าภูมิใจ ก็อยู่กันตายเผาไปหลายรูปแล้วก็ทำได้ ทางโน้นเขาอ้างว่าทำได้อย่างไรไม่ใช้เงินใช้ทอง ออกจากกุฏิก็ต้องใช้เงินแล้ว แต่พวกเราทำได้ เดินเอาอย่างเดียว ใครนิมนต์ให้ขึ้นรถไม่ขึ้น จนมีคราวหนึ่งตำรวจจับไปที่โรงพักเอาใส่รถไป สอบสวนมาก็พบว่าท่านไม่ผิด ท่านก็บอกว่าให้เอาท่านไปไว้ที่เดิมตอนจับมา อาตมาตั้งชื่อว่า สมณะหม่อน มุทุกันโต

คำพูดใดที่ไม่เป็นไปเพื่อการละหน่ายคลาย คำพูดนั้นคือเดรัจฉานกถา คำพูดที่ควรพูดคือ กถาวัตถุ 10

ไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไรไม่ทำการงานมีแต่นั่งสมาธิหลับตาปฏิบัติธรรม อย่างนั้นไม่ใช่แต่ของพุทธทำงานอย่างไม่มีมิจฉาอาชีวะ 5

ปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์จนไม่มอบตนในทางที่ผิด มาอยู่กับหมู่มิตรดีสหายดี ที่นี่ ถ้าไปอยู่กับทางโน้นก็จะไม่ง่ายในการบริสุทธิ์ในศีล 10 เป็นไปได้ยากมากเลย ควรมาอยู่กับหมู่ที่ควรอยู่ ทำจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 อาตมาภูมิใจที่พวกคุณทำกันได้แล้ว แม้จะมีจิตที่เหลืออยู่ก็พากเพียรไปทำให้หมดไป

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:00:36 )

590203

รายละเอียด

590203_พุทธศาสนาตามภูมิ อัมพัฏฐสูตร ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 3 ธันวาคม 2559 แรม 11 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม

สื่อธรรมะพ่อครู(อาหารของวิชชา) ตอน ฟังธรรมด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

เราก็ได้พยายามศึกษากัน ผู้ตั้งใจศึกษาใส่ใจศึกษา ดี ผู้ไม่ตั้งใจศึกษา ไม่ดี เป็น ธรรมดา ขออนุโมทนากับผู้ที่ตั้งใจศึกษา ว.นบ. กลุ่มของคนที่ตั้งใจศึกษาจะลาออกเมื่อไหร่ก็ได้ จะเข้ามาเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ไม่เสียเงินสักบาท ตอนที่ฟังแล้วรู้สึกคึกคักก็มารวมตัวกัน พอมาถึงวันนี้แล้วก็ชักโรยรา มาบ้างไม่มาบ้างจริงๆแล้วไม่มีสักบั้งเลย หายไป ก็เลยว่าทำไมอาตมาสนุกอยู่คนเดียว มันมีธรรมรส ยิ่งอ่านยิ่งเห็นความลึกซึ้งของพระไตรปิฎก แต่ละคำความที่หยิบขึ้นมาขยายความยิ่งเห็นความลึกซึ้งชัดเจน ดีขึ้นด้วย

เราเข้าใจแล้วว่าเรามาเอาธรรมะชีวิตนี้ แต่หลายคนก็ไม่เอาใจใส่ อาตมาไม่อยากจะบอกว่าเป็นผู้รู้ที่จะพาพวกคุณบรรลุอรหันต์ได้จริง ไม่อยากจะพูด แต่อาตมาเชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่พวกเราก็โรยราลง อันนี้ก็เข้าใจ จิตของเราบางทีก็เซ็งเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การฟังธรรม แม้เราไม่อยากฟังก็ต้องตั้งใจฟัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา "สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง"

ฟังธรรมด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ฟังธรรมแล้วได้ปัญญา ได้ความรู้ขึ้นมาอาตมาไม่ได้พูดเอาเองนะ "สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง" ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า อาตมาว่าไม่เสียหลายเลยถ้าได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษเสมอ อาตมาไม่ต้องพูดหรอกว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ใคร อาตมาไม่ต้องพูด เปิดตัวจนล่อนจ้อนหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย เปิดตัวเองหมดแล้ว

ที่พูดนี้ก็เพื่อเตือนสติ พูดให้รู้สึก ใครได้ฟังจะรู้สึก ถ้าใครไม่ได้ฟังก็น่าสงสาร อาตมาพูดย้ำซ้ำ เตือนให้ ก็ไม่ได้ยินด้วย ไม่ได้ใส่ใจมาฟังด้วย บางคนไม่ได้มา ไม่ได้ฟัง ก็ยังไปตามฟังรีรัน ก็พอทำเนา แต่บางคนก็ไม่เอาถ่าน ขี้เถ้าก็ไม่เอา ไม่รู้จะเอาอะไร ถ่านก็ไม่เอา ขี้เถาก็ไม่เอา แล้วมันจะมีไฟหรือ ก็เตือนติงไป พวกเราน่าจะเห็นโอกาสดี อาตมายังมีชีวิต ขยันหมั่นเพียร ขยันอุตสาหะ ที่จะสอนพวกเรา

อาตมาว่า อาตมาไม่ได้ทำเล่นๆ ทุกคราวที่มีการบรรยายธรรม ตั้งใจพากเพียร ที่จะบรรยายให้ละเอียด ให้ลึกซึ้ง ให้พาคุณบรรลุอรหันต์ เดี๋ยวนี้ให้ได้ แหมแต่มันก็ไม่ได้ มันไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังไม่เก่ง ตัวเองยังไม่เก่ง

มันเป็นโอกาสนะ อาตมาก็ยังพากเพียรให้พวกเราอยู่ ตั้งใจให้ละเอียดลึกซึ้งพาคุณบรรลุอรหันต์ให้ได้เดี๋ยวนี้เลย แต่ไม่เก่ง พวกปัจฉาฯ คงฟังอาตมาจนรำคาญว่า ไม่เก่ง แก้แล้วแก้อีก มันช้ามันไม่ค่อยเร็ว ถูกต้องคมชัดจบ มันไม่เลย ต้องทวนทำซ้ำซากวนเวียน ใช้เวลาไม่เสร็จสักที ก็เลยบ่น แล้วมันก็ไม่เก่งจริงๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน ไม่เข้าใจกาย หมดทางบรรลุธรรม

มาต่อในอัมพัฏฐสูตร ถึงตอนที่พระพุทธเจ้าไล่เรียงต้นตระกูลของ

อัมพัฏฐะ พระพุทธเจ้ารู้ได้ครบยิ่งกว่า อัมพัฏฐะก็เลยพูดไม่ออก เถียงไม่ได้ก็ยอมพระพุทธเจ้าสุดท้ายก็บอกว่า พระพุทธเจ้าสรุปชัดๆในความหมายของกษัตริย์กับพราหมณ์ ซึ่งกษัตริย์กับพราหมณ์จะผลัดกันฉลาด เช่น ยุคนี้เป็นต้น พราหมณ์หรือสมณะนักบวชไม่ฉลาดไม่มีภูมิธรรมอาริยะ แต่กษัตริย์มีภูมิธรรมอาริยะ เช่น ของไทยนี่แหละ สมณะภิกษุในศาสนาไม่มี ยกเว้นอาตมาไว้นะ ในกระแสหลักไม่มี สู้กษัตริย์พระองค์นี้ไม่ได้ ที่ท่านมีพุทธธรรมอาริยะ ไม่ได้พูดข่มแต่พูดสัจจะวิชาการ

"กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์" พระพุทธเจ้าท่านว่า ถ้าจะพูดถึงเรื่องวิชชาจรณะ จะไม่พูดถึงเปลือก แต่เอาเนื้อแท้ของวิชชาจรณะ

คำว่าเทวดากับมนุษย์ หมายถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือ จิต มโน วิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องมนุษย์ชมพูทวีป มนุษย์อุตรกุรุทวีป เทวดาดาวดึงส์ คนที่ไม่เข้าใจคำว่ากาย ความหมายถึง จิตมโนวิญญาณ เขาก็จะไปเห็นกายของเทวดาเป็นรูปร่าง เป็นตัวตนลอยไปลอยมา เหมือนอย่างอาจารย์มั่นบอกว่ามีฌานสูง แล้วเข้าฌานไปสอนเทวดา เทวดาก็ลอยมาจากต่างประเทศ

ไม่เห็นกายอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า กายคือมโนคือวิญญาณคือจิต เป็นความเสื่อมของความรู้ของศาสนาพุทธเรื่องของคำว่ากาย กลายเป็นวัตถุดินน้ำไฟลม

เทวดาคือจิต มนุษย์คือจิตสูงจิตเจริญ ชมพูทวีปก็ไปหมายถึงตัวตนเราเขา อยู่ในแคว้นอินเดีย อาตมาบอกว่าชมพูทวีปตอนนี้อยู่ในไทย คนก็หาว่าอวดดีพูดเกินพระพุทธเจ้า คนเข้าใจไม่ได้ ก็ตอนนี้มีชาวอโศกที่เข้าใจเรื่องกาย แล้วเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส

สุรภาโย คือองคาพยพทั้งหมดอาการ 32 แข็งแรง พร้อมสัญญาและใจ มีสติที่เป็นสัมโพชฌงค์ รู้จักอาการจิตเจตสิกที่ทำให้เป็นมนุษย์อเวจี มนุสเปโต ก็แก้ไขให้เป็นมนุสโส เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ ก็แก้เพราะเข้าใจกายเป็นสัมมาทิฏฐิ

ขณะนี้ คำว่ากายคำเดียวขวางทางนิพพานในการปฏิบัติธรรมทั้งหมด อาจารย์ที่เก่งในประเทศไทยที่หลงกันว่าเป็นอรหันต์ก็เข้าใจคำว่ากายนี้ไม่ได้ ว่ากายนี้คืออาการของเวทนาสัญญาสังขาร เป็นอาการของกลุ่มของจิต ของสังขารทั้งหลาย แม้แต่กายสังขารคือการปรุงแต่งทั้งนอกและใน กายสังขารก็เน้นที่จิต

เวลาปฏิบัติอานาปานสติ ทำกายสังขารนี้ให้สงบ ปัสสัมภยังกายสังขารัง ก็ไปเข้าใจว่า กายเป็นภายนอก ก็ไปนั่งสมาธิอย่าให้กระดุกกระดิกเป็นกายสังขารสงบ ก็ผิดถนัด จะปฏิบัติสติปัฏฐาน รู้กายวิญญัติก็เอาแค่เป็นรูปร่างภายนอกเท่านั้น

อย่างอาตมาแสดงออกนี้เป็นท่าที ลีลา นัจจะ คีตะ วาทิตะ เพื่อสื่อให้เห็นจิตไม่ใช่ให้รู้แค่ร่างนอก อาตมาจึงไม่สนใจว่าจะเป็นอย่างไรภายนอกนัก แต่ให้คุณเข้าใจได้ก็แล้วกัน ทั้งสามสภาพภายนอกให้สื่อถึงภายใน ผู้เข้าใจกายวิญญัติแล้วใช้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเข้าใจว่ากายวิญญัติเป็นแค่ภายนอกเท่านั้นไม่มีนามมาเกี่ยวก็ผิดเลย ทั้งหมดภายนอกคือมีใจเป็นประธาน มโนเป็นประธานทั้งนั้น

ยิ่งคำว่ากายกลิ แปลว่าองค์ประชุมที่ก่อโทษภัยในจิต ก็คือตัวกิเลสแท้ แต่ไม่รู้จักเพราะไม่เข้าใจคำว่ากาย จะมีมือไม้ขาแข้งเป็นกิเลสได้อย่างไร ก็ไม่ไปอ่านอาการของกายกลิ คือองค์ประชุมที่เป็นโทษในจิตมโนวิญญาณ

ทั้งที่ในพจนานุกรมบาลีบอกว่า กายคือกองของเวทนาสัญญาสังขาร แต่เวลาปฏิบัติกายในกายก็ไม่เกี่ยวกับจิตเลย ตัดจิตเลย ก็หมดสิ้นทางเลยที่จะบรรลุธรรม แค่นี้น่ะ เพราะเข้าใจรูปนามผิด กำหนดผิด กำหนดรู้กายที่ควรเข้าถึงจิตแต่ว่าไปกำหนดแค่ภายนอกก็หมด จะทำกายอภิสังขาร เป็นกายสังขารก็ไปพิจารณาให้ร่างอยู่นิ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เท่านั้น จริงว่าข้างนอกต้องสุจริตก่อน แต่เนื้อแท้ต้องหาข้างใน

แม้ที่สุด จิตท่านบริสุทธิ์แล้วแต่อาการข้างนอกมันดูหยาบ แต่จิตอาตมาบริสุทธิ์ แต่ให้จิตเป็นจริงให้ได้ก็แล้วกัน อรหันต์ทุกองค์หยุดจิตไม่ปรุงได้ไม่สังขารต่อ หยุดเฉยวางได้ อรหันต์ทุกองค์ต้องทำได้ ทำไม่ได้ไม่ใช่อรหันต์ แต่ถ้าหยุดอย่างสมถะกดข่มได้ไม่ใช่อรหันต์ เขาอาจทำเก่งได้ ทั้งเร็วและนานด้วยแต่ไม่ใช่การบรรลุธรรม อย่างฤาษีนี้เก่งทำได้แต่ไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่พลังปัญญาที่ทำให้หยุดระงับทำให้เกิดเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

เขาทำได้แต่เข้าไปหยุดสะกดจิตหยุด แต่ของพระพุทธเจ้าออกมาเห็นแจ้งทุกอย่าง แล้วกิเลสหลุดด้วยไฟฌาน มีพลังปัญญาสลายได้ นี่คือแนวลึก

เพราะฉะนั้นพอบอกว่ามนุษย์เทวดาดาวดึงส์ ก็ไปคิดถึงเทวดาลอยฟ่อง จะไม่เห็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทศเลย เพราะเข้าใจกายไม่ได้ เห็นเทวดาเป็นรูปร่าง ไม่ใช่เห็นอาการของนามธรรม อาการของจิตที่เจริญ อาการของจิตที่ไม่มีกิเลส ก็ไม่ได้อ่านศึกษาตรงนี้ แต่ศึกษาตื้นๆ เพราะเข้าใจไม่หมดไม่ครบ จึงอ่านผิด อ่านกายเข้าไปถึงจิตเจตสิกแท้ๆไม่ได้ เพราะค้างที่กาย ไม่ทะลุคำว่ากาย ไม่เข้าถึงจิต เพราะเข้าใจผิด กายนี่ลึก มีแต่จิตไม่คำนึงถึงร่างภายนอกได้เลย แต่คำว่ากายนี้ จะต้องเรียนจากข้างนอกไปก่อน

ข้างนอกต้องบรรลุก่อนแล้วจะเข้าถึงจิตภายใน เช่น บรรลุกามภพ ก็ไม่ต้องทำอีกในภายนอก มีแต่เข้าหารูป หาอรูป ไม่ใช่รูปร่างแต่เป็นอาการ เข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก็สิ้นทางบรรลุสูงสุด อาจได้ผิวเผินเล็กน้อย ราคะโทสะโมหะบางอย่างระงับได้ ถึงอาสวะบ้างอย่างแต่ไม่ถึงวิโมกข์

วิโมกข์ 8 เขาอธิบายกันหมายถึงนั่งสมาธิไปหมด แต่ที่จริงไม่ได้นั่งหลับตานะ ถ้าเข้าใจว่ากายคือภายนอก ก็สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าไปเข้าใจว่ากายที่พระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วคุณเข้าใจว่ากายคือภายนอก ดังนั้น ฌาน สมาธิคุณต้องสัมผัสภายนอกด้วยสิ แต่เขาก็ไปนั่งสมาธิทำวิโมกข์

เราจะรู้ว่าเราเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ ก็ต้องอ่านอาการลิงค นิมิต อุเทศได้ ปฏิบัติไปตามลำดับ อ่านพฤติของกาย คือองค์ประชุมออก ถ้าองค์ประชุมภายนอก มีนัจจะ คีตะ วาทิตะครบ แต่ไม่ทิ้งใจเลย มีใจประกอบเป็นประธานด้วย กำหนดท่าทางลีลาองค์ประกอบดินน้ำไฟลมทั้งหมด มีสุ้มเสียงสำเนียงภาษาครบ เรียกว่ากายวิญญัติ แต่ถ้าเป็นพระบางองค์ขยับแต่ปากก็ได้แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ จะเรียกว่าสื่อให้รู้แต่เสียงกับคำพูดภาษา นั่นคือ วจีวิญญัติ คือสื่อจากใจถึงใจ ใจสั่งให้ร่างพูด เพื่อให้เข้าไปรู้ถึงใจ ไม่ใช่รู้แค่ภาษาสำเนียงมีนัจจะ คีตะด้วย เป็นปฏิฆสัมผัสโสให้ไปรู้นาม องค์ประชุมของนาม ไม่ใช่แค่รูป ใครฟังธรรมอาตมาแล้วเข้าถึงนามธรรมของตนเองได้ก็เจริญ

พูดถึงกายทีไร ถึงจิตมโนวิญญาณทุกที นั่นถูกตามพระพุทธเจ้าว่าแล้ว ต้องปฏิบัติได้จริงด้วยไม่ใช่ได้แค่ภาษา จะรู้จักเทวดา มาร พรหม ว่าคือเรื่องจิต มโน วิญญาณ​ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นนามกายได้ นามนั้นถือว่าเป็นรูปได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน วิชชาจรณะ จะไม่อ้างชาติหรือโคตร

วิชชาจรณสัมปทา

อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉน? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา อาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้ เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล

อัมพัฏฐมาณพทูลถามซ้ำว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉนเล่า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบย้ำว่า พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ (ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/162-163/92-93)

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้นในโลกถือว่าเป็นธัมมสามี คือเจ้าของธรรมะ พระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ปรินิพพานไปแล้ว ปัจจุบันก็มีแต่พระพุทธเจ้าองปัจจุบันเท่านั้น

อาตมายังไม่ใช่เจ้าของธรรมะ อาตมาแสดงแต่วิชชาจรณะ แต่คนไม่มาฟังนี้คือคนมีมานะ แม้คนเล็กคนน้อยก็มีมานะ ไม่ต้องพูดถึงคนใหญ่โตเลย

ฆราวาสคับแคบนั้น คือคุณไปหลงแต่ก้อนทองก้อนเพชรก้อนขี้ ไปอยู่แต่ตรงนั้นนั่นคือฆราวาส พวกวงฆราวาสคือพวกอยู่กับก้อนขี้ อยู่กับก้อนเงินก้อนทองก้อนทรัพย์สินนี่แหละ อะไรที่มันเริ่มมารวมกัน ถ้า0 กับ 1 มันมีส่วนสองอยู่ ไม่จับกัน แต่ถ้าจับกันเป็น 1 ก็คือ ฆ เป็นคณะ เอารากศัพท์บาลีมาจับให้ฟัง

ฆราวาสคับแคบ คือไปวุ่นวายกับทรัพย์สินเงินทองก้อนกิเลส ก็ต้องออกมาบวช เป็นทางโปร่งกว่า ผู้ใดมาสู่ชุมชนอโศกทุกแห่งยินดีต้องรับ ที่นี่เป็นทางบรรพชา แม้คุณไม่มาปลมผม ไม่มาปฏิญาณเป็นนักบวช ก็ถือไปตามลำดับ สมาทานไปตามลำดับ ปฏิบัติจริงจังเลยทำให้เกิดวิมุติให้ได้ หลักปฏิบัติคือศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้วิมุติให้ได้

ที่นี่เป็นทางโปร่ง วนบ.ทั้งหลายคือผู้บรรพชา คือกำลังเอากิเลสออก ไม่ต้องติดยึดรูปร่างภายนอก ปฏิบัติวิชชาจรณะ คนที่จะไปวุ่นวายทางเคหะ ฆ คือจะบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดส่วนเดียวไม่ได้ มาทางนี้เบาว่าง ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ถ้าเป็นรูปธรรมก็มาปลงผมปลงหนวดเลย

มีคุณผึ้ง พิมพ์เพชรรุ้ง ตัดผมสั้นฉลองปีใหม่เลย ผู้หญิงนี้อิรุงตุงนังเรื่องพวกนี้ สิงโตตัวเมียไม่มีขนมาก มาเป็นคนก็ยังติดยึด ผู้ชายนี่ถ้าไว้ผมก็ดำขลับกว่าผู้หญิงเลย ก็เลยปล่อยให้ผู้หญิงเขารักผมไป

กุศลคือความดีตามสมมุติสัจจะ กายกับวาจาไม่ใช่บุญ กายกับวาจาคือกุศล ถ้าถึงใจละกิเลสได้เมื่อไหร่จึงเกิดบุญ ถ้าไม่ชำระจิตสันดานตนจากกิเลสไม่ใช่บุญ

และการอยู่กับหมู่มิตรดีสหายดีจึงจะทำความวิเวกได้

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น    

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

อุปสัมบันคือผู้ที่อาตมาว่าไม่ใช่แค่ออกบวช แต่หมายเอาภูมิธรรม แต่ท่านประยุทธ์ ปยุตโต ว่าต้องเป็นผู้บวชเท่านั้นถึงเป็นอุปสัมบัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีลข้อ1-6

จุลศีล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงใน พรหมชาลสูตร มีดังต่อไปนี้

  1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ

วางสาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

พ่อครูว่า...อาตมาพาพวกเรามาเลิกกินเนื้อสัตว์ จิตหิริโอตตัปปะของคุณจะเกิดจริงๆ เห็นสัตว์ตกโถส้วมก็ยังช่วยมันเลย ดีไม่ดีรีบเอามือจ้วงช่วยเลย แต่ก่อนนี้มีแต่ราดน้ำซ้ำอีก อำมหิตน่าดูเลย พอมาเลิกกินเนื้อสัตว์คุณจะเกิดจิตหิริโอตตัปปะเลย จะเกิดความเอ็นดูกรุณาสัตว์ ผู้เกิดร่วมสังสารวัฏ

 

  1. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขา

ให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่

พ่อครูว่า...ถ้าจะรับก็รับแต่ของที่เขาให้ แม้อดข้าวมาสามเดือน ก็ต้องทำใจถ้าเขาไม่ให้ คือต้องการแต่ของที่เขาให้ ต้องการข้าวมากินเหลือเกิน เขาให้ก็อนุโมทนา ต้องถาม อ.ประมวลที่มียายทำข้าวกับแกงเผ็ดมาให้ อ.ประมวลซาบซึ้งมากกับคำว่าต้องการแต่ของที่เขาให้ ถ้าเขาไม่ให้อย่าไปเอาของเขา 

         

  1. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์

ประพฤติห่างไกลเว้นจากเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน

          พ่อครูว่า...เราก็ทำการเสียสละ แล้วไม่ต้องจดจำเป็นบุญคุณ สิ่งที่เราทำออกไปมีคุณค่าประโยชน์ในตัวแล้วไม่ต้องจำหรอก เพราะสัจจะนั้นบันทึกไว้อยู่แล้ว ทำแล้วเป็นสัจจะของมันเอง เราเสียสละนั่นแหละเราได้ ในหลวงท่านก็ตรัสสั้นๆ ตนพึ่งตนเองรอด แล้วเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้เราคือพระเจ้า คือโลกนาถ ก่อนอื่นก็โลกเล็กๆก่อนแล้วค่อยขยายโตขึ้นๆ โลกของชาวอโศกก็เป็นที่พึ่งของสังคมได้ประมาณหนึ่ง เราก็จะพากเพียรทำให้มากกว่านี้ เพื่อเผื่อแผ่เกื้อกูล ไม่ใช่เอาสิ่งที่เราทำได้ไปแลกลาภ เอาเปรียบเอารัด เราก็ให้ได้เท่าที่เราทำได้

          พาทำถึงทุกวันนี้ได้ และจะทำต่อไป ความประพฤติที่สะอาดให้สูงสุดได้เป็นอรหันต์ ของเราก็เป็นสิ่งนอก (อัตนียา) แต่ถ้าตัวเราก็เนียนเข้ามาหาในเลย (อัตตา)ถ้าเราไม่มีตัวเราของเราก็มีแต่ขันธ์ 5 ที่เหลือทำประโยชน์แก่คนอื่นไป เราทำเกินกินใช้เพื่อเผื่อแผ่คนอื่นตลอด เราทำได้มากก็เป็นกุศลของเราไป กุศลก็เกิดเองตามจริง อกุศลก็เกิดเองตามจริง

 

  1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวชม

อย่างนี้ว่า

พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดคำจริง ดำรงคำ

สัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อ ไม่พูดลวงโลก

พ่อครูว่า...พวกสื่อสารมวลชนนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่หาเรื่องให้คนทะเลาะกันจะได้มีข่าวขายข่าวได้อีก

 

  1. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียดฟังจากข้างนี้แล้วไม่

บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่บอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกกัน สมานคนที่แตกกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนที่พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน

          พ่อครูว่า...ผู้ที่รู้ว่าควรตำหนิอะไร ไม่ควรตำหนิอะไร เป็นผู้มีปัญญาใดๆที่คอยตำหนิ พระพุทธเจ้าว่าคบคนเช่นนี้จะมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย ยุคนี้อาตมาจำเป็นต้องกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ไม่ได้โกรธเคืองใครเลย แต่สงสารเขา อาตมาเวทนาเขา อยากให้มาเรียนรู้เวทนาที่หลงทั้งผลักทั้งดูดอยู่นี่ ยุคนี้จึงเป็นยุคที่ยากที่ต้องพูดเรื่องทุจริต พูดอย่างไรก็กระทบเขาเพราะคนผิดมีมาก

          ก็เอาแต่คนที่เข้าใจ เห็นว่าเราปรารถนาดีก็จะได้ประโยชน์ อาตมาว่าแสดงอย่างนี้ไม่ได้เข้าใจผิด ทุกวันนี้คนดื้อกิเลสหนา จึงต้องกระแทกให้แรง กระแทกเบาไม่เข้า จำเป็นต้องทำ จะบอกว่าแก้ตัวก็ได้จะทำเช่นนี้ จริงๆแล้วอาตมาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเป็นคนสนุก แม้แต่คำว่ากูมึง ก็ไม่พูด เพื่อนเขาก็พูดแต่อาตมาพูดไม่ได้ พูดได้อย่างเก่งก็ข้าเอ็งหรืออั๊ว ลื้อ พูดมึงไม่ได้

          อาตมาทำสงบเรียบร้อยเป็น บวชใหม่ๆนั้นทำการสุขุมเรียบร้อยสงบหลายปีถึงค่อยมาถอดร่างเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นกวนอูหน้าแดงถือง้าว ทวน 80 ชั่ง

 

  1. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ

เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนโดยมากรักใคร่ ชอบใจ

พ่อครูว่า...คนที่พูดกับเพื่อนด้วยจริงใจ ภาษาดูว่าหยาบแต่ใจเขาไม่ได้หยาบ ใจสนิทจริงใจกับเพื่อนจริงๆ บางคนซื่อสัตย์สุจริตรักกันมาก แต่พูดคำพวกนี้จนกระทั่งไม่พูดคำพวกนี้ก็ว่าไม่รักกันจริงอีก แล้วเป็นจริงด้วย ถ้าวันใดไม่พูดคำแบบนี้ก็หาว่ากินยาผิดหรือโกรธกันหรืออย่างไร นี่คือการกำหนดยึดถือ

ข้อสำคัญคือคำไม่มีโทษ แต่แปลว่าคำเพราะหูคำชวนให้รักถือว่าเป็นแค่นักจีบธรรมดาน่ะ อาตมาทำไมต้องชื่อรัก ทั้งๆที่อาตมาชื่อมงคล สมเด็จองค์แรกของเมืองอุบลฯนี่ตั้งให้ สมเด็จติสโส(อ้วน) จนเป็นระดับสมเด็จเป็นรมต.มหาดไทยของสงฆ์นะ เป็นคนตั้งชื่อให้อาตมา ลุงอาตมาเป็นลูกศิษย์ท่าน อาตมามีนามปากกาว่า รัก พงษ์มงคล อาตมาแต่งเพลงใช้นามปากกาแรกว่า ยุบลรัตน์ แล้วค่อยมาใช้

รัก พงษ์มงคล

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:01:17 )

590204

รายละเอียด

590204_พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่อง จุลศีล มัชฌิมศีล

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม เราก็มาศึกษาเล่าเรียนเพิ่มภูมิปัญญา เพิ่มฐานะของความเป็นมนุษย์ ก็หมายความว่าเรารู้จักความเป็นมนุษย์ ชนิดที่รู้ถึงปรมัตถ์ เข้าไปถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นมนุษย์หรือจิตสูงจิตประเสริฐ รู้จักประโยชน์ในความเป็นชีวิต จนเป็นคนมีประโยชน์ถ่ายเดียว เรียกว่าพหุชนหิตายะ สร้างประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติไม่มีโทษไม่มีภัย ไม่มีสิ่งเสียหายอะไรสำหรับท่านเลย

ไม่ง่ายทีเดียวแต่เป็นเรื่องจริง เรื่องประเสริฐยิ่งใหญ่มาก ทุกวันนี้คนอ่อนแอในทางภูมิปัญญา ถูกอำนาจโลกโลกีย์ครอบงำดึงลงต่ำ จนปัญญาเลอะเทอะ ปัญญาความรู้ที่ควรจะรู้ทั้งที่เป็นพุทธศาสนิกชน แล้วก็เรียน เสร็จแล้วก็ได้ลาภได้ยศ ได้ชั้นของความเป็นโลกโลกและออกไปบำเรอ ไปสร้างความต่ำให้แก่ตนเองต่อไป มันน่าสังเวชใจ ที่พูดอยู่ในแวดวงศาสนาพุทธ แต่ใช้ความรู้ของพระพุทธเจ้า จริงๆแล้วไม่ได้ใช้ความรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ใช้เล่ห์กล ใช้กิเลสของตนเอง เอาภาพของพระพุทธเจ้าบังหน้า แล้วใช้กิเลสของตนเองนั้น สร้างกิเลสทับถมตนเอง สร้างโทษภัยให้สังคมประเทศชาติสังคมโลก

อย่างเหตุการณ์ในเมืองไทย มันเห็นชัดเจนมากสำหรับผู้ที่ควรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำ เป็นผู้ที่เป็นตัวอย่างสำคัญเป็นไอดอลของศาสนาพุทธ ที่ยกว่าเป็นเบอร์ 1 ของวงการศาสนาเสร็จแล้ว ทุเรศทุรังการ มันน่าเศร้าจริงๆในวงสังคมศาสนาพุทธ ของเมืองไทย

 ถ้าพูดอย่างความรู้สึกของคนคนนะมันสุดจะเจ็บแสบ ก็ต้องช่วยกันตัดไฟแต่ต้นลม อาตมาก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่ทางราชการตั้งด้วยซ้ำไป

 

มาดู Sms 2ก.พ.59 บ้าง

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯนำพระตปฎ.มาสอนพร้อมกับคำแปลพาหุง  มหาการุณิโกที่ผู้น้อยสวดทุกคืนก่อนนอนสาธุ

พ่อครูว่า...อาตมาสบายใจที่ได้นำหลักฐานเบอร์หนึ่งของโลกสำหรับศาสนาพุทธมาอธิบาย อันไหนไม่ตรงก็ติงไปบ้างแต่ถือว่าใช้ได้มากแล้ว ก็เป็นการฟื้นดึงเอาสัจจะหลักฐาน ที่เป็นพุทธสัจจะขึ้นมากอีก อาตมาก็ตั้งใจจะทำไปนานเท่านาน พระไตรปิฎกมีอีกเยอะ อ่านไปได้อีกจนตาย ตอนนี้วนอยู่ที่ศีล ซึ่งเป็นธรรมนูญของศาสนาพุทธ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน องค์ธรรม 5 ของอุเบกขา

0893867xxx คนที่จะทำปชธต.คืออำนาจใหญ่ยิ่งเป็นของปชช. คงมีแต่คนที่มีจิตปริโยทาตาที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาจรณะจริงดังพ่อครูกล่าว!

พ่อครูว่า...ใช้ศัพท์อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในห้าของอุเบกขาเลย ซึ่ง

อาตมาหยิบมายืนยันอธิบายตลอด อันนี้แสดงถึงภูมิคนเขียนว่าเข้าใจอุเบกขาได้ไม่ใช่น้อย คำว่าจิตมีปริโยทาตาคือจิตที่มีอุเบกขาฐาน สามารถบรรลุฌาน 4 เป็นจิตเอกัคคตา ผู้ที่ได้จิตเอกัคคตาแล้ว เมื่อเริ่มต้นได้ก็รักษาผล หรือปฏิบัติซ้ำ เพื่อตกผลึกในคุณธรรมวิเศษ ที่สามารถทำได้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาแล้ว จิตมีองค์คุณ 5 ของอุเบกขา ในวิภังคสูตร (เล่ม 14 ข้อ 690)

1.ปริสุทธา  2.ปริโยทาตา  3.มุทุ  4.กัมมัญญา  5.ปภัสสรา

          ปริสุทธา บริสุทธิ์ คำนี้คนไทยก็เข้าใจดี สะอาดจากกิเลสนิวรณ์ห้า

          ปริโยทาตา คำนี้ท่านแปลว่าผุดผ่อง หรือท่านพุทธทาสว่าขาวรอบ เพราะงั้นเวลาปฎิบัติมากขึ้น ก็จะมีคุณสมบัติอันนี้ ตกผลึกซ้อนๆ ก็ยิ่งบริสุทธิ์ขาวรอบขึ้นชัดเจนขึ้น เป็นคนที่มีจิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเป็นฐานอรหันต์ ก็ทำงานไป ปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้หยุดทำงาน ในขณะพูดเป็นสัมมาวาจา ในขณะคิดมีสัมมาสังกัปปะ ก็มีจิตวิเคราะห์วิจัย เป็น analysis ไม่ใช่ hypnosis อันนั้นเขาไปสะกดจิตให้เกาะที่หนึ่งเดียว เป็นการสะกดจิตตรงๆไม่ใช่พุทธ

เมื่อปฏิบัติถูกต้องของพระพุทธเจ้า ได้ผลเป็นฌาน 4 เป็นสัมมาสมาธิ ก็จะบริสุทธิ์ แล้วเสริมเติมความบริสุทธิ์เรียกว่า ปริโยทาตา ในการปฏิบัติมรรค 7 องค์

จิตก็จะยิ่งแคล่วคล่องว่องไว เป็นมุทุ เจริญ เป็นกายปาคุญญตา มีธรรมะสองไปตลอดเวลา แล้วจะเกิดความชำนาญในธรรมะสอง มีความรู้รอบเร็วไว จิตก็ยิ่งดีมาก แคล่วคล่องว่องไวทั้งเวทนาสัญญาสังขาร เรียกว่าหมวดเจตสิก 3 ที่เป็นเจตสิกของวิญญาณ ก็ยิ่งเจริญยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า ปริโยทาตา แล้วตัวจิตเองก็เรียกว่า มุทุตา ความเจริญเป็นมุทุ ที่อาตมาแปลว่าจิตหัวอ่อน ทางเจโตเป็นจิตหัวอ่อนก็แววไวปรับได้ง่าย จะมีตัวรู้ปัญญาที่รู้เร็วไวปรับได้ง่าย ไม่ใช่กระด้างแข็งทื่อเลย

เป็นจิตกายกัมมัญญตา เป็นธรรมะสอง เพราะเป็นกาย มีองค์ประชุมรูปนาม ประกอบกรรมทำการงาน โดยมีสติ รู้จิตของตนว่า ตนใช้จิตเรา จะสังขารอย่างไร อภิสังขารอย่างไรให้จิตเราเป็นอย่างไร ก็มีจิตเป็นประธาน เป็นจิตที่อุเบกขา

จิตที่มั่นคงดีแล้ว จะทำงานกับสังคมอย่างไรก็ปภัสสรา ท่านแปลว่าผ่องแผ้ว กระทบอยู่กับโลกนี่แหละ แต่โลกธรรมไม่ทำให้จิตหวั่นไหว

องค์คุณ 5 ประการของพระพุทธเจ้านี้จึงสำคัญมาก อาตมาว่าตั้งแต่อนาคามีถึงอรหันต์ จิตจะมีคุณสมบัติเช่นนี้แน่นอน

 

Sms 3 ก.พ.59

0892297xxx ลูกอยู่ไกลแต่ชอบฟังพ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้าเย็นทุกวัน ไม่มีเบื่อเลยเจ้าค่ะเบิกบานเข้าใจดีและพากเพียรทำเจ้าค่ะ

 

0893867xxx พ่อครูสอนการปฏิบัติไปสู่ความเป็นพุทธแท้ตามพระตปฎ.เล่ม9ทุกพระสูตรที่รวมกันในไตรสิกขามีจรณะ15วิชชา9!

 

สมณะบินก้าวแจ้งมาทางไลน์ว่า..

แจ้งข่าว ครูทราย ที่เคยขอให้พ่อครูอธิบายเพลง อาจารย์เธอเอาด้วย ตอนนี้กำลังบรรเลงจัดหมวดหมู่ว่าเพลงพ่อครูแต่ละเพลง แล้วอธิบายออกมาเป็นหลักวิชาการ บางเพลงก็คิดออกไง ตอนนี้ บางเพลงก็คิดไม่ออก

จุดหมาย คือ แต่ละเพลงตรงกับทฤษฎีอะไรในญาณวิทยา

ทฤษฎี ในญานวิทยา 1. เหตุผลนิยม 2. ประจักษ์นิยม 3.เพทนาการนิยม 4. อนุมานนิยม 5. อัชฌัติกญาณนิยม 6. จิตนิยม 7. สัจนิยม 8. ปฏิบัตินิยม

เธอถามมาบ่อย ๆ เช่น ครูว่ามันเข้ากับทฤษฎีไหนค่ะ? เพลงฝั่งฟ้าฝากฝันช่วยหนูคิดหน่อย นู๋สมองตันไปหมดแล้ว

พ่อครูว่า...ลองมาคุยกันดู อาตมารู้สึกสนุก ถ้าทำเป็นวิชาการยิ่งดีอยากอธิบาย อยากคุยด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีลข้อ 7-26

มาต่อในจุลศีล จากเมื่อวาน

(7)  เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถพูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

(8) เธอเว้นจากการพรากพืชคามและภูตคาม

 

(9) เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล

 

(10) เธอเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล

พ่อครูว่า...ทุกวันนี้ออกข่าวการบันเทิง กีฬานี้ลงทุนหนัก ทั้งที่เป็นอบายมุข จนทำเป็นอาชีพที่เป็นนรกปหาสะ แต่ถ้าเราสัมผัสการละเล่นอะไรก็ตามมันทำให้กิเลสฟูฟองไม่ละหน่ายคลาย นั่นคือการเป็นข้าศึกแก่กุศล แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้วหลงตนว่าเป็นศิลปิน ซึ่งที่จริงศิลปะแท้จริงมี 5 แขนงหลัก แต่ทุกวันนี้เลอะเทอะไปหมดแล้ว แล้วไม่เข้าใจว่า งานที่ทำมาไม่ว่าจะแง่ไหน คนสัมผัสงานแล้วอย่าให้เกิดกิเลสอันเป็นข้าศึกแก่กุศล ถ้าคุณเขียนรูปโป๊เปลือยแล้วคนสัมผัสแล้วกิเลสลดเป็นมงคลอันอุดม กับคนสัมผัสแล้วกิเลสขึ้น เป็นข้าศึกแก่กุศล

อาตมาแบ่งศิลปะเป็น 1. ลามก 2. ราคะ 3. สาระ 4. ธรรมะ 5. โลกุตระ

แต่งานของเขาที่ลามกหรือยั่วราคะก็ไม่ใช่ศิลป์ แต่เริ่มมีสาระก็เป็นศิลป์ ต้องมีสุนทรียศิลป์และสารศิลป์ผสมผสานกัน สุนทรียศิลป์คือสิ่งผสมที่ชี้ชวนให้ชมให้ดู แต่ถ้าสารคดีก็จะมีวิชาการแท้ๆ แต่ศิลปะต้องมีทั้งสาระและสุนทรียะ แต่คนต้องไม่ให้ติดในสุนทรียะ เช่น ยานั้นขมไม่น่ากิน ก็เลยเอาน้ำตาลเคลือบใส่สี ให้เด็กกินได้ ผ่านคอแล้วเป็นยา สีหรือน้ำตาลไม่เป็นพิษภัยด้วย แต่ทุกวันนี้เยิ้มเลย น้ำตาลสีสัน เต็มไปด้วยสุนทรียะ แล้วหาเอกลักษณ์ของตนให้คนมาติดงานของฉัน

ทุกวันนี้มอมเมากันด้วยการกีฬาถึงขั้นเป็นโอลิมปิค แข่งกันเด่นดังมอมเมากันจัดจ้านหรูหรายิ่งใหญ่ พากันฉิบหายกัน มอมเมาด้วยจิตหลงใหลได้ปลื้มไม่เข้าใจถึงสาระ

ชาวอโศกเราเข้าใจสัจธรรม ไม่ได้ไปยิ่งใหญ่พวกนี้ เด็กๆฟังให้ดีๆ อย่าไปหลงใหล มันเป็นแค่สิ่งประกอบ เป็นการใช้อาศัยอยู่ relax นิดหน่อยแต่ไม่ใช่เป็นงานที่ต้องเอาเป็นอาชีพเลย ในการบันเทิงและการกีฬา ถ้าเอาไปเป็นอาชีพก็จะพัง อินเดียเขาเข้าใจสาระไม่ไปเอาเด่นดังทางนี้ ต่างกับจีน ที่ไปทางการกีฬาเยอะ ส่วนทางการบันเทิงอินเดียก็เชยๆส่วนจีนนั้นไปทั่วโลก

 

(11) เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอมและเครื่องประทินผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว 

พ่อครูว่า...เรื่องดอกไม้ศาสนาพุทธไม่เอามาบูชา ดอกไม้ ของหอม ผู้หญิง เป็นวัตถุที่อย่าไปยุ่งเกี่ยว พวกนี้ไม่ใช่เครื่องบูชา ให้ปฏิบัติบูชา ศาสนาทั่วไปใช้ดอกไม้กันทั้งนั้น เป็นวัตถุอนามาสทั้งนั้น โดยเฉพาะดอกไม้ของหอมเต็มวัดเต็มวา เป็นเรื่องนอกรีตกันทั้งนั้น

 

(12) เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่

พ่อครูว่า...เป็นเครื่องแสดงศักดิ์ฐานะ จะเป็นอุปโภคอะไรที่หรูหราใหญ่โตที่โลกเขาใช้กัน อย่างธรรมกายเป็นตัวอย่างอันนอกรีตไปไกลทั้งรวยหรูหราประดิดประดอย เต็มคราบ ล้มล้างของพระพุทธเจ้าสิ้นเชิงเลย

 

(13) เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน

 

(14) เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ

 

(15) เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ

 

(16) เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี

 

(17) เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส 

พ่อครูว่า...ภิกษุในศาสนาพุทธมีลูกศิษย์คือทาสและทาสีไม่ได้ แต่ในวัดจะมีลูกศิษย์มารับใช้แล้วหาเงินส่งเสียให้เด็กเรียนหนังสือ ไม่ใช่มาศึกษาธรรมะนะ ถ้ามีคนมารับใช้เป็นลูกศิษย์ หาเงินให้ร่ำเรียนจบไปเป็นบุญคุณกันไป อันนี้ภิกษุไม่มีหน้าที่นี้ ผิดถนัด

แต่ถ้าเขามาเพื่อศึกษาธรรมะอันนี้เป็นลูกศิษย์แท้ไม่ใช่คนรับใช้ ผู้รู้เนื้อหาแท้ก็จะไม่ทำ แต่ทางโลกจะทำบ้างก็แล้วแต่ แต่ภิกษุไม่มีหน้าที่เลย

 

(18) เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ

พ่อครูว่า...จะต้องอาศัยขนและนม

 

(19) เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร

พ่อครูว่า...อาศัยเพื่อฆ่ากินเลย

 

(20) เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา 

พ่อครูว่า...อาศัยเพื่อใช้แรงงานของมันเลย ยิ่งไปเลี้ยงแบบสัตว์เลี้ยงแล้วผูกพันกันจะเกิดเวรกรรมอจินไตย ถ้าคุณเริ่มผูกพันไปกับสัตว์ตัวนี้ เช่น ผูกพันกับหมา กับหมู กับไก่ มันเป็นสัตว์เดรัจฉานที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่จะมาเป็นคนได้ง่ายๆ คนได้คุณสมบัติได้ร่างเป็นคนแล้วก็เป็นคุณสมบัติอันหนึ่งเป็นขีด เสร็จแล้ววิบากตัดก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก แต่สัตว์ที่ไม่เคยเป็นคนเลย ไม่ถึงขีดเป็นคน ชั้นต่ำ แต่ก็เอามาเลี้ยงจนผูกพันไปอีกหลายชาติ คุณจะผูกพันไปจนสมสู่กับสัตว์ อย่าทำเป็นเล่นไป มีจริงด้วย และมันดีนักหรือที่คนต้องสมสู่กับสัตว์ อย่าไปผูกพัน เรารู้ไม่ได้ว่าสัตว์นี้จะอยู่ระดับไหน แล้วมันจะเกิดมาอีกหลายชาติ คุณต้องเกิดมาอีก สักวันหนึ่งจะได้สมสู่กับสัตว์ ผู้หญิงก็ได้สัตว์เป็นผัว ผู้ชายก็ได้สัตว์เป็นเมีย

อย่าเอามาเลี้ยง ให้สัตว์มันเกิดมารับวิบากไป ส่วนตนเองที่เกิดเป็นคนแล้ว

กลับเป็นสัตว์อีกก็ไปรับวิบากไป ยิ่งไปเลี้ยงมากิน มาขายมาฆ่า แล้วคุณจะไม่รับวิบากหรืออย่างไร

แค่วิบากกับคนนี่ก็เยอะแยะไม่ถ้วนแล้ว จนพระพุทธเจ้าว่า คนที่เกิดมานี้หาได้ยากที่จะไม่ได้เป็นพ่อแม่พี่น้องกัน เพราะคนในยุคที่เกิดมาในยุคเดียวกันก็จะมีวิบากร่วมกัน เป็นเทือกเขาเหล่ากอกัน โดยเฉพาะเป็นสัตว์ด้วย พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็เกิดมาเป็นสัตว์เราจะไปกินได้อย่างไรเนื้อพ่อแม่พี่น้องญาติเรา

 

(21) เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน

พ่อครูว่า...มีคนเอาที่ดินมาถวายอาตมา จนเดี๋ยวนี้เป็นที่ดินชาวอโศก อาตมาไม่เคยรับมาเป็นของตน ไม่ใส่ชื่อตนเลย ไม่เคยคิดเลย รับมาก็เป็นของชาวอโศกส่วนกลาง เป็นเรื่องลึกซึ้งวิเศษมาก เพราะตอนนี้ที่ดินนั้นเป็นเจ้าของกันหมดละเมิดกันไม่ได้ แม้วันนี้ก็มีคนมาละเมิดที่ดิน เราก็ต้องไปดูว่าละเมิดหรือไม่

ใครจะมาบริจาคที่ดินให้ชาวอโศกก็ไม่ให้ตั้งเงื่อนไข ถ้าจะมาถวาย แต่ถ้ามีเงื่อนไขก็ไม่รับ แม้แต่เราจะเอาไปทำอะไรจะเอาไปขายก็แล้วแต่ ที่นี่แม้ผู้จะมาบวชเป็นพระ พอเริ่มต้นเป็นเณรก็ต้องไปสละทรัพย์ศฤงคารก่อน ของเราเข้มงวดขนาดนี้ ภิกษุเราไม่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน แม้สิกขมาตุก็เช่นเดียวกัน มาแต่ตัวกับหัวใจ โภคขันธาปหายะ แต่เดี๋ยวนี้หย่อนยานมากแล้ว

 

(22) เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้

พ่อครูว่า...จะไปเผยแพร่ศาสนาก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นไปเพื่อกิจแบบโลกๆไม่ได้ แม้ที่สุดไปรับใช้เอาค่าตอบแทนไม่ได้ คนรับจ้างนั่นคือคนรับใช้ ทำงานเพื่อเอาสิ่งตอบแทนคือคนรับใช้

คำว่า โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) คือคนรับใช้โลก อนุเคราะห์โลกช่วยโลกคือคนรับใช้ผู้อื่นจริงแต่ไม่ใช่คนรับจ้าง ผู้ใดไปทำงานให้เขาแม้จะเทศน์ให้ฟังแต่คุณก็รับเงินจากเขาอันนี้ไม่พ้นมิจฉาอาชีวะข้อ 5

กุหนาคือโกง ลปนาคือหลอกลวง เนมิตกตาคือหลอกลวง นิปเปสิกตาคือมอบตนในทางผิด  ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คือทำงานเอาลาภแลกลาภ แต่ไม่เอามาทำก็ล่อกันเละเลย

อย่างธรรมกายนี้หลอกลวงคนเก่งฉิบหาย เอาภพชาติหน้ามาหลอกคน คุณต้องเอาการล้างภพปัจจุบันเป็นสำคัญ แต่ไปสร้างภพชาติหน้าให้กัน ไม่ต้องพูดถึงอนาคต หากสัจจะคุณเป็นของแท้เป็นกุศลก็จะได้กุศลในอนาคตแน่นอน ส่วนในอนาคตนั้นจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ที่จริงที่สุดคือ กิเลสความต้องการอยู่ข้างหน้าคืออนาคต เส้นทางไปเถิดวันนี้พรุ่งนี้จะรวย หลอกกันไปด้วยการสร้างภพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อเขาความลดละภพชาติ เป็นการเอาภพชาติมาสะสมได้แก่คน การไปบอกว่าอนาคตจะได้อะไร ว่าข้างหน้าจะมีอะไรจะมีวิบากเป็นผลเป็นกุศล บาปก็มีกุศลก็มี แต่ไม่ต้องมาสร้างวิมานหลอกล่อเพราะมันเป็นภพชาติ แต่ให้มาเรียนรู้ปัจจุบัน ล้างภพชาติในปัจจุบันจะเข้าใจไปตามลำดับ

 

(23) เธอเว้นขาดจากการซื้อการขาย

 

(24) เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด

 

(25) เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง

 

(26) เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และกรรโชก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...เป็นความหมายของการทำร้ายตั้งแต่การตัดการฆ่า ไปเป็นลำดับ จุลศีลนี้ใช้ละล้างกิเลสส่วนตน แล้วมัชฌิมศีลเป็นการขยายรายละเอียดส่วนตนนี้เพิ่มขึ้นมีเกี่ยวกับเดรัจฉานกถา ส่วนมหาศีลเป็นศีลส่วนรวม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มัชฌิมศีลข้อ1-3

3.2 มัชฌิมศีล

(1) ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

(2) ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...อย่างของพวกเรานี้ สมณะจะฉันต้องได้รับประเคนจากฆราวาส ถึงกินถึงใช้ได้นะ มันอยู่ใกล้กันกับครัว บางทีก็เดินไปสังสรรที่ครัวไม่ใช่หน้าที่ของภิกษุ โดยเฉพาะเรื่องอาหารต้องให้ฆราวาสอนุญาตให้กิน แม้ฉันเสร็จแล้วก็ต้องคว่ำบาตรสะสมไม่ได้อาหาร มีบางอย่างที่เรียกว่ายา ยาวกาลิก ยาวชีวิก บางอย่างเก็บได้เท่านี้วันก็ต้องวิกัปอีก บางอันสะสมไม่ได้เลยด้วย

บางอย่างต้องเป็นบริขาร เครื่องอาศัยประกอบใช้ทำงาน แว่นตา ปากกา กระดาษ ดีไม่ดีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นบริขาร ก็ยากที่จะระบุตายตัว แต่ใจของผู้ที่มาปฏิบัติจะรู้ว่าต้องเอาออกไปไม่สะสม อย่าไปหวงแหนว่าเป็นของข้าๆ ต้องรู้สึกว่าเรารักเราชอบอะไรต้องตัดใจสละ ผู้ปฏิบัติต้องรู้ ของบางอย่างเราไม่หวงแหน แต่บางอย่างผ่องถ่ายไม่ทัน บางอย่างต้องเรียนรู้ต้องทำงานไม่ใช่สะสม ยิ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องบริหารทำงานก็เลยดูเหมือนมีอะไรตุนไว้ มีสภาวะซับซ้อน บริสุทธิ์อยู่ที่ใจ ต้องอ่านใจ ถ้าเราผูกพันหวงแหนมันเป็นของเรา ทั้งที่น่าจะเอาอื่นแทนได้ บางอย่างติดใจชอบใจ จะเป็นอะไรก็ต้องสละออกล้างออก ไม่เช่นนั้นจะผูกพันเป็นปลิโพธ ไปตลอด ปฏิบัติโภคขันธาปหายะ แค่ใช้สอย ต้องอ่านใจว่าตนติดยึด เราหวงแหนอาลัยอาวรอยู่เราต้องเรียนรู้อาการจิต ที่จะสละปล่อยเลิกยึดถือยึดมั่นแม้เนื้อหนังมังสาท่านก็ไม่ให้ยึดเป็นเราเป็นของเรา ถ้าไม่ฝึกตัดขาดจริง ไม่ได้เรื่องหรอก

 

(3) ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ (พ่อครูว่า...ยังมีน้ำหน้าทำอย่างนั้นอีกหรือ) คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพ กองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...อย่างโทรทัศน์นี่จะดู กว่าอาตมาจะตัดสินเอาโทรทัศน์มาตั้ง ตั้งแต่แรกๆ อาตมากำกับเลย ให้มีหลักเกณฑ์ในการดู

1. เกิดอาริยญาณ ต้องเห็นทุกข์

2. ทำการปฏิบัติ ต้องดูแล้วรู้เลยว่าอันนี้มันดึงกิเลสเรานะ รู้ทันกิเลส ต้องรู้ว่าถ้ามันจัดจ้านดึงเรามากก็เลิกดู ยิ่งมันเชิงรักดูดดึงอร่อยดี อันนั้นกิเลสกินตายเลย ทุกวันนี้สื่อสารฯมันเยอะ สัมผัสแล้วต้องปฏิบัติธรรม

3. อัดพลังกุศล อันไหนเป็นกุศลที่เราประทับใจก็ดี ทำใจในใจ ใส่ใจไว้

4. ฝึกฝนโลกวิทู เพิ่มพหูสูตร รู้เท่าทันโลก เราไม่เป็นคนตกโลก อันไหนแรงไปสัมผัสไม่ได้ก็อย่าไปสัมผัส ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ถ้าไม่ซื่อสัตย์มันทับถมเราตายเลย ต้องมีหลักเกณฑ์บังคับไว้บ้าง ป้องกันไว้สำหรับนักเรียน ชาวชุมชนหรือใครๆ

แม้แต่โทรศัพท์มือถือเราก็จำกัด ไม่ใช่เราบังคับกดขี่โดยไม่มีหลักปัญญา ทิดเดิมแท้เอาหลัก 4 อย่างนี้ไปเผยแพร่ในการดูที่ต่างประเทศ พวกนักบวชก็ว่ามีด้วยหรือประหลาดดี เขาก็ทึ่งว่าใช้ได้ๆ เพราะคนที่มีปัญญาจะรู้

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:02:01 )

590205

รายละเอียด

590205_พุทธศาสนาตามภูมิ อัมพัฏฐสูตร ตอน 4

พ่อครูว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 แรม 13 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม เราก็มาศึกษาชีวิต รู้จักชีวิตของเรา แล้วก็จะรู้จักชีวิตของความเป็นสัตว์ตั้งแต่ความเป็นมนุษย์ เราก็จะเข้าใจถึงสถานะต่างๆที่แตกต่างกัน เจริญต่างกัน สูงต่ำต่างกันชัดเจนขึ้น และจะรู้จักสมมุติสัจจะว่าอะไรควรหรือไม่ควร แล้วก็จะอยู่อย่างจัดสรรให้เหมาะควร เป็นกายกัมมัญญตา ทำงานร่วมไปกับคนอื่นได้ตลอดกาลนาน

ผู้รู้จักกายกัมมัญญตา องค์ประชุมของรูปนาม ทั้งวัตถุและจิต ที่ปรุงแต่งกันอยู่ ประมวลแล้วเห็นว่าจะต้องอยู่ร่วมด้วยพฤติกรรมอย่างไร โดยอนุโลมปฏิโลมด้วยปัญญาอันยิ่ง แล้วอยู่กับโลกอย่างไม่มีตัวตนไม่มีอคติ มีสัจจะในการประมาณปรุงแต่งสัดส่วน จัดองค์ประกอบ อย่างมีความรู้อย่างมีมงคล

ก็มีข่าวมรณะคุณแม่ของญาติธรรม ปู กัญญารัตน์ กุยสุวรรณ ตอนนี้เป็นดร. อยู่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่ได้ตั้งชื่อให้ว่า เพียงดาว ประดับดิน เคยเป็นนักร้องแชมเปี้ยนสยามกลการ เขาร้องเพลงให้ชาวอโศกมาตั้งแต่ต้นเลย จบดร.ทางพยาบาล ไปทำงานอาชีพไม่ได้มาหมกมุ่นกับเรื่องร้องเพลง แต่ก็ชอบร้องเพลงโดยไม่เอาเป็นอาชีพ

แจ้งกำหนดการงานของคุณแม่ ขณิษฐา กุยสุวรรณ (คุณแม่ของ ปู กันยารัตน์, กุ้ง รุ่งรัตน์, เจี๊ยบ สุรีย์รัตน์)

วัดธาตุทอง (สุขุมวิท 63 ปากซอยเอกมัย ตรงข้ามห้าง Gateway ลงสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย) ศาลา 12  (ศาลาหม่อมจันทร์ เทวกุล)

กำหนดพิธีสวดอภิธรรมและพิธีไว้อาลัย 3 วัน วันพฤ.4, ศ.5,ส.6 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 19.00-19.45 (สวดอภิธรรม)เวลา 19.45-20.15 (พิธีไว้อาลัย)

พิธีพระราชทานเพลิงศพ (กรณีพิเศษ)15.00 น. วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559 ณ เมรุหลัง (ติดกับศาลา 12)

อาตมาคงไปไม่ได้ ขออภัย อยู่ที่นี่งานชุกอยู่ ก็ขออภัยจริงๆ ฝากพวกเราที่โน่นไปแทนบ้าง ทางสันติฯที่รู้จักกันดี ก็เป็นมรณานุสสติ

 

มาดู SMS 4 ก.พ.59

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯอธิบายองค์คุณ5ของอุเบกขา อันมีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสราให้ญตธ.ได้รับปย.ในธรรมสาธุ ขอให้โลกมีคนที่มีจิตปริโยทาตาฤาบริสุทธิ์ผุดผ่องออกมาช่วยให้โลกพบสันติภาพสันติสุขทั่วทุกมุมโลก!

ตอบ...ก็ขอยืนยันว่าแม้ปัจจุบันก็มีสิ่งนี้อยู่ พวกเราที่มีบ้างก็คงรับรองคำพูดของอาตมานี้อยู่

0893867xxx ขอบคุณญตธ.บุญนิยมนร.ส สข.เยาวชนคนกองทัพธรรมกองทัพเดียวในโลกที่ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ใดๆจรธ.skkญตธ.มังสะวิรัติ  

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน วัตถุอนามาส

จากไลน์..1.สำหรับดอกไม้มีบัญญัติไว้ที่ใดว่าเป็นวัตถุอนามาส หรือเป็นอัตโนมัติของพ่อครูเอง?

พ่อครูว่า...ดอกไม้มีบัญญัติไว้ที่ใด ไม่ใช่อัตโนมัติของอาตมาเองหรอก แต่มีบัญญัติไว้ ถ้าไม่เลอะเลือน ศีลข้อ 7 มีมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนฐานา ไม่ใช่อาตมาบัญญัติเองหรอก แล้วการให้เว้นขาดนั้นเป็นวัตถุอนามาสหรือไม่? มันชัดเจนที่สุดแล้ว

ผู้ถามมีหมายเหตุมาด้วย เป็นหลักฐานอ้างมาจากหนังสือระเบียบปฏิบัติของชาวพุทธ ของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า

สิ่งของที่ทรงห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์จับต้องเรียกว่า “วัตถุอนามาส” ได้แก่ วัตถุสิ่งของดังต่อไปนี้

1. ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกายหญิง รูปภาพหญิง หรือรูปปั้นของผู้หญิงทุกชนิด

2. รัตนะ 10 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์(ที่เลี่ยมทอง) ศิลา เช่น หยก และโมรา เป็นต้น

3. เครื่องศาสตราวุธทุกชนิด อันเป็นเครื่องทำลายชีวิต

4. เครื่องดักสัตว์บกและสัตว์น้ำทุกชนิด

5. เครื่องประโคมดนตรีทุกอย่าง

6. ข้าวเปลือกและผลไม้อันเกิดอยู่กับที่

พ่อครูว่า..อันนี้เป็นบัญญัติของสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็เป็นของสำนักพุทธฯ แต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เพราะอาตมาว่ามันมีเยอะกว่านั้น

ทุกวันนี้มันหย่อนยาน จนต่อไปจะเป็นแบบมหายานที่มีครอบครัวได้ สืบทอดกิจการศาสนาได้ มีสมบัติมากจนขนาดแบงค์ล่มหากถอนเงินพระออกหมด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กินเนื้อสัตว์อยู่บรรลุธรรมได้ไหม

2. คนกินเนื้อสัตว์อยู่สามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ ระดับใดครับ?

พ่อครูว่า...คนกินเนื้อสัตว์อยู่จะบรรลุได้แค่โสดาปัตติมรรคเท่านั้น แม้แต่โสดาปัตติผลก็จะไม่ได้ เพราะเมื่อได้รู้จักพลังงานระดับพีชะ ระดับจิตนิยามต่างกันอย่างไร พีชะเป็นตัวตนระดับหนึ่ง แต่ไม่ออกไปอาละวาดทำโทษภัยกับใคร ก็จะอยู่แต่กับตัวเอง เหมือนวัวควายกินแต่พืช ไม่กินลูกชิ้นเด้ง พีชนิยามก็อาศัยที่จะมายังชีพเท่านั้น ถ้ามีอะไรมาทำลายหลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้ก็ตายไป

การจะมีญาณรู้ว่าเบียดเบียนชีวะอื่นในระดับพีชะและจิต ผู้ใดไม่รู้ว่าอารมณ์ของสัตว์ที่มีพยาบาท มีการจองเวรจองกรรม ถ้าความรู้นี้รู้ไม่ได้ก็จะละเมิด ถ้าละเมิดแล้วจะได้พัฒนาความเจริญของจิตของตนเองหรือไม่ ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้นญาณปัญญาของผู้ที่ไม่รู้พีชนิยามหรือจิตนิยามดังที่กล่าวไว้ จึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติเพื่อความเจริญของตัวเองได้ จึงเจริญข้ามขั้นที่จะพัฒนาไปสูงกว่านั้นไม่ได้

ที่อาตมาพาพวกเรามางดกินเนื้อสัตว์ ก็จะมีจิตเอ็นดูต่อสัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น เห็นมดแมลงตกโถส้วมเราเคยรังเกียจ แต่ว่าตอนนี้ก็บางทีเอามือมาจ้วงช่วยมันเลย หรือเอาไม้เอาวัตถุมาช่วยมัน แต่ก่อนเราไม่มีจิตเช่นนี้ นี่ก็พิสูจน์ว่าจิตเรามีพัฒนาการ การไม่กินเนื้อสัตว์แค่นี้ก็เป็นสามัญผล

เพราะว่า การกินเนื้อสัตว์นั้น ต้องทำให้ผิดองค์ 5 ปาณาติบาต คือสัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต จิตคิดจะฆ่า ลงมือพยายามฆ่า สัตว์ตายลงไปด้วย แล้วไม่พอ ยังผิด เพราะ

ทำบุญแต่ได้บาป เป็นอันมาก

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)    

ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

         

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มัชฌิมศีลข้อ 1-10

มาเข้าสู่มัชฌิมศีล

ข้อ 1. ก็แล้ว ไม่ให้พรากพืชคาม ไม่บาป แต่ว่าเป็นเรื่องสังคมศาสตร์ที่ไม่ควรให้ภิกษุไปทำ แต่ฆราวาสนั้นควรทำ เพราะเป็นเรื่องยังชีพ การกินจะควรกินอะไร คน พืช สัตว์ พระอาริยะ พระพุทธเจ้า เราควรกินอะไร? ก็ควรกินพืช

 

2. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง 

          พ่อครูว่า...แต่นี่ผู้ที่จะเป็นสังฆราช ยังสะสมอะไรมากมาย จริงๆแล้ว เรามีของไม่มากก็อยู่ได้ มีบริขารไม่มาก ก็อยู่ได้ แม้แต่เดี๋ยวนี้จะต้องมีคอมพิวเตอร์ ไมโครโฟน เราก็ไม่ต้องมารักษา ฆราวาสเป็นผู้รักษาได้ หรือแม้แต่เราจำเป็นต้องมีเพื่อใช้งานก็ควรต้องมีต้องใช้สอย ถ้าใช้ปัญญาอย่างดีๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร มันอยู่ที่ใจใครใจมันว่าเขาติดยึดหวงแหน ก็เป็นกิเลสของเขา ใครไม่ละก็เรื่องของเขา ผู้รู้แล้วก็ละ ละได้ก็บรรลุได้ของตน แต่ไม่เลิกละอยากดันทุรังก็แล้วไป ก็ช่วยกันเท่าที่ช่วยได้ แม้จะมีผู้มาทำบาปเวรภัย ขนาดนี้ก็จะมาประจบประแจงป้อยอ ปู้ยี่ปู้ยำศาสนาทำไม เรื่องนี้ขณะนี้เมืองไทยเป็นเมืองที่วิเคราะห์วิจัยศาสนาลึกซึ้งอย่างเป็น Phenomena เกิดจริงเป็นจริง ไม่ใช่เอาสิ่งที่ไม่เกิดไม่มีมาพูดด้วย ขนาดนี้ไม่จัดการ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมืองไทยก็ต้องเสื่อมทรุดไป ถ้าช่วยได้จะเป็นกุศลแก่ไทยแก่โลกด้วย เมืองไทยมีแนวลึกจะเป็นตัวตั้งของโลกด้วย มั่นใจว่าอันนี้จะเป็นโลกนาถได้ ตอนนี้เอเซี่ยนจับตัวกัน ก่อนทางอเมริกายุโรป

 

3. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่น ปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาล {น.96}การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพ กองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

          พ่อครูว่า...ท่านก็พยายามเรียบเรียงมา ถ้าเป็นยุคนี้ก็จะมามากมาย เขียนในหนังสือได้เล่มหนาแน่ แม้แต่จะไปรบรา อาตมาพากองทัพธรรมออกไปทำงานไม่ได้ไปรบรา ไม่เอาอาวุธไปทำรุนแรงอะไร ไปแสดงบทบาทความสงบ ให้มากที่สุด เพื่อให้ความสงบออกฤทธิ์ระงับความรุนแรงได้ ส่วนจะมีอะไรมาแทรกก็ไม่ได้เป็นเพราะเรา เราพยายามที่สุดจริงใจ พูดเลยตลอดก็จะมีบ้างมันสุดวิสัยเขาอาจจะมีความกลัวแต่โดยเจตนาจริงใจแล้วก็ยืนยันว่าเป็นความบริสุทธิ์ใจ เราไม่ไปรบราฆ่าฟันหรือทำร้ายทำลายใคร ส่วนเรื่องอาวุธนั้นเป็นเรื่องที่เราไม่มีไม่เอาไม่ทำแล้ว

          แม้ทุกวันนี้ถ้าจำเป็นจะต้องประท้วงก็จะไป สิ่งเหล่านี้เราเข้าใจแล้วถึงคุณค่าคุณธรรมทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ เรามาเข้าถึงสิ่งเหล่านี้พอสมควรก็จะอยู่ช่วยโลกด้วยสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง 

 

4. ภิกษุเว้นขาดจากการขวนขวายเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละแปดตาแถวละสิบตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง เล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเรียนคนพิการ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

          พ่อครูว่า...อาตมาแปลเป็นไทยว่า เขาให้ข้าวกินแล้วก็ยังมีน้ำหน้าไปทำเดรัจฉานวิชาพวกนี้

 

5. ภิกษุเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาด ที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...สรุปแล้วผู้ยังติดยึดอยู่ก็ควรเว้นขาด แต่ผู้ไม่มีจิตติดยึดแล้วก็ไม่มีปัญหา ต้องมีการทดสอบแท้จริงจนจิตหมดติดยึด ไม่อยากใหญ่อยากโตแล้ว พอจิตหมดแล้วก็ไม่มีอะไร แม้จะมีก็ไม่ติดยึด แต่ถ้าโกหกตนเอง ว่าตนสูญตนไม่มีรสหรอก ก็โกหกทั้งๆที่รู้ หลอกคนอื่นต่ออีก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าถ้าเราเองไม่รู้จริงๆซื่อ เรานึกว่าเราซื่อเราหมดท่านไม่ปรับอาบัติ คนที่จริงใจ มันไม่รู้ว่ามันมีเป็นรสเป็นชาติก็นึกว่าเราหมด ท่านเรียกว่าคนหลง ท่านไม่ถืออาบัติ แต่สัจจะมันมี ก็ต้องรู้แล้วเลิกละของตน

 

    6. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัวเห็นปานนี้ คือ อบตัว ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอม นวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว ผัดหน้า ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้าประดับ {น.97}วิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย แม้ข้อนี้ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...พออ่านถึง สมณะผู้เจริญบางจำพวก ก็คือพระมหาศาลทุกวันนี้นั่นเอง แต่ถ้าไม้เท้าคุณจำเป็นต้องใช้เพราะทรงตัวไม่ไหว อันนั้นต้องอนุโลม ดีไม่ดีเดินสี่ขาด้วย ก็ต้องเข้าใจสัจจะ แต่ใครมีไม้เท้าถือไว้เท่ๆ เป็นการประดับหรือให้คนอื่นสงสารจนกลายเป็นเท่ ดูท่าทีดี ต้องรู้ตนเองไปทำทำไม กลายเป็นเรื่องประดับ บานปลายไป ไม่เห็นมีความจำเป็นที่ต้องใช้ เป็นภาระ เสียของเสียวัตถุ สวมรองเท้าประดับ การใส่รองเท้าต้องใส่เพื่อจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรอง ให้มีภูมิคุ้มกันเดินได้เอง

สมัยก่อนท่านนุ่งห่มผ้ากาสวพัสตร์ เป็นคนละอย่างกับนุ่งห่มขาวแบบพราหมณ์

 

   7. ภิกษุเว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องมหา อำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...ถ้าพูดแล้วไม่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายก็คือเดรัจฉานกถา เพราะว่าคนก็ต้องพูดเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้นแหละ แต่ว่าพูดให้เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายหรือพูดให้เกิดการสะสมกิเลส ราคะโทสะโมหะ ต้องฉลาดรู้ว่าพูดอย่างไรไม่สะสมกิเลส

กถาวัตถุคือคำพูดที่เพื่อให้ไปหานิพพาน ตรงกันข้ามกับเดรัจฉานกถาที่ขวางทางนิพพานเลย

 

8. ภิกษุเว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เห็นปานนี้ เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสียถ้าสามารถ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...คือแย่งกันเอาชนะคะคาน เถียงกับถกต่างกัน เถียงเพื่อเอาชนะคะคาน แต่ถกคือให้ได้ความจริง พูดอย่างไรอย่าให้จิตคุณมีจิตคิดเอาชนะ จิตคิดเอาชนะเมื่อใดก็คือเถียง แต่ถ้าถกคือเอาให้รู้เรื่อง เอาให้ชัดเจน แก่งแย่งกันนี่เถียงจะเอาชนะ เราต้องอ่านจิตเราว่าพูดไปให้รู้ความจริงว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูกจริงๆ

อย่างอาตมาประกอบลีลาท่าที ทั้งแรงเข้มใส่เสียงสำเนียง สรรหาคำพูดเพื่อประกอบองค์ประกอบศิลป์สื่อให้คนอื่นกระทบเป็นศิลปะให้คนอื่นรับได้ ก็เลยดูแรง และเป็นคำตำหนิ วัชชะก็พยายามปั้นวัชชะให้เป็นของควรดื่มได้ ผู้ใดทำคำตำหนิเป็นของควรดื่มได้ผู้นั้นทำปิยวาจา การพูดให้คนอื่นชมชอบนั้นไม่ใช่ปิยวาจาหรอก ต้องให้สิ่งอันเป็นที่รักเพราะตำหนิ ไม่ใช่ชื่นชมให้เขาชอบ ไม่ขัดใจเขาเลย ไม่ขัดเกลาเขาเลย แบบนี้ก็หมดท่าสิ ศาสนาพุทธไปไม่ออก แก่งแย่งนี่เพื่อเอาชนะ อาตมาชาตินี้มาเป็นผู้แพ้ได้ก็ไม่เสียใจไม่เจ็บใจไม่น้อยใจ มันจะแพ้จริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แม้เรารู้ว่าเราไม่ได้แพ้จริงก็ไม่เสียใจ และยิ่งแพ้จริงเราก็ยอมรับอยู่แล้ว แต่ถ้าเราถูกอยู่ดีอยู่ เราชนะอยู่ก็ไม่เป็นไร เราแพ้ก็แพ้ อาตมาเคราะห์ดีไม่ต้องเข้าคุก เขาก็ปรับให้เข้าคุก 66 เดือนแต่เขาให้อยู่นอกคุก 2 ปี รอลงอาญา 2 ปี ก็มีคนมาคุมประพฤติ มาคุมก็มาสองที มาถามธรรมะก็ไม่ได้มาอีกเลยจนผ่านไปสองปี

 

9. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชมหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี และกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...ฑูตกรรม คือการไปเชื่อมโยงติดต่อ ถ้าไปเชื่อมโยงติดต่อแล้วไปเพื่อให้ธรรมะแก่เขา หรือไปให้แก่เขา ไม่ได้เป็นผู้ไปเอาอะไรจากเขา จะเชื่อมโยงการค้า การทำงาน กิจการอะไรก็แล้วแต่แล้ว กิจการนั้นคุณจะไปทำให้ ส่งฑูตไปเพื่อตรวจว่าเราจะมีอะไรช่วยเขาได้ เพื่อให้เขาในสิ่งเขาขาดแคลน ไม่ใช่ว่าไปเพื่อสอดแนมว่าเขามีอะไรที่เราจะไปเอาได้บ้าง ถ้าไปเพื่อเอาคือขี้ทูด แม้เขาจะมีอะไรเยอะ แต่เราก็ไปแล้วก็ไม่ต้องไปอยากได้ของเขา เราจะต้องการแต่ของที่เขาจะให้ เราจะเป็นผู้ให้ให้ได้ ถ้าจะรับก็รับแต่ของที่เขาให้ ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่ต้องการ ใครจะวิจัยว่าไม่ให้ก็ไม่เอาของใคร

ส่วนคนรับใช้นั้น คือคนไปทำงานให้เขาแล้วรับค่าจ้าง คนไหนไปพูดธรรมะให้เขาฟังแล้วรับค่าธรรมะ ไปสอนเขาก็รับค่าสอน ไปออกแรงอะไรก็รับค่าแรง อย่างนั้นคือการรับจ้าง เราจะทำอะไรก็ตาม ก็ทำงานให้ฟรี อันนี้ไม่รับจ้าง แต่ไปรับใช้เขาจริงๆ

คนรับใช้ที่เอาค่าจ้างไม่ใช่คนรับใช้ แต่คนรับใช้ที่ทำให้ฟรีคือคนรับใช้ที่แท้จริง

ถ้าคุณเองไปทำแล้วมีส่วนเกินให้เขา คุณให้มากกว่าเอา

 

10. ภิกษุเว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูดเลียบเคียง พูดหว่าน ล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...อาตมาภูมิใจที่พวกเราไม่ได้มีเรี่ยไรเลย นี่อาคาร 11 ไร่ที่เราจะขึ้นมานี้ เรียกว่า เฮือนสวน (สัมมาวิชชารามนาวาบุญนิยม) และมีเฮือนตลาด ที่คู่กันอีกอัน เราจะทำให้ยืดหยุ่น กั้นผนังเบา เราจะพยายามใช้ไฟโซล่าเซลล์ เราจะเซ็นสัญญากับพระอาทิตย์ตรงเลย เอามาใช้จนกระทั่งแตกไปข้างหนึ่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มหาศีลข้อ 1-7

{น.98}มหาศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอ ทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็น ศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...มหาศีลคือศีลใหญ่ จะต้องเว้นขาดหมดทั้งภิกษุและฆราวาส ภิกษุตัวดีต้องเว้นขาดก่อน ถ้าฆราวาสเว้นขาดได้ก่อนก็กดดันให้ภิกษุเว้นตามได้ก็ดีสิ แต่ภิกษุควรทำได้ก่อน แล้วสอนให้ฆราวาสเว้นตาม เพราะศีลไม่ได้บังคับแต่ทำโดยสมัครใจ ศีลไม่ใช่กฎหมายอาญา

ก่อนอื่นเลยภิกษุต้องเว้นก่อน แต่จริงๆรวมด้วยฆราวาสต้องเว้นด้วย สรุปว่า การทำนายนั้นไม่เอาสักทำนาย จะใช้อะไรเป็นสื่อก็ตามไม่ว่าไฟ จะจุดเป็นธูป เป็นเปลวควันก็แล้วแต่ ถึงขนาดจุดบูชายัญ เอาคนไปเผาบูชายัญเลยยิ่งบ้าใหญ่ไม่มีแน่ แม้เล็กน้อยๆ ใช้ไฟเป็นสื่อ อัคคียัญ เป็นพิธีร่วมปฏิบัติ

การปลุกเสกเป็นการครอบงำชนิดหนึ่ง สร้างอุปาทานทำเป็นมีฤทธิ์เดชมีอำนาจสะกดจิต คนที่เขายอมแล้วหรือจิตของเขาไม่ถึงก็ถูกครอบงำ เขาก็สะกดจิตได้ สะกดจิตแล้วให้จิตเป็นอย่างไรก็เป็นได้หมด ให้เต้นเป็นลิงค่าง ให้ฟ้อนรำ ให้หกคะเมนตีลังกาก็ทำได้หมด เหมือนรัสปูตินสั่งให้ทำอะไรได้หมด แม้แต่ไม่ให้ประสาทมีความเจ็บปวดก็ทำได้ อาตมาก็เคยทำมา แต่ทำเล็กๆน้อย ไม่ทำผิดทำชั่วอะไร เช่น ให้หายปวดฟันแล้วค่อยไปหาหมอ ก็เคยทำมา จึงรู้ว่าจิตอุปาทานเป็นอย่างไร ไม่มีก็ทำให้เห็นได้ หนังเหนียวไฟไม่ไหม้ทำได้ ไม่ได้อัศจรรย์เลยเพราะทำมา จิตวิญญาณเป็นได้หมด ถ้าไม่ยึดก็ปล่อยเลยก็เลิกได้หมด ไม่จำเป็นต้องมีก็ไม่ต้องใช้

เรื่องการเห็นผีเห็นรูปร่างต่างๆมันเรื่องหลอกทั้งนั้น ไม่มีหรอก ถ้าคุณกลัวผีท่องคาถานี้บอกว่าแค่ตายแค่ตายแล้วเดินเข้าไปหามัน มันก็ไม่มีหรอก ถ้ามีผีจริงจะให้ปรับไหม มีเท่าไหร่ก็จะให้เลย พิสูจน์เลยจะเลิกหายกลัว

 

2. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาสตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

3. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชา ภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

    

{น.99} 4. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็น อย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...สิ่งเหล่านี่จะว่าไม่จริงก็ไม่ได้ เป็นสถิติได้ถูก แต่เสียเวลาแรงงาน เอาเวลามาศึกษาสัจธรรมพระพุทธเจ้า จะช่วยคนได้แท้จริง ข่าวเรื่องปลีกย่อยก็ช่วยได้เล็กน้อย

 

 5. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนน คำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์โลกายตศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

6. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์ จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว {น.100} เป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกระเทย ให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยา แก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า...อันนี้ท่านระบุเลยว่าภิกษุอย่าทำ ทำไมไม่รักษา เพราะมันเสี่ยงตายอย่าทำ ตายแล้วปาราชิก ฆราวาสจะทำก็รับผิดชอบกันไป ผู้มีใบประกอบโรคศิลป์ก็ทำกันไป ไม่ทำไม่ได้ ผู้เป็นฆราวาสไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ก็อย่าทำเลย ผู้ที่เห็นว่าไม่ควรทำก็อย่าทำ เรามีงานอีกเยอะ ของเรามีโฮ่งปัว ยังไม่มีหมอมาเลย หมอก็นานๆทีจะมา สักวันหนึ่งคงจะมีหมอมาช่วยมาทำฟรีนะ ตอนนี้ก็มีแต่หมอแผนไทย หมอแผนปัจจุบันยังไม่มีมา

พ่อครูว่า...ทุกวันนี้การท่องบทมนต์ก็ไม่จำเป็นแล้วมีเครื่องมือช่วยจำได้เยอะ แต่จะมีฤทธิ์เดชเกิดจากสวดมนต์ไม่มีหรอก แต่อาจทำให้ชื่นใจได้ก็เป็นได้แต่ไม่เป็นเนื้อแท้ไม่ต้องเสียเวลา แต่เป็นธรรมดาที่นานไปจะหลงบทมนต์ หนักเข้าศาสนาพุทธทุกวันนี้จะมีพวกที่แข็งแรงคือพวกมนตรยานหรือกลุ่มพวกสวดมนต์ กับพวกมหายานจะเป็นพวกตรรกะใช้เหตุผล ก็มีอยู่ 2 สาย

พุทธก็เสื่อมเช่นนี้ เช่น ธิเบตหรือภูฏานก็เป็นเชิงคล้ายกัน หนังอินเดียก็เช่นกัน พวกนี้ซื่อสัตย์ดิ่ง และทน ทนนาน ยึดมั่นถือมั่น อาศัยการยึดมั่นถือมั่น ก็ดีเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เป็นได้ยาก ถ้ายึดสิ่งที่ดีไว้ให้คนมารับช่วงก็ได้

ส่วนทางตรรกะนั้นใช้เหตุใช้ผล ก็มีสองด้าน เราต้องใช้ทั้งสองด้าน ใช้ทั้งเจโตและปัญญาให้ได้สัดส่วนพอเหมาะ ถ้าปัญญามากก็ถ่วงทางเจโต ถ้าหนักเจโตก็ใช้ปัญญาถ่วง

 

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวร นั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำจัดราชศัตรูได้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะ ราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

ศีลของพระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติแล้วย่อมเกิดผลขัดเกลาจิต มีปัญญารู้ตามไปด้วยทั้งหมด ศีลอย่างนี้มีผล แล้วผลเป็นอย่างไร ผลจริงก็คือให้ถึงจิตเปลี่ยนแปลงส่วนกายและวจีเปลี่ยนแปลงไหม? ก็เปลี่ยน เปลี่ยนจากหยาบมาละเอียด จากทุจริตมาสุจริต เปลี่ยนจากอกุศลมากุศล ทั้งนอกและใน จนกระทั่งเป็นจริงได้อย่างไม่ต้องใช้พลังงานที่ไปสำรวจสังวรอะไรอีก เป็นเองตถตา เป็นเช่นนั้นเองเลยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปรู้สึก ไม่ต้องไปสังวรระมัดระวังอะไร มันเกิดเหตุปัจจัยนี้เป็นตัวเองเลย ไม่ต้องไปคุม ไม่ต้องไประวัง ไม่ต้องกดปุ่ม ไม่ต้องเฝ้า มันเป็นกลไกอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือสมบูรณ์ที่สุดที่จะพึงปฏิบัติแล้วได้อย่างนั้น แล้วเราก็รู้ว่าทำได้จริงมีวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นการหลุดพ้นจากที่ติดยึดแล้วทำได้ อย่างรู้เห็นแจ้งชัดยืนยันพิสูจน์ได้ว่าจริงถูกต้อง ไม่ได้หลงไม่ได้เลอะไม่ได้เบลอ ถูกต้อง คมชัดยืนยัน มั่นคง เที่ยงแท้ แน่นอน ถาวร ยั่งยืน

ทุกวันนี้เขาจะเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เราควรต้องทำให้มีมรรคผลที่แท้จริง ถ้าผู้ที่ฟังอาตมาบรรลุธรรมอันเดียวกันกับอาตมา เขาย่อมฟังธรรมะอาตมารู้เรื่องและเข้าใจดี จะยินดีศรัทธาเลื่อมใสแล้วมาช่วยกันแน่นอน น้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน แน่นอน แต่เมื่อคุณฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใส คุณก็ขัดแย้งกับอาตมาอยู่

อาตมานี้ขอยืนยันว่าอาตมาทำได้ แล้วเอาพระไตรปิฎกมาเปิดยืนยันได้เลย เรามีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานฉบับสยามรัฐ เอาศีลเอาสมาธิความรู้ปัญญาจะเป็นอย่างไร ตรงตามคำสอน ตรงตามพระอนุสาสนีมายืนยันกันได้ ขออภัยพูดแล้วเหมือนท้าทาย แต่ไม่มีจิตท้าทาย อาตมามั่นใจว่าจริงใจ ปรารถนาดี

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:02:41 )

590207

รายละเอียด

590207_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สุดทาง มหาเถรฯ-สำนักพุทธ

สมณะฟ้าไทว่า...วันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ. 59 วันนี้มีข่าวมรณานุสสติ โยมกอง นาพงษ์ ชื่อพ่อครูตั้งให้ชื่อ บัวลึก เกิดปี 2484 มรณะ 7 ก.พ. 2559 เป็นแม่ของคุณพลอยไพร ชาวหินฟ้า และคุณหนิง-แก่นหยก นาพงษ์ โยมกองหกล้มเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากนั้นก็มีระบบในร่างกายไม่ปกติ ลูกๆได้ดูแลอย่างใกล้ชิดที่

บ้านราชฯ จนเที่ยงคืนวานมีอาการหายใจไม่สะดวกติดขัด หอบ พยาบาลไปดูดเสมหะออก อาการก็ดีขึ้น ตอนตีสี่ก็ย้าย 04.28 น.ก็เสียชีวิตด้วยโรคชรา จะเผาวันพุธ บ่ายสองโมง

พ่อครูว่า...งานสวดศพทั่วไปเขาก็สวด 15 นาทีก็จบ แล้วก็พักยก อย่างเก่งก็สี่เที่ยวก็จบไม่ถึงชั่วโมงหรอกสวดกันทั่วไป แต่ของเรานี่สวดกัน 2 ชั่วโมง ไม่เว้นวรรคหยุดเลย ไม่มีการคั่นโฆษณา

สมณะฟ้าไทว่า...ถือว่าคนที่ได้มางานศพก็ได้ฟังธรรมเอาไปปฏิบัติ มาที่เรานี้ไม่เสียค่าเผาศพ คนมางานก็ได้กินอาหารมังฯ ได้ฟังสวดศพที่ฟังรู้เรื่องคือฟังธรรม 

 

วันนี้พ่อครูจะมาพูดเรื่องที่ดังกันในสังคมที่มีพระทำผิดธรรมวินัย ที่ผ่านมามีข่าวว่าพระทำผิดพระธรรมวินัยออกในสื่อสารหลายอย่าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน สุดทาง มหาเถรสมาคมและสำนักพุทธ

พ่อครูว่า...ที่นี่ตอนนี้อากาศเย็น มีลมโกรก เย็น แห้งด้วย เป็นธรรมชาติธรรมชาติหมายถึงวัตถุที่มันปรุงแต่งกันเอง ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานมันจับตัวกันกลายเป็นธาตุต่างๆ กลายเป็นน้ำเป็นลม หรือเป็นไฟคือเตโชธาตุจะมีลักษณะแรงขึ้นมากขึ้นเรียกว่าสะสมสภาพของตนเองมากขึ้น เช่นทางวัตถุจะไม่เป็นชีวะ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าทางฟิสิกส์ มีร้อนจัดจนกระทั่งไม่รู้กี่องศาเซลเซียสอยู่ในพระอาทิตย์ หรือร้อนยิ่งกว่าพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ดวงใหญ่กว่าที่เรามีนี้ ต่อมาจับตัวเป็นน้ำแล้วเป็นดินเป็นไฟมาหาอากาศ แล้วก็เป็นวิญญาณ

พีชะมีสัญญากับสังขาร มาก่อเป็นเวทนาก็เป็นวิญญาณ ในเวทนาก็แตกถึง 108 มาเกิดปัญญาที่จะรู้เกินสามัญเรียกว่าโลกุตระ เป็นเนกขัมมะเป็นเวทนาในระดับเนกขัมมะที่แยกออกจากเคหะสิตะ

พวกเรานั้นไม่แย่งโลกธรรม ไม่มาเสพรสของสวรรค์ที่ปรุงแต่งที่โลกเขาติดยึดอยู่ แล้วเลิกได้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องจริงที่แต่ละคนมีจริงถึงจะมาได้จริง อาตมารวบรวมคนที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะแบบนี้ตั้งแต่ออกมาเต็มตัวทำงานศาสนา 45 ปีเข้าไปแล้ว ก็ยังมีคนที่ยังมีความยึดติดตามความรู้เก่าๆ ยังไม่เชื่อพอหรือไม่เชื่อเลยที่อาตมาพูด บางคนก็เริ่มเชื่อและเข้ามาศึกษาฝึกฝนตรวจสอบ ว่ามีของจริงยืนยันหรือไม่

เช่น ของเราไม่ยินดีในอบายมุขที่เขาปรุงแต่งกันมากมาย ต้องมีลาภมียศมีเงินทองมาเป็นอำนาจ เอาทองคำหล่อหลอมมาอวดมาอ้างว่าเป็นรูปทองคำของอาจารย์องค์แล้วองค์เล่าเป็นร้อยเป็นพันก็ทำได้ แสดงความสามารถในการเอาของที่คนเข้าหายาก เอามาสะสม เป็นลักษณะการสะสมจากการสะสมแบบสุจริตก็อีกอย่างหนึ่ง สะสมแบบทุจริตก็อีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นเขาสะสมทั้งแบบสุจริตและแบบทุจริต เห็นชัดคือทุจริตได้มากกว่าสุจริต เกณฑ์ในการตัดสินความชั่วความเลวของคน คือเขาได้แนวเอามาแบบแนวทุจริต มากกว่าได้มาแบบสุจริต และมีเล่ห์เหลี่ยมของทุจริต มากมายซับซ้อนหลายชั้น และมีปริมาณมากด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีปรากฎการณ์ มีสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเห็นอยู่เป็นอยู่ ทั้งพฤติกรรมและวัตถุ ยืนยันยืนหยัดอย่างแท้จริง

 ขนาดนั้นก็ยังมีอำนาจมีฤทธิ์ที่จะเอาความทุจริตของตนให้ชนะ ยังล้มไม่ได้ทุกวันนี้ อาตมาก็เห็นว่าการล้มเขาไม่ได้มันเป็นความฉิบหายของสังคมประเทศชาติ ยังล้มเหลวทางด้านธรรมะหรือคุณธรรมที่เป็นมนุษย์ชาติด้วย มันจะไปหมดทั้งสองด้าน ทั้งด้านโลกและด้านธรรม

และที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องถูกต้องยืนยัน คือ อย่างที่เปลวสีเงินเขียนไว้ในไทยโพสต์ วันที่ 5 กุมภาพันธ์

สุดทาง 'มหาเถรฯ-สำนักพุทธ'

"นายพนม ศรศิลป์" คุณเป็น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือเป็นทนาย "ธัมมชโย"? เอาให้แน่ซะอย่างนะ

เพราะผมดูการทำหน้าที่ในฐานะ "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" แล้ว บอกตรงๆ การทำหน้าที่ของคุณ แทนที่จะพิทักษ์รักษาและเชิดชูพระพุทธศาสนา แต่กลับเหมือนเอาทองบนความเป็นพระพุทธศาสนาไปห่อหุ้ม "มารโล้น" ที่ซุกคราบผ้าเหลือง สำนักพุทธวันนี้

ไม่สมคบ ก็เหมือนสมคบขบวนการธัมมชโย-ธรรมกาย คล้ายเห็นดี-เห็นงาม กับการบิดเบือนทั้งพระธรรมวินัยและทั้งวิปริตในวัตรปฏิบัติสงฆ์  นอกจากหลอกขายนรก-ขายสวรรค์แล้ว ยังสร้างรูปแบบและพิธีกรรมพยายามครอบงำเพื่อกลืนพระพุทธศาสนา

สำนักพุทธวันนี้ ไม่เพียงปล่อยปละ ตรงกันข้ามกลับสนับสนุนพฤติกรรมธรรมกายทุกรูปแบบ ถึงขั้นบ่ายเบี่ยงจะกระทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย

นายพนม ศรศิลป์ ทางส่วนตัว ก็เป็นที่ประจักษ์ คุณคือสาวกธัมมชโย คลุกคลี-รับใช้ ร่วมธรรมกายมาตลอด นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ในตำแหน่งหน้าที่ คุณเป็น ผอ.สำนักพุทธ อยากถามว่า ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม

เมื่อ 3 ม.ค.59 .......

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี DSI ทำหนังสือถึงคุณ ให้ดำเนินการกับธัมมชโยและเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ในข่ายผิดอาญา กรณีถือครองที่ดินและทรัพย์สินโดยทุจริต เมื่อปี 2542 แต่ดูเหมือน คุณละเว้นที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ ในท้ายหนังสือ DSI กำชับชัดว่า...

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่า ยังคงมีประเด็นที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 กรณี กล่าวคือ

1.ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1

หากผลการดำเนินการเป็นประการใด ขอได้โปรดแจ้งให้ทราบความคืบหน้าในการดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็วต่อไป

แต่จนถึงวันนี้ คุณก็ได้แต่อ้างว่าอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารบ้าง เรื่องมันนานแล้วบ้าง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนบ้าง กำลังสืบสวน-สอบถามผู้เกี่ยวข้องบ้าง แล้วทำเฉไฉ การดำเนินการให้ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น

"สำนักพุทธไม่สามารถไปกำหนดให้เป็นปาราชิก ไม่เป็นปาราชิกได้"! แถมเล่นบทข้าราชการศรีธนญชัย

"DSI ไม่ได้กำหนดมาว่าต้องตอบกลับในวันไหน แต่โดยมรรยาท เราก็ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด" เร็วที่สุดของนายพนม 1 เดือนผ่านไป ยังไม่มีอะไรกระดิก!

คุณไม่ต้องไปสืบสวนอะไรอีกแล้วล่ะ...คุณพนม ไม่เห็นหรือ ในหนังสือที่อธิบดี DSI ส่งมาให้น่ะ ด้วยกระบวนการสอบสวน เขาทำมาให้หมดแล้ว ไม่เห็นที่เขาระบุมาในหนังสือหรือ นี่ไง…

"...กรณีการถือครองที่ดินและทรัพย์สิน จากการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ สรุปได้ว่า การกระทำของพระธัมมชโยถือได้ว่า เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน 'เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต' และ

'เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 157' ทุกประการแล้ว

แม้ในภายหลัง จะได้นำทรัพย์ที่ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้วก็ตาม การกระทำดังกล่าว ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเหตุก็เพราะ ต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น หาใช่ไม่เป็นความผิดก็หาไม่!

การได้มาซึ่งที่ดินในคดีนี้ แทบทุกรายเกิดจากการให้ตัวแทนไปติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัด หรือบริจาคเงินให้ทางวัด เพื่อไปซื้อที่ดินให้กับพระธัมมชโยเป็นการส่วนตัว โดยเมื่อซื้อแล้ว พระธัมมชโยก็ได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินดังกล่าว และกลับใส่ชื่อของตัวเอง แทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ อีกทั้งมีการประวิงเวลา ไม่ยอมคืนทรัพย์สินให้แก่วัด กลับต่อสู้ทางคดี โดยคิดว่าจะชนะคดี ซึ่งการต่อสู้เรื่องนี้ใช้เวลานาน 7 ปี และก็รู้อยู่แล้วว่า หนทางเดียวที่จะทำให้พนักงานอัยการถือเป็นสาเหตุในการถอนฟ้องคดี จึงยินยอมคืนทรัพย์สินให้ทางวัด

การกระทำเช่นนี้ 'มีเจตนา' ในการกระทำความผิด! ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้ว กลับกลายมาเป็น 'ไม่มีความผิด' ไปได้

ซึ่งพระลิขิตของพระสังฆราช (ฉบับที่ 3) ยืนยันการกระทำผิดนี้ชัดเจน ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ"

เป็นไง คุณพนม หายเมาสวรรค์ธัมมชโยหรือยัง ยังเหรอ...งั้นอ่านต่ออีกนิดก็ได้

"...เมื่อพระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยในกรณีของพระธัมมชโยแล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติ ที่ 193 /2542 ให้สนองพระดำริโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายมหาเถรสมาคม แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการติดตามผลการดำเนินการเพียงเรื่องเดียวคือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินอันเป็นของวัดพระธรรมกายเท่านั้น

ซึ่ง ถึงบัดนี้ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมยังไม่ได้มีมติตัดสิน หรือรับรองว่า พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 แต่อย่างใด ยังไม่ได้มีการพิจารณาการลงนิคหกรรมพระธัมมชโยให้ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบ และจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ทั้งที่ผลการดำเนินคดีทางโลกได้เสร็จสิ้นแล้ว"

ทีนี้ คืนสติแล้วกระมัง...คุณพนม? DSI ไม่ได้บอกให้คุณไปจับธัมมชโยสึก แต่เขาให้คุณทำหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธและเลขาฯ มหาเถรสมาคม

มหาเถรสมาคม เมื่อปี 2542 มีมติไว้แล้วว่า พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายมหาเถรฯ

แต่นี้ ที่ผ่านมา ปฏิบัติตามไปแล้วครึ่งเดียว คือครึ่งที่ไปเอาที่วัดคืน

ส่วนอีกครึ่ง คือครึ่งที่  "ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"..."ยังไม่ได้ทำ" ให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 193/2542 ที่รับรองว่า ..."พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงวินิจฉัยว่า ธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว นั้น ชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย" เลย !

คุณพนม ในฐานะเลขาฯ มหาเถรฯ ก็บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมมหาเถรฯ ซี มหาเถรฯ จะได้มีมติให้ดำเนินการในครึ่งที่ยังค้างคาอยู่ จะได้ชัดกันไปซะทีว่า มหาเถรฯ วันนี้ ...

จะยึดมติมหาเถรฯ ที่ 193/2542 ที่ชอบด้วยกฎหมาย ลงนิคหกรรมธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ให้พ้นจากความเป็นพระ

หรือ...จะขัดขืนมติ อุ้มธัมมชโยให้อยู่ในคราบพระ กัดแทะพระพุทธศาสนาต่อไปเรื่อยๆ?

จะได้จะจะ แจ้งๆ กันไป…

"มหาเถรฯ-สำนักพุทธ" รวมหัวธรรมกาย "แข็งเมือง"!

พ่อครูว่า….คุณเปลวยังไม่หยุด วันเสาร์เขียนบทความอีกว่า

                             

หน้าที่ "สำนักพุทธ-สำนักนายกฯ (เปลว ไทยโพสต์)

อธิบดี DSI "พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง" ตอบชัด (4 ม.ค.59) เกี่ยวกับอนาคต "นายพนม ศรศิลป์" ผอ.สำนักพุทธฯ

"หากไม่ดำเนินการ พศ. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หาก พศ.ดำเนินการไปแล้วอย่างไร ก็ต้องชี้แจงต่อสังคมเพื่อให้สิ้นสุดข้อสงสัย

หาก พศ.ตอบมายัง DSI แล้ว จะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนอีกครั้ง เพื่อชี้มูลความผิด"

นั่นคือคำขาดของอธิบดี DSI ต่อ ผอ.สำนักพุทธฯ!

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ก็มาตรา 157 เหมือนคดียิ่งลักษณ์ ปล่อยปละให้ทุจริตในโครงการจำนำข้าวนั่นแหละ

สำหรับ 2 ข้อ ที่ DSI ให้นายพนมจัดการธัมมชโย คือ

1.ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรอง ให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1

นี่แหละที่ พ.ต.อ.ไพสิฐขีดเส้นใต้ และเมื่อจัดการอย่างใดแล้ว ต้องชี้แจงต่อสังคมให้สิ้นข้อสงสัยด้วย

และต้องแจ้งให้ DSI ทราบด้วย.....

เพื่อ DSI จะได้ประชุมพนักงานสอบสวน พิจารณาในเรื่องที่สำนักพุทธฯ จัดการไป จะได้ "ชี้มูลความผิด" ไปตามกรณี ตามบุคคล

ตรงนี้หมายความว่าไง?

ก็หมายความว่า ถ้านายพนมจัดการให้เป็นไปตามทั้ง 2 ข้อนั้น ก็ถือว่า ทำหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ครบถ้วน

จัดการเป็นไปตามลิขิต "สมเด็จพระญาณสังวร" พระสังฆราช ที่ทรงวินิจฉัยไว้ว่า ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นสมณะแล้ว

ซึ่งมีมติมหาเถรสมาคม ที่ 193/2542 รับรองว่า เป็นคำสั่งที่ชอบ ต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน

แต่มหาเถรฯ และ พศ.ต่อๆ มา ยังเฉไฉ ไม่จัดการให้เป็นไปตามมติเรื่อยมา จนถึงขณะนี้!

ในข้อ 2 ที่ให้นายพนมไปพิจารณาความผิดและการดำเนินการเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นนั้น

หมายถึงพระสังฆาธิการระดับ เจ้าคณะตำบล-อำเภอ-จังหวัด เรื่อยไปถึงเจ้าคณะภาค ที่วัดพระธรรมกายอยู่ในสังกัดปกครอง

ว่า...ทำไมไม่ดำเนินการ "จับสึก" ธัมมชโย ตามมติมหาเถรฯ กลับอู้อี้เหมือนถูกชีอำ ปล่อยปละจนถึงบัดนี้?

เนี่ย...นายพนมจัดการได้-ไม่ได้อย่างไร ติดขัดตรงไหน ต้องแจ้งให้ DSI ทราบ เพื่อทาง DSI จะได้ "ชี้มูลความผิด" ได้ถูกต้อง

ถ้าไม่แจ้ง ไม่ปฏิบัติให้เป็นไป นายพนมเองนั่นแหละ อาจได้รับการชี้มูลด้วย เห็นว่า ภายในกุมภานี้ จะแจ้ง

นี่เหมือน "ความวัว" ที่ยังไม่ทันหาย........

วานซืน "ความควาย" เข้าแทรกธัมมชโยอีกคดีแล้วมิใช่หรือ?

ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย และพระในวัดบางรูป ติดอยู่ 1 ใน 7 กลุ่ม ที่รับเช็ค "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" ที่ยักยอกจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกว่าหมื่นล้าน

เฉพาะส่วนของวัด รับบริจาคหรือรับของโจร โดยไม่มีมูลหนี้รวมกว่า 2,000 ล้านบาท มีทั้งเข้าบัญชีธัมมชโย บัญชีพระเครือวัดพระธรรมกาย

เจอข้อหาร่วมกัน "ยักยอก-ฟอกเงิน" อยู่แล้ว!

DSI เขากำลังเร่งสอบสวนปิดคดี จะแจ้งข้อหา นำตัวเป็นผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลอีกไม่นานเกินดอกดาวโรยจะร่วงหรอก

คดีเกี่ยวกับการเงินที่มีเช็คเป็นหลักฐานนี่ บอกได้เลย ถ้าเอาจริง ไม่มีใครหนีพ้น

เพราะสาวเส้นทางการเดินของเช็คได้หมด มาจากไหน เข้าไหน-ออกไหน ปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่ออก

ครั้นจะโพนทะนาว่า "อาตมาถูกใส่ร้าย" ใครก็ไม่เชื่อ เพราะบัญชีแบงก์มันยันกระบาลใส

ยิ่งระบบออนไลน์ทุกวันนี้ด้วยแล้ว...ธัมมชโยเอ้ย....

เบาหวานกำเริบหนักแน่!?

กรรม เหมือนเงา ทำแบบไหน เงาก็ตามสะท้อนออกมาแบบนั้น ที่มืดมีให้ซ่อนเงา มีที่เดียว คือใน "หลุมฝังศพ"

กฎหมายบ้านเมืองเหมือนแสง นายกฯ ประยุทธ์ เมื่อไม่ทำตัวเป็นเมฆบังแสงเหมือนยุคก่อนๆ

เจ้าหน้าที่บ้านเมือง คือ DSI เขาก็สามารถใช้แสงคือกฎหมายฉายส่องพวกหลบซ่อนได้หมด

อย่างกรณีนายศุภชัย-ธัมมชโย มันทนโท่ว่า ร่วมกันยักยอก-ฟอกเงินสวรรค์แต่ละชั้นที่เอามาแบ่งขายสาวกธรรมกายน่ะ ตัวเองไม่ได้ไปอยู่หรอก ถึงศาลเมื่อไหร่

ได้ไป "อยู่คุก" แทนแน่!

สำหรับ "นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะผู้กำกับดูแลงานสำนักพุทธฯ

ผมไม่ได้ตำหนิอะไรท่าน แต่อยากจะเปรียบการทำหน้าที่ของท่านว่า ท่านเหมือนท่อ พศ.หรือสำนักพุทธฯ เหมือนสวะ

สวะมันอุดท่อตัน น้ำไม่ไหลมานานแล้ว ก็ไม่รู้จะโทษสวะหรือโทษท่อ แต่เมื่อ DSI และกฎกรรมฟ้า-ดิน มาถึงทาง "ทะลวงท่อ" แล้ว

ท่อ ก็ควรเป็นเส้นทางน้ำไหลนะ!

DSI เขาจี้นายพนมให้ดำเนินการ 2 ข้อ ท่าน...ในฐานะผู้บังคับบัญชา โปรดเอื้อเฟื้อ เอาไม้แหย่ตูดให้เต่าในระบบราชการเดินหน่อย!

กรณีนี้ ถ้านายพนมเจอมาตรา 157 ท่านก็ไม่มีเหตุผลที่จะเถียง ถ้ามีคนพูดว่า ผู้บังคับบัญชา

เหมือน "ไร้สมรรถภาพ" ทางบริหาร!

กรณีการแต่งตั้ง "สมเด็จพระสังฆราช" องค์ใหม่เหมือนกัน ข่าวเป็นว่า เมื่อ 5 ม.ค.59.......

มหาเถรสมาคม "ประชุมลับ" มีมติเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดคือ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ ต่อนายกฯ

เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช!?

มันถูกต้องตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่ไหน เคราะห์ดีที่ท่านไม่ผลีผลามรับลูก เห็นนักข่าวไปถามถึงความคืบหน้า ท่านบอกว่า

"ทาง พศ.ยังไม่รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงมา ไม่ได้มีการดึงเรื่อง หากส่งเรื่องไปยังนายกฯ เชื่อว่านายกฯ ต้องมีคำถาม คิดว่าอาจจะตอบคำถามไม่ได้ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบผมเอง หากจะตำหนิ ก็ตำหนิผม ที่ไม่เร่งผลักดันให้แล้วเสร็จ......."

ก็อยากตำหนิ แต่ไม่อยากผลักดัน การที่ไม่รีบส่งเรื่องให้นายกฯ อย่างน้อยก็แสดงว่า เลือดท่านไม่ติดเชื้อไวรัสธรรมกาย

แต่อยากบอกว่า........

เรื่องแต่งตั้งพระสังฆราช ท่านและนายพนม ควรตั้งเข็มให้ตรงแต่ทีแรก ไม่ควรปล่อยพวกแดงทักษิณ "สร้างกระแส" ผิดๆ ให้คนหลงตาม

ผมจะยกบางมาตราใน พ.ร.บ.สงฆ์ที่สัมพันธ์กันมาให้ดู จะได้เข้าใจทั้งเนื้อหาและเจตนารมณ์ ว่านายกฯ เป็นผู้เสนอชื่อพระสังฆราช

ไม่ใช่มหาเถรฯ เป็นผู้เสนอ อย่างที่พล่าม-เพ้อเจ้อกัน!

มาตรา 7 "พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง"

ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอ นามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ความในวรรคหนึ่ง เห็นได้ชัด การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์

แม้ต่อมาจะแก้ไขมาตรา 7 วรรคสอง ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบมหาเถรสมาคมเสนอผู้อาวุโสตามขั้นตอนกฎหมาย

ผู้เสนอคือนายกฯ ให้เถรสมาคมให้ความเห็นชอบ

ไม่ใช่ "มหาเถรสมาคม" เป็นผู้เสนอ!

มหาเถรฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้เสนอ มีอำนาจเพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เท่านั้น

การทำเรื่องเสนอเอง แถมยังแอบประชุมลับเสียอีก ยิ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่ตีความกฎหมายกันว่า นายกฯ เป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ ต้องเสนอตามที่มหาเถรฯ ให้ความเห็นชอบนั้น พวกนี้ตีความแบบหางแดง

ยิ่งดูมาตรา 11 พระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง นอกจากเหตุ ตาย ลาออก พ้นจากความเป็นพระแล้ว

พระมหากษัตริย์ยังมีอำนาจโปรดเกล้าฯ ถวายให้ออกได้ ขนาดเป็นแล้วยังมีพระราชอำนาจให้ออกได้

ดังนั้นตอนแต่งตั้ง ทำไมจะพิจารณาว่าสมควร-ไม่สมควรเป็นสังฆราชไม่ได้?

ในฐานะที่นายกฯ เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ จึงต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ กลั่นกรองเรื่องแทนพระมหากษัตริย์

ไม่ใช่แค่บุรุษไปรษณีย์ ตามที่หางแดงอ้าง!

ฉะนั้น เข้าใจกันให้ตรง การเสนอชื่อพระสังฆราช "เป็นอำนาจนายกฯ"

อยู่ที่นายกฯ จะเสนอ เมื่อไหร่...ก็เมื่อนั้น

มหาเถรฯ ละ-วาง เสียบ้างเถอะพระคุณเจ้า ธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์ตะหาก คือยานนำสู่โลกุตระ

ตำแหน่ง "พระสังฆราช" ไม่มีในพุทธโอวาทให้ขวนขวายหรอกขอรับ.

พ่อครูว่า...นี่คือภูมิปัญญาของคุณเปลวสีเงินที่ได้เรียบเรียงข้อมูลรวมทั้งให้ความเห็นของตัวเองผู้มีปัญญาก็คงจะรู้ว่าเป็นอย่างไรเป็นความจริง

ต่อมาคอลัมน์ของคุณสารส้มในแนวหน้า

                             

หยุดอุ้มธัมมชโย กวนน้ำให้ใส (แนวหน้า)

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่า หนังสือที่ดีเอสไอส่งถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)และมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อสอบถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ พศ.และมส.ตามที่มีการร้องเรียนกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก จากคดียักยอกเงินและที่ดิน ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้าง

ประเด็นที่ต้องการให้ พศ.ตอบมายังดีเอสไอ คือ การดำเนินการตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีผลในทางกฎหมาย

พศ.ที่เป็นหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวในการทำหน้าที่เลขานุการประสานกับกรรมการมหาเถรสมาคม ได้ดำเนินการอย่างไรกับพระธัมมชโยในกรณีดังกล่าวแล้วบ้าง?

การดำเนินการถูกต้องหรือไม่?

ซึ่งตามพระลิขิตกำหนดไว้ 2 ประเด็น ทั้งเรื่องอาบัติปาราชิก และเรื่องการคืนทรัพย์สิน

พ.ต.อ.ไพสิฐยังกล่าวด้วยว่า หนังสือจากดีเอสไอยังไม่ใช่การชี้มูลความผิดแต่เป็นการแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการและหากไม่ดำเนินการ พศ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

1) หนังสือดังกล่าว ดีเอสไอระบุชัดเจนว่า พฤติการณ์ของพระไชยบูลย์ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อครั้งปี 2542 ที่มีการเอาเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตนเองและคนใกล้ชิด ถือว่าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต” และ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 แม้ในภายหลังจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเหตุก็เพราะต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น

พระลิขิตชี้ออกมาตั้งแต่ปี 2542 ทว่าธัมมชโยยังไม่คืนเงินทันที ยังสู้คดีอีกหลายปี

ดีเอสไอเห็นว่า ยังคงมีประเด็นที่มหาเถรสมาคมจะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 กรณี คือ

1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน

2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินคดีกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ขั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1

2) พูดง่ายๆ ว่า มหาเถรสมาคมเพิ่งจะสนองพระบัญชาตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชไปเพียงครึ่งเดียว คือ การคืนทรัพย์สิน เงินและที่ดินที่ธัมมชโยยักยอกไป แต่เรื่องใหญ่ เรื่องหลัก คือ การติดตามดำเนินการเพื่อให้ธัมมชโยพ้นจากความเป็นพระ หรือปาราชิกไปตามที่มีพระลิขิตนั้น กลับยังไม่บรรลุผล

จนวันนี้ ยังเห็นธัมมชโยนุ่งห่มเหลืองอยู่ทนโท่

แถมที่ผ่านมา มหาเถระยังเสนอแต่งตั้งยศศักดิ์สูงขึ้นแก่ธัมมชโยด้วย

3) 20 กุมภาพันธ์ 2558 หลังการประชุมมหาเถร ที่มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน ปรากฏว่า พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส. ออกมาแถลงอุ้มธัมมชโยหน้าตาเฉย

อ้างว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด ถือเป็นอันยุติ ศาลยกฟ้อง พ้นมลทิน ไม่ได้ฝ่าฝืนพระลิขิต

นี่คือความพยายามฟอกตัวธัมมชโยหรือไม่?

ทั้งๆ ที่ ศาลไม่ได้ยกฟ้อง แต่เมื่อปี 2549 นั้น อัยการในยุครัฐบาลทักษิณไปขอถอนฟ้อง ศาลยังไม่ทันได้พิพากษาชี้ขาด แต่ชิงตัดหน้า ขอถอนฟ้องออกไปก่อน

4) มหาเถระ เกื้อหนุนธรรมกาย ธัมมชโย?

ธัมมชโยบวชที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ สมเด็จช่วงบวชให้

มหาเถรสมาคมในยุคของสมเด็จช่วง มีการปฏิบัติหน้าที่เอื้ออำนวยประโยชน์แก่ธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย หลายกรณี เช่น

8 มกราคม 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม และพระวัดพระธรรมกายอีก 2 รูป เดินทางไปงานทอดผ้าป่าที่วัดพระธรรมกายฮ่องกง และวัดพระธรรมกายไทเป โดยให้ทุกรูปใช้หนังสือเดินทางราชการ

10 มีนาคม 2558 อนุมัติให้พระวิสุทธิวงศาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคมวัดปากน้ำภาษีเจริญ และคณะเดินทางไปเจริญพระพุทธมนต์ ที่วัดพระธรรมกายบาวาเรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ใช้หนังสือเดินทางราชการ

30 ตุลาคม 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม พระราชธรรมาภรณ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม และคณะเดินทางไปงานทอดผ้าป่า ที่วัดพระธรรมกายฮ่องกง ให้ใช้หนังสือเดินทางราชการ

30 พฤศจิกายน 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม และคณะ อันประกอบด้วยพระธรรมกายอย่างน้อย 7 รูป เดินทางไปงานทอดผ้าป่า ที่วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ทุกรูปใช้หนังสือเดินทางราชการ

นอกจากนี้ มหาเถรสมาคมยุคสมเด็จช่วง ยังอนุมัติให้พระวัดธรรมกายไปเป็นพระธรรมทูตในต่างแดน อยู่ตามวัดพระธรรมกายในต่างประเทศอีกมากมาย เช่น วัดพระธรรมกายนิวคาสเซิล สหราชอาณาจักร วัดพระธรรมกายชวาร์ซวัลด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วัดพระธรรมกายเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วัดพระธรรมกายนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ วัดพระธรรมกายโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

ยิ่งกว่านั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูป ยังไปร่วมงานวันเกิดของธัมมชโย ที่วัดพระธรรมกายอยู่เสมอ พร้อมกล่าวสรรเสริญเยินยอธัมมชโยอย่างที่สุด

ก่อนหน้านั้น ธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย ได้ถวายปัจจัยและทองคำสร้างรูปหล่อหลวงพ่อสดทองคำ หนัก 1 ตัน ให้วัดปากน้ำภาษีเจริญ และสมทบเงินกว่า 30 ล้านบาท สร้างมหาเจดีย์ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญอีกด้วย

สมเด็จช่วงถึงกับออกปาก ในพิธีอัญเชิญรูปหล่อทองคำ ประดิษฐาน ณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555 อุ้มชูเยินยอธัมมชโยและวัดพระธรรมกายอย่างเต็มที่

“..วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกาย เป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งเป็นวัดเดียวกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ส่วนใหญ่วัดพระธรรมกายให้กับวัดปากน้ำ เป็นต้นว่า พระมหาเจดีย์ที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งเห็นอยู่นี้ วัดพระธรรมกายถวายจตุปัจจัยมา 30 ล้านบาททองคำอีกจำนวนหนึ่งแล้วก็พระธาตุอื่นๆอีกจำนวนมาก..”

นี่หรือเปล่า... ที่เขาว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่?

เมื่อคราวที่ธรรมกายจัดอีเว้นท์ “ธุดงค์ธรรมชัย” ให้พระเดินเหยียบกลีบดอกไม้กลางเมือง สมเด็จช่วงก็แสดงออกตัวแรง หนุนส่ง การันตี ลงเดินเหยียบกลีบดอกไม้ กล่าวเยินยออย่างเต็มเหนี่ยว

“...อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ 87 ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ...”

จะด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้หรือไม่ ที่ทำให้คณะสงฆ์ยังคงปกป้องอุ้มชูธัมมชโยเรื่อยมา ไม่ดำเนินการสนองพระบัญชาตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชโดยตลอด

กระทั่งว่า ธัมมชโยยังบริหารวัดพระธรรมกาย แผ่ขยายอาณาจักร ระดมเงิน ระดมทุน กว้านซื้อที่ดิน สร้างวัตถุ ออกอีเว้นท์กระตุ้นเงินบริจาคญาติโยมขนานใหญ่ พิธีกรรมพิสดารพันลึก พัวพันไปถึงเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ฯลฯ

ทั้งๆ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิต 26 เม.ย. 2542 ระบุชัดเจนว่า ธัมมชโยนั้น “...ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา”

5) คอยดูว่า การอุ้มพระดำน้ำ หรืออุ้มธัมมชโยดำน้ำหนนี้ จะอึดขนาดไหน?

ใครจะขาดใจตาย?

สารส้ม

พ่อครูว่า... เมืองไทยจะตกเป็นทาสของคนพวกนี้ไปอีกนานเท่านาน ถ้าผู้มีอำนาจไม่ทำหน้าที่ตัดสินให้เด็ดขาดลงโทษให้เด็ดขาด ขนาดนี้มีดาบอาญาสิทธิ์แล้วถ้าไม่ฟันก็อ่อนแอแล้ว

          แน่นอนอุ้มพระเก๊จะต้องตายแน่นอน พระแท้จริงเป็นสภาวะในจิตใจ มาอ่านต่ออีก                

ไล่บี้ปาราชิก‘ธัมมชโย’ (แนวหน้า)

ไล่บี้ปาราชิก‘ธัมมชโย’ ฮึ่มเชือด‘พศ.’ ดีเอสไอ’ เขย่าขวัญ ฟันเว้นปฏิบัติหน้าที่ ชี้ทำความผิดสำเร็จ ต้องยึดตามพระลิขิต

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ว่า ดีเอสไอได้ทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และ มหาเถรสมาคม (มส.) ถึงประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของพศ.และมส. ตามที่มีการร้องเรียน พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกจากกรณียักยอกเงินและที่ดินตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชว่า ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้างแล้ว โดยเบื้องต้นผู้อำนวยการ พศ. ยืนยันจะตอบข้อซักถามของดีเอสไอกลับมาภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่มีการสอบถาม คือ การดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีผลในทางกฎหมาย ขณะที่ พศ. เป็นหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวในการทำหน้าที่เลขานุการและประสานกับ มส. จึงต้องสอบถามว่าได้ดำเนินการอย่างไรกับ พระธัมมชโย ในกรณีดังกล่าวแล้วบ้าง และเป็นดำเนินการถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การทำหนังสือดังกล่าวยังไม่ถือเป็นการชี้มูลความผิด แต่เป็นการแจ้งประสาน พศ. ให้ดำเนินการ ซึ่งหากไม่ดำเนินการ พศ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่หากพศ.ดำเนินการไปแล้วอย่างไร ก็ต้องชี้แจงต่อสังคมเพื่อให้สิ้นสุดข้อสงสัย ซึ่งนอกจาก พศ. แล้ว ดีเอสไอยังได้ส่งหนังสือลักษณะเดียวกันไปยัง มส. เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตด้วย

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาของหนังสือที่ดีเอสไอส่งให้ พศ. นั้น ได้สอบถามถึงการดำเนินการกรณี พระธัมมชโย และเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญาจากกรณีการถือครองที่ดินและทรัพย์สิน เพราะถือเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิด แม้ในภายหลัง พระธัมมชโย จะนำทรัพย์มาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น

การกระทำเช่นนี้ จึงไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้ว กลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้ ซึ่งพระลิขิตของพระสังฆราชฯ (ฉบับที่ 3) ยืนยันการกระทำผิดนี้ชัดเจนว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ

พ่อครูว่า...อาตมาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของประเทศไทยพร้อมมโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องจิตวิญญาณของประชาชนคนทุกคนโดยเฉพาะชาวพุทธ เมืองไทยเราเป็นชาวพุทธถึง 95 เปอร์เซ็นต์ จิตวิญญาณจะต้องร่วมรับรู้ร่วมรู้สึก ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมลุ้นด้วย ตอนนี้ลุ้นกันน่าดู ตอนนี้เหตุปัจจัยมีหลักฐานต่างๆที่เป็นความเลวนั้นมันก็ให้เห็นชัดชัด

ถ้าปล่อยให้ความผิดนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ทำอะไร ไม่มีทางที่จะมี มโนเสฏฐามโนมยา

มโนปุพพังคมาธัมมา คือจิตวิญญาณเป็นประธานของทุกอย่าง ธรรมะหมายถึงทุกอย่างในมหาจักรวาลมีจิตวิญญาณเป็นตัวยืนยันหยัด โลกนี้โดยตัวดินน้ำไฟลมอากาศมันเป็นอุตุยามไม่มีพิษแรงเท่าพลังงานจิตวิญญาณ พลังงานจิตวิญญาณเป็นพลังงานที่แรงที่สุด ทำลายโลกทำลายจักรวาล

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะทำให้เกิดความเจริญที่เรียกว่า เศรษฐา(เสฏฐา)  แปลว่าความเจริญ ถ้าจิตไม่ทำให้ถูกต้องที่เป็นสิ่งที่มาก่อนไม่ทำให้จิตวิญญาณเจริญ จะไม่มีทางมีผลสำเร็จ จิตเป็นตัวต้นตอแห่งความเจริญหรือทางเสื่อม ถ้าไม่จัดการให้ความชั่วความเลวนี้ออกไป ก็จะเป็น มโนหายนา ไม่ใช่มโนเสฏฐา แต่จะสำเร็จหายนะ

อย่างที่คุณเปลวเขียนมาว่าเป็นเรื่องสุดทางแล้ว สุดทางมหาเถรสมาคมกับสุดทางสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ และก็สุดทางของสำนักนายกด้วย ไม่มีทางอื่นจะไปอีกแล้ว ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของสำนักพุทธที่มันเข้าข่ายนรกแล้ว เข้าขาเหยียบนรกแล้ว ส่วนมหาเถรสมาคมลงนรกไปแล้ว สำนักพุทธศาสนานั้นขาข้างหนึ่งลงนรกแล้ว

สำนักนายกเท่านั้นที่จะตัดสินว่าสำนักพุทธจะต้องลงนรกหรือไม่ สำนักพุทธนั้น ขาสองข้างลงนรกแล้วมีอีกข้างหนึ่งอยากสวรรค์ ให้สำนักนายกเท่านั้นที่จะตัดสิน ไม่ต้องตัดสินอะไรยากด้วย มันเป็นของชัดอยู่แล้ว ถ้าไม่ตัดสินก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว

 

เราก่อสร้างรัตนราชธานีของเราต่อไป ตั้งแต่พื้นที่สิ่งแวดล้อมวัตถุสมบัติพวกเราก็มาได้ที่ตรงนี้โดยที่เราเองก็มีปัญญามีบารมีเท่านี้ มาที่ที่น้ำท่วมคนไม่เอาแล้วมาบูรณะขึ้น ก็ค่อยค่อยขึ้นไป ในที่หมู่บ้านทั้งหลายในโลกที่เกิดมา

เรากำลังสร้างภูมิฐานขึ้นเรื่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่คนแก่ ก็ช่วยกันไปเรื่อยจนกระทั่งตายจากกันไป วันนี้ก็มีคนตายไป 1 คน ผู้ตายก็ตายไป ผู้อยู่ก็นำกันไป เอาไปฝังหรือเอาไปเผา เราก็กำลังก่อร่างสร้างตัว ด้วยความจนนี่แหละ ภูเขาก็จะสร้างแม่น้ำก็จะสร้าง ต้นไม้ก็จะปลูก หาดทรายก็จะต้องมี ต้องทำโรงเรือนเราก็จะทำอะไรต่างๆ เราก็ทำไปตามประสาคนจน ทำตามสุจริตไปก็ได้ไปตามลำดับ ก็ควรเข้ามาช่วยกันเถอะ ผู้ใดที่เห็นว่าควรจะมาช่วยกันสร้าง เพราะจะสร้างจริงๆ ตอนนี้ก็อยากได้แสงพระอาทิตย์เอาไว้ใช้ หลายคนก็ยังไม่อินตาม ไม่ get ตามเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไรก็จะทำต่อไป เพราะพระอาทิตย์นี้ไม่มีใครจะมาแย่งสัมปทานเพราะมันกว้างไม่มีขอบเขต

ตอนนี้กำลังก่อสร้างเฮือนสวน เป็นอาคารขนาด 11 ไร่ที่จะเกิดขึ้น คนงานที่ถูกเหมามาใช้แรงงานก็ใช้ฝีมือกันก็คงหนาว ยังนึกอยู่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร ก็ไปดูๆกันหน่อยจะได้เกื้อกูลกัน เขามาจากต่างจังหวัดมาไกล แม้เขาจะรับจ้างก็ตามก็ไปดูแล

วานนี้หลังฉัน พ่อครูตรวจงานตามปกติ ลมหนาวพัดแรงทั้งวัน ที่ 11​ ไร่ ที่กำลังขึ้นโครงเหล็ก จะเป็นตึกใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ มีคนงานที่ถูกเหมามาใช้แรงงานไร้ฝีมือเป็นกลุ่มกลุ่ม กลุ่มละนับสิบๆ คนเชื่อมเหล็กก็เชื่อมทั้งวัน ยกเคลื่อนย้ายก็ทำทั้งวัน ทาสี และอื่นๆ ก็ถูกมอบหมายโดยหัวหน้างาน ดูจากการทำงานน่าจะเป็นช่างฝีมือที่ประกอบอาชีพอย่างนี้มานานแล้ว 

อีกมุมหนึ่งที่กว้างใหญ่ มีแปลงกสิกรรมที่กำลังเริ่มเขียวขึ้นมาตามที่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะให้ทันตลาดอาริยะที่จะมาถึงในสงกรานต์ปีนี้

แต่มีจักรกลหนักตัว 1 สีส้ม มีภาพสัญลักษณ์รูปหัวพญาแร้ง หน้าตาพญาแร้งอารมณ์ดี เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่ในห้องกระจกของรถจักรกลหนัก คอยโยกคอยควบคุม กระเช้าสายสลิงที่ใช้ขนย้ายปลีกหินชิ้นใหญ่ที่แสนหนัก ลงจากรถเทเลอร์ 22 ล้อ ก้อนแล้วก้อนเล่า เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า เด็กๆชุดสีน้ำเงินเกือบ 10 คนยืนทำงานอยู่ในพื้นที่ติดติดกันกับช่างที่มารับเหมาสร้างตึกให้เรา ท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยงลมแรงๆ อย่างเดียวกับผู้มารับจ้าง

พอเห็นพ่อครูเดินมากับปัจฉาฯ พวกเขาก็พากันกราบพ่อครู สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสท่าทีของเด็กกลุ่มนี้ต่างกันมากมายกับกลุ่มของผู้มารับจ้าง แววตาที่มองมายังหลวงปู่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ ความรักและความศรัทธา เพราะที่นี่เป็นของเขา เขาเป็นเจ้าของ เขาไม่ใช่แค่มาแล้วจากไปเมื่อหมด project เขาอยู่ที่นี่เติบโตที่นี่ กิน-นอน-เล่น-เรียนและกำลังฝึกทำงานอยู่ที่นี่

ประทับใจภาพนี้ กับทีมทีมลงหินปวช ที่ถูกประกาศเรียกให้มาลงหินอย่างต่อเนื่องนี้

พ่อครูว่า….หินมาแล้วทีมลงหินปวชรีบมาเมื่อเรือมันเชือกขาดเรือใหญ่ทีมอาชีวะ ปวชต่อเรือก็มาลงน้ำช่วยกันดึงเรือขึ้นฝั่งเข้าฝั่ง อันนี้เป็นเลือดเนื้อวิญญาณ ตอนนี้ก็รับงานหนัก ทางกสิกรรมก็หนักทางด้านช่างก็หนักทุกด้านก็น่ะ เพราะพวกเรานั้นขาดคน เพราะงานนั้นตกคน สถานที่นี้เป็นสถานที่เจริญ สถานที่งานตกคนไม่ใช่คนตกงาน เขาเห็นแล้วก็บอกว่า ให้กำลังใจพวกเด็กปวช ปวส อยากให้อาตมาตั้งชื่อทีมกลุ่มนี้ว่า กลุ่ม หินสร้างเมือง หินหนักๆนี้จะขนมาอีกหลายสิบเทเลอร์ คงเป็นร้อยเทเลอร์เลย

ตั้งชื่อว่าพวกกลุ่มหินสร้างเมือง ไม่ต้องเรียกว่าปวช ปวส ให้เรียกว่ากลุ่มหินสร้างเมือง และไม่ใช่เมืองธรรมดานะเมืองรัตนราชธานี เด็กอาชีวะนี่พวกเขาต้องใช้แรงงาน จะต้องมีพลังงานดีดดิ้นจะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ แต่เรื่องงานเขาไม่หวั่น ตอนนี้ก็ช่วยงานเขาก็ต้องลงน้ำเชือกเรือขาดก็ต้องไปช่วยดึง หินก็ต้องช่วยแบกรถคันนั้นคันนี้ จะต้องเอารถเทลเลอร์ไปบ้าง รถแบคโฮไปบ้าง เอารถเกรดไปบ้าง เอารถอะไรบ้าง ก็ต้องไปช่วยกันทุกมุม คนอื่นก็ช่วยทุกด้านก็หนัก ที่ไม่ได้เอ่ยถึงก็อย่าน้อยใจ

นี่คืองานพวกเราที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์กัน มันเกิดจากจิตวิญญาณ ที่เข้าใจแล้วก็มา ไม่ได้จ้างได้วาน อาตมาซาบซึ้งสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่ทำได้ขนาดนี้ แม้มันจะยังดูเล็กแต่มันเป็นของจริง ขอยืนยันว่าเป็นของจริงของพระพุทธเจ้า ก็ต้องช่วยกันพากเพียรสร้างสรรต่อไป ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องพูด ขอพูดต่อไปจนถึง 151 ปีก็แล้วกัน เรื่องไฟไหม้นี้เราก็มีวิบากเพราะว่าเขามาจุดมาเผา

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:03:44 )

590208

รายละเอียด

590208_พุทธศาสนาตามภูมิ อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม  คนเราอยู่ที่การกำหนดหมายและร่วมรับรู้กัน ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยใช้สอยในสังคมในชีวิต สิ่งที่จะต้องอาศัยใช้สอยในสังคมร่วมกันเรียกว่าสมมุติสัจจะ เป็นความจริงที่รู้ร่วมกัน สังคมแต่ละสังคมก็มีสิ่งอาศัยต่างกันเพราะความเป็นอยู่ต่างกัน

ขณะนี้เราก็มีงานศพแม่ของพลอยไพร จะเผาวันพุธที่ 10 งานศพของชาวอโศกก็ไม่เหมือนที่อื่น เป็นศาสนาพุทธเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน กำหนดเห็นว่าควรอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ปรุงแต่งเอาโลกีย์เอากิเลสเข้ามาปรุงจนกลายเป็นงานศพที่คนตายจะตายไม่ลง เพราะต้องใช้เงินใช้ทองในการทำงานศพกันเป็นเรือนแสนบาท บางทีก็เป็นเรือนล้านบาท เป็นเรื่องของโลกีย์ เป็นเรื่องของความเลวร้ายของสังคมที่มอมเมากัน เอามาให้ทรมานทุกข์ร้อนทำลายชีวิต

          ความจริงแล้วงานศพก็ต้องมี พระพุทธเจ้าท่านก็พาทำ ท่านบอกว่าให้เผา บอกว่าไม่ให้รอแม้กระทั่งญาติหรือคนเดินทางไกลที่มายังไม่ถึง พระสารีบุตรทูลถาม

พระพุทธเจ้าว่าคนตายแล้วร่างกายหมดที่จะมาปฏิบัติดีปฏิบัติชั่วให้แก่ตนอีก ก็ไปรับวิบากตามที่ได้ทำไว้เท่านั้นเอง ที่เหลืออยู่ คนก็มาหลอกกัน ทำให้คนที่อยู่นี้ต้องทำงานศพให้หรูหรา เอาอะไรส่งไปให้ผู้ตาย ให้ผู้ตายได้รับ จะได้เกิดความสุขสบาย อันนี้คือ ความหลอกบทที่ 1 ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเช่นนี้ 

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ท่านก็สอน แต่ไม่เคยสอนว่าจะส่งอะไรไปให้พ่อแม่ที่ตายได้แล้วจะได้รับ ไม่เคยมีในคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะเรามีกรรมเป็นของๆตน ตอนมีชีวิตทำกรรมใดก็ได้รับผลวิบากของตนตามที่ได้ทำไว้ ทำดีมีผลวิบากดี ทำชั่วก็ได้ผลวิบากชั่ว คือทรัพย์แท้แห่งอัตภาพคนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ยังไม่ปรินิพพาน ตายแล้วก็จะต้องมีอัตภาพเหลือ ต้องรับผลวิบากไปเรื่อย เราจะต้องรับมรดกของกรรมของเรา แล้วกรรมพาเกิดให้เราเป็นไปเราจะต้องลำบากทุกข์ร้อนก็เพราะเราทำ ไม่มีเหตุอื่นที่มาทำเรา จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ มันเป็นเหตุประกอบ

 ทุกวันนี้ คนตายแต่ละทีเป็นเรื่องลำบากมาก พวกเราก็พยายามนำคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติไม่ให้เป็นภาระ แต่เราจะใช้ด้วยความมีปัญญา เช่น งานศพจะได้เป็นการศึกษา ได้รับประโยชน์จากการตายของคนคนหนึ่ง ให้หมู่ญาติมิตรเพื่อนฝูงมารับรู้ว่าอย่างน้อยคนทุกคนก็จะต้องตาย ทุกวันนี้ยิ่งไม่แน่นอนอย่าประมาทอย่ารีรอ ก็เป็นการเตือนสติ เป็นการให้สติกับผู้ที่ยังอยู่ว่าเราจะต้องตาย

อย่างนี้กันทุกคนตาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลพาให้บรรลุธรรม

ตอนที่เราเป็นเป็นนี้ เราจะสร้างกรรมของเราให้ดี ให้เป็นที่อาศัย กรรมจะเป็นเชื้อเป็นเผ่าเป็นพันธุ์ กัมมพันธุกรรมปฏิสรโณ ทุกวันนี้คนไม่เชื่อเรื่องกรรม แม้รู้ว่าเลวก็ทำ ถูกหลอกด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จริงๆแล้วจิตเรามันเป็นทาส เป็นจิตที่ไปติดไปยึด ว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น ก็อยากได้อยากมีอยากเป็นตามที่จิตมันถูกสั่งจากกิเลสให้อยากได้อยากมีอยากเป็น ถ้าถามชัดกันว่านี้ดีหรือชั่ว ถ้าไม่ประสาทเสียก็จะตอบได้ ของของคนอื่นไม่ใช่ของของเรา แล้วเราก็ไปอยากได้ของเขา แล้วหาวิธีเอาของเขาโดยวิธีไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขโมยเริ่มต้นที่โกง เมื่อถามอีกให้ตั้งสติให้ดี การที่คิดจะทำเช่นนั้นมันดีหรือชั่ว เขาก็จะตอบได้กันทุกคน

การอยากจะฆ่าสัตว์ อยากเอาของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของของเรา คิดชั่วจิตมันก็ไม่ดี ที่จริงแล้วมันก็ไม่มีตัวตนแต่เราโง่ไปยึด ว่าถ้าได้มาจะเป็นสุข สุขที่ได้นั้นอนัตตามันไม่มีตัวตนมันเป็นสุขปลอม ไม่มีจริงหรอก ต้องศึกษาอ่านอาการจิตว่ามันเป็นสุขเวทนา เป็นความรู้สึกของอารมณ์สุขเป็นอิฏฐารมณ์ มันเป็นสิ่งเท็จ

แล้วมันมีเหตุอะไรจะมาก่อน เราตั้งไว้ในใจ มันอยากขึ้นเดี๋ยวนี้ก็แสวงหาโดยแย่งชิงฆ่าแกงกันเพื่อให้ได้มา หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจแต่มันสะสมไว้ในอนุสัย พอได้มาตรงอนุสัยที่มีกิเลสก็ได้สุข โดยไม่เจตนาไม่รู้ตัวแต่มันตรงกับอุปาทานในจิต ก็รู้สึกสุข ก็อยู่กับความหลอก คนที่รอความสุขหรือมีชีวิตเพื่อหาความสุขแบบนี้ เป็นคนที่ไม่พ้นทุกข์หรอก

พระอรหันต์จึงไม่มีความสุขแบบนี้เลยทุกชนิดที่จะมาถึงตัวท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ ได้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โดยที่ท่านไม่ต้องอยากได้แต่ท่านก็ได้ ท่านก็ไม่มีสุขทุกข์ เพราะท่านหมดความอยากในเรื่องโลก เข้าใจหมดแล้ว

ถ้าเราจะมีเราจะได้ เราก็ทำเราก็สร้าง สร้างโดยตรงหรือสร้างทางอ้อมก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนตามโลก คนเราก็อาศัยเช่นนี้ แต่สูงสุดจนกระทั่งพระพุทธเจ้า ให้คนมาศึกษาจนไม่ต้องการอะไรในจิต ให้รู้ความจำเป็นในจิต รู้จักความจำเป็นของเหตุปัจจัยในปัจจัย 4 และบริขารที่จำเป็นในชีวิต เป็นชาวนาก็อาศัยแบบชาวนา เป็นนักขนส่งก็ต้องอาศัยพาหนะ ก็ใช้เหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบในการทำอาชีพ เพื่อที่จะได้โดยอ้อมโดยตรงในปัจจัย 4 แม้แต่นกแม้แต่สัตว์ต่างๆ ก็มีที่อาศัย แต่เรื่องยานั้นมันก็ไม่ค่อยรู้จัก มันก็รู้ตามประสาของมัน

คนนั้นทำเกินความจำเป็นแก่ชีวิต ทำให้เกิดความเจ็บป่วยมากกว่าสัตว์ เพราะแสวงหาบำเรอตามความต้องการของตน ให้ได้ค่าแรงมาให้แก่ตัวเรา เราก็ทำงานเพื่อแลกเอาลาภยศสรรเสริญ ทับถมทุกข์ให้แก่ตนไปอีกมากมาย เราไม่ต้องไปเสียเวลาแรงงานเพื่อไปเอาสิ่งเหล่านั้น มันไม่ใช่ความสุขอะไรหรอก แต่ไปหลงสมมุติสัจจะที่โลกหลอก มาศึกษาธรรมะเข้าใจแล้วชีวิตจะง่าย อยู่ง่ายเลี้ยงง่ายสุภระ ไม่วุ่นวายไม่มากเรื่องวันวันหนึ่ง

อาตมาวันๆหนึ่งไม่ต้องไปเที่ยวแสวงเสพอะไร มันจบแล้วเข้าใจหมดแล้ว ชีวิตเราจึงมีพลังงานสร้างสรรทำประโยชน์ที่เราจะทำได้ เป็นคนที่หมดการบำเรอตน ไม่มีลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นสิ่งที่เราจะเอาผลผลิตแรงงานไปแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นกายกรรมวจีกรรม แสดงความรู้ให้แก่เขา เขาก็ให้อะไรมา ก็ไม่ต้องทำแล้ว ดังนั้นเราจะไปโกง กุหนา ลปนา ตลบแตลง เนมิตกตา เสี่ยงทายอะไร นิปเปสิกตา มอบตนในทางที่ผิด แม้ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา จะต้องใช้ลาภมากๆก็ไม่มีแล้ว

ชาวอโศกเราทำได้ทั้งนักบวชและฆราวาส พ้นมิจฉาชีพ 5 หลายคนตื่นมาตี 2 ตี 3 ทำงานกว่าจะนอนก็ 3- 4 ทุ่ม ไม่ได้อะไรด้วยซ้ำ บางทีทำงานผิดพลาดก็โดนด่าอีก เพื่อนก็ด่าผู้ใหญ่ก็ด่าให้ แม้ปรารถนาดีแต่ก็ผิดพลาดเสียหาย บางคนก็ด่าผิดผิดเสียหายด่าตามอารมณ์ก็มีบ้าง เขาก็ว่ากัน แต่เจตนาเพื่อจะท้วงว่านี้ผิด

สรุปคือธรรมะของพระพุทธเจ้าทำให้คนเจริญในสัมมาอาชีวะ วันหนึ่งเราจะมีตารางชีวิต มีความเป็นไปถึงขนาดพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ไม่โกง ไม่หลอกลวง ไม่เสี่ยงทาย ไม่ตลบแตลง ไม่มอบตนในทางผิด อยู่กับหมู่มิตรดีพาทำกุศล ไม่ต้องการอะไรตอบแทน

นี่คือความบริสุทธิ์ในสัมมาอาชีวะ ที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า สามารถพาคนที่ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธ บรรลุธรรมได้ บางคนหลายสิบปีถึงสี่สิบปีก็ไม่มีมิจฉาชีพอะไรคือพ้นมิจฉาชีพ 5

ส่วนมิจฉากัมมันตะ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์เอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของของเรา และประพฤติผิดในกาม มิจฉากัมมันตะ 3 พวกเราก็บริสุทธิ์ได้ ไม่ฆ่าสัตว์แม้แต่เนื้อสัตว์ก็ไม่กิน ไม่เอาของคนอื่นที่เขาไม่ให้ เราก็ทำได้ทั้งนักบวชทำได้ทั้งฆราวาสเป็นหมู่กลุ่มเป็นพฤติกรรมสังคม ประพฤติผิดในกามเราก็อาจจะมีบกพร่องบ้างไม่มาก แต่โดยสังคมส่วนรวมดี

ส่วนมิจฉาชีพ 5 ภูมิใจว่าพวกเราทำได้ พ้นมิจฉากัมมันตะ 3 ก็เราเป็นได้ดีพอสมควร เป็นสังคมที่ไม่มีมิจฉา มีข้อบกพร่องไม่มาก ไม่เกิน 10 % ที่ error

มิจฉา 4 ของวาจาจะมากหน่อย พูดคำหยาบไม่ค่อยมี พูดเพ้อเจ้อโดยไม่เจตนาก็จะเป็น พูดส่อเสียดก็จะพอมี ไม่มากนิดหน่อยเพราะพวกเราพอเข้าใจ ส่วนการพูดโกหกนั้นมีน้อยมากเกือบจะไม่มี เพราะระวังสังวรจริงๆ นี่เป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการเช็คผลปฏิบัติธรรมจริงของนักปฏิบัติธรรม ซึ่งอาตมาพาทำได้เป็น

กลุ่มหมู่เป็นหมู่มวล โดยรากเหง้าคือการเข้ามาพิจารณาแก้ไขตนเองใน มิจฉา 3 ของสังกัปปะของจิตวิญญาณ มี กาม พยาบาท วิหิงสา

วิเคราะห์ว่าจิตเราคิดอย่างไร ได้รู้จักกามสัญญากำหนดรู้กายและจิต รู้พยาบาทในกายและจิต วิหิงสาเป็นข้อละเอียดไปอีก มิจฉา เกิดมาจากเหตุปัจจัยตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เรียนรู้รูปนาม เมื่อสัมผัสแล้วเกิดกาม พยาบาท ในปัจจุบัน แล้วเราก็เรียนรู้ลดละในปัจจุบันว่าจิตเกิดกามเกิดพยาบาทก็เป็นสัตว์นรกเราก็ลดละ แม้จะเป็นการกดข่มให้ไม่มีชั่วคราวก็เป็นผล แต่มันไม่ถาวร แต่เราเรียนรู้อย่างมีปัญญาให้เกิดปัญญาเกิดฌานที่ไปลดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้

เราเรียนรู้ลดละได้เพราะก็ไม่มีในโลกอบายมุขที่เขามีกัน สังคมชาวอโศกไม่มีเรื่องกามหยาบหยาบเรื่องพยาบาทที่หยาบๆ ที่จะไปวุ่นวายในกามราคะ จะมีโทสะรุนแรงก็ไม่มี เป็นเรื่องเบื้องต้นแต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เหนือกว่าแม้ในวัดอื่นด้วยซ้ำ แม้แต่เป็นฆราวาสแท้ก็มีปริมาณและคุณภาพ เป็นร้อยเป็นพัน

เป็นศีลสามัญญตา เป็นสามัญญผลแท้จริง เป็นปรากฏการณ์จริง ไม่เพ้อฝัน ไม่ใช่ขี้ตู่

อรหัตตผลในโสดาบันเรามีแน่นอน สกิทาคามี อนาคามีก็มีแน่นอน แม้ในเรื่องเหตุปัจจัยบางอย่าง อรหัตตผล ในอาสวะบางอย่างก็หมดสิ้นได้ เหลือแต่ต้องทำการปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ให้หมดเป็นอุภโตภาควิมุติ ฟังเข้าใจไหม แล้วมันน่าทำได้นะ เป็นแต่เพียงพวกเราไม่ชัดเจนในบัญญัติในอาการจิต ถ้าชัดเจนบัญญัติ ตรวจสอบอาการจิตเราให้ดี

พวกเราเป็นอาริยบุคคลกันไม่ใช่น้อย บางคนอาตมาว่าใกล้ๆอรหันต์นะ เป็นแต่ไม่ได้เช็คละเอียด ถ้าเช็คละเอียดเป็นอรหันต์ได้นะ เช็คให้ดีว่าเราเหลืออะไร เพ่งเพียรทำ แต่พวกเราไม่เป็นระบบ chaos เต็มที

ตรวจสอบให้ดีเรียกว่าเตวิชโช ตรวจเจโตปริยญาณ 16 ว่าเราได้วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะเท่าไหร่ อยู่กับโลกเราก็เตวิชโชดู วันหนึ่งๆมันหมดไหม ตรวจให้ดี เคยทำแล้วได้สังขิตตัง เป็นสอุตตระ เป็นอนุตตระ จิตเราก็สมาหิตัง วิมุติแล้ว เป็นมาตรวัดจิต

 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา ผู้สืบทอดศาสนา ทำอะไรผิดแล้วปกปิดหน้าด้านหน้าทน และมีหมู่กลุ่มเข้าพรรคพวก สมีอุ้มสมี ไม่ได้ใส่ความนะ แต่มันเสื่อมสุดๆ พูดตามภูมินะ เป็นนิคคัณเห นิคหารหัง ที่พูดนี้เป็นกุศลไม่เป็นบาปอะไร ก็เตือนสติมนุษย์ชั่วให้ปรับปรุงตัวเสีย กรรมเป็นอันทำ จะทำกี่เวลาก็ได้ผล เวลา ยาวกาลิก เป็นของคุณทั้งนั้นหากไม่ได้ละเลิก จะสั่งสมอกุศล บาป เวรนี้ไปถึงไหน ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าใจไหม ควรละบาปเวรภัยไหม รู้เรื่องบ้างไหม ได้ประพฤติหรือเปล่า แล้วมาเสนอหน้าว่าฉันคือผู้สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า

ขออภัยที่พูดแรงตรง มันน่าว่ามากกว่านี้

เราเทศน์งานศพโยมกอง นาพงษ์​ อาตมาตั้งชื่อ บัวลึก ญาติๆก็มากันมากอยู่

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน มิจฉาทิฎฐิ 62

มาต่อกันในพระไตรปิฎก ล.9 ตั้งแต่พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าว่าคนตกในข่าย ทิฏฐิ 62​นี้เอง ท่านก็ตรัสสรุป ว่าทฤษฎีอื่นทิฏฐิอื่นมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธเจ้ารวบรวมไว้หมด บทสรุปของพรหมชาลสูตรว่า

เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น ธรรมเหล่านี้ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ (ที. สี. 9/พรหมชาลสูตร/50/35-37)

1.7 ตรัสสรุปความ

         พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้เป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ติดอยู่ในข่ายนี้ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมงหรือลูกมือชาวประมงผู้ฉลาด ใช้แหตาถี่ทอดลงยังหนองน้ำอันเล็ก เขาคิดอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ในหนองนี้ทั้งหมด ถูกแหครอบไว้ อยู่ในแห เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ติดอยู่ในแห ถูกแหครอบไว้เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้นที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตกล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถูกทิฏฐิ 62 เหล่านี้แหละเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้

พ่อครูว่า...ที่เป็นอรหันต์ที่ประกาศกันโครมๆนี้ของเก๊ทั้งนั้น มันน่าเสียดายมันน่าสงสาร แล้วก็อวดดีผยอง แทนที่จะสำนึกสำเหนียกรู้จักสิ่งอันควรก็ไม่เคยสำนึก ผู้มีดวงตาก็อนุโมทนา แม้ไม่ต้องมาหาอาตมาแต่สำนึกเองก็ทำให้ได้บรรลุ ขอเอาใจช่วย

สูตรที่สองคือสามัญผล ทำให้บรรลุเป็นอาริยะ โสดาบัน สกิทาฯอนาคาฯอรหันต์

สุตรที่ สามคือ อัมพัฏฐสูตร อ่านมาถึงสำรวมอินทรีย์

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อัมพัฏฐสูตร อินทรียสังวร

อินทรียสังวร

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อ สำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌา และ โทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียงด้วย โสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้นรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว {น.101} จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้ เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

พ่อครูว่า...ต้องรู้จักคำว่ากายให้ชัด ถ้าไม่รู้จักก็ปฏิบัติผิดๆ ปฏิบัติแยกส่วน กายก็รู้แต่แค่ร่าง ปฏิบัติจิตก็ไปสะกดจิต hypnotize ไม่มี analysis ไม่แยก มโนปวิจาร 18 เนกขัมมะหรือเคตสิตะก็แยกแยะไม่ออก จะโยนิโสมนสิการได้อย่างไร

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบ ด้วยสติสัมปชัญญะ

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทาง ทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิสาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัว เป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วย บิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ

พ่อครูว่า...ในหลวงท่านสอนให้อยู่แบบคนจน แต่พระท่านไม่กระดิกหูเลย

ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็นอริยะ เช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้าย คือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ พยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้

พ่อครูว่า...ท่านสอนในขณะที่คนนิยมเข้าป่ากันมากก็ต้องอนุโลมมาก แม้สังคายนาครั้งแรก พระกัสสปะก็สายป่าอีก

{น.102}ว่าด้วยอุปมานิวรณ์ 5

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงานของเขาจะพึง สำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขา จะพึงมี เหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความ โสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้ และ มีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย บัดนี้เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้ และมี กำลังกายเป็นปรกติ ดังนี้เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจาก เรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน เราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้อง เสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจาก เรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้น จากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

{น.103}ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้าน อันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติ เดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้น บรรลุ ถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตน เหมือนหนี้ เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณา เห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือน การพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน รูปฌาน 4

รูปฌาน 4

เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตนย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์ แล้วย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปิติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็น จรณะของเธอประการหนึ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ แม้นี้แลคือจรณะนั้น.

พ่อครูว่า...ฌาน 1 คือทำนิวรณ์หายไปได้ แต่มีวิตกวิจาร ปีติ อยู่ ข้างนอกมีการสัมผัสทางทวาร 6 สิ่งเหล่านั้นไม่ทำให้เกิดกิเลส มีกายสงบไม่ใช่กายนิ่ง แต่กายคือจิต มโน วิญญาณ มีสงบจากกิเลส คือจิตนั่นแหละ ที่ไม่มีนิวรณ์ ไม่ใช่กายคือร่างภายนอก จิตเราไม่มีกาม ไม่มีพยาบาท ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่มีวิจิกิจฉา เป็นจิตที่เนกขัมสิตอุเบกขา แต่มีวิตกวิจาร มีปีติ มีสุขอยู่ ท่านบอกว่ากายสงบ

ไม่มีกามวิตก ไม่มีพยาบาทวิตก ฌาน 1 ยังไม่ถึงอุเบกขา ต้องฌาน 3 จึงมีอุเบกขา เพราะระงับวิตกวิจาร ระงับปีติ สุข

ปีติ กับสุข เป็นแบบผรณาปีติ แผ่ซ่าน แม้เป็นอุปกิเลส

กิเลสเป็นของโลกๆ อยากได้มาสมใจ แต่อุปกิเลสคือเราจับกิเลสได้ แต่เราก็มีปีติ ซ้อนทำให้เป็นอุปกิเลส ก็ลดปีติ เป็นฌาน 2 จิตตั้งมั่นสงัดจากกาม จากพยาบาท

ฌาน 2 นั้นมีจิตเป็นหนึ่งมากขึ้น ไม่ใช่จิตดับ แต่เป็นเอกัคคตารมย์​เพราะวิตกวิจารหมดไป เพราะถ้าเรากดข่มก็ต้องใช้พลังงานวิตกวิจารอยู่ มันยังยากเหมือนหัดจักรยานใหม่ๆ ก็ลืมได้บ้าง เมื่อวิตกวิจารลด เหลือปีติ ก็ลดปีติ ต่อไป ถึงอย่างไรมันก็ลด ใหม่ๆดีใจแรง นานไปก็ชิน ก็ลดเอง ยิ่งรู้ว่าต้องลดก็ลดเร็วอีก จิตเป็นสมาธิ ก็เแบบลืมตา รู้สัมผัส กาย มีกามหรือพยาบาทอย่างไร แข็งแรงมีพลังปัญญาเพิ่มขึ้น เป็นจรณะข้อที่ 13

ฌาน 3​ เริ่มมีอุเบกขา หมดปีติ มีแต่สุข ต่อเป็นฌาน 4​ หมดสุข มีเอกัคคตาจิต มีอุเบกขา

ศีล 5 นี้เป็นปริตตัง เราก็ถือตามกรอบ ทำให้นิวรณ์​5 หมดไป มีสติเต็ม รู้เวทนาในเวทนา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน วิชชาข้อ 1. วิปัสสนาญาณ

{น.104}วิชชา 8

วิปัสสนาญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด (พ่อครูว่า...มีแต่มังสวิรัติ คุณหัดกินมังฯใหม่ๆกินข้าวกับขนมนี่กินได้มากมาย มีเยอะแยะ อร่อยด้วย) ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฝั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัย อยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่าง บริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้น วางไว้ในมือ แล้วพิจารณาเห็นว่าแก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาวหรือ นวลร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมน้อมโน้มจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรา นี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิด แต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรา นี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า...กายเราใสแล้วมองเห็นเหลี่ยมว่า กามสีแดง พยาบาทสีเขียว

ถีนมิทธะสีเหลือง ฯลฯ

สายปัญญานั้นสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ไม่ต้องกล่าวว่าต้องสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย ท่านทำมาแต่ต้นแล้ว แต่สายสัทธานุสารีเอาแต่นั่งหลับตาก็ต้องปฏิบัติให้มีกาย ให้มีกายเป็นพยานหลักฐานเรียกว่ากายสักขี ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะจึงสิ้นทั้งหมด ไม่ใช่ทำได้แค่อาสวะบางอย่าง จะปฏิญาณว่าวิมุติไม่ได้ พวกสัทธานุสารีต้องปฏิบัติให้ครบกาย โดยเข้าใจวิโมกข์ 8 ว่าต้องทั้งภายนอกและภายใน ทั้งรูป ทั้งอรูป อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโกพหิทารูปานิปัสสติ ทำตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ข้อ 1 รูปีรูปานิปัสสติ ต้องสัมผัสรูปนะ ชานโตปัสโตวิหารติ

ข้อ 2​ ต้องมีพร้อมทั้งในและนอก

ข้อ 3​ ต้องมีการได้ผล สุภันเตวะอธิมุตโตโหติ ได้อธิโมกข์ไปเรื่อยๆ จิตโน้มไปหาวิมุติ เป็นโชคของเราที่เราปฏิบัติสุภ แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติสัตตาวาส 9 โดยมีวิญญาณฐีติ ข้อ 3 และ 4 ส่วนข้อ 1 ​นั้น ไม่รู้เรื่องหรอก 

ต้องมีวิญญาณเกิด จากการกระทบสัมผัส มีผัสสะ 3 ถ้าเว้นผัสสะเสียจะเป็นฐานแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นไปไม่ได้ กรรมฐานคุณจะต้องมีผัสสะเสมอ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน วิชชาข้อ 2. มโนมยิทธิญาณ

มโนมยิทธิญาณ

ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ (คือทำใจในใจ คือกายเดิมเป็นกายของสัตว์นรก รูปนามนั้นเกิดเป็นกิเลส แต่คุณก็ทำใจให้เป็นกายอื่น เห็นรูปกายคือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นกายที่ปราศจากนิวรณ์) มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง (อินทรีย์หมายถึงกำลังหรือตาหูจมูกลิ้นกายก็ได้) ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือน บุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้หญ้าปล้อง อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง (เป็นธรรมะสอง ทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ) ทำให้เกิด อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง (จากจิตมีสองมีโลกียะ ก็ทำให้หมดโลกียะเหลือหนึ่งเดียวคือโลกุตระ หรือทำให้กาม พยาบาทหมดไป นิวรณ์หมดไป เหลือแต่จิตที่เป็นฌานเป็นสมาธิ) อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึง คิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจาก กายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ (ให้ทำที่ใจไม่ได้ให้ทำที่ดินน้ำไฟลม) มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชา ของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า...มโนมยิทธิ ก็คือทำโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของเราให้สำเร็จ ด้วยอิทธิเป็นฤทธิ์ทางใจตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายนิวรณ์ 5 ไม่ใช่เดรัจฉานกถา

เราก็ได้ถึงมโนมยิทธิ….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:04:22 )

590209

รายละเอียด

590209_พุทธศาสนาตามภูมิ  อัมพัฏฐสูตร ตอน 6

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม หรือปีวอก แล้วแต่ใครจะชอบ เราไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นปีอะไรก็ไม่ว่ากัน วันนี้เราก็มาต่อ ที่เราได้เรียนกันไป อาตมาก็สอนไปตามภูมิ ก็สอนมา 46 ปีจะเต็มแล้ว ไม่ช้าเลยก็ดูเร็วเพราะฉะนั้นจะต้องเร่ง ยังมีเรื่องจะต้องสาธยายอีกเยอะ

บางอย่างมีสภาวะแต่ไม่เก่งเรื่องภาษาที่จะสื่อออกไป ภาษาไทยอย่างเดียวก็ไม่พอแน่นอน ไม่ลึกไปถึงปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า บางที่ต้องใช้หลายภาษา บาลี อังกฤษ ละติน แล้วก็ได้ขึ้นมาเรื่อยๆ ให้ติดตามฟังให้ดี ตอนนี้กำลังเชื่อมโยงให้เห็นถึงความจริงจากที่เขาศึกษา ไม่ว่าทางฟิสิกส์ ทางชีววิทยา ฟิสิกส์ก็ไปถึงอย่างที่ไอน์สไตน์เขาทำเอาไว้

แต่อาตมากำลังเห็นถึงความต่อเนื่องระหว่างอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ส่วนคนเรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นทายาท เราต้องรับมรดกกรรมของตน กรรมเป็นเผ่าพันธุ์เป็นเชื้อแท้ ต้องมาศึกษากรรมที่เป็นองค์รวมรูปนาม เกิดปฏิกิริยาขึ้น ถ้ามีปัญญาก็สามารถควบคุมจัดสรรรูปนามอย่างเป็นกุศล ให้ชำระกิเลสไปในตัว หากไม่เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่เป็นบุญที่ชำระกิเลสได้ จะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ผลของกรรมวิบาก ตนต้องรับมรดกกรรมของตน ตนก็ได้อาศัยกรรมของตนเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่า มนุษย์ทุกคนมีกรรมปัจจุบัน แล้วก็ต้องมาปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสให้สิ้น ต้องปฏิบัติขณะปัจจุบัน ดับกิเลสในปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่ตั้งมั่นเหมือนเสาระเนียดที่มั่นคงแข็งแรง ไม่มีอะไรมาล้มล้างได้ ในทุกอดีต อนาคตก็สูญตลอดกาล จะมีอนาคตที่มีเรี่ยวแรงขนาดไหนก็มาล้มล้างหักโค่นไม่ได้ เป็นสัจจะที่แต่ละคนต้องพิสูจน์

อาตมาถึงวันนี้ 46 ปีแล้วก็ต้องใช้คำที่ตรงและแรงแบบนี้ ก็สาธยายพุทธศาสนาตามภูมิ การเปรียบเทียบก็เพื่อให้เห็นดำเห็นขาวชัด ไม่ต้องหาเรื่องไปเคลื่อนเขา อาตมาก็หนักไปทางพรหมทัณฑ์แล้ว

 

SMS 8ก.พ59

0816956xxx ผมพบชาวอโศกประมาณเกือบยี่สิบปีเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เลิกไหว้เจ้า เลิกไหว้ทุกอย่างที่ไม่ใช่พุทธ เชื่อพระพุทธเจ้าไม่ตกนรก ก ท ม

พ่อครูว่า...เราเลิกไหว้เจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปรุกรานเขา เขาก็ต้องอาศัยตามภูมิของเขา สถานะเขาเป็นสายศรัธา เทวนิยม แล้วพวกเขามีมากกว่าสายปัญญาด้วย ถึงต้องมีแท่นมีที่ให้เขาอาศัย เราต้องเข้าใจอันนี้แล้วอยู่กันอย่างดี ขัดเกลากันบ้าง 

 

0816956xxx ทักษิณก็เสียเพราะเงิน ก ท ม

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯสอนเรื่องกายคือองค์ประชุมของจิตดังท่านเคยอ่านในพระตปฎ.พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง!เล่ม16ข้อ230สาธุ

พ่อครูว่า...เรื่องกายนี้เรื่องใหญ่ ติดตามฟังให้ดี อย่านึกว่าฟังครบแล้วนะ

 

0893867xxx ขอบคุณญตธ.บุญนิยมtvที่ เผยแพร่ธรรมที่สร้างสำนึกดีๆให้เกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์ไม่เหมือนอลัชชีกินปัจจัยคอรัปชั่นไร้สำนึกจรธ.เอวัง

พ่อครูว่า….พูดถึงบุญนิยมทีวี อาตมาเห็นถึงอานิสงส์เห็นเนื้อบารมี บุญนิยมทีวีอยู่ได้ด้วยบารมีธรรมเป็นธรรมะที่อุ้มชูอยู่ เป็นทีวีที่อยู่ท่ามกลางทุนนิยม เค้าลงทุนกันเป็นร้อยล้านพันล้าน ทีวีดาวเทียมก็ตาม จนเป็นหนี้เป็นสินกันจะล้มละลายกันหลายเจ้า เขาแข่งกันทั้งโลกที่แม้แต่ทีวีดาวเทียมของสายธรรมะก็ไม่ออกนอกกรอบของโลกีย์ ไม่ได้สื่อสารเรื่องโลกุตระที่เป็นของพระพุทธเจ้า

แม้จะมีคนรู้น้อยแต่ก็เป็นโลกุตระ มีเหตุปัจจัยของคน ที่พวกเราช่วยกันทำ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อยตัวใหญ่ คนละเล็กละน้อย ตามกำลังวังชาความรู้ความสามารถทำงานที่หลุดพ้นมิจฉาชีพห้า หลุดพ้นการทำงานที่ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน

ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ ถ้าเป็นยุคประชาธิปไตย ก็เรียกว่าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากในโลก ที่ประเทศไหนๆ ก็ทำไม่ได้ ของเราเป็นประเทศเล็กๆที่ซ้อนในประเทศไทย แต่ไม่ใช่จะมาขบถประเทศไทย ชาวอโศกไม่ขบถต่อประเทศไทย เพราะขบถหมดแล้วไม่รู้จะหนีไปไหน

มิจฉาอาชีวะเราพ้นได้ดี ทำอาชีพถึงขนาดเสียภาษี 100 % เป็นสาธารณโภคี มีมิจฉาสังกัปปะ 3 เราก็ทำได้ดี มิจฉากัมมันตะ 3 เราก็พ้นได้ดี อาจมีบกพร่องบ้าง มดปลวกบ้างสุดวิสัย หรือใครมีกิเลสบ้างก็น้อย ระมัดระวังสังวรจริง ไม่เอาของคนอื่น ไม่เกิดคดีฟ้องร้องกันมาเลย พูดโกหกก็ไม่มีอะไรมากมาย อบายมุขนี่ดีมากเห็นชัดเลย ไม่ไปอย่างโลกเขาที่แย่มากแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจ

ศีล 5 ก็เยี่ยม ได้สังกัปปะก็สามารถเข้าใจ สามารถรู้ จิตเจตสิก รู้จักปรมัตถ์ สามารถรู้จัก กาย เวทนา จิต ธรรม แจกถึงเวทนา 108 แยกเคหสิตะ เนกขัมมะได้ และพยายามทำกันได้ อยู่ในร่องร่อยศาสนาพุทธแท้ เป็นไปได้ เราตั้งหน้าตั้งตาสร้างสิ่งเหล่านี้กัน

มันเกิดเชื้อเกิด dna ของพุทธแล้วในเมืองไทย จะต้องมีสถานที่ บ้านราชฯก็ลงหลักปักแหล่งกันพอสมควรไปเรื่อย มีเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ มีการสร้างบ้านหลังแรก ก็ยังไม่เสร็จ แต่บ้านราชฯ ก็เป็นถิ่นที่อาศัย ของชาวบ้าน มาทำงานกันพอเลี้ยงชีวิตได้ พึ่งพากันไป เป็นไปได้ที่อบอุ่น สามัคคี แต่ก็มีวิบากมีคนรวนคนกวน ก็ไม่หนักหนาสาหัส พอให้เราตื่นตัวไม่เย็นใจไม่ประมาท กำลังดี ไม่มีเสียเลย เราจะไม่ประมาท ไม่ปล่อยปละละเลย

แม้แต่ที่สุดธรรมะที่อาตมาพาทำถึงแยกโลกียะ โลกุตระ ออกทางจิตวิญญาณ มโนปวิจาร 18 เป็นแกนเลย หากอ่านอาการลิงคนิมิต แยกโลกียะ โลกุตระมันมีนิมิตต่างกันอย่างไร อาการต่างกันอย่างไร อาตมาอธิบายอุเทศ จนให้พวกเราทำได้ จนเกิดคนจริง อาตมาไม่ได้ใช้อามิสล่อ ไม่ได้มีโลกธรรมล่อเลย อันนี้เป็นดัชนีชี้ค่าที่เป็นของจริง

อาตมาไม่กังวลว่าอันนี้จะล้มละลาย คนกลัวว่าอโศกหากโพธิรักษ์ตายไปก็ล้มละลาย เขาก็เชื่อเช่นนั้นก็แล้วแต่ ส่วนคนที่เห็นดีก็อย่าช้า ต้องพากเพียร พระพุทธเจ้าว่า ความสำเร็จก็ด้วยความเพียร ให้ตลอดรอดฝั่งถึงเป้าหมายได้แท้จริง นี่คือสัจจะที่อาตมาก็ทั้งพยายามยืนยัน ปรากฏการณ์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำไมกลัวผีพ่อทั้งที่รักพ่อ

0846110xxx พ่อตายแล้วทำไมถึงกลัวผีพ่อทั้งที่รักพ่อ

พ่อครูว่า...ที่กลัวเพราะคนเราไม่รู้ เช่น เรากลัวที่ตรงนั้นมืดๆ เพราะว่าไม่รู้ว่ามีงูมีเสืออะไรอยู่ ไปเหยียบมันได้ ลึกเข้าไปมันก็มีตัวที่หลอกเราได้ เป็นผีอยู่ที่มืด รวมแล้วคือกลัวความไม่รู้ นี่คือคำตอบ กลัวเพราะคุณไม่รู้ ไม่รู้คำว่าผี ผีคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นผี ในตัวคนเป็นก็เป็นผี ตายไปก็เป็นผี แต่จิตวิญญาณที่หลังตายไปแล้วมาหลอกใครไม่ได้ ไปรับวิบากอย่างเดียว

ถ้าวิญญาณเป็นผีก็ต้องเป็นตัวร้ายเลว ถ้าเป็นเทวดาก็เป็นวิญญาณดี ถ้าวิญญาณดีมาจะไปกลัวทำไม ถ้าวิญญาณร้ายมา จะมาได้อย่างไร มาไม่ได้หรอก เพราะเจ้าหน้าที่ยมบาลไม่ยอมให้มาหรอก ต้องติดคุกในนรก ออกมาไม่ได้หรอก ผีร้ายพวกนี้ เช่นเดียวกับคนติดคุกออกมาไม่ได้

นี่ก็มีศพในโลงเย็นตั้งอยู่ที่นี่ คนก็เดินไปเดินมากันไม่เห็นผีในโลงนี้ มีตั้งหลายศพแล้วไม่เห็นออกมาหลอกกันสักที พวกเราเข้าใจแล้ว ที่เห็นผีนั้นอุปาทาน ตาเราหลอกเอง

แล้วคุณไม่เชื่อว่าวิญญาณที่หลังตายแล้วมาในโลกปัจจุบันไม่ได้ มันต้องไปตามวิบากของมัน มาไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน วิชชา 8 ญาณข้อ 2-8

เรามาต่ออัมพัฏฐสูตร

มโนมยิทธิญาณ

[9.2] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เปรียบเหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง หรือชักดาบออกจากฝัก หรือชักงูออกจากคราบฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]104

พ่อครูว่า...ทำให้เวทนารวมลงเป็นหนึ่งเป็นปุริสภาวะ เป็นปุงลิงค์ จากอิตถีลิงค์ เมื่อทำได้แล้วจะสามารถทำให้เป็นนปุงสกลิงค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

มโนมยิทธิคือมีฤทธิ์อำนาจในการทำจิตให้บรรลุธรรมได้สำเร็จ ไม่ได้หมายถึงอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นหลัก ต้องศึกษาอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ก่อนถึงค่อยมีปาฏิหาริย์อื่น เพราะจะมีหลักประกัน สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปาแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเพิ่มวิบากด้วย ไม่ต้องกังวลและได้ดีได้เร็วด้วย เป็นทางโปร่ง ถ้าไม่ตั้งตนเป็นโพธิสัตว์ที่ต้องสืบทอดพระพุทธเจ้า บางองค์ท่านไม่ต้องรับภาระหนักอย่างอาตมาก็ทำพวกนี้ได้มาก ส่วนอาตมาทิ้งไปหมดแล้ว

ต้องตามดูให้ดีกว่าอาตมาคือใคร อาตมามาทำงานอันนี้ก็เปิดตัวแล้วว่า

อาตมาเป็นสยังอภิญญา ก็ค่อยๆเปิด อวดอย่างต้องมีฐานรองรับไปตามเวลาลำดับ ไม่ใช่มีจิตอยากอวด

ฟังธรรมให้ดี คุณก็พิจารณาว่าจะอยู่ข้างนอกหรือควรมารวมกันให้เป็นปึกแผ่นบนแผ่นดินพุทธนี้

 

อิทธิวิธญาณ

[9.3] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี และบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เปรียบเหมือนช่างหม้อ หรือช่างงา หรือช่างทองผู้ฉลาด เมื่อต้องการภาชนะ หรือเครื่องงา หรือทองรูปพรรณอย่างใด ก็ย่อมทำสำเร็จได้ฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]105

พ่อครูว่า...คือมีความหลากหลาย มากมายในการลดละกิเลสได้ คำว่าเอโก นี้ไม่ได้หมายถึงคน เอโกแปลว่าหนึ่งเดียว พหุแปลว่าหลากหลาย เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ  ไม่ใช่หมายถึงตัวตนบุคคล แต่เป็นนามธรรม

นามธรรมของอาตมามี แล้วก็พาพวกคุณรู้ พวกคุณเอาไปทำจนเกิดผลเป็นอาริยบุคคล จนโพธิสัตว์มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก เป็นลูกทางจิตวิญญาณทั้งนั้น มีนามธรรมเป็นหลัก ไม่เอาตัวตนบุคคลเป็นหลัก แต่ก็มีเกิดตามหลังจิตที่เกิดก่อน จิตพามา ไม่ได้เอาโลกธรรมอามิสล่อ แต่นามธรรมพามา

ทำให้ปรากฏหรือทำให้หายได้ ผู้สามารถจริงอย่างอรหันต์ เราจะอนุโลมได้ สร้างจิตไปอย่างเขาก็สร้างได้ แล้วพอเสร็จงานก็หายไป เป็นนามธรรม จิตเป็นตัวให้มีหรือไม่ให้มี ทำให้เกิดทำให้ตายก็ได้ ทำให้เกิดหรือทำให้หายได้ ไม่ใช่ที่ร่างกายนะ แต่อยู่ที่นามธรรม เราจะสร้างอารมณ์ หัวเราะสนุกสนานก็ได้ จะทำให้หายก็ได้

ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ถ้าไม่เข้าใจของจริงนามธรรมก็ไชหัวทะลุกำแพงภูเขาก็ตายพอดี แต่ถ้าเอาสว่านไปเจาะไม่ใช่อิทธิฤทธิ์นะ

ทะลุภูเขาตอนนี้กิเลสในโลกมันกองเป็นภูเขาใหญ่กว่ามากกว่าเอเวอเรสต์แสนเท่าแล้ว กำแพงกิเลสแข็งหนากว่าเพชรแสนกะรัต แต่เราก็เดินผ่านกองภูเขากำแพงหนา เหมือนเดินในที่ว่าง ใครเห็นภูเขาของตนที่เดินผ่านได้เฉย ของใครของมัน บางคนก็ภูเขาเล็กๆ บางคนก็ภูเขาใหญ่

เราเดินผ่านกองกิเลสกองกระแสโลกีย์ที่เขาแย่งโลกธรรมมอมเมาเป็นอบายจัดจ้าน แต่เราก็เฉยไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หวั่นไหว ไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเด่นอะไร คือสิ่งที่มีได้

ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำ นี่เก่งกว่าไส้เดือนอีก เดินบนน้ำได้เหมือนเดินบนแผ่นดิน นี่เก่งนะ

มันปฏิโสตังทวนกระแสโลก คนโลกๆทำไม่ได้ต้องคนโลกุตระเท่านั้น แต่คนไม่ค่อยเชื่อ อาตมาไม่มีอลังการไม่มีสำนักรับรองเลย ว่าของตนเองเขาก็ไม่เชื่อ ไม่มีหลักฐานที่เขายอมรับเลย

อาตมาออกมานี่ไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกเลย เงินเดือนสองหมื่นกว่ามากกว่านายกฯสมัยนั้นอีก แต่อาตมาทำได้

เหาะไปในอากาศได้เหมือนนก มันเบาก็ลอยไปได้ เหมือนพระพุทธเจ้าว่าจะไปไหนก็ไปได้ ไปด้วยปีกแข็งมีบาตรบริหารท้อง มีจีวรบริหารกายจะไปไหนก็ได้เหมือนนกปีกแข็งบินไปได้ทั่วสารทิศ

ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ด้วยฝ่ามือ แต่ใครจะมีมือแม่นาคยาวไปถึงพระอาทิตย์ได้แต่ไม่ใช่ แต่คือพลังโลกีย์แรงขนาดไหนในโลกเราก็อยู่ได้ อยู่ลูบหัวล้านโลกธรรมได้ ลูบคลำพลังงานโลกีย์ได้ ไม่ได้หนีไปไหน

เป็นนามธรรมนี้ไปได้ตลอดพรหมโลก ไม่ว่าจะเป็นพรหมโลก 16 อรูปโลกอีก 4 เป็นพรหมโลก 20

รูปพรหม 16 ชั้น

1.  พรหมปาริสัชชาภูมิ

2.  พรหมปุโรหิตาภูมิ

3.  มหาพรหมาภูมิ

4.  ปริตตาภาภูมิ

5.  อัปปมาณาภาภูมิ

6.  อาภัสราภูมิ

7.  ปริตตสุภาภูมิ

8.  อัปปมาณสุภาภูมิ

9.  สุภกิณหาภูมิ

10. เวหัปผลาภูมิ

11. อสัญญีสัตตาภูมิ

12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ

13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ

14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ

15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ

16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

อรูปพรหม 4 ชั้น

1. อากาสานัญจายตนภูมิ

2. วิญญาณัญจายตนภูมิ

3. อากิญจัญญายตนภูมิ

4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

รูปพรหม 16 และอรูปพรหม 4 ชั้น เราก็รู้แจ้ง รู้ว่ามารคืออะไร พรหมคืออะไร เทวดาคืออะไร จะเป็นเทวดากามาวจร 6 เทวดาสมมุติเทพ เทวดาวิสุทธิ์เทพก็ตามคือพรหม รูปพรหม 16 อรูปพรหม 4​ ก็ได้ใช้พลังงานที่เป็นพรหมนี้จริงตรวจสอบเกิดมีเป็น ตามฐานะของแต่ละคน อย่างน้อยก็เข้าใจบัญญัติปริยัติที่ขยายให้ฟัง เราก็จะศึกษาพรหม ตั้งแต่อรหันต์เป็นพรหมบริสุทธิ์ จนเป็นอนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่มีจริงได้

 

ทิพโสตญาณ

[9.4] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อทิพยโสตธาตุ สามารถได้ยินทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งไกลและใกล้ เกินโสตของมนุษย์ เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินเสียงกลอง เสียงตะโพน ฯลฯ แต่ไกล ๆ ก็รู้ได้ว่านั่น เป็นเสียงกลอง เสียงตะโพน ฯลฯ ฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]105 - 106

พ่อครูว่า...ได้รสทิพย์กลิ่นทิพย์เย็นร้อนอ่อนแข็งทิพย์ ทิพย์คือเกินกว่ามนุษย์สัมผัส คนสัมผัสเห็นอันนี้ก็ว่าเห็นแล้วเราอยากได้ แม้จะเกิดเล็กน้อย ไกลอย่างไรก็จับอ่านทัน จะเป็นกามคุณ 5 ละเอียดเล็กน้อยอย่างไรก็อ่านได้ เสียงนี้ไกล เสียงนี้แยกแยะได้ด้วยเหมือนได้ยินเสียงแล้วกำหนดนิมิตแยกแยะได้ว่า นี่เสียงบัณเฑาะว์อันนี้เปิงมาง อันนี้ตะโพน แม้เสียงนี้เบามากไกลมากก็รู้ได้ คือรู้กิเลสหยาบ กลาง ละเอียดได้

 

เจโตปริยญาณ

[9.5] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อเจโตปริยญาณ สามารถกำหนดรู้ใจของสัตว์หรือบุคคลอื่นด้วยใจ เช่น จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ ฯลฯ หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น เปรียบเหมือน หญิงชาย ที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องกระจกดูเงาหน้าของตน ถ้าหน้ามีไฝ ก็รู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็รู้ว่าหน้าไม่มีไฝฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]106

พ่อครูว่า...รูปนามคือสภาวะธรรมะสอง มีปฏิกิริยากันเกิดสภาวะสามหรือมีอะไรห่อหุ้มเป็น Cytoplasm ถ้าอยู่ในอวกาศก็เป็นอวกาศ ถ้าอยู่ในเชื้อชีวะก็เป็นเซลล์ตั้งแต่โปรโตพลาส ก็เป็นน้ำ ตั้งแต่ระดับกลละ อัพพุทะ เปสิ ฆนะ ปัญจสาขา

แยกแยะลักษณะที่เป็นผี เป็นมาร เทวดา เป็นพรหม พระพุทธเจ้าแยกแยะได้ ไม่มีวิทยาศาสตร์ไหนจะทำได้อย่างนี้ อาตมาก็เอาของไอน์สไตน์มาเชื่อมต่อ เป็นฟิชชั่นหรือฟิวชั่น มันแตกตัวในจิตเราก็จับเอามาทำงานได้ แม้นิวเคลียร์ฟิชชั่น ทางโลกเขาจับเอามาไม่ได้เป็นกัมมันตรังสี ส่วนที่เขาจับได้เป็นฟิวชั่นก็เอามาใช้ได้

แต่ของพระพุทธเจ้าเอามาใช้ได้ทั้งสองแบบเก่งกว่าฟิสิกส์ อาตมาไม่ได้เก่งเอาฟิสิกส์ทางจิตวิญญาณมาใช้ จะต้องมาทำทางอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ รื้อขนสัตว์ เป็นเรื่องยาก ทำมา 46 ปีแล้วคุณว่าน่าเหนื่อยไหม มันเหนื่อยอยู่ แต่ท้อไม่ได้ ต้องพากเพียรต่อไปทำให้ทะลุปรุโปร่ง

ทุกวันนี้อยากเห็นโพธิสัตว์ผู้พี่แต่ก็ไม่มีมา เอาผู้น้องก็ได้ แต่ตอนนี้ก็เห็นไรๆอยู่บ้างก็มาช่วยกันรวมตัวกันคนละไม้คนละมือ นี่คือเรื่องจริงที่พิสูจน์ยืนยันได้ ก็อย่าเพิ่งรีบตายกันนะ รักษาสุขภาพด้วยแปดอ. ด้วยดีจะได้เห็นสิ่งดีสิ่งจริงนี้ต่อไป

เจโตปริยญาณสามารถทำได้ถึงภาวะสอง ฟิชชั่นคือวิกขิตตังจิตตัง ฟุ้งกระจาย ส่วนที่จับตัวกันได้คือสังขิตตังจิตตังหรือถีนมิทธะที่ตีไม่แตก แต่ของพระพุทธเจ้าจะตีแตกไปได้เรื่อยๆ แล้วตีกระเทาะต่อก็จะดีขึ้นๆ เป็นมหรรคตะถ้าทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็อมหรรคตะ ดีขึ้นเป็นสอุตระ เราจะรู้ว่าดีกว่านี้ยังมีอีก

พระอาริยะจะไม่ประมาท ทำให้มากเผื่อพอจน อัปปนา พยัปปนา

เจตโสอภินิโรปนา ปักมั่นครบบริบูรณ์จน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้)

อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ผู้ใดรู้ว่าตนเป็นสายศรัทธาแล้วมีเจโตวิมุติ แล้วรู้มีปัญญาด้วยเป็นปัญญาวิมุติก็เป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นอนุตตรังจิตตัง เป็นชื่อคลุมใหญ่เหมือน cytoplasm ส่วนในมีนิวเคลียส มีฟิวชั่น ฟิชชั่นอยู่

 

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

[9.6] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ... จนกระทั่งตลอดสังวัฏฏกัปวิวัฏฏกัปบ้าง ว่าในภพโน้นเราเป็นอย่างนั้น ๆ เมื่อสิ้นอายุแล้ว จุติจากภพโน้นไปเกิดในภพนั้น เป็นอย่างนั้น ๆ จนสิ้นอายุ จึงจุติจากภพนั้นมาเกิดในภพนี้ เปรียบเหมือนคนที่ะลึกได้ว่า ได้จากบ้านตนไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น ได้ทำอย่างนั้น ๆ แล้วได้จากบ้านนั้นไปยังบ้านโน้น ได้ทำอย่างนั้น ๆ แล้วกลับจากบ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิมฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163.12]107

พ่อครูว่า...ที่ไม่รู้ก็เกิดไปตามภพโน้นภพนี้ พอรู้แล้วว่าภพนี่อบาย กาม รูปโลกอรูปโลก เป็นภพโลกีย์เรารู้แล้วก็ไม่ไปหลงติดภพนั้นๆ

แต่ก่อนเป็นคนโคตรโกงก็หยุดโกงแล้ว โคตรตลบแตลงก็เลิกแล้วพร้อมอาการ อาการเป็นตัวสำคัญที่ต้องอ่าน อาการของรูป ของนาม จะรู้รูปกาย นามกายต้องรู้ด้วยอาการลิงค นิมิต อุเทศ

นิมิตตัวนิ่งพอแตกตัวก็แตกไปอีกก็แยกได้อีก ถ้าไม่เคลื่อนไหวก็ตีไม่แตกต้องทำให้แตก ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย จนมันสูญตีไม่แตก กระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่แตก อสังหิรังไม่มีอะไรทำร้ายได้อีก

ก็จนกระทั่งไปมาหมดทุกบ้านครบทุกบ้าน รู้หมด

ซ้อนอีก ขนาดพระพุทธเจ้าอธิบายท่านยังไม่เหน็ดเหนื่อย ซ้ำซากนั้นแหละ แสนมัน ไม่ใช่น่าเบื่อหน่าย ต้องเอาเพลงความซ้ำซากของอาตมามาขยายอีก

 

จุตูปปาตญาณ

[9.7] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ รู้ชัดว่าหมู่สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมด้วย มิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่ทุคติ นรก ส่วนผู้ที่ประกอบกุศลกรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง 3 แพร่งกลางพระนคร ย่อมมองเห็นหมู่ชนเบื้องล่าง รู้ได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังไปไหนทางไหนอย่างไรฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]108

พ่อครุว่า...อะไรที่หลุดพ้นแล้วก็ทิ้งไม่ต้องไปดับอีก ไม่มีการถอยหลัง จุติแล้วก็ผ่านไปสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผิวพรรณถ้าดูข้างนอกก็เป็นผิวพรรณข้างในก็เป็นยศชั้น

คำว่าติเตียนพระอาริยเจ้านั้น แทนที่เขาจะมากราบไหว้พระอาริยะ แต่เขาเฉยๆ ไม่ไปติไม่ไปด่าว่าอะไรตอบ เขาก็ไม่เป็นไร แต่นี่เห็นพระอาริยะแล้วไม่มาเงี่ยโสตสดับไม่มานั่งใกล้ ผู้ติเตียนพระอาริยะเพราะเขาโง่เขาไม่รู้ไม่เชื่อ ถ้ารู้แล้วไม่มาจะถือว่ารู้จริงไหม ขนาดคุณรู้ว่านี่บ่อเพชรนะ แต่คุณก็ว่าไปทำอย่างอื่นก่อนวันหลังค่อยมาเอา คุณจะทิ้งไหมก็ไม่ทิ้ง แต่นี่ยิ่งกว่าเพชรอีกนะ ผู้มิจฉาทิฏฐิเห็นรู้พระอาริยะแล้วไม่มาเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ไม่มาเพราะเขาโง่ เขาต้องตกนรกโดยสัจจะ เขาติพระอาริยะเจ้าจริง ก็เป็นกรรมที่ทำแล้ว ดูถูกดูแคลน ไม่มาก็คือโง่แล้ว ไม่เชื่อก็โง่แล้ว เชื่อแล้วไม่มาก็โง่ ยิ่งติเตียนพระอาริยะเขาก็ต้องตกนรก

คนจะไปสุคติโลกสวรรค์นั้น ไม่ใช่ว่าเอาน้ำเอาข้าวเอาทองไปให้แล้วบอกว่าขอให้ไปสู่สุคติ มันไม่ได้หรอก การเอาไปให้ใครก็เป็นคุณค่าของคนให้ เป็นสังคมศาสตร์ไม่ใช่สัจศาสตร์ ไม่ใช่ญาณวิทยา ไม่ใช่ Epistemology เป็นไสยศาสตร์เดรัจฉานศาสตร์ไปโน่น ผู้จะไปสวรรค์หรือตกนรกก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขาเองทั้งนั้น

 

อาสวักขยญาณ

[9.8] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง มีญาณรู้ชัดว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนขอบสระที่มีน้ำใสสะอาด ย่อมเห็นสิ่งต่าง ๆ ใต้น้ำในสระนั้นได้ชัดเจนฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง

อัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติดังกล่าวมานี้เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม ไม่มีวิชาและจรณะอื่นใดจะยิ่งกว่า

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163]109

พ่อครูว่า...ผู้ที่จะรู้อาสวะ หรืออาสวสมุทัย ก็ต้องรู้ไล่มาตั้งแต่หยาบ ผ่านสังโยชน์ 3 ไล่มาจนหมดโลกกาม หมดรูปภพอรูปภพ จนหมดมานะ อุทธัจจะ หมดอวิชชา จนสิ้นเกลี้ยงอนุสัย

ผู้จะพ้นอวิชชาต้องพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คือกำหนดรู้ทุกรูปสัญญา อรูปสัญญา ทวนแล้วทวนอีก ไม่มีอะไรที่ต้องรู้อีก เคล้าเคลียสัญญา ใช้สัญญาทำงานไม่ใช่ดับเวทนาดับสัญญา แต่ดับสิ่งที่ควรดับ จนหมดเวทนาที่ควรดับในเวทนา 108 ไม่ใช่ดับเวทนาดับสัญญาดื้อๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน อัมพัฏฐสูตร ทางเสื่อม4ประการ

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

[10] พ. อัมพัฏฐะ ทางเสื่อม [ทางที่ไม่นำไปสู่ หรือทางที่ห่างไกลจาก] วิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม มีอยู่ 4 ประการ คือ

1. ไปอยู่ป่า บริโภคเพียงผลไม้หล่น (ข้อนี้ยังมีวินัยอยู่ เพื่อรอผู้บรรลุวิชชาจรณะ)

2. ไปอยู่ป่า บริโภคเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้ ที่ขุดหาและสอยเก็บมาได้

3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน และเฝ้าบูชาไฟ[อัคคนีเทพ]

4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่สี่แยก คอยบูชาสมณะพราหมณ์ที่จะมาจากทิศทั้ง 4

สมณพราหมณ์บางคน เมื่อไม่บรรลุวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม ก็จะเลือกปฏิบัติตามทางเสื่อมแต่ละประการที่กล่าวนั้น ซึ่งไม่ทำให้บรรลุผลอันใด นอกจากจะเป็นได้เพียงคนปรนนิบัติผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเท่านั้น

พระพุทธเจ้า: อัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?

อัมพัฏฐะ: ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมนั้น

พระพุทธเจ้า: อัมพัฏฐะ เมื่อเธอกับอาจารย์ไม่บรรลุวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้ว เธอกับอาจารย์ได้ปฏิบัติตามทางเสื่อมทั้ง 4 นั้นหรือเปล่า

อัมพัฏฐะ:  ไม่ได้ปฏิบัติแม้แต่ประการใดเลย

พระพุทธเจ้า: อัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์ไม่เพียงแต่ไม่มีวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมเป็นสมบัติเท่านั้น แม้คุณสมบัติอันพึงได้จากการปฏิบัติตนตามทางเสื่อมนั้นก็ยังไม่มีอีกด้วย

อัมพัฏฐะ เธอเห็นหรือไม่ว่าอาจารย์ของเธอได้สำคัญผิดเพียงใด ทั้งๆ ที่แม้แต่ทางเสื่อมอาจารย์ของเธอก็ไม่ได้บำเพ็ญ ยังกล่าวว่า สมณะโล้น เชื้อสายคฤหบดี เป็นชนชั้นต่ำ เกิดจากพระบาทของท้าวมหาพรหม ไม่คู่ควรที่พราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย นอกจากนั้นแม้อาจารย์ของเธอจะได้ครองเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงโปรดให้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งเลย เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษาโดยมีพระวิสูตรกั้น

ที่มา: อัมพัฏฐสูตร  9[163 - 168]109 - 112

 

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4
       ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
       1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านทีถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

พ่อครูว่า...อย่างอาตมาตอนไม่ตายก็มีคนทำเหรียญแล้ว อาตมาเอาไปทิ้งก็เสียดายของ ก็เลยแจกแล้วสอนว่าอย่านับถืออย่างขลังนะ แต่ให้ไปเพื่อระลึกถึงการทำกุศลทำบุญ

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่. (ทุกวันนี้เขาเอารถมารับไปเลย เป็นทางไม่รู้กี่แพร่ง ไม่แค่สร้างเรือนไฟ แต่สร้างจานบินเลย นี่คือสายลืมตาสะกดจิต อีกสายหนึ่งก็ดับนิโรธสะกดจิตไปตกเหวตาย เสือคาบไปกินตาย ที่คนไม่ไปเจอก็เยอะ คือออกนอกแนวทางพระพุทธเจ้าไปตามลำดับ)

ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่4 ประการดังนี้.
        ทวนอีก สูตรแรกในพระไตรปิฎก ล.9 คือให้เห็นถึงทิฏฐิที่ผิด 62 ประการ มีพวกตักกี วิมังสี พวกนักนึกคิดเดาเอา พวกเซนโกอาน นี่ ไม่ได้ทำไปตามลำดับ ตั้งแต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ถ้าไม่เอามหาศีลก็ไปทำแบบทางเสื่อมที่พระพุทธเจ้าบอกนี้

[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
       ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.
(สมัยก่อนคือพราหมณ์มหาศาล สมัยนี้คือพระมหาศาล ระดับยศชั้นนั้นได้รับลาภสักการะมากเท่าไหร่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็นรกกินหัวไปเท่านั้นเอง พูดเตือนสติให้กลับตัว อย่าไปจมอย่างนี้ ตื่นเสียทีๆๆ )
       ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?
       ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่? (บำเรอคือต่างคนต่างพากันติดหนักเลย การบำเรอไฟ เช่น จุดธูปเทียน หรือรดน้ำมนต์ ยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มี แต่ยุคนี้มีเกินกว่าสมัยพระพุทธเจ้าอีก )

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
       ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ. (คนนี้ผยองจนไม่เชื่อว่าใครจะเป็นอาจารย์ฉันเป็นต้นธาตุต้นธรรม ไม่ถือว่าใครเป็นอาจารย์มีมานะเต็มบ้อง)
       ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม 4 ประการนี้ด้วย.

พ่อครูว่า...ยุคของพระพุทธเจ้าพราหมณ์มหาศาลยังไม่เลยเถิดถึงสร้างจานบินไม่ประกาศอะไรใหญ่โตขนาดนี้ เขาก็ยังสอนมนต์กัน เปรียบเทียบให้ชัดว่าธรรมกายนี้แย่กว่ามนตรยานแบบทิเบต เขาก็อยู่ของเขาไม่ซ้อนหลอกออกมาเช่นนี้เลย ได้แต่สวดมนต์ลึกซึ้งลึกลับไป ตามประสาเชื่อตายแล้วเกิดเกิดแล้วตาย ไปในสายนั้นไม่มีวิชชาจรณะสัมปัณโณไม่สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8

[168] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะโล้นบางเหล่าเป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ ดูกรอัมพัฏฐะความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติกินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด. (คล้ายๆกัน รับพัดยศก็รับจากอาจารย์กันเอง ไม่ได้เข้าเฝ้า ในหลวงไม่ได้รู้ด้วย) 

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:07:04 )

590210

รายละเอียด

590210_เทศก่อนฉันศีรษะอโศก เรื่อง กายคือธรรมะสอง

          สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายแบบพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้  10 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 วันนี้ได้วาระมาสู่ ศีรษะอโศก อโศกแปลว่าไม่โศก อโศก ตั้งแต่หัวตั้งแต่สมองไม่โศก แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ที่สมองอยู่ที่หัว ทางชีววิทยาเข้าใจว่าสมองเป็นที่เก็บแต่แท้จริงไม่ใช่ที่เก็บ พุทธก็เข้าไปรู้ความจริงอันนี้

สมองเป็นแค่แหล่งอาศัยให้ธาตุจิตวิญญาณ เข้าไปทำงาน จิตวิญญาณเหมือนกระแสไฟฟ้า ส่วนสมองนี้เหมือนสายไฟ สมองทำงานเหมือนสายไฟ วิญญาณเหมือนไฟฟ้าที่เข้าไปทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็ไม่ใช่จะอยู่คงที่ ทำงานเสร็จก็หายไป เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ค้างอยู่ที่ไหน ทำงานแล้วก็หายวับไป เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมากทางวิทยาศาสตร์ยากที่จะรู้ ทางพุทธศาสนาจะรู้ได้ก็อาศัยอุปกรณ์อาศัยร่างที่มีอวัยวะ 32 ประการ นี้เรียนรู้ ธาตุลมกับธาตุไฟสังเคราะห์จนเป็นน้ำอาจจะเป็นไฮโดรเจนกับออกซิเจนรวมกันจนเป็นธาตุน้ำ เป็นธาตุที่มันจับไม่ติดมองไม่เห็นละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นธาตุรวมกันเรียกว่ากาย

ธรรมกายต้องมี 2 ธาตุคือธรรมะ 2 เทวธัมมา หากมีแต่วัตถุไม่มีนามธรรมไม่เรียกว่า กาย คำว่า กาย จะต้องมีธาตุของนามธรรม จะต้องมีธาตุรู้ มีจิตวิญญาณมโนนี้ร่วมด้วย ถ้าไม่มีจิตร่วมด้วย ไปร่วมกับวัตถุหรือร่วมกับน้ำเอง น้ำเองร่วมกับน้ำเองเป็นสองอัน เทวธัมมา เป็นธัมมะสอง สังเคราะห์ทำงานร่วมกันเรียกว่า กาย น้ำกับน้ำก็เรียกว่า กาย

พาลปัณฑิตสูตร ล.16 ข.57-59 ตายไปแล้วมีกาย ถ้าไม่รู้ไม่บรรลุกาย ตายไปก็มีกายไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต เพราะไม่ได้แยกธาตุสองนี้ออก โดยเฉพาะแยกนามธรรมนี้ออกไป ดับนามธรรมนี้จากสองให้เหลือหนึ่งได้ แม้เหลือหนึ่งได้ก็ไม่ใช่กาย ธัมมะสองนี้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เมื่อมีการปรุงแต่งเป็นเวทนาแล้วก็เป็นธรรมะสอง ถ้าสามารถทำให้เป็นหนึ่งเดียว เวทนาเดียว กลายเป็นหนึ่งเดียวนี้แหละจึงไม่ใช่กาย ถ้าเผื่อว่าสภาพนามธรรมนี้ถูกดับไม่ได้ก็เป็นกายอยู่ กายนี้เราเอานามเป็นหลัก กายคือ จิต มโน วิญญาณ ล.16 ข. 230

หากไม่เรียนรู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิจึงปฏิบัติธรรมไม่บรรลุ ทุกวันนี้คำว่ากายในคำไทยนี้คือร่างสรีระนอก แม้กายแตกตายแล้ว จิตกับกายแยกกันแล้ว แทนที่กายจะไปอยู่กับร่างที่เน่าตายไป แต่กายนี้กลับไปอยู่กับจิต ถ้าสุดแล้วเหลือแต่นามธรรมคือกาย แต่ภาษาไทยกายเหลือแต่วัตถุมหาภูตรูปไม่เกี่ยวกับนามธรรม ศาสนาพุทธเลยล้มเหลวล้มละลาย

ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ได้ ไปไม่ออกเลย คำว่ากายแบบพุทธต้องรู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ โดยมีธรรมะสองเสมอ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน รู้แจ้งวิชชา 8

เมื่อตาเรากระทบก็เกิดพลังงานทำงาน โคจระ ตากระทบรูป ถ้าพลังงานประสาทไม่ทำงาน ไม่ดำเนินไม่โคจร มันนิ่งเลย มีเหตุกับปัจจัยร่วมกันเป็นสมุทัย แล้วเวียนมาเป็นปัจจัยใหม่ ของพระพุทธเจ้าต้องกำจัดเฉพาะอัตตา แยกธรรมะสอง ในวิทย์ก็แยกนิวเคลียส รวมกันเป็นหนึ่งแต่ในนั้นระเบิดเป็นสอง นิวเคลียร์ฟิวชั่นกับฟิชชั่น นิวเคลียสก็คืออัตตา ที่อาตมาเรียบเรียงยาก ถึงขั้นป่วยเลยก็เพราะใช้พลังงานมากไป

พระพุทธเจ้าให้เลือกกำจัดเฉพาะอกุศลของธาตุรู้นี้ ดับเฉพาะอันนี้อย่าไปทำลายทิ้งหมด ดับได้ดับตัวอกุศลเจตสิกให้สิ้นไปอย่างถาวร เพราะจับถูกตัวสภาพ ถูกตัวเชื้อแห่งการเรียนรู้ เชื้อที่ต้องกำจัดให้หมด ไม่ผิดพลาด

เริ่มตั้งแต่พีชนิยาม ระดับพืชก็อันเดียวกันก็มาเป็นชีวะ จากพีชนิยามมาเป็นจิตนิยามก็นัยสองธาตุรู้นี้เช่นกัน ที่มีกรอบขอบเขตรวมตัว จากรูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม (ปัญจสาขา)

พยายามแยกให้เห็น เกิดวิปัสสนาญาณ เห็นจริงไม่ใช่นึกคิดเอา แต่มีเหตุปัจจัยทั้งในและนอกกระทบตั้งแต่มหาภูตรูปสี่ มีกายครบ ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวรูปร่างตัวตน แม้เป็นธาตุระดับจิตวิญญาณก็สามารถแยกแยะได้

พระพุทธเจ้าสามารถแยกธาตุในจิตวิญญาณนี้ออกได้ ขณะมันเกิดอาการก็แยกได้ อาการละเอียดปรุงแต่งอย่างไรก็แยกได้ ท่านแยกได้ถึงสังกัปปะ 7 แล้วก็เข้าใจจนถึงอภิญญา 5 รู้เห็นอันนี้ก็วิเคราะห์วิจัยแยกอกุศลเจตสิกได้ เป็นกามหรือพยาบาทสังกัปปะ เป็นเหตุก็ดับมันได้ เริ่มมีจิตคิดปรุงเรียกว่าตักกะ ก็แยกแยะวิเคราะห์จับเฉพาะเหตุได้ ฆ่าได้ก็เป็นวิตักกะ วิแปลว่าไม่ คือวิเศษ        

นิวเคลียร์ฟิวชั่นคือ สังขิตตังจิตตัง แต่ฟิชชั่นคือ วิกขิตตังจิตตัง ของพระพุทธเจ้านี้เก็บรวบรวมพลังงานได้ยิ่งกว่าทางฟิสิกส์ รู้ว่าอะไรควรทำลายก็ทำลายความร้าย ทำลายความเลว พฤติที่ชั่วเลวออกไป หรือเปลี่ยนพลังงานตัวเลวให้กลายเป็นพลังงานดี ไม่ใช่ทำให้หายไป ไม่ได้สูญเสียเลยมีแต่ทับทวีดีขึ้นๆ พฤติกรรมที่เคยร้ายกลายเป็นพลังงานดี มันเลิกรับใช้สิ่งชั่ว เลิกทำปฏิกิริยาแบบชั่วแล้ว เช่น แต่ก่อนเป็นพลังงานร้อนก็ทำให้เป็นพลังงานเย็น แต่มันไม่ไหม้กลายเป็นเย็นจับตัว ถ้าไหม้นี้สลายละลาย               

ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ 7 ได้ผลจะมีวิชชา 5 เป็น ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3

ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่ วิปัสสนาญาณ เป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำ มโนมยิทธิญาณ - อิทธิวิธญาณ - ทิพพโสตญาณ - เจโตปริยญาณ เจริญขึ้นไปตามลำดับ อย่างที่อธิบายไปเมื่อวันก่อน เช่น กองกิเลสเท่าภูเขาหนาแข็งเหมือนกำแพงก็เหมือนเดินไปในที่ว่างทะลุผ่านได้หมด

มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ เช่น สามารถเดินบนน้ำไม่ตกลงไป ดำดินได้เหมือนว่ายในน้ำได้ ประหลาด นานาลีลา นานาแบบหลากหลายทำได้เรียกว่าอิทธิวิธญาณที่เก่ง ทำให้ชนะสิ่งชั่วเลวทั้งหลายที่คนอื่นเขาทิ้งไม่ได้ แต่เราทำได้

ทิพยโสตญาณ คือลึกละเอียดบางเบาขึ้นเรื่อยๆ ไกลเท่าไหร่ก็ตามไปได้ถึงที่ จับเอามาทำให้ดีขึ้นได้ทุกสภาพ ไม่ว่าจะเล็กละเอียดไกลรู้ได้ยากอย่างไรก็ตามได้ ไม่เหลือไม่หลุดไม่ค้าง ทำได้หมดเกลี้ยง นี่คือทิพยโสตญาณ

มาถึงเจโตปริยญาณ เมื่อทำได้ก็เกิดมาตรวัด สิ่งที่เราทำได้สี่นัยแรกนี้
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆ ในจิตอาริยของตน (ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

          7.     สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)

          8.      วิกขิตฺตํจิตตํ  (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

ต้องเห็นความแตกต่าง ของอาการว่ามันลดลงไม่เท่าเดิม ต้องเข้าใจคุณภาพและปริมาณของมัน ทั้งคุณภาพความเลวร้ายลดลงหรือปริมาณก็น้อยลง สามารถรู้อาการเหล่านี้ได้

9.      มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) อัคคะคือยอดเยี่ยมสามารถ

มหะคือมาก

10.    อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

11.    สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) เจริญก้าวหน้า

ขึ้นเรื่อยๆ มันสูญๆๆ เท่านี้เอกสโมสรณา หนึ่งไม่เป็นสองอย่างนี้ แม้ถูกยั่ว กระแทกกระทบอย่างไร ปฏิฆสัมผัสโสแรงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อสังหิรังตลอดกาลนาน จึงมั่นใจว่าเป็นยอดแล้วหนึ่งเดียว ทั้งแข็งแรงทั้งไม่มีโรค โรคเข้ามาไม่ได้ พลังเลวแทรกไม่ได้ แข็งแรงตั้งมั่นยิ่งกว่าเสาระเนียด ภูเขาเพชร เลย

12.    อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) ผู้นั้นก็ปฏิญาณตนได้ ไม่มี

อะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว อุตระคือเหนือ อนุตระคือไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีก อนุตตระจิต พลังงานจิตที่เหนือ ตนจะเป็นผู้รู้เอง คนประมาทไม่ถ้วนรอบดี ตนเองตัดสินก็พลาดเอง เจอของแข็งกว่าก็ยุ่ยไปเอง ต้องเผื่อพอไว้ไม่ประมาท ความที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าไม่มีใครไล่ท่านทันหรอก ท่านตรัสไว้ว่าไม่เป็นฐานะที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันสององค์ ไม่มีทางใกล้เคียงเลย เพราะลักษณะไม่ประมาท พยายามเผื่อพอไว้ๆ แล้วมีความสามารถมากกว่าเขาแล้ว ก้าวๆหนึ่งของผู้ที่มีความสามารถจะก้าวได้ยาวกว่า จึงสามารถชนะผู้อื่นได้อย่างปฏิภาคทวี

13.    สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14.    อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15.    วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)

16.    อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

          วิชชาอีก ​3 ข้อนี้คือ เตวิชโช ตรวจสอบว่าทำได้ขนาดไหนอย่างไร สะอาดขึ้นถึงอุบัติเทพหรือวิสุทธิเทพอย่างไร จิตที่ตั้งมันแข็งแรงขนาดไหน หรือจิตเคลื่อนไหวได้เร็วแรงเป็นมุทุภูตธาตุ ทั้งเจโตและปัญญา อุภโตภาค ทั้งสองอย่าง เป็นอุภโตภาควิมุติ

          สายปัญญาสัมมาทิฏฐินั้นไม่ต้องไปย้ำอีกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะว่าเขาได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนสายศรัทธา คือสัทธานุสารี นั้นพระพุทธเจ้าว่าต้องให้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมีกายสักขีครบนะ เพราะ

อาสวะบางอย่างนั้นดับได้แต่ไม่สิ้นหมด แต่สายปัญญานั้นอาสวะสิ้นเลยนะ เป็นอรหันต์ถึงปุงลิงค์ก็ทำให้ถึงอนุสัยเป็นนปุงสกลิงค์เลย สูญเลย ทำถึงอนุสัยอีกที ดับอนุสัยนี่ถึงนปุงสกลิงค์เลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กลไกโพธิปักขิยธรรม 37

เริ่มต้นเรื่องใหญ่ๆ ที่หัวเลยศีรษะฯ แต่ตอนนี้วิญญาณกำลังรวนเรตีกันในหัวนี่ เอาให้ดีรวมตัวกันให้ดีเป็นหนึ่ง ไม่เช่นนั้นตีกันมากทำให้อวัยวะอื่นแตกได้นะ

ผู้สามารถเข้าใจนี้ได้ ดับอาสวะได้ ดับอนุสัยสิ้นได้ วิธีปฏิบัติที่จะรู้แจ้งรู้จริงได้ต้องเริ่มที่ โพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่กายในกาย วิเคราะห์วิจัยธรรมะสอง เอาตัวโจร เชื้อโรคพิษภัยแท้ให้ออกไป แยกจิตแยกกายแยกองค์ประชุมสอง ในธรรมะสองนี้ที่เราวิจัยก็มีกุศลกับอกุศล ต้องแยกตัวอกุศลตัวเดียวนี้ไปทำลาย ต้องมีธาตุรู้ส่วนเหลือที่เป็นของเรา ตัวไม่ใช่ของเราคืออาคันตุกะที่ต้องทำลาย มันปลอมมาเป็นตัวเราก็สะอาดจัดการสำเร็จ เหลือพลังงานกุศลอย่างเดียว

ทำให้กายเหลือหนึ่งได้ เป็นเอกสโมสรณา ดับอิตถีภาวะได้ เพศแปลกปลอมได้เพศที่รวนวุ่นวายได้ เหลือแต่ตัวสะอาดถาวร

กายคือองค์รวม ในกายก็มีเวทนา ในเวทนาก็มีสองอีก ในเวทนาสองนี้มีผีซ่อนแทรกในนั้น ที่เป็นเวทนา สุขทุกข์ก็มีผีหลอกไว้ แท้จริงเป็นผีแท้คือเหตุแห่งทุกข์ ก็ฆ่าตัวนี้เหลือเวทนาตัวสะอาด ไม่มียึดตัวผีไว้ กลายเป็นสัญญาสะอาด ตัวกำหนดรู้สะอาด สังขารก็สะอาด ปรุงแต่ง อย่างไม่มีเศษเชื้อโรคเลย เพราะล้างสิ่งผิดออกไป เมื่อเวทนา สัญญา สังขาร สะอาด วิญญาณจึงสะอาด เพราะวิญญาณคือองค์ประชุมของเจตสิก สามคือ เวทนา สัญญา สังขาร

วิญญาณคือองค์รวมใหญ่เต็มๆ คือผี แยกอกุศลจิต หรือเจตสิก ฆ่าแต่อาการจิตไม่ดี เหลือแต่อาการจิตสะอาดที่เป็นอาการดี อาการจิตบริบูรณ์เรียกว่าเล็กสุดคือมโน ทรงอยู่เรียกว่าธรรมะ จะทำงานก็มีแต่มโนกับธรรมะต่อกันเป็นมนายตนะ กับธรรมายตนะ เป็นคู่สุดท้ายเลย เมื่อแยกกายแยกจิตได้ แยกธรรมะที่ทรงไว้สมบูรณ์จึงเป็นผู้บริบูรณ์ สามารถทำโพธิปักขิยธรรม กาย เวทนา จิต ธรรมได้หรือสัมมัปปธาน 4 ได้ ตาหูจมูกลิ้นกาย แยกแยะได้ตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งกระทบเกิดอกุศลจิตก็ฆ่าได้เป็น สัมมัปปธาน

สังวรปธาน ระวังจนจับกิเลสได้แล้วทำปหานปธาน เกิดผลเป็นภาวนาปธาน ทำได้ก็รักษาผลภาวนาที่ได้แล้วไป ทุกวันนี้เพี้ยนคำว่าภาวนาเป็นมรรคท่องมนต์ ภาวนาคือทำสำเร็จแล้ว รักษาแล้วทำซ้ำอีก ทำอย่างที่ทำได้ ทำให้มากทำให้บ่อย อนุรักขนาปธาน ทำพหุลีกัมมัง ได้ผลถูกต้องแล้ว จนชำนาญแคล่วคล่องเป็นเอง ตถตา เข้าฝัก ลงตัวไม่ต้องทำก็เป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ วิธีการของพระพุทธเจ้าสูงสุดสุดยอดในทุกศาสตร์แล้ว

สัมมัปปธานนี้ทำด้วยอิทธิบาท 4 ได้เพชรพลอยแล้วก็ต้องอยากหาอีกต่อไป ยิ่งเพียรบุกใหญ่เอาใจใส่มีจิตตะทุ่มโถมใส่เลย ไม่ไปเอาอย่างอื่นแล้ว แต่ระวังต้องมีพักมีเพียรบ้าง แล้วก็ได้วิมังสาคือได้เนื้อแท้วิเศษเลย สิ่งไม่ใช่เนื้อก็เอาออก เหลือแต่เนื้อทีโบน

เมื่อได้เต็มอิทธิบาท 4 และเต็มโพธิปักขิยธรรม สั่งสมเป็นปีติ เหมือนได้ยอดเพชร เพชรของเราคือกิเลสสงบ คือปัสสัทธิ ทำให้กิเลสสงบได้ ไม่ใช่ว่ากิเลสยิ่งบำเรอใหญ่อ้วนไม่ใช่ แต่กิเลสยิ่งตายลงๆ  สมาธิ ธรรมะสองนี้ทำให้เป็นหนึ่งได้นี่สุดยอดวิเศษแล้ว

เมื่อทำได้เป็นโพชฌงค์ 7 เป็นสติ ธัมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา สมบูรณ์แบบได้ธรรมะนี้เต็มสภาพ สั่งสมเป็นอินทรีย์พละเป็นพลังงานโลกุตระ เป็นกำลังแรง เป็น Power หรือ Authority เป็นพลังงานยิ่งใหญ่มีชีวะเราควบคุม จัดการเองได้ให้เป็นตามต้องการได้ เจริญขึ้นไปตามลำดับ การเจริญของอุเบกขาคือปฏิบัติซ้ำเข้าไปอย่างถูกต้องจึงเกิดผลเจริญอย่าง องค์ 5 อุเบกขา เจริญซ้อนยิ่งบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ทำงานได้อย่างมีความวิเศษยิ่งยอดของจิต มุทุธาตุทำงานอย่างประมาณได้ดีเหมาะควร ทำได้อย่างกัมมัญญตา เป็นองค์ประชุมรูปนาม ที่ผู้จัดสรรรูปนามจะทำได้อย่างดีเยี่ยมเพราะเรามีกายปาคุญญตา มีองค์ประชุมที่แคล่งคล่องของ เวทนา สัญญา สังขาร ทำงานส่งให้วิญญาณ เป็นการทำงานที่วิเศษแคล่วคล่อง ผ่านการทำงานยิ่งผุดผ่อง ยิ่งใสสว่าง ยิ่งว่าง ไม่มีขุ่นมัว สูงขึ้นปภัสสรา

เกิดอินทรีย์พละ เกิดกำลังหรือพลังงาน จนจบสูงสุดเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 คุณสมบัติของศรัทธารู้ดี ยิ่งแม่นมั่นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีวิริยะ ยิ่งเป็นคนตื่นมีสติ ธาตุรู้ข้างนอกยิ่งละเอียดยิ่งดูดีขึ้นเรื่อยๆ มีสติ สั่งสมตกผลึกเป็นค่ายใหญ่มวลใหญ่แน่นเข้าเป็นสมาธิ ทุกอย่างไม่รอดสายตาปัญญา ปัญญาเป็นยาดำรู้ทุกอย่างแทรกทุกอย่าง ปัญญารู้กับเขาไปทั่วเลย ในตัวของศรัทธาก็มีปัญญา วิริยะก็มีปัญญา สติก็มีปัญญา สมาธิก็ยอดปัญญา จนเป็นตัวปัญญายอดใหญ่ ครบหมด  ถ้วนรอบ เป็นพลังของปัญญา พลังงานปัญญามีประสิทธิภาพ

มันมีกำลังพากเพียร เอาพลังยอดเยี่ยมที่ทั้งมีแรง รู้แสนรู้ และมีแรงอย่างมาก พร้อมกัปตันและต้นหนที่เห็นรอบร่วมกันเลย เอาไปทำงานอนวัชชะ ทั้งรู้ทั้งแรงทำงานตามควรเกื้อกูลผู้อื่นจึงเกิดพลังงาน 4  ​นี้สมบูรณ์แบบ เป็นผู้กัมมัญญา ทำงานที่เหมาะดีที่สุดแก่โลกเพราะมีพลัง 4 เต็มศรัทธาพละ เต็มสูงสุด ทั้งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาก็เต็มสุดยอด อินทรีย์ห้าพละห้า

โพชฌงค์ 7 คือขาก้าวไปเรื่อย อะไรที่เป็นสิ่งผิดอกุศลก็จัดการ ยุคนี้ไม่ใช่ยุคไว้หน้าอย่าไว้หน้า ถ้าขืนไว้หน้าอยู่ไม่ได้หรอก หน้าด้านๆนี้ไม่เอา โพชฌงค์ 7 คืออาการก้าวหน้า อย่าหวั่นไหวไปทางนี้อย่าเอาแรงไปเสียแวะเด็ดดอกไม้ข้างทาง มุ่งสู่ข้างหน้าเลยเต็มรูป รับรองว่า Roadmap สำเร็จภายใน 60 แน่นอน แต่ต้องกำจัดขยะให้เกลี้ยงอย่าให้เหลือไว้นะ พอถึงที่สุดท้ายจะไม่มีอะไรตลบหลังเลย

เวทนากับวิญญาณเกิดไม่ได้หากไม่มีสังขารต้องเกิดในวิญญาณที่มี DNA สุดยอดนี้ได้ ต้องทำลายพลังงานกิเลสให้หมดไป จึงเหลือธาตุที่สะอาดไปประกอบพลังงานอย่างจริงวิเศษได้ พลังงานวิเศษนี้จะต้านพลังงานชั่วได้โดยสัจจะ ไม่มีอะไรที่จะล้างสัจจะนี้ได้ สัจจะชนะทุกอย่าง

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

เอาไปปฏิบัติด้วย อย่าจำอย่างเดียว

โพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 นี้เป็นของพระพุทธเจ้าองค์เดียวในตลอดกาลและนานไม่มีใครมาแย่งมาแบ่งได้ อาตมานำโพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 นี่มาขยายได้ก็มีความเป็นลูกพันธุ์แท้ไม่ใช่ลูกพันธุ์ทาง อยากเห็นผู้พี่ที่มีความสามารถมากกว่าอาตมา ไม่เจอพี่ เจอน้องก็ยังดี 

องค์ประชุม ธรรมะ 2 ต้องมีตัวรู้และตัวถูกรู้เสมอ รู้ตักกะ ทำให้เกิดวิตักกะสำเร็จ เป็นสังกัปปะ สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นฐานหลักตัวแน่นตัวเข็ม ส่วนตัวคล่องตัวแววไวคือตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นธรรมะสองเจโตกับปัญญา ร่วมกันทำงาน เป็นขั้วลบขั้วบวก

อาการนี้อุเบกขา มีความเอกเป็นหนึ่ง คุณก็รู้ได้ในใจเป็นอธิวจนสัมผัสโสถูกรู้บัญญัตินี้ในใจ เริ่มต้นหากไม่มีผัสสะแล้วเกิดนามกาย แล้วรู้อธิวจนสัมผัสที่จะใช้เรียกสภาวะ นามหรือรูปก็แล้วแต่ จนเกิดรู้เป็นรูปกาย เพราะเกิดนามกายก่อนจึงเกิดรูปกาย เกิดชื่อ อธิวจนะ

วจีสังขารต้องระดับอาริยะจึงทำได้ ไม่เป็นอาริยะจะทำไม่ได้ ต้องไตร่ตรองคัดเฟ้นแล้วจะปล่อยวจีสังขารเป็นวจีกรรมได้อย่างแรงเบาพูดครึ่งหรือเต็มก็ได้
จบ…..


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:08:11 )

590210

รายละเอียด

   590210_เทศนางานฌาปนกิจศพ คุณยายกอง นาพงษ์

เคลื่อนศพจากเฮือนศูนย์สูญ ตอนเวลาประมาณ 14.00 น. มีท่านสมณะสิกขมาตุเดินนำหน้าขบวนแถวส่งศพ มีญาติๆ มาเป็นจำนวนมาก มีเด็กนักเรียนสัมมาสิกขาจากสันติอโศกยกกันมาทั้งโรงเรียน เพื่อร่วมพิธีฌาปนกิจศพ คุณแม่กอง นาพงษ์ ซึ่งเป็นแม่ของคุรุพลอยไพรนั่นเอง เมื่อรวมกับญาติๆ ญาติธรรม และนักเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก ผู้มาร่วมงานจึงมีจำนวนมากมาย

          ลูกๆของคุณยายกอง ซึ่งมีจำนวนถึง 8 คน ก็ได้มารวมกันทั้งหมดพร้อมลูกหลาน

          พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้มาให้โอวาทก่อนฌาปนกิจศพ

 

พ่อครูว่า...ณ บัดนี้ก็จะได้ฌาปนกิจศพคุณยายกอง ที่ได้หมดอายุขัยไป ทุกคนต้องถึงจุดนี้เร็วบ้างนานช้าบ้างแล้วแต่บารมีของใครของมัน คนเราเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตายจะตายไปแล้วก็ได้แต่เดา เดากันว่าตายไปแล้วจะไปไหน ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ว่าหลังตายไปแล้วจะเป็นอย่างไร

          ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายสเภทาปรัมมรณา ร่างกายแตกดับไป จะไปไหน? พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้เยอะ หลังจากตายแล้วไปนรก พระพุทธเจ้าตรัสความจริง คนเราไม่มีใครรู้ได้ว่าตายแล้วไปไหน ศาสนาหลายศาสนาก็ไม่รู้ บางทีก็บอกว่าไปอยู่กับพระเจ้าหรือไปนรก แต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าไปนรกเยอะ หรือไปสวรรค์บ้าง แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นคำพยากรณ์แล้วว่าไปนรกเยอะ เพราะเป็นความจริง ตายแล้วส่วนมากจะไปนรก

          พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันคนส่วนมากหลังจากตายแล้วไปนรกเป็นส่วนมาก ไปสวรรค์นั้นน้อยกว่าน้อย เท่ากับเอามือจิ้มไปในดิน ดินติดในเล็บเท่านั้นแหละที่ได้ไปสวรรค์ นอกนั้นในแผ่นดินทั้งหมดไปตกนรก ที่ไปสวรรค์เท่าขี้เล็บ

          คำว่าสวรรค์คำนี้ไปได้ยากมาก คนไม่เข้าใจว่าสวรรค์นรกคืออะไร

          นรกคือทุกข์ทรมาน แล้วนรกที่ตายไปแล้วนี่ นานมากด้วย กว่าจะไปเกิดอีกก็นานแสนนานมากเลย คนเราไม่รู้ก็ไม่กลัวนรกเท่าไหร่ แต่นรกนี่น่ากลัวมาก อาตมาก็ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็พอรู้พอเข้าใจไม่น้อย บอกพวกเราก็อย่างนั้น คนอื่นที่ได้ยินก็ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวอะไร จริงๆ มันน่ากลัวมาก เราพยายามพากเพียรปฏิบัติธรรมกันเถิด ตายแล้วไปรับวิบากเท่านั้น ใครช่วยไม่ได้ แก้ไขไม่ได้แล้ว

          กรรมใครกรรมมัน กัมมัสโกมหิ กัมมัสกตา กรรมเป็นของตน ส่วนมากก็ทำกรรมบำเรอกิเลส การไม่ได้สมกิเลสคือตกนรก ตายไปแล้วไม่มีทวารทั้ง 6 ไปรับสัมผัสแล้วแต่ใจก็อยากได้อยู่ ก็ตกนรก

พลังการอยากได้นี่ทำให้แก่งแย่งทำร้ายทำลายกันหนักหนาสาหัส อย่างใดก็อย่างนั้น แต่ตายไปแล้วแย่งใครไม่ได้ ก็ได้แต่ดิ้นๆๆๆ อยากได้ไป แล้วไม่รู้เรื่องว่าตนเองตาย ดิ้นทรมานอยู่เช่นนั้น

          คนติดสิ่งเสพติด มันต้องการอยากได้มากจนชักดิ้นชัดงอ ไม่รู้เรื่องทำร้ายทำลายได้หมด นี่คือภาวะอาการดิ้นของสัตว์นรก แล้วถ้าไปเป็นเช่นนั้นโดยไม่มีใครปลุกมา ดิ้นข้ามวันข้ามปี ไม่มีตื่นมาได้ ไม่มีดินน้ำไฟลมอะไร ดิ้นรนทรมานมากมาย ตายไปแล้วตกนรกนี่ทรมานมากกว่าเป็นๆ อีก ไม่มีใครช่วยได้ ต้องไปตามวิบากหนักหนาสาหัสนานเท่านาน แล้วไม่รู้จะตายไปจากสัตว์นรกได้อย่างไรอีก เพราะเป็นสัตว์นรกแล้ว ก็รอแต่หมดวิบาก ดิ้นยิ่งกว่าคนติดสิ่งเสพติด คนที่มีมือไม้ก็ดิ้นรนทำร้ายทำลายแสวงหาทางออก คนก็เอามาบำบัดได้ แต่ถ้าตายไปนี่ทรมานไม่มีมือไม้ไปหาอะไรมาบำบัด และก็ไม่มีใครช่วยได้อีก

          อย่าไปสร้างบาปเวรสิ่งไม่ดีสะสมเป็นผลวิบากเลย พวกเราไม่รู้ไม่เข้าใจ อาตมากว่าจะรู้ก็ได้ศึกษาผ่านมาระลึกรู้ได้เกินกว่าสามัญที่คนรู้ได้ ก็เอามาอธิบายสู่ฟัง ผู้มีปัญญาฟังก็คงพอเข้าใจ

          คนทุกวันนี้ในศาสนาพุทธเข้าใจเพี้ยนไปไกลว่า ตายแล้วไปไหน จะทำบุญส่งไปให้ได้ก็เป็นการประโลมใจ ที่จริงบุญนี่แบ่งกันไม่ได้ แต่กุศลนี่ถ้ายังเป็นๆ ก็พอช่วยกันได้ แต่ตายไปแล้วไม่มีใครช่วยใคร กรรมเป็นของๆ ตน ตนต้องรับมรดกกรรมของตน กรรมพาเกิดพาเป็นตามจริง กรรมเป็นเชื้อเป็นเผ่าพันธุ์ กว่าจะหมดเชื้อสัตว์นรกมาเป็นสัตว์สวรรค์การเป็นสัตว์นรกก็จะมีสวรรค์เก๊อยู่ พวกเราก็พากเพียรให้เข้ากระแสโสดาบัน แล้วสูงขึ้นตามลำดับ ฟังแล้วพากเพียรเอาจะได้เป็นประโยชน์กับตนเอง พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมาบอกมาสอน ควรเป็นสิ่งที่ควรได้ควรเอาให้ได้อย่างยิ่ง

          เด็กๆ ที่มาได้รู้แล้ว ถ้าไม่เข้าใจไม่มีบารมีก็จะต้องออกไปรับวิบากอีก แต่เมื่อมาอยู่แล้วตั้งใจเอาให้ได้จริงๆ เป็นสิ่งสุดยอดแล้ว ทุกคนคงเข้าใจรับสัจจะนี้ไปพัฒนาตนเอง จะได้ทำฌาปนกิจต่อไป...เจริญธรรมทุกคน

 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:09:11 )

590212

รายละเอียด

590212_พุทธศาสนาตามภูมิ อัมพัฏฐสูตร ตอน 7

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 ก่อนจะได้เข้าสู่บทเรียนก็ขอประกาศ โฆษณา เพื่อให้ได้มีคนมาร่วมงานมีลูกค้า คือเชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

ครั้งที่ 8  ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 12 - อาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559 รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้) สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม) คุณชญาดา 087-4437865

ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP 

ที่นี่จัดกันก็ไม่มีคนมาเกิน 50 คนสักที

ก็มาฟังธรรมอาตมาวันอาทิตย์ก็เตรียมเอาไว้ วิถีอาริยธรรมทุกวันอาทิตย์

อาตมาได้เริ่มเอาชื่อรายการนี้มาใช้ เรียกว่า พุทธศาสนาตามภูมิ ตั้งใจนำพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของศาสนาพุทธ ฉบับเดียว ใครจะแปลก็แล้วแต่สำนักไหน แต่ก็เอาจากฉบับเดียวกันนี้แหละ อาตมาได้เอาหลักฐานที่คนไทยรับนับถือว่าเป็นคัมภีร์หลักของพุทธ เอามาอ่านแล้วขยายความตามภูมิของอาตมาอย่างจริงใจ พยายามที่สุดที่จะไม่ให้ผิด ถ้าจะผิดก็สุดวิสัย

ยิ่งนำมาอ่านยิ่งเห็นฤทธิ์ของความสุดยอดของพระพุทธเจ้า ที่มนุษย์ไม่น่าจะเผินได้ และมนุษย์ไม่น่าจะไม่ใส่ใจ ตำรา หรือคัมภีร์นี้ เห็นว่าเป็นความลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก เป็นความจริงเท่าที่มีภูมิ เป็นความจริงที่มหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นี้ยังเปรยกับพวกเราว่า

พวกเรานี้คนเขาน่าจะทึ่งหรือมหัศจรรย์ แต่ไม่ คนไทยไม่อัศจรรย์คนไทยไม่ทึ่ง ก็พยายามทำความเข้าใจว่าเพราะอะไรคนทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าชาวพุทธเป็นมาตั้งแต่ต้นตระกูล ตั้งแต่ตั้งเมืองไทยกระมัง เมืองไทยตั้งมาแปดร้อยกว่าปีก็น่าจะรู้ ว่าเนื้อหาของพุทธเกิดแล้วมีแล้ว เกิดจริงมีจริง ตามภูมิของอาตมา พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของท่านเป็นอาริยะเป็นโลกุตระ ยืนยันในมหาจัตตารีสกสูตร ตรัสยืนยันเลยว่า สมาธิของท่าน คำว่าสมาธิเป็นคำกลางๆ คนอื่นเขาก็ใช้ด้วย เป็นจิตเป็นหนึ่ง concentration เขาก็ใช้กันทั่วไป

พระพุทธเจ้าก็ใช้คำนี้ แต่ใช้คำอุปสรรคใส่เข้าไปว่าเป็น สัมมาสมาธิ แล้วต่อท้ายด้วยว่าของพระอริยะ มีพระบาลีว่า อริโยสัมมาสมาธิ ท่านยืนยันว่าธรรมะของท่านเป็นอาริยะ ตรัสในมหาจัตตารีสกสูตรว่า นี่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ หรือแม้พระไตรปิฎก พระสูตร ล.1 ทำให้คนออกมาจากวงโคจรโลก มาสู่โลกใหม่ แต่ทำไมคนไม่ทึ่งไม่อัศจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าของท่านน่าอัศจรรย์ คนไม่มีปัญญาจึงเห็นว่าไม่น่าอัศจรรย์ เหมือนไก่ได้พลอย เหมือนลิงได้เพชร ไม่อัศจรรย์ สู้กล้วยลูกหนึ่งไม่ได้ ไม่น่าทึ่ง ฉันเดียวกัน คนยุคนี้มองไม่ออกว่าเป็นเพชร เป็นสิ่งประเสริฐอันมนุษย์ควรได้อย่างยิ่ง ยิ่งกว่าเพชรกว่าพลอย อาตมาว่าอาตมาพูดถูก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อานิสงส์ 10 ของศีล 

คนไม่มีปัญญาเสียแล้วจึงไม่ทึ่งไม่อัศจรรย์ ว่าคนเป็นไปได้อย่างนี้เชียวหรือตั้งแต่มีศีลแล้วมีศีลนี้เป็นไปได้หรือ คนเขาก็ไปรับศีล แล้วมีศีลคืออย่างไร คือการท่องจำได้แปลได้ เอามาสอนเขาก็ได้ค่าจ้างได้ คนก็เข้าใจว่าเป็นผู้มีปัญญามีภูมิธรรมเป็นผู้รู้ เพราะรู้ว่าศีลแปลว่าอะไรอธิบายได้ แล้วตนเองอธิบายว่าเป็นไปได้แค่ไหนจึงถือว่ามีศีล

ตั้งแต่กิมัตถิยสูตร เลย ท่านตรัสอานิสงส์ของศีล ศีลนี่ทำให้จิตเกิดเจริญขึ้น ศีลจะนำไปสู่ความเป็นอรหันต์โดยลำดับ

แต่ทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิจะไม่เกิดอานิสงส์ศีลตามลำดับ ไม่ใช่จบเลย แต่ข้อ 1 ไม่เดือดร้อนใจไปตามลำดับ เห็นความเดือดร้อนอะไร ประเด็นใดของตน มันเดือดร้อนทุกข์ร้อนมากของตน ถ้าได้มรรคผลประเด็นที่หนึ่งเลยคือหายเดือดร้อนอันนั้น ประเด็นแรกคืออบายมุขเลย ถ้าได้ผลลดกิเลสได้ จิตจะดีขึ้นปราโมทย์ยินดีเหมือนได้ทรัพย์ ได้เพชร

ได้อานิสงส์ 10 ของศีล

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) มีความสุขแบบเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา ไม่ใช่สุขแบบได้สมใจกิเลสเป็นเคหสิตเวทนา ต้องรู้อาการของจิตเจตสิกจริงๆ อ่านอาการออก เวทนา 108 ต้องมีปัญญารู้ต้องมีผู้สอนได้ ถ้าดับอารมณ์สุขก็ไม่มีทุกข์

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1   208)

ต้องอ่านอาการลิงคนิมิตออก ถ้าอ่านไม่ออก แยกความแตกต่าง ลิงค ให้ออก มีตัวกำหนดหมาย เรียกว่านิมิต ให้ออก อย่างนี้สุข อย่างนี้ทุกข์ทำให้กิเลสลดได้ สงบเพราะว่าไปสะกดจิตกดข่มอันนั้นไม่ใช่โลกุตระ แต่สงบของพระพุทธเจ้าเกิดจากมีไฟฌาน ที่ไปลดไฟกาม ไฟพยาบาท ที่มันเป็นอุณหธาตุ เรียกว่าเป็นร้อน หรือเย็นลดลง เพราะปัญญานะ ไม่ใช่กดข่ม พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียด

อาจารย์หลายๆ คนก็อธิบายได้เฉียดๆ ถ้าตรงจะมีคนบรรลุจริง เมื่อได้จริงจะมีคนแสวงหาแล้วไปเจอก็จะรวมกลุ่มเกิดเป็นมวล หากเป็นสัมมาทิฏฐิจะมารวมกันแน่นเป็นเอกีภาวะ ถ้ามวลไม่แน่นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เสื่อมง่ายเปลี่ยนแปลงง่าย

ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องแน่นมั่นคง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ไม่ใช่ว่ามั่นคงเพราะหลีกเร้น หรือว่ามั่นคงเพราะไม่มีอะไรกระแทกกระทบแต่ถ้าถูกกระทบด้วยโลกธรรมจะหนาอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวเลย ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ

ทำไมเขาไม่ทึ่งไม่อัศจรรย์ต่อความจริง

หนึ่ง เขาไม่รู้ว่ามีจริง

สอง แม้มีจริงแล้วคนไม่รู้ ไปเข้าใจว่าของพระพุทธเจ้าเป็นอีกอย่าง นั่นคือความหลงผิดเพี้ยนไปจากสัจจะของพระพุทธเจ้า ที่ว่าทำไมเขาไม่ทึ่ง แค่ปฏิบัติคนเดียวก็น่าทึ่งแล้ว ถ้าบอกว่ามีอรหันต์จริงๆ คนหนึ่งก็จะทึ่งนะ อาตมายืนยันว่าเรามีอรหันต์จริงๆ แต่เขาไม่เชื่อ เพราะเขาถูกหลอกแล้วว่าอรหันต์ต้องเป็นตามที่เขาถูกครอบงำความคิด พออาตมามาพูดอธิบายยืนยัน มันไม่ตรงไม่สอดคล้องกับที่เขาประกาศ จนไปยึดรูปลักษณ์แบบนั้น มันเป็นเช่นนี้แหละที่เป็นปัจจุบัน อาตมาว่า อรหันต์รูปเดียวก็ทึ่งแล้ว แต่นี่มีอรหันต์รวมกันมากเขายังไม่ทึ่งเลย เขายังมองว่าพวกนี้มันจะบ้าไปถึงไหนนะ คิดอย่างนี้ก็มี อยากรู้มันจะแอคไปถึงไหน

พูดตรงๆนะ อาตมาไม่เคยหวั่นเลยว่าพวกเราจะสลายละลายเสื่อมไปง่ายๆ เพราะอาตมามั่นใจว่าของจริงต้อง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ถ้าอาตมาพาทำผิดพวกคุณแน่นอนไม่ยั่งยืนหรอก แต่อาตมามั่นใจที่สุดว่ายั่งยืนแน่นอน อาตมาจึงประกาศว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีปแล้ว มีมนุษย์

อุตรกุรุทวีปแล้ว จนประกาศว่ามีหมู่ชนที่มี dna ของพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วจะขยายมวล มั่นใจอย่างนั้นจึงได้พูดว่าชมพูทวีปได้หยั่งลงในประเทศไทยแล้ว

ชมพูทวีปคือ สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส

สูราคือ สิ่งที่มันแข็งมันกล้าหาญ เป็นของที่ยิ่งกว่าเพชร แข็งอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีใครตีแตก

นี่คือแข็งกล้าจริงๆ เป็นผลนะ

สูราที่เป็นมรรค คือมีคนที่มีอาการ 32 ครบพร้อมแข็งแรงที่พร้อมจะเรียนรู้อาการ 32 และอาการที่33 มีสติสัมปชัญญะ เป็นตัวนำในปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ จนสามารถทำสติปัฏฐาน 4 เกิดสติสัมโพชฌงค์ เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ มีมรรคผลเข้ากระแสแห่งความเป็นโลกุตระจริงๆ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรมนิยตะ สัมโพธิปรายนะ ถึงขั้นที่ไม่ถอยไปจากที่นี่ มีแต่จะตรงไปสู่ที่สุดที่สูงแต่ถ่ายเดียว ไม่มีถอย นี่คือความนิจจังส่วนหนึ่งที่ชัดเจน เป็นจิตของคนที่ได้มรรคผลแท้จริง

ถึงกล้าพูดว่าโสดาก็มีอยู่ที่นี่ สกิทาก็มีที่นี่ อนาคามีก็มีที่นี่ อรหันต์ก็มีที่นี่ตั้งแต่อรหันต์ในโสดาบันคืออรหันต์ในอบายมุข อรหันต์ในสกิทาฯ อรหันต์ในอนาคามีพ้นกามราคะ หรืออรหันต์ในอรหันต์เอง

ที่พูดนี้พูดอย่างวิชาการนะ

ตอนนี้กระแสโลกุตระในโลก ตอนช่วงแรกจะมีมามาก เพราะคนไม่มีอัตตามานะมาก ก็จะมีมาปฏิบัติ จึงกลายเป็นอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี หรือโสดาบันบ้าง หรือเป็นโคตรภูบุคคลบ้าง คือ ผู้ข้ามโคตรของทางโลกมาสมัครตนทางนี้ แม้จะไม่มีโคตรภูญาณคือญาณตัดโคตรสมบูรณ์ แต่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมทางโลกุตระ ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่ ตายก็ยอมตาย ตนมีบารมีน้อย คนโคตรภูบุคคลมีในที่นี้ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่

ในระยะเริ่มต้นก็จะมามากกันแล้วก็จะช้าลง จนตอนนี้ก็จะมากันน้อยคนที่มีบารมี ก็คงจะมีประมาณนี้ ได้ประกาศธรรมะมา 45 ปี ก็มีประมาณนี้ พระพุทธเจ้าประกาศธรรมมา 45 ปีก็สำเร็จจบศาสนาตั้งลงเป็นศาสนาของโลก แล้วท่านก็ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ทั้งหลาย สร้างศาสนาที่จะมีอายุถึง 5000 ปี ซึ่งเป็นศาสนาที่มีอายุสั้นมาก

ที่อาตมาเอามาประกาศ ถ้าอาตมาผิดผู้อื่นก็ถูก ถ้าอาตมาถูกผู้อื่นก็ผิด ก็ดูผลเอาก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร

ของพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์สองส่วน อุภยัตถะ เช่น เราทำทานให้เขา เขาก็ได้ประโยชน์ แต่เราถ้าสัมมาทิฏฐิจะได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์ที่ได้เหรียญตราหรือโล่นะ แต่เราได้ตรงที่เราได้เสียนี่แหละ เราเสียนี่แหละคือเราได้ เราไม่ได้ให้เพราะถูกหลอกล่อว่าจะได้อะไรตอบแทนมา ไม่ได้ให้ทานเพราะเราอยากได้วิมานมาหลอก นั่นยิ่งมี  ของกูปักดิ่งจมหนัก ค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า

ผู้ได้ประโยชน์สองอย่างแบบที่พระพุทธเจ้าสอนต้องทำใจในใจให้เป็น ทานอย่างไม่ต้องอยากได้อะไรตอบแทนมานี่คือ อัตถิทินนัง เพราะทำใจในใจเป็น แต่เมื่อสอนผิดทำทานแล้วยิ่งตะกละ ยิ่งกิเลสหนายิ่งยึดมั่นถือมั่นคือ นัตถิทินนัง ทานแล้วไม่มีผล ในวงการศาสนาก็อธิบายไม่ชัดเจน

สรุปว่าทำงานมาแล้วก็ไม่เป็นโมฆะไม่เป็นหมัน มีผู้รับได้ทำได้แล้วไปปฏิบัติได้ด้วยกันการเกิดผลสืบทอดสืบต่อไป เนื้อแต่ผู้ที่เป็นมวลนี้ ก็พากเพียรหน่อยจะได้ประโยชน์ 2 ส่วน

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน พระพุทธเจ้าสอนอัมพัฏฐมาณพ

มาต่อในอัมพัฏฐสูตร

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหา เหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตู สี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะ หรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม นี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม 4 ประการ นี้ด้วย.

พ่อครูพูดถึงจรณะ 15 ต่อ และบอกว่ายุคนี้ศีลก็ไม่มีกันแล้ว สมาธิก็ผิดเพี้ยน

[168] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะโล้น บางเหล่าเป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ ดูกรอัมพัฏฐะ

พ่อครูว่า...เขาถือศักดิ์ศรีถือศักดินากันจริงๆ อย่าว่าเรื่องคุณธรรมเลย แม้เรื่องชาติตระกูลเขาก็นับถือกันมาก ยุคนี้ก็ยึดชาติตระกูลและยึดการศึกษากันมาก ยุคนั้นการศึกษาไม่เฟื่อง ก็มีแต่การศึกษาทางสมณพราหมณ์กันยิ่งใหญ่ เขาถ่ายทอดกันด้วยโคตร เพราะพราหมณ์มีเมียมีลูกมีตระกูล ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็มีลูกเมีย มีตระกูลสืบทอดกันในญี่ปุ่นมีแล้ว เป็นตำแหน่งเลย เหมือนนายคิมที่สามนี่แหละ สืบทอดกันในเกาหลีเหนือ

{น.112} ความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติกินเมืองที่ พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิด อัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด. 

[169] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงช้าง พระที่นั่งหรือรถพระที่นั่ง จะทรงปรึกษาราชกิจบางเรื่องกับมหาอำมาตย์ หรือพระราชวงศานุวงศ์ แล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งจากที่นั้น ภายหลังคนชั้นศูทรหรือทาสของศูทรพึงมา ณ ที่นั้นแล้วพูดอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสอย่างนี้ๆ เพียงเขาพูดได้เหมือนพระราชาตรัส หรือปรึกษาได้เหมือนพระราชาทรงปรึกษา จะจัดว่าเป็นพระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ได้หรือไม่?

ข้อนี้เป็นไม่ได้ พระโคดมผู้เจริญ.

บุรพฤาษี 9 ตน

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ เพียงคิดว่าเรากับอาจารย์เรียนมนต์ ของท่านเหล่านั้น เธอจักเป็นฤาษีหรือปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีได้ ดังนี้ นั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

พ่อครูว่า...คำว่าฤาษีในยุคนั้นก็คือพระอาริยะนั่นเอง

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ฟังพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และเป็นปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือฤาษี อัฏฐะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ ฤาษีเหล่านั้นอาบน้ำ ทาตัวเรียบร้อย แต่งผม แต่งหนวด สวมพวงดอกไม้และเครื่องอาภรณ์ นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบ พรั่งพร้อม บำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

พ่อครูว่า...ถ้าเป็นสมัยนี้เขาไม่กล่าวยอมรับกันแน่ เพราะทั้งด้านหนามาก

{น.113}ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ …

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฤาษีเหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีที่เก็บกากแล้วมีแกงและกับหลายอย่าง เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ …

ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้นบำเรออยู่ด้วยเหล่านารีผู้มีร่างกระชดกระช้อย เหมือนเธอ กับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ …

ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้นใช้รถเทียมม้าหางตัด แทงด้วยปฏักด้ามยาวเหมือนเธอ กับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ …

ฤาษีเหล่านั้นใช้บุรุษขัดกระบี่ให้รักษาเชิงเทินแห่งนคร ที่มีคูล้อมรอบลงลิ่ม เหมือนเธอ กับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ …

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์มิได้เป็นฤาษีเลย ทั้งมิได้ปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีด้วยประการ ฉะนี้แล ดูกรอัมพัฏฐะ ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในเรา ผู้นั้นจงถามเราด้วยปัญหา เราจักชำระให้ด้วยการพยากรณ์.

[170] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหารจงกรมแล้ว. แม้อัมพัฏฐมาณพ ก็ออกจากพระวิหารเดินจงกรมแล้ว. ขณะที่อัมพัฏฐมาณพเดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาคอยู่นั้น ได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า อัมพัฏฐมาณพ นี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 {น.114} ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาล อิทธาภิสังขาร ให้อัมพัฏฐมาณพได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอด เข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑล พระนลาต. 

[171] ครั้งนั้น อัมพัฏฐมาณพคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ดังนี้แล้วจึงได้ทูลลาพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอทูลลาไป ณ บัดนี้ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระมาก. ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจงสำคัญกาลอันควรบัดนี้ แล้วอัมพัฏฐมาณพก็ขึ้นรถม้ากลับไป.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน พราหมณ์โปกขรสาติแสดงตนเป็นอุบาสก

โปกขรสาติพราหมณ์

[172] สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติลุกออกมานั่งคอยรับอัมพัฏฐมาณพอยู่ ณ อาราม ของตน พร้อมด้วยพราหมณ์หมู่ใหญ่ ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพขับรถไปอารามของตนจนสุดทางที่รถไปได้ แล้วลงเดินเข้าไปหาพราหมณ์โปกขรสาติ ไหว้แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พราหมณ์โปกขรสาติถามว่า พ่ออัมพัฏฐะ พ่อได้เห็นพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้นแล้วหรือ?

ได้เห็นแล้ว ท่าน.

ก็เกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ.

เกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย และประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง.

พ่อได้สนทนาปราศรัยอะไร ด้วยหรือไม่?

ได้สนทนาปราศรัยด้วยทีเดียว.

พ่อได้สนทนาปราศรัยอย่างไรบ้าง?

ทันใดนั้นอัมพัฏฐมาณพได้เล่าเรื่องเท่าที่ตนได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ.

พ่อครูว่า...อาตมาชอบที่จะอธิบายกับผู้รู้ฟังนะ แต่เขาไม่ค่อยจะมาสนทนา แต่ก่อนนี้อาตมาไม่ค่อยมีภาษาอธิบายเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่ทุกวันนี้อาตมาพอมีบ้าง ถ้าเขาฟังด้วยดี เขาจะได้เลย ได้จริงๆ อย่างอัมพัฏฐะก็ไม่มีมานะอัตตามาก แต่แม้มีมากพระพุทธเจ้าก็มีอิทธิพลมีบารมีมาก แต่อาตมาไม่มีบารมีมาก มีแต่เขาข่มเอา แต่ทุกวันนี้ ถ้ามายันอาตมามากอาตมาก็จะเอาพระไตรปิฎกยันเลย เปิดเล่ม 1 ถึง 45 อธิบายเลย ยิ่งอภิธรรมยิ่งดีเลย ไล่รูป 28 ใส่กันเลย

{น.115} [173] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ พราหมณ์โปกขรสาติได้กล่าวว่า พุทโธ่เอ๋ย พ่อบัณฑิตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชาของเรา ได้ยินว่า คนเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่าน ผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้ เจ้าได้พูดกระทบกระเทียบพระโคดมอย่างนี้ๆ แต่พระโคดมกลับ ยกเอาพวกเราขึ้นเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างนี้ๆ พุทโธ่เอ๋ย พ่อบัณฑิตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชาของเรา ได้ยินว่า คนเบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้.

พราหมณ์โปกขรสาติโกรธ ขัดใจ เอาเท้าปัดอัมพัฏฐมาณพให้ล้มลงแล้ว ใคร่จะไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเสียในขณะนั้นทีเดียว. พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้พูดห้ามว่า ท่าน วันนี้เกินเวลาที่จะไปเฝ้าพระสมณโคดมเสียแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด.

[174] ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติให้จัดแจงของเคี้ยวของบริโภคอย่างประณีตใน นิเวศน์ของตนแล้วเอาใส่รถ เมื่อคบเพลิงยังตามอยู่ ได้ออกจากอุกกัฏฐนคร ขับรถตรงไปยัง ราวป่าอิจฉานังคลวัน ครั้นไปสุดทางรถ ลงเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพศิษย์ของข้าพเจ้าได้มาที่นี้หรือ?

ได้มา พราหมณ์.

พระองค์ได้สนทนาปราศรัยอะไรๆ กับเขาหรือไม่?

ได้สนทนา พราหมณ์

พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับเขา อย่างไร?

ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องเท่าที่พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับ อัมพัฏฐมาณพ ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ.

[175] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว พราหมณ์โปกขรสาติได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพเป็นคนโง่ ได้โปรดอดโทษให้เขาเถิด

ภ. อัมพัฏฐมาณพจงมีความสุขเถิด พราหมณ์.

{น.116}ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของ พระผู้มีพระภาคก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ โดยมากเว้นอยู่ 2 ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พราหมณ์โปกขรสาตินี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้พราหมณ์โปกขรสาติ ได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต พราหมณ์โปกขรสาติ คิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง ดังนี้ แล้วทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารในวันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยอาการนิ่งอยู่ พราหมณ์โปกขรสาติทราบว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์แล้ว จึงทูลภัตตกาลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว.

[176] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์โปกขรสาติพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวาย. พราหมณ์โปกขรสาติได้อังคาสพระผู้มีพระภาค ให้ทรงอิ่มหนำเพียงพอด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน และพวกมาณพก็ได้อังคาสพระภิกษุสงฆ์. ครั้นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว พราหมณ์โปกขรสาติถืออาสนะต่ำนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุบุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่า พราหมณ์โปกขรสาติ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์โปกขรสาติ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พราหมณ์โปกขรสาติว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อม ด้วยดี ฉะนั้น.

{น.117}พราหมณ์โปกขรสาติแสดงตนเป็นอุบาสก

[177] ลำดับนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบ ธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นใน สัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศ พระธรรมโดยอเนก ปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้พร้อมทั้งบุตรภริยา บริษัทและ อำมาตย์ ขอถึงพระองค์ และพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระสมณโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์ จงเสด็จเข้าไปสู่สกุลโปกขรสาติ เหมือนเข้าไปสู่สกุลแห่งอุบาสกอื่นๆ ในนครอุกกัฏฐะ เหล่า มาณพมาณวิกาในสกุลโปกขรสาตินั้น จักไหว้ จักลุกรับ จักถวายอาสนะ หรือน้ำ จักเลื่อมใส ในพระองค์ ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มาณพมาณวิกาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านกล่าวชอบ ดังนี้แล.

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:09:53 )

590214

รายละเอียด

590214_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทุติยปาราชิกกัณฑ์

สมณะเดินดินว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559 วันนี้เป็นวันแห่งความรัก แต่ก็มีเรื่องที่เป็นความลักด้วย มีวัยรุ่นอยากได้เอาของไปฝากสาว ขอเงินแม่แล้วแม่ไม่ให้ก็เลยไปลักขโมยของ ก็น่าสงสารที่ไม่มีความเข้าใจ วันนี้เพราะครูต้องจัดเตรียมข้อมูลมาในวันแห่งความรักนี้มีมากมายเลย มีเรื่องที่จะให้โลกให้สังคมได้รับรู้ วิถีโลกที่เขามีเราจะเปลี่ยนให้เป็นวิถีอารยธรรมได้อย่างไร พ่อครูเป็นเหมือนพระมาลัยที่จะพาพวกเราไปท่องนรก ได้ให้รู้ว่าสวรรค์ที่สูงที่ดีที่มนุษยชาติควรจะเป็น เป็นอย่างไร

พ่อครูว่า... วันนี้อาตมาแบกค้อนปอนด์มา พระไตรปิฎก เล่ม 1 เล่มใหญ่ จำเป็นต้องเอาคำสอนที่เป็นหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า วันนี้เตือนให้ทราบก่อนเลย เป็นวันที่เขาหลงใหลกันว่าเป็นวันแห่งความรักวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แล้วตรงกับวันอาทิตย์ด้วยวันอาทิตย์ที่ขึ้น 7 ค่ำด้วย เป็นเลขที่ทะลุทะลวง ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่สนุกสนานกันใหญ่ วันแห่งความรัก และอาตมาจะพูดถึงความลัก เขามาลักขโมยศาสนาเราไป มาปลอมบวช มาปล้นธรรมะ มาหลอกมนุษยชาติปลอมแปลงในวงการศาสนาพุทธ เรียกว่า ผู้ปลอมบวช หากินในวงการศาสนาจนร่ำรวย

ไม่ใช่เรื่องน่าริษยาอะไร สำหรับคนที่เขาได้ตำแหน่งสังฆราช ได้เป็นเศรษฐีใหญ่ ที่จริงคือกฎุมพี คำว่าเสฏโฐแปลว่าผู้ประเสริฐ อาตมาเห็นว่าเป็นอุจจาระ เรื่องอุจจาระ

เมืองไทยจะเจริญด้วยธรรม ถ้าเสื่อมด้วยธรรมแล้วไม่ว่าสังคมประเทศไหนไปไม่ออกหรอก โดยเฉพาะเมืองพุทธเมืองไทยนี้ ต้องทำให้ดีให้ถูกตรง ให้มีมรรคผลในสัจจะพระพุทธเจ้า ขณะนี้ในประเทศไทยหลายๆด้าน ในด้านบริหาร ในเรื่องธรรมะก็ตาม พูดแล้วจะเข้าตัวว่าธรรมะของอโศกเกิดเป็นอารยธรรมของพระพุทธเจ้าจริงแล้ว ส่วนคณะใหญ่นั้น ของประเทศเลยเสื่อมอย่างหนักมากแล้ว บรรลัยจักร พังไปหมดแล้ว ต้องพูดตรงๆ เอาประเด็นในพระไตรปิฎกคือปาราชิก มีปรากฏการณ์ยืนยัน phenomenal ยืนยันกัน เอาทุติยปาราชิกกัณฑ์เลย เอามายืนยันคำตรัสของพระพุทธเจ้าเลย

ขณะนี้เมืองไทยเรามีนายกฯคนที่ 29 นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจเต็ม และเป็นอำนาจเต็มที่ดีที่สุด เท่าที่เคยมีนายกฯมา 28 คนนี่ คนที่ 29 เป็นนายกฯ ที่ได้อำนาจเต็มและงดงามที่สุด เพราะได้มาอย่างประชาชนเห็นด้วย ประชาชนไม่ขัดแย้ง ทุกอย่างสุกงอม เหตุปัจจัยครบ ปฏิวัติอย่างมีรูปลักษณ์มีบทบาท บอกว่า ขอยึดอำนาจ ไม่ได้ยึดอำนาจโดยไม่บอกไม่กล่าว หรือยึดด้วยอำนาจบาตรใหญ่

ขออภัยที่ขอยกตัวอย่างผู้ได้ปฏิวัติแล้วได้อำนาจเต็มคือ จอมพลสฤษดิ์ ใช้ม.17 ได้อำนาจเด็ดขาด ได้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์สั่งฆ่าสั่งอะไรได้ เต็มรูปเลยทำอย่างไม่มีใครกล้าแย้งเลย คืออำนาจบาตรใหญ่อันหนึ่ง แต่อำนาจที่นายกฯ ประยุทธ์คนที่ 29 ที่ได้มานี้เป็นอำนาจที่มีธรรม เป็นประชาธิปไตยอย่างมีอาริยะ ขอยืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยอาริยะ แต่คนเข้าใจประชาธิปไตยยังไม่พร้อม ยังไม่ครบรอบไม่สมบูรณ์ ที่ยืนยันว่าประชาธิปไตยอาริยะคือแบบของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมาธิปไตย เอาธรรมะเป็นอธิปไตยพร้อมไปด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาประเทส 4 อย่างเพียงพอ ที่พลเอกประยุทธ์ประพฤติอยู่นี้

เพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้อำนาจประชาธิปไตยแบบ พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำได้ เกิดความสงบเพราะอำนาจกดข่มไม่มีใครกล้าแอะเลย แอะมาเดี๋ยวตาย มาตรา 17 แต่พลเอกประยุทธ์ได้มาตรา 44 มีอำนาจเท่ากัน มีอำนาจเด็ดขาดในรัฏฐาธิปัตย์เต็ม แต่เป็นคุณสมบัติอันเป็นธรรม ประกอบไปด้วยธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน ทั้งเหตุปัจจัยทั้งโอกาสทั้งเวลา เหตุทุกอย่างพร้อมสุกงอมอย่างดีที่สุดเลย แล้วก็ทำการปฏิวัติได้จริงเต็มรูป เป็นการปฏิวัติยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่จะหาสังคม ประเทศไหนไหนในโลกปฏิวัติได้งดงามเท่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ใช้ สัปปุริสธรรม 7 ประการ ใช้มหาประเทศ 4 คงไม่มีโอกาสขยายความธรรมะ 2 บทนี้ แต่ก็ขอพูดคลุมไปเลยว่าพล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้คุณธรรมอันนั้นจริงๆ ทำให้เกิด sufficience คือความพอเหมาะพอดี หรือพอเพียงอย่างแท้จริงได้สัดส่วนอย่างแท้จริง จึงเรียกว่าใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาประเทศ 4 อย่างครบพร้อม

ถ้าคนเข้าใจสัปปุริสธรรม 7 ครบหลักการคือองค์ประกอบการจัด

คอมโพซิชั่นของมนุษยชาติแล้ว แล้วก็มีการประมาณมัตตัญญุตาได้อย่างพอเหมาะ ทำออกไปนั่นแหละเป็นสัดส่วนที่ทำได้และมีมหาประเทศ 4 มีหลักเกณฑ์อย่างจะเป็นกฎมณเฑียรบาล จะเป็นหลักเกณฑ์ของสังคม จะเป็นธรรมาภิบาล อะไรก็แล้วแต่ ครบพร้อมอะไรที่มีบัญญัติไว้ อะไรที่ห้ามอะไรที่อนุญาตอย่างมหาประเทศ 4 ก็มีพร้อมด้วยความถูกต้อง อะไรควรไม่ควรทำ ตามที่เห็นควรแล้วทำ ตามหลักมหาประเทศ 4 สิ่งเหล่านี้ทำเสร็จแล้วได้สัดส่วนที่เป็น sufficience คือได้พอเหมาะพอดีที่เป็นสัดส่วน จึงเกิดคุณภาพของ ความพอเพียงจริงๆเลย

มีความอดทนมีความอดกลั้นอย่างเก่งสุดยอด แข็งไม่ละลายไม่สลาย แน่นดี แล้วลงมือจัดการ มีภาวะ 2 อย่างเป็นปฏิภาค ทั้งส่วนตัวก็แน่นแข็งดี ถึงได้ปฏิวัติได้สวย แล้วก็จัดการออกไปได้อย่างเหมาะสม ทั้งนิ่มนวลทั้งดูแข็งๆ เพราะฉะนั้นเป็นการปฏิวัติที่ เด็ดขาดยิ่งใหญ่ที่สุดในวันที่ปฏิวัติคือ 22 พฤษภาคม 2557 มีความนิ่มเบา แต่ทุกวันนี้แสดงออกดูรูปย่อยที่ทำแสดงออกอย่างไม่นิ่มอย่างนั้น มีภาวะที่แข็งแข็งมีเหลี่ยม เป็นหมัดฮุก หมัดตรง หมัด swing มีหมด ออกไปแต่ละหมัดแต่ละหมัดได้ประโยชน์ เป็นกัมมัญญตา เส้นทางการแสดงออก เป็นกรรมกิริยา Acting มีความพอเพียง

มีความทนอดกลั้นแข็งแรง เป็นคุณสมบัติอีกด้านหนึ่ง ทั้งทั้งที่มีภาวะเต็มรอบเลย อะไรมีเลอะเทอะขยะเต็ม ทั้งภาวะและภาระเต็มรอบถล่มอัดลงไป แต่รักษาความอดกลั้น รักษาความอดทน Sufferance คือสามารถที่จะรับความอดทน รับสภาพที่แรงเป็นความกดดัน ก็สามารถทนความสาหัส เท่าที่มีอยู่นักหนานี่ได้

แล้วก็จัดการมีนัจจะ คีตะ วาทิตะ จะสามารถที่จะมีภาวะท่าทีลีลาการแสดงออก บางทีก็ดูอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่า สุดยอดของนัจจะ คีตะ วาทิตะ เท่าที่อาตมาเห็นมานายกฯ 29 คนของไทย เบอร์ 1 ที่จะไม่มีใครทำลายสถิติพฤติกรรมนายกที่ทำได้เท่านี้ ดีไม่ดีร้องเพลงให้ฟังด้วยบางครั้ง เอากับท่านสิ

สมณะเดินดินว่า...สิ่งที่พ่อครูมอง บางทีสังคมก็มองแต่ภาพที่เขาน็อตหลุด

พ่อครูว่า...ทุกอย่างมีทางลบและบวกอยู่ร่วมกันเป็นพลังงานที่ได้สัดส่วนเมื่อรวมกันเสร็จแล้วก็เป็นองค์รวมที่มีคุณค่า ที่พอเหมาะพอดีที่สุด sufficience แต่คนเข้าใจในรายละเอียดของคอมโพซิชั่นขององค์ประกอบไม่ได้ เป็นองค์รวมที่มีน้ำหนักออกไปเหมาะสมที่สุด เมื่อคนมองไม่ออกครบถ้วน องค์ประกอบรายละเอียดของมันที่ผสมส่วนกันดูไม่ออก ดูไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจก็ไม่รู้ในลักษณะออกไปแล้วกลายเป็น suffer ความทุกข์ไปเลย ความทนไม่ไหว ความทนไม่ได้ เดือดร้อนไปเลย

มันไม่เกิดความพอเพียง sufficience sufferance ไม่มีน้ำหนักพอ ที่พยายามอธิบายดัดจริตใช้ภาษาฝรั่งมาประกอบ ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความรู้ในภาษาฝรั่งอะไรมากมาย แต่อาตมาเข้าใจและมั่นใจว่าไม่ได้พูดผิด เอาภาษาเหล่านี้มาประกอบการอธิบายอย่างเข้าใจ ยังเชื่อว่ามันเป็นประโยชน์ต่อผู้มีภาษา mother tongue เป็นภาษาพ่อภาษาแม่ที่จะมีความเข้าใจละเอียด เค้าฟังแล้วจะเข้าใจ ที่อาตมาพูด

อาตมาให้คะแนน a บวกสิบ สำหรับพลเอกประยุทธ์ ที่ดำเนินอะไรต่ออะไรมานี่ ใครจะมองไปในค่ารวมแล้วอาตมาให้คะแนน a บวกสิบ เป็นผู้ที่มีความสามารถ

ขอท้าวความ เป็นผู้ที่ใช้ความอดทนอดกลั้น เป็นผบ.ทบ. มีอำนาจเต็มในอำนาจของประเทศ ใช้ความอดทนอดกลั้นยาวนานเลย สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ นี่อดทนมาเรื่อยๆ เขาทำกันไป จะร้องประกาศเผาบ้านเผาเมืองทำอะไร ก็ที่จริงแล้วมันน่าจะลุแก่อำนาจจัดการในทุกระดับ แต่ก็อดทนไว้ในใจ สุดท้ายไม่ต้องใช้อาวุธไม่ต้องเสียเลือดเนื้ออะไรเลย

ใช้คำเบาๆ เพราะๆ ประโยคเดียวยึดอำนาจประเทศได้เลย Best record ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการการเมืองของโลก ไม่มีใครจะมา Beat record นี้ได้ง่ายเลยขอยืนยันเลย เพราะฉะนั้น จึงเป็นคนที่มีพร้อม ทั้งความอดกลั้นความอดทน เหตุปัจจัยต่างๆ พยายามดูเวลาและพยายามใช้เวลาจนถึงวาระที่ดีที่สุดพร้อมก็เกิดขึ้นจัดการลงมือปฏิบัติได้อย่างงดงามที่สุด ตอนนี้ปฏิบัติงานทำงานไปก็ค่อยๆจัดการกันไป จะเรียกว่ากวาดล้าง กวาดอย่างนิ่มนวล เหมือนพวกเชนที่ใช้ไม้ปัด ปัดอย่างพวกเชน ไม่ได้ปัดอย่างรุนแรง ปัดทีละคนสองคน ไล่ไปทีละคนสองคนสามคนขณะนี้ก็เหลืออยู่อีกก็หลายคนอยู่ ทีละคนสองคนก็ยังเหลืออีกหลายคนอยู่ รออีกสักนิดเถอะน่า ประชา พูนวิวัฒน์ พันตำรวจโทประชา พูนวิวัฒน์ ชื่อเรื่องของแก รออีกนิดเถอะน่า แล้วอาตมาก็ให้คะแนนพล.อ.ประยุทธ์นี้ว่า เป็นผู้ที่ใช้มาตรา 44 หรือรัฏฐาธิปัตย์ดาบอาญาสิทธิ์นี้ที่เป็นประชาธิปไตยได้เยี่ยมยอดที่สุด ใช้ดาบอาญาสิทธิ์รัฏฐาธิปัตย์ของประเทศนี้เป็นอำนาจเด็ดขาดในแต่ละยุคแต่ละกาละที่จะเกิด แม้ตอนนี้รู้สึกว่าเกิดอยู่ในคนคนเดียวก็ตาม เยี่ยมที่สุดแล้ว เป็นประชาธิปไตยได้อย่างดีที่สุด สวยงามที่สุด

เป็นความเป็นประชาธิปไตยที่นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายต้องศึกษาประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบนิดเดียวของประชาธิปไตย ที่อาศัยประชาชนในระยะเวลาเดียว ลงคะแนนเสียงแล้วก็หมด อะไรที่จะประพฤติในความเป็นประชาธิปไตยมีอีกเยอะแยะ ก็เรียนมาหัวผุหัวพัง จบแล้วประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ใครก็เรียนจบอย่างนี้ ถ้าบอกว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งอย่างเดียว จะไปยากอย่างไร เป็นความคิดที่แคบตื้นอะไรขนาดนั้น นี่คือคำวิจารณ์พวกที่บกพร่อง ออกหมัดตรงๆ ไม่เอี้ยวไม่โค้ง เป็นหมัดตรง ไม่ใช่หมัดโค้ง ไม่ใช่หมัด swing นี่หมัดตรงผสมอัพเปอร์คัท

 

มหาเถร...อุ้มธัมมชโย นั่งทับพระลิขิต? กวนน้ำให้ใส  ...สารส้ม

10 ก.พ. 2559 การประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) อันมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานการประชุม พิจารณาหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำหนังสือถึง มส. ลงวันที่ 8 ม.ค. ให้พิจารณาดำเนินการให้พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดต้องอาบัติปาราชิก เรื่องเงินและที่ดินวัดพระธรรมกาย ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อปี 2542 โดยใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง

 

นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงภายหลังการประชุม

 

จับความได้ว่า ภายใต้การปกครองคณะสงฆ์นับแต่ปี 2542 – ปัจจุบัน คณะสงฆ์ได้ดำเนินการกับกรณีของธัมมชโย ในประเด็นยักยอกทรัพย์นั้น อย่างไรบ้าง ดังนี้

 

1.กรณีที่มีนายสมพร เทพสิทธา และนายมานพ พลไพรินทร์ ยื่นคำร้อง คณะสงฆ์ได้ใช้ กฎ มส.ฉบับที่ 11 มอบหมายให้เจ้าคณะภาค 1 เป็นองค์ประธานในการพิจารณาเรื่องชั้นต้นไปดูแล ตอนแรกไม่รับ แต่หลังจากนั้น เจ้าคณะหนสั่งปลดเจ้าคณะภาค 1 ออก เพื่อจะดำเนินการสนองต่อพระลิขิต และก็ได้ตั้งเจ้าคณะภาค 1 ใหม่เข้ามาดำเนินการรับเรื่องที่นายสมพรและนายมานพฟ้อง

 

2.เมื่อมีการยื่นฟ้องอาญา เป็นคดีทางโลก ต่อกองปราบปราม คดีทางสงฆ์หยุดดำเนินการตั้งแต่ปี 2542

 

3.กระทั่งปี 2549 อัยการขอถอนฟ้อง คดีทางโลกยุติ เมื่อการดำเนินทางโลกยุติ ทางสงฆ์ก็ไม่ได้หยุดตาม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรูปใหม่ก็หยิบเรื่องมาพิจารณาต่อ นายมานพได้ถอนข้อกล่าวหาไปแล้ว พิจารณาคำฟ้องของนายสมพรรายเดียว โดยพิจารณาว่าไม่เป็นไปตามหลัก ทำให้คณะผู้พิจารณาไม่รับคำฟ้อง แต่เป็นคดีครุกาบัติ จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดเพียงรูปเดียว นำเรื่องเสนอต่อเจ้าคณะภาคและรองเจ้าคณะภาคด้วย ซึ่งเห็นด้วยในการสั่งไม่รับฟ้อง ส่งหนังสือไปยังนายสมพร ไม่ได้อุทธรณ์ ดังนั้น คดีนี้จบตั้งแต่ชั้นต้น มส.ไม่ได้ลงไปพิจารณาด้วยตนเอง

 

4. คดีฟ้องนับว่าจบไปตั้งแต่ชั้นต้นแล้ว และการพิจารณาชั้นต้นก็ไม่ได้บอกว่าปาราชิกหรือไม่ แต่ท่านไม่รับข้อกล่าวหาไว้พิจารณา... จบข่าว

 

ทั้งหมดมีแค่นี้? ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปี ตั้งแต่เกิดเรื่องอื้อฉาว คณะสงฆ์ดำเนินการเท่านี้?

 

เนื้อข่าวปรากฏถ้อยแถลงที่เป็นเนื้อหาสาระแห่งการปฏิบัติ เท่านี้จริงๆ

 

1) ตกลงว่า ที่ผ่านมา 17 ปี มหาเถรสมาคมดำเนินการแต่เฉพาะเรื่องร้องของฆราวาส 2 คนเท่านั้นหรือ?

 

แล้วพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่ชี้ชัดว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา โดยทรงมีพระลิขิตถึง 6 ฉบับ ซึ่งพระลิขิตดังกล่าวก็ได้เสนอต่อมหาเถรสมาคมแล้ว ดังปรากฏมติมติมหาเถรสมาคม มติที่ 193/2542 ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม

 

ตกลงว่า มหาเถรสมาคมดำเนินการเฉพาะกรณีร้องเรียนของฆราวาส แล้วไม่ได้สนองตอบพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นองค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์อย่างนั้นหรือ?

 

เพราะการสรุปสุดท้าย อ้างว่าเรื่องร้องยุติไปในชั้นต้น ไม่ถึงชั้นพิจารณาว่าธัมมชโยปาราชิกหรือไม่ เนื่องจากผู้ร้องที่เป็นฆราวาสไม่ยื่นอุทธรณ์ ก็แล้วพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นยิ่งกว่าคำร้องของฆราวาส ยังคงยืนยันอยู่เป็นหลักแน่น ประทับรับรองด้วยมติมหาเถรสมาคมเองอยู่ตรงนั้น ทำไมไม่ดำเนินการต่อไป?

 

มหาเถรหูอื้อ ตาบอด มัวเมา หรืออย่างไร?

 

โปรดตอบมา บัดเดี๋ยวนี้!

 

2) หนังสือที่ดีเอสไอส่งไปถึง มส. ลงวันที่ 8 ม.ค. ท้ายหนังสือระบุชัดเจนว่า จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 กรณี 1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1

 

ชัดเจนว่า ดีเอสไอต้องการทราบว่า การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตไปอย่างไร? ดีเอสไอไม่ได้ถามเรื่องการดำเนินการตามเรื่องร้องของฆราวาส 2 คนนั้น

 

แต่เมื่อฟังจากที่มหาเถรประชุมวันก่อน สรุปก็คือ มหาเถรไม่ได้ทำอะไรตามพระลิขิต

 

ทำเฉพาะคำร้องของฆราวาส เมื่อฆราวาสไม่อุทธรณ์ จึงอ้างยุติเรื่อง

 

กระทั่ง 17 ปีผ่านไป มหาเถรก็ยังไม่เห็นทำอะไรตามพระลิขิตที่เป็นมากกว่าคำร้องของฆราวาส เพราะเมื่อคดีทางโลกยุติแล้ว คดีทางสงฆ์จะต้องเดินต่อตามพระลิขิตที่ไม่ได้ยุติเรื่อง

 

การไม่ยื่นอุทธรณ์ของฆราวาส ไม่ใช่เหตุที่มหาเถรจะละเว้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระลิขิต!

 

พูดง่ายๆ ว่า อย่างน้อยที่สุด มหาเถรที่ควรจะให้ค่ากับพระลิขิตของประมุขแห่งสงฆ์ เสมือนเป็นอีกหนึ่งผู้ร้องบ้าง มิใช่ทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนี้

 

3) ระยะเวลากว่า 17 ปี นับว่าเนิ่นช้า เกินปกติวิสัย

 

ส่อว่าจะเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์แก่ธัมมชโย ให้สามารถครองจีวร อาศัยผ้าเหลืองประกอบกิจการ แสดงตนเป็นพระสงฆ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดในพระพุทธศาสนา จัดการเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เงินๆ ทองๆ มหาศาล ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีที่ผ่านมา

 

ทั้งๆ ที่ น่าจะปาราชิกไปแล้วตั้งแต่กรณีเมื่อปี 2542 ก่อนจะยอมคืนทรัพย์แล้วอัยการถอนฟ้องเมื่อปี 2549

 

โดยหน่วยงานของรัฐตรวจสอบพบว่า พระธัมมชโยได้ใช้เงินของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินจากชาวบ้านกว่า 2 พันไร่ มาใส่ไว้ในชื่อของตนเองหรือคนใกล้ชิด แทนที่จะเป็นชื่อของวัด

 

ลองคิดง่ายๆ ถ้าผู้บริหาร อบต.เอาเงินของท้องถิ่นไปซื้อที่ดิน แต่ใส่ชื่อตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถูกทวงถามก็ไม่แก้ไข จะถือว่าโกงหรือไม่? ถ้าผู้บริหารบริษัทเอาเงินของบริษัทไปซื้อรถยนต์ แต่ใส่ชื่อตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถูกทวงถามก็ไม่แก้ไข จะถือว่าทุจริตหรือเปล่า?

 

ในประเด็นนี้ หนังสือดีเอสไอระบุแจ้งชัดไว้เลยว่า จากพยานหลักฐานทั้งในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ต่างมีพยานระบุยืนยันเจตนาการกระทำความผิดของพระธัมมชโยอย่างชัดเจน “...การที่จำเลยไม่ยินยอมมอบคืนที่ดินให้กับทางวัดโดยทันที ตามพระลิขิตของพระสังฆราช... แต่พระธัมมชโยยังกลับประวิงเวลา ไม่ยินยอมมอบคืนทรัพย์สินให้กับทางวัด กลับต่อสู้คดีทางศาลโดยคิดว่าจะชนะคดี การต่อสู้ในเรื่องนี้ใช้เวลาอย่างยาวนานถึง 7 ปี จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางใดที่จะชนะคดีได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พนักงานอัยการถือเอาเป็นสาเหตุในการขอถอนฟ้องคดีในเรื่องนี้ได้ จำเลยจึงยินยอมมอบคืนทรัพย์สินที่มีข้อพิพาทคืนให้กับทางวัด พนักงานอัยการจึงถือเอาเป็นเหตุในการขอถอนฟ้องดังกล่าวข้างต้น การกระทำเช่นนี้ของพระธัมมชโยกับพวก เป็นการกระทำที่มีเจตนาในการกระทำความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้ว

กลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้...”

 

พูดง่ายๆ ว่า แม้จะถอนฟ้องได้ แต่การกระทำอันเป็นเหตุแห่งปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็สำเร็จไปแล้ว เปรียบเทียบกับกรณีที่พระไปเสพเมถุนยามวิกาล แม้เสร็จกิจแล้วกลับวัด เลิกกามกิจแล้ว ก็ปาราชิกไปแล้ว หรือกรณีที่พระไปลักทรัพย์ แม้จะนำทรัพย์กลับมาคืน แต่ก็ปาราชิกไปแล้ว ไม่อาจหวนคืนเช่นกัน

 

เปรียบเหมือนใบไม้ที่หลุดจากต้นแล้วไม่อาจกลับคืนมาดังเดิมได้

 

อดีตเณรคำ อดีตพระยันตระ หรืออดีตพระสงฆ์ที่ปาราชิกไปแล้วทั้งหลาย ก็ล้วนอยู่บนบรรทัดฐานนี้

 

การถอนฟ้องธัมมชโย ในคดีอาญา ของอัยการยุครัฐบาลทักษิณ จึงไม่น่าจะช่วยถอนการปาราชิก ตามที่ปรากฏในพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชได้

 

4) งานนี้ ถ้ากฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์ พุทธบริษัท 4 เอาจริง หากจีวรไม่ปลิว ก็คงมีคนติดคุก

 

และคงไม่ได้มีรายเดียวแน่ๆ

 

สารส้ม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ว่าด้วยกรณีธัมมชโยปาราชิก

[79] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา คิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปซึ่งเคยเห็นกันเคยคบหากันมา ทำกุฎีมุงบังด้วยหญ้า ณ เชิงภูเขาอิสิคิลิแล้วอยู่จำพรรษา แม้ท่านพระธนิยะ กุมภการบุตร ก็ได้ทำกุฎีมุงบังด้วยหญ้าแล้วอยู่จำพรรษา ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้ว ได้รื้อกุฎีมุงด้วยหญ้า เก็บหญ้าและตัวไม้ไว้ แล้วหลีกไปสู่จาริกในชนบท ส่วนท่านพระธนิยะ กุมภการบุตร อยู่ ณ ที่นั้นเอง ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน ขณะเมื่อท่านพระธนิยะ กุมภการบุตร เข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต คนหาบหญ้า คนหาฟืน ได้รื้อกุฎีบังด้วยหญ้าเสีย แล้วขนหญ้าและตัวไม้ไป.แม้ครั้งที่สอง ท่านพระธนิยะ กุมภการบุตร ได้เที่ยวหาหญ้า …..แม้ครั้งที่สาม…

จากนั้นพระธนิยะก็ได้ไปเอาไม้จากโรงไม้ของหลวง...ถูกโจทย์ท้วง พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติให้เป็นทุติยปาราชิกว่า
          พระปฐมบัญญัติ

อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย พระราชาทั้งหลาย จับโจรได้แล้วพึงประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.

 

ต่อมามีอนุบัญญัติมาอีก

พระอนุบัญญัติ

ก. อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใดภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.

 

และมีตัวอย่างอีกว่า
          บทภาชนีย์

มาติกา

[90] ทรัพย์อยู่ในดิน ทรัพย์ตั้งอยู่บนดินทรัพย์ลอยอยู่ในอากาศ ทรัพย์ตั้งอยู่ในที่แจ้งทรัพย์ตั้งอยู่ในน้ำ เรือ และทรัพย์อยู่ในเรือยาน และทรัพย์อยู่ในยาน ทรัพย์ที่ตนนำไปสวน และทรัพย์อยู่ในสวน ทรัพย์อยู่ในวัด นา และทรัพย์อยู่ในนา          พื้นที่และทรัพย์อยู่ในพื้นที่ทรัพย์อยู่ในบ้าน ป่า และทรัพย์อยู่ในป่าน้ำ ไม้ชำระฟัน ต้นไม้เจ้าป่า ทรัพย์ที่มีผู้นำไปทรัพย์ที่เขาฝากไว้ ด่านภาษี สัตว์มีชีวิตสัตว์ไม่มีเท้า สัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์มีเท้ามากภิกษุผู้สั่ง ภิกษุผู้รับของฝาก การชักชวนกันไปลักการนัดหมาย การทำนิมิต.

 

ภุมมัฏฐวิภาค

[91] ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ในแผ่นดิน.

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตามแสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ตัดไม้หรือเถาวัลย์ ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดก็ตาม คุ้ยก็ตาม โกยขึ้นก็ตามซึ่งดินร่วนต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำหม้อให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย ทำหม้อให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์ควรแก่ค่า5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย กระทำให้ทรัพย์อยู่ในภาชนะของตนก็ตาม ตัดขาดด้วยกำมือก็ตามต้องอาบัติปาราชิก.

พ่อครูว่า...พระบัญญัติของพระพุทธเจ้าละเอียดมากเลย  ยกตัวอย่างลูกท้ออินเดียอันนี้ คุณเริ่มต้นด้วยของนี้ไม่ใช่ของๆเรา คุณไปแตะเข้า อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าจับแล้วเคลื่อนที่ปุ๊ปก็ปาราชิกเลย นี่แผ่นดินมันยกไม่ได้ก็ใช้โฉนด ใส่ชื่อตนเองเอาไปหอบไว้ 7 ปี ธัมมี่นะจ๊ะตามสำนวนคนอื่นเขา ปาราชิกไหม

ภิกษุมีไถยจิต จับต้องทรัพย์ที่เขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดีเข็มขัดก็ดี ผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย จับที่สุดยกขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัยให้พ้นปากหม้อ โดยที่สุดแม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก.

ภิกษุมีไถยจิต ดื่มเนยใสก็ดี น้ำมันก็ดี น้ำผึ้งก็ดี น้ำอ้อยก็ดี ควรแก่ค่า 5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก ด้วยประโยคอันเดียว ต้องอาบัติปาราชิก ทำลายเสียก็ดี ทำให้หกล้นก็ดี เผาเสียก็ดี ทำให้บริโภคไม่ได้ก็ดีในที่นั้นเอง ต้องอาบัติทุกกฏ

มีอีกหลายตัวอย่างในพระไตรปิฎก

 

ต่อไปเป็นบทความของคุณเปลวสีเงิน วันที่ 12 ชื่อเรื่อง

ข้อเท็จ ข้อจริง คดีธัมมชโย

"ธัมมชโย ไม่ผิด-ไม่ปาราชิก-เรื่องยุติแล้ว จะไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอะไรกันอีก"

นี่คือ "มติมหาเถรสมาคม" เมื่อวาน (10 กุมภา 59)!

โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นวัดพี่-วัดน้องกับวัดพระธรรมกาย ทำหน้าที่ประธาน

การประชุมครั้งนี้ มส.เห็นชอบในร่างหนังสือตอบกลับ DSI ที่เคยถามเรื่องนี้ด้วย ท่านหาอ่านได้จากข่าว

ส่วนวันนี้ ผมจะนำข้อความที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ fb ไว้เมื่อ กุมภา 58 มาให้อ่านกัน แล้วท่านจะทราบว่า

คำตอบมหาเถรฯ กับสำนักพุทธ นั้น "เท็จ-จริง" คืออะไร ใช่อย่างที่ตอบ DSI หรือไม่ ขอรวบรัดให้อ่านที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ไว้เลย

"สมเด็จพระมหาธีราจารย์" วัดชนะสงคราม เมื่อครั้งเป็นคณะใหญ่หนกลาง ท่านมีความเที่ยงตรง ผิดก็ว่าผิด-ถูกก็ว่าถูก

สิ่งที่ผมคิดถึงคือ ย้อนหลังไปเมื่อ 14 ปีก่อน ที่สมเด็จฯ ท่านต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย

เวลานั้น ผมยังวิ่งเข้า-วิ่งออกวัดชนะฯ อยู่ไม่ต่างกับเวลานี้ แม้ผมจะยุ่งอย่างไร ก็ต้องพาพ่อของผมเข้าวัดชนะอยู่ดี เมื่อท่านออกปาก

เพราะท่านจะเข้าไปคุยเฮฮากับท่านเจ้าคุณสอง-สามรูป ที่เป็นเพื่อนสมัยบวชด้วยกันตอนวัยหนุ่ม

แล้วก็ต้องไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ที่เมตตาทุกคนในบ้านผมตั้งแต่ทวดลงมา นับแต่สมัยที่สมเด็จฯ ยังเป็นพระมหาเปรียญหนุ่ม

เรื่องนี้ ขึ้นมายุ่งกับสมเด็จฯ ตรงที่คดีธรรมกาย ถูกโยนถึงมือท่านแบบที่ท่านก็คาดไม่ถึง โดยที่ ทั้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ต่างเอนเอียง เข้าข้างธรรมกาย ไม่รับคดีขึ้นฟ้อง

และดึงเรื่องแบบสุดความสามารถ จนรัฐมนตรีศึกษาที่ดูแลกรมศาสนาเวลานั้น รวบรัดว่า เรื่องนี้ ต้องถึงมหาเถรฯ เสียแล้ว และต่อมาเรื่องนี้ก็ตกมาถึงมือสมเด็จอุปัชฌายาจารย์ของผมจนได้

ผมจะปูพื้นเรื่องก่อน เพื่อให้คนไม่รู้-ได้รู้ เพราะในอนาคตถ้าหมดคนรุ่นผมไปแล้ว หลักฐานปฐมภูมิจะหมดไป

ในเวลานั้น มีคดีฟ้องของ "คุณมานพ พลไพรินทร์" ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา และ "คุณสมพร เทพสิทธา" ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ได้ฟ้อง พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ในคดีละเมิดพระธรรมวินัย และละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ

ซึ่งคดีนั้น ใช้เทคนิคลากเรื่อง-ดองเรื่องจากทางวัดพระธรรมกายชนิดสุดฝีมือ

เริ่มจาก "เจ้าคณะปกครอง" มีอำนาจในการพิจารณา ได้ปัดสำนวนฟ้องทิ้ง อ้างเหตุว่า "ผู้ฟ้องไม่ได้กรอกแบบฟอร์มช่องหนึ่ง" ที่แจ้งว่า ตัวเองศาสนาอะไร?

จนทั้งสองท่าน เอาหลักฐานมาแสดงถึงยอมเดินเรื่องต่อให้ พอเรื่องเดินก็มาอีกมุก ว่าโจทย์เป็นฆราวาส ฟ้องพระไม่ได้ เจ้าคณะจังหวัดก็ไม่รับพิจารณา

โจทย์ไม่มีทางเลือก เลยไปฟ้องต่อเจ้าคณะภาคเสียเลย แต่เจ้าคณะภาคก็ตัดสินว่า "ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ฟ้องเหมือนกัน"!

จนเรื่องถึงรัฐมนตรีศึกษา ทำเรื่องให้มหาเถรฯ พิจารณาซะเลย คราวนี้มหาเถรฯ บอกว่า "ทำไมจะฟ้องไม่ได้"

"อย่างนี้ จะพระเหี้ยอย่างไร ชาวบ้านก็ต้องทนหรืออย่างไร"?

คำนี้ ผมเอามาจากท่านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ นั่งตบเข่า เล่าให้พ่อผมฟังเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผมนั่งอยู่ด้วย ได้แต่อมยิ้มอยู่ข้างเสากุฏิ

ตามปกติ สมเด็จฯ ท่านจะพูดจาระวังคำพูด แต่กับคนใกล้ชิดแบบพ่อผม ท่านปลดเบรกพูดแบบสบายปากได้

พอมหาเถรฯ มีมติว่าฆราวาสฟ้องได้ แล้วให้เจ้าคณะภาคสั่งการให้เจ้าคณะจังหวัดรับฟ้องตามขั้นตอน แต่เจ้าคณะจังหวัดก็แจ้งไปยังเจ้าคณะภาคว่า

"มติเจ้าคณะภาคที่ว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ มีมาก่อนมติมหาเถรฯ" จะยังถือมติเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง!

ทุกคนก็รู้ ทั้งคณะภาค คณะจังหวัด ดึงเกมแบบรู้กัน ทางกระทรวงฯ เลยต้องเอาเรื่องเข้ามหาเถรฯ อีกรอบว่า "เจ้าคณะทั้งสองไม่ทำตามมติมหาเถรฯ สั่งการ"

มหาเถรฯ จึงสั่งเจ้าคณะภาคอีกรอบ คราวนี้ เจ้าคณะภาคบอก "จะรีบทำตามมติเร่งรัดคดี"

แต่ก็ดึงไปเรื่อยๆ จนมหาเถรฯ ครั้งนั้น ต้องแต่งตั้งให้ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์" เข้ามากำกับดูแล

สมเด็จฯ ให้ส่งรายงานมาทั้งหมด แต่เจ้าคณะภาคก็ดึงเรื่อง ขอเวลาอีกเป็นเดือนๆ แล้วส่งมาแบบเขียนใส่ตั๋วรถเมล์สั้นๆ เท่านั้น

สมเด็จฯ ด่าเปิงกลับไป เพราะนิสัยของท่านตรงเป็นไม้บรรทัด แล้วสั่งให้ส่งรายงานแบบเต็มยศมาด่วน พอรายงานมาถึงมือ ท่านก็บอกว่า

"แบบนี้ชัดเจนว่าเจ้าคณะภาคขัดคำสั่งมหาเถรฯ ท่านจะว่าอย่างไร?"

คราวนี้เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด วิ่งไปพึ่งบารมีสมเด็จวัดสระเกศให้มาช่วย เพราะรู้กันว่า วัดสระเกศแบ็กอัพสายนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ "ฟ้องได้หรือไม่"? 

แต่สมเด็จวัดชนะ ท่านซัดเข้าไปดอกใหญ่ในที่ประชุมมหาเถรฯ แบบไม่ไว้หน้า "เรื่องของพระ ส่งไปให้บ้านเมืองพิจารณาได้อย่างไร?"

เคยส่งไปแล้ว ก็โดนตีกลับมาทุกครั้ง ว่าเรื่องของพระก็ให้มหาเถรฯ จัดการกันเอง คนนอกวัดไม่อยากยุ่งด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มีพระวินัยกำกับอยู่แล้ว คนไม่ใช่พระ จะมาชี้เรื่องพระวินัยได้อย่างไร?

สมเด็จวัดสระเกศ เจออัดเข้าจังๆ ถึงกับถอยกรูด เพราะรู้ว่า สมเด็จวัดชนะฯ ตรงเป็นไม้บรรทัด

ก็ดันเรื่องเข้ามหาเถรฯ ทันที แต่ก็โดนดึงต่อไปอีก หลังจากฝั่งสนับสนุนวัดธรรมกายตั้งขบวนกันติด และล็อบบี้กรรมการมหาเถรฯ บางรูปสำเร็จ

โดยให้เลื่อนการพิจารณาออกไป อ้างว่าบางรูปยังอ่านเอกสารไม่จบ ก็ดึงกันไปเรื่อยๆ อีกนานข้ามปี

จนที่สุด "สมเด็จพระญาณสังวร" พระสังฆราช ทรงทนไม่ไหว มีพระลิขิตออกมาฉบับแรกว่า

“การโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัย พ้นจากความเป็นพระทันที

ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะสั่งให้สึก ไม่ว่าจะจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยทันที”

พอมีพระลิขิตออกมา...วงแตก มหาเถรฯ ให้ติดตามว่าวัดธรรมกายมีปฏิกิริยาอย่างไรกับพระลิขิต แต่วัดธรรมกายก็ยังเฉย

สมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงออกพระลิขิตเป็นฉบับที่ 2-3 จนฉบับที่ 4 สุดท้ายออกมา

พระสังฆราชถูกกลุ่มสนับสนุนวัดธรรมกายขู่ปองร้าย ครม.ต้องมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งตำรวจมาอารักขา

และเร่งให้สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยด่วน "นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" รมว.ศึกษาเวลานั้น เข้านมัสการสมเด็จวัดชนะฯ แจ้งว่า

จะนำคดีสู่ศาลอาญาทางโลก จะให้พระเป็นโจทก์ในคดีกฎนิคหกรรม ดำเนินการทางสงฆ์ เร่งให้ ธัมมชโยโอนที่ดินและทรัพย์ส่วนนี้กลับเข้าวัด

แต่ก็ได้รับคำตอบจากวัดธรรมกายว่า ให้การพิจารณาของมหาเถรฯ จบก่อน ว่าผิดจริงถึงจะโอนให้!

มหาเถรฯ ก็เตะถ่วง โดยเอาเรื่องอื่นๆ เข้าประชุม แทนที่จะรีบพิจารณาเรื่องที่นายมานพและนายสมพร ฟ้องในคดีกฎนิคหกรรม

คราวนี้ ประชาชนออกมาต่อต้านมหาเถรฯ กดดันให้มหาเถรฯ จัดการตามพระลิขิต

ในขั้นสอบสวนทางโลก ธัมมชโยเข้ามอบตัวและประกันตัวไป มหาเถรฯ ก็ยังเตะถ่วงเรื่อยๆ จนตำรวจส่งสำนวนให้อัยการฟ้องต่อศาล

ต่อมา สมเด็จฯ ได้กดดันที่ประชุมมหาเถรฯ ให้เจ้าคณะภาคสั่งอายัดเงินฝากวัดธรรมกาย

แต่ธรรมกายสู้ แจ้งว่า "อธิกรณ์ถึงที่สุดตามที่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดไม่รับฟ้องเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว" จึงไม่ทำตาม

เพื่อลดความกดดัน ธัมมชโยยอมลาออกจากเจ้าอาวาส ให้ทัตตชีโว ขึ้นแทน แล้วใช้วิธีดึงคดีไปเรื่อยๆ โดยแจ้งว่าป่วย

จนที่สุด ยอมโอนที่ดินและทรัพย์สินกลับคืนวัด แล้ว "อัยการสั่งไม่ฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า

"ธัมมชโยกับพวก มอบทรัพย์สินซึ่งมีที่ดินและเงิน 959 ล้านบาทคืนวัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้ว อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"

มหาเถรฯ ถือโอกาสรีบปิดคดีเช่นกัน.....

โดยไม่สอบสวนคดีกฎนิคหกรรมต่อ เหมือนทุกอย่างรีเซตตัวเองจบไปแล้ว โดยไม่คำนึงถึงพระลิขิตที่ทรงพิจารณาให้ ธัมมชโย สิ้นสภาพความเป็นพระไปก่อนหน้านั้น.

พ่อครูว่า...ปัญญาชนทั้งหลายฟังแล้วก็น่าสมเพชเวทนา องค์กรที่แต่ละองค์กรเป็นขบวนการรวมหัวกันเป็นโจร ขอใช้คำนี้ ต่อด้วยอีกบทความหนึ่ง

 

ผ่าประเด็นร้อน จับตาวิบากกรรม มส. ตะแบงอุ้มธัมมชโย (แนวหน้า ผ่าประเด็นร้อน)

นี่ขนาดธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินทำผิดทั้งต่อพระธรรมวินัยและทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง ทั้งเผยแพร่ลัทธิที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ยักยอกเงินวัดมาเป็นของตัวเอง จนพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาตั้งแต่เมื่อปี 2542 ให้ปาราชิกพ้นความเป็นพระและล่าสุดธัมมชโยกำลังจะถูกฟ้องฐานร่วมขบวนการฟอกเงินคดีที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร คนสนิท

ธัมมชโยยักยอกเงินฝากเหล่าคนชรากว่า 16,000 ล้านบาท แล้วเล่นแร่แปรธาตุโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีธัมมชโยและสำนักธรรมกาย แต่ล่าสุดมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งมีสมเด็จช่วงเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พระอุปัชฌาย์ของธัมมชโยเป็นประธานก็มีมติส่อตะแบงอุ้มธัมมชโยโดยไม่สนใจผิดถูกชั่วดี สวรรค์หรือนรก ซึ่งนั่นเป็นเส้นทางที่มส.เลือกและอาจต้องรับผลกรรมที่จะตามมา

 

ความจริงแล้ว ธัมมชโย พ้นจากความเป็นพระทันที ตั้งแต่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระบัญชาเมื่อปี 2542 แต่ มส.ภายใต้การนำของ สมเด็จช่วง ส่อเจตนาขัดพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และอย่างที่ นายชูชาติ ไตรประสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า กรณี ธัมมชโย แม้จะยอมคืนเงินเกือบ 1,000 ล้านบาทที่ยักยอกไปหลังถูกจับได้ แต่ยังถือว่าความผิดสำเร็จแล้วจะอ้างว่าโกงแล้วคืนไม่ผิดไม่ได้ แต่ที่สำคัญในทางพระธรรมวินัยถือว่าปาราชิกพ้นความเป็นพระไปแล้ว

 

แต่ในเมื่อมส.ไม่เลือกทางสวรรค์ ส่อตะแบงอุ้มธัมมชโย โดยตะแบงอ้างโกงแล้วคืนไม่ผิด ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะดำเนินการอย่างไรกับ มส.และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ยื่นเรื่องถึงมส.และพศ.ให้ทำตามพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ

 

ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปฯ แถลงก่อนหน้านี้ว่าหาก มส.ยังเพิกเฉยด้วยการอุ้ม ธัมมชโย ก็จะฟ้องดำเนินคดีอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่

 

สำหรับ สมเด็จช่วง ก็กำลังเผชิญวิบากกรรมไม่น้อยไปกว่า ธัมมชโย ผู้เป็นลูกศิษย์ เพราะดีเอสไอเตรียมแถลงผลการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณหรูที่สะสมอยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ซึ่งพบการทำผิดกฎหมายหลายประการทั้งการหลบเลี่ยงภาษีและทำเอกสารจดประกอบรถเท็จ

 

แต่ที่สำคัญรถเบนซ์คันดังกล่าวมีข่าวลือสะพัดว่ามีสมเด็จช่วงเป็นเจ้าของซึ่งหากเป็นความจริงงานนี้อาจถือเป็นกฎแห่งกรรมทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ขณะที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย ต้องการให้มีการสังคายนาปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอำนาจบทบาทและโครงสร้างมส.ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าซ่อนไว้ด้วยเรื่องผลประโยชน์ในคราบผ้าเหลือง รวมทั้งรื้อ พ.ร.บ.สงฆ์ปัจจุบัน

ที่ถูกแก้ไขในยุคระบอบแม้วเรืองอำนาจ โดยเฉพาะประเด็นการลิดรอนพระราชอำนาจในการตั้งสมเด็จพระสังฆราช และถ่ายโอนอำนาจมาให้มส.ที่ถูกมองว่าเป็นร่างทรงของลัทธิจานบินอันเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับระบอบแม้ว ที่ต่างมีเป้าหมายหวังผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ทีมข่าวการเมือง

พ่อครูว่า...อ่านจนเมื่อย แต่ไม่หยุดเพราะว่าเรื่องไม่เสร็จ แล้วอาตมาก็ยังไม่ตาย เราเป็นนานาสังวาสกับกลุ่มพระธัมมชโย ที่จริงไม่ควรเรียกเป็นพระหรอก แต่เอาเถอะเรียกไปไม่เป็นไร เพราะอาตมาไม่ได้เป็นพระ อาตมาเป็นสมณะ นานาสังวาสอยู่แล้ว ขอยืนยันว่าเดี๋ยวนี้เป็นพระมหาศาลกันไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีพระพุทธอิสระที่ท่านทำได้ และมีอีกหลายรูปที่ไม่กลัวแล้วก็กล้าว่า อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่เชียร์พระพุทธอิสระ ท่านเอาภาระก็อนุโมทนาสาธุ มีใครจะร่วมช่วยกันก็เชิญเถิด ท่านทำอธิกรณ์ได้ตามพระธรรมวินัย

ส่วนอาตมาประกาศแยกตัวจากมหาเถรฯแล้ว ใครก็ตามที่พูดว่า มหาเถรฯอัปเปหิชาวอโศกออกมานั้น ไม่ใช่

โดยสัจจะแล้ว อาตมาอัปเปหิมหาเถรสมาคม เราประกาศขอลาออกจากมหาเถรสมาคมตั้งแต่ 6 ส.ค. 18 สำเร็จเป็นนานาสังวาสตั้งแต่ 7 ส.ค. 18 ที่วัดหนองกระทุ่ม มีพระเจ้าคณะอำเภอพร้อมพระ 180 รูป เดี๋ยวนี้พระเจ้าคณะอำเภอท่านก็ยังอยู่เลย เรายื่นไปถึงเจ้าคณะจังหวัด แล้วส่งเรื่องถึงมหาเถรสมาคม แล้วมส.ก็รับรองแล้วว่าเราไม่ได้อยู่ในการปกครอง มีรายลักษณ์อักษรที่มส.เขียนถึงผอ.การรถไฟ ว่าสงฆ์อโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองแล้ว

แต่อยู่วันร้ายคืนร้ายมส. ก็ดึงเราไปอยู่ในการปกครองอีกแล้วอธิกรณ์ แล้วเอาทั้งธรรมยุติและมหานิยายซึ่งเป็นสองนิยายรวมกันเล่นงานอาตมา ไปรื้อคดีเก่ามาอีกก็ผิดวินัยอีก ผิดหลายอย่างไม่ได้รื้อฟื้นแต่ทบทวน มส.ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย

ผู้ใดกล่าวว่า มหาเถรสมาคมอัปเปหิอาตมาหรือชาวอโศกออกจากมหาเถรสมาคมนั้นไม่ถูก

ต้องกล่าวว่า ชาวอโศกหรือโพธิรักษ์ขอนานาสังวาสกับมหาเถรสมาคม การกล่าวผิดเป็นการกล่าวชั่วกล่าวเป็นบาปนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย

เราปฏิบัติมา ได้บรรลุเนื้อหาธรรมะ ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง อาตมาไม่ได้ผิดไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ แต่โดนกระทืบ หรือโดนสับจนแหลก แต่อาตมาก็ถือว่าอยู่ยงคงกระพันเพราะ ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง อาตมายิ่งซาบซึ้งอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า จึงตั้งใจรักษาขันธ์เพื่อทำงานสืบทอดธรรมะที่อาตมามั่นใจว่าถูกต้องนี้ต่อไป เพื่อให้สิ่งที่ไม่ใช่สัทธรรมของพระพุทธเจ้าให้ปราศนาการให้จางคลายให้หายให้หมดไป ไม่เก่งขนาดให้หมดไป แต่ให้จางไปไม่มีอำนาจในประเทศไทยให้ได้

ผู้ที่มีปัญญา ปรารถนาดี ก็ช่วยกันด้วย ร่วมมือกันเถิด พยายาม ตอนนี้อาตมาว่าเหตุการณ์สุกงอม เหมือนกล้วยสองหวีนี้ นี่เป็นนิมิตหมายนะ เมื่อถึงขีดจะลงตัว อาตมาใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องเช็คว่าเป็นสิ่งปรากฏจริง มี phenomena มีหลายเหตุการณ์ยืนยันได้ สำหรับอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7+ ไม่ใช่ 7- ต่างกันอย่างไรระดับ 7- จะทำอะไรสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ระดับ 7+ คือทำแล้วสำเร็จ ยิ่งไม่มีไม่สำเร็จเลยวิ่งบวกชัด แม้อาตมาถูกพิพากษาว่าแพ้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ผู้มาคุมประพฤติก็มาเห็นดีแล้วประพฤติตามอีก อยู่ได้เพราะธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม

คราวนี้ก็เหลือแต่ว่าการร่วมมือระหว่างภาคฆราวาสกับสัจธรรม ถ้าประเทศชาติไม่อาศัยธรรมะ เป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่ประสีประสากับธรรมะ อวดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ขึ้นกับสัจธรรม ไม่ยกให้ธรรมะเป็นใหญ่ โดยสัจจะธรรมะต้องเป็นใหญ่กว่าสามัญ ในมนุษย์ที่เป็นเวไนยสัตว์ ก็ต้องให้สิ่งถูกต้องอยู่เหนืออสัจธรรม

เมืองไทยมีคุณค่ามีสิ่งประเสริฐอยู่ ขอยืนยันว่ามีของจริงเกิดจริง ไม่ใช่แค่วิมาน แม้ที่สุดอาตมาพาออกไปทำงานสังคม ไปใช้ธรรมาวุธขั้นสงบสยบความรุนแรง อาตมาพาทำ ทำแล้วคนก็ไม่เชื่อ หาว่าบังเอิญอีก แต่ทุกอย่างต้องประกอบจากเหตุปัจจัย มีคนมาช่วย อาตมาไม่เคยไปจ้างหรือขอร้องคนมาช่วยด้วย เขามาช่วยด้วยปัญญาเต็มใจของเขา เราไม่ได้ไปจ้างเขาช่วยจริง ไม่ได้ใช้อามิส

ตอนนี้สรุป ประเทศไทยขณะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองในโลกกำลังเข้าขีดการรวมตัว ตอนนี้ อาเซี่ยนรวมเป็น AEC โลกเปิดกว้างต้องมีแก่นชาติ และแก่นชาตินั้นคือแก่นใจ เป็นแก่นธรรม

ถ้าชาติไม่มีแก่น แก่นของชาติคือแก่นใจกับแก่นธรรม

                             

             โลกที่เปิดกว้าง แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย
             *********************************************************
                     (1) เอ.อี.ซี.เปิดแล้ว                 เป็นไป    
                    จักเผล็ดผลอย่างไร                   เกิดบ้าง
                   วาดหวังสุดสวยใส                     เลอเลิศ
                   โดยเริ่มหัวข้ออ้าง                      ยกขึ้นชูประเด็น


                     (2) เป็นคำความเรียกโก้          ประชาคม
                   เศรษฐกิจอาเซี่ยนรม                 เยศรื้น
                   จักสร้างเศรษฐกิจสม                 ใจวาด หวังฤา
                   เมื่อโลกยังครึกครื้น                   อยู่ด้วยโลกีย์


                     (3) เศรษฐกิจมีแบบให้            ศึกษา
                   แบบหนึ่งโลกุตรา                      ใหม่แท้
                   ซึ่งต่างจากโลกิยา                     โลกเก่า
                   หากไม่เปลี่ยนแบบแล้                เก่าซ้ำบ่สม


                     (4) รมเยศคงล่มะย้ำ                เยี่ยงเดิม(ล่มะย้ำ=ล่มย้ำ..ออกเสียงล้อคำรมะเยศ)                            เศรษฐกิจอำนาจเหิม                 มหะหล้า
                   โลกาธิปไตยเสริม                      ความใหญ่
                    เซลฟิชก็เก่งกล้า                       ยึดข้า..อธิปไตย
(เซลฟิช=selfish=เห็นแก่ตัว)


                     (5) แก่นใจคือแก่นแท้             ชาติตน
                   เป็นแก่นแห่งใจคน                    ทุกผู้
                   หากสร้างแก่นใจผล                  แก่นชาติ เลยแล
                   อำนาจจึงจักกู้                           โลกไว้ดังหวัง


                     (6) หากใจยังไป่แท้                แก่นจริง
                   แก่นชาติใดก็อิง                        เก่าแล้ว                
                   อาเซี่ยนก็คงชิง                         กันใหญ่
                   เศรษฐกิจจึงบ่แคล้ว          วิบัติซ้ำคงเดิม       

         
                     (7) ถ้าเสริมสร้างแก่นให้                  ภายใน
                   ตรงแก่นคือมุ่งใจ                       วิสุทธิ์ได้
                   บรรลุอธิปไตย                           จนครบ สามเฮย
                   โลก,อัตตา,ธรรม ไซร้                อำนาจนี้แก่นชัย


                     (8) ไทยพาอาเซี่ยนให้            ลุผล
                   เศรษฐกิจแบบคนจน                  วิเศษฟ้า                        

โลกมหัศจรรย์สน-                     ธาดั่ง หวังเลย *(สนธา=คำมั่นสัญญา,ปรองดอง)
          อาเซี่ยนเรืองรุ่งหล้า                  แน่แท้จริงจริง


                      (9) หยุดอิงอำนาจค้า             โลกีย์ ทีเทอญ
                   กถาวัตถุธรรมมี                         สิบข้อ
                   อัปปิจฉะ,สันตุฏฐี,
(มักน้อย,พอเพียง)     ปวิเวก,อสังสัคค์, (สงบ,ไม่สร้างสวรรค์)
                   วิริยารัมภะ(เพียรอยู่เสมอ)ก้อ               ครบห้ากถาธรรม

 
                      (10) สำหรับผู้ใฝ่รู้                 ศึกษา
                   ผลทวิ-ไตรสิกขา                       อีกห้า
                   ศีล,สมาธิ,ปัญญา,                      วิมุติ,แจ้งวิมุตติ
(วิมุตติญาณทัสสนะ)
                   ปฏิบัติให้กาจกล้า                      จักได้ดังหวัง


                      (11) สมดังพระวจนะผู้           อยู่เศียร      
                   เศรษฐกิจพอเพียงเพียร             สำเร็จได้
                   ขาดทุนสู่ทางเธียร                     ผลยิ่ง กำไรแฮ
                   ระบอบแบบคนจนไซร้               ทิฏฐิต้องสัมมา


                      (12) ศึกษาลำดับให้               สำคัญ
                   ฝึกมักน้อยกำหนดกัน                 ต่างผู้
                   เหมาะสำหรับใครสรร               กำหนดแก่ ตนแล
                   สันโดษ-ใจพอรู้                         อ่านด้วยอาการกาย


                      (13) อุบายพาสงบได้             ตามมา
                   ใช่สงบ
(ปวิเวก)ด้วยวิชา                  สะกดไว้
                   ยิ่งสัคคะอสวรรคา                     อุตตริ ไปเลย
                   ไม่ทุกข์ไม่สุขไซร้                     สงบฟ้าเกินสวรรค์


                      (14) สุดขยันสรรค่าสร้าง       คุณวิเศษ
                   วิริยารัมภะเหตุ                          วิศิษฏ์แท้
                   เศรษฐกิจจึ่งเกินเกรด
(grade)          ชาวโลก   
                   เป็นโลกเหนือโลก
(โลกุตระ)แล้         แต่ล้วนเป็นจริง


                      (15) พิงธรรมพิเศษไซร้         โลกุตระ
                   โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น
                   อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย   
                   ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร                

                                                         สไมย์ จำปาแพง  

4 ม.ค. 2559

 

[นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 307 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2559]
 

สมณะเดินดินว่า...ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้เหมือนมหาสมุทรที่จะพัดซากศพขึ้นฝั่ง

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:10:31 )

590215

รายละเอียด

590215_พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีปล่อยวางอย่างชาวพุทธ

พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 เราก็มาตั้งใจเรียนธรรมะกันฟังธรรมะกันตามประสาคนที่รู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรไม่เป็นสาระ ตามเวลาโอกาส เมื่อมีสิ่งที่เราสามารถเอาได้รับได้ ผู้แสวงหาที่มีปัญญาก็ย่อมได้สิ่งที่มันควรได้ ก็ย้ำตามที่เห็นจริงว่าชีวิตนี้ ไม่มีอะไรดีเท่ากับสิ่งที่เป็นโลกุตระธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบแล้วเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้วในความเป็นมนุษยชาติจะเกิดมาเป็นคน ถ้าไม่ได้พบธรรมะ มันก็หลงใหลอยู่กับโลก

เริ่มต้นเป็นอเวไนยสัตว์ได้รูปร่างมาเป็นคน แต่ว่าภูมิปัญญาเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ก็หลงงมงายอยู่กับกินสูบดื่มเสพไปตามเรื่องตามราว มันก็มีสุขของมันก็หาสุขกันไป ยิ่งคนที่เป็นชาวอเวไนยสัตว์ หลงไปตามโลกที่เขาหลอกว่าเป็นสุขอันนี้น่าได้น่ามีน่าเป็นนะ แล้วก็มีอุปทานเชื่อตามเขาเรียกว่า กิเลส กิละ แปลว่าดั่งได้ยินมา ได้ยินว่าอันนั้น เขาว่ามา ได้ยินมาได้เห็นมา ได้ประสพมา มันน่ามีน่าได้น่าเป็น จิตก็ไปยึดไปติด ก็ต้องพยายามแสวงหาดิ้นรนเอามาให้ได้

พอได้ตามที่ตนยึดติดก็เป็นดาวดึงส์ เป็นอุปาทานจิต ทุกอย่าง แม้สัตว์เดรัจฉานก็ยึดเช่นนี้แต่มันน้อย เพราะคนสร้างหลอกสัตว์เดรัจฉานน้อย แต่พอเกิดมาเป็นคนมันสร้างเก่ง อาตมาก็เคยหลงมา แล้วมาเห็นว่าตนอวิชชาโง่ หลงจริงมันมีอุปาทานจิตจริงๆเลย มันอร่อยสนุกสุดยอดจริงๆ เกิดรสนั้นในเราจริง จิตมันบ้าๆบอๆ

ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะรู้ว่าเราโง่จริงๆ คนที่เขาติดอยู่จะไปบอกว่ามันไม่ใช่เขาก็จะบอกว่ามันมีจริง ถ้ามาปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วหลุดพ้นแล้วก็จะพบว่ามันไม่จริงๆ ถ้าพ้นอุปาทานที่ติดยึดได้ ก็จะไม่เชื่อใคร แต่จะเชื่อในสิ่งที่เกิดในตน ก็ทำมาตั้งแต่ของหยาบ ที่กระทบ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทรัพย์ศฤงคาร นอกกายสัมผัสแล้วเราก็ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น อาการกิเลสที่เคยมีอย่างเขาไม่มี หมดกามภพเหลือแต่รูปภพอรูปภพจึงมีความจำได้ มีระริกระรี้อยู่ ยังไม่สิ้นซาก เราหมดความอยากได้แต่ก็ยังมีความละเอียดซึ่งเป็นความยาก คนมักจะประมาทเพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใครแล้ว อยู่ในภพชาติของเรา คิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เสพได้เมื่อนั้นไม่ไปแตะต้องใครด้วย ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับข้างนอก อยู่แต่ข้างในจิตเราเอง เป็นสัญญายกขึ้นมาเสพ บ้าบ้าบอๆอยู่คนเดียว มันก็ยิ่งประมาทว่าเราไม่เบียดเบียนใคร ติดอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร ก็โง่ต่อได้อย่างนั้น

รู้ว่ามันไม่จริงเป็นของหลอกเราก็ยังโง่ต่อ มันโง่ได้โง่ดี โง่ไม่เสร็จสักที จะโง่ไปอีกกี่แสนปีแสง โง่ไม่เสร็จสักที  รู้ไหมว่าปีแสงนั้นไกลเท่าไหร่นานเท่าไหร่ หมดขั้นรูปแล้วก็ยังมีอรูป พริ้วพรายในอีก เสพเสียแคลอรี่จ่ายแคลอรี่นะ สปาร์คที โกรธทีก็จ่ายที สปาร์คกาม สมใจสมโลภก็จ่ายทั้งนั้น ก็เสียพลังงานไป แต่ก็ยังไม่ยอมจบ กว่าจะหมดกว่าจะล้างกว่าจะเกลี้ยงก็คุณเอ๋ย

คนที่บรรลุแล้วเนี่ย ก่อนที่เราจะมาอนุโลม ยิ้มแย้มกับเขา อนุโลมกับเขา เขาว่ามันสุขเราก็แหะๆกับเขา สัจจานุโลมิกญาณกับเขา ต้องสร้างสมพลังงานที่ควบแน่นตกผลึกมากพอ เป็นแก่น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เราจึงอนุโลมได้แข็งแรง มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์เลย คุณต้องพากเพียรทำสะสมทำ

วันนี้จะขยายความอัมพัฏฐสูตร ถึงความเสื่อม 4 ประการ ก่อนจะมาถึงบทเรียน ก็มาตอบปัญหาที่ส่งมาก่อน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน บริหารอย่างมีศิลปะ ต้องใช้สัปปุริสธรรม7

_คำถามของคุณหายโง่….ในช่วงต้นของการแสดงธรรมที่พ่อครูได้แสดงถึงพล.อ.ประยุทธ์ในการบริหารประเทศว่า เป็นองค์รวมมี composition ที่ลงตัว ขอถามกรุณาอธิบาย composition ในศิลปะที่เข้ากับการบริหารของพล.อ.ประยุทธ์

พ่อครูว่า...คอมโพซิชั่นก็หมายถึงองค์รวมหรือองค์ประกอบของหลายหลายอย่างทุกทุกอย่างที่เราเห็นเหตุและปัจจัย ทั้งหมดเลย หลักของอนาไลซิส system analysis มี input process output outcome แล้วก็จะมี impact แล้วเวียนกลับมาเป็น input process ออกเป็น output outcome ออกเป็นอิมแพคเป็นผลรวมอีก กลับวนมาเป็น input ใหม่ วนอยู่อย่างนี้แหละ

หลักของสิ่งที่เป็นการหมุนรอบเชิงซ้อน (คัมภีราวภาโส หรือ ปฏินิสสัคคะ) วนเป็นก้อนหอยลงล่างหรือขึ้นบน ถ้าวนต่ำลงก็เป็นความอวิชชา แต่ถ้าวนแล้วมีสภาพเจริญขึ้น จะวนซ้ายมาขวา ขวามาซ้ายเป็นบันไดวนขึ้นสูงสด นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ถ้าทำให้ได้แข็งแรงจะวนขึ้นสูงตามลำดับ ถ้าวนได้เก่ง ก็จะสูงขึ้น ถ้าวนไม่ได้เก่งก็จะซ้อนกันแค่ตื้นๆ วนหลายรอบมากกว่าจะขึ้น

ความวนเวียนของชีวะนั้น ทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบในโลกที่ไปสัมผัส ก็จะต้องเก็บเหตุปัจจัยมา จะเอามาหมดไม่ไหว ต้องเอาสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลให้ตนเกิดยึดถือ ทำให้ตนเกิดภาวะพลังงานมีดูดกับผลัก สองทิศใหญ่นี้ เป็นพลังงานไฟฟ้า ก็ต้องรู้ของตนเองว่าจะเอาไว้แค่ไหน อย่างอื่นที่เราไม่ไหวก็ช่างมัน จับตัวนี้ก่อน รวมมาแล้วปรุงแต่งเป็นตัวเรา เกิดพลังงานกดดันเรา ให้เราเกิดราคะหรือโทสะ เมื่อเรากำหนดจะมาแล้วเราก็ทำ เมื่อมันกระทบเราเกิดราคะหรือโทสะแล้วก็จับอาการนั้นให้ได้ แล้วเรียนรู้ลดละ ทั้งกดข่ม ช่วยบ้าง มันเป็นพลังงานนี้แล้วพิจารณาด้วยปัญญาว่ามันป่วยการเข้าไปยึดเอง มันไม่ใช่ของเที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์คืออะไรเราก็ต้องเข้าใจ ก็ต้องพยายามพากเพียร ในสิ่งที่มีอาการความทุกข์ มันไม่สบาย ไม่ชอบใจ เป็นสิ่งที่ไม่น่ากระทบไม่น่าสัมผัส ไม่น่าเกิดอาการในจิต เกิด suffer

เราเป็นผู้มีทุกข์คือ sufferer มันเกิดขณะใดก็เรียกว่า suffering มันสะสมทุกข์มากเข้าก็เรียกว่า sufferance เราก็ต้องเรียนรู้กำจัดจนกว่าจะมี sufficience อดได้ทนได้ เกิดพลังงานเก่งอดทน จนสามารถทนได้จำนวนมากขึ้นๆ จนเต็ม จนพอเพียง เพียงพอ ก็เกิด sufficiency

ในภาคปฏิบัติที่ทนได้เต็มที่เลย ภาษาอังกฤษคือ suffice มันทนได้เต็มที่เป็นลักษณะการสะกดจิต มันทนได้ แต่ไม่ได้ล้างกิเลส มันทนได้ก็เลยไม่ทุกข์ ก็ทนเฉยๆ เป็นแค่เคหสิตอุเบกขา ด้วยวิธีการพวกนี้ก็ทำได้

ถ้าเราทนได้ก็เป็นประโยชน์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่แท้จริง ถ้าทนไม่ไหวก็ข่มไว้ก่อน แต่วิธีอีกวิธีหนึ่งก็ไม่ข่ม แต่เรารู้จักวิธีไม่รับมันมาเต็มๆ มันกระทบแต่เราก็ปล่อยทิ้งไปบ้างบางส่วน ไม่รับมาเต็มๆ ถ้าคุณรู้วิธีทำเช่นนี้จะรู้จักปล่อยวางส่วนหนึ่ง เราก็รู้วิธีวางเช่นนี้ แต่ก็เป็นวิธีสมถะ ไม่ใช่ปัญญา เราต้องใช้ปัญญา ว่าวางแล้วสบาย วางแล้วเบาขึ้นนะ ไม่ต้องสะกดนะ วางมันเลย พอวางได้ในอำนาจที่มันทุกข์มันหนักก็วางได้หมดเลยก็ว่างก็เบา ก็เฉยแต่ไม่ต้องกดข่ม 

ก็พบกว่าเอ๊ วางมันดีกว่า ไม่ต้องกดข่มอะไรมากมาย จะรู้ว่าวางดีกว่า เราก็จะรู้ว่าเรายึดไว้ทำไม รักษาไว้เป็นตระกูลเป็นโคตรเป็นพ่อแม่คุณหรือยังไง อาการพวกนั้น จะเก็บไว้เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่เป็นย่าเป็นตาเป็นยายคุณแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะวาง

ก็ถามตัวเองเช่นนั้น ถ้าว่างถ้าวางปล่อยถ้าไม่มีมันหมดมันเฉยมันไม่หนักไม่เจ็บ ก็วนไปหาความจริงอันนั้น ปัญญารู้มีธาตุรู้ที่จะเข้าใจได้เรื่อยๆ นี่แหละคือการพิจารณาความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกของเราเอง โดยเดียวโดยของตัวเองแท้ๆ เราก็พิจารณาจากความรู้สึกแล้วก็เข้าใจตัวเอง แล้วก็ทำดูว่ามันจริง คุณจะเจอความจริงอันนี้ ไม่เชื่อไม่ต้องลอง

มีสามนัยยะก็มีสะกด ปล่อยวาง และใช้ปัญญา อย่างที่ติชนัทฮันห์หรือท่านพุทธทาสก็ทำ เราก็จะปล่อยวาง ทั้งที่เราวางได้เราก็รู้ก็สัมผัสอยู่กับมัน ความปล่อยวางจะเกิดเนียนๆๆๆ ก็ต้องพิจารณาเสมอ แต่อย่าไปเคร่งพิจารณาจนเกิดอาการเกร็ง อาตมาต้องมาแก้หลายคน จน spasm อย่าไปมุ่นถึงขนาดนั้น เราพิจารณาเหตุ จะต้องเข้าใจให้ได้มันเลยเกร็งแข็ง ก็เจอมากับผู้ปฏิบัติที่กลายเป็นเช่นนี้

ปัญญาจะเกิดเห็นความจริงเมื่อมันเกิดอาการลิงค นิมิต อุเทส มันเป็นลักษณะการเคลื่อนไหว เคลื่อนกับมันนิ่ง นิ่งคือหมด นิ่งก็คือสะกดลงไป กับมันนิ่งเพราะมันเฉยๆ มันก็ไม่บวกไม่ลบ ก็จะสัมผัสแล้วทำได้อย่างนั้นก็จะรู้

Composition ของพระพุทธเจ้าคือสัปปุริสธรรม 7

1. มีปุคคลปโรปรัญญุตา นี่เป็นสิ่งสำคัญ ตัวทรัพย์สินวัตถุก็คล้ายกัน แต่คนนี่แหละที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กได้ ได้ก็มาสู่

2. ปริสัญญุตา ก็คือกลุ่มคน เอาเท่าที่ตนรับได้ อย่าไปเอามาหมด คนไหนไม่เข้ามาเหมาะก็เอาไว้ก่อน โยนทิ้งก่อน เอาคนที่พอรับได้ก่อน ก็อย่างนี้ ปริสัญญุตาก็คือมวล ปุคคลปโรปรัญญุตาก็คือแต่ละคน กระทบแล้วเกิดเรื่อง รวมเป็นหมู่ก็ปริสัญญุตา

3. กาลัญญุตา เมื่อใด ขณะใด ตอนเช้า กลางวัน เย็น กลางคืนหรือโอกาสไหนๆ ทีนี้ก็คือ

4. อัตตัญญุตา 

5.ธัมมัญญุตา  คือองค์รวมทั้งหมดคือธรรมะ อัตถะคือเป้าหมายที่จะให้ได้ให้เป็น จุดสำคัญ interest point ของมัน คือองค์ประกอบอื่นๆอีก เป็น composition พระพุทธเจ้าแยกไว้ เอามา solve ออกมาว่า คนนี้ก็ยึดเช่นนี้ เอามารวมกันแล้ว คำนวณแล้วตามคณิตศาสตร์ก็มี ครม.หรน. รวมแล้วก็เอาขนาดประมาณหนึ่ง เมื่อ solve ออกมาแล้วก็ต้องอนุโลมขนาดไหน เราก็ทำร่วมด้วยในขนาดนั้นที่เรา solve เป็นคำตอบ เราได้บ้าง เขาได้บ้าง ก็แบ่งกันจัดสรร ก็ต้องฝึกฝนเรียนรู้ ทำได้ก็เป็นผล

7. มัตตัญญุตา

ยกตัวอย่างนักจิตรกรรม สี ที่เป็นแม่สี คุณจะเอาสีแดงผสมเหลืองก็เป็นสีแสด จะแสดขนาดไหนก็แล้วแต่ แก่อ่อนอย่างไร ก็เติมสีตามสัดส่วนที่เรา

มัตตัญญุตา ถ้าผสมสีน้ำเงินก็เป็นสีน้ำตาลสีอะไรอีก น้ำตาลออกเชิงเขียวหรือแดงอีก ก็จะรู้สัดส่วน นี่จากต้นสีสามสีแล้วแบ่งขนาด เหตุปัจจัยต่างๆ มีพลังงานส่วนตัวของมัน จะไปทางไหน ดีกรีทางไหนของแต่ละอย่างก็จัดสรร คนนี้ไปทาง sadism คนนี้ไปทาง romanticism จัดการให้อยู่ร่วมกัน

พวกคุณนี่หลายคนก็ไม่ลงกัน ก็จัดได้ประมาณหนึ่ง ถึงบอกว่า ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ(ปโหติ) มันไม่กลางไปได้ทีเดียวหรอก เพราะว่ามันต่างกัน อยู่ที่ความเก่งของแต่ละคน จิตรกรผสมสีก็ต้องรู้ว่าจะผสมอย่างไรได้ตามต้องการ ถ้าผสมแล้วรวมกันแล้วไม่ได้ขนาดพอเหมาะ ดีไม่ดีซัดกันไม่หยุด เขาเรียกว่า สีมันเน่า ในสังคมก็เรียกว่าซัดกันเลย ไม่ปรองดอง ไม่กลมกลืน ไม่อยู่ร่วมกันได้ ก็ทะเลาะกันตลอดคือคุณไม่มีฝีมือ ไม่สามารถเป็น composer ที่ทำ composition นี้ให้เกิด harmony ได้ ถ้าเก่งก็จัดให้อยู่รวมกันได้โดยมีอันใดจะให้เด่นก็ทำได้ ทำ highlight ได้ นี่คือมือหนึ่งในการจัดองค์ประกอบศิลป์ แม้แต่ศิลปกรรม นาฏกรรม ดราม่า ก็ใช้องค์ประกอบเช่นนี้ทั้งนั้น

อาตมาก็เอามาใช้ให้พวกเรา harmony ได้ จุดใดจะให้เกิด highlight ได้ ก็ได้ อาตมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จัดองค์ประกอบสังคมได้ขนาดนี้ โดยใช้นัจจะคีตะวาทิตะ ที่แสดงกายวิญญัติ วจีวิญญัติ นัจจะคือกายวิญญัติ ทั้งยักคิ้วหลิ่วตาทางกายภายนอก ส่วนคีตะกับวาทิตะคือสุ้มเสียงสำเนียงภาษา รวมแล้วเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ความเคลื่อนไหวองค์รวมที่เกิด คนจัดองค์ประกอบอันนี้ได้พอเหมาะพอดีตามสัปปุริสธรรม 7 โดยรู้จักสิ่งต่างๆที่ได้ผสมส่วนตามธรรมะให้ได้จุดเป้าหมาย ได้โกล คือ composer ชั้นหนึ่ง ทุกกาละเวลาทุกสัดส่วนทุกบริษัท เป็นนักบริหารชั้นหนึ่ง

ทั้งที่มีศัตรูกันหลายเจ้า จับมันมาทำงานด้วยกัน แม้คนละด้าน แต่เราจัดมาปรองดอง มีการงานองค์ประกอบ ถ้าต่างคนต่างทำก็ตาม แต่เราสามารถเอาผลงานของสองคนนี้มาทำให้เกิดคุณค่าได้ คือการควบคุมเกมการบริหารได้ นี่คือคำอธิบายคร่าวๆ ตามภูมิ

อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นศิลปิน เรียนจิตรกรรมมาก็ฝึกต้องส่งงานอาจารย์ทำงานส่วนตัวทำแล้วก็ให้คนอื่นไป ทิ้งไปบ้าง จนไม่มีงานเก็บไว้สักชิ้น ปรากฏว่าไปเก็บตกได้ในขยะ หน้าปกหนังสือที่เอาภาพอาตมาไปทำ อาตมาร่วมทำด้วยหนังสือเล่มนั้น คือ คู่มือแม่บ้าน อาตมาไม่ได้เป็นบก. บก.คือคุณพิศวาส นาควานิช

เป็นภาพที่เกือบจะเสียจะสีเน่าแล้ว ก็ตั้งชื่อภาพว่า ฤาจะสิ้นโลกแล้วหรือ? ก็หยิบมาเป็นภาพปกหนังสือ ต้นข้าวเขาค้นเจอ ก็เอามาให้อาตมา ก็พบว่ามีผลงานจิตรกรรมอยู่ชิ้นเดียว มันพิมพ์ offset ก็ยังเนียนดีอยู่ ถ้าเป็นภาพตะกั่วคงลายเละ ก็เจอไม้ร่มก็บอกว่าเอาไปจัดการถ้าจะรักษา ก็มีต้นฉบับตามเทคนิคสมัยใหม่

 

Sms 12 ก.พ.59

0815371xxx กระผมเชื่อที่พ่อครูพาทำของจริงแต่ฝ่ายเถระสมาคมเป็นของปลอมไปแล้วครับผม

พ่อครูว่า...ตอนนี้พระเมธีธรรมาจารย์ก็นำพระประท้วงที่พุทธมณฑล ว่าจะอยู่ถึงมาฆบูชาเลย แล้วยื่นข้อเสนอ 5 ข้อกับรัฐบาล เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ซึ่งอาตมาจะไม่ทำแบบนั้น อาตมาถ้าจะทำเสนอก็เพียงยื่นไป แล้วท่านจะทำหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน มันคนละลักษณะที่เราทำ

เราแยกกันเป็นนานาสังวาส จะวิจารณ์กันก็วิจารณ์ จะตำหนิก็ตำหนิ ตอนนี้ก็ยังไม่ทำอะไรมาก เรามั่นใจว่าของเราสัมมาทิฏฐิ เราก็อาศัยอันนี้ เพราะโลกนี้มันต้องมีสองเป็นธรรมชาติ เราทำตามพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีปัญหา เขามีปัญหาก็มีไป เราก็ไม่ไปสร้างปัญหา ถึงเวลาเราจะวิจารณ์บ้าง เพราะเราร่วมสังคมพุทธศาสนากัน ทำเพื่อให้รู้ให้เข้าใจ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ไปรบรากัน แสดงจริงใจเท่านั้น

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูนำธรรมพระศาสดาสอนธรรมอันเป็นอาริยะ!อานิสงส์ 10ของ ศีล!ชมพูทวีปที่แท้จริงอันมี สุรภาโวสติมันโตอิธพรหมจริยาวาโส สาธุ!

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิหลับตาเห็นแค่สัญญาแต่ไม่ครบปัญญา

0893867xxx สมาธิหลับตาปิดกั้นทวาร6รับรู้แต่ลมหายใจเข้าออก!สมาธิลืมตาเปิดรับทวาร 6 เรียนรู้ผัสสะทุกทางเกิดอินทรย์ 5จบที่วิมุติคืนสู่นิพพาน!skk 

พ่อครูว่า...คำอธิบายนี้ถูกต้องใช้ได้ แต่ถ้าหลับตาปฏิบัติแล้วทิ้งนอกหมดแม้แต่ลมหายใจก็ทิ้งอย่างนี้ก็จมไปในภพ ถ้าจิตแข็งก็ปรุงได้ไม่ง่ายต้องประคองรักษาจิต ไม่ให้เสียพลังงาน พลังที่จะเอามาใช้นี้เบากว่าถ้ามีข้างนอกจะมีพลังงานข้างนอกด้วย เหมือนโม่เล่หรือรอกนี่จะเป็นแบบนี้ สภาพแรงกลก็เป็นเช่นเดียวกันจะเกิดผล

พระพุทธเจ้าจึงให้เอาผลที่เกิดได้ดีที่สุดสูงที่สุด ท่านก็อย่าให้ทิ้งมหาภูตรูป พลังงานนี้จะดีที่สุด แล้วจะสร้างเตวิชโชภายในได้ แม้เราจะฟังด้วยหูแต่ไม่โน้มน้อมไปด้วยเราก็ดูที่จิตเราได้ การฝึกวิธีพวกนี้สามารถทำได้ตามที่เราต้องการ จะปิดเท่านั้นเท่านี้ จนที่สุดดับนิโรธภายในก็ทำได้ นี่คือสมาธิหลับตา เป็นการทำเจโตสมถะหรือเจโตสมาธิ เชิงไม่มีวิปัสสนาญาณ ไม่เห็นครบข้างนอกที่เป็นปัญญา มีแต่สัญญาภายใน อัญญาของตน ไม่เป็นอัญญาที่เป็น ป คือปัญญา มีองค์ประกอบข้างนอก นี่เป็นนัยละเอียด ในภาษาบาลี

สมาธิหลับตาเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งได้เยอะ แต่ก็จะแคบรับรู้น้อยลงๆๆ สุดท้ายเราจะเป็นประโยชน์กับข้างนอกได้น้อยจนไม่ได้เลย ศาสนาพุทธเป็นประโยชน์ต่อภายนอกได้มากที่สุด แต่ก็ต้องมีความแข็งแรงในจิต ถ้ามีพลังสองทั้งนอกและในได้สัดส่วนช่วยกันทั้งคู่จะมีพลังแรงเร็ว เรียกว่ามีอุปการะมาก

พวกเรานี่กระแสสังคมที่ผิดพลาดทางพุทธไปหลงออกป่ามาก เคารพพระป่า ไม่เคารพพระบ้าน แต่พระบ้านก็ไม่เอาไหน ไม่มีวิมุติ พอทำงานกับสังคมจะมีอัตตา อัตตาซุกซ่อน ก็เลยยิ่งคนรู้ยาก หลอกคนได้มาก มันกลายเป็นอย่างนั้นอย่างเขาทำเขาเป็นกัน ก็เลยไม่ได้อะไร และเสื่อมด้วย

สรุปแล้วโดยปัญญาอาตมาภูมิอาตมาเห็นว่าต้องแก้อันนี้ก่อน ก่อนออกบวช อาตมาลดสภาพสังคมภายนอก นั่งสมาธิ จนจะหนีออกจากสังคมไปอยู่คนเดียว อยู่ที่ป่าวัดอโศการาม ยังบอกอุปัชฌาย์ว่า ผมไม่บวชหรอก ผมขอปลูกกุฏิในป่าแสม แล้วอย่าให้พระไปกวนผมนะ ท่านก็ว่าจะมีที่ไหน คุณอยู่ให้ดีของคุณเถิด ท่านไม่เชื่ออาตมาว่าจะสงบได้ ส่วนมากฆราวาสไปกวนพระ

ก็ไปนั่งสะกดจิตเดินจงกรม บางคืนไม่นอนเลย ก็นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมทั้งคืน แล้วยุงทะเลมาทีเป็นฝูงเลย อาตมาก็สู้ นั่งข้างนอกสมาธิหลับตาให้ยุงตอมแล้วเอาจิตอยู่แต่ภายใน ก็สู้ได้ จนบางทีนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าเราจะเหาะได้ มีแม่บ้านตามมาทำอาหารให้กิน เราก็บำเพ็ญของเราไป บำเพ็ญอย่างฤาษีเต็มรูปเลย ที่ว่าเหาะได้คือนั่งสมาธิแล้วตั้งจิต ว่าเราจะลอยให้ได้ ก็ไม่รู้ ก็นั่งเหาะได้หรือไม่ก็ไม่รู้ ก็ได้ยินเขาบอกว่าเอาอะไรไปเหน็บฝาหรือเพดานไว้ ถ้าออกจากสมาธิแล้วหยิบของในมือก็แสดงว่าเหาะได้อาตมาก็ไม่ได้ทำ แต่ว่ารู้แต่ว่านั่งสมาธิตรงนี้ แต่พอออกจากสมาธิแล้วเราไม่ได้นั่งอยู่ที่เก่า ก็หลายที ก็เลยว่าอะไรว๊า เราตั้งใจจะนั่งให้เหาะได้ ก็ตอบใครไม่ได้ ตอบตัวเองก็ไม่ได้ว่าเหาะได้หรือไม่?

มีอ.จรัลว่าเหาะได้ แต่อาตมาก็ไม่ได้สงสัย ในพระไตรปิฎกก็ว่ามีเหาะได้ อาตมาก็ไม่ติดใจ ก็ไม่ได้จะเหาะได้ไปทำอะไร

มันก็สะกดจิตได้แข็งแรง ตัดภายนอกได้แข็งแรงขึ้น แต่ตอนนี้เรื้อหมดแล้วพลังงานเหล่านี้ไม่เที่ยง มันทำไม่ได้ ลดค่าไปหน่อยหนึ่งก็ไม่ได้ ดูแต่ฤาษีที่เหาะไปแล้วเห็นหญิงสาวแก้ผ้าอาบน้ำ ผ่านในวัง ก็กามไม่หมดมันก็ขึ้น ตกลงมาเลย อายชาวบ้านเขา เหาะอีกก็ไม่ได้ ก้มหน้าเดินกลับกุฎิ

มันเรื้อได้ มันไม่เที่ยง ไม่คงที่ เหมือนตอนเล่นไสยศาสตร์ จะหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันก็ไม่เที่ยง ต้องเก็บสะสมพลังงานเหล่านั้นตลอด เป็นภาระด้วย สรุปแล้วก็ได้ว่าเอ็งเก่งเท่านั้น หาเงินหาทองได้หรือได้หน้าเท่านั้น

มารู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสหมด พลังงานมีเท่าไหร่เอามาทำอย่างนี้ ไม่ได้ทึ่งที่เขาเก่งอย่างนั้นเลย ตอนเล่นไสยศาสตร์ก็ไม่ได้เกิดปัญญาเช่นนี้ ก็ทำได้มีผลอย่างที่เคยเล่า ดีไม่ดีจะไปยั่วให้คนอยากทำบ้าง แต่ถ้าเป็นพลังงานจิตที่เป็นผลประโยชน์เชิงปัญญา หรือใช้บ้างในบางอย่างก็ได้ประโยชน์บ้าง แต่รวมแล้วเป็นพลังงานขับดันแรงก็มีประโยชน์เราจะใช้กำลังแรง

 

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมพ่อครูอ่านพระตปฎ.ให้ญตธ.ไกลอโศกได้ความรู้มากขึ้น!ผู้ใฝ่เรียนรู้จากการฟังอ่าน เขียนฯมิใช่ผู้รอบรู้ฯ จรธ. สื่อฟ้าศิลป์ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปฏิบัติศีล 5 ไปตามลำดับ

จากไลน์คุณนายถามมาครับ

_เรารู้สึก อึดอัด เป็นทุกข์ เวลาที่เราพยายามสู้ กับกิเลส มีวิธีแก้อย่างไรครับ

ตอบ…โดยสรุปคือคุณต้องแบ่งเอา คุณมีทุกข์สารพัดก็แบ่งทำ พระพุทธเจ้าแบ่งให้ทำ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ต้องตัดมีคนเดียว คนเดียวนี่ก็รับศึกให้ได้เถิด นอกนั้นก็อย่าไปปด อย่าไปยุ่งอบายมุข ก็เอากรอบ แค่ศีล 5 ก่อน เริ่มต้นปริตตัง กำหนดขอบเขตส่วนที่เราจะปฏิบัติ

ถ้าได้แล้วก็เพิ่มเป็นศีล 8 จะไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวดอกไม้ของหอม สิ่งพอกทาสิ่งประกอบมากใหญ่ วิภูสนฐานา ก็ค่อยขยับไปตามลำดับ ต้องลองเว้นขาดดู จนกระทั่งอยู่เหนือมันได้ค่อยสัมผัสมัน เหมือนพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน ถ้ายังเปียกน้ำจะทำให้แห้งได้อย่างไร จะจุดติดได้อย่างไร ต้องเอาออกจากน้ำก่อนแล้วทำให้แห้งถึงจุดติด

ต้องทำเป็นขั้นตอนให้พอเหมาะกับเรา ศีล 5 นี่มีทั้งกาย วจี มโน อบายมุขคือมโนกรรม

วจีกรรม เอาแค่อย่าปดก่อน ส่อเสียดเพ้อเจ้อไว้ก่อน ส่วนสามก็อย่าให้มิจฉาในกัมมันตะ 3 ถ้าทำไม่ได้ก็เอาแค่อย่าฆ่าสัตว์ก่อน หรือไม่ทุจริตหยาบๆ ก่อนในเรื่องลักขโมยก่อน แล้วค่อยเอาละเอียดทีหลัง

อย่าฆ่าสัตว์นี่ละโทสะ อย่าไปเอาของคนอื่นเขานี่ลดโลภะ ก็เอาสองอย่างนี้ลดให้ได้ ไม่ใช่ของเราที่เราไม่มีสิทธิ์ กับอย่าไปฆ่าใคร รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็เป็นองค์ประกอบในกามราคะ รวมสุดยอดคือเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชาย สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็เอาเท่านี้ แล้วอ่านอาการจิต ลิงค นิมิต อุเทศ ได้แล้วก็ค่อยทำสูงไปตามลำดับ

ทุกวันนี้ไม่รู้แม้แต่นักบวช มาลาก็ไม่รู้ วัตถุอนามาสก็ไม่รู้ ของพอกของหอมต่างๆ สิ่งทรงไว้ตั้งอยู่ก็ยังกอบโกยเขรอะมาก ต้องเอาออกบ้าง มณฑนะที่เอามาตกแต่งประดิษฐ์ประดอย จนถึงวิภูสนฐานา ตกแต่งมากมาย ฐานะแห่งการประกอบที่ใหญ่โตเขรอะขระ ก็ลดลงบ้าง ก็สูงขึ้นไปกว่าศีล 5

วิสูกทัสสนา แปลว่าข้าศึกแก่กุศลที่อย่าไปรับไปเอามา ก็เลิกมา แต่ทุกวันนี้ศีลก็ไม่รู้ จะขึ้นเป็นสังฆราชก็ยังบอกว่าเกิดมาอายุ 80 กว่าก็ชื่นใจที่ได้เดินบนดอกไม้ ยังหลงใหลแค่มาลา เป็นเรื่องน่าสังเวชใจ อาตมาทำอย่างนานาสังวาส ปฏิกโกสนากันเท่านั้น ต้องว่ากันให้หนักๆจังๆ ขนาดนั้นก็ยังไม่รู้สึก เบาไม่ได้ต้องทำอย่างแรงๆ

 

 สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การสะกดจิต

_จากตุ๊ก เอไอเอ(TUK.AIA) นมัสการคะ จะขออนุญาตฝากคำถามไว้ก่อนค่ะ มีคนที่รู้จักกันเขาไปปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งหนึ่งไปประจำใช้วิธีนั่งสมาธิ เดินจงกลมเหมือนทั่วไป เมื่อไม่นานมานี้เกิดมีอาการคุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ทางบ้านต้องส่ง ร.พ. เท่าที่ทราบเหมือนเครียดเพราะนั่งแล้วไม่ได้สภาวะว่างสุข จึงเครียดมาก ไม่ทราบว่าจะช่วยแนะนำอย่างไรดีคะ

พ่อครูว่า... เรื่องนั่งสมาธิหลับตาจนไปยึดถือ มันคืออุปาทาน ก็อธิบายเขาให้รู้ อุปาทานคือลึกๆในจิตว่ามันเป็นจริงตามยึดไว้ สัญญายนิจจานิ คือยึดติด จะไปยึดเมื่อไหร่อย่างไรก็ตาม ยึดเสร็จแล้วก็ไม่ได้ดั่งที่ยึด ก็ประท้วงอย่างโน้นอย่างนี้ ออกอาการอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เป็นไปตามเรื่องของอาการ จะเรียกว่าคลุ้มคลั่งก็แล้วแต่ อาจารย์ที่ไปสอนให้นั่งหลับตาแล้วบอกว่าอะไรที่ค้างจะปล่อยออกมาหมด คืออุปาทาน บางคนก็ร้องรำ บางคนก็เต้นรำ คือไปจำว่าเป็นสมาธิแล้วจะเป็นเช่นนั้น ที่จริงมันไม่จริงหรอกแต่คุณไปยึดมันก็เลยเป็น พอออกจากอันนั้นก็ไม่เป็นแล้ว

ยกตัวอย่างว่าถ้าเข้าทรงได้เก่งได้ลึก ถ้าเข้าทรงแล้วจะสูบบุหรี่ทีละสิบมวนได้เลย คุณเชื่อลึกๆว่าทำได้ พอเข้าทรงก็ทำได้โดยไม่สำลักเลย สูบพ่นควันได้ ออกมาแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่ตอนเข้าทรงเป็น เป็นอุปาทานคุณเต็มที่เลย หรือถ้าจะเก่ง ทำนายเก่ง กินเหล้าได้เป็นไหๆ เก่งทำได้จริง เป็นความเก่งของคุณทั้งสิ้น อยู่ยงคงกระพันปาดลิ้นได้ เป็นพลังงานจิตที่คุณทำได้ เคยเป็นมาทั้งนั้น แต่ออกมาแล้วไม่ได้นะ

ที่มันงงๆ กันคืออาตมาเข้าทรงแล้วพูดภาษาจีนได้ อาตมาเข้าทรงเห้งเจีย คนก็เอาคนที่พูดภาษาจีนได้มาฟังก็บอกว่าเป็นภาษาจีนแน่ แต่เป็นจีนโบราณ​ เขาก็ไปเอาคนที่รู้ภาษาจีนโบราณ ก็ปรากฏว่าคุยกันรู้เรื่อง ก็แสดงว่าภาษาจีนนี้จริง แต่เห้งเจียนี้มันไม่จริง ทรงสิ่งที่ไม่มีจริงแล้วเอาภาษาจีนมาจากไหน ก็บอกว่าทรงกวนอูสิ ทรงได้ก็ส่งภาษาจีนได้ แสดงว่าอันเก่าอาตมาเคยเป็นคนจีนพูดภาษาจีนได้ ก็ต้องมีอันนั้นมาแล้ว ก็เลยหมดสงสัยหมดงง ว่าเราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ดีไม่ดีจะเคยเกิดมาเป็นเพื่อนกวนอูก็ได้

 

ไม้ร่มถามพ่อครู...สมัยก่อนที่พ่อครูเป็นฆราวาส มีอดีตสมณะเรารูปหนึ่งที่เคยฟังพ่อท่านตั้งแต่เป็นฆราวาส ตอนพ่อท่านพูด พอเขาไปฟังพ่อท่าน พ่อท่านก็บอกว่าวันพรุ่งนี้แหละพ่อท่านจะทำการหายตัวให้ดู ตอนนั้นวัดนรนาถ ไปบรรยาย วันรุ่งขึ้น อดีตสมณะรูปนี้ก็ชวนญาติพี่น้องมาฟังพ่อท่าน มากันหลายคน วันนั้นพ่อท่านก็ไม่ได้หายตัวให้ดู มิตร ชัยบัญชา ตกจากเครื่องบิน ก็เลยพูดเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้ทำให้ดู 

แล้วต่อมาอดีตสมณะนี้ก็ไปถามพ่อท่านว่าทำไมไม่หายตัวให้ดู พ่อท่านก็ไม่ได้พูดอะไร ขณะกลับไปก็เดินสวนกับพ่อท่าน อีกทั้งที่เป็นทางเดินทางเดียวที่เดินสวนไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาสมณะรูปนี้ก็เชื่อเลย มาบวชเลย

พ่อครูว่า...สรุปคือ อาตมาเคยประกาศตัวที่วัดนรนาถว่าจะหายตัว คนก็จะมาดูกันอาตมาก็ไม่ได้แสดงการหายตัว ก็พูดเรื่องมิตร ชัยบัญชา คนก็ข้องใจว่าหายตัวได้ไหม อาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาหายตัวได้ นั่นหนึ่ง

และสองเรื่องสะกดจิตอาตมาก็เรียนมา ก็ไม่กลัวหรอกว่าหายตัวได้หรือไม่เพราะถ้าแสดงว่าอาตมาหายตัว ก็สะกดจิตคนให้เห็นว่าอาตมาหายตัวก็ได้แล้ว ถ้าจะแสดงหายตัวก็ทำได้ สะกดจิตเขาให้ไม่เห็นอาตมาก็หายตัวแล้ว

ถ้าหายตัวได้ ก็หายตัวได้ เขาก็ไม่เห็นเช่นเดียวกัน แต่ถ้าสะกดจิตนั้นอาตมาทำได้ อาตมาไม่มีปัญหาว่าจะทำหรือไม่ คือสะกดจิตคนหมู่นี่ทำได้ไม่หมดหรอกแต่คนที่สะกดจิตคนหมู่ได้มากแม้ไม่หมดก็จบ เหมือนที่เขาเห็นหลวงปู่แหวนเหาะบนเมฆ หรือธรรมกายเห็นหลวงพ่อสดอยู่บนเมฆ อาตมาทำมาทั้งสะกดจิตและไสยศาสตร์ไม่มีปัญหา คุณทำได้ก็เท่านั้น เหมือนท่านพุทธทาสว่าเหาะได้ก็แค่หมาเลียตูดไม่ถึง เหาะไปทำไม?

มันเป็นได้เพราะยึดติด ถ้าสัญญายนิจจานิก็ทำให้จริงได้แล้วจะไปยึดติดใส่จิตทำไม ก็ไปยึดจริง เช่น กล้วยนี้สวยดีก็ตามเขาได้ หรือเขาว่าอร่อยก็ตามเขาสัญญายนิจจานิ จะเที่ยงนานเท่าไหร่ก็กำหนด ยามะได้ ไม่เที่ยงแล้วก็เลิกได้ เราก็ไม่ต้องมีแบบเขาได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำความมีให้หมด ทำพรหมวิหาร4ให้จบ

_คุณCATปลากระพง ถามว่า...ถ้าเป็นไปได้อยากให้พ่อครูเทศน์เรื่องการดูแลผู้สูงอายุที่ปฏิบัติตามหลักสาธารณะโภคี คือพึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย ได้จริงหรือ? ใครที่จะพอเป็นที่พึ่งได้บ้าง?ทีมสุขภาพหรือการพึ่งตนเอง?และอธิบายความหมายของสาราณียธรรม 6 จากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เช่น เมตตากายกรรม ถึง เมตตามโนกรรม 

ตอบ...ถามจนตอบไม่ได้เลย ตอบไม่ได้ตรงนี้ก่อน ถามให้อธิบายเรื่องสาราณียธรรมจากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม คุณว่ารูปกับนามอันเดียวกันหรือเปล่าที่สุดแห่งที่สุด

ถ้าคุณตอบว่ารูปกับนามอันเดียวกัน อาตมาก็ตอบว่าไม่ใช่ แต่ถ้าคุณตอบว่ารูปกับนามมันไม่ใช่อันเดียวกัน อาตมาก็ตอบว่าไม่ใช่ แล้วคุณจะบอกว่าอาตมาถูกหรือคุณถูก สัญญายนิจจานิ ก็แล้วแต่ใครจะไปยึดว่าอันไหนเที่ยงหรือถูก พระพุทธเจ้าว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ก็คือของใครของมัน แต่ถ้าไปเอาสัจจะหนึ่งเดียวสองคนเป็นอันเดียวกันแล้วสัจจะไม่มีในโลก จริงๆไม่มีอะไรตรงกับใครหรอก มากบ้างน้อยบ้าง ธรรมะสองของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเท่ากันเลย เหมือนวิทยาศาสตร์เขาก็จำนนอันนี้ ถ้ามันไม่ 0 ก็อนุโลมเป็น 1 เพราะแท้จริง 1 กับ 0 ก็อันเดียวกัน ถ้าไม่มีก็ 0 ถ้าจะมีก็ 1 แต่ถ้าเป็นสองแล้วจะไม่มีอะไรเท่ากันเลยทั้งรูปและนาม ทางโลกพลังงานก็ไม่ใช่ความรู้สึก แต่ของพระพุทธเจ้าแยกความรู้สึกออกเป็นรูปได้ แม้ความรู้สึกเรา เราก็ใช้ธาตุรู้อีกอันของเรารู้ตัวเราเองได้ เช่น มันทุกข์คุณก็อ่านอาการทุกข์นี้ออกในจิตเรา อาการสุขมันเกิดก็ใช้นามธรรมเราอ่านได้ ก็แยกออกว่าทุกข์หรือสุขก็ต่างกัน รู้ของคุณเอง คุณมีปัญญาอ่านอาการคุณออก เมื่อมันทุกข์มันก็ไม่สุข เมื่อมันสุขมันก็ไม่ทุกข์ เมื่อไม่สุขไม่ทุกข์ก็เฉยๆ ก็อ่านอาการเมื่อกระทบสัมผัส อันนี้ต่างหากที่จะต้องล้างให้หมด ถ้าไม่มีอะไรแล้วจะต้องไปล้างทำไม ก็ที่มีอะไรนี่แหละทำให้มันจบ

ใครฟังไม่รู้เรื่อง...ใครฟังรู้เรื่อง…

สิ่งเหล่านี้อาตมาว่า ฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา มันก็เท่านี้เอง ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่เราก็ยึดเพื่ออาศัยสมาทาน ถ้ายึดอย่างถือมั่นก็อุปาทาน จะยึดนานแค่ไหนก็ยามะ สิ้นสุดที่เราจะปล่อย ทำได้ก็สามารถ ทำไม่ได้ก็ไม่สามารถ ทำให้ได้เก่งได้เร็วขึ้นก็เป็นจิตมุทุ ทำได้สมบูรณ์เป็นอมตบุคคล อยากเกิดก็ได้ อยากมีก็ได้ ไม่มีก็ได้

ในรูปในนามต่างๆ เมตตากายกรรม เมตตามโนกรรมก็ผูกสัมพันธ์กันนอกและใน นี่ก็คือเมตตาคืออาการที่ต้องการช่วยคนอื่น กรุณาก็ลงมือช่วย มุทิตาก็ช่วยเขาสำเร็จก็ยินดีแล้วอุเบกขาก็จบ อย่าไปจำบุญคุณที่เราทำไป เราช่วยเขาได้ก็จบ ช่วยไม่ได้เราก็พัฒนาตัวเองให้ช่วยได้มากขึ้น ถ้าสมบูรณ์แล้วก็จบ

ทุกวันนี้เขาแปลเมตตากรุณาก็แยกไม่ออกจากกัน เมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาอยากให้เขาเป็นสุข มันก็อย่างเดียวกัน แล้วเมื่อไหร่จะพ้นสุขทุกข์ เขาอธิบายวนไปวนมาเท่านั้น

เมตตาคือเห็นเขาทุกข์เราก็อยากให้เขาพ้นทุกข์มีสุข กรุณาคือลงมือทำให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือยินดีที่เขาพ้นทุกข์ แล้วก็วางใจอุเบกขา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นิโรธสมาบัติแบบฤาษี

_จาก Gusala tamma ถามว่า นิโรธสมาบัติ แบบนี้ เชื่อได้หรือไม่ ...คือ เพิ่งได้มีโอกาสไปทำบุญร่วมกับเพื่อนในงาน ออกนิโรธสมาบัติ พระอาจารย์ อุบาลี อตุโล ที่วัดจันทน์ตะวันตก จ.พิษณุโลก มาค่ะ ท่านเข้านิโรธสมาบัติ นั่งสมาธิ เข้าฌาน ไม่ฉันอาหาร และน้ำ เป็นเวลา 90 วัน

ท่านบอกว่า ระหว่างเข้านิโรธสมาบัติ ท่านเห็นหมด ว่าใครมาทำบุญบ้าง เพราะท่านถอดจิตออกมาดู

เรื่องนี้จริงหรือไม่คะ เพราะว่าเพื่อนเราบอกว่าจริง ตัวเราก็ทำบุญไปแล้ว ….

พ่อครูว่า...นิโรธสมาบัติแบบนี้คือไปนั่งอยู่ในภพ ต่างจากนิโรธสมาบัติแบบพุทธที่ทำให้กิเลสหมดกิเลสดับ มันไม่มีอาการกิเลสเกิดในจิตเลย อาการราคะโทสะอย่างหยาบกลางละเอียดแรง จนกระทั่งถึงเบา จนมันไม่มีไหวติงไม่มีอาการเลย ก็ต้องอ่านด้วยปัญญารู้ว่าการไหวหรือไม่ไหว เพราะกระทบสัมผัสอย่างลืมตาไม่ได้หนีหรือหลับตา เห็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบัน จึงเป็นนิโรธที่มีดวงตา จักขุ มีญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างอาโลกา เป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ เห็นกิเลสมันดับจริงๆนะ อกุศลจิตมันดับ มันไม่มี

มันเหลือน้อยกับไม่มีนี่แยกกันยาก ต้องรู้จนหมดสงสัย นิโรธสมาบัติที่ว่ามันไม่ใช่นิโรธของพระพุทธเจ้า จะบอกว่าเก่งไหม ก็เก่ง ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ก็ไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไร ก็เคยเล่นมา แต่ทำไม่ได้หรอก 90 วัน ไม่เคยทำมาถึง 90 วัน วันเดียวก็ไม่เคยทำ ดูเหมือนไม่เคยทำเต็มวัน ก็ดับก็ออกมา ก็เท่านั้นเอง ก็ไม่ได้สงสัยอะไร การทำให้นิโรธดับอย่างนี้ก็เข้าใจว่ามันต่างกัน อย่างนั้นก็เป็น เจโตสมถะ ไม่ใช่โลกุตระ ก็เข้าใจ คุณทำได้ก็เก่ง ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้กิเลสว่าเป็นอาการไหวในจิตเรา เป็นมโนวิญญัติ คุณก็อ่านจนไม่มีอาการไหวอีกเลย นกัมปติ

มันมีการถามซ้อนมาว่า ตอนที่ท่านจะเข้านิโรธท่านว่าท่านถอดจิต แล้วท่านเห็นว่ามีอะไร อาตมาขอตอบว่าไม่รู้ว่าจริงเท็จ เพราะไม่เคยทำได้ แบบถอดจิตนี่ แล้วเห็นคนโน้นคนนี้มาทำบุญแบบนี้ ไม่เคยเป็นก็ตอบไม่ได้ว่าจริงหรือเปล่า? ถ้าขืนตอบไปก็อุตริมนุสธรรม ตอบได้แต่ของตนที่ทำได้จริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน อัมพัฏฐสูตร ความเสื่อมข้อ 1

มาสู่บทเรียน ความเสื่อมสี่ประการของชาวพุทธ

จะบอกว่าเก่งก็เก่ง อย่างเช่นเอาหัวเดินต่างตีนก็เก่ง แต่ไม่รู้จะทำไปทำไม? อาตมาไม่ฝึกทำหรอก ก็คงยากน่าดูนะแต่คนทำได้ก็ยกให้ว่าเก่ง แต่จะทำไปทำไมวะ? อาตมาก็ไม่มีปัญหา

ประเด็นความเสื่อมในศาสนาพุทธ

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และ จรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ {น.110}ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น ทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

พ่อครูว่า...ถ้าคุณจะไปปฏิบัติอยู่แต่ในป่า ต่อให้เจออาจารย์ที่พร้อมไปด้วยจรณะสมบัติวิชชาเป็นอาจารย์ที่อยู่ในป่าคนใดคนหนึ่ง คุณก็ไปปฏิบัติกับอาจารย์นี้ คุณจะไม่ได้บรรลุ คุณจะได้แต่บำเรอ เพราะคุณจะไม่ได้รู้จักรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่ไม่ได้อยู่ในป่า

แล้วลาภยศสรรเสริญ นี่แหละเป็นเรื่องหนักของคน ในโลกที่ฆ่าแกงกันอยู่ในเมืองไม่ได้อยู่ในป่า พบในป่าก็มีแต่เสือกินตาย ตกเหวตายหรือหมดอายุตายไปเท่านั้น แต่ที่วุ่นวายเพราะ ตาหูจมูกลิ้นกาย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขถ้าออกป่าไม่ได้บรรลุอรหันต์สรุปเช่นนี้เลย แม้จะพบกับอาจารย์ที่พร้อมด้วยวิชชาจรณะสมบัติ แต่คุณก็ฝึกอยู่กับป่านั่นแหละ

คุณหนีไปจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุขรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทำไม ต้องฝึกอยู่กับพวกนี้ และทุกวันนี้คุณออกจากพวกนี้ได้หรือไม่ นอกจากไปนั่งหลับตากดข่ม จะต้องอยู่กับมันจนเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันหมดตัวตนจนอนัตตา อยู่กับมันได้ ต่อให้พบอาจารย์ก็ได้แต่บำเรออาจารย์ เช่น คุณไปเจอพระกัสสปะ ก็มีองค์เดียวเท่านั้นของพระพุทธเจ้า ก็มีองค์เดียวที่จะเป็นมนุษย์ติดป่าที่บรรลุอรหันต์ต้องมีพระพุทธเจ้าด้วย แล้วคุณเป็นใครที่จะสอนให้คนบรรลุอยู่ในป่า อย่าบังอาจเลย แต่ว่าไปป่าก็ต้องไป หากคุณไม่หมดวิจิกิจฉา เหมือนท่านพูดกับอุบาลีว่า ไปป่านั้นหาความวิเวกได้ยาก ก็แล้วป่าวิเวกกว่าเมืองนะ ถ้าจะว่าโดยรูปแต่พระพุทธเจ้ากลับบอกว่ายากอภิรมย์ยากสดชื่นยินดียากจะวิเวกได้ มันซ้อนไม่รู้กี่ชั้น ทำวิเวกทำความสงบได้ยาก

ต้องอยู่กรุงนี่แหละที่จะละไปตามลำดับ ก็จะได้ผลตามลำดับ

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:11:17 )

590216

รายละเอียด

590216_พุทธศาสนาตามภูมิ ทางเสื่อมของชาวพุทธ 4 ประการ

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 3 ปีมะแม เราก็มาเรียนต่อ ชีวิตเราก็เพียรเรียนธรรมะ ก็เห็นว่าเป็นชีวิตที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่เข้าใจถึงความเป็นธรรมะ เรียนธรรมะมันยอดเยี่ยมแล้วเพราะชีวิตคนเราควรจะเรียนอะไรวิชาการต่างๆในโลกมันมีสารพัด คนก็ไปเรียนวิชาการต่างๆสารพัด ส่วนจะเรียนธรรมะนั้นไม่ค่อยเรียนกันหรอก จะมีคนเรียนเป็นเปอร์เซ็นน้อย

รู้สึกชื่นใจกับศาสนาอิสลามเขาเอาใจใส่เรื่องธรรมะตั้งแต่เด็ก เขาก็อบรมให้เรียนธรรมะ จะเรียนอย่างอื่นก็เรียน แต่ต้องเรียนธรรมะทุกคนปลูกฝังกันเลย แล้วก็เรียนกันจริงจัง ถ่ายทอดกันให้ได้รับรู้กันจริง อนุโมทนาสาธุจริงจริง

ในคนไทยเรานับถือศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาที่ดีที่สุดจริงๆ ศาสนาพุทธที่เป็นอย่างนั้นเพราะเป็นศาสนาที่ไม่ไปบังคับใคร ให้อิสระเสรีภาพ ให้เกิดภูมิปัญญารู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรเป็นสาระ อะไรเป็นอสาระหรือไม่เป็นสาระ ในชีวิตความเป็นคน ซึ่งคนที่มีปัญญาดังกล่าวนั้นหาได้ยาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ชีวิตนี้ต้องการอะไร

ชีวิตของใครที่มีความระลึกได้ว่า เราน่าจะต้องใส่ใจร่ำเรียนศึกษาศาสนาหรือธรรมะให้กับชีวิต คนที่มีปฏิภาณปัญญาคิดได้อย่างนี้ อาตมาว่าคนนั้นยอดฉลาด พูดได้เลยคนไหนก็แล้วแต่ ยิ่งรู้สึกได้ตั้งแต่เด็กเลย ระลึกได้เมื่อไหร่ฉลาดเมื่อนั้น ถ้ายังระลึกไม่ได้อยู่ตราบใด ก็ยังโง่อยู่ตราบนั้น

คำว่าโง่คำนี้ก็คือ อวิชชา ผู้ที่ไม่รู้ เอาปฏิจจสมุปบาทเป็นตัวตั้งก็ได้ เมื่อเขาไม่เข้าใจไม่รู้ว่าชีวิตนี้คุณต้องการอะไร

อาตมาว่าเอาคำถามแรกถามเขา เช่น ถามว่าคุณต้องการความสุขไหม หรือคุณจะต้องการความโศก คุณต้องการความสุขหรือคุณต้องการความทุกข์ คำตอบรับรองว่าร้อยทั้งร้อยเขาจะต้องตอบว่าต้องการความสุข ไม่ต้องการความทุกข์แน่นอน

แต่ชีวิตนี้คุณจะต้องการอะไรก็แล้วแต่ มีเงินมีทองมีของนานาสารพัดคุณก็ต้องการความสุข ต้องการความไม่ทุกข์ ต้องการความไม่โศกไม่ทุกข์อยู่นั่นแหละ คุณจะมีอะไรอย่างอื่นก็เป็นเรื่องรองของชีวิตทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดมาคุณเคยคิดจุดนี้บ้างไหม

2. คุณเชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ความจริงที่สุดยอดเยี่ยมในโลกนี้จริงไหม เป็นความจริงที่ทำให้คนหมดทุกข์หมดโศกเชื่อไหม

เมื่อคุณเชื่อ ทำไมคุณรู้สึกว่าตนเองไม่ทุกข์ไม่โศกเลยหรืออย่างไร หรือว่าน่าจะต้องแสวงหาความรู้ด้วยตนเองเพื่อให้พ้นความทุกข์ความโศกบ้าง มันน่าจะทำไหม

คนเราไม่มีความสำเหนียกความระลึกได้ตรงนี้ แต่ผู้ใดที่เกิดความรู้สึกได้เมื่อไหร่ ว่าเราต้องใส่ใจธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะของพระศาสดา ไม่ใช่ธรรมะคือคุณธรรมอะไรสารพัดมากมายเลอะเทอะ คุณจะต้องใส่ใจธรรมะของพระศาสดา ใครระลึกได้ว่าชีวิตต้องแสวงหาธรรมะนี้เมื่อใด ฉลาดเมื่อนั้น ใครที่ยังระลึกไม่ได้ ก็ยังโง่ ยังอวิชชาอยู่เมื่อนั้น

อวิชชาตัวนี้ที่ไม่รู้จักของปฏิจจสมุปบาทคือ ไม่รู้จักสังขาร

คนไทยคนพุทธรู้จักคำว่าสังขารขนาดไหน สังขารคือภาวะที่ประกอบปรุงแต่งกันอยู่ ในชีวิตคนมันปรุงแต่งด้วยกายวาจาใจ โดยเฉพาะกายกับจิตปรุงแต่งกันอยู่เป็นธรรมะสอง นั่นแหละคือคำตอบว่าสังขาร ถ้าคุณเข้าใจว่ากายเป็นองค์ประกอบของรูปกับนาม นามก็คือจิต รูปก็อีกสิ่งหนึ่งที่ประกอบอยู่กับทุกสิ่งทุกเวลาที่คุณมีกายมีจิต และเพราะเราไม่ศึกษาการปรุงแต่งของมัน มันก็เกิดผลลัพธ์ที่เป็นทุกข์เป็นโศก

อาการทุกข์อาการโศกคือเวทนา ความรู้สึก นั่นคือเป้าหมายในการเรียนรู้การศึกษาเลยว่าทำอย่างไรอาการเวทนาจึงไม่มีในจิต ไม่เกิดในจิตเราเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้จริงๆ

ทำอย่างไรเราถึงจะมีความฉลาด หมดความไม่รู้ หมดอวิชชา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ยืนยันเลยว่าคนที่เรียนรู้ฝึกฝน กำจัดต้นเหตุที่เป็นความโศกความทุกข์ได้หมดจริง เป็นพระอรหันต์ได้จริง คุณเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไหมล่ะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปฏิบัติธรรมจนพ้นมิจฉาชีพ 5

การปฏิบัติเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่ว่าจะทำอาชีพไม่เป็น แต่กลับจะทำสัมมาอาชีพ เป็นอาชีพที่ดีเลย เป็นอาชีพที่ไม่เป็นหนี้ไม่เป็นภัย เป็นอาชีพที่ประเสริฐที่ดีงาม และครอบคลุมถึงการศึกษาที่จะทำเพื่อเป็นอาชีพหากิน ก็คลุมไปหมด เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้คนไม่ศึกษาการงานอาชีพ แต่ให้ศึกษาให้ดี คุณต้องศึกษา แต่ก่อนนี้คุณทำงานเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า แม้แต่ในวงการสงฆ์ก็มิจฉาชีพกันโครมๆ ไม่ได้พ้นมิจฉาชีพ 5

อาตมาพาพวกเราปฏิบัติธรรมจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ได้เลย ตั้งแต่

กุหนา ลปนาพวกเราก็พ้นได้ จนถึงไม่เอาลาภแลกลาภ ทำงานฟรีได้ในชุมชนพวกเรา เราพ้นมิจฉาชีพสามข้อนี้ได้ชัดๆ นอกนั้นใครจะไปละเมิดเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วแต่ ทำงานฟรีก็ได้สำเร็จผลแล้ว แล้วยิ่งอยู่ในวงการพวกเรา ในหมู่บ้าน ในชุมชนพวกเรา เราก็ไม่ได้มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา พ้นมิจฉาชีพ สี่ข้อแล้ว ก็เหลือ

เนมิตกตา ต้องทำกิเลสที่มีเหลือให้คุณไม่พ้นมิจฉาชีพ เนมิตกตา เป็นข้อที่พวกคุณต้องปฏิบัติ

ที่นี่มีหลักในการปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติจนจิตใจสบาย เราอยู่กับหมู่ก็ไม่ได้พา

หลอกลวงหรือโกงใคร สี่ข้อลอยลำแล้ว ปฏิบัติโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ สมบูรณ์แบบ เท่ากับคุณเรียนสัมมาอาชีพ เราไม่ได้พาคุณงอมืองอเท้าหลับตาเดินจงกรมทำสมาธิ แต่นี่เราอยู่ในหลักของพระพุทธเจ้าเลย ทำงานด้วยตลอดเวลา ตามหลักพระพุทธเจ้า เราเข้าใจสัมมาทิฏฐิเช่นนี้ เราไม่ได้ตกหล่นคำสอนโลก คำสอนทางธรรม

ทางโลกก็ให้ศึกษาสัมมาอาชีพเลี้ยงตนรอดพร้อมไปในนี้เลย ชุมชนเราจึงเป็น บ้านวัดโรงเรียน พรักพร้อมที่จะเรียนรู้กันได้เลย

นี่เขาชุมนุมกัน แล้วไปจ้างใครมาชุมนุม เป็นองค์กรที่หลอกลวง ร้าย อาตมาไม่ต้องตรวจสอบ เขาก็เอามายืนยัน พวกที่นั่งหน้า ก็เป็นคนเคยหากินกับพวกชุมนุมเสื้อแดง เป็นหลักฐานชัดว่าเป็นพวกชุมนุมหลอกลวงชาวโลก เลวจริงๆเลย เกิดเรื่องอุบาทว์ในเมืองไทยได้อย่างไม่น่าเกิดเลย น่าสงสารประเทศจริงๆ

 

SMS 16 ก.พ.59

_0893867xxx กิเลสจริงๆมันเป็นเพียงความคิดมันไม่มีตัวตน!เขาไปแบกรับมันไว้เอง!เพราะไม่เคยดูจิตอ่านใจตนแล้วตั้งสติรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ!  ความอึดอัดมันเกิดได้เพียงชั่วครู่เดียวก็ดับแล้ว!คนก็รู้ อยู่แก่ใจมีมนุษย์ที่ไหนจะอึดอัดไปตลอดทั้งวันทั้งปีเลยฤา? 

พ่อครูว่า...นี่ก็เป็นข้อสังเกตอ่านความจริง ที่พูดมานี้ถูกต้อง กิเลสที่ออกบทบาทลีลาในจิตเมื่อใด มันก็พาเราทำไม่ดี ได้ความอึดอัดรับผลไม่ดี แล้วอาการความคิดที่เกิดในจิต คือที่พระพุทธเจ้าให้กำจัดในจิตของทุกคน พระอรหันต์ท่านไม่มีแล้วอาการแวบในจิตแบบนั้นที่จะเกิดอาการอึดอัด แม้จะถูกเหตุปัจจัยเช่นคนมาด่า เกิดเรื่องราว คนมาแย่งทรัพย์สินไป มาพรากของรัก แม้จะมาทำร้าย อาการจิตที่จะอึดอัดเกิดเศร้าใจเสียใจ พระอรหันต์ไม่เกิดเรื่องราวพวกนี้

อย่างวันนี้เหตุการณ์ในชุมชนอโศก คนก็จะเสียใจ แต่พระอรหันต์ท่านไม่เสียใจไม่เสียดาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน วัตถุฏฐวิภาค กรณีธัมมชโย

เหตุการณ์ปัจจุบันจะเป็นความถูกหรือผิด จะโศกหรือไม่โศก ทุกปัจจุบันก็เป็นความจริงทุกปัจจุบัน ถ้าพระอรหันต์มีปัจจุบันแวบใดเกิดเสียใจทุกข์ใจไม่ใช่อรหันต์ จิตทุกปัจจุบันถ้าไม่มีกิเลส แล้วจิตเป็นจริง ถ้าจิตเป็นกิเลสแล้วประพฤติผิดจากหลักธรรมพระพุทธเจ้า เช่น เหตุความผิดขั้นปาราชิก จิตทำองค์ประกอบสมบูรณ์แบบในทุกปัจจุบัน ปาราชิกแล้วก็คือปาราชิก ถ้าเกิดจิตปาราชิก ผู้นั้นไม่ใช่อรหันต์

ถ้าในภิกษุเกิดปาราชิกปุ๊ป ผู้นั้นก็ปาราชิกทันที ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินของใคร ปาราชิกเสร็จเมื่อใดก็ปาราชิกทันที ไม่ต้องไปตัดสินใดๆ ความจริงนั้นเป็นปาราชิกทันที แล้วก็มาบอกกล่าวกัน

ปาราชิกทำกลับไม่ได้ ปัจจุบันมันยิ่งกว่าอะไร จิ้มลงไปปั๊ปเป็นปัจจุบันแล้วจบ เมื่อคุณครบปาราชิกในปัจจุบันก็จบไปแล้ว ที่เอามาพูดกันเยิ่นเย้อนี่ เอาของไปแล้วปาราชิกแล้ว

จนสมเด็จพระสังฆราชท่านยืนยันเลยว่าปาราชิก ตั้งหกฉบับพระลิขิต คนจะเลี่ยงก็ดันบอกว่า พระลิขิตปลอม ใครจะโง่ปลอมซ้อนกัน 6 ฉบับ แล้วยืนยันว่าเป็นเรื่องเดียวกันนี้

ในวินัยของพระพุทธเจ้า ที่เกี่ยวกับที่ดินเนี่ย วินัยปิฎก

วัตถุฏฐวิภาค

[102] ที่ชื่อว่า พื้นที่ ได้แก่พื้นที่สวน พื้นที่วัด ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในพื้นที่ ได้แก่

ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ โดยฐาน 4 คือ ฝังอยู่ในดิน 1 ตั้งอยู่บนพื้นดิน 1 ลอยอยู่ในอากาศ 1 แขวนอยู่ในที่แจ้ง 1

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุตู่เอาพื้นที่ ต้องอาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยให้เกิดแก่เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัยเจ้าของทอดธุระว่าจักไม่เป็นของเรา ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุฟ้องร้องยังโรงศาล ยังเจ้าของให้แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุผู้ฟ้องร้องยังโรงศาลแพ้เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

ภิกษุปักหลัก ขึงเชือก ล้อมรั้ว หรือทำกำแพงให้รุกล้ำ ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่ออีกประโยคหนึ่งจะสำเร็จ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อประโยคนั้นสำเร็จ ต้องอาบัติปาราชิก.

เช่น ธัมมชโย เอาที่ไปครอบครองเมื่อใดตั้งแต่ต้นก็ปาราชิกแล้ว ยิ่งเอาองค์ประกอบเอาเงินวัดไปซื้อแล้วใส่ชื่อตน ก็ปาราชิกหลายลีลานะ แล้วก็มีการช่วยกลบเกลื่อนสิ่งผิดเป็นถูก ก็บาปทั้งนั้น

มันปาราชิกตั้งแต่ทำสำเร็จแล้ว ในกฏหมายทางโลกก็ไม่มีปาราชิก แต่ทางธรรมะมี

เป็นเรื่องถูลู่ถูกัง เอาสีข้างเอาเหงือกแถก ผู้รู้มีแต่ไม่ยอมรับความจริง เป็นบาปเป็นภัยต่อตน ผู้รู้ทั้งรู้ก็สัมปชานมุสาวาท เป็นบาประดับอนันตริยกรรมนะ คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ พระพุทธเจ้าบอกลึกเลยว่า คนๆนี้ไว้ใจไม่ได้ ทำชั่วเลวได้หมด รู้ว่ากรรมนี้ชั่วแล้วก็ทำอยู่

คนที่มีกิเลสแล้วทำชั่วทั้งๆที่รู้ จงสังวร เราจะกลายเป็นคนที่ทำชั่วๆทั้งๆที่รู้ ถ้ามันใหญ่พอควรก็เป็นปาราชิก อนันตริยกรรม เช่น คนรู้ว่าฆ่าพ่อแม่นี้ชั่ว แล้วก็ทำอีก 

 

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูเคยแสดงธรรมสติปัฏฐาน4พิจารณาเห็นกายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรมทำให้เห็นกิเลสในกิเลสรู้ลึกถึงก้นบึ้งแล้วดับมันสาธุ

 

_จากไลน์คุณพันธุ์ พอเพียง

 กรณีที่กลุ่มพระเมธีเรียกร้องที่ว่าอย่าใช้กฏหมายบ้านเมืองมาตัดสินคดีพระแต่ขอแค่สนับสนุนหรืออุปถัมภ์ค้ำชูก็พอ

ถ้าข้อเรียกร้องนี้ได้รับการยอมรับจะทำให้คดีใหญ่ๆอย่างน้อยสองคดีน่าจะได้รับการชำระใหม่คือ

1 คดีสันติอโศกที่เป็นนานาสังวาสแต่กฎหมายบ้านเมืองถูกตัดสินให้ผิดเมื่อนำเข้าสู่หลักพระธรรมวินัยที่เคร่งครัดและแท้จริงสันติอโศกนั้นถูกพระธรรมวินัยหรือไม่

2 คดีพระธรรมชัยโยที่ยักยอกทรัพย์ มติ มส อิงกฏหมายบ้านเมืองว่าเรื่องยุติแล้วที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง(ซึ่งพระเมธีร้องว่าอย่าใช้กฏหมายบ้านเมืองตัดสินพระ)เมื่อคดีนี้ต้องเข้าสู่ระบบพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดแบบกางพระวินัยปิฎก

ถามว่าพระธรรมชัยโยจะปาราชิกหรือไม่

ขอบคุณความไม่รอบด้านของพระเมธี

พ่อครูว่า...เรื่องธรรมวินัยก็เป็นเรื่องธรรมดาวินัย แต่เสร็จแล้วก็เอาเรื่องทางบ้านเมืองมาตัดสิน ต้องแยกให้ชัดเจน อย่างที่อาจารย์ปรีชาว่า แล้วอาจารย์ปรีชาก็แยกให้ชัดว่ากฎหมายเอาไปตัดสินนี้มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของธรรมะ

เรื่องธรรมะนั้นเป็นเรื่องของการปาราชิกแล้วตามหลักเกณฑ์ของธรรมะ สำหรับท่านเป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์ทางกฎหมาย มันชัดแล้ว ถึงได้เอามาย้ำ หลักฐานในพระวินัยมาอ้างอิงตามพระวินัย ตามหลักฐานกรรมที่ธัมมชโยทำ

ถ้าย้อนไปหรือคดีสันติอโศกด้วยก็สวยสิ เพราะนั่นเป็นการทำผิดพลาดมาไม่รู้กี่ประเด็น โมฆะไม่รู้กี่ประเด็นตามหลักเกณฑ์ธรรมวินัย ซึ่งอาตมาจะมาพูดย้อนเกล็ดอยู่ทุกวันนี้เขาก็ไม่กล้ามาทำอะไร

 

 

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน วิชชาและจรณะอันเสื่อม 4

มาทวนพระไตรปิฎก ล.9 ข้อ 1 2 3

สูตรที่ 1 ท่านตรัสถึงความเห็นความเข้าใจ ทิฏฐิ หลักปฏิบัติที่ท่านรวบรวมไว้แล้วว่ามี 62 อย่างที่เป็นทิฏฐินอกพุทธ ถ้าจะชมตถาคต ต้องชมว่าเว้นขาดจากทิฏฐิ 62 ประเด็นนี้

แล้วไปไล่เรียงดู 62 ข้อนี้ผิดหมด ที่ปฏิบัติทุกวันนี้เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาสอนกันเป็นกถา ทั้งรู้ เลยทิฏฐิไปแล้ว ทิฏฐินั้นรู้ในระดับต้น

วิชชาก็เป็นเดรัจฉานวิชชา ของพุทธไม่ใช่เดรัจฉานวิชชา เดรัจฉานกถา เดรัจฉานคือขวางทางนิพพาน คำพูดที่ไม่พาละหน่ายคลายคือเดรัจฉาน

คุณไปเรียนวิชาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าวิชานั้นพาหน่ายคลายด้วยนั่นเป็นวิชาที่ไม่เดรัจฉาน จะรู้ ศาสตร์เศรษฐศาสตร์แต่ทำให้ละหน่ายคลายนั่นคือวิชาที่พาเจริญ ไม่ใช่เดรัจฉาน คนที่ไม่เดินทางสู่นิพพานคือคนเสื่อมคนไม่เจริญทุกคน

ขอพูดอย่างนี้เลยตามภูมิ เหมาหมดเลย ถ้าความรู้ใดหรือคำพูดใดไม่พาไปละหน่ายคลายกิเลส ไม่ขวางทางนิพพาน ถ้าไม่ส่งเสริมสนับสนุนก็ขวางทางนิพพานเป็นเดรัจฉานกถาทั้งนั้น สรุปคือทิฏฐิ 62 นี้ไม่ส่งเสริมนิพพาน เป็นเดรัจฉานกถา

สูตร 2 สามัญผลสูตร คือวิชาความรู้ที่ควรเรียนแล้วจะบรรลุสมณะที่ 1 2 3 4  คือสูตรที่ 2

สูตรที่ 3 บอกรายละเอียดลึกถึงเกี่ยวกับคน สังคม ในอาจารย์ยุคนั้น อย่างของลูกศิษย์เอกของโปรขสาติ คืออัมพัฏฐมานพมาเขาก็พูดด้วยความรู้ เขาคือผู้รู้นะ เป็นผู้จบวิชา ถ้ายุคนี้คือ ดร.ศาสตราจารย์ของสำนักโปขรสาติ แล้วมาแสดง ภูมิต่อพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยต้อนเข้าให้ โดยตนเองถูกต้อนจนแพ้ กลับไปบอกอาจารย์ เลยถูกเท้าเขี่ยเบาๆ ล้มลงเลย แล้วด่าซ้ำด้วย

พระพุทธเจ้าว่า ความรู้มนต์ของพราหมณ์คือวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ ศาสนาพราหมณ์ก็มีคำนี้ พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าวิชชาจรณะสมบัตินั้น ทั้งอาจารย์และเธอออกนอกลู่นอกทางจรณะวิชชาสมบัติ แม้แต่ที่ผิดๆ

มรรคองค์ 8 เป็นโลกุตระ ปฏิบัติแล้วกิเลสต้องลด แต่เขาเอามรรคองค์ 8 ไปอธิบายในโลกียธรรม ว่าเหตุที่คุณทุกข์เพราะจน คุณต้องหาเหตุให้รวย แล้วมันก็เป็นโลกียะ ออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ ถ้าคุณสอนให้ไปหาทางรวยอย่างสามัญ คุณก็ออกนอกลู่นอกทาง คุณไปให้รวยไม่พอก็ไปสร้างทฤษฎีพารวยซ้อนไปอีก คือออกนอกทางผิดเอามรรคองค์ 8 ไปสอนผิดๆ ยังสร้างหลอกวิมาน เช่น เอาคำว่าบุญที่เป็นโลกุตระไปเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่บุญไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น มันคืออาวุธ  แต่เราจำนนที่ต้องใช้เพื่อชำระกิเลสตนให้ได้ ชำระเสร็จก็ต้องรีบทิ้ง หรือโดยสัจจะ บุญเมื่อกำจัดกิเลสได้หมดแล้วบุญก็หายไปเลย บุญไม่ใช่สิ่งน่ามีน่าได้น่าเป็นเลย บุญคือเครื่องชำระกิเลส ถ้าเรามีกิเลสก็เลยต้องจำนนเอาบุญมาใช้ ถ้าคุณมีลูกไม่รู้เดียงสาก็ไม่เอามีดให้ลูกใช้เลย ไม่จำเป็นเลย เพราะว่าจะเป็นภัยแก่ตนใครเอาบุญมาใช้ไม่เป็นก็เป็นภัยแก่ตน เอาไปสร้างโลภให้แก่จิต แล้วบอกว่าได้บุญ ผิดหมด

บุญไม่ได้พาได้ บุญมีแต่พาละออก ทุกวันนี้อธิบายบุญเป็นเดรัจฉานกถา ต้องเข้าใจว่าบุญคือต้องชำระกิเลส แต่ไปบอกว่าบุญต้องให้ได้อะไรมาให้แก่ตนก็คือพูดเดรัจฉานกถา

สามัญผลสูตรท่านก็บอกว่าวิชชาสมบัติกับจรณสมบัตินั้นเป็นสิ่งที่ควรมี

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และ จรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น

ทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

พ่อครูว่า...แม้จะไม่ไปขุดดิน ยังอยู่ในพระวินัย แต่คุณพรากจากวิชชาจรณะสมบัติแล้ว เพราะวิชชาหรือจรณะนั้นขึ้นต้นด้วยศีล คุณไปอยู่ในโน้นคุณไม่ได้มีเหตุปัจจัยให้ได้ปฏิบัติเลย ไม่มีผู้คนให้ผัสสะ ก็ปฏิบัติแต่นั่งสะกดจิตกันพวกออกป่า จึงออกนอกวิชชาสมบัติจรณสมบัติ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 ก็ไม่ได้ปฏิบัติ ศีลข้อ 2 3 4 ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องไม่ได้สังวร ในจรณะ 15 แล้วจะได้วิชชา 8 เลย ก็เลยเสื่อมจากวิชชาจรณสมบัติ

แม้แต่คุณจะไปเจออาจารย์ในป่า บอกเลย อรหันต์พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ให้ไปป่า ถ้าจะไปป่าก็เป็นจริตส่วนตัว แต่อรหันต์ท่านก็ออกจากป่าสู่บ้าน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้สอนในป่า เพราะศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาคนในป่า แต่ถึงคราวไปป่าถ้าสมควรก็จะไป ป่าไม่ได้ไปง่ายๆ คนจะไปป่า

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่า พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด พระพุทธองค์ตรัสว่า... 

ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้  คือ จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น!! 

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

คนอีเดียดว่าไปป่าเป็นวิเวกแต่อัจฉริยะว่า ไปป่านี้หาวิเวกได้ยาก เพราะเหตุปัจจัยที่จะปฏิบัติให้ได้วิชชาจรณสมบัติไม่มี วิเวกไม่ได้ ไม่เป็นกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

แล้วไม่เข้าใจว่ากายวิเวกคืออะไร กายวิเวกคือสงบจากธรรมะสองเป็นธรรมะหนึ่งเป็นอุเบกขาเวทนา เอกสโมสรณา เป็นปุงลิงค์ ยิ่งทำเป็นนปุงสกลิงค์เป็น 0 ได้เข้าใจกุศล อกุศล ไม่ยึดติดทั้งกุศลอกุศล คือนปุงสกลิงค์ คุณจะไม่มีเหตุปัจจัยนี้ให้ปฏิบัติก็ทำวิเวกได้ยาก เริ่มแต่กายเลย ไม่มีทางทำกายวิเวกได้

กายวิเวกเขาก็นั่งนิ่งแข็งไม่กระดิก นั่นไม่มีกายวิญญัติ ไม่เคลื่อนไหว ไม่ใช่กายวิเวก ไม่มีกายวิญญัติ หุบปากไม่พูดก็ไม่มีวจีวิญญัติ ส่วนวจีวิเวกของพระพุทธเจ้าไม่มี

ทุกสิ่งมีจิตเป็นประธาน แล้วแสดงออกเป็นกายวจีออกมา ถ้าไม่มีกิเลสก็เป็นกายวิเวก จิตวิเวก เช่น กรรมกิริยาของอรหันต์ท่านจะพูดดังหรือหยาบก็แล้วแต่ อรหันต์บางองค์แสดงกิริยาหยาบหรือพูดหยาบ แต่วิเวกหมด อาจดูกายวจีชอบกลแต่ก็วิเวกเพราะสงบจากกิเลส อรหันต์ไม่ได้แสดงด้วยกิเลส อสังขาริกัง ไร้กิเลสมาปรุงแต่ง เป็นเรื่องถ้าไม่ศึกษาให้สัมมาทิฏฐิจะไม่เข้าใจ

เพราะอุปธิวิเวกเกิด กิเลสหมดจากจิต อรหันต์แสดงกรรมทุกกรรมมีแต่สงบหมด วิเวกหมด คือความหมายของวิเวก เหตุปัจจัยประกอบที่จะพาปฏิบัติไม่มี ไม่มีอปัณณกปฏิปทา ไม่มีสังวรศีล ไม่มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา

คนปฏิบัติกับชาวอโศกจะไม่หลับง่ายๆ จะตื่นตัวตลอดเวลา มีคนแคะกิเลสให้คุณจะมีปฏิภาณมีสิ่งประเสริฐ จะรู้เท่าทันว่ากิเลสเกิดในจิตแล้ว มีผัสสะแล้ว จะมีปฏิกิริยาทำให้รู้กิเลส นี่คือการตื่น

เมื่อกระทบสัมผัส ทวาร 5 เมื่อใดแล้วจะรู้ว่ามีกิเลสเกิดร่วมปรุงแต่งนะ เมื่อมีกิเลสอยู่ส่วนมาก คุณขนาดเป็นโสดาบัน มันยังมีกิเลสเป็นทุกกิริยา แต่คุณได้ลดกิเลสไปหลายอย่างแล้ว ยิ่งอยู่ข้างนอกเป็นเมืองนรก จัดจ้านกระทบเราตลอด ขนาดอยู่ที่นี่ไม่มีการยั่วกามพยาบาทเท่าไหร่ หรือโลกธรรม กามคุณก็ไม่จัดจ้าน แต่ก็ยังรู้สึกมีกิเลสได้เลย เราอยู่ไปทำไมกิเลสเราเยอะขึ้น มันไม่ใช่ เราไม่ได้เสริมกิเลสแต่เรามีดวงตาดีขึ้น เห็นกิเลสได้มากขึ้น ที่นี่ไม่มีเหตุปัจจัยยุกิเลสขึ้นมากเท่าข้างนอก

เหมือนคนมาใหม่จะรู้จักกิเลส เราจะเป็นผู้ตื่นไม่ใช่ผู้หลับใหล ในโลก

โลกียะ ในสังคมโลกีย์ เป็นโลกหลับใหล เป็นโลกหลงใหล ถึงขั้นคลั่งไคล้โลกีย์ ในลาภ ยศ สรรเสริญ​ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในขั้นอบายภูมิ แล้วคุณก็ชื่นชมหลงใหลระเริงไปกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้สำเหนียกรู้สึก จะมีสักกี่คนในโลกปุถุชนโลกีย์รู้ว่านี่คือกิเลสนะ นี่คืออาการชาคริยา ตื่นรู้มีสติปัญญาไหวพริบ รู้ว่าอันไหนคือกิเลส จะเจอกิเลสมากเลย ทำไม่ไหวหรอกต้องตัดขนาดปริตตัง ทำศีล 5ก่อนแล้วค่อยเพิ่มศีล 8 เป็นศีล 10

อัตราก้าวหน้าศีล 8 เป็นศีล 10 เลยมันสุดยอดนะ การไม่ใช้เงินนี่นะ วันนี้ดูในสื่อสารเขาว่ามาบวชเป็นพระแล้วมีเงินไม่ได้ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ นึกว่าเงินเราๆนี่ปาจิตตีย์ทุกตัวระลึก แล้วปลงไม่ตก เป็นคนไม่บริสุทธิ์ตลอดทุกขณะที่นึกว่าเงินเป็นของตน ระลึกว่ามันพร่องมันลดไปหวงแหนก็นิสสัคคียปาจิตตีย์อยู่ทุกเวลา นี่คือจิตเจตสิกที่ต้องศึกษาให้ดี

สรุปคือพระมีเงินไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้มี แค่เป็นเณรถือศีล 10 อยู่ในจุลศีล 26 ข้อไม่มีเงิน แต่เดี๋ยวนี้พระเจ้าไม่มีศีลแล้วบอกว่าไม่มีได้อย่างไร แล้วจะต้องมีไวยาวัจกร ว่าเงินกองพระ เงินกองวัด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่ามีเงินของพระ มันเงินของสงฆ์ของวัดทั้งนั้นแล้วให้ไวยาวัจกร จัดการเงินของวัด ถ้ามีเงินของพระก็ต้องมีเลขาจัดการเงินของพระเพิ่มอีกมันผิดทั้งนั้นเลย นี่คือพุทธศาสนาตามภูมิของโพธิรักษ์ ผิดถูกขอรับผิดชอบคนเดียว แล้วจะมาสะสมเงินทองรถเบนซ์ขี้หมา มันพูดนอกรีตของพุทธ ในจุลศีลก็มีห้ามไว้หมด

ห้าม เว้นขาดไว้ทั้งนั้น เป็นบริขารก็ให้มีได้ เป็นของจำเป็นต้องใช้สอยเรียกว่าบริขาร แต่สะสมอื่นแล้วยินดีว่าเป็นของเรานั้นอาบัติทั้งนั้น

ในคำว่าสอนพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งดั่งที่ได้ย้ำไป

ผู้ที่ไม่รู้ทางปฏิบัติวิชชาจรณะก็มีแต่วิบัติ ไม่มีสมบัติเลย

คนจะออกป่าได้นั้นยกให้พระกัสสปะ ท่านบำเพ็ญมาจนเป็นวาสนาบารมี มีแค่หนึ่งในคนในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า แล้วจะเอาอย่างได้อย่างไร ไปติดป่าจนกลายเป็นธุตังคะ ป่าไม่ใช่ที่คนอยู่ คนอยู่ได้คือผีตองเหลืองไม่ศิวิไลซ์ไม่เจริญแล้วจะไปอยู่ทำไมกับผีตองเหลือง พูดง่ายๆแต่ลึกซึ้ง ยุคนี้ยุคศิวิไลซ์แล้วไม่ใช่ยุคผีตองเหลือง

ไม่เอาตามหลักพระพุทธเจ้าก็วิบัติ แล้วก็เกินวิบัติอีกเพราะยินดีในป่า พระกัสสปะท่านก็เหมือนกับกับพระสารีบุตร คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ส่งเสริมในการอยู่ป่า ท่านก็ guilty ของท่านอยู่ แต่ท่านมีวาสนาเช่นนั้น เหมือนพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้อยากหลุกหลิกเหมือนลิง แต่ท่านก็มีวาสนาเช่นนั้น

ต่อให้คุณไปหาพระกัสสปะในป่าก็ได้แต่บำเรอพระกัสสปะ ไม่ได้วิชชาจรณสมบัติ อย่างน้อยลาภที่คุณต้องสัมผัสที่จะต้องปฏิบัติก็ไม่ได้สัมผัส จะลาบเป็ดไก่ก็ไม่ได้เจอ คุณจะติดมันไหม ต้องละจากมันไหม

         

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ (อันนี้อาตมาว่าไม่น่าแปลเช่นนี้ เพราะผลไม้หล่นต้องมีแน่ แต่เขาตั้งใจจะไปขุดดินหาของกินเลย)

ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

พ่อครูว่า...เขาเอาเสียมตะกร้าไปเลย กินไม่เลือกเลย

 

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

พ่อครูว่า...คือสร้างโรงเรือนที่จะให้คนทำพิธีที่นอกพุทธ ให้มานั่งสมาธิ มาท่องมนต์แทนที่จะให้ไปสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สัมผัสกับโลกธรรมกับกามาวจร แต่นี่ให้มารวมกันในวัดแล้วเอาเงินขนเงินมานะ กลับไปก็ไปหาเงินให้ขนมาวัดนะ ต้อนเขามาโรงเรือนของเรา ซึ่งไม่ใช่ ต้องให้คนเขาไปทำสัมมาอาชีพ แล้วสังวรกรรมกิริยาสัมมาอาชีพ อยู่ในกรอบศีลไปตามลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย แล้วจะได้ผลไปเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่จะต้อนคนเข้าวัดอย่างเดียว แต่ให้เรียนรู้คำสอนไปตามลำดับ แล้วจะเป็นฆราวาสนี่แหละที่จะบรรลุเป็นจำนวนมากกว่าสมณะ ในฆราวาสจะมีสมณะที่ 1 2 3 4 ได้มากกว่าสมณะในยุคพระพุทธเจ้าก็ตาม แม้ในยุคนี้ก็ตาม

คนที่ตามฟังธรรมะอาตมาจะเข้าใจธรรมะแล้วได้บรรลุเป็นสมณะที่ 1 2 3 4 อาจไม่ถึง 3 ถึง 4 แต่ก็ฟังอาตมาบรรยายแล้วได้ธรรมรส คนนั้นจะเป็นพระโสดาบันไม่ยากเลย ทิฏฐิของคนเมื่อเข้าใจแล้วฟังแล้วก็จะรู้ว่าใช่เลย เหมือนทางโลกเขาว่าใช่เลยคนนี้ต้องแต่งงานด้วย เหมือนกันกับเราว่าธรรมะนี้ใช่เลยๆ ถ้าไม่ใช่ปัญญาอย่างหลงอย่างหลอกนะ แต่ทุกวันนี้หลอกกันเก่งว่าฉันนี่แหละคือคู่ของเธอใช่

คุณต้องมีปัญญารู้ว่านี่ใช่ คนนั้นจิตเข้ากระแส แล้วมาเรียนรู้คำสอนที่จะรู้

สักกายะ รู้องค์ประชุมที่เป็นกิเลส พออ่านกิเลสถูกต้องแล้วทำการลดกิเลสให้ได้แม้ยังไม่ได้ก็เข้ามรรคแล้ว ลดได้เมื่อใดเป็นผลเมื่อนั้น จนหมดไป 1 ตัวก็เป็นโสดาบัน 1 ตัวแล้ว ให้มีสัจจะนี้แม้เป็นนามธรรมแต่มีจริงได้

สรุปคือ การสร้างเรือนไฟใหญ่เพื่อรับให้คนมาเพื่อจะอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้เป็นบริวาร มันซ้อนลึก เป็นบริวาร ทุกวันนี้มีสื่อสาร ไม่มาก็รับสารที่บ้าน ตั้งใจเรียนรู้ปฏิบัติลดละได้ อันนั้นมันกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาตมาบรรยายมา 45 ปีแล้ว

อาตมาเป็นจอมยียวน ถ้าเป็นหญิงก็น่าเตะแต่มันสวยน่ารัก ชวนให้คนมารักแต่คนมารักแล้วถูกลูกเตะของอาตมาอยู่เรื่อย ใครทนลูกเตะอาตมาได้รักอาตมาตลอดไป แต่คนทนไม่ได้ก็ไม่รัก เหมือนพระพุทธเจ้าว่าให้ฟังผู้รู้ที่ตำหนินี่แหละ จะได้ดีแต่ถ่ายเดียว อาตมาเจตนาทำด้วย ก็รู้สึกชอบจะทำเช่นนั้น

ทุกวันนี้หลอกกันมาก ทำนายกันมาก อาตมายังกลัวสู่แดนธรรมนี้ไปถูกหลอกเลย เพราะมันมีเคล็ดอะไรมากมาย

คำว่าบำเรอไฟ บำเรออาจารย์ จะจริงหรือไม่ก็หลงอยู่นั่น ไม่ได้อะไรจากการบำเรอ มันไม่ใช่โปสะหรือการบำรุง แล้วจะจมในเรือนไฟเหล่านี้อย่างงมงาย

คนออกป่าก็ยังบำเรอคนคืออาจารย์ แต่ไปบำเรอไฟนี่มันวัตถุแล้ว จะสร้างเรือนไฟใหญ่ คุณดูเรือนไฟใหญ่สุดคือ แดนธรรมกายทั้งแดนเลย เขาสร้างขึ้นเพื่อบำเรอ

อย่างอโศกกำลังสร้างก่อไม่ได้สร้างเพื่อบำเรอ แต่สร้างเพื่อศึกษา อะไรจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ โรงเรือน ศาลา โรงเรียน สถานอะไรขึ้นมาต่างๆนานา เป็นองค์ประกอบมนุษยชาติบ้าน วัด โรงเรียน ใช้ความรู้ศิลปะ อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นศิลปิน จะจัดองค์ประกอบให้คนได้รับความเป็นอยู่และการศึกษาที่จะขัดเกลากิเลส

ดูใหญ่ แต่ ใหญ่ในเล็ก

แต่ของธรรมกายละเลียดในใหญ่ สร้างทุกอย่างละเอียดพริ้งเพราเป๊ะทุกอย่างใหญ่ แต่นี่ดูเขรอะเลอะเทอะ แต่แน่น แต่ฝั่งโน้นดูมากมาย แต่ฟ่าม

ถ้าอาตมามีทองคำอย่างเขา อาตมาไม่เอาไปทำฟรุ้งฟริ้งแบบเขาหรอก อาตมาจะเอามาทำถนน ให้ได้ประโยชน์มนุษย์มาเหยียบได้ ไม่ใช่เอาไปทำของบูชาแตะไม่ได้ แต่ของดีวิเศษต้องเอามาใช้ได้

 

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็น

พ่อครูว่า...อย่างที่ธรรมกายทำนี้แหละ เขางมงายได้ที่จริงๆ หลงไปในทางที่เขาต้องเอาสิ่งเหล่านี้ล่อคน อาตมานี่ที่สร้างสถานที่นั้นก็รังเกียจคนมาเที่ยว แต่ให้คนมาศึกษานี้ดี แต่ว่าที่โน่นเขาต้องการให้คนมาเที่ยวนะ

สมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่ 4 ประการดังนี้.

สรุปสี่ข้อนี้คือ ทำให้คนหลงงมงายนั่นเอง ให้มาทำทานเป็นเหยื่อ แม้บางวัดต้องการให้เข้ามาปฏิบัติธรรม แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็เอาคนไปครอบงำให้อยู่ในมิจฉาทิฏฐิอยู่นั่นเอง ….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:11:47 )

590217

รายละเอียด

590217_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ สุดยอดเคล็ดวิชชาพาเป็นสูญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 3 ปีมะแม (วันนี้ออกอากาศที่สันติอโศก) มาถึงวันนี้เหตุการณ์ปัจจุบันโดยเฉพาะเมืองไทย เมืองอื่นเขาไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้กระแสเรื่องของศาสนาเรื่องของธรรมะ กำลังเกิด

ปฏิกริยาของธรรมะกับอธรรม กำลังสังเคราะห์กันน่าดูเลย

เพราะมันเห็นความจริง ยิ่งเกิดการสังเคราะห์เข้าไปก็ยิ่งเห็นความจริง ที่น่ารื่นรมเยศ ก็เพราะว่าธรรมะกำลังชนะอธรรม เขาก็ทำเป็นมีมวลใหญ่หมู่สงฆ์ เพื่อจะตีกินว่านี่คือประชาธิปไตยต้องมีมวลมาก แล้วเขาก็ถ่ายภาพว่ายังมีหนวดอยู่เลยเทียบกับการนุ่งชุดลายพรางชุดเก่า พวกสื่อสารก็เก็บรายละเอียด ก็เห็นคาตามีหลักฐานว่าปลอมตัวมาจ้างมา เหมือนเล่นลิเก

ก็ยืนยันว่านี่คือหมู่สงฆ์แต่เป็นเดียรถีย์ ไม่ใช่หมู่สงฆ์ของศาสนาพุทธ คือหลุดออกจากธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็แพ้ภัยตัวไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ทางด้านการเมืองก็สนุก คุณยิ่งลักษณ์ก็กำลังไปขึ้นศาล

ศาสนาพุทธในโลกตอนนี้กำลังขัดสีฉวีวรรณ ที่น่าพอใจเพราะถึงรอบสุกงอม

การเมืองของเมืองไทยได้สุกงอมจนสุดท้ายได้เกิดการปฏิวัติ ตอนสุกงอม แต่นิดเดียวก็หล่น มันลูกไม้ที่สุกงอม เป็นความจริงที่สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องใช้แรงอะไรมากมายเลย ปฏิวัติที่งามที่สุดในโลก Best Record ที่จะไม่มีอะไร Beat Record ได้เลย กินเนสบุคจะรู้เรื่องแล้วบันทึกไว้หรือไม่นะ ไปเอาแต่ไส้กรอกหรือไข่เจียวใหญ่สุดในโลก แต่สิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบันทึกหรือไม่?

เป็นการปฏิวัติที่งดงามสุดยอดลงตัวที่สุด เกิดขึ้นที่เมืองไทยแล้วก็ผ่านไปแล้วก็ดำเนินอยู่ กำลังจัดสภาพ ก็เกิดการดิ้น พวกที่เสียแต้ม โดนลบเหลี่ยมก็ดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนกับลิงแก้แห แต่มันก็จะพันตัว หนักเข้าหนักเข้า สุดท้ายก็ดิ้นไม่ได้เลยตาย เป็นสัจจะทั้งสมมุติและปรมัตถ์ก็จะลงตัว

ปรมัตถ์คือสัจจะในจิตที่เป็นคุณธรรมที่พัฒนาการ เป็นสัจจะลึกซึ้ง ไม่มีอะไรเบี้ยวหลอกลวง มีแต่ของจริงๆๆ ตลอดมา มาถึงวันนี้แล้ว สุดยอด สิ่งนี้ตามภูมิอาตมา ก็มองตามประสาว่า สุดยอด แต่ประมาทไม่ได้ ถ้าประมาทจะเสียเวลา ก็จะบาดเจ็บสูญเสียไปอีก ที่ไม่น่าสูญเสีย มันควรให้เรียบร้อยไม่สูญเสียอะไรมากมาย เราสูญเสียมาเกินพอแล้ว ตอนนี้ก็ผู้มีหน้าที่ทำไปอย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่ต้องพลิกแพลงมาก ทำไปเต็มที่เลย

พูดไปก็นึกถึงคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณไพบูลย์เป็นหัวหอกนำ อีกคนหนึ่งก็คือ ด็อกเตอร์นายแพทย์มโน เลาหวณิช เพราะเป็นหอกข้างแคร่ของธรรมกายเสียบแล้วเสียบอีก เอาความจริงมาเปิดเผยจนดิ้นไม่ได้เลย และอีกหลายผู้หลายคน ส่วนทางด้านพระ สมณะเราไปยุ่งไม่ได้ทำได้แต่การปฏิกโกสนา ทำได้แต่ว่าตำหนิ หรือด่าด้วยการพูดพร้อมตำหนิว่ากล่าว แต่เราทำเรื่องฟ้องร้องอธิกรณ์กันไม่ได้ เพราะพระวินัยห้ามไว้ ถ้าเป็นนานาสังวาสกัน แต่ท่านพุทธอิสระท่านเป็นสมานสังวาสกันทำได้เลย นอกนั้นก็ไม่เห็นใครเลยในกระบวนพระ มีปากเหมือนมีอูฐพูดไม่ออก อูฐมันพูดไม่เป็น

เราเบิกบานร่าเริงก็ไม่มีอะไรเศร้าสร้อยก็น่ารื่นรมเยศ เพราะว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆก้าวหน้าพัฒนาขึ้นในความเสื่อมเสียผิดพลาดบกพร่อง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน พ่อครูเป็นสยังอภิญญา

ศาสนาอาตมาจะขอไล่ให้ฟังบ้างเป็นระดับๆ ศาสนาของพระพุทธเจ้าพอมาประกาศ ก็จะบริบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ค่อยประกาศจนเจริญขีดสูงสุด พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว การเจริญก็ขึ้นไปอีก ถึงขีดสุด แล้วก็จะเริ่มลด สองพันห้าร้อยปีก็ถึงครึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธ ก็จะเสื่อมลงมา แล้วจะมีพลังใหม่ที่จะดันขึ้นไปอีก curve องศาของการเจริญก็จะสูง แล้วเวลาลงก็จะลงไปช้าๆ เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า

การเจริญหรือการเสื่อมก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ จะเกิดเช่นนี้ตลอดกาลนาน ขออภัยไม่ได้พูดอย่างหลงตน แต่พูดด้วยความมั่นใจ อย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง ว่าจะมีผู้มาฉุดนำศาสนาพุทธขึ้น คนก็รอว่าจะเป็นใครหนอ ก็มีหลายผู้คนมาตู่ว่าเป็นเขา ก็ผ่านไป แล้วก็มาถึงอาตมาก็ตู่ว่าเราคือผู้นั้น ก็ใครคนหนึ่งจนได้แหละ เพราะสัจจะต้องจริง แม้อาตมาทำแล้วไม่ใช่ ก็ต้องมีใครคนหนึ่งแน่ แต่ว่าที่ทำมามีการเจริญ คนใดก็ตามที่จะมาอ้างว่าตนคือผู้กอบกู้ศาสนาพุทธ แล้วได้มานำพา มาหยิบธรรมะพระพุทธเจ้ามากระจายขยายความไหม เท่าที่ผ่านมามีใครเอาพระไตรปิฎกมากระจายอย่างนี้ไหม

มีใครบ้างไหมเอาพระไตรปิฎกมาไล่ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

วิมุตติญาณทัสสนะ ใครทำมาไหม แล้วใครจะทำแบบที่อาตมาทำ ก็ค่อยเป็นไปแต่อาตมาทำ

อาตมาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจะเป็นผู้นี้ ไม่ระแวงเลยว่าจะเป็นโพธิสัตว์ แต่ก็จะมีสัญญาณบอกว่าเรานี่แหละคือโพธิสัตว์ เริ่มแรกที่อาตมารู้ว่าเป็นโพธิสัตว์ก็เผลอพูดออกไป ตอนแรกก็จะระงับไม่ขยายต่อ จนถึงวาระที่มีเหตุปัจจัยที่จะพูดได้ ก็ย้ำว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ตอนแรกก็ไม่ได้ขยายมาก เพราะระลึกอะไรก็ไม่ได้มาก ขยายธรรมะพระพุทธเจ้ายังไม่ได้มาก ก็เลยค่อยทำงานมาจนได้หลักฐาน ได้ภูมิเก่าขึ้นมาด้วย ที่ขึ้นมานี้เป็นภูมิเก่าของอาตมาเอง ยังไม่หมดนะ แล้วก็มาได้พระไตรปิฎก ก็มาเทียบเคียงยืนยันมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังได้จากพระไตรปิฎกไม่หมดนะ เพราะอาตมาไม่ใช่นักศึกษา งานก็เยอะด้วย บริหารทั้งสร้างทั้งก่อ พิพากษาความก็ต้องทำ พยายามอย่าทำเรื่องให้อาตมาพิพากษาสิ ไม่ค่อยมีเวลา ทรมานอาตมามากไปนะระมัดระวังบ้าง

พอทำมาก็ยิ่งมั่นคงชัดเจนมั่นใจ อาตมาเจอคำว่า สยังอภิญญา ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ​ตอนแรกก็สะดุด แต่ว่าตอนหลังก็รู้ว่าเป็นตัวเอง ก็เลยบอกไป พิสูจน์โดยปฏิบัติประพฤติ ทำยืนยันไป ถ้าอาตมาพิสูจน์สัมมาทิฏฐิ ข้อ 1-9 ให้คุณฟังได้เอาไปทำจนบรรลุธรรมได้ตามลำดับ

ข้อที่ 1 ทานอย่างไรให้เกิดผล พวกเราเอาไปทำ ก็เกิดผลจริง

ศีล ที่จะเป็นหลัก ปฏิบัติทำอย่างไรถึงมีผล สัมมา ก็สาธยาย พวกเราเอาไปทำ ก็ได้ผล

หุตัง ได้ผลที่ว่าก็ต้องตรวจจิตคุณ คำว่า ห ,หิ ,โห แปลว่าจริง ก็ได้มีของจริง จิตคุณลดกิเลสจริงไหม

ทำได้ก็เกิดผล รู้ว่าพ้นจากโลกเก่า มาสู่โลกใหม่ ชัดเจนในโลกนี้โลกหน้า รู้จักสัตว์โอปปาติกะ ล้างจิตจากสัตว์นรกมาเป็นอุบัติเทพ สะอาดเป็นวิสุทธิเทพ แข็งแรงตั้งมั่นจนไม่ต้องทำอะไรกับมันอีก สิ่งที่อธิบายมาพวกคุณก็น่าจะทำได้ และเข้าใจได้ บางอย่างยังทำไม่ถึง บางอย่างก็ทำได้ นับหน่วยไม่ได้ ละเอียดมาก นิปปุนา มันไม่ใช่เม็ดมะขามนะ จะนับเม็ดได้ เป็นหน่วยแห่งธรรมะที่ลึกซึ้งมากมาย

สัตว์โอปปาติกะเราก็เข้าใจ แม่พ่อของโอปปาติกะเราก็เข้าใจ คือพลังงานอิตถีเพศ ปุริสเพศที่ช่วยทำให้โอปปาติกสัตว์เกิด เกิดอย่างนามธรรม ไม่มีรกไม่มีซากอะไร เกิดตายไม่มีรกไม่มีซากเลย พอครบเหตุปัจจัยก็เกิด เราก็รู้ปรมัตถ์พวกนี้ อ่านของตนเอง ด้วยการใช้นามใช้ธาตุรู้ อ่านธาตุนามธรรมของเราเอง อ่านจิตเจตสิกเราเองก็รู้หมด มารผี สัตว์นรกก็ของเราเอง ไม่ใช่รูปร่างที่เขาปั้นเอง แต่คืออาการจิตเราเอง คือนรก คือผี คือเทพ คือพรหม รูปพรหม อรูปพรหม ตรวจถึงอรูปพรหม 4 อย่างเอาไปปฏิบัติได้ ไม่ใช่แบบนั่งหลับตา จรณะ 15

ทำได้ครบก็ไม่ต้องบอกว่าอาตมาคือสยังอภิญญา คุณปฏิบัติได้มรรคได้ผล มีใครพูดว่าอาตมาไม่ใช่สยังอภิญญาก็ไม่เป็นไร แต่คุณทำแล้วได้มรรคผลแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่ได้น้อยใจไม่เสียใจกับเรื่องนี้ ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นไม่น่าได้น่ามีน่าเป็นเลยไม่มีปัญหา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน มีสัญญากำหนดรู้อัตตา 16 ชนิด

ในพระไตรปิฎกที่ท่านตรัสถึงอัตตา

ล.9 ในพรหมชาลสูตร ข้อ 46 อัตตาเหนือการตายแล้วมีสัญญา คือต้องมีสัญญากำหนดรู้นะ ไม่ใช่งมงายแบบไม่มีสิ่งที่จะรู้ แต่มันมีสัญญา ทิฏฐิย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือการตายมีสัญญา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้น มีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการนี้

  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 16 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฯลฯ เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ฯลฯ ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคต ตามความเป็นจริงโดยชอบ

[46] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาด้วยเหตุ 16 ประการ ?

สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย

19. (1) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. (2) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา (ที่ว่าไม่มีรูป คือมันมีสภาวะแต่น้อยมาก จนไม่สามารถกำหนดรู้ได้ง่ายๆ อย่างอาฬารดาบส แกไม่สามารถกำหนดรู้ได้ แต่อุทกดาบสรู้ว่ามีละเอียดกว่าอีก รู้ได้ คือเนวสัญญานาสัญญาฯกับอากิญจัญฯ คุณฟังแล้วเข้าใจว่าอุทกดาบสเหนือกว่าอาฬารดาบส ก็จะไปรู้ของคุณเอง คุณทำได้ก็จะไม่ต้องเชื่อใครเลย เชื่อของคุณเอง)

21. (3) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา (อันนี้เป็นธรรมะสองเอาทั้งสองอย่างเลย ก็มีสัญญาอยู่เช่นเดิม เพราะมันยังยั่งยืนอยู่ ยังไม่ปรินิพพาน)

22. (4) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. (5) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. (6) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. (7) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. (8) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา (จะปฏิเสธแต่มันก็มีเพราะยั่งยืนอยู่ คนที่มีวิชชาก็จะกำหนดรู้ ต้องมีสัญญา จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ เอาพยัญชนะมาเรียกทั้งสองมุมอย่างไรก็ไม่ได้ แต่ว่ามันยังมีนะ)

27. (9) อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. (10) อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. (11) อัตตาที่มีสัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. (12) อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. (13) อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32. (14) อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. (15) อัตตาที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. (16) อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

อาตมาก็เป็นสมณพราหมณ์ มาบอกว่าคุณตายไปก็มีสัญญาด้วยเหตุทั้ง 16 นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้น มีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 16โสฬสหิวตฺถูหิ

ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฯลฯ เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ฯลฯ ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคต ตามความเป็นจริงโดยชอบ

เคยย้ำให้พวกเราว่าสุดท้ายท่านโมคคัลลานะ ใครฆ่าท่านท่านก็มีฤทธิ์ชุบชีวิตขึ้นมาได้ ไม่มีสูญสิ้นหรอกเพราะท่านเป็นอมตะ แต่สุดท้ายท่านต้องยอมตาย ถ้าท่านไม่ตายมันไม่หยุด จะเกิดสงครามในโลกสุดท้ายท่านก็ต้องยอม ผู้ถูกจะเป็นผู้ยอมในท้ายที่สุด

สุดท้ายจะจบก็คือผู้ถูกจะต้องหยุด ผู้ถูกจะต้องหยุด ผู้ผิดจะทำต่อ ให้ผู้ผิดหยุดมันไม่หยุดหรอก จะไปหวังให้ทักษิณหยุดมันไม่หยุด เราต้องวางใจ เราก็ทำ สิ่งที่จะจัดการให้จบ อย่าไปแคร์ไปวุ่น จงข้ามพ้นความเป็นทักษิณไปเลย แม้แต่เศษส่วนแห่งทักษิณคือยิ่งลักษณ์ก็ตามธุลีละอองมากข้ามไปให้หมด แล้วจัดการตามสัจจะ วันนี้คือสิ่งที่ถูกต้องก็จบ ถ้าประเทศไทย มีคนรู้ว่าถูกต้องกับไม่ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด แต่ถ้าตัดสินผิดพลาดก็ให้ประเทศไทยซวยไปเถิด แต่ถ้าคนสนับสนุนแล้ว แล้วคุณก็ทำตามภูมิปัญญาคุณว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ทำเลย อาตมาก็ใช้ภูมิปัญญาของอาตมาเลือกคนเชียร์

โลกต้องมีสอง มีอัตตา 0 กับ 1 ทำเอกบุรุษได้ คุณก็ทำให้เป็น 0 นปุงสกลิงค์ของคุณเองได้ ทำโดยอัตโนมัติหรือทำด้วยรู้ก็ตาม ถ้าคุณหลอกก็ไม่จริง แต่ถ้าจริงก็จริง ที่ถูกต้องเป็นสัจจะจะมีหนึ่งเดียว ของพระพุทธเจ้ากี่องค์ๆ ก็ตรงกันหมด ไม่มีเพี้ยนไปจากสัจจะหรอก เราต้องมีสัญญา

ทุกอย่างต้องกำหนดด้วยสัญญา จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องมีสัญญากำหนดรู้ว่าจะทำอย่างไร สัญญาเป็นตัวสุดในขันธ์ 5 นี้แล้ว เป็นตัวสูญอันที่สุด เพราะฉะนั้น สุดอันนี้แล้วสูญจริงๆ ก็มันถึงที่สุดแล้วมันก็สูญ มันสูญจริงๆ แล้วมันก็สุดล่ะไม่มีอีกล่ะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ แล้วตัวที่จะต้องกำหนดรู้คือเวทนา คืออาการ หรือจากอาการก็มาเป็นอารมณ์ ต้องรู้ความเคลื่อนไหวเป็นอาการ เป็นธาตุจิต อาการความเคลื่อนไหวของสิ่งที่ถูกรู้

อาการเป็นรูป อารมณ์เป็นนาม

อารมณ์ความรู้สึก มีอาการเป็นตัวให้เรารู้

ที่จริงนิ้วชี้ของอาตมามีอาการในนี้นะ ที่ท่านว่าเป็นอาการ 32 มีอาการทั้งนั้นแหละ ในอุจจาระ ยังไม่ตัดขาดจากพลังงานที่มันจะร่วมทำงาน เป็นสสัมภาระ พอหมดสสัมภาระที่จะทำงานกับอุจจาระอันนี้แล้ว มันก็ขาดจากสสัมภาระพร้อมจะหลุดออกมา มันขาดจากอารมณ์รู้สึกของเราขาดสนิท ก็จะหลุดออกมา

เล็บของเรา หรือผมของเรา ขนของเรา มันยาวออกมา มันยังมีธาตุพีชะนะ ยังมีพลังงานที่จะเลี้ยง มี protoplasm ที่จะเลี้ยงไว้เป็นธาตุดินนะ ในนั้นมันก็มีอาการพลังงานละเอียดสังเคราะห์ มีชีวิตินทรีย์ยาวออกมาได้ ไม่ได้แห้งนะ

หนึ่งคุณตัดขาด สองไม่ตัดขาด แต่ปลายที่มันชำรุดจริงๆมันแห้งได้นะ เซลล์ที่ละเอียดมันไม่ปรุงร่วมด้วย ก็แห้งไป เมื่อขาดความสดที่เรียกว่า protoplasm

ธาตุ protoplasm เริ่มจากกลละ มาเป็นอัมพุธ มันเป็นธาตุน้ำที่เล็กละเอียด กลละคือ Cell เป็นคำเดียวกัน ก คือ C ส่วน ll คือ ลล คือเซลล์ C ออกซ ก็แล้วไป แต่ที่จริง C คือ ก คือ ท 

เริ่มต้นเกิด primary cell เกิดจาก nich คือห้องว่างหรือ space แรกมันก็มีติดผนังอยู่ไม่ได้แยกมา อะไรเกิดหนึ่งมา ยังไม่เป็นอะไร จากว่างๆ สังเคราะห์มาเป็นธาตุน้ำ ส่วนอากาศหรือลม ก็คือ h กับ o ทางฟิสิกส์ สองธาตุจับตัวเข้า พัฒนาเป็นธาตุที่ 3

1.ว่าง 2.เกิด 1 แล้วเกิด 3 คือมี primary กับ secondary แล้วมีกรอบให้จับตัวกันเรียกว่า protoplasm มันคือสามในตัวมันเองคือสองแล้วมีกรอบถือเป็น สาม tertiary แล้วค่อยเป็น Quarterly ต่อไป

สิ่งทั้งหลายต้องมีสัญญากำหนดรู้ ก่อนตายต้องมีสัญญากำหนดรู้ ที่สุดแห่งที่สุด สุดคือ 0 อย่างนี้เอง คุณก็ทำเอง ไม่มีใครทำให้คุณได้ คุณก็ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ ไม่มีการต่อ

รู้ความเกิดความดับแล้วทำความดับได้จริงๆ จะใหญ่หรือละเอียดขนาดไหน แม้พระโมคคัลลานะทำให้ใครตายได้ท่านก็เลิกทำแล้ว มีแต่คนทำให้ท่านตาย จนสุดท้ายแล้วจริงๆ ก็ไม่มีอะไรนอกจากต้องตาย ท่านก็ยอมตาย ท่านไม่ยอมก็ได้แต่ท่านยอม เพราะฉะนั้นผู้ชนะคือผู้แพ้

ถ้ายังอยู่คุณต้องรู้คุณและโทษ แล้วต้องยังแต่กุศลให้ถึงพร้อมอย่างเดียวสุดวิสัยแล้วได้แค่นี้ ไม่ได้กุศลแต่เราไม่ทำอกุศล แต่ถ้าอกุศลชนะเราก็ต้องจำนนแพ้ สุดท้ายจริงๆผู้ชนะที่แท้คือผู้แพ้

ผู้จะชนะรอบโลกคือผู้นั้นแพ้เป็น ผู้ใดแพ้ไม่เป็น ยิ่งผยองกร่างว่าผมแพ้ไม่เป็น เอ็งชนะไปเถิดนิรันดร ใครจะอยู่กับผู้แพ้...แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง...

เด็กอายุไม่ถึง 20 แต่งเพลงปรัชญานี้ออกมาได้อย่างไร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เคล็ดวิชาแห่งความสงบ

มาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ศาสนาพุทธเกิดขึ้น ตอนนี้มันเสื่อมมาจนถึงยุคกึ่งพุทธกาล อาตมาก็จะต้องมาสืบทอดต่อ

อาตมาคำนวณประมาณแล้วว่าอีก 500 ปีจากที่อาตมาทำไป ก็จะเจริญ อาตมาคงอยู่ไม่ถึงห้าร้อยปีหรอก เชื่อว่าแน่

จากอายุ 151ปี แล้วทำไว้ให้ แล้วคุณสมบัติคุณธรรมที่พวกเรารับไปคนละนิดละหน่อยก็จะสืบทอดเป็นก้อนแห่งธรรมะที่จะเข็นต่อไปจนกว่าจะถึง 500 ปีจะสูงสุด แล้วค่อยเสื่อมไปอีกยาวๆ อีกพันกว่าปี ถึงจะสลาย นี่กำลังขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใช้เวลาห้าร้อยปี จากนั้นค่อยเสื่อมไปหาสูญ อาตมาก็เลิกแล้วหมดหน้าที่อาตมาแล้ว ไว้ทำงานต่อข้างหน้าอีก

ก็ต้องขอบคุณพวกที่ท่องจำไว้ได้มาก คือพวกจับกังแบกลังทอง โดยเฉพาะพวกทิเบต ก็จะแบกลังทองต่อไป คนรุ่นต่อไปก็จะมา พระพุทธเจ้ารุ่นใหม่ก็จะมา พบลังทองก็จะเปิดออกมาใช้ได้แต่จับกังไม่มีสิทธิ์เปิด พวกสวดมนต์คือพวกแบกลังทอง ก็มีประโยชน์ ก็ว่าบ้างไม่ว่าบ้าง

พวกสวดมีทำนองก็สวดไปไม่ต้องถึงกับขนาดนั้นก็ได้ มาสวดแบบชาวอโศกไม่ต้องมีทำนองก็ได้ แต่คุณก็ยังมีรสอยู่ก็ทำไป แต่มันก็น่าเกลียดเหมือนเด็กๆ พระที่แหล่ๆหวยหวนสึกออกมาก็เป็นนักร้องลูกทุ่งหลายคนแล้ว

1.รักษาพระธรรม

2.เอาพระธรรมมาขัดเกลากิเลสได้ มีประโยชน์ทั้งสองอย่างจะเลือกเอาอย่างไหนก็เชิญแล้วอย่าดูถูกเขา จับกังแบกลังทองก็มีคุณค่าประโยชน์ สุดท้ายสรุปว่ามีคุณและโทษ มีเกิดและดับ อรหันต์ก็จะมีสี่อย่างนี้ ท่านดับสนิทแล้ว ท่านสร้างความเกิดแต่คุณไม่สร้างโทษ ผู้มีก็อยู่กับเกิดและคุณ ผู้ไม่มีก็อยู่กับสูญ ตายเท่านั้น

ศาสนาพุทธในเมืองไทยตอนนี้กำลังดีเลย พวกดิ้นก็ดิ้นไป อาตมาก็เห็นว่าผู้ใหญ่แขนยาวมีพลัง ก็จับหัวเด็กเด็กก็ดิ้นไป จับอยู่ไม่หลุด ถ้าเกิดคุณคันหัวใจก็บีบหัวเด็ก ถ้าไม่คันหัวใจก็ปล่อยเด็กดิ้นไป รักษาไม่ให้มาแว้งกัดได้

อาตมาพาพวกเราทำงานทุกวันนี้ก็ยังมีพวกตอแยอยู่ แต่ก็กำลังมีเหตุปัจจัยกำลังเข้ามา มันซ้อนที่อาตมาอธิบายอยู่ เพราะเขาไม่รู้ สองเขามาทำนั้น ทำไมอาตมาไม่ไปทำให้เขาหยุด ก็พยายามให้เขาหยุด จะเอาอำนาจบาตรใหญ่ไปทำเขาก็เจ็บปวดเขาก็ร้ายมันไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าเขามาทำให้เราเจ็บดีกว่า อดทนเอา ถ้าทนไม่ได้ก็ตาย ความตายไม่ใช่เรื่องของความประหลาด ถ้าคุณตายสูญเป็นคุณก็ตาย แต่ถ้าคุณตายโดยคุณยังไม่สูญ แต่ถ้าคุณตายโดยเขาทำแล้วคุณไม่ตอบโต้เขา ผลร้ายอยู่กับใคร? จะไปโง่ตอบโต้ทำไม

ถ้าคุณสูญก็สูญไป แต่คนที่ทำร้ายก็จะเตลิดกิเลสเพิ่ม เขาก็จะไปรับวิบากต่อไปข้างหน้า คนที่ยอมตายไปไม่มีขาดทุนหรอก การตายที่สุดยอดสุดไม่มีอะไรมีแต่ให้เขาอย่างเดียว คุณรับ Action​ โดยไม่มี Reaction ก็จบ จงรับทุก Action โดยอย่ามี Reaction ก็จบ

จะเกิดความสงบนี่คือ เคล็ดวิชาแห่งความสงบ

ขณะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองดีมาก พวกดิ้นเหมือนเด็กก็ดิ้นไป เราสงบก็ไม่ตอบโต้รับ Action ให้ได้ แรงที่สุดคือเราตาย ไม่สูงไปกว่านั้น ถ้าคุณรับ Action​ โดยไม่มี Reaction คุณเป็นอรหันต์ตายแล้วสูญก็ไม่มีอะไรเกิด แม้ไม่ใช่อรหันต์ไม่ตอบโต้ เกิดมาอีกก็ได้สิ่งที่ดี แล้วจะเอาอะไรอีก มีอะไรอีกที่จะดีกว่านี้ ใครไม่เข้าใจ?

เพราะฉะนั้นก็ทนอีกนิดเถอะน่า มีศัพท์คำว่า women touch ตอนนี้คุณ 8 ขากำลังทำอยู่ คำว่า 8 ขาคือองค์ของ 4 สองอันก็จะทะเลาะกัน สี่นี่เกิดจากสามที่เป็นทศนิยมออกมา เป็น 8 ก็ทะเลาะกัน นี่แหละคือ women touch ผู้โง่ก็หลงจริตหญิงอยู่ หลงงมงาย ให้ทักษิณมาอยู่ตรงนี้ก็สู้จริตหญิงของยิ่งลักษณ์ไม่ได้ ตอนนี้เป็นหางแล้ว หัวนั้นแก่และเน่าแล้ว นี่แหละคือหางจิ้งจกที่ตัดออกมาแล้วดิ้นๆๆๆ หางจิ้งจกสุดท้ายแล้ว คนชื่นชมก็ทำไป ตัวสงครามของ สี่กับสีี่คือแปดขา

กำลังดิ้นเฮือกสุดท้าย อาตมาเห็นแล้วก็ว่าวิบากใคร เหตุปัจจัยที่ลงตัวจะเป็นเช่นนี้ เทวทัตเกิดมาเพื่อให้พระพุทธเจ้าเด่นฉันใด สิ่งที่เกิดในโลกนี้ไม่มีอะไรประหลาด คนหลงก็หลงไปคนไม่หลงก็ชัดเจน

เราทำพากเพียรของเราไป ตอนนี้แก่นแกนอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีแก่นไปไม่รอด

สิ่งจะจบสุดท้ายต้องเป็นเลขคี่ ถ้าเป็นเมถุนไม่มีจบ

                             

โลกที่เปิดกว้าง แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย

          *********************************************

          (1) เอ.อี.ซี.เปิดแล้ว          เป็นไป

          จักเผล็ดผลอย่างไร                   เกิดบ้าง

          วาดหวังสุดสวยใส                     เลอเลิศ

          โดยเริ่มหัวข้ออ้าง                      ยกขึ้นชูประเด็น

 

          (2) เป็นคำความเรียกโก้            ประชาคม

          เศรษฐกิจอาเซี่ยนรม                 เยศรื้น

          จักสร้างเศรษฐกิจสม                 ใจวาด หวังฤา

          เมื่อโลกยังครึกครื้น                   อยู่ด้วยโลกีย์

 

          (3) เศรษฐกิจมีแบบให้              ศึกษา

          แบบหนึ่งโลกุตรา                      ใหม่แท้

          ซึ่งต่างจากโลกิยา                     โลกเก่า

          หากไม่เปลี่ยนแบบแล้                เก่าซ้ำบ่สม

 

          (4) รมเยศคงล่มะย้ำ                  เยี่ยงเดิม(ล่มะย้ำ=ล่มย้ำ ออกเสียงล้อคำรมะเยศ)   

          เศรษฐกิจอำนาจเหิม                 มหะหล้า

          โลกาธิปไตยเสริม                      ความใหญ่

          เซลฟิชก็เก่งกล้า                       ยึดข้า..อธิปไตย(เซลฟิช=selfish=เห็นแก่ตัว)

 

          (5) แก่นใจคือแก่นแท้               ชาติตน

          เป็นแก่นแห่งใจคน                    ทุกผู้

          หากสร้างแก่นใจผล                  แก่นชาติเลยแล

          อำนาจจึงจักกู้                           โลกไว้ดังหวัง

 

          (6) หากใจยังไป่แท้                   แก่นจริง

          แก่นชาติใดก็อิง                        เก่าแล้ว                

          อาเซี่ยนก็คงชิง                         กันใหญ่

          เศรษฐกิจจึงบ่แคล้ว          วิบัติซ้ำคงเดิม       

         

          (7) ถ้าเสริมสร้างแก่นให้          ภายใน

          ตรงแก่นคือมุ่งใจ                      วิสุทธิ์ได้

          บรรลุอธิปไตย                           จนครบสามเฮย

          โลก,อัตตา,ธรรม ไซร้                อำนาจนี้แก่นชัย

 

          (8) ไทยพาอาเซี่ยนให้              ลุผล

          เศรษฐกิจแบบคนจน                  วิเศษฟ้า                         

โลกมหัศจรรย์สน                     ธาดั่ง หวังเลย*(สนธา=คำมั่นสัญญา,ปรองดอง)

          อาเซี่ยนเรืองรุ่งหล้า                  แน่แท้จริงจริง

 

          (9) หยุดอิงอำนาจค้า                โลกีย์ ทีเทอญ

          กถาวัตถุธรรมมี                         สิบข้อ

          อัปปิจฉะ,สันตุฏฐี,(มักน้อย,พอเพียง)      ปวิเวก,อสังสัคค์,(สงบ,ไม่สร้างสวรรค์)

          วิริยารัมภะ(เพียรอยู่เสมอ)ก้อ     ครบห้ากถาธรรม

 

          (10) สำหรับผู้ใฝ่รู้                    ศึกษา

          ผลทวิ-ไตรสิกขา                       อีกห้า

          ศีล,สมาธิ,ปัญญา,                      วิมุติ,แจ้งวิมุตติ(วิมุตติญาณทัสสนะ)

          ปฏิบัติให้กาจกล้า                      จักได้ดังหวัง

 

          (11) สมดังพระวจนะผู้              อยู่เศียร      

          เศรษฐกิจพอเพียงเพียร             สำเร็จได้

          ขาดทุนสู่ทางเธียร                      ผลยิ่งกำไรแฮ

          ระบอบแบบคนจนไซร้               ทิฏฐิต้องสัมมา

 

          (12) ศึกษาลำดับให้                  สำคัญ

          ฝึกมักน้อยกำหนดกัน                 ต่างผู้

          เหมาะสำหรับใครสรร               กำหนดแก่ ตนแล

          สันโดษ-ใจพอรู้                         อ่านด้วยอาการกาย

 

          (13) อุบายพาสงบได้                ตามมา

          ใช่สงบ(ปวิเวก)ด้วยวิชา                  สะกดไว้

          ยิ่งสัคคะอสวรรคา                     อุตตริ ไปเลย

          ไม่ทุกข์ไม่สุขไซร้                     สงบฟ้าเกินสวรรค์

 

          (14) สุดขยันสรรค่าสร้าง          คุณวิเศษ

          วิริยารัมภะเหตุ                          วิศิษฏ์แท้

          เศรษฐกิจจึ่งเกินเกรด(grade)          ชาวโลก

          เป็นโลกเหนือโลก(โลกุตระ)แล้         แต่ล้วนเป็นจริง

 

          (15) พิงธรรมพิเศษไซร้            โลกุตระ

          โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น

          อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย

          ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร                

 

                                                 สไมย์ จำปาแพง 4 ม.. 2559

          [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 307 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2559]

 

ลีลาอาตมามันยียวน อย่างพล.อ.ประยุทธ์ แต่คนละสถานะ คุณสังเกตไหมว่าในหลวงก็แต่งเพลง พล.อ.ประยุทธ์ก็แต่งเพลง เพราะน้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน มันเป็นนิมิต แม้จะทำอยู่คนละซีกโลกนะ ก็อันเดียวกัน

คลื่นจะพังหรือเรือจะพัง...อาตมากำลังจะสร้างคลื่นที่เรือโคกใต้ดิน เป็นโคกนะแต่อยู่ใต้ดิน ตอนนี้รอท่านพอแล้วอยู่ ก็มีแสงศิลป์สเก็ตภาพไว้ มีเรือนาวาบุญนิยม มันลักษณะคล้ายเรือโนอาห์ ในสายเทวนิยมแต่นี่เรือนาวาบุญนิยม โต้คลื่นของยุคนี้ จะดำเนินไปเป็นนาวาบุญนิยมไม่ใช่นาวาทุนนิยม

ถ้าใครเข้าใจบุญนิยมไม่ได้ เขาหลงบุญกันไม่โงหัว อธิบายผิดลงนรกกันด้วยคำว่าบุญกันระนาวเลย บุญเป็นธรรมาวุธสุดยอด คนสุดยอดแล้วไม่ใช้อาวุธ ไม่เชื่อถามโกวเล้งก็ได้ ไปถามกิมย้ง

บุญคืออาวุธทำร้ายกิเลส เมื่อใช้เสร็จแล้วรีบทิ้ง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมี ใครอย่าไปอยากได้บุญ แต่ต้องประกอบอาวุธให้เป็น ประกอบเองนะ ซื้อหาเอาไม่ได้ ประกอบแล้วชำระกิเลสของตนให้เสร็จ ชำระเสร็จแล้วก็ทิ้ง การไปเอาบุญมาหลอกกันโดยที่ไม่เข้าใจวิธีสร้างอาวุธบุญ สร้างใช้เสร็จแล้วรีบทิ้ง

การเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ถึงได้นรกแก่ตนเอง ใครเอาบุญมาหลอกเอาเงินก็ตกนรกหมกไหม้ขนาด ถ้าไม่มีอาตมามาปรากฏไม่มีใครอธิบายเรื่องบุญให้คุณได้ เชื่อไม่เชื่อก็แสดงให้ฟรี เอาไปใช้ให้เป็น

คำว่าใช้อาวุธแล้วรีบทิ้งนี่สำคัญนะ

ท่าทีนี้ จงดูอย่างในหลวง ในหลวงเราเป็นผู้ใช้อาวุธครั้งเดียวทั้งนั้นแล้วจบ อย่างมากไม่เกินสามครั้งเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ท่านใช้อะไรก็แล้วแต่สามครั้งจบแล้วไม่ทำต่อ เหมือนในหลวงเราก็เหมือนกัน เพราะถือว่าสามครั้งครบเลข 3 แล้ว ผู้บำเพ็ญต้องรู้จักสิ่งนี้...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:12:23 )

590218

รายละเอียด

590218_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ นิสสัคคียปาจิตตีย์

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ใช้ความสงบ สยบความรุนแรง

วันนี้มาพูดเรื่องธรรมะ และธรรมะก็เกี่ยวกับสังคม เกี่ยวกับมนุษยชาติทั้งนั้น ตัวเราก็ทำธรรมะในตัวเราให้เจริญได้ดีขึ้นและพัฒนาขึ้นจริง แล้วเราก็จะมีพฤติกรรม เพราะเรามีธรรมะในตัวเรา เราก็จะมีพฤติกรรมร่วมในสังคมดีขึ้น

ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม พฤติกรรมเราไม่ได้แก้ไขกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม เราปล่อยให้กิเลสครอบงำ กิเลสมันไม่หยุดยั้ง ไม่หยุดหน้าที่ ไม่หยุดทำงาน มันขยันจริงๆ

ตัวอย่างตั้งแต่นอนยังไม่ตื่น กิเลสติดนอนก็เล่นงาน ให้ยังไม่ตื่น ถึงเวลาทำงาน เข้าเล่นงานอีก พอตื่นมาแล้วเดี๋ยวก็อยากกินอะไรต่างๆ อยากจะทำอย่างนั้น บำเรอจิตตัวเอง กิเลสเป็นตัวสั่งการตลอดเวลา แม้แต่กลางคืนก็มาปั่นเป็นฝัน ละเลงตลอดเวลา คนเราจึงตกต่ำ ยิ่งไม่สำเหนียกไม่ระวังว่าชีวิตต้องมาเอาธรรมะเพราะสิ่งที่จะมาสู้กิเลสปราบกิเลสได้ก็มีแต่ธรรมะ และต้องเป็นธรรมะที่สัมมาทิฏฐิด้วย ถ้าไม่ใช่ธรรมะสัมมาทิฏฐิก็มีแต่จะเสริมกิเลส

ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็มีกิเลสกินตัวเลย กิเลสกินหัวใจด้วย แล้วก็หลงผิด พาผู้ที่มานับถือหลงผิดด้วย เกิดกิเลสตามไปด้วย ตัวมิจฉาทิฏฐิที่ไม่รู้ความจริงถึงทางออกที่ถูกต้อง ถึงทำให้กิเลสโตตลอดเวลา ด้วยความไม่รู้ด้วยความหลงผิด นี่คือสัจจะ

เพราะฉะนั้นคนที่จะปฏิวัติ ปฏิรูป วิวัฒนาการ ทำให้สังคมให้บ้านเมืองเกิดความเจริญในแต่ละบุคคล ต้องเรียนรู้เรื่องกิเลส ซึ่งกิเลสก็จะมาก่อกรรม ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องกรรม ขอยืนยันเลยว่าประเทศชาตินี้ ไม่สามัคคี ไม่เป็นอยู่สุข เพราะฉะนั้นตอนช่วงนี้ก่อนจะนำเรื่องราวอธิบาย ก็เตรียมเพลงไว้สองเพลง ลองเอาเพลง 2 เพลงนี้นำดู

 

เพลง: สันติภาพประกาศิต

คำร้อง/ทำนอง: รัก รักพงษ์

 

ขอ..มั่นยืนยันกันสุดซึ้ง

สันติภาพพึงเพียรเข้าถึงดั่งฝัน

ต้องทำ กรรมของตนนั้น คั้นมาเป็นบุญ

แม้ จะรวมหัวกันขั้นไหน

สูงจนต่อให้รั้งโลกไว้หยุดหมุน

แต่คน ไม่ย้ำกรรมหนุนบุญตนก่อนใครๆ

จะก่นหาคนร้อง ให้แซ่ซร้องปานใด

ก็ไม่สมความหวัง ดั่งขานไข

ถ้าไม่ทำให้คนประพฤติตนจนแจ้งธรรม

ผอง..กิเลสตนตัวชั่วร้าย

สันติภาพกลายเป็นเล่ห์ซ้อนบ่อนซ้ำ

ให้คนทนทุกข์ถลำเพราะทำไม่ถูกทาง

 

เพลง: มาร์ชประเทศคือชีวิต

คำร้อง/ทำนอง: รัก รักพงษ์

 

แม้ลองคิดชีวิตคน กลไกในร่าง ดังหนึ่งประเทศไซร้

ทั้งชีวิตร่างกายเทียบคล้ายดังแดนประเทศ

จากเขตแดนผองชน หน่วยงานทั้งสิ้นจนถิ่นเนาว์

เทิดองค์กษัตริย์ไซร้ ดั่งดวงใจของเรา

ถนอมและเฝ้าเชิดชู สุดชีวี จวบจีรกาล

ยกเอามันสมอง เป็นเหมือนรัฐบาลป้อง

ซึ่งคอยตรองคิดคุม ช่วยอุ้มชูมิให้ชีพแหลกราญ

เฝ้าคอยบริหาร สั่งบงการผลงาน

เสริมพัฒนาการ ให้ชีวีดีดั่งหวังปอง

 

ประชาชนนั้นเป็นเช่นดังสายเลือด

ไม่แห้งเหือดหายไปจากกายพี่น้อง

กระทรวงทบวง หรือรวมทั้งกรมและกอง

เปรียบระบบของประสาทในร่างกายของเรา

 

หากส่วนใดเสียไป เหมือนกายพบโรค

ต้องทุกข์โศก ทรุดโทรมเสื่อมทรามโฉดเฉา

หากแม้นแรงร้าย ถึงตาย คล้ายดังชาติเรา

หากเมามัวเขลา ใครบ่อนใน ชาติไทยสูญสิ้น

 

รักแดนถิ่นดินไทย ต้องสามัคคีเหมือนดังทั้งอวัยวะ

ไม่ปล่อยปละ หน้าที่ ทำทุกอย่าง

ทั้งคิดทั้งจิตถาง ทางก้าว เดิินชูช่วยชีวี

หากต่างดี จิตดี เลือดเดินดี ประสาทดี

สมองดี ชีวิตมั่นขวัญยืน

ชีพเช่นไร ประเทศคงคล้ายกัน

มาเถิดมาเสกสรร สร้างเมืองไทยให้แน่น เป็นแผ่นผืน

เชิดชูไทย ในทุกทาง ให้ยั้งยงยืน

ไทยทุกคนตื่นเถิด ประเทศคือชีวิตเรา

 

ได้ฟังเพลง สันติภาพประกาศิต หมายความว่าสิ่งที่จะพูดเป็นคำตายคำศักดิ์สิทธิ์ว่า จะให้เกิดสันติภาพต้องทำกรรมตนให้ดี ให้ได้ผลวิบากกรรมที่เป็น

อาริยธรรม ถ้าแค่ผลวิบากแค่กัลยาณธรรมมันก็ดี แต่แก้ปัญหาสังคมได้ยาก ยิ่งยุคนี้ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ใช้กัลยาณธรรมแก้ไขปัญหาสังคมที่เหลวแหลกเช่นนี้ไม่ได้

คุณธรรมกัลยาณธรรมที่รวมกันนี้ต้านความชั่วร้ายของสังคมนี้ไม่ได้ ต้องใช้อาริยธรรมหรือโลกุตรธรรมถึงแก้ได้ นั่นคือต้องใช้ “ความสงบ สยบความรุนแรง” ของกิเลสยุคนี้ให้ได้ ฟังแล้วเป็นคำพูดที่ดูเหมือนว่า...เอาความสงบไปรบกับเขา ไม่ทำร้ายเขาแล้วศัตรูจะกลัวหรือ อันนี้เป็นประเด็นปัญหา

คนที่เข้าใจด้วยปัญญาก็ปัญหาหมด คนไม่รู้ไม่มีปัญญารู้จะเป็นเจ้าปัญหาไม่เชื่อตลอดไป มีคำถามตลอดไป แต่ผู้ที่เข้าใจสัจจะความจริงได้แล้วก็เป็นผู้มีปัญญาชัดเจน สังคมประเทศไทย มีพระเจ้าแผ่นดินของประเทศ เป็นประชาธิปไตย ที่มีพระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข หรือกษัตริย์เป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยสองขา เป็นประชาธิปไตยที่มีทั้งกายและจิต มีองค์ประกอบองค์รวมเป็นชาวประชาชนและมีพระมหากษัตริย์ ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจ

เมื่อตะกี้นี้ เพลงประเทศคือชีวิต ก็บอกแล้วว่าในหลวงคือหัวใจ รัฐบาลเหมือนสมอง ประชาชนเหมือนเลือด แล้วในหลวงเราเป็นความสงบสยบความเคลื่อนไหว จะเรียกว่าพระปรีชาหรือพระกรุณาธิคุณก็ได้ เป็นพระบริสุทธิคุณของในหลวง

เป็นเรื่องหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่ใช่สาธารณะของปุถุชน ไม่ใช่ของเข้าใจได้ง่าย แต่เป็นของชั้นอาริยะชนที่จะเข้าใจได้ แล้วไม่ใช่ของเพ้อเจ้อ แต่เป็นความจริงที่ในหลวงช่วยประเทศไว้ได้ หรือว่าที่อาตมาพาพวกเราไปแสดงความสงบสยบความรุนแรง ที่จริงเขาจะเตรียมเหตุการณ์วันที่ 18 กพ.57 แต่ว่าอาตมาปรามไว้มันจะแรงไป ภาพในวันนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดจริงในประวัติศาสตร์เลย ผู้เคยเห็นก็จะพบว่ามีความสงบเป็นธรรมฤทธิ์ สยบความเคลื่อนไหวได้ มีการฆ่าแกงกันด้วยอาวุธ ปะทะกัน

ทางฝ่ายที่เป็นฝ่ายโน้นเขาคุยโม้ว่า เอาเสาไฟฟ้าลงก็ได้รับเลือกตั้ง คนที่พูดคำนี้ พูดด้วยความโง่ซับซ้อนยกกำลัง เพราะว่าถ้าคุณส่งเสาไฟฟ้ามาจริง แล้วคนที่ไปเลือกคนเหมือนเสาไฟฟ้าไปเป็นสส. นั่นคือประเทศไทยโง่ชัดๆ คนนั้นเขาพูดเองว่า เอาอย่างนี้ก็ชนะ เพราะเขามีค่ายกลที่เป็นเล่ห์เหลี่ยมซื้อเอาไว้ กดข่มเอาไว้ผูกเอาไว้ เป็นการสร้างอำนาจของมนุษยชาติที่ทำมา เขาก็ทำได้ แต่ไม่ใช่คนจำนวนมากของไทยนะ อย่ามาพูดว่าได้คนเป็นส่วนมากของประเทศ อาตมาไม่เชื่อว่า คนในประเทศไทยส่วนมากจะโง่ไปเลือกเสาไฟฟ้า เป็นสส.

ที่เรียกว่าสงฆ์หมู่ใหญ่ อาตมาก็ไม่เชื่อว่าสงฆ์หมู่ใหญ่จะไปเลือกเสาไฟฟ้า อาตมายังเชื่อว่าภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จะถูกเขาจูงจมูกไปหรือเปล่า สำเหนียกสำนึกนะ ภิกษุทั้งหลายที่ได้ประพฤติเช่นนี้ นี่พูดทวนกรณีต่างๆ ที่ยังเป็นข่าวคราวเกิดเรื่องราวกัน ทั้งถกกัน ทั้งพยายามที่จะวินิจฉัยกัน นี่ก็รอแต่ว่าจะตัดสินเด็ดขาดกันเมื่อไหร่ อาตมาก็พูดในเหตุผล  หลักการ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ประเด็นนิสสัคคียปาจิตตีย์

วันนี้รายการสปริงนิวส์มาสัมภาษณ์อาตมา จะออกไปในประเด็นเรื่องธรรมะพระพุทธศาสนาที่เกิดกรณีขึ้นนี้ ก็ขอสรุปสู่จุดสำคัญที่เป็นประเด็นที่ยังไม่ตอบโจทย์ไม่ตอบคำถามนี้คือ ประเด็นของนิสสัคคียปาจิตตีย์

 

นิสสัคคียปาจิตตีย์ = อาบัติปาจิตตีย์อันทำให้ต้องสละของนั้นเสีย            ***********************************************************************
          นิสสัคคียปาจิตตีย์ = อาบัติปาจิตตีย์อันทำให้ต้องสละของนั้นเสีย
          นิสสัคคียปาจิตตีย์ หมายความว่า จิตที่ยังยินดีในสิ่งที่มี, จิตที่ยังมีอารมณ์กับสิ่งที่มี
          นิสสัคคียวัตถุ แปลว่า ของที่เป็นนิสสัคคีย์, ของที่ต้องสละ
          นิสสัคคะ แปลว่า สละแล้ว
          นิสสัคคีย แปลว่า ควรสละหรือเลิก, สิ่งที่ไม่ควรรับเอาหรือละทิ้งเสีย, อันต้องให้สละสิ่งของ
          ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตก, ซึ่งเมื่อต้องแล้วย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการแสดง, ชดเชยความผิดที่แล้วมา
          ดังนั้น ผู้ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ จึงได้แก่ ภิกษุของพุทธศาสนาที่ยังมีจิตยินดีในของที่ไม่ใช่บริขาร อันต้องสละของนั้นออกไปเสีย หากยังไม่สละก็ยังคงเป็นภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบที่ยังชื่อว่ามีของที่ตนยินดีนั้นอยู่ ไม่เว้นไม่ว่าจะเป็นภิกษุบวชใหม่หรือสังฆราชนะ แม้แต่รถเบนซ์ที่มีชื่อของตนไม่สละออกนี่คือ

นิสสัคคียปาจิตตีย์ตลอด

ภิกษุสะสมของที่ไม่ควรก็ผิดพระธรรมวินัย ไม่ได้สละออกตราบใดก็ต้องอาบัติข้อนี้ไปตลอด
          ภิกษุของพุทธเมื่อเข้ามาบวชนั้น ชื่อว่า ผู้ต้องสละทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชานทรัพย์สินเงินทองออกไป คือ โภคคัคขันธาปหายะ จะมีก็แต่ของที่อุปัชฌาย์จะมอบแค่บริขารเท่านั้นให้ไว้สำหรับตน
          ภิกษุที่สะสมข้าวของที่นอกจากบริขาร หรือทรัพย์สินที่เป็นของมีค่า ของใหญ่ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมยานพาหนะ ฯลฯ สะสมของอันไม่ควรนั้นผิดธรรมวินัยข้อนี้เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์อยู่ตลอดที่ครอบครองอยู่
          ผู้ที่ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์นั้น คือ ผู้ที่ยังมีจิตยินดีในสิ่งที่ตนมีในครอบครองนั้น โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่บริขาร สิ่งที่เป็นวัตถุที่ไม่ควรครอบครอง เมื่ออยู่ในครอบครองก็ต้องสละออกเสีย
          ส่วนผู้ที่มีของนั้นในครอบครอง แต่จิตก็ไม่ได้มีอาการชอบหรืออาการชังของนั้น จิตมีอาการเฉยๆ อาการกลางๆ หรือมีอาการแค่รู้สิ่งนั้นคืออะไร ก็รู้สิ่งนั้นว่า สิ่งนั้น เป็นอย่างนั้น มีอย่างนั้น ตามความมีจริงเป็นจริงของมันเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ไม่มีเวทนาที่เกินไปกว่าอาการรู้ความจริงตามความมีจริงเป็นจริงของมันเท่านั้น

แม้ของนั้นเราจะครอบครองอยู่ก็ไม่อาบัติ แต่ของนั้นก็ควรเอาออก แต่ถ้ายังไม่เอาออกคือผู้มีอาบัติติดตัวตลอดกาลนาน แล้วผู้มีอาบัติติดตัวนี้จะถูกเสนอเป็นผู้บริหาร เป็นกรรมการพิจารณาความทำสังฆกรรม เป็นอุปัชฌาย์ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่บริสุทธิ์ อปกตัตตะ

สมมุติว่า คนที่ถือเงิน ห้าร้อยบาทก็เกินห้ามาสกแล้ว กับคนที่ถือเงินสิบล้านก็เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์เท่ากันนะ เงินที่เขาบริจาคเงินผ่านมานะ คำว่าเงิน ชาตรูปรชตะ เงินภิกษุมีไม่ได้ มีแล้วนิสสัคคียปาจิตตีย์ทุกบาททุกสตางค์

ในสาราณียธรรม 6 มีข้อที่ว่า ลาภธัมมิกา คือที่ได้ลาภมาต้องเอาเข้ากองกลาง สาธารณโภคี ในพระไตรปิฎก ล.22 ข.282 สาราณิยสูตร
          ถ้าผู้มีของนั้นในครอบครอง จิตยังมีอาการชอบหรืออาการชังของนั้น จิตมีอาการไม่เฉย มีอาการไม่กลาง หรือมีอาการไม่แค่รู้สิ่งนั้นคืออะไร ก็รู้สิ่งนั้นว่าสิ่งนั้น เป็นอย่างนั้น มีอย่างนั้น ตามความมีจริงเป็นจริงของมันเท่านั้น แต่ไม่มีอารมณ์มีเวทนาที่เกินไปกว่าอาการรู้ความจริงตามความมีจริงเป็นจริงของมันเท่านั้น ผู้นี้ก็ไม่นิสสัคคียปาจิตตีย์
          ผู้ยังมีอารมณ์ไม่เฉยๆ ไม่กลางๆ หรืออุเบกขา หรือยังมีสุขมีทุกข์ หรือยังมีดูดมีผลักจริง เพราะยังมีอาการของความสุขความทุกข์ หรือความดูดความผลัก หรือไม่เป็นอทุกขมสุข (อุเบกขา) ผู้นี้ก็เป็นผู้นิสสัคคียปาจิตตีย์
          และผู้ไม่มีอารมณ์ มีแต่ความรู้สึกเฉยๆ กลางๆ หรืออุเบกขา หรือไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรือไม่มีดูดไม่มีผลักจริง เพราะไม่มีอาการของความสุขความทุกข์ หรือไม่มีความดูดความผลัก หรือเป็นอทุกขมสุข(อุเบกขา) ผู้นั้นก็ไม่มีอาบัติ ไม่เป็นผู้

นิสสัคคียปาจิตตีย์
          ผู้ที่ได้เรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิจึงจะสามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงเวทนาทั้งหลายจากผัสสะเป็นปัจจัย และสามารถปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิ โดยมีอายตนะ 6 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้บริบูรณ์สัมบูรณ์
          ผู้มีผัสสะหรือการสัมผัส จึงเกิดเวทนา แล้วเรียนรู้จากเวทนาในเวทนา 108 จึงสามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง เวทนาทั้งหลายประดามี หรืออารมณ์ทั้งหลายที่มีทุกข์มีสุข และสามารถทำให้ดับทุกข์ดับสุข - ดับโทมนัสดับโสมนัสเสียได้ จนกระทั่งสามารถทำจิตให้เป็นอุเบกขา หรือไม่ทุกข์ไม่สุขได้อย่างรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในธรรมอันเป็นปัจจุบันนั้นทีเดียว
          ซึ่งสามารถรู้ได้ทั้งลักษณะของสิ่งนั้นภาวะนั้นว่า มีลักษณะเข้าข่ายธาตุดินหรือธาตุน้ำหรือธาตุลมหรือธาตุไฟหรือธาตุอากาศหรือธาตุวิญญาณ
          รู้ทั้งสสัมภาระของสิ่งนั้นภาวะนั้นว่า มีสสัมภาระ คือ มีอาการทำการปรุงแต่งสะสมความเป็นอย่างนั้นมาเป็นตัวเอง เป็นของตัวเอง อยู่อย่างไร? หรือไม่? แค่ไหน?  หรือรู้ว่าไม่มีอาการทำการปรุงแต่ง สะสมความเป็นอย่างนั้นมาเป็นตัวเอง เป็นของตัวเองเลย
          รู้ทั้งอารัมมนะของสิ่งนั้นภาวะนั้นว่า มีอารมณ์ หรือมีแค่อาการ
          มีอารมณ์คือ รู้ว่าในความรู้สึกของเรา มีอาการสุขหรืออาการทุกข์-มีอาการชอบหรือชัง ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่เป็นกลาง ไม่เฉยๆ หรือไม่สักแต่ว่ารู้สิ่งนั้นภาวะนั้นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นภาวะนั้นเท่านั้น
          รู้ทั้งสมมติของสิ่งนั้นภาวะนั้นว่า มีการกำหนดสมมติกันในสังคมหรือในภาษาเรียกว่าอย่างไร? หรือไม่?

แต่นี่เป็นที่รู้กันว่ายังเป็นของท่านอยู่นะ ไม่ได้สละออก แม้แต่สิ่งที่ได้มานี้ไม่บริสุทธิ์ ผิดกฏหมายด้วยนะ ในพระวินัยว่าไปเดินร่วมกับผู้โกงภาษีในระยะชั่วบ้านหนึ่งเป็นการโกงภาษีด้วยก็ปาราชิก (ท่านสมณะเดินดินแก้ข้อมูลภายหลังว่าแค่ ปาจิตตีย์ ไม่ถึงปาราชิก)

นี่ก็ดูกันว่าจะตัดสินอย่างไร หรือจะรักษาหน้ากัน ไม่ได้ไปหาเรื่องใส่ความนะ แต่พูดถึงข้อควรระวัง ขนาดผู้เป็นภิกษุมาถึงสมเด็จทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ อย่าปล่อยให้คนผิดขึ้นไปมีอำนาจ เป็นการป้องกันความเสียหาย
          ส่วนผู้ที่ไม่มีผัสสะเรียนรู้ ก็จะไม่มีทั้งลักษณะ-สสัมภาระ-อารัมมนะ-สมมติ ให้ศึกษา การจะรู้ได้ดังที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีการสัมผัสสิ่งนั้นภาวะนั้นด้วยอายตนะ 6

โดยเฉพาะไม่มีอารัมมนะ ซึ่งเป็นอาการที่มีอารมณ์หรือเวทนา เพื่อเรียนรู้และปฏิบัติให้หมดสิ้นอกุศลเวทนาไปจากจิต จึงจะเป็นฐาน หรือเป็นที่ตั้งแห่งความเป็น-ความมีในโลก หรือความเป็นอัตตาที่ได้ขจัดโลกขจัดอัตตาไปจากจิตใจได้ครบบริบูรณ์ภาวะในความมีของสิ่งทั้งหลายภาวะทั้งหลายที่เป็นสมบัติโลก
          พระพุทธเจ้าว่า ธรรมะของท่าน มีศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก มีปัญญาเป็นกระพี้ มีวิมุติคือแก่น มีลาภสักการะ สรรเสริญเป็นกิ่งก้านใบดอกผล

ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่ ลาภสักการะสรรเสริญเป็นกิ่งก้านใบดอกผล ศีลก็ไม่มี พร่องแล้ว สมาธิก็ไม่สัมมาทิฏฐิ 10 ไม่รู้ตั้งแต่ทินนัง ยิตถัง หุตัง สรุปว่าเหมือนในเรื่องพระมหาชนก ที่ประชาชนโค่นต้นมะม่วงเพราะหลงแต่ผลมะม่วง

ตอนนี้มีการแสดงมวลพระออกมา ว่าใหญ่ว่ามาก อย่าไปหลงเช่นนี้เลย การแสดงออกไม่เป็นสมณะเลย สลดกับศาสนาพุทธ
                  

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดให้เรียนรู้โลกุตระ 46 ซึ่งประกอบด้วย โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วมีมรรค 8 ผล 1 อีก 9 เป็นภาคผล รวมกันเป็น 46

ผู้เรียนรู้และได้ปฏิบัติจนครบสัญญา กำหนดรู้ความเป็นอัตตาและความเป็นโลกบริบูรณ์
          ในประดาอัตตาที่เหนือไปจากการตาย มีสัญญา จึงเรียนได้ จึงรู้ได้ ก็บัญญัติอัตตาไปตามที่รู้ได้เรียนได้ อยู่ในสัญญีทิฐิ 16 เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาเปิดเผย ไม่มีอัตตาอื่นใดอีกแล้วมากไปกว่านี้ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 46
          ในประดาอัตตาที่เหนือไปจากการตาย ไม่มีสัญญา จึงเรียนไม่ได้ จึงรู้ไม่ได้ แต่คนที่ไม่รู้ (อชานโต)-ไม่เห็น (อปัสสโต) ก็ยังบัญญัติอัตตาไปตามที่ตนไม่มีสัญญานั่นแหละ ก็อยู่ในอสัญญีทิฐิ 8 เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาเปิดเผย ไม่มีอัตตาอื่นใดอีกแล้วมากไปกว่านี้ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 47)
          ในประดาอัตตาที่เหนือไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ จึงเรียนไม่ได้ จึงรู้ไม่ได้ เพราะยังไม่แท้จริงครบครัน ก็เป็นแค่คนที่ไม่รู้ (อชานโต)-ไม่เห็น (อปัสสโต) ก็ยังบัญญัติอัตตาไปตามที่ตนมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่นั่นแหละ ก็อยู่ในอสัญญีทิฐิ 8 เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาเปิดเผย
ไม่มีอัตตาอื่นใดอีกแล้วมากไปกว่านี้ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 48) 
          ทั้งหมดทั้งสิ้นในความเป็นอัตตาก็มีทั้งหมดเท่านี้ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสยืนยันว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลายทั้งหมดในโลกย่อมบัญญัติอัตตากันได้เพียงเท่านี้เท่านั้น เกินกว่านี้ไม่มี
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งความมีอัตตา(โหติ) ทรงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งความไม่มีอัตตา(น โหติ) ด้วยการเรียนรู้จากการมีผัสสะเป็นที่ตั้งในการเรียนรู้นั้นๆ หรือเป็นฐานะในการเรียนรู้ทั้งนั้น
          ดังนั้น การปฏิบัติใดที่ไม่มีผัสสะในการเรียนรู้จึงไม่เป็นฐานะที่จะเรียนรู้ หมายความว่า ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติเรียนรู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัจธรรมที่จะพาบรรลุธรรม
          ผู้ปฏิบัติในศาสนาพุทธจึงจะต้องมีผัสสะ และรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกาย-เวทนา-จิต-ธรรม แล้วศึกษาจัดการกับกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม
          จนกระทั่งสามารถเรียนรู้จากผัสสะ เกิดอาการให้เราเรียนรู้ และปฏิบัติจนสำเร็จถึงขั้นไม่มีอารมณ์ มีแต่รู้อาการ แม้ที่สุดอากาของนิโรธในเวทนา
          นี้คือ ผู้มีสัญญา เวทยิต นิโรธ ที่ทำเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาได้ด้วยตนเอง จึงจะเป็นผู้บรรลุฐานของนิพพาน
          เมื่อทำได้ตั้งมั่นแข็งแรงพอเป็นสัมมาสมาธิก็หรือถึงขั้นสมาหิตังจิตตัง ก็รู้แจ้งเห็นจริงของตนก็จบในเวทนาทั้งหลายทั้งปวง ด้วยสัญญา 16
          ผู้ไม่มีผัสสะจึงไม่มีเวทนาให้รู้ให้เรียน ก็ไม่มีฐานะหรือไม่มีที่ตั้งให้เรียนรู้หรือกระทำ(ไม่มีกรรมฐาน) จึงไม่สามารถมีปัญญา เพราะแค่สัญญาผู้นี้ก็มีไม่ได้
    การเรียนรู้ของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเรียนรู้จากการมีผัสสะเป็นปัจจัย และรู้ความจริงตามความเป็นจริง จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความไม่มีหรือความดับ หรือความไม่เกิดอีก อย่างนิจจัง-ธุวัง-ฯลฯ สัมบูรณ์ได้ด้วยตนเอง(เอโก) ชนิดที่มีอภิภายตนะ(ฐานหรือภาวะแห่งความมีอำนาจ)

         

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 อย่าง

ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 นี้เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ 5 อย่างนี้ก่อนคือ

1. กามคุณ 5 

2. ฌาน 1

3. ฌาน 2

4. ฌาน 3

5. ฌาน 4

คือไปได้สิ่งเหล่านี้แล้วยึดไว้ว่าเป็นนิพพาน ธรรมะของพระพุทธเจ้า ใครก็ตามมีอารมณ์สุขกับกามคุณ 5 หลงว่าเป็นสุข เพราะถือว่านิพพานังปรมังสุขัง คุณก็มีสุขังอย่างยอด แต่มันผิด เป็นแบบโลกๆ สุขขัลลิกะ คือมิจฉานิพพานที่เป็นฌาน 1 ถึง 4 ที่มิจฉาทิฏฐิ ที่เขาปฏิบัติแบบมิจฉาทิฏฐิคือไม่ใช่แบบมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ปฏิบัติแบบลืมตา ไม่ได้ปฏิบัติอภิภายตนะคือเอาอายตนะเป็นหลัก

ของพระพุทธเจ้าทำอภิสังขารเป็น ทำปุญญาภิสังขารให้ถึงอปุญญาภิสังขาร แล้วสั่งสมอเนญชาภิสังขาร เมื่อไม่เข้าใจก็แปลอปุญญาภิสังขารว่าเป็นบาป

ซึ่งแท้จริง อภิสังขารคืออภิภายตนะ คือมีอายตนะแต่อยู่เหนือได้ อภิสังขารคือทำการสังขารลดกิเลสจนหมดได้ แล้วสั่งสมความตั้งมั่นแข็งแรง เป็นการรักษาผล เป็นอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง อนุรักขณาปธาน เมื่อไม่เข้าใจสัจจะก็ทำผิดสูตรพระพุทธเจ้า

คนมิจฉาทิฏฐิคือได้เสพกามคุณ 5 แล้วดีใจสุขใจที่ได้โลกธรรม ชื่นใจที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ ยังชื่นใจในกามคุณ 5 เป็นสุขบำเรอจิตเป็นสุขก็เป็นมิจฉาฌาน หลงว่าฌานเหล่านั้นเป็นนิพพานก็ยิ่งสร้างภพ

แล้วไม่เข้าใจกาย อย่างพระพุทธเจ้าว่า กายคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ

บ้างก็ไม่เข้าใจ แม้ประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็ปฏิบัติไม่ถูกแล้ว

ในงานพุทธาภิเษกก็จะเอาที่เขียนในเราคิดอะไรตั้งแต่เล่ม 302 เป็นต้นไป ก็เอามาเตรียมอ่านไว้ได้

พุทธาภิเษกฯ อาตมาเจตนาล้อเลียน ทุกวันนี้เขาปลุกเสกพระกันเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ ปลุกเสกคือเพ่งพลังจิตอัดพลังเข้าอิฐหินดินปูน อาตมาเคยบ้าแล้ว เคยเล่นไสยศาสตร์ปลุกเสกพระเอง ปลุกให้คนอื่นด้วย แต่ไม่เคยเอาเงินใครแม้สลึงเดียว ไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยน มีกติกาอย่างเดียวถ้าช่วยแล้วคุณดีขึ้น แล้วให้เลี้ยงข้าวหนึ่งมือ เท่านี้ ไสยศาสตร์อาตมาก็สรุปได้ว่าลึกแต่ไม่รู้ ต่างกับวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่แต่รู้ แต่ไสยศาสตร์นั้นทำได้มีผลแต่ไม่รู้เหตุผล

อาตมาเลยเมื่อยตอนนั้นทำมาหากินเลี้ยงน้อง หนักกว่าเลี้ยงลูกนะ

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:13:01 )

590218

รายละเอียด

590218_รายการเฟสไทม์สปริงนิวส์ สัมภาษณ์พ่อครูเรื่อง ความขัดแย้งของสงฆ์ไทย

เก็บคำความมาเท่าที่เป็นไปได้ รายการเวลา 20.00 น.วันนี้(18 ก.พ. 59)

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน Facetimeสัมภาษณ์พ่อครูเรื่องความขัดแย้งของสงฆ์

ดนัยว่า...บางคนจิตตก บางคนจิตแตก ภาพแรกคือพระพุทธะอิสระนำมวลชนกลุ่มเล็ก วิ่งไปวิ่งมา ร้องเรียนตามที่ต่างๆ เพื่อกดดันให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เพื่อขัดขวางสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช ภาพที่สอง คือเห็นเจ้าคุณประสาร วัดมหาธาตุ นำกำลังพระและฆราวาส สักสามหมื่นคน เพื่อสนับสนุนสมเด็จช่วง ที่พุทธมณฑล จนเกิดปะทะกับทหาร

ภาพสองภาพนี้บอกอะไร? มันสะท้อนความขัดแย้งระหว่างใครกับใคร?

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ค่อยได้ออกสู่สังคมข้างนอก แต่ที่นี่จะเรียกกันที่นี่ก็เรียก พ่อท่าน หรือ พ่อครู

ดนัยว่า...มากราบนมัสการพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ภาพสองภาพของชาวพุทธที่จิตตกจิตแตก บอกความขัดแย้งอะไร ของใครกับใคร

พ่อครูว่า...คนมีปฏิภาณไหวพริบก็พอรู้ ใครกับใคร ก็ใครที่แสดงตัว acting ออกมามากๆ คนนั้นก็เป็นคนนำกลุ่ม ทุกคนก็แสวงหากลุ่มหมู่มวลเพื่อเป็นกำลังมวล ยิ่งเป็นโรคประชาธิปไตยที่เอาแต่มวลขึ้นสมอง ก็เอาแต่อย่างนั้นน่ะ โดยไม่เข้าใจเนื้อแท้ของคำว่าประชาธิปไตยก็ตาม เนื้อแท้ของพุทธศาสนาหรือธรรมะก็ตาม เขาไม่ได้มองไม่ได้ศึกษา ไม่ได้มุ่งไปสู่จุดนั้นเลย คนที่ผิวเผินก็ช่วยไม่ได้ที่จะจิตตกจิตแตก

ดนัยว่า...ทั้งหลวงปู่พุทธะและเจ้าคุณประสารก็เป็นตัวแทนในการออกหน้ากลุ่มความคิด กลุ่มผลประโยชน์ ท่านมองว่า หลวงปู่เป็นตัวแทนกลุ่มไหน ท่านเจ้าคุณประสารเป็นตัวแทนกลุ่มไหน

พ่อครูว่า...อาตมาตอบสั้นๆ ตามภูมิของอาตมานะ ท่านพุทธะอิสระเป็นตัวแทนของสาระสัจจะ ในความเป็นพุทธศาสนาตามภูมิของทั่วไปที่เข้าใจกันอยู่  ส่วนท่านเจ้าคุณประสารเป็นตัวแทนเปลือกศาสนาที่มุ่งแต่เอามวลมากๆ คำเดียว

ดนัยว่า...แต่หลวงปู่ก็เล่นกับคำว่ามวลเช่นกันไม่ใช่เหรอครับ

พ่อครูว่า...ท่านคำนึงเป็นรอง ถ้าเทียบกันแล้วเจ้าคุณประสารเอามวลเป็นเอก ผิดหรือถูกไม่ค่อยมีปัญญา

ดนัยว่า...คำว่ามวลในที่นี้จะขยายความได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ได้ ก็เอามวลประชาชนมานับหัวให้มากที่สุดเท่านั้นเอง ปริมาณอย่างเดียว คุณภาพคุณธรรมคุณสมบัติแทบไม่เกี่ยว

ดนัยว่า...เรื่องเล่นกับมวล เล่นกับจำนวนมวลชนที่จะขนมาปะทะแสดงพลังกัน ผมมองว่าเป็นกลวิธี ย้อนกลับไปในเรื่องสาระ ทั้งสองกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวสังคม ควรทำความเข้าใจสาระแท้ๆ ใช่หรือไม่

พ่อครูว่า...ถูกต้อง ควรเอาให้ถึงสาระสัจจะของพุทธธรรม คือโลกุตรธรรม ทุกวันนี้ไปไกลโลกุตรธรรมมาก ยกตัวอย่างตื้นๆ คือโลกุตรธรรมพระมีเงินไม่ได้ ท่านพุทธะอิสระเอาหลักนี้มาใช้ แต่ท่านเจ้าคุณประสารไม่มีเลย และคงจะไม่อยู่ในความคิดของท่านด้วย เอาแต่จำนวนมวลมาใช้ แล้วมวลที่เอามาใช้ เท่าที่ดูแล้วเป็นมวลสะเปะสะปะ ขออภัยอาตมาก็ไม่รู้ว่าจ้างมาหรือเปล่า

ดนัยว่า...โอ้โห กล่าวหาแรงนะครับ

พ่อครูว่า...อาตมากล่าวก่อนแล้วว่าไม่รู้ แต่สงสัย เพราะคนที่มานี่เห็น ปองอัญชะลี ก็นำมา insert ให้ดู มีคนมีหนวดหรือหลายคนก็เป็นฆราวาสปลอมมา อาตมาไม่เชื่อว่าคนที่มานั้นมาด้วยสมัครใจ ไม่รู้ผิดถูกก็ขออภัย เป็นความเข้าใจอาตมา

ดนัยว่า...ท่านว่าพุทธะอิสระเป็นสัจจะกว่าท่านประสาร

พ่อครูว่า...เป็นสัจจะกว่า

ดนัยว่า...แสดงว่า ในกลุ่มพุทธะอิสระนั้นน่าจะรวมสันติอโศกด้วยหรือไม่

พ่อครูว่า...ไม่ได้ไปร่วม เป็นนานาสังวาสกัน แต่ความคิดอาจใกล้กัน แต่เราเป็นนานาสังวาสกันกับท่าน โดยพฤติกรรมบทปฏิบัติธรรมวินัยไม่ให้ร่วมกัน อาตมานานาสังวาสทั้งกลุ่มเจ้าคุณประสารและพระพุทธะอิสระ

ดนัยว่า...แต่ถ้าพูดถึงกลุ่มความคิดความเชื่อก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน

พ่อครูว่า...จะบอกว่ามีส่วนร่วมในเนื้อหาสาระสัจจะส่วนหนึ่ง แต่โดยพฤติกรรมการงานไม่ได้ไปร่วมกันเท่าไหร่เลย

ดนัยว่า..พระที่วิ่งไปวิ่งมากระเปิ๊บประป๊าบ เอามวลชนไปตั้งเกมส์การเมืองตลอดเวลา เป็นสัจจะได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ถ้าจะไปหมายถึงพฤติกรรมที่ขยัน ไม่ได้ใช้คำว่าสะเปะสะปะ ของงานศาสนาธรรมะนี้ มันน่าจะมองให้ค่า ไม่น่ามองว่าจุ้นจ้านวุ่นวาย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะศาสนาถูกกวนมาก ฟอนเฟะมาก คนที่มีปัญญาเข้าใจ ว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นภิกษุ ที่จะต้องดูแลเอาใจใส่ เพราะฆราวาสต้องทำมาหากินของเขา เขาไม่มีเวลา เขามีภาระครอบครัวอีก

ผู้เป็นภิกษุต้องเอาภาระดูแลศาสนา ไม่น่าพูดว่าแส่ ถ้าอย่างนั้นอาตมาว่ามองตื้นเขินไปใส่ร้ายไป ความจริงแล้วน่าจะมองไปที่เขาเอาภาระ เขาทำประโยชน์แก่ศาสนา เรามองลึกซ้อนไปอีกว่า ผู้ที่วิ่งเต้นคนนี้เขาทำเพื่อเงินทองลาภยศหรือไม่? ฝ่ายเจ้าคุณประสาร นี่พูดตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมเสียเวลา เขาทำเพื่อลาภยศชัดเจน อย่างน้อยก็ตำแหน่งหน้าที่สมเด็จที่จะดันให้เป็นสังฆราช นี่ไม่ใช่ยศหรือ?

ดนัยว่า...เจ้าคุณประสารพยายามเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคมเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อสมเด็จช่วง เป็นเรื่องหวังลาภยศหรืออย่างไร?

พ่อครูว่า...คุณมองไม่เห็น ตาคุณไม่ถึงก็แล้วกัน อาตมาว่าไม่ต้องมองยาว ดูสั้นๆ นี้เห็นได้ชัดว่าเขาดึงดันเพื่อให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช แม้ 5 ข้อหลักที่เขาเสนอไปนี้ คุณยังสรุปว่า มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือเอาสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช แล้วคุณยังจะมาเลี่ยงไปไหน อย่ามาไล่อาตมานะ คุณปองเขาว่า นี่พระไล่ทันนะ

ดนัยว่า...เจ้าคุณประสารหวังจะได้อามิสสินจ้างในการส่งให้เจ้าคุณช่วงเป็นสังฆราช หลังจากนั้นน่าจะได้ยศช้างขุนนางพระที่สูงขึ้นใช่ไหม

พ่อครูว่า...คุณก็ว่าเขาพ้นจากกรอบโลกธรรมหรือไม่? 

ดนัยว่า...แล้วบอกว่าหลวงปู่พุทธะที่ท่านว่าเป็นพระในแนวสัจจะและท่านเจ้าคุณประสารเป็นเปลือก ผมตั้งข้อสังเกตว่าทั้งแนวพุทธะและแนวเปลือกล้วนไม่ปล่อยวางทั้งคู่ ทำไมไม่ปล่อยวาง

พ่อครูว่า...คำว่าปล่อยวางเป็นคำสุดท้ายของการบรรลุธรรม ผู้ที่ปล่อยวางแล้วจะเป็นผู้ไม่ปล่อยวาง จะเอาภาระ

ผู้นี้จะเข้าใจสัจจะของสสัมภาระคือผู้เอาภาระ เป็นกรรมกิริยาของธาตุสองธาตุขึ้นไปที่จับตัวเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น ซึ่งเป็นธาตุธรรมชาติแต่ไหนแต่ไร โลกนี้มีนิวเคลียร์ฟิวชั่นกับฟิชชั่น มีตัวที่แตกตัวแล้วกระจายเป็นฟิชชั่น กับอีกอันแตกแล้วจับตัวกันคือฟิวชั่น

คุณพูดก็หมายถึงสองความหมายคือ หนึ่งเขาเอาหมู่มวลมารวมกันเป็นพลังเพื่อเอามายกอ้างเอาสังฆราชขึ้น อีกมวลรวมตัวเพื่อเอาภาระทำสาระของศาสนาจากความถูกต้อง ถ้าคุณเข้าใจประเด็นเนื้อแท้ออก ถ้าเข้าใจได้ก็ไม่สงสัยหรอก

ดนัยว่า...ผมยังเป็นบัวปริ่มน้ำ ก็ต้องซักท่านเยอะหน่อย

พ่อครูว่า...อาตมาว่ายังดีเป็นบัวปริ่มน้ำ ถ้าเป็นบัวใต้โคลนจะหนักกว่านี้

ดนัยว่า...ก็เป็นอาหารปลา ยังเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอื่น

ดนัยว่า...ฝั่งเจ้าคุณประสารพยายามหนุนสมเด็จช่วง เป็นวาระชั้นเดียวเชิงเดียว แต่ในเมื่อปักธงว่าพุทธะอิสระเป็นสัจจะ ทำไมกลุ่มสัจจะต้องปักธงไม่ให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม ทำไมปล่อยวางไม่ได้

พ่อครูว่า...การรวมตัวกันไม่ใช่ปล่อยวางไม่ได้ เจ้าคุณประสารก็รวมตัวกันอยู่ เป็นลักษณะสัจธรรมธรรมชาติพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่น แต่รวมตัวสองอันนี้เทียบกันอีกได้ แต่มองได้ว่ารวมตัวเพื่ออะไรมากกว่ากัน เจ้าคุณประสารรวมตัวเพราะลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นชั้นเดียว ไม่ลึกลับอะไรไม่ประหลาด ส่วนอันนี้มีเนื้อหาสัจจะมากกว่าอันโน้น เพราะมีเนื้อแท้สาระกว่าอันโน้น ที่มันไร้สาระจริงๆ

ดนัยว่า...การขัดขวางสมเด็จช่วงไม่ให้เป็นสังฆราชองค์ใหม่ เป็นสัจจะสาระอย่างไร

พ่อครูว่า...เอาตื้นๆ ขณะนี้นายกฯ และรองนายกฯ พูดตรงกันว่า ถ้าเรื่องสังฆราชไม่เรียบร้อย ยังขัดแย้งอยู่ จะไม่เสนอชื่อทูลเกล้าฯ นายกฯ กับรองนายกฯ ใช้คำนี้เป็นเขื่อนกั้น แล้วให้ทางนี้สังเคราะห์กันต่อไปจนกว่าจะสงบ จึงทูลเกล้าฯ

ตอนนี้เป็นกระแสตีกันระหว่างคนหนึ่ง ดูเนื้อว่าคนหนึ่งเขาเห็นว่าสมเด็จองค์นี้ไม่ควรขึ้นเป็นสังฆราช ยังไม่สะอาดบริสุทธิ์ ส่วนอีกข้างหนึ่งแน่นอนเห็นสมควรก็ต้องผลักดันเต็มเหนี่ยว ประเด็นที่ควรแก้ไขคือ

หนึ่ง ทางด้านเจ้าคุณประสารก็เอามาแฉสิว่าแก้ว่าสะอาดสมควรอย่างไร ทางด้านพุทธะอิสระก็เอาหลักฐานเหตุผลประดามีว่าไป ถ้าทำตรงนี้สำเร็จทุกอย่างก็กระจ่าง

ดนัยว่า...ผมเห็นด้วย ถ้าเรื่องไม่สงบยังตีกัน ก็ไม่เสนอชื่อ แล้วบอกว่ากระบวนการหาข้อยุติ จะให้ดีเบตกัน อย่างนายกฯ ว่า  เป็นทางออกของสถานการณ์จริงหรือไม่ ในช่วงหน้า

 

ดนัยว่า...มาสนทนาธรรมกับท่านต่อ ทุกคนเห็นด้วยถ้ายังตีกันก็ไม่ทูลเกล้าฯ แต่กระบวนการหาข้อยุติต่อไปจะทำอย่างไร?

พ่อครูว่า...อาตมาค่อนข้างสนุก ฟังแล้วก็สนุก ถ้าดีเบตกันได้ ถ้าเจ้าคุณประสารกล้าดีเบต ความจริงจะปรากฏชัดเจนไม่น้อย ถ้าได้ดีเบตกันจริงๆ เพราะอาตมามองตัวแทนของกลุ่มประชาชนผู้ออกหน้าว่าต่างคนต่างพุทธศาสนาทั้งคู่เนี่ย อาตมาว่า ความจริงมันก็จะน่าได้ดีเบตตามค่านิยมทั้งโลก ใครมีความจริงก็ขนออกมา ผู้ที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังก็จะได้รู้ ทั้งน้ำหนักเนื้อในต่างๆ ออกมาชัดเจน ถ้าได้ดีเบตกัน อาตมาว่าความคิดของนายกฯ เฉียบ

ดนัยว่า...นายกฯ บอกมาวันนี้เองว่า ประกาศยกเลิกแนวคิดจะให้ดีเบตแล้ว แต่ก็หยิบมาถามได้ แต่ชาวพุทธบางส่วนไม่เห็นด้วยว่า เอาพระมาพูดกันแล้วให้ประชาชนตัดสินว่าคนไหนถูก จะยิ่งทำให้เกิดความร้าวลึก

พ่อครูว่า...จะพูดเชิงนั้นก็เป็นได้บ้าง แต่ในสิ่งที่จริงเนี่ย ในยุคพระพุทธเจ้า ท่านปักกิ่งไม้กันเลยนะ ถ้าแย้งความคิดกัน ก็มาสากัจฉากัน ในยุคพุทธกาลมี ปุจฉาวิสัชนา ดีเบตกันนี่แหละ เวลามีประเด็นขัดแย้งกัน ขณะนี้ในทิเบตก็ยังทำกันอยู่ ท่านเรียกว่าสังคายนา สัจจะจะตัดสิน ประชาชนตัดสิน โดยมีฆราวาสทั้งนักบวช

ดนัยว่า...แล้วประชาชนมีภูมิขนาดไหนจะตัดสินเรื่องที่พระขัดแย้งกัน

พ่อครูว่า...การเป็นประชาธิปไตยจะดูถูกประชาชนนี่ผิดแล้ว ทุกคนมีความคิดของตนเองแม้เป็นคนอีเดียดก็ตาม

ดนัยว่า...แต่เขาเกรงจะตีกันหนักกว่าเก่า โดยเฉพาะฆราวาสที่ถือหางพระ

พ่อครูว่า...อาตมากล้าพูดได้ว่าศาสนาพุทธสองพันหกร้อยกว่าปี ยังไม่มีสงครามในศาสนาพุทธ เอาประเด็นศาสนามาพูดกันแล้วถกกันด่าว่ากันนี่มี

ดนัยว่า...ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาให้ทะลุกันเลย สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ว่าพระเอาชายฉกรรจ์ไปปิดล้อมหน่วยราชการแล้ว หรือพระไปล็อคคอทหาร ก็ได้เห็นแล้ว มันก็เกิดขึ้นได้แล้วนาทีนี้

พ่อครูว่า...ถึงอย่างไรก็ไม่รุนแรงกว่านั้นหรอก แต่อาตมาว่าลึกๆแล้ว อาตมามองมนุษย์ชาติทางจิตวิญญาณ เช่น อาตมามองมนุษย์ชาติในโลก จิตวิญญาณของชาติอินเดีย อีกชาติหนึ่งก็จีน นี่สองขั้ว ขั้วหนึ่งปัญญา ขั้วหนึ่งเจโตหรือศรัทธา หรือแม้แต่ศาสนาในเชิงมนตราศรัทธาอย่างทิเบตก็ตาม ซึ่งต่างจากศาสนาเมืองไทย เมืองไทยนี่ใช้ปัญญานำ แต่ทิเบตใช้ศรัทธานำ เป็นแบบเทพเจ้าแน่นอน                     อาตมามองคน โดยเฉพาะแง่ศาสนามองทางจิตวิญญาณหรือปรมัตถ์เป็นหลัก เพราะฉะนั้นในทางจิตวิญญาณหรือปรมัตถ์

เมืองไทยก่อตั้งเป็นพุทธดีๆ มาจนทุกวันนี้ ยังฝังรากลึกอยู่ เพราะฉะนั้นในโลกจึงยอมรับว่า พุทธเถรวาทมีหลายประเทศ แต่เขาก็ยกให้ประเทศไทยเป็นเบอร์หนึ่ง เกียรตินี้ไม่ใช่เกียรติป้อยอหรือปลอม แต่เป็นเกียรติสัจจะที่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้  

ดนัยว่า...ท่านกำลังจะบอกว่าตรงนี้คือรากปัญญาของศาสนาพุทธ แตกอย่างไรก็ไม่ถึงขั้นตีกัน เรื่องพระล็อคคอทหารหรือพระปิดหน่วยราชการแค่มายาคติชั่วคราว แต่แกนนี้อย่างไรก็ไม่ตีกัน แต่ศิษย์พระจะตีกันไหม

พ่อครูว่า...ศิษย์พระที่ไม่ใช่พระจริงเป็นได้ จะบอกว่านี่พระไปตีกันกับพระ พระไปตีกับฆราวาส แล้วแต่งตัวเดี๋ยวเป็นฆราวาส เดี๋ยวแต่งเป็นพระ แล้วที่ปลอมเป็นพระแล้วไปนี่จะอย่างไร แล้วมันหลอกลวงกัน

ดนัยว่า...แนวคิดดีเบตแล้วให้มวลชนตัดสิน เข้าใจว่านายกฯ เปลี่ยนใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นมีแนวทางอื่นหรือไม่

พ่อครูว่า...มี คือขอให้ท่านพุทธะอิสระทำเต็มที่

ดนัยว่า...ที่วิ่งไปวิ่งมาไม่พอ ต้องทำให้เต็มที่

พ่อครูว่า...ไม่พอ

ดนัยว่า...สันติอโศกจะร่วมด้วยไหม

พ่อครูว่า...ร่วมไม่ได้อยู่แล้ว เป็นนานาสังวาส ได้แต่ตีกองเชียร์

ดนัยว่า...โลกเขาเรียกว่ายุนะครับ

พ่อครูว่า...มันอยู่ที่สัจจะ ที่พูดไปนี้พูดในแง่สัจจะ ถ้าท่านพุทธะอิสระรามือนี่อาตมาว่าเสียคนด้วยนะ

ดนัยว่า...ถ้าถอยถ้าหยุดเสียคนนะ ต้องเดินหน้ามากกว่านี้

พ่อครูว่า...เพราะอาตมามีตัวที่เป็นคำตอบในตัวมันเองว่า ทำไมอาตมาว่าให้ท่านพุทธะทำเต็มที่ เพราะท่านพุทธะอิสระถูกต้องกว่า จงดำเนินไปอย่าหยุด

ดนัยว่า...เอาล่ะ ที่บอกว่าสมเด็จช่วงไม่สมควรขึ้นสังฆราชต้องขัดขวาง ทำไม

พ่อครูว่า...เอาประเด็นง่ายๆ ตื้นที่สุด ประเด็นที่รถเบนซ์เก๊หรือไม่เก๊ นี่ DSI นี้กำลังเปิดเผยไรๆ อยู่แล้ว ก็บอกว่าเอามาให้ชัดเลย

ดนัยว่า...ประทานโทษผมตั้งลูกให้ท่านเตะเข้าโกลแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้ายังมีวิบากกรรม มีข้อเคลือบแคลงทางโลกก็ให้สะสางเสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยขึ้น ขึ้นท่ามกลางความขมุกขมัวไม่ดี อยากจะบอกเช่นนั้นใช่ไหม

พ่อครูว่า...อาตมาอยากจะพูดอย่างนี้ ผู้ที่จะขึ้นเป็นสังฆราชคือยอดของผู้ที่จะต้องบริสุทธิ์สะอาดที่จะต้องเคารพกันทั้งนั้นอย่างสำคัญ แม้แต่สถาบันชั้นสูง แม้พระเจ้าอยู่หัวก็เป็นองค์พุทธมามกะ สมเด็จสังฆราชควรบริสุทธิ์สะอาด

ในประเด็นตื้นๆ ง่ายๆ แค่นี้ ความเป็นจริงเอาหลักสัจธรรมมาจับตื้นๆ ความรู้ของสมเด็จพระสังฆราชที่จะขึ้น น่าจะรู้ว่ามาบวชแล้วไม่สะสมอย่างนั้น อย่าว่าแต่สะสมรถโบราณเลยที่เป็นเปลือก จริงๆ แล้วผู้ออกมาบวชเริ่มต้นต้องมาแต่ตัวกับหัวใจ โภคขันธาปหายะ แปลว่าไร้ซึ่งโภคทรัพย์ ทรัพย์สมบัติบ้านช่องเรือนชานไม่มีแล้วเป็นอนาคาริกชน นี่คือผู้มาบวชแก่ศาสนาพุทธ ประเด็นตื้นๆ ที่ผู้บวชแล้วต้องท่องโภคขันธาปหายะ ประเด็นแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย จะไปเป็นสังฆราช นี่ก็ตัดสินแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสะสม ไม่ต้องพูดถึงของหรูหราฟู่ฟ่า แล้วไปพูดอีกว่าชื่นใจจริงๆ เกิดมาไม่เคยได้เหยียบดอกไม้เช่นนี้ แค่ศีลข้อมาลาคันธวิเลปนะ ก็ไม่มีแล้ว

ดนัยว่า...ใครชื่นใจครับ

พ่อครูว่า...ก็ผู้ที่เขาว่าจะขึ้นเป็นสังฆราชไง

ดนัยว่า...แล้วใครปูดอกไม้ให้เหยียบครับ

พ่อครูว่า...ก็ธัมมชโยไง

ดนัยว่า...ตกลงผมจะเสียความเป็นกลางหรือไม่นะ ที่เตะลูกที่สองให้ท่านเตะเข้าโกลอีกแล้ว 

พ่อครูว่า...ความเป็นกลางต้องอยู่ในความถูกต้อง

ดนัยว่า...ตกลงขวางสมเด็จช่วงหรือธรรมกาย Agenda จริงๆคืออะไร

พ่อครูว่า...มันพ่วงกันไปหมด

ดนัยว่า...เมื่อมาเป็นแพคเกจ ก็ต้องจัดการไปด้วยกัน

ดนัยว่า...มีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งเสนอว่า พุทธะอิสระสึก ธัมมชโยสึก สมเด็จช่วง ถ้ายังเคลียร์ไม่จบ รักษาการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องขึ้น ดีไหม

พ่อครูว่า...คิดดูสิ คนเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาคิด คือคนที่โง่ยิ่งกว่าคนโง่อีก

ดนัยว่า...เป็นไปไม่ได้คือพุทธะอิสระไม่สึก ธัมมชโยก็ไม่สึกแน่นอน 

พ่อครูว่า...พุทธะอิสระถึงกับว่าจะสึกนะถ้าไม่สำเร็จ แต่ธัมมชโยเคยหรือ?

ดนัยว่า...ถ้าเป็นไปได้ เป็นทางออกไหม

พ่อครูว่า...ไม่จบไม่กระจ่างเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ดนัยว่า...ดูเหมือนท่านหมายมั่นปั้นมือจะจับสมเด็จช่วงเข้าคุกให้ได้นะครับ

พ่อครูว่า...อาตมามีหน้าที่ตรงไหน อาตมาพูดไปตามเนื้อผ้า ตามสัจธรรม

พ่อครูว่า...ขอพูดสุดท้ายว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธจริงๆ ที่เจ้าคุณประสารออกมานี้มีเนื้อหาแค่โลกียะแท้ๆ ไม่ได้ก้าวข้ามสู่โลกุตระเลย ศาสนาพุทธตอนโน้นก็มีศาสนาพราหมณ์เกิด ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ในสมัยนั้นมีอาจารย์ของพราหมณ์ เช่น โปกขรสาติพราหมณ์กับลูกศิษย์ คืออัมพัฏฐมานพ ที่ถือว่าเป็นผู้ฉลาดสามารถรู้พระเวทย์ เป็นศิษย์เอก มาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ซักไซ้ไล่เลียงได้ความจบว่า เธอกับอาจารย์เสื่อมไปจากแม้แต่สิ่งที่ผิดของสัจธรรมกัลยาณธรรม ไม่ต้องไปพูดว่าเสื่อมไปจากสิ่งที่ถูกนะ ข้างโลกุตระไม่ต้องพูดเลย นัยเช่นนี้ก็คือเหมือนกับตอนนี้ ขณะนี้ถ้าจะปล่อยอันนี้ไป อาตมาค้านแย้งเต็มที่เลย แต่อาตมาเป็นนานาสังวาสกับเขา ทำได้เพียงพูดคัดค้านอย่างจัง ไม่สามารถไปฟ้องร้องก่อเรื่องอะไรได้

ดนัยว่า...ในนามบัวใต้น้ำ ก่อนกราบท่านสมณะโพธิรักษ์ก็จิตตกจิตแตกกันบ้าง จิตตกจิตแตกกันมา แต่มาแล้วผมจะพยายามทำจิตให้สว่างก็แล้วกัน ขอย้ำว่าในนามของบัวใต้น้ำเหยื่อเต่าเหยื่อปลาครับ ขอลาท่านผู้ชมไปก่อนครับ สวัสดีครับ

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:13:36 )

590219

รายละเอียด

590219_พ่อครูให้โอวาทสัมมนาการศึกษาบุญนิยม พุทธาภิเษก

คุรุฟังฝน ได้รายงานว่า...ครูจะต้องพัฒนาตนเองก่อน ลดอัตตามานะ ได้จะทำให้เจริญ

เราเป็นคนบอกยากสอนยาก เราพูดมากไปหรือน้อยไปหรือไม่ เราพัฒนาเทคนิคการสอนใหม่ๆหรือไม่ ต้องรับฟังเสียงจากคนรอบข้างและคนแดนไกล เอามาพัฒนาตนเอง

แต่ละรร.ได้นำเสนอมผลงานบูรณาการ จาการแนะนำของผอ.ดั่่งชัยและได้ลงมือปฏิบัติ

 

กลุ่มราชธานีอโศก ได้นำเสนอ ผลงานว่า ผลผลิตที่เป็นมาตรฐานคืออย่างไร นร.ต้องรับรู้ผลมาตรฐานการทำงาน และเรียนรู้วิชาการที่เกี่ยวกับการทำงาน มีทั้งครูฐานงานและครูวิชาการร่วมมือกันทำให้นร.เรียนอย่างมีความสุข หากเราปล่อยปละละเลยเด็ก เด็กจะมีปัญหา หากนักบวช คุรุฐานงาน คุรุวิชาการร่วมมือกันปัญหาก็จะลดลง

 

สันติอโศก ได้มีการสอนเด็กนร.ม.1จากหลายสถานที่ มาสอนล้างห้องน้ำ ได้สอนมาตรฐานการล้างห้องน้ำและมาตรฐานศีลเด่นเป็นอย่างไร ก็จะมีเป้าหมายในการฝึกสองชม.นั้น

 

ศาลีอโศก ได้นำเสนอการใช้วิดีทัศน์ ทางทีมภูผาฯมีจุดเด่นการบูรณาการ ศีลเด่น ที่เป็นจุดเน้นหลักใหญ่สำคัญ ได้สำเสนอใบคุณธรรมให้ที่ประชุมได้เรียนรู้ร่วมกัน

 

ราชธานีอโศกพบว่า การเขียนแผนเป็นส่ิงที่ยาก เวลาราชการมาตรวจก็จะต้องลำบาก ก็เลยคิดว่าควรให้มีการวางแผนการสอนร่วมกัน

 

การเดินทางของการศึกษาบุญนิยมนั้น เดินทางมาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีแล้ว เรื่องการศึกษาก็ประมาณนี้ ได้กันประมาณนี้ก็ดีแล้วแต่ดีกว่านี้ยีงมีอีกแน่นอน การร่วมไม้ร่วมมือ การเข้าใจการเต็มใจ กิเลสที่ยังเป็นอัตตามานะ ยังยึดตัวตนยึดดีถือดี ไม่เข้าใจเอกภาพ ไม่เข้าใจความรวมเป็นหนึ่งยังมีตัวเรา แทรกอยู่ อยู่ในนี้ แต่เราก็ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งจบ จึงได้ภาวะขนาดนี้แหล ะอาตมาก็เห็นว่า ตัวจักรหลายๆรร. รร.เรามีตั้งเก้ารร. ตัวจักรไม่ค่อยมาให้เห็นหน้าครบครัน

เกิดจากสภาวะจิตที่ไม่สมบูรณ์ เป็นะรรมชาติ แต่ได้ขนาดนี้ก็มีการก้าวหน้าไปได้ ต่อจากนี้ไป ปี 2559 มันจะเร่มแล้ว 2560 ขึ้นไปจะตั้งหลัก ปีนี้เร่ิมต้นมีพลังงานองค์รวมที่ควบแน่น ที่จับตัวกันอยู่ของทางด้านทุกด้าน เศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์การศึกษาสังคมทุกอย่างจับตัวกันอย่างเป็นรูปเป็นร่าง

อาตมาก็พูดกับพวกเราชาวอโศก เป็นหลุ่มบุคคบที่จะป็นแก่นแกนบุญนิยม ที่จะนำพามนุษยชาติไป ในด้านการศึกษาอยากให้เข้าใจเรื่องของบวร บ้าน วัด โรงเรียน

บ้านคือสังคมองค์รวมทั้งหมดที่เป็นกลุ่ม เป็นหมูบ้านชุมชน จนขายเป็นตำบล อำเถภเปนรัฐ เชื่อมโยงเป็นเครือแห ปฏิภาคทวีสัมพันธ์ขยายไปเรื่อยๆ

ชาวอโศกยังอยู่ในกาอบแค่หมู่บ้าน แล้วทำการประสานสัมพันธ์เครือแหหมู่บ้าน ในเรื่องตำบลยังไม่ถึง ยังรวมหมู่บ้านหรือชุมชนไม่ได้ คำว่าหมู่บ้านมันเกินสังคมตั้งแต่สามคนตั้งแต่ 999 คนขึ้นไป

999 คนก็จะเป็นหมู่บ้านเต็มแยกเป็นสามกลุ่มเป็ฯตำบลได้ แล้วถ้ายิ่งเพิ่มตำบลอีก ยกกำลังสามยกกำลังสี่ขึ้นไปจะยิ่งได้เป็นกลุ่มเครือแหที่ยิ่งกว้างและแน่นขึ้นไปเรือ่ยๆ

สามคือ บ้าน วัด โรงเรียน บ้านคือองค์รวมแผ่นดินผืนที่ ดินน้ำไฟลมที่ประกอบ พืชสัตว์และมวลบุคคลรวมกันอยู่ มีพฤติกรรมของมวลบุคคลที่ได้ศึกษาเป็นหลักมีแกนที่ได้เป็นการละความเห็นแก่ตัวละกิเลส ลดได้จริงๆ ก็จะเกิดภาวะเอกภาพ ควบแน่นเป็นความแข็งแกร่งขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยคณสมบัติ ของอวค์รวมทุกอย่างทั้บรั,สาสตร์เศราฐสังคม จะรวมกันในคุณภาพ คือความหมายสามรวมเป็นหนึ่ง แจกเป็น บ้าน วัด โรงเรียน บ้านคือองค์รวมทั้งหมดเป็นแก่น วัดกับรร.คือศีลธรรมและความรู้ วัดคือศ๊ลธรรม ส่วนรร.คือความหมายในความรู้จะจับตัวรวมตัวกัน

เมื่อความรู้ และคุณธรรมเจริญทวีขึ้นก็จะจับตัวรวมกันเป็นพลังงานสร้างสรรที่วิเสษขึ้น บ้านวัดโรงเรียนก็จะเป็นแกนสาม

ต้องระมัดระวัง ความเป็นบ้านคือรวมมหมด ความเป็นคุณธรรมต้องมีปุโรหิต ที่เป็นอาริยบุคคลที่กิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลสเป็นแกนกลังของแต่ละที่ แต่ละหน่วยขององค์สามนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นคนอาริยะลดกิเลสได้จริงมันก็ไม่เป็นโล้เป็ฯพาย แต่ถ้ามีจรงิอย่างพวกเราเป็นจะเกิดสภาพอย่างที่พวกเราเป็น คุณสมบัติก็เพิ่มขึ้น ตวามรู้ก็เพิ่ม การลดกิเลสเป็นแกนหลักสำคัญิ่งกว่าความรู้ ความรู้เป็นแกนนอก คุณธรรมเป็ฯแกนใน

ถ้าเป็น biophysic แกนในกลางเป็น นิวเคลียร์ของ cytoplasm มี protoplasm หุ้มอยู่นอกเป็นวงรอล วงรอบที่ไม่แข็งแรง ถ้าแข็งแรงก็จะเป็นสาม สามนี้ก็จะแข็งแรงขึ้นมา ถ้ายิ่งมีสี่ห้าหกเพิ่มขึ้นก็จะมากอีก จนกว่าจะเป็นสามเส้า จับตัวทีละสามๆ ก็จะมากขึ้น จนกระทั่งมากถึง x เป็น y เป็น 23 หรือ 24 คู่ในสัตว์ ส่วนในพืชจะมีมากถึง 58 คู่ ถ้าเป็นพีชนิยามจะมีมาก ส่วนจิตนิยามก็จะลดลงมา เมื่อมีสภาพของวงรอบหุ้มถึงขีด protoplasm จะกลายเป็ฯ zonar pelludidar จะค่อยๆแตกตัวออก ตัวพลังงานรวมแต่ละหน่วยจะแตกตัว แล้วรวมตัวกันเป็ฯ นิวเคลียร์ฟิวชั่น ส่วนที่ไม่รวมจะเป็นฟิชชั่นต่อไป

สรุปแล้วการขยายตัวหรือหดตัวเล็กลงเป็นธรรมชาติอันแข็งแน่น ถ้าเป็ฯอาริยะจะรวมเป็น ฟิวชั่น แต่ถ้าไม่เป็ฯอาริยะจะเป็นฟิชชั่น อย่างที่เป็นโลกียะที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ มวลอัตราก้าวหน้าของอาริยชนจะไล่ไม่ทันโลกียชนที่มีอัตราก้าวลงไปอย่างมา สุดท้ายจะแตกสลายแล้วรวมตัวกันใหม่ เป็นวิวัฏกัป ไปตลอดกาลนาน

สรุปคือบ้านคือสังคม วัดกับโรงเรียนคือธาตุสอง ความรู้กับคุณธรรมรวมเป็นสามเส้า ความเป็นบ้านจะดี ความรู้และคุณธรรมจะต้องดี เพราะความรู้ และคุณธรรมเป็นตัวแปรของบ้าน ถ้าไม่ดีบ้านก็ไม่เป็นไปตามอำนาจของ XX คือหญิง XY คือชาย

XY ไม่ใช่พลังงาน 1 กบ 1 นะ แต่ XX คือพลังงาน 1 กับ 1 ส่วน XY คือพลังงาน 1 และ 2 เพราะพลังงานชายคือมีพลังงานหญิงที่ควบแน่นในตัวแล้ว จนกว่าจะรวมกันกลายเป็นคู่ใหม่ที่มีแรงคลาย 2X แต่ไม่อยู่ในรูป 2X แต่จะรวมเป็น X เดียวที่มีพลังงานสองเท่า เพราะฉะนั้น XY คือพลังงาน 1 ที่มีพลังงานมากกว่า X ครึ่งหนึี่งเป็นอย่างน้อย และจะทวีคูณด้วย นักวิทยาศาสตร์ก็ยังงงอยู่

เรื่องความหมายทางวิทยาศาสตร์ แล้วเรื่องสังคมมนุษยชาติที่เราต้องเข้าใจพลังงานที่เกิดบทบาทให้เกิดการเจริญอย่างที่ว่า สรุปคือบ้าน วัด โรงเรียนต้องพัฒนาความรู้และคุณธรรมที่จะทำให้พัฒนา สรุปคือ ถ้าความรู้และคุณธรรมไม่เจริญก็ไม่ได้ ความรู้ที่เจริญแต่ทางวัตถุ ถ้าไม่มีคุณธรรมควบคุมก็บรรลัย บ้านใดที่คุณธรรมเจริญกว่าทางวัตถุก็ยังอยู่สงบสุขดี แม้เจริญวัตถุช้า แต่ถ้าเจริญวัตถุเร็วแล้วคุณธรรมไม่ค่อยเจริญก็ระวังกลียุค

เราก็ควรพัฒนาอะไรก็จะรู้ แล้วคนก็มาตามสายต่างๆสายสื่อสาร สายกสิกรรม ตอนนี้เราพูดกันในสายครู คนๆหนึ่งก็มีหลายสายงานในตัวได้ แต่อย่าไปทำเกินตัว หลายสายนักบางทีพลังงานไม่พอหรอก ต้องทำสมควรแก่ตน

ตอนนี้สังคมโลก ก็มาที่สังคมไทยเรา มั่นใจว่าไทยจะเป็นผู้นำโลก พูดตามภูมิอาตมาว่า กำลังดำเนินการจริงๆตอนนี้ เท่าที่เราเห็นรูปธรรม คุณประยุทธก็ออกไปเชื่อมโยงกับภายนอก ทั้งๆที่ไม่ได้ดิ้นรนไปเหมือนทักษิณที่พยายามสร้างตนเองให้ได้รับการยอมรับ จะเห็นปรากฏการณ์ชี้บอกได้ ว่าต่างกัน ภาวะประยุทธกับทักษิณ

คนไทยก็มีสองขั้วนี้แหละทักษิณกับประยุทธ แล้วก็มีไส้ศึกคือยิ่งลักษณ์ ถ้าประยุทธยังยืนบนเส้นทางให้ปชช.ยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งเละ แต่ถ้าประยุทธไม่เข้าใจไม่ทำเพื่อปชช.จริงก็เสร็จย่ิงเลอะเขา จะไปกันใหญ่ อาตมาไม่เชื่อว่าไทยดำเนินมาขนาดนี้จะมีอุปัทวเหตุอะไร ยังไม่เชื่่อ เพราะว่าในขณะนี้คนที่ประกาศว่าตนเองอิสระที่สุดคือ พุทธอิสระ ยังมีพลังงาน คนเดียวเลย

เครื่องชี้บ่งพวกนี้ไม่ต้องห่วงมันเป็นไปได้ อิสระแค่หนึ่งเดียวยังเป็นไปได้ ตั้งแต่อาตมาคนเดียวยังเป็นไปได้ ตอนนี้พุทธอิสระก็แสดงตัวแทนอาตมาไปแล้ว วิ่งรอกทำหน้าที่ แล้วมันมีซ้อนเยอะ พุทธอิสระจบป.3 เท่านั้น อาตมายังจบปวส. แล้วคิดดูฤทธิ์เดชป.3 นี้เท่าไหร่ อย่าดูถูกชาวนาเหมือนดั่งตาสี อย่าดูถูกคนไร้การศึกษา คนกระจอก ยุคนี้เป็นยุคที่อลังการนั้นของหลอกทั้งนั้น

พวกเราอยู่ที่นี่ ขนาดฝ่ายชายจบปริญญากี่คน อย่างขณะนี้ Activist กล้าข้ามฝันก็จบป.4 สิกขมาตุมีจบป.ตรี ไม่มีจบป.โทเลย ก็ขนาดนี้ก็อย่างนี้ นี่คือเครื่องชี้บ่ง

ทุกอย่างในโลกนี้ สสารกับพลังงานจะลงตัวกันเป็นภาวะสองหรือภาวะสาม เป็นแกนทั้งชีวะและฟิสิกส์ และอื่นๆอีก

สรุปแล้ว ของเรากำลังดำเนินไปได้ดีอย่าผยองอย่าหลงตัวเอง อย่าไปหลงเผลอตัวเอง ต้องคารโวนิวาโตให้จริง อ่อนน้อมเป็นผู้เล็กผู้น้อยให้แท้ อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ไม่ต้องห่วงเลย อย่าอยากใหญ่เป็นนายเลย ให้ทำงานไปให้เกิดสภาพเจริญไป สมณะหรือนักบวชหญิงไม่มีสิทธิ์เรียนต่อทางโลกแล้วก็พัฒนาความรู้คุณธรรมไปตามกรอบธรรมวินัย ส่วนฆราวาสมีสิทธิ์ออกไปเรียนต่อได้ อย่าขี้เกียจ เราเรียนแล้วไม่ได้เอามาส่งเสริมกิเลสก็ไม่ค่อยเรียน แล้วเรียนมาก็ต้องทำงานหนักกว่าเก่าอีก ก็เลยขี้เกียจ มองแล้วมักน้อยแต่ว่าที่จริงขี้เกียจและเห็นแก่ตัว เป็นเลวสมบัติ ตัวขี้เกียจ และเห็นแก่ตัว

เพราะเราเรียนมาไม่ได้เพื่อแลกอามิส ไม่ได้เอาปริญญาไปหากินแลกโลกธรรม แต่เราเอามาทำงานรับใช้ประชาชน เพื่อมนุษยชาติทำงานฟรี แล้วเลยไม่ถูกกระตุ้นให้เรียน แต่ผู้มีปัญญาก็พากเพียร ถ้าเราเรียนก็เพิ่มทั้งคุณสมบัติและตราตั้ง ได้ความรู้ความจริงเพิ่่มเอามาทำประโยชน์ต่อไป ผู้ใดชัดในตนว่าเรียนต่อก็เรียน ป.ตรี ป.โท ป.เอก ก็มี ใครจะทำงานวิจัย post doctor ต่อไปก็ได้ ถ้าเราเรียนก็ได้ความรู้เพิ่มได้เชื่อโยงกับทางโลกได้เพิ่มขึ้น

การศึกษาเราคงไม่ช้าเท่าไหร่หรอก พวกกระจอกๆของอโศกก็จะเป็นที่ยอมรับกันต่อไปเพราะเร่ิมมีปัญญาว่า ที่จริง เนื้อแท้ไม่ใช่ปริญญาที่เขาหลงกัน จะบอกดูถูกว่าอันนั้นไม่พาเจริญก็ไม่ได้ แต่เกื้อกูลกันแต่เนื้อแท้คือความรู้ความสามารถในตน นักบวชเรียนไม่ได้ เหลือแต่ฆราวาสเรียนได้ แต่ใครไม่อยากเรียนก็มาบวชซะ จะได้เจริญไปทั้งสองด้าน คือธรรมะสอง นี่คือแกนหลักที่อาตมาขยายให้ฟัง

นอกนั้นพวกเราก็มีปัญญาเข้าใจแล้วทำกันอยู่ก็ดีขึ้นส่วนอะไรๆจะเชื่อมโยงก็มา เราไม่ได้เป็นคนกระสันวิ่งเต้น ไม่ค่อยมีก็ดีแล้ว เขามาเอง ถูกแล้วไม่มีผิด หนูเปล่านะเขามาเอง แต่หนูแส่หาเขาหนูผิดนะ นี่เป็นสัจจะในโลกไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้มีพลังสร้างสรร อันไหนควรทำก็ทำ

ส่วนผู้ใดอยากทำแต่หมู่ไม่ให้ทำก็อย่าน้อยใจ มันมีสองอย่างที่ไม่ได้ทำ คือ หนึ่งวิบาก สองความไม่เหมาะสมของเราเอง หมู่ที่คัดมาแล้วย่อมไม่อคติหรอก เราไม่ได้ทำงานโดดเดี่ยว เราช่วยกันมีมติ มันผิดพลาดไม่ได้หรอก ทางอื่นไม่มี มีแต่ทางนี้ นี่สุดๆแล้วพรั่งพร้อมกันเลิกพรั่งพร้อมประชุมตัดสิน ตามหลักศาสดา อย่าให้ออกนอกเส้นศาสดา บัญญัติอะไรแล้วไม่มีสองหรอก เป็นเอกตลอด

เราเข้าใจให้ชัดเจนแล้วสลายตัวตนทำงานให้เต็มที่แต่อย่าให้เสียสุขภาพ ไม่ให้มีผลข้างเคียงมากเกิน และอย่าให้สุขภาพเสีย ระวังอันนี้ได้ทุกอย่างจะดำเนินดี อัตราก้าวหน้าในทุกด้านที่เราอยู่ในสังคมนอกจากด้านอบายมุขเราไม่ค่อยเจริญ ก็ไม่เสียใจด้วยที่ไม่เจริญอบายมุข

ทุกวันนี้ ย่าง 46 ปีในชุมชนเราพูดได้ว่าไม่มีอบายมุข อยู่ในแง่เป็นกษัยได้ คือน้ำเลี้ยงไม่ใช่แก่น คือองค์รวมของเรา อย่างในprotoplasm จะมีพลังงาน ลมกับไฟ จับตัวกันเป็นน้ำ อณูของน้ำดูด้วยตาไม่ได้ เห็นด้วยกล้องไม่ง่าย จาก h กับ o คือ ไฟกับลม แล้วเป็นน้ำ แล้วสังเคราะห์ น้ำ ลม ไฟ จนเป็นเปสิ เป็นคณะ เป็นปัญจสาขาได้

 

ก็ได้แต่ขอบคุณทุกๆอย่างที่พวกเราได้ทำกันมานี้ มีอะไรสงสัยจะซักถาม?

_อ.เป็นต้น … การศึกษาทางเลือกของเราจะทำแบบไหนในชาวอโศกทั้งที่กม.รธน.ก็มีให้ทำการศึกษาทางเลือกได้ เราควรทำหรือไม่?

ตอบ...ควรทำเลย กฎหมายมีแล้ว แต่คนทำไม่เป็นทำไม่ได้ คนจำนนอยู่ในกรอบ มาตราการศึกษามี หนึ่ง อยู่ในกรอบ สองนอกระบบ สามตามอัธยาศัย เราออกมานอกระบบแล้ว เราควรพรวดตามอัธยาศัยเลย เราโง่เองไม่ได้เจอกฏหมายมาตรานี้ เราโง่ยอมเขาให้เข้าระบบมาตลอด พอมารู้ตัวตอนนี้ไม่แค่นอกระบบ แต่จะทำตามอัธยาศัยเลย

_กระแสทางการศาสนาเป็นกระแสอัดแรงมากเลย ตามที่ฟังข่าว แล้วมีนักสู้องค์หนึ่ง ชาวอโศกจะมีการนิ่งดูท่าทีหรือไม่?

ตอบ...เรานิ่งเพราะตามหลักธรรมวินัยของพพจ.ว่าเราเป็นนานาสังวาสกัน เราดูว่าจะช่วยท่านพุทธอิสระได้แค่ไหน เราก็ช่วยกันคิด เกินของเขตเราไม่ทำ ไม่ให้ผิดบัญญัติพพจ. สองเราก็จะเอามวลหมู่ มาอภิปรายกันแล้วว่าจะทำขนาดนี้ แต่ตอนนี้เราเอง พูดกันเพื่อให้ชัดเจนรู้ทัน สรุปพวกเราเกิดอาการร้อนใจว่ากลัวถั่วจะสุกงาจะไหม้ อาตมาดูแล้วไม่เกินขอบเขต แม้ท่านพุทธอิสระวิ่งคนเดียวยังมีอัตราการก้าวหน้าอยู่นะไม่เสียที เพราะฉะนั้นอย่าร้อนใจมากแต่การมีจิตอยากจะช่วยนั้นดีแล้ว อาตมาดูอยู่ wait and see ตอนนี้ให้ท่านได้ทำเต็มที่ ถ้าท่านได้ทำโดยไม่มีใครช่วยท่านก็เป็นพระเอกขี่ม้าขาวเลย ถ้าท่านไม่ไหวเราก็จะช่วย แม้ที่สุดต้องออกนอกกรอบก็ต้องจำนนทำ แต่นี่ยังไม่สุดส่ายป่าน ก็พูดกันบอกกันให้เข้าใจดีแล้ว

 

_เรื่องการศึกษาตามพรบ.การศึกษาแห่งชาติปี 2542 แก้ไข 2545 การศึกษามีในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ตามอัธยาศัยปัจจุบันคือกศน. ถ้าเราเอาอัธยาศัยเราต้องเอาเด็กเราไปสอบกศน.ตามเดิมของเรา

ตอบ...ถ้ามีข้อจำกัดเราก็เอามาพิจารณาฉลาดเลือกเอา เราทำได้ตามกรอบที่เขาพูด อันนี้กศน.ดีกว่าก็เอากศน. อันนี้จะทำตามเขาก็ทำ

_อ.ยักษ์ไม่อยู่ในระบบไหนเลยก็คล่องตัว เป็นศูนย์การเรียนรู้ ไม่ต้องมีกรอบมาก แต่ได้แค่ม.6

ตอบ...ของเราจะเอาสูงกว่านั้น เอาถึง post doctor

 

_มีศิษย์เก่าที่จบสัมมาสิกขา แล้วอยู่ช่วยงานพ่อท่านน้อย ทำไม? เด็กไม่ค่อยอยู่กับเรา เราทำการบูรณาการการศึกษา ประชุมกันมา 4 ครั้งแล้ว ตรงนี้อาจช่วยได้ให้เด็กอยากอยู่กับเราทำงานถวายพ่อท่านต่อกับอโศก

ตอบ...คำถามนี้เป็นเรื่องสามัญต้องเป็นแบบนั้น เพราะคนจะรู้สัจจะที่สูงขึ้นจะมีจำนวนน้อย คนไม่รู้สัจจะจะมีจำนวนมาก เราทำสนคนจำนวนน้อยแล้วจำนวนน้อยจะปฏิภาคทวีเพราะมีแกนจำนวนน้อยมากขึ้น แล้วจะทำให้แกนจำนวนน้อยนี้มีปฏิภาคได้มากขึ้น สรุปคือเราทำดีแล้วยังไม่ได้ดีเพราะว่ายังทำดีไม่มากพอ ไม่ต้องไปต่อว่า ไม่ต้องคิดว่าทำไมๆ เราทำดีแล้วมีดีที่จะต้องทำเพิ่มอีกไหม ไม่ต้องมีแง่อื่น นี่ดีเท่าที่เรามีภูมิตัดสินว่าดีแล้วทำต่อไป อย่าไปกระทบให้เกิดผลเสียและให้อย่าเสียสุขภาพ มันควรพักก็พัก ควรเพียรก็เพียร คนเรามีเวลาเพียรมากกว่าพัก เพราะฉะนั้นถ้าทศนิยมความเพียรมากกว่าการพัก การเดินย่อมมี kinetic energy มากกว่า แต่ถ้าพักมากกว่าเพียรจะไปสู่ potential energy แล้วเข้าหาเสื่อมจะเน่าก่อนด้วย ที่ถามนี้อาตมาตอบคำถามมากมากแล้ว ทำไมไม่เร็วเด็กไม่เข้ามา เราไปบังคับก็ได้ไม่จริง เราประเล้าประโลมเด็กเข้ามาก็ไม่จริง อย่าไปแคร์ว่าพระจันทร์จะไม่ส่องแสง I dont care if the sun dont shine I dont care if the moon grow blind.

ขอบคุณทุกๆคน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:14:14 )

590219

รายละเอียด

  590219_พุทธศาสนาตามภูมิ ศาลีอโศก นิสสัคคียปาจิตตีย์ ตอน2

 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาก็ได้โคจรมาถึงไพศาลีแล้ว ชื่อนี้มีในพระไตรปิฎกด้วยนะ ทุ่งไพศาลีอันเขียวขจี ที่นี่ไพศาลีก็มีสำนักพุทธ เป็นอารามของชาวอโศก เรียกว่าพุทธสถาน ชื่อสำนักว่า ศาลีอโศก เกิดมาพร้อมกันสามที่ ศีรษะอโศก ศาลีอโศก แล้วก็สันติอโศก สามแห่งเกิดพร้อมกัน เกิดวันที่ 19 ส.ค. แต่วันนี้ก็ศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 เอาสามไปลบสิบสองก็ได้เก้าอีก เลข 9 เป็นเลขสูงสุดใหญ่สุดแห่งความมี จาก 9 ก็เป็น 0 ปีวอกนักษัตรก็ 9

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน พลังฟิวชั่นฟิชชั่นในเจโตปริยญาณ

อาตมารู้ว่ารูปและนามนั้น รูปต้องมีนามด้วย มีแต่รูปกับรูป แม้จะเป็นสสารและพลังงานก็ไม่สมบูรณ์เท่ากับรูปและนามที่เกี่ยวกับจิตนิยาม แต่สสารและพลังงานก็มีเส้นโคจรที่สัมพันธ์กัน เกิดสภาพลงตัวกัน

ตั้งแต่นิวเคลียสแตกเป็นนิวเคลียร์ก็เป็นสองแล้ว จะทำงานคนละหน้าที่ ถ้าพลังงานไฟฟ้าก็มีบวกกับลบ หรือถ้าพลังงานธรรมดาก็จะมีแยกกับรวม ในความแยกนั้นมีความรวม ตัวที่แยกเป็นฟิชชั่น ตั้งหน้าตั้งตาแยกเป็น isotope เป็น chain reaction มันก็จะวิ่งจับคู่นะ แม้มันเป็นธาตุเบา ที่จะพุ่งเป็นลูกโซ่แรงมาก ไม่มีที่สิ้นสุดแต่มันก็สุด แต่เราคำนวณไม่ได้ ส่วนอีกทางหนึ่งรวมตัวเกาะตัวแน่นเป็นธาตุหนัก เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น

สองธาตุ ถ้ารวมกันเป็น 0 ก็มีอันเดียว ถ้ามันนิ่งก็ 0 ถ้ามัน 1 ​จะมีสภาพเคลื่อน ข้างในมันพาเคลื่อน หากไม่มีอะไรเคลื่อนก็ 0 ถ้าแตกตัวเป็นสองจะมีสภาพแยกกัน แต่ในแยกกันก็มีคู่ มันแยกแต่มันรวม นิวเคลียร์ฟิชชั่นเรียกรวมแยก อีกอันเรียกแยกรวม เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น แตกแล้วรวมจับตัวกันเลย

สภาวะสองอย่างนี้เราเรียกว่าธาตุเจโตและธาตุปัญญา หรือธาตุรวมตัวกันเรียกสมถะกับอุทธัจจะ อุทธัจจะก็กระจายไป สมถะก็รวมตัวกัน

ถ้าเป็นธาตุที่เป็นเจโตปริยญาณ เป็นญาณเป็นปัญญาที่สามารถทำให้เกิดคุณภาพที่เจริญแล้วเราควบคุมได้ สามารถทำให้ธาตุอกุศลจิต กิเลส จิตเลวแตกตัวได้ เพราะกิเลสจะเกาะตัวแน่นเป็นพลังงานทำงานในจิตเรา เป็นตัวเลวร้ายกัดกร่อน หากเราจับตัวกิเลสแล้วทำให้แตกตัวได้ เหมือนระเบิดปรมาณู แตกตัวได้จะเกิดสองสภาพใหญ่ ถ้าทำให้กิเลสลดได้ ทำให้แตกตัว ทำให้กิเลสเคลื่อนแต่มันลดฤทธิ์กิเลส เป็นเทวธัมมา

สองตัวนี้คือสังขิตตังจิตตัง (ฟิวชั่น หรือสายเจโต) กับวิกขิตตังจิตตัง(ฟิชชั่น หรือสายปัญญา) แต่ถ้าเป็นปัญญาต้องควบคุมจัดการได้

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พุทธบริษัท 4 มีศีลเป็นสามัญ

อาตมาทำงานมา 45 ปี ก็ได้ผลเกิดกลุ่มหมู่มีนักบวชและฆราวาสที่บรรลุธรรมได้ อุบาสก อุบาสิกา นักบวชชาย นักบวชหญิง อยู่ในสภาพพุทธบริษัท 4 พุทธมีสี่เหล่านี้ นอกนั้นไม่ใช่พุทธ

พุทธบริษัท 4 เป็นอาริยบุคคลทั้งสิ้น มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

วิมุตติญาณทัสสนะ ทั้งสี่บุคคลนี้มีของจริงที่เป็นธาตุจิตที่บรรลุธรรมเป็นบุคคล 8 ตามเป็นจริง

คนในศาสนาพุทธมีสามสถานะ พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ พุทธบริษัท

พุทธศาสนิกชน คือชาวพุทธทั่วไปที่ไม่ได้เอาถ่านเรื่องการปฏิบัติ เป็นพุทธศาสนิกชนโดยสำมะโนครัว ไม่มีคุณสมบัติของพุทธ และมีโทษสมบัติด้วย เป็นคุณสมบัตินอกพุทธ และใช้คำว่านอกพุทธทั้งสิ้นด้วย ที่พูดอย่างนี้ก็คือ นอกพุทธตรงไหน เพราะไม่มีศีลเป็นสีลัพพตุปาทาน ศีลไม่ได้ชำระกิเลส ไม่ได้ใช้ศีลชำระกิเลส เข้าใจผิด ขนาดสอนกันในมหาวิทยาลัยเป็นดอกเตอร์ สอนว่าศีลขัดเกลาแค่กายกับวาจา

แท้จริงแล้วศีลจะขัดเกลากิเลสในจิตจนถึงหมดกิเลส คำว่า ศีลคือปกติไม่ทำสิ่งนั้นๆ เช่น คนที่กินเหล้า เขากินเหล้าเป็นปกติ คนอย่างนี้ไม่ได้มีศีล คนทั่วไปเขาก็กินเนื้อสัตว์เป็นปกติ อย่างนี้ไม่มีศีล เป็นคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อให้สัตว์อื่นต้องตายมาเป็นอาหาร ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ถ้าคุณยังกินสัตว์ก็ยังมีส่วน เข้าใจว่าเป็นปกติอีก ไม่เข้าใจชัดเจนว่าคำว่าปกติหรือเป็นธรรมดาสามัญ คือจิตที่ไม่ต้องไปทำอะไรอีกแล้ว กับสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง มันจบในตัวของมันเอง

คำว่าศีลเข้าใจว่าเป็นปกติก็เข้าใจผิด แล้วศีลนี้จะมีคุณสมบัติที่เป็นศีลที่สมบูรณ์คืออย่างไร อธิบายกันไม่ได้ แล้วจะไปพากันปฏิบัติให้มีศีลได้อย่างไร อธิบายผิดอีก

ที่ชัดเจนคือ ในวงการของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ นั่นคือจุลศีล มัชฌิมศีลมหาศีล คือศีลแท้ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาสร้างศาสนา พระเดี๋ยวนี้ก็เกี่ยวกับแค่ วินัย 227 ข้อ วินัยเป็นหลักเกณฑ์ที่ตราขึ้นทีหลังเมื่อคนทำผิด จึงได้เกิดพระวินัย

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คนมาปฏิบัติผิดศีลจนกระทั่งท่านเก็บมาเป็นพระวินัย ตั้งขึ้นมีบทลงโทษ มีโทษต่ำสุดคือทุกกฏ ต่อมาเป็นปาจิตตีย์ เป็นโทษขั้นต้น ปาจิตตีย์คือการละเมิดศีลหรือวินัย ไม่ต้องลงโทษก็ผิด แต่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ทำให้สิ่งที่พระพุทธเจ้าตราไว้นี่ถูกละเมิด

เช่น ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ถ้าคุณไปฆ่าสัตว์ก็เป็นปาจิตตีย์ ละเมิดศีลก็ทำให้กุศลธรรมเสื่อมลง ปาจิตตีย์คือการละเมิดอันยังกุศลให้ตกลง เมื่อละเมิดแล้วเราต้องทำให้บริสุทธิ์ คือมาสารภาพ มาบอก เราตั้งใจสารภาพว่าจะไม่ทำอีก แล้วสังวรระวังอย่าทำอีกให้ได้ เช่น ละเมิดไปฆ่าสัตว์ก็สารภาพผิด จากนั้นก็สังวรระวังไม่ทำให้สัตว์ตาย คุณก็ได้กายวาจา แต่ถ้ามีพลังปัญญาชัดเจน พลังปัญญาจะมีอำนาจมีธรรมฤทธิ์จริง ถ้าสมบูรณ์เต็มจะเป็นพลังความรู้ ทำให้อินทรีย์พละเพิ่มจนเต็ม มีฤทธิ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรก็เป็นได้เอง คือตถตา คือความจริงที่เต็ม เป็นธรรมดาเป็นปกติ เป็นสามัญของพลังงาน นี่คือตัวมีศีลเต็มสมบูรณ์ ไม่ต้องทำอีกจบกิจของการมีศีล

เมื่อผิดปาจิตตีย์หรือทุกกฏ ทำให้เสียจากหลักของพระพุทธเจ้า ก็ทำให้กุศลเสื่อมไปก็ต้องสารภาพกับใครกับคนสิ  ถ้าไม่มีใครเลย ก็สารภาพกับควายหรือ? เพื่อให้เป็นพยานหลักฐาน หากไม่มีใครรับรู้เลย สารภาพกับควายควายก็ไม่รู้เรื่อง ก็คือเหมือนสารภาพกับหัวตอ แต่สารภาพกับคน ก็จะได้เป็นหลักฐาน ถ้ายิ่งสารภาพกับหมู่ หมู่ก็จะยิ่งช่วยคุณ คนรู้จะไม่ถือสา

เช่น เราขโมยเงิน แล้วถูกจับได้จนทางต้องคืนเขา ก็แก้คืนไม่ได้

ตอนนี้เป็นยุคเลข 9 ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตอนนี้เกิด Big Bang แตกแล้วใครจะอยู่กับฝ่ายชั่วฝ่ายดีเท่านั้น ตอนนี้รอแต่ว่า ผู้มีอำนาจจะลงมือ ก็อดใจไว้ ผู้ที่ทำได้ดีก็ทำไปต่อ

เหตุการณ์ทางศาสนาก็สุกงอมเต็มที่ เราก็เป็นตัวร่วมในเรื่องศาสนาไปพอสมควรละ พวกเราชาวอโศกตอนนี้ก็อยู่บนภู ดูหมูกัดกัน สิ่งเหล่านี้มีเหตุปัจจัยลงตัว อาตมาแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มีอะไรลงตัวบ้างแล้ว อาตมาใช้สิ่งเหล่านี้พอสมควร

พระพุทธเจ้าว่า เอามือไปจิ้มในดิน ดินติดเล็บขึ้นมา เปรียบกับคนในศาสนาพุทธ ส่วนอื่นเหมือนดินทั้งหมด

อาตมาเทศน์ไปตามธรรมดาปกตินี่แหละ คนมีภูมิปัญญาเขาจะมาเอง

พระพุทธเจ้าว่า ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ

มิใช่เพื่อหลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ

มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป

มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้

ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

(พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21 ข้อ 25)

อาตมาทำอย่างบริสุทธิ์สะอาด ยังมีผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย แม้น้อยก็ไม่เป็นไร ของจริง อาตมาไม่ต้องการปริมาณ แต่ต้องการคุณภาพ

          เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก

          เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น

          เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น

เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง

ทำมาได้ 45 ปีถือว่าเต็ม (15 15 15) 15 คือสามเส้าของ 5 ( 5 5 5 เป็น 15) เลข 5 คือเลขเกิดของอาตมา อาตมาเกิดวันที่ 5 การเกิด 5 ยังไม่สูงเท่าไหร่ ยังมีเกิด 7 เกิด 9 เพราะฉะนั้นอาตมาอยู่ที่เส้า 5 เป็นตัวเต็ม อยู่ในวงกรอบหมุนรอบสามตัวนี้เป็นจักรแก้ว อาตมาปาง 7 ไล่มา 5 มาถึง 6 อาตมาจึงใช้วิบากไป 6 ปี 6 เดือน 6 วัน ก็เส้าของ 6 ที่ถูกจับ ว่าความไป แต่อย่างไรอาตมาก็ต้องจบเรื่องราวหมดวิบาก ก็เสร็จไปละ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน อาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์และปาราชิก

ขณะนี้เป็นเรื่องของความผิดระดับนิสสัคคียปาจิตตีย์ เป็นประเด็นนิสสัคคียปาจิตตีย์คือครอบครองของที่ไม่ควรแล้วไม่สละออก ครอบครองรถเบนซ์เป็นต้น แล้วเป็นความผิดขั้นติดคุกด้วย เป็นแต่เขาจะช่วยกันหรือไม่ ถ้าไม่ช่วยก็ติดคุก เขาก็แก่แล้วก็อาจช่วยกัน แต่ถ้าไม่ช่วยก็ต้องติดคุก เพราะเซ็นเองหมด เพราะหนีภาษี

นิสสัคคีย แปลว่า ควรสละหรือเลิก, สิ่งที่ไม่ควรรับเอาหรือละทิ้งเสีย, อันต้องให้สละสิ่งของ
          ปาจิตตีย แปลว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตก, ซึ่งเมื่อต้องแล้วย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการแสดง, ชดเชยความผิดที่แล้วมา
          ดังนั้น ผู้ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ จึงได้แก่ ภิกษุของพุทธศาสนาที่ยังมีจิตยินดีในของที่ไม่ใช่บริขาร อันต้องสละของนั้นออกไปเสีย หากยังไม่สละก็ยังคงเป็นภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบที่ยังชื่อว่ามีของที่ตนยินดีนั้นอยู่ ตราบใดที่ยังมีรถเบนซ์นั้นไว้ในครอบครองก็ไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบนั้น

ตนเองเป็นคนไม่บริสุทธิ์ไปทำสังฆกรรมไม่ได้ แต่ก็ไปทำ ทำให้เกิดบาปกรรมอกุศลที่ติดตัวไปอีกมากมาย กรรมเป็นอันทำ แม้ทุกวันนี้จะมีสารอะไรมาลบได้ขนาดไหน แต่ก็ลบกรรมไม่ได้ ต้องให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานถึงเลิกได้ แม้เป็นอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่เลิกวิบากกรรม

ตอนนี้มีนิสสัคคียปาจิตตีย์ ที่มีสามระดับความผิด คือ ทุกกฏ ถุลลัจจัย ปาราชิก ถ้าปาราชิกแก้ไม่ได้ แต่ทุกกฏกับถุลลัจจัยแก้ได้อยู่

ปาราชิกอันที่ 1 พระพุทธเจ้าสรุปไว้ว่า

อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว  พึงประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของ ไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.

ปาราชิกเป็นโทษที่สูงกว่าพรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์เป็นโทษที่อยู่ร่วมได้แต่ไม่มีใครบอกสอน อาตมาเห็นพระทัยในหลวงที่ขอพูดว่าท่านอัดอั้นพระทัยไว้มาก ท่านแนะก็แล้ว บอกก็แล้ว แต่ข้าราชการไม่ทำตามที่ท่านแนะ แล้วท่านก็ไม่เซ้าซี้ให้ทำ ในหลวงก็ตรัสไม่กี่คำก็วาง จนหมักหมมมาก หลายครั้งจนท่านต้องตั้งสวน ชั่งหัวมัน นี่คือสัจจะ ทางออกของท่านก็คือ ชั่งหัวมัน คือการปล่อยวาง

นี่คือสังคมไทยเราเกิดอะไรขึ้นมา ปาราชิกกันอย่างหน้าด้าน อาตมาพูดถึงว่าสมีอุ้มสมีกันในศาสนาพุทธเห็นๆ เขาอนุโลมกันโดยทำผิดมาไม่รู้กี่ชั่วคนแล้ว ขอพูดว่า สังฆราชไทยที่ปาราชิกก็ได้เป็นสังฆราชก็เป็นมาแล้ว ถ้าไม่ล้างบางคราวนี้ศาสนาพุทธไปไม่ได้แล้ว ปล่อยให้เชื้อตัวนี้ครองต่อไปไม่ได้ ถ้าอาญาสิทธิ์ไม่จัดการคราวนี้แล้ว อาตมาว่า อาตมาก็คงจะต้องไปสร้างสวนช่างหัวมันเลย เพราะมันสุกงอม ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เหมือนปฏิวัติ สุกงอมแล้วก็สวย

ขนาดประเทศไทยมีความเลวร้ายถึงพล.อ.สนธิ ปฏิวัติ ยังเอาดอกไม้มาเสียบปลายปืน แต่ประชาชนเห็นด้วยหมดเลย ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์สวยงามกว่านั้น ไม่ต้องเอารถถังหรือรถจี๊พมากมายเลย สวยงามเพราะสุกงอมแล้ว อันนี้ก็นัยเดียวกัน

ถ้าอาตมาบอกพูดไปแล้วก็ไม่เข้าใจ อาตมาก็คงจะต้องจบเหมือนกัน

คำว่าหาสังวาสมิได้ คือเมื่อคนนี้ทำปาราชิก คนๆ นี้จะมาร่วมในหมู่

พุทธมามกะ หรือพุทธบริษัท จะแสดงธรรม ถ้าเขามาในเขตจะได้ยินเสียงธรรมะก็ต้องหยุดเทศน์ อย่าให้เขาได้รับธรรมะแม้เสียงพูด พรหมทัณฑ์คือคนที่สอนเขาไม่สอน แต่เขาจะแอบฟังหรือนั่งฟังก็ได้ แต่ไม่บอกไม่สอน เขาขวนขวายเอาในหมู่ได้ แต่ปาราชิกจะมาฟังธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะพูดเปล่งกล่าวธรรมะให้เขาได้ยินไม่ได้ ตัดถึงขนาดนั้น ตัดมือตัดไม้ นี่เป็นโทษสูงกว่าพรหมทัณฑ์ แต่ทุกวันนี้ประพฤติไม่เป็น

แต่ทุกวันนี้หยาบกว่านั้น แค่ให้ฟังธรรมยังไม่ได้ กายกรรมก็ไม่ได้อีก นี่คือคนปาราชิก น่ากลัวไหม แต่ทุกวันนี้คนปาราชิกมาเป็นมัคนายกสอนธรรมอีก แล้วใครจะมากลัวปาราชิก เขาเอาแค่ว่าบวชไม่ได้ คนที่ไม่คิดบวชตลอดชีวิตเขาก็เป็นคนมีโทษปาราชิกหรือ มีน้ำหนักแค่นี้หรือ

แต่ปาราชิกคือหมดโอกาสได้รับธรรมะตลอดชีวิตเลย ชาวพุทธต้องรู้จุดนี้แล้วอย่าให้เขาได้รับธรรมะ ถ้าเห็นต้องหยุด อาตมาเทศน์อยู่นี่เห็นสมีมาอาตมาต้องหยุดแล้วให้ขับออกนอกเขต ตอนนี้เขาไม่กลัวปาราชิก สมีอุ้มสมี ครองอำนาจในศาสนาอีกด้วย

ไม่เข้าใจว่าปาราชิกมีโทษหรือตาลยอดด้วน ใบไม้หล่นออกจากขั้ว จะไปต่อไม่ได้ กระเบื้องแตกเป็นเสี่ยงแล้วจะเอามาต่อกันไม่ติดสนิทเหมือนเดิมแล้ว

ภุมมัฏฐวิภาค

[91] ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ในแผ่นดิน

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตาม แสวงหาจอบหรือ ตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ตัดไม้หรือเถาวัลย์ ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดก็ตาม คุ้ยก็ตาม โกยขึ้นก็ตาม ซึ่งดินร่วนต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำหม้อให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทำหม้อให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก

(ธนบัตรหรือรถยนต์นี่ ยิ่งกว่าหม้อนะ)

ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์ควรแก่ค่า 5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย กระทำให้ทรัพย์อยู่ในภาชนะของตนก็ตาม ตัดขาดด้วยกำมือก็ตาม ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุมีไถยมีจิต จับต้องทรัพย์ที่เขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดี เข็มขัดก็ดี ผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย จับที่สุดยกขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้พ้นปากหม้อ โดยที่สุดแม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุมีไถยจิต ดื่มเนยใสก็ดี น้ำมันก็ดี น้ำผึ้งก็ดี น้ำอ้อยก็ดี ควรแก่ค่า 5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก (ตีราคาประมาณ 300 บาท) ด้วยประโยคอันเดียว ต้องอาบัติปาราชิก ทำลายเสียก็ดี ทำให้หกล้นก็ดี เผาเสียก็ดี ทำให้บริโภคไม่ได้ก็ดี ในที่นั้นเองต้องอาบัติทุกกฏ.

 

ถลัฏฐวิภาค

[92] ที่ชื่อว่า ทรัพย์ตั้งอยู่บนพื้น ได้แก่ทรัพย์ที่เขาวางไว้บนพื้น ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ที่ตั้งอยู่บนพื้น เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้อง อาบัติปาราชิก.

 

อากาสัฏฐวิภาค

[93] ชื่อว่า ทรัพย์ลอยอยู่ในอากาศ ได้แก่ทรัพย์ที่ไปในอากาศคือนกยูง นกคับแค นกกระทา นกกระจาบ ผ้าสาฎก ผ้าโพก หรือเงินทองที่ขาดหลุดตกลง

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ที่ลอยอยู่ในอากาศ เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดีเดินไปก็ดี ต้อง อาบัติทุกกฏ หยุดอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.

 

เวหาสัฏฐวิภาค

[94] ที่ชื่อว่า ทรัพย์ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ได้ทรัพย์ที่แขวนไว้ในที่แจ้ง เช่น ทรัพย์ที่คล้อง ไว้บนเตียงหรือตั่ง ที่ห้อยไว้บนราวจีวร สายระเตียง เดือยที่ฝาบันไดแก้ว หรือต้นไม้ โดยที่สุด แม้บนเชิงรองบาตร

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในที่แจ้ง เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ต้อง อาบัติทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.

 

ยานัฏฐวิภาค

[97] ที่ชื่อว่า ยาน ได้แก่คานหาม รถ เกวียน เตียงหาม ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในยาน ได้แก่ทรัพย์ที่เขาเก็บไว้ในยาน

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ที่อยู่ในยาน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ต้องอาบัติ ทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติ ปาราชิก

ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักยาน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.

อย่างนี้ชัดไหม อาตมาสื่อสารออกไป ให้รู้กันว่าเป็นเรื่องชั่วเลวที่เกิดในเมืองไทย พระเจ้าอยู่หัวเราก็บอกว่า ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง อย่าให้คนชั่วมาปกครอง อาตมาก็อนุโมทนากับท่านพุทธะอิสระกับคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ใครคนหนึ่งได้ฉายาว่าเมธาฯ ก็ประกาศว่า มีผู้นุ่งห่มจีวรคนหนึ่งกับฆราวาสคนหนึ่งมาก่อการเป็นตัวการ แล้วใครกันแน่ที่ก่อการไม่ดี หรือว่า ใครกันแน่ที่เป็นตัวการ

มันไม่มีประตูที่จะแย้งแล้ว จะดันไปถึงไหน คุณไพบูลย์ นิติตะวัน กับท่านพุทธะอิสระก็ทำไปเลย

นิวเคลียร์ฟิวชั่น นิวเคลียร์ฟิชชั่น กับนิวเคลียส ตัวนิวเคลียสคือ protoplasm มันจะมีวงซ้อนในนั้นอีก จะกลายเป็น protoplasm ที่ใหญ่ขึ้น มันเหนียวได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่ถ้าในนั้นมี protoplasm เส้นนี้รอบนี้ไม่เหนียวแล้ว เป็นเส้นรอบที่แปลงตัว เป็น zonar pellucidar เส้นนี้ก็เสื่อมถอยให้มวลเหล่านี้ออกไป จะไปหาพวกหรือเป็นฟิชชั่นฟิวชั่นต่อไปก็แล้วแต่ แต่อันนี้หมดความยึดมั่นถือมั่นก็สลายไป แต่ถ้าไม่สลายก็เหนียวต่อไป ถ้ามากสุดก็เป็นคู่ ได้แค่ 58 ถ้า 24 ก็เป็นโครโมโซม xx หรือ xy

ตอนนี้เปิดหมดแล้ว เอามาแฉกัน ขณะนี้ ชีวิตคือกรรมที่เกิดกับกาละ ถ้าผู้ใดเข้าใจกรรมกับกาละ ก็เท่ากับเข้าใจสภาพของ space and time แต่ของพระพุทธเจ้าคือ continuum ของกรรมกับกาละ แต่ทางวัตถุคือ continuum ของ space and time ทุกอย่างของเอกภพในเทววัตถุแท่งทึบทั้งหมด ถ้าคุณรู้จะพบว่ามีเทหวัตถุมากมาย แต่ถ้าไม่รู้ก็เหมือนไม่มี มันมี 1 กับ 0 ใครสามารถทำ 1 ได้เป็นปุงลิงค์ก็ดี แต่ถ้าทำได้เป็นนปุงสกลิงค์ก็พักได้

แต่ถ้าทำคนเดียวอย่างพุทธอิสระคือ ปุงลิงค์คือเหนื่อยนั้นเอง แต่อาตมาเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นสถานะของอาตมา 

อย่างดร.มโนจะไปเชื่อมกับธรรมกายได้ ค่อยๆเป็นไป พุทธอิสระนี่ ใช้ความรู้เท่าที่ตนเองจบป.3 มา ส่วนหมอมโนนั้นใช้ความรู้ดร.มาทำงาน ก็คนละเรื่องซับซ้อนอยู่ เป็นเรื่องที่ยาก ค่อยร้อยเรียงกันไป แต่มีตัวจริงมีตัวละคร

ที่อาตมาตั้งชื่อนี้คือ phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา อาตมากำลังทำงานการศึกษาขั้น phenomenology ซึ่งจะรับปัญญาบัตร ไม่ใช่ PhD ที่เป็น Philosophy แต่ของเรา เป็นปริญญาเอกแบบ Phenomenology เป็นสิ่งยืนยันปรากฏได้ แต่ Philosophy มีแต่ปรัชญาความคิด มันต่างกันตรงนี้

เรากำลังจะมี เฮือนสวน. คืออาคาร สัมมาสิกขาวิชชารามนาวาบุญนิยม อาคารกำลังสร้างตอนนี้ที่บ้านราชฯ ยาว 210 เมตร กว้าง 86 เมตรในพื้นที่ 11 ไร่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน จะสร้างแก่นชาติได้ ต้องสร้างแก่นใจคน  

กวีที่เขียนมา 15 บท ในเราคิดอะไร ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พูดถึงเรื่อง AEC ตอนนี้เอเชี่ยนรวมตัวกันแล้ว กำลังร่วมมือเป็นสังวาสเดียวกัน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพื่อถ่วงดุลยุโรบหรืออเมริกา เป็นเหตุการณ์ต้องเกิด

อาตมาจึงให้สติว่าอย่าไปมุ่งแต่เรื่องวัตถุ ขอให้มุ่งเรื่องจิตวิญญาณ ในกวีเรียกแก่นใจ เพราะทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยขาเดียว มันไม่มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่ประชาธิปไตยสองขา เหมือนอังกฤษ ไทย และหลายประเทศที่มีกษัตริย์อยู่

แต่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ก็ไม่มีประเทศไหนเด่นเท่า ประเทศไทย ที่มีการกล่าวกันว่ามี King of king คือพระเจ้าแผ่นดินเรา รัชกาลที่ 9

เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสองขา

          ฝรั่งเศสเป็นประชาธิปไตยขาเดียวมาเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว มีการโหยหาอยากได้กษัตริย์ ประธานาธิบดีเป็นคนพูด

          เมืองจีน อินเดีย ก็กลายเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์กัน อินเดียคือเจโต จีนคือปัญญา ส่วนไทยนั้นคือจอมเจโตกับจอมปัญญา ตอนนี้ทิเบตเป็นจีนแยกย่อย เป็นเจโตเต็มที่ จีนใหญ่รังแกทิเบตเพราะเจโตต้องถูกรังแกก่อนปัญญา พูดไว้เท่านี้ก่อน นี่เป็นความรู้ของเอกภพ ไม่ใช่แค่ยุคสมัย เป็นความรู้อยู่ชั่วกาลนาน

ในกวีบทนี้ เมื่อรวมเป็น AEC แล้ว ก็ระลึกถึงจิตวิญญาณให้จงหนัก และพยายามสร้างจิตให้เป็นความบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสให้ได้จริงๆ

“ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกได้ ในที่สุด”

เราจะสามารถสร้างแก่นชาติได้ ก็ต้องสร้างแก่นใจคน จึงจะเป็นแก่นชัยที่ชนะทุกสิ่ง ถ้าไม่มีความรู้ที่จะสร้างแก่นชาติ คำว่าชาติลึกซึ้ง เรียนรู้ชาติ 5 (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) แล้วเข้าใจว่าทั้งห้าชาตินี้เป็นอาการของจิตทั้งนั้น แล้วล้างกิเลสชาติที่มีมาแต่ปัจจุบัน คู่นึงคือชาติ-สัญชาติ สัญชาติคืออดีต ชาติคือตัวปัจจุบัน ยังไม่เกิดอนาคต ถ้าคุณอวิชชาชาติกับสัญชาติ คุณก็

โอกกันติด้วยอนาคตที่คุณอวิชชา คุณก็ไม่รู้สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ

ผัสสะอยู่นั่น วนเวียนโลกีย์ตลอดกาลนาน เพราะไม่รู้ชาติกับสัญชาติ ก็ปรุงแต่งหยั่งลงโอกกันติอวิชชา ซ้อนซ้ำ

แต่ถ้าสามารถรู้ชาติ (เกิดปัจจุบัน) และสัญชาติ (ของเกิดเก่า) แล้วจัดการกับปัจจุบัน โดยมีต้นทุนของเก่า ฆ่ากิเลสปัจจุบันได้ทุกทีๆ จิตที่สร้างขึ้นใหม่โอกกันติมันก็จะหยั่งลงด้วยจิตที่เป็นโลกุตระเรื่อยๆ จนครบเป็นอภินิพพัตติ

โอกกันติทีี่เกิดเป็นโลกุตระเรียกว่านิพพัตติ ไปสู่นิพพาน รู้ความหมายแล้วทำให้เกิดหยั่งลงโอกกันติลงที่จิตให้ได้

จิตวิญญาณเป็นประธานเป็นหลักมโนเสฏฐา คือเจริญแบบประเสริฐ ไม่ใช่แบบทุนนิยม ไม่ใช่กฎุมพี แต่เจริญแบบคนจน ตามในหลวงเราตรัสว่า เราไม่รวย เราไม่ก้าวหน้าอย่างโลก เรารวยก็อย่างพอ ประมาณนี้ๆ คำว่าพอคือสันตุฏฐี

พอสูงสุดคือสูญ สามารถสร้างแก่นใจให้เป็นแก่นโลกุตระ เป็นจิตที่ไม่มีกิเลสได้จริง คนไทยในชาติก็เป็นแก่นชาติ แล้วจะเกิดแก่นชัย ชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เพราะแก่นใจเป็นแก่นชาติ จึงจะเกิดแก่นชัยได้ (บท 5 6 7 จากกวี 15 บท เราคิดอะไร เดือน กุมภาพันธ์ 59)

                             

           (5) แก่นใจคือแก่นแท้              ชาติตน

          เป็นแก่นแห่งใจคน                    ทุกผู้
                   หากสร้างแก่นใจผล                   แก่นชาติ เลยแล
                   อำนาจจึงจักกู้                        โลกไว้ดังหวัง
                     (6) หากใจยังไป่แท้               แก่นจริง
                   แก่นชาติใดก็อิง                      เก่าแล้ว          
                   อาเซี่ยนก็คงชิง                       กันใหญ่
                   เศรษฐกิจจึงบ่แคล้ว                  วิบัติซ้ำคงเดิม             
                     (7) ถ้าเสริมสร้างแก่นให้          ภายใน
                   ตรงแก่นคือมุ่งใจ                     วิสุทธิ์ได้
                   บรรลุอธิปไตย                        จนครบ สามเฮย
                   โลก,อัตตา,ธรรม ไซร้                อำนาจนี้แก่นชัย

 

และสรุปลงตรงที่กวีบทที่ 15

 

 (15) พิงธรรมพิเศษไซร้           โลกุตระ

          โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น

          อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย

          ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร

 

คนมีธรรมาธิปไตยคือคนที่รู้จักความเป็นโลกกับอัตตา แล้วอยู่เหนือโลกและอัตตาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โลกคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กับกามคุณ 5 อัตตาคือใจของคุณ แล้วไม่เป็นทาสใจ แต่เป็นนายของใจที่ไม่มีอคติ ไม่มีกิเลส ก็จะมีอำนาจเหนืออัตตา เห็นแก่มวลมนุษย์ชาติเป็นใหญ่

จึงเป็นสุดยอดแห่งประชาธิปไตย ที่มีคอมมูนยิ่งใหญ่ที่สุด คือเป็นองค์รวมชุมชนที่ทุกคนใช้ส่วนกลางสาธารณโภคี อย่างอโศก บริโภคร่วมกันเป็นทรัพย์ส่วนกลาง เป็นสังคมประชาธิปไตยยิ่งใหญ่ที่สุดมีสองขา มีทั้งคอมมูนและประชาธิปไตยด้วยรวมกันอยู่เป็นองค์รวม เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ คอมมิวนิสต์นั้นบังคับเสียภาษีแล้วไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย แต่ประชาธิปไตยแท้ของพระพุทธเจ้าเสียร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วไม่บังคับด้วย คุณสมัครใจมาอยู่ร่วมได้ไม่บังคับ ไม่กดดันอย่างคอมมิวนิสต์ที่ล่มไป

ประชาธิปไตยขาเดียว คนบริหารเปลี่ยนตัวมาไม่ได้สืบทอดจิตวิญญาณมณเฑียรบาลที่รักษาเชื้อ DNA ของความบริสุทธิ์ ราชาใดประพฤติดีคนนับถือเอง อย่างในหลวงเราท่านไม่เคยหาเสียงเลย ทรงงานอย่างเดียว ถ้าหาเสียงยังไม่ใช่ประชาธิปไตย พูดไว้แค่นี้ก่อน นี่น้ำจิ้ม เจอกันงานพุทธาภิเษก

 

วันนี้มีหนูน้อย ไม้เมืองพุทธ กรุณา ชื่อเล่นว่า นะโม เขามาคุยกับอาตมาเรื่องธรรมะ เขาเขียนว่า...

พุทธแท้ๆ ไม่แพ้ทุกข์  แต่ทุกข์แท้ๆ จะแพ้พุทธ ผมตีความว่าเมื่อมีความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในภาวะทุกข์แล้ว จะไม่ทุกข์หรือมีก็ตามรู้มันได้ครับ

กุศล คือการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมโดยการทำแต่ภายนอก แต่บุญ คือการได้ชำระกิเลสจากภายในไม่ต้องทำประโยชน์ก็ได้ใช่ไหมครับ (ถูกต้อง) และอกุศล ไม่ว่าจะจิตหรือการกระทำที่ไม่ดีก็คืออกุศลใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เอาคะแนนเต็มไป

         

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:15:05 )

590221

รายละเอียด

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

           [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงาน............นี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบเว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจาก อาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม          

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

 

          ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:16:12 )

590221

รายละเอียด

590221_เทศน์เปิดงานและปฏิญาณตน พุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40

 09.05 น. เป็นพิธีเปิดงาน พุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ณ ชุมชนไพศาลี อ.โคกเดื่อ จ.นครสวรรค์ ก่อนเปิดงานมีอามิ่งหมาย มุ่งมาจน หัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน กล่าวรายงาน ...งานพุทธาภิเษกฯจัดมา 40 ปี เป็นการอบรมฝึกฝนปฏิบัติธรรม

สติปัฏฐาน 4 

1. สังวรศีล คือถือศีล 8 เป็นอย่างต่ำ โดยมีพื้นฐานศีล 5 ก่อน ปฏิบัติศีล 8 ให้เป็นสติปัฏฐาน 4 ​อย่าให้มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ละเมิดศีล 8

2. สำรวมอินทรีย์ ไม่สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดไม่สุภาพ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติสำรวมในทวารทั้ง 6

3. โภชเนมัตตัญญุตา รับประทานอาหารมังสวิรัติวันละ 1​ มื้อ ใช้ของส่วนตัวให้น้อยที่สุด

4. ชาคริยานุโยคะ ฝึกให้เป็น ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน จากความหลับใหลและกิเลส

จากนั้น...ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายอำเภอไพศาลี กล่าวเปิดงาน….

จากนั้นทุกคนในงานกราบพ่อครู 3 ครั้ง

 

พ่อครูว่า...พ่อครูนำสวดมนต์สั้น...นโมตัสสะ ภควโต ...วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 14 ค่ำเดือน 3 ปีมะแม หรือปีวอกก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะนับเอา ตามแต่ละคนจะยึดถือ พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ที่อาตมาเองเป็นผู้ตั้งชื่อขึ้นมานี้เพื่อที่จะสะกิดใจในวงการศาสนาพุทธ คำว่า พุทธาภิเษก เป็นภาษาเต็มของบาลี

และอีกคำหนึ่งก็คือคำว่า “ปลุกเสก” เป็นภาษาไทยแปลงมาจากคำว่าอภิเษกนี่แหละ ซึ่งแปลว่า การพยายามที่จะแต่งตั้ง ปรับปรุง สร้างสรร ทำให้เกิดขึ้น สู่จุดสูงจุดเจริญ เป็นที่เป้าหมาย เสร็จแล้วความเสื่อมของศาสนาพุทธก็เอาพิธีการพุทธาภิเษกหรือปลุกเสก มีอีกงานที่เราทำคือ ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ที่ศีรษะอโศก ก็เป็นปีที่ 40 เหมือนกัน

ตั้งแต่เริ่มออกบวชและต่อมาก็เห็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่เขาเข้าปริวาสกรรม เอาพระมารวมกันตามพิธีโบราณเดิม แต่แล้วเพี้ยน มารวมกันก็ไม่ได้ มาปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัด ว่ามากินมื้อเดียว แต่กินมื้อเดียวนี้ เขามีกินน้ำปานะสารพัดตลอดวัน มีญาติโยมมาช่วยกันทำน้ำปานะให้ฉันไม่ขาดสาย พระก็กินกันทั้งวัน กินมื้อเดียวแต่ดื่มกันทั้งวัน จะมีไมโล โอวัลตินดื่มกันทั้งวัน หรือใส่ไข่ด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ใช้ไฟฌานเผากิเลสได้เป็นบุญ

ส่วนเรื่องเงินนั้น ไม่ได้ละเว้นเลย เรื่องเงินนั้นรับกันจังเลย แล้วญาติโยมก็เห็นว่ามันจะได้บุญกุศลอะไรก็แล้วแต่ พูดไป

ทุกวันนี้คำว่าบุญกลายเป็นวิมานในภพเบื้องหน้า วิมานคือสิ่งที่ลอยลม สร้างขึ้นในจิตจินตนาการอยู่ในอนาคต ลมลมแล้งแล้ง จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็กำหนดสร้างวิมาน หลอกกันว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นจิตที่ปั้นเป็นภพชาติในอนาคต

คำว่าอนาคต ถ้าผู้ใดจะมีการก้าวเดินไปสู่อนาคต โดยเฉพาะจิตวิญญาณของตน จะเป็นอัตภาพหรืออัตตาตัวนี้แหละ ที่เกิดตายๆ ไปกับวิบาก สร้างวิบากดี วิบากชั่ว วิบากบาป วิบากบุญ

บุญคือการชำระกิเลส ถ้าทำให้กิเลสลดก็คือการเกิดบุญหรือได้บุญ แต่จะไม่ได้อะไร กิเลสหายไป บุญไม่มีภพชาติ บุญไม่มีวิมาน

ใครเอาคำว่าบุญมาหลอกว่าจะได้อะไรในภพข้างหน้าก็เป็นเรื่องหลอก อวิชชา เป็นเรื่องไม่จริง มิจฉาทิฏฐิ

บุญแท้จริงคืออาวุธตัดกิเลสด้วยภูมิปัญญา เจโตและปัญญา หรือวิมุติ เป็นปัญญาที่แท้จริง เป็นการตัดกิเลส กิเลสคืออกุศลจิต อ่านกิเลสให้ได้จริงแล้วกำจัดกิเลสตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มีโพธิปักขิยธรรม 37 ถือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ จรณะ 15 วิชชา 8

กิเลสเป็นนามธรรม แล้วทำให้กิเลส ลด ละ จางคลายได้ จะมีญาณปัญญาเรียกว่า ญาณทัศนะวิเศษ หรือ วิปัสสนาญาณ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ของอาการจิต อกุศลจิตเป็นอย่างไร มันมีอาการ โทสะ ราคะ โลภะ อาการอย่างไร

โลภะกับโทสะอาการต่างกันเรียกว่าลิงค คนละเพศ เราจะจับอาการเหล่านี้ได้ เป็นนิมิต เครื่องหมาย

อาการโลภะหรือโทสะก็เป็นกิเลส เราทำให้อาการมันลดลง จนไม่มีอาการ ผู้มีวิปัสสนาญาณ อ่านอาการที่เป็นนามธรรม อ่านรู้แล้วปฏิบัติได้จริง ทุกขณะที่สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดกิเลสเป็นตัณหา เป็นความต้องการ โลภ หรือ โกรธ เราก็จับอาการนั้นให้ได้ เมื่อจับอาการที่เกิดในปัจจุบันได้ทันทีที่เกิด ที่เรามีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส สัมผัสกายกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง เราก็รู้การปฏิบัติโดยวิธีปหาน 5 กดข่มบ้าง แล้วอ่านอาการกิเลสที่มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราก็รู้ว่ามันไม่เที่ยง แล้วคนที่ไปยึดอาการนั้นไว้คือคนโง่อวิชชา ยึดไว้แล้วมาเสพตามความต้องการได้มาเรียกว่าความโลภ ต้องการกำจัดออกไปเรียกว่าโกรธ ต้องการเสพสัมผัสรสเรียกว่าราคะ

ได้มาเป็นของเราเรียกว่าสมความโลภ ได้มาสัมผัสเสียดสี รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ถูกใจเค้าเรียกว่าราคะ เป็นอัสสาทะ เป็นอิฏฐารมณ์ ผู้ใดลดอาการอยากได้ อ่านอาการอยากได้ ความอยากเป็นอาการอย่างไรก็อ่านได้ คนมีญาณปัญญา วิปัสสนาญาณ หรือ ญาณทัศนะวิเศษ มันอ่านออกจริงๆ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาแล้วมีพลังงานปัญญา เรียกโดยภาษาว่า ฤทธิ์ แรง กำลัง มีพลังงาน อำนาจ อิทธิพล ทำให้กิเลสลดเรียกว่าไฟ

ไฟ คำนี้ภาษาบาลีเรียกว่า ไฟฌาน ฌานนี้ประกอบด้วยปัญญา

“ฌานไม่มีปัญญา ไม่มี” พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ชัดในพระไตรปิฏก ล.9

พลังไฟนี้คือไฟฌาน ทำให้ไฟฌานมีอำนาจมากกว่าไฟราคะ โทสะ โลภะ พลังฌานทำให้เกิดได้ เป็นพลังงานที่มีจิตแข็งแรงมีปัญญาเจโต ซึ่งเป็นพลังงานธรรมะสองที่จับคู่กัน ทำปฏิกิริยาสลายพลังงานราคะหรือโทสะได้ ถ้าคุณสร้างพลังฌานได้จริง พลังงานนี้จะทำลายพลังงานราคะหรือโทสะลงได้จริง ขอให้ทำถูกเถิด นี่คือปฏิบัติตามวิทยาศาสตร์ทางจิตของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ

ผู้ปฏิบัติได้จริง ทำให้กิเลสลดได้จริง แล้วเราจะตามเห็นกิเลสลด เรียกว่า

วิราคานุปัสสี อาการจิตวิปัสสนาญาณ หรือญาณทัศนะวิเศษ เรียกว่าวิชชาข้อที่ 1 เนี่ย มันจะรู้เห็นหลัดๆ ของตนเอง จึงคือผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่งมงาย รู้ความจริงตามความเป็นจริง

อาการที่อธิบายนี้เป็นฟิสิกส์ของจิตวิญญาณ อาตมาแตกเป็นนิวเคลียส มี nucleic acid แล้วมี nucleate คือผู้จัดการนิวเคลียร์ได้ แตกเป็นฟิชชั่น ฟิวชั่น สองแบบ อาตมาจับอาการพลังงานฟิสิกส์ที่ตรงกันกับพลังงานจิตเลย

ยิ่งแจกไปในทาง biology เป็น protoplasm เป็น cytoplasm ที่รวมกัน 58 คู่สูงสุดนี่ แตกอย่างกลางคือ 24 คู่ คือ chromosome ที่ biology เรียนกัน อาตมาสนุกแต่ร้อนหัวเลย ละเอียดมากตอนนี้ จะพักเรื่องนี้ก่อน อาตมาเป็นโพธิสัตว์มีหน้าที่เรียบเรียงเรื่องพวกนี้ไว้ ศาสนาพุทธตอนนี้เสื่อมจะหมดแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้ก็เกิดเหตุการณ์ทางโลก ขออนุโมทนากับผู้เอาภาระที่จัดการสสัมภาระที่จะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนี้คุณปูก็กำลังถูกชำแหละในทางการเมืองการบริหาร ส่วนทางศาสนาก็จะเอาบทความของคุณเปลว สีเงิน มาอ่านให้ฟัง…

'มหาเถรฯ-สังฆราชา' มีทำไม?...

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ตั้งมหาเถรสมาคม-สังฆราชผิดธรรมวินัย

อาตมาขอแวะตรงนี้ มหาเถร คือคณะภิกษุ อยู่ในระดับเถระก็คือผู้ใหญ่ บวช 10 พรรษาขึ้นไปเรียกว่าเถระ แต่ถ้าพรรษา 20 ขึ้นไปเรียกว่า มหาเถระ

ทีนี้ในเมืองไทยไปตั้งคณะมหาเถรฯ ขึ้นมา ตั้งขึ้นมาเป็นคณะตายตัว นี่ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

มหาเถระคือมีผู้มีอายุพรรษา 20 ปีขึ้นไป เรียกมหาเถรตามอายุบวช เวลาจะทำสังฆกรรม ก็ถือว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ และสองมีความรู้ความสามารถมาก ถึงเวลาจะทำกิจอันควรของสงฆ์ เช่น วัดนี้มีพระกี่รูป ภิกษุกี่รูป ภิกษุที่มีในวัดตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทำสังฆกรรมได้ จะมีเกินกว่านั้นไม่เป็นไร ได้ บางกิจก็ทำใช้ 5 รูป แต่ถ้าองค์สงฆ์ต้องเริ่มที่ 4 จึงทำสังฆกรรมได้ ไม่ใช่ไปตั้งคณะตายตัวเป็นมหาเถรสมาคมนี้ ตั้งไม่ได้ ตั้งแล้วอาบัติ โมฆะ ตั้งด้วยความไม่รู้ ด้วยความเสื่อมของความรู้ ก็เลยมีอำนาจดูแลทั่วประเทศ อย่างนี้ไม่ใช่

พระพุทธเจ้าแจกแยกอำนาจไว้ตามแต่ละสังคม จังหวัดนี้ อำเภอนี้ มีพระเท่านี้ภิกษุเท่านี้ ก็เลือกผู้มีจริงในเขตนั้น ถ้าไม่พอก็เอามาทำให้พอทำสังฆกรรม จะเกิดศาลหรือวงที่ตัดสินความได้ หรือทำกิจสงฆ์ทั้งหมด ก็ให้มีสงฆ์ 4 รูปขึ้นไป ถ้าไม่พอก็หามาเติม นี่คือธรรมวินัย แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไป จนมีมหาเถรสมาคมแล้วมีอำนาจทั่วประเทศ ผิด

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าไม่ระบุให้อำนาจใครเป็นใหญ่สุด นี่คือรัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่แค่มีเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นแค่ปลายแถว รัฐศาสตร์ทุกวันนี้ไม่ได้เรียนธรรมะพระพุทธเจ้า

ขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยสุดยอด แม้ยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช แต่พระพุทธเจ้าก็มีรัฐของท่านเรียกว่าพุทธ มีธรรมนูญของท่านคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นรัฐเฉพาะของท่าน มีจารีตประเพณีของท่าน ท่านไปที่ใดก็ไปประกาศธรรมวินัย มีผู้มาเข้ารีตในธรรมวินัยของท่าน ท่านไปแคว้นใดๆ พระเจ้าแผ่นดินก็ยอมท่านหมด มีคนมาเข้ารีตอยู่ในพระวินัยของท่าน เจ้าแคว้นยอมให้ท่านหมด มีหลักฐานในสามัญญผลสูตร

มีพระเจ้าอชาตศัตรูแคว้นมคต มาพบพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าข้าทาสของท่านที่เป็นมือไม้ของท่าน ท่านรักเป็นเหมือนมือขวา เป็นคนใกล้ชิดท่าน แล้วคนนั้นเขามาฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วศรัทธา ขอออกบวชเป็นประชาชนในธรรมนูญของพระพุทธเจ้า เขาก็ต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยธรรมนูญของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ท่านจะมาเอาคนนี้คืนไปไหม พระเจ้าอชาตศัตรูบอกว่าไม่เอาคืน แต่ต้องกราบเขา ลุกรับเขา อนุเคราะห์เขา เขามาเป็นคนดีอย่างนี้แล้วไม่เอาคืนหรอก พระพุทธเจ้าเล่าในสามัญญผลสูตร

พระพุทธเจ้าไปประกาศ พบพระเจ้าปเสนทิโกศล ในแคว้นโกศล ใหญ่กว่าแคว้นสักกะของพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้าเทศน์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าบริหารประเทศชั้นหนึ่งเลย เอาแคว้นโกศลนี้ไปครึ่งหนึ่งเลย แม้ครึ่งก็ใหญ่กว่าแคว้นสักกะ ให้ช่วยกันบริหาร เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าทำให้อยู่เย็นเป็นสุขถึงจิตทั้งทางบริหารบ้านเมืองด้วย จิตเป็นประธาน จึงยิ่งใหญ่กว่าการบริหารที่ใช้แค่ความรู้ทางโลก เพราะจิตวิญญาณไม่ลำเอียงจริง แล้วรู้จริง มีความสามารถจากความรู้ที่แท้จริง นี่คือสัจจะที่สูงสุด

แต่เสร็จแล้วทุกวันนี้ศาสนาพุทธมากว่าสองพันหกร้อยกว่าปี การตั้งมหาเถรสมาคมก็ผิด การตั้งสังฆราชมาเป็นผู้มีอำนาจใหญ่ที่สุดในศาสนาก็ผิด ไม่ได้ การบริหารใช้คณะบริหาร ว่ากิจสงฆ์แบบไหนจะใช้ภิกษุกี่รูป มีในพระธรรมวินัยหมด มีอธิกรณสมถะ 7 ลักษณะคลุมหมด นิติศาสตร์จะเรียนอย่างไรก็สู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ อาตมาเสียดาย ทุกวันนี้ประชาชนไทย 95% นับถือศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ดีขึ้นมามากเลย

คำว่าสังฆราชนี้ เท่ากับตั้งพระเจ้าแผ่นดิน มีอำนาจใหญ่เหมือนสมบูรณาญาสิทธิราช ไม่ได้ ตั้งมาก็ผิด โมฆะเลย พระพุทธเจ้าไม่ให้ตั้งคนเป็นใหญ่ ให้เอาหมู่สงฆ์เป็นใหญ่ เป็นกลุ่มที่จะทำสังฆกรรมใดๆ เพราะฉะนั้นมหาเถรสมาคมก็ผิด สังฆราชก็ผิด

ขออภัยเหมือนโพธิรักษ์ใหญ่ พูดว่าเขาผิดไปหมด ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ผิด ก็ขอให้นักศึกษาไปศึกษา ว่าถ้าท่านถูกกว่าก็กรุณาบอกด้วย จะได้รู้ว่าอาตมาเข้าใจผิดอยู่ มาอ่านบทความเปลว สีเงิน ว่า….

 

'มหาเถรฯ-สังฆราชา' มีทำไม?

นอนดู "ยำโล้น" มา 2 วัน เข็ดฟันจัง!

          อยากบอกว่า...........

          กองทัพโล้น "ไอซิสคลุมเหลือง" ใต้คอนโทรล "ระบอบทักษิณ" โดย "อลัชชีประสาร" ที่ยกกำลัง "บุกพุทธมณฑล" 2-3 วันก่อนนั้น

          ทำแนวรบทั้งด้านศาสนจักรและทั้งด้านอาณาจักร ตามแผน "แดงทั้งแผ่นดิน" ของระบอบทักษิณ

          ............"พังไม่เป็นท่า"!

          ทำไมจึงพัง...?

          ก็ดูซี "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ก็ตั้งอยู่พุทธมณฑล

          "รัฐบาลสงฆ์" คือมหาเถรสมาคม ก็ตั้งอยู่ที่นั่น

          "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" หรือที่เรียกกันว่า "สมเด็จช่วง" วัดปากน้ำ ที่ทำงาน "ประธานมหาเถรฯ" ของท่าน ก็อยู่ที่นั่น

          "พุทธมณฑล" เปรียบก็คือ "ทำเนียบรัฐบาล"!

          แล้วสุมหัวดำ-หัวโล้น ใต้ระบอบแดง ทำกันอย่างนี้-ที่ทำเนียบสงฆ์ในอำนาจสมเด็จช่วง

          ไม่เท่ากับเผยไต๋ "รู้เห็น-เป็นใจ" กันหรือนั่น?

          แทนที่ "ทำเนียบรัฐบาล" ของนายกฯ ประยุทธ์จะสะเทือน ด้วยอิทธิฤทธิ์ไอซิสเหลือง "ล็อกคอ-ยกรถ" ทหาร

          กลายเป็น "ทำเนียบสงฆ์" ของสมเด็จช่วง ตกเป็นประเด็นให้ถามกันขรม

          "พยักหน้าให้เข้ามาเล่นปาหี่กันหรือเปล่า?"

          ริยำต่อหน้า-ต่อตา-ต่อสถานที่ขนาดนี้ แล้วผู้ปฏิบัติหน้าที่ "ประมุขสงฆ์" หายไปไหน?

          ทำไมไม่มี "มติ" ทางคณะปกครองสงฆ์ "อย่างใด-อย่างหนึ่ง" ออกมาให้เห็นว่า...นี้ ไม่ดี-ไม่งาม-ผิดธรรม-ผิดวินัย ไม่ใช่วิสัยสงฆ์

          พร้อมห้ามปราม ว่ากล่าวตักเตือน ให้สาธุชนทั้งหลาย ได้อนุโมทนาว่า วงการสงฆ์ไทยยังมี "หัวหลัก-หัวตอ" ให้ยึดถืออยู่!?

          อุเบกขา แบบหลับตาให้โจรเช่นนี้...........

          ยากที่จะไม่ให้ชาวบ้านครหา...หรือประมุข "มหาเถรฯ" เห็นดี-เห็นงาม ส่งเสริม-สนับสนุน ไอซิสเหลืองก่อการ ....เพื่อ  

          กดดันให้รีบตั้ง "สังฆราชา"

          และข่มขู่ฝ่ายบ้านเมือง ประมาณว่า อย่ามายุ่งกับ "ข้าวหมา-ตัณหาพระ" ในทุกเรื่อง!?

          ชาวบ้านเขารู้มาตั้งนานแล้วล่ะ....ว่าพวกเจ้าดังที่โผล่หน้าออกมา อยู่ในลัทธิระบอบทักษิณ ฝ่าย "แดงในดงเหลือง"

          -แดง นปช. หน้าที่เป็นฝ่ายยึดอาณาจักร

          -แดงดงเหลือง หน้าที่เป็นฝ่ายยึดศาสนจักร

          แล้วทั้งอาณาจักร-ศาสนจักร "รวมศูนย์" แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา!

          สายธรรมทูตตามต่างประเทศ สายสมเด็จซึ่งเป็น "พ่อธัมมชโย" ในฐานะอุปัชฌาย์ "วัดพี่-วัดน้อง" และ นปช.เพื่อไทยสายทักษิณ

          ทั้งภาพถ่าย-ลายแทง มันประจักษ์แจ้งหมดแล้ว

          ปิดหัว-หางก็โผล่, ปิดหาง-หัวก็โผล่!

          ฉะนั้น ไม่ต้องปิด ทุกอย่างมันทนโท่ และที่ออกมาวานซืน เจ้าทนายธัมมชโยก็โชว์ตัวหรา

          ฉะนั้น สาธุชนทั้งหลาย.......

          การวิพากษ์-วิจารณ์อะไร โปรดอย่าด่าพระสงฆ์!

          พระสงฆ์ คือพระสาวกผู้ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

          ส่วนโล้นคลุมเหลืองพวกนี้ ไม่ใช่พระสงฆ์ หากแต่มาจากบุคคล 2 ประเภท คือ

          1.อลัชชี คือพวกประพฤตินอกพระธรรมและพระวินัย เช่นโล้นประสาร โล้นธัมมชโย โล้นโช โล้นเหยิน เป็นต้น

          2.เดียรถีย์ คือพวกปลอมตัวเป็นพระ หรือพวกนอกศาสนาปลอมเข้ามาทำทีบวช หวังบ่อนทำลาย-ชอนไชพระพุทธศาสนา

          เช่น ที่เห็นเอาจีวรคลุมตัวมาชุมนุม เอารูปทักษิณบ้าง ยิ่งลักษณ์บ้างแขวนคอ กินเหล้า-เมายา-ปาระเบิด อย่างที่เห็น

          ที่เป็น-ที่ริยำอยู่ขณะนี้ นี่คือพวกเดียรถีย์-อลัชชี หมกมุ่นอยู่กับ กิน-กาม-เกียรติ-โกง ไม่ใช่พระสงฆ์

          ฉะนั้น แยกประเภทให้ชัด "ก่อนด่า" เดี๋ยวจะ "ตกนรก" แบบไม่ตั้งใจกันหมด!

          ที่อลัชชี-เดียรถีย์ ไม่สิ้นเชื้อ เพราะคนแถวปทุมธานี แถวกรุงเทพฯ แก๊งหนึ่ง มันจ้าง-วานประจำ พวกนี้เลยยึดเป็นอาชีพ

          แต่ก็แปลก...ทนโท่ขนาดนี้

          ไม่เคยปรากฏว่า มหาเถรฯ ก็ดี สำนักพุทธก็ดี จะมองเห็นภัย แล้วทำหน้าที่ให้ประชาชนเห็นว่า ได้ปกป้องภัย-พิทักษ์พระพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลย?

          ตำแหน่ง "สังฆราชา" นั้น ผู้มีสมณศักดิ์สูงบางราย อยากได้

          แต่ไม่เห็นผู้มีสมณศักดิ์สูงหรือต่ำรูปไหน อยาก "ป้องภัย" ให้พระพุทธศาสนาเลย?

          มิหนำซ้ำ ส่อว่าคล้าย "ยักคิ้ว-หลิ่วตา" ให้พวกอลัชชี-เดียรถีย์ ทำหน้าที่ "ออกรบให้" ด้วยซ้ำ?

          เห็นทหารถูกพวกอลัชชี-เดียรถีย์ล็อกคอ-ชีล้วงกระเป๋า ก็อยากเสนอทางปฏิบัติให้

          นั่นคือ....

          ไอซิสเหลืองอยากมาอีก มาเลย..ไม่ห้าม แต่ต้อง "ตรวจบัตร" ตามกฎ เหมือนที่พวกเขาเคยปฏิบัติเอง

          "ตรวจใบสุทธิ" โล้นเหลืองทุกคน ก่อนอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม!

          ตามกฎสงฆ์และกฎหมาย พระทุกรูป ต้องมีใบสุทธิ ใบสุทธิคือ "บัตรประชาชนพระ"

          ในใบสุทธิ จะระบุ ชื่อ-นามสกุล สังกัดวัด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ บวช วัน/เดือน/ปี ไหน ที่ไหน พ่อ-แม่ชื่ออะไร บอกหมด

          เนี่ย...ถ้าคนไหนไม่มี แสดงว่าปลอมเป็นพระมาชุมนุม จับดำเนินคดีได้เลย

          ถ้ามีใบสุทธิ ทำเรื่องฟ้องพระอุปัชฌาย์ เจ้าคณะตำบล-อำเภอ ว่าพระในสังกัดปกครองท่าน ประพฤตินอกพระธรรมวินัย ให้พิจารณาลงโทษเลย

          ถ้าเจ้าคณะต่างๆ ไม่จัดการ ในฐานะที่เขาเป็น "เจ้าพนักงาน" ดำเนินคดีตามมาตรา 157 เลย

          ไม่บาปหรอก ได้ขึ้นสวรรค์ "ฐานทำกุศลต่อพระพุทธศาสนา" ด้วยซ้ำ!    

          ใน "มหาปรินิพพานสูตร" มีว่า............

          ก่อนที่พระพุทธองค์จะดับขันธปรินิพพาน พระองค์ไม่ได้ทรงตั้งสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์

          โดยตรัสแก่ "พระอานนท์" ว่า

          "ดูกร อานนท์...........

          ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละ จักเป็น 'พระศาสดา' ของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไปแล้ว"

          ชัดเจนที่สุด พระธรรมและพระวินัย คือพระศาสดาของพระสงฆ์สาวกทุกองค์ในพระพุทธศาสนา

          ไม่ใช่พระสังฆราช อย่างที่พวกอลัชชี-เดียรถีย์ และที่คนไม่รู้หลงเข้าใจ เอะอะก็...ต้องตั้งทันที

          พระธรรม-วินัยตะหาก คือพระศาสดา คือสังฆราชา ของพวกเธอผู้เป็นพุทธบุตร โปรดทำความเห็นให้ตรง!

          เราจะเห็นว่า อริยสงฆ์ทั้งหลาย เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชา หลวงตาบัว สมเด็จพระญาณสังวร หรือที่เรียกกันว่า "พระป่า"

          ท่าน "เคร่งครัด-เคารพ-ปฏิบัติตาม" พระวินัย เพราะนี้คือพระศาสดาแท้จริง

          ท่านเชื่อมั้ย....

          ทุกวันนี้ คนต่างชาติ-ต่างภาษา มุ่งเข้าพุทธศาสนา-หาธรรม

          ตรงข้ามกับคนไทย มุ่งเข้าพุทธศาสนา-หากิน!

          ทุกวันนี้ ฟังธรรม ให้เข้าถึงธรรม ต้องฟังจากพระฝรั่ง

          ฟังพวกหัวโล้น-ห่มเหลือง ได้รถเถื่อน ได้เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก สักยันต์ ค้อนอันละ 3 แสน สวรรค์ชั้นละ 20 ล้าน ก่อการยึดชาติ-ยึดศาสนา ขึ้นเวที...ฆ่ามัน..ฆ่ามัน!

          จงดีใจกันเถิด ที่เกิดเหตุ "ไอซิสเหลือง" เพราะทำให้สังคม "รู้แจ้ง" หายเคลือบแคลง ไหนพระ-ไหนโจรหัวขนเม่น?

          พระพุทธศาสนา มาถึงจุด "ไหนน้ำ-ไหนน้ำมัน" ซึ่งแยกตัวออกจากกันตามธรรมชาติเองแล้ว

          พระธรรมวินัย มีทำไม?

          มหาเถรสมาคม มีทำไม?

          สังฆราชา มีทำไม?

          "คำสอนสุดท้าย" ของพระพุทธองค์มีว่า

          “ภิกษุทั้งหลาย ..........

          บัดนี้ ตถาคตขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”.

นี่เป็นปัจฉิมโอวาทที่พระพุทธเจ้าตรัสก่อนจะปรินิพพาน

ผู้ไม่รู้สังขารนี่ไม่มีวิชชา ผู้อวิชชาคือผู้ไม่รู้สังขาร ที่ปรุงแต่งกันอยู่คือธรรมะสองขึ้นไป พอสองแล้วจะเกิดสาม แล้วเกิดสองคู่คือสี่ หรือสามจับเป็นวงวน ถ้าสองนี้เป็นลักษณะวงวนที่รี เหมือนในมหาจักรวาลที่เป็นดาวหาง ดาวหางวิ่งด้วยวงรี ดาวหางไม่มีบริวารของตัว แต่ดาวหางมีพลังงานในตัวเองเท่านั้น แล้วแตกแจกเป็นดาวหางดาวเล็กแตกไปๆ เพราะลักษณะดาวหางคือนิวเคลียร์ฟิชชั่น ส่วนดาวฤกษ์ดวงใหญ่คือฟิวชั่น แล้วบางทีรวมกันเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ จะมีบริวารที่วิ่งเป็นวงกลม ส่วนดาวหางจะไม่มีบริวาร แตกตัวไปเหมือนฟิชชั่น แต่ดาวฤกษ์จะเป็น

ฟิวชั่นมีพลังงานที่มีระบบ

เข้ามาถึงเหตุการณ์เมืองไทยเป็นแก่นแกนธรรมะพระพุทธศาสนา อาตมาจะไม่แวะพาดพิงศาสนาอื่น จะพูดแต่ศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของโลกพระพุทธเจ้าเกิดมานับไม่ถ้วนพระองค์แล้ว เท่ากับเมล็ดกรวดในมหานที แต่พฤติกรรมของศาสนาพุทธเหมือนกันหมดทุกพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ทุกยุคทุกสมัย ทุกกาลเวลาในเอกภพ

ประเทศไทยเป็นหลักของศาสนาพุทธในโลกนี้ เป็นแหล่งกลางของพระพุทธศาสนา สหประชาชาติก็ได้ยกให้แล้ว สหประชาชาติคือองค์รวมของทางโลก สรุปคือศาสนาพุทธนั้นมีศูนย์กลางย้ายจากอินเดียมาอยู่ประเทศไทยแล้ว ไปอีก 2500 กว่าปีก็จะหมดศาสนาพุทธ แล้วจะมีแต่บัญญัติที่มีอยู่ ต่อจากนั้นจะเป็นพุทธันดร ช่วงไม่มีศาสนาพุทธ เป็นยุคเลวร้ายมาก พุทธเกิดมาก็ช่วยคนไม่ได้

ขนาดยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีอัครสาวกเบื้องซ้ายคือพระโมคคัลลานะเป็นพระที่เป็นอมตะ ไม่ตายนะ จะถูกฆ่าเมื่อไหร่ก็ชุบชีวิตตัวเองขึ้นมาได้ตลอด แต่สุดท้าย เมื่อตรวจดูในวัฏสงสารแล้ว ก็พบว่ามันไม่จบจริงๆ เพราะความร้ายแรงมารร้ายครองโลกอยู่ อยู่ในช่วงที่ความร้ายแรงจะครองโลก ผู้ที่จะรู้จักทางออกก็จบที่ตัวเรา ปล่อยให้มันร้ายต่อไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน พวกนี้รวมกันอย่างไรก็ไม่ติด ก็จะทะเลาะกันเองตลอดกาล จะรวมกันได้ก็เพื่อประโยชน์ช่วงหนึ่ง ก็เหมือนกับทักษิณที่บอกว่าช่วยเราถึงฝั่งแล้วเราจะขึ้นเขา เราก็จะทิ้งเรือแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชาวอโศกมีครบพุทธบริษัท4

สรุปคือ พุทธหยั่งลงในประเทศไทย อาตมาประกาศว่า พุทธคือชมพูทวีป ชมพูทวีปคือมนุษย์ที่รับศาสนาพุทธได้ บรรลุธรรมได้และมีจำนวนมากพอ เพราะฉะนั้นยุคนี้มีเมืองไทยที่มีศาสนาพุทธที่มีความจริงมากพอ แล้วก็จะช่วยให้ความเป็นพุทธนี้อยู่ไปจนกว่าจะสิ้น เพราะฉะนั้นชมพูทวีปอยู่ที่เมืองไทย แล้วกลุ่มที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในเมืองไทย บรรลุจริง

วันนี้ก็ขอพูดชัดเลยว่า อาตมาประกาศอรหันต์ในงานนี้ปีที่แล้ว ปีนี้ก็ประกาศอีกคือชาวอโศก ปีที่แล้วประกาศตนเอง ปีนี้ประกาศชาวอโศก ชาวอโศกนี้คือพุทธสาวก ที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี แต่เราไม่เรียกภิกษุณี เราเรียกว่า

สิกขมาตุ ตอนนี้เขาแย่งกันจะเอาชื่อภิกษุณี จะมีหลายร้อยหลายพันแล้วในเมืองไทย เนื้อแท้แล้วเป็นภิกษุณีจริงหรือเปล่า ได้หรือเปล่า สิกขมาตุของเรามีอรหันต์ อาตมาประกาศไปแล้ว

อโศกมีครบพุทธบริษัท 4 จึงมีคุณสมบัติของพุทธธรรม ในสังคมชาวอโศกแต่ละหมู่บ้านแต่ละชุมชน ที่ยังไม่ใหญ่ขนาดเป็นอำเภอหรือจังหวัด เพราะไม่รวมกันในที่เดียว แต่กระจายกันเป็นเครือแห คือมีคน ผู้ชายผู้หญิง ซึ่งมีคุณสมบัติโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในนั้น เช่น ในชุมชนศาลีอโศก สันติอโศก ราชธานีอโศก ศีรษะอโศก ก็มีบ้าน วัด โรงเรียน สามเส้าครบ

โรงเรียนคือความรู้ บ้านคือสังคม วัดคือคุณธรรม เป็นสามเส้า มีสังคม มีคุณธรรม มีความรู้ 3 เส้านี้อยู่ในไพศาลีก็มี แล้วคนเหล่านั้นมีความรู้ มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีสังคมกลุ่ม ความเป็นสังคมของหมู่บ้านชุมชนชาวอโศกที่เป็นพุทธนั้นอยู่อย่างมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี นี่คือคุณสมบัติของมนุษยชาติที่เจริญ

สาธารณโภคี คือมีสมบัติที่เป็นคอมมูนที่ใหญ่แบบสมัยพระพุทธเจ้า องค์รวมของประชาชนนี้เสียภาษี 100% ทำงานฟรีทุกคน นี่คือคอมมูนของพระพุทธเจ้า แล้วคนเหล่านั้นเสียภาษีโดยไม่ถูกบังคับ ไม่เหมือนกับคอมมิวนิสต์ที่ต้องออกกฎหมายบังคับให้เสียภาษี แล้วในคอมมิวนิสต์ก็มีการโกง แต่มีความเข้มกว่าประชาธิปไตย

ส่วนของสาธารณโภคีนั้นเต็มใจเสียภาษี 100%  แม้จะมีกิเลสอยู่บ้างแต่อยู่ในชุมชนก็เต็มใจทำงานฟรีทุกคน ถ้าคุณไม่อยากจะอยู่ในนี้ก็ออกไป ไปทำงานเอาเอง แต่ถ้าเข้ามาในเขตนี้คือเสียภาษี 100%

ในชุมชนชาวอโศก คนที่เป็นสมาชิกชุมชนจึงทำงานฟรี คือเสียภาษี 100%แล้วก็กินใช้ร่วมกัน ของที่กินใช้ร่วมกันนี้เป็นนิตินัย ไม่มีใครจะแบ่งออกได้เป็นของส่วนตัว เป็นทรัพย์สินส่วนกลางทั้งหมด จึงย้ำเสมอว่านี่เป็นสมบัติของเธอนะพวกเด็กๆ แต่เด็กๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ผู้ใหญ่สิ ผู้ใหญ่ทำไมมันโง่ เป็นสมบัติของคุณ มาอยู่แบบกินใช้ร่วมกัน ตายก็เผาให้ฟรี ป่วยเจ็บก็รักษา

โยมเหนี่ยว แกบรรลุธรรมที่นี่ ตอนตายก็ยิ้มตายที่นี่ ที่ไพศาลี แกบอกว่าที่นี่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ ส่วน เห็ดมีเก็บ นั้นอาตมาเอามาต่อ เจ็บป่วยมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างก็ทำเอาเอง เป็นญาติธรรมคือพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ มีลูกหลานก็ช่วยกันเลี้ยงดู เป็นลูกหลานสาธารณะ ระวังนายปองเอี้ยมจะถูกสปอย เพราะมีคนเลี้ยงคนเอาใจเยอะ

ไพศาลีนี้ตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2519 ตอนนี้ ร่อยหรอกันไป ยังมีส่วนเหลือส่วนเกินกัน เพราะในเศรษฐศาสตร์บุญนิยมของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีจน เป็นคนจนที่จนไม่เป็นแล้ว เป็นระบบคนจนที่ไม่เกิดความจนอีกแล้ว เป็นระบบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่มีปัญญารู้ระบบคนจนนี้ไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวเราเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจึงตรัสเรื่องการบริหารประเทศเอาแบบคนจน จนคือส่วนตัวไม่มีอะไร มีแต่บริขาร เราอยู่กันมักน้อยสันโดษ จะมีบริขารตามเหมาะสมแต่ละคนที่จะใช้ มีบริขารส่วนตัวส่วนรวม เราดูแลบริหารตามเหมาะสม ตนเองเมื่อตัดสินไม่ได้ก็เอาคณะบริหารรวมกันตัดสิน ช่วยกันรับผิดชอบ วินิจฉัยตัดสิน อาศัยหมู่เป็นคณะลูกขุนตลอด ส่วนธรรมนูญนั้นของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ให้แก้ไข เป็นกฎหมายใหญ่หลักสมบูรณ์แบบตลอด อาตมาถึงเกาะบัญญัติของพระพุทธเจ้าแจเลย เอามายืนยัน

สรุปอีกที ชุมชนอโศกขอให้ตื่นรู้ว่าคุณควรจะอยู่ที่ไหน คุณอยู่ร่วมกันกับหมู่กลุ่มคุณได้ก่อกุศล ได้ล้างกิเลสเรียกว่าบุญ บุญคือเครื่องมือล้างกิเลส ส่วนกุศลคือพาหะของความดี แล้วจะได้อาศัยไปตลอดจนกว่าจะปรินิพพาน ส่วนบุญนั้นมีหน้าที่ตัดคอเหมือนเครื่องประหารหัวหมาของเปาบุ้นจิ้น

ที่นี่เป็นที่พักพิง เป็นที่ๆ มีทฤษฎีหลักสูงสุดคือ สาธารณโภคี เป็นระบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งความเป็นคอมมูนและประชาธิปไตย ทุกคนกินใช้ร่วมกันส่วนกลาง รวมกลุ่มกันไม่มีใครตีแตกก็เป็นคอมมูนแล้ว สมบัติส่วนกลางเป็นรูป คนที่ช่วยกันบริหารส่วนกลางเป็นนาม แล้วต่างก็ช่วยกันสร้าง ไม่มีตัวกูของกูและขยัน คนเจริญแล้วขยันทุกคน ไม่มีขี้เกียจที่เป็นอบายมุขข้อต้น เมื่อขยันก็สร้างสรร มีปัญญา

สร้างสรร หรือไม่มีปัญญาก็อยู่กับหมู่ที่มีปัญญาที่ช่วยกันสร้าง ไม่ต้องกลัวผิดเลย

หมู่นี้คือคนมีปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา รู้ว่าอะไรดีไม่ดี สมยุคสมัยด้วย แล้วทุกคนมาอยู่ร่วมกัน กินน้อยใช้น้อย มักน้อยสันโดษ จึงมีส่วนเหลือ ส่วนเหลือของแต่ละคนรวมกันจึงมีมาก แจกจ่ายให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีจิตติดยึดเป็นเราเป็นของเรา จะแจกจ่ายใครก็แจกด้วยปัญญา การให้ทาน การบริจาค การแจกต้องให้กับคนที่ควร ไม่ไปแจกให้คนใจร้าย เหมือนกับการเอาปืนไปใส่มือโจรร้าย รู้จักที่ควรไม่ควร

สังคมพุทธเกิดแล้ว มีจริง เป็นจริง คนที่มาอยู่แล้วอยู่ไม่ได้เพราะไม่เชื่อจริง หรือเจโตไม่พอถ้าเชื่อแล้วไม่อยู่ ถ้าเชื่อแล้วจงเอาตัวเข้ามา ให้เขาเขกหัวบ้างก็แล้วกัน ตายดีกว่า ให้ผู้รู้ผู้มีเจตนาดีเขาเขกหัวตาย คุณเท่ากับตายดีไม่ตกต่ำ ตายอยู่ในแดนบุญแดนกุศล ดีกว่าตายอยู่ในแดนชั่วแดนเลวแดนสกปรกมีเชื้อโรค มาตายอยู่ในนี้ไม่มีเชื้อโรค นอกจากไม่มีเชื้อโรคแล้ว ก็ยังมีกุศลติดไปด้วย ได้ล้างกิเลสได้บุญจริงอีก

ที่ๆ เป็นสัปปายะ 4 มีสถานที่ มีบุคคลที่เป็นอาริยบุคคลด้วย มีอาหาร อาหารคือเครื่องอาศัย ข้าว กับ แกง เครื่องใช้ เครื่องมือ อุดมสมบูรณ์เหมือนมีเยอะเพราะมันมารวมกัน แต่ละคนไม่มีเป็นของส่วนตัว

ขณะนี้ในไพศาลีก็อยู่กันอย่าง 1. ไม่เป็นหนี้  2. ทำให้เหลือกินเหลือใช้ เช่น เขามาบริจาคให้อาตมาได้อีก ถ้ามีคนมาร่วมอยู่ในนี้อีกก็จะเจริญกว่านี้ อุดมสมบูรณ์กว่านี้ ของกินของใช้สิ่งก่อสร้างอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเจริญไป

เพราะฉะนั้นมี สัปปายะ 4 มี สถานที่ บุคคล อาหาร และธรรมะ อยู่ครบในนี้ ชีวิตคุณจะต้องการธรรมะของศาสนาพุทธไหม? ถ้าต้องการจงมา ถ้าไม่มาก็จงโง่ต่อไป เราต้องการคนที่กล้าจริง ไม่ใช่สถานที่ตกต่ำ ขอยืนยัน เป็นสถานที่พุทธแท้ๆ

 

พ่อครูพาปฏิญาณตน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

           [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 40 นี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจาก อาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม          

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้

 

เป็นอันว่าเราได้ปฏิญาณตนเพื่อที่จะได้ประพฤติในงานพุทธาภิเษกฯ นี้ อาตมาค้างคำว่าสังขารไว้ เพราะในบทความของคุณเปลว ก็มีคำว่าสังขารตอนท้าย

“บัดนี้ ตถาคตขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ก็จะได้มาเรียนรู้คำว่าสังขารทั้งหลายที่เสื่อมไปเป็นธรรมดานี่แหละ คำว่าธรรมดา คำว่าสังขาร ต้องขยายความ คนเราเกิดมาต้องมีสังขาร มีอวิชชาแน่ แล้วก็บอกกันว่า สังขารต้องเสื่อมเป็นธรรมดา แต่ว่าเมื่อกินอะไรก็บอกว่าชอบจริง อร่อยจัง ก็ถามว่าคุณดูดซับชอบใจหรือว่าวางมัน กิเลสคุณก็โต นั่นคือการปรุงแต่งสังขาร ก็เป็นธรรมดาของสังขารโง่ๆ คือกิเลสตัวร้ายที่คนไม่รู้ทัน อย่าให้มันสมใจ อย่าให้มันซับไว้ ต้องตัดก่อนที่จะให้มันได้สัมผัสได้เสพ แล้วให้มันแห้งตาย ให้มันเน่าตายแก่ตาย ให้มันแตกย่อยตายก็แล้วกัน

ปัญญาจะเป็นพลังงานไฟ จะเกิดสภาวะสัมปชลิโต เป็นพลังงานปัญญาโหมแรง จะมาสลายพลังงานโลภ โกรธ หลง ของเรา มันฆ่าได้จริง จงสะสมปัญญาเช่นนี้ รู้แล้วแบ่งทำไปตามศีลเป็นลำดับๆ

แล้วบรรลุก็ไม่หนีสังคม แต่ทำงานเพื่อประชาชนเพื่อสังคมที่แท้จริง
….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:16:52 )

590222

รายละเอียด

590222_ทวช.พุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ธรรมะของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม 1

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันเริ่มต้นที่จะได้สาธยายธรรมในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 40 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชาตรงกับวันที่ 22 ชาวอโศกเรานี่คือ ตัวเลขของชาวอโศกคือ 22 คือ คารโว ชื่อมงคลที่ 22 คือคารโว ส่วนนิวาโตนั้น 23

คาราโวคือการเคารพ นิวาโตคือการอ่อนน้อมถ่อมตน ชาวอโศกเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดชาติ อาตมาได้นำชาวนักบวชของเราออกจากมหาเถรสมาคม ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 เมื่อประกาศนานาสังวาสกับคณะสงฆ์ 180 รูปที่มีเจ้าคณะตำบลเจ้าคณะอำเภออยู่พร้อม ไม่มีเจ้าคณะจังหวัดเท่านั้น ก็ประกาศต่อหน้าหมู่สงฆ์ ขอแยก แล้วก็มีลายลักษณ์อักษรอ่าน พูดก่อนพูดเองว่า อาตมาอยู่กับผู้ใหญ่นั้น อยู่ต่อไปคงไม่สะดวก ก็ขอลาออกจากหมู่ใหญ่บริษัทใหญ่ พวกเรานั้นเหมือนบริษัทที่แยกย่อยออกมาเล็กๆ ขอตั้งร้านทอดปาท่องโก๋ข้างทาง

อาตมาอยู่ในหมู่ใหญ่นั้น เห็นว่าสูตรปาท่องโก๋ที่ทอดให้ประชาชนกินนี้ ทำให้ประชาชนสุขภาพเสียท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาขอเสนอสูตรที่ถูกต้อง แต่ท่านไม่ฟัง ท่านไม่รับเลย หาว่าอาตมาเบี้ยวสูตร เบี้ยวทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระบวชใหม่พระเล็กๆ อยู่กับหมู่มาก็ถูกแกล้ง ถูกกันทุกอย่างไม่สะดวก ก็เลยออกมาขอแยกมาบริหารหมู่เล็กของตนเอง ก็ขอประกาศ พูดด้วยคำพูดและก็มีใบให้เจ้าคณะอำเภอเซ็นรับด้วย ชื่อพระครูปราการ พุธที่ 6 สิงหาคม 2518 แรม 14 ค่ำ เดือน 8 อาตมาเกิด 5 มิ.ย. เกิดแรม 8 ค่ำเดือน 7

พระรักและพระลูกวัด 21 รูป กับเณรอีก 2 ก็ถือว่าเณร 2 นี้เท่ากับ 1 รูป ก็รวมนับเป็นเลข 22 ก็ยังสะดุด คารโว นิวาโต ว่าเรายืนในเลข 21 และ 22 นะ ก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนนะ ลาออกมา นอกนั้นก็มีสิกขมาตุอีก 7 รูปหรือไงจำไม่แม่น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ช่วงต่อจากพีชะมาเป็นจิตนิยาม

เราแยกมาแล้วก็ทำงาน ตั้งแต่ปี 2518 มาถึงปีนี้ 2559 ก็ 41 ปี

เป็นทศวรรษที่สี่ เลขสี่เป็นเลขเกิดอย่างหนึ่งจากสาม ของโลกและมหาจักรวาล ตั้งแต่มีความว่าง nich แล้วมีจุดที่เกิดขึ้นมาเป็นสอง มี cytoplasm จะมีวงวน protoplasm จนเกิดตัวที่สาม protoplasm ก็จะเกิดหุ้มตัวสามตัวนี้ไว้ เกิดเป็น dna ตัวแรก แล้ว ก็จะเกิดซ้อนอีกในนั้น มี protoplasm หุ้ม มีตัวนอกและตัวในที่หุ้มอยู่ protoplasm ก็จะเหนียว

เมื่อเราแยกออกมาแล้วก็มาทำงานอย่างดีมีพัฒนาการ เจริญมาถึงวันนี้ 41 ปี รวมแล้วอาตมาทำงานมา 46 ปี อาตมาบวช 2513 มาถึงปีนี้ก็ 46 ปี ถ้าถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 2559 ก็เต็ม 46 ปี ขึ้นปี 47 ต่อ อยู่ในระหว่างทศวรรษที่ 4 พัฒนาสามเส้าแล้วเพิ่มอีกหนึ่งเป็น 4 แล้วจะต่อไปเป็น 5 6.. 7

ตัว 7 นี้เป็นตัวเกิดเพิ่มของสองเส้า จะอธิบายเพิ่มอีกนิดนึงว่า protoplasm หุ้มอยู่จะเหนียว ขยาย ถ้าเป็นโครโมโซมจะมีถึง 23 คู่ก็เป็นโครโมโซมปกติ พอถึงคู่ 24 ก็จะเป็นโครโมโซมเพศ xx กับ xy ถ้าชายอ่อนแอ protoplasm จะคงตัวไม่แยก แล้วจะแตกออก จาก 24 เป็น 58 ขยายเป็นกลุ่ม nebula ใหญ่ไม่แตกกระจาย

แต่ถ้ามีแรงอะไรตี nebula ให้แตก ก็จะเป็นการระเบิดที่ยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูอีก มีพลังงานแตก ถ้า xy สะสมพลังงานเป็นเพศชาย โดยตัวมันเองเป็น xx protoplasm จะแยกเป็น Zonar pellucida เปลี่ยนเพศ​ แยกออกมาเป็นอีกชิ้นใหม่ ตระกูลใหม่ DNA เปลี่ยนตัว DNA จะมี protoplasm ที่หุ้มนี้จะแยกออกเป็นตระกูลพืช เรียกว่าเส้น Zonar pellucida มันกลายมาเป็นตัวนี้

ถ้าพลังงานที่เกิดอย่างปฏิรูปจะค่อยเสื่อม แต่ถ้าพลังงานปฏิวัติจะแตกระเบิด นี่คือลักษณะคนทำระเบิดอะไรต่างๆ ก็ทำเช่นนี้ ช่วงต่อระหว่างพีชนิยามเกิดจิตนิยาม จะเกิดเปลี่ยนแปลง protoplasm กลายเป็น Zonar pellucida

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยะ 3 และ อนุตตริยะ 6

เช่นเดียวกันกับโลกียะเปลี่ยนมาเป็นโลกุตระ บางคนเปลี่ยนแบบแรงกระแทกปึ๊งมาเลย แล้วแต่บารมี บางคนถูกอะไรกระแทก บางคนจับพลัดจับผลูมา แต่บางคนก็แสวงหา บางคนมาแบบไฟไหม้ฟาง มีหลากหลายลีลา ก็เป็นไป แต่สุดท้ายก็จะเข้าข่าย เข้าเกณฑ์ของ เรียกว่า อนุตตริยะ เมื่อมีพลังงานองค์รวมของเชื้อกุศล กับเชื้อบุญ

ระหว่างคำว่ากุศลกับบุญนั้น กุศล หมายถึงสิ่งมี บุญ หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดสูญ เกิดไม่มี ส่วนกุศลเป็นเครื่องมือทำให้เกิดมี เครื่องมือทำกุศลคือเครื่องอาศัย

บาปคือคำเดียวกับอกุศล จะหมายถึงสิ่งมีก็ได้ ถ้ามันไม่มีก็คือบุญ ถ้าดับอย่างค่อยๆ ลดลงเรียกว่าปฏิรูป reform แต่ถ้ามันแตกหายกระจายเร็วเรียกว่าปฏิวัติ revolution ก็มีลักษณะสองนี้มากหรือน้อยเท่านั้น บางคนกึ่งแรงกึ่งเบา บางคนก็ไม่ยอมแยกง่ายๆ บางทีระเบิดเลย

เมื่อเปลี่ยนเข้าเขตโลกุตระก็คืออุตตระ หรือ อนุตตริยะ คือไม่มีอะไรจะสูงเหนือนี้อีกแล้ว ถ้า อ นี้คือไม่ น นี้เอียงไปเชิงไม่ ถ้าได้นี้เปลี่ยนเป็นใหม่เลย คือ นว

คำว่า เนว คือกึ่งได้กึ่งดี อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ แล้วแต่คนมีปัญญาจริงจะรู้ว่ามีหรือไม่มี

อ กับ น รวมตัว กับอุตตระ คืออนุตตริยะ แปลว่าสิ่งที่สูงสุด คือเข้าเขตโลกุตระ ถ้าอุตตระก็เข้าเขตโลกุตระแล้ว โสตา คือรู้ เป็นความรู้ โสตาปันนะ รู้มากพอเข้าเขต โสดาบัน พระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสี่เขต

เขตที่ 1 คือ 25% เขต 2 คือ 50% เขตที่ 3 คือ 75% เขตที่ 4 คือ 100%  ถ้าเป็น 25 % ก็ยังไม่เที่ยง แต่ถ้าถึง 50% ชักจะเข้าท่า ก็จะเที่ยงอวินิปาตธรรม ถ้าไม่ตกต่ำเลย 50% ไปก็เป็นนิยตะ แปลว่าเที่ยง แน่นอน ถ้าเลย 75% คือสอบได้เกียรตินิยม สัตตักขัตตุปรมโสดาฯ คือถึงเขตขอบ คือการเข้ากระแสที่มีตัวเลข 7 มันกลับกัน คุณสามารถทำโสดาบัน ถึงพ้นสังโยชน์ 3 พ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา และพ้นสีลัพพตปรามาส เกิดปฏิบัติศีลพรตจนได้มรรคผล แต่ถ้ารู้ศีลพรตที่ถูกต้องแล้ว รู้ว่าปฏิบัติอย่างนี้กิเลสจะลด แต่ก็อยู่กับเครื่องมือนั้น ปรองดองกิเลส เลี้ยงกิเลสไว้ สร้างโลกธรรมให้แก่ตนเอง เหมือนตำรวจเลี้ยงโจรไว้ นี่คือลูบๆ คลำๆ กับศีลพรตนั้น ดีไม่ดีกบฏอีก เป็นวิธีเล่ห์กลของทุกคนเลยไม่ว่าใครในโลก คบโจรแล้วให้โจรสร้างตนเอง เช่น เศรษฐีบางคนค้าอบายมุขน้ำเมา ตนเองเป็นเหมือนตำรวจ น้ำเมาเป็นเหมือนโจร แล้วเลี้ยงโจร เอาไปขายให้ตัวเองรวยเละ บาปมหาศาล ในทุกวงการมีหมด คนนี้กบฏยิ่งกว่าพระยาจักรี หรือพระยาละแวก ตลบแตลง เป็นไส้ศึก มันได้ประโยชน์แต่มันเลว

มาเข้าสู่อนุตตริยะ อนุตตริยะ คือ ความสูงที่ยอดเยี่ยม ไม่ถอยแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรมี 2 สูตร อนุตตริยะ 3 และอนุตตริยะ 6

 

อนุตตริยะ 3 คือ

1. ความเห็นอันยอดเยี่ยม (ทัสสนานุตตริยะ)

ทัสสนานุตริยะ ทัสสนะคือการเห็น การดู การมอง การรู้ การทราบ การเข้าใจ ความรู้ชัด ทัศนะ หรือญาณ เป็นลัทธิ ทฤษฎีก็ได้ เป็นการแสดงออกเลยก็ได้ ถ้าแก่ตัวมีคุณสมบัติมากขึ้น จริงจังมากขึ้นในทัศนะนั้น

2. ความปฏิบัติอันยอดเยี่ยม (ปฏิปทานุตตริยะ)

3. ความพ้นวิเศษอันยอดเยี่ยม (วิมุตตานุตตริยะ)

 

และมีอีกหมวดคือ อนุตตริยะ 6

1. ทัสสนานุตตริยะ (การเห็นอย่างยอดเยี่ยม)

2. สวนานุตตริยะ (การฟังอย่างยอดเยี่ยม)

3. ลาภานุตตริยะ (การได้อย่างยอดเยี่ยม)

4. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอย่างยอดเยี่ยม)

5. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออย่างยอดเยี่ยม)

6. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม)

ทัสสนานุตตริยะ เมื่อตากระทบรูป รูปเกิดที่ใด คุณอ่านรูปนี้ออกที่นั้นคือที่เกิด ได้พบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม ได้ศรัทธา เกิดมีญาณรู้ มีโยนิโสมนสิการถ่องแท้เลย ในนามธรรมมันไม่ที่อยู่ ไม่มีรูปร่าง อยู่ในอาการ 32 ของคุณ ไม่ออกนอกนั้น เกิดสภาพรู้ขึ้นมา

ความเป็นผู้หญิงคือความดิ้น ถ้า xx คือเหมือนกัน แต่ xy คือต่างกันนะ ถ้าเหมือนกันจะเกาะกันแน่น ถ้าต่างกันจะแยก ถ้ามีพลังมากก็จะแยกตัวเลย คือชายจะพาแยกตระกูลได้ แต่หญิงไม่สามารถพาแยกตระกูลได้ ถ้าชายไม่มีกำลังก็แท้ง ชายเป็นตัวเจาะ หญิงไม่ใช่ตัวเจาะ หญิงเป็นตัวดิ้น แต่ชายเป็นตัวเจาะ อะไรเป็นตัวเคลื่อนไหว? คือ เคลื่อนไหวทั้งคู่ ตัวสเปิร์มก็ต้องเจาะให้ได้ คือรายละเอียดที่เข้าใจยาก แต่ตัวสงบจริงๆ คือชาย แต่ถ้ายังมี women touch คือหญิง ยังมี

อุทธัจจะ ยังมีมังกุอยู่คือหญิง ยังมีจริตจะก้านอยู่

อาตมาเวลาแสดงธรรมนี่ใช้เชิงผู้ชาย แต่ถ้าอยู่ตามปกติก็แสดงแบบหญิง

สวนา หรือ สวน หรือเสวนา คือการฟัง

ลาภานุตตริยะ ตัว ภ นี้คือตัวเจริญ แต่ถ้าเติม ภย ก็แปลว่าภัย ลาภคือสิ่งที่ได้มา ถ้าไปแสวงโลกีย์คงไม่มานี่ คนที่มาปฏิบัติกับอาตมานี้ คนมาไม่ง่ายหรอก แต่ละคนมาก็มีอะไรในจิตใจแต่ละคน จะถูกบังคับก็ตาม ถือว่าเป็นโชคของคุณแล้วหนอ ยิ่งมีปฏิภาณเอง ขวนขวายเองก็ดีมากแล้วหนอ อาตมาว่าเป็นโชค อย่างคุณสีพลบคือคุณขาว พรเพ็ญ เมื่อคืนก็ขึ้นเวทีอยู่

เมื่อเห็นแล้วได้รู้จัก พอมาถึงได้ลาภมาเป็นรู้จริง ก็มีสิกขา

ปาริจริยานุตตริยะ คือมีพฤติกรรมที่ข้ามฝั่ง ส่วนปาราชิกคือผู้ไม่ข้ามฝั่ง ส่วนปาริจริยะคือข้ามฝั่ง

สุดท้ายคือ อนุสสตานุตตริยะ เป็นการเจริญมาเป็นยอดใจ มนุสสะคือใจสูงใจเจริญ อนุสสะคือการได้ สูง เจริญ แล้วเขามาแปลกลับว่า  ได้แล้วก็เอาของคุณที่ได้มาระลึก เอาสัญญามาระลึกคือการได้แล้ว ที่จริงได้ลาภะมาแล้ว เจริญแล้ว ปาริจริยะแล้ว ได้แล้วก็เพิ่มเติมอีกคืออนุสสะ ทบทวนสร้างต่อคือตัวเจริญเพิ่ม

จากอนุสสตะก็เป็นมนุสสตะ

ลักษณะภาษาที่บอกอีก 6 ตัวนี้ก็คือการศึกษา

1. เชื่อถือ

2. เชื่อฟัง

3. เชื่อมั่น

ทัสสนะคือเชื่อถือ สวนะคือเชื่อฟัง คือเริ่มทำตามแล้ว แต่ถ้าแค่เชื่อถือแต่ไม่ทำตาม คุณนับถือศาสนาพุทธ ใครแตะไม่ได้ แต่ว่าไม่เคยปฏิบัติ เชื่อถือก็แค่ถือ เชื่อฟังก็ทำตาม ถ้าเชื่อมั่นก็คือ confidence เป็นลาภเลยได้เลย

ทวนอีก

4. สิกขา

5. ปาริจรยะ

6. อนุสสะ

ก็ซ้อนเป็นอีกรอบสูงขึ้นไปอีก สิกขาใส่ใจ แล้วให้เจริญปาริจริยา เชื่อฟังปฏิบัติ จนได้อนุสสตะ ก็คืออนุตตริยะ คือเจริญยอดเยี่ยมนั่นเอง

ลองมาฟัง รายละเอียดของพระพุทธเจ้า

 

 

พระไตรปิฎก เล่มที่ 22  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

10. อนุตตริยสูตร
       
[301] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้ 6 ประการเป็นไฉน
คือ ทัสสนานุตตริยะ 1 สวนานุตตริยะ 2 ลาภานุตตริยะ 3 สิกขานุตตริยะ 4
ปาริจริยานุตตริยะ 5 อนุสสตานุตตริยะ 6
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทัสสนานุตตริยะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ ย่อมไปเพื่อดูช้างแก้วบ้าง ม้าแก้วบ้าง แก้วมณีบ้าง ของใหญ่
ของเล็ก
(เดี๋ยวนี้เขาก็ให้ดูหมีแพนด้า ดูสัตว์ต่างๆ ดูของต่างๆ มากมายที่เขาจะหลอกให้ดูกันมากมาย พวกคุณเลิกแล้วที่จะโง่ไปดูสิ่งเหล่านั้น โทรทัศน์เดี๋ยวนี้ก็มอมเมาให้คนตกนรกปหาสะ ตกนรกนานด้วย นรกที่เป็นสุขสนุกสนานคือนรกเพลินไม่รู้ตัว ตกนานด้วย ตกหนัก ตกจมไม่รู้เรื่อง อาการดิ้นแบบเสี้ยนยาคือตกนรก พ่อแม่ก็ฆ่าได้ คุณดิ้นอย่างนั้นในนามธรรม เมื่อตายไปไม่มีใครช่วยด้วย ถ้าไปดิ้นที่โรงพักก็แบ่งให้เสพยาไม่ตาย แต่ถ้าดิ้นมากทนพิษบาดแผลไม่ได้ก็ตาย บางคนทนพิษบาดแผลได้ก็ไม่ตาย ตกนรกก็เหมือนกัน นี่แหละคือความตกนรก คุณไม่รู้ยิ่งกว่าคนเสี้ยนยา คุณก็ดิ้น ตายพับแล้วพับอีก รู้สึกตัวก็ดิ้นอีก อยู่อย่างนั้นอีกนานเท่านาน ตกนรกเช่นนั้น ของจริงนะ อยู่ที่นั่นไม่มีเวลานับนะ แล้วเป็นจริง ทรมาน คนตายตกนรกนี่จริงกว่า

ตอนเป็นเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอก คุณฟังดูว่าน่ากลัว ก็คิดได้ว่าน่ากลัวขนาดหนึ่ง แต่ถ้าตายไปแล้วตกนรกนั้นจริงกว่าที่คิดได้ตอนนี้ น่ากลัวกว่าคุณฟังแล้วเข้าใจ น่ากลัวกว่าหลายเท่า ขณะนี้คุณฟังนี้ อาตมาพูดให้คุณฟังก็โง่ขนาดนี้ ตายไปนี้คุณโง่กว่านี้หลายพันเท่า คุณจะหลงจริงมากกว่านี้อีก คุณฟังขณะนี้รู้เรื่องก็ฉลาด คนฟังได้มาฟังรู้บ้างไม่รู้บ้างก็ได้กุศลขนาดหนึ่ง แต่ถ้าฟังรู้เรื่องก็มีปัญญาสูงกว่า คนไม่ได้ฟังเลยก็ไม่มีบารมี ฟังแล้วรู้เรื่องบารมีมากกว่าคนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ดีกว่าคนไม่ฟังเลย คนได้มาฟังอาตมานี้เป็นโชคแล้ว ยิ่งมาด้วยปัญญาสมัครใจ รู้อะไรควรหรือไม่ควร) หรือสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด (เหมือนยุคนี้ก็ไปดูสมีอุ้มสมี ไม่มาดูที่อาตมากล่าว)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทัสสนะนั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าทัสสนะนี้นั้นแลเป็นกิจเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกพระตถาคต การเห็นนี้ยอดเยี่ยมกว่าการเห็นทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่าทัสสนานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะเป็นดังนี้ ฯ (พระพุทธเจ้าขยายความยาว คนไม่รักกันจริงไม่ใจเย็นไม่เห็นประโยชน์ จะรำคาญว่าทำไมไม่เข้าเป้าสักที แต่ว่าคนซาบซึ้งดีจะอ่านได้อย่างมีธรรมรส)
          ก็สวนานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมไปเพื่อฟังเสียงกลองบ้าง เสียงพิณบ้าง เสียงเพลงขับบ้าง หรือเสียงสูงๆ
ต่ำๆ ย่อมไปเพื่อฟังธรรมของสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การฟังนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการฟังนี้นั้นเป็นกิจ
เลว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่
หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปฟังธรรมของพระตถาคตหรือสาวกของพระ
ตถาคต การฟังนี้ยอดเยี่ยมกว่าการฟังทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่ง
สัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ไปเพื่อฟังธรรมของพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า สวนานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ

ก็ลาภานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมได้ลาภคือบุตรบ้าง ภรรยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือลาภมากบ้าง น้อยบ้าง หรือ
ได้ศรัทธาในสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภนี้
มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าลาภนี้นั้นเป็นของเลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของ
พระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ลาภานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตริยะ
ลาภานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ
          ก็สิกขานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมศึกษาศิลปะเกี่ยวกับช้างบ้าง ม้าบ้าง รถบ้าง ธนูบ้าง ดาบบ้าง หรือศึกษา
ศิลปชั้นสูงชั้นต่ำ ย่อมศึกษาต่อสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การศึกษานี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการศึกษานั้น
เป็นการศึกษาที่เลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้ง
มั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิต
บ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว การศึกษานี้ยอด
เยี่ยมกว่าการศึกษาทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้ง
หลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธา
ตั้งหมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมศึกษา
อธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้
เราเรียกว่า สิกขานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ
สิกขานุตตริอะ เป็นดังนี้ ฯ
          ก็ปาริจริยานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลก
นี้ ย่อมบำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำ
บำรุงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบำรุง
นี้นั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการบำรุงนี้นั้นเป็นการบำรุงที่เลว ... ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว
มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การบำรุงนี้
ยอดเยี่ยมกว่าการบำรุงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ...
เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรัก ตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคตหรือสาวก
ของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ปาริจริยานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนา
นุตตริยะ ลาภานุตตริยะ สิกขานุตตริยะ ปาริจริยานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ

(ถ้าคุณบำรุงพระพุทธเจ้าก็สูงสุด แต่ถ้ามาบำรุงอาตมาที่คุณเจริญไล่ไม่ทันอาตมา คุณก็บำรุงได้แต่ของที่จะยังให้อาตมาต่ออายุ แต่คุณจะต้องบำรุงสิ่งนี้ไว้ เพราะคุณเลี้ยงร่างนี้ไว้ เพื่อคุณจะได้สิ่งที่พาคุณสูงขึ้นได้

แต่ถ้าคุณเจริญขึ้นได้มากกว่าอาตมา อาตมาก็ต้องไปบำรุงคุณ คุณเป็นอภิชาตบุตร อาตมาไม่ริษยานะ อาตมาว่าดีนะที่จะได้มีคนมาช่วยกันทำงานเพิ่มอีก ใครดีกว่าอาตมาได้อาตมาก็ส่งเสริมนะ ไม่คิดแข่งดีแข่งเด่น แต่ขอให้ดีจริง ไม่ใช่ดีเก๊ๆ นะ)
          ก็อนุสสตานุตตริยะ (แปลว่าสูงที่สุด แต่ใช้ว่าเป็นการระลึกถึงสิ่งที่ได้ก็ได้)เป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมระลึกถึงการได้บุตรบ้าง ภริยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือการได้มากน้อย ระลึกถึงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มีอยู่เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการระลึกนี้นั้นเป็นกิจเลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การระลึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการระลึกถึงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า อนุสสตานุตตริยะดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้แล ฯ
          ภิกษุเหล่าใดได้ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ ยินดีในสิกขานุตตริยะ เข้าไปตั้งการบำรุง เจริญอนุสสติที่ประกอบด้วยวิเวก เป็นแดนเกษม ให้ถึงอมตธรรม ผู้บันเทิงในความไม่ประมาท มีปัญญารักษาตน สำรวมในศีล ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมรู้ชัดซึ่งที่เป็นที่ดับทุกข์ โดยกาลอันควร ฯ

จบอนุตตริยวรรคที่ 3
          พ่อครูว่า...บางคนมาชวนอาตมาไปสังเวชนียสถาน แต่อาตมาว่าอาตมามีสังเวชนียสถานในนี้แล้ว ต้นโพธิ์อาตมาก็มีแล้วในนี้ ใครอย่ามาชวนเลยนะ ….จบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ล.12 ข.[402] ส. ข้าแต่พระโคดม ด้วยเหตุเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้สำเร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ?

     พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่ล่วงไปแล้วทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้ ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดีละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเราดังนี้ จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น. ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้วมีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ.ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุที่รู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้แหละ ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม 3 ประการ

คือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม 1(ทัสสนานุตตริยะ)  ความปฏิบัติอันยอดเยี่ยม 1(ปฏิปทานุตตริยะ) ความพ้นวิเศษอันยอดเยี่ยม 1.(วิมุตตานุตตริยะ) เมื่อมีจิตพ้นกิเลสแล้วอย่างนี้ ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงทำเพื่อให้ตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงฝึกพระองค์แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสงบได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงข้ามพ้นแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อข้ามพ้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงดับสนิทแล้วย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความดับสนิท


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:18:35 )

590222

รายละเอียด

590222_ธรรมะมาฆบูชา โดยพ่อครู ธรรมะอนุตตริยะ                

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแมเป็นการบรรจบครบรอบมาฆฤกษ์ของศาสนาพุทธ ก็จะได้ดำเนินเรื่อง สาธยายคำความต่างๆ ที่พึงจะได้สาธยายสู่กันฟัง ซึ่งพวกเราชาวอโศกก็ได้พยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน เกิดความเป็นสิริมงคลและความเจริญของชีวิต อนุโมทนา สาธุ ทุกคนที่ได้ศึกษาปฏิบัติการมาฟัง การมาทัสนา และการสิกขา และพยายามปฏิบัติพากเพียรปฏิปทา จนมีผลเป็นวิมุติได้ ก็เป็น

อนุตตริยธรรมของพระพุทธเจ้า ที่นำมาเปิดเผยในโลก

คำว่าอนุตตริยะคือความรู้ที่ไม่มีอะไรสูงกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีสิ่งใดสูงเลิศกว่านี้อีกแล้ว แค่คำว่า อุตริยะ ก็คือความเลิศยิ่ง พออนุตตริยะ เติมเข้าไปอีก ก็แปลว่าไม่มีอะไรเหนือหรือสูงกว่านี้อีกแล้ว คำว่าอนุตริยธรรม จากพระไตรปิฎก ล.12 ที่ได้นำมาสาธยายในภาคเช้า กว่าจะมาถึงจุดสูงสุด ย่อมมีลำดับ ระยะแรก เจริญขึ้นไล่ไปจนถึงอนุตตริยะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โอวาทปาติโมกข์) ตอน ทำอย่างไรจิตจึงจะบริสุทธิ์ผ่องใส 

สำหรับวาระนี้เป็นมาฆฤกษ์ เกี่ยวข้องกับตำนานวันมาฆบูชา ที่มีพระอรหันต์ 1,250 องค์มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรม

วันนี้ก็จะนำเอา โอวาทปาฏิโมกข์ 3 คือ สัพพปาปัสสะ อกรณัง

กุสลัสสูปสัมปทา และ สจิตตปริโยทปนัง มาอธิบาย

คำว่า “สัพพปาปัสสะ อกรณัง” การไม่ทำบาปทั้งปวง แปลกันเช่นนั้นก็ถูกต้องดีแล้ว ต่อมาว่า “กุสลัสสูปสัมปทา” ทำแต่ดีทำแต่กุศลอยู่เสมอ ก็แปลได้ถูกต้อง แม้ที่สุดคำสุดท้าย “สจิตตปริโยทปนัง” หมายความว่าทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ก็ถูกต้อง

ความหมายที่จะขยายคือ กว่าผู้ใดที่จะไม่ทำบาปทั้งปวงได้นั้น จิตใจเขาก็จะต้องถูกทำให้บริสุทธิ์ผ่องใสแล้ว แข็งแรงตั้งมั่นดีเลย จึงจะไม่นำผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ผ่องใสแข็งแรงนั้นให้ไปทำบาปได้

ถ้าสจิตตปริโยทปนัง ไม่บรรลุ ไม่บริบูรณ์ จิตใจของเราจะมีตัวนำพาให้ไปทำบาป ทำอกุศล 3

ประโยคสามประโยคนี้ถึงต้องเข้าใจนัยให้สำคัญในเบื้องต้น ถ้าเราเข้าใจได้ละเอียดพอ ก็จะปฏิบัติได้สมบูรณ์ เราจะทำถูกต้องเป็นลำดับเป็นลำดับอย่างอัศจรรย์ มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พระพุทธเจ้าตรัสเป็นความอัศจรรย์

ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็จะไม่เป็นความอัศจรรย์ ถ้าได้ทำตามพระพุทธเจ้าสอนอย่างถูกลำดับ พระพุทธเจ้าตรัสเป็นความอัศจรรย์ ล.23 ข.109

ก่อนจะทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ ก็ต้องรู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรก่อนจะไม่ทำบาปทั้งปวงใช่ไหม

ทีนี้ทำอย่างไร นี่เป็นประเด็น ทำอย่างไรจิตจึงจะบริสุทธิ์ผ่องใส

การศึกษาของพระพุทธเจ้ามี 3 เท่านั้นคือไตรสิกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาสิกขา จึงเกิดวิมุติ เกิดวิมุติญาณทัสสนะ จิตเกิดอธิมุติ คือเดินทางสู่ที่สูงไปตามลำดับ ตามแต่ละคนจะเก่ง คนเก่งจะมีองศาสู่ที่สูงมากหน่อยเร็วหน่อย คนไม่เก่งก็ไปได้ต่ำและช้านานกว่า

การศึกษาของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่อยู่ในหลักศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็จะไม่มีผลเป็นอธิมุติ สู่วิมุติและวิมุติญาณทัสสนะ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้จะไม่ได้

ประเด็นแรกคือต้องมีศีลเป็นเบื้องต้น แล้วศีลเบื้องต้นคือศีล 5 คือ 5 ข้อหลัก  ศีลหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ๆ คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นหลัก ไม่ใช่วินัย 227 ก็มีหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา

เบื้องต้นนั้นมี 5 ข้อเป็นเบื้องต่ำสุดของการปฏิบัติธรรม เพราะว่าใน 5 ข้อนี้รวมกาย วาจา ใจครบ ศีลข้อ 1 2 3 หมายถึงกาย ศีลข้อที่ 4 หมายถึงวจี ศีลข้อที่ 5 หมายถึงใจ ครบพร้อม

ข้อ 5 คำว่าสุระ นี้เราต้องทำก่อน แล้วค่อยไปสู่แบบกลาง คือ เมรยะ และ มัชชะ สุระคือสิ่งที่มอมเมาอย่างหนัก เสพสิ่งเสพติดคือถูกโลกธรรมครอบงำ เมาไป สิ่งที่เราหลงใหลในชีวิต ต้องแสวงหาแย่งชิง เพื่ออยากได้มาเสพสุขด้วยหลง ด้วยอวิชชา เมามันเสพอยู่เช่นนั้น นี่คือจิตหลงติดอยู่ ขั้นต้นคือ สุระ

เบื้องต้นก็คือน้ำเมา คนก็เลยติดแต่นั้น ก็ไม่ผิด แต่ตื้น ไม่ลึกซึ้งปราณีต ก็ดี แต่ต้องมีสติสัมปชัญญะที่ปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรมและเข้าสู่โลกุตระ เป็นโลกุตระ 46 (ล. 31 ข. 620)

ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือโลกุตระ อันนี้แหละเรียกว่า อนุตตริยะ เป็นความสูงส่งเหนือโลกีย์ ไม่มีอะไรจะเหนือกว่านี้แล้ว ความรู้โลกายตศาสตร์ไม่มีอะไรเหนือกว่าศาสตร์ของพระพุทธเจ้า อาตมาก็เห็นจริง เพราะเราอยู่กับโลก คนเราถูกโลกครอบงำ เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ ​เอามาเสพทางทวาร 6 หรือ เสพสมอัตตา คืออัตตกิลมถะ

ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นสูตรแรกของพระพุทธเจ้าที่สอนก็เรื่องกามกับอัตตาชัดเจนที่สุด พระพุทธเจ้าก็บอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่เหนือกามเหนืออัตตา ไม่หลงสุขขัลลิกะ และไม่เป็นอัตตกิลมถะ เหนือทั้งโลกเหนืออัตตา มีอำนาจอธิปไตยเหนือโลก เรายังมีอัตตาอาศัย ไม่ปรินิพพาน เช่น อรหันต์ทุกองค์มีรูปนามขันธ์ 5 แต่หมดกิเลส ตัณหา อุปาทาน สิ้นภพชาติ แต่ก็อาศัยรูปนามขันธ์ 5 ที่สะอาด สจิตตปริโยทปนัง หมดกิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดภพชาติ แต่จิตทำหน้าที่สมบูรณ์แบบ มีคุณสมบัติอุเบกขา ออกจากโลกได้สนิทแล้ว สมบูรณ์แบบ

ความเป็นโลกคือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เมื่อเราไปเป็นทาสของโลกเป็นสุขที่ไปยึดว่าเป็นกามเป็นสุข ไปยึดว่าอัตตาเป็นสุข เป็นอัตตาที่อวิชชาก็เป็นความลำบาก แม้อัตภาพที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว มันก็ยังเป็นภาระที่เราจะต้องเลี้ยงดู ก็เป็นความลำบาก ยังต้องหาข้าวหาน้ำเลี้ยงตน เป็นอาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ที่เนื่องกับอาการ 32 ต้องขี้เยี่ยว เป็นนิพัทธทุกข์ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็เลี่ยงทุกข์เหล่านี้ไม่ได้ แต่ไม่มีทุกขอริยสัจ หมดกิเลสคือเหตุแห่งทุกข์ได้จริง

เกริ่นกล่าวมาถึงความเป็นลักษณะศาสนาพุทธ เมื่อเรียนรู้อย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าตรัสแล้วอาตมาได้มาสาธยายต่อ แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปหมดเลย ไม่เหลือเลยเพราะไม่มีพระอรหันต์จริง มีแต่พระอรหันต์ที่หลงตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัย ต้องขอเรียกภาษาชัดว่าอรหันต์เก๊ เดี๋ยวคนก็ไม่เข้าใจไปหลงอรหันต์เก๊เป็นอรหันต์จริง ไม่เป็นพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

คือบรรลุอรหันต์แต่ไม่มีคุณประโยชน์ให้มวลชน ให้สังคมพ้นทุกข์อย่างมีรูปธรรมด้วย โดยเฉพาะพ้นทุกขอริยสัจ จะมีประโยชน์สองส่วน อุภยถะ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน รับใช้โลก โลกานุกัมปายะ

การรับใช้ไม่ใช่รับจ้าง การรับจ้างคือทำงานได้สิ่งตอบแทนกลับ แต่ว่าการรับใช้ ไม่ใช่แปลว่าไม่รับใช้คฤหัสถ์ เพราะจะต้องอาบัติ กลายเป็นว่าพระไม่รับใช้ทำงานให้แก่ประชาชนหรือฆราวาส ทำไม่ได้แล้ว แม้แต่ตั้งแต่ไม่บรรลุนะ เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ต้องรับใช้เลย ก็เลยไม่รับใช้ไปใหญ่

ชัดๆ คือไปช่วยเหลือประชาชนโดยไม่รับสินจ้าง ก็พ้นลาภแลกลาภ

ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ต้องพ้นมิจฉาชีพ ทำงานประจำเป็นอาชีพเรียกว่าสัมมาอาชีพ ยิ่งเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคม พหุชนหิตายะ คือสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่รับจ้าง จะเรียกว่าทำงานให้ประชาชน เรียกว่ารับใช้ก็ได้

ผู้ที่มาบวช ยิ่งเรามาบวชแล้วไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร โภคขันธาปหายะ เว้นขาดจากเงินทองทรัพย์สินข้าวของ ไม่ต้องสะสม มีแต่บริขารเท่านั้น ยิ่งบรรลุอรหันต์จะยิ่งไม่สะสม ไม่สะสมธนบัตร ไม่เหมือนสมัยนี้ ผู้เบอร์หนึ่งของศาสนากลับสะสมรถเบนซ์ ซึ่งไม่อยู่ในคำสอนพระพุทธเจ้า น่าสงสารศาสนาพุทธในเมืองไทยวันนี้ เหมือนไม่ประสีประสา จะเถียงกันทำไม พระพุทธเจ้าไม่ให้สะสม อยู่ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

ก็เลยเท่ากับศาสนาพุทธไม่มีไตรสิกขา เพราะไม่มีศีลแล้ว มีแต่วินัย 227 แม้แต่สมาธิก็เป็นมิจฉาสมาธิ ปัญญาก็เป็นตรรกะ จะไปไหนรอด ถ้าปัญญารู้ว่าศีลคืออะไรก็จะสัมมาปัญญา พอปฏิบัติก็จะได้สัมมาสมาธิ ก็จะต้องรู้ว่าเราได้สัมมาสมาธิ อันนี้เป็นสัมมาศีล แต่นี่ปัญญาไม่ถูกต้อง หลักปฏิบัติที่จะได้เป็นอธิจิตที่เป็นมรรคผล เรียกว่า สจิตตปริโยทปนัง ทำจิตให้ขาวรอบผ่องใส ก็คือจิตที่เป็นผล ไม่มีปัญญารู้ว่าเป็นสัมมา สัมมาเป็นอย่างไร อธิศีลปฏิบัติอย่างไรจึงจะละลดกิเลส ถึงจะกำจัดอกุศลจิตออกไปจากจิต จะได้เป็น สจิตตปริโยทปนัง

 

ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ก็อยู่ในจุลศีล แต่ดร.ทางศาสนาพุทธก็อาจอ่านเผินๆ ไม่ศึกษาให้เกิดผลจริง แล้วศึกษาแต่บัญญัติ ขอถามนิดเถอะ

 พ่อครูอ่าน บทกวี ของอ.เป็นต้น นาประโคน...

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยะ 3

มาเข้าสู่บทชมคนที่บรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผล ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เกิดวิมุติที่แท้จริงเป็นของจริง เมื่อมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เมื่อพวกเราที่เป็นลูกพระพุทธเจ้าได้ศึกษาคำสอน

ตอนแรกได้รู้ได้เห็น เรียกว่าทัสสนะในอนุตตริยธรรมของพระพุทธองค์ คือการเห็นธรรมอันยอดเยี่ยม และได้ปฏิบัติธรรมที่ยอดเยี่ยมคือปฏิปทานุตตริยะ คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไตรสิกขานี่แหละ หรือคือโพธิปักขิยธรรม 37 จะเกิดผลเป็นโลกุตระ 9 ก็ครบ วิมุตตานุตตริยะ หลุดพ้นอันยอดเยี่ยม

นี่คือ อนุตตริยะ 3 (ทัสสนานุตตริยะ ปฏิปทานุตตริยะ และ วิมุตตานุตตริยะ)

เมื่อเราได้เห็นได้รู้อย่างสัมมาทิฏฐิแต่ต้น เมื่อเราได้ก็เอามาปฏิบัติ ได้

ทัสสนามา เราก็เอาอนุตตริยธรรมของพระพุทธเจ้ามาศึกษา ต้องหมั่นฟังธรรมคือ

สวนานุตตริยะ คือ เงี่ยโสตสดับสนใจฟังธรรม เราก็จะได้ฟังสัทธรรมอันดี ก็จะเกิดศรัทธาอันดีเป็นสัมมา ผู้ที่สามารถมีองค์ 3 นี้

1. คบสัตบุรุษ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เห็นสาวกตถาคตที่ปฏิบัติดีก็เข้าไปใกล้ เงี่ยโสตสดับ ไม่ใช่ไปหาผู้ปฏิบัติผิดก็เป็นการเห็นอันเลว เป็นทัสสนะอันเลว

ทัสสนะอันนั้นเป็นกิจเลวคือไปพบผู้ปฏิบัติผิดๆ

เมื่อเราพบผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ท่านเอาโลกอบาย อัตตา มาบอกเรา ให้เราล้างกิเลสอบายได้หมด ก็พ้นโลกอบายได้ ก็ปฏิบัติต่อ พ้นโลกกามต่อมา คือภพข้างนอก เป็นกามภูมิ ที่สัมผัสแตะต้องด้วยทวาร 6 ร่วมสังคมด้วยโลกธรรม ดินน้ำไฟลม หรือทุกอย่างสัตว์บุคคลตัวตน เราก็ร่วมสังเคราะห์สังขาร จิตเราไปตกเป็นทาส แล้วล้างกิเลสในอบายภูมิ แล้วก็ได้ปฏิบัติมาตามลำดับ กามภูมิต่อมาเรื่อยๆ บรรลุโสดาบัน ทำต่อเป็นสกิทาคามี อนาคามี ไปตามลำดับ เป็นผู้พ้นจากลาภยศต่างๆ

หรือแม้แต่ของที่เราติดมอมเมาเป็นเมรยะ แต่สุราคือสิ่งที่ติดอย่างหยาบต่ำแรงกล้า เราหลุดพ้นมาแล้ว ก็มาทำให้พ้นการเมาระดับกลาง ในกามภพล้างกิเลสเป็นสกิทาคามี ได้มรรคผล ก็ได้สุขที่ไม่ต้องแย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่จะได้มาเป็นเราเป็นของเรา

ผู้ที่มาในชาวอโศกเคยมีโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม ก็หมดติดยึดได้ ไม่มีภพชาติได้ แต่ก่อนเคยยึดถือ พวกเรานี่ชาวอโศกมีลาภโดยธรรมตามโลกเขา ไม่ได้ไปโกงด้วย ทำงานตามสังคมเขาทำ ก็ได้ลาภโดยธรรม ได้เงิน ได้ข้าวของเดือนหนึ่งเป็นแสน เดือนละหลายแสน เดือนละห้าหกเจ็ดแสน ก็กล้าลาออกมาทำงานฟรี ทำงานโดยไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร อยู่ในชาวอโศกนี่

อันนี้เป็นหลักฐานชาวอโศกที่เป็นไปได้ ดูค่าเฉลี่ยแล้วชาวอโศกไม่ได้หลงโลกธรรมไม่ได้หลงกามคุณอย่างที่เขาเป็น ทำงานมา 45 ปีแล้วมีรูปลักษณ์พฤติกรรมชาวอโศกอย่างถาวรยั่งยืน ก็สงบสบายในจิต เป็นวิเวก 3 คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ไม่ได้หนีโลกแต่อยู่กับโลก มีข้างนอกและข้างใน จิตเราร่วมรับรู้สัมผัส มีสภาพอารมณ์ มีจิต เราก็ได้ล้าง เป็นวีตราคะ วีตโทสะ จากโลกอบายภูมิ บางคนเป็นโสดาฯ บางคนเป็นสกิทาฯ ล้างกิเลสได้จริง

สติปัฏฐาน 4 กายที่เกี่ยวกับภายนอก จิตเราก็สังขาร แต่เราได้ปฏิบัติอภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร จนไม่ต้องปฏิบัติอีกเป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องกำจัดกิเลสอีก ปุญญะคือเครื่องมือกำจัดกิเลส เราก็ไม่ต้องปุญญะอีก มีวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาวิธี บางทีก็อุบายกดข่มตามปหาน 5 เราก็กำจัดกิเลสได้จริง

เราไม่ได้พากันหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อยู่กับสังคม เขามีเรื่องราว เราก็มีการใช้สิทธิหน้าที่ เรื่องการเมือง เป็นหน้าที่ของคนทุกคนที่จะช่วยกัน ไม่ได้ดูดายใจดำ เหมือนคนทั่วไป ที่ทำมาหากินไม่เกี่ยวกับใคร ไม่เกี่ยวกับการเมือง

เราก็ต้องไปเป็นนักการเมืองที่สุจริต ทำงานให้ประชาชนจริงไม่ได้หวังโลกธรรมตำแหน่งใดๆ เราทำงานการเมืองภาคประชาชนแท้ ไม่ได้เป็นนักการเมืองภาครัฐ ไม่ได้ไปสมัคร แต่เราทำหน้าที่ประชาชนตามรัฐธรรมนูญที่ประชาธิปไตยเขาให้ทำ นอกจากคนเข้าใจไม่ได้ ไม่มีปัญญารู้ว่าต้องไปทำงานรับใช้ประชาชน แม้แต่ไม่ใช่ผู้ได้รับเลือกตั้ง เขางมงายว่าต้องได้รับเลือกตั้งจึงเป็นคนทำงานเพื่อประชาชนได้ ทำไมปัญญาแคบเช่นนั้น ศึกษาการเมืองรัฐศาสตร์จบดร. ก็ยังหาว่าไปทำผิดหน้าที่

ยิ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมมีกิเลสน้อย ไม่มีอคติ ก็ยิ่งทำเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม หรือแย่งลาภยศตำแหน่งใคร

นี่คือสัจจะที่พูดความจริงวันนี้ เพื่อให้ตรวจสอบว่า คนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มีมรรคผลแล้ว เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ไหม? และอาตมาก็ยืนยันว่าพาพวกเราไปทำงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ที่พูดไม่ได้พูดทวงบุญคุณกับสังคม แต่อธิบายปรากฏการณ์จริงในเมืองไทย ในโลก เราได้ปฏิบัติได้ผลแล้ว แต่เขาไม่มีปัญญาเข้าใจความจริง ที่บอกสาธยายนี้เป็นความจริง ฟังขึ้นบ้างไหม ที่เราพากันทำทั้งนักบวชและฆราวาส ก็ไปทำงานการเมือง ไปทำหน้าที่ครั้งคราวให้ชัดๆ แท้จริงทำอยู่ทุกวันเลย

ชาวอโศกเรา ได้ดิบได้ดี ลดละกิเลส ไม่เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกีย์ จนมารวมหมู่กลุ่มเป็นชุมชนหมู่บ้าน โดยบริหารกันเองเป็นนิตินัย มีผู้ใหญ่บ้าน มีการบริหารตามหลักของประเทศ ได้ดีมาอย่างนี้เพราะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอน ที่เรามั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิจึงได้ผลเช่นนี้

 กลุ่มอื่นเขาก็มีทิฏฐิ มีทฤษฎีของเขา เขาก็สอนสมาชิกของเขา แล้วสมาชิกของเขาก็ได้มรรคได้ผลตามทฤษฎีของเขา ก็เอามาเทียบกันดูสิ ว่ามีพฤติกรรมอยู่ในสังคมเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ยกตัวอย่างอย่างหยาบหยาบให้ชัด ชาวอโศกไปก่อเรื่องที่จะไปโกงสมบัติต่างๆ ที่เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกับอย่างบางสำนักที่เขามีทฤษฎีของเขา เขาก็สอนสมาชิกของเขา และก็พากันไปโกงอยู่ในสังคมเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้

ก็มาเทียบกันดูว่ากลุ่มไหนใช้ทฤษฎีนั้น กับใช้ทฤษฎีของอันนี้ แล้วมีผล

อย่างไร ให้หยิบเอาความจริงนี้มาศึกษา ทำวิจัย สำหรับให้ผู้ที่จะทำวิทยานิพนธ์รุ่นใหม่เอามาอ้างอิง แต่กลับไม่เห็นใยดีกันเลย ไม่เห็นจะศึกษาแล้วนำมาปรับใช้จริง วิทยานิพนธ์ก็เป็นสิ่งที่ดีที่คนจะต้องศึกษาเข้าไปรับใช้มนุษย์ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่น่าจะย่ำแย่เช่นนี้

เรามีในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์เป็นอาริยบุคคล ท่านพระราชทานทฤษฎีมาให้ ให้มาเอาแบบคนจน ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า ให้มามักน้อย

อัปปิจฉะ แปลว่ากล้าจน ไม่ใช่ไปมีมาก ไปโกงแล้วแข่งรวยแข่งแย่งลาภยศกัน ในหลวงก็พระราชทานทฤษฎีให้ ก็ไม่นำมาศึกษา ไม่เห็นมีข้าราชการผู้ที่มีหน้าที่บริหารประเทศเอาไปทำวิจัยให้เกิดจริง ให้ชัดเจนแล้วจะได้เอาไปใช้ตามพระราชดำรัส แล้วยังบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงให้รวยได้นะ เศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจน หรือให้ชัด ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา และคำว่า แบบคนจน เป็นอันเดียวกัน ถ้าเราต้องใช้เงินในการดำเนินชีวิตเดือนละ 10,000 แต่เราสามารถทำรายได้เดือนละ 30,000 มันได้มากเกิน เราก็พอ

แนวปฏิบัติให้เกิดจิตวิเวก มีอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ การทำการพูดใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ให้ใจพอ ปฏิบัติจนจิตสงบ ปวิเวก ทำการขยันหมั่นเพียร สร้างได้มากแต่ถ้าต้องใช้จ่ายเงินมากสามหมื่น แต่ถ้าเลิกแล้วใช้แค่หมื่นเดียว เวลาก็เซฟได้ ทุนรอนแรงงานก็เหลือเอามาสร้างสรรได้มากกว่าเก่า ชาวอโศกเราจึงมีผลผลิตเหลือเยอะ ไม่ได้เอาเข้าส่วนตัว ให้แก่ส่วนกลางจึงทำให้ส่วนกลางมีเหลือแล้วสะพัดสู่สังคมได้ เรามีภาวะแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือแจกให้สังคมได้ เราจะทำอย่าง ขาดทุนของเราคือกำไรของเราได้

เราถือว่าความลด ละ หน่าย คลาย เป็นความเจริญของชีวิต ไม่ได้สับสนอะไร จนเราสามารถเป็นไปได้ ช่วยสังคมอย่าง พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน นานาสังวาสในสมัยพระพุทธเจ้า

ขอแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า ทางมหาเถรสมาคม ได้ขับชาวอโศกออกจากหมู่ใหญ่ เป็นการกล่าวตู่ ไม่ได้แก้ตัว แต่ขอบอกความจริง หมู่ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ขับเราออกมาเลย ถ้าจะพูดแล้ว เราเองขับหมู่ใหญ่ออกต่างหาก เราเป็นนานาสังวาสกัน

ในสงฆ์ทั่วไปไม่มีใครรู้เรื่องนานาสังวาส เพราะในประวัติศาสตร์ มีพระเทวทัตถูกพระพุทธเจ้าประกาศนานาสังวาส คือเขาทำก็ของเขา เราก็ทำของเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำสังฆเภทนะ ไม่ได้จับสึกพระเทวทัตกับสาวกด้วย แต่ท่านประกาศนานาสังวาส ประกาศครั้งเดียว ก็เลยไม่เข้าใจนานาสังวาส แต่กลายเป็นนิกายเสีย นิกายนี่ต่างกันกับนานาสังวาส นิกายเป็นอนันตริยกรรม เป็นความผิด   แม้มีวินัยนานาสังวาสก็ไม่ทำ ไปทำนิกาย คือแยกกาย แยกจิต เลยไม่ได้เป็นสังวาสเดียวกัน ไม่สมานสังวาส แต่ไม่เป็นอสังวาสอย่างปาราชิกเท่านั้นเอง แต่ต่างคนต่างอยู่จึงเรียกว่านิกาย

แต่นานาสังวาสนั้นร่วมกันทำได้ในบางอย่าง แต่ถ้าสังฆกรรมบางอย่างไม่ได้ เช่น ศีลนั้น มาบวชแล้วพระพุทธเจ้าว่าไม่ให้มีเงินได้ แต่หมู่หนึ่งได้มีเงินได้พกเงินยินดีในเงิน เราก็ถือว่าอย่างนี้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ปกตัตตะ เราถือว่าไม่สะอาด ศีลไม่เสมอสมานกัน ศีลทางเราไม่ให้มีเงิน แต่ศีลทางโน้นให้มีเงินได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้จับ บอกเงินเหมือนอสรพิษ มีก็นิสสัคคียปาจิตตีย์ มีหลักฐานคำสอนอยู่เยอะแยะ แต่เพราะกิเลสเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว ก็เลยไม่มีเงินแล้วอยู่ไม่ได้ บานปลายเละเทะเน่าเฟะ มีเรื่องวุ่นวายอย่างที่เห็นทุกวันนี้

ถ้าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องวุ่นวาย สำนักอโศกไม่มีเรื่องผิดเรื่องเงินทองนี้เลย แม้แต่สิกขมาตุศีล 10 ก็ให้บิณฑบาตเลี้ยงตนได้ ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น

ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ฆราวาสกับนักบวชเนื่องกัน แต่นี่ไม่ได้ทำตามธรรมพระพุทธเจ้าเลย นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ

 

วันมาฆบูชา อาตมาให้สติ มาเตือนเพราะเห็นว่าเขาถลำไปไกลแล้ว ผู้บริหารบ้านเมืองก็ควรแก้ไข ไม่งั้นไปไม่ออก เพราะธรรมะเป็นหลักฐาน เป็นหลักธรรม เป็นหลักของชีวิตมนุษย์ มนุษย์ถ้าไม่มีธรรมะก็เละทั้งนั้น ที่ไหนก็ตาม ธรรมะของแต่ละศาสนาเป็นเครื่องค้ำยันสังคมไว้ ค้ำจุนสังคมไว้ คือสิ่งที่จรรโลงสังคม

เมื่อไม่มีศาสนา ไม่ได้เอาศาสนาเป็นหลัก สังคมไหนก็เสื่อม มีตัวอย่างให้เห็นคือพวกคอมมิวนิสต์ ไม่มีศาสนาผ่านไป 70 กว่าปีก่อนล้มละลาย เขาไม่ส่งเสริมให้มีศาสนา ในพวกระบอบคอมมิวนิสต์ ก็เลยพังได้ง่ายอย่างเห็นได้ชัด จนเดี๋ยวนี้เป็นลัทธิแก้หมดละ ชื่อว่าคอมมิวนิสต์ ชื่อว่าสังคมนิยมอะไรไป แต่ว่าจริงๆ ก็ต้องเข้ามาหาธรรมะ เข้ามาหาจิตวิญญาณจึงแก้ไขได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กถาวัตถุ 10) ตอน กถาวัตถุ 10 ที่พาเจริญ

ธรรมะที่พูดมาวันนี้ วันมาฆบูชา จึงเป็นธรรมะที่เห็นว่าประชาชนคนไทยทั้งหลายเอ๋ย ตื่นเถิด หันเข้ามาสนใจในธรรมะบ้าง

ชีวิตของความเป็นคนสูงส่งกว่าสัตว์เดรัจฉานตรงที่มีธรรมะ สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ถ้าคนไหนไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ไม่เคยใส่ใจ นอกจากหมกมุ่นกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ กามารมณ์ บำเรออัตตา คนอย่างนั้นแม้จะรวยลาภ และจะสูงส่งด้วยยศศักดิ์ ได้เสพสุขที่บำเรอกาม พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ เหมือนเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง บําเรออัตตาตนเองอยู่ 

คนที่ได้เจริญแบบนั้นจิตเสพจัดจ้านกว่าสัตว์ เพราะสัตว์ไม่รู้ไม่มีอุปาทานเหล่านั้น สัตว์เดรัจฉานมันสะสมไม่ได้แบบคน น้อยสัตว์ชนิดที่จะสะสมซุกซ่อนของกินบ้าง แต่คนนี่สะสมเหลือเกิน จิตโลภ มักมาก กอบโกยแย่งชิงยิ่งกว่าสัตว์ ถ้าเรามีจิตอย่างนั้นจะเจริญกว่าสัตว์ไหม?

ธรรมะใดไม่เป็นไปเพื่อความ ละ หน่าย คลายกิเลส เพราะคนไม่รู้จักธรรมะ ไม่เข้าใจกิเลส ที่พามักมาก ต้องการรวย ต้องการมาก เป็นมหัปปิจฉะ คนหลงสะสมอบาย กามโลกธรรมจัดจ้าน เป็นรสอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนเป็นความเมามัว ขั้นลึก สุราเมระยะ มัชชะ ถ้าไม่ล้างตั้งแต่หยาบมาก่อน มาถึงกลาง จนถึงละเอียด ไม่รู้เรื่องมีแต่ความติดยึด จิตจึงยิ่งหนาด้วยกิเลสเรียกว่าปุถุชน ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานจริงๆ สัตว์เดรัจฉานมันไม่ติดยึดขนาดนี้ คนไม่รู้ก็ไปแย่งเขา คนรู้แล้วไม่ต้องไปแย่งเขา จะไปหลงเสพอะไรมากมาย

คานธีบอกว่า “ทรัพย์สมบัติในโลกนี้มีมากมายที่จะแบ่งแจกใช้สอยมีพอสำหรับแบ่งแจกทั้งโลก แต่ไม่พอในคนคนเดียวที่ขี้โลภ”

อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

วิมุติญาณทัสสนะ คือ กถาวัตถุ 10 คนจะพูดกันตั้งแต่สองคน สามคน หรือในกลุ่มคนไหนๆ ถ้าพูดไปแล้วส่งเสริมให้มักมากเป็นมหัปปิจฉะ ไม่สันโดษ ไม่รู้จักพอ มีแต่มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่สันตุฏฐิ จิตไม่สงบ ไม่อสังสัคคะ ไม่เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสวรรค์ แต่เขาแปลอสังสัคคะว่าปลีกเดี่ยวเหมือนฤาษี ว่าจะหลุดพ้น แบบนั้นไม่ใช่ แต่ศาสนาพุทธต้องมีมิตรดีมาก่อนเลย เป็นแสงเงินแสงทองพระพุทธเจ้า ว่าเราคือมิตรดีของเธอภิกษุ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องเข้าหมู่กลุ่ม ไม่ใช่หลีกหนีจากกลุ่มไปอยู่คนเดียว

ในกถาวัตถุ 10 ที่พูดกัน ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อย ใจพอ ไม่เป็นไปเพื่อวิเวก 3 ไม่เข้าใจอนุปุพพิกถา คือ มีทาน ศีล สวรรค์(สัคคะ) แล้วโทษของกาม รู้จักทานที่จะทำให้จิตละหน่ายคลาย ให้จิตเป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดาที่กิเลสลด จิตเกิดใหม่ คนธรรมดามีแต่จิตสมมุติเทพ เทวดาเก๊ทั้งนั้น

ความเป็นเทพ คือจิตวิญญาณสะอาดเจริญ ไปหลงแต่สมมุติเทพที่ปุถุชนรู้กันหมดว่าจะเป็นสุขอย่างไร เราก็มาล้างสวรรค์เก๊นี้ แต่เขาไม่รู้เรื่องก็เลยปฏิบัติไม่มีมรรคผล

คำพูดที่เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายคือ กถาวัตถุที่พาเจริญ แต่ถ้าพูดไปแล้วมีการทำให้มักมากขึ้น แล้วก็จะบอกว่าพอ ไม่ใช่ ต้องรู้จักความพอ แล้วให้เกิด กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก กายก็เข้าใจกันผิด พระพุทธเจ้าว่ากายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง 

ถ้าการพูดใดไม่เป็นไปเพื่อ กถาวัตถุ 10 ก็เป็นเดรัจฉานกถา เป็นการพูดที่ขวางทางนิพพาน ไม่เป็นไปเพื่ออนุตตริยธรรม

 พวกเราปฏิบัติธรรม ชาวอโศกทำงานมาช่วยสังคมแต่เขาไม่แยแส ไม่ได้พูดทวงบุญคุณนะ อย่างข้าราชการเขาทำงานรับจ้างประชาชน แต่เราทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆ ไม่ได้หวังโลกธรรมเลย ข้าราชการประจำเป็นนักการเมืองเบอร์หนึ่งเลย ไม่ทำก็ได้บำนาญอีก ประชาชนเลี้ยงไว้ให้เป็นผู้รับใช้ประชาชน

ข้าราชการการเมืองเขาให้ไปตรวจสอบข้าราชการประจำ แต่ไปซูเอี๋ยกันอีก ข้าราชการหากทำสุจริตจริงไม่ต้องกลัวตรวจสอบ แต่นี่เสื่อมกันหนักแล้ว

สังคมประเทศชาติถึงเดือดร้อนอย่างที่เป็น ตอนนี้ผู้บริหารก็พยายามจะกวาดล้างสิ่งที่เลวร้าย พอร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาก็เพื่อกำจัดพวกที่เลวร้ายก่อน อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาพวกนั้น ไปริดรอนสิทธิพวกนี้ ต้องเข้าไปกำจัดพวกนี้ก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่จะขจัดข้าราชการและนักการเมืองโกงกินออกไปก่อน อย่าไปไว้หน้า อย่าไปฟังเสียงสี่ขาสองขาพวกนั้น เขาเสียประโยชน์ก็ต้องต่อต้าน แต่ขนาดนี้จำเป็นต้องออกกฎหมายเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการบริหารบ้านเมืองให้ได้ ให้กล้ากล้าหน่อยเถอะ อย่าไปฟังพวกที่ไม่เข้าใจแม้เรียนจบด็อกเตอร์มา ไม่รู้จักกาละเทศะ ว่ากาละนี้ควรจะใช้กฎหมายนี้ก่อน เมื่อเลือกตั้งแล้วก็ใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรอีกที ตอนนี้ก็ใช้กฎหมายนี้ให้ได้ก่อนเพื่อกวาดล้างให้สะอาด

อาตมาพูดมากก็หาว่าเป็นนักบวชมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมือง อาตมาไม่ยอมถูกตู่ว่าบ้านเมืองเป็นของคุณคนเดียว แต่จะพูดว่านักปฏิบัติธรรมนี่แหละคือผู้ที่จะทำประโยชน์เพื่อบ้านเพื่อเมืองจริงๆ ทำเพื่อประชาชนด้วย

คุณว่าคุณจริงใจคนเดียวหรือ อาตมาด้อยกว่าคุณตรงไหนในการรักบ้านรักเมือง คุณมีสิทธิ์รักบ้านรักเมืองคนเดียวจริงหรือ อาตมารักบ้านรักเมือง เจตนาดีเพื่อบ้านเพื่อเมือง จะผิดอะไร ทำงานรับใช้บ้านเมืองจริงๆ คุณจะเห็นว่านักธรรมะไม่ควรทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ก็เป็นความเห็นของคุณ แต่อาตมาเข้าใจแล้วไม่ประหลาดใจ

ศาสนาพระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อเปิดเผยอนุตตรธรรม อนุตตริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลชนและประชาชน แก่ส่วนรวมของประเทศชาติและโลก ขอยืนยันว่านี่เป็นสัจจะความจริง

วันอันสำคัญมาฆบูชานี้ จึงอยากจะเตือนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน 95% ได้โปรดหันมาสนใจธรรมะพระพุทธเจ้า เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิกันด้วยเถิด และประพฤติให้ได้มรรคได้ผลของคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้าง

อย่าสักแต่ว่าชื่อเราเป็นพุทธ แต่ไม่ไยดีเรียนรู้ศึกษาฝึกฝนพุทธเลย ไม่เห็นคุณค่าศาสนาพุทธเลย กลับไปหลงจารีตประเพณีตามที่เขามอมเมากันเลอะเทอะจนตกนรกหมกไหม้ไม่รู้ตัว

ขอยืนยันว่าพูดความจริง จารีตประเพณีลัทธิที่ผู้ไม่รู้ผู้มิจฉาทิฐิพากันก่อนรกให้แก่ตัวเองเยอะ ให้ติดตามฟังธรรมะต่อไปในงานนี้ สำหรับวันนี้เวลาหมดแล้ว ก็ขอจบการแสดงธรรมแต่เพียงเท่านี้ เจริญธรรมทุกคน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:19:09 )

590223

รายละเอียด

590223_ทวช.พุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ธรรมะของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม 2

พ่อครูว่า...วันนี้ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ที่เรียงประดับอยู่ข้างหน้าคือกะหล่ำปลี ละมุด

เห็นละมุดแล้วก็นึกถึงตอนเด็กๆ ตอนเป็นเด็กอยู่บ้านนอก อำเภอพิบูลมังสาหาร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปอึ ในสวนหลังบ้าน เป็นบ้านไม้อยู่หน้าสวน สวนสารพัด ดงสับปะรด ก็มองไปข้างหน้า จะเห็นเศษลูกละมุด ถูกกัดกินไปบางส่วน มีเยอะ เกือบทุกวัน เพราะสัตว์ต่างๆ เช่น ค้างคาวเป็นต้น ก็จะเก็บกินผลไม้ เราก็ไม่ได้รังเกียจเก็บกินต่อ นั่งอึกินไป พวกละมุดพวกนี้หวานฉ่ำนะ ชีวิตตอนเด็กกับตอนนี้ห่างกันไกลลิบเลย ตอนที่พูดถึงนี้ก็อายุไม่ถึง 10 ขวบ

ชีวิตทุกวันนี้ ร้อนรน รีบเร่ง ที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความ พูดความจริง ที่มันเกิดเหตุการณ์เลวร้าย คือราคะก็แรง โทสะพยาบาทก็แรง โมหะนั้นไม่ต้องพูดถึง

คำว่าโมหะหมายความว่า ไม่เข้าใจชีวิต ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ชีวิตคนส่วนมากเลย ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร จะมีชีวิตเพื่อทำประโยชน์อะไร

เมื่อไม่รู้ก็ทำแต่โทษ ไม่ทำประโยชน์ คนเราเมื่อมีความโลภ แล้วแสดงกายวาจา ใจ ก็มีแต่ลักษณะแสดงออกเพื่อเอามาสมโลภ หรือสมโกรธ พยาบาท แสดงกาย วาจา ใจ โกรธ สมโลภ ตามแต่ตนเองจะมีมารยาทมากหรือน้อยเท่าใด ถ้ามารยาทน้อยก็ออกไปอย่างฆ่าแกงทำร้ายทำลาย

หรือแบบที่ออกไปอย่างไม่ถือโทษกันเท่าไหร่ คือออกไปแย่งชิง มีโทสะซ้อนอีก คือรุนแรงทางกายปล้นจี้ฆ่าเอา รุนแรงทางวาจาก็ใช้วาจากรรโชก หรือไม่หยาบก็พูดตะล่อมเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาจากเขามาก เกิดจาก มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เกิดจากกิเลสในจิตมาปรุงแต่งผสม

ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ไม่ควรโลภ ไม่ควรแย่งชิงคนอื่น หรือ ชีวิตนี้ไม่ควรไปเอาเปรียบผู้อื่น แม้ที่สุด ชีวิตนี้ไม่เอาของคนอื่น รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ชีวิตนี้ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ใจเป็นตัวจบที่จริง ใจคนนี้จริงที่ว่า รับแต่ของที่เขาให้ ไม่ต้องการของที่เขาไม่ให้ และจะเป็นผู้ให้

ชีวิตนี้ไม่ใช่จะเป็นแต่ผู้รับแต่ของที่เขาจะให้ แต่ถ้าเราได้เป็นผู้ที่ให้ เป็นผู้ที่สร้างสรรขยันหมั่นเพียร ทำงานทำการ ตั้งแต่เราจะผลิตผลได้ทางกาย เป็นละมุดเป็นกะหล่ำปลี เป็นอะไรต่างๆ นานา

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราแสดง ฉากที่เรานั่งนี้ก็เป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมา มีพืชผัก ผลไม้ มีคุณค่า ไม่ได้เป็นสิ่งตกแต่งอย่างไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้เป็น

วิภูสนัฏฐานะแต่อย่างใด มีแต่ของที่เอามากินใช้ได้ พอเสร็จแล้วก็ไปกินใช้ ไปทำประโยชน์ ไม่ได้ซ้ำกันเลย เดี๋ยวก็เปลี่ยนกันไป วนเวียนไปมาตามที่มีที่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันบ่งบอกว่า คนเหล่านี้มีความนึกคิดอย่างไร มีองค์ประกอบของชีวิตจะเรียกว่าองค์ประกอบศิลปะ เป็น composition อย่างไรบ้าง จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้อยู่กับสาระ

ไม่ใช่ไร้สาระที่ประดับประดาตกแต่ง แล้วก็หลงเพลิดเพลินในลีลาที่แปลกแตกต่างจากเขา ที่อื่นหาไม่ได้ เป็นผู้นำเขานะ แล้วก็ใช้คำว่าศิลปะ ที่จริงคือ ความคิดที่การปรุงแต่งบานปลาย งอกแล้วงอกอีก ถ้าเป็นสรีระก็คือเนื้องอก ร้ายเข้าไปคือมะเร็ง เพราะฉะนั้นศิลปะทุกวันนี้เข้าขั้นมะเร็ง และร้ายแรงกว่ามะเร็งแล้ว

ที่เขาเรียกว่าศิลปะ ศิลปะมีอยู่ 5 แขนงหลัก pure arts

  1. จิตรกรรม (Painting)
  2. ประติมากรรม (Sculpture)
  3. สถาปัตยกรรม (Architecture)
  4. วรรณกรรม (Literature)
  5. ดนตรีและนาฎกรรม (Music and Drama)

นี่คือศิลปะรากเหง้า แต่เดี๋ยวนี้ก็บานปลายเป็นศิลปะตกแต่ง ศิลปะโฆษณาศิลปะเกินจริง ศิลปะสมัยใหม่ ซึ่งเขามีภาษาเรียกเท่ๆ เยอะ เป็นมะเร็งสังคม เป็นสิ่งที่สร้างมาอวดอ้างให้คนนิยมชมชื่น แล้วก็ซื้อหาไปครอบครอง เอาไปใส่พิพิธภัณฑ์ตนเอง เป็นตัวสะสม แล้วก็ใช้เป็นการค้าขายสินค้า เก็บไว้ให้นานให้เก่า ตัวศิลปินตายไปแล้ว จากไปแล้วหลายปี ก็เอาการจากไปนี้เพื่อขึ้นราคาสินค้า

ก็ขอบอกกล่าว ข่าวที่พวกเราจะจัดงานศิลปะโลกุตระ ก็จะมีงานเขียนงานปั้นของคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย ที่เรียนทางศิลปะมาแล้วก็มาเป็นชาวอโศกหลายปีแล้ว ก็มีผลงานตามที่เราได้เห็น โดยเฉพาะที่วิหารพันปีก็ทั้งนั้น ก็จะมีการแสดงงานฝีมือของแสงศิลป์ก่อน ทั้งงานปั้นและเขียน ศิลปินอื่นก็จะทำตามมาอีกทีหลัง

งานศิลปะมี 5 ขั้น

1.งานแบบลามก ที่มีมากในโลก เป็นการแสดงออกที่เขาทำกันจนชินชาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องลามก ครอบงำความคิด ให้เกิดราคะ โทสะ พยาบาทจัด เห็นแก่ตัวจัดที่เป็นความลามก ไม่ดีไม่งาม ไม่ใช่ศิลปะเลย แต่ก็มีอยู่ในสังคมมนุษยชาติทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง เต้นร้อง นัจจะ คีตะ วาทิตะ มอมเมาคนให้แรงจัด ดูดดึงจัด ชอบใจจัด กรีดร้องแล้วถือว่าอันนั้นคือชีวิตชีวา ชีวิตต้องได้เสพเช่นนั้น มีชีวิตเพื่อให้ได้ไคลแมกซ์ บำเรอกิเลส ชอบ มัน รสจัดรสจ้านมากคือตกต่ำ เขาก็นึกว่าเขาแรงถึง ก็คือลามกมากขึ้นๆ

เอาไว้อธิบายศิลปะในรายการเย็น นี่น้ำจิ้ม

กลุ่มหมู่นี้ เป็นดินแดนโลกุตระ มีพฤติกรรมการดำเนินชีวิต มีวัฒนธรรม มีระบบระบอบแบบโลกุตระ มีทรัพย์สินเงินทองเป็นของส่วนกลาง แล้วบริโภคกินใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นความประเสริฐของมนุษย์ที่อยู่ในนี้ เกิดการดำเนินชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นสังคมโลกุตระ เราพอใจไหม เรายินดีไหมสังคมแบบนี้ ที่นี่เปิดประตูยินดีรับ ไม่ได้เขียนไว้ว่า welcome แต่ยินดีต้อนรับทุกคน

ผู้ใดมีศีลก็มาที่นี่ มีศีลเป็นวัฒนธรรม อย่างต่ำศีล 5 ทุกชุมชนใหญ่หรือเล็กเข้ามาในชุมชนนี้ต้องมีศีล เข้ามาต้องสมาทาน อย่างต่ำศีล 5 จะมาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดพรหมจรรย์ ในแดนนี้ไม่ได้ เราถือว่าเป็นข้อห้ามข้อสมาทานในนี้ จะมาพูดปด เอาสิ่งที่หยาบ ตั้งแต่น้ำสูรา กดประสาท หรือ ยาเสพติดกดประสาท ที่เป็นวัตถุ หรือสิ่งมอมเมากล้าแรง จนสติเราถูกครอบงำ เช่น เขาแสดงดนตรีคณะนี้ฮาร์ดนะ ด้วยแสงสีเสียง การเต้น การดิ้น ก็เข้าไปบรรยากาศฮาร์ด พอฮาร์ดได้ที่ก็ตีกัน เขาไม่รู้ว่าเขาทำเอง เกิดกรณีเช่นนี้เขาก็ไม่รู้

ไม่เข้าใจองค์ประกอบศิลปะที่ปรุงแต่ง ท่าที ลีลา สุ้มเสียง สำเนียงที่เป็น composition ที่เกิดเป็นผลกระแทกอารมณ์ออกมา เป็นท่าทีลีลาบ้าบอน่าเกลียด เขาไม่รู้ไม่เข้าใจว่า ทำไมเป็นเช่นนั้น แล้วบางคนยังยกย่องสิ่งเหล่านี้อีก นี่คือสังคมที่ไม่เข้าใจศิลปะ พากันงมงายหนัก

 วันที่ 5 มี.ค. 59 นี้จะเป็นวัดเปิดงาน ศิลปะโลกุตระ ที่จะจัดตั้งแต่วันที่

5 มี.ค. - 10 มิ.ย. 2559 ตอนแรกก็จะจัดเล็กๆ พอหลายหัวคิดกันเมื่อวันก่อนเมื่อวานนี้ ก็ได้ผลออกมา ไม่ใช่ง่ายเลย ก็จะออกใบเชื้อเชิญศิลปิน ถ้าได้ศิลปินแห่งชาติมาได้ก็ดี เราจะมีเสวนาด้วย ถือว่างานไม่เล็ก โดยเฉพาะวันที่ 5 มี.ค.นี้จะเป็นวันเปิดงานเลย จะมีโรงบุญด้วย ขอความร่วมมือพวกเราช่วยกันมางานและจัดงาน ให้คิดว่าเป็นญาติมิตร เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องสร้างอันนี้ขึ้นสู่โลก มาร่วมมือกันสร้าง ไม่มีหน้าที่อะไรก็มาปัดกวาดเช็ดถูกยก ช่วยกันรับแขก ช่วยกันต้อนรับ ทำอาหารเลี้ยงกันไป เราจัดงานอบอุ่นมีร้านอาหารเป็นหลัก เราจะมีดนดรีเรามีวงฆราวาสเป็นหลัก ไม่มีวงสมณะ นึกถึงสู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม ก็น่าจะได้มาเสวนาด้วย

 

วัตถุประสงค์ในการจัดงาน ศิลปะโลกุตระ

 

          เพื่อเปิดเผยความเป็น ศิลปะ ขั้นโลกุตระ ว่าเป็นอย่างไร

ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

          ซึ่งจะเป็นคุณแก่มนุษย์ แก่สังคมประเทศชาติ แก่โลก

          เป็นการช่วยมวลมนุษย์ช่วยสังคมประเทศชาติ แก่โลก

          เพื่อจะได้ช่วยกันเผยแพร่กันต่อไปให้ยิ่งๆ

 

- เวลา 08.30-08.50 น. กล่าวเปิดงาน

- เวลา 09.00-11.00 น. รายการเสวนา เรื่อง “ศิลปะโลกุตระ” โดยพ่อครู

สมณะโพธิรักษ์ คุณแสงศิลป์ เดือนหงาย คุณเพชรพันศิลป์ มุณีเวช อาตมาก็ยังระลึกถึงว่าไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ที่เป็นศิลปินใหญ่และก็แก่ไปพอสมควร เขาก็เป็นคนมีความคิดคนหนึ่งก็น่าจะได้เป็นผู้เสวนาด้วย หรือแม้แต่คุณพลังจิต คุณหม่องนี่สงสัยเกิดมาไม่ค่อยพูด ทำแต่งาน น้องชายของเปีย พลังจิต จบศิลปากร ทำงานศิลปะชาวอโศก เรียนจิตรกรรม แต่ดันผ่าไปทำงานปั้นประติมากรรมกันเก่ง ปั้นช้างปั้นฮิปโปโปเตมัส น่ารักมากช้างสองตัวนั้น ปั้นได้มีชีวิตชีวามาก และท่านผู้รู้ผู้มีเกียรติในสังคม จะขึ้นมาเสวนาด้วย เราก็ยินดี ใครสามารถมาร่วมงานได้ มีตัวตนบุคคลจริง มาแล้วถ้าท่านพร้อมเสวนาก็เชิญ เราเปิดกว้าง โดยอาตมาจะยืนเป็นหลัก เพราะอาตมามั่นใจจะแสดงศิลปะโลกุตระ นอกนั้นใครจะมาอภิปรายบ้างก็เชิญ จะได้รู้ความหมายของศิลปะ แล้วจะได้เอามาทำ เมืองไทยจะได้เป็นแดนศิลปะ

- เวลา 11.00 น. เชิญรับประทานอาหาร และชมผลงานของศิลปะของศิลปินแสงศิลป์ เดือนหงาย และแขกรับเชิญท่านอื่นๆ ชมการแสดงและดนตรีจากวงฆราวาสและวง...

- ถ่ายทอดสดรายการเสวนาทางโทรทัศน์ช่องบุญนิยมทีวี

- มีการจัดโรงบุญมังสวิรัติฟรี

เปิดให้ชมนิทรรศการ ตั้งแต่ 7.00 - 17.00 น. วันที่ 5 มี.ค. - 10 มิ.ย. 2559 ณ ชั้น 2 พระวิหารพันปีฯ พุทธสถานสันติอโศก ฟรี ไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณดินนา โคตรบุญอาริยะ 085 949-2980

งานนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่ออามิส จัดขึ้นเพื่อหามิตร เชื่อมมิตร เปิดตั้งแต่ 5 มี.ค. จากวันนั้นไปจะแสดงผลงาน ของแสงศิลป์ จนกว่าจะถึง 10 มิ.ย. 59 จะปิด ก็ประมาณสามเดือนกว่า เรากะจัดงานเอาไว้ ใครจะมาก็เชิญยินดีต้อนรับ

ถือว่าเป็นงานเปิดที่มีองค์ประกอบมาช่วยกันร่วมคิดร่วมทำแบบทันทีทันใด ซึ่งถือว่าเป็น กายกัมมัญญตา หรือ กายปาคุญญตา เป็นจิตที่คล่องแคล่วในเวทนา สัญญา สังขาร ร่วมทำงานกัน มีการกำหนดหมายปรุงแต่ง แล้วเกิดขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้ เกิดการรับรสเรียกว่าเวทนา

แต่จะเป็นโลกียะหรือโลกุตระก็อยู่ที่การอภิสังขาร ปรุงแต่งขึ้นมา create creative ขึ้นมา เกิดจากความรู้ความเข้าใจของคนที่จะจัดสรรขึ้นมา เราก็เป็นคนที่มีความรู้เช่นนี้ ก็ทำขึ้นมาในสังคมตามประสาพวกเรา ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดอีกอย่างหนึ่งเสนอต่อสังคม ก็ไม่ได้เสนอขึ้นมาเพื่อดูดดึงเอาลาภ ยศ สรรเสริญ จากสังคม แต่เสนอขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ ให้เรารู้ว่าเราทำเช่นนี้เกิดผลอย่างไร ยินดีพอใจไหม ต้องการร่วมรับเอาอย่างนี้ ไปเป็น ไปได้ ไปมี ด้วยกันไหม ของเราจะพัฒนาเป็นอาริยะ ไปสู่อุตตระหรือสู่อุตตริยะ จนไปสู่อนุตตริยะ ไม่มีที่สูงไปกว่านี้

มาสู่อนุตตริยสูตร ที่กล่าวถึงอนุตตริยะ 6 มาถึงอันสุดท้ายคือ

อนุสสตานุตตริยะ

         

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยะ 6  

พ่อครูว่า...ก็ทวนอีกทีนึง อนุตตริยะ 6 มี

1. ทัสสนานุตตริยะ (การเห็นอย่างยอดเยี่ยม)

2. สวนานุตตริยะ (การฟังอย่างยอดเยี่ยม)

3. ลาภานุตตริยะ (การได้อย่างยอดเยี่ยม)

4. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอย่างยอดเยี่ยม)

5. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออย่างยอดเยี่ยม)

6. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม)

 

          ก็อนุสสตานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลก
นี้ ย่อมระลึกถึงการได้บุตรบ้าง ภริยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือการได้มากน้อย ระลึก
ถึงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด
(ท่านกล่าวเช่นนี้เลย แล้วคนส่วนมากก็ย่อมระลึกเช่นนี้ แล้วมักนึกถึงผู้ปฏิบัติผิด)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการระลึกนี้นั้นเป็นกิจเลว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การระลึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการระลึกถึงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า  อนุสสตานุตตริยะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้แล ฯ
       

พ่อครูว่า...มองไปเห็นคุณสาธิต ไทยทัตกุล ก็ขอบอกกล่าวข่าวให้ว่าคุณแม่ของคุณสาธิตเสียชีวิตแล้วเมื่อบ่ายสี่โมง ก็จะจัดงานศพที่ปฐมอโศกกัน คนของเราก็พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ อาตมาภูมิใจที่ธรรมะพวกเราได้เรียนรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อนุตตริยะ เราก็ได้ความจริง

อนุสสตะ หรือ สาราณียะ คือความระลึกถึง จากอนุสสตะ มาเจริญสู่

สาราณียธรรม 6 ท่านก็ตรัสว่าถ้าระลึกเช่นนั้นคือคุณธรรม เป็นเมตตากาย วจี มโน แล้วเราก็มี ลาภธัมมิกา แล้วก็อยู่ร่วมกันด้วย สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา

เป็นสูตรที่อาตมามั่นใจมากว่า ชาวอโศกเราทำได้ถึงสาธารณโภคี ตั้งแต่เกิดชุมชนแห่งแรกคือปฐมอโศก ก็มีวัฒนธรรมสาธารณโภคี เริ่มต้น ปฐมอโศกเป็นพี่ใหญ่สมบูรณ์แบบคือ 1.ไม่เป็นหนี้  2.พึ่งตนเองรอด  3.ทำเกินกินเกินใช้  4.แบ่งแจกจ่ายพี่น้อง

ประเทศไหนบริหารประเทศแล้วเป็นหนี้ไม่ถือว่าเจริญ อย่างเช่น อเมริกาถือว่าไม่เจริญเพราะเป็นหนี้ ชาวอโศกเรามีเงินเกื้อเงินหนุน ไม่มีดอกเบี้ยยืมกันได้ ไม่ชักดาบ ไม่ใช่เงินกู้หรือเงินหนี้ ยิ่งเป็นสาราณียะยิ่งสูงกว่าอนุสสตะ แต่มีสูงกว่าสาราณียะคืออนุตตริยะอีก คือสูงสุด

ศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามความนึกคิด ไม่ห้ามการกระทำ แต่ไม่ให้ประพฤตินึกคิดเพื่อเอามาให้แก่ตน อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าในลาภานุสสติก็ระลึกแคบเพื่อเอามาให้แก่ตน ไม่ใช่ระลึกเพื่อเอาไปแจก

อาตมาเคยตั้งใจว่า ถ้าพวกเราอุดมสมบูรณ์เป็นหมู่กลุ่ม หรือถ้าประเทศไทยมีคุณสมบัติเป็นสาธารณโภคี เกิดวัฒนธรรมเกิดลัทธิสาธารณโภคีได้ เราก็จะอุดมสมบูรณ์มีส่วนเหลือ 1. ไม่เป็นหนี้  2. พึ่งตนเองรอด  3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้ตามความสามารถ  4. เอาไปสะพัดแจกจ่ายคนอื่น

ทุกวันนี้ในระบบทุนนิยมต้องแลกเปลี่ยนให้ได้มา แล้วต้องแลกเปลี่ยนให้ได้กลับมามากๆ เป็น maximize profit เป็นลัทธิที่เลวร้ายที่สุดในโลก เรามาล้มล้างอันนี้ ถ้าเรามีส่วนเกินเราจะเอาไปแจก ถ้าไม่แจกก็ขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด ให้เท่าทุน ให้ต่ำกว่าทุน เท่าไหร่ให้ทำได้ตามที่ในหลวงเราตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ให้ถึงกับแจกฟรีได้เลย

เราจะไปประเทศไหนก็เพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์เขาช่วยเหลือเขา เวลาส่งทูตไปต่างประเทศก็จะไปเพื่อช่วยเหลือ ไม่ใช่ไปเพื่อจะหาวิธีเอาเปรียบเอารัดกอบโกยเอาจากประเทศเขา เราไม่ทำแบบนั้นแล้ว

 มาเข้าสู่บทเรียน บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า อนุสสตานุตตริยะ

การระลึกนึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการระลึกถึงสิ่งทั้งหลาย เช่น ระลึกถึงบุตรภรรยา สามี แก้วแหวนเงินทอง หรือสมณะพราหมณ์ผู้เห็นผิดปฏิบัติผิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง อย่างนี้ระลึกถึงแม้แต่ ไม่ต้องระลึกถึงภรรยาถึงบุตร ฟังแล้วเหมือนคนใจดำ ไม่ใช่ใจดำ ผู้ที่บรรลุหลุดพ้นแล้วก็ไม่มีภรรยา ไม่มีบุตร ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง จะไประลึกถึงทำไม ไม่มีสิทธิ์จะไปหาเงินหาทอง ถ้าคุณยังอยู่ในฐานะนั้นก็ดำเนินทำไปก่อน เมื่อเจริญขึ้นก็พัฒนามาเป็นพระอริยะ เป็นโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์

แม้จะอยู่ในรูปร่างของฆราวาสก็ทำได้ อย่างคนชาวอโศกเรานั้นก็เป็นโสดไม่มีบุตรไม่มีภรรยาไม่มีสามี ก็อยู่ร่วมกันในสังคม แล้วก็สร้างสรรผลิตเป็นสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาสังกัปปะ สัมมาอาชีวะ และก็อยู่ร่วมกัน

คนใดที่ยังจะต้องแต่งงานมีผัวเดียวเมียเดียวมีลูก ก็มีอยู่ จนตอนนี้ตั้งชื่อให้ลูกเค้าจะไม่ทันแล้ว ขนาดในน้ำคำก็เป็นยายแล้ว ยายอี๊ด เราก็เลี้ยงดูเป็นลูกของสังคม อย่างนายปองเอี้ยมไปไหนก็มีคนดึงไปเอาใจเอ็นดู ระวังจะถูกสปอย

เราสร้างคนให้มีจิตใจที่กว้างๆ ไม่ใช่จิตใจที่แคบ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่เราเริ่มทำได้ มีรูปธรรมอธิบายได้เป็น phenomenal ไม่ใช่แค่ philosophy เป็นของจริงที่เรากล่าวถึงและยกอ้างได้ ไม่ได้พูดเพื่ออวดอ้างคุยโม้ แต่การพูดนี้เป็นการบรรยายสาธยายให้ถึงความจริง

 

ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้

เราเรียกว่า อนุสสตานุตตริยะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้แล ฯ
          ภิกษุเหล่าใดได้ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ ยินดีในสิกขานุตตริยะ เข้าไปตั้งการบำรุงเจริญอนุสสติที่ประกอบด้วยวิเวก เป็นแดนเกษม ให้ถึงอมตธรรม ผู้บันเทิงในความไม่ประมาท มีปัญญารักษาตน สำรวมในศีล ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมรู้ชัดซึ่งที่เป็นที่ดับทุกข์ โดยกาลอันควร ฯ 

จบอนุตตริยวรรคที่ 3

 

พ่อครูว่า...อันที่ขมวดสุดท้ายนี้เป็นภาษาร้อยกรอง เอาคำที่มีค่า มีความสั้นกระทัดรัดเลือกมารวมกัน และขยายความไว้เป็นกลุ่มเป็นคาถาสุดท้าย ก็หมายความว่า

อนุตตริยะ 6 นี้ ตั้งแต่ทัสสนานุตตริยะ ก็ต้องไปพยายามรู้ พยายามเห็น คนเราทุกวันนี้ก็สอดรู้สอดเห็น แส่รู้แส่เห็นทั้งนั้น จะได้รู้ได้เห็นตั้งแต่เด็กเด็กเลย ก็อยากรู้อยากเห็น ทัสสนะ

ถ้าได้เห็นสิ่งที่เป็นมงคลในมงคล 38 เป็นต้น ได้รู้ได้เห็นบัณฑิต ได้รู้ได้เห็นผู้ที่ควรรู้ ไม่ใช่ไปเห็นคนโง่ คนที่พาไปลงนรก ซึ่งทุกวันนี้เยอะเหลือเกินสัตว์นรก มีร่าง มีหัว มีแขน มีขา ที่เขาเรียกว่าคนนี้แหละ แต่จริงแล้วพฤติกรรมเขาเป็นสัตว์นรก เพราะเขาประกอบกรรมที่เป็นอบายมุข จัดจ้านมอมเมา เขาก็ไม่รู้ตัว ปรุงแต่งกามมามอมเมากันในโลกของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สร้างให้จัดจ้านในรสชาติก็เป็นกาม

ในดินแดนของกาม ไม่ใช่ไม่มีอัตตา แต่มีอัตตาในกาม เมื่อล้างกามหมดแล้วก็ยังเหลืออัตตา ที่เป็นรูปภพอรูปภพ อัตตานั้นใหญ่เท่ากับกามที่มี เรามีกามเท่าไหร่ก็มีอัตตาเท่านั้น ลดกามก็ลดอัตตาด้วย ล้างอัตตาหมดก็ยังมีขันธ์ 5 ที่เป็นภาระ ภารา หเว ปัญจขันธา

เมื่อปฏิบัติประพฤติก็ได้เป็นจริยา ปาริยจริยา คำว่าปาริ แปลว่าฝั่ง ก็คือปฏิบัติข้ามฝั่ง คือการบำรุงพัฒนากันให้เจริญ ​เกิดปาริจริยานุตตริยะ

เมื่อได้แล้วก็มาทบทวนระลึก ขณะที่คุณเริ่มปฏิบัติเรียกว่าอนุสสตะ ก็ต้องวินิจฉัยว่าระลึกถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดี การระลึกอย่างนี้ไม่ดี

เช่น ระลึกจะไปเสพกาม อยู่ในขั้นอบายมุข เรารู้แล้วได้ศึกษามาแล้ว ได้เห็นได้ทัสนาจนได้แล้ว ลาภะแล้ว ก็เอามาอบรมฝึกฝนปฏิบัติสิกขา ก็เจริญเป็น

ปาริจริยา เป็นวิเวก เรารู้แล้วว่าไม่ควร แต่ก่อนระลึกว่าน่ามี น่าได้ น่าเป็น แม้แต่ขี้หมาทาสีก็ไปแสวงหาถูกเขาหลอก มาติดว่าภูมิใจที่แท้คือขี้หมาทาสี ของน่าเกลียดแต่คุณไปหลง

พระพุทธเจ้าว่าเงินคืออสรพิษ คนก็ไปแสวงหามาให้แก่ตน ถ้าเข้าใจแล้วเงินก็เหมือนจานชาม เหมือนของใช้ ใช้เป็นตั๋วแลกเปลี่ยน ถ้าผู้ใดไม่มีสิ่งใดก็เอาไปแลกเปลี่ยนของกับของเลย แต่ถ้าเป็นเงินตีราคา ก็จะเปรียบเทียบ ของนี้ตีราคา ไม่เท่ากันก็ติดค้างกันเป็นเงินอีก

แต่ถ้าระบบแลกเปลี่ยนโดยตรงจะไม่คิดมากหรือน้อย แลกกันกินไปมา เอาข้าวมาแลกไม้จิ้มฟัน คนนี้มีไม้จิ้มฟันก็แลกช้างตัวหนึ่งไม่ได้คิดมากมาย อย่าว่าแต่แลกเลย ก็ให้ไปเลย เขาขาดช้างเราก็ให้ช้างได้เรามีหลายเชือก แต่ตอนนี้คิดเล็กคิดน้อย ให้ตนได้มามากขึ้นๆ นี่คือลัทธิเลว ที่เกิดมาเมื่อไหร่ไม่รู้ จนเกิดเศรษฐกิจ maximize profit เลวสุดเลย

คนกลุ่มหนึ่งฝึกฝนจิตใจ จนเกิดความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ เอามาให้แก่ตนน้อยที่สุดในชีวิต มีความเห็นความเข้าใจ มีความประสงค์อย่างนี้จริง คนชนิดนี้คืออาริยบุคคล จะเป็นอนุตตริยะบุคคล เป็นคนมีคุณธรรมแบบนี้ ที่นี่จะอบรมฝึกฝนสั่งสอนแล้วก็ให้เป็นคนชนิดนี้ มีอนุตตริยธรรมแบบนี้

ก็ขออนุโมทนาสาธุกับผู้ที่ใส่ใจสนใจ เข้าใจว่าความรู้อย่างนี้ เป็นโรงเรียนเป็นสถานที่ที่ควรมารับการศึกษา มาฝึกฝนมาเอาแบบนี้ พวกคุณเป็นคนฉลาดมีปัญญารู้สิ่งควร ไม่ได้มาป้อยอ แต่เป็นความจริง

ในกาละพิเศษก็อบรมแบบนี้ ครั้งที่ 40 แล้วก็ได้อนุตตริยะ เอ๊าะเจ๊าะแค่นี้ จะถึงพันไหมนี่วันนี้ หลายคนก็มาได้แค่มาฆบูชา เสร็จก็ไป ยังดีที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนมาในมาฆบูชา คุณมาก็ได้ของคุณ ถ้าผู้ใดมา 7 วันได้ก็ดีเลย หรือฝังตัวที่พุทธสถานไหนๆ ได้เลยก็ยิ่งดี เพราะพวกเรายินดีต้อนรับ เพราะที่นี่มีศีลเป็นหลัก

ในอนุตตริยะ 6 นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เราก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่แสวงหา ให้ได้เห็นได้พบ

เมื่อได้พบก็เข้าใกล้เงี่ยโสตสดับ สวนะ

แล้วเราก็ได้ ลาภะ ได้มากน้อยก็แล้วแต่เพียรเอา

ได้มาก็เอามาศึกษาสิกขา

แล้วจะเกิดโปสะเจริญ หรือปาริจริยา คือบำรุงพัฒนาเจริญได้เรื่อยๆ ตามลำดับ จนถึงขั้นสุดท้ายสูงสุด เหนือขึ้นๆ เรียกว่าอุตตระ ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอนุตตระ แล้วก็เป็นอนุตตริยะ ทรงไว้ซึ่งเรา เมื่อเราถึงอรหันต์ก็ทรงไว้ซึ่งเราแล้ว ส่วนจะเติมเป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีก แต่ถึงขั้นอรหันต์คือผู้พ้นภัยพ้นโทษแล้ว เพราะกิเลสตัวบาป เพราะล้างกิเลสออกจากจิตเป็นอมตะบุคคล มีจิตแข็งแรงเป็นวิมุติแล้วกิเลสเข้าไม่ได้

เรามีเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ กิเลสเข้าไม่ได้ ก็เลยไม่มีภัยไม่มีโทษแก่ผู้ใด เพราะไม่มีจิตอสังขาริกัง ไม่มีเชื้อที่เป็นโทษภัย ไม่ประกอบด้วยราคะ โทสะ โมหะ เป็นจิตสะอาดขาวรอบผ่องใส อย่าง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

นี่เป็นคุณสมบัติของจิตที่ฝึกฝนอบรมได้ ผู้เป็นได้เรียกว่าอรหันต์ จิตที่แข็งแรงตั้งมั่นมีวิมุติ เป็นอนุตตรจิต ไม่มีโทษมีภัย มีชีวิตต่อไปได้ก็อยู่ไปนิรันดรก็ได้ทำงานให้แก่โลกตลอดกาลนาน รับใช้โลก โลกกานุกัมปายะไปตลอด แข่งกับพระเจ้าก็ได้ โพธิสัตว์คือพระเจ้า อุ้มชูช่วยมนุษย์อยู่ตลอดกาลนาน มีคุณสมบัติอรหันต์ไม่เป็นโทษภัยต่อใครแน่นอน แม้ท่านจะมีสมมุติไม่เหมาะบ้างแต่ว่าต้องยกสติวินัยให้ท่าน ท่านมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จริงๆ อย่างสงฆ์ก็ประกาศยกสติวินัยให้อาตมา ก็เป็นตามที่พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

ให้คนมีสุขชนิดใหม่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ใช่สุขเกิดจากอามิส เป็นนิรามิสสุข แต่ทุกวันนี้เป็นสุขแบบบำเรอกาม บำเรออัตตา

ผู้ที่เป็นอรหันต์เป็นอนุโพธิสัตว์แล้วก็จะทำงานเพื่อสังคม อย่างไม่เป็นโทษภัย มีความอนุโลมทำได้กว้างขึ้น มากขึ้น ก็ทำไปตามฐานะของเรา อย่าตะกละอย่าโลภ แม้แต่ความใจใหญ่ ต้องทำตามพอเหมาะพอควร เป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์

ก้าวไปสู่อนิยตโพธิสัตว์ คือจะเดินทางไปสู่ความเจริญสูงสุดถึงอนุตตริยะ ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หมดกิเลสตนก็ศึกษาสัตว์โลกมนุษยชาติ จะได้ช่วยเขาได้ยิ่งขึ้น เป็นสัจจะจริง เกิดเวียนตายเวียนเกิดในสังขารร่างกาย สิ่งที่ได้ไม่สูญหาย แต่จะกลับมาเกิดมีวิบาก มีการถูกโลกครอบงำ ลิงลมอมข้าวพอง อย่างอาตมาถูกครอบงำไป 36 ปี แต่ความจริงที่ตนมีแล้ว มีอรหัตตผลลำดับใดก็ตาม โสดาบันก็มีความเที่ยงของเขา

พระพุทธเจ้าถูกพระราชบิดาครอบงำให้อยู่กับสุขเท็จ ตลอด 29 ปี ถึงวาระก็ออกบวชแล้วถูกครอบงำด้วยวิบากทางธรรมว่าต้องทรมานตนเองอีก 6 ปี ท่านต้องไปรับวิบาก เพราะได้เคยตู่พระพุทธเจ้ากัสสปะ ตอนเป็นโชติปาลมานพ

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่แน่ ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้านะ จนกว่าจะเป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้แต่ประมาทไม่ได้ จะรีไทร์ได้ จนกว่าจะเป็นมหาโพธิสัตว์ก็เที่ยงแท้

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:19:38 )

590223

รายละเอียด

590223_รายการภาคค่ำ ศิลปะโลกุตระ

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน รายการภาคค่ำ ศิลปะโลกุตระเป็นฉันใด

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคาร 23 กุมภาพันธ์ 2559 อาตมาจะมีการเปิด

ศิลปะโลกุตระเป็นครั้งแรก โดยจะได้พูดได้บรรยาย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้บรรยายศิลปะโลกุตระ โดยเอาผลงานของคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย ที่เป็นศิลปินชาวอโศก ที่ได้เขียนภาพลงหน้าปกเราคิดอะไรมาเยอะแยะ และก็ผลงานอื่น มีผลงานการปั้นด้วย เป็นศิลปะที่เป็นโลกุตระ อาตมาเป็นศิลปินที่ใช้ศิลปะขั้นโลกุตระ

โลกุตระ หมายถึงลักษณะที่ไม่เหมือนโลกีย์ คนละตระกูลกับโลกีย์ คนละอารมณ์กับโลกีย์ โลกุตระทำลายอารมณ์ที่ติดยึดในโลกีย์ อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้ว่าโลกีย์เป็นเรื่องเกิดทุกขอริยสัจ เป็นอนิจจัง แล้วพาทุกข์ ตลอดคนในโลก การได้เป็นศาสดายิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ท่านได้ค้นพบอันนี้ แล้วประกาศต่อโลก

จิตวิญญาณที่บรรลุผลเหนือโลกีย์แล้ว คนพ้นกิเลสนั้นจริงไม่มีทุกข์ หมดทุกข์ ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่มีโสกะ ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ เป็นคนรับใช้โลก มีประโยชน์คุณค่าต่อโลก เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ 1.ไม่ทุกข์แล้ว 2.ไม่ก่อโทษภัยต่อใครแล้ว 3.สร้างประโยชน์คุณค่าต่อโลกตราบตาย ตายแล้วก็เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ทำงานต่อเพื่อโลกอีก ยิ่งใหญ่อย่างนี้

เราจะจัดงานศิลปะโลกุตระ จะเริ่มเปิดงานในวันที่ 20 มี.ค. 2559

- เวลา 08.30-08.50 น. กล่าวเปิดงาน

- เวลา 09.00-11.00 น. รายการเสวนา เรื่อง “ศิลปะโลกุตระ” โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ คุณไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก คุณแสงศิลป์ เดือนหงาย คุณเพชรพันศิลป์ มุณีเวช

ใครมาบ้างก็ไม่ทราบ ใครเต็มใจยินดีเสวนาก็เชิญขึ้นเวทีร่วมเสวนาบนเวทีเลย สดๆ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จะไม่ได้กำหนดประกาศไป

งานของเราไม่เหมือนคนโลกๆ คนโลกๆ เขาจะติดต่อคนเด่นๆ ที่มีชื่อเสียง เรียกคนมาดูได้เยอะๆ โลกทำเช่นนั้น แต่เราจะไม่ทำแบบนั้น เราไม่ได้ทำเพื่ออามิส เราทำเพื่อความรู้ความจริงแบบของเรา มีวงดนตรีหลักคือวงฆราวาส นอกนั้นก็มีอย่างอื่นเสริมอีก ผู้ร่วมรายการพ่อครูว่าให้พูดคุยเรื่องศิลปะเป็นโลกุตระอย่างไร

 

สู่แดนธรรมว่า...โดยภูมิความรู้ของตน ไม่มีภูมิรู้ศิลปะโลกุตระ มาได้ฟังพ่อครู แต่ขนาดได้ฟังแล้วก็ยังทำไม่ได้ พ่อท่านให้แนวทางว่า ถ้าคุณเป็นศิลปินโลกุตระคือวาดภาพโป๊แล้วก็ทำให้คนเห็นแล้วกิเลสลดได้ แต่ก็ยังทำไม่ได้เลย

ในศิลปะ มี 5 แขนงใหญ่ ถ้าเป็นวรรณกรรมก็สามารถผูกเรื่องได้ แต่ถ้าเป็นภาพนี่ยาก มันพูดไม่ได้ อย่างมากก็ทำได้แค่ภาพที่ให้ความรู้โลกียะ

ตอนนี้ผมกำลังรื้อฟื้นความรู้ด้านการเขียนภาพ

เพชรพันศิลป์ว่า...เรียนจากม.วิทยาลัยมงคล ล้านนา ที่เชียงใหม่ ​สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ เป็นงานที่ต้องไปประยุกต์ ให้ค้าขายได้ เช่น งานสิ่งพิมพ์วิดีทัศน์ เว็บไซด์ ทำให้คนโดยรวม สากลเข้าใจ เขาถึงจะซื้องานชิ้นนั้นๆ

ศิลปะโลกุตระ ผมก็ขอคัดลอกจากคุณอาหมอสู่แดนธรรม ก็เหมือนกัน ไม่เคยได้รู้มาก่อนจนมาได้ฟังพ่อครู ถ้าโลกียะก็เหมือนสังคมโลกๆ ทำแล้วก็บานปลาย ความต้องการของคนก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มาโลกุตระ ก็ทำให้เป็นปลายปิด ทำให้ลด ละ หน่าย คลาย หมดกิเลสทั้งผู้เสพและตัวเจ้าของผลงาน ต้องลดละอัตตาด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นศิลปินจะเสนอแต่ตัวตนของตนเอง เขาบอกว่าไม่ดีก็ยังเสนอแบบของตนอีกโดยไม่เปลี่ยนแปลง

แสงศิลป์ เดือนหงายว่า...จบเพาะช่าง สาขาจิตรกรรม เป็นศิลปะประจำชาติไทย ที่ได้มาทำงานด้านศาสนานับว่าเป็นบุญ ตอนแรกมาเป็นผู้ปกครองเด็กพุทธธรรม เอาลูกเข้ามาเรียน มีคนชักนำเข้ามาทำงานศาสนาก็คือท่านกล้าจริง ตถภาโว ให้ทำเขียนการ์ตูนดอกบัวน้อย ต่อมาออกแบบหนังสือเราคิดอะไร ตอนแรกเป็นภาพถ่าย แต่ต่อมาก็เป็นภาพวาด มันยากมากศิลปะที่พ่อท่านให้ทำเพราะเป็นนามธรรม สมัยก่อนไม่มีกลอนหรือไกด์ไลน์ให้เราทำ เป็นกระดาษชิ้นหนึ่งแล้วก็เขียนหัวข้อให้เรา เราก็มาวิปัสสนาจนหัวร้อน เป็นเรื่องแปลกที่ว่าทุกครั้งพ่อท่านไม่ได้บอกว่าให้วาดรูปอย่างไร อาศัยว่าเราชอบอ่านหนังสือแล้วสนใจในเรื่องรอบตัว ก็ได้วาดได้อะไรสื่อสังคมรอบตัวที่เราได้รู้ จากความรู้สึกและคำสอนของพ่อท่าน ก็ได้ซึมซับสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะหัวข้อธรรมต่างๆ มันอยู่ในงานเหล่านั้น เป็นจิตวิญญาณที่ทุ่มเทให้

จากนั้นมาก็มีการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณเราได้ศึกษาปฏิบัติจริง ทำงานแต่ละครั้งเราจะทำให้ดีที่สุด เหตุการณ์สื่อแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น คนได้ดูแล้วเข้าไปในใจคน ชี้นำให้คนปฏิบัติให้ตรงตามที่พ่อท่านนำพาสอน

พยายามหยิบสิ่งที่ยากทำให้คนเข้าใจง่าย คนดูเกิดความรู้สึก กระตุ้นอะไรกับคน ให้เกิดเปลี่ยนแปลง เป็นความรู้ที่พ่อท่านสอนมาตลอด ผมไม่รู้จักศิลปะโลกุตระอะไร ตอนแรกก็ทำไปเรื่อยๆ คิดว่าศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ผมคิดเสมอว่าพ่อท่านเป็นศิลปะที่เหนือศิลปะ พ่อท่านเคยพูดว่า พระพุทธเจ้าเป็นนักศิลปะสุดยอด เอาตั้งแต่กาแลกซี่มาใช้ เป็นมงคลอันอุดมสูงสุด

พ่อท่านเอาโลกมาทำเป็นเฟรม เอาพวกเรานี่เป็นศิลปะของพ่อท่าน ชุมชนต่างๆ คือศิลปะของพ่อท่าน มีทุกหนทุกแห่ง มันมีความหมายลึกซึ้งมาก

ไม่คิดว่าตนเองสำคัญอะไรในชาวอโศก ศิลปะอยู่ในคนปลูกผัก ในทุกหนทุกแห่งในชีวิตเราเอง

ด้วยความเชื่อศรัทธาจึงทำให้ดีที่สุด บางครั้งไม่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า บางอย่างที่เขียนไป ภูมิเราไม่พอก็เขียนแรงไป

 

พ่อครูว่า...ศิลปะนั้น ถ้าจะมีคุณค่า คนเขียนจะต้องเข้าใจความรู้สึกที่จะกระทบเข้าไปถึงใจ ที่เรียกว่าที่เป็นเรื่องลึกซึ้งๆ เป็นเรื่องรับกระทบ

อิมเพรสชั่นนิซึม เกิดขึ้นมาแล้วคนที่สัมผัสเขาก็จะเกิดก็ชอบเขาแปลว่า

ประจักษ์นิยม จะชอบสัมผัสแล้วก็รู้เห็นขึ้นมาทันทีทันใด ไม่เฉื่อยเนือย มีกระตือรือร้น กระตุ้นอารมณ์ถือว่ามีผล คนรับสัมผัสแล้วก็เกิดอารมณ์

มีหนึ่งวัตถุที่จะให้สัมผัส แล้วสองคือคนสัมผัสเกิดความรู้สึกในจิต

ศิลปะคือมงคลอันอุดม จะเป็นงานใดใด รูปปั้นหรือภาพเขียน ผลกระทบสัมผัสแล้วถ้าเกิดจิตลด ละ หน่าย คลาย จิตเจริญไปสู่อาริยธรรมไปสู่นิพพาน หรือจิตลดละกิเลส สรุปง่ายๆ อันนั้นเป็นมงคลอันอุดม

แต่ถ้าสัมผัสแล้วกิเลสเกิดเป็นข้าศึกแก่กุศล ไม่ควรจะสัมผัส ไม่ใช่ศิลปะ

คนไม่เข้าใจก็เอากิเลสมาใช้ให้คนอยากดู อยากเห็น อยากได้ อยากมี อยากสัมผัส คนไม่มีปัญญาเขาเอาก็เอากิเลสมาล่อ เป็นงานที่เป็นโลกียะให้คนเสพติดอยากได้ จนเขาอยากได้มากๆ ก็ขึ้นราคาขึ้นค่าตัว ว่าตนเองเก่งตนเองยอดโด่งดังขึ้นมาก็ได้เงินได้ทองเยอะ ก็เป็นไปเพื่อโลกียะ งานเหล่านั้นจึงเป็นงานที่คนนิยมมากราคาแพง จึงกลายเป็นเรื่องยิ่งไม่ใช่ศิลปะ เป็นงานอนาจาร เป็นข้าศึกแก่กุศล

คนข้างนอกเขาก็พอรู้ อย่างถวัลย์ ดัชนี รุ่นน้องอาตมาสองปี มาพบอาตมา อาตมาก็ถามว่าศิลปะคืออะไร เขาก็ตอบว่า ต้องถึงขั้นอภิธรรม ที่แปลว่าถึงจิตเจตสิก แล้วทำให้จิตเจตสิกลดกิเลสถึงอรหันต์ได้ แต่อาตมาไม่เชื่อว่าความรู้ระดับศาสนาเทวนิยมจะมีความรู้โลกุตระแบบนี้

โลกุตระสูงสุดคือไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ หรือ นิพพานัง ปรมัง สุขัง เป็นสุขที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว พยัญชนะภาษาบอกได้แค่นี้ แต่สัจจะสภาวะต้องมาเรียนรู้ตามลำดับ ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ระดับอบายมุข แล้วมาสู่ขั้นกาม ปฏิบัติอัตตา

ความสุขที่สงบระงับจากกิเลส เรามองเห็นอันนี้ คนเขาว่าสวยเราก็รู้ตามเขาไป แต่อารมณ์เราไม่เกิดอารมณ์ เราสงบรู้ตามโลกแต่ไม่เกิดกิเลส ผู้บรรลุสุดยอดแล้วไม่มีโทษไม่มีภัยต่อใคร มีแต่จะช่วยคนอื่น ทำประโยชน์แก่คนอื่น รับใช้คนอื่นเป็นคนไม่ได้หนีโลก แล้วมีโลกวิทู รู้สมมติโลกเขาว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ติดยึดไปกับเขา เป็นศาสนาที่ปลดปล่อยออกจากความเป็นทาส

อาตมาเรียนศิลปะมา และมีมาเก่าแล้ว born to be อย่างแสงศิลป์นั้น อาตมารู้ว่าเขามีแต่เดิมมา อาตมาไม่ได้ตั้งชื่อแสงศิลป์นะ มาพบอาตมา อาตมาก็รู้ว่าเขาคือใคร แล้วก็ทำงานช่วยอาตมามาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่หนุ่มจนแก่แล้ว เขาเรียนจิตรกรรม อาตมาก็ให้ทำประติมากรรม ที่เป็นรูปปั้นหล่อทองเหลืองที่สันติอโศก หรือเสาสี่เสาบนพระวิหารก็ฝีมือเขา พระพุทธรูปสมเด็จปู่ปางวิชิตอวิชชานี้ก็ใช่ผลงานแสงศิลป์ ได้ออกศึกมาแล้วนะ แสดงฤทธิ์ คนเห็นแสง

 

สู่แดนธรรมถามพ่อครูว่า...ในวงการศิลปะ ผมเคยเอาแนวคิดพ่อท่านไปเผยแพร่ ก็มีคอศิลปะเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียน เขาว่า ในโลกทั้งโลกเหมือนต้นไม้ใหญ่ ใครอยากได้ส่วนไหนก็เอาไป อยากได้เปลือกก็เอาเปลือก อยากได้ใบก็เอาไป อยากได้ดอกก็เอาไป ฯ เขาคงบอกว่า อยากทำแก่นก็ทำไปน่ะ คราวนี้ศิลปะที่พ่อท่านจะนำเสนอสู่สังคม จะเสนอเฉพาะแก่น หรือ ดอก ใบ ผล จะจัดสรรอย่างไร

พ่อครูว่า...สูตรนี้มีว่า ศีลคือสะเก็ด สมาธิคือเปลือก ปัญญาคือกระพี้ วิมุติคือแก่น ส่วนโลกโลกีย์คือใบ ผล ดอก ภายนอก เป็นโลกธรรม อาตมาเลิกหลงใบดอกผล เริ่มต้นมาเอาสะเก็ด คือศีลให้ได้ก่อน แล้วจะนำสู่เปลือก กระพี้ และแก่น

อาตมาแบ่งเกณฑ์ศิลปะเป็น 5 ขั้น

1. ลามก

2. ราคะ

3. สาระ

4. ธรรมะ

5. โลกุตระ

แบบราคะนั้นมีกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดเยอะ  ลามกนั้นคนอายกันไม่ค่อยจะเอาออกมา แต่สาระนี้มีเนื้อหาแก่นสาร ว่าจะเป็นไปเพื่อละหน่ายคลายหรือมอมเมาเติมกิเลสให้เขา ถ้ามีแต่สาระไม่มีสุนทรีย์ก็เป็นสารคดี เป็นวรรณกรรม ถ้ามีแต่แก่นไม่มีกระษัยเลยไม่เป็นศิลปะ ถ้ามีสุนทรีย์ ในการประมาณว่าจะใช้แค่ไหน จับขนาดได้ ให้อยู่ที่สาระ ถ้าอยู่เหนือเข้าใจแล้วก็จัดองค์ประกอบศิลป์ให้มีสุนทรีย์มากเท่าไหร่

ยกตัวอย่างให้เด็กกินยาขม ก็เลยเอาน้ำตาลเอาสีมาหุ้ม ถ้าเอาน้ำตาล 50 % แล้วยา 50% เด็กเพลินแล้วก็จะกินยาไปเอง แต่ถ้าเติมน้ำตาล 50% เด็กพอได้น้ำตาลก็ค่อยลดความอยาก แล้วพอใกล้ถึงยาเขาก็จะคายทิ้งหลอกกินแต่น้ำตาลอย่างนั้นใช้ไม่ได้

คนเก่งๆ จะต้องใช้น้ำตาลแต่น้อย เผลอๆ ก็กินยาเข้าไปแล้ว พระพุทธเจ้าว่าแทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนเลย ฝีมือของศิลปินจะต้องแทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนให้ได้ สิ่งที่เป็นสุนทรีย์จะมากเกินกว่า 25% ไปไม่ได้ ต้องมีเนื้อถึง 75% มีสุนทรีย์ 25% ถ้ายิ่งเกินเข้าไปถึง 50% ก็ไม่ใช่ยาแล้ว

ต้องมีสัปปุริสธรรม 7 ของพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักเป้าหมายที่เป็น interest point หรือแก่น แล้วมีองค์ประกอบที่ประกอบกันให้เข้าสู่เป้าหมายอย่างไร

 

สู่แดนธรรมว่า...ทำไมพ่อท่านประมาณว่า เสียทรัพย์ไปมากแต่ไม่ได้อะไรเท่าไหร่? ประมาณอย่างไร

พ่อครูว่า...อาตมาเห็นว่าทองคำหรือธนบัตรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ถ้ามีเงิน 1 ล้านแล้วต้องการให้คุณได้ประโยชน์แลกกับจุด 0.01 ถ้ามีเงินพอก็จ่ายไป เงินจ่ายไปแล้วได้ฟรีนะของอะไรก็ตาม จ่ายเงินไปแล้วได้ฟรีทั้งนั้น เงินคือสิ่งแลกเปลี่ยน คนยังหลงค่าเงินก็หวง กลัวจะพร่อง ถ้าคิดว่าสิ่งแลกเปลี่ยนก็ไม่หวง

ในวันที่ 20 มีนาคม ที่จะจัดงาน ถ้าศิลปินแห่งชาติมาได้ทั้งหมดเลยก็ดี พูดไปแล้วก็เหมือนกับอวดดี

ภาพนี้จะให้เกิดผลกระทบใจก็ยาก การปั้นก็ยิ่งยาก แต่วรรณกรรมนี่ง่ายกว่าส่วนเพลงการ ดนตรีได้แรงกว่าเร็วกว่า แต่ไม่เท่าวรรณกรรม เพราะวรรณกรรมมีภาษาคำพูดมีสิ่งกำหนดภาวะตัวตนได้มากกว่าอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง อาตมาจะอ่านร้อยกรองให้ฟัง

เพลงอาตมาแต่ง แล้วเป็นเพลงโลกุตระ

 

เพลงภูฟ้าผาน้ำ

 

ยากจะตาย หากเราปั้นทรายให้เป็นแผ่นทอง

เก็บเอาฟ้ามารวมกันปั้นกอง ก่อภูเขาเป็นโขดหิน

หรือยิ่งปั้นผาน้ำ ให้ยืนค้ำอยู่คู่ธานินทร์

นั้นไม่ได้ยินว่าเป็นไปได้

 

ใช่ง่ายดาย หากเอาน้ำลายปั้นเป็นบ้านเมือง

ก็คงหลงตามด้วยความหมดเปลือง เฟื่องฟูหรูจนไม่ไหว

เหมือนปั้นลมแล้วหวัง ให้เป็นเสาตั้งหยั่งลงไป

นั้นแน่ว่าใครหวังไปเปล่าดาย

 

เหมือนโลกของเหล่าผู้รู้

ปั้นภูมิดูสูงส่งชวนหลงเป็นของง่าย

ความรู้มอมเมาจิต เกิดเป็นพิษมากมาย

ปรัชญาหลากหลายคล้ายกัน

 

ปั้นภูฟ้า ปั้นผาน้ำ ผลนั้นเป็นเช่นใด

ปั้นภูมิสูงมาค้ากันเข้าไป ไล่กันทึ้งจึงบิดผัน

ขายค่าความคิดสูง จึ่งจูงโลกสู่ประลัยกัลป์

เพราะไม่ปั้นคุณธรรมให้คน

 

ปั้นภูฟ้า ปั้นผาน้ำ ผลนั้นเป็นเช่นใด

ปั้นเพียงรู้ไม่ปั้นธรรมใส่ใจ โลกจึงถึงดีแค่ฝัน

หลงแต่ความรู้ไซร้ จึ่งพาให้สุดโต่งดึงดัน

นั่นแหละ "ปัญญานิยม" นั่นเอง

 

ตั้งแต่อบายเขาก็ไม่มีลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พระพุทธเจ้าให้จับอ่านอาการอกุศลจิต อ่านอาการลิงค นิมิต อุเทศ กดข่มก็ได้แต่ต้องใช้ปัญญาเป็นพลังงานไฟฌาน ที่สลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มีปัญญาพละที่เป็นไฟฌาน ละลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ ให้เห็นว่าพลังงานเหล่านี้มีพลังจริงที่สลายได้ มันสลายหรือละลาย เป็นปชลิโต โหมไหม้ไฟ ราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นพยัญชนะสื่อสภาวะจริง ในจิตเจตสิกต่างๆ

ของพระพุทธเจ้ากำจัดเหตุได้จริง ไม่ต้องหนีโลกอย่างโลกียะที่ทำกันทั่ว ในอินเดียมีมาก อย่างพวกเชน ฑิฆัมพร มักน้อยสันโดษมาก ผมก็ไม่ตัด ใช้วิธีถอนเอา หัวแดงเลือดโชก หนาวแค่ไหนก็แก้ผ้ากลางหิมะ เดินโทงๆ มาเขาก็ยิ่งนับถือ เขาไม่ได้ทำลายโลก แต่เขาเอาตัวเขาเป็นอัตตาเต็มที่ ทนทานต่อการกระทบทุกอย่าง เป็นวิธีสะกดสร้างความควบแน่นในจิต อะไรก็ตีไม่แตก เป็นวิธีง่ายทนได้ ข้ามชาติก็ได้

อย่างพระกัสสปะ ในศาสนาของพระพุทธเจ้านี้มีองค์เดียวคือกัสสปะ แล้วยกท่านกัสสปะว่าเทียบเท่าพระพุทธเจ้าตรงจิตที่แข็งแรง แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ป่า พระพุทธเจ้าตรัสความเสื่อมสี่ประการ

ลองฟังเพลงอีกเพลงที่เป็นเพลงโลกุตระ คือ

 

เพลงฝีฟ้า

 

สวยงามสามภูมิสรรมาให้สวยเลอเลิศ

พราวเพริดปานใดงามแข่งกันไปยิ่งสวย

อร่อยเกมส์กามเลยเถิดเกิดกลซ้อนจนคนซวย

สำรวยผลาญพล่าพาร้ายเป็นผีตัวหนึ่ง

หลงรวยหลงมีหวังเป็นเศรษฐีให้ได้

จะยากอย่างไรกระเสือกกันไปให้ถึง

ต่างแข่งต่างคนมีเล่ห์มีกลร้ายจนพรั่นพรึง

ผลจึงเสียทีป่นปี้เป็นผีอีกตัว

 

แค่สวยรวยสองตัวนี้

ฤทธิ์มันมากมีเป็นผีฟ้าที่น่ากลัว

ใหญ่จนผู้คนหดหัวมืดมัวชั่วดีไม่มีปัญญารู้ได้

 

ผีจึงหลอนลวงสังคมด้วยสวยรวยศักดิ์

มันใหญ่ยิ่งนักจนหักคอมันไม่ไหว

แต่หากศึกษาเพียรฆ่าผีฟ้าที่มาชอนไช

สังคมพ้นภัยใครกล้าฆ่าผีบ้างเอย

 

จะเป็นงานอะไรก็ตาม หากใครสัมผัสแล้วกิเลสลดคือมงคลอันอุดมคือศิลปะ แต่ถ้างานของใครถ้าคนสัมผัสแล้วกิเลสขึ้น ก็คืองานอนาจาร แปลว่าไม่ควรประพฤติ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาไม่บังคับ ศาสนาอื่นมีการบังคับหมด แต่พวก

อุจเฉทิฏฐิไม่บังคับด้วยแต่ไม่ใช่ศาสนา ได้แค่ลัทธิ

พุทธไม่บังคับ ต้องมีจิตฉันทะเอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมะของท่านแสดงออกไม่ต้องการบริวาร ไม่ให้แสดงว่าให้คนมานับถือหรือให้คนมาว่าเราประเสริฐเลิศเลอ แต่ใครจะนับถือก็แล้วแต่ปัญญาใครปัญญามัน

ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาอิสระเสรีภาพสูงสุด และปลดแอกให้คนสู่เสรีภาพ เป็นศาสนาที่คนทุกคนควรได้ ควรมี ควรเป็น และควรอยากได้ คนไม่อยากได้โลกุตระ ธรรมะพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์แบบแล้วทำให้ตนเป็นคนไม่ทุกข์ มีประโยชน์คุณค่า มีความรู้จักโลก แล้วช่วยโลกด้วยเต็มใจตั้งใจ เขาจะมีพรหมวิหารเต็ม อัปปมัญญาเต็ม

คุณสมบัติดีใดๆ ที่ศาสนาใดมี พุทธมีหมด อะไรที่เลวร้ายพุทธรู้แล้วล้างได้หมด ส่วนศาสนาต่างๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ล้างไม่ได้หมด มีขั้นตอนเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ทำได้ลำดับถูกต้องจริงๆ จะเป็นสิ่งที่เร็ว ลัดสุด สั้นสุด ง่ายสะดวกที่สุด ถ้าทำถูกลำดับไม่ลักลั่น ก็เร็วดีง่าย

 

โลกุตระ อาตมาก็ขยายความเอาไว้ ว่าความเป็นโลกุตระมีลักษณะ 7 ประการ

1. คนไม่รู้ว่าโลกุตระคืออะไร โลกุตระก็เกิดไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้ให้รู้ก่อน หนึ่งคือต้องรู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่ได้

2. รู้แบบผิดๆ ก็มีเยอะ เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิก็เยอะ

3. รู้ถูก แค่ปรัชญาหรือแค่ตรรกะ

4. รู้ถูก แต่ทำไม่ได้หรือไม่ทำ มีปัญญานะ รู้แต่ทำไม่ได้ หรือไม่ทำ ตัวเองไม่ทำเองก็จะได้อะไร

5. ทำได้ แต่ไม่ยั่งยืนไม่ตั้งมั่น

6. ทำได้ ยั่งยืน สมกาละ

7. มีคนทำได้เป็นมวลหมู่แข็งแรง

คือ 7 อย่างของโลกุตระ อาตมาทำได้ถึงขั้น 7 ถือว่าแข็งแรง มั่นใจว่าพวกเราทำได้แล้วไม่ถอย เพราะคุณสมบัติของสัจธรรมพระพุทธเจ้านั้น เมื่อทำถูกต้องสัมมาทิฏฐิจะเป็น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนานตลอดกาล)

อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

วิธีปฏิบัติให้อ่านเวทนา อารมณ์ ความรู้สึก ให้อ่านอาการของอารมณ์ อาการราคะและอาการโทสะเป็นอารมณ์ ส่วนความรู้ รู้ความจริงตามความเป็นจริงก็ต้องมีอยู่ ก็รู้ตามโลกแต่ไม่มีอารมณ์ชอบหรือชัง แดงก็สีแดง แต่ว่าไม่ชอบหรือชัง แดงแบบไหนก็รู้

เมื่อทำได้อันนี้ก็จะสามารถปฏิบัติกับเหตุปัจจัยอื่นได้ง่ายขึ้น หรือไม่ต้องทำก็ทำได้เลย แล้วจะมีการช่วยกันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แตกตัวของปัญญา ถ้าเรียงลำดับได้ถูก เป็นลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่กลับไปกลับมาแต่ถ้าได้ลำดับดีจะมีภาวะทับซ้อน เป็นการก้าวหน้าอย่างคูณ อย่างยกกำลังได้เลย จะเกิดพัฒนาการเช่นนี้ ละเอียดลึกซึ้งมาก

ความรู้ของพระพุทธเจ้าโลกุตระสามารถดับเวทนาในเวทนา จนเหลือ

อารมณ์กลางๆ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา เนกขัมมะได้ จิตกลางเฉย

เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย เว้นผัสสะเสียไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติได้ นั่นคือไม่มีกรรมฐาน ต้องมีกรรมฐาน ฐานที่จะปฏิบัติต้องมีเวทนา ใครไปดับหู ตา จมูก ลิ้น กายใจ อยู่แต่ในภพไม่ใช่ของศาสนาพุทธ

ถ้าอาตมาไม่กู้ขึ้นมาก็จมหายไปเลย

 

ตอนนี้ผู้มีอำนาจทำได้ก็ควรทำเลย คนนี้ชื่อประยุทธ์คือคนขี่ม้าขาวตัวจริง คงไม่ทำผิดหน้าที่ 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:20:31 )

590223

รายละเอียด

590223_โอวาทประชุมตลาดอาริยะ งานพุทธาฯ ครั้งที่ 40

พ่อครูว่า...ตอนนี้เรากำลังเปิดตัวเปิดกว้างขึ้น ไปตามลำดับ ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเปิดเผยตัวเอง คนข้างยาก การจะเปิดเผยความดีเปิดเผยความจริงอย่างต้องถนอมเวลาประนีประนอมรอมชอมกระมิดกระเมี้ยน ต้องทำความเข้าใจไม่เช่นนั้นเขาจะตีทิ้ง ทุกวันนี้ก็ยังเพิกเฉยๆสงสัยว่าจะใช่หรือไม่ยังไม่เข้าใจจริงจัง ยังเนวสัญญานาสัญญาอยู่ มาถึงวันนี้แล้วอาตมาเปิดตัวเอง เปิดงานที่ทำ

เรื่องของมังสวิรัติตัวเขาเองต้องรู้ตัวว่ามีจิตที่โหดร้าย จนกระทั่งมีจิตไปรุกรานคนอื่น ไม่ค่อยขยับมา คล้ายๆลดลงมาตนเองก็ถอดตัวตนค่อยๆปรับไปทีละด้านก็ค่อยๆดีขึ้น งานตลาดอาริยะการกินเนื้อสัตว์ ตลาดอาริยะนั้นลดละหวงแหนขี้เหนียวมีการแชร์เห็นแก่ตัวลดลงไม่ขี้โลภ ก็ค่อยๆเจริญขึ้น

เสร็จแล้วเราก็ค่อยจัดตลาดอาริยะในเมือง ค่อยๆขยายบุญนิยมอีกหลายด้าน ตอนนี้ถ้าเป็นเมืองเราจะใช้ก้อนเงินก้อนโตกว่า เพราะว่ามันต้องของแพงกว่าดีกว่าถูกใจกว่า คือในระดับไฮโซเป็นเช่นนั้น เราต้องเตรียมตัว ก็ดูที่ความจริงจะจัดได้ สันติอโศกเราตอนนี้ทะลาย ต้องดูว่าข้างหน้าจะเปิดโล่งกว้าง ถ.ซอย 46 ถนนใส่บาตรจะกว้างขึ้น เพราะทุบรั้วบ้านแต่ละบ้านไปแล้ว บ้านใดที่มีแต่สนามก็ทะลุตัวบ้านจะมีสนาม มีอาณาบริเวณจัดงานได้เยอะ

งานศิลปะ หรืองานใดๆ ถ้าจะเกิดก่อนเช่นตลาดอาริยะก็จะจัดได้ ก็มีเงินไหมที่จะจัดตลาดอาริยะสันติอโศก เพราะเป็นย่านเงินย่านทอง ร้านรวงตลาดเก่าหนีไปเราก็ได้พื้นที่คืน เราจะจัดตลาดอาริยะและศิลปะโลกุตระในวันที่ 20 มี.ค. ได้เลยก็จะสวยงาม มันร่วมกันได้เลย เพราะตลาดอาริยะกับศิลปะโลกุตระจะมีโรงบุญด้วยกันจะร่วมกันได้ กินฟรีได้เขยิบเข้าข้างใน ส่วนอาหารจานละบาทก็ข้างนอกตลาดอาริยะ เขาจะได้เห็นว่าพวกนี้มันเอาจริงนะ บาทเดียวก็ว่าแน่นะแต่นี่ให้ฟรีเลย นี่ก็เป็นความก้าวหน้าพัฒนากันไป เราจะทำอะไร

ในลักษณะของบุญนิยมของคนจนไม่ได้สะสมเงินก้อน เราใช้กินอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนมันก็ได้มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชไม่ใช่เล่น คนเขาไม่เชื่อว่าเราไม่มีเรื่องหลังมีคนหนุนมีนายทุนหนุนจะทำได้อย่างไรเขาก็คิดไม่ออก เพราะเป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีของพพจ.

แม่น้ำฮวงโหเกิดจากฟยอร์ดเล็กไหลรวมกันเป็นแม่น้ำฮวงโหใหญ่ได้เหมือนกับเราคนเล็กคนน้อยมารวมกันก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้  ดีไม่ดีเราจะไปเหมา ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเอามาขายต่ำกว่าทุนเลยสินค้าที่ไม่มีประโยชน์เราก็ไม่เอามา ให้มันรู้กันเสียบ้างว่า การเสียสละรักประชาชนไม่โหดร้ายต่อประชาชนจะสู้ไม่ได้ อย่างไร เราทำสิ่งดีทุกประการจะไปแพ้คนขี้โกงได้ มันต้องสู้ได้

มั่นใจเถิดพวกเราทำงานมาในระดับนี้แล้วรักษาสุขภาพให้ดีกันอย่าเพิ่งรีบตายอยู่ช่วยกัน จะเห็นได้ว่าขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือพฤติกรรมในสังคมมนุษยชาติแขนงใดใดก็แล้วแต่ มันก็ก้าวหน้าเพราะคนเข้าใจ เมื่อจิตไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อยลง จะรู้ว่าความตะกละมันเมื่อยและโง่ด้วย เราทำให้จิตใจร่างกายเรารับเฉพาะน้อยๆนี้ก็พอ มันพอจริงๆไม่ได้แกล้ง

อาตมาตอนนี้สรีระอาตมาปรับตัวผอมลงนะ แต่แข็งแรงแกร่ง ไม่ได้ป้อแป้อ่อนแอนะ เพราะอาตมาปรับพลังงานมาเป็นตัวสร้าง พลังงานเป็นนามธรรมเป็นอรูป จะทำงานได้ดีกว่ารูปธรรม ละเอียดเล็กก็จะpractical ทำงานได้ดี แต่มีขนาดเล็กเรียบร้อย เหมือนกับทัมป์ไดฟ์เล็กลงเรื่อยๆ มันเก่งขึ้นเรื่อยๆ เล็กแต่แข็งแรงไม่ต้องกังวลอาตมาจะผอมลง รับรองว่าไม่ได้ทรุดเสื่อมอะไร แต่เป็นธรรมดาธรรมชาติของธรรมะสอง คนเทอะทะอยู่ริสยาอาตมาเถอะ จะแบกร่างคุณไปเช่นนี้

พอพลังงานมันพอรูปธรรมก็ปรับ พลังงานนามธรรมเมื่อพลังงานทำได้เล็กได้แกร่งรูปธรรมก็จะมาช่วย อ้วนแล้วผอมผอมแล้วก็อ้วนเป็นเช่นนี้

เรื่องพาณิชย์เรื่องตลาดก็จะนำหน้าเขา เศรษฐศาสตร์บุญนิยม กว่าโลกจะรู้ว่ามีทฤษฎีแบบนี้หรือ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แบบคนจน สะพัดได้เร็ว ก้อนเล็กกว่าสะพัดเร็วขึ้นมามากขึ้นสะพัดเร็วขึ้นนี่คือความเจริญไม่สะสม มีแต่คงคลัง ไม่กลัวจะหมดแต่มีปัญญารู้ว่าใช้เท่าไหร่ เสียสละได้เท่าไหร่ ต้องประมาณให้พอเหมาะ

1.ทำให้ดูได้จริง 2.กาละเวลายาวนาน แรงทดก็จะมากขึ้นๆ แต่ไม่ง่ายเพราะยุคนี้โลกีย์แรงจัด อาศัยเวลาให้เขาเชื่อว่าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล จนกว่าตาบอดจะเห็นได้ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:21:03 )

590225

รายละเอียด

590225_ทวช.พุทธาฯครั้งที่ 40 ธรรมะของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม 4

พ่อครูว่า…..วันนี้ 25 กุมภาพันธ์ 2559 แรม 3 ค่ำ บอกความจริงว่าตอนสวดมนต์จิตอาตมาก็ไม่ได้อยู่กับการสวดมนต์ ก็คิดเรื่องที่จะพูดอยู่นิดๆ หน่อยๆ แล้วเวลาพูดก็พูดอีกอย่าง เสียเวลาคิดทำไม บางทีก็หลุดสวดมนต์อีก แต่จิตอาตมาไม่ได้คิดไปเพื่อลาภยศสรรเสริญสุขนะ

คิดว่าทำไมคนถึงได้หลงกันนัก แต่ละประเทศคิดด้วยอำนาจโลภ หรือคิดด้วยจิตอำมหิต ว่าจะต้องจัดการกับประเทศอื่นอย่างไร เต็มใจที่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว จะเอาชนะคะคานกัน ความรู้ของคนทุกวันนี้รู้ว่าถ้าทำแรงแรงๆ มันน่าเกลียด แต่บางที่เขาก็ทำร้ายแรง แต่หาวิธีหลอกให้คนเขารู้สึกว่า เราทำดีปรารถนาดีหวังดีด้วยซ้ำ ยอดจิตใจวิเศษที่จะช่วยเหลือเราด้วย แต่จริงๆ แล้วจะล้วงตับกินไส้เรา การกระทำของเขาผลจริงข้างในนั้นอำมหิตโหดร้ายที่สุด ที่จะห้ำหั่นให้เราเสียหาย เป็นความซับซ้อนกลับไปกลับมา กินลึกไปเรื่อยๆ

ยิ่งรักยิ่งเลวยิ่งรัก ยิ่งรักมากๆ ยิ่งเลวลึก ซ้อนไปเรื่อยๆ เป็นทิศทางของคนที่มีจิตต้นทางไม่ได้หวังดี แม้หวังดีโดยหลงตนเอง เช่น เลี้ยงลูกให้เอาแต่ใจตัว ตามใจไม่ขัดเกลา ไม่ให้เขากลับใจ เด็กคนนั้นก็เลวลึกไปเรื่อยๆ นี่คือความหลงผิดของผู้ใหญ่ ของพ่อแม่ที่ไม่ขัดเกลา ไม่ห้ามไม่หยุดไม่พยายามบอกเขาเตือนเขา

บางทีอาตมาทำงานก็รู้สึกว่าแรงแต่ก็จำเป็น เพราะมันด้านมันหนามันแข็งขนาดนั้นก็ยังรู้สึกว่าเจ็บมือ ยังไม่เข้าเลย ทั้งทั้งที่เราใส่สุดแรงแล้วนะเหมือนสำลีมาถูอะไรที่หน้า

แต่ทำงานไปก็รู้สึกว่าพวกเราเจริญก้าวหน้าขึ้นได้เรื่อยๆ พวกเราก็เอาไปอธิบายสาธยายกัน ไม่ว่าจะเป็นสิกขมาตุหรือสมณะ เราอธิบายกันดีขึ้น ทำประโยชน์ต่อกันได้สูงขึ้นก็ขอบคุณทุกคน

เรามางานพุทธาภิเษกด้วยวิธีการ ด้วยโครงสร้างอย่างนี้ ตื่นเช้ามาสวดมนต์ฟังธรรม จากนั้นก็แยกย้ายทำกิจส่วนตัว ช่วยงานส่วนกลาง แล้วก็รวมกันฟังธรรม แล้วก็ได้รับอะไร จากนั้นก็สรุปติวกันสาธยายกันเพิ่มเติม จากนั้นมาภาคบ่ายมาเพิ่มเติมกันอีก เพื่อจะได้ศึกษา จากนั้นก็ว่างวรรคเว้นหน่อยทำกิจส่วนตัว ได้เวลาก็มารวมภาคเย็น เอามายืนยันชี้แจงกันเสร็จแล้วก็นอน ก็ทำอย่างนี้มา 40 ครั้ง มี 2 งานก็คือ 80 ครั้ง มีงานปลุกเสกอีกงาน เป็นโครงสร้างเหมือนกันคล้ายกันซ้ำซากมา 40 ปี ก็เกิดผลได้ผล

มาถึงปีนี้ปีที่ 40 อาตมาไม่ได้เตรียมเรื่องอนุตตริยธรรมนะ แต่แรกตั้งใจอธิบายให้ลึกถึงนิวเคลียร์ ถึงอณูสุดท้ายที่จะเปลี่ยนจากอุตุอย่างไรมาเป็นพีชะ ต่อจากพีชะก็จะเกิดจิต เป็นพีชะเป็นจิตอย่างไร แล้วต่อจากจิตนิยามจะเป็นกรรมตั้งแต่ความคิด จนวจีสังขาร จนเป็นวจีกรรม ออกมาเป็นกรรม แล้วก็กลายเป็นพลังงานซับซ้อนตกสั่งสมเป็นวิบาก ใส่ในสัญญา

สัญญาคือคลังของอัตภาพ ของใครของมัน ทำแล้วเป็นอันทำ คิดนิดนึงก็สั่งสมที่สัญญาความจำ คือคลังของอัตภาพที่แต่ละคน รวมพลังงานเป็นจิต ใส่เข้าไปจากกรรมทุกอย่างแล้วทรงไว้เรียกว่าธรรมะ ตัว ธรร และ มะ ตัวมะคือจิต

ไม่มีหายไปไหน จนกว่าจะถึงพระนิพพานเป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นเหมือนพวงมะม่วงขาดจากขั้วตกหล่นแตกกระจายหายไป

ความเต็มของคลังอัตภาพของเราเริ่มต้นจากจิตนิยามจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันสลายไม่กลับมาต่อกันติดอีก เหมือนตาลยอดด้วน เหมือนกระเบื้องแตกออกเป็นสองเสี่ยง เหมือนใบไม้เหลืองหลุดจากขั้ว เหมือนผู้ปาราชิก

 ความเลวสุดอย่างผู้ปาราชิก กับ อรหันต์เป็นภาวะที่ดีที่สุด มันเป็นภาวะที่กลับกัน ปาราชิกเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด แม้แต่ฆาราวาสก็อย่าให้เกิดขึ้น ไม่มีอาบัติแต่เป็นกรรมที่สะสม ส่วนที่เป็นสมณะแล้วอย่าทำเป็นอันขาด มันข้ามเป็นชาติชาติ โทษปาราชิกนั้นไม่ใช่ชาติเดียวที่จะมาทำการปลงอาบัติ

ถ้าแค่ปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่อะไรมาก แต่ปาราชิกนั้นใช้วิบากหลายชาติมาก จะมีวิบากแบบต้นทบดอก ดอกเบี้ยงอก อย่างเหมือนกับพวกยากูซ่าทวงเงินคืน

มาเข้าสู่บทที่อาตมาเตรียมเอาไว้ คืออนุตตริยะ บทที่ยังไม่ได้อ่านคือ ล.12  

จูฬสัจจกสูตร

เรื่องสัจจกนิครนถ์สนทนากับพระอัสสชิเถระ

          [392] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลีครั้งนั้นแล สัจจกนิครนถ์ผู้เป็นนิคันถบุตร อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี เป็นนักโต้ตอบ พูดยกตนว่าเป็นนักปราชญ์ ชนเป็นอันมากยอมยกว่าเป็นผู้มีความรู้ดี

พ่อครูว่า...ยุคพระพุทธเจ้านี้มีการถกกันวิจัยวิจารกันเป็นเรื่องปกติ เป็นผู้ฉลาด แต่ถ้าไม่พูดกันก็เป็นฤาษี ต่างคนต่างอยู่ก็โง่เท่านั้น ของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ให้มีไฟฌานกับผัสสะ ไม่ใช่ไปดิ่งลึกแข็งแน่นจมดิ่งนาน ไม่ใช่ทิศทางสว่าง ทุกวันนี้เขาไปยึดมิจฉาทิฏฐิแบบนี้ส่วนมาก อาตมาออกมากระตุ้นก็ไม่ค่อยตื่น แต่ก็มีพวกคุณที่ตื่นรู้ได้บ้าง กล้ายืนยันว่าไม่ได้พูดผิด น่าสงสารสายนั่งหลับตา หลับมาหลายพันปีแล้ว คุณเห็นด้วยก็เปลี่ยน ไม่เห็นด้วยก็จมไปต่อ หรือนั่งหลับตาแล้วติดสว่างแบบธรรมกาย หรือติดมืดแบบอ.มั่นก็คือ hypnotize ทั้งนั้น ศาสนาพุทธเป็น analysis เป็นสัมโพชฌงค์นะ แต่เราไม่ได้ตีทิ้งการสั่งสมให้แน่น เราทำด้วยวิธีทำซ้ำทำทวน

 

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พล.อ.ประยุทธ์บริหารด้วยสัปปุริสธรรม

แม้แต่อนุตตริยะนี่ ก็ให้เข้ามา ทัสสนานุตตริยะ เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ มาพบ มารู้ มาเห็น มาเริ่ม ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Born เป็นกิริยาช่องสามของ Bare เป็นการเกิด ค่อยๆ เริ่มจุติ แล้วเกิดขยายผล

ยิ่งคำว่า Bond เป็นการเกิดที่เป็นพันธุกรรม เป็น DNA เป็นพันธุกรรม เกิดสั่งสมลงไป Bond มีความหมายเยอะ เป็นการเกิดขันธ์     

Bond  (บอนดฺ) {bonded, bonding, bonds} n. ข้อผูกมัด, ข้อตกลงในสัญญา, สิ่งผูกมัด, พันธนาการ, สลัก, ตรวน, โซ่, การคุมขัง, การติดคุก,
พันธบัตร, ใบกู้ยืม, ใบหุ้นกู้, พันธุกรรม, พันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุล
vi., vt. (ทำให้) ผูกมัดเข้าด้วยกัน, เชื่อมติด, ผนึกเข้าด้วยกัน

Born เป็นความหมายอีกอย่าง คนที่พูดว่า Born to be สิ่งที่จะต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้แหละ What ever will be will be. มันต้องเกิดต้องเป็นเพราะเหตุปัจจัยครบแล้ว

ฉันเดียวกับเหตุปัจจัยสุกงอมที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ปฏิวัติ 22 พ.ค. 2557 เป็นการรบที่สวยงาม เป็นสันตาวุธ สงบเงียบที่สุด ยิ่งกว่าหนังจีน ใช้อาวุธโดยไม่ต้องออกอาวุธ แล้วสิ่งนี้ไม่ใช่บังเอิญ เป็นยุคที่ประเทศไทยจะได้สิ่งนี้ ประเทศอื่นจะเอาอย่างนี้จะให้ได้อย่างนี้ก็เชิญ

ในประเทศไทยมีคนชื่อประยุทธ์นี้ 2 คน คนหนึ่งทำงานทางธรรมคือ ท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านชื่อ ประยุทธ์ ปยุตโต เป็นนักรบทางธรรม แต่อีกคนหนึ่งเป็นนักรบทั้งโลก เกิดแล้วแสดงตัวแล้ว ธรรมะนั้นแสดงตัวก่อนคือท่านพรหมคุณาภรณ์

องค์ประกอบภาพที่ลีลาของคุณประยุทธนี้ ขออ่านที่ได้ตรวจทาน

ขออภัยที่ขอยกตัวอย่างผู้ได้ปฏิวัติแล้วได้อำนาจเต็ม คือ จอมพล สฤษดิ์ใช้ ม.17 ได้อำนาจเด็ดขาด ได้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์สั่งฆ่าสั่งอะไรได้ เต็มรูปเลยทำอย่างไม่มีใครกล้าแย้งเลย คืออำนาจบาตรใหญ่อันหนึ่ง แต่อำนาจที่นายกฯ ประยุทธ์คนที่ 29 ที่ได้มานี้เป็นอำนาจที่มีธรรม เป็นประชาธิปไตยอย่างมีอาริยะ ขอยืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยอาริยะ แต่คนเข้าใจประชาธิปไตยยังไม่พร้อม ยังไม่ครบรอบไม่สมบูรณ์ ที่ยืนยันว่าประชาธิปไตยอาริยะ คือแบบของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมาธิปไตย เอาธรรมะเป็นอธิปไตย พร้อมไปด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาประเทส 4 อย่างเพียงพอ ที่พลเอกประยุทธประพฤติอยู่นี้

เพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยแบบจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำได้เกิดความสงบเพราะไม่มีใครกล้าแตะ เดี๋ยวเจอมาตรา 17 แต่พลเอกประยุทธ์ได้มาตรา 44 มีอำนาจเท่ากัน มีอำนาจเด็ดขาดในรัฏฐาธิปัตย์เต็ม แต่เป็นคุณสมบัติการมีธรรม ประกอบไปด้วยธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน ทั้งเหตุปัจจัยทั้งโอกาสทั้งเวลา เสร็จทุกอย่างพร้อมสุกงอมอย่างดีที่สุดเลย แล้วก็ทำการปฏิวัติได้จริงเต็มรูป เป็นการปฏิวัติยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่จะหาสังคมประเทศไหนไหนในโลกปฏิวัติได้งดงามเท่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ใช้ สัปปุริสธรรม 7 ประการ มหาประเทศ 4 คือความพอเหมาะพอดี หรือพอเพียงอย่างแท้จริง ได้สัดส่วนอย่างแท้จริง จึงเรียกว่าใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาประเทศ 4 อย่างครบพร้อม

ถ้าคนเข้าใจสัปปุริสธรรม 7 ครบหลักการ คือองค์ประกอบการจัด

คอมโพซิชั่นของมนุษยชาติแล้ว แล้วก็มีการประมาณมัตตัญญุตาได้อย่างพอเหมาะ ทำออกไปนั่นแหละเป็นสัดส่วนที่ทำได้ และมีมหาประเทศ 4 มีหลักเกณฑ์อย่างจะเป็นกฎมณเฑียรบาล จะเป็นหลักเกณฑ์ของสังคม จะเป็นธรรมาภิบาล อะไรก็แล้วแต่ ครบพร้อมตามที่มีบัญญัติไว้ อะไรที่ห้าม อะไรที่อนุญาต อย่างมหาประเทศ 4 ก็มีพร้อมด้วยความถูกต้อง อะไรควรไม่ควรทำ ตามที่เห็นควรแล้วทำตามหลักมหาประเทศ 4 สิ่งเหล่านี้ทำเสร็จแล้วได้สัดส่วนที่เป็น sufficience คือได้พอเหมาะพอดีที่เป็นสัดส่วน จึงเกิดคุณภาพของ ความพอเพียง จริงๆ

มีความอดทนมีความอดกลั้นอย่างเก่งสุดยอด แข็งไม่ละลายไม่สลายแน่นดี มี dramatic ที่สุดยอด แล้วลงมือจัดการมีภาวะ 2 อย่างเป็นปฏิภาค ทั้งส่วนตัวก็แน่นแข็งดี ถึงได้ปฏิวัติได้สวย แล้วก็จัดการออกไปได้อย่างเหมาะสม ทั้งนิ่มนวลทั้งดูแข็งๆ ข่มๆ ขู่ๆ พอเหมาะ harmony สวยงามสมยุค

เพราะฉะนั้นเป็นการปฏิวัติที่เด็ดขาดยิ่งใหญ่ที่สุด ในวันที่ปฏิวัติคือ 22 พฤษภาคม 2557 มีความนิ่มเบา แต่ทุกวันนี้แสดงออกดูรูปใหญ่ที่ทำแสดงออกอย่างไม่นิ่มอย่างนั้น มีภาวะที่แข็งแข็งมีเหลี่ยม เป็นหมัด หมัดตรง หมัด swing มีหมด ออกไปแต่ละหมัดได้ประโยชน์ เป็นกัมมัญญตา เส้นทางการแสดงออกเป็นกรรมกิริยา Acting มีความพอเพียง

มีความอดทนอดกลั้นแข็งแรง เป็นคุณสมบัติอีกด้านหนึ่ง ทั้งทั้งที่มีภาวะรอบตัวมีอะไรเลอะเทอะขยะเต็ม ทั้งภาวะและภาระเต็มรอบถล่มอัดลงไป แต่รักษาความอดกลั้นรักษาความอดทน คือสามารถที่จะรับความอดทน รับสภาพที่แรงเป็นความกดดันก็สามารถทนความสาหัส เท่าที่มีอยู่นักหนานี่ได้

แล้วก็จัดการมีนัจจะ คีตะ วาทิตะ จะสามารถที่จะมีภาวะท่าทีลีลาการแสดงออก บางทีก็ดูอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่า สุดยอดของนัจจะ คีตะ วาทิตะ เท่าที่อาตมาเห็นมา นายกฯ 29 คนของไทยเบอร์ 1 ที่จะไม่มีใครทำลายสถิติพฤติกรรมนายกที่ทำได้เท่านี้ เป็นศิลปินที่มีศิลปะพอตัว ไม่ใช่เก่งแต่ศาสตร์ แต่งเพลงเก่ง ดีไม่ดีร้องเพลงให้ฟังด้วยบางครั้ง เอากับท่านสิ

ทุกอย่างมีทางลบและบวกอยู่ร่วมกันเป็นพลังงานที่ได้สัดส่วน เมื่อรวมกันเสร็จแล้วก็เป็นองค์รวม ที่มีคุณค่าที่พอเหมาะพอดีที่สุด sufficience แต่คนเข้าใจในรายละเอียดของคอมโพซิชั่นขององค์ประกอบไม่ได้ เป็นองค์รวมที่มีน้ำหนักออกไปเหมาะสมที่สุด เมื่อคนมองไม่ออกครบถ้วนองค์ประกอบรายละเอียดของมันที่ผสมส่วนกัน ดูไม่ออก ดูไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่รู้ในลักษณะ ออกไปแล้วกลายเป็น suffering เกิดความทุกข์ไปเลย ความทนไม่ไหวความทนไม่ได้เดือดร้อนไปเลย

อาตมาให้คะแนน a บวกสิบ สำหรับพลเอกประยุทธ์ที่ดำเนินอะไรต่ออะไรมานี่ ใครจะมองไปในค่ารวมส่งรวมแล้วอาตมาให้คะแนน a บวกสิบเป็นผู้ที่มีความสามารถ

ขอเท้าความ เป็นผู้ที่ใช้ความอดทนอดกลั้น เป็นผบ.ทบ. มีอำนาจเต็มในอำนาจของประเทศ ใช้ความอดทนอดกลั้นยาวนานเลย สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ นี่อดทนมาเรื่อยๆ เขาทำกันไป จะร้องประกาศเผาบ้านเผาเมืองทำอะไร ก็ที่จริงแล้วมันน่าจะลุแก่อำนาจจัดการในทุกระดับ แต่ก็อดทนไว้ในใจ สุดท้ายไม่ต้องใช้อาวุธไม่ต้องเสียเลือดเนื้ออะไรเลย

ใช้คำเบาๆ เพราะๆ ประโยคเดียวยึดอำนาจประเทศได้เลย Best record ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการการเมืองของโลก ไม่มีใครจะมา Beat record นี้ได้ไม่ง่ายเลยขอยืนยันเลย เพราะฉะนั้น จึงเป็นคนที่มีพร้อมในเหตุปัจจัยต่างๆ พยายามดูเวลาและพยายามใช้เวลาจนถึงวาระที่ดีที่สุดพร้อมที่สุด จึงลงมือปฏิวัติได้อย่างงดงามที่สุด

ตอนนี้ปฏิบัติงานทำงานไปก็ค่อยๆ จัดการกันไป จะเรียกว่ากวาดล้าง กวาดอย่างนิ่มนวล เหมือนพวกเชนที่ใช้ไม้ปัดแมลง ปัดอย่างพวกเชน ไม่ได้ปัดอย่างรุนแรง ปัดทีละคนสองคน ไล่ไปทีละคนสองคนสามคน ขนาดนี้ก็เหลืออยู่อีกก็หลายคนอยู่ “รออีกสักนิดเถอะน่า” (“ทนอีกนิดเถอะน่า” เป็นชื่อเรื่องนวนิยายของ พตท.ประชา พูนวิวัฒน์) อาตมาจึงให้คะแนนพล.อ.ประยุทธ์นี้ ว่าเป็นผู้ที่ใช้มาตรา 44 หรือ รัฏฐาธิปัตย์ เป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่เป็นประชาธิปไตยได้ดีที่สุด

ที่ประเทศไทยมีในหลวงพระองค์นี้ มีพลเอก ประยุทธ์ และมีอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบแห่งสัจธรรม พร้อมที่เกิดที่เป็นอยู่ (รวมทั้งมีอาตมาด้วยนะ) ไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุมาแต่อดีต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องประเทศไทยต้องมีเช่นนี้ในกาละนี้ ...Bond to be... ไม่ใช่ “Born” แต่เป็น “Bond”

ที่อธิบายไปนี้เป็น Phenomenology ปรากฏการณ์วิทยา เป็นเรื่องจริงหยิบมาอธิบายยืนยัน เกิดในยุคนี้ในประเทศไทย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยะ 6 อันยอดเยี่ยม

ที่เราเรียนกันนี่เป็นเรื่องอนุตตริยะเป็นเรื่องที่สูงสุด ก็มาทัสสนา เป็น

ทัสสนานุตตริยะ มาดูพุทธาภิเษก แล้วก็มา สวน คือมาฟัง ว่าที่เขาพูดกันนี่เป็นเรื่องอะไร ก็เรื่องวิเศษ ยิ่งฟังก็เป็นเรื่องอนุตตริยะ เรื่องนี้เป็นลาภะ เป็นลาภของเราแล้วหนอ เกิดลาภานุตตริยะ มาได้สิ่งควรได้ ได้แล้วก็อยู่นี่เลยต้องมาสิกขา

สิกขานุตตริยะ จนได้ผลเป็น ปาริจริยานุตตริยะ ได้พัฒนาตนเจริญขึ้น อยู่ 7 วันสุดยอด อนุสสตานุตตริยะ ได้เข่งเบ้อเร่อกลับไป หรือเป็นนามธรรม กลับไปบ้านจะไประลึกถึง อนุสสตะ ได้ไปพุทธาภิเษก 7 วัน ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้เรื่อง

พระพุทธเจ้าว่าไว้  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทัสสนานุตตริยะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไปเพื่อดูช้างแก้วบ้าง ม้าแก้วบ้าง แก้วมณีบ้าง ของใหญ่ของเล็ก หรือสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทัสสนะนั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าทัสสนะนี้นั้นแลเป็นกิจเลว เป็น
ของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็น
ไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง
เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

พ่อครูว่า...เพราะไปแสวงหาอาจารย์ในป่า เป็นความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร คุณที่แสวงหาธรรมะนี่กระดิกหูหรือไม่นะ ถ้ากระดิกหูก็เป็นหมาไง หมากระดิกหูนี่มันยินดีนะ ถ้าหมากระดิกหางนี่มันยิ่งมาคบกับเราเลย แต่ถ้าไม่กระดิกหางแข็งเลย ระวังเถอะ

ขอพูดตรงๆ หมัดตรงว่าที่ถูกต้องอยู่ที่อโศก ไม่ใช่อยู่ที่ธรรมกายหรือที่ไหนๆ นี่คือ    บวก อัพเปอร์คัท

อาตมาขอปฏิญาณตัวเป็นสัมมาสัมพุทธสาวก เป็นโพธิสัตว์ที่จะกอบกู้ศาสนาพุทธ

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกพระตถาคต การเห็นนี้ยอดเยี่ยมกว่าการเห็นทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่าทัสสนานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะเป็นดังนี้ ฯ

 

ก็สวนานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมไปเพื่อฟังเสียงกลองบ้าง เสียงพิณบ้าง เสียงเพลงขับบ้าง หรือเสียงสูงๆ
ต่ำๆ ย่อมไปเพื่อฟังธรรมของสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การฟังนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการฟังนี้นั้นเป็นกิจ
เลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่
หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปฟังธรรมของพระตถาคตหรือสาวกของพระ
ตถาคต การฟังนี้ยอดเยี่ยมกว่าการฟังทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่ง
สัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ไปเพื่อฟังธรรมของพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า สวนานุตตริยะ

ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ
          พ่อครูว่า...ยุคนี้ใครจะเอาแต่ปริมาณนั้นไม่ได้จริง อาตมาสอนมา 45 ปีก็ได้มาเท่านี้ แต่เขาจะให้ได้เป็นล้าน ยุคนี้ค้ากันแต่โฟม แต่ตะกั่ว ไม่ค้าปรอทค้าทองคำที่มีน้อย

 

ก็ลาภานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมได้ลาภคือบุตรบ้าง ภรรยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือลาภมากบ้าง น้อยบ้าง หรือ
ได้ศรัทธาในสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภนี้
มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าลาภนี้นั้นเป็นของเลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของ
พระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ลาภานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตริยะลาภานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ

            

ก็สิกขานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมศึกษาศิลปะเกี่ยวกับช้างบ้าง ม้าบ้าง รถบ้าง ธนูบ้าง ดาบบ้าง หรือศึกษา
ศิลปชั้นสูงชั้นต่ำ ย่อมศึกษาต่อสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การศึกษานี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการศึกษานั้น
เป็นการศึกษาที่เลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้ง
มั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว การศึกษานี้ยอดเยี่ยมกว่าการศึกษาทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งหมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้เราเรียกว่า สิกขานุตตริยะ

ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ สิกขานุตตริอะ เป็นดังนี้ ฯ

พ่อครูว่า...ยุคนี้มีสำนักไหนอธิบาย อธิศีลอย่างนี้บ้าง อธิบายอธิจิตที่แจกแจงถึงนิวเคลียร์ฟิวชั่นฟิชชั่นเช่นนี้บ้าง มีสำนักไหนเอารูป 28 นี้มาแจกแจงถึงการแตกตัวของจิต เป็นธรรมะสองแล้วรวมเวทนาให้เป็นหนึ่งเช่นนี้บ้าง

ขออภัยไม่ได้ยกตัวนะ แต่ว่าพุทธทุกวันนี้เพี้ยนไปมาก ไปหลงวิมาน ปั้นวิมานหลอกกัน ไปเดินเหยียบดอกไม้ เอาทองคำมาหลอกกัน

แต่ที่นี่อโศก ประหลาดที่สุด พวกเราก็อุตส่าห์เอาเลือดปูสีน้ำเงินที่มีน้อยๆ เอามาได้ทองคำมาประมาณ 14 กก. เอามาพ่นพระธาตุ แต่ทองคำนี้กลับเป็นสีสนิมอีก เราพ่นเองแท้ๆ แต่น้ำยาที่จะไปขัดนี้ทำปฏิกิริยากับนิคเกิล ออกมาเป็นสนิมหุ้มทองคำไว้แต่แปลกนะ ถ้ากลางวันจะสีสนิม แต่กลางคืนจะออกเป็นสีเหลืองทองได้ ใครอยากดูทองคำกลางวันดำ แต่กลางคืนสีทองดูได้ที่สันติอโศก

 

ก็ปาริจริยานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลก
นี้ ย่อมบำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำ บำรุงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบำรุง นี้นั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการบำรุงนี้นั้นเป็นการบำรุงที่เลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหวมีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การบำรุงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการบำรุงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ...เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ปาริจริยานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ

สิกขานุตตริยะ ปาริจริยานุตตริยะ เป็นดังนี้ ฯ

 

ก็อนุสสตานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลก
นี้ ย่อมระลึกถึงการได้บุตรบ้าง ภริยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือการได้มากน้อย ระลึก
ถึงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มีอยู่
เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการระลึกนี้นั้นเป็นกิจเลว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วน
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การระลึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่า
การระลึกถึงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อ
ก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อ
บรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มี
ศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อม
ระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า อนุสสตานุตตริยะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้แล ฯ

          ภิกษุเหล่าใดได้ ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ ยินดีในสิกขานุตตริยะ เข้าไปตั้งการบำรุงเจริญอนุสสติที่ประกอบด้วยวิเวก เป็นแดนเกษม ให้ถึงอมตธรรม ผู้บันเทิงในความไม่ประมาท มีปัญญารักษาตน สำรวมในศีล ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมรู้ชัดซึ่งที่เป็นที่ดับทุกข์ โดยกาลอันควร ฯ
          จบอนุตตริยวรรคที่ 3

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน จูฬสัจจกสูตร สัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหา

ล.12  จูฬสัจจกสูตร

เรื่องสัจจกนิครนถ์สนทนากับพระอัสสชิเถระ

          [392] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี.ครั้งนั้นแล สัจจกนิครนถ์ผู้เป็นนิคันถบุตร อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี เป็นนักโต้ตอบ พูดยกตนว่าเป็นนักปราชญ์ ชนเป็นอันมากยอมยกว่าเป็นผู้มีความรู้ดี.

เขากล่าววาจาในที่ประชุมชนในเมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์แม้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา จะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ แม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสานั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเราก็ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า.

[393] ครั้งนั้น ในเวลาเช้า ท่านพระอัสสชิ นุ่งสบงแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี สัจจกนิครนถ์ผู้เป็นนิคันถบุตร เดินเที่ยวยืดแข้งขาอยู่ในเมืองเวสาลี ได้เห็นท่านพระอัสสชิเดินอยู่แต่ที่ไกล ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ได้ปราศรัยกับท่าน ครั้งผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ถามท่านพระอัสสชิดังนี้ว่า ดูกรท่านอัสสชิผู้เจริญ ก็พระสมณโคดม แนะนำพวกสาวกอย่างไร และคำสั่งสอนของพระสมณโคดม มีส่วนอย่างไร ที่เป็นไปมากในพวกสาวก.

ท่านพระอัสสชิบอกว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ พระผู้มีพระภาค ทรงแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค มีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงวิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดูกรอัคคิเวสสนะ พระผู้มีพระภาค ทรงแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค มีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย. สัจจกนิครนถ์กล่าวว่า ดูกรท่านอัสสชิผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ฟังว่า พระสมณโคดมมีวาทะอย่างนี้ เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้ฟังไม่ดีแล้ว ถ้ากระไร บางที ข้าพเจ้าจะพบกับพระสมณโคดมผู้เจริญนั้น จะได้สนทนากันบ้าง ถ้ากระไร ข้าพเจ้าจะพึงช่วยปลดเปลื้องพระสมณโคดมเสียจากความเห็นที่เลวทรามนั้นได้.

สัจจกนิครนถ์เข้าไปหาเจ้าลิจฉวี

          [394] สมัยนั้นแล เจ้าลิจฉวีประมาณ 500 องค์ ประชุมกันอยู่ในอาคารเป็นที่ประชุมด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ครั้งนั้น สัจจกนิครนถ์เข้าไปหาพวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าวกะเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นดังนี้ว่า ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย จงไปด้วยกัน ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย จงไปด้วยกัน วันนี้ ข้าพเจ้าจักสนทนากับพระสมณโคดม ถ้าพระสมณโคดมจักตั้งอยู่ตามคำที่ภิกษุชื่ออัสสชิ ซึ่งเป็นสาวกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงยืนยันแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักฉุด กระชากลากถ้อยคำพระสมณโคดมมาด้วยคำข้าพเจ้า ให้เป็นเหมือนบุรุษที่มีกำลังจับแกะอันมีขนยาวที่ขนแล้วลากมาลากไป ฉะนั้น หรือให้เป็นเหมือนคนที่ทำการงานในโรงสุรา ซึ่งมีกำลัง วางเสื่อ

ลำแพนสำหรับรองแป้งสุราผืนใหญ่ในห้วงน้ำลึก แล้วจับที่มุมชักลากฟัดฟาดไปมา ฉะนั้นข้าพเจ้าจักสลัดฟัดฟาดถ้อยคำพระสมณโคดมเสีย ให้เป็นเหมือนบุรุษที่มีกำลัง ซึ่งเป็นนักเลงสุราจับถ้วยที่หูแล้วสลัดไปมา ฉะนั้น ข้าพเจ้าจักเล่นงานพระสมณโคดมเหมือนอย่างที่คนเขาเล่นกีฬาชื่อสาณโธวิก (ซักป่าน) ให้เป็นเหมือนช้างที่มีวัยล่วงหกสิบปี จึงจะถอยกำลัง ลงสู่สระโบกขรณีมีลำน้ำลึก แล้วเล่นกีฬาชนิดที่ชื่อว่าสาณโธวิก (ซักป่าน) ฉะนั้น ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย จงไปด้วยกัน ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย จงไปด้วยกัน วันนี้ ข้าพเจ้าจักสนทนากับพระสมณโคดม.

     ในบรรดาเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า เหตุอะไร พระสมณโคดม จักยก

ถ้อยคำของท่านสัจจกะได้ ที่แท้ ท่านสัจจกะกลับยกถ้อยคำของพระสมณโคดมเสีย บางพวกกล่าวว่า ท่านสัจจกะเป็นอะไร จึงจักยกถ้อยคำของพระผู้มีพระภาคได้ ที่แท้ พระผู้มีพระภาคกลับจักยกถ้อยคำของท่านสัจจกะเสีย. ครั้งนั้นแล สัจจกนิครนถ์ มีเจ้าลิจฉวีประมาณ 500 ห้อมล้อมแล้ว เข้าไปยังกูฏาคาศาลาป่ามหาวัน.

          [395] สมัยนั้น ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง. ครั้งนั้นแล สัจจกนิครนถ์เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว ถามว่า ท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ พระสมณโคดมนั้นอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระสมณโคดมนั้น. ภิกษุทั้งหลายนั้นบอกว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ พระผู้มีภาคพระองค์นั้น เสด็จเข้าไปสู่ป่ามหาวัน ประทับพักกลางวัน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. ลำดับนั้นสัจจกนิครนถ์พร้อมด้วยพวกเจ้าลิจฉวีมีจำนวนมาก เข้าไปสู่ป่ามหาวันจนถึงที่ที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แม้เจ้าลิจฉวีทั้งหลายนั้น บางพวกถวายอภิวาท บางพวกทูลปราศรัย บางพวกประนมมือ บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตน ในสำนักพระผู้มีพระภาค บางพวกก็นิ่งอยู่ ครั้นแล้วต่างก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

 

สัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหา

          [396] สัจจกนิครนถ์พอนั่งแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าพเจ้าขอถามพระโคดมสักหน่อยหนึ่ง ถ้าพระโคดมจะทำโอกาสเพื่อแก้ปัญหาแก่ข้าพเจ้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านประสงค์จะถามปัญหาใดก็ถาเถิด.

ส. พระโคดมแนะนำพวกสาวกอย่างไร และคำสั่งสอนของพระโคดมมีส่วนอย่างไรที่เป็นไปมากในพวกสาวก?

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้ ดูกรอัคคิเวสสนะ เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย.

ส. ท่านพระโคดม ขออุปมาจงแจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้า?

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ อุปมานั้นจงแจ่มแจ้งแก่ท่านเถิด.

ส. ท่านพระโคดม เหมือนพืชพันธุ์ไม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ พืชพันธุ์เหล่านั้นทั้งหมด ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ได้ หรือเหมือนการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำด้วยกำลัง อันบุคคลทำอยู่ การงานเหล่านั้นทั้งหมด บุคคลต้องอาศัยแผ่นดิน ต้องตั้งอยู่บนแผ่นดินจึงทำกันได้ ฉันใด ปุริสบุคคลนี้ มีรูปเป็นตน มีเวทนาเป็นตน มีสัญญาเป็นตน มีสังขารเป็นตน มีวิญญาณเป็นตน ต้องตั้งอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้ประสบผลบุญ ผลบาป ฉันนั้น.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ข้อนั้นท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นตนของเรา เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเราดังนี้ มิใช่หรือ?

ส. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้น ประชุมชนเป็นอันมากก็กล่าวอย่างนั้น.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ประชุมชนเป็นอันมากนั้นจักทำอะไรแก่ท่าน ดูกรอัคคิเวสสนะเชิญท่านยืนยันถ้อยคำของท่านเถิด.

ส. ท่านพระโคดม เป็นความจริง ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ รูปเป็นตนของเรา เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเราดังนี้.

 

ทรงซักถามอัคคิเวสสนะด้วยอุปมา

          [397] พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น เราจักสอบถามท่านในข้อนี้แหละ ท่านเห็นควรอย่างไร ท่านพึงแก้ไขอย่างนั้น ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์มิใช่หรือ?

ส. ท่านพระโคดม อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ แม้แต่อำนาจของหมู่คณะเหล่านี้ คือ วัชชี มัลละ อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ยังเป็นไปได้ในแว่นแคว้นของตนๆ เหตุไรเล่า อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร จะให้เป็นไปไม่ได้ อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้วนั้นต้องให้เป็นไปได้ด้วย ควรจะเป็นไปได้ด้วย.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นตนของเรา อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ?

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์ก็นิ่งเสีย ถึงสองครั้ง ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะสัจจกนิครนถ์ว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ กาลบัดนี้ ท่านจงแก้ ไม่ใช่การที่ท่านควรนิ่ง ดูกรอัคคิเวสสนะ ผู้ใด อันตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึงสามครั้ง มิได้แก้ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงในที่เช่นนั้น.

สมัยนั้น ท้าววชิรปาณีสักกเทวราช ถือกระบองเพชรลุกเป็นไฟรุ่งเรืองลอยอยู่ในเวหา ณ เบื้องบนศีรษะสัจจกนิครนถ์ ประกาศว่า ถ้าสัจจกนิครนถ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึงสามครั้ง มิได้แก้ปัญหา เราจักผ่าศีรษะสัจจกนิครนถ์นั้นเจ็ดเสี่ยงในที่นี้แหละ.

ท้าววชิรปาณีนั้น พระผู้มีพระภาคกับสัจจกนิครนถ์เท่านั้นเห็นอยู่ ในทันใดนั้น สัจจกนิครนถ์ ตกใจกลัวจนขนชัน แสวงหาพระผู้มีพระภาคเป็นที่ต้านทานป้องกันเป็นที่พึ่ง ได้ทูลว่าพระโคดมผู้เจริญ ขอจงทรงถามเถิด ข้าพเจ้าจักแก้ ณ บัดนี้.

พ่อครูว่า...อธิบายเป็นบุคคลาธิษฐาน สู้กันด้วยจิต แต่เป็นจิตที่ซื่อตรงไม่ตลบตะแลงเหมือนคนสมัยนี้ จริงก็ว่าจริง รู้สึกก็ว่ารู้สึก สัจจกนิครนถ์รู้สึกว่าจะแพ้ รูปจะเที่ยงจริงๆ เหรอ รูปจะยึดเป็นตนเที่ยงได้หรือ  ...เวลาหมดแล้ว...

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:22:52 )

590225

รายละเอียด

590225_รายการตอบปัญหาอันยอดเยี่ยม 1 (ตัดลงข่าวอโศก)

25 ก.พ. 59 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ที่ไพศาลี

?อยากถามเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าสิ่งที่เข้าใจนี้ถูกต้องหรือเปล่า เวลาที่ตากระทบรูปแล้วเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนี่เป็นอาการของกายหรือไม่ แล้วพิจารณาลงไปอีกว่าชอบหรือไม่ชอบเพราะอะไรแล้วทำใจนั่นคือกายในกายใช่ไหมอันนี้ แล้วจะอ่านอาการของเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรมต่อไปอย่างไรในเรื่องเดียวกันนี้ อยากอธิบายต่อแต่ไม่ชัด

พ่อครูตอบ…. กายเวทนาจิตธรรม กายคือองค์ประชุมของรูปและนาม พระพุทธเจ้าว่า กาย คือจิต คือมโนคือวิญญาณ และอีกสูตรหนึ่ง ล.16​ บอกว่า [59] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น   คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย

คำว่ากายประกอบด้วยภายนอกด้วยแล้วเรียนรู้ตัวจิตหรือตัวธาตุเวทนาที่ปรุงแต่งเป็นชอบหรือชัง ในจิต กาย เวทนา จิต อันเดียวกันหมด คำว่าธรรมะคือส่ิงที่ทรงอยู่ในตัวเรา ไม่มีก็ไม่ทรงอยู่คืออธรรม ตัวใดเป็นอกุศลจิต เป็นอธรรมต้องเอามันออก ออกหมดก็เหลือแต่ธรรมะ ทำอะไรก็ไม่ทำบาปทำแต่กุศลทั้งปวง จิตมีแต่กุศล ทำออกได้จริง แล้วมันก็เข้ามาในจิตไม่ได้ ได้แล้วไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือหลักสูตรพระพุทธเจ้าที่จะทำให้เกิดคุณวิเศษเช่นนี้ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงคนละสภาวะ ที่เนื่องกันเป็นลูกโซ่  เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์สุขก็คือจิต ลองอ่านอาการจิตให้ออกให้เป็น แล้วมนสิกโรติ  แล้วกำจัดตัวอกุศลจิตเมื่อกำจัดตัวจิตแล้วก็หมดเหตุ เวทนาก็เป็นไม่ทุกข์ไม่สุขทำจนแข็งแรงก็เป็นธรรมะทรงไว้ซึ่งธาตุธรรมะที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

 

?คำกล่าวที่ว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรมแล้วขณะทำงานอยู่นั้นผู้ร่วมงานได้ทำผิดศีลด้วยการเล่นเกมเล่นมือถือระหว่างงาน พอถูกตักเตือนเขาก็บอกว่าเป็นเวลาว่างขณะที่เขาทำงานที่รับผิดชอบเสร็จแล้ว และมีความรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานจุกจิกเหมือนเขาเป็นเด็ก ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอยากกราบเรียนถามว่าทิฏฐิที่เขาคิดเช่นนี้สมควรกับการเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ทำงานในบริษัทบุญนิยมหรือไม่และเราจะชี้แจงให้เขามีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องอย่างไร

พ่อครูตอบว่าก็อธิบายให้ฟังว่าถ้าเขามาทำงานเพื่อจะรับจ้างแค่นั้นน่าจะทำให้ได้ความเจริญพัฒนาทางคุณธรรมมากกว่านี้ถ้าแค่มารับจ้างหมดเวลาก็เสร็จไปเสพอะไรก็แล้วแต่ถ้าจะมาทำงานกับชาวอโศกแบบนี้ก็ออกไปเสีย เพราะที่นี่เขาพัฒนาให้มีคุณธรรมเพิ่มขึ้นไม่ใช่สถานที่รับจ้างเราจ้างถูกแต่ถ้าคุณไม่พัฒนาตนเองเราก็ไม่อยากจ้างเพราะมันเข้าใจผิดว่าที่นี่นั้นเจตนาจะสร้างคนไม่ใช่สร้างงานแล้วก็หาลูกจ้างมาทำงาน

เพราะที่นี่นั้นสูงกว่านั้นที่นี่คนไม่รับจ้างมาทำงานฟรีมีอยู่มาก มากพอจะเป็นชุมชนโดยที่ไม่จ้างแล้วทำงานให้มีส่วนเหลือส่วนเกินด้วยพิสูจน์มาแล้ว 40 กว่าปีส่วนคนที่มาทำงานในนี้แล้วจะเอารายได้เพียงส่วนน้อยได้ค่าจ้างทุกๆแต่คุณก็ยังมีแนวคิดที่ผิดที่จะไม่เจริญเป็นแนวคิดที่ไม่เจริญถ้าจะคิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นมันไม่ควรหรอกถ้าจะทำแค่นี้ก็ออกไปเสียให้คนอื่นมาทำแทนเรามีเงินไม่มากนักจะได้จ้างคนอื่นที่เขายินดีจะทำกว่านี้

1 ไม่เป็นหนี้ 2 ทำงานเลี้ยงตนเองรอด 3 ทำให้เหลือ 4 ได้สะพัดเป็นเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ไม่ใช่แบบทุนนิยมที่กอบโกยเข้าหาตัวแต่ของบุญนิยมนี้สะพัดเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น บุญนิยมเหนือชั้นกว่าทุนนิยม นายทุนของทุนนิยมนั้นมีแต่จะกอบโกยมากขึ้นแต่นายทุนของบุญนิยมนี้มีแต่จะ 0 0 0 0 ศูนย์ตลอดนิรันดร์กาล

ผู้ที่คิดและทำเช่นนี้ให้เปลี่ยนแปลงเสียอยากเห็นแต่การเสพเล่นเกมเล่นสนุกอย่างนี้เดี๋ยวนี้มันติดเป็นสังคมก้มหน้าอยู่ที่ไหนก็มีแต่ก้มหน้าจะติดอะไรกันนักกันหนา แล้วมันมีหลากหลายให้ติดกันตามแต่ที่จัดชอบมันมีประโยชน์แต่โทษมันก็เยอะเหลือเกินใส่เข้าไปในนั้น คนที่กิเลสอยู่ในตัวเยอะเยอะๆจึงเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นนี่คือผีมารตัวใหญ่เครื่องมือที่โทรศัพท์หรือเรียกอะไรอีก

ขอยืนยันว่ามันทำลายคนและสังคมทำให้นายทุนที่ทำของเรานี้ดูดเอาเงินไปหมดเลยพวกที่ทำธุรกิจค้าสิ่งเหล่านี้ได้สัมปทานไปก็รวยทั้งนั้นมันมีประโยชน์แฝงแต่โทษมันเป็นหลักเป็นหนักหนา แล้วคนมีกิเลสจะไม่มีหลักประกันก็เลยเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ มาอยู่ในสังคมชาวอโศกเป็นเด็กเป็นเล็กเราไม่ให้มีแต่ทางโลกทางรัฐบาลซื้อแจกเลย เด็กจึงไม่ค่อยอยากจะมาเรียนกับชาวอโศกเพราะถูกสังคมหลอกแล้วเราสร้างคนสร้างเด็กให้มีภูมิคุ้มกันไม่งมงายกับสิ่งเหล่านั้นเกินไปอย่างน้อยก็ได้รับปัญญาเอาไปสู้กับสิ่งเหล่านั้นไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครช่วยเลยไปด้วยกันกับโลกก็ซวย

 

 

 

590225_รายการตอบปัญหาอันยอดเยี่ยม 1

26 ก.พ. 59 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ที่ไพศาลี

 

สรุปแล้วคุณจะช้าอีกกี่ชาติ ชาตินี้จะมาไหม ถ้ามา จะผลัดผ่อนอีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน อย่าหาว่าอาตมาเร่งรัดนะ ลูกเอ๋ยราชธานีอโศก พ่อลงทุนถากถางไว้ให้ ไปเถอะ ศีรษะอโศกก็ยังมีที่ให้ไป สันติอโศกก็ได้ถ้าเราถูกโฉลกกับในเมือง หรืออยากขึ้นป่าเขาภูผาฟ้าน้ำก็ไปได้ อยากจะไปทะเลก็ไปได้ ชเลขวัญยินดีต้อนรับอยู่ หรือจะไปธรรมชาติอโศกมีที่เป็นร้อยๆไร่มีมังคุดทุเรียนผลไม้ให้เก็บ จะไปทางตะวันออกตะวันตกทางเหนือทางใต้เราชอบที่ไหนก็ไป จะช้าอยู่ใย ถามจริงๆ ถ้าคิดว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกเรามาไหม ...ทำไมรู้ใจอาตมา

ถ้าเชื่อว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกคุณจมในโลกีย์ไหม...ก็ไม่ พวกคุณนี่รู้ใจอาตมาทำไมเก่ง...เก่งจริงหรือเปล่า….ไม่?

ถามอีกเมื่อคุณรู้ใจอาตมาแล้วคุณรักอาตมาไหม ...แล้วตามใจอาตมาได้ไหม….ได้ ตอบง่ายดี...โกหกหรือเปล่า? คนที่มาได้ก็พูดได้ แต่คนมาไม่ได้ก็พูดไม่ได้ แต่เสียงคนมาได้นี่พูดเยอะกว่า ก็เลยดังแต่แสดงว่าคนที่มาแล้วทำเสียงข่มคนอื่น มาแล้วอย่าออกไปนะ ระวังหมาจิ้งจอกเลียบเคียงข้างๆนะ

คุณจะตายวันตายพรุ่งไม่รู้ง่ายๆ จะช้าอยู่ใย อ่านของดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา ดช.นะโม

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่มีโลกีย์สูง ผู้นี้จะเป็นผู้มองไม่เห็นค่าของเวลาที่เปลี่ยนทุกวินาที และที่สำคัญคือวินาทีที่ผ่านไป มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งแน่นอน ผู้นี้ย่อมไม่รู้จักกับปัจจุบันอย่างแน่นอน

ผู้นี้ย่อมไม่เจริญอย่างแน่นอน เพราะมีภพอยู่กับความไม่จริง ความไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่นอน จิตจมอยู่กับอดีต และเพื่ออยู่กับอนาคต ไม่รู้ความจริงตามความจริง ผู้นี้ย่อมไม่มีสัจจะ มีแต่ความไม่รู้ และอวิชชา(ไม่เรียนรู้อดีตในปัจจุบันและหลงในวิปลาส 3)

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่เป็นโลกุตระ ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางของโลกุตระ ผู้นั้นย่อมเรียนรู้ศึกษาปัจจุบันที่เป็นสัจจะ เป็นความจริงอันสูงสุดของพุทธ ที่ทำได้ยากยิ่ง

ซึ่งผู้ที่รู้จักกับปัจจุบันได้นั่นแหละคือ อาริยชนผู้เจริญ(โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์)

ผู้นี้จะรู้สึกว่าเวลาบนโลกช่างเร็วเหลือเกิน

เพราะรู้ว่าชีวิตนี้น้อยนักชีวิตนี้สั้นนัก และยังคิดที่จะพัฒนาให้จิตสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เวลาของผู้นี้จึงเร็วก่าปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส เพราะผู้นี้อยู่กับปัจจุบันที่เป็นสัจจะเท่านั้น มีแต่ปัจจุบันที่จะสามารถสร้างกรรมได้ ดังนั้น ทุกเศษเสี้ยววินาทีคือบุญ ผมเข้าใจถูกไหมครับ

(นโม ดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา  ม.1 สส.ฐ.)

 

นี่เป็นนิมิตอย่างหนึ่งของสังคมนี้ เด็กคนนี้ เขาเรียบเรียงคำของเขาแบบนี้ลอกเลียนแบบไม่ได้ง่ายๆนะ อาตมาก็ไม่แน่จะเรียบเรียงได้อย่างนี้นะ ทุกคนโตกว่าเด็กชายคนนี้ พากเพียรเถิด มีสัตบุรุษที่จะพูดให้เราฟัง ที่นี่ไม่ปิดกั้น มีส่ิงต่อทอดนำพาเป็นคณะหมู่มวล ที่นี่มีมิตรดี สหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดี

ถ้าชีวิตเราจะไปนิพพานอย่าไปหลงโลกธรรม หลงอัตตา ที่เราทำมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้จะจมอีกต่อไปไหม ชาตินี้เราก็ต้องตรวจตัวเองแน่ๆ ถ้าเราจะเอาแบบโลกๆก็ไปให้สุดลิ่มทิ่มประตูเลย แต่ถ้าจะเอานิพพานดีกว่า มีตัวตัดสินของคุณว่ามานิพพานดีกว่าก็มาเลยทุ่นแรงเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:23:18 )

590225

รายละเอียด

590225_รายการตอบปัญหาอันยอดเยี่ยม 1

พ่อครูว่า..จะตอบปัญหาก็ขอบ่นตามประสา อาตมามาปางนี้เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในหมู่ชน ทำหน้าที่นี้จริงๆ รับหน้าที่จากพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งลึกซึ้ง คนฟังแล้วไม่ใช่เรื่องสามัญที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นเรื่องที่คิดไม่ได้ แต่เป็นเรื่องของบุญบารมี ผล วิบาก เรื่องของกรรม ที่ได้สั่งสมมา

อาตมาได้สั่งสมกรรมที่จะมาทำงานศาสนาในสายของพระพุทธเจ้า คือเมื่อปฏิบัติธรรมแล้วได้มรรคผล คือได้คุณธรรมที่เป็นคุณวิเศษ​อุตริมนุสธรรม ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค เข้ากระแสในจิตวิญญาณ โสดาปันนะ เป็นภาษาความหมายของความจริง ที่มีธาตุจิตนิยาม ที่เป็นพลังงาน ก่อตัวหมุนเวียนไม่สูญหายง่าย แม้แต่เดรัจฉานก็เป็นเซลล์ที่เป็นจิตนิยามแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พัฒนาการเซลล์พีชะสู่จิตนิยาม

เซลล์มีตั้งแต่พีชะนิยาม แล้วจับตัวเข้ามีคุณภาพถึงขั้นจิตนิยาม เรียกว่าอัตภาพ เซลล์นี่เป็น Self ผู้ตั้งภาษาอังกฤษนี้เป็นผู้รู้จริงๆ ตั้งแต่พีชะก็เป็นเซลล์ พอมาเป็นจิตนิยามพัฒนาขึ้นมาก็ยึดตัวตน มีธาตุเวทนา เซลล์ที่เป็นธาตุพีชะไม่มีเวทนา เซลล์พีชะมีแค่สามเส้า กว่าจะสลายวงรอบที่เรียกว่า protoplasm ให้เปลี่ยนแปลงวงรอบที่จะยุ่ยไม่เหนียวพอ ก็จะแตกไป ชื่อศัพท์ทางชีววิทยาเรียกว่า Zonar pellucidar ปล่อยให้ cytoplasm ที่แตกต่างกันจับตัวกันในกรอบ protoplasm เดิม เป็นพันธ์ุพืชต่อกันไป หรือบางตัวพัฒนาขึ้นเป็นจิตนิยามได้

อาตมาศึกษาสายพระพุทธเจ้ามา สายอื่นเขาจะไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะอณูที่พัฒนาขึ้นมาจากเล็กมาจับตัวมากขึ้นพัฒนาขึ้นอย่างไร ทุกอย่างมาแต่เหตุปัจจัย ที่ได้สัดส่วนได้องค์ประกอบที่พร้อม

พอเริ่มต้นมีอัตภาพก็มีรูป เวทนา เป็นพลังงานที่ยึดตัวเอง มีอารมณ์เป็นตัวเอง มีชอบมีชัง มีผลักมีดูด มีพลังงานที่พัฒนาขึ้นมาจากพีชะ จะเรียกว่าเป็นพลังงานดีก็พัฒนาการ แต่ถ้าพลังงานเลวก็ไปทำร้ายผู้อื่น ถ้าดีก็พัฒนาการโดยสุจริต เป็นชีวะ จะรู้อะไรไม่มาก ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนเพิ่มจำนวน ร้อย พัน หมื่นแสนล้านเซลล์ ค่อยๆ สังเคราะห์ขึ้นมา แล้วจะมีชอบชัง ทุกข์สุข ชอบก็เป็นเชิงสุข เป็นอุปาทานมาเรื่อยๆ พีชะไม่มีเวทนา แต่ถ้าเป็นสัตว์ก็เริ่มมีเวทนาแล้ว มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

อย่างพลังงานลมกับไฟ ทำให้เกิดพลังงานmล็กไฟฟ้า จะจับตัวหรือดีดตัวผลักกัน มีแรงดูดกับแรงผลัก มีการจับตัวฟิวชั่น กับแตกตัวเป็นฟิชชั่น ทางฟิสิกส์เรียนรู้ ส่วนทางศาสนานั้นศาสนาพุทธล้วงลึกไปรู้ได้ แต่ศาสนาอื่นไม่ได้

พระพุทธเจ้าก็อธิบายได้ แต่บรรดาอาจารย์ที่เก็บหลักฐานไว้นั้น จะมีบันทึกไว้อีกแค่ไหนไม่รู้ แม้แต่ฉบับเถรวาทในเชิงอภิธรรมอาตมาก็ไม่ได้อ่านละเอียด แต่ที่อาตมาเอามาพูดได้เพราะเป็นของเก่าอาตมา เมื่อได้บัญญัติภาษาบาลี ภาษาวิทยาศาสตร์บ้าง ก็เลยปนกันไปขยายร่วมกันบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ธรรมะสอง Suffer Sufficiency

พลังงานที่มันไม่รู้เรียกว่าอวิชชาเนี่ยเป็นชีวะ มีชอบมีชัง พอไม่ชอบขึ้นมากๆก็ทุกข์ ศาสนาพุทธมาเรียนรู้พลังงานเวทนาที่มันมีอาการทุกข์สุข เรียก สุขเวทนา ทุกขเวทนา ซึ่งสุขทุกข์มันเป็นเรื่องอุปาทาน เกินกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายอย่าง มันก็ไม่ค่อยยึดติดสุขทุกข์นี้เท่าไหร่

แต่พอมาอวิชชารักตัวตนมากขึ้นเป็น Selfish มีการยิึดเราเขาคือ ish มี i คือยึดตัวเรา แล้วมีพลังงานสามเส้าเป็นเขา มันแบ่งเป็นหนึ่งกับสอง อันนึงพลังงานหนักก็จะจับตัวกันสอง เหมือนโครโมโซมก็จับตัวกันสอง เป็นอย่างนี้เสมอสามหน่วย สองอันจับกัน อีกอันก็แยกไป

จนกระทั่ง มาผลักมาดูด ชอบไม่ชอบมากขึ้น ก็กลายเป็นทุกข์ ish เนี่ยมันกลายเป็นทุกข์ ตัวเราตัวเขา ชอบใจไม่ชอบใจ ยึดเป็นตัวเอง ทุกข์ เกิดอาการนี้เมื่อไหร่ก็ไม่ชอบใจ จะต้องพยายามคลายทุกข์ แต่โง่คลายไม่เป็น สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ มาเป็นคนอเวไนยสัตว์ก็ไม่รู้วิธีการ มันอดกลั้น อดทน แน่นอัดเข้า เรียกว่า Sufferance จนอัดแน่นมากเข้าจำนวนเต็มถึงขีดขั้นก็เป็น Sufficiency ถึงขีดสูงสุดเต็มที่เรียก Sufficience

ถ้ามีความเข้าใจว่าเต็มที่ขนาดไหน ที่ว่า Sufficiency คนมีธาตุรู้ ว่าที่จริงมันเป็นพลังงาน ถ้าเราสามารถที่จะแปลเป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์ เราก็ได้อาศัยพลังงานนี้เลย นี่คือปัญญาความรู้

แต่ถ้าไม่รู้มันก็อัดแน่น มีหน้าที่ขับดัน เรียกว่าทนร้อน หนาว ไม่ปกติ

พระพุทธเจ้าศึกษาจึงรู้ว่าเอามาใช้งานอย่างไร พลังงานที่มันมีแล้วในตัว แทนที่จะให้มันทำทุกข์ร้อนไม่มีประโยชน์ แปลไปเป็นประโยชน์ เรียก Suffice เอาพลังงานมาใช้เป็นความสามารถ พอใจหรือใจพอ

ถ้าไม่รู้ก็ทุกข์ Suffer เราไปยึดก็เป็นเจ้าทุกข์ Sufferer มีอาการเกิิดอยู่ก็ Suffering ถ้าเราสามารถรู้แจ้งเป็น Suffice ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์

ผู้ที่สามารถรู้ใช้ประโยชน์ได้ Suffice ก็แปลสภาพ Suffer ให้เป็น Sufficience Sufficiency ที่มีปัญญา

ในหลวงเอา Sufficiency มาจากอันนี้ อาตมาก็มาขยายต่อ

เราเรียนรู้แล้วเอาไปปฏิบัติ มีธาตุรู้เป็นปัญญา รู้อาการพวกนี้ ภาษาอังกฤษที่ใช้นี้ความหมายในบาลีน่าจะมี ซึ่งก็คือคำว่า กาย นี่แหละ กายต่างๆ กายสังขาร กายปัสสัทธิ กายานุปัสสนา ทำปัญญาให้รู้จักกายพวกนี้ไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

กายานุปัสสนา อนุแปลว่าตาม ปัสสนะแปลว่าเห็น รู้ ตามรู้ตามเรียนไปเรื่อย จนรู้

กายกลิ จนเป็น กายกัมมัญญตา กายปาคุญญตา

เรียนรู้ธรรมะสอง องค์ประชุมรูปนามที่เรียกกาย เอามาใช้ประโยชน์ได้เป็น Suffice เป็นประโยชน์ Sufficience เป็นพลังงานมีประโยชน์ กายกัมมัญญตา ทำจนเอามาใช้เป็นประโยชน์เป็นการงาน กายกรรม มีธาตุรู้เหนือมัน ใช้มันได้

เพราะฉะนั้น พลังงานขั้นนามธรรม เวทนาสัญญาสังขาร ใช้มันได้เก่งขึ้น คือ กายกัมมัญญตา องค์ประชุมรูปนาม ที่ผู้รู้ รู้เวทนาสัญญาสังขาร ว่าคล่องแคล่วเปลี่ยนแปลงให้เป็น เจโตหรือปัญญา อย่างมีธาตุรู้ปัญญา เอาไปใช้ประโยชน์ตามความสามารถ คนมีความสามารถมากก็ใช้ได้มาก ใครมีความสามารถน้อยก็ใช้ได้น้อย ใครไม่มีความสามารถก็ถูกเล่นงาน ทุกข์สุขอย่างบ้าๆ โง่ๆ สุขก็โง่ ทุกข์ก็โง่ อวิชชาทั้งคู่

ยิ่งเป็นสุข ยิ่งโง่เนียน ไปหลงนึกว่าเทวดา แท้จริงมันคือผี อารมณ์เท็จ เมื่อความโง่ครอบงำเขาเชื่อจริงๆ เหมือนสมาชิกธรรมกาย ถูกธัมมชโยหลอก เขาก็ไม่รู้ ถูกสะกดจิตเอาไว้ โดยให้ดูช่องนี้ช่องเดียว ให้ฟังแต่ผู้ จิต จึงตกอยู่ใต้อำนาจอย่างไม่โงไม่เงย น่าสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ อาจจะตายข้ามชาติไปอีกหลายชาติก็ยังหลงเชื่ออยู่ เป็นเรื่องที่น่าสงสาร พวกเราไม่ไปหลงก็ดีแล้ว เขาใช้วิชามารหลอกคนว่าจะมาปราบมาร แท้จริงแล้วเขาคือต้นธาตุต้นธรรมของมาร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สติปัฎฐาน 4 ที่ทรงไว้ซึ่งธรรม

_อยากถามเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าสิ่งที่เข้าใจนี้ถูกต้องหรือเปล่า เวลาที่ตากระทบรูปแล้วเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนี่เป็นอาการของกายหรือไม่ แล้วพิจารณาลงไปอีกว่าชอบหรือไม่ชอบเพราะอะไรแล้วทำใจนั่นคือกายในกายใช่ไหมอันนี้ แล้วจะอ่านอาการของเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมต่อไปอย่างไรในเรื่องเดียวกันนี้ อยากอธิบายต่อแต่ไม่ชัด

พ่อครูว่า…กายเวทนาจิตธรรม กายคือองค์ประชุมของรูปและนาม พระพุทธเจ้าว่า กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ และอีกสูตรหนึ่ง ล.16​ บอกว่า

[59] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย

คำว่ากายประกอบด้วย   ด้วย แล้วเรียนรู้ตัวจิต หรือตัวธาตุเวทนาที่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ชอบหรือชัง ไม่ปรุงแต่งก็เป็นตัวจิต เพราะฉะนั้น กาย เวทนา จิต อันเดียวกันหมด

คำว่าธรรมะคือสิ่งที่ทรงอยู่ในตัวเรา ถ้าไม่ทรงอยู่คืออธรรม มันไม่มี ตัวใดเป็นอกุศลจิต เป็นอธรรมต้องเอามันออก ออกหมดก็เหลือแต่ธรรมะที่เป็นกุศล หรือธรรมะที่หมดอธรรม คุณก็ทรงไว้สิ ทำอะไรก็ทำแต่กุศล ไม่ทำบาปทั้งปวง จิตมีแต่กุศล ทำออกได้จริง แล้วมันก็เข้ามาในจิตไม่ได้ ได้แล้วไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือหลักสูตรพระพุทธเจ้าที่จะทำให้เกิดคุณวิเศษเช่นนี้

กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นพลังงานอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่ามันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ จากองค์ประชุมกาย แล้วก็เรียนรู้มันมาเป็นอารมณ์เวทนา ชอบชังสุขทุกข์ ก็เรียนอาการมัน ที่นี้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์สุขก็คือจิต อ่านอาการจิตให้ออกให้เป็น แล้วมนสิกโรติ แล้วกำจัดตัวอกุศลจิต เมื่อกำจัดตัวจิตแล้วก็หมดเหตุ เวทนาก็เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข ทำจนแข็งแรงก็เป็นธรรมะทรงไว้ซึ่งธาตุธรรมะที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

เพราะฉะนั้น กายเวทนาจิตธรรม คืออันเดียวกัน อยู่ในคนละกาละ คนละสถานะ ที่ทำให้เป็นลักษณะใดๆ ลักษณะกาย ลักษณะเวทนา ลักษณะจิต สุดท้ายก็ทรงไว้ซึ่งธรรม

 

_หลวงปู่เหนื่อยไหมกับการทำงานศาสนา เพราะอะไร?

พ่อครูว่า...เอ๊เหนื่อยดีไม่ดีเอ่ย ถ้าเราได้ใช้พลังงานจากร่างกายเราไปเรื่อยๆถ้าพลังงานในร่างกายน้อยลงเอาไปทำงานช่วยอาการ 32 เอาไปจ่ายมากมันก็หมดเหมือนกัน มีไดนาโมที่สังเคราะห์พลังงานขึ้นมา จะเรียกศัพท์อันไหนที่ปั่นพลังงานร่างกายให้ทัน เมื่อไม่ทันก็ขาดไม่สมดุล ขาดมากๆ ก็ตาย เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันก็ตาย หัวใจสูบฉีดไม่ทันหัวใจล้มเหลวก็ตาย อย่าว่าแต่เหนื่อยเลยตายได้เหมือนกัน

แต่เพราะว่าต้องทำงานลงแรงจ่ายพลังงาน จะเรียกว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่พยายามไม่ให้มากไม่ให้น้อย ระวังอย่าไปทำเกิน ถ้าทำเกินไปจะตายได้ ถ้าตายหัวใจล้มเหลวเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันก็ตาย ตัวสำคัญคือเลือดกับวิญญาณวิญญาณเป็นอยู่ในหน้าที่ของสมอง ถ้าไม่มีเลือดหมุนเวียนไปให้สมดุลมันก็ขาดก็จะตาย กรณีหัวใจล้มเหลวหรือสมองก็เรียกว่าช็อค เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันก็ตาย ต้องระวัง

 

_ทำไมเด็กสัมมาสิกขาต้องมีชื่อทางธรรมเพราะอะไรคะ

พ่อครูว่า...ก็เป็นการเอาอย่างกัน เห็นคนอื่นมีก็อยากมีบ้าง บางคนตั้งให้ตั้งแต่อยู่ในท้องคลอดออกมาก็ไม่รู้ว่าตั้งชื่อให้ ไม่มีใครบอก เห็นเพื่อนมาตั้งก็อยากได้บ้าง

 

_คฤจจภรรค อ่านว่าอะไร? ทางอำเภอไม่ยอมให้ตั้งชื่อนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะโลกุตระเริ่มจากอะไร

_อยากทราบว่าศิลปะโลกุตระต้องเริ่มจากอะไร?

พ่อครูว่า...ต้องเริ่มจากมีรากฐานของศาสตร์คือมีความรู้ ศิลปะเกิดเองโดยไม่มีความรู้ไม่ได้ ศาสตร์นั้นมีความรู้ไม่มีศิลปะ มีแต่สาระ ถ้าเป็นเรื่องราวก็เรียกว่าเป็นสารคดี แต่ถ้าศิลป์ต้องมีสุนทรียะมีองค์ประกอบที่ประกอบด้วยของโลกเขา มีสวย มีงาม มีไพเราะ มีความน่าชื่นใจ ชี้ชวนใจ จะเรียกว่าเป็นกิเลสก็ใช่ เป็นองค์ประกอบของโลกผสมเข้ามา สร้างเรื่องบู๊ เรื่องรัก ก็มีราคะและโทสะเป็นหลัก

สาระองค์ประกอบที่ไม่ใช่โลกีย์ทีเดียว แต่เป็นอัสสาทะ เป็นรสของความชวนใจ เรียกว่ารสชวนใจ สุนทรีย์ แล้วรสนี้เป็นปีติเป็นต้น เป็นสุขอย่างอุปสโมสุข แต่ไม่ได้เป็นตัวเร่งของกิเลสทีเดียว ถ้าประสมส่วนนี้ได้คนนี้เป็นศิลปิน เป็นมงคลอันอุดมแท้

เริ่มต้นด้วยการเข้าใจรสโลกๆ รสสนุกๆ เรียนตั้งแต่หยาบๆ เรียนรู้ว่ามันสนุกแต่ถ้ามันไม่สนุกก็ได้ ถ้าสนุกมากจะสปาร์คมาก อย่างการแข่งขันกีฬา มีชนะมีแพ้ คนชนะดีใจ บางคนถูกน็อคชักแหงกๆ คนชนะไม่รู้สึกสงสารด้วยซ้ำ ใจดำอำมหิต

ถ้าเรารู้ว่าเราหลงชอบชัง เป็นราคะโทสะในจิต ถ้าเรารู้ก็เริ่มลดให้ได้ เริ่มลดก็มีคุณธรรมโลกุตระ แต่ถ้าลดไม่ได้แต่รู้ว่าเป็นเคหสิตเวทนา เริ่มลดก็เริ่มวิกขัมภนะกดข่มก็ได้ ยังไม่ได้วิปัสสนาให้จางคลายไฟราคะ โทสะ โมหะ เรากดข่มหรือใช้พลังงานไฟฌาน ไฟปัญญาลดมัน แม้เราไม่เก่งก็ลดได้

วิราคานุปัสสีตามเห็นความจางคลาย นี่คือโลกุตรธรรม ทำใจในใจ มนสิกโรติ ต้องแยกเคหสิตะ แยกโลกีย์ออก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมถะและวิปัสสนาต่างกันอย่างไร

_สมถะคืออะไร? วิปัสสนาคืออะไร?

พ่อครูว่า...มีคำว่าสมถะ แปลว่าสงบ ถ้าสงบอย่างฤาษีก็สะกดจิตให้นิ่ง แต่ถ้าสงบอย่างพุทธ คือวิปัสสนา ถ้าสัมมาทิฏฐิ คือกิเลสดับไป เบาแรงไป จิตใจยิ่งใส กิเลสดับ แต่จิตไม่ได้ดับลงอย่างสมถะสะกดจิตที่ให้จิตดับหมด

วิปัสสนาคือทำให้กิเลสดับอย่างรู้ๆ เห็นๆ อ่านเหตุคืออกุศลจิตขณะสัมผัสทางทวาร 6 ฆ่ากิเลสดับ จิตยิ่งใสสว่าง แต่เรียกว่าสงบ บางทีใช้คำว่าปัสสัทธิได้ สงบอย่างกิเลสลดลง

บางทีไปเรียกกิเลสที่ดับปี๋ลงไปโดยที่จิตไม่รู้เรื่อง จนดับเป็นนิโรธ เรียกว่าทำเจโตสมถะ ทำจิตให้สมถะตรงๆ เลย ซึ่งไม่มีวิปัสสนา ท่านจึงบอกบุคคล 4 พวก

1. ได้เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระ โลกุตระคือวิปัสสนา สามารถรู้และลดกิเลสได้

2. ได้โลกุตระ ไม่ได้เจโตสมถะ เพราะไม่ได้ไปนั่งหลับตา ที่จริงเรียนรู้

เจโตสมถะก็มีอุปการะ เรียนรู้ภายในจิตได้ดี ไม่มีอะไรกวน มันสามารถอ่านอาการจิตแม้จะเป็นสัญญา มันก็มีกิเลสกวนอยู่ในนั้น สามารถระงับ พิจารณาลดได้เหมือนกัน แต่ไม่หยาบเหมือนมีสภาพเต็ม ถ้าทำลืมตา ลดกิเลสจนชนะกามภพ ก็จะดึงกิเลสรูปราคะ อรูปราคะออกมา เป็นภวตัณหา ก็เรียนรู้กำจัดมันอีกในขณะมีสัมผัสนั่นแหละ ปฏิบัติขณะลืมตา

3. ได้เจโตสมถะ และได้โลกุตระ

4. ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้โลกุตระ

สรุปแล้ว สมถะคือทำจิตให้สงบ วิปัสสนาคือเรียนรู้อย่างรู้ๆ เห็นๆ

 

_เราจะทำอย่างไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน

พ่อครูว่า...ก็ทำสมถะและวิปัสสนาให้ดี กิเลสหายไปจิตจะลดความฟุ้งซ่าน ควบคุมจิตได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ทำจิตให้เป็นพีชนิยามอรหันต์

_ถ้าทำจิตให้เป็นพีชนิยามจะถึงขั้นอรหันต์ใช่ไหม? หมายถึงดับเวทนาเคหสิตะทั้งหมด จนเป็นอุเบกขาเนกขัมมะเวทนาสมบูรณ์ แต่เราจะได้พลังงานขั้นชีวะส่วนเหลือที่บริสุทธิ์อยู่

พ่อครูว่า...ถูกต้อง แล้วมีพลังงานสูงกว่าด้วย เป็นพลังงานทับทวี สะอาดจากความโง่ และพลังงานสะอาด เราก็เอามาใช้ เป็นพลังงานเก่าของเราที่ฟอกสะอาดแล้วที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ถ้าถูกโลกแบ่งพลังงานไปก็ซวย พลังก็อ่อนแอเพราะถูกแบ่งไปทางอีกฝ่าย

พลังงานที่เป็นจิตนิยาม คือมีอารมณ์ที่รู้จักเวทนา แต่เวทนากับอวิชชาไปหลงชอบชังสุขทุกข์เพราะไปโง่มีจิตอกุศล เมื่อทำอกุศลให้ดับไป พลังงานจิตนิยามนั้นก็ยังอยู่ แต่มันมีธาตุเหมือนพีชนิยาม คือไม่ไปแย่งใคร ไม่หลงโง่ตามโลกเขาพาเป็น

เป็นพลังงานพีชนิยามที่สะอาดและสูง สร้างประโยชน์ได้เยอะขึ้น และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับอะไร เพราะฉะนั้นถ้าใครทำพีชนิยามให้เป็นจิตนิยามอรหันต์ได้ จึงเป็นพลังงานจิตพีชนิยามที่เป็นอรหันต์

พีชนิยามเป็นพืช ไม่สูงกว่านี้ แน่นเข้าแข็งแรง แล้วก็แตกพันธุ์เป็นพืชต่างชนิด แต่เมื่อเป็นจิตแล้ว ทำให้มีคุณภาพเท่ากับตัวตนเอง Self ที่หมดความเป็นตัวกูของกู หมดตัวเขาของเขา หมด ish

เข้าใจว่านี่คือ he she นี่คือ ฉัน i แล้วก็ทำงานร่วมกัน เข้าใจสมมติสัจจะ ไม่มีอาการจัดจ้านทางกามหรือทางอัตตา รู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้เพศหญิงคือ she รู้เพศชายคือ he รู้เราคือ i  ทำงานร่วมกันสามเส้าธรรมดา แต่มีพลังงานเอาคืนมาได้จากที่ไปหลงเข้าใจผิดใช้ผิด 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ศาสนาพุทธล้างบาปไม่ได้

_สมเด็จช่วงกล่าวว่าทำผิดก็ปลงอาบัติได้ สารภาพบาปได้เหมือนคริสต์ล้างบาปได้?

พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธล้างบาปไม่ได้ คำสอนของคริสต์นั้นบาทหลวงเป็นตัวแทนพระเจ้าช่วยล้างบาปได้ เป็นของคริสต์ แต่พุทธนั้นรู้ว่าบาปล้างไม่ได้ บาปคืออกุศลจิต เกิดแล้วฝังในสัญญาล้างไม่ออก กรรมวิบากสั่งสมเป็นของคุณ มันจะมีไปตลอด ไม่มีหายไปไหน เริ่มต้นทำวินาทีนี้ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวสั่งสมมาเป็นสัตว์ใหญ่ก็สั่งสมวิบากได้อยู่ในอัตภาพ สัญญารับได้ไม่จำกัด ไม่มีลิมิต ไม่กินเนื้อที่ ไม่มีรูปร่าง ของใครของมัน เป็นอรูป

แต่มีตัวตน และออกฤทธิ์ให้เรา ถ้ามีกุศลก็ได้อาศัยกุศล ถ้ามีอกุศลมากก็ทุกข์ร้อนมาก มีกุศลมากก็ไม่ทุกข์ร้อนมาก ไม่เจ็บไม่ป่วยไม่เมื่อยไม่เพลีย ก็เป็นสัปปายะ คือประกอบด้วยประโยชน์ อปายะ คือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มีแล้วก็บวกลบคุณหารกับปัจจุบัน แล้วออกฤทธิ์มา

ต้องทำปัจจุบัน จนพลังงานกรรมอกุศลออกฤทธิ์ไม่ได้ มันไม่ได้ออกมาทีเดียวหมดทั้งก้อน กุศลกับอกุศลก็กันกันเองในอดีต ถ้าอกุศลมากก็ทะลักออกมามาก กุศลกับอกุศลก็กันกันเอง เราจึงสร้างกุศลให้มากๆ จะได้กันอกุศลได้ จนปัจจุบันเป็นตัวแปร ถ้ากุศลกับอกุศลเท่ากัน ถ้าทำปัจจุบันให้กุศลมากขึ้นๆ อกุศลก็ถอยไปๆ แต่ไม่ได้หายไปไหนนะ จนกว่าจะปรินิพพาน เหมือนพวงมะม่วงหลุดจากขั้ว

แม้เป็นอรหันต์แล้วอกุศลออกฤทธิ์ไม่ค่อยได้ไม่ค่อยทัน แต่ไม่หมดง่าย ทว่าปัจจุบันเราทำแต่กุศล ไม่ทำบาปทั้งปวง คุณภาพของกุศลจึงไปยันให้อกุศลจางเบา ห่างไป เพราะหยุดทำบาปถาวรแล้วกุศลจะถึงพร้อม มีพลังงานมากกว่าอกุศลเพิ่มขึ้นเรื่อย ความก้าวหน้าพัฒนาเป็นปฏิภาคบวก คูณ ยกกำลัง ไปตามบารมี

พระอรหันต์หยุดอกุศลใหม่ในทุกปัจจุบัน เป็นอนาคามีหยาบๆ ทางกามก็หยุดได้หมดแล้ว เหลือรูปราคะ อรูปราคะ เป็นสกิทาคามีก็ลดอกุศลได้จำนวนนึง โสดาบันก็เริ่มลดเป็น 

ผู้จะขึ้นเป็นสังฆราชไม่มีความรู้เช่นนี้ได้อย่างไร? การสารภาพบาปคือการทำคืน คือเราสารภาพเพื่อบอกคนอื่นว่าเราจะไม่ทำอีก แล้วเป็นเปรียญ 9 นะ แค่นี้ยังไม่รู้แล้วจะไปเป็นสังฆราชเสียอีก

 

_งานฉลองหนาว..ความเป็นมา

ตอบ....หลวงปู่จำไม่ได้

 

_ทำไมเมื่ออยู่ใกล้ผู้ที่มีศีลอย่างหลวงปู่จิตใจถึงว่างครับ

พ่อครูว่า...เป็นเพราะมีพลังงานมีรังสีออกมาที่เรารับได้ ก็เลยได้รับความว่างบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อานิสงส์ 5 ของการกินมื้อเดียว           เหมือนเราอยู่ข้างนอกกินข้าวหลายมื้อ พอมาอยู่กับหมู่ก็กินมื้อเดียวได้ เป็นพลังงานอุ้มชูช่วยกัน เป็นพลังงานที่รักในความดี เห็นว่าเขากินมื้อเดียวนี้ดี เมื่อเห็นด้วยก็ทำให้ ำลังที่จะทำให้เป็นได้

สำหรับร่างกายคนที่กินมื้อเดียวก็อยู่ได้ สัตว์บางชนิดหลายวันกินเสีย 1 มื้อ กินตามร่างกายต้องการ ไม่ได้กินด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน คนเราตอนแรกก็กินไม่มาก แต่ตอนหลังถูกหลอกให้กินไม่มีมื้อไม่มีคราว เพราะทุนนิยมหลอกขาย กินจนสุขภาพเสีย คนเรากินวันละ 1 มื้อก็เหลือเฟือ กินมื้อเดียวทำงานทั้งวันไม่รู้กี่ปีสำหรับชาวอโศก พระพุทธเจ้ายืนยันชัดเจนว่ากินมื้อเดียวนี้มีพลัง คุณประโยชน์ของการกินมื้อเดียว

อานิสงส์ 5 ประการของการกินมื้อเดียว                            

1. ร่างกายไม่ค่อยป่วย (อัปปาพาธัง)   

2. ไม่มีอะไรบกพร่อง (อัปปาตังกัง)     

3. กระปรี้กระเปร่า เบากาย เบาใจ (ลหุฏฐานัง)        

4. มีพละกำลังเหลือใช้ (พลัง)    

5. เป็นอยู่สบาย จิตใจผาสุก (ผาสุวิหารัง)                                  

(พระไตรปิฎก เล่ม 12   ข้อ 265)

กินหลายมื้อนี่พลังเสีย กินมากหนักตื้อไม่มีพลังหรอก กินมื้อเดียวนี่มีพลังพระพุทธเจ้าเป็นปราชญ์ คนบอกว่ากินข้าวมื้อเดียวก็ไม่มีแรงสิ เป็นปราชญ์หรือถึงไปเถียงพระพุทธเจ้า นี่คืออานิสงส์ของการกินมื้อเดียว

 

_ถ้าเราโกรธคนกับเกลียดคนจะใช้สมถะหรือวิปัสสนาอย่างไร

พ่อครูว่า...สมถะคือวิธีเดียวกันคือกดข่ม แต่วิปัสสนานี้อย่างมิจฉาทิฏฐิเขาทำไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง ไม่ชัดเจน คนโกรธเราก็อ่านอาการโกรธที่จิต จะกดข่มก็ได้ แต่กดข่มแล้วอาการลดลงก็ดูไม่ได้ อาการหายไป สะกดให้หยุดอาการซึ่งยาก แต่สะกดจิตไม่ให้จิตรับรู้ อันนี้มันก็ไม่รู้เท่านั้นเองเป็นสมถะ

แต่พระพุทธเจ้าสอนวิปัสสนา วิปัสสนาเป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูไม่เคยรู้สึกเบื่อ

_เวลาพ่อครูมาเทศน์พ่อครูรู้สึกเบื่อไหมครับ

พ่อครูว่า...ดีนะที่ถาม จริงเหมือนกัน คนเราก็รู้สึกเบื่อได้ แต่อาตมาไม่เคยรู้สึกเบื่อ มีแต่พวกคุณชักเบื่อ ทำไมไม่หยุดสักที อาตมามีปัญญาเข้าใจ การเทศน์บรรยายสิ่งดีงามมีคุณค่า ถ้าอาตมาเบื่อที่จะทำสิ่งดีให้แก่คน อาตมาโง่หรือฉลาด ก็โง่ อาตมาจะโง่ทำไมในการทำความดีให้คน จะเบื่อทำไม นอกจากเมื่อยก็จะขอพักหรือผลัดไป

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่พักเราไม่เพียร ผู้ที่รู้เวลาควรพักควรเพียรคืออรหันต์นะ

จุดสำคัญที่ข้ามโอฆสงสาร ข้ามฝั่งเป็นอรหันต์ได้ คือคุณสมบัติอย่างไร ให้พระพุทธเจ้าตอบ ท่านก็ตอบว่า “เราไม่พัก เราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้”

หลวงปู่ไม่มีเบื่อ เพราะไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน นักปฏิบัติธรรมกับการเล่นมือถือ

_คำกล่าวที่ว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม แล้วขณะทำงานอยู่นั้นผู้ร่วมงานได้ทำผิดศีล ด้วยการเล่นเกมเล่นมือถือระหว่างงาน พอถูกตักเตือนเขาก็บอกว่าเป็นเวลาว่างขณะที่เขาทำงานที่รับผิดชอบเสร็จแล้ว และมีความรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานจุกจิกเหมือนเขาเป็นเด็ก ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว อยากกราบเรียนถามว่าทิฏฐิที่เขาคิดเช่นนี้ สมควรกับการเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ทำงานในบริษัทบุญนิยมหรือไม่ และเราจะชี้แจงให้เขามีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าเขามาทำงานเพื่อจะรับจ้างแค่นั้น น่าจะทำให้ได้ความเจริญพัฒนาทางคุณธรรมมากกว่านี้ ถ้าแค่มารับจ้างหมดเวลาก็เสร็จไปเล่นเสพอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะมาทำงานกับชาวอโศกแบบนี้ก็ออกไปเสีย เพราะที่นี่เขาพัฒนาให้มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่สถานที่รับจ้าง เราจ้างถูก แต่ถ้าคุณไม่พัฒนาตนเองเราก็ไม่อยากจ้าง เพราะมันเข้าใจผิด ที่นี่นั้นเจตนาจะสร้างคน ไม่ใช่สร้างงานแล้วก็หาลูกจ้างมาทำงาน

เพราะที่นี่นั้นสูงกว่านั้น ที่นี่คนไม่รับจ้างมาทำงานฟรีมีอยู่มาก มากพอจะเป็นชุมชนโดยที่ไม่จ้างแล้วทำงานให้มีส่วนเหลือส่วนเกินด้วย พิสูจน์มาแล้ว 40 กว่าปีส่วนคนที่มาทำงานในนี้แล้วจะเอารายได้เพียงส่วนน้อย ได้ค่าจ้างถูกๆ แต่คุณก็ยังมีแนวคิดที่ผิดที่จะไม่เจริญ เป็นแนวคิดที่ไม่เจริญ ถ้าจะคิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นมันไม่ควรหรอก ถ้าจะทำแค่นี้ก็ออกไปเสีย ให้คนอื่นมาทำแทน เรามีเงินไม่มากนัก จะได้จ้างคนอื่นที่เขายินดีจะทำกว่านี้

1. ไม่เป็นหนี้ 2. ทำงานเลี้ยงตนเองรอด 3. ทำให้เหลือ 4. ได้สะพัดเป็นเศรษฐศาสตร์บุญนิยม

ไม่ใช่แบบทุนนิยมที่กอบโกยเข้าหาตัว แต่ของบุญนิยมนี้สะพัดเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น บุญนิยมเหนือชั้นกว่าทุนนิยม นายทุนของทุนนิยมนั้นมีแต่จะกอบโกยมากขึ้น แต่นายทุนของบุญนิยมนี้มีแต่จะ 0 0 0 0 ศูนย์ตลอดนิรันดร์กาล

ผู้ที่ทำเช่นนี้ให้คิดเสียใหม่ อย่าเห็นแต่การเสพ เล่นเกมเล่นสนุกอย่างนี้ หรือระวังเถิดหมดงานแล้วก็มาเล่นไลน์ เดี๋ยวนี้มันติดเป็นสังคมก้มหน้า อยู่ที่ไหนก็มีแต่ก้มหน้าไลน์ จะติดอะไรกันนักกันหนา แล้วมันมีหลากหลายให้ติดกันตามแต่ที่จะชอบ มันมีประโยชน์ แต่โทษมันก็เยอะเหลือเกินใส่เข้าไปในนั้น คนที่กิเลสอยู่ในตัวเยอะๆ จึงเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้

นี่คือผีมารตัวใหญ่เครื่องมือโทรศัพท์หรือเรียกอะไรแล้วแต่ ขอยืนยันว่ามันทำลายคนและสังคม ทำให้นายทุนที่ทำของเรานี้ดูดเอาเงินไปหมดเลย พวกที่ทำธุรกิจค้าสิ่งเหล่านี้ได้สัมปทานไปก็รวยทั้งนั้น

มันมีประโยชน์แฝง แต่โทษมันเป็นหลักเป็นหนักหนา แล้วคนมีกิเลสจะไม่มีหลักประกัน ก็เลยเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ มาอยู่ในสังคมชาวอโศกเป็นเด็กเป็นเล็กเราไม่ให้มี แต่ทางโลกทางรัฐบาลซื้อแจกเลย เด็กจึงไม่ค่อยอยากจะมาเรียนกับชาวอโศก เพราะถูกสังคมหลอก แล้วเราสร้างคนสร้างเด็กให้มีภูมิคุ้มกัน ไม่งมงายกับสิ่งเหล่านั้นเกินไป อย่างน้อยก็ได้รับปัญญาเอาไปสู้กับสิ่งเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครช่วยเลย ไปด้วยกันกับโลกก็ซวย

 

_ที่จริงผู้หญิงฉลาดแล้วไปหลอกผู้ชายโง่โง่อีกทีในเรื่องการแต่งตัว

พ่อครูว่า...ก็พอกัน แทนที่จะช่วยกันกลับหลอกกันอีก

 

_การบอกความสำคัญของเวลาแบบจิตที่มีโลกิยะสูง ผู้นี้เป็นผู้มองไม่เห็นค่าของเวลาที่เปลี่ยนแปลงทุกวินาที และที่สำคัญคือวินาทีที่ผ่านไปมีครั้งเดียวในชีวิตซึ่งแน่นอนผู้นี้ย่อมไม่รู้จักปัจจุบันย่อมไม่เจริญอย่างแน่นอน เพราะมีภพอยู่กับความไม่จริงความไม่เที่ยงความไม่แท้ความไม่แน่นอน จิตจมอยู่กับอดีต และเพ้อฝันอยู่กับอนาคต ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ผู้นี้ย่อมไม่มีสัจจะ มีแต่ความไม่รู้หรืออวิชชา ไม่เรียนรู้อัตตาในปัจจุบัน…..โดย ดช.นะโม(ไม้เมืองพุทธเขียนมา)

พ่อครูว่า...การลืมตานั้นมีปัจจุบันให้ทำ แต่หลับตาแล้วมีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน ในพรหมชาลสูตร เขียนไว้พระพุทธเจ้าให้เรียนปัจจุบันแล้วแก้ในปัจจุบันเท่านั้น สิ่งที่เป็นอดีตแก้ไขไม่ได้ แก้ไขปัจจุบันได้สมบูรณ์ก็จบ เขียนได้ดีมาก ผู้ใหญ่ถ้าเขียนเรียบเรียงได้อย่างนี้สอบได้ให้เข็มสี่เลยด้วยซ้ำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ทำไมพระพุทธเจ้าไม่อยู่ถึงร้อยปี

_ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุถึงแค่ 80 ปีทำไมไม่อยู่ถึงร้อยปี

พ่อครูว่า...ถ้าให้หลวงปู่ตอบก็ตอบแทนพระพุทธเจ้าตามเหตุปัจจัย เอาสิ่งที่ควรจะเป็นมาตอบ จะไปตอบแทนเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ แต่ต้องประมาณคะเนเอา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เหมือนกันว่า

...อานนท์ ชีวิตของเราจะอยู่ถึงร้อยปีหรือเกินร้อยปีหรือเกินกัปป์ กัปป์หมายความว่าอายุขัยจริงๆ ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ 80 ปี ท่านอยู่ได้นานกว่านั้น อาตมาว่าจะนานกว่าลีชิงยุนด้วย ลีชิงยุนอยู่ได้ 256 ปี พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะอยู่เกินกัปป์ก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าจะปรินิพพานอีก 3 เดือน..

กัปป์ยุคนั้นค่าเฉลี่ยคือ 120 ปี พระอานนท์ พระกัสสปะก็ 120 ปี ยุคนี้กัปป์นึง 70-80 ปี

1. ท่านทำงานสร้างศาสนาได้ตามเกณฑ์แล้ว 2. ท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าทำหน้าที่จบแล้ว อยู่ไปก็จบแล้วนี่ ท่านทำแต่พอดี ท่านไม่ทำเกินและไม่ทำขาด เมื่อมีมารมาทำนิมิตให้ปรินิพพานก็พอแล้ว

กิจของพระพุทธเจ้าสร้างศาสนาได้คุณภาพพอที่จะอยู่ไป 5000 ปี แต่ท่านไม่ได้บอกนะ นี่อาตมาเข้าใจ ท่านก็ทิ้งไว้ให้อาตมามากอบกู้ ถ้าอาตมาไม่มาก็ไม่ถึงหรอก เกือบไม่เหลือซากละ นี่อาตมาชุบซากนะ ยิ่งกว่าอยู่ ICU ยิ่งกว่ามนุษย์พืช ศาสนาพุทธเนี่ย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_ตาย) ตอน โลกและนรกหลังตายเป็นอย่างไร

_โลกหลังความตายเป็นอย่างไร? แล้วมีนรกไหม?

พ่อครูว่า...ตอบไปก็ไม่เข้าใจง่ายๆ แต่ตอบสั้นๆ ว่าหลังความตายนั้นเป็นทุกข์เป็นสุข ซึ่งหาไม่ทุกข์ไม่สุขนั้นยาก ผู้ที่จะอยู่ไม่ทุกข์ไม่สุขคือ มีลักษณะ 2 อย่าง อย่างที่ 1 สะกดจิตตนเอง แล้วก็อยู่แบบไม่รู้เรื่องเฉยๆ อำนาจกดข่มนั้นก็จะอยู่ไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ที่ทำไว้กดข่มไว้ พอหมดแล้วมันก็ขึ้นมาตามวิบากกรรม

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิแบบพระพุทธเจ้านั้น หลังความตายก็จะสบายไปตามที่ตนเองลดกิเลสได้ หรือถ้าเป็นพระอรหันต์ตายแล้วจิตก็อยู่สงบ อยู่ที่ดุสิต ไม่สุขไม่ทุกข์อยู่กลางกลาง จนกว่าวิบากจะถึงเวลามาเกิด

แล้วมีนรกไหม? นรกตัวจริงเลย คนตายไปแล้วส่วนมากลงนรก ขึ้นสวรรค์มีน้อยเท่ากับดินที่ติดขี้เล็บ เทียบกับพื้นดินทั้งหมดในปฐพี

 

_ศิลปะโลกุตระสามารถเปลี่ยนใจผู้ชม ได้ไหม

พ่อครูว่า...ได้ถ้าคนที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ถ้าไม่มีศิลปะขั้นโลกุตระก็ทำให้คนมาสู่โลกุตระไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ทำไมทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว

_ทำไมบางทีทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว

พ่อครูว่า...ไม่มีหรอกเอาที่ไหนมาพูด เข้าใจผิด กรรมเป็นอันทำ เป็นของของตน จะบอกว่าไม่ได้ ไม่มี

แต่คนที่บอกว่า ทำดีไม่ได้ดี เพราะเข้าใจผิดเพี้ยน เช่น ทำดีแล้วไม่ได้เงิน ทำดีแล้วไม่ได้เลื่อนยศ ทำดีแล้วไม่ได้สรรเสริญ ทำดีแล้วไม่ได้ลาภ ไม่ได้กามคุณ ไม่ได้โลกธรรม เพี้ยนไปว่าทำดีแล้วไม่ได้โลกียะ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวดี คุณทำดี ทำกุศลแล้ว กุศลนั้นก็เป็นของคุณ หรือแม้ทำบุญ ทำให้จิตลดกิเลสได้ก็เป็นของคุณ คุณทำตรงถูกกุศลถูกบุญไหมล่ะ ถูกก็เป็นของคุณ

แต่ไปเข้าใจผิดว่ากุศล คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โลกธรรม อัตตา แล้วเราไม่ได้พวกนั้น ยังอยากได้เป็นอามิสที่ความหมายว่าสิ่งที่ดี ใช่ทำความดีที่เป็นกัลยาณธรรมมันก็เป็นความดี คุณทำกัลยาณธรรม คุณก็ได้ดีอันนี้ ยิ่งคุณทำละกิเลสได้ คุณก็ได้อันนั้น ไม่มีเพี้ยนว่าทำแล้วได้เงินได้ยศ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว ไม่มีหรอกทำดีไม่ได้ดี คุณทำอย่างนั้นก็ต้องได้อย่างนั้น อย่างนั้นจะเป็นดีหรือไม่ดีล่ะ จะเป็นกัลยาณธรรมหรือโลกุตรธรรม หรือเป็นอธรรม เป็นชาวอโศกจำไว้นะ

คุณทำอะไรก็ได้อันนั้น กรรมสโกมหิ กรรมายาโท กรรมเป็นของของตน ทำแล้วเป็นของคุณทันที ใครแย่งไม่ได้ โกงไม่ได้ ไม่มีบิิดพริ้ว ไม่ผิดเพี้ยน

จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:23:46 )

590226

รายละเอียด

590226_ทวช.พุทธาฯครั้งที่ 40 ธรรมะของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยธรรมสู่ความเป็นอรหันต์

เราก็เหลือวันนี้อีกวันนึงเป็นวันสุดท้ายของงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 40 แล้วพวกเราก็ได้พากเพียรกัน คนเราถ้าไม่มีความฉันทะหรือความยินดี ไม่ร่วมใจไม่เห็นดี ไม่รู้สึกว่าเข้าท่า ดีไม่ดีมันก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนาด้วย คนเราก็จะไม่เอา ก็จะเลิก ก็จะหยุด

อย่างพวกเรามาบำเพ็ญคุณบําเพ็ญธรรม อย่างที่เราพากันทำต่อเนื่องซ้ำกันแต่ก็มีนัยที่เราจะต้องศึกษาได้เพิ่มเติม ที่เราทำนี้ก็มี สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา จะเรียกว่าสัมมาอาชีพก็ได้ มีประเพณีก็รวมอยู่ในการกระทำตลอด 40 ปี พอถึง 1 ปีเราก็มาทำอันนี้ มีแนวลึกละเอียดเป็นความรู้ความหมาย เราก็ทำอยู่คล้ายคล้ายเดิม แต่พวกเราก็รู้สึกว่าได้อะไรเป็นสาระแก่ชีวิต

เป็นความฉลาดของพวกเราที่รู้อะไรควร เป็นการตั้งใจเองเห็นเองว่าควรจะเอาเวลามาทำอันนี้ ให้เกิดสั่งสมลงเป็นกรรม ในอัตภาพของพวกเรามีสิ่งที่เกิดขึ้นกับหน่วยจิตนิยามที่เป็นอัตภาพแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น หลุดจากหน่วยของพีชนิยามที่แก่ตัวเกิดสังเคราะห์เป็นองค์รวมแต่ละหน่วยที่แตกตัวจนเกิด protoplasm จนเป็นที่เรียกว่า ปาริจริยา เป็นอาการของอณูต่างๆ ที่เล็กๆ มีprotoplasm มาเป็น zonar pellucidar พัฒนาเป็นความแยกความปล่อย เป็นพลังงานฉลาดรู้ พลังงานปัญญา มีฤทธิ์ไปเปลี่ยน สลายพลังงานอื่น กิเลสก็เป็นพลังงาน ไฟฌานหรือไฟปัญญาก็เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์อำนาจไปสลาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง

เส้นยึดเหนี่ยวที่รอบรัดอันใดอันหนึ่งก็คือ protoplasm เส้นรอบสิ่งว่างอันหนึ่ง จากตระกูลเก่า เมื่อมันแยกออกมาก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เหมือนดอกไม้ที่ค่อยคลี่บาน เมื่อมีสิ่งที่เป็นไปได้ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวไว้ มันปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เกิดใหม่ โดยเรารู้กุศล อกุศล แล้วเราตั้งใจทำ เป็นอุบายเครื่องออก ทำให้เกิดปาริจริยา ทำให้เกิดการเจริญดีขึ้น

เริ่มตั้งแต่เรามาทัสสนะ คนเราทั่วไปก็จะไปหาไปดู ก็ทัสสนานุตตริยะ คนทั่วไปก็ไปหาดูอะไรที่เขาว่าเป็นสิ่งที่น่าไปน่าดู ต้องมีเจตนาที่จะไป ไม่ใช่ไปเดินเฉยๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ คนเขาว่าจะไปช็อปปิ้ง ไปดูช้างก็ไปดูช้างแก้ว ไปดูม้าเขาก็ว่าไปดูม้าแก้ว ไปดูสิ่งที่เขาว่าดีนั่นแหละ แล้วเราไปดูแล้วก็จะได้ตัดสินใจว่าเป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็นไหม น่าเอาไหม ส่วนมากคนเราต้องมี

มโนสัญเจตนา มี Road map มีทางไป เราก็ไป

หรือว่าจะไปดูสมณะ ไปหาคนที่จะพาเราเจริญ เสร็จแล้วดันไปหาผู้เห็นผิดผู้ปฏิบัติผิด อาตมาขอพูดว่าเยอะเต็มเถรสมาคม ที่เป็นองค์กรหลักของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าว่า

ก็แต่ว่าทัสสนะนี้นั้นแลเป็นกิจเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ที่สุดคุณตั้งใจไปหาสัตบุรุษสมณพราหมณ์ ผู้เป็นที่พึ่งอันเกษม ถ้าขณะนี้บอกว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติแล้วจริงๆ ยากเท่าไหร่ก็ต้องกระเสือกกระสนไป

ขณะนี้นะ เราย้ำยืนยันว่าที่นี่เป็นแผ่นดินพุทธ เป็นเสนาสนะ มีปุคคลสัปปายะ มีอาหาร เครื่องประกอบอาศัย องค์ประกอบพร้อมที่พาเจริญ มีธรรมะสัปปายะ เราพูดเราบอกเราประกาศ ที่นี่ไม่วุ่นหนอๆ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ เราถ่ายทอดโทรทัศน์ หลายคนเปิดผ่านมาเห็นก็เปิดผ่านไป ไปดูเขาเต้นระบำ ไปดูเขาแข่งกีฬา อบายมุข เละเทะ เยอะ มีเครื่องดูเครื่องเห็นพร้อมมากมาย เขาจะมีปฏิภาณไหมว่าควรไปหาสมณพราหมณ์ผู้พาเจริญ พาประเสริฐ พาไปเพื่อเกิดศรัทธา เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

เป็นชาวพุทธ น่าจะรู้ทุกคนถ้าได้นิพพาน นี้อนุตตริยะใช่ไหม สุดยอดยอดเยี่ยมใช่ไหม อาตมาเห็นควรบอก ถึงได้บอกในความเป็นมนุษย์ที่ควรได้ ประกาศอรหัตตผลได้ ที่นี่ปีที่แล้ว มาตรงนี้ก็บอกว่าอาตมาไม่ได้หลงใหลฟั่นเฝือ ใจอาตมาไม่มีกิเลสอยากอวดโชว์ แล้วก็สมควรบอก อาตมาจึงตัดสินใจ และได้พูดได้ทำไปแล้ว มาวันนี้อีกปีหนึ่ง ก็ย้ำอีกว่าที่นี่มีอนุตตริยะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แล้วเอามาประกาศ อาตมาเป็นสาวกตถาคต ได้พากเพียรปฏิบัติตั้งแต่มาทัสสนะ แล้วมาสวน คือเข้าใกล้นั่งฟังเงี่ยโสตสดับก็เอาไปทำจนได้ผล ได้ลาภ  ก็ยิ่งใส่ใจศึกษาในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เกิดวิมุติ

ก็บำรุงให้เจริญ ปาริจริยา จนได้สัจจะความจริง ได้เป็นจริง เราก็ยิ่งระลึกถึง อนุสสตานุตตริยะ ยิ่งระลึกถึงสิ่งนี้ ไม่มีอะไรเปรียบ สุดยอดแห่งสิ่งที่มนุษย์ควรเป็น ทำไมคนไม่เชื่อ ทั้งที่มีพุทธศาสนิกชนกว่า 95%

ถามว่าที่นี่มีอะไร ถามแม่สุวรรณก็บอกว่าที่นี่มีพุทธะ แต่เขาไม่เชื่อ เพราะถูกมหาเถรสมาคมปกาสนียกรรม ว่าที่นี่นอกรีตไม่ใช่พุทธ เขาก็เชื่อตามปกาสนียกรรมที่มหาเถรสมาคมละเมิดวินัยพระพุทธเจ้า มาทำกับอาตมา ทำอย่างผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เมื่ออาตมาได้ลาออกมาเป็นนานาสังวาสตามความรู้ของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้ แต่เขาละเมิดทำอย่างอำนาจบาตรใหญ่ เอาหมู่มากว่า หลงตามกัน โง่ตามกัน ถูกครอบงำ เหมือนธัมมชโยสะกดจิตไว้ก็เชื่อตาม

นี่คือสิ่งที่เกิดในวงการพุทธไทย ไม่ได้อยู่ในร่องรอยตามพระพุทธเจ้า ไม่อิสระเสรีภาพ ถูกครอบงำ สะกดจิตให้หลงตาม ก็เลยวน จม อยู่ที่เดิม

ลองสำนึกสำเหนียกใหม่ว่า ที่เราวนเวียนในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตามเดิมที่เราทำ เราก็อย่างเดิม ถ้ามีใครบอกว่าโลกใหม่สุขเกษม สุขประณีต สงบรำงับอย่างไม่มีอะไรจูงนำ เป็นอิสระเสรี สุดยอด หลุดพ้นเป็นโลกุตรธรรม ไม่ได้ตกในอำนาจใครมาครอบงำ จะมีญาณปัญญารู้ว่า โลกนี้เต็มไปด้วยโลกธรรม เข้าใจว่าได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ​ ยินดีอย่างไร ได้รูปตามอุปาทานสเปคอย่างไร ได้เสียงอย่างไรที่เราชอบ มีสเปคกำหนดว่าอย่างนี้ๆ กลิ่น รสอย่างนี้ๆ กามคุณ 5 ที่ต้องโง่ทำตามสิ่งที่ยึด

แต่เราหลุดพ้นมาแล้ว รู้ว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเช่นนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลทำให้เราชอบหรือชัง เราก็รู้ตามเขาว่าโลกนิยมอย่างไร เป็นสมมุติสัจจะ อย่างไร เราเป็นตัวของเราเอง เรารู้สาระเนื้อแท้ของมัน แต่ที่เป็นเปลือกห่อหุ้ม เป็นน้ำตาลเราก็เข้าใจ เราไม่เอา เราเอาแก่น เราไม่เอาแค่ดอกผลใบกิ่งก้านสาขา เรารู้ทันว่าพวกนี้หลอก เราเอาที่แก่น อย่างแข็งแรงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนได้ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

อยากเป็นอย่างนี้ไหม เป็นเลย ประกาศิตให้ อย่างนี้แหละอนุตตริยธรรม เหลาะแหละอยู่ทำไม ช้าอยู่ทำไม แล้วจะต้องใช้เวลาไปกับอะไรอีก ไปเที่ยวหาอะไรอีก ถ้าคุณได้บรรลุได้ตอนนี้ จะต้องเห็นอย่างนั้นไหม ก็เห็นอย่างอนุตตริยะแล้ว เหนือมันเป็นนายมันได้จะดีกว่าไหม จะช้าอยู่อีกกี่ชาติ จะจมอีกเท่าไหร่ ที่นี่มีหมู่มีสัปปายะ 4 เลือกเอาชุมชนเรามีหลายแห่ง จะเอาแบบไหนก็ตามมีให้หมดให้เลือก เลือกฟรีด้วย ทำไมไม่ไป ทำไมไม่มา

เทียบกันดู ไปดูช้าง ม้า แก้วมณี สำคัญกับคุณนักหรือ เทียบกับสมณพราหมณ์ที่สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เทียบกันดู หรือบางคนหนักหนาสาหัสในดงนรก ต้องไปดูม้าตัวนี้แข่งชนะที่สนามม้าหรืออย่างอื่น จะไปดูหลาน ไปดูบุตร ไปดูภรรยา พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทัสสนานุตตริยะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไปเพื่อดูช้างแก้วบ้าง ม้าแก้วบ้าง แก้วมณีบ้าง ของใหญ่ของเล็ก หรือสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด

คำว่าสมณพราหมณ์ผู้เห็นผิดนี้น่าเกลียดน่ากลัว น่าตรวจสอบ ที่เขาว่าทำผิดคือท่านไปได้ในสิ่งที่เป็นมิจฉาผล อาตมาก็ว่าก็ตำหนิ จริงไหม น่าจะค้นหาพิสูจน์ศึกษาจริงๆ ไม่ใช่ว่าหลงยึดมั่นตนเป็นของตนอย่างนี้

ขอพูดความจริงที่อาตมาเป็นอยู่ขณะนี้ ทุกวันนี้มีรายได้จากการไม่ได้ตั้งกล่องรับบริจาค แต่ได้จากพวกเราที่เห็นควร จึงนำมาให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ อาตมาไม่ได้ใช้เอง แต่มีคณะฆราวาส คณะสังคมชาวอโศกที่ใช้เงินเป็น ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยถูกหลอก แบบซื้อขี้หมาทาสี หรือไปดูเขาเต้น เงินที่ได้ไม่มาก แต่ใช้เป็นสาระ อาตมาได้ทุกวันนี้เดือนหนึ่งมากกว่าแต่ก่อนที่อาตมาทำงานให้กับโลกตอนฆราวาส เดือนหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ตอนนี้ได้เดือนละเป็นล้าน หลายล้าน แต่อาตมาได้เพราะเขาให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้หว่านล้อมด้วยอามิสว่า จะได้ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้า ได้บุญใหญ่วิมานใหญ่ อาตมาเป็นต้นธาตุต้นธรรมนะ แต่เขาเห็นว่าอาตมาเป็นทักขิเนยบุคคล เป็นคนที่ควรได้ของทานจึงเอามาทาน และไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน รับแต่ของที่เขาให้ ถ้าจะบอกว่าต้องการแต่อาตมาต้องการไหม ก็ต้องการเอามาทำงาน แต่ต้องการแต่ของที่เขาให้นะ

จะได้อะไรก็อยู่ที่คุณมาพากเพียร มาทัสสะ สวน ลาภ มาสิกขา แล้วจะได้

ปาริจริยา แล้วก็ระลึกทบทวน ว่าเราได้อะไรไหม ได้สิ่งที่เราจบ ได้อรหันต์ในสิ่งไหน คุณระลึกเช่นนี้จะเป็นการระลึกที่มีคุณค่ากว่าไประลึกถึงแก้วมณี ช้างแก้ว ม้าแก้ว แต่เราระลึกอย่างเตวิชโช จนกว่าหมดกามภพเป็นอย่างนี้ เหลือรูปภพ อรูปภพเป็นอย่างนี้ เราทำหมด หมดก็รู้ว่าหมด ที่เหลือก็มีญาณรู้ว่าเหลือเท่าไหร่ เหลือนิด กับหมดนี้มันแยกอย่างไร มันหมดชัดๆ แล้วก็ตกผลึก จนพหุลีกัมมัง อาเสวนาภาวนา ทำซ้ำ ภาวนาเกิดผลอย่างนี้จนตกผลึก นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

จนเป็นตถตา ไม่ต้องทำอะไรอีกมันเป็นเอง ไม่มีอะไรทำลายหักล้างได้ คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะจริงกว่าวิทยาศาสตร์

นี่คือ roadmap ไปอรหันต์ ไปนิพพาน ถ้าคุณได้อันนี้เป็นหลักประกัน เป็นอรหันต์ไปเป็นนักการเมืองก็เป็นนักการเมืองบริสุทธิ์ใจ จะรู้ว่าประชาชนทุกข์เพราะจมในโลกอบาย กามคุณ ในรูปภพ สายนั่งหลับตา จมในอรูปภพอย่างธรรมกาย มีปั้นหลอกสวยงามฟรุ้งฟริ้ง เป็นวิมานลอยลม เพ้อไป

สำนักไหนๆ ก็ดีไซน์กันไปต่างๆ สำนักนี้ไหว้พระพิฆเนศ หรือพระอิศวร หรือไหว้หลวงพ่อต่างๆ สร้างอะไรมาเป็นรูปใหญ่ๆ หลวงพ่อถวด ขลังมาก เป็นวิธีการหลอกล่อสร้างอุปาทานในจิต ถ้าไปที่หลวงพ่อถวด แล้วมีผู้ดูและผู้สอน ในสถานที่นั้นบอกได้สอนได้ แนะนำสิ่งสัมมาทิฏฐิให้คนเจริญ​อย่างนี้หลวงพ่อถวดนี้ขลัง แต่ถ้ามีผู้เห็นผิดที่นั่นสอนผิด หลวงพ่อถวดไม่วิเศษหรอก

แต่ถ้าคนที่อยู่สอนให้ดีสัมมาทิฏฐิ ก็จะทำให้คนที่ไปเห็น ได้ฟัง ได้ลาภ และสิกขา จะได้ผลดีสัมมา อย่างนี้หลวงพ่อถวดก็จะขลัง

แต่ถ้ามีแต่หลวงพ่อถวดอย่างเดียวองค์ใหญ่ เราไปเห็นก็ไม่ได้อะไร นอกจากได้อุปาทานว่าหลวงพ่อถวดจะบันดาลอะไรให้ ไม่ได้ทำให้กิเลสดับ จางคลาย แต่ถ้าปฏิบัติได้ตามที่มีคนบอก มีอุบายเครื่องออกทำให้กิเลสตายไม่ฟื้น แล้วไม่หนีโลก แต่เราเองมีประสิทธิภาพ ทำให้เชื้อในจิตตายไปแล้วก็อยู่กับสิ่งเดิม เราจึงช่วยคนได้ เพราะเราไม่ได้ตกเป็นทาส เราอยู่เหนือและครอบงำสิ่งเหล่านี้ได้ เราพ้นมาจริง เราจึงสามารถช่วยคนอื่นได้อย่างแท้จริง

เราก็อยู่เหนือโลกจึงอยู่กับโลกและช่วยโลกได้โลกานุกัมปา แต่ก่อนเราติดมันถูกมันครอบงำ แต่ก่อนนึกว่ามันใหญ่ แต่ตอนนี้รู้ไส้พุงมันก็อยู่เหนือมันได้ แต่ก่อนเราโง่ แต่ก่อนเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วพ้นแล้วจึงช่วยคนที่ไม่พ้นอยู่ได้

สรุปแล้วคุณจะช้าอีกกี่ชาติ ชาตินี้จะมาไหม ถ้ามา จะผลัดผ่อนอีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน อย่าหาว่าอาตมาเร่งรัดนะ ลูกเอ๋ย ราชธานีอโศก พ่อลงทุนถากถางไว้ให้ ไปเถอะ ศีรษะอโศกก็ยังมีที่ให้ไป สันติอโศกก็ได้ถ้าเราถูกโฉลกกับในเมือง หรืออยากขึ้นป่าเขาภูผาฟ้าน้ำก็ไปได้ อยากจะไปทะเลก็ไปได้ ชเลขวัญยินดีต้อนรับอยู่ หรือจะไปธรรมชาติอโศกมีที่เป็นร้อยๆ ไร่ มีมังคุดทุเรียนผลไม้ให้เก็บ จะไปทางตะวันออกตะวันตกทางเหนือทางใต้เราชอบที่ไหนก็ไป จะช้าอยู่ไย ถามจริงๆ ถ้าคิดว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกเรามาไหม ...ทำไมรู้ใจอาตมา

ถ้าเชื่อว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกคุณจมในโลกีย์ไหม...ก็ไม่ พวกคุณนี่รู้ใจอาตมาทำไมเก่ง...เก่งจริงหรือเปล่า….ไม่?

ถามอีกเมื่อคุณรู้ใจอาตมาแล้วคุณรักอาตมาไหม ...แล้วตามใจอาตมาได้ไหม….ได้ ตอบง่ายดี...โกหกหรือเปล่า? คนที่มาได้ก็พูดได้ แต่คนมาไม่ได้ก็พูดไม่ได้ แต่เสียงคนมาได้นี่พูดเยอะกว่า ก็เลยดังแต่แสดงว่าคนที่มาแล้วทำเสียงข่มคนอื่น มาแล้วอย่าออกไปนะ ระวังหมาจิ้งจอกเลียบเคียงข้างๆนะ คุณจะตายวันตายพรุ่งไม่รู้ง่ายๆ จะช้าอยู่ไย

 

อ่านของดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา ดช.นะโม

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่มีโลกีย์สูง ผู้นี้จะเป็นผู้มองไม่เห็นค่าของเวลาที่เปลี่ยนทุกวินาที และที่สำคัญคือวินาทีที่ผ่านไป มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งแน่นอน ผู้นี้ย่อมไม่รู้จักกับปัจจุบันอย่างแน่นอน

ผู้นี้ย่อมไม่เจริญอย่างแน่นอน เพราะมีภพอยู่กับความไม่จริง ความไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่นอน จิตจมอยู่กับอดีต และเพ้ออยู่กับอนาคต ไม่รู้ความจริงตามความจริง ผู้นี้ย่อมไม่มีสัจจะ มีแต่ความไม่รู้ และอวิชชา (ไม่เรียนรู้อัตตาในปัจจุบันและหลงในวิปลาส 3)

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่เป็นโลกุตระ ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางของโลกุตระ ผู้นั้นย่อมเรียนรู้ศึกษาปัจจุบันที่เป็นสัจจะ เป็นความจริงอันสูงสุดของพุทธ ที่ทำได้ยากยิ่ง

ซึ่งผู้ที่รู้จักกับปัจจุบันได้นั่นแหละคือ อาริยชนผู้เจริญ (โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์)

ผู้นี้จะรู้สึกว่าเวลาบนโลกช่างเร็วเหลือเกิน

เพราะรู้ว่าชีวิตนี้น้อยนักชีวิตนี้สั้นนัก และยังคิดที่จะพัฒนาให้จิตสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เวลาของผู้นี้จึงเร็วกว่าปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส เพราะผู้นี้อยู่กับปัจจุบันที่เป็นสัจจะเท่านั้น มีแต่ปัจจุบันที่จะสามารถสร้างกรรมได้ ดังนั้น ทุกเศษเสี้ยววินาทีคือบุญ ผมเข้าใจถูกไหมครับ

(นโม ดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา  ม.1 สส.ฐ.)

 

นี่เป็นนิมิตอย่างหนึ่งของสังคมนี้ เด็กคนนี้ เขาเรียบเรียงคำของเขาแบบนี้ลอกเลียนแบบไม่ได้ง่ายๆนะ อาตมาก็ไม่แน่จะเรียบเรียงได้ดีอย่างนี้นะ ทุกคนโต

กว่าเด็กชายคนนี้ พากเพียรเถิด มีสัตบุรุษที่จะพูดให้เราฟัง ที่นี่ไม่ปิดกั้น มีสิ่งต่อทอดนำพาเป็นคณะหมู่มวล ที่นี่มี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

ถ้าชีวิตเราจะไปนิพพาน อย่าไปหลงโลกธรรม หลงอัตตา ที่เราทำมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้จะจมอีกต่อไปไหม ชาตินี้เราก็ต้องตรวจตัวเองแน่ๆ ถ้าเราจะเอาแบบโลกๆ ก็ไปให้สุดลิ่มทิ่มประตูเลย แต่ถ้าจะเอานิพพานดีกว่า มีตัวตัดสินของคุณว่ามานิพพานดีกว่า ก็มาเลยทุ่มแรงมาเลย

อาตมาว่างานนี้งานพุทธาภิเษกครั้งนี้ อาตมาว่าได้มาย้ำอนุตตริยะ เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว แล้วตัดสินใจ อย่าพร่าวินาทีอีกเลย ฟังถึงวันนี้เข้าใจให้ดี ให้ตัดสินเอาสิ่งที่ควรได้ เราจะได้รีบรวมหมู่กลุ่ม ทุกวันนี้บ้านเมืองแย่เหลือเกิน

จะช่วยได้ เราต้องมีอนุตตริยธรรมของเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่เช่นนั้นไม่มานั่งอย่างนี้หรอก แต่นี่มาเงี่ยโสตสดับ แสดงว่านี่คือเนื้อ เพราะน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เป็นพลังปรอทไปช่วยโฟมหน่อย โฟมมันขยายตัวมาก ถ้ามวลเราแน่นก็จะขยายตัวช่วยชาติได้มากขึ้น โฟมมันใหญ่แต่สู้คนที่มีคุณภาพปริมาณเดียวกันที่มารวมกันเพราะเราชัดเจนว่านี่คืออาริยธรรม ที่สมเด็จพ่อคือพระพุทธเจ้าว่าท่านมี DNA นี้ เราจะเข้าตระกูลนี้ไหม ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่นอก protoplasm เข้ามานิวเคลียสจะได้มีพลังงาน

นิวเคลียสหากมี “อนุตตระบอมบ์” ใครยิ่งมาตีแตก ยิ่งระเบิดเป็นกัมมันตภาพรังสีแห่งอาริยะ ไม่ใช่กัมมันตภาพรังสีที่จะทำลายโลก แม้เขาตีไม่แตก เราก็ต้องแผ่รังสีอนุตตริยะ แผ่ไป แต่แผ่ไปแล้วสะท้อนกลับไปเจอผนังด้าน เราก็ต้องพยายามรวบรวมส่งคืนไปใหม่ จนกว่าจะกระเทาะผนังด้าน เราไม่ละความเมตตากรุณา

 

เมื่อพูดถึงความตายก็นึกถึงคุณสาธิต ตอนนี้แม่เสีย เราอยู่ที่นี่จนจบงาน ตกลงจะเผาวันที่ 29 ก.พ. ที่ปฐมอโศก อาตมาก็จะไป เราก็ติดงานที่นี่เลยไม่ได้ไปช่วยก็ขอผลัดไปก่อน

พูดถึงงานศิลปะโลกุตระ เราก็มีศาสตร์ พุทธศาสตร์ แล้วเราจะขยายผล

อย่างมีศิลปะ ถ้าเอาแต่เนื้อศาสตร์มันแข็ง คนรับยาก ไม่มีอะไรชวนใจ นี่คือความรู้ที่เราต้องรู้ศาสตร์และศิลป์ แต่ทุกวันนี้คนรู้ศิลปะเพี้ยนๆ ครอบงำหลอกกัน

ศิลปะก็มีผสมสองส่วน idealistic กับ realistic เอาไว้ค่อยอธิบายคำว่าศิลปะจริงๆ คืออะไร ถ้าศาสตร์เฉยๆ ก็ดี เอามาแพร่กัน 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อนุตตริยะ 3 ใน จูฬสัจจกสูตร

ขอยกตัวอย่างเรื่องจริงในยุคนี้ คุณสุลักษณ์ เป็นคนมีลักษณะดี ได้รับการยอมรับว่าเป็นปราชญ์แห่งสยาม ผู้รู้จึงเป็นต้นแห่งศาสตร์ ส่วนอาตมาเป็นรามรักษ์ รักษาลีลาของราม ถ้าเข้าใจแก่นของพระศิวะกับพระราม ที่เป็นรากเหง้าของศาสนา จนยาวนานมาก เปลี่ยนไปมาระหว่างพราหมณ์กับพุทธ มายุคนี้มีแต่พระมหาศาล เหมือนยุคพระพุทธเจ้า ฮินดูก็เป็นพราหมณ์มหาศาลไปหมด ร่ำรวยไปด้วยกามคุณ หยิ่งผยองเต็มอัตตา

เหมือนอัคคิเวสสนะ ผยองอวดดีทำตัวใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า ว่าตนเองรู้สมบูรณ์แบบ เสร็จแล้วก็ไม่จริง จะให้พระพุทธเจ้าเหงื่อจั๊กกะแร้ออกเลย เขาโผล่มาก็บอกว่าตนเองเป็นนักโต้

เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์แม้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา จะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ แม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสานั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเราก็ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า.(อาตมาไม่ประกาศอย่างนั้นนะ ประกาศอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ยืนยันว่าจริง)

          ทรงซักถามอัคคิเวสสนะด้วยอุปมา

          [397] พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น เราจักสอบถามท่านในข้อนี้แหละ ท่านเห็นควรอย่างไร ท่านพึงแก้ไขอย่างนั้น ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศพึงให้เป็นไปได้ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์มิใช่หรือ?

ส. ท่านพระโคดม อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ แม้แต่อำนาจของหมู่คณะเหล่านี้ คือ วัชชี มัลละ อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรริบเนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ยังเป็นไปได้ในแว่นแคว้นของตนๆ เหตุไรเล่า อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้ามคธอชาตศัตรูเวเทหิบุตร จะให้เป็นไปไม่ได้ อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้วนั้นต้องให้เป็นไปได้ด้วย ควรจะเป็นไปได้ด้วย.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นตนของเรา อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ?

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์ก็นิ่งเสีย ถึงสองครั้ง ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสกะสัจจกนิครนถ์ว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ กาลบัดนี้ ท่านจงแก้ ไม่ใช่การที่ท่านควรนิ่ง ดูกรอัคคิเวสสนะ ผู้ใด อันตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึงสามครั้ง มิได้แก้ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงในที่เช่นนั้น.

สมัยนั้น ท้าววชิรปาณีสักกเทวราช ถือกระบองเพชรลุกเป็นไฟรุ่งเรืองลอยอยู่ในเวหา ณ เบื้องบนศีรษะสัจจกนิครนถ์ ประกาศว่า ถ้าสัจจกนิครนถ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึงสามครั้ง มิได้แก้ปัญหา เราจักผ่าศีรษะสัจจกนิครนถ์นั้นเจ็ดเสี่ยงในที่นี้แหละ.

(จิตสองคนนี้ถึงกัน ใครแพ้ใครชนะรู้กันอยู่ สัจจกนิครนธ์นี้ไม่เบี้ยวสัจจะ พระพุทธเจ้าเอาความจริงมาข่มสัจจะ สัจจะที่หลงตนเองเจอสัจจะแท้ที่เหนือกว่า เลยเหงื่อรักแร้ไหล ท่านพูดเป็นวชิรปาณี วชิระแปลว่าแก้ว คำว่าปาณีคือผู้เห็นแก่ชีวิต แต่จิตสองคนนี้เห็นเช่นนี้ว่า แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะนะ อย่าไปเบี้ยวนะ เท่ากับหัวแตกเจ็ดเสี่ยงเลย ผู้สัจจะแท้จะตรงถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด นี่คือสัจจะ)

ท้าววชิรปาณีนั้น พระผู้มีพระภาคกับสัจจกนิครนถ์เท่านั้นเห็นอยู่ ในทันใดนั้น สัจจกนิครนถ์ ตกใจกลัวจนขนชัน แสวงหาพระผู้มีพระภาคเป็นที่ต้านทานป้องกันเป็นที่พึ่ง ได้ทูลว่าพระโคดมผู้เจริญ ขอจงทรงถามเถิด ข้าพเจ้าจักแก้ ณ บัดนี้.

          [398] พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านกล่าวอย่างนี้ว่ารูปเป็นตนของเรา ดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิดอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ?

ส. ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจงทำไว้ในใจเถิด ครั้นทำไว้ในใจแล้ว จึงกล่าวแก้ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ต่อกัน ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเรา ดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณว่า เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย และวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ?

ส. ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจงทำในใจเถิด ครั้นทำไว้ในใจแล้ว จึงกล่าวแก้ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ต่อกัน ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย และวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ส. ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข?

ส. สิ่งนั้นเป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตนของเรา?

ส. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ผู้ใดติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์อยู่แล้ว กล้ำกลืนทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตนของเราดังนี้ ผู้นั้นกำหนดรู้ทุกข์ได้เอง หรือจะทำทุกข์ให้สิ้นไปได้แล้วจึงอยู่ มีบ้างหรือ?

ส. จะพึงมีได้เพราะเหตุไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

          พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่าน

ติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์อยู่แล้ว กล้ำกลืนทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตนของเรา ดังนี้ มิใช่หรือ?

ส. ไฉนจะไม่ถูก พระเจ้าข้า ข้อนี้ต้องเป็นอย่างนั้น พระโคดมผู้เจริญ.

          [399] พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ เปรียบเหมือนบุรุษมีความต้องการแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้อยู่ ถือเอาผึ่งที่คมเข้าไปสู่ป่า เขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ต้นหนึ่งในป่านั้น มีต้นตรง ยังกำลังรุ่น ไม่คด เขาจึงตัดต้นกล้วยนั้นที่โคนต้น แล้วตัดยอด ริดใบออกเขาไม่พบแม้แต่กระพี้ แล้วจะพบแก่นได้แต่ที่ไหน แม้ฉันใด

ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านอันเราซักไซ้ไล่เลียง สอบสวน ในถ้อยคำของตนเอง ก็เปล่า ว่าง แพ้ไปเอง ท่านได้กล่าววาจานี้ในที่ประชุมชน ในเมืองเวสาลีว่า เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรารภโต้ตอบวาทะกับเราจะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ แม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสานั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา ก็

ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า ดังนี้

ดูกรอัคคิเวสสนะหยาดเหงื่อของท่านบางหยาด หยดจากหน้าผากลงยังผ้าห่มแล้วตกที่พื้น ส่วนเหงื่อในกายของเราในเดี๋ยวนี้ไม่มีเลย ดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเปิดพระกาย มีพระฉวีดังทอง ในบริษัทนั้น. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์นั่งนิ่งอึ้ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ.

          [400] ในลำดับนั้น เจ้าลิจฉวีผู้มีนามว่าทุมมุขะ ทราบว่า สัจจกนิครนถ์นิ่งอึ้ง

เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อุปมาย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรทุมมุขะ อุปมานั้นจงแจ่มแจ้งแก่ท่านเถิด. เจ้าลิจฉวีนั้นทูลถามว่า เปรียบเหมือนในที่ใกล้บ้านหรือนิคม มีสระโบกขรณีอยู่สระหนึ่ง ในสระนั้นมีปูอยู่ตัวหนึ่ง พวกเด็กชายหญิงเป็นอันมาก ออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปถึงสระโบกขรณีนั้นแล้ว ก็ลงจับปูขึ้นจากน้ำ วางไว้บนบก ปูนั้นจะส่ายก้ามไปข้างไหนเด็กเหล่านั้นก็คอยต่อยก้ามปูนั้นด้วยไม้บ้าง ด้วยกระเบื้องบ้าง เมื่อปูนั้นก้ามหักหมดแล้ว ก็ไม่อาจลงสู่สระโบกขรณีนั้นเหมือนก่อนได้ ฉันใด ทิฏฐิอันเป็นเสี้ยนหนาม เข้าใจผิด กวัดแกว่งบางอย่างๆ ของสัจจกนิครนถ์ พระองค์หักเสียแล้ว แต่นี้ไป สัจจกนิครนถ์ก็ไม่อาจเข้ามาใกล้

พระองค์ ด้วยความประสงค์จะโต้ตอบอีก ก็ฉันนั้นแหละ.

เมื่อเจ้าลิจฉวีทุมมุขะกล่าวอย่างนี้แล้วสัจจกนิครนถ์ ก็พูดว่า เจ้าทุมมุขะท่านหยุดเถิด ท่านพูดมากนัก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับท่าน ข้าพเจ้าพูดกับพระโคดมต่างหาก ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ข้อที่พูดนั้นเป็นของข้าพเจ้า และของพวกสมณพราหมณ์เหล่าอื่น ยกเสียเถิด เป็นแต่คำเพ้อ พูดเพ้อกันไป.

 

เหตุที่พระสาวกเป็นผู้ทำตามคำสอนและเป็นพระอรหันต์

[401] สัจจกนิครนถ์ ทูลถามว่า ด้วยเหตุเท่าไร สาวกของพระโคดม จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตน?

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ สาวกของเราในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นเบญจขันธ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้ ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเราดังนี้.

ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ สาวกของเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไรถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตน.

          [402] ส. ข้าแต่พระโคดม ด้วยเหตุเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้สำเร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ?

พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่ล่วงไปแล้วทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้ ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดีละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา

ดังนี้ จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น. ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้วมีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ.

ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุที่รู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้แหละ ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม 3 ประการคือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม 1(ทัสสนานุตตริยะ)  ความปฏิบัติอันยอดเยี่ยม 1(ปฏิปทานุตตริยะ) ความพ้นวิเศษอันยอดเยี่ยม 1(วิมุตตานุตตริยะ)  เมื่อมีจิตพ้นกิเลสแล้วอย่างนี้ ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้ตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงฝึกพระองค์แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสงบได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงข้ามพ้นแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อข้ามพ้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงดับสนิทแล้วย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความดับสนิท.

สัจจกนิครนถ์ทูลนิมนต์ฉันภัตตาหาร

          [403] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์ได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมข้าพเจ้าเป็นคนคอยกำจัดคุณผู้อื่น เป็นคนคะนองวาจา ได้สำคัญถ้อยคำของพระโคดมว่า ตนอาจรุกรานได้ด้วยถ้อยคำของตน บุรุษมาปะทะช้างซับมันเข้าก็ดี เจอะกองไฟอันกำลังลุกโพลงก็ดี เจอะงูพิษที่มีพิษร้ายก็ดี ยังพอเอาตัวรอดได้บ้าง แต่มาเจอะพระโคดมเข้าแล้วไม่มีใครเอาตัวรอดได้เลย ข้าแต่พระโคดม ข้าพเจ้าเป็นคนคอยกำจัดผู้อื่น เป็นคนคะนองวาจา ได้สำคัญถ้อยคำของพระโคดมว่า ตนอาจรุกรานได้ด้วยถ้อยคำของตน ขอพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงรับนิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้.

พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ. ลำดับนั้น สัจจกนิครนถ์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงบอกพวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า เจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า พระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้านิมนต์แล้ว เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ พวกท่านจะนำอาหารใดมาเพื่อข้าพเจ้า จงเลือกอาหารที่ควรแก่พระโคดมเถิด.

เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้นำภัตตาหารประมาณห้าร้อยสำรับไปให้แก่สัจจกนิครนถ์. สัจจกนิครนถ์ให้จัดของเคี้ยวของฉันอันประณีตในอารามของตนเสร็จแล้ว จึงให้ทูลบอกกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดม เวลานี้เป็นกาลควร ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.

          [404] ครั้งนั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวรเสด็จไปสู่อารามแห่งสัจจกนิครนถ์ ประทับบนอาสนะที่ปูลาดไว้ถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ครั้งนั้น สัจจกนิครนถ์อังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน ให้อิ่มหนำสำราญแล้ว. เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว สัจจกนิครนถ์จึงถือเอาอาสนะต่ำ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ขอบุญและผลบุญในทานนี้ จงมีเพื่อความสุขแก่ทายกทั้งหลายเถิด.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ บุญและผลบุญในทานนี้ อาศัยทักขิเณยบุคคลที่ยังไม่สิ้นราคะ โทสะ โมหะ เช่นกับท่าน จักมีแก่ทายกทั้งหลาย ส่วนบุญ และผลบุญอาศัยทักขิเณยยบุคคล ที่สิ้นราคะ โทสะ โมหะ เช่นกับเรา จักมีแก่ท่าน ฉะนี้แล... จบ จูฬสัจจกสูตร ที่ 5

                          ____________________________

พ่อครูว่า...คือถ้าทำทานกับอัคคิเวสสนะก็ทำไปตามประสา หลอกกันเหมือนทำกับธัมมชโย ก็หลอกว่าได้บุญเป็นวิมานหลอกคน เป็นอนาคตฟุ้ง เป็นสายสว่างอภัสสรา คนไปนั่งหลับตาจมในอดีต ดำดับมืดอกิณหา ทางที่เปิดทวารไม่ทำแต่ไปนั่งหลับตาดับ ก็จะได้สองอย่างนี้ ได้บุญแบบเขาเข้าใจ แต่บุญและผลทานถ้าให้ผู้สิ้นกิเลสแบบตถาคตก็จะได้แบบนี้

อย่างน้อยได้ฟัง ได้เห็น ได้ทิฏฐิความรู้ แล้วเอาไปสิกขา จนเกิดปาริจริยา บำรุงให้เจริญเป็นผลระลึกถึงได้ เมื่อได้เต็มจะระลึกอีกเมื่อไหร่ก็ได้เต็ม เรียกว่ากุศลหรือบุญที่ไม่ต้องชำระแล้ว ได้ผลบุญอย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิ

ถ้าจะทำทานแต่ไม่รู้จักใจ ทำให้ใจลดโลภไม่ได้ แต่กลับถูกหลอกให้สร้างวิมานไว้ในอนาคต กิเลสก็อยากได้ในอนาคต เพ้อไปไม่จริง ส่วนมืดดำพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าสัมมาทิฏฐิจะเอาปัจจุบัน อย่าลืมว่านิมิตเด็กอายุ 12 ถึง 13 เข้าใจนิมิตปัจจุบัน แต่ถ้าพวกคุณผู้ใหญ่ไม่เข้าใจก็จะได้แค่สุขขัลลิกะ คือสุขเท็จไปตามประสาอุปาทาน อนิจจัง หลงว่ามีจริงสภาวะจริงตัวตนจริง แต่แท้จริงเป็นอารมณ์เท็จ เป็นสุขเท็จ

ผู้ที่ได้มาที่นี่ได้มามีทิฏฐิที่ถูก เหมือนอัคคิเวสสนะได้ฟัง แล้วก็ได้ลาภะ แล้วเอาไปสิกขา มีการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าสวดกันเป็นวันเป็นคืนสวดอย่างทิเบต โอมมณีปัทเมหุม สวดกันไป นั่นคือศาสนาไม่เหลืออะไรได้แต่นั่งสวด คือจับกังแบกลังทอง คุณจะสวดในสิ่งที่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าก็ดี แต่ดีไม่ดีสวดขยะที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าด้วยอีก แต่ปัจจุบันเราก็พยายามขจัดขยะเอาแต่แก่น ขอบคุณที่หอบทั้งแก่นทั้งขยะมา เราก็เอาแต่แก่น 

เมื่อคนปฏิบัติได้ ได้ปาริจริยะ ก็จะรู้จักบำรุงศาสนานี้ เชื่อว่าคนมางานนี้จะได้ปาริจริยะให้เต็มได้ จะได้สบาย ได้เต็มแล้วก็จะได้ระลึกสิ่งนี้ แล้วก็จะเห็นแก้วมณี ม้าแก้ว ช้างแก้วได้อย่างไม่เป็นทาสมัน แล้วช่วยคนที่ตกเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นได้ด้วย

เพราะเราได้มาทัสนา ได้มาฟัง แล้วได้ลาภ เอาไปสิกขา ประพฤติได้สัมมาเป็นปาริจริยา เต็มเลย ให้ได้สิ่งที่เป็นอนุตตริยะนี้จนสมบูรณ์แบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

 แล้วจะได้นอนระลึกโดยตนที่ไม่ต้องพึ่งใครอีกแล้ว เราก็ได้สิ่งที่มีจริงเป็นจริงบริบูรณ์​ จบพอดีเวลานิมิตสมบูรณ์แล้วขอให้ได้เป็นอรหันต์กัน...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:24:26 )

590226

รายละเอียด

590226_รายการตอบปัญหา อันยอดเยี่ยม 2

วันนี้ 26 กุมภาพันธ์ 2559 เย็นวันสุดท้ายของงานแล้ว

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน จากอุตุมาเป็นชีวะ

ทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยถึงจิตนิยาม ถึงเศษอณูแห่งอณู ตั้งแต่สิ่งไม่ทึบ มาใส พอเริ่มโปร่งใสก็จะเป็นอะไรต่อไปอีกเยอะเลย ลักษณะโปร่งใส เรียกว่า pellucidar ที่อาตมาใช้คำว่า Zonar pellucidar คำว่า pellucid แปลว่าโปร่งแสงโปร่งใส ท่านเริ่มเรียกน้ำที่เริ่มต้นเป็นชีวะ เป็นกลละใส พอเริ่มเป็นอัมพุธก็เริ่มเข้มมีสี พอเป็นเปสิก็เป็นก้อนแล้วเป็นคณะ เป็นปัญจสาขา เป็นสัตว์สี่เท้ามีแขนมีขา แต่ถ้าไม่ใช่สัตว์จะกลายเป็นปุ่มต้นไม้ ปุ่มนับไม่ถ้วน

สัตว์มีปุ่มห้าเป็นหลัก ไม่นับสัตว์อย่างกิ้งกือ ยิ่งเป็นสัตว์ในน้ำยิ่งมากมายไล่ตามไม่ไหว ไปตามละเอียดศึกษา biology ไม่ไหว

เริ่มต้นเป็นความโปร่งใส pellucid ผู้มีญาณที่รู้ความใส แล้วมีอะไรต่างจากความใส เป็นความหมองหม่นหรือมีจุดดำในความใสก็เป็นเทวธัมมา มีสองขึ้นมา จากพื้น pellucid ก็จะเพิ่มแล้วค่อยจัดสรรเป็นชีวะขึ้นมา มีใสๆ หรือเริ่มเป็นน้ำ แล้วก็จะมีอีกหนึ่งจุดขึ้นมาในน้ำ แล้วก็รวมตัวขึ้นเป็นสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต เป็น Zoo แล้วก็จะแผ่ความรวมตัวเป็น Zoning ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกิด Zonation เป็น Zonate เป็นขอบเขตเพิ่มไปเรื่อยๆ มีส่วนต่างตัวหนึ่งอ่อนแอตัวหนึ่งแข็งแรง ซ้อนไปเรื่อยๆ ในเรื่อง physic และ bio ก็เรียนรู้ความรู้พวกนี้เป็น Zoology เป็นสัตววิทยา  มีนักสัตววิทยา Zoologist

การเกิดสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นชีวะเป็นระดับ จากอากาศมาเป็นน้ำ ธาตุลมกับไฟที่เป็นแก๊สอากาศ จับตัวเป็นน้ำ คือลมกับไฟจับกันเป็นน้ำ แล้วก็จะมีอะไรก่อขึ้นไป ละเอียดมาก อาตมาเองไม่มีภาษาแล้ว อาตมาบัญญัติเองก็ไม่มีใครรู้ ต้องเอาภาษาที่สากลมาพูด

สรุปแล้วเกิดเป็นตัวอะไรขึ้นมา acid เป็นน้ำที่มีความเข้ม เรียกว่าเป็นกรด ในภาษาไทย จะมีรสเปรี้ยวขึ้นมาก่อน เมื่อมาเกิดเป็น pellucidity ก็เป็นการเพิ่มความใสขึ้นมาเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มีทั้งสี มีทั้งฤทธิ์ แรงขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลง acidify ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกิดองค์รวมเป็นสอง จากใสก็มีจุดอะไรขึ้นมาเป็นสอง มีภาวะชีวะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อาตมาพยายามอธิบายจุดเริ่มต้น ดินน้ำไฟลม ผสมส่วนกันไป จากลมกับไฟ ก็มาเป็นน้ำ แล้วก็เป็นดิน แล้วเกิดช่องว่างเรียกว่าอากาศ แล้วสัมพันธ์กันคือวิญญาณ อากาศคือช่องว่าง จนจับตัวเป็นมวล ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ จะทำปฏิกิริยากันจับตัวและสลายตัว เกิดการเคลื่อนที่

สองจุดจะเกิดมิติที่ตรงไปมา พอเป็นสามก็เป็นวงวน ก็จะมีวงรีหรือวงกลม ก็จะหมุนวนเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมันเป็นพีชะก็เป็นกรอบหนึ่งจะมีรัดรอบ กรอบระดับพีชะเอง ถ้ามันเปลี่ยนตัวเปลี่ยนแปลงยุ่ยไปเรียกว่า Zonar pellucidar ถ้าขยายแบบแรงจะแตกกระจาย คนละทิศละทาง แต่ถ้าลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เหมือนเราเรียกว่าลักษณะปฏิรูปกับปฏิวัติ ที่คนละอย่าง ถ้าปฏิวัติทันทีระเบิดตูม แต่ถ้าปฏิรูปก็ค่อยเป็นค่อยไป Reform หรือ Reformation มันจะเกิดสภาวะสองชนิดนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน พัฒนาการ 10 ลำดับ

เพราะฉะนั้นถ้าคนที่มีความรู้ ทำให้เกิด ค่อยๆ เลื่อน ค่อยๆ เป็นไป มีปัญญาอดทนรอได้ ทำไปตามลำดับ เช่น นายกฯประยุทธ์ กว่าจะปฏิวัติก็รอนาน ทำได้อย่างสวยงาม นิ่มนวลสุภาพ กลายเป็นปฏิวัติอย่างปฏิรูป สุดยอดแห่งวรยุทธเลย

นี่เป็นยุคของประเทศไทยที่เป็นนิมิต ลงตัวได้สัดส่วน นั่นคือความพร้อม ถ้าไม่ลงตัว ไม่ได้สัดส่วน ก็ดิ้นไม่เข้ารูปเข้ารอย

สิ่งที่เป็นความพัฒนาการ มันค่อยเกิดค่อยเป็น อาตมาแจกพัฒนาการไว้ 10 ลำดับ อย่างคนเรียกว่าปัญญานี่ ตนต้องรู้เอง รู้สิ่งที่ตนรู้จะข้างนอกข้างในก็แล้วแต่

พัฒนาการของสังคม 10 ระดับ

1.   ตนต้องรู้เอง เข้าใจดีพร้อม แต่ยังทำไม่ได้

2.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตามแต่ทำยังไม่ได้

3.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตามแต่ทำยังไม่ได้ มีกระจายทั่วไปมากขึ้นๆ

4.   ตนเองรู้เข้าใจดีพร้อม และทำได้สำเร็จ

5.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น แต่ยังกระจายกันอยู่

6.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม มีระบบระเบียบ

7.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น เพิ่มกลุ่มมากขึ้นเป็นเครือข่าย เครือแห

8.   มีผู้รู้ตามเชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น เพิ่มมากกลุ่มหนาแน่นขึ้น ซับซ้อนสานกันเป็น เครือแห อย่างเป็นระบบ

9.   กลุ่มเครือแหทั้งหลาย รวมกันเป็นสังคมสาธารณโภคี อย่างมีระบบ หยาบ กลาง ละเอียด สัมพันธ์สานกันอยู่อย่างเข้าใจกันดี ขัดแย้งอย่างพอเหมาะ

10. สังคมสัมบูรณ์เป็นเอกภาพ โตขึ้นเป็นพีระมิด เพิ่มความสูงและมีฐานกว้าง เจริญขึ้นๆ ไปอย่างได้สัดส่วนแข็งแรงยั่งยืน สุขสำราญ

อาตมาหยิบพยัญชนะมาประกอบกับคำอธิบายเองของอาตมา ขอพูดตรงๆ ว่า คนอย่างอาตมาจะมาเกิดแต่ละยุคไม่ง่าย เกิดตามกาละที่สำคัญ มาทำหน้าที่ทำงานให้แก่โลก ค่อยๆ ศึกษาไปจะรู้ว่าอาตมาคือใคร คนไม่ศรัทธาก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือเขาก็ไปจับกลุ่มในฐานที่ควรตามฐานะ มันมีซับซ้อนเยอะ แต่ละขั้น เป็นสภาวะอยู่ในจักรวาล ในตัวเลข 1 2 3 ...10 เป็นตัวเลขสากลทั่วโลก ที่มันจะค่อยๆ จับตัว ผสมผสานกันแล้วขยายผลหรือหดลง แตกตัวไป ก็ใช้สิ่งเหล่านี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะกับโลกุตระ 7 ประการ

พุทธาภิเษกปีนี้เป็นครั้งที่ 40 ได้เกิดความอนุตตริยะเป็นความยอดเยี่ยม ที่ในยุคนี้ไม่มีใครจะมาพูดเรื่องแบบนี้กันหรอก พวกเราพูดกันสามารถพูดถึงโลกุตระได้ รู้ได้ถึงขั้นโลกุตระ 7 ประการ จะใช้ศิลปะมาเป็นตัวประเด็นก่อน

เราจะเปิดงานศิลปะโลกุตระกันวันที่ 20 จุดสำคัญของความเป็นโลกุตระ เริ่มต้นเด่นๆ คือ

1. คนไม่รู้ว่าโลกุตระคืออะไร

2. เขาเรียนรู้มาแต่เรียนรู้ผิดๆ

3. เริ่มรู้ถูกแต่เป็นตรรกะหรือปรัชญา

4. รู้ถูกแล้วแต่ทำไม่ได้หรือเราไม่ทำ คนรู้ถูกแล้วไม่ทำ มันน่าเขกกบาล

5. ทำได้แต่ไม่ยั่งยืนตั้งมั่น

6. ทำได้ยั่งยืนสมกาละ

7. มีคนทำได้เป็นมวลเป็นหมู่แข็งแรง

จะรู้ว่า โลกุตระคืออะไร? ตอนนี้ก็มีคนแสวงหา พอมาสัมผัสก็ตื่นตาตื่นใจ ว่าใช่แล้ว นี่แหละคือความหมายของโลกุตะ มันต่างจากโลกที่เราเคยเป็นเคยรู้มา จะรู้มามากมายอย่างไรคือโลกเก่า วน 1 2 3...1 2 3 อยู่อย่างนั้น จะออกมา 4 5 6 ก็แค่สูงระนาบเดียว จะไม่เกิดวังวนใหม่ จนกว่าจะ 7 ถึงจะเริ่มวังวนใหม่เป็นวงรี และ 8 9 ถึงเป็นวงกลม

คนที่แสวงหาแล้วมาสัมผัส เกิด impression น่าสนใจ กระตุ้นอารมณ์ ชักสนใจ พอมากขึ้นเป็น impressioned กระตือรือร้น

จนสภาพดีขึ้นเป็น empiricism เป็นวิธีการที่มีประสบการณ์ ค่อยๆ เห็นค่อยๆ รู้ แต่แรกจะไม่เป็นหมวดหมู่วิชาการ แต่มีสภาพจริงเกิดแล้ว จึงเรียก empiricism หรือประจักษ์นิยม หรือที่เรียกว่า phenomenon เป็นปรากฏจริงเกิดขึ้น แล้วเราก็เอาความรู้มาเรียนต่อไปเป็น philosophy phenomena เป็น phenomenology

เรากำลังตั้งใจจะสร้างวิทยาลัยแบบ phenomenology ซึ่งมีสิ่งจริงและความรู้ สองด้าน เทวธัมมา สองอย่างสมบูรณ์

พวกเราคราวนี้น่าจะมีอรหันต์เกิดขึ้นไม่ใครก็ใคร แต่อนาคามีอาตมาเห็นมีหลายคนแล้ว คำว่าอรหันต์ไม่ใช่ไปในป่านะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคมไม่ใช่ศาสนาไปป่า ศาสนาพุทธช่วยโลกไม่ใช่ไปบุกป่า เราไม่มีคดีไปบุกรุกป่านะ อาตมาไม่พาทำ อาตมาสร้างป่า แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา น้ำตกทำเองทั้งนั้น สรุปแล้วเราจะเปิดโลกอีกโดยใช้ศิลปะ ซึ่งจะกระทบไปทั้งโลก

เมืองไทยจะเป็นเมืองศิลปิน มีความรู้ทางศิลปะแท้ ไม่ใช่เอาไปหลอกคน ให้คนติดรูปรสกลิ่นเสียงลีลา หลอกกันให้ติดซ้อนจนติดสิ่งไม่รู้ แล้วหลงว่าสิ่งที่ไม่รู้นี้น่าได้น่าเป็นอีก

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา

_สสฐ.ม.4  1.การเกิดเป็นคนนั้นยากมากไหม

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่ายากมาก กว่าจะก่อตัวเป็นคนนี่ ได้เหตุปัจจัยดินน้ำลมไฟ จับตัวกันเป็นพีชะ สัตว์ สัตว์เซลล์เดียว ไม่รู้กี่เซลล์ กว่าจะมาเป็นคน เป็นคนแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง จนเฉลียวฉลาด

2.ถ้ายากทำไมเกิดกันจนจะล้นโลกเลย

พ่อครูว่า...ก็ยังไม่มากหรอก ยังรับคนได้อีกเยอะ แล้วที่มาเกิดในร่างคนแต่กลับไม่ใช่คน เป็นสัตว์นรกอาศัยร่างคนทำบาป

ในสังคมเรามีคนชั่ว แต่เขาฉลาด ฉลาดผิดฉลาดชั่ว ได้ร่างคนแต่ทำกรรมชั่ว บางคนหน้าตาสวยหรือหล่อ แต่ทำชั่ว ซวยซ้อนซวยอีก

 

_2.คนที่เรียนรู้ศาสนาอื่น มีวัฏฏะ มีกรรมบุญบาปไหม บรรลุธรรมได้ไหม

พ่อครูว่า...วัฏฏะคือธรรมชาติ มีทั้งนั้นแต่เขาไม่ได้เรียนรู้ มีบุญบาปเหมือนกันแต่เขาไม่รู้ เขาเขาใจบุญบาปไม่ครบไม่ชัด บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส บาปคืออกุศลความไม่ดีทั้งมวล บาปแยกเป็นสอง แต่บุญนี่หนึ่งเดียวคือเครื่องมือชำระกิเลส ก็ในเมื่อเขาไม่เชื่อเหมือนเรา แล้วเขาจะได้บรรลุธรรมไหม ก็ไม่ได้

 

_เติมดินพุทธ นาวาบุญนิยม ผมอยากทราบว่าการที่เราเอาชนะใจตนเองเป็นปาฏิหาริย์ไหม

ตอบ..เป็น

 

_บุญนิยมทีวี มุมการถ่ายภาพก็ดีมากขึ้น ไม่ว่าภาพมุมสูงก็ดีแต่ระบบเสียงไม่ค่อยดี ขึ้นๆลงๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โคตรภูญาณเหมือนปรทัตตูปชีวีไหม

_คำว่าโคตรภูญาณมีความหมายอย่างไร  เหมือนปรทัตตูปชีวีไหม จากอุตุเลื่อนขึ้นเป็นพีชะ ถ้าใช้ปรทัตตูปชีวี พีชะเลื่อนเป็นจิตนิยามก็เรียกปรทัตตูปชีวี โคตรภูญาณสามารถใช้เรียกจิตของผู้ที่จะเลื่อนขึ้นเป็นโสดาบัน จากโสดาบันเลื่อนเป็นสกิทาคามีก็เรียกเป็นโคตรภูญาณได้ไหม

พ่อครูว่า…ได้ โคตรภูซ้อนโคตรภู จากโสดาบันเลื่อนเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็มีโคตรภูญาณ โคตรภูจิต มันมีสามโคตรภู

1. โคตรภูบุคคล หมายความว่าคนปฏิบัติธรรมแต่ยังไม่เกิดผลจิตผลญาณ จิตและญาณยังไม่บรรลุ ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่

2. โคตรภูจิต จิตเกิดผล ลดกิเลสได้ 

3. โคตรภูญาณ ญาณคือความรู้ รู้ว่าจิตเป็นอย่างนี้ รู้ว่าจิตลดกิเลสได้ จึงมีสามซ้อน โคตรภูบุคคล โคตรภูจิต โคตรภูญาณ แล้วลักษณะสามก็มี ตัวเรา สิ่งที่ถูกรู้ ตัวที่ถูกรู้นั้นเปลี่ยนแปลงกิเลสลด ซ้อนสามไป

ทีนี้ถามซ้อนว่า โคตรภูญาณ เหมือน ปรทัตตูปชีวี ไหม

ปรทัตตูปชีวี คือยังอาศัยสิ่งอื่นถึงจะเจริญได้ พวกคุณเป็นปรทัตตูปชีวีกับอาตมา พวกคุณต้องอาศัยอาตมาอยู่ ปรทัตตูปชีวีหรือเปรตต้องอาศัยผู้อื่น ตนเองอาศัยตนเองไม่ได้ ก็ต้องอาศัยผู้อื่น อาศัยความรู้ความเข้าใจ อาศัยสิ่งที่จะต้องรู้ก่อนแล้วปฏิบัติให้ได้ ปฏิบัติได้ก็เกิดปัจเจก ปัจเจกมากมากเข้าก็สยังอภิญญา เป็นตัวเราเอง

ปรทัตตูปชีวี จะต้องมีธาตุรู้ของตัวเองและยังอาศัยผู้รู้อื่น เพราะความรู้ที่เป็นอนุตตรจิตนี่รู้เองไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่นมาเป็นปรทัตตูปชีวีก่อน แล้วจึงจะมาของเราเป็น ของเรามี แล้วจึงถ่ายทอดให้คนอื่นได้ เราก็เป็นปัจเจกหรือสยังอภิญญา

ผู้มาทีหลังก็เป็นปรทัตตูปชีวีทั้งนั้น แล้วถ้าได้ถึงขนาดเป็นธรรมสามีนั้น ก็คือพระพุทธเจ้า อาตมาก็ยังเป็นปรทัตตูปชีวีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้อาตมา มันซ้อนๆ

คือผู้ยังอาศัยอื่นต่อนี่คือ ปรทัตตูปชีวี ตนเองเป็นไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่น ใครจะหยิ่งผยองว่าตนไม่พึ่งใครก็อีกแขนงหนึ่งเลย ศาสนาพุทธไม่ใช่ ถามมาลึกดี นานๆ ก็ตอบทีสิ่งลึกๆ

 

_ทำไมมนุษย์ถึงบินไม่ได้ ทางโลกเขาตอบว่าไม่มีปีก แล้วทางธรรมหลวงปู่จะตอบอย่างไร

พ่อครูว่า...เราไม่ต้องไปอาศัยอะไรที่ใช้ปีกหรอก อาศัยลม อาศัยความแน่นของอะไรต่างๆ อาศัยความโน้มถ่วงของแกนโลก อะไรก็แล้วแต่ ของพุทธไม่เอา

 แต่เอาละเอียดกว่านั้น ไม่ต้องอาศัยปีก เหาะได้ลอยได้เลย คือจิตวิญญาณ ถามว่าทำไมเหาะไม่ได้ ก็คือไม่ถึงจิตวิญญาณ ทำจิตวิญญาณสิแล้วไม่ต้องอาศัยปีก เหาะได้ ลอยได้ เร็วกว่าแสง ไปได้ถึงไหนๆ ทะลุกำแพงฝาได้ด้วย ไม่มีที่กั้น ไม่มีที่กำหนด จะเหาะไปทางไหน ได้หมด เอาอันนี้ดีกว่ามั้ย 

 

_ผมอยากรู้ว่าทำไมคนเราต้องอยากได้นิพพานด้วยครับ แล้วนิพพานคืออะไร?

พ่อครูว่า… คนอยากได้นิพพานนั้นคือคนมีปัญญา คนไม่อยากได้ก็คือคนโง่ ทำไมคนไม่อยากได้ เพราะเขาไม่มีปัญญา แล้วถามอีกว่า นิพพานคืออะไร? นิพพานคือคนที่บรรลุธรรมพ้นทุกข์ เป็นคนประเสริฐมีคุณค่า ไม่มีภัยต่อมนุษยชาติ แล้วรับใช้โลก นี่คือคุณสมบัติคนเป็นนิพพาน ถ้าไม่ตายสลายเป็นอุตุธาตุ ก็จะอยู่เป็นชีวะของมนุษย์แล้วรับใช้โลก เป็นอรหันต์ คนฉลาดจึงอยากได้นิพพาน อยากเป็นมนุษย์ที่มีอรหัตตผล เป็นมนุษย์มีนิพพาน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นามรูปเป็นอย่างไร

_นามรูปเป็นอย่างไร?

พ่อครูว่า… “นาม” คือสิ่งที่มีธาตุชนิดหนึ่งในสัตว์โดยเฉพาะในคนที่รู้อะไรได้เรียกว่านาม สิ่งที่ถูกรู้คือ “รูป” มันซ้อนกันอยู่

คนที่มีนามก็ต้องเรียนสิ่งที่ถูกรู้ เรียนรู้ช้างม้าแก้วมณี ทองคำ รู้คน มันก็รู้สิ่งหยาบ แต่ถ้าได้รู้สิ่งละเอียด จนกระทั่งถึงอาการเคลื่อนไหวของนามธรรมซ้อนในจิต เรียกว่าอาการ อาการที่ชั่ว อาการที่ดี จิตเรานี่มันเคลื่อนไหว แล้วเรียนรู้อาการที่ชั่ว เลิกอาการชั่วจนไม่เกิดอีก สร้างให้ไวแต่อาการที่ดี ใช้แต่อาการดี ก็เป็นคนเกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นเรียนรู้นามธรรมจนกระทั่งถึงอาการเท่านั้น รู้อาการชั่วดี แล้วปฏิบัติเพื่อให้เราได้สิ่งที่ดี ที่ไม่ดีขจัดออก นี่คือสูงสุดของนามรูป

 

_ถ้าพ่อครูต้องเข้าร่วมฐานงานกับเพื่อนที่รักมากๆ กับเพื่อนที่ไม่ชอบใจมากๆ

พ่อครูว่า...ตอบก่อนว่าอาตมาในชีวิตไม่มีใครที่รักมากๆ และเกลียดมากไม่เคยมี

 

_รักมากเลิกยากเกลียดมากได้ผัสสะ

พ่อครูว่า...ใช่

 

_เวลาเราพูดคำหยาบแต่ใจเราไม่หยาบ ผิดศีลไหม

พ่อครูว่า...ผิด ถ้าเรารู้ว่าพูดหยาบ พูดโดยไม่ได้คิดอย่างไร คนต้องคิดก่อนพูด จิตต้องมาก่อน พูดโดยไม่มีจิต เรายังตามจิตไม่ทัน จะหยาบหรือไม่เราต้องรู้จิตเรา รู้วจีสังขารก่อนภายใน ก่อนพูดออกมาจากปากเป็นวจีกรรม ต้องตามไปรู้สังกัปปะ 7 ต้องรู้พลังงานที่มันสังเคราะห์ออกมาเป็นวจีสังขาร ต้องรู้ตรงนั้น ว่ามันหยาบหรือไม่หยาบ ต้องรู้ให้ทันในสังกัปปะ 7 ของเรา

 

_ตอนนี้หนูอยู่ม.6 หนูอยากรู้ว่า หลวงปู่อ่านสาระนิพนธ์พวกหนูทุกเล่มไหมคะ แล้วรับกลดตอนไหน

พ่อครูว่า...ไม่ได้อ่านหมด แต่ใครโชคดีก็ได้หยิบอ่าน รับกลด 2 เม.ย. นี้

 

 

_หลวงปู่คิดอย่างไรถึงให้อโศกมีงานเยอะๆ เพราะกลัวฟุ้งซ่านใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...1.กลัวฟุ้งซ่านก็ถูก มีงานซะก็ไม่ฟุ้งซ่าน  2. เราไม่ได้สร้างงานมากเอง แต่งานมันเยอะเพราะสังคมและความจำเป็น  ขนาดงานมากแต่งานเราไม่ไร้สาระสักอย่าง เท่านี้ก็น่าพอใจนะ แต่คนมาทำงานยังไม่พอ มีแต่งานตกคน งานเรามีแต่งานดีๆ เพื่อมนุษยชาติทั้งนั้น นี่คือแดนเจริญ ถ้าแดนใดคนตกงานแดนนั้นเสื่อม

 

_อนุตตริยะ 6 กับอนุตตริย 3 สัมพันธ์กันอย่างไร

พ่อครูว่า...คือ 6 นั้นเริ่มที่เห็นทัสสนะเหมือนกับ 3 เริ่มสัมผัสแรกก็น่าสนใจ สองคือสวนา คือมาใกล้มาฟัง แล้วได้มาเป็นลาภ ก็จะศึกษาสิกขา ปฏิบัติตามจนได้ผล แล้วเราก็เริ่มสัมผัสใหม่ ทัสสนะ แล้วเงี่ยโสตสดับอีก เอาไปทำเกิดผลก็มาระลึกทบทวนแล้วทำใหม่อีก มีลำดับ

 

_ทำไมคนเราต้องมีทุกข์ สุขเสียใจ เศร้าโกรธรัก

พ่อครูว่า..โง่ ไม่เข้าใจว่ารักคืออะไร รักคือสัมพันธ์และช่วยเหลือกัน สาราณียะ ระลึกถึงกัน รักไม่ใช่ผูกพัน แต่เป็นสัมพันธ์อันดี ไม่ติด แต่แตะ ทำงานร่วมกันเป็นประโยชน์แก่กัน ไม่ผูกพันห่วงหาอาวรณ์ พิรี้พิไร อันนั้นเป็นพลังงานซ้อนโง่ ให้เรียนความรักสิบมิติจะเข้าใจได้

 

_หนูเอาครีมทาผิวมา แต่หลวงพ่อไม่ให้เอามา ในงานนี้ ความผิดคือขัดคำสั่งไม่เชื่อฟังโทษหนักขนาดไหนคะ

พ่อครูว่า...หนักแค่ไหน หนึ่งถือมาก็เป็นภาระ สองถ้ามันจำเป็นต้องเอามาเพราะว่าผิวเรามันเป็นโรค รำคาญก็ว่าไป แต่ถ้าเอามาทาเพราะสวยก็ซวยหน่อย กิเลสซ้อนใหญ่ผิดมาก แต่ถ้าเราทาเพราะเป็นประโยชน์ก็เอามา หลวงพ่อไม่เข้าใจ แต่ก็ดื้อหลวงพ่อ

 

_กรณีคุรุผู้หญิงให้นร.ชายช่วยนวดฝั้นให้คลายเมื่อย จะเหมาะสมไหมคะ

พ่อครูว่า...ไม่เหมาะสม หาผู้หญิงด้วยกันนวดเถอะ

 

_เมื่อเรารู้สึกไม่พอใจคนที่เราไม่ชอบ (เธอแสดงออกชัดให้เห็นทางพฤติกรรม) เราจะต้องทำอย่างไรจึงมีจิตดีกับเขาได้

พ่อครูว่า..จิตไม่ดีตัวเองก็รู้ ที่พูดมานี้ เขาไม่ดีก็เป็นของเขา เราก็ปล่อยวาง เราไม่มีทางแก้ทำให้เขาดีขึ้นได้ สุดวิสัย แต่ถ้าช่วยได้ก็บอกเขาสิ แต่ถ้าช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ฐานะก็ต้องวาง กรรมใครกรรมมัน วิบากใครวิบากมัน พฤติกรรมใคร

พฤติกรรมมัน สุดท้ายก็ต้องวาง แล้วก็ต้องใจดีกับเขา สงสารเขา เรามองว่าเขาไม่ดี แต่เขาดีไม่ดียังไม่รู้ วางใจอย่าไปโกรธไปชัง ดีไม่ดีก็เป็นของเขา เราต่างหากไปตัดสินว่าดีไม่ดี ใครบอกคุณว่าถูกผิด คุณอาจตัดสินผิดก็ได้

เพราะฉะนั้น จบที่เค้า และก็จบที่เราต้องวาง

 

_โลกียะ โลกุตระ โลกานุกัมปายะ แตกต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...โลกียะ คือเรื่องของคนโลกๆ ที่มีทุกข์ ไม่มีปัญญารู้เหตุแห่งทุกข์    เขาก็ทำอย่างนั้นอยู่ อยากได้ อยากมี อยากเป็นแย่งกันอยู่ เรียกว่า โลกียะ

โลกุตระ คือรู้แล้วก็ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็นตามเหมือนคนอื่นๆ ที่อยากอยู่ โลกุตระเลิกได้จริงๆ โลกานุกัมปายะ คือคนโลกุตระนี่แหละ คนที่เลิกได้นี่แหละ แล้วช่วยคนโลกียะได้อีก เป็นคนที่หลุดพ้นแล้วก็ไปช่วยเขา

 

_ทักษิณจะได้เกิดเป็นคนอีกไหม

พ่อครูว่า...ไม่ได้เกิดเป็นคนอีก พยากรณ์เลย เพราะชั่วมากเกินไป จริงๆ ทักษิณควรหยุดมานานแล้ว นี่แหละคือชั่วมาก เค้าโกงมามากนี่ก็ชั่วแล้ว โกงแล้วหยุดไปใช้เงินที่โกงมาก็ไม่ได้ทำชั่วต่อ แต่เค้าไม่หยุด กระทบผู้อื่นเกิดพยาบาทเดือดร้อนวุ่นวาย เค้าก็เลยชั่วหนัก นรกจึงซ้อนเยอะเหลือเกิน แพ้ไม่เป็น หยุดไม่เป็น ยิ่งชั่วใหญ่เลย  คนที่ชนะมาเกือบทั้งโลกแต่เขาไม่สามารถชนะทั้งโลกได้สมบูรณ์แบบเพราะสุดท้ายแล้วเขาแพ้ไม่เป็น

 

_เรามีกิเลสแล้วเราจะไม่ให้กิเลสทำเราผิดศีลได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ถามง่ายๆ ว่ากิเลสชั่วหรือไม่ ก็ชั่ว เราก็อย่าให้เกิด กดข่มหรือสลัดทิ้งให้ได้

 

_ทำไมคนสมัยก่อนต้องพูดคำหยาบ

พ่อครูว่า..คนสมัยก่อนไม่พูดคำหยาบ แต่พูดคำตรง อย่างหลวงปู่ว่าตรงๆ ไปว่าคนผิด หลวงปู่ไม่ว่าคนถูกหรอก แต่เมื่อคนผิดถูกว่า มันก็แรง มันแรงนี่ภาษาอีกนัยว่าหยาบ เมื่อต้องตำหนิก็ต้องตำหนิสิ่งผิด กระทบคนผิด ก็เลยแรง

 

_แล้วทำไมหลวงปู่ต้องบวช

พ่อครูว่า...ทำไมหลวงปู่ต้องบวชมันเป็นหน้าที่ที่ต้องมาทำงานทางนี้ ปางนี้หลวงปู่ต้องมาเป็นนักบวช ส่วนอีกคนไม่ได้ทำหน้าที่นักบวชคือส.ศิวรักษ์ สามเส้าของประเทศไทย ในปางนี้ มีโพธิรักษ์ มีส.ศิวรักษ์ และมีในหลวง ในหลวงเป็นพระพรหม ส.ศิวรักษ์เป็นนักปราชญ์

 

_คนที่มีทรัพย์สมบัติน้อยชิ้นคือศิลปะใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ ศิลปะคือทำให้น้อยอย่าง มาหาหนึ่งจะได้เบาภาระ

 

_คำว่าสังฆราชแปลว่าอะไร ทำไมต้องมี มีทำไม

พ่อครูว่า...ราชะคือเป็นใหญ่ สังฆ แปลว่าหมู่ แต่พระพุทธเจ้าสั่งไว้ว่าอย่าตั้งใครให้เป็นใหญ่ แต่ให้เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าไปเอาคนเป็นใหญ่ คำว่าผู้เป็นใหญ่ในหมู่สังฆราชะตั้งไม่ได้ ตั้งแล้วผิด สังฆราชแปลว่าผู้เป็นใหญ่ในหมู่ แล้วทำไมต้องมี ก็โง่ ขัดคำสั่งพระพุทธเจ้า 

 

_ศาสนามีความสำคัญมาก ให้คนดีประเสริฐเป็นอนุตตริยะหาอะไรมาแย้งไม่ได้ จึงสำคัญต่อมนุษย์

 

_ถ้าเราเกลียดใครมากๆ จนอธิษฐานว่าอย่าให้เจออีก แต่ถ้าเจอก็ขอให้ทำร้ายเขาก่อนหรือทำร้ายเขาฝ่ายเดียว จะแก้ไขจิตได้ไหม หนูก็รู้ว่าไม่ควร

พ่อครูว่า...นี่คือเห็นแก่ตัวจัดจ้านหลายชั้น เราต้องตั้งจิตใหม่ว่า ชาติหน้าแม้จะเจอก็อภัยกันแล้ว ชาตินี้ก็ทำใจอภัยแล้วเลิกเสีย แม้เราจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตมากี่ชาติก็หยุดก่อน ผู้หยุดก่อนคือผู้ชนะ พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลีมาลว่า เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด

 

_คนที่ทำผิดเพื่อดำรงชีวิต เช่น คนที่ขโมยของกินเพื่อประทังความหิว เลวกว่าคนที่หยาบช้ายิ่งกว่าสัตว์ใช่หรือไม่?

พ่อครูว่า...ไม่หรอก คนมีใจหยาบช้ากว่าสัตว์เลวกว่าคนไปขโมยของกิน

 

_ความรักเปรียบกับอะไร?

พ่อครูว่า..ไปศึกษาความรัก 10 มิติ

 

_โลกยุคนี้เข้ากลียุคหรือยัง?

พ่อครู...ขณะนี้ใกล้กลียุคมาก ยังไม่ถึงทีเดียว หลายประเทศจะเจอวิกฤติร้ายแรงทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งคนในชาติ ร้ายแรงเลวร้าย ฆ่าแกงทำร้ายโหดเหี้ยม ตามวิบากของเขา ส่วนบางประเทศ เช่น ไทย ธรรมชาติไม่วิกฤติเท่าประเทศอื่น คนในประเทศไทยก็ไม่โหดร้ายเท่าประเทศอื่น ยุคนี้เป็นกาละอย่างนั้น

 

_จิตนิยามคืออะไร

พ่อครูว่า...คืออาการของพลังงานที่รวมตัวกันเป็นสัตว์มนุษย์ มีความรู้สึกเรียกว่าเวทนา รู้สึกชอบ ชัง รัก โกรธ สัตว์มีจิตนิยามแล้วก็จะมีอาการอย่างนี้ รัก โกรธ ทำร้ายเขา ส่วนพีชะไม่ทำร้ายใคร ไม่มีชอบชัง เป็นพลังงานพืชหรือพีชะ ต่างกันอย่างนี้

 

_เพื่อนก็เหมือนต้นไม้ ยิ่งนานมิตรภาพยิ่งยั่งยืน แต่ทำไมเพื่อนบางคนเป็นศัตรูกัน

พ่อครูว่า...ก็เพราะโง่ไง อยากหายโง่ก็เลิกเป็นศัตรูกับใคร

 

_ที่ว่าพืชไม่มีเวทนา แล้วกรณีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงกินแมลง ก็กินโดยสัญญาไม่เป็นกรรมของพืช แต่แมลงได้รับวิบากเองใช่ไหม แล้วพืชอย่างนี้จะเป็นจิตนิยามได้ไหม

พ่อครูว่า..ถูกต้อง ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงกินแมลงเป็นภาวะของมันมันก็ไม่รู้ ทำตามสัญญาของมัน ไม่เป็นกรรมแต่แมลงรับวิบากเอง แล้วพืชอย่างนี้จะเป็นจิตนิยามได้ไหม?...ยังไม่ได้ จะอยู่อย่างนั้นนาน

 

_ถ้าเราล้างอุปาทานไม่ได้จะทำอย่างไร ผมอุปาทานว่าผีหลอกตนเองเสมอ

พ่อครูว่า...ทำความเข้าใจให้ชัด ทำปัญญาให้แจ้ง ผีคืออะไร ผีคือสิ่งไม่ดีในตัวเรา แต่ถ้าไปเข้าใจว่าผีคือสิ่งที่อยู่นอกตัว แล้วมาหลอกเรา แหกปากแหกคอ ผีอย่างนั้นไม่มี ทำความจริงให้ได้ พิสูจน์เลย ถ้าเรายังกลัวผีข้างนอก เรายังโง่ตลอด

เดินไปเข้าเลย เวลาเปลี่ยวๆ ไปพิสูจน์ 3 ครั้ง 5 ครั้ง จะรู้เลยว่าไม่มี หลอกตัวเอง ที่เห็นนั่นเรียก มโนมยอัตตา สร้างปั้นมาลมๆ แล้งๆ เป็นอุปาทาน

 

_อาชีวะบ้านราชฯผู้หญิงสามารถเรียนยานยนต์ได้ไหม

พ่อครูว่า...หลวงปู่มีหลานคนหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไปเป็นอเมริกันชนแล้ว จบวิศวะ จุฬา ยานยนต์ เป็นช่างเครื่องบิน ตอนนี้ทางรร.เราก็แล้วแต่คุรุ ว่าจะมีไหม เป็นเรื่องฝากไว้

 

_ถ้าคนเราโดนด่าแรงๆแต่เขาไม่เจาะจงบุคคล แสดงว่าเราผิดอย่างเขาว่าแล้วมันรู้สึกโกรธเขามากๆ เราไม่กล้าตอบเพราะว่าเขาเป็นรุ่นพี่

พ่อครูว่า...เราไปรับเอาเองแสดงว่าเราผิดอย่างเขาว่า ก็ยังไม่มีวิปัสสนา เรารู้ตนเองว่าผิด เขาด่ากลางๆ เราโดนเอง เราจะไปทำเขาได้อย่างไร เหมือนหลวงปู่พูดกลางๆไม่ได้ด่าใครนะ แต่เขาผิดจริงก็เลยโดน

 

_หนูกับกิเลสเป็นหนึ่งเดียวกันไหม เพราะบางทีมันเหมือนเป็นสองเช่นวันหนึ่งเดินไปเหยียบกิ่งไม้ ก็คิดว่าเป็นผี อีกใจก็คิดว่าเป็นกิ่งไม้ตกลงคืออะไร

พ่อครูว่า...จับให้มั่นว่าคืออะไร สังเกตอ่านความจริงให้มั่น ให้ชัดว่าคืออะไร

 

_ถ้าเปรตคือผู้อาศัยผู้อื่นแล้วสมณะก็คือเปรต แต่เป็นเปรตที่ไม่ได้หยาบ โดยอาศัยอาหารเลี้ยงชีพโดยไม่ได้อยาก ให้ชีวิตสันตติต่อได้ใช่ไหม 

พ่อครูว่า...ใช่ เด็กเราใช้ภาษาได้ขนาดนี้นะ เพราะปรปฏิภัทธาเมชีวิกา คือการเลี้ยงชีพเนื่องด้วยผู้อื่น แต่ซ้อนที่ว่าเราเอาอาหารเลี้ยงขันธ์เราก็ต้องให้ความรู้เขาได้ แต่ถ้าไม่ให้ก็ค้างเป็นหนี้ มาบวชแล้วต้องหาความรู้เพื่อตอบแทนเขาไม่เช่นนั้นเป็นหนี้ต่อไปนะ

 

_คนที่อยากหมดกามคือคนฉลาดใช่ไหม

พ่อครูว่า...ก็ใช่

 

_การปฏิวัติพุทธศาสนาคืออะไร

พ่อครูว่า…คือจัดการคนที่ทำให้ศาสนาเสียหาย จัดการให้หยุด อย่าให้ต่อ อย่าให้อยู่ในวงการศาสนาประเทศไทย จัดการเลยผู้มีอาญาสิทธิ์ เพราะซ้อนในสายศาสนา ไม่มีใครไปจัดการคนที่ขึ้นมาใหญ่ขนาดนี้ได้นอกจากอำนาจรัฐ

 

_การแปรสภาพอุปาทานเป็นพลังงาน และแปรพลังงานเป็นความสามารถทำอย่างไร

พ่อครูว่า…อุปาทานคือความยิึดติด เราก็คลาย อย่าให้มันยึด เอาพลังงานนั้นมาใช้ พลังงานยึดมันก็จะไปเกาะแน่น พอเราไม่ยึดเราก็จะมีพลังงานนั้นมา ก็เอาพลังนั้นมาทำ อะไรที่เรารู้ อะไรที่เราฝึกศึกษา พลังงานนั้นก็มาช่วยให้เราฝึกศึกษาดีขึ้น มันก็เจริญ

แทนที่จะไปยึดนิ่ง ไม่ทำอะไร พวกนั่งสะกดจิตอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร ไม่มีพลังงานที่จะเกิดการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเราก็เอาพลังงานมาแปรทำสิ่งที่ควร อย่าไปยึดอุปาทานยึดนิ่งเกาะอยู่ เอาออกมาทำอะไร จะเกิดการพัฒนา

 

_ทำอย่างไรจะลดกิเลสได้เบาบางลง และให้คนรอบข้างมีสุขยิ้มแย้มแจ่มใส

พ่อครูว่า...หลวงปู่ก็สอนให้ฟังให้ดี อธิบายไปเป็นลำดับแล้ว ฟังแล้วก็เข้าใจก็ทำ ทำได้ลดได้คนรอบข้างก็จะมีสุขยิ้มแย้ม

 

_เดินเท้าเปล่าดีอย่างไร

พ่อครูว่า...เดินเท้าเปล่าเท้าจะได้สัมผัสของจริง เราจะรู้สึกทันที ถ้าใช้รองเท้ามันก็รับแทนเท้าไม่รู้สึก และเดินเท้าเปล่าได้นวดฝ่าเท้าด้วย ถ้ามีแผ่นรองเท้าก็ไม่ได้นวดเท้า คนที่ทำรองเท้าขายถึงทำปุ่มๆ ซ้อนใน เท้าเปล่าได้รับความรู้สึก เจ็บ แรง เบา จะเข้าใจ จะรู้ที่นี่เปียก เปื้อน เลอะ ไม่เลอะ ที่นี่ควรหรือไม่ควรเหยียบ ให้เราฝึกหลายนัย

 

_คำหยาบใครเป็นคนเริ่ม

พ่อครูว่า...คนโง่เป็นคนเริ่ม

 

_การที่จะสามารถหลุดพ้นจากภาวะกดดันจากเหตุทั้งนอกและในด้วยหลักธรรมใด

พ่อครูว่า...แบ่งทำไปตามลำดับ ปริตตัง ได้แล้วจะมีพลังไปช่วยอันอื่นอีก

 

_ทำอย่างไรจะหลุดพ้นจากอิตถีภาวะเป็นปุริสภาวะ

พ่อครูว่า...ก็ทำตามที่สอนนี่แหละ

 

_ดิฉันรู้จุดอ่อนแอของสุขภาพตนที่ไม่สมบูรณ์ทำให้รู้ว่า ร่างกายนี้ควรมาอยู่ที่ศาลีให้แข็งแรงก่อนแล้วค่อยไปอยู่ที่บ้านราชฯ บัดนี้สัมผัสมิตรดีสหายดี และสัมผัสคุณความดีของพ่อครูและหมู่กลุ่ม ประมาณแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า ก็ขอกราบขออภัยพ่อครูที่ผิดคำพูด อย่างนี้เป็นสัญญาไม่เที่ยงหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...ใช่แล้ว ก็ทำตามเหตุที่สมควร

 

การตอบปัญญาแม้แต่เด็กถามก็มีลักษณะใช้ได้ ขนาดนี้ของสังคมเราจึงเป็นสังคมไม่ธรรมดา มีสิ่งที่สูงกว่าเกณฑ์ไม่ใช่เล่นเลย...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:25:00 )

590226

รายละเอียด

590226_รายการตอบปัญหาอันยอดเยี่ยม 2 (ข่าวอโศก)

26 ก.พ. 59 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 40 ที่ไพศาลี

สรุปแล้วคุณจะช้าอีกกี่ชาติ ชาตินี้จะมาไหม ถ้ามา จะผลัดผ่อนอีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน อย่าหาว่าอาตมาเร่งรัดนะ ลูกเอ๋ยราชธานีอโศก พ่อลงทุนถากถางไว้ให้ ไปเถอะ ศีรษะอโศกก็ยังมีที่ให้ไป สันติอโศกก็ได้ถ้าเราถูกโฉลกกับในเมือง หรืออยากขึ้นป่าเขาภูผาฟ้าน้ำก็ไปได้ อยากจะไปทะเลก็ไปได้ ชเลขวัญยินดีต้อนรับอยู่ หรือจะไปธรรมชาติอโศกมีที่เป็นร้อยๆไร่มีมังคุดทุเรียนผลไม้ให้เก็บ จะไปทางตะวันออกตะวันตกทางเหนือทางใต้เราชอบที่ไหนก็ไป จะช้าอยู่ใย ถามจริงๆ ถ้าคิดว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกเรามาไหม ...ทำไมรู้ใจอาตมา

ถ้าเชื่อว่าอาตมาอยาก อาตมาอยากให้พวกคุณจมในโลกีย์ไหม...ก็ไม่ พวกคุณนี่รู้ใจอาตมาทำไมเก่ง...เก่งจริงหรือเปล่า….ไม่?

ถามอีกเมื่อคุณรู้ใจอาตมาแล้วคุณรักอาตมาไหม ...แล้วตามใจอาตมาได้ไหม….ได้ ตอบง่ายดี...โกหกหรือเปล่า? คนที่มาได้ก็พูดได้ แต่คนมาไม่ได้ก็พูดไม่ได้ แต่เสียงคนมาได้นี่พูดเยอะกว่า ก็เลยดังแต่แสดงว่าคนที่มาแล้วทำเสียงข่มคนอื่น มาแล้วอย่าออกไปนะ ระวังหมาจิ้งจอกเลียบเคียงข้างๆนะ

คุณจะตายวันตายพรุ่งไม่รู้ง่ายๆ จะช้าอยู่ใย อ่านของดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา ดช.นะโม อีกที

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่มีโลกีย์สูง ผู้นี้จะเป็นผู้มองไม่เห็นค่าของเวลาที่เปลี่ยนทุกวินาที และที่สำคัญคือวินาทีที่ผ่านไป มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งแน่นอน ผู้นี้ย่อมไม่รู้จักกับปัจจุบันอย่างแน่นอน

ผู้นี้ย่อมไม่เจริญอย่างแน่นอน เพราะมีภพอยู่กับความไม่จริง ความไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่นอน จิตจมอยู่กับอดีต และเพ้ออยู่กับอนาคต ไม่รู้ความจริงตามความจริง ผู้นี้ย่อมไม่มีสัจจะ มีแต่ความไม่รู้ และอวิชชา(ไม่เรียนรู้อดีตในปัจจุบันและหลงในวิปลาส 3)

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่เป็นโลกุตระ ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางของโลกุตระ ผู้นั้นย่อมเรียนรู้ศึกษาปัจจุบันที่เป็นสัจจะ เป็นความจริงอันสูงสุดของพุทธ ที่ทำได้ยากยิ่ง

ซึ่งผู้ที่รู้จักกับปัจจุบันได้นั่นแหละคือ อาริยชนผู้เจริญ(โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์)

ผู้นี้จะรู้สึกว่าเวลาบนโลกช่างเร็วเหลือเกิน

เพราะรู้ว่าชีวิตนี้น้อยนักชีวิตนี้สั้นนัก และยังคิดที่จะพัฒนาให้จิตสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เวลาของผู้นี้จึงเร็วก่าปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส เพราะผู้นี้อยู่กับปัจจุบันที่เป็นสัจจะเท่านั้น มีแต่ปัจจุบันที่จะสามารถสร้างกรรมได้ ดังนั้น ทุกเศษเสี้ยววินาทีคือบุญ ผมเข้าใจถูกไหมครับ

(นโม ดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา  ม.1 สส.ฐ.)

 

นี่เป็นนิมิตอย่างหนึ่งของสังคมนี้ เด็กคนนี้ เขาเรียบเรียงคำของเขาแบบนี้ลอกเลียนแบบไม่ได้ง่ายๆนะ อาตมาก็ไม่แน่จะเรียบเรียงได้อย่างนี้นะ ทุกคนโตกว่าเด็กชายคนนี้ พากเพียรเถิด มีสัตบุรุษที่จะพูดให้เราฟัง ที่นี่ไม่ปิดกั้น มีส่ิงต่อทอดนำพาเป็นคณะหมู่มวล ที่นี่มีมิตรดี สหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดี

ถ้าชีวิตเราจะไปนิพพานอย่าไปหลงโลกธรรม หลงอัตตา ที่เราทำมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้จะจมอีกต่อไปไหม ชาตินี้เราก็ต้องตรวจตัวเองแน่ๆ ถ้าเราจะเอาแบบโลกๆก็ไปให้สุดลิ่มทิ่มประตูเลย แต่ถ้าจะเอานิพพานดีกว่า มีตัวตัดสินของคุณว่ามานิพพานดีกว่าก็มาเลยทุ่นแรงเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:25:52 )

590229

รายละเอียด

590229_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ผู้ยอมแพ้เป็นคือผู้ชนะที่แท้จริง

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 29 ก.พ. 59 ไม่ใช่วันที่จะมีง่ายๆ มี 4 ปีครั้งหนึ่ง จะทำอะไรให้ได้ดีๆ นะ ผมก็เป็นบัวปริ่มน้ำก็จะพยายามเป็นบัวพ้นน้ำให้ได้ ไม่เป็นเหยื่อเต่าปลา เมื่อครู่นี้มีเหตุก่อนเข้ารายการ ในมือผมมีหนังสือศิลปะหรืออนาจาร ศึกษากรณีภาพยนตร์ไตตานิก พอดีมีเล่มเหลือที่พ่อครูให้ผมมาเมื่อครู่

เมื่องานพุทธาฯ ที่ผ่านมา มีการพูดประเด็นเรื่องศิลปะ ซึ่งก็มีสองทิศทาง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะต้องมีคุณค่าทางจิตวิญญาณ

พ่อครูว่า...ศิลปะมันเป็นคู่ของการพัฒนา คำว่าศาสตร์และศิลป์เป็นคู่กันมาเป็นธรรมะ 2 ถ้าสิ่งหนึ่งมีแต่ไม่มีอีกสิ่งหนึ่งก็จะพัฒนาไม่ขึ้น ก็จะอยู่กับที่หรือถอย แต่สิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้วจะพัฒนาขึ้นเจริญขึ้น ถ้ามีธาตุรู้ระดับจิตนิยามขึ้นไปก็ได้ตัวที่พัฒนาขึ้นมาเป็นธาตุความรู้

ความรู้นั้นคือความรู้ชนิดหนึ่ง ถ้ามันตรงก็จะรู้แต่อันนั้น เหมือนกับความเจริญของพีชะ ที่รู้ว่าความเจริญของมันจะเกิดขึ้นได้เพราะธาตุอะไร ก็เอาแต่ธาตุนั้นมาสังเคราะห์ในตนเอง ไม่เพิ่มเติมอะไร

แต่ถ้ามันเอาอันอื่นมาผสมก็จะได้เพิ่มเป็นของใหม่ขึ้นมา ถ้ามันเพิ่มขึ้นมาเปลี่ยนแปลงพัฒนาโดยไม่รู้ตัวก็เป็นความรู้ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ

แต่ถ้าใครสามารถรู้ว่าการจะพัฒนาสิ่งนี้ทำสิ่งนี้บวกสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเป็นความเจริญที่เห็นว่าเป็นความเจริญในความหมายอะไร เกิดความรู้และเจตนาสร้างขึ้นมาก็จะได้เพิ่มขึ้น อันนี้ศึกษาเพิ่มเติมเป็นความรู้ที่ยิ่งขึ้น นี่แหละคือศิลปะ เพราะฉะนั้นศิลปะก็เกิดเจริญในตัวความหมาย ศิลปะเกิดเป็นความพอดี มากไปหรือน้อยไปหรือรู้จักการซิกแซ็กเพิ่มเติมขึ้น จนกระทั่งรู้ว่าประมาณให้เป็นสัปปุริสธรรม 7 ประการได้อย่างไร นี่แหละคือความเป็นศิลปะที่จะใช้ในโลก

อ.กฤษฎาว่า...ศิลปะในอดีตที่ถูกสร้างในอดีตหรือที่จะทำกันมาใหม่นี้ จะทำอย่างไรให้เข้าสู่เป้าหมายการลดละกิเลส มองศิลปะใช้อย่างไรเพื่อการพัฒนาตนเองสู่ความหลุดพ้น

พ่อครูว่า...เราจะต้องเข้าใจว่าศิลปะคืออะไรก่อน ศิลปะคือความรู้ที่มีความรู้ยิ่งในการที่จะประมาณคือสัปปุริสธรรม 7 ประการ ผู้ใดที่มีสัปปุริสธรรม 7 ประการนั่นแหละคือศิลปินเอก ที่จะจัดองค์รวมประสมรูปนามต่างๆ ผสมธรรมะ 2 ในโลกนี้

แม้เราจะผสมส่วนอุตุนิยามคืออิฐหินดินปูน อะไรก็แล้วแต่ เอาน้ำเอาไปต้มไปคั่วไปใส่ความร้อนความเย็นผสมส่วน ที่จะให้เกิดผลดี ให้คนเอาไปใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์ดีที่สุด คนนั้นคือเริ่มต้นเขาเรียกว่าช่างผู้มีฝีมือ ช่างฝีมือเอาไปผสมส่วนให้เป็นงาน คนนำไปใช้ได้ดีคนก็ชื่นชอบ แต่ศิลปะนี้ต้องเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณนี่คือประเด็นหลัก ศิลปะต้องมีคุณค่าทางจิตเกิดจึงจะเรียกว่าศิลปะ

ถ้าไม่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณเกิด มีแต่คุณค่าทางวัตถุเก่งอย่างไรก็เป็นแค่ฝีมือช่าง เรียกว่า Craft หรือ Craftman ช่างฝีมือ ไม่ใช่ Arts

ถ้าคนกระทบงานแล้วเกิดความประทับใจก็เกิดความเจริญทางใจ จะไปในทางโลกที่ไปทางสุจริต พอดี ไม่มอมเมา ไม่จัดจ้าน ไม่รุนแรง ไม่ทำให้คนติดแรงเกิน อันนั้นก็คือความพอเหมาะพอดีหรือพอเพียงตามที่ในหลวงตรัส ก็เป็นการเจริญทางโลกที่เรียกว่ากัลยาณธรรม

แต่ถ้าความเจริญนี้สามารถทำให้ลดกิเลสได้ในจิต ให้ปัญญาของเราเกิดเป็นไปในทางลดละหน่ายคลาย ไม่ติดยึดในอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบทางทวารทั้ง 6 แล้วไม่เกิดความรู้สึกชื่นชอบหรือทำลาย เรียกว่าจิตมีความลดละหน่ายคลายจากกิเลสที่เคยติดเดิม อันนี้แหละที่เรียกว่าศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม

อาตมาจึงมีนิยาม หรือยกตัวอย่างขึ้นมาพูดเสนอให้คนเข้าใจง่ายที่สุด ตกลงว่าเราจะพูดหรือยกตัวอย่างให้ง่ายสุด ประเด็นหลักที่จะเรียกว่าศิลปะโลกุตระเอาตรงไหน

เอาตรงที่ว่า จะทำอะไรก็ตาม เมื่อสัมผัสแล้ว แทนที่กิเลสจะขึ้นกลับทำให้กิเลสลด ถ้าลดละหน่ายคลายจากกิเลสอันนั้นคือโลกุตระ

ถ้าจะเขียนรูปขึ้นมาหรือปั้นรูปขึ้นมา เมื่อเสร็จผลงานแล้วคนมาสัมผัสรูปนี้เขาเจตนาจะเร่งเร้าให้กิเลสเกิด เช่น เขียนรูปนู้ดเขียนรูปคนเปลือย แต่เมื่อคนดูแล้วกิเลสลดลง แทนที่จะดูรูปเปลือยแล้วกิเลสขึ้นแต่กิเลสกลับลด อย่างนี้คือศิลปะ ก็ยังไม่เคยเห็นใครเขียนรูปนู้ดแล้วกิเลสลด แต่ตอนนี้เห็นแล้ว ของปิกัสโซ่ คือเขียนรู้นู้ดแบบ cubicism

เอาศิลปะมาให้คนลดละความโลภ ความโกรธ พยาบาท ให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง แล้วเขาลดกิเลสได้จริงคือผลสำเร็จของศิลปะโกลุตระ ส่วนโลกีย์นั้นมีแต่ทำให้กิเลสหนา อ้วนใหญ่ พอกเพิ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ

อ.กฤษฎาว่า...เหมือนคนไทย ขาย    เตี๋ยวก็ปรุงรสมาเสร็จเลย เราซื้อมาก็ปรุงเลย แต่เราพยายามลดละลงให้เป็นรสไม่ปรุงแต่ง

พ่อครูว่า...ก็ค่อยได้คนที่มีภูมิมีบารมี แล้วแต่คนที่จะมีภูมิ อาตมาได้อธิบาย จากภูมิของอาตมาที่ได้มาแต่ปางบรรพ์ ไม่มีใครสอนในชาตินี้ อาตมาก็ชีวิตนี้ต้องไปเรียนศิลปะ ไม่ถึงปริญญาตรี ได้แค่ปวส. คืออนุปริญญา แต่อาตมาว่า อาตมารู้ศิลปะยิ่งกว่าปริญญาเอก เพราะเขาไม่รู้อย่างที่อาตมารู้ แต่อาตมาเข้าใจเขา เขาไม่รู้ว่าเขามอมเมาคนให้ติดยึดในงานของเขา ชอบในผลงานแล้วดูดดึง จะเป็นงานอะไรก็ตาม ให้คนชอบมีสุขที่ได้สัมผัสเป็นโลกีย์ธรรมดา ยิ่งให้ดูดจัดจ้านเป็นสวรรค์ลวงหนักและนรกลึกขึ้น เพราะสวรรค์มันคือนรกนั้นเอง กลับด้านกลับหัวกันเท่านั้น คุณจะตกนรก(ทุกข์) เท่ากับที่คุณได้ขึ้นสวรรค์(สุข)...พ่อครูสมณะโพธิรักษ์

อ.กฤษฎาว่า...ถ้าผมสะสมของเพื่อไว้พิจารณาปฏิบัติธรรม เช่น ที่มีข่าวดูคลิปโป๊เพื่อพิจารณา แล้วตกลงแบบนี้คือศิลปะหรืออนาจาร

พ่อครูว่า...คุณไม่ต้องสะสมหรอก คนที่มีปัญญาจะรู้พอเหมาะพอดี แต่จะไม่สะสมเพราะความชอบใจเป็นตัวเราของเรา แล้วมาแก้ตัวว่าสะสมเพื่อจากพิจารณา คือคุณเป็นคนตอแหล ไม่ใช่คนพูดจริง คนที่จะพิจารณาเพื่อลดละนั้นนิดเดียวไม่ต้องพิจารณานานหรือว่าเอามาเป็นตัวเราของเรา ยิ่งนานเท่าไหร่ก็คือวางไม่เป็นปล่อยไม่ได้ ก็คือสามัญ เขาก็ต้องรีบวางปล่อยเมื่อไม่ได้ผลก็ต้องรีบปล่อยเพราะคนจะเพ่งโทษ แต่ถ้าเลี่ยงเอาไว้เพื่อพิจารณา แล้วเมื่อไหร่จะสำเร็จที่จะปล่อยวาง

อ.กฤษฎาว่า...การเพ่งโทษกับโลกติเตียนคือต่างกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...คำว่าโลกติเตียนนี้ ถ้าเขาเจตนาดีก็ไม่เป็นไร แต่คำว่าเพ่งโทษนี้คือมีจิตที่พยาบาทเบียดเบียน ติเตียนด้วยความไม่ชอบใจ

แต่ถ้าติเตียนด้วยเมตตาด้วยความปรารถนาดี ติเตียนเพื่อให้เข้าใจให้รู้ให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่การเพ่งโทษคือตนเองมีอกุศลจิตผสมอยู่ในการติเตียนนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุดตัดสินสงฆ์แท้กับสงฆ์เทียม

อ.กฤษฎาว่า...ตอนนี้มีคนพูดว่า หลวงปู่พุทธอิสระกำลังทำให้สงฆ์แตกแยก

พ่อครูว่า...คนที่บอกว่าหลวงปู่พุทธอิสระกำลังทำให้สงฆ์แตกแยกคือพูดถูกแล้ว คือทำให้แยกดีแยกชั่วชัดเจนไง

อ.กฤษฎาว่า...ทุกวันนี้คนชอบพูดว่าฉันมาปกป้องพระพุทธศาสนา พระล็อคคอทหารและบอกว่าอย่าทำพระอย่าทำพระ มันซับซ้อนสับสน แล้วบอกว่าทุกคนต้องออกมาทำหน้าที่ในบัตรประชาชนมันก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเขาออกมาทำหน้าที่เหมือนกัน แล้วพุทธบริษัท 4 คืออย่างไร แล้วจะมีหน้าที่อะไร อะไรคือพระแท้แท้ มีสมมติสงฆ์แท้กับสมมติสงฆ์เทียม

พ่อครูว่า...คนไหนไม่สามารถทำให้กิเลสลดละหน่ายคลายได้คนนั้นคือไม่ใช่พระสงฆ์แท้ เป็นพระสงฆ์เทียมเทียม นั่นคือจุดตัดสิน

แล้วมีประเด็นที่ว่าเป็นพระสงฆ์ที่เจตนาจะปฏิบัติลดละหน่ายคลาย แต่มันยังลดไม่ได้ ปฏิบัติธรรมอย่างหน้านองน้ำตา อย่างนี้เรียกว่าสงฆ์แท้ที่ยังไม่ได้เป็นสงฆ์

สมณะหรือพระที่บอกว่าให้ไปรวยนี้ เป็นนรกลึกใหญ่ เป็นสัตว์นรก พระพุทธเจ้าสอนให้มักน้อยสู่ความจน แต่ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความมักใหญ่

อ.กฤษฎาว่า...ฆราวาสจะทำอย่างไรในกรณีพระทำเช่นนี้

พ่อครูว่า...ก็ช่วยกันบอยคอต ไม่ทำรุนแรง ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น คนที่ได้คือคนมีบุญมีกุศล ใครไม่ได้ก็แล้วไป

          อ.กฤษฎาว่า...แล้วพระมีหน้าที่อะไร

          พ่อครูว่า...พระคือผู้บรรลุธรรม เมื่อบรรลุแล้วพระก็มีหน้าที่รับใช้ประชาชน มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนเท่าที่ทำได้ บรรลุเท่าไหร่ก็สอนเท่านั้น

อ.กฤษฎาว่า...คำว่านานาสังวาส กับคำว่านิกายเป็นอย่างไร แล้วฆราวาสจะไปช่วยหลวงปู่พุทธอิสระได้ไหม

พ่อครูตอบว่า...ได้สำหรับฆราวาส แต่ว่านักบวชชาวอโศกรังเกียจคำว่าพระแล้วอย่ามาเรียกพวกเราว่าพระ เพราะพระตอนนี้เป็นพระมหาศาลแล้ว

นานาสังวาสนั้น จะไปเอาเรื่องแบบอธิกรณ์ โค่นล้มหรือปรับอาบัติไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่แค่ ภิกษุนานาสังวาสช่วยพูดถล่มหนักว่าอันนี้ผิดนั้นทำได้ แต่ทำคดีให้เกิดไม่ได้

ฆราวาสไม่มีนานาสังวาส เรื่องนานาสังวาสเป็นเขตของประชาธิปไตยสุดยอด ความตัดสินหรือว่าทางสุดท้ายที่จำเป็นของพระพุทธเจ้าคือสุดท้ายจริงๆ เป็นนานาสังวาสก็จบ ไม่มีร้ายแรงกว่านี้ เพราะว่าต่างคนต่างเห็นต่าง ต่างคนต่างยึดถือแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ จะถกเถียงกันได้ให้คนอื่นฟังก็ได้ แต่ไปทำร้ายกันไม่ได้ ไปฟ้องร้องนิตินัยไม่ได้ เป็นอธิกรณ์ไม่ได้

อ.กฤษฎาว่า...สิ่งที่หลวงปู่นำทำนี้ ไม่มีใครกล้า

พ่อครูว่า..ถูก เป็นหน้าที่ของหลวงปู่ แต่ไปร่วมด้วยไม่ได้ แต่พูดให้ได้ สมัยพระพุทธเจ้าเขาไปท้ากันพูดถกกันด้วยปัญญา คือไปปักกิ่งหว้าหน้าสำนักเลย ใครมาหักกิ่งหว้าก็คือจะรับคำท้าที่จะมาโต้วาทะกัน สู้ด้วยเหตุผลด้วยใจ จบแล้วก็เลิกไม่พยาบาทต่อ

อ.กฤษฎาว่า...ผมกลัวกองเชียร์ จะต่อสู้กัน อย่าทำค่อย ๆ แต่ทำหนักเลย

พ่อครูว่า...ตอนนี้ต้องทำความชัดให้เกิด เป็นความสุกงอมเป็นความครบ ไม่ต้องลำเอียง ผิดคือผิด ถูกคือถูก แต่ละท่านที่ไปทำหน้าที่มีปัญญาทั้งนั้น ถ้าหมดอคติก็จะเห็นว่าอะไรผิดหรือถูก แล้วจัดการเถิด จะบรรลุเกิดผลสำเร็จในประเทศตรงนี้อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

อ.กฤษฎาว่า...ดูเหมือนว่าสังคมหันมาดูการปฏิบัติของสมณะอโศกมากขึ้น มาดูกุฏิที่อยู่ของพ่อครูหลังเล็กๆน่ะครับ

พ่อครูว่า..มันเจริญถึงขีดที่เป็นคนวรรณะ 9 ไม่ต้องใหญ่โตอะไร ต้องปัดกวาดเช็ดถูอีก อันไหนมันมากมายเราก็ให้คนอื่นเขาใช้ได้ดี ไม่ต้องหวงหอบเอาไว้กับตัวหรอก

อ.กฤษฎาว่า...ทำไมตอนนี้ภูมิของคนในศาสนาพุทธกลับต่ำลง

พ่อครูว่า...มันมีสองมุม มุมหนึ่งลงต่ำมาก อีกมุมหนึ่งก็จะสูงขึ้นมากเช่นกัน มันจะถ่วงดุลกัน เขาเลือกจะลงต่ำเอง

คนที่อยู่กลางๆ จะเลื่อนขึ้นได้ ต้องฉลาดรู้เอา แต่คนต่ำก็จะลงไปเรื่อยๆ

ทุกอย่างลงตัว สำหรับผู้ที่ลงตัวแล้ว อย่างอาตมาไม่ลงตัวทีเดียว มันจะเหลื่อมกันนิดๆ แต่ก็มีส่วนที่ลงตัวไปไม่น้อย แต่ตัวที่เหลื่อมเฉียดๆ ไม่ได้ก็มีอยู่  อาตมานั้นจะค่อนไปทางได้ เพราะบารมีมันมาก ตรงนั้นได้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องทนทรมานพะอืดพะอมอยู่นั่น จนกว่าจะได้ ส่วนคนที่เขาได้ อะไรนิดเดียวเขาก็ได้เลย เป็นไปตามสัจจะ ปลอมแปลงไม่ได้ ไม่ว่ากาละหรือปริมาณจำนวน วันเวลาจะลงตัว อย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเดียวกัน

พระพุทธเจ้าประสูติ แผ่นดินต้องไหว

อย่างอาตมา ยกตัวอย่างให้ฟัง ที่นี่นครปฐม อาตมาเคยได้พระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์จากหญิงคนหนึ่ง ตรงสะพานเจริญศรัทธาในเมืองนครปฐม ผู้หญิงคนนี้เขาเอาเงินมาใส่บาตร อาตมาก็ปฏิเสธเขาอย่างดี เขาก็มองหน้าเลย เขาว่าเจอแล้วๆ อาตมาก็ว่าเจออะไร เขาก็ควักกระเป๋า เอาพระบรมสารีริกธาตุมาให้ ว่าดิฉันเจอแล้วคนที่จะได้มอบให้นี้ ต้องให้ท่าน ดิฉันเจอคนนั้นแล้ว เขาก็มอบให้ อาตมาก็ว่าอะไร เขาก็ไม่บอกว่าอะไร? เราก็ว่าเอาก็เอา ตอนนั้นก็มาปักกลดที่ใต้ต้นมะขาม พระปฐมเจดีย์ พอมาเปิดดู โอ.. พระบรมสารีริกธาตุ ก็นับได้ 12 องค์

พอเปิดดูแผ่นดินก็ไหว ไม่ได้ไหวตรงนั้น แต่ไหวที่เมืองไทย อย่างนี้เป็นต้น มันเหลื่อมกัน มันมีนิมิตอย่างนี้ อาตมาใช้อย่างนี้มา สำหรับอาตมาใช้เยอะกว่านี้ ใช้ตลอดมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำงานกับอโศกต้องมาเป็นคนรับใช้

          จอบุญนิยมนี่จะไม่ดับง่ายๆ ทุกวันนี้ทุนเราได้มาจากการทำขยะเป็นหลัก สิบปีแล้ว ไม่เรี่ยไร

อาตมาเคยตั้งสามอาชีพกู้ชาติ คือ กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยาคนฟังก็งงแม้พวกเราเอง

กสิกรรมธรรมชาติก็พอเข้าใจ พอเป็นไปได้ ปุ๋ยก็พอเป็นไปได้นะ แต่ขยะนี่จะไปช่วยกู้ชาติได้อย่างไร ขยะนี่ซับซ้อน ถ้าไม่กู้ก็จะทำลายด้วยนะ เป็นพิษนะ ขยะทางจิตวิญญาณคือกิเลส มันทำร้ายมนุษย์เลย จบเลย ไม่ว่าขยะไหน หากไม่สมดุลก็เป็นพิษ

ผู้ใดมีความรู้ หลักการเปลี่ยนขยะ

1. ใช้ซ้ำ

2. ซ่อมแซม ต้องใช้คนมีฝีมือ

3. แปรรูป ต้องมีความรู้

4. ทิ้ง(จำเป็นแล้ว) ต้องมีความรู้ หาทางทิ้งอย่าให้เป็นพิษต่อ

ในอนาคตเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าอาตมาตั้งมหาวิทยาลัยจะตั้งคณะขยะวิทยา เพราะต้องใช้ความรู้หลายสาขา ต้องมีการวิจัย ขยะไม่มีวันหมดโลก ทั้งขยะแห้งและเปียก เราก็พยายามทำเท่าที่ได้

เลข 4 คือเลขเกิด เลข 1 2 3 คือสภาพหมุน ถ้าไม่เป็น 4 ​จะนิ่งแน่นานแน่นอยู่เช่นนี้ ถ้ามีทศนิยมเพิ่มก็จะเริ่มเป็น 4 เกิดเส้าที่สองขึ้นมาอีก จะขยายผลเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในความเจริญของทุกอย่าง ไม่ว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ตาม

ตั้งแต่เป็นน้ำแล้วเกิดกรด acid แล้วมีความเพิ่มเติมพัฒนาขึ้น แล้วมันก็มีกรอบของมัน มีมวล มีฤทธิ์แรงซ้อนสอง ถ้ามันรวมตัวกันในนี้เรียกว่า cytoplasm แต่ถ้า protoplasm มันเหนียวไม่เปลี่ยนก็เป็นเช่นนี้ตลอดกาล แต่ถ้าเส้นนี้เริ่มยุ่ยเริ่มสลาย เป็น pellucidar จะค่อยๆสลาย ปล่อยให้ข้างในนี้ออกมาได้ จะมีสภาพปรุงแต่งน้ำนี้อีก เกิดใหม่อีกสังเคราะห์เพิ่มอีก นี่คือตัวแปรสภาพไปตามลำดับ ตามภูมิอาตมาเข้าใจอุตุเปลี่ยนเป็นพีชะ พีชะเปลี่ยนเป็นจิต ตรงเอา protoplasm เป็น zonar pellucidar ถ้ามันเหนียวก็ไม่ยอมเปลี่ยน แต่ก็อัดแน่นภายใน ใครมาทำให้แตกก็ระเบิดเลย แต่ทั่วไปถ้าค่อยเปลี่ยนก็เป็น ปฏิรูป ค่อยทำค่อยเปลี่ยน

อ.กฤษฎาว่า...ช่วงนี้โหราศาสตร์พยายามอธิบายว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงอีกไม่กี่เวลา เริ่มมีการสื่อออกสู่สังคม ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงทั้งบวกและลบพร้อมกัน

พ่อครูว่า...มันเป็นจริง มีสถิติทุกอย่าง ตั้งแต่สิ่งไม่มี มามีนิดนึง แล้วค่อยขยายจับตัวกันตั้งแต่ลมกับไฟคือ ไฮโดรเจน ออกซิเจนจับตัวกันเป็นน้ำ แล้วมีกรดมีรส เป็นน้ำเปรี้ยวที่แรง ที่มีพลังงานลม ไฟในนั้น เป็นกรดกัดเลย

ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมืองถึงวาระที่จะต้องเปลี่ยน แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ตาม ไม่ต้องฟังเสียงที่อคติ ผู้ที่มาทำงานนี้เป็นผู้ทำงานขั้นสุดท้ายแล้ว คนนี้ชื่อ มีชัย คนนี้จบ อย่าเสียเวลาเลย จะได้เดินเรื่องไปได้ ไม่เช่นนั้นมันเดินไม่ได้

ชาวอโศกใช้สูตรนี้ “อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้” ชาตินี้เราไม่มีสิทธิ์เป็นนาย มาเป็นผู้รับใช้ทั้งนั้น ใครจะมาทำงานกับชาวอโศกต้องมาเป็นคนรับใช้ทั้งนั้น  มาเป็นผู้แพ้ด้วย

อ.กฤษฎาว่า...เราจะทำตัวเป็นผู้แพ้ได้อย่างไร อย่างที่พ่อครูบอก ครั้งหนึ่งผมไปประชุมแล้วเขาจะเลือกว่า ให้ผมเป็นหรือให้เขาเป็น แล้วเขาก็จะตัดสิน แต่ผมก็มีธรรมะนี้ขึ้นมาว่าเป็นผู้แพ้ ผมก็เลยบอกว่าผมขอเป็นผู้แพ้

พ่อครูว่า...พระโมคคัลลานะเป็นสุดยอดแห่งฤทธิ์ ท่านจะไม่ตายก็ได้ ใครฆ่าก็ชุบตัวตายได้ตลอด ขนาดทำกระดูกแหลกก็ฟื้นได้ แต่ว่าท่านเก่งตรงนี้ ท่านมีฤทธิ์จริงๆ แต่สุดท้ายท่านนึกถึงวิบากตนเองว่าเป็นอนันตริยกรรม ไม่มีทางแก้ จึงยอมตายยอมเป็นผู้แพ้ ได้ก็สุด จบ

อ.กฤษฎาว่า...มีคำสอนพ่อครูว่า สุดท้ายแล้วฝ่ายถูกท่านจะยอมแพ้

พ่อครูว่า...เหมือนอย่างมหาเถรฯ ชนะ อาตมาแพ้ก็จบ เพราะอาตมาชนะ แต่คนที่จิตเขาแพ้ไม่เป็นอย่างทักษิณมันจึงชัด อาตมาเคยมีโศลกว่า คนที่ชนะเกือบรอบโลกแล้วแต่เขายังไม่เป็นผู้ชนะรอบโลกได้ เพราะเขาแพ้ไม่เป็น ถ้าเขายอมแพ้ได้เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลกที่แท้จริง

 

_มีคำถามจากเด็กปฐมฯว่า... การอ่านกายในกาย ถ้าเรื่องมีเหตุปัจจัยผัสสะกระทบกันนั้น ต้องอาศัยการเกิดผล 4 คือสติปัฏฐาน 4 คือกายเวทนาจิตธรรม แล้วต้องอาศัยเวทนา 2 เวทนา 6 และกามคุณ 5

พ่อครูว่า...เวทนา 2​ คือกายิกเวทนาและเจตสิกเวทนา เวทนา 3 คือสุข ทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนา 5 คือตาหูจมูกลิ้นกาย เวทนา 6 คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ

ต้องอาศัยทวาร 6 แล้วครบอาการของกามคุณ 5 ถ้าในใจไม่เรียกกาม แต่เรียกว่าธรรมารมณ์ ต้องอาศัยการเกิดผล 4 คือสติปัฏฐาน 4 คือกายเวทนาจิตธรรม

 

_คำถามดช.นโม การทำกุศลนี่นับอย่างไรครับ นับจำนวนหรือนับครั้งหรือนับที่ใจ...การตายคือการนอนหลับฝันไปแบบไม่ตื่น

พ่อครูว่า...ถูกต้อง ไม่มีดินน้ำไฟลม แล้วมีเรื่องในใจเหมือนฝันแต่ไม่ตื่น ไปตามวิบาก

เมื่อวานได้คุยกับญาติผู้ใหญ่ที่เชื่อแบบเทวนิยม เขาก็ว่าต้องทำการสวด ถ้าไม่สวดวิญญาณจะไม่สงบ การจัดงานศพแบบนี้ไม่ถูกต้อง เอาแต่พูดเทศน์จะได้อะไร ผมก็สงสารเขา ก็บอกว่าเอาแต่สวดจะเกิดประโยชน์อะไร เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า ผมก็ยิ่งสงสารผู้นั้นอีก จึงอธิบายต่อว่า การที่สมณะมาเทศน์หน้าศพเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว อาม่าก็ได้กุศล คนที่ได้มาก็ฟังสัจธรรมที่แท้ ผมพูดไม่ทันจบเขาก็เดินหนี ผมก็ยิ่งสงสาร ผมไม่มีจิตโทสะ ผมทำถูกใช่ไหม พ่อครูว่าถูกแล้ว  แล้วผู้นี้เป็นผู้อวิชชาใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ใช่แล้ว

ความฝันคืออดีตที่ฟุ้งที่ทับซ้อนอยู่ในปัจจุบันใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เตือนเขาอยู่ว่าคนนั้นคนนี้ชมก็อย่าหลงล่ะ แต่เป็นสิ่งสะสมมาจริง คำว่าสวดนี่ คนหนึ่งก็ว่าสวดจะได้อะไร อีกคนว่าเทศน์จะได้อะไร ก็แย้งกันไปมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดสังคีติและสวดสังคายนา

พ่อครูว่า...การสวดมีสองแบบ คือแบบสังคีติ กับสังคายนา คนที่สวดหนึ่งคนแล้วคนอื่นฟังยืนยันว่าถูกไหม หลายหัวดีกว่าหัวเดียว เป็นสังคายนา แต่ถ้าสวดให้คนอื่นให้ฆราวาสฟัง ถ้าสวดตั้งแต่สองคนขึ้นไปนี่อาบัติปาจิตตีย์ สวดอธิบายคำเทศน์ได้ทีละคน

สวดสังคีติคือสวดเป็นหมู่ คือสวดเพื่อให้พร้อมกันเหมือนท่องสูตรคูณ สวดในหมู่ แต่ไม่ให้ฆราวาสได้ยิน ให้จำได้ง่าย ให้สนุก

แต่ทุกวันนี้สวดกันหลายคน แล้วให้คนหลงติดในทำนองสำเนียงภาษาลากยาว เพื่อทำมาหากิน ศาสนาจะเสื่อมเพราะไปหลงสวดแบบนี้ ที่ๆสวดเก่งที่สุดคือทิเบต รักษาธรรมบทไว้ การสวดนี้คือจับกังแบกลังทอง ได้ค่าจ้างแต่ไม่ได้ทองคำ ก็ขอบคุณที่แบกมาให้

ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีช่วยจำแล้ว ไม่ต้องจำแบบโบราณ แต่อาตมาก็อาศัยพวกนี้ คนบอกว่าเก่งจริงอย่าขึ้นรถสิ แต่ว่าอาตมาไม่ได้ยึดแบบนั้น ก็เป็นไปตามยุคสมัยที่ต้องทำตาม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน รับและต้องการแต่ของที่เขาให้

อาตมายังภาคภูมิใจว่า คนที่มาทำทานกับอาตมา มาทำกุศล มาให้เงิน อาตมาก็ตั้งปณิธานว่า ที่เขาเอาเงินมาบริจาคนี้ เงินเหล่านี้อาตมาจะใช้เพื่อทำงานศาสนา ไม่เอามาใช้เพื่อตนเอง เช่น อาตมากำลังขาดใจตายไม่ได้กินข้าวจะตาย ก็ไม่ใช้เงินนี้ซื้ออาหาร หรือไม่ใช้เพื่อรักษาตนเองแม้ป่วยจะตาย แต่เอามาทำงานศาสนา ไม่เพื่อตนเอง ไม่เรี่ยไรด้วย ก็ได้ตามธรรมพอเป็นพอไปได้ อาตมาก็ยิ่งศรัทธาว่ายิ่งไม่เอายิ่งได้

ต้องอ่านใจเราจริง เรารับแต่ของที่เขาให้ เราต้องการแต่ของที่เขาให้ ถ้าเรารับของเขาเราก็ไม่ต้องมีจิตต้องการหรือไม่ แต่ถ้าเราต้องการในจิต เช่น ต้องการอาหารเลี้ยงชีพจะต้องตาย แต่ไม่มีใครมาให้ล่ะ น้ำสักหยดหรืออาหารสักคำนี้ ถ้าไม่มีใครให้ก็ตายก็ตายเลย แค่สองวลีนี้สุดยอดแล้ว 

เรารับแต่ของที่เขาให้ เราต้องการแต่ของที่เขาให้

ทำงานมา 45 ปีแล้วไม่ได้เรี่ยไรเลย อาตมาสร้างแม่น้ำตั้งแต่ที่นี่เป็นที่แรก ปรับดิน สร้างภูเขาแม่น้ำลำธาร ครื้นเครงตามประสาเรา เราปลูกต้นไม้ แล้วชุมชนอโศกทุกแห่งทำตามหมด แม้ทำในกรุงเทพก็ทำได้ คนเข้าไปก็ทึ่งว่าในกรุงเทพมีแบบนี้ด้วยหรือ? ก็ทำไปตามประสา แม้ตอนนี้ก็กำลังทำโรงเรือนการศึกษา

การศึกษาเขาไม่เชื่อน้ำมนต์อาตมา อาตมาทำการศึกษาบุญนิยมแบบบ้านวัดโรงเรียน บ้านคือสังคม วัดคือธรรมะ โรงเรียนคือความรู้ ซ้อนในนั้น อาตมาจะทำสถานศึกษาหรือโรงเรียนให้เกิดความเป็นจริง อาตมาตั้งชื่อว่า phenomenology มีปรากฏการณ์ประกอบ ไม่ใช่แค่ตรรกะ เรียกบูรณาการซ้อนหลายชั้นก็ได้

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:27:23 )

590301

รายละเอียด

590301_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก สัจจะสามอย่าง

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559  เทศนาที่สันติอโศกห้องกันเกรา  จะเป็นปีวอกหรือปีมะแมก็ว่าไป

ธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน จูฬวิยูหสูตร สัจจะ 3 ประเด็น

แต่ละคนกำหนดหมาย เข้าใจว่าคนนั้นกำหนดหมายเอาอย่างนี้อย่างนั้น ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

แต่ถ้าขัดกับสิ่งที่เป็นคุณค่าต่อส่วนรวม ก็ค่อยว่ากันว่าอย่างนั้นไม่ควรนะ สิ่งที่เค้าเห็นดีเห็นด้วยกันเป็นหมู่กลุ่มเป็น สมมติสัจจะ กันแล้ว มันก็น่าจะอย่าไปขัดแย้งเค้า ทำให้ไม่ลงตัว ไม่สามัคคี

เรื่องการขัดแย้งก็ย่อมมีกันในสังคมโลก ก็ต้องทำความเข้าใจ รู้จัก อยู่กันอย่างมีการปรับการบอก ทำความเข้าใจให้เปลี่ยนแปลง หากจะอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยให้ยึดถือไป ปนเปไป ถ้ามีมากจนขัดแย้งรวนเรปั่นป่วนวุ่นวาย ก็ต้องทำการลดให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือด้านต่างๆในสังคม หรือแม้ด้านธรรมะ แม้ด้านศิลปะ ที่ควรเข้าใจกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน แต่ถ้าไม่รวมลงเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน ก็ดูไม่สงบเรียบร้อยและไม่มีพลังที่ดี

คำว่าสัจจะ พระพุทธเจ้าแยกเป็นสามประเด็น

1. สัจจะไม่มีในโลก

2. สัจจะมีหนึ่งเดียว

3. การยึดถือของคน ว่าอันนี้แน่นอนเที่ยงแท้จริงจัง สัญญายนิจจานิ

สามประเด็นหลักนี้ยากจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วที่ว่า สัจจะไม่มีในโลก ที่ถือว่าจริง แล้วเรายึดไว้ ก็อยู่ในข่ายสัญญายนิจจานิ กำหนดหมายว่าอันนี้แน่นอนไม่เปลี่ยน เที่ยงแท้ ของคนใดก็แล้วแต่ก็ยึดกันไป จะเหมือนหรือต่างกันบ้าง ยิ่งยึดต่างกันมากก็อยู่ยาก ไม่เรียบร้อย ถ้าคล้ายกันแล้วลงตัวเป็นมวลใหญ่ แต่จะไม่เหมือนกันไปหมดหรอก แต่เท่าที่ถือกันในหมู่ใหญ่ก็เป็นสัจจะหนึ่งเดียว แต่ถ้าขัดแย้งมากก็ต่างกันมาก ก็ทำร้ายฆ่ากันเลยถ้าแย้งมาก

ในจูฬวิยูหสูตร คนเข้าใจแล้วไม่ขัดแย้ง แล้วสามประเด็นนี้อันไหนดีสุด? ก็สัจจะมีหนึ่งเดียวดีสุด ก็ใช้สมมติสัจจะนี้ร่วมกัน มันก็อบอุ่นดี สามัคคีพร้อมเพรียง ไปมาด้วยกันเป็นสามัญญตา ร่วมไปด้วยกันได้ อันนี้ก็ดีที่สุด

 

วันนี้ตั้งใจจะเอาประเด็นของเด็กชายนโม (ไม้เมืองพุทธ กรุณา) ม.1 สส.ฐ. ปฐมอโศก มาแสดงออกทางธรรม หลายทีแล้วแต่ละอันๆ เป็นการแสดงออกที่น่ามาขยายความสู่ผู้ใหญ่ฟังดู คือ อันแรกนี่เขาแสดงมาเขียนเป็นตัวหนังสือเขา

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ทำกรรมอย่างไรให้เกิดบุญ

_การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่มีโลกีย์สูง ผู้นี้จะเป็นผู้มองไม่เห็นค่าของเวลาที่เปลี่ยนทุกวินาที และที่สำคัญคือวินาทีที่ผ่านไป มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งแน่นอน ผู้นี้ย่อมไม่รู้จักกับปัจจุบันอย่างแน่นอน

ผู้นี้ย่อมไม่เจริญอย่างแน่นอน เพราะมีภพอยู่กับความไม่จริง ความไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่นอน จิตจมอยู่กับอดีต และเพ้ออยู่กับอนาคต ไม่รู้ความจริงตามความจริง ผู้นี้ย่อมไม่มีสัจจะ มีแต่ความไม่รู้ และอวิชชา(ไม่เรียนรู้อัตตาในปัจจุบันและหลงในวิปลาส 3)

การมองความสำคัญของเวลาแบบจิตที่เป็นโลกุตระ ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางของโลกุตระ ผู้นั้นย่อมเรียนรู้ศึกษาปัจจุบันที่เป็นสัจจะ เป็นความจริงอันสูงส่งของพุทธ ที่ทำได้ยากยิ่ง

ซึ่งผู้ที่รู้จักกับปัจจุบันได้นั่นแหละคือ อาริยชนผู้เจริญ(โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์) ผู้นี้จะรู้สึกว่าเวลาบนโลกช่างเร็วเหลือเกิน

เพราะรู้ว่าชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก และยังคิดที่จะพัฒนาให้จิตสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เวลาของผู้นี้จึงเร็วกว่าปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส เพราะผู้นี้อยู่กับปัจจุบันที่เป็นสัจจะเท่านั้น มีแต่ปัจจุบันที่จะสามารถสร้างกรรมได้ ดังนั้น ทุกเศษเสี้ยววินาทีคือบุญ ผมเข้าใจถูกไหมครับ

(นโม ดช.ไม้เมืองพุทธ กรุณา  ม.1 สส.ฐ.)

พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันว่า ทั่วไปไม่รู้จักคำว่าบุญ แม้แต่ธัมมชโยก็ไม่รู้จัก บุญ ได้แต่หลอกเขา เอาวิมานมาหลอกเอาเงินคนอื่น มีคนเขียนจดหมายไปลองของดูว่า พ่อตายแล้วไปวิมานไหน อ.ไม่ใหญ่ก็ทำนายชัดเลยว่าอยู่วิมานชั้นไหน

กรรมทำได้แต่ปัจจุบัน ผู้ใหญ่นั้นรู้ไหม เหมือนดช.นโมที่ได้เขียนมา ในชีวิตเรามีเพชรนิลจินดา ผู้คน ต้นไม้ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย นอกจากกรรมของเรา คุณทำกรรมชั่วก็เป็นของคุณ ทำกรรมดีก็เป็นของคุณ ต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิว่ากรรมแบบไหนเป็นกรรมที่สัมมาทิฏฐิ

ทำกรรมอย่างไรจะเกิดบุญ บุญเป็นเครื่องมือตัดกิเลส เพราะฉะนั้นทุกกรรมคุณก็มีเครื่องมือตัดกิเลสไปด้วยทุกทีๆ ทุกกรรมคุณก็มีบุญ ทุกกรรมก็ได้ชำระกิเลสไป ฆ่ากิเลสได้หมดก็เป็นอรหันต์

สรุปคือคุณต้องสำคัญในกรรม ชีวิตคือกรรมกับกาละ

นโมเขาเจาะลงไปเลยว่า กรรมคือกาละในปัจจุบัน แล้วรู้กรรม ใครสำคัญในกรรมกับกาละก็สังวรระวังแล้วเข้าใจให้ได้

อุบายเครื่องออกคือ เราจะไปสำคัญทุกกรรมสัมผัสทั้งหมด แล้วทำทั้งหมดไม่ได้ ไม่มีพลัง หลายอย่างยาก จึงเอาที่ต้น พระพุทธเจ้าก็ตั้งไว้แล้ว กรรมที่จะฆ่าสัตว์ ที่จะลักทรัพย์ เรื่องเพศ เรื่องพูดปด เรื่องอบายมุข นี่คือเบื้องต้น เมื่อทำได้แล้ว รู้จักสสัมภาระการจัดทำ เมื่อกำลังกระทำ กำลังปฏิบัติ ทำทางกายวาจา

จริงๆ คือให้ใจเป็นประธาน เรียกมนสิกโรติ จับตัวเหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุเป็นอำนาจเป็นพลังให้ทำ เป็นแต่เพียงเราไม่รู้ เพราะมันเร็วมันไวเป็นอัตโนมัติเป็นเองเลยตถตา กิเลสเป็นตัวบงการแท้ๆ คนก็จับตัวมันไม่ได้ มันมีอำนาจครอบงำเรา แล้วสั่งให้เราทำ จากจิตมาก่อน มโนปุพพังคมา ธัมมา แล้วมาออกทางกายกรรม วจีกรรม เราเองก็จะได้ผลนั้น เสร็จแล้วเราโง่ เกิดผลขึ้นมาเราก็ไปชอบใจกรรมนั้นที่เป็นบาป กรรมนั้นเป็นผลของกิเลส จนเกิดอารมณ์อย่างนี้รสชาติอย่างนี้ ได้มาก็ดูดดึงในใจ ชอบใจชื่นใจผูกยึดไว้ ว่าต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ยึดไว้เป็นเราเป็นของเรา

เช่น เห็นเงินก้อนนี้ budget นี้เรามีสิทธิ์จัดการ กิเลสในใจก็ขึ้นว่าอยากได้เลย เราก็รู้จิตตัวนี้แล้วก็ว่ามันไม่ใช่ของเรา ต้องอ่านให้ได้ มันไม่ใช่ของเราแต่อยากได้ ถ้าอยากได้ก็ทำอย่างสุจริต ยังไม่มีหนี้บาปอกุศลที่จะเชื่อมต่อมา

แต่คุณก็ยึดเป็นเราเป็นของเรา นั่นแหละล้างยาก แม้แต่ตากระทบรูป ได้มาก็ชอบใจ แล้วก็พักยก แล้วจำไว้ในใจ เพื่อจะได้เสพอีกในอนาคต แล้วเกิดอาการไม่ชอบใจถ้าไม่ได้มา สะสมเป็นอัตภาพ ในอนุสัยอาสวะของเรา นี่เป็นวิชาการพระพุทธเจ้าที่จะสอน

ที่สำคัญท่านสอนแล้วจะเกิดจริงเป็นจริงเมื่อมีสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่ต้องดิ้นรนแสวง แต่จะพบ โลกธรรม สรรเสริญ เราก็รู้ได้ แม้จะละเอียดถึงอรูป ก็จะรู้ได้ ตามลำดับที่เรายังมีภพชาติอยู่ เราเรียนรู้แล้วไม่ได้หนีไป เกิดตากระทบรูป เป็นวัตถุอันนี้ มีกรรมกริยากระทบอันนี้ อะไรก็แล้วแต่ที่เรากระทบสัมผัสอยู่

ซึ่งเป็นของจริง ไม่ใช่นั่งคิดปั้นสร้างขึ้นมาเอง อย่างนั้นไม่ต้องเลย 1.ปั้นมาเอง 2.มันไม่ใช่ของจริงเลย เป็นสัญญาความจำที่ระลึกขึ้นมา จำไม่พอนะ ยึดว่าเป็นเราเป็นของเราด้วย ยึดว่ามีอยู่ที่เรา เป็นสัญญา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พัฒนาการ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

สัญญามันมีความจำ ความจำก็ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่คุณจำได้ และเป็นพลังงานชนิดนึงของแต่ละอัตภาพที่ต้องมี

เริ่มตั้งแต่เป็นพีชนิยามเป็น self เป็นตัวของมันแล้ว มันยึดเอาและจะสร้างความเป็นตัวของมัน เรียกว่า self แล้วมันอยู่ได้ยืนยาว ไม่ยอมสลายอัตภาพง่ายๆ พีชะก็ตาม

แต่ถ้าอุตุนิยามไม่ได้ยึดตัวตน แต่เป็นเหตุปัจจัยดินน้ำไฟลม แล้วเกิดเป็นธาตุฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงไฟฟ้า แล้วมีพลังงานทำลายหรือสลาย ดูดหรือผลักเท่านั้น รวมเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นธาตุหนัก ส่วนสัมผัสแล้วกระจายหายไปเป็น ฟิชชั่น

แต่พอเป็นจิตนิยามแล้วมีรายละเอียดมากขึ้น เป็น ish คือจาก self เป็น selfish คือต่างกันเป็นลิงค มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ รวมเป็นสามรวมกันอย่างเหนียวแน่น แต่มีตัวแยกเพศ ว่า I คือไอ คือฉัน แล้ว s คือ she และ h คือ he อีก ก็ชักทะเลาะกันในที เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ มีอะไรใหม่ ก็แย่งมาเลย แย่งมาให้ I แล้ว she กับ he มันเอาไหม ก็จะเอาด้วย แต่ I มันเป็นใหญ่จะเป็นหลักต้น

ในภาวะสาม กำลังของภาวะหนึ่งเป็นเอก อีกสองอันก็จะมาทีหลัง ถ้ามีอะไรใหม่ที่สี่มาก็เข้ากับ หนึ่ง แต่ถ้าเป็น self จะไม่แย่งไม่ยึดเป็นตัวกูของกู แต่รวมเป็นกูเป็นอันเดียวกัน แต่พอเริ่มมีอันใหม่ จะเห็นแก่ตัว ก่อนที่จะแสดงเดชออกจากตัวอื่นอีกทีหนึ่ง นี่คือพัฒนาการที่ละเอียดลึกซึ้งมาก

เกิดจากพลังงานรวมตัวเป็นสสาร แล้วก่อเกิดตัวตน มีอัตโนมัติหรืออัตตา ตั้งแต่เป็นพีชะ จนมาเป็นสัตว์ เรียกว่าพลังงานนั้นว่าจิตหรือวิญญาณ

จิตนิยามที่ไม่มีปัญญาที่ไม่รู้กรรม คืออเวไนยสัตว์สอนไม่รู้เรื่อง จนพัฒนามาเป็นมนุโส เป็นจิตสูงก็เรียนรู้กรรมได้ มีพัฒนาการมา กว่าจะมีพลังความฉลาดของปัญญาที่จะรู้จัก เริ่มต้นตั้งแต่อะไรดีหรือไม่ดีอยู่ในสังคม ดีกับไม่ดีเกี่ยวกับสังคมเป็นหลัก คุณเกิดมาจะอยู่เดี่ยวเลยอยู่ไม่นานก็ต้องตาย ถ้าอยู่ก็ต้องเกี่ยวกับคนอื่น สัตว์อื่น เป็นอะไรที่ต้องสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ ความรู้หรือธาตุจิตจะค่อยเจริญ แล้วค่อยสังเคราะห์กันไป เกิดผลักกับดูด เมื่อมีอัตโนมัติ มีสัญญา

พีชะมีสัญญากับสังขาร กำหนดรู้อะไรแล้วเอามาเป็นตัวมัน มาเป็นสัตว์ก็มีเวทนามีจิตวิญญาณ ตั้งแต่เริ่มต้นก็เริ่มมีตัวตน มีความชอบหรือชังเพิ่มขึ้น นิดนึงเท่าไหร่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อเป็นสัตว์มีหลายเซลล์ขึ้นมาก็จะเห็นว่าแย่งกันทะเลาะกัน

แรกๆ มันก็รับแค่ธาตุดินน้ำไฟลม กับพืช แต่ต่อมาเลยเถิดเป็นดินน้ำไฟลมสัตว์ แล้วสัตว์ด้วยก็เกิดเบียดเบียนกัน พืชไม่มีชอบหรือชัง ไม่มีเรากับเขา ไม่มี selfish พืชแม้จะกินสัตว์มันก็เอาธาตุนั้นเท่านั้นจากสัตว์ที่ตายแล้ว มันจะไม่เป็นภัยกับใคร แต่เริ่มเป็นสัตว์ขึ้นมาเป็นแบคทีเรียก็กินตัวเราภายในได้ นอกตัวเรามันก็กิน ก็ชักเป็นภัย ตั้งแต่ตัวน้อยๆ ก็เป็นภัยคือเชื้อโรค แต่มันไม่รู้หรอก โทษมันไม่ได้ ถ้าเป็นภัยก็ทำลายอย่างเดียวเลยถือว่าบาปไม่ได้ พระพุทธเจ้าว่ามันเล็กมาก อย่างเชื้อโรคนี่ มันไม่มีธาตุที่เป็นกรรม ผูกพยาบาทไม่ได้ สัตว์เล็กมากเกินไป ก็นิดๆหน่อยๆ ฐานความจำสัญญาในตัวมันไม่พยาบาทผูกพันมากได้ ก็ยังไม่สูงส่งอะไร จนมันพัฒนามากขึ้น ค่อยยึดถือเป็นของเราเป็นเขาก็มีดูดผลักมากขึ้น เห็นแก่ตัวจัดขึ้น selfish

จนกระทั่งมีศาสดารู้ว่า สัตว์เดรัจฉานที่ไม่เห็นแก่ตัวจัดก็มีแต่กินกับอยู่เท่านั้น ไม่สะสมเป็นเราเป็นของเรา เบ่งอำนาจรวบมาเป็นเจ้าโลก ไม่มีตัวไหนทำ มีแต่มนุษย์ แล้วยิ่งเห็นแก่ตัวจัดก็ยิ่งต่ำยิ่งร้ายแรง แล้วจะฉลาดที่จะประกอบกรรม  อวิชชาไม่รู้จักกรรม ไม่รู้ว่าที่เราทำเป็นภัยต่อผู้อื่น เห็นแก่ตัวอย่างไร อเวไนยสัตว์ไม่รู้เรื่อง

พอเริ่มต้นเป็นผู้รู้ เป็นศาสดา ตนเองไม่ทำกรรมไม่ดี ศาสนาหลายศาสนามีแต่ลงนรกกับขึ้นสวรรค์น้อยๆ มีวิบากแคบๆ ไม่ซับซ้อน จนมีศาสนาที่รู้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้คลายความยึดติดง่ายๆเลย ขั้นแรกจะรู้ขั้นโลกีย์ ยังเสียสละช่วยคนอื่น ดีกว่าที่เราจะเห็นแก่ตัว

ถ้าเรามีกรรมทำแล้วมีผลผลิตเป็นสิทธิของเรา เช่น จับจองที่ดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะโลกใบนี้เป็นของส่วนกลาง ถ้าเราใช้สิทธิ์ของเราให้คนอื่นได้นี่คือคุณค่า ปราชญ์หรือศาสดาจะรู้จักสิทธิ์ของเราแล้วเผื่อแผ่สิทธิ์ของเราให้คนอื่น มีการให้การเสียสละแบ่งปันคนอื่นเพิ่มขึ้น

สัตว์เดรัจฉานที่ไม่ได้พัฒนามีปัญญาพอ แล้วมีวิบากกลับไปเป็นเดรัจฉาน แต่สัตว์หลายตัวรู้ตอบแทนคุณคนก็คือเคยเกิดเป็นมนุษย์มาแล้วได้กลับเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าสัตว์ที่ยังพัฒนาตนเองก็จะรู้จักให้แก่ตัวเอง อย่างเก่งก็ช่วยลูกของมัน เพราะเป็นธาตุที่แยกจากร่างของมัน มันจะมีสัญชาตญาณ แม้สัตว์เล็กจะรู้ว่า นี่ DNA ของอั๊วเองนะ แยกออกมาเป็นชิ้นต่างๆ

พอเป็นผู้มีปัญญาจะรู้จักกรรม แล้วก็จะรู้ไปตามลำดับ คือธรรมะ เป็นสิ่งที่อยู่ ศาสดาบางท่านจะไม่รู้ว่าทรงอยู่อย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร อธรรมไม่ให้เกิดอย่างไร แต่สิ่งที่ทำแล้วสะสมแล้วเป็นทรัพย์เป็นวิบาก สิ่งที่เป็นอัตภาพของแต่ละคนออกฤทธิ์ออกผล ก็จะรู้ถึงอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะสมพลังพวกนี้ ถ้าสะสมสิ่งไม่ดีก็ได้วิบากไม่ดี จึงสอนให้สะสมแต่สิ่งที่ดี ศาสดาเริ่มรู้กรรม เรามีกรรมเป็นทายาทเป็นเผ่าพันธ์ ถ้าเป็นพันธ์ุสัตว์นรกแล้วเราไม่รู้ ก็จะต่อนรกไปเรื่อยไม่จบ ต้องไม่ทำ ถ้ามีแล้วต้องหาเอาเชื้อที่เป็นตรงข้าม กุศลให้มันกัน

ที่สะสมเป็นกุศลอกุศลแล้วมัน ไปไหน หลายศาสนาบอกว่าอำนาจกรรมดีไม่ดีที่ทำแล้วล้างกรรมได้ ล้างบาปได้ ไม่ใช่ เป็นแต่เพียงกรรมที่ทำแล้วลบล้างไม่ได้ ของใครของมัน พระพุทธเจ้าก็ล้างให้ใครไม่ได้

 

ผู้ที่เป็นสังฆราชยังไม่รู้ว่ากรรมนี้ล้างไม่ได้ แต่ว่าทำผิดแล้วปลงอาบัติได้ แท้จริงโดยกรรมมันเป็นแล้ว ทางกฎหมายว่าเป็นกรรมที่ทำสำเร็จแล้ว รับโทษตามนั้น ถ้าโทษตามศาสนา กรรมที่ไปเอาของเขาเกินห้ามาสกก็ปาราชิกแล้ว ลบล้างไม่ได้แล้ว แต่ถ้าไม่ถึงห้ามาสกก็ไม่ถึงปาจิตตีย์ แต่กรรมเป็นแล้ว ได้วิบากแล้ว แต่ปลงอาบัติคือมาสารภาพว่าจะไม่ทำอีกเท่านั้นเอง แล้วยิ่งเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ไม่ใช่แค่สารภาพว่าไปเอาของที่ไม่ใช่ของตนมาโดยไม่ควร ก็ต้องคืนของนั้นไปด้วยสละออกไปด้วยจึงปลงอาบัติตก ความรู้เช่นนี้ยังไม่มีแล้วจะไปเป็นสังฆราช

ผู้ออกบวชต้องโภคขันธาปหายะกับญาติปริวัตตังปหายะ คือมีทรัพย์สินอะไรให้สละออกหมด มีสามีภรรยาก็ต้องเซ็นหย่าให้หมด เป็นข้าราชการไม่ได้ ถือว่าเป็นราชปัตโต แต่นี่มีอัตราเงินเดือนพระเลย ก่อนบวชเขาก็ต้องถามแล้วว่าเป็นราชปัตโตหรือไม่? แต่เขาก็ทำกันเต็มเลย อาจโมเมว่าสิกขาบทเล็กน้อยละเมิดได้ ทั้งที่เถรวาทนี้ไม่เลิกอะไรเลยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตอนสังคายนา พระอานนท์ว่าอาบัติเล็กน้อยพระพุทธเจ้าว่าให้เลิกได้แต่ว่าตกลงในการสังคายนาว่าไม่ให้เลิกเลย ในกฏเกณฑ์ของพระพุทธเจ้ามีสติวินัย อย่างสงฆ์อโศกก็ยกให้อาตมา ยกสติวินัยให้แล้ว ก็ต้องมีความซ้อนในระเบียบวินัยอีก อย่างในหลวงก็ต้องมีข้อยกเว้นให้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 

ขอย้ำอีกว่าศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม หลุดพ้นจากความเป็นคนสามัญกับโลกๆ เขา อยู่เหนือความเป็นคนสามัญธรรมดา จึงเรียกว่าคนเหนือโลก เหนือโลกีย์ แต่ก็จะมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มีทรถะ ไม่ถึงกิลมถะที่มีเศษส่วนแห่งมานะอุทธัจจะอวิชชา อนาคามีขึ้นไป แต่ไม่ได้เป็นโทษภัยกับใครคนอื่นแล้ว มีแต่ทำประโยชน์แก่คนอื่น

อนาคามีจะชัดเจนว่ามีแต่ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ มีแต่ทุกข์สำหรับตนเอง ยิ่งอรหันต์ก็หมดทุกข์ในตนเอง มีกายปาคุญญตา เวทนา สัญญา สังขารทำงานคล่องแคล่วเร็วไว ยิ่งบรรลุยิ่งจิตสว่าง มีสัปปุริสธรรม 7 ประการแน่แท้ ทำงานกับโลกได้ดี ชัดเจนอย่างกลมกลืนในสิ่งที่ต่างกัน

คนมีศิลปะโลกุตระสูงก็จะจัดองค์ประกอบสิ่งที่ต่างให้อยู่รวมกันได้อย่างมหาปเทส 4 ที่เป็นปัจจุบันธรรม มีสัปปุริสธรรม 7 ในสัปปุริสธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว แต่ในนั้นมีข้อความที่พระพุทธเจ้าให้ตัดสินเองในปัจจุบันตามยุค ตามเวลา โอกาศ สถานที่ประกอบมันไม่เหมือนเดิม เช่น ยุคนี้ควรมีแว่นตา มีรถยนต์หรือไม่

อย่างอาตมานี่เขาบอกว่านี่รถพ่อท่าน อาตมาจุกทุกที ชื่อของอาตมาเป็นเจ้าของทะเบียนก็ไม่มี กลัวด้วย อย่าเชียวนะ รถญาติโยมเห็นแล้วว่าเดินอย่างยุคพระพุทธเจ้านั้นไม่ทัน เล่าตั้งแต่อดีตอาตมาไม่เอานะ จะให้ขึ้นเครื่องบินมันแพง

อาตมาไม่ได้ยึดติดเป็นของตน แต่เท่าที่เห็น คนที่ยึดว่านี่ที่ดินของตน รถของตน สมบัติพัสถานใดก็ใส่ชื่อของตนไว้ ทั้งที่มาบวชให้มาโภคขันธาปหายะ ไม่ได้ว่าใครนะ แต่เป็นปรากฏการณ์จริง ก็ต้องตำหนิสิ่งควรตำหนิ ยกย่องสิ่งควรยกย่อง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาช่างตำหนิ ต้องตำหนิมากกว่ายกย่อง เป็นสิ่งที่ควรสร้างสรร สังคหะคือการตำหนินี่แหละ ตำหนิแต่ตำหนิให้คนรับได้ สำนวนท่านว่า ทำคำตำหนิให้เป็นของควรดื่ม อันนี้แหละเป็นปิยวาจา ตำหนิให้เขาดื่มคำตำหนิได้

ถ้าไปชมให้เขารับได้มันไม่มีฝีมือหรอก ประเล้าประโลมยกยอปอปั้นหลอกกันด้วย น่าเกลียด นักสั่งสอนจริงๆคือนักตำหนิให้เขาดื่มคำตำหนิได้ คือปิยวาจา เป็นคำพูดที่ควรน่ารักน่านับถือ

สิ่งที่ดีเป็นนิสัยเป็นวิสัยของคุณที่ทำอยู่แล้วก็ไม่ต้องพูดถึง แต่สิ่งไม่ดีที่แรงร้ายควรรีบบอก เหมือนมีผ้าชุบน้ำมันลุกเป็นไฟอยู่บนหัวควรรีบเอาออก ยิ่งมากยิ่งแรงยิ่งต้องบอกให้รู้ ยิ่งรีบตำหนิ แต่ทำดีไม่ต้องไปพูดหรอก ไม่เป็นโทษภัยกับใคร ไม่ต้องไปเอาออกด้วย แต่สิ่งไม่ดีต้องรีบเอาออก

อย่างอาตมาไม่ไปพูดชมเชยอะไรมากมายหรอก เขารู้เข้าใจก็ไม่ต้องพูดซ้ำ แต่สิ่งชั่วที่หนาด้านต้องตอกย้ำ ซ้ำทวน วันๆ ยกค้อนปอนด์ไม่รู้กี่ที หวดตูมๆๆ ทั้งด้านทั้งแข็งทั้งหนา แต่อาตมาไม่มีทางเลี่ยง ก็ต้องทำด้วยเต็มใจยินดี เหนื่อยมีแต่ไม่หน่าย เพราะเห็นเป็นกรรมที่ควรทำ เป็นหน้าที่เป็นงานของอาตมาเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน การทำกุศลนับอย่างไร

_อีกอันหนึ่งของดช.นโม

คำถามดช.นโม การทำกุศลนี่นับอย่างไรครับ นับจำนวนหรือนับครั้ง หรือนับที่ใจ

พ่อครูว่า...กรรมที่เป็นกุศลนั้นมีทั้งกาย วาจา ใจ แต่ใจเป็นประธาน เหมือนกับเราไม่ได้สั่งการให้พูดหรือทำเช่นนี้ แต่มันมากับพลังงานต้นรากจากสัญญาเลย คือจากสัญชาติ เรียกว่าสัญชาตญาณ คือสิ่งที่เกิดแล้วเป็นสัญญาอยู่ในใจ แล้วมันเป็นอัตโนมัติ เป็นวิสัย มันยิ่งกว่านิสัย ไม่ต้องรู้ตัวมันก็มีตัวเจตนา คือ ในนามธรรมมีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ตัวเจตนา มีโดยสัญญามันคบกัน กำหนดหมายให้ทำถ้าถึงเวลานะ จากต้นรากของจิตที่มันเป็นอนุสัย ...ถึงเวลาแล้วสั่งให้ทำกาย วาจาเช่นนี้ บางคนสั่งให้เป็นวจีกรรมโดยไม่รู้ตัวเรียกว่าละเมอ  แต่ตัวสัญญากับเจตนามันสั่ง ตามสัญญากำหนด แล้วก็มีจุดหมายไป แล้วก็ทำงานเป็นกายกรรม วจีกรรม

ถามว่า กรรมนับอย่างไร อย่าไปนับมันเลย กุศลอย่าไปนับมันเลย เรารู้ว่ากุศลก็ทำเลย นับไม่ไหว อกุศลก็นับไม่ไหว แต่อย่าทำเลย ไม่ต้องเสียเวลานับ ขอให้กำหนดชัดว่ากุศล ทำให้ดีที่สุดเลย 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_ตาย) ตอน ฝันหลังตายคืออย่างไร

_ของดช.นโมอีกอัน…

การตายคือการนอนหลับ แล้วฝันไปแบบไม่ตื่นใช่ไหมครับ...

พ่อครูว่า…ถ้าไม่ตื่นเลยก็อันนั้นแหละคือการตาย แล้วจะจริงกว่าตอนเป็นๆอีก เพราะตอนเป็นๆ มีอวัยวะแชร์พลังงานจิต รับพลังงานนั้นมาปรุงแต่ง

แต่ตายแล้วไม่มีอาการ 32 เป็นตัวฝันแท้ๆเต็มๆ ขนาดตัวตอนเป็นๆ ก็ฝันเพ้อไปตามเรื่องแล้วก็สับสน เวลามันจริง ตายไปแล้วจึงจริงกว่า เพราะทุกข์สุขขณะเป็นๆ เท่านี้ ตายไปแล้วมากกว่าเป็นร้อยเท่า อย่างน้อยก็มากกว่า 32 เท่า เพราะคุณหมดอาการ 32 แล้ว มีแต่อาการ 33 แล้วอยากให้ได้ดาวดึงส์ แต่จะได้หรือ?

เพราะไม่สามารถสร้างได้ให้เป็นแก่นแกน จริงๆแล้วก็สร้างไม่ได้ เพราะสิ่งที่ทำเป็นอดีต ตายไปแล้วมีแต่ปัจจุบัน คุณอยากสุข มันเป็นสุขทางทวารนอกเป็นหลัก คุณหลับตาแล้วก็ปั้นอะไรเสพไป มันก็ไม่ใช่รสชาติสมบูรณ์แบบหรอก เอาแต่นั่งปั้นวิมาน แล้วก็กินข้าวกินน้ำกินอาหาร แม้แต่กินก็ยังเสพในนั้นอีกเยอะ ถ้าศึกษาก็ตัดแต่อาหาร แม้เรื่องอาหารเรื่องเดียวทำให้เป็นอรหันต์ได้เลย การปฏิบัติไม่ผิดสามประการ กิเลสอยู่ในอาหารการกินนั้นแหละ

สรุปแล้วแม้ฝันเป็นเรื่องอนุสัยธาตุ แล้วอนุสัยนี้มันเกิดมาเป็นฝัน ฝันนอกจากจะเพ้อพกไปตามอดีต มันยังคิดใหม่ได้เป็นสัญญา ถ้ามีปัจจุบันมีทวารนอกดึงออกไป มันจะฝันปรุงมากขึ้น แต่ถ้าตายไปแล้วไม่มีทวารนอก จะจมปรุงในสัญญาเยอะ หรืออนุสัยที่ยึดไว้แล้วก็มีสัญญาอยู่ในนั้นด้วย มันก็จะทำงานกันเต็มไปหมด สรุปคือคำถามนี้คมมาก ที่ว่า การตายคือการนอนหลับ แล้วฝันไปแบบไม่ตื่นใช่ไหมครับ?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดมนต์อย่างไรให้เกิดประโยชน์

_อีกข้อหนึ่ง เมื่อวานได้คุยกับญาติผู้ใหญ่ที่เชื่อแบบเทวนิยม เขาก็ว่าต้องทำการสวด ถ้าไม่สวดวิญญาณจะไม่สงบ การจัดงานศพแบบนี้ไม่ถูกต้อง เอาแต่พูดเทศน์จะได้อะไร ผมก็สงสารเขา ก็บอกว่าเอาแต่สวดจะเกิดประโยชน์อะไร เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า ผมก็ยิ่งสงสารผู้นั้นอีก จึงอธิบายต่อว่า การที่สมณะมาเทศน์หน้าศพเป็นสิ่งที่ดีทีสุดแล้ว อาม่าก็ได้กุศล คนที่ได้มาก็ฟังสัจธรรมที่แท้ ผมพูดไม่ทันจบเขาดุแล้วก็เดินหนี ผมก็ยิ่งสงสาร ผมไม่มีจิตโทสะ ผมทำถูกใช่ไหม  (พ่อครูว่าถูกแล้ว) แล้วผู้นี้เป็นผู้อวิชชามากใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...ใช่แล้ว ถูกต้องที่สุด

พ่อครูว่า...ยังมีคนอวิชชาอย่างนี้มากหลายกระบุงโกย ไอ้หนูคนนี้สัมมาทิฏฐิพ้นอวิชชาไปหลายกระบุงเลย

ที่บอกว่าการสวดนี่แหละ เทวนิยมไม่อธิบายมากหรอก

สมมุติว่า สวดในงานศพ ถ้าการสวดนั้นเอาธรรมบทมาสวด สวดงานศพส่วนมากก็สี่รูป แต่ถ้าเอาธรรมบทอย่างอภิธรรมมาสวดตั้งแต่สองรูปให้ฆราวาสฟังนี้ก็อาบัติเต็มๆ เลย พระพุทธเจ้าว่าเอาธรรมโดยบทมากล่าวต่อหน้าอนุปสัมบันก็ต้องอาบัติจิตตีย์

ถ้าเราสวดเพื่อรักษาคำสอนไว้นี่ก็ดีสำหรับเผยแพร่เรียนรู้เข้าใจ แล้วจะได้ทำตามคำสอนธรรมบทของพระพุทธเจ้า ก็เกิดประโยชน์ ธรรมบทต่างจากประณามคาถา ซึ่งประณามคาถาคือคำยกย่องบูชาพระรัตนตรัย ก็สวดพร้อมกันได้ไม่เป็นไร ชักชวนกันมาสวดกันให้มากก็ดี แต่ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้เอาธรรมบทไปสวดพร้อมกัน เพราะว่าศาสนาอื่นลัทธิอื่นมีสวดกันอยู่แล้วทั่วโลก ศาสนาพุทธจะไปทำทำไม แต่ตอนนี้ก็สวดจังเลย ถือว่าได้กุศลได้เจริญ

การสวดธรรมบทของพระพุทธเจ้าคือจับกังแบกลังทอง คนที่สวดนี้ไม่ได้ประโยชน์จากการสวดเลย ไม่ได้ทองเลย ได้แต่ค่าจ้างแบกทอง เอาธรรมบทไปสวดแล้วรับค่าจ้างคือจับกังแท้ๆ อย่างน้อยสวดแลกอาหาร

อย่างดีเอาไปบรรยายไปเทศน์ แล้วเขาให้อาหารก็ไม่เชิงรับจ้าง เป็นการทำประโยชน์แก่กันตามควร เราให้ธรรม เขาก็ให้อาหาร มีทายกและปฏิคาหก ก็ใช้ได้

แต่นี่จะเกณฑ์กันสวดข้ามปี กันเป็นล้านคน ซึ่งมันออกนอกไปไกลเลย จะไปแต่หลงการสวดมนต์ มิจฉาทิฐิออกนอกรีตไปไกลเป็นโทษ พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทำเว้นขาด ไม่ได้มาฉีกหน้าเอามาว่านะ แต่กำลังพูดพุทธศาสนาตามภูมิ

ถ้าจะสวดเพื่อจำบทมนต์แล้วเอาไปปฏิบัติแล้วสอนต่อนี่ดี แต่อย่าเอาไปใช้เป็นเครื่องมือหากิน แล้วทำเป็นเครื่องหลอกให้เกิดสิริมงคล ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิริมงคลคืออะไร

สิริมงคลคือมีปัญญาเข้าใจเนื้อหาของบทมนต์ ว่าสิ่งนี้เป็นอกุศลควรเลิก ศีล 5 นี้ควรทำอย่างไร ควรเลิกอะไร แล้วก็ทำตาม พยายามอรติวีรติ ปฏิวีรติ อย่างนี้บทมนต์นั้นจะขลังได้ประโยช์ ถ้าจะสาธยายก็ไม่ต้องสวดเป็นทำนองเกินกาล แต่ให้สวดทีละคน อธิบายทีละคน

 

ศาสนาหรือธรรมะกับการเมืองอันไหนสำคัญกว่า ถ้ามีแต่การเมืองแต่ไม่มีธรรมะนั้น ฉิบหาย แต่ถ้าคนมีแต่ธรรมะแม้ไม่มีการเมืองก็อยู่ได้ ถ้าจะปฏิรูปประเทศ ต้องปฏิวัติอันนี้ยิ่งกว่าการเมืองเลย แต่ไม่เห็นความสำคัญ เมื่อจะทำการเมืองให้เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนธรรมะด้วย การเมืองตอนนี้มีอำนาจพอจะจัดการธรรมะได้ และย้ำเลยว่าต้องทำ คุณจะปฏิวัติการเมือง ต้องปฏิวัติศาสนานี่ แล้วการปฏิวัติการเมืองจะดีขึ้นง่ายขึ้น ได้ผลดีกว่าที่ทำ ถ้าไม่ทำหนักกว่านี้

ถ้าการเมืองแพ้ธรรมะ เชื่อไหมว่า คณะเจ้าคุณเมธีธรรมาจารย์ ซึ่งบางคนตั้งให้ว่าเป็นแก๊งโจรเหลือง แล้วแก๊งนี้เชื่อมโยงกับการเมืองเสื้อแดงไหม ? จะต้องปฏิวัติอย่างไรสำคัญอย่างไร ถ้าปฏิวัติแล้วไม่จัดการอันนี้แล้วไม่ได้เลย เพราะเป็นรากฐาน อันนั้นเขาเคารพนะ มีอิทธิพลหลายอย่างด้วย ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลมไปไม่ออกเลย อาตมาไม่ได้ยุแยงนะ แต่พูดสัจธรรมสู่ฟัง ตามควร ตามภูมิอาตมา

 

_คนเขียนมาว่า...มีผู้สูงวัยกำลังนิยมซื้ออาหารกระป๋องธัญพืชที่นพ.ท่านหนึ่งที่เคยมาออกบุญนิยมทีวี ก็นิยมมากก็ซื้อจำนวนมากก็เลยเหลือราคาลดลง อยากให้รู้ว่า ธัญญพืชกระป๋องมีคุณค่าอาหารมากกว่าอาหารสดใหม่ที่ชาวอโศกปลูกเองตอนนี้เป็นไปไม่ได้ ชาวอโศกมีพืชถั่วงาแต่กลับนิยมอาหารกระป๋อง อยากให้ครัวกลางปรุงให้เอื้อผู้สูงวัย เด็กนร.แต่ละแห่ง ให้ย่อยง่ายดูดซึมง่าย จะได้ไม่ส่งเสริมทุนนิยม  

พ่อครูว่า...ก็ขอบคุณที่ให้ข้อมูลมา ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:28:18 )

590302

รายละเอียด

590302_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปราบอัมพัฏฐมานพ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 2 มี.ค. 2559 เทศนาที่บ้านราชฯ เราก็ได้สาธยายในพระไตรปิฎกมา เราก็จะต่อไปอีก… ภูมิใจว่าอาริยบุคคลเกิดในเมืองไทยจริงๆ มีตัวตนบุคคล มีพฤติกรรมมีองค์ประกอบของเหตุปัจจัย เราไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองข้าวของบ้านช่องเรือนชาน อยู่ร่วมกันไปในสังคมสาธารณโภคี พวกเราแม้แต่เป็นฆราวาสก็ทำได้ มีตัวตนบุคคลยืนยันอยู่ในชาวอโศกจริงๆ เป็นสิ่งยืนยัน ปาตุสัจจะหรือปาตุภาวะ หรือ phenomenon และไม่ใช่ปีเดียว แต่ต่อเนื่องมานานปี มีหลายบุคคล หลายวัย จนเป็นหมู่กลุ่มพฤติกรรมสังคมวัฒนธรรม มีการดำเนินชีวิต องค์รวมมีพฤติกรรมชัดเจน

มีลักษณะครบพร้อม

1. ลักษณะ 2. สสัมภาระ 3. อารัมณะ 4. สมมุติ

มีตัวจริงยืนยัน มีลักษณะจริง มีการเอาภาระกัน แม้ที่สุดอ่านอารมณ์เป็น จับอารมณ์ได้ แล้วรู้ความต่างของอารมณ์และทำอารมณ์สำเร็จ ถึงขั้นเรียกว่านิโรธ และวิมุติ

ทั้งนิโรธและวิมุติ เป็นอันเดียวกัน แต่คนละมุม นิโรธคือมันดับสลายไป แต่วิมุติคือหลุดพ้น เป็นภาษาสื่อสภาวะ เราเข้าใจอาการอารมณ์ได้ สุดท้ายเป็นสมมุติกำหนดให้รู้ร่วมกันได้เป็นนิมิต เป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่ สมมุติขึ้นมาอยู่ร่วมกันเข้าใจร่วมกัน อธิบายกันได้ แม้เป็นนามธรรมละเอียดลึกซึ้งเกิดจริงเป็นจริง ได้อาศัยเป็นสังคมมนุษยชาติ

สิ่งนี้เป็นหลักฐานต่างๆในภาษาที่อาตมาหยิบมาใช้

 

มาดู sms

0805925xxx พ่อคะถ้าทิ้ง(ช่วง)ไม่มีสังฆราชช่วงนี้ก็จะดีเนอะ หนูไม่อยากได้?

พ่อครูว่า...คำว่าช่วง แปลว่า สมยะ คือสมัย เป็นกาละที่สั้นนิดเดียว จุดเดียว เหมือนกับดช.นโมที่บอก ความจริงอยู่ที่ปัจจุบันนิดเดียว ผ่านปัจจุบันไม่มีความจริงไม่มีกาละ ผ่านไปแล้วเป็นอดีต มาไม่ถึงเป็นอนาคต ปัจจุบันเท่านั้นคือความจริง สมยะคืออันนี้ อาตมาก็ขอปฏิกโกสนาซ้ำ ว่ากาละนี้มันลงตัว เพราะมันต้องมีคนชื่อช่วงในช่วงนี้ แล้วช่วงนี้ไม่ใช่ตัวจริง มันแค่ช่วงเดียว เป็นตัวละครตัวหนึ่ง แล้วแม้แค่นิสสัคคียปาจิตตีย์ยังไม่รู้เรื่อง แม้แค่ศีลมาลาคันธวิเลปนธารณฯ ก็ไม่รู้เรื่อง ชื่นใจที่ได้เดินเหยียบดอกไม้ แค่นี้ก็ไม่มีความเหนียมอาย แล้วนิสสัคคียปาจิตตีย์มีทรัพสินอยู่ก็ไม่คืน แล้วจะปลงอาบัติ ถ้าไม่สละของคืนจะปลงอาบัติตกได้อย่างไร แล้วคนอย่างนี้จะมาเป็นสังฆราชของศาสนาพุทธในประเทศไทย

แม้อาตมาเป็นนานาสังวาสแต่อาตมาก็เป็นคนไทยนะ ไม่ได้ลาออกจากคนไทยนะ วิเคราะห์แค่นี้ก็แล้วกัน ช่วยอาตมาหน่อยเถิดผู้ที่ช่วยได้ในกาละนี้ ตัดไฟแต่ต้นลมได้เลย

 

SMS 1มี.ค.59

0805925xxx เสียงพ่อเบาหนูเอียงหน้าฟังติดมือถือปวดคอ:-)

พ่อครูว่า...อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน ช่วยกันดูหน่อย

 

0893867xxx ธรรมของหลานไม้เมืองพุทธเตือนตนเตือนสติผู้ใหญ่ได้ดี!เวลาไม่เคยคอยใคร พึงมีสติทุกเวลาในทุกการคิดพูดทำ! นั้นคือรู้ทันตัวตนทุก ปัจจุบันขณะ! ขอบคุณskk

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดมนต์ทำให้เสื่อม

0881543xxx สวดแปลว่าสาธยาย มนต์แปลว่าความรู้ รวมความว่าสาธยายความรู้ จากเจ็ดสู้สูญญตา

พ่อครูว่า...เรากำลังอธิบายอัมพัฏฐสูตร ประเด็นที่อาตมาเห็นว่าน่าจะพูดคือความเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนาพุทธยังเจริญดีอยู่

การสวดคือสาธยาย แต่การร้องที่พูดออกมานี่คือแค่ความจำได้ การสวดคือสาธยายไป อธิบายไป แล้วมนต์คือความรู้และความจำได้ แล้วการเอามนต์มาสาธยาย คือเอามนต์มาเปิดเผยสาธยายออกให้คนรู้จะได้สื่อต่อกันไป

การสวดที่สุญโญจริงๆ คือได้แต่จำบ่นท่องออกไป นี่คือความสูญแล้วของศาสนา แต่ยังได้รักษาบทมนต์คัมภีร์นี้มาก็ยังดี คำสอนของศาสดาใดๆ คำสอนที่เป็นความจริงที่จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แม้จะชื่อว่าพุทธ หรือบทมนต์อื่นๆที่เรียกว่าพุทธ ก็สวดก็ท่องกันมา ที่ถูกต้องที่ใช้ได้

การที่จำมาก็เป็นคุณประโยชน์ ผู้ที่จำมาคือเป็นจับกังแบกลังทอง ทุกวันนี้เสื่อมไปหมดแล้ว เหมือนอัมพัฏฐะ ที่ได้แต่ท่องบทมนต์เก่ง ซึ่งในอัมพัฏฐสูตรนั้น พระพุทธเจ้าว่า แม้แค่ความเสื่อมในพราหมณ์ของพวกเธอ เธอก็ยังเสื่อมจากความเสื่อมเหล่านั้นเลย อย่าว่าเสื่อมจากความถูกเลย เช่น ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมไปหมดแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ความเสื่อมของนิสสัคคีย์

อย่างสมเด็จช่วงนี้ นิสสัคคียปาจิตตีย์ยังเสื่อมเลย ออกกฏหมายมาให้มีเงิน ทั้งที่พระมีเงินไม่ได้ เขายังไม่ได้เลยแม้แค่ความเสื่อม คนในยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้วที่จะเข็นขึ้น ยุคต่อไปเข็นไม่ขึ้นหรอก ต่อไม่ติด

ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่านี้ ที่มีตัวอย่างมาถึงยุคนี้ก็มีตัวอย่างยืนยันจริง ตอนนี้อาตมาว่าลึกๆ ผู้จะทำงานฟันธงลงไปนั้นเกรงมวลของเขานะ แต่ถ้าทำแล้วฟันลงไปจริงๆ ใช้รัฏฐาธิปัตย์ที่มีจะทำได้ เพราะในยุคนี้ มีในหลวง มีนักรบ ยุทธะคนนี้ มีท่านประยุทธ์ ปยุตโต มีความครบพร้อมแล้ว

เรื่องสังฆราชนั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้ตั้งใครมาเป็นใหญ่ แต่ให้ทำตามพระธรรมวินัยให้องค์สงฆ์เป็นใหญ่ ตั้งแต่ สังฆ 4 รูปขึ้นไป เป็นภาวะที่จะเกิดได้มีได้ต่อไป เกิดภาวะสองของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปนามหรืออุตุนิยามที่เกิดสุดท้ายของนิวเคลียส แตกตัวก็เป็นสอง นี่คือรายละเอียดที่อาตมาว่าเป็นที่สุดแล้ว อาตมามั่นใจว่าอาตมาจะเป็นผู้อธิบายรายละเอียดถึงที่สุดได้ ถ้าไม่มีอาตมามาอธิบายนี้ก็ไม่มีใครมาอธิบายในยุคนี้ เพราะฉะนั้น นิสสัคคีย แปลว่า สิ่งที่ควรละควรเลิก สิ่งที่ไม่ควรรับเอา หรือควรทิ้งเสีย

พระพุทธเจ้าท่านยันเอากับอัมพัฏฐะว่า วรรณะกษัตริย์ใหญ่สุดในวรรณะทั้งหลาย และพระพุทธเจ้ายืนยันว่า อัมพัฏฐะเป็นลูกนางกัณหะ คือลูกทาส อัมพัฏฐะก็จำนน แล้วตกลงกษัตริย์บริสุทธิ์กว่า พราหมณ์กับกษัตริย์นั้นจะผลัดกันสูงกว่าในแต่ละยุค แต่พระพุทธเจ้าไล่เรียงพบว่า อัมพัฏฐะเป็นลูกทาส พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ แม้ความรู้ก็แพ้พระพุทธเจ้า แต่เขาไม่ยอม เลยต้องเอาวรรณะมายืนยัน

ยุคนั้นพราหมณ์ห่มขาว พระพุทธเจ้านุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด ยุคนี้พระเป็นพระมหาศาล แต่สมณะไม่ใช่สมณะมหาศาลนะ ดูแค่การยึดรถเบนซ์นี่สิ แล้วไม่ใช่แค่ว่าที่สังฆราชนะ แม้พระครูก็มีรถจากัวร์นะ ยืนยันว่าเสื่อมเลย

คำว่าพราหมณ์หรือกษัตริย์ก็ล้อเลียนกันในยุคโน้น ยุคนี้พระก็ล้อเลียนกับสมณพราหมณ์ ทางโน้นเขาไม่ให้เราเรียกว่าพระ ให้เรียกเราว่าสมณพราหมณ์แทน เจ้าคุณโสภณคุณาภรณ์ที่เป็นตัวตั้งตัวตี จับเราไปขึ้นศาลท่านยังสะดุดเลย มาตกลงกันแล้วว่าเราเรียกว่าสมณพราหมณ์  เจ้าคุณก็อุทานว่าสมณพราหมณ์เป็นคำเรียกพระอรหันต์ ไปให้เขาได้อย่างไร… เขาเลือกเองนะ

คำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่ากุศล เดี๋ยวนี้ในสังคมไทยเราก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่เกิดมรรคผลของศาสนาพุทธ กายต้องมีสอง คือรูปกับนาม ไม่ใช่หนึ่งเพียงวัตถุธาตุ ส่วนบุญเป็นเครื่องมือจำกัดกิเลส แต่ไปเข้าใจว่าบุญเป็นกุศลเป็นวิมาน ทั้งที่กุศลเป็นเพียงสิ่งที่พออาศัย ให้ทำได้อย่างสบายบ้างอย่างมีกำลังบ้างเท่านั้น

สวดหมายถึงสาธยาย ผู้จะสาธยายได้ก็ต้องมีความรู้จริงที่ถูก ไม่เช่นนั้นก็สาธยายสิ่งผิด ผู้ที่สวดได้ท่องจำได้แต่เป็นแค่จับกังแบกลังทอง จะสาธยายไม่ออก ไม่ครบ ผู้ที่ยังหลงอยากได้อำนาจตำแหน่งฐานะหน้าที่มันน่าอายทั้งนั้น

มีคนว่าอาตมาจะพยายามขึ้นเป็นสังฆราช ในความหมายคือผู้มีอำนาจเป็นใหญ่ อาตมาเองอาตมารู้ธรรมะเหล่านี้ดี จะเอามาทำอะไร ทุกวันนี้อาตมาไม่สะสมก็ยังเหลือเฟือ มีแต่ระบายออก อาตมาจะไปเป็นสังฆราชไปทำไม ถ้าอาตมาไม่มีตำแหน่งหน้าที่นี้อาตมาอิสระ แต่ถ้ามีก็ต้องถูกผูกมัดไว้ อาตมาคิดว่าอาตมาไม่โง่นะ ใครโง่จะไปมีตำแหน่งก็เชิญ อาตมาอิสระ ยุคนี้จึงมีพุทธอิสระออกมาโลดแล่น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน วิชชาและจรณะไม่อ้างชาติหรือโคตร

ทีนี้มาพูดถึงคำๆ หนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านว่า

[147] อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ก็ยังเป็นสัตว์พูดได้ตามความปรารถนาในรังของตน

ก็พระนครกบิลพัสดุ์เป็นถิ่นของพวกศากยะ อัมพัฏฐะไม่ควรจะข้องใจ เพราะการหัวเราะเยาะเพียงเล็กน้อยนี้เลย.

ท่านโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร บรรดาวรรณะ 4 เหล่านี้ 3 วรรณะ คือ กษัตริย์ เวสส์ ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์พวกเดียวโดยแท้.

ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือรพวกพาหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.

อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สาม ด้วยประการฉะนี้.

[148] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้ กล่าวเหยียบย่ำพวกศากยะอย่างหนัก โดยเรียกว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ ถ้ากระไร เราจะพึงถามถึงโคตรเธอดูบ้าง

แล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กับอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอมีโคตรว่าอย่างไร? กัณหายนโคตร ท่านโคดม.

อัมพัฏฐะ ก็เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้า เธอเป็นลูกนางทาสีของพวกศากยะ ก็พวกศากยะเขาพากันอ้างถึงพระเจ้าอุกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษ.

ว่าด้วยศากยวงศ์

[149] อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าอุกกากราชทรงพระประสงค์จะพระราชทานสมบัติให้แก่พระโอรสของพระมเหสีผู้ที่ทรงรักใคร่โปรดปราน จึงทรงรับสั่งให้พระเชฏฐกุมารคือพระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินีกราชกุมาร และพระสีนิปุระราชกุมาร ออกจากพระราชอาณาเขต พระกุมารเหล่านั้น เสด็จออกจากพระราชอาณาเขตแล้ว จึงไปตั้งสำนักอาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้สากะใหญ่ริมฝั่งสระโปกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์ พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน.

อัมพัฏฐะ ต่อมาพระเจ้าอุกกากราชตรัสถามหมู่อำมาตย์ราชบริษัทว่า บัดนี้พวกกุมารอยู่กัน ณ ที่ไหน?.

พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ มีราวป่าไม้สากะใหญ่อยู่ริมฝั่งสระโบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์ บัดนี้ พระราชกุมารทั้งหลายอยู่ ณ ที่นั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน.

อัมพัฏฐะ ทีนั้นพระเจ้าอุกกากราชทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านทั้งหลาย พวกกุมารสามารถหนอ พวกกุมารสามารถยอดเยี่ยมหนอ.

อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่าศากยะปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และพระเจ้าอุกกากราชพระองค์นั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกศากยะ และพระเจ้าอุกกากราชมีนางทาสีคนหนึ่งชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะ

กัณหะพอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉันจากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่.

อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้วปีศาจเกิดแล้ว. อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และกัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

อัมพัฏฐะ เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้า เธอเป็นลูกทาสีของพวกศากยะ ด้วยประการฉะนี้แล.

ว่าด้วยวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ

[150] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาณพเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าพระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยพระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และเธอสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมผู้เจริญได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพจงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราในคำนี้

ก็ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ พวกเธอจงหยุดเสียเถิดอัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับเราในคำนี้.

มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุลเป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมได้ พวกข้าพเจ้าจักนิ่งละ อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับพระโคดมในคำนี้เถิด.

[151] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ ปัญหา ประกอบด้วยเหตุนี้แล มาถึงเธอเข้าแล้ว ถึงแม้จะไม่ปรารถนา เธอก็ต้องแก้ ถ้าเธอจักไม่แก้ก็ดี จักกลบเกลื่อนด้วยคำอื่นเสียก็ดี จักนิ่งเสียก็ดี หรือจักหลีกไปเสียก็ดี ศีรษะของเธอจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ

อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกันหายนะ.

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเสีย. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามอัมพัฏฐมาณพแม้เป็นครั้งที่สองว่า อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และเป็นปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

แม้ครั้งที่สอง อัมพัฏฐมาณพก็ได้นิ่งเสีย.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอจงแก้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ไม่ใช่เวลาของเธอจะนิ่ง อัมพัฏฐะ เพราะผู้ใดถูกตถาคตถามปัญหาอันประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้วไม่แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี่แหละ.

[152] สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่ลุกโพลงโชติช่วงยืนอยู่ในอากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ถ้าอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้ว แต่ไม่แก้ เราจักต่อยศีรษะของเขาให้แตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ.

พระผู้มีพระภาคและอัมพัฏฐมาณพเท่านั้นเห็นยักษ์วชิรปาณีนั้น.

ครั้งนั้นอัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวขนพองสยองเกล้า ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่ต้านทาน ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่เร้น ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่พึ่ง กระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วกราบทูลว่า

พระโคดมผู้เจริญ ได้ตรัสคำอะไรนั่น ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดตรัสอีกครั้งเถิด.

อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ?.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ยินมาเหมือนอย่างที่พระโคดมผู้เจริญตรัสนั่นแหละ พวกกัณหายนะเกิดมาจากกัณหะนั้นก่อน และก็กัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

[153] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวเช่นนี้แล้ว มาณพเหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่าท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าอัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล เป็นลูกทาสีของพวกศากยะ

ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าพวกศากยะเป็นโอรสของเจ้านายอัมพัฏฐมาณพ พวกเราไพล่ไปสำคัญเสียว่าพระสมณโคดม ผู้ธรรมวาทีพระองค์เดียว ควรจะถูกรุกรานเสียได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิเช่นนี้ว่า มาณพเหล่านี้พากันเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีหนักนัก ถ้ากระไรเราพึงช่วยปลดเปลื้องให้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะมาณพเหล่านั้นว่า ดูกรมาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนัก เพราะกัณหะนั้นได้เป็นฤาษีคนสำคัญ เธอไปยังทักษิณาชนบทเรียนมนต์อันประเสริฐ แล้วเข้าไปเฝ้าพระอุกกากราชทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าอุกกากราชทรงพระพิโรธขัดพระทัยแก่พระฤาษีนั้นว่า

บังอาจอย่างนี้เจียวหนอ ฤาษีเป็นลูกทาสีของเราแท้ๆ ยังมาขอธิดาชื่อว่ามัททรูปี แล้วทรงขึ้นพระแสงศร ท้าวเธอไม่อาจจะทรงแผลง และไม่อาจจะทรงลดลง.

[154] ดูกรมาณพ ครั้งนั้น หมู่อำมาตย์ราชบริษัทพากันเข้าไปหากัณหฤาษีแล้วได้กล่าวคำนี้กะกัณหฤาษีว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา แต่ว่าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรลงไปเบื้องต่ำ แผ่นดินจักทรุดตลอดพระราชอาณาเขต อำมาตย์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ

ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท แต่ท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรขึ้นไปเบื้องบนฝนจักไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตถึงเจ็ดปี อำมาตย์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ขอฝนจงตกเถิด ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท ฝนจักตก แต่พระราชาต้องทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยองดังนี้.

ดูกรมาณพ ลำดับนั้นพระเจ้าอุกกากราช ได้ทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง ดังนี้ ครั้นท้าวเธอทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่แล้ว พระราชกุมารก็เป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงกลัวถูกขู่ด้วยพรหมทัณฑ์ จึงได้พระราชทานพระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤาษีนั้น.

ดูกรมาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย กัณหะนั้นได้เป็นฤาษีสำคัญแล้ว.

[155] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะอัมพัฏฐมาณพว่า ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิดแต่นางพราหมณกัญญากับขัตติยกุมารนั้น จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกบ้างหรือไม่?

ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เพราะเหตุอะไร?

เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ข้างฝ่ายมารดา.

[156] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางขัตติยกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิดแต่ขัตติยกัญญากับพราหมณกุมาร จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เพราะเหตุอะไร?

เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายบิดา.

[157] ดูกรอัมพัฏฐะ เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

พราหมณ์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ไม่ควรได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ไม่ควรบอกให้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาควรถูกห้ามทีเดียว พระโคดมผู้เจริญ.

[158] อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ควรเชิญให้เขาบริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง ดูกรอัมพัฏฐะ แม้ในเมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลวด้วยประการฉะนี้.

สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้

คาถาสินังกุมารพรหม

[159] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์.

[160] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า

[161] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์.

พ่อครูว่า...ทุกอย่างกลับไปกลับมาเหมือนก้นหอย วนไปวนมาไปทางซ้ายหรือไปทางขวา มีขึ้นสู่ที่สูงกลับวนลงต่ำ ไปทางซ้ายกับทางขวาแค่นั้น จะสูงจริงเป็นสัจจะหรือไม่เท่านั้นที่สุดยอด สุดท้ายอัมพัฏฐมานพแพ้แล้ว     

จบ ภาณวารที่หนึ่ง

วิชชาจรณสัมปทา

[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตร หรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา

อาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้าง อ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้ เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.

ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง

พ่อครูว่า...ใครที่จะมาอย่างไม่บวชเป็นรูปแบบ แต่มาอยู่ปฏิบัติธรรมที่มีตั้งแต่ศีล 5 เป็นพื้นฐานแน่ๆ ไปนิพพานแน่ๆ มีผู้ไปแล้วได้ด้วย คำว่าบวช คือเข้ามาร่วมเรียกว่า สัมปวังโก ทุกอย่างเหนี่ยวนำให้คุณไปสู่นิพพานได้แน่ ทั้งเหนี่ยวนำทั้งตะล่อม ไปสู่จุดหมาย interest point ไม่มีเป๋ไปทางอื่น

การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

พ่อครูว่า...มาอยู่ที่นี่ต้องใจพอระดับหนึ่ง ถ้ามากไปอยู่ไม่ได้ แล้วก็ต้องมา

สร้างสติสัมปชัญญะให้ได้เสมอ พลาดสติตกก็ต้องปรับขึ้นมาเสมอๆ ทั้งอินทรีย์ที่เป็นกำลังและทวาร ต้องดูและควบคุมทุกหกทวาร แล้วถึงพร้อมด้วยศีลตามฐานะ

แล้วก็ไล่ไปตามจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

พ่อครูว่า...เห็นธัมมชโยแต่งตัวไหม พริ้งอย่างกับผู้หญิง อยากได้ไรผมที่เรียกว่า ชาร์ม แล้วก็ไปทำมาจนได้ คนยุคนี้ตกต่ำมาก ถูกหลอกให้เป็นบริวารได้ ที่เจริญสูงกว่านี้ เป็นศาสนาสูงกว่านี้ไม่เอา ไปเอาที่ตกต่ำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีลปฏิบัติเพื่อลดกิเลสตน

พ่อครูว่า...จุลศีลเป็นศีลที่เอาไปปฏิบัติจะได้ประโยชน์แต่ละคน

จุลศีล

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?

1. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

2. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

3. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

4. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

5. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้นเพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

6. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบกล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

7. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริงพูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

8. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.

9. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

10. เธอเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

11. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

(พ่อครูว่า...แม้แต่ผู้หญิงของอโศกก็ไม่เห็นจะมาใช้เครื่องพวกนี้นะ)

12. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.

          13. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

(พ่อครูว่า...อย่างอาตมานี่เอาทองมาทำเข็มให้พวกคุณนะ)

          14. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

(พ่อครูว่า...คือสิ่งที่ดิบกินไม่ได้จริงๆนั่นหนึ่ง จะเป็นฆราวาสหรือนักบวชก็ตามถ้าดิบไม่รับ สอง คือดิบที่จะต้องนำมาต้มมาทำให้กินได้ ถ้าเป็นฆราวาสก็พอรับได้ แต่ถ้าเป็นสมณะก็รับไม่ได้ผิด ฆราวาสเอามาต้มได้แกงได้ ถือว่าไม่เป็นธัญญาหารดิบ คนไม่รู้เข้าใจเผินๆก็จะไม่รับแบบพาซื่อ)       

15. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

(พ่อครูว่า...เนื้อดิบนั้น สำหรับฆราวาสชาวอโศกก็ไม่รับเช่นกัน เอาแต่พืช แต่พระนี่ไม่รับทั้งพืชและเนื้อ ไม่มีหม้อข้าวหม้อแกง สัญญายนิจจานิ เรายึดถืออันนี้เที่ยง ชาวอโศกนี้ไม่ว่าสมณะหรือฆราวาสไม่กินเนื้อ คำว่าดิบนี้สุดยอดคือไม่เอาเนื้อเอาแต่พืช)

          16. เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.

          17. เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

          18. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

(พ่อครูว่า...เอามากินนมเอาขนเราไม่เอา)

          19. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

(พ่อครูว่า...เอามากินเนื้อมันเราไม่เอา)

          20. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

(พ่อครูว่า...เอามาใช้แรงงานเราไม่เอามากินแรงมันไม่เอา)

          21. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

(พ่อครูว่า...นี่เห็นรับกันจังใส่ชื่อด้วย ตรงไหนที่มีทองคำก็ไปซื้อกัน ก็ธัมมชโยนี่แหละพูดตรงเลย)

          22. เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้.

(พ่อครูว่า...ใช้ศัพท์คำว่ารับใช้นี้ผู้สูงส่งแล้วรับใช้ผู้อื่น แต่ไม่รับจ้าง

ฑูตกรรมคือการติดต่อเชื่อมโยง ถ้าการเชื่อมโยงเพื่อธุรกิจการค้า ไม่ทำ แต่ถ้าส่งเสริมความรู้เกิดประโยชน์ เช่น เผยแพร่ธรรมะก็ต้องทำ แต่ถ้าฝากจดหมายรักอันนี้จะไปทำได้อย่างไร แต่ถ้าฝากตำรานี้ไปให้คนนั้นคนนี้ พระสมณะก็ทำได้ แต่ถ้ายิ่งเอาหนังสือธรรมะไปให้ก็ยิ่งต้องทำได้ การเป็นฑูตเชื่อมต่อ แล้วไม่ให้พระไปเป็นฑูตเผยแพร่ธรรมก็ผิดหมดสิ ถ้าไม่มีใครเผยแพร่ก็ไม่มีพุทธศาสนาในเมืองไทยหรอก)

          23. เธอเว้นขาดจากการซื้อการขาย.

(พ่อครูว่า...พวกเรานี่ทำได้ ถ้าเป็นฆราวาสทำค้าขายได้ แต่ว่ามีนัยซ้อนว่าต้องขาดทุน สมณะสิกขมาตุก็อย่าซื้อขาย แต่ที่จริงสิกขมาตุก็ยังซื้อขายได้ ไม่ได้มีวินัย แต่ภิกษุณีไม่ได้เลย เพราะภิกษุณีมีวินัยมากกว่าพระอีก มันซับซ้อนกลับไปกลับมา)

          24. เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

          25. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.

          26. เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และการกรรโชก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

          จบจุลศีล.

          พ่อครูว่า...มีที่ไหนในสังคมศาสนาพุทธนอกจากอโศก พูดไปแล้วดูใหญ่ ก็จำเป็นต้องพูดความจริง

          จุลศีลคือศีลที่ปฏิบัติแล้วเจริญเฉพาะตัว เป็นผลลดกิเลสได้ ส่วนมัชฌิมศีลนั้นซ้อนละเอียดไปอีก ส่วนมหาศีลเป็นเรื่องเดรัจฉานวิชชาเลย

          พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในมหาจักรวาลที่ละเอียดถึงปลายสุด ไม่ว่าจะสสารหรือพลังงาน ไม่ว่าจะรูปกับนาม เป็นเทวธัมมา ธรรมะสองทั้งนั้น แล้วทำให้เป็นหนึ่งได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

          ผู้ทำให้เป็นเอกบุรุษก็ไม่มีคู่ เป็นหนึ่งสูงสุดและปลอดภัยเด็ดขาด แต่ยังมีอีกคือ นปุงสกลิงค์ คือเป็นสูญ ในขณะไม่ตายก็ต้องพยายามทำอาการที่ว่างสุดสูงสุด แม้แต่ 1 ก็ไม่มี คนทำได้ก็ทำได้ คนทำไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่รู้ก็ทำไม่ได้ แม้รู้แล้วก็จะรู้ว่า 0 กับ 1 มันต่างกันอย่างนี้ คนทำได้ก็อาศัย 0 กับ 1 ถ้าคนทำ 1 ได้แล้วทำ 0 ไม่ได้ก็คือยังมี 1 ปลอดภัยแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่สุดเท่านั้นเอง….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:29:26 )

590303

รายละเอียด

590303_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อัศจรรย์ไปตามลำดับสัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2559 แรม 10 ค่ำเดือน 3 วันนี้วันพฤหัสบดี ก็มีนักเรียนมานั่งเรียนด้วย ส่วนหนึ่งปิดเทอมไป มีเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลขัดเกลากิเลสไปตามลำดับ

ที่ชาวอโศกเรา หลวงปู่ได้ดำริเพื่อที่จะให้ความรู้แก่เยาวชน เกิดมาแล้วก็เป็นอย่างโลกๆ ที่เขาพาเป็น ซึ่งก็คือในสังคมยุคนี้สมัยนี้ทั่วทุกประเทศเห็นความสำคัญว่าคนเกิดมาต้องมีการศึกษา เกิดมาต้องมีความรู้ เขาก็พากันหาวิธีการสอนความรู้ สุดท้ายกลายเป็นความรู้ทางเทคนิคที่สามารถเอาไปทำงานทำการเลี้ยงชีพรอดเหมือนกับเดรัจฉาน หมู หมา กา ไก่ มันก็สอนลูก ให้รู้จักเทคนิคในการเลี้ยงชีวิตตามแต่ละประเภทของสัตว์แต่ละชนิด มันก็เรียนรู้ตามพ่อแม่ตามสังคม ก็ฝึกปรือได้ความรู้ ความรู้ของโลกทุกวันนี้ก็เป็นความรู้เช่นนั้น เป็นความรู้ทางเทคนิคฝีมือความสามารถที่จะเอาไปใช้เลี้ยงชีพได้

ทุกวันนี้ยิ่งมีแต่ความรู้ทางเทคนิค จะรู้มากฉลาดเก่งเอาไปเลี้ยงชีพทำมาหากิน แล้วก็รวยลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็เอามาเสพสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจบำเรออัตตา บำบัดกามารมณ์ บำเรอกามคุณ ก็เลยกิเลสยิ่งหนา หนาขึ้นเรื่อยๆเพราะไม่รู้เท่าทันการบำเรอทางทวารทั้ง 6

การบำเรอคือจิตใจมันอยากจะได้อะไรอย่างที่ชอบตามที่อุปทานยึดติดไว้ในใจ ก็อยากได้มาเสพ หรืออยากได้มาเป็นของตน ถ้าไม่ได้หรือใช้วิธีความรู้ทางเทคนิคสร้างเอาเอง ถ้าสร้างเองไม่เป็นก็ทำงานอย่างอื่นเอาไปแลกเงิน แล้วใช้เงินเป็นตัวกลางเอาไปแลกสิ่งที่ตัวเองอยากได้ เอามาเสพรส ได้มาก็เรียกว่าสมความโลภ ได้มาเสพรสสัมผัสทางตา หู จมูกลิ้น กาย หรือเสพเพื่อจะบำเรออารมณ์ในจิต พอได้เสพสมใจตามที่เรายึดถือเราก็เป็นสุข กิเลสก็อ้วนเพราะว่าได้บำเรอได้อาหารที่เสพติด ปุถุชนจึงกิเลสโตทุกวันทุกวินาที

ผู้มีความรู้เป็นปราชญ์ก็อยากจะให้สังคมอยู่เป็นสุข ก็สอนความรู้ที่เรียกว่าคุณธรรม ความรู้คือความดีงาม ความไม่โลภนี้ก็พอรู้ แต่ไม่รู้วิธีที่จะลดความโลภความโกรธเป็นโทษภัยรู้ได้ง่าย โกรธแล้วจะต้องไปทำร้ายคนอื่น ส่วนความโลภมากเข้าก็ไปแย่งชิงเขา ก็รู้ว่าแย่งชิงเขานี้ไม่ดี เป็นสามัญ

แต่เรื่องเอามาสมรัก สมโลภ แล้วถือว่าสุจริต เพราะไม่ได้ขโมยแย่งชิง ไม่ได้ผิดกฎระเบียบสังคม ถือว่ามีคุณธรรม ก็สอนกันเป็นคุณธรรม เรียกว่าโลกียธรรมเป็นกัลยาณธรรมเป็นธรรมะที่ดี

แต่ไม่ได้เรียนรู้ว่าการที่เอามาสมใจนี้คือสมกิเลส แม้แต่ไปทำร้ายคนอื่นให้สมใจ กิเลสก็อ้วนก็โต คำว่าปุถุนี้แปลว่าอ้วน แปลว่ามาก แปลว่าใหญ่ แปลว่าหนา ควบแน่น คนที่มีกิเลสหนาจึงชื่อว่าปุถุชน

ศาสนาต่างๆ ก็พอเข้าใจ ว่าจิตมีตัวนี้มีกิเลสที่อยากได้มาเสพ ก็หาวิธีกันสารพัดที่จะลดละ เช่น วิธีการสะกดจิตไปนั่งหลับตา ไม่เอาลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ไม่แย่งชิงกับใคร ไม่เอาอะไรของใคร ศาสนามีความรู้อันนี้ก็สอนกัน แต่วิธีที่รู้นั้น เป็นวิธีที่พยายามรู้ว่าไม่อยากเอาของเขาจริงๆ อย่าไปแย่งของเขาจริงๆมันไม่ดี โดยสามัญสำนึกก็พอรู้ว่าไม่ดี ไม่ควรทำ เขาก็ฝึกบังคับตัวเอง อย่าไปทำหรือให้พรากห่างให้หนีโลกธรรมนั้น  อย่าไปสัมผัสคลุกคลีใกล้ชิด เพราะจะทำให้เกิดกิเลสได้ ก็เลยมีวิธีง่ายๆ หนีมันห่างมัน จึงเกิดลัทธิเข้าป่าเข้าถ้ำ

วิธีของพระพุทธเจ้ามีอุบายเครื่องออก คือเราปฏิบัติอยู่กับเหตุ สิ่งที่เรายึดไว้สัมผัสแล้วอยากได้ ถือว่ามันเป็นกิเลส ความอยากได้มาให้แก่ตัวเองคือกิเลส ทำอย่างไรจะให้จิตไม่เกิดอาการอยากได้ เช่น การสะกดจิตให้ลืม กดไว้ เมื่อทำให้มากก็มีพลังงานควบแน่นทำให้ลืม ก็ลืม ก็แน่น ก็บรรลุในธรรมะแบบนั้นได้ แต่ไม่ใช่ของพุทธ

เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธชาวพุทธก็ทำอยู่แค่นี้แหละ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า อภิธรรม เป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่กว่าการสะกดจิตให้ลืมไป หรือใช้เวลาใช้พลังในการลืมในการกดข่มไว้ ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องหนี ให้เรียนรู้อาการของกิเลสในจิต จิตที่มีกิเลสแล้วก็เรียนรู้ทีละกรอบตามที่ตั้งไว้

ตั้งแต่อย่าไปอยากฆ่าสัตว์ใดใด ถ้าไม่ฆ่าสัตว์ใดใดที่เป็นชีวิตเรียกว่าปาณาหรือปาณะ อาการอย่างที่อยากเบียดเบียนเขาอยากฆ่าเขานี้คือกิเลส สอง คืออาการอยากได้มาเป็นของตน ได้เงินได้ทอง ได้บ้านได้ช่อง ได้ที่นา ได้เพชรนิลจินดาอะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งถึงอยากได้คน มาเป็นข้าทาสบริวาร มาเป็นคนของเรา สุดท้ายมาเป็นคนที่เราจะได้สัมผัสเสียดสีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสเสียดสีเรียกว่ากามรส ก็เป็นอีกอันหนึ่งในการเสพกามรสหรือกามราคะ ก็มีสาม หลักใหญ่

1. จิตที่เป็นโทสะมูล คือจิตร้ายจะไปแย่งชิงทำร้ายคนอื่น เบียดเบียนคนอื่นเอาของเขามาก็เบียดเบียน ทำร้ายคนอื่นก็เบียดเบียน

2. ความโลภอยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตน

3. อยากได้มาสัมผัสเสียดสีเสพรสเป็นราคะ

นี่คือ มิจฉากัมมันตะ 3 กรรมสามอย่างที่เป็นมิจฉา ที่ต้องเรียนรู้ มันจะแสดงออกมาทางกายกับวาจา เพราะเกิดจากใจที่มีโทสะหรือโลภะหรือราคะ แล้วก็ใช้กรรมข้างนอก วิธีทางวาจา เพื่อจะข่มขู่แย่งชิง หาทางเอามาเป็นของเราให้ได้  

ผู้ที่ได้เพราะผู้อื่นให้จะเป็นปัญญา คือฉลาดเฉลียว เป็นการรู้ว่าควรให้ ไม่ใช่ถูกหลอก ให้ผู้นี้เพราะว่าควรให้ เพื่อท่านจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ของท่านเอง ท่านจะยังชีวิตอยู่เป็นอาหารเป็นเครื่องใช้บริขารที่จำเป็น แล้วท่านก็จะได้ไปรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น คนที่รู้เช่นนี้ก็จะช่วยเหลือท่าน ท่านไม่ได้เอามาด้วยการเบียดเบียนเลย ไม่เบียดเบียนแล้วจิตไม่โลภไม่อยากได้ แต่ท่านจำเป็น ท่านสมควรจะเอาไปใช้ประโยชน์

จึงมีผู้ที่เต็มใจให้ด้วยปัญญารู้ว่าควรจะให้ สำหรับคนนี้ที่ท่านมีความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ไม่มีกิเลสอยากได้ เราก็ยิ่งควรจะให้ ถ้ายิ่งจะอยากได้เอาไปเป็นของตนเพื่อเสพรส หรือเอาไปทำร้ายคนอื่น ไปซื้อเครื่องมือทำร้ายคนอื่น ยิ่งจะไม่ให้ เพราะให้แล้วเอาไปทำบาปทำกรรมให้สังคมเดือดร้อน ถ้าให้แล้วท่านไม่ได้เอาไปทำร้ายใคร ไม่ซื้อหรือแลกเอามาเป็นของตน เอามาเสพสมราคะเป็นสุข ถ้าแบบนี้ไม่ให้

ศาสนาพุทธจะมีความรู้ความฉลาด รู้โลกว่าเขาอยู่อย่างไร สังคมนี้เป็นอย่างไร เราก็จะช่วยเขา จะช่วยด้วยวิธีต่างๆ แม้แต่เรื่องเงินบริจาคมา ก็ให้สำหรับผู้ที่ควรจะได้เงินนี้ ให้ประโยชน์แก่สังคมบริษัทหมู่กลุ่มนั้น ว่าเขาจะเอาไปใช้อย่างนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็ให้ต่อไป หรือเอาไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะยิ่งเป็นสิ่งที่ดีใหญ่เลย ใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะกว้างขวาง เป็นของจำเป็นในชีวิตที่จะต้องใช้ที่เราเรียกว่า สาธารณูปโภค

ผู้ที่ไม่โทสะ ไม่ราคะ ไม่โลภะแล้ว กลับมีพลังงานความรู้อย่างไม่หนีโลก ใครมีความรู้ทางเทคนิคเมื่อมาบวชแล้วก็ยังมีอยู่ ออกไปทำงานให้แก่โลกช่วยโลกอย่างไม่มีความโลภ ไม่มีโทสะ ไม่มีราคะ ท่านไม่มีราคะ โลภะ โทสะ ท่านช่วยอย่างมีวิธีการชาญฉลาด ให้ลดกิเลสตามฐานะ ให้กินใช้ตามฐานะ ก็จะรู้การประมาณจัดสรร ให้มีอุปายโกศลให้เขาขัดเกลากิเลส อย่าตะกละตะกราม หรืออย่าเสพกิเลส อย่าไปบำรุงกิเลสโทสะมูล อย่าไปบำรุงกิเลสราคะมูล  อย่าไปบำรุงกิเลสโลภะมูล ให้ละหน่ายคลาย

วิธีของท่าน ให้เรียนรู้กิเลสโทสะ ราคะ โลภะ ในกรอบในหลักเกณฑ์เบื้องต้นอย่างหยาบ เรียกว่าขั้นอบาย ไม่ดีขั้นต้นขั้นต่ำ แล้วถ้าคิดไม่ออก ตรวจสอบกิเลสตนเองไม่ได้ ว่าเรามีโทสะแรงด้วยเหตุปัจจัยอะไร เรามีราคะกับอะไร หรืออยากเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสด้วยเหตุปัจจัยอะไร ก็ไม่รู้ตัวเอง ท่านก็ตั้งหลักเกณฑ์เป็นยากลางบ้าน เรียกว่าศีล 5 เป็นเบื้องต้น

ศีลสามข้อแรกก็เป็นการบำเรอกิเลส ศีลข้อที่ 4 เรื่องของวาจา เป็นการสร้างเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสามข้อแรกนี้ ส่วนศีลข้อที่ 5 คือ มอมเมาตนเองที่ยังติดในโทสะ โลภะ ราคะ ขั้นหยาบที่ตนเองมีนั่นแหละ จึงเรียกว่า สูรา เป็นการถูกเมา จิตประสาทคุมไม่ได้ เป็นคนเสพติด

ท่านก็ให้เรียนรู้ล้างใจที่เมาที่เสพติด มีโทสะ ราคะ โลภะหยาบของเรา ที่ตา หู จมู กลิ้น กายของเราสัมผัส ตั้งแต่วัตถุที่เป็นของคนอื่น ที่เราอยากจะไปแย่งชิงไปปล้นทำร้ายนั่นโทสะ ไปแย่งสิทธิที่ไม่ใช่ของเราเรียกว่าโลภะ อยากได้อะไรต่างๆมาสัมผัสเสียดสีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งแต่คน อยากได้คนเอามาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้เกิดรสราคะ จนกระทั่งวัตถุ สัมผัสรูปนั้นโฉมนั้น ดูแล้วมันสวยมันน่าดู มันเพลินมันสุข เสียงอย่างนี้มันเป็นความสุขสบาย ได้สัมผัสในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ

สัมผัสจากคน จากสัตว์ จากพืชพรรณธัญญาหาร ดอกไม้ ผลไม้ ต้นไม้ จนกระทั่งถึงดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นภูเขา แม่น้ำ เป็นอากาศ เป็นแสง สี เสียงอะไรต่างๆ สัมผัสแล้วก็ชอบสบายเป็นสุข ที่เรียกว่าอบายเพราะต้องการมาก จัดจ้าน ในยศ ตำแหน่ง ในดินน้ำไฟลม พลังงานอะไรก็แล้วแต่ จนถึงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเสียดสี เสร็จแล้วก็เกิดอาการ สัมผัสเสียดสีได้ ทางโผฏฐัพพารมณ์เป็นสุข จนโง่อวิชชา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสจริงๆก็มีอาการจริงๆ

แม้โง่ซ้อนคือไม่มีการสัมผัสจริงทางทวาร 5 อยู่ในการคิดระลึกถึงเอา ระลึกสภาพอย่างนั้นๆ ที่เราเคยมีเคยเป็นเพลิดเพลินก็เป็นสุขได้ ดีไม่ดีหลงปั้นเป็นรูปเรื่องราวภพชาติได้ แล้วก็ปั้นให้ตนเองสำเร็จด้วยจิตเรียกว่า มโนมยอัตตา มีไคลแมกซ์สุข ไม่ได้สัมผัสจริง แต่จำได้ เคยได้ เคยมี เคยเป็น ก็เลยนึกเอา ปั้นข้นเคี่ยวหลงเมา เป็นสูรา เมาว่ามันเป็นจริง เหมือนได้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่า มโนมยอัตตา เป็นการสำเร็จด้วยจิตปั้นขึ้นมาแล้วก็สุดท้ายมีความสุข

ถ้าไม่ไคลแมกซ์สูงสุดก็สุขเพลินฝันเพ้อไป อย่างนี้มันดี ปั้นเองไป ไม่มีความจริงอะไร เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มโนมยอัตตา

คนไม่เข้าใจสัจธรรม ก็จะมีรูปราคะเช่นนี้ เสพสมใจที่ได้สัมผัส ไม่มีของจริงเลย เพลินว่าเราได้ลาภ คิดว่าถ้าเราได้ลาภขนาดนี้ จะเอาไปซื้ออันนั้นทำอันนี้ เพลินไปเรื่อย จนกระทั่งไปสัมผัสใช้ประกอบกันทั้งข้างนอกและข้างใน ไม่ได้เป็นของตนนะ ตาสัมผัสอันนี้ แล้วก็ยึดความยึดในจิตใจ เป็นตัณหาอุปาทาน ถ้าได้สัมผัสทางตาว่าอันนี้อย่างนี้ เช่น สัมผัสคน คนอย่างนี้โอ้โห ถ้าเราได้สัมผัส ได้ตามองเพ่งแล้วฝันเพ้อ มโนมยอัตตาเพ่ง สัมผัสไปสุขสูงสุดได้ เรียกว่าไคลแมกซ์ ชื่นใจก็กลับบ้าน อยากได้ดูอะไรก็แล้วแต่ หรือไปสัมผัสเสียง คราวไหนที่สูงสุดก็คือสูงสุด คราวนี้ได้ไปฟัง ปั้นเป็นเสียงต่างๆ เรียกว่ามีเพลง ได้ไปฟังเสียเงินเสียทอง ราคาแพง มันอร่อยจริงๆ สุข คุ้ม ไคลแมกซ์ คนซาดิสม์ไปเห็นเขาทำร้ายทำลายกัน ชกมวย ใช้เล่ห์เหลี่ยมแทคติก ดีไม่ดีแรงถีบเตะกัน ชนะคะคานกันก็ชื่นใจ ได้สัมผัสการทำร้ายกันชนะกัน มันไปสร้างความอำมหิตซาดิสม์ให้ตัวเอง

ซาดิสม์คือเห็นคนอื่นทุกข์ทรมาน ตนเองเป็นสุข ถ้าหนักเข้าเป็นมาโซคิสม์ก็ตนเองได้ทุกข์ทรมานก็เป็นสุข เขาด่า เขาทิ่มแทง เขาอะไรก็ชอบใจ หรือเขาทำแรงๆ กระทบกระแทกทางกายเลยแรงๆ ตนเองเป็นคนเจ็บ คนอื่นไม่ได้เจ็บ เป็นมาโซคิสม์ ก็สมใจได้ไคลแมกซ์สุขสูงสุด ไม่เรียนรู้ก็อยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน หลงเป็นสุขจริง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าไม่ใช่สุขของจริง เป็นสุขหลอก คือสุขขัลลิกะ

จุลศีล เป็นศีลข้อปฏิบัติส่วนตน มัชฌิมศีลก็ละเอียดจากจุลศีลไปอีก มหาศีลเป็นเรื่องเดรัจฉานกถาที่ท่านห้ามไว้ เป็นเดรัจฉานวิชา ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเลย เป็นพุทธศาสนิกชนก็ให้เลิก โดยเฉพาะผู้มาปฏิญาณเข้ารีตบวช เริ่มบวชก็ต้องเลิกแล้ว พุทธศาสนาไม่ให้มี แม้ศีลข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไปหมด ไม่รู้เรื่องศีลธรรมนูญนี้

ในผู้มาบวช ถ้าไม่มีเดรัจฉานวิชาเลย ฆราวาสก็ย่อมไม่มี ไม่มีการรดน้ำมนต์ ไม่จุดธูปเทียน ไม่ดูหมอ ไม่เสกเป่าอะไร นี่ถ้ามีศีลมหาศีลนี้ เบื้องต้นครอบคลุมไว้ ถ้าพระหรือภิกษุไม่มีเดรัจฉานวิชาแล้วฆราวาสก็ไม่มี เพราะพระเป็นตัวต้นพาเสกเป่า ทำนายทายทัก เดี๋ยวนี้แพร่ไปสู่ฆราวาสด้วย

ชาวอโศกเรามีตัวอย่างปฏิบัติได้แท้ๆ มีศีลธรรมนูญ เมื่อไม่มีการผิดศีลมหาศีลในชาวอโศก ฆราวาสอโศกก็ไม่มี แม้สิกขมาตุก็ไม่มี ไม่มีเดรัจฉานวิชาเลย

พระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนาของท่านเพื่อกอบกู้ช่วยเหลือมนุษยชาติ ตั้งแต่ท่านประกาศศาสนาด้วยศีลธรรมนูญ จนสืบสานมาถึงได้ 2500 กว่าปี ทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปแล้ว

แต่เดี๋ยวนี้เต็มไปหมดด้วยเดรัจฉานวิชา กลายเป็นจารีตประเพณีของศาสนาพุทธประยุกต์ ปรุงแต่งเต็มไปหมด แม้ยุคของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีพิธีกรรมพวกนี้ ที่สาธยายไปคือเพื่อให้สำนึกแก้ไขความผิดแล้วทำคืนเสีย จะได้เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ

 

SMS 2 มี.ค. 59

0805925xxx กราบพ่อวันนี้เสียงพ่อที่บ้านราชดังดี สงสัยคืนถิ่นเนอะพ่อ^!~ปลายฝน

 

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้ได้พบก๊วน smsปฝ.เจ้าประจำสมัยแรก เป็น FMtvเมื่อ10ปีที่แล้วคืนจอธรรมะ!

 

0892297  เกิดกรณีสมีเฒ่าอุ้มสมีตุ๊ดนี่ก็ดีนะเจ้าคะ ทำให้รู้ว่าสงฆ์ไทยผิดวินัยจมหูเลยแม้แต่สีจีวร

พ่อครูว่า...เป็นไปตามธรรม ในพระวินัยห้ามไว้ชัด

เขาเบี้ยวบาลีว่ามีคำว่า ล้วน อยู่ คือสีอย่างนั้นชัดๆ

สีจีวรต้องห้าม

1.      สีครามล้วน

2.      สีเหลืองล้วน

3.      สีแดงล้วน

4.      สีบานเย็นล้วน

5.      สีดำล้วน

6.      สีแสดล้วน

7.      สีชมพูล้วน

พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169

ก็มันเข้าเฉดนั้นหมดแต่ท่านก็แย้ง ผ้าสีที่เป็นสีกาสาวะ คือสีย้อมน้ำเปลือกไม้ ย้อมน้ำฝาดพวกนี้  เมื่อไม่รู้ธรรมวินัยหรือเลี่ยงก็เพี้ยนไป อย่างเอาธรรมยุติกับมหานิยายมาร่วมกันทำสังฆกรรมโจทย์พวกอาตมานี้ก็ผิดพระธรรมวินัยแล้ว

 

0805925xxx พระเมตตาเอาผ้าเหลืองห่มกันหนาวให้หมากี่ชั้นๆก็ยังเป็นหมา ไม่ต่างกับพระที่มีกิเลสห่มเหลืองกี่ชั้นๆก็ไม่ต่างกับหมาไม่ใช่พระ?ปลายฝน

 

0893867xxx แรงไปฤาเปล่าปฝ.มิควรใช้คำเสี่ยงครหาท่ามกลางโลกธรรมอันไม่หนักแน่นผันผวนปรวนแปรในจิตใจคน

 

0805925xxx เสียงพ่อวันนี้ดังถึงชั้น2แจ๋วเมื่อคืนฟังแบบคำนับมือถือ!ปลายฝน

0893867xxx พระสมณโคดมมีเชื้อพระวงศ์ในพระสุทโธทนะพระนางสิริมหามายา!พ่อครูสณ.โพธิรักษ์ถึงไม่มีพัดยศสมณศักดิ์ก็มีเชื้อสายรุ่น7ในพระเจ้าคำผงที่ร.1แห่งจักรีวงศ์ทรงแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองอุบลยุคแรก!

 

0893867xxx ผู้น้อยคนเมืองพระชนกจักรีตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในล้นเกล้าร.1มาปฏิบัติตามรอยธรรมพ่อครูสณ.เชื้อสายเจ้าเมืองอุบลฯ ผู้น้อยคงจำไม่ผิดและคิดไม่ผิดใช่ไหม?

 

0818557xxx ขอเรียนถามว่าจุลศีล มัฌชิมศีลและอธิศีล พระข้างนอกเค้าทราบกันปะคะ งงค่ะ

พ่อครูว่า...ก็ใช่อย่างที่พูดไปแล้ว และเพี้ยนไปแม้แต่โพชฌงค์ 7 เป็นต้น

พระพุทธเจ้าว่า เพราะพระพุทธเจ้าเกิด โพชฌงค์ 7 จึงเกิด เพราะพระพุทธเจ้าเกิด มรรคมีองค์ 8 จึงเกิด เขาเข้าใจแค่ว่า พระพุทธเจ้าเกิดจึงมีการก้าวไปสู่พุทธธรรม โพชฌงค์เป็นการก้าวสู่พุทธธรรม ก็ฟังเพี้ยนไปเป็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดก็เลยก้าวเดินได้เลย 7 ก้าว แล้วก้าวที่ 7 จะเป็นอย่างไรต่อนะ พอถึงก้าวที่ 7 ท่านนอนลงหรือว่าท่านล้มลงหรือนั่งลง ถามหลายทีแล้วก็ไม่มีใครตอบได้

แท้จริงคือบุคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าเกิด โพชฌงค์ 7 จึงเกิด คือไม่มีใครสามารถอธิบายโพชฌงค์ 7 ในโลกได้ แม้แต่มรรคมีองค์ 8 ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดมรรคมีองค์ 8 ก็ไม่เกิด ท่านขยายความว่า มรรค แปลว่าทางเดิน โพชฌงค์ คือการก้าวแห่งการก้าวไปสู่พุทธธรรม

ยกตัวอย่างง่ายๆ ในอีสาน เขามีเรื่องแสดงความดีใจว่าไปเจอ กาเซ็ดศพ คนเขาก็ว่าเป็นอย่างไร คนฟังก็ไม่ค่อยชัด ก็ไปเล่าต่อเป็น กาเจ็ดสบ แท้จริงภาษาอีสาน คำว่าเซ็ด แปลว่าเช็ด คำว่าศพ นี้ฟังเป็น สบ คือแปลว่าปาก อีกคำว่าศพ แต่ฟังเพี้ยนเป็นเจ็ด ก็เลยไปเล่าต่อเพี้ยนๆ เหมือนศาสนาพุทธทุกวันนี้เลย กลายเป็นกามีเจ็ดจะงอยปากอีก

ประเด็น ความรู้กับโคตร พระพุทธเจ้าถกกับอัมพัฏฐมานพ ตอนแรกพระพุทธเจ้าใช้โคตร แต่ตอนหลังพระพุทธเจ้าใช้ความรู้ถก แต่เรื่องโคตรนั้น บางยุคกษัตริย์กับพราหมณ์ก็ผลัดกันมีฐานะสูงกว่ากัน แต่ยุคพระพุทธเจ้า กษัตริย์นั้นสูงกว่าพราหมณ์

ครู คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือพระพุทธเจ้าคือครู ในครูนี้มีครูมิจฉาทิฏฐิหรือครูสัมมาทิฏฐิ

 คาถาสนังกุมารพรหม

[159] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

{น.92} [160] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า

[161] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

พราหมณ์นั้น สมัยพระพุทธเจ้าเขาก็ท่องถูกกันแต่ปฏิบัติผิดแล้ว เหมือนสมัยนี้ กรรมต่างกัน ศีลต่างกัน ขยายความอุเทศต่างกัน คือความเสื่อม ตอนนี้หมู่ใหญ่อาตมาว่าผิด เสื่อมไปแล้ว อาตมาก็พูดตรงๆ ไม่ได้ด่าทอ แต่พูดความจริงเพื่อให้ตรวจสอบให้ดี เมื่ออาตมาพาทำสาธยายอุเทศแบบอาตมา แม้แต่ปฏิบัติศีลก็ไม่ตรงกับทางโน้น ถ้าทางโน้นผิดอาตมาก็ถูก ถ้าอาตมาผิดทางโน้นก็ถูก ก็ฟังกันทั้งสองฝ่าย อย่าไปถูกครอบงำว่าช่องนี้ช่องเดียว ฟังให้หลากหลาย ศึกษาให้ถ้วนรอบ มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ใช่ยากหมด ทำไปจะรู้มรรคผลไปตามลำดับ แล้วคุณจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง

 

0893867xxx ในมิตรฉัตตสูตรว่า ผู้ใดพบเห็นสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบปฎิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งจนรู้ยิ่งด้วยตนเองผู้นั้นพ้นมิจฉาทิฐิ 10 แล้ว ในพระตปฎ.24/103

 

0810794xxx นมัสการเจ้าคะวันนี้ฟังพ่อท่านได้ความรุ้มากเลยคะสาธุ

 

_กรุณาอธิบายคำว่าตรีมูรติ หมายถึงพระปัญญา พระเมตตา พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า ในคติพราหมณ์คือพระพรหม พระอิศวร พระราม ใช่ไหม  หากใช่ พระอิศวรคือบุคลาธิษฐานแห่งปัญญาธิคุณ พระพรหมคือเมตตาธิคุณ พระนารายณ์คือบริสุทธิคุณใช่ไหม

พ่อครูว่า...ไขว้กัน พระอิศวรคือเมตตาธิคุณ พระพรหมคือบริสุทธิคุณ พระนารายณ์หรือพระรามคือปัญญาธิคุณ

 

_คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช สอนว่าห้ามไปดับกิเลสนะ เราไม่มีหน้าที่ดับกิเลส เรามีหน้าที่เพียงรู้กิเลส กิเลสจะดับของมันเอง ข้อความข้างต้นจริงไหม ผิดหรือถูกอย่างไร

พ่อครูว่า...ตามภูมิของอาตมาว่า ที่พูดนี้ผิด กิเลส คืออกุศลเหตุที่ปรุงแต่งกันในจิต ผู้ใดมีวิปัสสนาญาณอ่านในปัจจุบัน มีตากระทบรูป หูกระทบเสียงนี่แหละ แล้วเกิดกิเลสจริงในปัจจุบัน อ่านออกได้นี่คือของจริง แล้วรู้กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างไม่ได้แยกกันเลย ซ้อนกันเลย กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่ในนี้ทั้งหมด ผู้ใดมีสัมมาทิฏฐิ จะอ่านองค์ประชุมรูปนาม แล้ววิจัยในปัจจุบันเลย อ่านอารมณ์สุขในจิตหรือทุกข์ในจิต มีเหตุอะไร มีอาการลิงค นิมิต อุเทศ อย่างไร นั้นแหละเห็นสักกายะของคุณ แล้วมีวิธีปหานให้ดับไปอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่นี่บอกว่าห้ามดับกิเลสนะก็ผิดแล้ว ท่านปราโมทย์นี้กับอาตมาสอนกันคนละแนว ท่านว่าให้เรียนรู้กิเลส แล้วเรียนรู้อย่างท่านว่าทำอย่างไรเอ่ย รู้อย่างอาตมาหรือเปล่าหนอ แต่ท่านว่ากิเลสจะดับของมันเอง คำนี้ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า พากเพียรจะแย่ยังไม่ค่อยดับเลย

 

_ถ้าเราสัมผัสแล้วเกิดความอยาก ทำให้กิเลสเกิด เราก็ไม่ควรสัมผัสสิ่งนั้น แต่ถ้าเราไม่ได้อยาก แต่เราหยิบมาอย่างนี้เรียกว่าอะไร?

พ่อครูว่า...ในศีล 5 นี้ เราเว้นขาดได้เลยในสิ่งหยาบ ไม่สัมผัส แต่ถ้าไม่อยากแล้วหยิบมา คุณอ่านชัดหรือไม่ว่าไม่อยาก ถ้าเราหยิบมา ถ้าจะต้องใช้ ต้องกิน ก็หยิบมา อ่านใจออกเลยว่าไม่อยาก อย่างนี้คือจิตเป็นกลางอุเบกขา เราจะต้องอ่านอาการไม่อยาก ถ้าคุณสัมผัสอันนั้น แต่ก่อนไม่เกิดกิเลส แต่เดี๋ยวนี้หยิบมาเพื่อทำประโยชน์ อันนั้นไม่ใช่เหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส อันนั้นบรรลุแล้ว ก็ไม่ต้องปฏิบัติ แต่ไปทำกับสิ่งที่ทำให้เราเกิดกิเลสสิ ในอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา หรือในอาหารนี่แหละ ที่คุณว่าเลิกมันเถิด เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์นี่มันง่าย ไม่ต้องเกี่ยวข้องเลย เช่นคุณกินมังฯ แต่ใจคุณยังอยากให้ใส่เนื้อเข้าไปอีก ก็อ่านใจเลยว่าเรายังมีกิเลส ก็พิจารณาว่าพวกนี้มันไม่สุขจริง ไม่เที่ยง ไม่ต้องมีมันเลยก็ได้ อนัตตาเลยได้ คุณกินมังฯ ก็ไม่ตายหรอก ไม่มีปัญหา

 

_ดิฉันและเพื่อนว.นบ.คุยกันไม่นานนี้ว่า นึกถึงบรรยากาศชั้นเรียนว.นบ.ครบเครื่องที่พ่อครูกรุณาให้ลูกๆทุกวัยแสดงออก ความเห็นและคำถาม ดูดีมีสีสันมากค่ะ เรากราบเสนอขอบรรยากาศเช่นนั้นอาทิตย์ละ 1 หรือ 2 วันจะได้หรือไม่

พ่อครูว่า...เราทำมาพักใหญ่ก็เห็นว่าหาคนถามไม่ค่อยได้หรือไม่เข้าประเด็น อาตมาก็เลยเลิก แต่ก็จะมาอีกก็ได้ ลองดู แต่วันนี้คงไม่ได้แล้ว

มาศึกษาต่อ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 ประการ

พ่อครูว่า...เดี๋ยวนี้ศึกษากัน จับความเป็นเทวดา ความเป็นมนุสโส ความเป็นสัตว์กันไม่ได้แล้ว ใน สัมมาทิฏฐิ 10

เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา)

1.  ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.  ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.  สังเวย (เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.  ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.  โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.  โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7.   มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) 

8.   บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9.   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกนี้ มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา  สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง  ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา  สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ต้องเรียนรู้อาการทางจิต กาย วาจา ใจ ก็มีอาการ จะมีผลหรือไม่มีผลก็สั่งสมเป็นวิบาก เกิดจากกรรม จะเป็นกรรมดีเป็นสุข หรือกรรมชั่วทุกข์ก็ตาม ถ้าเป็นอาริยบุคคล จะมีจิตในสภาพพีชนิยาม แต่ปัญญาจะเป็นอาริยะสูงส่งที่ไม่มีโทษภัยทำงานรับใช้มวลชนในโลก เราต้องรู้ว่าจะทำจิตให้เป็นพีชนิยามได้อย่างไร พลังพีชนิยามมีอยู่ในตัวเองเป็น self ไม่ทำโทษภัยแต่มีปัญญา

จิตนิยามสามารถทำภัยโทษที่เป็นอวิชชาให้หมดไป ความเป็นสัตว์ทางจิต สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน แม้เทวดาก็เทวดาสมมุติ เสพสวรรค์เท็จ สั่งสมกิเลส ติดใจสวรรค์เท็จ งมงายแย่งชิงเป็นกรรมวิบากหนาขึ้นเรื่อยๆ หยุดเสียทีพอเสียทีเถิด  มาเรียนรู้ความเป็นสัตว์มนุษย์หรือสัตว์เทวดา ถ้าเป็นมนุษย์จิตสูงมนุสโส สูงส่งแบบโลกียก็เป็นเทวดาเก๊เทวดาสมมุติ

มาเรียนรู้ลดกิเลสให้ได้จะเป็นอุบัติเทพ ล้างกิเลสให้หมดก็จะเป็นวิสุทธิเทพเป็นพระพรหม เป็นพระเจ้า ศาสนาพุทธสอนความเป็นพระเจ้า ให้เข้าถึงความเป็นพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าอย่างแท้จริงพิสูจน์ได้ คือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่เรียกว่า ตรีมูรติ ดังที่ถามมา ตรีมูรติ คือจิตที่เป็นวิสุทธิเทพ คือจิตมีพระบริสุทธิคุณ จิตมีพระปัญญาธิคุณ จิตมีเมตตาธิคุณ เป็นอัตภาพที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่เป็นเราเป็นของเรา เกินกว่า self เข้าใจความเป็นเรา เป็นเขา เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะรู้หมดเลยในอิตถีเพศ ปุริสเพศ และเราคืออัตภาพ รู้ i she he มาเรียนรู้นิสัย ให้เป็นวิสัยและอนุสัย ตามรู้อนุสัยที่เล็กละเอียด ตามรู้มาได้ อาศัยเรียนรู้อกุศลจิตให้ไม่มี คือสร้างนิสัย จนที่สุดเป็นวิสัย คือสูงสุด แต่ก่อนนี้วิเหมือนกัน แต่วิเลวสุดเลยคือวินาศ ไม่ใช่วิเศษ

จึงสามารถทำให้จิตเราเป็นวิสังขาร เป็นการปรุงแต่งที่ไม่มีกิเลส สมบูรณ์ด้วยอภิภายตนะ ด้วยวิธีปฏิบัติที่มีอายตนะปฏิบัติสมบูรณ์แบบเป็นอภิธรรม ก็สามารถรู้จักความเป็นพฤติกรรมของสัตว์ จรณะของสัตว์โอปปาติกะ รู้กาย ที่พระพุทธเจ้าแยกเป็นสัตตาวาส 9 จนสูงสุด พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ อ่านเวทนาในเวทนาเคล้าเคลียอารมณ์จนปฏิบัติบริบูรณ์ 108 เป็นอาริยะสูงสุด ทำกิเลสได้สูญ สั่งสมความสูญ แข็งแรง เที่ยงแท้นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

อยู่เหนืออย่างรู้รูปนาม แต่ไม่มีกิเลสเข้า ไม่มีอุปาทาน ในการรู้องค์ประชุมกายหรือรูปนาม ก็ไม่มีอุปาทาน รูปก็ไม่มี หมดสิ้น รูปาทานักขันโธ เป็นรูปขันธ์ที่พ้นอุปาทาน เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณพ้นอุปาทานหมด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าไม่มีผัสสะ วิญญาณไม่เกิด จะเกิดวิญญาณต้องมีผัสสะเป็นวิญญาณ 6 ในปฏิจจสมุปบาท ก็ให้เรียนรู้ สังขาร 3 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 อายตนะ 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4

ผู้เรียนรู้สังกัปปะ 7 ของจริงจึงรู้จักวจีสังขาร ซึ่งจะต้องดับก่อนเพื่อนเลยเมื่อจะทำนิโรธ จึงดับกายสังขารจิตสังขารต่อไป แล้วเวลาจะเกิด ต้องเกิดจิตสังขารก่อน แล้วจึงเป็นวจีสังขารเกิดทีหลัง ผู้ปฏิบัติจะรู้สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท เมื่ออวิชชาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เมื่อปรุงแต่งเลยเกิดวิญญาณ

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:29:55 )

590304

รายละเอียด

590304_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จริงแท้ที่สุดอยู่แค่จุดปัจจุบัน

พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2559 แรม 11 ค่ำเดือน 3 ปีวอกหรือปีมะแม ก็แล้วแต่ใครจะเอาปีไหน โลกนี้ก็มีการยึดมั่นถือมั่นกันไป เราก็เข้ามาสู่รายการพุทธศาสนาตามภูมิ อาตมาก็จะว่าไปตามความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ด้วยความปรารถนาดี มีภูมิเท่าไรก็สาธยายไป มั่นใจว่าจะไม่ขบถต่อศาสนา ไม่ขบถต่อธรรมะเท่าที่เราจะมีภูมิที่จะมาประกาศสืบสานศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปจากความจริงที่มีเจตนารมณ์นี้ ผิดหรือถูกอาตมารับผิดชอบทุกประการ ซึ่งตั้งใจว่าจะไม่ให้ผิด ใครเห็นผิดก็กรุณาท้วงติง มาตรวจสอบกัน ทำมาอย่างไม่สงสัยลังเลเลย ทำมาตั้งแต่มาบวชได้ 45 ปี ปีที่ 46 ก็เห็นผล เริ่มต้นจากสามเส้าของ 15 เลยเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 แล้วก็ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ เกิดการสังเคราะห์อย่างมาก

ผู้ที่มีภูมิปัญญาเข้าถึงจะเห็นว่ามันสนุก ผู้ที่มีภูมิปัญญาไม่ถึงจะรู้สึกหวาดเสียว รู้สึกจะพาเสียหายได้ มันเป็นได้ทั้งสองนัย ไม่เสียก็ดีทั้งนั้นมีสองสภาพ แต่แท้จริงแล้วตามภูมิปัญญาอาตมา มันเอนเอียงไปทางที่ดีขึ้น ดีวันดีคืน มีทั้งตัวแกนหลัก และมีตัวปฏิสังเคราะห์กัน คือมีตัวพระเอกกับผู้ร้าย

 

มาตอบปัญหาและ sms

มีคำถามสสธ.ม.1 กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ 1.หลวงปู่เคยกลัวบาดเจ็บไหม?

ตอบ...ตอบเป็นสัจจะสองขยัก ตอบตรงๆก็กลัว ถ้าใครเอาบาดเจ็บมาให้ไม่สนุกหรอก แต่ถ้าเห็นว่าจะบาดเจ็บแล้วกลัวไหม ก็ไม่กลัว เจ็บก็คือเจ็บ จะบอกว่ากลัวมั้ย ก็เป็นสัญชาตญาณของคน เราไม่มาโซคิสม์ นี่ เราต้องหลบเลี่ยงไม่ให้เกิดบาดเจ็บกับตนเอง มันไม่ดี อะไรไม่น่าจะให้เกิด

 

2.ทำไมถ้าถึงยุคแย่ๆพระพุทธเจ้าไม่มาคะ  แต่ถ้ามา ทำไมไม่ให้พระโพธิสัตว์มาแทน

ตอบ...มีสองแบบ แบบหนึ่งแย่จริงๆ พระพุทธเจ้ามาแล้วเสียของ ไม่มาหรอก พระพุทธเจ้าจะมาต้องไม่แย่เกินไป อย่างยุคพระสมณโคดมนี้แย่แล้ว แต่ไม่แย่จนเสียของ พอช่วยได้ ท่านก็ต้องตัดสินตรวจสอบว่าจะสร้างศาสนาได้ไหม แล้วก็ให้พระโพธิสัตว์มาแทนแล้วนี่ไง

 

3.เขา(พระข้างนอก) พูดว่า พระพุทธเจ้ารู้แจ้งแล้วแต่ไม่รู้จะสู้กับมารหรือช่วยคน ท่านจึงนั่งเข้าสมาธิเพื่อถามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆว่าจะทำอย่างไร?

ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่ต้องเข้าสมาธิถามใครหรอก ท่านจะรู้ทันทีไม่ต้องถามใคร ท่านเป็นเจ้าแห่งธรรมะแล้ว ไม่มีใครให้ถามแล้ว

ที่ถามมานี้คือผู้ไม่มีความรู้ หรือรู้ผิดๆมาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่สมาธิท่านขณะลืมตา รู้ทันทีทันใดเลย ไม่ต้องไปนั่งเอา คำถามก็ถามผิดๆ ท่านจะปราบมาร ก็คือการช่วยคน เหมือนกันเลย หรือจะพูดว่าให้เอียงไปนิดๆ คือ ปราบมารก่อน หรือจะช่วยคนให้มีกำลังไปปราบมารก็ได้ แต่เสียเวลา แต่ถ้าให้คนปราบมารเองก็ดีแต่ช้า

 

SMS 4 มี.ค.59

0897146xxx ฟังพระไตรปิฎกมัชฌิมศีลต่อจากเมื่อวานกับพ่อท่านอ่านเองไม่กระจ่าง

 

0805925xxx วันนี้นั่งคำนับมือถือเหมียนเลิมเสียงเบามาก?

 

0893867xxx จรธ.นร.สัมมาสิกขาเยาวชนคนกองทัพธรรมกองทัพ ชาวมังสะวิรัติกองทัพเดียวในโลกที่หล่อเลี้ยงมวลชนด้วยเสบียงธรรมเติมพลังปัญญาสู้โดยสงบสันติอหิงสา!

 

0893867xxx มรรคมีองค์ 8 เป็นข้อปฏิบัติเพียงแค่ไปสู่ความเป็นอาริยะเท่านั้นใช่ไหม?ถ้าปฏิบัติธรรมสู่ทางพระนิพพานต้องปฏิบัติโพธิยปักขิยธรรม37ให้ครบถ้วนถูกไหม?skk 

พ่อครูว่า...โพชฌงค์ (การก้าวเดิน) กับมรรคมีองค์ 8(ทางเดิน) เข้าคู่กันก็ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 คือธรรมะสองของสองอันนี้ เริ่มนับโลกุตระตั้งแต่ กายในกาย จนถึงเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ข้อสุดท้ายเลย มีอุเบกขาแข็งแรงตั้งมั่น มีองค์คุณ 5 ตั้งมั่นสมบูรณ์แบบสุดยอดของสัมมาสมาธิ ที่จะมีผลถึงอุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขา มี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ปภัสสรา

 

0893867xxx พ่อครูสอนธรรมะแก่เด็กนร.สสข.จนเกิดพุทธบุตรผู้เข้าถึงธรรมก่อนผู้ใหญ่นักปฏิบัติหลายคน เด็กเหล่านี้จะบวชตามรอยสามเณรราหุลได้ไหม? 

 

0893867xxx สามเณรราหุลองค์แรกในพุทธศาสนา พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้ใคร่ในการศึกษา  สามเณรราหุลตั้งความปรารถนาว่า ข้าพเจ้าขอให้ได้รับคำสั่งสอนจากสำนักพระศาสดาพระอุปัชฌาย์พระอ.ทั้งหลายให้ได้ประมาณเท่าเม็ดทรายในกำมือหนึ่งของข้าพเจ้า!คงมีนร.สสข.เจริญรอยตามเป็นพุทธบุตรหลายคน!

พ่อครูว่า...สามเณรราหุลเป็นนิมิต พระพุทธเจ้าไม่น่าจะมีห่วง และความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห่วง แต่ราหุลเป็นห่วง ที่เป็นบัญญัติที่จะมากำหนดให้เห็นว่าต้องมีบัญญัติ ในโลกต้องมีบวก ลบ คู่กันจึงเกิดสาม ที่เป็นพลังงาน เป็นวงวนที่หมุนได้สัดส่วน ที่บอกว่าสามเณรราหุลได้ตั้งใจจะขอเป็นผู้ศึกษา สามเณรคือผู้ศึกษา จะเก่งเท่าไหร่ก็เป็นนักศึกษา เป็นนิมิตที่ลงตัวสูงสุด

 

0892297xxx ท่านไพบูลย์สู้สู้รีบจัดการกับช่วงช่วงรถหรูกะหลินฮุ่ยจานผีให้จบๆเสีย

พ่อครูว่า..ขณะนี้มีรูปกับนามลงตัว สายการเมืองก็มีไพบูลย์ สายธรรมก็มีไพบูลย์ สายการเมืองเอานิติธรรมมาคุม ส่วนเรื่องธรรมก็เอาไพบูลย์ นิติตะวันมา ก็เป็นสิ่งจริง แม้แต่ตรีมูรติก็มีครบ เราก็ติดตามไป จะได้รู้ว่ามีจริง เป็นใครบ้าง อย่ากะพริบตา

ตอนนี้เกิดภาวะที่เมืองไทย แล้วจะเจริญพัฒนาไปตามจริง อาตมาก็พูดไปตามภูมิอาตมา เมืองไทยจะเป็นเมืองที่นำโลก จะช่วยโลกไว้ด้วยธรรมะ เป็นแกนของสังคมมนุษยชาติ เป็นธรรมะโลกุตระ เป็นธรรมะอาริยะของพุทธ

คนที่จะช่วยก็ตั้งใจช่วยตามบารมี อุตสาหะวิริยะไปตามจริง ก็อยากจะเตือนพวกเรา ว่าพวกเราจะเป็นแก่นแกนแท้ๆ ขอให้พวกเราต้องอย่าประมาท ให้อุตสาหะพากเพียร อย่าประมาท อย่าปล่อยปละละเลย ต้องช่วยกัน เพราะถ้าเราเอาจริงแล้วผลได้ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น เราจะเป็นผู้ได้ผู้เป็นผู้มีเอง แล้วก็จะเป็นผลไปช่วยสังคม ช่วยคนอื่นต่อไปเอง ศาสนาเป็นอุภยัตถะ เป็นประโยชน์สองส่วน ทำประโยชน์ตนแล้วไปสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง

เรื่องของโลกๆ เป็นเรื่องทุจริต คนโกงเริ่มทยอยถูกจัดการ เป็นแต่เพียงว่าโกงแล้วก็แสดงความหน้าด้านต่อไป เอาไปเอามามีคนถามว่า คุณช่วงช่วงกับคุณสรยุทธ ทาง dsi ก็ชี้มูลมาแล้ว ทางนี้ศาลก็ตัดสิน แต่ทำไมทีพระแล้วยังทนอยู่ได้ แต่ทางด้านฆราวาสเขาหยุด เขาก็เลิกจากหน้าที่แล้ว ทนไม่ได้ก็เลิกราไป แต่ทำไมสายพระยังทนอยู่อีก มันหมายถึงอะไร

มันก็หมายถึงความล้มเหลวของสัจธรรม อย่าไปเหมาธรรมะทั้งหมด แต่เป็นความล้มเหลวของธรรมะกระแสหลัก มันเป็นวิบากของเขาเอง เขาทำของเขาเองเลยไปกันใหญ่ เละไปหมด ก็ไม่อยากจะไปซ้ำเติม เพราะเรื่องวิบากกรรม เป็นไปตามสัจจะของเขาเป็นเอง เราไม่มีหน้าที่จะไปซ้ำเติมให้ใจเราไม่ดี ใจเราต้องดี ไม่ต้องซ้ำเติมใคร

สิ่งจริงๆ ที่จะมีปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ให้เห็น ตอนนี้ของเราก็เอาหลักฐานประวัติศาสตร์เข้ามาแสดงมาเสนอ จะได้เห็นเป็นข้อเปรียบเทียบว่าสองมาตรฐาน ใครคือใครกันแน่ แล้วใครทำใครปฏิบัติ ใครเป็นคนที่ถูกรังแก ใครเป็นคนรังแก ใครเป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย จะเห็นความจริงอันนั้นชัด

มาเข้าสู่บทเรียนของเรา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศาสนาพุทธไม่เอาเดรัจฉานวิชา

คำว่า ดิรัจฉาน หมายถึงสัตว์ก็มี แล้วหมายถึงจิตใจที่ยังไม่สูงก็มี ก็จะแสดงออกสองทาง หนึ่ง ทางความรู้ สอง ทางพฤติกรรม

พฤติกรรมต้น คือความรู้มิจฉาทิฏฐิ เขาก็แสดงออกมาเป็นการสัมผัสได้ เป็นภาษา กถา คำพูด เรียกว่า เดรัจฉานกถา ถ้ามากไปก็มีกายวิญญัติ มีเคลื่อนไหวทางนัจจะ มีคีตะ ภาษาสำเนียงร่วมกับลีลากายกรรมหมดเรียกว่า นัจจะ คีตะ วาทิตะ ครบสามเส้า รวมแล้วคือ สื่อความรู้ ถ้าเอาแต่ภาษาเรียก เดรัจฉานกถา แต่ถ้าเดรัจฉานวิชา เอาทั้งกาย วาจา ใจ เลยยิ่งหนัก

เดรัจฉานวิชา เช่น การทำนายทายทัก ถือว่าในวัดวาคือทำนายได้ดี แต่ขนาดนั้นก็กระจายสู่ฆราวาส อาชีพทำนายในวัดก็จางลง สู้ฆราวาสไม่ได้ แต่ทีนี้พิธีที่เป็นเจ้าพิธี การบูชาไฟ ศาสนาพุทธไม่มีการใช้ไฟเป็นสื่อในพิธีกรรมศาสนา ศาสนาพุทธในเมืองไทยมีแต่เดรัจฉานวิชชาเต็มไปหมด แต่ก็ยังมีเหลือที่สัมมาทิฏฐิอยู่ นอกนั้นไม่มีอีกแล้วในที่อื่น แต่อย่าประมาท

ศาสนาพุทธไม่เอาธูปเทียนบูชาไฟ เสกเป่าบูชาไฟ ถามว่าจริงไหม ก็ตอบว่าจริงมั่ง ไม่จริงมั่ง แล้วจริงมากหรือไม่จริงมาก ก็ตอบว่าไม่จริงมากกว่า ที่มันลงตัวได้เพราะเหตุปัจจัยมากกว่า เช่น ขี้หมากองหนึ่ง คนเอาดอกไม้มากลบ คนก็เอามากลบต่อ คนอื่นไหว้ก็ทำให้คนอื่นไหว้ตาม ใครก็ไม่กล้าแตะกองขี้หมานั้น สมมุติว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าสมใจที่บนบานก็จะมาแก้บน คนมาบนบานหนึ่งพันคน ก็มีส่วนได้ตามที่จะมี ต่อให้พันคนถูกแค่ร้อยเดียว อีกเก้าร้อยไม่ถูก คนมาทำพิธีแก้บนก็มาปรากฏที่กองขี้หมานั้นร้อยคน แต่อีกเก้าร้อยคนจะไม่มา คนก็มาเจอแต่คนถูกคนมาแก้บน ไม่ได้เห็นคนเก้าร้อยนั้น

เพราะฉะนั้นหยุด อย่าไปยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้เลย ศาสนาพุทธให้แก้เหตุที่ทุกข์ตามปัจจุบันธรรม ความเป็นปัจจุบันนั้นลึกซึ้งที่สุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_รูปนาม) ตอน ปฏิบัติธรรมต้องรู้จักกาย

ถ้าแยกกายแยกจิตนี้ไม่สัมมาทิฎฐิ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติธรรมบรรลุมรรคผลถึงขั้นสูงสุดได้แน่ๆ ขอยืนยัน เพราะคนไทยทุกวันนี้ ได้หลงเข้าใจผิดกันสนิทแล้วในคำว่า กาย นั้นหมายเอาแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้น กาย คือส่วนประกอบของ ดิน น้ำไฟ ลม เท่านั้น นี่เขายึดถือกันเช่นนั้น หรือจะแถมอากาศอีกก็ได้ ที่ประชุมกันอยู่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับจิตมโนวิญญาณเลย มีแต่แค่ ดิน น้ำ ไฟ ลม

คนไทยทั้งหลาย เชื่อมั่นกันว่ากายไม่มีส่วนพัวพันถึงจิตมโนวิญญาณเลย ไม่คอนเซิร์น concern เลย เชื่อมั่นว่ากายจะไม่เกี่ยวกับจิตมโนวิญญาณเลย คนไทยทุกคนมีความคิดมีความเห็นองค์รวม concept ก็ดี หรือการต่อเนื่องเกี่ยวกับความคิดความเห็น conceptual ก็ดี โยงไปถึงความคิดเห็นก็ดี อำนาจของความคิดอันเป็นพลัง หรือองค์รวมความคิดที่มีพลังยิ่ง หรือคอนเซ็ปชั่น conception ได้ปักมั่นสนิทไปในทางวัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือภายนอกเท่านั้น

คนไทยจะเห็นว่ากายนั้นไม่เกี่ยวกับจิตมโนวิญญาณเลย ไทยเข้าใจอย่างนี้กัน นี่แหละคือความเห็นผิดไปแล้ว เพราะว่ากายนั้น ตามความหมายของพระพุทธเจ้าจะขาดจากจิตมโนวิญญาณไม่ได้ ต้องเกี่ยวกับจิตมโนวิญญาณ ไม่เกี่ยวไม่ได้ กายจะต้องมีส่วนของจิตมโนวิญญาณเสมอ จะอยู่ในภาวะที่เหลือส่วนของดิน น้ำ ไฟ ลม เกี่ยวข้องอยู่น้อยนิดเท่าใด ก็ขาดจิตมโนวิญญาณไม่ได้

แม้ว่าจะขาดดิน น้ำ ไฟ แต่ก็ยังเหลือลมอยู่ เช่น ตอนนั่งอานาปานสติ ก็ยังไม่ให้ขาดลมหายใจ แต่ถ้าขาดลมหายใจเข้าออก ไปอยู่แต่ในจิตก็ไม่ใช่กาย ไม่มีการปฏิบัติธรรมได้ถ้าไม่มีกาย

กายจะต้องเป็นภาวะธรรมะสอง เทวธัมมา เสมอ ขยายออกมาเป็นรูปกับนามขาดกันและกันไม่ได้ กล่าวคือ รูป ได้แก่สิ่งที่ถูกรู้ แม้แต่เป็นจิตเจตสิกหรือมโนวิญญาณก็อยู่ในสภาวะที่ถูกรู้คือเป็นรูปได้ นาม ได้แก่ตัวธาตุรู้ หรือตัวประธานที่รับรู้  แต่วัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม มันรู้อะไรไม่ได้ด้วยตัวของมันเอง มันจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นนามเลย  จึงเป็นรูปได้อย่างเดียว ส่วนจิตมโนวิญญาณหรือจิตเจตสิกทั้งหลายเป็นนามแท้ๆ แต่ก็มีโอกาสเป็นรูป คือมีโอกาสอยู่ในฐานะถูกรู้ คือเป็นรูปได้ด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศไม่มีสิทธิ์เป็นนามเลย แต่จิตเจตสิกหรือนามทั้งหลายมีโอกาสเป็นรูปได้

แม้ปุถุชนผู้ไม่สดับคำสอนของพุทธ จะพึงเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในดิน น้ำไฟ ลม ก็ยังได้เลย แม้ไม่ได้ยินคำสอนพระพุทธเจ้าก็เบื่อร่างนี้ได้ เพราะมันไม่เที่ยง พิการ ไม่สวยงาม ก็เบื่อได้ จนที่สุดไม่อยากอยู่แล้วตายจากร่างนี้ไป คนไม่ปฏิบัติธรรมก็เบื่อดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แท่งนี้ได้

ส่วนจิตนั้น หากไม่ได้เรียนรู้ทฤษฏีสัมมาทิฏฐิจากพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าผู้มีมรรคผลมาบอกสอน ก็ไม่สามารถเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากกิเลสได้เลย จะต้องเป็นผู้มีวิชชาจรณสมบัติจริงจึงรู้จักกาย แต่ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง อย่างไม่สงสัย

เพราะได้ปฏิบัติกายในกาย จนเห็นแจ้งเวทนาในกาย จิตในกาย ธรรมะในกาย ได้อย่างแจ่มแจ้งเป็นจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จริงที่สุดอยู่แค่จุดปัจจุบัน

ก็ในเมื่อจิตอันเป็นต้นตอหรือประธานของสิ่งทั้งปวงไม่เกิดไม่เป็นมาก่อน อะไรจะตามมาได้อย่างไร แล้วคนที่จะเบื่อหน่ายคลายจากกาย ที่เป็นภาวะปรากฏจริงในปัจจุบันได้คืออย่างไร? ตามคำว่า ปัจจุบัน ให้ดี ….

จะมีอยู่จริงในปัจจุบันที่เป็นความจริง โดยเฉพาะจิตมโนวิญญาณที่เราสามารถร่วมรู้กันอยู่ในปัจจุบัน พิสูจน์กันได้โต้งๆ หลัดๆ ทนโท่อยู่นี่ ความจริงนี้ยืนยันอยู่เป็นหนึ่งเดียว ก็คือปัจจุบันเท่านั้น จิตมโนวิญญาณจะมีอยู่ในหนึ่งเดียวคือปัจจุบันเท่านั้นในภาวะสามของโลกที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต

ปัจจุบันนี่แหละคือหนึ่งเดียวที่จริงที่สุด เพราะอดีตก็คือภาวะที่ผ่านไป หายไปแล้ว ผ่านปัจจุบันไปแล้ว กลายเป็นอดีตไปแล้ว ส่วนอนาคตก็คือภาวะที่ยังอยู่ข้างหน้า ยังมาไม่ถึงเพราะฉะนั้น อนาคตหรืออดีตก็เป็นภาวะที่ไม่มียืนยันปรากฏให้ตนสัมผัสอยู่ ณ บัดนี้ โดยตนและผู้อื่นไม่สามารถจะสัมผัสได้ด้วยกัน

เว้นจากภาวะสามอย่างนี้แล้ว ในเอกภพก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว มีแค่อดีต ปัจจุบัน อนาคต เท่านั้น ดังนั้นเว้นจากอดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วอะไรอะไรก็ไม่มีในโลก ในประดาภาวะที่มีกับไม่มีก็คือปัจจุบันนั่นเองที่เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว ใช่ไหม ที่มีเป็นจริงยิ่งกว่าภาวะอีกสองนั้น หมดสิ้นปัจจุบันแล้วก็คือไม่มีอะไรอีกแล้ว

ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นจริงที่สุด และปัจจุบันใด ถ้าไม่มีสันตติ ฟังให้ดีตรงนี้เป็นไคลแมกซ์ ถ้าปัจจุบันใดไม่มีสันตติคือความสืบต่อ ปัจจุบันนั้นก็เป็นอันสั้นที่สุดเร็วที่สุด ยิ่งกว่าความเร็วของแสงเป็นไหนๆ

ผู้สามารถไปได้เร็วกว่าแสงก็จะพบอดีต แต่ผู้ที่มีปัจจุบันแล้วไม่มีสันตติคือผู้ที่หายไปจากเอกภพได้โดยแท้จริง แม้อดีตก็ไม่เหลือ ผู้สามารถไปได้เร็วกว่าแสงก็จะพบกับอดีต ยังมีอดีตได้ ยังเป็น สอง เทวธัมมา แต่ผู้ที่มีปัจจุบัน ไม่ไปไม่มาแล้ว สันตติก็ไม่เอา ผู้นี้ก็จะหายไปจากเอกภพได้เลย

ปัจจุบันจึง จริง เร็ว สั้น เล็ก ยิ่งกว่าอดีตใดใด โดยไม่ต้องพูดถึงอนาคต และถ้าปัจจุบันเป็นดังกล่าว สิ่งที่จริง ที่เร็ว ที่สั้น ที่เล็ก ที่ปรากฏให้เห็นได้คือปัจจุบัน อดีตจะเหลือหรือไม่เหลือ ถ้าเขาเองต่อสันตติก็มีอดีต ถ้าไม่ต่อสันตติ ปัจจุบันนั้นสั้นลงเลยก็จบ ความจริงเบื้องต้นและเบื้องสุดท้ายในโลกจึงสั้นและเร็วเกินกว่าจะนำมายืนยันว่าเป็นความมีจริงเป็นจริงในโลกนี้ได้ ไม่มีอะไรจะหยิบมาพูด ความจริงจะมีเบื้องต้นและเบื้องสุดท้ายมันไม่มี

ความจริงเบื้องต้นและเบื้องสุดท้ายในโลกจึงสั้นยิ่งกว่าปัจจุบันที่ไม่มีสันตติ

การเรียนรู้แบบพุทธไม่ไปเสียเวลาแรงงานกับภาวะที่เป็นอดีตและอนาคตอันไม่ใช่ปัจจุบัน ไม่มัวหลงงมอยู่กับอดีตและอนาคตให้สูญเปล่าอย่างโง่โง่แล้ว

ให้เรียนภาวะที่เป็นปัจจุบันนี้แหละ จะรู้ยิ่งในสิ่งทั้งหลายครบ แต่อย่าหลงปัจจุบัน แล้วตีทิ้งลบหลู่หรือประมาทอดีตกับอนาคตเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นคุณจะแย่ที่สุด โง่ที่สุด ไร้ค่าที่สุด หรือสูญเสียทุกอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เรียกว่า ความชิบหายทั้งมหาเอกภพ

พระพุทธเจ้าสรุปไว้ในพรหมชาลสูตรว่า ในวิธีปฏิบัตินั้น การหลับตาทำสมาธิหรือเข้าไปเรียนรู้แต่ในภพภายในนั้น ถ้าไม่มีการรับรู้ภายนอกด้วยและไม่มีภายในด้วย ขาดกันไม่ได้ พร้อมไปกับปัจจุบัน ก็จะมัวแต่งมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้วสามารถระลึกรู้ได้จากสัญญาที่บันทึกไว้ในอนุสัย ภาวะอดีตนั้นมี 18 ลักษณะ

และอีกอันหนึ่งคืออนาคต ซึ่งภาวะอนาคตนั้นทั้งหมดทั้งสิ้นมี 44 ลักษณะและอนาคตที่สามารถระลึกรู้ได้จากสัญญา จากความจำจากอนุสัย ที่เป็นภาวะอนาคต อปรันตะ คือภาวะที่เคยคิด เคยหวัง เคยยึดถือ ผ่านมาแล้ว ยังไม่ได้สมใจ

เพราะภาวะอนาคตนี้ พระพุทธเจ้าทรงรวมเอานิพพาน 5 ที่หลงผิด คือการระลึกหลงว่านิพพาน คือภาวะที่ตนถือเป็นปรมังสุขัง แต่ละคนก็ยึดสุขสุดยอดต่างกัน วัดเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่ากามคุณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ยังมีลัทธิกามสุขทั้งนั้น เขาก็ถือว่าเป็นนิพพานของเขา หรือจะไปยึดฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ยึดตรงไหนว่าเป็นสุขสุดก็ได้ทั้งนั้น ต่างล้วนหลงว่าเป็นความสุขจริง ที่ตนอาศัยเสพไว้ในชีวิต จึงชื่อว่านิพพาน 5 ที่ต่างคนต่างหลงอารมณ์สุขนั้นๆของตน โดยเหมาอารมณ์สุขนั้นว่าเป็นจริง สัญญายนิจจานิ กำหนดว่าเที่ยงจริงของตน ตั้งแต่ขนาดอ่อนเบาบาง ไปถึงสุขอย่างยิ่ง ปรังมังสุขัง  นี่คือความจริงสัจจะในโลกียารมณ์ของปุถุชน แต่เป็นความเท็จในอารมณ์ความรู้สึกของอาริยชน

กามคุณ 5 หรือฌาน 1 ถึง 4  ผู้ใดยึดเอาแต่ละกามหรือฌานนั้นว่าเป็นสุข เขายึดแต่ละฐานว่าสุข คนไหนยึดว่าสุขก็เสพสุข การเสพสุขก็ต้องเสพกับปัจจุบัน อยู่ดีๆ เขาไม่มีปัจจุบันด้วยทวารนอก เขาก็ระลึกมาเสพ เป็นลมๆแล้งๆ รูปภพ อรูปภพ

 แล้วรูปภพ อรูปภพกับสัมผัสจริงอันไหนจริงกว่า ก็ต้องสัมผัสมันจริงกว่า ถ้าจะเปรียบคือ เสพจริงคืออาหาร กินแล้วเป็นขี้ แล้วก็เอาขี้มาขยำ เป็นรูป ไม่มีขี้แล้วยังดมกลิ่นมันอยู่ เป็นอรูป

อาริยชนจะรู้สึกว่าไม่จริง มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์แท้ๆ ที่มาจากเหตุ ดับเหตุมันได้มันก็ไม่มีตัวตน อนัตตาได้ จากภาวะเดียวกันแท้ๆ ต่างคนต่างสัมผัสแล้วรู้สึกต่างกัน รวมทั้งหมดมี 44 ลักษณะนี้เท่านั้น ไม่มีอนาคตใดเกินกว่านี้ไปได้  ปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ แต่ปุถุชนไม่เรียนจากความจริง เพื่อรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงกัน แม้จะมีก็เห็นผิด หรือเห็นกันไปคนละขั้วอย่างสวนทางกัน เพราะปุถุชนหรือผู้มิจฉาทิฏฐิยังไม่มีนามรูป ที่ประกอบไปด้วย ชาติ 5 ภพ 3 อุปาทาน 4 ตัณหา 6 เวทนา 6 อายตนะ 6 ผัสสะ 6 นาม 5 รูป 28 วิญญาณ 6 สังขาร 3 ในสายปฏิจจสมุปบาท ล้วนแต่ยืนยันความเป็นปัจจุบัน

โดยเฉพาะไม่มีผัสสะ 6 และเวทนา 6 มาเป็นฐานแห่งการปฏิบัติ ไม่มีกรรมฐานในการทำงานลดกิเลสเลย ย่อมเป็นผู้ไม่รู้ อชานโต ผู้ไม่เห็น อปัสสโต เป็นการแส่หาดิ้นรนของผู้มีตัณหา จึงอยู่แค่นี้ ในพระไตรปิฎก ล.9 ข้อ 51 ถึง 63

ผู้อวิชชามิจฉาทิฏฐิไม่เข้าสูตรตามพระอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า โชคดีที่ตำราของพระพุทธเจ้ายังดีอยู่ เอามาให้ปฏิบัติก็ได้ผลกันดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ผู้ยอมได้คือพุทธแท้

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นจะไม่มีสงคราม เพราะผู้ชนะจะยอมแพ้ ผู้ที่แพ้แต่มันไม่ยอมแพ้ พอได้ชนะก็นึกว่าตนชนะ แล้วก็ได้กิเลสผยองได้อัตตา สุดท้ายผู้รู้จะยอมแพ้เอง สุดท้ายยอมตายเหมือนพระโมคคัลลานะ ที่สุดแห่งที่สุดพุทธจะไม่เกิดสงคราม ศาสนาพุทธของแท้จะไม่ตีกันจนเกิดสงคราม ถ้ามีชาวพุทธแท้อยู่ด้วยจะไม่ยอมตีเขา

การยอมให้คนอื่นเขาชนะมันไม่ดี เขาจะได้อัตตา แต่มันสุดวิสัยนะ ถ้าเราจะลงมือทำร้ายเขาด้วยรุนแรงเราไม่ทำ เรายอมตายดีกว่า ผู้รู้จริงบรรลุธรรมไม่มีปัญหาเรื่องตาย ตายแล้วจะปรินิพพานก็ได้หรือจะกลับมาเกิดอีกก็ได้

ในหลวงท่านอยู่ในฐานะที่ต้องมีตามฐานะ แต่ท่านไม่เคยยึดถือ ท่านไม่ได้ต้องการ ท่านรับแต่ของที่เขาให้ แล้วท่านก็ทำ

ถามจริงว่าในหลวงเป็นผู้ที่จะได้รับการกระทบพระทัยไหม...ใช่ ถ้าไม่เป็นโพธิสัตว์ไม่อยู่ยงคงกระพันถึงขนาดนี้หรอก สิ่งที่จริงในประเทศไทยจึงมีพระโพธิสัตว์อุบัติในโลกนี้ แล้วท่านก็ทรงตามหน้าที่ของท่านจนพระชนมายุป่านนี้แล้ว จะเข้า 89 ปีแล้ว อาตมาก็เกิดมา อย่างทุกวันนี้ก็มีท่านพุทธอิสระทำงานตามหน้าที่

ผู้ที่ทำหน้าที่ตามบารมีเคยทำผิดพลาดไหม อย่างพระเจ้าอโศกมหาราชก็ผิดพลาด พระพุทธเจ้าก็เคยผิดพลาด ก็ได้รับวิบากแล้วก็แก้กลับ การไปถือสาว่าท่านต้องบริบูรณ์ ร้อยเต็มมันไม่มี ขนาดพระพุทธเจ้าก็ต้องรับวิบาก สิ่งบริสุทธิ์สุดยอดไม่มี สิ่งบริสุทธิ์สุดยอดคือปรินิพพาน เป็นปริโยสาน

ตัวส่งเสริมอาจขัดแย้งไม่เท่ากัน แต่สิ่งไม่เท่ากันคือแรงทด ที่จะเกิดพลังงาน ถ้าไม่มีแรงทด ต่างคนต่างเท่ากัน เฉยกันทั้งคู่ก็ไม่เกิดพลังงาน ไม่เกิดปฏิกิริยา มันต้องมีทศนิยม จึงเกิดประโยชน์คุณค่า

พลังงานที่มีทิศทางตรงกันแล้ว อันที่สามที่เกิดจะเป็นพลังงานสร้างตัว สร้างสภาพเจริญขึ้นๆ แล้วถึงวาระที่เจริญเต็ม จากนั้นก็จะต้องเสื่อม จะพยายามอย่างไรก็ได้แค่ชะลอลง ถ้าถึงวาระที่จะถึงขีดสุดของการเสื่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมลง ผู้ที่ชลอแล้วก็ชักบุญเก่ามากิน

ตอนนี้จะขยายความธรรมะสอง คือ จรณะกับวิชชา จรณะคือบทบาทลีลา กรรม วิชชาคือความรู้ อาตมาเคยบอกว่า ชีวิตคือกรรมกับกาละ จรณะกับวิชชาคือชีวิต คือกรรมกับความรู้ ความรู้นั้นคือกาละหรือเวลา

ถ้าใครสามารถทำกาละของตนเองเลยปัจจุบัน แล้วสามารถทำให้ต่อหรือไม่ต่อได้ คุณก็จบ คนที่ทำให้ต่อได้หรือไม่ต่อได้ คือคนสามารถทำปุงลิงค์และทำนปุงสกลิงค์ได้สำเร็จในพลังงานที่ตนดูแลควบคุมนั้น ปุงลิงค์คือ 1 นปุงสกลิงค์คือ 0

อรหันต์ที่หมดอาสวะไม่หมดอนุสัย ก็ทำได้แค่ 1 แต่ทำ 0 ไม่ได้ ตนเองไม่เป็นพิษภัย แต่มีภาระที่หนักอยู่ เบากว่านี้ไม่ได้ ถ้าสามารถทำ 0 ได้ก็พักได้ มีสองส่วน ขยายสองส่วนมาคือ เมตตา กับ อุเบกขา

อยู่ในโลกก็มีภาวะเมตตากับอุเบกขา เป็นฐานพรหม ยิ่งใหญ่สุดในโลก ถือว่าเป็นสิ่งมี ไม่ใช่สิ่งสูญ ศาสนาพุทธมีสิ่งมีและสิ่งสูญ แต่ศาสนาพระเจ้าทำ 0 ไม่ได้ เขามีให้ดีที่สุดเท่าที่มีบารมี นิรันดรได้ เราก็วิจารณ์ได้ตามควร แต่ไม่ควรไปลบหลู่ บางเหตุปัจจัยก็ยาก บางทีมันแรงจนเราว่าน่าจะจัดการได้ แต่จัดการไม่ได้ ถ้าถึงเหตุปัจจัยครบ จะมีตัวมาช่วยจัดการเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ป่ากาม เพลงโลกุตระ

ตอนนี้อาตมาเอาเพลงป่ากาม มาใส่หนังสือ ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ เพลงเทพโหด เนื้อหาว่า เทวดาทำไมโหดร้ายให้เราพรากรัก แต่อาตมาเปลี่ยนเป็นเพลงป่ากาม ใช้เพลงนี้สอน ฉันทนา กิติยพันธ์ ร้องเพลง ตั้งแต่เป็นเด็กเลย ..จะนึก จะคิด จะชิดชม แต่ตอนนี้ป่ากาม คือโลกนี้ มีไหม ใครมิเคย...อันนี้เป็นเพลงโลกุตระแล้ว

 

ป่ากาม

โลกนี้มีไหมใครมิเคย เอ่ยงามเอ่ยสวย

ใครช่วยเชิญไข ให้ความหมายรูปรสกลิ่นเสียง

เพียงแตะใจกาย รื่นรมย์หลากหลาย

ย่อมกลายย้ำกามเหิมเกริม ใครสวยใครเสริมจนเยิ้มงาม

ค่าใดใคร่ถาม ที่เห่อเกินหาม ห่ามใจเหิม

เปลืองไหมแพงไหม ใยได้แต่เสริม

อย่าเติมเหิ่มหาบ้าร้ายห่าร้ายลงเมือง

(ซ้ำ)

ใยไม่คำนึงนึกถึงความจริง มารสิงใจจนป่นเปลือง

ป่ากามเข้มเต็มเมือง ร้อนเรืองลามไหม้ลนก่นทรมาน

คนเอ๋ยเคยหวนทวนคิดกัน แค่ใดใช่ผัน

ตามก้นคนฝัน สร้างทางผลาญ มองหามาเห็นทางให้ใจหาญ

ต้านโลกีย์สาน ม่านศีลสร้างสรรสังคม

 

ศิลปะอาตมาแบ่งเป็น 5 ระดับ คือลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ ขั้นลามกที่คนเรียกศิลปะๆ แท้จริงแค่ลามก ขั้นราคะนี่เยอะ นึกว่าเป็นของต้องสุข แต่จริงๆ หยำฉ่าเยิ้มมากมาย พอขั้นสาระเริ่มรู้จักศิลปะในการปรุงแต่งขึ้นมา จนเป็นธรรมะคือขั้นที่สี่ ทรงไว้ซึ่งมงคลอันอุดมตามลำดับ ไม่ใช่ข้าศึกแห่งกุศลเต็มรูป จนชัดเจนในการประมาณ เป็นโลกุตระขั้นที่ห้า ได้สัดส่วนพอเหมาะเป็นคุณค่า พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะทางธรรม

ทุกวันนี้ อาตมาเอาเหตุการณ์มาเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบศิลป์ ในการทำศิลปะโลกุตระ มีพลังงานสมส่วนที่สัมผัสแล้วมีฤทธิ์ผลักไปสู่ goal, interest point สู่จุดหมายได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม_วิบาก) ตอน อย่าประมาทในกรรม

สังคมมีคนมีกิเลสมากกว่า ผู้ใดปรุงให้เข้ากับกิเลสคน คนก็นิยม เลยรับกิเลสอ้วนหมีพีมัน แล้วก็ได้เงินเยอะ คนนั้นบาป อย่างธัมมชโยเป็นต้น หรือแม้แต่ค่ายคนรวย ที่มอมเมาคน โดยเอากิเลสที่ถูกใจคนเป็นองค์ประกอบ ให้ได้เงินจากคนเหล่านั้นมา

บอกให้รู้ตัว ว่าจะเป็นวิบากเลวร้ายแก่ตนเองมาก ให้หยุด ถ้าหยุดคุณจะจนลงเลย ที่บาปมากคือเจ้าตัวเองรู้ว่าไม่ดีนะ ตัวเขาเองไม่แตะลิ้นนะ แต่เอาไปมอมเมาคนทั่วโลก แล้วเราได้เงิน ลึกๆ แล้วรู้ตัวอยู่ แต่อดไม่ได้ กิเลสมันบังคับตนเอง อย่าไปอ่อนแอแก่กิเลสเลย

ชีวิตไม่ได้สั้นแค่ชาติเดียวนะ วิบากมันข้ามชาติ กรรมเป็นอันทำ ตนต้องเป็นทายาทของกรรม กรรมเป็นของๆ ตน ทำในที่ลับหรือแจ้ง ทำน้อยหรือมาก ก็เป็นของคุณ ไม่ระเหยระเหิดเลย อยู่เต็มๆ คุณต้องเป็นทายาทของกรรมที่จะตามมาเล่นงานคุณ อย่ามาแก้กรรมอวดเก่งเลย ไม่ได้หรอก

ศาสนาพุทธมีวิธีทำให้อกุศลตามมาได้ยากหรือไม่ทัน คือหยุดอกุศลในทุกปัจจุบันเลย แล้วทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม เมื่อทำอันนี้มันมากกว่าที่พลังงานอดีตจะตามมาทันมันก็มาไม่ถึงเสียที ขนาดนั้นสิ่งที่แรง เศษที่มาถึง ตอนเป็นพระพุทธเจ้ายังได้รับเศษวิบากเลย ตราบไม่ปรินิพพานปริโยสานก็ยังมีวิบาก แต่ก็เหลือน้อย แต่ก็ยังตามมาอยู่

อย่าประมาทในกรรม พวกเราพากเพียรให้ดี แต่อย่าเกินตัวเสียผล อย่าพรากประโยชน์ตน เพื่อผู้อื่นแม้มาก จนเสียสุขภาพเรี่ยวแรง สุดท้ายเป็นภัยกับตัว

เหตุการณ์บ้านเมืองไทยก็ตาม มีแง่ดีก็มาก ให้พากเพียรจัดการสิ่งชั่วลงไป เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องช่วยสังคมโลกเขา ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ได้อุตสาหะวิริยะ ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯประยุทธ์ ท่านรัฐมนตรี กรรมาธิการ ข้าราชการ เอกชน หรือท่านพุทธอิสระ หรือหลายคนที่เข้าใจพากเพียร บางคนเหน็ดเหนื่อย หมอมโน ก็ทำงานกันไป ก็ขอขอบคุณเป็นสุดท้ายของวันนี้ แม้แต่ในราชธานีอโศกก็ร่วมไม้ร่วมมือกัน ฟังสัมภาษณ์กัน ก็ช่วยกันดี ก็เร่งมารวมกันช่วยพัฒนาบ้านเมือง มาเถิดมา อย่าช้าอยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม เราจะเอากสิกรรมเป็นตัวช่วยโลก ทุกวันนี้เทคโนโลยีเร็วดีมากแล้ว เราจะสร้างเครื่องบินลำใหญ่บรรทุกพืชพันธ์ส่งไปต่างประเทศ ไม่ใช่แค่สร้างรถไฟขนพืชเท่านั้น

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:30:39 )

590305

รายละเอียด

590305_พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูและสมณะเดินดิน วิธีดูอรหันต์เก๊หรือจริง

สมณะเดินดิน...ว่า วันนี้วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2559 ที่บ้านราชเมืองเรือ วันนี้มีทั้งญาติธรรมและญาติพี่น้องจากมหาสารคาม ส่วนหนึ่งศึกษาแพทย์วิถีธรรม ส่วนหนึ่งเป็นผู้อายุยาว ได้ข่าวว่าค่อนข้างที่จะไม่ใช่ธรรมดา พร้อมจะซักถามสมณะตลอดเวลา พ่อครูจะเปิดโอกาสให้ซักถามได้ ได้ฟังมาว่าคนอายุมากไม่ต้องฟังเทศน์มากก็ได้ เพราะหมดแรงทำความชั่วแล้ว ถูกต้องไหมครับ

พ่อครูว่า...ไม่ถูกต้องหรอก เพราะการทำความชั่วแม้แต่แค่คิด ก็ไม่ได้ใช้แรงอะไร คิดชั่วก็ทำได้แล้ว พูดชั่วก็ไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมาย แม้จะอายุมากแล้วก็พูดได้อยู่ ก็ยังพูดชั่วได้ ทำชั่วแบบไม่ได้ออกแรงไปฆ่าฟันใครก็ได้ ไปขโมยของเขานิดหน่อยก็ชั่วได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน แพทย์วิถีธรรมกับพระไตรปิฎก

สมณะเดินดินว่า...วันนี้ที่มาส่วนหนึ่งสนใจแพทย์วิถีธรรม หมอเขียวเอาพระไตรปิฎกมาเป็นเรื่องรักษาโรค มีส่วนอย่างไรครับ

พ่อครูว่า…เรื่องการรักษาโรค โดยเฉพาะหมอเขียวเป็นคนที่พยายามเอาความหมายในคำสอนพระพุทธเจ้า เอามาทำความเข้าใจ แล้วก็เอามาประกอบทำการรักษาโรค ความทุกข์จากโรคของคนเกิดได้ทั้งแบบเชื้อโรค และแบบความไม่สมดุลของดิน น้ำ ไฟ ลม ในเลือด ในลมของชีวิตร่างกาย และความขัดแย้งอย่างหนักในจิตวิญญาณ เรื่องของเชื้อโรคนั้นไม่ใช่หน้าที่ของพระพุทธเจ้าทีเดียว ท่านก็ไม่ได้มีสูตรอะไรมาก ท่านไม่ใช่หมอ พระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำการรักษาเชื้อโรคแบบนั้น แต่โรคที่เกิดความไม่สมดุลของอวัยวะเจ้าการในอาการ 32 ของร่างกาย 

ถ้าอาการ 32 มันบกพร่องไม่สมดุล ซึ่งอาการ 32 นี้มีจิตเป็นตัวสั่งการเพราะฉะนั้นจิตวิญญาณ ทั้งอาการต่างๆที่เกิดขึ้นที่ไม่สมดุล อวัยวะเจ้าการทำงานไม่สมดุลก็เจ็บป่วยได้ อันนี้มีอยู่ในคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฎก หมอเขียวก็หาประเด็นต่างๆเหล่านี้มาใช้ ตั้งแต่มันไม่สมดุลในความร้อนความเย็น นี่ก็เลือดลม และอย่างอื่นอีกที่ไม่สมดุล ทำแล้วก็ได้ผลอย่างหมอเขียว แม้แต่ที่สุดเป็นไซโคซิส Psychosis ก็คือ จิตตัวนี้ที่มีกิเลสทำร้ายตัวเองให้ป่วย ซึ่งไม่ง่ายแต่หมอเขียวทำได้

ถ้าเป็นโรคจากเชื้อโรค หากไม่รู้จักสมมุติฐานทำลายเชื้อโรคไม่ได้ ก็ไม่หาย

60% ของโรคเกิดจากที่ไม่เกี่ยวกับเชื้อโรคเลย โดยเฉพาะในจิต

 

สมณะเดินดินว่า... ตอนนี้พ่อครูบอกว่าเรื่องศาสนากำลังเกิดปรากฏการณ์อย่างสนุกเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลเป็นพุทธธรรมนูญของศาสนา

พ่อครูว่า...ถึงวันนี้ วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2559 เหตุการณ์ของศาสนามันปั่นป่วนมานาน มาถึงวันนี้แล้วเสื่อมโทรมมาก จนปิดบังยาก เรียกว่าผิดธรรมผิดวินัยกันอย่างหยาบคายตกต่ำมาก จนเลี่ยงไม่ออก ยังดิ้นกันอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่มีใจไม่เลวร้ายก็เห็นก็รู้ แม้แต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็ชัดเจน คงกำลังช่วยกันอยู่

ทุกวันนี้เห็นง่ายมีคลิป มีหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้ แล้วก็ให้ดูกันว่าอย่างนี้ถูกไหม เข้าท่าไหม อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไหม ร้ายแรงไหมก็เสนอสื่อสารกัน มีเทคโนโลยีทำได้ง่ายสะดวก เป็นผลดีต่อสังคม ทำให้ไหวทันรู้ทันช่วยกันไม่ให้ลุกลาม

 

สมณะเดินดินว่า... อย่างสรยุทธถูกบอยคอตตอนนี้เรื่องจรรยาบรรณสื่อ อย่างครูก็ต้องมีจรรยาบรรณครู แล้วพระมีจรรยาบรรณวิชาชีพไหม จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นอะไร

พ่อครูว่า...จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นธรรมนูญศาสนาพุทธ เมื่อมาบวชในศาสนาพุทธแล้วต้องถือศีล เพราะการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา จุลศีลจะขัดเกลาจิตให้เกิดสัมมาสมาธิหรืออธิจิต เพื่อให้ถึงปัญญาคือวิมุติวิมุติญาณทัสนะ แต่ทุกวันนี้ศาสนาเพี้ยนไปแล้วจนไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แม้มาบวชพระแล้วก็ไม่รู้จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่ได้ให้ภิกษุรับศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเลย แต่สมณะอโศกทุกรูปมาบวชก็ต้องให้ถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่มหาเถรสมาคมไม่มีศีลแล้ว ไปนับถือแต่วินัย 227 ซึ่งไม่ใช่ศีล ต่างกัน

ศีลไม่มีโทษ เหมือนธรรมนูญก็ไม่มีโทษ แต่ศึกษาฟ้องร้องเอาคดีความได้ แต่ในวินัยมีโทษบอกไว้เลย ตั้งแต่ปาจิตตีย์ นิสสัคคียปาจิตตีย์ สังฆาทิเสส ปาราชิก เหมือนกับกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายลูก ใช้ทั้งคู่ วินัยและศีล แต่จะใช้ศีลเป็นหลัก เป็นพุทธธรรมนูญของศาสนา แต่ทุกวันนี้เขาไม่มีกันแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล โดยเฉพาะมหาศีลที่เป็นศีลองค์รวมของพุทธ ที่จะต้องเว้น ต้องขาด ต้องงด เลิกให้ได้ ตามพระพุทธเจ้าว่าไว้

ยกตัวอย่างในมหาศีล ไม่มีน้ำเป็นสื่อ ไฟเป็นสื่อ รดน้ำมนต์ จุดกำยานเป็นควัน ใช้ขี้เลื่อยจุดเป็นควันก็ห้าม แต่ทุกวันนี้ไม่มีศีล ก็เลยมีรดน้ำมนต์เสกเป่า ทั้งที่ท่านห้ามไว้ ทุกวันนี้เสื่อมไปหมดน่าสงสาร ถามว่าพระถือศีลเท่าไหร่ ก็บอกว่า 227

ของพระพุทธเจ้าในจุลศีลไม่ใช่แค่บอกว่าไม่ฆ่าสัตว์เท่านั้นนะ

จุลศีล

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?

  1. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้ เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

  2. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. 

พ่อครูว่า...แล้วพวกที่ไปหลอกเอาบุญมาหลอกคนให้วาดวิมานหวังแล้วมาทำบุญเพื่อหวังวิมาน แต่พระพุทธเจ้าว่า ต้องการแต่ของที่เขาให้ ถ้าเขาไม่คิดจะให้ก็อย่ากระตุ้นให้เขาให้

นี่เป็นเหตุการณ์จริงในวงการศาสนาพุทธในเมืองไทย จริงๆแล้วอาตมาและพวกเราชาวอโศกเป็นพุทธที่เป็นนานาสังวาสกับสงฆ์หมู่ใหญ่ เราประกาศลาออกมาเป็นนานาสังวาสตั้งแต่ 2518 เราก็มาบริหารกันเองไม่ขึ้นกับการปกครองสงฆ์หมู่ใหญ่ แต่เป็นพุทธเช่นกัน แต่นานาคือต่างกันในทิฏฐิในศีล ทางโน้นไม่มีศีล ก็ไม่เสมอสมานกัน ไปกันไม่ได้ ปฏิบัติไม่เหมือนกัน ทางโน้นใช้เงินได้ ทางนี้ไม่ใช้ การอธิบายธรรมะ การอธิบายศีลต่างกัน

ศีลเราขัดเกลาจิตให้เกิดสมาธิ แต่ทางโน้นนั่งหลับตาสะกดจิตสมาธิ ยุคพระพุทธเจ้าท่านให้เลิกแบบเก่า มาทำแบบสัมมาสมาธิ มีมรรค 7 องค์ทำให้เกิดสัมมาสมาธิ ทำอาชีพอย่างพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ถ้าปฏิบัติได้จะมีสัมมาสมาธิ ไม่มีมิจฉาทางคิด พูด ทำ อาชีพ ไม่ทำงานที่เอาลาภแลกลาภเลยได้ แม้เป็นพระเป็นเจ้าไปเทศน์แล้วรับเงินนี่ก็ผิด เพราะไม่ศึกษา ไม่มีศีลแล้ว สมาธิก็สมาธินอกทาง ไม่ง่ายที่จะรู้สัมมาสมาธิ สมาธิพระพุทธเจ้าต้องมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ มีปหาน 5 ได้ อาตมาประกาศว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เขาก็ว่าอรหันต์เก๊ โพธิสัตว์เก๊ รักชาติเก๊ นายกฯเก๊ พวกที่เขาไม่ใช่อย่างนี้ก็เลยว่าไม่เก๊ แต่คำว่าเก๊นี่ไม่ถูกต้อง คำว่าไม่เก๊นี้ถูกต้อง ก็พิจารณาว่าเก๊นี้ของใครกันแน่

อาตมาจะอ่านมหาศีลข้อ 1 และ 7 

{น.98} มหาศีล

 1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธี เติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอ ทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์

7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกระเทย ให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยา แก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. 

พ่อครูว่า...ยุคของพระพุทธเจ้าตอนแรกยังไม่มีพระ มีแต่สมณพราหมณ์​ทั้งหลาย ที่เป็นนักบวชทุกสำนัก แม้ของพระพุทธเจ้าเองท่านก็เรียกว่าสมณพราหมณ์ด้วย

พอมาเป็นนักบวช ศาสนาพุทธตั้งขึ้นก็เรียกว่าสมณพราหมณ์ ไม่มีชื่อเรียกนักบวช แต่ว่าพระพุทธเจ้าเรียกท่านเองว่า เราตถาคต ไม่ได้เรียกท่านว่าพุทธ คำว่าพุทธคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณสมบัติผู้บรรลุธรรม เป็นอาริยบุคคลมีสติตื่นเต็ม ต่างจากฤาษีนะ ยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มีเรียกว่าพุทธ แต่พุทธเป็นภาษาบาลี

การบรรลุธรรมของพุทธเรียกว่าพุทธธรรม เมื่อมีสาวก เป็นสาวกสังโฆ ได้บรรลุเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ได้วิชชาจรณสมบัติ เป็นอุตริมนุสธรรม หรือคุณสมบัติพิเศษ คือคุณสมบัติที่เรียกว่าพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศวิชชาและจรณะ ปฏิบัติแล้วจิตเกิดไฟฌาน ที่มีพลังงานพิเศษกำจัดราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นพลังงานพิเศษ ที่ไม่ใช่นั่งหลับตาจิตนิ่งตื้ออยู่ในภพ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิปักขิยธรรม เป็น system analysis ไม่ใช่ hypnosis

พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาใหม่ๆ ก็ยังไม่ได้เรียกศาสนาพุทธ แต่เมื่อท่านปรินิพพานแล้วจึงเรียกว่าศาสนาพุทธที่มีพุทธคุณ 9 สาวกปฏิบัติก็จะมีคุณธรรม 9 นี้เช่นกัน แต่ก็หย่อนกว่าของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติเป็นโพธิสัตว์ตามลำดับก็มีพุทธธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ เต็มก็เป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นธัมมสามีเลย ตรัสรู้เอง เป็นเจ้าของธรรมะ เป็นผู้ดำเนินไปสูงสุดแล้วในพุทธธรรม 9 ข้อ เปรียบเหมือนสารถีที่จะนำพาคน สอนคนให้พ้นโอฆสงสาร ให้พ้นทุกข์ ถึงฝั่งนิพพานได้ อยู่ในพุทธคุณ 9 หรือพุทธธรรม ที่เป็นความรู้วิเศษมาก ทฤษฎีใดสามารถศึกษาปฏิบัติแล้วได้พุทธคุณ 9 จึงเรียกว่าเป็นศาสนาพุทธ จะต้องเข้าใจพุทธคือพุทธคุณ 9

 

สมณะเดินดินว่า...เมื่อกี้นี้มีภาพว่าพ่อครูเป็นอรหันต์เก๊ แล้วจะดูอย่างไรว่าจริงหรือไม่?

พ่อครูว่า...อรหันต์เก๊หรือจริงก็ตรวจสอบตามพระไตรปิฎกเลย ต้องมีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อย่างน้อยถ้ารดน้ำมนต์อยู่นี่ก็ไม่มีมหาศีลแล้ว ไม่ใช่อรหันต์แน่ ศีลจะขัดเกลาจิตให้อวิปปฏิสาร เกิดปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ นิพพิทา วิราคะ วิมุติญาณทัสสนะ อย่างนี้เป็นต้น มีในพระไตรปิฎก ถ้าพระไม่ทำตามพระไตรปิฎกไม่ใช่พระ

แล้วคนที่ไม่มีศีล จะเอาไปตั้งเป็นใหญ่เป็นสังฆราชได้อย่างไร แล้วศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้ตั้งใครเป็นใหญ่ มันผิดที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดเลย มันตั้งไม่ได้ ให้ธรรมวินัยทั้งหมดในพระไตรปิฎกเป็นใหญ่

แต่นี่ไปมีเงินเดือนอีกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ก่อนบวชเขาก็จะถามว่าเป็นราชปัตโตหรือไม่ คือเป็นข้าราชการหรือไม่ แต่ก่อนบวชไม่ใช่ข้าราชการ แต่มาบวชแล้วเป็นก็ไม่ได้ ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้แกล้งว่า แต่ว่าถ้าถือเอาพระไตรปิฎกเป็นธรรมนูญของศาสนาพุทธในประเทศไทยก็มาพูดกัน ถ้าไม่ถือก็ไม่ต้องพูด

คณะใหญ่ศาสนาพุทธจะถือเอาพระไตรปิฎกยืนยันหรือไม่?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลคือข้อกำหนดตามฐานะ

_ถามมาว่า ผมไทแท้ ไม่เข้าใจศีลทั้งหมด เป็นอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...ศีลคือข้อกำหนด เช่น เราฟังง่ายๆ ศีลข้อ 1 ไม่ใช่ไม่ฆ่าสัตว์อย่างเดียวนะ

1. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้ เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

เมื่อมาบวชแล้วก็ต้องรับศีล แต่เขาไม่ได้รับกัน อย่างเก่งตอนบวชเณรก็ได้ศีล 10 แต่ก็ละเมิด เขาไม่ให้รับเงินรับทอง ไม่ให้มีเงินมีทอง แต่เขาก็ละเมิด พระมีเงินมีทองไม่ได้ จะต้องสละทรัพย์สินบ้านช่องเรือนชาน โภคขันธาปหายะ มีไม่ได้ ถ้ามีก็อาบัติ ไม่สละออกไม่ปลงอาบัติสำเร็จ เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ว่าจะไม่ละเมิดอีก ต้องเอาออกก่อนจึงปลงตก

อาตมาบวชมาย่าง 47 ปีแล้ว สมณะของอาตมานั้น เราไม่เรียกพวกเราว่าพระ เราไม่อยากเรียก กฎหมายก็ไม่ให้เราเรียกด้วย เราก็เรียกพวกเราว่าสมณะ สมณะของเราไม่มีเงินไม่มีทอง แม้แต่มีที่ดิน ก่อนบวชต้องเซ็นสละให้คนอื่น มาแต่ตัวกับหัวใจ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองใดๆ ทุกวันนี้สมณะเราก็ทำได้ แม้แต่สิกขมาตุก็ถือศีล 10 ได้บริสุทธิ์ แต่ศาสนาหมู่ใหญ่ทำไม่ได้ แล้วก็มาแย้งเถียงตะแบง

เอาพระไตรปิฎกมาจับก็เลี่ยงสารพัด แถกจนสีข้างแตกหมดแล้ว

แม้แต่ฆราวาสมาอยู่ที่อโศกถือศีลหมดทุกคนทุกวัย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ก็ไม่มีอบายมุข เหล้าไม่มี บุหรี่ไม่มี ทุกชุมชนชาวอโศกปฏิบัติเช่นนี้ ใครละเมิดก็ลงทัณฑ์ แม้เด็กผิดศีลก็ชำระ แม้เด็กผิดศีลหนักต้องเอาออกไปจากที่นี่ก็มี พ่อแม่ต้องร้องห่มร้องไห้เลย ศีลคือข้อกำหนดตามฐานะ อย่างฆราวาส ไม่ฆ่าสัตว์ แม้จะมีจิตโกรธไม่เอ็นดูบ้างก็อนุโลมชั้นต้น แต่ถ้ามาบวชเป็นภิกษุต้องถือตามทุกคำทุกข้อ ให้ขาด ให้เว้น ให้ละขาด อย่าทำ ตามที่ท่านบอก กายกรรมไม่ฆ่า ปากไม่พูดให้ฆ่า ใจก็ไม่มีอาการอยากให้ฆ่า

องค์ 5 ของปาณาติบาต

1. สัตว์มีชีวิต

2. รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต

3. มีเจตนาฆ่า

4. พยายามฆ่า

5. สัตว์ตายลง

ผู้ใดทำครบองค์ 5 ก็ผิดศีล

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้กินได้แต่อุทิสสมังสะ(เดนสัตว์กิน) และปวัตตมังสะ(แก่ตายหรือตายเอง) เดนสัตว์กิน คือพวกสัตว์กินเนื้อ กินแล้วเหลือ อย่าไปแย่งมันนะ แล้วอีกอันหนึ่ง

ทำบุญแต่ได้บาป  5 ลำดับ

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)    

ชีวกสูตร  ล.13 ข.60

พระพุทธเจ้าว่า ถ้าได้ยิน หรือได้เห็น หรือสงสัย ว่าสัตว์นั้นจะถูกฆ่ามาก็กินไม่ได้ คือเนื้อนั้นไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม กินไม่ได้ หลักฐานในองค์ปาณาติบาต 5 และหลักฐานในการทำบุญแต่ได้บาป 5 อย่างนี้ก็ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้นทำอาหารเนื้อไปถวายพระจึงบาป

บาปคืออกุศลที่ติดอัตภาพเป็นวิบากผูกจองเวรกับสัตว์ที่ตายลงไป ส่วนบุญคือการรู้จิตของเราว่ามันอยากฆ่าสัตว์ เราอ่านตัวที่อยากฆ่า ไม่เมตตา เราก็พยายามต้องมีเมตตาเอ็นดู ควรให้เจริญไปด้วยกัน ผู้นั้นเมื่อมีใจปรารถนาเช่นนั้นแต่ตนก็ปฏิบัติกับใจตน ถ้าใจเรายังอยากฆ่า หรือไม่เอ็นดูไม่ปรารถนาดีต่อสัตว์ก็อ่านอาการจิตแล้วกำจัดกิเลสให้ได้ ก็คือบุญ บุญคือเครื่องมือกำจัดกิเลส บุญไม่ใช่กุศล

กุศลเป็นผลให้อาศัย มันช่วยให้เราสบาย ช่วยให้เราได้อันนั้นอันนี้ ทำให้เราได้ดี กุศลคือเครื่องอาศัย แต่บุญไม่ใช่เครื่องอาศัย บุญคือเครื่องมือปหานกิเลสเมื่อใช้แล้วกิเลสตายก็ไม่ต้องใช้บุญอีก

บุญสมมุติว่าเหมือนมีดตัดขาดอันนี้ เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งไป งานจบแล้วก็สิ้นบาป บุญก็สิ้นด้วย จึงเรียกว่าผู้สิ้นบุญสิ้นบาปสำหรับอรหันต์ ปุญญาปาปปริกขีโณ

บุญเหมือนเครื่องประหารหัวสุนัขของเปาบุ้นจิ้น พระอรหันต์คือ ผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง จบแล้ว ก็ทำแต่ดี กุสลัสสูปสัมปทา เป็นคนมีประโยชน์ต่อโลกต่อคนอื่นอาศัยกุศล กุศลคือเครื่องอาศัย

 

_อ.เป็นต้น นาประโคน ถามว่า…ในประเทศไทยมีโรงฆ่าสัตว์อยู่ทุกจังหวัด

พ่อครูว่า...จริงๆ แล้วเมื่อเอามิจฉาวณิชชา 5 มายืนยัน จะเห็นได้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่เหลวไหลมาก

มีการค้าขายอาวุธ การค้าขายเป็นเรื่องฆราวาส ไม่ใช่เรื่องของภิกษุนะ ท่านห้ามไว้ ชาวพุทธต้องปฏิบัติไม่ให้เป็นมิจฉา

มิจฉาวณิชชา 5

1. การค้าขายอาวุธ   (สัตถวณิชชา)

2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3. การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4. การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วิสวณิชชา)

(พตปฎ.  เล่ม 22  ข้อ 177)

พุทธศาสนิกชนเดี๋ยวนี้ทำกันหมดเลยทั้ง 5 ข้อ รวยด้วย

 

_อ.เป็นต้นว่า ถ้าฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าถือว่าถูกกฎหมาย แต่ถ้าฆ่านอกโรงฆ่าก็ผิดกฏหมาย และขอความกรุณาพ่อท่านอธิบายเรื่อง สุกรมัทวะ ที่สงสัยกันมาก

พ่อครูว่า...สุกรมัทวะ แปลว่า เห็ดที่หมูชอบกิน สุกรมัทวะไม่ใช่เนื้อหมู แต่เป็นเห็ดหายาก เห็ดเนื้ออ่อนนิ่ม ทั้งคนทั้งหมูต่างก็ชอบกินเห็ดนี้

อาตมาทำหมู่บ้านชาวอโศกมาตั้งแต่ปี 27 เป็นหมู่บ้านชุมชนคนมีศีล จะบอกว่ายาก แต่อาตมาก็พาทำได้ จนเกิดหมู่กลุ่มหมู่บ้านแบบนี้

ศาสนาอิสลามเคร่งคัดตามวินัยเขาก็ทำได้สงบสุข คริสต์ก็ทำได้ตามแบบเขา แต่พุทธนี่ดีมาก แต่ว่าเสียได้ เพราะไม่บังคับ อิสรเสรี แต่ มเขาบังคับเลย เด็กเล็กต้องศึกษาธรรมะของศาสดา ละหมาดวันละห้าครั้ง บังคับก็ยังได้ผล แต่ของพระพุทธเจ้าไม่บังคับเลย อิสรเสรีภาพ ก็เลยหย่อนยานตามใจกิเลส

ผู้ใดปฏิบัติศีล 5 ได้ แม้แต่แค่กาย ใจยังไม่บริสุทธิ์ ใจกดข่ม ไม่ละเมิดกายวาจา ทำได้ ฐานะของคุณจะดีขึ้น เราอบรมมาเยอะแล้ว แม้แต่แค่ไม่ติดอบายมุขอย่างเดียวเงินทองก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว ไม่หลงแต่งตัวจัดจ้านแค่นี้เงินเหลือแล้ว พ่อบ้านแม่บ้านเป็นที่รักของลูก อบอุ่นเลย เงินเหลือ แค่ศีล 5 นี้ฐานะดีขึ้นมาเลย เอาจริงให้ดี

ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์มันยากไปก็เอาแค่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร แล้วไม่พูดปด ถ้าไม่พูดปดได้นี่ยิ่งใหญ่ ไม่ติดในสูราเมรยมัชชะ เลิกสิ่งเสพติดมอมเมา ในของหยาบเรียกว่าสุรา ก็เลิกมา ไปเมาในการพนันสิ่งเสพติด เมาเรื่องกามจัดจ้าน เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านก็ไม่เอา แบรนด์เนมก็ไม่เอาพอแล้วนั่นคืออบายชั้นต่ำ ไปหลงว่าชั้นสูงไฮโซคือชั้นต่ำ ถูกหลอกให้โง่ตามเขา ลดลงมาก็ทำในสิ่งเสพติดมอมเมาระดับกลางต่อมา แล้วมัชชะคือมอมเมาในรูปภพอรูปภพ เราไม่เสพติดในทวารนอกแล้วเหลือแต่ทวารใน

เรียนปฏิบัติไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าว่าลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อาหาร 4 กับคาถาสู้กิเลส

_ตอนนี้กำลังฝึกการไม่ทานอาหารที่เป็นพิษร้อน ทำได้ 20 วันแล้ว อยากทราบว่าพ่อครูมีวิธีให้พลังใจให้เข้มแข็ง ไม่พ่ายแพ้กิเลสอย่างไร

พ่อครูว่า...ให้คาถา “เลิกให้ได้ ตายเป็นตาย” อาตมาขอท้าเลย ถ้าสู้กับกิเลส ใจแข็งเลยนะ กิเลสตาย คุณไม่ตาย แค่เลิกอาหารบางอย่างก็ไม่ตาย แต่กิเลสจะตาย นั่นแหละคาถา เอาให้ได้ ไม่ยอม  “เลิกให้ได้ ตายเป็นตาย”

 

_พ่อครูช่วยอธิบายในการปฏิบัติอาหาร 4 ให้ถึงอรหัตตผล

พ่อครูว่า…อาหาร 4 นี่ครบ พระพุทธเจ้าตรัสไว้

1. กวฬิงการาหาร คืออาหารที่หยาบที่สุด คือคำข้าว พิจารณาอย่าไปติดรส 

อย่ากินเนื้อสัตว์ ต้องพิจารณา รู้ทันกิเลสก่อนจะกิน และอ่านกิเลสขณะกิน กิเลสมันอยู่ในเรื่องอาหารนี้เยอะ

2. ผัสสาหาร คืออาหารที่กำลังสัมผัส ทั้งอาหาร แก้วแหวนเงินทอง แม้เรื่อง

คน เรื่องกาม เรียนรู้กิเลสที่เกิดจากสัมผัส

3. มโนสัญเจตนาหาร ต้องอ่านเจตนา อ่านอาการจิตอกุศลทุจริตให้ได้ แล้ว

เลิกตามขั้นตอน ไปเลิกทีเดียวทั้งหมดไม่ได้ ต้องทำตามศีลหรือกรรมฐาน มันจะอยากเสพติดอย่างไรก็ต้องอ่านแล้วเลิก

4. วิญญาณาหาร ต้องเรียนรู้นามรูป จิตเจตสิกต่างๆ ให้เรียนรู้ธรรมะสอง

แล้วล้างกิเลสให้หมด ให้เหลือเนกขัมสิตเวทนา อย่างเดียว แต่เราก็อยู่กับโลกเหมือนเดิม คนที่มีจิตโลกุตระจิตแล้ว ก็ไม่เกิดทุกข์ ไปกับมันได้

ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:33:48 )

590306

รายละเอียด

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ให้โอวาท ก่อนจากนศ.ป.โท สายสื่อสารม.รังสิต จะเดินทางกลับ วันที่ 6 มี.ค.59

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

พ่อครูว่า….ก็ขอสำทับสุดท้าย เกิดเป็นคนมันไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความเป็นธรรมะ

ธรรมะ คือแกนของมนุษยชาติ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้หรอก แม้แต่เป็นคนแล้วยังเป็นอเวไนยสัตว์ มันก็ไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ แต่คนผู้ที่ขวนขวาย ตั้งใจศึกษาเอาธรรมะมาประกอบในชีวิต ชีวิตก็จะดำเนินไปด้วยการมีธรรมะ เท่าที่เราจะมีได้ เป็นได้ ชีวิตก็จะเจริญ ประเสริฐ ไม่ว่าจะธรรมะศาสนาใดๆ เอาธรรมะของพระศาสดามาพากเพียรให้ดี ที่พระศาสดาสอนทุกองค์นั้นดีทั้งนั้น ทำให้ได้ตามคำสอนของพระพุทธศาสดาทุกองค์ แล้วเราก็จะเจริญอย่างแท้จริง

มันไม่ใช่เป็นการเจริญแบบปลอมปลอม แบบชั่วคราวที่หลอกลวงกันได้ อย่างเช่น คนขณะนี้ในสังคมที่เห็นชัด หลอกลวงเขาเพื่อจะปลิ้นปล้อนเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ให้แก่ตนมากๆ หนักเข้าถลำตัว จนกระทั่งทุจริตโกง พอเขาย้อนเกล็ดไปสืบสาวราวเรื่องเข้าไป จะเจ็บแสบมาก

ฝากสุดท้ายให้จำ….อาตมามีโศลกสุดท้ายให้

ขณะนี้จะเห็นได้ว่าทุกคนเดือดร้อนดิ้นรนวุ่นวาย เพราะทำตนไม่บริสุทธิ์ ถ้าผู้ใดสามารถทำตนให้บริสุทธิ์ อย่าให้ทุจริต อย่าให้โกง อย่าให้อกุศลได้

 

“ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด” จำไว้เลยทีเดียว

 

จากนั้นพ่อครูได้แจกภาพพ่อครูที่มีโศลกธรรมติดอยู่ข้างหลัง ให้นิสิตนักศึกษาได้นำไปปรับใช้ในชีวิต ให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด เกิดความบริสุทธิ์แก่ตัวเองและแก่สังคมต่อไป


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:34:40 )

590306

รายละเอียด

590306_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหา นศ. ป.โท ม.รังสิต(สื่อสาร)

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน ก็ยินดีต้อนรับผู้ที่มาทุกคน ที่นี่คือราชธานีอโศกอาตมาเรียกว่า ชุมชนบวร คือชุมชนที่มีความเป็นอยู่ร่วมกันสามเส้าระหว่าง บ้าน วัด โรงเรียน อยู่กันอย่างกลมกลืน อยู่กันอย่างรวมกัน ไม่แยกกัน คือ ธรรมะหรือวัดก็อยู่รวมกัน บ้านก็คือสังคมมนุษย์ก็อยู่ร่วมกัน โรงเรียนก็คือแหล่งการศึกษาก็อยู่ด้วยกัน ซึ่งอยู่รวมกันอยู่อย่างสนิทเนียนไม่แยกส่วน มีพฤติกรรมตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงเวลากลับไปนอนอีก เวลานอนเท่านั้นที่แยกกัน เวลาตื่นออกมาประสานร่วมกันหมด ทำงานร่วมกัน กินร่วมกัน อยู่ร่วมกัน มีอะไรปรึกษาหารือกัน ประชุมกัน เป็นประชาธิปไตยอันมีธรรมาธิปไตยจริงๆ เป็นสังคมหมู่บ้าน สังคมมนุษย์ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า

ผู้ที่มานี้อาจมีศาสนาอื่น ซึ่งศาสนิกของทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีอยู่ร่วมกันได้ มีอะไรดีที่เห็นด้วยก็เอา อะไรยังไม่เห็นด้วยก็ยังไม่เอา เป็นอิสรเสรีภาพสูงสุดส่วนตัว ไม่มีใครละลาบละล้วงได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ปัญญาอย่างเดียวก็จบ คนที่มีปัญหาก็ทุกข์ต่อไป คนจบปัญหาแล้วมีแต่ปัญญา รู้เข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว มีปัญญาจริงๆ คนนั้นก็จบ อาตมาไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นก็จะตอบปัญหาของพวกคุณที่ถามมา

วันนี้วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2559 ที่ราชธานีอโศก วันนี้ก็มีคณะสื่อสารมวลชน เป็นนักศึกษาปริญญาโท อาจารย์นำมา จะมีอะไรเกริ่นก่อนก็เชิญ

 

อาจารย์ไก่ว่า...กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ดิฉัน ผศ.ดร.ลักษณา คล้ายแก้ว เป็นผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิตของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วันนี้ได้นำนักศึกษาปริญญาโทรวมกันแล้ว เราได้แบ่งกันเป็น 6 กลุ่ม ลงพื้นที่ศึกษา 6 ฐานด้วยกัน วัตถุประสงค์ในการมาศึกษาก็เพื่อที่จะให้มีการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของชีวิตในด้านต่างๆของราชธานีอโศกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองเกี่ยวกับการศึกษา จะเห็นได้ว่าที่นี่มีกิจกรรมเยอะแยะมากมายหลายแง่มุมให้กับนักศึกษาได้ทำการศึกษาวิจัย นักศึกษาได้ลงพื้นที่มาแล้วเมื่อวาน วันนี้ได้มีโอกาสอันดีที่จะได้กราบพ่อครู และจะให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มได้เรียนสอบถามเพิ่มเติม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ความจริงคือปัจจุบันเท่านั้น

_คำถามว่า ตั้งแต่บริบทสังคมโลกเปลี่ยนแปลงไป มีความก้าวหน้าขึ้น ทางพุทธสถานมีการปรับเปลี่ยนปรัชญาในการเผยแพร่ศาสนาในรูปแบบทิศทางใด เพื่อให้สังคมไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไร

พ่อครูว่า...เปลี่ยนแปลงอะไรในบริบทที่ควรจะเป็น ในยุคนี้มันมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาล ตามองค์ประกอบเป็นธรรมดาธรรมชาติ

คำตอบก็คือไม่ได้เปลี่ยนแปลงทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเลย

ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านั้น absolute ultimate แล้วเรียบร้อย ไม่ต้องไปแก้ไขอะไรเลย จบและทันสมัย ใหม่เสมอ ไม่เคยเก่า นำสมัย ทันสมัย ล้ำสมัย เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เช่น ยุคนี้เขาประชาธิปไตยของโลก เป็นระบอบที่นิยมกันทั่วโลก หรือว่าแม้แต่คอมมิวนิสต์ก็อ่อนแอแล้ว เผด็จการก็แพ้เด็ดขาดแล้ว เสร็จแล้วเขาก็ยังเข้าใจประชาธิปไตยไม่ได้ ประชาธิปไตยดีและอิสระที่สุด ประชาธิปไตยนั้นทำเพื่อผู้อื่น จริงใจที่สุด และศาสนาพุทธนั้นรู้จักจิตวิญญาณที่เป็นแกนหลัก จิตวิญญาณมีอาการสองอย่างเป็นหลัก เป็นธรรมะสอง เทวธัมมา

ลักษณะที่ไม่เคลื่อนไหว ที่นิ่งที่สุด ทางฟิสิกส์สรุปได้ก็คือนิวเคลียส ถ้าใครสามารถไปตีนิวเคลียสให้แตกได้ มันจะเกิดเป็นสภาวะของธรรมะสอง เทวธัมมา สิ่งหนึ่งจะวิ่งทางตรงแล้วกระจายออกไปเป็นไอโซโทป มีบวกมีลบกระจายไปจนอ่อนจางหายไป ไม่มีใครตามไอโซโทปนั้นได้ เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นพลังงานที่ออกไปอย่างเต็มแรง ทะลุทะลวง

กับพลังงานอีกอันหนึ่งมารวมกัน เรียกว่านิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นธาตุหนักแล้วก็จะรวมตัวเป็นต้นตอ จะมีพลังงานอย่างนี้ทั้งเชิงฟิสิกส์และจิตวิญญาณ ศาสนาพุทธเจาะลึกถึงพลังงานนี้ได้ และควบคุมได้ทั้งนิวเคลียร์ฟิชชัน ควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชันได้ ซึ่งเป็นลักษณะบวกหรือลบที่อยู่จับตัวกันนิ่ง แต่ถ้าตีแตกแล้วก็จะเกิดเป็นภาวะสอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือพลังงานทางฟิสิกส์หรือสสารก็ตาม

เราจะสามารถรู้อาการของจิตได้ ในลักษณะอาการของจิตทั้งหมดที่นิ่งให้รู้ได้ ละเอียดสุด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็จะเป็นรูป 28 ลักษณะ นามธรรมหรือจิตวิญญาณธาตุรู้เรียกว่าปัญญา สามารถจะทำความเข้าใจรูป 28 นั้นให้สุดจบ เมื่อจบแล้วก็จะเหลือปัจจุบัน อดีต อนาคต ภาวะปัจจุบันเป็นความจริงสูงสุด นอกจากปัจจุบันแล้วไม่มีอะไรมี ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่ศูนย์อย่างเดียว

ผู้ใดรู้จักปัจจุบันสูงสุด แล้วก็สามารถควบคุมปัจจุบันได้ ไม่ให้มีความเลว ให้มีแต่ความดีตลอด ผู้นั้นจบ เป็นมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณมีปัญญาญาณสูงสุด สามารถควบคุมพลังงานปัจจุบันได้ ผ่านไปแล้วก็เป็นอดีต ที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นอนาคต ความจริงคือปัจจุบันเท่านั้น และผู้ที่สามารถควบคุมปัจจุบันนี้ได้ สามารถที่จะตัดหรือจะต่อก็ได้ ควบคุมให้ต่อไปก็ได้ให้มันเกิด ถ้าไม่ต่อมันก็ตัดก็สูญ ผู้นี้คือผู้ควบคุมทุกอย่างได้ ในฟิสิกส์ก็คือ space and time ตามไอสไตล์บอก

ส่วนของพระพุทธเจ้าก็คือ กรรมกับกาละ being and time of continuum สามารถจะตัดสันตติ หรือจะต่อไปได้ ถ้าจะตัดสูญก็ได้ ถ้าจะต่อก็ต่อแต่ดี

คำสอนของพระพุทธเจ้าคือ สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง คือคนนี้ไม่มีจิตวิญญาณเป็นบาปเกิดแล้ว ถ้าจะทำกรรมกิริยาต่อก็มีแต่กุศล เราไม่เรียกว่าบุญ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่าบุญผิด บุญไม่ใช่เอาไว้ขายหากิน แต่บุญคือเครื่องมือตัดกิเลส บุญเหมือนเครื่องมือของท่านเปาตัดหัวหมา บุญคือเครื่องมือตัดกิเลสหรือล้างบาปของตนเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ เมื่อทำการตัดกิเลสได้ถาวรจนไม่เปลี่ยนแปลง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สูงสุดเป็นอมตบุคคล จะตายแล้วเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ จะสูญแยกธาตุไม่เกิดอีกเลยก็ได้

สมมุติว่าเราเป็นธาตุน้ำ เราจะทำลายความเป็นน้ำของเรา น้ำคือ hydrogen กับ oxygen เราสามารถทำลาย h กับ o นี้ให้แตกแยกกัน ออกไปกลายเป็นธาตุแก๊ส ธาตุน้ำก็หายไป ไม่มีอีกเลย พระพุทธเจ้าสอนถึงขั้นทำพลังงานให้จิตเราสูญหรือจะต่อก็ได้

นี่คือสุดยอดของศาสนาพุทธที่สอนคนให้บรรลุได้ จึงเป็นประโยชน์แก่โลกตลอดกาลนาน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน โรงปุ๋ยพลังชีวิต

_ได้ทำเกี่ยวกับฐานโรงปุ๋ยพลังชีวิต พ่อครูมีแนวทางต่อยอดตัวผลิตภัณฑ์ไปสู่ชุมชนอื่นๆรอบข้างอย่างไร

พ่อครูว่า...ที่ถามมาก็น่าจะรู้โดยปฏิภาณ ว่าเราต้องต่อยอดสิ่งดีเสมอ เราอย่าเพิ่งไปเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เราได้ทำเป็นองค์ประกอบอะไรก็แล้วแต่ เราจะไม่ไปกำหนดว่ามันสูงสุดแล้วไม่มีอะไรต่อ ไม่ใช่แน่นอน เราก็ต่อไปสู่ชุมชนรอบข้าง เช่น ปุ๋ยที่เราผลิตเราใช้กับพวกเราเผื่อแผ่กันไป หรือการขาย เราก็ขายอย่างขาดทุนแก่มนุษย์ เราจะไม่ขายเอากำไร การค้าพาณิชย์ของเราคือ ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา Our loss is our gain. เป็นพระราชดำรัสของในหลวง

ผู้ที่ค้าขายให้ขาดทุนอย่างไม่โกหกหลอกโลก จึงจะถือว่าได้กำไร เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ผู้ใดค้าขายให้ขาดทุนได้คือผู้ได้กำไร แต่ผู้ที่ค้าขายให้ได้กำไรนั้นคือผู้ขาดทุน ในหลวงตรัสเรื่องนี้

เรื่องปุ๋ยนี้ เราก็ขายอย่างขาดทุน แล้วเราก็แจกเท่าที่จะทำได้ คนที่จะได้รับการแจกจากเราตลอดเวลา เราก็ประกาศว่า คนในย่านนี้ชักชวนกันทำกสิกรรม เมื่อผู้ใดจะทำกสิกรรมเห็นว่าอยากได้ปุ๋ยก็มาบอก เราก็เอาไปแจกให้ บางทีเราก็กองไว้ เขาก็มาขนไป ตักไป บางทีก็รถปิคอัพมาตักไป ก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เราไม่เอาเปรียบ โกงเราไม่ทำอยู่แล้ว เราเสียสละได้เราก็ทำ หรือไม่ก็เท่าทุน เรายืนอยู่ระดับเท่าทุนหรือเสียสละ แต่ถ้าเลยไปขีดที่จะเอาเปรียบเราไม่ทำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บุญนิยมทีวี มีแต่ให้ความจริง

_ถามว่า วัตถุประสงค์บุญนิยมทีวีคืออะไร

พ่อครูว่า...เป็นสถานที่สื่อสารเผยแพร่ให้แก่มวลมนุษย์ ในสิ่งที่เรามีภูมิธรรม ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีก็บอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี เราก็ข่ม ก็ดูถูก แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ดีไม่น่าเป็นตาม ส่วนที่ดีเราก็ยกย่องบูชาแสดงออก สรุปคือ สื่อนี้แสดงการเผยแพร่ความจริง จริงใจที่สุด ชวนให้คนมาทำสิ่งดี เลิกสิ่งชั่วจริงๆ เลิกถึงเหตุแห่งชั่วจริงๆ แล้วเราจะเป็นคนทำแต่ดี เผื่อแผ่คนอื่น สรุปแล้วมีแต่ให้ and the ให้ สรุปคือสถานีนี้มีแต่ให้ ไม่โฆษณาเรี่ยไรทั้งนั้น

 

_ความจริงในทัศนะของพ่อครูคืออะไร

พ่อครูว่า...มีพิสูจน์ถึงปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เร็วยิ่งกว่าแสง ผู้ใดสามารถกำหนดรู้อาการของจิตในปัจจุบันได้ ผู้นั้นสามารถทำความเร็วของจิตให้เร็วกว่าแสงได้ และควบคุมจิตตัวนี้ได้ โดยมีความรู้จิตตัวนี้ว่า ถ้ามีอาการไปในทางนี้คือชั่ว มีอาการไปทางนี้คือดี จงทำแต่ดี กุสะลัสสูสัมปะทา อย่าทำชั่วเป็นอันขาด ฝึกจิตแล้ว จิตจะควบคุมกิริยาของจิตนี้ได้ ไม่ทำชั่วเด็ดขาดอย่างแน่นอนถาวรเลย ทำแต่ดี กุสะลัสสูสัมปะทา สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง นี่คือที่สุดแห่งที่สุดของความจริง อยู่ที่ปัจจุบัน สั้นที่สุด เล็กที่สุด เร็วที่สุด นี่คือความจริง ผู้นั้นจะรู้อันนี้และมีอันนี้ จิตตนเองจะต้องทำเช่นนี้ได้ นี่คือความจริง รู้แล้วตามความจริงให้ได้ อยากให้คุณได้นะ

 

_มีวิธีขยายขอบเขตการนำเสนอบุญนิยมทีวีอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็ทำตามกำลังความสามารถ เพราะบุญนิยมทีวีเป็นสถานีที่ไม่มีจ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่พนักงาน อยู่กันอย่างระบบสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์หรือเป็นเศรษฐกิจสูงสุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เช่น ชุมชนชาวอโศก ที่นี่เป็นชุมชนสังคมที่เป็นกงสีใหญ่ กินใช้ร่วมกัน ทุกคนทำผลผลิตได้เข้ากองกลางหมด ยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ คนที่เป็นประชาธิปไตยต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาล เอาเงินเข้าส่วนกลาง ของเราก็เสียภาษีโดยไม่บังคับ ใครไม่อยู่ก็ไม่มีปัญหา และคุณมาอยู่ที่นี่คุณเองคุณทำงานที่นี่ เรียกว่าประเทศนี้รัฐนี้ชุมชนนี้ คุณทำที่นี่ก็ต้องทำฟรี ทำแล้วจะเอาส่วนได้ออกไปไม่ได้ เป็นสิทธิของเราอย่างนี้เป็นต้น คุณจะทำข้างนอกอย่างไรก็เรื่องของคุณ

เพราะฉะนั้นในลักษณะของแนวทางการนำเสนอของบุญนิยมทีวี เราจะนำเสนออย่างให้ บุญนิยมทีวีไม่เอาอะไรจากใคร ให้จริงๆอย่างบริสุทธิ์ คนมาบริจาค เราก็ไม่เอา ถ้าคุณไม่มาเป็นสมาชิกชาวอโศก ถ้าคุณเป็นสมาชิกชาวอโศกเราถึงจะรับเงินบริจาคให้มาทำงาน เช่น จะบอกว่าให้ไปช่วยในด้านสื่อสารก็บอกไว้ ช่วยในด้านสื่อสารโทรทัศน์ จะไม่ไปใช้ผิดประเภท 

ขออธิบายต่อว่า เงินนี้มาจากไหนที่จะมาใช้ในกิจการโทรทัศน์ มีเงินมาใช้ในกิจการโทรทัศน์จากการทำขยะเป็นหลัก จะมีชุมชนอย่างเราที่สันติอโศกที่ทำรายได้มากจากขยะวิทยาเป็นจำนวนเดือนละล้าน แต่ละเดือนแต่ละเดือนเป็นหลักที่นั่น นอกนั้นก็จะรวมกันจากสมาชิกเจ้าอื่น ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่ถูกกว่าทางโลกหลายเท่า เพราะของเราเป็นเศรษฐศาสตร์บทที่เยี่ยมที่สุดของพระพุทธเจ้า เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ประโยชน์สูงประหยัดสุดที่สุดเท่าที่จะมีในโลก เพราะฉะนั้นจึงถูกที่สุด แต่เป็นประโยชน์สูงสุดได้ เป็นธรรมชาติที่สุด

 

_เวลาพ่อท่านเทศน์สอน เอาแต่ความรู้ไปใส่หัวคน (ตอบว่าไปสอนแมวไปสู้สอนคนไม่ได้นะ) คนไม่อยากมาหาเพราะว่าความรู้มันร้อน คนยังไม่หน่ายคลาย ฟังแล้วก็ทำไม่ได้ เช่น การฆ่าสัตว์ เพราะรู้แต่ยังบอดอยู่ ควรสอนภพชาติที่ลึกซึ้งๆความรู้กับความเห็นไม่เหมือนกัน การบรรลุแตกฉานปริยัติก็อาจจะไปถึงที่สุดแห่งโพธิได้ เพราะมาทำบารมี

พ่อครูว่า... ความรู้ที่ถูกต้องจะเย็น ถ้าคุณยังมีคอนฟลิคจะร้อน ถ้าความรู้นี้เกิดคอนฟลิคมันยังงง มันยังสงสัย มันต้องคิดต่อมันก็ร้อน เกิดจากปฏิกิริยากัน แต่ความรู้ที่หมดคอนฟลิคแล้วหมดการกระทบสัมผัสแล้ว ก็สงบนิ่งจบนิ่ง เย็นไม่ร้อน คุณยังสงสัยอยู่ก็ทำไม่ได้ เช่น การฆ่าสัตว์ ถ้ารู้แล้วจะสว่างไม่มืดบอด

ความรู้กับความเห็นเหมือนกัน คุณเองเข้าใจกับความรู้กับความเห็นไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ความหมาย คำว่าเห็นนั้นเกิดจากทวารตา คำว่ารู้นั้นเกิดจากทวารใจ เมื่อรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ตรงกันก็จบ แต่คุณเองคุณเข้าใจรู้และเห็นยังไม่ได้ มันก็เลยไม่ตรงกัน

การรู้แต่ปริยัติไม่จบ ต้องจิตเป็นได้ด้วยจึงจะจบ โพธิของคุณรู้แต่ปริยัติ แต่โพธิของอาตมาทั้งรู้และทำได้

การเห็นต้องใช้ตา ได้ยินก็เรียกเสียงได้ยิน ได้กลิ่นก็กระทบประสาทจมูก ถ้ารสก็รับรู้ทางลิ้น ทางกายก็ทุกองคาพยพ เพราะฉะนั้น การเห็นกับการรู้ ถ้ารู้ทวารใจ จะเป็นตัวรวมจบ ทั้งตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเสียดสีแล้วจบที่ใจ เห็นกับรู้ไม่ขัดแย้งกัน ได้ยินกับรู้ไม่ขัดแย้งกัน ได้กลิ่นกับรู้ไม่ขัดแย้งกัน ได้รสกับรู้ไม่ขัดแย้งกัน ได้สัมผัสเสียดสีกับรู้ไม่ขัดแย้งกัน ตรงกันหมด จบที่รู้

 

_อยากให้พ่อครูอธิบายว่า ทำไมการศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ หรือทำให้นร.นศ.ยุคนี้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองทั้งจิตใจร่างกายได้ ทั้งที่มีวัตถุมาก

พ่อครูว่า...อันนี้ตอบช่วงนี้ไปก่อนว่ามาเรียนรู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้า อ่านอาการ แม้แต่นามธรรม จิตก็มีอาการของมัน เรารู้อาการให้ได้ แล้วอาการนี้มันเรียกว่าชั่วหรือดี ถ้าอาการชั่วเราต้องหยุดอาการนี้ให้ได้ ให้มีแต่อาการดี จนสามารถทำจิตเราไม่ให้เกิดชั่วอีกเลย จะกระทบสัมผัสคนที่จะยั่วยวนอย่างไรให้เราชั่ว จิตเราก็แข็งพอ ไม่ทำชั่วอย่างยั่งยืนนิรันดร ไม่มีอะไรทำลายได้เลย มันไม่ยอมทำชั่ว ทำแต่ดีตลอดกาล ทำได้ก็บรรลุสูงสุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน บุญนิยมทีวี สื่อที่ไม่มอมเมา

_พ่อครูคิดว่าคุณธรรมจริยธรรมสื่อที่ดีควรทำอย่างไร เพราะสื่อยุคนี้มอมเมาเหลือเกิน หาสื่อที่ดีดูได้ยากมาก มีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพเท่าไหร่

พ่อครูว่า...ผู้ถามมามีดวงตาปัญญาที่สูงมาก เพราะเป็นกรณีที่เกิดในยุคนี้ บุญนิยมทีวีเป็นสื่อหนึ่งเดียวอยู่ในช่องของดาวเทียมหรือฟรีทีวีก็ตาม ในกระบวนสื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มอมเมาทั้งสิ้น มอมเมามากหรือมอมเมาน้อยเท่านั้น

ขอยืนยันว่าบุญนิยมสถานีเดียวที่ไม่มอมเมา เพราะเข้าใจคำว่ามอมเมาดี แล้วปฏิบัติตนได้จริงไม่ให้มอมเมา จนแม้แต่ตนเองหรือผู้ใกล้เคียงลูกหลานก็ไม่มอมเมากัน

ยิ่งถ้าคนข้างนอกเราก็ยิ่งต้องรับผิดชอบสูง ไม่ไปมอมเมาคนข้างนอก เพราะมันมีผลมาถึงเรา ภัยนั้นมาถึงเราเพราะเราร่วมอยู่ด้วย อย่าไปทำ เพราะพลังงานข้างนอกเป็นพลังงานบีบรัดเข้า และมีจำนวนมากมาหาข้างในหมด เข้ามาหาจุดเล็กทั้งหมด จุดเล็กจะสู้พลังงานส่วนใหญ่ไม่ได้ อย่าไปส่งเสริม เราจึงละเว้นการที่จะมอมเมาข้างนอกก่อน แม้ที่สุดเราจำเป็นจะมอมเมาตนเองเราก็รับโทษเราเอง แล้วเราก็อย่าให้มีรังสีหรือกัมมันตภาพรังสีออกไป แต่ถ้ามันเล็กจริงๆ กัมมันตภาพรังสีมันไม่มาหรอก ของเราจึงรักษาตัวให้ดีที่สุด และรักษาคนอื่นก่อน ไม่ให้คนอื่นเกิดพิษภัยก่อน รับผิดชอบก่อน เสร็จแล้วเรามารักษาตนเองให้หมดพิษภัยก็จบ เท่านั้นเอง สถานีนี้ทำเพื่อให้ อย่าหมั่นไส้นะพูดแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน ลักขณรูป 4

เราสามารถที่จะรู้ปัจจุบันได้ ถ้ารู้ว่าปัจจุบันนี้ไม่ดีก็อย่าให้ต่อ ถ้ารู้ว่าปัจจุบันนี้ดีก็ให้ต่อได้ แม้เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมละเอียดถึงรูปที่ 28 ประการ โดยสี่ประการสุดท้ายเรียกว่าลักษณะ 4

1. อุปจายะ คือลักษณะที่มันเกิด

2. สันตติ คือลักษณะที่จะต่อไป เกิดแล้วต่อ ถ้าเกิดแล้วดับเลยมันก็ไม่มีเสียหายอะไร มันเกิดแล้วก็ดับของตัวเอง ไม่ออกไปหาใคร แต่ถ้าไม่ดีก็อย่าให้ต่อ ถ้าสิ่งที่เกิดแล้วดีให้ต่อไปได้  

3. ชรตา สิ่งที่ดีนี้ต่อไปแล้วมันก็ยังจะเสื่อม เรียกว่า ชรตา ถ้าควบคุมได้ในสามเส้านี้คือ การเกิด การต่อ และการชรา ถ้าควบคุมสามเส้านี้ได้ก็จบในตัว เป็น cyclic order เป็น สามหน่วยของนิวเคลียส ไม่ว่าจะเป็นพลังงานฟิชชันหรือฟิวชันคุมกันอยู่ได้ เป็นพลังงานสูงสุด คือ E=mc2 ของไอน์สไตน์ ระเบิดได้พลังงานสูงมาก ทั้งทางฟิสิกส์และทางนามธรรม คนควบคุมจุดนี้ได้จะเหนือนิวเคลียสได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้

4. อนิจจตา สามเส้าที่ควบคุมไม่ได้ ไม่เที่ยง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน พาณิชย์บุญนิยม 4 ระดับ

_ระบบพาณิชย์บุญนิยมมีวิธีเผยแพร่และช่วยสร้างสรรค์อย่างไรกับสังคม

พ่อครูว่า...สื่อสารออกไปอยู่ตลอดเวลาทางบุญนิยมทีวี 24 ชั่วโมง แนะนำแก่ผู้เข้ามาอบรมอยู่ตลอดอย่างไร? ก็อย่างที่เราพาทำ แล้วทำอย่างไร? ทำอย่างพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนอย่างไ? คุณก็ต้องมาศึกษา พระพุทธเจ้าพาทำอย่างไร? ก็อย่างที่เรากำลังอธิบาย กำลังสอน มาทำความเข้าใจแล้วไปปฏิบัติ

พาณิชย์บุญนิยมคืออะไร? พาณิชย์บุญนิยมนั้นต้องทำการค้าขายแบบขาดทุนให้ได้ ถ้าทำการค้าขายแบบขาดทุนก็คือคนดี ถ้าทำการค้าขายแบบกำไรก็คือเป็นคนเลว ในหลวงเราตรัสว่า Our loss is our gain.

แล้วขาดทุนจะอยู่ได้หรือ? อยู่ได้เพราะเราขยัน เรามีสมรรถภาพ เราไม่หลง brand name หลงทุนนิยมภายนอก แค่นี้เราพอ

1. ขยัน

2. สมรรถภาพ

3. มักน้อยสันโดษ

คนกลุ่มนี้จึงสร้างสรรขยันทำได้มากกว่าที่ตนกินตนใช้  เราก็อาศัยกินใช้

ส่วนที่ตนสร้าง ส่วนที่เหลือก็คือเราไปขาดทุนให้แก่ผู้อื่น เช่น สมรรถนะเราตีราคาได้ 1000 เรากินใช้ส่วนตัว 200 เอง เพราะฉะนั้นในอีก 800 เราไว้ทำต้นทุนทำงานต่อ 300 เหลืออีก 500 สะพัดให้แก่ผู้อื่นไปเลย นั่นแหละคือเป็นการขาดทุนให้คนอื่น 500

เราทำมาแล้วพิสูจน์แล้วว่าเป็นได้ แต่ถ้าถูกมอมเมาหลงว่าอันนั้น น่าได้ น่ามีน่าเป็น ขี้หมาทาสี เขาหลอกก็ไปซื้อมาแพงๆ เพราะสังคม maximize profit แต่ของเรา minimize profit

เรามีการค้าแบบ “พาณิชย์บุญนิยม 4 ระดับ”

1. พาณิชย์บุญนิยมระดับ 1 คือ ขายต่ำกว่าท้องตลาด มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่พอเป็นเครื่องอาศัยตามความจำเป็นของชีวิต ซึ่งมีระดับความสันโดษไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นบุญนิยมทีเดียว เช่น ร้านค้าในชุมชนชาวอโศกทั่วไป ก็ถือเป็นพาณิชย์บุญนิยมระดับ 1

2. พาณิชย์บุญนิยมระดับ 2 คือ ขายเท่าทุน ยังไม่มีบุญ แต่ไม่มีบาป ให้พออาศัยต่อทุนทำงานต่อไป ถือว่าเป็นการเริ่มต้นบุญนิยมขั้นแรก

3. พาณิชย์บุญนิยมระดับ 3 คือ ขายราคาต่ำกว่าทุนที่ลงไป โดยอาจไม่รวมค่าแรง ค่าโสหุ้ยต่างๆ ค่าวัตถุดิบซึ่งผลิตเอง หรือเก็บจากธรรมชาติ ขายต่ำลงได้มากเท่าไรก็เป็นบุญมากเท่านั้น เช่น ตลาดอาริยะ ซึ่งจะมีการจัดตลาดอาริยะครั้งใหญ่ประจำปีที่ชุมชนราชธานีอโศก ช่วงสงกรานต์ปีใหม่ไทย ถือเป็นมหกรรมขายสินค้าราคาต่ำกว่าทุนประจำปีชาวอโศก มีผู้มาใช้บริการเรือนแสน และยังมีตลาดอาริยะย่อยๆอีกหลายครั้งและในหลายสถานที่ในแต่ละปี

4. พาณิชย์บุญนิยมระดับ 4 คือ แจกฟรี 

 

_อยากทราบว่าน้องๆในราชธานีอโศกมีส่วนร่วมในการออกเสียง และมีช่องทางอย่างไร

ตอบ..ในกลุ่มของเขาก็มีคณะ มีการประชุม มีการตัดสินกันในส่วนย่อย และก็มีส่วนที่โตขึ้นมาร่วมกับส่วนอื่นส่วนกลาง ทุกคนมีอิสระเสรีภาพทุกรูปแบบหมดไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อยจนถึงคนที่อายุมาก เปิดมีอิสระ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ปุ๋ยสะอาด

_กลุ่มปุ๋ย เท่าที่ทราบมาว่า ที่นี่น้ำท่วมทุกปี การทำปุ๋ยก็เป็นส่วนสำคัญของชุมชนนี้ ช่วงทำปุ๋ยไม่ได้เราทำอย่างไร

พ่อครูว่า...เราทำไม่ได้เราก็ไม่ทำไง...เมื่อทำไม่ได้เราจะทำอะไร เราสามารถ ไม่จำนนเลย ถ้ามันจะท่วมไปสามปี เราก็ไม่งอมืองอเท้า เราทำแพโฟมบนน้ำ เราเอาดินมาใส่ แล้วก็เอาวัสดุต่างๆ ที่เขาเหลือใช้เป็นขยะมาทำปุ๋ย ปลูกผักบนแพ

 

_ที่นี่ค้าขายขาดทุน แล้วมีการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อวัตถุดิบมาผลิตปุ๋ยอย่างไร

พ่อครูว่า...วัตถุดิบที่จะมาทำปุ๋ยนี่คือขยะหรือของเสีย หลายแห่งมีมากและเป็นพิษภัยกับเขา เขาต้องการทิ้ง เราก็รับมา บางทีก็ซื้อในราคาถูกเพราะเป็นของเสียแล้ว เราเอาของเสียเดี่ยวๆ มารวมกันปรุงเป็น mixture แล้วมันจะกลายเป็นของที่มีคุณค่า นี่คือการสร้างปุ๋ย วัตถุดิบของการทำปุ๋ยไม่มีหมด อาตมาท้าเลย เขายิ่งอยากให้เราไปขนมาเพราะเขาไม่ไหวแล้ว เป็นงานที่น่ารังเกียจ ของทิ้ง บางทีแบคทีเรียเหม็น 

เพราะฉะนั้น อาตมาตั้ง “สามอาชีพกู้ชาติ” ไว้แล้ว

1. กสิกรรมธรรมชาติ

2. ปุ๋ยสะอาด

3. ขยะวิทยา

กสิกรรมพอเข้าใจกันว่าพืชผักไม่ควรขายแพง ใครขายแพงเป็นคนโหดเหี้ยม เพราะทุกคนต้องกินอาหาร แล้วคนจนมีมากกว่าคนรวย ถ้าขายแพงคนจนตาย ส่วนปุ๋ยสะอาดก็ไม่เป็นพิษภัย ขยะวิทยาเราก็ทำให้ดีได้ ทั้งขยะเปียกและแห้ง แล้วเราก็เอามาหมุนเวียนกลับมาเป็นสิ่งที่ดี

 

_หลักคำสอนของที่นี่มีส่วนให้คนในชุมชนร่วมอย่างไร

พ่อครูว่า...ให้คนล้างกิเลส กิเลสของคนคือความเห็นแก่ตัว เมื่อล้างกิเลสออกได้จริง ต้องจริงนะ ก็ล้างความเห็นแก่ตัวออกได้จริง เมื่อล้างความเห็นแก่ตัวออก หมดเกลี้ยงจากจิตแล้ว จิต หรือ ish selfish ความเห็นแก่ตัวหมดไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีแต่เอื้อเฟื้อเจือจานกัน

 

_บุญนิยมถือเป็นเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธได้หรือไม่ จะขยายผลอย่างไร

พ่อครูว่า...ได้ ใช่เลย แต่จะทำอย่างไร? ก็มาทำอย่างอโศก เก่งเท่านี้ ถ้ามีเก่งกว่านี้ก็ช่วยมาบอกด้วย บุญ คือเครื่องชำระกิเลส นิยม ก็คือชมชอบ บุญนิยมของเราคือนิยมชมชอบการชำระกิเลสให้หมด เมื่อหมดก็ไม่เห็นแก่ตัว เพราะกิเลสคือเห็นแก่ตัว หมดเห็นแก่ตัวก็ช่วยคนอื่นต่อหากมีชีวิตต่อ ถ้าจะสูญก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

_การที่จะให้คนๆหนึ่งได้มาเรียนศึกษากระบวนการทั้งงานของจิตให้เห็นสิ่งที่เหลือที่สุด คือ การควบคุมปัจจุบัน อาการของจิตให้ได้นี้ จะเป็นสิ่งที่จะทำให้เขามีความสุขได้จริงอย่างที่เขาแสวงหา เราจะมีวิธีการอย่างไร ให้เขามาเอา มาใส่ใจเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แทนที่เขาจะไหลไปตามกระแสโลก

ตอบ...คำถามก็เชิงนั้น แต่คำตอบก็คือ คุณนั่นแหละรีบมา คุณเองยังเป็นไม่ได้ แล้วจะถามต่อไปเรื่อยๆ โดยการเกี่ยงให้คนอื่นเป็น คุณมาเป็นแล้วจะรู้ว่าอยากได้อย่างนี้มากๆเหมือนกัน แต่เก่งเท่านี้ ทำได้เท่านี้ ถ้าเก่งกว่าก็ช่วยมาทำ ถามว่าทำอย่างไร ก็ทำอย่างที่อาตมาทำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน หลักการดูหนัง 4 ข้อของพ่อครู

_ชุมชนนี้มีสื่อสาร บุญนิยมทีวี รายการของบุญนิยมทีวี ท่านเคยอยากทำรายการให้เหมาะกับเด็ก สอดแทรกธรรมะเข้าไปหรือไม่ เราก็สามารถดึงดูดเด็กให้ออกจากติดการ์ตูน ได้หรือไม่?

พ่อครูว่า...ถามเข้าเป้า คุณรู้จักอาตมาไหม อาตมาเป็นดาราตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาเป็นคนทำรายการเด็กช่องแรกของไทย คือช่องสี่ ชื่อรายการ “คนเก่งรุ่นจิ๋ว” ตั้งชื่อเอง ทำรายการเอง เริ่มทำตั้งแต่ตอนยังเรียนเพาะช่าง ให้เด็กตอบปัญหา มีรางวัลให้ ตอนแรกอาตมาเป็นพิธีกรช่วย แต่ทำไปได้สองครั้งพิธีกรหลักเกิดป่วยยาว อาตมาก็เลยเป็นพิธีกรเอง ทำแล้วออกมาดี หนังสือพิมพ์ชมว่ามีชีวิตชีวา อาตมาก็กลายเป็นเจ้าของรายการตั้งแต่นั้นมา แล้วก็มีรายการผู้ใหญ่ รายการคนแก่ อื่นๆ ต่อมา

 

_มีวิธีให้เยาวชนและคนในวัดดูสื่ออย่างไร?

พ่อครูว่า...ความจริงแล้วสังคมทุกวันนี้มันแย่ ทางสังคมหรือทางธรรมะก็แย่ สังคมก็เละทุจริตขี้โกง เราจะทำตามใจคนผิดไม่ได้ สุดวิสัยเราจำนนบ้าง แต่เป็นทางสุดท้ายต้องอนุโลม ให้ดูบ้าง แต่

เรามี หลักการดูหนังดูละครอยู่ จะต้องปฏิบัติ

1. ดูแล้วต้องเกิดอาริยญาณ ให้มีภูมิปัญญา รู้เท่าทันเห็นทุกข์

2. ทำการปฏิบัติ รู้จิตมีกิเลส ต้องอย่าให้เกิดกิเกสต่อ

3. อัดพลังกุศล อะไรเป็นสิ่งดีต้องทำให้ดีต่อ

4. ฝึกฝนโลกวิทู เราก็ต้องรู้พฤติกรรมโลกที่เป็นอยู่ ไม่ตกเป็นทาสโลก เพิ่มพูนพหูสูตรให้รู้เพิ่มขึ้นอีก คนของศาสนาพุทธตัดประเด็นว่าโง่ไปเลย

แรกๆ นี่อาตมาตัดสินใจเอาหนังละครโทรทัศน์มาในวัด อาตมาต้องเตรียมการเซ็นเซอร์ เริ่มเรื่องแรกคือเรื่องโอชิน อาตมาก็นั่งกำกับ พูดว่าอย่าเผลอใจนะ ต่อมามีหนังเสี่ยวเหนียน จนเขามีภูมิคุ้มกันมีปัญญา อาตมาก็ไม่ต้องเซ็นเซอร์ มีคณะเขาทำได้ ก็ให้เขาทำต่อ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปฏิบัติธรรมเริ่มที่ศีล

_ถามว่านศ.ม.รังสิตและพ่อแม่ชาวมหาสารคาม ถ้าจะปฏิบัติธรรมจะเริ่มปฏิบัติต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...ไม่ต่างกัน เริ่มต้นมีศีลก่อน ไม่ว่าจะฐานะไหน จะไม่ได้เรียนหรือจบดอกเตอร์ เป็นนักบวชก็ตาม ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ศีล 5 ตั้งแต่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ละเมิดในกาม อย่าพูดปด ถ้าไม่พูดปดได้ดีมาก พระพุทธเจ้าว่าคนที่พูดปดทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง พระพุทธเจ้าว่าคนๆ นี้ทำชั่วได้ทุกอย่างเลย

ส่วนข้อสุดท้าย เลิกสิ่งมอมเมา มีสามลำดับ ขั้นแรก สุรา แรงมาก มอมเมาจนประสาทเสีย ไม่มีอำนาจสู้มัน ให้เลิกก่อน พอทำได้สำเร็จก็มาต่อเมาขั้นสอง เมระยะ ขั้นสามก็ มัชชะ หมดความเมาทั้งหมดก็เป็นผู้หลุดพ้น มาช่วยคนที่ยังเมาอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งเป็นสุขเท็จ ที่เสพกันทุกวันนี้เป็นสุขเท็จ เพราะจริงๆ สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี มีแต่อุเบกขา คุณต้องทำอุเบกขาให้ได้ จนเป็นอรหันต์ รับใช้คนอื่น

อาตมาก็เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ที่จะมากอบกู้ศาสนา ทำได้ในอัตราก้าวหน้าระดับหนึ่ง เป็นระดับบวก ไม่ถึงระดับคูณหรือยกกำลัง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะต้องทำให้คนเจริญ

พ่อครูว่า...อาตมาเรียนจบศิลปะจิตรกรรมจากเพาะช่าง ศิลปะ pure art นี้มีอยู่ 5 คือ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และดนตรีนาฏกรรม อาตมาก็ได้ความรู้ 5 นี้มาใช้ โดยใช้เป็นศิลปะแบบวิญญาณ คือศิลปะให้คนรับทางวิญญาณ ไม่ใช่รับได้ทางวัตถุ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม หมายความว่า ศิลปะนี้ต้องทำให้คนเจริญ ถ้าทำให้คนเสื่อมหรือเกิดกิเลสไม่ใช่ศิลปะ ถ้ากิเลสลดคือศิลปะ

จึงขอย้ำถึงพวกคุณที่ทำงานสื่อสาร อันเป็นงานเกี่ยวกับศิลปะด้วย ถ้าสื่อไปแล้วคนกิเลสเพิ่มคืออนาจาร แต่ถ้าสัมผัสแล้วกิเลสลดได้ก็คือศิลปะ ยกตัวอย่างปิกัสโซ่ เขียนภาพคิวบิซึ่ม เขียนภาพนู้ด อวัยวะบิดเบี้ยวดูแล้วอ้วก กิเลสลด นั่นแหละงานศิลปะ นักแสดง แสดงเซ็กซีแล้วทำให้คนดูกิเลสเพิ่ม นั่นลามก

อาตมาแบ่งศิลปะเป็นห้าระดับ คือ ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ

ลามกนี่ไม่ขออธิบาย ราคะนี่กึ่งๆนัยๆ สาระคือใช้ปัญญาทำให้ลดราคะหรือโทสะ ทำได้เป็นธรรมะ เป็นความดีงาม ทำจนเขาลดกิเลสได้ นั่นเป็นโลกุตระ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน การศึกษาและศิลปะที่เป็นโลกุตระ

_คนไทยในฐานะพุทธศาสนิกชนควรมีความรับผิดชอบในการต่ออายุพุทธศาสนาให้ถึงห้าพันปีอย่างไร ขณะนี้ตกต่ำถึงขีดสุดค่ะ

พ่อครูว่า...อันนี้อาตมาเป็นผู้รับมาแล้วจะมาต่อศาสนาพุทธตามคำทำนาย ถามว่าทำอย่างไร ก็ทำอย่างอาตมาพาทำ เพราะจะไปทำอย่างคนอื่นมันไม่ใช่ เพราะมันไม่มีแล้ว ส่วนทำแล้วจะผิดหรือถูกอย่างไร ก็เอาผลงานมาพิสูจน์ ผลงานคือคนมาลดกิเลสได้จริงไหม ตามคำสาธยายของพระพุทธเจ้า

คนอื่นเขาก็สาธยายเหมือนกัน แต่คนเขาปฏิบัติลดละได้ไหม อาตมาอธิบาย เขาก็ทำตามอาตมาอธิบาย ผลของเขาทำได้แล้วลดละหน่ายคลาย มาเป็นคนจนเสียสละ ได้จริงไหม ก็เอาของจริงเป็น phenomenon ยืนยันสิ อาตมามีคนจริงยืนยัน ส่วนพวกคุณมีจริงไหม ก็เอามายืนยัน นี่คือสูงสุดแห่งความจริง

 

_ท่านมีวิธีเผยแพร่ธรรมะสู่เยาวชนอย่างไร?

พ่อครูว่า...อาตมาเอาเด็กมาเลย มีทั้งเด็กที่คลอดที่นี่และมาจากที่อื่น มาอย่างเต็มใจ เราไม่บังคับหวานล้อม ไม่หลอกให้มา มาแล้วเราก็สอนเท่าที่ได้ เขามาเอง เราก็บอกให้เขาทำ ให้อบรม คนเขาก็มาเองนะ อิสรเสรี เมื่อมาที่นี่เราก็อบรมสั่งสอนให้ความรู้ตามที่เรามี ตามจริงใจของเรา เราให้สิ่งดีตามภูมิ อันไหนไม่ดีก็ไม่ให้ ตามภูมิเรา

เรื่องประเด็นเด็กๆ นี่ อาตมาได้เล่าประวัติตนเอง สมัยอาตมาทำงานสื่อ เป็นพิธีกร จัดรายการโทรทัศน์นั้น มีเกมส์ มีการศึกษา ก็สอนภาษาไทย คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ก็สอน ก็ทำงานมาก สรุปคือ คุณเป็นคนรับใช้นี่จะได้งานมาก ที่นี่มีโศลกว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้” นี่แหละจะชนะทุกสิ่งในโลกเลย

 

_หลักในการเลือกภาพยนต์ให้เยาวชนได้ดูอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็ใช้การตัดสินว่า ถ้าเป็นองค์รวม composition แล้ว เราก็ใช้ภูมิปัญญาเราว่า ค่ารวมมีน้ำหนัก ถ้าใครดูแล้วยั่วกามมากไป ยั่วโทสะมากไป มีสองอย่าง หนังบู๊กับหนังบุ๋น ถ้ามันมากไปก็ไม่เอา ถ้ามันพอดีก็เอา ต้องให้เขาได้ต่อสู้นะ ถ้ามันอ่อนไปไม่เกิดการสร้างพลังเสริม ก็ไม่ดี ต้องให้ได้ต่อสู้เต็มแรง ต้องมีความรู้ว่าองค์รวมประกอบในหนังมันมีค่าอย่างไร จะทำให้คนอื่นสู้ได้หรือไม่ได้ แต่ถ้าเขาสู้ได้ จะสร้างกำลังเสริม เราก็เอา

 

_ถ้าข้างนอกจะมีการจัดเรท แต่ที่นี่ต้องเป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัยใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ มีทั้ง realistic ทั้งการ์ตูน

 

_เยาวชนจะเรียนรู้ได้ทั้งดีและเลวแต่ก็เป็นความจริงของโลกภายนอก การสร้างภูมิคุ้มกัน จะสอนได้ทั้งเลวและดี ที่นี่ได้คิดคัดกรองมาไหม แม้อาจจะไม่เหมาะสม แต่ได้ตั้งห้องเรียนไหมว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะอย่างไร แล้วควรเสนออย่างไรจะเหมาะสม

พ่อครูว่า...มีสิ่งจริงที่จะให้ศึกษาในตัว สิ่งที่เราได้แต่รู้แต่ไม่มีจริงก็บอก เราก็พยายามทำ

ขอสรุปให้ฟังว่าอาตมามีความเข้าใจชัดเจนของอาตมาว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษา

การศึกษาที่ทำให้อาการกิเลสลด ลดโลภ ลดโกรธ ได้คือลักษณะโลกุตระ คนบรรลุโลกุตรธรรมคือคนหมดความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวก็จะเห็นแก่ผู้อื่น ทำงานเพื่อผู้อื่น และถ้าผู้บรรลุสูงสุดเป็นอรหันต์จะทำลายพลังงานสุดท้ายของตนได้เลย อันนี้ศาสนาพุทธมีจริง เป็นจริงได้ ศาสนาพุทธจึงไม่มีนิรันดร สามารถเลิกอัตภาพได้ ที่นี่รู้จักจุดจบ และถือว่าเป็นความจริง ก็ให้แต่ละคนเรียนรู้พิสูจน์ เด็กที่เขามีภูมิปัญญาสูงก็เรียนรู้ ได้อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย

 

_คือเกิดและดับใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่ สุดท้ายคือเกิดและดับ คุณเข้าใจคำว่าปัจจุบันไหม ในลักษณะปัจจุบันที่คุณรู้เล็กแหลมเท่าไหร่ ก็มีเท่านี้ ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งดีก็จะต่อ ถ้ามีสิ่งไม่ดีก็ตัดเลย ถ้ารู้ว่าสิ่งเสียคุณเองไม่ทำเด็ดขาด สามารถมีปัญญารู้สิ่งเสียเล็กที่สุดได้ ไม่ทำต่อ ก็ไม่มีสิ่งเสียแสดงออกมาเลย ถ้าจะแสดงก็มีแต่ดีถ่ายเดียว ก็ประมาณว่าจะให้ดีนี่ออกมามากหรือน้อยอย่างไร ให้พอเหมาะมีประสิทธิภาพ

 

_พ่อครูให้ชาวอโศกดูหนังฟอร์มยักษ์ไตตานิก ให้เกิดผลอย่างไรคะ

พ่อครูว่า...ก่อนให้ดู อาตมาก็ดูหนังแล้วรวบรวม เขียนวิจารณ์เป็นหนังสือ ใช้นามปากกาว่า “ไตร ตรา นิก” ล้อเลียน “ไตตานิก” นี่แหละ ไตร่ตรา แปลว่าไตร่ตรอง นิก แปลว่า เนกขัมมะ ออกมา เพราะฉะนั้น ไตร่ตรองแล้วก็ออกจากกิเลสให้ได้ ไตตานิก เป็นหนังน้ำเน่าที่เขาประมวลความพอดีให้คนรู้ไม่ทัน ว่าเขา เหยาะกามหรือโทสะ ใส่เข้าไปในหนัง อาตมาก็ให้ความรู้ ให้ภูมิคุ้มกันก่อนจะดู ก็ได้ผล

 

จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:38:56 )

590307

รายละเอียด

590307_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แพ้คือชนะเท่ากับขาดทุนคือกำไร

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 ที่บ้านราชเมืองเรือ อาตมาพูดไม่รู้กี่ที ว่าคนเราใครที่ไม่มีการศึกษาก็ไม่ใช่คนแล้ว เพราะเดรัจฉานมันก็อยู่ไปตามสัญชาตญาณ จะโมเมว่ามันมีการศึกษาก็เป็นไปตามสัญชาตญาณ เดรัจฉานมันไม่มีการศึกษา แต่เป็นคนจะรู้ความสำคัญของการศึกษา มีความรู้ที่เกินสัญชาตญาณเอามาสอน นอกจากคนที่อยู่ในป่ายังป่าเถื่อนจริงๆ แต่เขาก็สอนกัน ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะมีวัฒนธรรมจารีตประเพณี แม้แต่ภาษาก็จะมี ถึงจะเป็นคนป่าก็เริ่มเป็นการศึกษาระดับหนึ่ง

เมื่อเจริญขึ้นไปกว่านั้น ก็เป็นการศึกษาแบบชาวเมือง จนมาเห็นความสำคัญของคุณธรรม นอกจากจะเป็นการศึกษาเพื่อเก่งในการทำมาหากินสร้างสรรเลี้ยงชีพแล้ว ก็เห็นความสำคัญถึงคุณธรรม ก็จะมีความสำคัญของการศึกษาถึงขั้นธรรมะ จะมีศาสดาเกิดขึ้นทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เช่นนั้นก็จะมีแต่การเกิดกิเลส มีแต่การเห็นแก่ตัวไป จะว่าจริงๆ มันก็เป็นธรรมชาติ การเพิ่มกิเลสไปเรื่อยๆ ก็เป็นธรรมชาติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน จิตอรหันต์เป็นพีชะอย่างไร

สัตว์เดรัจฉานมันก็เพิ่มกิเลสขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ที่ดูเหมือนมีความเจริญขึ้นได้ด้วย แต่ในความเจริญมีความซ้อน ตั้งแต่เป็นพืชขึ้นมา เจริญขึ้นมาซับซ้อน พอได้อะไรอย่างนึงก็จะแตกแยกออกไป แบ่งกันออกไป แล้วก็แข่งขัน

เริ่มต้นความเป็นพลังงานจะมีสอง ถ้าเป็นธาตุเดียวจริงๆจะไม่มีสอง แม้แต่จะมาเป็นธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นตัวละเอียด ถ้ารวมเป็นธาตุดินธาตุน้ำ มันก็เป็น

กลุ่มก้อนที่นิ่งนาน มีธาตุลมธาตุไฟจับตัวกันเข้า หนักเข้าก็เป็นน้ำ ถ้าไม่มีธาตุน้ำเกิด ก็ไม่มีชีวะเกิด แล้วมาเป็นพีชะ และมาเป็นจิตนิยาม

มาถึงพวกเรา เมื่อรู้จักธรรมะแล้ว มีศาสดาสอนคนเกิดสังคมอยู่เย็นเป็นสุข มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้าก็เป็นคน หรือเป็นศาสดานั่นแหละ เป็นไล่มาจนเข้าใจสิ่งยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นจนสูงสุด เราพูดในฐานะชาวพุทธ ไม่ได้ไปข่มเบ่งศาสนาอื่น

คำว่าข่มเบ่งมีลักษณะกดให้ต่ำลง คนที่มีจิตใจที่เจริญจะไม่มีลักษณะข่มใคร จะมีแต่เมตตาสงสารสัตว์ที่ไม่เจริญ ก็เป็นไปตามฐานะของมัน คนที่ไม่เจริญแล้วสามารถเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำให้เจริญขึ้น จะเจริญแบบโลกียะจากทุจริตไปสู่สุจริต และที่สุดจิตเจริญถึงขั้นเป็นปฏิโสตัง ทวนกระแสเป็นโลกุตระขึ้นมา

จิตที่เจริญนั้นซับซ้อน เจริญที่จะไม่เจริญต่อไปอีกแล้ว แต่ไม่เสื่อม กลายเป็นเจริญยิ่งกว่าอีกชั้นหนึ่ง ส่วนโลกียะก็เจริญไปไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนโลกุตระนั้นมีตัวหยุด นอกจากหยุดแล้วก็จะลดลง เป็นการเจริญยิ่งกว่าโลกียะ

ศาสนาพุทธสอนให้จิตวิญญาณเป็นจิตนิยามที่พ้นโลกียะมาสู่โลกุตระ ก็เลยกลายเป็นจิตที่เป็นแบบพีชะ เหมือนเสื่อม แต่เจริญยิ่งกว่าจิตนิยาม

จิตอรหันต์นั้น พอได้จิตเป็นพีชะนี่ จะมีความสามารถยิ่งกว่าจิตนิยาม เป็นพลังงาน self แต่ไม่มี ish โลกุตระคือล้าง selfish ล้างความเป็นแก่ตัว มันเป็นพีชนิยามที่มีธาตุรู้ของจิตนิยามด้วย ฉลาดแบบธรรมะโลกียะเขาที่เมตตาช่วยเหลือกันก็ทำได้ด้วย เป็นแต่เพียงโลกียะทำแบบกดข่ม เขาก็เข้าใจว่าเสียสละไม่เห็นแก่ตัวมีคุณธรรมนั้นดี โลกียะ โลกุตระก็รู้เหมือนกันตรงนี้ แต่โลกุตระนั้นหยุดกิเลสได้ เป็นแบบพีชะได้ แล้วใช้ธาตุทำดีเหมือนโลกียะ แต่ไม่ต้องใช้พลังงานใดกดข่มเหตุนั้น ไม่ต้องระวังเหตุนั้นเลย เป็นตถตา เป็นคุณสมบัติที่เราถ้าเอาพลังงานไปกดข่มก็สูญไปอันหนึ่ง แต่นี่ไม่ต้องกดข่ม ก็มีประสิทธิภาพสูงเพิ่มพูนขึ้นไปอีก

แต่ผู้ที่ตายแบบเป็นมนุษย์พืชแล้ว ก็ยังไม่ยอมตาย คือมีพลังงานที่ติดยึดเหลือไว้ ให้อาหารทางสายยางก็เลี้ยงอยู่ได้เหมือนพืชเลย แต่พืชของเรานี่ซื่อสัตย์ออกดอกออกผลโตใหญ่ เหมือนกับคนส่วนหนึ่งเขาเข้าใจว่าพืชมีความรับรู้ ก็ไปร้องเพลงให้พืชฟังมันก็เจริญ เขาก็เอาใจใส่มันก็เจริญเพราะเอาใจใส่ช่วยประคบประหงม มันก็ต้องดีขึ้น แต่เราเองเราก็ทำแบบธรรมดาตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เอาจิตวิญญาณไปถึงขนาดนั้นทีเดียว แต่มันซับซ้อนได้ความเจริญ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน หมู่บ้านชาวอโศกกับระบอบธรรมาธิปไตย

อาตมาทำงานศาสนา

1. ไม่ได้เรี่ยไรเงินใคร ไม่รับเงินหรือของที่เขาไม่ให้ แต่จะรับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ มันชัดเจน นอกจากเราเอาของที่เขาให้ รับของที่เขาให้ พวกเราไม่เรี่ยไร สมณะก็ไม่เรี่ยไร พวกเราใช้วิธีทำงานของพวกเราเอง

2. เราก็รับบริจาคด้วย แต่เราไม่รับบริจาคคนที่อยู่นอกกรอบชาวอโศก เช่น เรามีกติกา ถ้ามาแค่ครั้งเดียวบริจาคไม่ได้ ต้องมาศึกษาอย่างน้อยเจ็ดครั้งเป็นต้นไปถึงบริจาคได้ เป็นเงื่อนไขที่เราไม่ได้มักมาก ไม่ใช่รับเละหรือหว่านล้อม เราภาคภูมิใจที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น เรารับแต่ของสมาชิกอโศกจริง

3. อโศกจริงเป็นคนอย่างไร ก็มักน้อยมาจน เมื่อมาจนก็มีน้อย คนมีสิทธิ์จะบริจาคให้อาตมา แม้ให้สมณะสมณะก็มาให้อาตมาหรือให้กองกลาง แล้วอาตมาก็เอาเข้ากองกลาง เป็นความมักน้อยซ้อน กระเบียดกระเสียนซ้อน เราไม่เอาเปรียบใคร ไม่โลภโมโทสันมา ปิดหนทางที่จะได้มากมาทั้งนั้น ไม่ให้โลภ ไม่เอาเปรียบ ให้ขาดทุน เสียสละของเรา ให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไปสู่อัปปิจฉะคือมักน้อยทั้งนั้น  เรามีวิธีปิดกั้นให้คนมาบริจาคด้วย

เสร็จแล้วเราก็ได้รับบริจาคจากคนของเรา ที่เข้าใจว่าต้องสร้างบ้านแปลงเมือง ต้องหมุนเวียนแจกจ่าย เงินก็เข้ามาอย่างพอหมุนเวียน พอสร้างพอทำอะไรๆได้ ทั้งๆ ที่ที่อื่นเขาโฆษณาจะเป็นจะตาย สร้างโบสถ์แต่ละหลังก็รับบริจาคมากมายแต่ไม่ค่อยพอ อย่างชาวอโศกสร้างทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนหมู่บ้านทั้งหลาย หมู่บ้านอื่นๆต่างคนต่างเป็นเจ้าของบ้านช่องเรือนชานไม่เหมือนพวกเรา

แต่พวกเราไม่มีที่ดินส่วนตัว เรามาซื้อส่วนรวมแล้วทยอยแถมเข้าไป กลายเป็นหมู่บ้านที่ต้องซื้อที่ดินให้แก่หมู่บ้าน แล้วก็เป็นของส่วนกลางเป็นของสาธารณะ ส่วนทางหมู่บ้านอื่นๆ เขาเป็นที่ดินส่วนตัว แล้วก็จะเป็นส่วนตัวไปจนกระทั่งลูกหลานเหลนโหลน แม้ที่สาธารณะของหมู่บ้านก็จะกลายเป็นที่ส่วนตัวในแต่ละหมู่บ้าน 

ส่วนหมู่บ้านของเรา เราซื้อเป็นส่วนกลางของส่วนรวม และมีที่สาธารณะ เราก็มีสิทธิ์ที่จะดูแล เช่น นี่เขตของหมู่บ้านราชฯ นะ แต่ก็มีคนอื่นมาแทรกแซงมาใช้ที่สาธารณะในเขตหมู่บ้านเรา ทั้งที่เป็นคนของหมู่บ้านอื่น เราก็ไม่ไปแย่งเขา แล้ว ที่ดินที่เราซื้อเข้ามานี้เป็นของสาธารณะนะ เป็นของนิตินัยเท่ากับเป็นของรัฐได้หมดแล้วนะ ถ้าหมู่บ้านนี้เลิกล้ม รัฐบาลก็ยึดไปหมด ไม่มีใครมาแบ่งเอาไปได้ เพราะเป็นส่วนนิตินัยเป็นของสมาคมมูลนิธิ

หมู่บ้านอื่นๆ นั้นไม่ต้องซื้อ แถมซื้อแล้วก็เป็นเจ้าของของตัวเองไปถึงลูกหลานเหลนโหลน เป็นสิ่งที่ซับซ้อน เป็นเรื่องสวยงามมากที่สุด

ก็ยิ่งเห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ยิ่งระบอบการปกครอง เขาก็พยายามทำระบอบการปกครองให้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟาย ให้อยู่อย่างอบอุ่น ไม่กระเบียดกระเสียร อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเห็นง่ายๆ ว่าเศรษฐกิจก็จะต้องเข้ามาเป็นส่วนกลาง เข้าใจง่ายๆ กัน

สมัยโบราณสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสมบัติของราชา จะแจกให้ใครก็ได้ไม่แจกให้ใครก็ได้ จะริบคืนได้หมด พระราชาที่มีทศพิธราชธรรมก็จะแจกจ่ายให้ทั่วถึง รุ่นโอรสสืบทอดต่อมาจะต้องบริหารให้ได้ตามกฎมณเฑียรบาล นอกจากองค์ไหนที่จะเห็นแก่ตัวมาก ไม่เห็นแก่ประชาชน ถ้าถูกต้องแล้วก็คือ ต้องเป็นผู้ที่บริหารให้เป็นส่วนกลาง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข มีกินมีใช้ มีจิตวิญญาณที่เจริญ ไม่โลภมาก ไม่เสพติด ไม่มอมเมากันมากมาย ไม่งั้นจะแย่งชิงกัน กิเลสโลภ กิเลสโกรธก็จะแรง ไม่เป็นอยู่สุข

ยุคของพระพุทธเจ้า เป็นยุคที่คนยังดีอยู่ พระเจ้าแผ่นดินแต่ละประเทศแต่ละแคว้นเข้าใจหมดเลยในทฤษฎีบริหารแบบพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร หรือพระเจ้าแคว้นอื่นๆ ต่างเห็นด้วยกับระบบที่พระพุทธเจ้าพาทำ ว่าประเสริฐที่สุด เป็นธรรมาธิปไตยเพราะเป็นประชาธิปไตยจริงๆ

จากสมบูรณาญาสิทธิราชพยายามแบ่งแจกให้ทั่วถึง ก็ต่อมากลายเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ลึกๆ แล้วก็ต้องประชาธิปไตย แบบคอมมิวนิสต์นั้นใช้กฎหมายใช้อำนาจบังคับ มันก็ไม่จริง สุดท้ายต้องเข้าใจด้วยปัญญา เป็นผู้ที่ลดความเห็นแก่ตัวลดกิเลสจริงๆ เป็นการอยู่กันอย่างไม่ได้หลงโลก ไม่เป็นทาสโลก ไม่เสพติดมากไม่สะสมมาก ไม่แย่งชิงใคร มีเท่านี้ก็พอ ศัพท์คำว่า sufficiency  คำว่า พอเพียงนั้นยิ่งใหญ่

แต่ทุกวันนี้แย่งชิงกัน แม้แต่เป็นพระก็ยังไม่ยอมปล่อยยอมวาง ฆราวาส กลับยอมปล่อยวาง แต่พระไม่ยอมวาง นี่คือประเทศไทย

แต่ค่ารวมที่ออกมานั้นดี แต่พลังงานหน้าด้านยึดจัดจ้านเห็นแก่ตัวมันยังด้านต่อ เท่านั้นเอง แม้จะพ่ายแพ้ไปตามลำดับ อาตมาก็ขอให้กำลังใจผู้จะปฏิรูป ปฏิวัติบูรณะก็ตามให้ดีขึ้น ขอให้กำลังใจ อย่าท้อแท้เลย ชนะแน่

ทุกวันนี้ ในดินน้ำไฟลมของชีวิตอาตมา มันมี circulation ไม่สมดุล เนื่องจากปรุงมาก ทำงานมากในทางสร้างสรร และยังให้กินมากอีกด้วย กินมากไป ก็เลยเสียพลังงาน วันๆ หนึ่งอุจจาระออกเยอะ ถ้าหากกินพอดีจะไม่ออกเยอะขนาดนี้ พลังงานธาตุร่างกายก็จะทำตามหน้าที่อาการ 32 ของร่างกาย ทำได้ขนาดหนึ่ง อาตมาดึงมาใช้ทำงานทางธรรมะมากกว่า ก็เอาไปใช้ทางโน้นไม่เท่าไหร่ สรุปคือไม่สมดุลเท่าไหร่ ก็เลยผอมลง แข็งแรงไหม ก็แข็งแรง แต่ขาดสมดุลหน่อยก็ค่อยปรับไป

อาหารที่ทำให้อาตมากินนี่ไม่ต้องมากขนาดนี้ก็ได้ อาตมาก็ว่ามันมากไป อาตมาก็กินไม่หมดหรอก ที่เขาเอามา แต่ขนาดนั้นอาตมาก็ว่าเหลือเฟือ อาหารอาตมาเหลือก็มีคนรออยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร

สภาพซับซ้อนที่คัมภีราวภาโส ลึกซึ้งซับซ้อน ยากจะรู้ได้ง่าย เป็นเรื่องสุดยอด ยิ่งสันตาก็ยิ่งยากเข้าใจ

สงบอย่างไร? อาตมาพาพวกเราทำขนาดเอาความสงบไปสยบความรุนแรงได้ มีกายปาคุญญตา มีกายกัมมัญญุตา เพราะพวกเรามีจิตลหุตาได้ในฐานหนึ่ง คือจิตทำความเบาได้ หมุนเร็วแคล่วคล่อง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคล่อง ไม่มีตัวเหตุไปฉุดให้เสื่อมลง จึงมีสรรถภาพสูง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็สะอาดคล่องขึ้น

พวกเรานี้คนหมู่น้อยแต่มีประสิทธิภาพ แม้หมู่น้อยก็ช่วยสังคมได้เยอะ เกื้อกูลช่วยเหลือ ดูไม่ออก แต่เขาก็มีดวงตาเห็นออกได้ เราไปอยู่กลางถนนกันตั้งหลายเดือน แต่ก็ต้องลดการผลิตภายในเราไปเยอะ แต่ก็มีผู้ศรัทธาบริจาคบ้าง พิสูจน์แล้วว่าเราไม่ได้หาเข้าห่อเข้าพกตัวเองเลย เข้าไปเพื่อทำงานให้แก่ประเทศชาติจริง คนที่มีปัญญาจะมองออกเป็นพลังงานจริงของคนจริง

ผู้มีปัญญาจริงจะปฏิเสธไม่ได้ ส่วนคนมองไม่ออกไม่มีปัญญาก็ไม่เห็น ดีไม่ดีหาเรื่องก็ยังเป็นได้อีก สิ่งเหล่านี้เป็นปาตุภาวะ ปาตุสัจจะ เป็น phenomena ให้ฟังไม่ใช่เรื่องลอยลม ไม่จริงแต่อย่างใด

อาตมาพาทำงานมาก็มีอัตราการก้าวหน้าขึ้น แม้ตอนนี้อยู่ในระหว่างปฏิวัติ มาได้สองปีแล้ว อเมริกาเขาไม่ยอมหรอก แต่มีอะไรที่ทำให้อยู่ได้ แค่โอบาม่าจับมือกับประยุทธ์ก็ทำให้ตัวร้ายเขาแค้นเคืองแล้ว เขาไม่ยอมแพ้เพราะเขาแพ้ไม่เป็น อาตมาว่า คนที่เกือบจะชนะทั้งโลก แต่เขาไม่ชนะทั้งโลกได้เพราะเขาแพ้ไม่เป็น

อาตมาทำงานมาถึงวันนี้ชนะมาตลอดเพราะอาตมาเป็นผู้แพ้ เหมือนในหลวงบอกว่าต้องขาดทุนคือกำไร อาตมาอยู่ได้ชนะได้ทุกวันนี้ เพราะอาตมาคือผู้แพ้ แล้วพวกเราอยู่อย่างขาดทุนด้วย ให้หมดเนื้อหมดตัว ใครหมดเนื้อหมดตัวก็มาอยู่ด้วยกัน ศูนย์บาทก็มาได้ แต่ถ้าโกงเขาแล้วล้มละลายก็ไม่มีสิทธิ์นะ แม้แต่คุณอยู่ในนี้ เงินอยู่ในกระเป๋าคุณจะมุบมิบบ้าง แต่คุณก็มาที่นี่ก็ทำงานฟรีเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์นะ

เป็นอิสรเสรีภาพสุดยอดแล้ว แต่มีหลักเกณฑ์ขอบเขตมีระเบียบเท่านั้นเอง

อาตมาพยายามอธิบายขยายความว่า นี่คือเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือเป็นรัฐศาสตร์ก็ได้ มีคณะทำงานบริหารเป็นลำดับ ไม่มีใครเป็นใหญ่ที่สุด อาตมาไม่ได้เป็นใหญ่สุดหรอก ให้คณะกรรมการบริหารไป บางอย่างอาตมาไม่รู้ก็มี บางอย่างอาตมาช่วยแก้ไขหากผิดพลาดก็มี เป็นการบริหารปกครองอย่างไม่ต้องปกครอง พวกเราก็ดูแลกันไปตามลำดับ เป็นการบริหารที่สุดยอด ต้องเรียนรู้โลกกับอัตตา

 

SMS 4 มีนาคม 2559

0895377xxx กราบนมัสการพ่อครู การที่เราเกิดนอกอโศกแลัวอยากเกิดในชุมชนอโศกทำไรค่ะ

ตอบ...ก็มาฝึกฝน ศีลห้า ไม่มีอบายมุข ยินดีต้อนรับ

 

0805925xxx ช่วงไม่รู้จักคำ"หน้ามึน"แต่สรยุทธโดนด่าจนมึนจึงลาออกชิมิๆ?ปฝ

 

0805925xxx จำคุกป๊อปคอร์น37ป4ดแต่คนเผาเมืองลอยชายเศร้าจัง!?ปลายฝน

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกพุทธสถ .โศก!วันนี้บ่มีคำถามเด๋ว ลุงตู่มาปาฐกถาผลงานคสช.เตรียมปรับหูเทียมให้ชัดแจ๋ว!seufaasin

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูสอนให้จิตมีสติรู้อยู่กับเวลาปัจจุบันขณะที่ไม่คงที่ไหลไปตามวันเดือนปีที่สมัยพุทธกาลไม่มีนาฬิกาบอกเวลาเตือนสติตน มีแต่ปัจจเวกขณญาณ!skk

 

0893867xxx ปัจจเวกขณญาณที่พระพุทธเจ้าสอนยุคนั้นคือญาณที่พิจารณาทบทวนญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวนตรวจตรามรรคผลกิเลสที่เหลืออยู่และนิพพานขณะนั้น!ผู้น้อยคงจำไม่ผิด!

 

_นมัสการค่ะท่าน พอดีได้ชมรายการบุญนิยมที่นำเอาเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่พ่อครูโพธิรักษ์ถูกจับสึก เห็นแล้วว่าเอามาฉายซ้ำๆซากๆ ซึ่งดีแล้ว เพราะคนจะได้ดูซ้ำๆซากๆให้รู้ว่าเรื่องราวสันติอโศกเป็นมาอย่างไร ยิ่งดูยิ่งชื่นชมพ่อครู ท่านใช้เวลา 45 ปีพิสูจน์ความเป็นเพชรของตนเอง ได้เห็นมหาเถรฯ เฉลิมยังหนุ่มฟ้อ ออกมากล่าวหาพ่อครู ยิ่งเห็นเลยว่า เดี๋ยวนี้แต่ละคนเป็นยังไง เน่าเหม็นทั้งคู่ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนจริงๆ ขอให้นำมาฉายทุกวัน ออกช่องทีวีได้ยิ่งดี ผู้คนจะได้ตาสว่าง ฉลาดขึ้นมาบ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศาสนาพุทธกลายเป็นศาสนาพระ

พระพุทธเจ้าว่า ถ้าถือโคตรตระกูล กษัตริย์เหนือกว่าพราหมณ์ แต่ถ้าถือธรรมะ พราหมณ์เหนือกว่ากษัตริย์ ซึ่งยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นศาสนาพุทธยังไม่มี

คำว่าพุทธเป็นภาษาบาลีมีอยู่แล้ว แปลว่า ความรู้ เป็นความรู้พิเศษเลย พราหมณ์แปลว่าผู้รู้ ถ้าไล่เรียงเอาความรู้แล้วพราหมณ์เหนือกว่ากษัตริย์ คำว่าพระนี้ยังไม่เกิด แต่พระนี้แทนนักบวชของพุทธ นักบวชสมัยนั้นเรียกว่าสมณพราหมณ์ คำสอนหรือมนตราทั้งหมดของศาสนาพราหมณ์ทั้งหมดจริงๆแล้วอันเดียวกันกับของศาสนาพุทธ แต่ก่อนนั้นพราหมณ์ก็เหมือนกับพุทธ แต่ว่าพราหมณ์นั้นได้เสื่อม เป็นพราหมณ์มหาศาล เหมือนกับพระตอนนี้เป็นพระมหาศาล เสื่อมกันเกือบหมดแล้ว พระพุทธเจ้าก็เอาบทมนต์เดิมของพราหมณ์มายืนยัน แต่ตัวเองได้เพี้ยนไปหมด พระพุทธเจ้าก็เลยย้อนว่าอย่างไหนถูก เขาจึงจำนนทั้งหมด อาจารย์

โปกขรสาติ ฉลาดกว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่าลูกศิษย์คืออัมพัฏฐมานพ

พระพุทธเจ้าท่านก็เอาบทมนต์ของพราหมณ์มาแก้ใหม่หมด ทั้งเรื่องโคตรและเรื่องธรรมะ เหมือนตอนนี้เลย พระพุทธเจ้าตั้งศาสนาใหม่ แต่จะไปเรียกพราหมณ์นั้นไม่ได้ เพราะมันเสื่อมไปหมด แต่คำยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้าคือ สัมมาสัมพุทโธ เป็นบทพุทธคุณ 9 ท่านเป็นเจ้าของความรู้เจ้าของธรรมะ แม้เขาถือธรรมะแต่เก๊ ที่เป็นของจริงอยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยเรียกตนเองว่าพระพุทธเจ้า แต่เรียกตนเองว่าตถาคต แต่ตถาคตมีพุทธคุณ 9 มีสัมมาสัมพุทธ เรียกว่ามีพุทธคือความรู้ มีพุทธคุณที่มีสัมมาสัมพุทโธ ท่านก็มาแก้ความรู้ที่เพี้ยนไปแล้ว จากพราหมณ์ที่แท้ เหมือนยุคนี้ อาตมาก็มารื้อฟื้นสัมมาสมาธิ ที่เป็นสัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8

บทมนต์มรรคมีองค์ 8 ก็ยังมี แต่วิชชาจรณะก็คือมรรคมีองค์ 8 พราหมณ์ก็ยอมรับกัน แต่วิชชาจรณะของพราหมณ์มันได้ล้มเหลวแล้ว พระพุทธเจ้าว่าเธอและอาจารย์เธอ (อัมพัฏฐะ) ได้เพี้ยนไปแล้วแม้สิ่งผิดก็ทำผิด เช่น สมาธิสะกดจิตหลับตา ขอถามว่าสมาธิสะกดจิตหลับตา พระที่บริหารสงฆ์ตอนนี้มีสมาธิหลับตาสู้พระป่าได้ไหม ก็ไม่ได้ ทั้งที่เป็นสมาธิแบบผิด พระที่บริหารสงฆ์ตอนนี้ แม้สมาธิผิดๆ เขาก็ยังไม่ได้เลย คือเหมือนพราหมณ์มหาศาลตอนโน้นที่พระพุทธเจ้าว่าไว้เลย

สมาธิแบบพระป่าก็ไม่ได้บ้าบอเท่าสมาธิแบบธรรมกายวัดปากน้ำเลย คือแม้แต่สิ่งผิดเธอกับอาจารย์ก็ยังไม่ได้เลย ไม่ได้พระเวทย์เก่าเลย พระพุทธเจ้าก็เอามากลับคืน แล้วกลับคืนมากลายเป็นความรู้แบบสัมมาสัมพุทธะ คือพุทธคุณ เป็นสัมมาวิชชา สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ไม่ได้หนีโลก อยู่กับโลก แต่โลกทำอะไรท่านไม่ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว คนก็เลยเรียกความรู้อย่างพระสมณโคดม ที่เป็นพุทธ แล้วพุทธอย่างสัมมา ของสมณโคดม ท่านก็เรียกตนเองว่าตถาคต ไม่ได้เรียกท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่แท้จริงท่านเป็นนั้นแหละ ต่อมาคนก็มาเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ

ศีลก็ต้องเป็นสัมมาศีล จิตหรือสมาธิก็ต้องเป็นสัมมาสมาธิ ปัญญาก็ต้องเป็นสัมมาปัญญา วิมุติก็ต้องเป็นสัมมาวิมุติ นิโรธก็ต้องเป็นสัมมานิโรธ สรุปคือ ศาสนาพุทธต้องสัมมา ความรู้ต้องเป็นสัมมาสัมพุทธะ

คำว่าพุทธคือความรู้ที่พาไปนิพพาน แม้ในยุคพราหมณ์ก็พาไปนิพพานหากถูกจริง เหมือนกับยุคนี้เป็นศาสนาพระ ไม่เป็นศาสนาพุทธแล้ว ความรู้ของพราหมณ์ในยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่หลงเดรัจฉานวิชชาขนาดนี้เท่ายุคนี้เลย ยุคนี้จัดจ้านกว่ามาก เช่น ยุคโน้นไม่มีตำแหน่งพระ เหมือนข้าราชการ แต่ยุคนี้กลับเอาตำแหน่งโลกๆ มาใช้เหมือนข้าราชการ ที่เรียกตำแหน่งนั้นเป็นของไทยโบราณ สมเด็จ พระยา เจ้าคุณ เหมือนกันนั่นแหละ แต่เขาเลิกกันแล้วในประเทศไทย แต่พระยังเอาอยู่เลย

ยุคนี้ธรรมยุตกับมหานิยายรวมตัวกันเพื่อสู้กับรัฐบาลและประชาชนที่ถือสัจจะ อยากถามว่า ประชาชนจะเห็นด้วยข้างไหน?

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:39:49 )

590308

รายละเอียด

590308_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมื่อธรรมะกลาย ตอน 1

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2559 ปีวอกหรือปีมะแมก็แล้วแต่กำหนด การกำหนดวันเดือนปีเวลามันไม่ตรงเป๊ะเลยหรอก มันมีทศนิยม ถ้าสิ่งใดมันเสื่อมจะเป็นทศนิยมลบ ถ้ามันเจริญก็เป็นทศนิยมบวก เป็นเช่นนี้สำหรับทุกอย่าง

ถ้าเข้าใจจิตนิยาม จะรู้ว่าจะทำให้ชีวิตเรามีทศนิยมบวกเจริญขึ้นอย่างไร การเจริญถึงขั้นโลกุตรธรรมเป็นอัตราการก้าวหน้าระดับคูณหรือระดับยกกำลัง ทางโลกนั้นเจริญไปหานิรันดร แต่ทางธรรมนี้เจริญไปหาศูนย์ รู้จักดีจักชั่วแต่สุดท้ายแล้วไม่ทำชั่วเลย ทำแต่ดี ฟังธรรมะเมื่อไปหาศูนย์แล้วสามารถเจริญไปได้ไม่รู้จบเหมือนกัน

วันนี้ถือเป็นการเทศน์หน้าศพ หลวงพ่ออ้วน อภิมันโต นามสกุลเดิมคือ

ม่วงมนตรี อายุ 82 ปีกับอีก 3 เดือน

ความรู้ทางการแพทย์นั้นเจริญและทำให้คนทรมานไม่ตายสักที ผู้ที่เป็นญาติผู้ดูแลก็ต้องช่วยกันถึงที่สุด การวิทยาศาสตร์ความรู้ก็ทำให้ยืนยาวไปได้ คนเราก็ไม่อยากให้ญาติที่เป็นที่รักตายไป ที่สุดแล้วถึงเวลาวาระก็ต้องหมุนเวียนจากไป

อรหันต์ไม่กังวลกับการเกิดการตาย ท่านทำให้กิเลสตายสนิทอย่างนิจจัง

(เที่ยงแท้) ธุวัง(ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ดับ กำจัดอกุศลเหตุในจิตได้สนิท ไม่มีการเกิดอีกเลยของกิเลส

การเป็นโพธิสัตว์นั้น โสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง สกิทาคามีก็เป็นโพธิสัตว์ระดับสอง อนาคามีก็เป็นโพธิสัตว์ระดับสาม อรหันต์ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับสี่ แล้วก็เป็นอนุโพธิสัตว์ช่วยศาสนาไปต่ออีกได้ ไม่ใช่ว่าเป็นอรหันต์แล้วตายสูญ

หลวงพ่ออ้วนนี้ เป็นสมณะมา 34 พรรษา มาเป็นสมณะชาวอโศกมายาวนาน อยู่ไปตามประสา อะไรก็ไม่เท่าไหร่หรอก มักน้อยสันโดษสนใจธรรมะ จะมาฟังธรรมก่อนใครทุกวัน เสียอยู่อย่างเดียว เป็นคนเสียดายของ เก็บของสะสมไว้ที่กุฏิจังเลย ยอมเป็นพระหางแถวจนสิ้นใจเลย พระรุ่นใหม่บวชใหม่ก็มานั่งเหนือท่านก็ไม่ว่า คือถูกลงทัณฑ์ก็เพราะว่าบอกยากสอนยาก เป็นสังฆาทิเสสข้อที่ 13 ข้อใดๆก็ตามสังฆาทิเสส อาตมากล้าพูดเลยว่าสังคมสงฆ์ในไทยไม่เอาถ่าน ปาราชิกก็ละเมิดแล้ว

สังฆาทิเสสข้อ 1. คือสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ถ้าเอากันจริงๆก็เต็มไปหมด ในวัดไหนก็แล้วแต่ ขนาดปาราชิกข้อ 1. คือสมสู่นี่ก็มี

สังฆาทิเสสข้อ 3. นี่ถ้าจิตมีกิเลสกาม ไปแตะเนื้อต้องตัวหรือพูดจีบเคาะก็สังฆาทิเสส ก็น่าจะมีอยู่เยอะแยะ ขนาดพระบางท่านในระดับปริญญาโทเมืองนอก ยังไปจีบผู้หญิงเลย ที่อาตมารู้เพราะน้องสาวอาตมาเล่าให้ฟัง เขาเขียนภาษาอังกฤษจีบผู้หญิงไม่เก่ง ก็เลยเอาให้น้องสาวอาตมาเขียนให้ น้องสาวอาตมาก็เอามาเล่าให้อาตมาฟัง อาตมาถึงเห็นว่าต้องอยู่นานาสังวาสกัน ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีลแล้ว มีแต่ถือวินัย 227 แม้วินัยก็ละเมิด

 

Sms 7 มี.ค. 59

0886451x จิตใจที่ดีงามมาจากมิตรดีสหายดีพยายามต่อไปด้วยใจศรัทธาเจริญธรรมสำนึกดีครับ 

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกพุทธสถ.อโศก!สื่อฟ้าศิลป์สมาชิกเราคิดอะไร จาก1จึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็น1 ผู้น้อยสมาชิกเราคิดอะไร มวลชนผู้เคยร่วมกิจก.ภาค ปชช.กับกทธ. ร่วมงานบุญปฏิบัติศีล8บางพุทธสถ.แต่มิเต็มวัน ขอจองที่บ้านราชได้ไหม? มีญตธ.เชียงรายญ.คิ้วดกหนารูปร่างท้วมเตี้ยอายุไม่เกิน50อยู่ประจำบ้านราช บอกว่ามีคนจองเต็มหมดแล้ว ใจจริงชอบที่ศาลีอโศกแต่ที่บ้านราชมีงานให้ทำมากกว่า บั้นปลายถ้าได้มาอยู่ อยากเป็นสมาชิกพ.เพื่อฟ้าดินพรรคเดียวในไทย พ.การเมืองเดียวในโลกที่เป็นชาวมังสวิรัติล้วนๆ

ตอบ..ตอนนี้ที่บ้านราชมีจัดที่ให้สองเฟส มีที่เหลืออยู่ให้จอง

 

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ขำพ่อท่านค่ะที่ถามญาติโยมอยู่กันอย่างมีความสุขรึไม่ ขอตอบแทนเลยนะคะจากผู้มองจากภายนอก ว่าทุกคนมีความสุขที่สุดเลยค่ะ ชีวิตมีความหมายทุกวินาที 

ตอบ...ก็มาสัมผัสใช้ common sense ว่าที่นี่สุขหรือไม่ คนที่นี่ไม่ได้สุขเพราะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพกาม ไม่ได้มาสุขเพราะบำเรออัตตา เรามาเรียนรู้แล้วลดละจริงๆ ความสุขเหล่านี้เป็นสุขโลกุตระ ที่จริงโลกุตระไม่มีสุข แต่เป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา เราก็ต้องมาลดอีกจนเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา

 

0816800xxx ดิฉันได้มีโอกาส พบและสนทนากับพ่อท่านที่ศาลีอโศก รู้สึกปลาบปลื้มใจมากๆค่ะและรอรับหนังสือเจ็ดเล่มมาอ่านอยู่นะคะ 

 

0805678xxx มีการส่งคลื่นรบกวนรายการต่างๆที่ออกอากาศหรือเปล่า?ถ้าพูดเกี่ยวกับพระช่วงดูไม่ได้เลยครับ(ช่วงนี้) 

 

0805925xxx เสียงพ่อเบานู๋ก้มคำนับจนจะจูบซัมซุงแย้วพ่อ?ปลายฝน 

0818557xxx กราบนมกพ่อท่าน ท่านพูดถูกค่ะว่า น่าจะเปลี่ยนเป็นศาสนาพระ เพราะไม่ใช่พุทธตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ  เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นควรว่าปชช.ควรจะชี้ให้สังคายนาปฏิรูปศาสนาพุทธให้ถูกต้องแท้จริงโดยเร็ว  

ตอบ...ไม่ง่ายหรอก คนมีชนักติดตัวจะยอมหรือให้สังคายนา

 

0893867xxx กราบขอบพระคุณพ่อครูกับธรรมมรรคองค์8คือวิชชาจรณะรวมแล้วมรรคมี8 วิชชามี8 ถ้ารวมฌานก็เป็น9 จรณะมี15ข้อ ปฏิบัติเยอะจังสาธุ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ธรรมกายน่ากลัวสำหรับใคร

_ต่อไปจะอ่านความเห็นของคุณ Chuti Jay4 ใต้คลิปยูทูป รายการ ต่างคนต่างคิด ตอน ธรรมก(ล)าย  ความลับธัมมชโย

เรื่องราวของวัดพระธรรมกาย ลากยาวมากว่า 20 ปี ตั้งแต่ได้ยินชื่อนี้มา วันนี้จะไม่มานั่งแจงกรณีๆ ใดๆ ที่สื่อทุกค่ายกับคนพาล และมือที่มองไม่เห็น กำลังมะรุมมะตุมกัน ใครจะหาบาปใส่ตัวก็สุดแล้วแต่สติปัญญาสัมปชัญญะละครับ! เรามามองทะลุม่านมายาสื่อทั้งหลายแหล่และหลายแหลกเหล่านั้น มองดูผลงานของ วัดพระธรรมกาย แล้วเอาไปนึกตรึกตรองกันดูครับ ว่าตกลงวัดนี้น่ากลัวสำหรับใคร กันแน่? ก่อนเริ่ม แนะนำตัวชัดๆ ครับ ผมเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกายหรือเปล่า? ตอบครับ ผมศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในกฎแห่งกรรมครับ! เชื่อว่า ทำดีได้ดี, ทำชั่วได้ชั่ว เข้าเรื่องครับ

1. วัดพระธรรมกายสอนอะไร? คำถามนี้ จะตอบว่า ทำไมคนจึงมาวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง และมากมายขึ้นเรื่อยๆ หลักๆ เลยครับ ที่ผมจับประเด็นแบบค้นอดีตย้อนหลัง 46 ปี

1.1 สอน 3 เรื่อง ครับ ทานและอานิสงส์ของการให้ทาน ศีลและอานิสงส์

ของการรักษาศีล สมาธิและอานิสงส์ของการเจริญสมาธิ

1.2 สอนตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือ อนุปุพพิกถา คือ การ

แสดงธรรมตามลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟัง ให้พร้อมรับธรรมะขั้นสูงขึ้นตามลำดับ มี 5 ประการ

1. ทานกถา กล่าวคือทาน หมายถึง ชี้แจงแสดงคุณเรื่องการให้ทาน

และอานิสงส์ของการให้

2. สีลกถา กล่าวคือศีล หมายถึง อธิบายให้เข้าใจคุณเรื่องการรักษา

ศีลและอานิสงส์ของการรักษาศีล

3. สัคคกถา กล่าวคือสวรรค์ หมายถึง การสาธยายคุณเรื่องสวรรค์ ซึ่ง

เป็นผลที่ได้รับจากการให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น (ข้อ 3 นี้ ผมขอตั้งประเด็นอย่างนี้นะครับว่า สำหรับคนที่ก่นด่าว่า วัดนี้เอาสวรรค์มาล่อ!!! แล้วคุณจะว่าอย่างไร ในกรณีอนุปุพพิกถาครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ ขอให้คิดให้ดี!!! ผมไม่เคยเข้าข้างใครครับ ผมว่าตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!)

4. กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม หมายถึง การพรรณนาโทษ

เรื่องของกามว่า แม้จะเป็นความสุข แต่ก็มีความทุกข์เจือปน

5. เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการออกจากกาม หมาย

ถึง การพรรณนาถึงการออกจากกามและอานิสงส์ว่าเป็นความปลอดโปร่ง เพื่อน้อมใจให้เกิดฉันทะในการแสวงหาความสุขแท้จริง คือ ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ส่วนรายละเอียดการสอนนั้น เขาแจงกันละเอียดจริงๆ ครับ ด้วยตาและด้วยใจที่ผมเฝ้าดูมา นับตั้งแต่ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร สาธุชน จะให้ความสำคัญเรื่องของความสะอาด ความมีระเบียบและมีวินัยอย่างเข้มข้น สะอาดขนาดไหน? เอาว่าสะอาดตั้งแต่โถส้วม ยันที่นอน หัวจรดเท้า เสื้อผ้า ทุกอย่างต้องสะอาด เรียบร้อย และความประพฤติต้องมีวินัย ก็คนที่มันมีวินัยที่ฝรั่งญี่ปุ่นเขามีกันละครับ มีคนไทยพันธุ์มีระเบียบวินัย ที่วัดพระธรรมกาย !!! ก็ในเมื่อทรัพยากรแรก คือ มนุษย์ มันได้คุณภาพขนาดนั้นแล้ว ผมไม่สงสัยเลยว่า ทำไมวัดพระธรรมกายจึงสามารถทำงานพระศาสนาระดับประเทศ ระดับโลกได้ ระดับที่ชาวบ้านตะลึงอยู่เรื่อย! แล้วคนทั้งประเทศไทยที่สบายสบายคือไทยแท้ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำได้ยังไง? แล้วเราก็ทำความเข้าใจหรือเชื่อเอาง่ายๆ ตื้นๆ ว่า ที่เห็นมากันเยอะๆ เนี้ยะจ้างกันมา !!! ผมถึงไม่สงสัยอีกละครับ ว่าทำไมประเทศไทยชัยโยจึงอยู่ในโลกที่ 3 นิรันดร์! พูดแบบนี้เหมือนด่าตัวเอง เปล่าครับ! ผมพูดความจริงที่ผมเห็น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคำด่า! เรื่องของความสะอาด มีระเบียบมีวินัย แปลให้เห็นชัด มันก็คือศีลนั้นแหละครับ ผมถามสั้นๆ ครับ ซึ่งแม้แต่แมว มันก็ตอบได้ ถาม: คนมีศีลดีไหมครับ? คุณก็ตอบได้ครับ! คราวนี้ แล้วไอ้เรื่องสอนผิดสอนเพี้ยนสอนบิดเบือนนั้นหล่ะ ข้อนี้ผมเห็น นักวิชาการแต่ละคนออกมาแสดงความคิดเห็น ก่นด่าวิจารณ์กันซะมันปาก! ผมขอถามอย่างไม่เข้าข้างวัดพระธรรมกายนะครับ เอาคำถามในฐานะชาวบ้านกันเลย ที่บอกว่า ธรรมกายไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา ถาม: คุณไปอ่านไปค้นไปศึกษามาดีแล้วเหรอครับ ผม: ก็แล้วทำไม ผมเห็นมีหนังสือ หลักฐานธรรมกายในพระไตรปิฎกเล่มเบ้อเร้อ ออกมาโชว์ในห้องสมุดได้ละครับ ไปหาอ่านเอานะครับ ผมไม่ได้อินอะไรกับพระไตรปิฎกมากหรอกครับ แค่เป็นพวก พอใจหาความจริงด้วยตัวเอง ผมเบื่อจะเชื่อพวกสื่อ พวกนักวิชาการวิชาเกิน พวกอวดตัวข่มท่าน โอ้ว่ารู้มากรู้ดี เรียนจบนู้นจบนี้ สูงส่งเหลือเกิน แต่ที่ตัวรู้มา ผิดทั้งเพ! แล้วก็อาศัยฐานะ วุฒิการศึกษา มาพล่ามให้ชาวบ้านฟัง ระวังนะครับ วจีกรรม! ก็มีนรกรองรับของมันนะครับ (ผมว่าตาม ไตรภูมิ นะครับ ไม่ได้ว่าตามใครทั้งสิ้น)  นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา!!! ผมถามจริงๆเถอะครับ คุณเคยไปหรือยัง? ผมมีวิธีแก้ง่ายๆ ครับสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังบ้าบอเสียสติเถียงกันเรื่องนี้ คือ เราต่างก็ยังไม่มีใครไปนิพพาน เราก็มาพิสูจน์ด้วยกันไงครับ หุบปากซะ! แล้วก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อะไรละครับ ก็ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ บำเพ็ญมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติ!!!ครับ ไม่ใช่มานั่งเถียงกัน! ผมไม่เข้าข้างใครครับ ผมดูจากการกระทำ คนที่เที่ยวด่าเขาเนี้ยะ มันเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้ประชาชนชาวบ้าน สังคม ประเทศชาติ บ้างไหมครับ? ครั้งหน้านะครับ เพื่อความดูดีมีปัญญา ดูเป็นคนมีวัฒนธรรม อารยธรรม มีเหตุผล ถ้าได้ยินคำว่า วัดพระธรรมกาย ถามหาผลงานของเขาก่อนไหมครับ ดูก่อนว่าเขาสร้างความดี ให้พี่น้องในชาติ ให้กับแผ่นดินเท่าไหร่แล้ว? พูดแบบนี้ก็บอกว่าผม Bias !!! ไม่ครับ คือผมแค่อยากบอกว่า ก่อนจะด่าใครๆ ตามที่เขาว่ามา ถามเขาก่อน สัมภาษณ์เขาหน่อย ทำความรู้จักกับเขาด้วยตัวเราเองก่อนดีกว่าครับ ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าสงสารวัดพระธรรมกายหรือคนธรรมกายครับ แต่ผมสมเพชคนที่หลับหูหลับตา เชื่อสื่อ เชื่อคนพาล เลยจะพาลพากันไปตกนรกซะไม่ทันได้ดูตาพระตาคน

ว่าเรื่องการสอนกันต่อครับ อย่างที่ผมบอกละครับ มีแค่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ ข้างต้น 2 หลักใหญ่นั้น ถูกนำมาสอนผ่านรูปแบบการอบรม ในโครงการต่างๆ ที่มีเป็นร้อยๆโครงการครับ ทั้งโครงการบวชพระ บวชเณร บวชอุบาสก บวชอุบาสิกา โครงการอบรมครู นักเรียนนักศึกษา จะกี่โครงการ  ผมไปค้นไปหาไปอ่านไปดูมาหมดละครับ เนื้อหาสาระก็ไม่พ้น 2 หลัก นี้!!! แล้วมันต่างกับกระบวนการอบรมสั่งสอนคนของสถาบันอื่นๆยังไง? จุดต่างมีอยู่อย่างเดียวครับ ขอให้อ่านสามรอบเลยครับ “ที่วัดพระธรรมกาย เขาฝึกคนให้เอาจริงกับการพัฒนาตัวเอง กับการทำความดี” ครับ หาคำสำคัญในประโยคครับ กุญแจอยู่ตรงนั้น คำว่า “จริง” ไงครับ คนที่นี้เขาเอาจริงกับความดีทุกอย่าง ณ จุดนี้ ละครับ ที่มันต่าง และมันเป็นเรื่องราวยาวเป็นมหากาพย์ ถึงวันนี้และไม่รู้วันหน้าวันไหน จะเข้าใจกันได้ ระหว่างคนไทยสบายสบายอะไรก็ได้ คือ ไทยแท้ กับ คนไทยพันธ์ที่มีระเบียบวินัยและจริงจังกับการทำดี แบบสาธุชนคนวัดพระธรรมกาย!! ผมนั่งดูนั่งชมก็เพลียจิตแทนครับ ทำทานเขาก็ทำจริง ก็เพราะเขาทำจริง! เขาจึงสามารถสร้างวัดได้ใหญ่โตมโหฬารปานนั้นครับ ผมไปพูดไปคุยกับหลายคน (คุยด้วยทั้งหมดไม่ไหวหรอกครับมากันเป็นแสน!!!) พวกเขาตั้งใจสร้างวัดเอาไว้ให้เป็น พุทธหลักฐาน ให้คนอีก 100 ปี 500 ปี 1000 ปี ข้างหน้า ได้มาศึกษาหลักธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เขามองไกล High Premium ไปนู้นแล้วครับ มันทำให้ผมคิดครับว่า ... ปัญหาของวัดพระธรรมกาย คือ พวกเขาพัฒนาศักยภาพของความเป็นมนุษย์ไปได้ไกลเกิน เกินธรรมดาสามัญของมนุษย์พันธ์ไทยไปแล้วครับ และมันก็เป็นปัญหาตรงที่ว่า พวกเขาไม่สามารถสื่อสารถ่ายทอด แนวความคิด วิถีแห่งการพัฒนาของพวกเขา ให้สังคม Get ได้ครับ มันก็เหลือวิธีเดียว คือต้องเข้ามาดูมารู้มาศึกษาด้วยตัวเอง ซึ่งคนที่มาก็เข้าใจได้ไม่ยากครับ เพราะระบบในวัดพระธรรมกาย ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ทุกอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ มีเหตุผลรองรับ ชัดเจนทุกอย่าง แต่คนส่วนใหญ่ละครับ! ที่นั่งอ่านแค่หนังสือพิมพ์ ดูทีวีที่บ้าน!!! ผมว่ามันเป็นโจทย์ใหญ่ของวัดพระธรรมกายครับ ที่ต้องเร่งหาวิธีสื่อสารกับสังคมทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้าใจองค์กรของตัวเอง  เดี๋ยวออกอ่าวครับ

เขาจริงกับการรักษาศีล แปลว่าอะไรครับ คือ เขาจริงกับความรับผิดชอบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทั้งตัวเองและผู้อื่น คุณก็คิดได้นี่ครับ ตรรกะง่ายๆ ถ้าคนไทยทุกคนสามารถรักษาศีล เป็นคนมีศีล ได้เหมือนอย่างคนที่วัดพระธรรมกาย บ้านเมืองมันก็สงบไปแล้วครับ ไม่ใช่แค่ 99 % แต่ 100 % ครับ !!! สำหรับการปฏิบัติธรรม ภาพนี้ เรียกว่าแทบไม่ปรากฎออกไปสู่สายตาสังคมเลยครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม? คงเป็นเพราะสื่อทั้งหลายประโคมสร้างภาพลวงปิดตาประชาชนไปแล้วว่า เป็นวัดที่เน้นการบริจาค จึงทำให้ภาพที่เป็นหัวใจของวัดพระธรรมกาย ซึ่งทางวัด นับตั้งแต่หลวงพ่อเจ้าอาวาส พระอาจารย์ทุกรูป เจ้าภาพ สาธุชน ให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง คือ การเจริญสมาธิภาวนา อ่อนด้อยเลือนลางไปเลย แต่ความจริงตลอดเวลา 20 ปีที่ผมเฝ้าสังเกตุการณ์ดู คือ การเจริญสมาธิภาวนาของที่นี้ เข้มข้นไม่แพ้ที่ไหนในโลกครับ โครงการทุกโครงการเน้นการฝึกคนที่ใจ ทาน ศีล นั้นเบื้องต้นครับ เบื้องสูงของการฝึกคน คือ ฝึกใจ คือ สมาธิ! ผมว่านี้ละครับ คือสุดยอดกลยุทธ์ของวัดพระธรรมกาย ที่ใครๆ เข้าไม่ถึง แต่เป็นอะไรที่ทางวัดเองป่าวประกาศ พยายามเชิญชวนผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาพิสูจน์ ตั้งแต่สร้างวัด ปี 2513 ครับ วันนี้ผมบอกแล้วนะครับ!!! ที่นี้มีโครงการปฏิบัติธรรมสำหรับประชาชนตลอดทั้งปีครับ มีหลากหลาย สำหรับทุกเพศทุกวัยและทุกโอกาสด้วยครับ รู้ยังครับ? สิ่งที่เขาทำและเป็นผลดีต่อชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับแสนนับล้านนั้นมีมากครับ คิดง่ายแบบชาวบ้านๆ ที่เราท่านต่างต้องการแสวงหา ความดี ความสุข ความสำเร็จ ให้กับชีวิต!!! อย่าไปคิดอะไรซับซ้อนบ้าบอเหมือน พวกนักการเมืองการปกครองครับ ถ้าไม่ดีจริง มันจะมีคนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วก็เพิ่มขึ้น อย่างนี้หรือครับ? !!! และคนที่มาเพิ่ม ไม่ได้เป็นเศรษฐีมหาศาลอะไรที่ไหนเลยครับ ขอบอกจากสองตาที่ผมเห็นมานะครับ มีทุกระดับฐานะการศึกษาอาชีพครับ !!! ไม่ต้องเชื่อผม แต่ขอให้ไปดูเองครับ นาทีนี้ 20 กว่าปีที่เฝ้าดูมา ผมบอกเลยครับว่า วัดพระธรรมกาย คือ วัดของประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดิน! เป็นที่สร้างคนให้รักความสะอาด ให้เป็นคนสะอาด ให้เป็นคนมีระเบียบ ให้เป็นคนมีวินัย ฝึกสอนคน ให้รักษาศีล และเป็นคนมีน้ำใจเป็นผู้ให้ เป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี และจริงกับการทำความดี! เขาสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลครับ วัดพระธรรมกาย เป็นมิตรกับชาวบ้านประชาชนทุกคนที่รักดี และใฝ่ดี อยากมีชีวิตที่พบความสุข มีแนวทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ใครๆ เขามาแล้ว เขาได้พบกับความสุข ความสำเร็จ เขาก็บอกต่อ ชวนเพื่อน ชวนญาติพี่น้อง คนที่เขารักมา มันก็ง่ายๆ แค่นี้เองครับ ทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้น!!! แต่วัดพระธรรมกายเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ไม่ต้องการเห็นคนดี เห็นคนเก่ง เต็มประเทศแค่นั้นครับ ผมจะกลับมาเล่าให้ฟังต่อครับ ว่าผมเห็นอะไรบ้างในวัดพระธรรมกาย !!!

พ่อครูว่า...คุณเอาลงมาในสื่อ คอมเม้นมาในคลิปยูทูปเลย เขาบอกว่า คือความลับของธัมมชโย ก็คงหมายถึงว่า ธัมมชโยเองก็มีความลับอะไรอยู่ที่เปิดเผยให้โลกรู้ไม่ได้ คนนี้เขาก็เข้าใจเอาเองว่า ความลับอันนี้สำคัญ ว่าทำไมธัมมชโยไม่คลี่คลายขยายออกไป ท่านทำดีทำไมปกปิด ไม่พูด ที่จริงมีความลับที่ดีกว่านี้อีกทำไมไม่บอก

อาตมาว่า คนมองเห็นแง่ดีของวัดพระธรรมกายคงมีอีกเยอะ ก็ถูกแง่ดี เพราะคนฉลาดไหนๆในโลกจะหลอกคน เขาไม่เอาสิ่งชั่วมาหลอกคนหรอก หรือให้ชัดอีก คือเอาสิ่งที่สมกิเลสเขาแล้วเขามองว่าเป็นสิ่งดี เช่น ยกตัวอย่าง คนที่จะเอาแง่ดีที่ประชาชนเห็นง่ายๆ แง่ดีคือมาที่นี่แล้วจะรวย คนส่วนใหญ่ก็มองว่าดีสิ เขาไม่เอาแง่นี้คือมาที่นี่แล้วจนมาพูดเลย แต่มันซับซ้อน เขากลับบอกว่าง่ายเห็นชัดๆ ว่ามาที่นี่มาแล้วรวย มีระเบียบ สะอาด ก็จริง

แบบนี้ตื้นมาก แต่วรรณะการวัดชั้นของศาสนาพุทธคือ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ใครทำแบบเจ้ายศเจ้าอย่างเป๊ะเคร่งก็เป็นคนเลี้ยงยาก และจะใช้ข้อบังคับมากก็ผิดจากศาสนาพุทธที่มีอิสรเสรีภาพ การบังคับให้คนเข้าแถวได้ก็ดูดี แต่ไม่ใช่ของพุทธ เลี้ยงยากแบบนี้ บำรุงให้เจริญได้ยาก จะเป็นคนไม่รู้จักอนุโลมปฏิโลม บังคับให้เป๊ะคือนอกพฤติภาพศาสนาพุทธ

ขอวิเคราะห์ ศาสนาพุทธบังคับกรอบตื้นว่า มีศีล 5 นั่งสมาธิเคร่ง ขอแวะหน่อยว่าที่นั่งสมาธิคือนอกพุทธแล้ว ที่จะบอกว่าเรื่องระเบียบสะอาดนี่เป็นโลกีย์แท้ๆ ดีก็จริง แต่ไม่ใช่เนื้อหาสาระของพุทธ พระพุทธเจ้านุ่งผ้าห่มสีหมอง ผ้าบังสุกุล ไม่ได้สะอาดแบบพวกคุณเลย แล้วไม่มานั่งจัดแถวเลย ไม่บังคับให้ทุกคนเท่ากันหมดเป๊ะหรอก ให้เห็นว่าคุณคนนี้ยังเข้าใจศาสนาพุทธไม่ได้เลย

ที่คุณChuti Ja เขาเข้าใจว่าสื่อที่วิจารณ์ธรรมกาย ทุกคนที่ไปว่าธรรมกายคือคนพาล คนอ่อนเยาว์คนเกเร คนโง่ไม่เดียงสา อาตมาขอแย้งว่าคนกำลังจัดการธรรมกายคือบัณฑิต ส่วนคนไปช่วยธรรมกายคือคนพาล ตั้งแต่จะเชิดชูใครเป็นสังฆราช แล้วเจ้าอาวาสวัดธรรมกายดึงดันต่อพระลิขิตพระสังฆราช ใครจะได้บาปหรือกุศลก็แล้วแต่ คุณไกลคำว่าบุญเกินไปที่จะพูดเรื่องบุญ

ไม่เห็นมีเรื่องชำระกิเลสที่เป็นบุญเลย แต่ไปนั่งสมาธิแล้วเพิ่มความโลภ อาจไม่เห็นเรื่องโกรธมาก แต่ว่าเก็บกดเป็นพยาบาท สักวันจะระเบิดนิวเคลียร์ สักวันหนึ่งก็จะเห็น หมอมโนที่เอาเบื้องหลังธัมมชโยว่า เวลาโกรธต้องหยิบของเอามาทุ่มเลยนะ นี่คือวิธีคนเก็บกด นั่งสมาธิหลับตาสะกดจิต เก็บกดทั้งสิ้น

ตกลงวัดนี้น่ากลัวสำหรับใคร? พ่อครูว่า... ก็น่ากลัวสำหรับบัณฑิต เพราะว่าเขาเป็นคนพาล เพราะว่ามันหยาดสุดเยิ้ม เลี่ยนสุดมัน เฟอะฟะ สุดฟรุ้งฟริ้ง

ขอยืนยันว่าคุณเชื่อกฏแห่งกรรมอย่างงมงาย อาตมาไม่เชื่อว่าคุณเชื่อในกรรม การทำดี นั้นเป็นคุณธรรมชั้นโลกียะเท่านั้น แต่การทำให้กิเกสลดได้จริง จึงจะเป็นเนื้อแท้การกระทำกรรมของพระพุทธเจ้า

ผู้ปฏิบัติธรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ก็เป็นผลวิบาก วิ่งไปหานรกเต็มเบ้าแล้วนึกว่าเป็นสวรรค์ ที่คุณบอกว่าเชื่อกฏแห่งกรรม จะเชื่อกรรมระดับ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ คุณก็มิจฉา ไม่ได้ลดกิเลสในกรรมทั้งสี่นี้เลย เพราะไม่ศึกษาสัมมาทิฏฐิ คุณเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็จริงแต่ภาษา คุณทำดีไม่เข้าสายพุทธ ไม่เป็นมรรคผลหรอก

ทำดีได้ดีคือผลดี ผลดีของพระพุทธเจ้าคือ สจิตตปริโยทปนัง คือชำระกิเลสในจิตสันดานให้หมดไป คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือปุญญะ คือบุญ นั่นคือการทำดีของพระพุทธเจ้า คือเป็นบุญ ส่วนกุศลจะได้ตามไปเอง ยกตัวอย่างเช่น ทาน การทำดีของพระพุทธเจ้าต้องเป็นบุญ และจะได้กุศลไปด้วย การทานคือการให้ เราก็ให้ จะให้เงินทองทรัพย์สมบัติ แม้ให้แรงกาย ให้แล้วคนที่ให้ก็ได้กุศลความดี คนที่ได้รับก็เป็นปฏิคาหก เป็นสังคมศาสตร์ได้กุศล เป็นสังคมศาสตร์ไม่ใช่พุทธศาสตร์ แต่จะได้อุภยัตถะ คือตนเองต้องได้บุญด้วยหากปฏิบัติเป็นพุทธ ตนเองทานก็คือได้ให้ของแก่คนอื่น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

แล้วเราก็มีบุญเพราะเราชำระกิเลสได้ ทานที่เป็นอัตถิทินนัง จะ คือจิตลดความโลภ แต่ธรรมกาย ทานมีแต่โลภ สอนให้ตะกละ สร้างวิมานเพ้อพกได้มาก ตีราคาสวรรค์มากมาย ให้คนหลงใหล เป็นวิมานเพ้อพก ได้แต่กิเลสโลภ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จริงหรือไม่ไม่รู้ เพราะผู้ต้นธาตุต้นธรรมของคุณนั้นหลอกคุณ บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส คุณทำทาน ใครก็เห็นว่าคนนี้ดีเสียสละ เป็นสังคมศาสตร์ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ใช่สัจจศาสตร์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน บารมีสิบทัศ ทานศีลเพื่อเนกขัมมะ

ที่คุณบอกว่า ธรรมกายสอนตามพระพุทธเจ้าสอน ทั้งทาน ศีล สมาธิ อาตมาก็ขอยืนยันว่าผิด สอนผิดจากพระพุทธเจ้าสอน

ว่ากันเรื่องทานก่อน ทานคือการให้เพื่อล้างความโลภ เป็นข้อหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ 10 การสอนไปรวยแล้วจิตคุณจะลดความโลภหรือเพิ่มความโลภ

การตั้งจิตไว้ผิดก็ยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร ข้อต้นนี้คือพระพุทธเจ้าสอนทาน แต่คุณตั้งจิตผิด ไม่ได้ลดโลภ แต่ตั้งจิตเพิ่มโลภ การทำทานเพื่อเพิ่มความโลภ ทำทานแล้วจะรวยใหญ่โตนี่คือโลภเพิ่มขึ้น สอนอย่างนี้ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าที่สอนให้เป็นกถาวัตถุ สอนนอกรีตนอกทาง ทำลายคำสอนพระพุทธเจ้าแหลกเหลวเลย

การทำทานพระพุทธเจ้าสอนให้ลดจิตโลภ แต่ไม่ทำ อาจไม่รู้ว่าจิตโลภคืออะไร หรือไม่รู้แล้วยังสอนให้เกิดโลภเพิ่มอีก หรือว่ารู้อยู่แต่ยังทำ สอนให้ทำทานเสียของแล้วยังทำให้จิตเพิ่มโลภอีก ที่พูดนี้พูดด้วยเมตตานะ ต้องพูดแรงเพราะพูดในยุคนี้พูดเรื่อยเจื้อยมันก็หลับ

อานิสงส์แห่งทานคือการลดกิเลส ประโยชน์ของการทาน ทานแล้วผู้ได้รับทานนั้นคือ ธัมมชโย วัดธรรมกาย ไม่ใช่เนื้อนาบุญ เอาไปเข้าบัญชีชื่อตนเองเป็นร้อยเป็นพันล้าน เขาบอกให้คืนก็จำนนก็เลยคืน กว่าจะคืนใช้เวลาตั้ง 7 ปี นี่คือกรณีหนึ่งนะ อีกไม่รู้กี่กรณี คนทำทานไปที่วัดธรรมกาย เสียของด้วย กิเลสก็ไม่ลด

สีลกถา กล่าวคือ เขาว่า ศีลคืออธิบายคุณการรักษาศีล อานิสงส์รักษาศีล

อานิสงส์การรักษาศีลไปอ่านใน กิมัตถิยสูตรเลย เล่ม 24 ข้อ 1

คนที่ไปธรรมกาย ให้ไปรักษาวินัย ขยัน ทำงานซื่อสัตย์สุจริต แต่เขาก็มีเชิงเอาเปรียบโกง เขาไม่กำชับเรื่องโกงเพราะว่า หัวหน้าเขาโกงอยู่นั่นเอง เขาก็บอก กลางๆ ให้ไปทำสุจริต แต่เล่ห์ทุนนิยมกลับมีอย่างหยำฉ่า

วัดธรรมกายตั้งสหกรณ์ให้กู้เงินมาทำทานสำหรับผู้ไม่มีเงิน แล้วไปเอาเปรียบคนอื่น มาเพื่อทำทาน คนเหล่านี้รักษาศีลแต่เดือดร้อนใจไหม ดีไม่ดีฆ่าตัวตายก็มี พ่อแม่ลูกเต้าทะเลาะกันเพราะว่าทำทานหมดเนื้อหมดตัว เขาบอกว่าปิดบัญชีทางโลกมาเปิดบัญชีทางธรรม การรักษาศีลของเขาไม่ได้เกิดอวิปปฏิสารหรือปีติปราโมทย์เลย แต่กลับไปยินดีแบบโลกๆ ที่จริงรักษาศีลเพราะเขาได้ลดโลภจึงไม่เดือนร้อนใจและปีติปราโมทย์

การทำทานเข้าวัดธรรมกายคือทำทานลงปากงูเห่า!!...พ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ในศีลข้อ 2 คือสภาพปฏิสัมพัทธ์ หมุนรอบเชิงซ้อน ทานศีลภาวนานั้น จะทำอย่างใดก็เป็นไปเพื่อทานทั้งสิ้น เป็นสิ่งสูงสุด

บารมี 10 ทัศ

1.   ทานบารมี                

2.   ศีลบารมี

3.   เนกขัมมบารมี              

4.   ปัญญาบารมี

5.   วิริยะบารมี           

6.   ขันติบารมี      

7.   สัจจะบารมี          

8.   อธิษฐานบารมี

9.   เมตตาบารมี         

10. อุเบกขาบารมี

(พระไตรปิฎก เล่ม 33 ข้อ 1)

 สี่ข้อแรกนี้ ทานศีลเพื่อเนกขัมมะ ออกจากกิเลส คือคุณทำได้ผล ลดกิเลสได้ ปัญญาชัดเจนว่าได้สละออกจากกิเลสจริง เนกขัมมะจริง ถ้าไม่มีปัญญาเห็นจริง ปฎิบัติบารมี 10 สี่ข้อต้นนี่ไม่ได้เลย

เมื่อลดละจางคลายได้ จิตก็เสริมด้วยอีกสี่ข้อ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน จะเพียรเพิ่มขึ้นเพราะเห็นผลลดกิเลส เกิดปราโมทย์ปีติ ไม่ใช่ผลวัตถุ แต่เป็นผลนามธรรม คือลดละหน่ายคลายกิเลสได้ ก็จะตั้งใจฝึกฝนอดทนขันติก็จะมากขึ้น สอดคล้องได้ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ยิ่งเพิ่มอธิฐานะ คือจิตฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ

สรุปบารมี 10 สี่ข้อต้นเป็นตัวปฎิบัติ สี่ข้อกลางเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ เสริมขึ้นเรื่อยๆ ผลสุดท้ายจะเกิดจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จนเต็ม เป็นอรหัตตผล ก็อยู่ทำงานด้วยเมตตากับอุเบกขา เมตตาคือการทำงาน อุเบกขาคือฐานพักของพระอาริยเจ้า สิ่งที่ทำอยู่กับโลกคือทาน ศีลกับเนกขัมมะคือไม่ต้องขัดเกลาแล้ว ปัญญาเต็มแล้ว  วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เต็มรอบแล้ว

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:40:39 )

590309

รายละเอียด

590309_พุทธศาสนาตามภูมิ ศีรษะอโศก เมื่อธรรมะกลาย ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้ก็ถึงเวลาวาระที่ต้องมาเข้าเวรที่ศีรษะอโศก วันนี้วันพุธที่ 9 มีนาคม 2559 เป็นวันที่เกิดสุริยุปราคาด้วย หลวงพ่ออ้วน อภิมันโต ก็ได้เวลาพักผ่อนเสียชีวิตแล้ว อยู่ด้วยกันมา 34 พรรษาก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เราก็อยู่พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ บวชมาสุดท้ายก็มาสิ้นชีวิตในสภาพนักบวช ท่านว่าดีนะผู้ที่ถึงเวลาวาระเสียชีวิตในคราบผ้าเหลือง เขาว่าอย่างนั้น ที่จริงการนุ่งห่มเหลืองในวินัยของศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ผิด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องสามัญ ควรจะเปลี่ยน แปลงแก้ไขได้แล้ว แต่ก่อนสมเด็จญาณสังวรท่านก็คงจะได้รู้เรื่องนี้ ก็เลยเปลี่ยนเป็นสีจีวรให้ถูกต้องต่อมา แต่ก่อนจีวรเหลือง แล้วท่านก็มาเปลี่ยนเป็นสีเม็ดขนุน

วันนี้ตั้งใจจะเทศน์บรรยายต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้

ก่อนจะได้ต่อเนื่อง ก็มีผู้ที่ส่งข้อมูลทางยูทูป อาตมาก็เห็นว่าเรื่องนี้น่าจะเอามาพูด เพราะว่าเป็นเรื่องที่ตั้งจิตไว้ผิด ๆ ก็ขออ่าน sms เมื่อวานนี้

SMS 8/03/59

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม_กาละ) ตอน Space & Time = กรรมกับกาละ

0857308xxx กราบเรียนถามพ่อครูว่า space & time = กรรมกับกาละ อย่างไรคะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ  

พ่อครูว่า...สิ่งที่บรรจุในอวกาศทั้งหมดคือ space พร้อมกับ time คือกาละ สองอย่างนี้ต่อเนื่องกัน continue กันอยู่ ปฏิสัมพันธ์กันตลอดกาล เช่นเดียวกับชีวิตคนขึ้นอยู่กับกรรมทุกวินาที กรร มกับกาละ เหมือนกัน แต่มาเป็นชีวิตชีวะแล้ว มันคือกรรม ส่วน space เป็นรูปธรรม คือทุกสิ่งที่บรรจุอยู่ในห้วงจักรวาล เคลื่อนไป ดำเนินไปตามกาละ สังเคราะห์สังขารไป ตัวเกเรก็มีคืออุกกาบาต นอกนั้นก็มีวงโคจรของตนเองไป รีบ้างกลมบ้าง อย่างดาวหางเป็นวงรี อย่างโลกโคจรเป็นวงกลม

ทุกกาละทุกเวลาวินาทีต้องศึกษาปฏิบัติตนให้สำคัญ ต้องมีสติปัฏฐาน มีวิปัสสนาวิธี ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา ทุกกรรม ตั้งแต่สังกัปปะ วจีกรรม และการกระทำในการอาชีพ เรียกว่าอาชีวะ ตั้งแต่มีศีลเป็นกรอบ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 43 คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

มหาศีล คือศีลครอบคลุมศาสนาพุทธทั้งหมด ภิกษุที่บวชก็ต้องไม่ทำ

เดรัจฉานวิชาทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่พาทำ ญาติโยมก็ไม่ทำ แต่ถ้าภิกษุทำกันเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัด พุทธศาสนิกชนก็ทำตาม มหาศีลก็ไม่เหลือ ศาสนาพุทธก็ไม่เหลือ เกิดจริงเป็นจริงเสื่อมไปเกือบหมด อาจเหลือแต่ชาวอโศกไม่ทำ ไม่รดน้ำมนต์เสกเป่าจุดธูปเทียนบูชาไฟก็เลิกหมด มหาศีลต้องทำไปก่อนเลย เป็นศีลใหญ่ ภิกษุต้องนำพาให้ศาสนาพุทธไม่มีเดรัจฉานวิชา

          ต้องปฎิบัติกรรมตามศีลทุกกาละเวลา จิตจะเกิดปัญญาหรือวิชชา 8 ประการ

 

0805925xxx อ่านแล้วศิษย์จานบินเขียนแก้ต่างเดี๊ยะๆ!ชิตังเม!ปลายฝน  

 

0888255xxx สงสารไอ้คนเชียร์รับจ้างมาเนียนมากๆน่าสงสารจัง ไปเกิดมาคิดใหม่จ้า 

 

0805925xxx เน้นใจถึง1Mไปดุสิตบุรี!อิอิ?ปลายฝน 

 

0844155xxx ไม่มีเสียงพ่อท่านออกมาเพราะอะไรคะ 

 

0824883xxx HELL AND HEAVEN KNOW WELL WHO IS GHOST OR GOD SIR RADM MINT 

 

0816800xxx เคยเห็นแต่คนที่ทำบุญกับวัดธรรมกายจนหมดตัวค่ะ และเคยได้ยินกับหูธรรมกายสอนให้เณรที่บวชภาคฤดูร้อนเก็บเงินใส่กระปุกออมสินเมื่อใส่เต็มแล้วให้ไปทำบุญให้วัดทั้งหมดค่ะ 

 

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ท่านอัดสอนมวยไปเลยค่ะ สมุนธัมมี่มาเอง 

 

0805925xxx อดีตผู้นำบุญวัดญาติเรายังโบกมือบ๊ายบาย!ชีช้ำกะหล่ำปลี!ปลายฝน 

 

0847060xxx สรุปสองอย่าง โง่หรือไม่ก็หลงผิด 

 

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมTVมีสปิริตสูงมีน้ำใจกว้างที่แสดงความเมตตาของพ่อครูช่วยโปรโมทบทความคนเชียร์ธรรมกายมาเสนอให้ญตธ.ได้เห็นน้ำใจชุมชนชาวอโศกที่ช่วยเผยแพร่ธก.ผ่านบุญนิยม! ผู้น้อยเลื่อมใสพ่อครูฯมากยิ่งขึ้นที่ท่านแสดงความเป็นปชธต.ยอมรับฟังความเห็นต่างของพุทธกินเนื้อในกระแสหลักสมเป็นนักปชธต.โดยธรรมแท้!พุทธติดดินกินผักใจพอskk 

 

0888255xxx พ่อครูคะอีโตนเจ้าแอบคนนี้จัง  

 

0824883xxx THE BAD BAHT WILL LEAD PERSON AND SOUL GO TO HELL SIR RADM MINT

 

0805925xxx เคยเห็นแม้วไปวัดนี้จะจะคิดเองเด้อธรรมกลายพันธุ์แท้ๆนะจ๊ะๆ!ชิตังเม?ปลายฝน 

 

0818557xxx เมื่อ17ปีที่แล้วได้พบด้วยตนเองค่ะ มาชวนให้สร้างพระเป็นหมื่น บอกไม่มีเงินพอ เค้าบอกผ่อนส่งได้ ฟังแล้วรีบหนีค่ะ เป็นการสอนให้ทำบุญหรือทำบาปกันแน่คะ  

 

0805925xxx วัดนี้แบ่งเกรดคนนั่งผู้นำบุญนั่งหน้าอาหารก็จัดต่างกันนะจ๊ะๆ!ปลายฝน 

 

0893867xxx คนเชียร์ธก.รู้ข่าวเปาสั่ง จำคุก16ปีศุภชัยยักยอก ทรัพย์สหก.คลองจั่นไม่รอลงอาญาที่เคยถวายปัจจัยธมย.ไหมจ๊ะ?มีระเบียบมีวินัยมีความสะอาดก็อนุโมทนาแต่มีน้ำใจช่วยศุภชัยจะสาธุอะจ๊ะ!skk

พ่อครูว่า..ธัมมชโยฉลาดนะ แต่ทำไมบอกว่าไม่รู้จักศุภชัย ทำไมโกหกให้คนจับได้ง่ายๆนะ

 

0805925xxx ทานแล้วรวยม่ายยเอาไม่เอาเด๋วไม่มีรับทานหมดตูด!ปลายฝน 

0893867xxx ธรรมแท้สอนคนมีความสะอาดมีระเบียบมีวินัยทำดีพูดดีไม่พอนะจ๊ะมีน้ำใจมีเมตตาช่วยคนล้มด้วยนะจ๊ะคนล้มอย่าข้ามนะจ๊ะช่วยคนสูญเงินสหกรณ์ด้วยนะจ๊ะ 

 

0805925xxx ถ้าช่วงๆเป็นสังฆราชชิตังเมดังกว่าเดิมนะจ๊ะๆ!ปฝ 

 

0893867xxx ปฏิบัติมีศีลมีอนุปุพพิกกถาดีจ๊ะแต่มีกถาวัตถุ10มักน้อยใจพอละกิเลสมีความเพียรศีลสมบรูณ์มั่นในกุศลหลุดพ้นกิเลสในทุกเรื่องดีที่สุดจ๊ะ!คนต่อต้านคอรัปชั่นจ๊ะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน ทำทานต้องตั้งจิตให้ลดโลภ

มาต่อของเมื่อวานนี้ คุณ chuti Ja บอกว่าคำสอนธรรมกายเป็นอนุปุพพิกถา เป็นไปตามลำดับเพื่อขัดเกลาตามอัธยาศัยของคน อาตมาก็วิจารณ์ว่า ธรรมกายทำทานไม่ได้มรรคผล แต่ได้นรก นรกคือจิตมีกิเลสมากขึ้นหนาขึ้น คนไปทำทานที่วัดธรรมก(ล)าย ยิ่งทานแปลว่าให้ละความโลภออกไปจากจิต แต่กลับไปสอนอย่างผู้สอนนี้ สอนให้ตั้งจิตไว้ผิด แทนที่จะตั้งจิตให้ลดความโลภ

เมื่อจะให้เงินทองข้าวของวัสดุ แรงงาน ธรรมทาน ก็อย่าไปตั้งจิต อย่าไปทำใจในใจให้มันเป็นความโลภมากขึ้น แต่นี่เขาทำใจไม่เป็น มีอโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจไม่ถูกต้อง แทนที่จะลดโลภ กลับทำให้โลภมากขึ้นในการทำทานนั้น

ทำทานนี้เป็นโมฆะ แทนที่จะได้เป็นอุบัติเทพ กลับได้กลายเป็นสัตว์นรก ผู้ทำกิเลสใส่จิตตนเองนั้นคือได้นรก

ผู้ทำทาน ถ้าทำให้กิเลสโตขึ้น กิเลสโตขึ้นนั่นแหละคือตกนรก มนสิการให้เป็น ต้องอ่านอาการกิเลสในขณะจิตเรา อย่าให้กิเลสโตขึ้น ต้องควบคุมกดข่มไว้ก็ยังดี ยิ่งพิจารณาเห็นไม่เที่ยง เห็นทุกข์ ลดละได้ก็หมดตัวตน มันเป็นแขกจร เราไปหลงว่ามันเป็นตัวจริง แท้จริงกิเลสไม่ใช่ตัวเราของเราเลย ทำจนกิเลสหายไปจากจิต ก็เป็นการบรรลุธรรม

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

จิตที่ตั้งไว้ผิด

โจรกับโจร หรือไพรีกับไพรี

พึงทำความพินาศให้แก่กัน

ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิด

พึงทำให้เสียหายยิ่งกว่านั้น

(พุทธพจน์)

การทำใจในใจ ไม่ใช่แค่นึกคิดเฉย แต่ให้รู้ว่าอาการจิตเราเป็นอย่างไร ตรงไหน หทยรูปเราต้องตั้งจิตเราตรงนั้นเป็นสัมภวะ เป็นแดนเกิด จะเกิดเป็นอุบัติเทพหรือสัตว์นรก ต้องรู้ต้องโยนิโสมนสิการ ไปถึงตรงนั้นให้ได้

การตั้งจิตไว้ผิดนี้ ท่านบอกว่ายิ่งกว่าโจรต่อโจรทำร้ายกัน ยิ่งกว่าข้าศึกกับข้าศึกทำร้ายกัน เพราะโจรกับโจร ข้าศึกกับข้าศึก เขาตั้งหน้าตั้งตาทำลายกัน

พระพุทธเจ้าว่าการทำทานต้องตั้งจิตให้ลดความโลภนะ ต้องมนสิการให้ลดโลภ แต่นี่กลับไปสอนให้รวยมาก ๆ ได้บุญมากใหญ่มาก ก็รวยมากเพิ่มมาก นี่ภาษาก็สอนให้ออกนอกความเป็นพุทธไปหมด จิตก็เลยเกิดเสียหายยิ่งกว่าโจรกับโจรทำร้ายกัน ข้าศึกกับข้าศึกทำร้ายกัน

เท่ากับอาจารย์กับสาวกที่มาทำทานนี้ เท่ากับร้ายกว่าข้าศึกทำร้ายข้าศึก โจรทำร้ายโจรอีก พากันลงนรกลึกร้ายแรงกว่ามากนัก สอนอะไร ชิตังเมโป้งรวยๆ

วงการธรรมกายนี้ทำลายศาสนาพุทธได้อย่างถึงรากเลย

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลขัดเกลากิเลสถึงจิต

เรื่องสีลกถา คุณChuti Ja เข้าใจผิดเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา การปฏิบัติทั้งธรรมกายและส่วนใหญ่สอนผิด เช่น การถือศีล เขาก็สอนแค่ทำกายกับวาจา แต่ศีลไม่ได้ขัดเกลาไปถึงจิตเลย อย่างกิมัตถิยสูตรว่าไว้

อานิสงส์ 10 ของศีล

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1.  อวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2.  ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.  ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5.  สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6.  สมาธิ (จิตมั่นคง)

7.  ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8.  นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9.  วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 , 208)

มีนกกระยางมันหลอกปลา เอาขนมปังมาหลอกให้ปลากิน เหมือนธรรมกายเลย ฉลาดนึกว่าตนเองใจดี เอาความดีตื้น ๆ หลอก ประชานิยมเหมือนทักษิณ จนได้ปลาตัวโตเลย วิธีการแบบนี้สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น ฉลาดเท่าสัตว์เดรัจฉานเลย

จะบอกว่าเขาทำดีก็ดีแค่กายกับวาจา อานิสงส์ไม่ถึงจิต เขาหลอกใจเย็นนะ นี่ได้ตัวโตเลย เอาขนมปังมาล่อปลา แล้วก็จับปลากินได้ หวานคอนกเลย นี่คือวิธีการของธรรมกาย ของพรรคแดง ประชานิยม เอาขนมปังมาล่อ เขาดี น่าศรัทธาเลื่อมใส่ หลอกให้จำนำข้าว ได้เศษเงิน แต่ที่ไหนได้ฉิบหายหลายแสนล้านบาท อย่างนี้เป็นต้น นี่คือคนไม่รู้เท่าทันแค่ตื้น ๆ

อาตมาจำเป็นต้องเตือนสติ ว่าอย่าไปหลงลมคนขี้หลอก เอาทาน เอาศีลมาหลอก

คำว่า สัคคกถา คุณ chuti เขาว่ากล่าวถึงสวรรค์ สาธยายคุณของสวรรค์ที่เป็นผลได้จากรักษาศีลกับทำทาน ถูกต้องถ้าทำได้สัมมาทิฏฐิ ทำทานก็ลดโลภ รักษาศีลก็ได้ผลเป็นตาม กิมัตถิยสูตร แต่นี่ได้กิเลสเพิ่มก็เกิดผลที่ผิด

จิตเป็นสวรรค์จริงจะต้องลดกิเลส แต่ถ้ากิเลสเพิ่ม คือสวรรค์เก๊ เป็นสุขัลลิกะ เป็นสวรรค์หลอก สมมุติเทพ ปุถุชนอวิชชาไม่รู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเอาวิมานมาหลอก เหมือนนกกระสา นกพวกนี้ สมองคุณ คุณฉลาดเท่านกเท่านี้แหละ มีจังหวะรอด้วยนะ ขนมปังมาลอยไปไกลก็จิกมาให้ใกล้ ๆ เพื่อจะจิกปลาได้ง่าย

ที่จริงขนมปังให้ปลานี่ก็ยังเสียสละให้ขนมปังนะ แต่นี่เอาวิมานมาหลอกนี่ไม่ได้ให้อะไรเลย มีแต่พูดครอบงำ สะกดจิตเอานะ ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย คนไปนั่งสมาธิหลับตาให้เขาจูงนำคือ hypnotize คือสะกดจิตจริง ไม่ได้ใส่ความหาเรื่องเลย แล้วก็สะกดได้ก็ให้เขาเชื่อไปทุกอย่างน่าสงสาร เป็นเหยื่อแร้งกา

คนที่ไลน์อันนี้มา คุณ chuti ก็มองตื้นๆว่าเขาดี ก็จริง แต่ดีแค่ตื้น ๆ เหมือนนกหลอกกินปลาเท่านี้

ต้องอ่านอาการของจิตออก ว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าอาการกาม ใช้สัญญากำหนดรู้ว่านี่อาการกาม แล้วก็ทำให้อาการมันเบาลงด้วยปัญญา นี่คือเนกขัมมะ แต่นี่กลับไปเสริมกาม เสริมโลภ ฝากไว้ในวิมานลอยลมได้ ฝากความหวังไว้ในอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตรว่า คนที่คำนึงอดีต อนาคต มี 62 ทิฏฐิ ขออภัยว่าพวกคุณไม่มีภูมิปัญญาอธิบายได้หรอก ไม่มีอานิสงส์ของการออกจากกามหรอก ไม่ได้ปลอดโปร่งเลย เอาภพชาติในอาภัสราพรหม สร้างอาการแบบนั้นใส่จิต ไม่รู้จักมโนมยอัตตา สร้างภพใส ๆ เป็นรูป อรูปใส่จิต ไม่รู้เรื่องเลยว่าเป็นภพชาติอย่างไร แม้แต่กามภพก็ไม่สอน โอฬาริกอัตตาที่ต้องมีทวารนอกสัมผัสก็ไม่เรียนรู้ อย่าไปพูดถึงรูปราคะ อรูปราคะที่จะต้องไปรู้เลย

เบื้องต้นกามภพยังไม่เข้าใจเลย จะไปมีดวงตาไปเห็นรูปภพอรูปภพที่ถูกต้องไม่เป็นฐานะเลย

สมาธิคือจิตตั้งมั่นด้วยการลดกิเลส แต่นี่คุณ chuti ก็บอกว่าเขาแจงการทำสมาธิละเอียดเลย ขออภัยคุณตาถั่วแล้ว กิเลสนี่ละเอียดซับซ้อนได้มากด้วยนะ เหมือนหนังจีนเลย แต่มิจฉาทิฏฐิ จะละเอียดอย่างไรก็ไม่หมุนรอบเชิงซ้อนเท่าของพุทธที่คัมภีราวภาโส เช่น รูป 28 ก็ไม่รู้จัก เจตสิกอีกเป็นร้อยก็ไม่รู้จัก แค่รูปของหยาบยังไม่รู้ก่อนเลย จะไปรู้นามที่ละเอียดได้อย่างไร

คุณยังไม่รู้จักรูป 28 ที่เริ่มจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม มีมหาภูตรูป แล้วมีอุปาทายรูปไปรับรู้ เกิดภาวรูป 2 เป็นเทวธัมมา ก็ต้องรู้ว่าอันนี้ประกอบด้วยกิเลสมีอกุศลจิตนะ ก็ทำลายเวทนาที่เป็นสุขหลอก ๆ ให้ตายไป จนไม่มีกิเลส ก็เหลือเวทนาที่ไม่มีกิเลส อสังขาริกังเจตสิก ไม่มีตัวนำพาให้กิเลสอ้วนเพราะกิเลสดับ 

คุณ chuti ว่า นับตั้งแต่ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร สาธุชน จะให้ความสำคัญเรื่องของความสะอาด ความมีระเบียบ และมีวินัย อย่างเข้มข้น สะอาดขนาดไหน? เอาว่าสะอาดตั้งแต่โถส้วม ยันที่นอน หัวจรดเท้า เสื้อผ้า ทุกอย่างต้องสะอาด เรียบร้อย และความประพฤติต้องมีวินัย

พ่อครูว่า...อันนี้ก็ว่าดี แต่ว่าดีแค่ ขนมปัง เหมือนนกเอาขนมปังล่อปลา เหมือนกัน ประชานิยมของทักษิณยิ่งลักษณ์ไง ทำให้ประเทศฉิบหายเป็นล้านๆ

ไม่ได้แย้งว่าไม่ดี แต่ลึกเข้าไปอีกหน่อยคุณตามไม่ถึงแล้ว อาตมาว่าคุณเป็นเหยื่อนกตัวนี้แน่

เรื่องดีแค่ระเบียบวินัยสะอาด เท่านี้คุณก็ว่าคือศีล แต่แท้จริงศีลนั้นขัดเกลากิเลสถึงจิตได้ดังในกิมัตถิยสูตรว่าไว้

ที่อาตมานำของคุณ chuti jay ที่ลงในยูทูปนี้ อาตมาก็ว่าน่าจะนำมาอธิบายต่อ ก็ขอนำมาเป็นประโยชน์ ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณ chuti jay ที่ได้นำเอามาอธิบาย ก็ควรฟังให้ดี ย่อมเกิดปัญญา ….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:41:35 )

590310

รายละเอียด

  590310_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมื่อธรรมกลาย ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม 2559 สิ่งที่จะนำมาจัดฉากหรือโต๊ะเวทีที่อาตมาออกอากาศนี้จะเป็นผลหมากรากไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ โทรทัศน์ต่าง ๆ เขาก็จะจัดกัน แต่ไม่มีช่องไหนสถานีไหนจะจัดเหมือนที่นี่ เราก็จัดแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนชินตา ให้คนทางบ้านได้เห็น ซึ่งเราก็ปลูกกันเองเป็นหลัก เอามาโชว์มาอวด

ความรู้อย่างนี้ ในองค์ประกอบศิลป์ ที่เขาจัดให้เป็นการตกแต่ง มณฑนะ decorate เขาก็ได้สวยของเขาแบบนั้น เขามีจุดมุ่งหมาย interest point แบบนั้น หรูหราฟู่ฟ่า งดงามยิ่งใหญ่ ส่วนสาระนั้นไม่มี หรือไร้สาระ ของเรานี่เห็นแล้วก็อยากได้เอามากิน น่ากินแล้วร่างกายดีสุขภาพดี นี่คือลักษณะของสาระ องค์ประกอบศิลป์ที่เป็นโลกียะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไร้สาระ แต่ของเราทำนี่เป็นโลกุตระ มีเนื้อแท้ มีความต้องการองค์ประกอบไม่เหมือนกัน จึงได้

เขาก็ได้อย่างเขา คือได้กิเลสฟุ้งเฟ้อไร้สาระ แต่เราก็ได้ ได้สาระ ดีไม่ดีก็บอกวิธีปลูกอย่างไร บอกว่าใช้ปุ๋ยอะไรดีอีก สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมสังคม เป็นความรู้แล้วทำให้เราประพฤติปฏิบัติต่างๆนานา การทำแล้วเกิดองค์ประกอบศิลปะที่ทำให้เกิดการกระตุ้นจิต ให้เป็นไปเพื่อให้กิเลสเพิ่มขึ้น หลงความหรูหราฟู่ฟ่า อันนั้นเป็นโลกียะ

ส่วนอันนี้กระตุ้นจิตให้เป็นไปเพื่อการลดกิเลส ให้มาเข้าใจเรื่องสาระที่เป็นประโยชน์ใช้สอย ลดกิเลสที่จะไปติดยึดอันโน้น และมาเข้าใจอันนี้ ให้มาเข้าใจความสร้างสรรสาระให้แก่ชีวิต

อะไรก็ตามที่เอามาเป็นองค์ประกอบ และน้อมนำให้คนเกิดการลดกิเลส ก็เป็นศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ส่วนอันไหนที่โน้มนำให้คนเกิดกิเลสเพิ่มขึ้น อันนั้นเป็นอนาจาร เป็นข้าศึกแก่กุศล ไม่ใช่มงคลอันอุดม

ในวันที่ 19 และ 20 มีนาคมที่จะถึงนี้ อาตมาก็จะเปิดเผยความเป็นศิลปะโลกุตระ อาตมาได้ทำงานสร้างสรรศิลปะ ให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ จนเกิดในหมู่ชนกลุ่มชน อาตมาได้นำศิลปะมาใช้ และพวกคุณได้ผลจากความรู้ที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ เป็นโลกุตระศิลปะและโลกุตรธรรม

หนังที่สร้างขึ้นมาแล้วคนดูแล้วเกิดความมันส์สะใจ เป็นความรักดูดดื่มหรือพยาบาทแก้แค้น ทำให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้น แต่คนทำให้คนติดใจมันกินใจ กิเลสก็ยิ่งจะฉ่ำ มันสุดมัน สุขสุดยอด กิเลสก็ยิ่งฉ่ำ ทั้งสายบู๊และบุ๋น สายรักหรือสายชัง ที่เขาทำกันในโลก หนังมีแต่มอมเมายิ่งขึ้น จัดจ้านยิ่งขึ้น เป็นเรื่องนรกอบายภูมิ แต่เขาไม่รู้ตัว แม้ในเมืองไทยเมืองพุทธก็ไม่เข้าใจโลกุตระ

 

มาพูด sms กันก่อน

SMS 9/03/59


สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ผีไม่มีจริง    

0816800xxx ดิฉันเป็นคนกลัวผีมากค่ะ อยากจะขอคำแนะนำจากพ่อท่าน ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้หายกลัวผีได้คะ กราบขอบพระคุณค่ะ  

พ่อครูอธิบายผีไม่มีจริง คนที่นั่งสมาธิเข้าไปในภพแล้วเจอผี หรือเทวดา อันนั้นไม่ใช่ของจริงสักอย่าง ในพุทธใครสอนเช่นนั้น คนที่สอนคือคนนอกพุทธ พระพุทธเจ้าสอนสภาพความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งเราจะระลึกได้สองอย่าง คือ อดีตที่เราเคยได้ เคยเป็น เคยผ่านพบ กับอนาคตที่เราคาดว่าจะเป็น

ถ้าอยากพิสูจน์ก็เดินเข้าไปพิสูจน์เลย ไม่ว่าผีหรือเทวดา จะพบว่ามันไม่มีหรอก ตัวผีเทวดาสัตว์นรก ส่วนมากไม่ค่อยเห็นเทวดา ก็เดินเข้าไปพิสูจน์ให้ชัด มันเป็นมโนมยอัตตาทั้งสิ้น จริง ๆ มันคือกรรมชั่วกรรมดี ท่องคาถาอาตมาว่า แค่ตาย ๆ กลัวตรงไหนเข้าไปพิสูจน์เลยตรงนั้น จะหายกลัวผี
 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.ศรีษะอโศกทุกฯพุทธสถ.ฯมวลเสริมทัพทวงคืนดินแดนเขาพระวิหารนะจ๊ะ 
 

0805925xxx แล้วชื่อช่วงช่วงหละ!กรรมมาเป็นช่วงช่วง ทั้งรถหรูและตำแหน่งใช่ป่ะคะ!อิอิอิ?ชิตังเม@ปลายฝน 

พ่อครูว่า...คำว่าช่วง ๆ ก็สื่ออะไรในสังคมช่วงนี้ 1. ช่วง ๆ หมายถึงสรรพนามบุคคล และ 2. ช่วง ๆ หมายถึงกาละเวลา ก็เอามาใช้พูดสื่อกันให้เข้าใจ


          0893867xxx ฟังพ่อครูอธิบายทานกถาสีลฯสัคคฯกามาทีนวฯเนกขัมมาสังสกถา,เข้าใจเรื่อง ทานสู่สวรรค์แท้จริง คือจิตที่ละจากกาม มีใจเสียสละแบ่งปัน มีฉันทะใฝ่หาความสุขสงบอันถูกต้องดีงาม! ถูกไหมจ๊ะ
 

0817290xxx ดิฉันเคยไปธรรมกาย ทางวัดเขาจะบอกว่าทำบุญให้หมดกระเป๋าเลยกลับบ้านแล้วจะได้รวยๆๆๆ 
 

0893867xxx กราบขอบคุณธรรมะธก.นะจ๊ะ ช่วยให้พ่อครูฯอธิบายสวรรค์อยู่ในจิต นรกอยู่ในใจ ปราสาทแก้วเพชรทองคำอยู่ในมโนมยอัตตาเต็มๆเลยนะจ๊ะ!

พ่อครูว่า...คนนี้ฟังธรรมเป็นเข้าใจ
 

0896443xxx นักบวชของสันติอโศกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบน่าเลื่อมใสกว่า พวกมีตาลปัตรพัดยศมากทีเดียว สาธุ  พระพุทธเจ้าสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ทำพวกจานบินนอกคอกยึดอัตตา ยังจะเป็นพุทธะอีกหรือ ? 
 

0893867xxx ศีลสมาธิปัญญาต้องนำมาใช้ได้กับการเผชิญกับทุกขสัจในแต่ละบุคคลสังคมโยงไปหาเหตุแห่งทุกข์จากโลภ(ทุนนิยม)โกรธ(อำนาจนิยม)หลง(การศึกษาอย่างผิดๆ)ให้ตามดูรู้ทันโลกธรรมด้วยนะจ๊ะ!
 

 0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ท่านสอนมวยได้อย่างถึงแก่นธรรมที่เป็นของจริงๆ เค้าจะฟังรู้เรื่องปะเนี่ย

 

0893867xxx ขอบคุณอ.ส.ศิวรักษ์ ธรรมพุทธทาส บุญนิยมจรธ.จ๊ะ
 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ขับรถทับมดตายจะบาปไหม

คำถามจากไลน์ คุณตรง  ขอนแก่น ถามมาว่า

1. พ่อครูท่านขับรถตรวจงาน ท่านไม่กลัวไปทับมดหรือสิ่งมีชีวิตตาย

จะผิดศิลปาณาหรือครับ?
          พ่อครูว่า...คุณเดินไปนี่เหยียบมดตายไปหลายแล้ว ถ้ามันอยู่เป็นกลุ่มก็จะเห็นง่ายหลีกได้ แต่มดนี่ที่อยู่นิ่ง ๆ อยู่ตัวเดียวเล็ก ๆ นี่เหยียบมดตายไปมากนะ ถ้าจะไปกลัวอย่างนั้นจะต้องเดินมีสติอย่างมาก ดีไม่ดีต้องถือกล้องส่องขยาย เป็นพวกเชนต้องทำเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้มันสุดวิสัย ก็เอาประมาณหนึ่ง พูดไปเหมือนเราต้องสั่งสมวิบาก มันต้องเป็นต้องมี

ข้อสำคัญคือ เราที่ต้องทำเช่นนี้บ้าง เราก็ต้องทำกุศลปริมาณมากพอที่จะคุ้มอันนี้ เพราะอันนี้สุดวิสัย แต่ละวันจึงอย่าย่อหย่อนที่จะทำกุศล ยิ่งทำกิเลสลดได้ ยิ่งสูงส่ง ลดกิเลสได้จะเมตตาแบบพุทธ เรียนรู้ทุกอย่างในความเป็นชีวะ เป็นจิตนิยาม จะเกิดเมตตาลึกซึ้งซับซ้อน จิตนิยามก็พลังงานระดับหนึ่ง ต่างกับพีชนิยาม คุณสงสารสัตว์มากกว่าพืชนะ เราต้องช่วยคนก่อนสัตว์ เป็นสัจจะไม่ได้ยากอะไร ถ้าเราละเอียดไปจะสับสน กลายเป็นพวกเชน อะไรก็ไม่ได้ หนักเข้าเดินแข็งกลัวเร็วไปผิด  

 

2. คือปัจจุบันจะเห็นรถยนต์ติดสติกเกอร์ว่า  รถคันนี้สีแดง ทั้งที่ความจริงรถคันนี้เป็นสีขาว ขอถามว่ามันจะแก้เคล็ดตามที่หมอดูเขาทักมาได้หรือครับ  เพราะตอนนี้มีมากมายเลยครับ

พ่อครูว่า...เป็นการสร้างให้จิตวิปลาสกัน เป็นการสร้างมโนมยอัตตา เช่น ยกตัวอย่างว่า ผลไม้อันนี้มันหวานอร่อย หวานคือรสชนิดหนึ่ง ความอร่อยไม่มีจริงเป็นอุปาทาน แต่คุณถูกหลอกไว้แล้ว ทั้ง ๆ ที่รสนี้คนไหนแตะก็รสเดียวกันนี้ ถ้าประสาทไม่เสีย จะหวานก็หวานเช่นนี้ ไม่มีอร่อยหรอก มีแต่รสหวาน sweet หรือภาษาอื่นเรียกก็รสเดียวกัน แต่คุณรู้สึกอร่อยนั่นแหละคือความไม่จริง คืออุปาทานที่คุณหลงเชื่อ จนเกิดเชื่อจริงว่าอร่อย ใครเลิกอุปาทานนี้ได้ หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยว บอกว่าเปรี้ยวอย่างนี้เหมาะใจอร่อย คุณกำหนดเองทั้งสิ้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อนุปุพพิกถา) ตอน อนุปุพพิกถา 5 ประการ

เราได้พูดถึงข้อความของคุณ chutijay

มาถึง อนุปุพพิกถา กถาคือคำสอน อนุปุพพิคือตามลำดับ

1. ทาน 2. ศีล 3. สัคคะ 4. กามาทีนวะ 5. เนกขัมมสนิสังสา

ทาน คือ การสอนเรื่องการให้ สัมมาทิฏฐิข้อที่หนึ่ง เราทำทานแล้วต้องให้เกิดผล ทำทานแล้วเราจะสละความโลภ ต้องอ่านอาการจิต โลภเป็นอาการอย่างไร พอเราให้อะไรใครแล้ว เราต้องรู้ว่าใจที่ให้เป็นอย่างไร ไม่อยากได้อะไรตอบแทน ดีไม่ดีบางแห่งสอนว่าจะได้อะไรมากกว่าเก่าอีก ทำบุญกับที่นี่นะ ทำบุญร้อยจะได้ล้าน เป็นต้น

แล้วหลอกว่า ทำทานกับหลวงพ่อแล้วจะได้เจริญก้าวหน้าในอาชีพ มันก็จริงที่คนเหล่านั้นจะขยันพากเพียร ก็ได้ผลต่อไป เขาขยันก็ทำอาชีพก้าวหน้า เขาก็บอกว่า คุณยิ่งได้มามาก ๆ แล้วก็ทำทานมากๆ จะได้มาก ๆ ขึ้นไปอีก คนเหล่านี้ที่ถูกหลอกแบบนี้จะเป็นคนจน เพราะอยากได้มาก ส่วนคนที่มีมาก เขาไม่กล้าให้มาก แต่ก็ให้ระดับหนึ่งก็ยังมากแล้ว สรุปแล้วเขามีแต่ได้กับได้ และได้ จากผู้ที่หลงเชื่อเขา นี่คือวิธีการตื้น ๆ ง่าย

เหมือนกับนกกระสานกกินปลา ที่เอาขนมปังหลอกปลา ก็ฉลาดเท่ากับนกเท่านั้นแหละ ก็เหมือนกับคนที่ใช้นกเป็นเครื่องมือหาปลา รัดคอนกไว้ไม่ให้นกกลืนปลา แต่คนเก็บปลามา แต่ว่ามีหงส์ดำที่เอาข้าวมาเลี้ยงปลา ไม่ได้กินปลา

เขาไม่รู้หรอกว่า เขาบอกว่าทำทาน แต่เขาก็บอกว่าทำบุญด้วย ทั้งที่เนื้อแท้คำว่าบุญคือการชำระกิเลส เขาก็พอรู้ว่าคำว่าบุญสูงกว่าทาน ก็เลยเอาคำว่าบุญนี้มาหลอกคน

เหมือนคนเล่นหวย ถูกคนออกหวยให้ซื้ออยู่ตลอดกาลนาน เขาจะโฆษณาให้มีหัวหน้าหน่วยเหมือนขายตรง เป็นลูกโซ่ขยาย คือวิธีการทุนนิยม เขาจึงขยายได้ มีส่วนได้มาไม่สิ้นสุดง่าย ๆ มันจะแตกเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทับทวี วิธีการเช่นนี้ ทุนนิยมถนัด คนจะเกิดกิเลสตกเป็นเหยื่ออย่างนี้ตลอดกาลนาน ใครไม่เข้าใจไม่รู้ทัน คนที่สอนทานแบบสวรรค์เก๊ ก็จะหลงสวรรค์เก๊ตลอดกาลนาน

สีลกถา

เขาก็ว่าปฏิบัติศีลเช่นนี้จะได้ความสุข ได้นิโรธ วิมุติ ซึ่งต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต ของกิเลส เห็นกิเลสว่ามันเคยแรงเบาขนาดไหน แล้วปฏิบัติลดละ มีความดับกิเลสในจิต แล้วหลุดพ้นได้จริงอย่างรู้

เราก็เรียนรู้ทาน ศีล เพื่อเข้าใจจิต เพื่อไปถึงความจริงตามความเป็นจริง

สวรรค์ อะไรที่ได้ตามอุปาทานที่ยึดไว้คือสวรรค์ คือสมมุติเทพ สวรรค์เก๊ สุขชอบใจเป็นอิฏฐารมย์ทั้งหลาย ได้เห็นได้ยินได้กลิ่นอันนี้ ได้ลิ้มรสอันนี้ ได้สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย มันไม่มีหรอก มันอะไรก็เป็นอันนั้น

สรุปคือ มีสวรรค์เก๊ กับสวรรค์ลดกิเลส เป็นเนกขัมมะ ส่วนมากจะไปทางกิเลสหนาใหญ่ปุถุ ทั้งมาก แน่น หนาใหญ่

คำว่าสวรรค์ก็ไม่เข้าใจ ทำลดกิเลสไม่ได้ จึงไม่รู้จักกามาทีนวะ อยากรวยก็ได้รวย อยากสวยก็ได้สวย อยากกินก็ได้กิน ได้สมรส สมใจทั้งนั้นตามอุปาทานทั้งสิ้น ในการสมรสที่เขาเอาไปเรียกกับกาม จึงไปเรียกเอาการสัมผัสเสียดสีทางเพศของชายหญิงก็เป็นสมรส ใครไปได้รสสัมผัสเสียดสีชายหญิง มันก็จะรู้สึกว่าเหนือกว่ารสของ กลิ่น ลิ้น รส การมองเห็น ธรรมดา ความจริงแล้วมันรวมไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นทางรูป ก็รวมไปในรสอันนี้ รูปนี้สวย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นก็ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสเสียดสีก็ด้วย ดีไม่ดีก็เอาลิ้นไปแตะ แตะที่ไหนก็ดูดีไปหมด ติดยึดไปหมด แม้แต่ไปแตะฝ่าเท้าก็ซาบซ่านได้ นี่คือติดยึดสมมุติทั้งสิ้น ความจริงมันไม่มี

แตะอย่างนี้มันเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เท่านั้น แต่ไปติดสมมุติเท่านั้น ก็เลยเกิดอาการจริง ๆ อาตมาก็เคยผ่านมา เป็นทั้งนั้น มากน้อยตามอุปาทานของใครของมัน นี่คือสัจจะ คือสวรรค์เก๊ทั้งนั้น ไม่มีสวรรค์เลยคือสวรรค์จริง รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสใด ๆ

เรารู้เช่นนี้ เราก็รู้ว่าเราติดยึดกามมากแค่ไหน ก็ต้องมาเนกขัมมะ ก็ทำตามปริตตัง ไม่ทำทีเดียวทั้งหมด ไม่ได้หรอก ไม่ไหว วิธีการพระพุทธเจ้าเป็นอุบายโกศล ได้แล้วก็ค่อยขยายขึ้น ก็ทำได้ นี่คือทั้งสวรรค์ที่เรียกว่า รู้จักสวรรค์จนเห็นโทษในกาม

กามนั้นอยากได้มาสมรส ทั้งรสอยากได้ดูดดื่ม ทั้งรสได้แก้แค้น ก็ทั้งผลักทั้งดูด แก้แค้นได้รุนแรงสมใจ ก็ไคลแมกซ์สมรสทั้งนั้น ไม่ว่ารสรัก รสชัง รสพยาบาทแก้แค้น

ถ้าเรารู้ว่าบำเรอความต้องการแล้วติดสมมุติ ถ้าล้างการยึดสมมุติได้ ก็เนกขัมมะ คือออกจากอุปาทานยึดติดได้ ก็คือเนกขัมมะแท้จริง คือประโยชน์ที่ได้ ไม่ใช่ประโยชน์คือได้สมใจสมมุติ ยิ่งหนัก หนา แน่น คือสุดโง่ ๆ ตามสำนักที่ยกตัวอย่าง ธรรมกาย ประโคมใหญ่มาก หาวิธีใช้ค้อนทองคำใหญ่ ชิตังเมโป้งรวย แล้วก็คนจะเป็นสังฆราช ยังบอกว่าชื่นใจที่ได้เหยียบดอกไม้ แค่คนถือศีล 8 เขาก็ไม่ยินดีในดอกไม้ของหอมแล้ว คนสร้างวิธีการก็โง่แล้ว คนเป็นอาจารย์คนสร้างยังไปยินดีอีก ก็โง่แสนโง่แล้ว

ต้นตอคือนรก คืออุปาทานยึดไว้ในอนุสัย การออกจากกาม ออกจากพยาบาทก็พูดกัน ว่าคือออกจากการติดยึดทั้งดูดทั้งผลัก

เรียกว่าคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ เลยมืด 16 ด้านเลย แล้วคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังด้วยกัน จะไปถูกโรงไหมนี่ แล้วดันไปถูกโรงหนังใบ้อีก จะซวยกี่ชั้น มันเป็นเช่นนี้ที่ทำกันทุกวันนี้ เขาเป็นสายอาภัสรา สว่าง จะหลงมาก นรกก็จะลึกมากด้วย ฉิบหายมากด้วย นรกมากนรกเยอะ

ส่วนสายมืดนั้นสะกดจิตไปลงดิ่งดับ จะมีนรกไม่มากเท่าลัทธิสว่างใสแบบธรรมกาย หาคนจะโง่แบบธรรมกายไม่มี เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นต้นธาตุต้นธรรมของนรกใหญ่ คนโง่ที่จะทำนรกใหญ่ให้ตนเองหายากนะ คนจะเลวหนักขนาดนี้ก็หายากนะ ท่านเจ้าคุณเทพที่วัดปากน้ำ อาจารย์เขายังไม่กล้าจะสร้างนรกใหญ่ขนาดนี้เลย ยายจันทร์ เขายังกล้าทำนรกใหญ่กว่ายายจันทร์อีก เขาไม่รู้ก็เลยสร้าง ยังไม่เคยเห็นคนโง่ขนาดนี้มาก่อนเลย คือคนเราหลงว่าตนเองฉลาดคือคนโง่ หลอกคนได้มาก ๆ นึกว่าตนเองฉลาด คือตีลังกากลับ คือธัมมชโยนี่ มันน่าสงสารสังเวช ที่พูดนี้ให้รู้ตัว จะฟังบ้างหรือเปล่านะ

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:42:44 )

590310

รายละเอียด

590310 พ่อครูเทศนาหน้าศพ สมณะอ้วน อภิมันโต

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้เมตตาเดินนำหน้าหมู่สมณะสิกขมาตุ และญาติธรรมเพื่อนำศพหลวงพ่ออ้วนไปสู่เฮือนสุดชีวิต

อ.เป็นต้น นาประโคนได้ประพันธ์บทกวีสำหรับงานนี้ว่า

 

หลวงพ่ออ้วนคนสุดทนคนทนที่สุด

 

จากเถระ ละหมาย ปลายหางแถว

ทนสุดแล้ว แล้วทน ท่านทนไหว

คือนักสู้ ผู้เผดียง ผู้เกรียงไกร

ใครจะเหมือน ท่านได้ ในยุคนี้

 

ใครจะว่า ด่าไป ไม่ถือสา

ใครจะแย่ง แช่งด่า ข้าไม่หนี

ทนเสียอย่าง อย่างผู้  รู้ราตรี

คนอย่างนี้ นี่แหละ คนสุดทน

 

ทุกคนก็จะมาถึงวาระนี้กันทุกคน ที่อยู่ก็อยู่ไปก่อน ที่ไปก็ไปก่อน อย่างหลวงพ่ออ้วน เมื่อเทศน์หน้าศพทีไร อาตมาก็จะเน้นเรื่องนี้ เรื่องของกรรม กรรมวิบากเป็นเรื่องที่ตนต้องรับ ตนเป็นทายาทของกรรมของตน

 

แม้เราจะมีบุญที่จะล้างกิเลส ก็ทำได้แต่ในปัจจุบัน ผู้จะหมดบาปก็หมดบาปที่จะมีขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนบาปที่เกิดอดีตนั้น ก็จะเป็นผลวิบาก พาเราไปสู่ดีสู่ชั่ว เราก็ต้องอาศัย กรรมวิบากบาปนั้น วิบากชั่วนั้นจะแรงกว่ากุศลด้วย ส่วนความดีที่ทำต่อกันนั้นจะไม่ค่อยกระเหี้ยนกระหือรือ ไม่เหมือนกัน

 

จะหนีวิบากจะต้องสร้างปัจจุบันให้เครื่องมือที่เป็นบุญ ซักซ้อมปฏิบัติจริงจนเป็นอาวุธที่เด็ดขาด และสามารถฆ่ากิเลสที่เป็นปัจจุบันนี้ได้ นี่เป็นประสิทธิภาพที่ดีที่สุดที่จะทำได้ เมื่อเราทำได้อย่างแข็งแรงตั้งมั่น จนเป็นอยู่นิรันดร มีความไม่กลับกำเริบ ใครจะทำลายไม่ได้ เรียกว่าอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง ต่อจากนั้นไม่ต้องทำอีก เพราะไม่มีบาปไม่มาอีกแล้ว

เราต้องสร้างกุศลให้มากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น จนเหมือนกำแพงกั้นวิบากที่เหมือนหมาไล่เนื้อ ให้ตามมาไม่ทัน แต่ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีวิบากบาปตามมาทันอยู่พอสมควร

 

พวกเราฟังให้ดีอย่าประมาท มีชีวิตอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก อ่านลมหายใจเข้าออกเมื่อเรายังไม่ตาย ถ้าเข้าใจหลักธรรมพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปในสติปัฏฐาน 4 อย่างมีสัมมาทิฏฐิให้ดีก็มาอยู่กับหมู่แล้วก็พากันปฏิบัติให้แข็งแรง มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้

 

จะไปหลงกับสรรเสริญไปมันก็แค่นั้น ไม่ได้อะไรมากมาย ดีไม่ดีก็ขาดทุนทำให้กิเลสเพิ่มขึ้นอีก ถึงยากมากที่จะอยู่ในสังคมกับโลกแล้วกิเลสไม่เพิ่มก้าวหน้า จึงเรียกว่าเป็นคนปุถุชน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ใส่ความ ท่านตรัสรู้ในเครื่องความจริงเช่นนี้ทั้งนั้น

 

หลวงพ่ออ้วนบวชอยู่ข้างนอกตั้ง 19 ปี แล้วก็สึกออกมาบวชกับอโศก อยู่กับอโศกมาอีกตั้ง 34 ปี จนสิ้นชีวิต ได้อยู่เป็นสมณะ แม้จะเป็นอย่างไรก็ปฏิบัติ และแม้จะปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาจนหยดสุดท้าย นี่เป็นตัวอย่างที่ดี

 

เมื่อคนเรามีชีวิตอยู่ก็เข้ามาเถิด อาตมาถึงบอกว่าใครอยู่ที่นี่แล้วก็ออกไปข้างนอกถ้าสู้ไม่ไหวก็ซมซานเข้ามา เค้าจะเอาตีนยันลูบหน้าก็เข้ามา ให้ลูบเลย อาตมาพูดถึงขนาดนั้นมันก็มา แต่อย่าเอาอะไรติดตัวเข้ามาที่คนข้างในนี้ห้าม เช่น เป็นเอดส์ นิสัยเสียเกินไป ที่นี่ก็ไม่ให้เข้า แต่ถ้าไม่เสียเกินไปก็เข้ามาดู ผู้ที่ไม่มีเหตุปัจจัยที่หมู่กลุ่มรังเกียจเกินไปก็ให้เข้ามา จะช้าอะไรกัน จะเอาอะไรกันนักกันหนา จะไปได้เงินอีกล้านๆ หรือ สองล้านๆ ที่มากกว่างบประมาณประเทศไทย ให้เป็นมหานายก เป็นนายกไม่พอ ให้เป็นมหานายกเลย แล้วเป็นยังไง ขนาดนายกประยุทธ์ก็ยังปวดสมอง ขนาดมีอำนาจมาตรา 44 ก็ยังปวดสมอง อาตมาให้ไปทำก็ไม่ไปทำแค่นี้ก็เหลือแล้ว

 

คิดให้ดีๆชีวิต ให้พยายามพากเพียร เพราะเปิดที่ดินให้จอง ก็มีการจองเต็มไปเลยแต่ไม่เห็นมาสร้างบ้าน นี่จะเป็นปีแล้วมีอยู่แค่ 3 ถึง 4 หลัง ศาสนาคริสต์ถึงบอกว่าให้เอาคนที่เป็นเศรษฐีมาปฎิบัติธรรมนั้นยากยิ่งกว่าเอาอูฐลอดรูเข็ม เป็นคำเปรียบเทียบของพระเยซู

 

เพราะฉะนั้นใครทำมาได้ถึงบอกว่าเป็นผู้เจริญ มีปัญญาแถมเป็นผู้ฉลาด ก็เตือนเรื่องนี้ไม่มีอย่างอื่นสำคัญกว่านี้ ยังมีอีกเยอะที่ประมาท ถ้าเราไม่เก๊จนเกินการก็เข้ามา แต่ถ้าเก๊เกินไป ก็อย่าเพิ่งเข้ามา ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเราไม่แย่เกินไปก็เข้ามา มาถือศีล ถ้าไม่มีอบายมุข กินมังสวิรัติมาเท่านั้นแหละ บอกลูกบอกหลานให้มาอยู่ก็ไปออกไปข้างนอก บอกว่าทรัพย์สมบัติที่นี่เป็นของพวกเธอทั้งหลาย ไม่มีใครแย่งเอาไปได้ เป็นมรดกของสาธารณโภคี มันเป็นของส่วนกลางให้อยู่ไปเลย เราก็อาศัยกินอาศัยใช้ แต่อยู่ที่นี่มาให้ฟุ่มเฟือยมาให้มีนิสัยเสียอยู่ที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน เหมือนเค้าบังคับนะ แต่ไม่บังคับ จะมีสมบัติเยอะแต่จะใช้สมบัติแบบคนอยู่ข้างนอกส่วนตัวไม่ได้ มาที่นี่จะต้องทำดี ไม่ดีอยู่ไม่ได้ เป็นหลักการที่พิเศษสุดแล้ว วันนี้ก็ขอเอวังเพียงเท่านี้

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:43:23 )

590313

รายละเอียด

590313_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอน เมื่อธรรมกลาย ตอน 4

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2559 ที่บ้านราชฯเมืองเรือ

พ่อครูว่า….ก่อนจะได้กล่าวถึงข้อเขียนคุณ chutti นี้ ที่คุณสิริอัญญาได้นำไปลงในหนังสือแล้ว อาตมาก็ขอบคุณอย่างยิ่ง ที่ได้สาธยายความดีเด่นของธรรมกายมา อาตมาก็จะได้ชำแหละให้เห็นจริง ว่าแท้ ๆ ทั้งหมดคืออย่างไร

ที่จะต้องทำอย่างนี้ เพราะธรรมกายเป็นลัทธิที่ทำลายศาสนาพุทธถึงรากเลย ไม่ได้มาหาเรื่อง แต่พูดอย่างแท้จริง เพราะเอาความฉลาดแกมโกงที่เข้าใจค่านิยมพื้นๆ ที่เป็นคุณงามความดีทั่วไป ที่เห็นได้เข้าใจได้ง่าย แล้วแถมไปว่า อันนี้เป็นความไม่ดี เลิกเสีย เช่น อบายมุขตื้น ๆ เป็นต้น ยกขึ้นมาเด่น ๆ แล้วหลอกว่า ดีง่าย ๆ นี้ให้ซับซ้อน ด้วยเลศเล่ห์กลลวง มารีดนาทาเร้นจากคนหลง มีอวิชชา ไม่รู้ไปหลงวาดภาพหลอกไว้ในจินตนาการ ความฝันอันลอยลมเพ้อเจ้อ นั่นคือกิเลสของคนที่อยากได้โลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่ประกอบด้วยความหรูหราสวยงามผุดผ่อง ประกอบเข้าไปเป็นวิมานลอยลม จะปั้นรูปปั้นเรื่องปั้นตัวตนอย่างไรก็ได้ ให้สวยสดงดงามเท่าที่คนจะมีกิเลสชื่นชม เป็นกิเลสกาม กิเลสใคร่อยากในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือแม้แต่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่มีวันจบ ให้มีแนวโน้มไปสู่จุดที่คนมีกิเลสต้องการ ไปหลงมีภพมีชาติว่าถ้าได้อย่างนี้ก็จะดี

บอกว่าให้ลงทุนทำทานไปมาก ๆ จะได้ผลในอนาคตในการทำทานเอาเงินเอาทองมาให้เขามากๆ แล้วจะได้อานิสงส์ในการตอบแทนอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความรู้ตื้น ๆ ที่ใครที่ไหนก็รู้ แต่คนก็ช่างกระไร เหมือนเด็กให้เขาหลอกได้หลอกดี ก็เลยมาหลอกอีกว่าได้มวลมาก ๆ คนมีกิเลสมากเป็นมวลมีจำนวนมากในสังคม แค่นี้ก็เป็นประกอบเป็นเหตุผลแล้วก็ได้มวลมากนั้นได้คนอย่างไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ชุมนุมด้วยความสงบ สยบความรุนแรง

เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พระสารีบุตรได้ชวนอาจารย์ไปหาพระพุทธเจ้า อาจารย์ก็บอกว่าจะขออยู่กับคนที่โง่มีจำนวนมากนี้ดีกว่า จะช่วยคนโง่ที่มีจำนวนมาก ไม่ไปอยู่กับคนฉลาดจำนวนน้อย

พระพุทธเจ้าว่า ...จิตที่ตั้งไว้ผิด โจรกับโจร หรือไพรีกับไพรี พึงทำความพินาศให้แก่กัน ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้น ทำให้เสียหายยิ่งกว่านั้นอีก

แต่การไปเอาความถูกต้องดีงามความสงบไปชนะความไม่ดีงามความรุนแรงได้นั้น ไม่ใช่การตั้งจิตไว้ผิด ทำให้เกิดความสงบได้จริง ทั้งสำนึกผู้จะทำรุนแรง กระทบแล้วสะท้อนใจมากว่าเรากำลังทำร้ายใคร เราไปทำกับผู้สงบไม่ร้ายแรงตอบ แล้วเราไปทำเขาได้อย่างไร อันนี้เป็นการแก้จิตวิญญาณได้ยอดเยี่ยมที่สุด เป็นธรรมาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุด

สองคนนี้เก่งยิงปืนเร็วไวแม่น เดินหันหลังหากัน คนเป่านกหวีดก็หันมายิงกัน มันแม่นทั้งคู่แล้วเร็วเท่ากันด้วย เข้าหัวใจทั้งคู่ตายทั้งคู่ สุดท้ายคือโจรต่อโจร ไพรีกับไพรี ฉิบหายทั้งคู่หากห้ำหั่นกัน ทักษิณนั้นแพ้ไม่เป็น ต้องมีจิตวิทยาลึกซึ้ง ต้องเอาความสงบอย่างไม่รุนแรงเลยไม่ได้ เพราะคนทำความรุนแรงมันไม่กลัวความสุภาพ มันกลัวความรุนแรงบ้าง เป็นที ๆ ให้รู้ว่าข้าแรงเป็นเหมือนกันนะ

เช่น ถ้าทักษิณจะใช้ความรุนแรง เขาก็จะใช้คนของไทย หรือใช้นักรบรับจ้างจากประเทศอื่น เขาต้องใช้เงิน ส่วนไทยมีประชากรที่เห็นด้วยเข้าใจ พูดรูปธรรมอย่างพล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจ ความรู้ ความยอมรับของพลเมืองของกองทัพทุกกอง ทักษิณก็รวมกองทัพตนเองเท่าที่รวมได้

ถ้าจะเอากองทัพของทักษิณหมดก็เท่ากับสู้กับกองทัพไทยที่เห็นด้วยกับพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งท่านก็บอกว่าอย่านะ ฮึ่ม ทักษิณก็กลัว เพราะเขาประเมินแล้วว่าเขามีเงินจ้างได้เท่านี้ สู้กับกองทัพไทยไม่ได้แน่ เขาประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ เขาก็มีแต่ว่า แพ้ไม่เป็น ก็เลยเป็นแบบนี้ เขาใช้กลยุทธ์ หว่านล้อม จ้างเทวดามาล้างส้วม มาเช็ดขี้ ตอนนี้เขาสารภาพแล้ว ว่าเงินเขาน้อยลงเหลือหมื่นล้านเป็นต้น

คนทั้งโลกต้องการความดีความบริสุทธิ์ พวกเราค่อย ๆ ทำ แบบเอาความสงบดีงามชนะความรุนแรงได้ อย่างกับพล.อ.ประยุทธ์ที่ใช้ทั้งลูกดีดทั้งลูกสงบ ลูกดีดนี่ทำตายได้นะ

ยกตัวอย่าง อาตมาให้พวกเราปลูกดอกหอม ได้อวบใหญ่ขนาดนี้ นี่ก็เป็นธรรมาวุธ มันหวานแน่นอน อาตมาไปก็เห็นเขารดน้ำ ดาวเพ็ญ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมาวุธ เป็นคุณงามความดี แล้วแบ่งแจกขายให้ถูกที่สุด เป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือ ซับซ้อนลึกซึ้งมาก

เหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า แล้วเราไปทำความสงบ สยบความรุนแรงได้ เขามีอาวุธครบมือจะมาปราบแล้วนะ แต่เราเองนั่งพนมมือ แล้วเขาก็สงบล่าถอยไปได้

อาตมาเชื่อว่าเมืองไทยเป็นไปได้ อาตมาถึงได้พยายามขยายอายุขัย อาตมาพยายามสอนให้ลดพยาบาทลดแก้แค้น เอาความเมตตาเกื้อกูลไปสู้กับเขา ถึงตายก็ตาย ถ้าไม่ตายก็ทำงานได้ ผู้มีบารมีอจินไตยทำให้รอดได้ เกิดจริงเป็นจริง ถึงโยนระเบิด

อาตมาว่าเป็นไคลแมกซ์ของเรื่องนะ ที่เขาเองเขาเตะลูกระเบิดนี่เสร็จแล้วมันก็ย้อนกลับไปหาเขา มันก็อจินไตย เราไปเรียบเรียงสร้างเองไม่ได้ เป็นเหตุการณ์กาละที่เป็นไปได้ อภินิหาร ปาฏิหาริย์แท้ ๆ เลย แม้เขาจะหยุดแต่ไม่หยุดจะทำต่อก็ได้ อาตมาบอกไพรเมืองว่าให้เอาเตียงสนามไปช่วย เขาก็ไปช่วยเลย เอาความดีงามจริงใจไม่เสแสร้ง ไปช่วยเขา สุดท้าย ตำรวจก็ต้องถอย แล้วพากันกลับเลย มีเหตุปัจจัยทั้งจิตวิญญาณเหตุการณ์องค์ประกอบเป็นอจินไตย เป็นจิตใจที่เป็นตัวตั้ง เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถใช้ธรรมาวุธ บุญญาวุธทำงานกับสังคม ไม่ได้ทำให้เกิดความรุนแรงกับใคร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน การตั้งสังฆราชผิดธรรมวินัย

บทความของศ.ดร.ปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงข้อถกเถียงการนำชื่อสมเด็จพระราชาคณะเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชว่า

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด “พระมหากษัตริย์”ที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มาตรา 11 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์”

ความในมาตรานี้เริ่มบัญญัติมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 และในฉบับถาวรทุกฉบับ คำว่า “ฐานันดรศักดิ์” มีความหมายรวมถึงพระราชอำนาจที่จะทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์มาตรา 7 ที่บัญญัติไว้วรรคแรก ดังนี้

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 7 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2535 ได้บัญญัติไว้ ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง

ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ”

มาตรา 7 เดิมที่บัญญัติไว้เมื่อ พ.ศ. 2505 มีวรรคเดียวเท่านั้น และจะเห็นได้ว่ามาตรานี้มิได้กำหนดเรื่องคุณสมบัติของสมเด็จพระสังฆราชและให้อำนาจกรรมการมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับตำแหน่งนี้ไว้แต่ประการใด เพราะตามราชนิติประเพณีแต่เดิมและรัฐธรรมนูญทุกฉบับได้ถวายให้เป็นพระราชอำนาจตามแต่จะทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ในส่วนที่เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์ คือสมเด็จพระสังฆราช

ดังที่ท่านศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้อธิบายในตำราคำอธิบาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 (ฉบับเรียงมาตรา) คือมาตรา 11 ที่มีความเช่นเดียวกันกับมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไว้ว่า

“....ในฐานะที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทย มาตรานี้จึงกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์นี้ ความจริงในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ทรงกระทำอยู่แล้ว เช่นสถาปนาหม่อมเจ้าขึ้นเป็นพระองค์เจ้า ตั้งพระภิกษุให้ดำรงสมณศักดิ์ เป็นต้น…

อย่างไรก็ดี การสถาปนาฐานันดรศักดิ์นี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ซึ่งต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ....”

2. เมื่อการสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะขององค์พระมหากษัตริย์ ฉะนั้น ความในวรรค 2 และ 3 ของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ได้แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2535 มีความดังนี้

“....ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ....

เฉพาะในส่วนสองวรรคที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้จึงเป็นการก้าวล่วงละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตามที่รัฐธรรมนูญได้ถวายให้เป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะ เพราะการแก้ไขเพิ่มใหม่ว่า ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น จึง เป็นการล่วงละเมิดจำกัดขอบเขตพระราชอำนาจที่ทรงมีแต่เดิมตามโบราณราชประเพณีที่จะทรงสถาปนาจากสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งหรือพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามพระบรมราชวินิจฉัย

ดังนั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2505 เฉพาะมาตรา 7 วรรคสอง และสาม ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นผลให้บทบัญญัติดังกล่าวนี้ใช้บังคับมิได้

เมื่อผลเป็นดังกล่าวมานี้ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่านายกรัฐมนตรีหรือมหาเถรสมาคมผู้ใดจะต้องเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ก่อนหลังตามมาตรา 7 วรรคสองที่ไม่ผลใช้บังคับมาแต่ต้นแล้ว

แต่ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ยังต้องมีหน้าที่เสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะหรือพระภิกษุรูปใด “ที่เป็นแท้ตามพระธรรมวินัย” ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เพราะเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 11 ประกอบด้วยมาตรา 7 วรรคแรกของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505

ไม่ใช่วรรคสองและสามของมาตรา 7 เพราะสองวรรคนี้ไม่มีผลบังคับแล้วนะครับ

ปรีชา สุวรรณทัต

พ่อครูว่า...อาตมาว่าลึกซึ้งแหลมคมมาก มีจุดตัดสินแล้ว อยู่ที่นายกรัฐมนตรี หรืออยู่ที่พระราชอำนาจเต็มของพระมหากษัตริย์แล้ว ไม่ได้ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญใดเลย อย่างที่ศ.ดร.ปรีชานำมานี้เป็นหลักฐาน

พระพุทธเจ้าท่านห้ามตั้งใครมีอำนาจใหญ่กว่าธรรมวินัย แต่คนเข้าใจตื้น ๆตามลัทธิศักดินาว่าต้องตั้งใครมาตัดสินเด็ดขาดเป็นอธิปัตย์ เป็น CEO

พระพุทธเจ้าท่านทรงอำนาจใหญ่จริง ท่านไม่ลำเอียงจริง แต่คนอื่นยังไม่ควร แก้ไม่ได้ ไม่ควรละเมิด แต่ศาสนาพุทธในเมืองไทยผิดมานานแล้ว มาตั้งสังฆราช และตั้งมหาเถรสมาคมคณะใหญ่สุดตายตัวถาวรอีกไม่ได้ ผิดแล้ว ของพระพุทธเจ้าท่านว่าให้เกิดตามเหตุปัจจัย เช่น วัดนี้มีสมาชิกจริง ภิกษุจริง ให้เลือกผู้ฉลาดในหมู่ภิกษุนั้น มาปฏิบัติการตามหลักธรรมวินัย การทำสังฆกรรมต้องมีสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปเป็นต้นไป สังฆกรรมอย่างนี้ใช้สี่รูปอย่างต่ำ หรือใช้อย่างต่ำ 10 รูป หรือ 20 รูป ของวัดนี้ก็ต้องใช้สงฆ์ของวัดนี้ เอาคนนอกมาจะรู้ได้อย่างไร ตัดสินได้อย่างไร ถ้าไม่พอก็ต้องเอามาให้ครบ เอาผู้ที่พอรู้ ให้ครบคณปูรกะที่จะทำสังฆกรรม

แต่ละวัดทำไปตามหลักนี้ คดีนี้ทำเสร็จก็เลิกไป มีคดีใหม่ แล้วสงฆ์รูปไหนอยู่ก็เลือกกันในปัจจุบัน ให้ไปตั้งตายตัวเลยไม่ได้

แม้แต่เป็นอุปัชฌาย์ก็ตั้งตายตัวไม่ได้ ผู้เหมาะสมที่สุด มีหลักเกณฑ์หลายอย่างตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไป รู้ปาติโมกข์เป็นต้น จึงเป็นอุปัชฌาย์ได้ ของเรานี่ จริง ๆ แล้วผู้เหมาะสมจริงก็เป็นได้ แต่พวกเราไม่ได้ดิ้นรนอยากละเมิด กำหนดอุปัชฌาย์เท่านี้ก็ใช้ได้ แต่เรายังไม่ขาดแคลนก็เลยเอาตามที่ว่าก่อน เราไม่อยากจะไปทำลายกฏ

สรุปแล้วสังฆราชตั้งไม่ได้ ผิด ล้มเหลวมานานแล้ว ยิ่งไม่ค่อยมีภูมิธรรม เข้าข้างกันอีก เป็นผู้ใหญ่ยังไม่รู้เรื่อง แสดงออกมาลาคันธวิเลปน ชื่นใจได้เดินเหยียบดอกไม้ ดอกไม้เป็นวัตถุอนามาส เอามาเล่นหัวเหยียบเปลืองผลาญ ไปเป็น presenter ให้เขาอีก อันนี้ไพรีฆ่าไพรี ไม่รู้ลูกศิษย์ฆ่าอาจารย์หรืออาจารย์ฆ่าลูกศิษย์ ถ้าไม่อยากเป็นก็สละสิทธิ์ไปนานแล้ว อันนี้หน้าด้านหน้าทนมากแล้ว ต่างคนต่างแสดงน่าเกลียดให้เห็น ขายขี้เท่อออกมารบกัน เหม็นเน่า ไม่มีอาวุธอะไร เป็นขี้หมาทั้งนั้นสาดใส่กัน พระพุทธเจ้าเลยว่าจิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำให้เสียหายยิ่งกว่านั้น

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลไม่ใช่ระเบียบวินัยที่ตายตัว

มาเข้าสู่เรื่องของคุณ chutti เขาว่า… 5. เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการออกจากกาม หมายถึง การพรรณนาถึงการออกจากกามและอานิสงส์ว่าเป็นความปลอดโปร่ง เพื่อน้อมใจให้เกิดฉันทะในการแสวงหาความสุขแท้จริง คือ ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ส่วนรายละเอียดการสอนนั้น เขาแจงกันละเอียดจริง ๆ ครับ ด้วยตาและด้วยใจที่ผมเฝ้าดูมา นับตั้งแต่ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร สาธุชน จะให้ความสำคัญเรื่องของความสะอาด ความมีระเบียบและมีวินัยอย่างเข้มข้น สะอาดขนาดไหน? เอาว่าสะอาดตั้งแต่โถส้วม ยันที่นอน หัวจรดเท้า เสื้อผ้า ทุกอย่างต้องสะอาด เรียบร้อย และความประพฤติต้องมีวินัย

พ่อครูว่า...แบบธรรมกายเป็นการบังคับนะ ให้สะอาดอย่างนี้ เป๊ะกันอย่างนี้ ถ้าบังคับแค่ตอนแรกก็อาจได้ แต่ว่านี่บังคับตลอดกาลเลย ศาสนาพุทธอิสรเสรีภาพ ให้คนเข้ามาบังคับตนเองอย่างสมัครใจ ให้ตนเองทำได้จริง ๆ คนทำได้จริง บรรลุสูงสุดจะไม่ใช้การบังคับ แต่ให้หลักให้ศีลเบื้องต้นไปทำ ได้ผลแล้วขยายสู่ศีลสูงไปตามลำดับ

เมื่อตนเองได้แล้วตนเองจะไม่บังคับใคร แต่จะแนะให้คนไปทำ โดยแนะให้เต็มใจมีฉันทะทำ ถ้าไม่มีฉันทะทำไม่สำเร็จ ไม่บังคับใครถ้าเขาไม่ทำ ถ้าเขาบังคับตนเองก็ทำได้ แต่ถ้าเขาขอร้องให้บังคับเขาหน่อยเขาไม่มีแรงพอ เราก็ทำได้ ยิ่งบรรลุสูงสุดแล้วไม่บังคับใครเลย เป็นสมานัตตตา จะสมานตัวเรากับคนอื่นตามเหตุปัจจัย แนะนำแต่ไม่บังคับ จึงมีคนฐานแต่ละฐานสมัครใจกันมาทำงานไม่เท่ากัน แต่ประสานกัน จึงมีเครือแหหลายระดับชั้นที่สอดประสานเชื่อมโยงอยู่เป็นความหลากหลายชั้นฐานะ ไม่เท่ากัน แต่ประสานกันอย่างหลากหลาย ที่แตกต่างกันอยู่อย่างสัมพันธ์อันดี เป็นเอกภาพของความแตกต่าง university of diversity เป็นสุดยอด chaos ของพระพุทธเจ้า ดูเหมือนไม่มีระเบียบ จริง ๆ ไม่มีระเบียบ แต่ทุกคนมีปัญญาอนุโลมปฏิโลมแก่กันด้วยปัญญา

ขณะนี้อาตมาจึงเห็นใจอ.ยุค ศรีอาริยะ ว่าต้องศึกษา เคออส คือไม่เป็นระเบียบ แต่เป็นระเบียบ เกิดคลื่นพลังงาน ของระเบียบแบบต่าง ๆ ระเบียบแบบบังคับจะเกิดคลื่นต่างจากแบบไม่บังคับ

อย่างชาวอโศกมีสมานัตตตา แล้วมีความหลากหลายที่ประสานกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่อยู่กันอย่างกลมกลืนประสานกันได้ ไม่ทะเลาะวิวาท ต่างคนต่างช่วยกัน อันนี้แหละเป็นคุณธรรมที่สุดยอด อาตมาอธิบายยังไม่ชัด

ถ้าแบบนกกระยางเอาขนมปังล่อปลาอย่างธัมมชโยนี้ดูง่ายนะ แต่ที่อาตมาอธิบายนี้ ยากกว่าไหม

เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดมาก พวกเรามีเชิงบังคับ เด็กที่นี่ฝึกเข้าแถวพรึ่บ ฝึกก็ฝึก แต่เวลามาอยู่ก็อยู่อย่างอนุโลมปฏิโลม เช่นเดียวกับนร.จปร.ฝึกกันแข็งเลย เสร็จแล้วได้แล้วเข้าใจแล้วก็อยู่อนุโลม ไม่ได้กดข่มตีเส้นไปตลอดเหมือนเขา มันก็เลยไม่มีรูปของความสงบ ต่างคนต่างช่วย คนนี้แรงเท่านี้ก็ช่วยคนแรงเท่านั้น บางคนไม่ทำอะไรสูงแข็งเป๊ะ ก็ทำแต่บางคนต่ำกว่าก็ต้องทำอ่อน น่าเอ็นดูไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกันเลย เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนสุดยอดเลย

จนถึงวันนี้เราทำมา 40 กว่าปีก็เห็น ของคุณนั้นแข็งเป๊กเลย ของเราไม่เหมือนกัน เข้าแถวแต่ไม่เหมือนเขา คนเข้าใจยาก แต่คนที่ทำได้โดยจิตวิญญาณอนุโลมปฏิโลมพอดีพอเหมาะ เป็นสังคมชั้นสูงที่จะทำได้ สังคมชั้นต่ำทำไม่ได้ เขาดีไหม ก็ดี แต่เบื้องต้น แล้วยกกันหนักหนา สะอาดเอี่ยม ของที่นี่สะอาดพอใจ ที่นอนที่อยู่ เสื้อผ้า สีหมอง สีหม่นแต่ให้สะอาด พวกเราเข้าใจแล้ว ผ้าสีหมองได้แต่สะอาด ชาวอโศกมีวินัยไหม ก็มี

ก็คนที่มันมีวินัย ที่ฝรั่ง ญี่ปุ่น เข้ามีกันละครับ มีคนไทยพันธ์มีระเบียบวินัย ที่วัดพระธรรมกาย !!! … ก็ในเมื่อทรัพยากรแรก คือ มนุษย์ มันได้คุณภาพขนาดนั้นแล้ว ... ผมไม่สงสัยเลย ว่าทำไม วัดพระธรรมกาย จึงสามารถทำงานพระศาสนา ระดับประเทศ ระดับโลกได้ ระดับที่ชาวบ้านตะลึงอยู่เรื่อย ! แล้วคนทั้งประเทศไทยที่สบายสบายคือไทยแท้ ก็ไม่เข้าใจว่า ... ทำได้ยังไง ? ... แล้วเราก็ทำความเข้าใจ หรือเชื่อเอาง่ายๆ ตื้นๆ ว่า... ที่เห็นมากันเยอะๆ เนี้ยะ จ้างกันมา !!! ผมถึงไม่สงสัยอีกละครับว่า ทำไมประเทศไทยชัยโย จึงอยู่ในโลกที่ 3 นิรันดร์! ... คุณก็ตอบได้ครับ !

พ่อครูว่า...ก็คนภูมิต่ำก็ทำอย่างไทยแท้ ไม่มีระบบระเบียบก็ใช่ แต่ของเราไม่ใช่เช่นนั้น เรารู้จักอนุโลมปฏิโลมที่สูงส่ง อาตมากลับเห็นว่าเมืองไทยจะเป็นแดนชมพูทวีป ที่เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่อุดมสมบูรณ์สร้างสรรเสียสละ มันเป็นคนชั้นสูงกว่าคนที่คุณเก็บเอามากล่าวอ้างหรือไม่

พูดแบบนี้เหมือนด่าตัวเอง เปล่าครับ! ผมพูดความจริงที่ผมเห็น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคำด่า! เรื่องของความสะอาด มีระเบียบ มีวินัย แปลให้เห็นชัด มันก็คือ ศีล นั้นแหละครับ ผมถามสั้นๆ ครับ ซึ่งแม้แต่แมว มันก็ตอบได้ ถาม: คนมีศีล ดีไหมครับ ?

พ่อครูว่า..ระเบียบวินัยไม่ใช่ศีล ศีลเป็นเรื่องของแต่ละคน ที่มานี่อย่างต่ำต้องมีศีล 5 เป็นหลักเกณฑ์ หากไม่ต้องการปฏิบัติ ก็ไม่ต้องมาที่นี่ ที่นี่เป็นของชาวอโศก เรามีกฎเกณฑ์ในบ้านเรา เรามีสิทธิ์ไม่ให้คนเข้าบ้าน ที่นี่อิสรเสรีภาพ ยืนยันว่าศีลไม่ใช่ระเบียบวินัยที่ตายตัว แต่เป็นระเบียบที่แนะนำกัน ให้คนเข้าใจเอาไปทำแล้วจะเกิดเจริญทางกาย วาจา ใจ ผลของศีลไม่ใช่กฏระเบียบ แต่เป็นผลที่จิตใจลดละหน่ายคลายจากสิ่งที่ติดยึดตามศีลนั้นได้

เบื้องต้นเราไม่ฆ่าไม่ทำร้ายใคร แม้เราจะถูกใครทำร้าย เราก็ไม่ไปทำร้ายตอบเราไม่ไปฆ่าแกงเขา อย่างนั้นจริง ๆ นั่นคือความบรรลุ เพราะใจเป็นประธาน แม้เขาจะฆ่าเรา เราก็ไม่ฆ่าเขาตอบ จึงไม่ใช่ระเบียบกฎบังคับ แต่ใจเราต่างหากที่สมบูรณ์แบบ มันไม่ฆ่าเขา ศีลเป็นได้ถึงใจ เป็นตถตาแล้ว

ยกตัวอย่างหินไท โดนผู้หญิงตบหน้าที่ตำหนักเพชร ตอนมีคดีความ แต่หินไทไม่ตอบโต้แม้กายหรือวาจา ต่อหน้าธารกำนัลด้วย

คนมีศีลแล้วไม่ทำร้ายตอบ ไม่ว่าจะมาทำร้ายด้วยชังเรา หรือแม้แต่ว่าเขามารัก แม้เขามารักเรา มีอาการรักทางกาม เราก็ไม่รักตอบ เขาพยายามยัดเยียดเราก็ไม่มีตอบ อย่างนี้คือความชนะแล้ว ไม่ต้องทำอะไรหรอก มันอยากจะรักก็ไม่มีอาการรักตอบ มีแต่เมตตา สงสารนะ ว่ามารักทำไม ขออภัยนะอาตมานี่มีสาวมารัก พยายามมาตื้ออาตมาอย่างนั้นอย่างนี้ แม้มาบวชแล้วก็ตามอายุไม่น้อยแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ไปเอง โดยอย่างไรก็ยุไม่ขึ้น ยั่วไม่ขึ้นแหย่ไม่ขึ้น ก็ยอมแพ้ไป เป็นเองเป็นตถตา ขออภัยต้องยกเรื่องตนเองเหมือนโชว์อวดแต่เรื่องจริง อาตมาก็ว่า ความลึกซึ้งพวกนี่ต้องรู้กับตัวเอง

มีศีลไม่ใช่แค่กายกับวาจา ศีลคือความบรรลุบริสุทธิ์สูงสุดเป็นปกติ อัตโนมัติ ไม่มีอกุศลแม้เล็กน้อยในจิตเป็นประธาน นี่คือความลึกซึ้งซับซ้อนของความมีศีล

อานิสงส์ของศีล 10 ข้อคือ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5.  สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6.  สมาธิ (จิตมั่นคง)

7.  ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8.  นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9.  วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 , 208)

ความรู้ตื้น ๆ แค่นี้ก็เอาไปหากินไปพูด ศีลนั้นลึกซึ้งมีลำดับ มีการพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ แล้วเขาก็คุยต่อไป ว่ามีศีลนี้มันดีไหม ดี แม้แต่แมวก็ยังรู้ คุณก็ตอบได้

คุณchutti ว่า...คราวนี้ แล้วไอ้เรื่อง สอนผิดสอนเพี้ยน สอนบิดเบือน นั้นหล่ะ ข้อนี้ ผมเห็นนักวิชาการแต่ละคนออกมาแสดงความคิดเห็น ก่นด่าวิจารณ์กันซะมันปาก! ผมขอถามอย่างไม่เข้าข้างวัดพระธรรมกายนะครับ เอาคำถามในฐานะชาวบ้าน! กันเลย ที่บอกว่า ธรรมกายไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา ถาม : คุณไปอ่าน ไปค้น ไปศึกษา มาดีแล้วเหรอครับ ... ผม : ก็แล้วทำไม ผมเห็นมี หนังสือ หลักฐานธรรมกายในพระไตรปิฎกเล่มเบ้อเร้อ ออกมาโชว์ในห้องสมุดได้ละครับ ไปหาอ่านเอานะครับ ผมไม่ได้อินอะไรกับพระไตรปิฎกมากหรอกครับ

พ่อครูว่า...ไปดูถูกพระไตรปิฎกอีก แล้วไปเชื่อตำราอะไรของคุณแทน

แค่เป็นพวกพอใจหาความจริงด้วยตัวเอง ผมเบื่อจะเชื่อพวกสื่อ พวกนักวิชาการ วิชาเกิน พวกอวดตัวข่มท่าน โอ้ว่ารู้มากรู้ดี เรียนจบนู้น จบนี้ สูงส่งเหลือเกิน แต่ที่ตัวรู้มา ผิดทั้งเพ! แล้วก็อาศัยฐานะ วุฒิการศึกษา มาพล่ามให้ชาวบ้านฟัง ระวังนะครับ วจีกรรม! ก็มีนรกรองรับของมันนะครับ (ผมว่าตาม ไตรภูมิ นะครับ ไม่ได้ว่าตามใครทั้งสิ้น)

พ่อครูว่า...เขาเชื่อไตรภูมิที่เป็นการบันทึกคำของคนภายหลัง แต่พระไตรปิฎกบันทึกคำของพระพุทธเจ้า ควรเชื่ออันไหน

แล้วถามว่าใครไปแดนนิพพาน ก็มาถามอาตมาสิ อาตมาไปทั้งแดนอัตตาและแดนอนัตตา อาตมาไปแดนอัตตา รู้ว่ามันควรละหน่ายคลาย ก็ต้องเลิกมาอยู่แดนอนัตตา แต่คุณธัมมชโยจะไปเอาข้าวถวายพระพุทธเจ้าก็ตาม หรือไปวิมานไหน ๆ ก็เป็นเรื่องเพ้อพกทั้งนั้นแหละ

อาตมาปางนี้ ร.รามรักษ์ ก็มาในปางนี้มี ส.ศิวรักษ์ คนละลีลา เช่น การยิ้มก็ยิ้มคนละลีลา ยิ้มแข็งกระด้างกับยิ้มหวานก็ต่างกัน

คุณchuttiว่า...นิพพาน เป็น อัตตา หรือ อนัตตา !!! ผมถามจริงๆ เถอะครับ คุณเคยไปหรือยัง ? ผมมีวิธีแก้ง่ายๆ ครับสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังบ้าบอเสียสติเถียงกันเรื่องนี้ คือ เราต่างก็ยังไม่มีใครไปนิพพาน เราก็มาพิสูจน์ด้วยกันไงครับ หุบปากซะ! แล้วก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อะไรละครับ ก็ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ บำเพ็ญมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติ!!!ครับ ไม่ใช่มานั่งเถียงกัน !

พ่อครูว่า...ก็เอาตำราพระไตรปิฎกมหาจัตตารีสกสูตรว่ากันเลย และในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตีทิ้งนั่งสมาธิหลับตากันแล้ว คุณก็มีความรู้ในระดับนี้ อาตมาก็ขออภัยที่พูดข่มพูดแรงนะ

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:44:54 )

590315

รายละเอียด

590315_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมื่อธรรมกลาย ตอน 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2559 วันเวลาผ่านไป อะไรก็ไม่ทันเวลาหมดเอา หมดเอา ไม่เก่ง ทำอะไรไม่เสร็จทันเวลา ทำอย่างไรจะเสร็จทันเวลาในเวลา 24 ชั่วโมง จะมีเวลาเหลือไปทอดหุ่ยบ้าง แต่ใจอาตมาไม่มีอยากไปทำเช่นนั้น พูดไปตามประสาโลกเขา

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน การเที่ยวคือการบำเรอกิเลส

มาวันนี้ รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ แม้ตอนเป็นฆราวาส ก็ไม่ได้ชอบไปเที่ยวอะไร ชีวิตคนเราตอนมาปฏิบัติธรรมแล้วก็ยิ่งเข้าใจ ว่าคำว่าเที่ยวคำนี้แสดงความเป็นคนที่ยังเป็นเด็ก การไปเที่ยวนี้คือยังเด็กอยู่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นความไม่ดีของคนไม่ดี เที่ยวคือความไม่ดีของคนไม่ดี มันเป็นอุปทานบำเรอกิเลส ให้มีกิริยาที่สัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ ไปเที่ยวทะเลไปเที่ยวภูเขา ไปเที่ยวที่สนุกๆ ที่เขาเล่น ที่เขาขายของ ที่เราอยากจะไปชม อยากจะได้อยากจะซื้อ ที่เขาเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นสมมติไปแต่ละแห่งสารพัด แม้แต่จะไปเที่ยวในที่ไม่มีคน ไม่มีอะไร อยู่เงียบๆ มันก็เป็นการไปบำเรออารมณ์จิต ที่เราเองตั้งสมมติไว้ว่าอันนี้น่าได้ น่าเป็นน่าสัมผัส แล้วไปสัมผัสเอาตามอุปาทานนั้นนั้น เป็นการบำเรอกิเลสทั้งนั้น ไม่มีอย่างอื่น ถ้าเข้าใจจริงแล้วคำว่าเที่ยวนี้ตัดทิ้งไปเลย การจะต้องไปหาสถานที่ที่จะต้องบำรุงอารมณ์ จบ

นอกจากเราจะไปดูสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ อย่างนั้นก็แล้วไป มากกว่านั้นแล้วก็ไปบำเรออารมณ์ และการบำรุงอารมณ์อยากได้ อยากมีอยากเป็นมาเสพมาบำเรอ นอกจากคำว่าไปดูไปสัมผัสให้เห็นแล้วอันนั้นเป็นสิ่งที่เห็นแล้วเราจะได้ก่อสร้างประโยชน์เป็นองค์ประกอบ ให้ทำงานที่เป็นคุณค่าขึ้นมาเท่านั้น ก็ไปดูไปเห็นได้

เราไปรู้คุณค่าประโยชน์จะมีความรื่นรมย์ก็ดี แต่ถ้าเราไปบำเรออารมณ์นั้นไม่ดี ในอารมณ์เพลินๆเป็นอิฏฐารมณ์สุดยอด แต่คนที่หมดอารมณ์เพลินๆแล้วเป็นคนที่เศร้าหมองหรือแข็งแข็งจืดๆไหม ก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นคนเบิกบานร่าเริงในตัวเอง เป็นจิตอภิปโมทยังจิตตัง เป็นจิตที่มีความเบิกบานที่พิเศษ เป็นความรู้คุณค่ายิ่ง รู้ว่าแต่ละเวลาแต่ละกรรมกิริยาที่เราได้ทำมันเป็นคุณค่าที่วิเศษ

อย่างที่อาตมาได้มาพูดมาบรรยายสืบทอดสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ให้มา นี้ถือว่าเป็นคุณค่าที่วิเศษ เป็นของดีมาก แต่ละเวลาแต่ละเวลาที่ได้ทำอย่างนี้ ขณะที่บรรยายนี้คนเข้ามาฟังบ้าง จะฟังเท่าไรแน่นอนถ้าสนใจยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะจะได้ประโยชน์ ได้ผลจากการฟังนี้สมประโยชน์ที่สูงขึ้น แม้ไม่มีเวลาบรรยายก็ทำองค์ประกอบอื่นเสริม แต่แกนใหญ่จุดสำคัญคืออันนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อาหารเป็นหนึ่งในโลก

นอกนั้นก็มีสิ่งรองก็คือสิ่งที่จะต้องอาศัยยังชีพ ซึ่งไม่มีอะไรที่จะสำคัญเท่ากับอาหารที่เป็นหนึ่งในโลก อาหารคือเครื่องอาศัยที่กินใช้ในกวฬิงการาหารเป็นหลัก อาหารอื่นๆใดๆก็ประกอบไป เป็นเครื่องใช้อุปโภค เป็นเสื้อผ้า เป็นเครื่องใช้ เป็นที่อาศัย เป็นยารักษาโรค

อาหารมีทั้งอาหารภายในและภายนอก อาหารที่เป็นคำข้าวเลี้ยงร่างกายกับยารักษาโรคที่กินเข้าไปเป็นภายในเป็นบริโภค ส่วนเครื่องนุ่งห่มกับที่อยู่เป็นอุปโภค นอกนั้นก็เป็นเครื่องใช้ประกอบ เป็นบริขารที่จะทำงานสร้างสรร เป็นจอบเป็นเสียม เป็นเครื่องมือที่ต้องทำมาหากิน เป็นเครื่องไม้เครื่องมือผลิตสิ่งอุปโภคบริโภคต่างๆ

พูดถึงวันนี้แล้วพวกเราเข้าใจ แม้คนที่ไม่ได้คิดจะมาเป็นกสิกร มาทำนาทำสวนทำไร่อะไร ก็ได้มาทำบ้าง จนกระทั่งมีความเข้าใจ แต่ก่อนนี้ก็ฝืนฝืด แต่ตอนนี้ก็ค่อยยังชั่วขึ้น หลายคนก็มีจิตใจเห็นว่าน่าทำ ก็ค่อยๆเกิดขึ้น

ทุกวันนี้พยายามทำความเข้าใจให้เห็นจริง ว่าเราผลิตอาหารคือเครื่องกินอาหารเป็นหนึ่งในโลกที่จะต้องบริโภค ให้เหลือเฟือ ให้อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเราไม่มีจิตที่เป็นทุนนิยม ที่จะเอาแต่หากำไร ผลิตไปเพื่อหากำไร แต่เราเองเราไม่ได้มีเลือดทุนนิยม ผลิตขึ้นมาเพื่อที่จะเผยแพร่แจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อ เป็นงานที่ดียิ่ง

สิ่งนี้ที่พูดอาหารกินนี่ทุกคนไม่ว่าจะที่ไหนไหนก็ต้องกินทั้งนั้น แม้แต่ขั้วโลกเหนือถ้ามีพืชพันธุ์ธัญญาหารส่งไปเขาก็กินได้มันก็เป็นอาหารของสัตว์คือคนแท้ๆ คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเขาไปหลงว่าไม่มีพืชกิน ก็เลยกินแต่เนื้ออยู่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ที่มีแต่น้ำแข็ง แต่เขาก็กินพืชผักเหมือนกันถ้ามี

ถ้าเราผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารจนขายถูกหรือแจกกันได้เราก็อยู่รอด ไม่ใช่หมายความว่าเราเอาแต่แจกแล้วเราก็เป็นหนี้อยู่ไม่รอดเราไม่คุ้มที่จะอยู่รอดต้องไปเป็นหนี้เป็นสินเป็นภาระต้องเบียดเบียนคนอื่นเขาหรือเบียดเบียนตนเอง เราก็ไม่เอา เราต้องทำอย่างพอเหมาะ ทำให้มีผลผลิตให้มากพอ พึ่งตนเองได้ให้เหลือเฟือเพื่อแจกจ่ายซื้อขายอย่างระบบบุญนิยมขายต่ำกว่าทุนหรือถึงกับแจกฟรีได้ ก็ยิ่งเป็นสังคมที่เจริญที่เยี่ยมยอด

ที่เขากำลังเปิด aec คือ asian economic community คือรวมกลุ่มชาวเอเชียร่วมกันแล้วก็ทำจะเป็นย่านกสิกรรมที่เลิศยอด แล้วถ้ามีเลือดบุญนิยมแล้วรวมตัวกันได้อย่างที่ว่าเราจะประสานทางอเมริกาก็แล้วแต่หรือทางตะวันตกหรือทางอินเดียจะประสานสัมพันธ์ได้ดีมากเลย จะเป็นมวลมนุษยชาติในโลกที่อบอุ่นมากเลย ไม่จำเป็นจะต้องไปสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ปืนผาหน้าไม้เหมือนอย่างที่คนจะถือว่าเป็นอำนาจเป็นประเทศมหาอำนาจและจะต้องเจริญแบบนั้น เหมือนอย่างเกาหลีเหนือตอนนี้กำลังบ้าเรื่องสร้างอาวุธจะเป็นเจ้าโลก แทนที่จะเอาต้นทุนไปสร้างอย่างอื่น แต่กลับเอาไปสร้างอาวุธ ทำไมเขามีแนวคิดเช่นนั้น คนในประเทศก็ไม่ใช่จะมีกินมีใช้ร่ำรวยมากมาย

ความคิดแบบนี้ไม่ใช่มนุษยชาติที่เจริญจริงเลย เกิดมาแล้วก็ห้ำหั่นคนอื่น มันไม่น่าจะเป็นเสียพลังงานแคลอรี่อะไรกับเรื่องนี้ในความเป็นคนเป็นสังคมที่จะต้องมี calorie จ่ายกับเรื่องเชิงนั้น

 

SMS 11มี.ค59

0893867xxx พ่อครูฯเคยบอกว่าการตำหนิคือการสร้างสรรค์คือการชี้ขุมทรัพย์!คนที่เป็นอาริยะจะไม่หงุดหงิดไม่เกิดความไม่ชอบใจ!มีปัญญารู้จริงว่าได้ปย.จากการ ตำหนิ... 

 

0893867xxx ส่วนผู้ที่ได้รับการตำหนิแล้วโกรธหงุดหงิดนั้นคือผู้มีอัตตาฤาผู้ถือตัวถือดีตามที่มีจริงในตนจึงเป็นการเสียโอกาสที่ตนจะได้เจริญ!จากถอดหัวใจโพธิรักษ์6พค51 

 

0893867xxx วันนี้บ่มีคำถามเด๋วลุงตู่มาละเลงม.ดับเบิ้ลโฟว์ใส่คก.อีกผู้น้อยกราบลาไปละเลงภาพศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมฤามังคลมุตตมังตามพ่อครูสอนฯช่างศิลป์ทวนกระแสโลกธรรม

 

0805925xxx แต่ภาพพ่อที่เขาถ่ายทอดนู๋ว่าธรรมชาติดีนะต่างมุมมองไม่แปลก?

0805925 ยิ่งอยู่สูงยิ่งต้องระวังยิ่งดังเขาจะตีให้พังเป็นสัจธรรมในโลกธรรมเน้อพ่อ?

 

SMS 12 มี.ค. 59

0893867xxx นมก.สม.สัจฉิกตาจรธ.อ.วิทยากรอ.แสงศิลป์ฯก็เพิ่งรู้ ว่าศิลปินโลกุตรคืออ.ท่านนี้ ทั้งที่เห็นท่านทุกที่ในงานอโศก.เลื่อมใสผลงานอ.มาก!

 

0893867xxx ผู้น้อยเป็นช่างศิลป์ไม่มีความรู้ทางศิลประดับอุดมศึกษาแต่อบรมเรียนรู้จากศูนย์วิชาชีพศ.อุตสหก.ฯแค่หลักสูตรระยะสั้นไม่กี่ที่!ธรรมะของพ่อครูกับภาพของอ.ทำให้เข้าใจศิลปะมากขึ้น  ผู้น้อยรับจ้างเขียนภาพตามลูกค้าสั่งมาตั้งแต่เด็กหลายสิบปีจึงไม่มีภาพจากความคิดของตนเอง!ภาพที่รับเพ้นท์โดยพู่กันส่วนมากเป็นพุทธประวัติวรรณคดีวัฒนธรรมมาตลอด!

 

0893867xxx กราบขอบคุณสม.และอ.ศิลปกรฯบุญนิยม!จะได้มางานอ.ส.ศิวรักษ์ศิลปะของศิลปินโลกุตระไหม?ไม่แน่ใจร ธ.

 

0888255xxx กำลังพับกระทงส่งที่ไหนคะ

 

0893867xxx วันนี้ธรรมจัดสรรให้ฟังสณ.สม.เทศน์การมีความศรัทธาในธรรมจนเกิดความเลื่อมใสตามสัทธาสูตรสาธุskk

 

0837277xxx คำว่าขยะน่าจะแปลว่าของมีค่าจะดีกว่าเพราะคนที่ได้ยินจะได้เห็นค่ะของขยะอย่างแท้จริง0จากเจ็ดสู้0สุญญตา

 

0893867xxx กราบขอบคุณสณ.สม.ทำให้ญตธ.ได้ธรรมจากสุตมยปัญญาให้เข้าใจเจโตวิมุติปัญญาวิมุติจนรู้ถึงอุภโตภาควิมุติสาธุ!

 

0893867xxx ศรัทธาทำให้เกิดธ.10ประก.คงมีแต่นักบวชปฏิบัติได้ดีกว่าฆราวาสเพราะมิได้มีแต่ต้องรู้มากเชื่อมั่นมีศีลทั้งกายวาจาใจ!ต้องมีฌาน 4 กล้าแสดงธรรมอยู่ในข้อบังคับได้ถูกไหม? (พ่อครูว่า...ถูก) ถ้าเป็นศรัทธา 4 ฆราวาสจะเข้าใจเรื่องกรรมอันมีกัมยสัทธา,วิปากสัทธา,กัมมัสสกตาสัทธา,ตถาคตโพธิสัทธาแล้วปฏิบัติในทุกการกระทำได้เหมาะสมกว่าถูกไหม? กราบขออภัยถามบ่อยเรื่องของศรัทธาเยอะจริงๆจรธ.skk 

พ่อครูว่า...ศรัทธา 10 เป็นเนื้อหา เช่น ศรัทธาที่ไม่มีศีลก็ไม่บริบูรณ์ ต้องบริบูรณ์ด้วยศีลถึงเป็นศรัทธาที่มีค่า ควรเกิดควรมีควรเป็นในตน คนศรัทธาอย่างไม่มีหลักก็ไม่ดี

เช่นว่า เราศรัทธาเพราะมีอานิสงส์ของการปฏิบัติศีล มีศีล ปฏิบัติตามหลัก เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ทำแล้วได้มรรคผล ชีวิตเราชีวิตเขาก็มีชีวิตเช่นกัน ไม่ควรไปทำลาย

1.      ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.      ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.      พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)

4.      เป็นพระธรรมกถึก (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.      เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)

6.      แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.      ทรงวินัย

8.      อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)

9.      ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

 

0818557xxx กราบนมก.สมณ.สขม. ทุกท่านพูดได้ดีมากๆๆค่ะ

 

0837277xxx ศรัทธาสัดถ้วยทุกอย่างเห็นดีเห็นด้วยก็เพราะศรัทธา 

 

Sms 14 มี.ค.59

0816800xxx พ่อท่าน "นะจ๊ะ" ไม่เหมือนธรรมกายเลยนะคะ พ่อท่านดีเกินกว่าจะไปเอ่ยถึงธรรมกายด้วยซ้ำไปค่ะ

 

0827967xxx ตกสวรรคอย่างเขยว่าจริงๆหมดตั้งสามล้านน่ะ

 

0818557xxx เพิ่งได้เห็นภาพนี้ค่ะ ท่านพ่อเหมือนมนุษย์ต่างดาวเลยค่ะ สุดยอด ควรนำมาฉายซ้ำๆนะคะ

 

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ท่านเมื่อยเป็นด้วยรึค่ะ โยมเห็นพ่อท่านactiveตลอดเวลา ลีลาการเทศน์มีactionตลอด ประทับใจตรงที่มีขู่เล็กด้วย ชอบและตามชมตลอดเท่าที่โอกาสอำนวย ท่านสมเป็นจอมยุทธ์ตัวจริงค่ะ

 

พ่อครูว่า...มาเข้าสู่การตำหนิต่อ

คุณคนนี้ chutti ว่า...นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา! ผมถามจริงๆ เถอะครับ คุณเคยไปหรือยัง? ผมมีวิธีแก้ง่ายๆ ครับสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังบ้าบอเสียสติเถียงกันเรื่องนี้ คือ เราต่างก็ยังไม่มีใครไปนิพพาน เราก็มาพิสูจน์ด้วยกันไงครับ หุบปากซะ!

อาตมาก็ว่า...ไม่หุบปาก

แล้วเขาก็ว่า…. แล้วก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ... อะไรละครับ ก็ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ บำเพ็ญมรรค มีองค์ 8

พ่อครูว่า...แต่คุณเขียนซัดเขาหกหน้านี่ไม่ใช่หรือ?

แล้วเขาต่ออีกว่า.... ปฏิบัติ!!!ครับ ไม่ใช่มานั่งเถียงกัน! ผมไม่เข้าข้างใครครับ ผมดูจากการกระทำ คนที่เที่ยวด่าเขาเนี้ยะ มันเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้ ประชาชนชาวบ้าน สังคม ประเทศชาติ บ้างไหมครับ?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ_สัมมาทิฏฐิ) ตอน ทำทานกับธรรมกายจิตยิ่งขี้โลภ

พ่อครูว่า...ขอย้อนไปอีกที เขาบอกว่า มาปฏิบัติธรรมคือทำทาน รักษาศีล  นั่งสมาธิ บำเพ็ญมรรค มีองค์ 8  คือเขาพูดพยัญชนะถูกต้อง

การทำทานคือการให้ แต่การให้ทุกวันนี้ ไม่ใช่ให้จริง ให้แล้วตั้งใจเอาคืนทั้งนั้น จึงนัตถิทินนัง ให้แล้วไม่มีผล มิจฉาทิฏฐิ 10 ข้อ ซึ่งเป็นประธานของมรรคมีองค์ 8

คือปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 คุณจะเป็นผู้ที่ให้ทาน คืออานิสงส์แท้ ทำให้กิเลสลด แต่ว่าเขาทำแล้วกิเลสเพิ่ม จิตมีแต่โลภมากขึ้น เห็นแก่ตัวตระหนี่ถี่เหนียวจัดขึ้น อย่างธรรมกายนี่ ยิ่งทานยิ่งกิเลสหนา ได้วิมานใหญ่วิมานมาก ไม่มีปริตตังเลย ที่อาจารย์ใหญ่ส่งเสริมแล้วส่งเสริมอีก อธิบายแล้วอธิบายอีก

คนที่ไปทำทานกับธรรมกายมีกิเลสโลภมากมากขึ้นทั้งนั้น คนที่พูดมานี้น่าสงสาร การทำทานเขาเน้นทานเป็นหลัก รักษาศีลปฏิบัติก็เป็นรอง เน้นที่การมาให้ทาน แต่การทานก็ยิ่งกิเลสบานออกไป ทำให้ประโยชน์แก่ตัวหัวหน้าใหญ่คือธัมมชโย จะต้องให้คนอื่นเขาเอามาให้ เอามาทานให้แก่ตัวเอง แล้วก็หลอกคนอื่นให้เกิดกิเลสโลภเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มากหนักขึ้น โดยหลอกว่าคุณได้มีใจเป็นทาน แต่ไปทานที่ไหน ก็ทานที่นี่แห่งเดียว ช่องนี้ช่องเดียว จะได้อานิสงส์สูงที่สุดเลย ทานให้คนอื่นไม่ได้อานิสงส์เท่ากับทานให้หลวงพ่อธัมมชโยนี่ ให้ธรรมะกายให้ที่นี่แห่งเดียว เน้นอย่างนั้นเลย

สอนกับคนที่ไม่รู้เท่าทัน ไม่ได้สอนให้ทานแล้วลดความโลภ แต่กลับสอนให้ทานแล้วยิ่งกิเลสมากจัดเพิ่มขึ้นฝังในอนุสัยเลย ส่วนการรักษาศีลก็ไม่เน้น ข้อปฏิบัติศีลก็ได้แค่กายกับวาจา

จริงๆแล้วการนั่งสมาธิของธรรมกายก็เหมือนกับการถูกหลอกให้มานั่งสะกดจิต ถูกสะกดจิตเพื่อให้อยู่ในอาณัติ แล้วก็หลอกจนพูดอะไรก็เชื่อ ครอบงำทางจิตอย่างเด็ดเดี่ยว เก่ง อันนี้ต้องชมว่าเขาเก่ง แล้วคนก็หลงใหลได้ปลื้มอย่างนั้น แล้วบอกว่าบำเพ็ญมรรคมีองค์ 8 อาตมาว่าธรรมกายปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้อะไรเลย ตั้งแต่ข้อต้นคือไม่มีสมาธิจิต ไม่มีตลอด 10 ข้อ มีแต่มิจฉาทิฐิทั้ง 10 ข้อตั้งแต่ข้อที่ 1 คือทาน  ทินนัง ยิตถัง หุตัง อยังโลโก ปโรโลโก มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา สมณะพราหมณ์ก็เป็นมิจฉาไปหมด

การทำสมาธิก็ผิดไปหมด ไปอ่านในมหาจัตตารีสกสูตรเลย ไปตรวจสอบให้ดี อาตมาไม่มีเสน่ห์ตรงนี้ ที่วิจารณ์ว่าหนักว่าหยาบเลยไม่มีเสน่ห์ พวกที่ผู้ดีหน่อยๆฟังอาตมาไม่ไหวหรอก ก็พูดให้พวกที่ฟังแบบเขาไม่มีอัตตามากก่อน พวกผู้ดีชั้นสูงเอาไว้ก่อน อาตมาไม่ได้หลอกเขาด้วย

สรุปคือ ไม่เข้าใจทาน ศีล สมาธิ เลย การนั่งหลับตาทำสมาธิคือมิจฉาสมาธิแน่นอน ในพรหมชาลสูตรว่าไว้ ว่ามีสังวรศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ

คุณคนนี้ว่าอีก...ผมไม่เข้าข้างใครครับ ผมดูจากการกระทำ คนที่เที่ยวด่าเขาเนี้ยะ มันเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้ ประชาชนชาวบ้าน สังคม ประเทศชาติ บ้างไหมครับ?

อาตมาก็ขอบอกว่า อาตมานี่แหละพาพวกเราทำเพื่อประชาชน เราทำอย่างคนจนไม่มีทุนรอนมาก แต่ทำได้มากจนคนเขาไม่ไว้ใจเลยในบางคน เราก็ทำไปตามประสา คุณเข้าใจว่าธรรมกายทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ คือเผยแพร่ศาสนาไปทั่วโลก แต่ถ้ามิจฉาศาสนาเป็นศาสนาใหม่กระจายความรู้แบบนี้ อาตมาว่าไม่เป็นประโยชน์แก่โลก แต่เป็นการทำลายโลก สร้างสังคมโลภจัด เห็นแก่ตัวจัด ทุนนิยมจัด ทุนนิยมทางโลกเขายังค้าขาย แต่ทุนนิยมธรรมกายหลอกชาวบ้านเขาเอามาให้ โดยหลอกสร้างวิมานไว้ สะกดจิตหลอก หนักหนาสาหัสเลวร้ายยิ่งกว่า ถ้าเผยแพร่ลัทธินี้ไปก็ฉิบหายทั่วโลก

เขาบอกอีกว่า...ครั้งหน้านะครับ เพื่อความดูดีมีปัญญา ดูเป็นคนมีวัฒนธรรม อารยธรรม มีเหตุผล ถ้าได้ยินคำว่า วัดพระธรรมกาย ถามหาผลงานของเขาก่อนไหมครับ ดูก่อนว่าเขาสร้างความดี ให้พี่น้องในชาติ ให้กับแผ่นดิน เท่าไหร่แล้ว ?พูดแบบนี้ ก็บอกว่า ผม Bias !!!

พ่อครูว่า...ไม่ใช่ bias แต่อยู่ข้างนั้นแท้ๆเลย

ไม่ครับ คือ ผมแค่อยากบอกว่า ก่อนจะด่าใครๆ ตามที่เขาว่ามา... ถามเขาก่อน

พ่อครูว่า...ถามทำไม มันหยาบมันเห็นโต้งๆเช่นนั้น ยิ่งสัมภาษณ์ยิ่งหนัก แค่เห็นก็เหลือจะอธิบายแล้ว

ทำความรู้จักกับเขาด้วยตัวเราเองก่อนดีกว่าครับ ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าสงสารวัดพระธรรมกาย หรือคนธรรมกายครับ แต่ผมสมเพชคนที่หลับหูหลับตา เชื่อสื่อ เชื่อคนพาล เลยจะพาลพากันไปตกนรก

พ่อครูว่า...คนท้วงธรรมกาย ได้สวรรค์ทุกคน คนไปส่งเสริม ตกนรกทุกคน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การบวชของพระพุทธเจ้าคือมุ่งนิพพาน

คุณ chutti...ว่าเรื่องการสอนกันต่อครับ อย่างที่ผมบอกละครับ มีแค่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ ข้างต้น 2 หลักใหญ่นั้น ถูกนำมาสอนผ่านรูปแบบการอบรม ในโครงการต่างๆ ที่มีเป็นร้อยๆ โครงการครับ ทั้งโครงการบวชพระ บวชเณร บวชอุบาสก บวชอุบาสิกา โครงการอบรมครู นักเรียนนักศึกษา จะกี่โครงการ ผมไปค้นไปหาไปอ่านไปดูมาหมดละครับ เนื้อหาสาระ ก็ไม่พ้น 2 หลักนี้!! แล้วมันต่างกับกระบวนการอบรมสั่งสอนคนของสถาบันอื่นๆ ยังไง?

พ่อครูว่า...การมาบวชนั้นเพื่อมุ่งนิพพาน ไม่ใช่การทำเล่น คนมาบวชนั้นต้องทำจริง แต่การมาบวชไม่ได้มีจิตแบบนี้ เป็นภัยต่อศาสนา การมาบวชต้องตัดเรื่องญาติมิตรโลกียะ แม้ญาติ สายเลือดก็ต้องขอออกมาเลย เป็นญาติปริวัตตังปหายะ การไปบวชเล่น แบบที่ทำกันเพื่อปอกลอกเล่นกันได้บาปทั้งนั้น เพราะทำลายรูปลักษณ์ที่เป็นนักบวช ผู้ที่ได้ห่มผ้าจีวรขึ้นไป เป็นเครื่องมุรธาภิเษกของพระอรหันต์นะ

เมื่อได้ใส่เข้าไปนี่พ่อแม่ก็ต้องกราบ ผู้มีฐานะยศทางสังคมต้องกราบ แต่คุณมีดีอะไรให้เขากราบ เอาไปห่มความเขรอะของคุณนี่

ทุกวันนี้ประเพณีจารีตการบวชนี้ผิด เกือบจะไม่เหลือการบวชที่ถูกต้องตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

ทุกคนที่จะมาบวชกับชาวอโศกทุกคน มาบวชจริงๆ มาบวชเป็นลูกพระพุทธเจ้าจริงๆ ต้องสละโภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะจริง บวชจริงไม่ใช่บวชเล่น มาบวชเล่นแต่กรรมเป็นจริงนะ แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวก็กราบพระนะ บวชแบบนั้นไม่ได้กุศลเลย แต่ได้บาป แต่มองตื้นว่าเผยแพร่ศาสนา ว่ายังมีนักบวชเยอะ มีแต่มาร ไม่ได้มีนักบวช บวชพระไม่พอ ยังไปเล่นกับฆราวาส บวชอุบาสกอุบาสิกาอีก โครงการอีกกี่อันก็มอมเมากัน มิจฉาทิฏฐิพากันลงนรก นั่นหรือผลงานของคุณ

คุณ chutti ยังว่าอีก...เนื้อหาสาระ ก็ไม่พ้น 2 หลัก นี้!!! แล้วมันต่างกับกระบวนการอบรมสั่งสอนคนของสถาบันอื่นๆ ยังไง?

จุดต่างมีอยู่อย่างเดียวครับ ขอให้อ่าน 3 รอบเลยครับ “ที่วัดพระธรรมกาย เขาฝึกคนให้เอาจริงกับการพัฒนาตัวเอง กับการทำความดี” ครับ หาคำสำคัญในประโยคครับ กุญแจอยู่ตรงนั้น คำว่า “จริง” ไงครับ คนที่นี้เขาเอาจริงกับความดีทุกอย่าง ณ จุดนี้ ละครับ ที่มันต่าง

พ่อครูว่า...ใช่ จุดนี้ที่ต่างกับอโศก คนละดี ดีของอโศกคือกิเลสต้องลด ไม่ใช่ดีแค่เป็นรูปลักษณ์สังคมล่อแมลง เหมือนกับนกที่เอาขนมปังล่อกินปลา ตื้นแค่ ขออภัย มันตื้นเหมือนส้นรองเท้าผู้ชาย

 

คุณ chutti ว่าอีก...และมันเป็นเรื่องราวยาวเป็นมหากาพย์ ถึงวันนี้ และไม่รู้วันหน้า วันไหน จะเข้าใจกันได้ ระหว่างคนไทยสบายสบายอะไรก็ได้ คือ ไทยแท้ กับ คนไทยพันธ์ที่มีระเบียบวินัยและจริงจังกับการทำดี แบบ สาธุชนคนวัดพระธรรมกาย !! ผมนั่งดู นั่งชม ก็เพลียจิตแทนครับ ทำทาน เขาก็ทำจริง ก็เพราะเขาทำจริง ! เขาจึงสามารถสร้างวัดได้ใหญ่โตมโหฬารปานนั้นครับ

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัส ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต แต่นี่เขาเป็นแบบนี้ กามเยิ้มเท่าไหร่ไม่รู้ มหัปปิจฉะเท่าไหร่ไม่รู้

 

คุณ chuttiว่า...ผมไปพูดไปคุยกับหลายคน (คุยด้วยทั้งหมดไม่ไหวหรอกครับมากันเป็นแสน!!!) พวกเขาตั้งใจสร้างวัดเอาไว้ให้เป็นพุทธหลักฐาน ให้คนอีก 100 ปี 500 ปี 1000 ปี ข้างหน้า ได้มาศึกษาหลักธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เขามองไกล Hight Primium ไปนู้นแล้วครับ  มันทำให้ผมคิดครับว่า ปัญหาของวัดพระธรรมกาย คือ พวกเขาพัฒนาศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ไปได้ไกลเกิน เกินธรรมดาสามัญของมนุษย์พันธ์ไทย ไปแล้วครับ

พ่อครูว่า...ใช่ เป็นพันธ์สัตว์นรก ธรรมกายเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ถูกผูกไว้ในหลุมนรกลึกมาก

 

คุณ chutti ว่า... และ มันก็เป็นปัญหาตรงที่ว่า พวกเขาไม่สามารถสื่อสารถ่ายทอด แนวความคิด วิถีแห่งการพัฒนาของพวกเขาให้สังคม Get ได้ครับ  มันก็เหลือวิธีเดียว คือ ต้องเข้ามาดูมารู้มาศึกษาด้วยตัวเอง, ซึ่งคนที่มาก็เข้าใจได้ ไม่ยากครับ เพราะระบบในวัดพระธรรมกาย ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ทุกอย่างเป็น ระบบ มีระเบียบ มีเหตุผลรองรับ ชัดเจนทุกอย่าง แต่คนส่วนใหญ่ละครับ ! ที่นั่งอ่านแค่หนังสือพิมพ์ ดูทีวี ที่บ้าน !!!. ผมว่ามันเป็นโจทย์ใหญ่ของวัดพระธรรมกาย ครับ ที่ต้องเร่งหาวิธีสื่อสารกับสังคมทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้าใจองค์กรของตัวเอง เดี๋ยวออกอ่าวครับ เขาจริงกับการรักษาศีล แปลว่าอะไรครับ คือ เขาจริง กับ ความรับผิดชอบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทั้งตัวเองและผู้อื่น

พ่อครูว่า...ขอถามหน่อยว่าอาจารย์ใหญ่ของคุณคือธัมมชโยรักษาศีลข้อ 2 ได้หรือไม่ ข้อสี่นี่เขาก็จับได้ ศีลแค่นี้ นายหรืออาจารย์ใหญ่ของคุณ ที่เขาพยายามพูดล่อคุณว่า อาจารย์ไม่ใหญ่ ครูไม่ใหญ่นี่แหละคือภาษาหลอกเด็ก แสดงออกใหญ่แต่พูดว่าครูไม่ใหญ่ ปลิ้นปล้อนยิ่งกว่าอะไร?

 

คุณchutti ว่าอีกว่า... คุณก็คิดได้นี่ครับ ตรรกะ ง่ายๆ ... ถ้าคนไทยทุกคน สามารถรักษาศีล เป็นคนมีศีล ได้เหมือนอย่างคนที่วัดพระธรรมกาย .... บ้านเมืองมันก็สงบไปแล้วครับ ไม่ใช่แค่ 99 % แต่ 100 % ครับ

พ่อครูว่า...ไปทำอาจารย์ของคุณให้รักษาศีลให้ได้ก่อน แค่ศีล 8 เล่นดอกไม้ แต่ตัวเต๊ะท่ายิ่งกว่าดรามาติกนี่ ทั้งคีตะ วาทิตะ คำ สำเนียงภาษา นะจ๊ะ คุณเอ๋ยไม่ได้รู้จักแม้ศีล 8 หรือศีล 10 สะสมเงินทองกี่ร้อยกี่พันล้าน

ศีลที่ว่าอย่ามาคุยให้เหม็นขี้ฟันเลย อาจารย์คุณทำให้ได้ก่อนเลย

 

เขาว่าอีก….. ถ้าคนไทยทุกคน สามารถรักษาศีล เป็นคนมีศีล ได้เหมือนอย่างคนที่วัดพระธรรมกาย บ้านเมืองมันก็สงบไปแล้วครับ ไม่ใช่แค่ 99 % แต่ 100 % ครับ !!! สำหรับการปฏิบัติธรรม ภาพนี้ เรียกว่า แทบไม่ปรากฎออกไปสู่สายตาสังคมเลยครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ? คงเป็นเพราะสื่อทั้งหลายประโคมสร้างภาพลวงปิดตาประชาชนไปแล้วว่าเป็นวัดที่เน้นการบริจาค จึงทำให้ภาพที่เป็นหัวใจของวัดพระธรรมกาย ซึ่งทางวัด นับตั้งแต่หลวงพ่อเจ้าอาวาส พระอาจารย์ทุกรูป เจ้าภาพ สาธุชน ให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง คือ การเจริญสมาธิภาวนา อ่อนด้อยเลือนลางไปเลย แต่ความจริงตลอดเวลา 20 ปีที่ผมเฝ้าสังเกตุการณ์ดู คือ การเจริญสมาธิภาวนา ของที่นี้เข้มข้นไม่แพ้ที่ไหนในโลกครับ

พ่อครูว่า...มิจฉาสมาธิแบบนี้จะไปเน้นทำไม?

 

เขาว่าอีก... เบื้องสูง ของการฝึกคน คือ ฝึกใจ คือ สมาธิ ! ผมว่านี้ละครับ คือ สุดยอดกลยุทธ์ของวัดพระธรรมกายที่ใครๆ เข้าไม่ถึง แต่เป็นอะไรที่ทางวัดเอง ป่าวประกาศ พยายามเชิญชวนผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาพิสูจน์ ตั้งแต่สร้างวัด ปี 2513 ครับ วันนี้ผมบอกแล้วนะครับ !!! ที่นี้มีโครงการปฏิบัติธรรมสำหรับประชาชนตลอดทั้งปีครับ มีหลากหลายสำหรับทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกาสด้วยครับ รู้ยังครับ ? สิ่งที่เขาทำและเป็นผลดีต่อชีวิตของผู้คนนับหมื่น นับแสน นับล้าน นั้น มีมากครับ คิดง่ายแบบชาวบ้านๆ ที่เราท่านต่างต้องการแสวงหา ความดี ความสุข ความสำเร็จ ให้กับชีวิต !!! อย่าไปคิดอะไรซับซ้อนบ้าบอเหมือนพวกนักการเมืองการปกครองครับ ถ้าไม่ดีจริง มันจะมีคนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้ว ก็เพิ่มขึ้น อย่างนี้หรือ ครับ ? !!! และคนที่มาเพิ่ม ไม่ได้เป็นเศรษฐีมหาศาล อะไรที่ไหนเลยครับ ขอบอกจากสองตา ที่ผมเห็นมานะครับ มีทุกระดับฐานะการศึกษาอาชีพครับ !! ไม่ต้องเชื่อผม แต่ขอให้ไปดูเองครับ นาทีนี้ 20 กว่าปีที่เฝ้าดูมา ผมบอกเลยครับว่าวัดพระธรรมกาย คือวัดของประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดิน! เป็นที่สร้างคนให้รักความสะอาด ให้เป็นคนสะอาด ให้เป็นคนมีระเบียบ ให้เป็นคนมีวินัย ฝึกสอนคน ให้รักษาศีล และ เป็นคนมีน้ำใจเป็นผู้ให้ เป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี และ จริงกับการทำความดี ! เขาสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลครับ วัดพระธรรมกายเป็นมิตรกับชาวบ้านประชาชนทุกคนที่รักดีและใฝ่ดี อยากมีชีวิตที่พบความสุข มี แนวทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ใครๆ เขามาแล้ว เขาได้พบกับความสุข ความสำเร็จ เขาก็บอกต่อ ชวนเพื่อน ชวนญาติพี่น้อง คนที่เขารักมา มันก็ง่ายๆ แค่นี้เองครับ ทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้น!!! แต่วัดพระธรรมกายเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ไม่ต้องการเห็นคนดี เห็นคนเก่ง เต็มประเทศแค่นั้นครับ ผมจะกลับมาเล่าให้ฟังต่อครับ ว่าผมเห็นอะไรบ้างในวัดพระธรรมกาย !!!

พ่อครูว่า...คือคุณคนนี้เขาชื่อว่าธรรมกายนี้เป็นวัดที่ดี ก็รู้แค่ความตื้นเขินเหมือนกับนกที่เอาขนมปังมาหลอกปลา แต่แล้วก็กินปลาทั้งตัวไปตั้งเท่าไหร่แล้วเหมือนนกกระสาเอาความดีเท่ากับขนมปัง ตื้นๆว่านี่คืออาหารที่ปลามันต้องอยากกิน สัตว์ทุกตัว คนทุกคน ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ความเป็นระเบียบวินัยความสะอาด ก็เป็นอะไรตื้นๆที่ใครก็เข้าใจ เด็กอมมือก็เข้าใจ เราก็ไม่รู้ว่าถูกกินเข้าไปทั้งตัว จมหายไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หมดไม่เหลือชีวิต ขอบอกว่า คุณ chutti ตกเป็นเหยื่อมหารัสปูตินแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน วิชชาจรณะอยู่เหนือชาติและโคตร

เรามาต่อบทเรียนในอัมพัฏฐสูตรกันต่อ

มาย้อนหลังหน่อยว่าอัมพัฏฐมาณพนี้เป็นลูกศิษย์เอกของสำนักหนึ่ง มาโต้ด้วยปัญญากับพระพุทธเจ้า ว่าเขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว เขาหลงว่า ในบรรดาผู้ฐานะสูงต้องเป็นตระกูลพราหมณ์จึงสูงสุด  แต่ว่าพระพุทธเจ้าต้อนจนจนมุมเลย จริงๆแล้วความรู้เหล่านี้เป็นความรู้เดียวกัน พราหมณ์กับพุทธเป็นศาสนาเดียวกัน แต่หมุนสลับกันในระหว่างสภาวะกับพยัญชนะ เดี๋ยวก็พุทธ เดี๋ยวก็พราหมณ์ แต่ละกาละ เรียกว่ากัปป์

กัปป์ใดกัปป์หนึ่งไม่เท่าเดิมตลอดเวลา ไม่ใช่แค่พันปีหมื่นปีแสนปีเท่านั้นที่หมุนเวียนกัน แต่ละคราว ที่หมุนเวียน คำสอนมีคำสอนเดียวคือมุ่งสู่นิพพาน แต่ก็เพี้ยนไปเหมือนตอนนี้ คำสอนเพี้ยนเอานิพพานเป็นอัตตาเป็นวิมานไปหมด เป็นเทวนิยม เป็นนิโรธนิพพานดับมืดกับสว่าง ไม่ใช่นิพพานแบบรู้จักกิเลส ล้างกิเลสดับกิเลสสนิท

สรุปคือกัปป์ไหนมีนิพพานแท้เรียกว่า สังวัฏกัปป์ บางกัปป์ไม่มีนิพพานแท้เรียกว่าวิวัฏกัปป์ บางกัปป์มีนิพพานบ้างไม่มีบ้างเรียกว่า สังวัฏวิวัฏกัปป์

พระพุทธเจ้าท่านไล่เรียงโคตร ท่านต้อนเข้ามุมเลยว่า แม้ในการนับโคตรแล้ว กษัตริย์ก็ประเสริฐสุด ส่วนอัมพัฏฐะนั้นถือว่าตนเป็นสายพราหมณ์ เขาก็เลยข่มว่า กษัตริย์ไม่มีวิชชาจรณะเช่นพราหมณ์หรอก แต่พระพุทธเจ้าก็ไล่วนในกัปป์ที่ไม่มีนิพพานแต่คนในกัปป์นั้นเข้าใจว่าที่ไม่ใช่นิพพานคือนิพพาน พระพุทธเจ้าก็ไล่เรียงประวัติไป ถึงว่า ท่านพราหมณ์ สุนังคลพราหมณ์

 สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้
          คาถาสนังกุมารพรหม
         
[159]  กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึง

พร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์
          [160]  ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิดประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า
          [161]  กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์
          จบ ภาณวารที่หนึ่ง

 

วิชชาจรณสัมปทา
[162]  อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็น

ไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน
          พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา อาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า

ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

เมื่อเริ่มแรกพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ท่านเรียกตัวเองว่า ตถาคต ไม่มีคำว่าศาสนาพุทธ หรือพระพุทธเจ้า แต่เป็นศาสนาพราหมณ์ที่เขาสอนกันนี่แหละ แต่พระพุทธเจ้าจะมาแก้ความเห็นของคนที่เขาไม่เข้าใจเนื้อแท้ ศาสนาหรือพรหมจรรย์นี้แหละ แล้วท่านก็จะมาแก้ความผิดเพี้ยน แล้วยุคนั้นก็ยังเพี้ยนกว่ายุคนี้อีก ยุคนี้ยังเหลือพยัญชนะอยู่ด้วย แต่ยุคโน้นไม่เหลือเค้า การยืนยันคำว่า พุทธ คำนี้แปลว่าผู้รู้ยิ่ง ความรู้ยิ่งอันหนึ่งในภาษาบาลี

ท่านเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คนก็ฟังตามโดยเอาคำสอนที่รู้กันทั่วไป ที่รู้ตามกันมา ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคองค์ 8 ตามที่สอนกันมา ก็เอาคำเหล่านี้มาอธิบายยืนยันสภาวะ ท่านยืนยันว่าท่านมาอุบัตินี้เป็นอรหันต์ เป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้มีวิชชาจรณะ ท่านประกาศตนเต็มๆ

ท่านสอนให้รู้ว่าจิตวิญญาณอบายเป็นอย่างไร แล้วก็ฆ่าหรือล้างจิตอบายนี้ไป ก็กลายเป็นสัตว์ที่พ้นอบาย แล้วสอนให้หลุดพ้นจากกามโลก เพราะดับเหตุแห่งความเป็นสัตว์ กำจัดเหตุ เรียนรู้ความจริงเรียนรู้ความหมายให้ชัดเจนแล้วปฏิบัติโดยมีสัญญาเป็นตัวทำงาน มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แล้วรู้รูป 28 ที่เป็นมหาภูตรูป อุปาทายรูป รู้จนเกิดญาณปัญญา อ่านสัตว์อบายสัตว์กาม รูปโลก อรูปโลกออกจนสัตว์เหล่านั้นหมด ก็เป็นผู้หลุดพ้นโลกอบาย กาม รูปโลก อรูปโลก แต่ก็อยู่กับโลกเหล่านี้ได้ แล้วก็สอนให้คนหลุดพ้นได้ด้วย โดยไม่ต้องไปข่มเขาที่ยังตกอยู่ใต้โลกเหล่านี้ เขาน่าสงสาร เขาไม่รู้ก็ต้องช่วยกัน อย่างนี้คือการจำแนกธรรม แล้วก็สอนบอกให้รู้แจ้ง มารโลก เทวโลก พรหมโลก แล้วให้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง สอนให้รู้ให้เป็นให้รู้จักหมู่สัตว์เหล่านี้แล้วก็ทำตามให้งามเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไปตามลำดับ

 

จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:48:37 )

590316

รายละเอียด

590316_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ตอนปัญหาปกิณกะ

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาก็มาอยู่ที่หน้าน้ำตกสันติอโศก ซึ่งเป็นน้ำตกที่พวกเราช่วยกันสร้างให้เป็นธรรมชาติจริงๆ วันนี้วันพุธที่ 16 มีนาคม 2559 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 4 ปีวอกหรือปีมะแมก็แล้วแต่สมมุติ

พูดถึงเรื่องสมมุติบัญญัติคนเขาก็ยึดถือ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องอะไรมากมายเค้าว่าไปแล้วแต่คน เหมือนอย่างที่อาตมาขี่จักรยานออกกำลังกาย คนเขาก็ไลน์มาว่ากัน เขาก็ว่าแยกออกมาจากเถรสมาคมเลยไม่มีวินัยเหลือ แล้วอาตมาก็ว่าเถรสมาคมกับชาวอโศกใครจะมีวินัยเข้มข้นกว่ากัน จริงๆแล้วขี่จักรยานไม่ได้ผิดวินัยอะไร สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีจักรยาน มีแต่รถล้อไม้

เขาก็ว่าเดี๋ยวจะไปเหยียบมดเหยียบปลวก ถ้าจะว่ากันจริงๆเราเดินอยู่ทุกวันก็เหยียบมดปลวก แต่เขาหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาว่ากัน ถ้าคนเราจะตำหนิแล้วแม้แต่พระพุทธรูปก็ยังถูกตำหนิได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเรื่องมีประโยชน์ก็เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีน้ำหนักไม่มีเหตุผลเพียงพอเราก็ไม่เปลี่ยน อย่างอาตมาขับรถไฟฟ้าคันเล็กๆที่ราชธานีอโศก คนก็ว่ามา ก็เลยมีโชเฟอร์มาคอยอาสาขับให้ ก็เลยเป็นภาระ แต่เขาเอาภาระก็ยกให้

แต่อย่างการขี่จักรยานออกกำลังกายก็ว่าจะต้องดูต่อเพราะเป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยจะบอกว่าเป็นวินัยมันก็ไม่มีข้ออะไร ไม่นานเมื่อไม่กี่ปีพระถ่ายรูปถือกล้องถ่ายรูปไม่ได้นะ เขาว่ากัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถือสาเลย  แต่ถ้าคนมีกิเลสแล้วจะใช้อะไรก็เป็นเรื่องไปหมดแม้แต่เครื่องโทรศัพท์ เดี๋ยวนี้ก็มีอะไรสารพัดมากมาย ไอโฟน ไอแพด แล้วมันคนละยุคการกับสมัยพระพุทธเจ้า

 

0818557xxx  กราบนมก.พ่อท่าน แฟนคลับที่ติดตามท่านมีมากนะคะ แต่อาจจะไม่ถนัดส่งsmsเหมือนโยม ไม่ต้องดูอื่นไกลคนใกล้ตัวนี่แหละค่ะ ได้แต่พูดเชียร์ท่านแต่ไม่เคยส่งเลย

 

0818557xxx  กราบนมก.พ่อท่าน ท่านพูดถูกต้องจริงสุดๆๆตาสว่าง แจ่มแจ้ง เรื่องการบวช ท่านพูดสอน ตอบเจ๋งทุกบรรทัด ฟังแล้วคิดกันบ้างปะ  2016-03-15 22:57:56

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน บารมีสิบทัศ ปฏิบัติทานบารมี

0893867xxx  การให้ทานคือการเสียสละ(ทานัญจะ)จึงจะเป็นทานบารมีได้เมื่อให้เพื่อสงเคราะห์ผู้ที่ขาดแคลนฯให้ปัญญาให้บุคคลพึ่งตนตามความเหมาะสมแก่ฐานะได้ถูกไหม? skk  2016-03-15 20:24:06

พ่อครูว่า...คำว่า ทาน คำนี้ยิ่งใหญ่ ในประดาคุณธรรมทั้งหลายเนี่ย ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะเป็นคนที่เป็นผู้ให้หรือผู้ทาน จบเลย เป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นผู้เอา สูงสุดทานบารมี บารมีสิบทัศเนี่ย ผู้ที่จบอรหันต์แล้วจะมีเมตตากับอุเบกขาเป็นเครื่องอาศัย เมตตาเป็นตัวทำงาน อุเบกขาเป็นฐานพัก อรหันต์อาศัยฐานสองอย่างนี้ คือในบารมี 10 ทัศ

คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา จะมีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติไปตามลำดับ มีฐานอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน มีคุณสมบัติ อุเบกขา 5 คือ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา จิตจะยิ่งบริสุทธิ์ๆๆ

ถ้าปริโยธาตาคือบริสุทธิ์แบบผ่านงานมากขึ้นก็ยังบริสุทธิ์ ขาวรอบสะอาดอยู่ จะมีสิ่งเปื้อนแม้ทำงานกับสิ่งเปื้อนกับคนก็ยังบริสุทธิ์ ไม่ใช่บริสุทธิ์แบบอยู่นิ่งๆ แต่คลุกคลีอยู่กับกิเลสของคน แต่ก็ยังแข็งแรงบริสุทธิ์ตั้งมั่นหยั่งลงได้อย่างมีจิตที่มีประสิทธิภาพสูง มุทุ ขึ้นเรื่อยๆ เป็นวิการรูป มีลหุตา มุทุตา กายปาคุญญตา เราอ่านได้ว่ามีประสิทธิภาพแบบนี้ อย่างกายปาคุญญตา เป็นรูปนามที่ลงตัว เกิดความชำนาญแคล่วคล่องของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร

พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ครบ ที่หยิบมาพูดนี้ยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่ได้พูด เจตสิก 52 เจตสิก 89 หรืออื่นๆอีก ขอวางรากฐานรูป 28 ก่อน

นอกจากดินน้ำไฟลมแล้ว ก็ต้องอ่านอุปาทายรูปอีก 24 เริ่มจากปสาทรูป มีโคจรรูปสัมผัสแตะต้องก็เกิดภาวะที่สาม เกิดให้เรารู้ เป็นวิญญาณ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ รูปเป็นภาวะของอิตถีภาวะหรือปุริสภาวะ เป็นธรรมะสอง นี่คือรูปนามธรรม ไม่ใช่รูปดินน้ำไฟลม เท่านั้น

ของเราเกิดหทยรูป ก็อ่านได้ ตอนนี้ใจเรากำลังโกรธ ต้องอ่านอาการนั้นให้ออก มันไม่มีรูปร่างสีสันนะ แต่อ่านออกได้ มันเกิดอาการเศร้า อาการรัก อาการโลภ มันเป็นอย่างไร ต้องอ่านให้ออก มีวิปัสสนาญาณ

อาการที่มันเอาออก เรียกว่าให้หรือทาน ก็ต้องอ่านออกได้ ต้องศึกษาสัมมาทิฏฐิ แล้วเอาไปมนสิการ ทำใจในใจคุณให้เป็น ใจมันขี้โลภ ตั้งจิตทำทานแบบผิดๆ ให้เท่านี้ เหมือนนกกระยางเอาขนมปังมาให้ แต่มันตั้งจิตไว้ว่าจะเอาปลาตัวใหญ่ๆ มันไม่ได้วางภพชาติจะให้ แต่จะเอา มันเป็นอาการกิเลส ผูกยึดติด

ถ้าอ่านอาการพวกนี้ไม่ออก ทำใจไม่ได้ไม่มีทางบรรลุ แล้วตั้งจิตจะเอาอีก คือ

จิตที่ตั้งไว้ผิด คือไพรีกับไพรี หรือโจรฆ่าโจรนั้น จิตที่ตั้งไว้ผิดร้ายแรงกว่านั้นอีก

เหมือนหนังจีนสั่งแก้แค้นกันเป็นรุ่นๆ ใจคนมันผูกไว้ฝังใส่อนุสัย เรารู้ใจก็สามารถอ่าน ถ้าเข้าใจก็จะรู้หทยรูป มันยังไม่ตาย ก็อ่านอาการของชีวิต เป็นชีวิตินทรีย์ อาการจิตมันไม่นิ่งไม่หาย มันยังเกิดอยู่

อาตมาอธิบายถึงอาการของสัตว์ มันมีชีวิตินทรีย์ อย่างอาการของพืช มันมีชีวิตินทรีย์ของพีชนิยาม ก็อธิบายไว้แล้ว มีรอยต่อพีชะมาเป็นจิตอย่างไร กล้าพูดได้ว่าไม่มีใครเอามาขยายได้หรอก พระพุทธเจ้าขยายได้แน่ แต่ไม่ใช่หน้าที่ท่าน มีอาตมานี่แหละมาทำหน้าที่ โดยมั่นใจว่าไม่ได้เดาเอา แต่เห็นของจริงมีจริง จึงเอามาแจกแจง

คนไม่เข้าใจอาการจิต ปฏิบัติธรรมไม่มีทางสำเร็จ จะปฏิบัติทานบารมีก็ต้องอ่านอาการที่มันให้ ออกจริงๆ ถ้ามันกลับไปกลับมา แล้วมันก็อ่านไม่ออก มั่ว ปฏิบัติยังไงก็ไม่รู้เรื่อง

 

0881543xxx  ผมอยากขอเสนอให้พ่อครูเขียนรูปศิลปะโลกุตระด้วยตนเองเพื่อที่จะเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นและอนุชนรุ่นหลังต่อไปครับ  

พ่อครูว่า...การบรรยายนี้ได้ขยายความได้มากกว่ารูปอีกเยอะเลย

 

0805925xxx  ศรัทธาคือต้นทางแห่งสัจจะและตบะคือผลทางสำเร็จ

 

0898498xxx  ลักษณะของธรรมะสองของคำว่าทานที่ผิดพลาดในธรรมกายคือศุภชัยผู้ให้ทานนั้นโกงเขามาส่วนธัมมชัยโยผู้รับนั้นก็ถูกทานนั้นฉกกัดเอาเองจนปาราชิก ทานที่งดงามคือผู้ให้และผู้รับต้องไม่มัวหมอง

 

0898498xxx  สรุปว่า ทานของพุทธนั้นเป็นธรรมะสองไม่ได้แปลว่าให้อย่างเดียว แปลว่าคือทั้งให้ทั้งรับและต้องไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ทั้งสองฝ่ายนั่นเอง  0805925xxx  ศุภชัยแพะธัมมี่อู่วิชาญแพะช่วงช่วงชิมิๆ

 

0893867xxx  กราบขอบคุณพ่อครูฯอ่านบทความตอบประเด็นสอนธรรมะได้ความรู้สนุกครบครันหลายรสชาดซึ่งเป็นรสพระธรรมล้วนๆชนะรสทั้งปวง!

 

0893867xxx  เขาบอกว่าคนว่าธก.เคย ทำคุณปย.อะไรให้กับปท.ช.บ้าง!แล้วธก.เคยช่วยกอบกู้ช.อะไรบ้างตอนบ้านเมืองกลียุคนอกจากหนุนระบบทษ

 

0893867xxx  ศาสนาที่สอนโลกธรรมให้เดินด้วยเงิน!ทำให้ทุกอย่าง เชื่อฟังเงินไม่มีวันทำให้สังคมสงบด้วยเรื่องเงินๆไม่ใช่พุทธศาสนาแท้!

 

0805925xxx  เอากิเลสคนอยากรวยมาล่อทุ่มสุดตัวซอวอยอ?

 

0831219xxx  รบกวนพ่อครูช่วยยกตัวอย่างความแตกต่างคำว่ารู้จักรู้แจ้งและรู้จริง

พ่อครูว่า...คำนี้อาตมาเป็นคนบัญญัติขึ้นมาใช้เองแหละ “รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง” สัมผัสแรกที่สัมผัสเข้าไปจริงๆ เรียกว่ารู้จัก ถ้ายังไม่สัมผัสยังไม่มีตัวรู้จัก รู้จักแล้วสัมผัสอีกคือรู้แจ้ง รู้จริงคือรู้ชัดในรายละเอียดที่จริงขึ้นๆ จนรู้จริง เติมไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์เป็นอีกตัวคือ “รู้จบ”

รู้แจ้งเป็นตัวกิริยาที่มีจริง จนเที่ยงแท้ถาวร จบสุด อัตโนมัติ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

0893867xxx  ความสุขแท้จริงที่สร้างสังคมให้สุขสงบได้จริงคือใจพอ! คนที่ไม่พอจะไม่มีวันมีอะไรเลย การให้ทานคือการเสียสละ(ทานัญจะ)จึงจะเป็นทานบารมีได้เมื่อให้เพื่อสงเคราะห์ผู้ที่ขาดแคลนฯให้ปัญญาให้บุคคลพึ่งตนตามความเหมาะสมแก่ฐานะได้ถูกไหม?

พ่อครูว่า...คนที่รู้ว่าใจเราพอจริงๆ คุณกินอิ่มแล้ว คุณพอ คุณแบกน้ำหนักนั้นมาพอแล้ว คุณเหนื่อยขนาดนี้ไม่ไหวแล้วพอ คุณรู้ความพอ ก็จะตัดไม่ต่อ แต่ถ้าใจคุณอยากได้อยากมีอยากเป็นหรืออาฆาต ก็พอ จะผูกสัมพันธ์ก็พอ ไม่เอามากกว่านี้ แค่นี้ก็พอ พอเป็นตัวสงบ สำคัญมาก สันตุฏฐี หรือสันโดษ คือใจพอ 

สุขสงบได้จริงคือใจพอ คนที่ไม่พอจะไม่มีวันมีอะไรเลย

จะมีอะไร ก็มีแต่กิเลส คนนี้จะไม่มีคุณค่าคุณงามความดีอะไรเลย คนที่ไม่มีวันพอนี่ ไม่มีประโยชน์กับใคร คุณเอาของเขานี่คุณไม่มีประโยชน์นะ แต่คุณได้ให้ คุณมีประโยชน์

สุดยอดคือให้ เพราะฉะนั้นปางสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคือ ปางแห่งการให้ พระเวสสันดร ให้สุดท้ายคือให้ลูกให้เมีย ทดสอบใจมากเลย ชูชกตีลูกต่อหน้าต่อตา ทดสอบใจว่าจะไม่เป็นของเราเป็นเราได้ขาดสนิทไหม คนไม่เข้าใจก็จะบอกว่า พระเวสสันดรแย่มากเลย ลูกแท้ๆให้ได้อย่างไร คือนิทานชีวิตที่จะต้องเล่นละครบทนี้ แต่ไม่ใช่ละครด้วยเป็นเรื่องจริง ทดสอบจิตวิญญาณจริงด้วยนะ ก็ผ่านให้ได้ สุดยอดเลยทานนี่

 

0818557xxx  กราบนมก.พ่อท่าน คนใกล้ตัวได้ส่งให้โยมส่งแทนให้ดังนี้ค่ะ กราบเรียนถามพ่อท่านว่า ผมติดรายการที่พ่อท่านเทศน์เนี่ย เป็นโลภะมั๊ยครับ แม้ว่าเป็น ผมว่าติดธรรมะของพระพุทธเจ้าดีที่สุด

พ่อครูว่า...จะบอกว่าเป็นโลภะจิตไหมก็เอาเถิด หากคุณได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไปได้แล้วค่อยไปล้างได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติสมาธิลืมตาทำอย่างไร

ผมเข้าใจถูกมั๊ยครับว่าสมาธิลืมตา ต้องเริ่มจากการมีความเห็นถูกต้อง(สัมมาทิฐิ)ก่อนแล้วให้ทำเป็นขั้นตอนตามมรรคที่เหลืออีก 7มรรคจนเกิดสัมมาสมาธิ  

ดูจิตใจเราเองว่ากิเลสนั้นๆในใจลดลงหรือไม่จากการมากระทบเราตามทวารทั้ง 6 คำสอนพ่อท่านมีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นกำลังใจให้พ่อท่านสอนเช่นนี้ต่อไปนานๆนะครับ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง สมาธิลืมตาต้องมีทิฏฐิที่ถูกก่อน แล้วทำตามขั้นตอน มรรค จัดการกับสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ โดยมีวายามะ และสติเป็นตัวช่วย มีสติเป็นตัวนำในการปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สัมปชานะ สัมปาเทติ สัมปัชชลติ จัดการกิเลสได้ มีพลังงานสลายกิเลสได้ โหมไหม้ละลายพลังงานอกุศลได้ เป็นพลังงานทั้งนั้นเลย ก็เกิดผล จากมรรค 7 องค์

ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยมรรค 7 องค์นี้คือของพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้เลือนเลอะเทอะไปหมดแล้ว เป็นแต่นั่งสะกดจิต อาตมาต้องรื้อฟื้นขึ้นมา สุดท้ายธรรมะมีสอง สะกดจิต กับ วิเคราะห์วิจัยสภาวะจริง

เพราะฉะนั้นสมาธิที่ล้างกิเลสจริงๆ จิตก็สะอาดยิ่งขึ้น เจริญ ถ้าดับจิตไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดำแน่นหนาอยู่ตรงนั้นน่ะ อาตมาพูดง่ายๆ ชัดๆ แล้วนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อานิสงส์ของการปฏิบัติศีล  

มาต่อกัน พระพุทธเจ้าท่านขึ้นต้น พรหมชาลสูตรเลยว่า คนชมเราชมด้วยอะไร เริ่มจากมีอาจารย์กับลูกศิษย์พราหมณ์ คนหนึ่งชม คนหนึ่งติ แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนว่าคนชมคนติ ถ้าไม่ถูกก็ต้องแก้ไขไป แต่ถ้าชมถูกก็รับไว้ไม่ต้องระเริงใจ

แต่สำหรับท่าน ถ้าใครจะเริ่มต้นชมที่ศีล ต้องชมว่าท่านมีศีล เริ่มแต่จุลศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของใคร เป็นต้น ไปจนจุลศีล 26 พระพุทธเจ้าว่าถ้าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีล เป็นปกติ ตถตา ท่านจึงชื่อว่า ตถาคตา คือดำเนินไปดีแล้ว จบความจริงแล้ว ตถตา

การปฏิบัติศีล มีอานิสงส์ที่ใจ ไม่ใช่แค่กายกับวาจา มันค่อยเดือดร้อนน้อยลง มีปราโมทย์ ปีติ สุข สุขอย่างสงบ วูปสโมสุข

 

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.      ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5.      สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6.      สมาธิ (จิตมั่นคง)

7.      ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8.      นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9.      วิราคะ (คลายกิเลส)

10.    วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 ,  208)

จากศีลก็ไปสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต อะไรตั้งมั่น หากกิเลสตั้งมั่นก็ไม่ใช่ แม้จิตแข็งแรงตั้งมั่นแต่เป็นอกุศลจิต อย่างที่เกิดกับบ้านเมืองไทยเราตอนนี้ คือชั่วตั้งมั่น สมาธิคือผลของฌาน ฌานคือการเผาราคะ โทสะ โมหะ

ฌานต้องมีปัญญา ต้องมีธาตุรู้ ถ้าแค่การสะกดจิตหรือจ่อจดนิ่งอยู่กับกสิณอันนี้นอกรีตศาสนาพุทธ คำว่าฌานคือต้องสร้างพลังงานไฟ แปลว่าไฟกองใหญ่ กองพิเศษที่ไปละลายไฟราคะ โทสะ โมหะ พลังงานฌานจึงต้องมีปัญญา ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน

เมื่อสามารถสร้างฌานได้ ก็สั่งสม ตกผลึก ควบแน่น เป็นสมาธิ ตั้งมั่นของจิต เข้าใจสมาธิ ชัดขึ้นอีกไหม ฌานต้องมาก่อนสมาธิ

ศีลสามข้อแรกเป็นกาย ศีลข้อ 4 วาจา ภาษาคำพูด แล้วศีลข้อ 5 คือจิตวิญญาณที่ไปมอมเมา ทำศีลห้าให้ครบกายวาจาใจ พอได้แล้วก็เติมศีล 6 ศีล 7 ศีล 8 วิกาลโภชนาฯ มาลาคันธวิเลปน ไปเรื่อยๆ เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ เพิ่มขึ้นไล่เลียงลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นี่คือจิตที่เป็นสมาธิ แล้วมีปัญญาเป็นยาดำเป็นธาตุรู้ละเอียด ทำอะไรต้องรู้ชัดเจน ปฏิบัติลงตัวเป็นสัดส่วนไปเรื่อยๆ เกิดวิมุติ นิโรธ ไปตามลำดับ

นิโรธกับวิมุติเป็นไวพจน์กัน แต่อันเดียวกันคือกิเลสไม่มี จบแล้วมีญาณทัสสนะ คือจบด้วยการเข้าใจชัดเจน จบด้วยการรู้ ตื่น เบิกบาน จึงเรียกว่าพุทธะ ไม่ใช่จบด้วยการดับ ไม่มีอะไร ไม่ใช่ แต่สิ่งที่จะให้ไม่มีคือกิเลส ต้องรู้จนพ้นอวิชชานุสัย ไม่มีที่ไม่รู้เลย

ศีล สมาธิ ปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หลับตาปฏิบัติ ในพรหมชาลสูตรมีอธิบายไว้ ในสามัญผลสูตร ก็อธิบายศีล สมาธิ ปัญญา โดยการให้เกิดสมาธิลืมตาทั้งนั้น ให้เกิดสำวรศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ สติอันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน อัมพัฏฐสูตร ทางเสื่อม 4

ในอัมพัฏฐสูตร ก็มีลูกศิษย์สำนักหนึ่งที่ยึดถือความรู้โคตร ของตนว่า สายพราหมณ์นั้น สูงกว่าสายกษัตริย์ เขาเชื่อมโยงด้วยความรู้ด้วยปัญญา แต่ความรู้ปัญญาจริงๆ เขาไม่ไปติดโคตรหรอก พระพุทธเจ้าก็บอก

ในพรหมชาลสูตรก็บอกว่านั่งสมาธิไปหลงอดีตอนาคต แต่พอมาอัมพัฏฐสูตรก็บอกความเสื่อมสี่ประการ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ เป็นไฉน? คือ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้

1. เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้

2. เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้

3. เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้

4. เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ข้อนี้ไม่มีเลย ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้

ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาออกป่า แต่ไม่ตีทิ้งป่า เราทำป่าเอง ตั้งแต่ฆราวาสอาตมาก็ทำน้ำตก ทำเขาในบ้านเอง ลำธารทำเอง

แต่ถ้าเข้าป่า ไปบำเรออาจารย์ในป่า ก็เป็นอาจารย์ที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธหรอก พระพุทธเจ้าได้อรหันต์ 60 รูปแรกก็ให้ไปในนิคม ท่านไม่ได้เข้าป่าเลย

การบูชาไฟนี้เป็นความเสื่อมระดับเทวนิยม จะจุดด้วยเปลวด้วยควันก็ตาม เขาสร้างเรือนไฟในนิคมแล้วบำเรอไฟ บูชาไฟ เป็นความเสื่อมข้อที่ 3

เดี๋ยวนี้เล่นไม่มีด้านเลย เป็นวงกลมจานบินเลย เหนือชั้นกว่าตอนพระพุทธเจ้าอีก ในสมัยพระพุทธเจ้าแค่ประตูสี่ด้าน ทางสี่แพร่ง ดักตอนเข้าประตูสำนักเลย

แล้วงมงายว่าใครจะมาก็จะบำเรอ ต้อนใครมาเป็นอาจารย์หมด ตนเองไม่มีท่าเลย ใครมานับถือหมด

แล้วสร้างทุกอย่างเป็นสื่อสารเพื่อล่อหมดเลย เณรคำมีเครื่องบินส่วนตัว แค่รถเบนซ์รถหรู จิ๊บๆ

ยุคนี้มีวัดไหนไม่บูชาไฟบ้าง เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ก่อนเลย อาตมาพูดมานานแล้ว ทำไมเสียบไม่เข้าเลย ว่าหอกแหลมแล้วนะ

อาตมาตั้งใจพูดนี่ให้รู้รายละเอียดสุดยอด ให้เห็นว่านี่คือความเสื่อม พยายามกันที่จะมาศึกษา

มาซ้ำที่อัมพัฏฐะกับอาจารย์คือโปกขรสาติ พระพุทธเจ้าไล่ต้อนเลยว่า เธอกับอาจารย์นั้นแม้แต่สิ่งที่ผิดเธอยังทำไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ถูกเลย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ เพียงคิดว่าเรากับอาจารย์เรียนมนต์ของท่านเหล่านั้น เธอจักเป็นฤาษีหรือปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีได้ นั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ฟังพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และเป็นปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือฤาษีอัฏฐะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ ฤาษีเหล่านั้นอาบน้ำ ทาตัวเรียบร้อยแต่งผม แต่งหนวด สวมพวงดอกไม้และเครื่องอาภรณ์ นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่าไม่เหมือน

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฤาษีเหล่านั้นบริโภค ข้าวสาลีที่เก็บกากแล้ว มีแกงและกับหลายอย่าง เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่าไม่เหมือน

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ฤาษีเหล่านั้นบำเรออยู่ด้วยเหล่านารีผู้มีร่างกระชดกระช้อย เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่? ตอบว่าไม่เหมือน

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ฤาษีเหล่านั้นใช้รถเทียมม้าหางตัด แทงด้วยปฏักด้ามยาวเหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่าไม่เหมือน

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ฤาษีเหล่านั้นใช้บุรุษขัดกระบี่ให้รักษาเชิงเทินแห่งนคร ที่มีคูล้อมรอบลงลิ่ม เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่าไม่เหมือน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอกับอาจารย์มิได้เป็นฤาษีเลย ทั้งมิได้ปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษี ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในเรา ผู้นั้นจงถามเราด้วยปัญหาเราจักชำระให้ด้วยการพยากรณ์ แล้วเสด็จออกจากพระวิหารจงกรมไป อัมพัฏฐมาณพก็ออกจากพระวิหารเดินจงกรมแล้ว ขณะที่อัมพัฏฐมาณพเดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาคอยู่นั้น ได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่

พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า อัมพัฏฐมาณพนี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะ(อวัยวะเพศ)เร้นอยู่ในฝัก 1 ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้อัมพัฏฐมาณพได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต

อัมพัฏฐมาณพคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง จึงได้ทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้วขึ้นรถม้ากลับไป

(ที.สี. 9/อัมพัฏฐสูตร/169-171/112-114)

 

พราหมณ์โปกขรสาติลุกออกมานั่งคอยรับอัมพัฏฐมาณพอยู่ ณ อารามของตนพร้อมพราหมณ์หมู่ใหญ่ ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพขับรถไปอารามของตนจนสุดทางที่รถไปได้แล้วลงเดินเข้าไปหาพราหมณ์โปกขรสาติ ไหว้แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พราหมณ์โปกขรสาติถามว่า พ่อได้เห็นพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้นแล้วหรือ? ตอบว่าได้เห็นแล้ว ถามว่าก็เกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ? ตอบว่าเกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย และประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง ถามว่าพ่อได้สนทนาปราศรัยอะไร ด้วยหรือไม่? ตอบว่าได้สนทนาปราศรัยด้วยทีเดียว ถามว่าพ่อได้สนทนาปราศรัยอย่างไรบ้าง? อัมพัฏฐมาณพได้เล่าเรื่องเท่าที่ตนได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ

พราหมณ์โปกขรสาติได้กล่าวว่า พุทโธ่เอ๋ยพ่อบัณฑิต พ่อพหูสูตของเรา พ่อทรงไตรวิชาของเรา คนเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้ เจ้าได้พูดกระทบกระเทียบพระโคดมอย่างนี้ ๆ แต่พระโคดมกลับยกเอาพวกเราขึ้นเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างนี้ ๆ พราหมณ์โปกขรสาติโกรธ ขัดใจ เอาเท้าปัดอัมพัฏฐมาณพให้ล้มลงแล้ว ใคร่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเสียในขณะนั้นทีเดียว พวกพราหมณ์ได้พูดห้ามว่า วันนี้เกินเวลาที่จะไปเฝ้าพระสมณโคดมเสียแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด

พราหมณ์โปกขรสาติให้จัดแจงของเคี้ยวของบริโภคอย่างประณีตในนิเวศน์ของตนแล้วเอาใส่รถ เมื่อคบเพลิงยังตามอยู่ ได้ออกจากอุกกัฏฐนคร ขับรถตรงไปยังราวป่าอิจฉานังคลวันจนสุดทางรถ ลงเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามว่า  

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพศิษย์ของข้าพเจ้าได้มาที่นี้หรือ? ตรัสว่า ได้มา ทูลถามว่าพระองค์ได้สนทนาปราศรัยอะไร ๆ กับเขาหรือไม่? ตรัสว่าได้สนทนา ทูลถามว่าพระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับเขา อย่างไร ? พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องเท่าที่พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับอัมพัฏฐมาณพ ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ พราหมณ์โปกขรสาติได้ทูลว่า อัมพัฏฐมาณพเป็นคนโง่ ได้โปรดอดโทษให้เขาเถิด ตรัสว่าอัมพัฏฐมาณพจงมีความสุขเถิด

พราหมณ์โปกขรสาติได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ โดยมากเว้นอยู่ 2 ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พราหมณ์โปกขรสาตินี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้พราหมณ์โปกขรสาติได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมาสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต พราหมณ์โปกขรสาติคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง แล้วทูลว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารในวันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยอาการนิ่งอยู่ พราหมณ์โปกขรสาติทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงทูลภัตตกาลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว

เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์โปกขรสาติพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวาย พราหมณ์โปกขรสาติได้อังคาสพระผู้มีพระภาค ให้ทรงอิ่มหนำเพียงพอด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน และพวกมาณพก็ได้อังคาสพระภิกษุสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว พราหมณ์โปกขรสาติถืออาสนะต่ำนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุบุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถาสัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่าพราหมณ์โปกขรสาติ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์โปกขรสาติ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่พราหมณ์โปกขรสาติว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น (ที.สี. 9/อัมพัฏฐ สูตร/172-176/114-116)

พราหมณ์โปกขรสาติเห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในวัตถุศาสนาจึงได้กราบทูลว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูปฉันใด พระโคดมทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์พร้อมทั้งบุตรภริยา บริษัทและอำมาตย์ ขอถึงพระองค์ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระสมณโคดมผู้เจริญจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์จงเสด็จเข้าไปสู่สกุลโปกขรสาติ เหมือนเข้าไปสู่สกุลแห่งอุบาสกอื่น ในนครอุกกัฏฐะ เหล่ามาณพมาณวิกาในสกุลโปกขรสาตินั้น จักไหว้ จักลุกรับ จักถวายอาสนะ หรือน้ำ จักเลื่อมใสในพระองค์ ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มาณพมาณวิกาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านกล่าวชอบ ดังนี้แล

พราหมณ์โปกขรสาติ มีบารมีสูงไม่เบา พระพุทธเจ้าอธิบายถึงทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ

จริงๆแล้วก็มีทานและศีลให้ปฏิบัติ ถ้ามิจฉาทิฏฐิจะได้แต่สมมุติสัจจะสวรรค์โลกีย์ ได้ผลโลกีย์ อย่างดีได้กัลยาณธรรม ไม่มีการชำระกิเลสได้ นั่นคือโลกียะ สวรรค์โลกียะ กัลยาณธรรมคือสุจริต แต่ได้บำเรอมากไม่มีที่สิ้นสุด บานเป็นปากกรวยไปเรื่อยๆ อย่างธัมมชโยว่าจะได้สวรรค์ใหญ่มากรวยมากขึ้นเรื่อยๆ ชาติหน้าจะรวยมากขึ้นอีก อย่างเจ้าสัวบุญชัย คือไม่มีการพอ มีแต่บำเรอกันประคบประหงมกันยุแหย่ อยากรวยๆ ชัดที่สุดแล้วที่ธัมมชโยและคณะบริวารพากันส่งเสริม ถ้าไม่เข้าใจว่าเลว แต่ไปหลงว่าดีอย่างคุณคนที่เขียนมา

เหมือนที่อาตมาเทียบได้ว่าคือนกกระสาเอาขนมปังมาหลอก เขาก็หลงแต่โลกธรรม แต่ถูกเขาล้วงตับกินไส้ ใช้ประชานิยมหลอกเหมือนขนมปัง เป็นทาสทักษิณยิ่งลักษณ์ที่หลอกคนได้ ถ้าไม่ชัดเจนไม่เข้าใจทานศีล ปฏิบัติแล้วได้อุบัติเทพ ไม่ใช่สมมุติเทพ ต้องมีปัญญารู้รูปนาม

องค์ประชุมรูปนามเรียกว่า กาย คือธรรมสอง แล้วอ่านอาการกิเลสได้ ทำให้กิเลสจางคลายได้ ดับกิเลสได้สนิทสมบูรณ์ แบบถ้วนรอบสมบูรณ์แบบ ไม่มีสวรรค์อีกแล้ว ปฏินิสสัคคานุปัสสี เลิกสวรรค์ ตามเห็นความหมดสวรรค์ ทวนล้างสวรรค์จนเห็นความไม่มีสวรรค์

เมื่อเข้าใจคำว่าสวรรค์ไม่ได้ ก็แปลคำว่าอสังสัคคะไม่ได้ เขาไม่กล้าบอกว่าไม่มีสวรรค์ อย่างสุขขัลลิกะ ก็คือสัข กับอัลลิกะ เขาก็หาว่าแยกคำอย่างนี้ผิดไวยากรณ์ เขาว่าไม่ถูก แต่อาตมาขยายได้เหมือนกับคำว่า season ฤดูกาล คือ sea กับ son

ทะเลกับลูกนี่อาตมาขยายได้นะ season ว่าลูกของทะเลคือฤดูกาล ตอนนี้อาตมาอธิบายถึง ish คือสามเส้า i he she คือสามสภาวะ เป็นต้น

เมื่อไม่เข้าใจอาการก็ออกจากการบำเรอสุขเท็จไม่ได้ ไม่รู้จักอัตตาก็ออกจากอัตตาไม่ได้ ไม่มีเนกขัมมะได้ ไม่มีทางรับอนุปุพพิกถาได้ ไม่รู้อาริยสัจ 4 ต้องรู้ปรมัตถ์ในอนุปุพพิกถาได้

เรื่อง ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ที่เป็นสักกายะ จะไม่เกิดอาวุธบุญที่เป็นเครื่องมือกำจัดกิเลสหรอก ไม่มีความรู้ คือไฟฌานที่จะเข่นฆ่ากิเลส

ความรู้แค่อนุปุพพิกถาก็ไม่เข้าใจ แล้วจะไปรู้อาริยสัจ 4 ได้อย่างไร เพราะไม่มีตั้งแต่สุริยเปยยาลแล้ว ไม่มีมิตรดี เถรสมาคมจ๋า โพธิรักษ์เป็นมิตรดีของท่านนะ มาฟังไหม มาติวกับโพธิรักษ์ไหม ใจยินดีกับโพธิรักษ์ไหม มามีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วมาเรียนรู้อัตตา อนัตตากับโพธิรักษ์ไหม

การสะกดจิตตีไม่แตกในอนุสัยอาสวะ เพราะสายมืดสายสว่างก็ไม่ถูกทางทั้งนั้น แบบใสกับแบบมืดดำ มีสองลักษณะ ขออภัยที่อ้างอิงบุคคล

อาภัสรากับสุภกิณหา ชัดเจน หากคุณมีสุริยเปยยาล มาเรียนรู้อัตตา 3 ได้ ว่าเป็นอย่างไร จนล้างอัตตาหมด

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:57:50 )

590317

รายละเอียด

590317_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก พ่อครูคือโลกุตระศิลปิน 1

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2559 ช่วงนี้เป็นช่วงของการเตรียมงานศิลปะโลกุตระ เป็นการสื่อให้เห็นว่าศิลปะโลกุตระเป็นอย่างไร

ก่อนพ่อครูจะมาเป็นพ่อครู คนก็รู้จักในนามครู รัก รักพงษ์ ทำงานด้านศิลปะ มีทั้งวรรณกรรม ประติมากรรม คีตศิลป์ นาฏศิลป์ จิตรกรรม ผมได้มีโอกาสเรียนถามชีวิตความเป็นมาของพ่อครูก่อนขึ้นรายการนี้

ผลงานเชิงประจักษ์ที่พ่อครูมีนั้น เช่น ชุมชนสันติอโศกที่เป็นป่ากลางกรุงเป็นต้น ส่วนตัวผมเอง ทำงานศิลปะไม่เป็น แต่ก็พยายามเรียนรู้ วันนี้จะได้ซักถามพ่อครูตั้งแต่วัยเด็ก ว่าพ่อครูมีแววด้านศิลปะอย่างไรบ้าง?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน พ่อครูคือศิลปินโลกุตระ

พ่อครูว่า...อาตมาเอง เท้าความย้อนระลึก จำไม่ค่อยเก่ง จำไม่ค่อยได้ แต่ก็จำได้พอสมควร ชีวิตอาตมาที่บอกว่าสนใจศิลปะ เริ่มจริงๆ จำได้ว่าอายุประมาณ 10 ขวบได้

แต่เล็กกว่านั้น ลุงอาตมาได้ขออาตมาไปเลี้ยง เนื่องจากอาตมาเป็นเด็กกำพร้า พ่อตายตั้งแต่เล็ก ไปอยู่หนองคายหลายปี จนอายุ 7 ขวบก็กลับมา ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดตูมตาม ลุงก็เกิดมีลูกหลายคน จะย้ายจากหนองคาย มาเป็น ผอ.รพ.สกลนคร มีลูก 2 คน คนที่ 3 กำลังอยู่ในท้อง ลุงก็เลยขอส่งอาตมาคืน ตอน 7 ขวบ ต่อมาไปอยู่ศรีสะเกษ สงครามโลกก็ยังไม่จบ ยายก็เลยบอกว่าให้กลับไปอยู่บ้านเถิด ถิ่นเกิดอยู่พิบูลมังสาหาร ทวดอาตมาเป็นลูกท้าวคำผง ที่เป็นเจ้าเมืองอุบล มีลูกไปกินเมืองพิบูลฯ พี่ของทวดอาตมาเป็นเจ้าเมือง ทวดอาตมาเป็นอุปราช

มันทิ้งระเบิดตูมๆๆ ก็ไปอยู่วารินทร์ก่อน แม่เป็นนักค้าขาย ก็เลยให้ยายเอาลูกตัวเองไปอยู่พิบูลฯ เรียนหนังสือมัธยมอยู่พิบูลฯ มาวารินทร์ปีหนึ่งตอนป.4 รร.เทศบาลวารินทร์นี่แหละ แรกๆก็ไปอยู่กับคนที่เคยบอกนั่นแหละ ที่ใช้อย่างกับคนใช้ ตอนอายุ 9 ขวบ จบป.4 แล้ว ก็อยู่ที่นั่นจนเก่ง อาตมาก็ต้องขอบคุณเขาเลยที่ฝึกปรือให้อาตมาขยัน อดออมประหยัด ทำอะไรเก่ง แต่ตอนเด็กๆนั้นคิดว่าทำไมเขาโหดร้ายเหลือเกิน เราหนีกลับบ้าน แม่ก็ไล่กลับมาอีก ต่อมาก็บอกว่าไม่ไหวแล้วมาอยู่กับแม่ แต่แม่ก็บอกให้ไปอยู่กับยายที่พิบูลฯที่วัดกลาง ตอน ม.3-ม.4 พบกับครูที่นี่ ที่แกสอนแต่งโคลงกลอน

มีคนชอบแต่งกลอนด้วยกัน ก็ไปกินไปนอนอยู่บ้านครูด้วยกัน หัดแต่งโคลงกลอนตั้งแต่บัดนั้น ครูเป็นคนสอนภาษาไทยสอนกวี โคลงสี่สุภาพ กลอน กาพย์ ก็เรียนมาเริ่มต้นสนใจเรื่องพวกนี้ศิลปะด้านต่างๆ แต่งกลอนปีใหม่ สคส. เห็นเขาเขียน สคส.ขาย พอ ม.5 ก็กลับไปที่วารินทร์ เขาก็เขียน สคส.กัน เราก็ริอ่านเขียนกลอน เราก็มีภาพ สคส. แล้วมีกวี เริ่มหัดเขียนภาพอะไรต่ออะไร เขียน สคส.ขายไป หรือแจกเพื่อน

ตอนนั้นสนใจเพลงตอน ม.5 ชอบเพลง เพลงมันออกจาก กทม. กรมประชาสัมพันธ์ส่งวิทยุมา สุนทราภรณ์ ของทหารเรือ เพลงมานี่เราต้องจำได้ก่อน แล้วต่อให้เพื่อนนี้เท่มากเลย มีหนังสือเพลง ไปไหนเหน็บหนังสือเพลงมา เราก็ต่อเพลงให้เพื่อน จนกระทั่งพออายุ 14 ก็คิดแต่งเพลง ก็งัดกระดาษมาเขียนเลย ร้องเพลงก็จำเอา มีตามปฏิภาณรู้เอาเอง เพลงแรกชื่อเพลง ผู้หลอกลวง

ทิ้งต้นฉบับไปแล้ว แต่ก็พอจำได้ก็เลยเอามาเขียนต่อ ผู้หลอกลวง จำได้เล็กๆน้อยๆ ร้องสด ใส่ทำนองเนื้อร้องเลย ได้เป็นเพลง ก็บอกให้เพื่อน วันหลังเพื่อนบอกว่า เพลงที่ลื้อแต่งอย่าเอามาร้องให้ฟังเลยมันไม่เพราะ ก็เลยเสียใจ เพื่อนว่า วันหลังอย่าเอามา เราก็เลยกลายเป็นคนปิดตัวเองเลย ก็เลยแต่งอีก แล้วไปต่อให้มันร้อง แต่เราไม่บอกว่าเป็นเพลงเราแต่ง มันก็ร้อง มันก็ไม่เห็นมาต่อว่า พวกนี้มีอุปาทาน คนเขาไม่เชื่อหรอกว่าเด็กๆแต่งเพลงได้ คนแต่งได้ต้องระดับแก่ เคี่ยวๆ เพลงแรกตอน พ.ศ.2491 ก็ผ่านไป 68 ปีมาแล้ว

เนื้อเพลงมีประมาณว่า….

เมื่อเราพบกันครานั้นใหม่ๆ

ฉันเอาใจใส่สนใจในเธอ

ดูช่างละมุนละไมจนฉันฝันใฝ่ละเมอ

เธองามรูปนามเลิศเลอ

ต้องเพ้อชอบเธอทันที

เมื่อเพียงพบกันเราขันเกลียวจิต 

หัวใจสนิทรักเธอทวี

เธอทอดไมตรีสัมพันธ์

บอกฉันรักมั่นวจี

ชมชื่นรื่นรมย์ฤดี

สุขนี้ใครเล่าจะปาน

แต่แล้วไม่นานผ่านไป

โอ้ใจต้องตรมซมซาน

เธอรักเพียงเล่นทรมาน

เธอพร่ำเธอขานล้วนคำหลอกลวง

เจ็บจำช้ำปานประหานชีวี

หรือเวรกรรมมีคิดตามมาทวง

จึงสร้างให้เธอนั้นมาคอยฆ่าตามขีดกรีดทรวง

มันเจ็บด่ำใจใหญ่หลวง

อย่าลวงใครๆอีกเลย 

 

เพลงนี้แต่งตอน ม.5 พอ ม.6 เรียนซ้ำสองปี คือยังไงไม่รู้ สังเกตตัวเอง ถ้าชั้นคี่อาตมาเรียนได้ที่หนึ่งนะ เก่ง แต่พอชั้นคู่ ตกเอา

ตอนนั้นแต่งเพลงแล้วก็จีบผู้หญิง แบบเจ้าชู้ไก่แจ้ไปเรื่อย พอจบ ม.6 ตอนอายุ 15 ก็เข้า กทม. โดยแม่จะให้เรียนต่อ แม่มีการค้าขายที่ใหญ่โต มีกิจการหลายอย่าง มีฐานะดี ก็ส่งมาจะให้เรียนหมอ เราก็ชอบเรียนศิลปะ แต่เราไม่คิดมากก็มาเรียนวิทยาศาสตร์สายวิทย์ ม.7 แต่สอบเข้า รร.รัฐไม่ได้ ก็เลยไปเรียน รร.ราษฎร์ แต่ ม.7 สอบได้ แต่ไป ม.8 นี่ก็เราสนใจเรื่องเพลงการ มีนักแต่งเพลงที่ไหน นักร้องที่ไหนก็ไป แต่ไม่ได้ไปแตะสุนทราภรณ์ มีนักแต่งเพลงพวกล้วน ควันธรรมเป็นต้น ก็รู้จักกันในวงการ ตามควานหาไม่ยากหรอก ใครอยู่ไหนร้องเพลงตรงไหน

พี่ล้วนนี้เขาเปิดรับสมัครนักร้อง ประกาศทางวิทยุ ตอนแรกคิดว่าจบ ม.8 ได้จะสอบเข้าศิลปากร ตอนนั้นยังไม่เปิดปริญญา มีแต่อนุปริญญา คนอื่นเขาเข้าเรียนแล้วแต่เรายังสอบไม่จบ ตุปัดตุเป๋ไปศิลปากรบ้าง เพาะช่างบ้าง เราก็ยังไม่ไปไหน แต่เพื่อนก็บอกว่าเพาะช่างเข้าได้

เราก็แต่งเพลง เราแต่งทำนองได้ แต่งมาตั้งแต่เด็ก พอมารู้จักพวกนักแต่ง บางคนแต่งได้แต่ทำนอง แต่งเนื้อร้องไม่เป็น อย่างเพลงค่ำแล้ว เพลงผกาดั่งนารี

ตอนนั้นไปอยู่หอพักที่กทม.ปีเดียว แม่ก็ถูกโกง แล้วก็ป่วยด้วยวัณโรค ทรุดฮวบเลย ตอนนั้นเรียนซ้ำม.8 ปีที่สอง ก็ลำบากมาก ก็ไปรู้จักศิลปินต่างๆ อาศัยเขากินข้าว อาตมาแต่งเพลง ไม่เปิดเผยชื่อจริงนะ ทุกคนเรียกอาตมาว่าแป๊กหมด เวลาแต่งเพลงก็ใช้ชื่ออื่นหมด เปิดเผยแต่ แป๊ก รักพงศ์ ทำอะไรไม่เปิดเผย แล้วแอบเขียนเพลง ตอนกลางคืน

คุณล้วน ควันธรรม หรือสง่า ทองทัศน์ เขามีชื่อเสียงในวงการ เขาติดต่อขายเพลงได้ เราก็ใช้นามปากกาของเราไป เพลงยังขายไม่ได้ เราก็ไถเงินเขาแล้ว เพราะตอนนั้นไม่มีที่อยู่ที่พักที่กินแล้ว ตอนแรกลุงยังไม่ได้ข่าว ก็โซซัดโซเซไป เหมือนฮิปปี้รุ่นแรกเลย ไม่มีที่กิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน แต่ก็ไม่ทิ้งเรียน ไปทำงานไปขนของกับเขา ขึ้นร้องเขาก็บอกว่าเราร้องไม่ค่อยดี ยังตั้งวงดนตรีกับเจ้าออด เจ้าเทพ ว่า เทพวิชชุ เอาชื่อมารวมกัน พอเวลาออกอากาศเราก็ทำบทสคริป แต่งกลอนนำนะ ชื่อเพลงแต่ละเพลงเราก็จะขับกลอนนำนะ ไม่พูดธรรมดา ใช้กลอนนำแล้วก็ร้องก็ทำมาเรื่อย จนกระทั่งเซซัง จนสุดท้าย ข่าวไปถึงหูลุงว่าจะแย่แล้ว กลายเป็นเด็กไม่มีที่อยู่ที่กิน อาตมาก็ไม่เกเรอะไรนะ เป็นแต่เสื้อผ้าไม่ค่อยมีใช้ กระรุ่งกระริ่งน่ะ เสร็จแล้วลุงก็บอกว่าเห็นเข้ารองเท้าผ้าใบขาดๆ กางเกงสั้นเสื้อยืด ลุงก็เลยให้เข้าหอพักบุตรทบ. พาไปฝาก กับพันเอกปิ่น มุทุกันต์ เมียพันเอกปิ่นก็ทำทีรังเกียจไม่ให้รับ ลุงก็มีฐานะหน่อย เป็นเพื่อนกับฝน แสงสิงห์แก้ว ลุงก็พูดจนกระทั่งพันเอกปิ่นก็ยอมรับ ก็ว่าต้องตัดผม โกนหนวด เราก็ทำสิ ก็เข้าไปอยู่หอพัก ค่อยยังชั่วขึ้น ลุงเอาเข้าแล้วก็กลับไปอุบลฯ เริ่มสร้างโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ โรงพยาบาลโรคจิต ภาคอีสานนี่แหละ ก็เขียนจดหมายไปขอจักรยานราเล่ย์ ภาพนี้ถ่ายหน้าหอพักบุตรทบ. ปกติลุงเป็นคนตระหนี่ประหยัดมาก จะมานี่ก็สอนว่ายาสีฟันอย่าไปซื้อ ให้ใช้เกลือแทน เขาสอนให้ประหยัด อาตมาก็เลยเสี่ยงเขียนไปขอจักรยาน เพราะจะทำงานส่งหนังสือพิมพ์ได้ต้องมีจักรยาน แต่ก่อนนี้ จะไปรร.ต้องมีจักรยานใช้เป็นหลักเลย ตอนนั้นอยู่กับพี่ล้วน เขาจะให้ส่งหนังสือเป็นหนังสือเด็ก เขาร้องเพลงแล้วทำหนังสือเพลงขาย อาตมาก่อนจะไปอยู่หอพักบุตรทบ.ก็ไปอยู่กับคุณล้วนเขาก่อนแล้ว พอดีพี่ล้วนเขาเมียหนีพอดี ไม่ได้เป็นนักร้องแต่ก็ไปช่วยหอบของ ฝึกร้องไป

เล่าลัดไป แต่ก่อนนั้นลุงจับไปอยู่วัดบรมนิวาส เจ้าอาวาสมีศิษย์รัก 1 คน เขาสบาย นอนฟังวิทยุ แล้วก็คอยกินอาหาร อาจารย์ก็แบ่งอาหารให้ลูกศิษย์ก่อน เราก็คอยเก็บอาหารไว้กิน ตอนเพลเขาก็มาจัดข้าวให้อาจารย์ตอนเพล เขาก็เก็บอาหารไว้กินตอนเย็นได้แต่เราไม่ได้ อาจารย์ลำเอียงเยอะ แล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาได้อภิสิทธิ์ต่างๆ ลำเอียง เพื่อนคนหนึ่งทนไม่ไหวก็เขวี้ยงสากกะเบือทิ้งแล้วหนีไปเลย เราเองก็ไม่ทนอยู่ต่อไป เราต้องไปซื้อน้ำปลาปลอม มากิน ถ้าได้ไข่ต้มมานี่ต้องซุกไว้กินตอนเย็น กินกับน้ำปลานี่นะ สนุก สุดท้ายมันทนไม่ไหว อาตมาก็ไปสมัครอยู่กับคุณล้วน ซึ่งเมียคุณล้วนหนีไป ก็เลยไม่มีใครเลี้ยงลูกได้ เราก็ทำได้ คุณล้วนก็เลยชวนอยู่ด้วย พอดีเราไม่อยากอยู่วัดด้วย ได้ช่องก็เลยออกมาโดยไม่ลาอาจารย์เลยที่เป็นเจ้าคุณ ลำเอียงมาก ใช้ไม่ได้เลย เราก็มาอยู่กับพี่ล้วน ก็เป็นคนทำสารพัด เลี้ยงเด็กเลี้ยงลูกให้แก ทำอาหารให้ ก็อยู่ในวงการดนตรีของพี่ล้วน เขามีเครื่องมือดนตรี เขาให้เช่าด้วยกับนักดนตรี เราก็เป็นคนจัดส่งให้ ตอนนั้นเราเล่นไม่เป็น ไม่รู้โน้ต ตอนแรกจำอย่างเดียว ตอนหลังก็ค่อยมาเรียนโน้ต เรียนกับอาจารย์กำธรที่คุรุศาสตร์ ตอนแรกเขียนโน้ตไม่เป็น แต่งเพลงเป็น แต่ไปให้เขาเขียนโน้ตเอา ตอนหลังถึงเรียนแล้วเขียนโน้ตได้

ทำหนังสือเอง วาดภาพประกอบเอง ทำหน้าปกเอง เหมือนลอกเลียนหนังสือเขา เอาไปแจกเพื่อนๆอ่าน แจกสาวๆได้หน้า ก็ทำมามั่วๆ ริอ่านทำ

เพลงผู้แพ้นี้ อาตมาไปอยู่หอพักบุตรทบ.แล้ว อยู่เพาะช่าง เข้าปี 2-3 แล้ว  แต่งเพลงนี้ปี 2497 อัดแผ่นเสียงปี 2498 อยู่เพาะช่างตอนนั้น ก็แต่งหลายเพลงไว้ เสร็จแล้ววันหนึ่งจะออกไปเที่ยว จากหอพักบุตรทบ. หน้าโรงพยาบาลวชิระ ตรงทางขึ้นสะพานซังฮี้ แยกจปร.

ตอนหนึ่งได้ไปเป็นศิษย์ก้นกุฏิของพันเอกปิ่น เพราะได้ไปช่วยงาน ก็เลยได้ยกสถานภาพเลย เป็นชีวิตที่นิยายมีหลายรส อาตมาได้ไปอยู่หอพักบุตรทบ.แบบทหาร เขาจะมีคะแนน ที่จะตัดคะแนนความประพฤติ เขามีว่าถ้าสิ้นเดือนไม่ถูกตัดคะแนนก็จะให้โบนัสด้วย อาตมาไม่เคยถูกตัดคะแนน แล้วก็ยังได้คะแนนเพิ่ม คือไปเก็บปากกาได้แล้วเอามาประกาศหาของ นักเรียนเขาได้คืนก็เลยชมเชย เราก็เลยได้คะแนนเพิ่ม ได้เป็นนักเรียนดีเด่นพิเศษ ได้หัวเข็มขัด ถ้านักเรียนไม่ถูกตัดคะแนนจะได้หัวเข็มขัดลงยาจากจอมพลผิน แต่อาตมาได้นักเรียนดีเด่นพิเศษรับรางวัลจากจอมพลผินเลย ทางด้านคุณธรรม

เฟรนด์ชิบนี้แต่ก่อนเราก็เอามาส่งให้เพื่อนเขียน เขียนประดับตกแต่งโก้เลย เขียนสคส.ขายหรือแจก แต่ว่าเป็นเหตุให้เรียนตกเพราะว่าเรียนไปก็แต่งกวีไปเขียนไปก็เลยตก

อยู่หอพักบุตรทบ. ตอนปี 3 ก็ออกไปเที่ยวสี่แยก ตอนนั้นทำนองก็ขึ้นมา พอจะพ้นปากประตู เราก็เลยรีบควักกระดาษมา อาศัยไฟเสาไฟฟ้าหน้าหอพัก เขียน ก็เลยเขียนดีก็เลยไม่ไปเที่ยว ไปเขียนเพลงดีกว่า หลายวันกว่าจะเกลาเสร็จ ก็ไปเสนอ ให้พี่มงคล อำมาตยกุล ให้ช่วยขาย เขาก็ไปขายให้สามเพลง มีเพลงผู้แพ้ เพลงพิไรรัก เพลงกระท่อมน้อยกลางพนา เอาไปเรียบเรียงแล้วก็ให้นักร้องร้อง

 

เพลง : ผู้แพ้

ระกำดวงใจ กระไรหนอบาป

แสร้งสาปวนเวียนเจียนจน

ช้ำป่นฤทัยร้าวในอกเรา

เบียนเบียดจนสุดทนบรรเทา

ทุกสิ่งไซร้ดูซมเซา

กระเซ็นมลายพ่ายไป

ฉันทนทานใจ กระไรเหลือข่ม

ยิ่งตรมระทมทวี

ลี้หลบชะตาระอาอกใจ

อยู่ก็อยู่อย่างผู้ปราชัย

ช้ำสุดช้ำในทรวงใน

ทรงกายทรงใจอยู่เอย

แพ้จนรักสิ้นสลาย

ทำลายเราป่น

สุดทนเปรียบเปรย

แพ้ไปทุกสิ่งอกเอ๋ย

ไม่เหลืออันใดเลย

ชะตาเอ๋ยช่างเลวทราม

* แพ้เกมชีวี สิ้นดีทุกอย่าง

แต่ก็ภูมิใจไม่จาง

ที่จิตของเรามิเลวพ่ายตาม

ยังยิ่งยงเป็นใจดวงงาม

แพ้ก็แพ้ชะตาทราม

ดวงใจทรงความมั่นคง

อ.กฤษฎาว่า...แพ้ก็แพ้ชะตาทราม คิดได้อย่างไร คำนี้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม

พ่อครูว่า...เพลงผู้แพ้นี้เริ่มแต่ง 28 ก.ย. 2497 แก้แล้วเสร็จ 12 เม.ย. 2498 อัดแผ่นเสียงเสร็จ 2499 พอออกมามันก็ดัง ติดตลาด สมัยก่อนไม่มีโฆษณาเหมือนตอนนี้นะ ตอนนั้นอาตมาใส่กางเกงขาสั้นหลังเลิกเรียน ถีบจักรยานออกไปรับหนังสือไปส่ง เพลงมันดัง คนก็ร้องทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นอายุ 21 แล้ว คนเขาก็ร้องเพลง แล้วก็มารับหนังสือพิมพ์จากเรา เขาก็ฮัมเพลงเรา แต่ก่อนเจ้าของเพลงดังนี้ไม่ธรรมดานะ สุนทราภรณ์เขามีวงของเขาก็ทำได้ แต่เรานี่จรจัดนะ เพลงมันดังเหมือนดาว แต่เราเป็นดิน จะพูดว่าเราคือคนแต่งใครเขาจะเชื่อ

เพลงผกาดั่งนารี เราแต่งตอนอายุไม่ถึง 20 ปี

สุขศรี เทวคุปต์ เขาก็ร้องว่า แพ้ก็แพ้ชะตากรรม ดวงใจทรงความมั่นคง เราก็บอกว่าไม่ใช่ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง เขาเป็นนางเอกหนัง เขาก็แย้งว่าร้องอย่างนี้มานานแล้ว อาตมาก็บอกว่าชะตาทราม เขาก็ยืนยันอย่างเดิม อาตมาก็เลยบอกว่า ผมเป็นคนแต่งเองเพลงนี้ เขาก็หัวเราะไม่เชื่อ จนทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เลย

อ.กฤษฎาว่า...ตอนนั้น นักศึกษาไทยไม่ดูหนังไทย ดูแต่หนังฝรั่ง แต่ว่ามีปรากฏการณ์ว่า นักศึกษาไทยไม่ดูหนังไทย แต่ดูหนังโทน  ผมก็จำเพลงได้แม่ร้องให้ฟัง เพลงอย่าบอน เพลงชื่นรัก เป็นต้น พ่อครูเป็นคนแต่ง

พ่อครูว่า...ตอนนั้นอาตมากับคุณชวน รวมหัวกันทำหนังสือ ซึ่งตอนแรกทำหนังสือขวัญดาว นักร้องขวัญดาว คุณชวนเขามีเครื่อง offset เราก็ว่าสีสวยดี

คุณชวนให้อาตมาเป็นบก. ทำหนังสือดาราภาพ ปรากฏว่าขายได้ดีมากเลย ดีจนมีคนอื่นทำตามตั้ง 11 ฉบับ ลอกเลียนกับ ภาพดารา ดาราจักรวาล เป็นต้น

ต่อมาคุณชวนก็ฟิต จะสร้างหนังกัน ร่วมมือกับ เปี๊ยก เขาก็ว่าเอาหนังเพลง มีเพลงเปิดเรื่อง แล้วก็ดำเนินเรื่องด้วยเพลง เชื่อมต่อมีเพลงประกอบ เราก็เหมาทำเพลง สามคนร่วมมือกัน เปี๊ยกกำกับ เราทำเพลง ก็แต่งไปหลายเพลง

เพลงโทนนี่อาตมาไม่ได้แต่ง แต่อาตมาแต่งเพลงกระต่ายเพ้อ เพลงอย่าบอน เพลงชื่นรัก เพลงเริงรถไฟ เพลงฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เพลงหยาดอรุณ เพลงกระต่ายเพ้อก็ดัง แต่ไม่ได้อยู่ในหนัง เพราะเปี๊ยกไม่เอา แต่เพลงโทนเอ๋ยโทนนี่อาตมาไม่ได้แต่ง ของสุธาทิพย์เขาแต่ง เพลงในเรื่องโทนดังทุกเพลง ขายจนโรงพิมพ์นี่พิมพ์ซองไม่ทัน ก็ไปจ้างโรงอื่นเขาพิมพ์ แล้วมีโรงที่มีไม่กี่โรง เขาก็พิมพ์ให้หนังมนต์รักลูกทุ่ง เขาก็มีคัทเอาท์ ว่าได้รายได้ล้าน สองล้าน ทำไมได้มากเราก็ไปดูที่นั่ง คูณตั๋วแล้วก็ไม่ได้รายได้เท่านั้นเท่านี้ ที่จริงโม้ รายได้โทนชนะมนต์รักลูกทุ่ง เขาก็ถือว่าทำลายสถิติ แต่ไม่ใช่ ที่เรารู้คือนับเก้าอี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือนับซองแผ่นเสียง เพราะพิมพ์จำนวนซองเท่าไหร่ ก็รู้ว่าน้อยกว่าหนังโทน

 

ฟังเพลง ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง

ต่ำคือแดนเขตแผ่นดิน

เขตเมฆินทร์เขตแดนฟ้า

สูงส่งเหลือคณาพาให้คะนึง

แดนดินแดนฟ้าตราไว้ประหนึ่ง

แยกส่วนที่พึงตรึงรั้วกั้นฟ้าแบ่งดิน

แต่ดวงใจคน ดิ้นรนไม่รู้แดนถิ่น

ไม่อาจแบ่งฟ้าดิน มันโผผินบินผ่านหาญกล้า

เรื่องดวงใจไม่มีแดน

เขตเมืองแมนจะไปหา หัวใจมันกล้า

แดนฟ้าต่ำดินสูงได้ไม่นึกกลัว

ดนตรี ...

..แต่ดวงใจคน ดิ้นรนไม่รู้แดนถิ่น

ไม่อาจแบ่งฟ้าดิน มันโผผินบินผ่านหาญกล้า

เรื่องดวงใจไม่มีแดน

เขตเมืองแมนจะไปหา หัวใจมันกล้า

แดนฟ้าต่ำดินสูงได้ไม่นึกกลัว

พ่อครูว่า...ตอนนั้นปฏิบัติธรรมแล้วนะ ทำหนังโทน

อ.กฤษฎาว่า…อยากถามเรื่องศิลปะโลกุตระ

พ่อครูว่า…คำว่าอุตมะ หรืออุตตมัง แปลว่าอุตตมะ หรือสูงสุด คนจะรู้จักต้องเป็นอาริยะ ในโลกมีแต่ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ ศาสนาอื่นไม่มี เป็นสิ่งที่จะไขเรื่องศิลปะสำหรับมนุษย์ ขอยืนยันว่าอาตมาใช้ศิลปะทำงานมาตลอด อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นศิลปิน ทำงานด้วยการจัดองค์ประกอบศิลป์ ถึงขั้นทำให้จิตปีนขึ้นจากโลกียะมาสู่โลกุตระได้

อ.กฤษฎาว่า...ภาพที่ผมประทับใจคือภาพที่บอกว่า ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส

พ่อครูว่า...ศิลปินก็ประกอบเรื่องราว ให้คุณเข้าใจได้ นำพาไปสู่จุดหมายที่เป็น interest point ของงานให้คนรับซับซาบ เกิดปัญญา เข้าใจ เปลี่ยนแปลงจิตลดกิเลสได้ คือศิลปะขั้นโลกุตระ แต่งานทุกวันนี้ ปรุงสีเสียงแสงให้ติดรสเท่านั้น

อ.กฤษฎาว่า...การวางองค์ประกอบต่างๆต้องมีเจตนารมย์

พ่อครูว่า...ใช่ ต้องมีจุดหมาย ความต้องการให้เป็นเช่นไร เราก็สร้างให้เป็นไทย ไม่หรูหรา เป็นธรรมชาติ อย่างปฐมอโศกตอนเริ่มสร้างก็สร้างจากที่นาที่ไร่ ก็ถมดินขึ้นมาจนได้ระดับ แล้วมาวางผัง ทำภูเขา ลำธาร ที่จะให้อยู่ต่างๆนานา ทั้งในวัฒนธรรม จะให้เป็นภราดรภาพอย่างไร เป็นสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกัน เราจะเน้นกสิกรรม ทำภูเขาก็ถมขึ้นมา ทำลำธาร ก็สร้างมาพร้อมกัน

ไม้ร่มเป็นศิลปินที่ช่วยสร้างมาแต่ต้น หาหิน หาไม้ ปลูกกันมา ทำอ่างเก็บน้ำ ทำน้ำตก ทุกอย่างออกแบบกันเอง เป็นหมู่บ้านแรกของเราที่เริ่มสร้างขึ้น

.ศ.2507 เป็นองค์ประกอบศิลป์ให้อบรมจิต กาย วาจา มีจิตเป็นประธาน ให้ธรรมะนำจิตให้ดี แล้วออกมาเป็นกาย วาจา แล้วเป็นพฤติกรรมสังคม

อ.กฤษฎาว่า...คือจากภายในออกสู่ภายนอก แล้วรวมพลังจากปัจเจกเป็นหมู่ สาธารณโภคี มีภาพศิลปะในการปฏิเสธไม่รับเนื้อสัตว์ ไม่รับเงิน มีภาพฉายไหม?

จากเดี่ยวๆมาเป็นหมู่ จากปฐมอโศกตอนนี้ไปทั่วเลย

พ่อครูว่า...เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ จากหนึ่งจึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง One for all, All for one.

 

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น แต่ก่อนผมรับหนังสือก็ดูคร่าวๆ แต่ตอนนี้เราต้องคิดอย่างไร แล้วอย่างไรที่เราคิด วันที่ 19 นี้จะเป็นงาน 84 ปีชาตกาล อาจารย์ส.ศิวรักษ์ แล้ววันที่ 20 ก็เป็นงานศิลปะโลกุตระ ซึ่งจะมีศิลปะบุญนิยมแบบต่างๆ เช่น ศิลปะพาณิชย์บุญนิยม

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:58:20 )

590318

รายละเอียด

590318_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ตอน เพลงโลกุตระ

เริ่มรายการ ด้วยเพลง ชื่นรัก โดยวงดนตรี ฆราวาส มีนักร้องคือ โอ๋ ฆราวาส รายการนี้เป็นรายการพิเศษ ถ่ายทอดสดรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ภาคศิลปะโลกุตระ โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์และคณะ จากสันติอโศก ประจำวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2559

เพลง ชื่นรัก

รื่นรมย์ สมอุรา

(สมอุรา สมดังใฝ่)

ชื่นตา..ฟ้าเบิกบาน

(มองฟ้าเบิกบาน เหมือนชื่นตา แสนสุขใจ)

นกร้อง ขับขาน สราญแสนสุขตา

(ฟังนกขับขานบานเบิกใจ)

แมกไม้โบกใบพลิ้ว

รื่นริ้วลมเริงร่า

(สุขตา อุราเบิกบาน)

เมื่อรักลอยลมมา แนบอุราสมดังใฝ่

(รักแนบอุรา สมดังใจ)

สมรัก เราเคยปอง สุขสองประคองใจ

ชื่นรักชักชวนให้สุขไหนปาน

(แช่มชื่นด้วยรักเต็มดวงใจไหนจะปาน)

คุณขวัญชนก ชูเกียรติ เป็นพิธีกร เริ่มต้นด้วยบทเพลงที่พ่อครูแต่งตอนเป็นฆราวาส ซึ่งบทเพลงหลายๆบทเพลงในโลกนี้ ก็มีระดับความเป็นโลกียะและความเป็นโลกุตระ วันนี้เราจะมาเจาะใจพ่อครู ตั้งแต่เป็นศิลปินอยู่โลกียะ จนมาถึงโลกุตระนี้เป็นอย่างไร แรกๆที่พ่อครูได้แต่งบทเพลงมานี้เป็นมิติใด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะหรือเพลง 5 ระดับ

พ่อครูว่า...วันนี้เรามาพูดถึงประโยชน์และโทษของศิลปะ พระพุทธเจ้าได้แยกสารัตถะต่างๆ ออกว่าเป็นข้าศึกแก่กุศล หรือเป็นมงคลอันอุดม หรืออย่างเก่งก็มันไม่เป็นทั้งข้าศึกแก่กุศล และไม่เป็นมงคลอันอุดม เป็นกลางๆ ก็เป็นได้แต่หายาก ที่จะไม่โน้มเอียงไปทั้งทางข้าศึกแก่กุศล หรือมงคลอันอุดม

สิ่งที่เป็นมงคลอันอุดมท่านเรียกว่าศิลปะ ศิลปะต้องเป็นมงคลอันอุดม มงคลแปลว่า สิ่งประเสริฐ สิ่งที่เจริญ สิ่งที่พาพัฒนามนุษยชาติ อันอุดมแปลว่าสูง อยู่เหนือโลกียะขึ้นไป

ส่วนสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อศิลปะ เป็นข้าศึกแก่กุศลเรียกว่า อนาจาร สร้างราคะ ก็ไม่ควรทำ มันทำให้กิเลสเกิด เป็นข้าศึกแก่กุศล ไม่ควรดู ไม่ควรชม ไม่ควรไปสัมผัส ไม่ควรไปดู ความรู้ของพระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่รู้ก็เลยมอมเมากันไปทั้งโลก แม้พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจน ก็มอมเมากันหนัก ขออภัย

ก็ลองเล่าตอนที่ตนเองเป็นมาตั้งแต่ต้น เริ่มเลย เอาเฉพาะเพลงก่อน อาตมาก็ชอบศิลปะห้าแขนง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม นาฏกรรมและดนตรี เดี๋ยวนี้ก็ไปตั้งชื่อศิลปะต่างๆนานา เพื่อให้คนเชื่อถือตามเขา แล้วก็หลอกขายศิลปะ อาตมาเองไม่มีความรู้ก็ต้องตรวจค้นหาหลักฐาน อาตมาไม่ได้เป็นคนตั้ง แต่เขาตั้งมาแล้ว เขาก็เรียกศิลปะพวกนั้นว่า abstract art ว่าชั้นสูง ไร้แบบแผน ตามวิธีการที่เขาจะรังสรร ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไปกันเละเทะเลย

ศิลปะ abstract เขาตั้งชื่อไปหลายอย่าง อย่างไม้ร่มนี้หาอะไรใส่ตัวเอง ให้คนดูแปลกใจ เรียกว่าพวก Anamorphosis อาตมาอาจออกเสียงไม่ถูกนัก ทั้งที่อาตมาเคยได้ certificate จาก AUA มานะ พ่อครูได้เอ่ยถึง abstract อีกหลายแขนง

พ่อครูได้พูดถึง abstract art อีกหลายแขนง ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งกันไป พวกเราฟังดีๆ มันหลอกกันทั้งโลกเลย อย่าไปหลง ถ้าไม่รู้ทันก็ถูกครอบงำความคิดสร้างจินตนาการไป จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องหลอกๆเล่นๆ เป็นการ์ตูน เป็นต้น

เพลงแรกที่อาตมาแต่งตอนอายุ 14 ปี พ.ศ. 2490 หรือ 2491 ชื่อ เพลงผู้หลอกลวง เนื้อเพลงว่า

 

เมื่อเราพบกันครานั้นใหม่ๆ

ฉันเอาใจใส่สนใจในเธอ

ดูช่างละมุนละไมจนฉันฝันใฝ่ละเมอ

เธองามรูปนามเลิศเลอ

ต้องเพ้อชอบเธอทันที

เมื่อเพียงพบกันเราขันเกลียวจิต 

หัวใจสนิทรักเธอทวี

เธอทอดไมตรีสัมพันธ์

บอกฉันรักมั่นวจี

ชมชื่นรื่นรมย์ฤดี

สุขนี้ใครเล่าจะปาน

แต่แล้วไม่นานผ่านไป

โอ้ใจต้องตรมซมซาน

เธอรักเพียงเล่นทรมาน

เธอพร่ำเธอขานล้วนคำหลอกลวง

เจ็บจำช้ำปานประหานชีวี

หรือเวรกรรมมีคิดตามมาทวง

จึงสร้างให้เธอนั้นมาคอยฆ่าตามขีดกรีดทรวง

มันเจ็บด่ำใจใหญ่หลวง

อย่าลวงใครๆอีกเลย 

 

ศิลปะอาตมาแบ่ง เป็น 5 ระดับ

1. ลามก เป็นงานขั้นต่ำที่สุด หยาบคายสุด มันยั่วให้เกิดกามราคะแรง หรือยั่วให้เกิดความโกรธ แล้วยั่วให้เกิดโมหะ เขาจะครอบงำจิตให้เกิดโลภโกรธหลง นี่คือปุถุชน โหดร้ายเช่นนี้ คนชนิดนี้ เมื่อขั้นที่ไม่รู้เขาก็ทำ แต่คนก็พอรู้ทันก็ไม่แพร่หลายนัก หยาบคายลามก คนรู้ว่าไม่ดี แต่เขาก็ทำกันอยู่

2. ราคะ เป็นเรื่องความรักใคร่สามัญ อันนี้เยอะมากในโลก โด่งดังได้เงินได้ทองกันในโลกเต็มโลก เป็นศิลปะ มันยังไม่ใช่ศิลปะ ไม่เข้าข่าย มีเต็มโลกร่ำรวยโด่งดังหากินเต็มโลก

3. สาระ อันนี้เริ่มนับว่าเป็นศิลปะ โน้มจิตไปเพื่อกัลยาณธรรม กตัญญูซื่อสัตย์สุจริต รู้จักสาระแท้ของชีวิต สามัญทั่วไป

ถ้าสาระอย่างเดียว ไม่มีอะไรชี้ชวนประกอบกระสัย ให้น่าชื่นใจ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสด้วย ก็ไม่ชื่อว่าศิลปะ ถ้ามีแต่สาระเรียกว่าสารคดี ส่วนศิลปะต้องมีองค์ประกอบอื่นด้วย

4. ธรรมะ จะเป็นกัลยาณธรรม ดึงสู่ความสงบสุขเรียบร้อยสาระ เป็นเทวนิยม ในระดับสามัญทั่วไป จะสูงเท่าไหร่ก็เป็นโลกียะ ไม่ใช่ขั้นสูงสุดโลกุตระ

5. ศิลปะโลกุตระ มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น คนเป็นโลกุตรบุคคลจึงประกอบงานศิลป์ได้ อาตมาเป็นผู้ที่ทำได้ ทำมงคลอันอุดม เริ่มแรกชื่ออาตมาก็ชื่อมงคล ท่านติสโส อ้วน ตั้งชื่อให้ มงคลคือความประเสริฐ เป็นอจินไตย อาตมาทำไมต้องเป็น ร.รามรักษ์ ส่วนส.ศิวรักษ์ แล้วก็มีตรีมูรติ เป็นสามหน่วย

โลกุตระ จุดแบ่ง โลกียะ กับ โลกุตระ คือ จิต อกุศลจิต หรือกิเลส ถ้าลดละจางลง ก็เป็นโลกุตระ ถ้าเพิ่ม โตใหญ่ มากขึ้น ก็เป็น โลกียะ

ศิลปะโลกุตระ คือ งานที่มีอิทธิพลถึงขั้น ทำให้คนผู้เสพลดกิเลสได้

อาตมามากรุงเทพตอนเป็นฆราวาสก็โดดเข้าวงการเพลง แต่งหลายเพลง เช่น เพลงพิไรรัก เพลงซากรัก เป็นเพลงระดับราคะ ที่จริงชื่อเต็มว่า เหลือเพียงซากรัก เต็มไปด้วยเรื่องรักใคร่เต็มที่เลย เป็นเพลงระดับราคะ นี่เป็นเพลงรุ่นแรกที่อัดแผ่นเสียง

แล้วมีเพลงรุ่นสองมา คือ เพลงผู้แพ้ เพลงกระท่อมน้อยกลางพนา มันก็ชักจะไม่ใช่ราคะ ชักมีสาระ

 

(ต่อไป วงฆราวาสร้องเพลง ก่อนสิ้นแสงตะวัน)

แดดเรืองแสงร้อนแรงคุ้มหล้า วับวาม

แผ่รังสีในยามตะวัน มิจร

อย่าระเริงหลงว่า เวลาผันผ่อน จะพาร้อนใจ

แดดอ่อนแสงร้อนแรงพลันคลาย มิคง

อย่าลืมหลงเวลาล่วงเลย ล้ำไป

อย่ามัวเพลินหลงว่า เวลานั้นไม่ ควรสนใจคำนึง

 

จงคิดอย่าเมินมอง แดดอ่อนรองเรืองรำไร นั้นไซร้

ควรคิดและพึง สำนึกดูจนเห็นใน ใจจึง ซึ้งในคุณและค่าตะวัน

ก่อนสิ้นแสงตะวันจะจาก ลับไกล

โปรดจำไว้คือวัยล่วงไป พร้อมกัน

จึงควรตรองเสียก่อน  อย่านอนหลงมั่น  วัยและวันจะผ่าน

พ่อครูว่า...เพลงก่อนสิ้นแสงตะวันก็เป็นเพลงแค่สารคดี จะบอกว่าธรรมะก็มีหน่อยๆ ชี้นำให้คนรู้จักสาระที่เป็นคุณค่าคุณธรรม ว่าอย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเปล่า เหมือนตะวันขึ้นแล้วก็ตกแค่นี้ ก็เป็นเพลงสาระ ไม่ใช่โลกุตระอะไร เพลงระดับพวกนี้มีเยอะ พอสมควร ยกตัวอย่างเท่านั้น

 

(ต่อไป วงฆราวาส ร้องเพลง ป่ากาม)

โลกนี้มีไหมใครมิเคย เอ่ยงามเอ่ยสวย

ใครช่วยเชิญไข ให้ความหมายรูปรสกลิ่นเสียง

เพียงแตะใจกาย รื่นรมย์หลากหลาย

ย่ำกลายย้ำกามเหิมเกริม ใครสวยใครเสริมจนเยิ้มงาม

ค่าใดใคร่ถาม ที่เห่อเกินหาม ห่ามใจเหิม

เปลืองไหมแพงไหม ใยได้แต่เสริม

อย่าเติมเหิ่มหาบ้าร้ายห่าร้ายลงเมือง

 

ใยไม่คำนึงนึกถึงความจริง มารสิงใจจนป่นเปลือง

ป่ากามเข้มเต็มเมือง ร้อนเรืองลามไหม้ลนก้นทรมาน

คนเอ๋ยเคยหวนทวนคิดกัน แค่ใดใช่ผัน

ตามก้นคนฝัน สร้างทางผลาญ มองหามาเห็นทางให้ใจหาญ

ต้านโลกีย์สาน ม่านศีลสร้างสรรสังคม

พ่อครูว่า...เพลงป่ากามนี้เข้าขั้นโลกุตระแล้ว ด่าทอกามแล้ว เพลงนี้แต่งทำนองไว้ก่อน ก่อนจะเป็นเพลงนี้ได้ชื่อว่า เพลงเทพโหด คือเป็นเพลงรักๆ โลกๆ ใช้เป็นเพลงที่สอน คุณฉันทนา กิติยพันธ์ ร้องเพลง

ผู้แต่งเพลงต้องรู้จักการโน้มน้อม convergence ให้ไปสู่ interest point อย่างไรด้วย อาตมามาบวชแล้วก็เอาทำนองเก่ามาใส่เนื้อใหม่ หลายเพลง ร้องให้เป็นเพลงโลกุตระไป พวกเราก็ฟังจนเกิดผล มีเปลี่ยนแปลงจิตใจชีวิตมาเป็นมวลหมู่ชาวอโศก

 

(ต่อไป วงฆราวาสร้องเพลง ภูฟ้าผาน้ำ)

ยากจะตาย หากเราปั้นทรายให้เป็นแผ่นทอง

เก็บเอาฟ้ามารวมกันปั้นกอง ก่อภูเขาเป็นโขดหิน

หรือยิ่งปั้นผาน้ำ ให้ยืนค้ำอยู่คู่ธานินทร์

นั้นไม่ได้ยินว่าเป็นไปได้

ใช่ง่ายดาย หากเอาน้ำลายปั้นเป็นบ้านเมือง

ก็คงหลงตามด้วยความหมดเปลือง เฟื่องฟูหรูจนไม่ไหว

เหมือนปั้นลมแล้วหวัง ให้เป็นเสาตั้งหยั่งลงไป

นั้นแน่ว่าใครหวังไปเปล่าดาย

 

เหมือนโลกของเหล่าผู้รู้

ปั้นภูมิดูสูงส่งชวนหลงเป็นของง่าย

ความรู้มอมเมาจิต เกิดเป็นพิษมากมาย

ปรัชญาหลากหลายคล้ายกัน

 

ปั้นภูฟ้า ปั้นผาน้ำ ผลนั้นเป็นเช่นใด

ปั้นภูมิสูงมาค้ากันเข้าไป ไล่กันทึ้งจึงบิดผัน

ขายค่าความคิดสูง จึ่งจูงโลกสู่ประลัยกัลป์

เพราะไม่ปั้นคุณธรรมให้คน

ปั้นภูฟ้า ปั้นผาน้ำ ผลนั้นเป็นเช่นใด

ปั้นเพียงรู้ไม่ปั้นธรรมใส่ใจ โลกจึงถึงดีแค่ฝัน

หลงแต่ความรู้ไซร้ จึ่งพาให้สุดโต่งดึงดัน

นั่นแหละ "ปัญญานิยม" ล่มเมือง

 

พ่อครูว่า...เพลงภูฟ้าผาน้ำนี้เป็นเพลงโลกุตระที่เข้าสมัยมากเลย ต้องพยายามนำมาใช้ เดิมทีแต่งทั้งทำนอง เนื้อร้องตอนเดินบิณฑบาต ตั้งแต่เริ่มออกบิณฑบาตจนกลับวัด ตอนอยู่ปฐมอโศก 22 กุมภาพันธ์ 2531 ใช้ความจำ และโน้ตบ้าง ได้ทั้งทำนองและเนื้อเสร็จในตัว หลายเพลงแต่งเร็ว อย่างเพลงชื่นรักนี้แต่ง 15 นาทีเสร็จ 

จะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็ปฏิบัติลดกิเลสในเมืองได้ แต่อยู่เหนือได้ ตรงนี้ สัมผัสกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ไม่มีกระดิกไม่มีหวั่นไหว แล้วอยู่ช่วยสร้างบ้านเมือง ฆราวาสที่เป็นอาริยบุคคลซึ่งมีมากกว่านักบวชอีก ก็เป็นนักการเมือง

อาตมาทำงานมา 46 ปีแล้วก็ถึงเวลาเปิดตัวศิลปะโลกุตระ โดยเชิญผู้จะร่วมกันสร้างสรรประเทศชาติก็เชิญเลย

 

(ต่อไป วงฆราวาสร้องเพลง ผีฟ้า)

สวยงามสามภูมิสรรมาให้สวยเลอเลิศ

พราวเพริดปานใดงามแข่งกันไปยิ่งสวย

อร่อยเกมส์กามเลยเถิดเกิดกลซ้อนจนคนซวย

สำรวยผลาญพล่าพาร้ายเป็นผีตัวหนึ่ง

หลงรวยหลงมีหวังเป็นเศรษฐีให้ได้

จะยากอย่างไรกระเสือกกันไปให้ถึง

ต่างแข่งต่างคนมีเล่ห์มีกลร้ายจนพรั่นพรึง

ผลจึงเสียทีป่นปี้เป็นผีอีกตัว

 

แค่สวยรวยสองตัวนี้

ฤทธิ์มันมากมีเป็นผีฟ้าที่น่ากลัว

ใหญ่จนผู้คนหดหัวมืดมัวชั่วดีไม่มีปัญญารู้ได้

 

ผีจึงหลอนลวงสังคมด้วยสวยรวยศักดิ์

มันใหญ่ยิ่งนักจนหักคอมันไม่ไหว

แต่หากศึกษาเพียรฆ่าผีฟ้าที่มาชอนไช

สังคมพ้นภัยใครกล้าฆ่าผีบ้างเอย

พ่อครูว่า...ให้คะแนนสู่แดนธรรม 80 เต็มร้อย ที่พยายามร้องเพลงผีฟ้านี้ เพี้ยนท่อนแยก ถ้าใครร้องเที่ยวแรกนี้ไม่เพี้ยนได้นี่ยอดเลย เพลงปราบเซียน ออกนอกคอร์ดไปเลย เดิมเพลงนี้ชื่อหัวใจที่ไร้ค่า ต่อมาใส่เนื้อใหม่เป็นเพลงผีฟ้า

ก็มีสองคำคือคำว่าสวยและรวย แค่รวยกับสวยสองคำนี้ อาตมาเรียกว่าผีฟ้า

ที่แต่งเพลงมาก็ใช้ได้ผล เกิดผลให้คนบรรลุ แต่ก็เพิ่งได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่ถึงเป้า แต่การได้อาริยบุคคลมาในโลกนี้แม้จะได้น้อยก็มีค่าสูง เป็นสิ่งจำเป็นของโลก รู้ว่าไม่ง่าย แต่ก็ทำได้ทุกวันนี้ไม่สูญเปล่าไม่เสียของ 

 

มีคุณปิ๊ก ฝากหิน ถามว่า ศิลปินที่แต่งเพลงแบบคอร์ดนอกทฤษฎีนี้มีพ่อท่านคนเดียวหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็น่าจะมีคนเดียวที่แต่งแบบนอกคอร์ดแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าออก รู้ว่าจะดึงเข้าอย่างไร เพลงผีฟ้านี้ขนาดนักประสานเสียงมาร้อง ก็ยังบอกว่าทำไมยากจังเลย

คนอื่นจะออกไป มี flat sharp ออกนอกโหมด แล้วก็ดึงเข้ามาด้วย ทั้ง minor major ก่อนเข้าหัวก็ดึงเข้าได้อีก เป็นต้น ทั่วไปออกไปแค่ครึ่งเสียงก็พอมีแต่อาตมานี่ออกนอกมากกว่า เป็นภูมิของเดิม อาตมามาเรียนทฤษฎีทีหลัง ถ้าอาตมาไม่ออกบวชตั้งใจจะทำ Opera แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำ Operettaแล้ว ตั้งแต่เป็นนักเรียนมา หมายถึงว่า ในเพลงเป็นเรื่องราวที่มี plot มี climax มีเนื้อเรื่อง ตัวแสดงทุกตัวไม่มีพูดกัน การพูดตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นเพลงหมด

อย่าง Musical playก็เป็นเพลง แต่มีการพากษ์ แต่นี่ไม่มีพูดเลย มีเพลงทุกตอนทุกเวลา นี่คือ Operetta คือเล็กๆ แต่ใหญ่ๆจะเป็น Opera  อาตมาซ้อมเป็นเดือน แต่ออกจริงแค่ 20 นาทีเท่านั้น ตอนนั้นไม่มีใครมาสอน แต่ทำเอง เป็นของเก่าทั้งนั้น คนก็ดูดี

มีนักศึกษาศิลปะ อาจารย์ก็พาออกไปศึกษานอกสถานที่ ก็ไปสุโขทัย ก็เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ต่างๆ ประวัติพระและเจดีย์ที่สุโขทัยเมืองเก่า

 

(ต่อไป วงฆราวาสร้องเพลง ฟากฟ้าฝั่งฝัน)

          แม้ไกลปานไปฟากฟ้า

ข้ามสุริยาอีกดวง

เลยจักรวาลทั้งปวง

อยู่สรวงฤาห้วงแดนใด

ยากแค้นไกลแสนกรากกรำ

คร่ำทรมานปานไหน

เจอมารพาลโหดโฉดภัย

          ร้อนร้ายกว่าไฟก็ทน

แน่วจริงแล้วใจไม่หน่าย

เกิดตายแล้วตายกี่หน

มุ่งเพียรขอเพียงให้คน

เมตตาผองชนจริงใจ

นั้นคือแดนดังฝั่งฝัน

ช่วยกันและกันดีไหม

หวงโลภหลงโกรธอยู่ไย

บุญไซร้ใครสร้าง ต่างเป็นของตน

พ่อครูว่า...เพลงฟากฟ้าฝั่งฝันนี้เป็นปณิธานส่วนตัว อาตมามุ่งมั่นจะยากปานใด ไกลเพียงใดจะไปให้ถึงที่สุดแห่งที่สุด ยากแค้นไกลแสนกรากกรำขนาดไหน แน่วแน่ในใจ เป็นปณิธานโพธิสัตว์ เพื่อเดินทางไปสู่จุดหมาย อาจารย์ประมวลฟังแล้วก็บอกว่าเป็นเพลงโพธิสัตว์นี่ เป็นจิตตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นไม่ง่ายหรอก

คนเราเข้าใจศิลปะที่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายไม่ได้ ที่อาตมาตั้งประเด็นเป็นภาษาง่ายๆว่า งานที่จะเป็นโลกียะหรือโลกุตระได้นั้นต้องดูว่า เช่น คนเขียนภาพนู้ด คนมาเห็นแล้วก็กิเลสลด กับกิเลสเพิ่ม อันหนึ่งเห็นภาพนู้ดแล้วกิเลสขึ้นอย่างนี้คืออนาจาร มิใช่ศิลปะ คนที่จะเขียนภาพนู้ดให้คนกิเลสลดได้ไม่ง่ายนะ อาตมาไปเห็นภาพปิกัสโซ่ คิวบิซึ่ม นั้น ก็แยกส่วนอวัยวะหมดเลย

อย่างแวนโก๊ะ เขาถือว่าเป็นต้นแบบ impressionism คือไปติดที่วิธีฝีแปรงเขา เป็น ที ของเขาที่ไม่มีใครเหมือน ก็ไปติดใจเช่นนั้น แต่ไม่มีความหมายอะไรเท่าไหร่ realistic ธรรมดา ไม่ abstract อะไร แต่ที ฝีแปรงแกเป็นเอกลักษณ์ คนก็ติดอันนี้เท่านั้น อย่างภาพดอกทานตะวันดอกเดียว ภาพเก้าอี้ คนก็ซื้อกันเป็นพันล้าน หลงในเทคนิค ไม่เข้าถึงสาระ นอกจากความประทับใจแค่นั้น เอาแค่รูปเรื่องฝีแปรงชอบๆๆ แต่ไม่รู้ได้สาระอะไร

วันที่ 20 นี้จะเปิดตัวศิลปะโลกุตระ อยากให้เข้าใจสาระ ที่เป็นโลกุตระ เพราะศิลปะอยู่ในทุกแขนงของชีวิต ถ้าเข้าใจแล้วจะมีสัปปุริสธรรม 7 ตามแบบพระพุทธเจ้า เอาไปใช้เป็นประโยชน์ทำตนเป็นอาริยะแล้วช่วยสังคมต่อไป

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:03:45 )

590319

รายละเอียด

590319_เสวนา คันฉ่องส่องปัญญาชนสยาม ส.ศิวรักษ์

ณ สันติอโศก 19 มี.ค. 59

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ_ตรีมูรติ) ตอน ส.ศิวรักษ์ คนดีตรีมูรติของไทย

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคนในสังคมและในโลก เราต้องพูดเผื่อไว้ เพราะออกอากาศไป วันนี้อาตมาถือว่าเป็นวันสำคัญมาก วันที่ 19 มี.ค. 2559 ใครจะว่าอาตมาเป็นคนยึดติดคร่ำครึ เอาอะไรก็ไม่รู้มายึดถือแล้วนำพาตัวเองไป ดูเชยๆโบราณไม่ทันสมัย ไม่มีเชิงปัญญาก็ไม่เป็นไรใครจะว่า

อาตมาถือว่าในสังขยาเลข 1 2 3 และ 4 5 6 เลข 7 8 9 เป็นสามเส้า

1 คือจุดเริ่มเกิด 2 คือสิ่งที่จะมีสันตติต่อมา 3 ก็เกิดเส้าที่สาม สามเส้านี้แหละจะเกิดวงรอบ วงวน ความเป็นวัฏฏะ หมุนขึ้นมา เมื่อเกิดหมุนรอบก็เกิดแรงงาน เกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะอุบัติเป็นพลังงานเกิดในโลก ถ้าทุกอย่างนิ่งสงบสนิทจะไม่มีอะไรก่อเกิด ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว หากมีอะไรเคลื่อนไหวนิดนึงก็ตาม ก็เริ่มมีอะไรเกิดขึ้นมา ถ้าจุดสามเกิดเมื่อใด ก็เกิดพลังานขึ้นมาทันที ทางฟิสิกส์จะเรียกอะไรก็ตาม เป็นนิวเคลียส ถ้าเกิดวงวนซ้อนเป็น 4 5 6 และ 7 8 9 เกิดสามเส้าในสามเป็น 9

สามเส้าเป็น 9 นี่แหละคือองค์รวมของวัฏฏะที่ซับซ้อนเป็นสังวัฏกัปป์ ในระดับต้น จริงๆแล้วสังวัฏกัปป์ ในความหมายของศาสนาพุทธแปลว่ากัปป์ที่มีโลกุตรธรรม ถ้ากัปป์ใดไม่มีโลกุตรธรรมเรียกว่าวิวัฏกัปป์

ถ้าเกิดสามเส้าก็เกิดวงวนเรียกว่า 10 หรือ 0 ถ้าเรียกว่า 10 ก็ต่อเป็น 11 ขยายซ้อนไปๆ แต่ถ้าไม่ต่อเป็น 0 ก็หยุด ก็จบ หรือทรงอยู่แค่นั้น เพราะฉะนั้นธรรมะที่ทรงอยู่เรียกว่า 10 ถ้าขยายผลก็เป็นอภิธรรม เป็นธรรมะขยายพัฒนาขึ้นตลอด ถ้าเสื่อมก็หายนธรรม

สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมที่มีจริงตั้งแต่อณูปรมาณูแห่งสิ่งเกิด ดิน น้ำ ไฟ ลม ดินคือธาตุที่นิ่ง น้ำก็เป็นองค์รวมเคลื่อนไหว ดินนิ่ง น้ำเคลื่อน แล้วมีพลังงานซ้อนเรียกว่า ลมและไฟ ลมก็เคลื่อน ไฟคือพลังงานมีประสิทธิภาพสูงมาก สองอันนี้รวมกัน ผสมกับดินกับน้ำจะเกิดสภาพธาตุ ถ้าอุตุนิยามก็มีแค่ 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ เกิดเป็นพีชนิยาม เป็นชีวะระดับต้น

จากพีชะ จะพัฒนามาเป็นจิตนิยาม แล้วพัฒนามาเป็นกรรม พีชนิยามไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ไม่มีเวทนา พอมาถึงจิตนิยามถึงมีกรรม มีวิบาก มีเวทนา ผู้มี

ธาตุรู้ระดับจิตจะศึกษาธรรมะที่ทรงไว้เรียกว่าธรรมะ จะเป็นอภิธรรมหรือหายนธรรม ก็ได้ พัฒนาได้ถึงเป็นพระพุทธเจ้าครบทั้งโลกุตรธรรมและโลกียธรรม

ศาสนาพุทธคือโลกุตรธรรม มีประสิทธิภาพทำให้เกิดหรือสลายได้ เด็ดขาดทั้งทางนามธรรม หรือรูปธรรม ทางรูปธรรมนั้นวิทยาศาสตร์ค้นพบได้ แต่เขาสลายไม่ได้ สิ่งที่เขาสลายไม่ได้คือรังสีนิวเคลียร์ เขาทำให้นิวเคลียสแตกตัวได้แต่ไม่สามารถสลายรังสีนิวเคลียร์ได้ จึงเป็นเรื่องลำบากในสังคมโลกที่จะทำลายกัมมันตภาพรังสี

ส่วนพระพุทธเจ้านั้นทางจิตวิญญาณก็มีพลังงานเช่นเดียวกัน

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นความรู้ขั้นสัมมาสัมพุทธะ เป็นอาริยธรรม จะรู้รายละเอียดวัตถุธรรมและโลกุตรธรรม เป็นนามธรรม ถึงที่สุดสลายไม่เหลือกัมมันตภาพรังสีของนามธรรมได้หมด ควบคุมกัมมันตภาพรังสีนามธรรมได้ด้วย

ทุกอย่างประกอบด้วยชีวะหรือไม่ชีวะ ก็สัมพันธ์กันทั้งสิ้น ไม่มีอะไรไม่สัมพันธ์กันเลย แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ค้นพบความสัมพันธ์นี้ของทุกสิ่งในเอกภพ ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ค้นพบถึงสัมพันธ์ทางนามธรรม

มนุษย์เป็นจิตชั้นสูง คนแต่ละคนคือเจ้าของนวนิยายแต่ละเรื่อง คนละเรื่อง ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตจึงประกอบด้วยพฤติกรรมที่เป็นนวนิยามแห่งตน บทบาทของตนเอง ทุกบุคลิกและทุกกรรมของแต่ละคนจึงเป็นงานศิลปะหรืองานอนาจาร ที่เป็นความจริงของสัจธรรมที่ตนเองมีแต่ละคน

ศิลปะคือมงคลอันอุดม ส่วนอนาจารคือข้าศึกแก่กุศล แต่ละคนย่อมแสดงตนเป็นบทบาทความจริงของแต่ละคน บ้างก็อนาจารบ้างก็มงคล

ส่วนผู้จะสามารถแสดงบทบาทถึงอุดมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้นั้น ที่สูงส่งสูงสุดของมงคล อันมีเหตุตามสัจจะไม่มีใครออกนอกสัจจะได้ หรือไม่มีใครจะทำนอกสัจจะของตน คนชั่วคนโกงย่อมทุจริตตามสัจจะ คนดีก็ต้องทำดีสุจริตตามสัจจะ ก็มีกรรมวิธีของตนเอง คนจะดีมากหรือชั่วมากก็เป็นสัจจะของแต่ละคนที่ทำเองและทำอยู่ทุกบุคลิกและทุกกรรม ที่แต่ละคนใช้ภูมิหรือความฉลาดเท่าที่ตนโง่ คนเราทุกคนเป็น

ชีวิตที่มีอยู่ของแต่ละคนจึงคือสัจจะที่จะก่อนวนิยายของตน จากที่อยู่ในโลก

ขอยืนยันว่าไม่มีใครออกนอกสัจจะของตนได้ทั้งคนดีคนชั่ว กรรมที่ตนทำเอง กรรมที่ตนดำรงกรรมทุกกรรมเป็นสัจจะของตนทั้งสิ้น ไม่ขาดหกตกหล่นเป็นอันขาด ตนต้องเป็นทายาทของกรรมของตนทุกเม็ด คนดีก็ทำดี คนชั่วก็ทำชั่ว หรือคนทำทั้งดีและชั่วเท่าที่ตนมีภูมิ ผู้รู้ก็จะรู้ ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ ผู้พอรู้ได้ก็ต้องรู้ตามที่ตนฉลาด

วันนี้เป็นมงคลที่ดีเยี่ยมยอดเยี่ยมขอกล่าวถึงคนดี ที่เป็นตรีมูรติของไทย หมายถึงฉายาของคนที่มีกรรมที่เป็นประโยชน์คุณค่าของสังคม กล่าวคือ คนไทยสามคนที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกและก็ได้ทำกรรมกิริยาต่างๆ นับองค์รวมแล้วมีคุณค่าประโยชน์ต่อสังคมตามสัจจะแห่งสัจจะ ความจริงตามจริงที่ไม่มีใครเบี้ยวสัจจะได้ ส่วนจะนับว่าดีหรือชั่วสัจจะย่อมเป็นสัจจะ ไม่มีใครทำให้ผิดเพี้ยนได้ กรรมเป็นอันทำ ใครทำจริงอย่างไรปกปิดซ่อนเร้นอย่างไร โกหกเก่งอย่างไรก็ตามสัจจะย่อมเป็นสัจจะ ชั่วคือชั่ว ดีคือดี แท้จริงเสมอ ซึ่งผู้ทำกรรมนั้นแล้วองค์รวมเนื้อแท้แห่งกรรมของท่านใดที่มีมากมีพอจนถือได้ว่าเป็นคุณค่าประโยชน์แท้ต่อโลกอย่างสำคัญ

เพราะการเสียสละ ต้องมีคำว่าเสียสละเป็นเกณฑ์ตัดสินสำคัญ คนทำประโยชน์มากแต่ไม่ถึงขั้นเสียสละ กล่าวคือยังรับสิ่งแลกเปลี่ยนกลับ คือไม่ว่าจะเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงค่าแรง ของแลกเปลี่ยน ซื้อขายก็ตาม จนเกินค่าแรงงานผลผลิตก็จะไม่เหลือคุณค่าประโยชน์ จึงไม่มีนามธรรมของคุณค่าแท้ที่เรียกว่า มูรติ หรือไม่มีรูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้ ผู้มีรูปธรรมนามธรรมที่เป็นประโยชน์คุณค่าแท้ก็เรียกว่ามีมูรติ

รูปธรรมนั้นมีฉายาอยู่

ศิวะหนึ่ง รามหนึ่ง พรหมหนึ่ง คือฉายาของตรีมูรติ หรือจะมีฉายาอื่นที่เป็นสามเส้าอีกก็คือเป็นมูรติทั้งนั้น ซึ่งในโลกยุคนี้จะมีสิ่งที่เป็นคุณค่าแท้ในเมืองไทยที่มีภูมิธรรมถึงอนุตตรธรรมอยู่ในอนุสัยจิต ในก้นบึ้งของจิตที่ฝังรากไว้ในจิต

ผู้ที่มีพุทธธรรมจึงจะนับได้ว่ามีมูรติ ในเมืองไทยมี 3 ท่านที่มีกรรมทำมา ล้วนอายุเกิน 80 ขึ้นไป ผู้ไม่มีภูมิโลกุตระจะไม่สามารถรับสัจจะนี้ได้ มนุษย์ที่ไม่เข้าใจสัจจะนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ผู้จะรู้สัจจะแท้นั้นยากแสนยาก สัจจะมีทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ

คุณธรรมสามเส้านี้จะช่วยสังคมได้อย่างแท้จริง เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนอย่างมีคัมภีราอย่างยิ่ง

ผู้หนึ่งในสามนั้น มีฉายาว่า ศิวรักษ์ เป็นสัจจะแท้ของผู้เกิดมาช่วยโลกช่วยสังคม เป็นผู้มีบุคลิกและกรรมที่ยากที่คนจะเข้าใจ คือผู้มี สุ ลักษณะที่เป็นศิวะอย่างแท้จริง

อาตมาก็พอจะอธิบายพฤติกรรมศิวะ หรือลีลาความเคลื่อนไหวแห่งบุคลิกก็ดี หรือการปรากฏของกรรมก็ดีของแต่ละคน เป็นความจริงแสดงจริงของแต่ละคน เสแสร้งก็ทำได้ แต่ความจริงคือความจริง

อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ คือ สุลักษณ์ คือลักษณะดี แล้วมีฉายาว่าศิวรักษ์ รักษา ศิวะ

อีกผู้หนึ่งอาตมาขอกล่าวผ่านๆว่ามีฉายาว่า รามรักษ์ อีกผู้หนึ่งก็มีลักษณะของพรหมลักษณะ เรากำลังพูดถึงคนๆเดียวก่อน เป็นการเปิดเผยสัจธรรมอันลึกซึ้งที่ยังไม่เคยมีใครกล่าวนัยอย่างนี้

อาตมากล่าวนำแนะนำบุคคลที่อยู่ในสามเส้าในมหาจักรวาลที่สำคัญจริงๆที่พอรู้ในสังคมแห่งนามธรรมที่เรียกว่าตรีมูรติ

ศาสนาพุทธไม่งมงายหรือเลือนไปอย่างพราหมณ์ บทมนต์พวกนี้มีในพราหมณ์ แต่ชาวศาสนิกเข้าใจสัจจะนี้ไม่ได้แล้ว พุทธกับพราหมณ์นั้นหมุนเวียนกลับไปกลับมา ถ้าในพุทธธันดรจะไม่มีสังวัฏฏกัปป์หรือวิวัฏฏกัปป์

ผู้ใดที่สามารถทำให้คนมาจน ทำให้คนเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้คนมาเสียสละอย่างจริงใจเป็นต้น แล้วพยายามขัดเกลาผู้อื่นให้มาสู่จุดนี้ให้ได้ เรียกว่าผู้มีตรีมูรติแท้จริง เมืองไทยเรามีสามท่านแล้ว คนเหล่านี้อายุ 80 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น ผ่านไปนานแล้วก็น่าจะเอามากล่าวถึงมาศึกษา ควรได้สืบทอด เพราะเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้เอามาประกาศเรียกว่าศาสนาพุทธ เมืองไทยเมืองพุทธต้องนำสิ่งนี้กลับมาให้ได้ ในขณะที่ศาสนาพุทธกระแสหลักเลวร้ายมาก เป็นความเลวร้ายในร่างที่แฝงหลอกว่าดี ว่างาม ว่าสวยจนหลงกัน ไม่กล้าทำอะไรเพราะไม่รู้ทัน

โอกาสนี้วาระนี้อาตมาถือว่าเป็นฤกษ์ใหญ่ที่สุด วันนี้ได้เชิญท่านผู้รู้สามท่านและท่านผู้มีภูมิรู้ทุกท่านที่มานี้ก็เสวนาได้ด้วย อาจรู้ได้แยบคายกว่าสามท่านนี้ก็ช่วยได้เถิด กรุณาแสดงออก มันอมพะนำสัจจะนี้มานานแล้ว แต่คนชั่วนี้ดันแสดงออกได้มาก อาตมานี้ถือว่าอาภัพ เราจัดงานใหญ่ถือว่าใหญ่สำหรับเรา เราเชิญไปมากแต่ก็มาได้เท่าที่เห็น อาตมาเหมือนแร้งในสังคม คนรังเกียจ แต่พูดนี่ไม่ได้พูดอย่างน้อยใจนะ อาตมาถึงจะฝืนสังขารให้ยาวให้ได้ถึง 151 ปี ไม่รู้ว่าอ.สุลักษณ์จะอยู่กับอาตมาหรือไม่นะ

ขอให้อ.สุลักษณ์ได้พูดก่อนที่จะเข้าเสวนา

 

อ.ส.ศิวรักษ์ว่า...ผมชื่อนายอภัยมณีต้องเป่าขลุ่ยก่อน ขอขอบพระคุณพระคุณท่านที่ได้จัดงานวันเกิด 84 ปีให้ ผมก็ดีใจมากที่จะได้อยู่ 84 ปี เกิดเมื่อไหร่ตายเมื่อไหร่คือสมมุติ แม้แต่วันวิสาขะคือวันสมมุติ ศาสนาพราหมณ์ที่ญี่ปุ่นถือว่าพุทธประสูติกาลคือ เดือนเมษายน อันนี้เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์นะ เอามาทำเรื่องร้ายกาจก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้มาเพื่อรับสรรเสริญเยินยอ ซึ่งผมชอบนะ แต่ว่าที่มารสามคนที่จะมาตินี้ก็ดีนะผมถือว่าเป็นกัลยาณธรรม

ผมเกิด พ.ศ. 2475 ที่จริง ศักราชนับแล้วไม่ครบ 84 ปี ที่จริง วันที่ 26 น่ะครับ เขาจะมีวันล้อวันเกิดผม เขาให้ผมเป็นพระนารายณ์ มาปราบนนทก แล้วนนทกที่ให้ผมมาปราบเรียกว่า คสช.ให้เผด็จการราบเลยนะ ใครสนใจไปชมได้

แต่เมื่อพูดถึงวันเกิดแล้ว สามคนที่พระคุณท่านว่า น่าจะเป็นอ.ปรีดี อ.ป๋วย ไม่ทราบว่า ทราบหรือไม่นะว่าอ.ปรีดี พนมยงค์ 82 ปี 11 เดือนกับ 21 วัน วันนี้เป็นวันที่ผมมีอายุครบ 82 ปี 11 เดือน 21 วัน ตรงกับอ.ปรีดีพอดีครับ (พ่อครูว่าในมหาจักรวาลไม่มีอะไรบังเอิญแต่มันซ้ำซ้อนกันได้แล้วคนขี้ตู่ได้ ถ้าผู้ชั่วสุดตรงกันดีสุดก็ตู่กันได้นะ)

ถ้าสามคนนี้พูดถึงผม สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่พูดถึงคือ การซื้อขายนะ ผมเอาหนังสือมาขายด้วย แถมลายเซ็น ชื่อบทกวี การเมือง และวิพากษ์พระ แจกแจงพระให้ละเอียดเลย ไม่ได้โฆษณาขายของ แต่ผมได้ทำอะไรมาหลายอย่าง แต่อย่างสุดท้ายนี้ ผมกำลังสร้างมหาวิทยาลัยพุทธเพื่อสังคมนานาชาติ เริ่ม 12 ก.พ. เป็นมาฆบูชา ก็มีคนหลายคนเอาเงินมาช่วยให้ทำได้ ท่านทราบไหมว่าสมเด็จพระราชาคณะไปฉันที่ไหนต้องมีคนให้เป็นแสน ผมก็มีงานไปอีกหลายแห่ง และมีคนเชิญผมไปรับประทานอาหาร แล้วจะมีคนให้เงินผม 1 ล้านบาทครับ มากกว่าราชาคณะ แต่ผมจะเอาไปทำมหาวิทยาลัยพุทธ

ชาวพุทธนี้คือผู้ต้องการตื่นจากโลภ โกรธ หลง เราต้องทำศีลให้กลับคืนมา ...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 

เริ่มการเสวนา ... คันฉ่องส่องส.ศิวรักษ์ โดย ท่านจันทร์ จากสันติอโศก เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.อุทัย ดุลยเกษม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร คุณประชา หุตานุวัตร คุณรสนา โตสิตระกูล อดีตวุฒิสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ปี 2551

 

ท่านจันทร์เริ่มด้วยบทกวี นักด่าห้าดาว

 

คนจริง คนตรง คนกล้า

โด่งดัง ด้วยด่า น่าสดับ

สอดส่อง กองสุม ขุมทรัพย์

คันฉ่อง ส่องฉับ วับวาว

 

นักเขียน นักคิด นักพูด

นักแปล นักปูด เรื่องฉาว

นักดวล นักด่า ห้าดาว

เรื่องราว สุลักษณ์ ศิวรักษ์

พระจันทร์ สันติอโศก 3 มีนาคม 2559

 

คุณรสนา...อ.ส.ศิวรักษ์เป็นผู้ที่หาได้ยากในสังคมและเป็นผู้มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมอย่างมาก ดิฉันรู้จักอ.ส.ศิวรักษ์ตอนอยู่ปี 1 เพื่อนบอกว่า อ.ส.ศิวรักษ์เป็น CIA ก็เลยตามไปดู ถือได้ว่าอ.ส.ศิวรักษ์เป็นผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตดิฉันอย่างมาก อ.ส.ศิวรักษ์มีลูกศิษย์อายุตั้งแต่ 70 จนถึง 17 ปี อ.ส.ศิวรักษ์ได้ทำอย่างสำคัญคือการให้โอกาสคนรุ่นใหม่ คือในยุคสังคมเปิด หลัง 14 ตุลา ในมหาวิทยาลัยเป็นสังคมเปิด หนุ่มสาวแสวงหากันแต่มักไปทางแนวสังคมนิยมฝ่ายซ้าย ดิฉันได้เข้ามาในกลุ่มอ.ส.ศิวรักษ์ เป็นกลุ่มอหิงสา ที่มีแนวทางอีกแบบหนึ่ง หากไม่รู้จักอ.ส.ศิวรักษ์ชีวิตอาจเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งก็ได้ เริ่มสนใจหนังสืออ.พุทธทาส ก็เปลี่ยนมาอยู่ในชมรมพุทธศาสตร์ เพื่อนๆก็ว่ารสนาไปผิดทาง ดิฉันก็บอกว่าแสวงหาอยู่เพื่อนก็ว่า เขาเจอกันหมดแล้วทำไมเธอยังแสวงหาอีก

การพบอ.ส.ศิวรักษ์เป็นสิ่งมีคุณประโยชน์อย่างยิ่งในสังคมที่คนพยายามแสวงหาความจริงของชีวิต ดิฉันหลังจบแล้วก็มาทำงานในมูลนิธิโกมลคีมทอง ได้เงินสนับสนุนจากอ.ส.ศิวรักษ์สองแสนบาท เป็นจุดเริ่มต้นให้ทำงานนี้ เป็นงานสมุนไพร ทำได้นานพอสมควรทำให้เกิดผลต่อสังคมพอสมควร

คุณรสนาว่า...อ.ส.ศิวรักษ์พยายามผลักดันให้ดิฉันเป็นประธานมูลนิธิโกมล คีมทอง มีอ.ป๋วยเป็นรองประธาน ดิฉันยอมเป็นอยู่ปีหนึ่ง จากนั้นก็ลาออกมาเป็นกรรมการธรรมดา ดิฉันแปลหนังสือมา ให้อ.ส.ศิวรักษ์ตรวจ ท่านก็ว่าแปลไม่ได้เรื่องใช้ภาษาไม่ถูก ก็ได้ถูกขัดเกลา ตอนนั้นดิฉันก็ได้พบท่านติช นัทฮันห์ ในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักท่าน ตอนนั้นท่านมาก็พยายามช่วยเหลือกลุ่มสหธรรมิกของท่านในเวียดนาม

ท่านติช ทำให้ดิฉันสนใจ การเอาพุทธธรรมมาสู่สังคม การอยู่ในแวดวงอ.ส.ศิวรักษ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเรา ในวัยที่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยสำคัญมาก หากเรามีกัลยาณมิตรที่ดีก็จะทำให้ชีวิตเราไปในทางที่ดีได้

มีโอกาสอ่านหนังสือแปลกใหม่ที่อ.ส.ศิวรักษ์นำพาให้เราเจอ และพบคนใหม่ๆที่อ.ส.ศิวรักษ์ได้นำพาไปพบ

อ.ส.ศิวรักษ์เป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีการกระทำที่มีคนตำหนิ แต่สิ่งที่คนตำหนินี้ อ.ส.ศิวรักษ์น่าจะดีใจมาก คือคำตำหนิของอ.ปรีดี เรียกอ.ส.ศิวรักษ์ว่า สวะสังคม แต่ในที่สุดก็ทำความเข้าใจกันเป็นอย่างดี การวิพากษ์วิจารกันแต่ต้นอาจเพราะไม่รู้ แต่เมื่อเข้าใจกันได้ก็ดีมาก ทั้งอ.ป๋วยและอ.ปรีดีที่ ยูเนสโก้ รับรองล้วนเป็นผลงานของอ.ส.ศิวรักษ์

มีคนบอกว่าอ.ส.ศิวรักษ์มักพูดถึงสันติภาพด้วยความรุนแรง การวิพากษ์ถึงสถาบันของอ.ส.ศิวรักษ์ ทำให้ลูกศิษย์ต้องไปช่วยอ.ส.ศิวรักษ์อีก ลูกศิษย์หลายคนอาจบ่นว่า อ.ส.ศิวรักษ์ชอบเอาปัญหามาให้ลูกศิษย์ อ.ส.ศิวรักษ์เป็นนักวิจารณ์สังคมที่ดุเดือด มีคนน้อยคนในสังคมกล้าทำเช่นนั้น โดยไม่กลัว แต่ไม่ยอมติดคุก จึงเป็นภาระของลูกศิษย์ที่จะต้องช่วยเหลือ คนอย่างอ.ส.ศิวรักษ์ได้สร้างคุณูปการอย่างมากมายในสังคม

 

ท่านจันทร์ว่า...มีคำที่อ.ส.ศิวรักษ์ได้กล่าวถึง ท่านไพศาล วิสาโล บอกว่าอย่างอ.ส.ศิวรักษ์นี้ คนเหมาะไปเป็นลูกศิษย์ แต่ไม่เหมาะจะไปเป็นลูกน้อง

มาสู่บุคคลที่สอง เกิดปี 2485 คือ ดร.อุทัย ดุลยเกษม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร

ดร.อุทัย ว่า...ผมเมื่อเทียบกับอ.ส.ศิวรักษ์ ไม่ใช่เป็นมาร แต่เป็นกุมาร แต่ผมอยากขออนุญาตมองอ.ส.ศิวรักษ์ในฐานะลูกศิษย์ อยากให้ฟังหูไว้หู เพราะอาจมีอคติ

ประเด็นที่ 1 คืออ.ส.ศิวรักษ์ในฐานะมนุษย์ คือทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งสัตว์แต่ต้องเป็นสัตว์ประเสริฐ คือต้องเรียนรู้สม่ำเสมอและไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ อันนี้บ่งถึงอ.ส.ศิวรักษ์เรียนรู้ทุกเรื่องทุกด้าน แต่อ.ส.ศิวรักษ์เป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่เป็นลูกเทพ อ.ส.ศิวรักษ์มีโมหะโทสะโลภะ แต่ความเด่นที่เราควรเรียนรู้อ.ส.ศิวรักษ์คือ อ.ส.ศิวรักษ์ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการละ หรือควบคุมโลภะ โมหะ แต่อาจเรื่องโทสะอาจควบคุมได้น้อยหน่อย แต่ถือว่าเก่งนะครับ

เขาบอกว่าคนมีความเก่งกาจ อย่างคุณประชา นี่ มักจะมีแรงขับทางเพศสูง แต่อ.ส.ศิวรักษ์นี่ทำได้ดี มีผู้หญิงมาชอบเยอะ เป็นคนเก่ง ผมเข้าใจว่าอ.ส.ศิวรักษ์ควบคุมได้มากกว่าประชา สิ่งนี้ผมได้เรียนรู้อ.ส.ศิวรักษ์นี้ไม่ได้บวชพระแต่ซาบซึ้งในรสพระธรรม ควบคุมได้ดีมาก อาจไม่ดีเต็มร้อยแต่มีความพยายาม คนเรานี้เราได้รู้ตัวไหมว่าเราเป็นอะไร aware คนทั่วไปไม่ได้แล้ว คือรู้ตัวขณะว่าตนมีกามราคะ โทสะ แต่ขั้นที่สองก็คือ attempt คือพยายามควบคุม ไม่ใช่พยายามเพิ่มราคะนะ แต่ถ้าดีที่สุดคือขั้นที่สามคือควบคุมได้สำเร็จ achieve ทั้งสามขั้นนี้ ในการรับรู้ของผมต่ออ.ส.ศิวรักษ์ทำได้ ต่างระดับกันในสามเรื่องนี้ สิ่งเหล่านี้คนหนุ่มสาวควรได้เรียนรู้จากอ.ส.ศิวรักษ์

เรื่องของอ.ส.ศิวรักษ์นี้จะมีโทสะอยู่บ้าง แต่เท่าที่รู้จัก อ.ส.ศิวรักษ์ไม่เคยผูกใจเจ็บ ไม่มีการพูดแก้แค้นใคร อาจมีอารมณ์เหมือนเสียงดัง แต่ไม่มีต่อยกัน คือควบคุมอารมณ์ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ดีมากสะท้อนความเป็นพุทธของอ.ส.ศิวรักษ์ นี่เป็นประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 คือ ผมเข้าใจว่าคุณูปการอ.ส.ศิวรักษ์อยู่ที่ความเป็นกัลยาณมิตร อ.ส.ศิวรักษ์ได้วางตำแหน่งแห่งที่ของตนในฐานะกัลยาณมิตรของทุกสถาบัน ทั้งสถาบันสงฆ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ ของคุณประยุทธ์ ของคุณทักษิณ

ความเป็นกัลยาณมิตรคือไม่ใช่พูดหวานพูดชม แต่ว่าพูดหรือเขียนเตือนสติ ให้เกิดปรโตโฆษะ อาจเกลียดบ้างชอบบ้างไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคืออ.ส.ศิวรักษ์วางตำแหน่งของตนเป็นกัลยาณมิตรของทุกฐานะทุกสถาบัน อันนี้สำคัญมาก พวกเราเองที่อยู่ในแวดวงอ.ส.ศิวรักษ์ก็ถูกเตือนถูกด่าทั้งนั้น อ.ส.ศิวรักษ์รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้คนเอาของขวัญมาให้ พูดอย่างไรให้คนชม แต่อ.ส.ศิวรักษ์เลือกพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนฟัง โดยไม่สนใจว่าคนจะชอบหรือชังนะ อ.ส.ศิวรักษ์รู้ว่าพูดอย่างไรแล้วจะได้อะไรตอบแทนแต่เลือกพูดในฐานะกัลยาณมิตร

อ.ส.ศิวรักษ์เป็น critical conservative คืออนุรักษ์นิยมแบบที่มีความที่มีปัญญา ที่ผมยกย่องนับถืออ.ส.ศิวรักษ์นี้เพราะบทบาทการเป็นกัลยาณมิตรของอ.ส.ศิวรักษ์

ประเด็นที่3 อ.ส.ศิวรักษ์ไม่ได้คิดชั้นเดียว อ.ส.ศิวรักษ์ทำงานทั้งหมด อ.ส.ศิวรักษ์เป็นนักยุทธศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายชัดเจนจะสืบสานระบบคุณค่าวัฒนธรรมที่มีค่าในสังคมไม่ว่าจะด้านไหน แต่อ.ส.ศิวรักษ์ไม่บอกให้ใครทำ แต่ให้คนหนุ่มสาวได้เรียนรู้สัมผัสด้วยตนเอง อ.ส.ศิวรักษ์ได้ให้โอกาสคนหนุ่มสาว คนที่อ.ส.ศิวรักษ์คบด้วยเป็นคนมีปัญญา หากเอาหนุ่มสาวพวกนี้ไปคบกับ อ.ป๋วย กับท่านพุทธทาสหรือคนอื่นๆ คนหนุ่มสาวพวกนี้จะมีปัญญาเพิ่ม อ.ส.ศิวรักษ์จะมองอุดมคติ แต่ไม่ได้ไปบังคับให้ใครทำ แต่ว่ามีกลวิธีที่แยบคายมาก อ.ส.ศิวรักษ์เป็นผู้คิด ผู้กระตุ้น ผู้สนับสนุนและเป็นผู้วิพากษ์ คือกัลยาณมิตร

ประเด็นที่สองคือการเรียนรู้ในความเป็นคนใฝ่รู้ตลอดเวลา ไม่ปิดกั้น

ประเด็นที่สามคือเรียนรู้ความเป็นกัลยาณมิตร และพยายามเป็นกัลยาณมิตรแบบท่านอ.สุลักษณ์

ประเด็นสุดท้ายคือการครองเรือนอย่างสมถะ สามารถมีบ้านใหญ่โตได้มีตำแหน่งใหญ่โตได้ แต่อ.สุลักษณ์ไม่เอา อยู่บ้านหลังที่ครอบครัวให้มา มีความเป็นอยู่ที่สมถะ ที่สำคัญเอาทรัพย์สมบัติที่ได้มานี้มาทำประโยชน์แก่สังคม

ท่านจันทร์ว่า...กัลยาณมิตรอ.สุลักษณ์แปลความว่า กัลยาณมิตร คือ ผู้ที่กล้าพูดความจริงในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง มีโศลกธรรมว่าไว้ว่า ปราชญ์จะไม่เป็นคนสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง จนคนเกรงไม่กล้าติ ส่วนคนแต่ฉลาด จะสร้างอำนาจให้กับตนเอง จนคนเกรง ไม่กล้าติไม่กล้าท้วง

คุณประชา หุตานุวัฒน์ ว่า...ผมว่าอ.ส.ศิวรักษ์มีชีวิตที่ล้มเหลวมากกว่า ประสพผลสำเร็จ ความล้มเหลวเรื่องแรกคือสังคมไทยยังไม่พ้นการแบ่งสีเหลืองสีแดง ซึ่งเป็นการคิดแบบตื้นเขิน ความล้มเหลวอย่างที่สองคือการเกิดคสช. การล้มเหลวอย่างที่สามคือเรื่องการปฏิรูปสถาบันโดยเฉพาะสถาบันสงฆ์ อีกเรื่องคือเรื่องทุนนิยมบริโภคนิยม อ.ส.ศิวรักษ์พูดมา 50 ปีแล้ว ก็ยังไม่ได้ผล

เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เราจะดูต่อไปว่าท่านล้มเหลวหรือไม่ในการรักษาสถาบัน

ผมถือว่าอ.ส.ศิวรักษ์เป็นเพื่อนร่วมงาน อ.ส.ศิวรักษ์ไม่เคยเห็นผมเป็นรุ่นน้อง ผมทำงานอาศรมวงศ์สนิท อ.ส.ศิวรักษ์ไม่เคยมาก้าวก่ายการตัดสินใจของผมเลย นอกจากผมเชิญมา เรื่องการให้โอกาสในการตัดสินใจและการฝึกให้ตัดสินใจเองนี้เป็นสิ่งที่อ.ส.ศิวรักษ์ให้ ให้เป็นตัวของตัวเอง แต่อ.ส.ศิวรักษ์สร้างกระบวนการแบบสันติอโศกไม่ได้ เพราะแบบสันติอโศกต้องไปไหนไปกัน แต่อ.ส.ศิวรักษ์สร้างอีกแบบหนึ่ง ให้เป็นตัวของตัวเองแล้วไปทำงานตามที่ตนถนัดในที่ต่างๆ

ข้อเสีย อ.ส.ศิวรักษ์มีจุดอ่อนบางอย่างในชีวิต อาจเป็นปมในวัยเด็ก หรือปมชีวิต อ.ส.ศิวรักษ์จะมีความเอาแต่ใจตนเอง แต่เป็นความเอาแต่ใจตนเองเพื่อส่วนรวม อันนี้เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ฟัดอ.ส.ศิวรักษ์ทุกคน ผมเองก็ฟัด หันกลับมาดูเรื่องศิษย์กับครูแบบพุทธ ไม่ใช่กราบกรานตลอดเวลาแต่เป็นคู่ซ้อมรบ เถียงกันได้ตลอด ผมรับอ.ส.ศิวรักษ์เป็นครู ครั้งแรกอย่างจริงใจ ตอนผมบวชใหม่ อ.ส.ศิวรักษ์ให้ผมเถียงเรื่องหนึ่งที่บ้านอาจารย์อยู่นาน คนรุ่นผมเป็นคนรุ่นผยอง เราโตมาอุทิศชีวิตเพื่อสิ่งดีงามของสังคม ผมบวชนี้ผมตระเวนไปหาอาจารย์อยู่นานแล้วหาไม่ได้ด้วย มันรู้สึกว่าเราอยู่ในแวดวงของสติปัญญา แต่ผมว่าผมเฉลี่ยๆเหมือนคนทั่วไปแต่แวดวงมันทำให้เราคิดอะไรได้มากกว่าคนอื่น ในเรื่องประเด็นเดียวกันนี้

ความมั่นใจของพวกเราที่อยู่ในแวดวงอ.ส.ศิวรักษ์คือ อ.ส.ศิวรักษ์ทำให้เราเคารพรากเหง้าของตนเอง การศึกษาในรุ่นผมทำให้ผมถอนรากเหง้าตนเองไม่เคารพศาสนาหรือบรรพบุรุษ แต่การอยู่ในแวดวงอ.ส.ศิวรักษ์ทำให้เราได้เรียนรู้รากเหง้า คนดีในสังคมไทยบรรพชน ทำให้เราภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง ทำให้พวกเรามั่นใจในตนเองมากขึ้น

หนังสือที่ดีที่สุดมันมาถึงพวกเราก่อน เราได้อ่านได้เขียนได้แปล อีกอันหนึ่งผมก็ไม่เคยเข้าใจ เรื่องการทำแล้วไม่ยอมแพ้ การทำอะไรแล้วกัดไม่ปล่อย อย่างหนังสือปาจารยสาร คนอ่านไม่มากแต่ก็ทำอีก แต่เป็นหนังสือที่สร้างนักคิดนักเขียนขึ้นมา เงินทองไม่มีก็ทำอยู่

 

ท่านจันทร์ว่า...มีบุคคลที่จะแสดงความคิดเห็นด้วย

อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ... ตามธรรมดาแล้วถ้าบอกว่าผมไปที่ไหน แล้วบอกว่าผมจะไปพบอ.ส.ศิวรักษ์ที่ไหน ผมจะหลีกเลี่ยงเพราะผมไม่อยากเสี่ยงอันตราย แล้ววันนี้ก็เสี่ยงแล้ว เดี๋ยวเขาก็จะออกข่าวว่า อ.ส.ศิวรักษ์ชวนปราโมทย์ ถล่มคสช. แต่ที่จริง ผมเป็นคนเชียร์คสช. เมื่อเช้าได้เขียนกลอนบอกไปว่า คสช.อย่าทำผิดเหมือนเผด็จการประภาสหรือถนอม มาถึงนี่ได้เสียงกระซิบว่า อาจารย์น่าจะพูดอะไรหน่อยนะ ผมก็ไม่ได้อยากพูดอยากเขียน แต่ก็ต้องเขียนต้องพูด ตอนนี้เมืองไทยกำลังถูกทำลายประวัติศาสตร์ 1.เรื่องคุณและโทษของอ.ส.ศิวรักษ์ ที่มีต่อกัน เรื่องคุณผมก็ขอผ่าน แต่เรื่องโทษผมก็เสียใจอยู่ทุกวันนี้ แต่ไม่ขอโทษนะ ครั้งหนึ่งผมปฏิบัติตามหน้าที่ตามมติของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย  เพื่อปลดอ.ส.ศิวรักษ์เพื่อจะเอาคนที่จบป.เอกสามคนมาเป็นบรรณาธิการแทนอ.ส.ศิวรักษ์ เพราะอาจนำพาสังคมไปผิดทาง มติที่ให้ปลดอ.ส.ศิวรักษ์นี้ ผมไม่ได้ยกมือด้วยแต่ผมต้องทำหน้าที่ ผมเสียใจที่เราได้สูญเสียสังคมศาสตร์ปริทัศน์แบบอ.ส.ศิวรักษ์ไป แล้วคนต่อมาก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ดีแต่อย่างใด

 

อ.วิชา มหาคุณ ว่า...รายการนี้เป็นประโยชน์อย่างมากที่จะได้เรียนรู้ติดตามผลงานอ.ส.ศิวรักษ์ ผมมาวันนี้ด้วยเหตุสองประการคือมาด้วยกตัญญูรู้คุณ ต่อพ่อท่าน ที่อุตส่าห์ไปเยี่ยมผมตั้งแต่ทำงานปปช.ท่านเอารางวัลไปมอบให้ และมาก็ไม่ได้อุตส่าห์มา แต่เต็มใจมาด้วย อย่างที่สองคือมากราบท่านอ.ส.ศิวรักษ์ซึ่งก็กราบอยู่เสมอ จะบอกเลยว่า อ.ส.ศิวรักษ์ท่านจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ผมเป็นลูกศิษย์สังคมศาสตร์ปริทัศน์อยู่ ผมยังเคยเขียนบทความลงเลยสมัยอ.ส.ศิวรักษ์เป็นบรรณาธิการ เป็นการสร้างพลังแห่งการเรียนรู้ให้มากขึ้นๆๆ ท่านให้แง่มุมที่คนอื่นไม่ได้ให้เลย เติมเต็มให้ผมได้เรียนรู้ต่อไป แง่มุมที่อ.ส.ศิวรักษ์ให้แม้คนจะบอกว่า aggressive หรือ violence แต่ผมว่าท่านสะกิดเตือนตลอด แล้วผมว่าท่านให้โอกาสคนรุ่นใหม่คนหนุ่มสาว แต่แวดล้อมท่านเป็นคนหนุ่มสาว แต่มีสติปัญญาที่สูงมาก โดยเฉพาะคณะทำปาจารยสาร ที่ผมก็ตามอ่านมาตลอด

ผมเห็นข้อดีว่าเด็กรุ่นใหม่ๆมีพลังแล้วท่านได้ใช้พลังในทางที่ถูกต้อง ท่านเปรียบได้อย่างที่ อดีตปธน.อินเดีย ได้เขียนหนังสือว่า ด้วยปีกแห่งไฟ ท่านคือปีกแห่งไฟแก่คนทุกรุ่น ขอให้ท่านเป็นปีกที่ปกคลุมคนเหล่านี้ต่อไป

 

อ.กมล กลมตระกูล...ผมรู้จักอ.ส.ศิวรักษ์ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มัธยมศึกษานุ่งกางเกงขาสั้น ก็เป็นลูกศิษย์ท่านมาตลอด วันนี้จะพูดถึงอ.ส.ศิวรักษ์ในมุมเดียว เพราะผลงานท่านมีมากเหลือเกิน ที่จะพูดคือความกล้าหาญทางจริยธรรม ออกมาสี่ด้าน คือ ด้านศาสนาต้องปฏิรูป สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องปฏิรูป เผด็จการต้องถูกต่อต้าน ผู้ด้อยโอกาสต้องได้รับการเห็นใจ ท่านมุ่งมั่น กัดไม่ปล่อย กล้าเผชิญอันตราย ที่เป็นรูปธรรมคือท่านกล้ายอมรับความผิดพลาด เช่น กรณีอ.ปรีดี พยมยงค์ เป็นต้น

 

ท่านจันทร์ว่า...อาตมาได้รับส่วนดีจากอ.ส.ศิวรักษ์กับท่าน ตอนเคยขึ้นเวทีกับอ.ส.ศิวรักษ์ ผมถูกอ.ส.ศิวรักษ์เบียดเวลา แต่ผมเองก็เบียดเวลาอ.ส.ศิวรักษ์ แต่ต่อมาอ.ส.ศิวรักษ์ว่า ผมเองแม้จะขึ้นไม่ตรงเวลา แต่ผมเองจะจบให้ตรงเวลา หลังจากนั้นอาตมาก็ถือปฏิบัติตามนี้ วันนี้เราจะเริ่มไม่ตรงเวลาก็ตาม แต่เราจะจบให้ตรงเวลา

 

คุณรสนา ว่า...อ.ส.ศิวรักษ์ได้พยายามทำการเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้สายตาภายนอก จะมองว่าเป็นส.ศิวะยั๊ว แต่อ.ส.ศิวรักษ์ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก เช่น การสละทรัพย์สินส่วนตัวให้แก่ส่วนรวม แต่ที่อ.ส.ศิวรักษ์เปลี่ยนแปลงสังคมไม่ได้นั้น แต่ว่า อ.ส.ศิวรักษ์ได้ให้โอกาสแก่คนหนุ่มสาวให้เติบโตพัฒนาเจริญขึ้นได้ เป็นกัลยาณมิตร พยายามสร้างคน เป็นความต่อเนื่อง ถ้าเราจะพูดก็อาจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสองพันกว่าปีแล้วทำไมโลกนี้ยังอยู่ในความหลง แต่ดิฉันก็ไม่ละความพยายาม ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ดิฉันมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะได้มีจุดเริ่มต้นที่เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วจะต่อเนื่องต่อไปนั่นเอง

 

ดร.อุทัยว่า...การเปลี่ยนแปลงสังคมนั้น ใครจะทำหรือ แต่เมื่อมีใครลุกมาทำได้คนก็จะปลื้ม แต่ผมไม่ได้ปลื้มอ.ส.ศิวรักษ์ที่ความสำเร็จ แต่ปลื้มในความพยายาม คนจะรู้จักอ.ส.ศิวรักษ์ต่อหน้าสาธารณะว่าเป็นคนเกรี้ยวกราด แต่ว่าอ.ส.ศิวรักษ์เป็นคนสองบุคลิก อ.ส.ศิวรักษ์เป็นคนที่ฟังคนอื่นมาก แม้แต่คนที่ไปโต้วาทะกับท่าน แต่ไม่ใช่ไปโต้ท่านเพราะทำเท่ห์ แต่เราเห็นความจริงใจต่อกัน

อ.ส.ศิวรักษ์หากคิดจะช่วยใครจะช่วยจริงจนสำเร็จ ถ้าอ.ส.ศิวรักษ์บอกว่าจะช่วยก็สำเร็จแน่ เป็นความจริงใจ อ.ส.ศิวรักษ์ไม่ตอบรับง่ายๆ แต่ถ้าตอบรับจะช่วยจริงจนสำเร็จ

คุณประชา.... อ.ส.ศิวรักษ์ต่อสันติอโศก อ.ส.ศิวรักษ์ไม่ได้เห็นด้วยกับสันติอโศกหมด และไม่ได้เห็นด้วยกับการตีความศาสนาแบบสันติอโศกหมด แต่ก็ได้วิพากษ์วิจารสันติอโศก และก็เห็นสันติอโศกรับคำวิจารณ์จากอ.ส.ศิวรักษ์ได้ บางประเด็น ผมถามอ.ส.ศิวรักษ์ว่าจะทำไปเพื่ออะไร อ.ส.ศิวรักษ์ว่า ที่ทำนี่เพราะต้องการเข้าถึงปรมัตถธรรมคือธรรมะชั้นสูง เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ผมบอกอ.ส.ศิวรักษ์ว่าผมอยากเห็นอ.ส.ศิวรักษ์จริงจังในอุดมคติมากกว่านี้ ในแง่ส่วนตัว ถ้าอ.ส.ศิวรักษ์ทำผิดก็รับผิด อย่างเช่นกับผม อ.ส.ศิวรักษ์ก็เคยยอมรับที่ผมวิจารณ์ ผมว่าผู้ใหญ่เช่นนี้หายาก

 

ท่านจันทร์ว่า...ตอนแรกอาตมาได้รับฐานะเป็นผู้ร่วมอภิปราย แต่ต่อมาได้เป็นผู้ดำเนินรายการ เพราะว่าจะได้พูดน้อยหากดำเนินรายการ แต่ฝ่ายจัดเวทีก็บอกว่า ท่านจันทร์เป็นทั้งผู้ดำเนินรายการและผู้อภิปรายไปด้วย แต่เห็นว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้พูดไปนั้นก็ครบถ้วนสมบูรณ์

ขอจบด้วยบทกวีว่า...

คนจริง คนตรง คนกล้า

โด่งดัง ด้วยด่า น่าสดับ

สอดส่อง กองสุม ขุมทรัพย์

คันฉ่อง ส่องฉับ วับวาว

 

นักเขียน นักคิด นักพูด

นักแปล นักปูด เรื่องฉาว

นักดวล นักด่า ห้าดาว

เรื่องราว สุลักษณ์ ศิวรักษ์

ท่านผู้มีลักษณะดี คือสุลักษณะอย่างแท้จริงคือศิวะ

ผู้มีลักษณะดีของผู้ต่อตีอัตตา คือต่อตีอัตตาของทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย งานนี้อ.ส.ศิวรักษ์ รณรงค์การสร้างมหาวิทยาลัยด้วย ก็มีสื่อที่ท่านอ.ส.ศิวรักษ์นำมาด้วย

 

จากนั้น อ.ส.ศิวรักษ์และผู้ร่วมรายการเสวนาทั้งหมด มารับของที่ระลึก จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ต่อด้วย การเดี่ยวขลุ่ยโดย นรภัทร ภาบรรจงจิตต์ ด้วยบทเพลงเดือนเพ็ญ และเพลงน้ำตาแสงใต้

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:04:19 )

590320

รายละเอียด

590320 ปาฐกถาพิเศษโดยพ่อครูฯ ในงานศิลปะโลกุตระ สันติอโศก

          พ่อครูมาเปิดงานเวลา 09.45 น. ภายหลัง

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน พ่อครูเทศน์เปิดงานศิลปะโลกุตระ

พ่อครูว่า...วันนี้ฤกษ์ต้องงาม ยามต้องดีแน่นอน ถ้าฤกษ์ไม่งามยามไม่ดี จะไม่มีคนดีๆมารวมกันในเวลานี้ ณ ที่นี้ เป็นอันขาด

อาตมาได้คิด ได้ดำริว่าทำงานมา 46 ปีมาแล้ว ตั้งแต่วางมือทางโลกมาตั้งแต่ 2513 ถึง 2559 มา 46 ปี อาตมาทำงานศิลปะ

          ศิลปะหมายถึงมงคลอันอุดม มงคลอันอุดม ก็ขยายผล พูดถึงเรื่องคำว่ามงคลก็เป็นอจินไตยนะ อาตมานี่เดิมชื่อมงคล มีสมเด็จพระมหาวีรวงค์(ติสโส อ้วน) ตั้งให้ เป็นสังฆนายกองค์แรกของเมืองไทย เป็นคนตั้งชื่ออาตมา ลุงอาตมาเอาอาตมาไปเลี้ยง แล้วให้ไปเป็นลูกศิษย์องค์นี้ที่วัดบรมนิวาส อยู่มาอาตมาก็มาเปลี่ยนชื่อเป็น รัก พงษ์มงคล เป็นนามปากกาตัวเอง จนมาใช้ชื่อรักดีกว่า กระทัดรัดดี มีความหมายดี ทีนี้เดิมนามสกุลเป็นพงษ์มงคล ก็ต้องเป็นรักพงษ์ ที่จริงอาตมาเป็นเผ่าพงศ์ของมงคล นี่เป็นพยัญชนะมาไล่เรียงให้ฟัง ขอย้ำอธิบายตรงนี้ต่อ ชื่อก็ดี นามก็ดี ไม่มีการเล่นๆ มันเรื่องจริงทั้งนั้น

          ยกตัวอย่างให้ฟังอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะรู้ทั้งชื่อ ตัวบุคคล จิตวิญญาณจะต้องลงตัวอย่างไร คนนี้ต้องชื่อนี้ๆ นอกจากคนสะเปะสะปะ ไม่เข้าวงจรเหมือนอุกกาบาต ทำนายไม่ได้ เพราะพวกนี้พวกนอกระบบ ทำนายไม่ได้ บ้าบอไปตามประสา

          คุณไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่น อัครสาวกซ้ายขวาเดินมา ชื่ออะไรบอกถูกหมด พระพุทธเจ้าทำนายเลยว่าองค์นี้จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่ออะไร มีอัครสาวกชื่ออะไร ไม่มีการเดา แล้วไม่มีผิดด้วย อย่างนี้เป็นต้น

          พวกเราศึกษาให้ดี ทุกอย่างลงตัวไปหมดทั้งรูปและนาม

          เช่น ทำไมพระพุทธเจ้าอุบัติประสูติ แผ่นดินต้องไหว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์อุบัติแผ่นดินต้องไหว ถ้าไม่ไหวไม่ใช่

          ทำไมต้องประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเดียวกัน ไม่มีการเดา แต่มีคนตะแบงหาว่าพระพุทธเจ้าเกิดในวันอื่น คุณสุลักษณ์แย้งเมื่อวานนี้ ก็ต่างคนต่างเชื่อ อาตมาไม่เถียงใคร มันคนละภูมิ เชื่อคนละอย่าง อย่างนั้นมันต้องคนเดียวกันจะเชื่อเหมือนกัน แม้ลูกเราก็ไม่ใช่เรา เนืี้อมันก็คนละชิ้น รายละเอียดของอจินไตย คนไม่เข้าใจก็หาว่าเพ้อเจ้อ

          อาตมาได้ประกาศว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และเป็นมหาชมพูทวีป ไม่ใช่ที่อินเดียแล้ว แต่ก่อนเป็นอินเดียชมพูทวีป เป็นแดนที่มีมนุษย์ที่มี สุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส

          สุรภาโวคือมีอาการ 32 ครบ ในร่างกายเรามี 62 อย่าง แล้วดำเนินไปเรียกว่ามีอาการ ไม่ได้หยุดนิ่ง ทำงานทำหน้าที่ของมัน หากทำหน้าที่ไม่ลงตัวไม่สมดุล ก็เกิดรวน แล้วจะทำอะไรสานกันหมดอัตโนมัติแล้ววิเศษสุด รวมหมดอาการที่รวมกันอาการ 32 รวมกันเป็นหนึ่งที่อาการ 33 เรียกว่าวิญญาณ เป็นองค์รวมของ 32 อาการ 32 เรียกว่า ทวัตติงสาการ อาการ 33 เรียกว่า ตาวติงส์ เป็นองค์รวม impact ของอาการ 32 มาเป็น 33

          คำว่า ตาวติงส์คือดาวดึงส์ คนอวิชชาหลงสุขบำเรออารมณ์ต้องการ ได้เสพก็สุข ต้องการได้เข้ามาเป็นของเราสมโลภ ได้มาสัมผัสเสียดสี เกิดอารมณ์สุข climax ก็สุขสมใจ ได้ทำร้ายเขาสมใจ หรือได้มาสมใจเป็นโลภะ หรือราคะเสพสัมผัสเสียดสี ก็สมใจในโลกีย์ ได้บำเรอสมใจตัวกูของกู กิเลสสมใจนี้มันอ้วนหรือผอม ก็อ้วน คือดาวดึงส์

          สรุปนิพพานของพระพุทธเจ้าไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ ต้องหมดสุขโลกีย์ไปเรื่อยๆ แต่การได้ลาภได้รวยไปเยอะอย่างธรรมกายนี้ฉิบหาย ปลุกเร้าอารมณ์คนให้กิเลสหนาเอามาบำเรอ บานเป็นปากกรวยไปหมด นำพาคนหลงนรกซับซ้อน หลอกว่านรกเป็นสวรรค์ วงการศาสนาหรือการปกครองถูกร้อยจมูกไว้ในอาณัติไปหมดเลย

ศิลปะโลกุตระ

          คนแต่ละคน คือ เจ้าของนวนิยายคนละเรื่อง ตั้งแต่เกิดจนตาย

          ชีวิตจึงประกอบไปด้วยพฤติกรรมที่เป็นบทบาทของนวนิยายแห่งตนเอง

          ทุกบุคลิก(แก้ยาก มันฝังในพลังงานประจำตัว character) และทุกกรรม ของแต่ละคน จึงเป็นงานศิลปะ หรืออนาจาร ที่เป็นความจริงของสัจธรรมที่แต่ละคนมีของตน

          ศิลปะ คือ มงคลอันอุดม หรืออุดมมงคล = มงคลอันสูงสุด

          อนาจาร คือ ข้าศึกแก่กุศล(วิสูก) หรือข้าศึกของใจ(วิสูก) หรือสิ่งที่เป็นข้าศึก(วิสูก)

          แต่ละคนย่อมแสดงตนเป็นบทบาทของความจริงของแต่ละคน บ้างก็เป็นอนาจาร บ้างก็เป็นมงคล ความเป็นมงคลคือ เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ

          ส่วนผู้จะสามารถแสดงบทบาทเป็นมงคล คือเป็นธรรมที่นำมาซึ่งความเจริญถึงขั้นอุดมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น ซึ่งเป็นความสูงส่งถึงขั้นสูงสุดของมงคลอันคือ เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ ก็ต้องเป็นไปตามสัจจะแห่งสัจจะ

          ไม่มีใครสามารถออกนอกสัจจะ หรือไม่มีใครทำอะไรที่ไม่เป็นสัจจะของตน

          คนชั่ว ย่อมโกง หรือทุจริตตามสัจจะ จะมีกรรมตามวิธีของคนชั่ว ผลจริงก็เป็นของคนชั่ว กรรมที่เป็นวิบากชั่วนั้นจึงเป็นสัจจะแน่นอน เป็นของตน(กัมมัสกะ) ไม่มีบิดเบี้ยว

          คนดี ย่อมทำดี หรือสุจริตตามสัจจะ ก็มีกรรมตามวิธีของคนดี ผลจริงก็เป็นของคนดี กรรมที่เป็นวิบากดีนั้นจึงเป็นสัจจะแน่นอน เป็นของตน(กัมมัสกะ) ไม่มีบิดเบี้ยว

          คนจะดีมาก หรือคนจะชั่วมาก ล้วนเป็นสัจจะของแต่ละคนที่ตนทำเอง ทำอยู่ ทุกบุคลิกและทุกกรรม ที่แต่ละคนใช้ภูมิ หรือใช้ความฉลาด ซึ่งทุกคนก็มีความฉลาดเท่าที่ตนโง่ หรือคนทุกคนก็มีความโง่เท่าที่ตนฉลาดทั้งนั้น

          ชีวิตที่มีอยู่ของแต่ละคน จึงคือ สัจจะที่ก่อนวนิยายให้ตนทุกคนในโลก

          ขอยืนยันว่า ไม่มีใครสามารถออกนอกสัจจะของตนได้ ทั้งคนดีและคนชั่ว กรรมที่ตนเองทำ ที่ตนดำรงกรรมทุกกรรม เป็นสัจจะของตนทั้งสิ้น ไม่ขาดหกตกหล่นเป็นอันขาด

          คนดีย่อมทำดี คนชั่วย่อมทำชั่ว หรือคนย่อมทำทั้งดีทั้งชั่ว เท่าที่ตนเองมีภูมิและมีกรรมที่ทำจริง กรรมแบบพุทธที่ใช้ปฏิบัติมีกรรม 4 คือ อาชีวะ-กัมมันตะ-วจี-สังกัปปะ ซึ่งจะต้องปฏิบัติให้สัมมาทั้ง 4 กรรม ด้วยการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์จึงจะบรรลุสัมมาสมาธิ ในทฤษฎีมรรคอันมีองค์ 8 เป็นอาริยสมาธิ ซึ่งจะไม่ใช่สมาธิสามัญทั่วไป ผลจึงจะเป็นมงคลอันอุดมเป็นที่สุด

          นั่นคือ ชีวิตคนผู้มีศิลปะแท้ของพุทธที่เป็นโลกุตระ

          ผู้รู้ จะรู้ความเป็นโลกุตระ ซึ่งเป็นศิลป์และศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ที่คนทุกคนที่

ปฏิบัติธรรมสัมมาทิฏฐิ จะมีศิลป์และศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้จริง (ศิลป์นั้นขาดศาสตร์ไม่ได้ แต่ศาสตร์นั้นขาดศิลป์ได้)

          ผู้ไม่รู้ จะไม่รู้ แม้แต่ความเป็นตนขั้นองค์รวมของรูปนามที่เป็นสังโยชน์ข้อต้น สักกาย (คำว่ากายคือองค์รวม)

          หรือผู้พอรู้บ้าง ก็จะพอรู้ได้ตามภูมิตน เท่าที่จะสามารถรู้ ที่เริ่มไปจากตรรกะที่สัมมาทิฏฐิ

          วันนี้ขอถือโอกาสอันเป็นมงคลฤกษ์ ดียิ่ง เยี่ยมยิ่ง กล่าวถึง คนดีที่เป็นตรีมูรติของไทย หมายความว่า ฉายาของคนผู้ที่มีกรรมเป็นประโยชน์มีคุณค่าต่อสังคม ซึ่งเป็นองค์ 3

          กล่าวคือ คนไทย 3 คน ที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลก และได้กระทำกรรมกิริยา หรืองานการต่างๆ นับองค์รวมแล้วเป็นประโยชน์มีคุณค่าจริงต่อสังคมอย่างยิ่ง ตามสัจจะแห่งสัจจะ หรือตามความจริงแห่งความจริง ไม่มีใครสามารถบิดเบี้ยวสัจจะ หรือแปลงแปรสัจจะนั้นๆไปจากสัจจะที่แต่ละคนทำจริงได้ ส่วนจะนับว่าดีหรือชั่วนั้น สัจจะย่อมเป็นสัจจะ ไม่มีใครบังอาจเก่งไปวินิจฉัยให้สัจจะผิดเพี้ยนไปจากสัจจะๆได้เป็นอันขาด

          กรรมเป็นอันทำ ใครทำจริงอย่างไร จะปกปิดซ่อนเร้น หรือจะโกหก ลดเลี้ยวเก่ง ฉลาดกลบเกลื่อนได้เยี่ยมอย่างไรก็ตาม สัจจะย่อมเป็นสัจจะ ชั่วคือชั่ว ดีคือดี แท้จริงเสมอ

          ซึ่งผู้ทำกรรมนั้นแล้ว องค์รวมของเนื้อแท้แห่งกรรมของท่านใด ที่มีมากมีพอจนกระทั่งถือได้ว่า เป็นคุณค่าประโยชน์แท้ต่อสังคมต่อโลกที่สำคัญ เพราะการเสียสละ ต้องมีคำว่าเสียสละเป็นเกณฑ์ตัดสินสำคัญ

          คนที่ทำคุณค่าประโยชน์มาก แต่ไม่ใช่การเสียสละ กล่าวคือ รับสิ่งแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือผลผลิตกลับคืนไป ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน เงินเบี้ยแลกกลับที่เป็นค่าแรงงานหรือผลผลิต เป็นของแลกเปลี่ยน เป็นการซื้อขายก็ตาม เป็นต้น จนเกินค่าของแรงงานหรือผลผลิต ก็จะไม่เหลือคุณค่าประโยชน์ จึงไม่มีรูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้ หรือไม่มีการเสียสละที่แท้จริง

          นั่นคือไม่มีมูร หรือไม่มีรูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้นั้นๆ ผู้ไม่มีรูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้ ซึ่งรูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้เป็นนามธรรมล้วนๆ ก็ไม่มีมูรติ

          รูปธรรมของคุณค่าประโยชน์แท้ที่เป็นนามธรรมนี้ มีฉายาภาวะเป็นบัญญัติว่า ศิวะ 1 ราม 1 พรหม 1 เป็นต้น หรือจะมีฉายาเป็นอย่างอื่นอีกที่เป็น 3 เส้าแห่งคุณค่าประโยชน์ที่ให้แก่โลกแก่สังคม ล้วนคือ ตรีมูรติทั้งนั้น

          ซึ่งในโลกยุคนี้ จะมี 3 เส้าแห่งคุณค่าประโยชน์ดังกล่าวนี้จริงแท้ อยู่ในเมืองไทยอันเป็นเมืองพุทธ ที่มีภูมิพุทธธรรมขั้นโลกุตระอยู่ในอนุสัยจิต (มิใช่อนุสัยกิเลสนะ) จึงจะนับได้ว่าเป็นตรีมูรติ ในเมืองไทยมีบุคคลเช่นนี้จริงในยุคกาลของโลกปัจจุบันนี้

          ทั้ง 3 ท่านนี้ ล้วนมีกรรมมาในโลกแล้วเกินกว่า 80 ปี ทั้ง 3 ท่าน

          ผู้ไม่มีภูมิปรมัตถสัจจะ ขั้นโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิจริงจะไม่สามารถเข้าใจสัจจะนี้ได้

          มนุษย์ผู้ไม่รู้แจ้งจริงในสัจจะนั่นแหละที่เข้าใจสัจจะผิด มีมากมายนับไม่ถ้วน

          ดังนั้น ผู้จะรู้แจ้งจริงในสัจจะจริงแท้นั้นจึงยากสุดแสนยาก สัจจะมีทั้งสมมุติสัจจะ และทั้งปรมัตถสัจจะ โดยเฉพาะสัจจะที่เป็นโลกุตรธรรม

          คุณธรรม 3 เส้าดังกล่าวนี้ จะเป็นผลธรรมที่อุ้มชูช่วยสังคมนั้นๆอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนอย่างสุขุมคัมภีรามากยิ่ง ที่คนทั้งหลายจะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆเลย

          คนที่กล่าวถึงนี้ ในเมืองไทยผู้หนึ่งคือ ผู้มีฉายาว่า ศิวรักษ์ ซึ่งเป็นสัจจะแท้ของคนผู้เกิดมาช่วยโลกช่วยสังคมได้ในยุคนี้

          ซึ่งเป็นผู้ที่มีพฤติภาพ หรือมีบุคลิกและกรรมที่ยากที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะท่านเป็นผู้มีสุลักษณะศิวะอย่างแท้จริง

          ก็ยากเหลือเกินที่จะอธิบายรายละเอียดของความเป็นศิวะ

          ก็ขอขยายความรู้ตามภูมิของอาตมาบ้างเท่านั้นว่า ความเป็นศิวะ ได้แก่ พฤติกรรมที่ทำหน้าที่สร้างสัจธรรมแท้ๆให้แก่โลกแก่สังคม แต่อยู่ในบุคลิกประหนึ่งผู้ทำลาย หรือผู้ปราบปรามสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ไม่ถูกไม่ต้องอย่างเอาจริงเอาจัง ให้เกิดประสิทธิภาพให้ได้เป็นมงคลอันอุดม ซึ่งเป็นศิลปะโลกุตระกันจริงๆ จึงดูเหมือนหมายไปทั้งบุคลิก และกรรมคล้ายผู้รุนแรง หรือถึงขั้นมีผู้เข้าใจผิดไปว่า เป็นผู้ร้ายของสังคมกันปานฉะนั้นทีเดียว

          ซึ่งในคนไทยผู้ที่มีบุคลิก และกรรมดังว่านี้ เป็นใครก็คงจะไม่ยากที่จะพอรู้กันได้ เพราะเป็นคนไทยที่อายุกาลผ่านการกระทำจริงประพฤติปฏิบัติจริงมาเกินกว่า 80 ปีแล้ว

          ส่วนความเป็นรามหรือนารายณ์ที่เป็นอีกเส้าหนึ่งของตรีมูรตินั้น ได้แก่ พฤติกรรมที่ทำหน้าที่สร้างสัจธรรมแท้ๆให้แก่โลกแก่สังคม ซึ่งอยู่ในบุคลิกประหนึ่งผู้ประสมประสานปรานีปรานอมสังคมพฤติกรรมของสังคม ให้คนทั้งหลายรู้สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้อง ที่เป็นสัจจะแท้จริง ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ด้วยปัญญา อย่างกระจะกระจ่าง ให้เกิดประสิทธิภาพให้ได้เป็นมงคลอันอุดม ซึ่งเป็นศิลปะโลกุตระกันจริงๆ

          ซึ่งในคนไทยผู้ที่มีบุคลิก และกรรมดังว่านี้ จะเป็นใครก็คงไม่ยากที่พอจะรู้กันได้ เพราะเป็นคนไทยที่อายุกาลผ่านการกระทำจริงประพฤติปฏิบัติจริงมาเกินกว่า 80 ปีแล้วเช่นกัน

          และตรีมูรติอีกเส้าหนึ่งคือ ความเป็นพรหมนั้น ได้แก่ พฤติกรรมที่ทำหน้าที่สร้างสัจธรรมแท้ๆให้แก่โลกแก่สังคม อันอยู่ในบุคลิกของผู้สร้างแท้ๆตรงๆ ให้คนทั้งหลาย แม้แต่ชาวโลกก็รู้ก็เห็น ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ด้วยศิลปะที่เป็นมงคลอันอุดม ซึ่งเป็นศิลปะโลกุตระกันจริงๆแท้แน่นอน

          ซึ่งในคนไทยที่มีความเป็นพรหมนี้ จะเป็นท่านผู้ใดนั้น ขอให้เป็นการบ้าน ที่แสนง่าย หากคนไทยใจเป็นไทย รักชาติไทย บูชาวิญญาณความเป็นไทย เทิดทูนบรรพบุรุษไทย เลือดเนื้อเชื้อไทยแท้ๆ จะไม่ยากเลยที่จะพอรู้กันได้

          ศิลปะโลกุตระนั้น คือ ศิลปะที่ไม่ใช่แค่ศิลปะโลกียะ

          จุดแบ่งโลกียะ กับ โลกุตระ อยู่ที่อกุศลจิตหรือกิเลสเป็นตัวชี้ค่า

          ถ้า..ผลงานใด หรือของใครสามารถทำให้อกุศลจิตหรือกิเลสของคนลด ละ จาง ลงได้ ก็เป็นโลกุตระ

          ถ้า..ผลงานใด หรือของใครสามารถทำให้จิตคนหรือกิเลสของคน เพิ่ม โต ใหญ่ หรือหนามากขึ้น ก็เป็นโลกียะ

          ศิลปะโลกุตระ คือ งานที่มีอิทธิพลถึงขั้นทำให้คนผู้เสพ ลดกิเลส ได้

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายเขาเอาด้านดีแค่ว่าไม่ไปทำอะไรใคร ไม่ว่าร้ายใครแล้วก็เอาด้านราคะด้านกามมาทำให้คนหลง แล้วสะกดจิตคนได้ อันนี้เป็นปัญญาฉลาดเฉโกที่เห็นแก่ตัวกูของกู ไม่ใช่แบบปัญญาแท้จริง

ถ้าผู้ใดรู้อาการจิต อ่านอาการจิตได้แม้เป็นนามธรรม ผู้นั้นคืออาริยบุคคล คำว่าศิลปะทุกวันนี้ที่ประกอบจัดสัดส่วนกัน องค์ประกอบต่างๆนั้น ก็มี component ที่เป็นองค์ประกอบเน้นๆ ถ้าอะไรที่จัดประกอบขึ้นที่มีฤทธิ์ทำให้สงบให้หยุดให้นิ่ง ให้มันลงตัว สงบได้ ก็เรียกว่าเป็น composed ตรงตามเป้าหมายของผู้จัด ในส่วนประกอบต่างๆ composite ที่ผสมส่วนแล้วจะต้องมีสภาพทางชีวะอยู่ด้วย โดยเฉพาะจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ ส่วนสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีภูมิถึงขีด องค์รวมต่างๆที่เรารวมกันจัดเข้า ก็จะเกิด composed เป็นปุ๋ยที่เรานำไปใช้ได้เลย

          ถ้างานใดสามารถทำให้ composure สำเร็จได้ก็ได้สัดส่วนเป็น compound เป็นสิ่งที่อยู่ในวงรอบในอาณัติที่เราจัดการได้ ได้เท่าไหร่ก็ตามความสามารถที่เราทำได้ ในความสามารถของคนที่พยายามอยู่นี่ ยกตัวอย่างอาตมาทำงานกับสังคมกับคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ทำงาน คุณสุลักษณ์ก็มีมวล อาตมาก็มีมวล แต่คุณสุลักษณ์ทำงานก่อนอาตมา

อาตมาทำงานโลกีย์ตั้ง 12 ปีกว่าจะออกมาทำงาน ก็มีรูปธรรมของมวล ของอาตมาก็ทำงานก็มีมวล ไม่ได้ยกตนข่มใคร แต่พูดสัจจะอ้างอิง ก็จะเกิดสภาพต่างกัน แต่อาตมาว่า อาตมาทำ Compromise ได้ดีกว่าคุณสุลักษณ์ ได้เนียนกว่าและแน่นกว่าจนเป็นรูปธรรมที่มีมวลเป็นชีวิตชีวาแก่นแกน เอาสัจจะไปพูดกัน ของอาตมาสามารถทำ concentrate ได้ชัดกว่าได้จริงกว่า ก็หมายความว่าอาตมาเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาทำได้สัมมาทิฏฐิ จึงได้มนุษย์มาเป็นตัวตนเสียสละจริงๆ เอาชีวิตของเขาลดลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข มารวมเป็นสังคม จนเกิดสังคมสาธารณโภคี เป็นไปไม่ง่าย

          ยุคพระพุทธเจ้าทำสังคมฆราวาสเป็นสาธารณโภคีไม่ได้ เพราะเป็นสมบูรณายาสิทธิราช พระพุทธเจ้าเลยเอาเฉพาะคนมาเข้ารีตของท่าน ท่านกำหนด จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ใครมาเข้ารีตคือคนของเรา เว้นขาดอย่างใดๆมา ตั้งแต่งดเดรัจฉานวิชาที่เดี๋ยวนี้เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ไม่ใช่พุทธเลย หรือเอาศีลมาปฏิบัติจนได้ผลไปตามลำดับของศีล ผู้ใดปฏิบัติแล้วเกิดผล ศีลไม่ใช่แค่ขัดเกลากายกับวาจา แต่ที่จริงศีลนั้นขัดเกลาจิตให้ได้จนเป็นอรหันต์ได้เลย

          ความไม่รู้สิ่งเหล่านี้ เถรสมาคมก็ยืนยันว่าตนเข้าใจทฤษฎีแบบนั้น อาตมาก็เข้าใจแบบอาตมา เถรสมาคมเอาไปปฏิบัติแล้วทั้งพระและฆราวาสไม่ใช้เงินได้ไหม? ก็ไม่ได้ แต่อาตมาเอาไปทำแล้วทั้งนักบวชและฆราวาสไม่ใช้เงินได้ เพราะเป็นยุคสิทธิมนุษยชน ยุคประชาธิปไตย เป็นสังคมประชาธิปไตย คุณอยากไปอยู่กับธรรมกายก็ไป หรือไปอยู่กับเถรสมาคมก็ไป หรือจะไปอยู่กับพวกสะกดจิตดับดำก็ไปได้

อาตมาด่าธรรมกายเพราะสงสารเขา ถ้าไม่สงสารเขาก็ปล่อยให้เขาลงนรกลึกลงไปเรื่อยๆสิ แต่นี่ตำหนิเขาให้เขาเลิกทำชั่ว

          กาละนี้อาตมาก็จะได้เปิดเผยสิ่งละเอียดพวกนี้ อาตมาทำงานมาเลย 45 ปีแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าท่านทำงาน 45 ปีก็ปรินิพพานแล้ว

          ในหลวงเราทำไมชื่อภูมิพล อาตมารู้ว่าทำไม ทำไมส.ศิวรักษ์ถึงชื่อนี้ อาตมารู้ ไม่มีในตำราเล่มไหน แต่อาตมาเห็นตามมหาปเทส ตามสมควรเลยพูดไปตอนนี้ เช่น ขอยกตัวอย่างตัวเอง อาตมาออกมาบวชรู้ว่าตนคือโพธิสัตว์ ตอนแรกประกาศว่าตนคือโพธิสัตว์ระดับ 7 แต่พอประกาศไปก็ไม่มีหลักฐาน แต่ว่าทุกวันนี้ ก็มีหลักฐานประกอบ อย่างบ้าๆบอๆเช่นนี้ก็มี (ชี้ไปที่ไม้ร่ม) แต่ก็มีแบบนี้ จะว่าสกปรกก็ไม่สกปรก แต่ว่าสะอาดอย่างสกปรก ผ้าไม่ขาดก็ฉีกให้ขาด แล้วเอาเชือกผูกบอกว่าเสื้อผูกขาด ไปสอนหนังสือก็เอาผูกสากกะเบือไปแทนเนคไท แม้แต่ร้องเพลงก็ร้องบ้าๆบอๆ ใครจะกล้าร้องแบบนี้ คือลักษณะของเขามีสุนทรีย์ชี้ชวนให้คนดูคนชม อะไรวะมันทำได้แปลกๆ ร้อนบ้างเย็นบ้าง แปลกบ้าง มีโลกียะประกอบ

ศิลปะต้องมีสองอย่าง มีสุนทรียศิลป์กับสารศิลป์ สาระคือจุดหมาย เนื้อแท้คืออะไร ส่วนสุนทรีย์เป็นสิ่งประกอบ ให้มีแค่ 30% ก็พอ แต่ถ้ามีแต่สาระศิลป์อย่างเดียวก็เป็นแค่สารคดี แต่ทุกวันนี้ เป็นแต่สุนทรียศิลป์ เข้าถึงจิตวิญญาณไหม ก็ถ้าเห็นแล้วกระตุกจิตวิญญาณให้เห็นกิเลส แล้วกิเลสเราลดได้ จะว่างานประติมากรรม จิตรกรรม วรรณกรรม นาฏกรรม เป็นต้น เดี๋ยวนี้มีพาณิชศิลป์ เช่น การชงเหล้าบ้าๆบอๆ พิสดาร พิการไปหมด

 

ขอแนะนำและอธิบายไปในที มาแนะนำศิลปินที่อยู่ข้างอาตมานี้

1. คนแรกชื่อแสงศิลป์ แปลว่ามีแสง มีราศีศิลป์ออกมา อาตมาไม่ได้ตั้งชื่อเขา พ่อแม่เขาตั้งให้ด้วย ทำไมต้องชื่อแสงศิลป์ ไม่มีใครรู้จัก ไม่ดังเท่าเฉลิมชัยหรือถวัลย์ดัชนี ซึ่งสองคนนี้ไม่ใช่ศิลปะแต่เป็นช่างฝีมือ ถวัลย์นั้นพอมีศิลปะ แต่ว่าเฉลิมชัยนั้น ไม่มีเลย แต่พูดมากไม่ได้เขาด่าเก่ง แต่ที่ด่าฉอดๆนั้นคืออิตถีภาวะของเขาทั้งนั้น เอาล่ะพูดแค่นี้เดี๋ยวเขาด่าจริงๆ

2. คุณไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

3. คุณสู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม

4. คุณเพชรพันศิลป์ มุนีเวช

อย่างงานปั้นเสาระฆังสี่ทิศเป็นศิลปะจากสี่ประเทศ แสงศิลป์เขาก็ทำได้ ให้ปั้นพระพุทธรูปปางตรีลักษณ์ คือพระพุทธาภิธรรมนิมิต และพระพุทธรูปปางวิชิตอวิชชา ก็ทำไปแม้ฉุกละหุกเอาไปออกงานทันเวลาได้

 

ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก...กราบแทบเท้าพ่อท่าน พ่อท่านมาจากคำว่าพุทธะ เป็นศิลปินโลกุตระคนเดียวที่ผมต้องหลั่งน้ำตาให้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก่อนอื่นวันนี้เป็นวันเปิดโลกศิลปะโลกุตระ เป็นการโยนหินถามทาง ใครเข้ามาสันติอโศกวันนี้จะเห็นว่าร้านโชห่วยถูกหินกลิ้งทับหายไปหมดแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นโชว์รูมมากกว่า

          บทกวี ... ศิลปินโลกุตระ

ศิลปินเป็นพระเจ้าชาวเวหา จินตนาหลั่งไหลดั่งใจฝัน

เทิดอุทิศกิจกรรมสิ่งสำคัญ สื่อศีลอันพิสุทธิ์โลกุตระการ...

มุทิตาอุเบกขาปัญญาญาณ เป็นการงานหน้าที่...

ศิลปิน เริ่มขึ้นมาก็เพราะผู้ชายมักถูกหลอกทางหู ผู้หญิงมักถูกหลอกทางตา ผู้หญิงจึงต้องแต่งหน้า ผู้ชายจึงต้องแต่งเรื่อง แรกสุดศิลปะเกิดในถ้ำที่เป็นหลักฐาน จากนั้นศิลปะได้เข้าไปในวัดวาในเมือง จนสุดท้ายอยู่ใต้เท้าผู้ปกครอง แล้วศิลปะเหล่านั้นเลยถูกบงการตามผู้อยู่เหนือ จนกลายเป็นงานฝีมือ หรือกลายเป็นงานภาพประกอบเรื่องราวในพระเจ้า จนกลายเป็นน้ำเน่าจักรๆวงศ์วง มีแวนโก๊ะเป็นบุคคลชั้นเลิศผู้ที่ไม่ทำน้ำเน่าต่ออีก แต่แวนโก๊ะจะเปิดทางให้น้ำดีไหลเข้ามา แต่เขาไม่ได้เป็นศิลปินโลกุตระ เขาเลยต้องตัดหูให้ผู้หญิงที่เขารัก นี่เป็นภาพทุ่งข้าวสาลีที่เขายิงตัวตาย เขาเลยไม่ได้เป็นศิลปินโลกุตระ มานั่งพูดกับเราตรงนี้ได้

ส่วนปิกัสโซ่นั้นมีศิลปะโลกุตระออกมา แต่พวก abstract art นั้น ผมเองใช้ตนเองแสดงเสื้อผ้าผูกขาด เดินไปไหนมาไหนก็แสดงตัว ผมไปไหนมาไหนถูกคนถ่ายภาพ ผมร้องเพลงเดียวคนเอาไปลงยูทูป คนมาดูกว่าห้าแสนคน ศิลปินโลกุตระต้องมีหัวใจสีชมพู ห้องหัวใจมีสี่ห้องมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขาแล้วเป็นศิลปินพรมเช็ดเท้า

 

สู่แดนธรรม...วันนี้ได้ชัดเจนขึ้นว่าศิลปะโลกุตระคืออย่างไร จะให้ทำอย่างไรที่จะสรรสร้างศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรมที่ผู้รับสัมผัสกระทบสัมผัสได้ปล่อยปละละวางเหตุแห่งทุกข์ได้นั้น ขอสารภาพว่าอีกไม่รู้กี่ปีผมจะทำได้ ผมมาชุมชนปฐมอโศกครั้งแรก ได้ฟังเทศน์ว่า ผู้มาคือผู้มา ผู้ไม่มาคือผู้ไม่มา พ่อท่านแสดงเป็นพระศิวะฉาดฉานหงายหรือคว่ำ ทำให้ผมมีหูทิพย์ ว่าพ่อท่านไม่ได้โกรธ แต่พูดตรงเร็วจริงแรง ให้ผมได้เกิดหูทิพย์ขึ้นมาได้

พ่อท่านว่า...โกรธมันสุขดีไหม

สู่แดนธรรมว่า...ไม่หรอกครับ ส่วนคนที่เข้าใจว่าพ่อท่านด่าเขา เขาก็โกรธผูกใจเจ็บไป แต่พ่อท่านบอกว่าอาตมาด่าคุณเอาบุญนะ

 

เพชรพันศิลป์...ผมเองเป็นเหมือนผู้รับใช้มากกว่า มีงานอะไรมาให้เรา เราก็แค่ของผลสรุปของมติจากที่ประชุมให้ทำงานชิ้นนี้นะ เราก็ทำ ความเป็นศิลปินโลกุตระนั้น ยิ่งทำงานก็ยิ่งลดตัวลดตน ใครจะติใครจะเปลี่ยนแปลงเราก็ได้ให้ดีขึ้น

ดูผลงานดีกว่า...

 

คุณแทน ราศนา ...ผมเคยร่วมงานศิลปะที่สวนลุมฯ มีน้องวสันต์ คุณดินหิน ผมเรียนจบช่างศิลป์ ก็สงสัยว่า ทำไมประติมากรรม จิตรกรรมเรียนกันห้าปี ผมเรียนห้าเดือนก็จบแล้วไม่ต่อ ก็ไปเรียนอย่างอื่นต่อ ผมมาทำงานศิลปะตอนอายุมากแล้ว ก็เลยจะมารื้อฟื้นงานศิลปะอีกครั้ง ผมจะเดินตามแนวที่พ่อท่านบอกคือศิลปะโลกุตระ

 

คุณวสันต์ สิทธิเขตต์...ผมเองเรียนศิลปะช่างศิลป์ ศิลปะคืออาวุธใช้ขุดโค่นอำนาจร้าย ต้องพลีชีพทั้งใจกาย คือความหมายของศิลปิน...มีบทกวีอีกหลายบทที่มีพลังทำให้เกิดแรงบันดาลใจ…

พ่อครูว่า...ศิลปะต้องเกิดจากปัญญา เกิดจากความรู้ การไม่มีเจตนา แต่บังเอิญ ทำมาแล้วคนไปสัมผัสแล้วมันเกิดความรู้สึกบันดาลใจได้ มันก็เป็นความพอเหมาะพอดีได้ ในคนก็จะใช้ฝีมือ ที่เรียกว่าช่าง มาปั้นแต่ง กลิ่น รส รูป ทำขึ้นมาแล้วส่วนมากแล้วทำรับใช้ ไม่รับใช้ผู้อื่นก็รับใช้บำเรออัตตาตัวเอง คนอื่นไม่ชอบแต่ตนชอบก็ได้ หรือคนอื่นชอบชมด้วย เช่น แม่ครัวก็ปรุงอาหารให้ตรงใจคนอื่น เราก็พอใจ เหมือนธรรมกายเอาวิมานมาหลอกคนให้รวยไม่มีสิ้นสุด คนก็ชอบใจแล้วสะกดจิตว่าตนได้ๆ จิตคนก็คิดเองไปทั้งนั้น สรุปคือไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นแค่ช่างฝีมือ ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม กิเลสลด คนทำให้กิเลสลด ไม่ได้เงิน ไม่ได้ชื่อเสียงหรอก

อย่างไม้ร่มมีชื่อกว่าอาตมามาก อาตมาไม่เห็นว่าไม้ร่มจะใหญ่กว่าอาตมานะ เขาทำปรุงแต่งออกแบบอะไรมากมาย สิ่งเหล่านี้ยกตัวอย่างจะได้เข้าใจ

เวลาสุดท้ายมีใครตกหล่นไหม

 

คุณจุ๋ม วงด่านเกวียน นักดนตรี ว่า...มีแต่ศิลปะที่เป็นทางสายกลางให้ตนพ้นจากโลกีย์จากอัตตาหรือสิ่งภายนอกก็ตาม เป็นทางสายกลาง ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นมีส่วนร่วมก็ขอขอบพระคุณท่านพ่อด้วยนะครับ

 

อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ถามว่า......วันนี้เราคุยเรื่องศิลปะว่า ถ้างานใดลดกิเลสได้เรียกว่าศิลปะโลกุตระ งานใดที่ทำให้คนยึดกิเลสมากขึ้นเรียกว่าโลกียะ ไม่เรียกศิลปะ ในศาสนาพุทธ มีศีล 8 ซึ่งบางท่านยึดศีล 8 แล้วมีความกังวลเกี่ยวกับการประโคม ร้องเพลง ไม่แน่ใจว่าผิดศีลไหม แม้ในต่างประเทศ บางศาสนาใช้เสียงในการกล่อมเกลาจิตใจ แม้พุทธบางนิกายก็ใช้เสียงเพลงด้วย ศีล 8 จะไปกับศิลปะโลกุตระได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ศีล 8 ให้ละเว้น ให้เรียนรู้ลดกิเลสจากสิ่งยั่วยวน ดอกไม้ ของหอม สิ่งพอกทาตกแต่ง สิ่งเหล่านี้สัมผัสแล้วทำให้เกิดกิเลส ทั้งกาม ทั้งอยากใหญ่โต เป็นไปเพื่อกามคุณ 5 กระทำอยากใหญ่อยากมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่แสดงงาน หรือทำงานออกมาแล้วให้คนได้รับเสพสัมผัสแล้ว กิเลสอยากสัมผัสกามคุณ 5 ลดลง อัตตาอยากใหญ่อยากมากลดลงคือโลกุตระ

ศีล 5 นี้ลดกิเลสระดับศีล 5 เท่านั้น มีกามคุณพอสมควร ไม่จัดจ้านได้ ถ้าคุณติดมากก็ต้องเว้นห่างต้องพรากจากเสียก่อน เอาไม้ที่ชุ่มด้วยยางพรากจากน้ำเสียก่อน แต่เมื่อทำได้แล้วก็เข้าไปอยู่ได้ เราไม่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแล้ว ก็ไปอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่ติด แต่คนมักเอาไปหลอกคนว่าตนไม่ติดยึด แต่ว่าหลอกคนอื่น เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์นั้นอยู่ที่เฉพาะตัวเขา สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง การทำศีลนั้นทำไปเพื่อลดละไปตามลำดับ

 

คุณหงษ์จร เสน่ห์งามเจริญ...เดิมทีผม คิดว่าวันนี้จะไม่มาเพราะเมื่อวานมาแล้ว งาน 84 ปี อ.สุลักษณ์ แต่พอฟังหัวข้อแล้วไม่มาไม่ได้ ศิลปะโลกุตระ ขอแนะนำตัวว่าผมทำงานศิลปะไม่ได้จบจากที่ใด แต่มีความฝัน ตอนเด็กผมดูหน้ากากเสือการ์ตูน หน้ากากเสือเติบโตจากมูลนิธิเด็ก แล้วมาเติบโตมีคุณธรรม เขาต่อสู้แล้วได้เงินก็เอาไปจุนเจือบ้านเด็กกำพร้า ผมฝึกฝนทำงานศิลปะ รับจ้างเขียนรูปเหมือนเป็นสิบๆปี วันหนึ่งได้ทำ gallery ได้รู้จักพี่วสันต์และคนอื่นๆ การทำงานศิลปะทำให้เรารู้จักคนมากขึ้น แล้วได้ทำงานเพื่อสังคม ช่วงผมทำ gallery ก็ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ทำ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำคือช่วยกันคิดช่วยผลักดันทำงานเพื่อสังคมมาตลอดมา ถึงช่วงที่ได้ใกล้ชิดท่านอังคาร อ.สุลักษณ์ ก็ทำให้เกิดแนวคิด มีจิตวิญญาณทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น

 

พ่อครูว่า...มีคำถามมาว่าผลงานอย่างแสงศิลป์ เป็นโลกุตระอย่างไร? ก็ให้ติดตามในโทรทัศน์เราได้ มีการอธิบายรายละเอียด

แล้วศิลปะโดยศิลปินโนเนมอย่างนี้ เป็นศิลปะโลกุตระอย่างไร? ก็คนไม่มีภูมิรู้โลกุตระได้ง่ายๆหรอก เพราะฉะนั้นคนจะรู้ได้ก็ต้องน้อยที่จะรู้ โนเนม อย่างไม้ร่มกับแสงศิลป์นี้ ไม้ร่มโลกุตระน้อยกว่า แต่ก็ดังกว่าแสงศิลป์

และมีคำถามว่าคนอื่นสามารถเป็นศิลปินโลกุตระได้ไหม แล้วจำเป็นไหมว่าศิลปินต้องบ้าบออย่างไม้ร่ม จืดๆอย่างแสงศิลป์ หรือเรียบร้อยอย่างเพชรพันศิลป์หรือเวอร์ๆอย่างสู่แดนธรรม ก็ให้เรียนรู้แล้วต้องลงมือทำจริงตามขั้นตอน มันบอกไม่ได้ อยู่ที่ภูมิปัญญา จะอยู่อย่างใดก็ได้ อันนั้นเป็น character ส่วนตัวเขา ไม่ได้หนักศีรษะใครหรอก แต่สิ่งที่เขาทำกับสังคมที่ออกมานี้ เป็นผลให้คนอื่นได้รับไป เป็นสิ่งที่ตัดสินว่าคุณได้ประโยชน์จริงไหม เป็นมูรติจริงไหม เป็นประโยชน์คุณค่าจริงไหม

วันนี้เป็นฤกษ์ที่ดีมากที่ได้เปิดศักราช ศิลปะโลกุตระ น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกนะ ที่ได้สื่อสาระความหมายนี้ออกไป

ก็ขอบคุณผู้สนใจ ไม่แปลกใจที่ผู้รับปากแล้วจะไม่มา ไม่ได้ประหลาดใจเลย เพราะเป็นเรื่อง

ลักษณะของพุทธธรรม 8

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.      นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)

(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:04:56 )

590320

รายละเอียด

590320_รายงานวันเปิดงานนิทรรศการศิลปะโลกุตระ ART of Noble Life

 ด้วยสถาบันบุญนิยม ได้กําหนดการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของศิลปินอิสระ โดยได้นํา ผลงานของศิลปินชาวอโศกที่สื่อศิลปะอันเป็นโลกุตระ เริ่มครั้งแรกนี้ของคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย มาจัดแสดงเป็นตัวอย่างนำร่อง

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เปิดเผยความเป็นศิลปะ ขั้นโลกุตระว่าเป็นอย่างไร ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นคุณแก่มนุษย์ แก่สังคมประเทศชาติ แก่โลก เป็นการช่วยมวลมนุษย์ ช่วยสังคมประเทศชาติ ช่วยโลก เพื่อจะได้ช่วยกันเผยแพร่กันต่อไปให้ยิ่งๆ

นิทรรศการ “ศิลปะโลกุตระ ART of Noble Life” จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม ถึง 10 มิถุนายน 2559 ณ พระวิหารพันปีฯ ชั้น 2 พุทธสถานสันติอโศก ตั้งแต่เวลา 07.00-17.00น.  ทุกวัน ฟรี ไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ

โดยได้มีพิธีเปิดงานนิทรรศการในวันที่ 20 มีนาคม 2559 ที่พระวิหารพันปีฯสันติอโศก กรุงเทพมหานคร ซึ่งกิจกรรมในวันเปิดงานนิทรรศการ“ศิลปะโลกุตระ ART of Noble Life”  วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2559 มีดังนี้

เวลา 08.30 ท่านสมณะเดินดินได้มาเกริ่นกล่าวแสดงธรรมก่อนเปิดงาน

          พ่อครูมาเปิดงานเวลา 09.45 น. และพ่อครูนำเสวนาเรื่องศิลปะโลกุตระ มีเนื้อหาโดยย่อว่า...ศิลปะโลกุตระนั้น คือ ศิลปะที่ไม่ใช่แค่ศิลปะโลกียะ

          จุดแบ่งโลกียะ กับ โลกุตระ อยู่ที่อกุศลจิตหรือกิเลสเป็นตัวชี้ค่า ถ้าผลงานใด หรือของใครสามารถทำให้อกุศลจิตหรือกิเลสของคนลด ละ จาง ลงได้ ก็เป็นโลกุตระ ถ้าผลงานใด หรือของใครสามารถทำให้จิตคนหรือกิเลสของคน เพิ่ม โต ใหญ่ หรือหนามากขึ้น ก็เป็นโลกียะ

ศิลปะโลกุตระ คือ งานที่มีอิทธิพลถึงขั้นทำให้คนผู้เสพลดกิเลสได้

          จากนั้นพ่อครูได้แนะนำศิลปินที่มาร่วมเสวนาด้วยคือ

1. คุณแสงศิลป์ เดือนหงาย

2. คุณไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

3. คุณสู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม

4. คุณเพชรพันศิลป์ มุนีเวช

จากนั้นพ่อครูได้เปิดโอกาสให้ทั้งสี่ท่านได้นำเสนอภูมิรู้ในศิลปะโลกุตระของแต่ละท่าน และเปิดให้คนที่มาร่วมงานได้นำเสนอความคิดเห็นอีกด้วย ซึ่งก็มีคุณแทน ราศนา, คุณวสันต์ สิทธิเขตต์, คุณจุ๋ม วงด่านเกวียน, อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, คุณหงษ์จร เสน่ห์งามเจริญ ออกมาแสดงความเห็นเพิ่มเติม

งานนี้มีหัวใจขององค์รวมที่จะเป็นโลกุตระ ก็คือ “กรุณาทำให้เล็กอย่างเหมาะสมในสิ่งที่จะทำจะให้เป็นต่างๆ เพื่อความสวยงามจะได้สมดุลย์อย่างกลมกลืน”

11.15 น.หลังจบเสวนาศิลปะโลกุตระ ก็มีการแสดงดนตรีกวีศิลป์และการร้องเพลงจากศิลปินผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานโดยมี อ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล และคุณพิมพ์เพชรรุ้ง เป็นพิธีกร ศิลปินที่มาร่วมแสดงในงานประกอบด้วย

 ศิลปิน วงจันทร์ ไพโรจน์, อุมาพร บัวพึ่ง, เทพ ทูลใจ, ว.วัชญาน์, วสันต์  สิทธิเขตต์, วงคีตาญชลี, อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, คุณบี๋ คณาคำและคณะ, น้าหว่อง(มงคล อุทก)และคณะ, น้าซู น้าเสก ร่วมกับวงฆราวาส ปิดท้ายด้วย บทเพลงสากลจากคุณอุ๊ หฤทัย

ศิลปินแต่ละท่านที่มาล้วนได้รับของที่ระลึกเป็นหนังสือศิลปะหรืออนาจาร และหนังสือชาวอโศกเล่มอื่นๆจากพ่อครู และมีพืชผักผลไม้ไร้สารพิษจากชุมชนบุญนิยมชาวอโศกที่จัดเต็มให้ไปอย่างน่าประทับใจ

ในงานนี้ยังมีการจัดแสดง(แต่ขายจริง)ศิลปะพาณิชย์บุญนิยม 4 ระดับตั้งแต่ 11.00 น.ถึง 14.00 น. มีทั้งสินค้าขายต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุน และแจกฟรี โดยเฉพาะมีโรงบุญมังสวิรัติแจกอาหารฟรี มีทั้งหมดถึง 50 โรงบุญ

หลังจากเสวนา พ่อครูยังได้พาศิลปินที่มาในงานไปชมศิลปะโลกุตระที่ชั้น 2 พระวิหารพันปีฯ ซึ่งมีทั้งภาพจิตรกรรมและงานประติมากรรมที่รังสรรโดยคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย โดยแนวคิดจากพ่อครูอีกด้วย ซึ่งนิทรรศการนี้ จะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ถือว่าวันที่ 20 มีนาคมวันนี้ เป็นวันเปิดงานนิทรรศการ และเป็นการเปิดเผยศิลปะโลกุตระของชาวอโศกออกสู่สาธารณชน สู่โลกกว้างอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:05:34 )

590321

รายละเอียด

590321_ประธานกรรมการบริษัทงอกงามธรรม พบพ่อครูที่สันติอโศก

วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2559 คุณคงธรรม จารึกสถิตย์วงค์ ญาติธรรมชาวอโศก หนึ่งในกรรมการผู้จัดการบริษัทงอกงามธรรม ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ รวมทั้งเครื่องมือ โดยเฉพาะเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยงอกงาม จากบ้านราชฯด้วย ได้พาประธานกรรมการบริษัทงอกงามธรรม คือพล.อ.อภิชาติ เทียบศรไชย ราชองค์รักษ์พิเศษ และประธานที่ปรึกษาบริษัทคือคุณนันธวัฒน์ชัย ลิมะพันธ์ เลขา ม.จ.หญิงจันทรจรัสศรี ยุคล ข้าหลวงผู้ใหญ่ในพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ มาสนทนาธรรมกับพ่อครู ที่ห้องรับแขก พุทธสถานสันติอโศก

ในเวลา 10.00 น.พ่อครูได้สนทนากับพล.อ.อภิชาติ ถึงความจำเป็นที่ต้องทำการกอบกู้สถาบันศาสนาให้กลับฟื้นคืนสู่แนวทางของพระพุทธเจ้าให้ได้ในยุคนี้ และ พ่อครูยังได้สนทนาถึง 3​อาชีพที่จะกู้ชาติได้นั้น คือ 1.กสิกรรมธรรมชาติ 2.ปุ๋ยสะอาด 3.ขยะวิทยา โดยอนุโมทนากับท่านพล.อ.อภิชาติที่ได้มาเป็นประธานที่ปรึกษาบริษัทงอกงามธรรม ที่จะมีบทบาทกระจายปุ๋ยอินทรีย์ ในราคาที่ถูกให้ชาวเกษตรกรได้นำไปใช้ได้ทั่วถึงต่อไป

ภายหลังจากสนทนาเสร็จ ก่อนคณะที่มาจะกลับพ่อครูได้พาคณะบริษัทงอกงามธรรมเดินชมนิทรรศการศิลปะโลกุตระ โดยพ่อครูได้บรรยายรายละเอียดของชิ้นงานที่เป็นศิลปะโลกุตระให้คณะฟังอีกด้วย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:06:10 )

590321

รายละเอียด

590321_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก มงคลอันอุดมคือศิลปะโลกุตระ

          โดย พ่อครู และ อ.กฤษฎา ที่ปฐมอโศก 21 มี.ค. 2559

อ.กฤษฎาว่า….พ่อครูมาที่ปฐมอโศก มาประชุมชุมชนตอนนี้ หลังจากที่สันติอโศกเพิ่งจัดงานใหญ่ไปสองงาน โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าประสบความสำเร็จมากๆ งานล่าสุดคืองานศิลปะโลกุตระ ก็คงจะได้เห็นอะไรหลายอย่าง ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ที่บริเวณพระวิหารพันปีก็มีการแสดงภาพและงานประติมากรรมอย่างต่อเนื่อง เป็นการนำผลงานออกมานำเสนอหลังจากการบ่มเพาะเตรียมการไว้นานพอสมควร

เพื่อความเข้าใจของคนที่ได้รับชมงานศิลปะโลกุตระที่จัดเสร็จผ่านไปแล้วผมได้เห็นอะไรหลายอย่าง เป็นการใช้ศิลปะในการสื่อความเป็นโลกุตระเมื่อวานนี้เห็นผู้ที่มาในงานมีทั้งต่างประเทศด้วย มีไทย มีญี่ปุ่น มีแขก มีเกาหลี นอกจากคนไทยแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะโลกุตระพาเจริญขั้นปรมัตถธรรม

พ่อครูว่า...ก็มาขยายความกันเรื่องศิลปะ โดยเฉพาะขยายความจากคำว่าศิลปะเป็นโลกุตระ ขอขยายความคำว่าศิลปะเสร็จก่อน ก่อนจะพูดถึงโลกุตระก็ต้องพูดถึงโลกียะด้วย จะได้มีสภาพเปรียบเทียบ

คนทั่วไปเป็นคนโลกียะทางโลก ส่วนโลกุตระแปลตรงๆว่าเหนือโลก ฟังแล้วเหมือนกับการยกตัวยกตน โลกุตระนี้ไม่ได้หมายถึงการยกตัวยกตน แต่หมายความว่ามีจิตที่บรรลุหลุดพ้นความเป็นโลก ไม่ตกเป็นทาสโลก

โลกียะคือการได้สมใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เราก็ได้สิ่งนั้นมาสมใจ ตั้งแต่เป็นวัตถุ สัมผัสเงินทอง สัมผัสทรัพย์สิน แล้วก็ต้องการอยากได้ เมื่อได้มาสมความอยากได้สมกับความโลภก็เป็นสุข ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ อยากได้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นทุกข์เท่านั้น

การมีราคะคือสัมผัสแล้วเป็นอารมณ์เสพเป็นอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ สัมผัสทางตาเห็นรูปอย่างนั้นอย่างนี้จิตใจก็ชอบใจ ชื่นใจ บำเรอใจก็เป็นสุข ได้ยินเสียงอย่างนี้เพราะรู้ว่าสมใจบำเรอกิเลสก็เป็นสุข จมูกได้กลิ่นอย่างนี้แล้วชื่นใจชอบใจก็เป็นสุข

กระทบรับรสทางลิ้น จะเป็นรสชาติหวานเค็มเปรี้ยวอะไรก็แล้วแต่ หรือไม่ต้องมีรสชาติหวานเค็มเปรี้ยว แต่เอาลิ้นไปแตะตามที่อุปาทานไว้ ได้แตะสัมผัสเรียกว่าโผฏฐัพพะก็เป็นสุข อย่างผู้หญิงผู้ชายสัมผัสลิ้นกันเป็นสุขตามสมมุติที่เขายึดถือว่าเป็นสุข มันไม่ใช่รสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มมันก็เป็นสุข หรือสัมผัสแตะต้องทางกายทั้งหมด สัมผัสส่วนนอก กายมีทั้งส่วนนอกและส่วนใน แต่คำว่าโผฏฐัพพะหมายถึงส่วนนอก แต่คำว่ากายหมายถึงส่วนนอกและส่วนในด้วย

แต่ถ้าคำว่าโผฏฐัพพะหมายถึงภายนอก แต่คำว่ากายนี้หมายถึงทั้งรูปและนามทั้งนอกและใน คือให้สัมผัสภายนอกแล้วเพ่งพินิจไปสู่ภายใน อย่างหยาบเรียกว่าโอฬาริกอัตตา เช่น พิจารณากายในกาย พิจารณานอกๆไม่ยากหรอก เช่น ท่านให้พิจารณาร่างนี้เน่าเปื่อยผุพังไปเป็นธรรมดาใครก็รู้ แต่ว่า ให้พิจารณาความไม่เที่ยงของจิต ตั้งแต่ขั้นต้นคือโอฬาริกอัตตา แต่ให้เข้าไปรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิต คือกาย

กาย พระพุทธเจ้าว่า คือ จิต มโน วิญญาณ ซึ่งชาวพุทธทุกวันนี้เข้าใจคำว่ากายนี้เพี้ยนผิดไปมาก ว่าคือแค่ร่างไม่เกี่ยวกับจิต อันนี้ผิดพลาดมาก

 ศิลปะแปลว่ามงคลอันอุดม คำว่ามงคลคือเหตุที่พาให้เกิดความเจริญ บางทีท่านแปลว่า สิ่งที่พาไปสู่ความเจริญ ก็ต้องตามไปหาเหตุ แล้วเหตุอะไรที่จะนำมาซึ่งความเจริญ พระพุทธเจ้าอธิบายเหตุที่ทำให้เราเกิดรู้ คือปัญญา ปัญญาคือเหตุที่พาไปสู่ความเจริญ

เมื่อปฏิบัติธรรมมีผัสสะ แล้วเกิดเหตุคือกิเลส สัมผัสแล้วเกิดกิเลสในปัจจุบัน เช่น ขณะนี้มีลูกตาลอยู่ข้างหน้าอาตมา แล้วถ้าเกิดความอยากได้อยากกิน ก็คือกิเลส มันไม่เป็นเหตุพาเจริญ ​องค์ประชุมนี้คือกาย เราก็มีนามรู้ว่ามันเกิดความอยากกิน พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ คือตามคำว่ากายไปหากายในกาย คือตามรู้ กาย จิต มโน จนกายมันปรุงเป็นอารมณ์ เป็นสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเราอยากแต่ไม่ได้เสพมันก็ทุกข์ ถ้าใครอยากแล้วยังไม่ได้สมอยาก แต่เป็นสุข คนนั้นก็เรียกว่ามาโซคิสม์หรือซาดิสม์ คือวิตถารชอบรุนแรงเจ็บปวด

ถ้าเราสัมผัสตาลแล้วอยากได้อยากกิน ก็ซื้อมาโดยสุจริต เอามาเสพ ก็เกิดเวทนา เมื่อกี้ทุกข์ก็มีเวทนาซ้อนคือจิต เป็นอุปาทาน องค์ประชุมของจิต ถ้าเราเรียนรู้แล้วรู้รูปนาม หาเหตุได้ว่าอยากคือตัวเหตุแห่งทุกข์ ถ้าเข้าใจแล้วจัดการกิเลสที่มันอยากนี่แหละ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ของๆเรา คุณก็มีศิลปะทำให้มันเกิดเจริญ เป็นเหตุแห่งการทำให้ทุกข์ มันอยากนี่เป็นอกุศลจิตนะ นำมาซึ่งความเจริญเรียกว่าศิลปะ แต่ถ้าไม่เข้าใจโลกุตระ ก็จะเอาความอยากได้อันนั้นมาสมอยากบำเรอกิเลส ได้แล้วก็จะรู้สึกว่าคุณเจริญ เพราะได้ความสุข แต่คือความเจริญแบบอวิชชา คุณเสพอันนี้สมใจแล้วกิเลสคุณโตขึ้นนะ มันเป็นกุศลหรืออกุศลของจิต?

จิตเป็นอกุศล ถ้าคุณเสพแล้วเกิดรสสุขนี้ อาริยบุคคลของศาสนาพุทธเรียนรู้ตรงนี้ ว่าคือสุขเก๊ สุขขัลลิกะ คือเทวดาดาวดึงส์ที่หลงสุข ไม่เข้าใจว่าคือสุขที่เคหสิตเวทนาไม่ใช่เนกขัมสิตเวทนา องค์ประชุมรูปนามกระทบสัมผัสก็เกิดเวทนา

กิเลสอยากฆ่าสัตว์นี้เป็นความรุนแรงเลวร้าย เขาไปล่าสัตว์ฆ่าสัตว์ตาย ขออภัยที่ต้องพูดถึงชาวประมง เขาก็ไปล่าปลา ฆ่าปลามากิน ศาสนาพุทธไม่ละเว้นว่าฆ่าแล้วเอามากินได้ พุทธไม่ล่าไม่ทำร้ายสัตว์ เอาตอนต้นคือไม่ฆ่าสัตว์ เป็นศีล 5 ที่หยาบที่สุดแล้ว

ศีลข้อ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างลูกตาลนี้ไม่ใช่ของเรา เราอยากได้ก็ต้องได้มาโดยสุจริต อย่าทุจริต พอเป็นไปกับโลกเขา แต่ถ้าได้สมใจแล้วกิเลสก็โตขึ้นๆ เป็นสุข ก็ได้แค่สุขเคหสิตเวทนา ไม่ได้เนกขัมสิตเวทนา

กิเลสไม่ใช่ของจริง ไม่มีจริง แต่คนอวิชชาแล้วจะเห็นว่ามันมีจริง หากมาเรียนรู้ล้างกิเลสจนสุญญตาได้ ก็จะพบว่ามันไม่มีหรอก เช่น เราไม่มีกิเลสกับตาลนี้แล้ว เราก็จะรู้ว่า มันนุ่มมันหวาน ถ้ามันแก่แล้วจะเหนียว มันเคยมีจริงตามนั้น แต่คุณเป็นอาริยะแล้วแยกแยะอารมณ์ที่บำเรอชอบชื่นใจกับไม่ชื่นใจ มันไม่มีแล้วในกิเลสของคุณ หรือมันชื่นชอบมาก คุณก็ทำให้มันลดลงได้ ก็พัฒนา

ถ้ารู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วทำให้กิเลสลดลงได้ เป็นศิลปะ ในศาสตร์เรียกว่าพุทธศาสตร์ ทำให้เหตุที่ไปหลงรสอร่อยที่หนาขึ้น เป็นข้าศึกแก่กุศล ก็ซวย คนไม่รู้ก็บำรุงกิเลสเสมอ ถ้าทำให้เหตุมันลด ก็พัฒนาขึ้น นี่คือเหตุที่พาเจริญเป็นอาริยะ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ประเสริฐขึ้นเรื่อยๆ นี่คือมงคลอันอุดม แม้ไม่ถึงสูงสุดก็เข้ากระแสอาริยบุคคล เกิดมงคลแก่ตัวเอง คือดับเหตุที่พาสู่ความเสื่อมนะ ไม่ว่ากิเลสตัวไหนมันพาเราเสื่อม

ทำมาตั้งแต่ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ ไม่ใช่ทำทีเดียวหมด ศีล 5 บรรลุแล้วเป็นพระโสดาบัน ศีล 8 เป็นพระสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี หรือมากกว่าขึ้นไปเพราะจุลศีลมีตั้ง 26 ข้อ ถ้าเป็นอรหันต์นี้ดับทั้งนอกและใน ถ้าอนาคามีดับแต่กิเลสภายนอก ยังเหลือกิเลสภายใน ในจุลศีล 26 ข้อนี้ปฏิบัติบรรลุอรหันต์ได้เลยนะ

อ.กฤษฎาว่า...ถ้าเข้าใจกายในกาย คืออะไร

พ่อครูว่า...กายคือจิตมโนวิญญาณ กายในกายคือจิตมโนวิญญาณ กายนอกกายก็เน้นไปหานอก แต่กายต้องมีทั้งนอกและใน กายเป็นธรรมะสอง เทวธัมมา เวลาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไปอยู่ไม่มีกายภายนอก ไม่รู้ทางทวารนอกไม่ได้

ในวิโมกข์ 8 ให้เรียนรู้ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ คือต้องมีภายนอกด้วยในรูปทั้งหลาย ตามข้อ 1 คือ รูปี รูปานิ ปัสสติ ต้องเห็นทั้งข้างนอกและข้างใน ไปกำหนดรู้ไปถึงอรูปได้เลย ในอานาปานสติ ท่านว่าผู้นั่งหลับตาเข้าไป ให้กำหนดรู้ความรู้สึก แต่ความรู้สึกภายนอกจะเหลือแต่ลมหายใจเข้าออก เท่านั้น อะไรมากระทบผิวหนังก็สัมผัสภายนอก แต่หลับตา ไม่มีลิ้นกระทบ หูก็พยายามตัดไม่รับรู้ แต่เขาสอนอานาปานสติ ให้สะกดจิตให้รับรู้แค่ลมหายใจ ก็ไปตัดความรับรู้อย่างอื่นหมด กาย หู ลิ้น ตา หรือ สัมผัสต่างๆ แต่ต้องมีการรับรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่รับรู้ไม่ได้ เพราะต้องทำ พหิทธา รูปานิ ปัสสติ ตามวิโมกข์ 8 ลมหายใจเข้าออกคือส่วนของกาย แต่ถ้าจะดับภายนอกหมดไม่ได้ จะไม่มีกายเลย

คุณต้องตามอ่านอาการที่เกิดในจิต มันกำลังทุกข์ต้องรู้เลย ตัวที่มันอยากได้นี้เป็นจิตในจิต คือสราคะ อยากได้มาเสพ ในเจโตปริยญาณ 16 ตัวแรกเลยคือเหตุที่นำมาซึ่งความไม่เจริญ แต่ถ้าคุณสามารถเรียนรู้สัมมาทิฏฐิก็ต้องเรียนรู้ลดความอยาก แม้อยากต้องไม่อยากจะได้มาเสพรสชาติสมใจ คือเทวดาดาวดึงส์เลย แต่ถ้าเห็นแล้วอยากได้มาเพื่อได้ธาตุอาหาร ไม่ได้เอามาเสพสมใจ ต้องการมาเพื่อให้ธาตุอาหารเท่านั้น ไม่มีโลกียรสมาเป็นองค์ประกอบ ถ้าพิจารณาละเอียดจะรู้ตรงนี้

ถ้าต้องการเพราะเหมาะควรว่าเป็นอาหาร ลูกตาลเป็นอาหาร เนื้อตาลเป็นอาหารกินได้ มันก็จะมีธาตุอาหารที่ไปเลี้ยงชีวิต ไม่ได้ไปหลงรสอร่อยชื่นใจเป็นอิฏฐารมณ์ จึงไม่เป็นเหตุแห่งอกุศล

อ.กฤษฎาว่า...มีคำว่า ฝึกสะพัดออก กับ ตัวธรรมาวุธ หากเรามองกระบวนการมันออก อะไรคือศิลปะ อะไรคืออนาจาร ข้าศึกแก่กุศล ถ้าเราฝึกสะพัดออก มันก็จะไม่เอาเข้า

พ่อครูว่า...ศิลปะคือมงคลที่นำมาสู่ความเจริญ ความเจริญแบบโลกียะคือนำมาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นมงคลแต่ไม่ใช่อุตตมะ

มงคลคือสิ่งหรือเหตุนำพาสู่ความเจริญ แต่ความเจริญนี้ไม่ใช่การเจริญสู่โลกุตระ เป็นการเจริญสู่โลกีย์ ถ้าคนจะมีวิธีการที่เรียกว่าองค์ประกอบศิลป์ มีวัตถุธรรมและนามธรรม สัมผัสอันนี้แล้วจะพาไปสู่ความเจริญ ถ้าคุณมีการสัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกอยากได้ ถ้าได้มาคงจะอร่อยดี ได้มาก็บำเรอกิเลส กิเลสก็โต แต่ได้มาโดยสุจริต ซื้อเขามา หรือขอเขาเขาก็ให้ ไม่ได้ไปแย่งหรือขโมย ได้มาก็เป็นสุขโลกีย์ เป็นสมมุติเทพ เป็นความเจริญเทวดาโลกีย์ ไม่ได้ลดกิเลสเลย ศิลปะคือสุจริตแล้วพาสู่โลกธรรม อยากได้ลาภ อยากได้ธนบัตรปึกนี้ ก็ทำอย่างสุจริต ก็ได้เป็นสมมุติเทพถ้าได้มา ไม่เป็นปรมัตถธรรมที่จะพาลดกิเลสเป็นอุตตมะ หรืออุดมอะไรเลย เป็นสามัญโลก เป็นแต่เพียงหากไม่สุจริตก็ถือว่าชั่ว คือนรกสามัญ คุณไม่ทุจริตก็ไม่มีนรกสามัญ

แต่ถ้าคุณรู้จักกิเลสเป็นอุตตมะ มงคลอันอุดม ที่ท่านบอกว่าศิลปะคือมงคลอันอุดม เอตัมมังคลมุตตมัง ศิลปะคือมงคลอันอุดมของพระพุทธเจ้าคือเหตุที่นำพาสู่ความเจริญถึงขั้นปรมัตถธรรม ขั้นของการลดกิเลส ไม่ใช่แค่สมมุติเหตุ แต่เป็นอุบัติเทพ เป็นการเกิดของจิต จิตเกิดลดกิเลสได้ เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน สติปัฏฐาน 4 แบบพุทธ

การจะเรียนรู้ธรรมะถึงขั้นนิพพาน ต้องอ่านจิต ต้องอ่านทิศทางของจิตที่จะลดกิเลสได้ ต้องเริ่มต้นรู้จักกายะ องค์ประชุมรูปนาม แล้วตามไปถึงองค์ประชุมของเวทนา ซึ่งเป็นธรรมะสองอีกเหมือนกัน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ จากกายในกาย เนื่องมาเป็นเวทนาในเวทนา อารมณ์สุขทุกข์นั้นย่อมมีเหตุ อาการอยากได้สมใจนั้นคือตัณหา อ่านเจโตปริยญาณ 16 ได้ พิจารณาถึงมันไม่แท้ ไม่เที่ยง ไม่จริง บางครั้งมันเบื่อแล้วก็ไม่อยาก มันอิ่มแล้ว มันคือเหตุแห่งทุกข์ หากคุณทำให้มันลดได้ จะเข้าใจเลยอ่านอนิจจังว่ามันไม่เที่ยง เช่น คุณไม่ให้มัน มันก็ไม่มีแรงเดี๋ยวมันก็หายไป เอาอะไรไปทดแทนได้ ถ้าไม่เอาอะไรแทนมันก็หยุด มันไม่อยู่นิรันดรหรอก คุณไม่ให้มันเลยมันอยากได้จะตาย แต่ไม่ให้มันก็ไม่ตาย หรือหาอะไรทดแทน อนุโลม

เช่น อยากกินลูกตาล ก็ไม่กิน กินกล้วยก็ได้ แต่ถ้าคุณติดลูกตาลก็อยากกินกว่า ก็ไม่ปล่อยวางเมถุนไม่ปล่อยวางคู่นี้สักที นั่นคืออุปาทานที่คุณยึด จะไปสมมุติว่าต้องได้อย่างนี้อย่างนั้น จะไปสมมุติว่าต้องได้เสื้อตัวนี้ หรือบางทีเด็กติดตุ๊กตา ตัวเก่าๆ เอาตัวใหม่ให้ก็ไม่เอาอีก เอาไปซักก็ไม่ได้อีก ฉันเดียวกันเลย คุณว่าผู้หญิงคนนี้ต้องใช่ คนอื่นไม่ใช่ เป็นต้น แต่เสร็จแล้ว คนนี้ใช่ อยู่ไปนานๆก็ไม่ใช่ คนอื่นน่าจะดีกว่า ก็ไปแล้ว ที่บอกว่าใช่ไปจนตายหายาก หรือรสชาติกระสันดูดดึงตลอดไม่เปลี่ยนตลอดตายหายาก แต่มีนะ เป็นอุปาทานยึดถือ ชาติไหนๆก็ติดไปนานเท่านานก็มี อย่างอาจารย์มั่นบอกว่าติดคู่นี้ห้าร้อยชาติ เป็นสังขยาห้าร้อยนี้คือมากมาย

ศาสนาอื่นไม่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน โดยมีสัญญากำหนดรู้ จนบรรลุสัญญาเป็นปัญญาหมด คือเรียนรู้ เวทนา สังขาร การปรุงแต่งสังขารก็มาเป็นเวทนาสุขทุกข์ อุบายเครื่องออกของพระพุทธเจ้าคืออย่าให้มัน ต่อไปนี้ข้าพเจ้าไม่กินลูกตาล เมื่อเราสัมผัสเมื่อไหร่ก็เป็นสุข เราต้องเห็นอาการอยากเป็นทุกข์ คืออุบายเครื่องออก เพื่อให้เรียนรู้ตัวจริงของกิเลสตัณหา ที่มันจะดิ้นเมื่อเราไม่ให้มัน เมื่อเราเว้นขาด เวรมณี ปฏิวีรติ อารติ เมื่อไม่ให้ก็จะต้องอ่านจิตในจิต อ่านองค์ประชุมของกายที่มันอย่าง ยิ่งถ้ามันชอบมากติดมาก มันยิ่งอยากมาก ก็ยิ่งรู้ง่าย

ตัวไหนที่ติดมากก็เอามาเป็นกรรมฐานที่จะเรียนรู้กิเลสตัณหา เป็นเหตุปัจจัยที่จะเรียนรู้ของจริงอย่างไม่ต้องหนี อย่างไม่ต้องไปสะกดจิตคิดลืมมันไป วิธีการของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ต้องงดเว้นให้ได้ จะได้ใช้เป็นวิธีการอ่านกิเลส เมื่อเรารู้อาการของกิเลสว่ามันมีตัวตนนะ แม้จะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่กิเลสมันคือผีนรก คือสัตว์โอปปาติกะ เป็นกิเลสตัณหา เป็นเปรต

คุณอยากไม่ทำชั่วก็เป็นกิเลส ยิ่งไปกำหนดไม่ทำชั่ว แต่ไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ได้ทำชั่วโดยกาย วจี แต่ก็ดีใจ ใจไม่ได้เปลี่ยนปรมัตถ์อะไร จิตคุณดีใจว่าได้ทำสิ่งเจริญ ก็มีกิเลสเจริญอ้วนขึ้น แต่จริงๆแล้วกายกับวาจาไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ได้ทำให้กิเลสลดเลย การปฏิบัติธรรมแบบนี้กลายเป็นว่าฉันได้ความดีทางโลกีย์เท่านั้น

เช่น ยกตัวอย่างไปทำทาน ไปบริจาคให้ ทำทานนี้เป็นสังคมศาสตร์ ได้ให้ เป็นความดีใครก็รู้ แต่ทานของจิตศาตร์หรือพุทธศาสตร์คือการลดกิเลสโลภ ทานคือการให้ อ่านใจว่าให้แล้ว ตัดปล่อยไม่อยากได้อะไรตอบแทน ให้คือให้ ไม่ใช่คาว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน อย่างที่เขาสอนกันว่าทานแล้วจะได้รวยกว่าเก่า อย่างที่หลายสำนักสอนกัน รวยมาก อย่างธรรมกาย ทำทานกับเราที่เป็นอาริยะใหญ่จะยิ่งได้บุญ คุณก็ไปทำทานแต่จิตไม่ได้ลดโลภ กลับยิ่งได้ความโลภเพิ่มเข้าไปอีก จะได้ในอนาคต ไม่ได้ปล่อยอดีต ไม่ได้ปล่อยอนาคต เพราะไม่รู้จักปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ให้ตัดกิเลสเลย ไม่ต้องไปต่อจะมีอดีตหรืออนาคตอีก ตัดปัจจุบันนี้ก็ไม่มีอนาคตที่จะต้องได้ไปรออีก เพราะได้ให้ไปแล้ว กายก็ให้ วาจาก็ให้ ใจก็ต้องให้ด้วย แต่กลับไปตั้งจิตไว้ผิดยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร จิตก็ตกนรกมากกว่า แล้วร้ายกว่าโจรฆ่าโจร ศัตรูฆ่าศัตรู ด้วยความโง่ที่ไปตั้งจิตไว้โลภมากกว่าเก่า ยิ่งธรรมกายหลอกโป้งรวยๆ เป็นภพชาติที่หลอกกัน ไม่ได้ล้างกิเลสเลย มีแต่กิเลสมากขึ้นอีกกว่าเก่า

อ.กฤษฎาว่า...เราจะรู้เท่าทันในผัสสะได้อย่างไร เพราะมันไวเหลือเกิน มาฟังวันนี้เริ่มเข้าใจว่าต้องรู้กายในกายก่อน ไม่เช่นนั้นจะอ่านสักกายทิฏฐิได้อย่างไร

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าให้อ่านปัจจุบัน ผ่านไปแล้วไม่ใช่ฐานแห่งการปฏิบัติเลย ผู้ใดจมในอดีตอนาคตไม่สามารถบรรลุได้ ถ้าไปนั่งเจโตหลับตาทำสมาธิ ตัดทวาร 5 เลย พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ในพรหมชาลสูตร ข้อ 51 เลย ว่าคนไม่รู้ไม่เห็นคือ อชาโน อปัสสโต ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ

          [51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น

          [52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน

          [53] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน

          [54] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน

           [77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

สูตรแรกที่พระพุทธเจ้าสอนก็บอกเลยว่า ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แต่ศาสนาพุทธในเมืองไทย แค่สองพันห้าร้อยปีเสื่อมไปเกือบหมดแล้ว ถ้าอาตมาไม่มาคว้าไว้ หมดจริงๆ ไปนั่งสมาธิหลับตาหมด จะไปทำมรรค 7 องค์แล้วได้สัมมาสมาธิไม่มีแล้ว โชคดีที่มีมหาจัตตารีสกสูตรและมีสูตรอื่นๆอีกที่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติออกป่าหรือไม่ก็ตาม ก็ทำเช่นนี้ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย พระพุทธเจ้าว่าไม่มีผัสสะไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ปฏิบัติธรรมพ้นกรรม 4 คืออาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ คือกรรม 4​ ถ้าพ้นจากกรรมสี่นี้ไม่มีฐานที่จะปฏิบัติ หากไปนั่งหลับตาก็มีแต่สังกัปปะ เหลือแต่ในใจภายใน ไม่มีกาย วาจา หรืออาชีพใดเลย

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน ศาสนาเสื่อมเพราะค่านิยมบวชเล่นบวชหัว

การบวชนี่ ทางผู้ที่เกณฑ์คนหนุ่มแน่นมาบวชเป็นล้านรูปนี่ บวชแล้วสังฆาทิเสสผู้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไม่รู้เท่าไหร่ ผู้มาบวชต้องมีภูมิจริง เป็นอนาคามีนี่ไม่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองแล้ว แต่นี่ชวนมาบวชเล่น ทำนรกกัน สังฆาทิเสสนี่รองปาราชิกนะ อย่าเล่นเลย บวชต้องมาเพื่อนิพพาน ในสำนักเราไม่มาบวชเล่น บวชหัว ต้องมาศึกษาจริง อาตมาแต่ก่อนเป็นอุปัชฌาย์เอง บอกว่ามาบวชนี้มาตายนะ ไม่ได้มาเล่นๆ ทุกวันนี้อาตมาพักแล้ว มีหลายรูปช่วยกันเป็นอุปัชฌาย์ แต่ทุกวันนี้เลอะเทอะหมักหมมเน่าใน

ใครไม่รู้เห็นว่า คนหนุ่มแน่น ก็มีอารมณ์รุนแรงก็บอกว่าจับมาบวชๆ นี่เป็นการทำลายศาสนา มันไม่ถูกต้องหรอก จับเณรมาบวชนี่ยิ่งจับลิงมาบวช ไปเกณฑ์เอาปริมาณมาข่ม เพราะยุคประชาธิปไตยนับหัวคนมามากก็ว่าชนะ ไม่มีรายละเอียดเลยก็เละเทะไปหมด

 

มีคำถามจากเด็ก

_หลวงปู่ครับทำไมรร.ที่นี่ไม่ให้อ่านหนังสือการ์ตูนหรือนิยายบ้างครับ

พ่อครูว่า…ตอนนี้เรายังไม่มีภูมิพอ ไม่มีความรู้พอ สิ่งที่เป็นนิยาย การ์ตูนทุกวันนี้แฝงด้วยกิเลสเยอะมาก เราไม่มีภูมิคุ้มกันพอ ที่นี่ไม่ให้ใช้เงิน ไม่ให้มีโทรศัพท์ส่วนตัว จะใช้ก็ไปบอกพี่ป้าน้าอา ให้ใช้อย่างจำเป็น ไม่ให้ใช้เงินหรือโทรศัพท์ส่วนตัว เหมือนกันกับไม่ให้อ่านการ์ตูนนวนิยาย ก็เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันพอ จนกว่าจะอ่านวรรณกรรมได้ถ้ามีภูมิคุ้มกันพอ มีผู้ใหญ่แนะนำ ตอนนี้อย่าเพิ่งเลย

 

_รร.สัมมาสิกขาทุกที่ปรัชญาการศึกษาคือ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แต่รร.ปฐมอโศก มี ศีลเด่น ชาญวิชา เป็นงาน ผมดูว่า ดูจะเอาวิชาการเป็นหลักจะเหมือนรร.ข้างนอกแล้วนะครับ

พ่อครูว่า...ที่จริงสันติอโศกนี้ ไพรเมือง(สุรเดช) เขาดูแลนร.สันติอโศก เก่งงานมากเลย แล้วเขาไม่ได้ด้อยวิชาการหรือศีล แต่ปฐมอโศกคงเป็นอย่างที่ว่า ไปเน้นศีลกับชาญวิชา ไม่เน้นงาน ของเรานี้เน้นงานมาก เพราะกำลังบูรณาการ ศีลอยู่ในการทำงาน วิชาการอยู่ในการทำงาน อันนี้ดีแล้ว ให้เด็กมาเตือน ก็พิจารณาให้ดี ที่นี่ ไปตัดงานให้ผู้ใหญ่หมด สันติอโศก ราชธานีอโศก หรือศีรษะอโศก เขาพาเด็กทำงาน เรียนบูรณาการเป็น บวร ถ้าบูรณาการไม่ดีก็บวรไม่ถูกต้อง

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:06:55 )

590322

รายละเอียด

590322_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ศิลปะโลกุตระต้องมีสัปปุริสธรรม

 พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2559 วันนี้เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีวอกก็ตามปีมะแมก็ดี สองอันจะถึงอันไหนก็อันนั้นแหละ เราก็มาว่ากันต่อ

 สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เวไนยสัตว์ระดับโลกีย์กับระดับโลกุตระ

เพราะชีวิตนี้อาตมาได้ตั้งปณิธานตั้งจิตตั้งใจไว้จริงๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะทำงานเรื่องธรรมะ ก็ศึกษาไปด้วย บรรยายเผยแพร่ไปด้วย เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าท่านได้ประกาศเอาไว้แล้ว ให้แก่คนให้แก่โลกได้เอาไว้ศึกษา ได้เอาไว้ปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเอง ฝึกฝนตนเอง อบรมตนเองให้เกิดประโยชน์เกิดมรรคเกิดผลอย่างแท้จริง แล้วก็เป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ของท่านเป็นสัมมามรรคสัมมาผลที่สุดแล้ว ผู้ใดทำได้เกิดผลจริงเป็นภาวนามัยเป็นภาวิตญาณ ญาณที่รู้ว่าเกิดผลจริง

เกิดผลเป็นโสดาบันทำให้กิเลสตัวนี้ลดก็มีญาณรู้ ลดได้ขนาดนี้แล้วพ้นอบายภูมิแล้วเป็นของโสดาบัน ทำอีกต่อไปเป็นสกิทาคามีจนหมดกิเลสในกามภูมิ กามภพ ก็มีญาณเห็นเป็นภาวิตญาณ เป็นญาณเห็นสิ่งที่อบรมแล้วได้แล้ว

ภาวิโตคือความเจริญพัฒนาขึ้น ก็มีคนเท่านั้น เดรัจฉานเป็นไม่ได้ แม้แต่คนที่เป็นอเวไนยสัตว์เขาสอนไม่รู้เรื่องสอนไม่ได้เข้าใจไม่ได้ ไม่สามารถจะรู้ได้เพราะมันละเอียดสูงส่ง เป็นความเป็นจริงในสัจธรรม ขั้นที่สามารถศึกษาได้จึงเรียกว่าเวไนยสัตว์

เวไนยสัตย์แยกเป็นสองนัย เวไนยสัตว์ระดับโลกีย์ กับระดับโลกุตระ

ระดับโลกีย์คือเรียนรู้ได้ในผลของกรรม รู้จักกรรมดีกรรมชั่ว ความดีความชั่วในระดับของกาย วาจา แม้แต่ใจก็ยังรู้ผิวเผิน ศาสนาหลายศาสนาก็พยายามเรียนรู้ถึงใจ แต่ศาสนาเทวนิยมไปมีทฤษฎีว่า พลังงานที่สูงละเอียดที่สามารถสั่งการตนเองได้ ตัวเราเองสั่งไม่ได้ พระเจ้าสั่ง ศาสนาเทวนิยมยกให้พระเจ้า เราไม่สามารถสั่งให้ทำกรรมละเอียดโดยเฉพาะระดับจิต แม้กาย วาจาก็สั่งยาก ไม่สามารถเรียนรู้จิตเจตสิก ที่เป็นอภิธรรมได้

เพราะทฤษฎีแบบเทวนิยมปิดกั้นไว้ ปิดกั้นที่จะรู้ อาการ ลิงค นิมิต ของจิตตน แล้วเราก็สามารถควบคุมได้ หรือจัดสรรได้ เราอาจไม่สามารถสั่งได้ บังคับไม่ได้ แต่มันเป็นจิตที่ว่าง่าย มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุพลังงานจิตว่าง่ายสำหรับเราแล้ว เราจะให้เป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่สั่ง แต่เราทำให้จิตเราหัวอ่อน ว่าง่ายสอนง่าย เป็นไปตามที่เราต้องการให้เป็นได้ เรียกว่ามุทุภูตธาตุ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสอนให้เรียนรู้พลังงานจิตนิยาม เรียนรู้พฤติกรรมของจิต เกิดการเคลื่อนไหว ถ้าเคลื่อนไหวอย่างอัตโนมัติก็มีอวิชชา หรือเคลื่อนไหวอย่างดีเที่ยงแท้ถาวรเป็นอัตโนมัติด้วยวิชชาก็คือจบ สำหรับความรู้บทเรียนของศาสนาพุทธ สามารถทำจิตของเราให้เป็นจิตอัตโนมัติที่เรียกว่าตถตา เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ต้องไปควบคุมมันเกินกว่าสัญชาตญาณ มันรู้ว่าความชั่วไม่ทำ จะทำแต่กรรมดีเป็นต้น มันเป็นตัวบอกอย่างอัตโนมัติ เป็นตัวตรวจสอบตัวเองและตัดสินตัวเอง อันนี้ดีหรือไม่ดี จะทำหรือไม่ทำ อัตโนมัติไม่ต้องควบคุมเลย เป็นความจริง

ตถะเลย เป็นได้ถาวรไม่ต้องไปทำอะไรมันอีกจบ ของพระพุทธเจ้า

 

SMS 180359

0893867xxx ขอเพลงเก็บดอกหญ้ามาฝาก,ฟากฟ้าฝั่งฝัน,ผู้แพ้ได้ไหม?แฟนเพลงสัจจะชีวิตฯเพลงพ่อท่านฯ

 

0891657xxx ชอบบุญนิยมทีวีค่ะ

 

0893867xxx ศิลปินญ.ม่อฮ่อมวงฆราวาสทุกคนร้องเพลงเวทีกู้ชาติมาหลายเวทีร้องที่ไหนคลายเครียดบรรยากาศสนามรบข้างถนนเย็นลงทุกที่ กราบขอบคุณพ่อครูฯกับเพลงโลกุตระและศิลปะโลกุตระคืองานที่มีอิทธิพลถึงขั้นทำให้คนผู้เสพกิเลสลดลงได้

0893867xxx ฟังเพลงฟากฟ้าฝั่งฝันทีไรรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณสงบนิ่งไปอยู่สุดขอบจักรวาลจริงๆนะพ่อครูฯขอบคุณศิลปินฆราวาส!

 

จากเฟสบุ๊ค 20 มี.ค. 59

คุณเพชรดินฟ้า ดิศโยธิน ฝากคำถามพ่อครูครับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะโลกุตระต้องมีสัปปุริสธรรม 7

1. บังเอิญธรรมชาติได้ก่อความพอเหมาะพอดีจนสัมผัสเห็นงานศิลปะ คือ สุริยุปราคา ที่จันทราดวงเล็กๆ บังอาจบดบังแสงของสุริยา แต่บดบังเพียงช่วงเวลาจำกัด นับกันเป็นวินาที ที่เคลื่อนผ่านไป ย้ำว่า"วินาทีแห่งบุญ" และ "เล็กก็คือใหญ่" แบบนี้พอจะเรียกว่าศิลปะบนท้องฟ้าได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ขอนิยามคำว่าศิลปะก่อน ศิลปะเกิดจากสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณไปร่วมนั้นไม่มี ศิลปะต้องมีศาสตร์คือความรู้ด้วย ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ไม่มีธาตุรู้ไม่เรียกว่าเป็นศิลปะ มันเป็นธรรมชาติของมัน แม้ธาตุรู้ระดับสัตว์มันก็ไม่มีศิลปะ แม้แต่ไปเป็นคนแล้วก็ใช่ว่าจะทำศิลปะเป็น เพราะไม่มีความรู้ศิลปะคืออะไร มันเป็นแต่เพียงบังเอิญคนไปเห็นก็รู้ว่าเป็นศิลปะ

ศิลปะนั้นจะต้องสร้างอย่างมีเจตนา ไม่ใช่การบังเอิญ ศิลปะนั้นจะต้องมีธาตุรู้โดยเฉพาะความรู้ของดินน้ำไฟลมของอากาศธาตุและวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้นเวลาจะประกอบภาพ ก็เอาดินน้ำไฟลมต่างๆมาประกอบเป็นองค์รวม เป็นภาพสีสันเส้นแสงแบนๆราบๆ หรือจะประกอบด้วยที่มีมิติ มีความนูนมีความเว้า มีมิติขึ้นตั้งแต่bas relief ภาพนูนต่ำจนถึงลอยตัวออกมา round อะไรก็แล้วแต่ เป็นแท่งเป็นก้อน sculpture เป็นประติมากรรม จนกระทั่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ขึ้น แต่คนสร้างทุกวันนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือศิลปะ เป็นแต่งานช่าง ไปหลงกับเทคนิคที่สร้างเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม แม้แต่จะเป็นวรรณกรรม นัจจะ คีตะ วาทิตะ คีตกรรม นาฏกรรม

จะประกอบเป็นองค์ประกอบศิลปะขึ้นมา จะต้องรู้ว่าจะประกอบอย่างไร ต้องมีความรู้จะทำภาพนูนสูงต่ำอย่างไรสีสันอย่างไร ก็ต้องมีความรู้ ทำแล้วจะให้คุณสัมผัสแล้วเขาเกิดความรู้สึกอย่างไร เช่น ออกเสียงพูดออกไปอย่างนี้ เขาได้ฟังแล้วภาษาพูดสำเนียงเสียงประกอบ เขาฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร มันจะไปกระตุกความรู้สึกคนที่ได้รับสัมผัสอย่างไร ก็ต้องมีความรู้

ไม่มีความรู้เราก็ประมาณไม่ถูก จัดองค์ประกอบให้เบาให้แรง ให้สูงให้ต่ำ ให้แดงให้ขาว ให้หวานหรือให้ดุเดือดอย่างไรก็ทำไม่ถูก คุณจะทำถูกก็ต้องรู้ต้องมีศาสตร์

แต่ถ้ามีแต่ความรู้ไม่มีศิลปะ ก็คือศาสตร์ธรรมดา สารคดีธรรมดา สื่อให้เขารู้เกิดความเข้าใจอย่างไรเท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างเช่น แม่อยากให้ลูกไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ดุเอาเฉยๆ แต่ถ้าคนมีศิลปะ รู้ว่าถ้าออกเสียงอย่างนี้น้ำหนักอย่างนี้ คำพูดอย่างนี้เป็นคำที่แรงเหมือนด่าแต่ถ้าผสมสำเนียงภาษาปรุงแต่งอะไรนิดหน่อยให้เกิดศิลปะ แต่เป็นคำพูดที่ว่ากล่าวตักเตือนตำหนิติเตียนให้หยุดทำอันนี้ได้ เรียกว่ามีศิลปะ

เพราะฉะนั้นศิลปะนี้จึงเจือไปด้วยความรู้และมีการจัดประมาณสัดส่วน เป็นสัปปุริสธรรม 7 มีประมาณอย่างถูกสัดส่วน และเอาสิ่งที่จะเจือจางความแรง หรือให้เพิ่มความเบาเกินไป ขาวเกินไปแดงเกินไป เล็กเกินไปใหญ่เกินไป ให้เกิดความพอเหมาะพอดี ที่ทำให้ผู้ได้รับสัมผัสเสพสัมผัสอันนี้แล้วเกิดผลดี ลดกิเลส ประมาณกับคนกลุ่มนี้ก็จะประมาณอย่างนี้ ถ้าเป็นกลุ่มอื่นก็จะประมาณอย่างอื่นด้วยความมีสัปปุริสธรรม 7 ผู้จะมีศิลปะอย่างนี้คือศิลปะโลกุตระของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีความรู้ในสัปปุริสธรรม 7 พร้อมทั้งมหาประเทศ 4 นี่คือยอดศิลปินของโลก พระพุทธเจ้าจึงเป็นอภิมหาบรมยอดศิลปิน

รู้อัตถัญญุตา รู้เป้าหมายในงานที่ประกอบขึ้นมาเป็นงานศิลปะ ประมาณได้ว่าอันนี้จะให้ผลอย่างนี้ เป็นสาระของมัน เป็นจุดสำคัญของมัน เสร็จแล้วก็ต้องรู้ตนเอง สำคัญที่ตัวเราต้องรู้ตัวเอง ตัวเราก็เท่านี้ สมควรแสดงอย่างนี้ได้ไหมกับคนนี้กับคนกลุ่มนี้ กับกาละนี้กาลัญญุตา ต้องเข้าใจองค์ประกอบ

การจัดสรรสัดส่วนมัตตัญญุตา จึงจัดสรรสัดส่วนอย่างมีปัญญา มีความรู้ มีศิลปะ

ขออภัย ต้องยกตัวอย่างตัวเอง อาตมามั่นใจว่าตนเป็นศิลปินเพราะเป็นลูกพระพุทธเจ้า

อาตมาทำงานศิลปะ ยืนยันเพราะทำโดยประมาณ มัตตัญญุตา ใช้ดินน้ำไฟลมอากาศ ตัวตนบุคคลเราเขา แผ่นดิน แผ่นหญ้า ท้องน้ำ ดิน  ต้นไม้ มวลมนุษย์ แม้แต่สัตว์ อาตมาใช้สัตว์โดยอย่าเอาสัตว์มายุ่ง มันเป็นตัวกวน คนเราก็เกินกว่าลิงกว่าหมาแล้ว ที่จะเอามาประกอบงานศิลป์ คนทำได้มากกว่าลิง กว่าหมาแน่ แต่คนพูดรู้เรื่อง อาตมาไม่ได้ดูถูกคน ต้องเอาสิ่งที่ได้ผลมา เพราะฉะนั้นองค์ประกอบของศิลปะที่อาตมามาจัดสรรให้มาเป็น compose ขึ้นมาให้มันเกิดผลงาน แล้วก็เกิดคนรับได้

งานของอาตมาเกิดการได้ผลปฏิบัติได้ในแต่ละคนคือพวกคุณเอง เป็นตัวงานเอง ในงานศิลปะของอาตมา ก็เลยเกิดผลของแผ่นภาพสังคมมนุษย์ เฟรมงานศิลปะจิตรกรรมของอาตมาคือมวลมนุษย์ ถ้าฉายเป็นภาพเคลื่อนไหวก็คือภาพยนต์แต่แท้จริงคือตัวจริงฉายภาพออกมาอยู่ในโลก อาตมาสร้างเป็นโรงงานผลิตหนัง พยายามฉายไปทั่วโลก แต่ไม่มีคนรับเท่าไหร่ ฉายฟรีด้วย มีดูบ้าง ที่พูดไม่ได้น้อยใจเสียใจ ก็รู้ว่ามันยาก ฝืน ไม่เข้ากับกิเลส แต่ขัดเกลากิเลส เป็นสัลเลขธรรม ปฏิโสตัง ทวนกระแสใจ ไม่เอร็ดอร่อย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ศิลปะคือ สิปปัญจะ เอตัมมังคลมุตตมัง เป็นมงคลอันอุดม มงคลแปลว่าเหตุหรือสิ่งอันพาเจริญ หรือธรรมะอันพาเจริญ อาตมาก็ทำทั้ง สิ่ง เหตุ ธรรมะ พาเจริญ

ถ้าพาเจริญแค่โลกีย์ก็ไม่เป็นอุตตมัง แต่มันเจริญนะไม่ใช่เสื่อม เป็นกัลญาณธรรม จะเรียกว่าศิลปะก็ได้ แต่ไม่ใช่ระดับของพระพุทธเจ้า พาเจริญได้แบบโลกๆสุจริต แต่ถ้าทุจริตนั้นเสื่อม ในโลกก็มีปราชญ์มีศาสดาสอนคนให้มีศิลปะในระดับมงคล อันยังไม่ถึงอุตตมะ หรืออุดร หรืออุตตระ ก็สอนได้ เกิดคุณงามความดีคือสุจริตธรรม ก็ได้

ทีนี้ประเด็นชัดเจนที่อาตมาเน้นว่าขีดไหนจะเป็นโลกุตระ เป็นการเลยความเป็นโลกีย์ มันต้องมีเกณฑ์ตัดสินชี้บ่ง

เขตของโลกุตระมันอยู่ที่จิต ถ้าคนไม่รู้จักจิต จิตของตนเอง ไม่ใช่ไปอ่านรู้จิตคนอื่น มันไม่ชัดเจนไม่จริงเท่ากับรู้จักจิตตนเอง รู้อาการลิงค นิมิต อุเทศ ตามผู้ที่สัตบุรุษมาบรรยายให้ฟัง แล้วตนเองเอาไปฝึกฝนอบรมทำให้ตนเองเกิดจิต ก็รู้จิตตนเองว่าจิตนี้เป็นอกุศลเป็นสิ่งที่ทุจริต ไม่ดีไม่งาม ประเด็นที่ตัดสินว่าเป็นโลกุตระคือการทำจิตของตนเองให้ลด แม้ไม่ถึงกับดับก็ตาม ให้เริ่มจางคลายลดดีกรีของอกุศลจิต จิตที่เป็นทุจริต จิตเสื่อมทราม ให้ลดดีกรีความแรงได้จริง

คุณสามารถทำได้ด้วยความสามารถของคุณเองจริง รู้ได้ว่าคุณทำได้ก็คือโลกุตระ งานที่เราทำขึ้นมาจะเป็นงานที่ประกอบด้วยศาสตร์และองค์ประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อคน ศิลปะนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ศิลปะนี้ไม่ใช่ประโยชน์ต่อตน เมื่อทำแล้วผู้อื่นจะได้ประโยชน์ ผู้นั้นคือศิลปินเป็นผู้สร้างประโยชน์ แล้วประโยชน์ที่เป็นโลกุตระนี้จึงเป็นศิลปะระดับโลกุตระ ยิ่งจิตลดกิเลสดับกิเลสได้หมดเลย ไม่ทำกรรมกิริยาที่เป็นทุจริตอกุศลอีกเลยในเรื่องใดๆก็ตามก็แล้วแต่ คุณก็จบดับอกุศลจิตตัวนั้นไปเรื่อยๆ จนนิโรธ วิมุติ นี่คือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า แล้วจะมีศิลปะในตัว คือผู้นั้นจะมีสัปปุริสธรรม 7 ประการ เป็นสัตบุรุษ

จะไม่ทำกรรมที่ตนเองได้ดับกิเลสหมดเหตุที่เป็นอกุศลนั้นตลอดไป แม้บางกิริยาจะดูน่าตำหนิในสายตาคนอื่นๆทั่วไป แต่ท่านผู้นี้ได้ประมาณแล้วว่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ท่านก็จะทำ เพราะยุคกาลนี้ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า การพูดจาท่าทีลีลาทุกวันนี้ออกไปทางทิศทางเครื่องมือเทคโนโลยีไปใหญ่เลย เราจะไปบอกว่าการนั่งดูคนนี้สอนอย่างนี้มันสูงไปหรือต่ำไป เราไม่รู้ว่าคนไหนเขานั่งดูอยู่ เพราะฉะนั้นการประมาณอย่างนี้ คนที่ไม่เข้าใจ อาตมามีมวลที่ฟังอยู่ตรงนี้เป็นบริษัทหมู่กลุ่มก็ประมาณขนาดนี้ ก็พูดระดับนี้กับพวกคุณ แรงบ้าง บางทีถ้าเป็นเด็กก็ไม่ควรพูดอย่างนี้ แต่อาตมาว่าพวกคุณโตแล้วพูดได้ แต่คนข้างนอกบอกว่าอย่างนี้ไม่ควรพูด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรบางที แต่ก็จะไม่คิดมาก เพราะคิดมากจะทำงานไม่ได้ คนจะดูรายการของอาตมาต้องเป็นคนระดับปัญญา พวกเด็กไม่ดู คนโง่เกินไม่ดูเพราะงั้นอาตมาว่าแสดงออกไปนี่คนที่ดูก็คือคนที่ต้องมีฐานะภูมิปัญญา เป็นสิทธิของเขา คนเขาเห็นว่าไม่ชอบก็ไม่ดู แต่คนที่เห็นคุณค่าประโยชน์ก็ดู ก็เลือกคัดสรรในตัวของมันเอง บางคนจะไปดูหนังโป๊ดีกว่า ก็ไม่ดูอาตมา จะไปดูละครไปดูร้องเพลงสนุกสนานดีกว่า จะมาดูอาตมามาพูดอะไรก็ไม่รู้ ดีไม่ดีถูกด่าด้วย เขาจะไปดูทำไม คนที่บอกว่าที่พูดออกไปนี้ เด็กก็ดูผู้ใหญ่ก็ดูคนอื่นก็ดู คนนี้ไม่รู้เรื่องเพราะคนที่จะดูนั้นจะมีเฉพาะกลุ่ม

 สรุปว่าศิลปะนั้นเป็นของมนุษย์เป็นผู้ทำ ไม่ใช่เกิดโดยบังเอิญ ต้องเกิดด้วยเจตนา และศิลปะต้องเป็นของผู้มีความรู้ที่จัดสัดส่วนได้อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 และมหาประเทศ 4 นี่คือของพระพุทธเจ้าเป็นศิลปะในระดับโลกุตระ อาตมาได้ทำศิลปะอันนี้ตามที่ได้อธิบายไป ส่วนคนที่ฟังแล้วหาว่าอาตมาพูดเอาเองก็ใช่ เพราะอาตมาไม่เชื่อว่าใครจะมาเข้าใจอย่างอาตมา และมาพูดอย่างอาตมาทำอย่างอาตมาด้วย ไม่ใช่ดูถูกนะ อยากจะให้คนมาทำอย่างอาตมา เข้าใจอย่างอาตมา มาประกอบงานอย่างนี้ เป็นศิลปินอย่างอาตมา อยากให้ทำ ยิ่งทำเก่งกว่าก็ยิ่งดี เป็นภันเต อาตมาพ้นภาวะจิตริษยาคนที่ดีกว่าอาตมา เขาพูดดีกว่าเรา เราก็รับอย่างเดียว แต่ผู้ไม่ดีกว่าเรา เราก็เข่นเท่านั้นเอง อาตมาให้เขาเจริญขึ้นนะ

ศิลปะต้องมีความรู้ และมีความรู้เกินกว่าศาสตร์ ต้องมีแก่นแท้ที่ต้องการเป็นสาระ และมีองค์ประกอบที่เป็นสุนทรีย์ สิ่งที่เป็นเครื่องชวนใจ จะชวนด้วยความสวย ด้วยความเพราะหรือความแปลก เนื้อเรื่องรสชาติก็แล้วแต่ ด้วยองค์ประกอบอื่นใด จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นส่วนกิเลสของเขาก็ได้ อนุโลมไม่แข็งเสียทีเดียว แต่เอากิเลสมาประสมส่วนนิดหน่อย ไม่ใช่เอาแต่สาระอย่างเดียว ไม่มีน้ำตาลไม่มีมะนาวไม่มีกลิ่นอะไรเลยอย่างนั้นไม่ไหว คนกินไม่ลง

แต่อย่าให้ไปติดองค์ประกอบที่เป็นสุนทรีย์ ให้เขาได้เนื้อ อย่างน้อยเป็นกระสัยที่นำพา แต่ละบุคคลเรียกปุคคลัญญุตา แต่ละกลุ่มหมู่คณะเรียกปริสัญญุตา แต่ละโอกาสเรียกกาลัญญุตา จะรู้จักจัดสัดส่วนเท่าที่มีก็เรียกมัตตัญญุตา สัปปุริสธรรม 7 ให้มีพลังโน้มนำสื่อนำไปสู่จุดที่ต้องการได้ เรียกว่ามี Convergence ไปสู่ Interest point สู่ Goal

ต้องมีเจตนา ความมุ่งหมาย มีปัญญารู้ว่าเราทำอันนี้เพื่ออะไร ผู้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นศิลปินแต่แล้วก็ทำงาน เช่น เป็นนักวาดเขียนออกมาละเลงสีถูกใจเราดีเหลือเกิน พวกนี้แค่พวกบำเรออัตตาตัวเอง ไม่รู้ว่าตนเองทำด้วยเป้าหมายอะไร ทำแล้วก็ประกอบงานเป็นเส้นแสงสีเสียง แล้วเวลาคนอื่นสัมผัสมาพบมาเห็นมาดูแล้วมันเกิดผลให้คนสัมผัสแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ต้องมีความรู้ ต้องเข้าใจ ต้องมีความรู้ว่าคนสัมผัสแล้วเขารู้สึกอย่างไร ได้ประโยชน์อะไร คุณต้องเข้าใจมีความรู้ ต้องทำงานอย่างมีเป้าหมายมีเจตนา

คนที่บอกว่าตนเองเป็นศิลปิน แต่กระทำการบำเรอตนเองให้สะใจตนเอง คือพวกบำเรออัตตา ไม่ใช่งานศิลปะ แต่เป็นงานที่บำเรออัตตาตัวเอง คนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ช่างหัวมัน นี่คือพวกหลงงานศิลปะ เขาว่ามันจะต้องมีอารมณ์จึงจะเขียนได้ จะเป็นงานปั้นงานเขียนก็เพื่อบำเรออารมณ์ตนเองทั้งนั้น ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเขาเห็นเขาจะสัมผัสจะเกิดอะไร ยิ่งเราเป็นนักแสดง สร้างผลงานให้คนดู แต่เอาสิ่งที่บำเรอตนเองไปให้คนอื่นบำเรออย่างตนเองได้บ้าง แล้วเรียกตนเองว่าศิลปินได้อย่างไร เอาสิ่งที่บำเรอตนเองที่ตนเองชอบใจว่าถึงจริงๆ นักแสดงแล้วให้คนอื่นได้รับสัมผัส ถ้าคุณแสดงคนเดียวปิดห้องคนเดียวก็บำเรอตนเองไปเถอะ แต่ถ้าทำเพื่อให้คนอื่นได้เห็นด้วย คนอื่นสัมผัสผลงานด้วย เขารับผลงานไปแล้วเอาขี้ขยะที่คุณอยากไปบำเรออารมณ์ของคุณไปให้เขา คนที่หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินเยอะมาก นั้นอย่างหนึ่ง

สอง นึกว่างานนี้เป็นงานศิลปะแต่แท้จริงเป็นงานเทคนิคเท่านั้น เป็นความสามารถเชิงช่างเท่านั้น จะปั้นจะเขียนจะกรีดกรายร่ายรำ เอาตัวหนังสือมาปั้นเป็นวรรณกรรมเรียบเรียงไพเราะ อะไรต่างๆนานาเฉยเฉยๆเป็นเชิงช่าง เรียบเรียงประดิษฐ์ประดอย ทำรูปทำร่างปั้นทำตัวหนังสือ เป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นเทคนิคในการทำ ว่าได้ไพเราะและแปลกใหม่ แต่คนได้รับสัมผัสแล้วเสพงานนี้แล้วมันจะเกิดผลสะท้อน กระทบความรู้สึกคนอื่น เขาจะเกิดอารมณ์อย่างไร ความรู้สึกอย่างไร จะได้รับอะไรจากผลงานของคุณ คุณไม่ได้คำนึงถึงเลย คุณมันส์ที่เทคนิคของคุณว่าทำได้แปลกดี ที่เทคนิคการสร้างสีสันเส้นแสงรูปปั้นอะไรก็แล้วแต่ บำเรออัตตาตัวเองเท่านั้น

อาตมาได้เปิดฉากศิลปะโลกุตระแล้วก็จะขยายความตามภูมิ

ศิลปินส่วนใหญ่ทำการบำเรออัตตาตัวเอง จะถือตัวว่าตนใหญ่ อาตมาถึงทำงานได้ช้า กว่าจะพูดถึงศิลปะได้ แต่อาตมายืนยันว่าตนเป็นศิลปินเพราะสมเด็จพ่ออาตมาเป็นศิลปินใหญ่ พวกคุณรู้ไหมว่าเป็นลูกหลานศิลปิน

งานอาตมาไม่ต้องตั้งราคา แต่มีหน้าที่ทำไป จนมีคนเข้าใจ กินก็มีคนให้กิน นอนก็มีคนบังคับให้นอน ทั้งที่ทำงานต่อเนื่องอยู่เลย ควรพักแล้วก็ควรพักก่อนนะ ไม่ได้ลำบากเลย ไม่ได้จ้างสักบาทนะ ทำฟรีอีกต่างหาก ทำด้วยใจเต็มอีกด้วย เขามาช่วยอาตมาทำไม เพราะอาตมาทำแล้วไม่ได้เอามาให้แก่ตนเอง แต่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ คนเขามีปัญญาแบบนี้มาช่วยเป็นเรี่ยวแรงเลย อาตมาไม่ได้ทำคนเดียว แต่พาพวกคุณทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติทุกคนเลย มาเป็นองค์ประกอบที่ทำเพื่อมนุษยชาติเลย

ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเราจัดงานตลาดอาริยะ พวกเราก็รวบรวมไปหาสินค้าที่สมควร ไม่เอาสินค้าที่เป็นเครื่องมอมเมาเป็นอบายมุข เอาแต่เอาสินค้าที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ควรเป็นประโยชน์ ก็หามา คนไม่ต้องเดินทางมาเราหามาให้ เป็นของดีราคาถูกและต่ำกว่าทุน ทำตลาดอาริยะมี 4 ระดับ

ขายต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุน และแจกฟรี

คนก็มารับบริการ แล้วเราก็ทำอย่างจริงใจ ไม่ได้จะเอาคืนให้ได้มากขึ้น หรือไปคิดจะได้ตอบแทนในชาติอื่นๆต่อไป ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย ทำไปให้คนเขาได้ประโยชน์ หมดแล้วเราก็ทำใหม่ มีต้นทุนก็ทำอีกทำต่อไป งานที่เราทำ สร้างผลผลิตสร้างอะไรอะไรอาศัยกินอาศัยใช้ เสร็จแล้วมีส่วนเหลือส่วนเกินเอามาให้คนอื่นต่อไป หนึ่ง เราพึ่งตนเองรอด ทำงานเหลือกินเหลือใช้ เราพอกินพอใช้แล้ว เฉลี่ยในสาธารณโภคีให้พวกเราพออยู่พอกิน สุดเขตเหนือก็ส่งไปสุดเขตใต้กินได้เลย สุดตะวันออกก็ส่งไปสุดตะวันตกได้ ส่วนภาคกลางก็รับเละอยู่แล้ว ไม่ได้คิดค่าส่ง ไม่ได้คิดค่าเหนื่อยเลย ส่งให้แบ่งกันกิน นี่คืองานของเรา

ทีนี้เราจัดงานศิลปะโลกุตระขึ้นมา คนที่มาร่วมงานก็เรียกว่าพวกศิลปินมาช่วยงานเราก็มีของแจกให้เขา เราไม่มีเงินจะให้ เรามีแต่ของแจก ตั้งแต่ผลผลิตแตงกวาลูกขนาดนั้น ข้าวโพดฝักขนาดนั้น มะเขือเทศก็แดงใสเต่ง มีอะไรต่างๆมีพืชผักผลไม้อะไรก็ใส่ถุงใส่อะไร แม้กระทั่งข้าวสารก็ใส่ถุงให้เขาไป เขาก็ต้องหิ้วไปก็หนักนะ แต่ของเรานี้ไร้สารพิษ เป็นของดีจริงๆ มีสารอาหารที่มีคุณค่าประโยชน์ดีๆด้วย ก็อยากให้คุณได้กินพวกนี้แหละ คงไม่ว่านะ ทั้งๆที่เป็นความอยาก เป็นตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ ก็แบ่งแจกกันไป

เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่สอนให้พวกเราทำได้ เป็นพฤติกรรมสังคม เป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมหมายความว่าสิ่งที่ทรงอยู่อย่างเจริญ ธรรมะทรงอยู่ วัฒน แปลว่าอย่างเจริญ ทรงอยู่อย่างประจำเลย วัฒนธรรม พฤติกรรมคือกิริยาในแต่ละคราว วัฒนธรรมทรงอยู่เป็นหลักแกน พฤติกรรมก็เป็นปัจจุบัน ทุกพฤติกรรม

ทำให้คนมามีพฤติกรรมแบบนี้ วัฒนธรรมแบบนี้ มีวิธีการดำเนินชีวิตแบบนี้ รวมลงไปเป็นสาธารณโภคี เป็นบุญนิยม สาธารณโภคีคือเป็นส่วนกลางที่มารวบรวมกันจริงๆ จากเหนือมาให้ใต้ จากใต้ไปให้เหนือ จากตะวันตกมาให้ตะวันออก จากตะวันออกมาให้ตะวันตก ภาคกลางก็รับเละเป็นทางผ่าน แจกแบ่งกันไปเป็นของส่วนกลาง และอีกนัยหนึ่งคือแบบคนจน

เราไม่ได้สะสมไว้มาก จนเงินจนทองเพราะไม่ได้สะสมเงินสะสมทอง ดีไม่ดีก็แค่ผ่านมือไป มันก็เหมือนข้าวของที่เป็นส่วนกลาง

คำว่า ส่วนกลาง กับคำว่า จน สองคำนี้สุดลึกซึ้งในหลักเศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์การเมือง ส่วนกลางคือไม่ยึดเป็นตัวกูของกู อะไรควรใช้ก็แจกจ่ายเจือจานกันไป

คำว่าจนคือไม่ต้องสะสมไว้ เหมือนพวกนายทุนที่เขาบอกว่าจะต้องเอามาเป็นของกูมากๆ มันตรงกันข้ามคนละฟากฝั่ง จนกับรวย มีกับไม่มี ไม่ต้องมีอะไรมากมายเลย อัปปิจฉะ

เราจึงเป็นสังคมแบบคนจน ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีพระปรีชาญาณ เป็นผู้มีความรู้โลกุตรธรรม ท่านตรัสออกมาคือโลกุตรธรรม ต้องเอาแบบคนจน พวกเราไม่รวยแต่ก็พอมี ไม่เอาอย่างรวย ไม่เอาอย่างก้าวหน้าแบบโลกเพราะแบบนั้นมันคือการถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นคำพูดของอาริยชนชั้นสูง แล้วท่านเป็นใคร ท่านเป็นในหลวง ท่านตรัสออกมาสู่สาธารณชน

การบริหารปกครองแบบคนจนเป็นรัฐศาสตร์ชั้นสูง เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง

เราจนเพราะว่าเราไม่ได้ยึดมาเป็นตัวกูของกู มีมาก็ใช้สอย นอกนั้นมีส่วนเกินก็สะพัด ไม่กักตุน ไม่ได้ประมาท ไม่ได้เห็นแก่มาก แต่เห็นแก่น้อย ยืนยันในอัปปิจฉะ ไม่ยืนยันมหัปปิจฉะ การที่เอาไว้แต่น้อย แต่ขยันสร้างสรรสะพัดแก่สังคมได้มาก สังคมก็ดีขึ้น เผื่อแผ่ให้แก่เด็กที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ทำให้แก่คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ให้แก่คนพิการ นี่คือคนที่ต้องช่วยเขา มีเด็ก มีคนป่วย คนแก่ คนพิการ คนวิกลจริต ห้าอย่างนี้คนเขาจำนนให้ มีใครอยากจะเป็น มันต้องช่วยเขาเพราะเขาเป็นฐานะเช่นนี้ ส่วนอีกสองคนคือคนขี้เกียจกับคนขี้โกง อยู่ในโลกนี้ต้องเข่นมันเข้าไป เป็นคนบรรลัยจักร ต้องสอนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

ให้พากันมากล้าจน ไม่ต้องไปกล้ารวยหรอก แล้วจนอย่างเป็นสุขด้วย มั่นใจทฤษฎีปฏิบัติ กิเลสเราถูกขัดเกลาแล้วบรรลุได้ เราเชื่อในทฤษฎีแล้วทำจนเกิดผล เกิดพฤติกรรมสังคมวัฒนธรรมขึ้นมา

แล้วศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นคนของสังคม ไม่ใช่คนออกป่าเขาถ้ำ เป็นกลุ่มเล็กๆไม่ใช่ เราพยายามทำกับสังคมรอบกว้างกระจายมากขึ้นแต่เขาไม่รับเอง ดีไม่ดีเขาชังด้วย เขาไม่รู้ว่าของดี ดีอะไรพาคนมาจน ไม่พาไปสวย ใครจะเอา ไม่พาไปอร่อยไม่พาไปเต้นไปดีดสนุกสนาน เขาไม่เอา แต่คนมีภูมิปัญญาจะรู้ว่าไอ้พวกนั้นเต้นมาไม่รู้กี่ชาติ อร่อยมาไม่รู้กี่ชาติ บ้าๆบอๆมาไม่รู้กี่ชาติ

คนมีปัญญาแล้วจะหยุดพวกนั้น แล้วมาทำเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปันให้แก่กันและกัน เราจึงอยู่แบบคนจน จนเพราะเราไม่สะสม เรามีสมรรถนะมีความสร้างสรร มีความขยัน ไม่ได้งอมืองอเท้า มีความอุตสาหะพากเพียร แล้วเลือกสิ่งที่ควรทำให้ดี ประชุมกัน เช่นว่า อะไรควรทำก็ทำ อะไรไม่ควรทำก็เลิก สร้างสรรอยู่ตลอดเวลาทำแล้วมีผลผลิตเหลือ เกินกินเกินใช้

หนึ่ง ไม่เป็นหนี้ สอง พึ่งตนเองรอด สาม ทำแล้วเกินกินเกินใช้ สี่ มีเหลือเอาไปแจกจ่ายผู้อื่น ไม่สะสมไว้ เพราะเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราไม่ใช่คนขี้เกียจ เราไม่ใช่คนงอมืองอเท้า เรามีความขยันในตัวมีความพากเพียร และควรพักก็พัก แม้เราพักเราก็อยู่ในหมู่กลุ่มสาธารณโภคี พึ่งพากันได้ คนร้อยคนไม่ป่วยพร้อมกันหมดหรอก พวกเราฉลาดไม่ไปหาความเจ็บป่วยมากมาย แต่รู้สึกจะไปหาคนรักษามากไปหน่อยอันนี้ก็ขอโขกหน่อย จนกลายเป็นกวนเขา ห่วงตัวเองมากไปก็ไม่ได้ห้ามกันหรอกแต่ให้พอเหมาะ

คำว่า จน กับคำว่า สาธารณะ นั้นยิ่งใหญ่ เราทำได้เป็นหมู่กลุ่ม เราไม่คิดว่าจะต้องมารวมกันที่เดียวแต่ต้องกระจายไป ชุมชนเรามีทุกภาคในประเทศไทย มีหมด ต่างประเทศมีบ้างแต่ยังไม่กว้างไปถึงอย่างนั้น เราทำในประเทศก่อน แต่ต่อไปจะมีเครือแหเชื่อมโยงไปได้

สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ก็มีพระเจ้าแผ่นดินที่ก็มีท่านที่มีอาริยธรรม แบ่งแจกกันทั่วถึง แต่ก็มีวิธีปกครองบริหารคนให้เขาได้ถูกขัดเกลาได้เจริญขึ้น

ประชาธิปไตยแปลว่าไม่มีอคติ ไม่เห็นแก่ตัว บริหารปกครองอย่างมีสัปปุริส ธรรม 7 มหาประเทศ 4 ประชาธิปไตยไม่ใช่แคบๆว่าทำเพื่อประชาชนคือการเลือกตั้ง อันนี้ผิวเผินที่สุด สอง คือเอาพลังแบบมวลใหญ่มาเป็นอำนาจแล้วมาสร้างอำนาจต่อรองเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น ที่พระออกมาบอกว่าเขาหมู่ใหญ่มาข่มขู่คสช. อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นแค่อำนาจหมู่ เบ่งข่มสร้างอำนาจเพื่อตนจะชนะตามที่กูต้องการ

ประชาธิปไตยจึงอยู่ในประชาธิปไตย อยู่ในคอมมิวนิสต์ อยู่ในสังคมนิยม อยู่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าเข้าใจ อย่างอาตมาไม่มีที่ดินเลย แต่คนก็อยากให้อาตมาไปเหยียบให้เป็นสิริมงคล ว่าไป สิริมงคลคือปฏิบัติธรรมให้ได้ดี

ในศิลปะเหนือสามัญคือโลกุตระ เหนือสามัญปุถุชนคนโลกีย์ ไม่เห็นแก่ตัวแต่เห็นเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างได้สัดส่วน เป็นผู้ที่มีศิลปะมีศาสตร์อย่างแท้จริงที่จะจัดองค์ประกอบขององค์รวมกรรมกิริยาวัตถุ แล้วสร้างสรร

ธรรมชาติไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะอยู่ที่จิตวิญญาณมนุษย์ที่มีความรู้ที่มีการจัด สัดส่วนอย่างพอเหมาะ มีความรู้ใน

ธัมมัญญุตา(รู้ธรรม)  สิ่งทั้งหมด

อัตถัญญุตา(รู้สาระประโยชน์)

อัตตัญญุตา(รู้ตน) ตัวเราเอง ที่สุดแม้ตัวเราก็เท่านี้ ต้องรู้ตนประมาณตน

จะทำอะไรกับเขาได้แค่ไหน จะยอมรับเราแค่ไหน เขาจะพอทำร่วมได้ 

เท่าไหร่  อันนี้ยังทำร่วมไม่ได้เลย หรืออันนี้ยังไม่ควรไปร่วมทำด้วย ปล่อยให้คนอื่นทำไปเถอะ เราจะกลายเป็นคนที่ยังไม่สมควรไปร่วมทำ อะไรอย่างนี้  ก็ต้องประมาณตน

มัตตัญญุตา(รู้ประมาณ) เป้าหมายที่ต้องการให้เกิดอะไร แค่ไหน อย่างใด

กาลัญญุตา(รู้เวลาอันควร) กาละโอกาส

ปริสัญญุตา(รู้หมู่คน) กลุ่มหมู่

ปุคคลปโรปรัญญุตา(รู้บุคคล)

การประมาณในสัปปุริสธรรม 7

ซึ่งในปุริสธรรม 7 นี้พระพุทธเจ้าท่านตั้งสูตรเอาไว้ครบสมบูรณ์ ในการเป็นคนที่ฉลากเฉลียวในการจัดสัดส่วน มัตตัญญุตา ให้ได้พอเหมาะสม

การจัดสัดส่วนอย่างพอเหมาะคือฝีมือศิลปิน composition ที่จะ compose ให้พอเหมาะพอดี แล้วก็สะพัดออกไปให้คนได้เสพได้สัมผัส แล้วเกิดการพัฒนาการขึ้นมา มนุษย์ก็ได้เกิดการพัฒนาได้ประโยชน์คุณค่าตามลำดับตามนั้น นี่คือศาสตร์และศิลป์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วก็นำเอาสอนไว้ แล้วอาตมาเป็น Deoxy-Ribo Nucleic Acid คือ DNA คือผู้มีเชื้อของพระพุทธเจ้าทางจิตวิญญาณ ถ่ายทอดมาหลายชาติแล้ว

 

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน รู้และจัดสรรอุปาทยรูป 24

คนบางคนอาจหาว่าอาตมาอวดตัว แต่อาตมาบอกความจริง อาการอยากอวดอาตมาไม่มีอาการอยากอวดนั้น แม้เป็นรูป อรูปก็ไม่มีแล้ว ต้องรู้อาการนั้น ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด แล้วจะต่อหรือไม่ต่อ

อรหันต์ต้องรู้ วิการรูป 5 ลักขณรูป 4 ​เป็นตัวจบของอรหันต์ เป็นตัวลึกที่สุดคงที่แล้ว ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนคือวิการรูป จะรู้ความเบา ทำความเบาได้เป็นกายลหุตา เป็นกายที่เบาที่สุดได้ คุณทำเบาที่สุดนี้ยาก คุณทำให้แรงนี้ไม่ยาก ทุกวันนี้เขาพยายามสร้างความแรงให้ถึงที่สุดกันแล้ว ความบ้าไม่สิ้นสุด จะทำระเบิดนิวเคลียร์ให้แรงที่สุด เต้นฮาร์ดร็อคแรงที่สุดทำจัดจ้านไม่หยุดหรอก พวกบ้า นี่ไม่ได้ด่าแต่พูดความจริง

พลังงานจิตมีสามเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร คุณทำสามอย่างนี้ให้คล่องที่สุด กายลหุตา กายมุทุตา กายกัมมัญญตา สร้างกัมมัญญะ เป็นการงานการกระทำที่ได้เหมาะสมที่สุด เหมาะดีเหมาะควรที่สุดด้วยภูมิปัญญาแต่ละคนตามบารมี

คุณจะจัดสัดส่วนให้เหมาะ แรงนั้นไม่ยาก เบายาก ให้เร็ว คล่อง ในเวทนาสัญญา สังขาร กายปาคุญญตาคือความคล่องแคล่วของเวทนา สัญญา สังขาร คุณจัดการกับสามอาการจิตนี้ได้ คุณก็จัดการเอามาใช้งานได้ ควบคุมแรง เบา เร็ว ช้า แล้วเอามาทำงาน กัมมัญญตา เมื่อทำแล้วจัดสัดส่วนเป็นสังขาร เป็นวิญญัติออกไปนี่คือวิการรูป 5

นี่คือกาย ท่าทางลีลา นัจจะ นี่คือเสียง คีตะวาทิตะ คือประกอบนัจจะคีตะวาทิตะคือกายวิญญัติ ถ้าไม่ออกท่าทางไม่กระดิกเลย ก็มีแต่วจีวิญญัติ

อุปาทยรูป 24 ต้องรู้ก่อน เพราะเป็นสิ่งที่คุณจะจัดสรร เป็นรูปที่ถูกรู้ แล้วค่อยไปรู้เจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 ในอภิธรรมว่าไว้ แต่เอาไว้ก่อน พูดแค่รูป 24 นี้แล้วเอาไปทำให้ดี

รูป 28 อธิบายวิการรูปและลักขณรูป  ปริเฉทรูปคือจัดสัดส่วนในปริเฉทหนึ่ง บริบทหนึ่ง chapter หนึ่งก็ได้ paragraph หนึ่งก็ได้ ในปริเฉทนี้มีองค์ประกอบเท่านี้คุณก็จัดสรรเท่านี้ ก็ต้องรู้สิ่งที่ถูกรู้ในปริเฉทนี้ มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีขวด ก็จัดสรร นี่คือปริเฉทหนึ่งของโต๊ะ หากเป็นตัวอักษรก็เอาย่อหน้าหนึ่ง หน้าหนึ่ง ก็ตาม จะขยายเป็นสามปริเฉทแล้วจะเรียกว่าบริบทหนึ่งก็ได้ หรือหลายๆบทรวมกันเลย ก็เรียกว่า chapter ก็ได้อีก มีเครื่องหมายให้รู้ว่าเท่าไหร่

จากนั้นก็เป็นอาหารรูป มีผัสสะ ในผัสสะต้องมีเจตนา ต้องรู้รูปนาม ต้องรู้ธรรมะสองคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ

ถ้าคุณเองคุณจัดสรรได้ว่าอิตถีภาวะคือสิ่งที่ปรุงแต่งคุณคุมได้ในสัดส่วนพอดี ก็เท่ากับคุมสภาวะพลังงานบวกและลบ หรือคุณคุมพลังงานผู้หญิงผู้ชาย หยินหยาง หรือคุมได้ทั้งนิวเคลียร์ฟิชชั่นและฟิวชั่น คุมได้ นั่นละคือคุณสามารถจัดสรรภาวะสอง ถือว่าคุมเสร็จถือว่าเป็นปุริสภาวะ ถ้ายังทะเลาะกันคืออิตถีภาวะ แม้คนละขั้วแต่จัดสรรสัดส่วนได้ดีมี harmony คุมได้หลายหลาย ต้องการเท่าไหร่ ให้แรงมากร้อนมากเย็นมาก เขียวหรือแดงมาก็คุม tonality ได้ คุณเป็นผู้ปรุงแต่ง composer ได้

โดยคุณมีเจตนากับรูปนามเป็นธรรมะสองแจกไปเป็นบวกกับลบคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ถ้าได้สมดุลก็พอดีเป็นปุงลิงค์ คนที่เก่งกว่านั้น อาศัยปุงลิงค์ก็ดีแล้วเป็นคนมีประโยชน์ แล้วคุณสามารถหยุดจบเป็น นปุงสกลิงค์เป็น 0 ก็มีตัวพัก จัดสัดส่วนได้ดีที่สุดได้ นี่คืองานศิลปะโลกุตระ

ชีวิตรูปคือยังไม่ดับการเคลื่อนไหว มีพลังงานชีวิตอยู่ จะให้มันหยุดพลังงานเลยเป็นนปุงสกลิงค์ก็ทำได้ คือหมดชีวิต ทำชั่วคราวก็ดับชั่วคราว ทำได้ถาวรไม่เกิดอีกเลย คุณทำได้ จะทำอะไรล่ะ? อัตภาพของคุณเลย หรือจะอยู่ก็อยู่อย่างอุเบกขากับเมตตา

อุเบกขาคือฐานพัก ขยายจากนปุงสกลิงค์ กับปุงลิงค์ เป็นเมตตากับอุเบกขา

หทยรูปคือ อาการธาตุรู้มันเกิดในตัวคุณ คุณกำหนดที่มันไม่ได้หรอก อ่านมันเคลื่อนไหวอยู่ที่ใดในร่างกายเรา มันไม่อยู่นอกอาการ 32 นี้หรอก คุณจับได้ตรงไหนก็คือหทยรูป เป็นของแท้จริงเกิดอยู่ในปัจจุบัน คือหทยัง เป็นนามธรรมอย่างยิ่ง ต้องจับอ่านอาการได้ แล้วถึงรู้ว่ามีชีวิตหรือไม่? อยากให้ดับชีวิตดับชั่วคราวหรือดับถาวรเลยได้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์แยกธาตุ h กับ o ออกจากกันได้ แยกธาตุน้ำนี้ออก เหลือ h กับ o เหมือนพวงมะม่วงที่หลุดจากขั้วแล้ว ในพรหมชาลสูตรข้อสุดท้ายเลย เมื่อพวงมะม่วงนั้นถูกตัดขาดตกแตกกระจาย พวงมะม่วงนั้นก็หายไป ไม่รวมเป็นพวงมะม่วงอีก

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:07:33 )

590323

รายละเอียด

590323_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โสณทัณฑสูตร 1

พ่อครูว่า… วันนี้วันวันพุธที่ 23 มีนาคม 2559 จะปีมะแมหรือปีวอกก็แล้วแต่ยึดถือ อาจารย์สุลักษณ์ศิวรักษ์บอกว่าจะถือตามจันทรคติเพราะเรามานับอย่างไรท่านก็ไม่ยอมจะเอาอย่างนี้ ก็แล้วแต่ใครจะยึดถือกันไป ก่อนจะได้เริ่มต้นเรื่องราวก็ขออ่านบทกวีของอาจารย์เป็นต้น นาประโคนเป็นคนเขียนถึงอาจารย์ส. ศิวรักษ์ เรื่องมนุษย์กล้า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ยุคนี้ต้องการผู้กล้าทางจริยธรรม

ยิ่งยุคนี้ต้องการคนกล้ามากขึ้น ยุคนี้คนอ่อนแอทางจริยธรรมมากจริงๆ พวกเราพยายามส่งเสริมสนับสนุนคนกล้า ท่านพุทธอิสระก็ดี อ.วิชา มหาคุณ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน หรือ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา หรือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็แสดงความกล้าได้ดีทีเดียวในฐานะที่เป็นนายกอย่างนี้และเหมาะสมดี เพราะว่าเป็นนายกจะต้องดูแลตลอดครอบคลุมไปหมด การจะกล้าได้ต้องใช้อุบายโกศล ยุทธวิธีที่ซับซ้อนลึกซึ้ง มีอนุโลมปฏิโลมต่างๆ

พลเอกไพบูลย์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ท่านรับหน้าที่เฉพาะหน้าอย่างเดียวท่านก็ทำได้แรงกว่าพลเอกประยุทธ์ เพราะเป็นหน้าที่ตรงตรง ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้นจะต้องยืดหยุ่นอนุโลมปฏิโลมหลายอย่าง

เมืองไทยนี่คนชั่วกล้า คนกล้านี่เขากล้าทำชั่วๆกันมา หยาบแล้วหยาบซ้อนเชิง คือหยาบแต่เขาเสแสร้งทำสุภาพ กลบความเลว เอาความดีมาเจือผสมเพื่อให้ดูว่าไม่หยาบไม่ร้ายแรงนะ เป็นวิธีฉลาดแกมโกงที่ต้องหลอก การกระทำนี้แบบนี้เป็นความหยาบซับซ้อน เลวร้ายซับซ้อนๆๆๆ จนกระทั่งกลายเป็นตื้นมาก

อย่างธรรมกาย เอาความดีงามตื้นๆมาหลอก เช่น ไม่ตำหนิใครเลย เป็นความดีตื้นๆบทแรกเลย แต่แท้จริงคนไม่ว่าใครนี่เลวกว่าคนว่าใคร เป็นบทแรกเลย คนไม่ว่าใครนั้นดีตื้นเขินบทแรกเลย แต่แท้จริงคนที่ว่าคนนี่เป็นคนดีกว่าใคร

พระพุทธเจ้าว่า ต้องคบคนเป็นบัณฑิตที่คอยตำหนิจะดีแต่ถ่ายเดียวเลย ท่านพุทธทาสว่าข่มแล้วข่มอีก ว่าแล้วว่าอีก คบคนที่เป็นบัณฑิตที่เอาแต่ตินี่จะได้ดีแต่ถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย ถ้าสังคมไม่มีการตำหนินี่พังเลย ในสังคมประชาธิปไตยถ้ามีเผด็จการถืออำนาจได้แล้วไม่ให้ใครตำหนิได้นี่ แย่เลย

เราควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ  คอยกล่าวคำตำหนิ (นิคฺคัยหวาทิง  เมธาวิง) ขนาบ  อยู่เสมอไปว่า..

คนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์  ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น  เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่  ย่อมมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย (เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ โทษที่ลามกย่อมไม่มี - เสยฺโย  โหติ  น  ปาปิโย)

(พตปฎ. เล่ม 25  ข้อ 16)

 

อย่างว่าที่สมเด็จสังฆราชนี่ ดูแล้วยิ้มตลอด ไม่ตำหนิใคร ใครทำชั่วก็ไม่ตำหนิเขา เขาก็ชั่วต่อไปอีก ย่ามใจทำชั่วต่อไปก็ไม่ว่าอีก ชั่วหนักเข้าไปอีกก็ไม่ว่าอีก เพราะใจดี ไม่ว่าใคร เขาก็จะผยองขึ้น สังคมก็ได้ผลชั่วจากคนชั่วที่ทำชั่ว ทำชั่วซ้ำซากๆต่อไปอีก

ประเทศไทยยุคนี้ตอนนี้มีคนกล้าและมีคนมีปัญญาพยายามช่วยกอบกู้สิ่งที่เสื่อม มองตามประสาอาตมาว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยผ่านมา 84 ปีแล้ว

ได้รัฐบาลนี้ที่กอบกู้ประชาธิปไตยได้ดี ได้ดีกว่ารัฐบาลไหนที่ผ่านมาเลย อาตมาเกิดปี 77 ก็พอทันพอรู้ประชาธิปไตยมาตั้งแต่ยุคแรกๆเลยที่มีมา 84 ปีนี้ พอจะเห็นยุคจอมพล.ป. จากก่อนนั้นก็ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

ตามภูมิอาตมาก็เห็นว่ากำลังปรับปรุงประชาธิปไตยขึ้นอย่างน่าเห็นใจ เพราะมันเน่าเฟะเละเทะมา 84 ปี สะสมหมักหมม มีค่ายกลการเมือง อย่างทักษิณนี่ เป็นค่ายกลที่ทำฉิบหายได้เก่งมาก ในความเฉกาของเขานี่ เป็นความฉลาดที่เลวร้ายได้มาก เป็นค่ายกลทางสังคมการเมือง 80 กว่าปีผ่านมายังไม่เคยมีใครซื้อพรรคการเมืองได้ยกพรรคอย่างทักษิณทำนี้ มีวิธีการซับซ้อนใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำได้ถึงขนาดว่าข้าราชการตำรวจวิ่งไปให้นักโทษที่หนีคุกอยู่นอกประเทศไปติดยศให้ เป็นข้าราชการในระดับสูงระดับนายพลเลย เป็นฝีมือที่เลวร้ายไม่มีใครเทียบเท่า

เอาผู้หญิงที่หน่อมแน้มคนหนึ่งเข้ามาเป็นนอมินี เสร็จแล้วก็ทำได้มีฤทธิ์เดชจนคนไทยโง่ไปหลงยกย่องเนรมิตทั้งที่ในวงการการเมืองไม่รู้จัก 49 วันก็เป็นนายกได้เก่งจริงๆเลยเก่งชิบหาย

ทำได้ขนาดจะตั้งโครงการไม่รู้กี่แสนล้าน ให้หุ่นเชิดทำแทนก็ยังได้ แล้วก็มีคนหลงเชื่อ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นคราวที่นักบริหารชุดนี้ได้เข้ามาก็เขาว่าให้ทำสัก 5 ปีจะได้ไหม แต่ได้พูดไปแล้วว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งเป็นค่ายกลของทักษิณ เขาบอกเองว่าเชื่อมั่นว่าส่งเสาไฟฟ้าไปก็ยังได้รับเลือกตั้งมันก็จริงของเขาด้วย นี่คือความเก่งชิบหายของทักษิณ แต่ได้พูดไปแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งมันก็เลยคาคอ ก็ต้องค่อยๆทยอยทำ มันไม่เสร็จหรอก ถ้าคืนให้ไปเลือกตั้งภายในปี 60 ก็จะฉิบหายแน่

เขาก็พยายามจะขอโอกาสทำงานชำระสะสางที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข ก็ขอจะทำวิธีต่างๆชะลอไปสัก 5 ปี เพื่อจะให้เข้าร่องเข้ารอยได้ไหม แน่นอนฝ่ายตีก็ต้องตีแน่นอนว่าให้เลือกตั้ง การไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นความรู้แค่หางอึ่งของประชาธิปไตยก็พูดอยู่นั่นแหละ

ความเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่วิธีการเลือกตั้งที่ตื้นแค่หางอึ่ง การมาลงคะแนนเสียงของประชาชนและเลือกใครคนใดคนหนึ่งมามันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ความซับซ้อนนั้นเกิดการสร้างอำนาจปัจจัยเป็นค่ายกลซับซ้อนไว้แล้ว มันสุจริตเสียที่ไหนในการเลือกตั้ง เขาพยายามจะจัดโครงสร้างประชาธิปไตยแม้แต่การเลือกตั้งให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อน หลักการเลือกตั้งทุกวันนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปตาย ทักษิณมีค่ายกลไว้แล้ว

ให้ตั้งสติให้ดีสำหรับผู้รักประเทศไทย อย่าตื้นเขินนักให้ใช้ปัญญาให้ดีๆ อาตมาแม้ในคราบนักบวชก็เป็นประชาธิปไตย มีสิทธิ์ออกเสียง ไม่ให้ออกเสียงก็ไม่ว่า แต่ที่จริงอาตมาออกเสียงลงคะแนนเสียงได้นะ แต่ก็ไม่อยากทำเพราะโลกวัชชะ โลกตำหนิติเตียน ทั้งที่ไม่ผิดทั้งสัจจะและหลักเกณฑ์

ดูผลไม้ที่มาประดับฉากนี่เสียก่อน มีสี่แตง แตงจริง(แตงไทย) อันนี้แตงกวาหรือแตงร้าน แตงโม แตงแคนตาลูป ของเรานี่ปลูกแบบไร้สารพิษด้วย แต่ว่าของข้างนอกอย่างมากก็ทำอย่างปลอดสารพิษ คือใช้สารพิษแต่มีระยะเก็บที่ปลอดภัย อาจมีสารพิษแต่ปริมาณไม่มากที่จะทำโทษภัยได้ตอนนี้ แต่ไร้สารพิษนี่ไม่ใช้สารเคมีเลย ใช้แต่ธรรมชาติปลูกกัน ผลผลิตที่ได้ก็น่าชื่นใจ พวกเรารับประทานอาหารไร้สารพิษกันอย่างสบายอารมณ์เลย เมืองไทยทำได้ ยิ่งถ้าช่วยกันทำมากๆ เป็นธรรมชาติพวกนี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่แข็งแรง

พืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีสารพิษจะอ่อนแอ มีเพลี้ยแมลงมากวน แต่ถ้าไร้สารพิษนี่ พืชจะแข็งแรงในตัวเอง พวกแมลงศัตรูพืชจะไม่ค่อยมา ถ้าประเทศไทยร่วมมือกันทำนะ พืชพันธุ์ธัญญาหารของไทยจะเข้าสู่ยุคเดิมที่แข็งแรง แต่ทุกวันนี้คนถูกครอบงำถูกหลอกให้ใช้สารเคมีสารพิษ แม้ฉันเองก็ไม่กล้ากินสิ่งที่ตนเองปลูกแต่ปลูกให้คนอื่นได้กินสิ่งที่เป็นพิษเป็นเรื่องเลวร้ายมาก

พวกเราพากันทำถึงขนาดสร้างปุ๋ยที่ไม่มีสารพิษ เป็นปุ๋ยธรรมชาติที่ดีจริงๆ ก็พยายามทำเผยแพร่ช่วยเหลือกันไป อยากจะพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ประเทศไทยเป็นเมืองพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นประโยชน์ต่อโลก ช่วยโลกไว้ได้จริงๆ พวกอุตสาหกรรมเขาตีราคาได้แพง เพราะคนที่จะซื้อเครื่องอุตสาหกรรมต้องเป็นคนที่มีเงิน แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นขายแพงไม่ได้ คนจนติดดินขนาดไหนก็ต้องกินอาหาร แต่ไม่ต้องไปซื้อเครื่องเทคโนโลยีอะไรก็ได้ ไม่ต้องใช้เลยในชีวิตก็ได้ ไม่เป็นไรไม่ตาย และพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นคนทุกๆคนไม่ว่าคนจนคนรวยก็ต้องกินทั้งนั้น คนรวยไม่มีปัญหาเพราะมีเงินซื้อแต่คนจนก็จะตาย แล้วคนจนมีมากกว่าคนรวยด้วย จึงถูกล็อคไว้ว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารขายแพงไม่ได้ ถ้าขายแพงจะเป็นพิษภัยต่อสังคม นักบริหารต้องเข้าใจตรงนี้

การจะบริหารบอกว่าให้ขึ้นราคาข้าวจำนำข้าวในราคาที่แพง ทักษิณริแล้วให้ยิ่งลักษณ์ยำ หรือทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ อยากบอกว่าจะไปช่วยชาวไร่ชาวนา จำนำข้าวในราคาแพง

แต่ข้าวนี้ให้ราคาแพงไม่ได้ ถ้าแพงแล้วจะแย่กันไปหมด อาตมาบอกว่าข้าวไม่ใช่สินค้า แต่ข้าวเป็นอาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน

 

SMS 16 มี.ค.59

_0816800xxx ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพดีโดนตำหนิ แต่ขับรถหรูหนีภาษีหลายสิบคันมาตั้งนานเพิ่งจะรู้เพิ่งจะเห็นกัน น่าสงสารพ่อครูจังเลยค่ะ 

 

_0805925xxx เสียงพ่อเบาฟังโคตรเครียดสิไลน์จ่มสอลั่นผาเด้อ!ปฝ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน พระพุทธเจ้าเกิดที่อินเดียทุกพระองค์ไหม

_0812636xxx นมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ขอถามว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดที่ประเทศอินเดียทุกพระองค์เลยหรือครับ ก็แสดงว่าชาติสุดท้ายพ่อครูและชาวอโศกทั้งหลายก็จะไปเกิดที่อินเดียใช่มั๊ยครับ คงจะมีแต่ชาวอโศกที่จะบรรลุธรรมจริงๆกลุ่มอื่นยังมองไม่เห็น

พ่อครูว่า…ขอไขความอันนี้ มันเป็นอจินไตย เรื่องลึกไกล คิดยาก ประเทศอินเดียกว้างมาก จึงมีพระพุทธเจ้าจำนวนมากเกิดในประเทศอินเดียหลายยุคกาล ในแต่ละกัปป์

วิวัฏฏกัปป์นั้นเป็นกัปป์ที่ไม่มีศาสนาพุทธ แต่ที่จริงสองคำนี้สลับกันได้

สังวัฏฏกัปป์ เป็นยุคที่มีพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีสองนัยอีก นัยหนึ่งคือคนเกิดมาดีเกินกว่าจะมีพุทธศาสนา ไม่จำเป็นจะให้ศาสนาพุทธมาช่วย และมีอีกยุคที่แม้ให้ศาสนาพุทธมาเกิดก็ช่วยใครไม่ได้ พระพุทธศาสนาจึงเกิดไม่ได้ พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ไม่ประกาศศาสนาในยุคนั้นเป็นพุทธันดร เป็นกัปป์ ก็ได้ทั้งนั้น

กัปป์คือช่วงเวลาหนึ่ง เช่น คนเรายุคนี้ เกิดมามีกัปป์หนึ่งพอเหมาะว่า ประมาณ 100 ปีก็หายาก เฉลี่ยประมาณ 80 ปี ในยุคพระพุทธเจ้า 120 ปีเป็นกัปป์ ความหมายของกัปป์จึงละเอียดเยอะแยะ

คนที่จะต้องชั่วแล้วไปรับวิบากชั่วกัปป์หนึ่งของเฉพาะตัวเขา ก็รับเฉพาะตัวเขา เขามีกัปป์ที่ต้องไปรับวิบากพวกนี้เรียกว่าสังวัฏฏกัปป์ก็ได้ แต่ถ้าคนๆนี้เขาไม่ต้องไปใช้เวลาจมกับวิบากเขาก็ไม่ต้องมีกัปป์อย่างนี้ เป็นต้น

จึงกำหนดหมายไปเรียกเรื่องราวใด บริบทใดกาละใดได้ทั้งนั้น

หายใจสั้น กัปป์หนึ่งของหายใจสั้นก็ได้ หายใจยาวก็กัปป์หนึ่งของหายใจยาว พระพุทธเจ้าอธิบายว่า กัปป์หนึ่ง เท่ากับภูเขาเวฬุบรรพต

แต่ว่าชมพูทวีปนั้นเอาที่ สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส คนที่มีคุณสมบัติอรหันต์ก็เอาอรหันต์เป็นหลัก ประเทศใดยุคใดก็แล้วแต่

อาตมาพูดไปแล้วว่าชมพูทวีปที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาอยู่เมืองไทยแล้ว เพราะจะมีอรหันต์เกิดที่เมืองไทย เมืองอินเดียยังไม่มีเชื้อพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้หรอก DNA พระพุทธเจ้าหรืออรหันต์ไม่มีไม่เกิดชมพูทวีป เมืองไทยมีจริงอยู่ แล้วเมืองไทยนี่จะเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าต่อไปก็จะมาอุบัติในเมืองไทยนี่แหละ แต่อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ว่ากัปป์ที่จะเกิดพระพุทธเจ้าอีกเมื่อไหร่ เป็นอนิจจังทั้งนั้น

เหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าท่านทำนายว่าคนนี้จะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต นานเท่าใดก็แล้วแต่ ก็พูดถึงกัปป์อีก คนก็ยากเข้าใจอีก แต่มีเหตุปัจจัยที่ลงตัวพอดีได้ แม้แต่ที่สุดยุคนี้มีตรีมูรติ มีฉายาศิวะ ฉายาราม ฉายา พรหม เช่น ประกาศไปว่าคุณสุลักษณ์เป็นพระศิวะ ซึ่งเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่อาตมาไม่ได้เดา ก็มี character ชัดเจน เป็นผู้สร้าง ทั้งพระศิวะ พระนารายณ์ พระพหรม คือผู้สร้างสังคม เป็นพระเจ้าทั้งนั้น สร้างดินน้ำไฟลม สร้างมนุษย์นี่แหละ ทั้งสามองค์นี้อยู่คนละ character อาตมาก็บอกว่าไทยเรามีตรีมูรติครบ ทั้งรูปและนาม ลงตัว ชื่อลงตัว บุคลิกครบ ทั้งสามท่านอายุเกิน 80 แล้ว

เมืองไทยเป็นเมืองชมพูทวีป จะมีธรรมะหยั่งลงแล้วช่วยโลกได้ ไม่ได้พูดเดาพูดเล่นนะ อาตมากว่าจะพูดตรีมูรติก็รอจังหวะกว่าจะพูดได้นะ ได้ทำงานมีหลักฐานยืนยัน 46 ปีแล้วถึงพูดชัดเจนว่า เมืองไทยมีอะไรดีๆแล้วไม่เข้าใจ ให้มาร่วมมือกัน ประเทศไทยจะได้ช่วยโลก

ไม่ใช่ไปสร้างอาวุธเก่งอย่างอเมริกา รัสเซีย หรือเกาหลีหนีตอนนี้มันช่วยโลกไม่ได้ แม้เก่งทำคอมพิวเตอร์ก็ไม่ช่วยชาติไม่ได้อย่างธรรมะ มันช่วยได้แค่แนวตื้นผิวเผินวัตถุโลกีย์ แต่ช่วยนามธรรมโลกุตระไม่ได้ ยุคนี้เป็นปลายกลียุคแล้วต้องกอบกู้มนุษยชาติโดยใช้แก่นแกน

จะช่วยทั้งโลกไม่ได้หรอก เจ็ดพันล้านเราช่วยได้ไม่ถึงสองหรือสามพันล้านหรอก นอกนั้นวิบากเขาต้องรับผลวิบากไป ผลร้าย เราไม่ได้แช่งเขา แต่เป็นวิบาก ส่วนผู้จะรอดพ้นปลอดภัย ก็มีประมาณนี้ ไม่ถึงสองพันล้าน จะช่วยได้ประมาณนี้ มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ

แม้แต่ท่านที่เป็นโพธิสัตว์จะช่วย ถ้าจะว่าไปแล้ว เรียกโพธิสัตว์คุณสุลักษณ์ก็เป็นโพธิสัตว์มาสร้างแต่ในลักษณะผู้แรงต้องปราบปราม ใครจะไปรักคนที่มาทำลายมาปราบคน จึงเป็นหน้าที่ของคุณสุลักษณ์ที่คนจะไม่ชอบ อาตมาก็ต้องมาเปิดเผย ยกย่องเชิดชูชาตกาล 84 ปี ก็จริงใจตามอาตมา

อย่างในหลวงเป็นโพธิสัตว์คนก็ยากเข้าใจ เช่น มีหรือเบอร์หนึ่งของประเทศตรัสว่าต้องปกครองบริหารแบบคนจน ฟังแล้วหูหัก การให้ประชากรอยู่แบบคนจน บริหารปกครองแบบคนจน ประเทศจะอยู่เป็นสุข คนปุถุชนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่พวกเราเป็นอาริยชนฟังเข้าใจได้

เป็นเรื่องสัจจะที่ทำได้ เป็นการสาธยายความรู้อย่างไม่อยากอวดอะไร ไม่สาเฐยจิต อาตมาเอาคำตรัสของในหลวงออกอากาศช่องนี้ประจำเพื่อให้สติ ให้รู้สัจจะยิ่งใหญ่ ปางนี้ท่านไม่อยู่ในฐานะต้องสาธยายเหมือนอาตมานะ ท่านมาปางเตมีย์ใบ้ ต้องรักษาสถานะ ได้รับความเคารพนับถือตามลักษณะในหลวง ท่านทำได้อย่างสัดส่วนสมมุติสมในหลวง ท่านได้รับความยอมรับนับถือ อย่าว่าแต่ในไทยเลย ต่างประเทศด้วย จนมีผู้บอกว่า King of Kings

อาตมานี่คนเกลียดชังน้อยกว่าคุณสุลักษณ์ อาตมาทำหน้าที่อย่างอาตมา ที่พูดนี้เป็นสัจจะความจริงยืนยันในโลก เปิดเผยตามสัปปุริสธรรม 7

 

_0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านขอปรบมือให้เลยค่ะ ที่ท่านให้มส.มาหามิตรดี ลองมาสนทนากะท่าน เค้าไม่กล้าหรอกค่ะ เสียฟอร์มตายเลยและคงได้ตายกันจริงๆๆแน่งานนี้

พ่อครูว่า...หลายคนในมส.ก็ได้สำนึกว่าไม่น่าจะมาทำกับอาตมาอย่างนี้ หลายคนก็ไม่สำนึก หลายคนก็กำลังคลี่คลาย ไม่มีปัญหาอาตมาก็ทำหน้าที่ไป

 

_0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.อ.ดร.เอ๊ย!ญตธ.ปฐมฯทุกพุทธสถ.อโศกพี่น้องเอ๊ย!ช่างศิลป์โลโซเอ๊ย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เข้าใจกายให้สัมมาทิฏฐิ

_0893867xxx กายสังขารตามความรู้ทางโลกทั่วไปคือร่างกายภายนอกที่เกิดจากดินน้ำลมไฟประกอบกันรวมเป็นสรีระครบ 32 ส่วน! ส่วนกายสังขารที่ลึกเข้าไปตามความรู้ทางธรรมคือส่วน 1ในขันธ์ 5 อันมีรูปเวทนา สังขารวิญญาณ!กายสังขารภายในคือการปรุงแต่ง! หน้าที่กายสังขารภายในรองรับตัวกิเลสตัณหาอุปาทานมาคนคลุกเคล้าละเลงจึงเป็นรูปนามเกิดวิญญาณเรียกการทำงานของสังขารนี้ว่าสังขารธรรมถูกไหม?

พ่อครูว่า….เข้าใจถูกต้อง ในเรื่องกาย ซึ่งคนเข้าใจผิดไปหมดแล้วในประเทศไทย ความเป็นกายเมื่อใดคือกายเมื่อใดไม่ใช่กาย ในผมขนฟันเล็บหนังนี้ ตอนไหนที่เป็นกายหรือไม่เป็นกาย ก็ดูตรงมีประสาทรับรู้ถึงหรือไม่?

ต้องแยกให้ถูกไม่เช่นนั้นพิจารณาไม่ได้ แล้วต้องเข้าใจให้ได้ว่า กายคือจิต ไปพิจารณา กายปาคุญญตา กายปัสสัทธิ เป็นต้น จะปฏิบัติได้อย่างไร กายปัสสัทธิหากไม่เข้าใจก็ไปนั่งไม่กระดิกตัว ไม่ใช่

กาย คือจิตต้องสงบ องค์รวมทั้งหมด แต่ต้องเน้นไปหาจิต โดยไม่ทิ้งภายนอก แต่ภายนอกที่มีจิตทำงานร่วมด้วย แม้สัมผัสภายนอกแล้วแต่จิตเราสงบ คือกายปัสสัทธิสำเร็จ หากไปนั่งปิดหูปิดตา แล้วดับจิตดับความรับรู้ก็ได้นิโรธแบบดับจิตไปเสีย มันไม่ใช่เลย ดับเฉพาะกิเลส ดับอกุศลเจตสิกอย่างเดียว ยิ่งดับได้จิตยิ่งเป็นกายปาคุญญตา จิตยิ่งเป็นมุทุภูตธาตุ แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียวสดชื่น ไม่ใช่ไปดับอย่างอรหันต์เก๊ที่มีเต็มบ้านเต็มเมือง คืออรหันต์ที่เขาพูดกันว่าเป็นอรหันต์ 50 กว่ารูป อาตมาเชื่อว่าอรหันต์ 50 รูปนี้เข้าใจคำว่ากายนี้ไม่สัมมาทิฏฐิหรอก อย่าหาว่าดูถูกเลย ท่านตายไปหมดแล้วด้วย ที่พูดแล้วสงสารนะ เขาไม่ฟังอาตมาด้วย แต่เขาจะด่าด้วย เขาจะไม่ชอบอาตมา เพราะอาตมาไปตำหนิเขา เขาอัตตาสูงด้วย ใครฟังอาตมาแล้วก็เกิดจิตที่ไม่ชัง ไม่ผลัก ตั้งใจรับฟังก็เป็นกุศลของผู้นั้น

อาตมามีหน้าที่จะเอาสัจธรรมคืนมา เอาของพระพุทธเจ้าคืนมา อาตมาเป็นผู้มีหน่อเนื้อเชื้อพระพุทธเจ้า มี dna พระพุทธเจ้า ไม่ได้พูดโดยประมาทคะนองนะ แต่พูดความจริงด้วย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่นิยตะ แต่ไม่สูงสุดเท่านั้น พูดไปอย่างไม่มังกุเลย ไม่ยากเลย ไม่ลำบากไม่เก้อเขินอะไร ชัดเจนมั่นคง ต้องการพูดตรงๆ ใครฟังได้

 

_0893867xxx ฟังพ่อครูเสวนาธ.กับอ.ดร.เอ๊ย!ได้สาระปย.รูปธรรมส่วนต่างๆของกาย!นามธรร มส่วนต่างๆของจิต!ถ้าเรา เข้าถึงเข้าใจเราก็ไม่ต้องร้องเพลงว่าไปลงนรกเสียเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอใช่ไหม?โยมเอิงเอ๊ย! 

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯอ.ดร.เอ๊ย!ขออภัยอ.ติดมาจากงานศิลปะโลกุตระธ.นะอ.ดำเนินงานร่วมกับญตธ.สันติอโศกบุญนิยมได้สนุกมาก!จรธ.

พ่อครูว่า...ตอนนี้เราก็ยังแสดงภาพของคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย ทุกภาพอาตมากำกับ ให้ไอเดียไปเป็นภาพศิลปะโลกุตระทั้งสิ้น เขาประกอบภาพออกมาเป็นจิตรกรรมที่มีเป้าหมายโลกุตระทั้งสิ้น สื่อได้มากหรือน้อยก็ตามภาพนั้นจริงมั่นใจว่าเป็นการเปิดฉากโลกุตระ แสงศิลป์เรียนจิตรกรรม แต่อาตมาพาทำประติมากรรมด้วย

มีโลโก้ที่อาตมาออกแบบไว้ ในโลโก้ ว.บบบ. ก็มีแนวตั้งแนวโค้งแนวนอน ในมหาจักรวาลนี้

 

Sms 220359

_0893867xxx ที่มางานศิลปะฯสันติฯได้ต้องไม่ลืมขอบคุณปลายฝนและเพื่อนที่ดีที่โทรบอกทางตลอดขอบคุณ ผู้น้อยมาก่อนวันงานศิลปโลกุตระเลยอดได้หนังสือศิลปะพ่อครูฯกับภาพโปสเตอร์อ.แสงศิลป์อดเลย!ภาพมีจำหน่ายถึงเดือนหน้าไหม?จะลงมาซื้ออีก

_0893867xxx เคยฟังรก.ข่าวช่อง1ชาวฝรั่งเศสส่วน1ยังอยากให้ปท.เขากลับไปสู่ระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชเพราะเห็นว่าระบอบ ปชธต.ที่มาจากการเลือกตั้งไม่เคยทำให้ปชช.มีความสุขไม่ทำให้ชาติเจริญ! ชาวต่างปท.เขายกย่องพระพุทธเจ้า เป็นนักปกครองปชธต.ที่เยี่ยมยอดที่ถือว่าทุกคนมีสิทธิทำความดีในสิ่ง ที่ตนคิดว่าดี!แต่ไม่มีสิทธิที่จะบังคับความเชื่อฤาบังคับในการสร้างความดีของผู้อื่น! ปชธต.ในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีการบัง คับการฆ่ากันแต่ปชธต.ของ ระบ.ทุนกม.เผด็จก.จากเลือกตั้งมีแต่การฆ่าทำร้ายกันคุกคามละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอด!

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูและหนังสือสู่อนาคตของดร.สมชัย ฉบับ390/30/8/31จรธ.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน โสณทัณฑสูตร ตอน 1/4

พ่อครูว่า...อาตมาพยายามจะเอาพระสูตรเล่ม 1 มาอธิบาย ได้พูดถึงพรหมชาลสูตรไปแล้ว สามัญผลสูตร แล้วอัมพัฏฐสูตร วันนี้มาขึ้นสูตรที่ 4 คือ

โสณทัณฑสูตร เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยศีลกับปัญญา หรือแม่กับพ่อ ซึ่งจะไม่แยกกัน แต่มาเข้าใจศาสนาพุทธผิด ไม่ว่าอาจารย์ใหญ่ไหนก็ปฏิบัติแยกกัน ถ้าเข้าใจแยกส่วนจะไม่มีวิมุติิ วิมุติต้องประกอบด้วยศีลสมาธิปัญญา แท้จริงศีลกับปัญญาทำงานร่วมมือกันจึงเกิดจิต ไม่มีศีลไม่มีปัญญาไม่มีสมาธิเกิด แต่คนวิพากษ์ว่า สมาธิไปธรรมกาย ปัญญาไปหาสวนโมกข์ แล้วศีลมาสันติอโศก ไปลงทะเลเลย มันแยกกันไม่ได้ สันติอโศกมีทั้งศีลสมาธิปัญญา จึงมีวิมุติ

 

4. โสณทัณฑสูตร
          [178] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
         สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงนครจัมปา ได้ยินว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา
         

ว่าด้วยพุทธคุณ
          [179] สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะ ครองนครจัมปาซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหารซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปาได้สดับข่าวว่าพระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้นพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปา รวมกันเป็นหมู่ๆพากันไปยังสระโบกขรณีคัคครา

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:08:15 )

590324

รายละเอียด

590324_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมจึงอยากอยู่วัด

 สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ทำไมอยากอยู่วัด

พ่อครูว่า...วันนี้ 24 มีนาคม 2559 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีวอกหรือปีมะแมก็แล้วแต่ใครจะนับถือเอาวันไหนก็ได้ วันนี้เป็นวันพฤหัส ก็จะมีนักเรียนมานั่งฟังมารับรู้รับชมมาศึกษาเป็นกิจจะลักษณะ วันนี้เป็นวันที่รวมนักเรียนชั้นม.6 ของชาวอโศกซึ่งจะจบการเรียนแล้ว หลายคนก็แยกย้ายไป ส่วนมากก็แยกย้ายไป กลับบ้านไปก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อีก อยู่มา 6 ปี บางคนอยู่มาตั้งแต่ประถมมาเกือบ 10 ปีหรือ 12 ปี

บางคนอาจจะเรียนซ้ำเกินกว่านั้นก็ได้ จบแล้วก็แยกย้ายกันไป หาคนที่อยากจะอยู่ต่อในชุมชนนี้ไม่ค่อยได้ ยาก

ตั้งโรงเรียนมา 20 กว่าปีชุมชนนี้เป็นชุมชนภราดรภาพ เป็นชุมชนที่สร้างเครือญาติ ไม่ใช่ชุมชนที่เปิดโรงเรียนมาสอนหนังสือให้เฉยๆ แต่เป็นที่ที่สร้างลูกสร้างหลาน สร้างเครือญาติ แต่เด็กๆที่เขาจบไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจตรงนี้ ยังไม่รู้ว่าเราเจตนาอย่างที่กล่าวแล้ว อยากให้เขาอยู่ดูแลสมบัติพวกนี้เป็นของเรา บอกเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่บอก แต่มันยังไม่เคยมีมาในโลก

สาธารณโภคีคือสมบัติส่วนกลางที่เราร่วมกันเป็นเจ้าของ แต่เราไม่ได้ยึดเป็นของตัวของตน แต่เราอยู่ร่วมเป็นเจ้าของ เป็นผู้ร่วมกินร่วมใช้ร่วมอาศัยตลอดชีวิตจนถึงตายได้ ในความเป็นจริงนั้น ถ้าจะเรียกโดยภาษาโลกว่าเป็นสมบัติของเรา แต่ในภาษาธรรมเราไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา นี่คือความลึกซึ้ง

โดยสามัญเรามีสิทธิ์กินสิทธิ์ใช้ มีสิทธิ์อาศัย บริหาร อยากให้เจริญสร้างสรรต่อไป ถ้าเราไม่อยากให้เจริญก็ไม่ทำ หากพี่ๆน้องๆเห็นว่าเราไม่ค่อยเจริญก็เข่นเอา ดีไม่ดีก็ไล่ออกไปเสีย เพราะอยู่ต่อไปจะเป็นคนเลวคนไม่ดี

เด็กหลายคนได้รับความรู้ความเข้าใจก็อยู่ อยู่ในชุมชนทำการทำงานเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้แก่ชุมชน อยู่ร่วมกันไปเป็นลูกเป็นหลานในชุมชนต่อไป แต่ก็อย่างน้อย

ปีนี้มีคนจบม. 6 คนหนึ่งที่อยากจะอยู่ในชุมชน แต่พี่สาวไม่ให้อยู่ อยากให้ไปข้างนอก ไปศึกษาข้างนอก ทีนี้น้องชายก็อยากจะอยู่ น้องชายก็เลยต้องพยายามหาหลักฐานหาเหตุผลเพื่อที่จะไปยืนยันอ้างอิงกับที่บ้าน ว่าทำไมเขาถึงอยากจะอยู่ ก็ต้องหาเหตุผลหลักฐานเขียนเป็นตัวหนังสือเป็นหลักเป็นฐานอะไรยืนยันว่าน่าฟัง

น่าฟังไหม อาตมาว่าน่าฟัง

 

ทำไมจึงอยากอยู่ที่วัด

1.  เพราะอโศกเป็นสถานที่ที่ดีมาก สังคมดีกว่าโลกภายนอก การที่เราอยู่ในสังคมที่ดี เราก็จะขัดเกลาให้เป็นคนดีได้

2. เพราะสามารถพึ่งพากันได้แบบพี่แบบน้อง ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยลำบากมีเรื่องทุกข์ใจ ก็มีที่ที่ให้รักษาทั้งกายและใจ แม้จะต่างสายเลือดแต่ก็เหมือนกับญาติพี่น้องเชื้อเดียวกัน

3. เพราะสามารถปฏิบัติธรรมได้พร้อมพร้อมกับทำงานเพื่อสังคม การทำงานที่ไม่มีเงินเดือนเป็นการให้เราลดความเห็นแก่ตัว รู้จักการเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน

4. เพราะได้ทำงานกับคนทำงานฟรี การทำงานฟรีเป็นการทำงานด้วยใจ คือต้องมาทำด้วยใจ ไม่ว่าจะเพราะใจรัก หรือทำเพราะต้องการขัดใจมาทำงานที่ไม่ชอบ แม้ทำไปก็ยังไม่ชอบ จะทำให้เกิดอารมณ์ แล้วอารมณ์นั้นก็จะส่งผลต่อคนรอบข้าง เป็นผัสสะหรือสิ่งที่มากระทบทำให้เราฝึกยอมรับความจริง ว่าเขายังไม่ชอบย่อมมีอารมณ์ไม่พอใจเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วเกิดอารมณ์ไม่พอใจคนที่ไม่พอใจกับงานเราก็แย่ลง แต่ถ้ายอมรับทำใจได้ปล่อยวางได้ ก็ดีขึ้น

5. พอได้หลีกเลี่ยงอบายมุข กระแสนิยมในทางที่ไม่ดี ในอโศกไม่มีอบายมุขอย่างนั้น แม้ว่าจะทำไปเพื่อเข้าสังคม แต่มันก็ยังไม่ดี ยังไงสิ่งไม่ดีก็คือสิ่งไม่ดี แทนที่จะไปข้างนอกเพื่อทนกับสังคมรอบข้างที่ตามกระแสไป แถมยังต้องระวังไม่ให้ตัวเองตามไปด้วย สู้มาลดดีกว่า สิ่งที่เรายังติดยังอยากเสพอยู่ก็มาอยู่ในที่ที่ไม่มี พอไม่มีแต่เรายังอยากเราก็ทุกข์ เราก็มาพิจารณาต่อว่าทำยังไงจะดับทุกข์นี้ ถ้าง่ายๆก็แค่หยุดอยาก แต่ถ้าเราได้ตามอยาก ก็จะหายทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าถ้ามันไม่มีตามที่อยากอีกก็ทุกข์อีก เราก็มาทำใจไม่ไปอยากดีกว่า เพราะไม่มีก็จะได้ไม่ทุกข์ แม้ว่ามีก็จะเฉยๆ

6. เพราะได้ทำงานพัฒนาฝีมือตนเอง การทำงานฟรีนั้นมีคนน้อย เพราะมันไม่ได้เงิน พอคนน้อย คนที่ทำอยู่ก็ต้องทำแทบทุกอย่าง เป็นเกือบทุกเรื่อง ฝึกแก้ปัญหา ฝึกทำงานให้ขยันมากขึ้น ฝึกรับผิดชอบให้มากขึ้น

พ่อครูว่า...ถ้าเราทำงานเสร็จแล้วเราก็ได้เงิน แล้วเราก็หลงว่าได้กำไร เราได้เงินตอบแทนหลงว่าได้เป็นกำไร เราทำไปนี่เป็นราคาเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ใช่ไหม เสร็จแล้วเราก็รับเงินเป็นค่าตอบแทน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีคุณค่านั้นมันจะหายไปหรือมันจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง การที่เราเอาเงินทดแทนกลับมาคุณค่าประโยชน์ของเราหายไปหรือเพิ่มขึ้น ก็หายไปแล้ว เราจะได้กำไรตรงไหน คนในโลกเขาอวิชชาเขาโง่ตรงนี้ มันนึกว่าเขาได้กำไร ในหลวงก็ตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การขาดทุนของเราก็คือกำไรของเรา

แต่ระบบที่หลวงปู่พาทำนี้ให้เป็นคนฉลาดจริง ไม่ไปทำแบบเขา เราก็อยู่พัฒนาฝีมือตนเอง การทำงานที่นี่ทำงานฟรีเพราะฉะนั้นนั้นมีคนน้อย เพราะทำแล้วมันไม่ได้เงิน คนที่มีน้อยอยู่แล้วก็ต้องทำแทบทุกอย่าง เพื่อแก้ปัญหาทุกเรื่อง ขยันทุกเรื่อง รับผิดชอบมากขึ้นก็มีแต่เจริญและเจริญเท่านั้น

7. เพราะได้ตัดปัญหากังวลใจ ไม่ว่าจะเรื่องการอยู่การกิน การทำงาน การเรียน การเจ็บไข้ได้ป่วย การตาย ที่นี่มีทุกอย่างที่หาไม่ได้จากที่อื่น อยู่ฟรีกินฟรีงานก็มีให้ทำ การเรียนก็มีวิทยาลัย ป่วยก็มีโรงพยาบาล ตายก็มีที่ให้เผา สมณะเผาให้ฟรีด้วย ฟรีทุกอย่าง

8. เพราะไม่ได้สร้างห่วงเพิ่ม ในสังคมนี้ทำเพื่อส่วนรวมส่วนกลาง ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว แค่ทำงานในนี้ก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องแฟน หรืออย่าว่าแต่คิด เวลายังหาไม่มี ทำให้เราอยู่เป็นโสดไม่มีภาระเพิ่ม (แต่ก็ไม่แน่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้)

9. เพราะได้รับใช้พระโพธิสัตว์ ม่อนเชื่อว่าพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ แค่เราได้ทำงานรับใช้และบูชาด้วยการปฏิบัติตัดกิเลสตนเอง ก็ได้บุญและกุศลแล้ว

10. เพราะอยากหนุ่ม ไม่อยากเด็กและไม่อยากแก่ ถ้าคิดตามปกติข้างนอกเด็กก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ คนแก่ก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ เด็กจะเอาแต่ใจมากกว่าผู้ใหญ่ คนแก่ก็จะเอาแต่ใจมากกว่าผู้ใหญ่(ทั้งหมดหมายถึงสภาวะจิต) ดังนั้นม่อนเห็นตัวอย่างในนี้ ความเป็นผู้ใหญ่ก็คือคนที่ไม่เอาแต่ใจ รับผิดชอบมากกว่าเด็กหรือคนแก่ แม้จะอายุมากหรือร่างกายเป็นคนแก่จริงๆ แต่ใจไม่แก่

อาตมาว่าพวกเราคงเข้าใจอย่างที่ม่อนเขาหาเหตุผลมานี้

 

ถ้าโตมา แล้วจะทำอะไรเลี้ยงชีวิตอยู่ในวัด

1. โตมาจะทำงานในวัดเลี้ยงชีวิต

2. ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยวัดจะรักษาให้

พ่อครูว่า...ที่จริงของเราไม่ใช่วัดรักษา สังคมเราเป็นบ้านวัดโรงเรียน สังคมเรามีชุมชน มีโรงพยาบาลลำลอง ใหญ่ทีเดียว แล้วก็มีผู้ที่มีความรู้ทางด้านรักษา แล้วก็ทำหน้าที่นี้ช่วยเหลือกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้

3. ถ้าขาดอุปกรณ์ในการทำงานวัดก็จะเสริมให้ตามความจำเป็น

พ่อครูว่า...ที่จริงแล้วทั้งบ้านวัดโรงเรียน เป็นเงินของสังคมชุมชนทั้งหมดของเราเป็นเงินของโรงเรียนก็ใช่ด้วย เพราะเป็นสาธารณะส่วนรวมของพวกเราทั้งนั้น ส่วนหน้าที่ดูแลเรียกว่าไวยาวัจกร สังคมเรามีฆราวาสเป็นผู้ดูแลเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องทรัพย์สิน ส่วนสมณะนักบวชไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ยึดเป็นตัวเราของเรา มีหน้าที่ปฏิบัติให้จิตใจหลุดพ้น แม้แต่ฆาราวาสก็ปฏิบัติ ไม่ทำให้จิตใจยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา ให้จิตใจหลุดพ้น แต่รู้ว่าเป็นของส่วนรวม และช่วยกันดูแลรักษาบริหารจัดการ

4. ถ้าอยากได้บ้านที่พักอาศัย วัดจะจัดสรรให้

5. ถ้าอยากได้อาหารกิน วัดจะทำให้

6. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องป่วยมาอยู่กับม่อนได้ จะพาเข้าวัดปฏิบัติธรรมและรักษาให้ดูแลให้

7. ถ้าอยู่ในวัดไม่ได้อยากออกจากวัดไปอยู่ข้างนอกวัดก็จะไม่รั้งเอาไว้เพราะไม่ใช่คุก จะมาก็ได้จะไปก็ได้พร้อมจะต้อนรับและลาจาก (เว้นแต่ทำผิดกฎวัด บางกรณีอาจโดนห้ามเข้าวัด)

8. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องการความช่วยเหลือจากม่อน ม่อนก็จะทำตามกำลังที่มีได้ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้

9. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องมาปรึกษาก็จะให้คำแนะนำที่มีปัญญาหาทางได้โดยไม่สุจริต

10. ถ้าตาย วัดจะเผาให้

 

ปีนี้มีพิเศษที่เด็กของเรา 1 คนเป็นอย่างนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นถามว่าหลวงปู่อยากให้เป็นอย่างนี้ไหม ก็อยากให้ได้อย่างนี้มากๆ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับ แม้แต่จะไปอ้อนวอนร้องขอก็คงไม่ทำ แต่ก็พูดให้เห็นให้รู้ว่ามันเป็นความประสงค์ เป็นความปรารถนาดี ที่ต้องการจะให้อยู่ช่วยกันสร้างสรรสังคมเช่นนี้ดีไหม ถ้าจริงใจจะเห็นว่าไม่ดีก็ตอบได้นะ ไม่ต้องมาปะเหลาะหลวงปู่ก็ได้

สังคมแบบนี้เชื่อว่าถ้าเป็นคนมีปัญญา ไม่เป็นคนบ๊องส์หรือวิตถารก็จะเห็นว่าเป็นสังคมที่ดี ก่อนจะถึงรายการนี้ เขาเอารายการชีวิตนอกกล่องและเอาเรื่องของนักศึกษาปริญญาโทที่มาที่นี่ มาดูงานนอกสถานที่มาศึกษามาดูงาน มาสัมผัสกับชุมชนเรา อาจารย์เขาก็พามาจากกรุงเทพจากมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มีณเดชน์มาด้วย

พวกเราก็ไปสัมภาษณ์เขาว่ารู้สึกอย่างไร เขาก็อธิบายไป อาตมาว่าเขาตอบอย่างจริงใจ ไม่ได้มานั่งปะเหลาะอะไร จริงๆเขาบอกว่าสัมผัสกับคนอย่างพวกเราเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมมีนิสัยอย่างไร สัมผัสแล้วก็รู้สึกอบอุ่นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเขาจะเห็นความแตกต่างกับสังคมข้างนอกที่เขาอยู่ เปรียบเทียบให้เห็น แล้วก็เป็นคำตอบประมวลผลแล้วก็ยอมรับว่าสังคมอย่างนี้ดี

แต่บอกได้เลยว่าแม้แต่นักศึกษาปริญญาโทก็ไม่มาอยู่หรอก เขารู้ว่าดีแต่ไม่มาอยู่ แต่เขาเอาปัญญาเอาภูมิธรรมมาตอบ เขาก็ตอบความจริงว่าดีแน่ แต่เพราะเขาอ่อนแอต่อกิเลสที่มันชนะเขา ก็เลยต้องอยู่กับสังคมอย่างจำนน เพราะกิเลสมันบังคับกดหัวเขา เขาก็ต้องยอมอยู่อย่างนั้น เขาไม่มาแสวงหา เสนาสนะสัปปายะบุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ

พวกเรานี่ดูมอซอนะ แต่เขาก็รู้ว่าสะอาดนะ แม้แต่เขาเห็นว่าเราไม่ใส่รองเท้า เขาก็พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็อาจไม่เข้าใจดีนัก

ที่เอามาอ่านให้ฟังก็เพราะเป็นเหตุการณ์จริงเห็นว่าดี ให้เกิดความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น ก็มาเล่าสู่ฟังเปิดเผยกัน

สังคมเราเป็นสังคมที่หลวงปู่มั่นใจว่าคนทั้งโลกเป็นยอดของความต้องการเขาต้องการสังคมแบบนี้ เป็นสังคมของคนที่อยู่กันอย่างมี

1. อิสระเสรีภาพ Independence

2. ภราดรภาพ Fraternity คือเป็นพี่เป็นน้อง แทนที่จะเป็นคนแย่งชิงกัน เป็นญาติพี่น้องกันจริงๆ แล้วเป็นอย่างลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่แบบสมัยใหม่ที่มีเงินคนละกระเป๋า ไม่ได้เป็นเงินของส่วนกลางทุกคนก็เป็นของใครของมันมีตัวกูของกู ของเราไม่ใช่ญาติพี่น้องแบบนั้น

3. มีสันติภาพ Peace สงบเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม

4. เป็นสังคมที่มีสมรรถภาพ Efficiency มีความรู้ความสามารถ เป็นสังคมไม่งอมืองอเท้า มีฝีมือสมรรถภาพ

5. บูรณภาพ Integrity และเป็นคนไม่หยุดเจริญ มีการพัฒนาให้เจริญยิ่งอยู่ มีความซื่อสัตย์สุจริตในตัวด้วย

สังคมคนที่มีคุณภาพ 5 อย่างนี้เป็นคนที่มีคุณภาพ เราตั้งใจพากเพียรสร้างคนให้มีคุณสมบัติ 5 ประการนี้อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นปรัชญาของชาวอโศก 5 หลักนี้ อิสระเสรีภาพ_ภราดรภาพ_สันติภาพ_สมรรถภาพ_บูรณภาพ แต่ไม่มีพังพาบนะ

หลวงปู่เกิดมาเพื่อจะทำงาน จะเรียกว่ารับใช้สังคมก็ได้ ตอนแรกเป็นหมู่บ้านก็รวมผู้ใหญ่ที่เห็นว่าควรมารวมกัน มีจิตใจที่เป็นไปได้ เข้าใจจะปฏิบัติตนสู่ความเป็นห้าสภาพนี้ได้ แรกๆยังไม่มีโรงเรียน แต่ต่อมาก็มีโรงเรียน เราพึ่งตนเองได้จริงๆ ทำมาหากินสร้างสรร

แม้เราจะค้าขายต่ำกว่าราคาตลาด เราก็ได้เสียสละหรือขาดทุนแล้ว ต่ำกว่าราคาตลาดนี่แหละ แล้วเราก็พยายามทำเสียสละอีกมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เราก็กำลังสร้างตัวเองก็เลยไม่ค่อยลงตัว สังคมเรานี้อาตมามั่นใจว่าเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำ ทุกวันนี้สังคมเขาเข้าใจแล้วว่าต้องเป็นสังคมที่มีลักษณะ 5 ประการนี้แหละ อิสระเสรีภาพ_ภราดรภาพ_สันติภาพ_สมรรถภาพ_บูรณภาพ แต่เขายังไม่เชื่อถือ เขาหาว่าอาตมาไม่มีทุนทางสังคมอะไร อาตมาไม่ได้น้อยใจ แต่มั่นใจว่าเป็นความจริง

เรามีตลาดอาริยะที่ทำอยู่ทุกปีที่เสียสละครั้งใหญ่ แต่ทุกวันเราก็ทำอย่างเสียสละ เราไม่เอาเปรียบเอารัดอย่างทุนนิยม เขาเข้าใจว่า ใครเอาเปรียบสังคมได้เอาเปรียบผู้อื่นได้คือเจริญ ไม่ว่าจะค่าแรง ค่าตัวค่าผลผลิตก็ตาม ได้มากเท่าไหร่ก็พอใจเท่านั้น ไม่ได้ละอายเลยในทุนนิยมโลกีย์สามัญ

ที่สำคัญคือเราปฏิบัติให้เห็นอาการของสิ่งที่ไม่ดีนี้ มันไม่มีรูปร่างสีสัน แต่เราเห็นมันได้ มันคือตัวอกุศล ตัวเห็นแก่ตัว แล้วมีภูมิปัญญาอ่านแล้วจัดการมันได้จนไม่เกิดอีกในจิตมีเจโตวิมุติ แล้วรู้ชัดว่าไม่มีอีก แล้วรู้ว่าเป็นเรื่องประเสริฐ วิมุติญาณทัสนะ ไม่เวียนกลับ เพราะเป็นพลังงานปัญญาที่เป็นอุภโตภาควิมุติ

ทฤษฎีพระพุทธเจ้าไม่งมงาย แต่รู้อกุศลจิตที่เป็นสมุทัยอาริยสัจ ไม่ใช่พูดแต่ภาษา แต่มีจริง จับอ่านอาการหยาบ กลาง ละเอียด ที่เรียกว่าอัตตา ตั้งแต่กาม รูปราคะ อรูปราคะ ทำได้หมดแล้วก็ตรวจสอบด้วยอรูปฌานอีก ให้ชัดเจนว่ามันว่าง ว่างจากสิ่งเหลือ อากาสาฯวิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญฯ ก็ทำได้หมดรู้หมด ทำได้อย่างแข็งแรงตั้งมั่นสำเร็จเสร็จจบสุดท้าย จึงจะชื่อว่าพ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย เป็นหลักวิชาครบ ใครรู้จริงทำถึงจริงก็เป็นอรหันต์ที่แท้จริง

พระพุทธเจ้ารู้จักทฤษฎี วิธีการ แล้วปฏิบัติได้จริง ถ้ามีผู้ปฏิบัติถูก โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ทุกวันนี้โลกเลวร้าย แต่ก็ยังมีผู้แหวกโลกเลวร้ายออกมาได้ ยังมีผู้มีบารมีมาปฏิบัติล้างกิเลสได้จริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ไตรลักษณ์) ตอน เรียนรู้ไตรลักษณ์ จักสร้างสามัคคีธรรม

_คำถามว่า _อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร สัมพันธ์กับความเป็นอยู่ของคนอย่างไร คนต้องปรับตัวให้อยู่กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างไร

พ่อครูว่า...คำถามนี้เท่ากับถามศาสนาพุทธทั้งฉบับเลย ศาสนาอื่นไม่รู้อนัตตา โดยเฉพาะเขาไม่รู้ทุกข์ เพราะคนไม่อยากมีอาการทุกข์ พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ ความไม่อยากมีแบบโลกๆที่เขาเข้าใจ

แม้ที่สุด เป็นผู้หลุดพ้นจากโลกแล้ว ยังมีความไม่พอใจแบบทางธรรม คือโทมนัส หรือเนกขัมสิตโทมนัสเวทนา ยังรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งที่ไม่เป็นโทษภัยกับคนอื่นแล้ว แต่เรายังไม่สบายใจ แต่ตนเองก็ยังมีความไม่สบายใจของตน จะเพราะว่าเราต้องฝืนต้องควบคุมรักษายังไม่เก่งก็ต้องฝืนบ้าง หรือเข้าใจผิด ทั้งที่เราได้ดีแล้วเรากลับไปทุกข์กับมัน เช่น เราทำงาน แล้วทำได้ผลก็เอาไปแจกคนอื่น ก็เข้าใจว่าไปแจกคนอื่นทำไมให้เหนื่อย

เราก็ทำความเข้าใจว่าสัตว์ทุกตัวก็ทำงาน เราก็ทำไปทำให้มากแล้วมีเหลือแจกคนอื่นมันก็ดี เราก็ควรทำควรเต็มใจ ความฝืนก็จะลดลง มีแต่ความสบายใจ แม้เราหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ไปปลูกแตง มีแตงจริง แตงร้าน แตงโม มะนาว มันเหนื่อยก็เหนื่อย บางทีหนักยากด้วย แต่เรารู้ว่าทำไปเป็นประโยชน์คุณค่ากับคนอื่น ไม่เป็นโทษภัย เป็นคุณค่าประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติด้วย เราไม่ได้เป็นคนหลงผิดคนโง่เง่า

ทางโลก ขออภัยที่ต้องพูดความจริง สอนให้โง่เง่า สอนให้ไปเอาเปรียบเขา ให้ไปเรียนส่งเสริมให้มีความสามารถมากๆ แล้วออกไปตีราคาแพงแพงสูงสูง แม้แค่รู้ว่าฉันเป็นผู้รู้เป็นอาจารย์เป็นครู ก็จะคิดค่าตัวแพงแพงสูงสูง ยิ่งผลิตของดีต้องราคาแพงเพื่อจะเอาเปรียบให้ได้มากๆ

ไม่เคยสอนให้ลดความโลภ การสอนให้เก่งไม่มีปัญหา แต่สอนให้ลดความโลภนั้นไม่ได้สอนกันในมหาวิทยาลัยใดๆ เป็นสถานการศึกษาของโลกที่เสริมความเอาเปรียบ เสริมความทุกข์ร้อนในสังคมมาตลอด

ถ้าการศึกษาไม่ลดกิเลส กู้ประเทศกู้สังคมไม่ได้ ทำได้ก็ลำลองชั่วคราว จะซับซ้อนหนักหน้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีทฤษฎีปฏิบัติลดกิเลสได้อย่างพวกเรา แก้ปัญหาสังคมได้ หลวงปู่ตั้งใจจะอยู่ 151 ปี

เอาไปเปรียบเทียบเลยว่า มาเป็นคนจน แบบคนจน มาเป็นคนขาดทุน แบบในหลวงตรัส ในหลวงท่านมีภูมิปัญญาชัดเจน ถึงบอกว่ามาบริหารแบบคนจน มาขาดทุนแก่สังคม เพื่อยืนยันพิสูจน์ความจริงแก่โลก ว่าจะแก้ปัญหาสังคมแก้ปัญหาโลกได้ ยิ่งคอมมิวนิสต์แก้ไม่ได้ แต่ก่อนตีทิ้งธรรมะ หาว่าศาสนาคือยาเสพติด คุณธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้นตระกูลคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นต้นทางของสาธารณโภคี ส่วนกลางที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

คอมมิวนิสต์นี่ถ้าจะว่าไปแล้วกดขี่บังคับยิ่งกว่าประชาธิปไตย เขาว่าบีบบังคับเสียภาษีโดยอำนาจบาตรใหญ่ เป็นวิธีการ แต่แท้จริงแล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนรวม จิตใจเสียสละไม่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อมวลมนุษยชาติด้วย เราก็อาศัยกินใช้อย่างใจพอ สันโดษมักน้อย แต่ขยันสร้างสรรเสียสละ ทฤษฎีพระพุทธเจ้านั้นสุดยอดแล้วจริงๆ

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเข้าใจทุกอย่างไม่เที่ยง อนิจจัง ตั้งแต่ปรมาณูสองหน่วย เป็นหน่วยที่เขาค้นพบได้ ตั้งแต่สองหน่วยเกิดมาแล้วไม่มีอะไรเที่ยงและไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าบอกว่าจะเกิดลิงค คือความแตกต่าง เขาแยกเป็นฟิวชั่นกับฟิชชั่น พระพุทธเจ้าเรียกว่าวิกขิตตังจิตตัง กับสังขิตตังจิตตัง

ขั้วหนึ่งจะรวมตัวไม่กระจาย เกิดแล้วจับตัวกัน ฟิวชั่น แต่ถ้าฟิชชั่นระเบิดแตกกระจายหายไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจับได้ทั้งสองลักษณะทั้งวิกขิตตังจิตตังคือฟิชชั่น และสังขิตตังจิตตังคือฟิวชั่น มันมีลักษณะสองอย่างนี้ ถ้าเอามาทำงานได้ คนนี้มีลักษณะยึดจับตัว ก็พยายามให้ประสานให้พอเหมาะ ใครจะเสียสละมากหรือน้อยก็ให้รวมตัวกันได้ ผู้ที่สามารถจับคนที่ขัดแย้งกันให้มารวมกันได้คือทำสามัคคี

เป็นความเห็นต่างกันแต่อยู่ร่วมกัน ยิ่งในระบบสาธารณโภคียิ่งเป็นส่วนกลางด้วยกัน จะมีปัญญาสูงว่า จะมาขัดกันทำไม ก็กินใช้รวมกันอย่างนี้ จะมีต่างกันแต่ไม่ยึดติด ต่างคนต่างทำ วางใจ

แต่ทำร่วมกันจะได้ของที่แตกต่างกัน ของที่แตกต่างกันแล้วมาร่วมกันได้มันคือความเจริญ ยิ่งเป็นทางชีวะ ยิ่งมีสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ไม่ใช่คนสายเลือดเดียวกันเป็นภาวะความเจริญทางชีวภาพ ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันผสมกันไปเรื่อยๆ จะยิ่งโง่ลงเสื่อมลงไม่พัฒนา ทางชีววิทยาก็เข้าใจ

สัจธรรมพวกนี้พระพุทธเจ้ารู้รอบหมด เราก็สามารถพัฒนาให้เจริญได้ เรารู้ความทุกขัง อนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่เท่ากัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เข้าใจได้ วางได้ ไม่ยึดติด คนนี้เป็นอย่างนี้ๆ ก็เข้าใจ แล้วอยู่รวมกันอย่างหลากหลาย แต่ไม่แตกแยก เป็นสามัคคีธรรม เรียกว่า อยู่กันอย่างหลากหลายที่เป็นปึกแผ่น Unity in Diversity

ทุกอย่างที่เกิดไม่คงตัวเรียกอนิจจัง แก้ทุกขังได้ด้วยเข้าใจปัญญา รู้ว่าคนมีจริตต่างกันก็อยู่กันได้อย่างอนุโลมกัน สร้างสรรร่วมกัน ต่างคนต่างช่วยกัน

ถ้าไม่อยากช่วยก็แยกกันทำได้ เราก็ปรึกษากันว่าอันนี้ควรทำไหมก็ใช้มติองค์รวม แม้ของเราเราก็ต้องเลิกถ้าหมู่ไม่ให้ทำ มันไม่ดี เราจะเข้าใจว่าดีก็ต้องรู้ว่าหมู่กลุ่มนี้ยังไม่เอา ถ้าเอาเราก็ขัดแย้ง เราไม่เอาอัตตาตัวเราเป็นใหญ่ เราก็อยู่กับหมู่อย่างสร้างสรร

สังคมพระพุทธเจ้าสอนให้คนฉลาดอย่างไม่แกมโกง ซื่อสัตย์ เอามาวินิจฉัยเอามาเลือกเฟ้น เอามาทำงาน หมู่ของพระพุทธเจ้าจึงมีแต่คนฉลาด อยู่ในหมู่นี้ต้องรู้จักความฉลาดของหมู่ เป็นสิ่งที่จำเป็น มติให้ทำตามองค์รวมของหมู่กลุ่มดีที่สุด แม้ว่าเราจะคิดถูกเราจะคิดดีกว่า แต่เมื่อมีมติร่วมกันให้ทำงานอันนี้พร้อมกันมันจะสำเร็จแล้วได้ผล ตัวเราหยุดไว้ก่อน มันยังไม่ใช่เวลาที่เราจะทำแบบนั้น คนอื่นเขาทำได้เท่านี้ เขาเห็นดีเท่านี้ก็พอ ให้เอาตามมติส่วนใหญ่ก็จบ การขัดแย้งการทะเลาะก็จะไม่มี จะทำได้งานที่เร็วและแรงมีประสิทธิภาพ

หลวงปู่รู้นี่ยังไม่หมดนะ ก็รู้เท่าที่ได้ ก็เอามาบอกแล้วพากันทำ แค่นี้ก็เห็นว่าสุดยอดแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

ทุกข์ที่เราต้องบำเรอกิเลสเป็นทุกข์อาริยสัจ เราเลิก เราล้าง มันก็หมดไป เหลือแต่ทุกข์ที่เป็นความลำบาก ภาษาบาลีเรียก ทรถ เป็นความลำบากที่แม้พระอรหันต์ก็ลำบาก พระพุทธเจ้าก็ลำบาก เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องทำงาน ต้องกิน ต้องอยู่ อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ต้องเจ็บป่วย ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว ต้องมีวิบากที่ตามมาทัน

ทุกข์ 10 (ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้)

1.   สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย

2.   นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว

3.   อาหารปริเยฎฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน

4.   พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ

5.   วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้

6.   ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยชีวิตอยู่

 

อยู่กันอย่างศีลสามัญญตา โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ เสมอและสมานกันได้  อันใดไม่เสมอก็สมานกันได้ แม้นี่เป็นโสดาบันก็มีระดับที่ต่าง ก็จะเข้าใจ เป็นการยอมรับว่าเขาสูงกว่าเรา เขาดีกว่าเรา เขาเจริญกว่าเรา ความริษยา ความที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี  ก็จะเบ่งข่มทั้งที่ตนเองต่ำกว่าเขา ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ก็จะละอายตนเอง ไม่ทำ ก็จะลงตัวถูกสัจจะเรื่อยไป  เพราะฉะนั้นจึงเป็นการเป็นอยู่สัมพันธ์อย่างมนุษย์อย่างดี

ความเป็นอนิจจังเป็นอย่างไร ก็จะรู้ลักษณะของมันเป็นตัวสุดท้ายเลย เป็นสิ่งที่มันเกิดมันก็จะรู้เลย อะไรที่เริ่มเกิด อนิจจังทั้งสิ้น  อะไรที่ไม่ให้มีแล้วมันก็อนิจจังแล้ว 0  ถ้าเกิดอยู่เรียกว่า อุปจยะ  อนิจจังทั้งนั้น มีเสื่อมลงไปทั้งนั้น มีชรตา มีอนิจจตา  แต่ถ้าคนที่เป็นอรหันต์แล้วก็จะไม่ให้เกิด พออันนี้เกิด ไม่ต่อ เรียกว่า ม่มี สันตติ  ก็จะหยุดพลังงานนั้น ไม่ต่อพลังงานนั้น ก็จะเป็นผู้มีประสิทธิภาพรู้จักลักษณะ 4 อันเป็นตัวสูงสุด

เป็นคนที่สามารถรู้จักการเกิด การจะต่อหรือตัด หรือการให้เสื่อมหรือเจริญ แล้วให้สูญได้ เป็นลักขณรูป 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา หรืออนิจจตา จะสามารถอยู่ ไม่มีทุกข์ และจะเข้าใจอนิจจตา แม้ที่สุดทำความไม่มีตัวตนต่อ  ไม่มี สันตติ ต่อ ไม่มีตัวตนต่อไปอีก ทำได้  จะทำได้อย่างไร ต้องเรียนรู้ให้มีความสามารถทำได้ถึง

 

มาอ่าน sms

Pat Hemasuk

_ที่ผมไม่เปิดให้เข้ามาเขียนอะไรอย่างเสรีเพราะเดี๋ยวก็เข้ามาตีกันจนชานเรือนของผมพัง วันนี้เพียงผมยอมร่วมคุยด้วยเรื่องสมเด็จช่วง ก็มีคนตะโกนด่ากันแล้ว แล้วไอ้คนที่ก่อเรื่องจนวงแตกมันก็เป็นขาจรใครก็ไม่รู้ เพียงแต่ถ้าแตะเรื่องวัดจานบินกับสมเด็จช่วงแล้วคนพวกนี้เป็นไม่ยอมพร้อมก่อเรื่องได้ทุกเวลา

ผมจะสรุปย่อวิธีการคิดแบบมี "เหตุ" และ "ผล" ตาม อิทัปปัจจยตา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังนะครับ

*** ประการแรกคือ รถอยู่ในชื่อของสมเด็จช่วงใช่ไหม ไม่ใช่อยู่ในชื่อของวัดที่แสดงเจตนาจะยกให้พิพิธภัณฑ์ตั้งแต่แรก ทั้งที่จดในชื่อของวัดแต่แรกเสียภาษีถูกลงตั้งเยอะ แต่ก็ไม่ทำ กรรมมันส่อเจตนาชัดเจนมาก

*** ประการที่สอง การครอบครองรถนั้นต้องมีลายเซ็ตน์เจ้าของรถมากมายหลายขั้นตอนและหลายเอกสารจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือเซ็นต์ชื่อลงในสมุดทะเบียนรถ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นลายเซ็นต์ของสมเด็จช่วง ในหลายเอกสาร หลายกรรม หลายวาระ มันงอกมาเฉยๆ จากดินไม่ได้หรอกครับ และการครอบครองรถคันนี้สมเด็จช่วงถือครองจดประกอบเป็นมือแรกครับ ไม่ใช่ซื้อรถมือสองตามเต้นท์รถที่เซ็นต์โอนง่ายๆ ก็จบแล้ว

*** ประการที่สาม มหาเจดีย์นั้นเป็นของบริสุทธิ์ สิ่งที่บรรจุภายในต้องเป็นของบริสุทธิ์ ต้องเป็นการสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชาหรือเก็บพระบรมธาตุ การเวียนเทียนรอบมหาเจดีย์ในวันพระใหญ่ทุกครั้งนั้นคือการถวายเป็นพุทธบูชา มีใครเวียนเทียนรอบเจดีย์เพื่อกิจการอื่นนอกเหนือจากพุทธบูชากันบ้างครับ ไม่มีหรอกครับ

ถึงวันพระใหญ่ใครมันจะบ้าไปเวียนเทียนรอบโรงเก็บรถ เมอร์เซเดสธัง สะระณัง คัจฉามิ กันบ้าง คิดเท่านี้ก็วิปลาศตั้งแต่เริ่มเอารถเบนซ์ยัดเข้าไปในเจดีย์แล้วครับ

*** ประการที่สี่ มูลค่าภาษีรถที่ฉ้อโกงรัฐไปมันเกิน 5 มาสกตามพระวินัยบัญญัติไปไกลมากแล้วครับ หรือใครเถียงว่าไม่จริง แล้วชื่อการเป็นเจ้าของครอบครองรถนั้นชื่อใคร ลายเซ็นต์ใคร ครุกรรมมันสำเร็จตั้งแต่เซ็นต์ชื่อไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วครับ

ผมคิดแบบ ปฏิจจสมุปบาท "มีเหตุ" ย่อม "มีผล" ที่เกิดตามมา ทุกอย่างจริงแบบมีหลักฐานที่ใครเถียงความจริงไม่ได้อยู่แล้วครับ ใครจะคัดค้านความจริงที่ปรากฎขึ้นแล้ว ผมจะถือว่าคนนั้นเอาสีข้างมาถู แต่ถูจนสีข้างแหกอย่างไรมันก็ทำให้จริงกลายเป็นเท็จไม่ได้หรอกครับ

 

Sms 230359

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน อจินไตยตรีมูรติและที่มาพระธาตุชุดแรก

0893867xxx ในคัมภีรพุทธวงศ์จากหินยานสายบาลีว่าพระกุกกุสันโธประสูติเมืองกบิลพัสดุ์บุรีฯ พระโกนาคมโนประสูติเมืองกามพฤกษ์บุรีฯ พระกัสสโปประสูติบุรีศรีฯ พระสมณโคดมประสูติกบิลพัสดุ์ฯ พระเมตตรัยฯพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปประสูติเมืองเกตุวดีศรีมหานคร เมืองที่ว่าอยู่ที่ปท.ใด?

0893867xxx กราบขออภัยส่งยาวเกินเพราะเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์จึงถามต่อเนื่อง?

0893867xxx ถ้าเรานับกัปป์ไม่ถูกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยประสูติอีกเมื่อไร?ก็นับจากสิ้นรัชสมัย พระสมณโคดมไป2,500ปี อีก2,500ปีครบศักราช5,000ปีคือปีพศ.5001คือ วันประสูติพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ถูกไหม?  ถ้าถูกจริงพวกเราต้องตายแล้วเกิดอีกหลายร้อยชาติกว่าจะได้เจอพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ไปเหนื่อยหนักแน่ขอไปนิพพานเลยดีกว่าดีไหม?

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี้อยู่ในช่วงภัทกัปป์ คือช่วงที่ยังดีอยู่ ส่วนที่จะไปเปลี่ยนไปที่อื่นนั้นในโลกลูกนี้ก็ตาม มันไม่ได้เที่ยงว่าประเทศอินเดียจะอยู่ตรงนี้นิรันดร ถึงยุคหนึ่งประเทศอินเดียก็กลายเป็นมหาสมุทร ประเทศอื่นก็ขึ้นมา อย่าไปยึดมั่นว่าเที่ยงเลย แล้วภาษาก็เป็นการเรียกบอกฉายา บอกความหมาย แต่ในเนื้อหามันตรงกันหมด ทีนี้เรื่องชื่อก็มีสถิติ แน่นอนมั่นคงลงตัว เช่นพระพุทธเจ้าชื่อนี้เกิดที่ไหน ต้องลงตัวถูกหมด คนที่มีเหตุปัจจัยลึกซึ้งจะบอกได้ พยากรณ์ได้เลยว่าคนนี้ชื่อนี้ตระกูลนี้มีเหตุนี้จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ขวา ไม่บังเอิญนะ เป็นการสั่งสมบารมี แล้วเป็นจริง อจินไตย ลึกซึ้งมาก เมื่อได้บารมีนั้นมาก็จะลงตัว แม้จะเป็นสถานที่ เวลา ชื่อ นาม โคตรตระกูล ก็จะลงตัวหมด เกินจะคิดแกล้งเอาไม่ได้

อาตมาขอใช้คำว่าอาตมาบังอาจมาเปิดเผยในยุคนี้ ว่าเมืองไทยมีตรีมูรติ ลงตัว เช่น ผู้มีฉายาว่าศิวรักษ์ ฉายาว่าราม ฉายาว่าพรหม เมืองไทยมีแล้ว ทั้งสามท่านมีอายุเกิน 80 ​มาแล้ว แม้แต่ส.ศิวรักษ์ก็ต้องมีอะไรส่อสื่อ ก็จริงใจบอก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้ประกาศว่าเมืองไทยคือชมพูทวีป ก็พูดอย่างมีหลักฐาน

คุณสุลักษณ์เสียสละที่จะต้องมาปราบคนผิด จึงเป็นผู้ไม่มีคนชอบ แต่ก็มีหลักฐานเหตุผลพอจึงอยู่รอด เป็นผู้เสียสละอย่างยิ่ง เมืองไทยเป็นเมืองมีปัญญาคนนิยมชมชอบ ส่วนผู้ไม่ชอบก็ด่าสาดเสีย มีคนว่าอาตมาว่าแรงๆด้วยหยาบๆด้วย ว่าจัดงานให้ทำไม คือเขาไม่ชอบคุณสุลักษณ์ ก็เข้าใจเขา เห็นต่างกันได้ แต่อาตมาทำด้วยเข้าใจเชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำผิด แม้แต่กาละที่ยกย่องไม่ได้ก็ไม่ทำ พอถึงเวลาที่พอทำได้ก็ทำ ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อาตมาทำไมรู้ว่าคนนี้ต้องชื่อนี้ๆ อย่าถามอาตมาไม่บอกหากไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาจะบอก

พระพุทธเจ้าหรือพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่อุบัติขึ้นมาในโลก แผ่นดินต้องไหว มันเป็นเรื่องต้องเป็น เรื่องลงตัวดินน้ำลมไฟ ชื่อเสียงเรียงนาม ขออภัยที่ต้องพูดถึงตัวเอง ตอนไปตั้งแดนอโศก เริ่มต้นมีงู 7 ตัวพันกัน เขาบอกให้อาตมาไปดู แต่อาตมาไม่ได้ไปดู ก็ไม่ได้ประหลาดใจเลย มีงู 7 ตัวมาแสดงพันกัน แยกสี่หัวไปข้างหนึ่ง สามหัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ไม่ได้ไปดู ไม่ได้ประหลาดใจ ก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นนิมิต ว่าไม่ได้ทำผิด ยืนยันอาตมา

แต่คนประหลาดไปเป็นปาฏิหาริย์ไม่ใช่เลย มันต้องเป็นอย่างนี้ อาตมาได้รับพระธาตุ 12 องค์หน้าสะพานเจริญศรัทธาที่พระปฐมเจดีย์ เป็นพระธาตุชุดแรกเลยที่อาตมาได้ หลังจากเดินบิณฑบาตรเสร็จแผ่นดินก็ไหว ไม่เห็นประหลาดเลย มีผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้อาตมา เขาเอาเงินมาใส่บาตร อาตมาก็รับแล้วก็บอกคืนเขาไป เขาก็ว่าใช่เลยคนที่ตามหา ได้พบแล้ว เขาก็ควักตลับพระบรมสารีริกธาตุมาให้ ว่าดิฉันรอพบผู้ที่จะมอบให้ อาตมาก็ว่าอะไรน่ะโยม เขาก็ว่า ท่านรับไปเถอะ สุดท้ายเขาก็บอกว่าพระบรมสารีริกธาตุ เป็นตลับใส่ทองนี่แหละ ก็มาเปิดดูหลังบิณฑบาต แผ่นดินก็ไหว ท่านพุทธชาโตก็อุทาน อาตมาไม่ได้เห็นว่าแปลกประหลาดอะไร อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เป็นอจินไตยลงตัว

 แล้วจะย้อนถามว่า คุณสุลักษณ์เป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า อาตมาว่าใช่ แต่คุณสุลักษณ์ไม่รู้ตัวหรอก อาตมาเป็นคนที่มาไข

เป็นโอกาสทำงานตามวาระ พยายามติดตามศึกษาฝึกฝน

จบ

590324_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมจึงอยากอยู่วัด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ทำไมอยากอยู่วัด

พ่อครูว่า...วันนี้ 24 มีนาคม 2559 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีวอกหรือปีมะแมก็แล้วแต่ใครจะนับถือเอาวันไหนก็ได้ วันนี้เป็นวันพฤหัส ก็จะมีนักเรียนมานั่งฟังมารับรู้รับชมมาศึกษาเป็นกิจจะลักษณะ วันนี้เป็นวันที่รวมนักเรียนชั้นม.6 ของชาวอโศกซึ่งจะจบการเรียนแล้ว หลายคนก็แยกย้ายไป ส่วนมากก็แยกย้ายไป กลับบ้านไปก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อีก อยู่มา 6 ปี บางคนอยู่มาตั้งแต่ประถมมาเกือบ 10 ปีหรือ 12 ปี

บางคนอาจจะเรียนซ้ำเกินกว่านั้นก็ได้ จบแล้วก็แยกย้ายกันไป หาคนที่อยากจะอยู่ต่อในชุมชนนี้ไม่ค่อยได้ ยาก

ตั้งโรงเรียนมา 20 กว่าปีชุมชนนี้เป็นชุมชนภราดรภาพ เป็นชุมชนที่สร้างเครือญาติ ไม่ใช่ชุมชนที่เปิดโรงเรียนมาสอนหนังสือให้เฉยๆ แต่เป็นที่ที่สร้างลูกสร้างหลาน สร้างเครือญาติ แต่เด็กๆที่เขาจบไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจตรงนี้ ยังไม่รู้ว่าเราเจตนาอย่างที่กล่าวแล้ว อยากให้เขาอยู่ดูแลสมบัติพวกนี้เป็นของเรา บอกเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่บอก แต่มันยังไม่เคยมีมาในโลก

สาธารณโภคีคือสมบัติส่วนกลางที่เราร่วมกันเป็นเจ้าของ แต่เราไม่ได้ยึดเป็นของตัวของตน แต่เราอยู่ร่วมเป็นเจ้าของ เป็นผู้ร่วมกินร่วมใช้ร่วมอาศัยตลอดชีวิตจนถึงตายได้ ในความเป็นจริงนั้น ถ้าจะเรียกโดยภาษาโลกว่าเป็นสมบัติของเรา แต่ในภาษาธรรมเราไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา นี่คือความลึกซึ้ง

โดยสามัญเรามีสิทธิ์กินสิทธิ์ใช้ มีสิทธิ์อาศัย บริหาร อยากให้เจริญสร้างสรรต่อไป ถ้าเราไม่อยากให้เจริญก็ไม่ทำ หากพี่ๆน้องๆเห็นว่าเราไม่ค่อยเจริญก็เข่นเอา ดีไม่ดีก็ไล่ออกไปเสีย เพราะอยู่ต่อไปจะเป็นคนเลวคนไม่ดี

เด็กหลายคนได้รับความรู้ความเข้าใจก็อยู่ อยู่ในชุมชนทำการทำงานเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้แก่ชุมชน อยู่ร่วมกันไปเป็นลูกเป็นหลานในชุมชนต่อไป แต่ก็อย่างน้อย

ปีนี้มีคนจบม. 6 คนหนึ่งที่อยากจะอยู่ในชุมชน แต่พี่สาวไม่ให้อยู่ อยากให้ไปข้างนอก ไปศึกษาข้างนอก ทีนี้น้องชายก็อยากจะอยู่ น้องชายก็เลยต้องพยายามหาหลักฐานหาเหตุผลเพื่อที่จะไปยืนยันอ้างอิงกับที่บ้าน ว่าทำไมเขาถึงอยากจะอยู่ ก็ต้องหาเหตุผลหลักฐานเขียนเป็นตัวหนังสือเป็นหลักเป็นฐานอะไรยืนยันว่าน่าฟัง

น่าฟังไหม อาตมาว่าน่าฟัง

 

ทำไมจึงอยากอยู่ที่วัด

1.  เพราะอโศกเป็นสถานที่ที่ดีมาก สังคมดีกว่าโลกภายนอก การที่เราอยู่ในสังคมที่ดี เราก็จะขัดเกลาให้เป็นคนดีได้

2. เพราะสามารถพึ่งพากันได้แบบพี่แบบน้อง ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยลำบากมีเรื่องทุกข์ใจ ก็มีที่ที่ให้รักษาทั้งกายและใจ แม้จะต่างสายเลือดแต่ก็เหมือนกับญาติพี่น้องเชื้อเดียวกัน

3. เพราะสามารถปฏิบัติธรรมได้พร้อมพร้อมกับทำงานเพื่อสังคม การทำงานที่ไม่มีเงินเดือนเป็นการให้เราลดความเห็นแก่ตัว รู้จักการเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน

4. เพราะได้ทำงานกับคนทำงานฟรี การทำงานฟรีเป็นการทำงานด้วยใจ คือต้องมาทำด้วยใจ ไม่ว่าจะเพราะใจรัก หรือทำเพราะต้องการขัดใจมาทำงานที่ไม่ชอบ แม้ทำไปก็ยังไม่ชอบ จะทำให้เกิดอารมณ์ แล้วอารมณ์นั้นก็จะส่งผลต่อคนรอบข้าง เป็นผัสสะหรือสิ่งที่มากระทบทำให้เราฝึกยอมรับความจริง ว่าเขายังไม่ชอบย่อมมีอารมณ์ไม่พอใจเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วเกิดอารมณ์ไม่พอใจคนที่ไม่พอใจกับงานเราก็แย่ลง แต่ถ้ายอมรับทำใจได้ปล่อยวางได้ ก็ดีขึ้น

5. พอได้หลีกเลี่ยงอบายมุข กระแสนิยมในทางที่ไม่ดี ในอโศกไม่มีอบายมุขอย่างนั้น แม้ว่าจะทำไปเพื่อเข้าสังคม แต่มันก็ยังไม่ดี ยังไงสิ่งไม่ดีก็คือสิ่งไม่ดี แทนที่จะไปข้างนอกเพื่อทนกับสังคมรอบข้างที่ตามกระแสไป แถมยังต้องระวังไม่ให้ตัวเองตามไปด้วย สู้มาลดดีกว่า สิ่งที่เรายังติดยังอยากเสพอยู่ก็มาอยู่ในที่ที่ไม่มี พอไม่มีแต่เรายังอยากเราก็ทุกข์ เราก็มาพิจารณาต่อว่าทำยังไงจะดับทุกข์นี้ ถ้าง่ายๆก็แค่หยุดอยาก แต่ถ้าเราได้ตามอยาก ก็จะหายทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าถ้ามันไม่มีตามที่อยากอีกก็ทุกข์อีก เราก็มาทำใจไม่ไปอยากดีกว่า เพราะไม่มีก็จะได้ไม่ทุกข์ แม้ว่ามีก็จะเฉยๆ

6. เพราะได้ทำงานพัฒนาฝีมือตนเอง การทำงานฟรีนั้นมีคนน้อย เพราะมันไม่ได้เงิน พอคนน้อย คนที่ทำอยู่ก็ต้องทำแทบทุกอย่าง เป็นเกือบทุกเรื่อง ฝึกแก้ปัญหา ฝึกทำงานให้ขยันมากขึ้น ฝึกรับผิดชอบให้มากขึ้น

พ่อครูว่า...ถ้าเราทำงานเสร็จแล้วเราก็ได้เงิน แล้วเราก็หลงว่าได้กำไร เราได้เงินตอบแทนหลงว่าได้เป็นกำไร เราทำไปนี่เป็นราคาเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ใช่ไหม เสร็จแล้วเราก็รับเงินเป็นค่าตอบแทน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีคุณค่านั้นมันจะหายไปหรือมันจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง การที่เราเอาเงินทดแทนกลับมาคุณค่าประโยชน์ของเราหายไปหรือเพิ่มขึ้น ก็หายไปแล้ว เราจะได้กำไรตรงไหน คนในโลกเขาอวิชชาเขาโง่ตรงนี้ มันนึกว่าเขาได้กำไร ในหลวงก็ตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การขาดทุนของเราก็คือกำไรของเรา

แต่ระบบที่หลวงปู่พาทำนี้ให้เป็นคนฉลาดจริง ไม่ไปทำแบบเขา เราก็อยู่พัฒนาฝีมือตนเอง การทำงานที่นี่ทำงานฟรีเพราะฉะนั้นนั้นมีคนน้อย เพราะทำแล้วมันไม่ได้เงิน คนที่มีน้อยอยู่แล้วก็ต้องทำแทบทุกอย่าง เพื่อแก้ปัญหาทุกเรื่อง ขยันทุกเรื่อง รับผิดชอบมากขึ้นก็มีแต่เจริญและเจริญเท่านั้น

7. เพราะได้ตัดปัญหากังวลใจ ไม่ว่าจะเรื่องการอยู่การกิน การทำงาน การเรียน การเจ็บไข้ได้ป่วย การตาย ที่นี่มีทุกอย่างที่หาไม่ได้จากที่อื่น อยู่ฟรีกินฟรีงานก็มีให้ทำ การเรียนก็มีวิทยาลัย ป่วยก็มีโรงพยาบาล ตายก็มีที่ให้เผา สมณะเผาให้ฟรีด้วย ฟรีทุกอย่าง

8. เพราะไม่ได้สร้างห่วงเพิ่ม ในสังคมนี้ทำเพื่อส่วนรวมส่วนกลาง ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว แค่ทำงานในนี้ก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องแฟน หรืออย่าว่าแต่คิด เวลายังหาไม่มี ทำให้เราอยู่เป็นโสดไม่มีภาระเพิ่ม (แต่ก็ไม่แน่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้)

9. เพราะได้รับใช้พระโพธิสัตว์ ม่อนเชื่อว่าพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ แค่เราได้ทำงานรับใช้และบูชาด้วยการปฏิบัติตัดกิเลสตนเอง ก็ได้บุญและกุศลแล้ว

10. เพราะอยากหนุ่ม ไม่อยากเด็กและไม่อยากแก่ ถ้าคิดตามปกติข้างนอกเด็กก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ คนแก่ก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ เด็กจะเอาแต่ใจมากกว่าผู้ใหญ่ คนแก่ก็จะเอาแต่ใจมากกว่าผู้ใหญ่(ทั้งหมดหมายถึงสภาวะจิต) ดังนั้นม่อนเห็นตัวอย่างในนี้ ความเป็นผู้ใหญ่ก็คือคนที่ไม่เอาแต่ใจ รับผิดชอบมากกว่าเด็กหรือคนแก่ แม้จะอายุมากหรือร่างกายเป็นคนแก่จริงๆ แต่ใจไม่แก่

อาตมาว่าพวกเราคงเข้าใจอย่างที่ม่อนเขาหาเหตุผลมานี้

 

ถ้าโตมา แล้วจะทำอะไรเลี้ยงชีวิตอยู่ในวัด

1. โตมาจะทำงานในวัดเลี้ยงชีวิต

2. ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยวัดจะรักษาให้

พ่อครูว่า...ที่จริงของเราไม่ใช่วัดรักษา สังคมเราเป็นบ้านวัดโรงเรียน สังคมเรามีชุมชน มีโรงพยาบาลลำลอง ใหญ่ทีเดียว แล้วก็มีผู้ที่มีความรู้ทางด้านรักษา แล้วก็ทำหน้าที่นี้ช่วยเหลือกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้

3. ถ้าขาดอุปกรณ์ในการทำงานวัดก็จะเสริมให้ตามความจำเป็น

พ่อครูว่า...ที่จริงแล้วทั้งบ้านวัดโรงเรียน เป็นเงินของสังคมชุมชนทั้งหมดของเราเป็นเงินของโรงเรียนก็ใช่ด้วย เพราะเป็นสาธารณะส่วนรวมของพวกเราทั้งนั้น ส่วนหน้าที่ดูแลเรียกว่าไวยาวัจกร สังคมเรามีฆราวาสเป็นผู้ดูแลเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องทรัพย์สิน ส่วนสมณะนักบวชไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ยึดเป็นตัวเราของเรา มีหน้าที่ปฏิบัติให้จิตใจหลุดพ้น แม้แต่ฆาราวาสก็ปฏิบัติ ไม่ทำให้จิตใจยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา ให้จิตใจหลุดพ้น แต่รู้ว่าเป็นของส่วนรวม และช่วยกันดูแลรักษาบริหารจัดการ

4. ถ้าอยากได้บ้านที่พักอาศัย วัดจะจัดสรรให้

5. ถ้าอยากได้อาหารกิน วัดจะทำให้

6. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องป่วยมาอยู่กับม่อนได้ จะพาเข้าวัดปฏิบัติธรรมและรักษาให้ดูแลให้

7. ถ้าอยู่ในวัดไม่ได้อยากออกจากวัดไปอยู่ข้างนอกวัดก็จะไม่รั้งเอาไว้เพราะไม่ใช่คุก จะมาก็ได้จะไปก็ได้พร้อมจะต้อนรับและลาจาก (เว้นแต่ทำผิดกฎวัด บางกรณีอาจโดนห้ามเข้าวัด)

8. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องการความช่วยเหลือจากม่อน ม่อนก็จะทำตามกำลังที่มีได้ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้

9. ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องมาปรึกษาก็จะให้คำแนะนำที่มีปัญญาหาทางได้โดยไม่สุจริต

10. ถ้าตาย วัดจะเผาให้

 

ปีนี้มีพิเศษที่เด็กของเรา 1 คนเป็นอย่างนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นถามว่าหลวงปู่อยากให้เป็นอย่างนี้ไหม ก็อยากให้ได้อย่างนี้มากๆ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับ แม้แต่จะไปอ้อนวอนร้องขอก็คงไม่ทำ แต่ก็พูดให้เห็นให้รู้ว่ามันเป็นความประสงค์ เป็นความปรารถนาดี ที่ต้องการจะให้อยู่ช่วยกันสร้างสรรสังคมเช่นนี้ดีไหม ถ้าจริงใจจะเห็นว่าไม่ดีก็ตอบได้นะ ไม่ต้องมาปะเหลาะหลวงปู่ก็ได้

สังคมแบบนี้เชื่อว่าถ้าเป็นคนมีปัญญา ไม่เป็นคนบ๊องส์หรือวิตถารก็จะเห็นว่าเป็นสังคมที่ดี ก่อนจะถึงรายการนี้ เขาเอารายการชีวิตนอกกล่องและเอาเรื่องของนักศึกษาปริญญาโทที่มาที่นี่ มาดูงานนอกสถานที่มาศึกษามาดูงาน มาสัมผัสกับชุมชนเรา อาจารย์เขาก็พามาจากกรุงเทพจากมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มีณเดชน์มาด้วย

พวกเราก็ไปสัมภาษณ์เขาว่ารู้สึกอย่างไร เขาก็อธิบายไป อาตมาว่าเขาตอบอย่างจริงใจ ไม่ได้มานั่งปะเหลาะอะไร จริงๆเขาบอกว่าสัมผัสกับคนอย่างพวกเราเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมมีนิสัยอย่างไร สัมผัสแล้วก็รู้สึกอบอุ่นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเขาจะเห็นความแตกต่างกับสังคมข้างนอกที่เขาอยู่ เปรียบเทียบให้เห็น แล้วก็เป็นคำตอบประมวลผลแล้วก็ยอมรับว่าสังคมอย่างนี้ดี

แต่บอกได้เลยว่าแม้แต่นักศึกษาปริญญาโทก็ไม่มาอยู่หรอก เขารู้ว่าดีแต่ไม่มาอยู่ แต่เขาเอาปัญญาเอาภูมิธรรมมาตอบ เขาก็ตอบความจริงว่าดีแน่ แต่เพราะเขาอ่อนแอต่อกิเลสที่มันชนะเขา ก็เลยต้องอยู่กับสังคมอย่างจำนน เพราะกิเลสมันบังคับกดหัวเขา เขาก็ต้องยอมอยู่อย่างนั้น เขาไม่มาแสวงหา เสนาสนะสัปปายะบุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ

พวกเรานี่ดูมอซอนะ แต่เขาก็รู้ว่าสะอาดนะ แม้แต่เขาเห็นว่าเราไม่ใส่รองเท้า เขาก็พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็อาจไม่เข้าใจดีนัก

ที่เอามาอ่านให้ฟังก็เพราะเป็นเหตุการณ์จริงเห็นว่าดี ให้เกิดความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น ก็มาเล่าสู่ฟังเปิดเผยกัน

สังคมเราเป็นสังคมที่หลวงปู่มั่นใจว่าคนทั้งโลกเป็นยอดของความต้องการเขาต้องการสังคมแบบนี้ เป็นสังคมของคนที่อยู่กันอย่างมี

1. อิสระเสรีภาพ Independence

2. ภราดรภาพ Fraternity คือเป็นพี่เป็นน้อง แทนที่จะเป็นคนแย่งชิงกัน เป็นญาติพี่น้องกันจริงๆ แล้วเป็นอย่างลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่แบบสมัยใหม่ที่มีเงินคนละกระเป๋า ไม่ได้เป็นเงินของส่วนกลางทุกคนก็เป็นของใครของมันมีตัวกูของกู ของเราไม่ใช่ญาติพี่น้องแบบนั้น

3. มีสันติภาพ Peace สงบเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม

4. เป็นสังคมที่มีสมรรถภาพ Efficiency มีความรู้ความสามารถ เป็นสังคมไม่งอมืองอเท้า มีฝีมือสมรรถภาพ

5. บูรณภาพ Integrity และเป็นคนไม่หยุดเจริญ มีการพัฒนาให้เจริญยิ่งอยู่ มีความซื่อสัตย์สุจริตในตัวด้วย

สังคมคนที่มีคุณภาพ 5 อย่างนี้เป็นคนที่มีคุณภาพ เราตั้งใจพากเพียรสร้างคนให้มีคุณสมบัติ 5 ประการนี้อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นปรัชญาของชาวอโศก 5 หลักนี้ อิสระเสรีภาพ_ภราดรภาพ_สันติภาพ_สมรรถภาพ_บูรณภาพ แต่ไม่มีพังพาบนะ

หลวงปู่เกิดมาเพื่อจะทำงาน จะเรียกว่ารับใช้สังคมก็ได้ ตอนแรกเป็นหมู่บ้านก็รวมผู้ใหญ่ที่เห็นว่าควรมารวมกัน มีจิตใจที่เป็นไปได้ เข้าใจจะปฏิบัติตนสู่ความเป็นห้าสภาพนี้ได้ แรกๆยังไม่มีโรงเรียน แต่ต่อมาก็มีโรงเรียน เราพึ่งตนเองได้จริงๆ ทำมาหากินสร้างสรร

แม้เราจะค้าขายต่ำกว่าราคาตลาด เราก็ได้เสียสละหรือขาดทุนแล้ว ต่ำกว่าราคาตลาดนี่แหละ แล้วเราก็พยายามทำเสียสละอีกมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เราก็กำลังสร้างตัวเองก็เลยไม่ค่อยลงตัว สังคมเรานี้อาตมามั่นใจว่าเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำ ทุกวันนี้สังคมเขาเข้าใจแล้วว่าต้องเป็นสังคมที่มีลักษณะ 5 ประการนี้แหละ อิสระเสรีภาพ_ภราดรภาพ_สันติภาพ_สมรรถภาพ_บูรณภาพ แต่เขายังไม่เชื่อถือ เขาหาว่าอาตมาไม่มีทุนทางสังคมอะไร อาตมาไม่ได้น้อยใจ แต่มั่นใจว่าเป็นความจริง

เรามีตลาดอาริยะที่ทำอยู่ทุกปีที่เสียสละครั้งใหญ่ แต่ทุกวันเราก็ทำอย่างเสียสละ เราไม่เอาเปรียบเอารัดอย่างทุนนิยม เขาเข้าใจว่า ใครเอาเปรียบสังคมได้เอาเปรียบผู้อื่นได้คือเจริญ ไม่ว่าจะค่าแรง ค่าตัวค่าผลผลิตก็ตาม ได้มากเท่าไหร่ก็พอใจเท่านั้น ไม่ได้ละอายเลยในทุนนิยมโลกีย์สามัญ

ที่สำคัญคือเราปฏิบัติให้เห็นอาการของสิ่งที่ไม่ดีนี้ มันไม่มีรูปร่างสีสัน แต่เราเห็นมันได้ มันคือตัวอกุศล ตัวเห็นแก่ตัว แล้วมีภูมิปัญญาอ่านแล้วจัดการมันได้จนไม่เกิดอีกในจิตมีเจโตวิมุติ แล้วรู้ชัดว่าไม่มีอีก แล้วรู้ว่าเป็นเรื่องประเสริฐ วิมุติญาณทัสนะ ไม่เวียนกลับ เพราะเป็นพลังงานปัญญาที่เป็นอุภโตภาควิมุติ

ทฤษฎีพระพุทธเจ้าไม่งมงาย แต่รู้อกุศลจิตที่เป็นสมุทัยอาริยสัจ ไม่ใช่พูดแต่ภาษา แต่มีจริง จับอ่านอาการหยาบ กลาง ละเอียด ที่เรียกว่าอัตตา ตั้งแต่กาม รูปราคะ อรูปราคะ ทำได้หมดแล้วก็ตรวจสอบด้วยอรูปฌานอีก ให้ชัดเจนว่ามันว่าง ว่างจากสิ่งเหลือ อากาสาฯวิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญฯ ก็ทำได้หมดรู้หมด ทำได้อย่างแข็งแรงตั้งมั่นสำเร็จเสร็จจบสุดท้าย จึงจะชื่อว่าพ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย เป็นหลักวิชาครบ ใครรู้จริงทำถึงจริงก็เป็นอรหันต์ที่แท้จริง

พระพุทธเจ้ารู้จักทฤษฎี วิธีการ แล้วปฏิบัติได้จริง ถ้ามีผู้ปฏิบัติถูก โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ทุกวันนี้โลกเลวร้าย แต่ก็ยังมีผู้แหวกโลกเลวร้ายออกมาได้ ยังมีผู้มีบารมีมาปฏิบัติล้างกิเลสได้จริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ไตรลักษณ์) ตอน เรียนรู้ไตรลักษณ์ จักสร้างสามัคคีธรรม

_คำถามว่า _อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร สัมพันธ์กับความเป็นอยู่ของคนอย่างไร คนต้องปรับตัวให้อยู่กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างไร

พ่อครูว่า...คำถามนี้เท่ากับถามศาสนาพุทธทั้งฉบับเลย ศาสนาอื่นไม่รู้อนัตตา โดยเฉพาะเขาไม่รู้ทุกข์ เพราะคนไม่อยากมีอาการทุกข์ พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ ความไม่อยากมีแบบโลกๆที่เขาเข้าใจ

แม้ที่สุด เป็นผู้หลุดพ้นจากโลกแล้ว ยังมีความไม่พอใจแบบทางธรรม คือโทมนัส หรือเนกขัมสิตโทมนัสเวทนา ยังรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งที่ไม่เป็นโทษภัยกับคนอื่นแล้ว แต่เรายังไม่สบายใจ แต่ตนเองก็ยังมีความไม่สบายใจของตน จะเพราะว่าเราต้องฝืนต้องควบคุมรักษายังไม่เก่งก็ต้องฝืนบ้าง หรือเข้าใจผิด ทั้งที่เราได้ดีแล้วเรากลับไปทุกข์กับมัน เช่น เราทำงาน แล้วทำได้ผลก็เอาไปแจกคนอื่น ก็เข้าใจว่าไปแจกคนอื่นทำไมให้เหนื่อย

เราก็ทำความเข้าใจว่าสัตว์ทุกตัวก็ทำงาน เราก็ทำไปทำให้มากแล้วมีเหลือแจกคนอื่นมันก็ดี เราก็ควรทำควรเต็มใจ ความฝืนก็จะลดลง มีแต่ความสบายใจ แม้เราหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ไปปลูกแตง มีแตงจริง แตงร้าน แตงโม มะนาว มันเหนื่อยก็เหนื่อย บางทีหนักยากด้วย แต่เรารู้ว่าทำไปเป็นประโยชน์คุณค่ากับคนอื่น ไม่เป็นโทษภัย เป็นคุณค่าประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติด้วย เราไม่ได้เป็นคนหลงผิดคนโง่เง่า

ทางโลก ขออภัยที่ต้องพูดความจริง สอนให้โง่เง่า สอนให้ไปเอาเปรียบเขา ให้ไปเรียนส่งเสริมให้มีความสามารถมากๆ แล้วออกไปตีราคาแพงแพงสูงสูง แม้แค่รู้ว่าฉันเป็นผู้รู้เป็นอาจารย์เป็นครู ก็จะคิดค่าตัวแพงแพงสูงสูง ยิ่งผลิตของดีต้องราคาแพงเพื่อจะเอาเปรียบให้ได้มากๆ

ไม่เคยสอนให้ลดความโลภ การสอนให้เก่งไม่มีปัญหา แต่สอนให้ลดความโลภนั้นไม่ได้สอนกันในมหาวิทยาลัยใดๆ เป็นสถานการศึกษาของโลกที่เสริมความเอาเปรียบ เสริมความทุกข์ร้อนในสังคมมาตลอด

ถ้าการศึกษาไม่ลดกิเลส กู้ประเทศกู้สังคมไม่ได้ ทำได้ก็ลำลองชั่วคราว จะซับซ้อนหนักหน้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีทฤษฎีปฏิบัติลดกิเลสได้อย่างพวกเรา แก้ปัญหาสังคมได้ หลวงปู่ตั้งใจจะอยู่ 151 ปี

เอาไปเปรียบเทียบเลยว่า มาเป็นคนจน แบบคนจน มาเป็นคนขาดทุน แบบในหลวงตรัส ในหลวงท่านมีภูมิปัญญาชัดเจน ถึงบอกว่ามาบริหารแบบคนจน มาขาดทุนแก่สังคม เพื่อยืนยันพิสูจน์ความจริงแก่โลก ว่าจะแก้ปัญหาสังคมแก้ปัญหาโลกได้ ยิ่งคอมมิวนิสต์แก้ไม่ได้ แต่ก่อนตีทิ้งธรรมะ หาว่าศาสนาคือยาเสพติด คุณธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้นตระกูลคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นต้นทางของสาธารณโภคี ส่วนกลางที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

คอมมิวนิสต์นี่ถ้าจะว่าไปแล้วกดขี่บังคับยิ่งกว่าประชาธิปไตย เขาว่าบีบบังคับเสียภาษีโดยอำนาจบาตรใหญ่ เป็นวิธีการ แต่แท้จริงแล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนรวม จิตใจเสียสละไม่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อมวลมนุษยชาติด้วย เราก็อาศัยกินใช้อย่างใจพอ สันโดษมักน้อย แต่ขยันสร้างสรรเสียสละ ทฤษฎีพระพุทธเจ้านั้นสุดยอดแล้วจริงๆ

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเข้าใจทุกอย่างไม่เที่ยง อนิจจัง ตั้งแต่ปรมาณูสองหน่วย เป็นหน่วยที่เขาค้นพบได้ ตั้งแต่สองหน่วยเกิดมาแล้วไม่มีอะไรเที่ยงและไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าบอกว่าจะเกิดลิงค คือความแตกต่าง เขาแยกเป็นฟิวชั่นกับฟิชชั่น พระพุทธเจ้าเรียกว่าวิกขิตตังจิตตัง กับสังขิตตังจิตตัง

ขั้วหนึ่งจะรวมตัวไม่กระจาย เกิดแล้วจับตัวกัน ฟิวชั่น แต่ถ้าฟิชชั่นระเบิดแตกกระจายหายไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจับได้ทั้งสองลักษณะทั้งวิกขิตตังจิตตังคือฟิชชั่น และสังขิตตังจิตตังคือฟิวชั่น มันมีลักษณะสองอย่างนี้ ถ้าเอามาทำงานได้ คนนี้มีลักษณะยึดจับตัว ก็พยายามให้ประสานให้พอเหมาะ ใครจะเสียสละมากหรือน้อยก็ให้รวมตัวกันได้ ผู้ที่สามารถจับคนที่ขัดแย้งกันให้มารวมกันได้คือทำสามัคคี

เป็นความเห็นต่างกันแต่อยู่ร่วมกัน ยิ่งในระบบสาธารณโภคียิ่งเป็นส่วนกลางด้วยกัน จะมีปัญญาสูงว่า จะมาขัดกันทำไม ก็กินใช้รวมกันอย่างนี้ จะมีต่างกันแต่ไม่ยึดติด ต่างคนต่างทำ วางใจ

แต่ทำร่วมกันจะได้ของที่แตกต่างกัน ของที่แตกต่างกันแล้วมาร่วมกันได้มันคือความเจริญ ยิ่งเป็นทางชีวะ ยิ่งมีสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ไม่ใช่คนสายเลือดเดียวกันเป็นภาวะความเจริญทางชีวภาพ ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันผสมกันไปเรื่อยๆ จะยิ่งโง่ลงเสื่อมลงไม่พัฒนา ทางชีววิทยาก็เข้าใจ

สัจธรรมพวกนี้พระพุทธเจ้ารู้รอบหมด เราก็สามารถพัฒนาให้เจริญได้ เรารู้ความทุกขัง อนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่เท่ากัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เข้าใจได้ วางได้ ไม่ยึดติด คนนี้เป็นอย่างนี้ๆ ก็เข้าใจ แล้วอยู่รวมกันอย่างหลากหลาย แต่ไม่แตกแยก เป็นสามัคคีธรรม เรียกว่า อยู่กันอย่างหลากหลายที่เป็นปึกแผ่น Unity in Diversity

ทุกอย่างที่เกิดไม่คงตัวเรียกอนิจจัง แก้ทุกขังได้ด้วยเข้าใจปัญญา รู้ว่าคนมีจริตต่างกันก็อยู่กันได้อย่างอนุโลมกัน สร้างสรรร่วมกัน ต่างคนต่างช่วยกัน

ถ้าไม่อยากช่วยก็แยกกันทำได้ เราก็ปรึกษากันว่าอันนี้ควรทำไหมก็ใช้มติองค์รวม แม้ของเราเราก็ต้องเลิกถ้าหมู่ไม่ให้ทำ มันไม่ดี เราจะเข้าใจว่าดีก็ต้องรู้ว่าหมู่กลุ่มนี้ยังไม่เอา ถ้าเอาเราก็ขัดแย้ง เราไม่เอาอัตตาตัวเราเป็นใหญ่ เราก็อยู่กับหมู่อย่างสร้างสรร

สังคมพระพุทธเจ้าสอนให้คนฉลาดอย่างไม่แกมโกง ซื่อสัตย์ เอามาวินิจฉัยเอามาเลือกเฟ้น เอามาทำงาน หมู่ของพระพุทธเจ้าจึงมีแต่คนฉลาด อยู่ในหมู่นี้ต้องรู้จักความฉลาดของหมู่ เป็นสิ่งที่จำเป็น มติให้ทำตามองค์รวมของหมู่กลุ่มดีที่สุด แม้ว่าเราจะคิดถูกเราจะคิดดีกว่า แต่เมื่อมีมติร่วมกันให้ทำงานอันนี้พร้อมกันมันจะสำเร็จแล้วได้ผล ตัวเราหยุดไว้ก่อน มันยังไม่ใช่เวลาที่เราจะทำแบบนั้น คนอื่นเขาทำได้เท่านี้ เขาเห็นดีเท่านี้ก็พอ ให้เอาตามมติส่วนใหญ่ก็จบ การขัดแย้งการทะเลาะก็จะไม่มี จะทำได้งานที่เร็วและแรงมีประสิทธิภาพ

หลวงปู่รู้นี่ยังไม่หมดนะ ก็รู้เท่าที่ได้ ก็เอามาบอกแล้วพากันทำ แค่นี้ก็เห็นว่าสุดยอดแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

ทุกข์ที่เราต้องบำเรอกิเลสเป็นทุกข์อาริยสัจ เราเลิก เราล้าง มันก็หมดไป เหลือแต่ทุกข์ที่เป็นความลำบาก ภาษาบาลีเรียก ทรถ เป็นความลำบากที่แม้พระอรหันต์ก็ลำบาก พระพุทธเจ้าก็ลำบาก เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องทำงาน ต้องกิน ต้องอยู่ อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ต้องเจ็บป่วย ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว ต้องมีวิบากที่ตามมาทัน

ทุกข์ 10 (ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้)

1.   สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย

2.   นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว

3.   อาหารปริเยฎฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน

4.   พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ

5.   วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้

6.   ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยชีวิตอยู่

 

อยู่กันอย่างศีลสามัญญตา โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ เสมอและสมานกันได้  อันใดไม่เสมอก็สมานกันได้ แม้นี่เป็นโสดาบันก็มีระดับที่ต่าง ก็จะเข้าใจ เป็นการยอมรับว่าเขาสูงกว่าเรา เขาดีกว่าเรา เขาเจริญกว่าเรา ความริษยา ความที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี  ก็จะเบ่งข่มทั้งที่ตนเองต่ำกว่าเขา ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ก็จะละอายตนเอง ไม่ทำ ก็จะลงตัวถูกสัจจะเรื่อยไป  เพราะฉะนั้นจึงเป็นการเป็นอยู่สัมพันธ์อย่างมนุษย์อย่างดี

ความเป็นอนิจจังเป็นอย่างไร ก็จะรู้ลักษณะของมันเป็นตัวสุดท้ายเลย เป็นสิ่งที่มันเกิดมันก็จะรู้เลย อะไรที่เริ่มเกิด อนิจจังทั้งสิ้น  อะไรที่ไม่ให้มีแล้วมันก็อนิจจังแล้ว 0  ถ้าเกิดอยู่เรียกว่า อุปจยะ  อนิจจังทั้งนั้น มีเสื่อมลงไปทั้งนั้น มีชรตา มีอนิจจตา  แต่ถ้าคนที่เป็นอรหันต์แล้วก็จะไม่ให้เกิด พออันนี้เกิด ไม่ต่อ เรียกว่า ม่มี สันตติ  ก็จะหยุดพลังงานนั้น ไม่ต่อพลังงานนั้น ก็จะเป็นผู้มีประสิทธิภาพรู้จักลักษณะ 4 อันเป็นตัวสูงสุด

เป็นคนที่สามารถรู้จักการเกิด การจะต่อหรือตัด หรือการให้เสื่อมหรือเจริญ แล้วให้สูญได้ เป็นลักขณรูป 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา หรืออนิจจตา จะสามารถอยู่ ไม่มีทุกข์ และจะเข้าใจอนิจจตา แม้ที่สุดทำความไม่มีตัวตนต่อ  ไม่มี สันตติ ต่อ ไม่มีตัวตนต่อไปอีก ทำได้  จะทำได้อย่างไร ต้องเรียนรู้ให้มีความสามารถทำได้ถึง

 

มาอ่าน sms

Pat Hemasuk

_ที่ผมไม่เปิดให้เข้ามาเขียนอะไรอย่างเสรีเพราะเดี๋ยวก็เข้ามาตีกันจนชานเรือนของผมพัง วันนี้เพียงผมยอมร่วมคุยด้วยเรื่องสมเด็จช่วง ก็มีคนตะโกนด่ากันแล้ว แล้วไอ้คนที่ก่อเรื่องจนวงแตกมันก็เป็นขาจรใครก็ไม่รู้ เพียงแต่ถ้าแตะเรื่องวัดจานบินกับสมเด็จช่วงแล้วคนพวกนี้เป็นไม่ยอมพร้อมก่อเรื่องได้ทุกเวลา

ผมจะสรุปย่อวิธีการคิดแบบมี "เหตุ" และ "ผล" ตาม อิทัปปัจจยตา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังนะครับ

*** ประการแรกคือ รถอยู่ในชื่อของสมเด็จช่วงใช่ไหม ไม่ใช่อยู่ในชื่อของวัดที่แสดงเจตนาจะยกให้พิพิธภัณฑ์ตั้งแต่แรก ทั้งที่จดในชื่อของวัดแต่แรกเสียภาษีถูกลงตั้งเยอะ แต่ก็ไม่ทำ กรรมมันส่อเจตนาชัดเจนมาก

*** ประการที่สอง การครอบครองรถนั้นต้องมีลายเซ็ตน์เจ้าของรถมากมายหลายขั้นตอนและหลายเอกสารจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือเซ็นต์ชื่อลงในสมุดทะเบียนรถ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นลายเซ็นต์ของสมเด็จช่วง ในหลายเอกสาร หลายกรรม หลายวาระ มันงอกมาเฉยๆ จากดินไม่ได้หรอกครับ และการครอบครองรถคันนี้สมเด็จช่วงถือครองจดประกอบเป็นมือแรกครับ ไม่ใช่ซื้อรถมือสองตามเต้นท์รถที่เซ็นต์โอนง่ายๆ ก็จบแล้ว

*** ประการที่สาม มหาเจดีย์นั้นเป็นของบริสุทธิ์ สิ่งที่บรรจุภายในต้องเป็นของบริสุทธิ์ ต้องเป็นการสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชาหรือเก็บพระบรมธาตุ การเวียนเทียนรอบมหาเจดีย์ในวันพระใหญ่ทุกครั้งนั้นคือการถวายเป็นพุทธบูชา มีใครเวียนเทียนรอบเจดีย์เพื่อกิจการอื่นนอกเหนือจากพุทธบูชากันบ้างครับ ไม่มีหรอกครับ

ถึงวันพระใหญ่ใครมันจะบ้าไปเวียนเทียนรอบโรงเก็บรถ เมอร์เซเดสธัง สะระณัง คัจฉามิ กันบ้าง คิดเท่านี้ก็วิปลาศตั้งแต่เริ่มเอารถเบนซ์ยัดเข้าไปในเจดีย์แล้วครับ

*** ประการที่สี่ มูลค่าภาษีรถที่ฉ้อโกงรัฐไปมันเกิน 5 มาสกตามพระวินัยบัญญัติไปไกลมากแล้วครับ หรือใครเถียงว่าไม่จริง แล้วชื่อการเป็นเจ้าของครอบครองรถนั้นชื่อใคร ลายเซ็นต์ใคร ครุกรรมมันสำเร็จตั้งแต่เซ็นต์ชื่อไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วครับ

ผมคิดแบบ ปฏิจจสมุปบาท "มีเหตุ" ย่อม "มีผล" ที่เกิดตามมา ทุกอย่างจริงแบบมีหลักฐานที่ใครเถียงความจริงไม่ได้อยู่แล้วครับ ใครจะคัดค้านความจริงที่ปรากฎขึ้นแล้ว ผมจะถือว่าคนนั้นเอาสีข้างมาถู แต่ถูจนสีข้างแหกอย่างไรมันก็ทำให้จริงกลายเป็นเท็จไม่ได้หรอกครับ

 

Sms 230359

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน อจินไตยตรีมูรติและที่มาพระธาตุชุดแรก

0893867xxx ในคัมภีรพุทธวงศ์จากหินยานสายบาลีว่าพระกุกกุสันโธประสูติเมืองกบิลพัสดุ์บุรีฯ พระโกนาคมโนประสูติเมืองกามพฤกษ์บุรีฯ พระกัสสโปประสูติบุรีศรีฯ พระสมณโคดมประสูติกบิลพัสดุ์ฯ พระเมตตรัยฯพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปประสูติเมืองเกตุวดีศรีมหานคร เมืองที่ว่าอยู่ที่ปท.ใด?

0893867xxx กราบขออภัยส่งยาวเกินเพราะเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์จึงถามต่อเนื่อง?

0893867xxx ถ้าเรานับกัปป์ไม่ถูกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยประสูติอีกเมื่อไร?ก็นับจากสิ้นรัชสมัย พระสมณโคดมไป2,500ปี อีก2,500ปีครบศักราช5,000ปีคือปีพศ.5001คือ วันประสูติพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ถูกไหม?  ถ้าถูกจริงพวกเราต้องตายแล้วเกิดอีกหลายร้อยชาติกว่าจะได้เจอพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ไปเหนื่อยหนักแน่ขอไปนิพพานเลยดีกว่าดีไหม?

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี้อยู่ในช่วงภัทกัปป์ คือช่วงที่ยังดีอยู่ ส่วนที่จะไปเปลี่ยนไปที่อื่นนั้นในโลกลูกนี้ก็ตาม มันไม่ได้เที่ยงว่าประเทศอินเดียจะอยู่ตรงนี้นิรันดร ถึงยุคหนึ่งประเทศอินเดียก็กลายเป็นมหาสมุทร ประเทศอื่นก็ขึ้นมา อย่าไปยึดมั่นว่าเที่ยงเลย แล้วภาษาก็เป็นการเรียกบอกฉายา บอกความหมาย แต่ในเนื้อหามันตรงกันหมด ทีนี้เรื่องชื่อก็มีสถิติ แน่นอนมั่นคงลงตัว เช่นพระพุทธเจ้าชื่อนี้เกิดที่ไหน ต้องลงตัวถูกหมด คนที่มีเหตุปัจจัยลึกซึ้งจะบอกได้ พยากรณ์ได้เลยว่าคนนี้ชื่อนี้ตระกูลนี้มีเหตุนี้จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ขวา ไม่บังเอิญนะ เป็นการสั่งสมบารมี แล้วเป็นจริง อจินไตย ลึกซึ้งมาก เมื่อได้บารมีนั้นมาก็จะลงตัว แม้จะเป็นสถานที่ เวลา ชื่อ นาม โคตรตระกูล ก็จะลงตัวหมด เกินจะคิดแกล้งเอาไม่ได้

อาตมาขอใช้คำว่าอาตมาบังอาจมาเปิดเผยในยุคนี้ ว่าเมืองไทยมีตรีมูรติ ลงตัว เช่น ผู้มีฉายาว่าศิวรักษ์ ฉายาว่าราม ฉายาว่าพรหม เมืองไทยมีแล้ว ทั้งสามท่านมีอายุเกิน 80 ​มาแล้ว แม้แต่ส.ศิวรักษ์ก็ต้องมีอะไรส่อสื่อ ก็จริงใจบอก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้ประกาศว่าเมืองไทยคือชมพูทวีป ก็พูดอย่างมีหลักฐาน

คุณสุลักษณ์เสียสละที่จะต้องมาปราบคนผิด จึงเป็นผู้ไม่มีคนชอบ แต่ก็มีหลักฐานเหตุผลพอจึงอยู่รอด เป็นผู้เสียสละอย่างยิ่ง เมืองไทยเป็นเมืองมีปัญญาคนนิยมชมชอบ ส่วนผู้ไม่ชอบก็ด่าสาดเสีย มีคนว่าอาตมาว่าแรงๆด้วยหยาบๆด้วย ว่าจัดงานให้ทำไม คือเขาไม่ชอบคุณสุลักษณ์ ก็เข้าใจเขา เห็นต่างกันได้ แต่อาตมาทำด้วยเข้าใจเชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำผิด แม้แต่กาละที่ยกย่องไม่ได้ก็ไม่ทำ พอถึงเวลาที่พอทำได้ก็ทำ ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อาตมาทำไมรู้ว่าคนนี้ต้องชื่อนี้ๆ อย่าถามอาตมาไม่บอกหากไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาจะบอก

พระพุทธเจ้าหรือพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่อุบัติขึ้นมาในโลก แผ่นดินต้องไหว มันเป็นเรื่องต้องเป็น เรื่องลงตัวดินน้ำลมไฟ ชื่อเสียงเรียงนาม ขออภัยที่ต้องพูดถึงตัวเอง ตอนไปตั้งแดนอโศก เริ่มต้นมีงู 7 ตัวพันกัน เขาบอกให้อาตมาไปดู แต่อาตมาไม่ได้ไปดู ก็ไม่ได้ประหลาดใจเลย มีงู 7 ตัวมาแสดงพันกัน แยกสี่หัวไปข้างหนึ่ง สามหัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ไม่ได้ไปดู ไม่ได้ประหลาดใจ ก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นนิมิต ว่าไม่ได้ทำผิด ยืนยันอาตมา

แต่คนประหลาดไปเป็นปาฏิหาริย์ไม่ใช่เลย มันต้องเป็นอย่างนี้ อาตมาได้รับพระธาตุ 12 องค์หน้าสะพานเจริญศรัทธาที่พระปฐมเจดีย์ เป็นพระธาตุชุดแรกเลยที่อาตมาได้ หลังจากเดินบิณฑบาตรเสร็จแผ่นดินก็ไหว ไม่เห็นประหลาดเลย มีผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้อาตมา เขาเอาเงินมาใส่บาตร อาตมาก็รับแล้วก็บอกคืนเขาไป เขาก็ว่าใช่เลยคนที่ตามหา ได้พบแล้ว เขาก็ควักตลับพระบรมสารีริกธาตุมาให้ ว่าดิฉันรอพบผู้ที่จะมอบให้ อาตมาก็ว่าอะไรน่ะโยม เขาก็ว่า ท่านรับไปเถอะ สุดท้ายเขาก็บอกว่าพระบรมสารีริกธาตุ เป็นตลับใส่ทองนี่แหละ ก็มาเปิดดูหลังบิณฑบาต แผ่นดินก็ไหว ท่านพุทธชาโตก็อุทาน อาตมาไม่ได้เห็นว่าแปลกประหลาดอะไร อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เป็นอจินไตยลงตัว

 แล้วจะย้อนถามว่า คุณสุลักษณ์เป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า อาตมาว่าใช่ แต่คุณสุลักษณ์ไม่รู้ตัวหรอก อาตมาเป็นคนที่มาไข

เป็นโอกาสทำงานตามวาระ พยายามติดตามศึกษาฝึกฝน

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:08:52 )

590325

รายละเอียด

590325_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โสณทัณฑสูตร 2

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2559 อาตมามานั่งที่โต๊ะปุ๊บก็สัมผัสสิ่งประกอบฉาก ชื่นใจ มีมะระลูกโตผิวมัน ลูกโตแต่ง เคยถามพวกเราว่าเวลาจะกินก็ต้องมาหั่นให้เล็กๆ แต่ก็ชอบลูกโตๆ แปลกดีเหมือนกัน

มีแตงร้านลูกโตเหมือนกันนึกถึงความหลังตั้งแต่ยังวัยรุ่น 20 ปีเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ตอนเย็นส่งหนังสือพิมพ์เสร็จก่อนจะเข้าที่พักผ่าน 4 แยกราชวัตรก็มีร้านขายข้าวต้มกุ๊ยขายอาหารจีน ก็จะแวะกินที่นั่นทุกวัน พอเห็นหน้าอาตมามา คนขายก็สบตาก็รู้แล้วไม่ต้องสั่งอะไร ก็กินมะระเครื่องในไก่ทุกวัน แกงจืด ไม่ต้องสั่งเลยมันจะแพงก็ตรงที่กินข้าวเพิ่มอีก แต่กับนั้นกินถ้วยเดียว คือแกงจืดมะระสด

วันนี้ก็จะต่อพระไตรปิฎก แต่ก็ค้างประเด็น sms ที่ส่งมา

 

_0893867xxx ถ้าเรานับกัปป์ไม่ถูกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยประสูติอีกเมื่อไร?ก็นับจากสิ้นรัชสมัย พระสมณโคดมไป2,500ปี อีก2,500ปีครบศักราช5,000ปีคือปีพศ.5001คือ วันประสูติพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ถูกไหม?

 ถ้าถูกจริงพวกเราต้องตายแล้วเกิดอีกหลายร้อยชาติกว่าจะได้เจอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเหนื่อยหนักแน่ขอไปนิพพานเลยดีกว่าดีไหม?

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ใช่นักศึกษา เป็น unlearned man ซึ่งแต่ละยุคสมัยนั้นใช้ภาษาที่กำหนดเวลาต่างกัน มันไม่เป็นการกำหนดเดียวกันไปตลอดหรอก ยุคนี้ก็ใช้อย่างนี้ๆ ก็อาศัยสิ่งประกอบ ทุกวันนี้ก็เลยต้องหาภาษาร่วมสมัยไปสื่อกับเขาได้รู้เรื่องดีขึ้น แต่ความจำก็ไม่ค่อยดี จำไม่ค่อยได้ไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา ก็ทำหน้าที่หลายอย่าง สอนเองบริหารเองสร้างเอง

สร้างเองนี้ สิ่งที่อาตมาสร้างนั้นไม่เหมือนโลกเขา อันนี้ไม่ง่ายจะเข้าใจ พวกเขาสร้างสังคมที่จะพาไปรวย อย่างธรรมกาย ไปหรูหราฟู่ฟ่า สร้างง่ายคนเยอะ คนเข้าใจได้เร็ว แต่นี่เราทำนี่มันค้านแย้งคนละขั้วกับเขาเลย มันจึงยาก นอกจากไม่เหมือนและยากแล้ว มันซ้อน

เราสร้างอย่างคนจนด้วย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่กอบโกยไม่สะสม แต่ต้องสร้างเป็นสังคมรวม เป็นสังคมบ้านใหญ่ พวกคุณนี่จะสร้างบ้านตนเอง ยังบ้านเล็ก แต่ละคนๆ แต่บ้านอาตมานี่บ้านใหญ่ มันใหญ่ถึงขนาดต้องสร้างภูเขาสร้างแม่น้ำ แผ่นดิน องค์ประกอบเองด้วย เพราะว่าอาตมาไม่มีปัญญาบุกรุกที่ธรรมชาติ อย่างพระธุดงค์กรรมฐาน อาตมาไม่อยากเอาอย่าง จะมาทำเองสร้างเอง

ซึ่งก็มีความภูมิใจ ที่ทำได้ตามธรรมะที่จริงตามพระพุทธเจ้าไม่ผิดเพี้ยน มันมีความจริงของคนที่เป็นไปได้ ทวนกระแสของคนทั่วไปได้ ไม่ได้หลอกล่อ หรือประเล้าประโลมมา ไม่ได้ทำอย่างโลกๆ ธรรมะเราไม่ต้องการบริวารไม่ต้องการคนมานับถือ ไม่ได้ทำเพื่ออามิส ไม่ได้เพื่อให้คนเข้าใจว่าเราเก่งเราวิเศษ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสูตรนี้ที่อาตมาจำได้ดี ต้องเป็นไปเพื่อละหน่ายคลาย ชำระกิเลส

ถ้าชำระกิเลสจากจิตได้จริง จะมาเองด้วยปัญญาแต่ละคน เราไม่ต้องเรียกร้องไม่ต้องง้อ ไม่ต้องบังคับใครเลย ไม่ต้องซื้อต้องหาไม่ต้องติดสินบน แล้วมาอยู่เป็นปึกแผ่น มีชีวิตดำเนินไปจนเกิดวัฒนธรรมแบบใหม่ แบบสังคมบุญนิยม

เป็นสังคมเดียวกับที่ในหลวงตรัส ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่อาตมาเอามาอ้างอิงนี้มันเรื่องจริง คนไม่จริงไม่มีความคิดอย่างนี้หรอก

แม้แต่คุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็บอกตัวตนเขา

พออาตมาทำขึ้นไปแล้วก็มีเสียงสะท้อนมาในสังคม เขาก็วิจัยซ้อนมาแล้ว มันจะทำให้เราเกิดขัด มีเชิงฉลาดเปรียบเทียบ

 

ผู้ที่สามารถลดกิเลสได้จริง ต่อให้มีสิ่งกระทบมากน้อยขนาดไหนก็สู้ได้ เราก็สู้ได้ตามจริง เราจะไปกะเป็นตัวเลข คนนี้รับแรงกระแทกได้ ร้อยกก. น้ำหนักของลาภ ร้อยแรง ยศ ร้อยแรงสู้ได้ แต่ถึงร้อยเอ็ดสู้ไม่ได้ ยิ่งหลุดมากกว่านั้นสู้ไม่ได้เป๋เลย ก็เป็นของจริงของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านมีญาณรู้น้ำหนักเหล่านี้ได้

ท่านจะคำนวณรู้เป๊ะเลยว่า ใครจะเป็นอะไรเมื่อไหรที่ไหนชื่ออะไร เพราะมีคุณสมบัติของความเที่ยงแท้ อาตมานี่ระดับ 7 ก็พอมีสิ่งที่เที่ยงพอใช้ได้ แต่อาตมาไม่ได้ระบุชื่อบุคคลอะไรชัดเจน ก็ทำไป พวกคุณฟังแล้วอย่าหลงตนว่าตนเป็นคนนั้นคนนี้นะ จะบ้าเอา เคยมีมาแล้ว ให้ทำสัจธรรมให้เป็นสัจจะความจริง เมื่อทำถึงขั้นมันใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ คุณมีสิทธิ์ตั้งเจตนา ตั้งความมุ่งหมายได้ แต่อย่าอยาก ตั้งแล้วทำเหตุปัจจัยตามที่เรามีปัญญา ไม่มีใครโกงใครแย่งไปได้หรอก สมบัติของใครก็ของคนนั้น

มาถึงยุคนี้แล้วเปิดเผยอจินไตยหลายอย่าง ก็ต้องรอเวลา ถึงคราวนี้ที่อาตมาระบุตรีมูรติ แต่ละท่านก็ทำงานมาจนอายุเลย 80 มาแล้ว ทำประโยชน์แก่ประเทศไทยมา ก็น่าจะได้เข้าใจ เช่น คุณส.ศิวรักษ์

แม้แต่เรื่องหมิ่นสถาบันฯแต่ว่าเขาก็เสี่ยงทำเพราะว่าต้องเป็นกัลยาณมิตรมาหลายทีจนเสี่ยงคุกตาราง คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้

 

_0818557xxx กราบนมกพ่อท่าน ฟังพ่อท่านแล้วหนาวเลยค่ะ ที่เคยปฏิบัติมาผิดทางหมด ต้องมาตั้งหลักใหม่ ที่ท่านพูดมันถูกจริงๆๆ แล้วจะทำไงกันดีค่ะ กับพุทธกลายพันธ์ุ ที่ไม่ยอมรับผิดชอบธรรมะอันชอบธรรม ถ้าเค้ายอมรับพ่อท่าน เค้าเสียผลปย.มหาศาลและเสียฟอร์มสุดๆๆ แต่ควรไตร่ตรองยอมรับเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาและนำพาพุทธศาสนิกชนให้ปฏิบัติถูกทางอย่างแท้จริง

พ่อครูว่า...แม้แต่คำว่าบุญเขาก็เอาไปใช้ผิด นี่มีดนะ แต่เขาเอาไปเป็นฟูกนอน ไปใช้บุญเป็นกุศลไปเสีย เป็นการเสริมกิเลสไปอีก หลอกว่าจะได้บุญมากก็รวยมากใหญ่มาก บุญนี่เป็นเครื่องมือหั่นกิเลส หั่นเสร็จแล้วก็ต้องทิ้งเลยไม่ต้องเก็บไว้ อรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ไม่ต้องทำบุญอีก มีแต่กุศล

ต้องเข้าใจตั้งแต่สังขาร ตั้งแต่เริ่มต้น เข้าใจ กายสังขารแล้วแยกจิตสังขารกายสังขารได้ นิโรธต้องดับวจีสังขารก่อน จะทำอะไรให้เกิด ต้องทำวจีสังขารเกิดก่อน ถ้าเข้าใจวจีสังขารผิดก็จะไปทำดับทำเกิดได้อย่างไร ทำไม่ได้

อุบาสกวิสาขาที่เป็นอดีตสามีภิกษุณีธัมมทินนา อุบาสกฯถามว่านิโรธดับ สังขาร 3 นี้อะไรดับก่อน ท่านก็ว่า ดับวจีสังขารก่อน

ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้อาการนี้ในจิตเลย คุณจะไปจับกิเลสได้อย่างไร คุณต้องจับถูกโจร ต้องฆ่าถูกตัว หากไม่มีสภาวะขั้นนี้ก็ทำไม่ได้ บรรลุไม่ได้ ผู้ใดชัดเจนแม่นดีแล้ว ก็ไปทำได้ถูก จับอาการได้ชัดเจน เท่าที่จะเป็นไปได้

คุณ 8557 ก็บอกว่า ฟังพ่อท่านแล้วหนาวเลย ที่เคยปฏิบัตินั้นผิดทางหมด ต้องมาตั้งหลักใหม่ ที่ท่านพูดนี้มันถูกจริงๆ แล้วจะทำอย่างไรกับพุทธกลายพันธ์ุที่ไม่ยอมรับธรรมะอันชอบธรรม ถ้าเค้ายอมรับพ่อท่าน เค้าเสียผลปย.มหาศาลและเสียฟอร์มสุดๆๆ แต่ควรไตร่ตรองยอมรับเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาและนำพาพุทธศาสนิกชนให้ปฏิบัติถูกทางอย่างแท้จริง

อาตมาทำงานมาครบ 45 ปี เข้า 46 ปี ก็ต้องมีอะไรใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา อาตมาไม่ได้ผ่าชัดมาแต่ต้น ตอบไม่ไว้หน้าเหมือนตอนนี้ ก็ขนาดนี้แล้วก็ให้อภัยให้อาตมาเถอะ มันแก่แล้วว่างั้น ที่อาตมาทำงานมามีหลักฐานนะ

มีสิ่งยืนยันพอสมควร หากไม่อคติ ไม่ลำเอียง ไม่มีมักขะ ปลาสะ อาตมาไม่ได้ลบหลู่คุณใคร ไม่ได้ยกตนข่มใคร ไม่ได้คิดตีตัวเสมอหรือยกตนข่มท่าน ฟังนะ อาตมาไม่ได้ยกตนข่มใคร แต่อาตมาสูงกว่าจริงๆ

อาตมาไม่ได้อยากพูดนะไม่ได้ยกตนเทียบเท่า มันเป็นจริงอย่างนั้น นี่เป็นสัจจะที่ยากจะเข้าใจ

 

Sms 240359

0893867xxx ศิลปินน้อยหัวใจใสซื่อจรรโลงใจคนด้วยดนตรี!อนาคต ศิลปินเพลงกวีบรรเลงดนตรีสร้างสรรค์โลกชโลมใจชน! ที่ใดเพลงศิลปินศิลปะโลกุตระแผ่กระจายที่นั้นอบายโลกียะจะคับแคบลง!

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯนร.สสข.ฯญตธ.ไกลอโศกเข้าใจวิถี ชีวิตอโศกมากขึ้นเพราะบทความของหลานม่อนเมืองเรือ!ขอบคุณฯ บุญนิยมได้พุทธบุตรผู้สานต่องานเขียนหนังสือธรรมะอโศกเพิ่มมาอีกคนแล้ว!ยิน ดีกับหลานม่อนอนาคตผู้สืบสานการเผยแพร่ธรรมะอโศกด้วยนะถ้ายังทำต่อไป! กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะรักษ์ธรรมชาติด้วยใจพอเพียง!ผู้น้อยคงมีโอกาสได้ มาเก็บฟักแฟงแตงมะเขือเทศผักพันธุ์ยักษ์ที่สวนริมมูนกับครูโก้อีกถ้าได้เจอครู!จรธ.

0893867xxx พระอะไรไม่รู้ทรัพย์สินเยอะกว่าฆราวาสหลายเท่าตัว!ตนมีรถบ้านที่ดินก็ไม่ใช่ชื่อตัวเองไร้มรดกบ่มีหนี้บ่ติดอบายมีงานศิลป์นิดรายได้หน่อยเงินออมเก็บไว้จองที่พุทธสถ.อโศกถ้าได้มาอยู่ก็ พอเพียงแล้ว!

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน โสณทัณฑสูตร ตอน 2/4

ทีนี้ก็มาเข้าสู่บทเรียนกัน สูตรที่ 1 เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติในโลกหากจะชมพระพุทธเจ้าต้องชมที่เรามีศีล ท่านบอกก่อนเลยว่าท่านรู้จักทิฏฐิ(ความรู้) ทฤษฎี ความเห็นความเข้าใจของมนุษย์ในโลก ประมวลมาได้ 62 ทิฏฐิ ที่ต่างคนต่างยึด ยึดเมื่อใด ผิดเมื่อนั้น พระพุทธเจ้าว่าเรารู้หมดแล้วไม่ยึด เราก็อยู่กับคนทิฏฐิหลากหลายกับเขาได้อย่างดีโดยอนุโลมปฏิโลมให้ได้ จึงเป็นศิลปินใหญ่ที่เอามาผสมกลมกลืนกันได้อย่างปรองดอง แม้แต่จะเห็นคนละขั้วจะฆ่ากันเลยก็เอามาอยู่ร่วมกันได้ นี่คือศิลปินเอก

สีสองสีคนละขั้ว เช่น แดงกับเขียว ก็เอามารวมกันจัดสัดส่วนได้ ผสมให้ดี ถ้าไม่ดีก็เละเสียเลยเน่าเลย ต้องผสมให้ดีไม่เละไม่เน่า เช่น จับเสือกับสิงห์อยู่ด้วยกันได้แล้วใช้ฝีมือเสือสิงห์ทำงานให้ส่วนกลางได้ พระพุทธเจ้าว่าเราเป็นสารถี ฝึกคนที่ควรฝึกได้

อาตมาบูชาฝีพระหัตถ์ในหลวงอย่างยิ่ง นักการเมืองซัดกันไปมา แต่ท่านก็ประมาณอยู่ได้ ด้วยทศพิธราชธรรมที่ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นพรหม นักประนีประนอม

อาตมาเคยผ่านการบริหารระดับสูงมาในชาติก่อนๆ แต่มาชาตินี้ได้บริหารระดับต่ำ ต่างกับในหลวง ซึ่งก็บริหารยากคนละอย่าง บริหารระดับสูงก็ใช้ปัญญาแต่บริหารคนโง่นี่ยากอย่างหนึ่ง แต่ง่ายอย่างหนึ่ง โง่นี่ซื่อกว่าคนฉลาดนะ

อาตมาอยู่ในฐานะต้องบริหารคนโง่ที่ซื่อ ส่วนในหลวงท่านบริหารคนฉลาดขี้โกง ในหลวงหนักกว่าอาตมา

คุณสุลักษณ์ไม่รู้อย่างอาตมา เพราะถ้ารู้อย่างอาตมาจะไม่ไปว่าในหลวงในหลวงท่านก็ทรงงานตามฐานะของท่าน

 

4. โสณทัณฑสูตร
          [178] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงนครจัมปา ได้ยินว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา
 

ว่าด้วยพุทธคุณ

[179] สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะ ครองนครจัมปาซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหารซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปาได้สดับข่าวว่าพระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้นพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปา รวมกันเป็นหมู่ๆพากันไปยังสระโบกขรณีคัคครา.

 

ว่าด้วยคุณของโสณทัณฑพราหมณ์

[180] สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปา รวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปยังสระโบกขรณีคัคครา จึงเรียกนักการมาถามว่า พ่อนักการ พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปาออกจากนครจัมปา รวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปยังสระโบกขรณีคัคคราทำไมกัน.

นักการ. มีเรื่องอยู่ ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในอังคชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงนครจัมปาประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา เกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นพากันไปเฝ้าท่านพระโคดมองค์นั้น.

โสณทัณฑะ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปหาเขาแล้ว บอกเขาอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรอก่อนท่านพราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเฝ้าสมณโคดมด้วย.
          นักการรับคำ แล้วไปหาพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา แล้วบอกตามคำสั่งว่า ท่านทั้งหลาย พราหมณ์โสณทัณฑะสั่งว่า ขอท่านทั้งหลายจงรอก่อนท่านพราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเฝ้าด้วย.
          [181] สมัยนั้น พวกพราหมณ์ต่างเมืองประมาณ 500 คน มาพักอยู่ในนครจัมปาด้วยกรณียกิจบางอย่าง เขาได้ทราบว่า พราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเฝ้าพระสมณโคดม จึงพากันเข้าไปหาแล้วถามว่า ได้ทราบว่าท่านจะไปเฝ้าพระสมณโคดมจริงหรือ?
          โสณทัณฑะ เราคิดว่าจะไป.
          พวกพราหมณ์. อย่าเลยท่านโสณทัณฑะ ท่านไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม ถ้าท่านไปท่านจะเสียเกียรติยศ เกียรติยศของพระสมณโคดมจักรุ่งเรืองด้วยเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไป พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่าน อนึ่งท่านเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติเพราะเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่าน อนึ่งท่านเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคสมบัติมาก ... อนึ่งท่านเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะพร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาส เป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ ...อนึ่งท่านมีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหมน่าดูน่าชมไม่น้อย ... อนึ่งท่านเป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน ... อนึ่งท่านเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีสำเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองสละสลวยหาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด ... อนึ่งท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ของชนหมู่มาก สอนมนต์มาณพถึง 300 คน มาณพเป็นอันมาก ต่างทิศต่างชนบทผู้ต้องการมนต์ ใคร่จะมาเรียนมนต์ในสำนักของท่านพากันมา ... อนึ่งท่านเป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ ส่วนพระสมณโคดมเป็นคนหนุ่ม และบวชแต่ยังหนุ่ม ... อนึ่งท่านเป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร ทรงสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... อนึ่งท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... อนึ่งท่านครองนครจัมปา ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย เพราะเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านดังนี้.

 

ว่าด้วยพุทธคุณ

[182] เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านจงฟังข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละควรไปเฝ้าท่านพระโคดมพระองค์นั้น ท่านพระโคดมไม่ควรจะเสด็จมาหา ได้ยินว่าพระสมณโคดมเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระมารดาและมีพระครรภ์ เป็นที่ทรงถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงพระชาติ เพราะเหตุนี้แหละ ท่านพระโคดมจึงไม่ควรจะเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเรานี้แหละควรไปเฝ้าพระองค์ท่าน

ได้ยินว่าพระสมณโคดมทรงละพระญาติหมู่ใหญ่ออกทรงผนวช ...
ทรงสละเงินทองเป็นอันมาก ทั้งที่อยู่ในพื้นดิน ทั้งที่อยู่ในอากาศ ออกทรงผนวช ... พระองค์กำลังหนุ่มแน่น มีพระเกศาดำสนิท ทรงพระเจริญด้วยปฐมวัย เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต ...เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ทรงผนวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตรทรงกันแสงอยู่ พระองค์ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต ... พระองค์มีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพระพรรณคล้ายพรหม มีพระรูปคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย ... พระองค์เป็นผู้มีศีล มีศีลประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศล ... พระองค์มีพระวาจาไพเราะ มีพระสำเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของเมืองสละสลวยหาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด ...พระองค์เป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก ... พระองค์สิ้นกามราคะแล้ว เลิกประดับตบแต่งแล้ว ... พระองค์เป็นกรรมวาที เป็นกิริยวาที ไม่ทรงมุ่งร้ายแก่พวกพราหมณ์ ... พระองค์ทรงผนวชจากสกุลสูง คือสกุลกษัตริย์อันไม่เจือปน ... พระองค์ทรงผนวชจากสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ... ชนต่างรัฐต่างชนบทพากันมาทูลถามปัญหาพระองค์ ... เทวดาหลายพันมอบชีวิตถึงพระองค์เป็นสรณะ ... พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม ดังนี้ ...
พระองค์ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ... พระองค์มีปรกติกล่าวเชื้อเชิญ เจรจาผูกไมตรีช่างปราศรัย พระพักตร์ไม่สยิว เบิกบาน มีปรกติตรัสก่อน ... พระองค์เป็นผู้อันบริษัท 4 สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... เทวดาและมนุษย์เป็นอันมากเลื่อมใสพระองค์ยิ่งนัก ... พระองค์ทรงพำนักอยู่ในบ้านหรือนิคมใด ในบ้านหรือนิคมนั้น อมนุษย์ไม่เบียดเบียนมนุษย์ ... พระองค์ทรงเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ และทรงเป็นคณาจารย์ได้รับยกย่องว่า เป็นยอดของเจ้าลัทธิเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านี้รุ่งเรืองยศด้วยประการใดๆ แต่พระสมณโคดมไม่อย่างนั้นที่แท้พระสมณโคดมรุ่งเรืองพระยศด้วยวิชชาและจรณสมบัติอันยอดเยี่ยม ... พระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์เป็นสรณะ ... พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์เป็นสรณะ ... พราหมณ์โปกขรสาติพร้อมทั้งบุตรและภริยา ทั้งบริษัทและอำมาตย์ มอบชีวิตถึงพระองค์เป็นสรณะ ...พระองค์เป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร ทรงสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... พระองค์เป็นผู้อันพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ...
พระองค์เป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติ สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... พระองค์เสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีคัคคราในนครจัมปา ท่านทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมาสู่เขตบ้านของเรา ท่านเหล่านั้นจัดว่าเป็นแขกของเรา และเป็นแขกอันเราควรสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม พระสมณโคดมเสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีคัคคราในนครจัมปา พระองค์ก็ทรงเป็นแขกของพวกเรา และเป็นแขกที่พวกเราควร
สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม เพราะเหตุนี้แหละ พระองค์จึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเราต่างหากควรจะไปเฝ้าพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าทราบพระคุณของท่านพระโคดมเพียงเท่านี้ แต่ท่านพระโคดมไม่ใช่มีพระคุณเพียงเท่านี้ ความจริงพระองค์ท่านมีพระคุณหาประมาณมิได้.

[183] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่าท่านโสณทัณฑะกล่าวชมพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากท่านพระโคดมพระองค์นั้นจะประทับอยู่ไกลจากที่นี้ตั้งร้อยโยชน์ ก็ควรแท้ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะไปเฝ้า แม้จะต้องนำเสบียงไปก็ควร พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหมดจักไปเฝ้าพระสมณโคดม ลำดับนั้นพราหมณ์โสณทัณฑะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ ไปถึงสระโบกขรณีคัคครา เมื่อผ่านพ้นราวป่าไปแล้ว ได้เกิดปริวิตกขึ้นอย่างนี้ว่า ถ้าเราจะถามปัญหากะพระสมณโคดม หากพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรถามอย่างนั้น ที่ถูกควรจะถามอย่างนี้ ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลาไม่ฉลาด ไม่อาจถามปัญหาโดยแยบคายกะพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะพึงตรัสถามปัญหาเรา และเราแก้ไม่ถูกพระทัย ถ้าพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรแก้อย่างนั้น ที่ถูกควรจะแก้อย่างนี้ ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่าพราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ อนึ่ง เราเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้วยังมิได้เฝ้าพระสมณโคดมจะกลับเสีย บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด กระด้างด้วยมานะ เป็นคนขลาดไม่อาจเข้าเฝ้าพระสมณโคดมได้ เข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่ทันเฝ้าพระสมณโคดม ไฉนจึงกลับเสีย ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ.

 

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:09:35 )

590327

รายละเอียด

590327_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อารามะ 4 ที่ควรเลิกๆๆ

สมณะฟ้าไทว่า...พบกับรายการวิถีอาริยธรรมเวลา 9 ถึง 11 นาฬิกา

วันนี้วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2559 ตอนนี้บรรยากาศที่ชุมชนราชธานีอโศกทางอากาศและบรรยากาศตอนเย็นๆจะร้อนตอนเช้าจะหนาวเป็นสองฤดูกาลในวันเดียวกัน

ที่บ้านราชฯนี้ตอนแรกก็ว่าจะจัดงานตลาดอาริยะที่เฮือนสวนกัน ช่างก็ว่าจะทำเสร็จทันเวลา แต่ว่าในที่สุดก็ทำไม่ทันเวลา ก็เลยต้องย้ายสถานที่จัดไปที่อาคารแปรรูปและที่ในชุมชนแทน มีนักเรียนมาเข้าค่ายยอส.กันสามร้อยกว่าคนมาช่วยเตรียมงานตลาดอาริยะ มาฟังลักษณะของอาริยบุคคลตามลำดับอย่างละเอียดและง่ายที่สุดจากพ่อครู

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อารามตา) ตอน อารามะ 4 ที่ควรเลิก

พ่อครูว่า...ชุมชนฃาวอโศกพวกเราสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ’27 เป็นปีต้นเลย ปีนี้ ’59  32 ปี  พวกเราทำดำเนินมาจนเกิดเป็นชุมชน อยู่อย่างพี่น้อง เช้ามาก็ทำกับข้าวกับน้ำ กินเสร็จแล้วก็แบ่งกันไปทำงาน เป็นสัมมาอาชีวะเป็นอาชีพที่ไม่ทำบาปทำอกุศลจริงๆ แล้วก็เป็นอาชีพที่ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่สูญเสียเปล่า เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยใช้สอย เน้นที่อาหารการกิน นอกนั้นก็เป็นสิ่งประกอบชีวิตเป็นเครื่องใช้เครื่องสอยเป็นยาต่างๆก็ทำ เป็นสังคมที่มีการงานที่เป็นสัมมากัมมันตะการงานที่ดีที่ควร

เราก็เลิกละสิ่งที่น่ามีน่าเป็นน่าได้อย่างโลกๆ ได้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเราก็เลิกละมาเป็นลำดับ ที่เขาเคยเป็นกันเช่นวันนี้เราเคยเห็นว่าแต่ก่อนนี้สวยสวยมากสัมผัสแล้วก็อยากได้ ได้มาแล้วก็ชื่นใจ แต่เดี๋ยวนี้สัมผัสแล้วก็เขาว่าสวยเราก็รู้ว่าสวย เราก็ใช้เฉยๆ อ่านอาการทางจิต อาตมาได้ภาษาครบเรียกว่า

อารามตา เป็นอาการ มีทั้งอาการที่เป็นสิ่งไม่จริง ของเก๊

ส่วนอารมณ์จริงที่สัมผัสแล้วเรารู้สึก ถ้าประสาทไม่เสีย ไม่ว่าเชื้อชาติไหนสัมผัสแล้วเกิดอาการเหมือนกันหมด ไม่ว่า แดงเขียว เหลือง ร้อนเย็น เหม็นหอม เหมือนกันหมด

ส่วนอารามนี้ คือคนนี้อารามไม่ขึ้น สัมผัสเหมือนกันนี้ แต่อีกคนหนึ่งขึ้น เกิดผลักไม่ชอบ อีกคนเกิดรัก ชื่นชอบใจ อันเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน สีเดียวกัน กลิ่นเดียวกัน รสเดียวกัน เย็นร้อนอ่อนแข็งเดียวกัน แต่อารามไม่เหมือนกัน

อารามตา พระพุทธเจ้ากำหนดให้ศึกษาดีๆ 4 อย่าง

1. กัมมารามตา

2. ภัสสารามตา

3. นิทรารามตา

4. ปปัญจรามตา

สี่อย่างนี้แหละที่มันเก๊ ถ้าเราไปเกิดอารามะ กับงานนี้ พระพุทธเจ้าว่าเกิดความเสื่อมแล้ว

ภัสสารามตา คือคำพูด หากพูดแล้วเราก็อร่อยมันในการพูด อร่อยในการพูด แต่คนฟังนี้จะตายอยู่แล้ว อิ่มแล้วเต็มแล้ว แต่คนพูดนี้มันไปเรื่อย อาการที่เกิดรสเช่นนั้นเรียกว่าอารามะ คือของปลอม เฟ้อเกิน

นิทรารามตา คือการนอน อาตมาเคยมีชีวิตนอนแล้วอร่อย แต่ทุกวันนี้ไม่ได้นอนด้วยอร่อย ถูกบังคับนอนด้วย ร่างกายควรพักแต่ใจไม่ค่อยพัก อาตมานั้นบางอย่างมันน่าทำ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม ไม่ได้เสพอร่อยอะไร ไม่ได้มีรสชาติ ฝืนด้วยซ้ำ หากมันน่าจะพักแล้ว มีอาการหาวแล้ว ร่างมันฟ้องประท้วงแล้ว มันไม่ได้อยากจะนอน แล้วมันไม่ได้เกิดรสในการนอน จะเห็นชัดเจนว่ายาก คนที่ติดแล้วเขาจำได้

การงานก็ติดเป็นรสกัมมารามตา การพูดก็ติดเป็นรสภัสสารามตา การนอนก็ติดเป็นนิทรารามตา

สังคนิการามตา คือการหลงติดในหมู่กลุ่ม การละเล่นสันทนาการเป็นต้น

แต่ปปัญจรามตา แปลว่าการทำให้เนิ่นช้า พยายามให้นาน เพราะมันเพลินมันอร่อย เป็นพิษมาก นี่เป็นการเนิ่นช้าเสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน

นี่เป็นอารามะ คืออารมณ์ที่เก๊ เป็นอารมณ์หลอก เป็นอารมณ์อุปาทาน เป็นอารมณ์ที่หลงสร้างมาเอง โดยเชื่อตามเขามาแล้วหลงยึดว่าเป็นจริงก็เลยติด ที่จริงมันไม่มีจริง ล้างได้

พวกเราได้ทำการพิสูจน์แล้ว จึงไม่ต้องมีอารามอันนี้ แต่ทีนี้พวกเรายังลึกซึ้งไม่พอ ทำงานแล้วยังมีอาราม ยังรู้สึกชื่นชอบ ยังมีรส อันนี้ซ้อนลึก จนกระทั่งบางทีควรพัก ร่างกายมันเกินแล้ว ไม่ไหวแล้วก็ไม่ยอมพัก พาเสื่อม

ถ้าเราเลิกจากสิ่งที่เราเคยติดเคยหลงเสพแล้ว เราก็ได้เวลาทุนรอนแรงงานกลับคืนมา มาสร้างอันอื่นที่มีคุณค่า อย่างที่เขาหลงเขาก็ว่าไป เราหลุดพ้นแล้ว จิตดับสนิทในความเป็นรสชาติอันนั้น นี่คือนิโรธ ความดับสนิท และหลุดพ้น จิตไม่ได้ดับหรอก จิตรู้ จิตสูญในอาการนั้น แต่หลุดพ้นคือไม่ต้องสัมผัส

อาตมาพาพวกเราทำจนเกิดหมู่บ้านไม่มีอบาย มีศีล 5 อย่างต่ำ

โสดาบันต้องไม่มีอบายมุขหนึ่ง สองมีศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่มีจิตที่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา รู้ว่าไม่ใช่ของเราก็เฉยไม่ละลาบละล้วง ไม่ฆ่าสัตว์แม้จะฆ่ามากินเราก็ไม่ทำ เพราะจะรู้ว่า เราก็ชีวิต เขาก็ชีวิต

ถ้าคนต่างก็เห็นคนที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นอาหารแล้วจะอยู่กันได้ไหมนี่ คนนี้น่ากินนะ น่าทำเป็นอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรนี่สังคมนี้

เราจะศึกษารู้ว่า วิบากกรรมมีจริงและมันจะผูกพันเป็นเวราณุเวรก่อกันและกันนับชาติไม่ถ้วน เพราะชีวะที่เป็นจิตนิยามมีรักมีพยาบาทไม่จบ ถ้าอยากให้วิบากน้อยลงก็ต้องหยุด เราจะรู้ว่าพืชนี่ไม่มีเวทนา ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีวิบากมันมีแต่สามเส้าของตัวเอง ปรุงแต่งในตัวมันเอง จะบอกว่ามันแย่งใครก็ไม่แย่ง ในธาตุจิตนิยามไม่มีพยาบาท แต่พีชนิยามมีแต่ตัวกูของกู self แต่ไม่มี ish มันทำแต่ตัวมันแต่ไม่ไปแย่งทำร้ายหรือดูดดึงใครมา

โสดาบันมีกรอบของศีล 5

1. ชีวิตเขาอย่าไปเที่ยวได้ผูกพันสัมพันธ์หรือตอแย วิบากเขา เขาจะไปกระทบใครก็เรื่องของเขา อย่าไปทำร้ายเขาถ้าเราจะกินก็กินแต่พืชก็พอ มีธาตุเลี้ยงร่างนี้ได้สมบูรณ์ เราพิสูจน์แล้ว กินมาจะห้าสิบปีแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย กินแต่พืชนี่แหละ

2. ของไม่ใช่ของเราเอามาเป็นของเราทำไม เป็นเวรกรรม จิตนิยามนี่ลึกๆก็ไม่ให้ใครง่ายๆ ถึงเขาให้มามันก็เป็นวิบาก เขาคือผู้ให้เราเป็นผู้รับอีก แม้เขาว่าเขาไม่เอาคืนหรอก แต่เราไปเอาของเขามาไหม ถ้าเราไม่เอาของใครมามันก็เต็มตัวเรา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าพึ่งตนเอง ได้แล้วมีเหลือก็แจกจ่ายคนอื่น เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการไร้สมรรถภาพ เขาสุดวิสัยเราช่วยได้ก็ช่วย

พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปเอาของใคร เผื่อคนอื่นให้คนอื่นได้ยิ่งดี

3. สัมผัสเสพรส รสเก๊พระพุทธเจ้าก็ว่าหัดเลิก ไม่ต้องเอาเต็ม ครึ่งหนึ่งลดได้ จะรู้ว่ามันไม่จริงหรอก อุปาทานว่ามันเป็นรสชาติไปเอง มันไม่มีหรอก ชาติไหนๆก็รสอย่างนี้ ตัวใครตัวมันสมมุติเอง

4. วาจานั้นไม่ต้องใช้ความไม่จริงไปหลอกเขาเลย เรียนรู้ให้ใช้แต่ความจริง เราเลิกละมาได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็ไม่มีสิ่งหลอกลวงที่เขาว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น ที่เขาว่าสุภะเราก็เลิกได้มาตั้งแต่ต้น ศีล 5 เป็นเกณฑ์ เลิกเมาตั้งแต่สุระคือเรื่องหยาบใหญ่ของเรา ของที่มันหนักเหนื่อย เลิกเสียเถิด ก็ของใครของมันจัดการเลิกเอา จนจิตเราไม่ต้องไปสุขทุกข์กันมันได้จริง ตัวเราก็เลยได้หลุดพ้นมา

เริ่มต้นของโสดาบันต้องอ่านอาการรสอัสสาทะที่มันติดตั้งแต่ใหญ่หยาบคือสักกายะ

แต่ก่อนอาตมาเคยติดรสชาติพริก แต่ตอนนี้กินแทบไม่ได้ต้องมาฝึกให้กินได้บ้างแต่ก็ไม่จัด แค่ขนาดมีธาตุของพริกที่พอดีก็พอ แต่ถ้าเผ็ดแสบมากไอเลย ทั้งที่แต่ก่อนอร่อยข้าวทุกคำมีพริกแกล้มเลย แต่ตอนนี้ไม่มีอร่อยแบบนั้นเห็นจริงเลยว่าอร่อยปากลำบากตูด

นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วให้พวกเราทำต่อมา

สรุปว่า ไม่สูญเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน สามอย่างนี้คืนมาก็เอามาทำอื่นที่ดี ไม่ต้องเสียเวลาไปล่าสัตว์หรอกเลี้ยงสัตว์เอาไปขายอีก

เอา เวลา ทุนรอน แรงงาน สามอย่างนี้คืนมาคือเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เดี๋ยวนี้เขาเอาสามอย่างนี้ไปทำหยาบคาย ซับซ้อนปลุกเร้าในกามในราคะ เช่นพวกพริตตี้ที่ทำตอนนี้เป็นต้น ส่วนพวกเราเอาคืนมาได้ทั้งสามอย่าง ถึงได้ทำอะไรได้ทัน ทำได้เหลือเฟือ แม้เรามีคนน้อยก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ควรเรียนรู้อย่างยิ่ง

ภัสสารามตา ตัวร้าย มันซ่อนรูปมาเป็นนี่แหละ คือโทรศัพท์ คุณนิดเดียวแต่โทษมหันต์ อาตมาไม่ไปติดอย่างคุณนี่อาตมาตกต่ำกว่าคุณหรือ? ก็ไม่

นิทรารามตา เราก็ไม่ได้เสพรส คนเขาก็พยายามให้นอน ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 47 อาตมาก็ว่า ไม่ได้ลดถอยอะไรนะ ทำงานได้ปกติ อาตมากำลังศึกษาความควบแน่น เพราะอาตมาไม่มีอาการเปลี้ยเพลียโหยอะไร มีแค่อาการคันคอ เขาเอาเลือดไปตรวจว่าทำไมถึงน้ำหนักลด กินไม่ได้น้อยลงนะ

ปปัญจรามตาก็คือเนิ่นช้า หากสิ่งที่คุณชอบก็อยากให้เนิ่นนานเป็นยามา เป็นกามเทพ อยากให้อยู่กับเรานิรันดร ติดใจมันก็ดูดไปอีกนาน ก็ยิ่งเสียเวลา ปปัญจะ ยิ่งเนิ่นช้า ถ้าคุณผลักมันก็จะเลิกเร็ว แต่ผลักมันไม่ดีไม่ได้สัมพันธ์เกี่ยวข้องช่วยเหลือกัน คนร้ายคนเลวคนชั่วก็น่าช่วย ถ้าต่างคนต่างดีไม่ต้องช่วยกันก็ได้

บุคคลเสวยเวทนาอันใดก็จำอันนั้น จำได้ก็ตรึกถึงเวทนาอันนั้น ตรึกนึกถึงเวทนาบ่อยก็เนิ่นช้าในอันนั้น เวทนาก็ครอบงำบุรุษในรูปที่จะถึงเห็นเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในรส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เนิ่นช้าในนั้น

พวกเราไปหลงยินดีในงาน การการพูดคุย แม้จะเป็นสาระประโยชน์คำสอนก็ควรมีกาละเวลา ไม่ได้สัดส่วน ในความซ้อนลึกของพระพุทธเจ้า

ภัสสารามตา ตอนนี้การพูดมันอยู่ในการกดรับโทรศัพท์เอา นิ้วจะด้านหมดแล้ว

นิทรารามตา มันเป็นรสชาติเสียแล้วพวกนั่งสมาธิหลับตาคือหลับคือพัก เสพรสเดียวกับนิทรารามตา การนั่งสมาธิหลับตาบางครั้งดับสนิทนิโรธเลยว่างเบาคือการหลับไม่มีอย่างอื่นคือการนิทรา

คือลักษณะ อารามตา 4

กัมมารามตา ภัสสารามตา นิทรารามตา ปปัญจรามตา หากเราหลุดพ้นสี่อันนี้ได้ จะมีเวลา ทุนรอน แรงงานเหลือ ไปทำประโยชน์อีกมาก คนไปติดนั่งสมาธิ เช่นเนสัชชิ 24 ชม. เสียเวลาไปเท่าไหร่ นึกว่าได้บุญอีก แท้จริงมีแต่กิเลสเสริมติด

คนมีจิตวิปลาส 4 ก็จะไม่มีทางไปเห็น ความไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ความทุกข์ว่าทุกข์หรอก เขาก็เห็นเป็นสุขน่าได้น่ามีน่าเป็น ก็วิปลาส แม้มันไม่มีตัวตนเลยอนัตตาก็ไปเห็นว่ามันมีตัวตนอีก

ผู้ใดเห็นอนิจจัง ทุกขัง อสุภะ อนัตตา ก็ชัดเจนว่าแท้จริงมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วไม่เป็นตัวตนไม่เป็นภาระกับเราด้วยถ้าไม่มีมันเลย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์กับมันเลย ไม่น่ามีน่าได้ ไม่น่าเป็นกับมันเลย ก็อยู่ได้ดีด้วย

เพราะคุณติดสี่อย่างนี้ เลยมีทิฏฐิ จิตและสัญญาวิปลาสทั้งสามอย่างนี้

 

โสดาบันเริ่มรู้ไปเรื่อยๆ ปริตตัง ทำตามสัจจะของตนไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งได้มากขึ้นจะค่อยประหยัดแรงมากขึ้นอีก ตัวที่จะรู้เห็นซ้อนจากสัญญา คือกำหนดรู้เวทนา

อารมณ์กับอารามคือการซ้อนเป็นธรรมะสอง อารมณ์นั้นเหมือนกันหมด ส่วนอารามคือส่วนของตัวเองที่วิปลาส ใครเข้าใจอาการสภาวะจิตที่ไม่มีรูปร่างสีกลิ่นแต่มันมีอาการ มันเคลื่อนไหวนะ เป็นนามธรรม แต่เรารู้ได้ เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์อยากได้ อารมณ์รัก ปฏิพัทธ์รัดรึง ก็อ่านอาการว่ามันเกิดกับตนอย่างไร อ่านได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา  โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

หนึ่ง มันอยู่จริงๆตามความเป็นจริงของมัน เช่น เขียวมีอยู่ หวานมีอยู่

สอง มีสิ่งที่เป็นอาราม ที่เป็นรส ที่เราไปหลงผิด อันนั้นไม่จริง

คุณทำมันหายได้ มันก็เหลือหนึ่ง แต่ที่หายไปก็ยังจำได้อยู่ คุณเคยมีเคยเป็น คนอื่นเขายังเป็นอยู่ จึงเรียกว่า ในสอง แม้นิโรธหลุดพ้นวิมุติไปแล้วก็จะเหลือสัญญาจำได้อยู่อีก

เพราะฉะนั้นคำว่า ในสอง นี้จึงแปลยาก บาลีในไทยนี้ยังใช้ได้ ก็ขอบคุณ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คุณลักษณะโสดาบัน อนาคามี อรหันต์

ธรรมะสองนี้แหละต้องศึกษา ทางฟิสิกส์ก็ค้นพบว่าสองอย่างมี หรือ บวกกับลบ Nuclear Fission กับ Nuclear Fusion  มีแต่หายไปกับรวมตัวอยู่  Nuclear Fission เป็น isotope ก็หายยยไป  Nuclear Fusion ก็จับตัวเป็นมวลอยู่กับตัวเรา ก็ได้อาศัยอันนี้ อันโน้นก็ไม่ได้อาศัย มันก็ไป เขาก็ได้เท่านี้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นได้ทั้งสองตัวเลย รวมเป็นหนึ่งก็ยังอยู่รวมในนี้(พ่อครูทำมือ เป็นการรวม) อีกอันหนึ่ง ในความจำ เป็นพลังงานที่ลึกซึ้งกว่าฟิสิกส์เลย เป็นความจำ  ไม่มีแล้วนะ อันนั้นไม่มีแล้วในตัวเองไม่มีแล้ว แต่เป็นความจำ เห็นไม๊ ลึกซึ้งสุดยอดกว่าฟิสิกส์ สรุปแล้วถ้าเข้าใจถึงขั้นสุดยอดแห่งสุดยอดของ ธรรมะสอง  ทางฟิสิกส์เขาก็ได้    และสุดท้ายไอน์สไตน์ก็สรุป  มี Space and Time of Continuum ก็มีสิ่งนึงกับเวลา    ของพระพุทธเจ้าก็มี สอง เหมือนกัน กรรมกับกาละ of continuum เป็นปฏิสัมพันธ์ ปฏิสัมพัทธ์กัน ระหว่าง กรรมกับเวลา

กรรม ไม่ใช่วัตถุ กรรม เป็นกริยาของนามธรรมของตัวสั่งเกิด สั่งเป็น

ส่วน Space มันเป็น วัตถุ เป็นอุตุนิยาม หรือเป็นทุกอย่าง พีชนิยาม จิตนิยาม มนุษย์ สัตว์ คน ต้นหมากรากไม้ อยู่ในนี้หมด  ทุกอย่างอยู่ในนี้หมด รวมอยู่ใน Space รวมอยู่ในอวกาศ และทั้งหมดนี่แหละบรรจุอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ใหญ่เท่า galaxy ใหญ่เท่า nebula เรียกว่า เทหวัตถุแท่งทึบทั้งก้อนนี่หมด คนไม่รู้ก็คือมืด แท่งทึบ ไม่รู้อะไรก็แกะไม่ออก ถ้าคุณสามารถแกะออกได้ทะลุทะลวงได้ ก็คือ คุณก็รู้ คุณแกะไม่ออกก็คือ เทหวัตถุแท่งทึบ

เทหวัตถุแท่งทึบ นี่ จบยิ่งกว่า หลุมดำ black hole/Bermuda triangle หายไปเลย นั่นกลับเป็น ไม่รู้  แต่ เทหวัตถุแท่งทึบ นั่นเข้าไปไม่ได้  อันนี้เข้าไป หายไปเลย(Bermuda/Black Hole) หายไปเลย คนเข้าไปก็ไม่รู้ คนที่อยู่ข้างในก็ไม่รู้  เนี่ยะ สุดที่สุดมีอยู่แค่นี้ ที่สุดแห่งที่สุดมีอยู่แค่นี้

พระพุทธเจ้าท่านค้นพบเป็น ปัจจุบันธรรม เป็น ธาตุรู้ ที่เราจะรู้ได้  ส่วน ฟิสิกส์ จบที่ตัวมัน ตัวมันไม่มีธาตุรู้ มันเลยต้องทิ้งไว้แค่นั้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้น มีตัวรู้ที่จะเข้าไปรู้ จึงไปรู้ตัวนั้นด้วย  รู้ทางฟิสิกส์ด้วย

นามธรรม ที่ในตัวเราเอง เป็นฟิสิกส์ในธาตุรู้ของตัวเราเองด้วย  จึงใช้ได้  ตัวนั้นไม่มีใครไปใช้มันนี่ ตัววัตถุ ไม่มีใครไปใช้มัน มันเป็นของมันแล้วก็ไม่มีใครไปใช้ แต่เรา มีตัวตนของเรา เรามีชีวะ เราใช้มันได้ นี่เหนือชั้นกว่า เราเอามาใช้ มันได้  เพราะฉะนั้นเราใช้ Nuclear Fission เราใช้ Nuclear Fusion ได้ คือสองสภาพ รูปกับนาม หรือ บวกกับลบ พลังงาน ดูดกับผลัก

ผู้เริ่มต้นเป็นโสดาบันจะสามารถเอา Fusion กับ Fission มาใช้ได้ เรียกว่าสังขิตตังจิตตังกับวิกขิตตังจิตตัง

เราพิสูจน์ปัจจุบันกับธาตุรู้ที่เรามีโสดาบันต้องรู้ สังขิตตังจิตตังกับวิกขิตตังจิตตัง เป็นธรรมะสอง จนสามารถเอาพลังงานสองอันนี้มาทำงานร่วมกันได้ จะเป็นหญิงชายบวกหรือลบก็ทำงานร่วมกันได้

สิ่งเหล่านี้จึงเอาที่ปัจจุบัน เมื่อมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเกิดจากสัมผัสจึงเป็นของจริง ไม่มีสัมผัสไม่มีของจริง แล้วเราก็จัดการกับของจริงพวกนี้ได้ให้รวมลงเป็นหนึ่งได้ เราจึงสามารถทำพลังงานที่มีอยู่จริงในตัวเรานี้สำเร็จ เมื่อเราทำสำเร็จก็ให้คนอื่นทำ คนอื่นทำสำเร็จ อาตมาทำสำเร็จตามพระพุทธเจ้าสอนมา ไม่ใช่ของอาตมา สูตรนี้เป็นสูตรของพระพุทธเจ้า เอามาทำจึงเกิดมนุษย์ทั้งผู้หญิงผู้ชายโดยไม่ต้องไปแปลงเพศ ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็เป็นผู้ชายอยู่ในนี้ ผู้ใดสามารถดับฮอร์โมนเพศได้ คุณก็อยู่ด้วยกันไม่ต้องไปทำปฏิกิริยาอะไรกัน มาสัมพันธ์ทำงานร่วมกันอย่างเดียว จะเป็นเพศชายรูปร่างชาย จะเป็นเพศหญิงรูปร่างหญิงก็ทำงานร่วมกัน ไม่ต้องไปสมสู่อะไรกันอีกได้ จึงเกิดพลังงานร่วม 2 ร่วมลงเป็นหนึ่งเต็ม ถ้าคุณไปร่วมสมสู่ไปมีลูกต้องเสียพลังงานแบ่งเวลาทุนรอนแรงงานไปอีกเยอะ แต่นี่ประหยัดพลังงานเวลานี่คือเศรษฐศาสตร์ชั้นเยี่ยม และไม่มีลูกแต่แค่เสพก็เสียพลังงาน เพราะฉะนั้นเราเซฟหมดเลย ทฤษฎีพระพุทธเจ้าเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เซฟขนาดไหน แล้วก็ทำพลังงานร่วมกัน 2 หน่วย บวกกับลบก็ได้ ชายกับหญิงก็ได้อิตถีภาวะกับปุริสภาวะก็ได้ ก็ทำงานร่วมกันในนี้ 2 รวมลงเป็นหนึ่ง จบ

นี่คือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธที่ยิ่งใหญ่ พวกเราเอามาทำได้ แต่ละคนไม่มีจริงๆ แต่ทำไมมันมีอะไรใหญ่โตไปหมด อันนี้คือสิ่งที่น่าประหลาด ราชธานีอโศกนี้สร้างพ.ศ. 2537 มาถึงวันนี้ 20 ปี บางหมู่บ้านเขาสร้างกันมาเป็นร้อยปีก็ยังได้แค่นั้น จะมีลูกแตงร้าน มีแตงจริงแตงไทย มีกล้วยลูกตัวโตมาแบ่งกันกินเหมือนพวกเราไหม

 

จากอนาคามีเหลือส่วนละอองธุลี มีห้าแบบของอนาคามี

1. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.  อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)

 

หมดอนาคามีเป็นอรหันต์  อาจนานมากเป็นอันตราปรินิพพายี นานหลายล้านชาติเลย ถ้าทำด้วยสามารถ

คุณลักษณะ 12 ของพระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง

1.  เป็นคนหมดทุกข์  (ดับทุกข์อริยสัจ)

2.  เป็นคนไม่มีภัย

3.  เป็นคนมีคุณค่า

4.  เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว

5.  เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

6.  เป็นคนมีเมตตาจริง

7.  เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้

8.  เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว

9.  เป็นคนทำแต่กุศล

10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว

11.เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน

12.เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์

12 ข้อนี้อาตมาไล่เอง พยายามตามในพระไตรปิฎก 10 ข้ออ่านผ่านตาไม่รู้อยู่ตรงไหน อาตมาไล่มาตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ฟังดูมีในตัวไหม ไปตรวจสอบเอง อาตมาพูดนี่ไม่ได้พูดเล่น คุณฟังแล้วคุณเชื่อว่าเป็นจริงไม๊ (จริง..) ข้างนอกเขาไม่เชื่อหรอก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ตรวจอรหันต์ ฉวิโสธนสูตร 1/2

ต่อมา..

 

2.  ฉวิโสธนสูตร  (112)

[166]  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ  ทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

 

[167]  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า  ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  พวกเธออย่าเพ่อยินดี  อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  ครั้นไม่ยินดีไม่คัดค้านแล้ว  พึงถามปัญหาเธอว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ

โวหารอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  4  ประการ  4  ประการเป็นไฉน  คือ  คำกล่าวว่า  เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว  คำกล่าวว่าได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว  คำกล่าวว่า  ทราบในอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว  คำกล่าวว่ารู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว  นี้แล  โวหาร  4  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจาก  อาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้  ฯ

 

[168]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้น  สัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน  พ้นวิเศษแล้ว  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...

 พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุ

ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  นี้มี  5  ประการแล 5  ประการเป็นไฉน  คือ  รูปูปาทานขันธ์  เวทนูปาทานขันธ์  สัญญูปาทานขันธ์  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์ ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอุปาทานขันธ์  5  ประการ  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้  ฯ

 

[169]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า  ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูปได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งเวทนาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในเวทนา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในเวทนาได้  ข้าพเจ้ารู้จักแจ้งสัญญาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสัญญา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสัญญาได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งสังขารแล้วแลว่า  ...  จิต  ของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสังขาร  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสังขารได้

ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า  ไม่มีกำลัง  ปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจจึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ธาตุอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  6  ประการ  6  ประการเป็นไฉนคือปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  อากาสธาตุ  วิญญาณธาตุ  ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลธาตุ  6  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้น  จากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้  ฯ

 

[170]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้  ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยเตโชธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุโดยความเป็นอนัตตา...เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยอากาสธาตุและอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยอากาสธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวิญญาณธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยวิญญาณธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวิญญาณธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวิญญาณธาตุได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แลจึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ก็อายตนะภายใน  อายตนะภายนอก  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มีอย่างละ  6  แล  อย่างละ  6  เป็นไฉนคือจักษุและรูป  โสตและเสียง  ฆานะและกลิ่น  ชิวหาและรส  กายและโผฏฐัพพะมโนและธรรมารมณ์  ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอายตนะภายในอายตนะภายนอกอย่างละ  6  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6 เหล่านี้  ฯ

[171]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควร  จะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในจักษุ  ในรูป  ในจักษุวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในโสต  ในเสียง  ในโสตวิญญาณ  และใน  ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดีตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในฆานะ  ในกลิ่น  ในฆานวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในชิวหา  ในรส  ในชิวหาวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณ  ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหาอุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในกาย  ในโผฏฐัพพะ  ในกายวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ

ข้าพเจ้าทราบ  ชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความ  พอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในมโน  ในธรรมารมณ์  ในมโนวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6  เหล่านี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุ

ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ก็เมื่อท่านผู้มีอายุ  รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไร  จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา  ว่าของเรา  ในกายอันมีวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหมด  ในภายนอกได้ด้วยดี  ฯ

 

[172]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้ครองเรือน  ยังเป็นผู้ไม่รู้  พระตถาคตบ้าง  สาวกของพระตถาคตบ้าง  แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าฟังธรรมนั้นแล้ว  จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต  ข้าพเจ้าประกอบด้วยการได้ความเชื่อโดยเฉพาะนั้น  จึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า  ฆราวาสคับแคบ  เป็นทางมาแห่งธุลี  บรรพชาเป็นทางโปร่ง … เป็นผู้เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงและใหญ่  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทองและเงิน  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร  เป็นผู้เว้นขาดจากการ  รับช้าง  โค  ม้า  และลา  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน  เป็นผู้เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้  เป็นผู้เว้นขาดจากการซื้อและการขาย  เป็น  ผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง  โกงด้วยของปลอม  และโกงด้วยเครื่องตวงวัด  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับสินบน  การล่อลวง  และการตลบตะแลงเป็นผู้เว้นขาดจากการตัด  การฆ่า  การจองจำ  การตีชิง  การปล้น  และการกรรโชก  ข้าพเจ้าได้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย  และบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้องจะไปที่ใดๆ  ย่อมถือเอาบริขารไปได้หมด  เหมือนนกมีปีก  จะบินไปที่ใดๆ  ย่อมมีภาระคือปีกของตนเท่านั้นบินไป  ฯ

 

[173]  ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้เสวยสุขอันปราศจากโทษภายใน  เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว  ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์อันมีการเห็นรูปเป็นเหตุ  ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่  พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้  รักษาจักขุนทรีย์  ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์แล้ว  ได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว...ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว  ...  ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว  ...  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว  ...  รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว  ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์อันมีการรู้ธรรมารมณ์เป็นเหตุ  ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่  พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้  รักษามนินทรีย์  ถึงความสำรวมในมนินทรีย์แล้ว  ฯ

 

[174]  ข้าพเจ้าประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้เสวยสุขอันไม่เจือทุกข์ภายใน  ได้เป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดูและเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลาฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ  ในเวลาเดิน  ยืน  นั่ง  นอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  ฯ

 

[175]  ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้  ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้  และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด  คือ  ป่า  โคนไม้  ภูเขา  ซอกเขา  ถ้ำบนภูเขา  ป่าช้า  ป่าชัฏ  ที่แจ้ง  และลอมฟาง  ข้าพเจ้ากลับจากบิณฑบาต  ภายหลัง  เวลาอาหารแล้ว  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง  ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  ละอภิชฌา  ในโลกได้แล้ว  มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌาละความชั่วคือพยาบาทแล้ว  เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาทละถีนมิทธะแล้วเป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ  มีอาโลกสัญญา  มีสติสัมปชัญญะ  อยู่ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ  ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว  เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน  มีจิตสงบภายในอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ  ละวิจิกิจฉา  แล้ว  เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้  ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา  ฯ

 

[176]  ข้าพเจ้าครั้นละนิวรณ์  5  ประการนี้  อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง  ทำปัญญาให้ถอยกำลังแล้ว  จึงได้สงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม  เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  ได้เข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะสงบวิตกและวิจาร  ไม่มี  วิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  ได้เป็นผู้วางเฉย  เพราะหน่ายปีติมีสติสัมปชัญญะอยู่  และเสวยสุขด้วยนามกาย  เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกข้าพเจ้านั้นได้ว่า  ผู้วางเฉย  มีสติ  อยู่เป็นสุขอยู่  ได้เข้าจตุตถฌาน  อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุข  ละทุกข์  และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ  ได้  มีสติบริสุทธิ์  เพราะอุเบกขาอยู่  ฯ

 

[177]  ข้าพเจ้าเมื่อจิตเป็นสมาธิ  บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน  ปราศจากอุปกิเลส  เป็นจิตอ่อนโยน  ควรแก่การงาน  ตั้งมั่น  ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว  จึงได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ  ข้าพเจ้าได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์  นี้เหตุให้เกิดทุกข์  นี้ที่ดับทุกข์  นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับทุกข์  ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า  เหล่านี้อาสวะ  นี้เหตุให้เกิดอาสวะนี้ที่ดับอาสวะ  นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับอาสวะ  เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนี้  เห็นอย่างนี้  จิตก็หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ  แม้จากภวาสวะ  แม้จากอวิชชาสวะ  เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว  ได้มีญาณรู้ว่า  หลุดพ้นแล้วรู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ดูกรท่านผู้มีอายุ  เมื่อข้าพเจ้ารู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา  ว่าของเรา  ในกายอันมีวิญญาณนี้  และในนิมิตทั้งหมดในภายนอกได้ด้วยดี  ฯ

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุครั้นแล้วพึงกล่าวแก่ภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  เป็นลาภ  ของพวกข้าพเจ้า  พวกข้าพเจ้าได้ดีแล้ว  ที่พิจารณาเห็นท่านผู้มีอายุ  เช่นตัวท่านเป็นสพรหมจารี  ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล  ฯ

                   จบ  ฉวิโสธนสูตร  ที่  2


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:10:40 )

590328

รายละเอียด

 590328_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โสณทัณฑสูตร 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2559 ตอนนี้น้ำหนักอาตมาลดลง อาตมาตั้งใจจะอยู่นานๆ ไม่ได้อยู่เพื่อได้ลาภยศสรรเสริญหรือแย่งชิงอะไรนะ อาตมาชัดเจนว่าอาตมาก็อยู่เพื่อมุ่งมั่นมากที่สุดคือต้องการเปิดเผยธรรมะพระพุทธเจ้า

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน รู้กายผิด หมดสิทธิ์บรรลุอรหันต์

อาตมามั่นใจจริงๆว่าอาตมามีธรรมะพระพุทธเจ้าที่ถึงขั้นบรรลุ โดยไม่ได้คิดว่าอยากอวดอยากโอ่นะ เพราะอาตมาคิดว่าคนไม่เชื่อมีเยอะ แต่คนเชื่อก็มี แม้อาตมาบอกไปแล้วก็เชื่อว่าคนมีจิตผลักจะมี เพราะเขาไม่เข้าใจว่าผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าคือโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์นั้นเป็นอย่างไร

แม้คำสอนพระพุทธเจ้าอยู่ครบพยัญชนะมีอยู่ แต่เขาอ่านจิตไม่ออก ไม่รู้อาการลิงค นิมิต อุเทศ ที่ต้องรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งสี่อย่างนี้คือ จิตทั้งนั้น และมีสภาวะ สสัมภาระ และอารัมนะอย่างไร สมมุติเรียกว่ากาย นั่นคือจิต ตามที่ตถาคตเรียกว่า กาย บ้าง จิตบ้าง มโนบ้าง ท่านผู้แปลในพระไตรปิฎก ภาษาไทย อาตมาก็รับรองว่าถูกต้องไม่ผิดเลย แล้วท่านก็แปลถูกด้วย กายนั้นตถาคตเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง

กายท่านไม่ได้ตรัสว่าแค่คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการอย่างไรมีจิตร่วมอยู่ที่เรียกว่ากาย เพราะกายคือจิต เน้นจิตเป็นหลัก แต่คำว่ากายนั้นขาด ดิน น้ำ ไฟ ลมไม่ได้ ถ้าขาดดินน้ำไฟลมไป จิตร่วมกับดินน้ำไฟลมนั้นไม่ได้ขาดตรงนี้ ถ้าดินน้ำไฟลมส่วนใหญ่ขาดจิตไปร่วมด้วยอันนั้นไม่ใช่กาย

เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มันไม่มีจิตไปร่วม อันนั้นตัดทิ้งได้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ส่วนที่ไม่เจ็บไม่รู้สึก อันนั้นไม่ใช่กาย แต่ภาษาไทยคำว่ากายนี้ ทั่วไปเลย ภาษาพระ ภาษาธรรมะก็เพี้ยนไปแล้ว มูลกรรมฐาน 5 นี้ผิดเพี้ยนไปแล้ว นักปฏิบัติธรรมทั้งนั้น แม้ส่วนที่ตัดขาดจากร่างเราไป เขาก็เรียกว่า กาย ซึ่งตรงกันข้ามกับสัจจะความจริง ส่วนที่ตัดออกไปไม่ใช่กาย

เมื่อไม่รู้จักคำว่า กาย ก็ไม่รู้สักกายทิฏฐิ กายในกาย ไม่ได้ ไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อย่างไร มันคือกาย ไม่ถูกต้อง เข้าใจผิดแน่นอน เมื่อเข้าใจผิดแล้วมันปฏิบัติไม่ได้ เมื่อเข้าใจผิดตั้งแต่กายไปแล้ว ที่สุดพระพุทธเจ้าว่า ต้องรู้ว่าตนบรรลุธรรม จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีกายสักขี ต้องมีกายสักขี สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาตมาว่าสับสนหมดเลย

อาตมาจึงกล้าพูดโดยผ่าเต็มรูปแบบเลยว่า ไม่มีใครบรรลุธรรม ไม่มีอรหันต์ ตั้งแต่ภาษาไทยที่ได้บัญญัติว่า กายคือร่าง คือดินน้ำไฟลม แต่เมื่อได้เรียนรู้กายแล้วอย่างถูกสัมมาทิฏฐิ จึงปฏิบัติบรรลุได้

คือต้องรู้ สักกายะก่อนอื่น ถ้ารู้คำว่ากายนี้ก่อนไม่ได้ก็หมดสิทธิ์บรรลุอรหันต์ เมืองไทยจึงไม่มีอรหันต์มานาน เท่าที่เข้าใจคำว่ากายผิดไปนี่ โดยเฉพาะในวงการศาสนาพุทธ ที่เข้าใจผิดเพี้ยนเป็นสัญญาวิปลาส จิตก็วิปลาสด้วย จะไปปฏิบัติอย่างไรก็วิปลาสหมด จะเข้าใจความเที่ยงไม่เที่ยง มีตัวตนไม่มีตัวตน สุภะหรืออสุภะก็ผิดหมด

จะไปเข้าใจว่าทุกข์ว่าสุขไม่ได้ อาตมาบอกว่าสุขนี่เป็นของเท็จ มีบัญญัติว่าสุขขัลลิกะ ผู้รู้ในเมืองไทยหาว่าอาตมาพูดผิด แต่อาตมารู้สภาวะว่าสุขนี่เป็นเท็จ ทุกข์มันจริงกว่า ต้องปฏิบัติพ้นทุกข์อาริยสัจ แต่เข้าใจทุกข์สุขไม่ได้จะไปรู้อาริยสัจได้อย่างไร ที่ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นจะได้อย่างไร เขาฟังไม่ขึ้นว่าสุขเป็นเท็จ

อาตมาประกาศว่าอาตมาเป็นอรหันต์เขาหัวร่อเลย เขาจะเข้าใจลักษณะอรหันต์คนละอย่างกับอาตมาเลย อาตมาพูดตำหนิด่าว่า เขาว่าดูเหมือนโกรธ เขาอ่านจากกิริยาข้างนอกเท่านั้น แต่อาตมาบอกว่าอาตมาไม่มีชอบหรือชังเลย

ถ้าอาตมาประกาศอรหันต์ไปนี่ หนึ่งจะมีเสียงด่า หรือว่าจะไม่มีคนฮือฮาเลย เพราะว่าถ้าพระพุทธเจ้าอุบัติในโลก เสียงเล่าลือกันไปมากมาย แต่ยุคนี้อรหันต์ประกาศ เหมือนพระพุทธเจ้าประกาศก็ประกาศเฉยๆอย่างนี้แหละ แต่ถ้าความเชื่อของสังคมเขาก็ไม่ต่อต้าน แต่อาตมาไม่ได้ยกตนเทียบพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าท่านมีบารมีพร้อม อาตมาไม่ได้มีบารมีเช่นนั้น ถ้าอาตมาบอกไปนี่ หนึ่ง จะมีผลสะท้อนด่าว่ามา สอง จะไม่ฮือฮาคนไม่ตื่นเต้นเพราะเขาไม่เชื่อ ตกลงอาตมาประกาศไปเป็นจริง ไม่ตื่นเต้นไม่ฮือฮา และสอง ที่ว่าจะด่ามานี่ผิดคาดนิดหน่อยว่า ไม่มี เพราะว่ากว่าอาตมาจะประกาศก็ใช้เวลานาน อาตมาประกาศปี 2558 ที่งานพุทธาภิเษกฯ เดือนมีนาคม ที่ไพศาลี อาตมาทำงานศาสนามา 45 ปีย่างเข้า 46 จึงประกาศ ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ตัว แต่อาตมารู้ตัวเองมานาน

อาตมาเคยเล่าแล้ว ว่าเคยบอก น้องสาวคือขวัญดี กับอ.แสง จันทร์งามไป ไม่ได้พูดไปเล่นๆเรื่อยๆเลย แต่เหมาะสมแล้วจึงบอก แม้แต่ตอนอาตมาจาริกไปโคราช ปี 2517 หลังบวชปี 2513 ไปปักกลดที่ศาลากลาง ท่านเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดมาถามจะเอาเรื่องอาตมา อาตมาก็ว่าเผยแพร่ธรรมะ ท่านก็ถามว่าเอาอะไรมาเผยแพร่ อาตมาก็ว่าเอาความรู้ทางธรรมะ ท่านก็ว่าจบอะไร อาตมาก็ว่าเอาธรรมะที่เป็นการบรรลุธรรมของอาตมา ท่านก็ว่าอ๋อบรรลุหรือ

แต่ในยุคนี้ก็ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยมาปฏิบัติจนได้ผล เกิดเป็นหมู่กลุ่ม เช่นทุกวันนี้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก

สงบอย่างคล่องแคล่ว เช่น กายปัสสัทธิ ไม่ได้หมายถึงนั่งนิ่งไม่กระดิก แต่กายปัสสัทธิคือ เจตสิกสาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร มีความสงบจากกิเลสแต่แคล่วคล่องว่องไว เป็นกายปาคุญญตา ทำงานได้คล่องแคล่วปราดเปรียว เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน ไม่ใช่สงบแบบที่ว่า ผู้นิโรธจะเชื่องช้า ไม่ใช่นะ แต่จะยิ่งคล่องแคล่ว เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะทุกวันนี้เข้าใจไปแบบฤาษีชีไพร เข้าใจอาริยะคือพวกพระป่าฤาษีชีไพร เป็นพระนั่งหลับตาเอานิโรธแบบมิจฉา มันไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นมโนมยอัตตา ไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้ความเป็นจริงอย่างปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ จะทำให้เกิดนิโรธที่จะมีปัญญาเจริญ ยิ่งรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งเป็นผู้รู้ผู้ตื่น ไม่ใช่ว่ารู้อย่างหลับๆแล้วหลับไม่รู้ ไม่ใช่ แต่ยิ่งเบิกบานปราดเปรียว Active ไม่ innert

ที่อาตมาได้ประกาศโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้รู้จะพยายามศึกษา แต่ผู้ไม่เชื่อก็อาจหมั่นไส้ก็ต้องขออภัย หรือท่านไม่ฟังเลยก็ดีจะไม่ได้เกิดอาการทางจิต

 

มาอ่าน SMS 27 มี.ค.59

_0893867xxx หลวงปู่พุทธะอิสระปกป้องพระลิขิตฯในสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงรักษาพระธรรมวินัยในพระศาสดาที่สากลโลกยอมรับในจริยวัตรสมถะสันโดษเป็นเลิศ!คนโลภเห็นไม่ง่าย แต่คนพอเห็นไม่ยาก

_0893867xxx ธรรมะพ่อครูฯมีแต่คนพอเพียงพ้นโลกธรรมเท่านั้นที่เชื่อ!คนโลภไม่รู้จักพอหลงอำนาจลาภยศเงินตราจมโลกธรมไม่เชื่อพ่อครูฯช่างหัวมันเถอะ

_0893867xxx ธรรมอโศกมีแต่คนใจพอเข้าถึงจนหมดสิ้นทุกข์โศกได้!แต่คนไม่รู้จักพอเข้าถึงยากจนหมดทางสิ้นทุกข์โศกโดยอยู่กับสุขหลอกตัวเองทุกวัน!

_0893867xxx สมาธิหลับตาปิดกั้นการรับรู้สุขทุกข์แต่สมาธิลืมตาเปิดรับรู้ทุกผัสสะเป็นปัจจัยจากการสำรวมอินทรีย์6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิดskk

_0893867xxx สุขดาวดึงส์สุขสุขาวดียากนิรันดร์!สุขชมพูทวีปสุขจากพ้นจากทิฎฐิ10สงบนิรันดร(วูปสมสุขฤาปรมังสุขัง)!

 

_0897224xxx นมก พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงวันนี้ได้รู้ธรรม2หรือพลังงาน2กลายเป็น1ของฟิสิกส์ทางจิต สาธุ

 

_0890015xxx ธรรมะรับใช้โลกหรือโลกรับใช้ธรรม

พ่อครูว่า...ธรรมะรับใช้โลกนั้นถูกแล้ว ธรรมะกับโลกไม่ได้ขัดแย้งกัน ธรรมะมีแต่ช่วยโลก จึงเรียกว่ารับใช้โลก โลกานุกัมปายะคือรับใช้โลก

 

_0890015xxx บวชเณรฤดูร้อนคือแผนการตลาดพระหาเงิน

พ่อครูว่า...ถูกต้อง ขอพูดผ่าหัวเลย การบวชเล่นบวชหัวคือการทำลายศาสนาอย่างร้ายแรง แม้บวชตามประเพณีก็ตาม จะตั้งใจอย่างไรมันก็ปลอม แต่การเอาเด็กมาบวชเป็นสังคมศาสตร์ก็ไม่ดี ต้องมาบวชอย่างเข้าใจว่าจะต้องปฏิบัติเพื่อนิพพานจริงๆ คนเป็นหนี้ก็มาบวชไม่ได้นะ พระมีเงินไม่ได้นะ หรือพระรับเงินเดือนก็ไม่ได้ ก่อนบวชเขาก็ถามว่าเป็นราชปัตโตหรือไม่? คือเป็นข้าราชการหรือไม่? ถ้าเป็นข้าราชการจะรับเงินเดือนอยู่ก็บวชไม่ได้

 

_0893867xxx ถ้าพ่อครูฯเมื่อยปาก!หูพวก เราจะห่อเหี่ยว!เพราะไม่มีเสียงใดปลุกพลังปัญญาในใจชนได้ดีเท่ากับเสียงธรรม!ผู้ตามติดพระตปฎ.จรธ.

 

_คุณพิมพ์เพชรรุ้ง ถามมา

กราบนมัสการ พ่อท่านฯ สมณะโพธิรักษ์

เมื่อวานนี้ ขณะที่ดิฉันได้เห็นข่าวสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ทำพิธีล้างเท้าและก้มลงจูบเท้าของผู้อพยพต่างศาสนา ทีละคน ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่หลั่งน้ำตาไปด้วย ดิฉันเองก็น้ำตาไหลตามและรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

ดิฉันคิดได้ว่า ความหวังที่จะได้เห็นสันติภาพเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ อยู่ที่การลดอัตตาตัวตนของผู้มีอำนาจนี่เอง. ( ถูกต้องหรือไม่คะ )

ถ้าผู้มีอำนาจทั้งหลายบนโลกได้เห็นภาพจากข่าวนี้ แล้วลดอัตตาตัวตน เลิกหอบหวงโลกธรรม มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว ปัญหาต่างๆก็คงจะน้อยลง โลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ

กลับมาที่ประเทศของเรา ดิฉันจะไม่ขอกล่าวถึงผู้ที่มีอำนาจในองค์กรพุทธศาสนา เพราะท่านเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดกันอยู่ในเวลานี้

แต่ดิฉันจะขอกราบเรียนนิมนต์พ่อท่านฯ กรุณาชี้ว่า เราในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมจะหลีกเลี่ยงภัยจากการหอบหวงโลกธรรมได้อย่างไรบ้าง ดังที่เราได้เห็นตัวอย่างจากทั่วโลก ที่มีผู้ที่ทุกข์ยากเพราะได้รับผลกระทบแบบลูกโซ่ มาจากผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนที่ตกเป็นทาสของโลกธรรมนี่เอง

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งคะ

พ่อครูว่า...พระสันตะปาปาองค์นี้มีคุณธรรมที่น่าเคารพเป็นอย่างมาก ขอขยายความ ศาสนาคริสต์เทวนิยมกับของพุทธ

ประเด็นที่ต่างกันมากคือโลกุตระของพระพุทธเจ้าต้องรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน ข้อสำคัญคือจับสักกายะคือกิเลสตัวตน อ่านได้แม้ไม่มีสีสันรูปร่างก็อ่านออก มันมีอาการนิมิต ที่กำหนดรู้ได้ ของตนเองกำหนดเอง มันเป็นอรูป แล้วสามารถทำอกุศลจิตให้ลดลงได้ เป็นปรมัตถธรรมสุดยอดของพระพุทธเจ้า

ส่วนการควบคุมตนเองลดกายกรรมวจีกรรมให้เป็นคนมักน้อยสันโดษ รับใช้สังคมทำได้ก็ดีเช่นเดียวกัน ในสภาพแสดงออกทางรูปธรรม ทำได้ นามธรรมก็สามารถเข้าใจ แล้วทำให้ตนเองมีกายกรรม วจีกรรม ที่มีสภาพที่ฤาษีดาบส เทวนิยมก็ทำได้เหมือนพุทธ แต่ต่างกันที่ไม่รู้อ่านไม่ได้ในจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้ เวทนา สัญญา สังขาร ไม่รู้รูป 28 ไม่สามารถดับกิเลสให้ไม่เกิดอีกเลยตลอดกาลถาวร นิรันดร์ ส่วนทางโน้นมีนิรันดร์ เช่น จิตดีที่สุดคือพระเจ้า แต่ไม่รู้จักอาการลิงค นิมิต อุเทศ ของพระเจ้าจริง

สรุปอีกทีว่าตนเองต้องปฏิบัติจนหลุดพ้นได้ ทำงานที่ไม่มีโทษภัยอีกเลยเพราะมีปัญญาเลือกเฟ้น

 

_คุณ ศีลสนิทฝากมา

กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ขอฟ้องค่ะ สมาชิกไลน์ของกลุ่มอโศกใช้ไลน์ไม่รู้จุดประสงค์ของกาละ เทศะ. บุคคล ยิ่งกว่าคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็มี ส่งตะพึดตะพือ ทั้งธรรมะ ข่าวสาร ภาพ วิดีโอ อยู่สิบกลุ่ม ส่งสิ่งเดียวกันมันสิบกลุ่ม เลย รกไปทุกกลุ่ม บางทีสมณะจัดกลุ่มให้แล้ว แจ้งวัตถุประสงค์แล้ว แต่ก็ไม่ฟัง  กราบนิมนต์พ่อท่าน ลงมาปราบให้ราบคาบ ด้วยค่ะ  แต่ละกลุ่มมีจุดประสงค์ชัดเจน หรือเสนอให้โพสต์เรื่องขึ้น timeline. ของตนเองไปเรยยยย!!!  กราบขอบพระคุณค่ะ.กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า...พวกเล่นไลน์นี้ก็อาตมาไม่รู้เรื่องกับเขาหรอก

 

_มาดูคนสุดท้ายนะ …

กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ

สืบเนื่องจากการแสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่27 มีนาคม ศกนี้เกี่ยวกับอาการที่เป็นของหลอกสี่ประการทำให้เกิดความเสื่อม หนึ่งในนั้นคือ "ปปัญจารามตา"   

" ณ ที่แห่งนั้น สะอาด สงบ สะดวกด้วยที่อาศัยและการบริโภคเช่นมีอาหาร มีน้ำปานะหรือน้ำหวานให้ดื่มตลอดวัน มีห้องให้พักอย่างสบาย เรานั่งทำภาวนาเจโตสมถะจนเกิดความสงบ เบา จิตดิ่งนิ่งลึกรู้สึกสบายจนอยากอยู่ณ ที่นั้นนานๆเพื่อทำภาวนาแบบนี้"

ขอกราบเรียนถามว่านี่คือ"ปปัญจารามตา"ใช่ไหมคะ กราบขอบพระคุณค่ะกราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูง

โพธิบุตรี

พ่อครูว่า...ถูกต้องแล้ว ใช่ ที่ไปสำนักบางสำนัก ไปปฏิบัติสะอาดสงบสะดวก เราก็นั่งเจโตสมถะภาวนา ยิ่งตอนตายไปแล้วนิโรธดับแบบฤาษีได้สนิทเท่าไหร่ยิ่งจมอยู่นานเท่านานเมื่อตายไปแล้ว ป่านนี้อาฬารดาบส อุทกดาบสยังไม่มาเกิดเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน โสณทัณฑสูตร ตอน 3/4 

มาเข้าสู่บทเรียนโสณทัณฑสูตรต่อ

[183] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า

ท่านโสณทัณฑะกล่าวชมพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากท่านพระโคดมพระองค์นั้นจะประทับอยู่ไกลจากที่นี้ตั้งร้อยโยชน์ ก็ควรแท้ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะไปเฝ้า แม้จะต้องนำเสบียงไปก็ควร

พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหมดจักไปเฝ้าพระสมณโคดม

ลำดับนั้นพราหมณ์โสณทัณฑะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ ไปถึงสระโบกขรณีคัคครา เมื่อผ่านพ้นราวป่าไปแล้ว ได้เกิดปริวิตกขึ้นอย่างนี้ว่า ถ้าเราจะถามปัญหากะพระสมณโคดม หากพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรถามอย่างนั้น ที่ถูกควรจะถามอย่างนี้ ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลาไม่ฉลาด ไม่อาจถามปัญหาโดยแยบคายกะพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ

ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะพึงตรัสถามปัญหาเรา และเราแก้ไม่ถูกพระทัย ถ้าพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้

ท่านไม่ควรแก้อย่างนั้น ที่ถูกควรจะแก้อย่างนี้ ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่าพราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยพระสมณโคดมได้

ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ

อนึ่ง เราเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้วยังมิได้เฝ้าพระสมณโคดมจะกลับเสีย บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด กระด้างด้วยมานะ เป็นคนขลาดไม่อาจเข้าเฝ้าพระสมณโคดมได้ เข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่ทันเฝ้าพระสมณโคดม ไฉนจึงกลับเสีย ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ.

 

[184] ลำดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา บางพวกก็ถวายอภิวาท บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งๆ ได้ยินว่า ในขณะนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะนั่งครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนั้นว่า ถ้าเราจะพึงถามปัญหากะพระสมณโคดม หากพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรถามอย่างนั้น ที่ถูกควรจะถามอย่างนี้ ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจถามปัญหาโดยแยบคายกะพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศ ก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะพึงตรัสถามปัญหาเรา ถ้าเราแก้ไม่ถูกพระทัย ถ้าพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรแก้อย่างนั้น ที่ถูกควรจะแก้อย่างนี้ดังนี้ บริษัทนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาดไม่อาจแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกบริษัทดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้ากระไร ขอพระสมณโคดมพึงตรัสถามปัญหาเราในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์เรา เราจะพึงแก้ให้ถูกพระทัยของพระองค์ได้เป็นแน่.

 

[185] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดในใจของพราหมณ์โสณทัณฑะด้วยพระหฤทัย แล้วทรงดำริว่า พราหมณ์โสณทัณฑะนี้ลำบากใจตัวเองอยู่ ถ้ากระไร เราพึงถามปัญหาเขาในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์เขา ต่อแต่นั้น จึงได้ตรัสถามพราหมณ์โสณทัณฑะว่า

ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เท่าไร พวกพราหมณ์จึงบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย พราหมณ์โสณทัณฑะดำริว่า เราได้ประสงค์จำนงหมายปรารถนาไว้แล้วว่า ถ้ากระไร ขอพระสมณโคดมพึงตรัสถามปัญหาเรา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์เรา เราจะพึงแก้ให้ถูกพระทัยของพระองค์ได้เป็นแน่นั้น เผอิญพระองค์ก็ตรัสถามปัญหาเรา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์เรา เราจักแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยได้เป็นแน่ทีเดียว.

                              

พราหมณ์บัญญัติ

[186] ลำดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะจึงเผยอกายขึ้นเหลียวดูบริษัท แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ 5 ประการ พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย 5 ประการเป็นไฉน? ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ในโลกนี้

1. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ.

2. เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะพร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ.

3. เป็นผู้มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย.

4. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน.

5. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ 5 เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.

 

[187] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ทั้ง 5 เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์เพียง 4 อาจจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย? พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ทั้ง 5 เหล่านี้ ยกวรรณะเสียก็ได้ เพราะวรรณะจักทำอะไรได้ ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์

1. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ หมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ.

2. เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะพร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์ โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ.

3. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน.

4. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของพวกปฏิคาหก ผู้รับบูชาด้วยกัน.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ 4 เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องมุสาวาทด้วย.

 

[188] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ 4 เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์เพียง 3 อาจบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย? พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ 4 เหล่านี้ จะยกมนต์เสียก็ได้ เพราะมนต์จักทำอะไรได้ด้วยเหตุว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์.

1. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ.

2. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน.

3. เป็นบัณฑิต มีปัญญา เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ 3 เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.

 

[189] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ 3 เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์เพียง 2 อาจจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย? พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ 3 เหล่านี้ ยกชาติเสียก็ได้ เพราะชาติจักทำอะไรได้ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์.

1. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน.

2. เป็นบัณฑิต มีปัญญา เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ 2 เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.

 

[190] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะทูลอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า ท่านโสณทัณฑะอย่าได้กล่าวอย่างนั้นเลย ท่านโสณทัณฑะอย่าได้กล่าวอย่างนั้นเลย

ท่านโสณทัณฑะกล่าวลบหลู่วรรณะ กล่าวลบหลู่มนต์ กล่าวลบหลู่ชาติ กล่าวคล้อยตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียวเท่านั้น.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า ถ้าพวกท่านคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะอ่อนการศึกษา พูดไม่ดี มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมในเรื่องนี้ได้ พราหมณ์โสณทัณฑะก็จงหยุดเสีย พวกท่านจงพูดกับเราเถิด แต่ถ้าพวกท่านคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นผู้พหูสูต พูดดีเป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมในเรื่องนี้ได้ พวกท่านจงหยุดเสีย พราหมณ์โสณทัณฑะจงโต้ตอบกับเรา.

 

[191] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูลว่า ขอพระโคดมผู้เจริญทรงหยุดเถิด ขอพระโคดมผู้เจริญทรงนิ่งเสียเถิด ข้าพระองค์เองจักโต้ตอบเขาโดยชอบแก่เหตุ แล้วจึงกล่าวกะพราหมณ์พวกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย อย่าได้กล่าวอย่างนี้ๆ ว่าท่านพราหมณ์โสณทัณฑะ กล่าวลบหลู่วรรณะ กล่าวลบหลู่มนต์ กล่าวลบหลู่ชาติ กล่าวคล้อยตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียวอย่างนี้เลย ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวลบหลู่วรรณะหรือมนต์หรือชาติเลย.

 

ว่าด้วยคุณของมาณพอังคกะ

[192] สมัยนั้น อังคกะมาณพหลานของพราหมณ์โสณทัณฑะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วยพราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวกะพราหมณ์พวกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย นี้อังคกะมาณพหลานของข้าพเจ้า พวกท่านเห็นหรือไม่ พราหมณ์เหล่านั้นตอบว่า เห็นแล้วท่าน พราหมณ์โสณทัณฑะ

กล่าวต่อไปว่า อังคกะมาณพเป็นคนมีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนักมีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย ในบริษัทนี้ยกพระสมณโคดมเสียไม่มีใครมีวรรณะเสมออังคกะมาณพเลย อังคกะมาณพเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ ข้าพเจ้าเป็นผู้บอกมนต์แก่เธอ เธอเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาบิดามีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยอ้างถึงชาติ ข้าพเจ้ารู้จักมารดาบิดาของเธอ

ถึงอังคกะมาณพจะพึงฆ่าสัตว์บ้าง จะพึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้บ้าง จะพึงคบหาภริยาของบุคคลอื่นบ้าง จะพึงกล่าวเท็จบ้าง จะพึงดื่มน้ำเมาบ้าง ในเวลานี้ ในฐานะเช่นนี้วรรณะจักทำอะไรได้ มนต์จักทำอะไรได้ และชาติจักทำอะไรได้ ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน และเป็นบัณฑิต มีปัญญา เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ 2 เหล่านี้แล พวกพราหมณ์จะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ก็ได้ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็จะพึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.

 

[193] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ 2 นี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้วบุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เพียง 1 อาจจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย

พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่าข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้ไม่ได้ เพราะว่าปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ และศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น.

 

[194] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้นปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น ดูกรพราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉน

พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์มีความรู้เท่านี้เอง เมื่อเนื้อความมีเช่นไร ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งแด่พระโคดมผู้เจริญเองเถิด.

(พ่อครูว่า...สำนวนนี้หมายความว่า ข้าพเจ้าตอบไม่ได้หรอก ได้แต่ท่องมา)

 

[195] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดีเราจักกล่าว พราหมณ์โสณทัณฑะรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะพราหมณ์โสณทัณฑะนั้นว่า ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้นครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้วย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วย กายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศลมีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะเป็นผู้สันโดษ.


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:11:14 )

590329

รายละเอียด

590329_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โสณทัณฑสูตร 4

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2559 ยังไม่ใช่วันที่ 30 พรุ่งนี้ถึงจะถึงวันที่ 30 วันเวลาก็หมุนไป วันนี้แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีวอกหรือปีมะแมก็แล้วแต่ใครจะถืออันใดก็ได้ เดือนเมษายนก็จะเป็นปีวอกหมด ถึงปีใหม่ไทย คนเราก็ยึดถืออย่างใดก็ไม่มีปัญหา เหมือนใครต่อใครที่ยึดกันอยู่

มาเริ่มต้น ว่าจะขึ้นต้นอย่างเก่า จาก sms

Sms 29 มี.ค.59

_0893867xxxผู้น้อยคิดว่าคนที่เชื่อว่าพ่อครูฯบรรลุธรรมถึงขั้นพระโพธิสัตว์ต้องมีดวงตาเห็นธรรมในตัวเองก่อน!คนที่ไม่เชื่อจึงดูไม่ออกว่าพ่อครูใช่ฤาไม่ใช่?         

_0893867xxxก็แม้แต่องค์พ่อหลวงทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนโดยทศพิธราชธรรม!ก็มีแต่พสกนิกรผู้จงรักภักดี ต่อช.ศ.กษ.เท่านั้นที่มองเห็นพระเมตตาธรรม!แต่คอรัปชั่นคนทรพีล้ม...เผาเมืองไม่เคยเห็น!ที่เป็นธรรมะแท้มีแต่คนจิตบริสุทธิ์ใจแท้ๆเท่านั้นที่มองเห็นชัดเจนแท้! พิสูจน์หัวใจชาวอโศกรักช.ศ.กษ.จริงฤาไม่?คำตอบอยู่ที่นี่ที่ชุมชนอโศกปลอดอบายใช้ชีวิตพอเพียงค้าขายขาดทุนคือกำไรตามพระดำรัสฯด้วยใจรักภักดีจริง!

พ่อครูว่า...คนไม่เชื่อไว้ก่อนก็ดี ต้องติดตามศึกษาพิสูจน์ไป

หลายอย่าง อาตมาต้องอนุโลมหลายอย่าง เพราะอาตมาต้องสร้างชุมชนที่มีหลายหลายบุคคล ตั้งแต่ ผู้พากเพียรเป็นโคตรภูบุคคลเข้ามาร่วมปฏิบัติธรรม แม้จะเข้าสู่สัมมาทิฏฐิยังไม่ได้ ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา อาตมาต้องอนุโลม อาตมาทำได้ถึงขนาดสาธารณโภคี ถึงฆราวาส อยู่เป็นชุมชนเลย ไม่ใช่แค่วงสงฆ์เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า และเป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ที่โลกต้องตามพิสูจน์ ยุคนี้ใกล้กลียุค กิเลสหนามากขึ้น ธรรมะพระพุทธเจ้าเขาก็รู้ผิดเพี้ยนไปมาก ยากมาก แต่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องเผชิญ ต้องต่อสู้ ต้องทำให้ได้ เป็นข้อสอบ เป็นโจทย์ที่อาตมาต้องทำ แต่ยิ่งทำยิ่งเห็นว่าต้องพยายาม อุตสาหะ แม้จะต้องยืดอายุไป คนก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่า อาตมาพยายามยืดอายุไขออกไปอีก

ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาออกป่า ในบางยุคกาลพระพุทธเจ้าไม่ได้พาออกป่าเลย ตรัสรู้ในเมืองแล้วอยู่ในเมืองไม่ได้ออกป่าเลย ยุคพระพุทธเจ้านี้ใกล้กลียุคแล้วเลยเกิดการผิดเพี้ยนไปไกล

 

_0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูตอบประเด็นธรรมะอ่านพระตปฎ.ให้พวกเราฟัง!ขอให้น้ำเสียงพ่อครูแจ่มใสกังวาลแข็งแรงตลอด150ปีสาธุ!มนุษย์หูเทียมติดเสียงธรรม!         

_0893867xxxบุญนิยมฝากเรียนพ่อครูได้ไหม?ช่วงไหนพ่อครูรู้สึกเจ็บคอเหนื่อยลำคอพักผ่อนบ้างนะ!อดห่วงใยท่านบ่ได๊!

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน โสณทัณฑสูตร ตอน 4/4

เราอ่านโสณทัณฑสูตรถึงข้อ 195 เราอ่านมาถึงศีลกับปัญญานั้นเลิกไม่ได้ใน 5 ข้อนี้ จะงดเว้นเสียเลยไม่ได้ ในสามข้อต้น จะด้วยชาติ ตระกูล เก่งบทมนต์สารพัด หรือจะรูปงามก็ตาม ก็งดเว้นได้ แต่ไม่สามารถงดเว้นศีลและปัญญาได้

อาตมาจะต้องสร้าง บ้านวัดโรงเรียน แบบศาสนาพุทธ จึงต้องมีองค์ประกอบใหญ่โตบ้างตามฐานะของพระโพธิสัตว์ ซึ่งหลายองค์ก็ต้องทำตามฐานะของท่านที่เป็นโพธิสัตว์ อันนี้ก็ยาก อาตมายังนึกลำบากใจอยู่ว่า เขาสร้างเรือให้อาตมาอยู่ เป็นเรือสามชั้น มันจะหรูหราน่าดูเลย อาตมาก็ว่าไม่ต้องติดแอร์นะ อาตมาจะไม่อยู่ก็ได้ แต่ถ้าอาตมาไม่อยู่แล้วใครจะกล้ามาอยู่ ขนาดกุฏิที่พักแล้วส้วมอาตมา ที่สันติฯเขาสร้าง ยังไม่มีใครไปใช้เลย แต่อาตมาไม่ได้ไปนอนแล้ว ไปนอนที่พระวิหารพันปีฯ เป็นลวดตะแกรงติดเป็นฝา เหมือนกรงหมา

มาเข้าสู่ศีลกับปัญญา

ศีลเป็นหลักเกณฑ์ที่จริง ผู้บรรลุแล้วละเมิดได้ทางกายกับวาจา อย่างอาตมา สมมุติก็แล้วกันว่า ชอบแตงไทย อันนี้ลูกใหญ่เลย ถ้าอาตมาชอบก็ต้องกิน หรือยกตัวอย่างพริก นี่แต่ก่อนชอบ แต่ตอนนี้ไม่มีอาการแล้ว แต่จะอนุโลมกลับไปกินอีกไม่ค่อยได้ แต่แตงไทยนี่อาตมาอนุโลมไปกินได้ จิตเราก็อุเบกขา จะไปกินเหล้าอีกก็ได้ แต่อาตมาไม่ได้ติดเหล้าหรอก ชาตินี้ฝึกกินจะตายก็ไม่ติดไม่ได้เรื่อง แอคไปตามโลกเขา เป็นเรื่องหมุนรอบเชิงซ้อนที่คนเข้าใจยาก ยิ่งยุคนี่ใกล้กลียุคแล้ว ก็ต้องทำ แม้จะถูกขู่ถูกว่าก็ต้องทำ

ข้อ 195 นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่อถึงวาระ ก็จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ท่านมี พุทธคุณ 9

1. อรหํ เป็นพระอรหันต์

2. สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ

3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

4. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว

5. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก

6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

8. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว

9. ภควา เป็นผู้มีโชค

อรหันต์ของพุทธ ถ้าเป็นอรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ทันที สอนตนได้แล้วก็สอนคนอื่นได้ เป็นพหูสูตร คือมีพาหุสัจจะทั่วไป เขาแปลว่ารู้มาก แต่อาตมาว่ามีของจริงมาก คือมีสัจจะมาก ไม่ใช่แค่รู้บัญญัติมากเท่านั้น แต่คือผู้บรรลุ ในศรัทธาสูตรมีไปตามลำดับ

1.      ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.      ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ 15)

3.      พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)

4.      เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.      เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)

6.      แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.      ทรงวินัย

8.      อยู่ป่าเป็นวัตร  คือจิตยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)

9.      ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

 

ในอุบาลีสูตรว่า

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว  ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่  หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้  คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น !! 

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 99)

เรามาทวน คุณลักษณะ 12 ของพระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง

1. เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ)

2. เป็นคนไม่มีภัย

3. เป็นคนมีคุณค่า 

4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว

5. เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

6. เป็นคนมีเมตตาจริง

7. เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้

8. เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว

9. เป็นคนทำแต่กุศล

10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว

11. เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน

12. เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ตรวจอรหันต์ ฉวิโสธนสูตร 2/2

ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 166 ว่าด้วยเรื่องของอรหันต์

 2.  ฉวิโสธนสูตร  (112)

[166]  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ  ทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

 

[167]  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า  ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  พวกเธออย่าเพ่อยินดี  อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  ครั้นไม่ยินดีไม่คัดค้านแล้ว  พึงถามปัญหาเธอว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุโวหารอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  4  ประการ  4  ประการเป็นไฉน  คือ 

คำกล่าวว่า เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว 

คำกล่าวว่า ได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว 

คำกล่าวว่า ทราบในอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว 

คำกล่าวว่า รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว 

นี้แล  โวหาร  4  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจาก  อาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้  ฯ

 

[168]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้น  สัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน  พ้นวิเศษแล้ว  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  นี้มี  5  ประการแล 5 ประการเป็นไฉน  คือ  รูปูปาทานขันธ์  เวทนูปาทานขันธ์  สัญญูปาทานขันธ์  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์ ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอุปาทานขันธ์  5  ประการ  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้  ฯ

 

[169]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า  ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูปได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งเวทนาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในเวทนา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในเวทนาได้  ข้าพเจ้ารู้จักแจ้งสัญญาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสัญญา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสัญญาได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งสังขารแล้วแลว่า  ...  จิต  ของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสังขาร  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสังขารได้ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า  ไม่มีกำลัง  ปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจจึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ธาตุอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  6  ประการ  6  ประการเป็นไฉนคือปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  อากาสธาตุ  วิญญาณธาตุ  ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลธาตุ  6  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้น  จากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้  ฯ

 

[170]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้  ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยเตโชธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุโดยความเป็นอนัตตา...เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยอากาสธาตุและอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยอากาสธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวิญญาณธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยวิญญาณธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวิญญาณธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวิญญาณธาตุได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แลจึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ก็อายตนะภายใน  อายตนะภายนอก  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มีอย่างละ  6  แล  อย่างละ  6  เป็นไฉนคือจักษุและรูป  โสตและเสียง  ฆานะและกลิ่น  ชิวหาและรส  กายและโผฏฐัพพะมโนและธรรมารมณ์  ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอายตนะภายในอายตนะภายนอกอย่างละ  6  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6 เหล่านี้  ฯ

[171]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควร  จะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในจักษุ  ในรูป  ในจักษุวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในโสต  ในเสียง  ในโสตวิญญาณ  และใน  ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดีตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในฆานะ  ในกลิ่น  ในฆานวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในชิวหา  ในรส  ในชิวหาวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณ  ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหาอุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในกาย  ในโผฏฐัพพะ  ในกายวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบ  ชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความ  พอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในมโน  ในธรรมารมณ์  ในมโนวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6  เหล่านี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุ

ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ก็เมื่อท่านผู้มีอายุ  รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไร  จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา  ว่าของเรา  ในกายอันมีวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหมด  ในภายนอกได้ด้วยดี  ฯ

 

[172]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้ครองเรือน  ยังเป็นผู้ไม่รู้  พระตถาคตบ้าง  สาวกของพระตถาคตบ้าง  แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าฟังธรรมนั้นแล้ว  จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต  ข้าพเจ้าประกอบด้วยการได้ความเชื่อโดยเฉพาะนั้น  จึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า  ฆราวาสคับแคบ  เป็นทางมาแห่งธุลี  บรรพชาเป็นช่องว่าง  เรายังอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์  บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ที่เขาขัดแล้ว  นี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย  อย่ากระนั้นเลย  เราพึงปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด  สมัยต่อมา  ข้าพเจ้าจึงละโภคสมบัติน้อยบ้าง  มากบ้าง  ละวงศ์ญาติเล็กบ้าง  ใหญ่บ้างปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์  แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตข้าพเจ้าเมื่อเป็นผู้บวชแล้วอย่างนี้  ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลาย เพราะละปาณาติบาต  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางอาชญา  วางศาสตราแล้วมีความละอาย  ถึงความเอ็นดู  ได้เป็นผู้อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูต  เพราะละอทินนาทาน  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน  ถือเอาแต่ของที่เขาให้  หวังแต่ของที่เขาให้ มีตนเป็นคนสะอาด  ไม่ใช่ขโมยอยู่  เพราะละกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์  จึงเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์  ประพฤติห่างไกลและ  เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน  เพราะละมุสาวาท  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท  เป็นผู้กล่าวคำจริง  ดำรงอยู่ในคำสัตย์  เป็นหลักฐานเชื่อถือได้ไม่พูดลวงโลก  เพราะละวาจาส่อเสียด  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด  ได้ยินจากฝ่ายนี้แล้ว  ไม่บอกฝ่ายโน้น  เพื่อทำลายฝ่ายนี้  หรือได้ยินจากฝ่ายโน้นแล้วไม่บอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น  ทั้งนี้  เมื่อเขาแตกกันแล้ว  ก็สมานให้ดีกันหรือเมื่อเขาดีกันอยู่  ก็ส่งเสริม  ชอบความพร้อมเพรียงกัน  ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน  ชื่นชมในคนที่พร้อมเพรียงกัน  เป็นผู้กล่าววาจาสมานสามัคคีกัน  เพราะละวาจาหยาบ  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากวาจาหยาบ เป็นผู้กล่าววาจาซึ่งไม่มีโทษเสนาะหู  ชวนให้รักใคร่  จับใจ  เป็นภาษาชาวเมือง  อันคนส่วนมากปรารถนาและชอบใจ  เพราะละการเจรจาเพ้อเจ้อ  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากการเจรจาเพ้อเจ้อกล่าวถูกกาละ  กล่าวตามเป็นจริง  กล่าวอรรถ  กล่าวธรรม  กล่าววินัย  เป็นผู้กล่าววาจามีหลักฐาน  มีที่อ้าง  มีขอบเขต  ประกอบด้วยประโยชน์  ตามกาลข้าพเจ้าเป็นผู้เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม  เป็นผู้ฉันหนเดียว  งดฉันในเวลาราตรี  เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ  ขับร้องประโคมดนตรี  และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล  เป็นผู้เว้นขาดจากการทัดทรงและตบแต่งด้วยดอกไม้  ของหอม  และเครื่องประเทืองผิว  อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว  เป็นผู้เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงและใหญ่  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทองและเงิน  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร  เป็นผู้เว้นขาดจากการ  รับช้าง  โค  ม้า  และลา  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน  เป็นผู้เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้  เป็นผู้เว้นขาดจากการซื้อและการขาย  เป็น  ผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง  โกงด้วยของปลอม  และโกงด้วยเครื่องตวงวัด  เป็นผู้เว้นขาดจากการรับสินบน  การล่อลวง  และการตลบตะแลง เป็นผู้เว้นขาดจากการตัด  การฆ่า  การจองจำ  การตีชิง  การปล้น  และการกรรโชก  ข้าพเจ้าได้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย  และบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้องจะไปที่ใดๆ  ย่อมถือเอาบริขารไปได้หมด  เหมือนนกมีปีก  จะบินไปที่ใดๆ  ย่อมมีภาระคือปีกของตนเท่านั้นบินไป  ฯ

 

[173]  ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้เสวยสุขอันปราศจากโทษภายใน  เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว  ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์อันมีการเห็นรูปเป็นเหตุ  ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่  พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้  รักษาจักขุนทรีย์  ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์แล้ว  ได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว...ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว  ...  ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว  ...  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว  ...  รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว  ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์อันมีการรู้ธรรมารมณ์เป็นเหตุ  ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่  พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้  รักษามนินทรีย์  ถึงความสำรวมในมนินทรีย์แล้ว  ฯ

 

[174]  ข้าพเจ้าประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้เสวยสุขอันไม่เจือทุกข์ภายใน  ได้เป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดูและเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลาฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ  ในเวลาเดิน  ยืน  นั่ง  นอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  ฯ

 

[175]  ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้  ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้  และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะของพระอริยะเช่นนี้แล้ว  จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด  คือ  ป่า  โคนไม้  ภูเขา  ซอกเขา  ถ้ำบนภูเขา  ป่าช้า  ป่าชัฏ  ที่แจ้ง  และลอมฟาง  ข้าพเจ้ากลับจากบิณฑบาต  ภายหลัง  เวลาอาหารแล้ว  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรง  ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  ละอภิชฌา  ในโลกได้แล้ว  มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌาละความชั่วคือพยาบาทแล้ว  เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาทละถีนมิทธะแล้วเป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ  มีอาโลกสัญญา  มีสติสัมปชัญญะ  อยู่ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ  ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว  เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน  มีจิตสงบภายในอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ  ละวิจิกิจฉา  แล้ว  เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้  ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่  ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา ฯ

 

[176]  ข้าพเจ้าครั้นละนิวรณ์  5  ประการนี้  อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง  ทำปัญญาให้ถอยกำลังแล้ว  จึงได้สงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม  เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  ได้เข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะสงบวิตกและวิจาร  ไม่มี  วิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  ได้เป็นผู้วางเฉย  เพราะหน่ายปีติมีสติสัมปชัญญะอยู่  และเสวยสุขด้วยนามกาย  เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกข้าพเจ้านั้นได้ว่า  ผู้วางเฉย  มีสติ  อยู่เป็นสุขอยู่  ได้เข้าจตุตถฌาน  อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุข  ละทุกข์  และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ  ได้  มีสติบริสุทธิ์  เพราะอุเบกขาอยู่  ฯ

          พ่อครูสรุปตอนท้าย...ปัจจัตตลักษณ์ ของ 4 อย่างคือเมื่อเริ่มเกิด อุปจยะ เริ่ม 1 เซลล์ หากไม่ต่อก็ไม่มี secondary cell จะรู้อาการจิตอุปจยะคือให้เกิด แล้วจะต่อหรือไม่ต่อก็รู้อาการสันตติ ถ้าจะต่อก็มี secondary cell แล้วก็มี tertiary cell  มีทศนิยมต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเสริมพลังงานทศนิยมบวกไปเรื่อยๆ พลังงานที่เคลื่อนที่หากไม่มีทศนิยมก็สูญก็ชรตา ลักษณะ 4 อย่างนี้ต้องอ่านให้ออก แต่แม้จะสันตติอย่างไรสุดท้ายต้องชรตาและอนิจจตา เป็นลักขณะรูป 4 ที่อรหันต์จะต้องรู้ จะให้ตายหรือเกิดก็ได้ บางทีคุณจะต่อทศนิยมให้ขยายอายุ แต่ถ้าไม่มีบารมีก็ต้องตาย คุณอยู่ได้นานเท่าที่คุณมีบารมี พระพุทธเจ้าถึงตรัสกับอานนท์ว่า เราจะอยู่เกินกัปป์ก็ได้ เป็นเรื่องจริงสัจจะที่ยิ่งใหญ่...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:11:58 )

590330

รายละเอียด

590330_พ่อครูพบนร.ม.6และอาชีวะที่จะจบการศึกษาในปี 2559

 ชั้น 3 เฮือนศูนย์สูญ ห้องสื่อบุญนิยม บ้านราชฯ

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน รุ่นพลังสร้างเมือง

พ่อครูว่า...พวกเรามีทั้งหมดกี่คน...รวมทั้งหมด 51 คน รวมอาชีวะด้วย ปีๆหนึ่งจบไปกัน 51 คน จบก็หมายความว่า พวกเราก็จะบินออกจากชุมชนอโศก ออกไปอยู่กับโลกเขาส่วนใหญ่ บางปีจบแล้วออกไปหมด ที่อยู่จริงๆคือผู้ที่จิตถึง เข้าใจจริงๆ เพราะสามัญชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าใจ เราเรียนจบอายุ 20 ก็ต้องท่องโลก รู้สังคมโลกกว้าง เราเรียนหนังสือเหมือนเราถูกจำกัดอยู่ในกรอบ พอได้โอกาสก็สามารถใช้ความสามารถส่วนตัว จบม.6 ก็ถือว่าผู้ใหญ่แล้วก็จะออกไป

ต้องรู้จักเข้าใจโลก โลกคือการได้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เสียดสีทางกามทางอัตตา โลกก็มีรสโลกียสุข ผู้ที่เห็นว่าออกไปก็เท่านั้นเอง เราไม่อยากออกไปยื้อแย่ง มีลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เสพกามเสพบำเรออัตตาเหมือนคนทั้งหลายเขา และมองเห็นคุณค่าของชาวชุมชนชาวอโศก ว่าอยู่ที่นี่ได้ประโยชน์ชีวิตมีคุณค่า มีความเจริญยิ่งกว่า คนมีปัญญาจะเข้าใจจะเห็นก็จะอยู่ ที่นี้คนมีปัญญามีน้อย ส่วนมากไม่เข้าใจ

อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย แม้แต่เด็กก็ไม่ค่อยกระดิกหูเท่าไหร่ ยาก หลวงปู่ก็ต้องพยายามอบรมสั่งสอน อย่างน้อยหลวงปู่เชื่อว่าพวกเราจะได้รับความเข้าใจ และรับฟัง ได้ยิน ได้รับรู้ จำได้บ้างไม่ได้บ้างก็เถอะ บางทีก็ถูกต้อง บางทีไม่ถูกบ้างก็แล้วแต่ แต่ก็รู้ว่าอย่างน้อยมันเป็นธรรมะ ธรรมะของพุทธ เป็นธรรมะโลกุตระก็ได้ไปบ้างสิ่งเหล่านี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะบุญใครบุญมัน กุศลใครกุศลมัน สังคมทุกวันนี้โดยรวมส่วนใหญ่ทั้งโลกเลยมันเป็นทาสโลกีย์ เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เสพกามอัตตากันหนักจัดจ้านมาก แล้วก็เป็นแบบนั้นกันทั้งนั้น

พวกเรามาอยู่ที่นี่ถึงเป็นคนแปลก ไม่เหมือนกับโลกเขา อันนี้ก็จริงเพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าโลกุตระไม่เหมือนโลกียะ มันทวนกระแส มันคนละเรื่องกันแต่พวกเราอยู่มา 5-6 ปี ก็จะรู้ อยู่แบบโลกุตระกัน มักน้อย สันโดษ ช่วยกันเหมือนครอบครัวใหญ่เป็นสาธารณโภคี กินใช้อะไรก็อยู่ในนี้ พวกเรากินใช้อยู่ในนี้ตลอด 5-6 ปี เหมือนลูกหลาน ก็เลี้ยงกันไปอย่างนี้ แต่ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่สุรุ่ยสุร่ายเหมือนครอบครัวข้างนอกเขา คนมีปัญญาก็จะอยู่ได้ สิ่งเหล่านี้อย่างไรก็ได้ฝึกฝนอบรมได้มากได้น้อยก็ได้ประโยชน์

ความรู้ความเข้าใจมันบังคับไม่ได้ มันมีความซับซ้อน ที่ว่าข้างนอกเหมือนอิสระมากกว่าข้างใน แต่ข้างนอกถูกโลกีย์กดหัวไว้ แต่ละคนแต่ละคนแย่งกัน แต่ละคนต่างก็พยายามแย่ง ก็ไม่มีใครจะให้ใคร แต่ในนี้ไม่มีการแย่ง มีเท่าไหร่ก็แจกจ่ายแบ่งปันกัน จะมีจับพลัดจับผลูของข้างนอกมีขนมหรือมีอะไรที่ข้างในไม่ส่งเสริมเข้ามา ส่วนสาระแท้นั้นที่นี้มีให้อยู่แล้ว ข้างนอกเขามีโรคเยอะนะ ที่นี่เราป้องกัน นอกจากคนข้างในบางคนออกไปลักลอบเสพ แม้กระทั่งเสพเกมข้างนอกเขาไม่ป้องกัน เขาก็สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือยเสพติดกันไปมากมาย เป็นโรคนะเป็นโรคการเสพติดการกดนี่นะเป็นสังคมก้มหน้า เป็นโรคกันทั่วโลก เป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นโรคทางจิตเป็นโรคเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งในอนาคตเป็นภัยร้าย แต่เขาไม่รู้ทัน

ถ้าทำงานอยู่ในนี้ จะเรียนแบบทางโลกก็อยู่ได้ จะเรียนปริญญาตรี โท เอกเราก็ส่งเสริมให้เรียนได้ และมีทุนรอนของเราให้เรียนได้ แต่ก่อนนี้ไม่มีทุนรอนส่งเสียให้เรียนได้ เราก็ลำบาก แต่เดี๋ยวนี้ทุกวันนี้ก็พอมีฐานะของอโศกได้ ใครตั้งใจศึกษาดีๆ ข้อสำคัญคือเรียนแล้วเราก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ที่นี่ไม่ใช่เอาใบรับรองไปทำงานไปหากิน ไปทำงานรับใช้นายทุน ไปสะสมลาภยศอะไรทางโลกอย่างนี้ไม่ส่งเสริม แต่ถ้าเรียนเพิ่มความรู้ความสามารถสมรรถนะในชีวิต ทำงานได้มาก ทำงานมีประโยชน์คุณค่าเยอะขึ้น ไม่มีปัญหา แต่เราก็ไม่ต้องการให้เป็นเครื่องมือที่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขใส่ตนเอง โดยธรรมะหลวงปู่ก็สอนแล้วมันเป็นเรื่องขาดทุน ในหลวงก็เคยตรัสว่าเป็นเรื่องขาดทุน เป็นเรื่องไม่มีกำไรอะไร จะอยู่ทางนี้นั้นเป็นกำไร เพราะเรามีความรู้ความสามารถมากขึ้น ได้สร้างสรรมากขึ้น แล้วเราไม่ได้แลกเปลี่ยนกลับมา ก็เป็นส่วนเกินส่วนเหลือเรียกว่ากุศล เรียกว่าบุญของเราเอง

ซึ่งมันเป็นนามธรรม ที่เขาใช้เป็นวิมานหลอกกันว่ามี แต่แท้จริงมันเป็นเรื่องหลอก ไม่มีความจริงอะไร ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ ได้จริงหรือเปล่า เท่าที่เขาพูดมันไม่มีของจริงที่จะยืนยันได้ เขาไม่ได้เสียสละอะไรด้วยซ้ำ แต่ของเราอยู่ที่นี่แล้วได้ขาดทุนอยู่ตลอดเวลา

พวกเรานี้ยังอายุน้อย อีกหน่อยหลวงปู่เชื่อว่าความจริงของสัจธรรมเศรษฐกิจแบบนี้โลกจะรับรู้ ตอนนี้โลกยังเข้าไม่ถึง เป็นเศรษฐกิจบทนี้ของพระพุทธเจ้า หรือในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ก็บอกมาตลอด แต่คนยังไม่กระดิกทั่วโลกยังไม่กล้าเถียงเท่านั้นเอง เพราะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ไม่กล้าลบหลู่ ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าแย้ง แต่ยังไม่เชื่อ เขายังไม่เข้าใจยังไม่เห็นดีจริงๆ เขาก็ไม่ทำตาม เขาก็ยังจะแย่งลาภยศ เอาเปรียบกัน

แต่อันนี้เป็นเรื่องการเสียสละ ใจของเรานี้มันพอ มันไม่ต้องเอามากกว่านี้ เราไม่ต้องมีมากมาย เรามีน้อยลง แต่เราอยู่ได้ ส่วนตัวเรานี้มีมาให้แก่ตัวเองสะสมไว้กับตัวน้อย เป็นส่วนตัวน้อย แต่เราก็มีพอกินพอใช้ จิตที่ได้ศึกษาฝึกฝนลดละยิ่งเหลือกินเหลือใช้ และข้อสำคัญเราเหลือกินเหลือใช้ แต่เราจะขยันมากขึ้น เราจะมีความรู้ความสามารถมากขึ้น เราจะได้ทำงานมากขึ้น ผลผลิตค่าแรงงานเราจะเพิ่มขึ้น แต่เรายิ่งศึกษาเราจะยิ่งมักน้อยลง ส่วนสิ่งที่สร้างสรรเราก็สร้างให้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น มีแต่ยิ่งจะกำไรเพิ่มขึ้น กำไรเพราะเราได้เสียสละมากขึ้น ฟังทันไหม

มันเป็นสัจจะ ตั้งใจฟังให้ดี ที่อื่นไม่สอนอย่างนี้หรอก เขาตั้งใจเอาเปรียบมาเอาให้ได้หมด ฉลองที่ได้เปรียบเอามาได้มากๆ แต่การฉลองที่จะขาดทุนเราก็ไม่ฉลอง แต่เรารู้ว่าเป็นกำไรอย่างไร สัจจะพวกนี้เป็นเรื่องที่ไม่รู้กันได้ง่ายๆ หลวงปู่ก็กำชับไว้ให้ เอาไปนึกไปคิด ถ้าออกไปข้างนอกจะมีโจทย์ มีสิ่งที่มันทำให้เราคิดทำให้เราเข้าใจ ทำให้เรารู้สึก

ถ้าออกไปแล้ว คิดได้อย่างไรก็กลับมาช่วยกัน เพราะสังคมต้องการระบบวิธีสาธารณโภคี จะอยู่ในนี้ต้องทำงานฟรีเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานแล้วเราก็ไม่ได้ส่วนแบ่งอะไร อยู่ในนี้กินใช้ร่วมกัน อาศัยอยู่ไปอยู่ในนี้เราจะหนีออกไปเมื่อไหร่ได้ แต่เอาอะไรไปนี้ไปไม่ได้ เท่านั้นเอง เรามาเมื่อไหร่ก็ได้ ออกไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่มาทำในนี้แล้วก็อยู่ในนี้ จะอยู่ไปจนตายก็ได้ ก็อิสระเสรี อย่ามีพฤติกรรมต่ำกว่าเกณฑ์ให้เขาไล่ออกก็แล้วกัน

ทำมานาน 30 กว่าปีและมีแต่จะแข็งแรงขึ้น ไม่มีล้มละลาย ทางโลกเขาแข่งเอาลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุุขให้ได้มากๆมากๆ เขาแข่งกับเราไม่ได้หรอก เพราะเรามาแข่งน้อยลงน้อยลงน้อยลง แต่เขามากขึ้นมากขึ้น มันจะตัดสินอย่างไร คนหนึ่งเอาน้อยลง คนหนึ่งเอามากขึ้น อันนี้น้อยลงและชนะน้อยลงและชนะกลับมากขึ้นและชนะมากขึ้นและชนะ จะเอาอะไรไปตัดสินกัน จะตัดสินกันไม่ได้หรอก มันไม่ได้ค้างแย้งอะไรกัน ต่างคนต่างคิด นี่คิดจะได้มากๆมากๆ แต่ที่นี่กลับมาลดตัวตนน้อยลงน้อยลง ของเราน้อยลงน้อยลง ตัวเราน้อยลงน้อยลงมันคนละทิศทาง ไม่ชนกันไม่แย่งกันแล้ว เลิกๆ นึกแล้วทางโน้นเอามากขึ้น แต่ทางนี้เราน้อยลงแล้วไม่หยุดสร้างสรร ที่นี่ช่วยข้างนอก ข้างนอกเอาไม่รู้จักพอ ของเรานี้มีแต่พอแล้วก็น้อยลงให้ได้อีก แต่ไม่ได้ห้ามสมรรถภาพ ไม่ได้ห้ามความขยัน แต่จะทำงานมากขึ้น ความรู้ความขยันมากขึ้น พวกเราก็ดูแลกันอย่าให้เสียสุขภาพเพราะทำงานเกินไป เราไม่ได้โหดร้ายมาเอาเปรียบไม่ดูแลกัน แต่เราก็ดูแลกันอยู่ ที่สำคัญคือที่นี่ลองมองออกไหมว่าที่นี่มันรักกัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นภราดรภาพจริงๆ ดูแลช่วยเหลือกัน เป็นลูกหลาน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพี่ป้าน้าอา เป็นญาติกันจริงๆ มีจิตใจเช่นนั้นจริงๆ ข้างนอกเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ นอกจากจะมีบ้างบางครอบครัวที่เขาสนิทสนมรักชอบกัน ก็เลยเหมือนสนิทกันเป็นญาติก็มีอยู่ไม่กี่บ้านหรอกที่เป็นเช่นนี้ แต่ที่นี่เราพยายามแล้วก็พยายามให้เป็นจริง ให้เป็นพี่เป็นน้องเป็นตระกูลเดียวกันด้วยใจจริง จะไม่เหมือนข้างนอกเขาเลย ความไว้ใจความซื่อสัตย์ของที่นี่ต่างกับข้างนอกมากเลย

ถ้าใครคิดได้เห็นจริงให้อยู่ในนี้ เราก็ทำงานสร้างสรรอะไรไป อยากจะเจริญเติบโตแบบข้างนอกก็เจริญได้ เป็นแต่เพียงไม่ได้รับยศตำแหน่งหน้าที่ของข้างนอก ไม่ได้เหรียญตราตามที่ข้างนอกเขาใช้ประโลมกัน แต่ที่นี่ไม่มีเหรียญตราอะไรให้ได้ แต่เราก็เจริญ มีความรอบรู้ความสามารถเจริญ แม้แต่จะไปเรียนบ้างไปสอบตามเกณฑ์ข้างนอกเขา ไปวัดข้อสอบเอาก็ได้ ทำได้ที่นี่ส่งเสียให้เรียนได้เรียนมาแล้วก็มาช่วยกันทำงานให้ดียิ่งขึ้น ก็เป็นความเจริญสามัญสังคม

อโศกเรา ข้าวของเราออกจะสุรุ่ยสุร่ายด้วยซ้ำ ทิ้งไปตามที่ต่างๆคนเขาก็ไม่ค่อยมาขโมยเอา แต่ของข้างนอกทิ้งไว้ไม่ได้นะ เขาลักขโมยกันจริงๆ งัดบ้านกันเลย แต่ของเราไม่ต้องงัดหรอก ที่จริงมาก็เก็บไปสบาย มีเยอะเลย แต่เขาก็ไม่ค่อยมา เป็นกุศลเป็นอจินไตย เรื่องลึกซึ้ง

โดยพฤติกรรมสังคมพวกเรา เรามีการแบ่งแจกเจือจานคนอื่น ไม่ได้ขี้เหนียว ยกตัวอย่าง คนข้างนอกเข้ามาทำงานในนี้ คนงานก็ได้กินได้อยู่ด้วย ยกตัวอย่าง คนเกี่ยวหญ้า ติดลูกฟักทอง แตงโมไปบ้าง เราก็รู้ว่าเขาเอาไป แต่ก็ไม่ได้เครียดที่จะไปจัดการอะไรกับเขา เขาก็รู้ว่าเรารู้ว่าเขาเอาไป แต่เราก็ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกับเขา เขาก็จะรู้สึกสำนึกอยู่ข้างใน เป็นสัจธรรมอันลึกซึ้ง ที่มันเป็น  ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม ที่มันไม่ต้องใส่กุญแจแล้วก็โดนงัดโดนย่องเบาเหมือนกับข้างนอกเขา นี่คือรายละเอียดของอจินไตยของสัจธรรม

ก็ย้ำเนื้อหาสาระสำคัญที่หลวงปู่ให้ไว้ก่อนจะไปต่อสู้กับภายนอกเขา

 

ที่นี่สมบัติของที่นี่เป็นของพวกเรานะ เราจะมาอยู่ที่นี่ จะมาอยู่อาศัยกินอาศัยใช้ไปจนตายได้ไหม ได้ เป็นแต่เพียงว่าเราเองเราอย่าไปตกต่ำ จนทำผิดกฎเกณฑ์เขาให้ออกไปเท่านั้นเอง กฎเกณฑ์ก็ไม่ได้ยาก ไม่ได้รุนแรงอะไร ไม่ได้ยากเกินอะไร ศีล 5 บริสุทธิ์ดีๆ กินมังสวิรัติ ไม่ต้องเอาอบายมุขอะไรมากมาย อยู่ในนี้สบาย ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเกินการณ์

ตอนนี้ทางการศึกษาต่อเราก็พยายาม จากม.6 เราจะมีการศึกษาที่จะเป็นทางการเป็นนิตินัย ก็ทำกับสังคมกับประเทศเขา มีโรงเรียน มีวิทยาลัย มีมหาวิทยาลัย เราก็พากเพียรทำอยู่ แต่มันยังไม่สำเร็จ ก็ได้มา ได้อาชีวะ ปวส. ก็พยายามจะให้เป็นปริญญาตรี ไปตามโลกเขานั่นแหละ แต่ที่จริงแล้วอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนได้ใบประกาศนียบัตร ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฝึกฝนไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ขยันเรียน ขยันฝึกฝนเอา พยายามสอนแนะนำ พยายามให้โอกาสที่จะเก่ง ทำงานได้เต็มที่เลย ทำงานแล้วไม่ขาดทุนด้วยกำไรอยู่เสมอเลยเพราะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำงานที่นี่ไม่ได้รับรายได้ตอบแทน มันกำไรเต็มนะ ทำ 100 ได้ 100 แรงงานตีราคา 100 ไม่ได้คืนมาซักบาท เราได้เท่าไหร่ ตกลงเราได้เท่าไหร่ … ทำไมตอบไม่ได้หรือ

ถ้าเราทำงานแล้วผลงานก็ราคาประมาณ 100 แต่เราไม่ได้ 100 บาทมาที่เราเลย ตกลงเราได้เท่าไหร่ ...คิดช้าจังเลย เราก็ได้ร้อยเต็มเลย เพราะเราไม่ได้เอาคืนมา คนเขาคิดไม่ออกหรอก เขาเข้าใจไม่ได้หรอก เรามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสังคม 100 เต็ม เราไม่ได้เอามาเป็นประโยชน์ตน มาหักค่าแรงงานหรือความสามารถที่เราทำออกไปแล้วไม่ได้หักเอาเลย เราไม่ได้เอาคืนมาสักบาท ถ้าราคามัน 100 เราก็ได้เต็มๆ ก็มีค่า 100 มีประโยชน์แก่สังคมมนุษยชาติ 100 นี่คือสัจจะ ไม่ได้เป็นเรื่องพูดโวหารตีคารมตีฝีปากเล่น แต่นี้เป็นเรื่องสัจจะจริงๆในหลวงเราที่ตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ได้ยินแล้วเขาก็ว่าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร เขาก็ว่าพูดอย่างนี้พูดไม่ถูก ท่านก็ว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่เป็นสัจจะที่ผู้ที่มีภูมิธรรมลึกซึ้งอย่างในหลวง หรือหลวงปู่ หรือพระพุทธเจ้า เข้าใจแนวเดียวกันชัดเจน เพราะเป็นสัจธรรมที่สุดยอด แต่คนที่เป็นโลกียะมีอุปทานยึดติดแบบโลกๆ เข้าใจไม่ได้มันงงไปหมด มันเป็นอย่างนั้นได้ยังไง เขาคิดไม่ออกหรอก

ใครมีอะไรสงสัยก็ถามไถ่ได้ รู้หมดแล้ว อะไรก็รู้หมดแล้ว ตัดสินใจแล้วด้วยไม่อยากจะพูดให้กระทบการตัดสินใจ เดี๋ยวจะแกว่ง

หลวงปู่ลองถาม...ใครคิดจะอยู่บ้าง ก็มีหลายคน อย่างนี้หลวงปู่ปลื้มใจ แต่ถ้าไม่ใช่แค่คิดแล้วอยู่จริงด้วยอย่างนี้ก็ปลื้มใจกว่า แต่หลวงปู่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้สมหวัง หลวงปู่หวังอย่างไรพวกเราก็รู้ คิดอย่างไรพวกเราก็รู้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะต้องสมหวัง พร้อมเสมอที่จะอกหัก ไม่มีปัญหา เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่าย ถ้าอยู่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แล้วไป เราก็ต้องวางใจปลงใจ

 

เด็กถามว่า...ชื่อรุ่นนี้รุ่นอะไร หลวงปู่จะตั้งให้เวลารักกลด

มีปวส. 8 คน มีปวช.จบมี 10 กว่าคน ม.6 จบมีเยอะเลย

ปวช.จะต่อปวส.1 คน ก็ไม่มีปัญหา ใครอยู่ก็ช่วยกันสร้างสรรพัฒนาประเสริฐ

จะเอาชื่อรุ่นอะไรดี….

ศาสตร์มีแต่ความรู้ ไม่มีศิลป์ แต่ถ้าจะเริ่มมีศิลป์จะต้องมีจิตวิญญาณ ที่เข้าใจแล้วเป็นประโยชน์ต่อเขา แต่ถ้าอาศัยคนอื่นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างนี้คืออนาจาร เอาง่ายๆ พวกเตะฟุตบอลนี้มีสาระอะไรบ้าง มันเอาค่าตัวแพง พวกเต้นด็อกแด๊กนี่ค่าตัวแพงไหม มีแต่เอากิเลสกามใส่คน แต่เขาก็เรียกว่าศิลปินหรือศิลปะ ขี้หมาอะไร หรือแม้แต่คนเขียนภาพก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้คนเกิดแนวพัฒนาอะไรเลย หลวงปู่พูดภาษาบรรยายไปนี่ ไม่ต้องไปตีความว่าจะเจริญอย่างไร แต่พูดกรอกหูให้เข้าใจ ก็ยังไม่ค่อยได้เลย หลวงปู่เหน็ดเหนื่อยเพื่อให้คนได้ประโยชน์แท้ได้ลดกิเลส ก็ยังไม่ค่อยฟัง แต่นั้นเขาหลอกกันตีราคาแพง เอาไปบำเรอตนมีแต่กิเลสหนาขึ้น ทั้งตัวคนทำเองและคนเสพก็ไม่รู้ว่าติดว่าหลงซับซ้อน

เอารุ่นอะไรดี?.... จะเอารุ่นศิลปะโลกุตระนั้นยังไม่ถึงหรอก เพราะต้องเป็นเรื่องที่สุจริตแล้วช่วยคนอื่น แต่ยิ่งทุจริตก็ยิ่งไกลห่างศิลปะ

เอาชื่อรุ่น พลังสร้างเมือง ก็แล้วกัน แล้วไม่ใช่สร้างทีเดียวแล้วหนีไปนะ ก็ช่วยกันสร้างต่อ….สาธุ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:12:30 )

590330

รายละเอียด

590330_พุทธศาสนาตามภูมิ  บ้านราชฯ ตอบปัญหาค่าย ยอส.

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรในสังคม

พ่อครูว่า...วันพุธที่ 30 มีนาคม 2559 วันนี้ก็เป็นวันที่โชคดีของหลวงปู่ที่จะได้มาพูดคุยพบปะสังสรรค์กับพวกเรา เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะได้ทำเหมือนแต่ก่อนตั้งแต่เริ่มสร้างโรงเรียนใหม่ๆหลวงปู่จะพอมีเวลาแบ่งวันเวลาไปสอนแต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

อีกอย่างหนึ่งก็คือมีพวกเรามาช่วยเอาภาระช่วยสอนช่วยดูแลเป็นหน้าที่เป็นภาระเอาภาระแทนไป ก็ดีนะที่สอนที่ช่วยดูแลไม่ว่าจะเป็นคุรุพี่ป้าน้าอา แม้แต่สมณะก็ช่วยกันสอน ช่วยกันดูแล ช่วยกันสร้างสรรได้

ทั้งหมดก็เป็นทั้งผู้ที่ช่วยสอนและเป็นผู้ที่มีความรู้ มีหน้าที่มีวุฒิแบบข้างนอกเขาก็มีมาทำการสอนตามหลักของสังคม แม้กระนั้นก็ยังมีครูที่ไม่มีวุฒิแต่ก็มีความรู้ความสามารถที่จะสอนพวกเรา ให้ได้รับความรู้ความสามารถเติบโตมาเลี้ยงชีวิตเป็นคนดี เป็นคนอยู่ในสังคมเป็นคนมีคุณงามความดีมีประโยชน์ แทนที่จะเป็นคนไร้ประโยชน์

คำว่าไร้ประโยชน์คำนี้ฟังให้ชัดๆ สังคมทุกวันนี้เรียนได้ความรู้ความสามารถแล้วก็เอาไปทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็มีค่าแรงงาน จะไปทำราชการก็ตามหรือจะไปรับจ้างนายทุนรับจ้างเอกชนต่างๆก็ตาม โดยจัดทำส่วนตัวก็ตามก็ได้รับผลผลิตมีแรงงานเกิดขึ้นเสร็จแล้วเราก็เอาค่าแรงงานสร้างผลผลิตเอาไปขายแลกเปลี่ยนค่าผลผลิตคืนมาเกินกว่าทุน เมื่อคืนทุนเราก็เป็นผู้มีกำไร

ในหลวงท่านตรัสว่าผู้ที่ขาดทุนคือผู้ที่ได้กำไร แต่ผู้ที่ทำงานในสังคมโลกส่วนใหญ่ทั้งที่เรียนความรู้มัธยมปริญญาตรีโทเอก เรียนแล้วก็ไปทำงานแล้วก็ไปรับค่าจ้างแรงงานและกลับมาคงเหลือเกินค่าแรงงานเกินค่าผลผลิตที่เราเรียกว่าได้กำไรเสมอ จึงกลายเป็นคนขาดทุนอยู่ในสังคม การขาดทุนต่อใครก็แล้วแต่ที่ทำงานอยู่ในสังคมแล้วขาดทุนอยู่ในสังคมก็คือไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่า อยู่ในสังคมทำงานให้สังคมแต่เอาค่าตัวค่าแรงงานค่าผลผลิตกลับคืนมาจนเกินทุน เกินค่าที่ควรจะเป็นมาให้แก่ตนเองแล้วเราก็เรียกว่าเราได้กำไรเป็นชีวิตที่มีกำไรนั่นคือความเข้าใจผิด เข้าใจว่าได้กำไรนั่นแหละคือเรามีประโยชน์มีคุณค่าในโลกซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เราได้กำไรจากสังคมได้กำไรจากโลกนั้นเป็นการไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่านี่ คือความหมายของในหลวงที่ท่านตรัส ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

พวกเราฟังแล้วคิดว่าหลวงปู่พูดผิดหรือถูก….

โรงเรียนสัมมาสิกขาของชาวอโศกสอนอย่างนี้ทุกโรงเรียน เราเข้าใจความถูกต้องสัจธรรมเช่นนี้ทุกโรงเรียน นักเรียนได้มีการให้ความเข้าใจเช่นนี้ทุกโรงเรียน ถ้าเราได้ผ่านการเรียนจากโรงเรียนนี้จบไปเป็นคนขาดทุนให้แก่สังคม จงพยายามออกไปแล้วไปทำงานอะไรก็แล้วแต่พยายามขาดทุนให้แก่สังคม อย่าไปเอาเปรียบอย่าไปเอากำไร ขาดทุนให้มากเท่าไหร่ถ้าทำได้จงทำ

หลวงปู่ตั้งโรงเรียนสัมมาสิกขานี่ จะมาทำแบบขาดทุนหรือกำไรกับนักเรียน..จะตอบว่ากำไรอาริยะหรือขาดทุนอาริยะ เราทำการศึกษาเลี้ยงดูนักเรียนตั้งแต่ประถมศึกษา จนถึงมัธยม 6 โดยที่เด็กที่มาเรียนไม่ได้เสียเงินแม้แต่บาทเดียว แต่โรงเรียนข้างนอก โรงเรียนรัฐบาลเสียเงินไหม?...เขาเสียค่าบำรุง แต่ที่นี่เราไม่เคยเก็บค่าอะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่เสื้อผ้าที่อยู่ หนังสือเรียนเราก็ไม่ได้คิดค่าอะไรเลย

ถ้าสรุปแล้ว โรงเรียนนี้ตั้งมาเพื่อ หากำไรหรือขาดทุน ….ก็ขาดทุน

โรงเรียนไม่ได้ตั้งมาเพื่อหากำไรจากพวกเราเลย แต่มั่นใจว่า โรงเรียนสัมมาสิกขานี้ ตั้งขึ้นมาได้กำไรทุกปี เพราะขาดทุนทุกปี

ไม่ใช่แค่ให้การศึกษา แม้ทุกคนในชุมชนก็มีชีวิตอยู่ทำงานฟรี ทำงานฟรีก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราเอาเปรียบคนทำงาน เพราะไม่มีใครเป็นคนได้เปรียบในชุมชน ในบริษัทแต่ละแห่งเขาจะมีผู้ได้เปรียบเป็นเจ้าของบริษัทหรือเจ้าของหุ้นเขาจะได้เปรียบ แต่ทุกชุมชนอโศกไม่มีใครได้เปรียบ และไม่มีเจ้าของชุมชนไม่มีผู้ถือหุ้นในชุมชน แต่ทุกคนเป็นเจ้าของสมบัติทุกคน มีสิทธิ์กินใช้สอยตามสมควร แบบแผนชาวอโศก เป็นสาธารณโภคี

ถ้าเป็นบริษัททั่วไปแม้แต่พนักงานบริษัทก็จะได้รายได้ แต่ทุกคนในชุมชนนี้แม้จะใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีรายได้ มีแต่ทำงานสร้างสรรเผยแพร่ ถ้าได้มาก็พยายามจะเอาไปเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นต่อไป เราก็สร้างเนื้อสร้างตัวเราด้วยสร้างที่อยู่ให้เราอยู่อย่างดีด้วย แล้วเราก็ไปเผยแพร่แจกจ่ายไปเผื่อแผ่ข้างนอกโดยการยืนอยู่ในหลักขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ยกตัวอย่างเช่น เราไปค้าขาย แหล่งที่ค้าขายเป็นหลักเป็นฐานของเราคืออุทยานบุญนิยม เราก็พยายามค้าขายให้ราคาต่ำ รวมความทั้งหมดแล้วจะต่ำกว่าราคาทุน ถ้าคิดแบบทุนนิยม คิดค่าแรงงานค่าโสหุ้ยเราก็ขาดทุน เราไม่ได้ขายอย่างข้างนอกเลย อาหารที่อุทยานบุญนิยมจานละ 10 บาท 15 บาท แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ร้านหาบเร่จานละ 25 จานละ 30 หรือ 40 บางที่ 50 เป็นร้อย เป็นต้น

มีบางร้านของชาวอโศกกินฟรีด้วยหลายร้าน ถ้าเราฐานะดีขึ้นเราก็จะลดราคาลง ในวิธีการทำงานค้าขายอย่างพวกเรานี่ อย่างที่เชียงใหม่มีคนเข้าใจมาสนับสนุน เอาผักเอาน้ำแข็งมาให้ ขาย 0 บาท ได้มาจะเป็นสิบปีแล้ว มีส่วนที่กินฟรี มีส่วนขาย มีคนหมุนเวียนมาให้ด้วย ที่อื่นๆก็นัยเดียวกันไม่ว่าร้านที่ไหนของชาวอโศก เราเจตนาทำเช่นนี้จริงๆ ให้เป็นคนขาดทุนอยู่กับสังคม ขาดทุนคือกำไร ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ยกตัวอย่างชัดๆ อย่างงานเจ คนไม่เข้าใจตรงที่ว่าเมื่อเสร็จงานแล้วเรามีเงินก้อนหนึ่งเหลือจากการค้าขาย เงินที่เหลือเหล่านั้นไม่ใช่กำไรเลย แต่เป็นเงินที่เกินมาจากค่าใช้จ่ายจริง งานเจคนไปช่วยงานหลายร้อยคน สามหรือสี่ร้อยคน ถ้าคิดค่าจ้างค่าโสหุ้ยหลายอย่าง คนที่ไปช่วยงานเจของพวกเราเขาใช้งานได้เยอะถ้าคิดราคาค่าตัวไม่ใช่น้อย แล้วไปช่วยงานก็กินอาหารอยู่ในนั้นด้วย ถ้าที่อื่นเขาจ้างไปก็จะต้องจ่ายเงินกิน แต่เราจะทำการกุศลได้เสียสละ แม้ที่สุดได้เงินก้อนส่วนเหลือ ก็เอามาทำงานต่อ ไม่ได้เป็นของใคร ไม่ได้เข้ากระเป๋านายทุนเลย นี่เป็นระบบเศรษฐกิจบุญนิยมที่ลึกซึ้งมาก หากนักเศรษฐศาสตร์ฟังอาตมาจะเข้าใจ แล้วจะรู้สึกว่าน่าศึกษานะ

ทุกๆอย่างเลย เศรษฐกิจบุญนิยมจะซับซ้อนเสียสละสร้างสรร มีรายละเอียดซับซ้อนเนียนลึก ตั้งแต่มีการค้าของชาวอโศก การศึกษา ยิ่งการสื่อสาร ไม่ได้มีรายได้อะไรกลับมาเลย แต่พยายามจะให้ประโยชน์แก่สังคม ไม่ได้คิดจะหารายได้ไม่ได้เกิดรายได้จากโทรทัศน์เลยจากสื่อสารเลย นี่ยิ่งชัดที่สุดเลย แต่คนเขามองผิดเขาเป็นมองว่าชาวอโศกนี่โฆษณาตัวเอง เขาก็เลยบอกว่าลงทุนโฆษณาตัวเองก็เลยทำได้ ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าจะบอกว่าชาวอโศกโฆษณาตัวเองให้คนมานิยมชมชื่นมันก็จะต้องมีแบบโลกเขา คือให้คนมานิยมและมาเป็นลูกค้าเหมือนกับสถานีโทรทัศน์หลายสถานี ไม่ได้มีการขายสินค้าแต่เรี่ยไรเอาเงินจากคนข้างนอกเอามาทำงานสื่อสาร แต่ชาวอโศกนี้โทรทัศน์บุญนิยมไม่ได้เรี่ยไรเลย อย่าว่าแต่เรี่ยไรเลยคนข้างนอกไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาเงินมาให้ด้วย และไม่ได้โฆษณาขายสินค้า หลายสถานีไม่ขายสินค้าแต่เรี่ยไรเอาเงินคนข้างนอกมาใช้ แต่ชาวอโศกไม่ได้ทำเช่นนั้น เอาแรงงานของคนภายในพวกเราโดยตรง

เขาบอกว่าที่ไหนก็ต้องโฆษณาตัวเองทั้งนั้น อย่างธรรมกายมีโทรทัศน์ dmc ก็ได้เรี่ยไรทั่วโลกเลย มีกลยุทธ์กลวิธีหาเงินด้วย ชาวอโศกแม้แต่สินค้าตัวเองก็ยังไม่ได้ตั้งใจโฆษณาสินค้าตัวเองเลย เราเองก็ผลิตสินค้าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยาหรือเครื่องใช้ไม้สอย ผลิตปุ๋ยเราก็ไม่ได้โฆษณาเลยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้ตั้งใจโฆษณา

คนเขาไม่เชื่อว่าชาวอโศกจะทำงานเพื่อสังคมโดยบริสุทธิ์จริงใจ โดยไม่เอาจากสังคม แต่ชาวอโศกมีส่วนได้หมุนเวียนมาจากสังคมไหม ก็มีในระดับเศรษฐศาสตร์ที่ต้องหมุนเวียนอยู่เป็นส่วนน้อย แต่ไม่ได้ไปเป็นกำไรจากสังคมเป็นการหมุนเวียนมาเพื่อจะทำงาน ถ้าจะว่าไปแล้วเหมือนรัฐบาล รัฐบาลเก็บเงินมาจากประชาชน จะอยู่ในรูปของอะไรต่างๆเขาก็เอามาช่วยเหลือสังคมประชาชน แต่มันไปคอรัปชั่นไปขี้โกงต่างๆนานา ก็เลยไม่หมุนเวียนกลับไปถึงประชาชน

ถ้ารัฐบาลบริหารได้อย่างชาวอโศก มีพฤติกรรมอย่างชาวอโศกจะดีมากเลยชาวอโศกนี่สูงถึงขั้นทำงานฟรีเสียภาษี 100% ทำงานนี้ไม่ได้มีใครแบ่งเอาส่วนแบ่งไป ไม่มีการโกงกิน ทำงานแล้วมีแต่จะสะพัดออกไป มันเป็นความสูงสุดแล้วในระบบบริหารประเทศ ตรงตามที่ในหลวงบอกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเราหรือจะเรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง หรือจะเรียกว่า แบบคนจน ก็ตรงหมด

ขาดทุนให้แก่สังคมภายนอกเขาด้วย ไม่เคยไปหากำไรจากสังคมภายนอกเลย นี่คือความลึกซึ้งของเศรษฐศาสตร์บุญนิยม วันนี้เด็กๆจะตัวเล็กตัวน้อยหรือตัวโตจนกระทั่งเรียนม. 6 แล้ว เรียนปวส.ไปแล้วก็ตาม ฟังให้ดีๆ

เรามีชีวิตอยู่ในสังคมควรมีชีวิตอย่างไร

ดูกรนักเรียนทั้งหลาย เราควรคิดถึงตัวเองในแต่ละวัน เรากินอาหารของสังคม เราใช้หลายสิ่งหลายอย่างอาศัยเป็นเครื่องอาศัยใช้สอยอยู่ในสังคม แล้วเรามีคุณค่าเรามีประโยชน์เราทำอะไรขึ้นมาให้แก่สังคม ตั้งแต่สังคมที่อยู่ใกล้ตัวเรา ไปจนสังคมที่อยู่ไกลตัวเราก็ตาม ถึงประชาชนในประเทศและนอกประเทศถ้าสามารถเป็นไปได้ เราสามารถที่จะมีคุณค่ามีประโยชน์เกินกว่าที่เรากินเราใช้แต่ละวันแต่ละวันหรือไม่

ถ้าหลวงปู่จะมีความคิดที่จะไปกอบโกยเอาเปรียบจากสังคมจะไม่คิดเช่นนั้นเลย จะไม่ทำเช่นนั้นเลย แต่จะทำแต่เสียสละสร้างสรรกับสังคม ให้มามีชีวิตแบบนี้หลวงปู่ทำได้สำเร็จทุกวันนี้ ทำเช่นนี้มีชีวิตเช่นนี้ แล้วก็พาพวกเรามาทำอย่างหลวงปู่นี่ได้ จึงเกิดชุมชนขึ้นมา ให้มาช่วยกันทำอย่างนี้ มีนโยบายมีวิธีการมีความตั้งใจจริงมีทิฐิมีทฤษฎีแบบนี้

พวกเราเป็นเด็กๆเป็นลูกหลานชาวอโศก แล้วจะเรียนจบไปมีชีวิตอยู่ข้างนอก มีพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายในสังคมแบบนี้ ที่มีทฤษฎีแบบนี้เป็นทฤษฎีหลักของชีวิต และออกไปจากที่นี่แล้วคิดให้ดีว่าอยู่ข้างนอกเขาให้เราคิดแบบนี้หรือไม่ เขามีแต่จะสร้างหลักสร้างฐาน มีสมบัติแก้วแหวนเงินทองมีทรัพย์ศฤงคารแล้วสะสมเอาไว้ให้ได้มากๆไม่มีที่สิ้นสุด ให้ได้มากเท่าไหร่ก็เอา กักตุนสะสมยิ่งขึ้น แต่ของเรานี่ไม่กักตุน ไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ มีแต่จะสะพัดออกเท่าที่เราจะสะพัดได้ เหลือคงคลังสำหรับการหมุนเวียนไม่ให้เราเป็นหนี้

เรามีวัฒนธรรม พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ ไม่ต้องคิดค่าทำศพ แต่ช่วยกันทำฟรี หลวงปู่ทำมา 40 ปีแล้วเด็กคนไหนเห็นดีอยากจะมาช่วยก็มา ถ้าไม่เห็นดีเห็นงามก็ตัวใครตัวมัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำไมคนอยากได้รัก แต่งงาน เงิน อำนาจ

_ผมขอถามว่าทำไมคนเราต้องรักกันและแต่งงานกันครับ

พ่อครูว่า...ตอบว่าทำไม เพราะโง่ นี่เป็นคำตอบของพระพุทธเจ้านะ เพราะยังไม่รู้ความจริงแห่งทุกข์ จึงต้องรักและแต่งงานกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ตั้งตนเป็นคนโสดท่านเรียกว่าบัณฑิตหรือผู้ฉลาด ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง ผู้ใดยังไม่ฉลาดก็ต้องไปรักไปแต่งงานกันไปเป็นคนคู่ เขาโง่ เขาไม่ใช่บัณฑิต พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในโลกบอกไว้ แต่ก่อนหลวงปู่เป็นฆราวาสก็โง่ตามยังมีรัก แต่เคราะห์ดี คนแต่งงานนั้นเป็นคนมีเคราะห์ ไม่ใช่โชคนะ หลวงปู่ก็เคราะห์ดีที่ไม่ได้แต่งงาน แต่ไปรักกันเพราะไม่เคยรู้ยังโง่ พอฉลาดแล้วก็เลยเลิกทุกวันนี้ก็เลยเป็นคนโสดมาอย่างสบาย

_ทำไมคนส่วนใหญ่ในสังคมจึงอยากได้เงินและอำนาจครับ

พ่อครูว่า...ตอบว่า เพราะว่าโง่ เหมือนเดิม อยากได้แต่เงิน อยากได้แต่อำนาจ หลายคนในชาวอโศกก็ทำงานอย่างไม่ได้คิดจะได้เงินเลย เขามีเงินแล้วก็จะทำให้มีอำนาจ แต่การที่ได้อำนาจมาเพราะเงินนั้นมันไม่ดี แต่การมีอำนาจแบบชนิดที่คนอื่นเขายกย่อง ยอมเชื่อถือ ยอมฟังยอมปฏิบัติตาม ยอมอยากได้ความรู้อยากได้ความจริง อยากได้สิ่งที่ลึกซึ้งๆที่ท่านมี อันนี้เป็นพลังงานจะเรียกว่าอำนาจก็ตามที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจที่เป็นอำนาจเงินทองลาภยศสรรเสริญ อำนาจที่จะใช้การสร้างองค์ประกอบใดใดให้คนมาเกรงกลัวมายอม ไม่ใช้อำนาจเงินไม่ใช้หน้าที่ยศศักดิ์ไม่ใช้อำนาจให้คนอื่นมากลัวมายอม แต่คนอื่นนับถือบูชายกย่องยอมฟังยอมเชื่อ ยอมปฏิบัติตามโดยดุษณีเลย อย่างมีปัญญา เห็นควรว่าคนนี้ต้องยกให้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แม้แต่บางคนนี้มอบชีวิตให้ได้เลย

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีเงินมีอำนาจมาก่อนแต่ก็ทิ้งหมด มามีสิ่งที่ประเสริฐแบบไม่ใช่ไปข่มเบ่งบังคับหรือให้คนที่โง่มานับถือ แต่คนจะนับถือคนจะยกให้นี้เป็นคนฉลาด เป็นคนมีภูมิปัญญาอย่างสูงส่งเลย

 

 

_1 ที่นี่มีข้อห้ามไม่ให้เล่นวงดนตรีโปงลางหรือเปล่า

พ่อครูว่า...ดนตรีโปงลางพวกเราก็หัดเล่นกันอยู่ เล่นกันได้เก่งไม่เลว

 _2 วงดนตรีโปงลางที่เป็นพื้นภาคอีสานเป็นวงดนตรีโลกุตรธรรมหรือไม่

พ่อครูว่า...ก็เป็นเพลงพื้นบ้าน จะเรียกว่าโลกุตระหรือไม่ก็คงอธิบายยาก ไม่ใช่ดนตรีสมัยใหม่ที่เป็นแบบจัดจ้านขนาดนั้น

_3 พวกเราสามารถเล่นวงดนตรีโปงลางได้หรือไม่

พ่อครูว่า...ก็ได้ แต่ไม่ได้มีทุกโรงเรียนเท่านั้นเอง

 _4 แล้วพวกเราจะทำอย่างไรหากคุรุปิดกั้นโอกาสไม่สนับสนุนเช่นที่บ้านราช หลวงปู่โปรดช่วยอนุญาตให้ด้วยค่ะเพราะเรื่องนี้พวกเราเข้าใจดี

พ่อครูว่า...ก็อาจจะไม่ได้ปิดกั้นแต่เป็นเพราะโอกาสเวลา มีครูคนไหนห้ามไม่ให้เล่นก็คงจะเป็นส่วนตัว

 _5 เราไม่ควรให้ความสนใจกับดนตรีมากเกินไปหรือเปล่า

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เพราะมันเป็นเพียงการละเล่น ดนตรีก็ตามเป็นการละเล่นชั่วคราว เป็นการพักผ่อนชั่วคราวไม่ใช่เรื่องอาชีพ ดนตรีร้องรำเอาไปเป็นอาชีพคือพวกได้ นรกปหาสะ ไม่ใช่สวรรค์ พวกเต้นกินรำกินร้องกินนี่ชีวิตได้นรกปหาสะ นอกจากมีศิลปะโลกุตระ

แต่ก่อนหลวงปู่แต่งเพลงโลกีย์แต่พอมาบวชแล้วรู้แล้วก็แต่งเพลงโลกุตระ แต่ทั้งโลกเข้าใจโลกุตระยาก มีแต่นรกปหาสะ ถือว่าเป็นสิ่งต้องมีต้องได้ต้องเป็นแล้วเอาไปเป็นอาชีพ

ในสังคมประเทศไทย มีศาสนาพุทธมาประมาณร้อยปี เขาเข้าใจว่า พวกเต้นกินรำกินนี้ไม่ดี ได้นรก แต่นี่มันเลยมาขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เข้าใจไม่ได้ ไม่เชื่อแล้วไม่รู้เรื่อง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โสดาบัน 4 ขั้น

_การที่เราเป็นโสดาบันแล้วทำผิดอยู่ถือว่าเป็นโสดาบันหรือไม่

พ่อครูว่า...ผู้ที่มีทฤษฎีในการลดกิเลส 1. เป็นคนรู้จักกิเลสซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นกิเลส มีอาการของจิตใจที่เป็นกิเลสแล้วโสดาบันนี่ทำให้จิตใจที่เป็นกิเลสนั้นมันลดลงได้ ลดได้ด้วยวิปัสสนาญาณ ได้ด้วยมีญาณปัญญา รู้จักจิตอาการของจิต แล้วรู้จักองค์ประกอบของการปรุงแต่งจากกิเลสภายในจิตเรียกว่ากาย ทำให้สักกายะลดลงได้ มีความรู้วิธีการ คนนั้นเรียกว่าโสดาบัน

ส่วนอันอื่นๆ กิเลสตัวอื่นที่ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ผิดได้ แต่ถ้ากิเลสตัวที่เรียนรู้แล้วตัวเองก็ดับกิเลสนี้ได้ ถ้าเป็นโสดาบันถึงขีดนั้นเรียกว่านิยตะ สูงขึ้นไปเป็นสัมโพธิปรายนะ ถ้าถึงขนาดนั้นขีดนั้นจะไม่ทำผิด เพราะจิตมีสมาธิตั้งมั่นมากเพียงพอ

พระโสดาบันพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามี 4 ขั้น 1. โสตาบันนะ 2. อวินิปาตธรรม 3. นิยตะ 4. สัมโพธิปรายนะ หมายความว่าจิตมีความรู้สามารถจับตัวกิเลสได้ เรียกว่าสักกายะ แล้วมีอุบายเครื่องออกมีวิธีทำให้กิเลสลด พอจิตเข้ากระแสก็ลดได้ มีอวินิปาตธรรม ลดได้เป็นลำดับ ถ้าแบ่งเป็นสี่ส่วน

โสตาปันนะก็หนึ่งในสี่ อวินิปาตธรรมก็สองในสี่ส่วน นิยตะคือสามในสี่คือ 75% คือแข็งแรงมั่นคงไม่ผิด ไม่ล้มเหลวอีก ถ้ายังล้มเหลวก็อวินิปาตธรรม ถ้าเลย 75 แข็งแรงที่สุด มีแต่กิเลสดับสูญ สัมโพธิปรายนะ

ถ้ารู้กิเลสตัวไหนแล้วเราทำได้จริงถึงโสดาบันจะไม่มีตกต่ำ ส่วนกิเลสตัวอื่นไม่ได้ทำมันก็ต้องผิด หรือทำยังไม่หมดก็มีผิดบ้าง ทำไปตามลำดับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน พิสูจน์ผีไม่มี

_ที่หลวงปู่บอกว่า ถ้าเจอผีให้ท่องคาถาว่า แค่ตายๆ แต่ถ้าจับผีได้มีรางวัล 10 ล้าน แต่ก็ขอถามว่า

1.1 เวลามีคนอยากได้เงิน 10 ล้านแล้วไปจับผี แน่นอนครับว่าไม่มีตัวไหนอยากมาอยู่ในถุงดำหรอก เพราะมันไม่อยากลงถุงขยะมันไม่มาอยู่ให้จับหรอกครับ 2 คาถาแค่ตายแค่ตายมันช่วยได้หรือครับ ผมงงมากเลยเผื่อว่าผีมันไม่กลัวหรอกครับ

พ่อครูว่า...คาถาหลวงปู่นี่ขลัง ให้ทำใจกล้า แค่ตายแค่ตาย พิสูจน์เลย เราจะรู้จักผีคือความกลัวในใจเราคือผี ความกลัวผีว่ามันจะหลอกเอา ผีในที่มืดที่นี่ที่ที่เราบอกว่าคงมีผี แต่หลวงปู่บอกว่าให้เดินเข้าไป ท่องเอาไว้ว่า แค่ตายแค่ตาย ตรงที่มีผี เข้าไปเลยและจะไม่เจอผีตัวใดเลย เพราะมันเป็นผีหลอกทั้งนั้น ไม่มีผีจริง คนที่เห็นผีว่าเขาเห็นผี เขาถูกผีหลอกนั้น ในภาษาของพระพุทธเจ้าก็คืออุปาทานของตัวเอง สร้างมโนมยอัตตาของตัวเองขึ้นมาหลอกตัวเองให้เห็นจริงๆด้วย เห็นเป็นผมยาวหน้าเบี้ยวหน้าบิดที่เอามาแสดงตามหนัง เป็นความหลอกของตัวเอง ปั้นรูปนั้นเห็นจริงๆของตัวเอง แต่มันไม่มีความจริงเลย เรียกว่าอุปาทานและมโนมยอัตตา

เช่น ตัวอย่างเขาเรียนวิธีที่ไม่รู้จักมโนมยอัตตาไปนั่งสมาธิหลับตา แล้วเขาก็ว่าพลังงานของเขานี้เก่งมาก เขาเอาพลังงานของเขามาแล้วก็สอนว่าเราจะเห็นทิพย์ มีตาทิพย์เห็นรูปร่างเห็นสัตว์นรกเห็นเทวดาอยู่ข้างใน เขาก็ปั้นรูปเป็นสัตว์นรกเป็นเทวดาสำเร็จขึ้นมาได้เหมือนฝัน คนฝันไปเจอยังงั้นอย่างงี้ มันไม่จริงทั้งนั้น เป็นอุปาทานทั้งสิ้นเลย

คนที่สร้างอุปาทานจิต มีอวิชชาหลอกตัวเอง ผีคือของหลอก ผีจริงๆคือกิเลส พระพุทธเจ้าเรียกว่ามาร ผีจริงๆคือสัตว์นรกสัตว์ชั้นต่ำ คือกิเลส เป็นสัตว์โอปปาติกะ จิตเรามีผีอยู่ในจิตมันไม่มีรูปร่างตัวตนแต่ปั้นเองหลอกเอง ผีคนไทยก็แนวๆเดียวกัน ผีของศาสนาคริสต์ก็เห็นอีกแบบ ผีของที่ไหนๆก็จะเห็นต่างกันไป เทวดาก็แล้วแต่ใครสมมุติ

 

_ทำไมเด็กบ้านราชฯร้องเพลงโลกีย์ มีเรื่องศีลข้อ 3 กันด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...ตัวคนถามก็อย่าเป็นละกัน และที่เขาเป็นก็คือโง่ แล้วทำไมมีเรื่องผิดศีลข้อ 3 กันมากมาย แล้วชาวอโศกมีเรื่องพวกนี้มากหรือ ก็ไม่มากหรอก แต่เราไปตีราคามาก ก็มีแต่ไม่มากหรอก  ถามว่าทำไม ก็เพราะโง่ แล้วมันดีไหม ไม่ดีก็ต้องพากเพียรพัฒนาขึ้น

 

_คนที่หน้าด้านไม่รู้จักอายไม่รู้จักพอควรควรได้รับผลกรรมอย่างไร

พ่อครูว่า...ที่ถามมานี้ดี เขาก็ได้รับผลกรรมตามความหนักความเบาความหยาบอะไรของเขาที่เขาทำกรรมนั้นๆ แต่ตอบตรงๆเต็มๆไม่ไหวเป็นอจินไตย แต่จะรับกรรมไปตามสัจจะ

 

_ถ้าเราทำดีแล้วเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดกิเลสเมื่อเกิดอกุศล เราจะบาปไหม

พ่อครูว่า...ถามมานี่ลึกซึ้งนะ ถ้าเราทำดีจริงๆแล้วก็เป็นเหตุ ผู้อื่นสัมผัสความสุขต้องความดีเราแล้วก็เกิดกิเลสเกิดอกุศล ถ้าเราทำเหตุที่ดีจริง คนอื่นมาเกิดกิเลสก็แสดงว่าเขาเองเขาผิด เหตุเราดีแต่เขาไปเกิดกิเลสเกิดอกุศลเราไม่บาปหรอก เพราะคนที่เขาสัมผัสเขาไม่รู้ว่าเขาเกิดอกุศลในจิต เกิดกิเลสในจิตเขา เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ดี สิ่งนี้ถูกต้อง แต่เราจะดีจริงหรือไม่ เป็นเหตุที่ดีจริงหรือไม่ ถ้าเราดีจริงคนนั้นเขาบาปเพิ่ม เพราะไม่รู้จักดีว่าคือดีที่เป็นสัจจะ ก็เลยเกิดไม่ชอบใจ ทำให้เขาเกิดผิดเพี้ยนไปจากสัจธรรม

 

_คนที่แสวงหาแต่กำไรโลกีย์จากคนรวยคนจน ก็มีแต่ขาดทุน แต่ผู้ที่แสวงหาความขาดทุนแบบโลกีย์ จะพบกำไรโลกุตระ..

พ่อครูว่า...ถูกต้อง ถ้าตามฟังที่ผู้เขียนเขียนมาเป็นความคิดแบบโลกุตระ เด็กนักเรียนม.1 ปฐมอโศก

 

_ที่หลวงปู่เคยพูดว่าไสยศาสตร์เป็นอุปาทาน

พ่อครูว่า...ถ้ามีคนที่ไปพบหนังควายตะปูอยู่ในท้องจริงๆ ถ้าโดนเสก แสดงว่าไสยศาสตร์มีจริงใช่ไหม ตอบว่าไปเอามาให้ดูหน่อยคนที่ทำได้จริงๆ ถ้าเสกอย่างนั้นได้จะไปเสกทำไมหนังควายตะปู ให้เสกทองคำสิ เสกทำไมหนังควาย เสกเนื้อควายเข้าไปในท้องให้กินเลย แต่นี่หลอกกันอยู่ได้ ไม่จริงหรอก ไปบอกคนที่เสกจริงๆ เสกโลหะได้ทำไมเสกตะปู ให้เสกเป็นทองคำ เสกหนังควายไปโง่ เสกแต่หนังให้เสกเนื้อเข้าไปเลย จะได้กินจะได้ใช้

 

_ถ้าตอนเด็กทำบาปไว้ แต่โตขึ้นก็ไม่ทำอีก แล้ว กลับตัว จะได้รับวิบากไหม

พ่อครูว่า...ได้รับ

 

_ทำไมฉายาสมณะสม.จึงลงท้วยด้วย โอ

พ่อครูว่า...โอ นี่เป็นเอกพจน์ ถ้า อานี่ พหูพจน์

 

_เวลาหลวงปู่เทศน์หรือสำนักสุขภาพเทศน์แล้วเด็กไม่ตั้งใจฟังคุยกันแข่งจะบาปไหม

พ่อครูว่า...บาปจะมีวิบากคือโง่ไปเรื่อยๆจะไม่ได้รับปัญญา เวลาคนมาบรรยายสาระให้ฟังควรตั้งใจฟังหรือไม่ตั้งใจฟัง ก็ควรตั้งใจฟัง การทำสิ่งที่ไม่ควรมันก็จะต่ำลงจะเสื่อม

 

_มีพระที่สอนบอกว่าคนที่เป็นผู้หญิงที่ชอบโชว์สัดส่วนนูนส่วนนี้จะเกิดไปเป็นวัวนมให้เขารีดนม แล้วการกินนมสัตว์นี้ดีไหม

พ่อครูว่า...พระรูปนี้ก็สอนแปลกนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องวิบากที่ละเอียดลออ เราไม่ควรจะไปรังแกสัตว์ไปเบียดเบียนสัตว์ นมวัวนมแพะอะไรเราก็ไม่ควรไปเอา มันมีไว้ให้ลูกกิน เราไปแย่งมาก็เบียดเบียน เรากินพืชมันไม่จองเวรไม่มีหนี้บาป แต่สัตว์มีจิตนิยามมีหนี้บาปได้ ..จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:13:29 )

590331

รายละเอียด

590331_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พุทธคุณ 9

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2559 แรม 9 ค่ำเดือน 4 ปีวอกหรือปีมะแม ต้องหรืออยู่เรื่อยเพราะว่ายังไม่ถึงวันที่ 13 เมษายน วันนี้อาตมาก็จะมีอะไรอะไรมาพูดบรรยายอีกเยอะแยะตามเคย อาตมาเองพูดบรรยาย ยิ่งพูดยิ่งบรรยายมันยิ่งซาบซึ้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงเห็นว่าคนในยุคนี้ยากเย็นเหลือเกิน พระพุทธเจ้าจึงไม่ต้องมาอุบัติ ลองปล่อยให้กับโพธิรักษ์นี่แหละเหนื่อยไป

ยิ่งทำไปก็ยิ่งเห็นความจริงว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของมนุษยชาติตั้งแต่ต้นจนปลายยุคบรรลัยกัลป์เลยล่ะ จะต้องคุ้มครองช่วยเหลือตั้งแต่ยุคที่คนดีจนถึงยุคที่คนร้ายที่สุดก็ต้องช่วยเหลือจนไม่มีอะไรจะช่วยได้

 

Sms 29 มี.ค.59

_0890015xxx โพธิสัตว์ระดับใดจึงจะเป็นอรหันต์

พ่อครูว่า...โพธิสัตว์ระดับใดก็ต้องเป็นอรหันต์ อย่างน้อยเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 คือโสดาบัน ก็ต้องมีอรหันต์ในโสดาบันหรืออรหัตผลในโสดาบัน จนสุดยอด อรหัตตาคือไม่ลึกลับแล้วในตัวเราในระดับนั้น จนถึงไม่ลึกลับที่สุดเลยถึงอรหันต์

พุทธทางเถรวาทเข้าใจว่า เป็นโสดาบัน 7 ชาติแล้วต้องเป็นอรหันต์ แล้วเป็นอรหันต์เสร็จก็จะตายแล้วสูญ จะไปเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ อันนี้น่าสงสารที่เข้าใจผิดไป

แท้จริง 7 ชาติคือสังโยชน์ 7 จะต้องบรรลุสังโยชน์อีก 7 จึงเป็นอรหันต์ ส่วนพระโพธิสัตว์บรรลุอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็ต้องบำเพ็ญอีก จะต้องศึกษาความเป็นสัตวโลกอีก ไม่รู้กี่ล้านประเด็น ต้องรู้จริงด้วย อย่างตนเองต้องเป็นคนผ่านจริงๆ อะไรใกล้เคียงกันก็ผ่านได้ แต่อะไรไม่ใกล้เคียงกันก็ต้องไปเป็น

ตกลงเข้าใจให้ถูก พระโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์ก่อนทุกองค์

 

_0890015xxx เป็นข้าราชการบำนาญต้องการจะบวช ปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ผิดธรรมวินัยครับ

พ่อครูว่า...ถ้าจะบวชต้องสละออกให้หมด แม้จะเป็นเงินบำนาญก็ตาม เพราะการบวชในศาสนาพุทธไม่ใช่มาบวชเล่น การมาขอบวชสักเดือนนึง 3 เดือนแล้วออกไปอย่างนี้เป็นการทำลายศาสนาพุทธ การครองจีวรนั้นไม่ใช่แค่ของเล่น เป็นเหมือนพระเจ้าแผ่นดินได้รับการมุรธาภิเษกใส่แล้วเป็นแล้วเป็นเลย ไม่ว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนองค์นั้น การใส่ธงชัยพระอรหันต์เช่นกัน พ่อแม่ก็ต้องกราบ พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องกราบไหว้แล้ว

 

_0890015xxx ตอนที่เราเลิกชุมนุมและถอนตัวออกจากทำเนียบครั้งแรกนั้น พ่อท่านฯบอกเพิ่งยกแรก อยากทราบว่าขณะนี้ถึงยกไหนแล้วครับ

พ่อครูว่า...ก็ยกพลกลับมาจากการชุมนุมเมื่อปี 2557 จะนับว่าปี 2553 เป็นยกที่ 1 หรือปี 2557 เป็นยกที่ 2 วันนับเอาตามสมมุติเอา อีกกี่ยก ก็ขอถามคุณว่าจะถอยหรือยังไร แต่อาตมาไม่ถอย

 

_0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกๆพุทธ สถ.อโศก!วันวานได้ฟังแปล ธรรมพุทธานุสสติจากอิติ ปิโสจนถึงพุทโธภะคะวาติ!

 

_0893867xxx วันนี้ได้ฟังธรรมโวหาร4ได้ยินในอารมณ์เห็นในอารมณ์ทราบในอารมณ์รู้ชัดในอารมณ์!เข้าใจทุกๆอารมณ์สาธุ

 

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมเรื่องฌานที่มีแต่ผู้ปฏิบัติตนให้พ้นนิวรณ์5อันมีกามพยาบาทถีนมิทธะอุทธัจจกุ กกุจจะวิกิจฉาออกไปได้สาธุ

พ่อครูว่า...ฌานคือพลังงานที่มีฤทธิ์มีอำนาจสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้

 

Sms 30 มี.ค.59

_0857308xxx กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ สัมมากัมมันตะมีรายละเอียดอย่างไร ผู้น้อยจะประมวลมาสร้างงานศิลปะแต่ยังไม่ชัด

พ่อครูว่า...มิจฉากัมมันตะคือ ปาณาติปาตาฯ อทินนาทานาฯ กาเมสุมิจฉาจารฯ กรรมที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์เป็นโทสะมูล เป็นไปเพื่อโลภะมูล เป็นการเห็นแก่ได้มาเป็นของตน ตั้งแต่ไม่ทุจริตเป็นสุจริตก็ยังอยากได้อยากมีอยากเป็น โทสะ โลภะ โมหะเหลือหยาบกลางละเอียดก็ต้องล้าง

อันสองนี่อยากเอามาเป็นของตน อันสามนี่อยากเสพราคะ

ถ้าคุณจะทำงานศิลปะให้คนอื่นสัมผัสแล้วเกิดกิเลสราคะโทสะโมหะ ในงานของคุณทำให้เกิดกิเลสอย่างนั้นจะต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นเช่นนั้น ต้องให้สัมผัสงานแล้วได้ลดละกิเลส

 

_เห็นแก่ลาภยศและตำแหน่ง จึงแย่งกันเป็นใหญ่ในตำแหน่งหัวหน้าพราหมณ์

พ่อครูว่า...ธรรมกายแถลงว่าไม่ใช่วิสัยที่จะสอบถามที่มาถึงเงินบริจาค พูดมาได้อย่างไรว่าไม่ใช่วิสัย คุณเป็นคนในประเทศไทยหรือเปล่า คนเขามีอำนาจหน้าที่มีสิทธิที่จะสอบถามข้อมูล และคุณเป็นใหญ่กว่ากฎหมายหรือ ใหญ่กว่าหลักเกณฑ์ของประเทศหรือ

_0890015xxx ธรรมกายแถลงว่าไม่ใช่วิสัยที่จะสอบถามที่มาของเงินบริจาคและไม่ทราบว่าดีเอสไอแจ้งข้อหาความผิดอะไร พฤติกรรมเช่นนี้ผิดธรรมวินัยหรือไม่

พ่อครูว่า...วันนี้มีข่าวในคมชัดลึก บอกว่าธรรมกายโต้ธัมมชโยผิด

 

‘ธัมมชโยบริสุทธิ์’วัดธรรมกายแถลง

‘ธัมมชโยบริสุทธิ์’วัดธรรมกายแถลง ย้ำไม่ทราบที่มาของเงินบริจาค ไม่ชัด 8 เม.ย.เดินทางไปพบดีเอสไอด้วยตัวเองหรือไม่ ขอหารือทีมทนายก่อน

          30มี.ค.2559 พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส  ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย แถลงข่าวภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีหมายเรียกพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะผู้ต้องหากระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ในคดียักยอกและร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ที่มีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เป็นประธานฯ เพื่อให้ไปพบพนักงานสอบสวน ในวันที่ 8 เมษายนนี้ว่า เบื้องต้นยังไม่ยืนยันว่าในวันที่ 8 เม.ย.พระธัมมชโยจะเดินทางไปด้วยตัวเองหรือไม่ จะต้องหารือกับทีมทนายความก่อน

          พระสนิทวงศ์ กล่าวต่อว่า   ขอยืนยันว่า พระธัมมชโยบริสุทธิ์และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะพระธัมมชโยรับบริจาคเงินมาเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป ไม่ทราบถึงที่มาของเงิน และปัจจัยที่ได้มา โดยได้นำเงินดังกล่าวไปสร้างศาสนสถานและใช้งานเรียบร้อยแล้ว รวมถึงก่อนหน้านี้กลุ่มลูกศิษย์ได้ร่วมกันลงขันระดมเงิน กองทุนเยียวยาช่วยเหลือให้สหกรณ์ไปแล้วกว่า 600 ล้านบาท โดยได้มีการตกลงกับศาลว่าถ้าข้อกล่าวหายุติลงทางสหกรณ์ต้องคืนเงินให้กับทางลูกศิษย์ซึ่งทางสหกรณ์ ได้ทำหนังสือขอบคุณ และเข้าใจต่อกัน จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใด ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถึงมีหมายเรียกออกมาเช่นนี้ ซึ่งทีมทนายความจะไปศึกษาข้อมูลในเบื้องต้นก่อนส่วนจะดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้อย่างไร จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

          พระสนิทวงศ์ บอกด้วยว่า พระธัมมชโยยังไม่ทราบเรื่องนี้เพราะลูกศิษย์เป็นผู้ดำเนินการและหารือกันก่อน   เมื่อถามว่า เมื่อใดพระธัมมชโยจะชี้แจงประชาชนนั้น พระสนิทวงศ์ ระบุว่า พระธัมมชโยอายุมากแล้วก็จะสละเวลาให้กับการนั่งสมาธิและสอนธรรมะ ส่วนข้อกล่าวหาข้อสงสัยทั้งหลายก็จะให้ลูกศิษย์เป็นผู้ชี้แจง ข้อสงสัยทั้งหลายถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะก็จะตอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป ก็ให้เป็นหน้าที่ลูกศิษย์ ก็ขอโอกาสให้พระธัมมชโยทำเรื่องเกี่ยวกับธรรมะดีกว่า

          สำหรับกรณีที่พระธัมมชโยโอนเงินหลักร้อยล้านบาทกลับไปยังบัญชีบุคคลอื่นแทน รวมถึงกรณีรายชื่อ กลุ่มพระที่มีชื่อเป็นผู้รับโอนเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เช่น พระวิรัช 100 ล้านบาท พระมนตรี 100 ล้านบาท พระครูปลัดวิจารณ์ฯ 119 ล้านบาท  พระสนิทวงศ์กล่าวว่าใน ประเด็นนี้ยังไม่ขอเปิดเผย

"ไพบูลย์"กำชับดีเอสไอดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย 

          พล.อ.ไพบูลย์   คุ้มฉายา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานจากพ.ต.อ.ไพสิฐ  วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพระธัมมชโยแล้ว  สืบเนื่องจากมีชื่อเป็นผู้รับเช็คบริจาคจากนายศุภชัย ซึ่งตนกำชับให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนการชี้แจงความคืบหน้าในคดีดังกล่าวได้ขอให้เป็นดุลยพินิจของอธิบดีดีเอสไอ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ ( 30 มี.ค.) สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯในฐานะผู้เสียหายจากการฝากเงินจำนวน 8 ราย ทยอยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อเอาผิดกับผู้ที่มีรายชื่อรับเช็คปลายทางจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดย น.ส.ศิวพร  เปล่งแสงศรี  หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหาย สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กล่าวว่า ได้เข้าร้องทุกข์กับดีเอสไอเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้มีชื่อรับเช็คจากสหกรณ์คลองจั่นรวมถึงพระธัมมชโยที่ได้รับเช็คเงินบริจาคหลายครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาผู้เสียหายที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ไม่มีส่วนรู้เห็นว่ามีการนำเงินฝากของสมาชิกไปบริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย ดังนั้น จึงขอวิงวอนให้พระธัมมชโยส่งคืนเงินที่ได้รับบริจาคทั้งหมดให้กับสหกรณ์  เพราะเงินดังกล่าวเป็นเงินเก็บสะสมเพื่อยังชีพในช่วงบั้นปลายของชีวิต

          พ.ต.ท.ปกรณ์  สุชีวกุล  ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร หัวหน้าชุดสอบสวนเส้นทางการเงินคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เปิดเผยว่า   เนื่องจากมีสมาชิกผู้เสียหายสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นร้องให้เอาผิดกับผู้รับเช็คปลายทาง พนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินจากเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จึงได้ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการวานนี้ (29 มี.ค.) และมีมติร่วมกันให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา  2  ราย คือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  ที่มีชื่อรับเช็คหลายฉบับ เป็นเงินถึง  800 ล้านบาท ซึ่งพบว่าเป็นการรับเงินจากสหกรณ์คลองจั่น โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเงินดังกล่าวได้ไหลไปยังเครือข่ายพระของวัดพระธรรมกายในหลายจังหวัด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้นำหมายเรียกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปส่งที่วัดพระธรรมกายแล้ว และมีการเซ็นรับหมายเรียกที่ระบุให้พระธัมมชโยเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ที่สำนักคดีการเงินการธนาคาร ดีเอสไอ วันที่ 8  เม.ย. เวลา 09.00 น.

พ่อครูว่า...มันผิดธรรมชาติของคนที่บริสุทธิ์และคนบริสุทธิ์นั้นจะรีบชี้แจงบอกเหตุผลไปบอกที่มาที่ไปว่าตนบริสุทธิ์จะไม่ยึกยักหรือยืดเยื้ออะไร?

 

_0893867xxx นมก.พ่อครูฯรู้สึกแปลกๆข้อความเก่าที่ส่งหลังจอ N.1 หลายวันกับหลังจอบุญนิยมพร้อมใจกันออกเต็มหน้าจอเขาจะช่วยผู้ชมฤาผู้ส่งกันหนอ? 0893867xxx นมก.สณ.สม.จรธ.ญตธ.นร.สสข.เยาวชนชาวมังสะลูกกทธ.ทุกม.ผู้ได้รับการพัฒนาฝีมือแรงงานทุกวิชาอันเยี่ยมจากคุรุชาวอโศกชั้นย อด! 0893867xxx ช่างศิลป์โลโซกลัวภัยๆ1ที่ไม่เหมาะกับชีวิตตัวเองคือความดีเด่นดัง!มีมากไปเป็นภัยแก่ตัว!เพราะโลกธรรมบ่ได้มีแต่เทพใจดีๆมารเลวร้ายก็มาก!ขอเป็นสะเก็ด ปท.ขี้ผงๆคอยช่วยสะกิด สังคมน้อยนิดก็พอแล้ว

0893867xxx ชีวิตที่อยู่อย่างมีความสุขสงบที่สุดคือชีวิตที่สมถะสันโดษ!เมื่อถึงเวลาสละตนเมื่อชาติต้องการ!ก็พร้อมเสมอ

0893867xxx ขอบคุณทุกคำถามของนร.สสข.ทุกม.ทำให้ญตธ.หน้าจอได้อานิสงส์จากคำตอบพ่อครูไปด้วยจรธ.

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมโลกุตระทุกคำสอน!ทำให้รู้ว่าเกิดอย่างมีศิลปะเกิดมาเรียนรู้การดับกิเลสกับตายอย่างศิลปะตายไปกับการเรียนรู้ซึ้งถึงทางสู่นิพพานสาธุ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นรกปหาสะเป็นอย่างไร  

_0890015xxx นรกปหาสะมีโทษหรือความเสื่อมอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...ฟังให้ดี ทุกวันนี้ไม่เข้าใจคำว่าปหาสะแปลว่านรกเพราะคำว่าปหาสะแปลว่าสนุกรื่นเริงบันเทิงใจต่างๆ ความจริงมันเป็นเท็จ มันเป็นสุขขัลลิกะ ความจริงนั้นมีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่และทุกข์ที่ดับไปเท่านั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าจัดการความทุกข์ที่เป็นอริยสัจ

คำว่าปหาสะ มันเป็นนรกอย่างไร มันย้อมใจคนยังไปยินดีไปชื่นชอบและจะมีรสชาติยินดีนิดหนึ่งก็ตามที่เป็นสุขอยู่ ก็เป็นปหาสะนิดๆ มันก็คือนรกนี่แหละ เพราะสวรรค์มันคือของเก๊ ความสุขเป็นของเก๊ ใครอย่าไปหลงยินดีกับปหาสะ ระริกระรี้รื่นเริงบันเทิงเริงรมย์อยู่ แต่การจะมีจิตเบิกบาน ร่าเริงไม่ใช่ ร่าซ่า คือความไม่ห่อเหี่ยวไม่หดหู่ แต่อย่าไปยึดว่ามันเป็นความเที่ยง เราควรจะอยู่กับอารมณ์อย่างไรอารมณ์ที่รุนแรงจะมาทำให้เราแปรไปจากอารมณ์เบิกบานไม่ได้อยู่กับจิตที่เป็น อภิปโมทยังจิตตัง ความยินดีของจิตอย่างละเอียดลึกซึ้ง

ถ้าคุณยังมีขันธ์ 5 ยังต้องมีความรู้สึก ต้องรู้ว่าอาการนี้เป็นอาการที่ต้องแบกภาระจึงเรียกสุดท้ายว่าเป็น ทรถ มันเป็นภาระที่ต้องอยู่กับเรา ให้จิตมีอารมณ์อาการ อาราม อย่างนี้ให้ได้เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พุทธคุณ 9

มาต่อเรื่องพุทธคุณ 9 ที่ได้ขยายความไว้ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามีพุทธคุณคือ เป็นพระอรหันต์

ก็ได้นำเอาลักษณะของพระอรหันต์ 12 อย่าง และในพระสูตร ฉวิโสธนสูตร

1. เป็นคนหมดทุกข์  (ดับทุกข์อริยสัจ) ต้องเป็นคนที่อ่านอาการของทุกข์อริยสัจได้ แม้จะเหลือแค่ ทรถ ก็ยังเป็นภาระที่ต้องดูแล เช่น พระอรหันต์ก็ต้องเจ็บป่วยมีขันธ์ 5 อยู่ก็มีความเป็นทุกข์เลยแม้แต่อาการปวดขี้ปวดเยี่ยวก็เลี่ยงไม่ได้ต้องมี ทรถ หรือแม้จะเกิดอาการอยู่ในภาวะที่มี เช่น ต้องหาอาหารมาเลี้ยงขันธ์แม้แต่ความดีงามสำนึกว่าเราต้องทำงาน ต้องหางานทำ ให้อยู่แบบไม่ทำงานมันไม่ดีแน่ แสวงหางานทำก็เป็นภาระ จะต้องไปจ่ายพลังงาน บางครั้งก็จ่ายมากมันก็เมื่อย จะเรียกว่าไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ นั่นแหละคือทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้

แม้แต่มีวิบากตามทัน เป็นพระพุทธเจ้าแท้ๆ ก็ยังมีวิบากตามทัน

2. เป็นคนไม่มีภัย

อย่างธรรมกายนั้นเขาจะเห็นว่าอาตมาเป็นภัย แต่แท้จริงผู้ที่ถูกต้องสุจริตจะไม่เป็นภัยแก่คนพวกนั้น แต่พวกโจรก็จะหาว่าพวกนี้เป็นภัยกับมัน แล้วจะให้คนดีแต่เป็นมิตรสหายกับโจรได้อย่างไร มันก็ต้องเป็นภัยต่อกัน จะมาพูดตลบตะแลงไม่ได้

3. เป็นคนมีคุณค่า 

4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว

5. เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

6. เป็นคนมีเมตตาจริง

7. เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้

8. เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว

9. เป็นคนทำแต่กุศล

10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว

11. เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน

12. เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์

 

พุทธคุณ 9

1. อรหํ เป็นพระอรหันต์

2. สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ

3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

4. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว

5. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก

6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

8. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว เป็นเจ้าแห่งความเป็นพุทธและเป็นพรหมที่แท้จริง

9. ภควา  คือผู้ที่สูงส่งเป็นเจ้าเป็นใหญ่  ตัว ภ สำเภาตัวนี้แปลว่ายิ่งใหญ่ คำว่าค่ะ ฆ แปลว่าเคลื่อนที่ไป ถ้าเป็นคหะ ก็เคลื่อนที่ไปอย่างชาวบ้าน

 

ข้อ 3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับอัมพัฏฐะมานพบอกว่าเธอกับอาจารย์ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งผิดพวกเธอยังไม่ได้สิ่งผิดนั้นเลย จะป่วยการกล่าวไปถึงสิ่งที่ถูกต้องของวิชชาจรณะสมบัติ ยุคนี้ก็คล้ายกันผู้ที่เป็นพระมหาศาลอยู่ทุกวันนี้มิจฉาทิฐิที่เขามีเขาก็ยังไม่ได้เลย ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ที่เป็นพระมหาศาลร่ำรวยอยู่นี้การนั่งเจโตสมถะนี้เป็นเรื่องผิดไม่ใช่ทางเอกของพุทธ หลายองค์ที่เป็นเจ้าคุณก็ยังไม่มีเจโตสมถะ

ถือศีลเป็นเรื่องปฏิบัติเกลากิเลส ยกตัวอย่าง สมเด็จช่วงก็ยังไม่รู้จักมาลาคันธะเลย ไม่รู้ประสีประสา ตนเองจะเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วแค่นี้ยังไม่รู้เลยคิดดู

ต้องรู้พฤติกรรมตนเองทั้งกายวาจาใจ  วิญญัติ ที่เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่ออกมาครบองค์ นัจจะ คีตะวาทิตะ ต้องอ่านอาการจิตถึงมโนวิญญัติ ในพฤติหรือความประพฤติคือจรณะ ต้องรู้จักตั้งแต่จรณะ 15

หนึ่ง ต้องกำหนดศีล คนไม่เข้าใจจรณะก็ไม่บรรลุ หนึ่ง ต้องมีศีลเหมาะสำหรับตน พื้นฐานต้องมีศีล 5 เป็นเบื้องต้น ถ้าห้าข้อนี้ไม่ได้ไม่เป็นโสดาบันหรอก ตั้งแต่ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วเติมไปตามฐานะแต่ละข้อ

อานิสงส์ของศีลคือจิตลดความเดือดร้อน จิตดับกิเลสเหตุนั้นได้ ต้องอ่านกิเลสออก ในอาการลิงคนิมิต อ่านสักกายะรูปนามที่ปรุงแต่งกัน มันเป็นนามธรรมแต่ต้องประกอบกันมีธรรมะสองเสมอ

กิเลสนั้นเป็นชีวะ เป็นจิตนิยาม ต้องกำหนดรู้อาการ เมื่อมันถูกรู้ก็เป็นรูป

อ่านอาการโทสะคือศีลข้อ 1 โลภะคือศีลข้อ 2 ราคะคือศีลข้อ 3 อ่านสามอย่างนี้ไม่ออก ก็ไปอ่านวจีสังขารไม่ได้

กิเลสมันเกิดอยู่กับปัจจุบัน ต้องสัมผัสขณะปัจจุบันตรงนี้ขณะเกิดอาการมันสัมผัสข้างนอก แต่มันเกิดขึ้นข้างในก็ต้องอ่านมันให้ได้ คนไม่รู้สังโยชน์เบื้องต้นจากสักกายะของตน กายะคือองค์ประชุม คือจิตมโนวิญญาณ ไม่ใช่แค่ร่างเนื้อเท่านั้น

ถามไปทั่วประเทศถามว่าคุณเข้าใจคำว่ากายเหมือนอย่างอาตมาเข้าใจไหมท่านที่เรียนศาสนาพุทธมาไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแม้แต่ ติชนัทฮันท์ ก็ตามขออภัย ที่กล่าวชื่อ ท่านอาจจะรู้นะ แต่อยากรู้เหมือนกันว่าท่านรู้ไหม ท่านพุทธทาสก็ไม่เคยสอนอย่างนี้ อาตมาก็เคารพท่านว่าท่านมีคุณค่ามีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ท่านเปิดเผยสิ่งที่ดีที่ถูกต้องประเด็นหนึ่งประมาณหนึ่ง อาตมาก็ขอบพระคุณท่านอย่างยิ่งว่าท่านเป็นคนเปิดเรื่องโลกุตระ

ท่านพุทธทาสท่านจัดหนังสือของอาตมาว่าเป็นพวกที่ด่าเราด้วย

อานิสงส์ของศีลคือจิตไม่เดือดเนื้อร้อนใจในระดับที่เราลดได้ในศีลอันนั้น แม้จิตจะมีความยินดีที่ลดกิเลสได้เป็นปิติ ก็ต้องไม่ให้มันมากเกินไป ให้เหลือเพียงแค่พลังงานแผ่ซ่าน อภิปโมทยัง ทำได้แล้วแต่อนุโลมพอเพียงอาศัย เพราะเราไม่ได้ติดแล้ว แต่อย่าหลอกตัวเอง ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

ลดปราโมทย์ ลงอีกเป็นปัสสัทธิ แล้วก็ลดลงให้เป็นสุขแล้วก็ลดอีก ให้เป็นลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ต้องรู้อาการเหล่านี้

 

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

จะได้อานิสงส์เหล่านี้ต้องมีการปฏิบัติที่ไม่ผิดคือจรณะ 15 ตั้งแต่อปัณกปฏิปทา ปฏิบัติอย่างลืมตาเมื่อสัมผัส ไม่ใช่ไปหลับตาไม่ให้จิตออกนอกตัวนั้นมันผิดหมด อย่างนั้นคือปัณกธรรมคือธรรมะที่ผิด

ในอปัณกธรรมคือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ คือต้องมีผัสสะ มีอินทรีย์สังวร

การปฏิบัติกับเครื่องอุปโภคบริโภคนั้นเป็นของประจำชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของกินนั้นของใช้นั้น อย่างพวกเชนฑิฆัมพร ก็ต้องพิจารณาสิ่งที่กินในเครื่องใช้ไม้สอยจะไม่ค่อยใช้ มีดโกนก็ไม่ใช้ เสื้อผ้าก็ไม่ใช้ หนาวขนาดไหนก็สู้ยอดเยี่ยมอดทนเก่งจะตาย ถึงขนาดนั้นก็เถอะ ต้องพิจารณาจากการให้รู้อาการของจิตอย่างเหมาะสม การปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 นี้จะเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ต้องเริ่มจากปฏิบัติสัมผัส แล้วจิตเราก็ตื่นจากโลกียะคือ ชาคริยานุโยคะ แต่ก่อนมันเป็นคนมัวเมางมงายอยู่กับรสชาติโลกีย์ แต่ตอนนี้ตื่นขึ้นมาล้างออกจนพ้นแล้ว เป็นผู้ตื่นจากโลกีย์ ชาคริยานุโยคะก็เป็นพุทธะ

การปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 จะทำให้เกิดผลคือสัทธรรม 7

อาตมาแบ่งความเชื่อออกเป็น 3 อย่างคือ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น

เชื่อถือคือเชื่อว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ยังไม่ปฏิบัติ เชื่อฟังคือปฏิบัติตามอย่างเหนียวแน่นปักมั่น มีศรัทธามีอินทรีย์ของความเป็นศรัทธาควบแน่น

แต่ก่อนไม่มีความละอาย ชวนเพื่อนเสพอบายมุขเลย แต่พอเรารู้ขึ้นมาก็เห็นว่าน่าอาย หิริกับโอตตัปปะก็มีดีกรีที่ต่างกัน หิริอยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูงหรือสาธารณะก็ไม่เอา แต่พอลับหลังก็เอา แต่ถ้าโอตตัปปะนี้ต่อหน้าและลับหลังก็ไม่เอา ยังไงที่แจ้งที่ลับก็ไม่เอา แต่ถ้าหิรินี้อายคน แต่ไม่ละอายต่อสัจจะ

ส่วนพหูสัจจะก็ไม่ใช่พูดให้คนแก่เรียน แต่คือผู้ที่บรรลุอย่างมากพอ ต้องบรรลุก่อนแล้วค่อยเป็นผู้ไปสอนคนอื่น ในศรัทธาทั้ง 10 ข้อ

ศรัทธาก็จะไล่ระดับไปถึงขั้นมีหิริโอตตัปปะมีความรู้แล้วก็ยิ่งได้อีก 4 อย่างมันยิ่งรู้เลยว่าของที่ควรได้ควรเป็นสุขวิเศษ ก็ยิ่งมีความพากเพียรวิริยะ

เหมือนกับการที่คุณได้ไปเจอบ่อทองคุณได้แล้วเหนื่อยมากก็ไม่ถอย ถ้าเจอบ่อเพชรบ่อทองดูว่ามีค่าก็จะไม่ถอยไม่เหนื่อย แต่ระวังว่าจะเสื่อมทรุดต่อสุขภาพ ขนาดการได้สมใจในโลกีย์ก็ไม่รู้ว่าเสียสุขภาพเป็นไรไม่กลัว ขนาดเสพติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขคุณก็ยังไม่กลัวเลย แต่นี่มันเหนือชั้นกว่าในโลกุตระก็จะมีวิริยะเติมเข้ามาทันที แล้วก็จะมีความอดทน มีขันติ มีสติตื่นเต็มๆ ไม่มีหลับ หลับไม่ลงเลย

เกิดปัญญาขึ้น อันนี้เป็นตัวจริงเลยเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ

มีปัญญาและมีฌานเป็นพลังงานไฟที่ทำให้กิเลสลด และก็ต้องมีปัญญาเห็นว่ามันลดอย่างไร มีความมั่นคงยาวนานเท่าไหร่ ต้องมีปัญญาอยู่ด้วยกับฌาน ปัญญาที่ไม่มีฌานนั้นไม่ใช่ปัญญาจริง

ฌานมีปีติได้ แต่อย่าให้มาก เป็นอุพเพงคาปีติ ให้เป็นผรณาปีติ แผ่ซ่านทั่วทุกอณูทุกอาการ 32 ใช้เป็นพลังงานอยู่ร่วมให้คุณได้อาศัย

ตกลงจรณะ 15 มีฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 แม้แต่ปีติลดลงเป็นอุปกิเลสสุขสงบ แต่มีความเบิกบานสดชื่น คือ protoplasm คือธาตุสด คือ H2O ที่บางเบา สดชื่นมีชีวิตชีวา ไม่ขาดเชื้อชีวิต

เชื้อชีวิตคือน้ำ H2O มันเล็กละเอียดอยู่ได้นานมาก ถ้าหมดความเป็นธาตุน้ำก็อยู่ไม่ได้ ไวรัสที่อยู่ได้นานเป็นล้านๆปีคือธาตุน้ำ DNA คือธาตุน้ำ เขาจะโคลนนิ่งไดโนเสาร์อายุหลายล้านปี ก็ไปโคลน Deoxy ribo nucleic acid คือธาตุน้ำ แม้ล้านปี ธาตุน้ำไดโนเสาร์ยังอยู่นะ DNA ไม่ได้ตายง่ายๆนะ ปลุกเกิดใหม่ได้นะ ความสดอันนี้เป็นน้ำมีตั้งแต่เป็นพืช ในพีชะก็มี DNA

จรณะ 15 ไปหยุดอยู่ที่อุเบกขา แล้วผู้อุเบกขาแล้วจะอนุโลมปฏิบัติกับเขาก็ได้ ดูเหมือนมีอาการทางกายทางวาจาและจะมีอาการทางใจบ้างของแต่ละบุคคลท่านก็สามารถที่จะอนุโลมของท่านได้ ตามบารมีของแต่ละคน ผู้ที่ท่านมีบารมีถึงขั้นนี้ท่านจะรู้เองทั้งนั้นจะไม่ประมาท ถ้าประมาทก็ซวยเอง ก็สมน้ำหน้า ไม่ประมาณ ผู้รู้จะเผื่อไว้เสมอ

ผู้ที่มีอุเบกขาแล้วจะอนุโลมกับคนอื่นได้ ทุกวันนี้โลกมันหยาบก็จะต้องอนุโลมมาก ก็ไม่เป็นไร ใครจะว่าก็ให้ประโยชน์กับคนก็แล้วกัน เข้าใจว่าอาตมาไม่หลอก ถ้าจับได้ทีหลังก็จัดการเลย

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:14:17 )

590403

รายละเอียด

590403_พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกฯครั้งที่ 40 และปฏิญาณศีล 8

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2559 ไปจนถึงวันที่ 9 เมษายน 2559 นี้ก็จะเป็นงานหลักของชาวอโศก ครั้งที่ 40 เป็นงานประเพณีจารีตที่ชาวอโศกจะต้องทำไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะเสื่อมสลายในตัวมันเอง จะยาวไปเท่าไหร่ก็ช่างมัน 40 ปีผ่านไป ที่เห็นหน้านี้ก็แน่ๆ ที่ไม่เห็นหน้าก็แน่ๆ แต่ที่ตายไปแล้วก็มาไม่ได้ หรือป่วยมาไม่ได้ก็แล้วไป มันมีหลายแบบ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน อุปาทาน 4 อย่าง

เดี๋ยวนี้ถ่ายทอดสดไปด้วย หลายคนก็เลยบอกว่าสบายอยู่ที่บ้าน แต่มาอยู่ที่นี่ได้แตะต้องสัมผัส ทั้งตาหูจมูกลิ้นกาย มีสัมผัสละเอียดโผฏฐัพพะ ภายนอกหมด แล้วรวมเป็นเวทนาภายใน เป็นธรรมารมณ์

ญาณ ของจิตนิยามจะมีประสิทธิภาพรู้ได้ รู้สึกเรียกว่ามีเวทนา เป็นธรรมะสองที่เพิ่มดีกรีของคุณภาพธาตุรู้ของจิตนิยาม พีชนิยามก็เริ่มมีธาตุรู้ อุตุนิยามไม่มีธาตุรู้ มันเกิดตามประสาของพลังงานฟิสิกส์ จะอยู่อย่างไฟฟ้า แม่เหล็กทำลายหรือสร้าง ดูดหรือผลัก เย็นร้อนอ่อนแข็งไม่มีธาตุรู้สึก

แม้แต่พีชนิยามก็เป็นเพียงธาตุรู้ เริ่มรู้จักตัวเองของมัน ตัวเองจริงๆคือ ish คือรูป นาม แล้วก็ธาตุรู้องค์รวม และก็เกิดธาตุรู้เป็นสามเส้า มีเท่านี้แหละ i he she ใช้พยัญชนะเรียกไปเท่านั้น มีตัวขัดเกลาเอง i มีสองสภาวะ

สองนี้ไม่ใช่ตัวเราแน่นอน แล้วก็มีอื่น เหมือนฟิสิกส์ เมื่อมีสองก็จะมีเรา นิวเคลียสเป็นสภาพสาม จิตนิยามก็เหมือนกัน เราย่อลงมาเรียนแค่สามหน่วย ish หรือรูป นาม และธาตุรู้ในฐานะเราเป็นจิตนิยาม มีเวทนา สัญญา สังขาร จึงมีธาตุรู้ได้ดีกว่า พีชนิยาม

วิญญาณ เป็นธาตุรู้ที่อวิชชา ถ้าเป็นวิญญาณที่เป็นปัญญาหรือวิชชาคือรู้ของจริงตามความเป็นจริงไปตามลำดับ แล้วสามารถจัดการกับสิ่งที่ไม่ต้องการแล้วกำจัดออกหรือทำลายให้สูญหายไปจากจิตได้ พระพุทธเจ้าสามารถทำได้

แตกตัวเป็นธาตุเบากับธาตุหนัก ฟิวชั่นรวมกันเป็นธาตุหนัก ส่วนฟิชชั่นจะแตกตัวกระจายหายไป ก็ปล่อยทิ้งไปเลย สูญหายไปเลย แล้วก็พยายามประมวลเดาได้ มีสภาวะรู้ได้แค่ half life แต่ของพระพุทธเจ้านี้รู้องค์รวมตั้งแต่นิวเคลียส รู้ธาตุรู้ที่เป็นอวิชชาให้เป็นวิชชาหรือปัญญา มีประสิทธิภาพสูงกว่าสัญญา แต่ถ้าเป็นพีชะก็ไม่เก่งในการรู้ แต่ปัญญานี่รู้ได้ชัดเจนละเอียดละออ

รู้แม้แต่ตอนไม่แตกตัวเป็นธาตุหนักหรือธาตุเบา มีสองสภาวะ ที่เรียกโดยภาษาว่า เพศผู้คือปุริสภาวะ และ เพศเมียคืออิตถีภาวะ เป็นสองเพศนี่เอง ศาสนาพุทธรู้ชัด แยกฟิวชั่น ฟิชชั่นได้ และสามารถกำหนดหมายให้ฤทธิ์เดชของเพศเมียหยุด อย่าออกบทบาท ให้เป็นเพศเดียวกันกับเพศผู้ได้เลย เป็นหนึ่งได้เลย มีอำนาจฤทธิ์เดชแท้ๆ สามารถควบคุมพลังงานที่อ่อนแอกว่าให้เป็นสามัญตา ให้มีส่วนร่วมส่วนช่วย เพศเมียจึงเป็นผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์อยู่อย่างจำนน แต่จำนนไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่เขาเห็นด้วยปัญญาจึงยอมด้วยใจจริง อันนี้อยู่ในเพศหญิงก็มีปัญญาตัวนี้ได้ ตัวจบตัวสูงสุดตัวนี้ได้ พระพุทธเจ้าจึงจำนนต่อพระอานนท์ ให้ผู้หญิงบวช เพราะแม้เป็นผู้หญิงก็มีปัญญาทำให้เกิดความสูญ ความว่าง ความไม่มีกิเลสในจิตวิญญาณอีกเลยได้ พระพุทธเจ้าจึงต้องจำนน

เพศหญิงจึงสามารถบรรลุอรหันต์ได้แม้จะอยู่ในสภาพองคาพยพไม่ครบ แต่มีปัญญาได้ ปัญญาเกิดได้อย่างไร ปัญญาคือธาตุรู้สูงกว่าสัญญา ลึกละเอียดคมแม่นเก่งกว่า วิเศษกว่า

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละหรือปัญญาผลที่รู้จบรู้ชัด ปัญญาเหล่านี้เกิดจากปฏิบัติมรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7 เมื่อเกิดผลก็จะเป็นอินทรีย์พละ อินทรีย์คือดีกรี ส่วนพละคือผล สั่งสมเป็นศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คือการเกิดสภาวะพลังงานทางจิตที่สมบูรณ์แบบ เกิดเมื่อเรียนรู้จักใช้ มรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7 ในทุกกรรม กรรมที่ทำอาชีพเลี้ยงตน กรรมที่ประกอบด้วยกายวาจาใจ หรือวจีอย่างเดียว หรือมโนกรรม หรือสังกัปปะ

แหล่งที่เรียกว่ามโนกรรมหรือสังกัปปะ เป็นจุดรวมที่จะต้องมีญาณปัญญา วิชชาเข้าไปเห็น (ปัสสติ) เห็นด้วยการสัมผัสรู้เรียกว่าปฏิฆสัมผัสโส มีญาณปัญญาวิชชาสัมผัสแตะเลย

จิตเป็นนามธรรมไม่มีรูปร่าง หลับตาไปเห็นรูปร่างในจิตคืออุปาทาน นามธรรมเป็นแค่อาการไหวๆ ไม่มีรูปร่างสีสันเส้นสายอะไรเลย เป็นอาการเคลื่อนที่ ไหว ต้องอ่านอาการให้ออก เช่น อาการกำลังโกรธ คุณสามารถฝึกให้รู้ได้ นี่โกรธกำลังเกิดนะ แล้วอ่านในปัจจุบัน ไม่มีเส้นแสงสีรูปร่างตัวตน แต่คนยากที่ไปสอนกันว่ารูปต้องมีตัวตน ซึ่งมันไม่ใช่

เห็นอยู่รู้อยู่นี่ไม่ใช่รูปร่าง แต่เป็นอาการของความรู้สึก มันเป็นอาการความรู้สึก ไม่ใช่ร่างหรือสรีระของความรู้สึก ถ้าไม่ละเอียดพอ จะเข้าใจสรีระกับความรู้สึกว่าต่างกันไม่ได้ ก็ไม่สามารถเรียนรู้เรื่องกาย

กายนี่ต้องมีองค์สองตลอด คือมีสิ่งที่ถูกรู้ กับธาตุรู้ที่เป็นญาณปัญญาวิชชาไปอ่านตัวถูกรู้ได้

ตั้งแต่หยาบๆที่มีดินน้ำไฟลมได้ เช่น สิ่งประกอบฉากนี้ ให้รู้ว่าเรามีมาก กินได้ ใช้เลี้ยงชีวิตได้

การยึดถือเพี้ยนๆไปจากความจริงเรียกอุปาทาน พระพุทธเจ้าสอนไว้สี่อย่าง

เป็นอัตตา 4

กามุปาทานเป็นอาการของราคะของกาม อยากได้มาเสพสัมผัส มาเป็นเรา เป็นของเรา ถ้าเป็นของเราคือโลภ ถ้าอยากเอามาสัมผัสเป็นรสบำเรอใจคือราคะ

ทิฏฐุปาทานคือการยึดความเห็น ความรู้ ความเชื่อถือ เป็นนามธรรมทั้งนั้น แต่เข้าใจได้ ว่าเรามีความเห็นเช่นนี้

สีลลัพพตุปาทาน คือยึดในศีลพรตที่ตนเข้าใจ ศีล 5 หรือศีล 8 ศีล 10

ศีล 10 คือไม่สะสมเงินทอง ตั้งแต่เป็นเณร อย่างสิกขมาตุเราก็ทำได้ แต่พระทางโน้นเขาร้องว่าไม่มีเงินไม่ได้ มันยุคเดียวกันนะ ศาสนาอ่อนแอเพราะคนแก้ตัว คนแก้ตัวคือจัญไร คนแก้ไขคือเจริญ

สมาทานศีลอะไรก็ทำตามพรตนั้น แต่การที่ยึดได้แค่ศีลพรตคือได้แค่หลักเกณฑ์เท่านั้น ไม่ได้เข้าถึงอัตตา ปฏิบัติศีลพรตไม่รู้จักอัตตาสาม จึงไม่รู้จักอัตตวาทุปาทาน คือยึดได้แค่ลัทธิของผู้ที่มีอัตตาเป็นนิรันดร ไม่สามารถรู้ ไม่มีอุบายเครื่องออกที่จะทำให้อัตตาหรืออาตมันนี้สลายได้

คือคนที่เป็นผู้ที่ยึดได้แค่วาทะ แค่คำพูด ได้แค่เรื่องราว ยึดได้แค่ลัทธิความเชื่อถือ วาทะ เชื่อเช่นนี้แต่ไม่มีญาณปัญญาเข้าไปสัมผัสนามธรรมที่เป็นจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ พระเจ้า ไม่เข้าใจอาการพระเจ้าคืออย่างใด รู้เพียงแค่ความเชื่อ แต่ไม่สภาวะพระเจ้า โดยเฉพาะจิตวิญญาณเราก็สากลเดียวกับทุกคน แม้แต่พระเจ้าก็อันเดียวกัน ไม่ได้ต่างกันเลย

พระเจ้ากับพระบุตรหรืออย่างอื่นก็ถอดแบบเดียวกันมา เราจะเป็นพระบุตรก็ต้องศึกษาหัวใจ หทย ว่าประกอบด้วยอาการอย่างไรให้ชัด สภาวะที่เรียกว่าสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัตว์นรก เทวดาสมมุติ หรือโลกีย์ลดได้เป็นอุบัติเทพ เทวดาแท้ เราก็ทำให้เกิดจริงในใจเราได้ ขจัดอาการสัตว์นรกออกจากจิตเราได้ ถือว่าเกิดใหม่เป็นอุบัติเทพ จนไม่มีเลยลักษณะเทวดาโลกีย์ เป็นพระพรหม ไม่มีสัตว์โลกเหลืออยู่เลย ผู้ทำได้จึงพ้นอัตตวาทุปาทาน พ้นนามรูป

อัตตาคือองค์ประชุมของนามรูป เรียกว่ากาย เมื่อมันประชุมสังขารกันเราก็จับได้ โดยญาณปัญญาเราอ่านออกเดี๋ยวนี้ในตัวเราของเรา จึงเรียกว่าสักกายะ นี่คือตัวตน อัตตา แต่ขยายความเป็นสักกายะคือตัวตนที่ประชุมกัน อย่างหยาบเรียกว่าโอฬาริกอัตตา ฆ่าตัวหยาบได้ก็เหลือข้างในเป็นมโนมยอัตตา รูปที่สำเร็จด้วยจิตอยู่ ข้างนอกไม่แล้ว อสังขาริกัง ไม่มีตัวกิเลสข้างนอก ตายหมดแล้ว ในกามภูมิ กามภพตายสนิทจากจิต

สัมผัส ลาภ เงินทอง กี่ล้าน หมื่นล้านก็เฉย ไม่เกิดกิเลสอยากได้เลย สัมผัสโลกธรรมใดๆไม่เกิดกิเลสเลย เหลือแต่ภายในมีระริกระรี้ ยังกรึ่มๆ ฝันเพ้อว่าถ้าได้จะดี แต่ข้างนอกไม่ทำไม่เกิดกิเลสแล้ว อย่างอาตมาไม่ได้ต้องไปหลอกล่อ โกง และเล็มให้เขาเอาอะไรมาให้ ไม่ต้อง มีเท่าที่ตนมีบารมี พอหมุนใช้เป็นไปตามบารมี

อาตมาพิสูจน์ตนเองว่าเราไม่เรี่ยไร และเล็ม เลียบเคียง จะบอกบุญก็บอกไปตรงๆ ครั้งสองครั้งก็หยุด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็หยุดจบ เท่าใดเท่านั้น แต่ก็ไปได้

ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักอาตมันของตน กำจัดอัตตมันของตนไม่ได้ จนเป็นนิพพานไม่มีอัตตาเขาทำไม่ได้ ศาสนาเทวนิยมจึงเป็นอัตตวาทุปาทานตลอดกาล

เพราะแม้นามธรรมในตนก็ยังไม่รู้เลย ผู้ที่เป็นพุทธแต่มีทิฏฐิที่เอนเอียง ทั้งทิฏฐุปาทาน สีลลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน จึงมีอยู่ทั้งสิ้น ผู้สามารถอ่านอาการลิงค นิมิต อุเทศ ของนามธรรมนี้ออกว่านี่คือตัวเรา

เช่น ตอนนี้มันกำลังเป็นกามสัตว์ ตั้งแต่อบาย สัตว์นรก อ่านออกเห็นหลัดๆ สัมผัสออกกำลังเกิดเลย ยังอยากใคร่กระสันตัณหาเลย มีปัจจุบันธรรม ทวาร 6 เปิดกระทบสัมผัสอย่างปัจจุบันธรรม จึงจับได้คาหนังคาเขา ไม่ใช่เอาสัญญามาระลึก เพราะจะปั้นเอาอย่างไรก็ได้ เช่น สัมผัสตรงหน้านี้ มะม่วงน้ำดอกไม้ นี่สัมผัสผิวพรรณรูปร่างผ่องใส เกิดอาการอยากน่ากิน เดี๋ยวนี้หลัดๆ อาการมันเกิดจริง อ่านได้จับทันนี่คือของจริง คนอื่นสัมผัสก็อยากได้ ต่างคนต่างอยากได้ก็แย่งกัน หากไม่ยอมกันก็ฆ่ากัน ใครตายก็ไม่ได้ ใครอยู่ก็ได้ เรื่องเลวร้ายมีตรงนี้ ถ้าว่าต่างคนต่างอยากได้ แต่ไม่แย่งกันไม่ฆ่ากัน อดทนเอา ไม่ได้ก็เอาอื่นแทนได้ ถ้าคนยอมเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่ไม่อยากให้เกิดสงคราม คนนี้เจริญสูง แต่คนที่จะเอาให้ได้นี้เลว แล้วก็เป็นจริง

มาลงละเอียดถึงอัตตวาทุปาทานที่ยังเข้าใจไม่ได้ ก็น่าสงสาร

สภาวะจิตเจตสิกจริงที่มีอาการ ลิงค นิมิต ตามผู้บรรยาย หากผู้บรรยายอุเทศไม่ชัดตามที่พระพุทธเจ้าสอน เมื่อไม่ชัดผิดเพี้ยนก็ปฏิบัติตามไม่ได้ แต่อาตมาว่าพวกเราได้ฟังอาตมาแสดงอุเทศชัด เข้าใจได้ แล้วเอาไปปฏิบัติ ถ้าทำไม่ได้ก็ตามฐานะ แต่คนทำได้จะเห็นองค์ประชุมของรูปนาม คืออัตตา คือธรรมะสองคือกาย สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป นามธรรมของเราคือปัญญาคือวิญญาณ กระทบแล้วรู้ แม้เป็นนามธรรมภายในก็อ่านออก เป็นเวทนา

มันกำลังอยากได้ก็มีเวทนา สุขหรือทุกข์ ก็เป็นอาการของจิต มโน วิญญาณ ผู้มีธาตุรู้ถึงปัญญาหรือญาณทัสนวิเศษ คือธาตุรู้ที่รู้ได้ พระพุทธเจ้าจึงสรุปทฤษฎีใน ล.14 ข.258 ว่าปัญญาเกิดได้เพราะมรรคองค์ 8 และมีโพชฌงค์เป็นตัวเดิน รวมกันเรียกว่าโพธิปักขิยธรรม 37

ต้องปฏิบัติแบบมีอินทรีย์ 6 ไม่มีไม่ได้ ต้องมีหูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป อย่าไปนั่งปิดหูตา มันมิจฉาทิฏฐิ การเรียนรู้ตามปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเพราะไม่รู้สังขาร สังขารคือการปรุงแต่งรูปนาม แม้แต่มันปรุงแต่ในจิตเป็นนามธรรมยังไม่มีชื่อเรียกเลย ก็อ่านอาการของมันออกได้ ผู้เรียนรู้ตรงกันอาการตรงกันพูดกันถูก เช่น คำว่าสูญ เป็นอย่างไร จิตว่างๆๆๆ ที่เขาพูดกันในสำนักต่างๆ มหายานจนถึงเถรวาทก็มาเถียงจิตว่าง แท้จริงจิตว่างคือจิตว่างจากกิเลส

กิเลสคืออะไร ต้องรู้จักตัวตนตั้งแต่หยาบ ในศาลานี้ว่างจากช้าง แต่มีคน มีเสา มีไฟ มีธง ไม่ให้ตัวใหญ่จากช้างก่อน ศาลานี้ว่างจากหมา มีแต่ตัวคน แต่คนที่แย่กว่าหมาก็มี ก็ระวัง ในนี้จะมีหรือไม่ก็ไม่รู้ เราก็เข้าใจชัดขึ้น จนศาลานี้ว่างจากปุถุชน มีแต่อาริยชน จิตว่างนี้ต้องแยกแยะให้ชัด สุดท้ายศาลานี้ว่างจากกามแล้ว เหลือแต่รูปกับอรูป ว่างคือจิตคุณไม่มีอาการแม้กระทบสัมผัสต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อายตนะ 5 สัมผัสอย่างไรกิเลสไม่เกิด คือจิตว่าง

ผู้ว่างจากกามภพ ก็อยู่กับโลกกามนี่แหละ แต่เขายั่วอย่างไรก็ไม่เกิดอาการกิเลสเลย แต่เขาก็วนไปว่าจิตว่างๆนี่แหละ แต่ละสำนัก เช่น ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสก็เก่งว่าจิตว่างอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่พ้นอัตตวาทุปาทาน

ขออภัยที่พาดพิง ถ้าท่านพุทธทาสมีสภาวะที่อาตมาอธิบาย ท่านก็ต้องพูดแล้ว ต้องมีมวลอย่างอาตมา แล้วไม่ตีทิ้งอภิธรรม เพราะคนที่มีภูมิธรรมสูงกว่าท่านพุทธทาสเรียบเรียงไว้ คนธรรมดาจะไปเรียบเรียงขนาดจิตเจตสิกอย่างนี้ได้อย่างไร เช่น จิต 52 ดวงเป็นต้น แต่ท่านพุทธทาสท่านอ่านไม่รู้เรื่องก็เลยตีทิ้ง อาตมารู้อ่านเข้าใจก็อธิบายได้

รูปตัวนี้หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้หมายถึงแค่ดินน้ำไฟลมข้างนอกเท่านั้น แต่คืออุปาทายรูปด้วย ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ไปปฏิบัติให้บรรลุไม่ได้ เขาตีทิ้งไปเสีย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ภาคปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท

มาเข้าสู่เป้า ในปฏิจจสมุปบาท พระไตรปิฎก ล.16

ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ คนไม่รู้นี่ไม่รู้จักวิญญาณ พอคนเริ่มรู้จักวิญญาณ แยกแยะวิญญาณได้ต้องมีอายตนะ ผัสสะ มีผัสสะเป็นปัจจัย จึงแยกแยะวิญญาณ เกิดรู้จักวิญญาณคือญาณ หรืออัญญาณ คำว่าอัญญาณแปลว่าไม่รู้ แต่ถ้าอัญญาคือรู้ได้ รู้สิ่งที่รู้คือเวทนา

รู้อาการของเวทนาว่า มีสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากตากระทบรูปก็เกิดกาย เราก็อ่านกายนี่และคือจิตเจตสิก เมื่อปรุงแต่งเกิดเวทนา ต้องเข้าใจ กาย เวทนา จิต ธรรม สี่สิ่งนี้ไม่ได้แยกกัน องค์ประชุมก็คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

ท่านแจก ชาติ 5 ตัณหา 6

เมื่อมีการกระทบสัมผัส ฆ คือสัมผัสแตะกันแล้วเกิดปฏิกิริยา Action reaction คือปฏิ แล้วเกิดสภาพหนึ่งที่เราจับได้ มีปฏิฆสัมผัสโส การปฏิบัติต้องมีอันนี้ หรือมีสัมผัสชาเวทนา ถ้าปราศจากการสัมผัสนี้แล้ว ไม่มีเวทนาก็ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ เรียกว่าไม่มีกรรมฐานะ

ทำไมอาจารย์ทั้งหลายท่านไม่นำมาพูดเลย ก็เพราะท่านไม่รู้ หากรู้ต้องนำมาเปิดเผยตามกาละ ที่อาตมาบอกเพราะมีภูมิรู้เป็นของตน เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้มีอาจารย์ไหนๆมาในชาตินี้ ท่านอื่นท่านก็อ่านในพระไตรปิฎก แต่เข้าไม่ถึง จึงไม่เข้าใจนามรูป 5 ก็ใช้ไม่เป็น

ไม่เข้าใจเวทนา สัญญา มีการทำงานบทบาทอย่างไร สัญญาของเราคือธาตุรู้ทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ เป็นตำรวจตรวจสอบ แต่ทุกวันนี้ตำรวจไม่ค่อยตรวจเลย แท้จริงตำรวจต้องช่างตรวจสอบ สัญญาทำหน้าที่ช่างตรวจสอบ

ผู้รู้จักอาการหน้าที่ของสัญญาจะใช้สัญญาเป็น รู้เวทนา อาการจิตมีที่หมายมุ่งหมายอะไรเป็นจุดสำคัญ มันเข้าใจ รู้ จึงรู้เจตนา ว่าคือกาม หรือพยาบาท  เจตนาเป็นกลางๆ ไม่มีกามพยาบาท ไม่มีอคติ ก็รู้ว่าคือเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีกามไม่มีพยาบาท ไม่มีเจตนาทำร้าย ก็จะเข้าใจเจตนาของตน

ก็เรียนรู้ผัสสะ รู้เจตนา ว่าเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ รู้มโนสัญเจตนา ว่ามีกาม ภพ ถ้าเจตนาที่ไม่มีภพเรียกว่าวิภวภพ คือเจตนาของอรหันต์หรือพระอาริยะชั้นสูง มีจิตมุ่งหมายปรารถนา เช่น พระพุทธเจ้าท่านแจ้งเจตนาไว้

รู้เจตนา รู้ผัสสะ รู้การทำใจในใจมนสิการให้กิเลสหมดไป กิเลสหมดก็จัดการทำงานรับใช้มนุษยชาติได้อีก นามรูป 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการ ผู้รู้รู้จริง ทำจนเป็นอรหันต์ได้ จากการทำใจในใจเรียกว่ามนสิการ

ทุกวันนี้การทำใจในใจเขาไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเราทำใจในใจของเราอย่างไร เราจัดการใจเราอย่างไร จัดการตรงไหน เรารู้กิเลสเกิด กำจัดกิเลสอย่างไร กำจัดแล้วมันหมดไปก็รู้ว่าหมดหรือไม่ จนสำเร็จผล มีญาณทัสสนะวิเศษ มีวิมุตติญาณทัสสนะ ดับได้แล้วกิเลสตายคือนิโรธ เราหลุดพ้นจากมันได้ มันจะมาสัมผัสมันก็เกี่ยวเราไม่ได้ เรามีฤทธิ์เดชมากกว่ามัน พิสูจน์ได้

อาตมาบรรยายสอนย้ำว่าต้องมีตัว 6 นี้สำคัญ ภาคปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท วิญญาณเรียนรู้ 6 แล้วรู้สังขาร 3 คือกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

สังขารเสร็จก็รู้วิญญาณ แยกแยะนามรูป ก็ต้องมีนามธรรมที่เป็นปัญญาเป็นสัญญา อ่านตัวที่ถูกรู้คือวิญญาณ วิญญาณที่ปรุงแต่งด้วยอวิชชาคือสัตว์นรก ก็อ่านโดยเอาสัญญากำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้ว่ามันสุขทุกข์อย่างไร แล้วแยกออกว่าในเวทนานี้มีจิต ที่เป็นอกุศลจิตคือกิเลสตัณหาเป็นสมุทัยไหม ถ้าเรากำจัดสมุทัยออกได้เวทนาเราก็สะอาด ทำได้ก็ต้องรู้ผัสสะจริง

วิญญาณ 6 นามรูป 5 อายตนะ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 ในตัณหา 6 ก็มีตัณหา 3 อย่างหยาบคือกามตัณหา ก็กำจัดก่อน ตั้งแต่อบายก่อนเลย แล้วค่อยทำละเอียดมา จนหมดกิเลสที่เกิดกับทวารนอกได้ ดับได้จิตว่างจากกิเลสกาม เหมือนศาลานี้ว่างจากช้าง แต่ในนี้มีรูปภพอรูปภพอีก ก็เรียนรู้ที่เหลือ แต่ก็อยู่กับช้างได้ ช้างเข้ามาไม่ได้ เรามีฤทธิ์เหนือช้างได้

ศาสนาพุทธไม่ได้หนีจากเหตุปัจจัยจากโลก จากอบายภูมิ จากกามภูมิ เหลือรูปภูมิอรูปภูมิเป็นภวตัณหา ก็ล้างมันอีก หมดรูปตัณหา เหลืออรูปตัณหาก็ล้างออกได้ หมดก็ไม่ได้หนีไปไหน ทวาร 6 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 ตัณหา 6 ก็อยู่ครบ แต่ตัณหานั้นเราไม่มีกามตัณหา หรือภวตัณหา มีแต่วิภวตัณหา คือไม่เกิดกามภพ รูปภพ อรูปภพอีกแล้ว เป็นชาติที่ละเอียดสุดแล้ว

ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพัตติ ถ้าเราทำให้เหตุแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปหมดแล้ว ผู้นั้นก็อภินิพพัตติ ไม่มีกิเลสชาติเลย

โอกกันติ เป็นสัมผัสปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีอวิชชา รู้ทันจับกิเลสได้ โอกกันติก็เป็นนิพพัตติ กิเลสลดลงเรื่อย ก็เป็นอภินิพพัตติ เกิดที่ไม่มีกิเลสเกิดร่วมเลยสูงสุด นิพพัตติคือลดไปเรื่อยๆ อภินิพัตติคือสูงสุดแล้ว เราก็เห็นของจริงได้ก็เอามาพูดได้ อาตมาเห็นของจริงตนทำได้ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกได้

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ทำไม่มีผัสสะ หนีผัสสะ แล้วบังคับใจให้ไม่รู้อีก อันนี้ผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ถ้าแก้ไขความรู้อันนี้ ็นเดียวนี่แหละ เอาศีล 5 เป็นหลัก แม้บวชพระแล้วจะถือว่าตนมีศีล 227 ก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่ศีล 5 เลย ก็ไม่เป็นไปตามลำดับ บวชเป็นพระแล้วก็ต้องเอาตั้งแต่ศีล 5 จะขึ้นเป็นสังฆราชแล้วศีล 8 ยังไม่รู้เรื่อง ชื่นใจที่ได้เดินเหยียบดอกไม้อีก เวรจริงๆ จะเอาอะไรไปสอนเขา

ใครจะเปลี่ยนหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่คนที่มานี่ ใครมากี่ครั้งก็ตาม แต่วันนี้คุณมาก็ใช้ได้แล้ว มาเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเห็นคุณค่าของการอบรมขัดเกลาอุเทศชนิดนี้ การมาฝึกปรือขัดเกลาไม่ใช่แค่ปริยัติ อุเทศ แต่เรามีปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สำรวมอินทรีย์ 6 เท่าที่เรามีสิ่งแวดล้อม กิเลสหยาบๆยังไม่รู้เลย แต่กิเลสพวกเราไม่หยาบก็รู้ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกเป็นแผ่นดินพุทธ

สังคมชาวอโศกก็ขอพูดความจริงสู่ฟังว่า อโศกเกิดพุทธบริษัท มีอุบาสก อุบาสิกา นักบวชชาย นักบวชหญิง ที่มีอาริยธรรม มีธรรมพระพุทธเจ้าที่พัฒนาเป็นอาริยะ จนเกิดชุมชนมีวัฒนธรรม พฤติกรรมสังคมที่สอดคล้องกับในหลวงตรัสเพราะพุทธศาสนาของบ้านเมืองเป็นศาสนาของประเทศชาติ เป็นศาสนาที่ผู้รู้ที่ไปบริหารปกครองจัดการกับมวลชนในประเทศ

ประเทศไทยมีพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นพุทธศาสนิกชนมีภูมิธรรมสูงขั้นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงงานเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาหกสิบกว่าปีแล้ว ปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรม มีผลดีงามมากจนทำให้ชาวอโศกที่เป็นพุทธอยู่ได้เกิดได้ ถ้าประเทศนี้ไม่มีในหลวง ไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา อโศกอยู่ไม่ได้ขอบอกเพราะมีพระเจ้าแผ่นดินเข้าใจว่าแบบคนจนต้องบริหารแบบคนจน ต้องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ที่ชาวอโศกเข้าใจและปฏิบัติจริง มีความสุขจากการขาดทุนจริง อันเป็นสัจจะทวนกระแสโลกีย์ อโศกจึงอยู่ได้ขอยืนยัน และมีผู้รู้ที่มีภูมิธรรมทางพุทธ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุผู้ใหญ่ที่รู้ความจริงว่าคนมาขาดทุนคือคนที่ช่วยสังคมคนเอาเปรียบสังคมคือคนชั่ว เป็นอนาริยชน คือคนไม่เจริญ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือผู้บริหารประเทศท่านพอรู้สัจธรรมอันนี้ อโศกจึงอยู่ได้ ถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีภิกษุผู้รู้ ไม่มีผู้บริหารประเทศที่มีทุนทางสังคมรู้ อโศกอยู่ไม่ได้ ตอนนี้ก็ได้ก็ระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

ชาวอโศกเป็นอาริยบุคคล มีศีล 5 ศีล 8 เป็นปกติ ศีล 10 ด้วย พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 อาจมีส่วนที่ไม่พ้นตามลำดับ แต่ว่ามีคนที่พ้นการมอบตนในทางผิด พ้นลาภแลกลาภ แต่พ้นกุหนาลปนานี้ไม่มี เหลือฐานเนมิตกตา เป็นฐานตัวใครตัวใครที่ต้องทำให้ตนมีมงคลอันอุดม นอกนั้น นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตาก็มีได้ เป็นอนาคามี พิสูจน์ตามหลักฐานพระพุทธเจ้าอ้างอิงเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคีที่เป็นเศรษฐกิจที่ทันสมัยใหม่เสมอนิรันดร ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนคนก็ต้องการ ไม่มีเก่า เป็นเศรษฐกิจที่เก่าสมัยใหม่เสมอ ไม่ว่าจะสมัยไหนก็ใหม่เสมอสุดยอด

ชาวอโศกจึงเป็นชาวพุทธที่มีเนื้อแท้ของความเป็นพุทธ อาตมาถึงประกาศว่าชาวอโศกเป็นแผ่นดินพุทธที่แท้จริง ประกาศเป็นชมพูทวีป มีอิธพรหมจริยวาโส มีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ บรรลุพรหมจรรย์ได้ตามลำดับจริง เกิดตัวอย่างในโลก จึงเป็นผู้ที่มีอาริยธรรมในโลก เป็นพวกขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อยู่เป็นคนจนอย่างมีความสุข อย่างเต็มใจ มีความตั้งใจจน ไม่ได้เป็นคนหลงเลอะเทอะโมหะอะไรเลย จะมาจน ในหลวงท่านตรัสนี่อาตมาเห็นแล้วเห็นพระทัยท่าน ว่าท่านเป็นในหลวง ท่านต้องเกรงใจคนมาก อย่างอาตมานี้ไม่เกรงใจเหมือนในหลวง เพราะไม่ได้รับหน้าที่ อาตมาเป็นผู้มาสาธยายสัจธรรม

พวกเราดีจริงเหมือนท่านตรัส เพราะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามในหลวงตรัส Our loss is our gain ก็น่าสงสารชาวนักเศรษฐศาสตร์ที่ท้วงท่าน เราเสียสละให้ไปให้คนอื่นได้ และเราก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อน เราจะตั้งหน้าตั้งตาเสียสละให้แก่สังคมต่อไปไม่หยุดยั้ง ….ใครจะเสียสละกับอาตมายกมือ

งานนี้ 7 วันตั้งใจศึกษาเอา อาตมาใช้คำว่า เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ งานนี้ ตั้งชื่อเรื่องสาธยายไว้เช่นนี้ แล้วจะเข้าใจเพชรที่มีน้ำเพชรต่างๆอย่างงามของพุทธเจียระไนขึ้นไปเรื่อยๆสู่กันฟัง ตั้งใจศึกษาติดตามให้ดีๆ จะได้ฟังเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

 

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

           [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานปลุกเสกพระแท้ๆครั้งที่ 40 นี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบเว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจาก อาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม          

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

 

          ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:17:22 )

590404

รายละเอียด

590404 ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 40 บ้านราช เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน1

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน 1

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2559 วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มสาธยายสำหรับงานปลุกเสกฯพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 40 เป็นจารีตประเพณีเราที่เชื่อมต่อมา ที่เราได้มีวัตรปฏิบัติเช่นนี้มาสำหรับชาวอโศก 40 ปีไม่น้อย เราถือว่าเป็นการศึกษาอบรม เราก็เห็นคุณค่า พากเพียรมา เป็นศาสตร์และศิลป์

ศาสตร์คือความรู้ที่มนุษย์ควรได้แล้วเอามาพัฒนาชีวิตให้เจริญ ส่วนศิลป์นั้นสูงกว่าศาสตร์เพราะว่าต้องมีทั้งความรู้ดี เหมือนกับศาสตร์ที่เขามี

ผู้มีศิลป์คือผู้ใช้ศาสตร์จัดองค์ประกอบขึ้นในโลกตั้งแต่วัตถุถึงกิริยาอาการ จนถึงอาการจิต รวมทั้งวัตถุรูป ดินน้ำไฟลมอากาศ วัตถุรูป ที่จะสามารถมีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ศาสตร์เขามีความรู้เหล่านี้ ศิลป์รู้เข้าไปจัดการดินน้ำไฟลมอากาศจิตวิญญาณ

ความรู้เขาก็แบ่งกันไป บางทีเขาไม่ได้เรียนถึงจิต เขาเรียนแค่ดินน้ำไฟลมอากาศ อย่างฟิสิกส์เป็นต้น เคมีเป็นต้น แยกไปเรียนเฉพาะ ส่วนจิตวิญญาณเขาก็เรียนต่างหาก แต่บางทีเขาก็เอาดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณซึ่งรวมกันอยู่แล้วมีพฤติกรรมอยู่แล้วในความเป็นมนุษย์

มนุษย์เมื่อสามารถเพิ่มเติมรายละเอียดแม้ศาสตร์กับศิลป์ จนมีผู้รู้ที่มีความรู้ศาสตร์และศิลป์อย่างสูงขึ้นมาเรียกว่าศาสดา ในดึกดำบรรพ์ก็มีศาสนาผีศาสนาตามเผ่าพันธุ์ และก็มีผู้นำจนมีความรู้ศิลปะกว้างขวางขึ้นได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นศาสนา เรียกว่าเป็นคำสอนของผู้นำ เป็นคำสอนของศาสดา เกิดขึ้นมาถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ยอมรับของสังคมหลายร้อยหลายพันปีอย่างที่เป็นอยู่

งานปลุกเสกครั้งนี้ ตั้งชื่อการเทศน์ว่า เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ เราใช้คำว่าเพชรเพื่อขยายความคำว่าพุทธ คำว่าพุทธก็หมายถึงศาสนาพุทธ หมายถึงศาสตร์ เป็นความรู้ที่เรียกว่าพุทธ เป็นศาสนาที่อยู่ในโลกเป็นแนวหน้าของศาสนาในโลกนี้เหมือนศาสนาฮินดู ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนายิวหรือศาสนาอื่นๆ

ที่เน้นว่าเป็นเพชรมาประกอบคำว่าพุทธเพราะเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งเพชรหมายถึงของที่มีค่า เป็นของมีราคาในโลก ก็เป็นพุทธที่มีค่าสูงที่ทุกคนควรจะรู้จักค่า แล้วเกิดเป็นคนควรจะได้ค่าของศาสนานี้โดยเฉพาะเราชาวพุทธ เราจึงต้องมาศึกษาให้รู้ค่าแท้แท้ในระดับที่เป็นเพชร คุณค่าของศาสนาพุทธในขั้นที่เรียกว่าเพชร ฉะนั้นคุณธรรมและคุณค่าของศาสนาพุทธที่จะมีค่าที่เราเรียกว่าเพชรก็ต้องสูงส่งแน่นอน

ในมงคล ที่เรียกว่า สิปปะ เป็นมงคลอันอุดม มงคลหมายความว่าเหตุหรือธรรมะคือสิ่งที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด (อุตตมะคือสูงสุด) หรือธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมะของท่านนำไปสู่มงคลอันสูงสุด เพราะฉะนั้นเหตุที่จะพาไปสู่ความสูงสุดมีถึง 38 ประการ แต่วันนี้เราจะเอามาพูดแต่เพียงศิลปะ

ศิลปะต้องมีทั้งความรู้และความเฉลียวฉลาด คนที่มีความรู้อย่างเดียวแต่ไม่มีศิลปะนั้นมีเยอะ ก็เรียกว่านักวิชาการ ไม่ฉลาดเพียงพอที่จะให้เจริญถึงความสูงสุด จะไปคบหาคนก็ไม่รู้จักคน คบคนพาลก็ไม่รู้ว่าคือคนพาล คนพาลก็พาลพาไปหาผิด ทีนี้ผู้รู้มีความรู้สังคมองค์ประกอบในความเป็นมนุษย์ ก็จะรู้ว่าคนพาลคืออะไร เป็นบัณฑิตคืออะไร ก็เลือกอยู่หรือเลือกคบ เลือกศึกษา เลือกฝึกฝนตนเอาชีวิตไปอยู่ด้วย ก็เป็นความฉลาดในการมีชีวิตอยู่ในสังคมอยู่ในโลก

ซึ่งจริงๆเป็นครั้งแรกเลย ขั้นต่ำพระพุทธเจ้าเรียกว่าอบายมุข 6 เป็นคนที่คบมิตรชั่ว คือคนไม่ฉลาดเลย แค่นี้ก็เป็นความรู้ได้จะต้องมีความรู้ศิลปะแค่ว่าต้องเลือกอยู่กับบุคคลอย่างใดหมู่ใด ที่จะเป็นสัปปายะ 4

นอกจากจะรู้สัปปายะ 4 คือสถานที่ บุคคล อาหาร ธรรมะสัปปายะ ชาวอโศกคือผู้ที่ได้นำชีวิตมาอยู่แบบอโศก ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาตามแบบอโศก เช่น ถือศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นพื้นฐานชาวอโศก ยุคนี้อาตมาจำเป็นต้องยกฐานะศีลข้อ 1 มาถึงไม่กินเนื้อสัตว์ เคร่งขึ้นมาหน่อยเป็นธูตะ เป็นพื้นฐานสามอย่างชาวอโศก

ปฏิบัติให้มีศิลปะ ให้ศีลนี้ขัดเกลาจิต กายวาจานั้นเบื้องต้นต้องไม่ละเมิด ไม่ฆ่าสัตว์ กายไม่ทำ วจีไม่ทำ แล้วเราก็มีศิลปะให้จิตเจริญลดกิเลส ศีลข้อ 1 ลดโทสะมูล ลดได้จนเกิดจิตไม่รุนแรง มีเมตตาเกื้อกูลเอ็นดูสัตว์โลก พระพุทธเจ้าตรัสในจุลศีล เกิดจิตเอ็นดูเมตตาสัตว์ เกิดมงคลอันอุดมมีศิลปะจริงๆ

ผู้สามารถปฏิบัติก็เจริญ เป็นการบูชาคนที่ควรบูชา คนที่มีศิลปะเป็นคนมีศีล รู้สิ่งอันควรเอามาประกอบชีวิต คนไม่มีศีลไม่มีศิลปะหรอก อันนี้เป็นเพชรพุทธ ที่มีค่าสูงรู้ไปถึงศิลปะ ถ้าคนมีศีลคือคนเป็นศิลปิน รู้จักหลักเกณฑ์ของศาสดาที่ให้ละเลิก คนเราเกิดมาอวิชชาพาเกิด ผู้สูงสุดเป็นอรหันต์หมดอวิชชาแล้ว ถ้าไม่คิดจะทำงานต่อ ก็ไม่เกิดหรอก ปรินิพพานไป แต่ผู้เกิดอยู่ก็ต้องรู้ชีวิตเกิดมาควรเป็นคนมีคุณค่า เป็นศิลปะ ถ้าผู้เป็นศิลปินไม่รู้คุณค่า รู้จักแต่ความรู้ฉลาด

คนที่หลงตัวเป็นศิลปินแต่เขาไม่รู้การทำให้ชีวิตเจริญสูงสุด กายวาจาใจ ศิลปะที่เขาเรียนกันทั่วโลก เขาก็รู้ว่าศิลปะชั้นสูงมันต้องถึงจิต ทำความเจริญถึงจิตได้ เขาพอรู้ แต่รู้ไม่แม่นชัดคมสมบูรณ์แบบ ก็เรียนกันไปเบลอๆ เสร็จแล้วก็เป็นแค่ช่างมีมือ ใช้งานฝีมือตนทำงานเลี้ยงชีพ เป็นงานศิลปะปลอม มอมเมา เป็นงานอนาจาร โดยไม่รู้ตัว แพร่ระบาดในโลก เขาเรียกว่าศิลปะแท้จริงคืออนาจาร ทุกวันนี้โลกเสื่อม มีแค่เฉลียวฉลาดแบบน้ำเน่า ไม่ใช่เพชร เป็นข้าศึกแก่กุศล กิเลสยิ่งหนา ชีวิตจัดจ้านต่อสิ่งบำเรอกิเลสคือกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสวิตถารไปเรื่อย จัดจ้านเรื่อยๆ ไม่มีเบาลง นี่คือส่อเห็นถึงอนาจาร ถ้าศิลปะต้องเข้าใจลหุ วิการรูป จะต้องลงไปหาความเบา เรียบร้อยสุภาพ แต่เขาจัดจ้านขึ้นไม่รู้ตัว สังคมไม่รู้ตัว

บุคคลที่ควรบูชาคือ คนควรยกย่องให้เป็นครูอาจารย์ผู้นำ ถ้าใครรู้ผู้ควรบูชาก็มีศิลปะในชีวิตตน ยุคนี้เข้าใจผิดง่ายมาก ไปบูชาคนไม่ควรบูชาเยอะมาก ไปบูชาคนเจริญโลกธรรมเยิ้มด้วยกาม แข็งด้านหนาปึกด้วยอัตตา เมื่อไม่รู้จักคนควรบูชา จนถึงหมู่กลุ่มที่รวมกันคบหากันเป็นธรรมดา

คนที่รวมกันอยู่ก็เป็นกลุ่มชนสถานที่ อยู่ในที่อันสมควรเรียกว่า ปฏิรูปเทสวาโส มีสิ่งอาศัยเครื่องกินเครื่องอยู่ อุปโภคบริโภค การศึกษาที่ควรอาศัยอันไหนไม่ควรอาศัยก็ไม่เอามา ชุมชนอโศกเราไม่มีใครสะสมเหล้าบุหรี่ลิปสติก เพชรพลอย ชาวอโศกเราไม่นิยม แต่นิยมสร้างอาหารสะสมอาหาร เป็นต้น

กลุ่มหมู่ของคนมีสัปปายะ 4 เป็นที่อยู่ที่เรียกว่าปฏิรูปเทสวาโส ผู้มีปัญญาก็รู้ โดยเฉพาะมีศิลปะ ก็เลือกอยู่กับที่ๆควรอยู่ เป็นคนฉลาด มีศิลปะก็เจริญ แล้วรู้จักมีการกระทำอันเป็นบุญ อันกระทำแล้วในกาลก่อน แสดงถึงความเป็นผู้นำ ปุพเพกตปุญญตา คือมีบุญที่สะสมไว้ก่อนแล้ว

คือคนที่ไม่ต้องใช้บุญแล้วเพราะได้ผลของบุญคือการชำระกิเลสแล้ว จิตไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีบาป มีแต่กุศลตามฐานะ โสดาบันก็มีทำบุญไว้ก่อนระดับหนึ่ง สกิทาอนาคาอรหันต์ก็ทำบุญไว้ก่อนระดับของท่าน ผู้มีปัญญาจะรู้จักแล้วมาทำตามที่นำพากันทำมาก่อน คือคนควรบูชาแล้วอยู่ในเสนาสนะที่นำพาไป แล้วตั้งตนไว้ชอบ สัมมาปณิธิ ก็คือ พยายาม แต่กิเลสจะพาล้มไปเรื่อยๆ ก็ตั้งตนให้ตรงตามทิศทางที่สัมมา มาเรียนรู้ปฏิบัติตนให้สูงไปถึงที่สุด สัมโพธิปรายนะ

ตั้งตนไว้ชอบแล้วก็เป็นพาหุสัจจะ ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้รับฟังใส่ใจศึกษามากตามที่แปลกันมา มันหลวมไป เพราะมันต้องได้ยินได้ฟังได้รู้มาก่อน แล้วปฏิบัติจนเกิดความจริง บรรลุสัจจะอันสูงอันเจริญ ถึงปรมัตถสัจจะ

เป็นผู้มีการศึกษาที่เจริญมากขึ้นตามลำดับ มีทั้งศาสตร์และศิลป์ หากมีแต่ศาสตร์อย่างเดียวก็สุดโต่ง อาตมาแต่งเพลงภูฟ้าผาน้ำ ที่เขาหลงว่าเป็นความรู้ศิลปะแต่ที่จริงคือปัญญาล่มเมือง

สรุปแล้วพหุสัจจะคือความรู้แห่งสัจจะที่เจริญ ระดับโสดาบันก็เป็นผู้รู้แก่นสารชีวิต เป็นอาริยบุคคล จึงรู้แก่นสาร ปุถุชนไม่มีปัญญามีแต่เฉกา ปุถุชนเต็มรูปมีแต่เฉกา คือฉลาดประกอบด้วยกิเลส บาลีเรียกว่าเฉกตา หรือเฉโก คือฉลาดที่ไม่รู้ว่าฉลาดจริงๆคืออะไร

ฉลาดคือฉฬายตนะ ผู้ฉลาดที่รู้ฉฬายตนะ รู้กระทบสัมผัสสิ่งประดามีในโลกแล้วจัดองค์ประกอบศิลป์ให้ตนเจริญได้ แต่ฉลาดแบบไม่รู้องค์ประกอบให้พาเจริญ เป็นมงคล ไปสู่ที่สูงได้นั้น แต่มนุษย์เจริญได้ถึงอุตตมะ

พระพุทธเจ้าตรัสมงคลข้อที่ 8 คือศิลปะ แต่ทั้ง 38 ข้อนี้คือมงคลอันอุดมทั้งนั้น ถ้าเราฉลาดเรียนรู้ทั้งบุคคลสถานที่พฤติกรรม จนลึกถึงจิตวิญญาณถึงธรรมะขึ้นปลาย เป็นภาษาชี้บ่งจิตวิญญาณที่ยิ่งสูง จนถึงเกษม ถึงวิริชะ อโศกะ เป็นเรื่องจิต ผู้มีปัญญารู้ถึงจิต เกษม วิรชะ อโศกะ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ เป็นจิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว เป็นศิลปะโลกุตระแท้จริง เป็นเพชรพุทธสุดยอดศิลป์ที่แท้จริง

ในมงคล 38 มีการบำรุงบิดามารดา สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่เท่าไหร่แล้วคนที่ไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ที่แท้จริงคนนั้นไม่มีความเฉลียวฉลาดสังคมไหนก็ตามไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ ไม่ช่วยเหลือพ่อแม่ ปล่อยให้พ่อแม่ให้เหี่ยว อย่างเหตุการณ์ในสังคมขณะนี้คงได้ยินข่าวคราว เป็นเหตุการณ์ที่ลูกไม่บำรุงพ่อแม่ นอกจากไม่บำรุงแล้วก็ยังโกงทรัพย์สินของพ่อแม่ จนเกิดเรื่องในสังคมขณะนี้

แต่ถ้าแม่ตนเองเป็นคนเลวจนกระทั่งถ้าปล่อยสมบัตินี้ให้เป็นสิทธิของพ่อแม่มันก็จะเสียหายถ้าพ่อแม่เลว แต่นี่ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นพ่อแม่ที่เลวอะไรที่เป็นตัวเองจะต้องไปทำเป็นนิตินัยของตนเอง ไม่ควรอย่างยิ่งเลย พ่อแม่เป็นสิทธิ์ของพ่อแม่ถึงแม้ว่าเราจะเป็นตัวจักรเป็นตัวงาน เป็นตัวที่มีสิทธิ์ที่สุจริตมากโดยพฤตินัยโดยจริง ว่าตนเองเป็นคนดำเนินการทำงานสร้างสมบัติพัสถานนี้ขึ้นมา จะในนามที่พ่อแม่ทำมาก่อนก็ตาม เริ่มต้นได้ตนเองเป็นเฟืองเป็นจักรที่ได้สร้างสรรสิ่งอันนี้ขึ้นมาจนเจริญงอกงามร่ำรวยเป็นหลักฐานมากมายขึ้นมา เราก็ควรจะต้องให้ความเคารพพ่อแม่ ไม่ควรจะต้องไปยึดอย่างนั้น พ่อแม่จะไปไหนก็วางใจให้ดำเนินกิจการเต็มที่ด้วย เป็นพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงสังคมที่เลวร้ายขึ้นมาอย่างมาก คนไทยไม่ควรเป็นเช่นนั้น ส่อให้เห็นสังคมล้มเหลวสังคมเสื่อม

อาตมาเคยนำมงคล 38 ​มาร้อยเรียงเป็นอาริยชาติ ที่มีภูมิธรรมเก่าอันนี้ขึ้นมาตอนออกป่าครั้งเดียว แล้วมาขยายเป็นอาริยชาติ

วันนี้เป็นวันแรกที่จะพูดถึงเพชรพุทธและศิลปะ ความเป็นพุทธนั้นเป็นฐานแห่งความเจริญของมนุษย์ที่มีพระศาสดาตรัสรู้ พร้อมที่จะนำพาคนให้มาเรียนรู้ ทุกศาสดาก็ล้วนมีเจตนาเผยแพร่ความรู้ให้คนเอาไปปฏิบัติตนจนเจริญตาม

ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าท่านก็ระบุไว้ แม้แต่ในมงคล 38 ก็ระบุไว้ชัดเจน เป็นความครบครันตั้งแต่หยาบ รู้จักบุคคลไปถึงรู้จักจิตเจตสิก แม้แต่จิตที่เป็น อโศกะ ไม่โศกเศร้าแล้ว เหมือนทางโลก ที่เขาหม่นหมองทุกข์คาอยู่มาก โศกเศร้า ปริเทวะคือไม่ปล่อยวางทุกข์นั้นง่าย พิรี้พิไรในความโศกเศร้า

ทุกข์คือสิ่งไม่ควรมีในจิตใจของตน แต่ตนไม่รู้จักอาริยสัจ ก็เลยเป็นอาการทุกข์เป็นรูป โศกเศร้าเป็นนามเป็นกิริยาของทุกข์ ปริเทวะคือไม่รู้จักปล่อย ต่องแต่งๆ ถ้าไม่รู้ก็อยู่กับเรา ไม่หายไปไหน เพราะเราไม่รู้จักไม่ทำการดับเหตุ พระพุทธเจ้านั้นพาทำแบบดับเหตุให้สลายไปแบบเที่ยงแท้ ไม่นำพาพิรี้พิไร จึงเหลือส่วนที่จะทุกข์ต่อไปเบาบางลงเรียกว่าโทมนัส อุปายาสะก็ที่เหลือ เบาบางลงเรื่อยๆคืออุปายาสะ ก็คล้ายๆพิรี้พิไร แต่อันนี้จบไปเรื่อยๆก็เหลือเศษติดไปจนถึงหางช้างติด หรือติดปลายนวม คือความเบาบางมากแล้ว

อรหันต์แปลว่าพ้นความลึกลับเป็นที่สุด ผู้ที่ทำตัวเองให้มีอัตตาน้อยลง ที่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาของตน ทำความเห็นแก่ตนให้ลดลง เรียกว่ามีอรหัตตผลไปตามลำดับ จนหมดเลย ไม่ลึกลับไม่เหลือเศษแห่งความไม่รู้ รู้ครบหมด จึงชื่อว่าอรหันต์ แล้วอรหันต์อยู่ไหน ก็อยู่ในใจของคน

คนที่มีอรหันต์อยู่ในใจเป็นคนที่ควรคบหาอย่างยิ่ง ควรเอาเป็นแบบอย่างบูชา เป็นอรหันต์แล้วก็อยู่ในสังคม ไม่ได้หนีออกจากสังคม ถ้าจะออกไปอยู่ป่าก็เอาไปเป็นเครื่องทดสอบเท่านั้น เหมือนอย่างการศึกษาทุกวันนี้ก็มีการออกภาคสนาม ที่จะไปเผชิญกับสิ่งนั้น ไปลองดู แต่จริงๆแล้วศาสนาพุทธนั้นไม่ต้องออกป่าเลย ไม่ต้องนั่งสมาธิเลยก็ได้

ผู้นั่งสมาธิคือสะกดจิตให้ไม่รับรู้ ไม่เป็น analysis มีแต่ hypnosis คือให้จิตหยุดสงบอย่างเดียวเป็นศาสนาที่รู้ง่ายทำงาน มีทั่วไป ศาสนาที่เอาแต่เห็นแก่ตัวไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าจะเผยแพร่ลัทธิสะกดจิตตน ไปแล้วไม่เอาอะไรเลยมีแต่กินอยู่ไปแล้วก็สะกดจิตตนเองไป อย่างศาสนาเชน มีแค่ภาชนะเดียวเพื่อการกินเท่านั้น สุดโต่งมาก ดิ่งอัตตาเต็มบ้อง ตัวกูของกู ไม่มีศิลปะมีแต่ความรู้ พวกนี้หนีเข้าป่าเขาถ้ำ

พระไตรปิฎกสูตรแรกเลย คือพรหมชาลสูตร พวกนั่งหลับตาเรียกเจโตสมาธิ ได้ผลคือเจโตสมถะ ทำจิตให้เป็นสมาธิคือเจโตสมาธิ เรียกว่าเจโตสมถะก็ได้ แบบนี้จึงเป็นการเรียนที่มีแต่อดีตกับอนาคต เรียกว่าตักกีโหติ วิมังสี ไม่รู้ว่าทำผิดทาง อย่างธรรมกาย ทำให้เกิดความเสียหายมาก

อาตมาพูดมา 46 ปีแล้วก็ไม่กระเตื้อง แต่ก็ยังดีมีผู้ออกมาปฏิบัติตามจนได้มรคผล จนถึงอรหัตตผล ถ้าจะประเมินกันจริงๆ พวกเรามีอรหัตตผล การประเมินที่จะบอกว่าเป็นอรหันต์ในยุคนี้ไม่ง่าย ในองค์ประกอบสังคมตอนนี้คนทำได้ระดับหนึ่งก็ตีค่าผ่านแล้ว เพราะตีค่าความเป็นเพชรสูงกว่าในอดีตเยอะ เพราะต้องสู้กับความเลวร้ายสูงมาก

พวกเรามีอรหันต์ไม่ใช่น้อย แต่อาตมาเป็นนักวิชาการที่ทำสถิติที่ว่าไม่เก่งเท่าไหร่ สรุปคือสังคมพวกเรามีอรหันต์ ไม่ใช่แค่ตัวอาตมาเท่านั้น พวกเราก็มีเป็นอรหันต์ ซึ่งก็ได้ประกาศไปบ้างแล้ว อรหันต์ในยุคนี้มีค่ามาก หายาก ราคาแพงมาก จึงภูมิใจในชาวอโศกที่เป็นสังคมมนุษย์กลุ่มที่มีค่ามาก เป็นสุดยอดเพชรของพุทธ เพราะมีค่าจริงๆ หาได้ยาก เหมือนกันกับไก่เห็นพลอยมันไม่รู้ค่า เราเป็นเพชรในสังคม ไก่ทั้งหลายไม่รู้หรอกว่าคือเพชร เหยียบย่ำเพชร ไปจิกกินแมลงไม่รู้ค่าเพชร

ไม่ต้องแปลกใจ แต่เข้าใจอย่างดีเลย

ในสังคมกลุ่มที่มีอรหะ

หนึ่ง ไม่ลึกลับในอบายภูมิ ที่ต้องคลุกคลีสิ่งที่ปนเปเละเทะ หลายคนก็มาอย่างเจโตและปัญญาครบ จิตจะสัมผัสโลกอย่างเขาก็ไม่หวั่นไหว ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างเขา มีอุเบกขาฐานนิพพาน เห็นเป็นอสุภะ เหนืออบายคือเพชรอันดับหนึ่ง คนเหล่านี้คือโสดาบัน ในหมู่เรา หนึ่ง เราต้องเป็นจริงได้ สอง เราต้องมีปัญญารู้ว่าจิตเราอุเบกขาเนกขัมมะ เว้นขาดออกมาได้ แต่ไม่ได้หนีจากสิ่งนั้น แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสก็ได้ แม้สัมผัสจิตเราไม่หวั่นไหวหงายเงิบ เป็นสิ่งยืนยันความเจริญจริง โดยเฉพาะใจไม่สุขทุกข์กับอบายที่โลกจัดจ้านหยาบคายหนัก ที่ชิงลาภยศ เล่เหลี่ยมทุจริต โกง ปล้น การโกงในประเทศก็เลวแล้ว แต่ดันผ่าโกงต่างชาติไปด้วยก็บาปขนาดไหน โกงกว้างกรอบที่ตนเองไม่พอ ก็หลอกคนข้างนอกประเทศให้มาทำลายประเทศอีก จ้างล็อบบี้ยิสต์ให้มาถล่มประเทศตนอีกนี่คือคนชั่วชัดในโลก เขาไม่รู้ตัว ไม่หยุดทำชั่ว

กามคือใคร่อยากในสิ่งที่คนเขาควรได้ควรมีควรเป็น แต่ก่อนผู้หญิงเราชอบของสวยอยากได้เพชรพลอยประดับ แต่ตอนนี้ลดความอยาก แต่ว่าโลกเขาโฆษณากันมากมาย เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลก หาวิธีหลอกกันเต็มโลก

เราก็หลุดพ้นจากกาม จากใคร่อยากในโลกธรรม

ลาภ อยากได้ลาภคือโลภ ได้ยศสรรเสริญแก่ตน ส่วนราคะคือกาม อยากเสพเป็นรสสุขแก่ตน เราเรียนรู้พ้นโลกเหล่านี้แล้วไม่หนีไปไหน ก็อยู่กับโลกได้ แต่จิตมี ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตไม่หวั่นไหวแม้สัมผัสโลกธรรมใดๆ เป็นมงคลอันอุดม เป็นศิลปะระดับ 35 ในมงคล 38 พวกเราจึงเป็นสาธารณโภคีได้

ไม่ใช่สะกดจิตไม่ให้เกิดอาการอย่างไม่รับรู้แล้วหนีสังคม แต่ว่าของพุทธจะลดความเห็นแก่ตัว ลดความขี้เกียจ จะเกิดประสิทธิภาพสูง ถ้าเห็นแก่ตัวนี่แม้ดีจะไม่ทำ แต่ถ้าขี้เกียจก็ไม่ทำอีก สองตัวนี้หากลดลงก็จะเกิดประโยชน์ต่อสังคม ชาวอโศกเราได้รายได้รายรับต่ำน้อย แต่มันก็เอามารวมกันแล้วประสิทธิภาพสูง เราก็สร้างสรรเพิ่มซับซ้อนทดแทนสิ่งที่ออกไป มันก็เลยมีขึ้นมาอยู่ได้ จนกลายเป็นไม่ขัดสนไม่เป็นหนี้ ในสังคมพวกเราพื้นฐานอบายไม่มี มีอย่างต่ำก็กาม คนที่มีอยู่ก็ลดละไปตามลำดับ คนล้างได้ก็เป็นอนาคามีอรหันต์ไปเรื่อยๆ จึงเป็นคนมีอาริยธรรม เหนือโลก เป็นโลกุตระแท้จริง

สังคมอโศกถือว่าสังคมสบาย สังคมเจริญ ปายะคือสบายคือเจริญ สังคมอโศกแม้แต่กามก็เหนือไปเรื่อยๆ ว่ากันจริงคือสังคมอนาคามี เป็นสังคมนักบวช แม้ฆราวาสมาอยู่ในนี้ก็ปฏิบัติธรรมถือศีล เป็นนักพรตทั้งนั้น มาในนี้ไม่ต้องทำการสวดมะยังภันเตฯเลย

ในบ้านราชฯมีนายรัฐเขต เป็นตำรวจบ้าน เขาก็ว่าอย่ามาเรียกผมว่าตำรวจเลย เหมือนคำว่าพระนี่แย่มากแล้วอย่าเอามาเรียกเรา อาตมาก็เลยตั้งชื่อว่า นายรักษ์เขต คือรักษาเขต ดูแลเขตแดน เป็นชื่อตำแหน่งนายรักษ์เขต

สังคมอโศกเป็นสังคมอาริยะ มีศาสตร์และศิลป์ มีศีลแท้จริง เป็นเพชรพุทธแท้จริง สังเกตแม้เด็กเกิดใหม่ชาวอโศกไม่ร้องกันจ้าจัดเหมือนข้างนอก เพราะอะไร ง่ายๆ มันเป็นสนามแม่เหล็กของสังคมนอก บ้านนั้นบ้านนี้ร้องกันหมด เด็กได้ยินก็เลยร้องตาม เด็กร้องไห้เป็นการแสดงอัตตาอำนาจชนิดหนึ่ง เด็กเอาอย่างกัน แต่ที่นี่ไม่มีสนามแม่เหล็กเช่นนั้น มีแต่เงียบ เด็กมีสัญชาตญาณร้อง แต่สิ่งแวดล้อมไม่พาทำ ไม่เหมือนโลกๆ เขา

สังคมเราจึงน่าภาคภูมิใจ แม้แต่ในสังคมที่พระพุทธเจ้าไม่ยอมเกิด เกิดมาก็เสียของความเป็นพระพุทธเจ้าเสียหมดเลย คุณมาเห็นใจอาตมาบ้าง อาตมาจึงแสนยากแสนเข็ญ ที่จะประคับประคอง ที่จะให้คนมีศีล ให้คนมาเป็นอย่างนี้แสนยากแสนเข็ญ แต่ก็รู้ความจริงไม่ได้ท้ออะไร นอกจากไม่ท้อแท้แล้วก็แสดงความไม่ท้อถอยด้วยที่จะอยู่ไปถึง 151 ปี

ที่ตั้งจิตเช่นนั้นก็เพื่อทำงานช่วยสังคมรับใช้สังคม คำว่ารับใช้สังคมนี่แหละคือนักการเมืองที่แท้จริง คนของพวกเราเป็นผู้รับใช้สังคม แต่เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาก็หาว่าเราเป็นจระเข้ขวางคลอง เป็นคนขวางโลก ขวางหูขวางตา คนก็จะเจริญด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ต้องแต่งจัดจ้าน พวกเราไม่ได้เป็นเหยื่อไปกับเขา

พระพุทธเจ้าตรัสว่าตั้งแต่เป็นโสดาบันก็เป็นเอกราชในตนเอง เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เราเป็นคนที่เขาแตะไม่ติดไม่ซึมไม่ซับ สะอาดไปเรื่อยๆ แต่ชาวอโศกเรายิ่งกว่าโสดาบัน พวกเราเข้าใจแล้วว่ามาปลุกเสกฯนี้มาทำไม แม้จะซ้ำซาก 40 ปี เราเห็นควรมาก็มา เป็นคนมีทั้งปัญญาและสิ่งจริง รู้กาลเทศะ มีอิสระเหนือโลกแล้วได้ช่วยโลก

ลักษณะสามโลก

โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปา สามโลกนี้มีตรีมูรติ ของสิ่งที่เป็นเทพเทวดา เทวดาสามองค์เรียกว่าตรีมูรติ คนมีโลกุตรจิต จิตไม่หนีโลกแต่เหนือโลก รู้โลก โลกวิทู รู้โลกอบาย กามโลก รูปโลก อรูปโลก ใครวนตรงไหนก็รู้ได้ ทำตนให้หลุดพ้นตามลำดับๆ คนโลกวิทู รู้โลกหลุดจากโลกได้ตามฐานะ พวกเรามีโลกุตรจิต โลกวิทู ของพระพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นแล้วเป็นโลกานุกัมปาทุกคน นี่คือเทวดาสามเทวดาที่ช่วยสร้างโลก เป็นศิวะ ราม พรหม

เป็นผู้มีเพชรพุทธแล้วช่วยโลกด้วยศิลปะ อาตมาเขียนเรื่องศิลปะโลกุตระไปถึงหน้า 50 แล้วก็กลับมาขยายซ้อนอีก

คำว่าศิลปะนี่มีแต่ศาสนาพุทธที่รู้จักศิลปะดีที่สุด จริงที่สุด เอามาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด อย่างเช่น มงคล 38 คือของพุทธ รู้ตั้งแต่คน คนไหนควรไม่ควรคบ รู้จักคนควรบูชา รู้ที่อยู่อันเหมาะ จนที่สุดถึงจิตปรมัตถ์

ตั้งแต่ตื้นๆ คนรู้จักชาวอโศกว่าพาลหรือบัณฑิต แล้วเป็นประเทศที่ควรอยู่ด้วยหรือไม่ คนที่นี่เป็นคนมีบุญเก่า ได้ตัดกิเลสมาแล้ว แล้วช่วยให้คนอื่นลดกิเลส แล้วได้ตั้งตนให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ เป็นศิลปะ เป็นมงคลอันอุดมทั้ง 38 ลักษณะ ยิ่งใหญ่นะ ถ้าเข้าใจที่อาตมาพูดนี้เอาไปศึกษา สุดท้ายถึงจิตเกษม อโศก วิรชะ เขมัง

เอตัมมังคลมุตตมังทั้ง 38 นี้คือมงคลอันอุดม ที่ท่านยืนยันในสิปปะ คือข้อ 8 แต่ศิลปะอยู่ในทั้ง 38 รู้จักพาลหรือบัณฑิตจนถึงจิตเกษม

สรุปคือศาสนาพุทธรู้จักศิลปะดีจริงๆ ครบครัน อยู่ในคนนี่แหละ ไม่ได้อยู่ในวัตถุหรือพีชะ แต่อยู่ในจิตนิยาม

อาตมากำลังเขียน เกิดจากคุณเพชรดินฟ้า เขียนว่าเขาไปพบสุริยุปราคา มันทำให้เขาเกิดปัญญาว่าดวงจันทร์ดวงเล็กแต่บังดวงใหญ่มิดได้ แม้เพียงช่วงเวลาจำกัด นับวินาที ทำให้เขาเข้าใจว่า เล็กก็ใหญ่ได้

ตัวอุตุนิยาม พีชนิยามโดยตัวมันเองไม่เป็นศิลปะ มีแต่วัตถุรูป คนมีจิตวิญญาณเข้าไปสัมผัส ต้องมีจิตวิญญาณร่วมด้วยและจิตต้องเฉลียวฉลาดขั้นหนี่งจึงเป็นศิลปะ ไม่ใช่อนาจาร….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:18:06 )

590405

รายละเอียด

590405_พิธีเปิดงานปลุกเสกฯครั้งที่ 40 บ้านราช เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน2

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 5 เมษายน 2559 เราจะอธิบายกันเรื่องศิลปะกันอย่างสำคัญ

ในเรื่องของการสวดมนต์ของศาสนาอื่นจะเอาบทมนต์ไปสวดสาธยายพร้อมกัน แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าจะไม่ทำ ท่านตั้งเป็นอาบัติเลย เหมือนกันกับศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้มีจุดธูปจุดเทียนรดน้ำมนต์ ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นสิริมงคล แท้จริงเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม เป็นเรื่องเป็นข้าศึกแก่กุศล ในมหาศีลห้ามไว้อย่างชัดเจน ให้เว้นขาดควรเลิกควรละ

มาดูที่

มงคลสูตรในขุททกปาฐะ

[5] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนักยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

(พ่อครูว่า...เทวดานี้หมายถึงจิตวิญญาณของตนเอง จิตวิญญาณนี้อสรีรัง เห็นได้ด้วยอาการลิงค นิมิต อุเทศ ในพระไตรปิฎก ล.10 ข.60 พระพุทธเจ้าตรัสถึงรูปนาม ความจะรู้จักรูปนามนั้น ข้อ 60 ในพระไตรปิฎก ล.10 ต้องรู้ 1.คำว่ารูปนาม คำว่าธรรมะสอง คำว่า กาย นี้เป็นไวยพจน์กัน synonyme เป็นสภาวะเดียวกัน พอกล่าวคำว่ากายคือธรรมะสอง หรือคำว่ารูปกับนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือธาตุรู้คือจิตของคน ถ้าไม่มีจิตของคนเข้าไปร่วมด้วย คำว่าธรรมะสองไม่ครบ และคำว่า กาย

ธรรมะหมายถึงทุกสิ่งที่อย่างรูปธรรมนามธรรม และธรรมะสองต้องมีรูปกับนามเรียกรวบไปเลยว่า กาย ทั้งสองอย่างนี้ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย เช่น มีรูปกับนาม ผัสสะกันขึ้น

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือธาตุรู้ ของใครก็แล้วแต่ ตั้งแต่สัตว์ทุกตัวจนถึงมนุษย์ เข้าไปผัสสะกันเข้าจึงเกิดเวทนา คล้ายๆกับมีผัสสะหนึ่งกับเวทนาหนึ่งเป็นรูปกับนาม มีตากับรูป ตาสัมผัสมะม่วงน้ำดอกไม้สีเหลืองนวลเลย ตาสัมผัสรูปก็เกิดเวทนา ปรุงแต่งเป็นเวทนาปุ๊บเลย เวทนาคือกาย คือธรรมะสองที่รวมกันขึ้นมา กายกับเวทนาก็อันเดียวกัน เมื่อเกิดปฏิกิริยากันก็เกิดนาม เกิดการเคลื่อนไหวปรุงแต่งเป็นเวทนา พระพุทธเจ้าว่า)

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสองด้วยประการดังนี้แล ฯ

ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้     ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า

เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้ เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
          ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
          เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ
นั่นเอง ฯ

(พ่อครูว่า...ใช้สัญญากำหนดรู้ แล้วในสัญญามีอุปาทานฝังอยู่ในก้นบึ้งจิต เป็นอนุสัย ทุกคนมีอวิชชาหมด เช่น สมมุติว่ายึดมะม่วงน้ำดอกไม้ หยิบมากำลังกินเลยนะ อาการอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาทันที มันอวิชชาปรุงแต่งทันที แล้วมันก็มีตัณหาเกิดเลยเป็นสมุทัย พอกระทบเหตุ มีนิทานเกิดเลย ปรุงแต่งมีตัณหาเกิดเป็นสมุทัยเลย อยากได้อยากกินอุปาทานยึดมั่นว่าชอบอย่างนี้ต้องเอาๆ ตัณหาสั่งเลย พออยากได้แล้วก็ไม่เห็นใครเป็นเจ้าของก็หยิบได้ฉวยเลย เกิดนิทานไป โลกเขามีขายก็ซื้อเลย แล้วกลับบ้านไปจัดการฉลองกิน เกิดนิทานไปหมดเลย กำลังกินก็มีนิทานต่อไป มีคนเห็นเราก็เลยไม่แบ่งหรอก มีลูกเดียว หรือเอาไปแล้วปอกกินปรากฏว่าคนที่มาเห็นเรากำลังกินเป็นคนที่เรารัก ก็เลยต้องแบ่งให้กิน ด้วยต้องการเอาใจ เป็นนิทานทั้งนั้นเป็นเรื่องเป็นราว

มีผัสสะเป็นต้นเรื่องจึงเกิด เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ถ้าเอาภาษาสมัยใหม่ก็เป็น system analysis มี input process output outcome จาก outcome จะมีอะไรต่อไปอีกเป็น impact ต่อไปได้ ปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ ในสมัยใหม่เขามีหลักวิจัย อย่างที่ว่านี้)
          ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ

(พ่อครูว่า...เน้นที่นามก็เอานาม 5 ถ้าเน้นที่รูปก็เอาที่รูป 28)

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
          ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

(พ่อครูว่า...ในนามธรรมอาการของจิตไม่มีอาการ ไม่มีความแตกต่างกับอันอื่น มันอยู่เดี่ยวๆ ไม่มีเพศ ไม่มีลิงค นิมิตก็มีอันเดียวกับอาการ ถ้าเครื่องหมายมันเคลื่อนที่ก็รู้ว่า ไปซ้ายไปขวา เราก็หมายใจเอาว่ามันเคลื่อน เคลื่อนอย่างไรก็ไปขวา ซ้าย บน ล่าง หรือมีนิมิต รูปร่างอย่างไรอาการอย่างไร สีอย่างไร หรือไม่มีสี มันว่างๆ ว่างอย่างไรก็กำหนดนิมิตเอาเอง ของใครของมัน โดยเรารู้ของเราว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ ที่นี่ว่างระดับที่ 1 คือศาลานี้ว่างจากช้าง เราก็กำหนดหมายอันนี้ ถ้าคนอื่นมากำหนดหมายเดียวกัน ศาลานี้ว่างจากช้างนะ เขาก็จะรู้ว่าบางครั้งเคยมีช้าง แต่ตอนนี้เราบอกกันว่า ศาลานี้ไม่มีช้างแล้ว จิตตัวนี้มีอบาย อกุศล กิเลสอบาย จิตเรานี้มีอบาย กิเลสระดับต่ำ ตอนนี้เราล้างกิเลสอบายแล้ว จิตเราว่างจากอบายนะ เรากำจัดอกุศลอบายอันนั้นได้แล้ว เหมือนกับศาลานี้ว่างจากช้าง แต่มีคน มีฟักทอง มีของมีเสา แต่ว่างจากช้างนะ จิตว่างจากอบาย แต่มีกิเลสอื่นอีก เราก็เอากามออกอีก หมดแล้วเหลือรูป เอารูปออกเหลืออรูป จนถึงสุดท้าย อรูปก็จัดการอีก ขั้นอากาสาฯตรวจสอบอีก อากาสาฯวิญญานัญจา อากิญจัญญาฯ จะน้อยนิดอย่างไรก็ไม่ให้มีเลย ไม่ให้มัวหมองเลย ให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด อะไรไม่บริสุทธิ์ต้องเอาออกไป แล้วเราก็ทำให้รู้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อากาสาว่างจริง เป็นจิตแท้ไม่มีอะไรปนเปเลย

ตรวจอากิญจัญฯ ไม่มีเศษอะไรเลย ตรวจ อโศกะ(ธุลีหมอง) วิรชะ(ธุลีเริง)

ธุลีหมองคือยังมีอะไรโศกอยู่ แม้เศษนิดน้อยระดับนิวเคลียร์ปรมาณู จะต้องใช้ธาตุรู้ตรวจสอบ โดยอาการลิงคนิมิตอุเทศ อุเทศคือคำอธิบาย ฟังไปแล้วก็ไปตรวจสอบตนเอง ว่าการนิ่งสูญกับการเคลื่อน จนไม่มีอะไรเคลื่อน ไม่มีแสดงอาการเลย หมดอาการเลยก็กำหนดจิตรู้ของคุณ จะกระทบกระแทกอย่างไรไม่มีกระดิกเลย)
          ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูว่า...ขณะนี้กำลังอธิบายถึงเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

ความแตกต่างกันระหว่างอาการกับนิมิต ต้องกำหนดถึงนิมิต เครื่องหมาย เช่น อาการโกรธเป็นเช่นนี้ อาการโลภก็กำหนดอีกแบบ ตามญาณปัญญาคุณกำหนด ถ้าสัมผัสแล้วเกิดอาการก็ต้องรีบกำหนดรู้ ต้องจำเอา จริงๆอาการโกรธกับโลภมันเกิดทีละที แต่ก็ต้องกำหนดเอาว่าเป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร หมายเอา mark เอาเอง ว่าอาการนี่มันไม่มีรูปร่างสีสันตัวตนนะ คำว่าอาการนี้ยิ่งใหญ่ ถ้าใครอ่านอาการจิตเจตสิก รูป นิพพานไม่ได้ ก็จบเห่ คุณเป็นอเวไนยสัตว์แล้ว ไม่มีสิทธิ์รู้ ถ้าไปสอนหมาตัวหนึ่งมันจะรู้อาการจิตไหม ต่อให้ช้างตัวใหญ่ก็ไม่รู้ได้ แต่สอนให้มันวาดภาพก็สอนได้ แต่สอนให้อ่านอาการจิตไม่ได้ ทำได้แค่ในคน และคนที่จะมีภูมิอ่านได้อ่านเป็นเวไนยสัตว์ คนที่สอนแล้วสอนอีกก็รู้ไม่ได้คืออเวไนยสัตว์

แล้วมีจริงในโลก คนอีเดียด โมหร่อนก็ไม่ได้ คนไม่เดียงสาเด็กมากไม่ได้ นอกจากเด็กพิเศษก็อ่านได้ คนก็เหมือนกัน คนโตๆแล้วถ้าเป็นอเวไนยสัตว์สอนไม่ได้ แต่ถ้าพูดเรื่องโลกเรื่องแก้แค้นนี้ฉลาดฉิบหาย อย่างทักษิณนี่แก้แค้นเก่งมากอาตมาเห็นใจนายกฯลุงตู่นะ

หยุดบ้างได้ไหม นี่ล่าสุดคือขันแดงส่งมารวน หาเสียงเพื่อติดสินบน เอาขันแดงเป็นเครื่องจิ้มกล้องประชานิยม เพื่อให้เขาระลึกถึงตน ว่าจะลงประชามติคว่ำรัฐธรรมนูญ ไม่หยุด เข้าข่ายผิดกฎหมายไหม ก็ผิด มาเจตนารวน

 

การเรียนการสอนศาสนาพุทธในเมืองไทยน่าสงสารมาก อย่างอ.บูรพา ผดุงไทย นี้เขียนลงมาในไทยโพสต์แทบลอยด์ว่า

เมื่อได้ขึ้นชื่อว่าคนแล้ว ร่างกายประกอบด้วยสังขารธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ 5 คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เหมือนกันหมดทุกคน เมื่อตายไปแล้วก็ย่อมเน่าเหมือนกันเป็นธรรมดา คนรวยเมื่อตายไปก็ต้องเน่า คนจนตายไปก็ต้องเน่า คนมีปัญญาดีก็เน่า เทคโนโลยีทางโลกอาจจะช่วยชะลอสังขารหลังความตายได้ แต่ทำยังไงก็ไม่เหมือนเดิม

(พ่อครูว่า...ถ้าเที่ยงโดยยึดไม่จบ แต่ถ้าเที่ยงโดยไม่ยึดด้วยปัญญาไม่กดข่มอันนี้สมบูรณ์แบบ)

 คนตายแล้วล้วนไม่มีอะไรต่างกัน ที่ต่างคือจิต ทั้งคนเป็นและคนตาย ที่ยังสุขทุกข์กับโลกอยู่ คนเป็นที่ยังอยู่ก็เศร้าโศกอาลัยคนที่ตาย ส่วนคนตายก็ยังติดยึดในสมบัติโลกไม่อยากตาย เกิดความไม่สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ความไม่สบายใจตัวนี้แหละคือปัญหาที่ทำให้ดวงจิตไม่ปล่อยวาง ยังติดสมมุติโลก และต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จบสิ้น แต่ถ้าเรารู้ธรรมะแล้วมันก็ข้าม   พ้นสุขทุกข์เหล่านี้ไปได้ ถ้าข้ามไม่พ้นมันก็ไม่สบาย ใจอยู่นั่นเอง

 

ถ้าเรามีปัญญาย่อมรู้ว่า ทุกสรรพสิ่งมันเป็นเพียงสมมุติโลกมันไม่มีอะไรจริง เมื่อตายไปก็ต้องคืนทุกสิ่งกลับสู่โลกธาตุ เมื่อรู้อย่างนี้มันก็สบายใจ ไม่เป็นไร ปล่อยวางได้ แต่ถ้าเรายังไม่สบายใจหรือมีความลังเลสงสัยอยู่ ไม่ว่าทำอะไรเราก็ไม่สบายใจ เพราะเราไม่รู้ความจริงของโลก ความไม่รู้นี้แหละจึงทำให้เกิดเป็นอวิชชาครอบตัวเราอยู่ เราจึงไม่พ้นทุกข์ อย่างคนที่กังวลเรื่องความตาย ว่าตายไปแล้วไปไหน เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ย่อมกลัวความตายจนเกิดทุกข์

 

จริงๆ แล้ว ผู้ที่ตายไปแล้ว เมื่อดวงจิตแยกออกจากร่าง ดวงจิตนั้นจะไปเกิดทันที แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้น แล้วแต่บุญกรรมที่ได้สะสมมา บางคนตายไปแล้วไปเกิดเป็นโอปาติกะเลยก็มี ผุดเกิดขึ้นมาเลยโดยไม่ต้องมีพ่อมีแม่

(พ่อครูว่า...ไม่มีพ่อไม่มีแม่เกิดสัตว์ไม่ได้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ว่าไว้ว่าพ่อมีแม่มี การบอกว่าไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้วเกิดได้นี่ก็มิจฉาทิฏฐิ)  

ไปเกิดทันทีก็สามารถรับบุญได้เลย

(พ่อครูว่า...คำว่าบุญของอ.บูรพานี่ไม่เข้าใจบุญ จิตวิญญาณที่ตายไปแล้วไม่สามารถทำบุญได้ บุญไม่มีตอนตายแล้ว ทำอะไรไม่ได้ รับวิบากอย่างเดียว ความรู้ที่ตัดกิเลสได้นี่คือบุญ อรหันต์แล้วหมดบุญ สิ้นบุญสิ้นบาป)

แต่ไม่มีสังขาร จึงสร้างบุญเองไม่ได้ แม้แต่เป็นวิญญาณทั่วไปหรือเป็นเปรต เมื่อไม่มีกายสังขารที่จะสามารถสร้างบุญได้ ก็จะรับบุญกุศลได้อย่างเดียว แต่ตอนตายไปแรกๆ นั้น เขาจะยังไม่รู้ตัว และคิดว่าเขาเสพของหยาบได้ เช่นว่า เขาเคยกินอะไร เคยดื่มอะไร มันจะใกล้ชิดกับของหยาบนั้น ทำให้เขารู้สึกอยากกินและหิวอยู่

 

พอนานๆ ไปเขาเริ่มรู้ว่าเขาเสพของหยาบไม่ได้แล้ว ต้องแปลสภาพไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นบุญถึงจะรับได้ เขาถึงจะเริ่มรับบุญ เหมือนต้นไม้ เอาแบงก์ 500 ไปให้มัน มันเอาไปทำอะไรไม่ได้ แต่แบงก์ 500 ไปเปลี่ยนเป็นปุ๋ย เป็นน้ำได้ เหมือนกันเมื่อเราทำบุญด้วยของต่างๆ ของเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นบุญเป็นกุศล ดวงวิญญาณเหล่านั้นถึงจะรับได้ เพราะดวงวิญญาณไม่มีธาตุขันธ์ เหมือนคนเราที่ยังมีชีวิตอยู่ กินอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นบุญกุศลรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่สิ่งของ เขาถึงจะรับได้

 

ส่วนคนทำให้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ญาติพี่น้องทั้งหลายของดวงวิญญาณนั้นแหละที่ทำส่งไปให้ เพราะคนตายแล้วทำเองไม่ได้ เมื่อเราได้ทำความเข้าใจเรื่องการทำบุญ และชีวิตหลังความตายเป็นอย่างนี้จนแจ่มแจ้งแล้ว เราก็จะมีปัญญาไม่ไปหลงเชื่อพิธีกรรมแปลกๆ ที่หลอกหาผลประโยชน์จากความไม่รู้ของเราได้อีก

 

ปัญญาขจัดอวิชชาคือความไม่รู้ แต่ปัญญาที่จะยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากการฝึกฝนอบรมจิตอย่างสม่ำเสมอ การที่เราฝึกฝนอบรมจิตก็เพื่อที่จะดับล้างอวิชชาความไม่รู้เหล่านี้นั้นเอง จิตมีสิ่งที่ถูกรู้และสิ่งที่รู้คือตัวรู้ พอเราไม่เคยอบรมจิต เราก็ไม่เคยรู้จักคำว่ารู้ที่อยู่ในเราว่าจริงๆ แล้ว เรามันมีรู้อยู่ เมื่อเราได้ฝึกปฏิบัติอบรมจิตไปเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นและสัมผัสกับรู้ของเราชัดเจนยิ่งขึ้น แต่รู้ของเรานี้ เดิมทีมันไปรู้อื่นๆ ทั่วไปหมด คือว่า มันรู้สุข รู้ทุกข์ รู้โกรธ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ดีใจ รู้เสียใจ ด้วยตัวรู้นี้เอง

 

พอฝึกแล้วเราจะเริ่มรู้จักตัวรู้นี้ละเอียดขึ้นเอง พอดีใจมากๆ ตัวรู้ก็รู้ว่าดีใจเกินไปหรือเปล่า เสียใจมากๆ มันก็เริ่มรู้ว่าเสียใจ ตัวรู้พอโดนฝึกแล้วมันก็จะแยกออกมาให้รู้ละเอียดยิ่งขึ้น เหมือนที่เราฝึกให้ภาวนาก็เพื่อให้รู้นี้ออกจากความคิด

(พ่อครูว่า...อันนี้น่าสงสาร อ.บูรพา ที่ยังยึดว่าต้องหยุดคิด พระพุทธเจ้าว่าฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญานี้รู้ยิ่งกว่าสัญญา ต้องสั่งสมปัญญาจากองค์รวมจากทิฏฐิสั่งสมเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไม่เป็นก็จบเลย)

พอรู้ออกจากความคิดได้มันก็เป็นสมาธิในระดับฌาน แต่ถ้ารู้ยังอยู่กับความคิดอยู่นั้นก็เป็นสมาธิได้เหมือนกันไม่ถือว่าผิด แต่เป็นเพียงแค่สมาธิระดับเริ่มแรกเท่านั้น แค่มีความตั้งมั่นมาก แต่ยังไม่เป็นสมาธิระดับฌานสมาธิ

 

สมาธิระดับณานสมาธินั้นคือ จิตจะหลุดออกจากดงความคิดออกไป เมื่อจิตกับความคิดแยกออกจากกันไปสักพักถึงจะเกิดความรู้ใหม่ขึ้น เป็นความรู้ที่ไม่ยึดติดกับความคิดใดๆ เราเรียกว่า "รู้ธรรม" พอได้ฝึกไปเรื่อยๆ รู้นี้ก็จะเกิดความตั้งมั่นขึ้น ละเอียดขึ้น มันก็เริ่มที่จะรู้ในสิ่งที่รู้เห็นความจริงมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ที่ตอนแรกๆ ที่ฝึกมันไม่เคยเห็น มันไม่รู้ แล้วก็อยู่กับสิ่งนั้นมานานแสนนาน แรกๆ โกรธ เราก็โกรธไปด้วย มันไม่เคยเห็นตัวมันเองแล้วก็ไม่เห็นความโกรธเลย เพราะคิดว่ามันกับความโกรธเป็นตัวเดียวกัน มันเลยไม่เคยเห็นตัวเอง

 

แต่พอฝึกๆ เข้าไปเรื่อยๆ มันเริ่มรู้แล้วว่ามันมีตัวมันนะ เวลาที่มันโกรธ เศร้า เสียใจ มันเห็นแล้วว่ามันมีสิ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ได้เห็นความโกรธอย่างเดียวนะ ยังมีตัวรู้มันเองอยู่ด้วย นี่เป็นเบื้องต้น ถ้าเราเห็นอย่างนี้ชัดขึ้นๆ มันเริ่มเห็นเหตุของสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น นี่เป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมอันเป็นผลจากการปฏิบัติสมาธิอบรมจิตจนเกิดธรรม.

พ่อครูว่า...มันเป็นความแหลมลึกทางตรรกะ แต่ไม่ได้เป็นสภาวะธรรม ถ้าจับอาการเวทนาไม่ได้ก็ไม่สามารถคิดอะไรต่อได้ เพราะผู้รู้จักเวทนาเป็นจะรู้ว่าความคิดนี่คือการอ่านของธรรมะสอง คือมีตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ การทำหน้าที่ธรรมะสองตลอดเวลานี่แหละที่เรียกว่า ความคิด แล้วเราก็จะเกิดปัญญาเกิดรู้จากธรรมะสอง จะมีวิจัยวิจารไป เมื่ออาการอารมณ์เป็นองค์รวมที่เกิดจากปฏิกิริยากระทบ ถ้ากระทบแล้วเฉย ว่าง มันเกิดอาการสองแล้ว กระทบกันแล้วว่าง เราก็จับนิมิต อาการของความว่าง เราก็อ่านอาการนี้ออกเสมอ นี่คือจิตว่างที่ท่านพุทธทาสพยายามทำอันนี้ คนทำความว่าง อุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข คุณต้องรู้นิมิต เมื่อมันกระทบจริง แล้วก็อ่านจริง เช่น เราติดเรายึดอันนี้มะม่วงน้ำดอกไม้ อาการที่สัมผัสแล้วอยากได้อยากมีอยากเป็นก็ยังอยู่ จนเราล้างมันได้จริง จนจิตไม่มีอาการ มันว่าง ครั้งนี้กระทบแล้วไม่เกิดอาการ กระทบอีกร้อยครั้งมันแวบหนึ่งเราก็ฝึกอีก จนมันหายไม่มีอาการนั้นแวบเกิดในจิตเลย อาการที่ยินดีนิดน้อยก็ไม่มี ยินร้ายก็ไม่มี มีแต่นิมิตอุเบกขาตลอด  ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา จิตรู้เร็วทันแววไว มาทีเผลอก็รู้ ไม่เกิดอาการ เอาไปทำงานได้อย่างดี จิตว่างนี้ดีตลอด ไม่มีเศษธุลีละอองกิเลสมาปลอมปนเลย ทำให้การงานเศร้าหมองก็ไม่มี เป็นกัมมัญญาตลอด ผ่องใสตลอด เจริญยิ่งขึ้นด้วย ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงมีกัมมัญญตา ยิ่งสะอาดยิ่งเก่งมีการงานที่ดีสูงส่งเหมาะควรไปเรื่อยๆ ตามประสิทธิภาพสมรรถนะของคนนั้นไปเรื่อยๆ

ศาสนาพุทธไม่ใช่ไม่ทำงานให้หยุดคิดนึกหยุดรู้ ไม่ใช่ จะไปหลงพยัญชนะ แต่ต้องเข้าใจความคิดความรู้ได้ ไม่แยกความคิดความรู้นะ แต่พระพุทธเจ้าให้ความคิดความรู้เจริญขึ้น ถ้าแยกความคิดความรู้จากกันจบเห่เลย ความคิดคือ

ธัมมวิจัย ความรู้คือปัญญา ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ไม่ใช่หยุดนิ่ง แต่ว่าหยุดกิเลสตัวเดียวจนไม่มีบทบาทเลย แต่ธาตุจิตยิ่งเร็วไวชำนาญ สุดยอด sensible มี able ของจิตเยี่ยมยอด สามารถมาก

คนไม่เข้าใจสภาวะแล้วก็ไปติดพยัญชนะ ก็เลยเอาพยัญชนะมาผกผันกลับไปกลับมา ขออภัยอ.บูรพา และขอบคุณให้เอามาอ้างอิง

 

ในสัมมาทิฏฐิ 10 ทานที่มีผลคือต้องละความโลภ ต้องรู้อาการลิงค นิมิต มันได้ ถ้ารู้อาการโลภไม่ได้ก็มนสิการทำใจในใจจัดการใจให้ไม่มีอาการโลภได้อย่างไร ต้องทำใจให้ปล่อยวางความโลภนะ ถ้าทำอาการใจไม่เป็นก็นัตถิทินนัง เหมือนกับว่าให้ทำทานแล้วจะได้รวยล้านๆๆๆเท่า เอาเรื่องนี้มาหลอกเขา สะกดจิตเขา นี่คนที่นึกว่าฉลาด ไปหลอกเขาคือทำความโง่ จะหลอกโดยรู้ตัวก็ตาม หรือว่าหลอกด้วยเห็นว่ามีจริงก็ตามเถอะ ก็โง่ยกกำลังสามอยู่นั่นแหละ

สรุปแล้ว อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ต้องเข้าใจอาการเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะรู้ว่ามีผลหรือไม่อย่างไร โลภมันลดลงเบาลงอย่างไร ไม่มีชีวิตินทรีย์ของโลภอย่างไร มันอ่อนแรงจนไม่มี ก็ต้องรู้ด้วยญาณปัญญาคุณที่กำหนดรู้ได้ เมื่อใดเกิดอาการถ้าไม่สัมผัสจริงเกิดจริงในปัจจุบันจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีผัสสะจะเกิดอย่างไร ถ้าไม่มีรูปนามผัสสะ สามอย่างนี้ก็เรียนรู้ไม่ได้ เพราะเป็นจุดเกิดวิญญาณ วิญญาณผีหรือเทวดา ทุกข์สุขอย่างไร

เมื่ออาการ ลิงค นิมิต ไม่มี นามก็ไม่เกิด เมื่อนามไม่เกิด คุณต้องรู้จากนามมาก่อน รู้ตั้งแต่อยู่ข้างในเรียกว่าวจีสังขาร จะมีกิเลสหรือไม่มีก็ทำได้ เมื่อทำด้วยสังกัปปะ 7 รู้วจีสังขารว่ามีนามตัวนี้ ถ้าอาการนามอย่างนี้ยังไม่เคยตั้งชื่อภาษาไว้เลย อาการอย่างนี้เรียกว่าโลภ หรือยังไม่ตั้งชื่อ อาการนี้ เมื่อไม่ตั้งชื่อจะขานชื่อก็ไม่ได้ เมื่อนามนี้ยังไม่ตั้งชื่อ โดยเฉพาะนามนี้ยังไม่เกิดก็เอามาเรียกชื่อไม่ได้หรอก


          ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ  นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
          ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ     เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
          กายในกายก็คือเวทนา หากไม่รู้อาการของกายก็ปฏิบัติไม่ได้ โดยเฉพาะอ่านเวทนา 108 ไม่ได้ก็เข้ากระแสโลกุตระไม่ได้ ทำเนกขัมมะไม่ได้ก็ออกจากโลกีย์ไม่ได้ เพราะมนสิการไม่ได้ เป็นเคหสิตะไป แล้วจะโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะสัมโพธิปรายนะได้อย่างไร

คำว่ากายคำเดียวนี้ เป็นองค์ประชุมสอง แยกความจริงในจิต จับนิมิตขององค์ประชุมสอง แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะ ตัวสำคัญ เพราะเวทนาที่มาของมันตั้งแต่มีกายมีจิต กายกับจิตเป็นธรรมะสองแล้ว พอปรุงเป็นสุขทุกข์ก็เป็นสาม ทีนี้มันเกิดจากทวารทั้ง 5

เวทนา 5 มีสุขทุกข์หยาบ แล้วมีละเอียดถึงโทมนัส โสมนัส แล้วหมดทุกข์หมดสุขเป็นอุเบกขา กลางๆ นี่คืออาการของน้ำหนักความรุนแรงความเบาของอาการนั้นๆ เวทนา 6 เกิดจากทวารทั้ง 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันปรุงแต่งเป็นสุข ทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ได้สามอย่าง ทางทวารทั้ง 6 ก็เกิดสามอย่างนี้ได้ ทั้ง 6 ทวารรวมเป็น 18 ถ้ามันบำเรอจิตสมใจเป็นสุข ไม่สมใจเป็นทุกข์ มันเซ็งๆเฉยๆ อุเบกขาพักยก เคหสิตอุเบกขา

ถ้าเราจับเหตุได้เอากิเลสออกได้ เพราะเราทำได้นะไม่ใช่แค่ธรรมชาติ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เหนือธรรมชาติ ใครบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติผู้นั้นไม่เข้าใจธรรมะ ถ้าอ่านและทำเนกขัมมสิตเวทนาได้ก็เริ่มเดินทางไปนิพพานได้ ถ้าไม่ชัดในอาการ ลิงค นิมิต ในอัตตาในเหตุ องค์รวมเคหสิตะคือโลก เมื่อจับตัวกิเลสเอากิเลสออกได้ก็เป็นเนกขัมมะ คุณทำเนกขัมมะเป็น ออกจากเคหสิตะปุถุชนโลกีย์ มาเป็นโลกุตระได้ คุณทำอาการจิตคุณได้คือทำมนสิการได้ ทำจิตอย่างนี้เป็น คุณจึงสามารถเดินทางสู่โลกุตระ ได้โลกใหม่ปโรโลโก จากอยังโลโกที่มนุษย์วนเวียนนานนับกัปป์กาล ยังไม่เจอสยังอภิญญา ปัจเจก สยัมภู พระพุทธเจ้า

ถ้าทำเนกขัมมะไปเรื่อยๆจนทำได้บริบูรณ์ คือทำเวทนา 108 ได้จากเคหสิตะมาเป็นเนกขัมมะ 18 อย่างแข็งแรงต่อโลกธรรม ลาภ เงินทองจะเป็นล้านๆ เท่าไหร่ก็ตาม

อาตมาจะสร้างคนแบบนี้แหละไปบริหารประเทศ เอาอรหันต์เอาอนาคามีไปเป็นผู้บริหารประเทศ อาตมาตั้งใจอยู่นานเพื่อสร้างคนแบบนี้ และมีแล้วตอนนี้มีเด็กเล็กๆค่อยๆตามมาเรื่อยๆ อาตมาว่ามันยิ่งน่าจะอยู่อีกสัก


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:20:04 )

590406

รายละเอียด

๏ ศิลปะโลกุตระต้องมีสัปปุริสธรรม

พ่อครูว่า : วันนี้วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2559 วันนี้เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีวอกก็ตาม ปีมะแมก็ดี แล้วแต่ใครจะยึดอันไหนก็อันนั้นแหละ

          เราก็มาว่ากันต่อ... เพราะชีวิตนี้อาตมาได้ตั้งปณิธาน ตั้งจิตตั้งใจไว้จริงๆว่า จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะ

ทำงานเรื่องธรรมะ ก็ศึกษาไปด้วย บรรยายเผยแพร่ไปด้วย เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าท่านได้ประกาศเอาไว้แล้วให้แก่คนให้แก่โลก ได้เอาไว้ศึกษาได้เอาไว้ปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเองฝึกฝนตนเองอบรมตนเองให้เกิดประโยชน์เกิดมาเกิดผลอย่างแท้จริง

          ซึ่งเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ของ

ท่านเป็นสัมมามรรค-สัมมาผลที่สุดแล้ว ผู้ใดทำได้เกิดผลจริง เป็นภาวนามัย เป็นภาวิตญาณ เกิดผลจริง เกิดผลเป็นโสดาบัน ทำให้กิเลสตัวนี้ลดก็มีญาณรู้ ลดได้ขนาดนี้แล้ว พ้นอบายภูมิแล้ว เป็นของโสดาบันทำอีกต่อไปเป็นสกิทาคามี จนหมดกิเลสในกามภูมิ

กามภพ ก็มีญาณเห็นเป็นภาวิตญาณ เป็นญาณเห็นสิ่งที่อบรมแล้วได้แล้ว

          ภาวิโตคือ ความเจริญพัฒนาขึ้นของคน โดยเฉพาะเจริญจิตใจ ก็มีคนเท่านั้น เดรัจฉานเป็นไม่ได้แม้แต่คนที่เป็นอเวไนยสัตว์ สอนเขาก็ไม่รู้เรื่อง สอนไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ไม่สามารถจะรู้ได้เพราะมันละเอียดสูงส่ง เป็นความเป็นจริงในสัจธรรม ต้องคนมีภูมิขั้นที่สามารถเข้าใจ-รู้ได้ จึงจะศึกษาได้ เรียกว่าเวไนยสัตว์

          เวไนยสัตย์แยกเป็นสองนัย เวไนยสัตว์ระดับโลกีย์ กับระดับโลกุตระ

          ระดับโลกีย์คือเรียนรู้ได้ในผลของกรรม รู้จักกรรมดีกรรมชั่ว ความดีความชั่วในระดับของกาย วาจา แม้แต่ใจก็ยังรู้ไม่ได้

          ศาสนาหลายศาสนาก็พยายามเรียนรู้ถึงใจ แต่ศาสนาเทวนิยม ไปมีทฤษฎีว่า พลังงานที่สูงละเอียดที่สามารถสั่งการตนเองได้ ตัวเราเองสั่งไม่ได้ พระเจ้าเท่านั้นสั่ง ศาสนาเทวนิยมยกให้พระเจ้าไปหมดสิ้น เราไม่สามารถสั่งให้ทำกรรมละเอียดโดยเฉพาะระดับจิตของตนยกความรู้และอำนาจไปให้พระเจ้าเสียแล้ว แม้กาย-วาจาก็สั่งยาก จึงไม่สามารถเรียนรู้จิต-เจตสิก ในตนที่เป็นอภิธรรมได้

          เพราะทฤษฎีแบบเทวนิยมปิดกั้นไว้แล้ว ปิดกั้นที่จะรู้จะเรียน ซึ่งอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ ของจิตคนนั้นเรียนรู้แสนยากเหลือยากยิ่งแล้ว แล้วเราจึงจะสามารถรู้ความจริง ควบคุมได้ หรือจัดสรรได้ จิตดื้อเราไม่อาจสามารถสั่งได้ บังคับไม่ได้เลย แต่ถ้าเรียนรู้ด้วยทฤษฏีที่สัมมาของพระพุทธเจ้า มันเป็นจิตหัวอ่อน ว่าง่าย มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุพลังงานจิตว่าง่ายสำหรับเราแล้ว เราจะให้เป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่สั่ง แต่เราทำให้จิตเราหัวอ่อน ว่าง่ายสอนง่าย เป็นไปตามที่เราต้องการให้เป็นได้ เรียกว่า มุทุภูตธาตุ

          ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสอนให้เรียนรู้พลังงานที่นิยามไว้ 5 นิยาม คือ อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม จึงสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของจิต พฤติกรรมนั้นมีอาการเคลื่อนไหว เรียกว่ากรรม

          ถ้าเคลื่อนไหวอย่างอัตโนมัติไม่มีความรู้ของตนรับรู้และควบคุม ก็คือ อวิชชา

          แต่ถ้าเคลื่อนไหวอย่างดีมีความรู้ของตนรับรู้และควบคุมด้วยวิชชา โดยมีสัปปุริสธรรม 7 จัดการได้อย่างถูกต้องเที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนเป็นอื่นอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) ก็จบ

          สำหรับความรู้บทเรียนของศาสนาพุทธสามารถทำจิตของเราให้เป็นจิตอัตโนมัติที่เรียกว่า ตถตา คือ มันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ต้องไปควบคุมจัดการมันเกินกว่าสัญชาตญาณ มันรู้ว่าความชั่วไม่ทำ จะทำแต่กรรมดีเป็นต้น มันเป็นตัวบอกอย่างอัตโนมัติ เป็นตัวตรวจสอบตัวเอง และตัดสินตัวเองอันนี้ดีหรือไม่ดี จะทำหรือไม่ทำ ล้วนเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องควบคุมเลย เป็นความจริง ตถะเลย เป็นได้ถาวรไม่ต้องไปทำอะไรมันอีก จบกิจ ธรรมะพระพุทธเจ้าสามารถถึงขั้นนี้

 

จากเฟสบุ๊ค 20 มี.ค. 59

คุณเพชรดินฟ้า ดิศโยธิน

ฝากคำถามพ่อครูครับ

 

          1. บังเอิญธรรมชาติได้ก่อความพอเหมาะพอดีจนสัมผัสเห็นงานศิลปะ คือ สุริยุปราคา ที่จันทราดวงเล็กๆ บังอาจบดบังแสงของสุริยา แต่บดบังเพียงช่วงเวลาจำกัด นับกันเป็นวินาที ที่เคลื่อนผ่านไป ย้ำว่าวินาทีแห่งบุญ และเล็กก็คือใหญ่ แบบนี้พอจะเรียกว่าศิลปะบนท้องฟ้าได้ไหมครับ

 

พ่อครูตอบ : ขอนิยามคำว่าศิลปะก่อน ศิลปะเป็นธรรมะ 2คือ เทฺว ธัมมา ถ้าจะเรียกว่าศิลปะนั้นต้องประกอบด้วยจิตธาตุเป็นหนึ่งในธรรมะ 2 ด้วยเสมอ ขาดธาตุรู้ไม่ชื่อว่า ศิลป์

          ศิลปะต้องมีธาตุรู้ของคนร่วมด้วย ถ้ามีแต่ธาตุวัตถุปรุงแต่งกันเองอยู่อย่างไร ก็ไม่เรียกว่า ศิลปะ

          เพราะมันแค่วัตถุธาตุดินน้ำไฟลมประกอบกันขึ้น(composite), ของที่รวมตัวกัน(composite) ประกอบด้วยสิ่งต่างๆส่วนต่างๆ โดยธรรมชาติเท่านั้น

          คือมีแต่วัตถุหรือมหาภูต 4 อุตุนิยาม แม้จะเป็นพืช พีชนิยาม หรือต่อให้เป็นคนผู้มีจิตนิยาม แต่ถ้าไม่รู้ว่าสารประกอบ(composite)นั้น, ของที่รวมตัวกัน(composite)นั้น, สิ่งประกอบขึ้น(composite)นั้น ไม่ว่าจะเป็นผลงานที่เราทำขึ้น หรือมันเป็นธรรมชาติที่เกิดด้วยตัวมันเองก็ตาม หรือกรรมกิริยาที่ตนแสดงออกมา หากไม่มีคนหรือสัตว์ที่มีธาตุรู้ไปสัมผัสเข้าแล้ว เกิดผลบันดาลจิตใจเป็นมงคล ก็ไม่เรียกว่า ศิลปะ

          ยิ่งเมื่อสัมผัสแล้วเกิดผลเป็นข้าศึกแก่กุศล,ข้าศึกของใจ,สิ่งที่เป็นข้าศึก(วิสูกะ) ก็ยิ่งไม่ใช่ศิลปะเลย เป็นอนาจาร เป็นของหรือเป็นกิริยาอาการที่คนไม่ควรทำขึ้นมา ไม่ควรประพฤติอย่างนั้น

          ถ้าเป็นสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่ยังไม่มีคนไปสัมผัส มันก็เป็นแค่เหตุปัจจัยที่ประกอบกันขึ้น(composite), ของที่รวมตัวกัน(composite) สิ่งต่างๆหรือสุ้มเสียงกิริยาท่าทางต่างๆประกอบกันขึ้น(composite) ด้วยตัวมันเองเท่านั้น ยังไม่มีธาตุรู้ของคนเข้าไปร่วมก่อเกิดความรู้สึกเป็นมงคลขึ้นที่ใจใครเลย ก็ยังไม่มีความเป็นศิลปะใด เกิดขึ้นมาในโลก

          หรือยังไม่มีธาตุรู้ใดไปก่อเกิดความรู้สึกเป็นข้าศึกแก่กุศลขึ้นที่ใจใครเลย ก็ยังไม่มีความเป็นอนาจารใด เกิดขึ้นในโลก

          ดังนั้น ธรรมชาติใดก็ตาม หากไม่มีคนไปสัมผัสแล้วจิตของคนไม่เกิดผลเป็นมงคล(ภาวะที่จะทำให้เกิดความเจริญ)ขึ้นที่ใจ ธรรมชาตินั้นหรือสิ่งประกอบขึ้น(composite)นั้น ก็ยังไม่มีความเป็นศิลปะ

          หรือจิตของคนไม่เกิดผลเป็นข้าศึกแก่กุศล(วิลูกะ)ขึ้นที่ใจก็ยังไม่มีความเป็นอนาจาร

          แม้จะเป็นคนแท้ๆมีธาตุรู้ของคนที่รู้ตัวอยู่ว่า ตนทำอะไร ประพฤติกิริยาอาการของตนอยู่อย่างไร หรือมีเจตนาผลิตงาน-ประดิษฐ์กรรมกิริยาตนขึ้นมาเอง ตนเองก็รู้ว่าตนทำอะไรอยู่ หรือมีคนเห็น-ได้สัมผัสเข้าแล้ว เขามีความรู้สึกขึ้นมา แต่ตนผู้ทำไม่รู้ว่า กรรมกิริยาที่ตนทำ หรืองานที่ตนผลิตขึ้นมานั้น มันไม่เป็นมงคล มันกลับเป็นอนาจารด้วยซ้ำ กรรมกิริยาที่ตนทำนั้น หรืองานที่ตนผลิตขึ้นมานั้นก็ไม่เป็นศิลปะ แต่มันเป็นสิ่งมอมเมา เป็นสิ่งหรือกิริยาที่ไม่ควรทำ

          จะชื่อว่าศิลปะหรือไม่ เงื่อนไขหลักประเด็นแรก คือ ต้องมีอาการของจิตคนตั้งแต่ตนเป็นผู้สร้างผลผลิตนั้น หรือมีคนไปสัมผัสกับสิ่งประกอบขึ้น(composite)

นั้น เกิดผลเป็นมงคลก็เริ่มนับว่าเป็นศิลปะ ยิ่งเป็นมงคลขั้นเหนือโลก(โลกุตระ)ก็ยิ่งเป็นมงคลอันอุดม

          แต่ถ้าจิตเกิดผลเป็นข้าศึกแก่กุศล(วิสูกะ)ก็เป็นอนาจาร เป็นภาวะที่ไม่ควรทำไม่ควรประพฤติ บาป

          ศิลปะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คือ ภาวะที่จะทำให้เกิดความเจริญ(มงคล) ถ้าความเจริญนั้นอันสูงสุดก็เป็นนิพพาน(มังคลมุตตัมมัง) เป็นโลกุตรธรรมแท้

          สรุปตรงนี้ไว้ได้ว่า ธรรมชาติอยู่เฉพาะตัวมันเองนั้น ไม่ใช่มงคลหรืออนาจาร จึงยังไม่เรียกว่าศิลปะแต่อย่างใด มันเป็นได้แค่สิ่งที่ประกอบกันขึ้น (composite) เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เท่านั้น

          ต้องมีคนไปเกี่ยวข้องมันเข้าแล้วเกิดมงคล จึงจะเรียกได้ว่า สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์นั้นมีศิลปะ ยิ่งถ้าเป็นมงคลถึงขั้นโลกุตระ ก็ยิ่งเป็นมงคลอันอุดม

(มังคลมุตตัมมัง) ถ้าเป็นมงคลสูงสุดก็เป็นนิพพาน

          ศิลปะที่เข้าขั้นอาริยะ เป็นศิลปะโลกุตระ

          แต่ถ้าเกิดข้าศึกแก่กุศล(วิสูกะ)ก็เรียกว่าวิสูกะ ซึ่งเป็นอนาจาร จึงเป็นภาวะที่ไม่พึงทำหรือไม่พึงมีให้เห็น(วิสูกะทัสสนา) เพราะมันพาเสื่อม ไม่พาเจริญ บาป

          ซึ่งผลงานใดที่คนประกอบขึ้น ทำขึ้นด้วยฝีมือ แล้วจะเรียกว่าเป็นศิลปะ ผู้สร้างก็ต้องมีเจตนาด้วยปัญญาในงานที่ตนสร้างขึ้นนั้น และต้องมีความรู้ด้วยว่ามงคลอันอุดมคืออะไร อย่างไร จึงทำด้วยพยายามเพื่อให้เป็นงานที่จะมีผลให้คนสัมผัสแล้วได้ผลตามจุดสำคัญที่มุ่งหมาย ว่าเมื่อมีคนมาสัมผัสแล้วจะก่อเกิดผลขึ้นในใจเป็นมงคลอันอุดม และเมื่องานนั้นของตนมีคนมาสัมผัสแล้วเกิดจิตเจริญ คืองานนี้ทำให้จิตผู้สัมผัส ละหน่ายคลายกิเลสได้ ฉะนี้ยิ่งชื่อว่าศิลปะแท้

          ศิลปินจึงทำงานอย่างมีเจตนาทำงานให้เป็นมงคล คือ พาให้จิตคนเกิดความเจริญ ถึงขั้นอุดมให้ได้โน่นแหละ เสมอ จึงจะชื่อว่าผู้สร้างงานศิลปะ

          แต่ถ้างานนั้นมีผู้สัมผัสแล้วเกิดผลแค่มงคล คือเป็นเหตุพาให้เจริญก็ยังไม่ได้ งานนั้นก็ไม่ใช่ศิลปะ

          ศิลปะจะไม่ใช่ทำงานบำบัดบำเรออารมณ์ตนเอง เท่านั้น หรือทำงานอย่างไม่มีความรู้ ไม่มีจุดสำคัญที่มุ่งหมาย หรือทำไปอย่างสะเปะสะปะ ตามอารมณ์

          งานของคนที่ทำขึ้นโดยไม่มีความรู้ดังว่านี้ ทำงานไม่มีเจตนาดังว่านี้ หรือทำงานบำบัดบำเรออารมณ์ตนเองเท่านั้น จึงไม่ใช่ศิลปะ เป็นเพียงงานฝีมือ งานช่าง เป็นเพียงงานสร้างกิเลสบำเรออารมณ์ตนเอง เป็นประโยชน์อาศัยใช้สอยได้ ไปตามธรรมดาโลก

          แต่ถ้างานนั้นถ้ามีคนมาสัมผัสแล้ว จะก่อเกิดผลขึ้นในใจเป็นข้าศึกแก่กุศลก็เป็นอนาจาร เช่น สัมผัสแล้วพาเสื่อมลง พาเกิดกิเลส นี่แหละคือข้าศึกแก่กุศล

          จุดสำคัญไม่เป็นเหตุพาให้เจริญก็ไม่ใช่ศิลปะ

          คำว่าศิลปะมีความหมายสำคัญยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นมงคลอันอุดม(มังคลมุตตัมมัง)ปานนั้นทีเดียว

          ส่วนงานใดที่คนประกอบขึ้น ทำด้วยฝีมือแล้ว จะเรียกว่าไม่เป็นศิลปะ ก็เพราะไม่มีความรู้ตามที่อธิบายไว้นั้น จึงไม่มีเจตนาในงานที่ตนสร้างขึ้น งานนั้นก็เป็นงานที่ไร้ความรับผิดชอบ เป็นงานสะเปะสะปะ แล้วแต่ว่ามันจะออกหัวออกก้อยก็ตามยถากรรมของมัน

          ส่วนมากนั้นผู้ทำงานจะทำเป็นการบำบัดบำเรออารมณ์ของตนเองซะส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ งานที่ยังทำแค่บำเรออารมณ์ของตนเท่านั้นจึงไม่ใช่งานศิลปะ

          เพราะไม่รู้ดี-ชั่วว่า งานที่เป็นสารประกอบนั้น ไม่รู้ควร-ไม่ควรในของที่รวมตัวกันนั้น ไม่รู้ว่าสิ่งประกอบขึ้นนั้น ที่เป็นวัตถุหรือเป็นกายกรรม-วจีกรรมของตนถ้าใครได้มาสัมผัสสิ่งประกอบขึ้น(composite)นี้จะเกิดผลเมื่อกระทบตา,หู,จมูก,ลิ้น,กายแล้วเกิดการบันดาลใจให้เป็นมงคลอันอุดม(มังคลมุตตมัง) หรือจะเกิดเป็นข้าศึกแก่กุศล,ข้าศึกของใจ,สิ่งที่เป็นข้าศึก(วิสูกะ) อย่างไร ผู้ประกอบงานนั้น ก็ไม่มีเจตนา

          เพราะผู้ทำก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้น เมื่อมีคนมาเสพแล้ว จะมีผลอะไร ดีหรือชั่ว เจริญหรือเสื่อม

          เฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถรู้โลกียะหรือโลกุตระ

          คำว่า ศิลปะในความหมายของพระพุทธเจ้าจึงเป็นมงคลอันอุดม ที่มีความหมายสูงส่งและสูงสุด

          ซึ่งต่างกันกับความหมายของสากลทั่วไปเขาหมายอย่างมีนัยสำคัญอยู่แน่นอน

          ดังนั้น ความหมายของคำว่าศิลปะในที่นี้จึงขอออกตัวก่อนนะว่า นัยสำคัญที่อาตมาอธิบายนี้เป็นความรู้และความเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธเจ้าเป็นหลักใหญ่ ที่อาตมามีความรู้นั้นๆตามภูมิ

          ซึ่งความรู้เรื่องศิลปะในความหมายของสากลคนทั่วไปเข้าใจกัน อาตมาก็ได้ศึกษาเรียนรู้มาตามหลักสูตรที่เขาเรียนกันด้วย แต่อาตมาจบแค่ขั้นปวส.จากโรงเรียนเพาะช่างเท่านั้น ไม่ได้จบสูงส่งอะไร ถ้าจะเทียบเกรดก็แค่อนุปริญญา ปริญญาตรีก็ไม่ถึง

          อาตมาก็ขออธิบายไปตามภูมิที่อาตมาเชื่อมั่นว่าศิลปะคืออะไร และลึกซึ้งแค่ไหน? อย่างไร? ตามภูมิรู้ที่จริงใจและมั่นใจว่าถูกต้องของอาตมาก็แล้วกัน

          ถ้าหากว่า การอธิบายนี้มันจะไปกระทบความยึด ถือหรือความรู้ความเชื่อมั่นของท่านผู้ใดที่ถูกอาตมาไปวิจัยวิจารณ์พาดพิงถึง ยิ่งเป็นเชิงลบหลู่ หรือในเชิงข่มหรือตำหนิตรงๆ ก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้ด้วย

          เพราะอาตมาเจตนาที่จะอธิบายแบบที่อาตมาถนัดนี้ด้วย อาตมาเชื่อมั่นว่า การอ้างถึงของที่มีจริง มันมีของจริง มีสิ่งนั้นในสังคมในโลกอยู่จริง ที่คนทั่วไปก็รู้จัก คนเขาก็เข้าใจอยู่บ้างแล้ว ถ้าอ้างถึงบางเรื่อง อ้างคนบางคนนั้นมันถึงขั้นคนส่วนใหญ่เขาเข้าใจดีด้วย เมื่อนำมาอ้างอิงใช้กับการอธิบาย เมื่อพาดพิงถึง มันก็ได้เปรียบเทียบกันทันที ก็สามารถเข้าใจได้ดียิ่ง ทั้งง่าย ทั้งชัดเจน อาตมามีควาเห็นอย่างนี้จริงๆ

        จึงต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งมากยิ่งต่องานหรือผู้ที่เป็นเจ้าของงานที่อาตมาพาดพิงบ้าง ยกอ้างบ้าง มาวิจัยวิจารณ์ถึงทั้งหลาย โดยเฉพาะที่ถูกอาตมาตำหนิ พาดพิงไปในเชิงลบหลู่ ข่ม ถึงขั้นดูถูกกันตรงๆ ก็ต้องขออภัยอย่างสูงยิ่งจริงๆ

          เรื่องศิลปะเป็นเรื่องลึกซึ้งจริงๆ ยากจะเข้าใจได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ จึงมีคนหลงผิดกันเยอะมาก และพากันทำอนาจารกันเต็มสังคม เพราะไม่เข้าใจความเป็นศิลปะอย่างสัมมาทิฏฐิจริง

          ติดตามฟังอาตมาสาธยายเรื่องศิลปะกันต่อไปเรื่อยๆแล้วจะเข้าใจว่า ศิลปะนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

          ขอยืนยันว่า ศิลปะเป็นเรื่องของพลังงานขั้นจิตนิยามโดยแท้ ไม่ใช่แค่เรื่องของอุตุนิยามโดดๆ

          แม้จะเป็นพีชนิยาม มันก็มีพลังงานในตัวมันเองทำตัวมันเองเท่านั้น มันก็ปรุงแต่งตัวเองให้อยู่ได้อยู่ไปตามความเป็นตัวเอง เท่าที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมาตามมีตามได้เท่าที่มันมีมันหามาทำตัวตนของมันเองได้ มันไม่รู้ตัวมันเองด้วยซ้ำ มันยึดตัวมันเอง ในความเป็น3 หน่วยหรือ3 เส้าในตัวมันเอง มันมีเหตุปัจจัยทางธาตุรู้แค่สัญญากับสังขาร

          นั่นก็คือ ISH ได้แก่ 1.แกนแท้ของตน เท่ากับตัวเอง(I=ไอ) 2.องค์ประกอบอีกส่วนมีภาวะเป็นตัวปฏิกิริยาที่เป็นตัวแปรอย่างสำคัญซึ่งเทียบเท่าเพศหญิง(S=she) 3.และองค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งมีภาวะแตกต่างไปแต่เป็นตัวปฏิกิริยาหลักและเป็นแก่นแกนกว่า แข็งแรงกว่า ซึ่งเทียบเท่าเพศชาย(H=he)

          แต่ตัวมันเองยังไม่สามารถมีภูมิรู้ดี-รู้ชั่ว มันไม่สามารถรู้ควรรู้-ไม่ควร แม้แค่รู้สวย-ไม่สวย รู้มีคุณค่า-ไม่มีคุณค่า โดยเฉพาะมันไม่สามารถรู้โลกียะหรือโลกุตระ แยกกาย-แยกจิต และแยกกาย-เวทนา-จิต-ธรรม ยังไม่เป็น เพราะพลังงานในตัวมันเอง ก็ยังไม่มีภาวะขั้นเวทนาหรือขั้นจิตวิญญาณในตัวเอง

          แม้แต่จิตนิยามจะเป็นคนแล้ว แต่ยังไม่สามารถรู้ในความเป็นมงคลดีพอ เพราะยังอวิชชาก็มีมากกว่ามาก ที่พากันประพฤติตนให้เป็นศิลปะไม่ได้ มิหนำซ้ำประพฤติอนาจารกันอยู่ไม่รู้ตัวหัวปักหัวปำ

          ร้ายกว่านั้นคนที่หลงตัวว่าตนเป็นศิลปิน แต่งานที่เขาทำ กรรมกิริยาที่เขาประพฤติหรือผลิตขึ้นมานั้นมันเป็นอนาจารอยู่แท้ๆแต่ไม่รู้ตัว ก็มากมายเต็มโลก

          ยิ่งเป็นวัตถุทั้งหลายหรือมหาภูต 4 มันไม่มีธาตุรู้ในตัวมัน มันจึงยิ่งไม่สามารถจะรู้ความเป็นมงคลได้ มันก็ไม่มีท่า หรือปิดประตูที่จะรู้ว่ามงคลคืออะไรต่อไปได้แน่นอนที่สุด

          แม้คนผู้นั้นที่มีประสิทธิภาพของภูมิรู้จบอยู่ที่เขตตนเองรู้ได้แค่ใด เกินนั้นตนรู้ไม่ได้แล้ว หรือธาตุรู้ของตนจบรู้แล้ว(คติ)แค่นั้น ไม่สามารถรู้ต่อไปกว่านั้นอีก ความรู้ของผู้นั้นจึงหมดสิ้นสมรรถนะอยู่ตรงนี้ ธาตุรู้ของตนก็จบแค่นี้ จึงรู้มงคลที่สูงกว่านี้ไม่ได้ ก็หมดสิทธิ์เด็ดขาดที่จะรู้มงคลสูงสุด(อุดม)ได้

          เห็นไหมว่า การจะรู้มงคลนั้นต้องมีจิตหรือมีธาตุรู้เข้ามาร่วมรู้อย่างละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน

          ความเป็นศิลปะจึงไม่ใช่ความรู้ตื้นๆง่ายๆปกติทั่วไปแบบสามัญเท่านั้น

          ผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความลึกซึ้งซับซ้อนหลายเชิงชั้นดังกล่าวนี้ได้ จึงจะชื่อว่าผู้มีศิลปะ

          คนหรือธาตุรู้ใดที่ไม่รู้ความลึกซึ้งซับซ้อนตามเชิงชั้นดังกล่าวนี้ได้ คนผู้นั้นหรือธาตุรู้นั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นศิลปะ หรือไม่ชื่อว่า เป็นผู้มีศิลป์

          ศิลปะเกิดจากสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณร่วมด้วยไม่ได้ ศิลปะ-ศิลป์ต้องมีจิตวิญญาณร่วมอยู่เสมอ

          ศิลปะต้องมีธาตุรู้ที่มีความรู้(ศาสตร์)ด้วย ศิลป์ต้องมีจิตวิญญาณหรือมีธาตุรู้ของคนร่วมด้วยเสมอ

          ส่วนคำว่า ศาสตร์นั้นมีแต่ความรู้ ไม่มีศิลปะ ก็เป็นศาสตร์ แต่ยังไม่ใช่ศิลป์ จึงชื่อว่าความรู้หรือศาสตร์เท่านั้น

          ศาสตร์อย่างเดียวยังไม่ใช่ศิลป์

          แต่ขึ้นชื่อว่าศิลป์ต้องมีศาสตร์หรือความรู้ด้วยเสมอ ไม่มีไม่ได้

          ศาสตร์อย่างเดียวเป็นได้แค่วิชาการหรือสารคดี มีแต่เรื่องของความรู้โดดๆ

          แต่ศิลป์ต้องมีทั้งความรู้(ศาสตร์)ด้วย ไม่มีไม่ได้ ศิลปะต้องมีทั้งความรู้ทั้งความฉลาดด้วย เป็นธรรมะ 2(เทฺว ธัมมา)ตลอดที่ชื่อว่าศิลปะโลกุตระ

          ซึ่งความฉลาดที่ว่านี้คือ ฉลาดเฉลียวในการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอายตนะ 6 และอ่านอายตนะ 6 แต่ละอายตนะในตนเองได้ กล่าวคือ วิเคราะห์วิจัย(analyse)อายตนะเป็น อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการที่เกิดจากรูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฐัพพะ-ธรรมผัสสะของตนว่า มีอารมณ์อย่างไร? เหลืออารามแค่ไหน?

          ที่สำคัญสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกิเลสที่มันปรุงแต่งร่วมอยู่ในอารมณ์ รู้ส่วนที่เป็นอารามได้

          แล้วผู้เป็นศิลปินจะสามารถอนุโลม(ยืดหยุ่นให้กับกิเลสเขาบ้างประมาณหนึ่ง)-ปฏิโลม(ขัดเกลากิเลสเขาบ้างระดับหนึ่ง)โดยประมาณสัดส่วนกำหนดให้เหมาะสมกับงานที่ตนทำนั้นตามภูมิรู้ จะปรุงแต่งด้วยปัญญาอันยิ่ง(อภิสังขาร)ให้เหมาะสมที่สุดอย่างไร? แค่ไหน? จะพอดีกับคนผู้นี้(ปุคลปโลปรัญญุตา) กับชนหมู่กลุ่มนี้(ปริสสัญญุตา) ในกาละโอกาสอย่างนี้(กาลัญญุตา) และแม้แต่ตัวเราก็เท่านี้(อัตตัญญุตา) เป็นต้น ซึ่งจะใช้สัปปุริสธรรม 7ในการประมาณ(มัตตญุตา) ตามความรู้-ความสามารถของศิลปินแต่ละคน กับงานแต่ละงาน

งานนั้นจึงเป็นงานที่ใช้ปัญญาอันชาญฉลาด(ฉลาดตัวนี้มาจากคำว่าฉฬายตนะ)ประกอบกับใช้ความรู้(ศาสตร์)ที่ตนมี สร้างงานออกมา เป็นงานขั้นโลกุตระ

          ฉะนี้เองชื่อว่า งานศิลปะและเป็นโลกุตระด้วย

          ศิลปะไม่มี-ไม่เกิดในโลก ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีธาตุรู้ ต้องมีความรู้-มีธาตุรู้้ด้วยเป็นหลัก

          หากมีความรู้สามัญโลกีย์ ก็มีความรู้ดี-รู้ชั่วรู้ควร-ไม่ควรตามภูมิโลกีย์ ไม่ใช่ความรู้ขั้นภูมิโลกุตระ

และถ้ามงคลอันอุดมต้องเป็นความฉลาดชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างซี่อสัตย์(ปัญญา)ในการปรุงแต่งให้แก่อายตนะ 6ตามความเหมาะสมดังสาธยายมานั้นด้วย

          จะไม่เป็นความฉลาดแกมโกงหรือไม่ซื่อสัตย์ที่บาลีว่า เฉกหรือเฉโกเด็ดขาด

          ต้องแยกความฉลาดที่เป็นโลกีย์ คือเฉกากับความฉลาดที่เป็นโลกุตระ ให้ชัดเจนนะ ความฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์-ไม่สุจริต ถึงจะฉลาดให้เก่งยอดอย่างไรก็ไม่เรียกศิลปะโลกุตระ

          เพราะความฉลาดนั้นทุจริต โกง หรือรู้ผิด เพราะมันจะประกอบไปด้วยกิเลสมาบงการอยู่แท้ๆ

          ยิ่งไม่เกี่ยวกับฉฬายตนะเลย ก็ไม่ได้ศึกษากิเลสเลย นั่นแหละคือเฉก-เฉโกหรือเฉกาชัดๆ

          เฉกาไม่เกี่ยวกับฉฬายตนะ แต่ก็หมายถึงความเฉลียวฉลาดในความหมายของภาษา ซึ่งเป็นภาษาบาลี ที่มีความหมายว่าความเฉลียวฉลาดโลกีย์

          ทว่าไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดที่กร่อนมาจากฉฬายตนะ จึงเป็นความเฉลียวฉลาดที่ประกอบด้วยกิเลส อย่างหนักหน้า นั่นคือ ยิ่งเฉลียวฉลาด ก็ยิ่งรู้ทันได้ยาก ยิ่งโกง ยิ่งทุจริตมาก เห็นได้ชัดเจน ใช่มั้ย

          บาลีนั้นแบ่งภาษาที่ใช้กับความเฉลียวฉลาดเป็น 2 คำไว้อย่างชัดเจน คือคำว่าเฉกา กับปัญญา

          เฉกานั้นเป็นความเฉลียวฉลาดแกมโกงเพราะมีกิเลสร่วมด้วยเสมอ จึงเป็นความฉลาดไม่สุจริต

ส่วนปัญญานั้นเกิดจากการปฏิบัติธรรมที่สัมมาทิฏฐิจึงจะเกิดปัญญา(เกิดความเฉลียวฉลาดโลกุตระ) ซึ่งปัญญาจะเกิดได้ ต้องเกิดจากการปฏิบัติพุทธธรรมตามองค์ 6 ได้แก่ ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาผล-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258)

          ความเฉลียวฉลาดโลกุตระจึงเป็นอื่นไปไม่ได้ต้องเกิดจากฉฬายตนะหรืออายตนะ 6 ต้องปฏิบัติตามหลักปฏิจจสมุปบาท ในวิภังคสูตร(พระไตรปิฎก

เล่ม 16 ข้อ 4-18 เฉพาะอายตนะ 6อยู่ที่ข้อ 13) และต้องสุจริต รู้ถูกแท้-ตรงแท้-ซื่อสัตย์แท้ ตามฐานานุฐานะแห่งความเป็นอาริยะนั้นๆ

          ปัญญาจึงหมายถึงความเฉลียวฉลาดที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้า ตั้งแต่เริ่มเฉลียวฉลาดโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิเป็นต้นไป แล้วสั่งสมขึ้นเป็นปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาผล เมื่อปฏิบัติมรรค 7 องค์และมีธัมมวิจัยโพชฌงค์กำจัดกิเลสได้ไปตามลำดับ ก็มีญาณทัสสนะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงไปตามตลอดสาย ที่สุดรู้แจ้งรู้จบเป็นวิมุติญาณทัสสนะ

          และขอย้ำอย่างสำคัญอีกคือ การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงนี้ต้องเป็นสภาวะที่มีอยู่-เป็นอยู่(วิหรติ)ในปัจจุบัน

          ฉฬายนตะ มาจากคำว่า ฉหรือฉฬ(ฉล)ที่แปลว่า 6

          กับคำว่า อายตนะ ที่แปลว่า ภาวะที่เกิดขึ้นมาทำงานเชื่อมให้แก่รูปกับนามเท่านั้น มันไม่เกิดกับอะไรอื่น และเมื่อเกิดขึ้นให้แก่รูปกับนามหรือให้แก่กาย เสร็จแล้ว-หมดหน้าที่ลง มันก็หายตัวไป

          อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน อายตนะไม่เหลืออยู่เป็นภาวะอีกเลยหลังจากหมดหน้าที่ทำงานเชื่อมให้แก่รูปกับนามเสร็จแล้ว(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 158)

          ผู้มีความรู้ที่ฉลาด(ฉฬายตนะ)ที่เป็นปัญญาจึงต้องมีธรรมะ 2เสมอ ธรรมะ 2นี้คือกาย คือองค์รวมที่มีรูป(สิ่งที่ถูกรู้=object)กับนาม(ธาตุรู้ของคน=subject) เป็นธรรมะตั้งแต่ 2ขึ้นไป ที่มีการกระทบกัน(สัมผัส)เข้า และต้องเป็นธาตุรู้ขั้นจิตนิยามด้วยจึงจะเรียนรู้ความรู้ที่เป็นขั้นศิลปะได้

          จึงจะเกิดการเปรียบเทียบกันขึ้น ด้วยการรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดีหรือชั่ว ลึกหรือตื้น สูงหรือต่ำ ดำหรือขาว สวยหรือขี้เหร่ มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า ปรุงแต่งกันหรือไม่ปรุงแต่งกัน ฯลฯ เป็นต้น

          ศิลปะขั้นโลกียะ สามารถกำหนดกันตามสมมุติว่า นี้สวย-นี้ขี้เหร่ นี้ดี-นี้ไม่ดี นี้ชั้นสูง-นั้นชั้นต่ำ เป็นต้น แล้วต่างคนต่างยึด โลกียะกำหนดกันอย่างนี้ แล้วยึด แล้วก็เบื่อ แล้วก็วาง หรือเปลี่ยนไปได้อยู่ ไม่จบสิ้นถาวรยั่งยืน จึงชื่อว่าอนิจจัง แม้จะเป็นขั้นสูงหรือขั้นรู้จักจิต-เจตสิก-รูปได้ก็ตามก็เป็นปรมัตถ์ที่ไม่จบสิ้นเด็ดขาด จะเวียนกลับขึ้นมาอีกจนได้ แม้จะนานแสนนานเท่าใดๆก็ไม่มีจบนิรันดร

          ส่วนปรมัตถ์ขั้นหลุดพ้นจากความเป็นโลก (ความหมุนวน)ที่เป็นโลกียะนั้น คือ ผู้เห็นความแตกต่างของโลกียะกับโลกุตระ และมีปัญญารู้ จบลงสนิทเด็ดขาดขั้นเที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดกาล(สัสสตะ) ไม่เปลี่ยนแปลงอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) เป็นการจบที่นิรันดรเด็ดขาด

          เป็นโลกใหม่ซึ่งเป็นโลกุตรภูมิ ที่หลุดพ้นไปจากสุข-ทุกข์ เลิกเกิด-ดับกันเด็ดขาด ได้ชนิดที่มีนิโรธอยู่อย่างเห็นๆรู้ๆแจ้งๆ หรือมีนิโรธที่ประกอบไปด้วยปัญญาขั้นญาณทัสสนะวิเศษขั้นอุภโตภาค หมายความว่า เห็นๆรู้ๆแจ้งๆ(สัจฉิ)ในความแตกต่างกันของนิโรธที่เป็นโลกียะ-นิโรธที่เป็นโลกุตระ เพราะผู้นี้บรรลุนิโรธที่เป็นนิโรธโลกุตระในตนได้จริง

          โลกียภูมิก็สามารถทำให้ไม่สุข-ไม่ทุกข์(อทุขมสุข) หรือไม่เกิด-ไม่ดับ(นิโรธ)ชั่วครั้งได้ ครั้งที่มีระยะยาวนาน จะยาวนานขนาดไหนก็ไม่ยาวนานนิรันดรจริง

          ศิลปะจะสามารถเห็นความแตกต่างกัน(ลิงคะหรือเพศ)ของสิ่งต่างๆ เช่น จึงจะชื่อว่าศิลปะ โดยเฉพาะเห็นความแตกต่างกันของศิลปะที่เป็นโลกียะกับโลกุตระ เช่น เห็นเวทนา..เคหสิตะ-เนกขัมมสิตะ

          การเห็นอาการในจิตที่เรียกว่า เคหสิตเวทนา กับอาการในจิตที่เรียกว่า เนกขัมมสิตสิตเวทนานี้แหละคือ หทัยรูป

          หทัยรูปคือ ที่สำหรับคิดหรือที่สำหรับรู้สึกในภาษาไทยเรียกว่าใจ ภาษาบาลีว่าจิต 89 หรือเจตสิก 52 เป็นต้น ซึ่งเป็น

          อาการคิดหรืออาการรู้สึกที่เราสามารถสัมผัสจับอาการนั้นได้ ด้วยปัญญาหรือด้วยญาณของเราในตัวเรา เห็น(ปัสสติ)อาการนั้นอยู่ตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละคือ หัวใจที่เรียกด้วยภาษาว่าหทัย

          หทัยรูปจึงสามารถรู้(ชานาติ)หรือเห็น(ปัสสติ)ด้วยญาณ-ด้วยปัญญา-ด้วยสัญญา-ด้วยวิชชา

          หทัยรูปจะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา(จักษุ)ภายนอกเด็ดขาด แม้จะเรียกว่าหทัยวัตถุ ก็จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา(จักษุ)ภายนอกเด็ดขาด

          ต้องเห็นด้วยญาณ-ด้วยปัญญา-ด้วยสัญญา หรือด้วยวิชชาเท่านั้น

          หรือแม้ภาษาว่าหทัยมังสะ ก็ไม่ได้หมายความว่า ใจหรือจิตนั้นจะเห็นร่างที่มีเนื้อหนังที่เป็นธาตุดิน,น้ำ,ไฟ,ลม หรือมีสรีระให้เราสัมผัสได้ มันมีแค่อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศเท่านั้นที่จะกำหนดรู้เอาเองตามอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ

          มันไม่มีรูปร่างหรือไม่มีเนื้อหนังที่ประกอบกันขึ้นจากธาตุดิน,น้ำ,ไฟ,ลมมีรูป มีร่าง มีเส้น มีสาย มีสี มีแสง ให้เห็นด้วยสภาพมีร่างหรือมีสรีระอะไรเลย

          แต่มังสะในที่นี้ มันหมายถึงเนื้อหา-เนื้อแก่น-เนื้อสาระของภาวะนั้นๆ อันเป็นนามธรรมเท่านั้น

          หทัยเป็นนามธรรม มันเป็นอรูปธรรม จริงๆ

          ดังนั้น ผู้จะรู้หรือจะใช้สำนวนว่าเห็น(ปัสสติ)ได้ จึงเห็นได้หรือรู้ได้ด้วยอาการ ไม่ใช่เห็นเส้นแสงสีสันรูปร่างใดๆ โดยการพยายามกำหนดหมาย เข้าไปที่สภาวะที่สัมผัสนั้นซึ่งเป็นนามธรรมให้รู้ชัดๆ(นิมิต)ด้วยประสิทธิภาพของนามธรรมของตนเองนั่นเองที่เรียกว่าสัญญาผู้ทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ได้ยิ่งขึ้นๆ

          ถ้าสัญญานี้สามารถมากขึ้นเจริญขึ้นๆก็เรียกตัวรู้ตัวนี้ว่าปัญญา ปัญญาที่เจริญขึ้นๆก็เป็นปัญญินทรีย์ แล้วปัญญินทรีย์ที่เจริญขึ้นๆๆๆๆๆจนถึงที่สุดก็เป็นปัญญาพละ ก็เป็นผลสูงสุด

          หทัยมังสะจึงไม่ใช่จะพาซื่อว่า หมายถึงเนื้อที่เป็นชิ้นเป็นส่วนของธาตุดินน้ำไฟลมที่รวมตัวกันเป็นก้อนเนื้อ-แท่งเนื้อแล้วเข้าใจผิดว่า หทัยมังสะคือก้อนเนื้อที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะหทัยมังสะคือนามธรรม

          หทัยมังสะนี้เป็นนามธรรม ก็ต้องหมายถึงธาตุรู้ แล้วมันจะไปเป็นก้อนเนื้อที่ทำหนัาที่สูบฉีดเลือดเลี้ยงร่างกายยังไงกัน?

          หทัยรูปนั้น คือ ภาวรูปที่ปรากฏขึ้นเมื่อปสาทรูปกับโคจรรูปทำงานปฏิฆสัมสัมผัสกันเข้าเป็นผัสสะ 3เกิดวิญญาณ(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 161-167) และข้อ 230 วิญญาณจึงเรียกว่ากาย ซึ่งเป็นนามกายบ้าง รูปกายบ้าง(หรือเล่ม 10 ข้อ 60)

          ถ้าบอกว่าหทัยมังสะคือ สมองก็ยังพอจะฟังได้บ้าง เพราะสมองเป็นวัตถุุปกรณ์ให้นามธรรมคือจิตวิญญาณนี้แหละอาศัยทำงาน ไม่ใช่ก้อนเนื้อหัวใจ

          เพราะก้อนเนื้อสูบฉีดโลหิตนั้นเป็นวัตถุุปกรณ์ ที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย มันเป็นส่วนของรูปธรรมต่างหาก โลหิตเป็นงานหน้าที่ของหัวใจ

          จับสภาวะของปรมัตถสัจจะให้ถูกต้อง ให้แม่นๆคมๆ ชัดๆเถิด อย่าสับสนเป็นอันขาด

          หรือคำว่า “วิมังสา”ก็เป็นเรื่องของ “ธาตุรู้”เป็นเรื่องของ “นามธรรม” “วิมังสา”ไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือไม่ใช่ “รูปธรรม” วิมังสาก็ไม่ได้หมายถึง “ก้อนเนื้อ” แต่เป็น “ธาตุรู้”ที่ทำหน้าที่คั้นเอา “เนื้อๆ”ของสาระนั้นๆที่แปลกันว่า การไตร่ตรอง,การตรวจสอบ,การพิจารณานั้นแหละ คือ งานที่ไตร่ตรองตรวจสอบเอาแก่นเนื้อแท้

          อธิบายคำว่า “วิมังสา”มาแล้ว ขออธิบายคำว่า “วิมาน” กับคำว่า “อัตตวาทุกปาทาน” เติมอีกหน่อยเพื่อจะได้เสริมมุมแง่ของสภาวธรรม ของบัญญัติภาษาที่แพร่หลายรู้ๆกันอยู่ทั่วไปนี้ให้แม่นๆ ตรงๆ ชัดๆ

           “วิมังสา”หมายถึง เนื้อหาสาระอย่างยิ่ง ส่วน “วิมาน”นั้นหมายถึง ชาติหรือภพที่จะสร้างลมๆแล้งๆขึ้นมา จินตนาการที่ปั้นขึ้นมาอยู่ในอนาคตเพ้อๆฝันๆ

          นักค้า “บุญ”ขาย “บุญ”ทั้งหลาย สร้าง “วิมาน”นี้

เอง หลอกล่อคนทั้งหลายกันอยู่เต็มสังคม โดยพูดกันจริงโม้กันจังว่า “บุญ”คือ “วิมาน”หวานๆที่คน “อยากได้” ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญโลกียสุข(สุขเท็จ) หรือเป็นตัวตน”(อัตตา)ที่เป็นภพเป็นชาติอยู่ในอนาคต

          ส่วนคำว่า “อัตตวาทุปปาทาน”นั้น หมายถึงอัตตา”(ตัวตน)ของคนผู้ยึดถือนั้น มีแค่เพียง “คำพูด” เท่านั้น มีแค่ “อัตตา”(อาตมัน)กันอยู่แต่ใน”วิมาน”ในฝันเท่านั้น เจ้าตัว “ไม่ได้สัมผัสสภาวธรรมที่จริง”เลย

          ผู้ที่ไม่เรียนรู้ความเป็น “อัตตา” ไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็น “รูปกับนาม”หรือความเป็น “กาย” ก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือจะไม่สามารถได้ “สัมผัส”สภาวะจริงของ “นามธรรม”ต่างๆที่อธิบายมาต่างๆนี้กันได้แน่แท้เลย

          เพราะไม่ “ฉลาด”ที่เป็น “ปัญญา” “ฉลาด”แต่ที่เป็น “เฉกา”หรือ “เฉโก”

          ขอกลับไปชี้ชัดคำว่า “ฉลาด”กันอีกที

          คำว่า “ฉลาด”ที่เป็นคำไทยนั้น เป็นสำเนียงของภาษาที่กร่อนเพี้ยนมาจากคำว่า “ฉลายตนะ”(อายตนะ 6)

          กล่าวคือ “อายตนะ 6” ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น, กาย,ใจ กับรูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ,ธรรมารมณ์ เมื่อกระทบกัน หรือสัมผัสกัน ก็เกิด “สภาพที่ 3”ขึ้นมาเป็น “ธาตุรู้” พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “ธาตุรู้”นี้แหละว่าวิญญาณ”(หรือจิตหรือมโน)

          จากออกเสียงว่า “ฉลายะตะนะ” จาก “ธาตุรู้”ที่เกิดจากทวาร 6 นั้นก็กร่อนเพี้ยนไปจาก “ฉลายะตะนะ เป็นฉลัต-เยอ-เตอ-เนอะ แล้วสุดท้ายก็กร่อนเป็น..

ฉลาต หางที่ว่า “เยอ-เตอ-เนอะ”กร่อนหายไป เหลือแต่คำว่า “ฉลาด”เท่านั้น เป็นภาษาไทยบริบูรณ์

          คำว่า “ฉลายตนะ”จากบาลี กลายตัวมาเป็นฉลาด”ภาษาไทย ด้วยประการฉะนี้

           “ศิลปะ”ต้องมีการเปรียบเทียบกันขึ้น ของ “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ” ดังนั้น “ศิลปะ”จึงรู้จักค่าของความดี-ชั่ว, ผิด-ถูก, สูง-ต่ำ, มาก-น้อย, ลึก-ตื้น, ดำ-ขาว, มืด-สว่าง, ทึบ-ใส, สวย-ไม่สวย, ควร-ไม่ควร, เสื่อม-เจริญ, ประเสริฐ-ไม่ประเสริฐ, สมมุติสัจจะ-ปรมัตถสัจจะ, โลกียะ-โลกุตระ, มี-ไม่มี, มิจฉา-สัมมา, ปุถุชน-

กัลยาณชน, กัลยาณชน-อาริยชน, ปุถุชน-อาริยชน, เกิด-ดับ, เที่ยง-ไม่เที่ยง, ทุกข์-ไม่ทุกข์, สุขโลกีย์-สุขโลกุตระ,เท่ากัน-ไม่เท่ากัน, นิโรธ-วิมุติ, อัตตา-อนัตตา ฯลฯ

          คุณเพชรดินฟ้า กล่าวถึง สุริยุปราคา ที่จันทราดวงเล็กๆ บังอาจบดบังแสงของสุริยาดวงใหญ่ แล้วถามว่า พอจะเรียกว่า “ศิลปะบนท้องฟ้า”ได้ไหม?

          ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์หรือดวงดาว แม้แต่อุกกาบาต มันไม่มีธาตุรู้ โดยตัวมันเอง มันไม่มีสิทธิ์เป็นศิลปะหรอก มันเป็นธรรมชาติเท่านั้น มันก็โคจรไปตามธรรมชาติ แม้ธาตุรู้ระดับสัตว์มันก็ไม่มีศิลปะ ต่อให้เป็นคนแล้วก็ใช่ว่าจะทำศิลปะเป็นทุกคน เพราะคนที่ไม่มีความรู้ว่าศิลปะคืออะไร อย่างถูกต้อง ทำได้แต่แค่อนาจาร หรืองานช่างแค่นั้น

          แต่ปฏิภาณของคนที่เห็น “สุริยุปราคา” แล้วเกิดไหวพริบเข้าใจในความไม่เที่ยง ความไม่ใหญ่-ไม่เล็ก ก็นับว่าเป็น “ศิลปะ”ได้ เมื่อผู้นั้นเข้าใจแล้วเกิดความละหน่ายคลายขึ้นได้จริง อันเป็น “นามธรรม”ในผู้สัมผัส

          ความเป็น “ศิลปะ”ก็ชื่อว่า “เกิดขึ้น”ที่ “ใจ”ของผู้สัมผัส “วัตถุรูป”นั้น

          ความหมายของคำว่า “ศิลป์หรือศิลปะ”ตรงๆไม่ใช่ “รูปวัตถุ” แต่เป็น “นามธรรม” “ศิลปะ”จึงได้แก่ “ความรู้สึก”เมื่อได้สัมผัส “ศิลปวัตถุ”หรือ “รูปวัตถุ”นั้น

          ถ้า “รูปวัตถุ”ใดเป็น “เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด”(มงคลอันอุดม) “รูปวัตถุ”นั้นก็นับว่า เป็น “องค์ประกอบของศิลป์”ได้ คนที่สัมผัส “รูปวัตถุ”นั้นก็ได้

เกิด “ผล”ที่ชื่อว่า “ศิลปะ” แต่ “รูปวัตถุ”นั้นไม่ใช่ “ตัวศิลปะ”นะ เป็นได้แค่ “สิ่งที่ประกอบกันขึ้น”(composite)และมีประสิทธิภาพถึงขั้นทำให้คนมาสัมผัสแล้ว เกิด “ความรู้สึก”(นามธรม)ที่เป็น “ความเจริญอันสูงอันสุด”ได้

          แต่ถ้า “รูปวัตถุ”ใดเป็น “เหตุที่นำมาซึ่งความเสื่อม” “รูปวัตถุ”นั้นก็นับว่า เป็น “องค์ประกอบของอนาจาร”รูปวัตถุ”นั้นก็นับว่า เป็น “องค์ประกอบของวิสูกะ”ไป ใครที่ได้สัมผัส “รูปวัตถุ”นั้นก็ได้เกิด “ผล”ที่ชื่อว่า “ข้าศึกแก่กุศล” ก็เป็น “เหตุนำพาสู่ความเสื่อม” ซึ่งไม่เป็นมงคล”แค่ขั้นสามัญ ไม่ต้องพูดไปถึง “มงคลอันอุดม” ที่เป็น “ความเจริญ”ขั้นสูงระดับโลกุตระเลย

          เพราะแค่ “มงคล”คือ “เหตุนำไปสู่ความเจริญ”ขั้นที่ยังไม่ถึงขั้นธรรมดาอะไรเลย ก็ยังไม่ได้ “รูปวัตถุ”นั้นจึงไม่ใช่ “งานศิลปะ”แน่ เป็น “สิ่งที่ประกอบกันขึ้น” (composite) ที่มีประสิทธิภาพถึงขั้นทำให้คนมาสัมผัสแล้ว เกิด “ความรู้สึก”(นามธรรม)ที่เป็น “ความเสื่อมอันต่ำลงๆ”ได้

          คนที่มีความรู้ใน “องค์ประกอบศิลป์”และสร้าง “งาน”ขึ้นตาม “ความรู้-ความฉลาด” “งาน”ที่ทำขึ้นมานั้นก็เป็น “วัตถุ”หรือ “รูปวัตถุ” ถ้ามันมี “ผลผลิต”ที่นำพาให้คนผู้ได้สัมผัสด้วย “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย”แล้วเกิด “มงคลอันอุดม”(เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด,อันยิ่ง,อันเลิศ,อันมากมาย,อันบริบูรณ์) ก็ชื่อว่า “ศิลปะ”

           “ศิลปะ”จึงคือ เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด” เพื่อให้คนละหน่ายคลายกิเลส แล้วคนผู้มาสัมผัส “งาน”นี้เข้า ก็เกิดผลทำให้เขาละหน่ายคลายกิเลสได้จริง “งาน”นี้ก็เป็นงาน “ศิลป์”

           “ศิลปะ”เป็น “เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญขั้น “อุดม”(สูงสุด,ยิ่ง,เลิศ,มากมาย,บริบูรณ์)

           “ศิลปะ”ชิ้นนี้จึงเป็นโลกุตระ หรือเป็น “มงคลอันอุดม” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

           “งาน”ที่ศิลปินสร้างขึ้น อย่างมีจุดมุ่งหมายชัดเจน ให้คนสัมผัสแล้วละหน่ายคลายกิเลส “งาน”นั้นก็เป็นศิลปะ “ศิลปะ”นั้นจะต้องสร้างอย่างมีเจตนา จึงจะชื่อว่า “งาน”ที่เกิดจาก “ความรู้ของศิลปิน”แท้ๆ

          แต่ถ้ามันบังเอิญ “งาน”นั้น ผู้สร้างไม่มี “ความรู้” ไม่มี “เจตนา” ไม่ได้สร้างเพื่อให้คนมาเสพผลงานแล้วกิเลสลดละหน่ายคลายได้ มันก็เป็น “ไหวพริบ”ของผู้มาสัมผัสเองที่เห็น “องค์ประกอบ”ของสังขารนั้นแล้ว เกิดละหน่ายคลายกิเลสได้ มันก็ไม่ใช่ “ความรู้ความสามารถ”ของผู้สร้างงาน แล้วจะเรียกผู้สร้างานนั้นว่า “ศิลปิน”(สิปปี) ก็คงไม่ได้เต็มสภาพ

          แต่ยังไงก็ยังเป็นผู้มีฝีมือทำ “งาน”ชิ้นนั้นขึ้นมา ก็เรียกว่า เป็นช่าง “ผู้มีฝีมือ”ได้

          ถ้าจะให้เรียกถึงขั้นว่า เป็น “ศิลปิน”ผู้สร้าง “งาน”ที่เข้าขั้น “ศิลปะ”อันเป็น “มงคลอันอุดม”นั้น มันไม่ใช่แน่ๆ

          ใช่มั้ย?

          แม้จะนับผลงานชิ้นนั้นว่า เป็น “ศิลปะ”ขั้นแค่เป็น “มงคล”คือ เป็นเหตุที่นำไปสู่ความเจริญขั้นโลกีย์ธรรมดา ผุ้นั้นก็ไม่ได้มี “เจตนา” หรือมี “ความรู้ที่ตั้ง “ความมุ่งหมาย”จะให้เป็นเช่นว่านั้นทีเดียว

          ก็คงจะมีแค่ “อยากให้คนสัมผัสงานนี้ของเรา”แล้วเกิด “ความชื่นชอบงานของเรา” จะชื่นชอบแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ดีไม่ดี “ชื่นชอบแบบบำเรอกาม-บำเรอ

อัตตา”อย่างแรงอย่างมากด้วย ผู้สร้างงานนี้ ก็ไม่มี “ความรู้” ไม่มีความ

          เหมือนเราจะนับเอาว่า “สริยุปราคา”นี้ ที่คุณเพชรดินฟ้าไปสัมผัสเข้า แล้วเกิดไหวพริบทำให้เกิดเห็นความเป็น “อนิจจัง” แล้วกิเลสใน “อัตตา”ของตนก็ลดลง ก็เป็นได้ ดังที่พระอาริยะมากมายหลายองค์ท่านเป็นท่านเกิด ก็เกิดจากการพิจารณาอะไรต่างๆ แล้วเกิดเห็นสิ่งนั้นเป็นอสุภะ ผู้นั้นย่อมเกิดนิพพิทา-วิราคะได้

          แต่ “รูปธรรม”นั้น หรือธรรมชาติใดที่คนไปสัมผัสเข้าเกิดทำให้คนผู้สัมผัสลดละหน่ายคลายกิเลสได้ขึ้นมา จะนับเป็นงาน “ศิลปะ”มันก็ไม่ใช่ “ความรู้”ของธรรมชาติเลย มันเป็นแค่ “สิ่งที่ประกอบกันขึ้น”(composite)ของธรรมชาติ ตามแต่มันจะเกิดจะเป็นจะมีขึ้นของเหตุ

ปัจจัยที่มันประกอบกันขึ้นเท่านั้น โดย “ไม่มีความรู้”ร่วมด้วยเลย โดยเฉพาะ “ไม่มีเจตนาหรือจุดมุ่งหมาย”จะให้เกิด “ผล”อย่างมีทิศทางขั้น “โลกุตระ”หรือขั้น “มงคลอันอุดม” ก็เหมือนกับ “คนที่สร้างงาน”นั้นๆตามแต่

          เพราะมันไม่มี “ธาตุรู้”ในตัวมันเอง เป็น “เจตนา” สร้างขึ้นด้วย “ความรู้”ของภาวะที่ผู้สร้างรู้ แล้วเอามาเป็น “องค์ประกอบศิลป์”(composition)ต่างๆนั้นสร้างขึ้นด้วยฝีมือ โดยมีเจตนาและมีความรู้ในการสร้าง “องค์ประกอบศิลป์”(composition)นั้นขึ้นมาจริง “งาน”นั้นจึงไม่ใช่งานศิลปะแท้ ไม่ใช่ “คนผู้ใช้ปัญญา”สร้างงาน “ศิลปะ”นั้นขึ้น แต่ “งาน”นั้นมันมีภาวะที่ทำให้คนเกิดจิตเจริญได้ เพราะคนผู้ที่มาได้สัมผัสเข้ามี “ปัญญาไหวพริบ”ต่างหาก ที่เป็น “เหตุ”นำไปสู่ความ้จริญ

          ดังนั้น งาน “ศิลปะ”จึงต้องเกิดจาก “ความรู้”ของคนผู้สร้างมี “ความรู้”จริงๆ จึงจะเป็น “ศิลปิน”ที่ถูกต้องแท้

          ผู้สร้างงานนั้นจะต้องมีธาตุรู้โดยเฉพาะ “ความรู้” ของดินน้ำไฟลมของอากาศธาตุและวิญญาณธาตุที่ใช้เป็น “องค์ประกอบศิลป์”(composition)

เพราะฉะนั้นเวลาจะประกอบธาตุก็เอาดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณต่างๆมาประกอบเป็นองค์รวมเป็นภาพสีสันเส้นแสงแบนแบนราบราบหรือจะประกอบด้วยมีมิติมีความนูนมีความเบามีมิติขึ้นตั้งแต่ภาพนูนต่ำจนถึงลอยตัวออกมาก็แล้วแต่ เป็นแท่งเป็นก้อนเป็นปฏิมากรรม จนกระทั่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ขึ้นแต่คนสร้างทุกวันนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือศิลปะ

          มีแต่ไปเน้นแต่กับเทคนิคที่สร้างเป็นจิตรกรรม เป็นประติมากรรม เป็นสถาปัตยกรรม แม้แต่จะเป็นวรรณกรรม-คีตกรรม-นาฏกรรม จะประกอบเป็นองค์ประกอบศิลปะขึ้นมาจะต้องรู้ว่าจะประกอบอย่างไรต้องมีความรู้จะทำภาพนูนสูงต่ำอย่างไรสีสันอย่างไรก็ต้องมีความรู้ทำแล้วจะทำให้คุณสัมผัสแล้วเขาจะเกิดความรู้สึกอย่างไรเช่นออกเสียงพูดออกไปอย่างนี้เขาได้ฟังแล้วภาษาพูดสำเนียงเสียงประกอบเขาฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไรมันจะไปกระตุกความรู้สึกคนที่ได้รับสัมผัสอย่างไรก็ต้องมีความรู้ไม่มีความรู้เราก็ประมาณไม่ถูกจัดองค์ประกอบให้เบาให้แรงให้ส่งให้ต่ำให้แดงให้ขาวให้หวานหรือให้ดุเดือดอย่างไรก็ทำไม่ถูกคุณจะทำถูกก็ต้องรู้ต้องมีศาสตร์

แต่ถ้ามีแต่ความรู้ไม่มีศิลปะก็คือศาสตร์ธรรมดาสารคดีธรรมดาให้เขารู้เกิดความเข้าใจอย่างไรเท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างเช่นแม่อยากให้ลูกไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็ดูเอาเฉยๆแต่ถ้าคนมีศิลปะรู้ว่าถ้าออกเสียงอย่างนี้น้ำหนักอย่างนี้คำพูดอย่างนี้เป็นคำที่แรงเหมือนด่าแต่ถ้าผสมสำเนียงภาษาตรงแต่งอะไรนิดหน่อยให้เกิดศิลปะแต่เป็นคำพูดที่ว่ากล่าวตักเตือนตำหนิติเตียนๆให้หยุดทำอันนี้ได้มีแรงกว่ามีศิลปะเพราะฉะนั้นศิลปะนี้จึงจะไปด้วยความรู้และมีการจัดประมาณสัดส่วนเป็นสัปปุริสธรรม 7 มีประมาณอย่างถูกสัดส่วนและเอาสิ่งที่จะเจือจางความแรงหรือให้เพิ่มความเบาเกินไปขาวเกินไปแรงเกินไปเล็กเกินไปใหญ่เกินไปให้เกิดความพอเหมาะพอดีที่ทำให้ผู้ได้รับสัมผัสเสพสัมผัสอันนี้แล้วเกิดผลดีลดกิเลสประมาณกับคนกลุ่มนี้ก็จะประมาณกลับอย่างนี้ถ้าเป็นกลุ่มอื่นก็จะประมาณอย่างอื่นด้วยความมีสัปปุริสธรรม 7 พูดจะมีศิลปะอย่างนี้คือศิลปะโลกุตระของพระพุทธเจ้าผู้ที่มีความรู้ในสัปปุริสธรรม 7 พร้อมทั้งมหาประเทศ 4 นี่คือยอดศิลปินของโลกพระพุทธเจ้าจึงเป็นยอดอภิมหาบรมศิลปิน

รู้อัตถัญญุตา รู้เป้าหมายในงานที่ประกอบขึ้นมาเป็นงานศิลปะ ประมาณได้ว่าอันนี้จะให้ผลอย่างนี้ เป็นสาระของมันเป็นจุดสำคัญของมัน เสร็จแล้วก็ต้องรู้ตนเอง สำคัญที่ตัวเราต้องรู้ตัวเอง ตัวเราก็เท่านี้ สมควรแสดงอย่างนี้ได้ไหมกับคนนี้กับคนกลุ่มนี้กับกาละนี้กาลัญญุตา ต้องเข้าใจองค์ประกอบ

การจัดสัดส่วนมัตตัญญุตา จึงจัดสัดส่วนอย่างมีปัญญามีความรู้มีศิลปะ

ขออภัยต้องยกตัวอย่างตัวเอง อาตมามั่นใจว่าตนเป็นศิลปินเป็นลูกพระพุทธเจ้า

อาตมาทำงานศิลปะ ยืนยันเพราะทำโดยประมาณ มัตตัญญุตา ใช้ดินน้ำไฟลมอากาศ ตัวตนบุคคลเราเขา แผ่นดิน ต้นไม้ แม้แต่สัตว์ อาตมาใช้สัตว์โดยอย่าเอาสัตว์มายุ่ง มันเป็นตัวกวน คนเราก็เกินลิงหมาแล้วที่เอามาประกอบงานศิลป์ คนทำได้มากกว่าลิงหมาแน่ แต่คนพูดรู้เรื่อง

งานของอาตมาเกิดการได้ผลปฏิบัติได้ในแต่ละคนคือพวกคุณผลเอง เป็นตัวงานเอง ในงานศิลปะของอาตมา ก็เลยเกิดผลของแผ่นภาพสังคมมนุษย์ เฟรมงานศิลปะจิตรกรรมของอาตมาคือมวลมนุษย์ ถ้าฉายเป็นภาพเคลื่อนไหวก็คือภาพยนต์แต่แท้จริงคือตัวจริงฉายภาพออกมาอยู่ในโลก อาตมาสร้างเป็นโรงงานผลิตหนัง พยายามฉายไปทั่วโลกแต่ไม่มีคนรับเท่าไหร่ ฉายฟรีด้วย มีดูบ้าง ที่พูดไม่ได้น้อยใจเสียใจ ก็รู้ว่ามันยาก ฝืน ไม่เข้ากับกิเลส แต่ขัดเกลากิเลส เป็นสัลเลขธรรม ปฏิโสตังทวนกระแสใจ ไม่เอร็ดอร่อย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าศิลปะคือสิปปัญญจะ เอตัมมังคลมุตตมัง เป็นมงคลอันอุดม   มงคลแปลว่าเหตุหรือสิ่งอันพาเจริญ หรือธรรมะอันพาเจริญ อาตมาก็ทำทั้งสิ่งเหตุธรรมะพาเจริญ

ถ้าพาเจริญแค่โลกีย์ก็ไม่เป็นอุตตมัง แต่มันเจริญนะไม่ใช่เสื่อมเป็นกัลญาณธรรม จะเรียกว่าศิลปะก็ได้แต่ไม่ใช่ระดับของพระพุทธเจ้า พาเจริญได้แบบโลกๆสุจริต แต่ถ้าทุจริตนั้นเสื่อม ในโลกก็มีปราชญ์มีศาสดาสอนคนให้มีศิลปะในระดับมงคล อันยังไม่ถึงอุตตมะหรืออุดรหรืออุตตระ ก็สอนได้ เกิดคุณงามความดีคือสุจริตธรรม ก็ได้ ทีนี้ประเด็นชัดเจนที่อาตมาเน้นว่างานไหนจะเป็นโลกุตระเป็นการเลยความเป็นโลกียมันต้องมีเกณฑ์ตัดสินชี้บ่ง

เขตของโลกุตระมันอยู่ที่จิตถ้าคนไม่รู้จักจิตจิตของตนเองไม่ใช่ไปอ่านรู้จิตคนอื่นมันไม่ชัดเจนไม่จริงเท่ากับรู้จักตนเองรู้อาการลิงค นิมิต อุเทส ตามผู้ที่สัตบุรุษมาบรรยายให้ฟังแล้วตนเองเอาไปฝึกฝนอบรมทำให้ตนเองเกิดจิตก็รู้จิตตนเองว่าจิตนี้เป็นอกุศลเป็นสิ่งที่ทุจริต ไม่ดีไม่งามประเด็นที่ตัดสินว่าเป็นโลกุตระคือการทำจิตของตนเองให้ลด แม้ไม่ถึงกับดับก็ตาม ให้เริ่มจางคลายลดดีกรีของอกุศลจิตจิตที่เป็นทุจริตจิตเสื่อมทราม ให้ลดแรงได้จริง

คุณสามารถทำได้ด้วยความสามารถของคนเรารู้ได้ว่าคุณทำได้ก็คือโลกุตระงานที่เราทำขึ้นมาจะเป็นงานที่ประกอบด้วยศาสตราและองค์ประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลศิลปะนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ศิลปะนี้ไม่ใช่ประโยชน์ต้นเมื่อทำแล้วผู้อื่นจะได้ประโยชน์ผู้นั้นคือผู้สร้างประโยชน์และประโยชน์ที่เป็นโลกุตระนี้จึงเป็นศิลปะระดับโลกอุตรดิตถ์ทำให้จิตลดกิเลสดับกิเลสได้หมดเลยไม่ทำกรรมกิริยาที่เป็นทุจริตอกุศลอีกเลยในเรื่องใดๆก็ตามก็แล้วแต่คนก็จบดับอกุศลจิตตัวนั้นไปเรื่อยๆจนนิโรธวิมุติ นี่คือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า แล้วจะมีศิลปะในตนเอง คือจะมีสัปปุริสธรรม และมหาปเทส

จะไม่ทำกรรมคือยาที่ตนเองได้ดับกิเลสหมดเหตุที่เป็นอกุศลนั้นตลอดไปแม้บางคำกิริยาจะดูน่าตำหนิในสายตาคนอื่นๆทั่วไปแต่ท่านผู้นี้ได้ประมาณแล้วว่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นท่านก็จะทำเพราะยุคกาลนี้ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าการพูดจาท่าทีลีลาทุกวันนี้ออกไปทางทิศทางเครื่องมือเทคโนโลยีไปใหญ่เลยเราจะไปบอกว่าการนั่งดูคนนี้สอนอย่างนี้มันสูงไปหรือต่ำไปเราไม่รู้ว่าคนไหนเขานั่งดูอยู่เพราะฉะนั้นการประมาณอย่างนี้คนที่ไม่เข้าใจอาตมามีมวลที่ฟังอยู่ตรงนี้เป็นบริษัทโมกลุ่มก็ประมาณขนาดนี้ก็พูดระดับนี้กับพวกคุณแรงบ้างบางทีถ้าเป็นเด็กก็ไม่ควรพูดอย่างนี้แต่อาตมาว่าพวก คุณโตแล้วพูดได้แต่คนข้างนอกบอกว่าอย่างนี้ไม่ควรพูดก็ไม่รู้จะทำอย่างไรบางที แต่ก็จะไม่คิดมากเพราะคิดมากจะทำงานไม่ได้คนจะดูรายการของอาตมาต้องเป็นคนระดับปัญญาพวกเด็กไม่ดีคนโง่เกินไม่ดีรับทำนายว่าอาตมาแสดงออกไปนี่คนที่ดูก็คือคนที่ต้องมีฐานะภูมิปัญญาเป็นสิทธิของเขา คนเขาเห็นว่าไม่ชอบก็ไม่ดูแต่คนที่เห็นคุณค่าประโยชน์ก็ดูก็เลือกคัดสรรในตัวของมันเอง บางคนจะไปดูหนังโป๊ดีกว่าก็ไม่ดูอาตมาจะไปดูละครไปดูร้องเพลงสนุกสนานดีกว่าจะมาดูอาตมามาพูดอะไรก็ไม่รู้ดีไม่ดีถูกด่าด้วยเขาจะไปดูทำไม คนที่บอกว่าที่พูดออกไปนี้เด็กก็ดูผู้ใหญ่ก็ดูคนอื่นก็ดูคนนี้ไม่รู้เรื่องเพราะคนที่จะโดนั้นจะมีเฉพาะกลุ่ม

ใครคือลูกศิลปิน?

สรุปว่าศิลปะนั้นเป็นของมนุษย์เป็นผู้ทำไม่ใช่เกิดโดยบังเอิญต้องเกิดด้วยเจตนาและศิลปะต้องเป็นของผู้มีความรู้ที่จัดสัดส่วนได้อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 และมหาประเทศ 4 นี่คือของพระพุทธเจ้าเป็นศิลปะในระดับโลกุตระ อาตมาได้ทำศิลปะอันนี้ตามที่ได้อธิบายไปส่วนคนที่ฟังแล้วหาว่าอาตมาพูดเอาเองก็ใช่เพราะอาตมาไม่เชื่อว่าใครจะมาเข้าใจยังอาตมาและมาพูดอย่างอาตมาทำอย่างอัสมาด้วยไม่ใช่ดูถูกนะอยากจะให้คนมาทำอย่างอาตมาเข้าใจ อย่างอาตมามาประกอบงานอย่างนี้เป็นศิลปิน อย่างอาตมาอยากให้ทำยิ่งทำเก่งกว่าก็ยังดี เป็นภันเต อาตมาพ้นภาวะจะริสยาคนที่ดีกว่าอาตมา เขาพูดดีกว่าเราเราก็รับอย่างเดียว แต่ผู้ไม่ดีกว่าเราเราก็เข่นเท่านั้นเอง อาตมาให้เขาเจริญขึ้นนะ

ศิลปะต้องมีความรู้และมีความรู้เกินกว่าศาสตราต้องมีสาระและมีองค์ประกอบที่เป็นสุนทรีย์สิ่งที่เป็นเครื่องชวนใจจะชวนด้วยความสวยด้วยความเพราะหรือความแปลกเนื้อเรื่องรสชาติก็แล้วแต่ด้วยองค์ประกอบอื่นใดก็เป็นสิ่งที่สวนกิเลสเขาได้อนุโลมไม่แข็งเสียทีเดียวแต่เอากิเลสมาประสมส่วนนิดหน่อยนิดหน่อยไม่ใช้เอาแต่สาระอย่างเดียวไม่มีน้ำตาลไม่มีมะนาวไม่มีกลิ่นอะไรเลยอย่างนั้นไม่ไหวคนกินไม่ลง แต่อย่าให้ไปติดหลงประกอบให้เขาได้เนื้อ อย่างน้อยเป็นกระสัยที่นำพา ตามแต่ละโอกาสจะรู้จักจัดสัดส่วน สัปปุริสธรรม 7 ให้มีพลังโน้มนำสื่อนำไปสู่จุดที่ต้องการได้ เรียกว่ามีคอนเวอร์เจนซ์ไปสู่อินเทอร์เรสต์point สู่โกล

ต้องมีเจตนามีปัญญารู้ว่าเราทำอันนี้ผู้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นศิลปินแต่แล้วก็ทำงานเช่นเป็นนักวาดเขียนออกมาละเลงสีถูกใจเราดีเหลือเกินพวกนี้แค่พวกบำเรออัตตาตัวเองไม่รู้ว่าตนเองทำด้วยเป้าหมายอะไรทำแล้วก็ประกอบงานเป็นเส้นแสงสีเสียงแล้วเวลาคนอื่นสัมผัสมาพบมาเห็นมาดูแล้วมันเกิดผลให้คนสัมผัสแล้วเกิดอะไรขึ้นมาต้องมีความรู้ต้องเข้าใจต้องมีความรู้ว่าคนสัมผัสแล้วเขารู้สึกอย่างไรได้ประโยชน์อะไรคุณต้องเข้าใจมีความรู้

คนที่บอกว่าตนเองเป็นศิลปินกระทำการบำเรอตนเองให้สะใจตนเองคือพวกปราถนาไม่ใช่งานศิลปะแต่เป็นงานที่ตำรวจกิเลสตัวเอง คนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ช่างหัวมันนี่คือพวกหลงงานศิลปะ เขาว่ามันจะต้องมีอารมณ์จึงจะเขียนได้จะเขียนเข้าเป็นช่างเขียนเพื่อทำร้ายอารมณ์ตนเอง ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเขาเห็นเขาจะสัมผัสจะเกิดอะไร ยิ่งเราเป็นนักแสดงแสดงให้คนดูแต่เอาสิ่งที่บำเรอตนเองให้คนอื่นได้เห็นแล้วบำเรอตนเองได้บ้างแล้วด้วยตนเองว่าศิลปินได้อย่างไรเอาสิ่งที่ตนเริงรมย์ตนเองที่ตนเองชอบใจว่าถึงจริงๆนักแสดงแล้วให้คนอื่นได้รับสัมผัสถ้าคุณแสดงคนเดียวปิดห้องคนเดียวก็จะบำเรอตนเองไปเถอะแต่ถ้าทำเพื่อให้คนอื่นได้เห็นด้วยคนอื่นสัมผัสผลงานด้วยเขารับคนงานไปแล้วเอาขี้ขยะที่คุณอยากไปบำเรออารมณ์ของคุณไปให้เขา

สองเขาเรียกว่างานนี้เป็นงานศิลปะแต่แท้จริงเป็นงานเทคนิคเป็นความสามารถเชิงช่างเท่านั้นแต่ว่าจะเขียนจะกรีดกรายเจ้าตัวหนังสือมาปั้นเป็นวรรณกรรมเรียบเรียงไพเราะอะไรต่างๆนานาเฉยเฉยๆเป็นเชิงช่างเรียบเรียงประดิษฐ์ประดอยทำรูปทำร่างปั้นทำตัวหนังสือเป็นอะไรก็แล้วแต่เป็นเทคนิคในการทำ ว่าได้ไพเราะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:21:06 )

590406

รายละเอียด

590406_ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 40 บ้านราช เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน3

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 6 เมษายน 2559...คนที่เห็นสาระเป็นสาระก็เป็นความจริง คนที่เห็นว่าเอาเวลาไปแย่งโลกธรรมก็เป็นของเขา ส่วนคนที่เห็นว่าสาระของชีวิตคืออะไร เกิดมาได้รูปนามขันธ์ 5 แล้วเราจะใช้เวลาทุนรอนแรงงาน ทุนรอนทั้งความรู้ความสามารถติดตัวและวัตถุอื่นประกอบ เอามาใช้ร่วมกันกับเวลาและแรงงาน

คนในประเทศไทยกว่าเจ็ดสิบล้านคน ที่เข้าใจเวลาทุนรอนแรงงานก็เอาไปใช้ล่าโลกธรรม ล่ากาม ล่าอัตตาไป พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แม้ฟังพอเข้าใจมีปฏิภาณรู้ภาษาเข้าใจความหมาย ฟังแล้วเข้าใจ แต่ชีวิตก็ต้องเอาเวลาทุนรอนแรงงานไปกับทางโน้นแม้จะรู้ดี อาจจะพูดว่าดีแต่ไม่มาหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นพวกกิจมากธุระมาก คนในไทย 95 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวพุทธ แต่ที่จะเห็นว่าธรรมะเป็นสาระนั้นน้อยเท่าไหร่ อาตมาทำงานมา 46 ปีไม่เชื่อฝีมือตนเองว่าจะมีคนสนใจรับเอาสาระเอาธรรมะที่อาตมาพูดทุกวันทุกวันจนกระทั่งเช่าดาวเทียมมาออกโทรทัศน์พูดเข้าไปทุกซอกทุกมุม กระจายไปถึงต่างประเทศด้วย จะมีคนฟังแต่ละครั้งแต่ละครั้งนี้เช็คได้อย่างไร

แต่โทรทัศน์ของที่โลกๆเขามีคนดูเป็นร้อยๆล้าน เทียบไม่ติดเลย ไม่ได้พูดอย่างน้อยใจแต่พูดโดยสัจจะ คนที่จะไปหาธรรมะไปเอาธรรมะนั้น ส่วนใหญ่ก็ไปเอาเดรัจฉานวิชา ไปหาวัดไปหานักบวชแล้ววัดไหนท่านองค์ไหนจะทำให้เขารวยในลาภ ให้เขาเจริญในยศศักดิ์ ได้สรรเสริญ ดีไม่ดีก็ทำเสน่ห์ยาแฝด ทำวิธีการใช้ไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชาเพื่อให้บริบูรณ์ด้วยกาม ส่วนนักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มีแต่จะไปแสวงหาอัตตา แม้แต่ศาสนาพุทธก็ไปเป็นเทวนิยมสะสมอัตตา ศรัทธาเลื่อมใสในอาตมันในปรมาตมัน แล้วก็ทำตนเองให้เป็นอาตมันไปอยู่กับปรมาตมันสั่งสมอัตตา แต่ยังดีที่เขาจะต้องทำให้สุจริต ให้เป็นอาตมันที่ดี ให้เป็นกัลยาณธรรม ก็ยังดีเป็นการสะสมกุศล แต่จะไม่รู้จักบุญจักบาป

ไม่รู้จักว่าในอัตตานี้เราสะสมจิตสะสมอัตตาที่เป็นอกุศล เขาไม่รู้จักอัตตา 3 อย่างที่ศาสนาพุทธเข้าใจ แม้แต่ศาสนาพุทธเองทุกวันนี้ก็ไม่ได้รู้จักแล้ว ไม่ได้เรียนกันแล้ว ทั้งๆที่พระไตรปิฎกเล่ม 9 ตั้งแต่พระสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องอัตตาและโลก ตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ในคนทั้งหลาย ที่เขาเห็นกันว่าโลกก็ดี อัตตาก็ดี เที่ยงบ้างไม่เที่ยงบ้าง มีรูปบ้างไม่มีรูปบ้าง มีรูปก็ไม่ใช่ ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ เขาก็แย้งก็เถียงกันเป็นปัญหาโลกแตก แย้งกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรในเรื่องของศาสนา โดยเฉพาะในศาสนาพุทธนั้นเขาแย้งกันจริงๆ เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจ

อย่างที่อาตมากับกระแสหลักก็แย้งกัน จนกระทั่งไปเข้าใจ สัพเพ ธัมมา นาลัง อนัตตา ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน เขาก็เลยไม่ไปยุ่งกับมันมากบอกว่าไม่ใช่ตัวตน แต่จริงๆแล้ว คุณนั่นแหละเต็มไปด้วยตัวตน จริงที่อรหันต์หมดอัตตาแล้ว หมด โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ผู้ไม่เรียนรู้ในอัตตา 3 ตามลำดับจะยิ่งซับซ้อนทับถมอัตตาไปเรื่อยๆ เหมือนทางสายธรรมกายที่ซับซ้อนเป็นสายสว่างและปรุงแต่งจัดจ้าน ปรุงแต่งสร้างวิมานเป็นอัตตาฟรุ้งฟริ้งยิ่งกว่ากระเทยปรุงแต่ง เวทีของธรรมกายยิ่งกว่าเวทีของพวกทิฟฟานี่ จัดจ้านอลังการมหาศาลกว่านางวิสาขาแต่งตัวมหาลัดดาปราสาท กำลังตำหนิเขาว่าหลงงมงาย แล้วหลงว่าคนที่แต่งตัวนี้คัดมา มีวิธีการซับซ้อนให้เห็นว่ามีค่า ในแดนวิมาน แดนสุขาวดี มาปั้นเป็นรูปนอกด้วยโอฬาริกอัตตา ไม่ใช่แค่ในไทยนะ ในต่างประเทศก็ไปหลอกเขาด้วย เป็นแดนมหาอบายมุขซับซ้อน ครอบงำสงฆ์ไทยเกือบหมด ไม่แปลกใจที่จะพาพวกเรารู้จักสาระสัจธรรมได้แค่นี้ ไม่แปลก เพราะถึงยุคสมัยของมันแล้ว

แต่อาตมาก็ไม่ต้องเขียนป้ายว่าโพธิรักษ์สู้ๆหรอก อาตมาสู้ยังไม่ขาดใจนะ

 

วันนี้จะอธิบายนามรูป

ในธรรมพุทธสุดลึก นามรูป 33 มีนาม 5 รูป 28

นามคือตัวเข้าไปรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เกิดเพราะวิญญาณ(ความรับรู้) เป็นปัจจัยหรือเหตุ ผู้มีญาณปัญญาสามารถอ่านสภาวธรรมในเราเอง สัมผัสเองในเราเอง มันมีมโนวิญญัติ เคลื่อนไหวในจิตเราอย่างลหุ มุทุตา กัมมัญญตา ในใจเรานี่ มันเคลื่อนในกายวิญญัติ วจีวิญญัติก็รู้อาการไหวได้ มันเคลื่อนไม่อยู่นิ่ง ก็รู้ได้ พอเคลื่อนจะมีลิงค มีเพศที่ต่างกัน ถ้าไม่เคลื่อนก็แยกไม่ออก จะเป็นหนึ่งปลอมๆ แท้จริงเป็นธรรมะสองตลอดกาลนาน

ธรรมะสองกับธรรมะหนึ่งอยู่ที่คนรู้ ถ้าคนไม่รู้จะเป็นธรรมชาติ แต่ถ้ารู้จะทำให้เป็นหนึ่ง สองนี่จะเป็นปฏิภาคทวีเท่าไหร่ก็ได้ ควบคุมไม่ได้ แต่โสดา สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จะคุมได้ ใช้งานได้ตามลำดับ ตามประสงค์

ตัวผู้รู้คือสภาวะรู้ นาม เข้าไปสัมผัสกับรูป นามเป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง ไม่รู้ได้ด้วยทวารนอก ตาหูจมูกลิ้นกาย แต่รู้ได้ด้วยใจ

คำว่ากายมีความหมายคือทั้งใจและรูปนอก แต่โดยตัวมันเองนอกนั้นมันไม่รู้ แต่ถ้ามันเป็นนามมันรู้ แต่ถ้ามันเป็นรูปเฉยๆมันไม่รู้

นามมี 5 (พระไตรปิฎก ล.16 ข.14)

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

อวิชชาคือโชเฟอร์ คือผู้ขับสังขาร ทั้งกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ตัวโชเฟอร์นี้เป็นตัวขับทั้งนั้น ในมนสิการต้องเริ่มรู้จักสังขาร อวิชชาทำให้เกิดสังขาร ถ้าใครอวิชชาก็มีกัปตันหรือโชเฟอร์ชื่ออวิชชา ขับกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารเราไปตลอด แล้วพลังงานที่พาวิ่งจริงๆคือวิญญาณ ก็ไปตามโชเฟอร์ไป พาเข้าหลุมดำ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พาลงนรกขึ้นสวรรค์ไม่รู้เรื่อง

คนทั่วไปไม่รู้ก็อยู่กับ 3 เส้า อวิชชา สังขาร วิญญาณ มีอวิชชาเป็นคนขับพาไป ส่วนมากหลงนรกเป็นสวรรค์กันไป คนเริ่มมาเรียนรู้ก็จะเริ่มรู้นามรูปได้จากผัสสะ หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ที่จะเรียนรู้ด้วยอายตนะ 6 วิญญาณ​ 6 กระทบเป็นนามรูป มาเรียนรู้สุขทุกข์แบบอวิชชา จนมารู้ว่าผู้รู้บอกว่า สุขเป็นของเท็จ ทุกข์ต่างหากอาริยสัจ ส่วนสุขนั้นสุขขัลลิกะ คือเท็จ แต่ทุกข์คือสัจจะ สุขหลอกชั่วแวบ แต่แล้วไปจำสั่งสมในอนุสัย กลายเป็นการสั่งสมความเท็จ แต่ทุกข์จริง แต่ไม่รู้ว่ากว่าจะได้เสพสุขก็ทุกข์ทุกตัว พระอรหันต์จึงอุทานว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แม้ร่างกายก็แตกแยกไป ต่อให้เอาอะไรมาเป็นของตน เพชรพลอยเงินทอง หอบไว้หมด เป็นของตนๆ จะอายุถึงสองร้อยปีไหมบิลเกตต์ แต่ก็ต้องมีการแย่งกัน มันไม่ได้เป็นของเรา ช่วงเวลาในโลกทรัพย์สมบัติวัตถุของเรา แต่จิตนั้นมีตัวกูของกูไปทั้งหมดเลย จำได้นะ ดีไม่ดีก่อนตายก็ว่าน่าจะเอายอดสมบัติมาดูก่อนว่ามีเท่าไหร่ แล้วก็จำไปว่านี่ของกูๆ ไม่รู้เรื่องเลยว่าจะต้องวางไม่ใช่ของกู แต่แบกไปตายไปแล้วก็มีกายอยู่ คือองค์ประชุมรูปนามนั้นไป ตายแล้วก็ยังมีกาย

ฟังแล้วจะเข้าใจว่าการติดยึดเป็นของกู แม้ตายไปก็เอามาเป็นของกู แม้เป็นๆก็ยึดว่าเป็นของข้าใครอย่าแตะ ยึดไว้เป็นวิมาน ไม่รู้ตัว ตายไปแล้วไม่มีใครแย่งหรอก คนเดียวไปเดี่ยวๆ ถ้าจะระแวงก็คนเดียวเหมือนฝัน บางทีเป็นนิทานว่ามีใครแย่งไปเดือดร้อน คือนิทานนรกของตน ตายไปแล้วก็ยังทุกข์เช่นนั้น สารพัด เพราะไม่รู้ความจริงว่าไม่มีอะไรเป็นของเราหรอก

เราเกิดมาอาศัยเพื่อทำประโยชน์แล้วไม่ต้องยึดเป็นของเราจะใช้ประโยชน์ได้มาก อย่างชาวอโศกนี่ไม่ได้ยึดเป็นของตัวตน จึงใช้ทำประโยชน์ได้มาก ชาวอโศกนี้มีทรัพย์สมบัติส่วนตัวน้อย แต่เป็นส่วนกลางที่หมุนเวียนสู่สังคมได้มาก เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอด เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่สุดว่าคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนตัวทุกคนแห้งกรอบไม่มีของตัวของตน แต่สิ่งที่อาศัยอยู่ในส่วนกลางมีอุดมสมบูรณ์ ในอนาคตไม่ได้พยากรณ์แต่จะเป็นจริงว่า อโศกจะใหญ่กว่าธรรมกาย แผ่นดินจะมีมากกว่าธรรมกาย อะไรที่ก่อสร้างพระโพธิสัตว์บางองค์นี้สร้างถึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกหลายอันเลย

นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ห้าอย่างนี้ เป็นนามธรรม

รูป คือสิ่งที่ถูกรู้หรือสภาวะที่นามเข้าไปรู้สิ่งนั้น รูปคือวัตถุภายนอกมีรูปร่างก็มี หรือว่ารูปเป็นจิตใจภายในก็มี มีทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างก็มี คือไม่มีร่าง จริงๆคือไม่มีสรีระ แต่มีรูปที่ถูกรู้ได้ จะเรียกว่ารูปร่างก็ได้ ไม่มีรูปร่างคืออรูป คือรูป 24

มหาภูตรูป ปฐวีธาตุ(แข็งข้น) อาโปธาตุ(คือธาตุน้ำ) เป็นธาตุที่เริ่มก่อชีวะ เป็นต้นทางชีวะ เป็นตัวละเอียดมาก เช่น มันผนึกตัวเป็นชีวะระดับไวรัส นี่เป็น DNA เป็น acid คือธาตุน้ำที่ข้นแค่นมาก เหมือนปฐวีแต่เป็นอาโป Deoxy ribo nucleic acid  ตัว Acid คือน้ำภาษาไทยเรียกว่าน้ำกรด เป็นความเข้มข้นมาก เป็น DNA ไวรัสอยู่เป็นล้านๆปีเหมือนกบจำศีล ไม่ได้ตายง่ายๆ นั่นเป็นรูปธรรม แต่นามธรรมนั้นนานกว่าไวรัส DNA อนุสัยของสัตว์โลกนานกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า คืออาโปธาตุ แล้วละเอียดกว่าไวรัส ดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่นามที่เป็นอาโปนั้นเคลื่อนไหวอยู่แต่เล็กละเอียด อาโปนั้นเอิบอาบอยู่ แต่ก็อธิบายหยาบแล้วนะ

มันจะมีลักษณะของโอโซนหรือ protoplasm มีกลิ่นอย่างโอโซน หนืดชื้นเหนียวเหมือน protoplasm ส่วนเตโชกับวาโยธาตุคือพลังงาน วาโยคือแรงเคลื่อน เตโตคือกระแส ถ้าเทียบเป็นไฟฟ้า

พลังงานสองอย่างนี้แยกกันได้ แต่พลังงานสองอย่างนี้รวมตัวกันเรียกว่าไฟฟ้าทั้งวิ่งเร็วและฤทธิ์แรง ก็คือลมกับไฟ

อุปาทายรูปอีก 24 เกิดเป็นอรูป เป็นนามธรรมละเอียดเข้าไป เราเรียนได้จากจิตนิยามที่จะมีพลังงานพวกนี้ครบ ตั้งแต่มีปสาทรูป หน่วยที่จะเกิด มีประสาทรับรู้อารมณ์ เป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ ก็มี

จักขายตนะ มีประสาทตาเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกรู้

โสตายตนะ มีประสาทหูเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกรู้

ฆานายตนะ มีประสาทจมูกเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกรู้

ชิวหายตนะ มีประสาทลิ้นเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกรู้

กายายตนะ ประสาทร่างนอกเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกรู้ ทั้ง 32 ประการ คือกาย ภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกับกาย ตั้งแต่ผิวที่อยู่นอก หนังนี่เข้าไปข้างใน ผมขนเล็บฟันหนัง หนังนี่ถ้าเป็นผิวแล้วไม่ใช่กาย จากหนังเข้าไปหาข้างในนี้มีอาการของจิตเข้าไปร่วมหมด เล็บพ้นคำว่าหนังออกมา ไม่ใช่กายแล้ว ต้องส่วนของเล็บที่ไม่พ้นหนังออกมามีกาย

กายนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ

มูลกรรมฐาน แยกกายแยกจิต พวกเรานี่แหละได้เรียน แยกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ว่าส่วนใดคือกาย ส่วนใดไม่ใช่กาย แยกให้คมแม่นชัดดีก็มีหวังเป็นอรหันต์ ผิวหนังนี่ไม่ใช่กาย เล็บ ผม ขน ฟัน  ส่วนที่ปสาทรูปมันเข้าไม่ถึง ไม่ใช่กาย กรอฟันอย่างไรก็ไม่เจ็บ เล็บ ผม ขน เห็นได้ง่าย ผิวหนังกับหนังนี่

ในหนังเข้าไปข้างในคือจิตเจตสิกทำงานร่วมกันหมด ผมขนเล็บฟันหนังคือมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม ผิวของหนังถึงผมขนเล็บฟันส่วนของปสาทรูป (นาม) มันเข้าไปร่วมด้วยไม่ได้ก็พ้นความเป็นกาย ไม่ใช่กาย

วิทยาศาสตร์อธิบายนามธรรมไม่เชื่อมกับธาตุรู้ เขาไปหาอุตุนิยาม เข้าหาพีชนิยามจิตนิยามไม่ได้ ต้องมาเรียนธรรมะพระพุทธเจ้าจึงเชื่อมได้ เราจะรู้ในเราจนพระอรหันต์จะดูแลพีชนิยามของตนเองได้ พระอรหันต์ใช้พลังงานจิตนิยามเป็นปัญญาลึกซึ้ง ทำตนให้เป็นพีชะ มีเวทนาแต่ทำเวทนาให้เป็นปุริสภาวะ เป็นหนึ่งเดียวไม่ต้องปรุงแต่งกับอันอื่น คือพีชะ แล้วจะมีธาตุรู้ที่เป็นจิตนิยาม รู้ได้เก่งกว้างขวางลึกซึ้งเอามาใช้ในแบบพีชะ

พีชะคือตัวกูของกูแต่ไม่ระรานอื่น พระอรหันต์มีแก่นแกนคือพีชะ แต่มีธาตุจิตนิยามทำเพื่อผู้อื่นหมด ผู้มีธาตุพีชนิยามต้องพึ่งตนเองได้ พลังงานระดับพีชนิยามจะพึ่งตนเอง ไม่พึ่งคนอื่น แต่เมื่อมาเป็นจิตนิยามจะมีสัมพันธ์กับมนุษย์ หรือกับพืชด้วยก็ได้ เช่น เราให้อาหารเงาะฟักทองก็ได้ผลผลิต แต่จริงๆไม่ช่วยมันมันก็ช่วยตัวเอง แต่มันไม่รู้หรอกว่าเราช่วยมัน มันไม่รู้จักบุญคุณเราหรอก มันมีแต่พลังงานตัวกูของกู ไม่เบียดเบียนใคร แต่ใครจะไปช่วยมันก็ไม่เป็นปัญหา หรือมันช่วยกันเองก็ได้ แต่จะเน้นว่าพลังงานในแบบพีชนิยาม เรามาศึกษาให้เรามีพลังงานพีชนิยามแต่ไม่ทิ้งส่วนเหลือที่เป็นจิตนิยาม แต่ให้มีคุณลักษณะของพีชะคือไม่เห็นแก่ตัว ตนเองสร้าง แต่ส่วนเหลือกระจัดกระจายสะพัดให้คนอื่นหมด สร้างสรรแล้วสะพัด ฝากชีวิตไว้กับส่วนกลาง ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ชีวิตอาตมาอยู่ในสถานะนั้นให้คนอื่นเลี้ยงไว้

กายายตนะเชื่อมทั้งนอกและใน กายคือจิต มโน วิญญาณ ส่วนข้างนอกเชื่อมได้กับอายตนะก็เป็นกายายตนะ เชื่อมไม่ได้ก็ไม่ใช่กาย

โคจรรูป หรือวิสยรูปอีก 4 คือ

รูปายตนะ รูปที่เชื่อมต่อกับธาตุรู้

สัททายตนะ เสียงที่เชื่อมต่อกับธาตุรู้

คันธายตนะ กลิ่นที่เชื่อมต่อกับธาตุรู้

รสายตนะ คือลิ้น รสที่เชื่อมต่อกับธาตุรู้

โผฏฐัพพายตนะ รูปก็เชื่อมต่อทั้งหมดคือกาย ที่จริงกายอยู่ภายในเยอะคืออาการ 32 ข้างนอกนี้ก็อาจเยอะถ้ามารวมกันได้ แต่ข้างในละเอียด เสียง กลิ่น

ถ้าไม่มีนามมาโคจรรับรู้ด้วย ตาก็อยู่กับตา หูก็อยู่กับหู จมูกก็อยู่กับจมูก ลิ้นก็อยู่กับลิ้น ไม่มีอะไรโคจระ แม้สัมผัสแต่ธาตุรู้ไม่โคจรจากตา แม้แสงกระทบตา แต่ธาตุวิญญาณไม่ออกมาเลยทางตา ธาตุวิญญาณคุณปรุงแต่งภายในคิดอะไรอยู่ แต่ตามันแข็งๆ จิตเพ่งกับภพชาติภายในตน แต่ลูกกะตากับแสงก็เพ่งตรงกัน แต่ไม่รู้เรื่อง จมูกหากเราไม่เอาสติรู้ไปจับก็ไม่ได้กลิ่น ฟังอะไรไม่รู้ดูอะไรไม่รู้ ตอนไม่เอาโคจรไปร่วมไม่รู้ แต่พอเอามารับรู้ก็รู้เลย

สรุปแล้วโคจระทำงานมา 4 แล้วจับกับนาม 5

ภาวรูป 2 คือภาวะของความเป็นหญิงกับความเป็นชาย แต่ละภาษาก็เรียกต่างกันไป บาลีเรียกว่าอิตถีกับปุริสสะ คือภาวะสอง ถ้าทำให้เป็นหนึ่ง ไม่มีสองเป็นเอกบุรุษ ปุริสสะ การมาศึกษาศาสนาพุทธคือศึกษาให้จิตเป็นหนึ่งให้ได้ จิตเป็นหนึ่งแบบพุทธที่ไม่สัมมาทิฏฐิจะสะกดจิตให้เป็นหนึ่ง สะกดจิตแล้วไม่รับรู้อะไร ปิดประตูรู้ คือวิธีสะกดจิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิด ไม่รับรู้คือสะกดจิตเป็นหนี่งแบบไม่ใช่ศาสนาพุทธ จนกระทั่งโคจรดึงออกมาไม่ได้ จนเอาไฟเผาร่างก็ไม่รับรู้ อย่างภิกษุญวนเขาเอาไฟเผาก็นิ่งไม่ดิ้นเลย คือสะกดจิตไว้อย่างนิ่งภายในได้

สรุปคือภาวะสองจะมีกระแสกับแรงเคลื่อน ถ้าเริ่มเคลื่อนก็เป็นอิตถีภาวะ หากปรุงแต่งแล้วควบคุมไม่ได้ล่อกันเละเลย แต่ถ้าหยุดให้เหลือหนึ่งได้ เป็นปุริสภาวะ ศาสนาพุทธเรียนรู้รับรู้เท่าทันผัสสะ แล้วให้จิตรวมลงเป็นหนึ่งได้อย่างรู้ๆไม่เหมือนสะกดจิตเทวนิยม แต่พุทธเปิดทวาร รู้อบายภพ สามารถเป็นหนึ่งต่ออบายภพได้ อย่างพวกเราสัมผัสอบายธรรม อบายมุข เขามีเรื่องกาม สนุกสนาน เรื่องสวยงาม เสียงเพราะ รสชาติกายสัมผัสเสียดสี โอฬาริกอัตตาภายนอก พวกเราอยู่เหนือแล้วไม่ต้องหลับตาหนี แม้สัมผัสเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนอ่อนแอกระทบแล้วสู้ไม่ได้  ถ้าไม่จัดมากแต่พวกเรานี่หลายคนสู้ไม่ได้ คือปัญญามันถึงขั้นรู้ว่านี่หยาบ คุณจะกระทบสัมผัสจะยิ่งรังเกียจ มันหยาบขนาดนี้หากเขาติดอยู่จะทนไม่ได้ เขาจะต้องเสพเสวยก่อน แต่คนหลุดพ้นแล้วจะเห็นว่าหยาบ คนหลุดพ้นแล้วจะคอยไปเหยียดหยามเขา แต่ตัวเราถ้าไม่มาเรียนรู้ก็เป็นอย่างเขา เราเรียนรู้หลุดพ้นแล้วก็สงสารเขามีจิตโพธิสัตว์ช่วยเขา อันไหนช่วยไม่ได้ก็ด่าต่อ ให้คนอื่นไม่ไปหลงตาม

หทยรูป คำว่าหทย คือนามธรรม ไม่ใช่กาย แม้แต่อิตถีภาวะหรือปุริสภาวะคือนามธรรม ไม่ใช่แค่วัตถุ วัตถุรูปคือดินน้ำไฟลม แต่นี่มันเลยมาแล้ว เป็นธาตุวิญญาณแล้ว

หทยรูป คือที่ๆรวมของความจริงของความมี ซึ่งเป็นนามธรรม มันรวมตัวกันที่ไหนมีที่ไหน คุณสัมผัสรู้ได้จะรู้ว่าที่ไหน แต่คนไปเรียนปริยัติอภิธรรมก็ว่าอยู่ที่ห้องหัวใจ ส่วนธรรมกายบอกว่าอยู่เหนือสะดือสองนิ้ว เป็นลัทธิสว่างใสกลางกายเหนือสะดือสองนิ้ว เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อสดคิดขึ้นมาก่อนแล้วตกทอดมาถึงทุกวันนี้ คือเขาให้มีที่เกาะ เป็นสถานที่ แต่แท้จริงนามธรรมไม่มีในสถานที่ แต่ตอนนี้มันมายึดคูหาสยังร่างแท่งนี้ไว้อาศัยจนกว่าจะตายทิ้งร่าง ตอนนี้ขอใช้ร่างนี้ก่อน

หทยรูป จะเรียกว่าหทยวัตถุก็ได้ เป็นนามธรรม มีเรื่องราวถูกรู้ได้เมื่อกระทบสัมผัส ก็พยายามเอานามธรรมเข้าไปรับรู้ได้

คนไม่รู้ เช่น ไปเห็นเมียเห็นผัวเราไปกำลังวุ่นวายคนอื่น เราก็เจ็บปวดใจ แต่ไม่ได้ปวดที่หัวใจ มันปวดไปทั้งสมอง จริงๆที่สถานที่ที่จิตวิญญาณใช้คือสมอง โรงงานหัวใจคือที่สูบฉีดโลหิต แต่สถานที่ๆจิตใจใช้เป็นอุปกรณ์คือสมอง

สรุปคือหทยรูปไม่มีที่อยู่ แต่เมื่อกระทบสัมผัสแล้วเกิดรู้ได้นี่คือหทยรูป

ชีวิตรูป 1 ต้องรู้จักอาการของชีวิต แม้ในธาตุจิตนิยามเราก็แยกได้ เราจะอ่านชีวิตินทรีย์ แล้วแยกแยะชีวะเป็นระดับพืช ระดับจิต แยกออกจากอุตุนิยามได้ เราจะเรียนรู้เข้าไปจนเมื่อในตัวเรามีอุตุ ดินน้ำไฟลมอากาศ แล้วมีธาตุรู้เข้าไปทำงาน

เราทำเวทนาให้เป็นพีชะ มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่มันไม่มีอารามมันมีอารมณ์ที่ละเอียดมาก ไม่ผลักไม่ดูด ไม่รักไม่ชัง มันเหมือนพีชะ

เวทนาตัวนี้ มันกำหนดรู้เท่านั้น สัญญาไม่ผลักไม่ดูด ไม่รักไม่ชัง ไม่ดูดเอาไว้ ไม่พยาบาท ก็มีพลังงานยึดของตนเท่านั้น แต่อย่าง DNA ท่ี่ยึดตัวตนไว้นี่อยู่นานกว่าล้านๆปี ยึดตัวกูของกูไว้ ฉันเดียวกับไวรัสมันก็ยึดตัวมัน โคลนนิ่งขึ้นมาได้อีก อย่างเขากำลังโคลนนิ่งไดโนเสาร์ ผ่านมากี่ล้านปีแล้ว

ทุกอย่างมาแต่เหตุ ชีวิตินทรีย์เรามาเรียนรู้พีชนิยามจิตนิยาม ทำจิตนิยามให้เป็นพีชนิยาม พีชนิยามมีตัวเราของเรา มีแต่ self ไม่มี ish

ชีวิตรูปแล้วก็มาอาหารรูป เครื่องอาศัย มีสี่อย่าง แต่ท่านยกตัวอย่างมาแต่กวฬิงการาหารคือสิ่งค้ำจุนชีวิต แล้วเรียนรู้อาหาร 4

กิเลสกับอาหารมีเยอะ

ปริเฉทรูป คือ ว่าง กำหนดตัดรอบ ตัดเขต จนว่าง เป็นอากาศธาตุ ต้องเรียนรู้ทีละกรอบ คุณจะมีกวฬิงการาหารก็กำหนดกรอบ ให้ไม่มีการปรุงแต่งด้วยกิเลส ให้รู้ว่าเป็นตามจริง ทั้งบริโภค อุปโภค ก็เรียนรู้ อย่างคอมพิวเตอร์นี่อย่าไปติดมันมาก ตอนนี้เหลืออันน้อยๆ วันๆเคาะอยู่กับมันนี่แหละ คือสิ่งที่เขาหลอกกัน แล้วเป็นรสชาติสนุกสนานติดยึด อาตมาที่ไม่เล่นสิ่งเหล่านี้เลย ก็จะเป็นตัวอย่างว่า อาตมาไม่ได้เล่นสิ่งเหล่านี้อาตมายังไม่โง่เลย แต่คุณไปโง่กับมันแล้ว คุณมีเครื่องมือเหล่านี้คุณโง่หรือฉลาด มันทำให้คุณฉลาดหรือโง่ แต่อาตมามาพิสูจน์ว่า ถ้าไม่ใช้มัน หรือใช้งานแค่พอทำงานให้พวกคุณนี่แหละ แล้วอาตมาจะโง่หรือไง

คุณต้องดูแลเป็นกรอบๆ จะมีระดับของ context หรือ content ถ้าเป็นนามธรรมก็เป็น concept หนึ่ง แล้วดูแลกรอบนั้นให้เป็นอากาศธาตุหรือความว่างให้ได้ แล้วในอากาศธาตุก็มีความเคลื่อนในนั้น เรียกว่าวิญญัติ 2 คือกายวิญญัติกับวจีวิญญัติ เป็นการเคลื่อนไหว ที่จริงแล้วมีมโนวิญญัติด้วย ท่านจะเอามโนวิญญัติไปไว้ไหน

วิการรูป ก็คือแปรไปหมุนเวียนไป เคลื่อนตลอดเวลา

เคลื่อนเบาสุดคือลหุตา คือแรงหรือเบา มุทุตาคือเร็ว หรือช้า คำว่ามุทุภูตะคือจิตมีประสิทธิภาพเร็ว ไว จิตหัวอ่อน ไม่ใช่อ่อนแอนะ มีประสิทธิภาพของจิต ผู้ที่มีความแคล่วคล่อง

กายมุทุตา แปลว่า ความแคล่วคล่องของ เวทนา สัญญา สังขาร

กัมมัญญา คือพลังงานลหุตา มุทุตานี่แหละทำกรรมการงาน ที่มีอัญญาคือธาตุรู้ที่สูงกว่าอวิชชา สูงกว่าธาตุรู้สามัญ สูงกว่าเฉกา สูงกว่าปัญญาหรือญาณ แต่ถ้าอัญญาณแปลว่าไม่รู้ แต่ถ้าอัญญานี่แปลว่ารู้ยิ่ง

กายวิญญัติ วจีวิญญัตินี่อีกสอง ที่จริงวิญญัตินั้นอยู่ภายใน กายวิญญัติกับวจีวิญญัติคือนามทั้งนั้นแต่ออกมาร่วมกับภายนอกได้ แต่ต้องมีนามธรรมประกอบ ถ้าไม่มีนามไม่ใช่กาย ส่วนของเล็บไม่ใช่กาย

การพิจารณากายสังขาร หากจะรวมข้างนอกด้วยก็ต้องรู้ข้างนอก แต่ว่าสังขาร 3 นี้คือภายในนะ กายสังขารหากพิจารณาแต่ภายนอกก็จะไม่ต่อเนื่องเข้ามาหาภายใน แต่ถ้าใครไปตัดออกจากกันนอกกับใน เช่น นั่งหลับตาทำแต่ภายใน อย่างเก่งทำอาสวะบางอย่างดับได้ ก็เป็นองค์ประชุมภายใน แต่พระพุทธเจ้าว่าจะเป็นอรหันต์ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตัง อรูปสัญญี

วิโมกข์ข้อ 1 รูปี รูปานิ ปัสสติ คือต้องมีธาตุรู้ไปรู้ด้วย

อุปจยะคือการเกิดก่อตัว หากไม่สั่งสมต่อก็ไม่สันตติ

คำว่าสั่งสมกับไม่สั่งสมนี่แหละลึกซึ้ง เมื่อมีผัสสะจะมีลักขณะ สสัมภาระ อารัมมนะ

มีลักขณะหรือลักษณะ คือกำหนดนิมิตรู้ลักษณะว่ามีมันเกิด กับลักษณะไม่มี นี่คือตัวหลักสูงสุด ถ้าไม่มีก็ไม่มีอะไรพูด มันเป็นนามธรรมสูงสุด หากไม่มีก็ไม่ต้องพูดอะไร แต่ถ้ามันมีก็ต้องพูด แล้วถ้ามันมีต้องควบคุมได้ คืออมตบุคคล อรหันต์เป็นต้นไปควบคุมจิตได้ จะให้ต่อสันตติได้ แต่ถึงจะปรุงแต่งต่ออย่างไรสุดๆแล้วมันก็อนิจจตาหรือชรตา คุณจะต่อทศนิยมหรือไม่ก็ได้ หรือจะตัดทิ้งไม่ทำอะไรมันก็จะค่อยเสื่อม ตัดก็ตัดไม่พิรี้พิไรก็สูญเลยไม่ต้อยติ่งปริเทวนาการเลย ประสิทธิภาพการตัดหรือต่อก็ยิ่งใหญ่

ผู้รู้ลักขณรูป จะปล่อยให้มันเกิดไม่ตัดก็ให้ชรตาไป ถ้าปล่อยวางว่าไม่ใช่เราของเรามันก็ไปตามยถากรรม ที่จริงซับซ้อนมาก หากเราอยู่ในสังคมนี่ดูดำดูดีก็ใจดำ เราควรใจดีกับเราคือตัดของเราเอง แต่กับคนอื่นนี่ไม่ดูดำดูดีนี่คือใจดำยิ่งกว่าถ่านเลย เพราะฉะนั้นข้างนอกเราไม่ตัดแต่ข้างในนี่เราตัด แต่เราต้องมาตัดข้างนอกก่อนแล้วมาตัดข้างใน จนบรรลุแล้วก็อนุโลมให้ข้างนอก ตามลำดับ อนุโลมอย่าอนุโลมหมดตัว จะหัวทิ่มบ่อนะ ต้องมั่นใจ แข็งแรงพออย่าประมาท คำว่าอรหันต์จะรู้การเผื่อพอของตนเอง จะไม่คะนองไม่ห้าวเกิน

จะรู้ตัวว่าพลาดไปจะเสียตัวเอง คนลดโลกธรรมลดกามลดอัตตาก็จะช่วยคนอื่นตามควร แต่บางคนกลัวพลาดจะยืดหยุ่นให้คนอื่นน้อยไป แต่ก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า แต่ประมาณให้พอดี ศาสนาพุทธต้องช่วยผู้อื่น เหมือนบังคับแต่ไม่ใช่ จะเห็นว่าคนอื่นน่าช่วยเหลือ

พวกใจดำที่สุดคือพวกเชน กินน้อยใช้น้อยจริงๆ พวกเชนไม่มีพุงหรอก แห้งผอม

ขอสรุปตรงนี้ว่า ให้รีบๆมา อยู่ข้างนอกมีแต่ทับถมสะสม โลกมันยอดยัดเยียดหลอกล่อตอแหล คุณเก่งอย่างไรจะไปสู้อำนาจโลกเขา พระพุทธเจ้าว่าให้แทรกโอสถทิพย์เข้ารูขุมขน อย่าไปอยู่เลยสถานที่ไม่ควรอยู่ อาตมาจะได้เอามงคล 38 มาต่ออีกที พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นลำดับว่า ไม่คบคนที่เป็นพาล อย่าไปยุ่งกับมันนัก ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ช่วยตนเองยังไม่ได้ คนพาลมันเก่ง ต้องมาอยู่กับบัณฑิต สัปปายะ 4 เรามีแล้ว มาคบหาบัณฑิต อย่าไปบูชาคนไม่ควรบูชานักเลย มาคบหาบัณฑิต และรู้คนควรเคารพบูชา

ยกตัวอย่างว่า คนที่รู้ว่าโพธิรักษ์เป็นคนควรเคารพนั้นหาได้ยาก คนที่รู้สึกว่ามหาช่วงหรือธัมมชโยหรือสมเด็จเปรียญอื่นๆ เป็นคนควรเคารพนี่หาง่ายกว่า คนไปบูชาเคารพคนเก่งเอาเปรียบคนอื่นเป็นนายทุน จะไปบูชาคนเก่งอะไรก็แล้วแต่โลกีย์หรือเก่งในโลกียธรรมก็ตาม แต่คนจะรู้ควรบูชาคนมีโลกุตรธรรมยิ่งกว่านั้นยาก คนจะบูชาคนควรบูชาต้องมีปัญญายิ่ง

สถานที่ควรอยู่ อโศกนี้ศรีไสววิไลตา อยู่หว่างกลางพนา กำลังสร้างภูเขาป่าไม้ โมเดลนี้จะสร้างเป็นรัตนราชธานี ในประเทศไทยมีราชธานีประเทศเดียวคือราชธานี อาตมาจึงย้ายมาอยู่ เหมาะสมจะสร้างรัตนราชธานี สร้างได้แค่เกาะ เราสร้างได้ยากหน่อยไม่ได้เรี่ยไร….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:21:57 )

590407

รายละเอียด

590407_ตอบปัญหาเพชรพุทธสุดยอดศิลป์ งานปลุกเสกฯ#40

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2559 วันนี้เป็นวันตอบปัญหาเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปินกับมงคล 38

อาตมาเองก็ยืนยันว่าตนเองเป็นศิลปิน เป็นผู้ใช้ศิลปะในการที่จะคัดเลือกคน งานที่อาตมาทำนี้เป็นงานที่ให้คนมาสัมผัสแล้วคนจะเลือกมาคบหรือไม่คบ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นมงคลอันอุดม คำว่ามงคลอันอุดมที่อยู่ในมงคลสูตร 38 นี้มงคลอันอุดมท่านไขความอยู่ในข้อที่ 8 ว่าเป็นศิลปะ (สิปปัง)

ทุกข้อใน 38 ข้อนี้เป็นมงคลอันอุดมเป็นมงคลชั้นสูงด้วย ศิลปะนี่แหละคือมงคลอันอุดม ทุกข้อก็เป็นมงคลอันอุดมทั้งนั้น ทุกข้อนี้ศิลปินจะต้องรู้และศิลปินจะต้องทำให้เกิดมงคลทั้งหมดคือศิลปะ ศิลปินจะต้องทำให้คนไม่คบคนพาล ผลงานของอาตมาสามารถทำได้พอสมควร เพราะว่าไม่ง่ายจะให้มาคบแต่บัณฑิตจริงๆเป็นบัณฑิตอย่างแท้เลย ไม่ใช่บัณฑิตที่เป็นแฝงปลอมสมมติเอา ไม่ใช่

บูชาคนที่ควรบูชา คนไม่น่าบูชาก็ไม่บูชา จัดสถานที่ให้เป็นสถานที่สัปปายะ 4 สถานที่เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ

ความเป็น  บุพเพ จ กตปุญญตา  คำว่าบุพเพคืออดีต กตปุญญตาก็คือบุญที่ทำไปแล้ว ความเป็นบุญที่ทำมาแล้วคืออะไร ก็คือคนที่จะสามารถลดกิเลสได้มาแล้วจะมาได้ในปัจจุบันนี้โดยมาคบกับศิลปินโพธิรักษ์ แล้วศิลปินโพธิรักษ์ทำให้คุณเกิดบุญสำเร็จแม้ในชาตินี้เลย หรือใครจะมีของชาติก่อน คนที่มีบารมีแต่ชาติก่อนจะรู้เลยว่าที่ไหนเป็นที่ควรอยู่  ปฏิรูปเทสวาสะ จะรู้ว่าที่ไหนมีบัณฑิตที่แท้จริงจะมาคบหาและอยู่ด้วย

1. คนที่มีมาก่อนแต่ชาติก่อน หรือ 2. โดยศิลปินโพธิรักษ์ทำให้เกิดบุญ แล้วก็มา อัตตสัมมาปณิธิคือการตั้งตนไว้ชอบ จนกระทั่งเกิดบรรลุเป็นพาหุสัจจะ โดยเฉพาะปรมัตถสัจจะ 7 ข้อนี้รวมเนื้อหาสาระครบแล้ว จากนั้นก็ซอย 7 ข้อนั้นเป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นศิลปินแล้ว เริ่มต้นเข้ามาสู่กรอบ ให้รู้จักการศึกษาแล้วก็สอนกันไปเป็นวาจาสุภาษิต ตั้งแต่อยู่กับสังคม มีบิดามารดาก็เลี้ยงดูสงเคราะห์บุตรธิดาอย่างไรก็ใช้ศิลปะพัฒนาให้เจริญ

คนที่มีศิลปะจะทำการงานอย่างดี ทำงานไม่คั่งค้าง (อนากุลา จ กัมมันตา) ศิลปินไม่ใช่ว่าต้องมีอารมณ์ถึงจะเขียนภาพได้จะทำงานได้ ไม่มีอารมณ์ไม่ทำงานอย่างนั้นคือการทำตามใจอัตตาตัวเอง ไม่ถูกกิเลสบังคับไม่ทำงาน จะเรียกว่าศิลปินได้อย่างไร เป็นแค่การบำเรออัตตาตัวเอง

แม้จะมีคำสอนว่าให้ ญาติปริวัตตังปหายะ แต่ก็มีคำสอนให้สงเคราะห์ญาติ เราก็ช่วยโดยไม่ลำเอียง ยิ่งทำงานก็ยิ่งรู้จักงาน อนวัชชานิ กัมมานิ เป็นการงานอันไม่มีโทษ เป็นกำลัง 4 นักปฏิบัติธรรมต้องรู้จักทำกรรมการงานแล้วไม่ก่อกิเลส เป็นผู้ที่ไม่ประมาท

มาสู่ความไม่ประมาทเป็นอันสุดท้ายของอุปกิเลส 16 เลยนะ ไม่ประมาทในอะไรทั้งปวงรู้สัมมาคารวะ คุรุกรณะ เคารพ อ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นผู้เข้าสู่สันโดษ มีชีวิตด้วยการฟังธรรม ทางโลกนานๆทีฟังธรรม แต่ของพวกเรานี้ฟังประจำ ฟังธรรมทุกวัน วันละไม่รู้กี่เที่ยว

 

มาเข้าสู่การตอบปัญหาเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จตุทิสาสังฆิกวิหารทานกับสุญญตาวิหาร

_วิหารธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เมื่อมีชีวิตอยู่

พ่อครูว่า...มีคนเคยถามจำได้ว่าตอบว่า ท่านใช้สุญญตาวิหารเป็นเครื่องอาศัยในชีวิต

สังฆทานคือการทานโดยไม่กำหนดบุคคลไม่กำหนดของ มีอะไรที่ควรให้ควรทานก็สงเคราะห์ทานไป เราไม่ต้องมุ่งหมายเจาะจงเลย ต้องมีปัญญาควรรู้ว่าองค์ไหนควรได้รับของทาน สังฆทานได้อานิสงส์มากกว่า สูงกว่าเจาะจง แต่พระพุทธเจ้าว่าทานที่สูงกว่าคือ จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน คือทำวิหารทานกับภิกษุทุกทิศเลย วิหารทานคือเครื่องอยู่อาศัย แล้วในนั้นมีประเด็นว่า ทานโดยไม่ลงทุนมาก แต่มีผลมาก ทำทานโดยเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ได้อานิสงส์มาก ทานอย่างไร ท่านก็บอกว่าทานแก่สงฆ์ทั่วไป จตุทิสาสังฆิกวิหารทานคือทานโดยไม่เจาะจงสงฆ์และไม่กำหนดบุคคล แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นของสงฆ์ผู้นั้นๆ เช่น ท่านขาดเข็มเย็บจีวร ท่านขาดอันนี้ เป็นเครื่องอยู่ของท่าน ได้อานิสงส์ยิ่งกว่าทานถวายพระพุทธเจ้า จะทานแก่สงฆ์รูปใดก็ได้ที่ท่านขาดแคลน แต่ไปตีกินว่าคือที่อยู่ สร้างวิหาร แต่แล้วขัดแย้งว่าลงทุนน้อย มันแพงกว่าไม่รู้กี่อย่างสร้างวิหารทีนึง

สุญญตาวิหาร ไม่ใช่ที่อยู่นะ  วิหารธรรมไม่ใช่ธรรมะที่สร้างเป็นหลังๆ แต่คือนามธรรม คือจิตว่างจากกิเลส เช่น หมดกิเลสอบาย ก็ว่างอยู่ตลอดเวลา พอเห็นมะระนี้ ตอนที่อาตมาเรียนหนังสือก็กินแกงจืดมะระเครื่องในไก่ แต่ก่อนก็กินจนหน้าจะเป็นมะระ แต่ตอนนี้จิตว่างแล้ว แต่ก่อนนี้เห็นมะระก็น้ำลายไหล ใส่เครื่องในไก่ แต่จิตตอนนี้ว่าง เป็นตถตา พระพุทธเจ้าก็ว่า เราว่างก็สบายก็อาศัยอันนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน อานาปานสติสำคัญเพียงใด

_อานาปานสติสำคัญเพียงใดต่อพระพุทธเจ้าและอรหันต์

พ่อครูว่า...อานาคือลมหายใจเข้า อาปานะคือลมหายใจออก คนยังมีลมหายใจเข้าออกคือมีชีวิต ต้องมีสติมาศึกษา สติจึงเป็นตัวสำคัญมากถ้ายังไม่ตาย สติปัฏฐาน 4 จึงเป็นตัวหลัก แม้สติสัมโพชฌงค์ก็เป็นตัวหลัก แล้วต้องทำสติให้เกิดสัมมาทั้ง 7 องค์ เกิดสัมมาสมาธิ

ตั้งแต่ทิฏฐิก็ต้องสัมมา แล้วก็ต้องพยายามทำสังกัปปะ วาจา กัมมันตะให้เกิดสัมมา สั่งสมผลเป็นสัมมาสมาธิ

อานาปานสติไม่ใช่นั่งหลับตา แต่ที่พูดในพระไตรปิฎกว่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นก็มีอยู่อีกหลายสูตร แต่ยุคก่อนนั้นก็เหมือนยุคนี้ ที่เข้าใจว่า อานาปานสติต้องไปนั่งหลับตาทำเอา แยกตัวไป แต่ว่าแท้จริงแล้วปฏิบัติอยู่ในเมืองลืมตาทุกลมหายใจเข้าออก สามารถเห็นอนิจจัง มีอนุปัสสี 4

เริ่มต้นโพธิปักขิยธรรม 37 คือโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า

เริ่มต้นทำมูลกรรมฐาน คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คือให้เรียนรู้กาย นี่คือบทที่หนึ่ง ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำไม่กระดุกกระดิก แต่ต้องมีองค์รวมนอกใน ให้เกิดศีลสมาธิ ปัญญา ให้เกิดผลทุกขณะ ตามเห็นความไม่เที่ยงตั้งแต่เป็นวัตถุ ถึงกิริยาอาการ เห็นความไม่เที่ยง จนเห็นจิตในจิต เห็นกิเลสไม่เที่ยง เกิดปัญญาญาณ กิเลสมันเป็นนามธรรมมันไม่เที่ยง โดยเฉพาะไม่เที่ยงโดยสามารถ เราตีมันไม่แตก เห็นความไม่เที่ยงคืออนิจจานุปัสสี มีวิราคานุปัสสีก็คือกิเลสลด จนดับหมดเป็นนิโรธานุปัสสี แล้วทำซ้ำทำทวน เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำซ้ำทำทวนไม่ให้มีสวรรค์เลย ก็รักษาผล อนุรักขณาปธาน โดยทำสมาธิลืมตา อย่างอานาปานสติ ทุกวันนี้เขาไปทำแบบนั่งหลับตา มันโน้มไปทางนั่งหลับตาทำหมดเลย แต่ความจริงอานาปานสติคือมีสติปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจเข้าออก หรือทำให้เกิดสติสัมโพชฌงค์

มูลกรรมฐานเขาให้ท่องกันด้วย แต่ก็พิจารณาอะไร? อย่างไร? ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ก็ไม่ชัดเจน

 

_วิธีเจริญสติที่พระพุทธเจ้ายกย่องคือ?

พ่อครูว่า...อานาปานสติกับสติปัฏฐาน 4 นี่แหละ ถ้าไม่ปฏิบัติอานาปานสติจะไม่มีวิมุติ ต้องทำอย่างสัมมาด้วยนะ ไม่ใช่นั่งหลับตา ไปหามาดูสิว่าท่านตรัสไว้มีคำว่าหลับตาอยู่ไหมในอานาปานสติ

 

_พระพุทธเจ้าตรัสโดยนัยไหมว่า พระพุทธเจ้าให้ภิกษุนั่งสมาธิสลับกับเดินจงกรม ตั้งแต่ยามไหนถึงยามไหน?

พ่อครูว่า...ต้องเดินอย่างนักปฏิบัติธรรม เท่านั้นเอง

 

_มีสติระลึกรู้อายตนะทางลิ้นมีสติไม่เกิดกิเลสเมื่อกินอาหารใครจะรู้ได้

พ่อครูว่า..ต้องระลึกรู้เองของตนเอง รู้ให้กันไม่ได้

 

_สมณะเคร่งทางศีลกับปัญญา ส่วนทางคึกฤทธิ์เจริญอานาปานสติได้ หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจยาวก็รู้ว่ายาว ผู้เจริญอานาปานสติอย่างเดียวจะบรรลุอรหันต์ได้ไหม

พ่อครูว่า….ต้องสัมมาทิฏฐิปฏิบัติอานาปานสติ อานาปานสติต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน 4

 

_ถ้าผสมส่วนเช่นนี้

  1. ศิลปินโลกุตระ +งานโลกุตระ +จิตโลกุตระ= โลกุตระ มงคลอันอุดม
  2. ศิลปินโลกุตระ +งานโลกุตระ +จิตโลกีย์=อาจเรียนรู้และพัฒนาได้
  3. ศิลปินเก๊โลกีย์ +งานโลกีย์ +จิตโลกีย์=โลกีย์ทวีคูณ
  4. ศิลปินเก๊โลกีย์ +งานโลกีย์ +จิตโลกุตระ =เห็นความจริงได้

พ่อครูว่า...ถูกแล้ว

 

_จากประสบการณ์ของผมว่า...หนึ่งหลายครั้งผมก็เลือกศิลปะแบบโลกๆ ฟังเพลงชู้ทางใจ ขณะนั้นเป็นโอกาสเรียนรู้ของผมว่าใช้ได้ครับ เพราะทำให้รู้ความเคลื่อนไปของโลก เนื้อหาโลกีย์ทำให้ผมเห็นใจคนโลกเก่าที่ไม่รู้อวิชชา หลายครั้งที่ผมฟังเพลงแล้วเห็นความชอบ ชัง เพลิดเพลิน ชอบมากขึ้น จนสุดท้ายผมเองชัดเจนว่า แม้เนื้อหาโลกีย์จัดจ้านเพียงใดก็ไม่มีกำลังมอมเมาให้ผมเข้าคอกกับดักได้อีก เพราะผมเห็นว่าไม่ใช่ทาง

พ่อครูว่า...ใช้ได้แต่อย่าห้าว อย่าประมาทถลำตัวไปคลุกโลกีย์มากไป แต่ถ้าคุณบรรลุธรรมจริง จะสัมผัสแล้วจะรู้ว่าไม่น่าฟัง ก็จะไม่เสียเวลาไปดูอีก แต่คนที่จะต้องใช้แตะต้องสัมผัส และสามารถสู้มันได้เป็นองค์ประกอบปฏิบัติก็ถูก ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจะเห็นของจริงปัจจุบัน จนจิตมีกำลัง เป็นกำลังปัญญา จะเป็นไฟล้างกิเลส ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน อยากเข้าวัดแต่คู่สมรสไม่อยาก

_หญิงชายคู่สมรส คนหนึ่งอยากเข้าวัด อีกคนไม่อยากเข้า ลูกๆก็พึ่งตนเองได้ ควรทำอย่างไรดีครับ

พ่อครูว่า...นี่แหละเวร จำเป็นเหลือเกินที่คุณจะอนุโลมปฏิโลม คุณแสดงออกเอาจริงในการปฏิบัติ ค่อยอนุโลม แม้เราเห็นว่าไม่อยากอนุโลมให้เขาก็จำเป็น เพราะว่ามันจำเป็น แล้วคุณก็ปฏิบัติตัวคุณให้แข็งแรง แล้วใครก็จำนนต่อความจริง คุณก็แสดงความเห็นใจเขาเหมือนกัน เขาก็เห็นใจเรา ถ้าทำอย่างนิ่มนวลสุภาพจริงใจ อนุโลมเขาบ้างเราบ้างไปเรื่อยๆ สุดท้ายเขาจะแพ้ความจริง ยกตัวอย่างประเด็นสำคัญว่า เราไม่อยากร่วมมือกับเขาในความสุขใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องฝืนนะ เขาก็จะรู้ การที่เราอนุโลมเราฝืน เขาได้เปรียบเขาชอบใจ เขาก็ทำมาให้กิน เราก็ต้องกิน ดีไม่ดีแกงเนื้อสัตว์มา เราก็ต้องฝืน เขี่ยให้เห็นบ้าง เราไม่รุนแรงดุเดือด นานเข้า คนอยู่ด้วยกันจะรู้สึกได้ สิ่งละเอียด เขาจะรู้ได้ สุดท้ายอาจช่วยเขาได้ด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน วิญญัติรูป 2 และ วิการรูป 5

_ความแตกต่างและความเหมือนของวิญญัติรูปและวิการรูป

พ่อครูว่า...วิการรูปมี 5 มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ

อาการเคลื่อนไหวเรียกว่าวิญญัติ อาการรวมทั้งหมดเรียกว่ากาย จะประชุมกันเท่าไหร่ต้องรู้ทำลหุตา เบาเข้าไว้ที่ประมาณมัตตัญญุตาให้เหมาะกับคน นัจจะ คีตะ วาทิตะ ต้องประมาณกายวิญญัติและวจีวิญญัติ ในวิการรูป ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตาก็เป็นงานที่มีวิปัสสนา หรือมีความรู้ยิ่ง แล้วทำวิสังขาร จะมีวิเศษก็คือผู้ที่ประมาณได้อย่างมีปัญญารู้สัดส่วน ในสัปปุริสธรรม

วิญญัติรูปนั้นในวิญญัติต่างหากท่านก็ให้เรียนรู้ให้เข้าใจเพราะเป็นของหยาบ เป็นการปรุงแต่งออกไปข้างนอกแล้ว ส่วนวิการรูป พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ว่าต้องมี 5 เพราะเนื่องกันคือมีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา คือการทำการงานอันเหมาะควร คือต้องทำวิญญัติบริบูรณ์เป็นการงานต้องประมาณให้ได้สัดส่วน

มุทุตาคือจิตเรามุทุภูตธาตุ ผู้บรรลุแล้วมีองค์คุณอุเบกขา 5 คือ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ต้องมีจิตประมาณให้ลหุตา มุทุตา ในการงานอันเหมาะควรประมาณให้ได้สัปปุริสธรรม

ถ้าเป็นวิญญัติรูปนี้ต้องทำก่อน ทำสำเร็จจึงเอาไปอยู่ในวิการรูป ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ส่วนกายวิญญัติ วจีวิญญัติก็ทำอย่างมุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต แล้วทำให้เกิดปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

มุทุตาเป็นปุริสภาวะ ลหุตาเป็นอิตถีภาวะ

 

_กรุณาอธิบายเจตสิก พร้อมยกตัวอย่าง

พ่อครูว่า..เวทนา สัญญา สังขารเป็นเจตสิกใหญ่ นอกนั้นอาการจิตทุกตัวเรียกว่าเจตสิก เป็นตัวแยกออกมาเรียกย่อยโดยจับอาการแต่ละลีลาอาการจิต เช่น แยกว่าเป็นเวทนา สัญญา สังขาร

เวทนา เป็นอารมณ์เมื่อสัมผัสแล้วเกิดเวทนา เวทนาปรุงแต่งเสร็จเรียกสังขาร สังขารอวิชชาก็เป็นโลกีย์ แล้วแยกกิเลสให้ได้ ทำให้สุขหลอกหายไป สุขเป็นเท็จ แต่ทุกข์น่ะจริง ดับเหตุได้สุขทุกข์ก็หายไปเพราะตัวเดียวกัน สุขเป็นเหตุแห่งทุกข์

 

_ชีวิตคนเราเกิดมาได้อย่างไร แล้วสัตว์นรกมีขึ้นมาได้อย่างไร?

พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าว่าคนเราเกิดมาด้วยอวิชชา และด้วยวิชชาก็มี แต่คนเราไม่หยุดเกิดได้ แต่ผู้หยุดเกิดได้ก็มี อรหันต์ขึ้นไปหยุดเกิดได้หรือจะเกิดอีกก็ได้ เกิดนี่หมายถึงให้ร่างกายเกิด ผู้มีจิตหมดกิเลสได้เที่ยงแท้แล้วจะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ จะสูญเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเถรวาทมีอุจเฉททิฏฐิว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ จึงไม่มีพระพุทธเจ้า

 

_ดิฉันมีหลานเรียนอยู่ แล้วมีคนบอกว่า หลานยืนคุยกับผู้ชาย ก็ใกล้ชิดเกินไป คนถ่ายคลิปมาให้ดู เห็นว่าไม่เหมาะ ก็เลยเรียกหลานมาสอน แต่คนอื่นก็มาเตือนว่า ควรปล่อยหลานเพราะไม่ได้เสียหายมาก

พ่อครูว่า...ใครห้ามไม่ให้สอน เอาล่ะมันเกิดปัญหาถามมาก็ดีแล้ว ก็ควรดูแลกันอย่าประมาท ให้สติเตือนเด็ก จริงมันก็อนุโลม แต่ว่าของเราปฏิบัติธรรม ทางอโศกเราพยายามเข้มงวดกวดขันกัน ขนาดนั้นยังไม่วายมีเด็กผิดศีลจนถึงไล่ออก ผิดศีลข้อ 3 นี่แหละ ไม่ใช่ไม่มี แต่ขอยืนยันว่าดีกว่าข้างนอกหลายต่อ ขนาดนั้นก็ไม่วาย เกิดท้องก็มีต้องให้ออก แต่ตั้งมา 20 กว่าปีไม่กี่คนหรอก แต่ข้างนอกนี้มากมาย อย่าประมาท เคร่งไว้ก่อน จะอนุโลมต้องให้เหมาะควรไม่ประมาท เด็กยังไม่ประสีประสา

 

_เห็นญาติธรรมหญิงตัดผมสั้นเหมือนผู้ชายดูไม่ค่อยออกว่าหญิงหรือชาย

พ่อครูว่า...ก็ดูให้ดีๆก็แล้วกัน

 

_เป้าหมายของนิสิตว.นบ.คืออรหันต์ใช่หรือไม่?

พ่อครูว่า...ใช่

 

_นิสิตว.นบ.มีหน้าที่ศึกษาปริยัติจากพ่อครู สมณะ สม. แล้วนำไปปฏิบัติในฐานงาน ให้เกิดปฏิเวธ เกิดพลังในฐานะอุบาสก อุบาสิกาใช่หรือไม่

พ่อครูว่า..ใช่ เพราะพุทธบริษัทคือผู้บรรลุธรรม

 

_หลักสูตร ว.นบ.ต้องให้กระทรวงศึกษาธิการรับรองหรือไม่

พ่อครูว่า...ไม่ให้รับรองด้วย

 

_บางอย่างเราควรอนุโลมเขาบ้าง ค่อยๆขัดเกลากัน ไม่เช่นนั้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

 

_ดิฉันใช้วิธีร้องเพลงให้หายมึนหัว ตายไปจะตกนรกปหาสะหรือไม่

พ่อครูว่า...ตกนรก

อาการที่รื่นเริงชอบใจ ชื่นใจเป็นนรกปหาสะทั้งสิ้น คนที่ไม่เข้าใจอาการจิตก็บำเรอจิต สุขมากน้อยก็นรกทั้งนั้น ยิ่งไม่เข้าใจอีก ทุกวันนี้ไม่เข้าใจกัน ถามว่าชอบร้องเพลงแล้วใช้เพลงเป็นเครื่องบรรเทา ก็ใช้ได้พออนุโลมเป็นครั้งคราวก็ได้ หรือบางทีถือศีล 5 ก็ใช้บรรเทา แต่พอศีล 8 ก็ค่อยลด จนไม่ติดยึดอยู่เหนือมันได้ จนร้องแล้วไม่มีรส ก็พยายามร้อง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:22:41 )

590408

รายละเอียด

590408_ทวช.ปลุกเสกฯ#40 บ้านราชฯ เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน4

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน 4

พ่อครูว่า วันนี้วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2559 ปีวอกแล้ว ...วันนี้วันรองสุดท้ายของงานปลุกเสกฯพระแท้ๆของพุทธแล้ว ก่อนอื่นก็ขอบอกเรื่องที่ควรบอก คือมีคนไปกานหรือถากเปลือกต้นไม้ เพื่อให้มันตาย ก็แจ้งให้ทราบนะว่าพวกเรานี่รักต้นไม้ ใครจะเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ให้รู้ว่าที่นี่รักต้นไม้ปลูกต้นไม้ ตั้งแต่ที่นี่มีไม้พุ่มไม้น้ำ ไม้ใหญ่มีบ้างไม่มาก ไม้ที่ทนน้ำได้ น้ำท่วมสองสามเดือนมันก็ทนได้ เราจะทำให้เป็นเสนาสนะที่ควรอยู่

เรามาปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นให้ได้ แต่โดยค่าเฉลี่ยในเมืองเป็นแดนแออัดทำกิจการทุนนิยม หมุนเวียนเป็นหายนกิจ เป็นการสร้างความรู้สึกจัดจ้านขึ้น สิ่งที่สวยเกินไปเพราะเกินไปคืออบาย มันไม่ควรเกินอย่างนั้น เลยเถิดไป สวยเกินไปไม่ใช่ศิลปะ เป็นอนาจาร เป็นการปรุงแต่ง ยั่วยุ เสริมรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจัดจ้านเป็นบันไดแห่งความไม่รู้จบ ไม่มีเขตความพอไม่มีสันโดษ เมื่อเขตความพอไม่มีก็เลยเกินไปไม่รู้ตัว มันก็ลงนรกไป

แล้วยิ่งมีทิฏฐิว่ายิ่งสวยให้สวยขึ้นๆ รวยก็ยิ่งรวยๆๆ มันก็เกินๆๆๆไปไม่มีสิ้นสุด ในโลกสังคมไม่ว่ายุคไหน เมื่อเกินไปก็มีปราชญ์ผู้รู้มาถ่วงให้น้อยลง น้อยลงนั้นสุดท้ายจบที่ 0 ก็จบ แต่การเพิ่มขึ้น ไกลออกนอกโลกปากกรวยไม่สิ้นสุด คนมาน้อยที่สุดต่ำสุดมาหาทางไม่มี สุดท้ายก็มาชนตรงที่ว่า 0 ไม่มีที่ไปแล้ว เพราะฉะนั้นขีดความพอก็เลยมีที่ 0 แต่ไอ้ที่บานปลายเพิ่มๆไม่มีที่จบที่พอ

ผู้ใดมีสันโดษมีความพอขึ้น ณ ที่ใดแล้วผู้นั้นไม่ทำอะไรเกินกว่านั้น ในความเป็นร่างกายชีวิตมันมีเขตแห่งความพออยู่ ผู้เกินจะไม่มีที่จบ มีความตะกละมาให้เป็นตัวกูของกูไม่มีที่จบ ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ​ หรือเสพสัมผัสทางรส ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสเสียดสี ยิ่งทางอัตตายิ่งไม่หยุดบำเรอ

คนในยุคนี้หยุดความคิดไม่ได้ จิตอยู่เฉยไม่คิดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีความพอ ก็เลยต้องมีเครื่องให้หยุดคือทำนั่งสมาธิ สะกดจิตหยุดได้ ก็เลยเรียกความสามารถตื้นๆว่าหยุดคิดได้คือสมาธิ

สมาธิไม่ใช่หยุดจิตให้คิด แต่การหยุดอกุศลจิตให้สูญเลยคือสมาธิ รู้ตัวอกุศลจิตให้ได้ อาการของอกุศลจิตคืออะไร ก็มาเรียนรู้ตั้งแต่ตัวเราติดอะไรหยาบสุดก็ควรเลิก ต้องหาเหตุ ที่มันไม่รู้จักหยุดจักพอ ให้หยุดให้พอจนไม่มีเลยสำหรับอกุศลจิต แต่ถ้าสิ่งใดควรมีก็ให้ทำอย่างพอเหมาะ ไม่ใช่ไปหาสูญ จิตส่วนรวมแล้วก็ยังพอเหมาะพอเพียงพอดี

เรื่อง 0 ​นั้นเป็นความสามารถทำให้ถึงจุดพอสุดท้าย คนเราถึง 0 แล้วพอนั้นเก่งที่สุดแล้ว เป็นคนมีความสามารถรู้จักสุญญตา สุญญตาตัวที่หนึ่งก็ได้ ตัวใดที่สามารถทำให้หยุดได้

คนเราสามัญแล้วทำการสะกดจิตตัวเองได้ คือมีมารยาทสังคม ระงับสิ่งไม่ควรไม่ให้แสดงออก คนที่มีความละอายต่อสังคมต่อตนเองก็จะสังวรระวัง ที่จะมีกายวาจาออกจากจิตอกุศล ส่วนสมาธินั้นทำให้จิตกุศลจิตตั้งมั่น อย่าให้อกุศลจิตมาแผ่คลุมกุศลจิต คนแสดงท่าทีลีลาออกมาอย่างแรงอย่างหยาบดิบๆ นั้นยังไม่เข้าใจอะไรนัก ที่สุดแห่งที่สุดเราจะรู้อะไรควรไม่ควร มีปัญญารู้ประมาณว่าเบาแรงขนาดไหนก็ปรับลหุธาตุของเรา คือวิการรูปตัวที่ 1. ถ้าเบาเกินไปไม่มีน้ำหนัก ต้องปรุงให้พอเหมาะ อย่างอาตมาแสดงออกสื่อความแรงให้เข้าใจ เวลาแสดงธรรมก็ปรุงนัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่าทีลีลา จะให้เบาหรือแรงขนาดไหนก็อยู่ที่ลหุธาตุ ธาตุแห่งความเบา

คนควบคุมความเบาไม่ได้ จะทำอะไรก็แรงตลอด หยาบดิบ นี่คือคนจิตเสียนิสัยเสีย ผู้ทำความเบาให้เบาสุดได้จะควบคุมได้ ฝึกจิตให้รู้ได้เร็ว เปลี่ยนได้แววไว มุทุภูตธาตุ เปลี่ยนเป็นเบาเป็นแรงได้ ลหุตากับมุทุตาจึงเป็นคู่ในการทำงานเป็นกัมมัญธาตุ เป็นการควบคุมโดยอัญญา อัญญาคือธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้กับพระโกณฑัญญะ ธาตุตัวนี้ออกมาทำกรรมกิริยา คือลหุธาตุกับมุทุธาตุของผู้ได้ฝึกมาดีแล้ว เมื่อประมาณเอาให้เหมาะควรอันนี้ จึงออกมาเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติที่พอเหมาะ นี่คือวิการรูป 5 ฝึกมาแล้วจะมาลงตรงนี้ เป็นความสำเร็จ วิการรูป 5 อยู่ในภาคของกรรมกิริยาความเคลื่อนไหว

ส่วนความเป็นต้นทุนก็คือลักขณะ 4 เป็นแกนของความมีอยู่คือ อุปจยะ จะให้เกิดลหุแค่ไหน หรือให้แรงแค่ไหน จะต่อหรือไม่ต่อ สันตติ ก็อยู่ที่ตัวเองควบคุมการต่อหรือไม่ต่อ ต่อได้ตัดได้ ตัดหรือต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าอะไรเกิดมาแล้วไม่มีอะไรจะพ้นอนิจจตา หรือชรตา สุดท้ายก็เวียนตายเวียนเกิด นี่คือลักษณะที่ย้ำ

ความรู้เช่นนี้ของพุทธก็มีไปตกในฮินดูกับพราหมณ์อยู่บ้าง แต่ก็มีเพี้ยนไปบ้าง เป็นศาสนาเทวนิยม เป็นสายที่ไม่รู้จักเทวะแต่ว่าเป็นทาสเทวะ เป็นศาสนาที่ไม่ใช่ปลายยอดของเข็ม หรือปลายยอดเจดีย์ปิระมิด นอกนั้นก็รองลงมาไม่รู้จัก พูดไปเหมือนยกตนข่มใคร แต่ไม่ได้มีจิตตัวนี้ จะพูดนี่ก็เกรงใจแล้ว 

ผู้สามารถมีฝีมือในการทำงาน เรียกว่าช่างฝีมือ แต่ของพุทธแล้วจะเป็นช่างฝีใจ เอาคำว่าฝีมาใช้ ฝีนี่มันเจ็บมันปวดนะ ช่างฝีมือคือแบบกายวาจา จะพูดจะแสดงให้มีศิลปะต้องมาจากใจ จากกายวิญญัติ มีฝีมือในการประกอบท่าทางก็ต้องประกอบด้วยใจ เป็นตัวมโนบุพพัง โดยมีสติ มีปัญญากำหนดรู้ให้พอเหมาะพอดี นี่เรียกว่าศิลปินหรือศิลปะ รู้แม้แต่ในความเป็นคนพาลหรือบัณฑิต

รูปนอกเราก็สังสรรคบหา ถ้าเราอ่อนแอ เรารู้ตัวเอง คนมีสัปปุริสธรรม 7 จะรู้ตัวเองดี คนไม่มีสัปปุริสธรรมจะประมาณตนไม่เป็น ถูกคนอื่นครอบงำเอา คนมีความรู้ตนจะระมัดระวังตน ว่าเราอ่อนแอ เราไปอยู่ในหมู่ของคนไม่ดีเราจะถูกครอบงำก็จะถอนตัว เราไปอยู่ในหมู่ที่ดี ก็จะรู้ประมาณว่าคนไหนควรคบ ถ้าตัวต่อตัวเราแพ้เขา ยิ่งเขามีหมู่ด้วยเราก็ยิ่งแพ้ เราก็ควรห่างมาหาหมู่ที่ควรคบ นี่คือเบื้องต้นในศิลปะความเฉลียวฉลาด ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต เราก็จะรู้คนควบคบควรนับถือ รู้คนควรบูชาเป็นมงคลข้อที่ 3

พระพุทธเจ้าท่านพยายามเรียบเรียงคำสอนออกมา จึงเป็นเรื่องสัจจะที่ทำให้คนเอามาใช้ศึกษา เอามาใช้ปฏิบัติฝึกฝนตนเองครบหมด ก็ขอแวะตรงนี้ว่ามงคล 38

 มงคล คือเหตุหรือภาวะ หรือธรรมะที่พาไปสู่ความเจริญ มงคล 38 คือเหตุที่พาไปสู่ความเจริญ แค่คบคนพาลก็ไม่รู้ได้ง่าย คนหลอกว่า ฉันไม่พาลนะ ฉันเป็นบัณฑิต ลึกๆรู้กันทั้งนั้นว่าเราไม่ควรเป็นคนพาล แสดงออกก็แสดงออกกลบเกลื่อน เอาบัณฑิตมาแสดงออก แต่แกนจิตเป็นพาล เมื่อเรารู้ว่าไหนพาลไหนบัณฑิต รู้แล้วก็ต้องเลือกคนเลือกหมู่ เลือกคนผิดก็ไปอยู่กับผิด ใครก็ตามที่เป็นเพื่อนเราแล้ว ถ้าเราคบเพื่อนชั่วก็พาไปเข้ากลุ่มชั่ว ในกลุ่มก็มีหัวหน้ากลุ่ม เป็นผู้ฉลาดกว่าเพื่อน ฉลาดทางโลกเป็นหัวหน้าใหญ่ก็เบ่งอำนาจ ฉลาดทางธรรมไม่เบ่งอำนาจ มีกายวาจาใจเมตตาเกื้อกูลทำงานอย่างสมหน้าที่ ใครไม่รู้จักก็ให้ดูอย่างในหลวงเราที่ท่านทรงใช้เมตตามาตลอด แล้วมีพระจริยวัตรที่ไม่ได้เบ่งอำนาจเลย

ข้อ 1 ถึง 14 เป็นสถานะที่รู้จักตัวเอง จัดการตนเอง

ข้อ 14 เป็นการทำงานที่ไม่คั่งค้าง คือให้เกิดคุณค่าของงาน ไม่บกพร่องไม่จบไม่เสร็จไม่สมบูรณ์ไม่มีคุณภาพที่พอใช้งานได้ อย่างเช่น เราสร้างพระวิหารพันปี เราทำงานคั่งค้างเป็น อากุลา จ กัมมันตา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันอมงคล ไม่ใช่เป็นมงคล ก็พยายามเข็นกัน แต่มันก็ไปไม่ได้ พยายามช่วยกัน ก็ต้องคิดว่าอีกไม่นานนักก็ต้องเร่งทำให้เสร็จ นี่เป็นตัวอย่างเตือนสติ ว่าพวกเราไม่มีมงคลแม้ข้อที่ 14

ข้อ 15 รู้จักทาน

พอมาถึงข้อ 31 ก็เรียนรู้จักกิเลสแล้ว ตโปจะ ถ้าไม่รู้จะเผากิเลสแบบเทวนิยม เดรัจฉานวิชา จนมาถึง 32 ก็แบ่งเขตโลกุตระไปถึง 38 เลย ตั้งแต่ข้อ 14 ไปเป็นกัลยาณธรรม ไปข้อ 15 ก็เป็นกลางๆของกุศลธรรม จนถึง 31 ก็ประพฤติพรหมจรรย์

ศิลปะต้องรู้ความเป็นโลก คือข้อ 1 - 14

ข้อ 15-31 คือกัลยาณธรรม เป็นความดี เป็นกุศล

ข้อ 32 ไปเรื่อยๆ จนถึง 38 ก็เป็นโลกุตระสูงสุด

สรุปแล้วสามอย่างนี้ ทั้งโลก ส่วนที่ดีส่วนกลาง และดีในระดับอุตตมะ โลกุตระ ผู้รู้กรรมกิริยา รู้องค์ประกอบที่จะจัดการชีวิต ตั้งแต่คบคน ไม่คบพาล คบบัณฑิตจนถึงปรมัตถ์ จนตนสามารถอยู่เหนือโลกได้ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ สัมผัสกับโลกธรรมแต่จิตตนไม่หวั่นไหว

คนไม่มีความรู้แม้มงคลข้อ 1-14 นี่ก็ยาก ข้อ 14​ นี้ ตนก็จัดการกรรมของตนไม่ได้ก็ถูกโลกหลงครอบงำ หลงจัดจ้าน โดยการอากูลกรรมที่สั่งสมความจัดจ้าน เช่น ดิ่งไปทางสวยก็จะอากูลกรรมไปทางสวย เน้นสวยจัดไปหมด หลงความเพราะ หลงความหอม หลงรสทางลิ้น หลงสัมผัสเสียดสี กระแทกกระทบกระเทือน พวกนี้ชอบต่อสู้ ยิ่งเก่งในการทนได้อย่างพวกกังฟู มันเลยเถิด หลง ฝึกได้ก็เก่งเกินมนุษย์ พวกแรง ไม่เข้าใจความพอเหมาะในคน ไม่เข้าใจความเป็นกลาง ไม่มีมงคล

ข้อ 32 ถึง 38 จะเป็นโลกุตระ เรียนรู้ฉฬายตนะ

 

ศิลปะไม่มี-ไม่เกิดในโลก ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีธาตุรู้ ต้องมีความรู้-มีธาตุรู้ด้วยเป็นหลัก

          หากมีความรู้สามัญโลกีย์ ก็มีความรู้ดี-รู้ชั่ว รู้ควร-ไม่ควรตามภูมิโลกีย์ ไม่ใช่ความรู้ขั้นภูมิโลกุตระ

และถ้ามงคลอันอุดมต้องเป็นความฉลาดชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างซี่อสัตย์(ปัญญา)ในการปรุงแต่งให้แก่อายตนะ 6 ตามความเหมาะสมดังสาธยายมานั้นด้วย

          จะไม่เป็นความฉลาดแกมโกงหรือไม่ซื่อสัตย์ที่บาลีว่า เฉกหรือเฉโกเด็ดขาด

          ต้องแยกความฉลาดที่เป็นโลกีย์ คือเฉกา กับความฉลาดที่เป็นโลกุตระ ให้ชัดเจน ความฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์-ไม่สุจริต ถึงจะฉลาดให้เก่งยอดอย่างไรก็ไม่เรียกศิลปะโลกุตระ

          เพราะความฉลาดนั้นทุจริต โกง หรือรู้ผิด เพราะมันจะประกอบไปด้วยกิเลสมาบงการอยู่แท้ๆ

          ยิ่งไม่เกี่ยวกับฉฬายตนะเลย ก็ไม่ได้ศึกษากิเลสเลย นั่นแหละคือเฉก-เฉโกหรือเฉกาชัดๆ

          เฉกา ไม่เกี่ยวกับ ฉฬายตนะ แต่ก็หมายถึงความเฉลียวฉลาดในความหมายของภาษา ซึ่งเป็นภาษาบาลี ที่มีความหมายว่าความเฉลียวฉลาดโลกีย์

          ทว่าไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดที่กร่อนมาจากฉฬายตนะ จึงเป็นความเฉลียวฉลาดที่ประกอบด้วยกิเลส อย่างหนักหน้า นั่นคือ ยิ่งเฉลียวฉลาด ก็ยิ่งรู้ทันได้ยาก ยิ่งโกง ยิ่งทุจริตมาก เห็นได้ชัดเจน ใช่มั้ย

          บาลีนั้นแบ่งภาษาที่ใช้กับความเฉลียวฉลาดเป็น 2 คำไว้อย่างชัดเจน คือคำว่า เฉกา กับ ปัญญา

          เฉกานั้นเป็นความเฉลียวฉลาดแกมโกงเพราะมีกิเลสร่วมด้วยเสมอ จึงเป็นความฉลาดไม่สุจริต

ส่วนปัญญานั้นเกิดจากการปฏิบัติธรรมที่สัมมาทิฏฐิจึงจะเกิดปัญญา(เกิดความเฉลียวฉลาดโลกุตระ) ซึ่งปัญญาจะเกิดได้ ต้องเกิดจากการปฏิบัติพุทธธรรมตามองค์ 6 ได้แก่ ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาผล-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง (พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258)

          ความเฉลียวฉลาดโลกุตระจึงเป็นอื่นไปไม่ได้ต้องเกิดจากฉฬายตนะหรืออายตนะ 6 ต้องปฏิบัติตามหลักปฏิจจสมุปบาท ในวิภังคสูตร (พระไตรปิฎก

เล่ม 16 ข้อ 4-18 เฉพาะอายตนะ 6 อยู่ที่ข้อ 13) และต้องสุจริต รู้ถูกแท้-ตรงแท้-ซื่อสัตย์แท้ ตามฐานานุฐานะแห่งความเป็นอาริยะนั้นๆ

          ปัญญาจึงหมายถึงความเฉลียวฉลาดที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้า ตั้งแต่เริ่มเฉลียวฉลาดโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิเป็นต้นไป แล้วสั่งสมขึ้นเป็นปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาผล เมื่อปฏิบัติมรรค 7 องค์และมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์กำจัดกิเลสได้ไปตามลำดับ ก็มีญาณทัสสนะ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงไปตามตลอดสาย ที่สุดรู้แจ้ง รู้จบ เป็นวิมุติญาณทัสสนะ

          และขอย้ำอย่างสำคัญอีกคือ การรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงนี้ต้องเป็นสภาวะที่มีอยู่-เป็นอยู่(วิหรติ)ในปัจจุบัน

          ฉฬายนตะ มาจากคำว่า ฉ หรือ ฉฬ(ฉล)ที่แปลว่า 6

          กับคำว่า อายตนะ ที่แปลว่า ภาวะที่เกิดขึ้นมาทำงานเชื่อมให้แก่รูปกับนามเท่านั้น มันไม่เกิดกับอะไรอื่น และเมื่อเกิดขึ้นให้แก่รูปกับนามหรือให้แก่กาย เสร็จแล้ว-หมดหน้าที่ลง มันก็หายตัวไป

          อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน อายตนะไม่เหลืออยู่เป็นภาวะอีกเลยหลังจากหมดหน้าที่ทำงานเชื่อมให้แก่รูปกับนามเสร็จแล้ว(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 158)

          ผู้มีความรู้ที่ฉลาด(ฉฬายตนะ)ที่เป็นปัญญาจึงต้องมีธรรมะ 2 เสมอ ธรรมะ 2 นี้คือกาย คือองค์รวมที่มีรูป(สิ่งที่ถูกรู้=object) กับนาม(ธาตุรู้ของคน=subject) เป็นธรรมะตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ที่มีการกระทบกัน(สัมผัส)เข้า และต้องเป็นธาตุรู้ขั้นจิตนิยามด้วยจึงจะเรียนรู้ความรู้ที่เป็นขั้นศิลปะได้

          จึงจะเกิดการเปรียบเทียบกันขึ้น ด้วยการรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดีหรือชั่ว ลึกหรือตื้น สูงหรือต่ำ ดำหรือขาว สวยหรือขี้เหร่ มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า ปรุงแต่งกันหรือไม่ปรุงแต่งกัน ฯลฯ เป็นต้น

          ศิลปะขั้นโลกียะ สามารถกำหนดกันตามสมมุติว่า นี้สวย-นี้ขี้เหร่ นี้ดี-นี้ไม่ดี นี้ชั้นสูง-นั้นชั้นต่ำ เป็นต้น แล้วต่างคนต่างยึด โลกียะกำหนดกันอย่างนี้ แล้วยึด แล้วก็เบื่อ แล้วก็วาง หรือเปลี่ยนไปได้อยู่ ไม่จบสิ้นถาวรยั่งยืน จึงชื่อว่าอนิจจัง แม้จะเป็นขั้นสูงหรือขั้นรู้จัก จิต-เจตสิก-รูป ได้ก็ตาม ก็เป็นปรมัตถ์ที่ไม่จบสิ้นเด็ดขาด จะเวียนกลับขึ้นมาอีกจนได้ แม้จะนานแสนนานเท่าใดๆก็ไม่มีจบนิรันดร

          ส่วนปรมัตถ์ขั้นหลุดพ้นจากความเป็นโลก(ความหมุนวน)ที่เป็นโลกียะนั้น คือ ผู้เห็นความแตกต่างของโลกียะกับโลกุตระ และมีปัญญารู้ จบลงสนิทเด็ดขาดขั้นเที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดกาล(สัสสตะ) ไม่เปลี่ยนแปลงอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) เป็นการจบที่นิรันดรเด็ดขาด

          เป็นโลกใหม่ซึ่งเป็นโลกุตรภูมิ ที่หลุดพ้นไปจาก สุข-ทุกข์ เลิก เกิด-ดับ กันเด็ดขาด ได้ชนิดที่มีนิโรธอยู่อย่างเห็นๆรู้ๆแจ้งๆ หรือมีนิโรธที่ประกอบไปด้วยปัญญาขั้นญาณทัสสนะวิเศษขั้นอุภโตภาค หมายความว่า เห็นๆรู้ๆแจ้งๆ(สัจฉิ)ในความแตกต่างกันของนิโรธที่เป็นโลกียะ-นิโรธที่เป็นโลกุตระ เพราะผู้นี้บรรลุนิโรธที่เป็นนิโรธโลกุตระในตนได้จริง

          โลกียภูมิก็สามารถทำให้ไม่สุข-ไม่ทุกข์(อทุขมสุข) หรือไม่เกิด-ไม่ดับ(นิโรธ)ชั่วครั้งได้ ครั้งที่มีระยะยาวนาน จะยาวนานขนาดไหนก็ไม่ยาวนานนิรันดรจริง

          ศิลปะจะสามารถเห็นความแตกต่างกัน(ลิงคะหรือเพศ)ของสิ่งต่างๆ เช่น จึงจะชื่อว่าศิลปะ โดยเฉพาะเห็นความแตกต่างกันของศิลปะที่เป็นโลกียะกับโลกุตระ เช่น เห็นเวทนา..เคหสิตะ-เนกขัมมสิตะ

          การเห็นอาการในจิตที่เรียกว่า เคหสิตเวทนา กับอาการในจิตที่เรียกว่า เนกขัมมสิตเวทนานี้แหละคือ หทัยรูป

          หทัยรูปคือ ที่สำหรับคิดหรือที่สำหรับรู้สึก ในภาษาไทยเรียกว่าใจ ภาษาบาลีว่าจิต 89 หรือเจตสิก 52 เป็นต้น

ซึ่งเป็นอาการคิดหรืออาการรู้สึก ที่เราสามารถสัมผัสจับอาการนั้นได้ด้วยปัญญาหรือด้วยญาณของเราในตัวเรา เห็น(ปัสสติ)อาการนั้นอยู่ตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละคือ หัวใจ ที่เรียกด้วยภาษาว่า หทัย

          หทัยรูปจึงสามารถรู้(ชานาติ) หรือเห็น(ปัสสติ) ด้วยญาณ-ด้วยปัญญา-ด้วยสัญญา-ด้วยวิชชา

          หทัยรูปจะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา(จักษุ)ภายนอกเด็ดขาด แม้จะเรียกว่าหทัยวัตถุ ก็จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา(จักษุ)ภายนอกเด็ดขาด

          ต้องเห็นด้วยญาณ-ด้วยปัญญา-ด้วยสัญญา หรือด้วยวิชชาเท่านั้น

          หรือแม้ภาษาว่าหทัยมังสะ ก็ไม่ได้หมายความว่า ใจหรือจิตนั้นจะเห็นร่างที่มีเนื้อหนังที่เป็นธาตุดิน,น้ำ,ไฟ,ลม หรือมีสรีระให้เราสัมผัสได้ มันมีแค่อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศเท่านั้นที่จะกำหนดรู้เอาเองตามอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ

          มันไม่มีรูปร่างหรือไม่มีเนื้อหนังที่ประกอบกันขึ้นจากธาตุดิน,น้ำ,ไฟ,ลมมีรูป มีร่าง มีเส้น มีสาย มีสี มีแสง ให้เห็นด้วยสภาพมีร่างหรือมีสรีระอะไรเลย

          แต่มังสะในที่นี้ มันหมายถึงเนื้อหา-เนื้อแก่น-เนื้อสาระของภาวะนั้นๆ อันเป็นนามธรรมเท่านั้น

          หทัยเป็นนามธรรม มันเป็นอรูปธรรม จริงๆ

          ดังนั้น ผู้จะรู้หรือจะใช้สำนวนว่าเห็น(ปัสสติ)ได้ จึงเห็นได้หรือรู้ได้ด้วยอาการ ไม่ใช่เห็นเส้นแสงสีสันรูปร่างใดๆ โดยการพยายามกำหนดหมาย เข้าไปที่สภาวะที่สัมผัสนั้นซึ่งเป็นนามธรรมให้รู้ชัดๆ(นิมิต)ด้วยประสิทธิภาพของนามธรรมของตนเองนั่นเองที่เรียกว่าสัญญาผู้ทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ได้ยิ่งขึ้นๆ

          ถ้าสัญญานี้สามารถมากขึ้นเจริญขึ้นๆก็เรียกตัวรู้ตัวนี้ว่าปัญญา ปัญญาที่เจริญขึ้นๆก็เป็นปัญญินทรีย์ แล้วปัญญินทรีย์ที่เจริญขึ้นๆๆๆๆๆจนถึงที่สุดก็เป็นปัญญาพละ ก็เป็นผลสูงสุด

          หทัยมังสะจึงไม่ใช่จะพาซื่อว่า หมายถึงเนื้อที่เป็นชิ้นเป็นส่วนของธาตุดินน้ำไฟลมที่รวมตัวกันเป็นก้อนเนื้อ-แท่งเนื้อ แล้วเข้าใจผิดว่า หทัยมังสะคือก้อนเนื้อที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะหทัยมังสะคือนามธรรม

          หทัยมังสะนี้เป็นนามธรรม ก็ต้องหมายถึงธาตุรู้ แล้วมันจะไปเป็นก้อนเนื้อที่ทำหนัาที่สูบฉีดเลือดเลี้ยงร่างกายยังไงกัน?

          หทัยรูปนั้น คือ ภาวรูปที่ปรากฏขึ้นเมื่อปสาทรูปกับโคจรรูปทำงานปฏิฆสัมสัมผัสกันเข้าเป็นผัสสะ 3 เกิดวิญญาณ(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 161-167) และข้อ 230 วิญญาณจึงเรียกว่ากาย ซึ่งเป็นนามกายบ้าง รูปกายบ้าง(หรือเล่ม 10 ข้อ 60)

          ถ้าบอกว่าหทัยมังสะคือ สมอง ก็ยังพอจะฟังได้บ้าง เพราะสมองเป็นวัตถุปกรณ์ให้นามธรรมคือจิตวิญญาณนี้แหละอาศัยทำงาน ไม่ใช่ก้อนเนื้อหัวใจ

          เพราะก้อนเนื้อสูบฉีดโลหิตนั้นเป็นวัตถุปกรณ์ ที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย มันเป็นส่วนของรูปธรรมต่างหาก โลหิตเป็นงานหน้าที่ของหัวใจ

          จับสภาวะของปรมัตถสัจจะให้ถูกต้อง ให้แม่นๆคมๆ ชัดๆเถิด อย่าสับสนเป็นอันขาด

          หรือคำว่า “วิมังสา”ก็เป็นเรื่องของ “ธาตุรู้”เป็นเรื่องของ “นามธรรม” “วิมังสา”ไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือไม่ใช่ “รูปธรรม” วิมังสาก็ไม่ได้หมายถึง “ก้อนเนื้อ” แต่เป็น “ธาตุรู้”ที่ทำหน้าที่คั้นเอา “เนื้อๆ”ของสาระนั้นๆที่แปลกันว่า การไตร่ตรอง,การตรวจสอบ,การพิจารณานั้นแหละ คือ งานที่ไตร่ตรองตรวจสอบเอาแก่นเนื้อแท้

          อธิบายคำว่า “วิมังสา”มาแล้ว ขออธิบายคำว่า “วิมาน” กับคำว่า “อัตตวาทุปาทาน” เติมอีกหน่อยเพื่อจะได้เสริมมุมแง่ของสภาวธรรม ของบัญญัติภาษาที่แพร่หลายรู้ๆกันอยู่ทั่วไปนี้ให้แม่นๆ ตรงๆ ชัดๆ

           “วิมังสา”หมายถึง เนื้อหาสาระอย่างยิ่ง ส่วน “วิมาน”นั้นหมายถึง ชาติหรือภพที่จะสร้างลมๆแล้งๆขึ้นมา จินตนาการที่ปั้นขึ้นมาอยู่ในอนาคตเพ้อๆฝันๆ

          นักค้า “บุญ”ขาย “บุญ”ทั้งหลาย สร้าง “วิมาน”นี้เอง หลอกล่อคนทั้งหลายกันอยู่เต็มสังคม โดยพูดกันจริงโม้กันจังว่า “บุญ”คือ “วิมาน”หวานๆที่คน “อยากได้” ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญโลกียสุข(สุขเท็จ) หรือเป็น“ตัวตน”(อัตตา)ที่เป็นภพเป็นชาติอยู่ในอนาคต

          ส่วนคำว่า “อัตตวาทุปาทาน”นั้น หมายถึง“อัตตา”(ตัวตน)ของคนผู้ยึดถือนั้น มีแค่เพียง “คำพูด” เท่านั้น มีแค่ “อัตตา”(อาตมัน)กันอยู่แต่ใน”วิมาน”ในฝันเท่านั้น เจ้าตัว “ไม่ได้สัมผัสสภาวธรรมที่จริง”เลย

          ผู้ที่ไม่เรียนรู้ความเป็น “อัตตา” ไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็น “รูปกับนาม”หรือความเป็น “กาย” ก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือจะไม่สามารถได้ “สัมผัส”สภาวะจริงของ “นามธรรม”ต่างๆที่อธิบายมาต่างๆนี้กันได้แน่แท้เลย พระเจ้าจริงๆองค์เล็กๆเรียกว่าพระโสดาบัน

          เพราะไม่ “ฉลาด”ที่เป็น “ปัญญา” “ฉลาด”แต่ที่เป็น “เฉกา”หรือ “เฉโก”

          จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 14:23:18 )

590409

รายละเอียด

590409_ทวช.ปลุกเสกฯ#40 บ้านราชฯ เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน5

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ ตอน 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันสุดท้ายของงานปลุกเสกฯพระแท้ๆของพุทธ แล้วนี่จะติดปีกบินนะ เป็นพระนี่เขาบินไปด้วย มีบาตรบริหารท้อง มีจีวรบริหารกาย ไปทิศาภาคใดก็บินไปได้ทุกทิศเหมือนนกปีกแข็ง

วันนี้เสาร์ที่ 9 เมษายน 2559 เป็นเลขกุศลเลขคี่ทั้งนั้นเลย ปี้นี้เป็นปีที่บ้านราชฯปลูกแตงโม แตงไท ข้าวโพด ได้กินกันบ้างไหม นี่แหละบ้านราชฯนี่เราจะพิสูจน์ว่าเป็นเศรษฐกิจที่โลกต้องการ อยู่กับอย่างอบอุ่น ไม่มีแย่งชิงรบราฆ่าฟันไม่ฟ้องร้องหรือโกงกัน เป็นเศรษฐกิจเช่นนั้น

การเมืองก็อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ใครขาดแคลนก็เกื้อกูลกัน เป็นเรื่องจิตวิญญาณ พุทธพจน์ 7 ทั้งนั้น

ระลึกถึงกัน รักกัน แน่นอนผู้มีกามอยู่ก็มีบ้าง แต่ไม่จัดจ้านไม่เร่งร้อนปลุกเร้าเกินการณ์ แล้วมีสำนึกตัวรู้ว่าแม้มีกาม แต่ถ้าหมดกามได้เป็นมงคลยิ่งกว่า ก็พากเพียรไป มีความรักกัน เคารพกันอย่างมีปัญญา เคารพคนควรเคารพ เริ่มตั้งแต่เคารพตามวัย ความรู้ สามารถ ตามสมมุติ ก็รู้ว่าเราจำเป็นต้องเคารพ มีปัญญารู้ ไม่ขัดแย้งเลย มีน้ำใจเกื้อกูล แบ่งแจก เพราะจิตหมดอัตตา หมดอาตมัน ไม่เห็นแก่ตัวไม่ขี้เกียจ ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร ไม่ทะเลาะวิวาท อบอุ่น เป็นเอกีภาวะแท้จริง เป็นเอกภาพแต่แตกต่างกันอย่างกลมกลืน

เป็นสังคมที่โลกต้องการ คนต้องการ แสวงหากันทั้งนั้น ชาวอโศกมาเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ยืนยันได้ เราพยายามจะยืนยันตามสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง ก็อยู่กันอย่างบริหารโดยไม่บริหาร ปกครองโดยไม่ต้องปกครอง รู้สิ่งควรทำก็ทำ ต้องทำก็ทำ ไม่ต้องมีใครสั่งการใคร มีปัญญาเพียงพอเฉลียวฉลาด เพราะฉลาดในการรู้เท่าทันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้รูปนามมีตัว analysis เป็นธาตุจิตแววไว เข้าใจ sensible สามารถปรับใจได้ไว ปรับกาย วาจาได้ไวด้วย เป็นมุทุภูตธาตุแท้จริง จึงมีกัมมัญญตา ที่เหมาะสมเสมอ มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4​

แม้แต่ด้านกสิกรรม วิศวกรรม สื่อสารสนเทศ ที่โลกเขาต้องใช้ เราก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร แล้วไม่ทำเพื่อล่าลาภยศขูดรีดทำร้ายคนอื่น เราไม่ทำกรรมเราเป็นบาปเป็นภัย เรามาร่วมกันพยายามพิสูจน์สิ่งนี้ให้ได้ อีกสักประมาณ 40 ​วันจะถึงอโศกรำลึกที่สันติอโศก

ถ้าพวกเราถือว่าเป็นมือปลูกชั้นเทพ มาวางแผนปลูกพืชผักที่บ้านราชฯ ที่บำรุงดินไว้ดีแล้ว ปลูกครั้งที่สอง ตอนนี้เราเหลือปลายหางแตงโม แตงกวา แตงไท เรารื้อแปลงนี้เสร็จต่อเลย ทุกที่เขาแห้งแล้งหมดแล้ว แต่ของเราไม่มีคำว่าแห้งแล้ง แต่ขยันหน่อยเดียว ยิ่งมารวมกันก็ยิ่งเบาแรง ความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน พระพุทธเจ้าว่าทุกอย่างสำเร็จหมด เราจะมีพืชพันธ์ุธัญญาหารไปฉลองกันที่สันติอโศก

อ.เป็นต้น รู้สึกว่าจะ appreciate มากไปหน่อยนะแต่งทั้งร้อยแก้วร้อยกรองมา และมีของอโศกสัมปวังโกด้วย

 

รุ่งอรุณรัตนราชธานี….

ชีวิตนี้ไม่มีอะไรๆ อยู่ไปๆก็ตายเหมือนกันหมด แล้วเราจะอาอะไรกันเล่า รู้ทั้งรู้ว่าไปมือเปล่า ความจนนี้ยิ่งใหญ่สักปานใด พระบรมศาสดาทรงเป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลนี้ หวังว่าท่านคงจะมาจนด้วยกันที่นี่

จริงใจไมตรี อาจารย์เป็นต้น นาประโคน

 

อโศกสัมปวังโกบอกว่าปฏิบัติวิปัสสนาอาศัย กาย

คำว่า กาย ถ้าไม่เข้าใจแต่ต้น จบเห่ กาย เอาพจนานุกรมบาลีมาเปิดอ่านเลย จะได้เข้าใจชัดๆ

กาย แปลว่ากอง ฝูง หมู่ ประชุมกัน กายเป็นนามธรรม หมายถึงหมวดแห่งเจตสิกธรรม คือเวทนาสัญญาและสังขาร ยิ่งพระพุทธเจ้าว่า กายนี่เราเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง

กายกรรม พอพูดแล้วคนไทยก็ว่าคือภายนอก มือไม้ร่างนอก แต่ที่จริงไม่ใช่ ในพจนานุกรมฉบับนี้บอกว่าคือ การออกกำลังกาย แต่อาตมาเห็นว่ากายกรรมคือการกระทำของรูปกับนามคือเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร หรือคือรูปกับนามนั่นเองก็ยิ่งชัด

กายกัมมัญญตา คือความคล่องแห่งกาย ความเป็นของควรแห่งการงานของกองเวทนา สัญญา สังขาร

กายกัมมันตะ

กายกลิ เขาแปลในพจนานุกรมว่า กายโทษ อีกอันแปลว่าสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย ก็หมายถึงใจชั่วอยู่ในกาย แต่ถ้ากายแปลว่าร่างนอก สิ่งในร่างก็คือใจ กายกลิคือจิตชั่ว ชัดๆคือ กิเลส

กายกาสวะ คือความหมักหมมของร่างกาย ทั้งๆที่กายกาสวะ ก็ไปแปลเป็นร่างอีก คำว่า กาสวะ คือไม่ใช่ร่างนอกนะ แต่คือกองอาสวะในใจ

 

กายคต ท่านแปลว่าสิ่งที่อยู่ในกาย แต่แท้จริงคือความเป็นไปของกาย เวลาปฏิบัติต้องเรียนรู้นอกและใน แล้วไปแก้ไขที่ในเป็นหลัก แต่นอกก็แก้ด้วยไม่ยาก แต่ใจนี่ต้องมุ่งแก้ไขเลย กายคตาสติก็ต้องแก้ใจเป็นหลัก แต่เขาก็พิจารณาแต่นอกไม่เข้าใน ไม่ได้แยกกันหรอกนอกและใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

มีกายอื่นๆอีก หลายกาย

กายถาม คุณก็จะมุ่งแต่กำลังกายนอก ถามะคือกำลัง แต่ที่จริงคือกำลังจิต

กายวิการ เขาไปแปลว่า ความพิการทางร่างกายอีก ก็จะไม่เข้าใจ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา หรือกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็เข้าใจแค่รูปหยาบนอก

 

หทัยมังสะนี้เป็นนามธรรม ก็ต้องหมายถึงธาตุรู้ แล้วมันจะไปเป็นก้อนเนื้อที่ทำหนัาที่สูบฉีดเลือดเลี้ยงร่างกายยังไงกัน?
          หทัยรูปนั้น คือ ภาวรูปที่ปรากฏขึ้นเมื่อปสาทรูปกับโคจรรูปทำงานปฏิฆสัมสัมผัสกันเข้าเป็นผัสสะ 3 เกิดวิญญาณ(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 161-167) และข้อ 230 วิญญาณจึงเรียกว่ากาย ซึ่งเป็นนามกายบ้าง รูปกายบ้าง(หรือเล่ม 10 ข้อ 60)   เมื่อรูปนามปรุงแต่งเป็นนามกายแล้ว คุณมีชื่อมันไหม ชื่อความโศกเศร้าก็เรียกอาการจิตเรามีความโศกเศร้า เป็นความเสียใจก็ใช้อธิวจนะคุณเรียกชื่อตั้งชื่อรูปกายนั้น แม้สัมผัสแล้วไม่อธิวจนะ สัมผัสแล้วเสียใจก็พูดบอกว่าเสียใจ อาการสุขนี้ก็เรียก happy อธิวจนะแบบฝรั่ง ภาษาไทยเรียกว่าสุข ก็อธิวจนสัมผัสโสได้ แต่ถ้าไม่มีสภาวะฟังก็มึนเลย
          ถ้าบอกว่าหทัยมังสะคือ สมองก็ยังพอจะฟังได้บ้าง เพราะสมองเป็นวัตถุปกรณ์ให้นามธรรมคือจิตวิญญาณนี้แหละอาศัยทำงาน ไม่ใช่ก้อนเนื้อหัวใจ
          เพราะก้อนเนื้อสูบฉีดโลหิตนั้นเป็นวัตถุปกรณ์  ที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย มันเป็นส่วนของรูปธรรมต่างหาก โลหิตเป็นงานหน้าที่ของหัวใจ
          จับสภาวะของปรมัตถสัจจะให้ถูกต้อง ให้แม่นๆคมๆ ชัดๆเถิด อย่าสับสนเป็นอันขาด 
          หรือคำว่า วิมังสาก็เป็นเรื่องของธาตุรู้ เป็นเรื่องของนามธรรม วิมังสาไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือไม่ใช่รูปธรรม วิมังสาก็ไม่ได้หมายถึงก้อนเนื้อ แต่เป็นธาตุรู้ที่ทำหน้าที่คั้นเอาเนื้อๆของสาระนั้นๆ ที่แปลกันว่า การไตร่ตรอง,การตรวจสอบ,การพิจารณานั้นแหละ คือ งานที่ไตร่ตรองตรวจสอบเอาแก่นเนื้อแท้
          อธิบายคำว่าวิมังสามาแล้ว ขออธิบายคำว่าวิมาน กับคำว่าอัตตวาทุปาทาน เติมอีกหน่อยเพื่อจะได้เสริมมุมแง่ของสภาวธรรม ของบัญญัติภาษาที่แพร่หลายรู้ๆกันอยู่ทั่วไปนี้ให้แม่นๆ ตรงๆ ชัดๆ  
          วิมังสาหมายถึง เนื้อหาสาระอย่างยิ่ง ส่วนวิมานนั้นหมายถึง ชาติหรือภพที่จะสร้างลมๆแล้งๆขึ้นมา จินตนาการที่ปั้นขึ้นมาอยู่ในอนาคตเพ้อๆฝันๆ
          นักค้าบุญขายบุญทั้งหลาย สร้างวิมานนี้เอง หลอกล่อคนทั้งหลายกันอยู่เต็มสังคม โดยพูดกันจริงโม้กันจังว่า บุญคือวิมานหวานๆที่คนอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญโลกียสุข(สุขเท็จ) หรือเป็นตัวตน(อัตตา)ที่เป็นภพเป็นชาติอยู่ในอนาคต
          ส่วนคำว่า อัตตวาทุปาทานนั้น หมายถึง อัตตา(ตัวตน)ของคนผู้ยึดถือนั้น มีแค่เพียงคำพูด เท่านั้น มีแค่อัตตา(อาตมัน)กันอยู่แต่ในวิมานในฝันเท่านั้น เจ้าตัวไม่ได้สัมผัสสภาวธรรมที่จริงเลย 
          ผู้ที่ไม่เรียนรู้ความเป็นอัตตา ไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็นรูปกับนามหรือความเป็นกาย ก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือจะไม่สามารถได้สัมผัสสภาวะจริงของนามธรรมต่างๆที่อธิบายมาต่างๆนี้กันได้แน่แท้เลย
          เพราะไม่ฉลาดที่เป็นปัญญา ฉลาดแต่ที่เป็นเฉกาหรือเฉโก
          ขอกลับไปชี้ชัดคำว่า ฉลาดกันอีกที
          คำว่า ฉลาดที่เป็นคำไทยนั้น เป็นสำเนียงของภาษาที่กร่อนเพี้ยนมาจากคำว่า ฉลายตนะ(อายตนะ 6)
          กล่าวคือ อายตนะ 6 ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น, กาย,ใจ กับรูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ,ธรรมารมณ์ เมื่อกระทบกัน หรือสัมผัสกัน ก็เกิดสภาพที่ 3 ขึ้นมาเป็นธาตุรู้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ธาตุรู้นี้แหละว่าวิญญาณ(หรือจิตหรือมโน)
          จากออกเสียงว่า ฉลายะตะนะ จากธาตุรู้ที่เกิดจากทวาร 6 นั้นก็กร่อนเพี้ยนไปจากฉลายะตะนะ เป็นฉลัต-เยอ-เตอ-เนอะ แล้วสุดท้ายก็กร่อนเป็น..ฉลาต หางที่ว่าเยอ-เตอ-เนอะกร่อนหายไป เหลือแต่คำว่า ฉลาดเท่านั้น เป็นภาษาไทยบริบูรณ์
          คำว่า ฉลายตนะจากบาลี กลายตัวมาเป็นฉลาดภาษาไทย ด้วยประการฉะนี้  
          ศิลปะต้องมีการเปรียบเทียบกันขึ้น ของอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ ดังนั้น ศิลปะจึงรู้จักค่าของความดี-ชั่ว, ผิด-ถูก, สูง-ต่ำ, มาก-น้อย, ลึก-ตื้น, ดำ-ขาว, มืด-สว่าง, ทึบ-ใส, สวย-ไม่สวย, ควร-ไม่ควร, เสื่อม-เจริญ, ประเสริฐ-ไม่ประเสริฐ, สมมุติสัจจะ-ปรมัตถสัจจะ, โลกียะ-โลกุตระ, มี-ไม่มี, มิจฉา-สัมมา, ปุถุชน-
กัลยาณชน, กัลยาณชน-อาริยชน, ปุถุชน-อาริยชน, เกิด-ดับ, เที่ยง-ไม่เที่ยง, ทุกข์-ไม่ทุกข์, สุขโลกีย์-สุขโลกุตระ, เท่ากัน-ไม่เท่ากัน, นิโรธ-วิมุติ, อัตตา-อนัตตา ฯลฯ

จะรู้คู่ของความต่างกัน แยกแยะออกหมด
          คุณเพชรดินฟ้า กล่าวถึง สุริยุปราคา ที่จันทราดวงเล็กๆ บังอาจบดบังแสงของสุริยาดวงใหญ่ แล้วถามว่า พอจะเรียกว่าศิลปะบนท้องฟ้าได้ไหม?  
          ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์หรือดวงดาว แม้แต่อุกกาบาต มันไม่มีธาตุรู้ โดยตัวมันเอง มันไม่มีสิทธิ์เป็นศิลปะหรอก มันเป็นธรรมชาติเท่านั้น มันก็โคจรไปตามธรรมชาติ แม้ธาตุรู้ระดับสัตว์มันก็ไม่มีศิลปะ ต่อให้เป็นคนแล้วก็ใช่ว่าจะทำศิลปะเป็นทุกคน เพราะคนที่ไม่มีความรู้ว่าศิลปะคืออะไร อย่างถูกต้อง ทำได้แต่แค่อนาจาร หรืองานช่างแค่นั้น
          แต่ปฏิภาณของคนที่เห็นสุริยุปราคา แล้วเกิดไหวพริบเข้าใจในความไม่เที่ยง ความไม่ใหญ่-ไม่เล็ก ก็นับว่าเป็นศิลปะได้ เมื่อผู้นั้นเข้าใจแล้วเกิดความละหน่ายคลายขึ้นได้จริง อันเป็นนามธรรมในผู้สัมผัส
          ความเป็นศิลปะก็ชื่อว่าเกิดขึ้นที่ใจของผู้สัมผัสวัตถุรูปนั้น
          ความหมายของคำว่าศิลป์หรือศิลปะตรงๆ ไม่ใช่รูปวัตถุ แต่เป็นนามธรรม ศิลปะจึงได้แก่ความรู้สึกของคนเมื่อได้สัมผัสรูปวัตถุนั้น
          ถ้ารูปวัตถุใดเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด(มงคลอันอุดม) รูปวัตถุนั้นก็นับว่า เป็นองค์ประกอบของศิลป์ได้ คนที่สัมผัสรูปวัตถุนั้นก็ได้เกิดผลที่ชื่อว่าศิลปะ แต่รูปวัตถุนั้นไม่ใช่ตัวศิลปะนะ เป็นได้แค่สิ่งที่ประกอบกันขึ้น(composite)
และมีประสิทธิภาพถึงขั้นทำให้คนมาสัมผัสแล้ว เกิดความรู้สึก(นามธรม)ที่เป็นความเจริญอันสูงอันสุดได้
          เช่น สุริยุปราคาที่คุณเพชรดินฟ้าได้สัมผัสมานั้น ศิลปะเกิดกับคนคือคุณเพชรดินฟ้า แต่สุริยุปราคาไม่ใช่ผลงานของคนที่เรียกว่างานศิลปะ มันเป็นแค่ภาวะที่ประกอบกันอยู่ (composite) หรือเป็นสมบัติธรรมชาติธรรมดาเท่านั้น แต่ความเป็นศิลปะเกิดขึ้นที่คน ความเป็นศิลปะจึงขาดความเป็นคนร่วมเป็นองค์ประกอบศิลป์ (composition) ไม่ได้ โดยเฉพาะศิลปะโลกุตระ จะต้องเกิดขึ้นด้วยปัญญาที่เป็นอาริยภูมิ 
          หรือใครก็ตามที่ได้สัมผัสคนเปลือยร่างแท้ๆ แม้จะเป็นนางแบบที่เขาไม่ได้เจตนาจะทำให้คนลดกิเลสเลย นางแบบก็ทำจริตบิดกายเจตนาให้คนเกิดกิเลส คนผู้อวิชชาเมื่อสัมผัสเข้าเกิดกิเลสกามกระฉูดด้วยซ้ำ แต่คนบางคนเกิดความละหน่ายคลาย กิเลสลดจริงในใจจริง ซึ่งชี้ชัดว่าเกิดที่ภูมิปัญญาเป็นอาริยะของคนผู้นั้นๆจริงๆ สามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งๆที่รูปวัตถุนั้นส่อไปในทางก่อกามคุณเป็นสุภสำหรับคนปุถุชนแท้ๆ แต่กลับส่งผลให้ผู้ที่มีภูมิอาริยะจริง ลดละหน่ายคลายกิเลสลงได้ เหมือนกับคนบางคนที่สัมผัสร่างคนตายที่เน่าเปื่อยอันมีลักษณะส่อไปในทางอสุภะ

คนหนึ่งสัมผัสแล้วกิเลสกระฉูด แต่อีกคนหนึ่งสัมผัสแล้วกิเลสหดเลย นี่คือศิลปะ แต่การให้กิเลสกระฉูดคืออนาจาร

คนอวิชชาสัมผัสคนเปื่อยเน่าแล้วก็เกิดกิเลสผลัก เกลียดชังได้ มันไม่กลาง คนที่เจอคนเปลือยก็กลาง เจอคนเน่าก็กลางคืออาริยชน
          ดังนี้ก็เป็นรายละเอียดที่ต้องมีความรู้ที่สามารถรู้ความจริงขั้นสูงยิ่ง(ปรมัตถธรรม)กันได้ สำหรับผู้มีภูมิปัญญาที่พ้นอจินไตยขั้นนั้นๆได้แล้ว   
          แต่ถ้ารูปวัตถุใดเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเสื่อม รูปวัตถุนั้นก็นับว่าเป็นองค์ประกอบของอนาจาร รูปวัตถุนั้นก็นับว่าเป็นองค์ประกอบของวิสูกะไป
หากมีคนไปสัมผัสรูปวัตถุนั้น ก็ได้เกิดผลที่ชื่อว่า ข้าศึกแก่กุศล ก็เป็นเหตุนำพาสู่ความเสื่อม ซึ่งไม่เป็นมงคลแค่ขั้นสามัญด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดไปถึงมงคลอันอุดม ที่เป็นความเจริญขั้นสูงระดับโลกุตระเลย
          แม้แต่งานศิลป์ใดก็ตาม ที่ผู้สร้างนั้นเจตนาจะให้เป็นมงคลอันอุดมแท้ๆ แต่คนผู้ไม่มีภูมิปัญญาพอ สัมผัสเข้าแล้วก็เกิดจิตใจอกุศลขึ้น กลายเป็นชิงชัง กลายเป็นยิ่งโกรธเคือง กิเลสยิ่งอาฆาตมาดร้ายเพิ่มขึ้น ก็เพราะคนผู้นั้นมีพื้นจิตที่มีอกุศลจิตที่ร้ายยิ่ง ก็เป็นเช่นว่านี้ได้ มีความจริงนี้ให้เห็นเป็นอยู่
          ดังนั้น คนผู้ไม่มีภูมิธรรมที่เป็นศิลปะใดๆเลยนั้น ยังมีจิตใจเป็นคนอบายภูมิอยู่ด้วยซ้ำ ก็จะผลิตกรรมกิริยา หรือทำท่าทางสุ้มเสียงสำเนียงสรรหาคำพูดแสดงออกก็เป็นอัปมงคล(ไม่เป็นเหตุอันนำพาเจริญ)ได้จริงเช่นกัน 
          เพราะแค่มงคลคือเหตุนำไปสู่ความเจริญขั้นที่ยังไม่ถึงขั้นธรรมดาอะไรเลย ก็ยังไม่ได้ รูปวัตถุนั้นจึงไม่ใช่งานศิลปะแน่ เป็นสิ่งที่ประกอบกันขึ้น (composite) ที่มีประสิทธิภาพถึงขั้นทำให้คนมาสัมผัสแล้ว เกิดความรู้สึก(นามธรรม)ที่เป็นความเสื่อมอันต่ำลงๆได้ ซึ่งมีความจริงนี้ก็เป็นจริงในสังคมมนุษยชาติ
          คนที่มีความรู้ในองค์ประกอบศิลป์และสร้างงานขึ้นตามความรู้-ความฉลาด งานที่ทำขึ้นมานั้นก็เป็นวัตถุหรือรูปวัตถุ ถ้ามันมีอิทธิพลที่นำพาให้คนผู้ได้สัมผัสด้วยตา,หู,จมูก,ลิ้น,กายแล้วเกิดมงคลอันอุดม(เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด,อันยิ่ง,อันเลิศ,อันมากมาย,อันบริบูรณ์) ก็ชื่อว่าศิลปะโลกุตระ
          ศิลปะจึงคือ เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ(โลกียะ) ก็ได้ และถึงขั้นเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญอันสูงสุด(โลกุตระ) เพื่อให้คนละหน่ายคลายกิเลส แล้วคน
ทั้งหลายผู้มาสัมผัสงานนี้เข้า เกิดผลทำให้เขาละหน่ายคลายกิเลสได้จริง งานนี้ก็เป็นงานศิลปะโลกุตระ
          ศิลปะเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญขั้นอุดม(สูงสุด,ยิ่ง,เลิศ,มากมาย,บริบูรณ์)
          ศิลปะชิ้นนี้จึงเป็นโลกุตระ หรือเป็นมงคลอันอุดม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 
          งานที่ศิลปินสร้างขึ้นอย่างมีจุดมุ่งหมายชัดเจน ให้คนสัมผัสแล้วละหน่ายคลายกิเลส งานนั้นก็เป็นศิลปะ ศิลปะนั้นจะต้องสร้างอย่างมีเจตนา จึงจะชื่อว่า งานที่เกิดจากความรู้ของศิลปินผู้นั้นแท้ๆ

ยกตัวอย่าง คุณประเทือง เอมเจริญ เล่นสีติดเทคนิคของสีเท่านั้น ผสมสีต่างๆนานา มันสนุกนะ ก็ไม่ได้รู้ว่าทำให้คนละหน่ายคลายกิเลสไหม

ศิลปะนั้นต้องสร้างอย่างมีเจตนา แต่ถ้ามันบังเอิญงานนั้น ผู้สร้างไม่มีความรู้ ไม่มีเจตนา ไม่ได้สร้างเพื่อให้คนมาเสพผลงานแล้วกิเลสลดละหน่ายคลายได้ เช่นงานศิลปะของปาโบล ปิกัสโซ่เป็นต้น มันก็เป็นไหวพริบของผู้มาสัมผัสเองที่เห็นองค์ประกอบของสังขารนั้นแล้ว เกิดละหน่ายคลายกิเลสได้ มันก็ไม่ใช่ความรู้ความสามารถของผู้สร้างงาน แล้วจะเรียกผู้สร้างงานนั้นว่า ศิลปิน(สิปปี) ก็คงไม่ได้เต็มสภาพดีนัก
          แต่ยังไงก็ยังเป็นผู้มีฝีมือทำงานชิ้นนั้นขึ้นมา ก็เรียกว่า เป็นช่างผู้มีฝีมือได้
          ถ้าจะให้เรียกถึงขั้นว่า เป็นศิลปินผู้สร้างงานที่เข้าขั้นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมนั้น มันไม่ใช่แน่ๆ
          ใช่มั้ย?
          แม้จะนับผลงานชิ้นนั้นว่า เป็นศิลปะขั้นแค่เป็นมงคลคือ เป็นเหตุที่นำไปสู่ความเจริญขั้นโลกีย์ธรรมดา ผู้นั้นก็ไม่ได้มีเจตนา หรือมีความรู้ที่ตั้งความมุ่งหมายจะให้เป็นเช่นว่านั้นทีเดียว
          ก็คงจะมีแค่อยากให้คนสัมผัสงานนี้ของเราแล้วเกิดความชื่นชอบงานของเรา จะชื่นชอบแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ดีไม่ดีชื่นชอบแบบบำเรอกาม-บำเรอ
อัตตาอย่างแรงอย่างมากด้วย ผู้สร้างงานนี้ ก็ไม่มีความรู้ในทางธรรมเพียงพอ หรือไม่ก็ไม่มีความรู้ทางธรรมเลย มีแต่ความรู้จะสร้างกิเลสโลกีย์ให้โลก
          เหมือนเราจะนับเอาว่าสุริยุปราคานี้ ที่คุณเพชรดินฟ้าไปสัมผัสเข้า แล้วเกิดไหวพริบทำให้เกิดเห็นความเป็นอนิจจัง แล้วกิเลสในอัตตาของตนก็ลดลง ก็เป็นได้ ดังที่พระอาริยะมากมายหลายองค์ท่านเป็นท่านเกิด ก็เกิดจากการพิจารณาอะไรต่างๆ แล้วเกิดเห็นสิ่งนั้นเป็นอสุภะ ผู้นั้นย่อมเกิดนิพพิทา-วิราคะได้
          เช่น พระรูปหนึ่งในยุคพระพุทธเจ้าชื่อจุลบันถก(จุฬปันถกะ) เป็นผู้มีปัญญาทางโลกทึบมาก แต่มีภูมิปัญญาอาริยะสูงยิ่ง เพียงลูบคลำผ้าขาวไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ้าขาวนั้นหมองคล้ำดำไป ก็เกิดอาริยปัญญาเห็นไตรลักษณ์ บรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตตผลเลย นี่ก็คือ พลังแห่งสิ่งประกอบกันขึ้น(composite)แล้ว คนผู้สัมผัสเกิดมงคลอันอุดมสูงสุดได้ เช่นนี้ก็มีจริง
          แต่รูปธรรมนั้น หรือธรรมชาติใดที่คนไปสัมผัสเข้าเกิดทำให้คนผู้สัมผัสลดละหน่ายคลายกิเลสได้ขึ้นมา จะนับเป็นงานศิลปะมันก็ไม่ใช่ความรู้ของธรรมชาติเลย มันเป็นแค่สิ่งที่ประกอบกันขึ้น(composite)ของธรรมชาติ ตามแต่มันจะเกิดจะเป็นจะมีขึ้นของเหตุปัจจัยที่มันประกอบกันขึ้นเท่านั้น โดยไม่มีความรู้ร่วมด้วยเลย โดยเฉพาะไม่มีเจตนาหรือจุดมุ่งหมายจะให้เกิดผลอย่างมีทิศทางขั้นโลกุตระหรือขั้นมงคลอันอุดม ก็เหมือนกับคนที่สร้างงานนั้นๆตามแต่จะฟุ้งซ่านสะเปะสะปะไป หรือตามยถากรรม
          เพราะมันไม่มีธาตุรู้ในตัวมันเอง เป็นเจตนา สร้างขึ้นด้วยความรู้ของภาวะที่ผู้สร้างรู้ แล้วเอามาเป็นองค์ประกอบศิลป์(composition)ต่างๆนั้นสร้างขึ้นด้วยฝีมือ โดยมีเจตนาและมีความรู้ในการสร้างองค์ประกอบศิลป์(composition)นั้นขึ้นมาจริง งานนั้นจึงไม่ใช่งานศิลปะแท้ ไม่ใช่คนผู้ใช้ปัญญาสร้างงานศิลปะนั้นขึ้น แต่งานนั้นมันมีภาวะที่ทำให้คนเกิดจิตเจริญได้ เพราะคนผู้ที่มาได้สัมผัสเขามีปัญญา
ไหวพริบต่างหาก ที่เป็นเหตุนำไปสู่ความเจริญ
          ดังนั้น งานศิลปะจึงต้องเกิดจากความรู้ของคนผู้สร้างมีความรู้จริงๆ จึงจะเป็นศิลปินที่ถูกต้องแท้
          ผู้สร้างงานนั้นจะต้องมีธาตุรู้โดยเฉพาะความรู้ ของดินน้ำไฟลมของอากาศธาตุและวิญญาณธาตุที่ใช้เป็นองค์ประกอบศิลป์ (composition)
          เพราะฉะนั้นเวลาจะประกอบธาตุ ก็เอาดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณ และประดาสมบัติทั้งหลายของโลก มาใช้เป็นองค์ประกอบศิลป์ (composition) ต่างๆโดยประกอบเป็นองค์รวม เป็นภาพสีสันเส้นแสงแบนๆราบๆ หรือจะประกอบด้วยมิติที่มีความนูนมีความเบามีมิติขึ้น ตั้งแต่ภาพนูนต่ำจนถึงลอยตัวออกมาก็แล้วแต่ เป็นแท่งเป็นก้อนปฏิมากรรม จนกระทั่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ขึ้น แต่คนสร้างทุกวันนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือศิลปะ ก็จะกลับร้ายเลยเถิดไปจนสุดโต่ง และสุดโต่งไปขนาดไหนๆก็ได้ ไม่มีที่จบที่สิ้นที่สุดเลย
          ถ้าผู้สร้างงาน จุดมุ่งหมายสำคัญยิ่งของงาน (interest point)ที่คำนึงถึงการเจริญของจิตที่เป็นธรรม ไม่มี จะมีก็แต่ให้คนชื่นชอบงานของเราเท่านั้น โดยเฉพาะช่างหรือผู้สร้างงานนั้นเน้นแต่เทคนิคหรือเน้นแต่ฝีมือของตน ประดิษฐ์ประดอยงานของตนให้ดีวิเศษด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ตามที่ตนมั่นหมายให้เลิศยอดวิเศษสุดๆทางเทคนิคเท่านั้น  
          งานที่มีแต่ไปเน้นเทคนิคหรือประดิษฐ์ประดอยฝีมือตนที่สร้างเป็นจิตรกรรม เป็นประติมากรรม เป็นสถาปัตยกรรม แม้แต่จะเป็นวรรณกรรม-คีตกรรม-นาฏกรรม ก็มุ่งอยู่แต่องค์ประกอบศิลป์ให้เด่นดีให้วิเศษ จนคนหลงชื่นชอบ เน้นหนักอยู่แต่ท่าทางรูปร่าง เส้นแสง สุ้มเสียง สีสัน คำความ สิ่งส่วนของวัตถุ
          ถ้าจะเจริญเทคนิค เจริญฝีมือ เจริญความสามารถในการทำวัตถุจนดีวิเศษเยี่ยมยอด เก่ง แต่จะมีธรรมะประกอบอย่างไร ก็ต้องมีความรู้ จะทำภาพนูน-สูง-ต่ำเท่าไหร่ ให้แข็งแรง-ให้อ่อนช้อยอย่างไร จะให้สวยงามอ่อนช้อย วิลิศมาหรา ให้เส้นแสงเงาสีบาดตาต้องใจ คนมาสัมผัสแล้วจะรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องมีความรู้ ไม่ใช่รู้แต่สร้างแค่วัตถุเท่านั้น
          ยิ่งถ้าใครหมายใจหรือเก็งอยู่แค่จะทำให้คนสัมผัสแล้วเขาจะเกิดความชื่นชอบเรา-งานของเรา ติดยึดนับถือผลงานเรา ก็ยังไม่พ้นเพื่อตัวตนอย่างสิ้นสนิท
          หรือแสดงท่าทางลีลา(นัจจะ) ใช้สุ้มเสียงสำเนียง(คีตะ) สรรหาภาษา(วาทิตะ) มาประกอบคำพูดออกไปอย่างนี้ คนเขาได้ฟังแล้ว คำพูดสำเนียงสุ้มเสียงประกอบ เมื่อใครเขาฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร มันจะไปกระตุกความรู้สึกคนที่ได้รับสัมผัสอย่างไร ก็ต้องมีความรู้
          ถ้าไม่มีความรู้ก็ประมาณไม่ถูก จัดองค์ประกอบให้เบาให้แรง ให้สูงให้ต่ำ ให้แดงให้ขาว ให้หวานหรือให้ดุเดือดอย่างไร ก็ทำไม่ถูก ใครจะทำถูกก็ต้องรู้ต้องมีศาสตร์ และที่สำคัญต้องมีความรู้ในทางจิตใจ แล้วเน้นให้เกิดจิตใจที่ลดละกิเลส ทำให้กิเลสลดละได้ จึงจะชื่อว่า ศิลปะโลกุตระ
แต่ถ้ามีแต่ความรู้ไม่มีศิลปะก็คือศาสตร์ธรรมดาสารคดีธรรมดาให้เขารู้เกิดความเข้าใจอย่างไรเท่านั้นเอง
          ยกตัวอย่างเช่น แม่อยากให้ลูกเลิกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยู่เฉยๆ ไม่แสดงอะไร ไม่บอกไม่กล่าวตำหนิ มันก็ไม่มีผลอะไรเกิด โดยเฉพาะไม่มีศิลปะใดแน่ แต่ถ้าคนมีศิลปะรู้ว่าถ้าออกเสียงอย่างนี้น้ำหนักอย่างนี้ คำพูดอย่างนี้เป็นคำที่แรง เหมือนด่า แต่ถ้าผสมสำเนียงในภาษาบ้าง หรือตกแต่งอะไรนิดหน่อยให้เกิดศิลปะแต่เป็นคำพูดที่ว่ากล่าวตักเตือนตำหนิติเตียนให้หยุดทำอันนี้ได้ เช่นนี้ก็มีศิลปะขึ้นมาแล้ว
          เพราะฉะนั้นศิลปะนี้จึงเป็นไปด้วยความรู้และมีการจัดประมาณสัดส่วนเป็นสัปปุริสธรรม 7 มีประมาณอย่างถูกสัดส่วนและเอาสิ่งที่จะเจือจางความแรงหรือให้เพิ่มความเบา รู้ขาวเกินไปดำเกินไป รู้เล็กเกินไปใหญ่เกินไป มากเกินไปน้อยเกินไป เจตนาให้เกิดความพอเหมาะพอดีที่ทำให้ผู้ได้รับสัมผัสเสพสัมผัสอันนี้แล้วเกิดผลดีลดกิเลส
          ประมาณกับคนกลุ่มนี้ก็จะประมาณอย่างนี้ ถ้าเป็นกลุ่มอื่นก็จะประมาณอย่างอื่นด้วยความมีสัปปุริสธรรม 7 พูดจะมีศิลปะอย่างนี้คือศิลปะโลกุตระของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีความรู้ในสัปปุริสธรรม 7 พร้อมทั้งมหาประเทศ 4 นี่คือยอดศิลปินของโลก พระพุทธเจ้าจึงเป็นยอดอภิมหาบรมศิลปิน
          ในมงคล 38 นั้น ทั้ง 38 ล้วนเป็นศิลปะได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ศิลปะขั้นต้นไปจนถึงสูงสุดเป็นอรหันต์ สุดยอดพ้นอโศก(พ้นธุลีหมอง) พ้นวิรชะ(พ้นธุลีเริง) เป็นที่สุดคือ เขมัง(ความเกษม อันไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่เสียใจไม่ดีใจ)   
          รู้ในธัมมัญญุตาคือรู้ธรรมทั้งหลายทั้งปวง รู้อัตถัญญุตาคือรู้เป้าหมายจุดสำคัญของงานที่ประกอบขึ้นมาเป็นงานศิลปะ เสร็จแล้วก็ต้องรู้ประมาณได้ว่า
อันนี้จะให้ผลอย่างนี้ เป็นสาระของมันเป็นจุดสำคัญของมัน และสำคัญก็ตัวเราที่ต้องรู้ตัวเอง ตัวเราก็เท่านี้ อัตตัญญุตา ต้องเข้าใจองค์ประกอบ การจัดสัดส่วนมัตตัญญุตา กาละโอกาสอย่างนี้จะทำได้หรือยัง หรือว่ายังไม่ได้ก็ต้องรู้กาลัญญุตา สมควรแสดงอย่างนี้ได้ไหมกับคนกลุ่มนี้คนหมู่นี้ปริสัญญุตา กับเฉพาะคนผู้นี้ปุคคลปโรปรัญญุตา ก็เป็นผู้มีสัปปุริสธรรม 7 จริงๆ จึงจัดสัดส่วนอย่างมีปัญญามีความรู้มีศิลปะ
          ขออภัยต้องยกตัวอย่างตัวเอง อาตมามั่นใจว่าตนเป็นศิลปิน เป็นลูกพระพุทธเจ้ายอดสุดยอดศิลปิน
          อาตมาทำงานศิลปะ ยืนยันจริงๆ เพราะทำโดยประมาณ มัตตัญญุตา ใช้ดินน้ำไฟลมอากาศ ตัวตนบุคคลเราเขา แผ่นดิน ต้นไม้ แม้แต่สัตว์ อาตมาใช้สัตว์โดยอย่าเอาสัตว์มายุ่ง มันเป็นตัวกวน คนเราก็เกินลิงเกินหมาแล้วที่เอามาประกอบงานศิลป์ คนทำได้มากกว่าลิงกว่าหมาแน่ แต่คนพูดรู้เรื่อง ใช่มั้ย?
          งานของอาตมาเกิดการได้ผลปฏิบัติได้ในแต่ละคนคือพวกคุณ ที่ได้ผลเอง แล้วมารวมกันเป็นงานศิลปะของอาตมา ก็เลยเกิดผลเป็นแผ่นภาพสังคมมนุษย์ เฟรมงานศิลปะจิตรกรรมของอาตมาคือมวลมนุษย์ ถ้าฉายเป็นภาพเคลื่อนไหวก็คือภาพยนต์ แต่แท้จริงคือตัวจริง ฉายภาพออกมาอยู่ในโลก อาตมาสร้างเป็นโรงงานผลิตหนังถ่ายทอดสด พยายามฉายไปทั่วโลกแต่ไม่มีคนรับเท่าไหร่ ฉายฟรีด้วย มีดูบ้าง ที่พูดนี้ไม่ได้น้อยใจเสียใจนะ ก็รู้ว่ามันยาก ฝืนใจคน ไม่เข้ากับกิเลส แต่ขัดเกลากิเลสเสียอีก เป็นสัลเลขธรรม เป็นปฏิโสตัง ทวนกระแสใจ ไม่เอร็ดอร่อย
          พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม คือ สิปปัญญจะ เอตัมมังคลมุตตมัง
          มงคล แปลว่า เหตุหรือภาวะอันพาเจริญ หรือธรรมะอันพาเจริญ อาตมาก็ทำทั้งทุกสิ่ง อันเป็นเหตุธรรมะพาเจริญ เท่าที่สามารถตามภูมิ
          ถ้าพาเจริญแค่โลกีย์ก็ไม่เป็นอุตตมัง แต่มันเจริญนะ ไม่ใช่เสื่อม แม้เป็นกัลยาณธรรม จะเรียกว่าศิลปะก็ได้ แต่ไม่ใช่ระดับของพระพุทธเจ้า พาเจริญได้แบบโลกๆสุจริต แต่ถ้าทุจริตนั้นเสื่อม ในโลกก็มีปราชญ์มีศาสดาสอนคนให้มีศิลปะในระดับมงคล อันยังไม่ถึงอุตตมะหรืออุดรหรืออุตระ ก็สอนได้ เกิดคุณงามความดีคือสุจริตธรรม ก็ได้
          ทีนี้ประเด็นชัดเจนที่อาตมาเน้น ว่างานไหนจะเป็นโลกุตระ เป็นการเลยความเป็นโลกียะ มันก็มีเกณฑ์ตัดสินชี้บ่ง ??????????????
          เขตของโลกุตระมันอยู่ที่จิต ถ้าคนไม่รู้จักจิต จิตของตนเอง ไม่ใช่ไปอ่านรู้จิตคนอื่นมันไม่ชัดเจนไม่จริงเท่ากับรู้จักตนเอง รู้อาการลิงค นิมิต อุเทศ ตามผู้ที่สัตบุรุษมาบรรยายให้ฟัง แล้วตนเองเอาไปฝึกฝนอบรมทำให้ตนเองเกิดจิตก็รู้จิตตนเองว่าจิตนี้เป็นอกุศลเป็นสิ่งที่ทุจริต ไม่ดีไม่งาม ประเด็นที่ตัดสินว่าเป็นโลกุตระคือการทำจิตของตนเองให้ลด แม้ไม่ถึงกับดับก็ตาม ให้เริ่มจางคลายลดดีกรีของอกุศลจิต จิตที่เป็นทุจริตจิตเสื่อมทราม ให้ลดแรงได้จริง

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:17:16 )

590410

รายละเอียด

590410_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตลาดอาริยะแบบขาดทุนคือกำไร

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2559 ปีวอก พูดถึงวอกหรือลิงช่วงค่าย ยอส. ก็ได้เอาเรื่องลิงมาสอนเด็ก มีลิงขยันกับลิงขี้เกียจให้เด็กๆเลือกว่าจะเป็นลิงแบบไหน เราผ่านพ้นงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 40 มา ได้ฟังเทศนาจากพ่อครูเรื่องเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

ในงานปลุกเสกก็มีผัสสะระดับหนึ่งให้พวกเราสัมผัสหลังงานปลุกเสกฯ ก็จะจัดงานตลาดอาริยะเพื่อพิสูจน์ว่าเพชรพุทธของพวกเรามีความแข็งแกร่งแค่ไหน ว่าเราจะเสียสละได้ขนาดไหน เจอความร้อนแล้วเราจะทำใจอย่างไร

วันนี้พ่อครูจะมาพูดเรื่องแบบคนจนและขาดทุนของเราคือกำไรของเรา รวมถึงตลาดอาริยะด้วย พ่อครูพาเรามาจน แล้วท่านก็จนด้วย จนจริงๆ ถึงทำได้แบบนี้ ทำให้เราต้องสังวรให้เป็นคนจนแบบท่าน ให้หมดเนื้อหมดตัวเลย

ตลาดอาริยะ คนขายได้เป็นอาริยะ แต่คนซื้อก็แล้วแต่ ขายไปๆ บรรลุเป็นอรหันต์เลยก็ประสบผลสำเร็จเลย

พ่อครูว่า...ขอนำด้วยกวีของคุณเป็นต้น นาประโคน ศิลปินผู้ตาบอดของชาวอโศก

รัตนราชธานีสรวงสวรรค์ชาวพุทธไทย

(Rattana rachatanee Thai Buddhist paradise)

 

ยามอรุณรุ่งรุ้ง                 เรืองรอง

วิหคเหิรลำพอง                ร่อนฟ้า

อาทิตย์ดับแสงทอง ลับโลก แล้วเฮย

เห็นมนุษย์สุดอ่อนล้า        หลับคู้เตียงนอน

 

เสียงครืนครืนลั่นฟ้า         คราใด

สมบัติมากขนาดไหน        อยู่นั้น

แรกเกิดจวบบรรลับ         ร่างทับ ถมดิน

มือเปล่าเจ้าห่อนปั้น          ต่างล้วนลงโลง

 

นักพรตเพ่งห่อนพ้น         อสรพิษ

หิวกระหายในจิต             ห่อนแจ้ง

อุบาสกหมดสิทธิ์              ถูกท่าน มองเมิน

จนทรัยพ์ท่านเสแสร้ง      เมื่อสิ้นเงินทอง

 

เสด็จจากวังสู่เวิ้ง              วังเวง

ทิ้งอดีต บ่ ยำเกรง            โลกไซร้

เจ้าชายบอกลเบง             ตามฉบับพุทธสมัย

วิเวกจิตสงบไว้                 แน่แล้วนิพพาน

 

เป็นต้น นาประโคน

 

(Rattana rachatanee Thai Buddhist paradise)

 

THE SUN RISE EARLY MORNING.

THE BIRDS FLYING AWAY FROM THE NESTS.

OH! THE SUNSETS IN THE WEST.

WHY! HUMAN BEINGS SLEEPING ON BED.

……...

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุญญาวุธ) ตอน บุญญาวุธ  7 ประการ

อาตมาเกิดมาชาตินี้จบบุญของอาตมามาตามควร แล้วใช้ผลกุศล บุญนี้เป็นเครื่องมือกำจัดกิเลส เมื่อใช้แล้วก็หมดบุญทิ้งไปเลย แล้วเราก็ใช้กุศล บุญเป็นเครื่องมือทำให้กิเลสสูญ ทำเสร็จก็ ปุญญปาปปริกขีโณ คือพระอรหันต์

อาตมาพยายามบัญญัติทั้งเขียนเอาไว้ เป็นหลักฐานให้คนได้เห็น แม้แต่อาตมาก็ยังใช้เลย ก็มีผู้รวบรวมให้ เอามาเป็นหลักฐานในการใช้

 

บุญญาวุธ ตอนนี้เรารวบรวมได้ 7 ชนิด

1. อาหารมังสวิรัติ อาตมานำมาทำตอนแรกเลย บุกเบิกมาพาคนกินมังสวิรัติ ตอนนี้เบาสบาย ถือว่าติดลมบนแล้ว

2. ตลาดอาริยะ ก็ทำมานาน เป็นเรื่องพาณิชย์ ยากหน่อยแต่ก็พยายาม

3. กสิกรรมไร้สารพิษ เราก็ทำขึ้นมามีผลงาน ท่านฟ้าไทว่าแตงไท(แตงจริง) ธรรมดามันลูกเล็กกว่าแตงโม แต่นี่มันลูกใหญ่กว่าแตงโม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

วันนี้เขารื้อสวนแตงโม แตงไท แตงกวากันที่ริมมูน ตอนเล็กๆอาตมาขายแตงโม จับลูกมันมาเคาะรู้เลยว่ากรอบหรือไม่ และรู้ว่าส่วนไหนแดงส่วนไหนไม่แดง ตอนอยู่ทีวีอาตมาเคยจัดประกวดฟักทองลูกใหญ่สุดกัน ให้รางวัลสามพันบาท แต่ค่าเงินมันแพงกว่ากันสิบหรือร้อยเท่าเลย

4. สุขภาพบุญนิยม ตอนนี้หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจนก็นำไป ทางสุขภาพก็นำได้เหมือนกัน ก็เป็นแพทย์วิถีไทย ก็กำลังก้าวหน้ากันตามไป พวกเราก็เห่อจัง

5. การศึกษาบุญนิยม ของเราศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ช่วยเด็กให้มีความรู้ แล้วเป็นระบบบวร ไม่แยกส่วน อาตมาได้พยายามจัดสรร วางระบบต่างๆไว้ แล้วก็ทำจริงๆ ในลักษณะบวร และศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ให้เจริญเป็นศีลเก่ง เคร่งงาน ชำนาญวิชา จนศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชา

6. การสื่อสารบุญนิยม ทั้งโทรทัศน์และวิทยุ เครื่องมือก็แพง เราคนจนกระทบไหล่เขาก็ได้ดีแล้ว เรามีขยะมาช่วยเป็นดินอุ้มดาว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ สิบกว่าปีแล้วเรามาทำกัน คนก็มาทำงานฟรี ผู้มีน้ำใจก็มา นี่ก็นายปานนี้ ลูกทนายรินไท เขาไปบนว่าถ้าไม่ติดทหารได้ใบดำจะช่วยงานหลวงปู่สามปี เสร็จแล้วก็จับใบดำได้ อย่าลืมนะนายปานนี้ ก็จะช่วยหลวงปู่ ก็ได้พวกเรานี่แหละเด็กๆก็ได้

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ก็ว่ากันไป ต่างคนต่างช่วยกันทำ เป็นบารมี อจินไตย เป็นของจริง

7. การเมืองบุญนิยม อันนี้ยาก เพราะเป็นเรื่องอำนาจ ลำบากกัน แต่เราทิ้งไม่ได้ วางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ ขืนปล่อยก็งาบกันเลย เราได้พาทำกันมา ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว สยบความรุนแรง เราใช้ความสงบจริงๆ เกิดรูปธรรม เกิดมวลความสงบ เราไปประท้วงชุมนุม เขาก็ใช้อำนาจรัฐ ข้าราชการ มีผู้การแต้ม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ จะมากวาดล้างเราเลย เราก็ใช้สงบสยบความเคลื่อนไหว ตำรวจใจอ่อน ผู้การแต้มยอมกลับไป แล้วก็มาที่ผ่านฟ้า ปี 2557 อันนี้ไม่ใช่อย่างผู้การแต้ม คราวนี้ยิงแก๊สน้ำตาเลย เราก็สู้ด้วยการนอนคุดคู้  ช่วยตำรวจที่บาดเจ็บด้วย เราก็ทำอย่างนี้มันเป็นพฤติกรรมของมนุษยชาติ ปรากฏว่าเขาหยุด

ดร.โรบิน อิสเรลลี่ เป็นนักสื่อสาร มาทำงานที่ไทย เห็นพฤติกรรมกองทัพธรรมก็ประทับใจมาก ว่ากราบเรียนนมัสการท่านปรมาจารย์สมณะโพธิรักษ์ ขอบคุณสำหรับ Dhama Force กองทัพธรรมอันเหลือเชื่อ ที่สร้างประวัติศาสตร์ในเวทีการเมืองโลกด้วย Neo protest ที่รุกฆาต checkmate ระบอบทักษิณจนล่มสลาย นับเป็นการต่อสู้อันล้ำค่าหามิได้อีกแล้วของกองทัพธรรม ที่เหลือจากวันนั้นคือปรากฏการณ์ที่ล้ำค่าเกินคาด คำคมวันนี้ “การเมืองเปรียบเหมือนแมลงสาบในห้องนอน แม้เราไม่อยากยุ่งกับมัน แต่มันจะมายุ่งกับเราแน่นอน” แล้วเขาบอกว่าตัวเขาเป็นคนรักพระเยซู นี้คือหัวใจสูงสุดของมวลมนุษชาติที่หวังจะมีชีวิตอีกหลังตาย สุดท้ายฝากกราบขอบคุณบรรดาสมณะสิกขมาตุ จำใบหน้าที่แสนเมตตาและฉลาดหลักแหลมของทุกท่านได้ รักกองทัพธรรมตลอดไป ยินดีรับใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่คิดมูลค่า ก็พอดีมีเหตุปัจจัยหลักฐานก็เอามาพูด

นี่เป็นบุญญาวุธหมายเลข 7 อาตมามั่นใจว่าอาตมามีความรู้การเมืองตามแบบพระพุทธเจ้า ท่านเป็นนักการเมืองนะ ใครแยกการเมืองออกจากศาสนาคนนั้นยังอวิชชา เพราะการเมืองเป็นเรื่องช่วยพลเมือง เขาจะมาช่วยคนด้วยความบริสุทธิ์เป็นสิ่งดีงามประเสริฐ คนแยกการเมืองออกจากธรรมเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม เพราะการเมืองก็ไม่มีธรรมะก็ฉิบหาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ตลาดอาริยะแบบขาดทุนคือกำไร

ตลาดอาริยะของเราทำมา 36 ปีผ่านมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ปี 2523 ที่สันติอโศก ทำเล็กๆ เอาใบไม้แทนเงินมาซื้อ เริ่มต้นความคิด จนกระทั่งทำที่สันติอโศกสองปีที่แคบไป ก็เลยย้ายไปปฐมอโศก 2525 จนกว่าจะย้ายมาที่นี่ก็นับมาได้ 36 ปี สำหรับตลาดอาริยะองค์รวมครั้งใหญ่นะ แต่ครั้งเล็กๆน้อยๆมีอีกเยอะ ตลาดอาริยะกับเราขายของ ขายตั้งแต่อาหารที่คนจะกิน แล้วเราก็ขายในราคาบาทเดียว ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงวันนี้ก็ยังบาทเดียว แต่จริงเรานี่เรื่องมังสวิรัติเราแจกฟรีนะ มีขายอยู่บ้าง แต่นี่เป็นตลาดพาณิชย์เราก็เลยต้องขาย แต่ขายราคาต่ำสุด

 

หลักเกณฑ์ของตลาดอาริยะคือ

1. กำไรของชีวิตคือการให้ การเสียสละ นี่เป็นสัจจะเลย ผู้ใดจิตถึงแล้วจริงดังที่ในหลวงเราได้ตรัส เราก็มีคลิปอันนี้ การให้หรือการเสียสละนี่คือกำไร สินค้าที่ขายต้องต่ำกว่าทุนจริงๆ ยอมขาดทุนนี่แหละคือกำไร

2. สินค้าต้องขายต่ำกว่าทุน

3. เจตนาให้ผู้ซื้อได้แสดงน้ำใจ เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รับการแบ่งปันด้วย อันนี้ต้องใช้ศิลปะหน่อย

 

แล้วพาณิชย์บุญนิยมก็มีหลักอีก 3 ข้อ

1. สร้างเครดิตเหนือเครดิต(จ่ายสด งดเชื่อ) การพาณิชย์บุญนิยมไม่เอาเงินเชื่อ

2. หากต้องยืมกันก็เป็นไปอย่างเกื้อ คือไม่มีดอกเบี้ย ยืมใช้ ไม่เรียกกู้ เงินที่ค้างไม่เรียกหนี้ เรียกเงินหนุน ไม่ชักดาบกันด้วย

3. มีความซื่อสัตย์ จริงใจ มีน้ำใจ

 

เวลาค้าขายเราก็มีนโยบายอยู่ 5 ข้อ

1. ขายถูก

2. ไม่ฉวยโอกาส

3. ขยัน อุตสาหะ

4. ประณีต ประหยัด

5. ซื่อสัตย์ เสียสละ

 

หลักการตลาดบุญนิยมคือ

1. ของดี

2. ขายถูก

3. ซื่อสัตย์

4. มีน้ำใจ

5. ขายสด งดเชื่อ

 

อุดมการณ์บุญนิยม มี 4 ​ระดับ

1. กำหนดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าราคาตลาด ต่ำกว่าราคาตลาดได้มากเท่าไหร่ก็เจริญเท่านั้น

2. กำหนดราคาให้เท่าทุน ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป

3. กำหนดราคาให้ต่ำกว่าทุน ตอนนี้เป็นบุญแล้ว ต่ำได้มากเท่าไหร่ยิ่งเจริญ​ จนสุดท้าย

4. ให้ฟรี เป็นบุญเต็มเลย

 

ชาวอโศกเราอาตมาพาทำบุญนิยม เสียสละ ลดละช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เอาเปรียบเอารัด ไม่กอบโกยไม่สะสม มีแต่หมุนเวียนสร้างสรรอาศัยกินใช้พอมีคงคลังเล็กน้อย ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นส่วนกลางที่โลกทั้งโลกต้องการ แต่มันทำได้ยากมาก แต่อาตมาพาทำสำเร็จถึงในฆราวาสได้ เป็นชุมชนสาธารณโภคี คือทรัพย์สมบัติของกินใช้อุปโภคบริโภค เป็นของกองกลาง แล้วแบ่งกินใช้เป็นครอบครัวใหญ่

 

โดยก่อเกิดสาธารณโภคีคือมีพฤติกรรม

1. พึ่งตนเองได้

2. สร้างสรร

3. ขยันอดทน

4. ไม่เอาเปรียบใคร

5. ตั้งใจเสียสละ

 

อุดมคติดของสาธารณโภคีคือ

1. แรงงานฟรี

2. ปลอดหนี้

3. ไม่มีดอกเบี้ย(มีแต่ดอกบุญ)

4. เฉลี่ยทรัพย์เข้ากองบุญ

 

ลักษณะแท้ๆของตัวสาธารณโภคี ไม่ว่าคนเดียวหรือกลุ่มจะต้องมีลักษณะ 4 ​อย่างนี้

1. ไม่เป็นหนี้

2. ทำให้พอกินพอใช้ พึ่งตนเองรอด

3. มีส่วนเหลือ

4. แจกจ่ายเจือจาน เอื้อเฟื้อแก่คนอื่น

ชุมชนอโศกทำได้สำเร็จแล้วก็ทำอยู่

 

วิธีพัฒนาเศรษฐกิจของชาวบุญนิยม แยกไว้ 4 ข้อ

1. ไม่สะสมเงินเป็นของตนเองไว้มาก นั่นคือกระจายรายได้จริง ตนเองน้อยให้พอ ไม่ให้ลำบากหรือมากไป มีแต่น้อยจึงเข้าข่ายเป็นคนมักน้อย(อัปปิจฉะ) ตีราคาค่าตัวของตนเองถูกแล้วก็ให้ถูกลงๆ จนให้ฟรีเลย นี่คือกระจายรายได้ สะพัดการกินใช้ทั่วถึง

2. เลิกอาชีพหยุดทำงานไกลสาระ ไร้สาระ เช่น อบายมุขหยาบหรือละเอียดแฝงซ้อน ทุนนิยมจัดศักดินาแล้วเขายกย่องกันด้วยนะ แต่เฉกาจัด แล้วลดอาชีพให้เหลือแต่แก่นสารเท่านั้น แต่การบริหารประเทศแบบโลกขยายอาชีพปรุงแต่งเพิ่มก็ยิ่งดึงแรงงานไป

3. ขยันสร้างสรรเสียสละ คนต้องทำงานขยันทำสัมมาอาชีพให้คุ้มกินใช้ให้เหลือเผื่อแผ่แก่คนอื่นที่เหมาะควร ไม่เอาไปเสริมกิเลสคนอื่น แต่ให้แก่ผู้เหมาะควรเสียสละมากขึ้น

4. ปฏิบัติลดกิเลสให้สัมมาทิฏฐิ คนลดกิเลสได้จริงคืออาริยะของพุทธจริงๆ จึงเป็นคนมีตรีลักษณ์ ลักษณะ 3 ​ที่มีประโยชน์ตน-ท่านที่แท้จริง

ตรีลักษณ์คือ โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ

 

ในหลวงตรัสมาให้เอาแบบคนจน แต่ไม่มีใครเอาถ่าน พวกเรามาเป็นคนเอาถ่านก็เลยได้เนื้อได้หนังมาบ้าง

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่าง­มาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่าง­มาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึ­งหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคต­ยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"

ท่านตรัสอย่างเป็นสัจจะ คนไม่เข้าใจก็งงๆ ท่านว่าถ้าเรามีการปกครองแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรา ตำราอะไรก็ตำราชาวโลก เขามีแต่ตำราทุนนิยมโลกีย์ รวยมากรวยเร็ว รวยเก่งรวยเยอะไม่จบสิ้น อย่างธัมมชโยนี่ ตำราแบบนั้นอย่าไปติดมัน ให้ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ นี่พวกเราอยู่อย่างสามัคคีไม่แข่งโลภกัน มีเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็อยู่ได้ตลอดไป เชื่อไหม ชาวอโศกทำตรงกับในหลวงตรัสไหม เชื่อว่าอยู่ได้ตลอดไปนะ ใครไม่มาก็ไม่ง้อ ใครจะมาก็ยินดีต้อนรับ มามีศีลกัน

มีเมตตากันจะอยู่ได้ไปตลอด ไม่เหมือนคนทำตามวิชาการ ต่อไปจะมีนักวิชาการแบบคนจน เราดูตำราแล้วพลิกไปหน้าสุดท้ายเขาก็ว่าอนาคตยังมี แต่ก็เปิดหน้าหนึ่งใหม่อีก

แล้วคำว่าอะลุ่มอล่วย ตำรานั้นไม่จบ จะรุ่งเรืองไปตลอดกาลไม่รู้จบ อลุมอล่วยคืออนุโลมปฏิโลม มีปัญญาว่าคนนี้ควรให้ควรขัดเกลาเขาอย่างไร คนนี้ต้องต้านไว้ ต้องจัดการ ยืดหยุ่นให้ได้กับใครก็อนุโลม แต่คนที่มันไม่ได้มันร้ายจัด ยืดหยุ่นไม่ได้ก็อนุโลมไม่ได้ต้องจัดการ นี่คืออะลุ่มอล่วย ไม่ได้โกรธเขานะแต่ว่าคุณอย่าเพิ่งทำ ถ้าปล่อยแล้วเสียหายก็ต้องต้านไม่ให้เขาทำ โดยไม่ฆ่านะ ต้านได้อย่างหนัก

อย่างพล.อ.ประยุทธ์ทำนี่เห็นใจว่าท่านทำเรื่องหนักที่เขาหมักหมมหนักมีค่ายกลการเมืองเลวร้าย จำเป็นต้องจัดการ ท่านใช้ม.44 เหมือนยุคจอมพล.สฤษดิ์ ใช้ม.17 แต่ว่าของม.17 นั้นฆ่าๆเลย แต่นี่ไม่ได้ทำรุนแรง แต่ว่าคนที่กวนก็ยิ่งกวน มันน่าจะรู้เจตนารมณ์ว่าเขาอนุโลมให้ตน ตนก็ยิ่งน่าจะขอบคุณ น่าจะมีปฏิภาณว่าแพ้รายทางมาตลอดก็น่าจะรู้ ไม่น่าดันทุรัง แต่กิเลสเห็นแก่ตัวยึดติดตัวตนหนักก็เลยเป็นธรรมชาติแบบนี้ อาตมาเห็นใจเข้าใจ ก็ช่วยกันตามควร

ในหลวงตรัสสุดยอดแห่งเพชรและแนวเดียวกับพระพุทธเจ้าคือต้องมาเป็นคนจน ในหลวงก็เป็นคนจนตามฐานะ เรานี่แหละเป็นคนจน คนจนกินข้าวกล้องเป็นต้นที่ท่านตรัส แม้มีทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้ยึดเป็นของท่านแต่ในฐานะที่เป็นสิทธิ์ที่ท่านจะบริหาร มีคนมาถวายทรัพย์ท่านก็ใช้ตามพระราชอัธยาศัย แต่คนหาเรื่องเพ่งโทษไป คนเข้าใจไม่ได้ก็ยาก

ในหลวงใช้สำนวนเศรษฐกิจพอเพียงเป็นขั้นต้น ที่ให้สังคมเข้าใจให้มักน้อยสันโดษไม่ดิ้นไม่รน สามเส้าของปวิเวกก็มี มักน้อย สันโดษ วิเวก เราจะต้องหยุดตรงนี้รู้จักพอ น้อยเท่านี้ก็พอ จิตพอคือจิตสงบ หากไม่พอคือจิตไม่สงบไม่วิเวก ก็สร้างจิตเช่นนี้ไปเรื่อย แล้วไม่เบียดเบียนตนด้วย

 

พอบอกแบบคนจน คนก็เข้าใจไม่ค่อยได้ ก็เลยบอกเรื่อง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

..ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้ "..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

คือคนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจหรอก แบบอเวไนยสัตว์น่ะ ในหลวงท่านก็อธิบาย

ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่เช่นนั้นไม่มีพระปัญญาธิคุณเช่นนี้หรอก เป็นเรื่องอจินไตยเดาได้ยาก ไม่ใช่ธรรมดา

สรุปต้องมาเป็นคนจนอย่างมีคุณค่า เสียสละได้ ไม่กอบโกย นี่ล่ะนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง สาธารณโภคี อาตมามั่นใจว่าโลกจะมาศึกษาเศรษฐศาสตร์บุญนิยมในอนาคต อาตมาจะไม่หยุดยั้งสร้างเศรษฐศาสตร์บุญนิยมของพระพุทธเจ้า เราก็ทำได้ขนาดนี้ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นหนูช่วยราชสีห์

เราจัดตลาดอาริยะก็เป็นเรื่องที่ชวนคนมีปัญญามาร่วมทำกัน ไม่หยุดยั้ง เพราะประชาชนที่มารับบริการก็มาด้วยความจนความลำบาก เราไม่ต้องไปมองคนรวยหอคอยงาช้างหรอก บางทีคนมีเงินร้อยสองร้อย กำเงินมาเหงื่อออกเปียกแฉะ ร้อนก็ร้อน เราก็จะสร้างอาคารสวน. เพื่อให้ใช้งานตลาดอาริยะ แต่ก็มีวิบากไม่เสร็จทัน เราก็คนจนแต่เราก็กัดฟันสู้

ยุคนี้อาตมาทำตามหน้าที่ ในหลวงเราก็พระชนมายุมากแล้ว ท่านก็ว่าจะอยู่ให้ถึง 120 อาตมาก็ตั้งไว้ 151 ปี แต่ว่าอาตมาดูแข็งแรงกว่าก็อาจตายก่อนท่านก็ได้ คนเราทุกวันนี้ตายได้ง่ายๆ

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูพูดถึงบุญญาวุธ ของเรามี 7 ประการ

อาหารมังสวิรัติ ตลาดอาริยะ กสิกรรมไร้สารพิษ สุขภาพบุญนิยม การศึกษาบุญนิยม สื่อสารบุญนิยม การเมืองบุญนิยม

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:21:02 )

590413

รายละเอียด

590413 เทศนาเปิดงานตลาดอาริยะ #37 ปี 2559 โดยพ่อครู

วันพุธที่ 13 เมษายน 2559 พ่อครูสมณะโพธิรักษ์นำ สมณะสิกขมาตุออกบิณฑบาตตั้งแต่ 06:30 น. จากนั้นในเวลา 07:25 น. พ่อครูได้มาเทศนาเปิดงานตลาดอาริยะครั้งที่ 37 ที่เวทีกลางหน้าห้องน้ำกางเกงยีนส์

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ตลาดอาริยะเป็นศิลปะตามหลักสาราณียธรรม 6

พ่อครูว่า...วันนี้วันดีจริงๆศุภมงคลตรงกับวันพุธที่ 13 เมษายน 2559 ขึ้นเจ็ดค่ำเดือนห้าปีวอก วันนี้เป็นวันปีใหม่ไทยสงกรานต์ ที่ บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ ที่นี่ตั้งชื่อไว้ว่าอย่างนั้น เป็นเกาะรัตนราชธานี ซึ่งเราพยายามที่จะกอบก่อสร้างขึ้นมาเป็นเมืองแผ่นดินพุทธ ที่มี บ้าน-วัด-โรงเรียน อยู่กันอย่างกลมกลืน ไม่ได้แบ่งส่วนแยกออกจากกัน ไม่ใช่บ้านอยู่ทางโน้น วัดอยู่ทางนี้ โรงเรียนอยู่ที่นั่น ไม่ได้แยกส่วนกันเลย

อยู่กันอย่างประสานกลมกลืนที่ดูยาก แต่ก็เป็นสัดส่วนอยู่ในนั้น ว่าสมณะนักบวชก็อยู่ในสัดส่วนอย่างไหน ฆราวาสญาติโยมต่างๆจะอยู่อย่างไร นักเรียนจะอยู่อย่างไร โดยเฉพาะนักเรียนของเราก็ไม่เหมือนใครกับชาวโลกเขา เพราะว่าการเรียนของนักเรียนที่นี่เป็นการเรียนอย่างก้าวหน้ากว่าชาวโลกเค้าจะเข้าใจ เพราะโรงเรียนของเราไม่ใช่การเรียนแบบเข้ากล่อง เช้าก็ไปเข้ากล่อง เย็นก็กลับบ้าน เช้าก็เข้ากล่อง เย็นก็กลับบ้าน ...อยู่อย่างนั้นจนปริญญาเอก ของเราไม่ใช่อย่างนั้นเลย

ของเราเป็นห้องเรียนกว้างใหญ่ จะเรียนแบบในห้องเรียนวิชาการก็ได้ แล้วมีวิชาการที่เข้าไปอยู่กับสังคมไปช่วยชาวบ้าน ปลูกผักก็ช่วย ช่วยกันทำความสะอาดช่วยกันล้างส้วม ช่วยกันขายของ ช่วยกันแจกของ ช่วยกันหมด เป็นการประสานอยู่กันอย่างนี้ เป็นวิธีการของสังคมแบบใหม่ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นระบบสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างนี้ไม่ได้มีมาหลายยุคสมัยแล้ว อาตมาได้นำมาสร้างขึ้น เปิดเผยขึ้นในยุคนี้ ยากที่คนจะเข้าใจ แต่ก็มีคนค่อยๆเข้าใจมากขึ้นแล้ว

          เราอยู่กันอย่างผสานผสมกันได้อย่างสัดส่วนที่ดี มีการเกื้อกูลเผื่อแผ่กันในทีซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกิดจากจิตวิญญาณเป็นตัวหลัก จึงทำได้ ถ้าจิตวิญญาณไม่ได้เป็นตัวหลัก มีกิเลสหนา กามก็เยอะ โทสะก็แรง ก็จะเป็นได้ยาก แต่นี่เราต้องลดละได้จริงๆจนเกิดการสอดประสานที่ดี

แม้แต่ที่สุดการพาณิชย์ซึ่งเรากำลังจัดงานที่เรียกว่าตลาดอาริยะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 37 ถ้านับเป็นครั้งใหญ่ใหญ่นะ แต่ครั้งเล็กๆในแต่ละปีเราก็จัดอีกหลายครั้ง ที่ราชธานีอโศกนี้จัดเป็นหลักครั้งใหญ่ๆ ครั้งย่อยๆก็จัดในจังหวัดต่างๆ

ตลาดอาริยะคืออะไร? ตลาดอาริยะคือตลาดของบุญนิยม เป็นตลาดที่ขายขาดทุน จัดงานตลาดอาริยะแล้วสินค้าจะต้องเป็น ของดี ราคาขาดทุน ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง เราเลิกการใช้สินเชื่อเด็ดขาด ไม่มีการกู้หนี้ยืมสิน มีแต่การเกื้อกูลช่วยเหลือกันไม่มีดอกเบี้ยอะไร ไม่ใช้เงินเป็นการหากินแบบระบบเชื่อเราไม่เอา แล้วเราก็ทำมาได้ ชาวอโศกเปิดมา 30 ถึง 40 ปี แม้แต่ตลาดอาริยะก็ 37 ปีแล้ว เป็นต้น

ของที่เราเอามาขาย ซื่อสัตย์ ราคาต่ำกว่าราคาทุนจริงๆ เป็นการขาดทุนจริงๆ ไม่ใช่การขาดทุนแอบแฝง จะต้องคิดค่ารถ เอาเกินกว่าราคาต้นทุน ดีไม่ดีก็คิดค่าแรงงานด้วย แต่ของเราไม่คิดค่าแรงงาน ถ้าจะคิดค่าแรงงานด้วยก็ยิ่งขาดทุนมากมายเลย

พวกเรามาเสียสละจริงๆเป็นเนื้อแท้ เพราะพวกเราอยู่ได้

ชีวิตของพวกเรามีหลักเกณฑ์อยู่ 4 หลักเกณฑ์

1. มีชีวิตที่ไม่เป็นหนี้

2. มีชีวิตที่พึ่งตนเองรอด ทำงานทำการสร้างสรร พึ่งตัวเองรอด

3. สร้างสรรให้เหลือ มีผลผลิตเหลือ เอาสิ่งที่เหลือนั้นเป็นข้อที่ 4

4. คือเอาไปแจกจ่ายเผื่อแผ่แก่คนอื่น

 

อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ของชาวอโศก

เราก็อยู่อย่างเป็นสุข การไม่เป็นหนี้นี่เป็นสุขที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนไม่เป็นหนี้เป็นสุขที่สุด เพราะฉะนั้นระบบเงินเชื่อนี่พวกนักธุรกิจใหญ่ใหญ่มีหนี้กันเป็น  พันล้านหมื่นล้าน พวกนักธุรกิจใหญ่เค้ามีกิจการมีเงินหมุนเป็นแสนล้านก็จริง แต่เป็นหนี้เป็นพันเป็นหมื่นล้าน ถ้าหยุดหมุนเงินเมื่อไหร่ก็ตาย นั่นคือระบบเงินเชื่อ หมุนเข้าหมุนออก บางคนก็มีส่วนเกินส่วนขาดในบางเวลา บางเวลาขาดทุน แต่ของเรานี่หมุนอย่างไรก็ไม่มีเป็นหนี้ใครข้างนอก นี่คือระบบของศาสนาพุทธเป็นของพระพุทธเจ้า

ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ มีเนื้อแท้ของศาสนาพุทธอยู่ในพระองค์พระองค์จึงตรัสว่าเอาแบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือให้อยู่แบบคนจน ชาวอโศกนี้อยู่แบบคนจน แต่ละคนไม่มีของส่วนตัวอะไรมากมาย อย่างในสมาชิกชาวอโศกในหมู่บ้านมีเงินใช้ไปแต่ละวันแต่ละวัน บางคนก็ไม่มีเงินใส่กระเป๋าเลย ชีวิตเป็นปีเป็นเดือนไม่มีเงิน มีใช้เงินเหมือนกับใช้จานมีดช้อนส้อม มีเงินก็ใช้แบบนี้ ไม่ได้เห็นว่าเป็นแก้วสารพัดนึกอะไร

เราจะให้คนอื่นมาศึกษาว่าเราหลอกหรือเปล่า ชีวิตแบบนี้อยู่ได้ไหม แม้แต่ภิกษุในศาสนาพุทธในวัดต่างๆเค้าก็ยังบอกว่าชีวิตไม่มีเงินไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ในยุคนี้ ทุกวันนี้เค้าต้องมีเงินภิกษุก็ว่าอย่างนั้น แต่พวกเราก็มีภิกษุมีนักบวชของพุทธเราก็พุทธแต่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่นักบวชของชาวอโศกเลย นักบวชหญิงของเราเรียกว่าสิกขมาตุ ไม่ได้เรียกว่าภิกษุณี นักบวชหญิงเราก็ไม่ได้มีเงินสักบาทแม้แต่ฆราวาสหญิงฆราวาสชายของชาวอโศกก็ไม่มีเงินเราอยู่ได้ คนที่บอกว่ามาบวชแล้วไม่มีเงินอยู่ไม่ได้นั่นคือไม่มีความสามารถ แต่ชาวอโศกเราอยู่ได้แม้แต่เป็นฆราวาส บางคนมีลูกด้วย เป็นสมาชิกชาวอโศกก็ยังไม่สะสมเงินเลย เลี้ยงลูกหลานให้จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อยู่ในนี้ได้เลย นี่คือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งมาก ที่ชาวโลกจะต้องมาศึกษาเศรษฐศาสตร์บุญนิยมนี้ในอนาคต โดยเฉพาะถึงขั้นสาธารณโภคีดังกล่าว

จึงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จากทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เราได้นำมาปฏิบัติกันเราไม่ได้พูดเพื่ออวดอ้างตัวเอง แต่พิสูจน์ยืนยันความจริงว่าเป็นสิ่งที่พิเศษเป็นสิ่งที่น่าบอกแถลงกันอย่างจริงใจ ไม่ได้บอกเพราะอยากอวดอ้าง แต่บอกความจริงบริสุทธิ์ใจจริงๆ

งานตลาดอาริยะของเราตอนนี้ก็แพร่หลายไปมาก วันนี้เป็นวันแรกแล้วจะมีทั้งหมดสามวัน สินค้าเราก็พยายามจะมีให้พอถึงสามวัน ก็มากันวันนี้เป็นวันแรกต้อนรับปีแต่ละปีถึงวันที่สามหลายอย่างก็หมดไป เป็นธรรมดาก็ได้ของมาไม่มากแต่ความต้องการของคนมีมากก็เลยไม่พอ

 สิ่งนี้เป็นเศรษฐศาสตร์ที่แบ่งแจกเจือจานกัน เป็นการจัดในวันปีใหม่ไทย แต่เมื่อก่อนเราจัดตอนช่วงปีใหม่สากล คือวันที่ 30 31 ธันวาคม และ 1 มกราคมของทุกปี แต่ตอนนี้เรามาจัดที่สงกรานต์ปีใหม่ไทยวันที่ 13 14 15 เป็นที่รู้กัน แต่วันนี้ตรงกับเจ็ดค่ำ พรุ่งนี้ตรงกับแปดค่ำ

ความเข้าใจของคนมีมากขึ้น ปีนี้อาตมาได้เปิดเผยถึงศิลปะโลกุตระ การทำตลาดอาริยะนี้เป็นศิลปะอย่างยิ่ง เป็นวิธีการอันชาญฉลาด เพราะศิลปะต้องใช้ความเฉลียวฉลาดเป็นหลักที่จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันด้วยความอบอุ่น อยู่ด้วยความกลมกลืน ความสุขสงบอบอุ่นเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม เป็นสังคมแห่งสันติสุขอย่างแท้จริง ซึ่งเราใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า คือสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 ที่เกิดเป็นพุทธพจน์ 7

สาราณียธรรม 6 คือ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมสาธารณโภคี สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา

เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม คือสามข้อแรก

เราเอาลาภที่ได้มาโดยธรรมนั้นมารวมกัน แล้วแบ่งปันกันให้ทั่วถึง เรียกว่าสาธารณโภคี นี่คือข้อ 4.

ข้อ 5. เรามีศีลที่สามัญญตา แม้แต่เด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีศีล ตั้งแต่ศีล 5 แล้วก็ศีล 8 ศีล 10 ศีล 26 ครบทั้งหมดถึง 43 ของจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เรามีศีลกันเป็นปกติ เป็นศีลที่บรรลุธรรม มีกายกรรม วจีกรรม และมีมโนกรรมบริสุทธิ์ มีใจเป็นหลัก เป็นคุณสมบัติของคนครบบริบูรณ์ที่มีศีลมีธรรมตามพระพุทธเจ้า

เป็นชีวิตจริงของคนจริง ที่ไม่ได้อวดอ้างอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม อาตมาเป็นคนอีสาน รากเหง้าเป็นคนอุบลราชธานี อาตมามีทวดเป็นท้าวคำผงที่เป็นเจ้าเมืองอุบลคนที่หนึ่ง ซึ่งท่านเป็นทวดของตาอาตมา ก็เลยมาสร้างรูปแบบของสังคมพุทธที่ราชธานีอโศก ตั้งแต่จดทะเบียนหมู่บ้านเป็นนิตินัยพ.ศ. 2539 นี้ หมู่บ้านเราเกิดมา 20 ปีพอดีตั้งแต่ตั้งมา มาถึงปีนี้ก็เร่งดำเนินการสร้างขึ้นให้ลงตัวให้เป็นเกาะรัตนราชธานีที่จะมี landscape ภูมิทัศน์ ดินน้ำไฟลม ต้นหมากรากไม้ น้ำตก ภูเขา ลำธาร เป็นดินแดนธรรมชาติ อาคารที่จะใช้อาศัยมีแต่จะไม่เหมือนอยู่ในเมือง จะไม่เป็นแดนคอนกรีต ซึ่งในเมืองนั้นมีแต่ดงแท่งคอนกรีต ฝนตกลงมาเป็นน้ำก็ไปไม่ถูก ลมพัดไปก็ไปไม่ถูกทาง เป็นสังคมที่แออัดยัดเยียดต้องจำนน เราก็ไม่สร้างแบบนั้น

เราสร้างอย่างมีภูมิปัญญา สร้างอย่างมีความรู้เป็นแกนหลัก มีเจตนาที่จะให้เป็นตามที่เรามุ่งหมาย แต่ไม่ได้มีพิมพ์เขียวมาอวดอ้างใคร แต่ทำไปตามภูมิว่ามีทิศทางมี RoadMaps อยู่ในหัวสมอง อยู่ในปัญญา ไม่ได้เอาออกมาเป็นพิมพ์เขียว คนเข้ามาในราชธานีอโศก ถามว่าใครเป็นคนออกแบบผังเมืองนี้ เราก็ตอบไปว่าไม่มีใครออกแบบ อาศัยธรรมชาติมาช่วยออกแบบ ก็จริงอย่างนั้น เราไม่ได้มีใครมาสร้างแบบ เอาธรรมชาติช่วยออกแบบ ปรับไปตามแต่ละที่แต่ละที เราทำอยู่นี้ยังไม่ลงตัว ทำไปได้แค่ 10 - 20% คอยดูถ้าถึง 50% เมื่อไหร่จะมีรูปร่างรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น จากนั้นจะมีรากฐานโครงสร้างที่ชัดเจน ก็เหลือแต่การตกแต่ง

สีลสามัญญตา คนที่นี่มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ และสูงขึ้นไปเป็นลำดับของศีลตามหลักของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเมืองที่ได้รับการขัดเกลาจิตใจให้กิเลสลดกิเลสจางไปตามลำดับ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ อยู่ในร่างของฆราวาสนี่แหละ แม้แต่เป็นอรหันต์ร่างฆราวาสก็ได้ อยู่ในนักบวชก็ได้จนถึงอรหันต์ แต่อยู่ในฆราวาสก็ยังมีคุณธรรมนั้น ได้ทำงานทำการอยู่ในสังคม โดยจิตเป็นประธาน มีจิตไม่เห็นแก่ตัว

มีทิฏฐิเดียวกัน ความเห็นและทฤษฎีเดียวกันของพระพุทธเจ้า ไปสู่การลดกิเลสและนิพพานเป็นหลัก

คนสะสมเงินมากเป็นอบายมุข เรามีชีวิตที่ไม่สะสมเงินเลยเป็นเรื่องดี คนจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่อาตมาขอยืนยันว่าเป็นไปได้และเป็นจริงได้อย่างชาวอโศกที่เห็นนี่แหละ และเป็นความสุขด้วย เป็นความสุขอย่างสงบ ไม่ใช่เป็นความสุขอย่างบำเรอกิเลส ไม่ใช่สุขเพราะว่าเราได้บำเรอกามได้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่เป็นความสุขที่เป็นวูปสโมสุขหรืออุปสโมสุขของพระพุทธเจ้า ที่ตรงกันข้ามกับโลกีย์

ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่พาคนให้มีลักษณะอย่างนี้ การจัดงานนี้พวกเราจะมีการบันเทิงเริงรมย์ก็มีตามโลกเขา แต่ไม่จัดจ้าน และเป็นศิลปะโลกุตระด้วย มีเพลง มีเต้นรำ วันนี้ก็จะเต้นบาทเดียว สนุกและมีสาระ สมานสามัคคี มีการเสียสละไม่เหมือนกับชาวโลกเขา ทั้งที่เต้นรำเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ให้มาศึกษาเถอะชาวอโศกเป็นคนเหมือนกันแต่เป็นคนไม่เหมือนกัน มาดูว่าคนลักษณะแบบโลกุตระเป็นอย่างไร คนอาริยะกันอย่างไร จะเรียกว่าอริยะหรืออารยะก็ได้ คือเป็นคนฉลาดที่ไม่ฉลาดแบบเฉโก แต่เป็นคนฉลาดที่มีปัญญา

ขอต้อนรับทุกคน ทุกศาสนา ทุกชาติ จากต่างประเทศเข้ามาจากประเทศลาวก็มา จากประเทศจีน ประเทศอื่นๆก็มา เราก็มีสิ่งที่จะแสดงออกอย่างไม่ได้อวดอ้างอะไร แต่ทำเพื่อให้มนุษยชาติอย่างจริงใจ มีการช่วยเหลือเจือจานเกื้อกูลกันจริงๆมีอยู่ในโลก ก็ยินดีต้อนรับทุกๆคน สำหรับขณะนี้ 08:00 น. ตรง อาตมาก็ขอเปิดงานตลาดอาริยะ ครั้งที่ 37 ณ บัดนี้

 ...จากนั้นพ่อครูตีฆ้องเปิดงานตลาดอาริยะ ครั้งที่ 37


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:22:53 )

590417

รายละเอียด

590417_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ มาจนดีกว่ามารวย

 สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2559 เราเพิ่งเสร็จจากงานตลาดอาริยะมา เป็นงานประเพณีที่คุ้มค่ากับการจัดให้มวลมนุษยชาติมากคนที่มานี้ไม่มีการเมาเหล้า คนที่สูบบุหรี่มามีบ้างแต่ก็จะเกรงใจพวกเรา ส่วนข้างนอกนั้นเกิดอุบัติเหตุตายกันหลายร้อยคน แต่ของเรานี้มีรถมาเป็น 10,000 คันไม่มีรถชนกันเลยซักคันไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์หรือว่ารถยนต์มีทุกขนาด บางคนเอารถจักรยานยนต์มาซื้อจุลินทรีย์ไปหลายครั้งก็พ่วงข้างและมีลูกสาวมาด้วยอีกคน เป็นอะไรที่น่าเอ็นดูมากบางคนก็ขี่คอกันมา เป็นประเพณีที่เราเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในสังคม ตลาดเรานี่เสร็จงานแล้วมีขยะน้อย คนมาเป็น 100,000 คนแต่พลาสติกมีไม่มาก ส่วนงานอื่นๆคนมามากๆจะมีขยะเลอะไปหมดแต่นี่ของเรามีน้อยมีเปอร์เซ็นต์ Error น้อยมาก อันนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ตลาดนี้เป็นตลาดคนจน คนที่มากินอาหารกลับเป็นคนที่ระมัดระวังว่าจะเลอะเทอะ จะวางของทิ้งเขาระมัดระวังมาก เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากเอาเงินมาจ้างสามสี่ล้านก็ไม่ได้ให้เป็นร้อยล้านก็ไม่ได้ ส่วนสงกรานต์ที่อื่นๆมีคลื่นมนุษย์มาคงจะเละเทะมากมายเพราะจิตใจไม่ได้พัฒนา

          แสดงให้เห็นว่าที่พ่อครูพาทำนี้ทำให้เกิดสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้คนที่มานี้ในสังคมเค้าไม่ได้ยอมที่จะไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ได้ไม่ง่ายนะ แต่นี่เค้าทำได้ นี่ขนาดมีแค่น้ำตกผาแหงนเล็กนิดเดียวคนก็ยังมาเที่ยวกันเยอะแยะ ถ้าลำธารถอยหลังเข้าเสร็จเรียบร้อยคนจะมามากกว่านี้อีก แต่อย่างไรพ่อครูก็จะไม่เก็บเงินคนที่มาแน่นอน วันนี้พ่อครูก็คงจะมาเฉลยเรื่องของความรวยความจน ถ้าพูดถึงปุถุชนทั่วไปไม่มีใครไม่อยากรวย อาตมาเองเมื่อก่อนก็คิดว่าความจนเป็นเรื่องที่น่าเกลียด เป็นความทุกข์ทรมานอยู่ยากลำบาก

แต่เมื่อมาอยู่กับพ่อครูแล้วกลับบอกให้มาจน จนให้หมดตัวหมดตนเลย จนตลอดชีวิตด้วยไม่ได้ทำแค่ช่วงเวลาหนึ่งด้วยรู้สึกว่าชีวิตเรามีความสบายมากหมดทุกเรื่องร้อยแปดเรื่องเลยมากกว่านั้นด้วยทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต เป็นความจนที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิที่พ่อครูพาทำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ตลาดอาริยะ ขาดทุนอย่างจริงใจ

พ่อครูว่า...คนที่มีปัญญามีความรอบรู้พอว่าการที่จะมาลดกิเลสให้มาจนจริงๆไม่ง่าย แต่ทำได้ ขอให้เข้าใจและเห็นจริงมาทำกันคนที่เห็นจริงนั้นมีเยอะ นอกนั้นยังไม่จริงอาจจะรู้ด้วยปฏิภาณปัญญาแต่ไม่เห็นจริง คนที่เห็นจึงจะมาพยายามปฏิบัติฝึกหัดลดละให้เป็นคนจนได้จริงๆเลย

ไม่ว่าคนในยุคไหนไหนก็ตามสามารถฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเกิดภูมิปัญญาปฏิบัติตามได้จริง โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพราะเป็นยอดของปีระมิดจึงมีได้น้อยแต่เป็นไปได้จริง

ก่อนจะได้สาธยายก็ขอนำประเด็นที่ท่านผู้ชมคนนี้ส่งมาทางท่านจันทร์

ก็จะขอวิจารณ์ซ้อนแต่ไม่ได้พูดด้วยการข่มแต่เป็นการนำเสนอความรู้วิชาการก็ขอบคุณที่ได้นำเสนอความเห็นมาจริงๆ

มีท่านผู้หนึ่งติดตามชมบุญนิยมทีวีอย่างใกล้ชิดแล้วส่งข้อความผ่านมาทางท่านจันทร์อย่างละเอียด

 

_ต้องระวัง เชื้อโรคทางศีลธรรม ซึ่งแทรกเข้ามาบน เวทีชาวบ้าน .. ซึ่งบุคคลภายนอกขอขึ้นมาร้อง .. ซึ่งควรมีการกลั่นกรองจากผู้มีประสบการณ์ทางโลกร่วมอยู่ด้วย.. จริงๆหน้าจะให้มีภาพลักษณ์ของธรรมะ โดยการเปลี่ยนเป็น เวทีศีล5 มากกว่า.. (ชม ภาพมุมสูง ใน งานตลาดอาริยะ,13-4-59 ,คลิปรีรัน14-4-59)...

นี่แหละ!..ที่อโศกมักไปคิดภาคภูมิใจ ว่ามีรถต่างๆเป็นจำนวนมากที่หลั่งใหลเข้ามาหาซื้อข้าวของในตลาดอาริยะ .. แต่อโศกมักมองข้ามความจริงว่า.. แล้วเราได้คิดมั้ย ว่าบรรดาคนที่มีรถปิ๊คอัพขนของ รถส่วนตัวเหล่านี้นั้น เขาเป็นคนที่มีความทุกข์ยากไร้ ยากจน อดอยากแร้นแค้นมากมาย ที่ควรได้รับการเกื้อกูล (มากกว่าชาวเอธิโอเปียหรือชาวเคนยา ที่สังขารร่างกายทั้งของ เด็ก เด็กทารกและผู้ใหญ่ ก็ตามนั้น.. ที่มองเห็นแต่ซี่โครงเป็นซี่ๆที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ..)กระนั้นหรือ ..  อโศกจึงควรใคร่ครวญถึงสิ่งที่กระทำ เพื่อความให้ดูเหมือนยิ่งใหญ่แตกตื่นแปลกตาขององค์กรอโศกให้ดีๆด้วยนะครับ..

(พ่อครูว่า...อโศกไม่ได้มองข้ามได้มองเห็นความจริง เพียงแต่ไม่ได้ไปบอกท่านเท่านั้น  แล้วที่บอกว่าจะให้ไปช่วยเอธิโอเปียนั้น ก็ขอค่าเครื่องค่าขนของ ท่านไม่ได้รู้ข้อจำกัดของเราจึงได้แต่พูดไม่ได้ทำเลย ของเรามีข้อจำกัดช่วยได้แค่นี้ แต่ขอบคุณนะที่บอกละเอียดมา แต่ขอวิจารณ์ซ้อน)

ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ เมื่อเราขายของถูกเกินไป เข้าขั้นขายขาดทุนมากๆ (ซึ่งเป็นการทำลายกฎเกณฑ์ของการตลาดทุนนิยมทั่วไป ซึ่งเขาทำมาหากินกันโดยสุจริตกันเพื่อความ อยู่รอดตามธรรมชาติ)นั้น.. แน่นอน!..เมื่อเรายังไม่ได้ทำให้ลดละกิเลสโลภ อยากติดกาม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ในจิตวิญญาณของประชาชน (ซึ่งเป็นงานของโพธิสัตว์โดยเฉพาะนั้น ..).. เขาก็ย่อมต้องการที่จะซื้อสินค้าเหล่านั้นไปกักตุนไว้มากๆ (ซึ่งสร้างนิสัยกักตุน )ใช่หรือไม่ .. ความจริงนั้น.. งานโพธิสัตว์นั้นควรเน้นเรื่องของการพัฒนาปรับปรุงจิตวิญญาณโดยเฉพาะ (เช่น.. วิถีการแสดงธรรม เช่น ท่านพุทธทาส หรือ ท่านปัญญานันทะ ซึ่งแทบไม่ได้สร้างผลข้างเคียงทางลบใดๆเลย ..)..ใช่หรือไม่ ..

(พ่อครูว่า...ใช่ท่านเหล่านั้นท่านไม่ได้สร้างหมู่กลุ่มได้แบบอาตมา อาตมาเคารพท่านนะ พูดไปแล้วเหมือนข่มท่าน แต่พูดความจริงว่า ท่านทำมานานและก่อนอาตมาแต่ก็ไม่ได้เกิดผลแบบอาตมา ที่เป็นสังคมสาธารณโภคี)

แล้วพระโพธิสัตว์แบบของอโศกนั้น .. เกิดมาเพื่อเน้นสร้างภาพของความดูยิ่งใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ .. ซึ่งไม่ได้ช่วยเลื่อนฐานของความเห็นแก่ตัว หรือเพิ่มกิเลสสะสมข้าวของของประชาชนสักเท่าไหร่ เท่านั้นหรือ .. กระนั้นหรือ .. แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นว่า บรรดารถปิ๊คอัพ รถส่วนตัว รถบรรทุก หรือแม้รถ2แถวแบบต่างๆ เหล่านี้นั้น .. พากันหลั่งใหลเข้ามา เพื่อแสวงหาธรรมะอันเป็นโลกุตระของอโศกหรือพ่อครู จริงๆโดยเฉพาะนั้น .. นั่นต่างหาก!..จึงน่าจะเป็นภาพที่น่าภาคภูมิใจน่าประทับใจ ยิ่งกว่า และจะดูน่าชื่นชมมากปานใด ไม่ใช่หรือ .. ใช่หรือไม่ …

(พ่อครูว่า...ใช่ แต่คุณมองไกลเกิน ไม่ได้มาใกล้ชิดไม่รู้ว่าที่อาตมาพาทำตอนนี้ก็ใช่อย่างที่คุณว่า แต่ว่าคุณมองไม่ออกเอง ว่าเราทำอยู่)

...ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ…

คำขวัญวันนี้.. คือ ข้าวของถูกมากก็กักตุน.. อาหารถูกมากก็กินเกิน .. ใช่หรือไม่ ...ซื้อของได้แล้วก็ต้องมีอีกคนคอยนั่งเฝ้าของ เพราะกลัวข้าวของหาย .. นับเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งนะ .. มองเห็นมั้ย …

(พ่อครูว่า...ใช่ เขาทำแล้วเขาก็จะเห็นทุกข์ กินเกินเข้าไป หอบแบกเข้าไปสักวันจะรู้สึกเอง คุณเชื่อไหม? อันนั้นจะเป็นบทบาทสอนเขา เราจะให้เขาพากเพียรมาเถิด เขาจะมีกิเลสโลภหอบหวง หรือจะกินเกินไปอย่างไร สุขภาพเขาจะเสีย ของเขาจะเกิน ก็จะเห็นทุกข์ เราสอนซ้อนในตัวเอง แล้วที่คุณพูดมานี้ก็เขาต้องเฝ้าของก็เกิดทุกข์แล้วนะ )

เพียงแต่เขาใช้ โลกียปีติ ( = ปิติของชาวโลกีย์ )คือความดีใจจากการได้ซื้อของถูก (คือดีใจที่ผู้ขายได้ขายขาดทุนให้เรา .. ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นจิตเชิงบวกหรือไม่ ..)นั้น.. เพื่อกลบเกลื่อน*อารมณ์ความทุกข์แบบละเอียด *ที่ซ่อนแฝงอยู่เท่านั้น.. .. ใช่หรือไม่ …

(พ่อครูว่า...ขายขาดทุนให้นี่ถือว่าเป็นปีติเชิงบวก ไม่ใช่ซ้อนด้วยความอวดโอ่ เฉยๆ แล้วคุณคาดคะเนคนเอาก็จริงอย่างคนที่ทำอย่างเล่ห์ลวงแบบข้างนอก คนที่นี่ตั้งใจมาลดกิเลสทุกคน ไม่ใช่ทำโก้ชั่วคราว แต่เราตั้งใจทำให้ตลอดไป เป็นอัตโนมัติเลย)

ครอบครัวไทย คนไทยควรลดการกินน้ำตาล (ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเบาหวานและหลอดเลือดชำรุด )และลดการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (ซึ่งอาจแปลงเป็นไขมันทรานซ์ซึ่งก่อมะเร็งได้ ).. เพราะคนไทยเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจและโรคมะเร็งเป็นจำนวนมากจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ .. ใช่หรือไม่ ..(ดังนั้น.. ตลาดอาริยะ จึงไม่ควรจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายราคาถูกและน้ำมันพืชราคาขาดทุนแต่อย่างใด .. ใช่หรือไม่ ..)..

(พ่อครูว่า...เรามีเทคนิคสอน ว่าให้เขาแบ่งปันให้คนอื่นด้วยนะ คนจนจะสำนึกได้เร็วกว่าคนรวย มาดูเป็นบุญตาได้เลย  ก็จริงที่ว่าจะเป็นโรค แต่เรามีอุบายโกศลไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่าเหมือนคุณ เรามีขั้นตอนการทำการลดละ แต่ว่า ถ้าทำแบบคุณนั้นมันดีนะ แต่คุณทำได้ไหม มันดีแต่ไม่เป็นลำดับ ศาสนาพุทธสอนให้ทำตามลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลตามลำดับ เรายังมีนโยบายขายน้ำตาลและน้ำมันพืชอยู่ต่อไป)

 1บาทก็อิ่มได้ .. แต่1บาทหลายทีเพราะเห็นแก่ราคาถูกก็จุกได้ .. (การทาน หลายจาน หลายถุง หลายรอบ .. เพราะเห็นแก่ว่าของถูกมาก เหมือนได้กินของฟรี .. แต่ของฟรีนั้นไม่มีในโลก .. ---> เอาเปรียบผู้อื่นคือขาดทุน.. เสียเปรียบคือกำไรชีวิตต่างหาก.. ...{ดังนั้น..  อโศกจึงไม่ควรสอนให้ประชาชนเกิดความนิยม ชื่นชมชื่นชอบในการได้เปรียบจากการซื้อของถูกมากๆ ซึ่งผู้ขายต้องยอมขาดทุนมากๆ (ซึ่งจริงๆ ไม่มีของฟรีจริงๆในโลกอยู่แล้ว ).. แต่ตนเองกลับได้เปรียบมากๆ .. แต่ อโศกควรต้องสอนให้ประชาชนรู้ว่า การเอาเปรียบได้มากๆนั้นเป็นบาป ( = เชื้อบาปในจิต )อย่างแน่นอน!.. ..}...

(พ่อครูว่า...ถูกต้องแน่นอน อโศกคือของฟรีจริงๆ ไม่มีซ้อนแฝง คุณดูถูกเรามากไปแล้วรู้มั้ยแก้วตา เราเสียเปรียบจริง ไม่ต้องการตอบแทนคืน เราทำโดยจริงใจ แต่คุณดูถูกใจจริงของเรา แต่คุณพูดตามคุณเป็น ฐานจิตคุณเป็นเช่นนี้จริงๆ คุณไม่เชื่อหรอกว่า จะมีคนเสียสละจริงไม่เอาคืนจริง ถ้าคุณมาเป็นอย่างเราจะไม่พูดเช่นนี้ คุณอยู่ในฐานแค่นี้อย่ามาดูถูกคนฐานจิตสูงกว่า ขอพูดอย่างแข็งๆเพราะเรื่องจริง)

          ห้องน้ำกางเกงยีนส์ ว่าตามจริงก็ไม่รู้สึกเห็นด้วยเลย .. ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นคิด .. เหมือนว่าเราไปให้คุณค่ากับวัฒนธรรมตะวันตก ข้าทาสอเมริกามากเกินไป .. แทนที่จะเป็นภาพที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย .. เช่น.. อาจจะเป็นภาพชุดไทยพื้นบ้านอุบล หรือชุดภูไท หรือ ชุดไทยทรงดำ ในความหมายของวัฒนธรรมไทยที่หลากหลาย ก็น่าจะดูดีมีความหมายกว่ากันเป็นไหนๆ .. ใช่หรือไม่

(พ่อครูว่า...เป็นไอเดียอาตมาเองที่จะข่มพวกทุนนิยม เอากางเกงยีนส์มาเป็นห้องน้ำเป็นส้วมนะ ไม่ได้ยกย่องเลย)

แล้ววันหนึ่ง.. ก็จะมีพ่อค้าทุนนิยมหัวสุนัขจิ้งจอก (บางคน บางกลุ่ม)ไม่อยากใช้คำว่าหัวใส .. ซึ่งได้รับทราบข่าวสารจากการชี้นำทำให้ดูเป็นตัวอย่างโดยไม่ระวังของอโศก ก็อาจคิดแผนการตลาด โดยการขายแบบแจก เช่น สมาร์ทโฟนราคา1บาท หรือสินค้าอื่นๆก็ตาม.. โดยมีจำนวนจำกัด ใครมาถึงก่อนได้ก่อน เพื่อดึงดูดให้คนแห่ไปห้อมล้อมแย่งชิง โดยมีเจตนาให้ประชาชน เมื่อได้มาแล้วก็จะพลอยซื้อสินค้าอื่นๆไปด้วย (แต่แค่รองเท้ามีชื่อบางยี่ห้อก็ยังแย่งชิงกันจะเป็นจะตายตามข่าว ..).. ใช่หรือไม่ ..(จึงอยากขอให้อโศกพึงควรระมัดระวัง ในการนำเสนอยุทธวิธีการตลาดแบบบุญนิยมใหม่ๆแบบแปลกๆของอโศกให้มากๆด้วย.. ด้วยความปรารถนาดีครับ..)

(พ่อครูว่า...ตลาดเรามีแต่สินค้าที่ขายขาดทุนทั้งนั้น การจะเชิญชวนคนให้มาซื้อของที่เราขาดทุนมากๆนี่ มันจะเป็นการเอาเปรียบใครได้อย่างไร คุณทำให้ได้เช่นเราหรือไม่ เอาสักครึ่งหนึ่งก็ได้นะ แต่คุณก็ทำไม่ได้ อยากให้คุณทำตลาดอาริยะที่ลดราคาได้มากกว่าเราอีก ถ้าทำได้จะดีมากเลย อาตมาชื่นใจเลย แล้วปัญญาคุณยังไม่ฉลาดพอ คุณทำแบบเรายังไม่ได้เลย แล้วเราทำได้แค่นี้ เราทำไม่ได้มากเท่าที่คุณพูดปากเปล่า เราทำได้มากกว่าคุณทำ แต่เรายังทำไม่ได้อย่างที่คุณพูด รออีกหน่อยนะ)

ต้องระวัง เชื้อโรคทางศีลธรรม ซึ่งแทรกเข้ามาบนเวทีชาวบ้าน .. ซึ่งบุคคลภายนอกขอขึ้นมาร้อง .. ซึ่งควรมีการกลั่นกรองจากผู้มีประสบการณ์ทางโลกร่วมอยู่ด้วย.. .. จริงๆหน้าจะให้มีภาพลักษณ์ของธรรมะ โดยการเปลี่ยนเป็นเวทีศีล5 มากกว่า.. …

นาทีที่10.40น.(14-3-59)เป็นเพลงที่ไม่เหมาะสมสำหรับเวทีชาวบ้าน ซึ่งต้องเน้นอย่างน้อยศีล5  .. โปรดลองคลิกดูจากยูทูป ที่บางวงดนตรีนำมาร้องแล้ว เกิดความฮือฮา เพราะอะไร …

(พ่อครูว่า...เราเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างบ้าง เราไม่เคยเอามายกย่องนะ เราเอามาถ้าอันไหนไม่ควรทำตามเราก็กระหน่ำ ไม่ได้พูดลอยลมว่า เขามีเช่นนี้นะ ไม่ว่าจะเพลงอะไรก็แล้วแต่นะ)

          น้องรุน เป็นพิธีกรสนามของอโศก ก็อย่าบริหารเสน่ห์มากเกินไป .. ควรใช้ ท่าทีเรียบๆ เนิบๆน่าจะเหมาะสมกว่า .. เห็นยิ้มตลอดไม่หุบเลย ด้วยความเคารพครับ…

(พ่อครูว่า...เสน่ห์ตายล่ะน้องรุน ทำไมคุณ sensitive เหลือเกินว่าหว่านเสน่ห์ ไปเทียบกับพวกดาราทีวี ไม่ได้เรื่องหรอก หน้าตาไม่แต่งอีก มีลีลาเชิงผู้หญิงบ้างไม่แข็งกระด้าง แต่ถ้าทำแข็งก็จะดูไม่ดีอีก อาตมาว่าไม่น่าเกลียดเกินไป ตายๆยิ้มก็ไม่ได้ คุณจะสุดโต่งมากไปแล้ว)

          อีกประการ คืออยากให้อโศกหรือบุญนิยมทีวีส่งเสริมพิธีกรภาคสนามที่มี หน้าตาเพลนๆ ไม่ดึงดูดทางเพศ หรือไม่ก็ให้เป็นพิธีกรชายไปเลย .. เพราะเท่าที่เห็นมักมีแนวโน้มส่งเสริมเด็กสัมมาสิกขาหญิง ที่มีหน้าตาจิ้มลิ้มดึงดูดราคะ(ซึ่งสื่อทางโลกเขาก็ทำเช่นนี้เป็นธรรมดา ).. แต่สื่อทางธรรมควรคิดต่างและทวนกระแสโลก โดยการให้โอกาสกับผู้ที่หน้าตาเรียบๆ (ที่จะให้มาเป็นพิธีกรสนาม)มากกว่า .. ไม่เช่นนั้น.. ผู้ชมอาจมองไปถึงผู้มีส่วนคัดเลือก (ซึ่งไม่ทราบว่าจะมีสมณะร่วมอยู่ด้วยหรือไม่) ว่าอาจเป็นเรื่องของเมถุนสังโยคของผู้คัดเลือกด้วยหรือไม่ก็ได้ .. ซึ่ง ผู้ชม แทนที่จะได้รับข่าวสารแบบมีสมาธิดีๆ .. แต่ก็กลับต้องมาสาละวนกับการคอยระวัง กำจัดราคะของตนเอง .. ซึ่งถือว่าเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นศิลปะอันอุดมเลย .. ใช่หรือไม่ …

(พ่อครูว่า...ขออภัยไม่ได้คัดเลือกเลย มาตามธรรมชาติไม่ได้จ้างสักบาท หายากนะ ไม่ได้หาง่ายๆนะ มาทำด้วยใจไม่ได้จ้าง หากคัดมากก็ไม่ต้องมีคนทำงานพอดี หายากอยู่ แล้วถ้าเป็นพิธีกรชายก็ดูดผู้หญิงอีกนั่นแหละ คนที่มานี้เขาสมัครใจมาเอง ได้ขนาดนี้ก็บุญมากแล้ว เราไม่ได้คัดเลือกด้วย มันมาไม่พอด้วย คุณไม่รู้ความจริงก็พูดส่งเดชะไปเรื่อย ว่าพระไปอีก คุณนี่ชักปากเปราะระรานไปเรื่อย คุณได้แต่นั่งเทียนเขียนบนก้อนเมฆ บาปนะ เที่ยวไปตู่ท้วงไปหมด ก็บอกพิธีกรเราว่าอย่าหว่านเสน่ห์มากนัก)

เพลง แหย่ไข่มดแดง (นาทีที่12.32น.,14-4-59)นั้น ไม่ควรร้องบนเวทีชาวบ้าน .. เพราะไข่มดแดงนั้นยังมีเชื้อชีวิต ที่จะเกิดเป็นตัวมดแดงในอีกไม่นาน .. ซึ่งถือเป็นเรื่องส่งเสริมการผิดศีลข้อ1,ห้ามฆ่าสัตว์ ชัดๆ .. จึงควรต้องระวังการสื่อสาร ในเรื่องเนื้อหาของเพลงให้มากๆด้วยครับ.. ด้วยความเคารพครับ...

เพลง บึ๊ดจ้ำบึ๊ด... (นาทีที่12.35น.,14-4-59)ก็เป็นเพลงที่มีเทคนิคลีลาของคำความและเนื้อหาเพลงบางส่วนที่ไม่เหมาะสมสำหรับคนชาวธรรมะ ซึ่งโดยมากเป็นการสนองอารมณ์บางอย่างของนักดนตรีนักร้องแฝงเสพไปด้วยเสมอ .. ซึ่งใครก็ฟังออกว่าสื่อไปถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับกิจกรรมอะไรของมนุษย์ที่สิ้นสุดลงด้วยน้ำ (ดังที่มีพระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงในพตปฎ. อยู่ด้วย) และยังมีคำว่าน้ำในโหลยาดอง ซึ่งสื่อถึงการผิดศีลข้อ5,สุราเมรยะฯ อยู่ด้วยอีกด้วย .. จึงควรพิจารณาว่าเหมาะสม ที่จะให้ขับร้องบนเวทีชาวบ้านของอโศกหรือไม่ด้วย .. ด้วยความเคารพครับ…

พ่อครูว่า...การอนุโลมกับสังคมบ้าง เราไม่เอาจัดจ้านมานะเรารับมาประมาณหนึ่ง ไม่ว่าจะเพลง สีสัน การเป็นไป อย่างหน้าเวทีอาตมานี้มีเครื่องประดับตกแต่งเราก็มีดอกไม้ตามประสาเรา เราไม่ได้ซื้อมานะ เราเก็บของเรามาเอง มีผลไม้ประสาเรา เป็นมัณฑณศิลป์ตามแบบเรา ใครว่าเชยก็ไม่เป็นปัญหา อาตมาว่าซื่อใสบริสุทธิ์  ไม่ได้ไปบอกอะไรมากเลย เสริมบ้างเท่านั้น อะไรก็เป็นศิลปะถ้าเราเข้าใจเจตนา ถ้าไม่มีเจตนาและไม่มีความรู้ก็ไม่เรียกว่าศิลปะ

คุณเห็นความบกพร่องของโลกนั้น มากมาย แต่คุณเห็นแล้วเฉยเหมือนม้าตด ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าคุณสะกิดใจรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นลำดับขั้น ปรับจิตก็บรรลุธรรมได้ ควรมาศึกษาฝึกฝนให้เกิดจิตละเอียดลึกซึ้งได้ แม้ยากแต่ทำได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน มาจนดีกว่ามารวย

จากนั้นได้เปิด mv เมื่อไหร่จะรู้สักที จนอะไรหรือรวยอะไร?

ตกลงคนในโลกนี้ส่วนใหญ่จนอะไร? จนศีล จนธรรม ไม่ได้จนไม่ได้ขาดแคลนเงินหรืออะไรที่แย่งกัน แต่ศีลไม่มาแย่งกัน ธรรมะไม่มาแย่งกัน เพชรก็ดีพลอยก็ดี ธนบัตรก็ดีมีค่ามากว่าศีลธรรมหรืออย่างไร เงินแสนล้านซื้อศีลธรรมไม่ได้ เอาเงินแสนล้านมาให้คนชั่วไม่ทำชั่วไม่ได้ เลิกได้ก็กดข่มชั่วคราว แต่นี่เราให้มีศีลแบบตลอดได้ ไม่ฆ่าสัตว์ได้ถึงจิตเลย แม้เกิดมาใหม่อีกก็อาจมีลิงลมอมข้าวพองบ้าง แต่รู้ตัวแล้วไม่เลย ปฏิบัติได้จริงข้ามชาติได้ อาตมาพูดได้เพราะอาตมามีภูมิธรรมข้ามชาติมา ชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนศาสนาเลย ไม่ได้ไปเรียนสำนักไหนเลย พูดด้วยความจริงเนื้อแท้ที่ตนมี ซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องถูกครอบงำไปพักหนึ่ง แต่พอรู้ตัวแล้วท่านก็เลิก ตอนออกป่า 6 ปีเป็นทางผิด ใช้วิบาก แต่คนในโลกนี้ก็ยังหลงแบบนั้นอยู่อีก

คนที่มีจิตใจอยากรวยนี้ยังต่ำ คนที่อยากจนที่สูงขึ้น คนที่จนสำเร็จเป็นคนประเสริฐเป็นคนเจริญที่แท้จริง เป็นคนจนที่สร้างสรรขยันหมั่นเพียร มีปัญญารู้ว่าจะใช้กำลังแรงงานทุนรอนไปกับการงานที่ไม่เป็นโทษ ก็เข้าใจและเสียสละทำงานหรือจะเอามาทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ของตนเองกินใช้ร่วมกันอย่างนี้ บางอย่างไม่จำเป็นด้วยซ้ำไปแต่คนอื่นต้องอนุโลมให้เขาเราก็สร้างให้เขาพอประมาณ อะไรที่แย่แล้วไม่ควรสร้างขึ้นมาในโลกเลยเราก็เว้นเด็ดขาด  จนมาเป็นคนที่มีตระกูลจน มีนามสกุลแบบจนนี่มากมายหลายอย่าง

ใครไม่เคยบ้าอยากรวยบ้าง ก็ไม่เห็นมีสักคน ก็มีแต่ว่าอยากรวยทั้งนั้นมากน้อยก็แล้วแต่ก็เคยบ้ามากันทั้งนั้น ตอนนี้เราเข้าใจมากแล้วว่าจะไปบ้าอยู่ทำไม ข้อสำคัญก็คือนอกจากเราจะพยายามไม่ไปรวยจะมาจนจริงๆแล้ว ยังมีเสนาสนะสัปปายะมีชุมชนชาวอโศกเป็นสถานที่อยู่เป็นสิทธิของเราให้อยู่จริง มีบุคคลสัปปายะบุคคลที่จนได้สำเร็จจนได้จริงๆ จนถึงขั้นบริบูรณ์เป็นอรหันต์ จนถึงขั้นอนาคามี จนในขั้นสกิทาคามี จนในขั้นโสดาบัน จนแบบโคตรภูบุคคล กดข่มกิเลส หน้านองน้ำตา จะสละก็ไม่กล้า แต่บางคนก็สละได้เลย อยู่กับหมู่กลุ่มนี้สาธารณโภคี ตายเป็นตาย คนกล้าสู้ก็สละออกหมดเลย

คนจะมีปัญญาเห็นจริงที่จะกล้ามาจน ไม่เอาไปรวยแล้ว คุณจะกล้าไปรวยนี้เคยทำกันมาหมด แต่คนไม่ค่อยจะกล้ามาจน นี่มีด็อกเตอร์ใจเพชรก็เปลี่ยนนามสกุลว่ากล้าจน คุณในน้ำคำก็เปลี่ยนมาลงตัวที่มาจน นามสกุลพร้อมจนก็มี คนแรกสุดที่เปลี่ยนสกุลเกี่ยวกับจน คือคุณน้อย ร้อยแจ้ง เขาเปลี่ยนเป็นนามสกุล จนดี ไปถึงกองทะเบียน เขาก็ว่ามีคนนามสกุลจนดี อยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนไม่ได้ อาตมาก็เลยเติมให้อีกคำว่า จนดีจริง

คนเราเกิดมาในโลกนั้นมีแนวโน้มอยากจะไปรวยเพราะกิเลส มวลคนที่จะไปอยากรวยนี้จะมีเยอะ จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรการที่ธรรมกายจะมีหมู่มวลคนไปนิยมมาก ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะประหลาดใจอะไรเลย แต่เอาคนมาให้อยากจนนี้มีหมู่มวลขนาดนี้ก็ได้เท่านี้แหละ จะมากจะน้อยก็ได้เท่านี้ อยากได้มากๆนั้นคนจะมาอยากจนจริงๆ มารวมกันตั้งใจพากเพียรเต็มใจมุ่งมั่นเพื่อจะมาเป็นคนจนจริงๆ จนอย่างสมบูรณ์ คนที่มีจิตใจชัดเจนแล้วว่าเราหมดเนื้อหมดตัว วัตถุสมบัติเราก็ไม่มีแล้ว ไม่ทำมาหารายได้เข้าตัวแล้ว มีแต่ทำมาหารายได้เข้าสู่กองกลางสาธารณโภคี แล้วก็ช่วยกันบริหาร จะแจกจ่ายแก่คนอื่นก็ทำกันไป ร่วมกันทำงานกับสังคมสาธารณโภคีนี้อย่างที่ชาวอโศกเราเป็นไปได้อย่างที่เราทำได้นี้ เป็นจิตใจจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งไม่ได้สร้างภาพ

คนทั้งหลายนี้อยากรวย คนในโลกนี้จริงๆแล้วมีฐานะที่รวยมากกว่าหรือว่าคนที่จนมีมากกว่า? ก็คือคนที่มีฐานะจนมากกว่าคนรวยเหมือนยอดปีระมิด ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีน้อยราย ส่วนคนจนก็ยิ่งมีอยู่มากระจาย ทรัพย์สมบัติในโลกมีจำนวนหนึ่ง แต่ถูกคนรวยดูดเอาไปสมบัติในโลกนี้ก็หายไปจากคนส่วนใหญ่ก็ขาดแคลนลง ส่วนคนรวยก็ดูดทรัพยากรไปกองไว้กับตน

คนนี้แย่งกันรวยมากกว่าคนแย่งกันมาจน แล้วคนที่เป็นทุกข์มากก็คือคนที่รวย คนในโลกนี้โง่หรือฉลาดที่ไปแย่งกันรวย คนที่อยากจนนี้โง่หรือฉลาด ส่วนมากก็เจอแต่คนโง่ที่อยากไปรวย มีแต่คนไปอยากรวยทั้งนั้น คนที่อยากรวยนี่ฉลาดหรือโง่? ก็โง่  ส่วนคนอยากไปจนนี่ฉลาดหรือโง่? ก็ฉลาด

การทำตนให้จนกับทำตนให้รวยอย่างไหนยาก? ก็ทำตนให้รวยนี้ง่ายกว่า มาทำตนให้จนนี้ยากกว่า แต่สำนักปฏิบัติธรรมที่คนชวนคนมาจนกับสำนักที่ชวนคนมารวยนี้ คนจะกรูเกรียวไปสำนักไหน? ก็ไปสำนักพารวย พาไปฝากกับวิมานไว้ชาติหน้าจะรวยชาตินี้สละให้มาก แล้วชาติหน้าจะรวย แล้วเมื่อไหร่ก็ในวิมานคนก็เลยเชื่อ แล้วสะกดจิตด้วย นั่งหลับตาอย่าคิดอะไรลูกเอ๋ย ฟังพ่อพูดคนเดียวให้อยู่ที่จิตใสๆ แล้วสร้างมโนมยอัตตา...นี่องค์พระโสดาฯสกิทาฯ ก็สร้างภาพที่สำเร็จด้วยจิตไป ปั้นขึ้นไปเป็นอารมณ์ลมๆแล้งๆ เป็นอุปาทาน

สำนักที่พาคนไปรวยนี้มีมาก สำนักพาคนไปจนนี้หายาก

ถามชัดๆว่า การทำให้รวยนี้มันต้องดูดต้องขูดเอามาให้แก่ตนมากๆ ไม่ว่าสำนักใดๆ

ชุมชนอโศกเป็นสนามแม่เหล็กแห่งความจน คนที่ยังไม่จนบริบูรณ์จิตใจยังมีความไม่อยากจน ก็ลดละจนเป็นคนจนที่บริบูรณ์ คือจิตใจลดละได้สำเร็จ เราก็เรียนรู้มีปัญญาว่าถ้าเรามีทรัพย์สินเงินทองทรัพย์สินเหล่านี้มันก็เป็นภาระ แต่เราอยู่ในกลุ่มนี้เขาให้ดูแลทรัพย์สมบัติเราก็ดูแลไป

1. คนที่มานี้เป็นคนขยัน บางคนขยันเกินไปต้องบอกให้หยุดด้วย

2. มีสมรรถนะ

3. มีปัญญา รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ

4. ทำแล้วไม่หวงแหนเป็นของตน

5. แจกจ่ายเจือจานแก่คนที่ควรสะพัด เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นหนี้ ขยันหมั่นเพียรเลี้ยงตนรอด ทำให้เกินกินเกินใช้แล้วเหลือสะพัดแจกจ่ายให้ประชาชน

ชาวอโศกทำได้ จนเป็นหมู่กลุ่มวัฒนธรรม อยู่อย่างสอดประสานเสียสละ รวมคนมาเป็นพฤติกรรมสังคม วัฒนธรรม ซับซ้อนมีอัตราก้าวหน้าของเศรษศาสตร์บุญนิยม เศรษฐกิจพอเพียงแบบในหลวงเรานี่

จากนั้นเปิดคลิป แบบคนจน และขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ท­ำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่าง­มาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่าง­มาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึ­งหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี­" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เ­ราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"

ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534

 

..ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

ในหลวงท่านต้องตรัสสิ่งจริง แล้วคนที่รู้ว่าจนนี้ดีกว่าไปรวยก็มี แต่แม้รู้ก็ยังไม่กล้าพูดไม่กล้าทำ ฐานะชาวอโศกจึงตกในฐานะที่คนไม่กล้ารับรองพวกเรา เพราะถ้าเขารับรองเขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยไม่กล้าพูด เราจึงอยู่โดดเดี่ยวบ้าง แต่ไม่ใช่ไม่มีเพื่อน มีเพื่อนทำบ้าง จริงๆชาวอโศกรวยพอสมควร พออยู่ได้ เราอุดมสมบูรณ์นะ เรามีอยู่มีกินมีใช้ไม่ขัดสน เราไม่เป็นหนี้ใคร นี่คือเครื่องตัดสิน เป็นได้ไม่จำเป็นต้องมีดอกเบี้ย เราเกื้อกูลกันไป ในหลวงตรัสว่าก้าวหน้าแบบโลกนั้นถอยหลังอย่างน่ากลัว คนจะมาเข้าใจอย่างในหลวงก็ยาก คนเข้าใจแล้วจะมาทำได้นั้นก็ยิ่งยาก พอในหลวงตรัสไป นักเศรษฐกิจก็ว่าไม่ใช่ แต่ในหลวงก็ยืนยันว่าตรัสเช่นนี้แหละ เขาก็ยิ้มๆ อาจบอกว่าพูดไปได้อย่างไร ท่านก็ว่าอย่างนั้น เป็นเรื่องสุดยอด

ข้อสำคัญคนพูดเช่นนี้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วพูดไปในวงกว้างด้วย ความเป็นจริงเช่นนี้ชาวอโศกทำได้


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:23:34 )

590418

รายละเอียด

590418_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กูฏทันตสูตร ตอน1

พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2559 ก็มาต่อบทเรียนกันวันนี้เริ่มจาก sms

 Sms 17APR 59

_0805925xxx ก้มกราบพ่อขอส่งพรรดน้ำผ่านSMS ขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงอายุขัยยืนยาวเป็นหลักของชาวอโศกได้พึ่งบุญ/ปลายฝน

 

_0805925xxx คนแย้งตะแบงมาเพราะเขาทำไม่ได้ใจไม่เปิดดูว่ายุคนี้ค่าครองชีพแพงแย้งแบบปัญญาอ่อน คนแย้งที่บ้านคงกินแต่น้ำปลาจึงเค็มจัดไม่เปิดใจรู้จักขาดทุนคือกำไร? มึนจังกรู! สรุปคนแย้งจิตไม่ว่างนั่งจับเวลา!ขำๆ!

 

_0893867xxx ตลาดอาริยะของบุญนิยมกำลังสั่นคลอนคนโลกทุนนิยมกระมัง?เพราะเป็นตลาดเดียวในโลกที่นท.ปท.ไหนทำตามได้ยากและกลัวเสียลูกค้ามากกว่า!

ผู้น้อยเคยซื้อของต่ำกว่าทุน! ผู้ซื้อจะรู้สึกซึ้งในน้ำใจผู้ขายมากกว่าความอยากได้ของถูก! ตลาดอาริยะคือตลาดที่ทำให้เกิดมิตรภาพภราดรภาพเสมอภาค!ทุกคนได้เท่าเทียมกัน!ผิดกับโลกทุนนิยมนท.ได้มากกว่าผู้บริโภคหลายเท่า!

 

_0893867xxx ขออนุโมทนาตลาดอาริยะตลาดแห่งความพอเพียงตามรอยพระดำรัสในพ่อหลวงฯตลาดเดียวในโลกช่วยคนจนให้ได้รับปย.สุขทั่วถึงเสมอกันสาธุ

 

_0805925xxx น้องรุณคงยิ้มเตะใจคนแย้งมาหวงหรือห่วงหวังดีคร้าาคุณขาาาา?555

 

_0893867xxx สณ.ศาลีอโศกกลับนครสวรรค์ฤายังหนอ?ญตธ.ไกลอโศกอยากได้ข้อสอบเพชรพุทธสุดยอดศิลป์!วันพระหน้าขอไปสอบลองภูมิตนที่ศาลีอโศกได้ไหม?

 

_0811236xxx คนถ่ายวิดีโอออกอากาศทำไมชอบเล็งไปที่ผู้หญิงสวยลดละกามบ้างเห็นมาหลายรอบแล้ว

 

_0891294xxx 17 ข้อ ที่ส่งในข้อน้องรุนนั้น ผู้ส่งต้องตาอิริยาบถใสๆ จึงมองเป็นกามไปคาดว่ามากคนไม่มองอย่างนั้น:)

 

_0805925xxx คนแย้งคงฟังพ่อตอบแหงๆดูอยู่แหงๆ?

 

พ่อครูว่า...อะไรที่มีสองขึ้นมาแล้วจะไม่มีอะไรเท่ากัน จะมีแย้งกันตลอดกาล สัญญากับสังขารนั้น สังขารเป็นตัวรวม สัญญาเป็นตัวหน้าที่ทำงานของจิตวิญญาณ หนึ่งไม่มีสอง จะกำหนดรู้กำหนดทำ จนสุดท้ายเลย แม้แต่สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาก็เป็นตัวกำหนดรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ตัวสุดท้ายจริงๆคือสัญญาเป็นตัวทำงานแท้ๆ ถ้าจะเทียบก็เป็นตัวลบเป็นอิตถีภาวะ ส่วนสังขารเป็นนิวเคลียส

ผู้ยังอยู่ยังมียังเป็นก็ต้องมีสอง ไม่ลำเอียง ต่างคนต่างทำหน้าที่ไป ตัวผู้บริบูรณ์เสมอภาคคือตัวหมดอคติ ไม่ลำเอียง แต่รู้ว่ามีสอง ต้องต่างทำหน้าที่กันไป

 

มาเข้าสู่บทเรียนในพระไตรปิฎก ล.9 พระพุทธเจ้าได้บอกถึงทิฏฐิ 62 ที่ผิด ถ้ารู้ครบ 62 แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นอรหันต์ มีทิฏฐิธาตุรู้ทั้งหมดแค่ 62 นี้เท่านั้น นี่คือสูตรที่ 1 แต่จะศึกษา 62 นี้ได้ต้องมีปัจจุบัน อย่าหลงศึกษาอดีตกับอนาคต ไม่จบไม่เสร็จไม่ครบ ต้องปัจจุบัน นี่คือสูตรที่ 1

สูตรที่ 2 คือสูตรความถูกต้อง ตัวสามัญผล คือผลที่เกิดเป็นสมณะที่บรรลุธรรม จะเป็นนักบวชหรือไม่ก็ตาม สมณะแปลว่าจิตสงบได้ ที่ถูกต้อง สามัญผลด้วย คือมีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ

ต้องมีศีลเป็นตัวชี้บ่ง เวลาปฏิบัติต้องสำรวมอินทรีย์และมีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ คือปัญญาที่รู้ ทั้งสัญญากำหนดรู้ ต้น กลาง ปลาย

สูตรที่ 3 คือบอกความผิดพลาดที่ไปออกป่า หนีสังคมขาดผัสสะต่อโลกต่อสังคม คือข้อผิดพลาดที่พระพุทธเจ้าบอกในอัมพัฏฐสูตร สมัยนั้นมีพราหมณ์มหาศาล แต่สมัยนี้เป็นพระมหาศาล ธรรมกายนั้นเอาการสะกดจิตมาบวกกับโลกธรรมกับรวยๆๆ เป็นการสะกดจิตใจ รวมหมดทั้งอำนาจยศศักดิ์ฐานะไว้หมด ธัมมชโยเป็นตัวอย่างของเฉโก โลกีย์อันจัดจ้านสุด ครอบงำคนให้ตกในอำนาจ เต็มไปด้วยกามด้วยอัตตา ถ้าปางนี้ธัมมชโยกับทักษิณยังไม่หมดฤทธิ์ประเทศไทยไม่สงบสุข

สูตรที่ 4 คือโสณทัณฑสูตร ว่าด้วยศีลและปัญญาที่ต้องมีจำเป็นถึงจะบรรลุผล ศีลกับปัญญาเป็นคู่ที่จะชำระ เหมือนมือล้างด้วยมือ เท้าล้างด้วยเท้า จนสะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน กูฏทันตสูตร ตอน 1

สูตรที่ 5 กูฏทันตสูตร คือสูตรที่มีพิธีกรรมต่างๆ และพิธีกรรมต่างๆนี่แหละเป็นพิธีกรรมของศาสนาพุทธที่ดีที่สุด คืออย่างไร

 

สูตรที่ 5 กูฏทันตสูตร

-----------------------------------------------------

            

[199] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
          สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ได้เสด็จถึงพราหมณคามของชาวมคธชื่อขานุมัตต์ ได้ยินว่า สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์. สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะอยู่ครองบ้านขานุมัตต์ อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย.

 

มหายัญของกูฏทันตพราหมณ์
 

[200] ก็สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะ ได้เตรียมมหายัญโคผู้ 700 ลูกโคผู้ 700 ลูกโคเมีย 700 แพะ 700 และแกะ 700 ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ. พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ได้สดับว่า พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุลเสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงบ้านขานุมัตต์ประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
 

ว่าด้วยพระพุทธคุณ
 

แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้นทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงสอนธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปาน
นั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้. ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ออกจากบ้านขานุมัตต์เป็นหมู่ๆ พากันไปยังสวนอัมพลัฏฐิกา.


          [201] สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะ ขึ้นพักกลางวันในปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ออกจากบ้านขานุมัตต์รวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปสวนอัมพลัฏฐิกาจึงเรียกนักการมาถามว่า ดูกรนักการ พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ ออกจากบ้านขานุมัตต์รวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปยังสวนอัมพลัฏฐิกาทำไมกัน?
          นักการ. มีเรื่องอยู่ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุลเสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงบ้านขานุมัตต์ประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ เกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
          แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น พากันเข้าไปเฝ้าท่านพระโคดมพระองค์นั้น.
          ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้เกิดความคิดเช่นนี้ว่า ก็เราได้สดับข่าวนี้มาว่า พระสมณโคดมทรงทราบยัญสมบัติ 3 ประการซึ่งมีบริวาร 16 แต่เราไม่ทราบ และเราก็ปรารถนาจะบูชามหายัญ ผิฉะนั้น เราควรเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม ทูลถามยัญสมบัติ 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้เรียกนักการมาสั่งว่า ดูกรนักการ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปหาพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ แล้วบอกเขาอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พราหมณ์กูฏทันตะสั่งมาว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน แม้พราหมณ์กูฏทันตะ ก็จักไปเฝ้าพระสมณโคดม
ด้วย.

นักการรับคำแล้วไปหาพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ แล้วบอกว่าท่านทั้งหลายพราหมณ์กูฏทันตะสั่งมาว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน แม้พราหมณ์กูฏทันตะ ก็จักไปเฝ้าพระสมณโคดมด้วย.

 

[202] สมัยนั้น พราหมณ์หลายร้อยคนพักอยู่ในบ้านขานุมัตต์ ด้วยหวังว่าพวกเราจักบริโภคมหายัญของพราหมณ์กูฏทันตะ พราหมณ์เหล่านั้นได้ทราบว่าพราหมณ์กูฏทันตะ จักไปเฝ้าพระสมณโคดม จึงพากันไปหาพราหมณ์กูฏทันตะแล้วถามว่า ได้ทราบว่า ท่านจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จริงหรือ?
          กูฏทันตะ. เราคิดว่าจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จริง.

พราหมณ์. อย่าเลย ท่านกูฏทันตะ ท่านไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม ถ้าท่านไปเฝ้าท่านจักเสียเกียรติยศ เกียรติยศของพระสมณโคดมจักรุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะมาหาท่าน อนึ่ง ท่านเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงชาติได้ เพราะเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะมาหาท่าน อนึ่ง ท่านเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีเครื่องใช้สอย
อันน่าปลื้มใจมาก มีทองและเงินมาก ..
. อนึ่ง ท่านเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเภทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและมหาปุริสลักษณะ ... อนึ่ง ท่านมีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดู น่าชมไม่น้อย ... อนึ่ง ท่านเป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน ...อนึ่ง ท่านเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีสำเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองสละสลวยหาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด ... อนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ของชนหมู่มากสอนมนต์มาณพถึง 300 พวก มาณพเป็นอันมาก ต่างทิศต่างชนบท ผู้ต้องการมนต์ ใคร่จะเรียนมนต์ในสำนักท่านพากันมา ... อนึ่ง ท่านเป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ ส่วนพระสมณโคดมเป็นคนหนุ่มและบวชแต่ยังหนุ่ม ... อนึ่ง ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร ทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ...อนึ่ง ท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติสักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ... อนึ่งท่านครองบ้านขานุมัตต์ อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย เพราะเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะมาหาท่าน.


          [203] เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์กูฏทันตะจึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นขอจงฟังข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละ ควรไปเฝ้าท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้นท่านพระโคดมไม่ควรจะเสด็จมาหาเรา เพราะได้ยินว่า ท่านเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติได้ เพราะเหตุนี้แหละ ท่านพระโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเรานี้แหละควรไปเฝ้าพระองค์ท่าน ได้ยินว่า พระสมณโคดมทรงละพระญาติหมู่ใหญ่ออกผนวชแล้ว ...พระองค์ท่านทรงสละเงินและทองเป็นอันมาก ทั้งที่อยู่ในพื้นดิน ทั้งที่อยู่ในอากาศออกผนวช ...พระองค์ท่านกำลังรุ่น มีพระเกศาดำสนิท ยังหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต ... เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตรทรงกันแสงอยู่ พระองค์ท่านได้ปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต ... พระองค์ท่านมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยพระฉวีวรรณ
ผุดผ่องยิ่งนัก ... มีพระพรรณคล้ายพรหม มีพระสรีระคล้ายพรหม น่าดูน่าชมมิใช่น้อย ...พระองค์ท่านเป็นผู้มีศีล มีศีลประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศล ... พระองค์ท่านมีพระวาจาไพเราะ มีพระสำเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวย หาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด ... พระองค์ท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก ...พระองค์ท่านสิ้นกามราคะแล้ว เลิกประดับตกแต่ง ... พระองค์ท่านเป็นกรรมวาที เป็นกิริยาวาทีไม่ทรงมุ่งร้ายแก่พวกพราหมณ์ ... พระองค์ท่านทรงผนวชจากสกุลสูง คือสกุลกษัตริย์อันไม่เจือปน ... พระองค์ท่านทรงผนวชจากสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ... ชนต่างรัฐ
ต่างชนบทพากันมาทูลถามปัญหาพระองค์ท่าน ... เทวดาหลายพันมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ ... เกียรติศัพท์อันงามของท่านขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
          แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม ... พระองค์ท่านทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ... พระองค์ท่านมีปรกติกล่าวเชื้อเชิญ เจรจาผูกไมตรี ช่างปราศรัย มีพระพักตร์ไม่สยิว เบิกบาน มีปรกติตรัสก่อน ... พระองค์ท่านเป็นผู้อันบริษัท 4 สักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ...เทวดาและมนุษย์เป็นอันมากเลื่อมใสพระองค์ท่านยิ่งนัก ... พระองค์ท่านทรงพำนักอยู่ในบ้านหรือนิคมใด บ้านหรือนิคมนั้น อมนุษย์ไม่เบียดเบียนมนุษย์ ... พระองค์ท่านเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะและเป็นคณาจารย์ ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของเจ้าลัทธิเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านี้เรืองยศด้วยประการใดๆ แต่พระสมณโคดมไม่อย่างนั้น ที่แท้ พระสมณโคดมเรืองยศด้วยวิชชาและจรณสมบัติอันยอดเยี่ยม ... พระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ ...พระเจ้าปเสนทิโกศลพร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ ... พราหมณ์โปกขรสาติ พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ทั้งบริษัทและอำมาตย์มอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ ... พระองค์ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา
พระนามว่าพิมพิสาร ทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ... พระองค์ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ... พระองค์ท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ... พระองค์ท่านเสด็จถึงบ้านขานุมัตต์ ประทับอยู่ที่สวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ ท่านสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมาสู่เขตบ้านของเรา ท่านเหล่านั้นจัดว่าเป็นแขกของเรา และเป็นแขกซึ่งเราควรสักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ... เพราะเหตุที่ท่านพระสมณโคดมเสด็จถึงบ้านขานุมัตต์ประทับอยู่ที่สวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ จัดว่าเป็นแขกของเรา และเป็นแขกที่เราควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม นี้แหละ พระองค์ท่านจึงไม่ควรจะเสด็จมาหาเราที่ถูก เราต่างหากควรไปเฝ้าพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าทราบพระคุณของท่านพระโคดมเพียงเท่านี้
แต่ท่านพระโคดมมิใช่มีพระคุณเพียงเท่านี้ ความจริงพระองค์ท่านมีพระคุณหาประมาณมิได้.


          [204] เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า ท่านกูฏทันตะกล่าวชมท่านพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากพระองค์ท่านจะประทับอยู่ไกลจากที่นี้ตั้ง 100 โยชน์ ก็ควรแท้ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะไปเฝ้า แม้จะต้องนำเสบียงไปก็ควร พราหมณ์กูฏทันตะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหมดจักเข้าไปเฝ้าท่านพระสมณโคดม.
          ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่สวนอัมพลัฏฐิกา ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์บางพวกก็ถวายบังคม บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งๆ

พราหมณ์กูฏทันตะนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบยัญสมบัติ 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 ส่วนข้าพระองค์ไม่ทราบ แต่ปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดแสดงยัญสมบัติ 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 แก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
 

ว่าด้วยยัญของพระเจ้ามหาวิชิตรา

 

[205] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดีเราจักบอก เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะทูลรับแล้ว จึงตรัสว่า

ดูกรพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้ามหาวิชิตราช เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยอันน่าปลื้มใจมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก มีท้องพระคลังและฉางบริบูรณ์ ดูกรพราหมณ์ ครั้งนั้น พระเจ้ามหาวิชิตราช ได้เสด็จเข้าไปสู่ที่ลับเร้นอยู่ ได้เกิดพระปริวิตกอย่างนี้ว่า เราได้ครอบครองสมบัติมนุษย์อย่างไพบูลย์แล้ว ได้ชำนะปกครองดินแดนมากมาย ถ้ากระไรเราพึงบูชามหายัญ ที่จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่เราตลอดกาลนาน ดูกรพราหมณ์ พระเจ้ามหาวิชิตราชรับสั่งให้เรียกพราหมณ์ปุโรหิตมาแล้วตรัสว่า วันนี้เราได้เข้าสู่ที่ลับเร้นอยู่ ได้เกิดปริวิตกอย่างนี้ว่า เราได้ครอบครองสมบัติมนุษย์อย่างไพบูลย์แล้ว ได้ชำนะปกครองดินแดนมากมาย ถ้ากระไร เราพึงบูชามหายัญที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เราตลอดกาลนานดูกรพราหมณ์ เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชามหายัญ ที่จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่เราตลอดกาลนาน.


          [206] ดูกรพราหมณ์ เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชรับสั่งอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลว่า ชนบทของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม ยังมีการเบียดเบียนกัน โจรปล้นบ้านก็ดี ปล้นนิคมก็ดี ปล้นเมืองก็ดี ทำร้ายในหนทางเปลี่ยวก็ดี ยังปรากฏอยู่ พระองค์จะโปรดฟื้นฟูพลีกรรมในเมื่อบ้านเมืองยังมีเสี้ยนหนาม ยังมีการเบียดเบียนกันอยู่ ด้วยเหตุที่ทรงฟื้นฟูพลีกรรมนั้นจะพึงชื่อว่าทรงกระทำการมิสมควร บางคราวพระองค์จะทรงพระดำริอย่างนี้ว่า เราจักปราบปรามเสี้ยนหนาม คือโจร ด้วยการประหาร ด้วยการจองจำ ด้วยการปรับไหม ด้วยการตำหนิโทษหรือเนรเทศ อันการปราบปรามด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นการปราบปรามโดยชอบ เพราะว่าโจรบางพวกที่เหลือจากถูกกำจัดจักยังมีอยู่ ภายหลัง มันก็จักเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ แต่ว่าการปราบปรามเสี้ยนหนามคือโจรนั้น จะชื่อว่าเป็นการปราบปรามโดยชอบ เพราะอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้
          1. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ ขะมักเขม้นในกสิกรรม และโครักขกรรมขอพระองค์จงเพิ่มข้าวปลูกและข้าวกินให้แก่พลเมืองเหล่านั้นในโอกาสอันสมควร.
          2. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรม ขอพระองค์จงเพิ่มทุนให้แก่พลเมืองเหล่านั้น ในโอกาสอันสมควร.

          3. ข้าราชการเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ขยัน ขอพระองค์จงพระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนแก่ข้าราชการเหล่านั้นในโอกาสอันสมควร.
          พลเมืองเหล่านั้นนั่นแหละ จักเป็นผู้ขวนขวายในการงานของตนๆ จักไม่เบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ อนึ่ง กองพระราชทรัพย์มีจำนวนมาก จักเกิดแก่พระองค์ บ้านเมืองก็จะตั้งมั่นอยู่ในความเกษม หาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองจักชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก จักไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่

ดูกรพราหมณ์ พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงรับคำพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ก็ได้พระราชทานข้าวปลูกและข้าวกินแก่พลเมืองในบ้านเมืองของพระองค์ ที่ขะมักเขม้นในกสิกรรมและโครักขกรรม พระราชทานทุนแก่พลเมืองในบ้านเมือง
ของพระองค์ ที่ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรม พระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนแก่ข้าราชการในบ้านเมืองของพระองค์ที่ขยัน พลเมืองเหล่านั้นนั่นแหละ ได้เป็นผู้ขวนขวายในการงานตามหน้าที่ของตนๆ ไม่ได้เบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ อนึ่ง กองพระราชทรัพย์มีจำนวนมากได้เกิดมีแล้วแก่พระองค์ บ้านเมืองได้ดำรงอยู่ในความเกษม หาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก ไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่แล้ว.

 

[207] ดูกรพราหมณ์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาวิชิตราชได้ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ปุโรหิตมาเฝ้าแล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ โจรที่เป็นเสี้ยนหนามนั้น เราได้ปราบปรามดีแล้ว เพราะอาศัยวิธีการของท่าน และกองพระราชทรัพย์ใหญ่ก็ได้บังเกิดแก่เรา บ้านเมืองก็ได้ดำรงอยู่ในความเกษมหาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอกไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่ ดูกรพราหมณ์ เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชามหายัญที่จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่เราตลอดกาลนาน.
          พราหมณปุโรหิตกราบทูลว่า ขอเดชะ ถ้าเช่นนั้น อนุยนตกษัตริย์เหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ขอพระองค์จงเรียกอนุยนตกษัตริย์เหล่านั้นมาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน อำมาตย์ราชบริษัทเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ขอพระองค์จงเรียกอำมาตย์ราชบริษัทเหล่านั้นมาปรึกษาว่า ท่าน
ทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน พราหมณ์มหาศาลเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ขอพระองค์จงเรียกพราหมณ์มหาศาลเหล่านั้นมาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลายเราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน คฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์ขอพระองค์จงเรียกคฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่านั้นมาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน ดูกรพราหมณ์ พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงรับคำพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ทรงเรียกอนุยนตกษัตริย์ ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์มาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน. อนุยนตกษัตริย์เหล่านั้นกราบทูลว่า ขอพระองค์จงบูชายัญเถิด ขอเดชะ บัดนี้เป็นการสมควรที่จะบูชายัญทรงเรียกอำมาตย์ราชบริษัท ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตขอพระองค์มาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน อำมาตย์ราชบริษัทเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงบูชายัญเถิด ขอเดชะ บัดนี้เป็นการสมควรที่จะบูชายัญ ทรงเรียกพราหมณ์มหาศาล ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์มาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเรา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน พราหมณ์
มหาศาลเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงบูชายัญเถิด ขอเดชะ บัดนี้เป็นการสมควรที่จะบูชายัญ ทรงเรียกคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์มาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเราเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน คฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงบูชายัญเถิด ขอเดชะ บัดนี้ เป็นการสมควรที่จะบูชายัญ ชนผู้เห็นชอบตามพระราชดำริ 4 เหล่านี้ จัดเป็นบริวารของยัญนั้น ดังนี้แล.


          [208] พระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงประกอบด้วยองค์ 8 ประการ.

1. ทรงเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ทรงถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียน ด้วยอ้างถึงพระชาติได้.
          2. ทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักมีพระพรรณคล้ายพรหม มีพระรูปคล้ายพรหม น่าดู น่าชมไม่น้อย.
          3. ทรงมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยอันน่าปลื้มใจมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก มีท้องพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์.
          4. ทรงมีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ 4 ซึ่งอยู่ในวินัย คอยปฏิบัติตามพระราชบัญชา มีพระบรมเดชานุภาพดังว่าจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสริยยศ.
          5. ทรงพระราชศรัทธา เป็นทายก เป็นทานบดี มิได้ปิดประตู เป็นดุจบ่อที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล

          6. ได้ทรงศึกษาทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก.

7. ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ ว่า นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ นี้อรรถแห่งภาษิตนี้.
          8. ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงพระราชดำริอรรถอันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันได้.
          พระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงประกอบด้วยองค์ 8 ประการดังกล่าวนี้ องค์ 8 ประการแม้เหล่านี้ จัดเป็นบริวารแห่งยัญนั้นโดยแท้ ด้วยประการดังนี้

 

[209] พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ 4 ประการ

1. เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้าน ติเตียน ด้วยอ้างถึงชาติได้.
          2. เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะพร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ.

3. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน.

4. เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน.

พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ 4 ดังแสดงมานี้ องค์ 4 ประการ แม้เหล่านี้ จัดเป็นบริวารแห่งยัญนั้นโดยแท้ ด้วยประการดังนี้.
 

ยัญญสัมปทา 3 มีบริวาร

 

[210] ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ปุโรหิตได้แสดงยัญวิธี  3 ประการ ถวายพระเจ้ามหาวิชิตราชก่อนทรงบูชายัญว่า.
          1. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ความวิปฏิสารบางอย่างพึงมีว่า กองโภคสมบัติใหญ่ของเราจักหมดเปลือง ดังนี้ พระองค์ไม่ควรทรงทำความวิปฏิสารเช่นนี้.
          2. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ความวิปฏิสารบางอย่างพึงมีว่า กองโภคสมบัติใหญ่ของเรากำลังหมดเปลืองไปอยู่ ดังนี้ พระองค์ไม่ควรทรงทำความวิปฏิสารเช่นนั้น.
          3. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ความวิปฏิสารบางอย่างพึงมีว่า กองโภคสมบัติใหญ่ของเราได้หมดเปลืองไปแล้ว ดังนี้ พระองค์ไม่ควรทรงทำความวิปฏิสารเช่นนั้น.
          ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิตได้แสดงยัญวิธี 3 ประการ ดังแสดงมานี้ถวายพระเจ้ามหาวิชิตราชก่อนทรงบูชายัญนั้นเทียว.


          [211] ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิตได้กำจัดความวิปฏิสารของพระเจ้ามหาวิชิตราชเพราะพวกปฏิคาหก โดยอาการ 10 ประการก่อนทรงบูชายัญ
          1. พวกคนทำปาณาติบาตก็ดี พวกที่งดเว้นจากปาณาติบาตก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่ทำปาณาติบาต จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์ทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากปาณาติบาตเท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนาทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.

            

[212] 2. พวกคนที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ก็ดี พวกที่งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้เท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[213] 3. พวกคนที่ประพฤติผิดในกามทั้งหลายก็ดี พวกที่งดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลายก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้นจำพวกที่ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลายเหล่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.

 

[214] 4. พวกที่กล่าวคำเท็จก็ดี พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเท็จก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่กล่าวคำเท็จ จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเองขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเท็จเท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.

 

[215] 5. พวกที่กล่าวคำส่อเสียดก็ดี พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำส่อเสียดก็ดีต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่กล่าวคำส่อเสียด จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง. ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำส่อเสียดเท่านั้นแล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          [216] 6. พวกที่กล่าวคำหยาบก็ดี พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำหยาบก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่กล่าวคำหยาบ จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์ปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำหยาบเท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[217] 7. พวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อก็ดี พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อ จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อเท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
          

[218] 8. พวกที่โลภอยากได้ของของผู้อื่นก็ดี พวกที่ไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นก็ดีต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์. ในชนเหล่านั้น จำพวกที่โลภอยากได้ของของผู้อื่น จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่ไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นเท่านั้นแล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[219] 9. พวกที่มีจิตพยาบาทก็ดี พวกที่มีจิตไม่พยาบาทก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์ ในชนเหล่านั้น จำพวกที่มีจิตพยาบาท จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเองขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่มีจิตไม่พยาบาทเท่านั้นแล้ว ทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[220] 10. พวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ดี พวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็ดี ต่างก็จักมาสู่ยัญพิธีของพระองค์ ในชนเหล่านั้น จำพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จักได้รับผลเพราะกรรมของเขาเอง.ขอพระองค์จงทรงปรารภเฉพาะพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น แล้วทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิตได้กำจัดความวิปฏิสารของพระเจ้ามหาวิชิตราช เพราะพวกปฏิคาหก โดยอาการ 10 ประการ ดังแสดงมานี้แล ก่อนทรงบูชายัญนั่นเทียว.

(พ่อครูว่า...ใครซาบซึ้งพระโมคคัลลานะบ้างที่ท่านจะไม่ตายก็ได้แต่ท่านก็ยอมตาย ท่านยอมสละได้แม้สิ่งมีค่าที่สุดคือชีวิต)
             

[221] ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิต ได้ยังพระหฤทัยของพระเจ้ามหาวิชิตราช ซึ่งทรงบูชามหายัญอยู่ ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญให้ทรงร่าเริง โดยอาการ 16 ประการ
          1. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงชักชวนเหล่าอนุยนตกษัตริย์ ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พระองค์ทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้นแต่เฉพาะพระองค์. แม้ด้วยประการเช่นนี้ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม. เพราะพระองค์ก็ได้ทรงเรียกเหล่าอนุยนตกษัตริย์ ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทมาทรงปรึกษาแล้ว แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[222] 2. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงชักชวนเหล่าอำมาตย์ราชบริษัท ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พระองค์ทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แต่เฉพาะพระองค์ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ได้ทรงเรียกเหล่าอำมาตย์ราชบริษัท ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทมาทรงปรึกษาแล้ว แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          3. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงชักชวนเหล่าพราหมณ์มหาศาล ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พระองค์ทรงบูชามหายัญ เห็นปานนั้นแต่เฉพาะพระองค์ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรมเพราะพระองค์ได้ทรงเรียกเหล่าพราหมณ์มหาศาลซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทมาทรงปรึกษาแล้ว. แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายใน
เถิด.


          4. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงชักชวนเหล่าคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พระองค์ทรงบูชามหายัญ เห็นปานนั้น แต่เฉพาะพระองค์. แม้ด้วยประการเช่นนี้ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ได้ทรงเรียกเหล่าคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทมาทรงปรึกษาแล้ว แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[223] 5. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้อุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มิได้มีพระครรภ์เป็นที่ทรงถือปฏิสนธิหมดจดดี ตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ เป็นผู้อันใครๆคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น.แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม. เพราะพระองค์ทรงเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ทรงถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติได้. แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[224] 6. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์ทรงมีพระรูปไม่งาม ไม่น่าดู ไม่น่าเลื่อมใส ไม่ทรงประกอบด้วยพระฉวีวรรณอันผุดผ่อง มิได้ทรงมีพระพรรณคล้ายพรหม มิได้ทรงมีพระรูปคล้ายพรหม ไม่น่าดู ไม่น่าชมเสียเลย และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้นแม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงมีพระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ทรงกอปรด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ทรงมีพระพรรณคล้ายพรหมทรงมีพระรูปคล้ายพรหม น่าดู น่าชมมิใช่น้อย แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          7. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มั่งคั่ง มีพระราชทรัพย์มากมีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยน่าปลื้มใจมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมีท้องพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น.แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่งมีพระราชทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยน่าปลื้มใจมากมีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก มีท้องพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์
จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          8. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีกำลัง มิได้ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ 4 ซึ่งอยู่ในวินัย คอยปฏิบัติตามพระราชบัญชา มิได้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพดังว่าจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสริยยศ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ 4 ซึ่งอยู่ในวินัยคอยปฏิบัติตามพระราชบัญชาทรงมีพระบรมเดชานุภาพดังว่าจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสริยยศ แม้ด้วยประการเช่นนี้ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          9. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระราชศรัทธา มิได้ทรงเป็นทายกมิได้ทรงเป็นทานบดี มีประตูปิด มิได้เป็นดุจบ่อที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางวณิพก ยาจก มิได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระราชศรัทธา ทรงเป็นทายก เป็นทานบดี มิได้ทรงปิดประตู เป็นดุจบ่อที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก ยาจก. แม้ด้วยประการเช่นนี้ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          10. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงศึกษา ทรงสดับเรื่องนั้นๆมาก และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญ เห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ได้ทรงศึกษา ทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชาทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.


          11. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ ว่านี้อรรถแห่งภาษิตนี้ นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ ว่า นี้อรรถแห่งภาษิตนี้นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชาทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.

 

12. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พระองค์มิได้ทรงเป็นบัณฑิต มิได้ทรงเฉียบแหลม มิได้ทรงมีพระปรีชามิได้สามารถจะทรงพระราชดำริอรรถอันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญ เห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นบัณฑิต ทรงเฉียบแหลม ทรงมีพระปรีชาสามารถที่จะทรงพระราชดำริอรรถอันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
 

[225] 13. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดามิได้มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ เป็นผู้อันใครๆ กล่าวคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงบันเทิง ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

[226] 14. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นผู้เล่าเรียน มิได้ทรงจำมนต์ มิได้รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 มิได้เป็นผู้เข้าใจตัวบท มิได้เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ มิได้ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์ เป็นผู้เล่าเรียน
ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและมหาปุริสลักษณะ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชาทรงบริจาค ทรงบันเทิง ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.

 

15. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นผู้มีศีล มิได้มีศีลยั่งยืน มิได้ประกอบศีลยั่งยืน และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืนประกอบด้วยศีลยั่งยืน แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชาทรงบริจาค ทรงบันเทิง ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
            

16. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ใครๆ จะพึงกล่าวว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงบูชามหายัญ แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นบัณฑิต มิได้เป็นผู้เฉียบแหลม มิได้มีปัญญามิได้เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ในพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังทรงบูชามหายัญเห็นปานนั้น แม้ด้วยประการเช่นนี้ ก็มิได้มีผู้ว่ากล่าวพระองค์ได้โดยธรรม เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ในพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ขอพระองค์จงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงบันเทิง ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสในภายในเถิด.
          ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิต ได้ยังพระหฤทัยของพระเจ้ามหาวิชิตราชผู้ทรงบูชามหายัญอยู่ ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้ทรงร่าเริง โดยอาการ 16 ประการดังแสดงมานี้แล.


          [227] ดูกรพราหมณ์ ในยัญนั้น ไม่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์
นานาชนิด ไม่ต้องตัดต้นไม้มาทำเป็นหลักยัญ ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น.
          แม้ชนเหล่าใด ที่เป็นทาส เป็นคนใช้ เป็นกรรมกรของพระเจ้ามหาวิชิตราชนั้นชนเหล่านั้นก็มิได้ถูกอาชญาคุกคาม มิได้ถูกภัยคุกคาม มิได้มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้กระทำการงาน ที่จริงคนที่ปรารถนาจะกระทำจึงกระทำ ที่ไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องกระทำ ปรารถนาจะกระทำการงานใด ก็กระทำการงานนั้น ไม่ปรารถนาจะกระทำการงานใด ก็ไม่ต้องกระทำการงานนั้นและยัญนั้นได้สำเร็จแล้วด้วยลำพังเนยใส น้ำมัน เนยข้น เปรียง น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เท่านั้น.


          [228] ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้นแล พวกอนุยนตกษัตริย์ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พวกอำมาตย์ราชบริษัทซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พวกพราหมณ์มหาศาลซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท พวกคฤหบดีผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท ต่างก็พากันนำทรัพย์มากมาย เข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาวิชิตราชกราบทูลว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าได้นำทรัพย์มากมายนี้มาเฉพาะพระองค์ ขอพระองค์จงทรงรับเถิด. พระเจ้ามหาวิชิตราชตรัสว่า อย่าเลยพ่อ แม้ทรัพย์เป็นอันมากนี้ของข้าพเจ้าก็ได้รวบรวมมาแล้วจากภาษีอากรที่เป็นธรรม ทรัพย์ที่ท่านนำ
มานั้นจงเป็นของพวกท่านเถิด ก็และท่านจงนำทรัพย์จากที่นี้เพิ่มไปอีก อนุยนตกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้นถูกพระราชาปฏิเสธ ต่างพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง คิดร่วมกันอย่างนี้ว่าการที่พวกเราจะรับทรัพย์เหล่านี้คืนไปบ้านเรือนของตนๆ อีกนั้นไม่เป็นการสมควรแก่พวกเราเลย พระเจ้ามหาวิชิตราชกำลังทรงบูชามหายัญอยู่ เอาเถอะ พวกเรามาบูชายัญตามเสด็จพระองค์บ้าง.

            

[229] ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พวกอนุยนตกษัตริย์ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทได้เริ่มบำเพ็ญทานทางด้านบูรพาแห่งหลุมยัญ พวกอำมาตย์ราชบริษัท ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท ได้เริ่มบำเพ็ญทานทางด้านทักษิณแห่งหลุมยัญ พวกพราหมณ์มหาศาลซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทได้เริ่มบำเพ็ญทานทางด้านปัจฉิมแห่งหลุมยัญ พวกคฤหบดีผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท ได้เริ่มบำเพ็ญทานทางด้านอุดรแห่งหลุมยัญ.
          ดูกรพราหมณ์ แม้ในยัญของอนุยนตกษัตริย์เป็นต้นแม้เหล่านั้น ไม่ต้องฆ่าโค แพะแกะ ไก่ สุกร และสัตว์นานาชนิด ไม่ต้องตัดต้นไม้มาทำเป็นหลักยัญ ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น คนเหล่าใดที่เป็นทาส เป็นคนใช้ เป็นกรรมกรของพวกอนุยนตกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น แม้คนเหล่านั้นก็มิได้ถูกอาชญาคุกคาม มิได้ถูกภัยคุกคาม มิได้มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้ทำการงาน ที่จริงคนที่ปรารถนาจะกระทำจึงกระทำ ที่ไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องกระทำปรารถนาจะกระทำการงานใด ก็กระทำการงานนั้น ไม่ปรารถนาจะกระทำการงานใด ก็ไม่ต้องกระทำการงานนั้น ยัญนั้นได้สำเร็จแล้วด้วยลำพังเนยใส น้ำมัน เนยข้น เปรียง น้ำผึ้งน้ำอ้อย เท่านั้น.
          ชนผู้เห็นชอบตามพระราชดำริ 4 จำพวก 1 พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงประกอบด้วยองค์ 8 ประการ 1 พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ 4 ประการ 1 ดังกล่าวมานี้ รวมเป็น 3 อย่างดูกรพราหมณ์ ทั้ง 3 ประการ รวมเรียกยัญญสัมปทา 3 อย่าง มีบริวาร 16.

 

[230] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่า โอ ยัญ โอ ยัญสมบัติ ส่วนพราหมณ์กูฏทันตะ นั่งนิ่งอยู่ ต่อนั้น พราหมณ์เหล่านั้นได้ถามว่า เพราะเหตุไรเล่า ท่านกูฏทันตะจึงไม่ชื่นชมคำสุภาษิตของพระสมณโคดมโดยเป็นคำสุภาษิต พราหมณ์กูฏทันตะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะไม่ชื่นชมคำสุภาษิตของพระสมณโคดมโดยเป็นคำสุภาษิตก็หามิได้ เพราะว่าผู้ที่ไม่ชื่นชมคำสุภาษิตของพระสมณโคดมโดยเป็นคำสุภาษิตนั้น ศีรษะจะต้องแตกออก ท่านทั้งหลาย ก็แต่ว่าข้าพเจ้าได้คิดอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม
ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ หรือตรัสอย่างนี้ว่า เหตุอย่างนี้ควรจะมีได้อีกอย่างหนึ่ง พระสมณโคดมย่อมตรัสว่า เหตุอย่างนี้ได้มีแล้วในกาลนั้น เรื่องเช่นนี้ได้มีแล้วในกาลนั้น ดังนี้ทีเดียว ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้คิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระสมณโคดมคงจะทรงเป็นพระเจ้ามหาวิชิตราชผู้เป็นเจ้าแห่งยัญ หรือทรงเป็นพราหมณ์ปุโรหิตผู้อำนวยการบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชนั้นแน่นอน ดังนี้ แล้วจึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าก็พระโคดมผู้เจริญ ย่อมทรงทราบโดยแจ้งชัดหรือว่า ผู้บูชายัญเห็นปานนั้น หรือผู้อำนวยการบูชายัญเห็นปานนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราย่อมทราบโดยแจ้งชัดว่า ผู้บูชายัญเห็นปานนั้น และผู้อำนวยการบูชายัญเห็นปานนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดูกรพราหมณ์ สมัยนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ปุโรหิต ผู้อำนวยการบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชนั้น.
 

ว่าด้วยพุทธยัญ นิตยทาน

 

[231] พราหมณ์กูฏทันตะทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ มีอยู่หรือ?
          พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ มีอยู่ ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติ 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้.
          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ เป็นไฉน?
          ดูกรพราหมณ์ นิตยทาน อันเป็นอนุกูลยัญอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลถวายเจาะจงพวกบรรพชิตผู้มีศีล ก็ยัญนี้แลเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่ามีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้.
          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้นิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนั้นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้?
          ดูกรพราหมณ์ พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมไม่เข้าไปสู่ยัญเช่นนั้นข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะในยัญนั้นปรากฏว่า มีการประหารด้วยท่อนไม้บ้าง จับไสคอกันบ้างฉะนั้น พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมไม่เข้าไปสู่ยัญเช่นนั้น ดูกรพราหมณ์ส่วนนิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลถวายเจาะจงพวกบรรพชิตผู้มีศีล พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมเข้าไปสู่ยัญเช่นนั้นโดยแท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะในยัญนั้น ไม่ปรากฏว่ามีการประหารด้วยท่อนไม้ การจับไสคอกันเลย ฉะนั้น พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมเข้าไปสู่ยัญเช่นนั้น ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้นิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนั้น ซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้

 

การสร้างวิหารแด่พระสงฆ์ผู้มาแต่ทิศ 4

 

[232] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้และกว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้ ยังมีอยู่หรือ?
          ดูกรพราหมณ์ ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ และกว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้ มีอยู่.

 

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
          ดูกรพราหมณ์ ยัญของบุคคลที่สร้างวิหารอุทิศพระสงฆ์ผู้มาแต่ทิศทั้ง 4

(พ่อครูว่า...จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน ไม่ได้หมายถึงการสร้างวิหารให้ภิกษุอยู่ แต่วิหารคือสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องอาศัย ที่ท่านขาดแคลน เช่น เข็ม หรืออย่างอื่นๆ ต้องสังเกตดูว่าท่านขาดอะไรอยู่ด้วยกันจะพอรู้) นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ และกว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้.
 

สรณคมน์

 

[233] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ และกว่าวิหารทานนี้ยังมีอยู่หรือ?
          มีอยู่ พราหมณ์.
          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
          ดูกรพราหมณ์ ยัญของบุคคลที่มีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ และกว่าวิหารทานนี้.

 

การสมาทานศีล 5

 

[234] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติ ทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ กว่าวิหารทานและกว่าสรณคมน์เหล่านี้ยังมีอยู่หรือ?
          มีอยู่ พราหมณ์.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
         ดูกรพราหมณ์ การที่บุคคลเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบททั้งหลาย คือ งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากมุสาวาท งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ กว่าวิหารทาน และกว่าสรณคมน์นี้.

            

[235] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้กว่านิตยทาน อันเป็นอนุกูลยัญ กว่าวิหารทาน กว่าสรณคมน์ และกว่าสิกขาบทเหล่านี้ยังมีอยู่หรือ?
          ยังมีอยู่ พราหมณ์ ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ กว่าวิหารทาน กว่าสรณคมน์ และกว่าสิกขาบทเหล่านี้.

          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง 3 ประการ ซึ่งมีบริวาร 16 นี้ กว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ กว่าวิหารทาน กว่าสรณคมน์ และกว่าสิกขาบทเหล่านี้เป็นไฉน?
          ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือ
ผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพร
ตถาคตเมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่าฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

 

จุลศีล 26  มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7

ภิกษุบรรลุปฐมฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

ภิกษุบรรลุทุติยฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

ภิกษุบรรลุตติยฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

ภิกษุบรรลุจตุตถฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ

(พ่อครูว่า...เราทำจิตเราให้บรรลุศีล ด้วยพลังไฟฌาน ไฟปัญญา ให้ชัดเจน เป็นปัญญาชัดเจนที่เห็นจริง ยกตัวอย่างพระโมคคัลลานะที่ท่านตายได้ยอมตายได้ แม้ท่านจะไม่ตายก็ได้ ปัญญาตัวนี้มันชัดซาบซึ้งจริง ไม่ได้แกล้งเป็นแต่ปัญญามันเป็น พิจารณาซ้ำซากเข้าไป จะเกิดปัญญาชัดเจน เหมือนกับการซาบซึ้งในอนิจจังทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ปัญญาจะชัดเจนสว่างแจ้ง

ฌาน 1 มีวิตกวิจารอยู่มาก พอฌาน 2 ก็หมดวิตกวิจาร มีปีติ ก็ต้องลดปีติ ลงเป็นฌาน 3 มีแต่สุขสงบ ซึ่งก็จะบางเบาลงๆ เราก็อ่านอาการมันแล้วลดความสุขสงบไม่ได้กระดี๊กระด๊าอะไร จนชัดเจนเหลือแต่เอกัคคตา เหลืออุเบกขา วางเฉย สุดท้ายเป็นธรรมะสองอุเบกขากับเอกัคคตาจิต เป็นฌานที่ 4 ก็ต้องรู้อาการละเอียดของใครของมัน พยัญชนะสื่อได้แค่นี้ พอจบฌาน 4 ท่านเปรียบเหมือนกับ)
 

วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ
 

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยงต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายแลกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือ
แล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

 

มโนมยิทธิญาณ
 

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่งก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:24:14 )

590419

รายละเอียด

590419_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กูฏทันตสูตร ตอน2

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 19 เมษายน 2559 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 5 ปีวอก

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สงบแบบกายกัมมัญญตา

เราก็มาตั้งใจศึกษาพากเพียรให้แก่ชีวิตไปเป็นปกติทุกวัน เพราะว่าสังคมของเราโดยเฉพาะชาวอโศกเราทุกชุมชนพยายามจริงๆที่จะต้องฟังธรรม ที่จะต้องพยายามพากันปฏิบัติธรรม เป็นสังคมคนที่สำนึกในธรรม มีความระลึก มีสติสัมปชัญญะ มีความตระหนักในชีวิตเสมอ ว่าชีวิตของคนเราจะต้องสำรวมสังวรมีสติ สำรวมอินทรีย์ มีสติเพื่อปฏิบัติทานศีลภาวนา หรือศีลสมาธิปัญญาให้เกิดทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอานาอาปานะ เราจะต้องมีสติเรียกว่าอานาปานสติทุกลมหายใจเข้าออกที่เรายังไม่ตาย ที่เรายังมีชีวิตยังดำเนินอยู่ คือมีโพชฌงค์ 7 และขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

มีการสำรวมอินทรีย์ เพื่อให้เกิดสันโดษอันเป็นอาริยะ ในสามัญผลสูตร คือผลของการเป็นสมณะผู้ที่มีจิตลดกิเลสจิตบรรลุความสงบ เรียกว่าสมณะ แล้วจิตอันสงบนี้ของศาสนาพุทธไม่ใช่นั่งสะกดจิต ไม่ใช่มานั่งกดข่มให้จิตหยุดคิดหยุดนึกไปเลย ไม่ใช่ คำว่า สันตะ คือสงบ ท่านไม่เรียกว่าสมถะนะ เพราะธรรมะของท่านยากที่คนจะรู้ได้ในสันตา ปณีตา ณิปุนา อตักกาวจรา เป็นสงบที่นิโรธ

จิตนิโรธคือจิตที่ดับเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตไม่สงบ ประเด็นที่ว่าจิตสงบของศาสนาพุทธไม่ได้หมายความว่า กายก็นิ่ง วจีก็กระซิบแผ่วๆ พูดเรียบๆร้อยๆเฉยๆนิ่ง ไม่ใช่ คำว่าสุภาพก็ไม่ใช่หมายถึงพูดไม่มีลีลาขึ้นลงอะไรราบเฉย ไม่ใช่ แต่มันมีน้ำหนักของการเบาแรงของคนมีปัญญา ที่พูดดีพูดถูกต้อง พูดอย่างมีคุณค่าประโยชน์ ไม่ใช่ว่าสุภาพก็คือจะต้องพูดให้เบาอย่างเดียว ความหมายของความเบาและความรุนแรงนั้น ความเบาหมายถึงเบาเรื่องของกิเลส เบาในความไม่ควรจะทำเป็นอนาจาร ก็ต้องให้เบา แต่อะไรที่จะเป็นคุณค่าประโยชน์ให้บันลือสีหนาทด้วยให้พูดเต็มที่เต็มเสียง คือเปล่งกล่าวให้เต็มที่เลย คำว่าสุภาพไม่ได้หมายถึงว่าเข้าใจตื้นง่ายๆว่าพูดให้เบาๆ เรียบๆ ไม่ขึ้นไม่ลง จืดๆ ไม่ใช่

แต่พูดและกระทำอย่างมีองค์ประกอบศิลปะ ให้คนรู้จักนัจจะ คีตะ วาทิตะ พูดให้ดี ทำให้ดี คำว่าสงบของศาสนาพุทธนี้จึงลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา

เราต้องศึกษาสิ่งที่จะเลิกละให้ลึกซึ้ง นิปุนา ไม่ใช่ดับไปหมด ดับลวกๆตื้อไปหมด หยุด ดับกายกรรมวจีกรรมแล้วให้จิตหยุดคิดอีกนั้นไม่ใช่ แต่กลับจะยิ่งแคล่วคล่องปราดเปรียวว่องไว กลับกันไปหมดเลย เป็นกายปาคุญญตา กายปาคคุญญตา คือองค์ประชุมรูปนาม ที่อ่าน กาย นั้นแคล่วคล่อง หมวดเวทนา สัญญา สังขาร เป็นกายกัมมัญญตา หรือกายปาคุญญตาชัดเจนเลย แปลว่าความแคล่วคล่องของหมวดหมู่เจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร เจตสิก

ในพจนานุกรมบาลีว่า กายปาคุญญตา คือความแคล่วคล่องของหมวดหมู่แห่งเวทนาสัญญาสังขาร

ถ้ากายกัมมัญญตาคือ การทำงานที่รวมไปยิ่งกว่ากายปาคุญญตา  ออกมาในองค์ประชุมภายนอก เป็นกายกัมมัญญตา ปรับได้แววไว ไหวพริบเร็ว เจโตและปัญญามี พลัง 4 พ้นภัย 5 มีปัญญาพละ วิริยะพละ อนวัชชะพละ สังคหพละ

การเข้าใจผิดในแกนหลักของความหมายธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิคือกลายเป็นแบบฤาษีออกป่าเขาถ้ำ ไปทรมานตนเองไป แบบดาบสฤาษี มิจฉาทิฏฐิไปไกลออกนอกขอบเขตพุทธ อาตมาพูดซ้ำๆจะดึงกับมา ต้องรับผิดชอบ

 

Sms 18APR 59

_0805925xxx SMSขึ้นเหมือนรถด่วนออกปุ๊บหายปั๊บตับแล๊ปร้อนแหงๆจายยเย็นเย็นหน่อยจิเบิ่งบ่อทันเด้อ!ปลายฝน

 

_0893867xxx บุญนิยมอัดเทปพ่อครูเทศน์เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ทุกเช้าในงานปลุกเสกไลน์ลงCDบันทึกทั้งภาพเสียงวางจำหน่ายไหม?ช่างศิลป์อยากได้มาฟังให้ครบ!

 

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมในพระเจ้ามหาวิชิตราชมีองค์8ปก.ทรงเป็นอุภโตสุชาติฯ ทรงพระรูปงามยิ่งฯ ทรงมีโภคทรัพย์สมบรูณ์ฯ ทรงมีกำลังองคเสนา4อยู่ในวินัยฯ ทรงพระราชศรัทธาฯ ทรงศึกษาสดับเรื่องนั้นมากฯ ทรงทราบอรรถข้อศึกษาฯทรงพระปรีชามาก!

 

_0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับพระตปฎ.ในพระสมณโคดมอันพ่อครูอ่านให้รู้จักการบูชามหายัญแบบปฎิคาหกที่ปฏิบัติแต่ผู้งดเว้นปานติบาตจนถึงสัมมาทิฎฐิฯยัญสัมปทา3พุทธยัญนิตยทานฯ แล้วพรุ่งตอนสายจะเหล่ปฏิคาหกใหม่พ่อครูอ่านไวจดบ่ทันหนิ!จรธ.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน กูฏทันตสูตร ตอน 2

พ่อครูว่า...ก็มาทวนอีก ในกูฏทันตสูตร ประเด็นคือกูฏทันตพราหมณ์นั้น เขาเป็นเจ้าสำนัก เหมือนกับที่ญี่ปุ่น เป็นศาสนาพุทธนะ แต่มีลูกมีเมีย สร้างอาณาจักรใหญ่ร่ำรวย ได้ยินว่าถ้าสำนักนี้ถอนเงินออกจากธนาคารก็ธนาคารล้มเลย แล้วสืบทอดสมบัติต่อไปเป็นรุ่นๆเลย ยุคนี้นะ ยุคโน้นเป็นพราหมณ์ก็เช่นกัน เหมือนกับ โปกขรสาติพราหมณ์ สุปิยปริพาชก ตอนยุคนี้ก็มีเจ้าสำนักพุทธแต่ละสำนัก ก็มีการเรียนท่องคำสอนของพระพุทธเจ้าสวดเลยได้

ก็ขอให้สติว่า สวดนั้นเพื่อให้จดจำได้ สืบต่อกัน หรือเอามาขยายความต่อไป แต่ไม่ใช่เอาไปสวดเพื่อทำมาหากิน การสวดมีสังคายนากับสังคีติ แต่ว่าทุกวันนี้สวดให้ขลัง พร้อมกันพันรูปหมื่นรูป แต่พระพุทธเจ้าว่าสวดพร้อมกันสองรูปให้อนุปสัมบันฟังนี่ก็ผิดพระวินัยแล้ว ถ้าจะสวดก็สวดคนเดียว สาธยายให้คนอื่นฟังอธิบายให้คนอื่นฟัง

ในโปฏปาทสูตรนั้น ศีลกับปัญญานั้นเลิกไม่ได้ คือขาดไม่ได้ในการปฏิบัติธรรม เราก็อ่านกูฏทันตสูตรมาผ่านมาถึง ยัญพิธีก็ตาม ปฏิปทาก็ตาม ก็คือข้อปฏิบัติกรรมที่จะกระทำ ของพระพุทธเจ้าคือมีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ เกิดผลคือสันโดษอันเป็นอาริยะ สี่คำนี้คือที่ท่านเอามาแก้ยัญพิธีต่างๆที่พราหมณ์พูดไล่เรียงมา 16 ขั้นนั้น ตั้งแต่อุภโตสุชาติมาถึงท่องบทมนต์ได้เก่ง อย่างผิดๆที่ถ่ายทอดกันมาไม่ใช่เลย แท้ๆแล้วกรรมฐานนั้นคือ เอาอย่างอนุโลมคือต้องมีทาน ศีล ภาวนา

กรรมฐานแท้ๆของพระพุทธเจ้าคือปฏิบัติมรรค 7 องค์แล้วรวมลงเป็นสัมมาสมาธิ กรรมฐานแท้ของพุทธคือวิชชาจรณสัมปัณโณ คือจรณะ 15 และวิชชา 8 แต่ทุกวันนี้ เอาท่องพุทโธ หรือสัมมาอรหัง คือกรรมฐาน นั่นเพี้ยนไปหมด จะปฏิบัติได้ผลดีหรือไม่ดี สุกฏทุกตานัง อย่างไร อัตถิ(ได้ผล) หรือนัตถิ(ไม่ได้ผล) ก็ต้องมีศีลไปตามลำดับ เป็นปริตตัง ต้น กลาง ปลายไปตามลำดับ มีศีล เกิดผลเป็นอธิจิต ปฏิบัติมรรค 7 องค์นี่แหละรวมเป็นสัมมาสมาธิ

ต้องสัมมาทิฏฐิก่อนเลย และมีแสงอรุณ 7

สุริยเปยยาลสูตร (เล่ม 19 ข.129 – 136)

[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

ต้องปฏิบัติอย่างมีผัสสะ ไม่ใช่ดับผัสสะ แล้วต้องมีกายด้วย ไม่ขาดมหาภูตรูปและอุปาทายรูปครบ ให้อ่าน เวทนา 6 ตัณหา 6

ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ว่า แม้จะอนุโลมให้ไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ไปนั่งอยู่ในป่าเขาถ้ำหรือโคนไม้หรือที่แจ้งลอมฟาง ก็ต้องปฏิบัติให้เป็นฌาน สมาธิแบบลืมตา แบบมีศีลเป็นตัวตั้ง สำรวมอินทรีย์ 6 มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ มีสันโดษอันเป็นอาริยะ ให้เกิดสัมมาสมาธิของอาริยะ เกิดฌานของอาริยะ จะเป็นฌานลืมตาไม่ใช่ฌานหลับตาเลย

มีคำถามมาว่า ให้พ่อครูช่วยอธิบายรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4

อ่านจิตตั้งแต่จิตเริ่มตักกะ มีสังขารปรุงแต่งเรียกว่ารูปนาม เรามีญาณปัญญาที่ทำงานเป็นสัญญา เราก็พยายามที่จะมีอายตนสัญญากำหนดอ่านรู้ สัญญาคือตัวรู้เป็นนาม กำหนดอ่านจิตแยกแยะให้ออก ว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าองค์ประชุมกาย กายในกายนี้ ประชุมกันไป จากองค์ประชุมรูปนามเรียกว่าสังขาร จากสังขารเราต้องมาเรียนรู้ พยายามแยกนามแยกรูปให้ออกโดยเครื่องมือของพระพุทธเจ้าเรียกว่าศีล

เช่น เราจะไม่กินมะเขือเทศ เรากำลังอธิบายฌานนะ เรากำลังเห็นรูปภายนอก เป็นอัชฌัตตังอรูปสัญญีพหิทารูปานิปัสสติ คือวิโมกข์ 8 ข้อ 2 นะ มีตากระทบรูปมะเขือเทศ สัมผัสแล้วก็จะเกิดปรุงแต่งรูปสวย อยากกินคือตัณหา เอามาเสพคือกาม ต้องอ่านให้ออก ถ้าคุณเว้นเสีย คุณติดมะเขือเทศ ชอบมันก็ตั้งจิตว่าไม่กิน พอสัมผัสแล้ว คุณไม่กินมันก็จะเห็นกิเลสอยาก คุณไม่หยิบไม่เอาไม่กิน จิตมันก็เกิดอาการอยาก โดยการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คือมีรูปีรูปานิปัสสติ คือตากระทบรูป เป็นอายตนะนอกและใน

รูปอยู่นอก ตาสัมผัสมีโคจรรูป ปสาทรูปทำงาน เกิดนามกาย

อาตมาเห็นมะเขือเทศ เป็นคนไทย แต่ให้อธิบายเป็นภาษาอังกฤษอาตมาไม่มีอธิวจนภาษาอังกฤษ แต่ว่ารู้อธิวจนภาษาไทยว่าคือมะเขือเทศ ในขณะนี้นามกายเกิดแล้ว แต่อาตมาบอกไม่ได้ว่าเป็นรูปกาย แต่นามอาตมารู้แล้ว มีวจีสังขารภายในว่านี่มะเขือเทศนะ แม้ภาษาลาวก็เรียกว่าบักเล่น แต่อังกฤษเรียกว่า Tomato ก็ว่าไป นี่คือขยายความให้ชัดเจน

จากวิโมกข์ 3 ข้อ คือ รูปีรูปานิปัสสติ มันมีรูป เราก็มาสัมผัส การปฏิบัติธรรมในวิโมกข์ข้อ 1 คือคุณต้องรู้ในรูปทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยการเห็น ด้วยการสัมผัสนะ

ข้อที่ 2 ก็ละเอียดจะต้องรู้ตั้งแต่ภายนอก ไปถึงภายใน เป็นรูปภพ อรูปภพ แม้เป็นรูปหรืออรูปก็ต้องกำหนดรู้ ทั้งรูปข้างในจนทะลุละเอียดถึงอรูป เมื่อกำหนดรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ กาย เวทนา จิต ธรรมอย่างไร ลดกายที่เป็นสักกายะอย่างไรก็ทำได้ก็เกิดอธิโมกข์ โน้มไปทางมีมรรคผล ก็เกิด

ข้อที่ 3 สุภันเตวอธิมุตโตโหติ เป็นการเจริญไปถึงที่สุด คือมีอธิมุตโต หรืออธิโมกโข หลุดพ้นไปตามลำดับแต่ไม่ถึงที่สุด

เมื่อปฏิบัติธรรมลืมตามีศีลเป็นตัวขอบเขต นี่เรากระทบสัมผัสอันนี้มันเรื่องของกาม ถ้าใครติดยึดมะเขือเทศมาก็ต้องตั้งศีลเลย แต่คนเรามันติดบ้าบอของใครของมัน ต้องตั้งกรรมฐานให้แก่ตนเพื่อลดละเลิก มันเป็นกิเลสของเรา ก็ต้องพยายามเลิกให้ได้

ผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจนครบวิโมกข์ 8 ชัดแท้ทั้งภายนอกและภายในจึงเรียกว่าครบพร้อมทั้ง 6 สัมผัสนอกสัมผัสใน 6  วิญญาณ 6 อายตนะ 6 ตัณหา 6 เวทนา 6 การปฏิบัติตามปฏิจจสมุปบาทต้องมีสัมผัสอย่างนี้จึงมีองค์ประชุมครบเรียกว่ากาย ตั้งแต่สักกายะ แล้วอ่านจากกายนอกไปถึงกายใน เข้าไปเรื่อยๆ ก็คือเวทนา จิต ธรรม ต่อเนื่องกัน ไม่ได้แยกกันเลย กายคือเวทนา เวทนาคือจิต จิตคือธรรม พระพุทธเจ้าว่า กาย นี่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง

เวลาพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนาก็ทำเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่ง สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป สิ่งที่ไปรู้คือนาม ก็มีรูปกับนาม ก็พิจารณาสภาวะรูปกับนาม รูปก็แจกไปรูป 28 มันเกิดภาวรูปแล้ว ก็ต้องเข้าใจว่าคือธรรมะสองเป็นเวทนา ตัวหนึ่งเป็นตาทิยพ์โสตทิพย์แยกได้ว่าอันหนึ่งเป็นความจริงสามัญ อีกอันหนึ่งเป็นเสียงทิพย์ตาทิพย์ที่มันเกิดสุขทุกข์ แบบโลกียธรรม

การสัมผัสเช่น สัมผัสรสมะเขือเทศ ใครก็ได้รับรสเช่นเดียวกันหมด คือรสสามัญ ส่วนรสทิพย์คืออ่านรู้ว่านอกจากรสสามัญแล้ว ยังมีชอบด้วยนะ พอใจนะ หรือไม่พอใจไม่ชอบใจ นั่นคือเวทนาในเวทนา บ้าๆบอๆ มีอิฏฐารมย์ อนิฏฐารมย์เกิดแล้ว คุณมีตาทิพย์ญาณทัสสนวิเศษก็แยกแยะอารมณ์แท้ รสแท้ที่ใครก็รับรสได้เดียวกันหมด แต่ความชอบ ไม่ชอบ ก็อ่านออกนี้คือคนมีโสตทิพย์

มีความฉลาดแยกเวทนาในเวทนาออก เวทนาหนึ่งเป็นตัวจริงตามธรรมชาติ อีกเวทนาหนึ่งคือไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์กิเลสตัณหาอุปาทาน เราจับเวทนานี้ให้ได้ แล้วจัดการรสที่ไม่แท้นี้ให้เหลือแต่เวทนาแท้ๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ แต่อารมณ์ปั่นป่วนชอบไม่ชอบนี่ทำให้หมดไปเลยเหลือแต่ธรรมะแท้ๆ อย่าให้ชาติของกิเลสเกิด เราก็รู้แต่ธรรมชาติของมะเขือเทศ แต่ไม่มีชาติของผี มาร ชอบใจเป็นเทวดา ไม่ชอบใจเป็นผี เราก็ไม่ให้มี

ทำเวทนาผีให้ตายก่อน ให้เหลือแต่เวทนาสามัญของจริงๆแท้ ตถตา เป็นมะเขือเทศอันนี้แหละ อ่านอารมณ์ไม่แท้เป็นกิเลสตัณหาอุปาทาน แล้วทำออกให้หมด

หมดรูปฌานก็เป็นอรูปฌานอีก 4 ผู้ปฏิบัติธรรมเกิดวิโมกข์ 3 ก็คือรูปฌาน 4 นั่นเอง อ่านกิเลสทำกิเลสลดเป็นเอกสโมสรณาได้ สำเร็จเป็นวิตักกะ ตั้งแต่ตักกะมาปรุงแต่งเราก็กำจัดแยกกิเลสได้เกิดวิโมกข์ วิมุติ ทำกิเลสให้วินาศก็เกิดวิตักกะเป็นความดำริของจิตที่ได้ชำระจิตออกจากสังขารไม่ดี เกิดวิสังขารเป็นวิตักกะ ได้ล้างสิ่งที่ไม่ให้มีได้ สิ่งที่เป็นกิเลสไม่ให้มีก็เอาออกได้ จิตก็เป็นวิตักกะ จิตเจริญแล้วก็จะปรุงแต่งนึกคิดสังกัปปะอีกที ปฏิสัมพัทธ์ในองค์ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

ฌาน 1 ก็ยังเคร่งคุมมีวิตกวิจาร เรารู้พฤติของมันคือวิจาระ แล้วก็ทำวิตักกะให้ได้ เริ่มต้นยังไม่เก่งแต่เริ่มทำได้เป็นเนกขัมสิตเวทนา เราทำให้กิเลสลดได้ หรือทำดับได้ นิโรธเลยแต่ยังต้องเคร่งคุม เหมือนขี่จักรยานใหม่ๆจะล้มๆ คือคุมวิตกวิจารให้ดีแข็งแรง ชำนาญ เมื่อวิตกวิจารลด โดยไม่ใช่ไปดับมัน แต่ว่าทำได้ง่ายสบายขึ้นรู้ได้เร็ว สัมผัสกิเลสอีกกี่ทีก็ดีขึ้น ได้ฌานสูงขึ้นดีใจ เป็นเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา แต่ถ้าโทมนัสก็ยังลำบาก ฌาน 1 ก็โทมนัสแรงอยู่ แต่ฌาน 2 ก็โทมนัสลด มีโสมนัสมากขึ้น จากนั้นทำได้ชำนาญก็วิตกวิจารลด มีแต่ปีติก็อย่าให้ปีติเป็นอุปกิเลสแรงนัก ก็ลดปีติอีก ลดได้ก็เป็นฌาน 3 เป็นสุข แต่ก็เป็นอุปกิเลสอีก ไม่ใช่ดีใจเพราะได้เสพมะเขือเทศนะ แต่ว่าดีใจเพราะลดกิเลสได้

ต้องรู้มโนปวิจาร 18 ของเคหสิตะกับเนกขัมมะ ต้องทำให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาก็คือ ฐานนิพพาน เป็นเอกัคคตาตัวฐานนิพพานแล้ว ก็ทำรักษาผล อนุรักขณาปธาน อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมังให้เกิด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คือองค์ธรรมอุเบกขาตั้งมั่นเป็นฐานนิพพาน อรหันต์อยู่ด้วยฐานนิพพาน ตลอดกาลแข็งแรงเป็นตถตา มุทุตา กระทบกระแทกอย่างไรก็ปริโยทาตา คือบริสุทธิ์อยู่อย่างเดิมจิตแววไว สัมผัสแล้วอัตโนมัติ ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันอีก จน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

แล้วอรูปฌานข้อสุดท้ายคือสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ

             ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป (พ่อครูว่า  กายของเรามีรูป ที่ถูกรู้อยู่ ตากระทบมะเขือเทศฟักทองก็เกิดฌาน มีวิปัสสนาญาณ) ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.(คืออ่านจิตเราออกว่ามันมีเหลี่ยมมุมอย่างไร มีแก้วชนิดต่างๆอย่างไร มีกิเลสเหมือนด้ายสีต่างๆอย่างไรบ้างก็เห็นหมดแต่ก่อนไม่เห็น)

 

มโนมยิทธิญาณ
       
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่งก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

คุณแยกกิเลสออกได้ตัวหนึ่งมันมีชีวิตกิเลส เราจะให้ชีวิตกิเลสนี่แหละตาย ไมใช่ดับชีวิตินทรีย์ไปหมดไม่แยกแยะ ให้เหลือแต่เวทนาสามัญที่ทุกคนรับรู้ได้เหมือนกันหมด

นามรูปซ้อนกันอยู่ ถ้าเข้าใจมูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แยกกายแยกจิตได้ชัดจะรู้ว่าอาการไส้กับหญ้าปล้องมันซ้อนกันอยู่ อันไหนพ้นออกมาแล้วมันเป็นดินน้ำไฟลม มันมีพลังพีชะอยู่ แต่นี่เล็บมันพ้นปสาทรูปออกมาไม่ได้เป็นจิต มโน วิญญาณแล้ว ไม่เป็นกายแล้ว มีแต่ดินน้ำไฟลมอย่างเดียว ไม่มีอุปาทายรูปแล้ว ผิวหนังก็ดี ฟันก็ตาม ส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้แล้ว ไม่ใช่ กาย จิต มโน มันเป็นดินน้ำไฟลมเท่านั้น แล้วมีพลังพีชะอยู่บ้าง แต่ไม่มีอารมณ์รับรู้สึกได้ มันเฉย ไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้สึกแล้ว ไม่มีปสาทรูปแล้ว แต่ยังงอกได้เพราะมีพลังพีชะ

อันใดที่เกี่ยวกับปสาทรูปอันนั้นยังเป็นกายอยู่ มีธรรมสอง แต่พ้นออกมาแล้วไม่เป็นกาย ไม่เป็นจิต มีแค่พีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังคือไม่เจ็บปวด แต่ถ้าคุณยังยึด มันหายไปก็เจ็บใจ คุณบ้าเอง มันเป็นแค่พีชะแต่ไปยึดเป็นตัวกูของกู มันยึดว่าจริง คนนี้จิตวิญญาณตายแล้วนะ แต่คุณไปสร้างการสะกดจิตยึดเป็นเราของเรา แทนที่จะปล่อยไม่ใช่ของเรา แต่ไปสะกดจิตยึดว่าเป็นเราของเรา ตายแล้วก็เลยไม่เน่า ผม เล็บก็ยืดออกนั่นคือไปบูชานักยึด เล็บของกูผมของกู ก็ยึดอีก แต่ถ้าคุณให้อาหารมันก็ไปต่อได้เหมือนพืช แต่จิตไม่มีแล้วหมดแล้ว แต่คุณไปยึดพีชนิยามเข้าให้ ร่างกายของคุณ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เลยกลายเป็นของกู ตายแล้วจิตไม่ฟื้นเป็นพีชะแล้ว ถ้าต่อท่ออาหารร่างนี้ก็สดได้ เอาเข้า ICU เป็นมนุษย์พืชก็อยู่ได้ต่อไป

แต่คนที่ตายเน่าไม่ได้ให้อาหารมันก็จะเหี่ยวไป แต่พลังงานยึดมีอยู่เป็นตัวกูของกู คนนั่งสะกดจิต จิตก็ยึดมั่นเป็นตัวกูของกู พอตายไปเหลือแต่พีชนิยามเป็นโมเมนตั้ม ไม่ให้อาหารก็เหลือแต่เล็บผมก็ยังยาวอยู่หนังก็ไม่เน่าเปื่อยได้

ผู้รู้อย่างอาตมาไม่ไปเคารพคนเห็นผิดๆ

เมื่อถึงฌาน 4 เกิดเนรมิตรูปได้ คือเรากำหนดหมายสร้างให้เป็นความเจริญของจิต จากวิปัสสนาญาณมาเป็นมโนมยิทธิ ...แยกแยะธรรมะสองได้ทำให้เป็นหนึ่งได้แต่ก็อยู่กับภาวะสอง คือเลิกสิ่งไม่เจริญ เป็นเนกขัมมะได้ แต่ทำได้บริบูรณ์ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราแม้ได้เนกขัมสิตอุเบกขา สามารถทำให้จากหนึ่งเป็นสอง เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ

ธรรมะพระพุทธเจ้าให้ทำที่เวทนา ละเอียดถึง 108 ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติได้ เว้นผัสสะเสียแล้วจะรู้สึกได้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ

[51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหา เท่านั้น.

[77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:25:12 )

590420

รายละเอียด

590420_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กูฏทันตสูตร ตอน3

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 20 เมษายน 2559 เราต้องเรียนกันไปทุกลมหายใจเข้าออกของเรา

 SMS 19 เม.ย. 59

0805925xxx กราบพ่อวันนี้เสียงพ่อเทศน์ดังแจ๋วนู๋ม่ายยต้องคำนับมือถือปวดคอคร้า!

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯเห็นญตธ.นั่งหลับฟังอย่างอิดโรย!เห็นใจคงเหนื่อยจากตลาดอาริยะ!คนใจบุญทุกคนสู้ๆนะ

0893867xxx จำนาฏดนตรีคีตศิลป์แสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยโบราณแสดงเวทีตลาดอาริยะแต่เช้ายันมืดกับญตธ.ศรีษะอโศกเล่นได้อึดทรหดยอดเยี่ยมมาก!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมมะเขือเทศที่สอนให้รู้ถึงเวทนา6ที่เป็นสภาวะของอารมณ์ความรู้สึกจากสัมผัสทุกทางจนรู้จักดับเวทนาในเวทนา108จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ!สาธุ

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน วันนี้ท่านอธิบายได้ดีมากๆๆ ซ้ำบ่อยๆๆนะคะ ไม่เบื่อค่ะ เพราะคอยแต่จะสับสน ทุกเรื่องมันเกี่ยวพันกันหมด ยังไม่แข็งแรงเลยค่ะในการแยกแยะ

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้ญตธ.หน้าจอรู้จักเวทนาเป็นธาตุที่รับรู้ไม่ใช่ตัวตน!ที่เป็ นตัวตนฤากิเลสแท้ๆคือไอ้ตัวหลง,ยึด,ติด,เสพ,อยากทั้ง หลายเอวังลาละฉะนี้สาธุ

พ่อครูว่า เวทนา สัญญา สังขา ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น

จากไลน์...

18:58 Sayan กราบนมัสการเรียนถามพ่อท่าน ฆราวาสอยู่ในเรือน ไม่ใช้เงินทองส่วนตัว ทำงานฟรี แต่มีผู้ไว้ใจให้เงินเพื่อนำไปใช้โยชน์สังคมอย่างนี้เรียกว่าถือศีล 10 ได้ไหมคะที่ต้องอยู่ในเรือนเพราะยังต้องใช้วิบากอยู่

พ่อครูว่า พระโมคคัลลานะ จะไม่ตายก็ได้แต่ว่า ท่านก็ยอมตายได้ สุดท้ายต้องยอมตายกับวิบาก ยังไงก็ต้องตายไม่ตายก็ไม่ได้ ก่อนจะได้เข้าสู่รายละเอียดในกูฏทัณตสูตร ก็ขอทบทวนอีกหน่อยว่า ที่จริงแล้วธรรมะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าของท่านคือวิชชาจรณะ เมื่อเอาวิชชา จรณะมาแจก จรณะก็มี 15 วิชชาก็มี 8 ตามพรหมชาลสูตรก็แจกศีลกับทิฏฐิ

อัมพัฏฐสูตรบอกถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธที่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า

อุเบกขานั้น ผู้ได้แล้วจะไม่เสพฐานอุเบกขา แต่จะอยู่กับสังคมไปช่วยสังคมไป ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะรู้ว่าเรามีรสเสพหรือไม่ แม้เสพอุเบกขาเป็นรสอีก แม้จืดแสนจืดแล้วก็ยังมีรสอีกก็ต้องรู้ด้วยตน ว่าหลงอยู่ไหม

เมื่อมีฌานแล้วก็จะมี วิชชา 8

วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ ต้องมีสัมผัสรู้ทั้งนอกและใน เป็นสิ่งยืนยันกันได้ ไม่ใช่รู้คนเดียวบ้าคนเดียว

 

มโนมยิทธิญาณ
 

             ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่งก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
          ทำปุงลิงค์ที่เป็นเอกแล้ว ก็ทำให้เป็นนปุงสกลิงค์ คือ0 ได้ จะพักที่ 0 เวลาจะทำงานก็ต้องมาที่ 1 แต่จะไม่เป็นสองแต่ว่าต้องอยู่กับสอง ต้องมีคนให้คุณช่วย คุณมี 0 แล้วไม่ต้องช่วยตนเองหรอก คนที่จบแล้วไม่ต้องช่วยตนเอง คนอื่นจะช่วยเรา ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา อย่างอาตมาถ้าต้องการข้าวมาใส่ร่างกาย ก็จะไม่ใช้เงินที่มีคนถวายมาซื้ออาหารกิน ตายก็ตาย

 

อิทธิวิธญาณ
 

             ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์อานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆพึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่งเปรียบเหมือนช่างงา หรือลูกมือของช่างงานผู้ฉลาดเมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่งเปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
 

ทิพยโสตญาณ
 

             ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้างเสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาจะพึงเข้าใจว่าเสียงกลองดังนี้บ้างเสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง เสียงเปิงมางดังนี้บ้างฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิดคือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผล
มากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

พ่อครูว่าคือนัยละเอียดที่ยิ่งๆขึ้น

 

เจโตปริยญาณ
 

             ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะจิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคตจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใสหน้ามีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแลย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่น(ปุถุชน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์) ด้วยใจ คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ
หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิหรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

 

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
 

             ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้างพันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่นแล้วจากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้นได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณเธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้างร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.

 

จุตูปปาตญาณ
 

             ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง3 แพร่ง ท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือน เหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแลย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:25:58 )

590421

รายละเอียด

590421 พุทธศาสนตามภูมิ บ้านราชฯ กูฏทันตสูตร ตอน4

          พ่อครูว่า... วันนี้วันพุธที่ 21 เมษายน 2559 วันนี้วันพระใหญ่ จริงๆเป็นวันขึ้นปีใหม่ของปีวอกเลยนะ เป็นวันเพ็ญแรกของปีวอกเลย วันนี้เราก็มาต่อที่จะอธิบายต่อไปอีก อาตมาเองว่าอาตมาขยันในการบรรยายเอาความรู้ ความจริงเท่าที่ตนเองมีเอามาเปิดเผยให้คนฟัง อาตมาว่าอาตมาขยัน แต่คนฟังจะรู้ค่า หรือไม่?
          อาตมาขยันเพราะรู้ค่าว่าเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็นสำหรับมวลมนุษยชาติ ในความรู้ความจริงเท่าที่มีในตน เป็นสิ่งที่มนุษยชาติควรได้เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ อาตมาจึงขยันพากเพียรทำงานนี้อย่างเต็มใจ ตลอดมา 46 ปีแล้ว ไม่กี่เดือนก็จะเต็ม 46 ปีแล้ว อาตมาบวช 7 พ.ย. อาตมายังไม่เบื่อหน่ายและไม่เห็นอะไรสำคัญเท่า ควรบอกเรื่องนี้กัน ควรให้คนได้ความรู้ความจริงนี้แล้วเอาไปประพฤติให้เกิดผล แต่จะไปบังคับใครให้ทำไม่ได้ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องวิเศษไม่มีวินาทีใดที่ไม่ควรสาธยายธรรมะ แต่มันทำไม่ได้ เวลาที่จะให้มาบรรยายก็ไม่เคยบ่นว่าให้มากไปเลย แต่ละท่านรู้ดี นอกจากไม่ได้บรนยาย อาตมาก็เขียน แล้วพยายามเตรียมตลอดเวลาที่จะบอก เพราะอาตมาไม่ใช่นศ.แต่ค่อยเก็บของผู้รู้มารวมลงกับสภาวะจริงที่อาตมาเข้าใจ ว่าภาษานี้หมายถึงสภาวธรรมอันนี้ ว่าควรคมแม่นชัดอย่างนี้ ก็พยายามทำให้ดี สมบูรณ์​ทั้งง่ายทั้งเข้าใจได้ ให้เห็นว่าเป็นสิ่งมีค่าประโยชน์
          เกิดมาเป็นคนชาติใดก็แล้วแต่ ถ้าไม่ได้ธรรมะไปพระพุทธเจ้าว่าเป็นโมฆบุรุษ ท่านว่าขณะใดที่คนไม่สนใจขาดการพยายามปฏิบัติไม่ได้ผล ท่านเรียกว่าโมฆบุรุษ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ทุกขณะทุกลมหายใจเข้าออก อยู่ที่การพากเพียร แต่ผู้พากเพียรใส่ใจทำนี่ไม่ถือว่าโมฆบุรุษแล้ว ท่านอนุโมทนาสาธุ แต่คนที่ไม่ใส่ใจ อย่างน้อยใส่ใจฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ ให้เกิดผล ตามสัมมาทิฏฐิ ได้ผลแน่นอน ส่วนถ้าไม่สัมมาก็พยายามฟังเรียนรู้ใหัสัมมาจึงเกิดผล
          ทำไมหนอคนไม่เห็นว่าเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น ย้ำว่าไม่ว่าจะพูดจะคิดจะทำจะมีอาชีพอะไร ก็ทำการปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ทุกกรรม ให้เรียนมรรคทั้ง 7 องค์ เบื้องต้นทำสัมมาทิฏฐิให้ดี แล้วก็หาสัปปายะ 4 สถานที่สมควรอยู่ บุคคลมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีอาหารสัปปายะ แล้วจะมีธรรมะสัปปายะ
          ผู้ใดชัดเจนก็พร้อม เมื่อมีสถานที่สัปปายะ บุคคลสัปปายะ เช่นมาเจอหมู่บ้านของอโศก เป็นสถานที่แล้วมีบุคคลเป็นสมาชิกชุมชน จะมีอาหารสัปปายะ เครื่องอาศัยสัปปายะ ก็คือ มรรคทั้ง 7 องค์ จะมีอาชีพการงาน การพูดจา การพากันคิด โน้นนำให้ไปสู่สัมมาทิฏฐิ จะเกิดมิตรดีสหายดี
          เมื่อมีมิตรดีจะพากันมีศีลมีฉันทะ เรียนรู้อัตตา เกิดสัมมาทิฏฐิ จะเตือนกันไม่ให้ปประมาท แล้วเราจะโยนิโสมนสิการเป็น เมื่อทั้ง 7 หลักนี้มีพร้อม คุณก็ปฏิบัติมรรคองค์ 8 มีมรรคมีผลแน่ สุริยเปยยาล 7 นี้ มีจริง มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานแล้วก็เหลือแต่แต่ละคนจะพากเพียรมี โพชฌงค์ 7 มีสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 พยายามปหานกิเลสให้ได้ ได้แล้วรักษาผล ด้วยอิทธิบาทก็เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไปอีก ก็พัฒนาให้เจริญขึ้น
          เราพยายามอาศัยหลักธรรมพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี่แหละ เราจะเข้าใจได้ว่าสังคมเรายืนอยู่บนฐานของมนคร 8 โพชฌงค์ 7 หรือไม่ แล้วได้มีอิทธิบาท 4 สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 หรือไม่ ถ้ามีไม่ตกต่ำแน่นอน คนในชุมชนมีกรรม 3 อย่างไร มีไหม เพราะเราไม่ได้แยกจากการทำอาชีพ จากการกระทำการพูดการคิด มรรค 8 นี้สูตรสำเร็จยิ่งใหญ่อยู่แล้ว
          พวกเราได้เน้นจุดสำคัญเหล่านี้ในชีวิตตลอด อาตมาพยายามกระตุ้นเสนอบอก บางทีดุบ้าง ว่าทำไมไม่เอาถ่านบ้าง ขนาดเราโน่เป็นคนต่างประเทศเขายังมาเอาถ่านเลย แล้วพวกเรามาเป็นสมาชิกบ้านราชฯนี่เอาถ่านเหมือนเราโน่เขาไหม คนชาติฟินแลนด์
          มาเร่ิมต้นดู sms เมื่อวานนี้หน่อย
SMS 20 เม.ย. 59
0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯอยู่ใกล้แม่น้ำมูลที่มีคนอุบลฯชาวอโศกใช้ชีวิตพอเพียงรักษาธรรมชาติได้สมบรูณ์! คนผจญโลกร้อนใจร่มๆที่ริมน้ำสะแกกรังขอส่งกำลังใจไปถึงผู้ประสบภัยแล้งทั่วปท.ด้วยการแบ่งน้ำใช้ปันน้ำใจด้วยการประหยัดสู้วิกฤติภัยแล้งไปด้วยกัน
มโนมยอัตตาเป็นอุปาทานในจิตที่มีรูปร่างสีแสงเสียงรสมีสภาพตัวตนที่ได้เห็นได้ยินได้สัมผัสด้วยทวาร6แต่ ไม่ใช่ของจริงเป็นสิ่งลวงตาหลอกใจว่ามีตัวตน
 มโนมยิทธิคือการสร้างจิตทำใจในใจตนเองจนสามารถเปลี่ยนแปลงจิตลงไปถึงที่เกิดฤาโยนิโสมนสิการตามกำจัดกิเลสถูกตัวตนจนจิตเกิดโอปปาติกโยนิ!
ผู้น้อยลำดับข้อความธรรมะถูกฤาเปล่าไม่รู้แต่พ่อครูเคยกล่าวเช่นนั้น!ผิดถูกประ การใดโปรดติเตือนชี้แนะ!กราบขอบคุณจรธ.
          พ่อครูว่า ธรรมะหนึ่งคือจิต อีกธรรมะหนึ่งก็ฏคือจิต เราแยกอกุศลธรรมแล้วทำลายอกุศลธรรมได้ก็เหลือธรรมะ1 คึอเอกสโมสรณา จิตรวมลงเป็นหนึ่งเดียวเอกัคตา
          จิตของเราตายจิตของเราจึงเกิด นี่แหละคือการเห็นความเกิดความตายทางปรมัตถ์เป็นโอปปาติกโยนิ ไม่ใช่การเกิดตายทางร่างกาย เพราะร่างเกิดร่างตายที่ไหนก็มี แต่การเห็นการเกิดการตายดังกล่าวคือการเห็นการเกิดการตายทางปรมัตถธรรม จากพระไตรฯล.10 ข.60 ถ้าไม่มีอกุศลจิตตาย คุณก็มีแต่สัตว์เปรต นรกเกิด คุณตกต่ำเสื่อมนะ แล้วคุณจะปล่อยตนเองให้เสื่อมหรืออย่างไร การเห็นการเกิดการตายทางจิตก็เป็นปัญญาอย่างหนึ่งแต่ถ้ายิ่งทำให้อกุศลตายไปได้ก็ยิ่งมีปัญญา ถ้าคุณมีปัญญาเห็นเลยก็มีปัญญาแท้เห็นว่าตนเสพสุขเท็จ เป็นเทวดาที่สมมุติเทพ ถูกมอมเมาอยู่ เมื่อคุณเห็นเช่นนั้น คุณจะปล่อยให้ตนเองเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ ซึ่งไม่เห็นว่าอาจารย์ไหนบอกอย่างนี้ มีแต่สะกดจิตหลับตาดับไป ไม่มีธัมมวิจัยอย่างนี้หรอก เราทำให้เกิดอุบัติเทพอย่างมีความรู้ตามธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งคนไม่ได้ศึกษาก็เป็นสัตว์นรก อยากเมื่อไหร่ก็เป็นสัตว์นรกเป็นเปรต พอได้เสพสุขก็เป็นเทวดาเก๊ สุขขัลลิกะไป วนเวียนไปแต่พอเรารู้เราก็เลิก จนเกิดโอปปาติกโยนิ คุณคนนี้ลำดับมาถูกต้อง

จากไลน์คุณ Sayan
กราบนมัสการเรียนถามพ่อท่าน การที่เรานั่งเจโต แล้วเกิดนิมิต มีการถามตอบกันเองในจิตเรา คืออะไรคะ คือเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ดิฉันเห็นนิมิตในสมาธิ เห็นความมืดที่มืดยิ่งกว่าตาบอด  แล้วอยู่ก็เกิดความสว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์ ดิฉันสงสัยมากว่ามันคือไร ก็มีคำตอบว่าที่มืดคืออหังการ ที่สว่างคือพระนิพพาน อาการแบบนี้เรียกว่าอะไรคะ และเป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่คะ
          พ่อครูว่า มันเป็นมโนมยอัตตาเท่านั้น เป็นคุณอุปาทานสมมุติไปเอง แล้วคุณก็ว่า เป็นนิมิตเอง คือสร้างขึ้น เนรมิตขึ้นมาเอง มืดหรือสว่างอย่างไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่เป็นอาการ ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณนั่งสมาธิหลับตาเข้าภพ แล้วทำให้จิตไม่ต้องคิดอะไรได้สำเร็จ จิตก็กลางๆว่างๆเฉยๆ มันจะสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ ดีไม่ดีมันทุกข์ด้วย เพราะมันขัดใจ ว่าเราไม่ได้อยากได้แบบนี้เราอยากได้เจอสวรรค์วิมานหรือให้มีอิทธิฤทธิ์ก็ได้ แต่นี่มันว่างๆ หรืออาจชอบใจในรสว่างๆนี้ก็ได้ ถ้าตอนนั้นคุณทำจิตในภพแล้ว อย่างที่เขาบอกว่าอย่าคิดอย่านึก ให้เกิดสมาธิอย่างอ.บูรพา ผดุงไทยว่า ไม่ต้องคิดแล้วจะเกิดปัญญาแท้เอง จิตไม่คิดอะไรคือสมาธิ เขาก็เขียนเข้าใจวนเช่นนี้เยอะ การที่คุณนิมิตขึ้นมาก็คืออัตตาตัวเองนั่นแหละ คำที่คุณถามมาว่า การโต้ถามตอบกันเองในจิตคุณคืออะไร?ก็ตอบให้ฟังว่าที่ตอบเองถามเองนี้ ก็คือความรู้ของคุณเอง ที่ตั้งคำถามตนเองเฉลยตนเองออกมาตามภูมิปัญญาของคุณเอง แต่คุณไม่แน่ใจก็มาถามอาตมาอีก ว่าจะถูกหรือไม่?อีก เรียกเต็มๆว่าเกิดจากอัตตาที่เรียกว่ามโนมยอัตตา อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปมือหรือรูปสว่างก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกรู้ในภพของคุณเอง ก็เป็นนิมิตมืดสว่างก็เท่านั้นเอง

_มีคำถามอีกต่อเนื่องจากเรื่องมะเขือเทศ แต่คราวนี้เป็นเรื่องในจิตไม่เกี่ยวกับข้างนอกนะ คือพอนึกถึงคนนี้ก็มองแง่ลบ มีเหตุผลว่าเขา พอเห็นอีกคนก็ไปคิดแง่ลบอีกตามที่เคยเป็น มันคิดบ่อยจนรู้สึกทุกข์ ไม่มีผัสสะแต่ก็มีเวทนาได้ใช่ไหม เพราะไปนึกเอา มันเป็นเองทำไงเลิกได้ โยนิโสฯไม่เป็นรู้แต่เป็นกิเลสเรียกอะไรไม่รู้ แล้วสองเขายังไม่ได้ว่าอะไรใจก็หาเหตุผลไว้ก่อนแล้ว   พอรู้ตัวก็หยุดเถียงในใจ เกิดจากอะไรแล้วสามมีไหมที่คนมีแต่มองในแง่บวกแล้วมีความสุข แต่นี่มันยังไม่จริง
ตอบ...ก็เลิกเสียสิ ตนเองก็รู้ว่าไม่เข้าท่า แล้วจะไปจมกับสิ่งไม่เข้าท่า แล้วคุณจะเข้าท่าเมื่อไหร่นะ ก็มีบ้างที่คนมีมองแต่แง่บวก แต่คุณมองแง่ลบ คำว่าไม่ใช่ความจริงนี้มันทั้งนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ความจริง ทุกอย่างสัญญายนิจจานิ คุณไปสัญญากำหนดเองว่ามันมีมันเที่ยง ไปยึดเองว่ามันมี ถ้าไปยึดหนักว่ามีเช่นเทวนิยมยึดว่าพระเจ้าเป็นสิ่งมีอยู่นิรันดร ส่วนของพระพุทธเจ้าตรงข้าม ไม่ยึดอะไรว่ามีแต่รู้จริงว่าอันไหนมี แล้วทำให้ความยึดมั่นถือมั่นนี้หายไปแล้วมีอย่างสมาทานไว้อาศัยใครไปนึกคิดปรุงแต่งจนเกลียดชังเขา นึกถึงคนนี้แล้วมองแต่แง่ลบ ก็จะทุกข์มากเลยนะ มองแง่ลบตลอด แต่คุณรู้อยู่แล้วว่าไม่ดี ทุกข์ มันเป็นเอง แต่ว่าคำนี้ต้องพูดกันให้ลึกหน่อย มันเป็นเองคุณก็ต้องทุกข์เอง เอาสูตรนี้ของพระพุทธเจ้าไป
          ในจูฬวิยูหสูตรว่าไว้
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
          สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าสัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณ-
พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่าเพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าสัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มี(สัญญา  น นิจจานิ)ในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ
          คุณติดอะไรก็เมาอันนั้น เช่นติดฟุตบอลก็เมาฟุตบอล มันเสพติดการเที่ยวการกินการเล่น คือคุณเมา การแปลว่าสุราคือแค่น้ำเมานั้นไม่ใช่ แต่สุราคือเมาอย่างหยาบ เมรยะคือเมาอย่างกลาง มัชชะคือเมาอย่างละเอียด ก็เอาอย่างหยาบก่อนคนติดซื้อหวยก็คือสุราของเขา ติดไม่ซื่อไม่ได้ เงินไม่ค่อยมีก็ยังซื้อ คุณติดอะไรก็คือสุราของคุณ ต้องตั้งศีลเลยที่จะงดเว้น อรติ วีรติ ปฏิวีรติ วรมณี คืองด เว้น งดเว้น เว้นขาดเลย
          เรื่องที่คุณคิดวนในแง่ไม่ดีก็เลิกเสียเถิด ตัดมา ถ้ามันขึ้นมาในจิตก็ตัดเสีย

          มาเข้าสู่บทเรียน
ท่านให้เรียนรู้ไปตามลำดับ ตั้งแต่
          วิปัสสนาญาณให้เรียนรู้รูปกับนาม กายเหมือนแก้วไส มองทะลุเห็นเส้นด้ายในนั้น คุณต้องมีแก้วคือมีกาย มีธรรมะสองแล้วสามารถเพ่งอ่านนาม มันเป็นองค์ประกอบแต่คุณต้องเรียน จิต มโน วิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้แก้ว แต่เรียนรู้ด้ายในแก้ว
          มโนมยิทธิเหมือนชักหญ้าออกจากปล้อง เหมือนชักดาบออกจากฝัก เหมือนชักงูออกจากคราบ คือทำเวทนาให้เป้นหนึ่งในเวทนา แล้วอยู่กับสองนี่แหละ
          วิชชาคือผล จากการปฏิบัติเหตุให้เกิดวิชชา เกิดผลเหมือนดังว่า
          อิทธิวิธญาณ คือทำมโนมยิทธิ์คือทำได้สำเร็จด้วยจิต แล้วมีหลากหลายเรียกว่า วิธ คือหลากหลาย variety ทำใจในใจเราได้เก่งนี่แหละ เป็นมโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐามโนมยา สำเร็จได้ด้วยใจ ทำใจในใจเก่ง ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ ทำได้หลากหลายลีลาเรื่องราว หลายเหตุปัจจัย สารพัดเลย ก็มีฤทธิ์มีญาณรู้ในความสามารถของคุณ
          โสตทิพย์ก็ยิ่งลึกซึ้งไปเรื่อยๆ มีปัญญาเฉียบแหลมรู้ลึกละเอียดมากถูกต้องดีงามไปเรื่อยๆ แยกสามัญกับสิ่งวิเศษได้ เป็นอุตริมนุสธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วตรวจสอบใน
          เจโตปริยญาณ 16 ตรวจสอบสิ่งที่เป็นสอง คือสราค สโทสะ สโมหะ เป็นเรื่องที่ผู้รู้คือผู้มีทิพย์ มีทั้งมหาภูตรูป อุปาทายรูป รู้แล้วแยกได้ สุดท้ายรู้ส่ิงสามัญกับสิ่งแปลกปลอม ดับสิ่งแปลกปลอมให้หมดก็เหลือแต่สิ่งสามัญ
          เช่นมะเขือเทศนี่ ลูกสีเช่นนี้รสเช่นนี้ไม่ว่าชนชาติไหนก็สัมผัสสัจจะเดึยวกัน ส่วนบัญญัติภาษาก็เรียกต่างกันไป ทุกคนสัมผัสดัวยปสาทรูป โคจรรูป เกิดธาตุรู้วิญญาณของจริง อีกอันเป็นสิ่งทิพย์ที่คนตาดีจะแยกออกเห็นได้ เช่นมันอร่อย ขอบใจ หรือไม่ชอบใจ ก็บ้าไปทั้งนั้น คุณรู้ความบ้านี้แหละคือมีทิพย์เป็นสิ่งสอง แล้วก็ทำสิ่งสองที่ไม่จริงนี้ให้หมดไป เหลือแต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแท้ของมันก็จบ
          ราคะโทสะโมหะเกิดจาเหตุปัจจัยในความโง่ ราคะกับโทสะก็สองด้านของกัน มีผลักกับดูด ชอบกับไม่ชอบ แล้วก็มีกลางๆมีมีผลักหรือดูด มีแต่เฉยๆ แต่เฉยอย่างพาซื่อปุถุชนก็ทำได้ชั่วคราว แต่ส่วนที่จะกลางๆไม่ผลักไม่ดูด มันรู้ของจริง แล้วทำให้ไม่เกิดอาการดูดหรือผลักเลย มันมีเจตนาเป็นกาม อยากได้มาหรืออยากผลักออก ? เจตนานั้นมีสาม คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นอกุศลจิตก็ต้องทำลายอันนั้น ให้เกิดฐานอุเบกขาจนถาวร เจโตปริยญาณคือมาตรวัดในจิต
          จุตูปปาตญาณ คือรู้การเกิดกับของอกุศลจิตเหตุแห่งทุกข์ได้ ตั้งแต่เหตุต่ำๆ มันไม่เที่ยงตั้งแต่มันไม่เที่ยงแบบโตขึ้นๆ เห็นกิเลสมันมีเต็มเลยแล้วมันโตขึ้นด้วย ถ้าไม่เพิ่มก็เที่ยงเท่าเดิมคุณต้องทำให้มันไม่เที่ยงแบบลดลงๆ เห็นตัวไม่เที่ยงตัวแรกคือสักกายะ รู้น้ำหนักมันว่ามากหรือน้อย จางลงหรือมากขึ้น ถ้าเห็นไม่เที่ยงตัวแรกคือมันเพิ่มขึ้นๆ คุณอ่านอาการจิตเป็นว่าอกุศลจิตมันเพิ่มหนาขึ้นก็เห็นปุถุชนในตน แต่ถ้าสามารถทำให้มันไม่เที่ยงด้วย แบบลดลงด้วยสามารถอีกลดลงๆๆๆ นี่คือไม่เที่ยงแล้วลดลงด้วย เหนือชั้นกว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงแต่โตขึ้น
          ถ้าคุณจับแม่นว่ากิเลสสักกายะตัวไหนแล้วมันโตขึ้นมีดีกรี มีอินทรีย์ 5 ในเวทนา 5 คือน้ำหนักของมันดีกรีมันว่าสุขมากขึ้น ทุกข์มากขึ้น หรือเป็นภายใน โสมนัสหรือโทมนัสก็ทำให้อุเบกขินทรีย์ให้ได้ ต้องรู้อาการของมัน หรืออาการเบาบางจากสุขทุกข์ลดลงๆได้ จนมันดับ นิโรธได้ จนกิเลสศูนย์คือเห็นความเกิดความดับจุตูปปาตญาณ
          เมื่อเห็นเกิดดับกิเลสก็ตรวจสอบ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย ทั้งอาการ ลิงค นิมิต อุเทส

จุตูปปาตญาณ
             ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง3 แพร่ง ท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือน เหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนคร (ทางสามแพร่งหมายถึงกายทุจริตวัดที่ถูกจริตมโนทุจริตก็ได้) ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
          พ่อครูว่าสัตว์มีปัญญาย่อมไม่ตำหนิพระอาริยเจ้า แต่สัตว์ไม่มีปํญญาโง่ก็ติเตียนพระอาริยเจ้า
พ่อครูว่าเมื่อคุณเองได้ผ่านการปฏิบัติแล้วมาทบทวนหากมีสัมมาทิฏฐิก็จะแยกออกว่ามีสัตว์สุจริตกับทุจริตสองชนิด แล้วตนเป็นแบบไหน


อาสวักขยญาณ

 

          ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัยนี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะแม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้างกำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ ฉันใด

พ่อครูว่า..คนที่ไม่ได้ปฎิบัติธรรมย่อมไม่มีการตายที่เจริญขึ้นแต่จะไปเลื่อนลงสู่ความจำยิ่งอาการหนักไปเรื่อยเรื่อยไม่มีการหมดการดับถ้าจะรู้จักการเคลื่อนการจุติ การอุบัติ เป็นสัตว์นรกหรือจะเป็นเทวดาอุบัติเหตุหรือสมมุติเทพ ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมก็มีแต่จุติเลื่อนลงไปเรื่อยๆพวกที่เป็นสมมุติเทพมีแต่จะเลื่อนลงต่ำลงการจุตินี้มีแต่เลื่อนลง แม้ได้สุขก็เลือนหานรกซับซ้อน จริงเป็นกิเลสหนาเลื่อนลงต่ำไปเรื่อยๆตายไปแล้วตกนรก
          คนไม่รู้จักสุขทุกข์แท้ แล้วหาแต่สุขมันก็มีแต่สุขเท็จ เราต้องทำให้มันลดลงจนไม่มีสุขไม่มีทุกข์

 ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยนี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธนี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้น ก็มีญาณว่าหลุดพ้น รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ากว่ายัญก่อนๆ.
                       ดูกรพราหมณ์ ก็ยัญสมบัติอื่นๆ ที่จะดียิ่งกว่า ประณีตยิ่งกว่า กว่ายัญสมบัตินี้มิได้มี.

คุณปฏิบัติมาได้วิชชา ห้าแรกแล้วก็ต้องมาตรวจบัญชี เหมือนพ่อค้า ตรวจดูว่ากิเลสไม่เหลือเลยหรือไม่ดับสิ้นอาสวะเลย กิเลสไม่เกิดอีกเลย เป็นอุเบกขา ปริสุทธาปริโยธาตามุทุกัมมัญญาปภัสสราตลอดกาล ใช้วิชชา 5 ทำไปก็ตรวจด้วยเตวิชโขอีกคือวิชชา 3 จนทั้งอดีตปัจจุบันอนาคนก็ตรวจสอบไปทบทวนดู บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ จนดับหมดไม่มีที่เลื่อนไปอีกแล้วจบกิจแล้วคุณก็รู้แล้ว ก็อุบัติเต็มที่ เป็นเทวดาวิสุทธิเทพอย่างเที่ยงแท้ถาวร เป็นทั้งอดีต ปัจจุบันอนาคตที่เป็นนิจจังทุวังสัสสตังฯ

ตรวจสอบเนกขัมสิตะ เป็นอุเบกขา ในฌาน 4 ได้สมบูรณ์แบบ ไม่มีวิตกวิจาร ไม่มีปีติ ไม่สุข มีแต่อุเบกขา เป็นเอกัคคตา

กูฏทันตพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก
             [236] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาอย่างนี้แล้ว พราหมณ์กูฏทันตะได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ฉันใด พระองค์ทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพเจ้านี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ ทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญจงทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้ได้ปล่อยโคผู้ 700 ลูกโคผู้ 700 ลูกโคเมีย 700 แพะ 700 แกะ 700ได้ให้ชีวิตแก่สัตว์เหล่านั้น ขอสัตว์เหล่านั้นจงได้กินหญ้าเขียวสด จงได้ดื่มน้ำเย็น ขอลมที่เย็นจงพัดถูกสัตว์เหล่านั้น.

กูฏทันตพราหมณ์บรรลุโสดาปัตติผล
             [237] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่พราหมณ์กูฏทันตะ คือทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่าพราหมณ์กูฏทันตะ มีจิตควร มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์มีจิตร่าเริง มีจิตใส แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์กูฏทันตะ เปรียบเหมือผ้าที่สะอาดปราศจากสีดำ ควรรับน้ำย้อมได้เป็นอย่างดี ฉันใด พราหมณ์กูฏทันตะ ก็ฉันนั้นได้ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นเอง ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะเห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแล้ว หยั่งทราบถึงธรรมทั่วถึงแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมผู้เจริญกับภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้. พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ. เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไป.
             [238] ครั้งนั้น พอถึงเวลารุ่งเช้า พราหมณ์กูฏทันตะได้สั่งให้ตบแต่งขาทนีย-*โภชนียาหารอย่างประณีตในสถานที่บูชายัญของตนแล้ว ใช้คนไปกราบทูลเวลาเสด็จแด่พระผู้มี-*พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว. ลำดับนั้น เป็นเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปสู่สถานที่บูชายัญของพราหมณ์กูฏทันตะแล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้. ต่อนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยมือของตนเอง ด้วยขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จแล้ว ทรงลดพระหัตถ์ลงจากบาตรแล้ว จึงได้ถือเอาอาสนะที่ต่ำแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค ทรงยังพราหมณ์กูฏทันตะผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งนั้นแล ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
จบกูฏทันตสูตร ที่ 5.

ก็สรุปว่าประเด็นของสูตรนี้คือยัญพิธี แต่กุฏทัณตพราหมณ์ เค้ายังไม่ชัดเจนเพราะวิธีการต่างๆที่ผิดเพี้ยนไปของพราหมณ์ต่างๆที่ทำกันมานั้นอาตมาเคยพูดแล้วว่าศาสนาพุทธที่ทำกันมานั้นเปลี่ยนไปประเด็นเดียวกันพวกที่มาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นพวกที่มีบารมีทั้งนั้นฟังธรรมไม่กี่กัณฑ์ก็บรรลุธรรมถ้าไม่ใช่ผู้มีบารมีก็ไม่บรรลุง่ายง่ายหรอกจึงดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายหรอกเพราะว่าจะต้องสืบสานพระพุทธเจ้าจะต้องมาสร้างศาสนาจึงต้องมีผู้ที่มาเป็นมวลและสืบต่อ

สมัย พระพุทธเจ้าคนฟังทำก็บรรลุทำง่ายแต่สมัยนี้ต้องพากเพียรทำต่อไปสำหรับวันนี้ฝากไปก่อน

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:26:56 )

590422

รายละเอียด

590422_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จุดแบ่งโลกียะกับโลกุตระ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 22  แรม 1 ค่ำ เดือนห้าปีวอก อาตมายังไม่หมดไฟ ไฟยังแรงครุกรุ่นกว่าภูเขาไฟที่พ่นเต็มที่ ยังไม่มีหยุด อาตมามุ่งมั่นทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด สำหรับผู้สนใจ คนไม่สนใจไม่ได้หรอก ต้องมาด้วยใจ มีฉันทะจริงๆ แล้วมาใฝ่แสวงหาเห็นดีเห็นงามจริงๆ แสงอรุณ 7

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

เราต้องมาอยู่ในหมู่มิตรดี มาแล้วก็อย่างน้อยสมาทานศีล 5 เมื่อมีศีลก็จะมีรายละเอียดในทิฏฐิ 10 รู้ตั้งแต่ทาน ยัญพิธี หุตัง โลกนี้ โลกหน้า สกุฏทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา สมณะพราหมณ์ฯ

มาดู sms กันก่อน

SMS 21 APR 59

0893867xxx คนถามพ่อครูฯเรื่องนิมิตในสมาธิ!ถ้ารู้จักรูปีมโนมโยฤารูปที่สำเร็จด้วยจิต!จะรู้ว่าใช่ของจริงฤาไม่?พิสูจน์ที่แต่ละคนบอกว่ามีทิพย์ ช่วยดูนิมิตบันดาลฝนฤาห าแหล่งน้ำใหม่จริงๆช่วยปท.ไทยสักคน?แล้วจะเชื่อ!เอวัง

 0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะสัจจะมี1มิได้มี2มิได้มี หลากหลายต่างกันมิได้มีในโลก!แต่ไปยึดสัญญาว่าเที่ยงสัจจะจึงมีมากขึ้นสาธุ

พ่อครูว่า อรหันต์สามารถทำปุงลิงค์ (1) หรือทำนปุงสกลิงค์(0) ได้ อะไรมากระทบกระแทกก็หนึ่งจริง ถ้า 0 ก็ไม่รู้ไม่ชี้เลย สัจจะถ้ามีมีหนึ่งเดียว หรือไม่มีก็ไม่มีเลย ผู้ใดยึดว่าเที่ยง สัจจะจึงมี ถ้าผู้ใดยึดแล้ว สมาทาน แล้วเข้าใจว่าเราไม่ยึดเที่ยง คนนี้ยึดอย่างมีปัญญา แต่คนใดยึดเที่ยง คนนั้นยังไม่พ้นทุกข์ ยังมีความเที่ยง นิจจังอยู่ นี่เป็นตัวสุดท้าย

 0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ญตธ.ที่นั่งฟังดูเคร่งเครียดจัง พ่อท่านต้องพาให้หัวเราะบ้างนะเจ้าค่ะ หรือต้องเป็นการสำรวมค่ะ งงค่ะ

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมะพ่อครูเรื่องจิตหลุดพ้นจากกามาสวะภวาสวะอวิชชาสวะรู้ถึงอาสวะนิโรธคามินีปฏิปทาฯจรธ.

0890015xxx การบรรลุธรรมคือการเข้าใจ เข้าถึงและการปฏิบัติได้ใช่ไหมครับ

0805925xxx แล้วตำหนิตาช่วงกับธัมมี่คงม่ายยตกนรกเนอะม่ายยช่ายยอาริยะเจ้าจริงป่ะ?

0805925xxx เมษาร้อนโคตรๆเกิดเดือนนี้แต่เกลียดโคตรๆ!เฮ้อ!

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านๆต้องอายุยืนๆๆสั่งสอนพวกข้าน้อยปัญญาเบาเช่นโยมไปอีกนานๆๆ พาบริวารลูกหลานหลุดพ้นด้วยนะเจ้าคะ..สาธุ

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ญตธ.ที่นั่งฟังดูเคร่งเครียดจัง พ่อท่านต้องพาให้หัวเราะบ้างนะเจ้าค่ะ หรือต้องเป็นการสำรวมค่ะ งงค่ะ

พ่อครูว่า ถึงเวลายิ้มก็ยิ้ม แต่นี่ไม่ใช่เวลาสนุกสนานก็ไม่ได้ยิ้มอะไร

0890015xxx การบรรลุธรรมคือการเข้าใจ เข้าถึงและการปฏิบัติได้ใช่ไหมครับ พ่อครูว่า...ใช่ 1.เข้าหู 2.เข้าใจ 3.เข้าถึง เข้าถึงจุดสมบูรณ์เลย

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านๆต้องอายุยืนๆๆสั่งสอนพวกข้าน้อยปัญญาเบาเช่นโยมไปอีกนานๆๆ พาบริวารลูกหลานหลุดพ้นด้วยนะเจ้าคะ..สาธุ

พ่อครูว่า สัญญากับสังขาร ตัวใดมีธาตุรู้สูงกว่า เขาถามมา

สังขารเป็นองค์รวมการปรุงแต่ง เป็นสามเส้า ไม่ได้มีตัวรู้มากกว่าหรอก คือสังขารจะมีรูปนามสัมผัสแล้วปรุงแต่งกัน เกิดรูปนาม และวิญญาณ ส่วนสัญญานั้นมีสองมีรูปกระทบกับนาม แล้วมีการกำหนดรู้ นามเป็นตัวกำหนดรู้ ถ้าเหลือน้อยลง สัญญากลับสูงกว่า แต่ถ้าจะเป็นภาวะโลก สังขารสูงกว่า

_พีชะมีธาตุรู้สูงสุดใช่สังขารหรือไม่ หรือสัญญาคะ

พ่อครูว่า พีชะก็มีสังขารและสัญญา มีธาตุรู้ปรุงแต่งแต่ไม่มีเวทนา ไม่เกิดความอยาก มันมากเกินเขตนี้ไปไม่ได้ มันก็มีแค่สัญญากับสังขาร เวทนายังไม่เกิด วิญญาณก็ไม่เกิด จึงไม่ทุกข์ ไม่มีเวทนา พลังงานเลยไม่มีวิญญาณ พลังงานที่เป็นวิญญาณได้ก็มีนามธรรมครบ 4

พีชะมีธาตุรู้สูงสุดถึงสัญญากับสังขาร แล้วทีนี้พระอรหันต์มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ทำการลดอกุศลจิตในวิญญาณได้ ลดอารมณ์ยึดติดในเวทนาก็ไม่ทุกข์ไม่สุข เหลืออุเบกขาอันเดียว วิญญาณก็เหลือแต่ อุเบกขา แต่มีพลังงานที่มาก มันไม่ปรุงแต่งโลกีย์ที่เคยโง่ มันจบ มีแต่ปัญญาก็เลยกลายเป็นพลังงานปัญญาเอามาใช้งาน ทำประโยชน์โดยตนเองไม่มีความเสพ ไม่มีรสสุขทุกข์ แต่พลังงานที่มีนั้น เป็นพลังงานโพธิสัตว์ระดับสูงเท่าไหร่ เช่นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบยิ่งสูงใหญ่ แล้วก็รองมาตามนั้น พลังงานที่ลดโลกีย์ได้เกลี้ยงเลยมีพลังเหลือเอามาใช้ได้มาก

_ต่อมาก็ลองฟังของคุณพิมพ์เพชรรุ้งเขียนมาถาม

กราบนมัสการพ่อครูฯ สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง

 

  จากการที่ ลูก (ขออนุญาตใช้คำว่า “ลูก” เพราะรู้สึกถนัดใช้คำนี้ในการสนทนากับพ่อครูฯ มากกว่า) ได้มาร่วมงานที่บ้านราชฯ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ค่าย ยอส. ต่องานปลุกเสกฯ และงานตลาดอาริยะ ลูกตั้งใจอยู่ต่ออีก 5 วันเพื่อดูบรรยกาศบ้านราชฯ ในยามปกติที่ไม่มีงาน ลูกพบว่าบ้านราชฯ มีความสงบ น่าอยู่ ดังที่ว่ามีสัปปายะ 4 ครบพร้อม แต่ประเด็นสำคัญที่ลูกเขียนมานี้คือ การที่ลูกได้มีโอกาสไปเข็นปุ๋ยที่โรงปุ๋ย 5 วัน ทำให้ลูกได้สัมผัสกับสภาวะธรรมที่ชัดเจน เมื่อนำมาทบทวนแล้วจึงเขียนรายงานมา กราบขอให้พ่อครูฯ ได้ตรวจว่าลูกติดฉลากยาถูกต้องหรือไม่ค่ะ

   ลูกได้เห็นสภาวะจิตในระหว่างการทำงานเข็นปุ๋ยพร้อมกับการเดินโพชฌงค์ 7 เริ่มตั้งแต่ ต้องมีสติในการเข็นปุ๋ย เพราะปุ๋ยแต่ละกระสอบมีน้ำหนักมากถึง 50 กิโลกรัม บางครั้งต้องเข็นที่ละ 2 กระสอบ รวมเป็น 100 กิโลกรัม จึงต้องใช้สติระมัดระวังในการเคลื่อนไหวทุกขณะเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทั้งแก่ตัวเองและผู้อื่น   ในขณะเข็นปุ๋ยก็มีธรรมวิจัยว่าเข็นอย่างไร ยกคันรถเข็น ยกกระสอบปุ๋ย วางกระสอบปุ๋ยอย่างไร จึงจะเบาแรง และไม่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บ ทำไปๆ ก็จะหาวิธีที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น    เมื่อปฏิบัติได้ดีขึ้นก็ทำให้มีกำลังความเพียรในการทำงานได้มากขึ้น(วิริยะ)  และเกิดปีติที่ได้ทำงานเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และในขณะทำงานลูกก็ได้ตรวจจิตของตัวเองว่าไม่มีนิวรณ์ 5 จิตก็สงบเป็นปัสสัทธิ  และมีสมาธิตั้งมั่นในการทำงานเข็นปุ๋ยอย่างมีพลัง เมื่อไม่นิวรณ์ จิตก็เป็นกลางๆไม่ซัดส่าย(อุเบกขา)  นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งที่ลูกได้เห็นคือวจีสังขารที่ดับไป แต่ภูมิปัญญาของลูกเห็นได้แค่วจีสังขารที่ดับ ยังไม่เห็นสิ่งที่ละเอียดมากกว่านี้ค่ะ

    จากการปฏิบัติธรรมในขณะขนปุ๋ยครั้งนี้ทำให้ได้ทบทวนธรรมะที่ได้ฟังจากพ่อครูฯ  ได้เห็นพัฒนาการของจิตที่ลดกิเลสลง แต่รู้ว่าจิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ซึ่งลูกก็จะตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติและตั้งใจฟังธรรมะที่พ่อครูฯ นำมาสอนต่อไปค่ะ

 

 กราบขอบพระคุณค่ะ

                                        พิมพ์เพชรรุ้ง

 

พ่อครูว่า อันนี้ไม่ใช่อาชีพของคุณพิมพ์เพชรรุ้ง เช่นเดียวกับแม่บ้านที่ไปเล่นไปเสียมาก ไปชอบปิ้งเสียมากกว่าเวลาทำงานบ้าน เขาก็อาชีพเล่นไพ่ ชอปปิ้งน่ะ อาชีพคือทำประจำนอกนั้นเป็นงานอดิเรก งานจร

แล้วคำว่าวจีสังขาร ภิกษุณีธัมมทินนา ว่าไว้ในพระไตรฯเล่ม 10 ว่าถ้าจะทำนิโรธ จะทำการดับวจีสังขารก่อน แล้วค่อยดับกายสังขาร แล้วจิตสังขารหลังสุด แต่ถ้าทำให้เกิด คือผู้ทำดับได้ก็ทำให้เกิดได้

ในพระไตรฯล.10 ข.65 นี้สุดท้ายมีสัญญาสอง

7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7
             ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2
คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

             ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง 7 ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ 1 มี
ว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก
พวกวินิบาตบางพวก ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ
และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ
ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ
             ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

 

อรหันต์จะรู้จัก อสัญญีสัตตายตนะ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ส่วนธรรมกายเอาไปพูดโก้ว่า อายตนนิพพาน ถ้าเอาอายตนะไปใส่นิพพานมันก็ขัดกัน อายตนะนั้นมันมี เป็นนิมิตนิพพาน เกิดเครื่องหมายของอายตนะ

นิพพานมี 3

1.      สุญญตวิโมกข์, สุญญตสมาธิ  (นิพพานโดยการเห็นความว่างของตัวกิเลส  หมดความยึดมั่นจากอำนาจกิเลส)

2.      อนิมิตตวิโมกข์, อนิมิตตสมาธิ (นิพพานโดยไม่ต้องถือนิมิต)

3.      อัปปณิหิตวิโมกข์ (นิพพานโดยไม่ทำความปรารถนา)

(พตปฎ. เล่ม 31  ข้อ 469)

แล้วการจะทำจิตให้มีพลังแล้วจะใช้พลังงานนั้นเป็นอย่างไร เพราะมีทั้งวิธีสมถะและวิปัสสนา แบบของพระพุทธเจ้า สมถะ ท่านไม่เรียกสมถะ แต่เรียกปัสสัทธิ คือลืมตาปฏิบัติ แต่ถ้าเรียกเจโตสมถะก็คือโน้มเอียงไปแบบนั่งหลับตาปฏิบัติ

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ  แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ      แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

ผู้ฝึกใจเป็นสมาธิ มีพลังงานสามารถควบคุมพลังงานจิตตนได้ ผู้นั่งหลับตาเจโตสมถะ จะอาจิตมาคุมกายกรรมวจีกรรม เมื่อคุมแล้วก็มีอิริยาบทต่างๆ มีความสามารถอย่างไรก็มาทำการ เอาพลังงานเก่งสมถะที่เรียกว่าจิตสงบก็เอามาคุมกายกรรมวจีกรรม

แต่คนที่เอากายกรรมวจีกรรมไปเอาชนะ ไปเอาเปรียบข่มคนอื่นได้ ในโลกีย์เขาก็ชมชื่น เช่นตอนนี้เขายกตัวอย่างน้องเมย์ เอาพลังสมาธิที่เก่ง ไปแข่งชนะ ได้เปรียบ ข่มผู้อื่นได้ คนชมเชยทั้งโลก ก็เป็นธรรมดาโลกีย์

แต่ใครที่เอาพลังงานจิตสงบไปยอมแพ้ เอาไปเสียเปรียบไม่เอาไปข่มใคร พลังงานนั้นน่าชมชื่นไหม นี่คือจุดแบ่งโลกียะกับโลกุตระ

โปรดฟังอีกครั้ง

ผู้มีพลังจิตเป็นได้จริงแต่เอาพลังจิตไปทำทางโลกีย์หรือโลกุตระ เอาพลังงานจิตที่เป็นประธาน(มโนปุพพัง คมาธัมมาฯ)  เอามาแสดงออก กายกรรมวจีกรรม แต่เอาพลังงานที่เก่งนี้ไปเอาเปรียบเขาชนะเขา แล้วก็ดีใจชื่มชม แต่คนที่เอาพลังงานจิตที่แข็งแรงนี่ไปเสียเปรียบไม่เอาเปรียบใคร ตัวนี้โลกุตระ ตัวไปเอาชนะเขาคือโลกียะ นี่คือจุดแบ่ง

แทนที่เราจะมีพลังงานจิตไปจ่ายแบบเขาที่ได้โลกธรรมมา แต่ของพวกเรานี่ไม่ได้ด้วย ได้มาก็ไม่เอา ได้โลกธรรมก็ไม่ได้ยินดีไม่เอานี่คือซ้อนลึก โลกียะ เห็นชัดเจนไหม นี่คือส่ิงที่คิดว่าได้อธิบาย มุมเหลี่ยมของเพชรที่เจียระไน เหลี่ยมเพชรใหม่ ที่มีแสงงามมาก น้ำงามมากมุมนี้ เพชรเหลี่ยมนี้น้ำงามมาก

 

กูฏทันตสูตร

พระพุทธเจ้าว่าไว้ถึงยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยมีอานิสงส์มากก็คือศีลกับปัญญา อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ ศีลกับปัญญานี่เป็นธรรมะสองที่ขาดไม่ได้ ที่ต้องเรียนรู้ เป็นความเจริญสูงสุด เป็นธรรมะสองแล้วทำธรรมะสองนี้ให้เป็นหนึ่งได้

ทางโลกสามารถเรียนรู้สสาร จบที่นิวเคลียส เป็นบวกกับลบ เป็นฟิชชั่นกับฟิวชั่น  เป็นสังขิตตังกับวิกขิตตัง ไม่ใช่ อุทธัจจะกุกกุจจะกับถีนังมิทธัง

ถีนังแปลว่าแข็งทื่อ แต่มิทธังคือมีพลัง ตัว ม. คือ จิต

ศีลกับปัญญาจึงเป็นคู่ มาตา ปิตา เป็นพลังงานสองส่วนที่จะร่วมกันทำให้เกิดส่วนที่สาม หรือจะแยกเป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือแยกเป็นเจตสิก 52 นี่คืออาการจิตทั้งหลาย คือความเคลื่อนไหวของพลังงานจิต เราต้องเข้าใจแล้วอ่านสภาวะได้ เป็นวิญญัติที่จะเรียกว่า กายวิญญัติ วจีวิญญัติก็เกิดจากมโนวิญญัติเป็นประธานนั่นแหละ

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ อีกตัวหนึ่งแถมคือ วิมุติญาณทัสสนะ เราจึงต้องรู้จักศีลคืออะไร ปัญญาคืออะไร เราก็ทำงานทำให้เกิดจิต อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาจึงเป็นหลักให้ศึกษาสัมมาทิฏฐิ จิตจึงเป็นวิมุติ ปัญญาจึงเป็นวิมุติญาณทัสสนะ

คุณถือศีล 5 ก็ทำจิตในกรอบโทสะของไม่ฆ่าสัตว์

ศีลข้อ 2 ไม่เอาของคนอื่น

ศีลข้อ 3 เรื่องกามคุณ คุณมีอาการเพศแรง ติดมากจัดจ้านก็ลดลงครึ่งหนึ่ง นี่ศีล 5 นะ ถ้าศีล 8 หยุดเลยเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชาย ลดทั้งปริมาณ และขนาด จนเราไม่เอาแล้ว มากขนาดนั้น จะเกิดญาณปัญญาอ่านออก ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่นเสียงต่างๆ อาการเหล่านี้มีอินทรีย์ดีกรีของมัน

ผู้สามารถรู้ลหุตา รู้ว่ามันเบามากที่สุดเท่าใดก็สามารถรู้ว่ามันหนาแรงมากเท่านั้น สมมุติว่าคุณทำความเบาได้แค่ 7 ที่เบากว่านั้นปัญญาคุณแยกไม่ได้ 6 5 4 3 2 1 คุณรู้ไม่ได้ ถ้ามีปัญญามากขึ้นก็รู้ได้เบาบางกว่านั้นอีก รู้ 6 รู้ 5 ก็เก่งขึ้นๆ จน 6 3 2 ลหุตาจึงเป็นตัววิการรูป

คุณจะทำงานอะไรปรุงแต่งอะไรกำหนดได้ว่าจะแรงจะเบาเท่าใดก็อนุโลมเท่านั้น แต่อย่าให้หมดตัวนะ ตาย อนุโลมได้อย่างเก่งก็ 30 เก่งกว่านั้นอนุโลมได้ 40 ถ้า 50 ครึ่งๆนั้นเสียง คุณต้องมีพลังที่ต้องรักษาตัวไว้อย่าประมาท

การอนุโลมเราไม่ทำหมดตัวหรอก อย่างนั้นแปลว่าประมาท ถ้าอนุโลม 50 ก็ประมาทกึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าให้เขา 60 เราเสี่ยงเลย ไม่พลาดก็ฟลุค ไม่ควรทำ

ถ้าผู้มีสัปปุริสธรรม 7 รู้จักจัด composition ก็เป็นการทำศิลปะ ในการอนุโลมปฏิโลมกับสังคมโลก เป็นมงคลอันอุดมจริงๆ คนไม่มีศิลปะไม่รู้มงคล 38 จะเกี่ยวข้องกับคนชั่วคนดีก็ต้องรู้อนุโลมปฏิโลมเท่าไหร่ อนุโลมให้คนดีกับคนชั่วก็ไม่เท่ากัน ถ้าให้คนชั่วมากๆเสียหมด อนุโลมให้คนดีเขามีปัญญาก็ไม่เสีย

จะเกียวข้องกับใครก็เป็นมงคล 38 แม้แต่อโศกะวิรชะ เราเรียกว่าไม่โศกแล้วแต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ไม่ทุกข์แล้วเหลือทรถะ(อรหันต์)หรือกิลมถะ(อนาคามี) หรือมีวิปฏิสาร

ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ร่วมกันทำให้เกิดอธิจิต เป็นโลกุตรจิต สั่งสมตกผลึกเป็นพลังงาน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แต่ไม่ใช่ผนึกอย่างถีนัง ตกผลึกผนึกกันอยู่อย่างอวิชชาแน่นๆ แต่นี่ไม่ใช่เป็นปัสสัทธิ จะเรียกถีนังก็ได้แต่ตกผลึกอย่างมีปัญญาเอามาใช้ได้ อยู่เหนือมัน มันไม่ได้ดื้อดึงแต่รู้จัก แบ่งเอามาใช้ได้ อย่างมีบารมี ถ้าสูงจริงก็เอามาใช้ได้หมด เช่นพระโมคคัลลานะ ไม่ตายก็ได้ ชุบชีวิตตนเองได้

นี่คือธาตุรู้ที่แจกได้เป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการหรือแจกเป็นเจตสิก 52 หรือ 121 ก็ถ้าเข้าใจแต่ละบัญญัติก็เอามาใช้ได้ แต่ถ้าไม่รู้จะเอามาใช้ไม่ได้ แม้จะเรียกว่าดวงๆ ก็เป็นลักษณะนาม แต่ท่านพุทธทาสท่านไม่เข้าถึงปรมัต์พวกนี้ ท่านทำจิตสงบได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์พวกนี้เลยตีทิ้งว่าเป็นอภิธรรมเม็ดมะขาม ที่พูดนี้ไม่ได้ตีทิ้งท่าน ท่านสามรถมีภูมิธรรมเก่งกว่าพวกคุณหลายคน ท่านยังไม่เห็นว่าอันนี้สำคัญเลยตีทิ้ง แต่อาตมาเห็นก็ไม่ตีทิ้ง

ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อทำให้เกิดวิมุติ หลุดถาวรเลย ส่วนวิมุติญาณทัสนะคือตัวรู้ของเรา รู้ทั้งวิมุติและนิโรธ บางคนทำจิตวิมุตินิโรธได้แต่ไม่รู้จักว่าตนเองทำได้ อ่านไม่ออก ก็เป็นได้ แต่เราทำได้แล้วต้องมีญาณปัญญาเราเข้าไปสัมผัสรู้ความจริงได้คือวิมุติญาณทัสสนะ

นี่คือศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสะ

เรารู้พลังงานแม่และพ่อทำให้เกิดอันที่สาม เป็นจิตเจริญ เป็นเทวดาแบบใด สมมุติเทวดาคือสบายใจแบบให้อาหารกิเลส แต่อุบัติเทพทำให้เกิดใหม่แบบเทวดาโลกุตระ ทำเหตุให้ตายไป เรามีปัญญาทำให้อุบัติ ได้สูงสุดเป็นวิสุทธิเทพแล้ว

ในบารมี 10 ทัศ เริ่มตั้งแต่ทานศีลภาวนา

การทาน นั้น บางคน ขี้หมาทาสีแต่เป็นของเธอที่ให้มา ที่คุณยึดไว้ก็โง่เองหรือไม่ก็คุณยึดเอง ยึดขี้หมาเป็นของประเสริฐก็เรื่องของคุณ เหมือนที่อาตมาเคยว่าอ.ม.ศิลปากรคนหนึ่ง ไปเอาสำลีซับเสลดของหลวงปู่แหวนมาบูชา อาตมาว่าจะบ้าหรือ เขาก็โกรธอาตมาด้วยนะ ของรักของเขานี่ เสลดเขาก็ซับด้วยสำลีทั้งที่แห้งหายไปก็เก็บไว้อีก นี่เป็นของจริงที่ปรากฏนะไม่ได้มุขขึ้นมานะ เป็นอ.ศิลปากรจริง ผู้หญิง เขาก็เคารพหลวงปู่แหวน ดูดยา อยู่กินหมากอยู่ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด พวกสมถะนี่เต๊ะได้เก่งไม่รู้ว่าส่ิงเสพคิดระดับไหนอย่างไรไม่รู้เรื่อง ขออภัยพูดไปเหมือนลบหลู่

ในกระบวนการพระอาริยะสายอ.มั่น อาตมานับถืออ.เทศก์มากกว่าผู้อื่น ถ้ามีปัญญาถึงก็จะรู้ว่าใครควรเคารพ ขนาดไหนก็อย่าพูดเลย

ทีนี้องค์ 5 ของเวทนา สัญญา เจตนา

เจตนานี้ท่านแบ่งเป็น สาม

มโนสัญเจตนาเป็นกามภพ หมดกามก็เหลือรูปภพ หมดรูปภพก็เหลืออรูปภพ หมดอรูปภพก็หมด ต้องมีเจตนาตามภพที่มี คุณหมดกามก็ไม่ต้องไปมีเจตนาอยากอย่างนั้นแล้ว เจตนาอวิชชาก็จะดับไปตามฐานของแต่ละคน

เจตนาที่เป็นกุศล คนเป็นอนาคามีอัตตาในกามหมดแล้วก็มีแต่เจตนาตนที่แฝงในรูปภพอรูปภพ อนาคามีหมดรูปภพก็มีอรูปภพแฝง หมดอรูปภพก็หมดกิเลสแฝงหมดเลยตามจริง นอกจากคนหลอกตัวเอง  คุณไม่ได้อยากให้แฝง แต่มันมีอยู่ กิเลสมันหลบตัวเองไม่ให้ตัวเองรู้นะ แต่คนอื่นมันไม่หลบหรอก มันอยู่ที่เจ้าตัวจะให้เปิดเผยหรือไม่ แต่ที่ตนเองไม่รู้นั้นมันหลง

พระพุทธเจ้าให้ใช้วิธีการผัสสะที่ถือเป็นนามในนาม5 แล้วจัดการมันเลย ผัสสะแล้วเกิดตัวตนก็อ่านตัวตน พระพุทธเจ้าว่าไม่มีผัสสะปฏิบัติไม่ได้ ต้องเรียนจากผัสสะแล้วเกิดรูปนาม จัดการนาม อกุศลจิต นี่คือนาม 5

ตัวสัญญาทำงานตัวสุดท้ายจบ ต้องแยกเวทนา 108 มันเกิดผัสสะเกิดสังขารจับสังขาร ทำอภิสังขาร 3 ได้ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

อภิภายตนะ 6 เกิดสภาพเป็นบุญคือกำจัดกิเลสได้ อปุญญะคือจบแล้ว ใช้บุญเสร็จก็วางเครื่องมือบุญ สั่งสมตกผลึกด้วยอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อนุโลมได้มากสูงเก่งขึ้น แต่บริสุทธิ์ตลอดกาลนะ ฝึกเข้าไปก็จะเก่งขึ้นๆ มุทุ สมรรถเร็วไวรู้ทันไหวพริบไว เจโตทำให้เปลี่ยนไปมาได้เร็ว กายปาคุญญตา คล่องแคล่วใน เวทนา สัญญา สังขารก็เอาไปทำงาน กายกัมมัญญตา ด้วยจิตมีภูมิฉลาดอัญญา เอาไปใช้งานกัมมัญญตา ได้เหมาะสมดีควร เรียกว่ากัมมัญญตา ตามพลังงานที่คุณสร้างนี่แหละ

หมดกามตัณหาภวตัณหา มีวิภวตัณหา ก็ไม่เหลือเหตุปัจจัยให้เกิดภพชาติแล้ว เช่นอาตมาว่าพระพุทธเจ้าทำงานด้วยวิภวตัณหา เขาก็ว่าอาตมาอีก แต่อาตมาก็ว่าท่านทำอะไรต้องมีเจตนา เป็นวิภวตัณหา ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงเป็นคนรับใช้โลกช่วยเหลือโลก คนจึงทำให้ประเสริฐมาได้อย่างแท้จริง พวกคุณพยายามปฏิบัติตาม ก็ตามที่อาตมาใช้ภูมิธรรมแบบนี้ เมืองไทยอาตมาจึงกล้าพูดได้ว่าเมืองไทยคือชมพูทวีปมีอาริยบุคคลที่แท้จริง สักวันหนึ่งผู้มีอาริยภูมิจริงเขาจะรู้ตัวเอง จนถึงว่าควรประกาศกับชาวบ้านได้อย่างไม่อวดดีไม่ประมาทก็พูดได้ หมดความเก้อเขินหมดเหนียมอายเก้อยากหมดอุทธัจจะหมดมังกุ หมดลักษณะที่จะguilty เลย สนิท ก็รู้เหมาะควรว่าควรเปิดเผยเท่าไหร่ คนเกินขอบเขตก็เรื่องของเขา แต่จริงๆผู้รู้จักคุณค่ากุศลจิตอกุศลจิตก็จะรู้ว่าอนุโลมเท่าใดให้เกิดกุศลมากกว่าอกุศลที่พอเหมาะอย่างไม่ประมาท มันไม่อวิชชาแล้วจะไปทำทำไม ก็จบ

ในสังคมพวกเราจะมีความจริงแล้วจะเกิดชมพูทวีปที่มีสุรภาโว สติมันโตแล้วมีพรหมจรรย์ที่อิธะคือตรงนี้ อิธพรหมจริยวาโส คือผู้บริสุทธิ์เป็นพรหม มีพฤติกรรมสะอาดเป็นจรรยะ เป็นแดนแห่งพรหมจรรย์อาตมาขึ้นป้ายแผ่นดินพุทธ

ไม่ได้อยากขึ้นนะ ไม่ใช่ของเล่นนะกว่าจะขึ้นป้ายที่นี่ต้องมั่นใจแล้ว ตอนแรกกะขึ้นที่อ่างลงหินที่ปฐมอโศก

ปฐมอโศกตอนนี้ไม่มีหนี้เป็นพี่ใหญ่ มีแต่ให้คนอื่นเกื้อหรือแจกฟรี อย่างน้อยอาตมารับมาให้บ้านราชฯเดือนละล้าน แล้วไปไหนก็ลงปากงูเห่าหมด ไม่พอหมด ลงแผ่นดินพุทธ มันยังกินจุ เป็นเด็ก

อาตมาเคยเป็นไทฟอยด์ เคยหัวโกร๋นสองครั้ง ครั้งแรกเป็นกาฬโรค Plaque ครั้งสองเป็นไทฟอยด์ ก็ผอมมาก หายแล้วกินเท่าไหร่ไม่อิ่มเลย

ในชาติ 5 ก็มี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ อภินิพพัตติ

เป็นการเกิดตั้งแต่เริ่มต้นโลกีย์จนถึงอย่างนิพพาน

โอกกันติคือพลังงานหยั่งในจิตเราจะให้เนกขัมมะหรือเคหสิตะหยั่งลงในจิต

แต่เดิมคนเกิดมามีแต่ชาติสัญชาติ สัญชาติคือชาติที่จำได้ ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ ต้องรู้สัญญาณที่คุณมีในสัญญา คุณเห็นอาการของสัญญาก็คือสัญญาณ มันเคลื่อนไหวก็จับอาการได้ หรือย่ิงเก่งมันเป็นสัญญาณหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว คุณเก่งรู้ได้ยิ่งดี นิ่งเท่าไหร่รู้ยากเท่านั้น ตัวเคลื่อนรู้ได้ง่ายกว่า

ชาติคือการเกิดอยู่ที่คุณรู้ยังยากแต่เมื่อใช้สัญญาเป็นก็จะใช้สัญญากำหนดรู้สัญชาติ อย่างสัญชาติญาณคือสัญญาเก่าทำงานตามเดิม แต่ถ้ามีสติจับอ่านสัญญาคุณได้ของเก่าหรือของใหม่ที่ตกผลึกก็จะรู้ได้ นี่เป็นสภาวะที่เกิดตามจริงเลย

ผู้สามารถเข้าใจชาติสัญชาติ ในการเกิดของเจตสิกต่างๆแล้วทำให้เกินนิพพัตติให้เกิดอาริยธรรม เป็นโอปปาติกโยนิ ส่ิงที่จะเกิดก็คือตัวเดียวกับสิ่งที่ตาย อุกศลจิตตาย อาริยจิตก็เกิด เป็นความตายความเกิดที่ไม่มีซากมันถ้วนแล้วก็เกิด ผุดเกิด เหมือนไม่มีเหตุ แต่มันมีเหตุทั้งนั้น มันทำเหตุสมบูรณ์ก็เกิด เหตุไม่สมบูรณ์ไม่เกิด

นิพพัตติคือเกิดของอริยชาติ ธรรมะคือทรงอยู่ อธรรมคือไม่ทรงอยู่ หรือแปลว่าไม่ดีก็ได้ เราก็ไม่ให้ไม่ดีทรงอยู่ อธรรมคือส่ิงไม่ควรทรงอยู่ คนจะให้มันทรงอยู่ก็ได้ไม่ให้ก็ได้คืออมตบุคคล

คุณเป็นสยัมภูให้ทรงอยู่ได้มากดึงมาได้คล่อง อาตมาไม่ถึงสยัมภูได้แค่สยังอภิญญาอาตมาปาง 7 ก็ได้เท่านี้ คนรู้จริงจะไม่อยากพูดเกินตัวหนึ่งมันชั่วพูดไปก็เป็นกรรมวิบาก คนรู้แล้วจะรู้ว่า พูดไปนี่เป็นกรรม ก็ของคุณ รู้แล้วจะไปทำทำไม คนที่รู้ว่าทำแล้วก็ยังโง่ก็คือโง่ เขาไม่รู้ ถ้ารู้แล้วไม่ทำหรอก

คนที่รู้ว่าชั่ว แต่ก็ยังทำ พระพุทธเจ้าว่าคนนี้ ไม่มีชั่วอย่างใดที่ทำไม่ได้

มันมีลักษณะอยู่ 4 คือลักษณะ อารัมนะ สสัมภาระ และสมมุติ

ลักษณะคือลักณะที่เป็นอย่างนั้น แล้วมันทำงานอยู่สะสมอยู่ก็คือสสัมภาระ มันเป็นงานที่คุณทำอยู่ ทำเสร็จแล้วเป็นอารัมนะคือความรู้สึก อารมณ์ ที่มีทั้งแบบอาริยะและแบบอวิชชา

ถ้าไม่รู้ก็จัดการควบคุมไม่ได้ แต่อาริยะจะแยกแยะจัดการได้ ตามฐานะที่จะจัดการอารมณ์ตนเองได้ จัดการได้เก่งก็ใช้มัน ที่รู้สมมุติรู้ร่วมกับคนอื่นได้ สมมุติเรียกชื่อมันหรือรู้แต่คุณเองก็แม้ไม่มีชื่อแต่ถ้าจะให้คนอื่นรู้ก็ต้องเรียกชื่อหรือว่าพูดบริบทให้คนรู้ได้ สมมุติกันตั้งแต่สองคนก็คือสองคน คนอื่นมารู้ด้วยก็เพิ่มขึ้นเป็นสมมุติสัจจะร่วมกัน เป็นสมมุติธรรม

คนไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่อาลัย แต่เอาไว้อาศัยไม่มีอาลัยอาวรณ์ คำว่า รย หคือบรรลัยคนประลัยคือเร่ิมหยั่งลง คนมีประลัยนี่ กำลังหยั่งลงแล้วนะ หรือเรียกว่าบรรลัยก็แล้วแต่

เราก็จะรู้จักศีล สมาธิปัญญา วิมุติ แล้วสามารถทำให้เป็นฌาน วิมุติ วิชชา หรือนิโรธได้ คำว่าฌานคือสภาพของการสลาย คือพลังงาน เราเรียกว่าไฟ ความร้อน พลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่จะสลายกิเลสได้ เรียกว่าฌาน มีประสิทธิภาพสลายกิเลสได้ ภาษาบาลีเรียกอุณหธาตุหรือเตโชธาตุ จัดการสลายสิ่งไม่ดีได้

การสร้างไฟฌานคือสร้างจากไตรสิกขา การสร้างไฟฌานไม่ใช่นั่งสะกดจิตหลับตาแล้วเอาไปทำอะไรได้ไม่ใช่ นั่งสะกดจิตไม่มีไฟที่ไปทำลายโทสะโมหะราคะได้ แต่นั่งสะกดจิตมีแต่ไฟเย็น จนทำให้ธาตุแคลเซี่ยมตกผลึกได้ คนสะกดจิตเก่งจะทำให้ธาตุเย็น ยิ่งถูกความร้อนจะยิ่งจับตัว ฤาษีดาบสนั่งสะกดจิตเก่ง ธาตุแคลเซี่ยมเขานี่พอตายเผาแล้วจะมีสารีริกธาตุหรือพระธาตุ

ธาตุที่เกิดจากกระดูกถูกเผาแล้วจับตัวนี่ไม่ใช่เครื่องยืนยันอรหันต์แต่เป็นกระบวนการฟิสิกส์ ดีไม่ดีบางคนสีงามใส่บางเบาลอยน้ำได้ด้วยก็ไม่ใช่เครื่องแสดงอรหันต์แต่อรหันต์มีสิทธิเป็นพระธาตุแบบนี้ สำหรับคนที่เย็น มีพลังงานแบบนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่แจกแจงได้อย่างวิทยาศาตร์


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:27:54 )

590424

รายละเอียด

590424_วิถีอาริยธรรม สันติฯ เรื่อง เพชรพุทธ 13 กะรัต ตอน1

ส.เพาะพุทธว่า..ได้อ่านหนังสือยอดนิยายของโลกฯของพ่อครู.เมื่อเราอ่านหนังสือของพ่อครูจะพบว่าเราได้รับความรู้ที่ใหม่ยิ่งขึ้นบางอย่างเรานึกว่าเรารู้แต่พออ่านแล้วก็พบว่ามันยังมีสิ่งที่เราไม่รู้มีความจริงมากกว่าสิ่งที่เรารู้อีก พ่อครูว่าคนเราฉลาดเท่าที่เราโง่คนเราโง่เท่าที่เราฉลาด เราจะฉลาดเท่าไรนั้นถ้าเราจัดการกับความโง่ของเราได้มากเท่าไหร่เราก็จะฉลาดขึ้นเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิปลาส 3 มีคำอธิบายว่าแม้พระอรหันต์ก็ยังมีวิปลาสแต่พออ่านรายละเอียดจะพบว่าคือวิปลาสคลาดเคลื่อนตามสมมุติสัจจะ แต่ในส่วนที่เป็นปรมัตถสัจจะโดยเฉพาะทิฏฐิวิปลาสนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ จิตวิปลาสนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ส่วนสัญญาวิปลาสนั้นเป็นไปได้ โดยเฉพาะพระอรหันต์นั้นจะไม่มีปรมัตถสัจจะวิปลาสไปได้เลย

แต่ก่อนรู้สึกว่างานที่พ่อครูเขียนนั้นเข้าใจยากอ่านยากแต่ต่อมาได้พบว่าในงานเขียนของพ่อครูมีอะไรให้ค้นหาเป็นสิ่งใหม่ๆอีกมากก็เลยติดตามสนใจชอบอ่านหนังสือพระครู ยกตัวอย่างเช่นได้พบว่าพระอรหันต์มีตัณหาได้ มีอิจฉา มีอากังขาได้ แต่เป็นตัณหาที่เป็นวิภวตัณหา เป็นต้น

พ่อครูว่า...พระอรหันต์นั้นยังมีความบกพร่องผู้ที่ไม่มีความบกพร่องก็คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ายังไม่ถึงอรหันต์นั้นมีข้อบกพร่องทั้งสิ้นส่วนข้อบกพร่องของพระอาริยะนั้น มีลักษณะความวนของวัฏฏะ แบ่งเป็นสามเส้า

ถ้าสามเส้านั้นสองต่อหนึ่งชนะ ถ้าบกพร่อง1 ไม่บกพร่องสองก็ใช้ได้ พระอรหันต์นั้นจะบกพร่องหนึ่งได้แต่ไม่บกพร่องถึง 2 หรือ 3

ถ้าหญิงละเอียดขึ้นไปแล้วจะบกพร่องเพียง 1 ใน 2 หรือถ้าเลย 2 ไปเป็น 4 เป็น 5 ถ้าเลย 4 ขึ้นไปเป็น 5 เป็น 6 เพราะฉะนั้น 4 ใน 6 นี่ก็สอบผ่านมีอัตราการเพิ่มมากกว่า 1 หรือ 2 ไทยยิงสูงไปเป็น 7ต่อ9 หรือ 7ต่อ6  จนถึงศูนย์เต็มถ้าจะลดลงอนุโลมก็เหลือ 9 จะไปถือว่าพระพุทธเจ้าบกพร่องไม่ได้แต่พระอรหันต์นั้น 79 ยังถือว่าบกพร่องพระพุทธเจ้าเต็มสุดคือศูนย์ท่านจะลดลงมาเหลือเศษเป็น9 คือตัวท่านอนุโลมให้แก่โลกถือว่าสุดยอดแล้ว

ขนาดนี้ถือว่าเมืองไทยเป็นเมืองชมพูทวีป มีคนที่มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส

มีสุรภาโว ภาวะคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เท่าที่คนสามารถสัมผัสรู้ได้ สิ่งนั้นปรากฏให้คนสัมผัสได้ขึ้นมา ถ้ามีแล้วมีเป็นจำนวนมาก ยอมรับนั่นคือความจริง ความจริงสิ่งเดียวกันพระองค์รวมคือสิ่งที่มีเป็นจำนวนมากถ้าตัดออกไปจากคนส่วนมากเหลือเพียงคนคนเดียวก็เอาสิ่งที่คนคนนั้นยึดเอง สัญญา ย นิจจานิ ถ้าใครไม่ยึดอะไรไม่สมมุติอะไรก็ 0 จะมีก็ของท่านเองไม่เกี่ยวกับใครก็ไม่ต้องพูดเลย แต่ถ้าเกี่ยวกับใครก็ต้องมีการเปรียบเทียบ มีสองสิ่งขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรเท่ากันเลยในมหาจักรวาลนี้ เป็นภาวะนิวเคลีย์ฟิวชั่นฟิชชั่น เป็นภาวะ 2 ที่มีความแตกต่างกันทั้งสิ้นผู้นี้มีผู้มาทำรู้จักความแตกต่างนี้ได้ก็คือผู้ที่มีภูมิธรรมถึง เป็นเทวธัมมา ในมหาจักรวาลนี้ ในฟิสิกส์ก็แบ่งสองเช่นนี้เสมอ มีนิวเคลียร์ฟิวชันกับนิวเคลียร์ฟิชชัน ถ้าเป็นนิวเคลียร์ฟิชชันก็กระจัดกระจายแตกออกไปไม่มีที่สิ้นสุดแต่ของพระพุทธเจ้านั้นสงวนความรู้อยู่ที่นำมาทำในชีวิตมอบชีวิตไปแล้วก็เป็นเรื่องของฟิสิกส์  ที่จะจัดการได้เต็มก็คือนิวเคลียร์ฟิวชั่นรวมตัวกันเราก็รู้ได้เป็นอัตภาพที่ครบ ส่วนที่เราตามมันดูไม่ได้ในมหาเอกภพนี้ในมหาจักรวาลนี้มันมีรายละเอียดที่ซับซ้อนเป็น error สุดท้าย ในมหาเอกกะพบนี้จะต้องมีทศนิยมไม่มีศูนย์เต็มหรอกถ้า 0 แล้วก็จะไม่มีอะไรเกิดเลยดับสิ้นหายไปเพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดอยู่จะต้องมีทศนิยม ถ้าลงตัวแล้วไม่มีทศนิยมก็คือความลงตัวแห่งลงตัวที่สุด

เมืองไทยจะเป็นเมืองที่มีความเป็นผู้นำด้านอาริยะด้านโลกุตระนี้คือเรียกว่า civilization คือความเจริญ ความเจริญของพระพุทธเจ้านั้นแยกเป็นอริยะคือคนที่ฉลาดที่ประเสริฐความฉลาดที่ว่านี้เกิดจากการรับรู้กันและกันทางอายตนะ 6 ทางตาหูจมูกลิ้นกายและมีใจเป็นกลางสามารถรับรู้ร่วมกันได้ก็เอาสิ่งที่จริงที่มีปรากฏสัมผัสหลัดหลัดตามทวาร 6 นี้ ถ้าเต็มครบก็คือครบถ้าไม่เป็นก็คือคนไม่เต็ม

ผู้จัดฉลาดจึงมาจากคำว่า ฉฬายตนะ สื่อรับรู้สภาพครบ 6ทวารนี้แหละ ไม่ใช่เรื่องที่เดาเอาเองแต่มีความจริงที่รับรู้ร่วมกันได้

ชมพูทวีปนั้นย้ายจากอินเดียมาอยู่เมืองไทยแล้วไม่รู้ว่าชมพูทวีปอยู่ที่อินเดียนานเท่าไหร่กี่ล้านล้านล้านล้านปีแต่ตอนนี้ย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้วและเมืองไทยก็จะเป็นเมืองที่เป็นตัวตั้งแล้วขยายต่อไปเป็นแผ่นดินเป็นทวีปวัฏฏะสงสารนั้นเปลี่ยนแปลงไปมีน้ำท่วมมีแผ่นดินแยกไป ต่อไปก็จะขยายเป็นทวีปที่ใหญ่เหมือนจีนเหมือนอินเดียธรรมชาติเธอจะเปลี่ยนแปลงแล้วจะสะสมวันที่บ้านราชจะสะสมเป็นแผ่นดินชุดดินน้ำลมไฟจะกองขึ้นมาที่นั่นไปเรื่อยๆตามสัจจะขอยืนยัน

เมืองไทยกำลังมีความสุขตอนนี้เป็นความสุขที่ฉาบฉวยเป็นโลกียรมย์ แต่จะเป็นประเทศที่รู้ยิ่งกว่าประเทศใดใดในโลกเช่นกีฬาเป็นอบายมุขแต่คนจะค่อยค่อยเลื่อนลำดับความชื่นใจกับกีฬายังเป็นอบายมุขยังไม่สูงแต่ก็ค่อยเลื่อนขึ้นมาโลกยังจะหลงโอลิมปิกแล้วแบ่งเป็น ซีเกมส์อะไรอีก หลงว่าเป็นรสอร่อยสนุกเพลิดเพลินความจัดจ้านในการแข่งขันเอาชนะคะคาน

ถ้าเรามีพลังงาน เอาพลังงานมาแข่งขันกันแพ้เป็นคนเสียสละเป็นคนยอมให้แก่คนอื่นกลับการเอาพลังงานมาแข่งขันเอาชนะได้มากกว่าคนอื่นคนมีพลังงานเอามาใช้ให้คนอื่นมากเราได้น้อยแพ้เขากับคนอื่นที่ทำแล้วก็ยังได้เปรียบไปชนะไปได้เปรียบไปเอาเปรียบเป็นผู้ที่ได้มากกว่าพวกคุณจะให้ใครเป็นคนที่เหนือกว่าใครคนเสียสละกับคนที่เอาไปได้มากกว่าจะให้ใครเป็นคนที่เหนือกว่าใคร ก็ต้องยกให้คนที่เสียสละเหนือกว่านี่คือแกนหลักที่จะต้องเข้าใจและทำให้ได้

แล้วคนที่เอาแรงงานมาสร้างสรรค์พืชพรรณธัญญาหารขึ้นของจริงให้คนกินกับคนที่เอาแรงงานไปตีแบดมินตันไปเตะบอลเข้าโกลถ้าคุณเอาแรงงานไปทำระหว่างสองอย่างนี้คุณว่าอะไรมีค่ากว่ากันอะไรเป็นประโยชน์มากกว่ากัน

ถ้าเอาแรงงานมาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารมีแรงงานสิบหน่วยเหมือนกันกับคนที่เอาแรงงานสิบหน่วยนี้ใครชนะแข่งขันตีแบตหรือแข่งขันเตะบอลอาตมาว่าเอาพลังงานมาสร้างสรรค์เสียสละแจกให้คนกินดีกว่า

การดีใจที่ได้เสียสละได้แพ้ให้แก่คนอื่นกับการดีใจที่ได้ชนะคนอื่นเขามา อาตมาว่าอันที่จะเอาชนะคนอื่นจะด้อยกว่า

ความสุขที่ฉาบฉวยเหล่านี้ที่เป็นโลกียารมย์ชื่นใจในเมืองไทยน้องเมย์ชนะการตีแบดมินตันก็เป็นเรื่องเบาการเตะบอลเต็มเรื่องหยาบแรงกว่าคนที่จะชอบฟุตบอลมากกว่าตีแบตมันเปรียบเทียบได้ว่าคนที่จะมาชื่นชมแบดมินตันดีกว่าคนนี้เบากว่าคนที่ไปชอบเตะบอลซึ่งยังหยาบ ต่อไปก็จะเบาเรื่องเตะบอลชื่นชมแบดมินตันมากกว่าแล้วต่อไปก็จะลดความชื่นชมในตีแบดมินตันมาชื่นชมสิ่งที่ดีกว่าได้ประโยชน์กว่าเพราะฉะนั้นก็เป็นการวัดกิเลสได้

ความสุขมวลชนที่ดีใจในเรื่องน้องเมย์ชนะกีฬากับความชื่นใจในการให้ประโยชน์แก่สังคมที่เขามีอาหารการกินคุณว่าอันไหนดีกว่ากัน  ดีใจที่สุขสงบกลับดีใจที่กระดี๊กระด๊าบำเรออารมณ์ก็ต่างกันก็เทียบเคียงกันได้

เมืองไทยเป็นเมืองเข้าใจคำว่าบุญซึ่งคำว่าบุญนี้ก็ไปแพร่หลายเขาเอาไปใช้ในศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามเขาก็ใช้แต่คำว่าบุญนี้เป็นคำของศาสนาพุทธมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้วนานมาจนไม่มีเวลานัดแล้ว  ปุญญะนี่แหละ

ปุญญะแปลว่าเครื่องชำระ ที่อธิบายนี้ต่างกับคำว่ากุศล ปุญญะแปลว่าเครื่องมือประหาร ปุญญะไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมีนะ แต่มันมีเพราะจำนน มันจะต้องเอามาใช้เป็นเครื่องมือปราบมาร ปราบความเลวร้าย การหมดบุญกับหมดบาปความหมายเดียวกัน เป็นนามธรรม พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีบุญไม่มีบาป หมดสูญ

คำว่าชีวิตเจริญนี้

กายกรรมนี้ไม่ได้มีแต่ภายนอกนะ แต่มีทั้งวจีและมโนกรรม กายต้องมีทั้งนอกและใน กาย วจี มโน กายนี่ไม่มีหนึ่งเดียว กายต้องมีอย่างน้อยสอง แม้วจีก็ต้องมีสองเสมอ แต่ถ้ามโนนี่ก็เป็นหนึ่งได้ กรรม 3 นี้ต้องทำให้สุจริตอย่างให้ทุจริต

คำว่าบุญนี้ เดี๋ยวนี้คงหลงผิดกันไปเกือบหมดละมั้ง เพราะว่าไปเข้าใจว่าบุญคือภาวะคุณงามความดีเป็นกุศล

คนทั้งหลายในโลกต้องอาศัยใช้เวลาที่มีอยู่และผ่านไป

แต่ละวันๆนี่แหละ..เป็นอยู่ให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะใช้ศึกษา ฝึกฝนตนเอง ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “ทำงานทำการ” หรือพูดให้ครบ ก็คือ ชีวิตเป็นอยู่ก็ทำงานทำการให้ดี ก็คือให้ชีวิตเจริญ ถ้าเป็นชาวพุทธที่มีภูมิปัญญาก็ทำให้ถึงขั้น“บุญ”  

แต่คนทั้งหลายก็ไม่เคย“ฉุกคิด”กันเลยว่า คำว่า“ชีวิตเจริญ”ของคนนั้นที่แท้มันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน?

ส่วนมากก็มีแต่ระวัง“กรรม 3”(กายกรรม-วจีกรรม-มโกรรม)

ของตนอยู่บ้าง ด้วยสามัญสำนึกว่า“ทำกรรม 3 ให้ดี” อย่าให้เป็น“ทุจริต”หรืออย่าให้เป็น“บาป”หรืออย่าให้เป็น“อกุศล”

 ยิ่งถึงขั้น“บุญ”นั้น ชาวพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้ความเป็นจริง

(อุปาทาย) ตามที่มีครูบาอาจารย์สอนกันอย่างมิจฉาทิฏฐิ

นั่นคือ แทนที่จะสอน“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ชำระกิเลสให้จางคลายลงหรือดับไป กลับสอนให้สร้าง“อุปาทาน”

(การยึดมั่น)ใส่ในใจตนเสียนี่  ผลจึงได้แค่“อุปาทาน”ที่เป็น

“วิมาน”(ภาพหวังหรือภาพท่ีอยากได้ใส่ใจไว้)เกิดในใจของคนผู้นั้น

อุปาทาน ก็คือ กิเลสชนิดหนึ่ง ธรรมดาๆนั่นเอง

“บุญ”จึงกลายเป็น“อุปาทาน”เพราะได้รับการศึกษาสั่งสอนผิดและปฏิบัติตามๆกันมาผิด แทนที่จะลดละอัตตา กลับไปได้“อัตตา”เพิ่มขึ้นมาใส่ใจตนเองยิ่งขึ้นเสียนี่

ผลจึงมิใช่“บุญ”ตรงความหมายที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ

ว่า “การชำระกิเลสออกจากจิตสันดานให้สะอาดหมดจด”

(สันตานนัง ปุนาติ วิโสเธติ) ตามหลักฐานเดิม ที่ชาวพุทธได้หลงผิดจนเลอะเทอะในคำว่า“บุญ”กลายมาเป็น“กุศล”กันไปแล้ว แทบเรียกได้ว่า“สนิทเนียน”แล้วปานนั้นเลย

“บุญ”จึงกลายเป็น“กุศล”ที่หมายความว่า “ความดีงาม” อันเป็น“ภาวะที่อาศัยของอัตภาพ”

“กุศล”แปลว่า คุณงามความดี, สิ่งอาศัยในความเป็นชีวะทั้งหลาย ซึ่งต่างจาก“บุญ”ที่หมายถึง “เครื่องมือ หรืออาวุธประหาร”แท้ๆ ซึ่งมันต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก

“กุศล”คือ เครื่องอาศัยสำหรับชีิวิต-เครื่องอาศัยของความมีชีวะ-เครื่องอาศัยของอัตภาพ

แต่“บุญ”นั้นมิใช่เครื่องอาศัยของอัตภาพ” ทว่าเป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดคือฆ่า หรืออาวุธสำหรับประหารกำจัด“อัตภาพ”ให้สิ้นไปหมดเกลี้ยง  ทำความชัดเจนดีๆ

เมื่อ“อัตภาพ”สิ้นเกลี้ยงหมดแล้ว ผู้นั้นก็เป็นผู้หมดสิ้น“บุญ”ไม่ต้องใช้“บุญ”กำจัดบาปกันอีกแล้ว ชื่อว่า

“ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป” ที่ภาษบาลีว่า “ปุญญปาปปริกฺขีโณ”

ชัดเจนแจ่มแจ้งไหม?

แต่เพราะชาวพุทธทั้งหลายได้เสื่อมจากคำสอนของพระพุทธเจ้าไปมากยิ่งจริงๆ  แม้แต่คำความสำคัญในคำสอนต่างๆบางคำที่อาตมาหยิบมาชี้แจงกันอยู่ ในช่วงนี้ 

เช่น คำว่า“บุญ” หรือคำว่า“กาย” ตามที่อาตมาหยิบมายืนยัน และสาธยายตามความเป็นจริง โดยนำหลักฐานต่างๆ หลักเกณฑ์ต่างๆ คำตรัสต่างๆ ตลอดจนจากตำนานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มาอ้างอิงยืนยันอยู่ทุกวันนี้

ซึ่งผู้จะเข้าใจ“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ว่า ได้ออกนอกคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ คือ ทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ผิด จน“มิจฉาปฏิบัติ”ไปแล้ว ก็ยากแสนยากเหลือเกินที่คนจะเข้าใจได้ เพราะชาวพุทธทุกวันนี้ได้ยึดมั่นถือมั่นใน“ทิฏฐุปาทาน”ก็ดี “สีลัพพตุปาทาน”ก็ดี “อัตตวาทุปาทาน”ก็ดี มันยังแน่นเหนียว แข็งแรง กันอยู่เหลือเกิน

“ยึดความเห็นของตน”ก็ยังยึดแน่น “ศีลพรตที่ตนทำอยู่”ก็ยังยึดแน่นทำอยู่ “ความเป็นอัตตาที่มีแค่วาทะ”ก็ยังยึดได้แต่วาทะของตนอยู่ มันยังไม่เปลี่ยนแปลงคลี่คลายเลย

เรื่องที่น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ  ที่อาตมาสาธยายมาแล้วๆเล่าๆ นานตั้ง 30-40 ปีมาแล้ว ก็ยังเข้าใจกันยาก

เช่น เรื่อง“ทาน” ที่สอนกันว่า“ทาน”นั้น ก็สอนให้“ทำใจ

ในใจ”ตน(มนสิกโรติ)เป็น“วิมาน” อาตมาก็ท้วง ก็ได้สาธยายมาซ้ำซากว่า มันผิด นั่นมันยังสร้างอัตตานะ สร้างภพสร้างชาติอยู่ แต่ก็ยังสอนกัน-ก็ยังเห็นยึดกัน-ทำกันอยู่อย่างเดิม

แทนที่จะสอนให้“ทำใจในใจ”ลดละกิเลส ก็ยังสอนการทำใจในใจให้เป็น“มโนมยอัตตา” สร้าง“อัตตา”เสริมเพิ่มใส่ตนเข้าไปอีกอยู่นั่นแหละ เปลี่ยนแปลงกันเสียที่ไหน

นี้คือ มิจฉาทิฏฐิในคำว่า“บุญ” ที่ผิดจากความจริงแท้ไปไกลลิบ เป็นความผิดพลาดที่สำคัญ ประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 ที่ยิ่งสำคัญมากยิ่งกว่าประเด็นที่ 1 ความหมายแท้จริงของ“บุญ”นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนจะได้ จะมี จะเป็น ขึ้นมาอาศัยเลย

ความหมายของ“บุญ”ในทุกวันนี้ ชาวพุทธเข้าใจกันเป็น“ภพ” เป็น“ชาติ” เป็นวิมาน“ลอยลมอยู่ในอนาคต”ฝันๆ

เป็น“มโนมยอัตตา” เป็น“กุศล” เป็นเครื่องอาศัย

เป็น“วิมาน” คือ แดนที่อยู่ห่างไกล ไกลจนไม่รู้ว่าเมื่อใดจะถึง

วิมานเป็น“ความหวังลมๆแล้งๆ”แท้ๆ ที่มักจะสร้างอย่างเพ้อฝันใส่จิตใจว่า เป็นความดีความงามที่ตนได้ทำแล้ว จะส่งผลให้ตนพบกับความสุขสมใจร่ำรวยที่จะเกิดในโอกาสข้างหน้า ข้างหน้าๆๆๆ และข้างหน้า

ซึ่งหมายความว่า เป็นภพเป็นชาติที่ชื่อว่าสวรรค์ วิมานแมน

หรือหมายความชัดๆก็คือ ไปเข้าใจว่า“บุญ” หมายถึงภพชาติที่จะได้กันในชีวิตต่อไปภายภาคหน้า ซึ่งเป็นคุณงาม ความดี หรือ“บุญ”ได้แก่ ความสุขความเจริญที่จะได้ในชีวิตดำเนินไปถึงในกาลเวลาข้างหน้า เมื่อไหร่..ไม่รู้ล่ะ อยู่ในวันเวลาข้างหน้าๆโน่นแหละ กาลข้างหน้า ชีวิตข้างหน้าแล้วกัน

“ความหวังในกาลข้างหน้า” ที่หวังว่า จะเป็นความสุขความเจริญที่จะได้ในชีวิตดำเนินไปถึงในกาลเวลาข้างหน้า  ซึ่งภาษาที่เรียก “ความหวังในกาลข้างหน้า”นี้ก็คือ “วิมาน”  

“วิมาน” มีจริงหรือ? จะได้จริงหรือ? แท้แน่นอนหรือ?  

เพราะคนไม่ตระหนักถึง“การศึกษา”ที่ว่านี้เลย

คนจึงหลงเชื่อ“วิมาน”ที่คนเจ้าเล่ห์ที่เก่ง คนเจ้ากลอุบายที่ฉลาดสามารถสร้างขึ้นหลอกคนได้เก่งกาจ

แล้วก็หลอกให้หลงอย่างสำคัญว่า ถ้า“ทำทาน”มากๆจะมี“วิมาน”(ดินแดนที่อยู่ในอนาคตอันไกลแสนไกล เมื่อไหร่จะไปถึงก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้จริงเลย)ที่เลิศลอยยิ่งใหญ่วิเศษมากๆ

และเหลี่ยมคูที่มักจะทำกันก็คือ ให้มาคนทั้งหลายมา “ทำทาน”กับตนเองนั่นแหละ จึงจะดีที่สุด 

นักสร้าง“วิมาน”หลอกคนทีเก่งกาจ จึงร่ำรวย ยิ่งใหญ่

ซึ่งคนทั้งหลายที่ถูกหลอกให้หลง“วิมาน”นี้ ก็ยังมี และยังมากอยู่ในสังคมโลกทุกวันนี้

ซึ่ง“ดินแดนลมๆแล้งๆสุดเพ้อสุดฝัน”ที่เรียกกันว่า  “วิมาน”นี้ ทุกวันนี้คนมี“ความรู้ความฉลาด”กันมากยิ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิมาน”อย่างถ่องแท้กันได้ง่ายๆเลย

เพราะ“การศึกษา”ไม่สัมมาทิฏฐิ ตามคำสอนของผู้รู้

เมื่อศึกษาผิด ชีวิตของคนผู้ไม่บรรลุธรรมจึงงมงาย เสียชาติเกิด เพราะ“การศึกษา”มิจฉาทิฏฐิ

การศึกษาที่ว่านี้คือ การศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า ชีวิตเกิดมาแล้วถ้าไม่มีการศึกษาธรรมะ ชีวิตเกิดมาก็คือ“คนโมฆะ” คือคนที่ได้เกิดมาแล้วชีวิตศูนย์เปล่า เกิดมาตายทิ้งไปอย่างศูนย์เปส่า ไม่ได้สิ่งที่มนุษย์ควรได้ติดตัวไปเลย ในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาทั้งที

มิหนำจะชวยสุดแสนซวยซ้ำเสียอีก เพราะมันก็ได้แต่กิเลสตัณหาอุปาทานเท่านั้นที่เป็นผลกอบโกยใส่วิบากของ

ชีวิต ไปเต็มชีวิต ..คนเช่นนี้ เสียชาติเกิดจริงๆ

แม้ได้เกิดมาเป็นคนแล้ว แถมได้พากเพียรอุตสาหะปฏิบัติตนให้เกิด“กุศล” หรือให้เกิด“บุญ”

แต่ความพากเพียรนั้นยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ ยังไม่สัมมาทิฏฐิจริง ความเพียรนั้นจึงยิ่งกลายเป็นเสริมอกุศลหรือบาปยิ่งขึ้นๆ โดยหลงผิดนั่นเอง  ตายไปจึงได้แต่นรก ได้แค่กุศล

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างสำคัญว่า คนทั้งหลายเกิดมาแล้วตายไป ส่วนมากตกนรก น้อยกว่าน้อยนักที่จะได้สวรรค์ โดยเฉพาะสวรรค์ที่เป็นโลกุตระ มิใช่แค่โลกียะ

คนที่จะได้สวรรค์โลกุตระนั้น เท่ากับเอานิ้วจิ้มลงไปในพื้นดิน แล้วมีดินติดขี้เล็บขึ้นมา เท่านี้เองที่ได้สวรรค์โลกุตระ นอกนั้นได้นรกซึ่งเท่ากับแผ่นดินที่เหลือ หรือแค่สวรรค์โลกีย์

นี้คือ สัจจะที่เป็นจริง ที่คนไม่เคยฉุกคิดกันเลย

คนทั้งหลายเอ๋ย... ตระหนักกันตามที่ว่านี้บ้างไหม?

ตั้งใจ“ศึกษา”กันให้ถ่องแท้ ใน“เนื้อหา-เนื้อแท้”ของ “ความจริง”กันให้ถึง“ความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ”กันบ้างเถิด

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่มี“ความรู้”เข้าขั้นปรมัตถ

ธรรม และสามารถปฏิบัติให้ชีวิตเข้าถึงหรือบรรลุ“โลกุตร ธรรม”ได้อย่างแท้จริง

เพราะ“โลกุตรธรรม”มีการวิจัยธรรมได้ถึงขั้น“ธรรมนิยาม 5 -ชาติ 5 -นาม 5 -รูป 28 -เวทนา 108”เป็นต้น

จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งทั้งสสารและพลังงาน ทั้งรูป ทั้งนาม ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในมหาจักรวาล เอกภพนี้ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์และเคมีเท่านั้น

จึงสามารถแจกแจง“โลกนี้”(โลกียะ)และ“โลกหน้า”(ปรโลก)อันเป็น“โลก 2” คือ โลกสามัญปุถุชนกับโลกอาริยชน ได้

โลกุตระ คือ “โลกใหม่”หรือ“โลกอื่น”(ปรโลก)ที่แตกต่างไปจาก“โลก”ปุถุชนคนสามัญทั้งหลายที่เป็นโลกีย์ในโลกเดิม

โลกุตระเป็น“โลก”หรือเป็น“ดินแดนอันแสนสุขวิเศษ” ชาวพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้จัก ไม่สนใจ ไม่“ศึกษา”กันแล้วหรือ? 

 

(1) “โลก”ที่ชื่อว่า“โลกีย์”นี้แหละที่คนทุ่มโถม“ศึกษา”

สังคมโลกเขาก็สำคัญยิ่งใน“การศึกษา”เหมือนกัน แต่เป็นการศึกษาที่ไม่ใช่การศึกษาขั้นปฏิบัติให้เป็น“โลกุตระ”

เขาก็มุ่งมั่นสำคัญในการศึกษายิ่งๆกันอยู่นะ แต่“การศึกษา”ที่เขามุ่งมั่นลงทุนลงแรงกันหัวปักหัวปำนั้น มันเป็น “การศึกษา”แบบโลกีย์ที่เต็มไปด้วยกิเลสแก่งแย่งแข่งขันกัน เอาชนะคะคานกัน เพื่อได้เปรียบสิ่งที่เป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญและสุขเท็จ มาให้ตนให้พรรคพวกของตนกันเท่านั้น จึงมี(ส.เพาะพุทธว่า สุขเท็จ นี่ตคือ เสร็จทุกข์)

แต่ฉลาดแบบ“เฉโก”แท้ๆ ก็เลยมีแต่โกงกันตะพึด

โลกจึงพอกพูนไปด้วย“โลกีย์”เป็นปฏิภาคทวี

ที่สุดทำร้ายกัน ถึงขั้นโค่นฆ่ากันให้บรรลัย อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในโลก ซึ่งโหดร้ายลึกลับซับซ่อนซ้อนเชิงกันชนิดที่ยากที่จะรู้กันได้ง่ายๆ เพราะต่างก็ใช้ความฉลาดเฉโก เต็มไปด้วยเหลี่ยมคู สร้างเล่ห์กล กลบเกลื่อนความเลวร้าย

ทั้งหลายของตน ที่จะเอาเปรียบกันและกัน ไม่ไว้หน้า

ลงท้ายก็เจริญ..ลาภ,ยศ,สรรสเริญ,สุขที่บำเรอกาม-บำเรออัตตากันอยู่เป็นโลกียะที่เวียนวนอยู่ หมุนอยู่ในมิติเดิม วนไป-วนมาในฐานเก่า

คนที่ติดยึดมั่น ไม่ยอมเปลี่ยนมิติไปสู่โลกุตระ ก็คง“วน”อยู่

ดังนั้น  ใครก็ตามเกิดมาได้สรีระร่างเป็นคน จึงไม่มีอะไรดีเท่า..ตั้งใจศึกษาธรรมะนี้เองจริงๆ แต่คนทั้งหลายส่วนใหญ่

ก็ทิ้งการศึกษาธรรมะกัน อย่างน่าสงสารสุดๆเลย

ชีวิตคนทั้งหลายจึงหลงไปกับโลกอันเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ

ที่เข้มข้นจัดจ้านของ“อบายมุข”มากมายสารพัดทุกวันนี้

 

(2) “อบายมุข”ที่คนทุกวันนี้ไม่รู้จัก หรือรู้จักได้ยากมาก

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ดกดื่นและจัดจ้านไปด้วยอบายมุขนั้น ไม่รู้กันแล้วว่า “อบายมุข”มันคืออะไร

คำว่า“อบายมุข”นี้คือ อะไรต่ออะไรทั้งนั้นๆ เป็นตัวการใหญ่หรือตัวพ่อเลยแหละ ที่มันไร้สาระ หรือมันมากไป มันใหญ่ไป มันจัดจ้านไป มันเกินตัวเกินตน มันเกินกว่าความจำเป็น เกินความเหมาะสมสำหรับคนผู้นั้นๆแท้ๆ โดยเฉพาะมันครอบงำใจคนผู้นั้นจนติด จนยึด อยากมี-อยากได้มาเป็นตน เป็นของตน อยู่อย่างมากเกินตัวเกินตน 

ใครหลงอนาคตเป็นวิมานนี้จะนานช้าแต่พอหมดอนาคต เหลือแต่อดีตที่ ต้องล้างให้เกลี้ยง อดีตเป็นโลกที่คุณมีมาแล้วจริงๆ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ต้องล้างไปก่อนเลย ตัดไปก่อนเลย อดีตจึงเป็นสิ่งที่ต้องล้างให้หมดเป็นอันสุดท้ายจริงๆ

อดีตนี้ล้างยากกว่าอนาคต อนาคตต้องจบก่อน อรหันต์เป็นคนไม่มีอนาคตแล้วมีแต่อดีตอยู่ แม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มีอดีต ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะยังมีอดีต เป็นเศษวิบากไป

ทุกเฮือกแห่งลมหายใจเข้าออกในปัจจุบันนี้ คนทั้งหลายต่างก็ลงทุนลงแรงกัน เพื่อให้คนอยากกิน อยากเล่น อยากเที่ยว อยากได้ อยากมี อยากเป็น กระตุ้นปลุกเร้าจิตใจ

ให้ชื่นชอบ ให้พอใจเพลินใจ สนุกสนาน ดูดดึงอารมณ์ จม

อยู่กับความหลงติดหลงยึด ชอบใจสุขใจ สะใจตรึงใจใน

ความสวยงามหรูหราเพริศพริ้งยิ่งใหญ่ เด่นดัง

ไม่รู้จัก“พอเพียง”กันเลย ไม่รู้จัก“พอ”(สันโดษ)กันแล้ว

จนต้องแสวงหา สัมผัส เสพติด ทั้งกีฬาการละเล่นที่เอาชนะคะคาน ทั้งบันเทิงเริงรมย์  ทั้งของเก่า ทั้งของใหม่

ในหลวงเราใช้ เศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน แล้วขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนธรรมาจะมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไรเล่า อาตมาจึงเชื่อว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ส่ิงประเสริฐสุดยอดดีที่สุดไม่มีหวงแหนหรอก ต้องให้คนอื่นได้ ของจริงจะไม่แตกแยก จะเป็นหนึ่งเดียวกันที่ไม่ใช่ของจริงคือยังไม่ลงตัวเข้ากันไม่ได้ ยังง้องแง้งกันอยู่ลงกันไม่ได้สักที คนไม่รู้จักพอจะแสวงหา สะสม ชนะคะคาน บันเทิงเริงรมย์เสพไป ทั้งเก่าและใหม่

ของเก่า คือ อดีต  ของใหม่ คือ อนาคต

คนจึงหลงจมอยู่ในความเป็น“อดีต”กับ“อนาคต”กัน อย่างไม่เงยหูเงยหัว หัวปักหัวปำอยู่กับ“อดีต-อนาคต” โดยลืม“ปัจจุบัน”กันไปอย่างสนิทแล้วกระมัง

ซึ่งยุคนี้มีอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่สะดวกในการจะมีติดตัว และใช้ได้คล่องตัวทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งที่“อยากเสพ” ก็ตาม แม้“ไม่อยากเสพ”ก็ตาม จะต้องมีมันให้ได้ ไม่ให้มีเวลาว่างกันเลยเชียวแหละ จะต้อง“บำเรออารมณ์” จะต้องให้“อารมณ์”(เวทนา)ได้เสวยสุข ได้เสพสุข ได้ความบำบัดใจ

“ใจ”อยู่“ว่างๆ” ไม่ต้องได้อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ไม่ต้องได้อารมณ์บวกๆ-ลบๆ ไม่ต้องได้อารมณ์ชอบๆ-ชังๆ ไม่ต้องได้อารมณ์สุขๆ-ทุกข์ๆ” ไม่ได้กันแล้ว

ต้องมี“อารมณ์”ไม่เฉยๆ ไม่กลางๆ ไม่ว่างๆ

จิตใจมี“อาการ”อยู่เฉยๆ-ว่างๆ-กลางๆ ไม่ได้

ให้จิตใจหยุดคิด ให้จิตใจอยู่เฉยๆ ว่างๆ กลางๆ ไม่ได้

จิตมันจะ“อยาก”อยู่เสมอ อยากได้ อยากมี อยากเป็น 

จิตอยาก คือ กามจิต จิตใจใคร่อยากอยู่ไม่หยุดหย่อน

ความใคร่อยากมาให้ตน ก็ต้องขวนขวาย แสวงหามาให้ตน  ขวนขวายเพิ่มมากเข้าๆ แสวงหามากขึ้นก็แรง แรงมากเข้าๆ  “อาการขวนขวายหรือแสวงหา”มากเข้า แรงขึ้นก็กลายเป็นคนผู้เต็มไปด้วย“ธุระ”

ส.เพาะพุทธว่า วันนี้พ่อครูอธิบายจิตว่าง นี้กำหนดให้เห็นอะไรๆตามความเป็นจริง แต่คนเรามักเข้าใจว่า ไม่ต้องมีอารมณ์อะไร แต่ที่จริงคนเรามีอายตนะกระทบ การไม่ให้คิดอะไรจึงเป็นเรื่องไม่ตรงตามพุทธศาสนา ที่ถูกต้องคือให้จิตหมดความคิดตามกิเลส แต่ว่ามีความคิดกุศลได้…

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:28:43 )

590425

รายละเอียด

590425_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก มหัศจรรย์คนจนที่เสียสละ

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2559 ที่ปฐมอโศก วันนี้ตรงกับวันแรม 4 ค่ำเดือน 5 ปีวอกปีนี้จะร้อนมากเป็นพิเศษทั้งภายในและภายนอกศาสนาน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยจรรโลงจิตใจสภาวะภายในของเรา สิ่งสำคัญที่ต้องการคือความ หลุดพ้นคือพระนิพพานนั่นเอง

ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมากิจกรรมทางชาวอโศกมีมากมายปลุกเสกตั้งแต่งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 40 จากนั้นก็เป็นงานตลาดอาริยะ นึกถึงสมัยเรียนอยู่ แต่ละโรงเรียนจะมีพุทธวจนะ รร.ผมก็มี สุขาสังคัสสสามัคคี

วันนี้อยากจะซักถามเรื่องที่พ่อครูให้พวกเราปฏิบัติ ให้พวกเราเป็นบ้านวัดโรงเรียนภายใต้ความสามัคคี มาทบทวนแล้วทำให้ได้เห็นการฝึกฝนตนเอง ตามหลักธรรม เช่นโพชฌงค์7 เป็นต้น หลายคนอาจท่องรู้จำได้ ไปสอบหลักสูตรต่างๆ ผมก็ไปร่วมปฏิญาณตนในงานปลุกเสกฯแล้วผมเห็นอะไร ต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงตลาดอาริยะ กระบวนการธรรมะที่ได้ฝึกฝนทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆต่อเนื่องมาหรือไม่ พ่อครูได้แจกเพชรมากมายแล้วเราได้หรือไม่?

สิ่งที่พ่อครูบรรยายและพาทำคือตัวสัจธรรมแท้ๆใช่หรือไม่ แล้วสิ่งที่พ่อครูสอน บางคนดูในทีวี สอนผ่านสื่อก็เพื่อให้เอาธรรมะไปพัฒนาใช้ใช่หรือไม่?

พ่อครูว่า...พูดมาแล้วเราก็มาดูผลของการพยายามเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยวิธีการที่อาตมาคิดว่าควรทำเช่นนี้ เมื่อกี้นำเอาคำว่า ตลาดอาริยะ อันนี้ก็เป็นผลงานที่ได้พาทำมา 37ปีมาแล้ว ไม่น้อย ก็อยู่ในกระบวนการในเหตุปัจจัยที่อาตมาใช้ปฏิบัติอบรมเผยแพร่ มันกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว เป็นประเพณีไปแล้ว

ถ้ามองอย่างเผินๆว่าพวกเราเป็นพวกที่ลงทุนเหมือนโชว์ออฟเหมือนแสดงอวดอ้างว่าเราทำดี ให้ปชช. แล้วก็อาจเป็นการเพิ่มกิเลสให้ปชช. ทำให้เขาโลภมากขึ้น มองเผินๆก็อาจเป็นตรรกะอย่างว่าได้ แต่อาตมาเห็นผลมันสูงขึ้น มันมีสนามแม่เหล็กที่ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงได้ จะมาทำแสดงอะไรไม่ดีมันก็ไม่ค่อยได้ เราไม่ได้ตั้งกฏระเบียบแต่เป็นสำนึกของเขา ผู้เป็นนายทุนอยากเวียนเทียนซื้อของไปเข้าร้านเขาก็มีสำนึก ปชช.เขาก็รู้ ไม่ได้มาขี้โลภมากขึ้น แต่ถ้ามันเสื่อมลงก็จะต้องมีการหาเลศเลห์มากขึ้นโลภมากขึ้นแต่นี่ไม่ใช่เลย เขารู้จักการเข้าคิว ความสะอาดก็ดีขึ้นมาก ไม่โลภมาก

อ.กฤษฎาว่า...ตัวชัดคือสังคหวัตถุ 4 คือเรื่องทาน

พ่อครูว่าชัดเจนแน่นอน ศาสนาพระพุทธเจ้านี้จบที่ทาน ในบารมี 10 ทัศ คือเป้าหมายคือให้มนุษย์เป็นคนจิตเป็นทาน เป็นผู้ให้ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ปัญญาให้รู้ว่าเราเป็นผู้ให้ เนกขัมมะคือสละกิเลสโลภ เห็นแก่ได้ออกไป ศีลคือหลักเกณฑ์ไปตามลำดับ ให้ปริตตังเหมาะกับเราไปก่อน ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ เพิ่มหลักเกณฑ์เป็นอธิศีล มันเป็นสัจจะ อิทธิบาททำให้เกิดวิริยะ ได้ผลก็จะยิ่งเกิดอธิษฐาน เพิ่มเติมคุณสมบัติ เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นในจิต จนกระทั่งล้างความเห็นแก่ตัวหมดไป ทานศีลเนกขัมมะ ปัญญา แล้วมีวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน กิเลสลดลงได้จริง ตั้งจิตเสริมขึ้นพัฒนาจากหลักทานศีลเนกขัมมะ ปัญญา จนจบเป็นเมตตากับอุเบกขา เป็นสองบารมีท้าย ผู้ปฏิบัติได้มีจิตพรหมจรรย์

มีอัปปมัญญา 4 ทำงานรับใช้ โลกานุกัมปา หรือสังคหะ มีพลัง 4 ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ มีพลังงานทางจิตวิญญาณ ให้เกิดการวาจาใจทำงานรับใช้ผู้อื่น เป็นพรหมจรรย์ จะเกิดจิตเป็น พุทธพจน์ 7 (ปิยกรณะ คุรุกรณะ สาราณียะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ)ทำให้เกิดสาราณียธรรม6 ได้ มีเมตตากายวจีมโน มีลาภธัมมิกา(สาธารณโภคี) ชีวิตอยู่อย่างศีลสามัญตาทิฏฐิสามัญตา ผลที่เกิดนี้ตามที่พระพุทธเจ้าบอกทุกประการ

ผลงานตลาดอาริยะเกิดจากจิตที่เป็นจิตจริงไม่ใช่งานอวดอ้างไม่ใช้งานที่ทำให้คนเสีย แต่เป็นงานที่ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจเสียสละให้แก่มวลมนุษชาติจริง เราไม่ใช่แค่ทำปีละครั้ง ยังมีครั้งย่อยๆอีก แม้เราไปชุมนุมเรายังไปทำกลางถนนราชดำเนินเลย บางปี

อ.กฤษฎาว่า… สังคมโลกมี CSR เป็นธุรกิจที่ตอบสนองต่อสังคมชุมชน แต่ที่ตลาดอาริยะนี้เป็นการตอบสนองต่อสังคมแท้จริง

พ่อครูว่า...เราไม่ได้ทำเพื่อหาเสียง หรือทำเพื่อให้ได้อะไรกลับมาเลยไม่ได้ทำแบบนักการเมืองทั่วไป แต่เป็นการให้ปชช.เพื่อเกื้อกูลช่วยเหลือปชช.จริงๆ ยกตัวอย่างนี่มีกองผักบุ้งนี่ เราขายกำละบาทเดียว หรือแจกเลย

ปีก่อนนี้ฟักทองมีมากแจกเลย หรือขายลูกละบาทเลย เราไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง แต่ทำเพื่อตัวเราเองได้สละออกและทำเพื่อให้คนข้างนอกได้รับทาน และให้เขาได้สำนึกมีประพฤติที่ดีขึ้นได้ด้วยซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย

อ.กฤษฎาว่า..หลายคนไปชุมนุมได้เห็นความมีวินัยของกองทัพธรรม มีระบบกินแล้วล้าง เป็นต้น คนหลายคนก็จะได้รู้ว่าเป็นไปได้จริง ชาวพุทธอยากเจอโลกพระศรีอาริย์ ผมเห็นการอยู่ของหมู่นี้อย่างสามัคคี มีสุข กระบวนการเหล่านี้มิใช่หรือที่เราอยากเห็นเมืองพระศรีอาริย์ ตั้งแต่การปลุกเสกฯเพื่อให้จิตวิญญาณผู้ฟังธรรมเกิดวัฒนธรรมสังคมพระศรีอาริย์

พ่อครูว่า...ใช่ แต่คนไปติดชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ ของพระสมณโคดมก็มีลักษณะเป็นอาริยะได้เราทำได้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคุณสมบัติของพุทธที่เป็นได้จริง เราขายของไม่ได้ขายเหมือนนักธุรกิจการเมืองเลย

อ.กฤษฎาว่า… ที่ทำนี้เหมือนCSR ที่ตอบสนองต่อสังคม ที่ไม่ใช่เหมือนโลกๆ เป็นสิ่งที่เหนือกว่าปกติธรรมดา คนส่วนใหญ่บอกว่าทำ CSR ก็จะรวบรวมเงินมาบริจาค แต่คนอโศกบอกว่าไม่ใช่ การทำ CSR มันต้องทำด้วยใจ จากภายใน คนรับคนให้ก็ต้องบริสุทธิ์ใจแก่กัน ที่ญี่ปุ่น เช้ามาเขาทำการเก็บขยะด้วยใจ มีระบบระเบียบ เกิดสึนามิ คนก็เข้าแถวกันไม่แย่งกัน เอาไปเฉพาะจำเป็นมองเห็นคนท้ายอยู่ ตอนนี้คนมาซื้อของตลาดอาริยะ ก็มองหาคนที่ไปด้วย ไม่เอามากเกิน ให้คนอื่นได้ด้วย ผมตามรายการมีทั้ง sms มีทั้งความเห็นที่ย้อนแย้ง ก่อนหน้านี้ผมอยากย้อนแย้ง sms แต่วันนี้ผมอยากฟังพ่อครูอธิบาย

การเตรียมงานตลาดอาริยะก็ต้องใช้หลักธรรมของการประชุม มีการถกเถียงกันให้ได้ข้อสรุป กระบวนการเหล่านี้เป็นการปฏิบัติธรรมที่พ่อครูได้วางนามธรรมไปสู่รูปธรรมแล้วย้อนสู่นามธรรมด้วย ต้องไปทบทวน ผมเรียกว่าถอดรหัส

พ่อครูว่า...ถ้าอาตมาพูดไปมากก็เหมือนยกตัวเอง แต่คุณพูดบ้างก็ดีแล้ว ตอนนี้ที่ทำนี้ผ่านมาชาวอโศกเรามีพฤติกรรมสังคม และก็มีแนวร่วมชาวอโศกด้วย เช่นเราไปประท้วงหลายที เราก็ออกไปเป็นหลักแต่ก็มีคนนอกมาช่วยด้วยแม้แต่ต่างชาติก็ยังมาร่วมด้วยเลย เราทำอย่างจริงๆใจ คนไม่เข้าใจแต่แรก แต่มาถึงวันนี้คนมีปัญญาพอควรก็เข้าใจแล้ว ที่เขาพูดว่าอโศกเล่นการเมือง ก็เป็นแค่โวหาร แต่เนื้อแท้แล้วการเมืองเป็นเรื่องของทุกๆคน อาตมาก็เห็นว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องออกไปช่วยกันก็ไปแล้ว เร่ิมตั้งแต่ตัดสินใจพศ.2549 ตอนนี้ก็ 10 ปีพอดี

ตั้งแต่ไปช่วยขับทักษิณออกไปจากบัลลังก์ จนมาอีกหลายนายกฯ ก็ขับออกไป พวกเราก็ไปร่วมทำทั้งนั้นเลย นายกฯทักษิณ สมชาย สมัคร ยิ่งลักษณ์ อภิสิทธ์ เราไม่ได้ไปเล่นการเมืองแต่เราไปทำการเมืองจริงๆ คนเขาว่านักธรรมะไปเล่นการเมือง แต่ว่าเราบอกว่าธรรมะกับการเมืองคืออันเดียวกัน การเมืองคือการทำเพื่อปชช. นักการเมืองเดี๋ยวนี้เป็นอาชีพฉวยโอกาสหาอำนาจทางรัฐ เอาเงินก้อนมาเล่น แต่ฉิบหายจริง บรรลัยไปหมด แต่ชาวอโศกเราตั้งใจจริงไม่ได้ไปแย่งอำนาจเลย

พรรคการเมืองก็พยายามโปรโมทหาเสียงจะได้อำนาจรัฐ แต่เราไม่ทำ เรามีพรรคการเมืองแต่ไม่เคยหาเสียง เอาไปโชว์ เราก็คือพรรคการเมือง ทำการเมืองช่วยเหลือปชช.อยู่แล้ว เราพรรคปชช.ไทยจริงๆ แม้ทุกวันนี้เราก็ทำตลอดเวลา เราไม่ได้หยุดหย่อนเลย ช่วยเหลือปชช.ทำงานกับปชช.แม้ตลาดอาริยะคือทำการเมือง ช่วยเหลือปชช.

เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง จะทำธงฟ้าแบบเขาก็เอาทำสิ คล้ายกัน ให้เป็นกิจลักษณะมีงบประมาณ แต่พวกเรานี้กระเบียดกระเสียนเป็นการทำการเมืองแบบคนจนด้วย มีเงินน้อย เงินที่จะเข้ามาหาเราก็มีเป็นจำนวนน้อย เราไม่ไปเอาเปรียบเอารัด ไม่ไปค้าอย่างทุนนิยม มีแต่ขาดทุนให้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราไม่มีเงินก้อนมากเหมือนทุนนิยม ตลาดอาริยะเราทำนี่ก็สะสมไว้ทำนะ ปีๆหนึ่งก็ทำทีหนึ่ง ที่จริงรัฐบาลน่าจะทำได้งบประมาณไม่ถึงเส้นขนเขาหรอก แต่ของเรานี่เราคิดว่าเราจะขาดทุนให้ปชช.ปีละเท่าไหร่ ยังไม่ก้าวหน้าถึงปีละ10 ล้านเลย

อ.กฤษฎาว่า..ทั่วประเทศนี้ ถ้าก้าวเข้าไปวัด ก็จะเห็นตู้รับบริจาคสารพัด มีพระพุทธรูปก็มีตู้รับบริจาค ซื้อธูปเทียน ดอกไม้ แต่ที่นี่ไม่มีอย่างนั้น แต่กลับเป็นว่าสามารถเอาเงินคือแก่สังคมเป็นหลักล้าน แต่วัดที่ทำการปิดทองฝังลูกนิมิต ขึ้นป้ายว่าได้กี่ล้านๆ แต่สิ่งที่คืนกลับสู่สังคมไม่เห็นเลย ผมเคยเป็นกรรมการวัด แต่มาที่นี่เห็นถึงความมหัศจรรย์

อาทิวเมฆว่า เขาถามว่าขนาดเขารับบริจาค เขายังไม่สามารถจัดได้ เขาถามว่า เราเอาเงินมาจากไหน?

พ่อครูว่า...ไม่ได้เรี่ยไร ไม่ขายดอกไม่ธูปเทียนไม่รับบริจาคด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ อาตมาภูมิใจที่ได้ทำงานศาสนามา 46 ปีไม่เคยพาเรี่ยไรเลยในชีวิตมีแต่น้ำพักน้ำแรงสร้างสังคม มาเป็นสมาชิกชาวอโศก คนอื่นจะมาร่วมก็ต้องมีเกณฑ์ อย่างเราตั้งกติกาว่า ถ้าไม่มาร่วมเราอย่างน้อย 7 ครั้ง บริจาคไม่ได้ จนกว่าจะมีสิทธิ์ ก็จะบริจาคในกิจการของเราได้ เราทำมาแต่ไหนแต่ไร และการไม่รับเรี่ยไร เราเอาเลือดเนื้อของสมาชิกเราไปทำงานกับสังคม สร้างตนเองเลี้ยงตนเองด้วยแล้วเสียสละแก่สังคมด้วย ในกิจกรรมที่เราทำมา 40 กว่าปี เราใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกันกับที่ชาววัดอื่นๆองค์กรอื่นทำอย่างทำกฐินทอดผ่าป่า เราไม่ทำ เป็นการลบล้างธรรมวินัย แต่มันผิดเพี้ยนไปวิบัติไปแล้วเราไม่ทำ เราพยายามทำแบบพึ่งตนเอง อัตตาหิอัตตโนนาโถ สร้างตนให้เหลือไปเผื่อแผ่คนอื่นได้

คำว่ามหัศจรรย์นี้ไม่เกินจริงเลย ชาวอโศกนี้เป็นคนจนมหัศจรรย์ อยู่กับสังคม แต่คนยังมองไม่ออกเพราะอคติ ถ้าคนถอดอคติ แล้วมองว่าอโศกนี้น่าศึกษา ทำตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วมีคุณค่าคุณวิเศษ เป็นไปเพื่อหมดเห็นแก่ตัว ช่วยคนอื่นจริงจัง หรือไม่ มันน่ามาตรวจสอบศึกษาส่งเสริม พูดไปก็เหมือนเรียกร้อง แต่เราไม่มีปัญหาเราก็ทำอยู่ มาต้านเราเราก็ไม่หยุดหรอก เราเห็นว่าเป็นส่ิงดีจริง เรามีปัญญารู้ว่าไม่ได้หลงผิด

ธรรมะพระพุทธเจ้าสร้างให้คนมีพฤติ จรรยา ให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีพรหมจรรย์ ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตที่อยู่กับสังคมอย่างมีอัปปมัญญานี้ไม่เอาเปรียบใครไม่ต้องพูดถึงทุจริตคอรัปชั่นเลยเราทิ้งไปแต่ปากทางเลย เราเสียสละช่วยคนอื่น ตนเองช่วยตนเองรอด แล้วสร้างสรรให้เกินกินใช้ เอาไปขาดทุนแก่สังคม เราทำได้จนเป็นวัฒนธรรมเป็นหมู่บ้านชุมชน วัฒนธรรม ตั้งแต่เด็กเลย เรามีรร.อนุบาล จนเราจะทำมหาวิทยาลัยเลย

เรามีเด็กเยาวชน อบรมสร้างให้แก่สังคม ไม่ได้หาเงินเลยเรียนฟรีกินฟรีอยู่ฟรี เลี้ยงเยาวชนฟูมฟักสั่งสอนเขาจริงๆ

อ.กฤษฎาว่า...อ.คมสันต์ โพธิ์คง บอกว่าล่าสุด สมส.มาตรวจ เขาก็บอกว่าอะไรที่ที่อื่นทำไม่ได้อโศกทำได้หมด อาชีวะก็ทำได้ ก่อนหน้านี้คะแนนการประเมินเต็ม เขาก็บอกว่าเต็มได้อย่างไรก็เลยมีคณะมาตรวจก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาตัดคะแนน

พอดีลูกชายผมมาด้วย ลูกว่า อโศกเป็นหมู่บ้านศีล5

พ่อครูว่า...เป็นมาแต่ไหนแต่ไรเลย ประชากรอโศกนี่ ไม่ใช่แค่ศีล 5นะ แต่ปฏิบัติมีมรรคผลของศีล ให้ขัดเกลากิเลส เป็นอวิปฏิสาร ปีติ ปราโมทย์ สุข สมาธิ ใครเข้ามาในหมู่บ้านอโศกมาถือศีลจริง มานั่งตบยุงไม่ได้ มากินมังฯ แม้ตั้งตนเป็นคนโสดก็ได้ มีถือศีล 10 ทำได้แม้ฆราวาส เป็นเมืองที่คนมีศีลเป็นพรหมจรรย์จริง เป็นพฤติกรรมพรหมจริงๆ เป็นเมืองพระศรีอาริย์จริงๆ

อ.กฤษฎาว่า...เป็นคำตอบว่าทำตลาดอาริยะได้อย่างไร ทฤษฎีหนึ่งคือการไม่จ่ายคือการเพิ่มรายได้ คนอโศกมีศีล อยู่อย่างสาธารณโภคี พอไม่จ่ายมาก ทุกคนเอากำลังมาใช้ไม่ได้คิดค่าแรงเลย ไม่มีค่าความคิดไม่บวกค่าตำแหน่งไม่ต้องจ่าย ตัวเงินก็คงอยู่ มันก็อยู่ในเศรษฐกิจพอเพียง มีส่วนเหลือให้แก่สังคม ฉากหลังคือกุฏิสมณะก็อยู่อย่างนี้ไม่ต้องสร้างห้องแอร์ที่ต้องจ่ายเพิ่ม

พ่อครูว่า..ศาสนาพุทธตอนนี้เหมือนกองอานกะแล้ว เรียกชื่อพุทธเช่นเดิมแต่หลักเกณฑ์หลักการที่แท้หมดไปแล้ว น่าจะตรวจสอบหลักฐานในพระไตรฯมีอยู่ คนเราถ้าไม่แก้ที่ศาสนาที่ธรรมะให้คนมีจริงแล้วก็แก้ปัญหาประเทศได้ยาก ไม่ได้หรอก แม้คนสอนศาสนาก็เพี้ยนเละเทะ ศาสนาแต่ละสำนักที่ดังๆเป็นอย่างไร อาตมาก็ต้องปักหลักยืนยัน ตำหนิ ทักท้วง ไม่หยุดตายเป็นตาย

เขาตีพวกเราเป็นพวกสุดโต่ง บอกว่าพระพุทธเจ้าสอนมัชฌิมา แล้วมัชฌิมาคุณคืออะไร?

คำว่ามัชฌิมานี้สูงส่งลึกซึ้ง ทุกวันนี้ไม่เข้าใจ มัชฌิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติเพื่อไปสู่ความเป็นกลางหรือมัชฌิมา ไม่ใช่ทางสายกลาง 

เนื้อแท้ของมัชฌิมาคือให้เรียนรู้กาม และอัตตาที่เป็นกิเลสใหญ่สองขั้ว แล้วลดกิเลสกามกิเลสอัตตา ให้หมดเลย เฉลี่ยการลดกามลดอัตตาให้ดี กิเลสกามกับอัตตาเป็นสองข้าง สองฝ่าย หมดกามหมดอัตตาก็เลยเป็นกลาง มัชฌิมา เนื้อแท้ของศาสนาพุทธจบลงที่ความเป็นกลาง ไม่ใช่กลางคือ 80 กับ 70 ก็รวมกันหารสองทำกันคนละ 75 มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันทำเหมาะสมตัว

อย่างขั้นอบายคุณหมดก็คือเป็นกลาง ให้เลิกอบายมุขนั้นจนจิตไม่บวกไม่ลบเป็นกลาง ไม่ดูดไม่ผลัก แม้กระแทกอย่างไรก็ยังไม่ดูดไม่ผลักเป็นกลางไม่หวั่นไหว เป็นจิตถาวรตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิก็ได้ มีนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

อยู่กับสังคมก็ลดกิเลสไปไม่ใช่หนีเข้าป่าเขาถ้ำหรือนั่งสมาธิ hypnosis สะกดจิต แต่ของพุทธเป็น analysis มี โพธิปักขิยธรรม 37 แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไปแล้ว ทำสมาธิเป็นแบบฤาษีเก่าๆดั้งเดิมที่พาผิด แบบที่พระพุทธเจ้าทำผิดมา 6 ปีเข้าป่า ไปใช้หนี้วิบากกรรมที่ท่านเล่าไว้แล้ว ไปทำทุกรกิริยา

แม้ในพระไตรฯจะมีเล่าถึงผู้จะมานั่งกายตรงดำรงสติคงมั่นในป่า ในถ้ำในที่แจ้งลอมฟาง มีคำว่า วา เป็นคำสร้อยว่า ปฏิบัติอย่างนี้ก็ได้นะ แท้จริงแล้วไม่ต้องออกป่า ปฏิบัติในเมืองก็บรรลุธรรมได้แต่ในอุบาลิสูตร พระพุทธเจ้าว่า ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียวป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

แม้ในอัมพัฏฐสูตรก็ว่าด้วย การปฏิบัติที่ผิดคือไปหาอาจารย์ในป่าเสียนี่แต่ก็ไม่เข้าใจกัน

อ.กฤษฎาว่า...คนที่มาอยู่ที่นี่ต้องอดทนต่อแรงเสียดทาน มีครอบครัวที่มาคุยกับผม เป็นเพื่อนสนิทด้วยกัน แล้วมีเพื่อนอีกคนที่ไปทางธรรมอีกทาง มาบอกเราว่าไปอย่างเรานั้นไม่ใช่ทางหรอก ให้ไปแบบเขาสิ มันถึงถูกต้องกว่า ผมก็บอกว่า ผมอายุเกินครึ่งร้อยแล้วก็เห็น คนที่ไปตามเส้นทางนั้นๆ แบบที่ไปทุกรกิริยานี้ไม่ใช่ทาง แต่ทำไมสังคมก็ยังบอกว่าใช่อีก ทั้งที่ขัดแย้งกับคำว่าวิปัสสนา ทำให้เราเหมือนต้องอดทนต่อสิ่งที่ไม่ใช่ แล้วที่นี่ทำให้เราต้องพัฒนาตนเองต่อสิ่งที่ไม่ใช่

พ่อครูว่า...ก็ขอย้ำยืนยันว่า ท่านตื่นบ้าง ตรวจสอบความเป็นจริงบ้างโดยเฉพาะยอมรับความจริงว่า ส่วนใหญ่ท่านมิจฉาทิฏฐิ เพี้ยนไปแล้ว

มีผู้เอากลอนของท่านพุทธทาสมา

เราถือศาสนาอะไรกันแน่

 

ศาสนา โบสถ์วิหาร การวัดวา

ศาสนา คือพระธรรม คำสั่งสอน

ศาสนา ประพฤติธรรม ตามขั้นตอน

ศาสนา พาสัตว์จร จวบนิพพาน

 

ศาสนา เนื้องอก พอกพระธรรม

ศาสนา น้ำครำ ของเป็ดห่าน

ศาสนา ภูตผี พานิชการ

ศาสนา วิตถาร กวนบ้านเมือง

 

ศาสนา ใหม่ใหม่ ร้ายกว่าเก่า

ศาสนา ของพวกเจ้า โจรผ้าเหลือง

ศาสนา ปัจจุบัน พันการเมือง

ศาสนา มลังเมลือง เมืองคนเย็นฯ

 

พุทธทาสภิกขุ

 

เขาจะยอมรับอาตมาหรือไม่ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้ทำอย่างไม่ตรวจสอบ ที่เขาว่ามาว่าอาตมาผิดก็ตรวจสอบ แต่ว่าพวกท่านทั้งหลาย ตรวจสอบตามที่อาตมาบอกหรือไม่? แม่แต่เรื่องสมาธิไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิต hypnotize เป็นเจโตสมถะ ไม่ใช่ analysis แบบของพุทธ พระพุทธเจ้าว่าไว้ในพรหมชาลสูตรที่ว่าถึงมิจฉาทิฏฐิ 62 อย่าง ทั้งอดีต อนาคต แล้วท่านก็ว่าเพราะเข้าใจผิดใน 62 ทฤษฎีนี้แหละ ศาสนาพุทธนั่งหลับตามีแต่อดีตกับปัจจุบัน มีแต่ภพชาติ ปิดทวารทั้ง 5 แม้ปัจจุบันก็ไปหลงปัจจุบันซ้อนในอนาคต แม้ทิฏฐธรรนิพพานทิฏฐิก็รวมไว้ใน อนาคต 44 นี้ สูตรแรกก็ชัดเจนว่า ศาสนาหลงทาง

แม้สามัญผลสูตรก็บอกว่าให้ลืมตาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เช่นนี้ มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติอันเป็นอาริยะ

อัมพัฏฐสูตรบอกว่าอย่าออกป่า ออกป่ามันเสื่อมมันผิด

ซึ่งทุกวันนี้ครูบาอาจารย์ที่สอนศาสนากันมาสอนผิดๆหมด ไปตรวจสอบในพระไตรฯเล่ม 9 เลย แม้แต่ว่าผู้บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้อีก นี่ก็สอนผิดๆ อีกในโลหิจสูตรก็ว่าไว้ เลย ยิ่งเกวัฏสูตร ก็ว่าด้วยเครื่องรางของขลังทำผิดๆโฆษณาพระเครื่องในหนังสือพิมพ์กันมากมาย ค้ากำไรเกินควรเอาดินทีไหนมาปั้นแล้วหลอกขายกันเป็นล้าน อวัยวะเครื่องเพศก็เอามาบูชาอีก ในศาสนาพุทธมีที่ไหน?

คนที่เขายึดมั่นถือมั่นเป็นทิฏฐุปาทาน อัตตาทุปาทาน สีลลัพพตุปาทาน เขาก็ต้องแย้ง แต่เราก็ต้องยืนยันสิ่งถูกต้อง ไม่ว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปี เราไม่ต้องอดทนอะไรเลย เรามีศีลระดับนี้ๆ ศีลเราเป็นปกติ ปฏิบัติได้แล้ว เราพิสูจน์ธรรมพระพุทธเจ้ามาได้จริง ยืนหยัดยืนยันจริง ก็ตั้งใจอยู่ว่าไม่ขอตายง่ายๆ ดันทุรังก็ได้

อ.กฤษฎาว่า...การอธิบายธรรมของพ่อครู ปัจจุบันนี้ ลึกซึ้ง และรวดเร็ว ซ้ำให้หน่อยก็ขยับแล้ว ต้องตามอย่างไร

พ่อครูว่า...จริง ต้องตามให้ทัน อาตมาพยายามต่อจิ๊กซอว์โดยมุ่งหน้า ถ้าไม่พยายามติดตามก็ถูกทิ้งแน่นอน ใครฟังธรรมอาตมาตอนนี้จะเห็นว่าละเอียดขึ้น ซอยให้เห็นและต่อเชื่อมไปในแนวลึกขึ้นเรื่อยๆ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งมากเห็นตามได้ยากรู้ตามได้ยาก ไม่ใช้ตรรกะเดาได้ สงบอย่างสันตา ต้องศึกษาเอาจริงเพราะเป็นความรู้ของบัณฑิตที่แท้ บัณฑิตเวทนียา

อ.กฤษฎาว่า… คนที่มีฐานอ่อนด้อยนั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรจะมาฟังธรรมพ่อครูได้...บางทีฟังยังไม่เข้าใจก็ฟังไปก่อน แล้วหาตำราอ่านทำความเข้าใจประกอบกันไป

พ่อครูว่า...ไม่ใช่แค่ติดตามฟังอาตมาเท่านั้น อาตมาบุกเบิกลึกไปเรื่อย แต่คนที่ปฏิบัติได้ผ่านมามีเนื้อหาภูมิธรรม มีบรรลุธรรมแล้วก็จะมาเชื่อมต่อให้อาตมา อาตมาอายุ 80 กว่าแล้วก็ไม่มีเวลามาบรรยายขั้นต่ำพื้นฐาน แต่ผู้ที่จะบรรยายเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายมีในนี้ แม้แต่เด็กนร.ชาวอโศกมีบรรยายมีเนื้อหาธรรมะได้นะ ไม่ต้องมีหลักวิชาแต่ก็พาอยู่อย่างไรทำอย่างไร ผู้มีปัญญาจะรู้ ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิย่างหนอก้าวหนอแบบนั้นมันนอกพุทธ มันเป็นศาสนาแบบเก่า แต่พระพุทธเจ้าอนุโลมให้ทำ บ้าง

คำว่ากายก็เพี้ยนไปแล้ว มีแต่ภายนอก แต่พระพุทธเจ้าว่า กายนี้หมายถึงจิต มโน วิญญาณ เป็นต้น 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:29:22 )

590427

รายละเอียด

590427_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มหาลิสูตร ตอน1

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 27 เมษายน 2559 แรม 1 ค่ำเดือน 5 ปีวอกวันคืนก็ผ่านไปเราก็ยังจะไม่ตายง่ายๆตั้งใจจริงๆจะอยู่ไปให้นานที่สุดเท่าที่ชีวิตจะชะลอวัยได้เพื่อที่จะพูดธรรมะ ด่าพวกเราฟังธรรมะทุกวันนี้ไม่เบื่อหรือยังไงจะมาว่าคนที่ไม่ต้องกับรสนิยมเขาฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามีธรรมะรสอะไรเลย เขาก็จะไปที่หรูหราพักผ่อนเจริญใจที่จะได้เงินได้ทองได้เข้าได้ของก็ยังจะน่าสนุกแต่นี่เราเหมือนกับพูดอะไรก็ไม่รู้ดีไม่ดีก็ยังเฉียดเฉือนใจเราเองอีก เป็นเรื่องที่น่าคิดคนที่จะมาฟังธรรมโดยเฉพาะที่อาตมาออกมาเทศน์ธรรมะบรรยายมันเป็นธรรมะที่ทวนกระแสใจเป็นธรรมะขั้นปรมัตถธรรมเป็นโลกุตระเป็นธรรมะที่ขัดเกลาจิตใจจริงๆ แต่พวกเราก็สามารถที่จะฟังได้ยังพอใจฟังอยู่แสดงให้เห็นว่าจิตของพวกเราเข้ากระแสเข้ากับทิศทางที่เป็นรสนิยมของผู้ฟัง ดีไม่ดีก็วนเวียนซ้ำซาก ขูดขัดกิเลสอยู่นั่นแหละ

เพราะว่าพวกเราเข้าใจคำว่ากิเลสและกิเลสมันไม่ได้มีตัวเดียววันนี้เจออีกแล้วพรุ่งนี้ก็เจออีก พวกเราเข้าใจสาระสำคัญว่าถ้าจิ้มถูกตัวกิเลสนี่ถูกแล้วนะคนที่จะไปหาน้ำบ่อเพชรบ่อพลอยแปลว่าจิ้มไปเจอแล้วมีรังสีราศีออกมาชักเข้าเขาแล้วก็จะเข้าใจได้ปัญญาคือความประเสริฐเกิดจากภูมิปัญญาจริงๆมีปัญญาจริงๆไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนคนทั่วไปที่ไปหาที่เพลิดเพลินเจริญใจเสพบำเรออารมณ์ อารมณ์อร่อยอารมณ์ อารมณ์พอใจดีใจสมแก่ความโลภสมแก่ความโกรธสมกับรสชาติที่โลกเขามอมเมาสร้างขึ้นในพยายามปรุงแต่งพยายามครีเอทีฟขึ้นมาเพื่อให้หลอกให้คนหลง คือคนที่ไม่รู้จักศึกษาว่าที่ชีวิตควรจะเดินทางไปในทิศทางไหนอันนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่รู้ว่าชีวิตควรจะเอามาฝึกฝนอบรมภาคเรียนนำชีวิตของเราไป

ถ้าไม่รู้จักไม่รู้ทิศทางของสัมมาอาริยมรรคที่ควรจะเดินจริงๆก็เหมือนกับคนโลกโลกทั้งหลาย อยู่บำเรอโลกธรรมไป อาตมาไม่เบื่อจะโขกคนหลงโลกธรรม กระหน่ำแล้วกระน่ำอีก แล้วตั้งใจจะพูดให้รู้สึกให้เข้าใจ พูดตำหนิ พูดว่า พูดข่มเลยจริงๆ กว่าที่คนจะตื่น คำว่าตื่นนี่ย่ิงใหญ่ กว่าจะเจริญเป็นอาริยะได้ ที่ไม่เหมือนกับที่โลกเขาว่าเจริญแต่แก่งแย่งกัน

คนสังคมข้างนอกกับสังคมของเรานี่ ที่พูดนี้ไม่ได้ส่งเสริมให้แตกแยก และไม่ได้พูดยกตัว ข่มท่านด้วย จิตอาตมาไม่มีแบบนั้นเลย กำลังหมายใจจะพูดว่า คนเรามีแนวทางดำเนินชีวิต เอาเวลา แรงงาน ทุนรอน เอามาใช้ ฝึกฝนอบรมทางนี้จริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆนะ

เราได้เอาพระไตรปิฎกเล่ม 9 นี้มาอ่านกันจบสูตรที่ 5 แล้วมาสู่ มหาลิสูตรสูตรที่ 6

                               6. มหาลิสูตร

                                ____________

[239] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี.

สมัยนั้น พราหมณทูตชาวโกศลรัฐและพราหมณทูตชาวมคธรัฐมากด้วยกัน พักอยู่ในเมืองเวสาลีด้วยกิจธุระบางประการ. พราหมณทูต 2 พวกนั้นได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร (สมัยโน้น เขาไม่ได้บวชเล่น ไม่มีประเพณีบวชกันนะ แต่ว่า คนออกบวชนี่เขาบวชจริงๆ คือออกจากสกุล ญาติปริวัตตังปหายะ หรือโภคขันธาปหายะ ตัดขาดจากสกุล จากกองมรดกนะ บวชคือสละทรัพย์สินไม่ว่าลัทธิใดๆก็ตาม พราหมณ์คือผู้อยู่บ้านอยู่สกุลนะ เป็นผู้ร่ำรวย เป็นพราหมณ์มหาศาล มีอำนาจมาก เหมือนพระสมัยนี้นั่นเอง พระสมัยนี้ถ้าพระไหนได้เงินมามากแล้วมาทำทานสร้างสถานที่รพ.รร. ก็ถือว่านับถือกันมาก ซึ่งไม่ใช่)

ทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี. เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว(สุคโต คือไม่มีทางเดินไปสู่ความเสื่อมเลย) ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย(เทวดาไม่ใช่อย่างอ.มั่นสอนว่านั่งหลับตาแล้วเห็นเทวดาเหาะมาให้เห็น มันไม่ใช่ เทวดาคือจิตวิญญาณ จิตใจคน มีทั้งสมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ พระพุทธเจ้าแบ่งไว้สามเทพ แต่คนไปเข้าใจว่าเทพมี 6 ชั้น 1. จาตุมหาราช หรือจาตุมหาราชิกหรือจาตุมหาราชิกา

2. ดาวดึงส์

3. ยามา

4. ดุสิต

5. นิมมานรดี

6. ปรนิมมิตวสวัตดี

ทั้งหาชั้นเป็นเทวดาเก๊ เป็นสมมุติเทวดา หลงสุขเท็จต่างจากเทพ 3 ประการที่ทุกวันนี้ สำนักพุทธต่างๆไม่เห็นสอนกัน

จิตวิญญาณคนที่ไหนก็มีเทวดาทั้งนั้น มีส่วนใหญ่เป็นสมมุติเทพ เป็นสุขหลอก หลงหาสุขใหม่ไปเรื่อยๆ บำเรออารมณ์ที่ต้องการ กามภพ ภวภพ นี่คือสมมุติเทพ กิเลสก็ยิ่งโตยิ่งอ้วน

อนุปุพพิกถา

ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ

สวรรค์หรือสัคคะคือแดนเทวดา มีแต่อนิจจัง ทุกขัง อัตตา แท้จริงแล้วสมมุติเทพมันไม่มีตัวตน ทำให้เทวดาตายได้ถาวรก็เป็นอรหันต์ คือผู้ชนะ

 

พระพุทธเจ้าเป็นผู้เบิกบานแล้ว(คืออยากให้พวกเราเป็นคนเบิกบานตลอดเวลา คนเราใจไม่เศร้าหมอง เบิกบานตลอดเวลา แจ่มใส  จิตใจอาตมามันไม่ได้เศร้าโศกไม่หมองอะไร แม้กระทบเหตุที่คนเขามีเศร้าโศก หมองใจอย่างไร ของอาตมามันก็ไม่มี แม้แต่ชอบใจก็ไม่ได้ดูดดึงอย่างโลภะหรือราคะ แต่เป็นจิตเบิกบานร่าเริง ปภิปโมทยัง จิตไม่ยินร้ายนะ มันเบิกบานร่าเริง พ้น โศก ปริเทวะ ทุก โทมนัส อุปายาสะไปแล้ว

พระพุทธเจ้าเป็นผู้จำแนกพระธรรม(อาตมาก็ทุกวันนี้ไม่พูดก็เขียนบรรยายธรรมะ หรือแสดงโดยพฤติกรรมสามัญด้วย)

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก (ที่ไม่ใช่โลกลึกลับที่ต้องนั่งหลับตาจึงเห็น ไม่ต้อง แต่ลืมตาสัมผัสนี่จะเห็นโลกรู้โลกว่าจิตเราหมุนเวียนไปสู่ที่ต่ำอยู่เรื่อย ไปทิศทางเสื่อมเสีย ทั้งที่ควรเลิก นั่นแหละคือโลก วนเวียนไปในอบาย

หรือไปแย่งโลกธรรม หรือกามคุณ ผู้มีภูมิธรรมก็ค่อยเลิกมา ไม่ไปแย่งเขาหรอก ใครจะแย่งจะชิงก็ชิงไป เราไม่ได้ไปสร้างเพื่อให้เขาชิงด้วย นั่นคือโลก

โลกมารคือมีกิเลสมีอกุศลจิตที่เป็นจิตมาร เทวโลกคือเทวดา อุบัติเทพวิสุทธิเทพ)

พระพุทธเจ้าจำแนกธรรมให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์(อาตมาก็ดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าแม้จะไม่รู้ไม่เก่งไม่สามารถเท่าแต่มั่นใจว่า เราเดินมาก็มีของจริง อันนี้อาตมาต้องขอยอมแพ้ ยังบรรยายวนไปวนมา ไม่เป็นลำดับไม่งาม)

บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้นย่อมเป็นการดีแล ดังนี้. ครั้งนั้นแล

พราหมณทูต 2 พวกนั้นจึงเข้าไปยังกูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน.

                             เรื่องของพระนาคิตเถระ พุทธอุปัฏฐาก

          [240] สมัยนั้นแล ท่านพระนาคิตเถระ เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค. ลำดับนั้น

พวกพราหมณทูตชาวโกศลรัฐและชาวมคธรัฐเข้าไปหาท่านพระนาคิตเถระ แล้วถามท่านว่า ท่านนาคิต เวลานี้ท่านพระสมณโคดมประทับอยู่ ณ ที่ไหน พวกข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระองค์ท่าน.

ท่านพระนาคิตเถระตอบว่า ท่านทั้งหลาย เวลานี้ยังไม่ควรจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพราะพระองค์ประทับหลีกเร้นอยู่. ลำดับนั้น พราหมณทูตเหล่านั้นจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งที่พระวิหารนั้นด้วยหวังว่าได้เฝ้าท่านพระสมณโคดมแล้วจึงจะไป.

           เรื่องของพระเจ้าลิจฉวี โอฏฐัทธะ

          [241] ฝ่ายเจ้าโอฏฐัทธลิจฉวี พร้อมด้วยบริษัทลิจฉวีหมู่ใหญ่เข้าไปหาท่านนาคิตเถระยังกูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน อภิวาทท่านพระนาคิตเถระแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

ครั้นแล้วจึงถามท่านพระนาคิตเถระว่า ท่านนาคิต เวลานี้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหน พวกข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระองค์ท่าน. ท่านพระนาคิตเถระตอบว่า มหาลี

เวลานี้ยังไม่ควรจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพราะพระองค์ประทับหลีกเร้นอยู่. เจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีจึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งที่วิหารนั้น ด้วยหวังว่าได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงจะไป.

                                   เรื่องของสามเณรสีหะ

          [242] ครั้งนั้น สามเณรสีหะเข้าไปหาท่านพระนาคิต อภิวาทพระนาคิตเถระแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วจึงถามท่านว่า ข้าแต่ท่านกัสสปะ พวกพราหมณทูตมากด้วยกัน เข้ามาในที่นี้เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค. แม้เจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีพร้อมด้วยบริษัทลิจฉวี

หมู่ใหญ่ ก็เข้ามาในที่นี้เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้โปรดเถิดท่านกัสสปะ ขอหมู่ชนนั้นจงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค. พระเถระตอบว่า สีหะ ถ้าเช่นนั้น เธอนั่นแหละจงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเถิด

สามเณรสีหะรับคำพระนาคิตแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณทูตชาวโกศลรัฐและพราหมณทูตชาวมคธรัฐมากด้วยกัน เข้ามาในที่นี้เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค แม้เจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีพร้อมด้วยบริษัทลิจฉวีหมู่ใหญ่ก็เข้ามาในที่นี้เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขอประทานพระวโรกาสพระเจ้าข้า ขอหมู่ชนนั้นจงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ดูกรสีหะ ถ้าเช่นนั้นเธอจงจัดอาสนะในร่มหลังวิหารเถิด. สามเณรสีหะทูลรับพระพุทธอาณัติแล้วไปจัดอาสนะในร่มหลังพระวิหาร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหารแล้วไปประทับ ณ อาสนะที่สามเณรสีหะจัดไว้ในร่มหลังพระวิหาร. ลำดับนั้น พวกพราหมณทูตจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

          [243] ฝ่ายเจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีพร้อมด้วยบริษัทลิจฉวีหมู่ใหญ่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ สุนักขัตตลิจฉวีบุตรเข้าไปหา

ข้าพระองค์แล้วบอกว่า มหาลี ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอาศัยพระผู้มีพระภาคอยู่ไม่ทันถึง 3 ปีข้าพเจ้าก็ได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด แต่มิได้ยินเสียงทิพย์ อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ที่สุนักขัตตลิจฉวีบุตรไม่ได้ยินนั้นมีอยู่หรือไม่. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มี มหาลี มิใช่ไม่มี. เจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่มิให้สุนักขัตตลิจฉวีบุตรได้ยินเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ที่มีอยู่ มิใช่ว่าไม่มีนั้น.

                                  สมาธิที่บำเพ็ญเฉพาะส่วน

          [244] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออกแต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ทั้งนี้ เพราะภิกษุนั้นเจริญสมาธิเฉพาะส่วน

เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออกแต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

[245] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์

อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

(ทิพย์คือการสัมผัสเห็นรู้ความเป็นกาย คนธรรมดาจะไม่สัมผัสรู้ กาย จะเห็นเป็นส่ิงปนกันไป เช่นรูปนี้สวยปุถุชนก็เห็นสวย ปุถุชนเห็นรูปว่าสวย คนที่มีทิพย์มีปัญญาเห็นรูปอย่างนั้นเหมือนคนอื่นๆ แต่มีปัญญารู้ว่า อันนี้เป็นกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เรียกว่าตาทิพย์ ตอนนี้ไม่ได้เพ่งไปทางหูทิพย์ เพ่งไปเฉพาะตาทิพย์จึงเห็นรูปที่เป็นกาม แยกออกว่านี่คือรูปกาม อันนี้คือกำหนัด นี่คือตาทิพย์ หรือทิพยโสต ได้ยินเสียงทิพย์ เสียงเปิงมาง เสียงกลองดังมาแต่ไกลก็รู้แยกแยะได้ มันรู้เกินสามัญ คนโลกๆเขาปรุงไปเป็นกิเลสไปเลย ชอบใจไม่ชอบใจไปเลย แล้วท่านแยกทิศคือมุ่งกำหนด เช่น กำหนดไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ กำหนดรู้ว่าจิตโทสะอยากฆ่าหรือมีจิตโลภะอยากได้ของเขาก็รู้อ่านจิตตนเองออก กำหนดรู้ไปเป็นอย่างๆ เฉพาะเรื่องนั้นอย่างนั้น การกำหนดปฏิบัติต้องทำตามลำดับ ไม่ใช่อะไรก็กิเลสอยากลดหมดก็ทำไม่ไหว แต่ถ้ากำหนดกรอบ อย่างอื่นนอกกรอบเรายังไม่จัดการมันมันมีก็มีไปก่อน)

ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม

เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือแต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

ภิกษุผู้เจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบนทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

[246] ดูกรมหาลี ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ

ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออกแต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออกมิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร

ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

          [247] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลีข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงอันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือมิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบนทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.

                   การเห็นรูปทิพย์ การฟังเสียงทิพย์

[248] ดูกรมหาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสมาธิโดยส่วนสองเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศตะวันออก เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออกเธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก.

[249] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศใต้ เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารักและฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศใต้.

ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสองเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร

ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก.

          ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสองเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ.

          ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวางเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวางเธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลีข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง ดูกรมหาลี เหตุปัจจัยนี้แหละ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย สุนักขัตตลิจฉวีบุตรจึงมิได้ยินเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดที่มีอยู่ มิใช่ไม่มี.

                    เหตุแห่งการทำให้แจ้งสมาธิภาวนา

[250] โอ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายเห็นจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง ซึ่งสมาธิภาวนาเหล่านั้นเท่านั้น.

          ภ. ดูกรมหาลี มิใช่ภิกษุทั้งหลายจะประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนาเหล่านั้นเท่านั้น ดูกรมหาลี ธรรมเหล่าอื่นที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเราเพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่ายังมีอยู่.

          โอ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่านั้น เป็นไฉน?

          ภ. ดูกรมหาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นโสดาบัน มีความเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมเป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า เพราะสัญโยชน์ 3 หมดสิ้นไป ดูกรมหาลี ธรรมนี้แลที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่า.

(พ่อครูว่า เขาแปลกันผิดๆ เช่นเอกพีชีคือเกิดเป็นตัวเป็นๆชาติเดียวเป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถ์..

สกิทาคามี เป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้สูงกว่าโสดาบัน โสดาบันนั้นหมดสังโยชน์ ได้ระดับหนึ่ง หมดสังโยชน์ 3 เป็นพระสกิทาคามีก็สูงขึ้นกว่า อีกชั้น ซึ่งโสดาบันแย่งเป็นสามขั้น

1.      เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)

2.      โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)

3.      สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพหรืออริยชาติอีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) .

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 528)

 

          [251] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงอีกครั้งเดียวจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสัญโยชน์ 3 หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบางไป ดูกรมหาลี แม้นี้ก็เป็นธรรมที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้งอันดีกว่าและประณีตกว่า.

[252] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุไปเกิดในภพสูง ปรินิพพานในภพนั้นไม่ต้องเวียนกลับมาจากโลกนั้น เพราะสัญโยชน์ส่วนเบื้องต่ำ 5 ประการหมดสิ้นไป ดูกรมหาลีแม้นี้ก็เป็นธรรมที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่า.

                   อริยมรรคมีองค์ 8

[253] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบัน ดูกรมหาลี แม้นี้ก็เป็นธรรมที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่า ดูกรมหาลีเหล่านี้แล ธรรมทั้งหลายที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อเหตุจะทำให้แจ้ง อันดีกว่าและประณีตกว่า.

[254] โอ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มรรคมีอยู่หรือ ปฏิปทาเพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่านั้นมีอยู่หรือ?

ภ. ดูกรมหาลี มรรคมีอยู่ ปฏิปทาเพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่านั้นมีอยู่.

โอ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็มรรคเป็นไฉน ปฏิปทาเพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?

ภ. มรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐนี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ ดูกรมหาลีมรรคนี้ปฏิปทานี้แหละ เพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่านั้น.

                   เรื่องมัณฑิยปริพาชกและชลาลิยปริพาชก

[255] ดูกรมหาลี สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่โฆสิตารามใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้นแลบรรพชิต 2 รูป คือ ปริพาชกชื่อมัณฑิย รูป 1 ปริพาชกซึ่งเป็นศิษย์ของอุปัชฌายะ ผู้ถือบาตรไม้ชื่อชาลิยะ รูป 1 เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับเรา ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วถามเราว่า พระโคดมผู้มีอายุ ชีพก็อันนั้น สรีระ ก็อันนั้นหรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง. เราตอบว่า ผู้มีอายุ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี เราจักบอก ดูกรผู้มีอายุ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้นทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดีบุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธานั้นแล้วย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปรอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะเป็นผู้สันโดษ.

พ่อครูว่า ไอ้หนุ่มมาบวชกันเป็นหมื่นคนนี่จะคุมไม่ให้สังฆาทิเสสกันได้ไหม มีปาราชิกกันมากไหม คุณจะเอามาทำทำไม ตรวจสอบได้ไหม เอามาบวชเล่นทำไม เอามาบวชเพื่ออวดความใหญ่ อวดความมากเฉยๆ เอามวลปริมาณมาขู่เฉย อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับเรื่องเลอะเทอะอย่างนั้นเลย คนก็กระไรให้เขาปู้ยี่ปู้ยำศาสนาอยู่ได้ เอาคนมาครองจีวรที่เป็นธงไชยพระอรหันต์แต่เอามาบวชเล่น ห่มจีวรแล้วคนต้องกราบไหว้นะ แล้วก็เอามาอ้างวิมานว่าบวชแล้วจะได้วิมานกุศล แล้วมันง่ายนักหรือ

ถ้าบวชเป็นพระอย่างน้อยวินัย 227 แล้วยังต้องมีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลอีก สมัยนี้บวชกันไม่มีแล้ว ศีลไม่เหลือ สมาธิ ของสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าก็ไม่เหลือ ปัญญาก็เป็นตรรกะจินตนาการไป ไม่ได้เกิดจาก ปฏิบัติมรรค 7 องค์ ไม่ได้เกิดจากปฏิบัติโพชฌงค์ 7 แต่อย่างใด

ในพระสูตร สามัญผลสูตรมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องไม่ใช่ออกป่าเขาถ้ำ อัมพัฏฐสูตรกำกับเลยว่า ความเสื่อมของศาสนาพุทธคือ หลงออกป่านั่นเอง การนั่งสมาธิหลับตานั้นไปจมกับอดีตกับอนาคต ไม่มีสัมมาอาริยะมรรค 7 ไม่มีอายตนะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยในปฏิจจสมุปบาทว่า มีตัณหา 6 จาก ทวารทั้ง 6 ให้ศึกษาอันนี้ อย่างลืมตา ปัจจุบันแล้วกำจัดตัณหานี้

ในพรหมชาลสูตรท่านว่าผู้ไปนั่งหลับตาสมาธิคือพวกไม่รู้ไม่เห็น เป็นพวกแส่หาด้วยตัณหาทั้งนั้น ท่านตรัสไว้แรงนะ แต่เขาก็ไม่กระเตื้องกันเลย เมื่อไหร่จะกระตุกต่อมความเข้าใจของเขา ที่พูดนี้เพื่อให้คุณรู้สึกแล้วเปลี่ยนแปลง เลิกทางผิดเสียที

ในโสณทัณฑสูตร ท่านว่า จะเป็นพราหมณ์จะรู้กันด้วยอะไรบ้าง? ด้วยโคตร ด้วยความรู้ ด้วยรูปงาม ด้วยศีลและปัญญา สุดท้ายแล้วก็ไล่เรียงกันว่า คนจะบรรลุนั้นไม่เกี่ยวกับโคตร หรือการรู้มนตราพระเวทย์ เป็นดร.ทางศาสนาไม่ใช่ ไม่ใช่ด้วยรูปงาม ผิวพรรณดี แต่ว่าศีลกับปัญญานี่สิ ทิ้งไม่ได้ เลิกไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้นท่านก็ยืนยันอีก

 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จากนั้นก็เป็นจรณะ 15

 รูปฌาน 4

ภิกษุนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง บรรพชิตทั้งสองนั้นกล่าวว่าท่านผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นหรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ดูกรผู้มีอายุ ข้อนั้นเรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เราจึงมิได้กล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง.

พ่อครูว่าสรีระหมายถึงร่างข้างนอก สรีระไม่ใช่กาย สรีระ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อสรีรัง มโนไม่ใช่สรีระ สรีระคือข้างนอก ชีวะนั้นคือ จิตนิยาม เพราะคนมีจิตนิยามแล้วเป็นชีวะ ส่วนพืชเป็นพีชนิยามก็เป็นชีวะที่มีแค่ สัญญากับสังขารไม่มีธาตุรู้ที่จะรู้กว่านั้นส่วนจิตนิยามนั้นรู้แต่ขั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีกรรมครอง

ความเป็นชีวะในระดับจิตนิยามมันไม่ใช่สรีระ ต้องเรียนรู้การแยกกายแยกจิต กายเป็นสรีระส่วนหนึ่ง กายเป็นนามธรรมส่วนหนึ่ง แต่กายคือธรรมะสอง คือภายนอกและภายใน และขาดภายในไม่ได้ด้วย คนจะบรรลุธรรมได้ต้องแยกกายแยกจิตออก

โลกุตรธรรมข้อแรกคือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม หากไม่เข้าใจกายอย่าง

ภิกษุนั้นบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ดูกรผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง บรรพชิตทั้งสองนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ดูกรผู้มีอายุเรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เราจึงมิได้กล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง.

ภิกษุนั้นมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไปบรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขดูกรผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:30:14 )

590428

รายละเอียด

สรรค่าสร้างคนวันพายุฤดูร้อน590428_รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สรรค่าสร้างคนวันพายุฤดูร้อน

พ่อครูว่า...วันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. 2559 แรม 2 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก เราก็มาเรียนกันต่อ ผู้ใดที่ใส่ใจก็มาเรียน ผู้ไม่ใส่ใจก็แล้วไป อาตมามีหน้าที่แสดงธรรม ตามที่สมควร อาตมามั่นใจในสิ่งที่พาทำ จนเป็นหมู่มวลเป็นชุมชนที่แข้มแข็งแล้ว

ลักษณะชุมชนเข้มแข็ง 14 ประการ

1.เป็นสังคมที่เห็นได้ชัดในลักษณะของคนมีศีล มีคุณธรรม มีอาริยธรรม

2.เป็นสังคมที่สามารถพึ่งตนเองได้ ไม่เป็นภาระผู้อื่น

3.มีงาน มีกิจการที่มั่นคง

4.ขยัน สร้างสรร ขวนขวาย กระตือรือร้น

5.อยู่กันอย่างผาสุก สุขภาพแข็งแรง จิตใจเบิกบานร่าเริง

6.ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่รุ่งเรืองฟุ้งเฟื่อง ไม่ผลาญพล่าสุรุ่ยสุร่าย

7.มีความประณีต ประหยัด แต่เอื้อเฟื้อสะพัดแจกจ่าย ละเอียดละออ ประหยัด

8.ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีอบายมุข ไม่มีทุจริตกรรม

9.มีความพร้อมเพรียง สามัคคี อบอุ่นและเป็นเอกภาพ

10.สัมผัสได้ในความเป็นปึกแผ่น แน่นหนาของความเป็นภราดร

11.เป็นชุมชนที่แข็งแรง มั่นคง ยืนหยัด ยั่งยืน

12.เป็นสังคมที่สร้าง”ทุนทางสังคม” มีประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่นและสังคมทั่วไปในรอบกว้าง

13.เป็นชุมชนอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่สะสม หรือกอบโกย

14.เป็นชุมชนมีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ เสียสละอย่างสุข และเห็นเป็นคุณค่าของคน ตามสัจธรรม

ชุมชนเรามีความเที่ยงแท้ยั่งยืน เพราะมีคนที่มีคุณสมบัติถึงขีดขั้นไม่เปลี่ยนแปลงได้ อาตมาไม่ได้ตกใจ อาตมาเห็นถึงความเสื่อมอยู่ แต่ว่า

พุทธศาสนาจะไม่เสื่อมก็เพราะว่า

1.ไม่แต่งตั้งบุคคลขึ้นมามีอำนาจใหญ่รวมศูนย์ขึ้นมาที่คนเดียว

2.ธรรมเนียมหรือวิธีการบวชต้องถูกต้องตามธรรมวินัย ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม และต้องบวชเพื่อนิพพาน ถ้ามาบวชเล่นบวชหัวนี้เสื่อม

3.ไม่มีการบวชเล่นบวชลอง มีแต่บวชเพื่ออยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีวิตเท่านั้น

4.การฟังสวดปาติโมกข์ของสงฆ์ทุกปักษ์ต้องจริงจัง คนทำผิดวินัยก็ต้องปลงอาบัติและถูกลงโทษจริง ต้องทำจริงไม่ใช่แค่เป็นพิธีการไปนั่งเป็นพระอันดับ

5. การยังชีพของภิกษุสามเณรต้องไม่ผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

6.ทรัพย์สินส่วนกลางต้องมีไวยาวัจกร ไม่มีเป็นส่วนตัวของใคร ภิกษุสามเณรเป็นเจ้าของไม่ได้

7.ต้องเรียนรู้กามกับอัตตาแล้วลดละได้จริง

 

 

อาตมาไม่เรียกร้องว่าคนจะมาเพิ่ม แต่ก็เห็นว่ายังทรงไม่ได้ลดและก็เพิ่มมา ที่อาตมามั่นใจก็เพราะว่า คนต้องมาเอาระบบนี้อย่างที่เราทำนี่แหละ

 

และคนจะต้องหันมาเอากับระบบบุญนิยม เพราะ

1.ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง  ขาดแคลน  ไม่พอกันจริงๆ

2.พลโลกมากขึ้น

3.แย่งทรัพยากรกันหนักขึ้น

4.กิเลสแรงมากขึ้น

5. คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น  เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น  ไร้ความไว้วางใจ  หวาดระแวงกันมากขึ้น  ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น  ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น

6.มีตัวอย่างของสังคม(บุญนิยม) ที่ไปรอดได้แล้ว

7.ไม่มีทางเลือกอื่นดีกว่านี้อีกแล้ว

8.ระบบบุญนิยมนี้ยั่งยืนดีจริง

 

เราก็ทำสืบทอดมาให้สู่เยาวชนด้วย มีศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา มาเป็นศีลเข้ม เต็มงาน ชำนาญวิชา แล้วก็เป็นศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

(ตอนนี้พายุฤดูร้อนเข้า ลมแรงที่ศาลา)

 

อาตมาพยายามเอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า มีหลัก 0 มักน้อย แล้วสันโดษ น้องลงให้พอ ลดลงให้พอ จนที่สุดเป็น 0 ให้ได้ เป็นสามเส้านี้ ถ้าใครไม่เข้าใจอันนี้ไม่ถึงที่สุด ถ้าใครเข้าใจแล้วทำได้จริงก็จะชัดเจน ในหลวงเราตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรานี่สุดยอดแล้ว คนก็ยังไม่เข้าใจ เราก็พยายามพิสูจน์ความจริงอันนี้กัน

(พายุฤดูร้อนเข้าอย่างแรง จนพ่อครูต้องหยุดเทศนาไปพักหนึ่ง)

 

อาตมากำลังพูดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ทางด้านศาสนาก็ตาม แต่การศึกษายังไม่กระเตื้องเลย ไม่กระดิก แต่ด้านศาสนากำลังเข้าไคลไม่รู้ว่าใครจะน็อคใคร เศรษฐกิจก็เหมือนกัน ใครจะบอกว่าเศรษฐกิจเมืองไทยกำลังแย่ก็ตามแต่กำลังตัดสิน ไปพร้อมกันเศรษฐกิจ ศาสนา การเมือง อาตมาได้พยายามประมวลภาษามาถามพวกเราและสังคม

ถามว่า คุณธรรมจริงๆของมนุษย์นี่ ตอนนี้อาตมาเห็นเหตุการณ์ของสังคม เขาดีใจกันว่า น้องเมย์ไปชนะเกมส์แล้วก็ดีใจกันทั่วประเทศ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่าเรามาศึกษา ถ้าเรามีพลังงานแล้วเอาพลังงานไปตีลูกขนไก่จนชนะใครเขาได้ กับเอาพลังงานนี้ไปปลูกผักพืช ทำผลผลิต ทำปุ๋ย ทำยา หรือปัจจัย 4 อันจำเป็น เอาพลังงานสร้างอันนี้ มีผลผลิต  แบบที่เราเอาพลังงานไปชนะเขากับเอาไปแพ้เขา อันไหนเป็นคุณธรรมที่ดีที่ควรกว่ากัน

การแพ้ชนะ แล้วก็การใช้พลังงานแคลอรี่ อันหนึ่งไปตีลูกขนไก่ได้ชนะเขา แต่อันนี้สร้างแล้วมีผลผลิตเหลือ แล้วเอาไปเสียสละให้เขา อันไหนมันดีกว่ากันมันควรกว่ากัน

(ไฟฟ้าในศาลาดับอีก แต่เสียงออกอากาศได้อยู่ เลยให้คนฟังมาฟังหน้าพ่อครูจะได้ใช้เสียงไม่มาก ต่อมา ไฟฟ้าก็มาแสงสว่างก็มาอีกครั้ง พ่อครูก็ปักหลักบรรยายธรรม และคนฟังก็ปักหลักฟังกันอยู่)

ขณะนี้ พล.อ.ตู่ แสดงนัจจะคีตะวาทิตะ อาตมาอ่านว่า เป็นคนมีศิลป์และมีศาสตร์ ขอเปรียบเทียบว่า คุณชวนเรียนศิลปะมา แต่มีศิลป์และศาสตร์สู้คุณตู่ไม่ได้ คุณชวนเป็นนายกฯสองสมัยนะ มีศิลป์และศาสตร์สู้พล.อ.ตู่ไม่ได้มองตามภูมิอาตมานะ

การเมืองใหม่ที่เป็นปชต.แท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน .

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ .

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) . .

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

ยุคนี้ไม่เหมือนยุคพระพุทธเจ้าหลายอย่าง มีเทคโนโลยีเป็นต้น มีความซื่อสัตย์ต่างกับยุคพระพุทธเจ้าด้วย ยุคนี้ความซื่อสัตย์น้อย กว่ายุคพระพุทธเจ้ามาก

ยุคนี้ซื่อสัตย์แล้วต้องฉลาดอีก เพราะคนแย่มาก ไม่งั้นสู้ไม่ได้นะ

เราทำแล้วไม่ได้เอาชนะแบบที่คนชมน้องเมย์แต่เรานี่ทำไปแบบไม่เอาอะไรคืนเลย เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น ตรงแหนวไม่มีบูมเมอแรงเลย

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มายืนยัน มาเจอในมหาจัตตารีสกสูตรว่า สยังอภิญญานี้เหนือว่าปัจเจก คือใกล้สยัมภูแล้ว อาตมาเข้าใจอันนี้ก็เลยว่าเราหรือเปล่า แต่ก่อนนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะพูด ไม่น่าไปตีขลุมว่าเป็นเรา แต่มาถึงวันนี้ 56 ปีแล้ว คือที่อาตมาพูดเช่นนี้เพราะรอพระโพธิสัตว์ผู้พี่โผล่มา ถ้ามีก็ไม่ใช่อาตมาที่เป็นสยังอภิญญา แต่นี่ไม่มีโพธิสัตว์ผู้พี่ อาตมาก็ตีขลุมได้ ถ้ามีอาตมาก็ถอนตัวไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้ามีจริง โลกไม่เสียหายหรอก มีก็ยิ่งดี อาตมาจะได้เบาลง มีคนช่วย

ขณะนี้ ที่กำลังก้าวหน้ามาสู่ความเข้าใจแต่ละคนมาเรื่อยๆ อันนี้คือของจริงของประเทศไทย อาตมาไม่เก่งต่างประเทศ ต่างประเทศก็มีต่างๆนานา แต่อาตมาไม่ค่อยรู้ แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีขนาดนี้ ก็ต้องรู้กันจนได้ อาตมาไม่ได้เป็นคนหลับหูหลับตา ก็รู้แนวหน้าเหมือนกันไม่ได้อยู่แนวหลัง

กัมโยนิ กรรมเป็นของๆตน

กัมมพันธุ คือ คลังเก็บสมบัติของตน เป็น

 

อาโปธาตุ คือกัลละ ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)

ศาสนาคริสต์เขามีเรือโนอาห์แล้วเราก็มีเรืออยู่มากนะหมู่บ้านเรา

 

มีลักษณะ 7 ส.ที่คนควรจะได้ 7 ส. 1.สุข 2. สูง(จิตใจ) 3. สร้างสรร 4. เสียสละ 5. สมบัติ 6. สูญ(ปล่อยวาง) 7. สัมบูรณ์.

 

สุข มาจากคำว่า สุ แปลว่าดี กับคำว่า ข แปลว่า ว่าง สุดท้ายสุขคือไม่มีอะไรเหมือนกันคือ ดี กับว่าง

สูง ก็คือไม่มีที่ไปแล้ว

 

พวกเรานี้มีใครอยากไปชุมนุมอีกบ้าง เรามี การใช้ Neo  protest มีหลักว่า สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น แต่ก็คงไม่ได้ออกไปง่ายๆหรอก

เมืองไทยเราสำคัญในโลกอยู่นะ อย่างน้อยประเทศที่มีในหลวง เรามีในหลวงที่ มีพระนามว่า ภูมิพล คำว่าภูมิแปลว่าแผ่นดิน คำว่า พล แปลว่า พลัง การพยากรณ์ว่า คนนี้ชื่อนี้ๆไม่ต้องพยากรณ์ หากมีจริงจะลงตัวเอง เหมือนอาตมาไม่สงสัยว่า ทำไมอาตมาชื่อ รัก รักพงษ์

เรามั่นใจแล้วทำให้ดี คนถามว่า อาตมาอายุขนาดนี้เปลี้ยเพลียหรือไม่นะ อาตมาผอนนี่ผอมแก่น แน่น แข็งนะ ไม่ใช่สวกๆเหมือนคนอ้วน คนอ้วนนี่ไม่แข็งนะ แต่ผอมนี่แน่นแก่นนะ ไปมองว่า อาตมาผอมๆนี่เปลี้ยเพลียไหม ก็จะไปเพลียทำไม

ทฤษฎีงาน 19 ข้อ

ข้อ 1ถึง 3 คือทุนแท้

1. มีคนที่ดี 

2.มีงานที่ดี  

3.ความรู้ความสามารถที่ดี 

นี่คือทุนแท้

4.เวลา โอกาส เราต้องดู กาลัญญุตา อันควร ถ้าทำผิดกาละ ก็พังได้ง่ายๆ

5.ทุนที่เหมาะควร เป็นวัตถุ

เป็นทุนแถม

6.สุขภาพร่าง กายกำลังกายดี

7.มีความขยัน อุตสาหบากบั่น

เป็นทุนเสริม

8.มีหลักเกณฑ์ มีระเบียบ มีเป้าหมาย

9.มีการจัดสรรและจัดโครงการ

10.มีการแบ่งงาน และ ประสานเนื่องหนุน

11. มีกระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย

12. มีการปรับใจกันให้เกิดความเข้าใจกันเสมอ

13 . มีการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเสมอ คือ ตำหนิติติงกัน พยายามมีศิลปะ ให้อีกคน เขาเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม กาย วาจา ใจ

14. มีความเห็นดี ยินดี จะมีความเข้าใจว่า ดีอย่างไร

15. มีความเห็นจริง ซาบซึ้งเชื่อมั่น

16. มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา

17. มีฌาน สมาธิ อุเบกขา 

18. มีความเสียสละแท้

19. มีพลังเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน (เอกีภาวะ ที่มีวิมุติเป็นพลัง)

วันนี้ฝนฟ้าพายุก็แพ้เรา เราอึดกว่า เรายังไม่ขาดใจ ยังมีแรงก็ว่าไปแต่ละคนๆได้การศึกษา ตอนนี้เราก็มาดูด้านการศึกษากับด้านสุขภาพ สองด้านนี้เรายังไม่เก่ง เราจะทำกันไปอีก ตอนนี้ ในบุญญาวุธ เรามี 7 หมายเลข

บุญญาวุธ ของชาวอโศก

1.มังสวิรัติ

2.ตลาดอาริยะ

3.กสิกรรมไร้สารพิษ

4.สุขภาพบุญนิยม

5.การศึกษาบุญนิยม

6.สื่อสารบุญนิยม

7.การเมืองบุญนิยม

 ก็ต้องเร่งรัดด้านสุขภาพกับการศึกษาเพิ่มเติม ถ้ามีนายแพทย์ชาวอโศกมาประจำได้ก็จะสมบูรณ์ขึ้น

จบ

footnote

590428_พายุฤดูร้อนพัดเฮือนศูนย์สูญ ที่บ้านราชฯ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. 2559 ประมาณ 18.30 น. ขณะที่พ่อครูเทศนา พุทธศาสนาตามภูมิที่บ้านราชฯ ไปได้สักครึ่งชม. พายุฤดูร้อนได้พัดมาอย่างแรงที่เฮือนศูนย์สูญ ข้าวของปลิวเกลื่อน จนพ่อครูต้องหยุดเทศนา ตู้กระจกที่ใส่อาหาร ตกลงมาแตกกระจาย กระดาษปลิวว่อน แต่สัญญาณถ่ายทอดสดยังออกอากาศได้ทางบุญนิยมทีวี พ่อครูรอให้ลมพายุสงบลงบ้างแล้ว ผ่านไปประมาณ 15-20 นาที พ่อครูจึงได้เริ่มเทศนาต่อ แต่ว่า เทศนาต่อไปได้อีกสักพักประมาณ 10 นาที ไฟฟ้าในศาลาก็ดับลงอีก แต่ว่า ไฟสำรองที่จ่ายให้กับกล้องและสวิชชิ่งยังทำงานอยู่ เสียงในศาลาดับไปแล้ว แต่พ่อครูและลูกๆก็บอกว่าไม่ยอมแพ้ พ่อครูเทศนาต่อ โดยเสียงสดไม่ออกลำโพงในศาลา ลูกๆก็ลุกมานั่งฟังหน้าพ่อครูใกล้ๆเพื่อให้พ่อครูใช้เสียงน้อยลง แม้เสียงในศาลาไม่ออกแต่เสียงออกอากาศก็ยังออกได้ดี พ่อครูเลยเทศนาต่อไปอีกสัก 10นาที จากนั้นไฟฟ้าก็กลับมาให้ความสว่างและให้เสียงออกจากลำโพงได้อีกครั้ง พ่อครูจึงได้เทศนาต่อจนจบรายการ

ไม่มีเวลาใดที่ไม่ควรเปิดเผยธรรมะ ทุกวินาทีจึงเป็นวินาทีแห่งธรรมะ วินาทีแห่งบุญแท้ๆ ของเหล่านักปฏิบัติธรรมที่ตามฟังธรรมพ่อครูอย่างใกล้ชิด จะไม่ยอมเสียเวลาแม้นิดแม้น้อยในการไม่ตั้งใจฟังพ่อครู.... เพราะเวลาที่พ่อครูจะได้เทศนาธรรมนั้นมีจำกัด และเวลาที่ลูกๆแต่ละคนจะได้ฟังธรรมก็ยิ่งจำกัดอีก

แม้มีพ่อครูผู้สยังอภิญญา ที่อุตาหะพากเพียรแสดงโลกุตรธรรมอยู่แทบทุกวัน หากไม่ไขว่คว้าหาโอกาสฟังธรรม ทำความเข้าใจในธรรม นำธรรมะนั้นไปปฏิบัติทำใจในใจให้แยบคาย ให้เกิดผล บรรลุธรรมไปตามลำดับ ... ก็จะเป็นโมฆบุรุษได้ เสียชาติเกิด

หลังจบรายการ ลูกๆชายชาตรีทั้งหลายก็ร่วมใจร่วมแรงกันยกทางขึ้นเรือพ่อครูที่ได้ถูกลมพายุพัดให้หลุดร่วงลงไปจากโขดหินให้กลับมาที่เดิมอย่างสามัคคี คือพลัง และช่วยกันเก็บข้างของที่เสียหายให้เรียบร้อย ก่อนจะต้องไปสำรวจความเสียหายจากพายุฤดูร้อนครั้งนี้

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:30:55 )

590429

รายละเอียด

590429_พุทธศาสนาตามภูมิ ชาลิยสูตร และสูตรอื่นๆ

          พ่อครูว่า...วันนี้ วันศุกร์ที่ 29 เม.ย. 2559 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก เราก็มาศึกษากันต่อ ก่อนจะไปชาลิยสูตร ก็ไปดู sms ก่อน

Sms 29 เม.ย.59

0888262xxx ธรรมกายอบรมครูกับนักเรียนไม่ได้ให้ธรรมทาน แต่รับจ้างอบรม คือเป็นรายหัวเลยครับ

0856013xxx ผมคนแพร่ก็ดูบุญนิยมคร้บ

0893867xxx ยิ่งขยายป่าคอนกรีต!ป่าไม้ ก็ยิ่งถูกทำลาย!เพราะปูนหินอิฐดินทรายที่ใช้ก่อสร้าง ป่าคอนกรีตเอามาจากป่าธรรมชาติทั้งนั้น! ก็รู้ว่าอุตสาหก.วัสดุก่อสร้างก็ล้วนมีความสำคัญในการพัฒนาปท.แต่ทำไมไม่ปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัยพอเพียงเป็นหน่วยงานพอเหมะพอดีเหลืองบปม.คืนท้องถิ่นบ้าง?

0816956xxx กรมป่าไม้ กรมตำรวจ นักการเมือง ป่าไม้ยังถูกทำลาย ยังมีโจรผู้ร้าย ประเทศยังยากจน สามองค์กรณ์นี้มีไว้ทำไม ขอแถมหน่อย มีพระสอนผิดไม่รู้จะมีไว้ทำไม ก ท ม

พ่อครูว่า ลดกิเลสนี้มันต้องตั้งใจ สมณะนักบวชภิกษุนี้บวชมาเพื่อลดกิเลสนะ แล้วเขาลดกันหรือไม่

คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งถ้าปล่อยให้ชีวิตไหลไปกับโลก ก็เป็นโมฆบุรุษ ไม่สามารถลดกิเลสให้เป็นอาริยบุคคล จึงจะไม่โมฆะ หากลดไม่ได้ก็พยายามศึกษาติดสัญญาไว้ ติดฮาร์ดดิสก์ เราบารมีไม่ถึงก็พากเพียรไป เป็นโคตรภูบุคคล พากเพียรไป พระพุทธเจ้าสรรเสริญแม้ไม่บรรลุ

ถ้าไม่เจอผู้สอน ไม่มีทฤษฎีหลักการที่ถูกต้อง เมืองไทยเรามีอยู่ในศาสนา เป็นหลักการ ร่ำร้องบรรจุในรธน.ว่าให้เป็นศาสนาประจำชาติ แต่ทุกวันนี้นักบวชแทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดี กลับเป็นตัวอย่างที่แย่กว่าฆราวาสเสียอีก แต่งกลอนหลักที่ควรจะเป็นหลักให้ศาสนาพุทธกลับไม่เป็นมีแต่เพียงพฤติกรรมประชาชนได้อาศัยเพียงแค่เป็นจารีตประเพณีของสังคมในการดำเนินชีวิตไปเป็นสีลลัพพตุปาทาน แค่จารีตประเพณี ที่ไม่ใช่จารีตประเพณีของพุทธศาสนาด้วยเป็นเพียงเนื้องอกของศาสนาพุทธวันที่ท่านพุทธทาสภิกขุว่า ตั้งแต่ร่วมกันสวดมนต์ไปเลยไม่ว่าพิธีกรรมใดๆตั้งแต่เกิดจนตาย

ไม่ว่ากรมป่าไม้กรมตำรวจหรือแม้แต่พระทำผิดไ อาชีพเหล่านี้มีไว้สำหรับทำงานเลี้ยงชีพตามองค์กรต่างๆของสังคมนั้นๆ

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมการละสักกายทิฏฐิ,วิกิจฉา,สีลัพพตปรามาสในสังโยชน์3ทำให้เข้าถึงโสดาบัน ขั้นเอกพีชี,โกลังโกละ,สัตตักขัตตุปรมะสาธุ

ถ้าผู้น้อยอธิบายธรรมในพระตปฎ.ไม่ถูกตรงตามที่พ่อครูอ่านฯกราบขออภัยฯ

0893867xxx ญตธ.ไกลอโศกจะเบื่อโลก ทันทีถ้าวันไหนพ่อครูไม่สอนฤาเทศนาธรรม!ธรรมพ่อครูช่วยแก้เบื่อโลกธรรมดีที่ สุด!สื่อฟ้าศิลป์ติดธรรม จรธ

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านๆต้องห้ามเหนื่อย ห้ามเบื่อห้ามหยุดที่พูดกระทุ้งเรื่องกิเลส หลงลาภยศสรรเสริญฯลฯให้มีจิตสำนึกกันบ้าง พ่อท่านพูดจริงไม่หยาบเจ้าค่ะ

0893867xxx พ่อเมืองติดดินตามรอยพ่อหลวงฯหายากยิ่งสวนกระแสโลกที่มีคนที่เดินตามระบ.ทุนการม .นิยมมากกว่า! ผู้น้อยเคยเจอพ่อเมืองที่งานรวมใจปกป้องสถาบันฯและให้กำลังใจป๋าเปรมสมัยเป็นผู้ว่าฯพิษณุโลกท่านไม่เจ้ายศเจ้าหยิ่งเป็นกันเองกับทุกคน!นับถือฯอดีตมวลเสริมงาน พธม.สัญจรพิษณุโลก

0864484xxx บุญนิยมทีวีดูแล้วสัมผัสบุญทุกวินาที สาธุ/ชนะดี

 

อาตมาก็ยังว่า คณะรบ.ชุดนี้มีสิ่งที่ดีอยู่นะ

1.รบ.นี้ขยัน ไม่มีรบ.ไหนที่ผ่านมา 28 คณะ ที่จะเป็นรบ.ทำงานขยันอย่างคณะนี้ เอาจริง ปฏิรูป เพราะมันเละกันมาเยอะ อันนี้ต้องเห็นใจผู้ที่ปฏิรูป มันไม่ใช่เรื่องสามัญ คนเขาทำการเมืองแบบนี้มา 83 ปีแล้วย่ำแย่จริงๆ ยิ่งกว่าดินพอกหางหมู เน่าในหนักหนาสาหัส

มาเข้าสู่ พระไตรปิฏก ชาลิยสูตร ในเล่ม 9 ที่ตั้งชื่อว่าศีลขันธวรรค ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีล พูดให้สีหานาทเลย ปีนี้ตั้งชื่อ งานอโศกรำลึกว่า “ 45 ปี สีหนาท เพชรพุทธสุดยอดศิลป์” ก็พูดให้ดังอย่างราชสีห์ ให้รู้ว่า ไม่มีศีลแล้วนะศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่วินัย 227 ได้ยินกันไหม ศาสนาที่ไม่มีศีลแล้วเลิกเลย

ชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนพุทธ นักบวชไม่ละเมิด มหาศีล แม้แต่สมาชิกฆราวาสก็ไม่มีเดรัจฉานวิชชา ในมหาศีลนี้ปลอดภัยคือศีลใหญ่กว้างจะต้องหยุดเลย แต่จุลศีลเป็นแต่ละข้อที่พึงทำไปตามลำดับ ปริตตัง ตั้งแต่ศีล 5 เป็นพื้นฐาน ในจุลศีล 26 ข้อ มหาศีลเป็นศีลองค์รวม มัชฌิมศีลขยายจากจุลศีล

 

7. ชาลิยสูตร
 

เรื่องของมัณฑิยปริพาชกและชาลิยปริพาชก
 

             [256] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้นแลบรรพชิต 2 รูป คือ ปริพาชกชื่อมัณฑิยะรูป 1 เป็นปริพาชก ซึ่งเป็นศิษย์ของอุปัชฌาย์ผู้ถือบาตรไม้  ชื่อชาลิยะรูป 1 เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมผู้มีอายุ ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรผู้มีอายุ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว บรรพชิต 2 รูปนั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสว่า ดูกรผู้มีอายุ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คหบดี บุตรคหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธา
แล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่งการที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตสมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท
ทั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล.
 

รูปฌาน 4 วิชชา 8

 

พ่อครูได้กล่าวต่อถึง มหาจัตตารีสกสูตร

7. มหาจัตตารีสกสูตร (117)
 

             [252] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมา-
*สมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
             [253] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมา-
*สมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แลเรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ

พ่อครูว่า ทุกอิริยาบถที่มีอยู่ปฏิบัติได้อย่างลืมตาไม่ได้หลับตา ทำงานอาชีพถ้าหลับตาตายแน่ๆ เช่นการขับรถเป็นต้น อาตมาพูดยืนยันมา 46 ปีแล้ว ก็จะพูดยืนยันความถูกต้องของพระพุทธเจ้าเช่นนี้แหละใครฟังได้ก็ฟัง เพื่อจะกระตุกต่อสำนึก ที่ควรรู้กันว่า ศาสนาพุทธคืออะไร แล้วที่เป็นนี้แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปถึงไหนแล้ว ที่นั่งสมาธินั้น สูตรแรกเลย พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตรว่าไว้ ว่า มีแต่อดีต อนาคต มิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น

ในธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าไม่เข้าใจแม้แค่สัมมาสมาธิ ที่เป็นองค์ที่ 8 ของหลักสำคัญ ทางเอก แล้วท่านก็ตรัสไว้ชัด *สมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล

เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ

แต่สำนักต่างๆกลับไปนั่งสมาธิ ทั้งที่ สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่กับชีวิตประจำวันไม่ได้แยกส่วนเลย แล้วก็จะต้องฝึกจิตให้อ่าน ผัสสะเป็นปัจจัยตามพระสูตรต่างๆ เช่น เล่ม 10

คำว่าชีพหรือสรีระนี้ พระพุทธเจ้าตรัสในเล่ม 9 พระสูตร แต่เล่มที่ 10 นี้ท่านก็จะขยายผล ตั้งแต่มหาปธานสูตร จากนั้นก็ไม่ได้อธิบายขยายความถึงบทปฏิบัติเท่าไหร่ จกระทั่งมาถึง มหานิทานสูตร พอมหานิทานสูตรนี้แหละ เริ่มเข้าสู่การขยายความของหลักธรรม

พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า มหานิทานสูตรนี้ ท่านพระอานนท์ ตรัสกับพระพุทธเจ้า

 

2. มหานิทานสูตร (15)
 

             [57] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ
นามว่า กัมมาสทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง
ที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลความข้อนี้กะ
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะ
เป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น
อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์
เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจ
ด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุง
กระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร

 

พ่อครูว่า ทุกวันนี้แม้คนตกหมุนวนในวัฏสังสารนั้นแต่ก็ไม่เคยรู้ เต็มไปด้วยการแย่งโลกธรรม บำเรอกิเลสไป นั่นแหละคือทุคติวินิบาต ในสงสารนี้ตลอดเวลา เป็นผู้ อชานโต อปัสสโต คือผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นผู้แส่หา แสวงหา ดิ้นรนด้วยตัณหาอยู่นั่นแหละในพรหมชาลสูตร

แม้จะศึกษาสูงส่งอย่างไร เลี้ยงชีพอย่างไรไม่เคยเป็นสัมมาอาชีวะด้วย แล้วซับซ้อนด้วย คือผู้ที่ได้สมในลาภ ยศ อาชีพ ไม่ว่าจะเป็นลาภที่ได้ทางเป็นนักธุรกิจ เป็นข้าราชการ หรือแม้เป็น กรรมกร ผู้ทำงานทั่วไป เป็นนักผลิตก็ตาม ก็วนเวียนอยู่ในสงสารนั้น แล้วแย่ง โลกธรรม เอามาเสพสุขทางกาม เอามาเสพสุขทางอัตตา ให้กิเลสได้รับการบำเรอ โดยไม่รู้ว่า สักกายะตัวองค์ประชุมรูปนาม ให้รู้จักพิจารณา กาย เวทนา จิต ให้รู้จัก สราคะ สโทสะ สโมหะ ที่เป็นเจโตปริยญาณ 16 แล้วทำอกุศลในจิตให้ดับได้จริง ไม่ได้รู้เรื่องเลย ไม่รู้จักเวทนา 2

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

ผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องรู้จัก โพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่ กายในกายเป็นข้อแรก จนข้อสุดท้ายคือ เป็นอุเบกขา สูงสุดในสมาธิ

โพธิปักขิยธรรม 37

1.      สติปัฏฐาน 4 .        สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์

2.      สัมมัปปธาน 4 .      ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส

3.      อิทธิบาท 4   ทะยานยันไปสู่ความสำเร็จ

4.      อินทรีย์ 5 .   สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต 

5.      พละ 5 .                 ขุมกำลังธรรมะของจิต

6.      โพชฌงค์ 7 .         การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้

7.     มรรคมีองค์ 8         ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้

 

เทียบกับโพชฌงค์ 7

1. สติสัมโพชฌงค์ . .                 -->     สติปัฏฐาน 4 .

2. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ .          -->     สัมมัปปธาน 4 .

3. วิริยสัมโพชฌงค์                   -->     อิทธิบาท 4 .

4. ปีติสัมโพชฌงค์                    -->     อินทรีย์ 5 .

5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์              -->     พละ 5

6. สมาธิสัมโพชฌงค์ .               -->     โพชฌงค์ 7 .

7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ .          -->     มรรคมีองค์ 8 .

ล้วนอาศัยวิเวก  วิราคะ  นิโรธ อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตัง  วิราคนิสสิตัง  นิโรธนิสสิตัง  โวสสัคคปริณามิง)

ต้องอ่านอาการจิตออก อย่าง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ทำเวทนา สองให้เป็นหนึ่งได้ จากอารัมนะ คือเป็นรูปที่มีลักษณะขึ้นมา มี สสัมภาระอย่างไร แล้วมีอารมณ์อย่างไร อารัมนะ แล้วมีสมมุติอย่างไร ก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุทเทส เรียกตามภาษาสมมุติ รู้อธิวจน ของรูปกาย ขององค์ประชุมที่ถูกรู้ด้วยเรา มาประชุมกันเป็นนามกาย เมื่อมีปฏิฆสัมผัสโส แล้วจึงมารู้สสัมภาระ มีอารัมมนะ อย่างไรมีชื่ออย่างไร อารมณ์นั้น เช่นสุขเวทนาทุกขเวทนา เป็นอาการอย่างไร แยกเวทนาเป็นมโนปวิจาร 18 เกิดอารมณ์ที่เป็นสุข ทุกข์ อย่างเคหสิตเวทนาที่เป็นโลกีย์แล้วเราจะทำอย่างไรให้เวทนาในเวทนานี้ไม่มีอาการ สอง

รูปอย่างหนึ่งเป็นโลกียะเป็นรูปทิพย์ รูปอย่างหนึ่งเป็นรูปธรรมดาสามัญของมัน เช่น เราเห็นมะละกอ กำลังเหลืองๆ กำลังดี จินตนาการไปเลยสัมผัสแล้ว คนเรามีไหวพริบ สัมผัสแล้วก็เกิดอารมณ์มีสสัมภาระ มีอารัมนะ มีสมมุติสัมผัส เกิดอารมณ์แล้วแยกอารมณ์สองออก ที่เป็นธรรมะสอง อารมณ์หนึ่งเป็นอารมณ์ของจริงตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ว่ามะละกอนี้เป็นเช่นนี้ ถ้าสวนอื่นก็อีกอย่าง แต่อีกอันหนึ่งเป็นรูปทิพย์รสทิพย์ เป็นอารมณ์โลกีย์ที่ปรุงแต่งอยู่ มาจากเหตุคือกิเลสที่ไปยึดติดเป็นตัณหาเป็นตัวการไปเกิดรสชอบหรือชังเป็นเคหสิตเวทนา ก็ต้องจัดการสมุทัยนี้ ที่รู้แล้วว่าไม่ใช่ตัวธรรมดาสามัญธรรมชาติของมะละกอนี้ที่ใครมาสัมผัสก็ตรงกันหมด แต่ที่ไม่ตรงกันคือความแส่หาดิ้นรนด้วยตัณหาของแต่ละคน อ่านมันแล้วลดมันได้เป็นเนกขัมสิตเวทนาให้กิเลสออกจนกิเลสดับเหลือแต่อารมณ์เป็นหนึ่ง โดยอารมณ์เคหสิตหมดไป

มีตาทิพย์อ่านกิเลสเห็นกิเลสล้างกิเลสได้จนเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาเลย นี่คือฐานนิพพาน ฐานนิโรธ ทำให้จิตเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ เวทนาเหลือเพียงหนึ่ง เหลือเพียงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมะละกอตามธรรมชาตินี้ส่วนอารมณ์ของเราที่เราไปปรุงแต่งเกินกว่าของเดิม

ในพระไตรฯล.16 วิภังคสูตรว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาทก็รู้อาการจิตของชาติ 5

เราทำให้จิตเราเกิด นิพพัตติเป็น อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ อกุศลจิตตาย กุศลจิตเกิด จิตดีเกิด โดยการใช้บุญ บุญคือ เครื่องฆ่า บุญคืออาวุธประหาร ประหารอกุศลจิต ให้ตาย กุศลจิตก็เกิด บุญนั้นก็ไม่มี ถ้าฆ่าได้เสร็จบุญก็หมด บุญไม่มีหน้าที่มี แต่บุญคือมีหน้าที่ในการฆ่า หมดหน้าที่บุญก็ไม่มี อรหันต์คือ คนหมดบุญหมดบาป

บุญจะมีอยู่หากเราไม่หมดกิเลสเป็นพระเสขบุคคล ก็มีบุญ ปรทัตตูปชีวีคือต้องอาศัยคนอื่นที่จะทำให้กิเลสลด เป็นเสขบุคคลจึงเป็นปรทัตตูชีวกเปรต แล้วฆ่ากิเลส ทำบุญให้ได้ผล เป็นส่วนแห่งบุญ ได้ผลแก่ขันธ์ ความเป็นเปรตก็ลดลง จนหมดสัตว์นรก สัตว์เปรต ตั้งแต่โลกกาม อบาย รูปภพ อรูปภพ หมดตัณหา บุญแบ่งกันไม่ได้ กุศลก็แบ่งกันไม่ได้

บุญนั้นยิ่งใช้ได้ผล ก็มีบุญน้อยลงๆ โสดาบันก็ใช้ประมาณหนึ่ง สกิทาฯก็ใช้เท่าที่เหลือ หมดสกิทาฯเป็นอนาคาฯก็ใช้เท่าที่เหลือจนกิเลสอนาคานหมดจบก็เป็นอรหันต์ ปุญญาปาปริกขีโณ ก็ไม่มีบุญไม่มีบาป ในโลกในวงการศาสนาพุทธไม่พูดกันแล้ว

มาดูชาลิยสูตรอีกที

บรรพชิต 2 รูป คือ ปริพาชกชื่อมัณฑิยะรูป 1 เป็นปริพาชก ซึ่งเป็นศิษย์ของอุปัชฌาย์ผู้ถือบาตรไม้  ชื่อชาลิยะรูป 1 เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค

ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมผู้มีอายุ ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรผู้มีอายุ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี

คือพพจ.ว่าให้ปฏิบัติธรรมให้บรรลุแล้วจะไม่ต้องถามเรื่องนี้เลย ไม่ว่าชีพหรือสรีระ

อรหันต์นี้ทำจิตตนให้เป็นพีชะได้ เป็นพลังงานหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่มีจิตมาร ไม่มีจิตอกุศล มีจิตเดียว พีชะเป็นพลังงานปรุงแต่งชีพ ผู้เป็นอรหันต์เป็นผู้มีชีพ มีชีวะ ที่ปรุงแต่งของตนไม่เอาไปเบียดเบียนใครแยกสรีระออก คนไม่ได้เรียนรู้ธรรมจะแยกไม่ออก เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เมื่อใดไม่ใช่ชีวะ

ชีวะที่เป็นกายนั้น คือ ส่วนที่มีจิต มโน วิญญาณ ร่วมอยู่ด้วย

ผู้ใดปฏิบัติธรรมศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดผลบรรลุจะไม่สงสัยในความเป็นชีวะจะไม่สงสัยในความเป็นสรีระแยกแยะชีวะโดยสรีระออกหรือร่วมอยู่ด้วยก็แยกออก  ในนิยามชีวิต 5 อย่างไร แล้วจะทรงไว้ซึ่งการไม่กระทำอกุศลได้อีกเลยรู้ในนิยามชีวิต 5 อย่าง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:31:28 )

590501

รายละเอียด

590501_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แสงอรุณ 7 เพชรพุทธ

ส.ฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค. 2559 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก วันนี้เป็นวันแรงงานแห่งชาติ ใช้แรงงานทำให้เราแข็งแรงสุขภาพดี ยิ่งอายุมากหากไม่ใช้แรงก็ยิ่งไม่แข็งแรง หากนั่งกับที่เส้นก็จะยึด ใครเล่นคอมฯมากจะยึดแขน ไหล่ ขา แม้แต่ใช้แรงงานหากไม่ยืดเส้นก็จะยึด ใช้ต้องให้ดุลสองข้างด้วย วันนี้พ่อครูจะมาแสดงธรรมเรื่อง “แสงอรุณ 7 เพชรพุทธ”

แสงอรุณ 7 มี มิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตะ ทิฏฐิ โยสิโสมนสิการ อัปปมาทะ ถ้าไม่มีเจ็ดอย่างนี้ มรรคมีองค์ 8​ไม่เกิด แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี

พ่อครูว่า...มีกวีบทหนึ่งจะเขียนลงหนังสือเราคิดอะไร ฉบับ 311

                   “แสงอรุณ 7”เพชรพุทธ

        (1) เพชรผ่องพุทธผุดขึ้น ในใคร

        ปฏิบัติ“ทางเอก”ใน         พุทธแท้

        มรรคแปดพุทธเจ้าไข             ตามลำดับ                  

ต้องพบ“แสงอรุณ”แล้              ก่อนได้“มรรค”ธรรม

        (2) จำไว้เลยจักแก้        ปัญหา      

        แก้ที่“คน”ขุดสา-                    ระซ้อน                              

แก้อื่นเปล่าดายพา         พันยุ่ง เหยิงเฮย

        แก้กฎแก้เกณฑ์ย้อน               ยอกย้ำเวียนวน

        (3) แก้“คน”ให้เสร็จด้วย  เพชรพุทธ

        เริ่ม“เจ็ดมิติ”จุด                     แรกแล้

        จึ่งจักวิเศษสุด                       ครบสรรพ

        หากผิดพุทธพจน์แก้               บ่ได้จริงจริง

        (4) หนึ่งอิงมวล“มิตร”แท้ บัณฑิต

        มิตรซื่อมือสุจริต                    ร่วมล้อม

        สอง“ศีล”ต้องยึดติด        ปฏิบัติ จริงเลย

        “ฉันทะ”คือสามพร้อม              ส่งให้ประลุผล

        (5) สี่“ตัวตน”(อัตตา)ที่ต้อง       ศึกษา

        ห้า“ทิฏฐิ”ประธานพา              สำเร็จได้

        และหก“อัปปมา-                    ทะ”สุด สำคัญแล

        “ทำจิตในจิต”(มนสิกโรติ)ไซร้   เจ็ดแจ้ง“แสงอรุณ”

        (6) คุณค่าพุทธสุดฟ้า             โลกุตระ

        ยอดศาสตร์ยอดศิลปะ             วิศิษฏ์สร้าง

        ต้องครบเจ็ดลักษณะ               ตามพุทธ พจน์แฮ

        หากมิได้ดังอ้าง                     สูตรนี้เสียของ

        (7) มองหมายว่าจักได้           ทางเอก(มรรคองค์8)             

ตั้งแต่เริ่มปัจเจก                    คลาดแคล้ว                

“แสงอรุณเจ็ด”ไม่เสก-             สรรค์ใส่ คนก่อน

        “มรรคแปด”จึงแห้งแห้ว   หมดสิ้นสูญหวัง

        (8) ระวังงานชาติต้อง             ชัดเจน                      

        หาไม่เวรผูกเวร                    ไป่แล้ว                      

        อย่ามุ่นแต่กฏเกณฑ์               กันหนัก อยู่เลย

        “อรุณเจ็ด”เพชรพุทธแพร้ว       รีบสร้างใส่คน.

                            

                                “สไมย์ จำปาแพง”                                                   26 มี.ค. 2559

    [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 310 ประจำเดือนพฤษภาคม 2559]

 

พ่อครูว่า...ประเทศไทยให้อิสรเสรีภาพคนเลือกนับถือศาสนาลัทธิอะไรที่ดีงามในประเทศได้ แต่โดยสถานะแท้ของประเทศ มีมวลประชากร 95% นับถือศาสนาพุทธเป็นที่ศาสนาพุทธเน้นหนัก ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปทั้งโลกหรือแม้แต่ประชากรอื่นๆที่นับถือศาสนาอื่นๆก็เข้าใจดี

มาพูดถึงแสงอรุณ สุริยเปยยาล คำว่าเปยยาลคือสิ่งที่มีอยู่รอบๆพระอาทิตย์ โดยเฉพาะแสงอรุณที่จะมาก่อนพระอาทิตย์ พระอาทิตย์นี้เหมือนมรรคมีองค์ 8 เมื่อมีองค์ทั้ง 7 ดีก็จะสามารถอยู่กับพระอาทิตย์หรือใช้พระอาทิตย์หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ดีได้ประโยชน์ได้ถูกต้อง แต่ถ้าบกพร่องไปหรือไม่มีเลยปฏิบัติมรรคมีองค์แปดอย่างไรก็ไม่ได้ผล ถ้าไม่มี 7 ลักษณะนี้โดยเฉพาะข้อที่ 1 กับข้อที่ 7 ข้อที่ 1 คือมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีข้อที่ 7ก็คือโยนิโสมนสิการคือการทำใจในใจให้สัมมาทิฏฐิ

ถ้าไม่รู้ว่าจะทำใจในใจอย่างไรหรือทำอย่างไม่ถ่องแท้ถูกต้องจะปฏิบัติมรรคมีองค์แปดอย่างไรก็คงจะดิ้นตายไปเปล่าๆไม่ได้เกิดประโยชน์เพราะนี้คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม

ถ้าในขณะ พูดหรือกระทำก็ไม่รู้จักจิต ทำใจในใจไม่เป็น การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ที่จะต้องจัดการกับจิตของเรา จัดการจิตเลย คือปุญญาภิสังขาร คือต้องพยายามกำจัด หรือปุญญะ แยกแยะจับตัวกิเลสในจิตให้ได้ มีธัมมวิจัย แล้วกำจัดกิเลสไป ในขณะทำสัมมาอาชีวะ ขณะทำกาย วจี มโนกรรมก็อ่านแยกแยะมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จัดการเฉพาะอาการกิเลสตัวนี้แล้วกำจัดอันนี้ไม่ใช่สะกดจิตดับจิตไปทั้งหมดเลย นั่นไม่ใช่โยนิโสมนสิการ

การนั่งหลับตาสะกดจิตก็เป็นการทำใจในใจอย่างหนึ่ง แต่เป็นแนวทางที่ผิด ตามแบบฤาษีแบบเก่าๆเดิมๆ มีจิตสงบแต่เป็นสะกดจิตให้สงบ hypnosis ไม่มี analysis มีธัมมวิจัย ไม่มีสติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน 4 คือการวิจัย ในขณะมีชีวิตประจำวันแล้วดึงเอาสมุทัยออกมากำจัดด้วยปหาน 5 ให้เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วรักษาผลไป จนนิสรณปหาน คือสมบูรณ์แบบจบ มาแตะต้องก็สลัดหลุดได้เลยทันที เขาก็ทำไม่ถูกต้องเพราะไม่มีแสงอรุณ 7 ก่อน ไม่มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีการชักชวนให้คนมีศรัทธาสัมปทา  มีศีลสัมปทา   มีจาคะสัมปทา  มีปัญญาสัมปทา  นี้ประพฤติเป็นประโยชน์กว่า

ต้องรู้จักศาสตร์และศิลป์ ในมงคล 38 การไม่คบคนพาล ...จนไปถึงจิตเกษม เขมัง ถ้าไม่เข้าถึงสภาวะพวกนี้ก็ไม่สมบูรณ์ ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ผล เพราะไม่รู้จักในสิ่งควรรู้

  “แสงอรุณ 7”เพชรพุทธ

        (1) เพชรผ่องพุทธผุดขึ้น ในใคร

        ปฏิบัติ“ทางเอก”ใน         พุทธแท้

        มรรคแปดพุทธเจ้าไข             ตามลำดับ                  

ต้องพบ“แสงอรุณ”แล้              ก่อนได้“มรรค”ธรรม

        (2) จำไว้เลยจักแก้        ปัญหา      

        แก้ที่“คน”ขุดสา-                    ระซ้อน                              

แก้อื่นเปล่าดายพา         พันยุ่ง เหยิงเฮย

        แก้กฎแก้เกณฑ์ย้อน               ยอกย้ำเวียนวน

การไปแก้ปัญหาที่อื่นไม่แก้ที่คนแก้ไม่ได้จริงหรอก

(3) แก้“คน”ให้เสร็จด้วย  เพชรพุทธ

        เริ่ม“เจ็ดมิติ”จุด                     แรกแล้

        จึ่งจักวิเศษสุด                       ครบสรรพ

        หากผิดพุทธพจน์แก้               บ่ได้จริงจริง

        (4) หนึ่งอิงมวล“มิตร”แท้ บัณฑิต

        มิตรซื่อมือสุจริต                    ร่วมล้อม

        สอง“ศีล”ต้องยึดติด        ปฏิบัติ จริงเลย

        “ฉันทะ”คือสามพร้อม              ส่งให้ประลุผล

(5) สี่“ตัวตน”(อัตตา)ที่ต้อง       ศึกษา

        ห้า“ทิฏฐิ”ประธานพา              สำเร็จได้

        และหก“อัปปมา-                    ทะ”สุด สำคัญแล

        “ทำจิตในจิต”(มนสิกโรติ)ไซร้   เจ็ดแจ้ง“แสงอรุณ”

        (6) คุณค่าพุทธสุดฟ้า             โลกุตระ

        ยอดศาสตร์ยอดศิลปะ             วิศิษฏ์สร้าง

        ต้องครบเจ็ดลักษณะ               ตามพุทธ พจน์แฮ

        หากมิได้ดังอ้าง                     สูตรนี้เสียของ

        (7) มองหมายว่าจักได้           ทางเอก(มรรคองค์8)             

ตั้งแต่จากปัจเจก                   คลาดแคล้ว                

“แสงอรุณเจ็ด”ไม่เสก-             สรรค์ใส่ คนก่อน

        “มรรคแปด”จึงแห้งแห้ว   หมดสิ้นสูญหวัง

        (8) ระวังงานชาติต้อง             ชัดเจน                      

        หาไม่เวรผูกเวร                    ไป่แล้ว                      

        อย่ามุ่นแต่กฏเกณฑ์               กันหนัก อยู่เลย

        “อรุณเจ็ด”เพชรพุทธแพร้ว       รีบสร้างใส่คน.

 

มิตรดีคือผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมาก่อนได้ผลแล้วก็มาแนะนำว่าปฏิบัติศีลอย่างไรๆ คนไม่มีศีลสักข้อ เป็นโมฆบุรุษ ชีวิตมีแต่สร้างนรกใส่ตัวไปจนตาย ชีวิตเป็นเรือไร้หางเสือ ไร้กัปตันด้วย เคว้งคว้างไปตามลมพัดพาไปได้ ใครมาจูงดึงไปหมด เป็นสวะกลางลำน้ำ คนที่ไม่มีศีลเลยสักข้อหนึ่ง ชีวิตต้องสังวรนะ คุณไม่สังวรสำรวมไม่รู้ว่ามีศีลอะไรเลยไม่กำหนดอะไรในชีวิต  ก็ไม่ได้เป็นกัปตันแก่ชีวิต ไม่มีหางเสือแล้วชีวิตจะไปไหน?

มีแต่ทิศทางไปล่าลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุขให้แก่ตน มีแต่โลกธรรมใส่ตัว พาลงนรก พาไม่เจริญจริงๆหรอก มันถอยหลังอย่างน่ากลัว ตำราที่เรียนกันทุกวันนี้ ในหลวงว่าให้ปิดตำราเสีย มาเอาตำราของพระพุทธเจ้านี่ ตำราแบบนี้ไม่ได้พาไปอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ เลย

ไม่มักน้อย น้อยก็พอ ไม่ใจพอ ไม่มีจิตสงบจากกิเลส ไม่มี สังคมทุกวันนี้แรงดูดของนรกจัดจ้านมาก สร้างพลังงานโลกๆหลอกครอบงำกันมาก สนามแม่เหล็กโลกีย์มีเข็มทิศไปนรก กับสุขเท็จ กับสุขขัลลิกะ กับกาม กับใคร่อยากได้โลกีย์ทั้งหมด เท่านั้นแหละ ถ้าไม่เข้าใจชัดเจนอย่างที่อาตมาว่านี้ไม่ได้

คนมีศีลเป็นคนที่เป็นกัปตันชีวิตตนเองมีหางเสือควบคุมหางเสือไปทิศทางที่ถูกมี Road map ที่จะปฏิรูปปฏิวัติตนเองได้ คนมีศีลต้องมีฉันทะ หากฝืนๆมา ไม่มีศรัทธา ไม่ยินดีที่จะทำ จ้างก็ไม่ไปถึงไหนหรอก ต้องมีฉันทะจึงได้มรรคผล ต้องมีความยินดี ถ้ายินดีสัก 50 % ขึ้นไปก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ายินดีสัก 20 30 % จะไปสู้แรงสนามแม่เหล็กโลกีย์ได้อย่างไร เลย50 ไป 60 ก็ยังยากเลย ต้องสัก 70 ก็จะพอสู้ได้ สัก 3​ต่อ  4 นี่พอสู้ แต่สองต่อสองก็ยาก คุณต้องมีแรงเกินกว่าครึ่ง ย่ิงได้เต็มๆเลย มีฉันทะเต็มเลยเข้าใจว่าเราต้องมีกัปตัน มีหางเสือ มรสุมมาอย่างไรก็แข็งแรง ไม่เป๋ เดินหน้าฝ่ามหาสมุทรไปได้ สึนามิก็มาเลย ไม่ต้องเอาคลื่นเล็กๆ เราต้องระดับสึนามิ แปดเมตร เราต้องยืดตัวให้พ้น แปดเมตรให้ได้ เพื่อสลายสลาตันสึนามิ

ต้องรู้จักอัตตาด้วย แสงอรุณ ตัวที่ 4 คนไม่เรียนรู้จักอัตตา อ่านอัตตาไม่ออก ไม่รู้จักสักกายะ ที่เป็นองค์ประชุมรูปนามของตัวเอง

คนที่มีอาชีพปศุสัตว์ ประมง ก็เลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อฆ่า อาศัยมันมากิน หรือใช้แรงงาน หรือแม้แต่อาศัยมาเป็นเพื่อน น่ารักน่าเอ็นดูประโลมใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เลี้ยงสัตว์ มาเลี้ยงก็ทำให้มันเสียวิสัยสัตว์มันลืมสัญชาติญาณมันเลย คนเคยทำวิจัย เอานกหงษ์หยกมาเลี้ยง พอปล่อยออกจากกรงมันไปไม่เป็นเลย ช่วยตัวเองไม่ได้ หากินเองไม่เป็น ระวังภัยไม่เป็น บินก็ไม่รู้จะบินไปทางไหน มันจะบินตรงไปจนหมดแรงตายดื้อ กลายเป็นนกอีเดียดไปเลย หากินไม่เป็น ช่วยตนเองไม่ได้เลย

เอาสัตว์มาเลี้ยงทำลายวิสัยสัตว์ หากินเองไม่รอด ระวังภัยตัวเองไม่ได้ เสียสัตว์หมดเลย แล้วที่สำคัญตนเองมีจิตไปรักไปชอบ ไปผูกพันกับมันอีกไม่รู้กี่ชาติ การผูกพันกับคนมีทางบวกกับลบ มีรักและชัง ชอบและชัง ดูดกับผลักมีสองทิศทาง พลังงานที่ดูดและผลักนี่ต้องล้างให้หมด ไม่ว่าจะกับมวลสัตว์หรือคนหรือกับพีชนิยามก็อย่าไปผูกพันติดยึด รู้ว่าเราต้องอาศัยตามควรก็พอ แต่นี่ต้องไปมีอาการผลักดูด หรือรักชังกับมันคือคนไม่จบ เป็นอรหันต์แล้วจิตไม่มีรักไม่ชัง ดินน้ำลมไป ไม่รักพืชหรือชังพืช ไม่รักไม่ชังสัตว์ใดๆที่เป็นจิตนิยาม ไม่รักไม่ชังจนสามารถทำกรรมตรง กรรมที่ทิฏฐุชุกัมม์ ไม่เอียงเพราะรักหรือชังหรือโมหะไม่รู้ ไม่เอียงเพราะกลัว คือผู้บรรลุที่แท้

ต้องให้รู้สัมมาทิฏฐิ 10 ต้องอ่านกิเลสในอัตตาออก ต้องลดความเป็นอัตตา ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ถึงจะสามารถปฏิบัติได้ ไม่เช่นนั้น ทำใจในใจไม่เป็น เพราะมิตรอธิบายธรรมะผิด ก็ไม่เกิดผล ไม่รู้จักศีลที่แท้ ไม่รู้จักอัตตา 3 ไม่รู้จักสักกายะของตน ปฏิบัติอย่างไรก็นัตถิหุตัง แยกไม่ออกในโลกโลกียะกับโลกโลกุตระ

แยกตัวตนมันออก มีองค์ประกอบแม่พ่อ ทำให้อกุศลจิตตายไปเลย เป็นคนฆ่าลูกที่เป็นตัวมาร เป็นแม่เป็นพ่อที่รู้ว่าจิตนี้เป็นตัวมารก็ฆ่าลูกมารตายหมด เหลือแต่ลูกเทวดา จิตเทวดาเกิดตลอดเวลาเลย ถ้าคุณไม่เคยปล่อยมารเลย คุณเอามารใส่ไว้ในDNA เข้าไปปรุงแต่งเซลล์ของคุณเลย ก็ไม่มีทางที่จะได้ไปถึงที่สุดของทางได้

เพราะไม่รู้จักเครื่องอาศัยในโลก แม้แต่กวฬิงการาหารก็ไม่รู้จักวิธีการเอาเข้าไป ก็ให้แต่ลูกมารเกิด กิเลสเกิด วนเวียนอยู่ตรงนี้

จะต้องรู้อัตตา ต้องรู้ทิฏฐิ 10​มีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ทำให้อธิจิตนี้เจริญได้ เป็นสัตว์โอปปกาติกะ เจริญเป็นอาริยบุคคลตามลำดับ จนเป็นอนาคามีคือสัตว์โอปปาติกะแท้ๆ มีแต่กิเลสในจิตก็ล้างต่อจนหมด

ต้องไม่ประมาท สำนึกไหมว่ามาอยู่ในนี้แล้วประมาทไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ช่วยงานช่วยการ ประมาทแล้ว ต้องสังวรสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไปตามลำดับไม่ได้บังคับว่าต้องทำหมด แต่ว่าทำไปตามลำดับๆ ตามกฏเกณฑ์สังวรระวังไม่ปล่อยตัวใจไปตามกิเลส ก็ต้องทำโยนิโสมนสิการเป็นด้วย

สุริยเปยยาล 7 ข้อนี้

(6) คุณค่าพุทธสุดฟ้า             โลกุตระ

        ยอดศาสตร์ยอดศิลปะ             วิศิษฏ์สร้าง

        ต้องครบเจ็ดลักษณะ               ตามพุทธ พจน์แฮ

        หากมิได้ดังอ้าง                     สูตรนี้เสียของ

 

ต้องได้ครบ 7​ลักษณะนี้ มรรคองค์ 8 จึงไม่เสียของ ต้องอย่าช้าไปนะ อย่างนายกฯตู่ ก็ต้องชัดเจนว่าอันไหมมิตรชั่ว ต้องใช้ม.44 จัดการให้เด็ดขาด อย่ามุ่งมันเลยว่า ปี60 จะได้เลือกตั้ง

รธน.ที่จะออกมานี้ จะกันพวกน้ำเน่าให้ออกไป เขาก็ไม่ยอม ถ้าตัวเองไม่ใช่นกม.น้ำเน่าก็หยุดกวน ก็ต้องให้รธน.ออกมาสำเร็จ ก็ยอมให้เลือกตั้ง ตอนนี้ ที่กวนอยู่คือ นกม.น้ำเน่าที่สู้อยู่นี่ เพราะเขาเป็นนกม.น้ำเน่า ก็ไม่ยอมให้ออกรธน.ที่กันคนน้ำเน่า

เขาไม่คิดว่าอาตมาเป็นมิตรดี เขาเห็นว่าอาตมาเป็นมิตรร้าย อาตมาทำงานถึงวันนี้เหมือนน้ำรดหัวตอ เขาไม่แยแสคำพูดอาตมา ไม่เอาเป็นเนื้อหาสาระ ดูถูกดูหมาด คือไม่เห็นว่าอาตมาจะมีส่วนดีส่วนถูก เขาตีทิ้งเลย ที่พูดนี้ไม่ได้ต่อว่าหรือน้อยใจเลย แต่อ่านจากพฤติกรรมสังคม

อาตมายืนยันว่าได้นำส่ิงที่พพจ.ประกาศให้พวกคุณฉุกคิดสำเหนียกแล้วกลับตัว คุณผิดไปไกลมาก 180 องศาไปไกลเลย การนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นทางที่ผิด ในมูลสูตรว่าไว้

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5.      มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .

ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยเลยนะ  ไม่มีเวทนาก็ไม่มีอะไรปฏิบัติ หากไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้เลย ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ เวทนาเป็นที่ประชุมลง มันเป็นโลกีย์กิเลสหาประมาณมิได้ก็ทำให้มันเป็นเอกสโมสรณา เป็นจิตเป็นหนึ่ง เป็นปุริสภาวะให้ได้ ถ้าทำได้ก็จะเป็นสมาธิ ในมูลสูตรข้อต่อไป จากเวทนาก็มีสมาธิเป็นประมุข จิตก็ตั้งมั่นได้สั่งสมลง

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

ผู้ที่บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ ก็เข้าทางโลหิจสูตรสิ

          โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

การอวดอุตริสนุสธรรมนั้นผู้อวดต้องมีในตนจริง แล้วก็ต้องไม่มีจิตอยากอวดด้วย แล้วพูดไปก็ให้พูดกับอุปสัมบัน แล้วที่เขาว่าอาตมาพูดนี้มีอนุปสัมบันรับรู้ด้วย อาตมาก็ว่ามันจะฟังหรือเปล่านะ ที่อาตมาพูดนี้ ไม่ฟังหรอกแม้แต่พระต่างๆก็ไม่ฟัง

ส.ฟ้าไทว่าวันนี้ได้ฟังแสงอรุณที่เป็นเบื้องต้น หากไม่มีแสงอรุณนี้ก็ไม่มีมรรคมีองค์ 8


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:34:47 )

590502

รายละเอียด

590502_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน1

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2559 แรม 11 ค่ำเดือน 5 ปีวอก วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆวันนี้ก็มากันไม่เท่าไหร่เลยนั่งกันไม่กี่คนเพราะวันนี้ เพราะว่าที่บ้านราชฯวันนี้มีทั้งโฮมแฮงปอกว่านหางจรเข้ที่โรงแชมพูและเกี่ยวข้าวด้วย มีชาวฟินแลนด์ชื่อเราโน่ มาช่วยเกี่ยวข้าง ในเคียวยาวของเขามาเกี่ยวด้วย

มาดู sms

0892297xxx ตู่จ๋าฟังพ่อครูสมณะโพธิรักษ์หน่อยได้มั้ยประชาชนเหนื่อยเจียนตายแล้วนะ 1/5/2016 10:48

0893867xxx บางทีการเลือกตั้งที่ผ่านมาล้มเหลวเพราะผลเลือกตั้งจากปชช.ฤาเปล่า?ที่ทำให้ ไม่ได้นักปกครองที่ดีนักบริหารโดยธรรมสักที? 1/5/2016 10:49

0824883xxx ROAD MAP IS BETTER THAN ROAD MOUTH SIR RADM MINT 1/5/2016 10:53

0893867xxx คือปชช.ล้วนก็รู้พ.กม.ไหน มาเป็นรบ.ก็ล้วนมีคอรัปชั่น แต่ก็ยังเลือกนกม.เข้าสภา!หยุดเสียงไม่บริสุทธิ์หยุดนักโกงกินเมืองได้! ทั้งหมดต้องแก้ที่คนดังที่พ่อครูว่าจริงๆ 1/5/2016 10:58 1/5/2016 10:54

0893867xxx ปัญหาการเลือกตั้งคงจบที่ผลเลือกตั้งด้วยเสียงบริสุทธิ์ของปชช.ผุดรบ.โดยธรรม! 1/5/2016 10:57

ขนาดพระสงฆ์ของเถรสมาคมทั้งประเทศยังห่วยแตกไม่มีศีลสักข้อฉันฟันธง 1/5/2016 11:01

0892297xxx ดูช่วงช่วงรถหรูซิ!ป่านนี้ยังเฟอะฟะอยากเป็นสังฆราชอยู่เรยฉันอายเพื่อนชาวพุทธต่างจัง 1/5/2016 11:05

0893867xxx องค์กรที่ทำให้ความผิดทำนองคลองธรรมอยู่เหนือความถูกต้องชอบธรรมทำขื่อแปปท.พังเองมิใช่คนชั่ว ทำ! 1/5/2016 11:05

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านๆสุดยอดแล้วค่ะ ไม่มีใครเทศนเหมือนท่าน พระอื่นผิดทางกันสุดโตง่ ฟังแล้วคิด มันเป็นอย่างพ่อท่านเทผศนจริงๆ...สาธุ

คำถาม จากแดนฉลอง สีมาอโศก

1. สมณะ สิกขมาตุ และ ชาวอโศก ถือวัตรปฏิบัติในการรับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่รับประทาน ไข่ นม หรืออาหารที่มาจากเลือดเนื้อของผู้อื่น คำถามคือ 1.เมื่อป่วยไปรักษากับหมอหรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ แล้วได้รับคำแนะนำให้รับประทานไข่ขาว เพื่อการรักษาโรค ผู้ป่วยก็ทำตาม ด้วยหวังจะหายจากโรค จะได้มีสุขภาพดี มีกำลังในการปฏิบัติธรรมช่วยเหลือพ่อครูต่อไป อย่างนี้จะสมควรทำหรือไม่

ตอบ...ก็สมควรตามแต่ละใครจะตัดสิน การจะกินส่ิงไม่บริสุทธิ์ที่มีส่วนอยู่บ้างก็อยู่ที่เจ้าตัว ถ้าจะยอมตายเลยนะ ก็ไม่กิน แต่ถ้าไม่ยอมตาย ตั้งใจอยู่จะได้ช่วยงานช่วยการ ก็กิน ไม่ได้แย่งชิงเอาเปรียบเอารัดอะไรนัก ก็อยู่ที่เจ้าตัวเองจะตัดสิน

2.ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ป่วย ฉันน้ำต้มเนื้อ ด้วยเหตุผลอะไร

ตอบ...ก็ให้เจ้าตัวตัดสินเอง เราก็ไม่ได้ไปร่วมวิบากไปกับเขา เขารับวิบากไปเอง

3.คำพังเพยที่ว่า "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" การที่นักมังสวิรัติไม่กินเนื้อไก่เนื้อเป็ด แต่ยังกินไข่ไก่ไข่เป็ด หรือ ไม่กินเนื้อสัตว์ในต้มพะโล้ แต่ยังกินเฉพาะไข่และเต้าหู้ในต้มพะโล้นั้น จะเข้ากับคำพังเพยนี้หรือไม่

ตอบ...ก็ตรงกับคำพังเพย

4.ถ้าพ่อครูป่วยหนักมากและอาจเสียชีวิตได้ หมอและผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แนะนำให้ฉันไข่ขาวเพื่อการรักษา พ่อครูจะยอมฉันไหมครับ

ตอบ...อย่างเดิม อาตมามีเจตนาจะอยู่ต่อ มีชีวิตอยู่เพื่อจะทำงานอีก อาตมาก็คงฉัน เพราะมันเป็นทางออกเขาก็มีเหตุผลหลักเกณฑ์ฉันแล้วก็จะได้หาย แต่ถ้าเห็นว่าควรหยุดควรพอก็หยุด ก็ดีนะ ถามอะไรๆก็จะได้อธิบายให้ละเอียดละออ พวกเราละเอียดดี ไม่มีสำนักไหนน่าจะว่าอย่างพวกเรา

ผู้ถาม - แดนฉลอง พิเชฐ สุดประเสริฐ 087-5644251 ครับ

 

ยกตัวอย่างเมย์ รัชนก ตีลูกชนไก่ ใช้พลังงานก็ได้ชนะมา ก็ได้เกียติยศ แล้วชนะก็ได้เก่งชนะ ไม่ได้ไปทำร้ายใคร แต่พลังงานนั้นไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรที่ชีวิตจะได้อาศัยนอกจากชนะชื่นใจเก่งๆๆๆ กับแรงงานเราไปปอกหางเจรเข้

เราใช้การควบคุมอินทรีย์ให้ประสานกับใจเรา เรามีการใช้สัญญากำหนดรู้อย่างไรควรทำไม่ควรทำ ก็เป็นมุทุภูตธาตุ เป็นความแววไวของธาตุเจตสิกเรา จะได้รับการอบรมฝึกฝนเจริญขึ้นเกิดสภาพคล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ มุทุภูตธาตุ พวกเราแต่ละคนเข้าใจคำว่ามุทุ รากศัพท์แปลว่าอ่อน ไหวไว มีเชิงปัญญาและเจโต มีพลังงานและความรู้ความเข้าใจ ปรับตัวได้เร็วจะให้มีแรงมากหรือน้อยก็ปรับได้ เป็นธาตุจิตที่ย่ิงใหญ่ มีปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอุเบกขา

ตั้งแต่ตกผลึกจากฌานมา เป็นพลังงาน ในภาษาฝรั่งมีคำเรียกพลังงานเยอะเลย ก็เรียกพลังงาน ดินน้ำไฟลม จับตัวกันเป็นพลังงาน ทำงานร่วมกัน ลมกับไฟ เกิดผลประสิทธิภาพ สำหรับคนที่ฝึกฝนจะมีคุณสมบัติของธรรมชาติในมหาจักรวาลเอามาใช้ได้

พระพุทธเจ้าขายความในพระไตรฯ

              2.  ฉวิโสธนสูตร  (112)

[166]  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ  ทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

[167]  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า  ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  พวกเธออย่าเพ่อยินดี  อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  ครั้นไม่ยินดีไม่คัดค้านแล้ว  พึงถามปัญหาเธอว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุโวหารอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  4  ประการ  4  ประการเป็นไฉน  คือ  คำกล่าวว่า  เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว  คำกล่าวว่า

ได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว  คำกล่าวว่า  ทราบในอารมณ์  ที่ตนทราบแล้ว  คำกล่าวว่า  รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว  นี้แล  โวหาร  4  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจาก  อาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้  ฯ

[168]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้น  สัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน  พ้นวิเศษแล้ว  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  นี้มี  5  ประการแล5  ประการเป็นไฉน  คือ  รูปูปาทานขันธ์  เวทนูปาทานขันธ์  สัญญูปาทานขันธ์  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอุปาทานขันธ์  5  ประการ  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้  ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้  ฯ

          [169]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า  ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูปได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งเวทนาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในเวทนา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในเวทนาได้  ข้าพเจ้ารู้จักแจ้งสัญญาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสัญญา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสัญญาได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งสังขารแล้วแลว่า  ...  จิต  ของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสังขาร  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสังขารได้

พ่อครูว่า การบรรลุของพระพุทธเจ้าจึงกิเลสสิ้นเกลี้ยงขณะรู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั่นเที่ยวในธาตุ 6 ในอายตนะ 6 ในตัณหาทั้งหมด กาม ภพ รูป อรูป ก็ตาม พอจบสุดทุกอย่างข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า  ไม่มีกำลัง  ปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจจึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ธาตุอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  6  ประการ  6  ประการเป็นไฉนคือปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  อากาสธาตุ  วิญญาณธาตุ  ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลธาตุ  6  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้น  จากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้  ฯ

          [170]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้  ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยเตโชธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุโดยความเป็นอนัตตา...เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนคือหมด หลุดจากความยึดมั่นถือมั่นจากทุกสิ่งนั่นเอง

ตกลง หนังสือเล่มที่กำลังเขียนนี้ชื่อว่า “ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ”

 

      ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ

                [เริ่มเขียน 22 ธันวาคม 2558]

                   ************************

 

๏ เกริ่น

เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 2 ต.ค. 2558

แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีมะแมเริ่มต้นเดือนตุลาคมแล้ว

วันที่ 2 ตุลาคมแล้วใกล้ๆเข้าไปหาปลายปีแล้วหมดปีอีกแล้ว

เดี๋ยว..วัน เดี๋ยววัน แก่ไม่ทันจริงๆ

ชีวิตอาตมามันแก่ไม่ทันจริงๆ เดี๋ยววัน เดี๋ยววัน

คนทั้งหลายในโลกต้องอาศัยใช้เวลาที่มีอยู่และผ่านไป

แต่ละวันๆนี่แหละ..เป็นอยู่ให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะใช้ศึกษา ฝึกฝนตนเอง ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “ทำงานทำการ” หรือพูดให้ครบ ก็คือ ชีวิตเป็นอยู่ก็ทำงานทำการให้ดี ก็คือให้ชีวิตเจริญ ถ้าเป็นชาวพุทธที่มีภูมิปัญญาก็ทำให้ถึงขั้น“บุญ”  

แต่คนทั้งหลายก็ไม่เคย“ฉุกคิด”กันเลยว่า คำว่า“ชีวิตเจริญ”ของคนนั้นที่แท้มันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน?

ส่วนมากก็มีแต่ระวัง“กรรม 3(กายกรรม-วจีกรรม-มโกรรม)

ของตนอยู่บ้าง ด้วยสามัญสำนึกว่า“ทำกรรม 3 ให้ดี” อย่าให้เป็น“ทุจริต”หรืออย่าให้เป็น“บาป”หรืออย่าให้เป็น“อกุศล”

 ยิ่งถึงขั้น“บุญ”นั้น ชาวพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้ความเป็นจริงของคำว่า“บุญ”กันแล้ว ว่า หมายความถึงอะไร?

หลงผิดกันไปหมดแล้วมั้ง! เพราะเห็นพากันไปเข้าใจว่า“บุญ”หมายถึง“ภาวะ”ของคุณงามความดีที่เป็นแค่“กุศล”

เท่านั้น  คนส่วนมากเข้าใจคำว่า“บุญ”เลอะเทอะเละเทะ เข้าใจคำว่า“บุญ”ออกนอกขอบเขตพุทธไปไกลมากแล้ว

ชาวพุทธทั้งหลายทั้งปวงทุกวันนี้ แทบจะไม่เหลือใครเลยแล้วที่“ทำบุญ” เป็น“บุญ”สัมมาทิฏฐิ 

“บุญ”ได้กลายเป็น“มิจฉาทิฏฐิ”(ความเข้าใจผิด)กันจนแม้กระทั่งเศษธุลีละอองของ“ความเข้าใจถูก”ใดๆก็ไม่เหลือเลย

“บุญ”ได้กลายเป็นสินค้าที่โลดโผนโจนทะยานเก่งกาจชนิดที่ลึกลับกว่า“นินจา”หลายร้อยเท่าพันเท่า

ชาวพุทธจึงต่างพากัน“แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ”

โดย“ทำบุญ”ไม่เป็น“บุญ”เลย  แต่เป็น“บาป”กันจริงๆแล้ว

“ทำบุญ”ได้“บาป”กันเกินกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไหนๆ ไปไหนๆ  นั่นคือ ไปนรกลึกหรือต่ำสุดๆยิ่งนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว  ไม่ฉุกใจ ไม่ไหวทันกันเอาเลย

ซึ่งมันผิดสัจจะไปใหญ่ จนกู่ไม่กลับกันแล้วจริงๆ

เป็นต้นว่า เข้าใจคำว่า“บุญ”คือ วิมาน ที่หมายถึงแค่ภพในอนาคต หรือเป็น“กุศล” ที่หมายถึงของแท้อันมีจริง และหมายถึง ชาติอันเกิดเป็นตน นี่แหละผิดทั้ง 3 ประเด็น

เพราะ“อนาคต”นั้นได้แก่ ภาวะที่ไม่เคยมาถึงเราสักที

ไม่เคยเป็นปัจจุบันใดๆสักครา ยังอยู่ในสายลม ยังไม่ถึงมือเราเลยสักครั้ง แต่ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิดวาดหวังติดยึดอยู่

และ“วิมาน”ก็ไม่ใช่“ภาวะที่มีจริง เป็นจริง”เลยสักนิด แต่ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิดติดยึดแสวงหาคว้าลมกันอยู่

“บุญ”นั้นได้หลงผิดว่าเป็นสมบัติที่คนพึงสะสมมาไว้

ใส่ตน หอบหวง“บุญ” กอบโกย“บุญ” ให้แก่ตนมากๆฉันใด

คล้ายกับการสะสมความเป็น“กุศล”ใส่ตนฉันนั้น

ซึ่งที่จริง“บุญ”กับ“กุศล”มีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งมาก

ชาวพุทธเข้าใจผิดในคำว่า “บุญ”(มิจฉาทิฏฐิ) ผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ จนกระทั่งไร้ผลจากศาสนาพุทธกันเลยทีเดียว

กุศลที่ได้ผลย่ิงนั้นมี แต่บุญที่ได้ผลย่ิงนั้นไม่มี บุญมีแต่ทำแล้วหมดไปเลย

นี้เป็นความเข้าใจผิดของชาวพุทธที่สำคัญยิ่งใหญ่

ยิ่งใหญ่มาก เพราะคำว่า“บุญ”นี้เองที่ทำให้ชาวพุทธทุกวันนี้พากันใช้คำว่า“บุญ”ทำลายศาสนาพุทธเสียเองด้วย

เพราะชาวพุทธได้พากันหลงผิด โดยเฉพาะ“ผู้รู้”ที่

มิจฉาทิฏฐิในคำว่า“บุญ” จึงได้พากันเอาคำว่า“บุญ”ไปหลอกคนว่า เป็น“วิมาน”ที่คนอยากได้มาสะสมไว้ในตนให้มากๆ

 ศาสนาพุทธเสื่อมหนักมากจริงๆ เพราะเหตุนี้

 

(1) เริ่ม“ศึกษา”ความเป็น“โลกีย์”จากคำว่า“วิมาน”ก่อน

เหตุก็คือ ใช้“วิมาน”นี่แหละหลอกคนให้มาทำ“บุญ”

แต่ที่ปฏิบัติ“การทำบุญ”นั้น “ทำ”กันอย่างมิจฉาทิฏฐิ เพราะพากันทำอย่างนั้นมันได้“บาป”กันยิ่งๆขึ้นแท้ๆต่างหาก

เนื่องมาจาก“การทำใจในใจ”(มนสิการ) ก็ทำไม่เป็น ทำ

ไม่ตรงความจริง และ“รูป”กับ“นาม”ก็ไม่ได้มีการสัมผัสแตะ

กันของ“ธรรมะ 2” หลงไปปฏิบัติหลับตาหนี“ธรรมะ​2”ซ้ำ

ด้วย“ความไม่รู้”(อวิชชา)กันนั่นเองจึง“ตั้งจิต”ทำ“บุญ”

กันเอาจริงเอาจัง  แต่“การตั้งจิต”ของผู้นั้นเป็น“จิตที่ตั้ง

ไว้ผิด” ก็ได้“โมหะ” คือ ได้“ความหลง”(โมหะ) นี่ชั้นหนึ่งแล้ว

และที่“โมหะ”นั้น ก็เป็นได้ทั้งที่“หลงผิด”ว่าถูก นี่อีกชั้น

ทั้งที่“หลงติดหลงยึด”เป็น“อุปาทาน” นี่ก็อีกชั้น

ทั้งที่“หลงใคร่อยากได้”เป็น“กาม”ยิ่งขึ้นๆ นี่ก็อีก

ทั้งที่หลงผิดยึดเอา“ความมีตัวตน”ว่า “ไม่มีตัวตน”ก็อีก

จะเพราะ“จิตวิปลาสหรือทิฏฐิวิปลาสหรือสัญญาวิปลาส”ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น นี่ก็ยังเป็นอีกหลายชั้น

และหรือวิปลาสไปเป็น“ความไม่เที่ยงว่าเที่ยง-ความเป็นทุกข์ว่าสุข-ความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน-ความไม่งามว่างาม” นี้ก็อีก นับมานี่กี่ชั้นแล้วล่ะ(พระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 49)

มันหนามันมากมันจัดจ้านกันกี่ชั้นที่หลงผิดกันไป

นี้คือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 92 ว่า “โจรหัวโจกกับโจรหัวโจก หรือคนมีเวรกับคน

มีเวรทำร้ายแก่กันและกันนั้น มันเลวหนักยิ่งกว่า”แบบนี้เอง

แม้ที่สุด“หลงใหลคลั่งไคล้” เห่อกันว่า ถ้าได้“ทำทาน”

กับคนผู้นี้หรือกับวัดนี้จะรวยใหญ่รวยมาก พากัน“โมหะ”

หลง“ทำบาป”ว่าตนได้“ทำบุญ”กัน  เนื่องจากไม่รู้ทันคำ ว่า“วิมาน” ที่ถูกสร้างขึ้นมา“ทำร้าย”ผู้คนกันนี่เอง

ก็เพราะการเอาคำว่า “บุญ”นี่แหละ มาหลอกคน

ว่า เป็น“การทำทาน” โดยเฉพาะต้องมาทานแก่ผู้พูดเองนะ

 

(2) คนฉลาดชั่วร้าย(เฉโก) กับคนโง่หนัก ที่เลวสมกัน

คนโง่หนัก จึงหลง“ทำทาน”กันใหญ่ ทำกันคึกคัก ทำกันมาก คนฉลาดเลวก็ทำร้ายกันเองยิ่งๆ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า

เปรียบเหมือนกับ“โจรหัวโจก”ก็ดี หรือ“คนมีเวร”ก็ดี

ซึ่ง“คนเลว”(โจร)ก็ดี คนผู้มี“เวร”(ความปองร้ายกัน)ก็ตาม ซึ่งพากันทำ“ความฉิบหาย”ให้แก่กันและกันก็เลวร้ายแล้ว แต่คนที่มี“จิตที่ตั้งไว้ผิด”นั้น “เลว”หนักยิ่งๆกว่า“โจรหัวโจก” ยิ่งกว่า“คนมีเวร”ทำร้ายกันและกัน เป็นไหนๆทีเดียว

คำตรัสของพระพุทธเจ้าใน“โคปาลสูตร”(พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 92 นั้นมีว่า “โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน ก็หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว  พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน

ที่โน่นเขา ทำทานให้เช็คแก่วัดเขาเป็น ใบละร้อยล้าน รวมๆเป็นหมื่นล้านเลย แต่ชีวิตอาตมา มีคนเขียนเช็คทำบุญกับอโศก มากสุด 6 ล้าน คือคุณอี๊ดแอร์น่ะ พูดไปไม่ได้อิสสานะ

“จิตที่ตั้งไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ)..พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น ฯ”

“ทิโส ทสํ ยนฺตํ กยิรา        เวรี วา ปน เวรินํ

มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ  ปาปิโย นํ ตโต กเรติ ฯ ติยํ ฯ”    

ชัดเจนชัดแจ้งในคำว่า“พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น”..มั้ย?

เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าตรัสความสำคัญของ“การทำใจในใจ“(มนสิการ)นี้มันสำคัญยิ่งขนาดไหน แต่นักการศาสนาทุกวันนี้ ไม่สังวรกันเลย อาจารย์ที่สอนทั้งหลายจึงสอนกันให้“ตั้งจิตตั้งใจไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง)กันเต็มวงการศาสนา ในเรื่อง“ทำทาน” แต่ไม่เป็น“บุญ” กลายเป็น“บาป” เพราะไปได้กิเลสทับถมตนเข้าไปหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นๆๆ

ก็เพราะประเด็นที่ว่า “จิตที่ตั้งไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง)

นี้แหละที่เป็น“ความผิด”(มิจฉา)แท้ๆ ของ“โจรหัวโจก”ซึ่งหมายถึง“คนผู้ใช้เล่ห์หลอก”ด้วยการสร้าง“วิมาน”ขึ้นมา และใช้คำว่า“ทำบุญ”(ที่จริงแค่“ทำทาน”แท้ๆ ไม่ใช่“ทำบุญ”เลย) กับคนที่นับว่าเป็น“โจรหัวโจก”สมกัน เพราะ“คนโง่ที่ถูกหลอก”ก็เข้าคู่กัน

 

สมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงผนึกสนิทเนียนยิ่ง ก็ร่วมรัดกันทำ“อกุศลกรรม”ได้“เลวยิ่งกว่าเลว”ควบแน่นแรงร้ายยิ่งๆเกินจะกล่าวทีเดียว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ซึ่งความหลงผิดนี้ มันผิดกันไปอย่างน่าสังเวชยิ่งๆ

ความจริงแท้ “บุญ”หมายถึงเครื่องฆ่า อาวุธประหาร 

แต่กลับนำไปหลอกเป็น“วิมาน”ที่หลงผิดกัน กลายเป็นอยากได้“บุญ”หนักหนาสาหัสจนพากันเพ้อพกตกนรก

“บุญ”ซึ่งมิใช่เรื่องที่จะนำไปใช้สร้าง“วิมาน”ใดๆเลย

 

(3) แล้วจริงๆแท้ๆ “วิมาน”มันคือ อะไรกันแน่..?

วิมาน คือ ปราสาทบนสวรรค์ แดนสวรรค์ แดนสุขาวดี

“วิมาน”คือ ภาวะที่คนคิดด้วยความหลงผิด จนถึงหลงใหลคลั่งไคล้ จึงต่างสมมุติ“วิมาน”กันขึ้นมาหลอกลวงกันให้เพ้อพก เสียเวลา เสียแรงงาน เสียเงินทอง

“วิมาน” คือภพ คือชาติ ที่หลงเป็นดินแดนที่แสนสุข ที่คนหวังว่า จะไปเกิดหรือไปเป็น ไปได้กันใน“อนาคต”โน่น

“วิมาน”เป็นการสร้าง“ภาพหวัง”ขึ้นในจิตใจ

1.มันเป็นลมๆแล้งๆ 2.มันอยู่ไกลมาก

ถ้าเลิกวิมานมาทำปัจจุบันขณะเลย อาตมาตั้งประโยคไว้ว่า มีเจตนา แต่อย่าอยาก แล้วที่เจตนาคือพากเพียรศึกษาแล้วลงมือทำ เท่านั้นและเท่านั้น

นักการศาสนาทุกวันนี้ใช้“วิมาน”เป็นเครื่องมือหากิน แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ตามแบบ“ทุนนิยม”ที่เป็นนักหาเสียง หาบริวาร หาลูกค้า เป็นจอมประชานิยมตัวฉกาจ ไม่มีผิด

มีเล่ห์เหลี่ยมหากิน ใช้เล่ห์เลี้ยงสำนักตนเอง ต่างมี

วิธีการที่จะให้คนมาหลง“วิมาน”ของสำนักตน มาหลงติดยึดในตัวตนของคนในพรรคของตนกันทั้งนั้น

“วิมาน” จะปั้นอะไรก็ได้! จะเป็นอย่างไร? ก็วาดฝันไปตะพึด สารพัด จะพิลึกกึกกือ จะมโหฬาร จะสุดยิ่งสุดใหญ่ขนาดไหนๆ เลิศเลอ หรูหรา อภิมหาวิเศษ บรมประเสริฐ ก็คิดเอา นึกเอา ตามที่อยากได้ให้เป็นให้มี ก็แค่คิดขึ้น จินตนาการเอาลมๆแล้งๆ แท้ๆ

แต่เป็นจริงไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตามที่เพ้อฝันออกมาหลอกกัน ล้วนคือ“วิมาน”ที่จะเนรมิต เพ้อบ้าๆ ฝันบอๆออกมาหลอกล่อกันได้ทั้งนั้น 

โดยมีคำว่า“บุญ”เป็นชื่อสินค้าหลักของสำนักของวัด

ผู้“ซื้อบุญ”ก็จะได้“วิมาน”ที่สวย-ใหญ่-หรู สารพัด

กรอกหูผู้อยากได้“บุญ”จนเป็นที่หลงเชื่อกันทั่วไปว่า

การทำ“บุญ”ที่จ่ายเงิน“ทำทาน”นั้น เป็น“การซื้อบุญ” ซึ่งจะได้“บุญ”อันเป็น“วิมาน”ตามที่พ่อค้าบุญนั้นอ้างหลอกกัน

ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ใช่การ“ซื้อ“ด้วยซ้ำ เพราะซื้อยังได้ของแลกเปลี่ยนมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่นี่..มันถูกหลอก“กินฟรี”แท้ๆ ถูกหลอกเอาไป“ฟรี”ๆ แต่ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นชิ้น

เป็นอันมาให้แก่ผู้จ่ายเงิน-จ่ายทรัพย์ออกไปเลย

มีแต่“วิมาน”ลอยลมเท่านั้นที่ผู้จ่าย“หลงลม”นักต้ม

ตัวร้ายทั้งหลาย

ได้“วิมาน”เท่านั้น เท่านั้นนะ ไม่ได้อะไรลึกซึ้งไปกว่า “วิมาน”ที่ผู้จ่ายฝันเพ้อว่าจะได้

คำว่า“บุญ” คนทุกวันนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ(มีความเห็นผิด) ว่า  เป็น“วิมาน”หรือ“ภาพหวัง”หรือ“ภาพที่อยากได้มาให้ตน”

“บุญ”จึงเป็น“ภพ-ชาติ”ที่คนผู้ทำทาน“ทำไว้ในใจ”(มนสิกโรติ)ว่า ตนจะได้“วิมาน”ตามที่ตน“ทำทาน”  ถ้ายิ่งทาน

มากเท่าใด “วิมาน”ก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ยิ่งหรู ยิ่งวิวิธสมาหรา

จึงเป็น“อัตตาวาทุปาทาน”แท้ๆนั่นเอง ที่แต่ละคนผู้ไป“ทำบุญ”อันก็คือ“ทำทาน”นั้น ที่เขาได้เป็นกอบเป็นกำ

วาทะคือคำพูดเท่านั้น เช่นคำว่า พระเจ้า หมายถึงสิ่งย่ิงใหญ่ เขาได้แค่พูดกัน แต่ใครก็ไม่เคยไปสัมผัสตัวพระเจ้า เขาบอกว่ามีพระบุตร เขาบอกว่ามีตัวตนพูดว่ามีตัวตน แต่ไม่เคยสัมผัสตัวตนได้จริงเลย นี่คือไม่มีของจริงเลย คืออัตตวาทุปาทาน

แต่ผู้ปฏิบัติจริงรู้จักสักกายะ เรากำจัดมันจนหมดอาการได้เลย นี่ต่างหากไม่มีอัตตาวาทุปาทาน คืออัตตาแท้ๆที่เราสัมผัสได้แล้วกำจัดมันให้ดังได้ ถาวรนานแล้วไม่มาไม่มีไม่เกิด

 

(4) แล้วจริงๆแน่ๆ “สัจธรรม”มันคือ อะไรกันแท้..?

“ของจริง”ตรงกับบาลีว่า สัจธรรมอันเป็น“โอฬาริกอัตตา” ซึ่งจะต้องมี“นามรูป”หรือมี“รูปกับนาม” หรือจะเรียกว่า “รูปกาย”ที่ต้องมี“นามธรรม”ร่วมรู้อยู่ด้วย จึงจะชื่อ

ว่า “ของจริง,สิ่งจริง” หรือภาวะที่“สัมผัส 6”ได้ทั้งภายนอกด้วย ตามเงื่อนไขครบใน“วิโมกข์ 8” ว่าต้องมีทั้งภายนอก(พหิทธา)และภายใน(อัชฌัตตัง)อยู่พร้อมในขณะนั้น หรือต้องมี“กาย”คือมี“ภาวะ 2”หรือมี“ธรรมะ 2”เสมอ

ซึ่ง“รูปกาย”หรือ“สัจธรรม”นี้ จะไม่ใช่แค่“วิมาน”แล้ว “รูปธรรม-สัจธรรม”นั้นสามารถรู้ได้ทั้งตนเองและผู้อื่นก็สามารถ“สัมผัส”รู้ร่วมด้วยได้ ทั้ง“สัมผัส 4”

“กาย”เป็น“ธรรมะ 2”ที่มีทั้ง“รูปและนาม” โดยเฉพาะ

ต้องมี“นาม”ร่วมอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า“กาย”  คำว่า“กาย”

ขาด“นาม”ไม่เรียก“กาย” พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “กาย” คือ “จิต-มโน-วิญญาณ” (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) “กาย”จึงหมายเอา“นาม”เป็นสำคัญ เป็นหลักยืนในรูปนาม

และ“รูปกาย”จะมีได้ ก็ต้องมีการสัมผัส 3 แล้ว“นามกาย”เกิดก่อน(ปฏิฆสัมผัสโส) จึงจะมี“รูปกาย”ขึ้นมาให้ผู้สัมผัส

“รู้เห็น”ได้ต่อมา แล้วจึงจะขาน“ชื่อ”(อธิวจนะ)หรือ“สัมผัสชื่อของภาวะ”(อธิวจนสัมผัสโส)นั้นได้ ถ้าภาวะนั้นมี“ชื่อ”แล้ว เช่นถ้าเราสัมผัสอันนี้แล้วเกิดชอบใจ แล้วอันนี้มีชื่อไหม เป็นชื่อที่เราเคยรู้มา การเรียกชื่อต้องมาก่อน จะชื่อว่า ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็เรียกชื่อเป็นรูปกายได้ เป็นอธิวจนสัมผัสโส

แต่บางสภาวะนั้นเราไม่รู้จักชื่อแม้มันจะมีคนเคยตั้ง แต่เราไม่รู้ก็เรียกไม่ได้ ยิ่งเป็นภาษาอื่นๆก็ย่ิงไม่รู้ เช่นคำว่าแดง ภาษาจีน อาตมาเคยรู้ว่า อั๊ง แต่ภาษาฝรั่งเศษ ว่าครุช

แต่ถ้ายังไม่มี“ชื่อ”มาก่อน คือมีแค่“นามธรรม”ให้เรารู้อยู่ ก็เป็น“นาม”อยู่ที่“ถูกเรารู้” จึงมีฐานะ“อรูป”คือ เป็น

“สิ่งปรากฏที่ถูกรู้”(รูปที่ไม่ใช่ร่าง-ไร้สรีระ) [พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60]

ทีนี้“สัมผัส 4”ก็ได้แก่ ภาวะที่ต้องมี“มหาภูต 4”(สัจจะที่ทรงอยู่(ธรรมกาย)ทั้งภายนอกและภายใน)ร่วมด้วย และจะสามารถรู้ได้ทั้ง“ลักษณะ(มีภาวะให้สัมผัสนอกก็ดีในก็ดี)-สสัมภาระ(กำลังทำสะสมไว้)-อารัมมนะ(ความรู้สึกของจิต)-สมมุติ(สิ่งที่ผู้อื่นหรือในสังคมก็กำหนดรู้ร่วมกันได้แล้ว)เรียกภาวะนี้ว่า“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)นี้ มีครบ“สัมผัส 4”ทั้ง“ลักษณะ-สสัมภาระ-อารัมนะ-สมมุติ” เป็น“รูปกาย”แท้ มี“รูปรูป”

แม้คุณจะมีสัจจะภายในถึงนิพพานอย่างไรก็ตาม แต่สัญญายนิจจานิคนเดียว คนอื่นเขาก็ไม่รู้ด้วย ต้องมีคนรับรองด้วยอย่างน้อย 1 คน ยิ่งรับรู้กันทั้งโลกยิ่งเป็นสัจจะเลย

(5) “สัจจะ”แตกต่างกับ“สัจธรรม”อย่างไร? แค่ไหน?

ส่วน“ความจริง”(สัจจะ=นามกาย)นั้น มีได้หมดครบเต็ม “สัมผัส 4” แม้ที่สุดที่ยังไม่เป็น“สมมุติ” อันผู้อื่น“รู้ร่วม

ไม่ได้ด้วย” คือ คนอื่นไม่สามารถร่วมรู้ได้ด้วยแล้ว ตนเองรู้อยู่ผู้เดียวเท่านั้นภายในของตนเองผู้เดียว ภาวะนี้แหละ

คือ “วิมาน”แท้ๆ ที่คนอื่นคนใดเป็นไม่ได้-มีไม่ได้ตามเราแล้ว เราเท่านั้น“บ้ามี”อยู่คนเดียวจริงๆ จึงชื่อว่า“สัจจะ”

ฉะนี้แล “ตน”(อัตตา)แท้ๆ แน่แล้ทีเดียว(สัญญายะ นิจจานิ)

เป็น“วิมาน”ตัวจริง เต็มสภาพ โดดเดี่ยว เดียวแด

บ้าเป็น บ้ามี บ้าได้อยู่ผู้เดียวจริงๆ ไม่มีผู้ใดอื่นร่วมบ้าด้วย ผู้อื่นไม่ได้“ทรงสภาพ”นี้ด้วย จึงชื่อว่าไม่ใช่“สัจธรรม”

แค่เป็น“สัจจะ”เฉพาะ“ตน”เท่านั้น โดดเดี่ยว เดียวแด แน่แล แท้จริง เพราะตน“กำหนดเอาเองว่าเที่ยงว่าแท้”

ซึ่งใครอื่นก็ไม่มีสภาพ“ทรงอยู่”(ธรรม)ไปกับตน ตนบ้าคนเดียว ที่หลงว่าเป็น“ความจริง”(สัจจะ)อยู่แต่ผู้เดียวเอง

ยกตัวอย่างคู่วิบากคุณ คุณก็ยึดของคุณเท่านั้น คนอื่นเขาไม่ได้รู้ด้วยกับคุณนะ คุณก็ว่าคนนี้แหละที่เป็นสัจจะ คนอื่นไม่มีสัญญายนิจจานิกับคุณเลย

 

(6) “วิมาน”แท้ๆ จึงไม่ใช่“สัจจะ” เป็นแค่“สัจธรรม”

“วิมาน”ก็ดี “สัจจะ”ก็ดีจึงลึกและไกลมาก ที่ต้องเรียนรู้ให้ดีๆ ให้สุขุม-สันตา-ปณีตา-นิปุณายิ่งๆ

เพราะ“วิมาน”ยังไม่ใช่“สัจจะ” “วิมาน”เป็นเพียงแค่“สัจธรรม”เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น“สมมุติธรรม” เป็นแค่“ปรมัตถธรรม”ในตนของตนผู้เดียวอยู่ “ยังให้ผู้อื่นร่วมรู้ด้วยไม่ได้”

และ“สัจจะ”นี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี”(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419) 

“สัจจะ”ของใครก็ของตนเท่านั้น เท่าที่ตน“กำหนดเอาเอง ตนเท่านั้นว่าจริงจังเที่ยงแท้ของตน”(สัญญายะ นิจจานิ)

หากนำออกมาเปรียบกับคนอื่นเมื่อใด ก็จะแตกต่างกันทันที ผู้ยังมี“อัตตา”จะต่างยึดว่า“ของตนเท่านั้นแท้ ของคนอื่นไม่แท้ ของตนเองเท่านั้นถูก ของคนอื่นไม่ถูก” จึงมีการขัดแย้ง ทะเลาะกัน ที่สุดถึงขั้นฆ่ากัน ร้ายสุดๆใส่กัน

ดังนั้น ผู้รู้จึงหมดการโต้แย้ง และจะจบได้ด้วย“ตน”เป็นที่สุด คือ “เราหยุดแล้ว แต่เธอต่างหาก ที่ยังไม่หยุด”

นี้คือ ภาษิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของพระบรมพุทธศาสดา

และ“การหยุด”นี้ก็เป็นการหยุดที่“ในจิตตน”หยุดจริงๆด้วยนะ ทำ“อารัมนะ”ของตนให้เป็นจริงเถิด

การยังแย้งกัน ถกกัน หรือเถียงกันอยู่ จึงยังไม่จบลงได้เพราะ“อัตตา”แท้ๆ

ใครจะยังยึดเอา“อัตตา”ไว้ ก็คือ ผู้ยังมีอัตตาต่อไป

เพราะผู้นั้นยัง“ยึดทิฏฐิ”ของตนอยู่จริง

“ทิฏฐิ”ทั้งหลายก็มี“62 ทิฏฐิ”เท่านั้น(พตปฎ.เล่ม 9 สูตร 1)

“ทิฏฐิ”นี้ ใครจะสร้างให้เกิดเป็น“ปัญญา”เต็มที่สูงสุดได้ด้วยการปฏิบัติ“มรรค องค์ 8-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” ซึ่งจะมี

“สสัมภาระ”ของ“สัมมาทิฏฐิ”เจริญขึ้นๆเป็นลำดับไปจนครบถ้วนสุดจบถึง“ปัญญาพละ”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) 

 

(7) “บุญ”จึงเป็น“อัตตา”แท้ๆ ที่คนทำ“บุญ”ผิดไปจริง

“ผู้มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ จึงปฏิบัติ“ทาน”ปฏิบัติ“ศีล”ปฏิบัติ

“สมาธิ”ได้แต่“อัตตา”  ดีไม่ดีเป็นได้แค่“อัตตวาทุปาทาน”ซ้ำที่เป็นแค่“อัตตวาทุปาทาน”ก็เพราะผู้มี“ความเชื่อ”ว่า “ตน”จะได้“วิมาน”นั้น ซึ่งเป็น“อัตตา”ชนิดหนึ่งที่ยึดว่าเป็น“ตัวตน” เป็น“ของตน” เพราะยึดตน ว่าตนเป็น“เจ้าของผู้ทำทาน-ผู้ปฏิบัติศีล-ผู้ปฏิบัติสมาธิ” และหวังว่าจะได้มาให้ตนใน “อนาคต”ข้างหน้าโ..น้..น

 

ในหลวงท่านตรัสว่า เขาบอกว่าอนาคตยังมี นี่แหละคือวิมาน

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:35:24 )

590503

รายละเอียด

590503_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน2

พ่อครูว่า ...วันนี้ วันอังคารที่ 3 พ.ค. 2559แรม 12 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก(จันทรคติ) ถ้าถึงวันที่ 6 พ.ค.นี้ก็จะมีกิจกรรม ค่ายสัมมาอาริยมรรค ก็เป็นกิจกรรมที่พวกเราชาวอโศกได้ชักชวนกันมาทำหาคนมารวมกันทำเพื่อที่จะได้เอาชีวิตเข้ามาหาหมู่กลุ่ม เข้ามาศึกษาฝึกฝนพวกเรายืนยันว่าไม่ได้ทำแบบเล่นเล่นไม่ได้ทำเป็นเรื่องหน้ากากรอทำอย่างภาคเรียนที่จะนำพาชีวิตของกันและกันพัฒนาขึ้นไปสู่การมีสิ่งที่ประเสริฐคือธรรมะ

ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องขวนขวายศึกษาภาคเรียนประพฤติปฏิบัติถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิจริงๆไม่มีปัญญาที่จะรู้จริงทำไปก็ทำไปอย่างนั้นเสียเวลาเปล่าไม่เป็นสัมมาทิฏฐิไม่เป็นสัมมาปฏิบัติไม่ได้มรรคผลอะไรก็ทำไปแค่สบายใจ ดีไม่ดีกิจกรรมของสำนักต่างๆที่เขาพากันทำอย่างผู้ที่เข้าไปก็จะเป็นเหยื่อเป็นเครื่องมือหากินของเขาอันนี้มันน่าเสียดาย

แต่ของพวกเราที่ทำนี้ไม่มีอะไรที่เสียหายไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเป็นประโยชน์จริงๆ ของเขามีการได้ให้คนทำบุญทำทานแต่ในสำนักของอโศกเราไม่รับบริจาคเงินจากคนธรรมดาธรรมดาเสียด้วยมาแล้วคุณอยากจะทำทานอยากบริจาคก็ไม่ได้ให้ทำง่ายๆถ้าไม่อยู่ในกติกา เราไม่ทำเพื่อหาเงินจากประชาชนแต่เราทำเป็นเรื่องของความลึกซึ้งถ้ามีคนปรารถนาดีจากพระธรรมทานจะบริจาคหรือจะทำทานอย่างมีสัมมาทิฏฐิเพื่อล้างกิเลสตนเอง เป็นอัตถิทินนัง เพื่อล้างกิเลสจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ทำทานแล้วไม่มีผลล้างกิเลส มีแต่ทำทานแล้วได้บาปเสียเยอะ

มาดู sms ก่อน

SMS 2 พ.ค. 59

0893867xxx พ่อครูอ่านนกม.ว่านักกฎหมายผิด!ต้องอ่านว่านักการเมืองขอรับเจ้าข้า! 0893867xxx จำพ่อครูเคยเทศน์มาก่อนว่าโจรกับโจรหรือไพรีกับไพรีพึงทำความพินาศให้แก่กัน!ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดพึงทำให้เสียหายยิ่งกว่านั้น!

0893867xxx บุญจอมปลอมพาคนฟุ้งเฟ้อ หลงวิมานลวง จิตงมงาย! บุญแท้จริงพาคนพอเพียง ถือสันโดษ หลอมจิตตื่นรู้แจ้งทันโลกธรรม!

0893867xxx ธรรมพ่อครู การไม่มีสัจธรรมนี้ตรงกันข้ามกับธรรมสัจจะ มี1มิได้มี2 มิได้มีหลากหลาย ต่างกันมิได้มีในโลก แต่ไปยึดสัญญาว่าเที่ยง!

สัจจะจึงมีมากขึ้นใช่ไหม?

ที่ไหนๆเขาไปปฏิบัติกัน แล้วก็กลับบ้านไปเป็นคนธรรมดาๆ ไม่เห็นมีที่ไหนเกิดเป็นชุมชนหมู่บ้านที่มีไตรสิกขา ปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้านแบบนี้ เป็นบ้าน วัด โรงเรียนทั้งหมู่บ้าน นำพากันตลอดเวลา อบรมสั่งสอนนำพา ปฏิบัติให้เข้ามรรคองค์ 8 การงานอาชีพก็ทำให้เกิดสัมมา การพูดจาให้สัมมาวาจา ให้สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะตลอดเวลาไม่ได้มาทำชั่วคราว แต่ทำเป็นปกติชีวิต ทำเป็นโพธิปักขิยธรรม 37

เป็นชุมชนที่มีสำรวมอินทรีย์ 6 พยายามปหานกิเลสตลอดเวลา จะตกหล่นบ้างก็พยายามพากเพียรเพิ่มกัน เป็นโลกุตระ 37 ไม่ว่าจะเป็นเด็กอยู่ในนี้ก็ให้อยู่ในสนามแม่เหล็กแห่งโพธิปักขิยธรรม 37 นี่เป็นเรื่องจริง เป็นมนุษยชาติกลุ่มหนึ่งที่มีชุมชนชาวอโศกอยู่ ในประเทศไทย มี 20 30 ชุมชน มีชุมชนหลักๆอยู่เป็น 10 จนมีพฤติกรรมชุมชนขั้นสาธารณโภคี เป็นเรื่องที่อาตมาภูมิใจมาก ซึ่งมีผลถึงขั้นเป็นบุญ ถึงขั้นแต่ละคนสามารถทำบุญเป็น ทำบุญมีผล

ทำบุญมีผลคือ ได้ขัดเกลาชำระกิเลสออก ไม่ใช่ทำแล้วกิเลสเพิ่ม เราไม่ได้ทำบุญด้วยทานเป็นหลัก เราทำบุญด้วยยิฏฐัง แต่ละคนทำทานแล้วสัมมาทิฏฐิ ทำทานแล้วทำใจในใจเป็น อ่านอาการจิต

ศานาพุทธสอนให้เปลี่ยน DNA ของจิตที่เป็นหน่วยของการยืนยันตระกูลทางจิตได้ แต่ทางชีววิทยาเปลี่ยนDNA ไม่ได้ เขาตายตัวเลย ทางรูปธรรม DNA ตระกูลของใครสืบเชื้อทางสรีระทางวัตถุธาตุ จะมี DNA อันนั้นเลยเปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ของศาสนาพุทธนั้นเปลี่ยนได้เลย เปลี่ยนตระกูลจาก DNA ปุถุชนที่ทุกคนมีมาแต่กำเนิดที่อวิชชา จะสามารถเปลี่ยนได้ต้องมีภูมิธรรมเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตเฉพาะตนที่สามารถแยกแยะ  ธาตุเล็กละเอียดของโปรตีนถ้าเป็นสรีระ มันเปลี่ยนที่ oxygen ที่Deoxy แล้วยืนยันเป็นธาตุน้ำที่เป็นAcid เป็นเชื้อชีวิต ของชีววิทยาเป็นเช่นนั้น

เทียบทางจิตวิญญาณเหมือนอาโปธาตุ เหมือน Acid ของจิตนั้นเหนือชั้นกว่าทางวัตถุ เปลี่ยนด้วยกรรม ด้วยการเปลี่ยนชีวิตอกุศลจิต เปลี่ยนมันจนกระทั่งมันไม่เป็นอกุศลจิตนั้นได้จริงๆ เปลี่ยนสภาพมันเลย เป็นหน้าที่ของบุญที่ต้องกำจัดอกุศลจิต ไม่ได้เป็นตัวทำให้เกิดส่ิงดีเหมือนกุศลแต่อย่างใด บุญมีหน้าที่จับโจรฆ่าโจรให้ตาย สังคมจะดีขึ้นเอง มีหน้าที่นั้น ถ้าสังคมใดกำจัดโจรได้หมดสังคมนั้น ก็หมดบุญเลย เป็นสังคมหมดบุญ เป็นอรหันต์คือไม่มีบุญไม่มีบาปเลย

ยุคนี้ไม่มีใครยืนยันว่าบุญคือแบบนี้ ดีที่มีคำศัพท์นี้มีรากศัพท์คือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ พูดเป็นภาษาไทยกันหมดแล้วคำว่าบุญนี่ แต่ที่จริงมาจากบาลีประโยคนี้

(7) “บุญ”จึงเป็น“อัตตา”แท้ๆ ที่คนทำ“บุญ”ผิดไปจริง

“ผู้มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ จึงปฏิบัติ“ทาน”ปฏิบัติ“ศีล”ปฏิบัติ

“สมาธิ”ได้แต่“อัตตา”  ดีไม่ดีเป็นได้แค่“อัตตวาทุปาทาน”ซ้ำ

ที่เป็นแค่“อัตตวาทุปาทาน”ก็เพราะผู้มี“ความเชื่อ”ว่า “ตน”จะได้“วิมาน”นั้น ซึ่งเป็น“อัตตา”ชนิดหนึ่งที่ยึดว่าเป็น“ตัวตน” เป็น“ของตน” เพราะยึดตน ว่าตนเป็น“เจ้าของผู้ทำทาน-

ผู้ปฏิบัติศีล-ผู้ปฏิบัติสมาธิ” และหวังว่าจะได้มาให้ตนใน “อนาคต”ข้างหน้าโ..น้..น เพราะตนอยู่ในภพ ตนไม่มีผัสสะ

เช่นเวลาทำทาน ก็ต้องมีการโยนิโสฯ แต่คุณไม่ได้สัมผัสจิตตนด้วยปัญญา แต่ดันผ่านทำจิตในจิตด้วยปัญญาไม่ได้อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมเลย ทานไม่ใช่ทำใจให้โลภมากขึ้น แต่ต้องทำใจในใจให้ลดโลภ ให้ ไม่ใช่ เอา ไม่ใช่ตั้งจิตเอามากขึ้นไปอีก มันไม่ใช่เลย

 

“อัตตา”ชนิดนี้ จึงเป็นแค่“วาทะ”เท่านั้น ที่เป็นแค่

“คำพูด”เท่านั้นจริงๆ เป็นแค่“ความเชื่อ” จนเป็น“ลัทธิ”ที่มี“วิมาน”ที่หวังว่าจะได้  ซึ่งเป็น“ลมๆแล้งๆอยู่ในอนาคต” จะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่รู้  ยืนยันกัน-พิสูจน์กันไม่ได้

ดังนั้น การทำใจในใจ(มนสิการ)ของคนผู้นี้ว่าเป็น“วิมาน”

ที่จะได้ ก็คือ ทำ“ภพที่หวัง”หรือทำ“ภาพที่อยากได้ใส่ใจตนไว้”

เป็นแค่“คำพูด” แค่“ลัทธิ” แค่“ความเชื่อ-ความเห็น”(วาทะ)

นี้แหละคือ “อุปาทาน”(ภพชาติที่ยึดมั่นไว้ได้)ชนิดหนึ่ง

แล้ว ก็เป็น“รูปที่สำเร็จด้วยจิต”คือ “มโนมยอัตตา” หรือคือ “อัตตวาทุปาทาน”แท้ๆในประดา“อุปาทาน”หลายชนิด

ซึ่ง“ภพชาติ”นั้น ก็คือ“ภาพหวัง”ก็คือ สิ่งที่ไม่แน่นอนเลยว่า จะจริงหรือไม่จริง มันยังเป็นเพียงแค่“วิมาน”ที่หวังที่ปั้นเป็น“สิ่งอันตนอยากได้”แต่ยังเป็นลมๆแล้งๆอยู่เท่านั้น

จะเกิดหรือไม่เกิด จะได้จริงหรือไม่ได้จริง ยืนยันมั่นคงไม่ได้แต่เป็น“ความหวัง”ที่เกิดขึ้นมายึดถือไว้ในใจแล้ว(อุปาทาย)ตามที่มีคนพูดกันสอนกันผิดๆ เป็น“ความยึดถือ”คือ อุปาทานนั่นคือ แทนที่จะสอน“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ชำระกิเลสให้จางคลายลงหรือดับไป กลับสอนให้สร้าง“อุปาทาน”(การยึดมั่น)ใส่ในใจตนเสียนี่  ผลจึงได้แค่“อุปาทาน”ที่เป็น“วิมาน”(ภาพหวังหรือภาพท่ีอยากได้ใส่ใจไว้)เกิดในใจของคนผู้นั้น

อุปาทาน ก็คือ กิเลสชนิดหนึ่ง ธรรมดาๆนั่นเอง

ทำ“ทาน”ก็ว่าจะได้“บุญ” ถือ“ศีล”ก็ว่าจะได้“บุญ” ปฏิบัติ“สมาธิ”ก็ว่าจะได้“บุญ”

“ทาน”ก็ดี “ศีล”ก็ดี  “สมาธิ”ก็ตาม ล้วนได้“บุญ”ที่เป็นตัวเป็นตน(อัตตา) เพราะเป็น“วิมาน”ตามที่ตนยัง“มิจฉาทิฏฐิ” อยู่ทั้งสิ้น

ชัดเจนมั้ย ว่า “วิมาน”นี่มันตัวร้ายขนาดไหน?

 

(8) “บุญ”คือกิเลส ที่เป็น“อุปาทาน”เพราะคนมิจฉาทิฏฐิ

“บุญ”ที่เป็น“วิมาน” จึงคือ“อุปาทาน”แท้ เพราะได้รับการศึกษาที่สั่งสอนผิด และปฏิบัติตามๆกันมาผิด แทนที่จะลดละอัตตา กลับไปได้“อัตตา”เพิ่มขึ้นมาใส่ใจตนเองยิ่งขึ้นเสียนี่

ผลจึงมิใช่“บุญ”ตรงความหมายที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิว่า “การชำระกิเลสออกจากจิตสันดานให้สะอาดหมดจด”(สันตานนัง ปุนาติ วิโสเธติ) ตามหลักฐานเดิมของพุทธ ที่ชาวพุทธได้หลงผิดจนเลอะเทอะในคำว่า“บุญ”

เพราะไปเข้าใจว่า“บุญ”หมายเอาอย่างเดียวกันกับ“กุศล” คือไปเห็นว่า “บุญ”นั้นเป็นเครื่องอาศัยอย่างหนึ่งอันเป็นเหมือน“ยานพาหนะ”แบบเดียวกันเลยกับ“กุศล”

เข้าใจว่า เหมือนเครื่องอาศัยช่วยให้อัตภาพได้อะไรขึ้นมามีอาศัย ขึ้นมาได้เสพ ขึ้นมาเป็นของตัวของตนอย่างนั้นอย่างนี้ ได้อันนั้นขึ้นมาเป็นรสสุข เป็นความเพลินใจ ได้รูปได้เสียงได้กลิ่นได้รสได้สัมผัสเสียดสีมาเป็นรส“โลกียารมณ์”

โดยหลงผิดไปเชื่อว่าชีวิตที่“ทำบุญ”เหมือนชีวิตที่“ทำกุศล”

ในประโยคที่ว่า สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปาทา เนื่องจากได้สจิตตปริโยทปนังแล้ว แต่ถ้าเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ก็จะไม่เข้าใจโอวาทปาติโมกข์นี้

“บุญ”มีผลได้เหมือนความเป็น“กุศล”ไปแล้วนั่นเอง  แทบเรียกได้ว่า“สนิทเนียน”แล้วปานนั้นเลย

เข้าใจว่า“บุญ”มีหน้าที่ มีคุณสมบัติอย่างเดียวกันกับ“กุศล”ที่หมายความว่า “ความดีงาม” อันเป็น“ภาวะที่ชีวิตต้องอาศัยใช้สอย“ความมี”นั้น จึงต้องมี“อัตภาพ” ทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปเป็นหนึ่งเดียวอย่างสนิทสนมแล้ว

“กุศล”แปลว่า คุณงามความดี คือเครื่องอาศัยสำหรับชีวิต-เครื่องอาศัยของความมีชีวะ-เครื่องอาศัยของอัตภาพ

ซึ่งแตกต่างกับ“บุญ”อย่างมีนัยสำคัญมาก

ขออธิบายชัดๆว่า บุญเหมือนเครื่องประหารหัวสุนัขของท่านเปา

 

(9) “บุญ”แท้ๆคือ อะไร?  ชาวพุทธเข้าใจกันไม่ได้แล้ว

ที่ถูกที่แท้นั้น“บุญ”คือ “เครื่องฆ่า เป็นอาวุธประหารกิเลส เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ชำระกิเลสให้สะอาด(ปุนาติ)แท้ๆ  ถ้าไม่มีความรู้ยิ่งสัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถ“ทำบุญ”มีผล หรือ“ทำบุญ”มีบุญ

“บุญ”เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีใครจะมีได้ง่ายๆ เพราะไม่มีความจำเป็นก็ไม่มีใครอยากใกล้อุปกรณ์นี้ ไม่มีใครอยากมี“บุญ”ไว้ที่ตนเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับชีวะ ชีวะทั้งหลายพึงไกลห่างต่างหาก เพราะมันเป็นเครื่องฆ่าที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าอยากได้ อยากเป็น อยากมี

ดังนั้น คนผู้ใดที่ใช้ความเป็น“บุญ”ที่เป็นเครื่องฆ่านี้เสร็จ ก็“จบ”ความเป็น“บุญ”ลงไปทันที เป็น“อรหันต์” เป็นผู้“หมดสิ้นบุญ”  “บุญ”หมดสิ้นไปจากตัวอรหันต์

“ผู้หมดสิ้นบุญ”ภาษาบาลีคือ “ปุญญปริกฺขีโณ”

พระอรหันต์จึงเป็น“ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)

ส่วน“กุศล”นั้นคนยิ่งมียิ่งได้อาศัยในชีวิต ช่วยเสริมส่งให้อะไรต่ออะไรเจริญมากมี  ช่วยได้-ช่วยเป็น-ช่วยมี ถ้าไม่มี“กุศล”อาศัย ก็ไม่มีคุณค่าประโยชน์ใดเลย

เพราะ“กุศล”คือความดีงาม คือเครื่องสร้างสรร “กุศล”ช่วยประโยชน์ ช่วยสร้างสรร  ช่วยเพิ่มเติมอะไรต่ออะไรให้สังคมเป็นอยู่ ช่วยสังคมเป็นสุขเจริญงอกเงยมากมี ช่วยอะไรต่ออะไร ที่สังคมพึงได้พึงมีนานาสารพัดคุณค่า และประโยชน์

“กุศล”เป็นเครื่องอาศัยในความเป็น“ตน”(อัตตา)ของความมีชีวิต “กุศล”นั้นคนมีอัตภาพต้องอาศัยทั้งตนทั้งผู้อื่น

“บุญ”นั้นมิใช่เครื่องอาศัยในความเป็น“ตน”ในความมีชีวิตดังว่านี้เลย

แต่“บุญ”เป็นเครื่องฆ่า ใช้สำหรับกำจัดความเป็น“ตน”(อัตตา)ที่เป็นกิเลส  “บุญ”เป็นอาวุธสำหรับประหาร กำจัด“อัตภาพ”บางส่วนในตน  เป็นเครื่องชำระส่วนที่ชื่อว่า“อกุศล” ชื่อว่า“บาป”ให้สิ้นไปหมดเกลี้ยง “บุญ”เป็นเครื่องอาศัยเฉพาะกิจเท่านั้น คือ อาศัยใช้ฆ่า“กิเลส”

เรื่อง“บุญ”นี้ต้องทำความชัดเจนกันดีๆ คมๆ แม่นๆ

คำตรัสของพระพุทธเจ้าใน“โคปาลสูตร”(พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 92 นั้นมีว่า “โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน ก็หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว  พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน

คนหนึ่งหัวโจกทางโง่ อีกคนหัวโจกทางฉลาดเฉกา ไม่ได้เรียนรู้ ฉฬายตนะ มันจึงเกิดความฉิบหายซ้ำซ้อนยิ่งกว่า

(10) ผู้ที่ยังมี“ส่วนบุญ” และผู้“สิ้นบุญ-หมดบุญ”ที่แท้

เมื่อ“อัตตาหรืออัตภาพ”ส่วนที่ต้องชำระออกจาก“ตน”สิ้นเกลี้ยงหมดแล้ว ผู้นั้นก็เป็นผู้หมดสิ้น“บุญ” ไม่ต้องใช้“บุญ”กำจัด“บาป”กันอีกแล้ว ชื่อว่า “ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป”ที่ภาษบาลีว่า “ปุญญปาปปริกฺขีโณ”

ดังนั้น พระอรหันต์จึงคือ“ผู้ไม่ต้องมีส่วนบุญ”ใดๆเหลืออยู่ในตนอีกแล้วเป็น“ผู้สิ้นบุญ”(ปุญญปริกฺขีโณ)

สำหรับผู้กำลังใช้“บุญ”ชำระกิเลสอยู่ กิเลสบางส่วน ลดละไปได้เป็นส่วนๆ จึงเป็นผู้ได้“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา, ปุญญภาค)ไปตามจริงเท่าที่ความสามารถของตนจะทำได้จริง เรียกว่า“เสขบุคคล” นี่คือ ผู้“ได้ส่วนบุญ”ไปเป็นลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 256 

“ผู้ได้รับส่วนบุญ”นี้ คือ ผู้ต้องมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณมิตโต กัลยสณสหาโย กัลยสฯสัมปวังโก) แล้วจะได้รับ“ส่วนบุญ”จากทั้งคนผู้เป็นครูบาอาจารย์ ทั้งมิตรสหายญาติโยมนั่นเองร่วมเป็นผู้ต่างก็พึ่งอาศัยกัน เป็นผู้ร่วมกันทำให้เราได้“ส่วนบุญ” เราเป็น“เปรต”แท้ ผู้ต้องได้“ส่วนบุญ” เรียกเต็มๆว่า “ปรทัตตูปชีวีเปรต”

แจ่มแจ้งกระจะกระจ่างไหม?  ถ้ายัง..ก็อ่านต่อ

 

(11) “เปรต”ที่ชื่อว่า ปรทัตตูปชีวี คือ ใครกันแน่?

พระเสขบุคคล ก็คือ “ปรทัตตูปชีวีเปรต” ได้แก่ ผู้ต้องอาศัยผู้อื่นยังชีวิตให้เจริญที่แท้จริง(อาริยะ)อยู่เสมอ หรือให้“หลุดพ้นจากความเป็นเปรต”นั่นเอง

อย่าลืมนะว่า “บุญ”นี้เป็น“กรรม”ที่ตนเองต้องทำของตนเอง จึงเป็น“กัมมัสสกะ” เป็นของตนเอง ใครจะทำให้เราไม่ได้ เราทำก็ผลของเรา(สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)

เราต้องทำเองจนกว่าจะหมด“บาป” จึงจะไม่ต้อง“ทำบุญ” และไม่ต้องใช้“บุญ”กันอีก ก็ถึงขั้นเป็น“อรหันต์”

ซึ่งเป็นผู้ไม่ต้อง“มีบุญ”อีกแล้ว  เป็นผู้“บุญหมดหน้าที่แล้ว” 

พระอรหันต์จึงเป็น“คนผู้สิ้นบุญสิ้นบาป” เห็นไหม?

พระอรหันต์เป็นผู้“ไม่ทำบาปทั้งปวง”จริง(สัพพปาปัสสะอกรณัง)ฉะนี้ เพราะพระอรหันต์เป็นผู้“หมดสิ้นบาปแล้ว”

ถ้ายังมี“กรรม”ที่ทำในปัจจุบันใด จึงถึงจึงพร้อมแต่ “กุศล”ทุกปัจจุบันนั้น ทั้งสิ้น

ดังนั้น ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ที่ว่า “กุสลัสสูปสัปทา” ทำความเข้าใจให้ละเอียดสุขุมดีๆแล้วจะไม่งง ไม่สงสัยเลย

ขอย้ำ..ผู้จะมี“ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาค,ปุญญภาคิยา) หรือผู้ที่ยังเหลือส่วนบุญ”อยู่นั้นคือ “เสขบุคคล”(ผู้ยังไม่สิ้นบาปถึง

ขั้นจบ จนเป็นอรหันต์เท่านั้น) ที่ต้อง“ทำบุญ” เพราะยังเหลือ “บาป”อยู่ จึงจะต้อง“ทำบุญ”อยู่ ต้องมี“บุญ”ไว้ทำ

พระเสขบุคคล(ผู้ที่เป็นอาริยบุคคล แต่ยังไม่เป็นอรหันต์)

“ส่วนที่ยังต้องทำบุญ”ยังมีอีก ยังไม่หมดบาป-บุญ เพียง

แต่ว่า ตนได้“ทำบุญ”เป็นผล มีสัมมาผล ได้“ส่วนแห่งบุญ”

(ปุญญภาคิยา)บ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องทำ“บุญ”อยู่อีก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 256 ผู้สนใจอ่านดูดีๆจากพระไตรปิฎกเถิด

 

(12) “เปรต”แท้ๆคือ จิตปัจจุบันในผู้“เสขบุคคล”

นอกจากปัจจุบัน ไม่ใช่“สัจจะ” จึงปฏิบัติไม่ได้ “เปรต” แท้ จึงคือ“จิตใจ”ของคนเป็นๆในปัจจุบันนี้ ..ชัดเจนมั้ย?

พระเสขบุคคลจึงยังมีส่วนที่ยังเป็น“เปรต”อยู่นั่นเอง

จึงต้องเป็นผู้ทำจิตที่ยังเป็นเปรต คือ“ส่วนบาป”นั้นๆให้“หมดสิ้นบาป”ที่เหลืออยู่ไปอีก จนกระทั่งสิ้นหมดเกลี้ยง

โดยอาศัยผู้อื่นสิ่งอื่นเจริญก้าวหน้าไป คือ ต้องมีผู้อื่นมีสิ่งอื่นเอื้อให้ เป็นองค์ประกอบอาศัยปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ชำระกิเลสให้หมดสิ้นเกลี้ยง นั่นคือ ชีวิ

ตินทรีย์ของ“บาป”ยังเหลืออยู่ จึงยังต้องทำ“บุญ” โดยอาศัยผู้อื่นสิ่งอื่นช่วยให้เราเจริญอยู่(ปรทัตตูปชีวี) เพื่อ“ชำระบาปออกจากจิตสันดานให้สะอาดหมดจด”(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ)

หมายความว่า “ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา)ส่วนหนึ่ง

พระเสขบุคคลทำได้แล้ว ตามนัยะที่พระพุทธเจ้าตรัสใน“มหาจัตตารีสกสูตร” มีเหลือในตัวพระเสขบุคคลนั้น คือ ความเป็น“ส่วนแห่งบาป”หรือ“ส่วนบาป”ที่เหลืออยู่ในผู้นั้น

“ส่วนบาป”ที่เหลือนี้คือ ความเป็น“เปรต”ที่จะต้อง

ได้รับการ“ทำบุญ”ให้“หมดสิ้นบาปที่เหลือ”

เพราะ“เปรต”คือ ผู้ยังมีบาป หรือผู้ยังเหลือส่วนบาป  

“ทำบุญ”ก็คือ ทำการชำระหรือกำจัด“ส่วนบาป”(ความเป็นเปรต)นั้นๆให้หมดสิ้นไป

ผู้ศึกษาโปรดอ่านจากพระไตรปิฎก เล่ม 14 ตั้งแต่

ข้อ 252-281 โดยเฉพาะข้อ 256-257 จึงจะเข้าใจ

ความเป็น“ส่วนแห่งบุญหรือส่วนบุญ”(ปุญญภาค,ปุญญภาคิยา)ได้   

 

(13) เรียนรู้ในความเป็น“เปรต”หรืออื่นๆ ให้สัมมาทิฏฐิ

ส่วน“เปรต”ที่คนพากันเข้าใจผิดว่า เปรตคือ วิญญาณ

ล่องลอย ที่คอยรอรับ“ส่วนบุญ”จากใครๆ หรือวิญญาณ

จะอยู่ที่ไหน ตนก็ไม่รู้(อชานโต) ไม่เห็น(อปัสสโต) ใครๆก็ไม่รู้-

ไม่เห็นหรอก ถ้าไม่ศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ

“วิญญาณ”ที่ล่องลอยอยู่ไหนก็ไม่รู้ จับตัวมันก็ไม่ได้ แล้วเราจะประหารมันได้ยังไงเล่า..?

สำหรับผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจริงจึงรู้(ชานโต)จึงเห็น(ปัสสโต)

ว่า เป็นความแส่หา เป็น“อาการ”ดิ้นรนของตัณหาเท่านั้น

อย่าไปตามหา“วิญญาณ”ในที่ใดๆเลย โดยเฉพาะใน

อดีตหรืออนาคตใดที่ไหน..เปล่าทั้งเพ ดังที่พระพุทธเจ้า

ตรัสใน“พรหมชาลสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ   440-444)

และตามที่พระพุทธเจ้าทรงบริภาษภิกษุสาติว่า เป็น

โมฆะบุรุษ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะไปหลงผิดกันในเรื่อง

“วิญญาณ”ที่ล่องลอย ซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หากไม่มี“ผัสสะ”

เป็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน จะไม่มีโอกาสได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง

กันได้เลย(พระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 440-444) 

ขอยืนยันว่า การปฏิบัติต้องมี“สัมผัสเป็นปัจจัย”

“หลับตา”ปิดทวารปฏิบัติเข้าไปอยู่ในภพ จึงโมฆะ

“เปรต”คือ จิตวิญญาณที่มันยังไม่เจริญของเราเอง

อย่าไปยุ่งกับวิญญาณของคนอื่นเลย มันไม่เกิดประโยชน์

อะไร และเราก็ไม่สามารถ“มีกรรม”หรือ“ทำกรรม”ที่จะส่ง

“ผลของกรรม”ไปให้ใครได้ เพราะ“กรรม”เป็นของของตน(กัมมัสกตา) “กรรมเป็นของเราที่เราทำเป็นผลของเรา(สุกต

ทุกฏฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) เราต้องเป็นทายาทของกรรมของตน(กัมมทายาท) กรรมพาเราเกิดเราเป็นของตัวเอง ส่งให้ใครหรือแบ่งให้ใครไม่ได้ แม้ใครจะมารับส่วนแบ่งหรือมารับมรดกก็ไม่ได้ (กัมมัสโกมหิ,กัมมทายาโท,กัมมโยนิ,กัมมปฏิสรโณ)

คำสอนของพระพุทธเจ้ามีละเอียดลออ ครบบริบูรณ์ถ้วนสิ้นอยู่แล้ว เรียนดีๆ ตรวจตราให้ครบๆ ค้นดูละเอียดๆ

ที่อาตมาแสดงนี้ ไม่ใช่ธรรมะเบาใจ ไม่ใช่ธรรมะเอาใจ แต่เป็นธรรมะขูดใจเลย

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:35:55 )

590504

รายละเอียด

590504_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 4 พ.ค. 2559 เราก็มาเรียนกันต่อ ...ตอนนี้ทุกอย่างก็เคี่ยวข้น ทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านจันทร์ท่านเขียนกลอนมาว่า..

ย้อนคดีสันติอโศกไปขึ้นศาล

แพ้คดีมาเนิ่นนานยังอยู่แน่น

พันธมิตรฯ สู้คดี ทุกดินแดน

แห่แหนขึ้นศาลทุกข์ทานทน

 

คดีธรรมกาย-คล้ายทักษิณ

มุดใต้ดินซุกกระดองล่องหน

สัมภเวสี วิ่งหนีศาล ร่านทุรน

ป่วยปี้ป่นปนป้องปกหมกคดี

 

Sms 3 MAY 59

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯกราบขออภัยพ่อครูที่ตนใช้อักษรย่อบ่อยเกรงส่งยาวเกินเลยย่อสั้นลง

0893867xxx จิตโลกียะฉุดคนหลงอัตตาจมโลกธรรม!จิตโลกุตระพาคนพ้นอัตตาเหนือโลกธรรม!กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมปุญญปาปปริกขีโนคือผู้สิ้นบุญสิ้นบาป!จิตที่ละกิเลส ละตัวตนจากกามุปาทาน, ทิฏฐุปาทาน,สีลัพตุปาทาน,อัตตวาทุปาทาน!สาธุ ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมสัพพปาปัสสะอกรณังจากพ่อครูเรื่องพระอรหันต์ผู้หมดสิ้นบาปแม้มีกรรมก็เป็นกุศลกรรมในปัจจุบันขณะ!จรธ.

 0892297xxx เท่าที่ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกืดจนเด๋วนี้อายุ70มีแต่พ่อครูองค์เดียว ที่เทศน์เรื่องบุญชัดตรงเป๋งใจลูกเจ้าค่ะ ในประเทศไทยลูกขอฟันธงไปปฏิบัติธรรมทุกสำนักคือไปนั่งหลับหูหลับตาเท่านั้นแหละเจ้าค่ะเพราะเป็นพระในเถรสมาคมทั้งหมด

สุดยอดดดในการบรรยายธรรมของพ่อครูทำให้ลูกเข้าใจและเริ่มทำเป็นเมื่อได้พบติดตามพ่อครูมา30กว่าปีเจ้าค่ะ

 

จากไลน์คุณเกียรติศักดิ์

สอบถามว่า ทางอโศกจะเน้นเรื่องศีล เลยจะขอถามว่า ศีลช้อ 1 ถ้าทั่วๆไปคือ ห้ามฆ่าสัตว์ แต่ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ เขาจะมองว่าไม่ผิดศีลข้อที่ 1 ซึ่งจริงๆ แล้ว มันผิดศีลข้อ1 จริงๆ เหรอครับ แสดงว่า คนทั่วไป ก็ต้องผิดศีลข้อ 1 กันหมดเลยซิครับ

พ่อครูว่า…ถูกแล้ว กินเนื้อสัตว์อยู่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งนั้น...ทั้งหมดในโลกที่เขากินเนื้อสัตว์ ล้วนเป็นเนื้อสัตว์ที่คนนี่ไปจับมาฆ่าทั้งนั้นใช่ไหม?

มันมีข้อแม้อยู่ที่พระพุทธเจ้าให้กินเนื้อสัตว์ได้ คือปวัตตมังสะ 1.สัตว์นั้นตายเอง 2.สัตว์ฆ่ากันแล้วกินกัน แล้วเหลือเดนสัตว์กิน นอกนั้น คนเจตนาฆ่า(อุทิส) มีครบองค์ 5 คือ สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตายลง ก็ครบองค์ 5 ของปานาติบาต แล้วยังทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายสงฆ์อีกก็ยิ่งบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญ

สัตว์ที่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า เรียกว่าอุทิสมังสะ เป็นเนื้อที่ไม่ควรกิน แต่นักเลี่ยงบาลีก็ไปเลี่ยงแปล อุทิสมังสะ ว่าเนื้อสัตว์ที่คนฆ่าระบุเพื่อเฉพาะบุคคล เช่นเจตนาฆ่าให้นายก.กิน แล้วนายก.ก็กินไม่ได้ คนอื่นกินได้  เจตนาตีความให้ตนเองกินได้ เป็นศรีธนญชัยมากเลย

ที่จริงอุทิสมังสะคือ เนื้อสัตว์ที่คนเจตนาฆ่ามัน ครบองค์ 5 ของปานาติบาต

 

จากไลน์คุณนาคิน

ผมขอถามว่า คนอโศกเราเหมือนทำบุญร่วมกันมาก่อนถึงมาเกิดร่วมกับพ่อครูและชาวอโศกในยุคนี้ แต่ตามที่ปรากฎ ในประวัติศาสตร์โลกสังคมอโศกเพิ่งมีมา40กว่าปีเอง ในชาตินี้ เป็นไปได้ไหมว่าจิตวิญาณของชาวอโศกที่มาเกิดรวมกันในชาตินี้ พวกเรามาจากดาวดวงอื่นโลกอื่นจักรวาลอื่นครับ? ถาม เป็นกรณีศึกษาครับ เพราะเคยได้รับคำตอบจากพระผู้รู้รูปอื่นตอบว่าอจินไตบ้าง,ใบไม่ในกำมือบ้าง,ไม่รู้บ้าง ครับ

พ่อครูว่า ในมหาจักรวาลนี้มีดวงดาวอยู่เยอะมาก บางดวงไม่มีสัตว์ที่เจริญชั้นสูงหรอก ที่ไปถามว่า ชาวอโศกมาจากดาวดวงนั้นดวงนี้ คุณพูดได้ทั้งนั้น เพราะวิบากมันกระจัดกระจายแล้วมารวมกัน ส่ิงที่มารวมกันนี้ น้ำต้องไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน จะมารวมเป็นกลุ่มก้อนที่เป็นพลังงานอย่างที่ดีที่สุดที่ประเสริฐ เป็นอาริยบุคคล จนกว่าวิญญาณที่รวมกันนั้นจะแตกสลายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หากไม่ถึงปรินิพพานก็มีเหตุปัจจัยวนเวียนมาเจอกัน

คนที่ยังไม่ถึงคราวดีจะมาได้ก็ต้องพยายามมา ถ้าแน่ใจว่าหมู่กลุ่มนี้เป็นหมู่กลุ่มดี กลุ่มโลกุตระก็น่ามาก็มา แม้มาแล้วหน้านองน้ำตาในการปฏิบัติก็ต้องทน

 

จากไลน์คุณวิลาวัลย์...

ฝากคำถามถามพ่อครูด้วยค่ะว่า กามภพ รูปภพ รูปภาพ สามภพนี้ควรละ แต่รวมสามภพนี้เป็นหนึ่งเดียว คือการเป็นผู้รู้ ผู้ร้าย ผู้เบิกบานอยู่เสมอ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิต อย่างมีสติอยู่กับปัจจุบัน อย่างนี้คือเราอาศัยกามภพนี้เพื่ออาศัยยังชีพอยู่เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เรายังบริโภคกามอยู่แต่ไม่ติดบ่วงกามอยู่เหนือกามหนูเข้าใจถูกหรือเปล่าคะ?

ตอบ...หนูพูดเอาเอง หนูพูดผิดอยู่ เพราะผู้ที่ไม่บริโภคกาม แต่อยู่ในดงกาม เขาก็ไม่บริโภค ทั้งภายนอกและภายในก็ไม่บริโภค แล้วที่บอกว่าบริโภค แต่ไม่ติดนี่ไม่จริงหรอก กามไม่ใช่ส่ิงที่จะเอามาเสพ ไม่ต้องใคร่อยาก แต่ของที่จะนำมาเลี้ยงขันธ์นั้นไม่ต้องใคร่อยากหรอกมันมีเพียงพอ คนที่เลี่ยงภาษาเพื่อให้ตนเองซับซ้อนแอบเสพกินกลบเกลื่อนก็เป็นเช่นนี้ ต้องพากเพียรปฏิบัติไปต่อ

 

มาเข้าสู่บทเรียน ตอนนี้ชื่อหนังสือเล่มนี้คือ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ

ในเมืองไทยเรามีลักษณะตรีมูรติอยู่ ...พรหมนี่อยู่กลาง รามมาในลักษณะเกื้อกูล ส่วนศิวะนี้มีลักษณะปราบ แข็ง ห้าว แม้จะปราบก็ปราบอย่างผู้มีคุณธรรม ไม่ได้เลวร้ายดุเดือด แต่อยู่ในทีที่ผู้มีภูมิปัญญาจะรู้ ไม่ใช่สิ่งน่าเกลียดแต่ก็มี ต้องปราบอย่างมีคุณธรรมสูง ที่เข้าใจยาก อย่างอาตมานี่ก็มีเชิงข่ม แต่ไม่ถึงปราบอยู่ในที ข่มผู้อื่น อย่างคุณสุลักษณ์ จะเห็นได้ว่าแรงกว่าอาตมา เป็นเสือยิ้มยากกว่าอาตมา

                   

(15) แม้แต่เรื่อง“ทาน” ก็ยัง“ทำใจในใจ”มี“กิเลส”กันอยู่

เช่น เรื่อง“ทาน” ที่สอนกันว่า“ทาน”นั้น ก็สอนให้“ทำใจในใจ”ตน(มนสิกโรติ)เป็น“วิมาน” อาตมาก็ท้วง ก็ได้สาธยายมาซ้ำซากว่า มันผิด นั่นมันยังสร้างอัตตานะ สร้างภพสร้างชาติอยู่ แต่ก็ยังสอนกัน-ก็ยังเห็นยึดกัน-ทำกันอยู่อย่างเดิม

ยัง“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)กันอยู่อย่างเดิม คือ ทำกิเลสใส่ใจตนเองอยู่ หรือทำใจตนให้เป็นกิเลสโตขึ้นๆๆๆ

จึงยัง“นัตถิ ทินนัง” ทานที่ให้แล้วยังไม่มีผล(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 255) เพราะยังไม่“สัมมทิฏฐิ”ในการทำใจในใจนั่นเอง

แทนที่จะสอนให้“ทำใจในใจ”กิเลสลดละได้ ก็ยังสอนการทำใจในใจให้เป็น“มโนมยอัตตา” สร้าง“อัตตา”เสริม“กิเลส”

เพิ่มใส่ใจตนเข้าไปอีกอยู่นั่นแหละ เปลี่ยนแปลงกันเสียที่ไหน

เพราะอ่านกิเลสด้วย“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ไม่ออก

อ่าน“นามกาย”และ“รูปกาย”ของตนไม่เป็น อ่านไม่ได้ อ่านไม่ถูกต้อง(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60)

จึงอ่านความเป็น“กาย”ไม่ออก อ่านความเป็น“รูป” เป็น“นาม”ไม่ถูกต้อง

ทั้ง“รูปทั้ง“นาม” อ่านกันไม่ออก อ่านไม่ถูกต้อง

แล้วจะอ่าน“ตัวตนของกิเลส”ถูกต้องได้ยังไง?

 

(16) ชาวพุทธเสื่อม แม้แต่คำว่า“กาย” ก็ไม่รู้จริงแท้

“สังโยชน์”ข้อแรก“สักกาย” คือ “กาย”ของตน ก็อ่านไม่ออกแล้ว จับอาการ-ลิงคะ-นิมิต ของมันไม่เป็น

เพราะมิจฉาทิฏฐิในคำว่า“กาย” ที่ผิดจากความจริงแท้ไปไกลลิบ เป็นความผิดพลาดที่สำคัญ ประเด็นที่ 1

โลกุตรธรรม ข้อที่ 1 “กายในกาย”ในสติปัฏฐาน 4 ก็โมฆะตั้งแต่ข้อต้น

ประเด็นที่ 2 ที่ยิ่งสำคัญมากยิ่งกว่าประเด็นที่ 1

คือ ความหมายแท้จริงของ“บุญ”นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนจะได้ จะมี จะเป็น ขึ้นมาอาศัยเลย

ความหมายของ“บุญ”ในทุกวันนี้ ชาวพุทธเข้าใจกันเป็น“ภพ”เป็น“ชาติ” เป็นวิมาน“ลอยลมอยู่ในอนาคต”ฝันๆ

“บุญ”เป็น“วิมาน” เป็น“มโนมยอัตตา” เป็น“กุศล” เป็นเครื่องอาศัย อันหมายไปคนละเรื่องกับ“สัจจะ”

เป็น“วิมาน” ก็คือ แดนที่อยู่ห่างไกล เป็นภพ เป็น

สถานที่ ที่อยู่ไกลแสนไกล ไกลจนไม่รู้ว่าเมื่อใดจะไปถึง

วิมานเป็น“ความหวังลมๆแล้งๆ”แท้ๆ ที่มักจะสร้างอย่างเพ้อฝันใส่จิตใจว่า เป็นความดีความงามที่ตนได้ทำแล้ว จะส่งผลให้ตนพบกับความสุขสมใจร่ำรวยที่จะเกิดในโอกาสข้างหน้า ข้างหน้าๆๆๆ และข้างหน้า

ซึ่งหมายความว่า เป็นภพเป็นชาติที่ชื่อว่าสวรรค์ วิมานแมน

หรือหมายความชัดๆก็คือ ไปเข้าใจว่า“บุญ” หมายถึงภพชาติที่จะได้กันในชีวิตต่อไปภายภาคหน้า ซึ่งเป็นคุณงาม ความดี หรือ“บุญ”ได้แก่ ความสุขความเจริญที่จะได้ในชีวิตดำเนินไปถึงในกาลเวลาข้างหน้า เมื่อไหร่..ไม่รู้ล่ะ อยู่ในวันเวลาข้างหน้าๆโน่นแหละ กาลข้างหน้า ชีวิตข้างหน้าแล้วกัน

“ความหวังในกาลข้างหน้า” ที่หวังว่า จะเป็นความสุขความสบายที่จะได้ในชีวิตดำเนินไปถึงในกาลเวลาข้างหน้า ซึ่งภาษาที่เรียก “ความหวังในกาลข้างหน้า”นี้ก็คือ “วิมาน”

“วิมาน” มีจริงหรือ? จะได้จริงหรือ? แท้แน่นอนหรือ?

เพราะคนไม่ตระหนักถึง“การศึกษา”ที่ว่านี้เลย

คนจึงหลงเชื่อ“วิมาน”ที่คนเจ้าเล่ห์ที่เก่ง คนผู้เป็นเจ้ากลอุบายที่ฉลาดสามารถสร้างขึ้นหลอกคนได้เก่งกาจ

แล้วก็หลอกให้หลงอย่างสำคัญว่า ถ้า“ทำทาน”มากๆจะมี“วิมาน”ที่เลิศลอยยิ่งใหญ่วิเศษมากๆ(ดินแดนที่อยู่ในอนาคตอันไกลแสนไกล เมื่อไหร่จะไปถึงก็ไม่รู้,มีจริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้แท้เลย) “วิมาน”จึงเป็นเครื่องล่อหลอกให้คนมา“ทำทาน”ที่มีฤทธิ์ยิ่ง

 

(17) ได้เกิดมาเป็น“คน”กับเขาทั้งที ฤาโมฆะ เสียชาติเกิด

และเหลี่ยมคูที่มักจะทำกันก็คือ ต้องให้คนทั้งหลาย

มา“ทำทาน”กับตนเองนั่นแหละ จึงจะดีที่สุด

นักสร้าง“วิมาน”หลอกคนที่เก่งกาจ จึงร่ำรวย ยิ่งใหญ่

ซึ่งคนทั้งหลายที่ถูกหลอกให้หลง“วิมาน”นี้ ก็ยังมี และยังมากอยู่ในสังคมโลกทุกวันนี้ โดยเฉพาะมีในเมืองไทย

“ภาพลมๆแล้งๆสุดเพ้อสุดฝัน”นี้แหละ ที่เรียกกันว่า“วิมาน”นี่เอง แม้ทุกวันนี้คน“รู้และฉลาด”กันมากยิ่ง

แล้ว ยังรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิมาน”กันถ่องแท้ไม่ได้ง่ายๆเลย

“วิมาน”คือ ภพ-ชาติ ที่สัตว์ขั้นมี“จิตนิยาม”เท่านั้นจึงจะมีได้ โดยเฉพาะ“คน”นี่เองที่หลงติดหลงยึด และหลง

“หวังหวาน”กับ“วิมาน”กันจนตกเป็นเหยื่อของคนผู้หาทางหลอกล่อให้มา“ทำทาน” มาบริจาคทรัพย์สิน เพื่อตนจะได้ทรัพย์สินกัน มากกว่ามาก

ที่แท้นั้น ความเป็น“วิมาน”เป็นแค่“รูป”หรือ“อรูป”ที่คนผู้ได้รับรู้แล้วหลงติดยึดก็ยึดว่า“อยากได้ อยากมี อยากเป็น

แต่ที่แท้นั้น ภาวะ“วิมาน”ที่หลงเพ้อกันทั้งหลายนั้นไม่มีสิทธิ์จะได้ จะเป็น จะมีจริงกันเลย ตลอดกาลนาน

ผู้งมงายกับ“วิมาน”นั้น คือ ผู้โมฆะ ผู้เสียเวลา เสียทุนรอน เสียแรงงานทางกายทางจิตสูญเปล่า(โมฆะ) ทั้งสิ้น

เนื่องจาก “วิมาน”ทั้งหมดเป็นภาวะของ“อัตตา 3” เต็มๆแท้ๆ ได้แก่ “โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา” เท่านั้น เป็นอื่นไป นอกจากความเป็น“อัตตา” ไม่มีเลย

ถ้าคนนั้นเขาถูกต้อง จะมีคณะที่เป็นจริงอย่างที่อาตมาพาทำ อาตมารออยู่ว่า จะมีคณะไหนที่จะมาทำได้ใหญ่กว่าอาตมาทำนี่ แล้วเป็นคณะที่มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ), บำรุงง่าย (สุโปสะ), มักน้อย (อัปปิจฉะ),ใจพอ สันโดษ (สันตุฎฐิ), ขัดเกลา, (สัลเลขะ), มีศีลเคร่ง (ธูตะ), มีอาการที่น่าเลื่อมใส (ปสาทิกะ), ไม่สะสม (อปจยะ), ยอดขยัน (วิริยารัมภะ)

ผู้เอาจริงจะกล้ามาจนกล้ามาปฏิบัติแม้ปฏิบัติหน้านองน้ำตาก็จะกล้า แต่ผู้ไม่ถึงขนาดหน้านองน้ำตาก็เบาขึ้นตามฐานะ จะมีซ้อนอนุโลมปฏิโลมไปในตัว

 

(18) “อัตตา”เป็นภาวะที่ผู้อวิชชา มีอยู่จริง แต่หลงตรรกะ

ดังนั้น ผู้ไม่รู้ทันความเป็น“วิมาน”จึงคือ ผู้งมงายอยู่กับ“อัตตา”(ตัวตน) ทั้ง 3 นี้ของตนแท้ๆ อันเป็นแค่“ตรรกะ”

ผู้หลงตรรกะ คือ คนหลงแต่ภาษาพยัญชนะ หลง

เหตุผลของความหมาย หลงปรัชญาอยู่เท่านั้น จึงเป็นผู้หมดสิทธิ์จะได้สัมผัสความเป็น“อัตตา”ที่ตนเองมีอยู่จริงในจิตตน

ผู้กล้าที่จะเชื่ออาตมา ก็จะจบ จะรู้แจ้ง จะเข้าใจ จะฟังอาตมารู้ดีต่อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าตนเองจะรู้“จบ”เองได้

ผู้ยกเอาแต่เรื่อง“วิมาน”มาพร่ำสอนเป็นสำคัญ เล่าแต่เรื่องอยู่ใน“วิมาน” อยู่ใน“ภพ”ในแดนที่เพ้อฝัน จึงคือ จอมหลอกลวง คือ จอมสร้าง“อัตตา”หลอกลวงโลก มอมเมาคนทั้งหลาย ให้หลงเพ้ออยู่กับ“อัตตา” ที่เป็น“ภพ” เป็น“ชาติ” เป็น“ตัวตน”(อัตตา)ที่ไม่มีจริง เป็นจริงเลยในความเป็นจริง

ผู้ที่มี“อัตตา” หรือผู้ที่“ได้อัตตา”(อัตตปฏิลาโภ) ซึ่งมี

“อัตตา 3”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 302) ตามคำตรัสรู้แท้ๆ

“โอฬาริกอัตตา” คือ “อัตตา”ที่เกิดใน“กามภพ”ปัจจุบัน จะต้องเรียนรู้โดยมี“ผัสสะ”ภายนอก เป็นเบื้องต้น

ส่วน“มโนมยอัตตา กับอรูปอัตตา”นั้น คือ“อัตตา”ที่เกิดใน“รูปภพ-อรูปภพ” เป็นเบื้องกลางและเบื้องปลาย ซึ่งเป็นการกำหนดเรียนรู้กันต่อไปอยู่ภายใน

หากไม่มี“ผัสสะเป็นปัจจัย” ก็มีแต่ตรรกะ มีแต่ปรัชญา เป็นแค่ลัทธิ เป็นแค่ทิฏฐิ

ต้องมี“ผัสสะเป็นปัจจัย”ซึ่งมีสัมผัสภายนอกอยู่ แล้วเราก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในภายในจิตตน และกำจัดกิเลสภายนอกให้หมดก่อน หมดกิเลสภายนอกแล้วก็ยังมีสัมผัสภายนอกอยู่ได้ตามปกติ เหลือแต่กิเลสภายในที่เราจะอ่านของตนรู้เอง เมื่อมีสัมผัสภายนอกอยู่นั้นแหละ แล้วจึงกำจัดกิเลสภายในต่อไป การปฏิบัติธรรมพุทธจึงไม่ได้ขาดผัสสะเลย

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ที่มี“อุปาทาน”แค่เพียง“อัตตวาทุปาทาน”เท่านั้น มีอยู่ 2 พวกทั้งในหมู่ศาสนา“เทวนิยม”แท้ และชาวพุทธทั้งหลายที่ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่จริง ต่างก็ไม่ได้สัมผัส“เทวะ”จริงเลย

ทั้งคู่ มีเทวะมีพระเจ้าลอยลมอยู่ ยังไม่เข้าหา“จิตในจิต”ตน

เพียงแต่ฝ่าย“เทวนิยม”แท้ จะสนิทนิ่งจริงแน่มากๆ ว่า “เทวะหรือพระเจ้า”มีจริงใน“วิมาน” ไปตลอดกาล

ส่วนชาวพุทธที่ยังพอมีใจ ที่จะศึกษาต่อ ก็จะเพียรศึกษาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อ ก็จะได้“สัมผัสเทวะหรือพระเจ้าจริง”ได้ในที่สุด อันเป็น“วิญญาณ”สัจธรรมแท้

“อัตตาวาทุปาทาน”หมายความว่า ผู้ยึดได้แค่“คำพูด” ยึดจินตนาการ ยึดปรัชญาเท่านั้นเป็น“อัตตา” ไม่ได้อะไรอื่นเลย ได้แค่“วิมาน”เท่านั้นจริงๆที่มีความเป็น“อัตตา” ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจาก“ลมๆแล้งๆ”เท่านั้นที่เป็น“อัตตา”

เปล่าดายเแท้ๆ ไร้สาระจริงๆ โมฆะสมบูรณ์แบบ

คนผู้เกิดมาที่ยังจมอยู่กับ“วิมาน” หรือยังติดยึดอยู่กับ“อัตตา” ยังงมงายอยู่กับ“ปรัชญา-ทฤษฎี” จึงเป็นคน“โมฆะ” ได้เกิดมาเป็น“คน”กับเขาทั้งที เสียชาติเกิดแท้ๆ(พ่อครูว่า โมฆบุรุษสำนวนพ่อครูเก่าคือ ชิงหมาเกิด

(19) “อัตตาวาทุปาทาน” คืออัตตา ที่เป็นแค่ลมๆแล้งๆ

เพราะ“การศึกษา”ไม่สัมมาทิฏฐิ ตามคำสอนของผู้รู้

เมื่อศึกษาผิด ชีวิตของคนผู้ไม่บรรลุธรรมจึงงมงาย เสียชาติเกิด เพราะทั้งไม่มีการศึกษา ทั้งศึกษาแต่มิจฉาทิฏฐิ

การศึกษาที่ว่านี้คือ การศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า ชีวิตเกิดมาแล้วถ้าไม่มีการศึกษาธรรมะ ชีวิตเกิดมาก็คือ“คนโมฆะ” คือคนที่ได้เกิดมาแล้วชีวิตศูนย์เปล่า เกิดมาตายทิ้งไปอย่างศูนย์เปส่า ไม่ได้สิ่งที่มนุษย์ควรได้ติดตัวไปเลย ในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาทั้งที

มิหนำจะชวยสุดแสนซวยซ้ำเสียอีก เพราะมันก็ได้แต่กิเลสตัณหาอุปาทานเท่านั้นที่เป็นผลกอบโกยใส่วิบากของ

ชีวิต ไปเต็มชีวิต ..คนเช่นนี้ เสียชาติเกิดจริงๆ

แม้ได้เกิดมาเป็นคนแล้ว แถมได้พากเพียรอุตสาหะปฏิบัติตนให้เกิด“กุศล” หรือให้เกิด“บุญ”

แต่ความพากเพียรนั้นยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ ยังไม่สัมมาทิฏฐิจริง ความเพียรนั้นจึงยิ่งกลายเป็นเสริมอกุศลหรือบาปทับทวียิ่งขึ้นๆ ด้วยความหลงผิดนั่นเอง

ตายไปจึงได้แต่ “นรก”ที่หลง“บุญ”ผิดเป็นบาป แต่แท้ๆได้แค่“กิเลส”ฉะนี้แล

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างสำคัญว่า คนทั้งหลายเกิดมาแล้วตายไป ส่วนมากตก“นรก” น้อยกว่าน้อยนักที่จะได้สวรรค์ โดยเฉพาะสวรรค์ที่เป็นโลกุตระ มิใช่แค่โลกียะ

คนที่จะได้สวรรค์โลกุตระนั้น เท่ากับเอานิ้วจิ้มลงไปในพื้นดิน แล้วมีดินติดขี้เล็บขึ้นมา เท่านี้เองที่ได้สวรรค์โลกุตระ นอกนั้นได้นรกเท่ากับแผ่นดินที่เหลือนั่นเองเป็นสวรรค์โลกีย์

นี้คือ สัจจะที่เป็นจริง ที่คนไม่เคยฉุกคิดกันเลย

คนทั้งหลายเอ๋ย... ตระหนักกันตามที่ว่านี้บ้างไหม?

 

(20) อัตตา(cell และ self)ที่เป็นพลังงานชีวะ คือ กาย

ตั้งใจ“ศึกษา”กันให้ถ่องแท้ ใน“เนื้อหา-เนื้อแท้”ของ “ความจริง”กันให้ถึง“ความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ”กันบ้างเถิด

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่มี“ความรู้”เข้าขั้นปรมัตถธรรม มี“เนื้อหา-เนื้อแท้”เป็นศรีอาริยเมตไตรย์ และสามารถปฏิบัติให้ชีวิตเข้าถึงหรือบรรลุ“โลกุตรธรรม” ได้อย่างแท้จริง

ศรีอาริยเมตไตรย์ คำว่าเมตไตรย์ก็คือเมตตา อาริยะคือความประเสริฐ ศรีคือส่ิงดีงาม เป็นภาษาระบุว่า ผู้สูงสุดในยุคใดๆไม่มีใครเทียมเท่า เป็นอนุตรสัมโพธิญาณ คนนั้นอยู่ในตำแหน่งศรีอาริยเมตไตรย์ ไปข้างหน้าเสมอ ศรีอาริยเมตไตรย์จะมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่า อนาคตจะไม่มีนะ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นอนาคตข้างหน้ามีจริงๆ เรียนให้สัมมา เราจะได้เป็นอาริยเมตไตรย์ พากเพียรไปข้างหน้าที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปกังวล จำแต่เพียงว่า มันไม่ได้ผิดอย่าทำซ้ำ แต่ถ้าดีก็เสริมให้ยิ่งไปเรื่อยๆ เราเดินหน้าอย่างเดียว อาตมาภาคภูมิใจที่หมู่ฝูงเราอาตมาก็อยู่สุขสบาย ตามประสาพวกเรา อาตมามองไปข้างนอก คนเขาเหน็ดเหนื่อย คว้าลมแล้งบ้าบอ เห็นจ่ายแคลอรี่ แรงงานทุนรอนอยู่อย่างนั้น พูดไปเหมือนไปข่มเขามากขึ้นๆ

พวกเรานี่อาตมาว่ามันลงตัวเท่าที่เป็นไปได้แต่พวกเราก็รู้ว่าดีกว่านี้ยังมีอีก

ผู้รู้เช่นนี้เป็นสอุตรังจิตตัง ตราบใดคุณยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีสอุตตรังจิตตังอยู่ ผู้มีปัญญาแล้วอย่าช้า เราได้ช่วยตนเองและผู้อื่น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอุภยถะ

ผู้รู้โลกุตระก็จะสามารถรู้โลกียธรรมได้ด้วยเสอม จะรู้อันโลกียะไม่รู้โลุตระได้ แต่โลกุตระได้แล้วไม่รู้โลกียะไม่ได้ เป็นเทวธัมมา เป็นคำ the great word มีคนโลกุตระเท่านั้นที่ต้องมีธรรมะสองเสมอ

สัญญายนิจจานิ กับสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น

เพราะโลกุตระนั้นมีสองเสมอ แต่พระพุทธเจ้าว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว คือสมมุติสัจจะ ที่รู้ร่วมกันกับทุกๆคน อันที่เป็นสมมุติสัจจะหนึ่งเดียวสุดยอดก็ต้องมีหนึ่ง มีสองไม่ใช่สัจจะ ตามสมมุติสัจจะ ส่วนสัญญา ย นิจจานิคุณกำหนดเองของใครของมัน เอามาเทียบกันไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นหนึ่ง แต่มีกูนี่เป็นหนึ่ง ไม่มีใครตัดสินก็เป็นหนึ่งทั้งคู่ แต่ไม่ใช่สมมุติสัจจะ สมมุติสัจจะมีหนึ่งเดียว

สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก(สมมุติสัจจะ)

สัจจะไม่มีในโลก(เพราะเป็นแต่ละคนยึดเอง)

และสัญญาย นิจจานิ

สามเส้านี้สุดยอด

ผู้รู้แจ้งรู้จริงใน“โลกุตระ”ต้องรู้“โลกียะ”ควบคู่เสมอ และต้องมี“สมมุติสัจจะ”กับมี“ปรมัตถสัจจะ”จึงสามารถรู้รอบถ้วน“ธรรมะ 2”ในความเป็น“ธาตุ”ของ“จิต”กับกาย”

ดังนั้น “กาย”จะคงความเป็น“ธรรมะ 2”ต่อไปๆๆๆ

ส่วน“จิต”จะเป็น“ธาตุรู้” หากภาวะใดหมดสิ้น“ธาตุรู้”ลงไปเด็ดขาด ก็เหลืออยู่เพียง“รูปรูป” ซึ่งก็แค่เป็น“อุตุนิยาม”

“อุตุนิยาม”เป็นธาตุที่มีแต่“รูป”หรือไม่มี“นาม”หรือ“ธาตุรู้”ร่วมด้วยเลย เป็น“มหาภูต 4“แท้ จะรวมกันขึ้นเท่าใด มากมายแค่ไหน ก็เป็น“กาย”ไม่ได้ เป็นได้แต่“รูปธรรม”ท่าเดียว

ส่วน“พีชนิยาม”เป็น“ธรรมะ 2” คือ สัญญากับสังขาร แต่ยังไม่พัฒนาตนขึ้นเป็น“3 เส้า” จึงชื่อว่า“พีชนิยาม”

แม้“พีชนิยาม”จะรวมอยู่เป็นองค์รวมของ“จิต”อีกที เพราะ“จิตนิยาม”ของพระอรหันต์ ท่านสามารถทำ“พลังงาน”ของตนให้เป็น“พีชนิยาม”ได้สำเร็จ พลังงานของตนเองที่เป็น“จิตนิยาม”แท้ๆ จึงมี“ธรรมะ 2”อยู่ในตัวเป็นคุณวิเศษ

คือมี“จิตนิยาม”เป็น“ธรรมะ”ที่ครบ“3 เส้า” ได้แก่ “เวทนา-สัญญา-สังขาร” และสามารถมีขยายจาก“3 เส้า”

ต่อๆไปได้นับไม่ถ้วน เรียกพลังงานทั้งหมดนี้ว่า“วิญญาณ”

แต่ทั้งหมดมีคุณประโยชน์ตาม“พีชนิยาม”เพราะทำทั้ง

ประโยชน์ตน ทั้งเจตนาประโยชน์ช่วยผู้อื่น ไม่เป็นภัยแก่ใคร

“วิญญาณ”จึงสามารถมีได้ทั้ง“4 หน่วย-5 หน่วย-

6 หน่วย รวมเป็น“3 เส้า”ขึ้นมาอีก“2 องค์”ก็เป็นตามจริง

จนกระทั่งเป็น“3 องค์รวม” ก็นับเป็นการลงตัวเคลื่อนหมุนรอบตนเองได้ และขยายเพิ่มหรือลดได้ ตามแต่เหตุปัจจัย

ถ้าวนคงที่ก็เรียกว่า“ศูนย์” นับเป็นหน่วยที่“10”นั่นเอง

 

(21) “ธรรมะ”ที่เป็น“จิตนิยาม”จึงมีผลจากกรรม

ปริมาณของ“เส้า”หรือ“หน่วย”ที่มีอยู่เท่าใดๆ ก็เรียกว่า“ธรรมะ” ที่มีหน่วย หรือมีเส้าเท่านั้นๆ

ถ้าแจกแยกย่อยเป็นหน่วยๆหรือองค์ๆ ก็เรียกว่า“เส้า”

ถ้าเป็นองค์รวมก็เรียกว่า“ธรรม”หรือ“ธรรมะ”

ดังนั้นคำว่า “ธรรมหรือธรรมะ”จึงหมายถึง องค์รวมของ“หน่วยหรือองค์”ที่“ทรงขึ้น-มีขึ้น” ตั้งแต่“1” เรียกว่า

“เอกธรรมหรือธรรมะ 1”(primary) “ทรงขึ้น 1 หรือมีขึ้น 1”

แล้วก็เป็น“ธรรมะ 2”(seccondary) “ธรรมะ 3”(tertiary) “ธรรมะ 4”(quaternary) “ธรรมะ 5”(quinary) “ธรรมะ 6”(senary) “ธรรมะ 7”(septenary) “ธรรมะ 8”(octonary)“ธรรมะ 9”(nonary) “ธรรมะ 10”(denary) “ธรรมะ 12”(duodenary) “ธรรมะ 20”(vigenary) ฯลฯ

นิจตามีแต่ในอรหันต์เท่านั้นแล้วมีคุณสมบัติกำกับว่าไม่มีโทษภัยกับใครเลย

สำหรับคำว่า“กรรม” คือ การเคลื่อนไหวของ“หน่วย” หรือ“องค์”ทั้งหลาย มี“อาการ”เกิดขึ้นในคน ถ้ารวมตัวกันขึ้น

ก็เรียก การเคลื่อนไหวนั้นๆที่สื่อให้คนรู้ว่า“วิญญัติ” เป็นการงานหรือการกระทำขึ้นมา

ได้แก่ กายวิญญัติ กับ วจีวิญญัติ เมื่อเราสัมผัสเข้า ก็เกิดปฏิกิริยามีผล สุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นต้น

“จิตนิยาม” จึงมีกรรม มีผลกรรม จาก“ธรรมะ”ต่างๆด้วยประการฉะนี้

ส่วน“พีชนิยาม” ไม่มี“กรรม” ไม่มี“ผลกรรม”เหมือน

“จิตนิยาม” “พีชนิยาม”ยังไม่มีพลังงานถึงขั้นที่เรียกว่า “เวทนา” เพราะมันมีพลังงาน“สัญญา”กับ“สังขาร”เท่านั้น

พลังงานขั้นสัตว์ ขั้นคน จึงจะมี“เวทนา” คือ อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นต้น

“พีชนิยาม”แม้มันจะมี“สัญญาธาตุ” ที่เป็น“ธาตุ”กำหนดรู้อะไรต่ออะไรได้ แล้วเอามา“สังขาร”เป็นตนเอง(self)ได้

แต่ในความเป็นพลังงานของ“พีชนิยาม”ทั้งหลาย แม้มันจะมี“อาการ”ที่เป็น“อาการ”ของหน้าที่การทำงานของมัน

ซึ่งมันต้อง“รู้”ว่า จะต้องเอาธาตุนั้น-ธาตุนี้มา“สังขาร”(การปรับแต่งตัวเองให้เป็นไปตามที่ตนเองรู้ว่าจะต้องทำให้เป็นเช่นนั้น,การจัดแจง)เข้าเป็น“ตัวตน”(self)ให้แก่ตัวมันเอง มันก็มี“สัญญา”(การกำหนดรู้)นั้นๆของมัน แต่พลังงาน“นามธรรม”(abstract)นั้นยังไม่มีประสิทธิภาพถึงขั้นชื่อว่า“กรรม” ชื่อว่า“เวทนา”

 

(22) “เวทนา”เป็น“กรรมฐาน”มี“อาการ”อย่างไรกัน แท้ๆ

พลังงานของพืช(พีชนิยาม)“ทำหน้าที่” ทำงานตามหน้าที่ แต่ประสิทธิภาพขอบเขตของ“ความรู้”ในพลังงาน“พีชนิยาม” ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า“เวทนา”หรือ“วิญญาณ”

แล้วตัวตนของ พีชนิยาม หรือ“พืช”มี“ความรู้”ไหม?

มี.. “มีความรู้” แต่ประสิทธิภาพของ“ความรู้”แค่ขั้น“สัญญา”กับ“สังขาร”เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น“เวทนา”

ดังนั้น จึงไม่เรียกว่า“วิญญาณ”

ที่ไม่เรียกว่า “วิญญาณ” เพราะยังมี“อาการ”ไม่ครบ “3 อาการ”(ไม่ครบ 3 เส้า) ได้แก่ “อาการ”ที่ชื่อว่า“เวทนา-สัญญา-สังขาร” มันมีได้แค่“สัญญากับสังขาร”เท่านั้นเอง

ฉะนี้แลพลังงานที่ยังไม่“ครบ 3”(3 เส้า) ดังนั้นจึงไม่ชื่อว่า “วิญญาณ” พืชไม่ใช่ความรู้ขั้น“วิญญาณ”จริงๆ

เวทนา ได้แก่ พลังงานที่มี“อาการ”เป็น“รสที่ตนรู้สึก

เกิดจริง-เป็นจริงในตน” อันเรียกได้-กำหนดได้ว่า รู้สึกเป็น“สุข” หรือเป็น“ทุกข์” และหรือ“ไม่สุขไม่ทุกข์”(เวทนา 3)

ไม่ว่า“อาการ”นั้นจะมาจาก“การสัมผัส”ทางทวารใดทวาร 1 หรือหลายทวารก็ตาม ทั้ง 6 ทวาร ผู้ศึกษาสามารถแยกแยะ“อาการ”ของ“เวทนา 3”นี้ออกได้ ผู้นั้นก็เป็นคนที่มี“ความรู้”สามารถจะปฏิบัติไปสู่นิพพานสำเร็จ

ถ้าผู้ใดยังแยกแยะ“อาการ”ของ“อารมณ์ 3”ประการนี้ไม่ออก ก็หมดสิทธิ์ที่จะปฏิบัติไปถึงนิพพาน

“เวทนา” จึงมี“อาการ”ที่จะต้องเรียนรู้ อย่างสำคัญ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้แล้วครบถ้วน“เวทนา 108”

“เวทนา”นี้แลเป็น“ฐาน” เป็น“ที่ตั้ง”แห่งการปฏิบัติในศาสนาพุทธ “กรรมฐาน”สำคัญอันดับหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้

ขาด“เวทนา”ปฏิบัติไม่ได้ อย่าดื้อขัดแย้งพุทธพจน์เลย

ดังนั้น ผู้“หลับตา”สะกดจิตไม่ให้มี“เวทนา” ไม่ให้รู้สึกใดๆ จึงผิดแน่นอน เพราะหมดสิทธิ์..ปิดทางนิพพานตนเอง

เพราะไม่มี“ฐาน” หรือไม่มี“ที่ตั้ง”ในการปฏิบัติ ซึ่งเท่ากับไม่มี“กรรมฐาน” ยิ่งไปมีอย่างอื่นเป็น“กรรมฐาน” ที่ไม่ใช่“เวทนา” ก็ยิ่งผิดถนัดถนี่ แน่ยิ่งกว่าแน่ ...ชัดเจนมั้ย?

เมื่อไม่มี“ฐานะ”(ฐาน)เท่ากับไม่มี“ที่ตั้ง” หรือไปมีอย่างอื่นเป็น“ที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ” เป็น“กรรมฐาน”จึงผิดทั้งหมด

“กรรมฐาน”ของศาสนาพุทธได้แก่“เวทนา”เท่านั้น

อย่าไปอุตริ หลงเอาอย่างอื่นมาเป็น“กรรมฐาน” ตาม “อรรถกถาจารย์”ผู้ยังไม่สัมมาทิฏฐิ กันนักเลย

แน่นอน“ผู้สู่รู้”ย่อมมีอยู่และมีมากมายเป็นธรรมดา

ส่วน“ผู้รู้ความจริง”ที่แท้นั้น ย่อมมีน้อย ก็เป็นธรรมดา

จงศึกษาจาก“เวทนา 108”ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ดีแล้วนั่นเถิด จะบรรลุนิพพาน

โดยมี“ผัสสะ”เป็นปัจจัยเสมอ จึงจะมี“เวทนา”(พตปฎ.

เล่ม 9 ข้อ 64-76) และหากเว้น“ผัสสะ”แล้วจะรู้สึก(เวทนา)ได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 77-89)

พลังงานนี้จับได้ยาก ดิ้นเก่งด้วย อาศัยฝึกฝนเอาอย่างเดียว ถ้าคุณอยู่ในหมู่แล้ว คุณไม่ต้องการเสพสุขด้วยโลกธรรมแล้ว อยู่นี่มีมากพอแล้ว ถ้าไม่กังวลอะไรเอาพลังงานโถมไปเลย ทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่ได้ คุณทำก็ต้องได้ของใครของมันเผลอๆลำหน้าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าก่อนอาตมาได้นะ อาตมาไม่ริสยาหรอก เพราะผู้เป็นเช่นนั้นได้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติก็ยิ่งดี ไม่ริสยาหรอก ไม่ไปนั่งแข่งดีแข่งเด่นกับใครหรอกหากเข้าใจ

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:36:21 )

590505

รายละเอียด

590505_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ บุญคือน้ำอาญาสิทธิ์ล้างกิเลส

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2559 วันนี้มีเด็กนร.มานั่งฟังด้วย ก็จะเล่าธรรมะอันลึกซึ้ง ซึ่ง เด็กก็ฟังไว้ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ม

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)หมายเอาตัวอกุศลจิต ตัวร้ายนี้เอาออกหรือกำจัด เอาออกแล้วก็ไม่เกิดความวุ่นวาย ไม่มีความทุกข์หมดทุกข์อาริยสัจ 

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) ไปคิดด้วยเหตุผลโดยไม่มีความจริงไม่ได้

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

Sms 4พ.ค. 59

0805925xxx เกิดเจอกันร่วมกันเพราะกุศลเคยทำร่วมกันมาจึงพบใช้วิบากชั่วดีร่วมกันมิใช่หรือ? จึงมีวาสนาเกื้อกูลกันตามเหตุปัจจัยแยกไปเป็นพ่อแม่พี่น้องผัวเมียเพื่อนซี้จริงป่ะ?ปลายฝน

0805925xxx เนื้อสัตว์ที่ขายมาปรุงอาหารคนเสพกินไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าเองแต่ผิดเพราะใจตะกละเคยเสพจนชินชางัย?ปลายฝน

พ่อครูว่า อย่าไปก่อวิบากเลย อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดๆเลย เขาอยู่ในภพภูมิต่ำมาก เป็นเดรัจฉาน เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็อย่าไปต่อวิบากกับคนด้วยกันเลย ผู้มาปฏิบัติธรรมคือตัดวงจรที่จะรักจะชังกับใครต่อใคร ให้ลดลงๆ ไม่มีใครรักหรือชังไม่ผลักหรือดูด มีแต่คบกันด้วยช่วยเหลือกันไม่ยึดไม่ติดไม่ผูกพัน

พระพุทธเจ้าตรัสในลังกาวตารสูตร ว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารที่คนควรกิน

อุทิสมังสะคือ เนื้อสัตว์ที่คนเจาะจงฆ่ามันไม่ใช่ว่าเจาะจงฆ่าให้คนชื่อใดๆกิน เขาเลี่ยงบาลี แต่เพราะครบองค์ 5 ปานาติบาท จึงบาปแน่ คือ สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า ลงมือพยายามฆ่า สัตว์นั้นตายลง คือครบปานาติบาตแล้ว

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

0893867xxx จำพ่อครูเคยกล่าวตัวตนอันเป็นรูปธรรมอันมีมหาภูตรูป4 กวลิงการาหารเช่นอัตตา,อัตตนียาฤาอัตตาหยาบคือโอฬาริกอัตตา!

 0815371xxxทราบซึ้งในคำเทศนาของพ่อครูคอยวาสนาวิบากเยอะครับ

0893867xxx เรื่องอัตตวาทุปาทานพ่อครูเคยบอกคือผู้ยึดติดแค่ภาษาเพราะไม่มีสภาวะ ไม่รู้สภาวะ ต้องมีอัตตานุทิฎฐิ! ต้องตามรู้เห็นความเป็นอัตตาของตนในตนแล้วกำจัดให้ได้!

พ่อครูว่า...อัตตานุทิฏฐิ หมายความว่าตามเห็นความเป็นอัตตา เห็นอัตตานั้นไม่เที่ยงสัมผัสเห็นเลย แต่อัตตวาทุปาทานเห็นว่าอัตตาไม่มีแล้วก็ไม่ต้องไปตามเห็นอัตตา

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมโอฬาริกอัตตา1ในอัตตา3มีมโนมยอัตตากับอรูปอัตตาด้วยสาธุ

เช่นเรามีอาหาร เราก็สัมผัสด้วยทวาร 5 สัมผัสแล้วเกิดจิตชอบหรือชังในอาหารนั้น ส่วนเหล่านี้แหละคือเกิดอัตตาอัตตนียาในตัวเองทั้งสิ้น เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ของธรรมะต่างๆ

พ่อครูว่ามันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่จากสองเป็นสามเป็นสี่...ไปไม่รู้จบได้เลย เช่น มีคนรักกันสองคน ก็มีมือที่สาม มีมือที่สี่ ห้า หกไปเรื่อยๆเป็นต้น

เวทนาเป็นธรรมะสอง แม้แต่ธรรมะสองนี้ก็จะมีความต่างกันไม่ลงรอยกัน ทำให้สนิทสมานกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ ถ้าธรรมะสอง เวทนาในเวทนา เวทนาหนึ่งเป็นความรู้ความเห็นแท้ตามธรรมชาติ อีกอันหนึ่งเป็นอารมณ์อาการผี เทวดาเก๊ สุขเท็จ กับเวทนาที่รู้ว่านี่แดง เขียว อันนี้ เสียง กลิ่น รสเช่นนี้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ตามจริง ใครสัมผัสก็เห็นรู้สึกเหมือนกันหมด แต่ความชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่คน คือธรรมะสอง เอาธรรมะหนึ่งที่เป็นตัวขัดแย้งไม่สงบออกไปให้ได้ ให้เหลือธรรมะหนึ่ง รู้ความจริงตามความเป็นจริงเป็นเอกธรรม อันนี้คือพระอรหันต์ ธรรมะสาม สี่ ห้า หก เจ็ด ยิ่งหลายแง่มุม แต่ทำทีเดียวหมดไม่ได้ ต้องทำทีละคู่ ปริตตัง กาย เวทนา จิต ธรรม ทีละคู่ ที่รู้ว่าต่างกัน กิเลสอยากที่เนื่องจากรูปอันนี้ มันคล้ายกัน รูปอื่นที่เราไม่ได้ล้างกิเลสก็จะถูกทำความเข้าใจซ้อนไปด้วยว่าเราไปติดลักษณะเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องไปทำทุกอย่าง ทำไปแล้วจะลดละได้ ที่มันพ่วงกันโดยปริยาย ก็จะเข้าใจมีปฏิภาณ นัยเดียวกันทำอย่างนี้ได้ไม่ต้องไปติดยึดมันจะมีปฏิภาณปัญญาไปเลย

0893867xxxขอบคุณบุญนิยมกับธรรมพ่อครูฯเรื่องอุตุ พีชะ จิต กรรม  ธรรมะจากรูปกับนามในชีวิตที่ปฏิสัมพัทธ์กันตลอดกาล จรธ

.0890499xxxหนูเรียนธรรมตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ยังโง่เลยค่ะ อามิตตพุทธ

พ่อครูว่า ก็เรียนต่อไปให้ฉลาด คนที่รู้ตัวว่าตนเองโง่คือคนฉลาด แต่คนที่นึกว่าตนเองฉลาดแต่ไม่รู้ความโง่ของตนเองคนนั้นแหละยอดโง่ นึกว่าตนฉลาด หลงตนว่าฉลาดคนนั้นล่ะยอดโง่

คำว่าฉลาด มาจากคำว่าฉฬายตนะ อาตมาไม่ได้โมเมนะ ภาษาไทยมาจากภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเยอะ อย่างคำว่าฉลาด มาจากคำกร่อนจากฉฬายตนะที่รู้ในอายตนะทั้ง6

ยกตัวอย่างอาตมาใครเข้าไปห้องอาตมาจะเห็นอาตมา เปิดโทรทัศน์ 3 จอ มีจอคอมพ์อีก 1 จอ อาตมาก็ไม่วุ่น เพราะจัดระเบียบได้ ไม่ให้ทะเลาะกัน เหมือนธรรมะสี่หน่วย แต่ก็ไม่ได้ปวดหมองกับมัน มันก็เป็นของมันไปแต่ละช่อง เราจะรับรู้อะไรก็รู้อันไหนน่าสนใจควรเอาประโยชน์ก็เอา อันไหนไม่เอาประโยชน์ก็ไม่เอา

อีกอันหนึ่ง พ่อครูช่วยกำชับ คนดำเนินรายการและผู้ร่วมรายการว่าชุมชนชาวอโศกไม่ใช่ที่ที่ทำประชาสงเคราะห์ใครจะมาอยู่ก็ได้นะครับ แต่ต้องมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เดี๋ยวนี้มีคนเปิดยูทูป แล้วนึกว่ารับคนทุกคน เขาก็เลยหอบลูกมาอยู่ ….พ่อครูว่า อันนี้ก็ควรบอกไว้ ว่าคนไม่มีศีลธรรม หรือหอบภาระมาเท่านั้น เราก็ไม่รับ หรือยกตัวอย่างเป็นเอดส์มาเราก็ไม่รับ ไม่ใช่ว่า เป็นของสาธารณะไปหมด ไม่ใช่นะ

ที่นี่เป็นรร.สร้างอาริยบุคคล เป็นสถานศึกษา ผู้มาเรียนเรียนฟรีอยู่ฟรี แต่ว่าใครจะมีวิบากเรื่องยุ่งยากก็หอบมาที่นี่ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ อาตมาไม่ได้สอนให้แบบสังคมสงเคราะห์ ผู้ที่มาอยู่นี้เป็นนักศึกษาหมด เป็นที่เรียนรู้ศึกษาฝึกฝน ทุกลมหายใจเข้าออก

มีจม.ร้องเรียนว่าคนงานที่มาทำงานนี้ อู้งานกินค่าแรงเฉยๆ….อาตมาก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องบอกกัน งานไหนที่ล้นมือเราเราก็ต้องจ้าง และ อีกประเด็นคือเราเราก็ช่วยเหลือคนที่อาศัยทำงานอาชีพช่าง เช่นบางที่ก็มาทำงานจ็อบๆไป แต่เราไม่มีคนงานประจำที่มีตำแหน่งให้เลยไม่ใช่ เราไม่ใช่หมู่บ้านร่ำรวย แต่เราเป็นหมู่บ้านคนจนแต่จำนนต้องจ้าง คนข้างนอกมาทำงานบ้าง เพราะหมู่บ้านนี้สมาชิกหมู่บ้านทำงานฟรี

 

_มีอีกอันที่ส่งมา อันนี้จะหนักหน่อย ทางข้างนอกเขาจะบอกว่าบุญคือเสบียงที่จะติดตัวไปทุกชาติ แต่นี่คือความคิดที่ผิดอย่างเอาหัวต่างตีน เหวลึกกับฟ้าสูงเลย บุญเป็นอาวุธชำระกิเลส สันตานังปุนาติ วิโสเทติ บุญไม่ได้แปลว่าของดี แปลว่า เครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด

ใครบอกว่าบุญเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีอย่างย่ิง ถ้าความคิดรวบยอดเขาเป็นเช่นนี้คือคนเอาบุญมาหลอกคน สำนักที่ขี้หลอกจึงบอกว่าให้ทำบุญใหญ่ๆ แต่ที่จริงบุญเป็นอาวุธพิเศษยิ่งใหญ่ใช้สำหรับตัดกิเลสเท่านั้น ไม่ใช่ส่ิงที่น่าได้น่ามีน่าเป็นแล้วเอาไปกอดไว้อาวุธจะฆ่าคุณเองด้วย ต้องรู้จักใช้บุญฆ่ากิเลสให้เป็น เพราะใช้เสร็จแล้วทิ้ง เครื่องมือฆ่ากิเลสนี่น่ากลัว น่าที่ของบุญคือฆ่ากิเลสแล้วจากไปเอง ต้องเอามาใช้ในตอนมีกิเลส หากไม่เจอกิเลสก็อย่าใช้บุญ ไม่เช่นนั้นเป็นพิษเลย ถ้าไม่เจอกิเลสอย่าเอาบุญมาใช้ บุญคือปหาน 5 คือเครื่องมือชำระกิเลส เป็นของที่ไม่น่ามีไม่น่าได้น่าเป็นเป็นเครื่องล้างของเป็นพิษ เหมือนน้ำอาญาสิทธิ์ ล้างเสร็จบุญก็หายไป แต่ทุกวันนี้บุญเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปมากแล้วอาตมาคงต้องพูดอีกนานเลยเรื่องบุญ ไม่เช่นนั้นศาสนาไม่ฟื้น

คนที่ได้ส่วนบุญคือเสขบุคคล ถ้าอ่านในมหาจัตตารีสกสูตรจะชัดเจน ผู้ได้ส่วนบุญคือพระเสขบุคคล ชำระกิเลสได้เป็นส่วนๆไป แล้วยังเหลือสาสวะ ถ้าเป็นอนาสวะแล้วพระเสขบุคคลก็จบเป็นผู้ไม่มีบุญ บุญทำหน้าที่เต็มแล้วก็จบเลิกบุญ เป็นผู้ไม่ต้องทำบุญไม่ต้องใช้คำว่าบุญ จึงเรียกว่าผู้สิ้นบุญ

ขยายความอีกว่า พระเสขบุคคลคือ ปรทัตตูชีวกเปรต คือมีกิเลสความอยากที่เป็นตัณหาเหลืออยู่ แต่เป็นผู้ที่รู้แล้วว่าเครื่องมือชำระกิเลสประกอบด้วยมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่เฉพาะตัวเอง ต้องอาศัยอื่นประกอบอย่างน้อยต้องมีครูบาอาจารย์บอกอุบายโกศลเพื่อชำระกิเลส ทำใจในใจอย่างไร มิตรดีคือพระพุทธเจ้าเป็นต้นหรือครูบาอาจารย์ต่างๆต้องพึ่งคนอื่น

ทุกคนต้องมาเป็นเสขบุคคลต้องมารู้ความเป็นเปรตของตนต้องสร้างเครื่องมือฆ่าเปรตในตน ฆ่าได้ก็มีส่วนแห่งบุญเกิด ทำลายบาปหรือเปรตหรือกิเลสก็อันเดียวกัน บุญเป็นเครื่องมือกำจัดบาป เปรต กิเลส หรืออกุศลจิต ผู้สามารถรู้จักตัวกิเลส อกุศลจิต เปรต แล้วกำจัดเปรตได้จะได้บางส่วน ก็เรียกว่าเป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผลแก่ขันธ์ อุปธิเวปักกา อย่างน้อยล้างกิเลสอุปาทานขันธ์ 5

ผู้ทำปหาน 5 ใช้เครื่องมือฆ่ากิเลสได้จริง ลดลงๆ จนกิเลสหมด เครื่องมือก็เลิกไม่ต้องใช้ จบกิจ หมดบุญสิ้นบุญ ปริกขีโณ

ไม่ใช่ไปหลงบุญเป็นวิมานเอาไปกอดรัดไว้

อาตมานึกไปไกลถึงความรู้สึกของพระพุทธเจ้า ขออภัยนี้ไม่ใช่เดา แต่คิดว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าที่มีความรู้สึกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ลึกซึ้ง ถ้าจะเอามาเปิดเผย จะสูญเปล่าไหมนะ จะช่วยคนได้ไหมหนอ ใครจะรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้เรียกว่าปริวิตก พระพุทธเจ้าจึงต้องตรวจดูบุคคลในโลก ว่าจะพอสอนได้ไหม ท่านก็ตรวจแล้วว่าพอสอนได้ก็เลยเปิดเผยเครื่องมือให้คนก็เอาไปทำได้จนเป็นพระอรหันต์ ล่วงพ้นมาถึงสองพันหกร้อยกว่าปีอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้ามาเกิดก็เห็นว่าบุญที่เป็นเครื่องมือชำระกิเลสนี่ ผู้สืบทอดเอาบุญมาปู้ยี่ปู้ยำเละ เครื่องมือฆ่ากิเลสกลายเป็นขนมหลอกเด็กไปหมดเลย

ทั้งๆที่เป็นเครื่องมือที่เลวร้ายยิ่งกว่ามีดกว่าปืน อย่าเอาไปใส่มือเด็ก ทุกวันนี้คนก็เลยกลายเป็นเด็กไม่เดียงสาก็ได้ปืนมีดนี้ไปก็ฆ่าใครๆระเนระนาดเลย แทนที่เป็นเครื่องมือให้คนเจริญกลับทำให้คนเสื่อมต่ำตายเน่าไปเลย

เป็นธรรมะที่ชัดเจนลึกซึ้งถูกต้องนะที่อาตมาอธิบาย แต่คนฟังไม่รู้เรื่องก็เห็นใจ ก็เข้าใจเขา เพราะว่าไปยึดมั่นถือมั่นเสียแล้วว่าเป็นเช่นนี้ๆ เพราะไปจมกับความหมายนั้นเสียแล้ว มันไม่มีปรโตโฆษะ ไม่รู้อันอื่นได้ เขาก็เข้าใจว่าเป็นอันนี้ ตีไม่แตก ว่าบุญคือเครื่องมือในการฆ่า เป็นพิษร้ายนะ ถ้าเจอพิษร้ายต้องเอาอันนี้มาใช้ ถ้าไม่เจอก็อย่าเอามาใช้ คนใช้เป็นเท่านั้นจะเอายาพิษนี้มาใช้ล้างพิษได้ เหมือนของอันตรายอย่าให้เด็กเอาไปเล่นนะ เป็นเครื่องมือสำคัญมาก อย่าให้คนไม่สามารถควบคุมเอาไปใช้ได้ มันเหมือนน้ำกรด ไอระเหยมันก็เป็นพิษแล้ว อย่าเอามาเล่น

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:36:52 )

590506

รายละเอียด

590506_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 4

พ่อครูว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 6 พ.ค. 2559 เราก็มาศึกษากันต่อ ผู้ที่เป็นเสขบุคคล เป็นเปรตมาก่อนแล้วก็มาสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติมีส่วนแห่งบุญ ละกิเลสเป็นส่วนๆ จนหมดกิเลส ปุญญาปาปริกขีโณ

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯนร.สสข.บุ ญนิยมทุกท่านseufaasin 5/5/2016 19:21

0893867xxx วันฉัตรมงคลได้ไปทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวงฯของปวงไทยฯขออนุโมทนาญตธ.ศาลีอโศกได้ ทำบุญถือศีลกินมังสะขัด เกลาใจน้อมจิตร่วมกันสาธุskk

0805925xxx คนส่วนมากก็เข้าใจว่าอโศกเป็นผู้ให้เลยหวังมาพึ่งพักพิงโดยไม่รู้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่ฝึกกายใจลดกิเลส!ถึงจะสงสารแต่เราก็เข้าใจนะกรรมใครกรรมมัน

0893867xxx พ่อหลวงผู้ทรงทศพิธราชธรรมทรงพระราชนิพนธ์พระมหาชนกตามรอยธรรมพระศาสดาในเรื่องวิริยฯวิริยอุปฯวิริยปรมัตถบารอันมีสังวรฯปหานฯภาวนาฯอนุรักขนาปธานฯ

0893867xxx ธรรมที่พ่อหลวงทรงปกครองปชช.ด้วยพระเมตตาฯทรงสอนพสกนิกรให้มีความเพียรในธรรม!ลูกไทยขอน้อม เจริญรอยตามฯสาธุ

0805925xxx กุศลกรรมดีมิใช่เหรอที่เป็นเงาติดใจเราไปทุกชาติส่งผลสุขสบายตามวาระกรรมแม่นบ่?ปลายฝน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูสอนให้เข้าใจธรรมะพระศาสดาที่เข้าถึงเข้าใจด้วยตัวเองยากจนเข้าถึงธรรมเข้าใจคำสอนดีขึ้นตามลำดับสาธุ

0805925xxx ด้ายยยเวลาเลบานอนอาหลับราตรีบ๊ายบาย!ปลายฝน 5/5/2016 20:11

0824883xxx I ALWAYS NEED BOON MORE THAN BAHT SIR RADM MINT 5/5/2016 20:11

0815371xxx นมัสการพ่อครูคนนอกอโศกนี้เขาไปวัดทอดกฐินผ้าป่าฝังลูกนิมิตคือการไปทำบุญถูกไหมครับ 5/5/2016 20:13

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมะพ่อครูสอนเรื่องสันตานังปุนาติวิโสเธติ!การทำบุญด้ว ยการชำระกิเลสในสันดานให้สะอาดหมดจดจรธ.skk 5/5/2016 20:15

0824883xxx THE COLOUR OF A RIPE PAPAYA AND MANGO IS YELLOW SIR RADM MINT 5/5/2016 20:22

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ท่านลูกเล่นน่าดูชม หมดเวลา ไม่ได้พูดไรเท่าใด ท่านพูดตั้งเยอะแยะนะเจ้าค่ะ...555...อิอิอิ.. 5/5/2016 20:27

0816800xxx หนังสือ 7 เล่ม ได้รับแล้วนะคะ ช่วงสงกรานต์ได้ไปทำบุญที่ศาลีอโศกท่านสมณะที่ศาลีอโศกจัดให้ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ 5/5/2016 20:28

 

จม.จากหายโง่

5 พฤษภาคม 2559

เมื่อวันที่ 7 เมษายน ศกนี้

เราโนไปตรวจมวลกระดูกที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิ์ฯ พบว่ากระดูกผุพรุน แถมเจาะเลือดพบเป็นโรคไตระยะ3 ติดเชื้อ อักเสบเอกซเรย์พบนิ่วก้อนใหญ่ในถุงน้ำดี หมอให้ยาปฏิชีวนะแก้อักเสบ

ดิฉันต้มรากหญ้าคา รากหญ้าขัดมอญ รากเตยให้ดื่มแทนน้ำดื่มชาชงหญ้าหนวดแมว ทานอาหารรสไม่จัด วันที่27 เมษายนไปตรวจปัสสาวะพบว่า การติดเชื้อน้อยลงไม่ต้องทานยาปฏิชีวนะแต่วันที่23พ.ค.นี้ต้องไปทำอุลตร้าซาวน์ดูก้อนนิ่ว ว่าจะต้องสลายไหม

เราโน่สุขภาพจิตดีเยี่ยมไปทำงานที่โรงถ่านทุกวันตั้งแต่บ่ายโมงหากไม่มีธุระ หรือไม่ได้นัดหมอ

ดิฉันทำ นาโนยูรีน ให้ดื่มด้วย กลายเป็นเภสัชกรจำเป็นต้มยาทั้งวัน เราโน่กลับจากโรงถ่านถึงบ้าน5โมงเย็น ดิฉันทำซุปรสไม่จัดให้ทานทุกเย็น เวลาไปฟังธรรมไม่มี เราโน่ก็เกรงใจที่ดิฉันไม่ได้ไปฟังธรรม แต่ดิฉันยินดี เป็นการให้กำลังใจเขาจากบ้านมาไกลหวังฝากผีไว้ที่นี่ก็ดูแลจนถึงที่สุดเขาไม่มีอาการป่วยเลยค่ะ ดูสดใสด้วยซ้ำคงกำลังจิตดี

ดิฉันตื่นแต่เช้าอ่านคำบรรยายของพ่อครูที่ท่านกรุณาบันทึกได้ประโยชน์มากค่ะ กราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

 

ดิฉันมีคำถามเกี่ยวกับการแสดงธรรมเมื่อวันที่ 4 พ.ค.(ตามไฟล์ที่แนบมา)หากมีเวลาโปรดกรุณาปรินท์ถวายพ่อครู(ตอบไปแล้ว)

 

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ไฟล์ภาพที่ส่งมาคือภาพเมื่อเร็วๆนี้ สมณะอุตตโม และสมณะเด่นตะวันช่วยชี้แหล่งรากหญ้าที่เอามาต้มรักษาโรคไตได้ผลดีมากระดับไม่ต้องทานยาปฏิชีวนะ หมอคนแรกที่ตรวจบอกว่าต้องทานยาปฏิชีวนะไปตลอดชีวิต แต่พิสูจน์แล้ว่ารากหญ้าช่วยได้ค่ะ

กราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูง

หายโง่

 

6 พ.ค. 59

แรงบันดาลใจจากที่เมื่อวานนี้ มีคนเขียนมาว่า ที่นี่ถูกมองว่าเป็นสถานสงเคราะห์ ดิฉันทราบมาอีกว่ามีคนซื้อที่ในนี้หมายจะใช้เป็น"ออร์แกนิค รีสอร์ท" คือสร้างบ้านทิ้งไว้ มาอยู่ชั่วคราวเพื่อพักผ่อน อากาศดี มีอาหารไร้สารพิษให้บริโภค ฟรี ทราบว่าซื้อที่ไว้แล้ว โดยกรรมการไม่ทันได้แจ้งกติกาชัดเจน เหตุเพราะ ชาวอโศกที่อ้างว่า"รักพ่อ"ยังอิดออด ไม่อยากมา จึงบุคคลที่มิใช่เป้าหมายพยายามเข้ามา

หากบทกวี(กลอนเปล่า)นี้ไม่รบกวนเวลาแสดงธรรมนัก ขอได้โปรดพิจารณาถวายพ่อครูกรุณาอ่าน แต่ถ้าเวลาไม่พอก็ไม่เป็นไรค่ะ

กราบขอบพระคุณในความกรุณาเสมอมา

กราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูง

 

หายโง่

หากลูกรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริง

พ่อเรียกแล้วเรียกอีกให้กลับบ้าน

หากลูกรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริง

จะลดกาม อัตตา(หากยังไม่อยากละ แค่ลดก็ได้)

มุ่งมาช่วยกันสร้างบ้านแปงเมือง

เพื่อใครหรือ

หากลูกรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริง

มงคลอันเป็นผลแห่งความกตัญญูย่อมเกิดขึ้นแก่ตนโดยสัจจะ

หากลูกรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริง

จะไม่หาเหตุผลโอ้เอ้

หากลูกรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริง

ที่นี่

ราชธานีอโศก..จะไม่เป็นสถานสงเคราะห์คนสิ้นไร้และไม่คิดพัฒนาตน

เพียงแค่เป็นเพียง ปลิง ทาก

ที่นี่ ราชธานีอโศก..จะไม่เป็นที่พักหลบมุมของคนคร้าน

ที่นี่..ราชธานีอโศก..

จะเป็นครอบครัวอาริยะตามแนวทางของพระพุทธองค์ มุ่งตรง แม่นทิศ

โดย “พ่อ” เป็นผู้นำทาง

ขอผองเราจงรักพ่อด้วยน้ำใสใจจริงกันเถิด..ความสุขอันประเสริฐจักเกิด

แก่เราแน่นอน

ด้วยน้ำใสใจจริง

 

นิรนาม

 

6พ.ค.59

พ่อครูว่า

 คนทั้งหลายในโลกต้องอาศัยใช้เวลาที่มีอยู่และผ่านไป
แต่ละวันๆนี่แหละ..เป็นอยู่ให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะใช้ศึกษา ฝึกฝนตนเอง ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “ทำงานทำการ” หรือพูดให้ครบ ก็คือ ชีวิตเป็นอยู่ก็ทำงานทำการให้ดี ก็คือให้ชีวิตเจริญ ถ้าเป็นชาวพุทธที่มีภูมิปัญญาก็ทำให้ถึงขั้น“บุญ”   
แต่คนทั้งหลายก็ไม่เคย“ฉุกคิด”กันเลยว่า คำว่า“ชีวิตเจริญ”ของคนนั้นที่แท้มันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน? 
ส่วนมากก็มีแต่ระวัง“กรรม 3”(กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม)
ของตนอยู่บ้าง ด้วยสามัญสำนึกว่า“ทำกรรม 3 ให้ดี” อย่าให้เป็น“ทุจริต”หรืออย่าให้เป็น“บาป”หรืออย่าให้เป็น“อกุศล” 
 ยิ่งถึงขั้น“บุญ”นั้น ชาวพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้ความเป็นจริงของคำว่า“บุญ”กันแล้ว ว่า หมายความถึงอะไร? 
หลงผิดกันไปหมดแล้วมั้ง! เพราะเห็นพากันไปเข้าใจว่า“บุญ”หมายถึง“ภาวะ”ของคุณงามความดีที่เป็นแค่“กุศล”เท่านั้น  คนส่วนมากเข้าใจคำว่า“บุญ”เลอะเทอะเละเทะ เข้าใจคำว่า“บุญ”ออกนอกขอบเขตพุทธไปไกลมากแล้ว
ชาวพุทธทั้งหลายทั้งปวงทุกวันนี้ แทบจะไม่เหลือใครเลยแล้วที่“ทำบุญ” เป็น“บุญ”สัมมาทิฏฐิ  
“บุญ”ได้กลายเป็น“มิจฉาทิฏฐิ”(ความเข้าใจผิด)กันจนแม้กระทั่งเศษธุลีละอองของ“ความเข้าใจถูก”ใดๆก็ไม่เหลือเลย 
“บุญ”ได้กลายเป็นสินค้าที่โลดโผนโจนทะยานเก่งกาจชนิดที่ลึกลับกว่า“นินจา”หลายร้อยเท่าพันเท่า 
ชาวพุทธจึงต่างพากัน“แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ” 
โดย“ทำบุญ”ไม่เป็น“บุญ”เลย  แต่เป็น“บาป”กันจริงๆแล้ว 
“ทำบุญ”ได้“บาป”กันเกินกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไหนๆ ไปไหนๆ  นั่นคือ ไปนรกลึกหรือต่ำสุดๆยิ่งนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว  ไม่ฉุกใจ ไม่ไหวทันกันเอาเลยซึ่งมันผิดสัจจะไปใหญ่ จนกู่ไม่กลับกันแล้วจริงๆ

(1) “ศิลปะโลกุตระ”ประเด็นสำคัญยิ่ง คือ คำว่า“บุญ”
เป็นต้นว่า เข้าใจคำว่า“บุญ”คือ“วิมาน” ที่หมายถึงแค่ภพในอนาคต สองเป็น“กุศล” ที่หมายถึง สิ่งอาศัยพักพิง สามหมายถึง “ชาติ” อันเกิดเป็นตน นี่แหละผิดทั้ง 3 ประเด็น
เพราะ“อนาคต”นั้นได้แก่ ภาวะที่ไม่เคยมาถึงเราสักที 
ไม่เคยเป็นปัจจุบันใดๆสักครา ยังอยู่ในสายลม ยังไม่ถึงมือเราเลยสักครั้ง แต่ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิดวาดหวังติดยึดอยู่กับ“วิมาน”นั้นไปตลอดกาล  
“อนาคต”จึงเป็นแค่“วิมาน”  “วิมาน”จึงเป็น“ภาพ
หรือภพที่วาดหวังใส่ไว้ในใจตน”เท่านั้น
“วิมาน”ไม่ใช่“ภาวะที่มีจริง เป็นจริง”เลยสักนิด แต่ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิด เอาแต่ติดยึด“อนาคต”นั้น แล้วก็ แสวงหาคว้าลมกันอยู่กับ“อนาคต”นี้กัน
คนผู้นี้จึงไม่หลง“วิมาน” และรู้ภาวะ“ปัจจุบัน”ที่มีสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วปฏิบัติกับ“เวทนา”เป็นฐานแท้ 
นี่คือ “ทิฎฐิ 44”(อปรันตกัปปิกทิฏฐิ 44) ที่เป็น“มิจฉาทิฏฐิ”ทั้งหมดทั้งสิ้นในความเป็น“อนาคต”ทั้งหลาย เท่าที่พระบรมพุทธศาสดา ได้ตรัสรู้ และนำมาประกาศไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 45 ไปถึง ข้อ 50
ผู้ที่มี“ความรู้”ในความเป็น“อดีต”ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ว่า เป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  อย่าไปงมจมอยู่กับ“อดีต”ต่อไปเลย เพียงรู้ไว้เป็นเรื่องใช้เปรียบเทียบในการศึกษา เพื่อปฏิบัติ“ธรรมะ 2”เท่านั้นก็พอแล้ว
“อดีต”ไม่มีวันจะมามีใน“ปัจจุบัน”ได้เลย 
จึงจะมีก็แต่“อนาคต”เท่านั้นที่จะเป็น“ธรรมะ 2”กับ“ปัจจุบัน”ให้เราปฏิบัติ ทำความเป็น“1 ใน 2”สำเร็จได้ 
“ความรู้”ดังว่านี้ คือ ศาสตร์ ชัดเจนแจ่มแจ้งในตน เป็นหลักยึด แล้วมี“ความจริง”ที่เป็น“ธรรมะ 2” คือ สุมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ทำงานอยู่กับสังคม
ถ้าเป็น“ความรู้”ของเราคนเดียว ก็เป็นแค่“ศาสตร์” เป็นแค่“ความรู้”ที่เรากำหนดรู้อยู่แต่เดียว นี้คือ “สัญญายะ นิจจานิ” เป็น“ปรมัตถสัจจะ”อยู่แต่เราเดียวดาย
ยังไม่ชื่อว่า “ศิลปะ”  เป็นแค่“ศาสตร์”เท่านั้น
ถ้า“ศิลปะ”ต้องมี“ธรรมะ 2” มีทั้ง“ศาสตร์” ทั้ง“ศิลป์” 
สมมุติสัจจะ คือ สัจจะที่ต้องมี“สมมุติ” 
สมมุติ ก็คือ มีผู้อื่น“รู้”ร่วมกับเราด้วย(ต้องมีตั้งแต่สองขึ้นไป) ไม่ใช่“รู้”แต่เราอยู่ผู้เดียว ส่วน“ปรมัตถสัจจะ”นั้นทั้งรู้แต่เราก็ได้ ก็เรานั่นแหละที่ยึดว่าเป็น“ความรู้”ของเรา แต่ถ้ามีผู้อื่นรู้ด้วย ก็เป็น“ศาสตร์”ท่ีแพร่หลายออกไปยิ่งขึ้นกับผู้อื่น 
ทีนี้ ถ้า“รู้”เฉพาะเราแต่ผู้เดียว ไม่มี“สมมุติ” ก็ยังไม่นับว่า“ศิลปะ” ยังเป็น“ศาสตร์”เฉพาะตนโดดๆ
“ศิลปะ”ต้องมีผู้อื่นร่วม“รู้”ด้วยเข้าใจได้เป็น“ธรรมะ 2” นั่นคือ มีทั้ง“ปรมัตถสัจจะ” และทั้ง“สมมุติสัจจะ” 
“ศาสตร์”นั้นจะแพร่หลายแค่ใดมากมายแค่ใดก็เป็นแค่“ศาสตร์” เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพราะแค่“ศาสตร์”ที่ยังไม่มีความรู้ขั้นเปลี่ยน DNA ของ“จิตนิยาม”ได้ ยังไม่เป็น“วิชชาศาสตร์” เพราะยังไม่ถึงขั้นเป็น Phenomenalogy   
ยังไม่สามารถมีใช้“สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4” ตัดสินสัจจะให้ความพอเหมาะพอดี ซึ่งบางครั้งก็ต้องยืนอยู่บนฐานของ“สมมุติสัจจะ” บางคราก็ยืนอยู่บนฐานของ
“ปรมัตถสัจจะ” ตามความเหมาะสมของ“เอกภาพ”นั้นๆ
ส่วน“มหาปเทส 4”ของพระพุทธเจ้านั้น“อนิจจัง”แท้
โดย“อนุโลม”หรือ“ปฏิโลม”ไปกับสังคมกับโลก ตามปรากฏการณ์(ปาตุภาวะ = phenomena)ที่เกิดอยู่เป็นอยู่จริงของเหตุปัจจัยในกาละนั้นๆ อย่างไม่มี“อคติ”แท้เด็ดเดี่ยวและได้กำจัด หรือระงับส่วนที่แรงที่ร้ายในขณะนั้นได้สำเร็จ ให้องค์รวมของหมู่กลุ่มดำเนินไปได้ ไม่วุ่น ไม่กวน ไม่เสียหาย ไม่แรงจนร้ายได้สำเร็จ แต่แรงเต็มที่อย่างพอดีจึงจะเรียกว่า“บุญ”  เริ่มเข้าข่าย“โลกุตระ”
ผู้ทำ“บุญ”เป็นผล “ทำบุญ”มี“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยะ)เกิด จึงจะนับว่าเป็น“โลกุตระ” เป็น“เปรต”ที่มีฐานะ“เสขบุคคล”

(2) “การประมาณ”ที่ได้สัดส่วนพอเหมาะจึงจะเป็น“ศิลปะ”
          การจัดการ“ประมาณ”(มัตตัญญู)สัดส่วน ผสมได้ส่วนพอเหมาะพอดีที่สุด(harmony) แม้จะมี“จุดเด่น”(highlight)ที่ เด่นได้ในหมู่ โดยหมู่ยอมรับ ยกให้เป็นจุดเด่นของหมู่ ด้วยคะแนนของหมู่ มากเกินกว่าหมู่อื่นอย่างซื่อสัตย์โดยแท้
ฉะนี้แล คือความสามารถของ“ศิลปิน” ต้นแรกของความสามารถ นับเป็น“ศิลปิน”ขั้นโลกุตระ
แต่ที่เป็น“ศิลปะ”โลกียะนั้น คือการบำเรอกิเลสอยู่ แต่มีเงื่อนไขแค่ว่า ต้อง“สุจริต” ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดวินัย ไม่ผิด“สมมุติ”ของคนส่วนมาก(เยภุยยสิกา) มี“ความพอใจ-ความชอบใจ-ความสุขใจ” แม้จะยังบำเรอกิเลสอยู่ ก็ยังได้
ดังนี้แลคือ ผู้ทำ“ศิลปะ”โลกียะ หรือที่เป็น“ศิลปะโลกีย์”
นับเป็น “ศิลปะ” ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรก เริ่มต้น

อาตมาแบ่งศิลปะออกเป็น 5 ระดับ คือ ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ
ส่วนที่จะนับเป็น“ศิลปะโลกุตระ”ได้นั้น ต้องนับเอาที่“จิตใจ”เป็นหลัก ว่า เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต-เจตสิก หรือ“กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ถึงขั้นกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” แยก“มโนปวิจาร 18”ที่เป็น“โลกียะ”(เคหสิตเวทนา 18) กับที่เป็น“โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา 18)ได้ ถ้าแค่“รู้”ได้ ก็แค่“พ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์ ” กับ“พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์” 2 สังโยชน์ แต่ยัง“ไม่พ้นสีลัพพัตตปรามาสสังโยชน์” 
ดังนั้น ที่สำคัญเป็นเงื่อนไขหลักคือ ต้องทำให้“ใจ”ของ เรากิเลสลดได้ จางคลายลงได้ “พ้นสีลัพพัตตปรามาสสังโยชน์”อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัมผัส“ใจ”เราเองจริงๆ 
จึงจะนับว่า เริ่มนับเป็น“ศิลปินโลกุตระ”ขั้นต้น
ผู้สามารถทำ“จิตในจิต”ของตน กิเลสลดละลงได้จริง 
ผู้นั้นแหละเริ่มนับว่า เป็น“โลกุตระ”เป็น“อาริยะ”สำหรับตน
แค่ตนเองเป็น“อาริยชน” เป็นมนุษย์โลกุตระ ขั้น “ปรมัตถธรรม”สำหรับตนแล้วแต่ยังไม่นับว่ามี“ศิลปะ” ที่เป็น“สมมุติสัจจะ” หากเมื่อใด ผู้นั้นไม่สามารถนำ“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตระ”ออกมาเผยแพร่ให้คนอื่นภายนอกเริ่มรู้ร่วมเป็น“สมมุติสัจจะ” แล้วมีคนทำ“ปรมัตถธรรม”ของเขาได้ ผู้นั้นก็ยังไม่ชื่อว่า“ศิลปิน” มีโลกุตรธรรมครบ ก็ยังเป็นได้แค่ ผู้มี“ศิลปะโลกุตระ”สำหรับตนเท่านั้น   
จนกว่าจะเป็นผู้สืบทอด“โลกุตระ”ถ่ายทอด DNA หรือมีคนอื่นเปลี่ยน DNA ใน“จิตนิยาม”ของคนอื่นอีก ให้เกิด ต่อไปได้  ผู้นี้จึงจะชื่อว่า เป็น“ศิลปิน”เต็มตัว เป็นศิลปะโลกุตระ ครบสภาพ“ธรรมะ 2” เต็มรูปเต็มนาม 

(3) “บุญ”กับ“กุศล”ประเด็นสำคัญยิ่ง ที่จะเป็นโลกุตระ
“ศิลปะ”ต้องเป็น“ธรรมะ 2”(อิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ หรือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ)ที่มี“ความแตกต่างกัน”(ลิงคะ,เพศ)  ไม่ว่าจะเป็น“สิ่งมี”ที่เล็กที่สุดละเอียดที่สุดแห่งที่สุด(ribonucleic) 
ก็สามารถเห็น“ความแตกต่าง”ของภาวะนี้ และจัดการ(อภิสังขาร)กับ“ธรรมะ 2”นี้ให้เป็น“ธรรมะ 1”ได้สำเร็จ(เอกสโมสรณา ภวันติ) โดย“ธรรมะ 2” หรือ“ธรรมะมากมาย”นั้นอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนกัน(harmony) ผู้นี้แหละ คือ “ศิลปิน”
ผู้งมงายอยู่แต่กับภาวะที่เป็น“ภพ”หรือ“ภาพ”ที่เป็น “อนาคต” ไม่หันเข้ามาหาความเป็น“ปัจจุบัน”ที่มี“ภาพ”แท้ 
มี“สัมผัส 6-อายตนะ 6-วิญญาณ 6”ศึกษา“ของจริง” ก็จะหลงงมอยู่แต่กับ“อนาคต”ที่มีทั้งหมดอยู่เพียง 44 ทิฏฐิเท่านั้น ไปตลอดกาลนาน ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย  
และคำว่า“กุศล”นั้น หมายถึง สิ่งอาศัยพักพิงของชีวิต ได้แก่ ภาวะที่สบาย ภาวะที่เป็นสุข ภาวะที่เจริญก้าวหน้า เป็น“ภาวะที่มีอยู่ ไม่หายไปไหน” แม้มันจะกลายเป็นภาวะไม่สบาย ภาวะที่เป็นทุกข์ ภาวะที่เสื่อมไม่เจริญแล้ว มันก็ยังเป็นภาวะที่“มีอยู่” แต่เป็นความเสื่อมไป เรียกชื่อภาวะนี้ว่า “อกุศล” ภาวะนี้ยังไม่หายไปไหน     
“บุญ”นั้นได้หลงผิดว่าเป็นสมบัติที่คนพึงสะสมมาไว้ใส่ตน หอบหวง“บุญ” กอบโกย“บุญ” ให้แก่ตนมากๆฉันใด 
คล้ายกับการสะสมความเป็น“กุศล”ใส่ตนฉันนั้น นี่แหละ ผิด   “ผิด”อย่างมหามหันต์  ผิดอย่างสำคัญมากในศาสนาพุทธ  
ซึ่งที่จริง“บุญ”กับ“กุศล”มีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งมาก 
ผลของ“กุศล”นั้นคือ“มี”ภาวะที่ดี..ถึงดีอย่างยิ่ง ไม่จบ ไม่สิ้นสุด “มี”เพิ่มไปได้ตลอดกาลที่ทำ“กุศล” “กุศล”ก็ยิ่ง“มี”ในตนมากขึ้นๆๆๆๆๆ ได้เรื่อยไป 
เพราะ“กุศล”ประหนึ่ง“ทรัพย์-ศฤงคาร” ยิ่งทำยิ่งได้ “มากมี”ทับทวียิ่งๆขึ้น  “มี”ในตนไปได้ยิ่งขึ้นๆ ไม่มีที่สุด
ส่วนคำว่า“บุญ”นั้น ประหนึ่ง“อาวุธฆ่าอกุศล-เครื่องประหารกิเลส” ยิ่งทำยิ่งลด “น้อยลงๆ”ตาม“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา)ที่ทำสำเร็จ ยิ่งสิ้นไป หมดเกลี้ยงเป็นที่สุด
เป็นผู้“หมดบุญ”(ปุญญปริกฺขีโณ) หากเป็นผู้หมดสิ้นบาปในตน” ก็เป็น“ผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญบาปปริกฺขีโณ)
คนผู้นี้ก็หมดเรื่อง“บุญ”สำหรับตน ไม่ต้อง“ทำบุญ”อีก
“กุศล”เมื่อ“ทำแล้ว”ได้สะสมเพิ่มขึ้น มีมากขึ้นๆๆ แล้วก็ทำ“กุศล”ต่อไป ก็ยิ่งมี“กุศล”มากยิ่งๆขึ้น 
แต่“บุญ”นั้นเมื่อ“ทำแล้ว” กิเลสก็ลดละหน่ายคลาย  ลดลงๆ หมดไปๆๆๆๆ จนที่สุด“บุญ”ก็หมดสิ้นไปจากตน เป็น“คนสิ้นบุญ”(อรหัตตผล) เป็น“ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป”สนิท(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) ผู้นี้ก็เป็น“อรหันต์”
เนื่องจากผลของ“บุญ”คือ“กำจัด”ภาวะนั้นๆออกไป เช่น กำจัด“บาป”หรือ“อกุศล” จนที่สุด“ภาะนั้นไม่มีเหลือเลย” ก็“จบกิจ”  “จบกิจ”ก็เป็นอัน“หมดสิ้นบุญ”ไปเลย
คนผู้“หมดสิ้นบุญ”ก็คือ ผู้“หมดส่วนบุญ”นั้นภาษาก็ว่าหมด“ปุญญภาค”หรือหมด“ปุญญภาคิยา” ได้แก่ ผู้พ้น
ความเป็น“เสขบุคคล” หรือหมดความเป็นเปรต ก้าวหน้าขึ้นเป็น“อเสขบุคคล” 

(4) นัยสำคัญยิ่ง คือ“บุญ”นั้นยิ่ง“ไม่มี” แต่“กุศล”ยิ่ง“มี”     
ดังนั้น อรหันต์จึงคือ ผู้“จบกิจของบุญ” เป็นผู้“สิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) เป็นผู้ไม่ทำบุญอีก ไม่มี“บุญ”แล้ว หน้าที่ของ“บุญ”เสร็จแล้ว “จบ”แล้ว “บุญ”ก็ไม่มีในตน ตนก็ไม่ต้อง“ใช้บุญ”สำหรับตนอีกแล้ว    
“บุญ”นั้นก็สำเร็จ ผลก็คือ เป็น“คนสิ้นบุญ”อย่างยั่งยืนตลอดกาล เป็น“คนไม่ต้องใช้บุญ-หรือไม่ต้องมีบุญสำหรับตนทำต่อไปอีกแล้ว” ในชีวิตที่จะ“มีอยู่”อีกกี่ชาติๆก็ตาม
มีแต่“บารมี”เท่านั้นที่จะ“มี”มากขึ้นๆ
ผลที่ได้ของ“บุญ”จึงไม่ใช่สิ่ง“มี” ไม่ใช่ภาวะที่ต้องสะสม 
ผลที่ได้ของ“บุญ”ยิ่ง“ไม่มี”
แต่ผลที่ได้ของ“กุศล”ยิ่ง“มี” ยิ่งสะสม เพิ่มขึ้นๆๆๆ 
ผลที่ได้ของ“บุญ”ยิ่ง“หมดสิ้นไป” ผลสูงสุดคือ“สูญจบ” สูญสนิท ไม่เหลือแม้ธุลีละอองใด ยั่งยืนตลอดกาล 
ชาวพุทธเข้าใจผิดในคำว่า “บุญ”(มิจฉาทิฏฐิ) ผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ จนกระทั่งไร้ผลจากศาสนาพุทธกันเลยทีเดียว
นี้เป็นความเข้าใจผิดของชาวพุทธที่สำคัญยิ่งใหญ่ 
ยิ่งใหญ่มาก เพราะคำว่า“บุญ”นี้เองที่ทำให้ชาวพุทธทุกวันนี้พากันใช้คำว่า“บุญ”ทำลายศาสนาพุทธเสียเองด้วย
เพราะชาวพุทธได้พากันหลงผิด โดยเฉพาะ“ผู้รู้”ที่มิจฉาทิฏฐิในคำว่า“บุญ” จึงได้พากันเอาคำว่า“บุญ”ไปหลอกคนว่า เป็น“วิมาน”ที่คนอยากได้มาสะสมไว้ในตนให้มากๆ
 ศาสนาพุทธเสื่อมหนักมากจริงๆ เพราะเหตุนี้
พ่อครู พูดถึงการพ้นภัย 5 ที่พ่อครูทำได้แล้ว

จบ...

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:37:17 )

590508

รายละเอียด

590508_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ กรรมฐานคือเวทนา

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 8 พ.ค. 59 ….ลิงเป็นสมช.ที่คล่องแคล่วว่องไว ลิงมีทั้งลิงขยันและขี้เกียจ ถ้าขยันก็จะเจริญมาก หากขึ้เกียจก็จะเสื่อมมาก ทุกวันนี้ชาวพุทธมีกรรมฐานต่างๆกันไปเช่น เพ่งลูกแก้ว หรือบางสำนัก ให้ท่องพุทธ-โธ อาตมาไม่เคยไปสำนักอื่น เคยอ่านบ้างแต่ไม่เคยไป อ่านหนังสือหลวงพ่อพุทธทาสก็มีบ้างเบื้องต้น แต่มาสำนักอโศก บอกกรรมฐานเบื้องต้น ถือศีล 5 กินมังสวิรัติเลย มันก็มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิตได้เลย เป็นกรรมฐาน ฐานะที่ทำให้เราลดละกิเลสเบื้องต้นแล้วพ่อครูก็สอนท่ามกลางบั้นปลายมา

วันนี้พ่อครูจะมาสอนกรรมฐาน เป็นที่ตั้งแห่งชีวิตเราที่จะทำให้เราเดินไปอย่างมั่นคงหนักแน่นไปทิศทางที่ดี

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาตั้งใจมาฉีกหน้า กรรมฐาน หรือกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือจุดหรือสถานที่ที่จะปฏิบัติ จุดนั้นมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรฯล.9 จุดนั้นคือ… จุดที่มีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าเว้นผัสสะเป็นปัจจัยเสียแล้วจะไม่เกิดเวทนา ไม่รู้สึกเสียได้ ไม่มี Action reaction จะต้องมีปฏิสังเวที มีการกระทบทวนไปทวนมา แล้วจะรู้จักอนุโลมปฏิโลมคือเข้าๆออกๆ

อาการจะเกิดต่อเมื่อมีผัสสะ ในพระไตรฯล.9 สำคัญเลยเพชรเม็ดแรกของพระสูตรเลย ในพรหมชาลสูตรบอกว่าการปฏิบัติของคนทั้งหลายหรือความเห็นความรู้ความเข้าใจของคนมี 62 ชนิด ท่านประมวลมาแล้ว มีอดีต 18 อนาคต 44

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทิฏฐิ 62 มีทิฏฐิทั้งหมดทั้งมวลมีแค่นี้ จะรวม ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิอีก 5 อยู่ในอนาคตนั้น พวกนั่งหลับตาจะไม่ได้มรรคผลของพุทธเลย เพราะไปหลงในอดีตกับอนาคต ไม่มีทางได้เลยเพราะไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ เพราะคุณไปดับมันด้วยเช่นดับเวทนา พระพุทธเจ้าว่าต้องปฏิบัติที่เวทนาเป็นหลัก เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเวทนาเป็นฐาน

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ในพรหมชาลสูตรว่าไว้ ตั้งแต่ข้อ 51 เลย ต้องมีกาย คือรูปกับนามทำงานร่วมกัน เป็นอาการจิตเลยนะสำหรับกาย ที่พระพุทธเจ้าว่าคือ กาย จิต มโน ล.16 ข.230

ในความละเอียดของพระพุทธเจ้าท่านตรัสลึกซึ้งมาก ของวัตถุเขาก็ละเอียด ของพระพุทธเจ้าก็มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่ละเอียดลงไปได้อีกกว่ามาก นิวเคลียสคือการจับตัวกันของบวกกับลบกับอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ถ้าแตกเป็นสองก็จะมีพลังงาน พลังงานเกิดอาการ พอเกิดก็เป็นนิวเคลียร์ มีสองแบบคือฟิชชั่นกับฟิวชั่น

ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่าวิกขิตตังจิตตัง (ฟิชชั่น) และสังขิตตังจิตตัง(ฟิวชั่น) ถ้าเป็นไฟฟ้าเรียกบวกกับลบ มีกระแสDC กับ AC ของพระพุทธเจ้าท่านละเอียดลงเป็นเจโตปริยญาณ 16 ตั้งแต่ตีไม่แตก แต่พอตีแตกเป็นสังขิตจิตกับวิกขิตตจิต แล้วก็ตีแตกละเอียดไปอีก พอเป็นมหรรคต ก็จับแยกอกุศลได้ พอทำลายอกุศลได้ก็เป็นมหรรคตจิต ทำต่อไปให้สอุตตรังจิตตัง จนถึงคู่สุดท้ายเลย มีตัวเคลื่อนไหวได้ รู้ตั้งตั้งอยู่ตัวสุดท้ายก็รู้ได้

ของฟิสิกส์เขาก็ได้สองคำคือ kinetic energy กับ potential energy แล้ว potential energy หรือ static มันแยกไม่ออก นิ่ง การศึกษาตัวนิ่งไม่รู้ความเป็นสองได้หรอก เอามาศึกษาไม่ได้ ในความนิ่งมันมีลักษณะของมันเท่านั้น ถ้านิ่งนี้มันหนึ่งเดียว ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ จนกว่าจะเจาะรายละเอียดซ้อนเข้าไป มีสิ่งที่ซ่อนหรือรู้ได้ยาก มันแฝงอยู่ มันมีแต่รู้มันไม่ได้ ก็ต้องพยายามรู้ตัวละเอียดที่แฝง จนกว่าถึงที่สุดที่จะรู้ได้ พระพุทธเจ้าแยกออกเป็นสี่อย่าง

1.ลักษณะ 2.สสัมภาระ 3.อารัมนะ 4.สมมุติ

ถ้าเป็นลักษณะก็เป็นอันจบ คือฟิสิกส์เรียนรู้ไม่ได้แล้ว จบ แต่ทางพุทธแยกออกได้อีก 4 คือ 1.มันเร่ิมมี 2.ที่มีนี้จะให้มีแรงเคลื่อนไป ถ้ามีแรงไปเรียกว่าอุปจยะ ถ้าไม่ให้แรงเคลื่อนเรียกว่าตัดสันตติ ถ้าไม่ให้เคลื่อนก็คือชรตา จะเสื่อมไปหา0 น้ำนิ่งนี้จะเน่าลง แล้วในการเสื่อมก็ยังปลุกขึ้นได้อีกนะ แม้จะมีแรงดิ่งไปหา0 ถ้ายังปลุกได้ clonning ได้อีก ไวรัสถ้าจะเล็กขนาดไหน หากยังมีเชื้อสภาพอยู่ ก็ clonning ขึ้นมาอีกได้

พระพุทธเจ้าถึงเรียนรู้สุดท้ายในชีวิตินทรีย์ของชีวะสุดท้ายเลย พลังงานระดับ จิตนิยามจึงสามารถอ่านพลังงานในระดับพีชะหรือจิตได้

ทางชีววิทยาจะเรียนรู้ลักษณะที่ต่าง สองเซลล์นี่ก็จะต่างกันแล้ว พอมาเพิ่มอีกอันก็จะยิ่งต่าง ทางฟิสิกส์ก็จะแยกองค์รวมที่เรียกว่า DNA แม้เป็นของนามธรรมหรือรูปธรรม

ก็คือ Deoxy จะเกิด protoplasm เป็นธาตุที่มีความใสเป็นเซลล์แรกเลย เป็นลักษณะสด ของพระพุทธเจ้าแยกไปเรียกว่ากัลละ

ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)

ในDeox Ribo Nucleic แยก Ribo คือธาตุเล็กที่สุดที่เป็นดินน้ำไฟลมที่คุณจะสามารถแยกได้ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตาเนื้อ แต่รู้ได้ด้วยญาณ ธาตุที่จะเล็กที่สุดคือ oxygen แล้วมาเป็น hydrogen ของพระพุทธเจ้าแยกออกเป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาสธาตุ ถ้ารวมกันเข้าจึงเป็นวิญญาณธาตุ

อุตุไม่มีความรู้สึก มีแค่ลักษณะ สสัมภาระ ไม่มีอารัมนะ มันมีลักษณะของมันเท่านั้นๆ

ทางฟิสิกส์จะมีสองลักษณะคือควันตัมกับโฟตอน ที่มีการเคลื่อนกับการนิ่ง สลับกันไปมาได้ คือแรงเคลื่อนกับกระแสเท่านั้น เรียกว่ามี D กับ A พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่ามีธรรมะสอง ถ้าอะไรเกิดมีขึ้นมาแล้วก็จะเป็นสอง ถ้า มีขึ้นมาหนึ่งก็จะเป็นสองแล้วคือ มีกับไม่มี ในชีวะก็เร่ิมเกิดตรงมี nich คือที่ว่างแล้วเริ่มมีเซลล์ขึ้นมาก็เป็นสอง คือมีที่ว่างกับหนึ่ง มันเป็นสองที่เป็นหนึ่ง แยกไม่ออก primary cell กับว่างๆคือ nich ถ้ามันออกมาเมื่อไหร่ เร่ิมต้นมีว่างๆกับเซลล์ ถ้าเป็นแค่เชื้อชีวะจะแยกไม่ออกนิรันดร ถ้ามันติดอยู่ก็เรียก่ว่า protoplasm แล้วเร่ิมมีเชื้อของความใส ปรากฏ พระพุทธเจ้าว่าคือกลละ มีคนบอกว่ากลละกับคำว่า cell นี้ c นี่เท่ากับ กก ได้ ส่วน ll คือลล เพราะฉะนั้นกลละ ก็คือ cell ตัวเดียวกัน จากนั้น ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)

ต้นที่สุดคือกลละ ตัวกลางคือ อัพพุทธ คือเปสิ สามตัวนี้จับกันเรียกว่า ฆนะ คือเป็นก้อนเป็นข้นขึ้นมา พูดไปนี้คือสมมุติที่สื่อให้คนอื่นรู้ ถ้าไม่ต้องสื่อให้คนรู้ก็ไม่ต้องสมมุติ

ส่วนที่เป็นฐานคือ kinetic ส่วนพอเคลื่อนก็เป็น dynamic พระพุทธเจ้าว่าจะเรียนรู้ได้ต้องดูที่การเคลื่อน หากไม่เคลื่อนแม้จะมีผสมอยู่มากมายในนั้นก็ศึกษาไม่ได้เรียนรู้ไม่ได้ต่อให้ใหญ่โตแข็งแน่นแค่ไหนก็ตามก็มีแต่ลักษณะนั้นแต่เรียนรู้ไม่ได้ จะเรียนรู้ได้ต้องมีกระทบกระแทก จึงเกิดรู้สึกได้ ในความรู้สึกของมนุษย์นั้นมีสุขกับทุกข์

 ใครต้องการอารมณ์สุขก็ต้องเรียน ใครต้องการอารมณ์ทุกข์ก็ต้องเรียนเช่นกันไม่อย่างนั้นคุณจะได้แต่ทุกข์ ทุกข์คืออาการที่ดิ้นรนแส่หาไม่คงที่ไม่อยู่นิ่ง

ในฐานที่ตั้งแห่งการศึกษาคือกรรม หรือการกระทำหรือสสัมภาระอาการที่สังเคราะห์ขึ้นมา พระพุทธเจ้าจึงมีอุบายโกศลให้เข้าใจให้กระทบกระแทกแล้วเกิดปฏิกิริยา แล้วเอามาศึกษาให้ได้เรียกว่ากรรมฐาน คือฐานที่จะเรียนรู้กรรม ที่ตั้งที่จะเรียนรู้กรรม ก็ให้เรียนรู้สุข ทุกข์ เป็นหลัก เรียกว่าเวทนา หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นได้อีกสอง คือไม่รู้ กับรู้ว่าเหตุปัจจัยคืออะไร แต่เราเองเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุปัจจัยนั้น แต่เรามีปัญญาวาง จำนนกับภาวะสอง

สุดท้ายให้จบเลยก็คือคุณต้องมีธาตุรู้สามารถรู้ได้ด้วยจิต ธาตุรู้ที่ไม่สามารถรู้ได้เรียกว่าพีชะ มันมีสภาพรู้ตามสัญญาแล้วทำตนให้เป็นตนเองเท่านั้น ตนเองที่มันรวมตัวกันก็เรียกเป็นสาม i she he คือ ish คือตัวตนตัวแรก self แล้วถ้ามีตัวที่ สี่มา  selfish คือ self + ish แล้ว selfish ที่ไม่รู้ตัวเองก็เห็นแก่ตัวเอง เอาอย่างเดียวดูดอย่างเดียว แต่ความเป็นพืชไม่กบฏ มันต้องการแต่ธาตุที่จำเป็นต่อมันถ้าไม่เกี่ยวมันไม่เอาเลยนะ

i คือตัวเรา she กับ he คือภาวรูปสอง ที่มีสองเพศต่างกัน ลักษณะหนึ่งกับสอง อิตถีนี้คือสอง ปุริสะคือหนึ่ง คือเอก เมื่อเป็นลักษณะต่างๆธาตุลมกับไฟ ทำปฏิกิริยารวมเป็นธาตุที่สามจึงเรียกว่า Deoxy ตัว oxygenคืออากาศที่เล็กที่สุดแล้ว OO นี่ก็คือ ศูนย์ ish ตัวแรกคือ H กับO คือน้ำ คือ H สองตัวมาเกาะกับ O หนึ่งตัว ตัว O นี้เป็นรากเหง้า ตัว H นี้จึงมีสองขีด แล้วเอาสองขีดมาจับกันจึงรวมกันเป็นอายตนะมันไม่ใช่กลม แต่เป็นเส้น จับตัว H นี้สองตัวชนกัน ถ้ายืดออกมาจะมีสองเส้นเหมือนแฝดอินจันทร์

เมื่อจำนนจะต้องมีก็ต้องทำสองให้เป็นหนึ่ง อยู่กับสองอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป เป็นความขัดแย้งที่พอเหมาะเป็นความขัดแย้งที่เกิดพลังงาน ถ้าขัดแย้งไม่เกิดพลังงานก็เป็นอุณหธาตุ ก็จะสลาย ต้องให้อุ่นพอดี แต่ถ้าอุ่นเกินอบร้อนอบอ้าวก็ไปไม่รอด คือภาษาสื่อสภาวะที่สมมุติ จะมีสสัมภาระถ้าเป็นอารัมนะก็คือยึดติด เป็นชอบหรือชังก็ต้องทำให้กลางอีก กลมกลืน harmony รู้ว่าต่างแต่ทำงานสร้างสรร ถ้าพลังงานร้อนก็มีทศนิยมไปเรื่อยๆ แต่ถ้าพลังงานเย็นก็ลดทศนิยมไปหาไม่เหลืออะไรเลย

เราเอาเราเป็นเจ้าของพลังงาน เราจะจัดการมันได้จะเป็นพลังงานเย็นร้อนอ่อนแข็งแรงงานเบาแรงงานหนักพลังงานอย่างไรก็แล้วแต่เราจะต้องมีความรู้ว่าจะให้เป็นอะไรก็ต้องประมาณได้ในขนาดเท่าใดมีดีกรีหรือไม่อินทรีย์ของมันว่าจะให้เป็นพลังงานขนาดเท่าใดลักษณะใด ในพลังงานของอุตุ ก็มีพลังงานแต่เราอย่าไปยุ่งมันเลยแม้แต่พืชเก่าก็รู้พลังงานมันได้เอามาใช้ได้แต่เราก็มาเรียนรู้ขั้นจิตว่าอะไรควรรับคนเอาอะไรไม่ควรรับคนเอาก็จบ

จิตสามารถเรียนรู้สามเส้า ish แล้วทำให้อยู่อย่าง cyclic order ไม่วุ่นวายเป็นระบบระเบียบในตนหากคุมไม่ได้เป็น chaos กระทบกันเละไปหมด ให้อยู่ในการบริหารปกครองได้สมบูรณ์แบบ

นักปกครองที่ดีสุดคือศิลปิน ที่รู้ละเอียดตั้งแต่ วัตถุจนถึงจิตวิญญาณถึงต้นรากของอณูจิตวิญญาณที่เล็กเท่าที่จะเล็กได้แล้วจัดให้เป็นระบบได้คือศิลปินเอกที่สุดที่จัดถึงต้นตอจิตวิญญาณอย่างอาตมาทำได้พวกคุณก็อยู่อย่างสงบ คนอื่นที่เป็นตัวรวนเป็นดาวหางอุกกาบาตทำแสดงเบ่งไปทั่ว จนถึงดาวที่อยู่ในวงโคจรไม่ไปวุ่นวายไม่อยู่ในอานัติใคร

ดาวหางนี้มีวงโคจรของตนแต่พวกอุกกาบาตนี้ไม่มีเส้นทาง ไม่มีวงโคจรป่วงเขาไปทั่ว ดาวหางนี้มีวงโคจร แต่ว่าไม่กลมจนกว่าจะมามีวงโคจรที่กลม เข้าระบบกับเขา ถ้าแกว่งมากเป็นดาวหางที่รีมาก ไกลมาก

พระพุทธเจ้าว่าถ้าไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด ก็ไม่มีฐานที่จะปฏิบัติ (เนตังฐานังวิชชติ) จะเรียนรู้ได้ต้องมีผัสสะแล้วเกิดอาการที่มีบัญญัติเรียกว่าเวทนา

ผู้จะรู้ได้ต้องมีนามกาย เป็นองค์ประชุมรูปนามเรียกว่าเวทนา 2 แม้รู้แล้วมีอาการแต่ไม่มีการเรียกชื่อก็รู้ได้

เหตุที่พาให้เคลื่อนก็ดับตรงเหตุนี้แหละ แล้วดับได้มันก็จะเคลื่อนอย่างได้วงโคจรได้สมดุล ไม่ทุกข์ แต่เคลื่อนอยู่นะ สิ่งใดไม่ให้มีก็หมดไป

กะรัตแรกของพระสูตร คือพรหมชาลสูตร นั่งหลับตานี้หมดฐานะที่จะปฏิบัติให้บรรลุได้เลย ท่านให้มีฐานแห่งการปฏิบัติมีผัสสะตามปริตตังไป ค่อยขยายไปจนกว่าจะหมด

ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เกิดอารัมนะ ไม่เกิดความรู้สึก จะเรียนรู้ไม่ได้ เวทนาจะเกิดได้ต้องมีองค์ 3

she he คือเขา i คือเรา แต่ถ้าจะเกิดปฏิกิริยาที่จะรู้ได้เราต้องมี she he แล้วเป็นภาวะสองที่จะเกิด i คือเรา เร่ิมตั้งแต่ 1 มาเป็น2 เป็น 3 4 5 6 7 เร่ิม 7 นี่เป็นจิตนิยามสมบูรณ์แบบถ้าเป็น 8 9 ก็เป็นสามเส้าที่ครบพร้อม หมุนได้เต็มที่เลย มีลักษณะ แล้วหมุนวนเคลื่อนที่เป็นสสัมภาระ ถ้าสสัมภาระของอุตุก็มีแค่สอง แต่ถ้าเป็นสามก็มีตัวตนขึ้นมาแล้ว เพิ่มขึ้นเป็นวงวน ถ้าเป็นวงวนสมบูรณ์จะไม่ไปวุ่นวายกับใคร กลมดิก มีรังสีดีออกไป ไม่มีรังสีร้ายออกไปเลย

แต่ถ้าเป็นดาวหาง ก็มีลักษณะขัดแย้ง อยู่ตลอด ดาวหางคือกลุ่มของธาตุน้ำ อาโปธาตุที่ไปอาละวาดใครๆเขา ยังไม่เป็นธาตุดินนะ แต่มีความแน่นของน้ำ สรุปแล้วมีลักษณะและสสัมภาระที่ทำงานทั้งกระจายออกและสะสม ที่ทิ้งก็กระจายออก ที่รวมตัวก็จะอยู่ต่อไป กระจายออกเป็นhalf life

ลักษณะ 4 ของอุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

ลักษณะ 4 นี้แหละเป็น ลักษณะ สสัมภาระ อารัมนะ สมมุติ ถ้าสสัมภาระนี้มีอารัมนะก็เป็นจิตนิยาม สสัมภาระที่มีแค่สองก็เป็นอุตุ แต่ถ้ามีสามก็เป็นพีชะ แม้มีสามก็ไม่ไปทำร้ายใคร พระพุทธเจ้าให้มาสร้างพีชนิยามให้แก่ตนแล้วมีพลังงานเหลือไปทำดีด้วย เป็นพีชะทีมีปัญญา มีกำลัง 4 อันพ้นภัย 5

เราทำตายเป็น แล้วเราก็เป็นอย่างตาย จะตายก็ได้เป็นก็ได้สุดท้าย ยิ่งทุกคติ ก็ไม่ร้องไปกลัว เพราะเรามีซื่อสัตย์จริงใจ ไม่มีทุคติ ไม่มีพลังงานไปสู่ชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง จะทำแต่ดี กุสลสูปสัมปทาอย่างไม่กบฏไม่หลอกลวงเลยซื่อสัตย์

ต้องมีธาตุรู้ไปรู้ฐานแห่งการกระทำ มีaction reaction ตลอดเวลา จะรู้คุณรู้โทษ ทำแต่คุณ อย่างซื่อสัตย์ โทษนั้นไม่ทำ รู้ดีรู้ชั่ว รู้คุณรู้โทษ สุดท้ายความฉลาดและปัญญามีเท่านี้

รู้พลังงาน จิต อุตุ ซึ่งอุตุอยู่ได้ เป็นจิตที่มีอารมณ์เกินกว่าพีชะ จึงมางานที่จิตเพื่อให้เกิดอุตุสองเรียกว่าพีชะอย่างเก่งก็อุตุสามซึ่งมีชีวะแล้ว

กรรมฐานคือ action reaction ฐานคือที่ตั้ง สรุปคือต้องมีเวทนาเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าแจกเวทนาเป็น 108 ให้ศึกษาตั้งแต่เวทนา 2 3 5 6 18 36 108

ตั้งแต่กายกับจิต กายคือองค์ประชุมสอง จิตคือธาตุรู้ มูลกรรมฐานที่อยู่ในการ 32 ของเราคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เนื่องต่อในองคาพยพของร่างกายเรา ผมเมื่อใดเป็นจิต หรือเป็นกาย

เล็บส่วนที่เป็นพีชะคือที่ไม่มีประสาทรับรู้ แต่มีพลังงานระดับพีชะอยู่ไม่เป็นพลังงานจิต ส่วนที่ไม่รับรู้สึกตัดทิ้งได้ตัวนั้นไม่ใช่กายของเรา แต่มันเป็นองค์ประชุมของรูปรูปภายนอกไม่มีจิตเราไปร่วมด้วยเลย ความเป็นกาย ให้พิจารณาในมูลกรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ผิวส่วนไม่มีประสาทติดก็ไม่ใช่กายของเรา แต่เป็นกายของดินน้ำไฟลมไป

ต้องมีเวทนาจึงศึกษาได้ แล้วต้องเข้าใจเวทนา 108 แล้วปฏิบัติเวทนา 108 ได้

กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนาเป็นเวทนา 2  คืออารมณ์ที่เนื่องด้วยกาย ต้องรู้ตั้งแต่ สักกาย คือสังโยชน์ข้อ 1 ถ้าไม่รู้ปฏิบัติไม่ได้

จิตคือธาตุรู้ อุตุไม่ใช่ธาตุรู้ เราต้องอาศัยสามอย่างนี้ กรรม จิต อุตุ ส่วนอาหารคือเครื่องอาศัยทำให้เราศึกษาแยกจิตออกจากอุตุได้ สุดท้าย พีชะเป็นกลางๆเอาแค่พีชะก็พอ ไม่ต้องเอาอุตุ พีชะคือสิ่งที่เราต้องสร้างให้รวมลงเป็นหนึ่งให้เป็นพีชะได้

ในเซลล์ของเรามี protoplasm มีธาตุน้ำลมไฟดิน ทำปฏิกิริยากัน ถ้าเซลล์แรกหลุดจากผนัง มีการจับตัว เป็น cytoplasm มีกลละ ตัว ก คือตัวต้นทาง ตัว ลล คือตัวหมุนออกมาเป็นลูกหรือโลก แยกออกมาเป็นกลละ ตัว ฆนะ คือมีตัวตนแล้ว ส่วนตัว ง นี่เป็นตัวที่โง่งง ไปใหญ่ ตัวเซลล์สะสมกันมากเข้าถ้า protoplasm นี้ยืดไปได้โตได้ แน่นเหนียว แต่ถ้ามันยอมสลายปล่อยตัวก็เป็น zonar pellucidar ปล่อยให้เซลล์ต่างๆออกมาสู่ข้างนอกได้

อาการแท้ของมัน ที่เราจะต้องศึกษาของศาสนาพุทธ คือ DNA มีตั้งแต่ Deoxy Ribo Nucleic ตัว Deoxy มันทำงานของมัน ตัวพลังงานแท้คือ Oxygen ตัว Ribo คือ Oxygen ที่เล็กที่สุดคือ Ribo คุณจะสามารถรู้ที่เล็กที่สุดที่ทำปฏิกิริยากันคือ Deoxy ต้องกำจัดที่เป็นอกุศลตัวเล็กสุดก็เปลี่ยน DNA ได้ ทำตัวร้ายของสามเส้านี้ออกได้คือ สจิตตปริโยทปนัง ทำ Deoxy ที่เล็กที่สุดที่สะอาดได้จึงเป็น Ribo ในAcid ทีเ่ป็นธาตุน้ำที่เป็นกรด Nucleic Acid คือทำให้สะอาดได้คือคนเปลี่ยน DNA ได้ จัดการน้ำที่มีฤทธิ์ข้นเป็นกรดที่สร้างสรรหรือทำร้ายได้

อาศัยภาษาเป็นนามธรรม ต้องเข้าใจโดยปริยายว่า นามธรรมจะละเอียดกว่าวัตถุแต่อาศัยวัตถุธรรมมาเรียกเท่านั้น ทำได้สำเร็จ ในศาสนาพุทธทำได้ DNA เป็นสิ่งที่แยกไม่ได้ง่ายๆแล้วพาทำพาเป็นได้ทุกอย่าง เป็นพันธ์เทวดาหรือพันธ์โจร หรือพันธ์ขิฑฑาปโทสิกะคือเทวดารื่นเริง จัดในมโนปโทสิกะ คือจิตเป็นโทษเพราะหลงความสนุกเพลิดเพลิน คนใดหยุดสนุกได้ก็ไม่ต้องไปสุขทุกข์กับมันอีก จนไม่ต้องมีขิฑฑากับเขารู้ว่าคนอื่นเขามีสนุกเราไม่มีสนุกแล้วก็แล้วไป เราจะอนุโลมไปสนุกกับเขาก็ทำเพื่อเขา แต่ถ้าคุณยังมีสนุกติดอยู่ก็เสพของคุณจะเอาไว้ตลอดก็เรื่องของคุณ คนไม่มีสนุกแล้วกลางๆก็ไม่เหี่ยวเฉา เป็น protoplasm คือธาตุที่สดใสตลอดเวลาเป็นอภิปโมทยังจิตตัง

ผู้สามารถทำจิตอภิปโมทยังจิตตัง เป็นปีติที่แยกได้ถึง 5 อย่าง ขุฑฑกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ ผรณาปีติ เราอาศัยแค่ ผรณาปีติ ก็พอ ไม่ต้องเอาถึงอุพเพงคาปีติที่จะจัดจ้านมากไปเข้มข้นมากไปไม่มีการจบ  คุณจะเอาแค่ไหนก็อยู่ที่คุณจัดสรรได้ ให้เบาบางอย่างไรก็ได้ให้ลหุตา มุทุตา กัมมัญตา ก็ได้ ในกายวิญญัติวจีวิญญัติของคุณเอง ถ้าใช้ได้ดีก็เรียกว่ามุทุกัมมัญญา ทำการงานที่ดีได้คล่องแคล่วที่สุดนิ่มนวลดีสุด เบาบางสุด เหลือผรณาแผ่ซ่านน้อยนิดไม่แข็งแต่อย่างใด

จะรู้จัก นิพผันรูป คือ กรรม-จิต-อุตุ-อาหารได้ คือคนมีรูปสำเร็จในกรรมปัจจุบันนั้น ในฐานนั้นตั้งแต่สมุฏฐานนั้น

สรุปแล้วต้องเรียนรู้รูป 27 มหาภูตรูป ปสาทรูป โคจรรูป ….ควบคุมพลังงานทางจิตได้ เช่นเดียวกับที่ทางฟิสิกส์ควบคุมฟิชชั่นกับฟิวชั่นได้ เราจะเอามาใช้ half life หรือไม่เอามาใช้ก็ได้ เอา ฟิวชั่นมาใช้ได้ก็เพียงพอ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:37:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์