@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

สัตว์ที่เกิดหลัง อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์เก๊ทั้งนั้น

รายละเอียด

ในสัตตาวาส 9  ฌาน 4 ก็เป็นมิจฉาฌาน ปฏิบัติฌานไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นแบบเดียรถีย์ เป็นมิจฉาฌาน หนักเข้าไปเข้าใจผิดเป็น อสัญญีสัตว์ สัตว์ตัวที่ 5 ดับสัญญาไม่ให้เจตสิกใดทำงานเลย คุณก็หมดแล้ว แล้วคุณก็บอกว่าคุณไปต่อภพอีก จากอสัญญีสัตว์ คุณเอาสัญญาของคุณนั่นแหละมาสร้างขึ้นใหม่เป็น อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ 

โดยปฏิภาณคุณก็จะรู้แหละว่า พระอรหันต์มี 1. อากาศ 2. วิญญาณ 3. อากิญจัญญายตนะ กิเลสหมดสิ้นก็เหลือแต่อากาศกับวิญญาณที่สะอาด อากาศก็สะอาดวิญญาณก็สะอาดเท่านี้ ก็มีปฏิภาณพอเข้าใจว่าสุดยอดแล้ว ก็นึกว่าตัวเองสร้าง อากาสานัญจายตนะสัตว์

เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เกิดหลัง อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์เก๊ทั้งนั้น แล้วก็งมงายไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก บอกว่า จะรู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ 

มันจะไม่รู้ก็ไม่ใช่จะรู้ก็ไม่ใช่อะไร มันไม่รู้เลย บอกว่ารู้ถึงขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วนะ อุจจาระสุนัขแหละครับ มันไม่ได้มีความจริงอะไรเลย 

อาตมาอธิบายธรรมะขั้นปรมัตถ์พวกนี้ให้ฟัง เหมือนกับเล่นๆ แต่ที่จริงมันสุดยอด ความจริง สุดยอดความรู้ ฟังธรรมะดีๆ อาตมาไม่ได้อธิบายให้ซีเรียสเพราะมันหนัก มันเข้าใจยากอยู่แล้ว ตามสภาวะให้ได้ แม้แต่คุณว่าจะปฏิบัติสภาวะเข้าใจตามที่อาตมาพูดยังไม่ถึงก็ตาม  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตหนอพออยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 แรม 10 ค่ำเดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2565 ( 21:15:52 )

สัตว์ที่เจริญเป็นเวไนยสัตว์

รายละเอียด

สัตว์ที่เป็นโลกุตระบุคคลถึงจะรู้แจ้งเรื่องกรรมกิริยาที่จะกระทำควบคุมกำจัด จัดการกรรมได้ดีแล้วสั่งสมลงเป็นธรรมที่ดีที่ไม่ดีก็ทำการเลิกแล้วไปแล้วก็แล้วไป แล้วมันจะค่อยๆหมดฤทธิ์ไป ส่วนธรรมะที่ดีก็สั่งสมไปสำหรับที่จะใช้งาน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:13:34 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:13:13 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 19:54:13 )

สัตว์ที่เป็นเดนสัตว์กินเอามากินได้

รายละเอียด

จะดิ้นรนกินเนื้อสัตว์ให้ได้ มันอดไม่ไหวก็กินเถอะ อะไรกันนักกันหนา แต่รถชนแล้วยังไม่ตายอย่าเพิ่งไปกินมันนะ ถ้าตัดมันทิ้งร่างกายมันแล้วก็เอาร่างมากินได้ ถ้าไม่ไปแย่งสัตว์อื่นก็ได้ หรือสัตว์อื่นกำลังแย่งอยู่ก็อย่าไปแย่งมันเลย เป็นเดนสัตว์กินค่อยเอามากิน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 10:07:41 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:50 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:20:22 )

สัตว์ทุกชีวิตมันจองเวรจองกรรมทั้งนั้น

รายละเอียด

คือ ไม่รู้จักกรรมวิบากที่แท้จริง ถ้ารู้จักทำวิบากที่แท้จริงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ชีวิตสัตว์มันก็หวงชีวิตของมัน ร่างกายของมันนะ เมื่อมันตายเองหรือเป็นเดนสัตว์ จึงจะกินมันได้ ไม่จองเวรจองกรรมต่อเรา นอกนั้นสัตว์ทุกชีวิตมันจองเวรจองกรรม ทั้งนั้นแหละ เพราะไม่เข้าใจกรรมวิบากที่บอกว่ากินเนื้อสัตว์จะเป็นไรไป มันก็ไม่เป็นไรหรอกแต่กรรมวิบากมันก็เป็นจริงนะ 

เพราะฉะนั้น คนที่กินเนื้อสัตว์ก็เป็นกรรมวิบากที่แท้จริง อธิบาย ชีวกสูตร 5 ข้อว่าสัตว์มันหวงชีวิตของมันยังกับอะไรดี จนข้อสุดท้ายเอาเนื้อสัตว์มาทำอาหารอย่างดีมาถวายพระพุทธเจ้าหรือถวายสาวก มันเป็น อกัปปิยะ แค่นี้ก็อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก  มันไม่สมควรเลยที่จะเอาเนื้อสัตว์มา ทำอาหารถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้า ข้อที่ 5 ของ ชีวกสูตร นอกนั้นสัตว์มันจองเวร อธิบายแล้วก็เขาก็ฟังไม่ขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 12:22:56 )

สัตว์นรก

รายละเอียด

คือ คนผู้ที่มีภูมิจิตต่ำ อวิชชา มีพฤติกรรมเป็นอกุศล เป็นบาป

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 429


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 12:34:20 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:40:50 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:20:51 )

สัตว์นรก

รายละเอียด

คือ อาการของคนไม่มีหิริโอตตัปปะ คนรู้ว่าบาปแล้วแต่ไม่ละอาย กูจะทำก็จะทำไม อันนี้เป็นสัตว์นรก ไม่ใช่เทวดา หากรู้ว่าชั่วก็เต็มใจทำชั่ว นี่คือสัตว์นรกไม่ใช่เทวดา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 15:34:36 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:15:40 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:21:10 )

สัตว์นรก

รายละเอียด

จิตใจที่เร่าร้อน กระวนกระวาย ดิ้นรน แส่หาอยู่ มันไม่หยุดนิ่งในใจได้เลย

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 329


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 08:56:36 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:33:32 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:21:28 )

สัตว์นั้นเริ่มต้นบาปแล้ว

รายละเอียด

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) เป็นอกุศลเจตนากล่าวชื่อสัตว์นั้นขึ้นมา ถ้าคุณไม่รู้จักสัตว์ใดเลยคุณไม่รู้จักชื่อสัตว์ใดเลย แน่นอนคุณก็ไม่มีเจตนาจะไปทำร้ายมันจะเอามากินอะไรก็แล้วแต่ เพราะคุณไม่รู้จักสัตว์นั้นเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณจะเจตนาทำร้ายสัตว์แล้วคุณไม่รู้จักหรือจะไปกล่าวชื่อสัตว์อย่างไร คุณก็ต้องรู้ว่าสัตว์นั้น กล่าวชื่อสัตว์นั้นเริ่มต้นบาปแล้ว ใช่ไหม นี่อธิบายละเอียดยิ่งขึ้นแล้ว 

ข้อที่ 1 เลยคุณกล่าวชื่อสัตว์มีเจตนากล่าวชื่อสัตว์นี้มันบาปแล้วนะมันไม่ดีแล้ว คุณจะเอามันมาทำไม เอาเถอะคุณจะเอามันมาเลี้ยงก็ตาม คุณจะเอามันมาใช้งานก็ตาม คุณจะเอามาฆ่ากินก็ตาม ต่อให้คุณเอามาเลี้ยงยิ่งเป็นวิบากซ้ำซ้อน ผูกพัน ติดยึดกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ในยุคนี้ต้องมาเรียนกับพ่อครูจึงจะบรรลุอรหันต์ได้ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:43:46 )

สัตว์ปล่อยไปตามยถากรรม

รายละเอียด

แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆมันพูดกับเราไม่รู้เรื่อง เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์ทั้งหลายก็ปล่อยเขาไปตามยถากรรม สัตว์มันเก่งอย่างไรอย่างไรคุณก็ไม่สามารถสอนสัตว์ให้มันเป็นพระอรหันต์ได้หรอก แค่คนนี้ก็สอนให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ก็แล้วกัน ซึ่งก็ไม่ง่ายได้เป็นบางคนเพราะฉะนั้นถ้าไปเสียเวลากับสิ่งพวกนั้นมันเปล่าประโยชน์มันสูญเปล่า ไม่ได้เรื่องเอาสิ่งที่ได้ประโยชน์ดีกว่า คนที่เป็นมิตรสหายดีเป็นผู้ที่พูดกันรู้เรื่องไปด้วยกันได้แต่นี่พูดกันอย่างไรมันก็ไม่รู้เรื่องหรอกก็ปล่อยมันไปตามยถากรรม คุณเก่งก็ไปสอนเขาทำอีกเขาหรือไปด่าเขาแต่ระวังเถอะไปด่าเขา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:51:41 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:28:20 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:22:19 )

สัตว์พรหมคือสัตว์โอปปาติกะ

รายละเอียด

จะได้อย่างนี้คุณก็ต้องรู้เรื่องจิตวิญญาณ มี มาตา ปิตา สัตว์โอปาติกา แม่ พ่อ สัตว์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ สัตว์ที่สัตว์ที่เป็นเนื้อหนังมังสา แต่เป็นสัตตาวาส 9 แล้วก็ต้องพ้นสัตตาวาส 9 สิ่งที่พาคุณเกิดคือมีสองสภาพ คืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ มาตาคืออิตถีภาวะ ปิตาคือปุริสภาวะ ภาวะสองนี้ทำให้คุณเกิดจิตวิญญาณ แล้วคุณก็สามารถที่จะให้เกิดจิติวญญาณได้โดยรู้ว่าจะให้เกิดเป็นสัตว์โอปปาติกะอยู่เหนือความเป็นสัตว์แล้วอย่างไร จะเอาพยัญชนะมาเรียกว่าเราเป็นสัตว์มนุษย์สัตว์พรหม หรือสัตว์เทวดาหรือเทวดามารพรหม สัตว์พรหมคือสัตว์ที่บริสุทธิ์สะอาดหมดแล้ว ใช้พยัญชนะเรียก อาตมานี่ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นสัตว์พรหม อาศัยพยัญชนะมาเรียก อาศัยการเกิดอยู่ แต่เราพ้นสัตตาวาส 9 แล้วไม่มีความเป็นสัตว์อย่างที่เป็นโลกียะอยู่เหนือสัตว์นั้นแล้ว เพราะมี มาตา ปิตา เป็นธรรมะ คำนี้ที่ไม่ได้หมายถึงสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา แต่หมายถึงองค์ธรรมสัจธรรม ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ มันช่วยกัน ศีลกับปัญญา ช่วยกันทำให้อธิจิตเกิดโอปปาติกะพ้นความเป็นส้ตว์พยัญชนะก็สื่อสภาวธรรม คุณรู้จริงได้จริง ความเป็นสัตว์คุณพ้นได้หมดหรือมี โพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ มรรค องค์ 8 ​เป็นแม่ ช่วยกันทำให้สัตว์โอปปาติกะพ้นความเป็นสัตว์ให้จิตสะอาดได้  คุณทำได้ไหม มีสภาวะธรรมเหล่านั้นไหม ทำได้ก็เป็น 10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 14  ข้อ 257


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 10:12:43 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:29:37 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:29:12 )

สัตว์มนุสโส

รายละเอียด

จิตแท้

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 210


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 08:57:06 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:34:19 )

สัตว์มีกรรมวิบากยึดถือวิบากผู้รู้วิบากไม่สร้างวิบากต่อ

รายละเอียด

สัตว์มันมีกรรมวิบากมันยึดถือวิบาก แต่พีชะไม่มีวิบาก ผู้ที่รู้แล้วไม่สร้างวิบากต่อ รู้ว่า พีชะไม่มีวิบากต่อ ก็ไม่เป็นไร เราจะกินเราจะฆ่า เราจะทำจะปลูกจะทำอะไรกับมันได้ แต่ สัตว์ไม่ต้องไปเลี้ยงมัน มันก็ไปตามยถากรรมของมัน ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกัน ก็หลุดพ้นกันไป

แต่ถ้าไม่รู้ก็ไปเกี่ยวข้อง แม้จะไม่ฆ่าก็ไปกิน เขาก็จะเกี่ยวโยงกันไป อย่าว่าแต่ฆ่าแต่กินเลย พระพุทธเจ้าตรัสถึงขนาดว่า ในชีวกสูตร 5 ข้อ 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาพ 2 ของกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2565 ( 11:12:30 )

สัตว์มีรักมีชังจองเวรจองกรรมพืชไม่มีบาปเวรภัย

รายละเอียด

สัตว์คือจิตนิยามตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว สัตว์มีธาตุชนิดหนึ่งที่ได้สังขารปรุงแต่งตัวเองจนเลยขนาดของความเป็นพีชะแล้ว เป็นนิยามชนิดใหม่ มีบาปมีบุญมีรักมีชัง มีจองเวรจองกรรม พืชไม่มีบาปมีบุญมีรักมีชัง มีจองเวรจองกรรม ไม่ผลักไม่ดูดอะไร พืชพันธุ์ธัญญาหารจึงไม่มีบาปเวรภัยอะไร แต่สัตว์มันจะรู้ไหมเมื่อใครไปฆ่ามันแล้วมันจะไม่จองเวร สัตว์เซลล์เดียว มันจะรู้จักอโหสิหรือยัง มันจะรักชีวิตของมันหรือไม่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:26:34 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:29:25 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 19:54:45 )

สัตว์มีวิบากของเขาอย่าไปยุ่งเกี่ยวเลย

รายละเอียด

ต้องค่อยๆมาเรียนไปตามลำดับโดยปฏิบัติที่ศีล ก่อนเรียนรู้เกี่ยวข้องสัมผัสกับสัตว์ คุณก็ต้องอ่านจิตตัวเอง จิตของเราจึงจะไม่มีเวทนาที่เป็นทุกข์เวทนาที่เก๊ มีแต่เวทนาจริงที่รับรู้ความจริงตามความเป็นจริงเกี่ยวกับสัตว์ อาตมาก็อยากให้ฟัง สัตว์มันมีวิบากของเขาอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย เราเกี่ยวข้องกับคนก็หนักหนาสาหัสแล้วที่จะมีโลภโกรธหลงกับคน สัตว์อื่นนั้นมันมีวิบากของเขา อย่าเอามาเลี้ยง อย่าเอามากิน เอาไปฆ่ามันยิ่งเป็นวิบากหนัก วิบากกับคนนี่ก็เถอะ เรียนรู้กิเลสที่เกิดกับคนที่มีความโลภโกรธหลงกับคนนี่แหละให้มากส่วนสัตว์อย่าไปยุ่งกับมัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 10:17:30 )

สัตว์มโนปโทสิกะ

รายละเอียด

คือ เป็น“สัตว์ที่ยังโง่มีจิตใจเป็นโทษมุ่ง ร้ายด้วยใจ เบ่งอำนาจเหนือ ผู้อื่น ทั้งหลอก ทั้งเล่ห์ ทั้งเหลี่ยม ทั้งมอมเมา” มีจิตไม่พ้นความเป็นเดรัจฉาน

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 339


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:23:02 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:58 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 19:55:16 )

สัตว์สวรรค์

รายละเอียด

เทวดา

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 210


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 08:57:37 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:34:59 )

สัตว์อบาย

รายละเอียด

ผี

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 210


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 08:58:09 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:35:41 )

สัตว์เขาก็อยู่ของเขาตามยถากรรม

รายละเอียด

สัตว์เขาก็อยู่ของเขาตามยถากรรมของเขาอันเป็นวิบากของเขาไป พระพุทธเจ้าก็สอนไว้แต่คนเราไม่เชื่อไม่เข้าใจ เพราะใจเขาไปเชื่อ กิเลสที่ไปพาเป็นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ รักมันบ้าง ชังมันบ้าง กินมันบ้าง มันก็เป็นวิบากไป 

ผู้มีภูมิปัญญา มีความรู้จริงๆ ก็จึงได้คิด ก็งดก็หยุด งดหยุด ก็ได้อานิสงส์ในการงดการหยุด แน่นอน กรรมเป็นอันทำ ผู้ทำกรรมใดก็เป็นสิ่งที่เป็นของตนอันนั้น กรรมชั่วเป็นชั่ว กรรมดีเป็นดี กรรมถูกเป็นถูก กรรมผิดเป็นผิด กรรมที่เป็นการลดละวิบากลดละกิเลสมันก็เป็นกรรมที่ลดถ้า เป็นกรรมที่เพิ่มวิบากเพิ่มกิเลสมันก็เป็นกรรมที่มันเพิ่ม มันเป็นจริงทั้งนั้นเลย กรรมจึงเป็นสุดยอดประเสริฐ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชนะมารอย่างไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพหุงฯ8 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:16:16 )

สัตว์เซลล์เดียวพัฒนาเป็นคนได้

รายละเอียด

คือ สัตว์มีจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็มีบาปมีกุศลอกุศลแล้ว สัตว์เซลล์เดียวก็พัฒนามาเป็นคนได้ แต่ก็ยังไม่มีความรู้อะไรมากจนกระทั่งพัฒนาไปมีความดีได้มาก วนเวียนกับวิบากชั่วดีอยู่อีกหลายรอบ ขออภัยยกตัวอย่างอาตมาเกิดมาชาติแล้วชาติเล่า ก็ไปเป็นหัวหน้าเผ่าหลายชาติ เพราะว่าทำดีมีคุณธรรม แต่ว่ามันไม่เที่ยงมันก็จะต้องผิดพลาดมันก็จะต้องมีกรรมซับซ้อน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 12:52:09 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:46 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 19:55:57 )

สัตว์เดรัจฉานที่กินพืชเจริญกว่าสัตว์กินเนื้อสัตว์

รายละเอียด

คุณต้องพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานที่เป็นสัตว์กินพืช เจริญกว่าสัตว์กินเนื้อสัตว์ สัตว์เดรัจฉานที่มันกินพืชเป็นสัตว์ที่เจริญกว่าสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้นสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์จะดุร้าย คนยังฆ่าคนอยู่นี้เป็นคนดุร้าย แค่นี้เขาก็รู้อยู่ แต่เขาโง่ พูดก็รู้นะว่าคนฆ่าคนนี้ดุร้าย คนกินพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ดุร้ายหรอก 

แค่ที่อาตมาเน้นว่า คนที่ไปสร้างอาวุธมานี้มันพ้นบาปไม่ได้เลย คุณเจตนาสร้างอาวุธมา คุณไม่ได้เจตนาสร้างอาวุธมาให้ไปฆ่าสัตว์หรอก แต่ให้มาฆ่าคน ร้ายแรงเท่าไหร่เท่าไหร่คือต้องการให้ฆ่าคน เพื่อกูจะได้เป็นเจ้าโลกจะได้ยิ่งใหญ่จะได้ใช้ป้องกันตัว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 กันยายน 2565 ( 14:16:20 )

สัตว์เดรัจฉานอย่าไปต่อวิบาก

รายละเอียด

คือ  จิตวิญญาณหากไม่รู้ก็อวิชชา โง่ ทั้งรัก  ทั้งชัง  สัตว์เดรัจฉานเราอย่าไปต่อวิบาก  แค่คนนี้ก็มากแล้วคนที่ห่างไกลไม่มีวิบากร่วมก็อย่าไปหาวิบาก  แค่คนที่อยู่ใกล้กันนี้ก็ให้อโหสิกรรมกันเสีย  รักชังแค้นอย่างไรก็อโหสิกรรม  จะรักจะชังกันอย่างไรก็วนเวียนเป็นล้านๆ ชาติแล้ว  เมื่อยเสียที  แค่พูดก็เมื่อยแล้วจะไปเป็นจริงอีกขนาดไหนเรื่องวิบากของจิต รัก  ชัง  จะรอจนกว่าใช้หนี้บาปหมดไม่ได้  พระพุทธเจ้าทรงให้เรียนรู้  แยกธาตุจิตของเราให้เป็นอุตุ  พีชะ  มันก็เลิกไป  คนที่จองเวรจองกรรมกับเราก็จองเวรกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ได้แล้ว ก็เลิกไปโดยปริยาย ใครจะไปล้างวิบากได้หมด  เราใช้วิธีแยกธาตุอัตภาพเราเป็นอุตุไปหมด  ดิน  น้ำ ไฟ  ลม  วิบากก็ตามไม่ได้  การจะรวมตัวถ้าโง่  อวิชชามันรวม  จองเวรจองกรรม  จองเวรร้าย  จองเวรรัก  เป็นนิยายรัก  นิยายชัง  ฆ่าแก้แค้น ไม่รู้กี่เรื่องกี่ลีลามากมายจนน่าเบื่อ  วนเวียน  สมบัติผลัดกันชม  ผู้รู้แล้วมันน่าเบื่อจริงจึงเลิก  จะได้ต้องแยกกายแยกจิตเป็นแล้วแยกธาตุเป็นอุตุได้  คนแยกธาตุจิตเป็นอุตุไม่ได้  เป็นพระอรหันต์ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบาย รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71


เวลาบันทึก 04 ตุลาคม 2562 ( 14:41:07 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:53 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:31:41 )

สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์

รายละเอียด

ไม่กินเนื้อสัตว์ มันเป็นเครื่องชี้บ่งชนิดหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันลึกซึ้งมาก  ลึกซึ้งซับซ้อนเห็นสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ เป็นสัตว์โลกที่มีชีวะ มีชีวิต พูดด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ว่า มีเซลล์ของชีวะ ของชีวิต ในระดับสัตว์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็แยกไว้ชัดเจนว่า สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในระดับอุตุนิยาม มีทั้งสสารพลังงานมันก็ปรุงแต่งกันอยู่อย่างนั้น ยังไม่เป็นชีวะ เรารู้กรอบขอบเขตของอุตุนิยาม ที่มีสสารพลังงานทำงานร่วมกันอยู่มากมายหลายระดับ ดวงอาทิตย์ หรือระดับ Nebula ยิ่งใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 09:27:01 )

สัตว์เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย

รายละเอียด

ชาวอโศก เราสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ต้องไปรบกวนสัตว์ อย่างชาวอโศก ตั้งใจเป็นผู้ที่เข้าใจ ธรรมะพระพุทธเจ้า จัดเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าหากเข้าใจดีศีลข้อ 1 ที่ท่านตรัสไว้ อย่าไปฆ่าไปแกงกัน มีความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงที่เป็นจิตนิยาม  ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว เขาเกิดมาแล้วก็ควรต้องไปตามกรรมวิบาก เรื่องของกรรมวิบาก เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องอจินไตย เดาเอาไม่ได้ ท่านไม่เก่งเท่าไหร่ในการอธิบายกรรมวิบาก คนจะอธิบายได้ต้องเก่งขึ้น สามารถขึ้น รู้ได้มากขึ้น เข้าขั้นละเอียดสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถือว่าพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่รู้สูงสุด ครบพร้อม

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:10:12 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:34 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:34:57 )

สัตว์เป็นไปตามกรรมวิบากซึ่งเป็นอจินไตย

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวร ราชธานีอโศก แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีฉลู เป็นปีที่กิ่งรัก เขาเกิด อาตมาเกิดปีจอ กิ่งรักเขาเกิดปีฉลู ห่างกัน 4 ปี ก็อายุ 84 ปีแล้วกิ่งรัก เดินต้องใช้ไม้เท้าแล้วก็เป็นไปตามวิบากของใครของมัน กัมมุนาวัตตติโลโก กัมมังสัตเตวิภัชชติ คนเราเป็นไปตามกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ลึกซึ้ง ไม่มีพระศาสดาองค์ใดรู้ได้หรอก เพราะว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตย ยากที่จะรู้รายละเอียดของธาตุจิตนิยามที่มันหมุนเวียนวนเวียนใน rebirth เกิดแล้วเกิดอีก เราใช้หนี้กันไปทั้งรักทั้งชัง 16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชังอะไรพวกนี้ ทั้งหวานและขมขื่น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 05:14:24 )

สัตว์เพศผู้เป็นเจ้ารักษาเผ่าพันธุ์

รายละเอียด

ตามธรรมชาติ ในสัตว์หลายประเภทมากเลยมันจะต้องสืบพันธุ์ เพื่อที่จะรักษาเผ่าพันธ์ตระกูลสัตว์นั้นๆ เอาไว้เท่านั้นเอง มันไม่มีความรักความชังมันไม่มีกิเลสตัณหา มันไม่รู้จัก แต่มันจะมีสัญชาตญาณต้องรักษาเผ่าพันธุ์สืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นตัวสำคัญคือตัวเพศผู้ จะต้องเป็นเจ้ารักษาเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้นมันจะเป็นตัวบังคับเพศเมีย เพศเมียจะถูกบังคับ หรือชัดๆก็คือถูกข่มขืน(เพศเมีย) สัตว์เดรัจฉานหลายประเภท มันจะหนีมันจะไม่ให้ง่ายๆ จะเห็นได้ บางทีมันจะต้องไล่ทำร้ายแรงๆ กดขี่ข่มเหงกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมีสัญชาตญาณที่เกิดมาเป็นกิเลสตัณหาขึ้นมาได้ ที่มันพัฒนาขึ้นมา ที่จริงไม่ควรเรียกว่า พัฒนา มันเป็นหายนะ แต่มันเป็นสัตว์ที่จะต้องพัฒนาขึ้นมาจนกว่าจะมาเป็นมนุษย์ มาเป็นมนุษย์สามัญ เพศก็รู้เพศสามัญ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2563 ( 10:11:42 )

สัตว์โลก

รายละเอียด

สัตว์โลก คือ เริ่มต้นจากสัตว์เซลล์เดียวเป็นจิตนิยามจุติขึ้นมาเป็นเซลล์ของจิตนิยาม จากนั้นไปก็จะบันทึกวิบากของเซลล์ที่เป็นอัตภาพเริ่มต้น แต่ละคนมาอย่างนั้นทั้งนั้น   

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2562 ( 15:08:22 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:23:14 )

สัตว์โลกที่เกิดเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์แล้วต้องเกิดแก่เจ็บตาย

รายละเอียด

ถามปัญหาอะไรยากขนาดนั้น เอาล่ะ ฟัง หลวงปู่จะตอบอย่างง่ายๆ ซื่อๆ เมื่อคุณได้ ธาตุจิต เรียกว่า จิตนิยาม ได้ธาตุรู้เป็นสัตว์เรียกว่าจิตนิยามมาแล้ว เมื่อใครก็ตามเป็นพีชะ ก็เริ่มมีธาตุรู้ แต่ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีรัก ไม่มีชัง แต่เมื่อมาเป็นจิตนิยามแล้วมี พืชก็มีเกิดแก่ตาย แต่ไม่มีเวทนา ไม่เจ็บปวด ไม่จองเวรจองกรรม แต่สัตว์มีการอาฆาต เจ็บก็อาฆาต รักผูกพัน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน ยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน น้อยเซลล์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ก็เริ่มมีการผูกพัน มีการทำลาย มันต้องร้ายแรงเหมือนจุลินทรีย์ เช่น โควิด มันฆ่าโดยไม่รู้ว่าใครหรอก จุลินทรีย์มันไม่ใช่จิตนิยามชนิดที่รักคนแต่มันฆ่าคนนะ จุลินทรีย์เหมือนอาวุธร้าย เพราะฉะนั้นสรุปตรงนี้ก่อนว่า อโศก การ์ดอย่าตก แข็งๆไว้ก่อนนะ สำทับ อโศกทุกแห่ง การ์ดอย่าตก แข็งๆไว้ก่อน สำทับอีกที สรุปแล้ว สัตว์โลกที่เกิดเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์แล้วต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้จักเจ็บตายเกิดอะไรหรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:10:09 )

สัตว์โอปปาติกะ

รายละเอียด

1. สัตว์ทางจิตใจ

2. สัตว์ทางใจ สัตว์ที่เป็นจิตวิญญาณ , วิญญาณสัตว์ , สัตว์ถูกผูกไว้

3. สัตว์ทางจิตวิญญาณ 

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 43

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 66,136,316

ค้าบุญคือบาป หน้า 183


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 08:59:05 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:37:14 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:35:53 )

สัตว์โอปปาติกะ

รายละเอียด

สัตว์โอปปาติกะคือ วิญญาณที่หยั่งลงสู่ครรภ์วิญญาณหยั่งลงของสัตว์โอปปาติกะคือธาตุรู้ คือนามธรรมของจิตเจตสิก อันนี้เข้าใจไม่ง่ายเลย มักจะนึกไปถึงตัวคนตัวสัตว์ จะมีวิญญาณเข้าไปจุติเป็นลูกของใครก็แล้วแต่ มันก็ไม่ผิด แต่ศึกษาแบบนั้นก็ธรรมดา ไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อมีเชื้อกับไข่ไม่ผสมกันไม่สมสู่กันมันก็ไม่เกิดแล้ว แต่วิญญาณหรือธาตุรู้ อันนี้แหละต้องแยกอย่าให้สังขารอย่าให้ปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความสามารถอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:44:48 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:24:41 )

สัตว์โอปปาติกะ

รายละเอียด

คือ สัตว์ ที่เกิดจากความเป็นพ่อและเป็นแม่ เช่นศีลและปัญญาทำให้เกิดสัตว์โอปปาติกะ ก็อย่าไปดูถูกว่าไม่มีใครฟัง ก็ยังมีคนฟังได้และเอาไปปฏิบัติเป็นจิตที่เป็นโอปปาติกะให้แก่ตัวเองเกิดการเลิกจากความเป็นสัตว์มาได้เรื่อยๆเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนหมดความเป็น สัตตาวาสทั้ง 9 ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ก็ค่อยๆเอามาอธิบาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:29:51 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 08:30:57 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:36:56 )

สัตว์ใต้ต้นโพธิ์หรือโพธิสัตว์ปุถุชนเป็นไฉน

รายละเอียด

สรุปว่าผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องบรรลุอรหันต์ก่อน ถึงจะมีความเป็นโพธิ ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมนุษย์ก็ตามนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตลอดก็ไม่มีโพธิไม่มีความรู้ โพธิคือความรู้ที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านพระโสดาบันเป็นต้นไป สัตว์ใต้ต้นโพธิ์นี้พระโสดาบันยังไม่ได้เลย จะใช้พยัญชนะบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ปุถุชนนั้นไม่มี พูดเอาบัญญัติมาหลอกคน ต้องขอยกตัวอย่างเป้าเก็งเต็ง ธีรทาส ใช้นามแฝงว่าธีรทาส ธีรทาส หรือ อาจารย์ธีระ วงศ์โพธิ์พระ แห่งโรงเจเป้าเก็งเต็ง เขาได้ขยายเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์เผยแพร่มากก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ชาตินี้ขยายเรื่องมังสวิรัติ เจ เรื่องเดียว นอกนั้นก็ไม่ได้ศึกษา โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:08:32 )

สัตโต

รายละเอียด

คือ  สัตว์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 13:30:48 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:25:21 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:37:16 )

สัตโต

รายละเอียด

สัตโต คือ สัตว์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต  สันติอโศก ครั้งที่ 69  วันจันทร์ที่ 16 กันยายน  2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 09:06:15 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:26:19 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:37:33 )

สัตโต

รายละเอียด

สัตโต  แปลว่า สัตว์

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:56:50 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:27:44 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:37:56 )

สัทธรรม 4

รายละเอียด

คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต มีความปฏิสัมพันธ์ใน 4  อย่างนี้แหละ ธรรมะพระพุทธเจ้า  ต้องอาศัยผู้รู้  อธิบาย  คนฟังก็ทำความเข้าใจและเอาไปปฏิบัติ  จนเกิดความละอาย  ความเกรงกลัวต่อบาป  ทำให้เกิดความจริงที่มากขึ้น  เป็นพหูสูต คุณก็มี  วิริยะ  สติ ปัญญา  เป็นปัญญา  ปัญญาอยู่ตรงนี้  สัทธรรม 7 มีปัญญา เป็นตัวที่ 11  ของจรณะ 15

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 13:48:14 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:30:25 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:38:24 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

คือธรรมของคนดีที่มีสัมมาทิฎฐิ

1. ศรัทธา (ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฎฐิ)

2. หิริ (ละอายต่อการกระทำผิด)

3. โอตตัปปะ (เกรงกลัวต่อการกระทำผิด)

4. พหูสูต (ฟังมากรู้มากปฏิบัติธรรมแทงตลอด)

5. วิริยารัมภะ (เพียรไม่หยุดยั้ง)

6. สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)

7. ปัญญา (รู้แจ้งชำแรกกิเลสได้)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 11"สังคีติสูตร" ข้อ 330

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 06 กรกฎาคม 2562 ( 08:45:30 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:40:20 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:38:44 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา นี่เป็นองค์ธรรมเรียกสัทธรรม 7 เกิดเชื่อถือเชื่อมั่นว่า วิธีนี้มันดีวิธีนี้ถูกต้อง วิธีนี้ได้ผลชัดเจน ก็เข้าใจก็ยึดถือ ถ้าเรามีความผิดพลาดก็จะมีจิตที่เป็นหิริ เราไม่เอาจริง ไปเปรอะเปื้อน ยังประมาทอยู่อีกก็ยิ่ง โอตตัปปะ

                                                           

หิริแค่ละอาย โอตตัปปะกลัวเลย คุณธรรมอันสูงขึ้นไม่เอา ทางโลกเราจะไปทำอะไรอยู่ แต่ทางธรรมนี้เราได้สิ่งนี้ต้องรักษาความเจริญ รักษาความสะอาด รักษาความประเสริฐที่เราได้มาแล้ว คนมีสำนึกศรัทธา หิริ โอตัปปะ 3 อันนี้ก็จะเจริญขึ้นสูงขึ้น เรียกว่าพหูสูตร หรือพหุสุตโต ก็จะได้ชัดเจนเจริญงอกงามเพิ่มภูมิ ยิ่งเจริญยิ่งเจริญขึ้นเป็นพหูสูต

 

เสร็จแล้วเราก็เพิ่มเติมความอุตสาหะวิริยะ อารัมภวิริโย เพิ่มเติมสิ่งที่ทำได้ การเจริญสติอันเป็นอริยะ สติปัญญาเจริญก็ยิ่งอยู่เหนือโลกุตระไปเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:37:56 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:59 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:39:25 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

สัทธรรม 7  คือ มีศรัทธา  หิริ  โอตตัปปะ  พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต  สันติอโศก ครั้งที่ 69  วันจันทร์ที่ 16 กันยายน  2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 08:52:15 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:47:06 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:39:46 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

สัทธรรม 7 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา  

ศรัทธา คือความรู้ความเชื่อความเข้าใจ ถ้าไม่มีอาการความรู้ความเข้าใจความเชื่อที่เป็นสัจธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ามันไม่เกิดศรัทธานี้มันไม่เกิดความเป็นหิหิริโอตตัปปะ 

เช่น ถ้าคนที่ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เข้าใจมีภูมิปัญญาลึกซึ้งว่าเราต้องไม่ฆ่า เราไม่ไปเป็นเหตุให้เขาจะต้องมาตายด้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณจะรู้ตามขึ้นไปเลยขึ้นเรื่อยๆ หิริ เสร็จแล้วคุณก็จะรู้ว่าจิตเรายังมีจิตที่ไปยินดีในการเห็นสัตว์เขาตาย ไม่ต้องอะไรหรอก เห็นสัตว์เขาตายก็เป็นวิบากแล้วไปยินดี ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้นวิบากได้ง่ายๆ ยินดีในสัตว์ที่เขาฆ่าเขาฆ่าสัตว์ เขาก็ฆ่าได้เยอะ ชาวประมงฆ่าสัตว์ได้เยอะ ก็ไปมีจิตยินดี ขนาดมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากยังไม่หมดเลย น่ากลัวไหม แค่ไปยินดี ที่เขาจับสัตว์มา ยังไม่ได้ฆ่าไม่ได้แกงต้มให้กินเลย สัตว์ตายถูกจับมา แค่นั้นยังเป็นวิบากที่ต้อยติ่งมาจนเป็นพระพุทธเจ้า 

มันต้องมีกุศลมากแล้ววิบากตามไม่ทันเท่าไหร่ แต่นี่ยังมีมาให้ท่านเป็นอีก วิบากมาปวดสมองเลย รู้ว่าวิบากตามเล่นงาน ท่านก็รู้เพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้ลึกซึ้ง อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็รู้ตามมาว่ามีวิบากอย่างไร บางทีมันมีอะไรอยู่ในใจแต่มันก็ไม่แรงอะไรหรอก นี่ก็พูดให้ฟังเมื่อถึงคราวถึงเวลาแล้วคุณจะรู้ ยังไม่ถึงคราวมันไม่รู้หรอกอันนี้มันลึกซึ้ง 

คำอธิบาย

คือ มีศรัทธา  หิริ  โอตตัปปะ  พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา

รายการสำมะปี๋ซี่วิต  สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน  2562

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  2/ 08/ 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:14:02 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:41:30 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:40:52 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

คือ  มี ศรัทธา  หิริ  โอตตัปปะ  พหูสูต  วิริยะ  สติ  ปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 15:31:09 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:54 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:41:05 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

ไม่มีศีล ฌานไม่เกิด อปัณกธรรม 3 ไม่เกิดก็ไม่เกิดฌานพุทธ คนจะไปหลับตาสะกดจิต เป็นฌานโลกีย์ทั่วไปสามัญก็แล้วแต่ แต่ฌานพระพุทธเจ้ามีหลักเกณฑ์ชัดเจนที่ วิชชาจรณะสัมปันโน เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้วันนี้ ของศาสนาอื่นศาสนาอื่นที่ไหนรู้ไม่ได้ ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มี 

เพราะฉะนั้นเริ่มต้นที่ สัทธรรม 7

ศรัทธาจะรู้จะเห็นจะเข้าใจว่าอย่างนี้เองหรือ เกี่ยวข้องกับของเกี่ยวข้องกับสัตว์ก็ตาม ของที่ไม่ใช่ของของเรา เราอยากไปเอามาเป็นของเรา ผู้ที่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว การทำทุจริตทำร้ายสัตว์ก็ทุจริต คือจริตเลว จริตชั่ว เช่นไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรา ของคือวัตถุธาตุทั้งหลาย มันแบ่งแยก สัตว์ก็เป็นจิตนิยามส่วนพีชะพืชก็เป็นสิ่งที่ไม่มีวิบาก แต่ของของเขา เขายึดถือว่าเป็นสิทธิของเขาอย่าไปเอาของเขาที่เขาไม่ให้ ถ้าเขาให้คุณเอาได้แต่ถ้าเขาไม่ให้อย่าไปเอา อย่าไปอยากได้ของของคนอื่น ของของคนอื่นอย่าไปอยากได้ ถ้าอยากได้ก็ทำเองสร้างเอง สร้างไม่ได้ก็เอาของไปแลกเขาตามที่ตกลงกันตามราคาอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นระบบของมนุษยชาติ ไม่มีการได้ไม่มีการเสียไม่มีการขาดทุนไม่มีการกำไร ไม่มีการติดหนี้ พัวพันอะไรกันอีกมันจบอยู่ในตัว 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มี หิริ เป็นสัทธรรมข้อที่ 2 ละอายต่อความไม่ถูกต้องจะไปทำให้สัตว์มันเกิดวิบาก ไปเอาของเขามาเป็นทุจริตมันไม่ดีมาเป็นความชั่วก็จะละอาย มีจิตละอายเป็นธาตุแท้เป็นความรู้สึกความรู้ความจริงของจิตที่รู้สึกละอายไม่เอาไม่ทำ แต่มันยังไม่สูง 

คำว่า หิริ กับโอตตัปปะ มันเป็นสัจจะ 2 ชนิด ที่คนที่เกิดความละอายต่อสิ่งที่เป็นสิ่งที่ทุจริตสิ่งที่ไม่ควรก็เกิดความละอายแต่มันยังไม่สูง ก็เผลอๆหรือกิเลสมันแรงๆก็ทำ หลับหูหลับตาลับหลังก็ขโมยก็เอาแต่ถ้าต่อหน้าต่อตาไม่เอา มันเป็นหิริ

แต่ถ้าเกิดว่ากำลังของความละอายมันสูงขึ้นมันก็กลัวเลยไม่ใช่แค่ละอายมันก็จะไม่เอาเรื่องทุจริตเรื่องโกงไม่เอาไม่ทำมันมีวิบากจริงนะถ้าทำอย่างนี้ ชาติแล้วชาติเล่าไม่จบแล้วจะไปนิพพานได้ไหม จะไปนิพพานต้องตัดเหตุปัจจัยที่เราจะต้องใช้หนี้สินใช้วิบากต้องเลิก ก็จะเกิดกำลังทั้งความรู้ปัญญาความฉลาดเพียงพอ ถึงโอตตัปปะ แล้วมันจะไม่ทำเพราะมันกลัวบาปกลัวการทุจริตกลัวอกุศลกรรม ไม่ทำ มันจะมีแรงมากมีพลังงานสูง 

เมื่อคุณไม่ทำบาปไม่ทำชั่ว กุศลจิต จิตของคุณก็สะอาดก็ดีขึ้นเป็นพหูสูต เป็นความรู้เป็นความจริง พ คือ พฤติ ส่วน ห คือความจริงความแท้ ก็จะมีมากขึ้นๆ เรียกว่าเป็นผู้เจริญด้วยพหูสูตเจริญด้วยความรู้ความจริงได้ความรู้แล้วก็ทำความจริงได้ความรู้และกระทำความจริงมากขึ้น มากเท่าไหร่ก็เรียกว่าพหูสูตยิ่งขึ้น หรือเป็นคำขยายอีกคำเรียกว่าพาหุสัจจะ ก็เป็นคำที่ใช้แทนกันได้คือสัจจะที่มันมาก พาหุหรือพหู คือมาก 

มากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น เมื่อคุณได้เพิ่ม ได้ความจริงแม้จะตัดกิเลสด้วยก็เป็นความจริงที่ดีคุณก็ยิ่งจะ โอ้โห มีวิริยะสติปัญญาเต็ม สัทธรรมอีก3 ข้อ เป็นพลังงาน Coefficient เช่นเป็นพลังงานสัมประสิทธิ์เสริมหนุนให้ทำอีกทำแล้วมีเหตุปัจจัยอีกทำแล้วทำอีก มีเป็นหลายร้อยหลายล้านเหตุปัจจัย ก็จะทำการกำจัด ทุ ทั้งหลาย ทำอีกๆ ด้วยวิริยะด้วยสติด้วยปัญญา 

วิริยะคือหมั่นเพียรพากเพียรขยันทำ โดยมีหลักเกณฑ์ของสติปัญญา ในการสร้างอินทรีย์ 5 พละ 5

ศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา ใน 5 ตัวของอินทรีย์หรือพละ มันไม่มีคำว่าสมาธิ จะสร้างพลังงานฌานในจิตก็ 4 คำนี้ แล้วก็มาปฏิบัติให้เกิดจิตจริง เกิด หิริโอตัปปะแล้วได้ธรรมะเป็นพหูสูต ก็เห็นผลที่มันเกิด หิริโอตตัปปะ พหูสูต ลดละสิ่งที่น่ากลัวน่าละอายออกไปได้ดียิ่งขึ้น ความรู้ก็เป็นปัญญาความรู้ก็ยิ่งทำให้คุณมีความวิริยะ แล้วคุณก็ปฏิบัติโดยมีสติเป็นทหารเอก สติกับวายามะ สติกับความพากเพียร มีวิริยะก็คือวายามะ เป็นศรัทธาวิริยะสติแล้วก็พากเพียรปฏิบัติให้เกิดผลด้วยวิริยะสติปัญญาสามเส้า 

กิเลสลดลงๆ เป็นจิตสะอาดๆ จิตสะอาดก็ตกผลึกลงเรื่อยๆ จากผลงานของการทำลายกิเลสหรือเผากิเลสหรือฆ่ากิเลส ด้วยภาษาว่าพลังงาน ฌาน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 03:58:03 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:43:59 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:42:31 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

เกิด ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:46:24 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:45:17 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:42:52 )

สัทธรรม 7

รายละเอียด

คือธรรมของคนดีที่มีสัมมาทิฏฐิ

1. ศรัทธา(ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ)

2. หิริ (ละอายต่อการกระทําผิด)

3. โอตตัปปะ (เกรงกลัวต่อการกระทําผิด)

4. พหูสูต (ฟังธรรมรู้ธรรมมาก)

5. วิริยารัมภะ (เพียรไม่หยุดยั้ง)

6. สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)

7. ปัญญา (รู้แจ้งชําแรกกิเลสได้)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 11 “สังคีติสูตร” ข้อ 330


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 20:58:16 )

สัทธรรม 7 คือคุณธรรมของฌาน

รายละเอียด

ถ้าเป็นอาหารกินก็ว่าไป ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ประโยชน์ ร่วมกันใช้ประโยชน์ ร่วมกันทำประโยชน์ โภชเน โภชนะ สร้างประโยชน์ แล้วไม่ได้เกิดกิเลสอะไรกัน นี้ต้องอ่านจิตอ่านใจ อ่านกิเลสในเวทนา อ่านกิเลสในสัญญา อ่านกิเลสในสังขาร เจตสิกเราต่างๆ รู้จักแล้วแยกกิเลสได้ ธัมมวิจัย แล้วก็ชัดเจนว่า

“เฮ้ย! ไอ้กิเลส” ธาตุรู้ที่มีปฏิภาณรู้จักหน้ากิเลส กิเลสมันเห็นตัวรู้ ฝึกไปเถอะ ใหม่ๆคุณเห็นกิเลส กิเลสมันจะยังไม่หนี แต่ฝึกไปอีกเถอะ ไอ้ตัวรู้นี้แหละ เห็นกิเลสอีก เอ๊ะ! ยังไง ไอ้ตัวรู้นี้มันเห็นหน้าเราแล้วนะ ปฏิบัติไปอีกเถอะ กิเลสตัวเก่าอย่างเก่านี่แหละ ตัวใหม่ที่กระทบเมื่อไหร่คุณก็อ่านออก กิเลสตัวนี้แหลมหน้ามาอีกแล้ว  พลังงานของปัญญา พลังงานของปฏิภาณที่รู้แค่ว่ามันเป็นกิเลสนี่แหละ จะมีอำนาจ เรียกว่าตัวปัญญา ตัวธาตุรู้นี้ มันจะมีธรรมฤทธิ์สูงขึ้นๆ สักวันหนึ่งถึงขีดกิเลสจะไม่อยู่แล้ว ไม่รอหน้าแล้ว ธรรมฤทธิ์จะเกิดขึ้น นี้อธิบายเป็นรูปธรรมให้ฟังชัดๆ  มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลย ฝึกไปเถอะ ฝึกแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นเลย 

เพราะฉะนั้นคำว่า”ปัญญามา” ความโง่หรือกิเลส อวิชชา ก็ตาม ปัญญามากิเลสไป อวิชชาหาย ภาษาพูดได้อย่างนี้ แล้วสภาวะธรรม ปฏิบัติแล้วจะเกิดผลอย่างนี้ คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า 

ยิ่งอธิบายสัทธรรม 7 เคยอธิบายแล้ว ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา เราก็พากเพียรทำ มีสติ มีปัญญา นี้แหละปฏิบัติอย่างนี้ 

ยิ่งปฏิบัติไปเจอหน้ากิเลสลักษณะนี้อีก จิตตอนแรกหน้าด้าน ไม่เคยอายเลยว่าเราเจอกิเลส เรามีกิเลส ไม่อายเลย ดีไม่ดีกอดคอกิเลสไปด้วยกัน ทำกันด้วยกัน เลวด้วยกัน โง่ด้วยกัน เสพด้วยกัน ไปใหญ่เลย พอมารู้ตัวแล้ว เฮ้ย! ผิดแล้วนะ เราคบผีคบมารคบอะไรนี่ จะรู้สึกตัวละอาย เราแสดงออก แสดงกิเลสออกไป แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกตัว ไม่เคยสำนึก ไม่เคยขายขี้หน้า ไม่เคยรู้สึกว่าน่าละอาย แต่พอเกิดปฏิภาณปัญญาขึ้นมาจะรู้สึกว่าน่าอาย คิดตามดีๆ พวกเรา ที่เราเคยผ่านมาแต่ก่อน ไม่เคยมีหิริ หิริมันไม่ได้มีตัวตนที่ “โอ๊ย! อาย” อายอย่างเหนียมๆ อย่างรูปหยาบๆ แต่มันอายจริงๆ มันจะอาย 

เพราะฉะนั้น ถ้ามันขึ้นถึงขีดคุณธรรม ถึงขั้นความอายต่อสิ่งที่เราเคยทำมา เคยประพฤติมา แสดงกิเลสโลภ แสดงกิเลสโกรธ แสดงกิเลสราคะ แสดงกิเลส โอ้โห! จัดๆ จ้านๆ อะไรก็แล้วแต่ จะรู้สึกเลยว่า แต่ก่อนนี้เราหยาบคาย แสดงกิเลสราคะก็หยาบคาย แสดงกิเลสโทสะก็หยาบคาย เราก็จะรู้สึกตัว 

ความรู้สึกตัว ความเกิดญาณปัญญาเราเกิด เรายับยั้ง พลังงานของปัญญามันมีฤทธิ์ที่จะหยุดยั้ง ความไม่ดีความชั่วขึ้นมาได้จริงของมันเอง ปฏิบัติไปมันก็จะยิ่งมีพลังมีฤทธิ์มีอำนาจของปัญญา กิเลสก็ยิ่งไม่เกิด ความเฉลียวฉลาดที่เป็นปัญญายิ่งสูงถึงขีดเลย มีพลังฤทธิ์ที่จะไม่มีอาการของกิเลสเกิดทางกายวาจา โดยเฉพาะจิตก็มีพลังอำนาจสูง ปัญญาเป็นปัญญาที่สูงส่ง มีพลัง อาการเหล่านั้นไม่ทำทางกายวาจา และใจนี่แหละเป็นตัวประธานทั้งศรัทธา ทั้งปัญญาเต็มสภาพคู่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าพหูสูต เป็นผู้สูงสุดตั้งแต่หิริโอตตัปปะ ตั้งแต่ละอายจนกระทั่งรู้ตัว ไม่เอาแล้วแบบนี้ เกรงกลัว พลังงานของความรู้ พลังงานของสำนึก ความสำนึกนี้มันเป็นความเจริญ 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีตัวสำนึก โอ้โห แต่ก่อนนี้ไม่รู้จริงๆ มันโง่ มันทำตามเหมือนกันหมด ปุถุชนมันทั้งนั้น ใช่ไหม พอมาเป็นอาริยะชนแล้วนี้ ของพระพุทธเจ้านี้อาริยชนสูงส่งจริงๆ นี้เกิดตรงนี้ 

แล้วพลังงานศรัทธา มีหิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้วก็เพียรทำสัทธรรม 7 นี้แหละคือคุณธรรมของฌาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2567 ( 18:15:34 )

สัทธรรม 7 จะเกิดได้ยากถ้าไม่เข้าใจ

รายละเอียด

จะเกิดศรัทธาเกิด หิริโอตตัปปะ ไม่มี อาตมาก็อธิบายไม่เก่ง มันเกิดศรัทธา เกิดหิริโอตตัปปะอะไร อาตมาอธิบายได้บ้างแล้วแต่พวกคุณก็คงจะไม่เข้าใจ แล้วอาตมาก็รู้สึกว่ามันคงจะยาก ยากอยู่ มันคงจะเข้าใจยากอยู่ คุณละอาย คุณเกิดอาการจิตของคุณจริงๆ หิริ ละอายอะไร ยกตัวอย่างไปแล้ว ละอายว่า คุณมาตู่ผู้ถูกว่า ผิด คุณไปยึดผิดว่าคุณถูก คุณไปยึดอาจารย์ที่พาผิดมาไม่รู้ตั้งกี่รุ่นจนถึงทุกวันนี้ ค่อยๆผิดมาจนถึงทุกวันนี้มันผิดจนกระทั่งตรงข้ามจากสัจธรรมพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่ตลบแล้ว มันหมุนรอบเชิงซ้อนไปหลายตลบแล้ว คุณก็ยังหลงว่าถูกอีกนั่นแหละ ทั้งๆที่ผิดไม่รู้กี่ตลบแล้ว 

อย่างเช่นไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีศีลเลย ที่มันสรุปได้ชัดเจนว่าในศาสนาพุทธไม่มีศีลก็คือ แม้แต่ ภิกษุก็ไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่เป็นศีลของพระพุทธเจ้า โดยที่ไปเข้าใจว่าศีลของภิกษุนั้นคือวินัย 227 นี่ก็พูดอธิบายมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 11:29:38 )

สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ

รายละเอียด

ในสังคมของชาวอโศกเรานี่ อาตมาบอกได้พูดได้ว่า พวกเราปฏิบัติศีล เกิดผลที่สัมมาทิฏฐิ จึงเกิดจิตที่เป็นสัทธรรม 7 หรือมันเกิด “ฌาน” 

“ฌาน” นี้ไม่ต้องไปคำนึงมาก มันจะเป็นสภาวธรรมที่เกิดจากจิต แล้วมันก็ทำปฏิกิริยาการรู้ ฌานจะมีปัญญา รู้กิเลสแล้วมันก็จะเผากิเลส รู้กิเลส-เผากิเลส มันเป็นผลของการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นศีลกับอปัณณกปฏิปทา สัมผัสเถอะ แล้วมันจะเกิด  

เราอ่านคุณสมบัติของ 7 สัทธรรมนี้ คือมันจะเกิดรู้ 4 ข้อแรกของสัทธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต 

พหูสูตคือ ผลของ 3 ข้อนี้ คือผลของศรัทธา กับหิริ-โอตตัปปะ 

หิริ คือละอาย โอตตัปปะ คือพลังที่ละอายแรง มันแรงจนกลัวเลย ไม่เอาแล้วๆ ไม่เอาอะไร? ไม่เอาตัวที่เกิด-รู้-มีปัญญามาเติมให้ตัวศรัทธา 

ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ซึ่งมันจะเกิดเพิ่มเติมขึ้นจาก วิริยะ สติปัญญา อีก 3 ตัวท้ายของสัทธรรม 7 

วิริยะ สติ ปัญญา มันจะเพียร แล้วมันก็จะเพิ่มสติ แล้วมันก็จะได้ปัญญา แล้วมันก็จะเพียร แล้วจะเพิ่มสติ แล้วจะได้ปัญญา มันก็จะเพียรวิริยะ แล้วก็จะเพิ่มสติ เป็นธาตุรู้ที่ตื่นรู้ชัดเจนขึ้นอีก เกิดเป็นความจริง เป็นปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง ขึ้นเรื่อยๆ 

ศรัทธาที่มีองค์ 3 นี้ วิริยะ สติ ปัญญา ศรัทธานั้นก็เจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้น เพราะเราละอายที่แต่ก่อนเรายึดสิ่งที่อวิชชา สิ่งที่เรายึดผิดๆ สิ่งที่เราโง่ มันจะรู้ตัวโง่ของเราเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นๆ แล้วอายตัวเอง ปัดโธ่เอ๊ย! เรา ทำไมโง่ไม่เสร็จสักทีอย่างนี้วะ มันจะละอายเมื่อมันเห็นความโง่อันนี้ จนถึงขั้นละอายอย่างแรงกล้า หรือ กลัวเลย เฮ้ย!ไม่เอาแล้ว 

ไอ้คำว่า โอตตัปปะ กลัวนี่แหละคือธรรมฤทธิ์ของปัญญา ธรรมฤทธิ์ของธาตุรู้ ที่เป็นธรรมฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เจอกับหน้าโง่ที่อาตมาอธิบายเป็นภาษาธรรมดาๆ มาหลายครั้ง พอปัญญาเกิดขึ้นจริง ไอ้ตัวโง่เจอปัญญา มันก็ เอ้ย! ไปละเว้ย หนีหูตูบเลย ใช่ไหม? ก็พูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว มันมีธรรมฤทธิ์ มีสัจจะอย่างนั้น 

ปัญญาเกิดไอ้โง่หาย มันเป็นเป็นปัญญาตัวจริงหรือเปล่า ถ้าปัญญาตัวจริงเกิด ไอ้โง่มันอยู่ไม่ได้  สัจจะมีหนึ่งเดียว มันไม่อยู่เป็น 2 หรอก โง่กับปัญญา มันอยู่เป็น 2 ก็คือยังไม่จบ ยังไม่ใช่สัจจะ ยังไม่สมบูรณ์แบบ 

นี่คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ คุณชัดเจน คุณเกิดศรัทธา สัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ สูงสมบูรณ์แบบขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วสั่งสมเป็นพหูสูตเป็นผู้รู้ยิ่ง รู้จริงขึ้นไปมากๆ พหูสูต ก็รู้สัจจะยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น

สัทธรรม 7 จึงเป็น กระบวนการ เป็น process ของจิต-เจตสิกมันทำงานทั้งหมด 

เพราะฉะนั้น ความเป็นฌาน สรุปง่ายๆ “ฌาน” ก็คือ ธาตุรู้และเผา เพราะฉะนั้น มันรู้ก็คือตัวปัญญา มันเผาก็คือกิเลสมันวิ่งหนีหูตูบ หายวับไปกับตา ถูกเผาก็ได้ ใช้โวหารภาษา ฌาน

มันคือผลของการปฏิบัติธรรมที่สัมมาทิฏฐิถูกต้อง ไม่ต้องไปประดิษฐ์อยากได้ฌาน ก็ไปเข้าฌาน ออกฌานมา อ้าว! แล้วออกทำไมเมื่อได้แล้วฌาน เข้าฌานก็เข้าไปได้แล้วใช่ไหม? ได้ฌานแล้วออกมาทำไม ไอ้โง่! ก็เข้าไปได้ฌานแล้ว ออกมาจากฌานทำไม ก็ฌานมันก็ดีแล้ว จิตเป็นฌานก็ดีแล้ว จิตเป็นปัญญา แล้วฌานนี่ คือเผากิเลส ฌานสมบูรณ์แบบ ก็คือเผากิเลสเกลี้ยงเลย ตายไม่ฟื้น 

แล้วพลังงานฌานนั่นแหละเป็นธาตุอาศัย เป็นปกติสามัญของจิต จิตเป็นฌาน เอามาใช้เมื่อไหร่ ใช้เป็นฌาน 1 ก็คือการจะต้องพิจารณาให้ครบ พิจารณาได้แล้วก็รู้ ก็ยินดีกับที่เราได้พิจารณาได้ เกิดปิติ ปิติแล้วก็พอ ลด สงบ ก็คือการลดสุขสงบ ลดแล้วก็สะอาด เป็นเอกัคคตา หรือ ก็เลิกแล้ว อุเบกขา ก็จบ ทำให้เกิดบริสุทธิ์ของสิ่งที่จะต้องทำ ทำความบริสุทธิ์ได้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

นี่อาตมาเอาสภาวะต่างๆ มาอธิบาย พวกเรานี่เรียนรู้อภิธรรม เรียนรู้สัจจะที่อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ภาษาไทย ซึ่งผู้ที่จะเป็นนักรู้บาลีเอามาแปลที่อาตมาอธิบายภาษาไทย เอาไปแปลเป็นบาลีคืนไปอีก คงยากไม่ใช่เล่น เพราะว่านี้เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้สอนด้วยภาษาพื้นของแต่ละชาติ (ชาติพันธุ์-เผ่า) ของแต่ละคน นี่แหละภาษาไทย อาตมาก็อธิบายด้วยภาษาพื้นของพวกเราที่เป็นคนไทย ด้วยพยัญชนะด้วยสำนวนภาษาที่ออกมาเป็นคำความ ที่สื่อสภาวะ เข้าไปหาสภาวะ แล้วพวกเราก็ฟังเข้าใจ เข้าใจแล้วปฏิบัติได้ตามนั้นก็จบแล้วนี่ มันเป็นมรรคเป็นผล ที่ได้ความแล้วก็ดีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 08:25:28 )

สัทธรรมปฏิรูป

รายละเอียด

คือ ศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้ยังใช้ชื่อว่า พุทธ แต่เนื้อหาสาระที่เขาสาธยายกันอยู่ทุกวันนี้ หาใช่เนื้อหาของพุทธที่ถูกต้องไม่ เมื่อผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มียศตำแหน่ง อยู่ในวงการศาสนาพุทธ มีทั้งพระภิกษุและฆราวาส ได้กล่าวผิดธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้าโดยกล่าวต่อสื่อมวลชนเผยแพร่ออกไปทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ทางหนังสือพิมพ์ คำกล่าวนั้นก็แพร่หลาย เมื่อได้กล่าวผิดเพี้ยน ธรรมวินัย ก็ถูกปฏิรูปไปเรื่อยๆ ผู้ที่ไม่ใช่ผู้รู้ได้ยินได้ฟัง ก็เชื่อถือตาม นานวันเข้าๆ พุทธศาสนิกชน พากันหลงเชื่อถือตามมากขึ้นๆ หลงยึดถือว่าสิ่งที่ผิดว่าถูกนั่นก็คือ การทำสัทธรรมปฏิรูป นั่นก็คือ กงจักรกลายเป็นดอกบัว

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 101


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 15:07:07 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:39:06 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:43:30 )

สัทธัง ปฏิลภติ

รายละเอียด

1. ได้ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย

2. เชื่อมั่นเห็นจริง และยึดถือเป็นเรื่องเฉพาะเรื่องไป

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 245, หน้า 290


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:00:14 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:40:09 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:43:47 )

สัทธัมมัสสวนะ

รายละเอียด

ฟังคำสั่งสอนของสัตบุรุษ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 234


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:00:43 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:41:17 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:44:01 )

สัทธา 4

รายละเอียด

สัทธา 4 (ภูมิศรัทธาความเชื่อ 4 อย่าง) 

1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ) 
2. วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม) 
3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น  สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้) 
4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต) 
 

ที่มา ที่ไป

ข้อ 4  มีใน พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 4, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 14:44:39 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:03 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:44:31 )

สัทธานุสารี

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติที่ใช้ศรัทธา คือความเชื่อตามๆ เขามาอย่างมั่นใจแน่ๆ และต้องถูกทาง หรือเป็นอาริยะจริงๆ เป็นเครื่องจูงพาให้ปฏิบัติ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 364


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:01:29 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:42:17 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:44:48 )

สัทธานุสารี

รายละเอียด

 สัทธาคือผู้ตามหาสาระ อนุสารีคือ ผู้ตามหาความเชื่อ เป็นสายศรัทธา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:21:13 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:51:20 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:45:03 )

สัทธานุสารี

รายละเอียด

บุคคลไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์ อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต อีกประการหนึ่ง ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารีบุคคล.บุคคลไม่ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติ นี่ จะต้องล่วง วีติกมะ คือต้องล่วงรูปสมาบัติด้วยกาย ต้องผ่านรูปสมาบัติก่อนด้วย ละเอียดถึงอรูป แต่ต้องผ่านรูปสมาบัติก่อนด้วยกาย กายคือภายนอกกับภายในฌาน ต้องมีภายนอกไม่ใช่ไปหลับตาไม่มีภายนอก ฟังดีๆ อ่านให้ซ้ำๆให้เข้าใจท่านทั้งหลายทั้งปวงที่หอกร้อยเล่มฆ่าหมายความว่า ดื้อด้าน ดึงดันไม่ตื่นมาฟัง งมงายเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย มันจมอยู่ที่เก่า ตายอยู่ที่เก่า ฆ่าโจรนี้ไม่ตาย จมกับของเก่า จมลงหยั่งลงในที่หลง ข้องอยู่ในถ้ำมืดบอด 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:23:47 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:52:15 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:45:32 )

สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุตวนเวียนล้านชาติ

รายละเอียด

สัทธานุสารีที่ไม่มีปัญญาจะวนเวียนอยู่อย่างนั้นเป็นล้านๆชาติ ไม่ออกจาก วงวัฏฏะของคุณระหว่าง สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุต สัทธาวิมุตเขาสามารถหลุดพ้นหรือดับ แต่เป็นเรื่องของแบบสายเจโต หรือสายศรัทธา สะกดจิต 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 11:06:37 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:54:57 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:45:52 )

สัทธานุสารีที่จมปลักอย่ามาอโศกเลย

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นใครยังยึดติดงมงายอยู่ คนนั้นอย่าเพิ่งมา เพราะอาตมาเมื่อย ถ้ามีจริตที่จมปลักอยู่ทางโน้นอย่ามาเลย ถึงมาก็ไม่ค่อยได้เรื่องหรอก เพราะคนเป็น สัทธานุสารี ที่จม ยากมาก 

สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ บุคคล 7 

อาตมาไม่ได้ท่องพยัญชนะพวกนี้นะบุคคล 7 ก็ไม่ได้ท่อง แต่พอรู้จักบาลีตามประสาอาตมาบ้าง ที่พูดก็ไล่ตามสภาวะทั้งนั้น พยัญชนะบางทีก็ลืม อะไรว้า ตัวนี้  สงสารพวกเราบางทีอาตมาก็ลืมพยัญชนะ แต่สภาวะนั้นแม่นไม่มีปัญหา แต่พยัญชนะบางทีก็ลืมไปหรือบางทีก็สับสนในพยัญชนะบางตัว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:25:10 )

สัทธานุสารีมีข้อด้อยกว่าธัมมานุสารี

รายละเอียด

มันเป็นปัจจัยเกื้อกูลกันระหว่าง สัทธินทรีย์กับปัญญินทรีย์ มันจะเกื้อกูลช่วยเหลือกันตลอดเวลาเลย ศรัทธากับปัญญาเป็นคู่หูที่แยกกันไม่ได้เลย ศรัทธาจะมีข้อด้อยกว่าปัญญา อันนี้เป็นข้อด้อยที่ไม่ได้ไป ข่มสายศรัทธานะ แต่สัจจะมันเป็นเช่นนี้ สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี อาตมาให้ข้อสังเกตว่าทำไมท่านไม่เรียกว่าปัญญานุสารี แต่ปัญญาจะไปเรียกเอาตอนเป็นปัญญาวิมุติ นอกนั้นแม้แต่ทิฏฐิปัตตะ ท่านก็ใช้ความจริงของปัญญาคือความรู้ เป็นความรู้ความเห็นความเข้าใจ ไปจากธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ ก็คือหยั่งถึงความเห็น ปัตตะ แปลว่าบรรลุ แล้วก็ข้ามไปเป็นปัญญาวิมุต ก็มี 3 ขั้น ธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ และปัญญาวิมุติ ส่วนสัทธานุสารีไปเป็น สัทธาวิมุติ ต่อให้เข้าใจว่าตัวเองวิมุติได้วิมุติดับได้ เป็นวิธีแบบสมถะ ดับได้แต่ยังไม่ครบ 2 อย่าง ไม่มีจิตไม่มีกาย ไม่สัมผัสด้วยกายครบทวารทั้ง 6 พระพุทธเจ้าท่านไม่ถือว่าเป็นความจริง มันเปลี่ยนแปลงได้มันเสื่อมลงได้ ต้องครบทั้ง 2 ด้าน เพราะฉะนั้น จึงมีคำบอกว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ผู้ที่จะเป็นกายสักขี ผ่านจากสัทธาวิมุตแล้วจะเป็นกายสักขี จะแสดงจะเห็นแต่ภายนอก แต่จิตตัวนี้ยังไม่พ้นอาสวะสิ้น อาสวะบางอย่างลดได้ละได้ ยังไม่ถือว่าแน่นอน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านจึงยังไม่ยอมรับว่าอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่ เป็นคนดีระดับหนึ่ง เป็นคนที่บรรลุในระดับหนึ่งแต่ยังจะวนเวียน ยังไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านใช้คำว่าอรหันต์เลย กายสักขี ยังไม่เรียกเป็นอรหันต์ แต่ปัญญาวิมุติเรียกเป็นอรหันต์ได้ พ้นอาสวะได้ ส่วนจะสูงไปถึงการพ้นอนุสัยก็เคยอธิบายไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 08:41:02 )

สัทธาวิมุต

รายละเอียด

สัทธาวิมุตคือสายศรัทธา เขามีวิมุติแต่ไม่มีธาตุรู้ไม่มีปัญญาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเท่ากับทิฏฐิปัตตะ ถึงได้ยังไม่ชื่อว่า ทิฏฐิ แต่คุณดับวิมุติได้ ดีไม่ดีวิมุติแบบอาฬารดาบส อุทกดาบส วิมุติแบบมหาบัว วิมุติแบบอาจารย์มั่น ขอยืนยันว่าสายมหาบัวไม่เก่งเท่า อาฬารดาบส อุทกดาบส หรอก สะกดจิตตัวเองไปได้ไม่ถึงขั้นนั้น แม้แค่ฌานโลกีย์ก็ไม่ถึงฌาน 7-8 เท่า อาฬารดาบส อุทกดาบส อาตมาทำได้ แต่มันอธิบายยากมากเลย อธิบายสัตตาวาส 9 จะอยู่ในนี้หมดเลย ซึ่งยังไม่อธิบายวันนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 11:47:17 )

สัทธาวิมุตจะหลงวนอยู่ในภพอสัญญีสัตว์

รายละเอียด

ถ้าอาตมาทำให้พวกหลับตาสายหลับตา ลูกศิษย์อาจารย์มั่น ลูกศิษย์มหาบัวทั้งหลาย มาเข้าใจชัดเจนอันนี้ได้แล้วเลิกนั่งหลับตาได้ โอ้โห…เหมือนพระพุทธเจ้าที่ไปโปรดชฎิล 3 พี่น้อง ได้มาเป็นกระจุกกระบวนเลย ไปได้เร็วเลย แหม ชฏิลทั้งหลายเอ๋ย เมื่อไหร่จะตาสว่างสักที 

ผู้ที่ไปติดอยู่ในสัทธาวิมุติเพราะมิจฉาทิฏฐิไม่ได้เข้าใจเรื่องกายได้ง่ายๆ จึงวนอยู่ในภพ อสัญญีสัตว์ วนในภพ สัทธาวิมุติดับอย่างนี้แหละวิมุติ ซึ่งเป็นมิจฉาวิมุตติ จึงจมอยู่ตรงนั้นนาน จึงได้ช้า ไม่ได้แกล้งหรอกมันเป็นอย่างนั้น 

จึงต้องพยายามมาฟังสายปัญญา ปัญญาจะทำความถูกตรง จะทำความรู้ความกระจ่างให้ได้ อย่าไปติดยึดในตระกูลของตนเลย ติดตระกูลศรัทธาถึงไม่ติดคุณก็มีเชื้อ DNA ของคุณเป็นศรัทธาอยู่แล้วไปติดมันทำไม เพราะมันไม่ได้สูงสุดด้วยปัญญา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:35:02 )

สัทธาวิมุตติ

รายละเอียด

เป็นพระอาริยะที่อาศัยศรัทธานำทาง

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 365


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:02:09 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:43:13 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:46:07 )

สัทธาวิมุตต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะถึงกายสักขีได้

รายละเอียด

อันนี้ มีคำว่า ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ คือ รวมทั้งภายนอกภายใน ทั้งรูปทั้งนาม มีวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะบางอย่างจึงดับได้ก็หมดสิ้นได้ เพราะ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย กาย สัทธาวิมุตถ้ายังไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิปัตตะก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะขึ้นมาเป็นกายสักขีระดับที่ 5 ไม่ได้ เพราะไม่สัมมาทิฏฐิเรื่องกายตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะ

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถจะมีการถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จนกว่าคุณจะถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มาเป็นกายสักขี คุณต้องผ่าน ทิฏฐิปัตตะ สัมผัสกายเสียก่อน แต่ ปัญญาวิมุติหรือธัมมานุสารี หรือ ทิฏฐิปัตตะ สัมมาทิฏฐิแล้วตั้งแต่ ทิฏฐิปัตตะ เพราะฉะนั้นมาเป็นกายสักขี ก็สบายมาก สบม ทมด ปกต หห จจ  ปกต หห จจ 
มชยลล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2565 ( 14:39:46 )

สัทธาวิมุตยังไม่รู้อริยสัจ 4

รายละเอียด

“สัทธาวิมุติ  [44] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์” 

แต่ถ้า สัทธาวิมุตยังไม่สามารถรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ยังไม่รู้อริยสัจ 4 เพราะยังไม่มีปัญญา ยังไม่เข้าใจเรื่องของกาย 

เพราะยังไม่มี แต่เมื่อใด สัทธาวิมุติมีปัญญา มีกาย เริ่มรู้กาย สัมมาทิฏฐิดีมากขึ้น เริ่มรู้จัก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อนั้นสัทธาวิมุตก็จะออกมาสู่ ทิฏฐิปัตตะ

แต่สัทธาวิมุตยังไม่รู้จักทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:43:08 )

สัทธาวิมุติจยังไม่หมดสิ้นอาสวะ

รายละเอียด

“สัทธาวิมุติ  [44] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต”

 แต่สัทธาวิมุติจะทำอาสวะบางอย่างให้สิ้นไม่ได้ ยังไม่หมดสิ้นอาสวะ ผู้ที่จะหมดสิ้นอาสวะได้นั้น นับตั้งแต่ปัญญาวิมุติขึ้นไป ไปถึง อุภโตภาควิมุติ 

กายสักขี ก็ยังทำอาสวะบางอย่างหมดสิ้นแล้ว ยังไม่หมดสิ้นทีเดียว

กายสักขี คือ ผู้ที่มีปัญญารู้จักกายมีสัมมาทิฏฐิแล้ว 

ทิฏฐิปัตตะ คือ ผู้ต้องมีปัญญารู้กาย สายปัญญาจะรู้กายได้ก่อน สัทธาวิมุติจึงเป็นทิฐิปัตตะ บรรลุด้วยทิฐิ มีสัมผัสวิโมกข์ด้วยกาย

ส่วนสัทธาวิมุติกว่าจะรู้กาย โดยเฉพาะนั่งหลับตาปฏิบัติเมื่อไหร่จะรู้จักกาย บอกว่าเลิกได้แล้วปฏิบัตินั่งหลับตาไม่รู้จักกาย “กาย”คุณก็เข้าใจผิดอยู่แล้วไปเข้าใจว่ากายคือภายนอกอย่างเดียว สายหลับตาเข้าใจผิดอยู่แล้ว คุณต้องออกมาปฏิบัติ ที่จริงกายต้องมีจิตด้วย กายกับจิตแยกกันไม่ได้ คุณต้องออกมาสัมผัสภายนอกแล้วยอมรับว่าข้างนอกคือกาย แต่นี่คุณไม่เห็นกาย ไม่มีกาย หลับตาปฏิบัติอยู่นั่นแหละ แล้วจะเอาอะไรมาบรรลุ ไม่มีวันจะบรรลุเลยเจ้าประคุณเอ๋ย หลับตานั้นเลิกได้เสียที 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:32:59 )

สัทธาวิมุติจะพ้นวิจิกิจฉาได้อย่างไร

รายละเอียด

สัทธาวิมุติต้องมีความเข้าใจในเรื่องของกายให้ได้ ถ้าเข้าใจได้ก็เริ่มเดินทางสัมมาทิฏฐิได้และมันพ้นวิจิกิจฉา ต้องรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพานของตน สักกะ แล้วรู้กายให้ได้ จนพ้น วิจิกิจฉา พ้นความสงสัยลังเลให้ดีและมีความปฏิบัติที่เรียกว่าศีลพรตให้สัมมาทิฏฐิเป็นหลักเกณฑ์ปฏิบัติในจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:49:53 )

สัทธาวิมุติพวกถือว่าวิมุติเจริญแต่เข้าใจวิมุติผิดอย่างไร

รายละเอียด

ลำดับ สัทธานุสารี จะไปได้วิมุติ ชื่อว่า สัทธาวิมุติ ซึ่งเป็นความเจริญไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเขาว่าเขาเจริญ เขาก็เจริญไปเป็น สัทธาวิมุติ ก็คือไปยึดถือว่าได้วิมุตินี้เจริญ คนที่ได้วิมุตินี้เจริญ เข้าใจกันถ้วนทั่วเลย แต่เขาไปเข้าใจวิมุติผิด เพราะฉะนั้น สัทธานุสารี กว่าจะไปได้วิมุติ สัมมา  ถูกต้อง ต้องพ้น มิจฉาทิฏฐิ

มิจฉาทิฏฐิตัวสำคัญก็คือ กาย ยังเข้าใจคำว่า กายไม่เพียงพอ ไม่บริบูรณ์พอ ยังไม่มากเพียงพอ กายนี้ เป็นตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งจบ เป็นอรหันต์นี้ตรวจด้วยกาย มีสัญญากำหนดรู้ความเป็นกาย ตั้งแต่ความเป็นกายที่มันต่างกัน กายต่างกัน สัญญาต่างกัน คุณรู้ มนุษย์ เทวดา มารพรหม ต่างกันไปหมด กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ในวิญญาณฐีติ 7

พอสมมุติว่า ปฐมฌานคือ ไม่มีนิวรณ์ 5 ทำฌานได้ มิจฉาฌาน เป็นสายศรัทธา สายเดียรถีย์ ก็ไปเข้าใจว่า หลับตาแล้วดับไม่ให้จิตมีนิวรณ์ 5 คุณก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้แต่คุณดับจิต ต่างจาก ปัญญา ปัญญานั้นลืมตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย เห็นอยู่แต่จิตไม่มีนิวรณ์ 5 ใน วิญญาณฐีติข้อที่ 2 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กันยายน 2565 ( 14:19:30 )

สัทธาวิมุติเป็นแบบโลกีย์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสายสามเส้า สัทธาวิมุติ คุณก็วิมุติ ของคุณได้แต่เป็นวิมุตแบบโลกีย์ มันไม่ได้มีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้มีญาณปัญญาที่รู้รอบ ตั้งแต่วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ แล้วรู้ละเอียดลงไปเรื่อยๆเป็นโสตทิพย์ แล้วก็มารู้เจโตปริยญาณที่กำลังอธิบายอยู่ 
 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 07:55:46 )

สัทธาวิมุติเสียเวลาเพราะยังไม่รู้เรื่องกาย

รายละเอียด

ทีนี้ สัทธาวิมุติ เสียเวลา ไม่ค่อยรู้ได้ง่ายๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องกาย เข้าใจกายยังไม่สัมมาทิฏฐิ เมื่อเข้าใจกายยังไม่สัมมาทิฏฐิ คุณทำอะไรต่อไม่ได้เลย เรียนยังไงต่อก็ไม่ได้ตามสังโยชน์ข้อที่ 1 

เมื่อเรียนต่อไม่ได้แยกกายแยกจิตก็ไม่ได้ กายกับจิตมันไม่แยกกัน แต่มันแยกกันได้ด้วยสมมติหรือโดยปรมัตถ์ คุณแยกไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้ คุณก็เป็นเทวนิยม พระเจ้ามีหนึ่งเดียวอย่าไปแยกอย่าไปแตะ กระจายออกมาว่ายังไงว่าอย่างนั้นตาม เที่ยงเลยคำสอนเดียว ไม่ขึ้นกับกาละเทศะฐานะที่ไม่เที่ยง คุณว่าเวลาหรือกาละ มันอยู่ตรงนี้ตลอดเวลาเลย มันจะนิ่งอยู่ตรงนี้หรือ ไอ้นั่นมันนาฬิกาตาย เวลามันไม่ตายไปกับนาฬิกาหรอก ไม่มีเวลาในมหาจักรวาลนี้ที่มันหยุดนิ่ง 

แม้แต่ดาวแดงที่ตายแล้ว ก็ยังเคลื่อนเลย ตายแล้วไม่มีกำลังงานของตัวเองแล้วก็ยังเคลื่อนด้วยกำลัง พลังงานอื่นที่ผลักดันไปตามแรงดูด มันไม่มีอะไรหยุดนิ่งหรอก

เพราะฉะนั้น สัทธาวิมุตจะเอานิ่ง อสัญญี ดับสัญญาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย สัญญาคือธาตุกำหนดรู้ เขาจับได้เขาก็หลงติด เพราะฉะนั้น จะเสพอยู่นาน 

เพราะฉะนั้นใน บุคคล 3 นี้ เอาอันที่ 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:30:41 )

สัทธาวิมุตแบบมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างไร

รายละเอียด

ในขณะที่คุณมีสัทธาวิมุต คุณวิมุติอย่างมิจฉาทิฏฐิเช่นคนดับจิตเป็นอสัญญี แล้วก็ตายไปขณะนั้นก็เป็นอุทกดาบสอาฬารดาบส ต้องเวียนกลับมาอีก พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าฉิบหายแล้วอุทกดาบสอาฬารดาบส ก็เหมือนกับมหาบัวเอ๋ย ฉิบหายแล้ว แต่สะกดจิตหลับตาไปไม่มีความจริงครบตาหูจมูกลิ้นกายใจ พระพุทธเจ้าถึงว่าต่อให้คุณมี อาสวะบางอย่างสิ้นไป แล้วอาสวะบางอย่างจะดับถาวรหรือไม่ คุณก็เชื่อว่าคุณดับได้ตามมิจฉาทิฏฐิ สัญญาของคุณต่างกัน กายของคุณก็ต่างกัน ไม่ต้องพูดถึงที่จะเข้าใจความเป็นมนุษย์ก็ต่างกัน ความเป็นสัตว์ก็ต่างกัน ความเป็นพรหมก็ต่างกัน แม้แต่ความเป็นนิพพานคุณก็ต่างกันแล้ว นิโรธ ก็คนละ นิโรธแล้ว นิโรธของคุณเป็นแบบฤาษี อสัญญีสัตว์ ไม่ใช่นิโรธที่เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาที่มีเวทนาการทำงาน เคล้าเคลียอารมณ์ ครบเวทนา108 ครบตาหูจมูกลิ้นกาย เวทนา 3  5  6 นี้ ครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วถึงจะแยกเคหสิตเวทนา 18 ได้ ถ้าไม่มี 6 ทวารจะมี 18 เคหสิตะได้อย่างไร คุณมีแต่คุณก็ไม่รู้คุณก็ไม่มี เนกขัมสิต 18 ได้ คุณออกจากตาหูจมูกลิ้นกายไม่ได้ คุณออกไม่ได้ คุณไม่รู้คุณไม่ได้เรียน เพราะคุณหลับตาปิดหูปิดกายไปหมด คุณไม่มี เคหสิตะ คุณมีแต่คุณปิดมันทำให้ตาบอดหูหนวกเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:23:28 )

สัทธาวิมุตไม่ได้แม้แต่ขั้นอวินิปาตธรรม

รายละเอียด

บางทีก็เข้าใจว่าพวกสายสัทธาวิมุต จะกลายเป็น กายสักขีได้ ซึ่งไม่ได้ ทิฏฐิปัตตะ ยังเป็นไม่ได้เลย ได้แค่สัทธาวิมุต สายศรัทธานี้ จะจมอยู่กับแค่สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุต ได้แค่นี้ มุดอยู่แค่สัทธา  จะบอกว่ากิเลสหมดไหม กิเลสนี่สามารถรู้ได้ด้วยปัญญาบ้าง มันยังไม่สมบูรณ์ก็กลับมาใหม่เพราะว่าไม่ได้แม้แต่ขั้น อวินิปาตธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:29:52 )

สัทธาสัมปทา

รายละเอียด

ถึงพร้อมด้วยศรัทธา

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 168


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:02:42 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:44:59 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:46:22 )

สัทธินทรีย์

รายละเอียด

กำลังความเชื่อมั่น

หนังสืออ้างอิง

ป่ากับพุทธศาสนา หน้า144


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:03:15 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:45:49 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:46:35 )

สัธธัมมัสสวนะ

รายละเอียด

คุณได้ฟังสัทธรรมที่อาตมาสาธยายอธิบายที่ถูกต้องที่ดีแล้วเป็นของพระพุทธเจ้าแท้ สัทธรรม เมื่อคุณได้ฟังสัจธรรมคุณก็เสวนา สวน แปลว่าฟัง คุณก็ฟังฟังจนเข้าใจพิจารณาตาม จนคุณชัดเจนเข้าใจชัดทุกอย่างเอาไปปฏิบัติได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 15:26:16 )

สันดอน สันดาน อัตตา บุญ

รายละเอียด

ถ้าฟังให้ละเอียดลึกๆสันดอนขุดได้สันดานขุดยาก แล้วถามเปรียบเทียบที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตาเป็นสิ่งไม่เที่ยงแสดงว่าเปลี่ยนได้ 

“อัตตา” นี้ เหมือนคนยึดอัตตา เป็นสันดอน ขุดได้แต่ขุดยาก อัตตาขุดยาก แต่ขุดได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาเรียนรู้อัตตา เรียนรู้สันดานของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาป

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น บุญ คำนี้แปลว่า ชำระกิเลสในสันดาน ให้สะอาดหมดจด บุญแปลว่า เครื่องชำระหรือการชำระกิเลสจากสันดานให้สะอาดหมดจด 

สรุปแล้วในเรื่องของอัตตา เรื่องของสันดาน ศาสนาพุทธรู้ดีหมดเลย มนุษย์เกิดแล้วจะได้ขุดสันดอนสันดานของเราได้ มาลบล้างอัตตาของเราได้อย่างแท้จริง พยัญชนะมันเป็นอย่างนั้นอาตมาก็อธิบายสภาวะไปมาเรียนรู้แล้วก็จะหมดได้ มาหมดไม่ได้ก็เป็นเรื่องไม่จริงสิธรรมะพระพุทธเจ้า หมดกิเลสหมดสันดอน มันก็ล้างได้ เขาเทียบสันดอนเหมือนวัตถุ สันดานเหมือนจิตเท่านั้นเอง คุณอยู่ทางโน้น ต้องมาเรียนรู้สันดาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 11:12:39 )

สันดาน

รายละเอียด

1. พฤติกรรม(สิ่งที่เลว) ที่สั่งสมลงจนแน่นแฟ้น มั่นคง

2. การพอกพูนอกุศลกรรมนั้นมากมายถึงขั้นออกฤทธิ์ออกเดช

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 306

คนคืออะไร? หน้า 315


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:03:59 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:46:53 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:46:57 )

สันต

รายละเอียด

1. สงบยิ่งพิเศษ 

2. มีอยู่ , เป็นอยู่ , จริง , ชื่อของนิพพาน

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 538

ชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉบับ 271


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:06:12 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:49:51 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:47:24 )

สันต (สันติ)

รายละเอียด

1. หยุด สงบ ราบรื่น เย็น 

2. สงบ ราบรื่น ความเรียบร้อยสมบูรณ์ชั้นสุดท้าย

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 83 - 393,จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 279


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:06:55 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:51:27 )

สันตต , สันตติ

รายละเอียด

1. การสืบต่อ 

2. สิ่งที่คั่นอันติดต่อ หรือจุดเชื่อมต่อ

3. ไม่มีเชื้อชอบ-เชื้อชัง ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะใดสืบต่อกันอีกเลย

4. ความเชื่อมต่อ 

5. ความสืบต่อ 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 78 , 107

ทางเอก ภาค 1 หน้า 161

ทางเอก ภาค 2 หน้า 281

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 120

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 84


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:08:08 )

เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:31 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:48:18 )

สันตติ

รายละเอียด

คือ การต่อ จะต่อหรือไม่ต่อ  จะให้เกิดมันก็ต่อ ไม่ให้เกิดก็ไม่ต่อ พระอรหันต์ก็อยู่กับความเกิดหรือไม่เกิดเท่านี้ให้เกิดก็เกิดอย่างถูกคุมได้ ไม่ให้เสียไม่ให้เสีย ไม่ให้เสริมให้มีแต่ดีถ้าไม่ต่อก็ไม่มีสันตติ ก็ไม่เกิด เพราะอยู่ในภาวะ ที่ยังไม่ตาย ยังมีเหตุปัจจัยอยู่ “อุปจยะ” ยังไม่ “ปรินิพพาน” เป็นปริโยสาน ก็ต้องควบคุมการเกิดต่อไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 16:46:34 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:56:10 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:48:42 )

สันตติ

รายละเอียด

คือ การสืบต่อ ให้มันเกิด ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ การสืบต่อที่จะไม่เจริญ เป็นอกุศลสืบต่อ คุณต้องตัดตัวนี้ก่อน แต่ลักขณรูปที่สมบูรณ์แล้ว จะให้เกิดก็ได้ จะให้ต่อหรือถ้าไม่ต่อก็ได้ พระอรหันต์ จะทำให้เกิดแต่จิตที่ดี หรือจิตที่ไม่มีบาป แต่ถ้ายังมีบาปอยู่คุณก็ต้องกำจัดทำบุญคือกำจัดกิเลส ก็ต้องเอาพลังงานมาทำ ฌาน ทำสำเร็จเรียกว่าได้เป็นพลังงานบุญของเรา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:01:55 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:57:21 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:49:08 )

สันตติกาล

รายละเอียด

ระยะเวลาแห่งการเชื่อมต่อ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 198


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:08:40 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:53:56 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:49:22 )

สันตติของพระอรหันต์จบที่สันตติจะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ 

รายละเอียด

สันตติของพระอรหันต์นั้นก็จบที่ สันตติ ไม่มีชรตา ไม่มีอนิจจตา ไม่มี จบที่สันตติเป็นอมตบุคคลแล้ว สันตติคือ จะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ 

อรหันต์สายเจโตแท้ๆ ศรัทธาแท้ๆ เอาแต่อรหันต์เอาแต่สภาวะเดียวไม่เอา 2 ไม่มีความเก่ง ไม่มีความสามารถที่จะเรียนรู้ 2 จะเอาอรหันต์ลูกเดียว สายพระกัสสปะ 100% ก็จะจบที่สันตติ แต่ความจบสันตติของพระอรหันต์สายพระกัสสปะ ตายไปแล้วเป็นอนาคามีภูมิอีกนานมาก นานมากเลย เพราะมันสลายเองไม่ได้ สลายเองตามจริตของแต่ละคนหรือบารมีของแต่ละคน

ในสุทธาวาส 5 หรืออนาคามี 5 ถ้าหากอนาคามีอธิบายอย่างพระพุทธเจ้า ถ้าหากเป็นสุทธาวาส อธิบายอย่างเทวนิยม คือจะเป็นไปตามฐานะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2565 ( 14:02:19 )

สันตวิหาร

รายละเอียด

1. เป็นผู้มีความสงบเป็นเครื่องอยู่ หรือเป็นผู้มีจิตสงบเป็นที่อาศัยอย่างเย็นใจยิ่งนั่นเองจริงๆ 

2. ฐานที่อยู่ที่เป็นขั้นปลายของพระอาริยะอันเรียกว่า อรูปจิต อรูป-ฌานกันจริงๆ 

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 59

ทางเอก ภาค 3 หน้า 322


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 09:09:42 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:55:05 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:49:56 )

สันตัตตา

รายละเอียด

ลงตัวเป็นที่สุด

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 219


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 13:38:20 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:56:42 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:50:15 )

สันตา

รายละเอียด

เป็นความสงบที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเดือดร้อน ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าเหมือนก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก แล้วน้ำแข็งก็ไม่ละลายด้วย มันจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 18:18:35 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:58:15 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:50:44 )

สันตา

รายละเอียด

1. สงบพิเศษ

2. ความสงบชนิดที่วิเศษสุด , สงบที่พิเศษลึกล้ำ

3. ความสงบที่มีลักษณะพิเศษ , สงบจากกิเลสที่เป็นเหตุแท้

4. สงบพิเศษเกินสามัญ

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 81

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 22 , 157

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 67 , 136

ค้าบุญคือบาป หน้า 199


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:41:21 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:58:17 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:51:26 )

สันตา

รายละเอียด

สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 19:19:50 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:59:04 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:51:46 )

สันตา

รายละเอียด

สันตา มันเป็นความสงบสุดยอดวิเศษยิ่ง เป็นแบบโลกุตระไม่ใช่สงบแบบโลกียะที่ทั่วไปเขาเป็นกันอย่างนั้น สุดยอดอย่างยิ่งเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:08:24 )

สันตา ปณีตา

รายละเอียด

สุขุม ประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 19:22:08 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:59:49 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:52:09 )

สันตา สันติ

รายละเอียด

สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) คำนี้ เราเคยได้ยินคำแต่ว่า “สันติ” เป็นสำคัญ ชินหูกับคำว่า “สันติ” 

คำว่า”สันตา”ก็คือรากเหง้าของสันติเลย เป็นความสงบชนิดที่เรียกว่า สันตะ สันตา หรือสันติ สงบแบบพิเศษ สงบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย​ สงบอยู่อย่างช่วยคนอื่นเขาได้เลย เป็นความสงบอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากความสงบที่คนยังไม่มีภูมิปัญญา เป็นโลกียภูมิเข้าใจความสงบได้แค่แบบนั้น​ แต่ความสงบอีกหนึ่งอย่างในปัญญาข้อที่ 3 นี่แหละ​ “สันตา” (ปัญญาสูตร พตปฎ. เล่มที่ 23 ข้อ 92)

“สันตา” ความสงบอีกอย่างหนึ่ง เป็นโลกุตระ เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย แล้วก็ช่วยเขา โดยตัวเองไม่มีผลสะดุ้งสะเทือนอะไร  สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ อยู่อย่างเป็นคนมีประโยชน์อย่างนี้จริงๆเลย อยู่อย่างสบายอย่างนี้จริงๆเลย สันตา เพราะมันเป็นเรื่องปณีตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือก้อนแห่งสัมมาทิฏฐิที่คนต้องมีฉันทะมาเอา วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 18:58:33 )

สันตานัง

รายละเอียด

สันดาน

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 182


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:42:28 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 04:59:07 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:00:17 )

สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

รายละเอียด

สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ  คือ คำว่า ปุนาติ คือ การชำระ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2562 ( 08:07:55 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:00:22 )

สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

รายละเอียด

คนที่มีบารมีจะฝึกได้อย่างพวกเรา เข้ามาถึงขั้นนี้แล้วไม่ว่าจะเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่เป็นกุศลของพวกเราอย่างยิ่ง เป็นคุณค่าคุณงามความดีเป็นบารมีของพวกเราที่ได้สั่งสมมา จึงได้มาเข้ามาอยู่ในแวดวงชาวอโศก ได้มาศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนร่วมสร้างกุศล ร่วมสร้างกรรมวิบากไปด้วยกัน โดยเฉพาะได้เรียนรู้เรื่องบุญ เครื่องมือในการชำระกิเลสให้หมดไปจากสันดาน สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ สันตานังคือสันดาน ปุนาติ คือชำระ ให้สะอาดคือวิโสเทติ เป็นผู้ชำระกิเลสออกจากสันดานได้สะอาดหมดจดเลย นี่คือ หน้าที่ของบุญ 

แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปเป็นกุศลก็เลยเลอะไปหมดเลย แล้วก็ไม่รู้หน้าที่ของบุญที่แท้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นกุศล การทำลายกิเลสก็เลยทำไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้จักเครื่องมือทำลายกิเลสคือบุญ หรือฌาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2565 ( 19:10:24 )

สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ

รายละเอียด

1. การชำระจิตสันดานให้หมดจด

2. การชำระกิเลสในสันดานคนให้เกลี้ยงเกลาหมดจด

3. การชำระกิเลสอนุสัยจากสันดานให้สะอาดหมดจด

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 182

ค้าบุญคือบาป หน้า 51,315

 


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:45:08 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:00:34 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:11:00 )

สันตานัง ปุนานิ

รายละเอียด

ชำระกิเลสจากสันดาน , ทำสะอาดกิเลสในสันดาน

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 64


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:43:18 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:01:22 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:00:38 )

สันตานัตตา

รายละเอียด

ไม่ขัดแย้งเป็นที่สุด

หนังสืออ้างอิง

(จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 219)


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:45:45 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:02:36 )

สันตาปทุกข์

รายละเอียด

1. ทุกข์คือความร้อนเผาใจอันเนื่องมาจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ

2. ทุกข์คือความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะแผดเผา

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 79

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 113


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 20:47:00 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:03:52 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:01:02 )

สันติธรรม

รายละเอียด

ความสงบของจิต

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 513


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 21:27:58 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:04:59 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 15:52:48 )

สันติปทัญจ

รายละเอียด

สันติบท

หนังสืออ้างอิง

(จากหนังสือทางเอก ภาค 3 หน้า 369)


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2562 ( 21:29:12 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 05:05:55 )

สันติภาพของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ใช่ความสงบที่อธิบายเป็น 1 อย่างนี้ไม่มีใครแย่งของใครได้ แต่สันติภาพของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แค่ 1 นะมันเป็น 2 นอกจาก 2 แล้วยังมีเหตุปัจจัยที่เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างเป็นระบบลึกซึ้งซับซ้อนเป็นพลังงานรวมมาให้แก่ แกน1 ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นอิสระเสรี เป็นภราดร ที่มีมวลมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเชื้อเดียวกันเป็นกลุ่มเดียวกันเป็นพี่เป็นน้องเดียวกันแล้วสนิทสนมกันอย่างไม่มีภัยต่อกันแล้ว มันยังรวมกันเป็นพลังงานรวมสร้างสมรรถภาพ สร้างบูรณภาพขึ้นไปอีก ไม่มีจบง่ายๆ แม้ถึงขนาดขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สมรรถภาพก็ยังไม่จบ บูรณภาพก็ยังไม่จบ อย่างนั้นก็สร้างไปได้เยอะมาก สร้างไปก็เกินก็เฟ้อไปอีก ขนาดที่ท่านมีแล้ว กระจายให้แก่คนเอาไปใช้ก็ยังใช้ไม่หมดแล้ว ใช้ไม่ทันท่านแล้ว ห่างท่านเยอะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีใครไล่ทันหรอก ห่าง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไล่พระพุทธเจ้าทัน มันไม่มี ห่างจนเชื่อมั่นเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ ในกัป ไม่รู้กี่กัปนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 10:32:32 )

สันติภาพตัวจริงคือหัวใจของทุกศาสตร์

รายละเอียด

ที่อาตมาพยายามพูดเรื่องสันติภาพ ทั้งเขียนทั้งแต่งเพลงเรื่องสันติภาพ เพลงสันติภาพของอาตมาอย่างน้อย 3 เพลง เพลงสันติภาพแท้ๆ ยาว arrange ไว้ยาว เพลงสันติภาพผี เพลงสันติภาพประกาศิต อะไรพวกนี้ สันติภาพผีนี้ร้องหลายเวอร์ชั่น คนร้องคนแรกเป็นศิลปินแห่งชาติเหมือนกันคือเพ็ญศรี พุ่มชูศรี แล้วก็คนหลังๆ ดูเหมือนจะเป็นด็อกเตอร์กันยารัตน์ กุยสุวรรณ เขาก็เป็นนักร้องชนะประกวดมา แต่เขาก็ไปทำอาชีพของเขาไม่ได้มาหากินทางด้านร้องเพลง เขาเป็นรองศาสตราจารย์หรือศาสตราจารย์ไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังอยู่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงหรือ เปล่าก็ยังไม่รู้ ก็มีคนอื่นมาร้องอยู่ สวนสันติภาพประกาศิตก็ยังไม่มีใครร้องเวอร์ชั่นที่ 2 เลย ก็มีศิลปินแห่งชาติคือ สันติ ลุนเผ่มาร้อง เนื้อหาของสันติภาพมันก็คือสันติภาพที่เป็น Concept ของอาตมา สันติภาพอันนี้จะต้องไม่อยู่เดี่ยวๆ มันต้องมีองค์ประกอบ มีสิ่งเสริมซ้อนอุดหนุนกันอยู่ เช่นจะต้องมีอิสรเสรีภาพ ต้องมีภราดรภาพมีสันติภาพ ต้องมีสมรรถภาพมีบูรณภาพ โดยเฉพาะมีสิ่งที่เป็นโลกุตระแท้ก็คือ สุญญภาพ และสุนทรียภาพ(มีสวยภาพ) เป็น 7 ภาพ อธิบายมิติต่างๆได้ถึง 7 ลักษณะ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งก็ต้องอธิบายต่อไปอีก อาตมาพาพวกเราสร้างสันติภาพตัวจริง สันติภาพตัวจริงนี้แหละคือหัวใจของประชาธิปไตย สันติภาพตัวจริงนี้แหละคือหัวใจของเศรษฐกิจ สันติภาพตัวจริงนี้แหละคือหัวใจของสังคม จบดีกว่าไหม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:37:02 )

สันติภาพเป็นสภาพ Static

รายละเอียด

สัจจะของพระพุทธเจ้ามีความหลากหลายที่จะเอาไปใช้ ทุกวันนี้คนมีความรู้พลังงานทางวัตถุ เอามาสร้างสิ่งที่มนุษย์อาศัย ตั้งแต่สร้างเป็นปัจจัย 4 สร้างบริขาร  บริขาร 7 เดี๋ยวนี้มีบริขารเป็นล้านแล้ว แต่พวกเราใช้ไม่ถึงล้านหรอก แต่คนข้างนอกล้านก็ไม่พอ เขาจะต้องเอาอีก พวกเรามีความขยันก็เอามาทำ ส่วนพวกขี้เกียจก็เอาแค่เอาตัวรอด คำว่า สันติภาพ นี้จึงไม่ใช่ง่ายๆ จะต้องทำความเข้าใจกันไปให้ดีๆ ซับซ้อนลึกซึ้งมาก สันติภาพเป็นสภาพ Static ไม่ใช่ Dynamic ลึกซึ้งมาก องค์ประกอบอื่นเป็น Dynamic พวกอิสระ เสรีภาพ ภราดรภาพ บูรณภาพ แต่สันติภาพเป็น Static 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 10:37:01 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์