@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

660212

รายละเอียด

660212 พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 https://www.boonniyom.net/53026.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1GMwTZLEYcLZe7bFXpFoWnBq23lEetT1AclnFyawNIDw/edit?usp=sharing                                

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1mlikiyY9DG8Pjp3G9U8Uc39YgqUyyzqG/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/bmVpQA_7Kiw 

และ https://fb.watch/iECh1A_CYr/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ 

บทกวีจาก.. สมณะเพาะพุทธ.. 

สมณะโพธิรักษ์

ครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน

ผู้แบ่งปันธรรมะลดละสุข

ผู้สละกิเลสเหตุแห่งทุกข์

ผู้พ้นคุก ขังใจ ไร้จองจำ

 

ผู้เข้าถึงอรรถะสละอัตตา

ผู้นำพา นิพพาน บานฉ่ำ

ผู้กล้าติลำบากตรากตรำ

ผู้จุดประทีปธรรมผู้ชี้ทาง

 

สมณะชนะผี ...

...วันความรักพ่อครู...

เดือนกุมภาพันธ์วันแห่งความรัก

ซึ้งประจักษ์ในฤดีมีความหมาย

ความรักพ่อทวีมิเสื่อมคลาย

มอบถวายเป็นสำคัญหมั่นบูชา

พ่อให้แสงทองส่องชีวิต

พ่อประสิทธิ์รักไว้ในศาสนา

ทุกๆสิ่งด้วยความรักประทานมา

เราชาวอโศกหรรษาทั่วหน้ากัน

 

.. สมณะแด่ธรรม .. 

แด่ครูรัก รักพงษ์ ด้วยรัก

เหนื่อยหนักเท่าใดไม่ท้อ

ชาติศาสน์กษัตริย์ไปต่อ

เกิดก่ออโศกมาพาทำดี

                ส.ธัมมรักขิโต

 

พ่อครูว่า... สาธุทุกๆคนที่มีน้ำใจ มีอีกของเพื่อนท่านเด่นตะวันแต่ง แต่ว่ามันไม่ถูกแผนผังเลยเขียนมา เขียนโคลงสี่สุภาพ เขียนกาพย์ยานี กาพย์ยานี 11 

โคลง 4

๏ แปดสิบ ฉนำนับเนิ่น นานเนา

แปด เพิ่มเติมปีเอา บวกพร้อม

ปี นี้เดือนวันเนา ณ เลข แปดแฮ

อัฏฐอริยสัจจ์ น้อม ส่งสร้างอายุครู.ฯ

 

ยานี 11

๏ ครบแปดสิบแปดปี

นับราตรีอีกแปดเดือน

บวกอีกแปดวันเหมือน

อริยาสัจจายุครู.

 

๏ ขอตั้งจิตตะน้อม

กายใจพร้อมพะพร่างพรู

ดูโลกอันตราตรู 

ที่พ่อครูท่านสร้างทาง.ฯ

 

โคลง 4

๏ พ่อ คือท่านผู้สร้าง  ทางจร

ครู ที่ริตัดรอน  เกลศแก้

โพธิ รักษ์ผู้สั่งสอน  สรรพศิษย์

รักษ์ โลกรักธรรมแท้ เทิดผู้ภควัน.ฯ

 

ยานี 11

๏ พ่อครูโพธิรักษ์

ท่านเป็นหลักนำทางจร

พร่ำคำตำหนิสอน

หมู่ศิษย์ทั่วบ่กลัวเกรง.

 

๏ เทิดธรรมพุทธองค์

อย่างเที่ยงตรงมิข่มเหง

ข่มให้กิเลสเกรง

บ่ยำเยงเหล่าอธรรม.

 

๏ นับวันนับเดือนปี

คิดให้ดีก็น่าขำ

แปดสิบฉนำทำ

เพื่อน้อมนำสู่ทางดี.

 

๏ เกินมาอีกแปดเดือน

แปดวันเคลื่อนเพิ่มมามี

เหล่าศิษย์ก้มเศียรศรี-

ษะน้อมนอบขอบพระคุณ.

 

๏ เจริญศรีศิริสวัสดิ์

พูนพิพัฒน์โพธิบุญ

เลขแปดช่วยนำหนุน

โอบเจือจุนสัจจธรรมา.

 

๏ วาระดิถีโชค

ชาวอโศกส่งวจนา

บูชาครูผู้หา

บุคคลเปรียบมาเทียบเทียม.

 

พ่อครูว่า... อ้าว…ก็ใช้ได้ ขอบคุณทุกๆคน มี สว่างแสง ขวัญดาว ส่งsms มา…

พ่อครูว่า... ดีมีความตั้งใจอยู่ก็พากเพียรไปก็แล้วกัน รู้ว่ามีจุดที่ดี เสนาสนะสัปปายะที่ดี  บุคคลสัปปายะที่ดี อาหารสัปปายะที่ดี ธรรมะสัปปายะที่ดี ก็รู้ๆกันก็พูดกันหมดทุกอย่างพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เอามาขยายความจน 50 กว่าปีนี้ก็ไม่น้อยเลย พวกเราก็ฟังจนหูจะทะลุหูซ้ายหูขวาแล้ว อ้าว ก็พากเพียรไป 

แต่อาตมาก็ยังรู้สึกว่าประสบผลสำเร็จอยู่นะ ก็คือมีพวกคุณ แม้ผู้ที่เขาไม่เข้ามายังส่งข่าวส่งคราวมา เขาก็ติดตามอยู่ ได้ประมาณนี้ มันจะมีจำนวนหรือจะมีลิมิตอยู่ มันจะมีความจำกัดสำหรับมันก็มีเท่านี้ประมาณนี้ อย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ตรัสว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้จะมีพระอรหันต์เข้ามาประชุมมาฆบูชา 1,250 รูป พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆจะมีมากกว่านี้ เท่านั้นเท่านี้ก็มีกรอบจำกัด มันเป็นสัจจะที่จะต้องลงตัวทั้งรูปทั้งนาม มันเป็นเหตุปัจจัยที่จะได้สัดส่วนอันพอเหมาะ พอเหมาะสำหรับผู้นั้นๆ ไม่ใช่ปัญหาอะไร อาตมาเข้าใจด้วยปัญญาอยู่ ก็ดีก็ทำไปตามหน้าที่ อาตมาทำหน้าที่นี้ และก็จะต้องทำหน้าที่นี้ไปเรื่อยๆ ชาติหน้าชาติโน้นก็ว่าไปพูดไปหมดแล้ว ชาติที่มันเชื่อมต่อไปอีก อาตมาสั่งสมบารมีมาอย่างไรก็พูดสู่ฟัง ผู้ใดเข้าใจได้ก็ดีเข้าใจยังไม่ได้ก็พากเพียรไปก็แล้วกัน 

 

ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2

เรามาต่อ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ พูดไปวันหนึ่งแล้ว ต่อจากเมื่อวานนี้ 

อาตมาก็ได้พาประชาชน กลุ่มหนึ่งก็คือพวกคุณนี่แหละ เป็นมวลเล็กๆคือชาวอโศกนี้ ออกมาร่วมงาน ต้องใช้คำว่าออกไปเพราะเราอยู่ที่นี่เราพูดถึงในอดีตและพูดถึงหลากหลายที่ด้วย 

ออกไปประท้วงรัฐบาลในระบบทักษิโนมิกซ์ ของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ได้ฟังทางโทรทัศน์เขาทวนมาก็เดือนกุมภาพันธ์ อาตมาก็จำไม่ได้ พอดีเขาพูดถึงเขากล่าวถึงเดือนนี้ เดือนกุมภาพันธ์ ก็ประมาณนั้น 

ซึ่งเป็นการเปิดตัวของอาตมาและชาวอโศกว่า เรานี้เป็นนักธรรมะและเข้ามาร่วมงานการเมืองเต็มรูป ต่อสาธารณชน ซึ่งมันขัดกันกับคนไทยที่เขายึดกัน คนไทยส่วนใหญ่เลยเขายึดกันหนัก ว่าธรรมะไม่ยุ่งกับการเมืองว่าอย่างนั้นเลย อาตมาก็ว่า เออ…คนเราก็คิดง่ายๆตื้นๆ คิดอย่างไม่เข้าใจ จะบอกว่าโง่มันก็ไม่เชิง คือมันยังไม่รู้จริงๆ มันไม่เดียงสา มันยังเด็กๆ เป็นอย่างนั้น 

ว่าการเมืองนี้เป็นเรื่องของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของพลเมืองเลย แล้วไม่ให้เอาธรรมะเข้าไปลงในพลเมือง แล้วจะเอาไปให้ใครจ๊ะ เราอยู่ในประเทศนี้เป็นพลเมืองประเทศไทย แล้วเราจะเอาธรรมะไปลงในพลเมืองประเทศไทยแล้วธรรมะไม่ยุ่งกับการเมือง พลเมืองต้องมีการเมือง แล้วไม่เอาธรรมะไปลงกับการเมืองพลเมือง จะเอาไปให้หมาน้อย เอาไปให้สิงสาราสัตว์ที่ไหนกันล่ะ 

มันตื้นๆแค่นี้ก็ทำไมยังคิดไม่ได้ มันยิ่งกว่าเด็ก ธรรมะไม่มีการเมืองในคน มันถึงเหลวเละไง เข้าใจตื้นๆง่ายๆว่า เขาคิดอย่างนี้คือนักการเมืองนี่ มันไม่เป็นสัจจะ มันไม่เป็นธรรมะ มันไม่เป็นความดีงาม มันเป็นความเสียหาย การเมืองนี่มันทำให้คนเข้าใจว่า ไม่ศรัทธาการเมือง คนปฏิบัติ นักการเมือง ไม่ได้อยู่ในร่องได้รอยมันเลอะเทอะ เขาก็เลยพาลโลโฉเก ตัดคนออกไปจากๆความเป็นคนเลย คือพวกนี้พวกไม่ใช่คน นักการเมืองนี่ คนมันต้องมีธรรมะสิ ก็เลยแยกเลย ตัดมันทิ้งไปเลยพวกนักการเมือง อย่าเอาธรรมะไปให้มัน ใจด๊ำใจดำ 

อาตมาชัดเจนในเรื่องนี้ ที่พูดไม่ได้เข้าใจผิด ไม่ได้เข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจ ธรรมะนั่นแหละต้องยุ่งกับการเมือง โดยเฉพาะนักธรรมะที่มีภูมิปัญญาแท้ อย่างอาตมาอย่างนี้เป็นต้น นักธรรมะที่มีปัญญาจริงๆ เป็นภูมิอาริยะ มีโลกุตตรธรรมแท้ๆ จะเป็นคนผู้มีคุณธรรมที่บรรลุธรรมจริงๆ ตั้งแต่คุณของโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี จนถึงอรหันต์ 

ก็มีความจริงใจที่เต็มไปด้วยปัญญาหรือวิชชาอย่างสัมมาทิฏฐิ จึงรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในประชาธิปไตยไทย หรือประชาธิปไตยซึ่งสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เรียกคำนี้ ประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้า เป็นแบบธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้มีสัพพัญญูในเรื่องความจริงของธรรมะที่มนุษย์ที่ไปทำงานการเมือง จะต้องเอาจะต้องเป็นคนที่มี ควรจะมี มันต้องมีจึงจะเป็นนักธรรมะ จึงเป็นนักการเมืองที่ดี เป็นนักการเมืองที่ดีจริงๆ 

คำว่าอธิปไตย ประชาธิปไตย คือประชาชน ที่มีอธิปไตย เพราะฉะนั้นประชาชนไม่มีอธิปไตยที่ดีหรืออธิปไตยที่เป็นธรรมะ อธิปไตยที่เป็นธรรมะนั้นพระพุทธเจ้าสรุปไว้มี 3 

1. โลกาธิปไตย 2. อัตตาธิปไตย 3. ธรรมาธิปไตย เป็นอธิปไตย 3 อย่าง ผู้ที่รู้อธิปไตย 3 อย่างนี้เป็นผู้รู้อธิปไตยครบแล้ว มนุษย์จะมีอธิปไตยคือความรู้ในความเป็นโลก อธิปไตยที่มีความรู้ในความเป็นอัตตา อธิปไตยที่มีความรู้ในความเป็นธรรม 

โดยเฉพาะธรรมะ รู้ธรรมะที่เป็นโลกีย์ รู้ธรรมะที่เป็นโลกุตระ มีโลกมีตนและก็มีความรู้ มีธรรมะที่รู้ธรรมะชัดเจน จึงสามารถที่จะช่วยโลกช่วยตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีธรรมะเอง เป็นอาริยะ อรหันต์ขึ้นไป ไม่มีตัวตน ก็จะเป็นผู้ที่รู้โลกหรือรู้องค์ประกอบองค์ประชุมที่มันประชุมอยู่เป็นโลก 

โลกที่มีทั้งมนุษย์ มีทั้งคน และมีทั้งสังคม มีทั้งทุกๆอย่างเป็นองค์ประกอบที่มันปรุงแต่งกันอยู่ ยิ่งไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตนจริงๆ ก็เห็นแต่ ผู้อื่น เห็นแต่แก่ผู้ที่มีทุกข์ ผู้ที่มีความผิดพลาด ผู้ที่มีความไม่ถูกตรง ก็จะตำหนิบ้าง ตำหนิเป็นการช่วยเหลือ 

การตำหนิคนไม่ใช่เป็นการไปทำร้ายทำลาย ตำหนิด้วยปัญญา ตำหนิด้วยความเห็นใจ เห็นใจเขาว่าเขายังมีความรู้มีความเข้าใจที่ไม่ถูก ก็เป็นใจที่เข้าใจไม่ถูก ความรู้ยังผิด ดีไม่ดีมันไม่ใช่ผิดธรรมดา มันทำลายครอบงำทางความคิดของคน 

อย่างธรรมกายนี่ก่อนจะลงมา พอดีท่านแสนดินเปิดธรรมกายตอนนี้จะสร้างพระบรมพุทธเจ้าอะไรขึ้นมา เป็นพระพุทธรูปเพื่อขาย เอาเงินคนคือหลอกเอาเงินคนแล้วพวกโง่ๆนี้ก็โง่ได้ดักดาน โง่ได้ถาวร มันทำไมมีคนโง่ที่ มันไม่กระเตื้องได้หนอ มันน่าสงสารจริงๆ ก็หลอกกันไปหลอกกันมาอะไรต่ออะไร คำโฆษณานี้โอ้โห.. ตื้นๆ ดูแล้วหลอกไปเหมือนหลอกเด็กๆ แล้วคนพวกนั้นก็จบปริญญาเอกบ้างปริญญาโท ปริญญาตรี หรือว่ามีปฏิภาณปัญญามีความเฉลียวฉลาด ล่าลาภล่ายศได้ ก็ร่ำก็รวย ลาภ ยศ ฉลาดทางโลกียะเอาเปรียบเอารัดทางโลกียะเขาได้ แต่ไม่มีความรู้ทางโลกุตระ ไม่มีความรู้ทางธรรมะพระพุทธเจ้า ปล่อยให้คนที่โง่ดักดาน อย่างธัมมชโย หลอกได้หลอกดี 

คนที่เขาหลอกคนอื่นได้ แสดงว่าเขาก็ฉลาดกว่าคนที่โง่นะ เพราะฉะนั้นคนที่ถูกธัมมชโยหลอกนี้ โง่กว่าคนที่โง่ที่สุดในโลกแล้วเท่าที่อาตมาเห็น ธัมมชโยนี้อาตมาก็เห็นว่าเป็นคนที่โง่สุดโง่ในโลก 

คำว่า โง่ คำนี้ไม่ใช่เป็นคำดูถูก แต่เป็นคำที่บอกความจริงว่า ไม่มีภูมิธรรมในธรรมะพระพุทธเจ้าเลย นอกจากไม่มีแล้วยังมีความรู้ที่ผิดมา ทำลายธรรมะพระพุทธเจ้า มาบิดเบือนธรรมะพระพุทธเจ้า จนแหลกเหลวละเอียดบาปกินหัวจริงๆ ธัมมชโย 

นี่ อาตมา พูดสัจธรรม ไม่ได้ไปด่าไปว่าอะไรใครเขาหรอก แต่พูดธรรมะพูดสัจธรรมสู่คนทั่วไปฟัง ใครฟังได้เข้าใจ อาตมาไม่ได้ไปเกลียดชังธัมมชโย เป็นสมี 2 ตัวแน่ะ ธัมมชโย สมีทางอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน กับสมีในทางทรัพย์สิน ทำผิดปราชิกในทรัพย์สิน จนกระทั่งสมเด็จพระสังฆราช ต้องมีเป็นลายลักษณ์อักษรลิขิตเลยว่าเป็นปาราชิก ตั้ง 4-5 แผ่น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำว่าธัมมชโยปาราชิก 

คนที่โง่ๆที่ถูกหลอก โง่กว่าธัมมชโยก็ไม่ฟัง ขนาดพระสังฆราชตรัส เอ๊.. เขาจะหูหนวกก็ไม่น่าจะใช่ จะมืดบอด จนกระทั่งไม่ดูข่าวคราวก็ไม่น่าจะใช่ ตั้งแต่
พ.ศ. 2558 ผู้ตรวจการแผ่นดินชี้ พระธัมมชโยก็ไม่น่าจะเรียกพระแล้ว ธัมมชโยเฉยๆก็ดีแล้ว ที่จริงควรจะใส่คำว่าสมีปาราชิก สมีธัมมชโยปาราชิก 20 กรกฎาคม 2558 ผู้ตรวจการชี้ นี่เป็นวันนี้ในอดีตเขาเขียนไว้ 

ซึ่งเป็นเรื่องที่ แหม.. อาตมาเป็นผู้มาทำงานทางด้านศาสนาพุทธ มากอบกู้ความผิดพลาด ก็พูดไปแล้วก็ต้องพูดถึงผู้ที่มาทำลายหรือผู้ที่ผิด แสดงอาการผิด มาชักชวนให้ชาวพุทธหลงทางหลงผิด ก็ต้องพูด มันต้องพาดพิงต้องไปเกี่ยวถึงมันเป็นธรรมดาธรรมชาติที่ต้องเป็นเช่นนั้น 

ที่นี้มาพูดถึงอธิปไตย อธิปไตยจริงๆทุกวันนี้คือต้องใช้พลังอำนาจเข้ามาใช้อำนาจหรือพลังนี่ ที่คนมีอำนาจทางกายเนื้อ ทางความแข็งแรงกล้ามเนื้อ อันนั้นก็ง่ายๆ คนก็เข้าใจ แต่อำนาจทางนามธรรม พลังทางนามธรรม พลังทางจิต จิตมีพลัง โลกียะก็เป็นพลังแบบโลกียะ โลกุตระก็เป็นพลังแบบโลกุตระ 

ผู้ที่รู้อย่างอาตมานี่รู้แยกโลกียะออก แยกโลกุตระออก เพราะฉะนั้นพลังทางความรู้ความฉลาดหรือพลังทางจิต ในตะวันตก ยุโรป อเมริกาอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ชาวไทย ไม่มีโลกุตระมีแต่โลกียะ เพราะฉะนั้นอธิปไตยที่ชาวโลกทั้งหลาย โลกียะเขารู้ จึงเป็นอธิปไตยอยู่ในกรอบของโลกียะเท่านั้น จะไม่มีความรู้ในอธิปไตยที่เป็นความรู้ออกมา นอกกรอบออกมาเป็นโลกุตระ ยังไม่มี อัญญธาตุ คนพวกนั้นยังไม่มี อัญญธาตุ แม้แต่หน่วยหนึ่ง 

อัญญธาตุ อาตมาก็อธิบายแล้วคือเป็นธาตุฉลาด ธาตุความรู้ ธาตุ ธาตุความฉลาดที่เป็นความรู้อีกชนิดหนึ่งเรียกว่าโลกุตระ เริ่มตั้งแต่ 1 หน่วย 2 หน่วย 10 หน่วย 100 หน่วย 50 หน่วยมี อัญญธาตุ 50 หน่วย ก็เป็นจำนวนหนึ่งขึ้นมาในมวลปริมาณของ อัญญธาตุ 

เลยขึ้นมาแล้วก็ถึงจะพอรู้เรื่องพอจะเข้าใจพูดกันได้ ค่อยๆซับๆ 50 60 70% หรือ 50 60 หน่วย 70 หน่วยขึ้นมา 80 หน่วย 90 หน่วย มี อัญญธาตุ ขึ้นมาเรื่อยๆมาเป็นพุทธ 

พุทธ ก็จะเติม อัญญธาตุ เพราะชาวพุทธที่ยังไม่รู้อิโนอีเหน่เหมือนอย่างธัมมชโย ไม่ต้องไปพูดถึงโลกุตรธรรม แค่โลกียธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ชัดเจนในสัมมาทิฏฐิ ในกัลยาณธรรมโลกีย์ธรรมดาดีแท้อย่างไร ชั่วแท้อย่างไร 

ดีชั่วเป็นสมมุติ ศาสนาหนึ่ง ก็สมมุติความดีแบบหนึ่งความชั่วแบบหนึ่ง ศาสนาอีกศาสนาหนึ่งก็สมมติความดีอีกแบบหนึ่งความชั่วแบบหนึ่ง ซ้ำกันบ้างคล้ายกันบ้าง แต่มันมีต่างกันมีมุมเหลี่ยมต่างกันไปหลากหลาย แต่ละศาสนาจะดีชั่วไม่ตรงกันหมดเลย ไม่ตรงกันหมดเลย 

ศาสนาพุทธจะรู้ดีรู้ชั่วของแต่ละศาสดามากขึ้นตามภูมิบารมี อย่างพระโพธิสัตว์อย่างอาตมาก็รู้ ระดับอาตมาก็จะรู้ความต่างของเขาได้เยอะ 

คือในสัจธรรมทั้งโลกมันมีความต่างกัน 1 หน่วยก็คือ 1 หน่วย พอเริ่มมี 2 หน่วยก็ต่างกันแล้ว อะไรก็แล้วแต่ใน 2 ปรมณูขึ้นมาต่างกันทั้งนั้น นี่ก็พูดซ้ำย้ำให้ฟังไม่รู้กี่ที 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้ความแตกต่างของสภาวะ 2 หรือเทวะ ได้มากเท่าไหร่เท่าไหร่นั่นแหละคือผู้ที่มีความรู้สูง สูงสุดก็คือพระพุทธเจ้ารู้ความเป็นเทวะหรือภาวะ 2 สุดยอด และเป็นผู้ที่มีสภาวะ 2 ที่แยกโลกีย์กับโลกุตระ มีในศาสนาพุทธเท่านั้น 

เพราะฉะนั้นความเป็นอธิปไตยของประชาชน ศาสนาเทวนิยม ไม่มีความรู้ทางโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักรัฐศาสตร์และเรียนรู้รัฐศาสตร์หรือการเมืองมาจาก ตะวันตกทางเทวนิยมทั้งหลาย ที่เขารู้อำนาจอธิปไตย แล้วที่จะใช้กับมวลประชาชน เขารู้แต่ในกรอบโลกียะเท่านั้น ยังไม่สามารถมีความรู้ที่เป็นโลกุตระ 

ต้องมาเรียนรู้ดีๆในธรรมะพระพุทธเจ้า ให้ตัวเองเป็นอาริยะ มี อัญญธาตุ เป็นอาริยะจริงแล้วจึงจะเข้าใจในความแตกต่างที่มันเป็นภาวะซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน 

โลกียะเขาก็มีเต็มของเขา แต่โลกุตระนั้นมี ล้มล้างโลกียะ นี่คือประเด็น ประเด็นสำคัญที่สุดคือ โลกียะ เขามีอย่างนิรันดร แต่ โลกุตระนั้นล้มล้างที่ความมีนี้ให้ไม่มีได้ อ๋อ มันมีแต่แค่สมมุติอาศัย ใช้ให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้เหตุปัจจัยความแตกต่างได้มาก จึงสามารถใช้ได้อย่างเป็น กัมมัญญา ได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างเหมาะควร กับ แต่ละอันๆๆ 

อ้อ… อันนี้ใช้ได้ดี อันนี้ใช้ได้พอสมควร อันนี้ใช้ได้น้อยจนไม่ต้องไปทำแล้วมันเสียเวลา อันอย่างนี้ทำไม่ได้เลย ตีทิ้งลูกเดียวหรือตำหนิอย่างหนักได้ ใช้คำไทยก็คือด่า ตำหนิหนักๆ ตำหนิอย่างข่มมากๆ ภาษาไทยก็มี synonym คือคำว่าด่า ข่มหนักๆด่าหนักๆแรงๆ ถ้าเป็นคนหยาบกระด้าง ด่าเลย แต่ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ใช้คำหยาบนะ มีแต่แรงๆหนักๆ คำที่ใช้อยู่นี่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

อาตมานำโลกุตรธรรม ที่เป็นอธิปไตยแบบโลกุตระ มันทวนกระแสกับโลกียะ เอามาสถาปนาลงไปในพวกเรา พวกเราจึงเป็นคนที่มีอธิปไตย กับมวลประชาชนเรียกว่า ประชาธิปไตย อธิปไตยกับมวลประชาชน ก็มีพยัญชนะว่าประชาธิปไตย ใช่

ที่นี้ประชาชนที่ได้อธิปไตยโลกุตระที่อาตมาทำมา ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ นี่ก็มีมวลชาวอโศกได้มาจนกระทั่งเข้ามาอยู่ในหมู่ในกลุ่ม มาอยู่ในสัปปายะ 4 เสนาสนะสัปปายะแล้วก็มีกลุ่มร่วมกันและมีเครื่องอาศัยร่วมกันมีธรรมะร่วมกันแล้วเราก็ฟังธรรมะ ฟังกัน วันๆหนึ่ง ไม่อาตมาพูด ก็สมณะ สิกขมาตุ พูด บรรยายกันทุกวัน มีบางวันที่ต้องยกเลิกก็ว่าไป แต่ก็มีรีรัน มีหมุนให้ฟังอยู่ตลอดมันมีเครื่องมือเครื่องไม้เทคโนโลยี เดี๋ยวนี้ก็เลยมีเยอะ แล้วพวกเราก็ฟังดีฟังได้ฟังได้ฟังดีฟังทน โอ้โห..ฟังเก่ง 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระอรหันต์ท่านไม่มีความพอในการที่จะฟังธรรม ท่านจะยินดีในการฟังธรรมตลอด แม้แต่เป็นอรหันต์แล้ว คนที่เป็นอรหันต์เก๊ก็บอกว่าจบแล้วไม่ฟังแล้วธรรม อวดดีมีมานะมีกิเลส แม้ธรรมะที่จะผิด ผู้แสดงธรรมผิดเราก็ฟัง 

อย่างอาตมาดูนี่ของธัมมชโยเขาพูดอย่างไรก็เปิดดูก็ฟัง เราไม่ได้ไปฟังโดยตรง ก็ฟังจากเครื่องมือได้ฟังได้ดู พวกสายหลับตา พวกสายมหาบัว ที่ได้นำมายืนยันเอามาเทียบเคียงเอามาพูดเอามาบอกให้ฟัง หรือแม้แต่ สภาวะที่เขาเป็นอยู่อะไรต่างๆก็ให้รู้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มนุษย์เขามี บอก เปรียบเทียบยืนยันให้ฟัง 

ไม่ใช่เพื่อไปข่มไปเบ่งอะไรกัน แต่เพื่อให้เห็นความจริงว่า มันต่างกันนะ มันมีจริงอย่างนี้ แต่จะไม่พูดพาดพิงถึงใครเลย พูดไปแล้วไม่มีในโลกเลย จะไปพูดทำไม ลองพูดแต่สิ่งที่คนเขาเป็นจริงๆแล้วยืนยันได้ว่าอย่างนี้ชัด มีคนเขาเป็นจริงๆนะ โง่ได้ขนาดธัมมชโยก็ยังมีเลย ก็เอามายืนยัน คนมันโง่ได้ขนาดนั้น แล้วที่โง่กว่านี้อีกก็คือ พวกที่มาหลงคารมธัมมชโย นี่พวกที่เป็นสมาชิกบริวารของธัมมชโยฟังอาตมาพูดแล้ว ได้ยินอาตมาพูดนี่ จะโกรธจะเคืองจะอะไรอาตมา ถ้าเผื่อว่าเขายึดมั่นถือมั่นอคติเยอะๆ เขาจะโกรธ เพราะว่าเขายังไม่หมดความโกรธความชัง อาตมาก็ไม่ได้กลัวคนจะชัง แล้วก็ห้ามไม่ได้ที่เขาจะโกรธ แต่อาตมามันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดความจริง 

พระพุทธเจ้าให้พูดความจริงกัน ที่มีสิ่งอ้างอิง มีหลักฐาน มีที่เป็นที่มีจริง ปรากฏ อย่าไปพูดลอยลมเฟ้อๆฟุ้งๆ ไม่มีความเป็นจริงเลยไม่มีสภาพจริงเลยก็ตั้งภาษาอย่างที่ธัมมชโยเขาตั้ง เป็นพระพุทธเจ้าที่ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าชื่อว่าบรมพระพุทธเจ้า เอาภาษามาครอบงำหลอก โอ้.. น่าสงสารจริงๆ ศาสนาพุทธยุคนี้ 

แล้วเถรสมาคมก็ยังไม่จัดการอะไรเลย ไม่มีภูมิไปจัดการเขา ดีไม่ดีจะตกเป็นทาสเขาด้วยซ้ำ เป็นทาสเขาเพราะว่าเขาเองเขาใช้อำนาจแบบโลกๆ เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาประเหลาะ ติดสินบนให้ก็พูดไม่ออก ถูกสินบนพวกนี้อุดปากอุดคอ มันช่างน่าเกลียดน่าสงสาร 

ที่นี้มาขยายความประชาธิปไตย ประชาธิปไตยบอกแล้วว่า ทางตะวันตกทางยุโรปอเมริกาอะไร ประเทศอื่นที่ไม่มีพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ในประเทศไทย คนไทยชาวพุทธ เมื่อเข้าใจโลกุตรธรรมไม่ได้มันก็ไม่มี แต่ผู้ที่เข้าใจได้หรือมีในธาตุจิตวิญญาณ มีมาในสัญญา สัญชาตญาณหรือสัญญา 

พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 แม้แต่ผู้ที่บริหารประเทศแต่ละผู้แต่ละคน มีโลกุตรธาตุอยู่ในตัวฝังมา ติดมาในตน หรือมาได้รับความรู้ แล้วก็เอามาใช้ 

ที่อาตมาเคยยืนยันเหมือนว่า เมืองไทยนี้โชคดีที่มีคนที่มีโลกุตรธรรม พลเอกประยุทธ์บริหารอยู่ขณะนี้นี่ เป็นผู้มีโลกุตรธรรมอยู่ในตัว ซึ่งเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อาตมาพูดไปนี้ คนก็จะบอกว่า โมเม ขนาดเขาเป็นพระเป็นเจ้าเขายังหาโลกุตรธรรมได้ยากเลย พลเอกประยุทธ์ไม่ได้บวชไม่ได้เรียนอะไรด้วย จะไปมีได้อย่างไร เขาก็ว่าไป 

อาตมานั้นชัดเจน ว่านักธรรมต้องยุ่งกับการเมือง นักธรรมะที่มีธรรมะที่เป็นโลกุตระที่แท้ ซึ่งไม่ใช่ยุ่งหรอกบอกแล้วพูดแล้ว การเมืองมันยุ่งมากที่คนพวกนักการเมืองที่มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มันไม่มีภูมิปัญญาแท้ มันต้องทำการเมืองให้ยุ่ง เราก็เลยต้องไปแก้ความยุ่ง พูดอย่างหวัดๆลัดคัดสั้น พูดอย่าง concise ตัดลัดไป ชัดๆสั้นๆ 

ก็คือ ยุ่งการเมืองหรือต้องไปทำการเมืองเพราะมันมีเหตุยุ่ง ต้องลงไปแก้ความยุ่ง ไม่ใช่ไปทำให้มันยุ่งมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นนักการเมืองที่พอจะมีภูมิอาริยะฟังอาตมาก็จะ เออ อาตมานี้มีความรู้ทางรัฐศาสตร์เหมือนกันเนาะ เขาจะเข้าใจ มีความรู้ทางการเมืองเหมือนกันเนาะ 

อาตมาเป็นนักบริหาร และคัดเลือกประชาชนมาบริหาร ประชาชนที่มันไร้สาระเสียเวลาเปล่า อาตมาคัดทิ้ง โดยวิธีการของธรรมะไม่ต้องไปคัดเขาโดยอย่างนี้อย่างนี้แล้วก็ต้องให้ลงบัญชีมาสมัคร ไม่มี เทศน์ไป คนฟังเขาก็ตัดสินของเขาเอง เขาคัดตัวของเขาเองออกไปจากวงการศาสนา หรือวงการธรรมะ ที่อาตมาบรรยาย เขาจะไม่ฟังอาตมาเลยพวกนี้ เขาจะตีทิ้งอาตมา อาตมาไม่ได้ไปตีทิ้งเขาหรอกสงสาร แต่เขาจะตีทิ้งอาตมาอย่างไม่ดูดำดูดีเลยพวกนอกรีต พวกไม่ใช่พุทธอะไรไปมันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้สงสัยไม่ได้ประหลาด 

ผู้ที่พอฟังรู้เรื่องบ้างก็จะบอกว่าอันนี้ก็ฟังดูเข้าธรรมะอยู่นะนิดๆหน่อยๆ ผู้รู้มากขึ้นก็บอกว่า เออ..มีธรรมะมากขึ้น มากขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าเป็นคุณค่า เป็นคุณค่าทางโลกุตระ อย่างนี้ใช่ๆ ก็จะมา ก็เหลือจำนวนน้อยลง เพราะฉะนั้นคนที่จะมาฟังธรรมะมาเรียนรู้ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ ก็จะมีจำนวนที่คัดเลือกขึ้นมาได้โดยสัจธรรม อาตมาไม่ได้ไปนั่งลงบัญชีคัดเลือก สมัครแล้วก็มาสัมภาษณ์อะไรไม่หรอก มาโดยธรรมชาติโดยธรรมะ 

ที่นี้ก็อธิบายรายละเอียดของเนื้อหาสภาวะ ธรรมะโลกุตระก็จะต้องมีเนื้อหาของความรู้ เริ่มต้นความรู้สภาวะ 2 

สภาวะ 2 ตัวแรกที่สุดนั้นพยัญชนะว่า กาย

กายนอกกาย หรือกายในกาย เพราะกาย มันมีทั้งนอกทั้งใน มี 2 ถ้ากายมีแต่นอกเฉยๆ ไม่มีใน ไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วย ถูกต้องไหม ?....ไม่ กาย มีแต่สรีระข้างนอกมีแต่ศพ สรีระเขาแปลว่า ศพ แปลว่า ร่างเฉยๆบอดี้ Body  มีในพจนานุกรมเขาเขียนไว้อย่างนั้นเลย อาตมาเปิดดูพจนานุกรมเล่มหนึ่ง เขาเขียนไว้ สรีระหรือ(Body) หมายถึงศพ ร่างเฉยๆไม่มีจิตวิญญาณเกี่ยวเนื่องด้วยเลย 

คนที่เข้าใจว่า กาย หมายถึง ร่าง หมายถึงสรีระส่วนเดียวเฉยๆ นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วคนไทยนี่เอาคำว่า กาย นี้และใช้ผิดๆไปถือผิดๆ กาย ไปเข้าใจว่าเป็นแต่สรีระเป็นแต่Body เป็นแต่ ดินน้ำไฟลมไม่มีจิตร่วมด้วยเลยใช่ไหม 

พวกคุณกว่าจะมาได้ฟังอาตมาพูดเคยเข้าใจว่าอย่างนี้ พวกคุณเข้าใจกาย เป็นอย่างไร ... ก็มีแต่ร่างแต่Bodyเฉยๆข้างนอก ไม่ได้มีจิตร่วมด้วยเลย นั่นแหละคือมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นคนไทยก็ตามเป็นชาวพุทธไทยก็ตาม มันมิจฉาทิฏฐิคำว่ากายมาเป็นคำแรกเลยในสังโยชน์ข้อที่ 1 

สังโยชน์ ข้อที่ 1 ต้องพ้น สักกายทิฏฐิ กายะ สภาพ 2 มีรูปมีนาม เช่นมีตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง องค์รวม องค์ประชุม ในพจนานุกรมเขาแปลไว้ถูกไว้ดี กาย แปลว่า องค์ประชุมหรือความเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นกลุ่ม ที่รวมไว้ไม่ใช่เดียว ของ เจตสิก ของ เวทนา สัญญา สังขาร มีมากกว่า 2 มีเวทนา สัญญา สังขารเป็นเจตสิก 3 อย่างนี้เป็นต้น เป็นองค์ประชุมเรียกว่ากาย องค์ประชุมของเจตสิก

หมายเอาอย่างนั้นด้วย แล้วก็ เรียนรู้ตัวนี้แหละสำคัญ เพราะกาย ข้างนอกนี้ง่ายรู้ง่าย จะเลี้ยงดู จะรักษามันไว้อาศัย ร่าง จะเลี้ยงดูให้อาหาร รักษามันไว้อาศัย ก็จะให้ธาตุจิตธาตุเจตสิกนี้อาศัยอันนี้ไป แล้วก็ไปด้วยกันทำงานไปจนกว่าจะเหลือแต่บอดี้เหลือแต่สรีระ จิตวิญญาณออกจากร่างก็เหลือแต่ศพ เหลือแต่สรีระ ต้องอาศัยกันทำงานไป 

และก็สำคัญที่จิต คนก็เป็นไปมีรูปธรรมนามธรรม คนนี้รูปร่างอย่างนี้หน้าตาอย่างนี้ถือว่าสวย คนนี้ถือว่าไม่สวย คนนี้ถือว่าขี้เหร่ อะไรก็แล้วแต่ คนนี้ถือว่าสูง คนนี้ถือว่าต่ำ คนนี้ถือว่าต่ำ คนนี้ถือว่าขาวอะไรก็ว่าไป คนนี้ทางรูปร่าง สุ้มเสียงคนนี้เสียงดี คนนี้เสียงไม่ดี 

คนนี้กลิ่นต่างกันนะ หมามันดมกลิ่นใครต่อใครมันรู้หมดเลยนะให้จำได้ เอาหมาจำคนนี้ได้แล้วให้ไปตามคนๆนี้ มันตามได้นะ แต่คนนี้ดมไปเถอะจำไม่ได้ จำได้บ้างนิดๆหน่อยๆ คนๆนี้กลิ่นก็ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ มีเต่าก็ต่างกัน มีหอมๆก็ต่างกัน ไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ใกล้เคียงกันบ้าง ใกล้เคียงกันมาก มีมากมีน้อย มีรูป มีกลิ่น มีเสียง มีสัมผัส มีอะไรต่ออะไรก็ต่างๆกัน 

พระพุทธเจ้าประมวลไว้หมดแล้วความรู้ที่เราจะมาเรียน แล้วก็พยายามที่จะสร้าง สร้างกาย สร้างจิต สร้างองค์ประกอบ รวมทั้งรูปธรรมด้วย ทั้งวัตถุธรรมภายนอกด้วยความเป็นโลก จิต ก็เอาไปทางอัตตาก็สร้าง 2 อย่างมารวมกันให้มีคุณค่าทั้งทางร่างภายนอก กับทางภายใน 

ทางภายนอกพูดอีก ก็มันหยาบมันง่าย มันทำให้ความพอ เออ เท่านี้ก็พอแล้วร่างกายของเรา ได้รูปธรรมนามธรรมมาประมาณนี้ แข็งแรงเท่านี้ มีกล้ามเนื้อมีความแข็งแรง มีสิ่งที่จะอาศัยใช้สอยสำหรับตน แต่ละคนก็พอเหมาะพอควร เราก็รู้ที่จบของมันแล้ว ก็ไม่ต้องไปประคบประหยมปรุงแต่งบ้าๆบอๆแฟชั่นมันหลอกขาย ผู้หญิงไม่เอาอะไรหรอก เอาแต่หน้านวลอย่างเดียวก็ขายเอาขี้หมาทาสีอะไรมาหลอกขาย ใส่ น้อยๆใส่ไอ้นั่นไอ้นี่มาแต่น้ำหอมผสม ใส่กล่องทำแพ็คกิ้งหลอกขาย ซื้อไปราคาแพงอะไรก็โฆษณาหลอก เหมือนธัมมชโยหลอก โฮ้ย หลง ซื้อไปแล้วก็โฆษณา ทางโทรทัศน์จะเห็น (ทำท่า) ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงเดี๋ยวนี้ โอ้ย.. เห็นแล้วมันน่าสงสาร ประมาณเอ็นดู สงสารเอ็นดู มันคือไม่เดียงสาดูแล้วน่าเอ็นดู ไปโกรธก็โกรธไม่ลง ชังก็ชังไม่ได้ มันก็ต้องมีอยู่ในโลก ก็มีไปสารพัดแตกต่าง เห็นแล้วก็ปลงสังเวช มนุษย์หนอมันหลอกกัน 

ทุกวันนี้จึงเป็นสังคมที่สร้างอำนาจอิทธิพล หลอกคนให้หลงแม้แต่กายภายนอก และจิตภายใน แล้วก็เป็นอำนาจ 

ที่นี้อำนาจที่หลงโลกียะแบบนี้ รวมแล้วมันจะเป็นอำนาจไปหาจาก ลาภ ไปหายศ จากยศไปหาสรรเสริญ​แล้วก็เสพได้ ตามที่เรามีสมใจใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ในรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆก็เป็นอิทธิพล เป็นอำนาจ เป็นพลัง เห็นไหมมันซ้อนกันไปหมดแล้ว 

พวกเราหลุดพ้นจากแฟชั่นแบบที่ตื้นๆ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอกง่ายๆ เข้ามาอยู่ในนี้ จึงไม่เป็นภาระเรื่องนี้แล้ว พลังงานในตัวเรา พลังงานก็เอาไปเป็นอำนาจเอามาใช้ในการเรียนรู้ เอามาใช้ในการสร้างสรร 

เพราะฉะนั้นพวกเรานี้มีคนน้อยๆกลุ่มหนึ่งไม่โต ไม่มากอยู่ในประเทศไทย แต่เราก็สร้างสรร อย่างเช่นพืชพรรณธัญญาหารเหล่านี้ แล้วเราก็มีปัญญาสร้างสรรอย่าง สรร ไม่มี ค.การันต์ คือเลือกเฟ้น แล้วก็ สรร ส่วน สรรค เลือกเฟ้นก่อนที่จะ สรรคะ สร้างขึ้น สิ่งที่ไม่จำเป็นตั้งแต่แฟชั่นเครื่องประทินผิว หรืออาวุธยุทธภัณฑ์จะร้ายแรงหรือไม่ก็ตามไม่สร้างไม่เสียเวลา มาสร้างสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของชีวิตเป็นปัจจัยของชีวิต 

เกิดมาชาติหนึ่งกี่ปีจะตาย เราก็เอาเวลามาทำสิ่งที่ดี จนกระทั่งมาถึงขั้นอาตมาพาพวกเรามาทำแล้ว ก็ไม่ต้องยึดมาเป็นของเรา เป็นเราเป็นของเรา แล้วเราก็สรรเลือกสิ่งที่ทำที่เป็นเหตุปัจจัย เป็นสาระปัจจัยแก่ชีวิตเรียกว่าปัจจัย 4 เป็นหลัก นอกนั้นก็มีองค์ประกอบที่จำเป็นจะใช้กับโลกเขาบ้าง นี่ มีวัตถุมีเครื่องปรุงแต่งอะไร ที่เป็นอุตสาหกรรม ที่ใช้บ้าง หรือจะเป็นสิ่งก่อสร้างอะไรต่ออะไร 

ก็มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นี่เป็นเหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าท่านย่นย่อไว้หมดแล้ว แล้วเราก็มีอำนาจหรือมีพลังที่จะมาใช้ในการทำสิ่งที่เป็นสาระ เป็นเหตุปัจจัยแห่งชีวิตเป็นหลัก เราก็เบา ไม่ไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนไปกับโลกที่มันมอมเมาหลอกเราให้หลงไป เหนื่อย จะเห็นได้ว่าคนที่ยังติดอยู่ในโลกียะ ซอกๆ หมาหอบแดด วันๆหนึ่งทำงานอะไรไม่ทัน เพราะว่ามันจะต้องเอาเข้าหมด ไอ้ขี้หมาทาสีอะไรเลอะเทอะหลอกเอาหมด นึกถึงตัวเองเถอะ อย่างผู้หญิงนี่ถูกหลอกในเรื่องความสวยความงาม 

แต่ก่อนนี้เป็นภาระไปเยอะแยะใช่ไหม เสียเวลาไปกับมันตั้งเท่าไหร่ พอมาค่อยๆลดละเรียนรู้มา ถึงมันจะเห็นชัดอย่างพวกชาวอโศก อย่างผู้หญิงชาวอโศกเห็นชัดเลย ในเรื่องของที่จะต้องไปประเทืองอะไรต่ออะไรที่สวยๆงามๆ มันหมดภาระไม่ต้องไปเสียเวลาแรงงานทุนรอน ที่จะต้องไปเสียกับมันกับสิ่งเหล่านั้น ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่คือ แรงงาน เวลา ทุนรอน ที่ไปโถมกับมัน เอาคืนมาได้หมด แล้วเอามาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ 

เพราะฉะนั้นถ้าพวกเรานี้เข้าใจ เมื่อเอามาได้แล้วไม่ขี้เกียจซะอย่าง พวกเราจะมาตกอยู่ตรงที่ว่า เออ..เราไม่ทำอย่างโน้นแล้วล่ะแต่มาอยู่ในนี้ อ้าว อยู่ก็สบายๆนี่หว่า ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ  แต่ข้าไม่ไปเก็บช่วยหรอก ป่วยเจ็บมีคนรักษา เราไม่ใช่พยาบาลไปรักษาได้ไง แล้วเราก็อยู่ไปวันๆ ฝันถึงดวงดาว เจ็บปวดรวดร้าวปีนป่ายไม่ถึง ไม่มีอะไร นั่งฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ ดีไม่ดีก็หลับฝันฟุ้ง ดีไม่ดีก็รู้สึกว่าอยู่ในนี้ก็รำคาญออกไปข้างนอกดีกว่า ไม่ช้าไม่นานก็จะเป็นอย่างนั้น 

แต่ถ้าคนที่มีสาระรู้ว่าชีวิตวันๆหนึ่ง นี่ทำงานสนุกสนานไปกับเพื่อน งานนี้ก็น่าทำ สวนเรานี่ยังสร้างได้อีกเยอะเลย แต่ยังไม่ทำ สวนไม่ทำไม่ได้กิน แล้วยังมีสวนอื่นๆตั้งชื่อให้มันปลุกเร้าคนให้ไปทำ แล้วไปทำให้งามเต็มสวน นี่ มีสวนร้างๆแห้งๆก็เยอะ ขยันชั่วคราว 

ถ้าเราแรงงานพวกเรานี้ขยันเป็นกสิกรแข็งขันกันจริงๆ แล้วเราทำจริงๆเลยพวกเราจะมีผลผลิต ที่เป็นอาหารเลี้ยงโลก รู้ไหมว่าคนที่สร้างอาหารเลี้ยงโลกคือคนอะไร คนฉลาด 

คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ 

ทำลิปสติกนี่ก็เป็นอาวุธ อาวุธโง่ เอาไปฆ่าคนโง่ คนโง่ก็ติดลิปสติก มันกลับกันไง คนโง่นี้ฆ่าไม่ตาย เอาหอกแทงอย่างไรก็ไม่ตาย ลิปสติกแทงตัวเองทาปากทุกวัน อาตมาเคยเทศน์เคยพูดสมัยโบราณ ไม่ต้องเอานานหรอกในยุคอาตมาเกิดใหม่ๆ ที่พอรู้ความแล้ว ผู้หญิงทาปากคือผู้หญิงหากิน จริง ใช่ไหม รุ่นอายุมากๆแล้วใครเคยมีความรู้เหมือนอย่างที่อาตมาพูดบ้าง ผู้หญิงทาปากคือผู้หญิงหากิน ผู้ที่ทาลิปสติก ภาษาอีสานเขาเรียกแม่จ้าง โสเภณี ภาษาอีสานเรียกแม่จ้าง โสเภณี นางคณิกา 

สมัยนี้ใครไม่ทาลิปสติกไม่ใช่ไฮโซ พวกเรามีพวกโลโซเสกสรรค์ เสกสรรค์นั้นก็เรื่องมากไม่ต้องไปยุ่งไม่ต้องไปพูดถึงเขา ก็เป็นตัวอย่างให้ดูในโลก 

สรุปลงที่ว่าพลังงานหรืออธิปไตย แรงงานหรืออำนาจ พลังงานทางกาย ทางวาจา ทางจิต โดยเฉพาะพลังงานทางจิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เราเอาอำนาจคืนมา เอาพลังงานคืนมา เอาอธิปไตยคืนมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติคืออธิปไตย ปัญญาคืออุตระ ในมูลสูตร 10  

ผู้ที่มีอำนาจคือมีสติตื่นเต็ม แม้นอนหลับก็มีสติ แต่ว่าไม่ได้ใช้อะไรมาก พักผ่อนสติพักผ่อน ไม่ต้องฟุ้งซ่านอะไรมาก อย่างอาตมานี้นอนก็ไม่ฟุ้งซ่าน อยู่กับธรรมะแล้วก็หลับ ตื่นมาก็อยู่กับธรรมะ ตรวจสอบธรรมะ ทบทวนธรรมะ มันก็ชัดเจนสบายเพราะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับภายนอก เพราะฉะนั้นธรรมะอะไรที่ยังไม่ละเอียดยังระลึกไม่ได้ก็ใช้ เตวิชโช หลับตาเข้าไปแล้วก็ เตวิชโช จะได้ประโยชน์เป็นอุปการะ ก็ทำงานใช้งานอย่างที่เอามาอธิบายสู่ฟัง ชีวิตอยู่ก็วนเวียนอย่างนี้ แล้วก็นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาสืบทอดไป 

พลังหรืออำนาจที่อาตมามีเต็มที่ อาตมาก็เอามาใช้ทางนี้ ไม่ใช่เอาไปใช้ทางโลกีย์ไปหา ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพโลกียสุข ไม่ได้เอาไปใช้ เอามาใช้เพื่อที่จะ ทำ อธิบาย เขียน พูด 

ตื่นเช้ามาก็เอาแล้ว สมณะหรือว่าพวกเราหลายคน ก็ไปนั่ง แม้แต่ฆราวาสบางคนก็ไปนั่งข้างนอกห้องอาตมา อาตมาก็ยังอยู่ในมุ้ง สมณะท่านก็ ปัจฉานี่สนใจ สมณะอื่นๆ ก็ไม่มีใครไปเท่าไหร่ ปัจฉา อาตมาก็มีตั้ง 3-4 รูปก็มานั่ง อาตมาก็พูดธรรมะไปทุกวัน ผู้สนใจซักถามก็ถามก็ตอบยาวกว่าจะลุกก็ 6 โมง กว่าๆ ก็ค่อยลุกไปอาบน้ำ พอ 7 โมงก็กินยามุ่งเป้า เขาต้องให้กินยามุ่งเป้าไปอีกนานเท่าไหร่ อาตมาก็ยังถามๆไปอยู่ เอา…ก็ว่าไป สังขารมันก็เต็มไปด้วยปัจจัย 4 นี่แหละยารักษาโรคเพราะว่าเราเป็นคนมีโรค เราก็ต้องยอมรับ เพราะเขาเป็นหมอเป็นแพทย์เป็นพยาบาลดูแลให้กินยา เราก็ต้องทำไป 

รักษาขันธ์ไป เพื่อที่จะให้ได้เป็นที่รองรับความเป็นอำนาจ ความเป็นพลังงานที่จะทำงานให้แก่มนุษยชาติ เรารู้แก่นสารสาระแม้แต่อำนาจหรือพลังงานทางกายทางจิต เราก็เอามาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ได้ ไม่ใช่เอาไปทำทิ้งทำขว้าง ทำสิ่งที่มันเลวร้าย ดีไม่ดีเป็นโทษเป็นภัย ไปสร้างอาวุธเป็นต้นไปสร้างยาพิษเป็นต้น ไปสร้างสิ่งมอมเมาเป็นต้น มันทำลายมนุษย์ มันได้บาป แต่เขาไม่รู้ความไม่รู้ความจริงเขาก็ทำไป คนไม่รู้ก็ทำบาปทำความไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อมนุษย์ 

สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้เรื่อง ลิปสต่ง ลิปสติค อะไรหรอก น้ำหงน้ำหอมไม่เกี่ยวกับสัตว์เดรัจฉาน แต่คนนี้แหละมันทำมาหลอกกัน เสื้อผ้าหน้าแพรอย่างนี้สวยอย่างนี้ชั้นสูง ตัดแม็กซี่ยาวๆธรรมดา ติดขนไก่บางๆเล็กๆ ตัวนี้แสนห้า มีตัวเดียวนะ ใครซื้อได้รีบแย่งกันซื้อแล้วเอาไปใส่ครั้งเดียวด้วยถ้าใส่ซ้ำ 2 ครั้งขายหน้าอาย ต้องใช้ครั้งเดียวแล้วห้อยเลย นี่มันหลอกกันได้ขนาดนี้ใช่ไหม เห็นไหม 

คนเรามันโง่หรือฉลาดเอ่ย โง่ พวกเรารู้แล้วก็ไม่ไปถูกหลอก 

แต่ก่อนคนเรายังโง่ เดี๋ยวนี้ก็ยังโง่ โง่หนักกว่าเก่า แล้วจะสู้กันไหวเหรอ จะกอบกู้ขึ้นมาได้ไหมนี่ 

เพราะฉะนั้นคำว่าอำนาจเอามาใช้กับประชาชนที่เป็นการบริหารหรือบริบาล หรือดูแลเลี้ยงดูปกครองกัน ก็ใช้อำนาจนี้กับประชาชนเรียกว่า ประชาธิปไตย คนที่รู้อย่างอาตมารู้จริง อาตมาก็ทำประชาธิปไตยกับคน แล้วเป็นประชาธิปไตยระดับโลกุตระด้วย จึงได้เกิดผู้รับรู้มีความเป็นประชาธิปไตยในตนขึ้นมา เป็นประชาธิปไตยโลกุตระด้วยมาอย่างนี้ จึงอยู่ในระบบ สาราณียธรรม 6 ได้ 

สาราณียธรรม 6 เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงสังคมประเสริฐสุด ที่จะมีกลุ่มคนที่เป็นสังคมนี้ สังคมอย่างนี้เขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ด้วยกันมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ลาภที่ได้มาโดยสุจริตโดยธรรม ดูอย่างหน้าเวทีสิ กะหล่ำปลีและพืชผักผลไม้อื่นๆ 2 ข้างเต็ม และยังมีข้างหน้ามีบวบเหลี่ยมไม่รู้กี่หัว กินเข้าไป ของอุดมสมบูรณ์ กินบ้างแจกบ้าง เอาอย่างนี้ไปแจกที่กระท่อมปันสุขบ้างสิ ก็ไม่ค่อยกล้ากัน เอาแต่ลูกเล็กๆไป หวง

ถ้าคุณกล้าเอาลูกสวยๆนี้ไปให้เขานะ ลูกเล็กหรือลูกโตมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก กินมันก็มีธาตุอาหารไม่น้อยไม่มากกว่ากันเท่าไหร่ มันเป็นแบบกะหล่ำปลีก็มีธาตุอาหารอย่างกะหล่ำปลี โอ้โห ชื่นชม คนข้างนอกเขาจะมาคอยแอบดู เมื่อไหร่จะเอาลูกสวยๆมาตั้ง พรึ่บ รับรองไม่กี่นาที ทำไมตาเร็วยังกับแร้ง ปั๊บ หายเลย  

อาตมาเคยพูดเคยบอกว่า พลังงานที่เรามี คนมีพลังงานและเอาพลังงานนี้มาสร้างพลังงานยิ่งใหญ่เรียกว่า พลังอำนาจ พลังที่เป็นอำนาจมีมวลมีพลังเยอะ เอามาสร้างพืชพรรณธัญญาหารให้มากแล้วไล่แจกโลกไป เราได้เท่านี้ก็แจกเท่านี้ ได้มากเพิ่มขึ้นจะแจกเยอะเพิ่มขึ้นขยายผล ดูซิก่อนอาตมาจะตาย เราจะเจริญแค่ไหน ลงมือเป็นกสิกรกันแล้วก็สร้างขึ้นมา นี่อยู่กันไม่ใช่น้อยแล้วนะ 400 ถึง 500 ขึ้นมา มวลบ้านราช แต่ยังไปขมีขมันทำกสิกรรมไม่เท่าไหร่ ยังไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ ยังแห้งๆแรงๆร้างๆอีกเยอะ ถ้าขยันแล้วทำได้มากๆ โอ้..เราจะขายถูกๆเชิงแจกไป คนจะได้อาศัยกิน เป็นกุศลอันอย่างยิ่ง และเราก็ทำมันก็จะลดกิเลสในตัวเราเป็นบุญ บุญก็เกิดในตัวเราที่เรารู้ว่า 

เราพากันเสียสละ เราลดความเห็นแก่ตัว ขยันหมั่นเพียร เป็นคน วิริยารัมภะ อปจยะ ปาสาทิกะ ค่อยรวมกันอย่างดีเลย อาตมาก็สอนหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆอยู่แล้ว แล้วเราก็มาขัดเกลาตนเองอยู่แล้ว จนกระทั่งเรามีใจพอ 

มี สันตุฏฐิ มีสันโดษพอ แต่พอแล้วไม่เจริญตัวเองอีก พระพุทธเจ้าท่านไม่สันโดษในความเป็นกุศล ถ้าคุณเป็นอรหันต์จริงคุณจะเข้าใจว่าไม่สันโดษในกุศล เพราะฉะนั้น อรหันต์จะขยัน อรหันต์ขี้เกียจไม่ได้หรอก คนที่ขี้เกียจคนที่ดูดายไม่ใช่อรหันต์หรอก คนที่รู้เวลาควรเพียร เพียร มันมีงานที่ควรเพียร เพียร มันมีงานอะไรที่ควรทำ อยู่ไหนแวดวงที่เราเป็นงานอะไรที่เราควรเห็นสมควร เป็น กัมมัญญา เราก็ไปช่วยกันทำทำแล้วก็มีผลผลิตที่ดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่มอมเมาเป็นพิษ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นโทษเป็นร้ายอะไรกับใคร มีแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งนั้น 

พหุชนหิตายะ จะได้เผื่อแผ่ไปสู่คนหมู่มากหรือประชาชน พหุชนะ เพื่อประชาชน พหุคือมาก ชนหมู่มากก็คือมวลประชาชน

เพราะฉะนั้นอธิปไตยหรือพลังที่เรามี เราก็เป็นนักประชาธิปไตย เอาพลังที่เรามีนี้มาทำงาน รับใช้ประชาชน นี่คือการเมือง 

คุณรับใช้ด้วยอะไร รับใช้ด้วยอาหาร รับใช้ด้วยการสร้างอาหารตามคนฉลาด ไม่ใช่ไปรับใช้สร้างอาวุธให้กับคน ประหารกัน อาวุธทางเครื่องตกแต่ง อาวุธที่เป็นสิ่งมอมเมา อาวุธที่เป็นเครื่องหลอกไม่ไปสร้าง มาสร้างสิ่งที่เป็นแก่นสารเนื้อหาสาระพวกนี้ 

ถ้าคุณสร้างได้มากเอามาแจก คุณว่าจะหมดไหม คุณสร้างอย่างนี้ได้เยอะๆแล้วก็เอามาแจก จะหมดไหม ... หมด 

คนจะไม่มาเอาหรือ อาตมาว่าจากกรุงเทพฯจะนั่งเครื่องบินมาเอานะ ได้ข่าวว่าที่นี่แจกแหลกเลย รับรองรถทัวร์เข้า ทัวร์มาก็ไม่ต้องซื้อ มาถึงได้รับแจกเลยเดี๋ยวมากันวันละ 10 ทัวร์ 20 ทัวร์ 50 ทัวร์ รู้ข่าวไปถึงต่างชาติ ทำให้มันได้จริงเถอะน่า ไม่ต้องถึงขั้นแจกหรอกขายถูก เขาก็จะมาเอา 

ของดีราคาถูก พวกเราทำจริงๆ และเป็นสาระด้วยเพราะเป็นอาหารที่จำเป็นที่คุณจะต้องกิน มันต้องสร้างยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม สร้างยิ่งกว่าบ้านเรือน ยิ่งกว่ายารักษาโรค เพราะมันจำเป็นต้องกินทุกวัน กินทุกคน แม้พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงเสวยทรงฉัน พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องเสวย กระยาจกขอทานก็จะต้องกิน เห็นไหม

มันเป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดมันเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ อาหารเป็น 1 ในโลก 

เพราะฉะนั้นนักประชาธิปไตยจริงๆคือ นักประชาธิปไตยที่มีภูมิรู้ทางโลกุตรธรรมอย่างที่อาตมาพูด อาตมาจึงเป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ใครเชื่อไหม ... เชื่อ เห็นไหม

เพราะอาตมาไม่ต้องไปเสียเวลาที่จะไปแย่งตำแหน่ง แย่งหน้าที่ แย่งอำนาจ คนที่มาทำอย่างนี้ต้องแย่งอำนาจตำแหน่งหน้าที่กันไหม นี่ มาทำอาหารเลี้ยงโลกจะแย่งกันไหม อยากให้แย่งจังเลย ทำไมมันไม่แย่งกันทำไม่รู้ แหม..ปล่อยให้ที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ มาเขียว เก็บเอาไปแล้วก็รีบลงใหม่ ถ้าเราเจริญอย่างนั้นมันจะเป็นรูปธรรมที่ยืนยันชัดเจน เราเป็นคนชนิดนี้ในประเทศในสังคมนี้ของประเทศนี้ ใครจะเห็นว่าดีไม่ดีเขามีปัญญาเขาจะรู้ เราต้องทำจริงๆ 

ฟังให้ดีนะอาตมาอธิบายประชาธิปไตยอย่างพิสดาร ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างตื้นๆนะ อย่างการไปแย่งเลือกตั้งแล้วก็จะสร้างเลือกตั้ง ฉันจะทำอันนี้อันนี้ ขี้หมาแน่ะ นักประชาธิปไตยเขาไม่หาเสียงหรอก เขาทำงาน  ทำงานรับใช้ประชาชน รู้ว่าคนเขาขาดแคลนอะไร เดือดร้อนอะไร จะต้องให้อะไร ทำอะไร เขามีหน้าที่พอทำได้ขนาดนั้น ไม่มี เขาเข้าไปติดต่อคนที่เป็นเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าขอได้ไหมอย่างนี้ หรือว่าคุณไปทำอย่างนี้ได้ไหม ก็ไปแนะนำเขา ถ้าเราได้รับหน้าที่ตำแหน่งเป็นราชการ เราก็ไปจัดการ 

เพราะราชการนี้จะต้องดูแลประชาชนอยู่แล้ว อะไรขาดแคลน อะไรจำเป็นอะไรสมควร เราจะต้องไปทำ นั่นคืองานของนักการเมือง ไปดูแลของขาดแคลนของจำเป็น ของควรที่จะทำให้ประชาชนและคุณก็จัดการหาให้เขา ที่เรียกง่ายๆว่าสาธารณูปโภค อาตมาทำจิตวิญญาณเป็นนักการเมืองทางจิตวิญญาณ พูดเป็นนักการเมืองทางโลกก็สาธารณูปโภค 

เออ อันนี้ขาดอันนี้ อันนี้ไม่ต้องดูแลแต่เขตของตน ของผู้อื่นของผู้ที่อยู่ไกลขาดแคลนกว่าอันนี้ของตนพอไปได้ ของคนโน้นเขาขาดแคลนกว่าก็ไม่ได้ เห็นแต่ฐานเสียงของฉัน ไม่ใช่ฐานเสียงของฉันไม่ช่วยไม่ได้ ใครสมควรขาดแคลนที่จะให้เขาได้รับความเป็นอยู่อย่างดี อย่างไม่เดือดร้อนเกินไป ไม่ทุกข์ร้อนเกินไป นั่นคืองานการเมืองแท้ๆ 

ทุกวันนี้นักการเมือง งานการเมืองคืออะไร งานการเมืองคือหาเสียง เหลวไหล ไร้สาระจริงๆ 

ที่อาตมาอธิบายเรื่องการเมืองอยู่ขณะนี้ นี่คือประชาธิปไตยโลกุตรธรรม 

หลักเกณฑ์กฎหมายต่างๆที่นักกฎหมาย ส.ส. คือผู้เป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปในสภา เพื่อจะไปออกกฎหมาย แล้วส.ส.ก็จะรู้จักประชาชนว่าขาดแคลนอะไรเดือดร้อนอะไร ก็ออกกฎหมายมาเพื่อที่จะกำหนด กำหนดอันนี้อันนี้ อันนี้ขาดอันนี้เดือดร้อน อันนี้ต้องมาออกกฎอันนี้ให้คนไปทำ เพราะถ้าไม่ใช้กฎเสียเลยเรียกว่ากฎหมาย คนมันไม่ทำ หรือมันก็จะไม่ค่อยรู้ชัด ส.ส.ต้องเป็นคนมีปัญญาเข้าสภาคือบัณฑิต ผู้ที่โง่ๆเง่าๆ ไม่ใช่บัณฑิตอะไรหรอก หาเสียงได้ชนะแล้วก็ไป ดีไม่ดีไปเป็นนายก 

ขออภัยนะอาตมาต้องพาดพิงถึงคนจริง ถ้าประเทศไทยได้อุ้งอิ้งเป็นนายกนี่นะ แสนเศร้าจริงๆประเทศไทย พูดได้พอสมควร ฟังลิงหลับเหมือนกันเขาพูด 

มันเป็นวาทกรรมทั้งนั้น มีแต่วาทกรรม เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักการเมืองที่ทำงานแท้ๆ คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ ก็คนไทยก็ยังไปรู้รัฐศาสตร์แบบโลกข้างนอกหาเสียงหว่านล้อมสร้างค่ายกล เพื่อที่จะได้รักษาฐาน สถานะที่จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ได้ อาศัยเลือกตั้งเมื่อไหร่ได้ เพราะได้สร้างฐานเสียงหาเสียงไว้หมด แล้วสร้างค่ายกลที่จะได้เสียง เป็นการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา การเมืองหาเสียงแล้วก็เอาเสียงเลือกตั้งเป็นบรรทัดฐาน ไม่ได้เอาสาระสัจจะของมนุษยชาติที่มาทำงานกับประชาชนจริงๆ เป็นนักการเมืองจริงๆ อย่างที่อาตมาพูด 

นักหลอกหากินวิธีการของนักรัฐศาสตร์ที่จบมาจากอเมริกาเป็นผู้อยู่ในกรอบของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นรัฐศาสตร์โลกีย์ ไม่ใช่รัฐศาสตร์ที่เข้าสาระแก่นสาร เหมือน โลกุตระ ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงตามที่อาตมาอธิบาย คนจะรู้รัฐศาสตร์โลกุตระเหมือนอย่างอาตมาอธิบายนี้ก็หายาก 

ในหลวง ร. 9 เป็นผู้ที่เป็นนักการเมืองทำงานการเมืองที่แท้จริง ท่านไปช่วยประชาชนทั่วราชอาณาจักรไทย นักการเมืองไหนก็สู้ท่านไม่ได้ ท่านทำจริงเป็นนักการเมืองจริงและไปช่วยประชาชนจริง นั่นแหละตัวอย่างนักการเมืองเบอร์ 1 ของโลก ในหลวงร.9 นักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก แต่คนก็ยังดูไม่ออก เพราะท่านไม่พูดตามหลักวิชาการตามหลักเทวนิยม ท่านตรัสไว้เสร็จแล้วก็ปิดตำรา ปิดแล้วก็เป็นไงเปิดใหม่แล้วก็มาเดินตามตำรา ท่านตรัสสั้นๆอย่างที่เราเอามาเปิดฟัง เสร็จแล้วก็ปิดตำราแล้วก็เปิดหน้าใหม่ 

พูดถึงตำราทางตะวันตก ไม่ใช่ตำราประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าคือพระไตรปิฎก เข้าใจอำนาจอธิปไตย 3 อธิปไตยจะทำงานเพื่อประชาชนเป็น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ นี่แหละประชาธิปไตยถ้ามีความรู้ในโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย และ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ 

นี่คืออธิปไตยที่รู้จักสาระเพื่อพหุชนหรือเพื่อมวลประชาชนก็คือประชาชน แล้วก็ทำงาน หิตะ ประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติมีสุข พหุชนสุขายะ ไม่ปิดกั้น แค่ประเทศไทย 

ประโยชน์อันนี้ความสุขอันนี้ไปทั้งโลก โลกานุกัมปายะ นักประชาธิปไตยคือผู้รู้สรุปลงมาแค่ อธิปไตย 3 กับประโยชน์และความสุข การอนุเคราะห์โลก 3  อัน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ย่อลงมาสองอัน จบแล้ว นักการเมืองหรือนักรัฐศาสตร์จะทำงานกับประชาชน เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์อะไรอยู่ในนี้หมด การบริหารดูแลอยู่ในนี้หมด 

รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์อยู่ในนี้หมด รวมเป็นสังคมศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ 

ฟังความนี้แล้วพอเข้าใจไหม ถ้าคนทำได้อย่างอาตมาพูด นี่ สรุปคร่าวๆมาอย่างนี้ จะเป็นประโยชน์เป็น หิตประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติไหม พหุชนหิตายะเป็นไหม (พวกเราตอบว่า) เป็น

อาตมาท้าให้พิสูจน์ได้เลยถ้าคุณเข้าใจแล้วทำจริง คุณเป็นนักการเมืองเบอร์ 1 ของโลกจริง คนที่ไม่มีความรู้จะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งคือเราก็ไปทำก็ไม่เป็นไร ไม่เลือกเราเข้าสภาเราก็ไม่ได้เป็นนักบริหาร โดยทำงานที่อยู่ในกรอบของรัฐบาลหรือของราชการ เราก็ทำของราษฎร นักการเมืองอย่างพวกเราเป็นนักการเมืองราษฎร เอาพลังงานอธิปไตยมาสร้างสิ่งที่จำเป็นให้แก่โลกอยู่นี่ 

เราก็ได้อาศัยกินใช้ แล้วเราก็สะพัดไปสู่ผู้อื่น เศรษฐศาสตร์คือการสะพัดไปสู่คนข้างนอกเขา แจกด้วย ขายถูกด้วย แม้แต่เราทำการค้า ทำพาณิชย์ เราก็ไปซื้อสิ่งที่เราไม่ได้สร้างเอง แต่เป็นของที่จำเป็นนะ ต้องใช้กันต้องอะไรกันอย่างที่ร้านค้าของเราทำ เราก็ไปซื้อของคนอื่นมา ซื้อมา ราคาขายต่ำกว่าทุนเราก็ขาย นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 ของประเทศ ของสังคมมนุษยชาติ พวกเรานี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำสิ่งเหล่านี้สะพัดไปให้ถึงมือผู้อื่น 

เพราะฉะนั้นของไฮโซ พวกเราไม่ได้ค้าขายของไฮโซเลยใช่ไหม เราค้าขายกับพวกคนพื้นๆ และเป็นของที่เป็นแก่นสร้างสาระของชีวิต ขายจอบ ขายเสียม ขายเครื่องมือเครื่องไม้ ของใช้ของกิน ที่เอาไปทำสร้างเพื่อที่จะยังชีพเป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติ 

เครื่องประเทือง เครื่องเมาเมา เครื่องเล่นๆอะไรต่ออะไร เราอย่าไปเสียเวลาซื้อมารกที่ทางของเราเลย ใครจะไม่มีปัญญารู้เอาข้าวของที่เป็นสาระ เขาต้องการของที่ประเทืองมอมเมา คุณก็ไปซื้อหาที่อื่นเพราะเราไม่มีขาย เราไม่เอามาขาย เพราะเราฉลาดพอที่จะไม่เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน คนชั้นต่ำยังเสียเวลาทุนรอนกับสิ่งเหล่านั้น เราชั้นสูงแล้วเรื่องอะไรจะไปทำสิ่งเหล่านั้น 

ทำเท่านี้แหละได้ไม่มาก เพราะคนโง่คนหลงโลกีย์มันมาก ก็ไม่เป็นไรเราก็ช่วยคนที่มีปัญญาคนฉลาด ฉลาดโลกุตระ เขารู้แก่นสารของเขาไม่ไปฟุ้งเฟ้อ 

นี่อาตมาพาทำสิ่งเหล่านี้อยู่ในโลกในสังคม นี่ตอนนี้ร้านค้าของเราก็ค่อยๆปรับปรุงขึ้นมา ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ค่อยขยันกันเท่าไหร่ ถ้าขยันกว่านี้กระปรี้กระเปร่าขึ้นช่วยกันหาของมาขาย ทั้งของสดของแห้งของอะไรที่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสาระ 

การพาณิชย์ของพวกเราก็จะเป็นพาณิชย์บุญนิยมหรือเป็นพาณิชย์โลกุตระ ที่ทำงานการซื้อขายหมุนเวียน ซึ่งมันเป็นยุคนี้มันต้องมีการค้าขาย แล้วเราก็ค้าขายไม่ได้ไปล่าความร่ำรวยอะไร ไม่ได้มาขูดรีด ไม่ได้มาทำนาบนหลังคนอะไร 

เพราะเรามีชีวิตไม่ต้องไปกำรี้กำไรอะไรเราก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปเอาเปรียบกำไรของเราคือการขาดทุน โพธิสัตว์ก็จะพูดอย่างนี้เหมือนอย่างในหลวงตรัสท่านก็ตรัสอย่างโพธิสัตว์ “ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา” นักเศรษฐศาสตร์ก็ว่าพูดอะไรอย่างนั้นไม่ใช่ ขาดทุนของเราคือกำไรของเราได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าก็มันเป็นอย่างนั้น เขาก็บอกว่า เขาก็ต้องการคำอธิบาย เราก็อธิบาย ขาดทุนเราเสียนี่แหละคือเราได้ แล้วก็จบด้วยว่าก็เราเสียนี่แหละคือเราได้ ท่านก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ ท่านก็จบด้วยสัจจะแค่นั้น คนเหล่านั้นก็หูหักไป คนเข้าใจพอได้ก็ยังน้อย อย่างพวกเราเข้าใจแล้วก็มาทำประโยชน์ 

จบ หมดเวลา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2566 ( 21:25:41 )

660213

รายละเอียด

660213 พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3  https://www.boonniyom.net/53025.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่    https://docs.google.com/document/d/1shuH_tCgB7uJ8YaaxyRsieKwHQJd-s1Ckq9VKYAW2Os/edit?usp=sharing                                                                                                       

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kegdHOpSkw5RPPenGSblT_mViYr69omd/view?usp=share_link

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/DcUZ9hkGjJs 

และ https://fb.watch/iFXpOTG_vD/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ อาตมาเกิดวันอังคาร วันอังคารก็เลข 3 ถึงวันนี้อายุ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน อาตมาก็เกิด 8 ค่ำ และอาตมาก็ทำงานมาได้ 53 ปี เลข 5 + 3 ก็ 8 อีกด้วย มันก็ลงตัวกันหมดดีนะ

_กวีจากหายโง่

Loving kindness is the great Love

Born to serve Mankind ไม่หน่ายแหนง 

เป็นความรัก - เมตตา สุดใจ สุดแรง

คือรักแห่ง นิยตโพธิสัตว์ ชัดจริงๆ

ศีรษะจรดแทบเท้าประณมนบ

ด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูงยิ่ง

ขอตามรอยเท้าพอ่ไปไม่ประวิง

โปรดเป็นมิ่งขวัญ ลูกๆนานนานเทอญ

กราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูงยิ่ง

....หายโง่แลเราโน่ 13 ก.พ.66

 

_ขวัญดิน สิงห์คำ…ขอบูชาพ่อครูด้วยการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้น

44 ปี สำหรับการปฏิบัติจริงในเส้นทางปฏิบัติธรรม ได้ค้นพบความจริงที่พัฒนาตนเองให้พ้นทุกข์ได้มากขึ้น กราบขอบพระคุณพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ที่เป็นแบบอย่างที่สำคัญยิ่งในเรื่องความกล้าที่จะพิสูจน์ความจริง แม้ยากลำบากพ่อครูก็เพียรทำ ก่อให้เกิดกำลังใจและเป็นแบบอย่างให้ดิฉันที่จะเผชิญกับผัสสะอย่างไม่ย่อท้อ ผัสสะที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งยาก พ่อท่านสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกหลานและประชาชนทั่วไป

สิ่งที่ได้ประโยชน์สูงสุดที่พ่อครูให้ทำคือการเป็นหัวหน้าพรรค เป็นสิ่งที่ไม่ชอบเลย แต่ทำได้ 15 ปี และสิ่งที่ไม่ชอบมากกว่าหัวหน้าพรรคคือการไปประท้วงไม่ชอบยิ่งกว่า ตั้งใจจะไม่ไป แต่ไปทุกครั้งและกลับเป็นคนสุดท้ายทุกครั้ง ประโยชน์ที่ได้รับมากมายมหาศาล ได้ฝืนใจตนเองอย่างยิ่งยวด การประท้วงเหมือนการจำลองการดูแลประเทศมีคนทุกรูปแบบ คนอดอยาก คนขโมย คนเห็นแก่ตัว คนมีน้ำใจ คนเสียสละ คนกล้าหาญและที่สำคัญเห็นความจริงที่พ่อท่านมีเหนือคนอื่น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองคือศรัทธามั่นคงกับสังคมอโศก เชื่อมั่นในสังคมอโศกจะนำพาสังคมไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องและก้าวหน้าต่อไป

ประเด็นที่ 2 สิ่งที่ฝืนใจคือการเรียนต่อปริญญาโท ปริญญาเอก ได้เห็นนิสัยตนเองชัดเจนคือการไม่ยอมคน สิ่งที่ได้ฝึกมากที่สุดคือการยอม เลยได้คิดว่าเรายอมอาจารย์ได้ ทำไมจะยอมชาวอโศกไม่ได้ ขณะนี้ทำใจ เข้าใจยอมรับวัฒนธรรมอโศกได้มากขึ้น

44 ปีที่ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของอโศกไม่ผิดทาง มีแต่เจริญขึ้นทุกวัน รู้เท่าทันกิเลสได้เร็วขึ้น และเอากิเลสออกได้ไวขึ้น กราบขอบพระคุณพ่อครูที่เป็นแบบอย่าง ขอให้อายุยืนยาว ให้สัมมาทิฐิแก่ชาวโลกต่อไป 

กราบนมัสการด้วยความเคารพและบูชายิ่ง

ขวัญดิน สิงห์คำ                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                            ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3

พ่อครูว่า... เราก็มาต่อ เรื่องราวประชาธิปไตยที่จะต้องอธิบายต่อ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ประชาธิปไตยของไทยไม่เหมือนใครในโลก เป็นแบบไทยโดยเฉพาะ 

อาตมาได้กลับมาชัดเจนเหมือนกัน ว่านักธรรมะนี่แหละต้องยุ่งการเมือง นี่ก็พูดซ้ำพูดไปแล้ว นักธรรมที่ต้องยุ่งการเมืองโดยเฉพาะนักธรรมะที่มีภูมิอริยะ มีโลกุตรธรรมแท้ เพราะว่าจะเป็นคนผู้มีคุณธรรมที่บรรลุธรรมกันจริงๆ ตั้งแต่โสดาบันไปถึงอรหันต์ มีจริงๆ แล้วก็มีความจริงใจ 

เพราะว่าการบรรลุธรรมนี่คือใจมันเป็นจริง ใจมันบรรลุโสดาบัน ใจมันหลุดพ้นจริงๆ หลุดพ้นจากสิ่งที่แต่ก่อนนี้เราโง่ ไม่รู้ ไปหลงผิด ไปหลงเสพหลงติดอยู่ไปหลงเป็นทาสมัน มันหลุดพ้นออกมาเลย ความหลุดพ้นในจิต มันรู้เลยว่า ไอ้ที่ชัดๆก็คือมันยังต่ำ ไอ้นี่ยังต่ำ ไอ้นี่ไม่สูง ไอ้นี่ยังไม่น่าที่จะไปติดยึดอยู่เลย ไม่น่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ควรจะต้องละหน่ายคลาย หลุดพ้นออกมา 

เพราะฉะนั้นยิ่งมีสิ่งที่อยู่กับโลกเขาเป็นลำดับๆๆ เป็นลำดับลำดา ต่ำแล้วก็สูงขึ้นจากโลกต่ำแล้วก็สูงขึ้นแล้วก็โลกสูงขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้น จะมีกี่ชั้นก็แล้วแต่ จะเป็นคนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นโลก พอรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในโลกแล้วก็หลุดพ้นออกจากโลกมาเรื่อยๆ 

คนที่หลุดพ้นออกมาจากโลกคือมีจิตที่เป็นโลกุตรจิตเป็นอุตระ เมื่อหลุดพ้นแล้วไม่ได้หนีออกไปนะแต่อยู่เหนือครอบงำ ครอบงำโลกอยู่เหนือโลกเหล่านั้น เช่นโลกอบาย อบายภูมิ​โลกต่ำสุด เราหลุดพ้นออกมาได้แล้วเราก็อยู่เหนือ มันอยู่ในโลกนี้แหละ ทุกวันนี้ในโลกอบายมุขหยาบคายในโลกต่ำๆลงเรื่อยๆในโลก มันใกล้กลียุค คนในโลกนี้มันต่ำลงต่ำลงต่ำลง 

มีเมืองไทยนี่คนไทยเจริญขึ้นเป็นลำดับ นอกจากคนที่อวิชชา คนที่ชั่ว คนไทยที่ชั่ว ยังเหลือเศษอยู่เท่านั้น เป็นพวกตกยุคความเป็นไท คือความเป็นอิสรเสรีภาพ คนพวกที่ยังนึกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย นึกว่าตัวเองเป็นพวกประชาธิปไตย หลง ไม่เข้าใจคำว่าประชาธิปไตยคืออะไร 

ทั้งๆที่ตัวเองเป็นจอมเผด็จการ จอมตัวตน จอมครอบครัวตน จอมพวกของตน พวกไหนฟังเอา ในคนไทยเป็นจริงนะมีพฤติการณ์จริง มีปรากฏการณ์จริงไม่ใช่อาตมาใส่ความ ไม่ใช่พูดจินตนาการ แต่เป็นของจริงมีจริงตัวจริงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ขาด เดี๋ยวนี้เขาก็ยังแสดงนึกว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้ชนะ ตัวเองจะยังใหญ่อยู่จะต้องยิ่งใหญ่อยู่ ยังไม่เชื่อว่าตัวเองนี้ ถูกคนไทยรู้ทันแล้วยังไม่เชื่อ ยังหลงว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอยู่ก็ยังดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้ายหรือเปล่า จริงๆไม่ได้ดิ้นเป็นเฮือกสุดท้ายหรอก มันขาดเฮือกไปจนกระทั่ง เหมือนคนจมน้ำแล้วสำลักน้ำอยู่เท่านั้นเหลือแต่จะตายเมื่อไหร่ก็เท่านั้นไม่รู้ ยังไม่รู้ตัว 

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันจนถึงอรหันต์แล้วจริงๆนี่เป็นกรอบแรกของความเจริญอาริยธรรม ระดับ 1 2 3 4 เป็นอริยบุคคลระดับ 1 2 3 4 เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอย่างนั้นเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านบอกว่าท่านเองท่านทำงานในปางที่ท่านเป็นพระสมณโคดมนี้ ท่านทำงานเพียงสอนเบื้องต้นให้พุทธรรมคือใบไม้กำมือเดียว ไม่ได้สอนใบไม้ทั้งป่า 

สอนใบไม้กำมือเดียวหมายความว่าเอาแค่ให้จบอรหันต์ ความรู้ระดับอรหันต์ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปแล้วเพราะท่านทำมามากแล้ว ท่านเป็นโพธิสัตว์มามากจนถึงใกล้กลียุค ท่านเป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปป์ สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม จบจากกัปนี้แล้ว พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะเป็นพระศรีอาริย์ ที่จะมีอายุพุทธศาสนายาวนานที่สุด เป็นเหมือนเป็นแสนปีไม่ใช่แค่ 5,000 ปี 

5,000 ปีนี้ต่ำสุดแล้วในความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งมาเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้ามานาน ทำงานมาอยู่ในโลกโดยไม่ประกาศตัว ท่านเป็นปัจเจกพุทธเจ้า ไม่แสดงตัวแต่ทำงาน ศึกษาภูมิสุดท้ายความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า นาน จนกว่าจะประกาศตนเองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระสมณะโคดม เป็นองค์ที่ใกล้กลียุคสุดท้าย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ก่อนถึงกลียุค หลังจากนี้ก็เป็นกลียุคไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิดและอีกนานจนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ก็คือพระศรีอริยเมตไตรย 

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของวัฏสงสารเป็นเรื่องของโลกทางการเกิดการตายการตายการเกิดของมนุษยชาติเป็นไปตามกรรมวิบากเป็น อจินไตย อาตมาพูดได้เพราะว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ตัวจริงจึงรู้ความจริงพวกนี้โดยไม่ได้เอามาจากตำรา โดยเฉพาะตำรามหายานเขาว่าเป็นพระโพธิสัตว์กันเยอะ ตำราพระไตรปิฎกมหายานมีเยอะ แต่สายเถรวาทของไทยไม่มีหรอก โพธิสัตว์ไม่รู้จัก แต่อาตมาต้องเอามาตราลงไป เอาไว้ก่อนจะถึงกลียุค หรือหน้าที่ของอาตมาเป็นโพธิสัตว์จะต้องสืบทอดความรู้โพธิสัตว์เอาไว้ตลอด 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จะหาว่า เก่งนะ พระพุทธเจ้ายังไม่อธิบายโพธิสัตว์เลย ก็คือไม่ใช่หน้าที่ของท่านไม่ใช่เรื่องของท่าน พระสมณะโคดมองค์สุดท้าย ท่านก็ไม่ได้อธิบายเพราะว่าไม่ใช่เรื่องของท่าน แต่อาตมามาต่อภพภูมินี้ อาตมาเป็นหน้าที่ของอาตมา เป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ที่ทำ 

เพราะฉะนั้นคุณธรรมในระดับ อาริยบุคคล เป็นความรู้ความฉลาดที่รู้แจ้งรู้จริงในประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ หรือ ประชาธิปไตยแบบธรรมะ 

ประชาธิปไตยแบบธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเรียกอย่างนี้ก็ได้ เรียกว่าประชาธิปไตยที่เป็นแบบธรรมะของพระพุทธเจ้า มันไม่มีในของใครหรอก ประชาธิปไตยทุกวันนี้ในโลกคือประชาธิปไตยโลก หรือประชาธิปไตยเทวนิยม ประชาธิปไตยตะวันตก ประชาธิปไตยสหรัฐ ประชาธิปไตยยุโรปอะไรพวกนี้เป็นประชาธิปไตยอยู่ในกรอบเทวนิยม อยู่ในกรอบโลกียะทั้งนั้น ยังไม่ออกมาหาโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นตำราหรือความรู้ที่ในหลวง ร. 9 ท่านตรัสไว้ ว่าตำราที่เขาว่าเป็นผู้เจริญก้าวหน้าแล้วก้าวหน้าอย่างมาก ก็ก้าวหน้าอย่างที่โลกตะวันตกที่โลกเทวนิยมเขารู้ก็มีตำราเท่าที่มันมี ในหลวงท่านเรียนจากตำราอันนั้นอย่างที่พวกนักบริหารทั้งหลายเรียน ตำรามีเท่านี้เล่มสุดท้ายพอหน้าสุดท้ายแล้ว มันก็มีเท่าที่มีกัน แต่ท่านมาตรัสกับคนที่เรื่องของความจน เรื่องของขาดทุนคือกำไรของเรา กับพวกนักบริหารของประเทศอื่นกับชาวเกาหลี พวกรัฐมนตรีเกาหลี เขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่รู้โลกุตรธรรม ท่านก็ถึงได้ตรัสสั้นๆตามประสาของท่านตามภูมิของท่านในหลวง ท่านก็บอก พูดไปเขาก็ได้แต่งงๆ 

แล้วตำราที่โลกมีก็มีเท่านี้ เรียนกันในตำรานี้เสร็จแล้วสุดท้ายมันก็เอามาใช้ได้เท่าที่มันมีตำรา มันก็หน้าสุดท้าย ก็เปิดดูอีกใหม่มันก็มีอยู่เท่าที่มีในตำรา ไม่มาเรียนตำราของพระพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งซับซ้อนมาก ไม่มีตำราพระพุทธเจ้าก็เลยไม่รู้เรื่อง ผู้ที่เก็บกักเงินคงคลังของตัวเองมากๆเป็นพวกทำลายเศรษฐกิจพวกคนรวยนี้เป็นพวกชิบหายทำลายเศรษฐกิจ ในหลวง ร.9 ตรัสว่า

เราเลยบอกว่าถ้าจะแนะนำได้ต้องทำแบบคนจน 

“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” 

เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร  พออยู่ได้ 

แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  

เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !

ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       

จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  

แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” 

แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ 

คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

พ่อครูว่า... คำว่าถอยหลังอย่างน่ากลัวเป็นจิตที่แสดงออกถึงความมีภูมิปัญญาของในหลวง ร. 9 เฮ้ย..ถอยหลังอย่างนี้มันเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เขาเข้าใจว่าเจริญแต่ว่ามันลงไปต่ำ ต่ำกับสูงมันวน เขาเข้าใจว่าเจริญก้าวหน้าอย่างมาก มันยิ่งเป็นอย่างต่ำอย่างต่ำ ต่ำมากต่ำมาก มันจะมีแต่ถอยหลัง มันไม่รู้ความซ้อนนี้ มันนึกว่าไปข้างหน้า 

เช่นเดียวกันกับสมีธัมมชโย หลอกสังคมเขาเดี๋ยวนี้ก็ยังหลอกต่อ ตอนนี้หล่อพระอะไรมาขายอีก คือเขานึกว่าเขาฉลาดซับซ้อนแต่เขาโง่ซับซ้อนแล้ว เขาก็มาหลอกคนที่โง่ให้โง่ซับซ้อนตามไปด้วยอีกซ้อนไปอีก น่าสงสารคน สายธัมมชโย 

อย่างคนสายมหาบัว สายอาจารย์มั่น ยังไม่ได้ใช้ความหลอกล่อ บาปยังไม่หนักหนาเท่าธัมมชโย เพราะเขาไม่ใช่นักฟุ้งซ่านเท่ากับนักฟุ้งซ่านอย่างธัมมชโยสายฟุ้งซ่าน มันเหมือนปัญญามันกว้าง มันฉลาด มันรอบรู้กระจายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะ แต่นี่นึกว่าความกระจายฟุ้งซ่านเป็นความฉลาด มันก็เลยยิ่งซับซ้อนรู้ยากตกต่ำฟังไว้ก่อน 

มาเข้าถึงเรื่องประชาธิปไตย ประชาธิปไตยโลกุตระหรือแบบธรรมะของพระพุทธเจ้าที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  

นี่คือคำว่าอธิปไตย ที่มีของโลก และอธิปไตยของตน โลกาธิปไตย 

โลกาธิปไตยอำนาจของโลกที่เขาพยายามสร้างอำนาจมาครองโลก ศัพท์ว่า อยู่เหนือโลกแต่ไม่ พวกนี้เบ่งจะข่มโลก ไม่ใช่อยู่เหนือโลก เขาจะเบ่งทับโลก ที่เขาบอกว่าจะเป็นเจ้าโลก เป็นมหาอำนาจเจ้าโลก สหรัฐที่เขาจะเป็นหรือประเทศทางตะวันตกเขาเคยเป็นมา ฝรั่งเศส เยอรมันก็เคยเป็นมา อิตาลีก็เคยเป็นมา แล้วมันเที่ยงที่ไหนล่ะเดี๋ยวนี้ทุกวันนี้ สหรัฐก็ยังเป็นอย่างนั้นหมุนอยู่ในโลกียะแบบเดียวกันหมด แต่คนไทยไม่ไปเป็น คนไทยเจริญมาเรื่อยๆตั้งแต่ประเทศเหล่านั้นเขาหมุนเวียนกันเป็นเจ้าโลก ไทยก็นึกว่าตอนนั้นเป็นทาสเขา หรือเป็นพวกที่ด้อยพัฒนาไม่เหมือนพวกเขา ไทยนึกว่าเป็นอย่างนั้น 

แต่ไม่ ไทยสร้างประเทศไทยมาตั้งแต่สุโขทัย ตั้งแต่พระเจ้ารามคำแหงมา มาถึงวันนี้เป็นพุทธศาสนาอยู่ใน DNA มีธาตุ มีสาร อัญญธาตุ ธาตุโลกุตระอยู่ในจิตวิญญาณแล้วค่อยๆแสดงออกมาพัฒนา เมื่อมาถึงยุคนี้ประชาธิปไตยเฟื่องฟู ในยุคพระพุทธเจ้าไม่ใช้เรียกคำว่า ประชาธิปไตย แต่อาตมาก็ต้องอธิบายสาระสภาวธรรม บัญญัติหรือภาษามันเรียกว่าประชาธิปไตย แต่สภาวะที่อาตมากำลังขยายความ คือมีโลกาธิปไตย 3 กับมี อายะ 3

พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

พหุชนะ นั่นแหละแปลว่าประชาชน มวลประชาชน พหุ แปลว่า มาก ชนก็คือประชาชน มวลคน พหุ คือ มวลคนจำนวนมาก เป็นประโยชน์เพื่อหมู่ชนมหาชนเป็นอันมาก หรือชนทั้งหลาย

พหุชนสุขายะ ขอยืมคำว่าสุขมาใช้เป็นกลางๆเรียกว่า วูปสโมสุข หรืออุปสโมสุข เป็นเครื่องอาศัยที่จิตใจ ไม่ได้มีความยากลำบากยากเย็นอะไร ไม่มีความเดือดร้อนอะไรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นโลกุตระนั้นแม้แต่สุขก็ไม่ยึดไม่ติด เพราะฉะนั้นเขาก็แย่งสุขกันทั้งนั้นในโลกีย์ ส่วนโลกุตระนั้นรู้ลำดับว่าสุขอย่างเป็น อุปสมะ หรือสุขอย่าง วูปสมะ สุขอย่างที่ อย่าไปติดสุข เหนือสุขจนกระทั่งเป็นปรมังสุขังยิ่งกว่าสุข หรือสุดท้ายใช้ภาษาว่า อทุกขมสุข ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะสุขทุกข์อาตมาอธิบายไปแล้วว่าเป็นมายาคู่ที่แยกกันไม่ได้ เหมือนกระดาษ 1 แผ่น แยกไม่ได้มันมี 2 หน้า 

เพราะฉะนั้นจะทำลายต้องทำลายทั้งสุขและทุกข์เป็นคู่กันไปเลย เขาเข้าใจตรงนี้ไม่ได้แล้วก็ไปปฏิบัติจิตที่มีลักษณะสภาวะธรรมแบบนี้ อย่างที่อาตมาอธิบาย 1 ใน 2.   2 ใน 1 นี่เขาทำไม่ได้ โดยเฉพาะ 2 ใน 2 ที่เป็นสุขทุกข์ 2 เป็นเทวะ 2 เป็นภายนอกภายใน 2 เป็นดีเป็นชั่วอะไรก็แล้วแต่สิ้นสุดที่เทวะที่แปลว่า 2 บาลีคำว่าเท หรือว่า เทวฺ แปลว่าสองช

เมื่อเขาไม่เข้าใจรายละเอียดของทั้งโลกและอัตตา อัตตาก็มี 2 โลกก็มีโลกเป็น 2 ได้ทั้งโลกภายนอกและภายใน โลกภายในก็คือจิตหรืออัตตา โลกภายนอกก็รวมองค์ประกอบไปทั้งหมดเลยทั้งดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหาร สัตว์ทั้งหลายจนกระทั่งมนุษยชาติ จนถึงพฤติกรรมของมนุษยชาติ 

พฤติกรรมละเอียดแล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรมมนุษยชาติให้เจริญขึ้นจนกระทั่งอยู่เหนือความเจริญ แล้วก็รู้ว่าแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นมนุษยชาติจะเป็นความเจริญใดๆก็เป็นแค่สังขารธรรม แค่สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในโลก มันไม่ใช่อัตตาตัวจริง มันเป็นอนัตตา รักษาให้มันอยู่ได้ 

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาจะทำ 0 เมื่อไหร่ก็ได้ จะตายสูญ เลิกเป็นดินน้ำไฟลมเลยก็อธิบายมาแล้วไม่รู้กี่ทีแล้ว เลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เรายังไม่เลิกเพราะเรารู้ เรายังมีปณิธานไปสู่จิตของคนที่เจริญได้ ถ้าเจริญอย่างไปหาพระพุทธเจ้านี่สิ เป็นคนในโลกเกิดมาเป็นคนเท่ากันทุกคน เป็นคนมีอาการ 32 เท่ากันทุกคน ถ้าไม่พิการ 

แล้วก็เจริญไป ความเจริญสูงสุดในความเป็นมนุสโส เท่าที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นได้แล้วไม่มีใครไล่ทัน คนไล่ทันก็ไปเป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้น มีสัพพัญญูเท่ากัน 

เพราะฉะนั้นคุณสมบัติหรือคุณธรรมที่วิเศษพวกนี้ ที่เราเรียกด้วยศัพท์ว่าโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นแบบของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ค้นพบ จึงรู้จักอธิปไตย 3 รู้จักอายะ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ที่ลงท้ายด้วยคำว่า หิตายะ เช่น พหุชนสุขายะ คือ สุขะ +อายะ

โลกานุกัมปา แปลว่ารับใช้โลกช่วยเหลือโลก อายะคือ ประโยชน์ สิ่งที่ดีสิ่งที่ได้ดี สิ่งที่เจริญขึ้นไปเป็นอายะ 

เพราะฉะนั้นทั้งสองนี้ อายะ 3 กับอธิปไตย 3 รวมกันแล้ว พหุชนะ ของประชาชนของโลกของตนของมวลประชาชนนี้รวมกันเลย ของโลกนี้รวมทั้งตนเองและประชาชน รวมแล้วก็เป็นสังขารคือมวลประชาชน เป็นรูปธรรมของสังขาร การปรุงแต่งของมนุษยชาติร่วมกันช่วยกันปรุงแต่งกันอยู่ บ้างก็ทำลาย บ้างก็ทำให้เจริญ บ้างก็อยู่เฉยๆกลางๆ เฉยๆอย่างมิจฉาทิฏฐิ  เฉยๆอย่างสัมมาทิฏฐิ

เฉยๆอย่างมิจฉาทิฏฐิคือ อยู่ไปอย่างนั้นแหละโลกจะเทไปอย่างไรก็ไปตามเขา ไม่เอาเรื่องเอาราว เอาเรื่องก็ไม่ได้เพราะว่าไม่มีภูมิปัญญาอะไร ก็ไปเป็นบริวารอยู่ในโลก 

ส่วนผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำก็เป็นผู้ที่จัดการ เป็นนายหรือเป็นหัวหน้าเป็นผู้จัดการสังคมทุกอย่าง 

ทีนี้ในโลกุตตรธรรมแม้จะเป็นหัวหน้า แม้จะเป็นผู้จัดการมวลมนุษย์ก็ไม่หลงตนว่าตนใหญ่ ไม่หลงตนว่าเรามีอำนาจ ไม่หลงตนว่าเราจะต้องไปเอาของคนอื่นมา จะต้องเป็นผู้ที่มีมากกว่าความรู้มากกว่า สมรรถนะสูงกว่า ความเฉลียวฉลาดอะไรต่ออะไรที่จะบริหารสูงกว่าหมด แต่ไม่ไปเป็นนายคนหรอก มีแต่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้น เสียสละช่วยคนเหล่านั้น 

ฟังให้ดีนะ มันลึกซ้อนนะ เห็นไหม ที่อาตมามาเรียกเรียง 6-7 คำสุดท้าย 

อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

เกษมหรือเขมัง มันเป็นคุณสมบัติของจิตที่มันไม่มีคำภาษาไทยที่จะขยายความได้แล้ว มันเป็นสุดแห่งมงคล 38 อโศกะ วิรชะหรือเขมัง 

ไม่มีความโศก ชาวอโศกยังอยู่ในระดับนี้ 

วิรชะ หมดเลยรสโลกเลย ที่เป็นรสโลกีย์ละเอียดไปจนเป็นตัวตนเป็นเพราะเป็นชาติ อย่าว่าแต่เรื่องโลกีย์รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเลย แม้แต่เป็นโลกุตระที่ยังเป็นภพเป็นชาติก็ไม่ยึดติด รู้จักภพชาติที่ดี เกิดมาเป็นมนุษย์โสที่สูงสุด มีหน้าที่ช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติก็ช่วยไป แล้วก็ทำตนให้เข้าใจเรื่องของโลก เรื่องของตน เรื่องของธรรมะ เลือกมาปรุงแต่งเข้าเป็น หิตประโยชน์ หรือมาเป็นคุณธรรมที่ โลกานุกัมปา คุณธรรมที่ช่วยมนุษย์โลกทั้งหลาย ช่วยมนุษย์ในโลกทั้งหลาย 

รวมแล้วเป็นคุณสมบัติครบถ้วนที่มาสรุปรวมใน ภาษากลางของคนในโลกที่เข้าใจกันคือประชาธิปไตย 

นี่อาตมาอธิบายรัฐศาสตร์ อธิบายความเป็นประชาธิปไตยแบบไทย รูปแบบของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ของตะวันตกไม่มีของพระพุทธเจ้า ของยุโรปสหรัฐไม่มีของพระพุทธเจ้า ของเทวนิยมโลกีย์ไม่มีของพระพุทธเจ้า ไม่มี ประชาธิปไตยแบบของพระพุทธเจ้าไม่มี 

แล้วประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้นพึ่งตนเองรอดไหม.. รอด มันจะเป็นประชาธิปไตยที่แสดงความจริงที่ยิ่งใหญ่คือ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ต้องสร้างอาวุธ ไม่มีอาวุธป้องกันตัวและจะไม่ฆ่าใคร ใครฆ่าปล่อยให้เขาฆ่าได้เลย ใจถึงขนาดนั้นเพราะเข้าใจเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เขาฆ่าก็คนเลวมาฆ่า เราไม่ได้ไปทำเลวกับเขา ตายแล้วมีแต่สูงกว่าเก่า คนที่มาฆ่าเราสิ เป็นหนี้วิบากไหม ร้ายแรงขึ้นไปอีก อย่างนี้เป็นต้น 

 มันเข้าใจมันรู้จริงหมดแล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ยืนหยัดอยู่แต่สิ่งที่ดี เรื่องตายเรื่องเกิดเรื่องเล็กๆ เรื่องตายเรื่องเกิดมันไม่ใช่เรื่องปัญหาอะไรมันจะต้องเวียนตายเวียนเกิด อย่างโลกียะเขาจะไปรู้อะไรเรื่องตายเรื่องเกิด อย่างน้อยตายเขาก็ไปอั้นตู้อยู่ที่พระเจ้า แล้วไม่เห็นการศึกษาอยู่ในโลกพระเจ้าเลย พระเจ้ามีเท่าไหร่ความรู้ขยายมาหมด พระบุตรพระศาสดาก็เอามาขยายความ คนก็เรียนจบเป็นศาสดาได้ 

เพราะฉะนั้นพวกที่เรียนรู้โลกียะจบก็ได้เป็นพระศาสดาของเทวนิยมองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็มีเยอะแยะที่แข่งกัน เห็นศาสนาเทวนิยมไหมมีตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่มีแข่งกัน พระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวไม่มีใครแข่งกับพระพุทธเจ้า เพราะรู้ดีหมดเลยว่าภูมิธรรมที่สูงเป็นโพธิสัตว์แต่ละระดับ จะรู้ดีเลย รู้จักเคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เคารพบูชาอย่างแรงกล้าจริงๆเลย 

ไม่ต้องเอาอะไรพวกคุณนี่เคารพอาตมาอย่างแรงกล้า พวกคุณจริงใจหรือเปล่า อาตมาไม่เคยไปให้ใครมาเคารพ พวกคุณมาเคารพเอง มาเอาเท้าอาตมาไปลูบหัวไปเหยียบหัว หรือเอาหัวมามุดเท้า ให้อาตมาเหยียบหัว อาตมาก็ไม่อยากทำเกรงใจ แต่เขาถือเป็นสิริมงคล อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่คนเดียวมันเป็นความรู้ มันเป็นความจริงใจ มันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง มันเห็นคุณค่า เห็นความมีคุณค่าของคน อาตมาไม่ได้ไปยกตนยกตัว แต่อธิบายความจริง เขาก็หาว่ายกตนยกตัว ความจริงที่พูดมันก็เป็นของสูงของลึกซึ้ง และอาตมาเอาที่ไหนมาอธิบายหากไม่เอาของตนเอง 

ตำราอย่างที่อาตมาอธิบายจริงๆไม่มี มีแต่อาตมาเขียนเองไปอ่านสิ เขียนตั้งไม่รู้กี่เล่มแล้ว นี่ยังเขียนปัญญา 8 ยังไม่จบ ยังว่าจะเขียนประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะให้มันจบ เขียนไปแล้วก่อนนี้ ก็ดีตอนนี้ยังไม่จบก็ดี ถ้าจบก่อนนี้มันจะเป็นประชาธิปไตยที่อาตมาเขียนความรู้ไว้ วนอยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาจะมาเติมทีหลังไม่ออก เป็นประชาธิปไตยที่อาตมาเรียบเรียงเขียนเป็นประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะพิมพ์ออกมา จะเป็นความรู้รัฐศาสตร์ที่พูดไปแล้วก็เหมือนยกตัวเอง ไม่ใช่เหมือนหรอก ยกจริงๆด้วยความไม่เกรงใจ ยกตัวเองด้วยความไม่ละอายไม่ได้เหนียม ไม่ได้มี มังกุ ไม่ได้เคอะเขินเพราะมั่นใจว่าในเป็นความจริงอาตมาพูดความจริง 

คนที่มีความจริงและพูดความจริงอย่างจริงใจ มันไม่มีความเก้อเขินคล้ายคนหน้าด้าน แต่ไม่ใช่ เป็นคนที่มีความจริงอย่างเดียว คนหน้าด้านอลัชชีมี 2 หน้า แต่คนที่มีความจริงมีหน้าเดียว พูดอย่างเดียวๆไม่มีอะไรซ่อนเลยไม่มีอะไรแฝงหนึ่งเดียวตรงๆ ถ้าคุณเข้าใจอันนี้ 1 คือหนึ่งเดียว เอกังสะ หนึ่งเดียวนิวเคลียร์ฟิชชั่นไม่มีโค้งไม่มีงอ ไม่มีนิวเคลียร์ฟิวชั่นเลยมีแต่ตรงออกไป หายไปเลย ถ้าเป็นพลังงานก็เป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้มีทั้งความรู้ในโลก 3 โลก 3 ขอเรียกรวมๆคือ  อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  จะเรียกว่า อธิปไตยคือรูป อายะ 3 คือนามก็ได้

เพราะฉะนั้นเมื่อมีและรู้จนข้างตัวเองมีคุณธรรมนั้นหมด นอกจากจะเป็นประชาธิปไตยหรือ อายะ มีโลกมีตน ที่ไม่เห็นแก่ตนแล้วจริงๆ ไม่เห็นแม้แต่พรรคพวก แม้แต่คอมมิวนิสต์แปลงอย่างเมืองจีนก็เพื่อพวกทั้งนั้น พวกเขา เขายังมีความรักไม่ได้สูงส่งไปถึงระดับความรักมิติที่ 8 ที่ 9 ยัง ความรักของเขายังอยู่ต่ำกว่ามิติที่ 7 ยังไม่ถึงมิติที่ 7 

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุจริงในโลกในตน อยู่เหนือโลกเหนือตน เหนือเรียก อุตระ อยู่เหนือโลกก็หมายความว่า เข้าใจโลกและก็อยู่กับโลก ไม่ได้ไปบังคับไม่ได้ไปข่มโลกนะ อยู่เหนือตนคือ เข้าใจตนอย่างสูงสุดเป็นอนัตตาแล้ว อ้อ ความเป็นตนเป็นเช่นนี้เองมีแค่นี้ และแท้จริงก็อยู่อย่างอาศัยตนเท่านั้น มีอัตตา อยู่อย่างอาศัยอัตตา ไม่ได้ยึดอัตตาเป็นเราเป็นของเรา ที่ท่านพุทธทาสใช้คำว่าไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ใช่ กูเป็นภาษาเอกพจน์ ถ้าเราเป็นพหูพจน์ ตัวกูของกูก็คือตัวเราเลยเป็นเอกพจน์ พอบอกว่าตัวเรา เราก็เลยเป็นวี WE แต่อันนี้เป็นมีหรือไอ Iเลยเป็นเอกพจน์ก็เข้าใจได้ชัดขึ้น 

ไม่เห็นแก่ตัวตน ไม่เห็นแก่พรรคพวก แต่ว่าเห็นแก่ธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ เอาไว้ มีไว้ ธรรมะที่เป็นของมวลประชาชน สิ่งที่ทรงไว้เป็นของมวลประชาชน ไม่จำกัดเฉพาะ 3 เฉพาะ อายะ 3 ทุกคนกระจาย 3 ออกจากกรอบ 3 คือสามเส้า ทั้งโลกตัวตนกับธรรม หรืออายะ 3 ก็เป็นสามเส้าทั้งนั้น อันนี้ เปิด cyclic order ออกเป็นอันที่ 4 

3 คือตัวตนเต็มๆ 4 นี้ออกจากตัวตนไป เพราะฉะนั้นเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ก็ยิ่งออกไปอีก ไปเป็น 7 ก็ยิ่งเป็นระดับที่หมดตัวตนไปอีกสูง 

7 8 9 ไปหา 0 ท่านก็ใช้บัญญัติแทนสังขยาตัวเลข 1 2 3 สากลไหนๆก็รู้หมดเลยว่า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 คือสากลของความเต็ม และความสูญ 

เพราะฉะนั้น 0 = นิรันดร 

0 = Infinity ไม่มีที่สิ้นสุด 

นี่เป็นภาษาที่พูดได้ สภาวะก็เป็นเช่นนี้อยู่ 

เพราะฉะนั้นความรู้ความเป็นจริงเช่นนี้ใครมีจริงก็มาพามนุษยชาติเรียนรู้และปฏิบัติให้จริงอย่างชาวอโศกได้มา จึงเป็นหมู่กลุ่มประชาธิปไตย แบบของพระพุทธเจ้าหรือประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ก่ออยู่ในกลุ่มคนไทยชาวอโศก มีได้มวลประมาณนี้แหละขณะนี้ 

ซึ่งอาตมาก็เคยพูดอยู่แล้วว่าอาตมาจะนำพาความรู้พวกนี้ไปถึง 5,000 ปีไหม จะสร้างความเป็นประชาธิปไตยแบบนี้ไปให้เจริญไปอีก เจริญแล้วมันก็จะเป็นโลกุตระ ก็คือประชาธิปไตยโลกุตระ จะเจริญขึ้นไป ถ้าไปถึง 5,000 ปีได้เนื้อแน่นแก่นของความเป็นประชาธิปไตย ก็จะกระจายให้แก่ชาวโลกต่อไป โลกในตะวันตก ในยุโรป อเมริกาจะได้มาเรียนประชาธิปไตยที่เขายังไม่กระดิกหู ยังไม่มี อัญญธาตุ ยังไม่มีความรู้ออกมาจากกรอบโลกียะ เขายังมีความรู้แค่ประชาธิปไตยโลกียะ

 เขายังไม่ออกมา ไม่มีอัญญธาตุ ที่เป็นธาตุรู้แบบใหม่ เป็นธาตุรู้ที่แบบไม่ใช่โลกียะ จนกว่าจะมีหน่วยถึง 50 หน่วย 60 หน่วยของ อัญญธาตุ ถึงจะเอามาพูดแล้วเอามาเป็น จนกว่าจะถึง 70 หน่วย 80 หน่วย 100 หน่วยเต็มก็จึงจะทำงานได้เต็ม

เพราะฉะนั้นคนจะต้องมี อัญญธาตุ ที่เป็นธาตุใหม่ ธาตุต่างหากจากโลกียะ มีจำนวนหน่วยหรือปริมาณเกิน 75% หรือ 3 ใน 4 ส่วน ดีที่สุด

พอเริ่มต้นเป็นนิยตะก็ 3 แล้วมหาก็ เข้าไป 4 ไปเรื่อยๆ จบ เป็น 4 ก็จบมหาเป็นพระพุทธเจ้าเลย จาก 8 ก็เป็น 9 มหาก็คือ 8  8 ก็จบไปเป็น 9 สูงสุด​  หรือในศาสนาพราหมณ์ก็เรียกว่า กาลกิริยาวตาร 

จาก 9 ของพระพุทธเจ้าและเป็นปางที่ 9 ของศาสนาพราหมณ์และเขาก็เรียกว่าเป็น กาลกิริยาวตาร เป็นอวตารที่รอบ จะไปเป็นอะไรก็ได้ จะ 0 ก็ได้จะเกิดก็ได้ จะมีได้ระดับไหนก็ได้หมด กาลกิริยาวตาร เป็นผู้ที่จะมาอวตารมาเกิดก็ได้จะไม่อวตารมาเป็นศูนย์เลยก็ได้ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตย แบบไทย โดยเฉพาะหรือประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตย ที่มีธรรมะที่เป็นโลกุตตระแท้ๆ ธรรมะของคนที่เป็นอารยชน คนที่เป็นอาริยะจริงๆ หรือลดกิเลสได้จริงๆ คนที่ลดกิเลสได้จริงรู้จักกิเลสอย่างพวกเรานี้พูดกันรู้เรื่อง จนมีทั้งอรหันต์ ลดกิเลสจนกระทั่งเป็นอรหันต์ออกมาทำงานการเมือง 

พ่อครูว่า... ฟังให้ดีนะ พระอรหันต์จะออกมาทำงานการเมืองทำไม ไม่รู้อะไร โพธิรักษ์เป็นอรหันต์หรือเปล่าเป็น ออกพาทำงานการเมืองหรือเปล่า 

อาตมาเคยบอกว่าพลเอกประยุทธ์เป็นโพธิสัตว์หรือพูดถึงเป็นอรหันต์ เขาบอกว่ายังไม่เชื่ออรหันต์อะไร ยังมีโมโหอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเขาได้ลดตัวเองทันทีไหว เขาปรับตัวได้ทันทีได้เร็วไหมพลเอกประยุทธ์ มันเป็นลิงลมอมข้าวพองที่ซับซ้อนซึ่งคุณไม่รู้ความซับซ้อนของสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนพวกนี้ 

พระพุทธเจ้าเองแท้ๆยังมีลิงลมอมข้าวพอง เกิดมาก็ยังเป็นชาวโลกอยู่ตั้งนานเสพโลกียสุข แม้ที่สุดก็ไปเป็น เดียรถีย์ อยู่กับเขาตั้ง 6 ปีอีก งมงายอยู่กับท่าน 5 พราหมณ์ หลงบูชาเคารพนึกว่าจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแบบพราหมณ์เขาคิด   จนกระทั่งท่านฟื้นความจริงได้เพราะท่านมีความเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว พอมาเกิดในยุคนั้นไม่ได้ศึกษาหรอกมีแต่วิบาก แล้วก็ระลึกได้ว่าตัวเองมีความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีสัพพัญญูแล้ว ก็เลยมาบอกพราหณ์มพระพุทธเจ้าจริง พวกพราหมณ์ทั้ง 5 ก็บอกว่าล้มเหลวแล้วเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราไม่เคยบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อนเลยนะ มีแต่พวกคุณนั่นแหละเข้าใจตามคำพยากรณ์ว่าเราจะเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เราก็ไม่ได้มั่นใจไม่รู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าแต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า 

พราหมณ์ที่มีภูมิธรรมถึงผู้ที่จะเป็นผู้สืบทอดศาสนาอีก 5 รูป จึงยอมสยบเข้าใจว่า โอ้.. เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องตรัสคำเดียว และเราเองเข้าใจว่าท่านจะเป็นอย่างนั้น พวกที่ทำนายต่างหากว่าบอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะท่านมั่นใจแล้วว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูมา แต่ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธเลยในชาติที่ท่านเป็นพระสมณะโคดม มีแต่ท่านจะรอขึ้นมาประกาศว่าท่านจบปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว และปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่านเพื่อนท่านหลายองค์ก็ไม่ประกาศศาสนาไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบให้คนในโลกรู้จัก พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ท่านไม่มาประกาศท่านก็ปรินิพพานของท่านไปเอง ใครจะไปรู้จักท่าน และมีไม่น้อยพระองค์ด้วยมีมากด้วย 

เพราะว่าท่านไม่มีตัวตน ท่านไม่อยากจะเด่นจะดัง ท่านไม่อยากจะเป็นนั่นเป็นนี่แล้ว ฟังให้ชัด ใช่ไหม เป็นพระอรหันต์ก็เริ่มต้นมีคุณธรรมคุณวิเศษอันนี้แล้ว และเป็นโพธิสัตว์อยู่จนกระทั่งถึงเป็นโพธิสัตว์ระดับ 9 หรือเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็ซ้อนกันอยู่ จะเรียกสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ซ้อนกันอยู่ แต่ถ้าเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือผู้ที่บรรลุมีสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ประกาศตนต่อโลก ไม่มีศาสนาของท่าน ไม่มีศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าองค์นี้ชื่อนี้ขึ้นทำเนียบ ไม่มี ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเพราะท่านรู้โลกหมดแล้วเบื่อแสนเบื่อ ทำเพื่อพิสูจน์เพื่อปณิธานเพื่อให้รู้ว่าเราเกิดมาเป็นคนๆหนึ่ง มันสูงสุดคืออย่างไร พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งก็สูงสุดแล้ว ท่านดูแล้วท่านก็จบของท่าน ท่านไม่มีตัวตน ท่านก็ปรินิพพานไปเฉยเลย เมื่อไม่ประกาศ คนในโลกก็ไม่ได้รับรู้ว่า อ๋อ..นี่พระพุทธเจ้า แล้วก็สอนให้คนมีความรู้ ประกาศขยายให้รู้ตามปฏิบัติตามอีก 

ฟังละเอียดขึ้นนะ. แม้อธิบายประชาธิปไตยก็เป็นธรรมะละเอียดซ้อนขึ้นไปอีกเยอะ 

เพราะฉะนั้นธรรมะแท้ที่เป็นโลกุตระนั้นเป็นธรรมะของคนที่เป็นอาริยชนหรือว่าเป็นผู้ที่ลดกิเลสได้จริงๆ จนมีอรหันต์ออกมาทำงานการเมืองร่วมกันแสดงตัวตน เป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์ขึ้นไป แม้แต่เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วโพธิรักษ์ออกมาแสดงตัวทำงานการเมืองหรือเปล่า ตอนนี้กำลังรวบรวมให้ตั้งพรรคสัมมาธิปไตย แล้วจะนำพากันไปค่อยๆไป ไม่ต้องไปเร่งเครื่อง ไปตามธรรม 

ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เรื่องหาเสียง คนยังหาเสียงให้แก่ตนเองอยู่ยังเป็นนักประชาธิปไตยกิเลส เป็นนักประชาธิปไตยยังไม่เข้าใจอธิปไตย 3 ยังไม่เข้าใจอายะ 3 เป็นประชาธิปไตยโลกียะ เท่านั้นเอง 

ประชาธิปไตยนั้นผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างแท้จริงเลือกจริงๆไม่ใช่ต้องเลือกตั้ง จะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง ประชาชนเขายกให้จริงๆ คือผู้ทำงานให้แก่ประชาชน ผู้รับใช้ประชาชนจริงๆ ไม่หาเสียง ใครจะยกย่องใครจะยอมรับ ใครจะศรัทธาเลื่อมใสหรือไม่ ไม่มีปัญหา ไม่ตกอกตกใจไม่กังวล ทำงานให้แก่ประชาชน รับใช้ประชาชนหน้าเดียว ให้มีความรู้ความสามารถความเก่งที่จะช่วยประชาชนให้มากขึ้นๆๆๆๆ จบความเป็นนักการเมืองเบอร์ 1 ชัดขึ้นไหม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีคุณธรรมโลกุตระ ในประเทศไทยก็จะออกมาแสดงตัวตนไม่ได้ออกมาอวดโอ่แต่ออกมาทำงาน เป็นการปรากฏตัวตน แล้วก็ทำงานเป็นการเมืองตั้งแต่เล็กๆน้อยๆออกมาแสดงตัว ออกมาแสดงเสียง ไม่ได้ไปหาเสียงนะ ออกมาแสดงเสียงว่าฉันเป็นประชาชนคนไทยเหมือนกันนะ 1 หน่วย 1 คน 1 เสียงนะ ออกมารวมตัวกันชุมนุมประท้วง 

อย่างอาตมาพาพวกเราออกไปประท้วง มีกี่คนอาตมาไม่เคยกังวลหรอก  อาตมาไม่เคยกังวล ไม่เคยนับจำนวนอโศกที่ออกไปชุมนุมประท้วงไม่เคยนับ แต่ออกไปทำงานทำงานทำงานแล้วมีคนมาร่วมร่วมกินร่วมอยู่ร่วมเห็นด้วย จนกระทั่งเกิดการเห็นชัดเจนและมาร่วมกันโดยที่ว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ เขาก็ทำงานการเมืองของเขา เขาก็มีประชาชนเข้าใจได้พาพรรคพวกมา ก็เลยเป็น กลุ่มที่มากกว่าชาวอโศก 

มาถึงสถานีรถไฟสามเสนรวมตัวกัน ก็เป็นกลุ่มนั้นมาสมทบกับพวกเราที่อยู่ในอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อยู่บริเวณนั่นแหละที่อยู่แถวๆทำเนียบ สะพานชมัยมรุเชษฐ์ เป็นแก่นแกนอยู่เป็นหลัก จำนวนไม่มากเท่าของสุเทพ 

พอสุเทพเข้ามารวมอีก ประชาชนหมู่ใหญ่ที่มีภูมิธรรมเข้าใจว่าอ๋อ.. อันนี้เป็นหมู่มวลประชาธิปไตยแท้ๆ ก็มาสมทบอีกเป็นล้านเลย ทีนี้กี่ล้านไม่รู้ เขาประเมินกันถึงขั้น 10 ล้าน จึงถือว่าเป็นการประท้วงที่เด็ดขาด ชนะหลุดลอย ซึ่งทำมาตั้งแต่ทักษิณ 

เริ่มทักษิณนั้นมีรูปแบบ พลเอกสนธิเข้ามาปฏิวัติหน่อยหนึ่ง จากนั้นมาทักษิณก็ออกฤทธิ์เอาสมัครมา เราก็ไปประท้วง แต่ก็ยังไปอยู่ในรูปแบบว่าไอ้นั่นมันศาลตัดสิน สมัครนั้นตกไปไม่ใช่เพราะประชาชน อ้าว..ทักษิณก็ไม่ยอม ไปก็เอาน้องเขยมาอีก เอาสมชายมาเป็นนอมินีเป็นตัวแทนอีก สมชายมา พวกเราก็ประท้วงจนกระทั่งไม่ได้เข้าทำเนียบเลยสมชาย เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าไปนั่งในทำเนียบเลย เพราะว่าพวกประท้วงไม่ให้เข้าได้ 

จนสมชายตกไปอีกก็ยังมีฤทธิ์เอายิ่งลักษณ์มาอีก เราก็ประท้วงอีก เป็นประชาชนประท้วง จนกระทั่งยิ่งลักษณ์ก็จะต้องตกไปเหมือนกัน ถูกศาลตัดสิทธิ์ให้เป็นอะไรต่ออะไรจนกระทั่งออกมาหมด ทั้งขี้โกงทั้งทำลายย่อยยับ สุดท้ายแล้วก็มีผู้รักษาการแทน ผู้รักษาการก็ถูกตัดสินไม่มีอำนาจที่จะไปบริหารอีกแล้ว พลเอกประยุทธ์ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า คสช.เป็นหัวหน้ารักษาการความสงบเรียบร้อยของประเทศ เป็นหน้าที่ 

กว่าจะมารับลูกของประชาชนอยู่ตั้งนานแหนะ พ.ศ 2557 เราออกไปชุมนุมประท้วงตั้งแต่ 2549  พอนายกประยุทธ์มารับลูกต่อ ก็ต้องอาศัยรูปแบบของสภาของประชาธิปไตยโลกเขาก่อน เข้ามาทำหน้าที่ซึ่งมันต้องทำและเขาก็ตีความว่านี่คือผู้ยึดอำนาจ ใช่ พลเอกประยุทธ์ใช้คำว่าอย่างนั้น ผมก็ขอยึดอำนาจง่ายๆนะไม่ได้มีปืนไปยิงสักแปะ เขายิงกันมาแล้ว พวกสายรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้ยิงสักแปะ มีแต่พวกพวกโน้นยิงมา พวกเราประท้วงด้วยความสงบไม่มีอาวุธนี่เป็นความซ้อนอยู่ในพวกนี้ นักรัฐศาสตร์จะต้องศึกษารัฐศาสตร์บทนี้ให้ดีว่าประเทศไทยมีสองสมัยประชาธิปไตยมีประชาธิปไตยแบบพุทธ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะไม่มีใครมีหรอก เป็นปรากฏการณ์จริงประท้วงจริงๆเป็นประชาธิปไตยที่เป็นประชาชนเพื่อประชาชนโดยประชาชนจริงๆ นี่แหละคือประชาธิปไตยที่ประชาชนทำ 

เมื่อพลเอกประยุทธ์มารับช่วงบริหารก็ทำตัวเองบริหารเข้าตาประชาชน ประชาชนก็ไม่ออกไปประท้วง อาตมาก็ไม่ออกไปประท้วงแต่กลับเชียร์ด้วย ส่งเสริมด้วย แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ทำมาได้ถึง 2 สมัย 

สมัยแรกถือว่าเป็นเผด็จการเพราะยังไม่ได้รับอนุมัติจากผู้แทน พอสมัยอีก 4 ปีหลัง สภาผู้แทนส.ส.ก็โหวตกันเอาพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกอีก จึงเป็นนายกต่อมาอีก 8 ปี แล้วบอกว่ากฎหมายเป็นมาได้ 8 ปีแล้วไม่ได้แล้ว อะไรก็แล้วแต่มันซับซ้อนอยู่ เพราะฉะนั้นก็จะแก้กฎหมายกันตรงนี้ อะไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่ห่วงหรอกไม่เกี่ยงหรอก ไม่ห่วงและไม่เกี่ยงจนกระทั่งมีภาวะโรคแทรกซ้อน มี

พลเอกป้อมขึ้นมา เป็นภาวะโรคแทรกซ้อน 

อุ๋งอิ๋งแล้วยังมีพลเอกประวิตรขึ้นมาอีก มันเป็นเหตุการณ์ที่สวยงาม มันเป็นเหตุการณ์ที่บอกว่า ผู้ที่ใจใจผู้ที่เป็นแชมป์จริงๆนั้น รองแชมป์ต้องไล่มาเรื่อยๆจะต้องมารุมรองแชมป์ทั้งนั้น ถือว่ารองแชมป์อุ้งอิ้งรองแชมป์ พลเอกป้อมก็รองแชมป์ ยิ่งใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ อุ๋งอิ๋งก็เป็นตัวแทนของประชาธิปไตย ยิ่งใหญ่ประเภทที่เรียกว่าข้านี่แหละประชาธิปไตย ๆๆ พวกที่ไม่ใช่ข้าไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกวาทกรรมพวกปากมาก พวกยึดเอาคำว่าประชาธิปไตยไปเป็นของตนแต่เนื้อแท้นั้น ไม่มีเลยในความเป็นประชาธิปไตย มีแต่ตัวกูของกู ของพรรคพวกกู โกงแล้วมาแบ่งกัน โกงแล้วไม่ว่าแต่เอามาแบ่งกันอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นขณะนี้ของจริง เอาเถอะพลเอกประวิตรหรือพลเอกป้อม ก็ในระดับหนึ่ง ก็ยังมีอะไรต่ออะไรอยู่ แม้แต่ความซับซ้อนบอกว่าพลเอกป้อมก็เป็นพี่ของพลเอกประยุทธ์ นี่ก็ซับซ้อน “พี่จะฆ่าน้องหรือน้องจะฆ่าพี่”  อ้าว.. อาตมาใช้คำนี้ เอาไปคิด หรือไม่ต้องใช้คำแรงอย่างนี้ก็ได้ ใช้คำว่า “พี่จะแย่งน้องหรือน้องจะแย่งพี่” คำนี้ก็ได้ 

ใครว่าพี่จะแย่งน้องหรือน้องจะแย่งพี่ ... ส่วนใหญ่บอกว่าพี่จะแย่งน้อง 

และมันควรไหมล่ะพี่แย่งน้อง ... ไม่ควร แค่นี้ก็เป็นคุณธรรมที่พวกเราพอรู้แล้ว พี่ไม่ควรจะแย่งน้อง และน้องจะไปแย่งพี่ได้ยังไง แต่พี่นั่นแหละมันจะต้องช่วยน้องได้ และพี่จะต้องไปแย่งน้องทำไม มีแต่น้องมันจะแย่งพี่ ตอนนี้เขาเป็นน้องที่เขาไม่แย่งพี่แล้ว ฟังดีๆนะ นี่คือปรากฏการณ์ phenomenon ของประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก นี่แหละ 

ต่อไปประเทศไทยจะมีคนที่เป็นอาริยะถึงอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 4 แล้ว ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 อย่างเช่นอาตมาเป็นต้น ถ้าอาตมาขึ้นไปถึงระดับ 8 ก็จะมีระดับ 6 เหลื่อมเข้าไปหาระดับ 7 จะไปทำงานในสังคม ต่อไปจะถือว่าอาตมาพูดนี้เป็นคำพยากรณ์ก็ได้ และคนเหล่านี้ออกมาทำ จะมาแสดงตัวออกมาทำงานจริงกับโลกกับสังคมกับมนุษยชาติ คนไทยก็มาทำในเมืองไทยของไทยนี่แหละจะมาแสดงความรู้ มาแสดงความจริงใจ มีความจริงเท่าไหร่ก็เอาความจริงมามีความรู้เท่าไหร่ก็เอาความรู้มาแสดง แสดงเพื่อประโยชน์ของประโยชน์ ไม่ใช่แสดงเพื่อตัวตนของตนเอง 

เหมือนอย่างอาตมาพาพวกเรามาประท้วงตั้งแต่กลุ่มเล็กๆออกมาประท้วงและก็แสดงตนแสดงตัวตนความรู้ความจริงกันออกมา “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ”  อะไรๆก็ไปถึงสุดก็คือมีความจริงเท่านั้นแหละชนะทุกสิ่งทั้งโลก 

เพราะฉะนั้นก็ไปแสดงความจริงออกมา ไปแสดงตัวตนออกมา ผ่านเหตุการณ์มา เป็นตัวอย่างที่ล้างลัทธิทักษิโนมิก สำเร็จจนกระทั่งบรรลุผลสำเร็จ อาตมาใช้คำนี้ก็แล้วกัน เป็นความสำเร็จบริบูรณ์แล้ว บริบูรณ์แล้ว ยังเหลือเศษอยู่ที่จะสัมบูรณ์ อีกบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง 

บริบูรณ์นี้เป็น ปริ ปูรณะกับ สมะ ปูรณะ 

สมะปูรณะ สูงกว่า ปริปูรณะ

แล้วก็มีคนที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ก็เริ่มต้นตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ทำหน้าที่ตามกฎหมายในขณะนั้น ออกมาทำหน้าที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาทำหน้าที่ นั่นคือออกมายึดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งมีทั้งรูปและนาม เป็นรูปธรรมตามโลกเขา แต่นามเป็นของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคนยังไม่รู้ หรือแม้แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังเป็นลิงลมอมข้าวพองก็ปรับตัวมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ก็แสดงตัวว่าเป็นนายกตัวจริง และมีทั้งนามธรรมตามที่เป็นพุทธธรรม เพราะคนไทยนี้มีพุทธธรรมเป็นแก่นแกนจริง เป็นประธานสิ่งทั้งปวงเป็นประธานจิตด้วย เป็นธรรมะโลกุตระนี่แหละ 

คนยังเข้าใจโลกุตรธรรมที่เป็นประชาธิปไตยโลกุตรธรรมยังไม่ได้ แม้ทุกวันนี้อาตมาก็ยังพยายามอธิบายประชาธิปไตยโลกุตรธรรม แล้วก็ยืนยันประกอบอ้างอิง ทั้งหลักฐานพยัญชนะแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าพาเป็น แม้แต่บอกว่า         “หมดตัวตน รับใช้ประชาชนโดยความซื่อสัตย์สุจริต” เป็นหลักเกณฑ์ที่ให้มาอ่านมายืนยันว่า ถ้าเป็นนักประชาธิปไตยจะรับใช้ประชาชนจริงๆ มีความรู้ความสามารถและก็ซื่อสัตย์ สามเส้าแรก พลเอกประยุทธ์มีพร้อมเลย เห็นไหม จึงผ่านมาได้ด้วยความจริง ธัมโมหะเวรักขติธรรมะจารี ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม 

มีธรรมะจริงก็เลยทำมาได้จริงๆและจะเป็นตัวอย่างที่มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุปัจจัย ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยเป็นอย่างนี้ต้องเป็นเช่นนี้ Born To Be แข่งวาสนาจะมาทำเป็นแข่งวาสนาอะไรกันไม่ได้นี่คือสำนวนเก่า แข่งเรือแข่งพายแข่งไม่ได้ แต่แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ วาสนาคือสิ่งที่เป็นของตนเองสั่งสมมาตามบารมี เหมือนอย่างอาตมามาแข่งกับอาตมา อาตมาไม่แข่งกับใครหรอก อาตมาก็ทำของอาตมาไปเรื่อยๆ ส่วนใครจะแข่งกับอาตมาที่จริงควรแข่งแต่ไม่ต้องอวดดีแค่นั้น แข่งสิแข่งดีเหมือนอย่างอาตมาทำมาเรื่อยๆ ไม่ใช่มาตีรันฟันแทงอะไรกับอาตมา ทำดีมาให้มันดีเท่ากับอาตมาให้ได้ เพราะอาตมาทำมาเป็นตัวอย่างแล้ว นี่ภาษาไทยอธิบายละเอียดๆให้ฟังอย่าสับสน 

เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นหลักฐานปรากฏการณ์จริงอะไรต่างๆเกิดในประเทศไทย เป็นแบบอย่างของความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งอาตมาได้ร่วมอยู่ในการทำงาน ตั้งแต่นำประท้วงมา ทำสำเร็จขึ้นมาเป็นรายทางมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นรัฐบาลมาจนถึงที่ว่า รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์อะไรพวกนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เปลี่ยนมาแล้วมาเป็นของประชาชนพลเอกประยุทธ์แล้ว แต่เขาก็ยังไม่หมดสิ้นเยื่อใยทักษิณ เขาก็ยังจะพยายามอยู่อีก 

ทุกวันนี้นี่ถือว่าคลื่นของความเป็นประชาธิปไตยเก๊นี้ มันเป็น After Shock ปลายหางแล้ว คลื่นประชาธิปไตยเก๊ของทักษิณตอนนี้มีคลื่นอยู่เป็น After Shock  ปลายหาง ฟังเข้าใจนะภาษานี้มันเป็น After Shock ปลายหางเป็นคลื่น 

และอาตมาเคยพูดว่าลัทธิทักษิโนมิค ทักษิณนี้อำมหิตจริงๆ “อำมหิตที่จะฆ่าลูกสาว” ขอใช้ภาษานี้ 

 หรืออำมหิตครอบงำคนโง่ คนที่โง่หลงตามให้เขาครอบงำก็ อำมหิตจริงๆนะ ยอดอำมหิต ตนเองแม้แต่ลูกสาว ที่จริงมันซ้อนอยู่ว่ามันไม่ใช่มันเป็นเหตุที่เขาโง่หนักมากทักษิณ แต่เขาหลงว่าเขาฉลาดจริงๆ มันเป็นมายาและเขาเป็นตัวมายาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ใช่สิริมหามายา เขาไม่รู้ตัว 

เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นตัวอย่างความเห็นแก่ตัวให้แก่โลกเห็นชัดๆ ว่าคนมันเป็นถึงขนาดนี้ได้นะ เหมือนกับมีเทวทัตในยุคพระพุทธเจ้า ปานฉะนั้น เลวร้าย กว่าเทวทัตด้วยเพราะยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว เลวร้ายกว่าเทวทัต เอาญาติโกโยติกามาฆ่าทางการเมือง เอามาฆ่าจนกระทั่งหมดแล้ว น้องเขยก็ไปแล้ว.  น้องสาวก็ไปแล้วยังเหลือลูก เราก็จะไปบอกว่าไปแล้วก็ไม่ได้เพราะยังไม่เป็น Past perfect เขายัง continuing อยู่ 

เพราะฉะนั้นลูกคนเล็กก็ยังหลงบ้า ขอใช้คำนี้ว่ายังหลงบ้าว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ให้พ่ออำมหิต พ่อเป็นยอดอำมหิตจับมาเชิดอยู่ขณะนี้ 

นี่อาตมาพูดเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องเบาๆ เรื่องหนักๆใหญ่ๆ ใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องเบา คนอาจจะมีความรู้เหมือนอย่างอาตมารู้อยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่กล้าพูดอย่างอาตมา คนที่เขาเข้าใจก็มีเข้าใจอย่างอาตมาแต่ไม่กล้าพูด อย่างเต็มปากเต็มคำ พูด ในสาธารณะอย่างนี้ 

ไม่ใช่อาตมาอวดเก่งแต่ถึงคราวถึงกาละสิ่งนี้ต้องพูด อาตมาไม่ได้สร้างไม่ได้วางแผนมาก่อนในการที่จะพูด มันถึงคราวถึงวาระ แม้แต่อาตมาเขียนไว้ก่อนก็ยังไม่ได้อ่านถึงอธิบายถึงตรงนี้เลย อันนี้เขียนก่อนไปตั้งหลายอาทิตย์แล้ว เขียนเป็นเดือนๆแล้วถึงเอามาพูด เพราะฉะนั้นการเมืองก็ยังมีตัวอย่างเข้าใจ กำลังมีตัวอย่างที่แท้จริงให้ลอกเลียนมา

เพราะฉะนั้นภาษาที่บอกว่าประชาธิปไตยโลกุตตระนี้ ในโลกเขามีโลกียะอยู่ทั้งโลกเป็นเทวนิยมทั้งนั้น มีความรู้ประชาธิปไตยแบบโลกีย์กันอยู่ทั้งนั้น ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในประชาธิปไตยโลกุตระหรอก ที่นี้ในโลกยุค 2500 ปีนี้ ประชาธิปไตยโลกุตตระ ที่มีรากอยู่ในประเทศไทย มีรากเหง้ามีมูลกา จะเกิดเป็นตัวอย่างให้แก่โลก แม้ชาวไทยเองแท้ๆ ก็ไปเรียนการเมือง เรียนรัฐศาสตร์มาจากต่างประเทศใช่ไหม แล้วก็เอามาโลดแล่นทำงานการเมืองอยู่ในไทย มันก็ยังเป็นประชาธิปไตยโลกีย์ ตามตำราที่ในหลวง ร. 9 บอกว่า แล้วก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วก็เปิดตำราใหม่ ก็ให้เอาแบบคนจนเอาแบบก้าวหน้าอย่างมากไม่เอา ขาดทุนคือกำไรของเรา ท่านพูดไปในเชิงเศรษฐกิจ คนก็ยังเข้าใจยากอยู่ อาตมาก็ยังต้องมาขยายความและนำพาพวกเรานี้ให้จริง ให้เป็นตัวอย่าง 

อาตมาถึงยังไม่อยากตาย อยากจะนำพาพวกเราให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง มีคณะนักการเมืองเรียกว่าชาวอโศก ขึ้นไปแล้วก็ทำตามระบบเขานั่นแหละ ตามระบอบที่เขามีกฎหมายมีหลักเกณฑ์ก็ทำตามเขา เราไม่ทำผิดกฎหมายหรอก ทำไปตามนั้นแหละ แต่เราเอาแก่นเนื้อของความเป็นประชาธิปไตยหรือคุณธรรมนี้ เป็นประชาธิปไตยเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ทำอันนี้ไปเลย 

เพราะฉะนั้นสรุปลงเบื้องต้นนี้ว่า เมืองไทยจะเป็นประชาธิปไตยโลกุตระในโลกขณะนี้ เพราะมีประชาชนคนไทยที่มี DNA ของศาสนาพุทธ ตั้งแต่สร้างประเทศไทยมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อประเทศไทยถึงยุค ธรรมิกราช 2 องค์อุบัติขึ้นมาในยุคนี้ เป็นคนจริงๆ นี่ก็พูดไปแล้วมีในหลวงร. 9 กับอาตมานี่แหละ มาประพฤติโลกุตรธรรมขึ้นจริงๆเป็นปรากฏการณ์จริงเป็นฟีโนมินอล ตัวอย่างเจ้าเดียวนี่แหละ ศึกษาจากสังคมศาสตร์อันเป็นพฤติกรรมจริงของมนุษย์ที่เป็นได้ ศึกษาจากรัฐศาสตร์อันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นจริงในไทยก็ได้ แม้แต่ศึกษาจากเศรษฐศาสตร์ที่เป็นบุญนิยมที่เราพาทำนี้และเรียกศัพท์ว่าบุญนิยมว่าเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ฆ่ากิเลส เศรษฐศาสตร์ที่เป็นลัทธินิยม ism เป็น boonnism เป็นลัทธิที่ฆ่ากิเลสของตนเอง บุญนี้ชำระกิเลสของตนเอง เป็นนักฆ่ากิเลสของตัวเองไม่ไปยุ่งกับกิเลสของคนอื่น เป็นนักประหารมือสุดท้ายรองจากฌาน 4 

เพราะฉะนั้นคนทางทุนนิยม คนทางโลกียะ คนทางเทวนิยม เขาก็ยังหหลงทุน หลงกำไรหลงสะสมกอบโกยเงินทองอำนาจบาตรใหญ่ของโลกีย์หมด มันก็เห็นตัวอย่างมีหลักฐานยืนยันทั้งนั้น คนไทยที่เราทำกันอยู่นี้ ผู้ที่มีภูมิปัญญาจริงๆศึกษาเถอะ จะเห็นจริง จะเข้าใจจริง 

ไม่ไอเลยนะวันนี้ต่ออีกหน่อยหนึ่ง แต่เอาความเหมาะสมควร 

เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่าธรรมิกราช 2 องค์ ในหลวง ร. 9 ก็ทรงทำหน้าที่ของพระองค์ ยังไม่ปรินิพพานหรอก ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ที่จะต้องต่อไปอีกอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร แล้วท่านก็สิ้นพระชนม์ไปก่อน อาตมานี้ทำหน้าที่ไก่ตัวพี่ ในยุคนี้อาตมาพูดว่าไก่ตัวพี่ เป็นไก่ตัวพี่จริงๆในยุคนี้ อาตมาไม่ได้พูดเล่น 

อาตมาประกาศตนว่า อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ที่จะนำพาโลกุตรธรรมนี่แหละ คืออาตมานี่มันพร้อมทั้งรูปทั้งนาม และพาไป ในหลวงท่านก็นำทำรูป ส่วนอาตมามาทำทั้งสองอย่างทั้งรูปทั้งนามให้ชาวพุทธนี้ นำพาชาวพุทธ ซึ่งที่จริงแล้วพุทธมันเสื่อมๆแต่ก็แน่นอน ผู้แสวงหาผู้ที่เป็นอาริยะที่จะต้องพากเพียรให้เจริญเป็นอารยธรรมมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี คนไทยที่อยากได้ของจริง เป็นคนแสวงหาที่จะได้    ธรรมะโลกุตตระจริงๆ สัมมาทิฏฐิจริงๆเขาก็จะ ค่อยๆ เห็น 

ตอนนี้พวกที่ขัดแย้งต่อต้านอาตมาก็เบาลงไป จนกระทั่งแม้แต่เอาหลักเกณฑ์ของโลกกฎหมายมาทำให้อาตมาแพ้ และอาตมาต้องแพ้และต้องถูกผู้พิพากษาลงโทษติดคุก หกเดือน แต่รอลงอาญา เมื่อหมดรอลงอาญา 2 ปีก็หมดสิ้น เราก็มาอยู่นอกคุก 2 ปีตามคำตัดสินกฎหมายแล้วก็จบแล้ว เถรสมาคมก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาเพราะเอาธรรมะมาสู้กับอาตมาเขาก็สู้ไม่ได้ เขาเอากฎหมายมาสู้ทั้งๆที่จริงนานาสังวาส เถรสมาคมทำอะไรอาตมาไม่ได้ อาตมาประกาศบอกแยกไปแล้ว มาฟ้องไม่ได้อธิกรณ์อาตมาไม่ได้นั่นแหละ เถรสมาคมไม่มีความรู้มาฟ้องอาตมาก็ละเมิดธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอาบัติ ซึ่งอาตมาก็เคยแยกแยะไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นสรุปเข้าหาเรื่องที่เรากำลังพูด เพราะฉะนั้นอาตมาก็มาเป็นธรรมิกราชที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เอาไว้ใน อาณิสูตร ก็ยืนยันพิสูจน์กับอาตมาไปว่าอาตมาเป็นใครคนนั้นคนนี้จริงๆอย่างที่ว่าไหม 

เพราะฉะนั้นมันมีสภาพจริง มันมีอะไรอ้างอิงยืนยันหลักฐานตามพระไตรปิฎกหลักฐานคำสอนที่พูดตามๆกันมา เป็นตำนานก็มีหลักฐานในพระไตรปิฎกก็มี ตำนานก็มีที่ไม่ได้บันทึก ในพระไตรปิฎกก็มารวมกันหมดตรงกันหมด เอามายืนยัน และก็พิสูจน์จริงลงไปสิ อย่างในยุคนี้แหละ พวกคุณเป็นคนในยุคนี้ติดตามพิสูจน์จะได้ดูสิ่งที่จริงและที่ดีที่สุดในความเป็นมนุษย์ 

เพราะฉะนั้นในวงการศาสนาที่แม้แต่จะเสื่อมแล้ว เราก็พยายามที่จะพัฒนาขึ้น จากที่ไปหลงใหล คนที่หลงใหลก็ยังหลงใหลติดยึดอยู่ ยังไม่รู้ตัวก็ยังเยอะในวงการสงฆ์กระแสหลัก เอาเถอะ ก็ขอสรุปไว้ตรงนี้ก็แล้วกันว่า 

อย่างไรก็ตามประเทศไทยคือ ประเทศที่มีประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ไม่มีในตำราในต่างประเทศหรอก ไม่มี นอกจากตำราในประเทศไทยนี่แหละ แล้วตำราที่เป็นประชาธิปไตยโลกุตระนั้น อาตมาได้เขียนขึ้นมาเรียกมันว่าตำรารัฐศาสตร์ เขายังไม่รู้หรอกว่านี่คือ ตำรารัฐศาสตร์ที่แท้จริง เศรษฐศาสตร์ด้วยสังคมศาสตร์ด้วย แต่เขาจะไปแยกกันเอง ผู้รู้ต่อไปจะไปแยก 

รัฐศาสตร์เอาไปทางนี้อย่างโพธิรักษ์พูดรัฐศาสตร์แบบนี้ โพธิรักษ์พูดเศรษฐศาสตร์แบบนี้ โพธิรักษ์พูดสังคมศาสตร์แบบนี้ ต่อไปจะมีคนไปแยกเอง อาตมาก็พูดรวมๆไปทั้งหมดไม่ได้ไปพูดแยกกันทีเดียว ให้มันเกิดการสังเคราะห์สังขารกันไป 

เพราะฉะนั้นอาตมานี่แหละเป็นผู้เขียนตำรารัฐศาสตร์เอาไว้ตามประสาของอาตมา อ้าว.. พักยกวันนี้ไว้ก่อน อธิบายมาถึงหน้า 6 แล้ว ร่างไว้ถึงหน้า 13 ยังมีเวลาต่อไปอีก แม้งาน 88 ปี 8 เดือน 8 วัน จะหมดลงไปแล้วงาน แต่การบรรยายธรรมะอันเป็นโลกุตระ ก็ยังจะต้องอธิบายกันต่อไปอยู่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ติดตามฟัง เอาล่ะ ถึงตรงนี้อาตมาก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้...เจริญธรรมทุกคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3  วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2566 ( 06:06:55 )

660215

รายละเอียด

660215 ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53024.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1SP96dvpdXXs2EHnfN35oPeevM5HFeeqBqchPYSHDKDw/edit?usp=sharing                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1sPakV0XMRGTrWnQFs3-_ruN9kpqTQwF2/view?usp=share_link 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/xDyg9o3Q3R8 

และ https://fb.watch/iIzO2YaGQi/ 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ อาตมารู้สึกว่ายังอีกเยอะเหมือนกันนะกว่าจะถึงงานพุทธาภิเษก แต่เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันเอง ก็คงจะไม่ยาวแล้ว 

งานมีตอนต้นเดือนมีนาคมประมาณวันที่ 5 จะเข้าสู่งานพุทธาภิเษก เราเพิ่งจบงาน อัฏฐาริยสัจจายุ การจบงานนั้นเป็นเหมือนที่เราจะเริ่มปฏิบัติการทำความแข็งแรงให้เกิดขึ้นอย่างไร ที่สันติอโศกมีสมณะผู้เฒ่ารูปหนึ่ง ท่านพยายามทำร่างกายของท่านให้แข็งแรง แม้จะอายุ 84 ถึง 85 แล้ว ตื่นเช้าเจอหน้าอาตมานมัสการ ท่านก็จะบอกว่า Stronger Together 

ตอนนี้สมณะที่บ้านราชมีข้อต่อรองกันว่า ตอน 14:00 น ทุกวันจะออกไปทำงานภาคสนาม วันนี้ก็ออกไปเก็บถาดเพาะกล้า ซึ่งมันมีจำนวนมากยังไม่หมดเลยทีเดียว ทำให้เกิดความแข็งแรงร่วมกัน ท่านฟ้าไทเสนอว่า ใน 1 เดือนน่าจะเดินรอบบ้านราชสักวันหนึ่ง แต่มีเป็นพันไร่ ไม่รู้จะเดินรอบทั้งหมดหรือเปล่า เป็นการเดินไปลงรายละเอียดให้พวกเราทำพื้นที่ให้สมบูรณ์ 

งานนี้ว่าจะทำหนังสือเป็นที่ระลึกสักเล่มหนึ่ง แต่โรงพิมพ์ทำให้ไม่ทันในงาน แต่ก็จะเอามาส่งที่สันติอโศกในวันพรุ่งนี้ ลองขึ้นภาพให้ดูหน่อย ภาพปกหน้าเป็นภาพพ่อท่าน นั่งถือปุ้งเต้าเซ้าสิ้ว ส่วนภาพปกหลังเป็นภาพพ่ออภัย แม้เราไม่ผิดเราก็ยอมแพ้ได้ ประโยคสุดท้าย ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด เป็นภาพรูปปั้นหน้าป้ายราชธานีอโศก

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พ่อครูเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อบวชได้ 45 ปี เขียนไว้แต่ไม่ได้พิมพ์ออกมา เขียนเล่าถึงอัตตะชีวะประวัติ บวชมา 45 ปี ได้อะไร ใช้สำนวนภาษาง่ายๆ เป็นภาพ 4 สีทั้ง ตอนท้ายจะประมวลความรักของพ่อครูในมิติต่างๆ รักษ์โลก ก็รักศาสนา รักมนุษยชาติ 

รักมนุษยชาติอธิบายให้เห็นบุญญาวุธ 7 ประการ ที่พ่อครูเคยสาธยายไว้ หนังสือเล่มนี้มีความหนาประมาณ 100 กว่าหน้า อีก 2 วันจะมาถึงบ้านราช ส่วนที่สันติอโศกก็ไปติดต่อขอรับได้ สีมาฯ ศีรษะฯหนังสือคงได้ก่อน ที่อื่นคงรอจังหวะรถไปรับหนังสือที่สันติอโศกเอาไปส่งให้ 

ตั้งใจจะออกในงานแต่โรงพิมพ์เร่งเต็มที่ก็ได้ประมาณนี้ เป็นควันหลงที่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกในงานนี้ 

พ่อครูว่า...ขอโอภาสปราศรัยกับแฟนานุแฟนที่ส่งมา 

_ร.ต.ท.ชัยพงค์ บุญพรหม…

อัฏฐาริยสัจจายุ

--~~ 8 ~~--

@ บันลือสีหหน้าด  ป่าวป้อง  ธรรมเฮย

เสียงเอ่ยธรรมแท้ถ่อง พ่ออ้าง

มุ่งสืบต่อศาสน์พ้อง พุทธะ เจ้านา

โลกุตระสร้าง ส่องหล้าแสงงามฯ~

--~o~--

อ๊อด : ประพันธ์

ร.ต.ท.ชัยพงค์ บุญพรหม

พ.15 กุมภ์.66(เช้า)

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร ...ในความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อท่านที่มีต่อลูกๆทุกคนเทียบเท่าฟ้าดินและมหาสมุทร ลาดลุ่มลึกไม่โกรกชัน

เนื่องในวัน อัฏฐาริยสัจจายุ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน

ลูกๆขอน้อมถวายความคิดดี พูดดี ทำดี คือ กรรม 3 ที่พ่อท่านเคยสอนสั่ง เป็นปฏิบัติบูชาด้วยเศียรเกล้า

กราบนมัสการครับ

 

SMS วันที่ 11-13 ก.พ. 2566

 

4 หลักใหญ่ของความเป็นมนุษยชาติที่เจริญ 

_ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม  · น้อมกราบบูชาพ่อท่านที่เคารพอย่างสูง..เนื่องในวาระครบรอบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ขอให้พ่อสุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร..ให้ความรักแก่คนทั้งโลกตราบนานเท่านานนะคะ

พ่อครูว่า... ให้ความรักของคนทั้งโลกนี้เป็นจิตของอาตมา ตามที่เขียนเอาไว้ว่าคนเรามันมีกรอบขอบเขตของจิตที่มีทั้งความรู้ มีทั้งความไม่รู้ แล้วก็ทำให้ตัวเองเกิด เป็นความรู้ที่ไม่ดี มันเลวร้ายมันทำให้เกิดบั่นทอน และก็ยังทำให้เกิดความรักที่แคบแค่เริ่มตั้งแต่มิติที่ 1 ดังที่ได้เขียนมาแล้วตั้งแต่กามนิยม จนกระทั่งจบถึงโพธิสัตวภูมินิยมทีเดียว หรือพุทธนิยมสูงสุด 

จริงๆแล้วที่เขียนความรัก 10 มิติ ออกมาก็เคยพูดถึง เมื่อตอนไปเทศน์ไปบรรยายธรรมะอยู่ที่เชียงใหม่ ก็ขึ้นมาเอง ไม่ได้ไปร่างไม่ได้ไปคิดว่ามันจะมีอะไรขึ้นมาขณะเดินทางไป เสร็จแล้วทั้ง 10 ความรักมันก็เรียงร้อยออกมาเลย ก็เลยเทศน์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วก็ไปเทศน์ต่อที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่ 2 ครั้ง เขาก็นำคำเทศน์นั้นมาเขียนพิมพ์เป็นหนังสือความรัก 10 มิติ 

มีฉบับที่เอาคำพูดคำเทศน์ของอาตมาโดยตรง 2 ครั้งติดต่อกันไว้ เป็นความรัก 10 มิติขึ้นมา จนอาตมาได้มาพยายามสรุปเรียบเรียงอีกทีเป็นเล่มความรัก10 มิติฉบับเรียบเรียงก็สั้นขึ้น กระทัดรัดขึ้น มันก็เป็นการเรียบเรียงเข้าแก่นเข้าเนื้อไม่มีสิ่งที่เยิ่นเย้อวน ตัดออกไปบ้างก็ชัดเจนขึ้นมาหน่อย 

ก็เป็นหนังสือที่เอาไว้ศึกษาให้พวกเราได้ศึกษาตั้งแต่มัธยม 1-6 ก็บอกแล้วในพวกเรา สัมมาสิกขาก็ให้ศึกษากัน ครูก็ต้องพยายามรู้ด้วยแล้วก็เข้าใจแล้วก็อธิบายเพราะมันเป็นความจริงที่มนุษย์มี และพึงเอามาสอนกันแนะนำกันให้เป็นให้มี มีความรักที่วิเศษประเสริฐเลิศยอด 

หอมหัวใหญ่ที่อยู่ข้างอาตมา เขาเอามาโชว์ไว้ มาจากสวนหน้าโรงปุ๋ย มันผ่องใสลูกโตงาม น่าเอาเข้าปาก หวานแน่นอน ดูตรงใบมันเขาเอามามันซีดแล้ว เส้นผ่าศูนย์กลางเกือบนิ้ว 1 ตรงใบมัน แล้วก็เอามาถักเปียไว้โชว์ ทั้งแปลงผักก็คงจะมีเยอะ แบ่งกันกิน กินไม่ทันก็ส่งกันไป มันจะงอกจะเสียก็ส่งให้พวกเรากิน 

อาตมายิ่งเห็นในเรื่องนี้แล้วก็ขอสนับสนุนส่งเสริมอีก ทำให้มากตามที่อาตมามี Motto ไปแล้วว่า 

1.อย่าเป็นหนี้ 2. พึ่งตนเองให้รอด ทำอยู่ทำกินเพื่อตัวเองจะได้ใช้ได้กินที่ตนทำให้รอด 3. ทำให้มากๆเกินที่ตัวเองกินใช้ขึ้นไปมากเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี เป็นคุณภาพเต็มๆนั่นแหละ 4. เอื้อเฟื้อเจือจานแจกจ่ายแก่ผู้อื่นไปมีใจเกื้อกูลให้ได้ 

นี่เป็น Motto 4 คำที่เป็นหลักใหญ่ของความเป็นมนุษยชาติอันเจริญเป็นผู้ประเสริฐจริงๆเลย ซึ่งอาตมาก็พาพวกเราทำ ทำมาได้ประมาณนี้ ซึ่งอาตมาก็เห็นว่ามันเกิดความจริงได้เท่าที่มันเป็นอยู่ แล้วมันก็เห็นจริงว่ามันน่าอิ่มเอมใจจริงๆภาคภูมิใจที่คนเราเจริญขึ้นมาพัฒนาขึ้นมา มีคุณธรรมคุณภาพได้ประมาณขนาดนี้ ทำให้ดีกว่านี้ขึ้นไปอีกเถอะทำไป ความเจริญนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราไม่เคยสันโดษในกุศลธรรม เจริญขึ้นไปอีกในยุคในสมัยที่มีเหตุปัจจัยทั้งผู้คนทั้งอาวุธที่ไม่ใช่เข่นฆ่าเป็นศาสตรา แต่เป็นศาสตราที่เป็นธรรมะเอาความรู้เป็น    ธรรมาวุธที่สามารถที่จะอุ้มชูเกื้อกูลช่วยเหลือเรียกว่า โลกานุกัมปายะ

พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ได้อย่างแท้จริง 

_ณัชวรรณ ศรีพัฒน์ส่องแสง · เห็นท่านพ่อครูเดินกำลังไม่ตกเลยสุขภาพแข็งแรงเดินเร็วด้วยคะ นอบน้อมกราบๆๆ สาธุด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าเจ้าคะ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้แกล้งทำแอคท่าอะไรนะ มันเป็นธรรมชาติของอาตมาที่ทำได้มีอย่างจริงเป็นธรรมดาแล้วก็เพื่อตัวเอง ผู้อื่นเห็นแล้วก็เข้าใจมีความปาสาทิกะ เป็นสิ่งที่นิยมชมชื่นทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย ก็ทำตาม อาตมาก็พาพวกเรามาทำตามด้วย มันเกิดจริงเป็นจริงแล้ว มันสำเร็จคุณค่าความดีงามของมนุษย์ในโลกในสังคม 

_ทรงยุทธ บี๋ : ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพและขอร่วมแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อความรักของพ่อครูที่มีต่อมวลมนุษยชาติในวาระที่ท่านมีอายุครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ด้วยการปฏิบัติบูชา เดินเร็ว 1 หมื่นก้าวขึ้นไป โดยจะปฏิบัติต่อไปทุกครั้งที่มีโอกาสเดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะครับ ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 7 ก.พ. 66 ผมเดินได้ 10820 ก้าว 7.5 กิโลใช้เวลา 2.4 ชั่วโมงครับ มีฉันทะเพื่อความแข็งแรงของร่างกาย (ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงของผม) เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมลดละกิเลส ตามแนวทางธรรมะที่ถูกตรงที่พ่อครูบอกสอนครับ"

พ่อครูว่า... ที่จริงเดินไม่ต้องเร็วมากก็ได้ 10,000 ก้าว นี่เป็นเกณฑ์จำนวนมากสำหรับผู้อายุยาวแล้ว ในหลวง ร. 9 ท่านก็เดินแต่ตอนนี้บอกว่าเป็น 10,000 ก้าวเลย…ดี อนุโมทนา 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · พ่อครูสอนดีมากเลยค่ะ ขอให้ท่านมีความสุขร่างกายแข็งแรงนะคะ เพราะจะได้มีอายุ 151 ปี เป็นผู้สอนการผลิตสินค้าและบริการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยพ่อครทำดีที่สุด จงชนะมารที่ทำให้ป่วย สุขภาพพ่อครูจะต้องแข็งขันเบิกบานให้ลูกมีกำลังใจดีของพวกเรานะคะ

พ่อครูว่า...ถึงวันนี้แล้วอาตมาชักไม่อยากใช้มาตรฐาน 151 ปีมาใช้แล้ว มันเป็นไปได้ยากจึงตั้งเป้าว่า 133 พอไปถึงอายุ 133 ค่อยดูกัน ดูความจริงกันว่า มันจะ อีหลากอีเลื่อ ไปถึง 151 ไหม โยมสาธุ... สาธุแล้วไปด้วยกันนะ อย่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว อย่ารีบไปก่อนนะ ช่วยกันไป เพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติธรรม 

_ดวงธรรม โล่ห์เมฆินทร์  · ลูกขอกราบเท้าองค์พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยสุดเกล้าเคารพรักและสักการะบูชายิ่ง..ขอนิมนต์พ่อครูอยู่ให้ถึงอายุ150 ปีเพื่อดูความเจริญของพระพุทธศาสนาที่พ่อท่านได้สร้างได้ต่ออายุของศาสนาพุทธแท้ๆมาให้เห็นกับตาของพ่อท่านครับ..!

พ่อครูว่า...ถ้าอยู่ก็คงได้เห็น ถ้ายังมีสติรับรู้อะไรได้ดี ก็ Try and Try

เข้าสู่เนื้อแท้โลกุตรธรรมอย่างมีลำดับ

_กรรณิกา หนึ่งน้อย  · กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพสุดเศียรเกล้า...ลูกขอตั้งจิต..จะกลับอโศกแผ่นดินพุทธให้เร็วที่สุด..ลูกขอใช้วิบากกรรมให้ครอบครัว..เป็นครั้งสุดท้าย..ลูกจะกลับมาอยู่กับพ่อค่ะ...กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า...ดี ที่ตั้งใจไว้ ก็คงมีคนที่ตั้งใจอย่างคุณุณกรรณิกาอยู่หลายคู่หลายคน คนแต่ละคนมีวิบากไม่เหมือนกันไม่เท่ากันมากบ้างน้อยบ้าง ก็พยายามเท่าที่มีเท่าที่ควร อย่าเพิ่งไปหักรานอะไร ที่เห็นว่ามันจะทิ้งภาระ ทิ้งวิบากอะไรไว้มากเกินไป ทำให้ดูพอเหมาะพอควรแล้วก็มารวมกัน ทางบ้านราชนี้มี 777 คน เป็นสมาชิกเต็มที่เลยนะ แล้วนอกนั้นจะมีเพิ่มไปๆมาๆไปหา 1,000 หรือเกิน 6,000 ไป เราสร้างคนแล้วก็ทำให้คนมีคุณภาพ มีสมรรถนะ แล้วก็มีพฤติกรรมอยู่ในสังคมมนุษยชาติอย่างนี้ช่วยกัน ปลูกหอมจนกระทั่งสวยอย่างนี้ปลูกผักคะน้า กะหล่ำปลี ที่กองอยู่ข้างหน้าอาตมา เรารู้สึกนะ แต่คนอื่นเขาจะรู้สึกรู้สา ก็ไม่รู้ล่ะ 

แต่ดูแล้วทั้งพวกเราในที่นี้และบวรอื่นๆ พยายามมาสมทบเพื่อจะยืนยันความจริงนี้ จะว่าอวดว่าอ้างก็ใช่ จะว่ามันก็ไม่เชิงอวดอ้างอะไรหรอกแต่อยากจะให้ท่านๆทั้งหลายที่เป็นผู้เป็นคนทั่วโลกเลย ให้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่เป็นหนึ่งในโลก อาหารที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่เกี่ยวกับปศุสัตว์ ไม่เกี่ยวกับประมง  ไม่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ไม่ใช่เรื่องเนื้อปู ปลาอะไรเป็นประมงก็ไม่เกี่ยว พืชพันธุ์ธัญญาหารล้วนๆไม่มีวิบาก ไม่ก่อวิบากจริงๆ ใครจะเชื่อก็เชื่อ  ไม่เชื่อก็บังคับกันไม่ได้หรอก เราต้องพยายามทำจริงๆ ช่วยอาตมาพยายามพากเพียร ใครที่ยังไม่เห็นดีเห็นงามไม่เคยลงดินไม่ติดดิน ไม่มาเป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ให้ลงมาเถอะ ไม่ได้เป็นความตกต่ำ แต่เป็นความเจริญเป็นความสูงที่สุด 

คำว่า กษัตรา แปลมาจากรากศัพท์คำว่า เกษตร กษัตรา มีรากศัพท์มาจากคำว่า เกษตร คำว่า เกษตรนี้คือเขต ในภาษาบาลี เขตก็คือแผ่นดิน พื้นแผ่นดิน เราเกิดมาเป็นสัตว์โลก คนเกิดมาเป็นสัตว์โลก มีจิตนิยาม สัตว์มันกินธรรมชาติๆสร้างให้มันเท่าไหร่ มันก็เก็บกินหากินอยู่ที่แดนถิ่น ที่มันแล้งไร้หาไม่ได้ มันก็ไปหาที่อื่น มันปลูกไม่เป็น มันทำขึ้นมาไม่เป็น 

แต่คนนี้มีความรู้ปลูกเป็นสร้างเป็นทำเป็น จนงอกงามจนเจริญ รู้แม้กระทั่งว่าธาตุของแต่ละพืชแต่ละพันธุ์ที่มันมีคุณภาพมีคุณประโยชน์ ที่มันจะเสริมสร้างใช้ในชีวิตนี้ เพราะว่าพวกแพทย์ก็ตาม วิทยาศาสตร์ก็ตาม โภชนาการก็ตาม ศึกษามาหมดแล้ว ธาตุต่างๆทางเคมีทางฟิสิกส์ก็สามารถรู้ได้ว่า อะไรควรอะไรดีอะไรรักษาพันธุ์พืชต่างๆ แล้วก็เอาไว้หมุนเวียนปลูกสร้างให้กินได้ 

คนเราเจริญมาถึงทุกวันนี้ ผู้ที่สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารคือคนประเสริฐ คือคนดี ผู้เอาเวลา แรงงาน ทุนรอนไปสร้างอาวุธ ไปสร้างสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมอมเมา พวกนั้นนอกจากจะทำร้ายกัน เป็นบาปเป็นวิบากแล้ว ยังไร้สาระ เป็นโทษเป็นภัย ไม่ควรแก่การที่จะส่งเสริมที่จะไปเที่ยวหลงเสียเวลาและก็สร้างวิบากกันไป ผู้รู้ก็ขึ้นมา ขึ้นมารวมกัน 

เรื่องของวิบากกรรมในชีวิตเป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเอาตื้นๆง่ายๆไม่ได้ ต้องมาศึกษาและประพฤติปฏิบัติจริงจนเรารู้เราเกิด ระลึกชาติได้ การระลึกชาติได้ไม่ใช่การระลึกเป็นตัวตนเรื่องราวเป็นสตอรี่เลย ว่าจริงๆและเราเคยเกิดเป็นชื่อนี้คนนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นภาษาที่หยาบๆชัดๆ แต่ยากที่คนจะระลึกขึ้นมาแล้วเขาก็รู้ความจริงอันนี้ได้ทั้งหมด แต่จะมีคุณธรรมที่สามารถระลึกได้เรียกเป็นคำต้นว่า สัญชาตญาณ การเกิดมาแล้วก็มีสัญญะ สัญญา จำได้มาเกิดในชาตินี้ และที่เป็นความจำเก่า มันก็เกิดอัตโนมัติมาให้เราเป็นอย่างนี้ 

สัญชาติญาณสัตว์โดยมากมันก็รู้ว่า มันเป็นสัตว์ เช่น ลูกจิงโจ้มันเกิดมา มันก็รู้ว่าจะต้องไปหาที่อยู่มัน มันก็พยายามเดินเข้าหากระเป๋าหน้าท้องของแม่ แล้วก็มาเจอพักอยู่ในหน้าท้องจนโต กว่าจะออกจากกระเป๋าฟักตัวอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ อาศัยแม่ กินนมแม่ อย่างนี้เป็นต้น
หรือสัตว์อื่นๆก็ตามแม้แต่คนก็มีสัญชาตญาณคน เลี้ยงดูกันได้ มีความแตกต่างกันไม่เหมือนกับสัตว์อีกหลายชนิด สัตว์คนนี้ ถ้าแม่ไม่เอาใจใส่ก็ตาย สู้สัตว์อื่นอีกหลายชนิดไม่ได้ที่มันอยู่กับแม่เกาะติดเลยอย่างเช่น ลิง เป็นต้น กินนมแม่ก็ไม่ลงจากตัวแม่เลยด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น จนโตหลายชนิดมันก็จะเห็นได้ 

เพราะฉะนั้นในสภาพของสัจธรรมพวกนี้ คนเราเกิดตาย ตายเกิดเกิดตายศึกษาเรียนรู้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่อาตมาพูดแล้วพูดอีกไม่รู้กี่ที ท่านไม่ได้เรียนรู้อะไรยิ่งใหญ่เท่าเรียนรู้เรื่องความเป็นคน กับความเป็นสังคมมนุษยชาติ 2 คำนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดจนกระทั่งสุดท้าย ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ไม่ไปทำงานอื่น นอกจากงานที่ทำกับมนุษยชาติ สอนให้พัฒนาสร้างตนเองให้มีวิบากที่ดี มีวิบากที่เป็นกุศลและเรียนรู้เรื่องสัจธรรมที่เป็นอริยสัจ 4 ดับทุกข์อริยสัจให้ได้สูงสุด นี่คือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ค้นพบ เป็นสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจบแบบนี้ นี่แหละคือหลักใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้นพวกเราชาวอโศกมาเกิดมาในยุคนี้ อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ขึ้นมา นำสิ่งที่มันเสื่อมซึ่งเสื่อมจริงๆ อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปหลงตัวหลงตนอะไร พุทธศาสนาโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้าก็เสื่อมมาจนถึง 2,500 กว่าปี อาตมาอุบัติขึ้นมาก็พัฒนาศาสนาขึ้นมาใหม่ด้วย อาตมาเป็นผู้นำเป็นไก่ตัวพี่ ไม่ได้หลงตนแต่พูดจริง 

แล้วก็นำพาปลูกฝัง ผู้คนเข้าใจ อธิบายนำพาจนเกิดกลุ่มชาวอโศก นี้คือคนเชื้อแท้ กลุ่มแท้ที่เป็นกลุ่มคณะพลเมืองที่ชื่อว่า พุทธศาสนิกชน นี่คือเนื้อแท้ของโลกุตธรรมได้ ไม่ใช่มีแต่โลกียธรรม ที่เป็นของศาสนาอื่นทั้งหมด แต่พุทธก็มี โลกียธรรมที่ละชั่วประพฤติดี​ แล้วดีจริงๆดีถาวรด้วย ดีอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของความเป็นโลกียธรรม 

โลกียธรรมไม่เที่ยงแต่เราก็ดีได้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ ในแต่ละยุคแต่ละการ เกี่ยวกับก็เอามุมเหลี่ยมที่เกี่ยวทุกอย่างทั้ง กาละ เทศะ ฐานะ ดีสุดอันไม่เที่ยง กาละไม่เที่ยง เทศะไม่เที่ยง  ฐานะไม่เที่ยง แต่ในยุคที่ดีที่สุดในปัจจุบันก็ดีทั้งนั้น ยิ่งกว่าโกุตรธรรมที่เป็นของเที่ยงแล้วก็เป็นศูนย์ หรือนิพพานปรินิพพาน ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของสัจธรรมที่ใช้พยัญชนะเรียกกันอยู่นี่ ทำได้จนเกิดมนุษย์ประเสริฐ มนุษย์เจริญที่เป็นโลกุตรธรรมอย่างแท้จริง แล้วก็มีพฤติกรรมรวมอยู่เป็นมนุษยชาติ เกิดปรากฏการณ์ของกลุ่มคน ที่เป็นตัวจริง ตามพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาศึกษาปฏิบัติจนเกิดเป็นจริงได้ขนาดนี้ 

_พอใจ รักดี  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ พ่อครูพูดถึงเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวกับทาลิปสติก ลูกสดุ้งเลยเจ้าค่ะ ลูกจะไม่ซื้ออีกแล้วเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...คงจะทาลิปสติกอยู่สิ ดีเกิดความรู้ความสว่างแจ้งเห็นจริงว่าเรางมงายไปหลงยึด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านสอนในรูปรส กลิ่นเสียง สัมผัส พวกนี้ อ๋อ ..อย่างนี้เองสัจธรรมพระพุทธเจ้า เราเคยไปหลงงมงายอยู่ในสิ่งที่ควรเลิก 

อาตมาเคยมีเพื่อนทำงานอยู่ในวงการดารา ตอนนี้เขาเสียไปแล้ว เป็นดาราเขาชอบแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม อาตมาพูดถึงตรงนี้พูดไปพูดมา อาตมาพูดตอนนั้นปฏิบัติธรรมอยู่ก็เลยพูดชัดๆแรงๆ เขาโกรธอาตมาเลย​ เขาอายุมากกว่าอาตมา หลังอาตมากำลังใกล้จะออกมาอยู่ทางธรรมะ

ตอนนั้นอาตมาใช้ศัพท์ลบหลู่ความสวยความงามพวกนี้ เขาก็สะเทือนใจหรือว่ารับไม่ได้ คือคนเรานี่สิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้วเราหลงว่าดี พอได้รู้ว่า จริงๆมันเป็นความหลงผิดที่ไปติดยึดมันไม่ดี พอเห็นว่าไม่ดี ไม่ดีที่สูงขึ้น 

มีขึ้นภาพอารีย์ นักดนตรีและ สว่างจิตร  อารี นักดนตรี ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนสว่างจิตรนั้นดูเหมือนจะเสียไปแล้ว นี่ก็พูดถึงความเก่าเพื่อย้ำยืนยัน ไม่ใช่ดูถูกดูแคลน 

เกาหลีเหนือกับอเมริกาใครน่าสงสารกว่า 

_ไผ่แก้ว  · พ่อท่านบอกว่าเกาหลีเหนือน่าสงสาร แล้วอเมริกา ใครน่าสงสารกว่าคะ

พ่อครูว่า...ต้องพูดเป็นหลายๆ นัย อเมริกากับเกาหลี ใครน่าสงสารกว่า มันน่าสงสารทั้ง 2 ประเทศแหละ คำว่าสงสารนี้อาตมาก็ลงรายละเอียดแล้วว่ายังเห็นอยู่ว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องวิบาก ยังไม่เข้าใจเรื่องการเกิดการตาย ความหมุนเวียนของชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะวิบากกรรมต่างๆ น่าสงสารทั้งคู่

จะบอกว่าใครน่าสงสารกว่ากัน จริงๆแล้ว ลึกๆละเอียดอเมริกาน่าสงสารกว่าเกาหลี เกาหลีเขาอยู่ในวงแคบ เหตุปัจจัยต่างๆของเกาหลีเขาพยายามจะอวดเก่ง แล้วก็ไปหลงติดยึดกับลัทธิคอมมิวนิสต์จนจัดจ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์คือลัทธิที่เห็นแก่ตัว นึกว่าตัวเองแน่ ตัวเองเก่งยิ่งกว่า แต่คนที่เก่งอย่างนั้นเริ่มต้นแรกเขาเรียกว่า จอมเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จอมเผด็จการ 

เสร็จแล้วคอมมิวนิสต์แล้วเป็นคอมมิวนิสต์เข้าไปเป็นตัวกูของกูเลย ตัวตนของตัวตนเลย จะให้เก่งกว่าเผด็จการเข้าไปอีก โดยคลุมกลุ่มหมู่อีกซ้อน 

คอมมิวนิสต์คือการเผด็จการด้วยหมู่ แต่อันนี้จะไปเหนือหมู่เขาอีก เหนือตัวที่ใครที่แน่ที่สุดอวดเก่งที่สุดซ้อนเข้าไปอีก ภาษาง่ายๆพระพุทธเจ้าสอนคำว่าโลกกับคำว่าอัตตา ในความเป็นอัตตา นี่เป็นคอมมิวนิสต์ ในคำว่าโลก เป็นของประชาธิปไตย 

เพราะฉะนั้น ทั้งประชาธิปไตยหลงใหญ่เป็นเจ้าโลก ทั้งคอมมิวนิสต์ที่หลงตัวตน อัตตาตัวตนอย่างหนัก จะว่าแล้วใครหนักกว่า ใครน่าสงสารกว่าใคร ใครจะหลุดออกจากใคร มันไปชี้ไม่ได้เลยว่า ใครจะหลุดออกจากประชาธิปไตยพิการหรือคอมมิวนิสต์พิการ หรือประชาธิปไตยวิปริตกับคอมมิวนิสต์วิปริต 

อาตมาไม่สามารถจะตัดสินได้ว่าใครจะบ้าเหนือใคร เพราะว่าทั้ง 2 อย่างหลงเป็นพญาครุฑกับหลงไปเป็นพญานาค คนละทิศทางที่ไม่ควรเป็นทั้งคู่ อาตมาก็ตัดสินไม่ได้เลยว่า ใครจะนานกว่าใคร ใครจะจมดิ่งกว่าใคร  แม้แต่พวกพญาครุฑ เหินฟ้าไกลลิบ เกินกว่าจะหามนุษยชาติตรงกลาง มันหลงตัวเองไปใหญ่ไกล 

พวกนี้ไปติดอยู่ใต้บาดาลคือ นาค จมอยู่ใต้บาดาล อาตมาเคยขยายความแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของบุคคลตัวตน จะเรียกว่าคุณสมบัติไม่ได้ แต่เป็นโทษสมบัติ เป็นพญาครุฑ เป็นพญานาคก็เป็นโทษสมบัติ ก็ไม่ควรเป็นทั้งคู่ สรุปแล้วไม่ตัดสินอาตมาไม่ตัดสิน ไม่ควรเป็นตัดสินแค่นี้ ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งทั้งคู่ เอาแค่นี้ก็แล้วกัน 

ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการค่ะ พ่อท่านเป็นนักประชาธิปไตยโลกุตตระ ค่ะ ไม่มีตำแหน่งรองรับ เป็นจริงทำจริงที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ นำพวกเราไป ประท้วง มา 5 รัฐบาล สำเร็จแล้ว ประชาธิปไตยโลกุตตระ ไม่ต้องหาเสียง เป็นการทำดีแบบต่อเนื่องคือได้เสียงเอง สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมารับรองคำพูดนี้ถูกต้องที่สุดว่าอาตมานี้เป็นนักประชาธิปไตย เดี๋ยวจะได้พูดขยายความกันต่อเรื่องนี้ 

อาตมาขอยืนยันว่าขณะนี้ในโลกมีประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้น ไม่ได้พูดเล่น พูดอย่างแข็งแรง พูดอย่างยืนยันยืนหยัด ประกาศไป เดี๋ยวนี้สื่อสารทั่วโลกผู้ที่เขาเข้าใจแล้วเขาก็รับรู้ แปลไทยเป็นภาษาเขาเองได้ด้วยว่าอาตมาหมายถึงอันนี้จริงๆ ยืนยันภาษาประชาธิปไตยเป็นคำกลางๆที่เข้าใจกันทั่วโลกแล้ว แต่มันมีนัยยะสำคัญที่ลึกซึ้งละเอียดในความเป็น เป็นลัทธิหรือเป็นแบบเป็นระบอบของการบริหารการปกครองการเป็นอยู่ของมนุษยชาติ 

แล้วของโลกุตระนี้เหนือกว่า เหนือกว่าประชาธิปไตยที่โลกเขามี เหนือกว่าที่เขามีกันคือ ไม่มีตำแหน่งรองรับ เป็นจริง ทำจริง ที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ นำพวกเราไปประท้วงมา 5 รัฐบาลสำเร็จแล้ว ประชาธิปไตยโลกุตระไม่ต้องหาเสียง เป็นการทำดีแบบต่อเนื่อง คือได้เสียงเอง 

เสียงเองหมายถึงเสียงของประชา ของมวลประชา ของพหุชน คือมวลประชา พหุคือมาก ชน คือประชาชน คำว่าพหุชนนี่แหละคือ มวลประชาชน 

ในคำศัพท์ของพระพุทธเจ้าใช้ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นอายะ 3 อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว 

แล้วสิ่งเหล่านี้ที่เป็นประชาธิปไตยโลกุตระนี้ ไม่ต้องหาเสียง ฟังเน่อ นักการเมืองทั้งหลายเอ๋ย 

การปฏิบัติประพฤติเป็นนักการเมืองเป็นนักรัฐศาสตร์ที่ประพฤติต่อสังคมอยู่ ไปรับหน้าที่รับตำแหน่งอะไรเข้าไป ศึกษาดีๆคำว่าไม่ต้องหาเสียงกับการหาเสียงคืออย่างไรแท้ๆ 

การไปทำดีคือการไปทำงานกับมวลประชาชน ใช้สมรรถนะความรู้ความสามารถทั้งหมดกับมวลประชาชน เขาลำบากเขาไม่อยู่ในฐานะที่ควรจะเป็น ต้องช่วย แล้วเราก็ได้ช่วยจริงๆตามควร มันมีคนอยู่ในตำแหน่งในสถานที่ต่างๆที่เราจะสามารถรู้ได้ทั่วถึง แล้วเราก็รู้ว่าคนนี้ควรช่วยก่อน คนนี้ควรช่วยกว่า แล้วก็ลงมือไปช่วยเห็นควรก็ไปช่วยเท่าที่เราเห็นว่าเราอยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ก็ช่วยกันไป 

โดยจะใช้แรงงาน ทุนรอนของตนเองเป็นหลัก ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่สามารถที่จะเอาทุนรอน หรือองค์ประกอบต่างๆที่จะเอามาใช้เพื่อช่วยเขาได้ เท่าที่ควรก็ทำเต็มที่ แล้วก็ได้ช่วยคนเช่นนั้น สังคมเช่นนั้น นี่เป็นสัจจะที่ในโลกนี้ควรเป็นควรมีกัน ทำจริงๆ แล้วเสียงคนเสียงของประชาชน เสียงคำนี้เป็นคำกลางๆคือความรู้รู้จักของประชาชนให้เขาเห็นเขารู้ว่า ท่านผู้นี้ได้ทำงานเพื่อเขา ได้ทำงานเพื่อมวลประชาชน เห็นรู้ว่าได้ทำงานเพื่อเขาเพื่อมวลประชาด้วยใจซื่อสัตย์สุจริตเสียสละ จริงใจจริงจังสุดความสามารถของเขา จนเขาได้พ้นทุกข์ มนุษย์ก็มีมุทิตาจิตเห็นจริงๆมีมุทิตาจิตต่อคนที่ทำงานให้เขา ระลึกถึงคุณ รู้จักบุญคุณคน 

ว่าคนๆนี้แหละคือคนที่จะต้องให้เขาทำงานอย่างนี้แหละ นี่แหละคือความเป็นนักการเมืองตัวจริง โดยไม่ต้องหาเสียง ขอให้ทำเท่านี้เลยนักการเมืองเอ๋ยสิ่งที่ได้จะเป็นเสียงบริสุทธิ์เสียงสวรรค์เสียงจากสัจจะของมนุษยชาติ เขาจะให้เราเอง ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น 

คุณอยากเกิดมามวลกับมนุษย์คนโง่หมู่มวลสังคมของคนโง่ ทำเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้ก็เป็นสัจจะอย่างหนึ่ง คุณเกิดมาในมวลหมู่ของคนที่ฉลาดรู้ฉลาดอย่างซื่อสัตย์ด้วย เขาก็จะรู้ โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคุณธรรมโลกุตระ มันจะนำพาโลกุตรธรรมที่จะเป็นรูปร่างจะเป็นภาวะธรรมสภาพธรรมที่ เกิดเป็นประชาธิปไตยโลกุตระนำโลก ทำให้โลกเห็นซึ่งไม่ต้องการโชว์ ไม่ใช่ต้องการอวดอ้าง แต่มันจะเกิดจริงเป็นจริงเลย เป็นการเกิดจากสัจธรรม ไม่ใช่เสแสร้งแอ็คท่า  มีนายกที่ชื่อว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา นี้ก็ตามหรือผู้อื่นใดก็อยากขึ้นมาเป็นนายกขึ้นมาแคนดิเดตขึ้นมาหลายผู้หลายคน ก็ไม่เป็นไร 

ประชาชนก็ต้องดูจริงๆแล้วก็เห็นควร จะเป็นเรื่องของกฎหมายที่มันขัดแย้งไม่ให้เกิดที่ควรจะเป็น เขาก็จะแก้กัน แก้ได้ก็ได้ แก้ได้จะไม่มีทางออกของมัน ซึ่งอาตมาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะทะลุทะลวงไปได้สำเร็จการขนาดไหน แต่เห็นความจริง เอาบุคคลกล่าวถึงก็แล้วกันเพื่อยืนยันให้ไปศึกษาจากพฤติกรรมของแต่ละคน 

เช่นขนาดนี้มีนายกประยุทธ์ มีผู้ที่กำลังจะชิงเพื่อจะไปเป็นนายกขึ้นมา ในโอกาสต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุ้งอิ้งไม่ว่าจะเป็นพลเอกป้อม ไม่ว่าจะเป็นอนุทิน ว่าจะเป็นใครๆอีกที่เสนอหน้าออกมาอีกหลายผู้หลายคน จุรินทร์บ้าง พิธาบ้าง แม้แต่ สุดารัตน์บ้าง วราวุธบ้าง ที่เขาประมวลไว้ก็พอรู้กัน นี่เป็นรุ่น candidate ทั้งนั้นนะ 

มีภาพพลเอกป้อมอยู่สูงสุดเลย insert มา ตรงใจกลางเป็นอุ้งอิ้ง สวยพริ้งเลยนะ อย่าขึ้นมาเอาเป็นยอดเลยนะ ก็ค่อยๆดูกันไปว่ากันไป 

อาตมาได้สาธยายมาเรื่อยๆ อธิบายตามที่ร่างเอาไว้ เป็น script แผนที่นิดหน่อย 

อาตมาได้อธิบายมาถึงว่า อาตมาได้ทำงานและยืนยันว่าเป็นนักธรรมะที่ทำประชาธิปไตย และยืนยันตัวเองเป็นนักธรรมะที่ทำประชาธิปไตย ตามฐานะราษฎร ไม่ได้เป็นข้าราชการ ทั้งข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำที่เขาบริหารบ้านเมือง ข้าราชการปกติก็เป็นนักการเมืองตัวจริง เป็นข้าราชการการเมืองประจำ ส่วนนักการเมืองนั้นเป็นข้าราชการจร โดยมีตำแหน่งหน้าที่และมีเงินเดือนด้วย ผู้ได้รับแต่งตั้งได้รับเงินเดือน ผู้ที่เป็นราษฎรเป็นนักประชาธิปไตยราษฎรไม่มีเงินเดือนจากรัฐ ทำด้วยใจรัก อย่างอาตมาทำมาไม่ได้มีเงินดาวเงินเดือนกับเขา ดีไม่ดีถูกด่าด้วย ก็พยายาม โลกเขาเรียกว่าหน้าด้านก็ช่าง แต่อาตมาไม่ได้หน้าด้านหรอก เป็นการรู้อยู่ว่าอาตมาไม่ได้ทำสิ่งชั่วสิ่งเลว ไม่ได้ทำสิ่งผิดด้วย ขอยืนยันว่าไม่ได้ผิดเรื่องของธรรมะพระพุทธเจ้า ออกไปทำตามเหมาะควรของสถานะเราเอง มีสมณสารูปมีพฤติกรรมที่พอเหมาะ แต่คนยังเข้าใจยาก 

ขอยืนยันว่าอาตมาจะไม่ไปเป็นนักการเมืองทางระบบนักการเมืองที่เป็นข้าราชการประจำ  ไม่เข้าไปเป็นทั้งนักการเมืองที่เป็นข้าราชการจร อย่างที่เป็นกันอยู่นั้นที่พูดสั้นๆผ่านไปแล้ว ไม่เป็นอย่างนั้น แต่เป็นนักการเมืองราษฎร ในความเป็นตัวของอาตมาที่มีผู้ที่เห็นด้วยเห็นตามกับอาตมาอยู่กลุ่มหนึ่ง เรียกว่าชาวอโศกนี้เป็นแกนกลาง ส่วนที่ไม่ใช่ชาวอโศกได้ศึกษาตาม ดูซิว่ามนุษย์คนนี้ โพธิรักษ์มันจะเป็นอะไรแน่วะ จะเป็นนักการเมืองหรือจะเป็นนักบวช หรือว่าจะเป็นอะไรเขาก็จะศึกษาไป แล้วจะค่อยๆรู้ว่า อาตมาไม่ได้มีบัญญัติว่าเป็นนักการเมืองนักธรรมะ แต่อาตมาเป็นมนุษยชาติเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้ทั้งการเมืองและมีความรู้ทางธรรมะ และเอาธรรมะและการเมืองมารวมกัน 2 เป็น 1 

2 เป็น 1 แล้วเอาเนื้อแท้คุณภาพ คุณสมบัติคุณลักษณะ ชัดๆของ 2 เป็น 1 ลงไปให้กับมนุษย์และสังคม ตามที่ได้กระทำมาแล้วเปิดตัวตั้งแต่ 2549 อาตมายังจำภาพที่อาตมานำสมณะเรียงแถวตอนเรียง 3 จากถนนราชดำเนินแล้วเดินนำไปสู่สนามหลวง โดยมีสมณะ และมีฆราวาสชาวอโศกเดินขบวนไปจากวันนั้นเปิดตัวมาจนรวมถึงวันนี้ ไม่อธิบายต่อ 

แล้วอาตมาก็ทำงานการเมือง ขออภัยที่ต้องพูดตรงนี้ ว่าอาตมาก็เป็นผู้นำของคณะอโศกทั้งหมด จะมีมวลอโศกกี่คน มีพฤติกรรมอย่างไร มีผู้เห็นได้มารวบรวม ใช้เวลาใช้แรงงาน ใช้ทุนรอน ใช้องค์ประกอบต่างๆ เท่าที่มีได้ ไม่เสียดมเสียดาย อะไรเลย สละให้แก่งานการเมือง ทำงานตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่ได้ประมวลว่ามีราคามีค่าเท่าไหร่ ตั้งแต่ราคาของวัตถุจนถึงราคาของแรงงาน และที่สุดราคาของธรรมะ ไม่มี ไม่ได้ไปตีราคาหาค่าบ่มิได้ แต่เกิดผลสำเร็จ 

อาตมาใช้คำว่าเกิดผลสำเร็จ ไล่ตัวบุคคลและคณะแต่ละครั้งแต่ละคราว 

เริ่มต้นตั้งแต่ ตัวทักษิณ ไม่ได้มีคณะเราไปร่วมทีเดียว มีพลเอกสนธิเป็นผู้ทำปฏิวัติ เอาทักษิณออกไป จากนั้นมาทักษิณก็มีฤทธิ์แรง ไปตั้งนอมินีเอา สมัคร.  สุนทรเวช ขึ้นมาแทน ตอนนี้แหละเราออกไปเต็มที่ ยังไม่เต็มทั้งหมดหรอกมันก็เท่าที่เรามีเริ่มต้นออกไป โดยอาตมาพาเป็นไป 

จนกระทั่งสมัคร หลุดออกไป ไม่ได้หลุดออกไปเพราะว่าแรงประท้วงทีเดียวแต่มันมีองค์ประกอบช่วย มีตุลาการภิวัฒน์ตัดสินให้สมัคร ตกเก้าอี้ออกจากนายกรัฐมนตรี ก็แค่แกไปทำผิดกฎหมาย กฎหมายก็เป็นตุลาการภิวัฒน์ช่วยเป็นสัจธรรมที่ประกอบกัน ช่วยหยุด กันเป็นทักษิณก็แสดงฤทธิ์เอาน้องเขยเข้ามาต่อ มาเป็นนายกอีก พวกเราตอนนี้เข้าไปทำงานเต็มที่ ยึดทำเนียบเลยจน สมชาย เข้าทำเนียบไม่ได้ เป็นนายกที่ไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาลเลย เป็นตัวอย่างอันปรากฏในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย เป็นนายกที่ตะลอนตะลอนไม่ได้เข้าทำเนียบเลย จนกระทั่งพวกเราไปปลูกข้าวทำนาในทำเนียบ 

นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆ แต่มันแสดงความจริงอะไรให้ว่านี่คือประชาชน เป็นพลังงานของประชาธิปไตยแท้ๆสดๆใสๆบริสุทธิ์สะอาดจริงใจ ไม่ได้มีอาวุธ ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรต่างๆนานา ถ้าจับรายละเอียดตั้งแต่พวกเรามาร่วมกัน เอาสมณะมาล้อมรอบผู้ที่เราจะต้องรักษา นักการเมืองที่ปากโป้งพวกทักษิณเขาจะเอาตายเราก็รอบล้อมรักษาไว้ มีสมณะล้อมรอบแล้วก็มีประชาชนล้อมไปอีก เป็นภาพประวัติศาสตร์รวมเอาไว้ 

อาตมามั่นใจประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยโลกุตระของไทย ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ มันจะเป็นหลักฐานที่ให้ชาวโลก ต้องการเช่นนี้ ให้ชาวโลกนี้ได้ศึกษาจริงๆว่า นี่แหละเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แต่ไม่ได้มีลงไปในบัญญัติ เอาคำว่าอธิปไตยจากโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยกับธรรมาธิปไตย อธิปไตย 3 จากโลก จากอัตตา จากธรรมะ มารวมกันกับประโยชน์ที่จะเกิดแก่มวลประชาชน เป็นประโยชน์หรือความสุขหรือเอื้ออนุเคราะห์มนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อีกสามเส้า มารวมกัน นี่แหละคือองค์ประกอบของความเป็นประชาธิปไตยที่บริบูรณ์ 

ไม่มี 2 อันนี้มารวมกันเข้า ไม่มีในตำรา โดยเฉพาะตำราของประชาธิปไตยเทวนิยมที่เป็นโลกียะเท่านั้น ขอย้ำยืนยันว่า ประชาธิปไตยในโลกนอกจากของโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยโลกียะ เป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่สมบูรณ์แบบตามสัจธรรมของความเป็นสังคม และ มนุษยชาติ 

ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบต้องมี 2 ขา ต้องมีรูปนาม ต้องมีคำว่า 2 สภาวะ 2 นี้ทั้งนั้น จะไม่เป็นประชาธิปไตยที่โด่เด่ มีแต่รูปธรรมโดยมีแต่กฎหมายเป็นหลักโดยไม่รู้จักจิตวิญญาณ แต่ต้องมีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวงและเอามารวมกันเป็นหนึ่งอย่างสนิทเนียน เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะนี้ไม่มีในตำราต่างประเทศหรอก 

คำว่า ตำรา นี้ก็สำคัญ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสเรื่องคำว่า ตำรา อาตมาก็นำมาขยายความอยู่ ท่านตรัสไว้ นัย มุมหนึ่ง มิติ 1 เอานัยยะมุมมองบริหารเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ท่านตรัสแล้วก็บอกว่า ถ้าจะบริหารก็บริหารแบบนี้ คำอธิบายไปตามภูมิธรรมของท่านและท่านก็ว่าไป ว่าผู้ที่บริหารหรือผู้นำพาต้องทำแบบนี้เพราะผู้มาถามนั่นคือ ข้าราชการการเมืองเหมือนกัน เป็นรัฐมนตรีเพื่อนของนายกรัฐมนตรีชาวเกาหลีใต้ มาพูดมาทูลถามในหลวง ร. 9 ว่าควรจะบริหารปกครองอย่างไร 

ท่านก็บอกว่า ถ้าจะใช้คำว่าตำรานำ ต้องเอาตำราแบบคนจนไม่ใช่ตำราของเทวนิยมรัฐศาสตร์ที่เรียนกันในตะวันตก เป็นตำราคนรวยเป็นตำราที่เป็นโลกียะจะต้องเอารวยเข้าว่ามีอำนาจมาก แต่อันนี้มันทั้งในความเป็นอำนาจหรืออธิปไตยก็ไม่ไปเบ่งข่มใคร มาจนมาน้อยไม่ใช่ไปมาก ไม่ใช่มักมากแต่ว่ามักน้อย อัปปิจฉะ ไม่ใช่ มหัปปิจฉะ ใช้ตำรานี้ใช้ความอะลุ่มอล่วยคือ compromise ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นผู้ที่ใช้อันนี้โดยใช้คำว่า compromise ประนีประนอมทำให้มันเหมาะสมไปเรื่อยๆต่อยอดอันนี้ยิ่งใหญ่ ในหลวง ร. 10 ตอนนี้รู้ดีเรื่องนี้ท่านทรงรู้แล้วก็นำพา 

ถ้าใช้ตำราแบบคนจน ตำรานี้ไม่มีจบ Infinity จะพัฒนาเจริญขึ้นไม่มีจบเลย จะก้าวหน้าเรื่อยๆ นี่ก็เป็นคำตรัสรับรองของในหลวง ร. 9 จะก้าวหน้าเรื่อยๆไม่ได้ถอยหลังไม่ได้อยู่กับที่เลย ไปเรื่อยๆเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นเลย ไปอย่ างเจริญไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นคำว่าประชาธิปไตย อาตมามา เรียกในยุคนี้เขาเรียก เดี๋ยวเรียกให้ไปตามสากล ภาษาอื่นๆจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่อาตมาไม่ค่อยเก่งภาษา แต่รวมแล้วก็คือ ซินโนนีม คำเดียวกัน ใช้แทนกันกับคำว่าประชาธิปไตยนี่แหละ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยนี่เป็นความรู้ความเห็นความเข้าใจแบบที่อาตมายืนยันว่าเอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบายขยายความและยืนยันลงไปในเมืองไทย ว่าไทยนี้ทำประชาธิปไตยตามพระพุทธเจ้า อันมีสังคมศาสตร์ มีเศรษฐศาสตร์ มีรัฐศาสตร์ สามเส้า แบบโลกุตระ

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสถึงความเป็นเศรษฐศาสตร์ว่าต้องแบบคนจน การขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่รวมเป็น เส้า 1 ของความเป็นประชาธิปไตย อันนี้เรียกว่าเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ของโลก ในหลวงท่านตรัสเอาไว้ว่าต้องเอาลักษณะนี้ คือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สรุปแล้วก็คือการเสียสละคือการได้ ได้ตัวนี้นี่เป็นภาษาเท่านั้น แล้วเราก็ไม่ได้ไปยึดความได้ จบที่การเสียสละในตัวมันเอง เสียสละนี่แหละคือการได้ แต่ไม่ต้องบอกว่าเราได้หรือเราไม่ได้เราไม่แข่งคำนั้นแต่ความจริงจบในตัว 2 เป็น 1  2 เป็น 1 อยู่ที่การเสียสละจบแล้ว นักการเมืองนักบริหารนักรัฐศาสตร์เบอร์ 1 

แล้วท่านก็ทรงยืนยันว่าไม่มีตำราของชาวโลก ที่เรียนๆกันอยู่ทั้งโลก เปิดตำราเรียนกันในเรื่องเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์อะไรก็ตาม สังคมศาสตร์ก็ตามไม่มี ตำราใดๆก็ไม่มี ไม่มีตำราได้ตำราที่จะบอกอันนี้ได้ ถ้าเปิดได้ก็มีแต่ตำราโลกียะเศรษฐศาสตร์โลกียะ รัฐศาสตร์โลกิยะ สังคมศาสตร์โลกีย์ อ่านแล้วก็มีเท่านั้นเท่าที่โลกียะเขามี อ่านจบแล้วก็ปิดได้เพราะมันมีเท่านั้น 

ที่นี้จะเรียนเศรษฐศาสตร์ระบบโลกุตระหรือเรียนรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์โลกุตตระ ก็ต้องมาเรียนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นมีแต่ในตำราของพระพุทธเจ้า เปิดเรียนกันดีๆเถอะ 

โลกุตตรธรรม จริงๆแล้วคำว่าโลกุตตรธรรมนี้ก็คือ เนื้อหาของธรรมะ ในประเทศไทยก็ตามที่เป็นเมืองพุทธได้นำพากันมาถึง 2,500 ปีใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ประเทศไทยเกิดมาไม่ถึง 2,500 ปี เท่าที่เป็นพุทธและนำใช้มา พอมาถึง 2,500 ปีนี้มันเสื่อม คนเสื่อมนะไม่ใช่ธรรมะเสื่อม ชาวพุทธนี่แหละเสื่อมไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะชาวพุทธที่เป็นคณะยึดเป็นกระแสหลักหรือพุทธคณะใหญ่ ชาวพุทธคณะใหญ่ที่บริหารดูแลก็เสื่อมไป บุคคลเสื่อมไปจากโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า 

ก็มีอาตมาเกิดมาในยุคนี้พอดี อาตมาก็มากอบกู้โลกุตรธรรมขึ้นมาเพื่อให้โลกุตรธรรมยืนยาวอยู่ในโลกไปได้อีกจนกว่าจะถึงพ.ศ. 2500 กว่าปีเรื่องนี้ก็เป็น อจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดง่ายๆเล่นๆ ถ้าไม่จริงก็บาปกินหัวหนักคุยโม้โอ้อวดไม่เข้าท่า เป็นการอวดอุตริมุสธรรมที่ไม่มีในตน ปาราชิกด้วย อาตมาก็เป็นสมี ถ้าเผื่อว่า อาตมาพูดผิด 

แต่อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดจริงพูดถูกอย่างมั่นใจ อาตมาใช้ภาษาความหมายความรู้ความเข้าใจแม้แต่คำว่าปัญญา ปัญญา 8 อาตมาขยายความตามธรรมะพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขียนหนังสือเป็น 3 เล่มแล้วจะมีถึงเล่ม 4 อีก 

ตอนนี้เพิ่งทวนไปได้ร้อยกว่าหน้าเอง อาตมาก็ พยายาม บอกตัวเองว่าอย่าขยายแต่มันขยายหน่อยนี่ก็หลายร้อยหน้าแล้ว คิดว่าพยายามอย่าให้มากคิดว่าพยายามจะสรุป

เพราะฉะนั้นเรื่องของ อจินไตย ที่อาตมามีจริงๆในเรื่องนี้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอธิปไตยต่างๆนั้น แล้วก็นำมาเปิดเผย เช่น เปิดเผย ฌานวิสัย อันเป็นของพระพุทธเจ้า ต้องวงเล็บนะว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฌานแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นสิ่งที่ต่างจาก ฌานฤาษี ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย ในอจินไตย 4 

กรรมวิบาก โดยเน้นธรรมะที่มีวิบากอย่างสัมมาทิฏฐิ วิบากคือผล ผลของกรรมที่ทำให้สัมมาทิฏฐิ ยืนยันโดยเอาตัวเองมาเป็นตัวหลักเลยมายืนยัน อ้างอิงหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้า อ้างอิงตำนาน อ้างอิง ตัวบุคคลอ้างอิงพระไตรปิฎก แล้วก็แก้ไขการอธิบายบาลี

ที่ใช้คำว่าแก้ไขอธิบายบาลีคือ ท่านได้อธิบายเบี้ยวบาลีไป หรืออธิบายบาลีผิดๆกันมา ท่านอธิบายมา อาตมานั้นพูดเองและยืนยันเองว่าท่านอธิบายมาผิด ท่านก็เข้าใจว่าท่านถูกท่านอธิบายมาถูก แต่อาตมามาพูดจริงๆด้วยความจริงยืนยันว่านั่นแหละผิด อย่างอาตมาอธิบายยืนยันนี้ถูก ท่านก็ต้องแย้งผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ของอาจารย์ ของสิ่งที่ท่านยึดถือกันมาในกระแสหลักในขบวนนักพระพุทธศาสนาด้วยกัน 

อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว ได้ผลตามที่เกิดจริงเป็นจริง มีโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เกิดจริงๆดังที่ชาวอโศกเป็นกัน เช่น มาเป็นคนจน มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นคนขยัน มาเป็นคนทำงานรับใช้ประชาชน มาแสดงความไม่เห็นแก่ตัวที่มีจริงใจจริงมีจริงๆ นี่อย่างนี้เป็นต้น ยังมีอีกเป็นกลาง เป็นปลายอีกนะ ที่พูดนี้แค่ต้นๆนะ แล้วก็ทำกันไปเรื่อยๆ 

ยืนยันความเป็นการเมืองที่เป็นโลกุตระ พากันสร้างประชาธิปไตยที่เป็นแบบพุทธ สร้างขึ้นมาให้แก่โลกเห็นแจ้งรู้จริงกันขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งมันรู้ตามได้ยากเห็นตามได้ยาก ลึกซึ้ง มีความสงบอันวิเศษพิเศษจริงๆ 

แม้แต่คำว่าความสงบอันวิเศษพิเศษที่ชาวอโศกเราเป็นเรามี ก็มีในตัวจริง หรือพูดถึงในประเทศไทยมี ประเทศไทยมีความสงบอันมีความขัดแย้งกันพอเหมาะ นี่ยังมีเห่าบ๊องๆๆหมาน้อยเห่าอยู่ มันเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่มีความขัดแย้งในที่ใดๆที่นั้นน้ำเน่าที่นั้นมีแต่จะเน่าสูญสลายเสียหาย เพราะฉะนั้นความเจริญต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ เกิดปฏิกิริยาที่ได้สัดส่วนให้เกิดความเจริญ 

ซึ่งมันรู้ตามได้ยาก ลึกซึ้ง มีความสงบอันพิเศษ พิเศษจริงๆเพราะเป็นความประณีตสุขุมสุดๆที่จะรู้ตามได้ ไม่ใช่แค่เรื่องตรรกศาสตร์ อตักกาวจา แต่เป็นเรื่องราวกรรมวิบากที่มีอจินไตยที่มีฌานวิสัยที่สุดวิเศษ ของพระพุทธเจ้า เป็น อจินไตยนี่แหละ 

คำว่าวิสัย คือ ทำกันจนฝังไว้อยู่ในวิสัย อธิบายไว้ใน วิสัย นิสัย. อนุสัยพยายามจริงๆอาตมาพยามฝืนอยู่ในการพิสูจน์อันนี้ไป วันนี้วันที่เท่าไหร่ 15

50 กว่าปีแล้วอาตมาก็ยังเปิดเผยธรรมะที่เปิดเผยความเป็นการเมืองโลกุตระกันได้แค่นี้เอง แล้วก็ยังจะพยายามต่อ ที่จริงอายุขัยของอาตมานั้นมันสิ้นแล้วมาตั้งแต่อายุ 72 ปี ได้ฟังกันมา ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่มีปัญหาหรอก อาตมาก็มีความรู้ของอาตมา ก็บอกความจริงไปด้วยความจริงใจ แต่อาตมาพยายามฝืนไม่ยอมตายตอนอายุ 72 ยืดอายุขัยของตัวเองให้ยาวขึ้นมา 

แล้วก็เป็นการพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วย จนกระทั่งวันนี้ 88 ปี 8 เดือน 10 วันแล้ว 

จะพยายามลากสังขารลากชีวิตให้ยืนยาวต่อไปอีก ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความจริงตามธรรมะพุทธเจ้าให้จริงๆด้วย ที่สำคัญก็คือมันเป็นความจริงที่ต้องพิสูจน์ให้แก่คนในโลกได้เรียนรู้และได้เห็น ได้สัมผัสความจริงนี้ยืนยันว่าเป็นโลกุตรธรรมกันจริงๆ ซึ่งมันไม่ใช่โลกียะ ไม่ใช่โลกียธรรมแน่ๆมันต้องต่างกัน 

โดยเฉพาะความเป็นสาระสัจจะ ที่เรียกโดยพยัญชนะว่าโลกุตรธรรม มันขึ้นอยู่กับ ลาภ โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม จะมีความเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่เป็น โลกียธรรมที่คนติดยึดแย่งชิงกอบโกยหอบหวงและเอามาแบ่งมาข่มกัน เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเบ่งมาข่มกัน ใช้อันนี้เป็นตัวยืนยัน 

ผู้ฟังดีๆฟังเข้าใจดีๆจะชัดเจน แต่พวกเราไม่สะสม ไม่เอาอำนาจของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไปเป็นอำนาจอธิปไตยอะไรเลย เราเอาความตรงกันข้ามกัน ไม่ใช้อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราได้รับคำตำหนิคำลบหลู่ด้วยซ้ำ แต่อาตมาก็ว่ามันมีภาวะลึกซ้อน ว่ามันมีความจริงที่ไม่ใช่จริงๆ ไม่ใช่อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้แต่อำนาจสุข ก็ไม่ใช่ 

เป็นอำนาจที่ทวนกระแส ไม่มีคำพูดแล้วทีนี้ เป็นอำนาจที่ ปฏิโสตัง เป็นอำนาจที่ทวนกระแสกันคนละเรื่อง เขาไปทางนี้ เราไปทางนี้ อธิบายได้เท่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องของทิศทาง เป็นเรื่องของกระแส เป็นเรื่องของความรู้ เป็นเรื่องของความจริงที่มันสวนกระแสกัน ปฏิโสตัง มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้หยุดอยู่มันพัฒนาไปเรื่อยๆ มีสิ่งที่มนุษยชาติจะเห็นว่ามันเกิดจริงเป็นจริงได้ มันก็จะไปเรื่อยๆ เพื่อ 

ความเป็นประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษย์มหาชนต่างๆที่ใช้พยัญชนะว่า พหุชนะ คำเดียวกับมวลประชาชน แล้วก็มี อายะ ที่เป็น พหุชนะ หิตะ อายะ เป็น พหุชนะ สุขะ อายะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย นาทีที่ 1 ช.ม. 28 นาที) 

หิตะ คือประโยชน์ สุขะ คือ อาการสุข (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... สิ่งที่ยากสำหรับโลกุตระธรรมคือมันไม่เหมือนอย่างโลกธรรม คนทางโลกเขาวัดความเจริญที่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่พ่อครูว่า มีอำนาจที่ยิ่งกว่านั้น มันคือมันไม่ใช่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่าเป็นความเหนือกว่า คนที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะมองเห็นว่ามันเหนือกว่า แต่คนที่หลงลาภยศอย่างไรก็มองไม่เห็น 

พ่อครูว่า... มันเป็นประชาธิปไตยที่เพื่อประชาชนแก่มวลมหาประชาชน เรียกว่าพหุชนหิตายะ เป็นประชาธิปไตยที่เพื่อความสุขแก่มวลประชาชน พหุชนสุขายะ เป็นประชาธิปไตยที่อนุเคราะห์โลก โลกานุกัมปายะ

ทั้ง 3 อายะ คือ อายะหิตะ อายะของสุขะ อายะของโลก นี่แหละคือกำไรคือประโยชน์คือผลที่ควรได้ มนุษย์ควรได้ มวลมหาประชาชนควรได้ ควรกำไร ควรจะได้ประโยชน์นี้ ความควรได้ และเป็นเครื่องอาศัยเรียกด้วยพยัญชนะว่าความสุขที่สงบไม่ใช่ความสุขที่ไม่ได้แย่งชิง หรือร้อน จะเป็นความสุขที่เย็นที่สบายเป็นความสุขที่ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

อาตมาใช้พยัญชนะพวกนี้อธิบายสภาวะให้ละเอียดไปเป็นแนวลึก 

ถ้าอาตมาพิสูจน์ความจริงนี้ได้ ซึ่งก็ได้เริ่มมาแล้วเปิดเผยตัวเองออกมาทำงานเพื่ออายะ 3 นี้หรือเพื่อ อธิปไตย 3นี้ ไม่ใช่เพื่อตนที่ทำนี้ ไม่ใช่เพื่อด้วยความเห็นแก่ตัว แต่เพื่อพาคนให้ลดตัวตน ลดของของตน ออกมาเป็นคนที่ไม่มีตัวตน มีแต่ชีวิตที่เพื่อผู้อื่น มีชีวิตเพื่อมวลมหาประชาชน 

ที่พูดนี้ไม่ใช่แค่ภาษาคำพูดปากเปล่า แต่เป็นความจริงที่จะตามพิสูจน์ยืนยันความเป็นจริงหรือความเป็นไปได้นี้จริงๆ 

ประชาธิปไตยเพื่อมวลประชาชน ไม่ใช่ประชาธิปไตยเพื่อทุนนิยม อธิปไตยเพื่อพวกตนเองเท่านั้นที่เป็นแค่คอมมิวนิสต์หรือว่าสังคมนิยมเท่านั้น ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยเพื่อตนเอง เพื่อหมู่ตนเอง ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์หรือเพื่อสังคมตนเอง 

แต่เพื่อมวลมหาประชาชนทั้งโลก ไม่มีกรอบ ไม่มีขีดคั่น จริงๆเลย 

มีคนเขาบอกมีคนเขาพูดว่า อโศกมันทำเพื่อพวกมัน มันมีแต่พวกมัน 

ถ้าว่าทำเพื่อพวกมันตามที่เขาว่า มันไม่ใช่แน่ๆ แต่ถ้าว่ามันมีแต่พวกมัน ซึ่งฟังดีๆนะ มันทำเพื่อพวกมันนั้นไม่ใช่ แต่บอกว่ามันมีแต่พวกมัน ซึ่งต่างกันไหม ต่างกันจริง คุณมาเป็นพวกเราบ้างสิ พูดเพราะๆ เอ็งมาเป็นพวกข้าบ้างสิ มึงมาเป็นพวกกูบ้างสิ พูดให้ครบๆไง พูดให้ครบๆ ใช้ศัพท์หลายคณะหลายลำดับ 

เพราะว่าโลกุตรธรรมนี้มันยังทำได้อยู่กันแค่ชาวอโศก นี่คือสรุปลงไป คนอื่นยังมาเป็นพวก คนอื่นยังมาทำตามไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราถูกยืนยันว่า พวกมัน ก็ยอมรับ มาสิมาเป็นพวกมันๆด้วยกัน เป็นพวกมันๆด้วยกันที่นี่ ยิ่งกว่ามันเทศ มันโอกินาว่านะ มันยากแต่มันดีสุดยอดนะ 

มาถึงตอนนี้ก็เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันโปรดติดตามตอนหน้ายังมีต่ออีก 

วันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2566 ( 20:39:41 )

660217

รายละเอียด

660217 อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53023.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1OEX_81ov_DN_yqwwUrbEmm2sOQOQMyt3Fw_oqSEBufw/edit?usp=sharing                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1QJOuJwsTNjoBS55WPOTNc6z6u4eLiwRu/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/s1V3nlvRsxg 

และ https://fb.watch/iLdxeHGRK-/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ช่วงนี้พ่อครูแสดงธรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยในไทย ที่มีแห่งเดียวในโลก เราจะเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้และวางใจนายกที่ไม่ลงมติ ติดตามว่านายกโต้ตอบอย่างไรบ้าง จะเห็นได้ว่านายกแสดงความซื่อสัตย์ของตัวเองชี้แจงผลงานอย่างเต็มที่ ไม่เคยเห็นนายกของไทยท่านใด กล้าออกมา ชี้แจงอย่างนี้ อบรมสั่งสอนหมดแม้แต่นักข่าวหรือพวกสส. ท่านก็กล้าที่จะบอก 

พ่อครูว่า... โพธิสัตว์ มีความแกล้วกล้าประจำตนมีความอาจหาญแกล้วกล้าประจำตน เป็นธรรมดา 

สมณะฟ้าไท... แต่ก่อนนายกส่วนใหญ่จะกลัวพวกที่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่นายกคนนี้อธิบายชัดเจนจนประชาชนประทับใจ 

ยกตัวอย่าง รัฐบาลนี้ไม่มีการมีโครงการทุจริตขายบ้านแถวสัญชาติเป็นต้น 

บ่งบอกให้เห็นว่าคนที่มีคุณธรรมคนที่ซื่อสัตย์สุจริตแล้วจะไม่กลัวสิ่งใด ที่เป็นอธรรม กล้าพูดกล้าบอกกล้าวิจารณ์ เหมือนภันเตสิริเทศน์ บอกว่าแต่ก่อนพ่อครูไปแสดงธรรมที่บ้านของท่าน ยังคิดว่า ท่านเทศน์อย่างนี้จะเทศน์ได้ยาวนานเกิน 5 วันไหมนี่ 

ช่วงนี้พ่อครูจะเน้นย้ำเรื่องประชาธิปไตยและเรื่องสร้างอาหาร เป็นความจริงที่จะเห็นว่าพระครูเน้นอย่างอาจหาญแกล้วกล้า คนที่ไม่มีคุณธรรมถึงก็ไม่กล้าแสดงอย่างนี้ 

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกคน โอภาสปราศรัยกับ SMS ก่อนแต่ละวันแต่ละวันมีแฟนานุแฟน 

SMS วันที่ 15-16 ก.พ. 2566 

 

ประชาธิปไตยที่ถูกต้องดีงามเป็นสัมมาทิฏฐิต้องมีอายะ 3

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกได้ไปร่วมงานอัฏฐาริยสจจายุมา 5 วัน ฝากแม่ที่แก่ชรามากให้พี่ๆดูแล ส่วนลูกชาย ลูกสาว สามีได้โทรมาถามกิจกรรมของลูกทุกวัน ที่บ้านราชลูกพบว่า แต่ละคนที่บ้านราชมีความเสียสละอย่างชัดเจน เพียงได้เห็นการกระทำนี้ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่า คำสอนของพ่อครูนี้เป็นจริง ที่สอนให้ลูกๆขัดเกลาตนเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆกลับคืนมา ครั้นกลับมาบ้านเสลภูมิพบว่า แม่ยังแข็งแรงไม่ป่วย 

แม่อนุโมทนาที่ลูกมาบ้านราช แต่พบว่า แปลงผักที่ปลูกไว้กินเองและแจกเพื่อนบ้านไม่ได้รดน้ำ ตายไปจำนวนมาก ลูกบอกตัวเองว่า เราทำงานใหญ่ เราอย่าทุกข์ใจกับปัญหาเล็กๆ ผักตาย ลูกจะปลูกใหม่ทดแทน กราบแทบเท้าพ่อครูที่สร้างหมู่กลุ่มให้ลูกปีนป่าย 

พ่อครูคะ ผู้ได้อธิปไตย3 นี้ หมายถึงทั้งฆราวาสและนักบวชเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วย่อมเกิดผลต่อสังคมต่อการเมือง 3 ประการใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า ..ใช่โดยเฉพาะจะมีความรู้ เรื่องพลังอำนาจของประชาธิปไตย พลังหรืออำนาจของโลก พลังหรืออำนาจของคนแต่ละคนส่วนตัวส่วนตน กับพลังและอำนาจที่เป็นธรรม  อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  

โลกาธิปไตยคืออำนาจที่เป็นของโลก อัตตาธิปไตยคืออำนาจของแต่ละคนที่เป็นอัตตา และก็ธรรมะคืออำนาจหรือพลัง ที่เป็นธรรมะ มันก็ยิ่งใหญ่ ธรรมะเป็นโลกียธรรมก็ได้หรือเป็นโลกุตตรธรรมก็ได้อีก สูงขึ้นไปอย่างนั้น 

แต่คนเขาไม่ได้อธิบายกันหรอกเรื่องธรรมะที่เป็นโลกุตระ โดยเฉพาะในตะวันตก อเมริกาหรืออื่นๆที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ จะไม่อธิบายเรื่องคุณธรรมแบบโลกุตระ เป็นคุณธรรมที่สวนกระแสของโลกียะ มันเข้าใจโลกเพื่อโลก โลกานุกัมปายะ แต่ไม่เพื่อตน ไม่เพื่ออัตตาแต่เพื่อโลก 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนที่มีอายะ 3 มีประโยชน์หรือมีกำไรหรือมีคุณค่า มีรายได้ สิ่งที่มันเกิดเจริญขึ้น อายะ มันเกิดขึ้น 3 อย่างคือ 1 เป็น หิตะ ประโยชน์แก่ประชาชน แก่มวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นไปเพื่ออนุเคราะห์โลกเลย และเกิดประโยชน์สุขที่จะเกื้อกูลโลกทั้งโลกเลย 

อาตมาว่าถ้าเข้าใจความหมายพวกนี้ ภาษาในสมัยพระพุทธเจ้าก็พูดไปแล้วมันไม่มีคำว่าประชาธิปไตย แต่มันมีอธิปไตย แล้วก็มีประโยชน์คุณค่าที่ควรจะได้ต่อมวลมนุษยชาติ หรือคนในโลก 3 ประการที่เป็นอายะ 3 มารวมกันนี่แหละ คือความหมายของความเป็นประชาธิปไตยที่สัมมาทิฏฐิที่ดีงาม 

 

เงินรั่วไหลในทางไม่ควรในชาวอโศกมีไหม

_ช่อทิพ หนูทอง  · การปราบการคอรัปชั่น ควรเริ่มต้นจาก บวรต่างๆ ก่อน บวรบางแห่ง..เงินรั่วไหล..ในทางที่ไม่ควร ค่ะ

พ่อครูว่า... มันก็ต้องมีเป็นธรรมดาธรรมชาติแม้แต่ในชาวอโศก เงินไม่ค่อยมียังรั่วไหลเลย ชาวอโศกที่ว่ารั่วไหลนี่คือ มันไม่ค่อยมีแต่มันรั่วไหลก็คือ ความหมายที่หมายน่าจะเป็นว่ามันไม่ค่อยสุจริต คำว่ารั่วไหล มันน่าจะเป็นว่าไม่สุจริต ที่จริงมันมีน้อยอยู่แล้ว มันไม่รั่วไหลอะไรมากในชาวอโศก แล้วความหมายคำว่ารั่วไหลคือมันซึมออก มันไปไม่ถูกร่องถูกรอย มันไม่ออกมาทางตรงๆชัดๆ มันไปซึมมันไปหลบ มันไปเลี่ยงหรือว่ามันไม่ตรงทีเดียว ความหมายมันเป็นอย่างนั้น เป็นอยู่รอบก็ระมัดระวังกัน เป็นได้เหมือนกัน ก็พยายาม 

คนเรานี่มันมีความสะอาดบริสุทธิ์อย่างจริงจังเลยนี่ ที่ไหนๆๆเมื่อมีคนจำนวนมากขึ้น คนเป็นร้อยคนเป็นต้น จะสะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์ก็ต้องเป็นคนที่เป็นอรหันต์ทั้ง 100  ถ้าไม่ใช่อรหันต์ทั้ง 100 ไม่ใช่อรหันต์ก็มีไม่ทุจริตทีเดียวแต่ก็รั่วซึม ประเภทที่ไม่ใช่เจตนาทุจริตก็ได้ ยิ่งมีคนที่ยังไม่ใช่อาริยะอยู่ด้วยก็แน่นอนเป็นได้ 

การปราบคอรัปชั่น คำว่าคอรัปชั่นคือความหมายที่หยาบแล้ว มันตั้งใจโกงกัน มันไม่ถึงคอรัปชั่นหรอก แต่มันก็ยังไม่สะอาดบริสุทธิ์มั่นคงเต็มที่ มันก็มีอะไรเล็กๆน้อยๆรั่วซึมอย่างที่ว่ามาก็เป็นไป 

คนเราถ้าตั้งใจปฏิบัติศึกษาฝึกฝนตนให้มันดีขึ้น ได้ตั้งใจกันจริงๆ 

ธรรมดาคนโลกชาวโลกสามัญปุถุชน เขาไม่ได้เจตนาตั้งใจเป็นกิจจะลักษณะทีเดียว ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์กิเลส กิเลสมันก็พาไป มันก็เลยมีแต่ตกต่ำ ผู้ตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเอง ตั้งใจมีสติรู้ว่านี่ไม่ค่อยดีแล้วก็ปรับ มีสัญชาตญาณบ้างที่ว่ามีสำนึกดี รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีนะ ที่มันหยาบๆก็พอรู้ได้ แต่มันไม่อยาก กิเลสมันมาแรงหน่อย อยากมันก็เอา เพราะมันเป็นธาตุกิเลส ไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียน ไม่ได้เรียนอย่างจริงจัง มันจะไปสู้กิเลสได้อย่างไร มันไม่รู้ตัวหรอก 

สติคือ การรู้ตัว มันไม่ค่อยมี มีก็ไม่เต็มๆเหมือนสติโลกโลก เป็นสติที่ไปตามกิเลสมันก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ได้มาฝึกฝนเรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้ไม่ใช่แต่บัญญัติพยัญชนะ เรียนรู้แล้วมาฝึกจริงๆ มี อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละตัวสำคัญ มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติมีศีล 

ตั้งแต่ศีลเป็นไปเพื่อจะต้องเวลาอยู่กับสัตว์อยู่กับสิ่งที่มีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ อยู่กันสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมันจะเกิดกิเลส ครบ 3 ราคะ โทสะโมหะ ต้องวางต้องฝึกตน ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้สมบูรณ์แบบ อปัณณกปฏิปทา 3 

ถ้ามีในตัวผู้นั้นหวังเจริญและถึงอรหันต์ได้ ถ้าไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไปหลับตาปฏิบัติอย่างนี้เป็นต้น อย่าหวังเลย อย่าหวังว่าจะได้บรรลุสิ้นอาสวะไม่มีทาง 

เพราะเริ่มต้นตั้งแต่กิเลสกามซึ่งจะต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจจากทวาร 5 ภายนอกไม่มี เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นกระดุมเม็ดแรกไม่มีให้กลัดเริ่มต้นก่อน ไปกลัดกระดุมเม็ดไหนก็ไม่รู้ มันต้อง 1 2 3 4 5 ไม่ได้เริ่มต้นเลยกระดุมเม็ดที่ 1 ไปจับกระดุมเม็ดไหนไม่รู้เริ่มต้น มันไม่มีลำดับอันน่าอัศจรรย์ มันก็เลยไม่มีความสำเร็จเสื่อมไปหมด 

เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาปฏิบัติ อาตมาก็พูดย้ำซ้ำซาก ก็ต้องพูดเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังมีอยู่ยังยึดถือ ยังหลงใหลกันอยู่ในมวลที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน อาตมาก็ต้องเออเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือ ติง ติง แล้วติงอีก พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเขายังไม่กระเตื้อง ฟังหูทวนลมบ้าง ไม่ค่อยได้ยินบ้าง ก็ต้องให้ได้ยิน ได้ยินแล้วยังเอาหูทวนลมก็ต้องฟังให้หูแตก หูไม่แตกก็จะต้องรู้สึกสำนึกเข้าใจ มันก็จะเกิดประโยชน์ได้ อาตมาทนที่จะพูดซ้ำซากไม่มีปัญหา 

 

_สาน สีสกุล  · ร้านดินอุ้มดาว ที่ปฐมอโศก เป็นของวัดหรือเปล่า ทำไมขายของราคาแพงจัง

พ่อครูว่า... อ้าว ปฐมอโศกฟัง มีคนเขาติ เขาเห็นว่าร้านดินอุ้มดาวที่ปฐมอโศกเป็นของวัดหรือเปล่า ทำไมขายของราคาแพง เป็นของวัดต้องขายของราคาถูกหน่อยนะ เขาติงมา ก็ดูว่ามันถูกลงได้หรือมันไม่แพงหรอก แต่คนเขาขี้เหนียวเขาเห็นว่าราคาอย่างนี้ก็ยังแพงก็เป็นไปได้ บางคนขี้เหนียวเห็นว่าของนี้ไม่น่าราคาอย่างนี้ก็ได้ ก็ดูที่มันสมควรไม่สมควรอย่างไร คนติงมาก็ต้องตรวจสอบ 

 

_ไอ้หนุ่ม รถไถ  · ขอน้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับผมขออาราธนา ให้พ่อท่านอายุถึง151ปีอย่างที่พ่อตั้งไว้ครับสาธุครับ

พ่อครูว่า... โอ้ สาธุด้วย ถ้า if i were ถ้าอาตมาเป็นไปได้อย่างที่ว่า 151 ปี โอ้โห.. รับรองคนยอมรับอาตมาหมดเมื่อนั้น เนาะ เอาน่า ..ไม่ได้ 151 150 ก็เอา 150 ไม่ได้ 149 ก็ 149 ไม่ได้ 148 ก็เอา 148 ไม่ได้ ลดลงมาอีกเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละไม่เอาไม่ได้อย่างไร มันเป็นไปตามความจริง 

คนมีการตั้งเจตนาได้ จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็พากเพียรเอา เราไม่ได้เจตนาหรือไม่ได้ตั้งจิตไปเพื่อจะทำชั่ว ไม่ได้ตั้งจิตไปเพื่อจะทำสิ่งไร้ค่าไร้ประโยชน์ อาตมาว่าเป็นประโยชน์คุณค่านะ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเจตนาอย่างนี้ ตั้งจิตที่จะมีอายุยืนยาว จะว่าขี้โลภก็ไม่มีปัญหาเพราะตั้งจิตอยากจะทำสิ่งที่ดีเสียสละสร้างสรรค์ 

 

_CBim CBim (ซีบีไอเอ็ม ซีบีไอเอ็ม) · เทพเทือก โกงสถานีตำรวจพันๆ แห่ง กลับกิน อยู่ สบาย ๆ ทำไมถึงจองล้างจองผลาญตระกูลชินวัตรกันจังครับ

พ่อครูว่า... คนนี้คงเข้าใจว่า ตระกูลชินวัตรไม่โกงกินอะไรเลย คุณตื่นๆเร็วๆหยิกตัวเอง คุณเห็นอย่างไร เขาตัดสินกันแล้วไม่ใช่เหรอเรื่องสถานีโรงพัก ตัดสินแล้วว่า เทพเทือกไม่ได้มีความผิด ไม่ได้โกงกินอะไร คุณนี่นอกจากไม่ฟังข่าวสาร ไม่ฟังเหตุการณ์บ้านเมืองแล้ว นอกจากตาบอดคงหูหนวกจมูกไม่ได้กินลิ้นก็คงไม่ได้รับรสอีกต่างหาก ขออภัยอาตมาพูดสัจจะความจริง ทำไมคุณงมงายไปหลงทางด้านตระกูลชินวัตร 

เอาละ สุเทพ อาจจะมีความบกพร่องผิดพลาด แต่อาตมาว่าน้อยกว่าทักษิณชินวัตรกันเป็นร้อยต่อ พันต่อนะ ทำไม คุณ... อาตมาก็พอ จะบอกว่าโง่เง่าก็มากไป ที่จริงไม่มากหรอก ไม่เป็นลีลาการด่ากันว่าของอาตมานะ 

 

_อุบล คนโก้ · งานวันแห่งความรักครบรอบ 88-8-8 หลวงปู่ที่สันติมีชีวิตชีวามากๆ เลยค่ะ    รักลูกชายมากเลยส่งมาเรียนทื่สันติเจ้าค่ะ จบม.6 บอกจะเรียนต่อที่วัดอีก แม่ดีใจจนน้ำตาไหลเจ้าค่ะ ดีใจที่ลูกจะได้ช่วยงานสื่อที่วัด แม่ก็เหมือนได้เกาะลูกเข้าวัดเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ดีมาก คนที่มีเจตนารมณ์อย่างนี้ เราก็ชื่นใจ เราก็อบอุ่น เป็นคนที่มีเจตนารมณ์ มีความรู้สึก มีความเข้าใจว่า เออ ตัวเองมาสนใจความรู้ความเห็นของคณะนี้ ลูกเต้าเหล่าหลานของตนก็มาเห็นด้วย มันก็น่ายินดีนะ 

 

_ภิญญา สว่างแสง  · กราบนมัสการค่ะ ดิฉันประทับใจญาติธรรมผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่บ้านราช เคยเห็นท่านตักส้วมอย่างเต็มใจ ไม่แสดงอาการรังเกียจเลย ประทับใจมาก ยังจำภาพที่ท่านตักส้วมได้เลยค่ะ

พ่อครูว่า... อ้าวดี คนทำงานที่น่ารังเกียจ เราเห็นเขาเต็มใจทำ ไม่ใช่เรื่องสามัญทีเดียว คนทั่วไปยังรู้สึกรังเกียจอุจจาระ ที่มันเป็นของตนออกจากตนอยู่นี่แหละ เสร็จแล้วมันก็รังเกียจมันเกินจนกระทั่งไม่ทำความสะอาด ใครเห็นเข้าก็รู้สึกสะดุดใจก็จริงมันเป็นธรรมดาธรรมชาติง่ายๆ 


_ซึ้งซื่อ วิเชียร . กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ   พ่อท่านเห็นว่า ประชาธิปไตยแบบโลกุตตระของไทยที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ต่อไปจะอยู่ถาวรหรือไม่และพี่น้องปวงชนชาวไทยและชาวโลกจะได้รับอานิสงค์อย่างไรเพราะว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยง เพราะจิตใจของผู้คนในโลกมันเสื่อมต่ำลงทุกวัน และชาวอโศกจะช่วยพวกเขาได้หรือไม่อย่างไร กราบขอโอกาสพ่อท่านให้สัมมาทิฏฐิด้วยครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพนับถืออย่างสูงยิ่งครับ

วิสัยทัศน์การเมืองแบบโลกุตระ

พ่อครูว่า... เดี๋ยวฟังต่อไปจะได้สาธยายเรื่องประชาธิปไตยที่ได้สาธยายมาแล้วยังค้างอยู่ ยังไม่จบที่ร่างๆไว้แล้วก็อธิบายเสริมไปอีกไม่ใช่น้อย จะต่อเลย

ที่อาตมาได้อธิบายมาเรื่อยๆว่าเมืองไทยนี่แหละ ยืนยันว่ามีประชาธิปไตยที่เป็นแบบ โดยมี Concept ของพระพุทธเจ้า มีวิสัยทัศน์แบบของพระพุทธเจ้า 

มีวิสัยทัศน์นี่ที่จริงเขาไม่ได้เรียกว่า Concept หรอก เขาเรียก Vision เขาไม่เรียก Concept 

วิสัยทัศน์ของคนที่มีความรู้แบบโลกียะหรือแบบเทวนิยมอย่างปุถุชนหรือคนชาวโลก แม้แต่ชาวทางตะวันตกทางอเมริกาหรือทางเทวนิยมที่ไม่ใช่โลกุตตระเขามีมาแล้ว 

วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อว่า การเพิ่มตัวเลขของเงินได้คือความเจริญ มันเป็นความประหลาดไหมหรือเป็นเรื่องสามัญ วิสัยทัศน์ของคนทั่วไป ถ้าได้เพิ่มตัวเลขของเงินได้ ถือว่าเป็นความเจริญ เป็นการพัฒนาหรือความพัฒนาก้าวหน้าของสังคมประเทศ เป็นความประหลาดไหม ..ไม่.. เป็นสามัญ เป็นแนวคิดของทุนนิยม หรือโลกียะแน่แท้ ธรรมด๊า ธรรมดา 

อาตมาเคยเรียนหนังสือสมัยเด็ก ธรรมดาอ่านว่าธรรมดา ใครเคยบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสามัญ มันตรงกันข้ามกันกับวิสัยทัศน์ของโลกุตระ หรือวิสัยทัศน์แบบบุญนิยม แบบโลกุตระ มันตรงกันข้ามคนละทิศเลย หันหลังออกจากกันแล้วเดินกันไปคนละก้าว ห่างกันไปเรื่อยๆ เพราะว่าโลกียะกับโลกุตระมันหันหลังชนกันแล้วเดินตรงไป มันจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเมืองไทยนี่มีโลกุตระ แม้ทุกวันนี้มันจะเสื่อมไปเยอะแล้ว แต่เชื้อมันก็ยังมีหลงเหลือ เหลือหลงอยู่ ยังมี ก็ขอบอกอีกอันหนึ่ง อย่าหมั่นไส้ ยิ่งอาตมาเกิดมาในยุคนี้ด้วย เอาโลกุตระมาสถาปนาลงไปอย่างเจตนา ทำมาแล้ว 50 กว่าปีแล้ว ก็จะต้องลงไปไม่มากก็น้อย จะน้อยก็ช่าง ทำ อาตมาไม่มีทางเลือก ก็ได้ 

ทีนี้วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อกันว่าเพิ่มพฤติกรรม เมื่อกี้นี้วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อว่าเพิ่มตัวเลขของเงินได้ แต่วิสัยทัศน์อีกชนิดหนึ่ง หรือวิชั่นอีกชนิดหนึ่งคือของคนที่เชื่อว่าการเพิ่มพฤติกรรมหรือเพิ่มการลงมือทำงานจริงๆ อันนั้นเอาตัวเลขเป็นเครื่องวัด ตัวเลขของเงินได้ แต่อีกอันหนึ่งไม่กังวลเรื่องเงินได้หรือไม่ได้ อย่างชาวอโศกเราไม่กังวลเรื่องเงินได้ เป็นต้น พวกเราจะฟังแล้วเข้าใจ เราไม่ได้เอาตัวนั้นมาเป็นกังวล ได้หรือไม่ได้เรื่องเงินเรื่องทอง แต่เอาพฤติกรรมหรือการลงมือทำงานจริงๆของคนที่สร้างสรรค์ จนเกิดผลผลิตได้ขึ้นมา ไอ้นั่นมันได้ ไม่มีอาการลงมือทำงานจริงๆเลยแล้วก็เพิ่มผลผลิตขึ้นมาให้ได้จริงๆเลย จนกระทั่งได้อาศัยใช้สอยกินอยู่กัน จริงจังแน่แท้เลยนี่ 

อย่างนี้ต่างหากที่คือความเจริญของสังคมมนุษย์ อย่างนี้ต่างหากคือความเจริญของสังคมมนุษย์กันจริงกว่า นี่แหละคือวิสัยทัศน์ของอาตมาก็ตาม Concept ของอาตมาก็ตาม Vision ก็ตาม Concept ก็ตาม 

Concept คือความเห็นมวลรวมของแต่ละคน เราก็เห็นว่าอย่างนี้จริงกว่า 

เพราะฉะนั้นการวัด GDP  Gross Domestic Product ไปวัด GDP กันที่จำนวนตัวเลขของรายได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ชนิดหนึ่ง 

มันมีภาวะซับซ้อนอยู่ในตัวเลขนั้น คือ การขายอย่างเสียสละ หรือขายอย่างเอาเปรียบ ถ้าขายอย่างเอาเปรียบนี่ เอาเปรียบด้วยดีไม่ดีก็โก่งราคาด้วย ดีไม่มีแถมโกงด้วย แทนที่จะขายราคาตลาดหรือขายต่ำกว่าราคาตลาด แต่ขายโก่งกว่าราคาควรจะเป็น ดีไม่ดีโกงเข้าไปหาเรื่องหลอกอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความโลภ 

มันก็จะขายได้ ได้ตัวเลขมา เอามาคุยโม้ว่า GDP เจริญก้าวหน้า เพราะมีตัวเลขของเงินได้ ได้มากเท่าไหร่ก็เอามาโชว์ ๆๆ นั่นก็เป็นการโชว์ชนิดหนึ่ง มีไหม มี แล้วทำกันอยู่ 

แต่ถ้าอาการวัด GDP คำว่า GDP เหมือนกัน แต่วัด GDP กันที่จำนวนผลผลิตและจำนวนของแรงงานความสามารถที่ลงมือทำและก็สร้างขึ้นมามีผลจริง แล้วก็ขายอีก ขายอย่างเสียสละหรือว่าแจกฟรีด้วย เป็นการสะพัดของนั่นเองเป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สะพัดของ เสียสละหรือแจก เงินหรือจำนวนของตัวเลขมันก็มีน้อย มันก็ได้เอามาโชว์มาแสดงไม่เหมือนกันใช่ไหม มันก็จะได้น้อยๆ แตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางแน่ๆเลย 

แบบทุนนิยมก็จะมีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก ว่าเป็นความเจริญของเศรษฐกิจทุนนิยม ฟังดีๆสับสนไหม ไม่สับสนนะ นั่นน่ะทุนนิยมเขาจะอย่างนั้น 

แต่บุญนิยมนั้น ไม่มีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก กับจะโชว์หรือการแสดงการได้ให้หรือการได้ออกไป เอาออกไปยิ่งไปเสียสละออกไปยิ่งๆ โชว์อันนี้โชว์อย่างนี้ต่างหากว่า เป็นความเจริญพัฒนาของเศรษฐกิจบุญนิยม โชว์กันคนละอย่าง แสดงออกคนละอย่างเพื่อที่จะได้อวดอ้างโชว์ แต่มันมีนัยยะสำคัญซ้อนอยู่คนละแบบกันอยู่ นี่เรียกว่าโชว์ GDP แนวคิด 

เราจะเอาตัวเลขของเงินทองหรือจะเอาจำนวนผลผลิตแรงงานความสามารถที่เราลงมือทำลงมือสร้างอย่างมีผลผลิตจริง มาเป็นเครื่องวัด มาเป็นเครื่องชี้บ่งกัน ว่าความเจริญพัฒนานั่นน่ะ เอาอย่างไหนกันแน่ ยิ่งได้เอามาให้ตนหรือได้เสียสละออกไปให้ผู้อื่นกันแน่ เป็นการตัดสินความจริงว่าอย่างไรคือความเจริญของคน การพัฒนาสังคม เห็นไหม

นี่ก็ศึกษาดีๆ ความจริงที่อาตมาพูดนี้เป็นความจริงของพฤติกรรมของความเข้าใจของความคิด ความเชื่อถือของแต่ละคน 

โลกียะนั้นก็จะมีวิสัยทัศน์หรือว่ามีความประสงค์ต้องการ Vision นำไป หรือว่าความประสงค์ความต้องการเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แน่ๆ แตกต่างกันกับโลกุตระ โลกุตระจะมีวิสัยทัศน์หรือมีความประสงค์ความต้องการไปทางที่จะล้างละล้างความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ก็เป็นคนละแนวคิด คนละแนวทางคนละความสำเร็จ 

เสร็จแล้วปฏิบัติกันไปทำจริงๆประสบผลสำเร็จ ความสำเร็จก็คนละอย่าง ชัดเจนนะ 

ดังนั้นไม่ว่าจะเรียกพฤติกรรมหรือพฤติภาพ นั้นๆน่ะ พฤติกรรมก็คือการกระทำ พฤติภาพก็คือผลมันออกมา จะออกว่าเป็นเศรษฐกิจ หรือจะเรียกพฤติภาพว่าเป็นการเมืองหรือรัฐศาสตร์ก็ได้ จะเรียกว่าเป็นการกระทำต่อสังคม จะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจก็เป็นการกระทำต่อสังคมคนละนัยยะสำคัญ 

คนทั่วไปส่วนมากในโลกก็มีจิตที่เป็นปุถุชน นี่ไม่ได้ไปขี้ตู่ ไม่ได้ไปว่ากล่าวหาเรื่องแต่เป็นจริงใช่ไหม คนส่วนมากทั่วไปสามัญแท้ๆในโลกเขามีจิตเป็นปุถุชน เจ้ามีความรู้และความฉลาดอยู่แต่ในกรอบของโลกียะ ปุชนนี้มีความรู้ความฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ยังอยู่ในกรอบของทุนนิยม โลกียะนี้คือชาวทุนนิยมแท้ๆมันยังไม่มี อัญญธาตุ ที่อาตมาได้เอามาอธิบายมาแล้วขยายความมามากมาย มันมีความจริงไหม พวกเราได้เรียนรู้และจะรู้ว่า อัญญธาตุ คือธาตุอะไรคือธาตุของจิตวิญญาณ 

อัญญธาตุ ที่เป็นธาตุรู้ชนิดใหม่ เป็นธาตุรู้ชนิดอื่น ที่แตกต่างทวนกระแสหรือว่ากลับขั้วกลับข้างกันตรงกันข้ามกันเลยทีเดียวกับของโลกียะของปุถุชนคนละเรื่อง 

เมื่อความเห็นความเข้าใจความเชื่อมั่น อัญญธาตุ คือทำให้เกิดความเห็นความเข้าใจความเชื่อมั่นเปลี่ยนทิศทางไปเป็นอื่นไปจากเดิมๆ เดิมเป็นปุถุชนเดิมเป็นโลกียะ คิดแต่แบบทุนนิยม 

ที่นี้มีตัวธาตุรู้ที่มาเข้าใจแบบนี้และเห็นดีเห็นงามแบบนี้ มันก็เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางไป จะว่าแปลกว่าใหม่ จริงๆมันไม่หรอก ทิศทางมันต่างไปเป็นแบบทวนกระแส จากขี้โลภกลับไม่ขี้โลภ มันไม่ใหม่หรอกในมวลมนุษยชาติ ไม่ขี้โลภก็รู้ทั้งนั้นคืออะไร ขี้โลภก็รู้ทั้งนั้น มันเคยผ่านเคยพบมาเคยรู้มาเคยเกิดกับตนเองด้วยซ้ำ ทุกๆคนแหละ แต่จิตมันเห็นดีเห็นงามเห็นชอบไปคนละทิศในแต่ละ กาละ เทศะ ฐานะ เท่านั้น

คนจะมีฐานะแตกต่างกันไป เลื่อนฐานะขึ้นหรือต่ำลง ก็เกิดจาก กาละ เทศะ ฐานะ 

ฐานะของคนที่ตั้งอยู่ในกาละนี้ มันหลงยึดอย่างนี้หรือมันเปลี่ยนไปได้ ถ้ามันยึดอย่างนี้ อยู่อย่างเก่าอย่างเดิม มันก็ไม่มีใหม่ ไม่มีอื่น มันก็วนอยู่ในรสนิยมเดิมคือโลกียะ เก่าๆเดิมๆ 

แต่ถ้าแม้นว่ามันมีความต่างจากเดิม คือเปลี่ยนเพศ เพศ ก็คือความแตกต่างกัน เปลี่ยนความมีรสนิยมไปจากเดิม คือโลกุตระที่เป็นโลกใหม่ ที่มีปัญญา มาเข้าใจได้ คือมีความรู้ความฉลาดที่เข้าใจทิศทางที่จะเลิก จะละความเป็นตัวตน และก็รู้ว่า การไม่ออกจากตัวตนหรือแถมจะยิ่งเพิ่มพอกความเป็นตัวตนด้วยการเพิ่มความโง่ ความหลงใหลอยู่กับความเป็นตัวตน เสพองค์ประกอบที่ให้เพิ่มตัวตนให้ใหญ่ให้แน่นหนักเข้าไปให้ยิ่งขึ้นด้วยอวิชชา ไม่รู้จริงๆว่า มันก็จะยิ่งมีตัวตน ก็ยิ่งใหญ่ มีตัวตนเป็นที่ยิ่งที่ใหญ่ที่มากที่แน่นที่หนาที่หนักยิ่งๆขึ้น หาที่สุดมิได้เลย 

ถ้าไม่เกิดความรู้ความฉลาดหรือการเมืองหรือความเป็นไปของสังคม การเมืองคือความเป็นไปของสังคม ไม่รู้ การเมืองหรือความเป็นไปของสังคมมันบอกเรา คนที่มีปฏิภาณปัญญาฉลาดจะรู้ว่าโลกนี้ ความเป็นไปของสังคมหรือว่าการเมืองของสังคม มันเห็นแก่ ในจำนวนคนในสังคมมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น หรือมันเห็นแก่ตัวลดลง เราจะมองคนในหมู่กลุ่มแคบ ตั้งแต่ในครอบครัวของเรา มวลมิตรสหายสังคมของเรากว้างขึ้น จนกระทั่งมองกว้างเข้ามาถึงคนในสังคม ประเทศ มันมองได้มันมองออก ถ้ามีปฏิภาณปัญญา มีความสะดุด มีสำนึก มีความนึกคิด ในเรื่องเหล่านี้อย่างนี้ 

อย่างมามองคนกลุ่มหนึ่งชาวอโศกมีพฤติกรรม มีการแสดงออกจนกระทั่งสามารถรู้ถึงจิตใจ การแสดงออกทางกายวาจานี้สามารถพอจะรู้จริงๆถึงจิตใจ ยิ่งอยู่ร่วมกันนานๆสัมผัสการเป็นอยู่กันนานๆ มันยิ่งจะรู้ว่า อ๋อ คนผู้นี้มีจิตใจ จนกระทั่งมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มันไม่เหมือนกันกับสามัญคนส่วนใหญ่ทั่วไปที่เป็นปุถุชนเขาเป็น 

เพราะฉะนั้นความเป็นไปของพฤติกรรมของคน แล้วก็เป็นมวลสังคมกลุ่มหนึ่งกว้างขึ้นกว้างขึ้น แล้วก็เห็นสิ่งเหล่านี้แหละ ปฏิบัติประพฤติลงไปในสังคมในหมู่กลุ่ม ในมนุษยชาติ จนในประเทศ มันก็เกิดจากคนเป็นสังคมเป็นชาติประเทศ 

เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็มีคน ประเทศไหนก็มีคน เป็นตัวแสดงพฤติภาพนี้ จากพฤติกรรมของมนุษย์ของมวลมนุษย์แต่ละประเทศแต่ละที่ มาเทียบกัน เอามาเปรียบกัน ก็เอาพฤติกรรมของมนุษยชาติที่ประพฤติอยู่ในเมืองของตน เรียกว่าการเมือง เอามาเปรียบ เอามาเทียบกันแล้วก็เป็นอยู่ ทั้งการกระทำที่มันซ้อนลึก 

คนกลุ่มนี้ไม่ตะกละตะกลาม ไม่ขี้โลภ ไม่ขี้แย่งชิง ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น พึ่งตนเอง สร้างสรรค์ให้แก่ตนเอง จิตใจมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรคือสิ่งไร้สาระหรือเป็นสิ่งประโลมโลกเท่านั้น การสร้างอาวุธมาฆ่าคนเป็นความไร้สาระมาก การสร้างความมอมเมา การสร้างเครื่องประเทืองทำให้เมาในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เมาในจิตใจ ประสาทดีๆ เกิดกินธาตุอะไรเข้าไป มันเกิดมึนเมาและสติก็ไม่ดี จะเรียกว่ายาบ้า ยาเมา มันก็เห็นกันอยู่ มันก็รู้ๆกันอยู่ 

ความต่างของพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ

พ่อครูว่า... คนที่ไม่ได้วิปลาส ไม่ได้มีจิตใจเสื่อมต่ำอะไร ก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง คนที่วิปลาสหรือจิตใจไม่สูง มันก็เป็นจริง เข้าไปเกี่ยวไปจนกระทั่งเห็นๆอยู่ในสังคมมันมีทั้งนั้น 

ยิ่งรู้ว่าเราจะทำให้จิตใจของเราเจริญอย่างไร ศาสนา พระศาสดาแต่ละศาสดา ของศาสนาแต่ละศาสนา ศึกษาเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น อย่างไรเรียกว่าดี ศาสนาพระพุทธเจ้าก็ศึกษา และเอามาสอนมาบอกว่าอย่างนี้ดี นอกจากดีแล้วพระพุทธเจ้าท่านรู้เป็นโลกุตระ เป็นอัญญะอัญญา เป็นเรื่องแตกต่างที่คนส่วนใหญ่ศาสดาทั้งหลายไม่ได้มี คือโลกุตตรธรรม อันมาจาก อัญญธาตุ 

อันนี้เป็นเรื่องที่พิเศษที่สุด และเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะความรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรม มันสามารถรู้ประธานของความเป็นมนุษย์ ประธานของความเป็นสังคม ประธานของความเป็นประเทศ ประธานของความเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ของสังคมของมวลประเทศ ของมวลชาติประเทศ หรือของมวลมนุษย์โลก สรุปเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์นั้น เทวนิยมเขาสมมุติว่าอยู่ที่พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้า ไม่มีใครเคยพบ เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินเสียงใครเคยกู่ๆ เรียกหาเจ้าอยู่ๆ หนใด รีบมา 

พระเจ้าคือเจ้าทุยหรือเปล่า ที่คนเรียกหาอยู่ ทำไมไม่มาสักที ?

เพราะฉะนั้นเป็นความเพ้อฝันหรือเปล่า ความจริงไม่ใช่ พระเจ้าก็คือความรู้ความฉลาดที่สุดของพระศาสดาเอง แต่ละพระองค์ แต่ศาสดาเทวนิยมแต่ละพระองค์นั้น ไม่รู้จักความจริงที่พระองค์มีความรู้ความฉลาด ศาสดาทุกพระองค์มีความรู้ความฉลาด และความรู้ความฉลาดที่มีในตนเองนั้น ก็คือของตนเองที่ได้สั่งสมมาตามกรรมวิบาก มันจึงได้ จึงเป็น จึงมี มีความรู้ความฉลาดสูง มากพอจนเอามาพูดกับมนุษยชาติ มนุษยชาติเข้าใจ เห็นดี ศรัทธา มานับถือจนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แบบของแต่ละศาสดา พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน

แต่พระพุทธเจ้านั้นนอกจากจะมีความรู้อย่างศาสดาทั้งหลายรู้ พระพุทธเจ้าก็มีหมด ความรู้ที่เรียกว่าดีชั่ว ที่พระศาสดาของเทวนิยมมีแต่ละพระองค์ พระพุทธเจ้ามีรู้อย่างนั้นรู้หมดเข้าใจทั้งนั้น 

รู้จนกระทั่งรู้ว่ามีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จะเอาให้ดีที่สุดตามแต่ศาสดาแต่ละพระองค์ รู้ของตนเองแต่ละพระองค์ แล้วก็เอามาตรัส เอามาสอนเป็นความรู้ของศาสดาเอามาพูดเอามาสอนให้แก่คน จะเรียกว่าเป็นความตรัสรู้ของศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์ก็ได้ ถ้าไม่ติดในพยัญชนะว่าความตรัสรู้เราใช้กับพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นนะ อย่าไปขี้หวงขี้แหนขนาดนั้น จะบอกว่าพระศาสดาแต่ละพระองค์เทวนิยมก็ตรัสรู้ของท่านก็ได้ 

แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้อย่างนั้น ท่านถือว่าเป็นความเจริญและเจริญสูงสุด มีที่ค้างอยู่ จบสูงสุดแล้วก็คือเจริญสูงสุด เป็นความรู้สูงสุดนิรันดร สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระเจ้า สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระศาสดา พระศาสดาตายแล้วมีความสูงสุดแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วยังไงต่อ ไม่มีตำราของเทวนิยม มีเท่านี้ก็ปิดตำรา เปิดอีกก็มีจบเท่านี้ ไม่มีต่อ แต่ของพระพุทธเจ้ามีต่อ 

อย่างของศาสดาเทวนิยมมีหมด ตำราทุกเล่มแบบนี้ มาจบอยู่ที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร และแดนพระเจ้าคืออะไร คือแดนสุข แดนของพระเจ้าคือแดนสุข แต่ไม่รู้เรื่องทุกข์หรอก แต่รู้ว่าไม่เอาทุกข์ แต่ไม่ได้ศึกษาทุกข์และไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วจะเลิกทุกข์ได้อย่างไร ศาสดาเทวนิยมทุกองค์ของเทวนิยมไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครค้นพบและไม่มีใครมีหลักการหลักวิชา ปฏิบัติจนรู้ทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ เหตุเป็นอิทัปปัจจยตาเท่าไหร่ ตั้งแต่มันโง่อวิชชาแล้วมันปรุงแต่งมาเป็นชีวิตสังขารมีวิญญาณเป็นเจ้าเรือน แล้วก็แยกวิญญาณได้เป็นรูปนาม แล้วมันก็ไปสัมผัสสัมพันธ์กันเป็นอายตนะ โดยมีผัสสะและให้การเกิดสัมผัสสัมพันธ์เป็นอายตนะนั้นๆเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา แล้วมันก็หลงสุขเวทนาทุกขเวทนา อยู่ตรงนี้ โดยมีเหตุที่เรียกว่า ตัณหาและอุปาทาน เทวนิยมไม่มีความรู้ในอิทัปปัจจยะตาหรือเหตุนี้เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีผลนี้ ศาสดาเทวนิยมไม่มีความรู้ของจิตวิญญาณที่แยกเป็นปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งเกิดภพ เกิดชาติเวียนวนแล้ววนเล่า แต่ไม่รู้ตนเอง 

เพราะไปอยู่ที่ศาสดาพระเจ้า จบตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ต้องเกิดอีกทั้งนั้น แต่ศาสดาเทวนิยม ไม่รู้การเวียนตายเวียนเกิด ไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้เหตุปัจจัยที่อยู่ในกรรมในวิบากว่า คุณหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ในโลกไม่รู้จักจบนิรันดร มันไม่ได้ค้างอยู่ที่พระเจ้าและก็เป็นสุขอยู่ที่พระเจ้า ไม่มี เดี๋ยวคุณเกิดตรงนั้นแล้ว 

ที่จริงส่วนมากแล้วเป็นปุถุชน หลงสุขไปทำเหตุแห่งทุกข์ไว้มาก หลงสุขจึงทำเหตุแห่งทุกข์มาบำเรออัตตาตัวเอง ใช่ไหม คุณก็ไปเสพสุขเพราะคุณหลงการเสพสุข คุณจึงไปหาเหตุแล้วก็ไปเบียดเบียนโลก เบียดเบียนตั้งแต่ 

เอาตั้งแต่มนุษย์ ที่ไปกระทบสัมผัสเกี่ยวข้อง แล้วโง่ไปแย่งสมบัติ วัตถุ โง่ไปแย่งแม้แต่แย่งแผ่นดิน โง่ไปแย่งอำนาจบาทใหญ่ โง่ แย่งทั้งนั้นจะได้เป็นผู้ที่มีมากมีอำนาจ ทุกอย่างเป็นของข้าหมด ข้าจะเอามาเมื่อไหร่ก็ได้ง่ายๆ มันหลงถึงขนาดนั้นขี้โลภ ไม่มีที่สิ้นที่สุด 

พระพุทธเจ้ามารู้ว่า โอ้ มันไม่จบมันไม่มีที่สิ้นสุด หยุดอยากได้เถอะตั้งแต่ของที่มันต้องลำบากหนักหนาต่างๆ หยุดเถอะความไร้สาระหยุดมาก่อน เพราะฉะนั้นความฉลาดที่รู้จักละเลิกจากสิ่งที่สังขารปรุงแต่งเป็นสังขารโลก ลดลงมาลดลงมา 

จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ปัดโธ่เอ๋ย จริงๆแล้วเราไปเที่ยวนึกว่า มันเป็น มันมี ที่จริงแล้วมันเกิดจากสิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกันขึ้น คือจิตวิญญาณกับอีกสิ่งหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าไอ้นี่แหละเป็นตัวตน เป็นเทวดา เป็นเจ้าแห่งความสุข เป็นเจ้าแห่งอำนาจ เป็นเจ้าแห่งสมบัติ เป็นเจ้าแห่งสัมผัส เป็นเจ้าแห่งเวทนา สุขทุกข์ 

มาจบที่สุขและทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สุขทุกข์ แล้วก็รู้ว่าสุขทุกข์คือความลวงคือ มายาใหญ่ โธ่เอ๋ย ๆๆ หลอกมานานหนอ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เจ้ากิเลสเรารู้หัวใจเธอแล้ว หักขั้วหัวใจเธอออกได้หมดแล้ว อย่ามาทำเป็นหลอกให้ฉันเกิดมาเป็นชีวิตที่โง่ๆอย่างนี้เลย ก็เลยรู้จักวิธีการ ดับ หยุดความโง่ หยุดที่จะวนเวียนเกิดมามีชีวิตแสวงสุข เพราะสุขเป็นมายา ทุกข์เป็นมายา พอรู้จบในทุกข์สุขเป็นมายา ดับสุขดับทุกข์ได้ทุกอย่างดับหมดเลย จิตวิญญาณสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่คือความตรัสรู้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดรู้เหตุ ดับเหตุได้ ก็เหลือจิตวิญญาณสะอาด และเป็นจิตวิญญาณที่สะอาดประเภทที่ กิเลสในโลกรู้ทันหมด มันมีอยู่ในโลกที่เกิดจากสัมผัสกันตั้งแต่ 2 ชิ้น 2 อย่างไปตามจิตวิญญาณโง่กับทุกสิ่ง 

บางคนชอบกินขี้ ว่าเป็นความสุข พูดให้มันถึงๆน่ะ บางคนชอบกินเศษขยะ เป็นสุขว่าเป็นสุข นอกนั้นก็ชอบ มันจะไม่น่าเกลียดเท่าที่พูดมาตอนต้นเท่าไหร่ก็ตาม มันก็คือสิ่งที่ไปสัมพันธ์กัน เกิดมาเป็นสภาพอย่างนั้น เรียกว่าย่อลงไปที่สัมผัส 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วก็ยังไปปรุงแต่งกันอยู่ในจิตอีก เป็นอันที่ 6 ที่ไม่มีประมาณ ของแต่ละคน บ้าไปได้อย่างนับไม่ถ้วน ของใครของมันบ้าปรุงแต่งอยู่ 2 อัน ถ้าได้อย่างนี้เป็นอย่างนี้ๆ ถ้ามีอย่างนี้เป็นอย่างนี้ 

มันเป็นลมๆแล้งๆเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ เป็นเรื่องที่บอกว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น มันเห็นเป็น สุภะ ทั้งๆที่มัน อสุภะ เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลงว่ามีเลย 

ถ้าผู้ใดเห็นว่ามันไม่มี สุภะ มีแต่อสุภะ น่าเกลียดน่าชัง 

สรุปลงตรงที่ศัพท์ง่ายๆบอกว่า ทุกอย่างมีแต่ขี้ มีแต่อุจจาระ ทุกอย่าง excrement ภาษาง่ายๆเขาเรียกว่า shit ขี้

ทุกอย่างมันลงท้าย มันจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ใดที่มีภูมิปัญญาเห็นว่า ทุกอย่างมันไร้สาระ มันไม่มีอะไร ปรุงแต่งไปลงท้ายมันก็จะมีแต่ของเน่า กลายเป็นขยะเน่า กลายเป็นสิ่งที่เหม็น กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ขี้เหม็น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันไม่ได้เป็น สุภะ ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็นอะไร แต่มันก็พยายามปรุงแต่งให้มันสด ให้มันหนัก ให้มันใส ให้มันดูน่าชมไป แต่ลงท้ายมันจะเป็นอย่างนั้น ลงท้ายมันจะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เอาอะไรไปหมักดู มันจะเป็นอย่างนั้น 

แม้แต่ธาตุที่เป็นโลหะ ธาตุที่เป็นอิฐเป็นหินอะไรก็ตาม บดลงไปให้แหลกแล้วเอาไปเจือกับธาตุอื่นๆเข้าไปหมักเข้า มันก็จะกลายเป็นของเน่า ของเหม็น ถ้าเกาะตัวกันเข้าก็เป็นก้อนขี้ทั้งนั้น นี่พูดให้ละเอียดๆ หรือพูดให้แหลกให้ฟังเลย

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้ทางออก ทางออกมันจำนนว่า มันได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และทางเทวนิยมเขาก็จำนนว่า ดีที่สุดคือสุข ดีที่สุดคือทั้งรู้และฉลาด ให้เป็นพระบุตร เป็นลูกพระเจ้า เพราะลูกพระเจ้านี้คือมนุษย์ พระบุตรคือมนุษย์เกิดมาเป็นคน 

แต่พระเจ้าหรือพระบุตรก็ยังฉลาดน้อย ไม่รู้ว่าคนนั่นแหละคือคน คนไม่ใช่สิ่งประหลาด แต่พระบุตรถือว่าตัวเองเป็นผู้ประหลาด เป็นลูกพระเจ้าไม่ใช่คนนะ 

เพราะฉะนั้นพระศาสดาที่เรียกว่าพระบุตร แต่ละองค์ ศาสนิกของเขาไม่ได้นับว่าเขาเป็นคนนะ นับว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นพระบุตร คนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร คนแต่ละคนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร พระบุตรเป็นลูกพระเจ้า จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ เพราะพระบุตรไม่ใช่คน ดี รู้ ประเสริฐ แต่คนไม่มีสิทธิ์เป็นน่ะ 

นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่ามันไม่ใช่ คนเป็นได้ในสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเป็นไปไม่ได้แล้วจะให้อะไรมาเป็น ให้พระเจ้ามาเป็น แล้วไหนล่ะพระเจ้าแสดงตัวหน่อยสิ เขาก็อ้างว่าพระบุตรนี่แหละไงคือลูกพระเจ้าแสดงตัว แล้วแสดงตัวว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้วบอกว่าคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้แล้วมาแสดงทำไม แสดงแล้วก็บอกว่าเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ มีไหมศาสดาที่สอนให้คนเป็นอย่างพระบุตรได้ มีไหม... มี ศาสนาพุทธไง สอนให้คนมาเป็นอย่างพระบุตรได้ พระบุตรเป็นลูกพระเจ้าหรือเป็น DNA ของพระเจ้ามาเกิดได้เลยของพระพุทธเจ้าได้หมดถึงDNAเป็นพระเจ้า 

_สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วผู้แปลพระไตรปิฎกเรียกพระพุทธเจ้าว่าพระผู้มีพระภาค นั่นคือพระผู้เป็นพระเจ้าครับ แปลมาจากคำว่าภควัน ก็คือพระเจ้าโดยตรง พระพุทธเจ้านี้คนแปลจะยกย่องว่าเป็นพระเจ้าเลย พระผู้มีพระภาคคือส่วนหนึ่งของพระเจ้า 

พ่อครูว่า... ส่วนหนึ่งของพระเจ้าก็คือเทวนิยมอีกนั่นแหละ ก็เอาเถอะจะเข้าใจอย่างไร มันก็เป็นความเข้าใจของคนแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้ 

สรุปแล้วมันเป็นโลกียะกับโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนที่สามารถเข้าใจโลกุตระได้ เข้าใจความเป็นโลกุตระกันจริงๆได้ ก็มาศึกษาและก็มาทำให้เกิดให้เป็นโลกุตระจิต จิตใจนี่แหละจะเป็นตัวยืนยัน เป็นตัวแสดงออก เป็นพฤติกรรม เป็นสิ่งที่เกิดที่เป็นที่จริงทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมออกมา อย่างจริงใจ อย่างจริงๆจังๆไม่เสแสร้ง ไม่ได้อยากอวดอยากโอ่ 

อย่างอาตมานี้ แสดงออกอยู่ตลอดทุกวัน ตั้งแต่มารู้ว่าตัวเองว่าบรรลุธรรมแล้วต้องมาแสดง ตัวเองเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้จะต้องมาแสดงออกจะต้องมาพูดมาพาทำจะต้องออกมาสอน ก็มาทำ ตั้งแต่วันที่เข้าใจตนเองและก็มาทำงานตั้ง 50 ปียังไม่ตายนี่ เป็นการยืนยันความจริงว่า อาตมามีสิ่งที่รู้จริงเห็นจริง ของตนเองแล้วก็เอามาทำอันนี้ ยืนยันจนกระทั่งมีผู้รู้ผู้ฟัง แล้วก็ปฏิบัติตามจนกระทั่งได้มรรคได้ผล 

ได้มรรคได้ผลแล้วก็รู้สึกว่า อย่างนี้มันดีนะๆๆ จนกระทั่ง นี่ ไหลมารวมกัน น้ำ น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน อย่างพวกเราเป็นน้ำมันก็ไหลมารวมกันกับน้ำมัน พวกน้ำก็เยอะแยะไหลมาหาน้ำมันไม่ได้ พวกน้ำมันอย่างชนิดพวกเราเป็นน้ำมันแบบไหน ยิ่งกว่าอ๊อกเทน 

พระพุทธเจ้าอธิบายความจริงหรือความดีสุดยอด เป็นความดีเป็นความจริงขั้นสุดยอด ผู้ที่มีสิ่งสุดยอดเรียกว่าคนมีปัญญา คำว่าปัญญาอาตมาก็พยายามอธิบาย เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกุตตระ ปัญญามันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกียะเท่านั้น จึงเสียหายหมดเลยแต่ก็พยายามพูด มันแก้ไม่กลับแล้วล่ะ กู้ไม่ขึ้น เขาเอาปัญญาไปใช้เสียเละเทะในโลก มันกู้ไม่ขึ้น แต่คนที่ฟังแล้วจะเข้าใจความหมาย เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระแท้ว่า จริงๆ ความฉลาดแบบปัญญามันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจกันหรอกนะ มันเป็นอย่างที่อาตมาพูด อาตมาอธิบายของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

พ่อครูผู้มีสูงและต่ำในตน 2 ใน 1 และ 1 ใน 2 ในตน

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักปัญญา เมื่อมีปัญญา ปัญญารู้โลกุตระ เพราะฉะนั้นก็จะใช้ปัญญาหรือใช้ความรู้ที่เป็นโลกุตระนี่แหละ ที่มันเป็นคุณค่าวิเศษ มันเห็นว่า เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะฉลาดพอ ฉลาดพอในสิ่งที่ควรเลิกควรละ ควรเป็นควรมีมาตามลำดับ

โสดาบันก็จะรู้ว่าควรเลิกควรละ ไม่ต้องไปติดไปยึด ไม่ต้องไปติดสุขไม่ต้องไปติดทุกข์กับมัน จะต้องมีมันจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง 

อย่างสมัยก่อนนี้อาตมาตั้งแต่เด็ก โอ้โห.. ทำงานส่งหนังสือพิมพ์ รับมา ส่งหนังสือพิมพ์เสร็จก็แวะกินข้าวที่ราชวัตร มีร้านข้าวต้มกุ๊ยอยู่ที่ราชวัตร อาตมาก็แวะเข้า ไม่ต้องไปสั่งอะไร พอเขาเห็นหน้าอาตมาปั๊บ เขาก็เอาแกงมะระสด ใส่เครื่องในไก่ แกงจืดน้ำใส มะระกับเครื่องในไก่แล้วก็ข้าวมา แล้วก็น้ำปลาพริกมะนาวมา อาตมาก็กินอย่างนั้นทุกวัน จนไม่ต้องสั่ง เดินเข้ามาร้านปั๊บ เห็นหน้ากัน เขาก็ทำมาเลย อาตมาก็กินแต่อยู่อย่างนี้แหละ แล้ววันนี้ก็พอดีมีมะระมาโชว์ อาตมาก็เลยเอามาหยิบพูดถึงความเป็นมีอาชีพชีวิต ยังชีพยังชีวิตมาง่ายๆ 

อาตมาก็ในความมีชีวิต ต้องต่อสู้กับชีวิตไป หาสตางค์เรียนหนังสือเอง ที่จริงอาตมาไม่เคยน้อยใจไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยเลยนะ ที่ทำงานอย่างนั้นน่ะ และเราก็ทำงานและก็เลี้ยงชีวิตตน เรียนหนังสือหนังหาไป จนกระทั่งพอได้ทำงานอื่น นอกจากจะถีบรถส่งหนังสือพิมพ์ เอาหนังสือพวกนี้ไปวางขายได้เปอร์เซ็นต์ได้อะไรด้วย พอได้เงินได้ทองเลี้ยงตัวเองเรียนหนังสือมา จนกระทั่งได้มาออกโทรทัศน์ มีลำไพ่จากรายได้จากโทรทัศน์บ้าง จนกระทั่งได้สอนหนังสือ ตั้งแต่เป็นนักเรียนอยู่ก็ไปสอนหนังสือ ได้สอนหนังสือได้ลำไพ่ได้เงินทองพอเลี้ยงชีพก็เลยค่อยๆเบาทางด้านทำงานขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ไป ได้ทำโน่นทำนี่อะไรไปเองอีก แต่งเพลงอะไรไปมีรายได้ จากการเขียนหนังสือหนังหาอะไรไป มันก็เลี้ยงตนมารอด ไม่ได้ไปทำชั่วอะไร ไม่ได้ไปมอมเมาคนด้วย ไม่ได้ไปพามอมเมา ขอทิ้งไว้ในเรื่องความมอมเมา อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มี 

จนกระทั่งเรียนหนังสือมา จบมาทำงาน ทำงานไม่ได้เคยวิ่งเต้นหางานทำ เข้าโทรทัศน์ เข้ายากนะไม่ได้เข้าง่าย เข้าไปเป็นพนักงาน ไปเป็นคนจัดรายการได้มีรายการของตัวเองมันไม่ง่าย โทรทัศน์แต่ก่อนมันมีแค่ 2 ช่อง อาตมาเข้าไปทำงานนั้น มีช่องที่ 2 หรือยังไม่รู้ ดูเหมือนจะยัง เพราะอาตมาไปเข้าตั้งแต่พ.ศ.ที่ช่อง 5 ช่อง 7 ของทหารเขา …เกิดกันหรือยัง.. อาตมาเข้าทำงานที่โทรทัศน์ทำตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ตั้งแต่พ.ศ 2498 เปิดโทรทัศน์ช่อง 4 เดือนมิถุนายน สถานีโทรทัศน์ ของประเทศไทยแห่งแรกคือช่อง 4 เกิด 

อาตมาสมัครก็ได้ไปทำงานโทรทัศน์ หาลำไพ่ตั้งแต่ปลายปี 98 แล้วก็ทำมีลำไพ่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ใหญ่ในนั้นคือ คุณจำนงค์ รังสิกุล หัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ก็ยอมรับในความรู้ในฝีมือในความสามารถที่จะทำงานโทรทัศน์จัดรายการได้ จึงอยู่ฝ่ายจัดรายการได้ แล้วอาตมาก็จะไปจัดรายการทำงานทางโทรทัศน์หาลำไพ่มาจนกระทั่งเรียนจบแล้ว ตอนสมัครก็ไปบอกคุณจำนงค์ว่า จบแล้วจบเพาะช่าง เขาก็บอกว่าทำงานที่นี่ไหมล่ะจะทำงานก็เขียนใบสมัครเท่านั้นเอง เขียนใบสมัครเข้าไปทำงานเลย เพราะทำงานอยู่แล้วรายการก็มีอยู่แล้วก็ทำต่อไปเลย ก็เป็นพนักงานบริษัทไทยโทรทัศน์ โดยไม่ได้เข้ายากเข้าเย็นอะไร แต่คนอื่นเขาเข้ายากเย็นมากเพราะมีโทรทัศน์ช่องแรกของประเทศไทยอยู่ช่องเดียว เท่ห์โก้ ยิ่งได้ออกรายการจัดรายการโผล่หน้ามาแสดงตัว เขาเรียกกันดารงดารา อะไรก็แล้วแต่ มันก็โอ้โห..เท่ห์เสียไม่มี 

แต่อาตมานี่ทำงานโทรทัศน์ทำสารพัด ทำงานรายการที่คนเขาไม่ค่อยทำ รายได้ค่ารายการถูกมาก อาตมาค่าตัว 80 พวกคนที่ทำรายการค่าตัวของเขาร้อย 120 ค่าตัวของดารา 150 ของอาตมา 80 แต่ของอาตมา คุณทำ 80 เราทำ 2 รายการก็ได้ 160 วะ อ้าวจริง เพราะอาตมาทำรายการเยอะและอาตมาไม่เคยด้อยกว่าดาราเด่นๆ ดาราเด่นๆไม่ได้เท่าอาตมาหรอก ไม่ได้เท่าจริงๆ 

ดาราดังๆรุ่นเดียวกัน อาตมาขี่รถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย ก่อนใครหมดเลยก่อนเพื่อน ก่อนดาราไหนหมดเลย (มีภาพ insert คันนี้เป็นชบาบานเรียกว่าเสือทะยานชน มันชนแหลกหน้าบู้หน้าบี้ ไม่เคยซ่อม ไม่ซ่อม ตั้งตัวเท่มีหมวกโคบานใส่เปิดประทุน ) เราก็เท่ไปอีกแบบ 

มีรถฟอร์ดคันที่ดีมอนสเตทเลยเรียกว่า Ford corsair ใหม่รุ่นใหม่ เป็นรถรุ่นนำหน้ากระบวนการแล้วก็ติดแอร์ แอร์มันไม่ได้ติดมาในตัวของรถนะ เป็นแอร์ต่างหาก เราก็ใส่ติดแอร์ มันยังไม่ Complete ไดนาโมของรถมันก็ชาร์จไม่พอ รอบไม่ถึงอะไรต่างๆนานา แต่ก็ติดแอร์ เป็นรถติดอยู่กลางถนน รอบมันไม่พอ เครื่องก็ดับตายเข็นกันอยู่กลางถนนบ่อย โอ้โห..โก้มากใหม่มาก คนอื่นเขาไม่ได้ติดแอร์ เราติดแอร์แล้วก็เพิ่งมาใหม่ๆ แต่ต้องเข็นกลางตลาดกลางถนน อันนี้เรื่องจริงนะอาตมาไม่ได้พูดเล่น 

อาตมานี่อายุยัง 20 กว่า 30 ตอนนั้นยัง 30 หรือยังไม่รู้ขี่รถคอแซร์ติดแอร์คันแรก ของประเทศไทย ของบริษัทแองโกลไทย ซึ่งคนอื่นยังไม่มีจริงๆเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีใครทำสถิติไว้ อาจจะมีคนทำสถิติแต่ไม่เปิดเผยออกมา ถ้าเปิดเผยออกมา อาตมานี่แหละ เพราะอยู่ในประเทศไทยเราก็รู้บริษัทรถยนต์มีอย่างโน้นอย่าง ไอ้นี่มันรถ Ford corsair บริษัท แองโกลไทย..

ก็อย่างนี้แหละ ดูๆแล้วมันก็รู้สึกว่า มันนำหน้าอยู่เหมือนกันนะ นำหน้าโลก แต่เรื่องประหลาด มันจะวัดสูงก็ไม่สูง แต่ว่าต่ำก็ไม่ต่ำมันยังไงไม่รู้ อาตมานี้เป็นคนมีสูงมีต่ำอยู่ในตัว มันเป็นคน สองในหนึ่ง หนึ่งในสอง 

ซึ่งคำว่า 2 ใน 1   1 ใน 2 นี้เป็นสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว 

2 คือ รูปนาม ปรุงแต่งกันขึ้น ถ้ารู้ก็เรียกว่า อายตนะ ถ้าไม่รู้ก็เรียกว่า สังขารมันปรุงแต่งกันเป็นสังขาร คนไม่รู้ก็อวิชชา พอมีวิชชาก็รู้ว่าสังขารนี้มันก็คือธาตุรู้ตัวสำคัญเป็นประธาน มันปรุงแต่งกับเหตุปัจจัยดินน้ำไฟลมสังขารร่างกายก็มีวิญญาณเป็นเจ้าของ วิญญาณเป็นธาตุ 2 ธาตุรูปนามปรุงแต่งกันขึ้นเรียกว่าอายตนะ 

อ้อ อายตนะนี้ก็แยกไปเป็นมันต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่เกิดอายตนะ รูปไม่มีนามไม่มีรู้ นามไม่มีรูปสัมผัสกัน ก็ไม่มีรู้   รู้อยู่ในตัวเองอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีใครรู้เรื่องด้วย ถ้ามีผัสสะก็รู้เรื่องด้วยรู้จักสิ่งที่สัมผัสเกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกับคนอื่นที่มีสัมผัสเหมือนกันกับเรา เช่นไอ้นี้มะระนะ ภาษาไทยเรียกว่ามะระ ภาษาอะไรอื่นอัตโนมัติไม่รู้ ภาษาเจ๊กเขาเรียกอะไร ภาษาจีนเขาเรียกอะไร ภาษาอังกฤษเขาเรียกอะไรไม่รู้ รู้แต่ภาษาไทย มีประโยชน์มีโทษอะไรก็ว่ากันไป ก็ขยายความออกไป จนกระทั่งชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์เป็นเวทนา 

เพราะฉะนั้นความเป็นเวทนานี้จึงเป็นแกนหลัก เป็นกรรมฐาน เรียนรู้กรรมฐาน กรรมฐานที่จะต้องเรียนก็คือ เวทนาในเวทนา แยกเป็น 108 แยกเป็นมโนปวิจาร 18 

แล้วก็ทำให้ มโนปวิจาร เป็นความฉลาดปัญญา รู้จักเหตุปัจจัยที่มันเป็นกิเลสปรุงแต่งแล้วเอามันออกเอามันออกจนหมดได้ จนสะอาดสะอ้านเลย 

มโนปวิจาร ทำได้ทุกเหตุปัจจัยที่เป็นความจริงเมื่อกระทบสัมผัส เป็นปัจจุบันชาติ กิเลสเกิดตัวจริง 

ถ้ามีตากระทบรูป ก็เป็นของจริงเป็นความจริง ถ้าไปนั่งหลับตาไม่มีความจริง มีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน ปัจจุบันเท่านั้นเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะดับกิเลสก็ต้องดับกิเลสที่มันเกิดสัมผัสแล้วมันเกิดกิเลสจริงๆ ไปหลับตาแล้วมันเป็นแต่อดีตกับอนาคต แล้วก็นึกว่าเป็นกิเลส มันมีแต่ความจำ มันไม่มีความจริง มีแต่ความจำในอดีต 

เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่พฤติกรรมที่เรียกว่าวิจาระของมโน ที่เป็นปัจจุบันเป็นความจริง มันไม่มีพฤติกรรมของอาการของกิเลสจริง มันต้องมีผัสสะ มันต้องมีปัจจุบันชาติ จึงจะเกิดพฤติกรรมของจิต ของวิจาระ เกิดจริงๆแล้วก็จับตัวจริงนี้มาเรียนรู้แยกวิเคราะห์ ธัมมวิจัย เห็นตัวกิเลสได้ มีความรู้เจโตปริญาณ 16 ว่าอย่างนี้เรียกว่าราคะ อย่างนี้เรียกว่าเรียกว่า โมหะ 

ทำยังไงมันจะลดราคะ ลดโทสะ ลดโมหะเรียกว่า  วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำยังไง อ๊อ ทำอย่างนี้ทำอย่างนี้ทางนี้ลดลงได้อย่างนี้ 

ตระกูลศรัทธาก็เป็น สังขิตฺตํจิตตํ ลดลงไปได้ แต่ก็ยังตีไม่แตก แข็งเป็นก้อนยังทื่ออยู่ พอฝ่ายสายฟุ้งซ่าน สายปัญญาก็เป็น วิกขิตฺตํจิตตํ ของใครของมันก็ทำให้มันเจริญให้ได้ให้เรียนรู้กิเลสตามตระกูลของตนเอง ศรัทธาก็ตามปัญญาก็ตามพระพุทธเจ้าก็ชัดเจนว่าคนมี 2 ตระกูล อย่างนี้ ก็เรียนรู้ของตนของตน เมื่อทำให้มันเจริญได้ก็เป็น มหัคตะ ทำให้เจริญยังไม่ได้ก็เป็น อมหัคตะ ทำให้รู้จักกิเลส ตีแตกกิเลสตัดกิเลสให้ได้ฟุ้งซ่านก็ดับกิเลสอย่างฟุ้งซ่าน อย่างพวก ถีนมิทธะพวกเกาะแน่น กิเลสก็รู้ได้ยากตามประสาของ ถีนมิทธะ หรือ สังขิตฺตํจิตตํ 

ถ้าสามารถลดกิเลสไปตามลำดับ รู้กิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่มีพลังมีฤทธิ์ ในตนเองเรียกว่ามโนมยิทธิ มโน คือจิตนี่แหละ บวก อิทธิ 

มโน แล้วก็มยัง ตนเอง มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ มีเดชในปัญญาหรือญาณเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นอย่างที่รู้ที่เห็นของจริงต้องสัมผัสมี วิปัสสนา รู้ความจริงของความเป็นจริงแยกกิเลสออกได้ แล้วก็เกิดปัญญาจริงเรียกว่าญาณ

ญาณ เกิด จริงนี่แหละมันมีฤทธิ์มีเดชทำให้กิเลสกลัว กิเลสนี่กลัวพลังงานเรียกว่าปัญญาหรือญาณ กิเลสนี่มันกลัว พระพุทธเจ้าถึงชี้หน้ากิเลสและกิเลสมันก็หายไป พระพุทธเจ้าเป็นคนที่มีวิชชาหรืออย่างยิ่งใหญ่ที่สุด กิเลสมันไม่กล้าเข้าใกล้ 

เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญามากๆก็จึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นมีอิทธิวิธญาณ จาก มโนมยิทธิ ก็เป็น อิทธิวิธญาณ หรือหลากหลายวิธี แต่ว่าหลากหลายวาไรตี้ ไดเวอร์ซิตี้ มันหลากหลายเยอะขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธญาณ ญาณที่มีมโนมยิทธิมากขึ้นจนละเอียดไปเป็นโสตทิพย์ 

นี่อธิบายวิปัสสนาญาณ 8 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเป็นโสตทิพย์ คือรู้ได้ละเอียดได้ไกล รู้ได้ยากแต่รู้ได้ มีญาณที่จะรู้ได้ละเอียดได้มาก รู้ได้ลึก รู้ได้ไกล รู้ได้กว้าง ในสิ่งที่มันรู้ยากก็รู้ได้ง่ายขึ้นด้วยความเป็นโสตทิพย์ 

ทิพย์ มันคือ มันเจริญ มันรู้ได้มากรู้ได้ละเอียด เจริญอะไร ก็เจริญโดยสูตรของเจโตปริยญาณ 16 คือ 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ เหนือความรู้ของสามัญ เป็นจิตที่เป็นโลกุตตระเป็นจิตที่เหนือกว่าโลกสามัญแล้วมันก็ดีขึ้น จะดีกว่านี้ยังมีอีก)  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)  13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)   

  อาตมาอธิบายอย่างเอาสภาวะมาอธิบาย ไม่ได้อธิบายอย่างตำราอย่างพยัญชนะที่เขาเรียนแต่มันก็ชี้สภาวะไม่ผิดหรอก ยืนยันว่าอาตมาก็อธิบายเป็นสภาวะที่ถูกต้อง ใครเคยฟังแล้วฟังเข้าใจก็จะเห็นว่าอธิบายอย่างเก่านั่น แต่มันอาจจะมีพยัญชนะต่างๆที่มันมีประกอบต่างกันไปบ้าง แต่ขยายความเป็นสภาวะแท้ ตรงหมด

ผู้สามารถทำได้ถึงขั้นจิตหลุดพ้นจากกิเลสเป็นวิมุตแล้วก็ตกผลึกๆ มีจิตตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิตะ คือ ความเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ความตั้งมั่นของจิตพระพุทธเจ้า ซึ่งคำว่าสมาธินั่นแหละ เป็นคำเก่าแต่มันเพี้ยนไปเหมือนคำว่าปัญญาของพระพุทธเจ้า สมาหิตะ 

สมาธิของพระพุทธเจ้าก็เคยใช้แต่มันเพี้ยนไปท่านก็เลยตั้งใหม่ว่า สมาหิตะ เสร็จแล้วผู้ที่สามารถทำให้เป็นจิตตั้งมั่นเพราะจิตมันหลุดพ้นจากกิเลสตั้งมั่นได้อย่างถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

เป็นตัวประธาน เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นตัวเจตสิกตัวสำคัญตัวสุดท้ายของฌาน 4 อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา หรือขยายมากกว่านั้นก็ได้ ปริสุทเธ ปริโยทาเต มุทุภูเต กัมมนิเย ถีเต อเนญชัปปัตเต มีจิตตั้งมั่นจิตไม่หวั่นไหวก็ขยายได้ 

ผู้ที่ไม่ได้ติดยึดในพยัญชนะ จะบอกว่าพูดพยัญชนะไม่เหมือนอาจารย์เราก็ได้ จะต่างกันก็ได้ อาตมาขยายความได้พอรู้บาลีบ้าง พอรู้ความหมายของบาลี บ้างก็เอามาสื่อพยัญชนะเอามาสื่อ ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ ถ้าไม่มีพยัญชนะสื่อมันก็เลยไม่รู้จะรู้ร่วมกันได้อย่างไร มันต้องมี อธิวจนสัมผัสโส มันถึงจะรู้ร่วมกันได้ถ้ามีแต่ ปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสของตัวเองมีอยู่ข้างใน รู้เองอยู่ข้างในคนเดียวไม่มีพยัญชนะออกมาสื่อ พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก สื่อกันไม่ได้เลย รู้ของใครของมัน ต้องอาศัย เพราะฉะนั้น ปฏิฆสัมผัสโส ต้องอาศัย อธิวจนสัมผัสโสนำมาสื่อถึงผู้คนนั้นแล้วก็เรียนรู้จากพยัญชนะเป็นตัวสื่อไปหาสภาวะ แล้วก็แก้ไขสภาวธรรมจิตเจตสิกต่างๆ 

ผู้ที่สามารถมีจิตที่เป็นตัวตั้ง เป็นประธาน ทำจิตให้สะอาดได้จากกิเลส คนนั้นก็อยู่กับโลกอยู่กับมนุษย์อยู่กับสังคม มีพฤติกรรมทางกายวาจาทางใจ ไม่มีกิเลส ไม่มีตัวตนไม่มีความเห็นแก่ตัว รับใช้สังคมเป็นนักการเมืองก็ตาม เป็นนักเศรษฐกิจก็ตาม เป็นนักสังคมก็ตาม เป็นคนที่ไม่มีกิเลส ดีหมด

ทำงานเศรษฐกิจก็ดี ทำงานการเมืองก็ดี ทำงานสังคมก็ดี รับใช้ประชาชนดี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียนรู้อย่างนี้จริงๆ จะมีความรู้มากความรู้น้อยก็ตาม มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วศึกษา 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ที่มีความรู้แกนหลักพุทธศาสนา ยังเป็นมวลของคุณธรรม เป็นมวลของความรู้ เป็นมวลของศาสนา ตั้งแต่ตั้งประเทศมา คือพุทธศาสนา พระเจ้าแผ่นดินเป็นพุทธมามกะทุกพระองค์ 

เพราะฉะนั้นเมืองไทยจึงมีศาสนาอื่นๆเข้ามาตีไม่แตก ศาสนาอื่นพยายามเข้ามาแทรกแซงตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช พยายามมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ตีไม่แตก พุทธศาสนิกชนก็ตั้ง 90% ขึ้นไปอยู่ตลอด เพราะคนมาตั้งรกรากไม่ใช่จะเป็นศาสนาอื่นมา ปลูกฝังจนกระทั่งกลายเป็นคนไทย แต่ศาสนาอื่นก็ได้อยู่อย่างนั้นแหละ ขยายไม่ออกมากกว่านั้นหรอก เพราะว่ามวลพุทธศาสนิกชนมันก็มีอัตราการก้าวหน้าแบบพุทธ ศาสนาอื่น อาตมาไม่ต้องกล่าวนาม เขาก็พยายาม ขอเป็นรกรากเป็นคนไทยไปแล้วแต่ก็ขยายไม่ทัน อัตราการก้าวหน้ามวลของชาวพุทธมีก้าวหน้ากว่าเพราะมีมวลมากกว่า เพราะฉะนั้นศาสนาอื่นยังมียังไงก็ก้าวไม่ทันเพราะศาสนาพุทธไม่เสื่อม มันมีฤทธิ์ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

เพราะฉะนั้นการเมืองก็จึงเป็นการเมืองของพุทธ โลกุตตระจะเสื่อมลงก็ตาม ก็ยังมีเชื้อของโลกุตระ แล้วยิ่งในยุคนี้ มีพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นโพธิสัตว์ รัชกาลที่ 9 เข้ามาสถาปนา แล้วอาตมาก็ร่วมมาด้วยสถาปนา ในหลวง ร. 9 ทรงงานทางรูปธรรม อาตมาก็ทำทางนามธรรม เกิดอยู่ในสังคม 

อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่ได้ละอาย ไม่ได้เกรงใจ ไม่ได้กลัวใครจะว่าผิด ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่จริง เกิดจริงเป็นจริง ก็ต้องมีอย่างนี้อยู่ในประเทศไทย เป็น Born To Be ไม่ได้พูดเล่น ต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้ 

มันจึงมีของจริงที่เป็นโลกุตระที่เกิดขึ้น คนก็ได้อานิสงส์ ได้รับความรู้อันนี้โดยปริยาย ตั้งใจเอาก็ยิ่งได้มาก ยังไม่ตั้งใจเอาก็ไม่เป็นไร มันก็จะต้องมีการออสโมซิสอยู่ในนี้ จนมีพฤติการณ์พฤติกรรมของการเป็นการเมือง เป็นเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องของสังคมก็ตาม เกิดจริงเป็นจริงอยู่ในมนุษยชาติคนไทยที่เรียกว่าแบบพุทธ แบบโลกุตระด้วย มันเสื่อมไป 2,500 กว่าปี พอยุค 2,500 กว่าปีมีในหลวงกับอาตมาเกิดมาก็สถาปนากันขึ้นใหม่ 

อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ

พ่อครูว่า... มีคนถามมาว่า จะเจริญขึ้นใหม่ จะเสื่อมไหม ไม่เสื่อมหรอก โลกุตรธรรมก็นับวันจะเจริญขึ้น ถ้าอาตมาคนเดียวก็อาจจะช้า แต่มีในหลวง ร. 9 อีกองค์หนึ่ง ที่ได้ทรงโลกุตตระ มันก็ไปกันได้ เพราะว่ามันอันเดียวกัน 

เช่น สอนให้คนมาจน การเมือง สอนเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ก็พยายามประพฤติการเมืองเศรษฐกิจให้พาคนไปรวย มันโอเวอร์ พาให้คนพออยู่พอกินก็ถูกต้อง ที่ในหลวงท่านตรัสว่าเอาพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เศรษฐกิจเวอร์ๆ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจลึกๆ เข้าใจลึกซึ้ง นักเศรษฐศาสตร์ยังเข้าใจไม่ได้ว่า จะทำให้คนรวย รวยทั้งประเทศ ขี้หมาแน่ะครับ มีที่ไหนจะทำให้คนรวยทั้งประเทศได้ โม้ทั้งนั้น อเมริกันมีคนจนไหม ประเทศไหนที่ว่าเจริญๆมีคนจนไหม มันไม่มีหรอกและคนจนจะมากกว่าคนรวย มีประเทศไหนคนรวยมากกว่าคนจนบอกมา ไม่มี บอกมาสิ พูดดังๆด้วยนะ ไม่กลัวมันผิดเพราะมันถูกใช่ไหม 

ทีนี้ถ้าเป็นนัยยะที่เป็นนัยยะทวนกระแส ให้มาเป็นคนจน เป็นนักการเมืองจนๆ เป็นนักเศรษฐศาสตร์จนๆ เป็นนักสังคมจนๆ แต่เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาเข้าใจธรรมะ เข้าใจประโยชน์ที่เป็นไปเป็นประโยชน์แท้ เป็นประโยชน์ที่ได้ทำให้คนสุขสงบดีสบาย 

เข้าใจกว้างไปถึงขนาดโลกานุกัมปายะ เข้าใจจริงๆแล้วทำอย่างนั้นจริงๆให้มันเกิดประโยชน์ ทำให้เกิดอายะ 3 ให้เกิดเป็นอธิปไตยให้เกิดเป็นพลังเป็นอำนาจ อธิปไตยคือพลัง คืออำนาจ อำนาจให้เกิด หิตะ อำนาจให้เกิดความสุข อำนาจให้เกิดช่วยเหลือเกื้อกูลมวลมนุษย์โลก ขยายออกไปถึงขั้นนอกโลกถึงขั้นนอกประเทศก็ว่าไปไม่ใช่นอกโลก เดี๋ยวมันจะไปสตาร์วอร์ นอกประเทศไทยไปช่วยเขา 

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจสาระแก่นสาร รู้จักแก่นสารสาระ หรือเรียกว่า เครื่องอาศัย ที่เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต ปัจจัย 4 ของความเป็นมนุษย์ สำคัญที่สุดยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง อาวุธ หรือเครื่องประเทือง เครื่องอาศัยกินใช้ปัจจัย 4 สำคัญยิ่งกว่า ศาสนาพุทธชัดเจนมาก 

เพราะฉะนั้นถ้าคนไทย เข้าใจว่า อ๋อ..เรามาทำพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นอาหารเป็นเครื่องอาศัย มาทำเครื่องนุ่งห่ม แต่เครื่องนุ่งห่มทุกวันนี้ก็พอเพียงแล้วง่ายแล้ว อาหารนี่ต้องกินทุกวัน กินแล้วก็หมด กินแล้วก็กลายเป็นขี้ เป็นหนึ่งในโลกอาหาร กวฬิงการาหารนี่แหละ เพราะฉะนั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม จะเป็นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค รองทั้งนั้น กวฬิงการาหาร อาหารกินคำข้าวเป็นหนึ่ง 

เรามาทำงานสร้างสิ่งเป็นหนึ่งในโลก ให้ได้มากๆให้ได้คุณภาพดีๆ เลี้ยงโลกทั้งโลก คุณอย่าไปสร้างอาวุธ อย่าไปสร้างสิ่งมอมเมา สิ่งประเทืองอะไรมาให้เสียเวลา เลย มาทำอันนี้เถอะ ไม่ต้องขาย ผลิตขึ้นมาแล้วไล่แจกไปทั่วโลกเลย จะอยู่รอดไหม 

คุณมีสิ่งนี้กินแล้วไม่มีตาย แจกเข้าไปเถอะ ไม่มีแลกเปลี่ยนเข้ามา คุณก็มีสิ่งกินแล้วนี่ ชีวิตคุณอยู่ได้แล้วนี่ ยารักษาโรคก็ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละเป็นยา แล้วก็ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละเป็นอาวุธ เรียกด้วยภาษาง่ายๆเท่ๆว่า อาหาราวุธ ไม่มีในคำพยัญชนะในบาลีหรอก โพธิรักษ์พูด อาหาราวุธ อาตมาก็เพิ่งนึกได้วันนี้เอง พวกคุณคงเพิ่งเคยได้ยินกันเดี๋ยวนี้วันนี้ อาหาราธิปไตย 

เพราะฉะนั้นชาวโลกุตตระ ชาวพุทธนี้ จึงรู้ สิ่งที่เราไปเสียเวลาสร้างอาวุธสร้างเครื่องมอมเมา สิ่งมอมเมาต่างๆเลิกมา สิ่งประเทืองต่างๆเลิกมา เข้ามาสร้างสาระ โดยเฉพาะเข้ามาสร้างอาหารกัน เพราะฉะนั้นถ้าเมืองไทย คนไทยเข้าใจอันนี้ มาเป็นนักกสิกรรม เป็นกสิกรแข็งขัน กระดูกสันหลังของชาติแน่นอน กระดูกสันหลังนี้เป็นโครงสร้างค้ำชีวิตไว้เลย ประเทศชาติไม่มีกระดูกสันหลังเสียแล้วแย่เลยนะ กลายเป็นปลิงเลย งูมันยังมีกระดูกเลย โอ้แย่เลย ปลิงมันคอยดูดคอยเกาะคนอื่นไปหมด ตายๆๆๆ แต่เรานี่กระดูกสันหลังค้ำจุนโลกเลย ค้ำจุนโลกเลย ไม่ใช่ค้ำจุนแต่ประเทศ 

ที่พูดนี้ดูมันเล็กๆดูมันง่ายๆดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงนะ เพราะฉะนั้นอาตมาเคยพูดมาแล้วว่า ถ้าประเทศไทยนะ ให้ค่ากสิกร ให้เหรียญตรา ให้ตำแหน่งยศศักดิ์ แต่นั่นแหละมันจะหลงเหลิงกันอีก แต่ก็พยายามสอนกันสิว่าอย่าไปหลงเหลิง แม้เขาจะให้เกียรติให้ยศก็ตาม มันก็เป็นอะไรอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องไปหลงเหลิง แล้วทำให้ยิ่งๆ ให้มีปริมาณและมีคุณภาพที่เจริญยิ่งๆขึ้น อย่างที่อาตมาพูดไม่ไช่พูดเล่น ไล่แจกไปเลย แทนที่จะขายเอาราคาโก่งราคาแพง แจกพอมันเหลือ ถ้าไม่แจกมันก็จะเสีย เดี๋ยวนี้โลจิสติกส์ก็ดีมากแล้ว การขนส่งอะไรๆก็โอ้โห..สบายแล้วเดี๋ยวนี้ มีรถไฟหัวกระสุน หัวจรวด บรรทุกส่งทางเครื่องบิน ทางโดรนเลย ไม่เอาก็ไปโรยให้ ทิ้งมันอยู่นั่นแหละ ก็มันเหลือเฟือ 

จริงๆ คนต้องเอาเพราะไม่ใช่ของเสียเป็นของดี แล้วมันจะรู้กันไปทั่วโลกเลย พูดเหมือนเพ้อเจ้อนะ เพ้อพก แต่มันมีแนวทาง ไม่ใช่เพ้อพก ทำไปตามลำดับ

_สู่แดนธรรม... มันมีความเป็นไปได้ครับ เพราะไม่มีประเทศไหนคิดอย่างนี้ 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าวผู้บริหารประเทศไทยถ้าเห็นความสำคัญในกสิกร เห็นความสำคัญของกสิกรรม พยายามพัฒนากสิกรรมของเรา ให้เจริญ ๆ เอาเถอะ สิ่งอื่นอาศัยในชีวิตบ้าง อุตสาหกรรมนั้นเราไม่เก่งอยู่แล้ว ก็ยอมรับสิ เราก็ไม่เก่งอันนี้ แต่เราเก่งอันนี้ เราก็ทำอันนี้ให้ยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นของแท้อยู่ใน ภูมิประเทศของประเทศไทย เป็นโซนที่ดี

ถ้าเผื่อว่าพื้นดินของประเทศไทยมีกสิกรรม และก็มีกสิกรที่รักกสิกรรม ปลูกสิ่งกินสิ่งใช้ แม้แต่ไม้ ต้นไม้ใหญ่ก็สร้างขึ้นให้เป็นของอาศัยส่งออกนอก ช่วยเหลือประเทศชาติอื่นๆที่เขามีน้อยมีด้อย เอาอันนี้เป็นตัวเด่น เอาอันนี้เป็นตัวหลัก 

อาตมาว่าประเทศไทยจะมีค่ามาก อย่าไปเห็นแก่ไอ้เรื่องเงินๆทองๆธนบัตรอะไรยิ่งใหญ่ เอาสาระสัจจะของสิ่งที่สร้างสิ่งที่เป็นผลผลิต สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติ เอาอันนี้สิ 

ถ้าผู้บริหารประเทศเข้าใจอันนี้แล้ว รู้จักเศรษฐกิจ นักการเมืองจะไปทำงานการเมือง ก็จะต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ แล้วก็จะต้องไปพัฒนาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ก็คือสิ่งที่กินที่ใช้ เมืองไทยไม่ใช่เมืองที่จะต้องไปเก่งทางอุตสาหกรรม เมืองไทยอยู่ในภูมิประเทศที่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี น้ำแข็ง หิมะอะไรที่จะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ค่อยเจริญเท่าที่ควร ไม่มี อย่างเก่งก็แม่คะนิ้งเท่านั้นเอง หิมะไม่มี นานๆจะมีลูกเห็บ ใครเคยถูกลูกเห็บหล่นใส่หัวบ้าง คนไม่เคยก็คงไม่เคย มันมีฝนมีลูกเห็บ สนุกนะมันร่วงกราวเก็บกินกัน เหมือนน้ำแข็งสดๆมาจากท้องฟ้า น้ำแข็งสะอาด 

เพราะฉะนั้นเรารู้จักทั้งภูมิประเทศ รู้จักสิ่งที่เป็นอยู่ รู้จักพฤติกรรม สิ่งที่เป็นองค์ประกอบของทุกอย่างเลย ที่เรามีอยู่เราก็ทำอันนั้นให้มันเจริญ และมันเป็นสำคัญของชีวิตด้วยนะ มันสำคัญที่สุดแล้วอาหารคือคำข้าว ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว 

เพราะฉะนั้นเราพัฒนาอันนี้ ผู้บริหารทั้งหลายฟังดีๆเถอะ ส่งเสริมอันนี้เถอะเป็นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องมาเสียเวลา เสียทุนรอน เสียแรงงานความรู้ความสามารถไปกับมันแล้วเลือกใหม่ สู่แก่นสาร 3 คืออาหาร สร้างอาหารให้ยิ่งใหญ่ เฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาตมาไม่ได้เน้นประมง ไม่ได้เน้นปศุสัตว์ ก็เอาเถอะมันก็จะติ่งๆกันไปด้วย จะไปเอียงว่าไม่ช่วยทางประมงบ้าง ไม่ช่วยทางปศุสัตว์บ้างเขาก็เป็นอาหารนะ ก็ช่วยบ้าง แต่เอาอันนี้เป็นเอก ประมงหรือปศุสัตว์เป็นรอง เพราะมันเกี่ยวกับสัตว์และมันมีเรื่องลึกซึ้ง อจินไตย มันมีกรรมวิบาก ถ้าเราไม่ไปสร้างกรรมวิบากกับสัตว์อีกเราก็ทำแต่พืช ขนาดพืชนี้ยังพยายามว่ามันทำให้สัตว์ตายเหมือนกันบ้างล่ะว้า ก็มันทำได้ดีกว่านี้มันมีอีกไหมจะไปทำอะไร พูดถึงกระทั่งมันไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว

มีหนังสือใหม่มาแจกด้วย อัฏฐาริยสัจจายุ  พวกเราก็อย่างนี้เห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็ได้สาระจากหนังสือ ที่เป็นโลกุตระอันนี้ หรือใครจะเห็นความสำคัญในหนังสือที่ไปสร้างโลกียะก็เป็นเรื่องของเขา 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล


เวลาบันทึก 18 กุมภาพันธ์ 2566 ( 04:35:11 )

660220

รายละเอียด

660220 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 https://www.boonniyom.net/53022.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1xDRtE-TBsrMW2nrC0W9xgS2pK3U1uwKTEdAbKYZfdEA/edit?usp=sharing                                

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/11lu64M4uJiZs9M2eqNbuGRc4XUgtGlWY/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/ymFHBc9ICRU 

และ https://fb.watch/iPb4g8q40_/ 

 

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ เราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมฟังสิ่งที่ควรได้ยินได้ฟังกัน ตามชีวิตที่เห็นว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางของความเจริญ มนุษย์ชาติเราเจริญ เจริญด้วยความรู้เจริญด้วยกรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ด้วยวิถีทางแบบนี้แหละ ที่อาตมายืนยันว่าเป็นวิถีทางของพระพุทธเจ้า ที่ทรงค้นพบความจริงอันประเสริฐ และก็ได้เอามาตรัสสอนให้พวกเรารู้ตาม มาปฏิบัติตามจนมีผลสำเร็จตาม ก็ยังเหลือยังมียังเป็น ชีวิตแบบโลกุตรธรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ พวกเรานี่แหละ จะยืนหยัดยืนยันว่าความเป็นโลกุตรธรรมเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ซึ่งในโลกเขาประเด็นหลักๆง่ายๆของเขา จะไปหาทางรวยกัน เราก็จะพยายามหาทางจน เขาจะไปแย่งความสุขกัน ล่าความสุขกัน สุขด้วยการมีลาภเยอะมีทรัพย์สินเงินทองเยอะ สุขก็ได้มียศมีศักดิ์มีสรรเสริญเยินยอยกย่อง สุขเพราะมีอำนาจบาตรใหญ่ ได้เป็นเจ้าโลกได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้เป็นคนที่อยู่เหนือเขา เบ่ง เห็นเขาเป็นคนลูกกระจ๊อกที่ จะจิกหัวใช้อะไรต่ออะไรได้ข่มขู่ได้อะไรพวกนี้ 

ความเห็นของโลกีย์เขาเป็นอย่างนั้น ของพระพุทธเจ้ามาเห็นทวนกันหมดเลยทวนกระแสกันกลับกันกับความเห็นของคนโลกๆเขา คนฟังคนที่พิจารณาได้ยินแล้วได้ฟังแล้วก็ มันจะเป็นอย่างนั้นมันจะดีอย่างไร มันจะเจริญอย่างไร ซึ่งมันมีสภาพซับซ้อนลึกซึ้ง ที่มันเป็นความเจริญ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น ไม่ไปข่มขู่เขาไม่ไปแย่งชิงเขาไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปทำลาย อย่างที่เขาทำร้ายทำลายกันฆ่าแกงกัน เขาไม่รู้เลยว่าชีวิตคนมันเป็นชีวิตที่เกิดมาตามวิบาก ไม่น่าจะไปทำร้ายทำลายอะไรกันเลย 

เรามาศึกษาฝึกฝนแล้วก็มีชีวิตอย่างที่พวกเราชาวอโศกนี้ ก็ขอสรุปลงตรงนี้ก่อน อย่างชาวอโศกเราพิสูจน์ยืนยันเป็นไปได้ ซึ่งอาตมาก็ได้สรุปลงไปอีก เรามาเป็นคนที่มีงาน มีงานปลูกผักปลูกพืช นี่แหละปลูกต้นหมากรากไม้ เอามาอยู่มากิน เอามาใช้อยู่กิน คนทุกคนไม่ว่าศาสนาไหนไม่ว่าชาติไหนไม่ว่าคนจนไม่ว่าคนรวยไม่ว่าคนที่จะยิ่งใหญ่หรือคนจะยิ่งเล็ก อย่างไรก็ต้องกินอาหารเลี้ยงชีวิต โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องเป็นเนื้อสัตว์ไม่ต้อง เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารจริงๆ 

นี่ก็คือผลผลิตของพวกเรา ฟักทองมาจากส่วนปู่เถา มะเขือเทศมาจากสวนเพื่อฟ้าดิน กะหล่ำปลีเอามาจากสวนบ้านราชนี่แหละ ไม่รู้กี่หัวก็ตัดมาเอามาทำอาหารกินกันด้วย โชว์ได้ด้วย แตงร้าน เทียบกับหน้าอาตมา 1 ลูก นี่ไม่ใช่ของปลอมไม่ใช่พลาสติกนะแตงจริงๆ น่าจะกัดพิสูจน์ แตงร้านจากสวนริมมูล ตอนนี้แตงร้านแตงโมแตงไทย สวนริมมูลตอนนี้ปลูกแตงกัน อีกสัก 50-60 วันได้กินกันแน่ 

อาตมาพยายามเน้นย้ำพูดซ้ำพูดซาก ว่าถ้าเมืองไทยเรานี่นะเข้าใจกันจริงๆเลย และมีความรู้ความจริงกันจริงๆเลยว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือ พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ เป็นหนึ่งในโลก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เลยว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร คือสิ่งที่กินเข้าไปในร่างกายให้มีชีวิตยืนยาวไป มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด  ถ้าเข้าใจแล้วมาระดม โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศถ้าเข้าใจช่วยกันส่งเสริม ระดมกันให้มาทำงานนี้ งานบริหารหรืองานที่จะสร้างอุตสาหกรรมบ้างอะไรต่ออะไรบ้าง เรื่องที่จะไปทำประมงปศุสัตว์นั้นลดลง พัก มาทำพวกนี้กันให้มากๆๆๆๆๆๆ ไม่ต้องไประดมพวกโน้นกัน 

อาตมาว่ามันจะเห็นผลจริงๆมันจะเหลือเฟือมันจะพออยู่พอกิน แล้วก็ส่งออกไปแพร่กระจาย ทุกวันนี้การขนส่ง การคมนาคมก็สะดวกเร็วไวแล้ว แจกหรือว่าขายให้ถูก เพราะว่าเรามีอยู่มีกินแล้วอย่างพวกเราชาวอโศกได้พิสูจน์แล้วว่า เรื่องธนบัตรเรื่องเงินเรื่องทอง มันเป็นเรื่องที่ปลีกย่อย เป็นเรื่องเล็กมากเลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่ง มาเป็นคนจนเราก็จนกันได้จริงๆ จนกันอย่างที่ มีการศึกษา จนเป็นคนจนที่มีการศึกษาตามที่พระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือว่าตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ตรัสไว้ แล้วปฏิบัติจริงๆปฏิบัติมาเป็นคนจนจริงๆคนจริง อย่างมีปัญญามีความรู้มีความสุขมีความอิ่มเอม เกษมใสจริงๆเลย 

จนกระทั่งเป็นคนจนที่มีปัญญาเป็นโลกุตระธรรมสมบูรณ์แบบ สำเร็จจริงๆ จึงจะเป็นคนผู้ที่มี เศรษฐกิจ เป็นคนจนนี่แหละที่มีปัญญาตามของพระพุทธเจ้าตามในหลวงร 9 เราตรัสไว้ อย่างมีภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดที่เต็มใจจน ตั้งใจจนมาจนกันจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ยืนยันเลยว่าเป็นผู้ที่จบ ในเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหา เรื่องเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องสมบูรณ์จบแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจได้แล้วมีของอยู่ของกินนี่แก้ปัญหาได้สำเร็จแล้ว เพราะว่าจิตใจของเรามีปัญญารู้ว่าสิ่งที่มันปลีกย่อยสิ่งที่มอมเมาสิ่งที่ครอบงำ ไปนิยมเป็นรสนิยมโลกๆเฟ้อๆฟุ้งๆอะไร เราเข้าใจเราเลิกละมา มันมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ง่ายๆ เป็นคนเลี้ยงง่ายเป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนจนกล้าจน มีความจนได้ จิตใจพอ 

จิตใจมันพอจริงๆมันพอเพียงมันไม่เป็นหรอกไม่ไปอยาก ที่จะไปแย่งไปชิงอะไร มันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเพราะไม่ไปแย่งชิงกับเขา เขายังหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ไปแย่งกัน เราไม่ได้ไปเป็นผู้แย่งไม่ไปเป็นปฏิปักษ์ไม่เป็นคู่ต่อสู้กับใครเลย เมื่อเรามาสร้างอันนี้ได้มากๆสร้างพืชพรรณธัญญาหารได้มากๆเหลือกินเหลือใช้เราก็แจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่นไป ยิ่งแจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่นไปแล้วเราก็ไม่ได้ไปแย่งอะไรใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร 

นี่เป็นคุณธรรมอันประเสริฐยอดที่คนเราจะเข้าใจเลยว่า คนอย่างพวกเรานี้ จะเป็นคนมีคุณค่ามีประโยชน์จริงๆต่อคนทั้งหลาย ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย เรียกด้วยคำยกย่องว่าเป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญเป็นคนดี ถ้าจะใช้ภาษาแบบโลกๆคือเป็นคนที่น่าสรรเสริญยกย่องบูชาเคารพ ภาษาศักดินาหน่อยๆ แต่เราไม่ได้ติดใจในภาษาศักดินาหรือเรื่องศักดินาแบบนั้นหรอก แล้วเราก็มาเป็นคนจนที่สงบเสงี่ยม แล้วก็รับใช้มีประโยชน์ทำงานสร้างสรรค์ คนอื่นๆจะได้รับประโยชน์จากแรงงานของเรา จากความรู้ความสามารถของเรา แล้วเราก็ให้เขาโดยที่เราไม่ได้ไปติดใจว่าเราจะเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณอะไรจากเขา..ไม่ เราไม่คิดว่าเราจะไปเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณใคร เราทำเผื่อแผ่เกื้อกูลแล้วก็จบในตัวเอง มันสุดยอดแล้ว 

เป็นสังคมที่จบในตัวเอง สำเร็จในตัวเอง ยั่งยืนถาวร มีอิสระ เพราะว่าเราอิสระ จริงๆไม่ต้องเป็นทาสใคร ไม่ต้องเป็นทาส แม้แต่ทางนามธรรม ทางรูปธรรมไม่เป็นทาสอยู่แล้วเพราะเราเลี้ยงตัวเองรอดพึ่งตนเองได้ ทางนามธรรมก็ไม่เป็นทาสใคร สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล แต่ละวันเราก็เพิ่มพูนเสียสละ ไม่ไปเอาเปรียบใครมีแต่เสียสละๆ เป็นความสุขสำราญเบิกบานใจที่ได้เสียสละ 

ความสำเร็จอย่างนี้แหละถือว่าเป็นการจบกิจ จบกิจได้ทั้งทางด้านของเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของการเมืองการบริหาร ในเรื่องของความเป็นสังคมมนุษยชาติ 

เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการเมืองที่เขาแก้กันอยู่ทุกวันนี้โดยระบบโดยความรู้แบบโลกียะ ไม่มีจบ ไม่มีจบกิจ ไม่มีจบ มีแต่แก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้แก้แก้ ไม่สำเร็จ 

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ไปเรียนรู้ตามความรู้แบบโลกียะหรือแบบศาสดาเทวนิยม ทุกพระองค์เลย มันเป็นความรู้แบบปุถุชนทั่วไปโลกียะสามัญ เป็นแบบความรู้อย่างนั้น วนอยู่ในกรอบโลกียะทั้งโลก มีความรู้มีความฉลาดเฉลียวและก็ประสบความจริงได้ความจริง ก็อยู่ในกรอบของโลกียะ 

แม้แต่ชาวพุทธแท้ๆทุกวันนี้ที่เสื่อมไปจากความรู้ความจริง ของพระพุทธเจ้า ไปได้แค่โลกียธรรมอยู่ทุกวันนี้ อย่างพุทธกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนใหญ่กระแสหลัก ก่อนที่อาตมาจะเกิดมาในยุคนี้ มาทำงานด้านนี้ เอาโลกุตตรธรรมมาประกาศมาขยายความ มายืนยัน ชาวพุทธแท้ๆเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ทำตำราพวกนี้ด้วย ตำราที่เป็นความรู้ที่มันผิดเพี้ยนไปแล้วของเขา มันเข้าไปอยู่ในโลกียะหมดเลย 

อาตมาพูดชัดเจนแบ่งให้เห็นว่า โลกียะนั้น ก็มีความรู้แค่ความดี ความชั่ว อย่าไปทำชั่ว มาทำความดีกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ขัดแย้ง เราก็ต้องมาทำแต่ดี ไม่ทำชั่วเหมือนกัน และก็เป็นความรู้ของชาวโลกุตระของเราด้วยว่า ดีจริงๆ มันดีอย่างไร เขาดีอย่างสุจริตเท่านั้น สุจริต ความหมายของเขาเป็นโลกีย์คือสุจริต จะมีความหมายว่าอย่าไปแย่งไปชิงเขา แต่เขาก็ยังหอบหามลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ แล้วมันจะไม่เอาได้อย่างไร ไม่ไปแย่งมาได้อย่างไร มันก็ยังอยากรวย อยากจะมีมากกว่าเขา แล้วก็มีอำนาจทางทรัพย์ มีอำนาจทางอำนาจ มีอำนาจทางยศศักดิ์ อะไรพวกนี้ มันก็เป็นความรู้วนๆอยู่ในโลกียะทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่แต่ละสังคมแต่ละประเทศ ที่ไม่มีความรู้โลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ไม่มี เพราะว่าเขาเป็นศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ 

แม้แต่พุทธเอง อาตมาก็พูดไปแล้วผ่านไปเมื่อกี้ ว่าเมื่อมันเสื่อมไปจนเกือบหมด หรือถือว่าหมดยังได้เลย อาตมาก็เอามาปลูกฝังขึ้นใหม่ ซึ่งอาตมาก็พูดอย่างที่คนเขาหมั่นไส้เลยว่า ไม่มีใครจะมายืนยันอย่างนี้ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ นำอันนี้มายืนยัน ย้ำยืนยันประกาศแล้วก็อธิบาย จนพวกเราเข้าใจใหม่ว่า ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กก็เข้าใจได้ มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เด็ก หนุ่มสาว ผู้ใหญ่จนกระทั่งแก่เฒ่าตายไปก็เยอะแล้ว เพราะอาตมาทำงานมา 50 ปี คนเข้าใจ ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย มองเห็นเข้าใจได้ ก็มามุ่งมั่นพากเพียรศึกษาปฏิบัติฝึกฝนจนกระทั่งได้มรรคผลแล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นชุมชนเป็นบวรต่างๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ เป็นชุมชนต่างๆ 10 ชุมชน 20 ชุมชน 30 ชุมชนอย่างย่อยๆพวกนี้ไป ชุมชนใหญ่ๆก็ 10 กว่าชุมชน 

จริงๆมันก็ไม่ง่าย มันก็ยาก แต่ว่ามันประเสริฐ มันสูงสุด ตามที่พระพุทธเจ้าท่าน อาตมาก็อธิบายแล้วใครฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจ ว่าพระพุทธเจ้านี้ใช้ชีวิตของพระองค์ สุดท้ายก็มาเข้าใจถึงเรื่องของชีวิตและเข้าใจถึงเรื่องสังคมมนุษยชาติ เห็นว่าอันนี้เป็นแกนหลัก เป็นแกนเป็นแก่นของมนุษยชาติและสังคม ความรู้ที่เป็นโลกุตรธรรมที่ท่านค้นพบ อันนี้ถ้าได้แล้ว มันก็เป็นหลักประกันของมนุษยชาติ หลักประกันของสังคม เป็นหิตะประโยชน์ เป็นความสุขของมวลประชาชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ แล้วคนทั้งโลกก็ควรจะมาเอาอย่างนี้เรียกว่าโลกานุกัมปายะ 

เพราะฉะนั้นก็เผื่อแผ่เกื้อกูลโลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์ให้คนในโลกเขาเข้าใจอย่างนี้ ว่า หิตะ ประโยชน์ที่เลิศยอดต้องมาสรุปลงอย่างนี้ จะเป็นความสุขสงบ ประเสริฐสุดอย่างนี้ 

อย่างนี้แหละที่เรียกว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ถ้ามีพลังงาน มีอำนาจ มีฤทธิ์แรงเรียกว่า อธิปไตย พลังงานทางกำลังสร้าง ไม่ใช่พลังงานที่จะไปสร้างอาวุธกัน แต่มาสร้างสิ่งที่ประเสริฐพืชพรรณธัญญาหารนี้ เอาไปแจกจ่ายกันเกื้อกูลกันเลี้ยงคนทั้งโลก 

มันจะเป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่ เป็นสังคมที่กว้างออกในโลก คนเมื่อฉลาดขึ้นจะหยุดการฆ่าแกงกัน จะหยุดแย่งชิงกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... คือ เท่าที่ผมสังเกตลำดับพัฒนาการ การแสดงธรรมของพ่อท่านมาแต่ละปีๆ ทำให้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับสัมมาบัณฑิตคนหนึ่ง ได้ให้ข้อสังเกตว่า เมื่อก่อนพ่อท่านจะไม่พยายามให้พวกเราทำงานสังคมสงเคราะห์ พยายามให้ละกิเลส ศึกษาโลกุตตรธรรมให้มาก แต่ในสังคมมันขาดความเป็นสังคหะไม่ได้ มาถึงยุคนี้พ่อท่านต้องพยายามให้พวกเราทำสังคมสงเคราะห์ไปกับชาวบ้าน 

คราวนี้พวกสัมมาบัณฑิตก็ถกเถียงกันว่า เราทำแบบที่เราไปวิจารณ์เอาไว้มันจะต่างอะไรกับสังคมสงเคราะห์ที่เราเคยปฏิเสธมาครับ 

พ่อครูว่า... ดี มุมเหลี่ยมนี้ คนในโลก เขาไปสงเคราะห์ผู้อื่น เป็นการหลอก ที่อาตมาเคยใช้ม็อตโต้ว่า “เลวที่สุดในแผ่นดิน คือ หากินบนคำว่า ช่วยเขา” จะไปช่วยเขาเหมือนอย่างพวกอุ้งอิ้งพวกเพื่อไทย จะไปช่วยๆๆ แล้วตลอดชีวิตตั้งแต่พ่อเขามา อาเขามา อาเขยหรือน้าเขย ที่มาแสดงบทบาทมันเป็นไปตามที่เขาจะมาพูดว่าจะช่วย คำว่าช่วยเขานี้ มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่มีคนช่วยเหลือก็ดี ก็ยินดี 

แต่ในการช่วยเขานี่ เขาช่วยเราแต่เขามีเหลี่ยมมุมวิธีโกง วิธีกิน วิธีโลภ เอาเปรียบเอารัด ล้วงตับกินไส้ ไปหมด โลกซับซ้อน ไม่ใช่มาเอาเงินจากผู้คนเท่านั้น เพราะมาช่วยนี่คือคนทั่วไป จะเป็นคนที่จนมากหน่อย เขาจะไปแย่งเอามาจากคนรวยก็จะยาก เพราะคนรวยจะมีเหลี่ยมมุม รู้ทันกัน จะยากกว่า เขาก็จะมาแย่งเอาของส่วนกลางคือจากรัฐบาลของส่วนกลางของประเทศ แย่งเอาแล้วก็โกงเอาอย่างที่ทักษิณทำไป คดียังไม่ได้ว่าความกันไม่รู้อีกกี่คดี คดีตัดสินแล้วติดคุกก็ยังไม่ยอมมาติดคุก แล้วก็ยังจะพยายามที่จะผลักดัน โหดร้ายมาก 

จะให้ลูกสาวคนเล็กสุดแล้ว ก็คงหมดแล้ว ถ้าหมดลูกสาว ลูกชายก็คงไม่เอาก็คงกลัวแล้ว อาตมาก็ว่า โอ้โห…ทำไมโหดร้ายจังเลย ตัวเองไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองเลวร้าย เอาลูกสาวมาแสดงความเลวร้ายอย่างเดียวกัน ความคิดเดียวกัน Concept เดียวกัน คือ เลวได้ที่เหมือนกัน 

อาตมาขออภัยที่ต้องพูดชัดๆอย่างนี้ ไม่ได้ไปโกรธไปเกลียด ก็สงสารเขานะ ที่อาตมาพูดนี้พูดด้วยใจจริง สงสารว่า ทำไมเขาไม่รู้ตัว เขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเขาไม่แก้ไขตัวเองซะ มันเป็นกรรมเป็นวิบากของเขา อาตมานะเข้าใจมนุษยชาติถึงกรรมถึงวิบาก ไม่อยากให้เขาทำเลย 

ถ้าเขาไม่ทำ เขาก็จะหมดวิบากบาป สังคมก็จะดีขึ้น แม้แต่ครอบครัวเขาก็จะดีขึ้น นี่เห็นว่าจะไปขุดเอาแม่อุ๊งอิ๊งออกมาอีก ตามกระแสสังคมนะ อะไรกันนักกันหนาหนอ แต่เราก็ไปห้ามไม่ได้หรอกความโง่ความฉลาดของคน คนโง่ก็ต้องทำตามโง่ของตน คนฉลาดก็ทำตามฉลาดของตน 

โง่อย่างโลกีย์ โง่อย่างซับซ้อน โง่อย่างดักดาน มันก็น่าสงสารอีกมากๆๆ ซึ่งสภาพคำสอนที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี้ มันเป็นเรื่อง ปฏิโสตัง เป็นความรู้ที่มันทวนความคิด ทวนความรู้ ตีกลับกับความรู้ที่ชาวโลกเขานึกว่าอันนี้ดีอันนี้ดี แต่ที่จริงมันยังเลว ไอ้ดีมันกลับเลวไอ้ดีมันกลับชั่ว ที่เขาเข้าใจว่ามันดีนะ มันไม่ใช่ มันกลับกันมัน ชั่วๆๆ เขานึกว่าอย่างนี้ดีมากๆๆ มันยิ่งชั่วมากๆๆๆๆ นี่เป็นสัจจะนะ มันไม่ใช่อาตมาไปพูดไปว่า ไปดูถูกไปข่ม ไปเหยียบย่ำอะไรเขา มันไม่ใช่ 

มันเป็นสัจจะที่อาตมาพูดนี่มันเป็นสัจธรรม ไม่ได้ไปพูดด้วยจิตใจที่เบียดเบียน จิตใจไปข่มไปขี่ไปทับถม ไม่ใช่ 

_สู่แดนธรรม... นี่เป็นคำตอบที่พ่อท่านได้ตอบเชิงแรก ยังมีเชิงที่สองอีกครับ คำตอบแรกคือคนที่สงเคราะห์ด้วยความไม่สุจริตใจ แต่คราวนี้ผมจะถามถึงบรรดาคุณหญิงคุณนายที่เขาทำการสังคมสงเคราะห์ด้วยความสุจริตใจ แล้วเราก็ทำการสังคมสงเคราะห์แบบชาวโลกุตตระของเรา ซึ่งพฤติกรรมมันคล้าย แล้วของเรามีอะไรที่แตกต่างไปจากเขาครับ 

พ่อครูว่า... มันเสียสละต่างกัน มันมีเจตนารมณ์ต่างกัน มันมีความมุ่งหมายที่ต่างกัน พวกเรานี้เสียสละอย่างถอดตัวถอดตน ลดกิเลสแล้วรู้จักว่ากิเลสมันยังอยากได้ อยากได้มากอยู่ อยากได้ลดลง อยากได้ลดลง อยากได้น้อยลง จนกระทั่งความอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันลดลงได้ จนกระทั่งไม่อยากได้อะไร แม้แต่เราสร้างสรรค์ ปลูกผักปลูกพืชได้อุดมสมบูรณ์ก็ไม่ได้ทำด้วยความอยากที่เหมือนกับโลกเขาอยาก 

โลกเขาจะอยากคือปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารออกมาได้มากเหมือนที่พวกเราทำ มีทั้งความงดงามความหลากหลายความอุดมสมบูรณ์ ทั้งโลกเขาได้เพื่อที่จะเอาไปขาย เอาไปให้คนอื่นแล้วก็ได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมา เป็นโลกียะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่ออะไรต่างๆนานา แต่เราไม่ใช่ 

นี่คือความซับซ้อนของความรู้ที่จะต้องรู้ในสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่จิตใจเป็นประธาน อันนี้แหละมันเป็นเรื่องยากที่คนจะต้องศึกษา เรียนรู้เพื่อที่จะมาฝึกฝนทำตนให้มีจิตอย่างที่พระพุทธเจ้าพาเป็น 

แล้วพวกเราก็เป็นไปได้ที่ยืนยันอยู่นี้ ทุกวันนี้นี่นะ คนในประเทศไทย แม้แต่ผู้บริหาร ก็ยังไม่ชัดเจน อาตมาว่าอย่างนั้นนะ ยังไม่ชัดเจน พอจะรู้บ้างแล้วล่ะแต่ยังไม่กล้าที่จะทุ่มโถมลงมา เอาแบบนี้ ให้มันอย่างเดียวกันเหมือนกับชาวอโศกทำ มาเป็นคนจน มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นคนทำตนให้ 

1. หมดหนี้  

2. ทำเลี้ยงตัวเองรอดพออยู่พอกิน 

3. ทำเกินอยู่เกินกินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี 

4. เอาที่มันเกินมันมากเกินนี้เอาไปแจกเอาไปขายอย่างถูกๆ ไปแพร่ให้ไปเสียสละให้ผู้อื่นมากๆ 

4 หลักนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วไม่เป็นหนี้ทำพออยู่พอกิน ทำให้เกินให้มากขึ้น เป็นสิ่งที่เป็นสาระสัจจะที่แท้ อะไรเป็นสิ่งที่ควรจะต้องสร้างสรรค์ขึ้นไปให้มนุษย์ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่ แล้วเผื่อแผ่เจือจางเกื้อกูล แจกให้แก่ผู้อื่นกัน เสียสละกันเต็มที่ 

4 ภาษานี่แหละ ไม่เป็นหนี้ ทำให้พึ่งตนเองรอดมีเหลือ มีมากขึ้นก็แจกจ่ายเจือจาน เท่านี้แหละสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ในความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์แบบจริงๆ 

พวกเราทำได้แล้วแน่นอน อาตมามั่นใจ ทำได้แล้ว แล้วเราก็มีปัญญารอบรู้ ด้วยว่าการกระทำอันนี้เป็นที่จบสูงสุดแล้วของมนุษย์ ใครจะทำให้ดีและทำให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง ทำได้ดีและทำให้มากขึ้นไปกว่านี้ แล้วก็หาทางที่จะเผื่อแผ่ รู้จักการแจกจ่าย การให้การแจกก็ต้องมีปัญญาอีก รู้ว่าใครควรได้รับการแจก รู้ว่าใครควรกว่า ใครไม่ควรกว่า ก็เข้าใจด้วยความจริงใจว่าคนนี้เหมาะควรจริงๆที่จะได้รับการแจกจ่ายก่อน จึงสุดยอดในการที่จะบริหารหรือว่าในการเกื้อกูล การอยู่กับสังคมที่จะมีพฤติกรรม มีการกระทำ อยู่กับสังคมที่เป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติในสังคม 

ซึ่งมันแตกต่างกันมากเลย กับความเป็นปุถุชน เป็นชาวโลกีย์ส่วนใหญ่ของคนในโลก ในเกือบ 200 ประเทศในโลก มีประเทศไทยที่มีโลกุตตรธรรม เป็นหลักแล้วก็มีอยู่ในกลุ่มชาวอโศก มีพฤติกรรมพฤติการณ์ทำกันอยู่จริงๆ พาทำตั้งแต่เด็กเล็กกระจองงอแงมา วิ่งมากราบที่เห็นนี่ แล้วก็นักเรียนที่เห็นอยู่ และก็มีจนกระทั่งหนุ่มสาวผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ก็มีพลังงานสร้างสรรค์ช่วยกัน ทำอยู่ในแนวคิดอันนี้ อยู่ในกรอบของแนวคิดโลกุตตรธรรมอันนี้ ไม่ได้สงสัย 

มันยังสงสัยก็ต้องทำความสงสัยให้หมดไปให้ได้ โอ้โห..มันสุดยอดแล้วในความเป็นมนุษยชาติ ต้องมาเป็นคนแบบนี้สุดยอด อาตมาพูดความจริงนะนี่ อาตมาไม่ได้ทำเป็นยกย่องยกยอแนวคิดนี้ เป็นแนวคิดของพระพุทธเจ้า แนวคิดของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ของในหลวง ร. 9 ของอาตมา เป็นต้น 

แม้แต่ผู้บริหารทุกวันนี้ เป็นนายกของประเทศที่ทำงานอยู่ขณะนี้ อาตมาก็บอกรับรองด้วยภูมิปัญญาของอาตมา จะผิดจะถูกอย่างไร ถ้าพลเอกประยุทธ์ที่อาตมารับรองขณะนี้ ไปทำ ขออภัยนะ พูดสมมุติ พลเอกประยุทธ์ไปทำเป็นโลกีย์ไปไม่ซื่อสัตย์ ไปขี้โลภ ไม่ทำจริงตรงกับที่กำลังพูดกันนี่ จนคนเห็นแล้วก็จับได้เอามาตีแผ่หน้าแตก อาตมาก็หน้าแตก พลเอกประยุทธ์ก็หน้าแตกอย่างนี้ จะได้รู้กันว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไหม จะได้รู้กัน 

อาตมาก็ว่าพิสูจน์กันไปเลย ต้องพิสูจน์กันให้ถึงๆสิ  อาตมาว่าคนอย่างพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ให้ลองทำไปอีกสัก 10 ปีสิ ตอนนี้ก็ยังไม่ 70 ปี ทำอีกถึง 80 อาตมาอายุ 80 จะ 90 ปีแล้ว อาตมาก็ยังพยายามใช้ความรู้ของพระพุทธเจ้านี่แหละ ยังขันธ์ ยังชีวะ ให้มันแข็งแรงทำงานได้ พูดได้ นำพากันทำงานกันเจริญได้อย่างนี้ 

มันดูเล็กๆนะ ของชาวอโศกที่ทำงานดูเล็กๆ แต่มันเป็นแก่นแกนของความประเสริฐยิ่งใหญ่ พูดไปแล้วก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำไมมันหลงตัวเองจัง ไม่ได้หลงอาตมาไม่ได้หลง มันเป็นความจริง แต่คนที่ไม่ศรัทธาอย่างนี้ ไม่เข้าใจว่านี่เป็นแนวคิดอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า เขาก็จะหาว่าเราหลงตน ไม่ได้หลง เราชัดเจน ชัดเจนทุกอย่างไม่ได้หลง ไม่ได้เลอะอะไร มันเป็นความจริงที่จริงๆ 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่ามันยังไม่โต ยังไม่ชัดเจน คนมันตาถั่ว มันยังเล็กก็ไม่ค่อยเห็นนัก มันต้องโต มันต้องมีประสิทธิภาพ มันต้องมีอะไรที่ใหญ่โตจนกระทั่งชนตาคนน่ะ ที่อาตมาใช้คำเปรียบเทียบว่า จนคนตาบอดเห็นได้ เป็นคำเปรียบเทียบให้เห็นว่า มันเหมือนประชด คนตาบอดยังเห็นเลย ทำไมคนตาดีไม่เห็น มันไม่มีภูมิปัญญาเห็นได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร 

ซึ่งมันไม่น่าจะยาก เป็นแต่เพียงว่ามันตรงกันข้ามกันกับความคิดโลกๆ ความคิดทางปุถุชน ความคิดทางคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีภูมิธรรมโลกุตระ มีแต่ภูมิธรรมโลกียะ จะเห็นได้ว่าความแตกต่างระหว่างโลกียะกับโลกุตระ มันกลับกันเท่านั้นเอง มันไม่ได้ใหญ่เลย มันกลับกันคนละหน้าเป็นสิริมหามายา คนไม่รู้ก็นึกว่าเป็นมายา ว่ามาพูดนี้มาหลอก เราพูดนี้มันเป็นมายา มันเป็นความไม่จริงหรอก แต่ที่จริงไม่ใช่มายา มันเหมือนมายา แต่มันเป็นสุดยอด มันเป็นสิริ มันเป็นมหา มันสุดยอดดี สุดยอดยิ่งใหญ่มากมาย สิริมหามายา มันไม่ใช่มายา แต่มันเหมือนเท่านั้นเองมันเหมือนกัน 

คนทั้งโลกเขาก็หลอกว่ามันจะเจริญแบบโลกียะ แต่เราก็บอกว่าโลกียะมันไม่ได้เจริญ มันเสื่อมมันเบียดเบียน มันไม่จบกิจ มันไม่สุดยอด  มันยังจะต้องหมุนเวียน สมบัติผลัดกันชม กรรมวิบาก แก้แค้นกันไป แก้แค้นกันมาเหมือนหนังจีนไม่มีจบ ชาติแล้วชาติเล่า ๆ เป็นกรรมวิบากซับซ้อน 

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้แค่คนชาติชาติเดียว กรรมที่ทำแล้วมันมีผล มีผลที่ผู้ที่ทำชั่ว ผู้ที่ทำเป็นหนี้ คุณจะต้องใช้หนี้ คุณจะต้องรับทุกข์ คุณจะต้องหนักหนาสาหัส แต่ผู้ที่พ้นแล้ว ไม่ต้องใช้หนี้ ไม่ต้องไปทำชั่ว ทำแต่ประเสริฐ ทำแต่ดีงาม ทำแต่ผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น ๆๆ แล้วก็ชวนกันมาทำผลประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ตัวเรากินน้อยใช้น้อยมีวรรณะ 9 เป็นคนสบายเลี้ยงง่าย เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) วรรณะ 9 ชัดๆเลยตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลย 

อันใดที่มันยังไม่เจริญอยู่ ยังต้องขัดเกลาอยู่จะต้องปฏิบัติเพื่อลดสิ่งที่ยังไม่เจริญสมบูรณ์ก็ขัดเกลากันไปอีกเรื่อยๆ  ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) มีหลักเกณฑ์มีวิธีการ มีข้อปฏิบัติที่เรียกว่า เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) เพิ่มหลักเกณฑ์การปฏิบัติลดกิเลสสูงขึ้นสูงขึ้น เกิด มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) สูงสุดแล้วผู้รู้จะไม่ตำหนิเลย สุดยอดของคำสรุปของพระพุทธเจ้าก็คือเป็นคนไม่สะสมแต่ยอดขยัน ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)   

คนก็มีชีวิตอยู่กับการไม่สะสม ขยัน สร้างสรร เกื้อกูลแจกจ่ายไป แล้วก็พอใจเต็มใจตั้งใจที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างนี้ อาตมาว่าอาตมาพูดไม่ได้ยากอะไร เด็กๆเข้าใจไหม ...เข้าใจ เสียงก็ดีอยู่นะไม่ต้องกลัวหรอก เราตอบในสิ่งที่ไม่ใช่เลวร้าย เป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐอยู่แท้ๆ 

อาตมาอธิบายธรรมะมา ขยายวนแล้ววนเล่า ขยายอย่างหยาบ ขยายอย่างละเอียด เจาะลึกเข้าไป กลับมาสู่ตัวอย่าง แล้วก็ขยายจากหยาบแล้วก็ค่อยๆเป็นลำดับ ๆๆ ให้ต่อเนื่องเข้าใจไปได้เรื่อยๆ

พยายามแยก อาตมาพูดนี้ก็ไม่น่าจะเข้าใจยาก ระหว่างโลกียะที่คนมีความรู้กันแต่ว่าความดีกับความชั่ว ซึ่งศาสนาพุทธก็เข้าใจ เข้าใจทีเดียว เรื่องความดีความชั่วแล้วก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีเหมือนกันกับโลกียะทุกอัน และทำอย่างซ้อนมีสภาพซ้อนเลยว่า ดีอย่างโลกียะ มันดีอย่างรวย ดีอย่างไปข่มเขาอยู่ดี ดีอย่างไปเบียดเบียน ดีอย่างที่เรียกว่าสุจริตเท่านั้น แต่ยังเป็นโลกีย์อยู่ เขายังไม่หมดตัวตน เขายังมีตัวตนที่เต็มไปด้วยความมีลาภไว้เผื่อพอ เผื่อไว้ให้แก่ลูกหลาน เผื่อไว้ให้แก่พรรคพวก มีมากเพื่อจะหว่านสร้างอำนาจ สร้างให้ผู้อื่นมาเป็นบริวารอย่างนี้ แนวคิดของโลกีย์เขาเป็นอย่างนั้น อาตมาสรุปย่อๆทั้งนั้นแหละแนวโลกียะทั้งโลก 

แต่โลกุตระตรงกันข้ามกันกับแนวคิดนี้ แล้วยืนยันได้เลยว่า ไม่ต้องสะสม ลาภหรือเงินทองข้าวของ อยู่ได้ไม่ต้องสะสม มีคงคลังนิดหน่อยพออาศัยหมุนเวียน น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นความเจริญสามารถ ถ้ามีคงคลัง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งเป็นความสามารถความเจริญ 

แต่โลกียะเขาบอกว่ามีคงคลังมากๆจะใหญ่คือความเจริญ เหมือนอย่างมหาบัวที่เป็นโลกียะเต็มรูปเลย พยายามเรี่ยไรแล้วไม่เอาจากใครหรอกพึ่งพาอาศัยสถาบันแล้วก็ไปเรี่ยไรมา บอกว่าเข้าชาติเพื่อชาติ เอาไปเป็นคงคลังอย่าออกมานะ แต่ตอนนี้น่าจะเอาออกมาหมดแล้วจนกระทั่งหมุนเวียนไปกู้ไปยืม เพราะว่าต้องมากอบกู้ประเทศ ทักษิณนั้นอาตมาว่าโกงไปจนรวยจนกระทั่งแกตายไปแล้วก็ใช้แค่ดอกก็ยังไม่หมด ทุกวันนี้ก็ใช้แค่ดอกเบี้ย ซึ่งที่เขาได้นั้นอาตมาไม่ได้ริษยาเลยแม้แต่ขี้ฝุ่นขี้ผง ไม่ได้ริษยาทักษิณเลยที่เขาทำ ซึ่งมันน่ารังเกียจมากที่ทำแบบนี้ 

เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่เข้าใจจะเอาอย่าง อยากไปเป็นพรรคพวก ยังไปส่งเสริมกันอยู่นั้น น่าสงสารจริงๆเลย เมื่อไหร่จะตื่นเมื่อไหร่จะรู้สึกตัว อาตมาก็ยังนับถือคุณจตุพร นี่กำลังหันหลังกลับ เขาใช้ศัพท์เหมือนกันว่าลากไส้ ก็คงพยายาม เขารู้อะไรเยอะเพราะว่าอยู่กันมาด้วยกันเยอะใช่ไหม นาน เสร็จแล้วเขาก็เข้าใจแล้วนี่เขาก็ตื่นแล้ว แหม อาตมาก็ยินดี ปรีดากับเขามากเลย จตุพร 

นี่เขาก็เตือนอุ้งอิ้ง แฉไปเรื่อยๆเอาเลยจตุพร ไม่ต้องกลัวหรอก ระวังมันเกินขอบเขตของกฎหมายนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าผิดกฎหมายแล้วประเดี๋ยวเขาฟ้องเข้าคุกแล้วมันไม่ดี ระมัดระวัง แต่เขาฉลาดพอ จตุพรก็ฉลาดพอ พลาดไปเข้าคุกก็หลายทีแล้วก็ต้องรู้กันบ้าง พยายามใช้

ก็มีคนในโลก คนในสังคมมนุษยชาติอย่างประเทศไทยก็มีอย่างนี้แหละ นี่เขาบอกว่า พท.เพื่อไท ได้แต่ขายฝัน จตุพรซัดอุ๊งอิ๊งสอบตกภาวะผู้นำ นี่เขาให้คะแนนเลยก็เป็นอาจารย์ที่สอบ ข้อสอบหรือข้อปฏิบัติของอุ๊งอิ๊งเขาก็ให้คะแนนอยู่ว่าสอบตกภาวะผู้นำ อาตมาที่หัวเราะไม่ได้เยาะเย้ยเยาะหยันหรอก แต่มันขำ เขาเองเขามาด้วยกัน ไปด้วยกันแต่ไม่ใช่เลือดสุพรรณด้วยกัน มาแตกคอ นี่แหละก็ดีตื่นรู้ซะ ว่าไปอุ้มชูกันไปด้วยกันมาด้วยกันได้อย่างไร 

เดี๋ยวนี้ฝ่ายแดงโอ้โห..จะเห็นได้ฝ่ายแดง ฝ่ายเพื่อไทย ฝ่ายทักษิณนั่นแหละ กำลังกลับลำ กำลังรู้ตัวอะไรต่ออะไร นี่คือการแสดงออก คลื่นของสังคมไทย คลื่นของมนุษยชาติไทย กำลังตื่นตัวกำลังรู้ตัว ทักษิณเอ้ย อุ๊งอิ๊งเอ๊ย อาตมาไม่ต้องไปเชียร์หรอก รทสช.อะไร ไม่ต้องไปเชียร์ พวกเราตื่นกันแล้ว คนไทยตื่นกันแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงมากเลย 

นี่ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง เขาพยายามประโคมกัน ด้วยการจูงนำ เรียกว่าสร้างกระแส สร้างอุปาทานให้คนหลงว่าจะแลนสไลด์ในการเลือกตั้ง เพื่อไทยจะได้สส. มาเยอะแยะ โปรดติดตาม อย่ากระพริบตา โพล รทสช. ไม่ได้คะแนนเท่าไหร่เลย มีแต่เพื่อไทยนำโด่งเลย ตามมาก็ภูมิใจไทย อะไรอย่างนี้ ก็ดูวันจริง ยังไม่กำหนดวัน ยังไม่ยุบสภา

เขามีเกณฑ์มีขีดกำหนดอยู่ ทำความเข้าใจความเฉลียวฉลาดก็ทำตามที่ควรกัน ก็ว่าไป นี่มีภาพ candidate นายก อุ๊งอิ๊ง ประยุทธ์ อนุทิน พิธา จุรินทร์ พลเอกป้อมอีก 6 คน 

เขายังมีกล่าวถึงบ้าง แต่ก็คัดมาประมาณนี้ โอ้โห..เมืองไทยมีคน ฉันจะเป็นนายกกันเยอะดีนะ เจริญกันจริงๆประชาธิปไตยนี่ มันแสดงถึงความเจริญนะ แม้จะมีแคนดิเดตนายกฯกันขนาดนี้ เมืองไทยมีตั้ง 6 คน สลอนอยู่ตอนนี้ที่เป็นที่รู้มีบทบาทมีเวลาประพฤติกันอยู่ในประเทศไทย มันแสดงถึงความเจริญประชาธิปไตยจริงๆ ประเทศไหนเขาจะยังไม่ได้เท่าหรอก เขาจะมี 2 พรรคใหญ่ๆ ประเทศไหนก็จะมี 2 คน 3 คน เมืองไทยไม่ได้เบ่งข่มใคร ไม่ได้มีอะไร ใครก็มีสิทธิ์ แล้วก็นับได้ เอาเลยใครจะสามารถแสดงออกได้ขนาดไหน ใครจะจับสถิติ มีพรรคมีพวกทำสถิติมา ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ 

โอ้โห…อุ๊งอิ๊ง นิด้าโพลไปถึง 31% พลเอกประยุทธ์ 18.82 เอง โอ้โห.. พิธาสิ เก็บได้ 17.36% แต่ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้คือ 9.55 

พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ก็ 6.91 โอ้โห..คุณหญิงสุดารัตน์ก็มากับเขาได้ 4.64 

อนุทินทำไม 3.18 อันนี้เป็นนิด้าโพล เป็นโพลใหญ่เลยนะ สำรวจจากคนชลบุรี ก็ทำไมไม่ทำทั่วประเทศ เฉลี่ยแล้วให้มันได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบหน่อย 

คือโพล มันเป็นโพล ที่จริงใจ เที่ยงตรงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ซึ่งก็ยาก พวกที่จะไปทำงานโพล นี่นะ อาตมาว่า เป็นพวกมือปืนรับจ้างมากกว่าเยอะ ที่จะไปทำงานโพลจริงๆ ยังไม่มีโพลที่ตั้งใจทำอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีความรู้ มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบได้สัดส่วนที่ค่าเฉลี่ยที่ดีมาก ยังใช้ได้อยู่ ก็ไม่เป็นไรก็พัฒนาไป 

สรุปแล้วประเทศไทยนี่ ประชาธิปไตยไทยนี้เจริญมากจริงๆ เจริญกันอย่างให้อิสระเสรีภาพ นี่มีแคนดิเดตนายกตั้ง 5-6 คน ประเทศไหนเขาจะมา ขนาดขออภัยจริงๆนะ ขนาดอย่างอุ๊งอิ๊ง ยังเข้าเป็นแคนดิเดตกับเขาได้ มันยอดจริงๆ อิสระเสรีภาพประเทศไทยนี่สุดยอด สุดยอดจริงๆ ขออภัยที่ต้องใช้ภาษาพูดอย่างนี้จริงๆ 

อาตมาว่า แม้แต่พิธากับอุ๊งอิ๊ง อาตมายังให้คะแนนพิธาบ้างนะ แต่อุ๊งอิ๊งนี้เออเห็นไหม แต่มันก็เป็นสัจจะ อันนี้เป็นโลกุตระเป็นสัจจะ เป็นอจินไตยอย่างหนึ่งว่ามันต้องมีอย่างนี้แหละ ถ้าไม่มีอย่างนี้ มันจะไม่ชัด มันต้องมีอย่างนี้ 

นี่ใครว่าไงอุ๊งอิ๊งมีหนาว เช็คเรทติ้งวันนี้ประชาชนเลือกใครนายก ฯ แล้วไม่บอกมาอมไว้ทำไม อุ๊งอิ๊งมีหนาว หนาวเรื่องอะไร อันนี้คือ ซุปเปอร์โพล

คนชลบุรีเลือกอุ๊งอิ๊ง บิ๊กตู่ไล่บี้อุ๊งอิ๊ง จะว่าเป็นเกมการเมืองก็เป็นเกมการเมืองที่สนุก เป็นการเมืองที่อิสระเสรี บริสุทธิ์ดี คนที่เขาจะทำความซับซ้อนที่จะไม่บริสุทธิ์ ก็เรื่องของเขา แต่ค่ารวมแล้วมันเป็นเกมประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สะอาดดี ใช้ได้เลย 

ส่วนบุคคลที่เขาจะมีตุกติก มีทุจริต มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้อะไรต่ออะไร เป็นความซับซ้อนอยู่ เพราะฉะนั้นคนตรงๆเลย ทำงานตรงๆ บริหารตรงๆ แสดงพฤติกรรมตรงๆ ออกมา คนก็จะเห็น คนก็จะรู้เองรู้ดี เอาละ สรุปไว้ก่อน คอยดูไปก็แล้ว 

_สู่แดนธรรม... ผมสังเกตว่าทำไมอุ๊งอิ๊งยังไม่เคยสร้างประโยชน์เลยแล้วพลเอกประยุทธ์ทำมาหลายปี สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากมาย ทำไมคะแนนไม่ปรากฏตามความจริง 

พ่อครูว่า... ฝีมือไง ฝีมือในการยกขึ้นมา ทักษิณเขาใช้วิธีการทักษิโนมิกของทักษิณ จนกระทั่งยกให้ ด้วยวิธีการของดอกเตอร์ทางอาชญวิทยา วิธีการของเขาเขาทำได้ไง 

เพราะฉะนั้นก็ดูว่าประชาชนคนไทยจะมีดวงตา อะไรแค่ไหน อาตมาว่า คนไทยเห็นไหมเมื่อกี้ก็พูดผ่านไปแล้ว ตื่นตัวกันเท่าไหร่แล้วล่ะ ในผู้ที่อยู่ในเนื้อเลยเล่นเกมกันอยู่เป็นผู้ที่อยู่ในกระดาน พวกนักการเมืองไปอยู่ในกระดานด้วยเลยกระดานหมากรุก ต่างโอ้โห.. เปลี่ยนค่ายเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนทางกันมา ในรายละเอียดต่างๆพวกนี้ ผู้ที่มีภูมิธรรมธรรมดาๆ ไม่ต้องเอาลึกซึ้งอะไรหรอก จะมองออกได้เห็นชัดเจนว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงคลื่นของเกมการเมือง ในประเทศไทยขณะนี้ มันสนุก มันกำลังเปลี่ยนแปลง มันกำลังวิวัฒน์พัฒนา มันกำลังเข้าเขตเจริญๆเห็นได้อย่างชัดเจน 

มันเป็นเรื่องจริงนะ มันเป็นเรื่องจริงของความจริงประเทศไทย อาตมายิ่งเห็น ว่า เออนะ.. ประเทศอื่นเขาก็มีเกมการเมืองของเขา เท่าที่อาตมามีความภูมิรู้จากข่าวสารบ้านเมืองนี่แหละ อาตมาไม่ได้ไปประเทศนั้นประเทศนี้ แต่ก็รู้ข่าวสารเพราะข่าวสารทุกวันนี้มัน globalization มันไม่มีอะไรปกปิดหรอก มันเปิดเผยกันละเอียดละออหมด แง่นั้นประเด็นนี้เพราะฉะนั้นติดตามได้ 

อาตมาจริงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่จะไปติดตามอย่างกระชั้นชิด แค่นี้อาตมาก็ว่าอาตมารวบรวมพอได้ มาพูดกับสังคมเขาได้ ไม่ได้น้อยหน้าหรือด้อยอะไรเกินไปเท่าไหร่หรอก ก็พอคุยกับเขา คุยกับชาวโลกเขาได้ จะเป็นเรื่องการเมืองอะไรต่ออะไรพวกนี้ก็เถอะ 

เพราะฉะนั้นสรุปอีก ว่า เมืองไทยนี่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... ผมจะช่วยพ่อท่านสรุปที่ธรรมะครับ ผมเห็นใจคนที่ฟังธรรมพ่อท่านครั้งนี้ครั้งแรกว่านี่ พระอะไรมาพูดอย่างนี้ แต่ถ้าเข้าใจจะเห็นว่าพ่อท่านมีสภาวะ 2 อย่าง เป็นนักการเมืองที่พูดธรรมะนี้ก็มองได้ หรือเป็นนักธรรมะที่พูดการเมืองก็ได้ เพียงแต่เราไปสำคัญมั่นหมายว่าท่านใช้เครื่องแบบของความเป็นพระ แล้วทำไมต้องพูดการเมือง แทนที่จะเห็นว่าพ่อท่านเป็นนักการเมืองที่พูดธรรมะ ทำไมไม่มองอย่างนั้นบ้าง เพราะว่ามันมีความจำเป็นอย่างไรครับที่นักธรรมะที่มีจิตสะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว ก็ต้องทำเรื่องประโยชน์สังคมให้เป็นกัมมัญญา 

พ่อครูว่า... ก็คำของคุณนั่นแหละว่า คุณก็บอกว่าอาตมาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว คนบริสุทธิ์สะอาดแล้วเป็นคนรู้โลก เป็นคนเข้าใจโลก เป็นคนเหนือโลก เป็นภาษาง่ายๆ โลกุตระ หรืออุตระ เป็นผู้ที่อยู่เหนือ ไม่ใช่พูดภาษาเท่านั้นแต่มันมีสัจจะที่มีภูมิปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ที่รู้ว่า 

โลกียะมันก็เป็นอย่างนี้ ดีของโลกิยะเป็นอย่างนี้ โลกุตระเป็นอย่างนี้ ดีของโลกุตระมันเหนือชั้นกันขึ้นไปอีกอย่างนี้ มันจะรู้ มันจะเห็น มันจะเข้าใจจริงๆเลยไม่ใช่เป็นเรื่อง ถ้ามันไม่มีความรู้ความจริงอันนี้ มันจะเอามาจากไหน อาตมาจะไปเอามาจากไหนเอามาพูด จากตำราเล่มไหน 

_สู่แดนธรรม... ตำราก็แย้งกับพ่อท่านอีกด้วยครับ 

พ่อครูว่า... จะเอาตำราเล่มไหนมาพูด มันไม่ใช่ แต่อาตมาพูดนอกจากอาตมาพูดแล้ว อาตมาพาพวกเราทำ อาตมายังพยายามมาทำการเมืองตั้งแต่พ.ศ 2549 มาเปิดตัว จนกระทั่งมาถึงวันนี้ 10 กว่าปีเอง ประมาณ 16-17 ปี เปิดตัวแล้วก็มาทำอย่างนี้ ไม่ใช่อาตมาเกรงกลัว มันยังไม่ถึงเวลา พอถึงเวลาแล้วก็มาทำความจริงพวกนี้ 

แม้แต่ประชาชนพวกเราที่อาตมาพาออกไปปฏิบัติทางการเมือง มีหมู่เล็กหมู่น้อย พวกชาวอโศกยังมีหมู่เล็ก ตั้งแต่ 17 ปีที่แล้วก็เล็กกว่านี้ ออกไปชุมนุมประท้วงกับเขา ปักหลักอยู่กับเขา ตั้งกี่ปีตั้งไม่รู้กี่งวด เสร็จรัฐบาลนี้ล้มไปแล้วก็ออกไปอีกกี่งวดจนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2557 เราก็ไม่ได้ออกไปอีก แต่เราก็ทำงานการเมืองต่อ 

อาตมาก็ขยายความอธิบายบอกว่านี่แหละงานการเมืองงานของมนุษยชาติคืองานการเมืองทำกับพลเมือง ไม่ใช่ไปทำกับหมู หมา กา ไก่ งานการเมืองไม่ใช่ทำกับช้าง ม้า วัว ควายพวกนี้ งานการเมืองคือทำกับพลเมือง ทำกับคน แล้วเรียนรู้มีความรู้มีความสามารถ   ไม่ใช่ไปช่วยสัตว์ก่อน เดรัจฉานหมู หมา กา ไก่  มันไม่ใช่ ต้องมาช่วยคนก่อน ให้คนนี้แหละ มีภูมิธรรมโลกุตรธรรมก่อน แล้วจะช่วยคนด้วยกันแล้วก็จะไปช่วยสัตว์หมู หมา กา ไก่ทีหลัง 

หมูหมากาไก่นั้นเขาลึกซึ้งในอจินไตยคือมันมีวิบากของมัน มันจึงเป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน กว่ามันจะมาได้ร่างคน กว่ามันมาจะได้มาเป็นคน นี่เป็นอจินไตยเป็นเรื่องกรรมวิบาก เพราะฉะนั้น มันจะต้องไต่เต้าขึ้นมา เราก็ต้องช่วยคนก่อน คนจะได้ไปช่วยสัตว์อีกทีหลัง เป็นตัวอย่างให้สัตว์ด้วย นี่พูดง่ายๆไม่ได้ยากอะไร มันเป็นขั้นเป็นตอนเป็นลำดับ 

_สู่แดนธรรม... ถ้าจะมีคนมาเถียงว่า ถ้านักธรรมะคิดอยากจะช่วยคนอยากจะช่วยสังคม อยากช่วยอย่างอื่นได้ไหม ทำไมต้องมาช่วยการเมืองด้วย 

พ่อครูว่า... การเมืองนี่เป็นเรื่องใหญ่ การเมืองนี่ช่วยแล้วมันเป็นเรื่องรวมไปทั้งหมดเลย ของคนฉลาดคนเมือง หากไปช่วยคนป่าไปช่วยคนเถื่อน มันจะมาช่วยกันได้หรือจะทำทันหรือ มันยากใช่ไหม คนเมืองนี่มันเป็นคนเมือง เป็นคนที่เจริญเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ง่ายขึ้น 

_สู่แดนธรรม... ถ้ามีคนทำแบบนั้นแสดงว่าเขามองว่าธรรมะช่วยได้แค่ 

พ่อครูว่า... ก็มีความรู้ในความเป็นธรรมะของเขาอยู่ในกรอบของความเป็นกะลา เขายังไม่เข้าใจถึงความกว้างขวางของความเป็นธรรมะของมนุษยชาติ เมืองที่กว้างขวาง เขามีความรู้อยู่ในกรอบประมาณกะลาครอบ อาจจะกะลาใบเล็กไม่โตหน่อยก็ตามเถอะ 

_สู่แดนธรรม... ส่วนมากที่ผมได้ฟังมาว่า ประโยชน์ของนักธรรมะคือไปทำการบริจาคทำทาน ทำสงเคราะห์

พ่อครูว่า... เรื่องเล็กเรื่องน้อยเรื่องทานสงเคราะห์เป็นเรื่องโลกียะสามัญง่าย ที่กำลังพูดอยู่นี้อาตมาขอยืนยันอย่างที่คุณพูดว่า มันเป็นเรื่องโลกุตตระ เป็นเรื่องสุดยอด เป็นเรื่องเหนือชั้น เหนือชั้นจะว่าเป็นการเมืองก็เหนือชั้น เศรษฐกิจก็เหนือชั้น เป็นเรื่องของสังคมก็เหนือชั้น ขออภัยนะที่พูดนี้เหมือนกับใหญ่ เหมือนคนหลงตัวเองใหญ่เหลือเกินขออภัย 

คุณพยายามศึกษาเอาความจริง อย่าไปติดยึดอยู่ในพยัญชนะภาษามาก เอาความจริง แม้ชาวอโศกเราจะมีจำนวนน้อย ตอนนี้เรากำลังพยายาม เรามีพฤติกรรมของราษฎร การเมืองที่เป็นราษฎรไปแล้ว ยังไม่เข้าไปในกรอบของราชการ 

ตอนนี้เราชาวอโศกก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ไม่รู้ว่าอนุมัติหรือยัง ชื่อพรรคสัมมาธิปไตย เราก็ยื่นขอ ทำไมถึงยาก ที่อื่นทำไมเขาขอได้เร็ว แต่พวกเราไปขอมันก็ยังยากอยู่ นี่ก็เป็นวิบากของพวกเรา เราก็ขอ “สัมมาธิปไตย” เป็นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่จะเข้าไปแบบตามรูปแบบของเขา ซึ่งเราไม่ได้ไปแย่งอำนาจหรอก แต่เราจะไปทำอย่าง Concept ของเรา อย่างวิสัยทัศน์ของเรา อย่างความคิดของเรานี่แหละ เราจะไปทำ 

ซึ่งเราจะไม่ได้ไปเที่ยวอยากยื้อแย่งไปเป็นสมัครส.สแข่งเขาอะไรต่ออะไร แรกๆนี่ก็คงจะ ถ้ากฎหมายเขาไม่บังคับให้ไปสมัคร เราก็จะไม่สมัครส.ส.อะไรเลย เราจะทำงานการเมืองภาคประชาชนไป แต่เขาบังคับให้สมัครก็อาจจะสมัครเข้าไม่ให้ผิดกฎหมาย เพราะว่าเราไม่มีพลเมือง ยังไม่มีประชากรที่จะเข้าไปแข่งขันมาก อย่างขนาดนี้นี่นะ ได้ข่าวว่า รทสช. เขามีพร้อมแล้ว 400 คนที่จะลงสมัคร มันสมัครได้เท่าไหร่ มี 400 เขตทั่วประเทศ นี่เขาก็บอกว่าเขามีครบแล้ว เขาก็คัดเลือกกัน มีครบแล้วเขาก็อาจจะมีตัวสำรอง วนี้ดีกว่าก็จะเอาคนนี้ก็แล้วกันเขาก็จะพูดกัน ถ้ามันดูภาพที่ว่าคนนี้เหมาะกว่าก็ว่าไป ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะสมัคร แต่เขาก็ทำเขาทำงาน 

แต่ของเรานี่เราก็พยายามที่จะทำ พรรคการเมืองของเรา ที่จะค่อยๆทำไป เพื่อที่จะยืนยันให้เห็นพฤติการณ์พฤติกรรมของนักการเมืองที่เป็นนักการเมืองไม่ใช่ไปล่าอำนาจ ไม่ใช่ที่จะไปแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่ลาภยศอะไรไม่ใช่ แต่เป็นนักการเมืองที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน อย่างเป็นโลกุตตรธรรมจริงๆ ซึ่งมันก็ถึงคราวถึงครั้งว่า ชาวอโศกน่าจะพยายามก่อหวอด ก่อตัวขึ้นมา ในขณะที่อาตมาก็ยังอยู่ ยังพอจะเป็นที่ปรึกษาได้บ้าง เป็นที่จะพอถามไถ่พยายามแนะนำได้ ซึ่งอาตมาไม่ปิดบังหรอก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... ตอนนี้พรรคสัมมาธิปไตย ผมคิดว่าถ้าได้ยื่นเรื่องขออนุมัติไปแล้ว ฝ่ายกรรมการที่จะอนุมัติก็คงทราบแนวคิดว่าท่านก็เลยไม่อยากจะอนุมัติ เพราะมันจะไปล้มล้างความคิดของเขาส่วนใหญ่ 

พ่อครูว่า... มันไปล้มล้างไม่ได้ง่ายๆหรอก แม้ว่าอนุมัติขึ้นมาก็บอกแล้วว่า พรรคสัมมาทธิปไตย อาจจะไม่ส่งคนลงเลือกส.ส ถ้ากฎหมายไม่บังคับไม่ต้องส่ง ส่งก็ส่งไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าประชากรของชาวอโศกมีน้อย ยังไม่มากพอที่จะส่ง คิดถึงนะว่าจะทำก็ทำไม่ได้มากพอที่จะไปพรักพร้อมอะไร หรือว่าอยู่ในแนวหน้าตามแต่ละพรรคที่เขาบอกว่าเขาคุยเขาพร้อม เพราะว่ารายได้ 

หนึ่งในด้านที่ชัดเจนที่สุดก็คือพรรคการเมืองเขาต้องใช้เงิน พรรคสัมมาธิปไตยไม่มีเงินเลย จะพยายามมีเงินเท่าที่กฎหมายเขากำหนดว่ามันต้องมีก้อนเท่านี้นะอย่างน้อย ก็พยายามเท่านั้นเอง แล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปใช้เงิน นักการเมืองทุกคนที่จะไปเป็นสมาชิก นักการเมืองที่จะไปอยู่ในพรรค หรือแม้แต่ประชากรชาวอโศกก็ไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย 

อาตมาพูดไปก็ยังไม่เก่งนะ ยังขยายความไม่ได้ดีเลย เอาเถอะอาตมาว่า อย่าเพิ่งพูดเลย ทำ พยายามทำไปเท่าที่มันได้ทำ แล้วเราก็ทำให้ได้เต็มที่ มันจะได้ทำแค่ไหนเท่าที่มีโอกาส มีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ที่จะทำได้ เราก็ทำ ทำเต็มที่ของเรา ไม่ได้หย่อนข้อหย่อนมืออะไรหรอก 

เพื่อที่จะให้เกิดผลว่า เรื่องของการเมืองก็เป็นเช่นนี้ เรื่องของความเป็นที่เรียกว่าประชาธิปไตย มันควรจะมีพฤติกรรมพฤติการณ์อย่างนี้ ก็ทำด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความรู้เท่าที่เรามี ความสามารถที่เรามี ทำขึ้นมา เพื่อสังคมมนุษยชาติ 

โดยเฉพาะที่อาตมานี่แหละเป็นผู้เข้าใจ นี่เป็นแบบของพระพุทธเจ้า สรุปง่ายๆอย่างนี้ก็แล้วกันแต่มันลึกซึ้งซับซ้อนอยู่นะ อาตมาก็ยังไม่เก่งกว่านี้ แบบพระพุทธเจ้าคือ

แบบไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลสที่มาบำเรอตน หรือแม้แต่บำเรอพรรคพวกของตน..ไม่มี เป็นการเสียสละ 100% รับใช้ประชาชน 100% และอาตมากล้าพูดด้วยว่าซื่อสัตย์ 100% ด้วย 

3-4 คำที่อาตมาพูดไปเมื่อกี้นี้ ใครจำได้ไหมมีอะไรบ้าง 

เสียสละ ไม่มีตัวตน รับใช้ ซื่อสัตย์ แค่ 4 ความหมายนี้ มันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทำงานการเมืองเยี่ยมยอดแล้ว 

รับใช้ประชาชน เสียสละ ไม่มีตัวตน ซื่อสัตย์ แค่นี้ก็ยิ่งใหญ่แล้ว แต่มันจะทำได้ไม่มากนัก แต่เราทำเต็มที่ของเราแล้ว ที่ว่าไม่ได้มากนักก็อย่างนี้ มันมีแรงต้านของสังคม เราก็พยายามทำก็แล้วกัน 

อาตมาเองอาตมายังไม่อยากจะตาย ก็เพราะคิดว่า คำว่าการเมืองโลกุตระ เป็นหนึ่งใน “บุญญาวุธ 7 ประการ” 

การเมืองนี้ก็เป็นหนึ่ง ที่อาตมาพาทำมาแล้วตั้งแต่ เรื่องมังสวิรัติเรื่องการกิน ตลาดอาริยะ พฤติกรรมไร้สารพิษ สุขภาพบุญนิยม การศึกษาบุญนิยม สื่อสารบุญนิยม การเมืองบุญนิยม นี่คือบุญญาวุธ อันเป็นบุญญาวุธของชาวอโศก 7 ระดับที่เราทำอยู่ตอนนี้ การเมืองบุญนิยมเป็นน้องเล็กที่สุด อาหารมังสวิรัติทุกวันนี้ก็ติดตลาดหมดแล้ว ตลาดอาริยะก็เป็นที่ยอมรับกันมาแล้วเพราะทำมาถึง 40-50 ปีแล้ว กสิกรรมไร้สารพิษก็เป็นที่ยอมรับแล้ว สุขภาพบุญนิยมก็ได้รับความนิยมพอสมควรขณะนี้ แล้วเราก็จะทำแบบไทยๆรักษาสุขภาพ แพทย์แบบแผนไทย 

การศึกษาเราก็พยายามที่จะให้มันได้ แต่ตอนนี้เราเป็นการศึกษาระดับ นี่ยังได้พอเป็นรูปเป็นร่างบ้างก็ระดับมัธยม ในขั้นเกินมัธยมเป็นอาชีวะบ้างก็ยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งเป็นระดับอุดมศึกษา เป็นมหาวิทยาลัย แต่ก็เริ่มไปแล้วล่ะ เพราะว่าหัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตยคือ ดร.ใจเพชร กล้าจน ก็ได้เปิด วิทยาลัยที่ดำเนินไปบ้างแล้ว 

เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆเป็นไป สื่อสารเราก็โอ้โห..ต้องใช้ทุนรอน ต้องอะไรต่ออะไรทุกวันนี้ แล้วคนมาทำงานก็ทำงานฟรีด้วย ผู้ที่ได้พวกเรานี้ก็พยายามฝึกฝนให้เด็กของเรารู้เรื่องงานการสื่อสาร มีความสามารถแล้วก็บินไปหากินข้างนอกกัน เหลืออยู่ในนี้ก็เป็นคนใจถึง ก็ต้องขอบคุณอยู่ที่ยังอยู่ช่วยพวกเราทำสื่อสารอยู่ได้บ้างก็ขอบคุณ ดูช่วยกันอยู่ ก็ไม่มากไม่มายแต่ทำกันเต็มที่เป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยก็มีโทรทัศน์ออก มีวิทยุก็ไปเล็กๆน้อยๆ สื่อสารของเราก็ไปตามประสา 

มาถึงการเมืองแล้วนี่ กำลังกะป๊อกกะแป๊ก กระต้วมกระเตี้ยมกระเตาะกระแตะแต่ก็มีใจ เพื่อไม่ได้เพื่ออะไรเลย เพื่อมนุษยชาติเพิ่มมวลมนุษยชาติ ไม่ได้เพื่อลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร เหน็ดเหนื่อยลำบากลำบน พูดไปแล้วก็เหมือนจะไปอ้อนก็เหนียมๆอยู่อาตมาพูดไปแล้ว 

แม้แต่โลโก้ ของพรรคการเมือง สัมมาธิปไตย ตอนแรกเรามีสีธงชาติพาดเข้าไปแต่งเอาไว้ ทางโน้นเขาก็บอกว่า ไม่ได้ ต้องไปขออนุญาตต่างหาก เราก็บอกว่ามันยากนักก็เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องก็ได้ 

แต่มีตัวเลข 0 1 2 เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องอจินไตย ที่สื่อได้อธิบายได้ แต่วันนี้คงไม่อธิบาย มีเวลาแค่ 7 นาทีเหลือ 

มันเป็นความหมาย สรุปรวมให้ฟังคร่าวๆว่า เป็นตัวเลขแทนพฤติกรรม เรื่องปรมัตถ์ เรื่องของจิตวิญญาณที่หมายถึง คนที่กล่าวไปเมื่อกี้คือ เป็นคนไม่มีตัวตนคือเป็นศูนย์ คนที่ทำงานซื่อสัตย์สุจริต ยืนหยัดอยู่ในฐานของการทำงานเหมือนชาวโลก แล้วรู้ความเป็นโลกเรียกว่าเลข 2 ทำงานเหมือนชาวโลกเรียกว่าเลข 1 จะทำงานไม่มีตัวตนคือเป็น 0 

0 นี่คือทั้งหมด ทุกอย่าง Infinity 0นี่คือทั้งหมดที่ประดามนุษย์จะพึงมีเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่สุด 0 นี่ รวมเอาสิ่งประเสริฐทั้งหมดเอาไว้แล้ว อธิบายย่อๆคร่าวๆไว้อย่างนี้ คำพูดที่อาตมาพูด พอเข้าใจได้ไหม ไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้น ไม่ใช่เรื่องตรรกะ ไม่ใช่เรื่องภาษาบัญญัติโก้ๆ แต่เป็นเรื่องที่ทำได้จริง 

ตั้งแต่จิตวิญญาณเรียกว่า ปรมัตถ์ เป็นจริง ไม่มีกิเลสจริง เพื่อมนุษยชาติจริงซื่อสัตย์จริง รับใช้ประชาชนจริง เป็นต้น อย่างนี้จริงๆ 

เพราะฉะนั้นเรามีความจริงสั้นๆย่อๆ แต่คำแค่ 4 ความหมายนี้ ซื่อสัตย์ ไม่มีตัวตน  รับใช้ประชาชน เสียสละ 

แค่นี้ก็เป็นคุณวิเศษหรือคุณสมบัติของนักการเมือง เท่าที่เรามีความจริงได้ ทำได้แบบนี้ มีแกนความจริงแบบนี้ เราจะสามารถ มีสมรรถนะมากเท่าไหร่ สามารถรับใช้ สามารถเสียสละ หรือแม้แต่สามารถซื่อสัตย์นี่แหละ เรามีจริงเท่าไหร่ เราก็ทำเท่าที่เรามี เต็มที่ เช่นเสียสละอย่างนี้เป็นต้น เราไม่ได้ทำเพื่อเอาอะไร ใจซื่อเราก็เรียกว่าซื่อ รับใช้ก็เท่าที่เรารู้ว่าจะต้องรับใช้ประชาชน ต้องทำอย่างนี้ให้มวลประชาชนเท่าที่เราจะมีสมรรถนะสามารถทำออกไปได้ ซึ่งเป็นสัจจะที่ พิสูจน์ได้ เราทำ อาตมาจะพาทำ จะได้แค่ไหนจะได้อย่างไร จริงๆอาตมาอยากเห็นจริงๆ อยากเห็นว่า ถ้ามันเป็นดังที่อาตมาว่า 

(ไฟดับ) _สู่แดนธรรม... เป็นนิมิตว่างานของพ่อท่านจะมาแน่นอน 

พ่อครูว่า... มา อาตมามั่นใจตรงที่ว่า อาตมาพาทำ อาตมาบริสุทธิ์ใจแล้วอาตมาก็มั่นใจว่านี่มันเป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว อาตมาบริสุทธิ์ใจแล้วอาตมาก็มั่นใจว่านี่มันเป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว เท่าที่อาตมาเชื่อว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า บริสุทธิ์ใจจริงๆว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่มีความรู้ความสามารถระดับนี้ ถ้าผู้มีภูมิปัญญารับรู้สิ่งที่อาตมาทำ แม้บางคนจะมาไม่กี่ปีก็ตาม แต่ก็สะดุด รับรู้ด้วยปัญญาว่า มีอย่างนี้ด้วยหรือ 

เช่น คนอย่าง พล.อ. ประยุทธ์ ก็มีด้วยหรือแปลกประหลาด ทำงานมา 8 ปีทักษิณเขาก็ทำงานมา 8 ปี จนกระทั่งมีนอมินีมากกว่า 8 ด้วย มากกว่าก็ตามเอามาเทียบกันเห็นๆเลย จนกระทั่งมีนอมินีมากกว่า 8 ด้วย เทียบได้เห็นๆเลย

โดยเฉพาะไม่มีการโกงกินแอบแฝง และงานที่ทำก็เป็นชิ้นเป็นอัน มนุษย์ได้อาศัยใช้สอยโดยเฉพาะคนไทยหรือแม้แต่ติดต่อเชื่อมกับต่างประเทศ สิ่งที่อาตมาเห็นชัดมากที่สุดก็คือ​ ทักษิณเชื่อมโยงตะวันออกกลางไม่ได้เลย แต่พล.อ. ประยุทธ์เชื่อมตะวันออกกลางได้ ชาวอิสลามในโลกมีเยอะ ในไทยก็มีหลักอยู่มีอยู่

เพราะฉะนั้นในการจะพัฒนาประเทศชาติเจริญต่อไป เราจะเชื่อมโยงกับทางตะวันออกกลางแล้วเนี่ย เราจะสะดวกขึ้น แม้พลเมือง อาตมาไม่รู้สถิติพลเมืองของชาวอิสลามหรือตะวันออกกลางจะมากกว่าอินเดียหรือจีนหรือเปล่า 

พลเมืองชาวอิสลามทั่วโลก 

_สู่แดนธรรม... ประชากรชาวอิสลามมีศาสนิกมากกว่าทุกศาสนาครับ

พ่อครูว่า... แน่นอน พุทธศาสนามีพลเมืองไม่มากเท่าคริสต์ฮินดู อันนี้ไม่ได้แปลก ยอดพิรามิดจะไม่ใช่ฐานใหญ่  ยอดปิรามิดน้อย จากยอดลงมาน้อยแน่นอน อันนี้ไม่ได้แปลกมันเป็นเรื่องยากที่คนจะมาโลกุตระ แม้แต่ในไทยก็ยังช้าและยากไม่ได้ประหลาด จะต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เช่นนี้ไม่ใช่ความจริง ยอดพิรามิดจะไปมากกว่าฐานพิรามิดได้อย่างไร เป็นสัจจะไม่ได้ประหลาด ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ก็ไม่ใช่อย่างนี้ ต้องอย่างนี้ถึงเป็นอย่างนี้ เด็กๆฟังรู้เรื่องไหม 

เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องปรหลาดลึกลับ ผู้มีภูมิจะเข้าใจได้ อาตมาเห็นความเจริญของโลกุตรธรรม อันนี้ทำให้อาตมายังอยากจะช่วย อยากจะอุดหนุนส่งเสริมให้เกิดขึ้นมาในโลก ให้แข็งแรงเป็นกอบเป็นกำ ให้คนในโลก เห็นได้ง่าย ถ้ามันเป็นลูกต่อแสดงบทบาทให้คนในโลกเห็นได้ง่ายชัดเจนขึ้นมันก็ดีไหมล่ะ ใช่ไหม จะทำให้โลกเขารู้ว่า อย่างนี้ดีนะดีจริงๆ เขาก็จะได้ศึกษาติดตาม 

เพราะฉะนั้นถ้าทำอย่างนี้แหละคนไทยก่อน เมื่อคนไทยนี่แหละสามารถที่จะเข้าใจและเห็นดีเห็นงาม อาตมาไม่ได้ตะกละไปจนกระทั่งถึงต่างประเทศ อาตมามีเจตนารมณ์อยู่ว่า ไทยนี่แหละ อาตมาว่าเมื่อตื่น คนไทยตื่น ตอนนี้กำลังตื่นพูดไปแล้ว ตื่นตัว กำลังหันหลังกลับมาสนับสนุนในความรู้ความเห็นที่เป็นแก่นแก่นอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ กลุ่มพลเอกประยุทธ์ กลุ่มรวมไทยสร้างชาติ อะไรนี่ อย่างนี้เป็นต้น มันจะเกิดจะเป็นจริงๆ มันจะมีมวล มันจะมีคุณภาพ มีทั้งปริมาณและคุณภาพ จะรวมกันอย่างได้สัดส่วนที่เจริญ ๆๆ ขึ้นมา มันเจริญไม่ง่ายหรอก จะต้องอุตสาหะพากเพียรกัน 

เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ ผู้ใดอยากจะหรือว่าคิดว่าตัวเอง สนใจหรือชอบทางการเมืองก็เอา ขณะนี้ หลักๆ 1. การเมืองน้องใหม่ ที่อาตมาพยายามย้ำอยากให้พวกเราไปทำ 2. กสิกรรม นอกนั้นไม่มีปัญหามากเป็นรูทีนเป็นอุปการะไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ถ้าเผื่อว่า 1. การเมืองน้องใหม่นี้ ผู้ที่จะทำก็เชิญ 2. กสิกรรมนี่เป็นหลักเลย ให้ยิ่งใหญ่ไปเลย แม้แต่นักการเมืองก็ต้องพึ่งอาหาร เพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลกจริงๆไม่ใช่เรื่องเล่นหรอก แต่งานการเมืองตอนนี้มันกำลังเห็นว่า มันจะพยายามที่จะผลักดันให้มันเดินให้มันเป็นไปได้ ให้มันก้าวหน้าได้ 

ซึ่งอาตมาก็ พูดไปเราก็เป็นตัวเล็ก เป็นตัวที่ได้รับความศรัทธาก็เท่านี้ อันตัวเราก็เท่านี้ แต่รู้สึกว่าจะพยายามทำในสิ่งที่มันยาก หรือถ้าพูดจริงๆก็คือ ยิ่งใหญ่อยู่นะ งานการเมืองนี่ไม่ใช่งานเล็กๆเป็นงานยิ่งใหญ่ ในโลกนี้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าอธิปไตยเรียกว่าอำนาจ หรืออิทธิพล เป็นอิทธิพลเป็นอำนาจหรือเป็นพลังงานที่ มนุษยชาติเข้าใจ จนกระทั่งเขียนในตำราหรือว่า การเมืองคือการแย่งอำนาจ หรือการสร้างอำนาจ ตำรารัฐศาสตร์เขาว่าอย่างนั้นเลย ซึ่งความจริงมันซ้อน 

การเมืองไม่ใช่การแย่งอำนาจ การเมืองเป็นการ คำว่าสร้างคำนี้ มันมีนัยยะสำคัญซ้อน ผู้ปฏิบัติการเมือง งานการเมือง แค่ 4 คำ รับใช้ประชาชน เสียสละจริงๆ ไม่มีตัวตน และซื่อสัตย์ แค่ 4 คำ มันเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ที่มันจะยืนหยัดยืนยันความจริง โดยไม่ต้องอยากได้ แต่ประชาชนเขาเห็นว่า คนนี้รับใช้ประชาชนจริงๆ คนนี้เสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ คนนี้ทำหมดเนื้อหมดตัวเลยนะไม่มีตัวตนเลยทำเต็มที่เลย ซื่อสัตย์จริงๆ ประชาชนเขาจะมอบความเชื่อถือ มอบความศรัทธาที่เขาให้นั้นคืออำนาจที่ประชาชนเขาให้แก่นักการเมืองผู้นั้น ใครก็ตามที่ทำมีคุณภาพ แค่ 4 คำนี่ รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจจริงๆ เสียสละจริงๆไม่มีตัวตนจริงๆ ซื่อสัตย์ แถมอีกคำหนึ่ง มีสมรรถนะ ความรู้ ที่จะทำอะไร ให้แก่ประชาชนได้รับประโยชน์ อย่างสมเหมาะสมควรไปตามลำดับได้ มันก็จะเกิดของจริง มนุษย์ก็จะ… สังคมที่ได้รับการบริหารด้วยนักการเมืองอย่างนี้ มันก็จะเป็นอยู่สุข สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส  ทุกคนก็จะเห็นว่าสิ่งนี้ประเสริฐ สิ่งนี้น่าเอาอย่างตาม ประชาชนก็จะเข้าใจว่าสิ่งประเสริฐคืออะไรแล้วเขาก็จะมาเรียนรู้ฝึกตนเป็นคนประเสริฐนี้ด้วย โดยเฉพาะคนที่มีธาตุจิตที่เป็นโลกุตตระธรรมแล้ว ก็จะพากเพียร คนที่เข้าใจแล้วก็จะพากเพียร 

เพราะคนเราเกิดมาถ้ามีภูมิธรรมในระดับเป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่สอนได้ เป็นสัตว์ที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ใฝ่เจริญ เป็นเวไนยสัตว์ รู้ว่าสิ่งนี้ควรนะ ยิ่งเป็นคนที่เป็นโลกุตตรธรรม เข้าใจว่า อ๋อ..คนเราจะต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกไม่รู้กี่ชาติ เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้สั่งสมอันนี้ สั่งสมคุณธรรมสั่งสมคุณวิเศษ อันนี้ จะเป็นคนที่บรรลุอรหันต์และเป็นโพธิสัตว์เป็นคนที่ประเสริฐสุด คุณธรรมที่พูดไปทุกคำทุกคำที่ค่อยๆพูดค่อยๆขยายความนั้นน่ะ จะเป็นคนที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างจริงๆเลย 

ซึ่งจะเข้าหลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในยุคของท่าน ในภาษาของท่าน ในยุคของท่าน แต่ยุคนี้มันเป็นภาษาแบบใหม่ ซึ่งเป็นอธิปไตย 3 กับอายะ 3 แล้วอาตมาก็เอามารวมกันแล้วว่านี่แหละคือความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า 

ผู้ที่พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อาตมาพยายามอธิบายนี้ดีๆ จะเข้าใจได้ว่านี่คือสัจจะ นี่คือ สัจจะอันยิ่งใหญ่ ที่มนุษยชาติเรียกว่า การเมือง พยัญชนะก็ว่าอย่างนั้น แต่เนื้อแท้นี่แหละคือการเมืองแท้ เรียกด้วยศัพท์โก้ๆว่า รัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์การเมืองที่มีทั้งเศรษฐศาสตร์อยู่ในนี้ มีเศรษฐศาสตร์การเมืองมีสังคมศาสตร์การเมืองอยู่ในนี้หมด 

อาตมาได้พยายามขยายความ พยายามที่จะเจาะรายละเอียดต่างๆ และก็มีทั้งคำสรุป มีทั้งคำอธิบายขยายสาธยายประกอบ ให้เข้าใจ ทั้งแก่นแกนทั้งรายละเอียด ขยายผลรอบๆขึ้นมาให้เห็นทั้งลึกทั้งกว้าง ให้ได้ทั้งแก่นแกนทั้งส่วนขยาย ก็คงจะพอเข้าใจกันได้สำหรับผู้ที่มีวัยวุฒิ มีวุฒิภาวะที่พอจะเข้าใจได้ แม้แต่เด็กๆก็ฟังได้ เพราะอาตมาไม่ได้พูดเป็นภาษาวิชาการอะไรกันมากมาย เพราะอาตมาไม่ใช่นักวิชาการ อาตมาลูกทุ่ง เป็นคนใช้ภาษามาเตอรทั้ง เป็นคนใช้ภาษาพื้นๆเป็นภาษาพ่อภาษาแม่ ภาษาของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนักวิชาการที่พูดคำก็เป็นวิชาการ เป็นเทคนิคอลเทอมอะไรต่างๆมันไม่ใช่ อาตมาก็พูดภาษาทั่วไปพื้นๆง่ายๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้พูดภาษานี้ ให้พูดภาษาอย่างนี้ ท่านแนะนำภาษาอย่างนี้ ที่พยัญชนะบาลีจะว่าอะไรให้ใช้ภาษาถิ่น ภาษาพื้น ภาษาของผู้ที่จะเข้าใจกันง่ายๆสื่อกันต้องเข้าใจถึงเนื้อหาสภาวะ เป็นภาษาของคนทั่วไปเข้าใจกันง่ายๆ แต่สื่อสภาวะธรรมที่ลึกซึ้งได้ 

อาตมาไม่ได้อยากจะไม่เป็นผู้ที่มีความรู้ จบปริญญาอะไร ไม่ใช่ไม่ได้อยาก ก็อยากอยู่ แต่… ต้องเป็นอย่างนี้ โพธิรักษ์ต้องเป็นอย่างนี้ อันนี้ก็เป็นอจินไตยอันหนึ่ง ว่าอาตมาทำไมปริญญาตรีก็ไม่ได้สักใบ แต่ก่อนนี้ก็รู้สึกว่า อาตมาไม่ฉลาดพอที่จะทำปริญญาตรีหรือ เราก็ว่า คนที่มันไม่เห็นจะมีท่าอะไรยังจบปริญญาตรีโทเอกเยอะไป ไร้สาระ ดีไม่ดีเลวร้ายด้วย จบปริญญาเอกแล้วก็เลวร้ายด้วยซ้ำก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็เลยไม่มีปัญหาที่จะไปได้รับรองว่า เป็นคนมีปริญญาตรี รับรองว่าโทว่าเอก ก็อาตมาไม่มีปัญหาอะไรมาก 

แต่ในโลก อาตมาสนับสนุนพวกเราให้ไปเรียนปริญญาตรีโทเอก แต่ก็ไม่ได้ให้ไปเรียนปริญญาตรีโทเอกเพื่อที่จะไปประเมิน ไปทำงานในสังคมแล้วก็ได้รับเงินเดือนได้รับฐานะ ได้รับเป็นเกียรติยศจนกระทั่งเป็นศาสตราจารย์ เป็นอะไรต่ออะไร พวกเราก็ไม่ได้ไปอะไรอย่างนั้น ก็เรียนเพื่อที่จะได้ความรู้ จะไปประมาทเขาว่าการเรียนทางโลก พยัญชนะ ภาษาอะไรพวกนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีความรู้ มันก็รู้อย่างน้อยความรู้ทางโลกนี่แหละ มันก็รู้ความรู้แบบโลกที่เขารู้กันมา ก็เอามาใช้สิ ..อ๋อ..นี่โลกเขาเป็นอย่างนี้ เราควรจะให้โลกเขารู้อย่างนี้ ให้โลกเขามาเป็นอย่างนี้ 

หรือแม้จะเป็นอย่างโลกๆ เราก็รู้ว่าอย่างนี้ดีกว่าอย่างนี้ คนที่ยังมาทางโลกุตระไม่ได้ ก็ดีทางโลกก็เป็นอย่างนี้ เราก็รู้ฐานะหรือรู้ลำดับของขั้นตอนความเป็นมนุษยชาติ 

_สู่แดนธรรม... ตอนนี้เลข 0 มาครบ 6 ตัวแล้วครับ 

พ่อครูว่า... อาตมาดูให้ถึง 20:00 น 

_สู่แดนธรรม... ในช่วงเวลาสำคัญที่ผ่านมา พ่อท่านได้อุตสาหะเขียนเรียบเรียงมาแสดงธรรมให้พวกเราฟังทั้งหมด 3 วัน 

พ่อครูว่า... วันนี้พูดนอกที่เขียนหมด ไม่ได้อ่านเลย 

_สู่แดนธรรม... ประจำวันที่พ่อท่านอธิบาย ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ทำให้ผม บังอาจเกิดอยากรู้อนาคตนะครับ คือ ผมหายสงสัยว่านึกไม่ออกว่าการที่โพธิสัตว์จะมาสืบทอดพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 ปีนั้น ท่านจะสืบไปได้อย่างไร ผมมองภาพไม่ออก แต่พอได้ฟังพ่อท่านเทศน์ 3 วันนั้นผมแจ่มแจ้งว่า มันจะเป็นความจริงนี้สืบไปกับอธิปไตย 3 อย่างและประโยชน์ 3 อย่าง เลยได้รู้ว่าการทำสังคมเคราะห์ ก็คือการทำสังเคราะห์อย่างเหนือชั้นกว่าชาวโลก โลกที่เขาทำ 

แสดงว่าพ่อท่านจะสืบทอดศาสนาของเราให้ประชาชนคนไทยบรรลุประโยชน์ 3 อย่างนี้จนมีอำนาจแล้วก็ไปด้วยกันเรื่อยๆ แต่ผมก็เห็นว่าเราอย่าไปหวังว่า เราจะทำได้มาก เพราะว่าบารมีของพ่อท่านระดับ 7-8 มันจะมีความลำบากมีวิบากที่มากั้น พ่อท่านได้บอกว่าต้องทำได้เท่าที่เราจะทำเต็มที่ของเรานี่ล่ะครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ๆๆอาตมาไม่ได้เป็นคนหวัง เราไม่หวัง แต่เราทำ “เราไม่รอ เราไม่หวังแต่เราทำ” อาตมาเอาการปฏิบัติด้วยการประพฤติการกระทำเป็น หวัง อาตมาก็เคยอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วว่าคุณอย่าไปสร้างความหวังแล้วมันจะอกหัก เราทำให้ไม่สมหวังแล้วมันจะ อกหัก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... ครั้งหนึ่ง วันนั้นพวกเรากำลังทำกสิกรรมไร้สารพิษ พ่อท่านเคยให้โศลกธรรมบอกว่า อย่าให้สังคมโลกผิดหวังจากพวกเรา แม้เราจะไม่มีความหวัง แต่เราต้องเข้าใจความหวังของพวกเขาด้วย 

พ่อครูว่า... ใช่ๆ เราก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ให้เขาหวัง หรือไปทำให้เขาอกหัก มันก็ไม่ใช่ แหม มันซับซ้อน ก็ขอจบด้วย ประเด็นสองประเด็นที่เคยพูดผ่านมาแล้วบ้าง คือ วิสัยทัศน์ของโลกีย์กับวิสัยทัศน์ของโลกุตระ เอาง่ายๆ วิสัยทัศน์ของคนโลกๆ ก็เพิ่มตัวเลข ตัวเลขของเงินได้ เขาเอาวิสัยทัศน์เอา GDP ของเขา เขาก็อธิบาย GDP อย่างของเขา อาตมาก็อธิบาย GDP อย่างของอาตมา 

GDP อาตมาจะต้องอธิบายอีกเยอะ ในภาษาเดียวกันนี่แหละ Gross Domestic Product รายได้องค์รวมของเรา ภายในประเทศนะ Domestic จากผลผลิต 3 คำ GDP 

รายได้องค์รวมในแนวคิดของแนวคิดโลกุตระกับแนวคิดโลกียะะ เขาเอารายได้คือตัวเลขของเงิน เป็นหลักเป็นตัวชี้บ่งเป็นตัววัดค่าเลย ทุนนิยมเขาจะทำอย่างนั้นหรือโลกียะเขาจะทำอย่าง มันตรงกันข้ามกับบุญนิยมตรงกันข้ามกับโลกุตระคนละทิศ หันหลังชนกันแล้วเดินกันไปคนละข้าง 

เพราะวิสัยทัศน์ของคนเนี่ย วิสัยทัศน์ของชาวโลกุตระจะมองที่พฤติกรรมหรือการลงมือทำงาน ไม่ได้ไปมองที่ตัวเลขที่ได้จากการทำงานแล้วได้ตัวเลข ตัวเลของเงิน จะมองที่ลงมือทำงานจริงๆเป็นคนที่สร้างสรรค์หรือคนที่ทำจริงๆ เกิดผลผลิตจริงๆ เกิดผลผลิตขึ้นมาแล้วก็ให้ เสียสละ ให้คนไปได้กิน ได้ใช้ ได้ใช้สอย ได้อาศัย ได้มากเท่าไหร่ การได้ให้แล้วก็ไม่เอาแลกเปลี่ยนกลับคืนนี้มันจะรวยไหม ...

สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มากแล้วแจกแล้วมันจะรวยไหม ...มันไม่รวยหรอก มันไม่มีตัวเงิน ตัวทองอะไรมาให้หรอก พูดชัดๆ เรามีตัวเนื้อแท้ก่อนที่จะไปขายให้เป็นเงิน มันเป็นผลพลอยได้มาต่างหาก แต่เนื้อแท้ลงไปหาแก่นนี่คือผลผลิตตรงๆเลย นี่แหละเป็นผลผลิตเป็น Domestic ก็ได้ ของให้ไทยเราสร้างเองเลย สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเนี่ย แล้วสร้างได้แล้วเสร็จแล้ว เรากระจายไปให้แก่ผู้อื่นต่อ ส่งไปต่างประเทศเลย ขายต่างประเทศหรือแจกต่างประเทศเลย รายได้มวลรวม Gross มันก็มีน้อยเพราะเราเอาไปแจก ขายก็ขายให้ต่ำกว่าทุน ขายราคาให้ถูกเพราะเราพออยู่พอกินแล้วเหลือก็แจกสิ ขายบ้างก็เอาบ้าง นิดๆหน่อยๆไม่เอาตะกละ ไม่เอาด้วยความโลภ 

ฉะนั้นรายได้ที่เป็นธนบัตร รายได้เป็นตัวเงินตัวทอง มันก็ต้องน้อย ใช่ไหม เด็กๆฟังทันไหม 

ตอนนี้ 20:01 น แล้ว ก็เอาละ อาตมาประมาณนี้ เด็กๆก็คงจะนานหน่อยแต่สมาธิก็พอใช้ได้ได้บ้างไม่ได้บ้าง สำหรับวันนี้ก็จบแค่นี้ก็แล้วกันเจริญธรรมทุกคน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2566 ( 21:26:01 )

660222

รายละเอียด

660222 มาเถอะมาอย่าช้าเพิ่มสัมประสิทธิ์มาสู่โลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53021.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1zJ9OT0amsK599vVE0e4uOZZxD9Xf1cK-a3bs_jLjHTU/edit?usp=sharing                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1DUPfik3qAP7pbeBKTn18cKbs45Rjf_ZW/view?usp=sharing 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/MUNnaoKrrrc 

และ https://fb.watch/iRPRh-gDb2/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เหลืออีกประมาณ 10 วันจะถึงงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปีนี้เป็นปีปาฏิหาริย์ เพราะว่าพ่อครูตอนกลับมาจากสันติอโศกก็คิดว่า ไม่สะดวกในการที่จะเดินทางไปไหนมาไหนอีกแล้ว แต่ว่าหลังจากงานฉลอง อัฏฐาริยสัจจายุ ดูว่าสุขภาพพ่อครูจะดีขึ้นเรื่อยๆ จากการสังเกตว่า 1 ชั่วโมงครึ่งจะไม่พอให้พ่อครูเทศน์แล้ว พ่อครูวิ่งยาวถึง 2 ชั่วโมงได้สบายๆ ก็เลยมีการดำริว่า ที่จะไม่ไปก็เปลี่ยนใจว่า จะเดินทางไปแล้ว ก็ยังมีคนถามอาตมาอีกว่าจะไปแน่หรือเปล่า คนที่ถามแสดงว่าตั้งอยู่บนอนิจจัง พ่อครูดำริว่าจะไป แต่ถ้าไปไม่ได้ก็เป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราพร้อมจะ.. พ่อครู ไปก็ดีไม่ไปก็ได้ 

คิดว่างานพุทธาภิเษกของเราเหมือนกับร้างลา ที่จะได้พบหน้าพร้อมเพียงกันมาหลายปีตั้งแต่มีโควิด ก็จะได้กลับไปลงสนาม งานปลุกเสกงานพุทธาเหมือนกับงานสัมมนาภายในของเรา ที่จะไปทบทวนในสิ่งที่เราควรจะได้เน้นย้ำ ทำให้หมู่กลุ่มภายในของเราแน่นแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร ครั้งที่จะจัดนี้เป็นครั้งที่ 47 ไม่ได้ไปปฐมอโศกตั้งนานแล้ว อาตมาไปก็เกือบเข้าไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนั้นไปงานศพ เขาปิดประตูช่วงโควิด ก็เลยไปเข้าข้างหลัง ดูเหมือนคนก็ยังไม่พร้อมจะเปิดสักเท่าไหร่ ต้องไปเจรจา เข้าไปก็เหมือนเราไม่ได้เจอมานานแล้ว ลงไปเห็นต้นไม้ที่พวกเราปลูกกันมาร่วม 40 ปีต้นไม้มันใหญ่แน่นมาก เห็นแล้วขนลุกเลย ต้นไม้ทุกต้นที่นั่นพวกเราปลูกทั้งนั้น 

ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกแรกเลยที่พ่อท่านตั้งใจสร้างขึ้นมา นครปฐมอโศกคล้ายๆบ้านราษฎร์ มีพวกเราถวายเงินมาทุกบาททุกสตางค์ก็จะไปตั้งต้นสร้างปฐมอโศก เราก็จะได้ดูความสำเร็จของปฐมอโศกที่เดินทางมาเกือบ 40 ปี ก็มีความสำเร็จ น่าจะมีข้อคิดให้พวกเราได้ศึกษาหลายๆอย่าง ในฐานะที่เป็นชุมชนแรก ที่ก่อตั้งกันขึ้นมา พวกเราจะได้ไปดู อะไรที่อาจจะเป็นอนาคตของพวกเราก็ได้เพราะชุมชนนี้ตั้งมาก่อนเพื่อน คนก็จะค่อยๆชรตา ไปเรื่อยๆ เป็นการไปให้กำลังใจแก่พวกเราที่เดินทางกันมาถือว่ายาวนานเกือบๆ 40 ปี 

งานนี้ก็เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 10 ส่วนวันที่ 6 เป็นวันมาฆบูชา ปีนี้งาน พุทธาภิเษก กับปลุกเสกอยู่ห่างกันนิดเดียว ประมาณเดือนหนึ่งก็จัดงานปลุกเสกต่อ ไม่เป็นไรพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า การอยู่อย่างมีความเพียรแม้วันเดียวก็ประเสริฐกว่าอยู่ตั้ง 100 ปีที่จะอยู่อย่างเกียจคร้าน พวกเราถ้าอยู่เป็นร้อยปี แต่อยู่อย่างไม่ไปไม่มาไม่ขยับเขยื้อน อยู่อย่างนี้ร้อยปีก็ไม่มีความหมาย ถ้าอยู่อย่างมีความเพียร แม้วันเดียวก็มีคุณค่าประเสริฐกว่าอยู่อย่างเกียจคร้านแม้ร้อยปีก็ตาม เรายังมีลมหายใจมีเรี่ยวแรงแล้วก็คงจะเดินหน้า ปรารภสิ่งที่ให้ตัวเรามีคุณค่าประเสริฐให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ก็มีอะไรประเสริฐกว่าที่เราจะได้ฟังสัจจะโลกุตระเพื่อเพิ่มสัมมาทิฏฐิของเราให้ยิ่งๆขึ้นไป ขออาราธนาพ่อครูครับ 

 

พ่อครูผู้สถาปนาโลกุตระสู่เมืองไทยในยุคกึ่งพุทธกาล

พ่อครูว่า... เจริญธรรมพวกเราทุกคน การมีชีวิตอยู่ มีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย อย่างที่ท่านเดินดินพูดเกริ่นขึ้นมาก่อนแล้วว่า ถ้ามีความพากเพียร มีความอุตสาหะ แม้จะพากเพียรในการพยายามมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็มีความตั้งใจ เรียนรู้ถึงความเจริญ จะเจริญแบบโลกีย์ก็ตาม เข้าใจเรื่องคำว่า ความดีกับความชั่วต่างกัน แล้วก็พากเพียรปฏิบัติตนให้ดีขึ้น มันก็ไม่เสียชาติเกิด 

ยิ่งมาเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วไม่ใช่รู้แต่แค่ความดีความชั่ว แล้วก็ทำตนให้เป็นคนดี ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน สามารถที่จะทำจิตเป็นประธาน ให้รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ ซึ่งเป็นต้นทาง เป็นต้นเหตุแห่งการทำชั่วทำดีก็ดี จนกระทั่งดับเหตุคือดับความชั่วสนิท เหลือแต่ความดี ทำแต่ดี เข้าใจโลก เข้าใจเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกัน เรียกว่าสมมุติสัจจะหรือสมมุติกับปรมัตถ์ก็แล้วแต่ เป็นสมมุติทางโลกีย์ก็ตาม ก็เข้าใจโลกีย์เขาที่เขายึดอย่างนี้ว่าดี เราก็ดีตามโลกๆโลกีย์เขา ไม่ได้ขัดแย้งอะไร 

ยิ่งเป็นโลกุตระ เป็นปรมัตถสัจจะ มันทวนกระแสกันกับความดีความชั่วที่ยึดมั่นถือมั่นต้องมี กลับเป็นไม่ต้องมี ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ปลดปล่อย เลิกละไปอีก วาง จนกระทั่งซับซ้อนลึกซึ้งมาก วางได้ตั้งแต่เราเป็นๆ หลุดพ้นได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ ไม่ติดยึดในโลกต่างๆ ในอัตตาต่างๆ จิตเจตสิกต่างๆ หลุดพ้นได้ อย่างยืนหยัดยืนยันเลยเจ้าตัวจะรู้ได้ด้วยตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ จะรู้ได้ด้วยตนว่าความหลุดพ้นเป็นเช่นนี้ ความไม่ติดไม่ยึดเป็นเช่นนี้แต่เรายังมีชีวิต แต่เราจะต้องอาศัย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่มันยังมีอยู่ มันปรุงแต่งกันอยู่ 

คนที่ติดเขาก็เป็นทาส เราไม่ติดแล้วเราก็อยู่เหนือเป็นอุตตระ อยู่เหนือสิ่งนั้นไม่เป็นทาส แม้ไม่เป็นทาสแล้วเราก็ไม่ไปตั้งตัวเป็นนายอีกด้วย ไม่ไปข่มไปเบ่งสิ่งที่เราหลุดพ้นมาได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น มีแต่เห็นใจเขา เมตตาเขา เห็นเขาอยู่ในสงสารที่ตกต่ำหรือตกอยู่ในสงสารก็ช่วยกัน หาทางบอกทางกล่าว หาทางที่จะช่วยกันให้ได้พัฒนาขึ้นมาให้ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งพวกเรา เป็นชาวโลกุตระที่อาตมาทำงานมาเกิดมาในชาตินี้ปางนี้ พ.ศ. 2500 กว่าปีมานี้ ศาสนาพุทธมันเสื่อมมากจริงๆ เสื่อมมากจนไม่เหลือโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสพยากรณ์เอาไว้ ตั้งแต่ท่านทรงพระชนม์ชีพว่า ศาสนาของท่าน ศาสนาพุทธนี้ มันจะเสื่อมในอนาคตเหมือนกลองอานกะ อย่างนี้เป็นต้น ก็พูดถึง ยืนยันอ้างอิงมานานหลายที แล้วก็จริง มันจริงๆๆ ใครจะไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา แต่ผู้เชื่อก็ได้ประโยชน์ 

แล้วก็รู้ว่าโลกุตระคืออะไร ผู้นำโลกุตระมาสถาปนาลงไป อย่างพยายามสถาปนาตั้งมั่นให้เกิดทั้งรูปทั้งนาม ให้เกิดขึ้นเป็นตัวตนของผู้ที่มาเอง บรรลุได้ด้วยทั้งรูปทั้งนามเอง อย่างพวกเราชาวอโศก อาตมานำพานี้ได้ ทำได้ มีผู้ที่มาก่อนอาตมา กล่าวถึงคำว่าโลกุตระ หรือทำสภาพโลกุตระทางรูปธรรม ท่านไม่มีรายละเอียดเหมือนอาตมา ท่านก็ได้แต่นำพาให้คนรู้ แต่ทีนี้คนไทยมี DNA โลกุตระอยู่ลึกๆ แต่มันเสื่อมไปจนกระทั่งมันจะหมดเชื้อแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่หมดเชื้อ พอมันได้รับการกระตุ้นอีกมันก็ขึ้นมา ใครมีอยู่เชื้อเยอะอย่างพวกคุณอย่างพวกชาวอโศก โอ้โห.. อย่างนี้ใช่ ก็รีบมาๆๆ จึงมาทัน 40-50 ปีอาตมาจึงกอบกู้ขึ้นมาได้ประมาณนี้ ทุกวันนี้ก็ดีขึ้น ชาวไทยก็มีแรงต้านแรงที่เข้าใจว่าอาตมานี้หลงทางพาผิด มากบฎต่อศาสนาพุทธ จะเอาอาตมาตาย อาตมาก็ยืนหยัดยืนยันจน ธัมโม หเว รักขติ ธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาก็นำพาสำเร็จรอดได้จนถึงทุกวันนี้ 

ก็เหลือแต่ผู้ที่ยังไม่มั่นใจพอ เขาก็ยังไม่มา แม้รู้แล้วแต่เขายังติดโลกียะอยู่ ติดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็แล้วแต่ เขาก็ติดตามศึกษาตามอยู่ แต่ไม่มาชาตินี้ ก็รับฟังอยู่ ติดตามอยู่ ก็มีเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอยู่ ซึ่งอาตมาก็พยายามที่จะเพิ่มมวลของโลกุตรบุคคลให้ยิ่งๆๆๆขึ้น เห็นอัตราการก้าวหน้าตามภูมิปัญญาของอาตมา ก็วัดค่าอยู่ว่า มันมีอัตราการก้าวหน้าที่น่าพอใจมาก อาตมาก็ยิ่งเห็น ก็ยิ่งเห็นความลึกซึ้งของธรรมะ มันมีมากเหลือเกิน ลึกซึ้งมาก อาตมาก็จำเป็นเหมือนกันว่า จะต้องพูดเอาไว้ จะต้องสาธยายเอาไว้ให้มีผู้รับสืบทอด รับรู้ เก็บไป แล้วก็จะได้เป็นเชื้อถ่ายทอดสืบทอดกันต่อๆๆๆ ไปได้ ช่วยกัน มันเป็นเรื่องไม่เสียหาย มีแต่เรื่องดีกับดี มีแต่เรื่องเจริญกับเจริญ 

อาตมาจึงพยายาม ทั้งพยายามที่จะสืบทอดต่อ ยังไม่ยอมตาย ยังพยายามที่จะพากเพียรเพิ่ม อาตมานึกถึงภาษาไทย สัมประสิทธิ์ ซึ่งเป็นภาษาทางคณิตศาสตร์เขา แต่อาตมาเอามาใช้ทางพุทธศาสตร์ สัมประสิทธิ์เป็นภาษาทางคณิตศาสตร์ เป็นอัตราการก้าวหน้าในระดับคูณขึ้นไป ของพระพุทธเจ้าก็มีระดับคูณขึ้นไปเป็นอัตราการก้าวหน้าระดับคูณซึ่งมันเหนือชั้นกว่าบวก บวกมันทั้งช้าทั้งไม่มีพลังฤทธิ์ที่สูง ที่จะตกต่ำได้ง่าย แต่ถ้ามันคูณแล้วขึ้นไป บวก คูณ ยกกำลัง ถ้าถึงขั้นขีดยกกำลัง มันก็ยิ่งจะมั่นคง แน่นอน เที่ยงแท้ถาวร ใช่ไหม ยิ่งขึ้นๆ มันก็เป็นสัจจะของมันอย่างนั้น 

อาตมาก็เห็นว่า อัตราการก้าวหน้าพวกนี้มันมีจริง แม้.อาตมาพิสูจน์ตัวเองต่ออายุไข นี่ถ้าอาตมาอายุขัยไปถึงร้อย อีก 10 กว่าปีนิดหน่อย ประมาณ 11 ปี ตอนนี้ 89 แล้วไปถึง 100 ถ้าไปอีก 11 ปี อาตมาว่ามันไม่ใช่เล่นนะ 11 ปีกับที่ขันธ์อาตมาต้องพากเพียร ต้องอุตสาหะอาตมารู้ตัว ไม่ใช่เล่น แล้วพลังงานที่มันเพิ่มสัมประสิทธิ์นั้นๆ ขึ้นมา มันจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก 

เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของสัมประสิทธิ์ที่มันได้นั้น มันจะช่วยให้ยิ่ง Fresh up มันยิ่งจะสดใหม่ หนุ่มขึ้น ยิ่งขึ้นเรื่อยๆๆๆเลย อันนี้เป็นเรื่องของอจินไตย เป็นเรื่องของสิ่งวิเศษเหนือสามัญธรรมดาที่มันเกิดจริง มันก็เป็นการพิสูจน์สัจจะอันนี้อีก เห็นไหม 

อาตมาฟังศาสตราจารย์ดอกเตอร์อะไรสักอย่างเมื่อกี้ เขาเปิดทางมือถือให้ฟัง เขาบอกว่าอาจารย์นี้อธิบาย ค้นพบมณีแดง มันก็คือสเต็มเซลล์ที่ว่า แต่ทีนี้อันนี้มันรู้สึกว่าจะเป็นจริงเป็นจัง กว่าดอกเตอร์สำลี สเต็มเซลล์ น่ะ อันนี้มณีแดงของอาจารย์คนนี้ มันดูจะมีผลจริงและรองรับกันดี มีผลวิจัยอะไรต่ออะไรดีกว่า อาตมาก็เห็นว่าการก้าวหน้าที่จะเพิ่มถือว่าอายุ เป็นยาอายุวัฒนะ ที่จิ๋นซีค้นหากัน ฮ่องเต้จิ๋นซีค้นมันไม่เจอในยุคโน้น  แต่ในยุคนี้มันจะมี ดีไม่ดีจะได้โนเบิลไพรซ์ ถ้าพิสูจน์อย่างจริงจัง ได้สูตรที่สมบูรณ์แบบของมณีแดงนี้อย่างถาวรและได้พิสูจน์กันทดสอบกันอย่างจริงจังแล้ว มันจะสุดยอดเลย เขาเรียกมณีแดงยาต้านแก่ ไทยค้นพบครั้งแรกของโลก มณีแดงยาต้านความชรา ก็ดูไป 

เพราะฉะนั้นในชั่วอายุของอาตมาที่จะพยายามรักษาขันธ์นี้ให้มันไปได้ มันก็จะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาไล่เลี่ยกัน มันมีอะไรไล่เลี่ยมาตลอดเลยอาตมา ชีวิต อาตมาทำงานก็มีไล่เลี่ย คนอื่นมาเกิดหนุนซ้อนๆๆ ทำให้เกิดการเจริญได้สมบูรณ์แบบได้เรื่อยๆ เขาบอกว่ายังไม่จัดจำหน่ายอยู่ในขั้นการทดลองกับสัตว์ ไม่ได้เป็นผลไม้หรืออาหารเสริม แต่เป็นยาฉีดเท่านั้น ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 1 เข็มมีอายุประมาณ 4 เดือน มณีแดงเป็นชื่อกระบวนการที่ทำให้ DNA เสถียรช่วยต่อต้านความชรา นี่ก็เป็นการพัฒนาของทางโลก ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์วิทยาศาสตร์ทางโลก 

คนก็คิดกันทั้งโลกพวกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่นี่คนไทยเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนต่างประเทศเขา ก็คิดได้ อันนี้จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของทางธรรมะนะ แต่มันก็เป็นคุณธรรมอันหนึ่งที่มนุษย์ต้องการ มันเป็นรูปธรรม มันเป็นวัตถุธรรม ที่จะเข้ามาช่วยสรีระ ไม่ใช่นามธรรมทีเดียว แต่ชีวะชีวิตของสัตว์โลก มันก็ต้องมีทั้งรูปทั้งนามช่วยกัน ถ้ารูปมันช่วย นามก็พลอยไปได้ด้วยกัน ก็ค่อยๆพัฒนาไป

อันนี้อาตมาขอเวลา เขาฝากโฆษณาด้วย 

เชิญเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ จะเรียกว่ามักง่ายก็ได้ อยู่บ้านใครบ้านมันก็เปิดมือถือ เปิดโทรทัศน์ เปิดคอมพิวเตอร์ก็ได้ 

.. ขอเชิญทุกท่านร่วมเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ครั้งที่ 15

 “เข้าหาแก่นในแดนพุทธะ” เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 24 ถึงวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566  สมัครง่ายๆ โดยการแสกน QR Code จากหน้าจอ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์โอเพ่นแชท เมื่อเข้ากลุ่มแล้ว ท่านจะได้รับรายละเอียดการสมัครและกิจกรรมต่างๆ จากผู้ดูแลกลุ่ม อย่ารอช้า รีบสมัครเลย!! 

แล้วมาพบกับหมู่กลุ่มมิตรดีที่ บวรออนไลน์ นะคะ 

 

พ่อครูว่า... 

SMS วันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2566

 

3 สถาปัตยกรรมที่พ่อครูพาทำช่วงสุดท้ายมีความหมายอย่างไร

_สว่างแสง ขวัญดาว · พ่อครูคะ ลูกได้ฟังมาว่าพ่อครูจะคอยดูความสำเร็จของการก่อสร้างภูเฮา สะพานโค้งรุ้ง เรือโคกใต้ดิน ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า สิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างให้ข้อคิดข้อเตือนใจอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...  ก็มีข้อคิดเตือนใจมีทั้งที่ให้เห็นว่าคนก็ต้องสร้างสรร สร้างสรรค์ไม่มี ค ควายการันต์นะ  สรร ตัวนี้แปลว่า เลือกเฟ้น แต่ สรรค์ แปลว่าสร้าง มันเลือกเฟ้นแล้วจึงสร้าง ถ้าไปสร้างโดยไม่เลือกเฟ้นมันจะผิด เพราะฉะนั้นที่อาตมาทำนี้เลือกเฟ้นมาแล้วจึงสร้าง ซึ่งอาตมาก็เหลืออยู่ประมาณนี้มี ภูเฮา มีโคกใต้ดิน กับสะพานโค้งรุ้ง 3 สิ่งนี้ทำแล้วอาตมาก็จะเพลา มันหนักทั้งที่เงินที่จะเอามาใช้ ทั้งอะไรอีกหลายอย่าง ก็ขอผ่านๆไปก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นที่คุณสว่างแสงถามมาก็คือ มันชี้ให้เห็นทั้งการสร้างสรร ที่ไม่มี ค และสร้างสรรค์ที่มี ค หรือจะไม่การันต์ก็แล้วแต่ สรรค แปลว่า สร้าง 

เพราะฉะนั้น มันเลือกแล้วพิจารณาแล้วว่ามันควรจะทำหรือควรสร้าง ภู คำว่า ภู นี่ มันเท่ากับ ความเป็นดิน หรือว่าเป็นหิน เป็น ดิน น้ำ มันไม่มีน้ำอะไรมากมายหรอกก็พอช่วยกัน มันก็เป็นองค์ประกอบของดินน้ำลมไฟ ทำให้มันเป็นเนินสูงขึ้นเป็นธรรมชาติธรรมดา เป็นธรรมชาติ ภูนี่ 

เพราะฉะนั้นคำว่า ภู เป็นธรรมชาติ ทีนี้คำว่า สะพาน ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่ก็เกิดเป็นธรรมชาติให้เรา เราใช้มันเป็นธรรมชาติเอง มันพาดอยู่ มันเชื่อมต่อกันอยู่ สะพานคือที่เชื่อมต่อกัน เราก็ใช้อาศัยมันเป็นที่เชื่อมต่อที่เป็นวัตถุก็ได้ แล้วคนก็ต้องอาศัยเครื่องเชื่อมต่อ ตั้งแต่เป็นวัตถุจนกระทั่งถึงนามธรรม สะพานเชื่อมต่อก็คืออายตนะ หรือรูปกับนาม ที่มันต้องมีการสัมผัสกันแล้วเกิดอายตนะ นี่คือสะพานเชื่อมต่อเป็นต้น นี้เป็นนามธรรม มันเป็นความสำคัญที่จะต้องเรียนรู้และต้องเกิดต้องเป็นตั้งแต่อาศัยมัน ตั้งแต่วัตถุ จนกระทั่งอาศัยทางนามธรรม 

ส่วนเรือ อันนี้ซับซ้อนลึกซึ้งยิ่งกว่า ภู ยิ่งกว่าสะพาน เรือ มันหมายถึงทั้งนามธรรม หมายถึงวัตถุธรรม ศาสนาเทวนิยมเขาก็เห็นความสำคัญของเรือเหมือนกัน ซึ่งเขาสรุปว่า เรือของเขาคือเรือโนอาห์ เป็นเรือที่เกิดช่วยคนที่เหลือเมื่อโลกมันจะแตก น้ำมันจะท่วมโลก คน สัตว์จะตายหมด ถ้าได้อยู่ในเรือนี้ เขามองเป็นน้ำท่วมโลก ทางพุทธเรามองเป็นไฟไหม้โลก เป็นกลียุค แต่ของศาสนาเทวนิยมเขาเป็นน้ำท่วมโลก ของเราไฟไหม้โลกซึ่งละเอียดกว่า  อาตมาไม่ลงลึกในเรื่องของน้ำท่วมกับไฟไหม้ พูดสังเกตนิดหน่อยว่า น้ำท่วมนี้มันเหลือเศษไหม ไฟไหม้นี่ อะไรเหลือเศษมากกว่ากันกับน้ำท่วม น้ำท่วมเหลือเศษหยาบกว่า ไฟไหม้นี้แหลกรานกว่า ไม่เหลือเศษเท่า เป็นธุลีผงเป็นขี้เถ้าไปยิ่งกว่า 

เพราะฉะนั้นความละเอียดละออของพระพุทธเจ้า ที่ใช้ไฟ แต่ทางศาสนาเทวนิยมเขาใช้น้ำ ต่างกันโดยนัยยะประมาณนี้แหละ 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงสร้าง จะไปดูถูกก็ไม่ได้ เรือก็คือมีความหมายอย่างที่ว่ามาแล้ว ก็สำคัญ ไม่ใช่เราไม่รู้ความสำคัญ ก็เลยจึงสร้างความสำคัญว่าเราก็เข้าใจนะ เรือ นี่ก็เป็นอจินไตยว่า ทำไมอาตมาต้องไปเสียเงินเสียทองอยู่กับการอนุรักษ์เรือ ทั้งๆที่ทุกวันนี้เรือ เขาไม่ใช้กันแล้วเป็นพาหนะ ใช้กันอยู่ในทะเล ใช้อยู่ในแม่น้ำใหญ่ๆที่มีเหลืออยู่บ้าง แต่เขาไปใช้เครื่องบิน มาใช้รถ ใช้พาหนะทางบกทางอากาศได้เร็วยิ่งกว่าเรือ สะดวกยิ่งกว่าเรือ ลัดทางได้ยิ่งกว่าเรือ มีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าเรือ แต่เราอย่าลืมว่า วัฏสงสารมันวนไป ตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด เพราะฉะนั้น เรือมันก็จะต้องผ่าน 

เอาละจะมาถึงเครื่องบิน มาถึงรถยนต์ มาถึงอะไร จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มันเป็นฤทธิ์เดชแบบสมัยนี้ มันไม่ใช่ฤทธิ์เดชแบบสมัยโบราณที่เหาะเอาเองเลย  เดินน้ำดำดินเองเลย เดินบนน้ำ ดำลงไปในดิน ไปเองเลย แต่สมัยนี้มันหาได้ที่ไหนเล่า พลังงานทางจิตที่มันจะวิเศษขนาดนั้น มันไม่ได้ มันก็จะต้องใช้สิ่งที่มันเป็นไปตามยุคตามสมัยอย่างนี้แหละ 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็จึงทำให้มันครบถ้วน ก็ยังเหลือสิ่งที่พูดไปแล้วนี่ เพราะฉะนั้นก็พยายามทำให้มันครบถ้วนตามภูมิ ตามกาละ  เทศะ ฐานะที่มันถึงยุคสมัยก็ทำไป เพราะฉะนั้นก็ยังเคยนึกอยู่เหมือนกันว่า ทำไมเราจะต้องมาเสียแรง  เสียเวลา เสียเงินเสียทองกับไอ้เรือเนี่ย แล้วก็คิดว่าจนกระทั่งไปถึงกลียุคนี่ เรือที่เราพากันใช้อยู่หรือพากันอนุรักษ์ มันคงจะได้ใช้ประโยชน์น้อยลงๆๆๆ แน่ๆ 

ซึ่งอาตมาก็เอา ต้องพยายามทำตามประสาแหละ จะไปดูถูกดูแคลน จะไปตีทิ้งซะทีเดียวก็ไม่ได้ ไม่มีใครทำแล้วอาตมาว่าในประเทศไทยขณะนี้ มีนี่แหละอยู่บ้านราชเมืองเรือ ก็อีกแหละ ทำไมต้องชื่อบ้านราชแล้วก็เมืองเรือ อันนี้ก็เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง มันต้องเป็นอย่างนี้ พอ อธิบายไปมากกว่านี้ก็จะยาว 

อาตมาก็ได้แต่ขอบคุณคนที่ช่วยในเรื่องที่รักษาดูแลซ่อมแซมเรือ ระมัดระวังทำอยู่นี่ โดยเฉพาะกล้าวางหรือกล้าทน เขาดูแลอะไรต่ออะไรอยู่พวกนี้ก็ต้องขอบคุณอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นคนอื่นๆที่มาช่วยบ้างอะไรต่ออะไรบ้าง ไม่ว่าจะช่วยด้วยแรงงาน ไม่ว่าจะช่วยด้วยแรงทุน เงินทองอะไรก็แล้วแต่ ก็ขอบคุณทุกคน คนละไม้คนละมือ ช่วยกันเสริมสร้างสิ่งที่มันเป็น จะพูดไปแล้วมันก็เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งเป็นอจินไตย แต่ก็พูดอย่างที่อธิบายสู่ฟังนี่แหละ ก็ผ่านอันนี้ก็แล้วกัน 

 

_ธัญญภัทร ดรุณพันธุ์ : ตอนที่ได้พบและกราบสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ช่วงงานตลาดอาริยะ สิกขมาตุก็มีความปฏิสันถารดีนะคะ สัมผัสได้ถึงความเมตตามาก ๆ ค่ะ 

พ่อครูว่า... นี่ก็แสดงออกมา ก็ขอบคุณ 

 

_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อเช้าฟังสิกมาตุกล้าข้ามฝันพูดเรื่องหาทางไล่นกพิราบไม่ให้มาขี้ที่เฮือนบวร ยามดึกจะให้หน่วยซิลมาเดินจงกรมคอยกระตุกเชือกที่ผูกกระป๋องนมไล่นก หรือจะจ้างเหยี่ยวมาไล่ ราคาเป็นแสน ที่ว่ามาผมรู้ว่าท่านพูดเล่นครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าการไล่นกที่มาอาศัยพักพิงแบบนี้เป็นการไม่มีเมตตาธรรมไหมครับ บ้านผมก็นกเยอะเพราะผมบ้าปลูกต้นไม้จนคนที่บ้านบ่นว่าตากผ้าขี้นกตกใส่ประจำ ผมก็แก้โดยไม่ให้มันมีที่เกาะครับ เสียงบ่นก็หายไป โรงรถ นกก็มาขี้ใส่หลังคารถคนที่บ้านก็บ่นอีก(แต่ผมคนล้างไม่รู้จะบ่นทำไม) ผมก็หาวิธีให้มันไม่มีที่เกาะตรงหลังคารถเสียงบ่นก็หายไป เพราะให้ไล่คงยากครับเดี๋ยวมันก็มาอีกครับ ส่วนตัวผมเคารพและชอบฟังสิกขมาตุกล้าข้ามฝันเทศน์มากครับ จัดให้อยู่ในดรีมทีมเทศน์ของผมเลยครับ นำโดยท่านฟ้าไท ท่านถักบุญ สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน สิกขมาตุผาแก้ว อยากให้จัดเป็นทีมเทศน์สักครั้งครับ สรุปผมไม่มีจิตอคติใดๆต่อท่านเลย แค่สงสัยในเรื่องการใช้วิธีไล่นั้นดีหรือไม่ดีประการใด กราบขอพ่อครูชี้แนะด้วยครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับและขอให้พ่อครูอยู่กับลูกๆ ไปถึงร้อยกว่าปีด้วยครับ

พ่อครูว่า... แล้วคุณจะสร้างอาคารให้มันไม่มีที่ให้นกเกาะ คุณสร้างยังไง คุณจะสามารถทำยังไงอาตมานึกไม่ออก 

อาตมาก็ไม่วิจัยต่อก็แก้ไขกันไปเท่าที่ได้นะ ก็พยายามทำ ส่วนคุณจะมองว่าไม่เมตตา คุณจะไปเมตตาอันไม่มีประมาณ เมตตาสัตว์ต่างๆให้มันมาขี้รดหัวคนอยู่อย่างนั้น คุณก็มีเมตตาสูงก็อนุโลมเอา ก็อนุโมทนายินดีด้วย แต่อาตมาว่าอาตมาพยายามหาหลักเรื่องป้องกันต่างๆนานากันอยู่ แต่มันก็อย่างว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ของง่ายๆในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ก็พยายามกันไปก็แล้วกัน ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ..ประทับใจคำพูดพ่อครูที่กล่าวว่า"แสวงหาความสุข จึงสร้างเหตุแห่งทุกข์ " ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ต้องหยุดแสวงหาความสุขให้ได้ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ภาษามันง่ายนะ แต่จริงๆแล้วมันกว่าจะปฏิบัติประพฤติดับเหตุแห่งทุกข์ มันก็ไม่ต้องแสวงสุขอีกเหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็นำมาสอน ก็ศึกษาแล้วปฏิบัติก็แล้วกัน 

 

ใกล้จะเลือกตั้งพ่อครูว่าเราควรสนับสนุนใคร

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · เลือกตั้งหน้าฯพ่อครูสนับสนุนใคร? จะขอเลือกตั้งเดินตามหลังพ่อครูที่ไม่เคยเลือกผู้นำผิดทำนองคลองธรรมเพื่อประโยชน์สุขอาณาราษฎรใต้ร่มพระบารมีฯเลยมา 2 แผ่นดินฯกราบอนุโมทนาธรรมพ่อครูเพื่อมวลมนุษชาติสาธุ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ไปชี้แนะอะไรมากมาย ถ้าใครติดตามอาตมาอยู่ ก็จะรู้ ว่าอาตมาควรจะสนับสนุนใคร เพราะฉะนั้นพูดก็ได้ไม่พูดก็ไม่เป็นไร อาตมาก็สนับสนุนผู้ที่เห็นควรว่า เป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ เช่น อุ้งอิ้ง กับนายกตู่อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งขณะนี้เป็นคู่ที่กระแสสังคมเขารู้สึกว่าเป็นคู่เทียบกัน เขาเรียกกันสวยๆว่าแคนดิเดต นายกครั้งหน้า อุ๊งอิ๊งกับนายกตู่ 

อาตมาว่ามันเทียบกันได้หรือ คนหนึ่งมีผลงานมา สำคัญคือวัยวุฒิ คุณวุฒิประสบการณ์ก็ดี มันเกินหน้าอุ๊งอิ๊ง มันควรหรือ จะเสี่ยง

เอาล่ะ อุ๊งอิ๊ง จะบอกว่าเสี่ยง แล้วเหตุปัจจัยของอุ๊งอิ๊งมาจากทักษิโนมิก ไอ้ประเด็นแค่นี้อาตมาก็ว่า ทำไมจะฉลาดน้อยกันได้ มันจะฉลาดน้อยกันไปถึงไหน ก็ความล้มเหลวของทักษิณ ของอา ของน้าเขย ของนอมินีต่างๆทักษิณ มันไม่เป็นเหตุปัจจัยที่จะพอเป็นหลักฐานพอเพียงที่จะเอามาใช้เป็นเครื่องตัดสิน หรือ 

เวลา 8 ปีเหมือนกัน เวลาของทักษิณเขาก็ใช้นอมินี แล้วผลงานเขาก็เห็น 8 ปีของพลเอกประยุทธ์ผลงานก็เห็น นัยยะรายละเอียดมีอีกตั้งเยอะ แค่นี้เหตุปัจจัยต่างๆเป็นเหตุผลประกอบ แล้วก็เอาไปสรุปผลให้แก่ตัวเองไม่ได้ก็แล้วไป อาตมาก็ขอพูดแค่นี้ก็แล้วกัน 

อาตมาบอกไปกรายๆแล้ว 

ที่จริงอาตมาเกิด 3 แผ่นดิน แผ่นดินรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 แล้วก็รัชกาลที่ 10 อาตมาเกิดทัรัชกาลที่ 8 นะ สามแผ่นดิน รัชกาลที่ 7 นั้น อาตมาเกิดปี 2477 รัชกาลที่ 7 ท่านสละราชบัลลังก์ 2475 แล้วก็เลยเปลี่ยนมาเป็นรัชกาลที่ 8 เพราะฉะนั้นอาตมาก็เริ่มต้นที่รัชกาลที่ 8 ก็นิดหน่อยเอาให้ชัดๆตรงๆเท่านั้นเอง 

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · คืนวันศุกร์ที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา พ่อครูสดใสเหลือเกินครับ.สาธุ…

พ่อครูว่า... สาธุให้จริงเถอะ 

 

_สุดาวรรณ ตั่นติกุล · ดิฉันได้พ่อครูสอนค่ะ ดิฉันจึงมีกำลัง! สอนตัวเองเสมอๆ.ให้สู้ๆ!กับกิเลส,ผัสสะ"ร้ายแรงมากๆ!!  รอบตัวดิฉันค่ะ   โชคดีเหลือเกินที่มีพ่อครูสอน(ไม่เช่นนั้น?!แพ้มันแน่!? เพราะมันเป็นสิ่งที่คนรอบตัวดิฉันเขาต้องการ(ตรงกันข้าม  เขาไม่สามารถรู้ได้เลยค่ะ/)

พ่อครูว่า... เอ้า วิบากใครวิบากมัน พยายามแก้ไขปรับปรุงให้ได้ ขอเอาใจช่วย 

 

_wommstaff5153 วูมสตั๊ฟ5153 • น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะสิกขมาตุทุกๆท่านเจ้าค่ะ ทุกวันนี้ลูกได้รับฟังพ่อครูเทศน์ ลูกก็จะเอามาปฎิบัติตามบ้าง อย่างลูกปลูกกล้วย เวลาขายก็ขายถูก ๆ อย่างกล้วยน้ำว้าที่อื่นเขาขายหวีละ 35-40 บาท แต่ของลูกขายแค่ 25 บาท กล้วยหอมทองที่อื่นขายหวีละ 45,50,60 บาท ลูกขาย 35,25 บาท เท่านี้ล่ะเจ้าค่ะ ต่อนี้ไปลูกขออนุโมทนาบุญกุศลกับพ่อท่านมีสุขภาพแข็งแรงมีความสุขอายุยืนยาว 130 ปี นะเจ้าคะ สาธุเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... สาธุดี ดีมากช่วยอาตมาและก็ช่วยประเทศชาติ ช่วยสังคมมนุษย์ ช่วยสังคมโลก ช่วยเศรษฐกิจด้วยการประพฤติปฏิบัติแบบนี้ ช่วยยืนยันว่าเศรษฐกิจเจริญต้องคนลดการโลภ ลดเอาเปรียบ ลดที่จะถึงขั้นยอมขาดทุนได้อย่างที่เราพาทำหรือแจกฟรี อย่างนี้ต่างหากคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จะยังไม่ต่อคำว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยแนวคิดบุญนิยม จะได้อธิบายกันอีกซึ่งพูดมานานแล้วแต่ก็ต้องพูดอีก เพราะว่ามันยาก มันเป็นโลกุตรธรรม แล้วมันจริง 

ขอให้สมพรปากคุณ 130 ปี อาตมาตั้งใจว่าจะอยู่ 133 ปี 

 

_บุรุษ ไร้นาม · ชอบเปลว สีเงินครับ ชัดเจนมาก

พ่อครูว่า... ดี อาตมาก็เป็นแฟนนานุแฟนของคุณเปลวเหมือนกัน อาตมาก็อ่านที่แกเขียนทุกวัน

 

ประวัติส่วนหนึ่งของการเป็นนายแพทย์ นพ.สุรินทร์ และ นพ.ฝน 

_ต้อย ปลูกขวัญ ปฐมอโศก..ในโอกาสคล้ายวันเกิด คุณเจิดจินดา โชติยะปุตตะ วันที่ 17 ก.พ.2566 

คุณพ่อกุลศักดิ์ โชติยะปุตตะ ประธานมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ได้นำรถเกี่ยวข้าวและรถดำนามาถวายพ่อท่านให้เป็นประโยชน์กับสาธารณะโภคีต่อไป ...(มีภาพ)

และเพื่อจะอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนคือ ลุงป๊อด (ดร.ธัชชัย แสงสิงห์แก้วเป็นลูกของ นพ.ฝน แสงสิงห์แก้ว)ซึ่งเป็นเพื่อนพ่อท่านด้วยค่ะ

พ่อครูว่า... ดี ป๊อด อาตมารู้จักดี เป็นน้องชายหมอจี๊ด ก็เป็นลูกอาฝนนี่แหละ อาตมาก็รู้จักดีกันกับอาฝน เพราะว่าลุงหมอของอาตมาเป็นเพื่อนกันรุ่นเดียวกันกับอาฝน เป็นหมอรุ่นเดียวกัน แต่ว่าเคยพูดอธิบายไปแล้ว 

คือลุงอาตมาอายุแก่กว่าอาฝน จบ ม.7 แล้วทีนี้ศิริราชเขาจะเปิดรับสอนนายแพทย์ เขาก็รับตั้งแต่ ม.7 แล้วก็ ม.8 ที่จริง ม.8 นั่นแหละเป็นหลัก 

ทีนี่อาฝนเขาไม่อยากจะไปเรียน อยากจะจบ ม.8 ก่อนถึงจะไปเรียนจึงจะเป็นขั้นตอนที่ดี อาฝนเขาก็เรียน ม.8 ต่อ ส่วนลุงอาตมาบอกว่า ไม่เอาแล้วล่ะอายุมากแล้ว ก็เลยไปเรียนก่อนไปเรียนที่ศิริราช ศิริราชรุ่นนั้นจึงเป็นรุ่นประกาศนียบัตร ยังไม่ได้เป็นปริญญา ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำว่าใบรับรองเป็นใบปริญญา ยังเป็นใบประกาศนียบัตรอยู่ ลุงหมออาตมาก็เลยได้รับจบแพทย์มาด้วย ได้รับประกาศนียบัตรรุ่นสุดท้าย หมอฝน จบ ม.8 แล้วไปเรียนเป็นรุ่นต่อมา จึงได้เป็นนายแพทย์ปริญญารุ่นที่ 1 นี่ก็เป็นเรื่องเล่าแถมให้ฟัง 

อาตมาก็สนิทสนม เพราะว่าอาตมาก็เป็นลูกลุงเหมือนกัน เอาไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆจนกระทั่งมาเรียน ลุงก็ดูแลอยู่ตลอด เพราะแม่อาตมาเสียตั้งแต่อายุ 40 กว่า เพราะฉะนั้นก็อยู่กับลุง ลุงเลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ลุงยังไม่มีลูก เอาอาตมาไปเลี้ยงเป็นลูกคนแรก ก็เลยเป็นพี่คนโตของน้องๆเขา น้องๆลูกของลุงที่ใช้นามสกุลพรหมพิทักษ์ อาตมามาทางแม่ แม่ก็มาใช้นามสกุลพ่อก็คือ รักพงษ์ แต่ที่จริงก็คือตระกูลพรหมพิทักษ์ หรือว่าสุวรรณภูมิ 

พรหมพิทักษ์นี่คือลุงเป็นคนตั้ง จากพรหมวงศานนท์ ก็เลยมาใช้ พรหม เพราะว่าคุณตาชื่อพรหมสุรินทร์ ก็เลยเอาคำว่า พรหมมา แล้วก็ชื่อคุณตานั่นแหละ ชื่อท้าวพรหมสุรินทร์ พรหมวงศานนท์เป็นชื่อของอีกสายหนึ่ง ส่วนสุรินทร์นี้เป็นชื่อของคุณตาอาตมา ก็คือพ่อของคุณลุงนั่นแหละ คุณลุงเป็นพี่ของแม่ ก็นามสกุลกับชื่อ ชื่อท้าวสุรินทร์ ตาอาตมาชื่อท้าวสุรินทร์ ก็เลยเอาคำว่า พรหมมาใส่ เอาคำว่าพรหมมาบวกกับสุรินทร์ แล้วคุณลุงก็ตั้งชื่อตัวเองว่าสุรินทร์ เอาพรหมพิทักษ์ มาตั้งเป็นตระกูลพรหมพิทักษ์ เป็นสกุลพรหมพิทักษ์ ก็เล่านิดหน่อย ด็อกเตอร์ธัชชัยหรือว่าป๊อด ก็รู้จักกันดี ธัชชัย แสงสิงแก้ว 

 

_พลังเพ็ญ คำด้วง

กราบนมัสการค่ะ ดีใจมากค่ะที่รู้ว่าพ่อครูจะมางานพุทธาที่ปฐมอโศก นิมนต์พ่อครูเดินทางมาก่อนเพื่อปรับสภาพร่างกาย ไม่ให้พ่อครูเหนื่อยกับการเดินทางมากเกินไป จากลูกๆชาวสันติฯ กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... เขากำหนดวันเดินทางแล้ว ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วไม่มีปัญหาอะไร 

 

SMS วันที่ 20-21 ก.พ. 2566

_รักษ์ธรรม  กล่อมอำภา  (ผรช. กลุ่มชลบุรีอโศก): รายงานการอ่านหนังสือปัญญา 8 ผมได้รับหนังสือ ปัญญา 8 เล่ม 1 เมื่อวันที่ 8 ต.ค 65 เริ่มอ่าน 9 ต.ค 65 ถึงวันที่ 29 ม.ค66  ผมอ่านจบไปแล้ว 3 รอบ กำลังจะอ่านรอบที่ 4 แต่โชคดี ประชุมกลุ่ม วันที่ 4 ก.พ  ท่านสมณะชนะผี ได้นำหนังสือ ปัญญา 8 เล่ม 2 เอามาแจก ผมก็เริ่มอ่าน เล่ม 2 แทนเมื่อวันที่ 5 ก.พ 66 และอ่านจบเมื่อวันที่ 21 ก.พ 66

หนังสือ ปัญญา 8 เล่ม 1 เปรียบเป็นเหมือนผลกระท้อน ผมอ่านไป เหมือน พ่อท่านทุบแล้วทุบอีก ผลกระท้อนน่วมแล้วน่วมอีก ผมอ่านเล่ม 2 ต่อ พ่อท่านก็นวดแล้วนวดอีกต่อ   ผมอ่านมาถึง หน้าที่ 486 บรรทัด 17 ความว่า   ขณะใด เมื่อใดที่เราปฏิบัติตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเป็น"สัมมาทิฏฐิ"จริง ได้"ความรู้สึก"ของเราก็สามารถ"แยก"เป็น"2"และทำ"2ให้เป็น1"ได้แล้วอาศัย"1ที่อยู่ใน2"  ได้โดยไม่สับสนว่า  เมื่อใดเป็น"1" เมื่อใด อาศัย"2"  ผมอ่านตรงนี้ถึงบางอ้อ  เริ่มเห็น"แสงเงินแสงทอง"แล้วครับ  กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ครับ

พ่อครูว่า... อนุโมทนาสาธุที่คุณสามารถเข้าใจสื่อบัญญัติหรือพยัญชนะต่างๆไปเข้าใจสภาวธรรมในตัวเอง อนุโมทนาสาธุ เอาใจช่วย พากเพียรปฏิบัติ อ่านแต่หนังสือเข้าใจเฉยๆไม่พอ ปฏิบัติตัวเองให้รู้จักฐานของตัวเองแล้วปฏิบัติไปตามฐานของตัวเองให้ถูกแล้วมันจะไม่สับสน มันจะไม่หลงเลอะ

 

ว่ายน้ำให้เป็นก่อนไปช่วยคนอื่นจึงถูกวิธี

_เล็ก ดินเพ็ญไพร...กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพเจ้าค่ะ..ดิฉันมีตะปูตัวใหญ่ตรึงใจกับบุพการี และตะปูตัวเล็กกับพี่ จะทำอย่างไรถึงจะเอาออกได้ ฟังมาหลายวิธี แต่มันก็แค่โยกนิดหน่อย พอเจอผัสสะที่เราไม่ชอบ ไม่เป็นดังใจ มันก็ตีตะปูตัวเองลงไปอีก รู้ว่าโง่ที่ทำแบบนี้แต่จิตมันก็โง่จริงๆ เลยมาขอความเมตตาจากพ่อครู ให้วิธีปฏิบัติที่ถูกตรงเพิ่มเติมเจ้าค่ะ (*)(*)(*)

ดิฉันรู้สึกว่าถ้าเราถอนออกไม่ได้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของเรา มันไม่ไปไม่มาเจ้าค่ะ แต่ด้วยความโง่ของจิต มันก็ยังยึดตรึงอยู่นั่นแหละ ตอนนี้เหมือนคนมึน ขมุกขมัว ไม่ชัดเจนเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... คุณก็ต้องแยกความเกี่ยว ความเกี่ยวพันกัน ทุกอย่างมันจะเกี่ยวพันกันมา หรือความเป็นจริง อ่านความเป็นจริงแท้ของลักษณะที่มันเกี่ยวพันนี้ให้ชัดๆว่า คนน่ะ ถ้าเผื่อว่าคุณเองนะ ไม่ว่ายน้ำให้เป็นให้แข็งแรงพอเสียก่อนแล้ว ฟังให้ดีนะตรงนี้ ถ้าคนเราหรือคุณนั่นแหละ ถ้าไม่หัดว่ายน้ำให้แข็งแรงเสียก่อนแล้ว แล้วคุณก็จะมัวแต่ไปได้เที่ยวช่วยคนอื่น เห็นคนตกน้ำ เราก็ว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายน้ำไม่แข็ง กระโดดลงไปช่วย แล้วจะเป็นอย่างไร มันจะช่วยกันได้ไหม เห็นตายมาเยอะแล้ว คนมันไม่นึกถึงตัวเอง จะบอกว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสชัดเจนว่า จงทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นจะได้ไม่มัวหมองหรือช่วยผู้อื่น ต้องทำของตนเองให้สำเร็จก่อน 

แม้แต่ในศาสนาคริสต์นี่แหละพระเยซู สอนว่า ช่วยตัวเองให้สำเร็จก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วยในภายหลัง แหม..ฉลาดนะ พระเจ้าเนี่ย นั่นก็ถูก อย่างนี้เป็นต้น 

 

เอาละที่เขียนมาก็อธิบายมาพอประมาณ ยังมีต่ออีก 

 

_Kasem Santhong เกษม แสนทอง · ไม่ควรพูดว่ากินมัง(ส์) เพราะคือกินเนื้อ ควรพูดให้เต็มว่ากินมังสวิรัติ จึงจะหมายถึง อาหารปราศจากเนื้อสัตว์ครับ

พ่อครูว่า... อ้าว ก็เคร่งเครียดไปทำไมมากมาย พูดพอสั้นๆ พอฟังกันรู้เรื่องก็เอาแล้วนะ มันไม่น่าจะไปซีเรียสอะไรเกินไป เอาล่ะผ่าน 

 

หากนักการเมืองซื้อเสียงเราไม่ควรส่งเสริม

_ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม  · พ่อท่านคะตอนนี้ทางบ้านหนูอำเภอตระการพืชผล พรรค ภ.ท.มาแจกเงินชาวบ้านหัวละ 100 บาท.สองรอบแล้วค่ะ ..

พ่อครูว่า... วงเล็บเปิดอาตมาเขียนเองตรงนี้ คุณเขียนมานี่เป็น ภ สำเภานะไม่ใช่พอพาน ทองแท้นะ คุณเขียนมานี่ ภ.สำเภา ท.ทหาร มาแจกเงินชาวบ้านหัวละ 100 บาท 2 รอบแล้ว 

อาตมาไม่รู้ความจริงอันนี้ พูดไปนี้ ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้รู้จริงหรอกนะว่า ภ ท หมายถึงพรรคการเมืองพรรคหนึ่งไปแจกเงิน 100 บาท อาตมาไม่รู้ ก็พูดได้แต่ว่าทุจริตของใครก็ทุจริตของมัน สุจริตของใครก็สุจริตของมัน สัจธรรมเป็นสัจธรรม อาตมาไม่รู้ความจริงได้ ตัดสินไม่ได้ แนะนำไม่ได้ 

ถ้าเรารู้ทุจริตเราก็ไม่ต้องไปส่งเสริม ถ้าแน่นอนจริงจังนะ ถ้าเอาแต่ว่าข่าวคราวเดี๋ยวนี้มัน Fake News เยอะ ข่าวโกหกข่าวหลอกลวงเยอะ เอาให้ชัดๆมั่นๆจริงๆ ถ้ามันมั่นจริงๆก็อย่าไปส่งเสริมสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราส่งเสริมสิ่งที่ถูกต้องก็แล้วกัน 

อาตมาก็ยังไม่อยากวิเคราะห์ลงไปในเรื่องของการเมืองตอนนี้ ในประเด็นที่หยิบประเด็นอันนี้มาขยายความก็ได้อีกยาวเยอะ 

เพราะว่าการเลือกตั้งนี้มันเป็นเพียงองค์ประกอบนิดหน่อย ดีไม่ดีมันเป็นงานการเมือง ที่ไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนั้น อาศัยสัจจะในพฤติกรรมและสิ่งที่เป็นพฤติหรือประพฤติหรือกระทำของคนจริงๆ 

อันนั้นมันเป็นวิธีการ การเลือกตั้งเป็นวิธีการตื้นๆ ซึ่งมันเกิดจากพวกประชาธิปไตยขาเดียว เขาไปมองเผินๆตื้นๆว่าอาศัยคนมาลงคะแนนเสียง เพื่อแสดงถึงสถิติของคนว่า ใครจะเลือกใครแท้ แต่คนที่รู้ความซับซ้อนสับสนกลในวิธีการต่างๆในการที่จะให้คนมาเลือกตั้ง แม้แต่เรื่องการซื้อเสียงอย่างที่พูดผ่านไป หรือการสร้างค่ายกล สร้างวิธีการ สร้างการครอบงำอะไรต่ออะไรต่างๆอีกมากมายก่ายกอง ที่จะให้คนมาลงคะแนนเสียงให้ ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนดี คนจริง คนที่ควรจะมาบริหาร แต่มันก็อาศัยไปตามประสา 

มันเป็นเรื่องรอง ถ้าผู้ที่อยู่ในภูมิธรรม เช่นคนไทยเรานี่ มันน่าจะมองออกในเรื่องของวิธีการ กับเรื่องของพฤติกรรมที่จริง รายละเอียดของกฎเกณฑ์ หลักเกณฑ์ วิธีการ กับพฤติกรรมที่จริง เดี๋ยวค่อยๆลงลึกละเอียดในเรื่องนี้ อาตมาพูดขยายความเรื่องนี้มาหลายประเด็น หลายมุม หลายแง่แล้ว เดี๋ยวค่อยว่ากัน ขอผ่านไปก่อน 

_พอใจ รักดี  · ลูกคนชลบุรี อยู่มา 30 กว่าปีไม่เคยมีโพลไหนมาถามความคิดเห็นสักครั้งเลยค่ะ ลูกสนับสนุนลุงตู่ค่ะ

พ่อครูว่า... คนเขาก็อ้างอิง มีข่าวชลบุรี เขามีโพล เลือกตั้งเขาบอกว่ามีอะไรแสดงออกมาตามโพลของเขา อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็คนที่เขามาอยู่ คนที่เขามี มันไม่มีคุณร่วมอยู่ด้วยนี่น่ะ คุณเป็นคนชลบุรี คุณก็ไปถามสิ ถามว่าโพลเขาไปจับกลุ่มที่ไหน ฉันเป็นคนชลบุรีทำไมไม่เอาไปด้วย ก็เอาตามความอิสระของคุณเถอะ อย่าให้ใครมาครอบงำ 

เพราะฉะนั้นเขาจะครอบงำด้วยวิธีการใดๆ ก็ต้องฉลาดเท่าทัน ทุกวันนี้ มันมีวิธีการสารพัดที่จะทำให้คนต้องไปลงคะแนนเสียงให้เขา เอาละขอผ่านก่อน รายละเอียดพวกนี้ยังมีอีกจะได้พูด

 

พระเจ้าคือส่ิงลึกลับ พระพุทธเจ้าเป็นความเปิดเผย

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการค่ะ พ่อท่านด้วยความเคารพ อย่างสูงค่ะ ประชาธิปไตยมีในสมัย พระพุทธเจ้า โดยแต่ละหัวเมืองยังมีการรวมกันเเละมีการฟังเสียงกษัตริย์ต่างๆ ไม่ใช่เสียงจากพระพุทธเจ้าอย่างเดียว มีมานานแล้ว สมัยนี้แข่งขันกันน่าดู เพื่อคะแนนเสียงโดยวิธีต่างๆ น่าสงสาร กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... คนยุคไหนๆก็ต้องศึกษาโลกุตรธรรมนี่แหละ มันถึงจะอยู่เหนือโลก อยู่เหนือองค์ประกอบที่คนมันสารพัดที่จะทำด้วยกิเลส มันก็มีความเฉลียวฉลาดแบบโลกีย์ เรียกว่าความเฉลียวฉลาดเฉโก คือความเฉลียวฉลาดแกมโกงมันไม่บริสุทธิ์สะอาด มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ 

เพราะฉะนั้นก็ต้องทำตนให้อยู่เหนือหรือหลุดพ้นให้ได้ บรรลุความจริงอย่างอิสระ แม้แต่พระเจ้า ระวังนะ.. พระเจ้าก็ยังเป็นนายของเรา นายของเทวนิยม เป็นแต่เพียงในสายโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระเจ้าเป็นนายชาวพุทธที่มีสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตระแท้ๆ ไม่ได้ พระเจ้าจะมาครอบงำเราไม่ได้ ไม่ใช่ไปขบถต่อพระเจ้า แต่เราพิสูจน์ความจริงจนชัดเจนแล้วว่า พระเจ้ายังลึกลับอยู่เลย ยังไม่สามารถสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย กันอย่างกระจะกระจ่างได้ มันเป็นแต่เพียงความสมมุติ อยู่ในห้วงความคิดเท่านั้น พระเจ้า 

ผู้เป็นพระบุตรที่เอาคำสอนมา ซึ่งอาตมาอธิบายซ้อนแล้ว พระบุตรหรือพระศาสดาแต่ละองค์ของเทวนิยมไม่รู้จักการเกิดการตาย ไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้จักว่าความรู้และความจริงที่ตนเองมีของพระศาสดาแต่ละองค์ เป็นของท่านไม่ใช่ของพระเจ้าที่ไหนหรอก แต่ท่านก็ไม่รู้ตัวเอง นอกจากไม่รู้แล้วยังไม่เชื่อมั่นด้วยว่าความรู้ขนาดนี้มันมีด้วยหรือ เราสามารถด้วยหรือ ไม่มั่นใจตัวเองก็เลยไปฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วก็ครอบงำคนอื่นให้ศรัทธาพระเจ้า อย่ามาเชื่อฉัน อ้าว

อย่างนี้ก็พิสูจน์กันโต้งๆตรงนี้มันไม่เต็มที่สิ นี่เป็นนัยยะละเอียด พวกนี้นี่. ขออภัยที่อาตมาพูดไม่ได้ไปข่มเบ่งพระเจ้าของศาสนาเทวนิยม แต่เป็นวิชาการเป็นสัจจะที่อาตมาวิจัยวิจารณ์ออกมาให้เห็น สภาวะความจริง อันนี้อาตมาวิจัยไว้เยอะในหนังสือ เขียนแล้วก็พูดบรรยาย มาก โดยเฉพาะหนังสือเขียนนี้พูดรายละเอียดไว้เยอะเลย ให้เห็นว่า 

พระเจ้าที่อยู่ในความลึกลับ เป็นสิ่งลึกลับจริงๆ คุณก็ต้องจำนน เพราะคุณไม่มีพระเจ้ามายืนยันได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้หมายถึง จิตวิญญาณ ที่เป็นพระเจ้า ใช้ศัพท์ตัวเดียวเรียกก็ได้ โดยศัพท์เรียกว่า ข้าพระพุทธเจ้า ศัพท์ ข้า ก็คือพระพุทธเจ้า ผู้ใดสามารถที่จะเชื่อพระพุทธเจ้า ก็ชื่อว่า ข้าพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็คือเป็นพระศาสดาองค์หนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้า ผู้ใดที่เชื่อพระพุทธเจ้าก็คือ เชื่อความรู้ที่เขาเองยังไม่ได้ ยังลึกลับ แต่ของพระพุทธเจ้าเอามาเปิดเผยไม่ให้เป็นความรู้ที่ลึกลับ ให้เป็นความรู้ความจริงที่ชัดเจนชัดแจ้งอีกต่างหาก พิสูจน์ได้ยืนยันได้ แม้ที่สุดพระเจ้าเองยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะทำให้ตนเองสูญไปจากความเป็นจิตนิยามหรือเป็นธาตุ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ซึ่งเลิกสุข เลิกทุกข์ เลิกวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี่เลย ศาสนาเทวนิยมพระเจ้าไม่รู้จัก แต่ของพระพุทธเจ้ารู้จักและทำได้จริง 

ทำให้สูญได้และจะอยู่อย่างยาวนานเหมือนพระเจ้าก็ได้ เป็นอมตบุคคล อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งก็มีผู้พิสูจน์อยู่ ยืนยันด้วยเหมือนกัน ว่าศาสนาพุทธมีพระอวโลกิเตศวร จะอยู่นิรันดร จะช่วยรื้อขนสัตว์ให้หมดในโลกแล้วถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย นี่ก็เป็นปณิธานที่ยืนยันได้ อย่างนี้เป็นต้น 

จะบอกว่าพระอวโลกิเตศวรลึกลับ ก็ยังมีตัวตน ยังพอมีตำนาน แต่พระเจ้านี้ไม่มีใครรู้ตำนานเลย เป็นมาอย่างไรไม่มี พระเจ้าของศาสดาแต่ละศาสดา ตำนานไม่มีเลย เกิดมาแล้วก็เป็นพระเจ้าสร้างทุกอย่าง พระเจ้ามาจากไหนไม่มีต้นธาตุต้นธรรมเลย ต้นธาตุต้นธรรมของความเป็นพระเจ้ามาจากไหน พิสูจน์ไม่ได้เลย เอาอะไรมาเสกพระเจ้า ฤาษีมาเสกพระเจ้า แล้วเอาฤาษีมาจากไหน จบ พูดไม่ถูก ฤาษีก็คือคน คนสร้างพระเจ้า 

เขาบอกว่าคนสร้างพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าไปสร้างคนไม่ได้ สับสนไหม เพราะฉะนั้นยังงงยังลึกลับ วิจิกิจฉา ไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าจึงพ้นวิจิกิจฉานุสัย สมบูรณ์แบบ

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม · กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ กราบนมัสการท่านสมณะและท่านสิกขมาตุ ด้วยความเคารพยิ่ง เจริญธรรมพี่น้องทุกฐานะ และลูกหลานที่น่ารักทุกคนค่ะประทับใจอย่างยิ่ง กับคำว่า"คนจนที่สงบเสงี่ยม" และ"คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจกับการที่ได้เสียสละ(ให้)" นอกจากนี้ ยังรู้สึก ปิติยินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่"พระนิยตโพธิสัตว์เจ้า" ได้ขยายสายรุ้งแห่งโลกุตรธรรม เข้าสู่โหมด"การเมืองบุญนิยม" ตามกาละ เทศะ ฐานะ โดยมี "พรรคสัมมาธิปไตย"ค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครู ผู้นำทางจิตวิญญาณ และการบริหารปกครอง ที่ไม่มีผู้ใด สามารถเทียบเทียม ด้วยเศียรเกล้าฯ ค่ะ

พ่อครูว่า... คุณก็เห็นได้ตามภูมิของคุณแล้วก็ยกย่องยกยออาตมา คนอื่นเขาก็ยอมเห็นได้ตามภูมิของตนของใครของเขาเอง เขาก็อาจจะไม่ยกยอยกย่อง คนเขาอาจจะข่มหรือดูถูกดูแคลนอาตมาด้วยก็เป็นธรรมดาไม่มีปัญหาอะไรตัวใครตัวใครก็สิทธิของความรู้ ของตนเองทั้งนั้น 

 

_จรรยา ประเสริฐ  · เสียดาย หมอวรงค์ หมอเหรียญทอง ท่านท้อหรือยังหนอ??? คนดี ๆ มีอีกสักกี่คน ????

พ่อครูว่า... อาตมาเคยพูดว่า โลกหรือว่าสังคมนี้มันแย่เพราะคนดีท้อแท้ อาตมาว่าอาตมาไม่ท้อแท้ พากเพียรอยู่เนี่ย แม้จะตายก็ยังไม่ยอมตายง่ายๆ เพราะฉะนั้นอาตมาเลยได้เป็นคนดี นี่เล่นโวหารนิดหน่อย อ้าวพอก่อน ผ่าน 

หมอวรงค์ก็ดี หมอเหรียญทองก็ดี ก็มีคุณค่าต่อสังคมไม่ใช่น้อย ช่วยกัน คนดีก็ต้องช่วยกัน 

 

_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า  · ตอนเนี้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองเขามาจดชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้วครับ..ประเทศไทย สุดท้าย..เงินไม่มา กาไม่เป็น(ส่วนใหญ่)พ่อครูและชาวอโศกต้องยอมรับข้อนี้ครับ โลกโลกุตระกับโลกโลกีย์ยะแม้เป็นโลกลูกเดียวกัน แต่คนในนั้นต่างกันชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่า..คนโลกีย์ย่อมมากกว่า

 ผมยังเชื่อว่าคนไทย(ส่วนมาก)ยังจมปลักอยู่กับทักษิณ...เพราะความโง่งี่เง่า.. ว่าทักษิณรวยแล้วจะบริหารประเทศ(คนในประเทศ)ให้รวยได้..คนจึงยังฝันลมๆ แล้งๆอยู่..เพราะฉะนั้นทักษิณส่งใครลงก็ช่าง..พวกเขาก็จะยังเลือกอยู่..ครับ(ความคิดเห็นส่วนตัวครับ)

พ่อครูว่า... ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคุณ ส่วนคนไทยนั้น อาตมาว่าจะพอมีปัญญาขึ้นมาจริงหรือไม่ อาตมาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เหมือนอย่างที่คุณเชื่อหรอก อาตมาไม่เชื่อตรงตามคุณเชื่อ คุณเชื่อทักษิณ คนจะโง่เง่าตกเป็นเหยื่อของทักษิณหรือระบบทักษิณ ตอนนี้ก็คืออุ๊งอิ๊ง ของพรรคเพื่อไทย อาตมาเห็น กระแสคนไทยนะ ตอนนี้ เขาวิ่งขึ้นจากปลักตมกันหมดแล้ว เขาไม่ได้จมอยู่กับทักษิณกัน อย่างมีปรากฏการณ์จริงนะอาตมาเห็นอยู่ ก็ไม่รู้ล่ะ 

ภูมิปัญญาของอาตมาหรือดวงตาของอาตมาเห็นอย่างนั้น คุณไม่เห็นบ้างเลยหรือ หรือว่าคุณก็คือคนที่จมอยู่ในปลักตมคนหนึ่งเหมือนกัน ขึ้นมาเถอะหรือจะให้คุณชัช  อุบลจินดาช่วย ขึ้นมาซะ 

 

_พรศรี ทองเกษร  · ลูกมีความสุขกับการได้ติดตามฟังธรรมะพ่อท่านทุกวัน ลูกจะพยายามปฏิบัติตามคำสอนพ่อท่าน พ่อท่านกล่าวความจริงทุกเรื่อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ฟัง เรื่องที่พ่อท่านสอน เขาน่าสงสารมากๆ นักการเมืองควรได้รับฟังมากๆ เลย เป็นอันดับต้น เขาจะได้ลดละความอยากลงบ้าง ลูกหวังว่าคนไทยคงไม่โชคร้ายเหมือนที่ผ่านมา การเลือกตั้งคราวหน้า ขอบารมีพ่อท่านช่วยให้คนไทยได้นักการเมืองที่เป็นคนเสียสละเพื่อประชาชนคนไทยมากขึ้น ทำประโชน์ต่อประเทศชาติจริงๆ

พ่อครูว่า... อาตมาว่าผู้มีปัญญาเขาเข้าใจอย่างที่คุณเข้าใจก็คงพอมีอยู่นาา ทุกวันนี้ก็เริ่มลืมตาขึ้นมาบ้างแล้ว จากหลงหลับตากันมานานแล้ว หลับตานี่นะ ฟาดหางไปสู่พวกหลับตาปฏิบัติด้วย ช่วยกันได้เท่าใดก็ดีเท่านั้นแหละ ไม่มีใครเก่งเกินตนเองไปหรอก ไม่มีใครเก่งเกินตัวเองไปได้ 

อาตมาก็ จะว่าเจียมตนก็พอรู้ตัวเองว่า มีบารมีหรือมีความรู้ความสามารถเท่านี้แหละ แต่อาตมาไม่เคยท้อก็ทำอย่างเต็มที่ เท่าที่ยังมีแรงมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ท้อถอย ไม่ได้ถดถอยเลย 

มันบังคับความรู้หรือปัญญาของคน มันบังคับไม่ได้ อาตมาเขียนหนังสือปัญญา คำว่า ปัญญา ที่พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ถึง 8 อย่าง ขยายความอยู่นี่เป็นเล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 3 ยังไม่ได้ตัดให้เขาเลยเล่ม 3 มีเล่ม4แน่นอน จะมีเล่ม 5 หรือไม่เท่านั้นเอง ปัญญา 8 

ตอนนี้เล่ม 3 ก็ยังไม่ได้ออกมา อาตมายังไม่ได้ตัดส่ง มันปาเข้าไป 700 กว่าหน้าแล้วเล่ม 3 นี่ ถ้าตัด 400 กว่าหน้าก็เป็นเล่ม 3 เหลืออีก 300 กว่าหน้าเป็นเล่ม 4 จะจบหรือไม่จบยังไม่รู้เลย ก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าขยายเพิ่มอีกเลย ขนาดนี้ก็ยากแล้ว ก็มันอดไม่ได้ที่อยากให้ชัดเจน มันรู้สึกว่าไม่ใช่ง่ายที่มันควรจะรู้ น่าจะให้คนเขารู้นะ เรารู้แล้วจะหวงแหนไว้ทำไม อาตมาก็เลยไม่ค่อยลงได้ง่ายๆ ก็พยายาม ที่จะไม่ให้เกินเล่ม 5 ไม่เกิน 5 เล่ม จะพยายามอยู่นะ สัญญาๆๆๆ แต่มันเลยไปอย่าเพิ่งเอาโทษอาตมานะ 

 

_เคยตามหาและอยากมีชีวิตคู่ (โลกสวย)... จะสู้ด้วยกันผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน ประสบความสำเร็จในทางโลกียะ แต่ความจริง ไม่มีสิ่งที่ฝัน ชีวิตที่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะเห็นความทุกข์ของแม่ และถ้าเรามีคู่มันก็จะทุกข์ มันก่อทุกข์ เราคงไม่แข็งแกร่งเหมือนแม่ที่แกร่งมาก เคยคิดว่าดิฉันเป็นคนที่โชคร้าย แต่ตอนนี้ดิฉันเป็นบุคคลที่โชคดีที่สุดในบรรดาญาติพี่น้อง เพราะมีสัมภาระน้อย มีกลุ่มคนชาวอโศกที่ให้โอกาสทำงาน คอยชี้แนะ คอยตำหนิ คอยสอนให้ชีวิตมีสัมมา มีปัญญาเพิ่มขึ้น ถึงจะช้า แต่ตอนนี้ไม่ต้องการแล้วความรักแบบสองเรา มีแต่ความรักเป็นญาติธรรม (พี่ๆเพื่อนๆลุงป้าน้าอาที่ทำให้เห็นทุกข์ ในการมีคู่ ก็ขอบคุณพี่ป้าน้าอาทุกคน ขอบคุณหลวงปู่ มากๆๆๆ)...ลูกหมาน่อย พวกเราดูแลตัวเองได้แล้วแข็งแกร่ง 

พ่อครูว่า... สาธุๆๆ เจริญๆเถอะ 

 

มาเถอะมาอย่าช้าเพิ่มสัมประสิทธิ์มาสู่โลกุตระ 

กว่าจะหมด SMS 3-4แผ่น เลยไม่ได้พูดสิ่งที่อยากจะพูด เอ้า ก็ท้าวความอีกนิดหน่อยว่า ศาสดาเทวนิยม ทุกองค์เลย คนปุถุชนสามัญทั่วไปทั้งหมดทั้งโลกนี่แหละ มีความรู้ความฉลาดและความจริงอยู่เพียง อยู่ในกรอบของโลกียะเท่านั้น โลกียะก็คือของเทวนิยม แม้ชาวพุทธแท้ๆทุกวันนี้ก็เสื่อมไปมาก ก็รู้ฉลาดและมีความจริงกันแค่โลกียธรรมคือ ความเป็น 2 ของความดีความชั่ว ตามสมมุติของแต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม แต่ละประเทศนั้นๆ ซึ่งแตกต่างกันไปตามอุปาทานและตัณหาของแต่ละคน แตกต่างกันทั้งนั้น ศาสนาของเทวนิยมทั้งหลายจึงมี ความรู้ความฉลาด ความจริง อยู่แค่เทวะหรือภาวะ 2 ของความดีความชั่ว เป็นหลักสำคัญ เขาก็ยึดถือความดีความชั่วกันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เท่านั้น ทั้งนั้น 

ซึ่งแตกต่างจากพุทธศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวในโลก อาตมาขอยืนยันเป็นอย่างนั้น มีพระองค์เดียวในโลก ที่มีวิสัยทัศน์ ละเอียดลออลึกซึ้ง ซับซ้อน ก็คือ อาตมาเอาประเด็นนี้มาพูดเท่านั้นคือ ประเด็นของคำว่าเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐกิจ คือเชื่อว่าการเพิ่มตัวเลขของเงินได้ 

ทุกวันนี้ทั่วไปส่วนใหญ่ นึกว่า GDP เป็นศั ย่อๆ ของ Gross Domestic Product เขาเชื่อว่าตัวเลขของเงินได้คือความเจริญ เป็นความพัฒนาก้าวหน้าของสังคมประเทศ นี่แหละเป็นแนวคิดของพวกทุนนิยม หรือพวกโลกีย์ เขาคิดและทั่วโลก นักเศรษฐศาสตร์ แม้แต่นักสังคมศาสตร์คือความรู้สามัญทั่วไป เขาจะเข้าใจและเป็น Concept เป็นวิสัยทัศน์ของเขาอย่างนี้ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับบุญนิยมหรือโลกุตระ คนละทิศคนละทางเลย หันหลังชนกันเลย แล้วก็เดินไปกันคนละทาง โลกุตระกับโลกียะ 

เพราะวิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อว่า การเพิ่มพฤติกรรมหรือการลงมือทำงานจริงๆของคน ที่สร้างสรรค์แล้วก็เกิดผลผลิตได้ขึ้นมาให้คนได้อาศัยใช้สอยกินอยู่กันแท้ๆนั่นต่างหากคือความเจริญ ที่เป็นความเจริญของมนุษย์ ของสังคมชาติทั้งหลายแหล่ จริงกว่า การไปนับไปยึดถือเอารายได้ เป็นตัวเลขของเงินได้ เป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องวัด มันเป็นเงินหรือรายได้ที่มาเป็นตัวบอก มันเป็น by Product มันไม่ใช่แก่นแท้ มันไม่ใช่ Product แท้ๆ 

เห็นไหมว่ามีความเพี้ยนความเหลื่อมกันอยู่อย่างนี้ เข้าไปลึกกว่านั้น วิธีการของคนที่จะได้เงิน ที่จะได้ธนบัตรมามากๆแล้วมายืนยันว่าเป็นความเจริญ มีความซับซ้อนด้วยวิธีโกง วิธีเอาเปรียบ เล่ห์กลต่างๆ ที่จะได้เงินมา ได้ตัวเลขของธนบัตร ตัวเลขของเงินมายืนยันว่า นี้ฉันเจริญ ฉันเจริญ เพราะทำตัวเลขนี้ได้ คุณได้ธนบัตรมาจริง แต่คนพวกนี้ส่วนมากที่เป็นเศรษฐี เป็นคนร่ำรวย เป็นกระฎุมพี ในโลกนี้เข้าวัดด้วยองค์กรฟอร์ป เอาตัวเลขของคนที่รวยนี้มาเปิดเผยด้วยวิธีการซับซ้อน มันเป็นวิธีโกงวิธีเอาเปรียบ วิธีไม่ได้เสียสละ เขาก็ได้ด้วยวิธีการต่างๆนานาแล้วก็ไปหลงดีใจ เขาไม่ได้ทำสักคน

อย่างเช่น แจ็คหม่าไม่ได้ทำงานไม่ได้ผลิตอะไรเลย เล่นกลวิธีพวกนี้ แล้วเขาได้เงินจริงๆนะ ได้รวยจริงๆ แล้วก็ไปหลงเอาตัวนั้นมาเสนอต่อคนว่า ทำอย่างนี้สิ มันผิวเผิน มันไร้สาระ มันขี้โกง มันเอาเปรียบ มันไม่ใช่มนุษย์ที่เจริญแท้เลย 

มนุษย์เจริญแท้ต้องมีพฤติกรรม มีการลงมือทำ มีการสร้างจริงๆแล้วรู้จักปัจจัยสาระของมนุษยชาติของโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก อย่างนี้เป็นต้น สร้างอาหารสิ สร้างจริงๆเลย ยิ่งกสิกรรมยิ่งวิเศษ เขาไม่มีความลึกซึ้งในเรื่องพวกนี้เลย ซึ่งไปบังคับเขาไม่ได้ เขาหลงอย่างนั้นอยู่ ก็บังคับเขาไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นในแนวคิดของพระพุทธเจ้าหรือโลกุตรธรรม อาตมาก็มั่นใจว่ามันเป็นปัจจัย 4 พระพุทธเจ้าก็สรุปลง ข้าว ผ้า ยา บ้าน 

ยิ่งข้าวหรืออาหาร ยารักษาโรค ที่เอามาจากพืชพันธุ์ธัญญาหาร เอามาจากพืช ไม่ใช่ที่เขาเรียกว่า เป็นยาสมุนไพร ยาออแกนิค ยาที่ไม่ใช่สารเคมี มันเยี่ยมยอดกว่า เอาเถอะ ไม่ลงในรายละเอียดนี้ 

อาตมาจะพิสูจน์ พิสูจน์ความจริงที่ว่า ผู้สร้างสิ่งที่มันไม่ใช่เป็นปัจจัย 4 ที่บานปลายออกไปมาก นั่นแหละ เป็นคนหลงทาง ถ้าผู้ที่มาสร้างปัจจัย 4 ด้วยความรู้ที่แน่วแน่ไม่หลงทางออกไป มาช่วยกันพิสูจน์เลยในโลกนี้ ระดมกันออกมาเลย ใครจะอยู่หอคอยงาช้าง อยู่ที่ไหนๆอยู่ที่สูงไปสร้างอะไรอยู่ มาทำกสิกรรม ในดินแดนของตน อยู่ในโซนที่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ได้ดีๆนี้มีอยู่กว้าง ในโลกนี้ กว้างมากกว่าในโซนที่ปลูกพืชพันธธัญญาหารได้มาก โซนที่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้น้อยมีน้อยกว่า 

เพราะฉะนั้นอาตมามั่นใจว่า ถ้าคนเข้าใจในเรื่องการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร  อาตมาไม่เน้นปศุสัตว์ ไม่เน้นประมง เพราะมันมีวิบากที่ซ้อนลึก แต่เขาก็ต้องทำกันอยู่สำหรับคนที่จำนน เขายังตกอยู่ในวัฏสงสารที่เขาจะต้องเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องทำบาปกันไปอยู่ แต่เรานี้หลุดพ้นบาปเพราะว่าเราเข้าใจกรรมวิบากที่เป็นอจินไตยลึกซึ้งไปหมดเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ไปทำ 

เราก็จะไปทำของเรานี่แหละ แบบที่เราเข้าใจอย่างที่อาตมาว่า อาตมาเข้าใจในแนวลึกพวกนี้ พาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร นี่แหละ หรือกสิกรรมนี่แหละ

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าอันนี้มีคนเห็นด้วย เห็นดี แล้วก็ช่วยกันทำมากขึ้น ไม่ว่าประเทศไทย ประเทศอยู่ในโซนที่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี ทำเลย แล้วมนุษยชาติในโลกในสังคมจะมีสิ่งที่อาศัยใช้กิน 

โดยเฉพาะมีอุดมคติ อย่างพวกเรา คืออาหารไม่ใช่สินค้าที่จะมาค้าขายเอากำรี้กำไรกัน แต่เป็นสิ่งที่แจกจ่ายเกื้อกูล แบ่งปันกันกิน อาหารถ้าราคาแพง คนจนเท่านั้นจะตาย คนรวยไม่ตายหรอก มีเงินมันก็ซื้อกินได้ แต่มันต้องกิน ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนต้องกินอาหารทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นอย่าไปทรมานคนจนเลย คนจนมันมีมาก คนรวยมีน้อย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีแนวคิด จะต้องพากันมาจน อย่างที่เราพยายามทำนี่แหละ มันเป็นปรัชญาหรือว่าเป็นความจริง เป็นหลักการ หลักวิชา ที่ยิ่งใหญ่ พาคนมาจน พาคนมารู้จักแก่นสาร รู้จักงาน รู้จักสิ่งที่ควรจะต้องมาระดม มาช่วยกันทำ 

อย่างน้อยชาวอโศกเรานี่ ได้คิดอย่างที่อาตมาว่าถ้าเข้าใจแล้ว ระดมมา เดี๋ยวนี้อาตมาว่า เราแจกทันอยู่นะ คุณทำมาให้มากๆเถอะ ชาวอโศกผลิตกันมา แจก พวกเราเพียงพอแล้วแจกหรือไม่ ก็ขายให้ถูก ส่งไปทั่วโลก การขนส่งที่จะเผื่อแผ่ไปสู่ผู้อื่น มันก็สะดวกง่ายขึ้น ทุกวันแล้ว 

เพราะฉะนั้นพยายามเถอะ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ชักชวนผิด อาตมาว่าอาตมาชักชวนถูก เพราะฉะนั้นนักการเมือง หรือว่านักบริหาร หรือว่านักศึกษาวิชาการต่างๆก็ตาม ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจแล้วนี่ แล้วเอานำมาพูดนำเสนออยู่นี่ แล้วมาร่วมนำเสนอร่วมกันกับอาตมา หรือลงมือมาทำกันจริงๆ 

ตอนนี้ชาวอโศกเชื่อว่าจะเชื่ออาตมาที่พูดว่าจริงๆจริงๆนะ นี่คือสำนวนอาตมา จริงๆๆๆๆ จริงๆนะ ไม่เชื่อก็บังคับกันไม่ได้ อาตมาเน้นแต่ว่ามันเป็นความจริงที่จริงๆ มันไม่ผิด มาพยายามร่วมมือกันสร้างจริงๆ 

ในบ้านราช ยังมีที่ที่จะให้ปลูกฝังกันอยู่ มาเลย เรายังจ้างคนงานผู้ที่มาช่วยทำ นี่แหละช่วยปลูก ปู่เถาว์เดือนหนึ่งก็จ้างไม่ใช่น้อย คนข้างนอกมาทำ พวกเราก็ทำ ไม่ใช่ไปแย่งงานเขาหรอก เราไม่ได้ไปไล่เขา แต่เราเพิ่มผลผลิต มันมีที่ดินน้ำท่าเราก็เยอะแยะ  น้ำท่าไม่หมดง่ายหรอก แม่น้ำมูลมีเยอะ น้ำดีด้วย แม่น้ำมูลนี้ดีกว่าน้ำบาดาล รดพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดีกว่าเพราะว่ามีสารอาหารที่จะให้พืช น้ำบาดาลมันเป็นน้ำกลั่นน้ำกรองเข้าไปจากพื้นดิน เพราะฉะนั้นธาตุอาหารน้ำบาดาลสู้น้ำจากแม่น้ำไม่ได้ น้ำแม่น้ำมีธาตุอาหารมากกว่าน้ำบาดาลเยอะแล้วเราก็มีด้วย เครื่องมือก็ไม่ยาก การสูบการส่ง อะไรต่างๆนานา ทุกวันนี้สะดวก ง่าย ทำได้ 

สรุปก็คือ มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม ไม่ใช่เอาไปรบฆ่าใครนะ เอามาทำกสิกรรม เอามาช่วยกัน 

อาตมาจะเน้นๆย้ำๆซ้ำๆซากๆอยู่ เพื่อที่จะให้เข้าใจ ไม่ใช่ดูถูกว่าไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่คนเรามันไม่ค่อยอยากลงไปดู มันร้อน มันหนัก มันเหนื่อย มันสกปรก มันเปื้อนอะไรต่ออะไร… ปัดโธ่! เปื้อนมันก็ล้างก็เช็ดก็ถูได้ เราไม่ได้ไปหาพิษภัยอะไรมากมาย มีแต่วันสะอาด มีแต่ทำให้สะอาดขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็รู้เราก็ฉลาด 

อย่างพืชพันธุ์ธัญญาหารของเรา แจกจ่ายกันไป พากเพียรกันไป เฉลี่ยกันไป 

นี่ ตอนนี้ศาลาปันสุขเป็นอย่างไรแล้วล่ะ รู้สึกจะอ่อนแรง ไม่ขยันนำไปใส่มันเลยดูแห้งแล้ง ศาลาปันสุข ฮือฮากันหน่อยเดียว ทำไมล่ะ การเสียสละ การสร้างสรรค์ การทาน การเผื่อแผ่ มันเลวหรือไง? พูดให้กระชากๆ กระตุกเข้าหน่อย มันไม่ได้เลวนะ มันดีจริงๆ 

เพราะฉะนั้นใครมี กาละ เวลา ปลีกเวลามา พยายามมีความฉลาดเฉลียวที่จะมาทำสิ่งที่ดีจริงๆ แต่คนมันน้อยที่จะมาระดมกันทำ ทำเผินๆ เสียเวลา วันเท่ากัน กาละเวลา หมุนไป แต่ละวินาทีทุกคนเท่ากันหมด แล้วก็ความรู้ความฉลาดก็ฟรี ทุกคนมีความรู้ความฉลาดที่พัฒนาได้ฟรีทั้งนั้น ได้แล้วไม่ทำ รู้แล้วไม่ทำ มันเป็นคนเสื่อมหรือคนเจริญ ...เสื่อม 

ฟังให้ชัดนะ เสื่อม แล้วอยู่ในทางเสื่อมหรือทางเจริญ ควรจะอยู่ในทางเจริญ 

อาตมาก็ได้แต่พูดไม่ได้แก้ตัวนะว่าอาตมาทำไมไม่ลงไปทำเอง แก้ตัวคืออยู่ในวินัยพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุแล้วจะไปทำมันผิดวินัย มันก็ซับซ้อนอธิบายแล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปปลูกไปทำ สมณะที่บรรลุธรรมจริงๆจะขยัน โสดาขึ้นไปก็หมดแล้วเรื่องขี้เกียจ เป็นอบายมุข สกิทาคามีก็ยิ่งขยันเพิ่มขึ้น อนาคามีก็ยิ่งขยัน เป็นพระอรหันต์ เลยอรหันต์ก็ยิ่งขยันจริงๆ 

เพราะฉะนั้นถ้าให้พระภิกษุไปทำ 1.มันไม่พึ่งกันและกัน ให้ฆราวาสนั้นเขาเอาอาหารมาให้ภิกษุกิน ถ้าพระก็ไปปลูกไปฝังกินเองเลย มันก็ขาดกันกับฆราวาส ก็ให้ฆราวาสเขาเป็นทายก ภิกษุเป็นปฏิคาหก เป็นผู้รับ ให้เขาเป็นผู้นำมาให้กิน จะได้สัมพันธ์กันหรือเรียกว่าบุญคุณแก่กันและกัน พึ่งพาอาศัยกันและกันไป 

ถ้าให้ไปทำ มันก็ไปแย่งอีก มันก็ไม่ดี ก็แบ่งกันบ้าง นี่โดยสัจจะนะ แต่มีเป็นช่องทางอีกเหมือนกันว่า ภิกษุขี้เกียจ ก็ไม่บรรลุธรรม ภิกษุขี้เกียจก็บาปก็มีวิบากบาปแน่เป็นสัจจะ ภิกษุขี้เกียจ ทำกินทำใช้ก็ไม่คุ้มตัวคุ้มกิน ก็วิบากไป แล้วมันราคาบาปมันแพงกว่าฆราวาสเขา เพราะว่ามีอภิสิทธิ์ มีอะไรต่ออะไรที่ได้รับ จากกฎวินัยธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้ามันมาทำตัวอย่างนี้มันก็ซับซ้อน บาปมากขึ้นบาปมากขึ้น 

เพราะฉะนั้นภิกษุก็จึงต้องทำสิ่งที่มันไม่ผิดวินัย ทำอะไรที่มันไม่ผิดวินัย พวกเราก็ยังทำกันอยู่หลายอย่างหลายประการ ที่ไม่ผิดวินัย มีคำเดียวที่ยากก็คือว่า อย่ารับใช้เป็นการรับใช้ อันนี้อาตมาก็เคยขยายความว่า รับใช้นี่มันไม่เสียหายแต่อย่ารับจ้าง ภิกษุอย่าไปรับจ้าง ไปเอาสิ่งตอบแทนจากฆราวาส รับจ้างมันต่างกันกับคำว่ารับใช้ แต่รับใช้เถอะ มันซับซ้อนอยู่ในคำนี้ คำว่ารับจ้างหรือคำว่ารับใช้ 

คือ 1.เราไปช่วยฆราวาสเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ทำงานที่ไม่ผิดวินัย โดยไม่เอาค่าจ้าง อย่าว่าแต่เอาค่าจ้างเลย ทำงานให้เขาแล้วไม่คิดเป็นบุญคุณ ไม่ตั้งความหวังอะไรที่เขาจะมาตอบแทนเป็นอันขาด แม้สาเปกโข แม้แต่ความหวังก็ไม่มีทำแล้วทิ้งตัด ทำแล้วจบ ทำแล้วทำให้เกิดผลผลิตที่ดีๆแล้วก็จบไม่ต้องเป็นของเรา มันจะได้ลดกิเลสอัตตากับอัตนียา ตัวเราของเรา มันจะได้ขาด นี่ อาตมาก็พยายามอธิบายเอาของพระพุทธเจ้ามาขยายความให้ฟัง 

ทำจริงๆมันก็จะยิ่งเยี่ยมยอด ทาน หรือให้ อย่างไม่มีสาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข ไม่มีปริภุญชิตสามีติ คือทำแล้วก็ยิ่งสร้างภพชาติ จะเอาไว้กินต่อในชาติหน้าๆๆ แล้วเมื่อไหร่คุณจะตัดภพจบชาติสักที เห็นไหม ซึ่งมันผิดหมดเลย 

อาตมาขยายความไปจนกระทั่งถึง แม้แต่สวรรค์เราก็ไม่ฝัน เราก็ไม่เอา สวรรค์ยังเป็นภพเป็นชาติ แม้แต่สวรรค์ สวรรค์ถึงขั้น ปรินิมิตวสวัตตี  

ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) 

ผู้ที่รบกันเป็นยักษ์ เป็นมารแย่งชิงฆ่าแกงกัน เป็นจตุมหาราช กว่าจะฟื้นมันเลิกจตุมหาราชได้ แล้วได้มาแล้วจะได้ไปชนะ สะสมไว้เป็นของกูยาวนาน 

มีดาวดึงส์ คือ ตาวติงสา แปลว่า อาการที่ 33 คนเรามีแค่ 32 แต่ไปสร้างวิมานขึ้นมาอีกวิมานหนึ่งเรียกว่าวิมานที่ 33 มันลมๆแล้งๆเพ้อเจ้อแต่ไม่รู้นึกว่ามันมีจริงเป็นจริงเป็นสวรรค์ ทั้งนี้แหละซ้อนอยู่ในสวรรค์ 6 ชั้นนี่แหละ เป็นภพเป็นชาติ เป็นสวรรค์ 6 ชั้น นึกว่าเป็นจตุมหาราช นึกว่าเป็นยามา  นึกว่าเป็นดาวดึงส์ นึกว่าดาวดึงส์คือเสวยอาการ 33 เสพสุขในดาวดึงส์ 

เพราะฉะนั้นสวรรค์ดาวดึงส์คือสวรรค์ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สวรรค์โลกีย์ 100% ยิ่งโง่หยาบเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นดาวดึงส์หยาบมากเท่านั้น 

ยามา คือ ให้ได้เสพดาวดึงส์นี่แหละนานเท่าไหร่ไม่รู้จักหยุดจักพัก จนกว่าจะเลิกจะพักจะหยุดเข้าไปหาดุสิต ดุสิต แปลว่า เย็น แปลว่า พัก เป็นที่พักของพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น พยัญชนะว่า พระโพธิสัตว์พักอยู่ที่ดุสิต คือยังมีภพมีชาติที่ไม่สูญสลาย ก็พักอยู่ที่ดุสิต ดุสิตะคือสงบ สิตะคือเย็น สงบ พัก แต่ก็ไม่พักจริง ฟุ้งซ่านหรือว่า ยังไม่รู้จริง ก็กลายเป็นนิมมานรดี ซับซ้อนไปอีก กลายไปเป็นปรนิมิตวสวัตตี สวรรค์ลึกซึ้งซับซ้อน ยังเป็นนักสร้าง นิมมานเนรมิตเป็นนิมมานรดี ให้ผู้อื่นมาสร้างอีกเป็นปรนิมิตวสวัตตี ไม่หมดตัวตน หมุนรอบเชิงซ้อนที่โง่ลงไปโง่ลงไปละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก ละเอียดลึกซึ้งจนลึกลับจนโง่ไม่รู้เรื่องแล้วก็ไปทำสิ่งที่ไม่รู้เรื่องอย่างนั้น 

นี่คือ สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่อาตมาใช้ภาษาไทยๆแปลมาจากคำว่าคัมภีราวภาโส ปฏินิสสัคคะ ก็ดี   ที่เป็นพยัญชนะบาลี เป็นสภาพที่มันซับซ้อนลึกซึ้งๆ 

สรุปสำหรับวันนี้ก็คือ มาศึกษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี่แหละ ก็ขอขอบคุณที่พวกคุณมีปัญญาและก็ขอให้เพิ่มสิ่งที่อาตมาได้ย้ำไปแล้วว่า เพิ่มเถอะพลังงานเป็นของเรา กรรมเป็นของเรา ทำแล้วจะว่าไม่ใช่จะยึดเป็นของเรา มันก็ต้องซ้อนๆอยู่ในนั้นอีก ลึกซึ้ง หมุนรอบเชิงซ้อน ของเราที่เราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา มันก็เป็นของเรา กัมมัสกตา เป็นของเราที่เราไม่ได้ยึดเป็นของเรา แต่มันก็เป็นทายาทกรรมของเราเองนี่แหละ มันเป็นเรื่องที่เราทำแล้วก็อาศัยไปหรือเราทำแล้วก็พาเราเป็นเราไป กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  

เพราะฉะนั้น คุณศึกษาดีๆแล้ว เชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อกรรมเป็นของของตน เชื่อกรรมเป็นของของตน เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่ก็มีเป็นคำสอน ในศรัทธา กัมมสัทธา วิปากสัทธา กัมมัสสกตาสัทธา ตถาคตโพธิสัทธา 

ในศรัทธา 4 นี้เป็นศรัทธาที่มีปัญญา เป็นศรัทธาที่ชัดเจน เป็นศรัทธาที่อาตมาก็นำมาศึกษา มาจากพระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 4 หมดเวลาแล้ว สำหรับวันนี้ 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาเถอะมาอย่าช้าเพิ่มสัมประสิทธิ์มาสู่โลกุตระ วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2566 ( 07:56:33 )

660224

รายละเอียด

660224 ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53020.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1JdKu8WKjFwlZAso09NqbLRFyaC0BZ7y_ujVd5yNrFW4/edit?usp=sharing                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1CzL_RPeiz2zq3u2Oql6KqSXLc6S2VOaJ/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/bgoPGIn9PQc 

และ https://fb.watch/iUshhoZ31G/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล  เรื่องเวลาตอนนี้ก็แล้วแต่พ่อครู จะทุ่มครึ่งก็ได้หรือจะถึง 20:00 น ก็ได้ เกิน 20:00 น ก็คงไม่ดี ต่อสุขภาพ แล้วแต่แรงพ่อครูจะเกินก็ได้ 

สมัยก่อนนี้ อาตมาไปฟังเทศน์พ่อครูที่สันติอโศก พ่อครูจะเทศน์ 9:00 น. ถึง 11:00 น. วันอาทิตย์ เราก็ตั้งนาฬิกาใจไว้ ถึง 11 โมงพ่อครูก็ไม่มีทีท่าจะหยุด พ่อครูเทศน์ไม่ต่ำกว่า 11 โมงบางทีก็ 11:15 น. บางทีก็ 11:30 น. ตอนหลังเราก็ทำใจในใจว่าพ่อครูเทศน์ให้ถึงเที่ยงไปเลยจบ ถ้าเราไปกำหนดตัวท่านก็ตายเลยเป็นสิทธิของท่านที่จะโปรดเราด้วยความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษยชาติ 

ตอนนี้การเมืองไทยที่ฮอตก็คือนายกตู่ บอกว่าจะไปที่โคราชวันพรุ่งนี้ เขาเตรียมเก้าอี้ไว้กี่ตัวรู้ไหม 30,000 ตัว เต็มหน้าย่าโม 30,000 ตัวนี้ถ้าเต็มก็คงเพิ่มเก้าอี้ เขาบอกว่าคนคงมามากกว่าที่จัดไว้ เป็นไปได้เพราะตอนไปใต้ก็คนเพียบ เป็นนายกที่เหมือนดาราฮอลลีวูดเลย เห็นคนกรี๊ดกร๊าด

ไปที่จันทบุรีท่านก็บอกว่า สิ่งที่ทำแล้วมีอะไรบ้าง สิ่งที่กำลังอยู่มีอะไรและกำลังทำต่อมีอะไรอีก 3 อย่างคือ ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อไป คือบอกสิ่งที่ตัวเองจะทำไม่ว่าความหวังความฝันไว้ แต่บอกความจริงของตัวเองที่ทำอะไรไปบ้างให้แก่ประชาชน ช่วยเหลือประชาชนอะไรอย่างไร ไปที่ไหนก็ได้รับแต่ความรัก 

ส่วนการเมืองที่พ่อครูนำเสนอเป็นการเมืองโลกุตระ เป็นคนพัฒนาเป็นคนมีวรรณะ 9  พึ่งพาตัวเองได้และทำประโยชน์แก่ผู้อื่น 3อย่างคือ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ นี่คือระบบประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูพานำมาอธิบายให้คนสมัยนี้เข้าใจ ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด เพราะพาเป็นคนอิสรเสรีภาพ ไม่บังคับใคร ให้อิสระแก่คนทุกคนที่มาศึกษา คนมาศึกษากับชาวโศก พ่อครูว่าจะไปศึกษากับสำนักอื่นได้ก็ไม่ได้ห้าม สำนักไหนจะมาที่นี่ก็ได้มาแสดงธรรมที่นี่ไม่มีปัญหา เชิญ อยากได้ผู้คนไปก็มาแสดงเอาสิ ขนาดจตุพรมาก็บอกว่ามาอยู่เลย ให้ป่วนได้เลย พวกเราจึงรู้สึกมีอิสระเสรีในตัวเอง จะอยู่จะไปอย่างไรก็แล้วแต่ 

เชื่อมั่นว่าถ้าเรามีโลกุตระที่แท้จริงก็ไม่ไปไหนจะอยู่ที่นี่เพราะความจริงอยู่ที่นี่อยู่กับหมู่ชนนี้ ทำแบบนี้ ในระบบสาราณียธรรม 6 ที่พ่อครูพาพวกเราทำ 

 

ความเจริญสูงส่งไม่ใช่ใช้ตัวเงินเป็นเครื่องชี้วัด เพราะทุกประเทศมีหนี้

พ่อครูว่า... อาตมาก็พูดธรรมะ แล้วก็เอาเรื่องคำว่าการเมือง หรือพฤติกรรมของคนที่ประพฤติอยู่ในสังคม ตั้งแต่ผู้บริหารลงมา ผู้บริหารประพฤติอย่างไรมันก็คือการเมือง สมัครตัวหรือว่าทำเข้าไปแสดงตัวต่อสังคมต่อประชาชนมากๆเขาก็เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะไม่ได้พูดถึงเรื่องของ อะไรตัวเอง งานของตัวเองไม่พูด 

ที่นี้คนมาพูดงานของตัวเองอย่างพวกเรา เราพูดถึงงานของตัวเองงานของพวกชาวอโศกเราทำอะไร เราเห็นว่าอะไรควรทำก็พูดไป หาว่าอย่างนี้เป็นเรื่องอวดตัวอวดตน แต่เรื่องที่พูดไปว่าเขาจะได้เป็นผู้บริหาร เป็นผู้ได้อำนาจ ที่ประชาชนยกย่องให้ แล้วเขาก็ได้เป็นผู้บริหารเป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ อะไรต่างๆ ถือว่าอย่างนั้นเป็นเรื่องเจริญเป็นเรื่องสูงส่ง ลองตั้งใจคิดดีๆสิว่า ความเจริญของคนหรือความสูงส่งขึ้น เจริญขึ้นของคนนี้ แล้วก็ทำให้ความเจริญของสังคมจริงๆ อะไรจริงๆเป็นเครื่องชี้วัด 

เอาเงินเป็นเครื่องชี้วัดหรือ ถ้าเอาเงินเป็นเครื่องชี้วัด ถ้าคุณมีวิสัยทัศน์แบบนั้นมี Concept แบบนั้น มี Vision แบบนั้น มี Concept แบบนั้น เขาก็จะพยายามสะสมเงินด้วยวิธีอะไรก็ได้ ขี้โกงก็ได้อย่างทักษิณ แล้วเขาก็หลงอย่างนั้นแล้วเขาก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ แสดงความกร่างของตัวเองที่มีเงินมาก 

หรือแม้แต่แจ็คหม่า มีวิธีการหมุนอะไรต่ออะไรแล้วก็ได้เงินเข้ามาให้แก่ตัวเอง หรือวิธีชัดๆก็คือวิธีค้าขาย ค้าขายด้วยการบวกเอาเกินควรจะเป็น ควรจะเป็นก็คือราคาประมาณนี้ตลาดเฉลี่ยแล้ว แต่เขาพยายามจะให้มันสูงกว่าราคาตลาดเขาขายกัน แล้วหลงกันว่าผู้ที่ขายได้ราคามาก คือคนเก่ง คนสามารถ เป็นคนทำเอาเงินเอาตัวเลขมาเป็นเครื่องวัด 

คนที่ไปหลงธนบัตร ไปหลงตัวเลขมาเป็นเครื่องวัดชีวิตมันตื้นเขินมากเลย อาตมาให้เขาพิมพ์หลักฐาน ในประเทศ 200 กว่าประเทศ มีรายได้ต่อหัว หรือมีเปอร์เซ็นต์ของ GDP อะไรเท่าไหร่เท่าไหร่ เขาคิดกันมาโอ้โห 200 กว่าประเทศ จดทำสถิติมาหมดเลย 

 External debt หนี้ต่างประเทศ 

มีหนี้กันหมดทุกประเทศ อาตมาสอนพวกเราแนะนำพวกเรา ชีวิตที่เจริญคือ 

1.ไม่มีหนี้ 

2. ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองให้รอด 

3. ทำให้เหลือ ทำสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่ควรสร้างควรทำนี่แหละ โดยเฉพาะพวกเรานี้เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทำให้มาก กินอยู่ในนั้นเสร็จ อาศัยกินอยู่โดยไม่ตาย ชีวิตนี้รอดไปได้ตลอดรอดฝั่ง จนตายแหละ จะว่าไม่ตายก็ไม่ได้ก็ต้องได้ แต่ก็มีกินอยู่จนตาย ไม่อดไม่อยาก 

เพราะคนอื่นต้องกินต้องใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารทั่วโลก ไปให้ขั้วโลกเหนือที่กินผักกินพืชไม่ค่อยเป็นก็ยังกินได้เลยเลี้ยงชีวิตได้ด้วย มันไม่มีกินเท่านั้นเอง 

ผู้ที่เห็นคุณค่าอันสำคัญของชีวิตจริงๆอย่างนี้เรียกว่าปัจจัย พระพุทธเจ้ายกเป็นหนึ่งในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร นอกจาก กวฬิงการาหารแล้วก็สิ่งที่ต้องอาศัย สัมผัสแล้วเกิดเวทนา เกิดความรู้สึก 

เมื่อเกิดความรู้สึกแล้วผู้ที่ไม่เรียนรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพานก็จะเป็นตัณหา 

ตัณหาที่ไม่เรียนตั้งแต่กามตัณหา ตัณหาคือความอยากใคร่เอามาให้แก่ตัวเอง มันก็จะมีตัวตัณหานี่แหละเป็นตัวบงการชีวิตเลย ชีวิตคนที่ไม่ศึกษาก็จะเป็นอย่างนั้น มีกามตัณหา แล้วก็ลดได้มันจึงจะไปลดขั้นที่ละเอียดขึ้นเรียกว่า รูป รูปตัณหา เป็นภวตัณหา เป็นตัณหาที่อยู่ในภพในภวังค์ต่อไป 

แต่คนที่หลงผิดไปนั่งหลับตา มันมีแต่รูปในภพ เป็นนามธรรม เป็นภวตัณหา รูปตัณหา อรูปตัณหา รูปราคะหรืออรูปราคะ ซึ่งอันนั้นมันจะมาล้างกามตัณหา มันล้างไม่ได้ กามตัณหาต้องล้างมันก่อน มันเป็นของหยาบของแข็งของเหนียว ของขั้นต้น 

เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมจึงโมฆะหมด ล้างกิเลสไม่ได้หรอกแต่ไปหลง อสัญญีสัตว์ ไปหลงนั่งสะกดจิต ทำให้จิตมันดับไม่รับไม่รู้อะไร แล้วไม่เคลื่อนไหว ไม่คิดไม่นึก ไปหลงอย่างนั้น เป็นการบรรลุธรรม ซึ่งมันไม่ได้เรียนรู้กิเลส 

กิเลสจะเกิดได้และเป็นกิเลสจริงๆ ไม่ใช่กิเลสอยู่ในความคิด อยู่ในสัญญานึกเอาจากอดีตหรือคิดฟุ้งไปในอนาคต ไม่มีการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสที่มีในอดีตแล้วก็นึกออกมา คุณเคยมีก็นึกได้หรือคุณฟุ้งไปในอนาคตอยู่ในภพ จะว่าเป็นกิเลส มันก็เป็นเฉพาะคุณ มันไม่ยึดก็ได้ง่าย แต่กิเลสที่มันมาติดทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้วนี่สิ มันเป็นตัวจริงๆเลยเป็นของจริง 

ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายมีผัสสะข้างนอก มันไม่เป็นความจริง ท่านเรียกว่า ต้อง มีทิฏฐธรรมหรือทิฏฐะกาละ ต้องมีปัจจุบันชาติ ปัจจุบันที่เกิดขณะนี้เรียกว่าปัจจุบันชาติ ชาติคือการเกิด มีปัจจุบัน มีแสงสว่าง มีตาหูจมูกลิ้นกาย และก็มีแสงสว่างมีการตื่นรับรู้ต่อผัสสะทั้งหลาย นี่เป็นความครบของความจริง 

ศาสนาเทวนิยมไม่มีความจริงตั้งแต่พระเจ้า พระเจ้าสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายไม่ได้ ตลอดตั้งแต่มีแต่ไหนแต่ไหนจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครสัมผัสได้ แม้แต่พระศาสดาหรือพระบุตรยกให้พระเจ้าเป็นพระบิดาเป็นพ่อ แล้วตัวเองเป็นคนเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้า ส่วนคนนี้ไม่ใช่ลูกพระเจ้า มีพระบุตรเท่านั้นเป็นลูกพระเจ้า 

เพราะฉะนั้นคนจะไปเป็นลูกพระเจ้าหรือไปเป็นพระเจ้าไม่ได้ ตัดขาดกันเลย นี่เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องของคนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องขบคิดตัดตัวเองออกขาดจากประชาชนแล้วมาสอนประชาชน โดยอธิบายกลบเกลื่อนไปว่า คำสอนของพระเจ้านี่คือคำสอนที่จะทำให้คนดี ก็พระเจ้าไม่ใช่คน จะดีไม่ดีจะรู้เรื่องได้อย่างไรเพราะเป็นสิ่งลึกลับ ก็มีคนนั่นแหละมาสอนแต่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คน ตัวเองเป็นลูกพระเจ้า แล้วคนนี้เป็นไม่ได้ คนเป็นศาสดาไม่ได้ คนไหนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นศาสดา ต้องพระเจ้าเท่านั้นบัญชาให้มาเป็น 

นี่เป็นคำอธิบาย เป็นการให้นิยามความรู้ มันก็ประหลาดดีนะ แล้วคนก็เชื่อเยอะเพราะคนในโลกไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ได้ จะเรียกว่าคนโง่ก็นั่นแหละคือไม่รู้ได้ก็ยังโง่อยู่ มันมีเยอะกว่าคนฉลาด 

 

พุทธมีความฉลาดที่ถึงนิพพานคือหมดอุปาทาน 4

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วมาสอนเป็นความรู้ระดับ เป็นความรู้ระดับคนฉลาด ฉลาดที่เป็นคนฉลาดจริงๆ ฉลาดที่จะต้องมีความครบในความฉลาด ความฉลาดครบคืออะไร ความฉลาดครบคือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกายสัมผัสกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน  มีใจรับรู้เป็นคู่สุดท้าย เป็นประธานอยู่ในจิต ครบอย่างนั้นจึงจะเรียกว่าความจริง นอกนั้นมันไม่ใช่ความจริง ไม่มีสัมผัสไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มีใจร่วมด้วย สัมผัสกันจริงเกิดอาการ เกิดเป็นสังขาร เกิดเป็นเวทนาก็แล้วแต่ 

สังขารก็คือการปรุงแต่งขั้นต้น เวทนาคือการปรุงแต่งอยู่ในจิต สังขารก็มีตั้งแต่สังขารกายสังขารภายนอก ส่วนเวทนาก็เป็นภายใน 

ความละเอียดละออของภายนอกกับภายในที่เรียกด้วยศัพท์ว่ากาย กาย กายะ กาโย คำนี้ต้องมีทั้งภายนอก มีทั้งภายในคู่กัน แยกกันไม่ได้เหมือนกระดาษ 1 แผ่น จะฉีกไม่ให้มันเหลือ ฉีกออกจากกันหรือแยกให้มันเป็น 2 แผ่น มันบางจนฉีกไม่ได้แล้ว แยกกันไม่ได้ กายเป็นอย่างนั้น 

เหมือนถ้าเข้าใจว่า กายนี้มีแต่ข้างนอกอย่างเดียว หรือยิ่งไปเข้าใจว่ากายคือข้างใน มันก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย คนไทยชาวพุทธก็ไม่ค่อยหลงผิดกันว่ากายคือข้างในหรอก ข้างในก็เรียกว่าจิต ข้างนอกเรียกว่ากาย แล้วก็มิจฉาทิฏฐิหลงผิดไปจนกระทั่งว่า กายนี้คือข้างนอกที่ไม่เกี่ยวกับจิตเลย ตัดขาดไปเลย นี่แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่เป็นความเสื่อมเด็ดขาด 

ถ้าใครเข้าใจผิดตรงนี้เรียกว่า ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 เบื้องต้นเลย กระดุมเม็ดแรก ที่คุณจะใส่เสื้อแล้วต้องกลัดกระดุมเม็ดแรก เม็ดแรกของคุณกล้ดผิดปั๊บก็ไปเลย จะผิดไปหมด แล้วกลัดผิดไปมันไม่กลัดผิดเรื่องเดียวนะ มันเหมือนปากกรวย พอกลัดผิดตรงนี้แล้วมันเหมือนมี 2 อัน แล้วมันก็เดินทางผิด ไม่ค่อยตรง มันไม่เป็นหนึ่ง มันกลายเป็น 2 มันก็ไปเลย เป็นปากกรวยไปใหญ่เลยไป โอ้โห หาที่สุดมิได้เลย คนโง่จึงโง่หาที่สุดไม่ได้ น่ากลัวจริงๆ โง่ไม่เสร็จ ก็โง่นานโง่ติดต่อ โง่ยาวไปถึงนิรันดร โอ้โห.. น่ากลัวจริงๆ 

คนที่หมดโง่ในความหมายที่กำลังพูดนี้ในเรื่องของปรมัตถ์ เรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพาน คนหายโง่ หมดโง่แล้ว จึงจะพบนิพพาน 

นิพพานคืออะไร 

_สู่แดนธรรม... คือสิ่งที่ไม่เกิดแล้วครับ 

พ่อครูว่า... พระอรหันต์มีนิพพานหรือยัง 

_สู่แดนธรรม... มีครับ 

พ่อครูว่า... อ้าวพระอรหันต์ก็ยังเกิดได้ ความจริงเป็นสัจจะ คุณพูดอย่างไร 

_นักรบธรรม... หมดตัวหมดตนเลยครับ 

พ่อครูว่า... คุณมีตัวตนอยู่ไหมล่ะ 

_โยมว่า...0 

พ่อครูว่า... คุณก็ยังมีตัวอยู่ไง 

_สม.กล้าข้ามฝันว่า... หมดกิเลสในอุปทานขันธ์ 5 

พ่อครูว่า... คุณไปยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา รูปเวทนาสัญญาสังขาร แล้วคุณก็หมดอุปทาน คำว่าอุปทานนี้ในปฏิจจสมุปบาท สุด ผู้ที่รู้จักอุปาทาน  ล้างอุปทานได้หมด อุปาทานมี 4 อย่างคือ 

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262) 

พ่อครูว่า... กามุปาทาน กามคือภพข้างนอก กามาวจร กามภพ การเดินทางไปอยู่ของชีวิต โดยเฉพาะคน ไม่ต้องไปพูดถึงสัตว์หรือ อเวไนยสัตว์ มันก็เรียนรู้ไม่ได้แล้ว ต้องสัตว์ที่เรียนรู้ได้คือคนนี่แหละ คนในฐานะที่ต้องมาเรียนรู้ธรรมะโลกุตระ จะเรียนรู้ กาม หรือเรียนรู้กาย 

1. กามคุณ 5 เกิดจากทางตาหูจมูกลิ้นกาย 5 นี่เป็นพื้นฐานเลยเบื้องต้น 

2. ทิฏฐุปาทาน ทิฏฐะ ความเห็นความเข้าใจความรู้ เพราะฉะนั้น ทิฏฐะ หรือทิฏฐิ ความเห็นความรู้จึงเป็นตัวที่เริ่มต้นเหมือนกัน เริ่มต้นทางนาม กามคือ ร่วมกับรูปทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทิฏฐุ หรือทิฏฐิ หรือทิฏฐะ คือความเห็นความเข้าใจ จิตที่เป็นนาม ไปร่วมกัน สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่วมกันขึ้นมา จึงจะเกิด กาย เกิดเป็นสภาพ 2 กาย

แล้วอวิชชา ก็มีกายที่ไม่รู้ ที่อวิชชาก็จะเกิดกาม เพราะฉะนั้นเบื้องต้นที่สุดก็จะต้องเรียนรู้ตรงนี้เหมือนคุณจะกินทุเรียน คุณก็ต้องแกะเปลือกมันก่อน ต้องหาอะไรมาเฉาะเปลือกออกให้หมดก่อน คุณถึงได้กินทุเรียน หรือ บางอย่างหลายอันจะต้องเฉาะออกเป็น 3 ชั้น เอาเปลือกแล้วก็เอาเนื้อออกถึงจะได้กินเม็ดในแก่นมัน อย่างนี้เป็นต้น 

ถ้าคุณไม่เฉาะเปลือกออกอะไรต่ออะไรออก ไม่ผ่านไปถึงข้างใน เอาออกหรือคุณต้องกินเข้าไปก่อนหรือทำลายก่อน ทำลายอันนี้แล้วก็จะได้เนื้อใน ด้านในสุด มันถึงจะเป็นลำดับ 

อย่างสายนั่งหลับตา หมด มันไม่มีเบื้องต้น เพราะฉะนั้นเบื้องในที่จะไปเจอไปถูกต้อง ไปมีของจริง..ยกเลิกเลย เพราะในกาม ในกามาวจร ในพื้นภพ คนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจะต้องมีภายนอกเป็นพื้นฐานเลย ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วล้างกิเลส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ออกให้หมด อุปาทาน ข้อที่ 3 คือ 

3. สีลัพพตุปาทาน เป็นอุปาทานยึดถือข้อปฏิบัติศีลพรต เพราะฉะนั้นคนที่ไปเข้าใจทิฏฐิผิด  เข้าใจกามผิด เข้าใจกายผิด ศีลพรตที่ปฏิบัติก็จะผิดด้วย เพราะกำหนดผิดเลย กำหนดวิธีปฏิบัติอย่างไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นวิธีปฏิบัตินั่งหลับตาสะกดจิตข้างใน เข้าไปข้างในเลย ไม่เรียนรู้ข้างนอกก่อน อย่างสายหลับตาทั้งหลายแหล่ ไม่รู้เรื่อง กาม อย่างมหาบัว ไม่รู้เรื่องกาม ติดกาม ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อย่างติดหมากพลู แล้วก็ไม่รู้ว่าการเสพติดอย่างนี้เป็นการยึดติดจริงๆ ซึ่งเป็นเปลือกนอก 

อาตมาเชื่อว่า มหาบัวนี่รู้นะ แต่มันติดจนกระทั่งต้องกลบเกลื่อน แล้วหลอกคนว่า ตัวเองไม่ใช่หรอก นี่เรื่องของธาตุขันธ์ กินไปก็เพราะธาตุขันธ์เท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองพูดนี้ผิด หลอกคนอื่น คนๆนี้จะทำชั่วใดๆได้หมด ไม่มีละเว้น คนที่โกหกเขาทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก น่ากลัว 

ที่อาตมาพูดนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่เป็นจริง ยกขึ้นมาพูดไม่ใช่ลอยลม และก็ไม่ได้ไปข่ม แต่สงสารมหาบัว สงสารที่หลงผิด ถ้าหลงผิดจริง มหาบัวนี้จะอยู่ในภพชาติ หมุนเวียนตกอยู่ในภพชาตินานมาก เพราะตายไปจะไปยึดติดว่าตัวเองจะไม่เกิดอีกแล้ว เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าก็อุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ เพราะฉะนั้นมหาบัวนี้ก็คือคนที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ ไม่มีใครจะช่วยได้แม้แต่พระพุทธเจ้า คิดดูสิมันจะเป็นอย่างไร แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ คิดดูแล้วจะเป็นยังไง อย่างมหาบัวหรือสายนั่งหลับตา 

แล้วก็ไปหลงติดยึดเลยว่านี่แหละคือภพที่ 7 ภพที่ 8 อรูปฌาน ที่ 7 ที่ 8 เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส นี่แหละ ยึดตรงนี้ ที่ว่า ไม่เกิดอีกแล้วอย่างมหาบัวบอกว่าไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็ไปได้แค่นี้ เพราะเกิดจากการนั่งหลับตา ไม่มีทางอื่นที่จะได้ ล้างกิเลสไม่ได้ ก็ล้างกิเลสตาหูจมูกลิ้นกายอย่างหยาบๆยังไม่ได้ 

โดยไปแสดงตนว่า ตนเองพ้นกามคือ ไม่มีคู่ ไม่มีเมถุน ไม่มีคู่ผัวคู่เมีย ไม่ได้ไปแต่งงาน นั่นแหละคือไม่ได้เสพกามเพราะไม่ได้ไปแต่งงาน ไม่ได้ร่วมเพศ ผู้หญิงผู้ชายที่เป็นตัวตนแท้ๆถือว่าอันนั้น 

อาตมาขอใช้คำนี้ว่าหลอก หลอกตัวเองว่าพ้นกิเลส แล้วก็ไปอธิบายไม่ได้ในภพชาติ ในภวังค์ ในภายใน อธิบายไม่ได้ มีแต่ใช้คำว่า กิเลสกิเลส สู้มัน สู้มัน นั่งหลับตาสู้มัน นั่งภาวนา ๆๆ สู้มัน มโนปวิจาร 18 อธิบายไม่ได้ ยิ่ง เวทนา 108 ไม่ต้องพูดเลย ทั้งๆที่เรียนมาเป็นเปรียญ อธิบายไม่ได้ อธิบายอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้อธิบายง่ายๆ แม้ผู้เรียนรู้มาพอรู้ความอย่างมหาบัว 

ที่อาตมาต้องหยิบยกมาพูด มาอธิบาย มาเป็นตัวอย่างก็เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ไม่ได้เกลียดชัง พูดอีก สงสารมหาบัว แล้วคนที่ไปหลงติดยึดแบบมหาบัวก็น่าสงสารเหมือนกันทุกคน บวชอยู่นี่เป็นลูกศิษย์ลูกหาทุกวันนี้มีเยอะจริงๆ แล้วเขาไม่ฟังนะที่อาตมาพูด เขาปิด เขาว่าพวกนี้นอกรีต นอกศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมหาบัวคือพระบุตร แล้วก็เดียรถีย์นั่นแหละคือพระเจ้าของเขา เดียรถีย์หมายถึงคนนอกพุทธ คนที่ไม่ใช่พุทธที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ คือเดียรถีย์ 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมมากจริงๆ พุทธนั้นคือโลกุตรธรรมไม่ใช่โลกียธรรมเหมือนศาสดาเทวนิยมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาก็เคยย้ำว่ามีองค์เดียวในแต่ละยุค ยุคกาลนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าไม่มียุคกาลไหนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดมาเป็นศาสดาซ้อนกัน 2 องค์ แม้แต่ในระยะเวลาอันใกล้เคียง อย่างเช่น ศาสนาพุทธเป็นกลียุค หมดกลียุคไป จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีก นานมาก 

พระพุทธเจ้าไม่เกิด ให้แต่โพธิสัตว์มาเกิด ก็นานแล้ว  กว่าจะหมดกลียุค พระโพธิสัตว์จะเกิดมาต่อจากพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่เกิดแล้ว เพราะคนในขนาดท่านนี้ ถ้าเกิดมาสอนไม่ได้ จะรับได้เฉพาะให้ พระโพธิสัตว์มาสอน ที่จริงพระพุทธเจ้าก็สอนได้แต่ท่านพอแล้ว ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนเหมือนกับพระโพธิสัตว์ 

เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้า จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านก็สอนแค่อรหันต์ ไม่ต่อพุทธภูมิ ให้พระโพธิสัตว์มาสอนพุทธภูมิและต่อพุทธภูมิกัน ตั้งแต่มหาโพธิสัตว์จะต้องมาเกิดมาต่อภพภูมิ อย่างนิยตะโพธิสัตว์อย่างอาตมาก็ต้องมาเกิดมาตอบภพภูมิสืบทอดต่อไป 

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุนิยตโพธิสัตว์แล้ว ตอนนี้พัฒนาภูมิไปได้เอง นี้คือไม่ต้องพึ่งพระพุทธเจ้าแล้ว พัฒนาธรรมะไปสู่มหาโพธิสัตว์ พึ่งผู้พี่และผู้พี่ก็ไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ พอปัจเจกสัมมาสัมพุทธะแล้ว ผู้ที่ไม่เวียนมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มาประกาศตน ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเอง นั่นก็คือผู้ที่สูงสุดในโพธิสัตว์ ที่เหนือกว่านั้นถือว่าพระพุทธเจ้า 

พระพุทธเจ้าคือไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะมาประกาศตนเองกับมนุษย์ ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ประกาศศาสนา ส่วนปัจเจกสัมมาสัมพุทธะที่ตรัสรู้มีสัมมาสัมโพธิญาณ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่ประกาศท่านก็ปรินิพพานของท่านไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้คือพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า งงไหม ละเอียดดีไหม ไม่สับสนนะ 

ผู้จะแยกอย่างนี้ได้ก็คือต้องมีความรู้ในความจริงอันนี้ อาตมารู้ในความจริงอันนี้ เพราะอาตมาในฐานที่อาตมารู้แล้ว แต่อาตมาไม่ได้สับสน อาตมายังไม่ได้เป็นนะ แต่อาตมารู้แล้วมีตำราแล้วมีทางเดินแล้ว แต่อาตมายังเดินไม่ถึง อาตมาไม่ได้สับสนไม่ได้หลงตัวเองนะ 

อาตมาเคยบอกว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมามีความรู้ของตัวเอง คนไม่รู้ ภูมิไม่รู้ ปัญญาไม่ถึง ก็บอกว่ามันอวดดี อวดตัวเองเป็นผู้รู้ รู้เอง บอกว่าชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ รู้เอง มันก็เป็นพระพุทธเจ้าสิ อาตมาไม่เคยไปหลงผิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าสักครั้งเลย 

คนไม่รู้ที่มาบอกว่าอาตมาพูดหมายอันนั้น อาตมาไม่ได้หมาย อาตมาก็คือพระโพธิสัตว์ ก็บอกตัวเองว่าระดับ 7 จะมีภูมิไปถึงระดับ 8 ซึ่งพวกคุณก็พอเข้าใจระดับ 8 ต่อไป ซึ่งอาตมาจะเป็นระดับ 8 จริงขึ้นไปแล้วแค่ไหนอย่างไร อาตมาไม่ต้องไปอวดพวกคุณก็ได้ ถ้าหากอาตมามีภูมินั้นจริงมันก็เป็นจริง แล้วอาตมาก็ไม่จำเป็นต้องไปอวดศักดาตัวเอง อวดแค่นี้ ที่ อาตมาบอกว่าอาตมาไม่ได้อวดอาตมาบอกความจริง นี่ก็เป็นภาษาซ้อน มันอวดความจริง โม้อยู่ว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่เป็นชั้นสูง สูงอย่างนั้นสูงอย่างนี้ ก็มาฟังอาตมาพูดสิว่าอาตมาพูดความสูงหรือเปล่า พวกคุณนี่ อ้าว เดี๋ยว อ่าน SMS 

 

SMS วันที่ 22-23 ก.พ. 2566

_1945 : ชอบเครื่องแบบชาวอโศก ผ้กผลไม้ที่อโศกน่ากินทุกอย่าง เพราะเป็นของไร้พิษมีคุณภาพ

พ่อครูว่า... นี่เราก็โชว์แล้วโชว์อีก จะว่าอวดก็อวดเพราะน่าอวด อวดทุกวัน มีของดีอวด ใครไม่มีดีอวดสู้เราไม่ได้ สู้เราไม่ได้ในข้อนี้ ก็คงจะไม่มีใครสู้เราได้ในข้อนี้ ในหลวงท่านก็เคยตรัสไว้ อันนี้ก็จริง 

_สุรัตนา น้อยศรี  · พ่อครูต้องมีอายุยาวกว่าร้อยปีนะคะ

พ่อครูว่า... I hope So 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · กราบนมัสการท่านฟ้าไทและสิกขามาตุกล้าข้ามฝัน สอนใจเรื่องทุกข์การกินอาหารที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลาย ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดแล้วคะ

พ่อครูว่า... เอาไปปฏิบัติให้มันได้ผลกัน 

_จรรยา ประเสริฐ  · เมื่อก่อนไม่เชื่อค่ะ เรื่องลุงไม้ร่ม เดี๋ยวนี้ฟังธรรมพ่อไปบ่อย ๆ เข้าใจ และมองอย่างเข้าใจว่า ลุงมาเป็นคู่บารมีพ่อ สร้างธรรมชาติด้วยมือ เข้าใจที่พ่อเทศน์ค่ะ

พ่อครูว่า... ไม่ขยายความต่อ เดี๋ยวไม่ร่มเขาจะหลงระเริง เขาก็ทำหน้าที่ไป 

 

คนมีภูมิปัญญาจึงมองเห็นสิ่งวิเศษที่พ่อครูทำ

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... คนเขายกยอยกย่องอาตมาไม่ได้มีความอยากได้ อันนี้ถ้าใครเห็นว่า อาตมานี้พยายามแสดงออก เป็นการประเล้าประโลม พูดคำหวานให้คนมาหลงยกยอยกย่องหรือว่าอาตมาพูดไม่แคร์ อาตมานี่ไม่แคร์ใครจะยกย่องใครจะนับถือ หรือว่าต้องระวัง กลัวคนจะไม่เคารพ กลัวคนจะไม่นับถือ กลัวคนจะต้องมา.. 

อาตมาว่าอาตมาไม่มีสิ่งเหล่านี้ อาตมามั่นใจว่าในความจริงที่จะอาศัยภาษาอาศัยกิริยาทางกาย ทางวาจาออกไป ภาษาก็ดี กิริยาวาจาแสดงออกก็ดี มันเป็นเครื่องส่อ มันเป็นเครื่องบอกความจริง ผู้มีดวงตาจะมองทะลุ ผู้มีปัญญาจะมองทะลุ อย่างนี้ท่านไม่แคร์ ไม่แคร์กิริยากายวาจาที่แสดงออกว่าคนจะลบหลู่ ส่วนคนที่แคร์นั้นคือคนที่กลัวเสียมาด กลัวคนจะถือว่าผิด กลัวคนจะถือว่าไม่สุภาพไม่เรียบร้อย อาตมาว่ามีสิ่งที่ดีคือความจริงนี้อยู่ในกิริยา อยู่ในภาษา อยู่ในจิตวิญญาณ ความจริงที่อาตมามี ซึ่งเป็นสิ่งวิเศษ 

เพราะฉะนั้นคนที่มีดวงตา มีปัญญา จะรู้ว่านี่คือความจริง มองผ่านกิริยากายมองผ่านกิริยาวาจาทะลุเข้ามาได้ นั่นคือผู้ที่ได้รับคัดเลือก มาแสดงออก มาอยู่อย่างนี้เลยอย่างพวกคุณ หรือผู้ที่ยังไม่มาก็อยู่ล้อมนี่ มีทั่วในประเทศไทย แม้ไม่มาแสดงตัวเป็นชาวอโศก แต่ก็เปิดจิต เข้าใจ ก็มีอีกไม่น้อย ไม่มีใครไปสำรวจ ไม่มีใครไปทำสถิติเอาเท่านั้น นับวันจะมีมากยิ่งขึ้นเพราะว่าความจริงคือความจริง 

คนที่แสวงหา คนที่พยายาม จะรู้จักความจริงโดยเฉพาะความจริงของพระพุทธเจ้า ความจริงของสัจธรรมที่เป็นโลกุตระ เมื่อเกิดปฏิภาณปัญญา เขาจะรู้ว่าจริง เพราะฉะนั้นอาตมานี่ก็อยู่กับความจริง ผู้คนที่จะมาเห็นดีเห็นค่าของอาตมา เห็นค่าของธรรมะ ไม่ใช่ค่าคือตัวรูปร่างตัวตน อาตมาก็ไม่ได้หล่อจนเกิน หรือไม่ได้มีรูปร่างหน้าตากิริยาท่าทางอะไรชวนให้มาน่าสนใจเท่าไรหรอก แต่ธรรมะ อาตมาแสดงธรรมะนี่แหละ เขาจะสนใจธรรมะ แล้วคนที่มีดวงตาอันนั้นก็จะได้ เขาจะคัดเลือกได้เลย 

_สว่างแสง(ต่อ) ณ.วันนี้ลูกเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาสอนนี้ สามารถนำมาแก้ ปัญหาตั้งแต่ระดับครอบครัวถึงสังคมได้อย่างเด็ดขาด ไฉนทางฝ่ายเถรสมาคมจึงไม่ออกมาสนับสนุน ทำไมจึงไม่เห็นแก่พระพุทธศาสนา ประชาชน ประเทศชาติ

น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาสอนตั้งแต่ครอบครัวจนถึงสังคมประเทศชาติ ถึงขั้นโลกเลยจะว่าไปแล้ว เพราะว่ามันเป็นของพระพุทธเจ้า 

เถรสมาคมไม่ออกมาสนับสนุน พูดตรงนี้ยื่นดาบมาให้อาตมา อาตมาก็จะขอดาบหรือหอก ขอแทงด้วยหอกต่อไปนี้ 

เถรสมาคม ไฉนหรือทำไม ฝ่ายเถรสมาคมจึงไม่ออกมาสนับสนุน แล้วคุณสว่างแสงก็พูดต่อว่า ทำไมจึงไม่เห็นแก่พระศาสนา อาตมาบังคับเถรสมาคมไม่ได้ ก็ท่านไม่เห็นของท่านเอง ใช่ไหม อาตมาจะไปบังคับให้ท่านเห็นได้อย่างไร ไอ้ที่ไม่เห็นคือมันบอดหรือมันสว่าง ...บอด ก็ท่านบอดอยู่ เถรสมาคม ท่านกำลังบอดอยู่ นี่อาตมากำลังแสดงภาษาวิชาการความรู้ศาสตร์โดยเฉพาะศาสนาพุทธนะ ไม่ได้ไปด่าไปว่าอะไรหรอก สิ่งที่มันจะต้องข่ม พูดออกมามันก็ต้องข่ม สิ่งที่มันยกพูดออกมาควรยกมันก็เป็นการยก มันเป็นธรรมชาติของมัน 

เพราะฉะนั้นเถรสมาคมไม่ออกมาสนับสนุน อย่าว่าแต่ออกสนับสนุนเลย เขาจะเอาอาตมาตาย พูดไปหลายทีหลายครั้ง ย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ที ไม่ใช่สนับสนุน เขาจะเอาตาย แต่เขาเอาอาตมาตายไม่ได้ อาตมาก็พึ่งพาอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า  ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย นาทีที่ 55.26) 

สมณะฟ้าไท... เค้าถามว่าพ่อครูเอาอะไรมาแสดง เอาความจริงมาแสดง ไม่มีตัวหลอก ใครอยากได้ก็เอาไปปฏิบัติต่อเหมือนพวกเรา แล้วแต่มาบวชแล้วพ่อครูจะบอกว่ามาตายนะ มาตายจริงๆให้หมดเนื้อหมดตัวไปเลย 

พ่อครูว่า... กิเลสตาย กิเลสตายระดับหนึ่งก็เป็นพระโสดาบัน กิเลสตายเพิ่มขึ้นเป็นขั้นที่ 2 เป็นพระสกิทาคา กิเลสตายระดับ 3 เป็นพระอนาคามี กิเลสตายระดับ 4 ก็เป็นพระอรหันต์ 

อันนี้เรื่องจริงพิสูจน์ได้ แม้ทุกวันนี้อาตมาก็ยืนยันว่าพวกเรามีอาริยบุคคล 4 มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

เถรสมาคมเขาไม่เชื่อหรอก ประชาชนที่ไปนับถือเถรสมาคม มีความรู้แบบเถรสมาคม เขาก็ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่เชื่อเหมือนเถรสมาคม มีคนดวงตาดีคือพวกคุณ เข้าใจแล้วพากเพียรมาปฏิบัติ คนที่ได้จริงๆแล้ว บรรลุธรรมจริงๆแล้ว อย่างน้อยโสดาบันเข้ามา ไม่บรรลุธรรมจริงๆไม่เข้ามาหรอก อย่างเก๊ที่สุดก็รู้ว่าควรเข้ามาแต่มันเข้ามาไม่ได้ เขาก็ไม่เข้ามา จรไปจรมา สัมพันธ์อย่างสนิทใจ เชื่อถือเคารพนับถือจริงๆแต่ว่าเขาเข้ามาไม่ได้ อันนี้เป็นวิบากของคน มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาจริงๆ 

คนที่เข้ามาได้ก็เข้ามาให้มาก จะมีอะไรติดยึดข้างนอกอยู่ ก็ไปน้อยลง ๆน้อยลงไป จนปลดวางได้ปลงได้ก็เข้ามาอยู่ได้ เข้ามาอยู่รวม เข้ามา

เข้ามาอยู่รวมอยู่ในนี้ได้ มันแสดงออกถึง 1. ไม่อนาคามีก็อรหันต์ นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ มันซ้อน อยู่ในความเป็นจริงว่า อนาคามีขั้นไหน อรหันต์ขั้นไหน หรือ โสดาบันขั้นไหน สกิทาคามีขั้นไหน อาตมากำลังอธิบายอย่างพิสดาร อย่างละเอียด 

เช่น โสดาบันในยุคพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่าโสดาบันพวกคุณ เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนนี้เป็นพระโสดาบัน ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์ไม่นานหรอก แต่โสดาบันพวกคุณนี่หลายคนชาตินี้ก็คงจะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ อาจจะเป็นโสดาบัน สัตตขัตตุปรมโสดา เกิดอีก 7 ชาติก็จะได้เป็น หรือเป็นสกิทาฯ เป็นโสดาฯในระดับสกิทาฯ ก็เป็นโสดาฯ ที่อยู่ในโกลังโกละ อาจจะ 6 ชาติไม่ใช่ 7, 6 ชาติที่จะบรรลุ อาจจะ 5 ชาติ 4 ชาติ 3 ชาติ อาจจะ 2 ชาติ 

ถ้า 1 ชาติท่านเรียกว่า เอกพีชี เกิดมา 1 ชาติ เอกพีชี แตกต่างจากสกทาคามีอย่างไร 

สกิทาคามีท่านก็แปลว่า ผู้จะเกิดอีกหนเดียวก็บรรลุอรหันต์ เอกพีชี ก็คือผู้ที่เกิดหนเดียวบรรลุอรหันต์เหมือนกันเป็นโสดาฯเอกพีชี นี่แหละเข้าใจยาก 

หมายความว่าเป็นผู้ที่เพียร 

 เป็นผู้ที่สามารถพาสชั้น ลัด ตัดชาติ แทนที่จะเป็น โกลังโกละ 6 ชาติ 5 ชาติ 4 ชาติ 3 ชาติ 2ชาติที่จะบรรลุแต่ท่านพาสชั้น พรึ่บ เอกพีชี ชาติเดียวบรรลุอรหันต์เลยเป็นสมรรถภาพของพระโสดาบัน ผู้เอกพีชี ผู้น้ัน บรรลุได้ อย่างนี้เป็นต้น 

ส่วนสกิทาคามีต้องเกิดจริงๆไม่ใช่บรรลุในชาตินั้น สกิทาคามีต้องไปเป็นตามลำดับ ต่างกันตรงนี้

เป็นนัยยะสำคัญของธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาหยิบมาให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ พวกเราอยู่ในฐานที่ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติได้เป็นลำดับ

 เพราะพวกเราเข้าใจ กาย โดยเฉพาะเข้าใจกายอย่างพ้น วิจิกิจฉา เป็นสังโยชน์ข้อที่ 2 แล้วก็พามาปฏิบัติศีลพรต บรรลุพ้นจาก สีลัพพตุปาทาน พวกเรา มาอยู่ในฐาน สีลัพตปรามาส 

สีลพตุปาทาน คือยึดถือ ศีลพรต ข้อปฏิบัติ ตามจารีตประเพณี ตามที่เขายึดถือกัน ซึ่งมันผิดเพี้ยนแล้ว มันไม่พาบรรลุแล้ว แต่ก็ทำกัน วันนี้วันพระแล้วไปทำบุญกัน ไปทำทาน ไปบริจาค ไปรับใช้ขนทรายเข้าวัด อะไรต่ออะไรไป ก็ทำไปตามจารีต ดีไม่ดี เป็นไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชาเละเทะไปหมด เป็นจารีตประเพณี เป็นข้อปฏิบัติที่เลอะเทอะบานปลายออกไป เยอะ ทุกวันนี้ 

ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเห็นศาสนาพุทธของท่าน ท่านบอกว่าตายๆๆ เอาวิธีการเละเทะขนาดนี้มาใส่ศาสนาพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วถือเป็นจารีตประเพณี อันดีงามว่าอย่างนั้น อันแสนทรามอันแสนไร้ค่าไร้สาระ มันทำลาย ศาสนาด้วย เพราะมันผิด มันไปเอาไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา เอาความเละเทะมา ปรุงแต่งเป็นอะไรต่ออะไร 

ยกตัวอย่างอย่างเละๆเทะๆก็ ไม่ต้องพูดพวกคุณก็เห็นแล้ว มากมาย นับว่าเป็นพิธีการ เป็นจารีตประเพณี ซึ่งอาตมา หลายคำไม่กล้าพูด Understood ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 

 

คนจนโลกุตระ วรรณะ9 จึงทำให้เกิดสังคมสาราณียธรรม 6

เรา มีจารีตประเพณีน้อย ต่างกันกับจารีตประเพณีของสังคมพุทธ ต่างกันมาก ต่างกันจนกระทั่งเรามาอยู่ที่ไหน ชุมชนชาวอโศก คนข้างนอกเขาเข้ามาไม่ได้ เขาเองเขารู้สึก ว่ามันข้ามเขตอันหนึ่ง เขตโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นไม่ได้ห้ามเขานะ อาตมาไม่ได้ห้ามเขานะ อยากให้เข้ามาด้วย อาตมาอยากให้เขามาฟังธรรมไหม(ถาม)..(พวกเราตอบ).. อยาก เขาไม่กล้ามาเข้ามา เขาก็ไม่รู้เรื่อง มันถิ่นนี้แดนนี้ มันมีจารีตประเพณีอย่างนี้มันใช่พุทธหรือเปล่า ทำไมมันแปลก 

แต่คนที่พอมีปฏิภาณปัญญาก็จะบอกว่ามันไม่เลวนะ มันดีนะ อย่างชาวอโศกอยู่ที่ไหน คนมา คนที่กล้าเข้ามา มาทำงานด้วย จนกระทั่งมารับจ้าง อาตมาก็พยายามเปิดทางที่เพื่อจะให้คนเข้ามา อย่างราชธานี เดี๋ยวนี้งานน้อยลงแต่ก็ยังมีเยอะอยู่ ทำงานวันๆหนึ่งเฉลี่ยแล้ว เคยมีคนทำบัญชีการเงินเขาเคยคิด ว่ามันตกวันหนึ่งเดือนหนึ่งเท่าไหร่ ของราชธานีเอง ของสันติเอง ของที่ไหนๆ ชุมชน จะมีชุมชนที่คนข้างนอกเขามาทำงานด้วยไม่มากนัก คือถิ่นที่เขาไม่ได้สร้าง ไม่ได้ก่ออะไรมาก คนชาวอโศกเองทำงานเอง อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง 

แต่อย่างปฐมอโศกมีน้อยลง แต่ก็ยังมีคนข้างนอกมาทำงานอยู่บ้าง มาเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ได้จรเหมือนกับบางที่บางแห่งอยู่เป็นหลัก ทำเป็นหลักกันไปเลยประจำเดือนอย่างปฐมอโศกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงมีความเที่ยงในเรื่องของรายรับรายจ่าย มีความเสถียรในเรื่องงานการที่มันเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เป็นชุมชนแรก ชุมชนที่ตั้งมั่นในด้านเศรษฐกิจ ก็เลี้ยงๆน้องๆ บ้านราชนี้ แต่ก่อนเขาส่งให้เดือนละล้าน ล้านกว่า เดี๋ยวนี้เขาไปซื้อที่เพิ่มก็เลยของด บ้านราช ก็เลยต้องพากเพียรเองช่วยตัวเองให้รอดนะ พี่ๆเขาไม่ได้อุ้มไว้อย่างนี้เป็นต้น ก็ว่ากันไป เราก็ทำไปเรื่อยๆได้ 

แล้วที่เราทำแล้วมันก็เป็นเช่นนี้ มันเป็นว่าพวกเราในลักษณะหรือในระบบ ของสาธารณโภคี พวกเราเลยกลายเป็นกลุ่มมนุษย์ที่ไม่มีหนี้ อาตมาให้เขาปริ้น ว่าประเทศไหนไม่มีหนี้บ้าง มีอยู่ 2 ประเทศที่ไม่มีหนี้ใน 209 ประเทศทั่วโลก 

208

Liechtenstein

ไลเคนสไตน์

0.00

2001[195]

0.00

0.00

209

Niue (New Zealand) นีอูเอ 

0.00

27 October 2016[196]

0.00

0.00

อันนี้ก็ไม่ชัดเหมือนกัน เขาบอกว่ารายได้ต่อหัวเป็น 0 เขาไม่มีรายได้เป็นอยู่อย่างไร รายได้ต่อหัว คงจะไม่มีข้อมูล

หรือแม้แต่ประเทศบรูไน พลเมืองเขาไม่ถึงล้าน แต่รายได้จากน้ำมัน โอ้โห มหาศาลเลย ยังมีหนี้อยู่ตั้ง

186

Brunei

340 million

2017[174]

27,200

2.80

ประเทศภูฏานมีหนี้น้อยกว่า 

สรุปแล้วอาตมาอยากจะพูดตรงนี้ ไม่มีประเทศไหนในโลกไม่มีหนี้ 

หนี้คืออะไร คนที่กู้หนี้ได้มากๆเขาถือว่ามีเครดิตดี มันซ้อนลึกอยู่ตรงที่ว่า จะอธิบายไปถึงคำว่า คนจน คนไม่มีหนี้กับคนจน หรือคนมีหนี้กับคนจน 

ชาวอโศกนี่เป็นคนจน เป็นคนจนที่ไม่มีหนี้ ส่วนนอกเขาข้างนอกเขานี่เป็นคนจนที่มีหนี้ และยังแยกได้ละเอียดอีกว่า คนจนที่ไม่มีหนี้ เพราะว่าเป็นคนจนที่เขาไม่มีใครให้กู้ ไม่มีเครดิตเลย ก็เลยต้องจน 

กับ 

คนที่จน เพราะเต็มใจจน ตั้งใจจน เข้าใจความจน แล้วทำความจนให้แก่ตนสำเร็จนั้น...ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่ อิสระ สบาย สงบ อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

คนจนอะไรไปเพิ่มพูนการเสียสละ มันเป็นภาษานะแต่ลักษณะจริงมันมีไหม? ...มี ใครเอ่ย? ชาวอโศก คนอะไรทำไมประหลาดนัก มันเป็นความประหลาดเป็นความลึกซึ้งไม่ใช่ลึกลับ เพราะว่าเอามาพิสูจน์ได้ เอามาปฏิบัติ เอามาประพฤติได้ 

จนกลายเป็นหมู่สังคมชุมชน เป็นบุคคลที่มีความเป็นอยู่ร่วมกัน มีจารีตประเพณีมีพฤติการณ์พฤติกรรม อยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 นี่คือหลักฐานเอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้นไม่ได้ออกนอกรีตนอกราว พิสูจน์โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุจริง จึงเกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 ได้ 

คืออยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์มีรายได้ร่วม ได้รายได้ได้ผลผลิตก็เอามารวมกันกินกันใช้ร่วมกันลาภธัมมิกา  เรียกว่า สาธารณโภคี ในยุคพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ในวงสงฆ์ ในยุคโน้น พระสงฆ์ไปทำกสิกรรมไม่ได้ก็เลยพิสูจน์ความสมบูรณ์แบบไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิ ยังเป็นยุคทาส เป็นยุคที่ยังไม่มีใครเข้าใจเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนยังมีไม่ได้ มีแต่นายทาสลูกทาสอะไรอย่างนี้ มันเป็นข้อจำกัดที่ อาตมาก็พูดไปหมดแล้วเคยอธิบายไปแล้ว 

แต่ยุคนี้ไม่มีแล้วทาส ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย ทุกคนรู้จักสิทธิมนุษยชนเต็มที่ อิสระบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นจึงทำได้หมด ไม่ใช่อาตมาทำเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ มันมีข้อจำกัดจริงๆ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่แล้วมันทำได้ไม่ใช่เก่ง แต่มันทำได้เพราะมันหมดข้อจำกัด มันไม่มีข้อจำกัดอย่างยุคพระพุทธเจ้าแล้ว มันเป็นยุคอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ 

เพราะฉะนั้น พวกเราจึงมาเป็นพวกที่มีอิสรเสรีภาพเต็มที่ แล้วก็เข้ามารวมกันเป็นภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ เป็นพี่เป็นน้องเลยยิ่งกว่ากงสีของชาวจีน กงสีของชาวจีนเขายังมีการแบ่งทรัพย์ออกไปได้ แต่ของเราไม่มีใครแบ่งกองกลางออกไปเลยยิ่งกว่ากงสี แล้วก็ฝากผีฝากไข้ยิ่งกว่าญาติพี่น้องสายเลือด ฝากผีฝากไข้ได้ เจ็บป่วยก็ดูแลรักษากัน ตายก็ช่วยกันจัดการให้เรียบร้อยตามจารีตประเพณีที่ดี อะไรต่างๆพวกนี้ 

ซึ่งเป็นการพิสูจน์เรื่องมนุษย์และสังคมได้สมบูรณ์แบบจริงๆ สักวันหนึ่ง นักวิชาการทั้งหลายแหล่จะมาเห็น เสียดายแต่ชาวพุทธเถรสมาคมที่ยังตาบอดอยู่ อาตมาว่าคนต่างประเทศที่เขาพยายามแสวงหา เขาจะมาเห็นก่อนนะ จะมาเห็นก่อนชาวพุทธหรือว่าเห็นก่อนเถรสมาคม ว่าอย่างนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ชาวอโศกนี้นำมาสถาปนาลงไปในสังคมยุคนี้ มีจริงเป็นจริง เป็นโลกุตรธรรม 

สาราณียธรรม 6 นี่ เป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่เอาปากเปล่า เอาพยัญชนะมาอ้างเฉยๆ พวกเรามีพฤติกรรมจริง มีทั้งกายทั้งจิต ที่บรรลุมรรคผลของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า มาเป็นจริง 

คนมีภูมิธรรม มีภูมิปัญญาเข้าใจ มองออกเข้าใจได้ แม้แต่ในหมู่เถรสมาคมหรือประชาชนทั่วไปที่เขาเข้าใจได้ แต่เขายังมีภาระ ยังมีวิบากเข้ามาไม่ได้ก็เข้ามาสัมพันธ์บ้าง คอยตามศึกษาตามประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่มันยากที่จะเข้าใจ มันมีจำนวนที่สัจจะจะคัดเลือกสัจจะ สัจจะจะคัดเลือกสัจจะ มันจึงได้มีจำนวนของสัจจะความจริงที่บอกว่ามันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

ก็จะได้ว่าอย่างนี้เป็นความสงบโลกุตระ ส่วนความสงบโลกียะเขาก็หยาบๆไปไม่เข้าใจความจริง สงบอย่างที่ภาษาทางโลกเขาเรียกกันทั่วไปว่าสันติภาพ พวกเรามีภราดรภาพ พวกเรามีสันติภาพ อิสรเสรีภาพ พวกคุณนี่มาโดยไม่มีใครไปบังคับ ไม่มีใครไปล่อลวง ไม่มีใครไปหว่านล้อมมา คุณมากันเอง มากันอย่างมีปัญญารู้ 

แล้วก็มากันอย่างเป็นภราดรภาพ แล้วก็มาอยู่กันอย่างสันติภาพ จากนั้นก็สร้างสมรรถภาพ สร้างบูรณภาพกันไป ทุกคนก็มาเป็นคน สุโปสะ บำรุงง่ายพัฒนาง่ายเจริญไปเป็นคนขยัน เป็นคนมีวรรณะ 9  เป็นคนยอดขยัน เป็นคนไม่สะสม ไล่มาตั้งแต่ยอด วิริยารัมภะ อปจยะ ธูตะ สัลเลขะ สันตุฏฐิ อัปปิจฉะ น้อยก็พอ 0ก็พอ น้อยจนไปถึงหลัก0 น้อยที่สุดก็คือ 0 เป็นคนพอ ใจพอและมักน้อยสูงสุด เรียกว่าเป็นคนอัปปิจฉะ จึงเป็นคนที่มาพัฒนา อาตมาสอนทุกวันนี้เป็นหลักสูตรที่สูงมาก ที่สอนพวกเรา เป็นหลักสูตรโลกุตระ ผู้มาเรียนก็เรียนได้ ได้รู้จักและมีจริง พัฒนากันไปเรียกว่า สุโปสะ และก็อยู่กันอย่างง่ายมาก สุภระ เลี้ยงง่ายอยู่ง่ายอยู่กันง่ายไม่ยาก 

สังคมต้องการคนชนิดอย่างนี้ มีวรรณะ 9 แล้วก็ได้เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 นี่เป็นสุดยอดของพระพุทธเจ้าแล้วที่อาตมาหยิบมายืนยันความจริง ว่าธรรมะพระพุทธเจ้ายุคนี้ก็เอาของพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้และปฏิบัติบรรลุได้แม้ยุคนี้ 

คนข้างนอกเขาไม่เข้าใจไม่มีภูมิพอ เขาไม่เชื่อ ก็บังคับกันไม่ได้ เขาไม่เชื่อ แต่พวกเราเป็นจริงไหม? เป็นจริง เป็นจริงนี่อย่างว่าหลงตัว โมเม หรือเปล่า ...ไม่

ใครตัดสินหนอ ตัวเองตัดสิน พระพุทธเจ้าไม่อยู่ เขาไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาตัดสิน อาตมาตัดสินให้ว่าใช่ เขาก็ไม่เชื่ออาตมา เพราะอาตมาไม่ได้เป็นคนที่ทำตนให้น่าเชื่อ จริงๆ อาตมาไม่ได้ไปทำตนปะเหลาะให้คนเป็นคนที่น่าเชื่อ คนที่ไปทำตนให้เป็นคนปะเหลาะให้คนเขาเชื่อ นั่นคือพวก ดรามาติก เป็นพวกดัดจริต เป็นพวกทำเท่วางมาด อาตมาไม่มีมาดมีแต่ความบริสุทธิ์ใจ มีแต่ความจริงใจ มีสิ่งที่ มีแต่ความจริง เทกระบะออกมามีแต่ความจริง ๆ คนอะไร คนอย่างนี้ก็มีด้วย มีแต่ความจริง 

ธรรมะพระพุทธเจ้าสรุปยอดมาที่ศีล สมาธิ ปัญญา 

 

จะไปอยู่สันติอโศกได้ต้องทำอย่างไร

_จันทกานต์ เหล่าเจริญ  · กราบนมัสการค่ะอยากถามว่า จะไปอยู่ที่สันติทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า... มาแต่ตัวกับหัวใจ มาเลย คุณพร้อมจะมาอยู่ไหม เขามีหลักเกณฑ์พื้นฐานง่ายๆเท่านั้นคือ  1.ไม่มีอบายมุขมา 2.ไม่กินเนื้อสัตว์ 3. ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ นี่คือหลักเกณฑ์พื้นฐาน ของคนที่จะมาอยู่ในชุมชนชาวอโศก 3 หลักนี้คุณทำได้ไหม ทำได้คุณมาเลยมีแต่ตัวกับหัวใจมาได้ ได้เลย หรือคุณจะมีอะไรที่จะต้องอาศัย คุณจะพกพามา เป็นเครื่องอาศัยใช้สอยของคุณ คุณก็ของคุณ ไม่มีใครเขาไปไอ้นั่นคุณ ไม่ระแคะระคายคุณหรอกเป็นส่วนตัวของคุณ มาเลย ง่ายไม่ยากหรอกพวกเรา เอาใจจริงใจสู้ ถ้ามีใจจริงใจสู้แล้วก็มาได้ 

 

วางใจอย่างไรกับลูกที่ไม่ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า

_จาก สินทวีสอร์ท ...ดิฉันมีเพื่อนที่โหยหาความรักความเอื้ออาทรจากลูกไม่สร่างซา เรื่องมีว่า เพื่อนดิฉันอายุ 70 ปีอัพมีลูกสาว 2 คนซึ่งต่างคนต่างก็มีครอบครัวและแยกบ้านออกไปแล้วทั้งคู่ ทุกวันนี้เพื่อนอยู่บ้านคนเดียว เขาเป็นโรคร้าย หลังการให้คีโมและฉายแสงก็จะต้องไปพบหมอตามนัด 

สิ่งที่เป็นตัวกวนเขาอยู่เป็นระยะๆก็คือ ความดันโลหิตสูง ทำให้เขาทรงตัวไม่ได้ จึงโทร.ให้ลูกมาอยู่เป็นเพื่อน รุ่งขึ้นความดันลดลงแต่ยังคงมึนศีรษะอยู่ ลูกก็รีบกลับบ้านเลย ทำให้เพื่อนรู้สึกเป็นทุกข์มาก ขอความกรุณาพ่อครูบอกวิธีการวางจิตวางใจให้กับเพื่อนของดิฉันด้วยคะ กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... ดีนะ มีปัญหาลำบากลำบนก็มาบอกให้อาตมาช่วยคลายทุกข์ รายการนี้รายการอะไร ปรับทุกข์ปลุกธรรม ไม่ใช่ เป็นพุทธศาสนาตามภูมิ ไม่เป็นไรก็คลายทุกข์ให้ ปรับทุกข์ก็คลายทุกข์ให้บ้าง 

อาตมาเคยอธิบายมาจนครบแล้วว่า คนเรานี่ จะพูดลงท้ายก็คือมันมีวิบาก วิบากของคนเป็นอจินไตยกรรมวิบาก 

มีลูก แน่นอนลูกมันก็มีครอบครัว เขาก็ไปรับผิดชอบครอบครัวของเขา มันเป็นสัจธรรมแต่ไหนแต่ไรเลย พ่อแม่ ถ้ามีวิบากไม่ดี ลูกเต้าไม่เลี้ยง ปล่อยทิ้งขว้างเลยจริงๆ มันก็มีจริงๆ ทีนี้คุณก็ระลึกชาติไม่ได้ คุณก็ไม่รู้ว่าคุณทำกรรมทำวิบากอะไรมา อาตมาก็ต้องอธิบายความจริงอย่างนี้ให้ฟัง ก็ถือซะว่าเราเองเรามีกรรมวิบาก ถ้าคุณไม่แสดงออก คนเขาก็ไม่รู้ไม่เห็น คุณก็รับอยู่คนเดียว ก็รับไปเถอะ เพราะที่จบอาตมาก็ไม่รู้จะไปลงที่ไหน นอกจากจะไปเหมาให้แก่กรรมวิบาก โดยสัจจะไม่ว่า โดยเฉพาะชาวอโศกหรือชาวเอเชีย ลูกหลานต้องเลี้ยงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย แต่ทางเทวนิยมนั้นเขาใจดำอำมหิต ไม่มีการเลี้ยงดูเชื้อสายญาติโกโยติกา 

อย่าง American จารีตประเพณี ลูกอายุ 17 ออกไปเลี้ยงตัวเอง พ่อแม่ก็ว่าของตัวเองไป เสร็จแล้วก็เหลือ 2 ผู้เฒ่า มีเงินเหลือก็ไปเที่ยวไม่เกี่ยวกันเลยกับลูกจะเป็นจะตาย อย่างนั้นกันเลยวัฒนธรรมของเขา เพราะฉะนั้นพวกนี้มาเจอเมืองไทย เห็นลูกประคองทวด ประคองปู่ตายาย มันหนุงหนิงดูแลกัน เขาน้ำตาไหล เขาไม่เคยเห็นคนพวกนี้ จารีตประเพณีอย่างนี้เขาไม่เคยเห็น มันมามีทางเอเชีย เพราะทางเทวนิยมทางยุโรปทางอเมริกา มันเป็นเรื่องจิตใจดำ แม้แต่สายเลือด มันก็ไม่ดูแลกัน ตัวใครตัวมัน เห็นไหม 

นี่คือรากฐานของจิตวิญญาณ ที่มีจิตวิญญาณมีความรู้ มีความเข้าใจถึงสัจธรรม 

ถ้าเผื่อว่าตระกูลไม่เลี้ยงกันมันก็เป็นภาระแก่สังคม หนักเข้าก็เป็นภาระรัฐบาล วัฒนธรรมจารีตประเพณีแบบนั้นรัฐบาลหนัก แต่อย่างเอเชียอย่างพุทธ แบ่งเบากัน ครอบครัวก็ช่วยรัฐบาล รัฐบาลก็ช่วยครอบครัว มันจะเป็นการบริหารเป็นอยู่สังคมที่ดีกว่าลัทธิจารีตประเพณีวัฒนธรรมแบบตะวันตกแบบอเมริกา นี่ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ มันเป็นสัจจะอย่างนั้น 

ที่ถามมาอาตมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ต้องให้คุณปลงว่าเป็นวิบากของเรานะ 

อาตมาว่าคุณก็ลองค่อยๆพูดจากับลูกหลาน ส่งข่าวส่งข่าวว่า แม่เป็นอย่างนี้นะ มาช่วยแม่หน่อยได้ไหม พูดได้เท่าไหร่ก็ อย่าไปสร้างความหวังเอาไว้ในใจ ว่าลูกจะมา เขามาก็พอดีใจเท่านั้น ตั้งความหวังไว้แค่นั้นก็น่าจะสบายใจ นอกนั้นแล้วอาตมาก็ต้องไปลงกับคำว่า กรรมวิบากของคุณ อาตมาไม่มีที่ลงจริงๆก็ต้องเหมาไปให้ตรงนี้ 

แล้วก็พยายามพิจารณาความจริงให้ได้ว่าคนเราเกิดแก่เจ็บตาย เพราะฉะนั้นก็อย่าไปให้มันมาก อย่าไปหลงตนว่าเราอยากอยู่ แต่เราเจ็บป่วยอย่างนั้นอย่างนี้ รับเอา ๆ ให้เห็นทุกข์ของการเกิดมามีชีวิต มันเป็นทุกข์อริยสัจจริงๆ มันเกิดมามันต้องมีทุกข์อย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงมาสอนเรื่องบอกว่า ให้เข้าใจความจริงว่าเกิดแก่เจ็บตาย ให้เกิดปัญญารู้จริงเป็นอรหันต์แล้ว มันไม่กลัวเกิดแก่เจ็บตาย เป็นอนาคามีมันก็ไม่กลัวเท่าไหร่แล้ว เพราะมันรู้ที่ไป มันมีสุทธาวาส ถ้าเป็นโสดาบัน  สกิทาคามิก็จะมีบ้างแต่ลดลง ลดลงตามภูมิธรรม มันก็จะไม่กังวลห่วงตายห่วงเกิดอะไร แล้วมันจะเข้าใจความเกิดความตาย 

ศาสนาเทวนิยมไม่รู้การเวียนตายเวียนเกิด ไม่เชื่อคำว่าวิบาก  ไม่เชื่อ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  ไม่เชื่อกรรมของตนแล้วตนเองต้องรับมรดกกรรมของตนเอง ไม่ใช่มาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย คุณทำดีเป็นของคุณ คุณทำชั่วเป็นของคุณ ทายาท คุณรับกรรมวิบากดีชั่วของคุณ เอาไปแบ่งให้พ่อแม่ไม่ได้ เอาไปแบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ แล้วก็กรรมวิบากของคุณนี่แหละพาคุณเกิดคุณเป็น กัมมโยนิ มันตกเป็นพันธุ์ เป็นตระกูล เป็น DNA ของคุณเลย กรรมพันธุ์ 

จริงๆกรรมพันธุ์ตัวนี้เป็นถึงขั้นนามธรรมนะ ไม่ใช่แค่วัตถุธรรม ตายแล้วมันก็จะไปเป็นเผ่าพันธุ์เป็นนามธรรมไปต่อ ไม่ใช่แค่ DNA ซึ่ง DNA คุณเปลี่ยนไปตาม กัมมโยนิ กัมมัสกะของคุณ ที่คุณจะทำใหม่เปลี่ยนใหม่เป็นโลกุตระของคุณจนมีทิศทางที่จะเลิกเกิด เลิกเป็นเลิกมี หรือแม้แต่จะยังเกิดยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ รู้จักสุขรู้จักทุกอย่างดี รู้จักดีรู้จักชั่วที่เป็นสมมุติสัจจะ แล้วก็รู้สุขรู้ทุกข์ที่มันเป็นปรมัตถสัจจะ ที่จะอยู่กับมันอย่างสบาย 

อย่างพวกเราเพราะเราเข้าใจสัจจะพวกนั้น อาตมาไม่ต้องไปลงรายละเอียด พวกคุณมีความรู้ไปตามภูมิของแต่ละคน จนถึงขั้นคุณมาอยู่อย่างนี้ มาเป็นคนที่มีวรรณะ 9 มาอยู่อย่าง สาราณียธรรม มาอยู่อย่างนี้

คนที่มาได้บรรลุแล้ว คนที่มาอยู่ในชุมชนชาวอโศกเป็นคนบรรลุธรรมทั้งนั้น   ถ้าไม่มีภูมิธรรมอยู่ไม่ได้หรอก ไม่ได้บังคับคุณนะแต่คุณอยู่ไม่ได้เอง คุณติดโลกีย์อยู่ เพราะฉะนั้นคนไหนที่เห็นว่าดีแล้ว ก็พยายามมา มาแล้วอยู่ไม่ได้ก็ต้องไปเพราะคุณยังติดอยู่ แต่คนที่ไม่ติดแล้ว ทางโลกียะต้องออกไปเสพไปหาแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หรือโลกียสุข ที่นี่ไม่มีให้เสพ คุณก็ต้องไปเสพข้างนอก คุณก็ต้องไปหาข้างนอก ไปแสวงหาไปเอา เพราะคุณเองยังติดมัน 

แต่คนที่ไม่ติดแล้วมาอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วคุณไม่มีจิตประหวัด ไม่มีจิตโหยหา ไม่คิดออกไปอยู่ทางโน้น คุณอยู่ในนี้ก็อยู่ไปเป็นวันๆ อยู่กันอย่างสบาย ร่มเย็น ใช่ไหม คุณก็อยู่อย่างสบาย อยู่อย่างสงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อยู่กันอย่างนี้ ตายก็สบายใจ ไม่ต้องห่วงว่าไม่มีญาติ ญาติจะมาเราก็ไม่ได้ห่วง ญาติทางสายเลือดตอนมีชีวิต เขาก็ปล่อยให้อยู่ที่นี่ ตายแล้วค่อยมา ถึงญาติไม่มา เราก็จัดการศพให้เรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริงๆ ญาติทางสายเลือดจะมาหรือไม่มาก็ไม่มีปัญหา แล้วเราก็ไม่ได้รังเกียจรังงอน เราก็เต็มใจช่วยกันทำไป เมื่อถึงที่สุดก็ไปสู่สุดชีวิต เรือนสุดชีวิตเราก็สร้างไว้แล้ว ทำให้สบายทุกอย่าง 

 

สมาธิขณะทำงานในชาวอโศกเป็นเช่นไร

_ขวัญใส...ดิฉันอยากถามว่าวิธีทำสมาธิขณะทำงานทำอย่างไร ?

พ่อครูว่า... คำว่าสมาธิ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่เถรสมาคมไม่เข้าใจ พูดอย่างนี้ จะทำไม อาตมาพูดไม่ผิดด้วย 

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือคำ สมาหิตะ สมาหิโต จิตสะอาดจากอาสวะกิเลส ฟังให้ดีนะ จิตที่สะอาดจากอาสวะกิเลสแล้ว ก็ตกผลึก ผนึกกันเข้า เป็นจิตรวมกันแล้วก็ อันนี้แหละคือ รวมเป็น อเนญชา มันอเนญชาๆๆ ไม่ใช่จิตสมาธิคือจิตไปกดข่มจิต ไปพยายามที่จะดับไม่คิด ไม่นึก ไม่ให้มันเคลื่อนไหว แล้วเข้าใจว่าจิตไม่เคลื่อนไหวคือสมาธิ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลย นะ

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคุณจะต้องมีเจโตปริยญาณ16 รู้จัก ราคะ โทสะ โมหะ อาการของราคะคืออย่างไร โทสะคืออย่างไร โมหะคืออย่างไร แล้วคุณมาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ก็จะเกิดปัญญาหรือ ฌาน 

ฌาน คือพลังงานคู่กับปัญญา พลังงานปัญญากับพลังงานฌานคู่กัน ช่วยกันเผา ใช้ภาษาว่าเผา ถ้าภาษาว่า ฆ่าเฉยๆ มันมีซาก แต่ถ้าเผา มันหมดไปทั้งซากเลย  พลังงานอุณหธาตุ เผา เผาอะไร เผากิเลส ภาษาเหมือนกับมีเนื้อมีหนังแต่มันไม่มี แต่กิเลสนั่นแหละถูกเผา มีความจริงคือ เนื้อกิเลส วิมังสาของกิเลส เผามันไป หมดเลย หมดซากเลย 

เพราะฉะนั้นจิตที่ถูกเผาโดย ฌาน จนเป็นบุญ เพชฌฆาตมือสุดท้าย หรือ พลังงานเผาอันสุดท้าย ถ้าถูกพลังงานระดับบุญอันสุดท้ายแล้ว สูญสนิทเลย ไม่มีเกิดอีกเลย อย่างนี้คือ ลักษณะนิพพาน 

ไอ้ที่พูดนี้คือพยัญชนะ แต่สภาวะธรรมที่เป็นจริง คุณจะต้องรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต เจตสิก รูป แล้วถึงจะนิพพานได้ 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นาม หรือ ปัญญา ญาณ ​วิชชาของคุณ รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้นตั้งแต่หยาบขั้นกามาวจร ฆ่าหมดแล้ว 

ศาสนาพุทธนั้นมีฌาน มีสมาธิ ไม่ได้หนีไปจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือ โลก ดินน้ำไฟลม พฤติกรรมสังคมทุกอย่าง ไม่ได้หนี เห็นอยู่อย่างมีจักษุ มีหูได้ยินเสียง รู้ลืมตาตื่นๆ เป็น ชาคริ ชาคระ เป็นผู้ตื่นรู้อยู่หมดเลย 

_สู่แดนธรรม... ผู้ที่ถามอาจจะอยากทราบวิธีการทำงานที่จิตมันตกผลึกเข้าสู่ภวังค์เหมือนที่เขานั่งสมาธิกัน เขาก็เลยคิดว่าแล้วพวกเราพาทำงาน จิตมันจะเข้าสู่ภวังค์ได้อย่างไร 

พ่อครูว่า... ก็ได้ บอกนิดหนึ่ง อาตมาพยายามอธิบายอยู่ มันอาจจะยังไม่ถึงตัวประตูไขให้สู่แดนธรรมเข้าใจ

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเองลืมตาปฏิบัติ คุณก็จะเกิดปฏิภาณปัญญาเห็นว่า อ๋อ..อย่างนี้คือการขัดเกลากิเลส คุณรู้จักกิเลส แล้วกิเลสถูกขัดเกลาๆไป นี่แหละคือฌาน นี่แหละคือการปฏิบัติฌานในขณะลืมตา ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า จนกระทั่งกิเลสลด หมดอาสวะ จึงจะตกผลึกเรียกว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต หรือสมาธิของพระพุทธเจ้า 

สมาธิเป็นคำกลางๆ ที่เรียกกันทั่วโลกหรือแม้แต่ชาวพุทธก็ตามเข้าใจว่าคือการสะกดจิต เข้าใจว่าเป็นจิตสมถะ ซึ่งไม่ใช่ จิตหมดกิเลสไม่ได้สมถะ ไม่ได้นั่ง อยู่ในริบๆหรี่ๆ อยู่ในภพแต่ลืมตาให้เห็นทุกอย่าง ใสสว่างเลยว่ากิเลสมันออก กิเลสมันหมดหมดเกลี้ยงกิเลสแล้วจิตประภัสสร อ๋อ.. นี่คือจิตประภัสสร ตกผลึกลงไปหรือจิต ปริสุทธาจิตสะอาดตกผลึกลงไป นี่คือ สมายี่ส์กุลทำงานอยู่ จิตสะอาด จิตเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า 

ในขณะลืมตาในขณะปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้า นี่คือการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ สมาธิขณะทำงาน ไม่ต้องไปทำความสงสัย ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร มาอยู่กับชาวอโศก แล้วอโศกพาคุณทำ ทำแล้วทำอยู่ แล้วกำลังทำต่อ 

ทันสมัยใหม่เสมอ 

_สู่แดนธรรม... ในขณะทำงานจิตไม่โกรธก็ถือว่าเป็นสมาธิใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ถูกต้อง ในขณะทำงานคุณก็รู้กิเลสว่าอันนี้มันมีกามอยู่ ลด อันนี้มันคือการลด นี่แหละคือคุณปฏิบัติธรรมในคณะทำงาน คุณต้องอ่านอาการจิต ที่ขณะสัมผัสต่างๆอยู่เมื่อทำงานก็มีการกระทบสัมผัส คุณทำงานอยู่กับกระทะ คุณก็เคืองตะหลิว บ้า.. ไอ้ตะหลิวนี้มันทำไมถึงไม่เป็นไปดังใจข้าเลยวะ ทุบตะหลิวจนหักไม่รู้เรื่อง แต่คุณทำงานกับคน เออ คนก็จะเกี่ยวคุณได้หน่อย แต่ตะหลิวมันไม่เกี่ยวกับคุณได้หรอก คุณโง่ตายชัก หากคุณไปเกี่ยวกับพืช พืชมันก็ไม่รู้เรื่อง ศีลข้อที่ 2 

ศีลข้อที่ 1 สัตว์ก็คือคนนี้แหละ ทำงานกับคน ระวังจะเกิดราคะ โทสะ โมหะเก่ง เรียนรู้แล้วก็ลดกิเลสซะ เมื่อคุณทำงานกับคนแล้วเกิดกิเลสจริง แล้วคุณก็ได้รู้ตัว แล้วคุณก็ทำให้มันลด คุณจะมีปฏิภาณปัญญา เกิดฌาน เกิดปัญญา 

ฌาน กับปัญญา เป็นภาษาที่เป็นพลังงานทางจิต คุณจะรู้จักวิธีทำเอาอย่างนี้แล้วกิเลสคุณลดลงๆๆๆ เพราะคุณทำจิตให้มีพลังงานฌานทำจิตให้กิเลสลดได้จนตกผลึกเรียกว่าสมาหิตะ หรือสมาธิของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ ชัดขึ้นไหม ๆ 

เพราะฉะนั้นถาม อาตมาก็ตอบไปแล้ว ถ้าไม่รู้มาอยู่กับชาวอโศก ชาวอโศกพาคุณทำแล้วทำอยู่ พาคุณทำแล้วทำต่อ 

_สู่แดนธรรม... แต่ว่าจะไม่พาทำแบบพระวัดป่าเขาทำ 

พ่อครูว่า... ไม่ทำอย่างพระวัดป่าเขาทำแน่นอน ไอ้นั่นมันนอกรีต พูดอีก ย้ำ ทุบหัวตะปูไป หลับตาทำ ปฏิบัติธรรมแบบนั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า มีแต่ลืมตาทำเท่านั้น เขาไม่เชื่ออาตมาง่ายๆหรอก เขาพูดอย่างนี้ 

เขาก็ต้องทำตาหลับด้วย ต้องหลับด้วยแล้วก็ลืมตาด้วย เขาว่าอย่างนั้น อาตมาขอยืนยันว่าไม่มีหลับตา หลับตาก็เข้าใจว่าหลับตา ปฏิบัติลืมตานี่แหละแล้วคุณจะทำอย่างลืมตาได้ หลับตาทำได้ง่ายตายชัก ไม่ต้องทำอะไรหลับตา เพราะฉะนั้นหลับตานี่แหละพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเป็นอุปการะเท่านั้น 

อุปการะมีอะไรบ้าง อาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว 

1. คุณหลับตาคุณก็พัก ถ้าจิตของคุณไม่หยุดมันก็ฟุ้ง ใช่ไหม คุณทำสงบไม่ได้หลับตามันก็ฟุ้งอยู่ในจิต คุณก็ต้องพยายามสงบ ลดความฟุ้งมา นอกจากมันฟุ้งไม่ฟุ้ง สายศรัทธา ยิ่งไปนั่งสมาธิมันก็ตก ถีนมิทธะ ดิ่ง ดับ ไม่รู้เรื่องไปดับสัญญา มันก็เลยยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ มันเป็นคนไม่เป็นคน เป็นคนท่อนไม้ เป็นคนทำตัวเองให้เป็นดินหินไป มันก็ไม่ได้เรื่อง 

มันต้องให้มีสำนึก มีสติสัมปชัญญะ แม้จะหลับคุณก็ต้องมีสติ 1 พักผ่อน 

2. หลับตาไปแล้ว มันก็คิด จะทบทวนธรรมะคิดนึกอะไรมันก็ง่าย เพราะไม่มีอะไรกวนทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันไม่มีอะไรกวน คุณก็อยู่คนเดียว คุณก็คิดง่าย มันเป็นอุปการะเห็นไหม 

3. หรือรวมเลยเป็นเตวิชโช คือคุณมีธรรมะแล้วคุณใช้หลัก 3 คือ 1. ระลึกสิ่งที่ผ่านมาแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วก็ 2.ตรวจความเกิดความดับ ของจิตที่มันเคยเกิดสัมผัสข้างนอกแล้ว จิตที่มันเคยเกิดกิเลสอย่างไร มันดับหรือยัง ดับได้ นั่นคือรู้จัก จุติ อุบัติ รู้การเกิดการดับได้แล้ว อันสุดท้ายเป็น 3.อาสวักขยญาณ ดับกิเลสสิ้นแล้วก็ตรวจสอบ เตวิชโช จึงเป็นวิชาที่ตรวจสอบการปฏิบัติของตนเอง ได้แล้วหรือยังไม่ได้ ถ้าดับอาสวะสิ้นตรวจสอบแล้วคุณก็รู้สิ คุณรู้แล้วว่าดับอาสวะจริง คุณก็ไม่ต้องไปวนเวียนอีก ไม่ต้องไปซ้ำซากอะไรอีก มันจบมันรู้แล้วอะไรอย่างนี้เป็นต้น 

หลักการของพระพุทธเจ้าครบหมดทุกอย่าง อาตมาปฏิบัติมาแล้ว ทำได้แล้วเอามาพูดมันจึงชัด ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้อวดตัวอวดตนอะไร อาตมาเอาความจริงมาพูดยืนยัน ที่อาตมาต้องเน้นตัวตนมากพูดแล้วพูดอีกบอกความจริงจริงใจ เพราะคนไม่เชื่อ คนไม่รู้ว่ามันมีคนปฏิบัติบรรลุธรรมได้จริง บรรลุอรหันต์จริงก็มายืนยันว่าตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ไม่ใช่อรหันต์ธรรมดาแต่เป็นอรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย ยืนยันความจริงตามความจริง  อาตมาจะพูดไม่ผิด ถ้าพูดผิดมันเป็นบาป ยิ่งมาบอกอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน มันปาราชิกเลยนะ อาตมาก็รู้ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี อาตมาก็รู้ทั้งนั้น อาตมาไม่ทำ รู้กรรมรู้กิริยาหมดแล้ว จะไปทำทำไม ทำมันเป็นจริงนะ กรรมมันเป็นของจริง คุณทำแล้วมันผิดแล้วคุณก็ไปโกหกต่อ โอ้โห คนรู้แล้วจะไปทำเหรอ คนทำคือคนไม่รู้หรือคนยังหน้าด้านเป็นอลัชชี รู้ตัวแล้วก็ไม่รับคือหน้าด้าน ส่วนลัชชีคือละอาย

สรุปหมดเวลาแล้ว 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2566 ( 05:09:45 )

660227

รายละเอียด

660227 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 https://www.boonniyom.net/53018.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1Ugi5sb-ADllb2kgJiNyMMlt1LVqMzfbiHX6noMO16BE/edit?usp=sharing                                 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/151FcsOZf9HZraiZ6DDvdWoveIVJklyKC/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/3bJnbuljRV8 

และ https://fb.watch/iYq2NgSl0p/ 

 

หลักแหล่งของชีวิตที่ควรอาศัย

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคนรายการปรับทุกข์ปลูกธรรม วันนี้วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ วันนี้ 

เราก็มาฟังธรรมกัน ชีวิตนี้ฟังธรรม มันเป็นความเจริญอย่างยิ่งยวด ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ชาติ ใครไม่ฟังธรรม จะฟังแต่โลกๆเขา โอ้โห..ทุกวันนี้ สนั่นหวั่นไหว มีอะไรต่ออะไรออกไปส่งเป็นข่าวคราว เป็นเรื่องราวอะไรต่ออะไรกัน ทั้งโกหก ทั้งหลอกลวง ทั้งใช้เล่ห์กลอะไรต่ออะไรน่าดู เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมีแหล่งมีหลัก ว่าเราควรจะฟังสิ่งที่เป็นหลักเป็นแหล่งอันมีฐานแห่งความจริง เป็นสัจธรรม สักหลักสักแหล่งเถอะ 

จริงๆสัจธรรมจริงๆถูกต้องที่สุดมีหนึ่งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสต้องค้นหาให้ได้ หลักแห่งใดที่ดีที่สุด ที่เราควรจะต้องใช้เวลา สัมผัส เสพข่าว เสพข้อมูล เสพสิ่งที่ควรจะเอามารับรู้ พิจารณาตัดสิน แล้วก็ใช้เป็นสิ่งที่จะอาศัยใช้ไปในชีวิตว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุปัจจัยองค์ประกอบของ กาละ เทศะ ฐานะ ตลอดเวลา เราก็ต้องรับทางโลกที่เขาเคลื่อนไหวไปตลอดเวลาด้วย ทั้งความจริงที่เรารู้หลักรู้แหล่งความเป็นจริงที่เป็นหนึ่งเดียวนั้นด้วย เอามาใช้พิจารณาตัดสินใจ โดยจะอนุโลมปฏิโลมกันอย่างไร มันจึงจะสามารถที่จะอยู่กันได้อย่างอนุโลมนั่นแหละ อย่างที่จะต้องเราบ้างเขาบ้าง 

ก่อนจะได้เข้าสู่เรื่องราวที่จะได้พูดกันวันนี้ ก็ขอ sms เดี๋ยวจะค้างเติ่ง  ใน 

งานพุทธาภิเษกคงจะไม่ได้พูดกับ sms เท่าไหร่ เริ่ม 5 มีนาคม ตอนนี้ 27 พรุ่งนี้ 28 หมดแล้วเดือน เราก็จะมีรายการอีกคราวสองคราว 

 

รู้ความเป็นสองได้ละเอียดบางเบาเท่าไหร่ก็คือผู้มีภูมิสูงขึ้นๆ

_ขวัญใส   ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก แล้วที่หลวงปู่สอนให้อยากอายุยืนๆ แล้วจะระลึกถึงลมหายใจเข้าออกหรือคะ

พ่อครูว่า... มันมีทั้ง 2 อย่าง เมื่อกี้พูดผ่านไปหน่อยนึงแล้วว่าความเป็นจริงที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะมี 2 อย่างให้เราเรียนรู้และอาศัยไปตลอด แต่สิ่งที่จบ สิ่งที่ตัดสิน สิ่งที่เป็นหนึ่ง เราจะมีความรู้และทำได้ เราก็อาศัยไป เพราะมันต้องมี 2 ตลอดเวลาที่เรายังมีชีวิต กับสิ่งที่เราอาศัย ตั้งแต่ มหาภูตรูป ไปจนกระทั่งถึงนามธรรมทั้งหมด เราต้องอาศัย 

จนกว่าเราจะตายอย่าง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายอย่างหมดเลย จิตนิยามของเรา แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไป มันก็หมดความรับรู้ เมื่อนั้นน่ะ 0 สนิท ตอนนี้มีความ 0 โดยอาศัย 

0 คือ กิเลสมันดับสนิท ไม่มีเศษไม่มีส่วนนั่นเป็นเป้าหมายหลัก อาการของกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งเป็นผงคลีธุลีละออง ขั้นอรูปอย่างไร ที่จะมี อาการ ลิงค นิมิต  ให้เราศึกษาได้ อาการมันมีอย่างนี้ แล้วก็จับเครื่องหมายของอาการได้เรียกว่านิมิต มันเป็นนามธรรมที่ละเอียดบางเบาเรียกว่า ลหุตา มากที่สุดแล้ว 

คนไหนที่มีภูมิธรรมสามารถ จับลหุตา หรือเบาบางนั้นได้ สูงสุดก็คือคนนั้นแหละ ใครจะไม่มีเก่งเท่าที่ตนเองรับรู้ได้ ตนเองมีภูมิธรรมรับรู้ได้เท่านี้ก็เท่านี้ รู้ได้เท่าไรก็เท่านั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ฝึกฝนเรียนรู้นามธรรมจนละเอียดบางเบาไปได้มากเท่าไหร่ และได้มากอย่างเป็น อนุปคัมมะ หรือเป็น อภิภู ไปเรื่อยๆ เป็นผู้ที่รู้เองเป็นเองของตนเอง คนอื่นๆก็ไม่รู้กับเรา แต่ความละเอียดลออพวกนี้พูดกับคนอื่นยากแล้ว นอกจากคนที่มีภูมิใกล้กันก็พูดกันรู้เรื่องหรือพูดกับคนที่มีภูมิสูงกว่าก็จะรู้ได้ดี 

สรุปแล้ว เราต้องนึกถึงลมหายใจเข้าออก ว่า มันตายมันไม่เข้ามันไม่ออกมันก็ตาย ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ 2 อย่าง เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ 2 ใน 1, 1 ใน 2 กับ 0 อันนี้เป็นจุดจบแล้ว และ อาตมาสรุปว่า ถ้าเข้าใจอัตราส่วนของคำว่า 0

แล้วก็ 1ใน 2, 2 ใน 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 

อาตมาบอกแล้วตรงนี้เป็นหัวใจของศาสนาพุทธในด้านนามธรรมที่ผู้ปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติให้ตนเข้าถึงตรงนี้ ทำตรงนี้ให้ได้สมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่หัวใจศาสนาอริยสัจ อันนั้น 

อริยสัจ 4 เป็นหัวใจศาสนาโครงสร้างใหญ่ แต่ผู้มาเรียนรู้แล้วต้องปฏิบัติเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา เวทนา 108 แล้วทำเวทนา 2 จากมากมายตัดออกตัดออกจนเหลือ 2 แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ นี่แหละคือฐานอาศัย 

ผู้ที่ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็จะทำ 1 กับ 0 ทำ 1 ให้เป็น 0 ซึ่ง 0 กับ 1 ก็เป็น 2 ใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถทำ 2 ลดลงให้เป็น 1 ได้ มันก็จะสามารถทำให้ 1 เป็น 0 ได้ มันเป็นความบางเบาและหมดสิ้นไป แต่มันยังไม่สิ้นเพราะเรายังมีธาตุรู้ ยังมีชีวะอยู่ ยังไม่ได้ดับสิ้นชีวะ ยังไม่ได้ดับวิญญาณ ยังไม่แตกแยกวิญญาณหรือจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย มันก็ยังมีเรา ยังมีตัวรู้สึก ยังมีตัวรับรู้ ก็รู้ตัวจบที่สุดสภาวะหรืออาการที่สูงสุด จบ

เพราะฉะนั้นต้องรู้ได้ด้วยตน อันนี้อย่างที่ท่านผู้รู้ท่านบอกด้วยภาษาว่าสภาวะตรงนี้ตรงกัน ใครที่มีภาวะนั้นก็จะรู้เอง นะ

 

SMS วันที่ 15-16 ก.พ. 2566

 

SMS วันที่ 24-26 ก.พ. 2566

 

จะเรียนรู้เพื่อนิพพานต้องแยกกายแยกจิตให้ได้ 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูคะ ลูกได้เปิดคลิปปัญญา 8 ที่มีผู้เมตตาอ่านบันทึกเสียงไว้เป็นตอนๆ ฟังถึงตอนไหนที่ลูกไม่เข้าใจก็ต้องย้อนมาฟังอีกหลายๆรอบ ลูกขอกราบขอบพระคุณท่านผู้เมตตาอ่านบันทึกเสียงไว้นี้เป็นอย่างมาก ลูกได้ฟังอยู่หลายคลิปแล้ว เห็นว่าเรื่อง กาย กับ จิต เป็นเรื่องที่พ่อครูนำมาสอนซ้ำมากที่สุด ยิ่งกว่าแม่ที่ยินดีเลี้ยงลูกน้อยที่ตนรักอย่างที่สุด อย่างซ้ำซากไปกับคืนวันอันยาวนาน กระนั้นลูกก็ยังโง่แล้ว โง่อีก ยังมีคำถามมากราบเรียนถามพ่อครูค่ะ ว่าการแยกกาย แยกจิต คือการมี กาย มีจิตให้แยก ลูกเห็นว่ากายมี กายนอก กายใน ลูกขอถามว่ากายในนั้นอยู่ข้างในคือจิตใช่ไหมคะ หรืออย่างไร น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... กายกับจิตเป็นภาษาใหญ่ภาษารวมที่จะต้องรู้ว่า เมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย จิตก็อย่างหนึ่ง กายก็อย่างหนึ่ง แต่เมื่อไหร่เป็นจิตเมื่อไหร่เป็นกายและเมื่อไหร่ไม่เป็นกาย อธิบายไปยากมากเลยแต่ก็อธิบายมาซ้ำแล้วซ้ำอีกตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน โดยเฉพาะผู้จะมาเรียนรู้เพื่อนิพพาน ถ้าแยกกายแยกจิต เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่ไม่เป็นกาย 

ไม่เป็นกายก็หมายความว่า จิตไม่มีแล้ว เพราะกายมันจะมีจิตด้วย เมื่อมันไม่มีจิตเลย มันก็ไม่มีกาย เพราะฉะนั้นถ้ามันยังมีกายอยู่ มันก็ต้องมีจิตอยู่ร่วมหรือเจตสิกอยู่ร่วม นี่แหละความลึกซึ้งสูงสุด 2 ใน 1และ 1 ใน 2 ที่เป็นภาษาสิริมหามายา 2 คำ แต่มีความจริงที่ชัดว่าเมื่อไหร่บอกภาษา คำว่า กาย กับจิต หรือ อธิบายกายกับจิตลงไปว่า ภาษา 2 คำนี้ กายเป็นรูป จิตเป็นนาม กายเป็นตัวถูกรู้ จิตเป็นตัวผู้รู้ หรือ รูปเป็นตัวถูกรู้ นามเป็นผู้รู้ อันนี้ก็ต้องอธิบายในวิโมกข์ 8 ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็อธิบายแล้วอธิบายอีก 

มันไม่ง่าย ถ้าง่ายก็คงมีอรหันต์ง่ายๆเยอะเนาะ หรือมีโลกุตรบุคคล มีสมณะ 4 เหล่านี้เยอะ มันจึงได้เท่าที่มันได้ อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีได้เท่านี้ก็ อาตมาตัดสินให้คะแนนตัวเองว่า อาตมาชาตินี้ไม่สอบตก สอบได้แล้ว ตายก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ขาดทุน 

 

ต้องรู้จักกายจึงทำบุญจนหมดอาสวะได้สิ้น

_พลังเพ็ญ คำด้วง  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ สมาธิของพุทธ ในขณะทำงาน เกิดได้ตลอดค่ะ ถ้ากระทบผัสสะแล้วอ่านเวทนา แยกรูปแยกนาม ออก เช่นเวลาคุยกับลูกค้าแล้วเกิดอารมณ์ไม่ชอบใจรำคาญ เหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นรูป(กายนอกกาย)เห็นอารมณ์ไม่ชอบใจเกิดเป็นนาม(กายในกาย) แล้วสามารถทำให้อารมณ์ไม่ชอบใจหายไปได้ อันนี้ก็คือสมาธิเกิดในขณะทำงานแล้ว ลูกเข้าใจอย่างนี้ค่ะกราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... ถ้าบอกว่ากายนอกกายกับคำว่ากายในกาย ใช้ภาษา ถ้าจะบอกว่ากายนอกกายคือรูป กายในกายคือนาม ชัดขึ้นไหม หรือจะบอกว่ากายนอกกายคือรูป กายในกายคือจิต หรือกายนอกกายคือกาย กายในกายคือจิตหรือเจตสิก 

จะเรียกว่าสมาธิเกิดในขณะทำงานแล้วก็ต้องถือว่า กำลังสะสมจิตที่สำเร็จให้มันตกผลึกสะสมเข้าไป 

สมาธิของฤาษีไม่รู้กายไปหลับตาปฏิบัติไม่รู้จักกิเลสดับกิเลสไม่ได้ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นรู้ในขณะที่ตื่นอยู่ ทำให้กิเลสดับได้ทำใจในใจขณะที่มันเกิดจริง แล้วพลังงานปัญญาพลังงานฌาน มันก็มาทำงานจนมันฆ่ากิเลสได้เรียกว่าบุญ บุญ คือเครื่องประหารกิเลส จนได้ชาญก็ประหารกิเลสลดลงมาจนได้ฌานที่ 4 มือที่ 4 หรือฌานที่ 5 คือบุญ ถ้าตัดกิเลส ตัวสุดท้ายด้วยคำว่าบุญคือตัวสุดท้ายเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้ายที่ ยังไงๆ พอเจอเพชฌฆาตนายบุญ เด็ดขาด การตายของกิเลสตายไม่ฟื้น ตายไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี เด็ดขาด แน่นอน ฟังบ่อยๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นคำว่าบุญทุกวันนี้ไปกลายเป็นกุศล ไม่ได้ฆ่ากิเลสเลยมีแต่รักษา กุศล กุศลคือพลังงานที่เป็นคุณค่าคุณงามความดีที่เราจะต้องอาศัยมันไปตลอด แม้พระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอรหันต์ตั้งไม่รู้ขั้นสุดท้ายขั้นที่ 9 ท่านก็ไม่สันโดษในกุศล ไม่พอในกุศล แต่บุญมัน 0 เลยนะ มันตายแล้วมันไม่มีอีก ปุญญปาปปริกขีโณ พอทำงานเสร็จจบ กิเลสหมดแล้ว อันนั้นเรื่องนั้นก็จบกิจ บุญก็ไม่มีอีกเลย คนนี้จะไม่มีบุญอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องใช้บุญอีกเลย ไม่ต้องใช้เครื่องประหารนี้อีกเลย มันละเอียดอย่างนี้จึงยาก 

เพราะฉะนั้นคนได้เสื่อมจากศาสนาพุทธมาจนกระทั่งถึงยุคนี้ อาตมาเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าฟื้นขึ้นมา โอ้โห.. แสนยากแสนเย็น แต่มีผลสำเร็จสรุปแล้วอาตมาว่าทำงานมีผลสำเร็จ เพราะฉะนั้นอาตมาสบาย 

สรุปแล้วก็คือ สมาธิคือจิตที่สะอาดจากกิเลสจากอาสวะ ตกผลึกลงไป แล้วก็เป็นจิตตั้งมั่น เป็นอเนญชาๆๆ สมบูรณ์แบบ ในอภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร   อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร 

อภิสังขารคือ จัดการทำมนสิการ จัดการทำจิตในจิตของเรานี่แหละ 

ทำปุญญาภิสังขารคือ สร้างบุญมาฆ่ากิเลสให้ได้ จนกิเลสมันตายมันก็ไม่มีบุญจึงเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร จึงปรุงแต่งอย่างไม่ต้องเป็นบุญแล้ว จิตนั้นก็จะมีแต่จิตเจริญสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่ง มันไม่ได้สะสม จิตที่ไม่สะอาด จิตที่ไม่บริสุทธิ์ มีเจปริยญาณ 16 จนกระทั่งสะอาดหมดจดแล้ว เป็นอนุตรจิต จบแล้วไม่มีจิตเหนือกว่านี้ อนุตระ สอุตระ จิตที่เหนือกว่านี้ยังมีอีก อนุตระคือไม่มีอีกแล้วเอาตัวนี้ โดยอ่านวิมุติ แล้วก็อ่านสมาหิโต คือ จิตที่ตั้งมั่นตกผลึกลงตั้งมั่น จิตที่เอามาตกผลึกตั้งมั่นต้องเป็นจิตที่ตรวจแล้วตรวจอีก เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ ตรวจแล้วตรวจ ตรวจแล้วตรวจอีก ว่ามันสะอาดแน่นะที่เอามาใส่ จะว่าเป็นธนาคารมันก็ไม่มีสภาวะแล้ว ใส่ในภาวะความว่างของเรา อาศัยคำว่า อัตตาที่อาศัยเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่สับสนเพราะเราไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเราแล้วอัตตานี้ อัตตา อัตตนียาใดๆ เราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราอาศัยสภาวะนี้ ไปสู่ความไม่ยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา หมดแล้วภาษา ผู้ทำได้จริงมันก็เป็นปัจจัตตัง 

สรุปแล้ว สมาธิของพระเจ้าจึงไม่หนี ไม่ต้องไปเต๊ะท่า ทำงานเป็นปกติสามัญเลย แล้วมีจิตแววไว มีจิตเป็น มุทุภูตธาตุ มีจิตเป็นลหุตา สามารถที่จะจับสภาวะกิเลส สภาวะทำงานของจิต กำจัดกิเลสได้ หมดสิ้นสะอาด จนรู้ถึงความสะอาดของจิต และเป็น 0 ไม่มีแล้ว จบกิจตรงที่ 0 แล้ว ยังไม่ตายก็อาศัย ก็ต้องมีธาตุรู้ที่สะอาดที่จิตสะอาด 

เพราะฉะนั้นจิตสะอาดที่เป็นจิตตกผลึกเป็น จิตสมาหิตะ จึงไม่เหมือนสมาธิทั่วไป ที่สะอาดหรือไม่สะอาดไม่รู้ อาสวะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ 

เพราะฉะนั้นคำว่า อาสวะ จึงเป็นตัวตัดสิน ผู้ที่รู้อาสวะก็เพราะว่ารู้กาย รู้จิต รู้ธรรมะบริบูรณ์ ตามที่อาตมาเอา บุคคล 7 มาอธิบายให้ฟัง มี อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ  ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี  

บุคคล 7 ตั้งแต่ 2 ตระกูล ตระกูลศรัทธากับตระกูลปัญญา แต่ท่านไม่เรียกปัญญา ท่านเรียกว่า ตระกูลพุทธิจริต 2 ตระกูลใหญ่ จนกระทั่งสามารถทำ วิมุติได้ เป็นอันที่ 3 

ทีนี้ศรัทธาวิมุติ มันรู้ยากรู้ช้า แล้วก็ไปหลงติดยึดในศรัทธาวิมุติ ที่มันมิจฉา ซึ่งมันเป็นธรรมดาธรรมชาติของผู้ที่ไม่ใช่ว่าไปบังคับเขาไปข่มไปดูถูก แต่เขาต้องเป็น เขาจะไม่รู้ กว่าจะรู้ว่าวิมุติของพระพุทธเจ้าต้องลืมตา ต้องมีกาย 

แต่เดียรถียร์นั้นผิด ทิฏฐิปัตตะเป็นสาย ธัมมานุสารีจึงเป็นแก่นรู้ง่าย ปัตตะแปลว่าบรรลุตามทิฏฐิ ตามความเป็น ความเข้าใจจึงทำได้ ทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ 

เพราะฉะนั้น ทาง ศรัทธาวิมุติถ้าไม่รู้อริยสัจ 4 ทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ เหตุแห่งทุกข์มันไม่รู้ดับไม่ได้ได้แต่สะกดจิตไม่ได้ดับเหตุ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ 

ถ้าศรัทธาวิมุติสามารถมีปัญญาเข้ามาบ้าง จับกิเลสได้ดับสิ้นอาสวะได้ ก็จึงถึงจะขึ้นเป็น ทิฏฐิปัตตะ จากนั้น ถึงจะชัดเจนมีกายสักขี 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีกายสักขีก็จะสามารถทำให้อาสวะบางอย่าง ได้หมด ชัดเจนยิ่งขึ้นๆๆๆ เพราะฉะนั้นใน ทิฏฐิปัตตะ กับ กายสักขี นี่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเอาไว้ว่า จะไม่เหมือนกัน 

4. ทิฏฐิปัตตะ  ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ  ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะ เห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญาและปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติจนเกิดปัญญาพละ

5. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัวคือ ท่านที่ต้องสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย  อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ยังปฏิบัติเพื่ออรหันต์  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ 

ในงานพุทธาภิเษก คงจะได้อธิบายให้ละเอียดลออ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอธิบายจากพรหมจารสูตรหรือว่าเอาจรณะ 15 วิชา 8 มาอธิบาย ดูก่อนดูเหตุปัจจัยก่อน 

 

แก้กรรมคือการได้ชดใช้กรรมวิบากล้างเหตุคือกิเลสหมด

_จรรยา ประเสริฐ  · กรรมวิบาก เป็นตัวเคลื่อน กรรมวิบาก ชี้ชะตาในตัวเราทั้งหมด แก้กรรมได้ด้วยการ ยอมใช้วิบากด้วยความเต็มใจ ดีแล้วหนอที่เราได้ชดใช้ สร้างกุศล วิบากดี ต่อตัวเราเอง เท่าที่ปัญญารู้ได้ ต่อไป กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... คำว่าแก้กรรมนี้ไปทำเป็นเล่นไป เป็นพิธีการแก้กรรม มันก็เล่นลิเกละครหลอกกันไป คนเป็นเจ้าพิธี เป็นผู้เก่ง สามารถแก้กรรมเขาได้ เหมือนอย่าง ชีอะไร แก้กรรมได้ กรรมของใครกรรมของมัน ใครจะไปแก้ของใครได้ นอกจากตัวเองแก้เอง 

ถ้าผู้ใดสามารถรู้ว่าเราได้ชดใช้กรรมของเรา ด้วยการได้รับวิบากไม่ดีก็ตาม เกิดปัญญารู้กิเลส ทำให้กิเลสดับได้ นี่แหละเราแก้กรรม ตัวที่ชัดที่สุดเป็นโลกุตระ ก็คือรู้จักกิเลส แล้วทำให้กิเลสตายได้ ลดได้ ตายเลย กรรมต่อไปของคุณก็ได้แก้ไขแล้ว ปรับปรุงกรรม จากนั้นไป เหตุมันก็ตายไม่ฟื้น ไม่มีเหตุที่จะทำให้ชั่ว ไม่ดี หรือ เป็นทุกข์ ถึงขั้นไม่ทำให้เป็นทุกข์ แม้ที่สุดไม่ทำให้เป็นทุกข์เป็นสุข ไม่เป็นทั้งสุขทั้งทุกข์ได้อย่างจริงจัง 

 

อ่านจิตให้ถึงอุเบกขาพาบรรลุชัด

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · อ.รัตภูมิ สงขลาภาพเสียงชัดเจนครับ.ลูกอยู่ข้อที่ยังไม่ได้โสดาบันครับ.เป็นแค่คนข้างวัด.แต่จะพากเพียรครับ.

พ่อครูว่า...  เอาดีๆให้ชัดๆเจนๆอย่าสับสนนะต้องอ่านสภาวะและรู้ชัดเจน ที่ไม่ลงไปก่อนว่าเราได้ดีอยู่ แต่ถ้าได้แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราเองได้มันก็โง่ต่อไปอยู่นะ ต้องให้ชัดอ่านอาการ ลิงค นิมิต อาการทางสภาวะจิตเจตสิกหรือกายเวทนาจิตธรรม พวกนี้พยัญชนะที่มันสื่อสภาวะในหมวดที่ทำงานร่วมกันเป็นกรุ๊ปๆเป็นหมู่ๆไป ต้องรู้ทั้งกายเวทนาจิตหรือธรรมะ เวทนา 108 ก็ต้องรู้ ในหมู่เป็น 2 มี กายิกะกับเจตสิกกะ หมู่ที่เป็น 3 เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ก็ดี 

หรือดูรายละเอียดของมัน ที่มีพลังดีกรีของมัน เป็นอินทรีย์ของมัน สุขิณทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสขินทรีย์ โทมนัสขินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ อย่างนี้เป็นต้น เป็นน้ำหนักของมัน หยาบ ตั้งแต่สุขหรือทุกข์ ได้แล้วก็เป็นโสมนัส โทมนัส หมดโทมนัส โสมนัส ก็เป็นอุเบกขา เราก็รู้อาการจิตว่า เราได้ฐานอุเบกขาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ต้องชัดเจน 

ฐานอุเบกขาก็เป็นฐานสุดท้ายของจิต ที่บริสุทธิ์จากกิเลสแล้วมันก็สั่งสมตกผลึกลงเป็น สมาหิโต เป็นจิตสมาธิแบบพุทธอย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ก็ต้องพยายามอ่านจริงๆ ดีแล้วล่ะไม่หลงตนว่าได้สูงเกิน แต่ก็อย่าติด ว่า อ้าว.. เราได้แล้วก็จมซ้ำแซะอยู่ในโสดาบัน วนอยู่นั่นแหละ แล้วก็ยังถือว่าไม่ได้โสดาบันอีก มันก็แย่กันพอดี ต้องให้ชัดเจน 

 

_Natchawan Sriphatsongsaeng ณัชวรรณ ศรีพัฒน์ส่องแสง   · นอบน้อมกราบๆๆท่านพ่อครูด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงด้วยเศียรเกล้าเจ้าคะ ดิฉันดีใจที่ถึงแม้เจอพ่อครูตอนอายุมากแล้ว ก็ยังถือว่าดิฉันยังมีโอกาสได้มีเชื้อเผ่ากอเป็นลูกพ่อครู ถึงการปฎิบัติในการลดกิเลสของลูกบางครั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง ลูกก็ตื้นตันใจต่อยอดเชื้อโลกุตระแล้วเจ้าคะ

พ่อครูว่า... ดีมาก ตอนนี้ทำอย่างไร ต้องทำต่อ ทำต่อ ตอนนี้ต่อยอด ต่อขั้นฐานไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ศัพท์คำว่า ทำต่อ ทำต่อ กำลังดังมากอยู่นะ 

 

_Marisa Melo มาริสา เมโล  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอันสูงสุด น้อมกราบท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ยังระลึกถึงบรรยากาศใต้เฮือนศูนย์สูญค่ะ มีแต่ความร่มเย็นและพลังงานดีๆ ค่ะ เดี๋ยวจะกลับไปรวมพลังหมู่มิตรดีอีกเร็วๆ นี้ค่ะสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... นี่เรากำลังเทศน์อยู่ขณะนี้ที่ใต้เฮือนศูนย์สูญใช้ทั้ง ศูนย์และสูญ เขาจำบรรยากาศนี้ได้ จริง พวกเรานี้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อาตมาก็สรุปไว้อย่างนั้นก่อน 

 

ชาวอโศก มี GDP โลกุตระ

_Songyut Akkakoson ทรงยุทธ อัคคโกศล  · กราบเรียนพ่อครู นีอูเอ (Niue) เป็นหมู่เกาะปะการังที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีความสัมพันธ์แบบ Free Association กับประเทศนิวซีแลนด์ GDP 10.01 ล้าน USD (ไทย 455.22 ล้าน USD)(ข้อมูลจาก World Bank ปี 2560)

พ่อครูว่า... อาตมาว่า ถ้าจะมาว่า GDP ตอนนี้น่าจะไม่ใช่อย่างที่เห็น เพราะว่าพลเอกประยุทธ์ได้บริหารมาอีกหลายปี 

คำว่า GDP เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมาก นักเศรษฐศาสตร์จะพูดกับอาตมารู้เรื่องยาก หรือแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ฟังในหลวงตรัสเรื่องขาดทุนของเราคือกำไรของเราก็ยากมาก อาตมาก็พยายามอธิบายรายละเอียดของสิ่งที่เราเสียนี่แหละคือเราได้ มันไม่ง่าย เพราะฉะนั้นผู้ที่เสียสละไป ศูนย์ได้มากหรือน้อยลงถ้าไปคือเจริญ ถ้าไปเอาของเขามามาก ยิ่งใช้ domestic คือ GDP ตัว D คือโดเมสติกมันเป็นของภายในของเรา 

เช่น ผลผลิตของเราเป็น Product ผลผลิตของเรานะไม่ใช่ไปเอาผลผลิตของคนอื่นนั้นหนึ่ง 2.ไม่เอาผลผลิตของคนอื่นหรอกแต่ไปตีรวม Gross รายได้องค์รวม ไปเอาที่ไปโกงเขามาไปเอาเปรียบจากภายนอกมาเป็นรายได้เป็น domestic ผิดอีก นั่น 1 

แต่ ถ้าองค์รวมไปเอาเปรียบ เอารายได้มาบวกด้วยแล้วถือว่าเป็นความเจริญ แต่จริงๆไม่ใช่ความเจริญ ของโลกุตระนั้นคือไม่เอาเปรียบเขาจากข้างนอกด้วย 1และ  2 เครื่องชี้บ่งต้องยิ่งเป็น 0 ลงไป น้อยลงไปอีกคือความเจริญ ไม่ใช่ตัวเลขมากขึ้นคือความเจริญ แหม มันซ้อนนะ 

อาตมาจึงเห็นใจพวกที่ไปเรียนเศรษฐศาสตร์มาจากเทวนิยมจากพวกที่เขาไม่เข้าใจโลกุตระ ตำราเรียนมาจบด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ทางทุนนิยม ต่างประเทศเขามายุโรปก็ดีอเมริกาก็ดีอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ในทางเอเชีย ถ้าไม่ใช่โลกุตระของประเทศไทย โดยเฉพาะแม้แต่เถรสมาคมก็ยังยาก มันต้องมามหาลัยของอโศก

ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ยกตัวอย่างอะไรแต่พูดความจริงที่ท่านจะต้องฟังสัจจะความจริงอันนี้ แล้วศึกษาแล้วมาพิสูจน์ ซึ่งเป็นสัจจะวิชาการเป็นสัจธรรมที่สุดยอดจริงๆไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ที่อาตมาพาพวกเราทำ ชาวอโศก อันนี้เป็นตัวบุคคลจริงมีสาธารณโภคีแล้วทุกคนที่จะสามารถสบาย ไม่ต้องสะสมเงินทองเป็นของตัวเองเลย อปจยะ ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์แล้วเอามารวมกัน สะพัดไป ใครดูแลมีหน้าที่การสะพัดก็สะพัด ใครมีหน้าที่ในที่สร้างก็สร้าง สร้างแต่ของดี สร้างแต่ของที่เจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้น เอามาให้แล้วก็เอาไปเผยแพร่แจกจ่าย ขายอย่างเสียสละขายอย่างสูง 

ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นตลกไม่ใช่เรื่องเล่นลิเกไม่ใช่เรื่องหลอกแต่เป็นเรื่องจริง ที่มีคนจริงมีปรากฏการณ์จริง มีสิ่งยืนยันได้ มีฟีโนมิน่า ซึ่งไม่ใช่แค่ ฟีโนมิน่า ซึ่งของเราเป็นฟีโนมินอลเป็นเอกพจน์ กลุ่มอโศกของพวกเราทำอยู่ทุกวันนี้แต่มันมีหลากหลายมีเยอะ กลุ่มอโศกก็มีหลายชุมชนทำอยู่ตรงนั้นตรงกัน 

หมดปัญหาเศรษฐกิจ คือมาเป็นคนจน ผู้ยังไม่เป็นคนจน เป็นคนจนไม่ได้ แล้วยิ่งจะต้องให้หมดความจน จะต้องไปเป็นคนรวย คนรวยคนนั้นคือคนยังสับสนอยู่ 

 

แนวคิดเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ของมหาวิทยาลัยโลกุตระ

_ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : "การเมือง"ยุคนี้ ถ้าไม่มี "ลุงตู่" เป็นนายก บ้านเมืองคงวุ่นวายน่าดูครับ เพราะคนส่วนใหญ่ ที่ยังมีความเห็นผิดเป็นถูก โดยหลงรูปลักษณ์ภายนอกที่เขามาหลอกลวงว่าจะให้สารพัดอย่าง ใครที่จะมาบริหารประเทศชาติ ต้องมีบุญมีบารมี ไม่ใช่จะจับใครมาทำมาบริหาร หรือคัดเลือกมาจากคะแนนเสียง ที่ได้มาจากความหลงหรือหลอกลวง หรือ ทำเพื่อใครบางคน คนที่มาแรงด้านความหลง "อุ๊งอิ๊ง" ก็เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น เพื่อดึงความนิยมในตัวของ (ทักษิณ) และพรรคพวกของตนเท่านั้น (ทักษิณ) คอยชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด แม้กระทั่งการทำงานและการหนีออกนอกประเทศของ (ยิ่งลักษณ์) เขาก็เป็นคนวางแผนทั้งหมด มาถึง"อุ๊งอิ๊ง" เขาวางแผนไว้ ถ้าสำเร็จเขาก็อาจจะกลับประเทศไทยได้ "แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก" เพราะมีกฏหมายอยู่ การบริหารประเทศชาติบ้านเมืองถ้าเทียบชั้นการทำงาน"อุ๊งอิ๊ง" กับ"ลุงตู่" ลุงตู่คือความจริงตรวจสอบได้มีผลงานเห็นชัดแจ้ง และมีความสุจริตใจในทุกเรื่อง และเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศโดยเฉพาะที่เห็นได้ และไม่เคยมีนายกคนไหนทำได้ตลอดมาหลายสิบปี เพราะเขาไม่ชอบคนไทยที่ไปขโมยเพชรซาอุเขามา แต่ "ลุงตู่" ได้สร้างมิตรภาพและความมั่นใจใหม่สำเร็จ เปิดการบินและเส้นทางการค้า ที่ขาดการติดต่อกันไปหลายสิบปี หลายๆอีกผลงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ..คนไหนตาสว่างเขาก็เห็น (คนไหนตาบอด) เพราะหลงคำหลอกลวงหวานๆ ทำให้ตายเขาก็มองไม่เห็น.แต่เห็นแต่พวกเดียวกัน แม้โกงหรือทำไม่ดีแต่ก็ดีเพราะพวกเดียวกัน เทียบกันแบบนักเลง..ในด้านบริหารประเทศชาติ คือ (กระดูกมันคนละเบอร์)..ครับ..กราบพ่อท่านด้วยความเคารพสูงอย่างยิ่งครับ...

พ่อครูว่า... ความเห็นของคุณถูกต้องหมดตามภูมิอาตมาตัดสินเห็นด้วย ก็เป็นเรื่องจริงของสังคมประเทศไทย ที่มันเป็นปรากฏการณ์จริงไม่ใช่เป็นเรื่องนิทานไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องที่ฝันเพ้ออยู่ในห้วงความคิด เหมือนเรื่อง utopia ของโทมัส มอร์ แต่เป็นเรื่องจริงปรากฏการณ์จริงในโลก ของประเทศไทย 

คำพูดที่พูด โวๆๆๆ กับ การลงมือกระทำที่เกิดผลจริง มีแต่การพูด โวๆๆ เป็นเรื่องใหญ่พอมาทำจริงแล้วมันกลับไม่เป็นอย่างที่พูด นอกจากไม่เป็นอย่างที่พูดแล้วซ้อนลงไปตรงที่การกระทำดันกลับไปโกงเขาอีก ดันหลอกลวงซ้ำซ้อนอีก แล้วคนที่โง่ Double โง่ Triple โง่ ก็ไปหลงคารมเขาอีก มันห้ามไม่ได้จริงๆคนในโลกมันก็มีโง่กับฉลาด 

เพราะฉะนั้นคนโง่เขาก็ยังหาพวกได้ตลอดเวลาไม่ว่ายุคกาลไหนๆ ยุคก่อนพระพุทธเจ้า ยุคพระพุทธเจ้า ยุคนี้ เหมือนกัน มีอยู่อย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาฝึกฝนทางจิตให้เกิดความรู้มีโลกุตรธรรมจึงจะฉลาดรู้เท่าทัน รู้เท่าทันการพูดกับการลงมือทำ แค่นี้ที่เรียกภาษาเพราะๆว่า วาทกรรม กับการไม่ใช้วาทกรรมแต่เป็น ยถาวาทีตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ลงมือทำมีผลเกิดจริง 2 อย่างนี้แหละเป็นตัวชี้วัด ตัดสินของผลความจริง ว่ายังไหนมันคือความจริงที่แท้จริงกว่ากัน เอาแต่พูดโวๆๆ หรือแม้แต่ทำแล้วซ้อนอยู่ในนั้น มีแต่ทุจริตขี้โกง โลภโมโทสัน แล้วมีทั้งความผิดกฎหมาย ตัดสินแล้วด้วย แล้วก็หนีอีก โอ้โห..ความเลวซับซ้อนหลายชั้นหลายอย่างเลย หนีในทางหมาลอดด้วย ออกช่องหมาลอดไป แล้วก็ไปเที่ยวอาศัยที่อื่นเอาเงินไปหว่าน แล้ว..ขออภัย 

คำพูดนี้อาจจะต้องไปข่ม ต่างประเทศเขาก็ยังเป็นโลกียะอยู่ เงินจึงมีอิทธิพล ทักษิณอยู่ได้เพราะต่างประเทศยังเป็นโลกียะอยู่ นี่ก็จริงๆที่สุด 

มาเมืองไทยอย่างไรอย่างไรก็ไม่ได้หรอก อย่างน้อยชาวอโศกนี่ไม่ยอมเด็ดขาด เพราะชาวอโศกไม่ใช่คนตาบอด ไม่ใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นจะมาทำอะไรซับซ้อน อาตมาไม่เชื่อว่าทักษิณกลับมาจะแก้ไขตัวเองได้ ถ้าเขารู้แล้วก็ต้องไม่ให้ลูกๆทำ เพราะลูกๆทำอย่างเดียวกับเขา แล้วมันจะไปตัดสินเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร มันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ความจริง ที่จริงแท้จริงๆอย่างที่ว่านี้แหละ สูงสุด ที่มนุษย์ที่ควรจะได้ 

หลักเกณฑ์ที่อาตมาสรุปด้วยภาษาว่าผู้ที่ได้ภูมิธรรมสูงสุดนั้น คือคนที่เป็นคนอิสระ แล้วมาอยู่รวมกันแล้วก็สงบ สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส  และ ลงท้ายเป็นปลายเปิดว่าใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ นั่นคือความจบด้วยความไม่มีตัวตน มีแต่พลังงาน หรือแรงงาน หรือกรรมกิริยาที่สร้างสรรค์ ให้ ๆๆๆ เสียๆๆ ไม่ใช่ได้ ไม่ใช่เอา นี่คือสัจจะที่อาตมาพูดด้วยภาษาไม่ยากเลย 

เพราะฉะนั้นพูดเรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจ (เหลือเวลาอีก 39 นาที) 

ความรวยแก้ปัญหาเศรษฐกิจในโลกไม่ได้ 

ความจนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เด็ดขาดแท้ จบกิจ 

คนผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนจน 

เพราะฉะนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า คนที่ไม่หมดปัญหาเศรษฐกิจนั้นคือคนไปรวย หรือคนรวย 

คนรวยไม่มีหมดปัญหาเศรษฐกิจ คนจนเท่านั้น คนที่พอเพียง จนแล้วก็พอ มีใจพอ ก็จึงมีฐานที่สงบ ฐานที่หยุด ฐานที่อาศัยได้ 

ผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนจน ที่ได้เรียนรู้ และปฏิบัติ ปฏิบัติตนเองจนบรรลุอาริยธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มีวรรณะ 9 ต้องอาศัยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าก่อน มีวรรณะ 9 ในโลก 

แล้วในโลกปัจจุบันนี้ก็มีชาวอโศก คนจริง ชาวอโศกนี่คนแท้ๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ คนจริง ชาวอโศก ที่พิสูจน์ความจริงนี้สำเร็จ จริงๆ 

มีคนจริง มีสังคมจริง มีปรากฏการณ์จริง ยืนยัน ให้ใครๆในโลกนี้มาพิสูจน์ มาตรวจสอบความเป็นไปได้จริงนี้กัน ได้เลย 

แล้วคนผู้นี้คือชาวพุทธที่เป็นคนไทยนี่แหละ อยู่ในประเทศไทย 

ผู้ที่ปฏิบัติแก้ปัญหาเศรษฐกิจตก เป็นความลงตัวของคำว่า ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐศาสตร์ก็ดี หรือจะสรุปลงไปที่สังคมมนุษย์ก็ดี เป็นความลงตัว เป็นความจบ เป็นความสมบูรณ์แบบ อยู่ที่ตรงนี้ 

แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนั้นยังมองไม่เห็น ยังอ่านความจริงนี้ไม่ออก อ่านไม่ได้ อ่านไม่รู้ ทั้งๆที่มีของจริงอยู่นี่ อ่านไม่ออก อ่านไม่ได้ เขามาอ่านอโศก อ่านไม่ออก อ่านไม่รู้ อะไรของมันวะ อะไรอย่างนี้ 

ก็เพราะว่าความรู้ความฉลาดของเขา มันเป็นความรู้ความฉลาดแบบ เฉโก เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกีย์ เขามีแต่ปริญญา เฉโก หรือปริญญาโลกีย์เขาไม่มีปัญญาโลกุตระ 

เอาคำว่าปริญญาไปเรียกความรู้ความฉลาดที่สอบเอาใบอะไรมาได้ปริญญามาจากโลก มาจากมหาวิทยาลัยทั้งนั้นในโลกก็เรียกปริญญามาทั้งนั้น แต่ ปริญญาเหล่านั้นเป็นเทวนิยม เป็นโลกีย์ ไม่ใช่ปริญญาโลกุตระ ขออภัยต้องพูดชัด ที่ประสิทธิ์ประสาทออกไปจากชาวอโศก 

แม้ปริญญาที่ผลิตออกมาจากเถรสมาคม ชาวพุทธด้วย ก็ยังไม่ใช่ปริญญาโลกุตระ เหมือนกับชาวอโศก เป็นผลสำเร็จของพฤติกรรม ของจิตวิญญาณจริง ไม่ใช่มีแต่ใบรับรอง แต่พวกเราไม่ค่อยแจกใบปริญญาด้วย แต่จบปริญญากันไปเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริงๆ นี่คือชาวอโศก 

ซึ่งปริญญาโลกุตระนี้ ในโลกของเทวนิยมโลกีย์ยังไม่รู้จัก ไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้งไม่รู้จริง เขาไม่รู้อะไรบ้าง 

ความเป็นพระเจ้าของเขา เขาก็ยังไม่รู้ เขาจบปริญญาเอก เป็น Post Doctor อะไรก็แล้วแต่ มีปริญญาอีกไม่รู้กี่ใบ หลายใบ Post Doctor เขาไม่รู้แม้แต่ความเป็นพระเจ้าของเขา 

ในโลกตะวันตก แม้แต่ในอเมริกาที่นับถือกันอยู่ ยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสำนักตักศิลาใดๆเลยในโลกที่จะประสาทปริญญาโลกุตระ เขาประสาทแต่ปริญญาโลกียะทั้งนั้น มีมหาลัยหรือว่ามีสำนักตักศิลาของศาสนาพุทธ ที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ผู้อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ แต่ละยุคของ กาละ นี่คือยุคหนึ่งของกาละยังไม่หมด พระพุทธเจ้าสมณะโคดม ก็มีศาสนาพระพุทธเจ้านี้เท่านั้นที่ประสาทปริญญาโลกุตระ เกิดในมหาวิทยาลัยชนิดนี้ 

มหาวิทยาลัยของโลกชนิดอื่นๆ ประสาทปริญญาโลกุตระไม่ได้ ศาสนาอื่นใดตั้งมหาวิทยาลัยก็ตั้งขึ้นมาเต็ม แต่ประสาทได้แต่แค่ปริญญาโลกียะเท่านั้น ประสาทปริญญาโลกุตระ ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระ เขาไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ 

ในสังคมมนุษยชาตินี้ทั้งโลก จึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สำเร็จ ไม่มีการจบกิจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจลงได้ นั่นแหละจบปริญญาจะเป็น Post Doctor กี่ใบมาก็ตาม ทางเศรษฐศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นๆอีกเอามาช่วย ก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจนี้ไม่ได้ 

ผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า  บรรลุธรรม มีวรรณะ 9 เช่น  กลุ่มชุมชนชาวอโศกนี่ เพราะมายืนยันได้ว่า

เป็นคนเลี้ยงง่าย เจริญเร็ว ก้าวหน้าได้เร็ว สุภระ 

สุโปสะ เป็นคนเจริญเร็ว ก้าวหน้าได้เร็วคือ สุโปสะ

เป็นคนยินดีในความจนและมุ่งมาจน อัปปิจฉะ 

เป็นคนใจพอ สันตุฏฐิ รู้จักขอบเขตของความพอ  ไม่อยากได้มาให้แก่ตนอีก นี่คือสันโดษหรือสันตุฏฐิ

เป็นคนพัฒนาตนเอง ขัดเกลาตนเองเสมอๆ สัลเลขะ

มีหลักปฏิบัติที่เป็นองค์ธรรมนำไปสู่ความเจริญได้สูงขึ้น สูงขึ้น ถึงสูงสุด คือ ธูตะ

จึงเป็นคนมีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนกรรม น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ 

มีหลักปฏิบัติที่เป็นองค์ธรรมนำไปสู่ความเจริญสูงสุดจริงๆนั้น จึงทำให้มีที่สุดได้ เป็นที่สุดได้ ที่สุดคือ ไม่สะสม อปจยะ เป็นคนไม่สะสม 

แต่เป็นคนพากเพียรขยัน เป็นคนไม่มีความขี้เกียจแล้ว วิริยารัมภะ ขยันเป็นอัตโนมัติ ขยันเป็นวิสัย ขยันหมั่นเพียรทำงานอยู่ งานที่ควร งานที่หมู่พากันทำอยู่ ตนเองรู้ก็แนะนำหรือปรึกษากัน ตัดสินว่าจะทำงานอะไร ทำอะไร อย่างพวกเรานี้ตัดสินกันมาว่าจะเอากสิกรรม ไม่เอางานที่จะไปสร้างทาง โดยเฉพาะประมงหรือปศุสัตว์ หรือ ไปสร้างอุตสาหกรรมที่มันจะเป็นพิษเป็นภัย เพราะอุตสาหกรรมพวกเรานี้ก็จะไม่ถนัด ก็ทำพออาศัยทำได้พอประมาณ เครื่องยนต์กลไกทางวิศวะ ก็ได้ประมาณพวกนี้ อาศัยคนอื่นไปก็พอได้ แต่เราจะเน้นกสิกรรม อาตมาก็ย้ำ พยายามยืนยันมามากมายแล้ว 

แล้วก็พยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจแบบโลกุตระ หรือเศรษฐกิจแบบบุญนิยม 

คำว่า บุญ คำนี้ขอแทรกเข้าไปเพื่อให้คนเอาไปศึกษาคำว่าบุญมันต่างกับคำว่าทุนคนละขั้ว มันไม่ใช่ความมีนะ เป็นเครื่องมือในการประหารกิเลสสำหรับตนเองเท่านั้น ไม่ใช่ไปเที่ยวระรานใคร บุญ บุญไม่ไประรานใคร ไม่ไปทำร้ายใคร บุญทำร้ายกิเลสตัวเองให้หมดเกลี้ยงแล้วก็จบ เพราะใครก็ตามแหละ จะไปฆ่ากิเลสให้คนอื่นมันฆ่าไม่ได้หรอก มันต้องตัวเองฆ่ากิเลสของตัวเองเท่านั้น คนอื่นใดๆไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่ากิเลสของคนอื่น บอกได้แนะนำศึกษาภาษาได้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จบกิจแล้วมาเป็นคนจนสำเร็จ ก็จะเกิดมนุษย์มีวรรณะ 9 แล้วก็เป็นสังคม สาราณียธรรม 6 ที่จิตใจมีพุทธพจน์อีก 7 ตัว จิตใจของคนพวกนี้มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  นี่คือพุทธพจน์ 7 คำ 

พ่อครูว่า... สาราณียะ คือ ระลึกถึงกัน เป็นคนที่ไม่ใจดำ ระลึกถึงแม้แต่ศัตรูก็ระลึกถึงเข้าใจเขา เขาผิด เขาไม่ถูก ก็เข้าใจเขาอย่างซื่อตรง ไม่ได้ไปกดข่ม ไม่ได้ไปดูถูกเขาหลอก แต่สงสารเขาก็ระลึกถึงเขา ว่าพอช่วยได้ไหม บางคนเราไม่มีสิทธิ์ไปช่วยเขาเลยเพราะเขาถือตัว เขาถือดี เขาหลงตัวหนัก ก็ได้แต่ ถ้ามีใจเกื้อกูลก็ฝากบอกฝากส่งคำไปตามสายลม ก็เท่านั้น 

ปิยกรณะ มีความรัก ความรักก็มีระดับมีขั้นเป็นความรักขั้นสูงขั้น 7 ขั้น 8 ขั้น 9 อย่างนี้เป็นต้น เป็นความรักที่ดี เป็นความรักเจริญ เป็นความรักประเสริฐ ไม่ใช่ความรักเห็นแก่ตัว แคบอยู่ในมิติต่ำๆ ซึ่งอาตมาก็อธิบายความรัก 10 มิติไว้แล้ว วันนี้ก็ขอผ่าน 

มีครุกรณะ รู้จักฐานะของคน ผู้ที่น่าเคารพ ผู้ใดที่น่าเคารพก็เคารพ มีคุณวุฒิมีฐานะ มีวัยวุฒิก็แล้วแต่ เคารพด้วยวัยวุฒิ เคารพด้วยคุณวุฒิ เคารพด้วยฐานะสมมุติอะไร เราก็เข้าใจ 

จิตสำคัญ อยู่ที่ตัวที่ 4 สังคหะ เกื้อกูล ช่วยเหลือ เผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อไป ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ไม่เกินที่ตนไม่มีแล้วก็ไปกู้หนี้ยืมสินหรือไปทำอะไรซับซ้อน ไปช่วยคนอื่น ไม่เอา อย่างนั้นไม่เอา เท่าที่เรามีพอที่จะช่วยเขาได้ แล้วตนต้องอาศัย ไม่เดือดร้อนไม่ขาดแคลนไม่ลำบาก 

เรื่องวิวาทะไม่มี ไม่วิวาททะเลาะกับใคร ไม่ทะเลาะไม่วิวาท ขัดแย้งเราก็พยายามสงบระงับความขัดแย้ง แต่มันห้ามยากความขัดแย้ง แต่ขั้นทะเลาะวิวาทเราไม่เอาเราไม่ทำ เพราะฉะนั้นจะไปพูดถึงเรื่องการรบราฆ่าฟันตีกันฆ่ากัน..ไม่เลย หยาบมาก แม้ที่สุด ขัดแย้งกัน แล้วเขาจะมาฆ่าเรา เรายอมให้ฆ่าได้เลย ฆ่าก็ฆ่าไป เพราะเรารู้จักความตายความเกิด เราไม่ได้มีวิบากอะไร เราไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้าย แต่เขามาฆ่าเรา วิบากเป็นของเขา เรารู้กรรมวิบากของแท้ เขาไม่รู้ เขาทำเขาก็ต้องได้ ชีวิตถ้าเราจะอยู่ต่อเป็นพระอรหันต์แล้วจะตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เลิกกัน ถ้าไม่ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะอยู่อีกต่อไป ผู้ที่มีการทำต่อเราเป็นหนี้เป็นวิบากเขาก็ต้องมาใช้หนี้เวรนี้กรรมแก่เรา อันนี้ไม่ใช่ไปขี้ตู่อะไร แต่มันเป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วจริงๆ 

เพราะฉะนั้น ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่วิวาทแล้วก็สามัคคียะ พร้อมเพรียงกัน ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ ย่อมยังผลสำเร็จ เพราะฉะนั้นพวกเรานี้มีความเป็นหมู่เป็นกลุ่ม มีความพร้อมเพรียงทำไปเถอะ มีการก้าวหน้าเป็นรายทางไปเรื่อยๆแน่นอนๆ โดยสัจจะพวกนี้ไม่ใช่ว่าอาตมาเอามาพูดเล่นพูดประโลมโลก สัจจะมันเป็นเช่นนั้น มันต้องเป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นยิ่งหมู่กลุ่มนั้นเป็นเอกีภาวะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นปึกแผ่นแน่นหนากันดี สอดคล้องกันดี รู้กัน สมบูรณ์แบบด้วย เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม.  เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี สร้างผลผลิตอะไรได้ก็เอามาร่วมกันกินร่วมกันใช้ เกื้อกูลเผื่อแผ่แจกจ่ายไป เป็นคนจบกิจ แล้วเป็นคนมีฐาน มีฐานะ ที่แข็งแรง ฐานะที่ประเสริฐ ฐานะที่มีสมรรถนะความรู้ และขยันสร้างสรรค์ จึงมีแต่ความเจริญอยู่ในตัวบุคคลแต่ละบุคคล 

บุคคลแต่ละบุคคลรวมกันเป็นสังคม ก็คือสังคมเจริญ สังคมเจริญที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว หมดตัวตนไม่เห็นแก่ตัว ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์จริงๆนะ และก็ทำงานเพื่อผู้อื่นรับใช้ ใช้ศัพท์ว่ารับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆ 

ชีวิตของตัวเองไม่มีปัญหา เพราะมีกลุ่มหมู่พึ่งพากัน อาศัยกินอาศัยใช้กันพอ เหลือเฟือ หมู่กลุ่มนี้ต่างคนต่างคนต่างขยัน ต่างคนต่างทำหน้าที่นั้นๆนี้ๆ คนคนหนึ่งขยัน โดยเฉพาะเราไม่ไปขยันสร้างอาวุธมาฆ่าคน ไปขยันแย่งอำนาจ บาตรใหญ่อะไรใครๆ ไปขยันเบียดเบียน ไปขยันขี้โกงอะไร.. เราไม่ทำ 

พลังงานแรงงาน เวลา แม้แต่จะใช้ทุนรอน เราก็เอามาขยันในสิ่งที่ไม่ควรไปเสียในทางสร้างอาวุธ เสียในทางที่จะเอาเปรียบเอารัด เสียในทางที่จะมาโกงทุจริตอะไร เอามาทำประโยชน์คุณค่าทางนี้หมด มันพูดดูสั้นๆเล็กๆ แต่มันใหญ่ มันจะเป็นพลังรวมที่ยิ่งใหญ่ อโศกไม่ได้เป็นหมู่กลุ่มคนมากเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่มาก แล้วก็มีกลุ่มหมู่ที่รวมกันอยู่ในชุมชนแต่ละชุมชน 

เอาอย่างชุมชนราชธานีอโศกเป็นชุมชนที่อยู่กันอย่าง เอกีภาวะ สามัคคียะ อวิวาทะ สังคหะ และทุกคนก็เคารพกันรักกัน ระลึกถึงกันอย่างแท้จริง ต่างคนต่างมีฐานที่จะปฏิบัติเป็น ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตาของแต่ละคน พัฒนาให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติ วิมุตติญาณทัสนะ คุณก็ทำให้มันจบ จนจบคำว่าจบกิจ แต่ละกิจ ของแต่ละคนสิ้นกิจ ที่จะต้องทำให้แต่ละคนเป็นอรหัตผล ก็มี อรหันต์กับคนอรหันต์ไปเรื่อยๆ จนเป็นอรหันต์เป็นคนระดับ 4 จนเป็นอรหันต์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 7 นิยตะโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ระดับ 8 มหาโพธิสัตว์ สูงสุดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับที่ 9 

นี่เป็นเรื่องจริง เป็นของจริง เป็นขั้นตอนจริงเลย อาตมานำเรื่องโพธิสัตว์นี้มาอธิบาย มาขยายความ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตรธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งโลกุตรธรรมมันสูญหายไป มันเสื่อม มันสูญหายไปจากคนชาวพุทธนี่แหละ มันเสื่อมจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงพยากรณ์เอาไว้แล้ว อาตมาก็ได้เอา อาณิสูตรของพระพุทธเจ้ามายืนยัน อ้างอิงว่ามันจะเสื่อม แล้วมันก็เสื่อมจริงๆเห็นๆตามปรากฏการณ์จริงอยู่ 

แม้มีคำว่า พุทธ เป็นชาวพุทธ แต่มันก็เสื่อมจริงๆ อาตมาจึงอุบัติขึ้นมากอบกู้ นี่ทำงานกอบกู้มา 50 กว่าปีแล้ว ก็ได้ผลจริง มีผลจริง ได้ถึงขนาดนี้ก็น่าพอใจ แต่อาตมายังไม่จบหรอก จนกว่าจะมั่นใจเลยว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี้ จะสืบต่อยืนยาว มีเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมให้คนได้อาศัย ไปจนสิ้นความละเอียด ปลายยุค ที่จะหมดสิ้นพุทธธรรมที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้น สู่โลกกลียุค มันจะฆ่าแกงกัน มันจะโหดร้ายอะไรต่ออะไร ก็ช่วยคนไม่ค่อยได้แล้ว แต่ได้บ้างจนกระทั่งสุดท้ายก็ถึงขั้นที่ เอาแค่นี้ก็สิ้นสุดแล้ว ช่วยกันได้แค่นี้ 

พุทธธรรมของพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามันไม่ได้สูญหายไปไหนหรอก ก็มีคนสืบทอด เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้ายังมีโพธิสัตว์สืบทอดกันอยู่ตลอดกาลนาน ถึงเวลาวาระก็มาอุบัติขึ้นมาในโลก แม้สุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าก็ถึงวาระเวลา ก็จะเกิดในคน เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมะของคน ไม่ลึกลับ เป็นธรรมะของคน สำเร็จด้วยกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  

สำเร็จด้วยกรรม คือการกระทำ พฤติกรรมของมนุษย์ ที่เราจะต้องมาศึกษาการทำ กายกรรมทุจริตอย่างไร วจีกรรมทุจริตอย่างไร มโนเป็นตัวประธาน ทำใจในใจให้ไม่มีเหตุที่จะไปทำชั่วทำเลว จนแม้ที่สุดเป็นโลกุตระ ทำแล้วก็ไม่ไปติดในสุขในทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ 

คำว่า สุข-ทุกข์ กับ ดี-ชั่ว จึงเป็นเครื่องตัดสินของโลกียะ กับ โลกุตระ ที่ทางโลกียะเขายากที่จะเข้าใจ เพราะเขาเป็นสุขนิยม เป็นพวกสุขเที่ยง เป็นพวกที่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมสุขทุกข์มันจะต้องไปหยุดสุขทำไม คนเราก็ต้องสุขสิ ทุกข์ไม่เอาหรอกก็เข้าใจ แต่เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นสภาวะ ที่เป็นมายา 2 อย่าง หลอกว่านี่จริงกับนี่ไม่จริง นี่ไม่จริงอันนี้จริง 

มายามันหลอกว่าอันนี้จริง แต่แท้จริงแล้ว ผู้ที่บรรลุอรหันต์ บรรลุนิพพานบรรลุ 0 แล้ว รู้ว่ามีกับไม่มี จริงกับไม่จริง แล้วก็ชัดเจนว่า มีหรือจริงก็อาศัย ไม่จริงก็ไม่เอา ไม่มีก็รู้แล้วว่าทำให้ไม่มีได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรรู้ว่า มีกับไม่มีแล้ว 2 อันสุดท้าย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 

อาศัยเรื่องมีกับไม่มี อัตถิกับนัตถิ หรือ โหติกับนโหติ มีหรือไม่มี 2 คำสุดท้าย เป็นเครื่องยืนยันสภาวะอาศัย โดยที่เป็นอภิภูหรือ อนุปคัมมะ เป็นภูมิธรรมระดับที่ เป็นขั้น ไม่ใช่ สยังอภิญญา ที่จะต้องศึกษา อภิภู อนุปคัมมะ รู้สมบูรณ์แบบกันไปเรื่อยๆเป็นสภาพ 2 ที่เทียบไปแล้วในทุกอย่างเลย 

สรุปลงที่สภาพ 2 เมื่อคุณยังมีจิตนิยาม คุณยังมีจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นคนมีจิตวิญญาณจึงเป็นธาตุรู้ที่รู้สภาพ 2 ถ้ายังไปไม่เข้าใจว่า คุณจะไปมากเรื่องติดยึด ไปหลงโลกโลกียะที่มันต้องมีใหญ่ๆ มีมากๆ มีอะไรต่ออะไรเป็นก้อนใหญ่ไป โอย.. คุณยังจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ แล้วก็จะแย่งชิง มีกรรมวิบากอยู่ ต้องทุกข์ต้องสุข ต้องสุขต้องทุกข์อยู่ นานนนนนนนน จนหมดลมหายใจ นาน คุณลากเสียงไปเถอะ นานๆจนมันไม่มีอะไรจะเอามาวัดได้ 

ถ้าไม่มีความรู้ชัดเจนยิ่งจริงแล้วตัดให้มันสั้นลงจนกระทั่งรู้ที่จบ และสุดท้าย คุณเกิดมาเป็นคนนี้ มีจิตในยาม เทวนิยมเขารู้แค่ดีชั่วเท่านั้น เขาทำดีอย่าทำชั่ว แล้วเขาก็ไม่สงสัยในสมมุติสัจจะหรือสมมุติธรรมว่าดีชั่ว ก็เข้าใจ แล้วดีชั่วก็ไม่เที่ยง ขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ สถานที่ เทศะ ที่แตกต่างกัน ของอเมริกากับของไทย ไม่ได้ยึดดียึดชั่วเหมือนกัน แต่สุขทุกข์มันเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ใครหลงสุขหลงทุกข์ 

แล้วในสุขในทุกข์ ยังมีสมมุติอีก สมมุติว่าอย่างนี้สุข สมมุติว่าอย่างนี้ทุกข์ เป็นมายาหลอก แม้มายึดอันเดียวกันก็แย่งกันเลย จนที่สุดแล้วว่า ก็มันสุขทุกข์มันจะแย่งไปทำไมกันเล่า มันไม่มี มันถึงจะ อ๋อ.. เหรอ 

แล้วคุณก็จะต้องทำให้ได้ว่า จิตของคุณมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วคุณก็บอกว่าอย่างนี้ น่าได้นะมันสวย น่าได้นะ มันไพเราะดี น่าได้นะมันหอมดี น่าได้นะมันอร่อยดี น่าได้นะมันกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งเสียดสีสัมผัสกันอย่างนี้ แล้วมันก็เกิดอาการตามที่คุณสมมุติยึดกัน แล้วก็หลงยึดกันก็เท่านั้นเอง 

พอใจกับไม่พอใจ ก็เอาแต่พอใจ ๆ เหมือนมหาบัวแกก็อยู่แต่พอใจ จบที่พอใจ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี พอใจก็ไม่มี ไม่พอใจก็ไม่มี หมดภาวะ 2 

เพราะฉะนั้นคำจบหรือที่จบ มันจึงไม่มีคำพูด ที่จบมันคือ 0 ที่จบมันคือรู้ชัดแจ้งถึง 2 อย่างดีก็มาทำให้มันมาอยู่ที่ 1 ที่นี้การทำให้มาอยู่ที่ 1 ได้ โลกียเขาก็ทำให้มาอยู่ที่ 1 ได้ ด้วยการสะกดให้เป็น 1 ได้ สะกดให้เป็น 1 นานๆได้ แต่เขาไม่ได้ดับเหตุ ไม่ได้รู้เหตุแห่งการไม่ต้องสะกด ดับเหตุไปเลย  

เพราะฉะนั้นดับเหตุที่คุณยังโง่ จนกระทั่งรู้เหตุ ดับเหตุได้ ด้วยอย่างนี้แล้วก็อยู่ในสถานะของ 0 ได้อย่างไร 0 นั้นคือ 1, 1 นั้นคือ 0 ถ้าคุณยังมีชีวิตคุณก็มี 1 แล้ว 1 นี้ที่คุณมีก็คือ 0 

สับสนไหม ไม่สับสน ไม่งง พยัญชนะหรือภาษาที่อาตมาพูดให้ฟัง 0 ก็ดี 1 ก็ดี มันจึงอยู่ที่ ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ ของแต่ละคน อ๋อ.. อาการอย่างนี้เองหรือ 

เช่น คุณเองคุณไม่เอาแล้ว ไอ้นั่นมันหยาบ มันได้เที่ยวไปติดยึดเยอะแยะเหน็ดเหนื่อย เข้าใจแล้ว ไม่มีจริง รสชาติที่ต้องไปตามเสพอย่างนั้นมันไม่มีแล้วคุณก็จะรู้เองด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง 

เอาใกล้ๆเขามา อย่างผู้ชาย ได้สูบบุหรี่ก็เป็นสุข เมื่อเลิกแล้วบุหรี่หมดรสเฉยๆ สุขก็ได้ ที่จริงมันก็ไม่ได้อร่อยอะไรบุหรี่ มันแสบมันฉุน ไม่ได้เรื่องเลย เหมือนกับการกินหมากกินพลู มันไม่ได้ว่างๆ สบายๆ โล่งๆ มันไม่พ้น แค่ปูนแค่พลู ซัดเข้าไปเถอะ ใครไม่เคยก็ไปลองดู มันยันนะ 

ยาสูบก็เหมือนกัน ใครไม่เคยก็ลองดู เอาดีกรีสูงๆหน่อยจะรู้ง่าย โอย..แสบเลย เหล้ายาอะไรก็เหมือน เอาดีกรีสูงๆก็จะรู้ง่าย โอ้ย.. ซ่า ร้อนนะ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้จริงแล้ว วางได้จริงแล้ว ก็จะรู้ว่า อ๋อ.. 0 มันเป็นอย่างนี้ แล้วคุณก็มาอยู่กับ 0 สบาย เบา ไม่ต้องเสียเวลาไปแสวงหา ไม่ต้องเสียแรงงานที่จะต้องไปติดตามจ่ายแรงงาน ไปเดินไปเอาไปแย่งมา ไปหาซื้ออะไรก็แล้วแต่ต้องลงแรงทั้งนั้น เวลาก็ไม่เสีย แรงงานก็ไม่เสีย ต้องไปเสียทุนรอนอะไรอีก ก็ไม่เสีย หมด กลับคืนมา ได้เวลาคืนมา ได้แรงงานคืนมา ได้ความสูญเสียเงินทองข้าวของอะไรคืนมาหมด 

แล้วเอามาสร้าง สิ่งที่ควรสร้าง ซึ่งอาตมาสรุปลงที่กสิกรรม 

นี่อาตมา ความเข้าใจถึงความเจริญของเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ตรรกะ ไม่ใช่แค่พูด ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ทำได้จริง และทำกันจริงๆ ทำได้ แล้วต้องทำกันจริงๆ เพราะคนอื่นเขายังไม่เชื่อ คนอื่นเขายังไม่เห็นว่า มันจะจริงหรือ 

ถ้าเผื่อว่า ชาวอโศกนี้ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร สร้างได้มากจริงๆ มากจนกระทั่ง ติดต่อกับผู้อื่นผู้ใดที่เขาจะมาเป็นเอเจนซี่ เอ้า มารับไปเถอะ ขายราคาถูกๆ หรือ ผู้ที่ควรให้ฟรีเลย คุณเอาไปแจกนะ หรือคุณเอาไปกินเองอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ใช่เอาไปมากมายแล้วทับถมให้แก่ตัวเอง เราไม่ใช่ขี้เหนียวหรอก แต่เราให้เอาไปช่วยกันแจกสิ 

แล้วการแจก การสะพัด ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในคำว่าเศรษฐศาสตร์นั่นแหละ เศรษฐกิจ สะพัด สู่คนที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น กระจายไป ถ้าได้อาหารนี้ไป เขาก็ต้องกิน 

ใช้การกินนั่นแหละเป็นหลัก ชีวิตก็อยู่ได้แล้ว ถ้าเขายิ่งศึกษาตามที่เราพาทำให้สูงให้เจริญ เขาก็จะยิ่งเป็นแรงงานของโลก เป็นผู้ที่สร้างสรรค์ให้แก่โลก เป็นผู้ที่เกื้อกูลเสียสละเผื่อแผ่แจกจ่ายให้แก่โลก โลกานุกัมปายะ คนเช่นนี้แหละเป็นคนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมา อาตมาศึกษาตามมา นับชาติไม่ถ้วนจนเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ ไม่ได้อวดตัวเองนะ นี่พูดความจริง เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าศึกษาฝึกฝนมาแล้วเป็นจริง จริงอย่างไร คุณมาศึกษาเอาความจริงที่อาตมาประพฤติได้ประพฤติเป็น แล้วพากันทำ จนกระทั่งมีผลสำเร็จ ยืนยันกับโลกนี้แหละ 

เพราะฉะนั้น สรุปลงที่ว่า ถ้าเผื่อว่าพวกเราสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ได้ กระจายแจกจ่ายไปได้ ทุกวันนี้พวกเรานี้มีเหลือแล้วก็เสียๆทิ้งๆไปเยอะ เอาไปปันสุข แล้วพวกเราก็ไม่ค่อยขยันแจก ขั้นสร้างก็พอทำเนา สร้างได้อุดมสมบูรณ์อยู่แต่ขั้นแจกแค่นี้ยังไม่ช่วยกันดูซิ เอาไปกระจายบ้าง 

พวกเราเองชาวอโศกอยู่ทั่วไป ก็ไม่ได้ขาดแคลน ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย มันมีเกินพอที่จะแจกคนอื่นๆเขาได้อยู่ 

_สู่แดนธรรม... วันก่อนมีคำน่าสังเกตครับว่า พวกเราเป็นนักปลูกขยันปลูกแต่ไม่ชอบเก็บ 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็พูด ให้ตั้งหัวหน้ากองเก็บ แล้วก็จัดสมาชิกผู้ที่จะช่วยเก็บ เคยตั้งนะ ปลูกแต่มันไม่ไปเก็บ ผลผลิต ของดีๆทั้งนั้น 

_สู่แดนธรรม... เมื่อเก็บก็ไม่อยากเก็บแล้ว แจกก็เลยไม่อยาก 

พ่อครูว่า... มันก็เน่าเสียทิ้งไป นี่ มันมีแค่นี้ ก็มีรายละเอียดของมันนะ 

_สู่แดนธรรม... มีสังคมเดียวนี่แหละครับที่ทำได้ 

พ่อครูว่า... ตอนนี้อย่างที่สู่แดนธรรมพูดมันก็ถูก แต่พูดแล้วเหมือนๆยกย่องตัวเอง มันไปข่มเบ่งทับถมคนอื่นเขาว่ามีสังคมนี้ทำได้ 

_สู่แดนธรรม... ผมว่าสังคมที่ไม่ค่อยเก็บนี่แหละพวกเราทำได้ครับ 

พ่อครูว่า... มีคนทำได้ไปเก็บ แต่ ที่ทำไม่ได้ก็มีในพวกเราทำไมไม่ไปช่วยกันเก็บ แต่ที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดเกินเหลือจนกระทั่งเน่าทิ้งอะไรหรอก มันก็เก็บอยู่แต่มันหนัก ดีไม่ดีต้องมาจ้างเขา มีคนงาน ดีไม่ดีต้องมาจ้างเขามีคนงานไปช่วยเก็บ คนงานนี้ก็ดี เราก็ควรเอาไปสร้างสรรในสิ่งที่ควร มันก็เลยไม่ได้ทำ 

สรุปแล้ว มันก็มีอัตราการก้าวหน้า มีอัตราความเจริญอยู่ ค่อยๆทำไป แต่มันยากมากเลยนะ 

คำว่า ความเห็นแก่ตัว คำนี้คำเดียว มันมีละเอียดเยอะแยะมาก อะไรบ้างความเห็นแก่ตัว 

_ป๋องว่า เสนาสนมัจฉริยะ วรรณมัจฉริยะ ธัมมมัจฉริยะ

พ่อครูว่า... วรรณมัจฉริยะ แต่พวกเราไม่ขี้เหนียวธรรมะหรอก บางทียัดเยียดด้วย

 _สู่แดนธรรม... บางคนยังอยากรวยอยู่

พ่อครูว่า... คนที่ยังอยากร่ำรวยอยู่เนี่ย ยืนยันนั่งยันนอนยันว่า ไม่มีทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบ ต้องให้คนมีความละอายเกรงกลัวที่จะไปแย่งให้คนไปรวยแค่คิดจะไปรวยนี้เราก็ละอายแล้ว ต้องให้คนมีความละอายเกรงกลัวที่จะไปแย่งให้คนไปรวยแค่คิดจะไปรวยนี้เราก็ละอายแล้ว คุณพออยู่พอกินไม่เป็นภาระแก่ใคร แล้วเราก็สร้างอยู่สร้างพอกินและสร้างเกินกินเกินใช้แก่ตัวเองด้วย ไม่ได้สร้างโดยตรง ไม่ได้สร้างพืชพรรณธัญญาหารโดยตรง คุณพออยู่พอกิน ไม่เป็นภาระแก่ใคร  

แต่ก็ทำงานอื่นอันสมควรในหมู่กลุ่มเราก็ทำอยู่ช่วยกันคนละไม้คนละมือคนละกิจคนละการ มันก็เป็นไปได้ แต่พืชพันธุ์ ธัญญาหาร มันต้องหนักต้องมาก ที่ดินพื้นดินของเรายังมีให้ทำนะ มันยังทำได้ งานอื่นอาตมาว่า ไม่มากไม่ลำบาก ไม่ต้องอาศัยมากมายเท่าไหร่แล้วทุกวันนี้ 

พระพุทธเจ้าท่านสรุปลงที่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค นอกนั้นก็เป็นเรื่องของบริขารที่ประกอบใช้ช่วย นอกนั้นก็เป็นเรื่องของบริขารที่ประกอบใช้ช่วย แก่นแท้เลย อาหารเป็นหนึ่ง ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยก็ยังเป็นรอง 

ทุกๆวันนี้ ในราชธานีอโศก ในราชธานีอโศกสถานที่ที่จะอาศัย แค่เรือนเรือของเรายังมีให้อยู่ได้ เบ้อเร่อเลย ไม่ใช่เรือเล็กๆนะแต่เป็นเรือใหญ่ๆอยู่ได้หลายสิบคนในเรือลำหนึ่ง เพราะพวกเราไม่ได้เบียดเบียนอะไรกันแล้ว ไม่ได้เป็นคนที่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของหวงแหนอะไรมากมาย เรือลำหนึ่งอยู่ร่วมกันได้หลายสิบคน ช่วยกันทำงานสร้างสรรค์เป็นที่อาศัย จะสร้างอาหาร จะสร้างยา เครื่องนุ่งห่มก็ไม่ได้มากมายอะไร พวกเรานี้เครื่องนุ่งห่มเหลือเฟือ ที่อยู่อาศัยเหลือเฟือ 

ที่อยู่อาศัยมีพอ ยินดีต้อนรับคนมาอาศัย ขอให้ใจถึงๆ คุณจะสู้ได้ไหม 

1.ไม่กินเนื้อสัตว์ 2.ถือศีล 5 ละอบายมุข

หลายคนถามว่าจะเข้ามาอยู่เป็นชาวอโศกได้ไหม ได้ ขอให้คุณมีคุณสมบัติคือ คุณไม่มีอบายมุข คุณไม่กินเนื้อสัตว์แล้วมามีศีล 5 เป็นพื้นฐาน ไม่ได้เอาศีลสูงเท่าไหร่ ทำได้ไหม ได้แล้วมาเลย มาแต่ตัวกับหัวใจแล้วมาเลย แต่คุณจะมีอะไรที่มาเป็นสิ่งที่ให้อาศัยใช้สอยที่นี่บ้าง ที่นี่เขาอาศัยใช้สอยอะไรก็เอามา คุณมีอะไร มีเสื้อผ้าเหลือเฟือ หรือมียารักษาเหลือเฟือก็เอามา ที่อยู่ก็คงหอบออกมาไม่ได้ก็เอามาที่อยู่ก็คงหอบออกมาไม่ได้ก็เอามาสิ มาช่วยสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่นี่ ต้องการคนอีกมาก

 

อาตมาขอแว้งๆไปทางโลกหน่อย 

นายกฯปลื้ม กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 30 เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2023

26 กุมภาพันธ์ 2566 จากเวปไซต์ไทยโพสต์

 

นายกฯ ปลื้ม Resonance Consultancy จัดอันดับให้ กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 30 เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2023 หรือ 100 Best Cities in the World 2023 เป็นที่ 2 ของอาเซียน

 

26 ก.พ. 2566 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ Resonance Consultancy จัดอันดับให้ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ได้อันดับที่ 30 จาก 100 เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2023 หรือ 100 Best Cities in the World 2023 และเป็นอันดับที่ 2 ของ อาเซียนซึ่งเปิดเผยข้อมูลโดยเว็บไซต์ ATLAS & BOOTS

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากการจัดอันดับในครั้งนี้ Resonance Consultancy ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งประเมินแนวโน้มของตลาด จุดแข็ง และจุดอ่อน ได้จัดอันดับ 100 Best Cities in the World 2023 โดยประเมินจาก 6 หัวข้อ ได้แก่

 

1.สถานที่(Place) ประกอบไปด้วย สภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ใช้ชีวิตนอกบ้าน

 

2.ผลิตภัณฑ์ (Product) ประกอบไปด้วย ความเชื่อมโยงของสนามบิน พิพิธภัณฑ์ อันดับของมหาวิทยาลัย และสถานที่จัดงาน/การประชุม

 

3.ประชากร (People) ประกอบไปด้วย การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และการสำเร็จการศึกษา

 

4.ความมั่งคั่ง (Prosperity) ประกอบไปด้วย การมีบริษัทชั้นนำของโลก GDP อัตราการจ้างงาน และความเท่าเทียมของรายได้

พ่อครูว่า... อาตมาขอไปที่ GDP การคิด GDP ของทางโลกมันก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับ GDP ทางโลกุตระที่อาตมานำเสนอเท่าไหร่ การคิด GDP ทางโลกุตระ มันมีประเด็นใหญ่ๆอยู่ 2 ประเด็นหลัก 

ประเด็นที่ 1 รวยกับจน

ประเด็นที่ 2 ก็คือ มีความคิดกับการพูด กับการลงมือกระทำสร้างผลผลิต เขาไปคิด รายได้จากการขาย ซึ่งมีความซับซ้อนจากการโกงราคา เอาเปรียบ แล้วเขาก็เอากการได้ เป็น Gross

2 ตัวสร้าง Product ของผู้ที่อยู่ในกรอบของ domestic อยู่ในกรอบของไทยแท้ๆเลยนะ ไทยสร้างเป็นต้น หรือประเทศใดก็ตามคุณสร้างของคุณ เอารายได้ที่ขายอันนี้ไป มาเป็ฯ Gross รายได้องค์รวมและวิธีที่ได้เป็นการได้อย่างเสียสละอย่างขาดทุน เพราะฉะนั้นการวัด GDP จึงไม่ได้เอาตัวเลขรวย ตัวเล็กจะต้องต่ำ มันก็ไม่สูญทีเดียว จะว่ากันจริงๆ การซื้อขายมันต้องมีคืนมาบ้าง 

สรุปแล้วมันต้องน้อยได้เท่าไหร่ต่างหากคือการวัดค่า ไม่ใช่เอามากมาเป็นการวัดความเจริญ 

มันเข้าใจไม่ได้ง่ายๆนะ เข้าใจได้แล้วแต่ทำจริงๆ โอโฮ. เจ้าประคุณเอยที่นี้แล้วตรงนี้ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น อาตมาพูดถึงตรงนี้แล้วทีไร อาตมาก็เห็นใจคนทั้งโลก ที่เขาไม่ได้เรียนโลกุตรธรรม มหาวิทยาลัยสอน ความรู้โลกุตรธรรมมีในประเทศไทยแห่งเดียว ที่ถูกต้อง 

จริง มีพุทธศาสนาที่พูดถึงโลกุตระอยู่ ในมหายานเขาก็พูดถึงโลกุตระเก่ง สังคมพุทธที่ไหนที่เขามีมหายานเยอะๆ เขาก็พูดเก่ง แต่มันเพี้ยนแล้ว มหายานของเขานั้นมันเพี้ยน มันยังอยู่ในหินยานหรือยานเล็กคือยานชาวอโศกหรือยานในประเทศไทยหรืออยู่ในเอเชีย ที่เป็นพุทธที่พอจะพูดคำว่าโลกุตระกันบ้าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนแท้ ยังไม่จริงจังพอ เหมือนที่ในประเทศไทย และสูงไปกว่านั้นประเทศไทยก็คือพุทธชาวอโศก 

พูดแล้วเกรงใจคนทั้งโลก ว่าเขาจะบอกว่าหลงแต่ตัวเองยกแต่ตัวเอง อาตมาเลี่ยงความจริงไปไม่ได้ที่จะพูดความจริง เอาอันอื่นมาพูดก็ไม่ได้ รู้สึกเกรงใจจริงๆว่า เราพูดตนเองเอาตนเองมายืนยัน แต่มันไม่มีอันอื่นจะเอามายืนยันความจริงที่จริงได้ 

เพราะฉะนั้นจึงเหมือนท้าทายให้มาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก ยืนยันมาให้ตรวจสอบ เชิญให้มาตรวจสอบได้ เหมือนท้าทายให้มาพิสูจน์ ว่ามันจริงไหม มาดูความจริง 

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าตราบใด คนไทยเองชาวพุทธไทยเอง ก็ยังมองไม่ออกว่าอโศกนี้ ทำความสงบที่ยิ่งใหญ่ของโลกุตรธรรมได้แล้ว อาตมาว่า เอ๊.. ข้างนอกเขาจะสว่างก่อน รู้ก่อน มันจะอย่างนั้นเชียวหรืออาตมานึกไม่ออก 

แต่จริงๆแล้วอาตมาดูรายละเอียดกระแสของความยอมรับ ในประเทศไทย กระแสการยอมรับคือ ตัวสงบ ตัวเงียบ ตัวไม่ย้อนแย้งไม่เถียงมา มันเป็นการวัดค่าได้อยู่ เพราะอาตมาก็ปากแรงปากหนักปากจัดจ้านอยู่นะ ใช่ไหม อาตมาไม่ได้ไปข่มไปดูถูกอะไรหรอก แต่คำพูดนี้มันคมมันบาดมันแรงอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไปกระทบเขา เพราะเขาเองเขาจะต้องถูกข่ม นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  

ไม่ต้องเอาอะไรหรอก เอาแต่แค่เลิกหลับตามาลืมตาปฏิบัติซะ ไอ้หลับตามันโมฆะ มันไม่มีกายตัวเดียวก็โมฆะแล้ว มาเรียนรู้ลืมตาจรณะ 15 วิชชา 8 เข้าใจ อปัณณกปฏิปทา 3 ให้บริบูรณ์และจะเข้าใจสัมมัปปธาน 4 ชัดเจน แล้วจะเข้าใจสติปัฏฐาน 4 ชัดเจน ว่าจะต้องมีกาย จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงจะ ปหานปธานได้ ถ้าไม่มีกายไม่มีเวทนาไม่มีจิตมีธรรม  4 สภาพนี้ ครบอยู่ มันไม่บริบูรณ์ มันทำไม่สำเร็จ 

แค่ขาดเวทนา ขาด กาย คุณอย่าไปฝันเลยเรื่องจิตเรื่องธรรมะ หรือ ไม่มาสำรวมอินทรีย์ 6 แล้วคุณถึงจะได้ประหารกิเลส ถึงจะเกิดผลเป็นภาวนาปธาน แล้วถึงจะได้สะสมผลอนุรักขณาปธาน คุณไม่สำเร็จตั้งแต่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 คุณก็ไปสำรวมอินทรีย์เดียวอยู่ในภพจิตอย่างเดียว แล้วมันจะได้เรื่องอะไร 

อาตมาก็พูดซ้ำย้ำอยู่ตรงนี้ ยืนยันหลักฐานของพระพุทธเจ้า 

อาตมาถึงซาบซึ้งธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านบอกว่า  คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

โอ๊ย.. พระพุทธเจ้าเอ๋ย จริงๆๆๆ ถูกต้องเหลือเกิน คัมภีรา ลึกซึ้งเห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบชนิดพิเศษ สันตา ไม่ใช่สงบอย่างเขา แต่เป็นการสงบพิเศษจริงๆ ประณีตสุขุมละเอียดจริงๆ 

เพราะฉะนั้นอาศัยตรรกะไม่ได้ อาศัยบัญญัติ อาศัยพยัญชนะ อาศัยแค่การขบคิด อาศัยแค่ผิวๆเผินๆ ไม่ได้ ต้องมาประพฤติปฏิบัติตนภายนอก กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจรเข้าไป ลดตั้งแต่หยาบก่อน หยาบมันต้องทำก่อน มันเป็นขั้นต้นของพรหมจรรย์ ยากเย็นแสนเข็นเหลือเกิน 

มันจึงเป็น นิปุณา ละเอียดจนเกินจะพูด นิปุนา บัณฑิตเวทนียา ไม่ใช่บัณฑิตที่จบปริญญาโลกียะมา แต่เป็นบัณฑิตที่จบปริญญาโลกุตระ 

มีมหาวิทยาลัยที่จะประสาทปริญญาโลกุตระอยู่ที่นี่ ตอนนี้ก็ จดทะเบียนทางสังคมเขาแล้ว หมอเขียวก็ ตั้งเป็นมหาวิทยาลัยเป็นวิทยาลัยขึ้นมา ก็ค่อยๆทำไป ไม่ได้ยิ่งได้ใหญ่อะไร แม้การศึกษาเราก็ค่อยๆทำไป คนเขามีดวงตาคนจะมาสมัคร เราไม่ได้หาเงินหาทอง ไม่ได้หายศหาศักดิ์อะไร มาช่วยกันให้เจริญขึ้นจริงๆ การศึกษาเข้ามาช่วยกันจริงๆ ก็ทำ 

แม้ที่สุด การเมือง ตั้งพรรคการเมืองกับเขา ตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุมัติ ก็บอกว่ายังเป็นข้อบกพร่องของเราเอง ก็ทำให้สมบูรณ์ ดูซิ จะทำต่อไป เราก็จะประพฤติปฏิบัติทางการเมืองแบบแนวของที่เราทำ ไม่ได้ไปแย่งอำนาจ ไม่ได้ไปแย่ง สส. อะไรเขา แต่เราจะมีคนไปสมัคร สส.บ้างก็ทำไปตามควร ไม่ไปแย่ง 400 ที่นั่งจะต้องได้เท่านี้เท่านี้ ไม่เอา มีเท่าไหร่ก็ว่ากันไป 

ซึ่งอาตมาก็ยังเห็นว่า อาตมายังตายไม่ลง จะต้องพยายามพาพวกเราทำ ด้านการเมืองนี่ทุกวันนี้ ทั้งโลกทั่วโลกตื่นตัวกันมากเลย เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามพากันทำ เรื่องของการเมืองด้วย 

ก็สรุปลงที่ กสิกรรมกับการเมือง แน่นอน ต้องมีการศึกษาอยู่ในสิ่งนี้ และต้องมีสื่อสารอยู่ในสิ่งนี้ การศึกษาและการสื่อสารจะต้องนำพากันไป 

เพราะฉะนั้นในที่อาตมาถือเป็น บุญญาวุธ 7 ประการ 

คุณต้องมีอาหารที่พาให้ได้ยืนยาวคือมังสวิรัติ แล้วก็ต้องมีการสะพัดเป็นตลาดอาริยะ โดยมีเหตุปัจจัยคือ กสิกรรมไร้สารพิษเป็นแกนกับสุขภาพ คู่กันไปอีก และการศึกษากับสื่อสารที่พูดผ่านไปเมื่อกี้ คู่กันไปอีก สรุปแล้วนี่แหละคือการเมือง 

การเมืองก็จะต้องพาให้ประชาชนมนุษยชาติ มีอาหารการกิน มีการสะพัด เอาอะไรมาสะพัด ก็คือเอากสิกรรม แล้วกสิกรรมก็จะต้องเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เจริญสุขภาพ เป็นทั้งยาเป็นทั้งอาหาร แล้วต้องมีความรู้มีการศึกษา มีการสื่อสารกัน บอกให้รู้ให้เข้าใจ ให้ถึงกัน สื่อสารให้ถึง เดี๋ยวนี้การสื่อสารก็โกลโบไลเซชั่นแล้ว ฟ้าบ่กั้น สำนวนลาวเขาบอกว่า ฟ้าบ่กั้น เมืองไทยเรียกว่าโลกาภิวัตน์ ทะลุหมด ถึงกันหมด ฟ้าบ่กั้น ไม่มีอะไรกั้นได้แม้แต่ฟ้าก็กั้นไม่ได้ อาตมาว่าสวยกว่าโลกาภิวัตน์ตั้งเยอะ ฟ้าบ่กั้น ของลาว ฟ้าไม่กั้นก็ได้ ไทยๆ

สรุปลงที่ การเมืองคือการทำกับพลเมือง เพราะฉะนั้นในความเป็นพลเมือง ในการทำงานกับคนในเมือง มี พหุชนหิตายะ พลเมืองหรือมวลประชาชนก็คือ พหุชนหิตายะของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดประโยชน์คือ หิตายะ ประโยชน์ที่พลเมืองประชาชนควรจะได้รับประโยชน์ดีที่สุด 

และขออาศัยคำว่าสุข ตั้งแต่สุขอย่างที่จะเจริญอย่างดี เจริญอย่างรู้จักโลกุตระ ว่าสุขลดลงๆ เท่าไหร่ๆ เป็นเครื่องอาศัยก็คือยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขังหรือ อุปสมสุขหรือวูปสโมสุข ขึ้นมาเรื่อยๆ พยัญชนะบาลีเขา คือมันสุขด้วยความสงบ มันสงบสุข 

คำว่าสงบ คำนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจว่ามันเป็นความสงบ 2 อย่าง สงบโลกุตระ คือ สงบจากตัวกวน สงบจากตัวเหตุ ที่มันพาโง่ มันไปพาเบียดเบียนผู้อื่นไปพารุกลานผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ทำลายทำร้ายผู้อื่นอยู่นี่ มันก็คือคนที่ มิลักขะ ยังเป็นคนเถื่อนอยู่ แล้วหลงผิดกันเป็นมายา 

ขออภัย ยกตัวอย่างชัดๆ ในทางเล็กกับทางใหญ่ ทางใหญ่ เช่น อเมริกา เขาเก่งทางอาวุธ ทางเล็กก็คือเกาหลีเหนือ เขาก็เก่งทางอาวุธ อาวุธฆ่าคน ทำลายอย่างแรงมากหรืออย่างมหาวินาศเลยด้วย แล้วถือว่าเก่ง อาตมาว่า สุดบาปสุดหยาบ ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเลย แต่เขาไม่รู้ เขายังอวิชชา ยังโง่ยังเถื่อนยังเป็น มิลักขะอยู่ นี่ก็พูดอย่างวิชาการ ไม่ได้ไปเบ่งไปข่มอะไรกัน 

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ล้มเหลวแล้วอย่างทางด้านตะวันตก ทางด้านยุโรปอเมริกา เป็นการศึกษาที่วนอยู่ในเทวนิยม ซึ่งไม่พ้นไปจากโลกียธรรม ซึ่งมันยังมีตัวตน ยังหลงสุข สรุปลงที่ตัวตนกับสุข 

โลกุตระ หมดสุขหมดทุกข์ หมดตัวตน แล้วเป็นคนที่มีพลังงาน มีอธิปไตย รู้ อธิปไตยของโลก พลังงานของโลก รู้พลังงานของตัวตน อัตตา รู้พลังงานที่เป็นธรรมะ เรียกว่าโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธรรมาธิปไตย ธรรมะที่เป็นอธิปไตย 

เพราะฉะนั้น อธิปไตยหรือพลังงานอย่างโลกียะเป็นอย่างไร อย่างโลกุตระเป็นอย่างไร รู้ชัดไม่เอาแล้วอย่างโลกียะ อย่างโลกุตระถึงขั้นตายเป็นตาย การเกิดการตายการเวียนวนเกิดตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีตัวตนเป็นเรื่องใหญ่ ยังมีตัวตนโอ้โห..มันเรื่องไม่จบ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยไม่มีตัวตน มีปัญญา รับใช้ผู้อื่น มีสมรรถนะซื่อสัตย์ นี่ก็สรุปวนๆอยู่ในคำพวกนี้ อย่างน้อย 5 คำนี้ก็สมบูรณ์แบบ 

นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยม 

พูดไปพูดมาตอนนี้มัน 20:10น. แล้ว ที่จริงมันไม่เริ่ม 6 โมงตรงทีเดียวหรอก อาตมาก็เห็นอยู่ สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้ก็แล้วกัน เจริญธรรมทุกคน 

พิสูจน์พลังงานพิสูจน์กำลังงาน ไม่ไอเลยนะ มีแค่กะแอม Excellence จริงๆ 

จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2566 ( 10:57:06 )

660301

รายละเอียด

660301 แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53019.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1s5ggMZjtt_GjPflpzlO9jE4tmcvqyNNR9WNgmAdjPWo/edit?usp=sharing                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1r-6RbpDTOB9PED6zWLAS5vp3VDKSVx65/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/c4ASoQWY_WQ 

และ https://fb.watch/i-2lQoCKIl/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์เวลา 18:00 น ถึง 19.30 นโดยประมาณ 

โดยปกติชีวิตคนก็แสวงหาโลกีย์ ไปฟังสิ่งที่มิจฉาทิฏฐิซ้ำแล้วซ้ำ ส่วนพวกเราเป็นชีวิตชาวโลกุตระ ก็มาฟังธรรมแล้วๆเล่าๆไม่เว้นแต่ละวัน ฟังมาหลายสิบปี บางคน 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 จนปฏิบัติได้ไปตามลำดับ จนใช้ชีวิตเป็นปกติของคนโลกุตระทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วก็ยังศึกษาต่อไปอีกต่อไปอีกจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในฐานะเป็นโพธิสัตว์ระดับสูง ที่สามารถปฏิบัติไปโดยไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ แต่พวกเราต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่จะเพิ่มสัมมาทิฏฐิจึงจะพัฒนาตัวเราเองได้ดี จนกว่าจะพัฒนาไปเป็น สยังอภิญญา ด้วยตัวเราเองได้เราจึงจะพึ่งพาตัวเองได้สำเร็จทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ ตอนนี้เรามีหน้าที่เป็นสาวก รักษาให้จริงจังแล้วเอาไปปฏิบัติจริง พ่อครูก็จะชี้นำในสิ่งที่ควรทำ ตอนนี้ทำกสิกรรมนะ ตอนนี้ศาลาปันสุข ตอนนี้การเมืองนะทำอย่างนี้นะ ก็ชี้ พวกเราก็ดำเนินตามเพราะพวกเรายังไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะเสียสละได้มาก บางทีจิตเราอยากเสียสละแค่นี้ แต่พ่อครูก็ดึงให้พวกเราเสียสละเพิ่มขึ้นไปอีก เราก็ได้ทำเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้พอพัฒนาเจริญมากยิ่ง วันนี้เราก็มาฟังธรรมจากพ่อครูกันต่อเพื่อจะได้เจริญในด้านการปฏิบัติธรรมมากขึ้นเสียสละมากยิ่งขึ้น ช่วยเหลือสังคมมากยิ่งขึ้น 

 

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกๆคน 

 

กิเลสสำหรับเด็ก 6 ขวบ ที่ควรปฏิบัติลดละ 

_ดช.ธัมโม.. (พุทธเทียนธรรม วารีสระ) ... คำถามของเขาก็คือ กิเลสคืออะไร 

พ่อครูว่า... อ้าวฟัง ดช.ธัมโม ...​ กิเลสคือความขี้เกียจ กิเลสคือความซน ดื้อ กิเลสคือความไม่ขยันหมั่นเพียร กิเลสคือ ความว่ายากสอนยาก นี่แหละคือกิเลส เอาแค่นี้ก่อน แล้วเอาไปปฏิบัติเอาไปทำให้ได้ อย่าให้มีสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ว่ากิเลสคืออะไร คือความดื้อ ความซน ความขี้เกียจขี้คร้านอะไรพวกนี้ เอาไปทำให้ได้ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ยังมีอะไรอีกเยอะไม่ต้องห่วง ทำได้แค่นี้แล้วหลวงปู่ให้อีกมีอีกเยอะ กิเลสมีอีกเยอะเอาไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน 

 

_SMS วันที่ 27-28 ก.พ. 66

_กิตติมา เอกมาไพศาล  · เมื่อมีผัสสะ เกิดเวทนาสุขทุกข์ แสดงว่าจิตเราวิ่งไปทำนาเขาแล้ว ต้องรีบดึงกลับมาให้ไวค่ะ ไม่งั้นเรื่องยาว 

  ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจากอโศก (พ่อครู สมณะและสิกขมาตุ) ชีวิตนี้คงยังหมกมุ่นกับการหาเงินให้ได้เยอะๆ เก็บเงินเยอะๆ ไม่รู้จักพอสักที ความโลภเติบโตตลอดไม่เคยพอ กราบขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เออ ดี มีความเข้าใจอย่างนี้และปฏิบัติให้ได้ มีความเข้าใจจริงอย่างนี้และสำนึกอย่างนี้ปฏิบัติจริงอย่างนี้อาตมาก็ภูมิใจแล้ว แล้วคนที่มีความเข้าใจอย่างนี้และปฏิบัติตนอย่างนี้ได้จริงสำเร็จจริง มันจะเป็นการแก้ปัญหาให้สังคมมนุษยชาติ แก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ อย่างจริงที่สุดและถาวรยั่งยืนด้วย เอาไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 

ขณะอย่าล่วงเลยไป พึงเพียรเข้าสู่หมู่มิตรดีให้ได้ในชาตินี้

_สินอโศก  ·  น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ดิฉันไปกินข้าวที่บ้านราช แล้วได้คุยกับอาอ๋อยอย่างเป็นเรื่องราวเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่รู้สึกว่ายิ่งคุย ก็ยิ่งต้องกลับมาเริ่มใหม่หลายอย่าง อาอ๋อยจะต้องกลับเดนมาร์ก และแนะนำให้คุยธรรมะกับคุณกรักเพราะอยู่ใกล้กัน ดิฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องให้ผู้รู้แนะนำสั่งสอน เพราะหากไม่ถูก ผู้รู้จะได้ช่วยแนะนำเพื่อให้ถูกตรงยิ่งขึ้นค่ะ ในทุก ๆ วันที่ได้ฟังธรรมจากพ่อครู จากท่านสมณะและท่านสิกขมาตุชาวอโศกแล้ว ดิฉันได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองและของโลกใบนี้ค่ะ ก็คือ ดิฉันเข้าใจถึงกายนอก ที่ต้องอาศัยเพื่อให้อยู่ได้ มันละเอียดและทำให้เข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่

พ่อครูว่า... ดีมาก ผู้หญิงเข้าใจยิ่งฟังธรรมมากๆแล้วยิ่งได้ปฏิบัติเห็นผลจริง และอยู่กับหมู่กลุ่มหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า กัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กัลยาณสัมปวังโก มันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆ เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์มันสุดยอดแล้ว ท่านก็ตรัสไว้ไม่ยากนะอาตมาว่าชัดๆ แต่คนมันเข้ามาไม่ได้ก็เข้าใจก็เห็นจริงเห็นใจอยู่เหมือนกัน แต่ผู้เข้ามาได้แล้วอย่าพยายามถ่วง อย่าพยายามถ่วง พยายามปรับปรุงตนพัฒนาขึ้นไป มันเป็นโอกาส ที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะได้พบอย่างนี้ 

ถ้าเราเองตายไปจากชาตินี้มันไม่แน่ว่าหมาไล่เนื้อคือวิบากบาป มันจะวิ่งได้ทันตอนที่เราตายไปแล้ว เสร็จแล้วไม่ให้เราเกิดมาเร็วหรือเกิดมาไปตกอยู่ในหมู่อื่นที่ไม่เข้าหมู่นี้ มันจะเสียโอกาส เพราะฉะนั้นต้องทำ ทำคะแนนเข้าไว้จนตายไปแล้วหมาไล่เนื้อที่เป็นวิบากบาปไล่ไม่ทัน และจะได้เข้าหมู่อีกมันจะได้พากันไปได้ดี นี่ก็แนะนำไว้ ผู้ใดเห็นว่าเป็นความขวนขวาย ความพากเพียร อย่าปล่อยขณะให้ล่วงเลยไป ผู้ใดปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปจะพากันไปยัดเยียดอยู่ในนรก ขณะนี้ นานแค่ไหนมันนิดเดียวนะ อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป เพราะผู้ที่ปล่อยปละละเลยขณะไป ทำให้ไปตกยัดเยียดอยู่ในนรก สำนวนเพราะ สำนวนดีแต่บางคนเข้าใจได้ยาก 

 

มีพืชผักผลไม้เอาไว้เชิญชวนให้ช่วยกันปลูกไปแจก

_พันธุ์ พอเพียง  · สำนักข่าวทอปนิวส์ เอาข่าวมาเล่าว่า ประเทศอังกฤษ ขอจำกัดการขาย แตงกวา พริกหยวก มะเขือเทศ เพราะเกิดภาวะอาหารขาดแคลน โดยเฉพาะมะเขือเทศ ให้ซื้อได้คนละ 3 ลูก ต่อคน ต่อวัน ส่วนที่บ้านราช พ่อท่านบอกว่า มีแต่คนปลูก แต่ไม่มีคนเก็บ 2 ข่าวนี้ แตกต่างกัน อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ครับ

พ่อครูว่า... เอาพืชผักผลไม้ที่ทำด้วยพวกเรานี่แหละ เอามาโชว์เอามาประกอบฉาก เสร็จแล้วก็ค่อยๆทยอยขนไปเข้าครัว แล้วก็ทยอยเก็บมาอีกเอามากินเอามาโชว์ เอามาโชว์ส่วนหนึ่งส่วนกินก็กินไป อย่างนี้ 

ซึ่งจริงๆแล้วที่โชว์นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องการอวดอ้าง แต่ต้องการชักชวนให้คน ออนซอน ให้คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว ออนซอน แปลเป็นไทยว่าชื่นชม โสมนัส ยินดีด้วยมากๆยิ่งๆเลย ออนซอนเด๊ ว่ามันช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ 

อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราได้มารวมตัวกันแล้วมาเป็นคนชนิดนี้ แต่ก็ยังพยายามเร่งเร้าเร่งรัดให้พัฒนา พื้นที่ยังมีอีก ขยันทำให้มันมากกว่านี้แล้วแจก นี่เราก็แจกกันอยู่หรือขายให้ถูก ขายบ้าง บางคนเขามีศักดิ์ศรีเขาไม่รับแจกหรอกขายก็ขายถูกๆ เขาก็ซื้อกันไป จะได้อยู่ได้กินได้อาศัย 

นี่อย่างนี้สงสารนะพวกต่างประเทศขณะนี้ นี่ขณะนี้เขารายงานมา ที่เอามาจัดฉากวันนี้ มีมะเขือเทศที่สวนเพื่อฟ้าดิน ผักสลัดต่างๆสวนคุณปะดาวสู่แสงพุทธ กล้วยจากศีรษะอโศก มะเขือเทศข้างล่างจากบ้านคุรุปลากระพง ชมพู่จากสวนไวพลัง อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่าง ยังมีพืชอื่นๆอีกเยอะหลายอย่าง ซึ่งมันเป็นอาหาร อาหารของคน ไม่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ พืชนี้แหละกินไปเถอะรับรองว่าอยู่ได้อยู่ยงคงกระพัน อายุยืนยาวด้วย กินเนื้อสัตว์จะอายุสั้นลงไปด้วย กินเนื้อสัตว์นี่อายุจะทอนลงไป นี่บอกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อังกฤษ จำกัดการซื้อผักผลไม้ หลังขาดตลาดหนัก

_เอาข่าวมาเล่าว่า ประเทศอังกฤษ ขอจำกัดการขาย แตงกวา พริกหยวก มะเขือเทศ เพราะเกิดภาวะอาหารขาดแคลน โดยเฉพาะมะเขือเทศ ให้ซื้อได้คนละ 3 ลูก ต่อคน ต่อวัน 

พ่อครูว่า... น่าสงสารคนพวกนี้มันจะเกิดจริงๆ คนไม่เป็นความสำคัญในความสำคัญอันนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมตัวทำเอาไว้เพื่อช่วยเหลือที่คนที่เขาต่อไปจะขาดแคลน เรามีความรู้ก่อน เข้าใจโลกก่อน เข้าใจสิ่งสำคัญนี้ อาตมาว่าทำเถอะ ยิ่งทุกวันนี้การสื่อสารมันไปได้เร็ว ไปได้มาก ไปได้สะดวก เพราะฉะนั้นเราหาตลาดขายหรือแจกไปเถอะ มีคนที่เข้าใจในการติดต่อ เพื่อที่จะสะพัด ขายหรือแจกสิ่งเหล่านี้แก่คนออกไปอีก แม้ในประเทศนี้ก็เถอะ แจกก่อนก็ได้แจกในประเทศเรา คนอื่นๆในแว่นแคว้นจังหวัดไหน ที่ขาดแคลน เอาพวกนี้ต่อไปก่อนก็ได้ เสร็จแล้วใครมีความรู้ที่จะต่อไปอีกสู่ประเทศต่างๆอื่นๆข้างนอกเขา นอกประเทศอีก ก็เอา 

สรุปแล้วเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่นให้ยิ่งๆขึ้น อันนี้แหละ โอย..ซื้อได้คนละ 3 ลูกเจ้าประคุณ น่าสงสาร 

_ส่วนที่บ้านราช พ่อท่านบอกว่า มีแต่คนปลูก แต่ไม่มีคนเก็บ 2 ข่าวนี้ แตกต่างกัน อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ครับ

พ่อครูว่า... มีคนเก็บอยู่ รุณฯ ก็ยังพาเจ้าปุณย์ ไปเก็บมะเขือเทศมาให้อยู่ทุกๆวัน อายุ 2 ขวบแล้วเขาก็ฝึกให้ไปเก็บเอามาแจก เอามาเผื่อแผ่ เอามากินอย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันต้องเกิดในโลก มันมีข้อเปรียบเทียบที่จะเห็นจริงเป็นได้ อย่างประเทศตุรกี ใครจะไปคิด ตุรกีกับแผ่นดินไหว ตายไปจะ 40,000 แล้วเท่าที่เห็นศพ อย่างนี้แหละน่าสงสาร 

หรือแม้ว่าเขาไม่ได้เกิดภัย จะเป็นแผ่นดินไหว จะเป็นสึนามิจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ธรรมชาติ ภัยธรรมชาติ ผู้ที่อยู่ในบรรยากาศที่จะได้รับภัยธรรมชาติมันก็เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง 

ส่วนไทยนี่ เป็นประเทศที่อยู่ในภูมิประเทศที่ดีที่สุดในโลกแล้ว เหตุปัจจัยที่จะมีธรรมชาติที่จะทำให้ทุกข์ร้อนลำบากไม่มากเหมือนเขา มันประกอบไปด้วยวิบากกรรมที่เป็นอจินไตยอย่างแท้จริงด้วย 

นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราเก็บมาถ่ายภาพมา คือมันโชว์อย่างที่เรียกว่าอยากให้คนเขาเห็นความสำคัญไม่ได้อยากอวดโชว์อ้างอะไร 

ในภาพมีหัวแครอท เจ้าปุณย์และครอบครัวเอามาให้ดู

_เพชรตะวัน ธนะรุ่ง · ชอบฟังรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวนมากค่ะ เข้าใจง่าย เป็นธรรมะ ที่ นำมาวิเคราะห์ เขื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ภาษาพื้นๆ เข้าใจได้ง่าย ตรงสภาวะของตนค่ะ กราบขอบพระคุณมากค่ะ

พ่อครูว่า... เป็นคนอยู่ที่นี่เก่าแก่ ไม่ค่อยเห็นหน้า จบการศึกษาดอกเตอร์ แล้วยังต้องพยายามฟังภาษาง่ายๆภาษาเข้าใจง่ายๆ ก็อยู่ในนี้แต่อาตมาไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่ อยู่ในบ้านราชฯนี่แหละ 

สมณะฟ้าไท... เขาอยู่ที่บ้านคำกลาง 

พ่อครูว่า... บ้านอยู่ในบ้านราชนี้เขาก็มี ก็ว่าไป 

_แก้วลา ไชยวงค์  · เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ดิฉันได้รับหนังสือปัญญา 8 แล้ว ขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ตอนนี้เล่ม 4 แล้วจะไปถึงเล่ม 5 หรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังไม่ได้ตัด ยังดี rewrite อยู่ ได้หน้า 100 ถึง 200 ที่จริงไปถึงหน้า 700 800 แล้วก็เอามาทวน ว่าจะพยายามไม่ขยายเท่าไหร่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ นิดน่าๆๆ ก็เลยยาวไปเรื่อยๆ แต่ก็เอา มันก็ไม่เสียหลายหรอก มันก็ได้ประโยชน์ ขยันเขียนอยู่ ยังทำได้ก็เอา 

_ช่อทิพ หนูทอง  · กำลังฟัง หนังสือส่งเสียง ปัญญา 8 จากไลน์ บันทึกโพธิรักษ์โพธิกิจ อยู่ เพราะตอนนี้สายตาไม่ดี อ่านเองไม่ได้ค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมายังชอบฟังเลย ผู้อ่านตอนนี้ก็อยู่ที่อเมริกา ก็เอามาออกอากาศ สื่อสารมันดี คนอ่านก็เป็นดอกเตอร์ โอ้ Doctor เรามีเยอะ อีกหน่อยเดินชนกันหัวแตกแล้ว 

_ศรีนวล อินปล้อง  · กราบคารวะท่านพ่อครู ลูกจะรับฟังปรับปรุงแก้ไขตัวเองติดตามท่านพ่อครู กับอาจารย์หมอเขียวทุกวันค่ะ สุโขทัยค่ะ สาธุค่ะ

_อุบล คนโก้  · เตรียมสัมภาระที่จำเป็นพร้อมเดินทางไปร่วมงานที่ปฐมอโศก ลูกๆสันติไปเตรียมงานตั้งแต่วันที่ 25 แม่ๆจะตามไปวันที่ 3 ค่ะ ลูกคอยดูแต่ปฏิทินอโศกว่าจะมีงานอีกเดือนไหน เตรียมพร้อมเดินทางตลอดค่ะเพื่อไปช่วยงานค่ะ

พ่อครูว่า... ดี มาช่วยตอนมีงานก็ยังดี ถ้าตอนไม่มีงานมาก็ยิ่งดีใหญ่ ดีไม่ดีก็มาอยู่ที่นี่เลย 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ..สิ่งที่พ่อครูเคยกล่าวว่าท่านนายกประยุทธ์ เป็นโพธิสัตว์นั้น ยิ่งนานวันยิ่งเห็นชัดขึ้น จากสโลแกนว่า "ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อ" ทุกอย่างเห็นเป็นรูปธรรมถึงความซื่อสัตย์ ความขยัน มีสมรรถนะ รับใช้และช่วยเหลือประชาชน ในหลายมิติ ทำความกระจ่างสร้างปัญญาให้ประชาชน ในการปราศรัยใหญ่ที่ชุมพร และนครราชสีมา เป็นการปราศรัยที่ไม่ไปพาดพิงพรรคอื่นในทางให้ร้ายรุนแรง มีแต่คำพูดที่สร้างความเชื่อมั่น ให้มีความภาคภูมิใจในมาตุภูมิ แผ่นดินเกิด ให้รักประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฟังแล้วชื่นใจค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สอนลูกๆให้มองคนเป็นค่ะ

พ่อครูว่า... ดีแล้วมองคนเป็น ก็เข้าใจอย่างที่อาตมาแนะนำ แล้วก็มองว่าเห็นจริงตามที่อาตมาแนะนำ ก็เรื่อง อาตมาไม่ทำเรื่องที่ไม่จริง 

ศีลของภิกษุมี 43 ไม่ใช่มี 227 ข้อ

_tell star  • จุลศีล หรือ ศีลของนักบวช มี 26 ข้อ ทำผิดศีลเสียเกือบครึ่ง ยังมีหน้ามาสอนธรรมะอีก ปฏิบัติศีลให้ได้ก่อน ค่อยสอนผู้อื่น

พ่อครูว่า... ที่จริงศีลของนักบวช อยู่ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็ย้ำว่าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย ก็ย้ำอยู่ในศีลทุกๆข้อ ไม่ใช่มีแค่จุลศีล แต่มีมัชฌิมศีลและมหาศีลด้วย มีทั้งหมดตั้ง 43 ข้อ

เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาในเมืองไทยไม่เอาแล้วศีล ยังเหลือติดอยู่แค่ติ่งหูมีศีล 5 ศีล 10 ของเขาศีล 10 ก็ยังกระพร่องกระแพร่งผิดพลาดเลอะๆเทอะๆ เกินกว่าศีล 10 ในจุลศีล มันมี 26 ข้อในจุลศีล ก็ยังตกหล่นไม่ได้เรื่องพากันเลอะเทอะ เพราะมันเสื่อม คนเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า ภิกษุไปหลงยึดว่า ศีลคือวินัย 227 ไปถามเถอะ ถามว่าพระมีศีลเท่าไหร่เขาก็ตอบว่ามี 227 

227 มันคือวินัย ความต่างกันระหว่างวินัยกับศีลก็ไม่เข้าใจแล้ว ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไรอย่างนี้เป็นต้น เอาล่ะ ไม่ลงรายละเอียดขยายความ พูดและเขียนไว้เยอะแล้ว ไปศึกษาติดตามดู 

_จาก ซึ้งซื่อ วิเชียร ครับ กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ

ระยะนี้ พ่อท่านได้มีพลังเทศน์สูงยิ่งและหลากหลายยิ่งจนติดตามไม่ทันเลยครับ แต่ก็พยายามดูและฟังด้วยความตั้งใจตลอดครับ ในงานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ที่ปฐมอโศก ขอให้พ่อท่านเทศน์โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัขวางตลอดงานด้วยครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าอาตมาก็คงไม่มีอะไรขัดขวางในการเทศน์ในการแสดงธรรม เตรียมการเตรียมอะไรที่จะไปเทศน์อยู่ ให้ได้รับประโยชน์ดี แต่ก็แน่นอนไม่ต่างไปจากที่เคยเทศน์ไว้แล้ว แต่จะลงย้ำซ้ำในรายละเอียดต่างๆ วันนี้วันที่ 1 มีนาคมแล้ว 

ทีนี้ก็มีของผู้ต่อมา

_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

จากการที่เป็นอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์มา 10 ปี ทำงานบรรยายและเป็นแบบอย่างที่จะทำให้นิสิต นักศึกษา เกิดปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถตนเองมีมาตลอด แม้กระนั้นก็เป็นการทำงานกับปัญญาชนในวงแคบ ไม่กล้าเปิดตัวในฐานะนักวิชาการที่จะให้ความรู้กับสังคม เป็นอุปกิเลสบางอย่างที่มีในใจ แต่วันนี้ความคิดตกผลึกว่า ถึงเวลาที่ควรทำอะไรที่น่าจะเกิดประโยชน์กับสังคมมากขึ้นตามวิชาชีพในฐานะนักวิชาการ จึงขอนำถวายพ่อท่านอ่านบทความ “บำนาญ ส.ส. กับช้างป่วย!!” ซึ่งเป็นครั้งปฐมฤกษ์พร้อมทั้งเรียนขอคำชี้แนะตามเห็นสมควร ก่อนที่จะนำเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไปค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

ชิดตะวัน

28 กุมภาพันธ์ 2566

บำนาญสส.กับช้างป่วย!!...

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล

อาจารย์เศรษฐศาสตร์การเมืองและการคลัง ประจําคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ไม่นานมานี้ ส.ส. ในสภาบางท่านได้หยิบยกประเด็น ช้างป่วย หมายถึง บํานาญข้าราชการก้อนจํานวน มหึมา คือภาระทางการคลัง เป็นส่วนประกอบสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยมีงบประมาณประเภทรายจ่ายประจํา สูงกว่าร้อยละ 70 ของเงินงบประมาณทั้งหมดในแต่ละปี

ในประเด็นดังกล่าว สื่อมวลชนหลายสํานักได้นําเสนอข่าวเกี่ยวกับ บํานาญ ส.ส. ความตอนหนึ่งว่า “ใน ปัจจุบันผู้เคยเป็นส.ส.หรือส.ว.ตั้งแต่ 2-3 ปีได้รับบําเหน็จบํานาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน และจนท้ายสุดเป็น 20 ปีขึ้นไปได้รับร้อยละ 70 ของเงินเดือน..." ซึ่งข้อมูลตามที่ระบุนี้ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ก่อให้เกิดความสับสนในวงกว้าง ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการจึงไม่อาจนิ่งเฉย เพราะการให้องค์ความรู้ทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมา แก่สังคมคือพันธกิจสําคัญของวิชาชีพ

ข้อมูลอัตราเงินบํานาญที่ถูกกล่าวอ้างข้างต้น เป็นรายละเอียดในร่างบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ ร่างพระราชกฤษฎีกาบําเหน็จบํานาญ เสนอขึ้นในปี พ.ศ. 2548 ช่วงสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นความพยายามในการผลักดันกฎหมายบําเหน็จบํานาญข้าราชการให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ ถูกต่อต้าน ขัดขวาง จากหลายภาคส่วน ที่ไม่อาจยอมรับ ความโลภโมโทสัน ความเห็นแก่ตัวของบุคคลที่อ้างว่าอาสามาทํางานรับใช้ประชาชน ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวต้องล้มเลิกไป

อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวว่า ส.ส. ส.ว. เมื่อพ้นจากตําแหน่งแล้วไม่เป็นภาระทางการคลังของประเทศ ก็คงจะไม่ถูกต้อง เนื่องจากในปัจจุบันอดีตสมาชิกรัฐสภาได้รับเงินเลี้ยงชีพ ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อผู้เคยเป็น สมาชิกรัฐสภา พ.ศ. 2556 ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นําประเทศ โดย เหตุผลประกอบการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีความตอนหนึ่งว่า “...เพื่อตอบแทนคุณงามความดีและ ความเสียสละแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา” ซึ่งสมาชิกภาพได้สิ้นสุดลง จึงสมควรให้มีกองทุน เพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา....” โดยแต่ละเดือน ส.ส. ส.ว.มีหน้าที่สมทบเงินจํานวน 3,500 บาท นอกเหนือจากเงิน งบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการจัดสรรเข้าสู่กองทุนในทุกๆ ปี รวมถึงแหล่งเงินส่วนอื่นตามที่กฎหมายฉบับนี้กําหนด สําหรับผลประโยชน์ที่อดีตสมาชิกรัฐสภาจะได้รับครอบคลุมสิทธิหลากหลายประการ อาทิ การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน การศึกษาของบุตร รวมถึงเงินเลี้ยงชีพแต่ละเดือนในอัตรา 9,000 -35,600 บาท ซึ่ง แปรผันตามระยะเวลาการดํารงตําแหน่งสมาชิกรัฐสภา

แท้ที่จริงยุคกรีกเริ่มต้น งานการเมืองคืองานอาสา เป็นการทําหน้าที่โดยไม่มีแม้ค่าตอบแทน อย่างไรก็ดี กองทุนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ยังถือว่ามีความเหมาะสมในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากเงินสมทบที่ ส.ส. ส.ว. ต้องจ่ายเข้ากองทุน ประกอบกับผลตอบแทนเมื่อหมดวาระในแต่ละเดือนที่ไม่สูงเกินไปนัก เพราะการมีกฎหมายให้ผู้แทนปวงชนได้รับเงินเลี้ยงชีพภายหลังลงจากตําแหน่ง คือขวัญกําลังใจ เป็นแรงผลักดันให้คนดีคนเก่งคนกล้า ที่อยากเข้าไปทําหน้าที่อย่างสุจริต มีหลักประกันในการดํารงชีพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ นอกจากนี้ การที่ภาครัฐจัดสรร งบประมาณเข้ากองทุนในแต่ละปี ก็คงทําให้สมาชิกรัฐสภาได้ตระหนักถึงบุญคุณคนในแผ่นดิน โดยการประพฤติ ปฏิบัติตนให้มีคุณงามความดี มีความซื่อตรง มีความเสียสละ สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายการจัดตั้งกองทุน มิฉะนั้นแล้ว ส.ส. ส.ว. ก็จะเปรียบดั่งเชื้อโรคที่ทําให้ประเทศอ่อนแอ คือ ช้างป่วย เป็นภาระของประเทศชาติ ตลอดไป

 

สําหรับรายละเอียดกองทุนฯ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก

https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=85994&filename=index    


 

พ่อครูว่า... อาตมาก็เคยพูดพาดพิงถึงเรื่องนี้ งานการเมืองคืองานอาสา ผู้อาสาทำผู้เสนอตัวอาสาได้รับใช้ไปช่วย มันฟรีนะ ไม่ได้ต้องการเอาสิ่งตอบแทน ผู้ที่อาสาและต้องการสิ่งตอบแทนยังไม่บริสุทธิ์ 

พ่อครูว่า... เรื่องของบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำ อาตมาเคยพูดนะว่า ข้าราชการประจำนี่แหละคือนักการเมืองตัวสำคัญ คือผู้ที่ทำงานรับใช้ประชาชนประจำเมืองเลย ข้าราชการประจำ เป็นผู้รับใช้ประชาชนประจำเมืองแล้วได้ค่าใช้จ่ายเลี้ยงตัวเองไป เป็นตัวหลักในการทำงานกับชาวเมือง พลเมืองกับประชาชน ไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่ ข้าราชการประจำ 

ส่วนข้าราชการการเมืองเป็นข้าราชการจร เป็นคนรับใช้ประชาชนจร แต่ข้าราชการประจำนี่แหละนักการเมืองตัวจริง 

มีบทความอีก ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

_‘เงินบำเหน็จบำนาญ’ ข้าราชการการเมือง หรือ ข้าราชการประจำ ใคร ‘ช้างป่วย’ 27 ก.พ. 2566 จาก น.สพ คมชัดลึก

สส.อาสาเข้ามาทำงาน รับเงินเดือนสูงลิบกว่า 100,000 บาท มีผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ ผู้ติดตาม รวม 8 คนและมีค่าตอบแทนอื่น รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท นี่ยังไม่นับ 'เงินบำเหน็จบำนาญ' แล้วใครที่เป็น ช้างป่วย กันแน่จริงหรือที่มีข่าวอีกแล้วว่า “พิธา ยืนยัน ถ้าไม่ตัดก็จะขอลดเงินบำนาญข้าราชการ เพราะมันคืองบช้างป่วย ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน” ครั้งอภิปราย ร่างพ.ร.บ งบประมาณ ปี2566 ก็เคยอภิปรายฯ และตั้งคำถามรัฐบาล ประมาณว่า เงินเดือนสวัสดิการบำนาญข้าราชการที่เพิ่มขึ้นทุกปีเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ประเทศเป็น ช้างป่วย จะแก้อย่างไร? 

จนเป็นข่าวครึกโครม สะท้าน“หัวใจข้าราชการบำนาญ”ไปแล้วในช่วงนั้น จนต้องออกปฏิเสธข่าวนี้ เป็นพัลวันว่า ไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญข้าราชการแต่อย่างใด แต่แล้วครั้งนี้ออกมาในทำนองเดียวกันอีก พร้อมชี้แจงเป็นข่าวปลอม บิดเบือน อืม!.นะ จริงหรือไม่? คนพูดรู้ดีที่สุดเพราะเรา “โกหก” ทุกคนได้ แต่ “โกหก” ตัวเองไม่ได้หรอก นอกจาก “สมองป่วย” เพราะจำสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้

ทบทวนอีกครั้ง ข้าราชการประจำ เริ่มทำงานด้วยเงินเดือนน้อยนิด เมื่อเทียบกับเอกชนและหากเทียบกับ สส.ในคุณวุฒิเท่ากัน เงินเดือนเขาไม่ถึงเศษ 1 ใน 10 ของเงินเดือนสส.ในปัจจุบันนี้ แต่เขาก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อประเทศชาติ ตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบเพราะใจที่มุ่งมั่น ต้องการพัฒนาประเทศ ช่วยพี่น้องประชาชน

เพราะฉะนั้น ข้าราชการประจำ  จึงเอาบำเหน็จบำนาญเป็น “เครื่องเตือนใจ” ว่าเอาล่ะ “จน” ก็ “จน” ไป แต่เมื่อเกษียณแล้วยังดูแลตัวเองและลูกหลานได้

การจะหาเสียงกับใครโดยเฉพาะ วัยรุ่น ก็หาไป แต่รู้หรือไม่ว่า“วัยรุ่น” เหล่านั้นกว่าจะเรียนจบมีงานทำ ส่วนมากก็มาจากเงินบำเหน็จบำนาญที่พ่อแม่ ญาติพี่น้องได้รับจากรัฐบาลมา และกว่าเขาจะได้รับก็ต้องทำงานถึง 25 ปี ถึงจะได้บำนาญ และ 15 ปีถึงจะได้บำเหน็จ

แต่นักการเมือง สส.อย่างพวกท่าน ที่อ้างว่ารักชาติ รักประชาชนอยู่ในสภา   (อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง)เพียง “2 ปี” ก็ได้บำเหน็จบำนาญแล้ว จริงๆแล้ว เวลาหาเสียงพูดเองว่า “อาสา” มารับใช้ประชาชน ควรได้รับค่าตอบแทนที่พอเหมาะก็พอแล้ว เพราะ “อาสา” เข้ามา 

แต่จริงๆเงินเดือนที่ได้รับสูงลิบกว่า 100,000 บาท พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ ผู้ติดตาม รวม 8 คน และมีค่าตอบแทนอื่นๆอีกรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท นี่ยังไม่นับรวม“บำเหน็จบำนาญ”แล้วใครคือ“ช้างป่วย” กันแน่

มาดูกันผู้ทรงเกียรติ สส./สว. ทั้งหลายได้รับบำเหน็จบำนาญอย่างไร

ผู้เคยเป็นสส.หรือสว.ตั้งแต่ 2-3 ปีได้รับบำเหน็จบำนาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน 

เคยเป็น 3-7 ปีได้รับร้อยละ 30  ของเงินเดือน 

เคยเป็น 7-11 ปีได้รับร้อยละ 40 ของเงินเดือน 

และจนท้ายสุดเป็น 20 ปีขึ้นไปได้รับร้อยละ 70 ของเงินเดือน 

“ถาม” อีกครั้งใคร“ช้างป่วย”

สามอาชีพกู้มนุษยชาติ ที่ชาวอโศกทำได้จริง

พ่อครูว่า... ฟังให้ดีนะในสังคมประเทศมันมีอย่างนี้อยู่ ที่พูดมานี้อาตมาก็ฟังแล้วไม่น่าจะผิดไปจากความเป็นจริง น่าจะเป็นความจริงทั้งหมด 

นี่คือสิ่งที่ว่ากันเป็นวาทกรรมอยู่ในสังคม อาตมาก็เอามาแสดงความเห็นด้วย อย่างพวกเรานี่นะชาวอโศก อาตมาสอนแนะนำและให้พากันทำให้สำเร็จ เป็นคนที่ไม่ต้องไปเป็นภาระของสังคม ฝึกไปไหนพวกเราเองนี่แหละทำงานสร้างสรรค์แล้วก็เสียสละเกื้อกูล ตัวเองก็ลดกิเลสรู้จักกินรู้จักใช้ ไม่ไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในสังคม แล้วก็อยู่อย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผู้ใดขาดแคลนผู้ใดบกพร่อง คนที่เหลือเฟือคนที่มีเกินพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป หรือสุดท้ายมีกองกลาง ทุกคนทำมาหาได้ ทั้งๆที่พวกเราชาวอโศก เป็นผู้ที่ทำมาหาได้สร้างสรรค์ขยันทำงานอยู่ 

มีวัตถุผลผลิตที่ทำ ก็มีไม่มากไม่มายหรอก มีกสิกรรม มียา มีเครื่องประกอบอะไรต่ออะไรบ้าง แต่ที่เป็นหลักๆก็คือ ผลผลิตที่มากที่สุดก็คือเป็นหลักแท้ๆก็ อาตมาก็เน้นให้ทำกสิกรรม นอกนั้นเราก็ทำ ทำยาทำปุ๋ย ที่เป็นงานหลัก งานขยะ 3 อาชีพกู้ชาติ กสิกรรมธรรมชาติที่ไร้สารพิษ ปุ๋ยสะอาดแล้วก็ขยะวิทยา ค่อยๆพิสูจน์อันนี้ไป ยังไม่ลงรายละเอียดอันนี้ 

แล้วเราก็ทำได้พอสมควรดีขึ้นแล้ว อาตมาก็ยังเร่งเร้า เร่งรัดกันอยู่ ว่าให้ทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันสำคัญเป็นหนึ่งในโลก ปุ๋ยก็เป็นรอง ขยะก็เป็นรอง แต่สำคัญทั้ง 3 อย่างนี่แหละ ซึ่งคนยังไม่ค่อยเข้าใจละเอียดลออพอ เราก็ได้พิสูจน์แล้ว แม้แต่เรื่องขยะ

กิจการขยะเราก็ยังไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ ถ้าใหญ่โตก็จะเป็นทุนรอน นอกจากจะได้ทุนรอนแล้วยังช่วยสังคม ช่วยประเทศชาติ เพราะว่าเก็บขยะมาหมุนเวียนทั้ง 

1. มาใช้ซ้ำ 

2. เอาไปแก้ไข ปรับปรุง ตกแต่ง 

3. เอาไปสังเคราะห์ใหม่ เอามาใช้ 

4. รีเจ็ค หมดทางที่จะทำอะไรได้แล้ว ก็เอาไปทิ้ง ก็เลิกไป อย่างนี้เป็นต้น ยังไปเรื่อยๆยังไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามช่วยกัน 

หลักฐานการบริหารประเทศได้เจริญดีของนายกฯประยุทธ์

แต่พอพูดถึง เรื่องของประเทศในขณะนี้ ส่วนรวมของประเทศไทย เราก็ช่วยประเทศไทยมาตลอดแต่อาตมาพูดมากไม่ค่อยดี เพราะจะเป็นการทวงบุญทวงคุณที่ไปทำอะไรให้แก่สังคมประเทศชาติ ลำเลิก ของตัวเองขึ้นมาอวดอ้าง ที่จริงเอามาประกาศความจริงก็พูดไปแล้วยืนยันให้คนอื่นเห็นความสัมพันธ์แล้วก็ปฏิบัติตามอย่างนี้เถอะ เพราะฉะนั้นก็เลยพูดบ้างไม่พูดบ้าง 

ทีนี้พูดถึงสังคมขณะนี้ที่บริหารกันอยู่ ที่นายกประยุทธ์ทำอยู่ ก็มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นผลงานที่มันเทียบกันได้เห็นๆเลยนะ ไม่ใช่ว่าเราพูดเอง ชมกันเองอยู่ในประเทศ มันเป็นการให้ค่าหรือว่าเขาก็มีการทำสถิติอยู่เหมือนกัน 

อย่างเช่น เราขณะนี้ความเจริญว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก อันดับที่ 30 จากที่เขาสำรวจกัน เว็บไซต์ Thaipost รายงานมาตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าเขาจัดให้กรุงเทพฯอยู่ในอันดับ 30 เมืองดีที่สุดในโลก Best City In The World เป็นที่ 2 ของอาเซียนเป็นที่ 30 ของโลก 

เพราะฉะนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เอามารายงานบอกต่างๆไปพูดนำไปแล้วเมื่อกี้นี้ 

แม้แต่ในเชิงการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาเศรษฐกิจ ก็มีแนวโน้มของตลาดที่มีจุดแข็งจุดอ่อน ถูกจัดอันดับขึ้นไปเรื่อยๆ ติดอันดับอยู่ในกลุ่มของพวกกลุ่ม100 ค่อยๆขึ้นไปถึงกลุ่ม 10 ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ ก็พัฒนาไป 

เห็นความเจริญก้าวหน้าไปไกลลิบเลย มาตั้งแต่ได้มีนายกรัฐมนตรีได้นำพาประเทศชาติไป 

เขามีวิธีการที่จะมาตรวจสอบ เขาหยิบมาแยกเป็นประเด็นว่า 

1.สถานที่ (Place) ประกอบไปด้วย สภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ใช้ชีวิตนอกบ้าน

2.ผลิตภัณฑ์ (Product) ประกอบไปด้วย ความเชื่อมโยงของสนามบิน พิพิธภัณฑ์ อันดับของมหาวิทยาลัย และสถานที่จัดงาน/การประชุม

3.ประชากร (People) ประกอบไปด้วย การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และการสำเร็จการศึกษา

4.ความมั่งคั่ง (Prosperity) ประกอบไปด้วย การมีบริษัทชั้นนำของโลก GDP อัตราการจ้างงาน และความเท่าเทียมของรายได้

5.กิจกรรม (Programming) ประกอบไปด้วย การแสดงทางวัฒนธรรม ประสบการณ์ในการเที่ยวยามค่ำคืน ร้านอาหารที่มีคุณภาพ และสถานที่สำหรับการเลือกซื้อสินค้า

6. การส่งเสริม (Promotion) ได้แก่ การค้นหาบนสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลการรีวิวบนสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งประเมินจาก 6 หัวข้อข้างต้น ทำให้กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 30 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน

 พ่อครูว่า... นี่ก็เป็นเรื่องการก้าวหน้าที่เราไม่ได้พูดเอง สังคมต่างประเทศองค์กรต่างประเทศ ที่เขามีการตรวจสอบพวกนี้กัน เพื่อที่จะให้เห็นว่าสังคมมนุษยชาติในโลกนี้ มีอะไรเกิดขึ้นมีอะไรเจริญหรือเสื่อม ตามความรู้สากลเขาก็ว่าไป 

_นายกฯ พร้อมเดินหน้าผลักดันและส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับไทยเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก”

26 ก.พ. 2566 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้สำเร็จตามแผน ทั้งนี้ ผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (ปี 2560 – 2569) ได้ดำเนินการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดังนี้

1.ดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นที่นำร่องในจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่

2. ดำเนินการภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จาการท่องเที่ยวในปีงบประมาณ 2565 – 2566 มีผลดำเนินการ เช่น การยกระดับสถานประกอบการตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล พัฒนาเมืองสมุนไพรและจังหวัดท่องเที่ยว ยกระดับการสร้างสรรค์สินค้า บริการและการบริหารจัดการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยในปี 2567 จะจัดทำกรอบการจัดทำคำของบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวคุณภาพสูง โดยมีโครงการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ภายใต้แนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตในการเป็นเจ้าภาพ Specialized Expo 2028 เพื่อยกระดับจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในรูปแบบ Sports Tourism

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การผลักดันนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของรัฐบาล จะสามารถยกระดับประเทศไทยให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก” ได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคหลังสถานการณ์โควิด – 19 คลี่คลาย เนื่องจากไทยมีความพร้อมทั้งด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์ที่ครบวงจร ด้านคุณภาพและมาตรฐานการรักษาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล รัฐบาลจึงพร้อมที่จะเดินหน้า ส่งเสริมนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้เข้าประเทศ พร้อมกับการดูแลสุขภาพของประชาชนในประเทศ” นายอนุชา กล่าว

เหตุปัจจัยของอุ๊งอิ๊ง ไม่สมประกอบจะเป็นนายกฯ

พ่อครูว่า... นี่เป็นการเสนอสิ่งที่ได้กระทำแล้วก็เอามารายงานสู่กันฟัง นี่คือการทำงานของพลเอกประยุทธ์ที่เป็นนายก อาตมาก็ยิ่งดูรายละเอียดของสิ่งที่นำเสนอแล้วก็สิ่งที่เป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นเอามารายงาน ทำไปแล้วแล้วก็มีผลจริง ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ นี่เป็นม็อตโต้ของพลเอกประยุทธ์

ก็ทำให้เห็นว่าอุ๊งอิ๊งแคนดิเดตนายกขณะนี้ แหม อาตมาเคยพูดกับพวกเราเล่นๆ มันไม่ค่อยสมประกอบ อุ๊งอิ๊ง มันไม่ค่อยสมประกอบ แม้แต่ประเด็นง่ายๆ ขณะนี้ท้องโต 6-7 เดือน ต่อไปเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ก็คลอด  9 เดือนคลอดใช่ไหมล่ะ ไม่เดือนหน้า ก็เดือนโน้นคลอด นี่เดือนมีนาคมแล้ว พอคลอดแล้ว อุ๊งอิ๊งจะมาบริหารประเทศอย่างไร คุณก็จะต้องอยู่กับลูกก่อน จะยังไง จะออกมาบริหารประเทศอย่างไร นี่ก็ประเด็นเล็กๆไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร 

แล้วเวลาที่จะผ่านไปผ่านไปจะให้รอคุณจะเลี้ยงลูกจนโต มาบริหารได้ มันได้ไหมล่ะ แค่นี้ก็เห็นชัดเจนแล้ว เออ มันไม่ค่อยลงตัวมันไม่ค่อยสมประกอบที่พูดผ่านมานี้ มันดูไม่ค่อยสมประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ 

แล้วผลงาน ถ้าเอาเบื้องหลังมาตั้งแต่เริ่มมาอีก โอ้โห ภูมิปัญญาของอุ๊งอิ๊ง อาตมาเห็นตั้งแต่นั่งเบะหน้าอยู่ในศาล ที่ผู้พิพากษาตัดสินแล้วก็เบะหน้าให้แก่ผู้พิพากษา คุณไม่ยอมรับคำตัดสินของผู้พิพากษา เบะหน้าแสดงว่าคุณปฏิเสธ เพราะไปตัดสินให้พ่อ ให้อา ให้ญาติโกโญติกาพวกของตนเอง ผิดจนกระทั่งต้องออกหนีไปจากประเทศไทยเพราะกลัวติดคุก 

อาตมาเห็นแล้วก็นั่นคือการแสดงภูมิธรรม สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล มันพอเห็น พอรู้กันได้ 

แม้แต่ในเบื้องหลัง Background ที่สอบผ่านมาก็ไม่ได้ซื่อสัตย์อะไรต่างๆอย่างนี้เป็นต้น Background ของอุ๊งอิ๊ง อาตมาว่าแค่ Background ที่เทียบเคียงกันแล้วมันไกลกันลิบ แล้วยังฝีมือในการทำงาน เขายังไม่ปรากฏ..เอาล่ะยังไม่ดูถูกก็ได้ แต่เหตุปัจจัยต่างๆมันไกลๆ นี่ก็เป็นหลักฐานต่างๆในอดีต อุ๊งอิ๊งบอกข้อสอบรั่วแล้วไงยังไงก็เรียนจบ คือไม่ได้เรียนจบอย่างสง่าอะไรเลย ลากไส้โกงข้อสอบข้อสอบรั่ว เอาละ เดี๋ยวจะหาว่าไปทับถมมากเกินไป ก็ขอผ่านไปก่อน 

เอาที่นายกประยุทธ์ ปลื้ม นอกจากที่พูดผ่านไปเมื่อกี้แล้ว 

_นายกฯ ปลื้ม ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค.พุ่งสูงสุดในรอบ 26 เดือน

19 กุมภาพันธ์ 2566 

นายกฯ ปลื้ม ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน มกราคม 2566 เพิ่มสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนประสิทธิภาพของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจ

19 ก.พ. 2566 -นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ประจำเดือนมกราคม 2566 จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย ซึ่งพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 49.7 เป็น 51.7 โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นทั้ง 3 รายการ เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจเดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ปรับตัวจากความเชื่อมั่น ระดับ 43.9 สู่ระดับ 46.0 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม ปรับตัวจากระดับ 47.0 สู่ระดับ 49.0 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ปรับตัวจากระดับ 58.1 สู่ระดับ 60.2 ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ามีการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจกำลังกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น และจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในเดือนแรกของปีนี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจดังกล่าวยังระบุถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2566 จากภาครัฐ เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 15% มาตรการการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงิน 2. การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งของคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น 3. SET Index ในเดือนมกราคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80จุด 4. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้เกษตรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดปรับตัวดีขึ้น

“แนวโน้มของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกรายการ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก นายกรัฐมนตรีขอบคุณเสียงสะท้อนที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนให้ความเชื่อมั่นกับสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังฟื้นตัว สอดรับกับการทำงาน นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ออกมาตรการช่วยเหลือภาคประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เปิดรับการลงทุน เพื่อช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการการแก้ไขปัญหามาตลอดตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน” นายอนุชากล่าว

กูรูระดับโลกชื่นชมศักยภาพของ ‘เงินบาท’ ‘แข็งแกร่ง-มีเสถียรภาพ’ แม้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ 14 FEBRUARY , 2023

รูชีร์ ชาร์มา (Ruchir Sharma) นักลงทุนผู้มากประสบการณ์ ประธานบริษัทการเงินระดับโลก Rockefeller Capital Management ผู้ติดตามความเคลื่อนไหวของเงินสกุลต่างๆ ทั่วโลกมานานเกือบ 30 ปี ได้กล่าวถึง ‘เงินบาท’ ของไทยด้วยความชื่นชม ผ่านคอลัมน์ของ Financial Times (12 ก.พ. 2566) เนื่องด้วย เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ จะครบรอบ 25 ปี ที่เขาเคยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ในวันที่ไทยกำลังเผชิญวิกฤติ ‘ต้มยำกุ้ง’ อย่างหนักและลุกลามไปหลายประเทศในเอเชีย

ในช่วงเวลานั้น ค่าเงินบาทของไทยลดค่าลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่หดตัวลงถึง 20% ในพริบตา ตลาดหุ้นดิ่งเหวกว่า 60% สถาบันการเงินหลายแห่งเข้าสู่ภาวะล้มละลาย หนี้สาธารณะพุ่งสูงจนรัฐบาลไทยต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทุน IMF 

ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2541 มานั้น แทบไม่มีนักลงทุนต่างชาติคนไหนกล้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เงินบาทเป็นสกุลเงินที่มองไม่เห็นอนาคต เป็นหนึ่งในวิกฤติการเงินที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของไทย

แต่สุดท้าย เงินบาทก็สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นหนึ่งในเงินสกุลหลักของภูมิภาคอาเซียน สามารถรักษามูลค่าไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ กลายเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่ง มั่นคง กว่าเงินสกุลอื่นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ และดูดีกว่าเงินสกุลของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ชาติ หากไม่นับ รวม Swiss Franc ด้วยซ้ำไป นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

หนึ่งในข้อดีของวิกฤติค่าเงินในครั้งนั้น ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโต เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกลงมาก จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไทยยังมีแหล่งท่องเที่ยว และ ภาคบริการรองรับที่ดี ซึ่งช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันของไทย แม้ว่าค่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นแล้วก็ตาม จากประเทศที่เคยเป็นศูนย์กลางของวิกฤติค่าเงินกลับขึ้นมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของอาเซียนและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อีกหลายๆ ประเทศ

อีกทั้งการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงินที่รัดกุมมาตลอดตั้งแต่เกิดวิกฤติค่าเงิน ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัว มีงบประมาณขาดดุลย์เฉลี่ยเพียง 1% ของ GDP ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของหลายประเทศที่มีเศรษฐกิจระดับเดียวกัน มีเงินสำรองเพิ่มขึ้นได้ถึง 7% ต่อปี 

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ยังสามารถรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อได้ที่ประมาณ 2% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลังผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้ง และในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ มีเพียง จีน ไต้หวัน และซาอุดีอาระเบียเท่านั้น ที่มีระดับอัตราเงินเฟ้อน้อยกว่าไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา

ไทยเคยเกือบสูญเสียความเชื่อมั่นในค่าเงินบาทจากนโยบายตรึงค่าเงินตายตัวไว้กับดอลลาร์สหรัฐ และการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อปกป้องเงินบาท จากการโจมตีค่าเงินของนายทุนชาติตะวันตก บีบให้ไทยต้องปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว จนเกิดหนี้สินจากเงินตราต่างประเทศมหาศาล 

แต่ในที่สุด ไทยยังคงรักษาเสถียรภาพของ ‘เงินบาท’ ไว้ได้อย่างมั่นคงด้วยข้อได้เปรียบด้านการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่สามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านมรสุมทางการเมืองอย่างหนักตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่แม้แต่สกุลเงินต่างชาติที่มั่นคงที่สุดสกุลหนึ่งของโลกอย่าง Swiss Franc ไม่เคยเจอ แต่ "เงินบาท" ก็ยังคงรักษาเสถียรภาพได้ในระดับเดียวกับสกุลเงินชั้นนำอื่นๆ ได้  จึงต้องขอยกให้ ‘เงินบาท’ เป็นสกุลเงินที่มีศักยภาพในการฟื้นตัวได้ดีที่สุดสกุลหนึ่งของโลกทีเดียว

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์ อ้างอิง: Financial Times

 

แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง 

พ่อครูว่า... นี่ก็เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือเรื่องราวข่าวคราวที่รู้กันทั่วโลก มันสามารถที่จะนำมาเสนอนำมารายงานมาบอกกันได้ทั้งหมดเลย 

โอ้โห..ข้อมูลเยอะนะ เราก็อยู่กับโลกเขาเราก็ต้องดูโลกว่า เขาเชื่อกันยังไง และเขาได้ปฏิบัติกันอย่างไร สอดคล้องลงตัวกันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้อย่างไร เราก็ต้องดู 

อาตมาก็ขอพูดถึงพวกเราชาวอโศก ก็เป็นคนอยู่ในโลกอยู่ในสังคม อาจจะกลุ่มเล็กๆเป็นจุดขาวเล็กๆในขอบฟ้ากว้าง เราก็ไม่ได้หมายความว่าเราโดดเดี่ยวหรือเราอยู่คนเดียวโดยไม่รู้โลกเขา ไม่รู้ว่าโลกเขาไปถึงไหน มันมีสภาวะซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้งอยู่ว่า 

แนวคิดของชาวอโศก ขออภัยนะต้องพูดถึงชาวอโศกก่อน ก่อนที่จะพูดถึงประเทศและไปเทียบจากต่างประเทศ 

แนวคิดของชาวอโศก มันซ้อนลึกไปตามความรู้ที่อาตมานำมาจากของพระพุทธเจ้า เอามาประกาศให้ผู้อื่นรับรู้ ให้คนรับรู้ ก็คนไทย เพราะอาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ จะพูดภาษาต่างประเทศได้ก็คือภาษาลาว เพราะภาษาอีสานคือภาษาลาว อาตมาก็พูดได้ภาษานี้ ถ้าอาตมาไปตกอยู่เมืองลาวก็ไม่มีปัญหา อาตมาเจรจากับคนลาวได้สบาย นอกนั้นพูดไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ได้ขนาดไส้เดือนกิ้งกือ ขนาดงูๆ ปลาๆ ยังไม่ได้เลย ได้แค่ไส้เดือนกิ้งกือ ภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าภาษาอังกฤษที่พูดกันง่ายๆดีๆทั่วๆไปก็ตาม ยิ่งภาษาอื่นยิ่งไม่ได้เรื่องเลย ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุปัจจัยที่อาตมาเข้าใจ อาตมาไม่มีปัญหาเรื่องนี้ 

ถ้าอาตมาจะพากเพียรในเรื่องเอาทักษะทางด้านภาษา อาตมานี่เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่มัธยม ก็มีผู้สอนพิเศษ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นผู้ดีอังกฤษ ยังชมอาตมาเลยนะ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านกำลังพา ไปสู่แนวคิดของชาวอโศกที่มันซ้อนลึก 

พ่อครูว่า... แนวคิดที่ซ้อนลึกที่ว่าก็คือ เราสามารถลงไปสู่สภาพของผู้ที่มีคุณสมบัติของผู้ที่มีวรรณะ 9 สำเร็จผลเป็นสาราณียธรรม 6 ได้ สรุปลงสู่วิชาการของพระพุทธเจ้าก่อน เอามาพิสูจน์ยืนยันทุกวันนี้ 

สังคมของชาวอโศกเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ทุกคนมีคุณธรรม จิตวิญญาณได้รับการขัดเกลา จิตวิญญาณได้รับการปฏิบัติเป็นอริยบุคคล จึงอยู่กันอย่าง เมตตากันทั้งนั้นเลย ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมและทางด้านเศรษฐกิจ สามารถที่จะทำงานเสียภาษี 100% 

ในชุมชนชาวอโศกทุกชุมชน ทุกคนไม่มีรายได้เงินเดือนประจำตัว ทำงานแล้วจะเอาไปใช้งานก็เบิกไปตามที่จะใช้งาน แล้วทุกคนมีความรู้ที่สำนึกว่าเราไม่มาขี้โลภจะมาหากินในกลุ่มชาวอโศก เพราะมันบาปซ้อนบาป ไม่ใช่แกล้งพูดแต่เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นก็เป็นคนที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณเข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเจตนาจะรับเอาไปจากชาวอโศก 

มันซ้อนลึกตรงที่ว่า ในวรรณะ 9 มันคือ คนต้องมาจนหรือมามักน้อย อาตมาพามาเป็นคนจนมาเป็นคนมักน้อย สิ่งนี้ยังยากมากที่คนในโลกโลกียบุคคล จะเข้าใจได้ว่า มาจน ไม่มีเงินไม่มีทอง เป็นคนไม่มีเงินไม่มีทอง..จะใช้ก็ต้องไปเบิกมาจากกองกลาง เขาก็นึกถึงว่าเขาจะใช้ก็ไปเอาที่กองกลาง เขาจะไปเบิกกองกลางที่ไหน ถ้าไปเบิกจากรัฐบาล รัฐบาลก็จะต้องพิจารณาก่อนจะให้ซึ่งมันไม่ง่าย มันก็ไม่ได้ 

มันก็ซ้อนเพราะระบบรัฐบาลไม่สนิทเนียนเหมือนระบบชาวอโศก อาตมาเคยอธิบายไปแล้วว่า เศรษฐกิจของอโศกหรือเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ของพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์กันอยู่ในยุคนี้ว่า ทำได้ถึงขั้นฆราวาสว่าเป็นสาธารณโภคี ในยุคพระพุทธเจ้าทำได้แค่ในวงสงฆ์ภิกษุ  ให้ฆราวาสทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดก็พูดไปหมดแล้วเพราะในยุคโน้นเป็นยุคทาส ยุคไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันทำไม่ได้ ข้อจำกัดแค่ 3 ข้อนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว มันมีข้อ 4 ทรัพยากรในยุคนั้นยังไม่อัตคัดขาดแคลนเท่าคนในยุคนี้ด้วย สมัยนี้ทรัพยากรในโลกอัตคัดขาดแทนแล้วแย่งชิงกอบโกยกันไปเยอะ สมัยก่อนนี้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของยิ่งใหญ่ และเด็ดขาดด้วยจะริบของใครก็ได้ นอกนั้นก็มีนายทุน ซึ่งนายทุนเงินมีน้อยและยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยมนายทุนก็ไม่มากแต่ก็มีมาเรื่อยๆแต่มีน้อย แต่เดี๋ยวนี้นายทุนมันแยกกันไปไล่ระดับ นายทุนระดับใหญ่ ระดับกลาง ระดับย่อย ระดับธุลีละออง ระดับขี้ผงมีอีกเยอะเลยในทุนมันซ้อนๆๆกันอยู่ในโลก 

แต่แนวคิดของพระพุทธเจ้านั้นจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัวเสียสละ มีน้อยก็อยู่ได้อยู่รอด มีน้อยอัปปิจฉะก็อยู่รอด แม้ที่สุดไม่สะสมสมบัติเลย อปจยะ ก็อยู่รอดใช้กับกองกลาง แล้วทุกคนมีนิสัย มีวิสัย 

ที่จริงแล้ว วิสยะ จนกระทั่งถึงขั้นอนุสัย สยะคือตัวตน 

อาศัย หรือาสยะ แล้วก็ นิสยะ แล้วก็ วิสยะ แล้วก็อนุสยะ

สยะ 3 อย่าง มันเป็นการพัฒนาตั้งแต่อาศัยจนเป็นตัวตนที่มีคุณภาพคุณธรรมสูงขึ้นเรียกว่า นิสัย ตัดกิเลส นิโรธออกไป ที่มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้มาให้เจริญขึ้นเป็นนิสัย จนกระทั่งสูงขึ้นเป็นวิสัย เป็นตัวตนที่มีคุณสมบัติ คุณวิเศษลึกซึ้งขึ้นไป จนกระทั่งสุดท้ายเก็บไว้ในอนุสัย อนุสัยอันนี้ไม่ใช่กิเลสนะ แต่เป็นคุณวิเศษหรือคุณธรรมอันวิเศษ สยะ อันวิเศษที่จะต้องมีอยู่ ตามตัวเองไป อนุแปลว่า ตาม ซึ่งคนรู้ไม่ได้ง่ายๆเพราะละเอียด อนุสยะ ถ้ากิเลสก็เล็กน้อยตามไป นี่ไม่ใช่กิเลสแต่เป็นคุณวิเศษ อนุสัยนี้เป็นคุณวิเศษซึ่งยังไม่มีใครอธิบายมีแต่อาตมามาอธิบายว่าอนุสัยเป็นคุณวิเศษ ไม่ใช่กิเลส ถ้าเป็นกิเลสก็เป็นกิเลสละเอียด และเป็นคุณวิเศษก็เป็นคุณวิเศษระดับพิเศษระดับละเอียด 

อาตมาพาทำนี้ เป็นคุณวิเศษระดับอนุสัย ระดับพิเศษ ระดับวิเศษ จึงไม่ใช่เรื่องสามัญที่จะรู้กันได้ง่ายๆ มันเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ขบคิดเอาไม่ได้ จะต้องพิสูจน์ ซึ่งพวกเราได้พิสูจน์จริงแล้ว 

มาเป็นผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สำเร็จ ยั่งยืน แท้จริง ถึงขั้นไม่ต้องแก้ ไม่ต้องแก้กันอีกแล้วต่อไป ได้สำเร็จจริง เพราะว่าได้แก้ปัญหาถูกทิศทางตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาสอน แก้ที่คน 

แก้ปัญหาเศรษฐกิจนี้แก้ปัญหาที่คน ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาที่เงิน ที่วัตถุไม่ใช่ แต่ก็อาศัยวัตถุ และในวัตถุนั้น ก็อาศัยเงิน กับผลผลิต คนไปหลงตัวเลขของเงินที่ค้าขายที่โกงหรือเอาเปรียบเอารัดเขามา มันก็มีเงินมากมันแสดงว่า มันเจริญซึ่งมันไม่ใช่ 

มุมกลับ ความเจริญของเศรษฐกิจของทางบุญนิยม ยิ่งมีเงินน้อยลง ออกจากข้างนอกเขามาน้อยลง แต่มีผลผลิตมี Product มากขึ้น Gross น้อยลง Product มากขึ้นผลผลิตยิ่งมากให้คนอื่นไปได้ ขายให้ถูกให้แจกเราก็ได้เงินมาน้อย แล้วเราก็ไม่ไปตีกินเอาของจากต่างประเทศเราก็ไม่ตีกิน Domestic ก็คือของเราเอง ของภายในเราแท้ๆ 

นี่คือความซ้อนลึก นี่คือการอธิบาย GDP อย่างอโศก อธิบาย GDP อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำ ซึ่งไม่มีในตำราเศรษฐศาสตร์เทวนิยมหรือเศรษฐศาสตร์สากลของโลก เฉโก โลกียะไม่มี มีอยู่ในโลกุตตระและขออภัยอย่างยิ่ง มีโพธิรักษ์นี่แหละอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบนี้ ที่ว่านี้อธิบายไปนี้ทำได้ ทำได้แล้วพวกเราเข้าใจและพวกเราก็ยืนยันว่า พวกเราได้จริง 

เสียภาษี 100% อยู่กองกลางและทุกคนมักน้อยสันโดษมีคุณธรรม วรรณะ 9 อยู่กันอย่างมีสารานียธรรม 6 การพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า ยุคนี้ก็มีคุณวิเศษแบบนี้ที่เป็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นมหัศจรรย์ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ แล้วในประเทศไทยทำได้ แล้วจะมีคนที่ฟังที่รับรู้ได้รับซับซาบที่อาตมาพูดนี้ ทั้งเขียนหนังสืออาตมาเขียนหนังสือมาเป็น 100 เรื่อง หลายล้านเล่มแล้วพิมพ์ออกมา ไม่ได้นับที่เป็นบทความนะ นับที่เป็นหนังสือเป็นเล่มแล้ว 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่อาตมามีความรู้ซึ่งอาตมาบอกแล้วว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นความรู้ที่ได้มาจากพระพุทธเจ้าสายนี้เลยโดยตรง มาจากทฤษฎีสายหลักสายของพระพุทธเจ้าตรัสรู้เลยโดยตรง แล้วก็เอามายืนยันพิสูจน์เอามาเผยแพร่เอามาสอน ค้านแย้งกับกระแสหลักพระพุทธศาสนาที่เขาเสื่อมจริงๆ 

ซึ่งอาตมาก็ยืนยันแล้วว่า ผู้รู้เข้ามาพิสูจน์ดูว่าอย่างที่อาตมาพาทำพวกเราได้อย่างเป็นชุมชนนี้ อธิบายอย่างเชิงเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ มันต่างกันกับเถรสมาคมที่สอนกันอยู่เหมือนกัน แล้วผลได้ของเขาก็มีเป็นหมู่ใหญ่ด้วย ได้เป็นพลเมืองหมู่ใหญ่ด้วย แล้วมันเทียบค่ากันดูซิว่า ว่าอย่างที่พวกเรานี้ทำได้สำเร็จมีผลแล้วนี่ แล้วที่สำคัญก็คือยั่งยืน มั่นคง หรือจะเรียกว่าเที่ยงแท้ก็ได้ไม่เป็นแปลง เพราะมันมีที่จบ มันจบแล้วไม่รู้จะมีอะไรเจริญกว่านี้อีกแล้วที่จบของมันแต่ละรอบแต่ละเรื่องแต่ละอย่างมันจบของมันในตัวมัน 

เช่น เราหมดเนื้อหมดตัวเป็นศูนย์แล้วมันจะไปยังไงอีกนอกจากจะเป็นหนี้ เราไม่ใช่เป็นคนโง่ที่จะไปเป็นหนี้ เป็นศูนย์ก็เป็นขีดจบแล้ว นี่คือจบแท้ๆเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำเช่นกิเลสดับหมดเลยสูญแล้ว แล้วจะไปมีอะไรต่อได้อีกล่ะ กิเลสมันหมดแล้วหมดกิเลสแล้ว กิเลสไม่มีแล้ว แล้วได้สิ่งที่ทำอย่างมีปัญญารู้อยู่ด้วยว่า ความดีพฤติกรรมที่จะเป็นความดีแม้แต่จะเป็นสมมุติ เราก็มีปัญญารู้ว่า ดีที่สอดคล้องทางสังคมที่เขานิยม เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา 

เพราะความดีก็เป็นสมมุติทั้งนั้นแหละที่ใช้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ ที่ไม่เที่ยง เพราะความดีมันไม่เที่ยง ความดีความชั่วเป็นเรื่องไม่เที่ยง มันเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ ในยุคนี้กาลนี้แม้แต่ภูมิประเทศต่างๆก็ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกันฐานะของตัวบุคคลเอง มันก็ไม่ได้เที่ยงมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยแวดล้อม เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่อาศัย ส่วนตัวเองนั้นสูญแล้ว จะเป็นอย่างไรก็ได้ มีก็ได้ไม่มีก็ได้สูญแล้ว จะเลือกเป็นอย่างไร มีเท่านี้กับเขาก็ได้ไม่มีเลยสูงสุดแล้วสูไม่มีเลยก็ได้ มันก็จบอย่างนี้เป็น 

เพราะฉะนั้นอาตมาพยายามจะวิเคราะห์ วิจัยในเรื่องของ ผู้ที่ทุกวันนี้ ขอย้ำหัวตะปูพวกที่พูดมาก พูดคุยโม้ พูดโอ้อวด แต่ยังไม่ได้กระทำหรือกระทำไม่ตรงตามที่พูด 

การพูดกับการลงมือกระทำที่เกิดผลจริง นี่แหละ ขณะนี้มันมีเยอะ นักการเมือง นักอะไรก็แล้วแต่ขี้โม้ขี้โอ่ขี้อวด พูดอย่างไรก็พูดได้ การพูดกับลงมือทำเกิดผลจริงมี 2 อย่างนี้ เป็นตัวชี้วัดตัดสิน ตัดสินกันว่าอย่างไรมันจะเป็นความจริงที่แท้จริงกว่ากัน ที่พูดโวๆๆๆ คุยโม้ไป กับมีผลที่เขาทำแล้วลงมือทำมีผลเกิดจริงแล้ว อย่างพวกเราทำมีผลเกิดจริงชื่อว่าความจริง ไม่ได้พูดนี้ยังไม่ได้ทำกับไอ้ที่ทำแล้วมีผลจริงอันไหนมันจริงกว่ากัน ... อย่าตอบอย่าตอบเดี๋ยวสอบตก อาตมาไม่ได้ทำให้ตอบก็เดี๋ยวตอบผิดจะสอบตกไม่เอา 

มันไม่ได้ยากอะไรเลยง่ายจะตายเห็นกันชัดๆ 

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เราอย่าไปเชื่อน้ำมนต์ที่ใช้ภาษาสวยๆว่า วาทกรรมกันเลย อย่าไปฟังพวกขี้โม้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Big Word ถ้าพูดจริงเรียกว่า Great Word เกรทเวิร์ด มันต่างกันคนละอย่าง ขี้โม้เขาเรียกว่า Big Word ถ้าพูดแล้วจริงได้ ดีได้ เขาเรียกว่า Great Word 

เพราะฉะนั้นพยายาม  แน่นอนคำพูดหรือภาษามันเป็นสื่อที่จะบอกถึงทุกๆอย่าง เป็นความจริงหรือว่าเป็นลักษณะที่มันเกิดผลเกิดผลิตอะไรก็แล้วแต่ ที่จะเป็นขึ้นมาก็จากความคิดและเอามาบอกกันพูดได้ 

เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงขึ้นมาจากปฏิกิริยาแล้วเรารู้ว่า ปฏิกิริยาความนึกความคิดของเราได้ขึ้นมา ในวิชาการของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปฏิฆสัมผัสโส เราจะรู้จักสิ่งที่เกิดมีตัว ฆ ฆ.ระฆัง 

ปฏิ คือ ปฏิกิริยาแล้วก็จับตัวกันเป็น ฆ เป็นก้อนเป็นสิ่งที่เกิดแล้วอะไรอันหนึ่ง ละเอียดลึกอยู่ในจิต 

ถ้าสิ่งนี้มันเกิดแล้วมันเป็นสัจจะอะไรก็แล้วแต่ เรายังไม่ได้ตั้งชื่อก็คือ ปฏิฆสัมผัสโส เราสัมผัสเองได้ ถ้ามันมีการตั้งชื่อแล้วเขาก็เรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส สัมผัสได้ว่า อันนี้มีวจีสังขาร มีภาษาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วเป็นบาลี อย่างนี้เอง อย่างนี้เรียกว่า บุญ อย่างนี้เรียกว่า กาย อย่างนี้เรียกว่า ฌาน อย่างนี้เรียกว่าสมาธิ  อย่างนี้เป็นต้น 

แล้วท่านก็ได้อธิบาย ขยายความสิ่งเหล่านั้น ออกมาเป็นภาษา จากรู้อยู่ในตัวเองแล้ว ถ้ามีคำพูดก็เรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส เป็น วจีสังขาร อยู่ข้างในยังไม่ได้ออกมาเป็นวาจากรรม ก็ปรุงแต่งกันอยู่ข้างในเป็น วจีสังขาร เมื่อพูดออกมาให้คนอื่นฟังก็เลยก็เรียกว่า วาจากรรม ถ้าอยู่ภายในเราเองก็เรียกว่า วจีสังขาร เป็นสังขารที่ปรุงแต่งกันที่มี อธิวจนะแล้ว พูดมาเป็นภาษาที่จะสื่อออกมาเป็นภาษาอะไร ก็ภาษาพื้นบ้าน ภาษาที่คนทั่วไปรู้ได้เข้าใจได้ พูดภาษานั้นสื่อออกมา 

ถ้ามีคำวิชาการ คำเทคนิคอลเทอม ก็สื่อออกมาเป็นภาษาวิชาการ ไม่มีภาษาวิชาการก็บอกอธิบายความหมายเอา 

ซึ่งสิ่งที่มันเกิดในโลกุตรธรรม ภาษาไทยมันไม่ค่อยมี ที่มันเป็นความลึกซึ้งละเอียด อาตมาต้องอธิบายภาษาไทยประกอบยาวยืดยาด อธิบายไป ยากมากเลย แม้แต่คำสั้นๆที่บอกว่าบุญ ว่ากาย ว่าฌาน ว่าสมาธิ อย่างที่อธิบายยกตัวอย่างเดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ก็ยังอธิบายขยายความอยู่เพราะมันละเอียดยิ่งใหญ่มาก 

เพราะฉะนั้น ความเสื่อมทุกวันนี้ไปจากคน เสื่อมไปจากธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เอาไว้ว่า มันจะเสื่อม ซึ่งความเสื่อม 4 ประการ ที่อาตมา จะได้เอามาขยายความ ความเสื่อม 4 ประการซึ่งซ้อนลึกอยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ใน อัมพัฏฐสูตร ที่พระพุทธเจ้าถกกับอัมพัฏฐมานพ เป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ พระพุทธเจ้า ยืนยันว่าได้แต่พยัญชนะ ได้แต่ภาษาแต่ไม่ได้จรณะวิชชาจริง

ชาวอโศกมีจรณะวิชชาจริง และมีความรู้มีวิชาจริงจนออกมาเป็นความจริง เกิดอยู่ในตัวมนุษยชาติ ค่อยๆอธิบายกัน ในงานพุทธาภิเษกฯ ใครมีพระไตรปิฎกเล่ม 9 เอามาอ่านกัน อาตมาจะค่อยๆเอา 13 สูตรมาค่อยๆสรุปขยายความอธิบาย ยังไม่ละเอียดพอจะขยายโครงสร้างเป็นอิทัปปัจจยตาแก่กันและกัน ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นงานเป็นหน้าที่ที่อาตมาจะพยายามทำความเข้าใจให้พวกเรารู้ซับซ้อนละเอียดลึกซึ้งเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่สำคัญยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะได้เอาไปประพฤติปฏิบัติให้แก่มนุษยชาติ ให้แก่สังคม 

สังคมคนไทยเราก็เกิดที่เมืองไทยก่อน ช่วยเหลือประชาชนคนไทยได้แล้วในประเทศชาติไทย แล้วก็ขยายไปสู่ต่างประเทศเขา เราไม่ได้หวงแหนความรู้ เราอยากให้ทุกคนได้ความรู้ที่เรารู้นี่แหละ เอาไปทำเลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะไปหวงแหนริษยาอะไรกัน อยากให้เจริญๆ อยากจะให้ได้สิ่งที่เรารู้เราได้เราทำได้นี่แหละ พูดได้ทำได้เพราะรู้มา เพราะรู้อย่างจริงๆ รู้แล้วพูดได้ ทำได้ ทำได้อย่างที่พูด พูดอย่างที่ทำได้จริงๆ 

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นสุดยอดแห่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลหรือเป็นมนุษย์เป็นคน เหมือนทุกคน ชาวตะวันตก ชาวอเมริกันยุโรป ก็คนเหมือนกันหมดนั่นแหละ ชาวเอเชีย ตะวันออกกลางอะไรก็แล้วแต่ เป็นคนเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่ความรู้ที่จะมีของพระพุทธเจ้า มันมีอยู่ในย่านเอเชีย โดยเฉพาะโลกุตรธรรมมีอยู่ในประเทศไทย และกลุ่มที่นำขึ้นมาสถาปนาลงไปในยุคที่มันเสื่อมไปแล้วเป็นโลกุตรธรรม อยู่ในกลุ่มอโศกนี้เป็นตัวตั้ง นำพากันมาศึกษา และสามารถมีปฏิภาณปัญญา มีบารมีหรือมีภูมิธรรม มารู้ได้ มารับได้ แล้วเอาไปปฏิบัติจนกระทั่งเกิดมรรคเกิดผลได้จริง เอหิปัสสิโก เชิญมาดูได้ นี่ไม่ได้ท้านะ แปลเป็นภาษาสวยๆหน่อยว่า เชิญมาดู เชิญมาตรวจสอบความจริงได้ ถ้าพูดอย่างโอหังก็ท้าให้มาดูซิ ท้าให้มาดูได้เลย พูดอย่างโอหัง พูดอย่างหยาบอวดดี เพราะฉะนั้นเป็นความจริงที่เชิญมาดูมาสัมผัสได้ 

เพราะฉะนั้นในอนาคตต่อไป อาตมาก็ว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงมีความจริงพระทัย ของพระองค์พระพุทธเจ้า ท่านค้นหาความจริงจากความเป็นมนุษย์ จากความเป็นสังคม 

สรุปแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดในมนุษย์และเป็นสังคม สรุปสั้นๆแค่นี้ มันคืออย่างไร มันเป็นไปได้จริงขนาดไหน ท่านรู้หมดเลย อ๋อ.. สุดยอด และเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด ต้องดูในประดาศาสตร์ต่าง พระพุทธเจ้ารู้ศาสตร์ต่างๆในยุคพระพุทธเจ้ามี 18 แขนง ในตักศิลา ท่านก็เรียนรู้หมดคลุมหมดแล้ว ทุกวันนี้แตกแยกย่อยไปอีกมากมายแต่ที่จริงอัดเข้าแกนไม่ออกนอก 18 ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่ศึกษาอยู่ในตอนโน้น

เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้ค้นคว้า พยายามค้นหาสิ่งที่ดี สิ่งที่สุดสูงที่สุด สุดยอดที่สุด ตั้งแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสัจธรรม มันคืออะไร จนกระทั่งประสบผลสำเร็จในการตรัสรู้ อะไรเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ อะไรดับไป จนกระทั่ง รู้จบ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จบ ศึกษาแล้วและทำได้เรียกว่า จบกิจ ก็มีรอบแห่งผลขนาดอรหันต์ อรหันต์ในระดับอรหันต์ ซึ่งเป็นอริยบุคคลระดับ 4 เป็นรอบแรก 

อรหันต์ คือ ผู้ที่ อรหะ + อันตะ 

อรหะ คือ ไม่ลึกลับแล้ว รหะ รโห แปลว่า ลึกลับอยู่

อรหะ ไม่ลึกลับแล้ว และความลึกลับแล้วที่สุดคือมีความเป็นอันตะ สิ่งเล็กๆเรียกด้วยศัพท์ว่า อรหันต์ คือ อรหะ กับ อันตะ

รอบที่ 1 ของผู้ที่จบอรหันต์คือผู้ที่รู้ว่าชีวิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนี้ ไม่ต้องไปหลงสุขหลงทุกข์ หมดทุกข์หมดสุข แล้วทำความดีได้ถาวรเที่ยงแท้ต่อไป บรรลุแล้ว 

สุดท้ายแล้วธาตุจิตนิยามหรือธาตุวิญญาณของตน เมื่อตายแล้ว กายัสเภทาปรัมมรณา ก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้เลย หมายความว่า ตายแล้ว เลิก หมุนเวียนเกิดมาในกาละหรือ ในวัฏสงสารนี้อีกได้เลย แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม หมดความเป็นวิญญาณ หมดความเป็นจิตนิยามของตนเองได้ อย่างนี้เป็นต้นและพิสูจน์ได้ตั้งแต่คุณยังไม่ไปในโลกของอบายมุขตั้งแต่เป็นๆ ความเป็นโลกที่หมุนเวียนเสพต้องเกี่ยวต้องเกาะอยู่ จนกระทั่งคุณไม่ต้องเสพ ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์กับอย่างนั้นแล้ว นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว โง่ด้วย แล้วจะไปทำทำไมต้องหมุนเวียนไปโง่ทำไม ใครเคยโง่มาบ้างแล้วบ้าง 

พวกเราต้องเข้าใจว่า เราเคยโง่กันมาก่อนทั้งนั้น เราหลุดพ้นความโง่มาเป็นคนฉลาด หลุดพ้นความโง่มาได้จริงๆ พ้นจากอันนั้นมาจริงๆ 

อาตมาว่าความรู้ที่อาตมานำพามาสอน นำมาจากพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่เยี่ยมยอดไปกว่านี้อีกแล้ว อาตมาเกิดมาในยุคนี้ เป็นธรรมิกราชแท้ๆ  มีรัชกาลที่9 เป็นธรรมิกราชอีกองค์ ท่านก็รับทำตามฐานะของท่าน ท่านก็ทำไปแล้ว ก็ได้ประมาณนั้น เป็นรากฐานไว้ 

อาตมาก็พยายามที่จะนำพาให้มาเป็นโลกุตระบุคคล อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนอย่างชาวอโศกนี้ให้ได้ ให้คนสัมผัสได้ ให้คนมาเรียนรู้ได้ ตั้งแต่ที่จิตเป็นพฤติกรรมเป็น แล้วก็รวมหมู่รวมกลุ่มกันอยู่ เป็นสังคมมนุษยชาติด้วย ให้คนอื่นเขาได้มายืนยันว่า คนอย่างนี้ก็มี สังคมอย่างนี้ก็มี พฤติกรรมอย่างนี้ก็มี แนวคิดอย่างนี้ก็มี เป็นไปได้ด้วยหนอ พิลึก ประหลาด วิเศษ

สมณะฟ้าไท... เขาเรียกมหัศจรรย์ 

พ่อครูว่า... มหัศ จอ ร หัน การันต์ ย. มหัศจรรย์ ภาษาบาลีก็ไม่ใช้ ร หัน ใช้ อัน 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2566 ( 07:27:05 )

660305

รายละเอียด

660305 พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

https://www.boonniyom.net/53016.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1tokNbxUt8j2CRevh0RJvl8DK1pXraoyQvsBk8-A_XMQ/edit?usp=sharing                             

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/13eMvyJF9XscESNqqw1dOCfe1VLije5RD/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/tEkAgZTnExU 

 

แม่นเป้าเข้าหาแก่นโลกุตระ

พ่อครูว่า... วันนี้วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก เป็นวันแรกของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 47 อาตมาอายุย่างเข้า 89 ปี วันนี้วันที่ 5 ขึ้น14 ค่ำ จะขึ้นเป็นเดือนที่ 10 ของอายุ 88 ปี 9 เดือน 1 วัน อาตมาตกฟากประมาณ 8 โมง หรือ 7 โมงกว่า แม่บอกว่าตกฟากตอนที่พระเดินบิณฑบาตกลับมาเห็นหลังไวๆเข้าวัด 

อาตมาทำงานมาด้านศาสนาตั้งแต่รู้ตัวเองว่า เรานี่ไปเสียเวลาเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ทั้งโลกตั้ง 36 ปี โอ๊ยตาย 36 ปีก็เลยมาทาง มาแล้วไม่มีอะไรสงสัยข้องใจในเรื่องทางนี้ ทางธรรมะทางศาสนาไม่ได้สงสัยไม่ได้ข้องใจ ไม่ได้สะดุดอะไรเลยชัดเจนทุกอย่าง แม่นเป้า ไม่ใช่มุ่งเป้านะแต่แม่นเลย พั๊วเลย มั่นแม่นเป้ามาก มาแล้วก็ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ มันก็เลยเวลาตายแล้ว เวลาตายของอาตมาอายุ 72 ก็พยายามยังนะยังไม่ตายพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าดู เลยนะท่านบอกว่าพากเพียรแล้วมันจะได้เลยอายุ อายุ 72 นี่ เลยได้ 

พระพุทธเจ้าบอกว่าอานนท์ เราจะมีอายุต่อไปอีกถึงกัปเลย หรือเลยกว่ากัปก็ได้ ท่านตรัสอย่างนั้นเลย กัป ของท่านประมาณ 120 ปี ทุกองค์ พระอานนท์ก็ 120 พระกัสสปะก็ 120 จึงเสีย นอกจากอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา สารีบุตร พระโมคคัลลานะ เสียก่อน สิ้นก่อน สิ้นก่อนพระพุทธเจ้า 80 ปี 

เรื่องเหล่านี้ที่จริงมันมีเหตุปัจจัย มีหลักเกณฑ์ ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องโมเม ทุกอย่างจะบอกว่าลงตัว ทั้งตัวเลข ทั้งรูปทั้งนาม ทั้ง Static และ Dynamic ถ้าสิ่งใดที่มันเป็นหนึ่งเดียว มันจะลงกันหมดเลย มันจะเป็นอันเดียวกันหมดเลย ลงตัวพร้อมกันทั้งรูปทั้งนาม จะเป็นเพศหญิงเพศชายก็หายหมด เป็นหนึ่งเดียวเป็น 0 ไม่มีเพศเลย นปุงสกลิงค์ ลงตัวเหมือนกันหมด จบ 

2 เพศมารวมเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่เป็นกระเทยนะ เป็น 0 เลย หนึ่งเดียวหรือ 0 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นอจินไตยยาก เป็นเรื่องที่ทุกอย่างมาเทียบกัน เข้ามาเปรียบกัน ให้รู้ว่าอะไรเหนือกว่าอะไรอะไรควรกว่าอะไร 

อะไรดีกว่าอะไร อะไรควรมีอะไรไม่ควรมี มันจะชัดเจนทุกอย่าง 

 

อาตมาตั้งใจว่างานพุทธาภิเษกนี้ จะเอา พระไตรปิฎกเล่ม 9  เป็นเล่มเริ่มต้นพระสูตร มีทั้งหมด 13 สูตร ใน 13 สูตรนี้ร้อยเรียงและมีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อน จะเอามาขยายให้ฟัง ขยายพอสมควร จะว่าสังเขปก็คงจะไม่สังเขปทีเดียว เป็นนิกเขป มันจะได้ประมาณนึง ใช้เวลาแค่ 5 วันไม่ถึง 7 วัน วันสุดท้ายก็สรุปงาน อาตมาก็ไม่ได้อธิบายทุกวันด้วย แค่ 3 วันก็ต้องได้ประมาณนึง นั่นแหละก็ต้องไปติดตาม ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นเอาไว้แล้วโปรดอ่านต่อฉบับหน้า โปรดติดตามตอนต่อไป

 

เนื้อหาโลกุตรธรรมต้องตาม กาละ เทศะ ฐานะ  

พ่อครูว่า... ก่อนจะได้อธิบาย ครั้งนี้เป็นการพาปฏิญาณ เป็นการปฐมนิเทศก่อนก็แล้วกัน 

ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ ไม่ว่าจะพูดในมุมไหน หยิบขึ้นมาเรื่องใด หรือแม้แต่จุดใด เริ่มเข้าไปที่จุดใด หรือมีธุลีละอองใดเกิดขึ้นมา มันมีเรื่องราว มันมีสัมพัทธภาพกันทั้งหมด เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมดเลยไม่มีอะไรขาดตอนกัน ในสิ่งที่ลงไปในคำว่ามี ยังมีอยู่ ทุกอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา ทุกอย่างเป็นปัจจยาการเป็นปฏิสัมพันธ์กัน แล้วมันมีความซับซ้อน แต่มันมีระบบ คนไม่รู้ไม่มีระบบเลย ยุ่งยิ่งกว่ากลุ่มไหมที่มัน แก้ไม่ออกเลย ยิ่งกว่าลิงแก้แห 

ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งจะขาดจะพังจะแตกแยกออกไปเสียหายเลย มันจะไม่เกิดผลดีอะไรได้ 

อาตมา ทำงาน จริงๆ มา  50 กว่าปีนี้ รู้สึกได้มรรคได้ผลได้บุคคล ได้ความจริงจากจิตวิญญาณของคนมาเป็นอาริยบุคคล มาเป็นจริงๆมาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ซึ่งอาตมาไม่ได้ระบุตัว เพราะถ้าหากระบุตัวก็อาจจะเพ่งเล็งกันมาก ก็อาจจะเปรยๆปรายๆ ผู้มีปฏิภาณปัญญาก็จะพอรู้พอเข้าใจกันในที จะบอกว่าบอกกันได้ไหมได้สำหรับผู้มั่นใจ ก็บอกกันได้ แต่อย่าไปพูดเล่นๆไป ต้องระมัดระวังการที่จะบอกคุณธรรมของตนเอง 

ถ้าเผื่อว่าตนเองไม่มีคุณธรรม บอกไปแล้วมันพลาด ผู้รู้ชี้มาหน้าแหกเลย ไม่ใช่หน้าแตกนะหน้าแหกเลย หมอไม่รับเย็บเลย มันก็ขายขี้หน้าไม่รู้จะเอาหน้าไปขายใครไม่มีใครซื้อ หมอไม่รับเย็บ หน้าไม่รู้จะขายใครไม่มีใครเขาซื้อเลย หน้าอย่างนี้เอาไปขายใครก็ไม่มีใครซื้อ มันแย่เลยเสียหายต้องระมัดระวัง 

นอกจากคนห่ามๆคะนองๆ อยากจะอวดหลอกคนก็ว่าไป มันก็เป็นธรรมดาคนขี้โอ่ขี้อวด โดยที่เรียกว่าไม่รู้กัน 

อาตมาจำเป็นในชาตินี้ จำเป็นที่จะต้องระบุบุคคล เช่น ชื่อระบุบุคคลลงไปในผู้ที่ท่านผิด ท่านผิด ระบุ ท่านถูก แต่ทีนี้จะระบุคนที่ท่านถูกนี้ มันไม่มีถูกเลยในคณะใหญ่ในส่วนใหญ่ของยุคนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วใน อาณิสูตร ว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมในอนาคต โลกุตระจะสูญหายไป ไม่มีในสังคมพุทธ จะมีแต่คำสอนที่ไพเราะแบบโลกีย์ ประโลมโลกมาแทนที่ ซึ่งในศัพท์วิชาการก็คือ จะเป็นภาษาของนักวิชาการ ภาษาของผู้รู้ ที่มันอธิบายโดยอัตโนมัติของตนเองแล้วพาให้ผิดเพี้ยนๆๆๆๆๆกันมา จนผิดหมด ไม่เหลือโลกุตรธรรม ไม่เหลืออาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นโลกียธรรมหมด ไม่มีอาริยะธรรม

เป็นธรรมะ อย่างดีเรียกด้วยศัพท์วิชาการว่า กัลยาณชน คนดี กัลยาณะ แปลว่าดี ไม่ใช่อาริยบุคคล 

คำว่า ปุถุชน ก็ถือว่าคนดีบ้างไม่ดีบ้าง เอาแน่ไม่ได้ ไม่รู้ได้ แบ่งแยกไม่ได้ แล้วก็อยู่ในระดับที่เรียกว่ายังไม่เจริญ ปุถุชน ปุถุ แปลว่าหนา แปลว่าใหญ่  แปลว่ามากไปด้วยกิเลส หนาไปด้วยกิเลส มาเป็นกัลยาณชนเป็นคนดีขึ้น แต่เป็นการดีแบบเทวนิยม ดีแบบโลกียะตามสมมุติโลก สมมุติไม่เหมือนกัน 

ศาสดาเทวนิยมหลายองค์ เป็นศาสดาของแต่ละศาสนา ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างก็ว่าดีๆๆๆ ไม่ลงเป็นหนึ่งเดียว แต่ศาสนาพุทธ อเทวนิยมหรือโลกุตตระหนึ่งเดียวไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในยุคไหนที่อุบัติขึ้นมาเป็นพระศาสดา องค์ใดองค์หนึ่งในยุคใดยุคหนึ่ง กาละของแต่ละองค์ อย่างพระสมณโคดมก็มี 5,000 ปี องค์อื่นๆท่านก็มี 8,000 ปี หมื่นปี หลายหมื่นปีแล้วแต่ แต่ละองค์แต่ละองค์ จะมีอายุของกัป เรียกว่าพุทธกัป ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พระสมณะโคดมมี 5,000 ปี 

แต่ศาสนาพุทธของพระสมณโคดม 5,000 ปีนี่ อย่าไปเข้าใจผิดว่า 5,000 ปีนี้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์เล็กองค์ต่ำไม่ใช่ แต่เท่ากันหมด ลักษณะของพระองค์ 5,000 ปีหรือ 8 หมื่นปีหรือแสนปี พระพุทธเจ้าบางองค์นี้ โอ้โห.. อายุศาสนาของท่านแสนปี 80,000 ปีอะไรพวกนี้ ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่มันเกิดจากองค์ประกอบของ กาละ เทศะ ฐานะ 

องค์ประกอบของเวลา ยุคกาล ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมต่างๆ องค์ประกอบต่างๆ เทศะ ภูมิประเทศ มนุษย์ต่างๆ มนุษย์ต่างๆ นั้นก็จะต่างกันโดยฐานะ  ฐานะแต่ละบุคคล บารมีไม่เท่ากัน วิบากไม่เท่ากัน

ฝาแฝดตั้งแต่ 2 คน 3 คน 4 คน 5 คน 8 คนก็ไม่เท่ากัน ปรมาณู 2 ตัวเริ่มมี 2 ไม่มีอะไรเท่ากัน มีเท่ากันอยู่อย่างเดียว เริ่มไปหา 2 ไปหา 3 ไปหา 4 มันก็ยิ่งแตกแยก ต่างกันไปเรื่อยๆ

ถ้า 2 นี้มาร่วมเป็น 1 มันก็จะรวมเป็น 1 ยิ่งลงไปหา 0 เหมือนกันจนหายไปเลย ยิ่งไปเป็น 0 มันยิ่งไปเป็น 0 มันยิ่ง หายไปเลย ไม่รู้จะเปรียบกันยังไงมันผ่องแผ้วเหมือนกัน กลม 0 เหมือนกันเลยเป๊ะเลยนะ ต้อง 0 เท่ากัน นั่นแหละเป็นที่สุด แห่งที่สุด

ที่เรานับด้วยสังขยาเลขว่า 0 1 2 สามเส้า นี่ก็แตกต่างกันแล้ว 0 1 2 ยิ่งเป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 ออกไปอีกกรอบนึง สามเส้า เรียกว่า 1 วงวน 1 วงกลม จะบรรจุไว้ด้วยสามเส้า มี 1. ประธาน 2. มีบวกกับลบ บวกกับลบเป็นตัวหลัก แล้วก็มีประธาน เป็นภาษาอังกฤษเขาก็มีตัว I คือประธาน แล้วมีตัว S กับ H

S ก็ She ตัว H ก็ He สามเส้า

ภาษาอังกฤษอาตมาไม่ได้เอาพยัญชนะมาอธิบาย มีแต่ภาษาบาลี ถ้าบาลีก็จะนำเอามา ประกอบนำมาอธิบายได้ แต่ก็ยังไม่ได้มาก เอามาใช้พอสมควร แล้วอาตมาก็คิดว่า ผู้จะมารู้พยัญชนะก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเท่า เอาเนื้อหา เอาสาระแท้ๆ ที่แต่ละคนจะต้องมี แล้วใช้อาศัยจริงๆ เอาอันนี้มาขยายความ อธิบายอันนี้ดีกว่า อาตมาก็เลยมาเน้นอันนี้ ไม่ไปเสียเวลากับพยัญชนะมากนัก พยัญชนะยิ่งลงไปลึกมันก็สนุกแบบพยัญชนะ 

ที่นี้ความเสื่อมของศาสนาพุทธมันเสื่อมตรงที่มาหลงพยัญชนะ มีความรู้พยัญชนะแล้วก็มาสร้างระบบของพยัญชนะเรียกว่า ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ วิชาการพยัญชนะก็จะบัญญัติภาษาสนุกกันใหญ่ มีความรู้ความสามารถรู้มาก คนนี้รู้ไวยากรณ์ ไวยากรณะ ผู้นี้รู้วจีวิภาค ผู้นี้รู้ วากยสัมพันธ์ ผู้นี้รู้มากฉันทลักษณ์ อาตมาก็ไม่ไปลงพวกนี้เท่าไหร่ 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็เหมือนลูกทุ่งในเรื่องของวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น  ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ อาตมาก็ไม่ลงไปในรายละเอียดพวกนี้เท่าไร แต่ก็พอมีความรู้นำมาใช้ได้อยู่ ได้อยู่ ไม่ว่าจะ  ไวยากรณ์ มีประธาน มีกิริยา มีกรรม อะไรพวกนี้ก็เอามาใช้ มันไม่ได้ออกนอกจากสารัตถะแท้ๆของมัน จะมาอธิบายคำพูดภาษา วจีวิภาค จะพูดถึงเรื่องวากยสัมพันธ์ ความแตกต่าง อะไรแตกต่างกันอะไรสัมพันธ์กัน อธิบายเอาสาระ เอาเนื้อหา เอาความหมาย หรือจะมาร้อยเรียงเป็นร้อยกรองเป็น ฉันทลักษณ์ อาตมาจะมาอาศัยฉันทลักษณ์บ้าง ร้อยกรองแบบภาษา เอาภาษามาร้อยกรอง ร้อยเรียงกันไปง่ายๆเรียกว่า “ร่าย” ตั้งแต่ร่าย แล้วก็กลอน 

ร่ายก็อย่างหนึ่ง สัมผัสกันลงท้ายกัน อันนี้ต่ออันนี้ เชื่อมกันไปเฉยๆ เรียกว่าร่าย 

กลอน ก็มีแผนผังบ้าง ลงท้ายกลอน 4 กลอน 8 อะไรพวกนี้ กลอน

กาพย์ มีการลงหนัก ลงเบา ลงแม่กด แม่กก แม่กบ มีอีกหลายกาพย์ กาพย์มีเยอะ กาพย์ 11 กาพย์ 12 

ที่นี้ยิ่งฉันทลักษณ์ มีครุ ลหุ อาตมาก็ชอบนะแต่ว่าไม่มีเวลาในชาตินี้ เราจะมาสาธยายเนื้อหาสาระของสัจธรรมที่ทุกคนรับไว้ คุณไม่รู้เรื่องของไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ไม่ต้องเป็นเลยแต่งกลอนแต่งกาพย์ ไม่ต้องเป็นเลย เอาภาษาธรรมดามาสื่อสาระแท้ๆได้ให้แก่กันและกัน แล้วก็รู้เรื่อง เอาไปใช้ อันนี้คือกิเลส อันนี้คือสิ่งที่จะต้องเลิกต้องละ ต้องประมาณ ยืดหยุ่นได้นะอันนี้ จะต้องประมาณต้องใช้กับสังคมมนุษยชาติ เราไม่ใช่สัตว์ปลีกเดี่ยวจะต้องอยู่คนเดียวเดี่ยวๆแล้วบรรลุเป็นอรหันต์ อันนั้นเป็นการออกนอกรีต เป็นเดียรถีย์อยู่แต่ผู้เดียวเดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์ 

ไปแปลว่าไม่มีเพื่อน 2 ความหมายของพระพุทธเจ้า เขาไปแปลไม่มีเพื่อน 2 ว่า อยู่คนเดียวเดี่ยวๆ ที่จริงแล้วผู้ไม่มีเพื่อน 2 คือผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เขาก็เลยไปแปลว่า ไม่มีเพื่อน 2 คืออยู่เดี่ยวๆเดียวๆก็บรรลุธรรม ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ไม่มีเพื่อน 2 ภาษามันเป็นภาษาสิริมหามายา มันเข้าใจยาก มี 2 ใน 1 มี 1 ใน 2 มันก็เลยเข้าใจภาวะไม่ได้ 

แม้แต่ในความหมายของโลกเขาทุกวันนี้ เขาก็สับสน 1 2   2 1สับสนกันมากเลย แค่ภาษา วาทะ คำพูด คุยโม้ พูดให้ชัดก็คือ เป็นภาษาคุยโม้ กับสภาวะธรรมได้จริง แค่นี้เขายังสับสนอยู่เลย 

เช่น นักการเมืองเก่งแต่วาทกรรม ทำไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้ทำอะไรเป็นจริงเลยนักการเมืองมีแต่มาโม้ อนาคตจะให้อันนู้นอันนี้ จะสร้างอันนู้นจะทำอันนี้ ชัชชาติเป็นต้น ยกตัวอย่างจริงๆนะ ก็มันยืนยันกันแล้ว แต่แกก็ยังอยู่นะ ไปไล่ออกก็ไม่ได้มันได้เลือกตั้งมาเห็นไหมเลือกตั้งมันเป็นเรื่องซวย รู้ทั้งรู้ จะไปขับออกได้อย่างไร เป็นแต่เพียงทำไม่ได้แต่เขาไม่ได้ทำผิด ไล่เขาออกก็ไม่ได้ เขาไม่ทำสำเร็จตามที่พูดเท่านั้นเอง ไล่เขาออกก็ไม่ได้ ได้แต่ประชาชนก็เจ็บปวด เจ้าตัวจะเจ็บปวดหรือเปล่าเราไม่รู้ 

เราก็วิจารณ์อยู่อย่างนี้เขาจะเจ็บปวดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครๆเขาก็วิจารณ์ดีไม่ดีเขาด่าเลย ไม่รู้ตัวเองเจ็บปวดหรือเปล่า ก็นี่แหละในสังคมมันก็มีตัวอย่าง พวกนี้เป็นตัวอย่างยกตัวอย่าง เพราะฉะนั้นจะว่าจริงๆแล้ว ไทยนี่โชคดีที่มีคนร้าย เป็นตัวอย่าง เขาไม่อยากเป็นคนร้ายหรอกแต่เขาไม่รู้ตัว คนเราไม่มีใครอยากเลวแต่ไม่รู้ตัว ไม่มีใครอยากเป็นคนร้าย อยากเป็นคนผิด อยากเป็นคนทุจริต แต่เขาโง่ 

ใช้ศัพท์วิชาการก็คืออวิชชา มันไม่รู้หรือมันมิจฉาทิฏฐิ อวิชชานี่คือโง่ เต็มๆรูปเลย มิจฉาทิฏฐิยังเปลี่ยนแปลง กำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากมิจฉาทิฏฐิมาสัมมาทิฏฐิ แต่อวิชชานี้มันคือตัวผิดตัวตั้งเลย 

เพราะฉะนั้นจึงต้องมาศึกษาความถูกต้องจริงๆจนกระทั่งถึงขั้น ทำเป็นความถูกต้องที่ถูกต้องอย่าง ภาษาอังกฤษ อาตมาไปเจอคำนี้คือ Axiom มันเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วนั่นแหละมันจึงจะไปถึงที่สุด ถึงที่จบ 

 

ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นในพวกเรา โดยรวม อาตมาพามาทำเป็นสังคมสารานียธรรม 6 ชุมชนเราทุกชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนสารานียธรรม 6 อยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ตำรวจตกงานหมด ไม่มีคดีในหมู่พวกเราด่ากันก็ไม่มี พูดกันแรงๆหน่อยก็นอกนั้น ดีไม่ดีไม่ชอบใจ ต่างคนต่างเงียบ ต่างคนก็ไม่พูด จะมาด่ามาทะเลาะกันไม่มีในพวกเรา จะถึงทะเลาะกันตีกันฆ่ากันไม่มี นี่เป็นผลสำเร็จจริงนะ 

คนอยู่ที่นี่ร้อยพ่อพันแม่ ดูซิมารวมกันอยู่ ใช่ไหม มาจากไหนต่อไหนมาเป็นพี่น้องกันจริงๆเลย อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม ศัพท์ของในหลวง ร. 9 คืออยู่กันอย่างอนุโลมอะลุ่มอล่วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน 

ถ้อยทีถ้อยอาศัยนี่คือ มีผู้รู้จักแพ้ มีผู้รู้จักยอม มีผู้รู้จักเสียสละ 

เพราะการมาเป็น ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ 

เป็นผู้ไม่ยอม ผู้จะเอาเปรียบชนะให้ได้ ไม่ยอมสละเด็ดขาด กูต้องเป็นผู้ได้ นี่คือพวกอันธพาล อยู่ในโลกนี่แหละเทวนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้น นี่ดูสิยูเครนกับรัสเซียยังไม่ยอมกันเลย ยังไม่มีใครเสียสละ และพวกก็ต่างคนต่างถือหางกัน ใครจะได้ผลประโยชน์อะไรก็ฉวยโอกาสนี้กันไป เพื่อที่จะสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตัว จนกระทั่งคนกลัวว่ามันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 

แต่อาตมาบอกให้เลยว่าไม่เกิด ทำไมไม่เกิดรู้ไหม เพราะลึกๆมันรู้กันแล้วถ้าขืนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ปรมาณูลูกเดียวลงที่ไหนๆบรรลัยหมดทุกประเทศ ตูม 1 ของปรมาณูทุกวันนี้มีฤทธิ์ถึงขั้นครึ่งประเทศตายหมดเลยนะ กว่าครึ่งประเทศมันปึ๊ดเดียว มันรู้ฤทธิ์กัน ก็เลยบอกว่าอย่าทำเป็นเล่นไปนะ ถ้าเกิดสงครามโลกแล้วนี่ทุกคนมีปรมาณูอยู่ในมือกันทั้งนั้น แล้วใครคะนองกูทนไม่ได้กดปัง แล้วเป็นยังไง ลองคิดเล่นๆต่อ 

ถ้าประเทศใดกดปุ่มปรมาณูใส่ประเทศนั้น ประเทศใดประเทศหนึ่งตูมเข้าไป ประเทศอื่นๆเขาจะมองอย่างไร จะดูดายไหม แล้วมันจะเป็นยังไง 

มันจะเป็นอย่างนี้ประเทศที่กดปุ่มฆ่าเขาก็จะมีพวกเหมือนกัน มันก็จะไปช่วยสิมันก็จะไปช่วยสิ พวกนี้ก็จะต้องรุม พวกนี้ก็จะต้องช่วย มันจะไม่ไปช่วยกันทีเดียวหมดทั้ง 200 กว่าประเทศนี่มันไม่หรอก มันก็จะไปช่วยกันกลุ่มนึง แล้วมันก็จะเรียกร้องกันหมด คือมันจะเลวร้าย พูดกันไม่รู้เรื่อง นี่คือกลียุค 

ซึ่งคนทุกวันนี้ก็ฉลาดขึ้นแล้วที่จะรู้จักภัยรู้จักโทษ รู้จักความฉิบหายทีรุนแรง ทุกวันนี้มันรู้มากขึ้น และมันก็ทำความฉิบหายความรุนแรงได้มากด้วย สมัยก่อนนี้ฆ่ากันด้วยหอกด้วยดาบ เก่งนะ สมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นรูปเป็นร่างเลย ไม่เห็นตัวเห็นตนเลย หนีไม่ทัน ไหวไม่ทัน มันร้ายแรงรุนแรงมาก 

สรุปแล้วพวกเราชาวอโศกนี้ หลุดพ้นมาจากอำนาจบ้าๆบอๆเหล่านั้น มาได้แล้ว และมันก็มีอิทธิพล อย่านึกว่าชาวอโศกไม่มีอิทธิพล แต่ไม่ใช่อิทธิพลของชาวอโศก เป็นอิทธิพลของธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอิทธิพลของธรรมะพระพุทธเจ้า ซ้อนอยู่เห็นไหม 

ชาวอโศกนี้ดูมีอิทธิพลแต่ไม่ใช่อิทธิพลของชาวอโศก แต่เป็นจากความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เรามาปฏิบัติ เกิดพฤติกรรม เกิดจิตวิญญาณ เกิดพลังงานนั้นออกไปเป็นกระแส เป็นรังสี ออกไป ตั้งแต่รูปหยาบจนถึงนามธรรม ถึงรัศมีแสงสีอะไรออกไป ซึ่งมันไม่มีรูปร่าง จนกระทั่งเป็นนามธรรม มันไม่มีรูปร่าง ที่ใช้ศัพท์ว่าแสงสีหรือรังสีอะไรพวกนี้ พูดศัพท์ทางวิชาการว่าเป็น กัมมันตภาพรังสี 

กัมมะ อันตะ ภาวะของกัมมะ อันตะ เป็นกัมมันตภาพ รังสีของกัมมันตภาพรังสี มันมีพลังงานออกไปแล้วพลังงานเหล่านี้มันมีฤทธิ์ป้องกันค้ำยันบุคคลเข้าสู่กระแส ถูกรังสีก็ทนไม่ได้ กัมมันตภาพรังสีของปรมาณูเข้ามาใกล้มันได้ที่ไหนเล่า เห็นไหม นึกถึงรูปธรรม นามธรรมก็นัยยะเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นนามธรรมขั้นจิตวิญญาณของคนมีคุณค่าระดับโลกุตรธรรม มีกัมมันตภาพรังสีของโลกุตรธรรม แล้วโลกุตรธรรมคืออะไร คือความอยู่เหนือไม่ต้องไปปะทะ นึกออกไหมทำรูปให้ดูคุณอยู่ล่างเราก็อยู่บน ไม่ได้ปะทะไม่ได้มาปรบมือกันนะ ไม่ได้มาวุ่นวายกันนะ แต่อยู่เหนือ คุณก็อยู่ชั้นล่างเราอยู่ชั้นเหนือ ลอยกันอยู่คนละชั้น รู้จักขนมชั้นไหม มันอยู่กันคนละแผ่นมันไม่ปนกันนะ ต้องไปอ่านคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ขนมชั้น มันไม่ไปปนกันมันอยู่กันคนละชั้น มันมีกัมมันตภาพรังสีขั้นอยู่ มันไม่เข้าไปเชื่อมต่อกันแล้ว ขนมชั้นต่อขนมชั้นมันติดกันนะ แต่มันมีกัมมันตภาพรังสีของแป้ง สี น้ำตาล อะไรแล้วแต่ มันไม่เข้าไปปนกัน ขนมชั้นหลายๆชั้น แล้วก็หลอกคนกินว่านี่คือขนมชั้นนะจ๊ะ ที่จริงแล้วก็คือแป้งเดียวกันหมดนั่นแหละใส่สีต่างกัน ดีไม่ดีน้ำตาลเท่ากัน ความมันเท่ากันความหวานเท่ากัน แต่สีต่างกันเท่านั้นหลอกคน ขนมชั้นหลอกด้วยสี แล้วคนก็บอกว่าวันนี้ฉันกินขนมชั้น ปัดโธ่เอ๊ย ที่จริงแล้วกินแป้งกับน้ำตาล อาจจะมีมะพร้าว กะทิบ้างนิดหน่อย แต่ขนมชั้นไม่ได้ใส่กะทิอะไรมากมายจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ขยายความอะไรต่ออะไรสู่พวกเราฟังจะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น 

สรุปแล้วชีวิตของเราหรือชีวิตของคนทุกคน ในความเป็นปุถุชน ก็มีความทุกข์มีความวุ่นวายอะไรมากมาย พอมาเป็นกัลยาณชนก็รู้จักฐานของความดี มันก็แบ่งชั้นเลย มีชั้นมีวรรณะ แล้วชั้นวรรณะพวกนี้ที่อยู่ในสภาพของวิชาความรู้ ก็เป็นชั้นวรรณะ ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน ผู้ที่ชั้นสูงก็ช่วยชั้นล่าง ผู้ที่สูงกว่าก็ช่วยกว่าชั้นล่างกว่าเสมอ 

แต่ในอวิชชาในเรื่องของความโง่ แบ่งชั้นวรรณะแล้ว ข่มกัน เอาเปรียบกัน ดูถูกกันดีไม่ดีเหนือชั้นเหนือก็ฆ่าเลย มีสิทธิ์ฆ่า คนนี้เป็นทาส คนนี้เป็นนายทาส จะเป็นเจ้าของทาส ในยุคนี้ไม่มีความเป็นทาสแล้ว แต่ก็ยังข่มกันเป็นเจ้าเป็นนายกันอยู่ จึงมีคำว่า นายทุน   คำว่านายทุน มีคำว่านาย แต่บุญ​ ไม่มีคำว่า นายบุญ 

 

ปฏิญาณศีล 8 เพื่อพ้นสังสารวัฏ เพื่อมาเป็นผู้เสียสละ ผู้รับใช้

 คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

[พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 47 นี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

 

1. ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

 

2. อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่น ด้วยเชิงเอาเปรียบ ด้วยการโกง จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว

 

3. อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

 

4. มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม

 

5. สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

 

6. วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

 

7. นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดาประดิษฐ์ประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย

 

8. อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จักตั้งใจ ศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ด้วยดี ให้สุดความสามารถ

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ...สาธุ สาธุ สาธุ 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่พูดแต่ปากนะ ไม่ใช่ท่องบ่นปฏิญาณแต่เพียงคำพูดออกไปเราต้องเข้าใจความหมายต่างๆ ไม่เข้าใจก็ขอปริ้นท์เอาไปอ่านทบทวน คําปฏิญาณต่างๆที่เราพูดไป เราเข้าใจอย่างไร คำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า ไตรสิกขา 

3 ไตร สิกขาก็คือการศึกษา สิกขาเป็นภาษาบาลี ศึกษาเป็นภาษาสันสกฤต การศึกษา 3 อย่าง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรือ แบ่งออกมา ขยายออกมาเป็น 3 ใน จรณะ 15 ขยายมาเป็น ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 และก็สัทธรรม 7 นี่คือ ขยายมาเป็น 3 สิกขา

เมื่อปฏิบัติโดยมีศีลเป็นหัวข้อหลัก อันนี้แหละอาตมาย้ำ พยายามบอกในศีลแต่ละข้อ มันจะต้องมีพันธกิจหรือมีสัมพัทธภาพ กับ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้แยกกันนะ  แยกกันไม่ได้ 

ศีลข้อ 1 เรื่องของสัตว์ คุณจะไม่ฆ่าคุณจะไม่ทำร้ายทำลาย คุณจะไม่เบียดเบียน คุณจะมีแต่กรุณา เอ็นดูกัน เอื้อเฟื้อเจือจานกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ท่านตรัสไว้ชัดในรายละเอียดของศีลข้อ 1 

เพราะฉะนั้นในคนนี่เป็นสัตว์ชนิดที่จะต้องปฏิบัติจัดการปฏิบัติตามศีลของพระพุทธเจ้าสำคัญที่สุด สัตว์เดรัจฉานอาตมาก็พูดแยกให้ฟัง สัตว์เดรัจฉานแต่ละตัว ปล่อยมันไป มันอยู่ตามยถากรรมของมัน เราไม่มีเวลา ไม่มีเวลาจะไปจัดการกับวิบากกรรมของมัน เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ สอนมันไม่ได้ มันเป็น อเวไนยสัตว์แท้ๆ สัตว์เดรัจฉานน่ะ  ไม่ต้องไปก่อวิบากกับมัน โดยที่ไปเกี่ยวข้องกับมัน เอามันมาเลี้ยงเอามันมาฆ่ากินไม่ต้องมันเป็นวิบากทั้งนั้น 

วิบากด้วยรัก เอามันมาเลี้ยง ยิ่งวิบาก เอามันมาใช้งาน คุณใช้งานมันคุณให้มันคุ้มไหม คุณว่าคุณรักมันคุณให้อะไรมันคุ้มไหม คุณเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย คุณก็จูงมันไปกินหญ้ามันก็กินของมันเอง แค่คุณจูงไป แต่คุณเอาประโยชน์จากควายเท่าไหร่ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน ดีไม่ดีหลอกคนว่าควายตัวนี้ขาย 3 ล้าน 5 ล้าน ควายบ้าอะไรจะตัวละ 3 ล้าน 5 ล้าน เห็นไหมมันหลอกกัน ไม่รู้จะเอาไปบูชาหรืออย่างไรควาย 3 ล้าน 5 ล้าน พูดไปแล้วอาตมาเหมือนหยาบ ไปพูดว่าเขาแรงๆ ก็ต้องกระแทกแรงๆพวกนี้โง่ซับซ้อนแล้วหลอกอะไรกันนักกันหนา 

เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไป ปล่อยเขาไปตามยถากรรม ไม่ต้องไปเลี้ยง ไม่ต้องไปรัก ไม่ต้องไปชัง ไม่ต้องไปเอาเขามาใช้แรงงาน ใช้แรงงานคนด้วยกันนี่ ฝึกคนให้มีความสามารถ แต่คนมันเห็นแก่ตัว มันก็ไปเอาแรงงานช้างแรงงานควาย ๆแรงงานม้า พูดอย่างไรมันก็ไม่หยุดกันหรอกเขาก็ทำกันทั้งโลกแล้วมันก็ได้ประโยชน์มันก็เห็นแก่ตัว จะพูดอย่างไรก็บอกไอ้พวกนี้มันบ้า โพธิรักษ์มันบ้า ก็เขาได้ประโยชน์นะ ประโยชน์นี่คือคนเห็นแก่ตัวคุณก็ได้ประโยชน์ แล้วคุณก็ไม่รู้ ซ้อนกรรมวิบาก คุณไปใช้ม้าใช้ควายใช้ช้าง คุณเอาเปรียบมัน กรรมวิบากคุณจะต้องไปเวียนวนอีก เจ้าหนี้ช้างม้าวัวควายที่มันเป็นเจ้าหนี้คุณเพราะคุณไปใช้มัน   ไปเอาเปรียบมัน วิบากกรรมมันก็หมุนเวียนเข้า นี่ยังไม่ใช่ไปกินมันนะกินมันเอาชีวิตมันเลย ไอ้นี่ไปเอาแรงงานมัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ความซับซ้อนของกรรมของวิบากพวกนี้เยอะ ละเอียดลออ ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ทางสายเทวนิยมเรื่องโลกีย์เขา ศาสนาอื่น ศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาก็วนเวียนอยู่ในวงวัฏสงสาร วนเวียนอะไร ใช้หนี้กัน และกัน 

ได้เปรียบกันก็ไปเป็นผู้อยู่เหนือ ลดลงมาเสียเปรียบมากที่สุดมาอยู่ล่างที่สุด ดูอย่างอินเดีย จนกระทั่งยึดชั้นวรรณะ ชั้นต่ำสุด ชั้นศูทร ต่ำกว่านั้นไม่ต้องพูดเลย จัณฑาล ไม่ต้องพูดเลย ถูกเหยียบย่ำขนาดเหมือนกับไม่ใช่คน เป็นยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์เขายังแตะต้องนะ แต่จัณฑาลยิ่งกว่าวัวกับควาย วัวนี้คนอินเดียเขายกมือไหว้นะ แต่จัณฑาลนี้เข้ามาใกล้เข้ามาเหยียบพื้นเหยียบที่เขาใช้น้ำนมล้างเลยนะ ซึ่งมันรุนแรงมากเลยในเรื่องของการแบ่งชั้นวรรณะ 

เพราะฉะนั้น อันนี้เขาอยู่ได้ คนของเขาตั้งพันกว่าล้าน เขาต้องอยู่แบบนี้ แล้วเขาก็ซื่อ อินเดียเป็นพวกซื่อ ยอม ยอมจริงๆเลยนะ ขนาดที่ให้จัณฑาลอาบน้ำชั้นล่าง คนอื่นเขาอาบชั้นบนมา หลายชั้นแล้ว ชั้น พราหมณ์  กษัตริย์ แพศย์ ศูทร เขาขึ้นไปไม่ได้เขาถือว่าละเมิดบาปเป็นเทวนิยม ที่จริงมันก็ดีทำให้ไม่วุ่นวายไม่สับสนไม่แย่งชิง มันก็อยู่กันรอด 

ส่วนฝ่ายคนจีนนั้นฉลาดสายปัญญา ก็มีชั้นวรรณะน้อย ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายยุโรปไปเทวนิยมอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญานิยม ไม่ใช่สายเอเชีย เขาก็แบ่งชั้นวรรณะของเขาอีกแบบหนึ่ง แบ่งสีผิวแบ่งฐานะ แบ่งอำนาจทางโลกอะไรต่ออะไรกัน เขาแบ่งอีกมุมนึง อีกเหลี่ยมมุมนึง อีกมิตินึงไป เสร็จแล้วมันก็คือเบียดเบียนกันเหยียดกัน 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้กันแล้วว่าคนเรามันเหมือนกัน ได้อาการ 32 ได้มาเป็นคนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเพศผิวพรรณใด คนอยู่ในฐานะใด ส่วนไหน ซึ่งทางตะวันตก ทางยุโรป เขาก็มีอุดมคติกันนะว่ามีความเสมอภาค ภราดรภาพ สันติภาพ อะไรของเขามี 3 

แต่อาตมาเป็นคนเอามายืนยัน ภาษานี้เป็นภาษาสมัยใหม่ เสมอภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ ภาษาสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีอันนี้ เพราะว่ามันเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะไปบอกว่าเฮ้ยต้องเสมอภาคได้อย่างไร มันเป็นยุคทาสไม่ได้  มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เขายังไม่รู้เรื่องกันนะ คนที่เป็นทาสก็ไม่รู้จักสิทธิของเขา เขาก็เหมือนกับจัณฑาล เขาเป็นทาสเขาไม่มีสิทธิ์หรอก เขาก็เหมือนสมบัติของนาย นายจะฆ่าจะแกงจะอะไรได้หมด กฎหมายก็ยังไม่มี นายทาสสามารถฆ่าลูกทาสได้ เพราะเป็นสมบัติของเขา ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของหมดเลย ทั้งนายทั้งลูกทาส แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

ยุคนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังแบ่งชั้นที่จะเป็นเจ้าโลก เป็นอำนาจ แต่ก็ยังแบ่งที่จะเป็นเจ้าโลกเป็นอำนาจบาตรใหญ่ มันหมดกันที่ไหนเล่า 

เพราะฉะนั้นใครที่รู้ก่อนมีปฏิภาณหลุดพ้นต้องมาเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือกันสิ ใครเหนือกว่าคนนั้นเสียสละ เพราะฉะนั้น ใครที่รู้ก่อนมีปฏิภาณหลุดพ้นต้องมาเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือกันสิ ใครเหนือกว่าคนนั้นเสียสละ ใครเหนือกว่าคนนั้นยอมรับใช้ อาตมาใช้ศัพท์ถูกแล้วนะผู้ที่เหนือกว่ารับใช้ก็คือช่วยเหลือ ทำงานนั่นแหละ ทำงานช่วยคนที่ด้อยกว่าสิ 

เหมือนพ่อแม่ต้องช่วยลูก ลูกยังอ่อนกว่ายังไม่เป็น ด้อยกว่าพ่อแม่ ก็ต้องช่วย อย่างนี้ต่างหากคือความเจริญ ไอ้คนเหนือกว่าแล้วไปเอาเปรียบคือคนชั่ว 

คุณเหนือกว่าคุณก็ต้องเสียสละช่วยเหลือสิ แต่คุณกลับไปข่มเขาเอาเปรียบเขา  ดีไม่ดีฆ่าเขาเลย อย่างสงครามที่เห็นๆกันอยู่ในสงครามทุกวันนี้ ฆ่า แล้วไอ้ที่เป็นนายซ้อนกันอยู่ในหมู่ของเขา สั่งการ ให้ลูกน้อง ลูกน้องนั่นแหละกลายเป็นทาส นายคือนายทาส ให้ลูกน้องไปตาย ไอ้นายอยู่ 

อาตมาพูดให้ผิดไหม และมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะ ฉะนั้นผู้ที่สูงกว่าเหนือกว่าต้องมาทำงานรับใช้ ไม่ใช่รับจ้างนะ อาตมาพยายามแยกศัพท์คำนี้อยู่ ไม่ใช่ไปรับจ้าง เอาสิ่งตอบแทนจากคนที่เราไปทำงานให้เขา ไม่ใช่ เสียสละจริงๆเลยเพราะมันเป็นสัจจะ คนเหนือกว่า เก่งกว่า รู้กว่า ฉลาดกว่า อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วยคนที่เขาด้อยกว่า ไม่ใช่ไปข่มไปเบ่งดีไม่ดีเอาเปรียบไปฆ่าทิ้งเลย ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาอย่างนี้ 

ยุคนี้เป็นยุคอยู่ร่วมกันช่วยเหลือกันไม่ใช่ไปเข่นฆ่ากัน มันยุคเจริญแล้ว แต่มันก็ซ้อนอยู่ คนเจริญมันเจริญถึงขีดโลกุตระ แต่คนยังโง่มันยังโง่ดักดานมันจะฆ่าแกงกัน ยังไม่หยุดเลย แต่มันก็ยับยั้ง ซึ่งอาตมาก็พูดไปแล้วสงครามโลกมันไม่เกิดหรอก เพราะมันมีปฏิภาณรู้แล้วมีไหวพริบรู้แล้ว ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งนี้หมด โลกนี้หมดแหละ ดีไม่ดีครึ่งค่อนโลกไม่เหลือ บางประเทศหมดเกลี้ยงประเทศเลย บางประเทศก็มีเศษเหลือไม่ตาย มีบารมีรอด 

สมัยโบราณเขาก็ทำอย่างนี้มาหยาบๆแล้วสมัยนี้มันซ่อนละเอียดกว่านั้น สมัยก่อนก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ทำอย่างนั้นเราอยู่ด้วยกันอย่างมีอุดมคติ Globalization ไม่ต้องมีขีดคั่นทุกประเทศในโลก ไม่มีขีดคั่นไปมาได้ไม่ต้องมีวีซ่าไม่ต้องมีพาสปอร์ต ไม่ต้องมีอะไรต่ออะไรเป็นอุดมคติ ซึ่งมันทำไม่ได้หรอก มันต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องร่วมกัน คนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้รุนแรงด้วย ขืนปล่อยอย่างนี้จะเป็นยังไง Chaos หมดเลยวุ่นวายตายชัก ไม่มีระบบระเบียบอะไรเลย คุมไม่ได้หรอก บรรลัยจักรหมด 

เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่กันอย่างจิตวิญญาณเป็นประธาน จิตวิญญาณเห็นผู้ด้อยกว่าเราก็ต้องเกื้อกูลช่วยเหลือเสียสละ ศาสนาพุทธสอนถึงขั้นนี้ ศาสนาคริสต์เขาบอกว่าเขาตบแก้มซ้ายเราก็ยื่นแก้มขวาให้เขาตบอีกที แต่ศาสนาพุทธนี้แม้แต่เขาจะฆ่าเราเราก็ยอม เขาตัดแขนเราก็ยังดีนะ เขายังไม่เอาเลื่อยมาเลื่อยตัว เขาเลื่อยตัวก็ยังดีนะขาดส่วนขาส่วนแขนไปก็ยังดีที่เขาไม่เอาชีวิต เขามาเอาชีวิตก็มาเอาชีวิตไปไม่ต้องไปอาฆาตมาดร้ายกัน 

นี่อาตมากำลังจะเริ่มอธิบายธรรมะที่จะพยายามอธิบายความซับซ้อนใน 13 สูตร ในเล่มนี้ที่ผู้รู้โบราณท่านเรียบเรียงเอาไว้ในพระไตรปิฎก ได้เห็นความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์  สลับซับซ้อนสัมผัสกันอย่างซับซ้อนหลายเหลี่ยมหลายมุม ตามที่มีเวลา 6-7 วันที่จะพูด ไม่พูดแล้ว ที่จริงอาตมาถูกริบไป วันนี้ไปแล้ว อีก 3 วัน โอ้โห..แล้ว 3 วันมันจะอธิบายหมดเลย 

ชีวิตของคน อาตมาเห็นแล้วว่า ศึกษา ศึกษาไปเถอะ แล้วโดยเฉพาะความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วเอามาตรัสให้พวกเรารู้ เรียกว่าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเอาที่ท่านรู้มาตรัสมาพูดมาอธิบายมาบอก ให้เราได้รู้ตามก็เลยมีคำรวมไว้เอามาสมาสกันเข้าไปเป็น คำเดียวคือตรัสรู้ ให้พวกเราได้รู้สิ่งที่ท่านตรัสหรือท่านตรัสสิ่งที่ท่านได้รู้มาก่อนแล้วให้คนอื่นได้รู้ตามเอาไปปฏิบัติตามบรรลุผลตาม 

นี่คือเรื่องของคน เรื่องของมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ไอ้ไปอยู่เหนือกัน ฆ่ากันแกงกัน มีอำนาจบาตรใหญ่เป็นเจ้าโลกนั้นมันเก่าโบราณแล้ว มันตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาตั้งแต่ผีตองเหลืองก็ยังไม่ดุไม่ฆ่ากัน ต้องเป็นยุคคนเถื่อน จนกระทั่งนึกว่ามันเจริญมาแย่งมาฆ่ามาแสดงอำนาจสมัยเจ็งกิสข่าน สมัยอเล็กซานเดอร์มหาราชล่าอาณาจักร ล่าเมืองขึ้น ไอ้นั่นมันเก่าแก่เห็น เดี๋ยวนี้ก็ยังเก่าแก่จะล่าเมืองขึ้น เป็นแต่เพียงวาทกรรมเปลี่ยนแปลงว่าฉันช่วยคุณอาตมาถึงบอกว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา ขี้หมาเน่าๆไงครับ มันไม่ได้เรื่องเลย มันก็ใช้แต่วาทกรรมโวหารภาษาพูดไป ว่าไอ้เรื่องภาษาโวหารนี้ อาตมามีสำนวนหนึ่งว่า เขาพูดมาเอา 5 หาร ถ้าหารไม่ลงตัวโยนทิ้ง ก็ไม่รู้ความหมายเก่าๆเป็นอะไร พอพูดมาเอา 5 หาร หารไม่ลงตัวก็โยนทิ้ง ไม่รู้หมายความว่าอะไรเหมือนกัน 

คือเอามาไตร่ตรองวิจัยแยกแยะดูให้ชัดเจน ว่าไอ้ที่พูดมานั้นมันหมายถึงอะไรกันแน่ละเอียดลออ แล้วมันซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ในนั้นอย่างไร มาดูดีๆมันมีอะไรซ่อนกลซ่อนเชิงอยู่ในนั้น คนเรานี่นะมีอะไรซ่อนกลหรือซ่อนเชิงอยู่ โดยรู้ตัวก็ดีเจตนาจะซ่อน โดยไม่รู้ตัวก็ดีก็คิดว่าจะเอาเปรียบเอารัด มันเห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวก็ต้องเอาเปรียบให้ได้ก็มี 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วไม่เอาเปรียบ รู้ตัวอย่าไปทำ เสียสละดีกว่าประเสริฐกว่า เอาเปรียบเลว เกื้อกูลผู้อื่น ดี

พระพุทธเจ้ามาสอนคน. มาให้คนพิสูจน์จนกระทั่งไม่มีตัว ไม่มีสมบัติ อะไรต้องเป็นของตัวเลย แล้วก็มีความขยัน เพราะฉะนั้น วรรณะ 9 จึงจบด้วย วิริยารัมภะ อปจยะ

อปจยะ คือ ไม่มีอะไรเป็นของตัวแล้วไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรค์ สร้างสรรค์แล้วก็เสียสละ สร้างแล้วก็ให้เอาไปให้หมด สร้างแล้วให้หมดสร้างมาเท่าไหร่ให้หมด ที่อาตมาใช้ศัพท์ว่าเสียภาษี 100% ให้หมดให้ไปไหน ถ้าไม่กระจายก็รวมเป็นกองกลาง ให้ไปแล้วสะพัดไม่มีที่พักเลย มันก็กระจายไปทั่วถึงกันไม่มีที่เก็บ แต่เมื่อสะพัดไปแล้วมันมีที่พักก็เป็นกองกลาง แล้วกองกลางก็จัดการสะพัดอีกทีนึง พวกเราก็แบ่งกินแบ่งใช้จากกองกลาง กองกลางก็จะมีความอุดมสมบูรณ์เพราะคนสร้างเป็นคนกินน้อยใช้น้อย จึงมีส่วนเหลือส่วนเกิน แล้วส่วนเหลือส่วนเกินก็กองรวมอยู่ในกองกลาง 

คุณคนหนึ่งมีแรงงานทำงานแล้วตีราคาแล้วประมาณ 1,000 คุณกินใช้แค่ 200 ก็เหลืออีกตั้ง 800 คนหนึ่ง 800 มี 2 คน 1,600  มี 3 คนก็ 2,400 มี 5 คน 10 คน 20 คนเข้าไปมันก็เยอะ เพราะฉะนั้นกองกลางของคนจนมาก มาก

เพราะฉะนั้นเอามาสร้างของส่วนกลาง ของที่ร่วมกันใช้ร่วมกันอาศัย เรียกว่าสาธารณูปโภค มันก็ดูมีอุดมสมบูรณ์แข็งแรง อย่างบ้านราชเรา ตอนนี้เอาสายไฟฟ้าลงดินหมด เอาท่อร้อยลงใต้ดินหมด ไม่ให้มันรกรุงรัง เสาไฟฟ้าเอาออกหมด แพงนะ เราทำได้คนไม่ค่อยรู้หรอกแต่พวกเรารู้กัน แต่สายทางด้านโยธาเขารู้ทั้งนั้น เอาสายไฟฟ้าลงดินมันแพง เราทำได้ บ้านราชเราทำแล้ว เอาลงดิน โดยเฉพาะเรื่องส่วนกลางส่วนไหนทำแล้ว ส่วนนอกไปรัศมีนั้นไม่ใช่เราทีเดียว แต่ในส่วนที่เราเป็นสิทธิ์ของเรา  เราลงหมดแล้วหมดไปหลายล้านเราก็ทำ เรียบร้อยปลอดภัยด้วย สายแรงสูงข้างบนมันไม่ดีไม่ปลอดภัย ดีไม่ดีงูพาดก็ช็อตก็ไม่ดีอีก ตัวเองงูก็ตาย มันทั้งไม่สวยไม่งามไม่สมบูรณ์แบบ แต่ไอ้นี่สมบูรณ์แบบ อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

สิ่งที่เราทำได้ในพวกเรานี้ เป็นคนจนนะ คนไม่มีเงินนะไม่ใช่พูดเล่นมันไม่มีจริงๆไม่ได้เอามากอบมาโกยไม่ได้เอามาสะมาสม เรามีแต่ทำแล้วสะพัด เป็นแต่เพียงมีเหลือ  ก็หมุนเป็นคงคลังนิดหน่อย พอสะพัดเป็นประจำวันประจำเดือนประจำปีพอเป็นไป เราก็ประมาณมัตตัญญุตาให้มันได้สัดส่วน ไม่ขาดไม่รันช็อต Cover ดีก็เป็นต่อไปเราก็ทำของเรา มันเป็นความฉลาดที่เรารู้ว่าเราจะทำกับสังคม โดยเฉพาะที่สังคมเรารับผิดชอบ สังคมที่เราต้องดูแลช่วยเหลือ 

อโศกพยายามจะช่วยเหลือ ในๆ ที่เป็นชาวอโศกขยายออกไป แต่อุดมคติของชาวอโศกมันไปขัดแย้งกับอุดมคติของคนข้างนอกเขา แม้แต่ เถรสมาคม. เขาเป็นพวกศาสนาด้วยยังขัดแย้ง เพราะเขาไม่เอามาจน เพราะเขาไม่เอาไม่มียศไม่มีศักดิ์ เขายังมีโลกธรรม เขายังมี  ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขายังเสพสุขด้วย กาม เสพสุขด้วย ลาภยศสรรเสริญ เสพสุขด้วยอัตตา ที่เขายังไม่รู้ตัว เขายังทำเต็มรูปอยู่เลยเห็นชัดๆ แต่จะไปว่าเขาทีเดียวเสียก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นต้นตัวกลาง มันเสื่อมกันมาตั้งแต่นานแล้ว มาถึงวันนี้เขาก็รับเชื้อ 

50 กว่าปีอาตมาแก้ไขปรับปรุงมาเป็นโลกุตระได้แค่นี้ ไม่มีคนชมอาตมา มีพวกคุณเห็นคุณค่าชม ชม สุดเกล้าสุดเศียร พูดยกยออาตมาจนกระทั่งคนอื่นเขาจะอ้วกแตกตาย โพธิรักษ์มันอะไรกันนะมีคนยกย่อง แหม โพธิรักษ์ก็ ดังปึง ภาษาอีสานแปลว่าหน้าบาน จมูกบาน ปึ่งออกมาโตออกมา ศัพท์ที่รู้กันทั่วคือหน้าบานที่แท้ก็ระบบการออกมาเรื่อยๆ แหม จงดีใจไม่ได้รับคำยกย่องชมเชย 

อาตมาพอรู้ตัวเองว่าคำยกยอยกย่อง อาตมาจะยินดีด้วยคำยกยอยกย่องหรือ ถ้าอาตมายินดีในคำยกยอยกย่องนั้นอาตมาก็เป็นขบถ ขบถต่อพระพุทธเจ้า อย่างแน่แท้ 

ในพรหมชาลสูตร...

 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย 

พ่อครูว่า... คนเขาอยากจะทราบเราก็เปิดเผยให้ดูให้เห็น เปลือยให้เห็นเลย ไม่ใช่คำหยาบนะ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

พ่อครูว่า... คำตรัสพระพุทธเจ้าในพารากราฟนี้มีแค่นี้ อาตมาทำตามคำสอนพระอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น คนชมอาตมา อาตมาก็ฟัง อ้อ มี ก็จบในตัว ไม่คัดค้านจะชมก็ชมไปแต่ทุกข์แล้ว 

เขาติ มีในเราอันใด เราก็แก้เสีย ปรับปรุงตัวเสียขอบคุณเขา กราบเขาเลยเขาติเราถูกมันเป็นคุณค่าประโยชน์แก่เราเหลือเกิน เราโง่ ไม่รู้ตัวให้เขามาบอกให้เขามามองให้ ก็กราบขอบคุณเขาที่เขาติ

เพราะฉะนั้นคำติจึงเป็นคุณค่าอย่างยิ่ง คำชมนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นคำเลวร้ายไม่เกิดความเจริญอะไรแก่เราเลย คิดดูสิเป็นความจริง คำติเป็นความจริงมีคุณค่า คำชมเป็นคำไร้ค่า แต่คนไปชอบคำชมคำสรรเสริญยกย่องจึงซวย 

จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก ขึ้น14 ค่ำ


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2566 ( 07:29:17 )

660306

รายละเอียด

660306 พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

https://www.boonniyom.net/53017.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1s7_ik-G1hqHUngU-moaRSAw3d_BRirM-P5I5si2v5Vg/edit?usp=sharing                             

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1YP9xWA1p0IGmoBr3D3k_R1vDu2Hi2BN4/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/jZSHqedUfCc 

และ https://fb.watch/j5DMSVhWhT/ 

 

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก วันที่ 6 พ.ศ. ก็ 66 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ วันนี้นับเป็นวันมาฆบูชา มาเดือน 4 แล้ว แต่ก็ทางจันทรคติเขายังต้องให้กำหนดนับเอาวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญ 

วันมาฆบูชาเขาถือว่าเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่สุด กลมที่สุด สว่างที่สุด ในหนึ่งปี หมุนเวียนมาบรรจบครบกัน 12 เดือน วันที่ลงตัวที่สุดที่พระจันทร์จะแสดงตัวต่อโลก โลกลูกนี้ ก็ถือว่า วันขึ้น 15 ค่ำเดือนมาฆะ ทางจันทรคติเขามาก่อน สุริยคติ เขาก็กำหนดกันไว้มานานแล้ว ก็ได้อย่างนั้น

เอา วันนี้อาตมาก็เตรียมเรื่องที่จะเอามาบรรยาย เอาไว้ สำหรับวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องเก๊าเก่า เป็นเรื่องสามเส้า ของคำสอนศาสนาพุทธ คือ ทาน ศีล ภาวนา กับ ศีล สมาธิ ปัญญา 3 เส้าของ 2 นัยยะนี้ มีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน เหลื่อมกันอยู่ หมุนรอบเชิงซ้อนอยู่ เดี๋ยวค่อยขยายความ เดี๋ยวค่อยอธิบาย

นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ เขียนมาให้อาตมาในวันมาฆบูชานี้อยู่ 2 ราย ซึ่งก็เหมือนรายเดียว คือ ท่านสมณะเด่นตะวัน กับเพื่อนของท่านเด่นตะวัน 

“มาฆบูชาวันนี้”

@วันมาฆบูชานั้นสำคัญไฉน

ชาวพุทธไทยควรระลึกควรศึกษา

ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสี่หกมีนา

พระศาสดาสอนธรรมสามประการ

 

@เรียกกันว่าโอวาทปาติโมกข์

พุทธศาสน์ทั่วโลกแผ่ไพศาล

ศาสดาทุกยุคทุกกัปกาล

ทรงประทานประกาศโอวาทมา

 

@สัพพะ ปาปัสสะอะกะระณัง.  

จงหยุดยั้งชั่วบาปถือศีลห้า

กุสะลัสสูปะสัมปะทา 

สร้างกุศลบุญญาพร้อมเพริดแพรว 

 

@สะจิตตะปะริโยทะปะนัง

อย่าหยุดยั้งชำระใจให้ผ่องแผ้ว

พระพุทธองค์บัญญัติไว้ให้เป็นแนว

จงแน่แน่วน้อมนำทำความดี

 

@ทั้งเป็นวันจาตุรงคสันนิบาต

วันประหลาดเกิดอัศจรรย์ขึ้นทั้งสี่

หนึ่งเป็นวันมาฆะฤกษ์พอดี

สองสาวกล้วนมีแต่อรหันต์

 

@สามเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา

สี่ท่านมาโดยมิได้นัดหมายนั่น

มาชุมนุมนอบน้อมพร้อมเพรียงกัน

ตั้งหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบองค์

 

พ่อครูว่า... นี่ของท่านสมณะเด่นตะวัน ก็เป็นการทบทวนความจำว่าวันมาฆบูชาคืออะไร มีความสำคัญไฉนเท่าที่ได้เรียนรู้กันมาแล้ว ส่วนอีกอันหนึ่งของเพื่อนท่านเด่นตะวัน 

 

๏ สวัสดีกันวันมาฆะหกมีนาจ้ะ !

จงได้ใฝ่รู้ดูกัน.

 

๏ อันวันเพ็ญเดือนสี่นั้น ก็อาจเป็นวัน-

"มาฆะ"สพร่างพรรณราย.

 

๏ อัน"มาฆะ"อย่าคิดง่ายง่าย จงรู้ความหมาย

มิใช่อ้างอวดตำราใด.

 

๏ จาตุรงค์องค์สี่อะไร ท่องจำทำไม

ไร้เหตุไร้ผลเที่ยงตรง.

 

๏ พันสองร้อยห้าสิบองค์ ท่องไร้สาระ,งง.!

ไม่เห็นต้องมาแจกแจง.

 

๏ เป็นวันพุทธองค์สำแดง โอวาทฯ บ่แคลง

เพื่อพุทธศาสนาบวร.

 

๏ ไม่ใช่วันที่สั่งสอนเรื่อง"รัก"สุนทร

แห่งพุทธศาสนิกชน.

 

๏ เพ้อเจ้อกันจนลานลน บ้ากันเสียจน

ไม่ดูเหตุผลต้นปลาย.

 

๏ เห็นฝรั่งมี"วาเล็นไทน์"  ก็คิดง่ายง่าย

เพื่ออวดตะแบงแข่งเขา.

 

๏ เป็นพุทธต้องไม่ดูเบา เรื่องโมหะเขลา

อย่ามืดมึนมัวชั่วทราม.

 

๏ วันนี้ระลึกคุณงาม ที่เกิดสังฆาราม

เพื่อสืบศาสนาดำรง.

 

๏ ชาวพุทธต้องใจมั่นคง มีสติเที่ยงตรง

ไม่หลงเลี้ยวสู่อบาย.

 

๏ สิ่งชั่วอย่ามา-กล้ำกราย สิ่งดีใดหมาย

จงมาสู่ท่านพลันเทอญ.๚ะ๛

 

พ่อครูว่า... อ้าว เอาความก็ได้ความ จะพยายามเป็นนักกวี ก็ฝึกอีกเยอะๆษหน่อย ตามที่อาตมาว่า อาตมาก็เป็น ไม่มีใครว่าอาตมาเป็นนักกวีหรอกแต่ว่าอาตมาก็สนใจและฝึกฝนเรื่องกวีการนี้มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ ตั้งแต่เรียน ม. 3 ม. 4 ซึ่งเป็นมัธยมโบราณนะ โบราณนี้จบป. 4 แล้วขึ้นมา ม.1 ม.2 ม.3 รวมแล้วมันก็ประมาณไหนล่ะ ก็ประมาณมัธยม1 ของยุคนี้ ไม่ต้องพูดอายุเพราะอาตมาริอาจทำอะไรมาตั้งแต่เด็กๆอายุน้อยๆ เกินวัย เพราะฉะนั้นมาแต่งกาพย์กลอนมาแต่งเพลงตั้งแต่อายุน้อย ทำอะไรมาได้ก่อน โตกว่าอายุ 

 

ทาน ศีล ภาวนา ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา 

พ่อครูว่า... เอา มาเข้าเรื่อง ที่อาตมาจะเทศน์วันนี้ ตั้งใจจะเทศน์ก็คือ เรื่องทาน ศีล ภาวนา เป็นหลัก ทีนี้ก็มามีศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา 

ทานศีลภาวนานั้นมันเป็นกรอบใหญ่ของการปฏิบัติธรรมทั้งหมดของศาสนาพุทธ ทีนี้ เจาะลึกซ้อนเข้าไปอีกก็ให้ปฏิบัติ อธิศีล  ทานศีลภาวนารวมหมด ทานศีลภาวนา คือการเกิดผลเจาะเข้าไปเป็นศีลสมาธิปัญญา หรือ ตัวภาคปฏิบัติก็คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แล้วมีผลเป็น อธิมุติ  และยังแถมมีวิมุติญาณทัสนะอีกให้ครบ 

อาตมาวันนี้จะขยายตัวหลักๆคือ ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิ 

ทาน ศีล ภาวนา ที่ท่านผู้รู้ชาวพุทธยุคนี้ได้อธิบายกัน ก็มักจะอธิบายแยกกันไป ไม่มีปฏิสัมพัทธ์หรือว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างที่มันควรจะเป็น 

ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือได้เข้าใจผิดโดยไปแยก ภาวนาออกไปเป็นการปฏิบัติ ภาวนากลายเป็นการปฏิบัติชนิดหนึ่ง เขาแยกอย่างนั้นเลยในหมู่พวกนักปฏิบัติทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติผิด คือพวกนักปฏิบัติที่หลับตา นักปฏิบัติที่หลับตานี่แหละจะเป็นคนที่ใช้คำนี้มาก บอกว่าไปภาวนาๆ ก็คือให้ไปปฏิบัติ แล้วไปปฏิบัติ สรุปง่ายๆก็คือไปนั่งหลับตา 

เพราะฉะนั้นแทบจะใช้ได้เลยว่าคำว่า ภาวนา คือไปหลับตา ปฏิบัติเข้า ปฏิบัติอย่างเดียวไม่ต้องลืมตา ไม่ต้องคิดอะไรด้วยนะ อย่าคิดอะไรปฏิบัติเข้าไปแล้วจะรู้หมดเลย ปัญญาจะเกิดในนั้นหมด นี่ เขาอย่างนี้เลย 

ที่จริง สู่แดนธรรม เขาเคยไปคลุกคลีกับหมู่ใหญ่มา เคยเป็นลูกศิษย์ทางสายนั่งหลับตามา น่าจะเป็นลูกคู่ทีเดียว วันนี้เขามา มา เอาไมโครโฟนมานั่งนี่จะได้เป็นคู่สอย 

เพราะฉะนั้นคำว่าภาวนาก็เลยไปหมายเอาว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปๆๆ ให้จิตสงบนิ่งนิ่งๆให้ได้ให้ชำนาญ ให้เก่ง ให้อยู่ได้นานๆๆๆๆ เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่เป็นต้นตระกูลของการนั่งหลับตาอยู่ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็เคยไปหลงว่า ศาสนาพุทธตอนแรกท่านยังเป็น ลิงลมอมข้าวพอง 

ท่านก็ว่าอย่างไรหนอก็ทบทวนดู เมื่อบรรลุแล้ว ไปค้นดูว่าใครหนอที่เรา จะพอนำพาได้ ก็ไปนึกถึง อาฬารดาบส อุทกดาบส ออก ก็ไปหา จะไปหา อาฬารดาบส อุทกดาบส อ้าว ตายแล้ว ระลึกถึงแต่ว่าตายแล้วทั้งคู่ ท่านรู้ด้วยญานของท่าน คือมันมีสัมพันธ์มาตั้งแต่ปางก่อน ตายแล้ว ท่านก็อุทานขึ้น ฉิบหายแล้วหนอ อาจารย์ใหญ่ของการนั่งหลับตาสะกดจิต อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้นตระกูลนั่งหลับตา อาฬารดาบส ได้แค่ฌานที่ 7 อุทกดาบส ได้ ฌานที่ 8  

ของฤาษีนั่งสะกดจิตเป็นสมถะและเขาจะได้ฌานที่ 7 คือดับ อากิญจัญญายตนะ หลับสนิท ไม่มีความรู้สึกนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีความรู้สึก หมายความว่าอะไร หมายความว่าเขาดับสัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ ได้สนิทสุดเลย ดับได้สนิทสุด ไม่รู้อะไรเลย อาฬารดาบส ได้ฌาน 7 ถึงขั้น อากิญจัญญายตนะ คือ ไม่มีแล้วแม้แต่นิดแต่น้อย ดับได้นิ่งสนิทไม่นึกไม่คิดอะไรเลย คือดับแต่แค่สัญญา 

ส่วน อุทกดาบส นั้น ดับได้อย่าง อาฬารดาบส ได้ ฌาน 7 แต่สะกดไว้ มันก็มีแวบระลึกดูตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แต่วิธีของนั่งสะกดจิตดับ ถ้ารู้แล้วให้ดับความรู้นั้น ก็ดับลงไปคือสัญญามันระลึกรู้มันกำหนดรู้ขึ้นมา ก็ดับลงไปอีก ก็คือจบที่ อสัญญีสัตว์ อยู่ดี ก็ดับอีกก็ดับได้ นานที่สุดนานกว่า อาฬารดาบส เท่านี้ มันไม่มีจบ มันไม่ได้ไปดับที่เหตุ มันไม่ได้ไปดับที่กิเลส มันไปทำความมืด เรียกว่า กิณหา ความดำ ความมืด เอาตัวเองทำความดำความมืดให้แก่ตัวเองเป็นที่สุดเรียกว่าจบได้แค่ กิณหา แล้วก็ไปหลงเห็นว่า กิณหา หรือความดำความมืดนี้เป็นที่สุดแห่งที่สุดของนิโรธ ดับสนิท แล้วก็หลงว่าตรงนี้คือ นิพพาน ก็ไปยินดีอยู่ตรงนี้ จึงเรียกด้วยบัญญัติภาษาว่าเป็น สุภกิณหา

สุภะ แปลว่า ดี น่าได้น่าเป็นตรงจุดนี้แหละ สุภกิณหา เขาก็ได้ตรงนี้แหละ แต่ถ้าจริงแล้ว สุภกิณหาอย่างสัมมาทิฏฐิมันคนละเรื่องกัน 

สัมมาทิฏฐิรู้ดีว่า ความมืด คือ ความมืด ความดำคือความดำ ส่วนกิเลสหมดเกลี้ยง มันสว่างรู้ทั่ว รู้แจ้งโลกรู้ครบหมดทุกอย่าง มันคนละอย่างคนละกลับกัน หันหลังชนกัน คนละด้านเลย อันหนึ่งดำมืดไม่รู้เรื่อง จมดิ่งไปเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส สะกดจิตไว้ได้นานดำมืด ทำให้จิตนี้มันหยุดหน้าที่ของมัน ทำให้จิตหยุดหน้าที่หมดเลยทั้งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ กลายเป็น รูป จึงเรียกว่า รูปพรหม พรหมลูกฟัก เหมือนลูกฟักกลิ้งโค่โล่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใครจะกลิ้งไปอย่างไร เขาก็อยู่ของเขา จะเอาไปผ่าไปแกงก็ไม่รู้เรื่อง ได้แค่นั้น ไม่ใช่การบรรลุธรรม ไม่ใช่อริยสัจ รู้จักเหตุดับเหตุ 

ถ้าศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิแล้วการบรรลุธรรมนิโรธหรือนิพพานนั้น ยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งรู้ครบยิ่งรู้โลกเปิดโลก ไม่ใช่ดับมันตรงกันข้ามคนละเรื่องเลย มืดสุด แต่ของพุทธนั้นสว่างสุด ของสายที่ตรงกันข้ามกันหรือหลับตาปฏิบัติ คือคู่เลย เป็นคู่ของพวกสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิเลย 

สัมมาทิฏฐิก็คือเปิดตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ส่วนผู้ที่ดับหลับตานี้ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 แม้ที่สุด ศีล เป็นต้น ศีล สมาธิ ปัญญา เขาก็หัวแหลกหัวแตกหมดเลย 

ศีลก็ไปอีกอย่างหนึ่ง สมาธิก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง  ปัญญาก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง ศีล ก็เป็น สีลัพพตปรามาส กลายเป็นจารีตประเพณี สมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอาแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ปัญญาก็ไปเป็นตรรกศาสตร์ ไปเป็นความปรุงแต่งความคิดเป็นโลกจินตา เป็นสายมหายาน ที่โอ้โห ความคิดแตกหน่อต่อไปไกล รู้มากมาย แล้วมันไม่มีที่จบหรอกเรียกว่าโลกจินตา เป็นความรู้แบบโลกๆ ไม่มีจบ เป็นความรู้ปากกรวยออกนอกโลกไปหาจักรวาล ไม่มีที่ไปหาไม่มีที่จบ น่าสงสารที่สุด ขออภัยวันนี้ต้องกล่าวพาดพิงถึงอย่างท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเป็นภันเตบวชก่อนอาตมา อายุน้อยกว่าอาตมา 4-5 ปี แต่บวชก่อนก็ต้องไหว้ท่าน 

แล้วท่านก็มีความรู้มากเป็นผู้รู้ เป็นเลินเนจแมน (Learned man)  เป็นผู้ศึกษามาก รู้มากท่องจำพุทธพจน์ได้มาก สอน สาธยายอยู่ก็มาก รู้มากท่องจำได้มาก สาธยายอยู่มากสอนมาก แต่ ท่านไม่ได้บรรลุธรรม ขออภัยที่กล่าวความจริงนี้ ไม่บรรลุในชาตินี้ เข้าหลักเกณฑ์เป็น ปทปรมบุคคล ไม่ใช่ไม่รู้นะ แต่รู้มากจนสรุปไม่ลงหาจุดสำคัญ 

เริ่มตั้งแต่รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิหรือยัง จับความเป็น สักกะ สักกายะของตน ตั้งแต่เริ่มต้นเลย เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 ได้ดีหรือยัง 

อาตมาทำงานศาสนาพุทธโลกุตรธรรมมาถึง 50 กว่าปี มาถึงวันนี้ได้นำคำว่า กาย หรือคำอื่นๆอีก ของศาสนาพุทธ คำว่า กาย คำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ คำว่า บุญ เป็นต้น มาขยายความ ซึ่งมันผิดเพี้ยนไป มันไม่ถูกนี่ จนวันนี้แล้ว ผู้ติดตามอาตมาฟังดีๆแล้วได้มรรคได้ผล ฟังรู้เรื่องแล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งเกิดมวลชน ถึงวันนี้อาตมามีผลสำเร็จ มีมวลชนที่รู้มรรคผลแล้วก็สามารถมาปฏิบัติได้จริง เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆได้ประมาณนี้ 

วันนี้วันมาฆบูชา คือ วันรวมพลคนมาวันนี้จึงเป็นคนที่มา คนที่มารวมกันให้อาตมาได้พบหน้าตาบ้องแบ๊วๆอยู่นี่ มองไปมืดๆถึงขั้นทะลุออกนอกศาลาไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างล่าง ไม่เห็นหน้าไม่เห็นตาแล้วก็ตาม ได้ประมาณนี้คือผู้มา นอกนั้นคือผู้ไม่มา นี่คือผู้มา นอกนั้นคือยังไม่มา ยังมาไม่ได้ เอาแค่นี้ก่อนไปงมเอาเองว่าความว่าอะไร

ก็ได้แค่นี้ นี่เป็นเครื่องยืนยันนะ มันเป็นเรื่องความเป็นจริงของปัจจุบันสภาวะในคำว่า คุณมีผลสำเร็จ คุณมีการก้าวเดินของคุณ ไปได้ไกลถึงจุดไหนถึงจุดนั้นจุดนั้นวินาทีนี้ ตรงนี้ มันเป็น มีอันนี้ได้อันนี้มันเป็นสัจจะทั้งหมด คุณจะบันดาลอย่างอื่นไม่ได้ มันได้เท่านี้มันเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าอาตมายังไม่ตาย มี มาฆบูชาหน้า จะมากกว่านี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดที่ไหน  จะมาฆบูชาที่ไหน สถานที่ไหนในอนาคตไม่รู้ ก็ค่อยๆจำไว้ว่าอาตมาจะพยากรณ์ถูกหรือผิด 

แม้ว่าเหตุปัจจัยในวันมาฆบูชาปีหน้า คนจะมาน้อยกว่านี้ อาตมาก็ยืนยันว่า อาตมารู้ว่าอาตมาก็ไม่ผิด แต่จะรู้ว่ามีเหตุปัจจัยอะไร เอาล่ะคอยฟังติดตาม 

 

ที่นี้มาต่อ ทาน ศีล ภาวนา เมื่อกี้นี้เกริ่นแล้วว่าเขาได้เข้าใจคำว่า ภาวนาผิด เอาภาวนากลายไปเป็นตัวภาคปฏิบัติ แต่จริงๆแล้วภาวนามันเป็นภาคตัวเกิดผล เอาภาวนาไปเป็นเหตุ ไปแล้วมิจฉาทิฏฐิไปแล้วสิริมหามายา คุณเล่นกลแล้ว คุณมีแต่มายา เพราะคุณจับตัวผิดนี่แหละคือตัว 2 สำคัญ เอาตัวไหนเป็นเหตุเอาตัวไหนเป็นผล มายานี่ก็สลับ 2 อย่าง แต่สิริมหามายานั้นแม่น เหตุก็คือเหตุ ผลก็คือผล 

เพราะฉะนั้นเมื่อเอาภาวนาไปเป็นเหตุเสียแล้วทั้งๆที่มันเป็นผล มันก็เลยเป็นปากกรวยไปไกลลิบ ยิ่งมิจฉาทิฏฐิไปบานปลายไกลไปเลย เพราะฉะนั้นพวกที่นั่งหลับตาแล้วก็เข้าใจว่าภาวนานี้ นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปเข้าไปให้จิตมันสงบและสงบอย่างที่ท่านเข้าใจ ในปัญญาข้อที่ 3 ความสงบมี 2 อย่าง ท่านเข้าใจความสงบอย่างนั้นซึ่งผิดว่า เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตระสงบแบบโลกุตตระซึ่งไม่ใช่ ที่จริงแล้วท่านได้สงบแบบโลกียะอย่างเดิมยิ่งๆขึ้นเท่านั้น ซึ่งท่านก็ชำนาญท่านก็ได้อย่างนั้น เสร็จแล้วก็จะไปจบอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วก็จะอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ที่อุทานว่าช่วยไม่ได้นั้นก็เพราะว่า โอกาสของ อาฬารดาบส อุทกดาบส จะไปจมดิ่งอยู่ในการสะกดจิตตัวเองแล้วก็กลายเป็นจิตสัมภเวสี ตายไปแล้วเป็นจิตไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยเลย จมอยู่ในภวังค์จิตของตัวเองแต่ผู้เดียว แล้วก็ติดยึดอยู่ จมอยู่อย่างนั้น จมไปแล้วไม่มีใครไม่มีอะไรมาผ้องพาน ไม่มีอะไรมาสะกิด ไม่มีอะไรมาชวนให้ตื่น 

และคิดดูสิว่าจะฟื้นได้อย่างไร 1.ตัวเองเข้าใจว่านั่นแหละคือที่สุดจบ 2. ไม่มีอะไรมาสะกิดให้เขารู้ตัว จนกว่าฤทธิ์แรงของพลังที่ได้ฝึกสะกดมานั้น คลายตัว หมดฤทธิ์ เมื่อนั้นจึงจะรู้สึก แต่ อาฬารดาบส อุทกดาบส คือ ตัวอย่างของมนุษย์ในโลกที่เป็นตัวอย่างที่ผิดอย่างหนักที่สุด ในพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างในพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็จะมีคู่ ตัวอย่างแบบนี้ ของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆก็จะมีชื่ออะไรก็แล้วแต่ อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด น่าสงสารที่สุด 

เหมือนกับอาตมาสงสารท่านเพราะไปนั่งหลับตา สมาธิหลับตา อาตมาก็สุดสงสาร แหม เพราะฉะนั้นอาตมาถึงพยายามพูดถึง กระตุกแล้วก็ขยายความให้ตื่น ตื่นเสียที ตื่นเสียทีตื่นเสียที แดดออกแล้ว ฟ้าก็งามดุจเปลวทอง เพลงของสุรพล โทณะวณิก 

มันไม่ตื่น แดดออกอย่างไรก็ไม่ตื่น เขาไปทำอะไรถึงไหนแล้วก็ไม่ตื่น มันก็ไม่รู้เรื่องอะไรกันพอดี

เพราะฉะนั้น เมื่อไปแปลหรือเข้าใจคำว่า ภาวนาผิดเพี้ยนไปเป็นเหตุแล้วก็ปฏิบัติแต่เหตุกันนี่ ก็ได้แต่ภาวนาแล้วไปได้มิจฉาผลดับดิ่งๆๆๆๆๆ คุณก็ได้แต่มีแต่จมกับจม ดำกับดำมืดเข้าไป ลงไปหาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หายไปเลย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตามช่วยไม่ได้คิดเอาแล้วกัน มันก็คือใช้ภาษาเรียกง่ายๆ สุดมหาซวย อย่างนี้ก็แล้วกัน 

อาตมาพูดนี้รู้สึกเขาน่าสงสารจริงๆ  เขาต้องการ เขาอุตสาหะวิริยะนะ กว่าเขาจะได้ขนาดนี้ก็ลงทุนลงแรงมากทั้งนานวันนานทีนานชาติ จะได้ไปได้มิจฉาทิฏฐิไปได้มิจฉาผล แล้วมันไม่สุดสงสารจะทำอย่างไร คนไม่ได้มุ่งหมายปฏิบัติต้องการนิพพาน ต้องการนิโรธหรือฝ่ายดีนี้ ไปบ้าๆบอๆทางโลก อย่างนั้นก็ไม่น่าสงสารหรอก มันโง่สุดโง่ แต่ไอ้นี่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น เขาก็ไม่ได้มานั่งทำลายอะไร แต่พวกทำลายนั้น จะว่าไม่สงสารก็ไม่มีความสงสาร เราว่ามันมากเกินไป อาตมาไม่มี หมดสงสารจะให้เพราะไปนับวัฏฏะที่จะหมุนวนของเขาไม่ได้เลย แต่อย่างนี้พอพูดกันรู้เรื่องมันรู้จักวงวนของวัฏสงสารว่า คุณจะพอตื่นขึ้นมาได้ 

ถ้าเข้าใจว่าการภาวนาคือ การทำให้มี ทำให้เกิด ทำให้เป็น ซึ่งจุดหมายของการเกิดการมี การเป็นนั้น มันเกิดอะไร มันมีอะไร มันเป็นอะไร อันนี้ต่างหากที่สำคัญ เกิดอะไร มีอะไรขึ้นมา เป็นอะไร 

เพราะฉะนั้นจึงต้องมาทำความสำคัญของทิฏฐิ มาทำความสำคัญของความเห็นความเข้าใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นตัวแรก ถ้าเริ่มต้นด้วยมิจฉาทิฏฐิ จุดแรกกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เป็นปากกรวยไปเลย หมดหวังเลย เพราะฉะนั้นคำว่าสัมมาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ จึงเป็นตัวแรกที่สุดที่คุณต้องทำความเข้าใจตัวนี้ให้เป็นสัมมา ถ้าผิดตัวนี้แล้ว ช่วยกันไม่ได้เลย เหมือนอย่างที่ว่าพระพุทธเจ้ายังช่วย อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่ได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... สมัยหนึ่งผมเคยฟังท่านสมณะหรือพ่อท่านพูดให้ฟังว่า ความสำคัญของวันมาฆบูชา คนรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไรในความมหัศจรรย์ของภิกษุที่ไม่ได้นัดหมายกันเลยเขาก็มาประชุมกันได้โดยไม่ได้นัดหมายได้อย่างไร ก็มีท่านสมณะรูปหนึ่ง อธิบายให้ฟังว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ แม้แต่พวกเราก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเราก็เคยมีการกำหนดสัญญาว่า ถ้าวันสำคัญอย่างนี้ เราจะมาฟังพ่อท่านเทศน์ เช่น วันมาฆบูชา  วันปลุกเสก วันพุทธาภิเษกบ้าง เราใส่ความสำคัญลงไปในสัญญาขันธ์ของเรา มันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ติดตามเราไปทุกภพชาติ เพราะฉะนั้นในอนาคตพระพุทธเจ้าและพวกเราก็ต้องติดตามไปฟังธรรมะวันมาฆบูชาเป็นธรรมดากับพ่อท่าน 

พ่อครูว่า... ถูก ผู้ที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ย่อมทำตามความสำคัญที่ตัวเองเห็นตัวเองเข้าใจนั้น ผู้เห็นความสำคัญในความสำคัญ ผู้นั้นจะทำตามความสำคัญที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าสำคัญนั้น 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่เข้าใจคำว่าภาวนาผิดแล้ว ไปเข้าใจ แทนจากผลมาเป็นเหตุเท่านี้ก็กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว ก็หมดหวัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาฟังอาตมา เพราะอาตมาบอกชี้แล้วนะว่าจุดแรกสักกายะทิฏฐิของคุณผิด แล้วอาตมาก็ร่วมลงไปแล้วคำว่า สัก คำว่า กายะ สักกายะ

สักกะ คือ ตัวเรา คืออัตตา 

กายะ คือ ความรู้ ความรู้ใน 2 สภาพ ภายนอกภายใน กายะมี 2 เสมอ ส่วน อัตตานั้นเป็น 1 และ 1 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ God ปรมัตตา หรือปรมาตมัน บรมตัวตน คือ ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ ประ กับ อัตตา อาตมัน ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของเทวนิยม เป็นปรมาตมัน มันจะไม่ยอมเห็นแก่ 2 ของใครมาแย้งไม่ได้ แย้งอย่างไร ฉันก็เชื่อของฉันหนึ่งเดียวของฉันนี่แหละไม่เปลี่ยนแปลง หัวไอ้เรืองเดียวๆ 

ถ้าคุณถูก คุณก็เป็นศาสดา แล้วก็เป็นศาสดาหัวไอ้เรือง แต่ถ้าคุณผิดแล้วคุณมาแก้ปั๊บคุณก็จะได้เป็นศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงกว่า อย่างน้อยก็ได้เป็นอย่างโพธิรักษ์ อย่างสำคัญที่สุดก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย 

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่าภาวนาคือตัวเกิดผล คุณก็ต้องพยายามจะ อนุโยค หรืออนุโยคะ แปลว่า พากเพียรปฏิบัติให้เกิดภาวนา ภาวนานุโยค อนุโยคะกับภาวนา แล้วก็จนกระทั่งถึงเป็น ภาวนามัย 

ภาวนานุโยคะ เป็นเหตุ ภาวนามัยเป็นผล เป็นความสำเร็จ ภาวนานุโยค เป็นความเพียรในการปฏิบัติ ภาวนามัยเป็นผลสำเร็จ 

ภาวนานุโยค ภาษานักวิชาการเขาแปลว่า การตามประกอบภาวนา คนฟัง ชาวบ้านฟังแล้ว การตามประกอบภาวนา ก็เอาหัวไปตีดิน มึนแล้วมึนอีก มันอะไร ตามประกอบภาวนา อาตมาก็เห็นใจที่เขาพยายามแปลไว้ มันไม่ผิดภาษา แต่คนไม่รู้ภาษา มันไม่ผิดคุณแปลไม่ผิด แต่คุณแปลไม่ออก คุณแปลวนอยู่ในความหมายของมันแคบไม่กว้างพอให้คนต่างๆ คนทั่วไปเข้าใจที่เป็นภาษาทั่วไปที่คนอื่นเข้าใจง่ายๆได้ 

อาตมาก็ต้องมาให้ความหมายกันใหม่ มาขยายความกันอีกว่า คือ ทำเหตุนั้นให้เกิดผล ภาวนานุโยคะ เพียรทำเหตุนั้น ให้มันเกิดผล จนเกิด จนมี จนเป็นผลสำเร็จ จนเกิดผล เป็น ภาวนามยะ ให้ได้ 

ต้องพยายามจับสภาวะ ของคุณกำลังทำเหตุ ไม่ใช่ผลนะ ให้แม่นๆ ถ้าคุณจับสลับกันกลายเป็นนักเล่นกล กลายเป็นมายาของตัวเองไปเลยแล้วไปหลอกคนอื่นต่อ ต้องจับให้ได้เลยเป็นสิริมหามายาว่า แท้ๆจริงๆ ตัวไหนคือเหตุ ตัวไหนคือผลแท้ให้จริงจึงจะไม่ใช่มายา แต่เป็นสิ่งที่ยากจะรู้ มายา คือ สิ่งที่ยากจะรู้ มันหลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่นต่อ เป็นนักมายากล แล้วก็ภาคภูมิใจในความสามารถความรู้ของตัวเองเรื่องมายา ที่จริงเป็นภาษาคำที่เจ็บแสบที่สุด ถ้าใครยังตกอยู่เป็นนักมายาก็คือตัวยังเป็นผี ยังเป็นมาร ยังเป็นมายา ยังไม่ได้ไปเป็นเทวดา ยังไม่ได้ไปเป็นผู้รู้ผู้บรรลุ ก็ขยายความให้ฟังมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปลงโทษเขาหรอก แต่ว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นที่พูดไปเมื่อกี้นี้ว่าต้องพากเพียรให้สัมมาทิฏฐิในเหตุ ให้เกิดผล ให้มีผล ให้เกิดสำเร็จขึ้นให้ได้ ทีนี้ อะไรจะเกิด อะไรจะมี อะไรจะเป็นผลขึ้นมา สำเร็จขึ้นมา มันคืออะไร ฟังความ ง่าย ไม่ยากหรอก

ก็เกิดการกำจัดกิเลสสำเร็จ มันชัดๆง่ายๆเกิดการกำจัดกิเลสสำเร็จหรือว่ามีจิตสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสเลย เกิดกำรกำจัดกิเลสนั่นแหละสำเร็จผล มีจิตสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นอรหันต์ นี่แหละชื่อว่าเป็นผู้มีภาวนามัย 

เป็นผู้สำเร็จผลคือสำเร็จด้วยภาวนาสำเร็จแล้ว ด้วยผลที่เกิด ภาวนาคือเกิดผลสำเร็จจบอยู่ในตัว เพราะว่า ภาวนามยะ มยะ แปลว่า สำเร็จหรือเป็นผลขึ้นมาแล้ว 

ทีนี้ ภาวนา ที่เป็นการสำเร็จผล อะไรล่ะสำเร็จ ก็คือทำทานให้สำเร็จ ปฏิบัติศีลหรือทำศีลนี้ให้สำเร็จ ฟังดีๆนะ ทาน ศีล ภาวนา

ภาวนาเป็นผลของทาน ภาวนาเป็นผลของศีล ทีนี้ผู้ที่เข้าใจผิดมิจฉาทิฏฐิไปหลับตา สะกดจิตเข้าไป หลับตาหลับตา ศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ ทานก็ไม่ได้ปฏิบัติ แล้วมันจะมีวันเกิดผลไหม?.. หมด.. หมดสิทธิ์เลย เพราะไปนั่งหลับตานี้ ทานก็ไม่ได้ไปปฏิบัติจริง ศีลก็ไม่ได้มาปฏิบัติจริง เพราะฉะนั้นคือปิดประตูเลย

มันก็ไม่ได้ทำเหตุเลย ปฏิบัติศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ เขานั่งหลับตาสะกดจิต เพราะฉะนั้นฟังดีๆเถิดท่านทั้งหลายที่นั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ หยุดได้เลย มันผิด ต้องมาศึกษาจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ หรืออย่างน้อยก็มาฟังโพธิรักษ์อธิบายเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณก็ไปจบที่ อาฬารดาบส อุทกดาบส แน่นอน คุณก็ไม่ได้เป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่เป็นลูกอาฬารดาบส เป็นลูก อุทกดาบส 

เพราะฉะนั้นจะต้องมาเรียนทาน  เรียนศีลให้สัมมาทิฏฐิ มาทำความเข้าใจทานกับศีลให้สัมมาทิฏฐิ ที่บอกว่าอาตมาพูดว่า ทำทานกัน ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติศีลก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิในชาวพุทธทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงไม่บรรลุธรรม เพราะในคำสอนพระพุทธเจ้าก็มี ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันผิดไปทั้งทาน ทั้งศีลแล้วคุณจะเอาผลที่ไหนมา มันผิดตั้งแต่กลัดกระดุมเม็ดแรกอย่างที่พูดแล้ว 

มาไขความกันว่า ทานอย่างไร สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ได้อธิบายแต่อธิบายมาจนกระทั่ง ถ้าคอมันจะแตกมันก็แตกไปได้ร้อยคอพันคอไปแล้ว ถ้าปากฉีกก็คงฉีกไปจนสุดท้ายทอยแล้ว รอบคอหัวขาดแล้ว อธิบายมาจน 

เอาง่ายๆ คุณไปหลับตาสะกดจิต พาไปหลับตาสะกดจิตกัน คุณไม่ได้ทำทานไม่ได้ปฏิบัติศีล มันก็ผิดแล้วนี่ ผิดชัดๆ ผิดแหงๆ แหงๆนี่ภาษาจีนหรือเปล่าหรือภาษาไทย ผิดแหงๆ ผิดชัดๆ ไม่มีทางถูกเลย มันคนละทางหันหลังชนกัน 2 ข้างแล้วเดินกันไปคนละทิศเลย ไปทานไม่มี ศีลไม่มี แล้วมันจะเกิดผลอย่างไรเพราะไม่ได้ทำเหตุใด 

ทีนี้ไอ้ที่ว่า ทานผิด มันเป็นอย่างไร ทำทานคือการให้ เอาตั้งแต่หยาบก่อน ให้อะไร ในศีล ที่นี้มันสัมพันธ์กันนะระหว่างทานและศีล 

ศีลข้อแรกให้อภัย ศีลข้อแรกให้เมตตา เมตตาแก่สัตว์โลก ไม่ว่าใครจะผิด ใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาเป็นศัตรู ได้ปฏิบัติกับเรามาแล้วกี่ชาติต่อกี่ชาติ เขาทำร้ายเรา ก็ให้อภัย ให้เมตตา เอาเถอะ เขาทำเพราะเขาไม่รู้ เขาทำเพราะเขายังไม่เข้าใจ มันก็หมดแล้วต้องสงสารเขา เมตตา เห็นสงสารนั่นเอง เมตตา ก็ อืม มันน่าช่วยเหลือเมตตาก็คือน่าช่วยเหลือให้เขาได้เข้าใจได้ 

เพราะฉะนั้นจะต้องมาทำทานนี้ ทำอย่างไร ถึงจะทำถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ใน พระไตรปิฎก ล.23 ข.49 ทานสูตร ทานที่จะเป็นผล ทานที่จะเป็นผลเป็นอานิสงส์มีผลแท้มันจะต้องทำจิตเป็น 

ถ้าทำทานแล้วทำจิตไม่เป็นไม่ตรง ไม่ตรงกับความเป็นจริงของการทำทาน ทานแปลว่าให้คนให้ของ ซึ่งจะชัดกว่าอภัยทาน อภัยเป็นนามธรรมให้เงินทอง ให้ทรัพย์ศฤงคาร ให้แผ่นดิน ให้ประเทศเลยยกประเทศให้เลย เสร็จแล้วคุณก็ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ทำใจในใจ เป็นคำนามก็คือมนสิการ เป็นคำกิริยาก็คือ มนสิกโรติ 

ใจของเรา เราทำใจของเรา ให้ตรงกับการให้ข้างนอก วัตถุคุณมี คุณเป็นเจ้าของมีสิทธิเป็นเจ้าของแท้ เช่น คุณมีเจ้าของนี้ ข้างหน้าอาตมามีองุ่นมาจากสวน องุ่นดำกับองุ่นเขียวสวยน่าหยิบใส่ปากเคี้ยว (จากเนินพอกิน) 

องุ่นนี้เอาให้คุณไปแล้วคุณก็ตัดจิตเลย ให้แล้วก็คือไม่มีเราไม่มีเขา ไม่มีบุญไม่มีคุณอะไร ไม่ตั้งภพตั้งชาติในจิตเลย ไม่มีความหวังว่าเราจะได้สิ่งตอบแทน นี่คือความหมายที่ชัดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่มี สาเปกโข ไม่มีเลยต้องทำจิตให้เป็นเช่นนี้ ให้แล้วตัดจิตเลย สุดจบ เหมือนเราไม่ได้ทำอะไร ให้แล้วเหมือนเราไม่ได้จำอะไร ไม่ต้องไปจำว่าเราได้ให้คนนี้นะ ให้ไปร้อยนึง แม้แต่พันนึง ให้ได้หมื่นให้ได้แสนให้ได้ล้าน เขาเป็นลูกหนี้เรานะ เราเป็นเจ้าหนี้เขานะเราได้ให้เขาไว้ ให้มากขนาดไหนก็แล้วแต่จนกระทั่งให้ประเทศไปทั้งประเทศเลยอย่างที่พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ ตัดเลย ไม่ต้องไปจำ ไม่ต้องไปมีความยึดมั่น 

คุณจะจำได้แต่คุณไม่ยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ซึ่งเป็นศัพท์ที่สูงสุด คุณจะจำก็ได้แต่ไม่ได้ยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราตัดขาดจากความเป็นเราเป็นของเราหมดเลย นี่คืออานิสงส์สูงสุด 

อานิสงส์รองลงมาคุณทำไม่สูงสุดอย่างนี้แต่คุณทำได้ถึงขั้น ปฏิพัทจิตโต ยังมีการผูกพันในการให้นั้นยังเป็นเราเป็นของเราอยู่บ้าง ยังมีการผูกพันว่าฉันได้ให้นะฉันเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของนี้ไปถึงขั้น สันนิธิเปกโข อันนี้เอาใส่คลังไว้เลยมาเป็นของเรานะ ไอ้ที่ให้นี้ เป็นตัวยึดติดว่าเราได้ให้คุณ ใส่คลังความจำไว้เลย 

ส่วนอันที่ 4 ปริภุญชิตสามีติ อันนี้ผูกพันแล้วก็เชื่อเลยว่านี่เป็นของฉัน จะได้เป็นผลในชาติหน้า จะได้เป็น ไปนู่นเลย เป็นภพเป็นชาติเป็นตัวกูของกู เต็มรูปเลย 

การทานหรือการให้ 4 ประการนี้ ไม่มีอานิสงส์ มีมีอานิสงส์แต่มันไม่มากตามลำดับ ถ้ามีอานิสงส์มากก็คือทานอย่างไม่มี สาเปกโขเลย นั่นคืออานิสงส์สูงสุด ทาน อย่างไม่มีตัวตน ทาน อย่างหมดตัวหมดตน นี่คือ สุดยอดของการให้ทาน 

นี่อาตมาเปิดตำราพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกมาขยายความเลยนะ ที่จริงอาตมาเตรียมอธิบายแต่ว่าไม่ได้เตรียมหลักฐานพระไตรปิฎกอ้างอิงอันนี้มา จะถือว่าเป็นข้อบกพร่องก็ได้ ไม่มีตัวนั้นมายืนยัน คนเขาจะเชื่อน้อย แต่คุณไปเปิดทวนได้ว่า อาตมาไม่ได้อ้างผิด 

เพราะฉะนั้นผลสำเร็จที่ว่า มยะหรือมยัง อันเป็นผลสำเร็จภาวนามัยคือเป็นผลสำเร็จจากภาวนานุโยคะมาเป็นภาวนมยะ มันจึงเป็น ไม่เป็นผลสำเร็จ 

เพราะฉะนั้นคุณทำทานอันตั้งแต่ต้นไม่สำเร็จแล้ว เพราะคุณไปนั่งหลับตาสะกดจิต อยู่ในภพชาติและสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา ภพชาติที่คุณสร้างขึ้นมานั้น คุณหลับตาทำเจโตสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร คุณจะมีผลได้อดีต 18 ได้อนาคต 44 คุณไม่มีปัจจุบันที่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก ที่รู้ภายนอก 2 สภาพนี้ คุณมีแต่การคิดแล้วก็อยู่กับความจำที่จำได้ แล้วก็ปรุงแต่งความจำ จะฟุ้งซ่านมากไปกว่านั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าสรุปแล้วว่าได้แค่ ถือขันธ์ อดีต 18 หรือฟุ้งซ่านไปได้อีก 44 ลักษณะ เท่านั้น ไม่มีผลสำเร็จเด็ดขาด นั่งหลับตาปิดประตู คุณอยู่ในอดีตหรืออนาคตเพราะความจริงนั้นคือปัจจุบัน ที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ทิฏฐธรรม เรียกว่า ปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรรม 

เพราะฉะนั้นผู้จะบรรลุนิพพานต้องสัมมาทิฏฐิในปัจจุบันชาติ คุณปฏิบัติธรรมไม่มีเหตุปัจจุบัน ไม่มีฐานที่ตั้ง จิตไม่ได้อยู่ที่ตากระทบรูปแล้วเปิดอยู่ทั้งภายนอกภายในเป็นกาย ครบ  หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส  กายไม่ได้สัมผัส อยู่ในภพชาติภวังค์ของตนเอง ปิดประตูนิพพาน 

ฟังไว้ท่านผู้ไปหลับตาทั้งหลายมีเยอะเหลือเกิน ลูกศิษย์อาตมามีประมาณนี้ แต่ลูกศิษย์ของทางหลับตาปฏิบัตินั้นในประเทศไทยขณะนี้ มีมากกว่านี้ 10 เท่า 100 เท่า แหม อาตมาถึงอยากได้ 10 เท่า 100 เท่ามาที่นี่บ้างสักเท่า 2 เท่า มาเติมเท่าของอาตมา 1 เท่าให้มีสัก 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่าขึ้นมาบ้าง ในชาตินี้ก่อนตาย ไม่เอามาก เอาจากคนไทยที่หลับตานี่แหละ 

สมมุติว่ามีอยู่ 100 หน่วยถ้าได้มาสักแค่ 30 หน่วย 50 หน่วย อาตมาตายตาหลับเลย วันนี้นะทำงานมา 53 ปี ยังได้ไม่เท่าไหร่เลย จากหลับตามานี่ ยังดึงมาได้แค่สู่แดนธรรม นอกนั้นก็คงยัง ใครหลับตาแล้วมาก่อนบ้าง…ยกมือ 

_สู่แดนธรรม... แรงจูงใจในการไปนั่งหลับตานั้นมันมีเหตุปัจจัย คือเขาเข้าใจว่าแบบให้บรรลุแบบอโศกเขาจะได้อะไร ทุกวันนี้พ่อท่านพยายามยืนยันผลสำเร็จของการภาวนาแบบพุทธอยู่ ตรงนี้ผมคิดว่าถ้าผลสำเร็จของการภาวนาแบบที่พ่อท่านสอนมันมีมากขึ้นผมว่าเดี๋ยวเขาก็หลั่งไหลมาครับ 

พ่อครูว่า... อันนั้นก็พูดกำปั้นทุบดินถูก แต่นี่ก็ได้เพียง 100 200 300 

_สู่แดนธรรม... อย่างผมมีเหตุจูงใจให้ไปบวชทางโน้นเพราะไม่ได้ศรัทธาในนิพพาน คือ ผม อยากได้ความสามารถในการระลึกชาติ 

พ่อครูว่า... อาตมาเริ่มที่จะ จุดแรกที่อาตมาจะมาทำงานศาสนาตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาจุดประกายตรงที่ระลึกชาติเหมือนกัน อาตมาไปเห็นไปเล่นอยู่กับพวกหมอ เคยเล่าไว้แล้วพวกสำนักค้นคว้าทางจิตเขาก็สะกดจิตกัน สะกดจิตนายโคลแมน มีพวกหมอจรูญ หมอวิเชียรพวกนี้หมอประพันธ์ อยู่ในสมาคมค้นคว้าทางจิตซึ่งที่พูดไปนี้ ตายไปหมดแล้ว หมอทั้งหลายนี่ อาตมาก็ไปดูเขาค้นคว้าทำอะไรก็ไปเห็นที่เขาสะกดจิตนายโคแมน แล้วให้ระลึกชาติย้อนไป ตั้งแต่เขาจำความระลึกชาติสะกดจิตแล้วให้ย้อนระลึกของตนเองไป ระลึกไปตั้งแต่อายุของเขาประมาณ 30 กว่าย้อนไปจนกระทั่งถึงอายุ 10 กว่า จนกระทั่งถึง 5 ขวบ เสียงพูดก็ยังอ้อแอ้เป็นเด็กๆเลยนะ จนกระทั่งไปถึงจุดที่บอกว่าข้ามชาติไปสิก่อนจะมาเกิดชาตินี้ นายโคลแมนระลึกไม่ได้ อาตมาก็ว่าเอ๊ มันระลึกข้ามชาติได้ด้วยหรือ นี่แหละเป็นการจุดประกายให้อาตมาสนใจก็ มาติดตามทางนี้ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ 8 ปีนึกว่าจะพาให้ระลึกชาติได้ แต่ไม่ ยิ่งบ้า ยิ่งฟุ้งซ่าน สร้างอะไรเป็นภพชาตินึกว่าจริงทั้งนั้น ชาติโน้นชาตินี้เป็นนู่นเป็นนี่เหมือนกับมหาบัวเหมือนกับอาจารย์มั่นระลึกชาติอะไรต่ออะไรได้สารพัด เละไปหมดเลย ยืนยันไม่ได้ไม่มีประวัติศาสตร์ อาจจะมีบ้างพาดพิงประวัติศาสตร์แต่มันปลอม มันไม่จริงไปกันใหญ่เลย 

อาตมาก็ว่ามันจะมีทางไหน มีทางเดียวพุทธศาสตร์แน่ๆ ใช่ไหม อาตมามีของเดิมอยู่แล้วด้วย ไสยศาสตร์ 8 ปีไม่พาให้บรรลุได้ อาตมาก็เลยพอแล้วไม่เอาก็หันมาศึกษาทางพุทธศาสตร์ ท่านก็สอนยังไง ท่านก็สอนให้ละให้เลิก ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมามีภูมิเก่าอยู่แล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติเองเพราะไม่มีอาจารย์ ไม่มีใครสัมมาทิฏฐิที่จะพานำอาตมาไปได้ 

ขออภัย อาตมาพูดความจริง ชาตินี้น่าสงสาร อาตมาจะพูดความจริงก็ต้องขออภัย อาตมาก็มาปฏิบัติเองจนกระทั่งอาตมาเคยกล่าวไว้แล้วว่าอาตมาชาตินี้มาบรรลุธรรมไม่ได้มีครูบาอาจารย์เลย พูดอย่างโอหัง อย่างอวดดิบอวดดี แต่มันก็จริงที่สุดอาตมาไม่มีครูบาอาจารย์แล้วปฏิบัติเองจนกระทั่งบรรลุ บรรลุแล้วก็นำสิ่งบรรลุนั้นมาเผยแพร่มาประกาศ ค้านแย้งกับของเขาอยู่ ก็ได้หมู่น้อยมา ซึ่งอาตมาบอกว่าอาตมาพอใจแล้วที่มีผลสำเร็จ สำเร็จจนถึงขั้นมีมนุษย์ มีพวกคุณปฏิบัติได้จริง มาเป็นคนจนจริงมาเป็นสาธารณโภคีจริง มาเป็นผู้มีวรรณะ 9 มาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อยู่ด้วยกัน สมบูรณ์แบบ อาตมาว่ายืนยันตำราเล่มเดียวกันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันถูกต้องหมดแล้ว 

อาตมาว่าใครล่ะในขณะนี้ที่ทำได้ในพุทธในประเทศไทยนี่แหละ ถือว่าเป็นจุดใหญ่ที่เป็นศาสนาพุทธที่แท้จริง ใครล่ะ มีไหมเอามายืนยัน ขออภัยนะที่พูดนี้เหมือนลงน้ำหนักท้าทาย เอหิปัสสิโก พูดเบาๆก็ได้ ..ใครล่ะ เชื้อเชิญมาให้ดูนี่ก็ได้ แล้วเอาไปเทียบของท่านสิ พูดให้นิ่มๆขึ้นเชิญมาดูได้ ก็เปรียบเทียบกันสิว่า อันไหนมันถูก อันไหนมันครบครัน ตามคำเชิญพระพุทธเจ้ายืนยันอยู่นี่ แล้วอาตมายังอุ่นใจอยู่มากที่มีพระไตรปิฎก แม้จะเป็นพระไตรปิฎกฉบับของมหากัสสปะก็แค่นข้นแน่นถูกหมดดีอยู่ทีเดียว ไม่ใช่ต้องไปฉีกทิ้ง 60% เหมือนอย่างท่านพุทธทาสไปดูถูกพระไตรปิฎก ไม่ใช่ ยังใช้ปฏิบัติได้ 

อาตมาว่ามันจะผิดในพระไตรปิฎกผิดตรงที่ผู้แปล ท่านแปลคำของสมัยนี้มาประกอบนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผิดนิดหน่อยไม่มีผิดมากหรอก แต่ท่านพุทธทาสท่านขออภัยอีก ท่านมีภูมิรู้ไม่พอแล้วจะไปฉีกพระไตรปิฎกออกตั้ง 60% ดีนะท่านยังเหลือไว้ตั้ง 40% เจ้าประคุณ อาตมาว่าใจท่านน่าจะมากกว่านั้นว่าฉีกซัก 70-80 ก็ได้ ถูกแค่ 40 หรือ 20 อาจจะเป็นแค่นั้นก็ได้ 

_สู่แดนธรรม... ตอนนี้เหลือ 8 นาที 

พ่อครูว่า... เหลืออีกตั้ง 38 นาที 

_สู่แดนธรรม... ผมกำลังจะนิมนต์พ่อท่านขยายความศีลสมาธิปัญญาสัมพันธ์กับทานศีลภาวนาครับ 

พ่อครูว่า... คือทานนี่ ถ้าเผื่อว่าทานมันไม่เป็นผลตรงที่อธิบายว่าไม่เป็นภาวนามัย ไม่สำเร็จผลอย่างสัมมาทิฏฐิ คุณไม่ให้สละออก ล้างกิเลสล้างจิตออก สำเร็จผลเป็นภาวนา ศีลของคุณก็เหมือนกัน วิธีของโลกมันมีวิธี 2 วิธีเท่านั้นคือ 1. ทาน 2. ศีล

เพราะฉะนั้น ทานกับศีลจึงไม่ใช่อันเดียวกัน ทานกับศีลสัมพันธ์กันตรงที่ ศีล พระพุทธเจ้าท่านตั้งหลักให้ปฏิบัติว่า คุณจะละออก สละออกได้ คือ ทาน คุณเริ่มต้นจากศีลข้อที่ 1 

ศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องของเกี่ยวกับสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน คุณเกี่ยวพันกับสัตว์ เอาสัตว์มาใช้ เอาสัตว์มาเลี้ยง เอาสัตว์มาใช้งาน เอาสัตว์มากินเนื้อมันฆ่ากินกัน คุณทาน ฟังให้ดีนะศีลสัมพันธ์ไปถึงทานแล้วนะ คุณเลิกได้ไหม ปลดปล่อย สัตว์ ออกจากชีวิตและวิบากของคุณเลย ถ้าคุณทำได้ คุณสำเร็จศีล สำเร็จอะไร สำเร็จคือคุณได้สละคุณได้ให้ 

คุณติดอาหารเนื้อสัตว์ คุณก็ต้องกินเนื้อสัตว์แล้ว เมื่อไหร่มันจะจบวิบากล่ะ ยิ่งคุณไปเอามันมาตั้งแต่เอามันมาฆ่า ฆ่าเล่นยังได้เลย เหมือนคนยังฆ่าแกงกันอยู่นี่ การฆ่าสัตว์ก็มีวิบากเท่านั้นแล้ว แล้วยิ่งฆ่าคนที่เป็นคน แล้วคนที่เขาฆ่ากันนั้นเขาอวิชชาอยู่ มันจะไม่จองเวรหรือ คนจะไม่จองเวรหรือ แล้วจองเวรวิจิตรพิสดารมากกว่าสัตว์อีก ใช่ไหม 

เพราะฉะนั้น หยุดการฆ่า ศีลข้อที่ 1 หยุดเลย อาตมาขอสรุปว่าท่านตรัสไว้ชัดเลยว่า หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ คำสุดท้ายของศีลข้อที่ 1 มีความเอ็นดู มีความปรานีช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนถึงขั้น หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง สำหรับสัตว์ทั้งหลายแหล่หรือคนเหมือนกัน 

คนยิ่งดีใหญ่ ทำกับคนนี่แหละศีลข้อที่ 1 อภัย หรือเมตตากัน แม้เขาทำชั่วแม้เขาทำร้ายเรา เลิก แล้วมันจะมีบารมี คนเหล่านั้นจะ คนที่ปองร้ายเราจะเข้ามาทำร้ายเราตามบารมีจะห่างหรือจะไม่ติดเข้ามา ทำไม่ได้ อันนี้เป็นอจินไตย เรายิ่งมีบารมีสูงคนที่เขาโกรธเราแค้นเรา เขาก็ยิ่งจะไกล ยิ่งหมดสิทธิ์ที่จะมาทำร้ายอะไรเราได้ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาว่ามหาบัว แล้วมหาบัวจะมาทำร้ายอาตมาได้ไหม .. ตายแล้ว จะมาทำร้ายอย่างไร เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยังไม่ไปว่ามหาประยุทธ์มากเท่ามหาบัว เพราะมหาประยุทธ์ยังมีบริวาร ยังมีผู้ถือหาง ยังมีพรรคพวก มหาประยุทธ์ไม่มาทำเองหรอกเดี๋ยวพรรคพวกจะมาเอาอาตมาตาย จริงๆก็ไม่น่าตายแบบนี้เปล่าๆ อาตมาก็พอมีปฏิภาณอยู่ ก็ไม่ลงหนัก 

แต่ อย่างสมีธัมมชโย อาตมาไม่กลัวเพราะพวกนี้เข้าหาอาตมาไม่ติด ก็ตัวเองจะปรากฏตัวยังยากเลยแล้วมันจะทำมาทำอะไรได้ ขออภัยที่พูดโอหังหน่อย 

เพราะฉะนั้น ทาน ที่มีผล เป็นภาวนามัย ก็คือ ล้างกิเลสออกได้ ตัวร่วมมันอยู่ตรงนี้ ปฏิบัติศีลจะเป็นภาวนามัย จะเป็นผลสำเร็จจริงก็ตรงล้างกิเลสออกได้เหมือนกัน นี่คือตัวร่วม 

ทานก็ดี ปฏิบัติการให้สิ่งที่เป็นวัตถุจนถึงขั้นอภัยทาน ถึงขั้นให้ไม่ถือโกรธหมดแล้ว ยกให้ จะมีผิดดในภายในใดก็อโหสิกรรม และศีลท่านค่อยปฏิบัติศีลข้อ 1 2 3 ปฏิบัติจะเกิดผลภาวนามัยก็คือล้างกิเลสที่เป็นตัวร่วม 

เพราะฉะนั้นปฏิบัติศีลตามลำดับ ปฏิบัติทานนั้นเป็นผลของศีลด้วย ศีลจะมีผลเป็นทานคือการให้ออกไปหมด ความยึดถือเป็นตัวเป็นตนออกไป ศีลก็ปฏิบัติที่มีหลักมีรูปร่างมีตัวตนมีวัตถุแท่งก้อน 

ในจุลศีล ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 26 คุณปฏิบัติไปตามหลักต่างๆไม่ถึงข้อ 26 หรอก คุณจะบรรลุธรรมก่อน ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเถอะ คุณจะรู้ได้ว่าเป็นไปเพื่อความละความยึดเป็นเราเป็นของเรา ปฏิบัติเพื่อการได้ให้ ศีลนี่แหละคือการปฏิบัติเพื่อเอาออกไป ก็จะจบเป็นภาวนามัยจบเป็นผล เป็นเช่นนี้เอง

ก็มาเข้าสู่ย้ำตะปูกัน ไปหลับตาปฏิบัตินั้นมันผิดแล้วจะไปหลงภาวนามัยเป็นตัวเหตุอีก ก็ไปปฏิบัติไปภาวนา ภาวนานั้นคือการเกิดผล มันคือตัวสำเร็จ นี่มันละเอียดซ้อนในภาษาอยู่ตรงนี้ แค่สรุปลงที่คำ 2 คำนี้คุณเข้าใจ เหตุเป็นผล ผลเป็นเหตุ นี่คือคำสิริมหามายา ถ้าคุณเข้าใจผิดก็เป็นมายาหลอกตัวเอง ก็จบเห่เท่านั้นแต่เข้าใจเหตุเป็นผลเข้าใจผลเป็นเหตุเป็นมายาสลับอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสิริมหามายา คุณก็เข้าใจถูก อ๋อเหตุก็คือเหตุ ผลก็คือผลก็ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าหันเข้ามาปฏิบัติให้ถูกเถิด คำสอนของพระพุทธเจ้าคือวิชชาจะระณะสัมปันโน และก็ปฏิบัติให้บรรลุด้วยวิชชาและจรณะ 

วิชชามี 8 จรณะมี 15 

จรณะคือการประพฤติปฏิบัติ 15 ข้อ วิชชาคือปัญญาที่เกิด 8 ข้อ ไม่ใช่ให้บรรลุด้วยหลับตาสะกดจิตเลย เพราะหลับตาสะกดจิต จรณะ 15 ไม่มีเลย แล้ววิชชาเป็นผลของการเกิดจากการปฏิบัติ มันจะเกิดได้อย่างไร นอกจากวิชชาเดา เป็นปัญญาฟุ้งซ่านเป็นปัญญาผิดๆ เป็นปัญญาออกนอกความเป็นจริง 

เพราะฉะนั้นทานก็ไม่สัมมาทิฏฐิ  ศีลก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ภาวนามัยก็ไม่มีผลสำเร็จเลย ไม่มีการได้เด็ดขาด เพราะปฏิบัติโดยมิจฉาทิฏฐิ คุณมนสิการ ใจของคุณ มิจฉาทิฐิเขาก็ทำใจในใจนะ นั่งสะกดจิตหลับตาสะกดจิต เขาก็ทำใจในใจนะ แต่ทำใจในใจแบบมิจฉา มิจฉาทิฏฐิมันก็เกิดมิจฉาผล เพราะฉะนั้นต้องมาทำใจในใจอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่าไปงมงายอยู่กับการหลับตาปฏิบัติเลยเจ้าประคุณเอ๋ยเลิกกันเสียทีเถิด มันมืดมันบอดกัน มันจะมืดจะบอดจะ กิณหา เป็นสุภกิณหา หลงว่ามืดบอด มืดดำเป็นตัวสุภะเป็นตัวน่าได้น่ามีน่าเป็น ทำอย่างไรจะเปลี่ยนแปลงตัวนี้จากความเชื่อความเห็นความเข้าใจได้เสียทีหนอ 

มาอธิบายลงละเอียดที่ จรณะ 15 เป็นตัวเหตุตัวภาคปฏิบัติและจะเกิดฌาน เกิดจิต ผลทางจิต ผลบรรลุทางจิตหรือสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาหิโตหรือสมาหิตะ แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็มาแยกเรียก สมาธิ มาเป็น สมาหิโต พยัญชนะตัวนี้ 

ซึ่งคำว่า สมาหิโต แปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่นเหมือนกันกับสมาธิของทางมิจฉาทิฏฐิเขาเรียก เจโตสมาธิของเขาก็มิจฉาทิฏฐิก็เป็นจิตตั้งมั่นเหมือนกัน แต่จิตตั้งมั่นจากเหตุต่างกัน 

สมาธินั่งหลับตาสะกดจิตแน่นอนมันก็ต้องได้ผลอย่างที่เขาเป็นกันอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัติ จนจิตเป็นฌาน ก็เป็นฌานลืมตา 

คำว่า ฌาน คำนี้แหละ เป็น อจินไตย ฌานวิสัยเป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่นึกคิดเอาไม่ได้ ตักกะเอาไม่ได้เลย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติจะปฏิบัติศีลอย่างไร จะปฏิบัติทานอย่างไร จึงจะเกิดผลเป็น ฌาน สัมมาทิฏฐิเป็น ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า 

เพราะการเรียนรู้ฌานนั่นคือต้องนั่งหลับตาต้องเข้าฌานออกฌาน คุณจะเข้าๆออกๆเข้าๆอยู่นั่นแหละ เข้าฌานออกฌาน อย่างเก่งก็ได้ ชานหมาก เหมือนกันกับมหาบัว 

แต่ ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่คิดเอาไม่ได้ เดาเอาไม่ได้ เป็นฌาน ที่จะเกิดจาก 

1. ศีล 2. อปัณณกปฏิปทา 3. สัทธรรม 7 จะเกิดอย่างนี้ 

อาตมาก็ขอยกคำว่า ศีล ไว้ว่า ศีลข้อ 1 ก็ตาม ข้อ 2 ก็ตาม ข้อ 3 ก็ตามหรือจุลศีลก็ตาม หรือแม้แต่ มัชฌิมศีล เป็นศีลที่สูงขึ้นมาขยายละเอียดลงไปก็ใช่เป็นการปฏิบัติจริง ส่วน ศีลมหาศีล เป็นศีลองค์รวมของศาสนา ไม่ใช่ศีลที่ปฏิบัติเฉพาะตนเหมือนจุลศีล มหาศีล 

มหาศีลนี้เป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชาเป็นส่วนใหญ่ เป็นวิชชา ที่มันขวางทางนิพพาน ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธเต็มไปหมดเลยในมหาศีล เพราะเขาไม่เรียนกันแล้ว แล้วเขาก็ทำกันเป็นจารีตประเพณี ผิดมหาศีลเกือบไปทั้งหมดแล้ว 

อาตมาไม่อยากเอามาขยายความ เพราะขยายความแล้วเหมือนกับตั้งทัพรบกับมหาเถระสมาคมเหมือนอย่างกับ ยูเครนกับรัสเซียเลย มันจะอย่างงั้นเลยจริงๆต้องห้ำหั่นกันจริงๆ ก็ต้อง อนุโลมเอาไว้ว่ายังเอาไว้ก่อนอันนี้ พูดจุลศีลยังไม่ต้องถึงมัชฌิมศีล มหาศีลเอาไว้ก่อน 

ศีลข้อ 1 2 3 ขยายไปทะลุในได้ 

แม้แต่ศีลข้อ 1 คุณไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ผิดแล้ว อปัณณกะ แปลว่าไม่ใช่พุทธ ผิดพุทธ ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติ เพราะฉะนั้น 3 ข้อนี้ ปฏิปทา 3 ข้อ ถ้าไม่มีในการปฏิบัติธรรม ผิดเลย ตัดสินได้เลยทันที ผิด ไม่ใช่พุทธ ไม่มีทางเกิดสัทธรรม 7 ไม่เกิดฌาน ไม่เกิดวิชชา  8 ไม่มีเกิด

ตัดสินกันได้ที่ อปัณณกปฏิปทา 3 

ที่นี้ลงลึกในปฏิปทา 3 ไม่ยากเลย เข้าใจเป็นพื้นฐานง่ายๆและปฏิบัติตามพื้นฐานก็ได้ 

1. สำรวมอินทรีย์ 2.โภชเนมัตตัญญุตา 3.ชาคริยานุโยคะ 

สำรวมอินทรีย์ อินทรีย์คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ ใจก็เป็นอินทรีย์ภายในร่วมกันกับอินทรีย์ภายนอก 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย ต้องทำงานร่วมกันเป็น 2 

เพราะฉะนั้น กาย เป็น 2 นี่แหละยากที่จะเข้าใจ เมื่อเข้าใจกลายเป็นหนึ่ง กาย ก็เหลือแต่วัตถุหรือร่างภายนอก ไม่มีใจเข้าไปร่วม คนนี้ก็มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 

เมื่อมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 คุณจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้เลย คุณจะเข้าใจว่าการปฏิบัติกายในกาย คุณก็ไปหลับตาปฏิบัติกายในกาย ไม่มีภายนอกก็เจ๊งกระบ๊งแล้วเห็นไหมมันเพี้ยนแล้ว มันเพี้ยนนิดเดียวนะ เขาว่าฉันเข้าปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 แล้ว กายในกายก็หมายถึงในจิต แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสด้วยว่ากายนี้เราก็เรียกว่าจิตมโนวิญญาณมันจะผิดที่ไหน ทิ้งภายนอกเลย เจ๊งกระบ๊ง เพราะไม่มีสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มีสติทางกายทางวาจาทั้งมโนครบภายนอกไม่ตื่นเต็ม

โดยเฉพาะอาหารคือคำเคี้ยว อาหารคือสิ่งที่เคี้ยวทางปาก แล้วคุณก็สัมผัสภายนอก สัมผัสทางตา อาหารนี้ องุ่นนี้โอ้โหลูกมันน่าปริดใส่ปาก คุณก็เป็นกรรมแล้ว โอ๊ องุ่นนี้ไม่น่ากินเลย คุณก็ปฏิฆะแล้ว คุณไม่ได้ปฏิบัติจริง ดีไม่ดี คุณกินอร่อยด้วยอร่อยอยู่นั่นแหละคุณไม่ได้ปฏิบัติ คุณไม่ได้เรียนรู้เลย นะ แล้วคุณจะไปเกิดความจริงได้ไง บรรลุตรงไหน 

เพราะฉะนั้น โภชเนมัตตัญญุตา ของคุณไม่มี คุณไม่เคยตื่นมารู้ครบความตื่นสติอันบริบูรณ์ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ในอวิชชาสูตร

อวิชชาสูตร ต้องพบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังธรรมให้บริบูรณ์ ศรัทธาของคุณจึงจะบริบูรณ์ เมื่อศรัทธาบริบูรณ์แล้ว คุณจึงจะย่อมได้โยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ เมื่อโยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ สติของคนถึงจะบริบูรณ์ เมื่อสติของคุณบริบูรณ์แล้ว คุณจึงจะสำรวมอินทรีย์ 6 ได้บริบูรณ์ สุจริต 3 จึงจะบริบูรณ์ได้จ้ะ 

ก็ ถึงจะละนิวรณ์ 5 ได้หมด เป็นสติปัฏฐาน 4 เป็นโพชฌงค์ 7 แล้วก็บรรลุวิชชาและวิมุติ 

นี่คือ อวิชชาสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อวิชชามีอาหาร คือ นิวรณ์เป็นอาหาร นิวรณ์ก็มีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร อาหารของนิวรณ์ คือ ทุจริต 3 แล้วคุณก็ทุจริตกันอยู่ คุณก็กินอาหารทุจริตกันอยู่ เมื่อคุณกินทุจริต มีทุจริต 3 สำรวมอินทรีย์ 6 คุณก็ไม่บริบูรณ์ เมื่อสำรวมอินทรีย์ไม่บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะของคุณก็ไม่มีทางบริบูรณ์ แล้วคุณจะไปทำใจในใจโยนิโสมนสิการบริบูรณ์ได้ยังไงจ๊ะ 

เมื่อคุณทำใจในใจไม่ถูกต้อง คุณก็ไปมีศรัทธาไม่บริบูรณ์เด็ดขาดแน่นอน เพราะคุณทำใจในใจไม่บริบูรณ์ ไม่ถูกต้อง ไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่ถ่องแท้แยบคายเพียงพอ ไม่โยนิโสเพียงพอ นี่ก็ใช้ศัพท์ทับศัพท์วิชาการอยู่ 

คุณทำใจในใจแบบไปนั่งหลับตา กับแบบลืมตาที่อาตมาพาปฏิบัติ มาพิจารณาอาหารการกิน พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ บอกว่า มันปฏิบัติธรรมอะไรของพวกมันพูดแต่เรื่องการกินการกิน ตะกละชิบหายเลย ต้องไปนั่งหลับตาสิ จะมานั่งพูดอะไรแต่เรื่องกิน นี่คืออนันต์  เสนาขันธ์ เขาว่าอาตมา ตั้งแต่พ.ศ 2525 อนันต์ซัดอาตมา นำทางมหาประยุทธ์  พอมหาประยุทธ์ ปี2532 ชัดอาตมาตูมเลย เล่นเอาเราจะต้องเดินทางขึ้นศาลเสียจนไม่รู้กี่จังหวัด เอาละไม่ต้องรื้อฟื้น 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า ปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา ต้องมาปฏิบัติธรรมเรื่องอาหารนี่แหละเป็นสำคัญ ที่นี้ก็โยงไปถึงสูตร ปุตตมังสสูตร อาหาร 4

กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร 

เมื่อคุณมิจฉาทิฏฐิในโภชเนมัตตัญุญตาหรือ กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวที่คุณใส่ปากเคี้ยวกินซึ่งคุณจะต้องยินดีในรูปรสกินเสียงสัมผัสของมันแหละ มีอยู่ในนี้พร้อมสรรพในอาหาร คุณไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สำรวมสังวร ไม่ได้เรียนรู้จากอันนี้ สติคุณก็พร่อง กินเข้าไปคุณก็ไม่ได้ครบสมบูรณ์ สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ได้พิจารณาจากอาหารที่คุณกินมันมีผัสสะเข้าไป 

คุณไม่ได้เรียนผัสสะ คุณก็ไม่ได้ล้าง กาม ปฏิฆะ คุณก็กินอย่างสะสม กาม สะสม ปฏิฆะ ของคุณตลอดเวลา โมหะ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้นภาษาของคุณ คุณไม่รู้เรื่อง คุณไม่ได้ลดละ กาม ปฏิฆะ หรือมันเฉยๆ กามก็ดี ปฏิฆะก็ดี คือ กินจนชินชาเฉยๆ อพยากฤต คุณก็บื้อสะสมกิเลสโดยที่เป็น กาม ไม่รู้ตัว ปฏิฆะ ไม่รู้ตัวชอบก็กินไม่ชอบก็ไม่กิน ดีไม่ดีเขวี้ยงทิ้งเลย ไม่ชอบไม่กิน ไม่ใช่เขวี้ยงทิ้งแต่ เขวี้ยงใส่หน้าคนเอามาให้เลย มีไหม ... มี โดยเฉพาะผัวเมีย ใครเคยเจอบ้าง ... มีคนยกมือ

จริง ไม่รู้ตัวหรอกคุณก็สะสมกาม สะสมปฏิฆะไป เพราะฉะนั้นผัสสาหารของคุณไม่ได้สังวร ลึกเข้าไปถึงเจตนา มโนสัญเจตนา เจตนาว่าคุณกินอาหารนี้เพื่อการยังขันธ์ 

ไม่ได้กินอย่างที่ปัจจเวกข์กัน ปฏิสังขาโยนิโส บิณฑปาตัง ปฏิเสวามิ คุณไม่ได้รู้ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมันเลยพยัญชนะก็ท่องไป จะกินก็ติดไป 

กินอาหารไม่ค่อยท้วงกันหรอก เพราะต่างคนมันต่างติดกันไม่รู้ตัว ที่แยังกันอย่างหยาบๆ จนหยาบ ไปถึงข้อสิ่งเสพติดก็ยังไม่รู้ว่าเราติดสิ่งเสพติดนี้เป็นอบายมุข เหมือนอย่างมหาบัวกินหมาก ซึ่งมันไม่ใช่อาหารด้วยนะหมากพลู กินเคี้ยวเอารสมันเท่านั้น เอากลิ่นเอารสเอาสัมผัสทั้ง 5 ไม่ได้เป็นอาหารอะไรเลย ติดผิวเผินมากก็ไม่รู้ว่าติดสิ่งเสพติดที่ตัวเองติดเสพ เพราะฉะนั้นก็ไม่ หยูกยาก็ยังดูดตุ๋ยๆอยู่ ดูดยานี้อาตมาไม่เห็นมากแต่เห็นกินหมากอยู่ตลอดปากแดง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้แม้แต่เรื่องของสิ่งที่เราเสพแล้วเราติดและเรายึด อย่าว่าแต่หยาบอย่างมหาบัวติดเลย คนส่วนใหญ่พอเข้าใจแล้วไม่ติดเท่ามหาบัวหรอก ใช่ไหม พวกเรานี้ มีคนแก่หน่อยที่เหลือเท่านั้นเองที่เคยกินหมากติดหมาก พอรุ่นใหม่นี้ก็ไม่ได้กินหมากติดหมากกันแล้ว นี่เท่าที่เหลือก็นี่ ยกมือซิ ใครเคยติดหมากติดพลูมาแล้วบ้างยกมือ ไม่เหลือเลยสักคน ยังเหลือท้ายๆ แต่ข้างนอกในวงการมหาบัวยังกินกัน แม้แต่ภิกษุของมหาบัว ลูกศิษย์ของมหาบัวยังกินกันปากเปรอะอยู่เลย ยังยาก 

เพราะฉะนั้นขออภัยนะที่อาตมาต้องพาดพิงไปถึง เป็นความจริงยืนยันความจริงกันไม่ใช่อาตมาพูดเพ้อเจ้อ พูดไม่มีหลัก ไม่มีฐานอ้างอิง นี่พูดมีหลักมีฐานอ้างอิงก็ยืนยันเขาที่เป็นตัวอย่างยืนยันความไม่ถูกต้องให้ขอบคุณ มันต้องขออภัยที่จะว่า ขออภัยที่จะยกตัวอย่างก็ต้องขอบคุณเขาอีก อาตมานี่เนาะ จะยกตัวอย่างไอ้ที่ผิดของเขามาก็ต้องขอโทษขออภัยแล้วก็ต้องขอบคุณเขาอีก 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่ยังไม่เข้าใจในผัสสะ ยิ่งไม่รู้จักเจตนา ตัวนี้ลึกกว่าผัสสะ ว่าเรายังมีเจตนาที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งจะลึกซึ้งขึ้นไปเป็นตัณหาแต่ละระดับ 

ในกามตัณหาเบื้องต้นเขาก็ไม่รู้แล้วในตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ติดหยาบๆนี่ อย่างมหาบัวนี้หมากพลูเป็นต้น ยังไม่ต้องไปไล่ถึงเนื้อสัตว์ เอาหมากพลูก่อน 

เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่รู้จักเจตนาของเขาหรอกว่า เขายังไม่รู้เลยว่าเจตนาของเขานี้ เขาจะละออกหรือเขาจะติดไว้ให้ยิ่งขึ้น เขากินทุกวันเขาติดเพิ่มทุกวันหรือเขาละออกตอบสิ เขากินทุกวันแล้ว เขายังไม่สำนึก เขาไม่รู้เจตนาของเขาเลยว่าเขาทำอย่างนี้นี่ เขาก็ยิ่งผนึกความติดยึดเข้าไป อย่างจริงน่ะ 

ปัญญาหรือปฏิภาณทิฏฐิเขาไม่มีแล้ว เขาก็เหลือแต่ศรัทธา เหลือแต่ความเชื่อถือของตนเอง เขาก็ยิ่งสั่งสมศรัทธาเข้าไปใหญ่ เป็น สัทธินทรีย์ สัทธาพละ ในสิ่งที่ผิด เขาก็ยิ่งจมอยู่ในศรัทธาเพราะปัญญาเขาไม่มีแล้ว หรือน้อย แต่ศรัทธาเขาหนัก เขาก็เลยจมไปในสัทธินทรีย์ สัทธาพละ  เชื่อว่าตัวเองถูก นี่มันจมหนักเข้าไปในศรัทธา เพราะฉะนั้นจึงหมดหวังในเจตนา ไม่รู้จักเจตนาของตน 

เมื่อไม่รู้จักเจตนาของตน วิญญาณอันเป็นอาหารที่ 4 เขาก็จะเป็นเหมือนกับโจรทำลายศาสนา แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้กล่าวคำนี้ ท่านบอกว่าโจรของพระราชา พระราชาก็บอกว่าไอ้นี่มันโจรนะ ให้เจ้าพนักงานไปฆ่าเสียด้วยหอก 100 เล่มเช้า ไปเปิดดูในปุตตมังสสูตรข้อ ฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้า เสร็จแล้วเจอหน้าเจ้าพนักงาน พระราชาก็ถามแล้วเป็นไงตายแล้วยังโจร ไม่ตายพระเจ้าข้าก็เอาไปฆ่ามันอีกด้วยหอก 100  เล่มกลางวันนี่แหละ เจ้าพนักงานก็ไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มอีกหอกหักหมด กลับมาก็แหมไม่รู้จะทำอย่างไร พระราชาถาม อีกเป็นไงตายหรือยังโจร ยังพระเจ้าข้า มันยังไม่ตาย ไปฆ่ามันอีกด้วยหอก 100 เล่ม เย็นก็ไปฆ่าอีกด้วย หอก 100 เล่ม มันตายไหม ...ไม่ตาย ในข้อวิญญาณที่ไม่ตาย 

เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า คนที่ยังเป็นโจรของศาสนาอยู่ เขาจะไม่มีสิทธิ์ที่จะดับวิญญาณของเขาเลย วิญญาณของเขาไม่มีตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะวิญญาณของเขาจะนิรันดร นิระ อันตระ หมายความว่าเขาจะไม่รู้จักในระหว่าง 

กาละเวลา จากนี่มาถึงนี่เขาจะไม่รู้เลยว่าในช่วงนี้เป็นอย่างไรนิรันดร เขาจะไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีอยู่ตลอด กาลนาน นิรันดร เขาจะมีอยู่อย่างนี้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดนิรันดร์ คือโจร ก็จะเป็นโจรอยู่อย่างนี้นิรันดร น่ากลัวไหม ไม่กระเตื้อง ไม่รู้เรื่อง ไม่ประสีประสาอะไร หอกแทงก็บอกว่ามีอะไรมาทำให้คันวะ หนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีกระเตื้องกระตุกอะไรเลย เหมือนอาตมากระตุกอยู่ทุกวันนี้ ถ้ายังจะเป็นโจรอยู่ หอกปากอาตมานี่ แทงไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนหอกแล้ว อาตมาชื่อว่า โพธิรักษ์ไอ้หอกหัก อาตมาไม่รู้จะทำหอกขึ้นมาอีกกี่เล่ม น่าสงสารอาตมาไหม 

โอ้โห…กลายเป็นโพธิรักษ์ไอ้หอกหัก ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีแรงไม่มีความสามารถจะฆ่าโจรตายสักคนเลย โอย ตายๆๆ แต่อาตมาไม่หรอก มามีผู้ที่รู้ตัว แทงนิดหน่อยก็เจ็บ

เพราะฉะนั้นในคำสอนพระพุทธเจ้าบอก จะกล่าวไปใยถึงหอก 100  เล่ม หอกเล่มเดียวก็ เจ็บแล้วรู้สึกตัวแล้วนั่นคือคนมีสติสัมปชัญญะ ปัญญาปฏิภาณไหวพริบที่ดี แทงด้วยหอกเล่มเดียว โอโฮ!ตายๆ ถ้าถูกหอกแทงตายเล่มเดียวก็เจ็บ แม้แต่เจ็บก็ไม่เอาแล้ว คนนี้ก็มีสิทธิ์ 

แต่แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวัน 100 เล่มเย็น 100 เล่ม คุณก็บอกว่าอะไรมาสะกิดหนังว่ะ 

มัน 20:00 น. แล้ว มันอยากอธิบายอีกอยู่นะ อยากจะขยายความขึ้นไปถึงวิญญาณาหาร หอกแทงไม่ตายไปถึงเจตนาอาหาร 

เจตนาหารคือผู้มีกำลังแรง 2 ข้างวิ่งลงหลุมถ่านเพลิง ผู้มีกำลังแรง 2 ข้างดึงให้ลงหลุมถ่านเพลิงดึงอย่างไรก็ไม่อยู่ หรือ อาตมากลับกันอยู่ หรือมีผู้มีกำลังแรงสองข้าง ดึงขึ้นหรือลง

_สู่แดนธรรม... ในพระสูตรบอกว่าดึงลงครับ แต่เขาดิ้นรนที่จะหนี มีเจตนาจะขึ้น 

พ่อครูว่า... เขาจะขึ้นแต่มี 2 แรงดึงลงหลุมถ่านเพลิง นี่คือ อาหารอันที่ 3

อาหารอันที่ 2 ผัสสาหาร เหมือนวัวไม่มีหนัง มีแต่เนื้อในแดงๆแล้วมันจะสัมผัสกับอะไรต่ออะไรเป็นผัสสาหาร มันจะเป็นอย่างไร มันก็แสบไปตลอดกาล นั่นสิ โอ้ยตายๆๆๆ เหมือนวัวไม่มีหนังเลย มีแต่น้ำเหลืองไหลเยิ้ม มันถูกอะไรนิดนึงก็แสบตาย แม้แต่แบคทีเรีย แม้แต่ต้องลมพัดอะไรแรงหน่อยตาย โอ้โห…อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี่ชัดเจนที่สุดเลย ยิ่งไป กวฬิงการาหาร คุณมืดบอดด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วย ใจบอดด้วย คุณจึงบอดภายนอก 5 เต็มรูป คุณก็หมดหวังที่จะบรรลุธรรมเด็ดขาดเลย ในอาหารคือคำข้าวนี่แหละ พิจารณาตัวนี้เป็นหลักเลย คุณจะบรรลุธรรมอรหันต์ได้จากแม้แต่ โภชเนมัตตัญญุตา หรือพิจารณา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) จากคำข้าว คุณจะรู้กิเลสหมดแล้วบรรลุสูงสุดได้ 

เอ้า เลยเวลาไป 6 ,7, 8 นาทีแล้วก็ต้องขออภัย เลยเวลาก็ต้องขออภัย…สาธุ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 08 มีนาคม 2566 ( 21:55:03 )

660308

รายละเอียด

660308 พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

https://www.boonniyom.net/53015.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1wRZlsmPDR2v3HDV3QTtXTOnM9fHrc3ROd3d8OcHOeTI/edit?usp=sharing                            

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/11CoO2PO-r3hlxYLQQJcjhv8LArWQ2pek/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/vO9i3BfaJ34 

และ https://fb.watch/j8gTrQ43R-/ 

 

บุญของศาสนาพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ 

พุทธาภิเษกฯ เราก็ย่างเข้ามาได้วันที่ 4 รายการอาตมาเป็นรายการสุดท้ายของวัน ชีวิตอาตมาก็ย้ำพูดซ้ำพูดซากจนกระทั่งพูดมา 50 กว่าปีนี้ อาตมาก็ไม่เก่งที่จะพูดอะไรต่ออะไรให้ได้พิสดารไปมากมาย ก็วนเวียนอยู่แต่ในคำสอนพระพุทธเจ้า ที่เอาหัวใจ หรือเอาหลักการของธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ มาสอนมาอธิบายมาขยายความ ซ้ำซาก แต่ซ้ำซากก็ต้องฟัง เพราะมันเป็นธรรมะอันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่คนจะมารู้ได้ง่ายๆ 

ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายที่เป็นศาสดาอยู่ในโลก เป็นเจ้าของศาสนาเลยนะ ซึ่งแพร่หลายยิ่งกว่าศาสนาพุทธ แพร่หลายจริงๆ คนยอมรับนับถือกันมากมาย ครึ่งค่อนโลกเลย มีสมาชิกหรือมีผู้เป็นศาสนิกของเขามากมาย แต่ของพุทธเราไม่มากหรอก 

นอกจากไม่มากแล้ว ในศาสนาพุทธเองแท้ๆนี่ก็ยังยาก ที่จะถือว่าเป็นผู้ที่มีภูมิธรรม มีปัญญาที่จะเข้าใจถึงลักษณะของศาสนาพุทธอันเป็นโลกุตระ ความรู้ของศาสนาทั่วไปก็เป็นศาสนาที่ทุกคนจะพูดตรงกันหมดว่า ศาสนาทุกศาสนาเป็นศาสนาที่พาให้คนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว ให้คนละชั่วมาเป็นคนดี ถูกต้องหมด ของพุทธก็ไม่ละเว้นก็เป็นคนที่มีอย่างนั้นด้วย

ซึ่งอาตมาก็ได้ย้ำให้ฟังแล้วว่า ศาสนาพุทธก็พาคนมาทำดี และสามารถทำดีได้อย่างถาวรด้วย  หมายความว่าอะไร หมายความว่า ทำดี กายกรรม วจีกรรม  มีมโนกรรมเป็นประธานนั้น จิตวิญญาณหรือมโนนั้น สามารถรู้จักเหตุแห่งการทำดีด้วย แล้วละเหตุแห่งการทำดีนั้น จึงไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาด สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมของผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จึงทำดีตลอดกาล ไม่ทำชั่วอีกเลย แม้จะมีการกระทบสัมผัสยั่วยุ ปลุกเร้า ให้ไปทำชั่วอีกด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ไปทำอีก จึงเป็นการทำดีแบบโลกุตระ ไม่ได้เป็นการทำดีแต่แค่โลกียะเท่านั้น 

โลกียะไม่เที่ยง โดยเฉพาะเขาทำได้ชาตินี้ ชาติหน้าตกต่ำ ชาติหน้าไม่เที่ยงแล้ว แม้จะเป็นศาสดาเอง เกิดมาชาติต่อๆไป เขาจะไม่มีการรู้ถึงจิตเวียนตายเวียนเกิด แล้วก็เหตุที่เป็นตัวต้นเหตุในจิตนิยาม ต้นเหตุคือกิเลสนี่แหละเขาไม่ได้เรียนรู้กัน เพราะฉะนั้นเขาทำลายกิเลสไม่ได้ ได้แต่กดข่ม สังวรระวัง เฉยๆ แล้วก็ไม่มีทฤษฎีที่จะจัดการกับกิเลส 

ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นญาณปัญญา ญาณปัญญาที่หยั่งรู้เข้าไปในจิต เจตสิก รูป นิพพาน อันนี้แหละ ยิ่งใหญ่ จิตเจตสิกต่างๆ 

ในเจตสิกแยกแยะออกไปอีกมากมาย หลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่นที่อาตมานำมาสอนพวกเรา แล้วก็เรียนรู้ได้จริง เหตุปัจจัยเกิดอย่างไรอย่างไร เวทนาเจตสิกอย่างนี้เป็นต้น เวทนาเจตสิก108 เวทนา 108 มันมีลักษณะอย่างไร 

เวทนา 2 พิจารณาเวทนาในเวทนา ก็คือสามารถรู้จักเวทนา 2 

เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น 

มีพวกเรานี่ล่ะ ชาวอโศกนี่แหละเรียน แล้วก็รู้ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในภาษาพวกนี้ด้วย รู้แล้วก็เข้าไปจัดการ ปรับปรุงหรือปรุงแต่ง ปรับแก้ ทำให้จิตเจตสิกเหล่านี้ ดีขึ้น ลดกิเลสได้จริง มีโพชฌงค์ 7 สามารถมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติสัมผัสแล้วมีสติตื่น  มาสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นทางกายกรรม  ทางวจีกรรม  ทางมโนกรรม ตื่นเต็ม ไม่ใช่ไปตื่นอยู่ในจิตหลับตาปฏิบัติ อยู่ในจิตแล้วก็ตื่นให้มีสติเต็มให้ได้ ในจิตเท่านั้น ไม่ใช่ ไม่พอ 

มีกายะข้างนอกสัมผัสแล้วรู้ มีสติแล้วก็มีธัมมวิจัย วิจัยจิต ย่อเข้าไปลึกเรื่อยๆ เข้าไปก็วิจัยจิตกับกิเลส แยกกิเลสให้ออกจากจิตว่าจิตเรามีกิเลส หรือแยกไม่ออกจิตหมด แล้วไม่มีกิเลสแล้วในจิต มีแต่จิตสะอาดจริงๆ ก็เป็นอันจบ จิตหนึ่งเดียว จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์จากกิเลส 

เริ่มแรกพระพุทธเจ้าให้รู้เหตุปัจจัย หลักเกณฑ์ข้อที่ 1 ศีลสัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับของ สัมผัสกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร สัมผัสกับวัตถุ แล้วก็ลึกเข้าไปถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่วมด้วย มันสัมผัสแล้วมันเกิดปฏิกิริยาอย่างไร  เกิดอาการอย่างไร เกิดกิเลสเป็นอย่างไร แยกอาการที่เกิดในจิต อาการ ลิงค นิมิต แล้วก็มี อุเทส อุเทสคือคำบรรยาย คำอธิบาย คำสาธยายอย่างที่อาตมานำเอาคำของพระพุทธเจ้า มาสาธยายยกขึ้นให้ฟัง แล้วก็ไปปฏิบัติอ่านอาการ แล้วก็จับนิมิตของอาการต่างๆให้ได้ว่า มีกิเลส

 2. มีจิต มีคู่ มีสิ่งที่ต่างกัน ทีละคู่ ๆๆ จากตั้งแต่สัตว์ ตั้งแต่ของ หรือลึกเข้ามาถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีล 3 ข้อเป็นหลักใหญ่ ถ้าไปปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีศีล 3 ข้อนี้เลย ขออภัยไปหลับตาปฏิบัติไม่มีศีล 3 ข้อสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธที่ไปหลงหลับตาตาม อาฬารดาบส อุทกดาบส 

แล้วไปยึดมั่นถือมั่นจริงๆว่าอย่างนี้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้ก็ยังยึด อาตมาพูดเท่าไหร่ๆ เขาก็ไม่กระเตื้อง เพราะว่าอาตมาไม่มีเครดิตเท่าอาจารย์เขา เท่าประชาชนส่วนใหญ่ ที่ได้หลงผิด มันเป็นยุคกาลที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้แล้ว  ในอาณิสูตรว่า ยุคนี้มันเสื่อม มันผิด เขาก็ผิดไปจริงๆ 

อาตมาก็ต้องมากู้กลับ พยายาม ก็ต้องทำ ได้น้อยได้มากเท่าไหร่ก็ทำได้ ได้ประมาณเท่านี้ 

คำสอนที่เป็นหลัก หลักใหญ่เขาก็ไม่เอามาพูดแล้ว เพราะเขาไปหลับตา เพราะฉะนั้นหลับตาหลักใหญ่ของพุทธคุณ 9 คือ วิชชาจรณะสัมปันโน คำสอนของพระพุทธเจ้าคือ วิชชาจรณะสัมปันโน ก็ต้องเรียนรู้ ประพฤติ คือ จรณะ แล้วก็ให้เกิดวิชชา จะบรรลุธรรมด้วยวิชชาและจรณะ 

ต้องมีจรณะ ประพฤติเป็นเหตุ แล้วก็มีวิชชาเป็นผลตามมา ซึ่งพวกเราก็จำได้หมดแล้ววิชชา 8 จรณะก็ 15 พวกเราไล่ได้ไหม มีอะไรบ้าง 

จรณะ15 สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สัทธรรม 7  ฌาน 4 ของพุทธจึงเกิดจากเหตุจากการปฏิบัติสังวรศีลและ อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติสัทธรรม 7 จึงจะเกิดฌาน

ไม่ใช่ไปหลับตาปฏิบัติ ไม่มีเหตุพวกนี้เลย ซึ่งแบบนั้น มันเป็นการหยุดนิ่งๆ สะกดเอาไว้ มันเป็นวิธีการสะกดจิตเท่านั้น ไม่ได้เรียนรู้อย่างพิสดาร อย่างวิจิตร อย่างที่ลืมตา ฌานของพระพุทธเจ้าลืมตาหมด ฌานของพระพุทธเจ้า ไม่ได้หลับตาเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีทาน แล้วก็ไปปฏิบัติจิตให้มันเป็นฌาน เป็นวิมุติ หรือ ถือศีลก็ให้มันเกิดจิตเป็น อธิจิต เป็นฌาน เป็นวิมุติ มันไม่มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ นั่งหลับตาทานก็ไม่มี ศีลก็ไม่มี 

เพราะฉะนั้นเขาจึงไปแปล แม้ผู้แปลพระไตรปิฎก  สัมมาทิฏฐิ 10 มีทาน มีศีลเขาใช้พยัญชนะบาลีเลย 

สัมมาทิฏฐิ ทินนัง ทานให้ไปแล้วจะบรรลุผลหรือไม่บรรลุผล แน่นอนทานที่ให้ไปแล้วมันก็มีผลทันที เพราะฉะนั้น ทานจะมีผลหรือไม่มีผล  มันจะต้องมีผลสิ ทานอย่างไรมันก็ต้องมีผลคือได้ให้ คือ ทาน มันเป็นกุศลทันที แต่ผลที่พระพุทธเจ้าหมายนั้นไม่ใช่หมายถึงกุศล แต่หมายถึงมันเกิดชำระกิเลสหรือไม่ 

คำว่า ชำระกิเลสก็คือ บุญ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันเสื่อมจนกระทั่งคำว่า บุญ เขาไม่เข้าใจแล้ว บุญ เขาไปหมายถึง กุศล ได้กุศล 

คำว่า บุญ เพี้ยนผิดไปเป็นกุศลเท่านั้นเอง เสื่อมแล้วศาสนาพุทธ ไม่มีโลกุตรธรรม บุญมันคือ อาวุธฆ่ากิเลส สะสมไม่ได้ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีบุญ หมดบุญ หมดบาป สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ หมดบุญหมดบาป ก็เป็นพระอรหันต์ 

ยังไม่หมดบุญก็จะลดลงเรื่อยๆ เป็นโสดาบัน บุญก็ลดลงประมาณหนึ่ง เพราะว่าทำจิตให้สะอาดผ่องใสจากกิเลสไปได้จำนวนหนึ่ง สกิทาฯก็ลดลงไปได้อีก อนาคาฯก็ลดลงไปได้อีก อรหันต์หมดเลย บุญก็หมดเกลี้ยง บุญไม่ได้กลับกันไปเป็นบาปอีก ไม่ คนที่ได้แล้วได้เลย บุญหมดแล้วก็หมดเลย บุญจึงไม่เกิดในตนในผู้ที่หมดกิเลสนั้นแล้ว พระอรหันต์จึงไม่มีบุญ 

จะไปได้บุญได้อย่างไร มันต้องทำบุญนี้ให้มันมีประสิทธิภาพในการที่จะชำระกิเลส ให้ได้ แล้วไม่ต้องใช้อีก บุญ คือ อาวุธฆ่ากิเลส เป็นเครื่องมือฆ่า หรือ ตัวพลังงานฆ่า เป็นตัวตนบุคคลก็คือ นายเพชฌฆาต ฆ่ากิเลส 

เพราะฉะนั้น เราอยากจะไปเป็นนายเพชฌฆาตฆ่าคน จะไปเป็นนักฆ่า ไปทำไม ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น นี่คือนัยยะที่สำคัญ ซึ่งมันได้เข้าใจผิดเสื่อมไป ศาสนาพุทธ จึงเหมือนศาสนาเทวนิยม ปฏิบัติแต่ดี ก็ยังดี ปฏิบัติแต่ดี ไม่ปฏิบัติชั่ว เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมะที่เป็นโลกุตระไม่ได้ 

 

แก่นของการปฏิบัติในศาสนาพุทธคือจรณะ 15 วิชชา 8

โลกุตระนั้นปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อที่จะทำแต่ดี ไม่ปฏิบัติชั่วเท่านั้น ต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้จักสุขรู้จักทุกข์ เพราะฉะนั้นอริยสัจ 4 ของศาสนาพุทธ คือ ทุกข์อริยสัจ เป็นศาสนาของอาริยกะ จึงเรียก อริยสัจ 4 ผู้ที่บรรลุธรรมของพุทธเป็นอริยะ ผู้ไม่บรรลุธรรมของพุทธ ไม่เป็นอริยะจึงเป็น มิลักขะ

มีคน 2 ประเภทคือ คนเจริญกับคนไม่เจริญ คนยังไม่เจริญคือ คนมิลักขะ อย่างศาสนาเทวนิยมเห็นไหม  ยังฆ่าแกงกัน โอ้โห…รัสเซียกับยูเครนยังฆ่าแกงกันหนักเลย ประเทศอื่นใดเขาก็ฆ่าแกงกัน ประเทศไทย พุทธศาสนานี่ ไม่ต้องไปฆ่าแกงกับใครเลย พยายาม มันจำเป็นที่สุดก็ทำไปเพื่อป้องกันรักษาประเทศ จนกระทั่งหลีกเลี่ยงได้นั่นแหละคือสำเร็จ 

เพราะฉะนั้น ถ้าประเทศไทยเป็นกลาง ใครจะเป็นอย่างไร  ใครเขาจะรุกรานอย่างไร เราก็พยายามหลบเลี่ยงหลีกเว้น ไม่ไปปะทะ ไม่ไปทะเลาะ ไม่ไปทำสงคราม ไม่ไปรบราฆ่าฟันกันนะ แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้เกื้อกูลโลก โลกานุกัมปายะให้ได้ เป็นผู้ที่มี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จริงๆ 

ช่วยเหลือประเทศอื่นๆใดๆ มันซ้อนมากเลยโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ท่านสอนให้เป็นคนไม่สะสม ไม่กอบโกย ใจพอ มามีน้อยๆ กินน้อย ใช้น้อย ไม่ใช่ทรมานตนนะ  กินน้อยใช้น้อย กินอย่าไปตะกละ เพราะว่ารู้กิเลส ไม่ไปติดไปยึดในสิ่งที่ไม่น่ากินไม่น่าเสพที่โลกเขาหลอกกันมาก ทุกวันนี้โลกเขาหลอกกันมาก แม้แต่ในเมืองไทยก็หลอกกัน ปรุงแต่งกัน หลอก จริงๆ มันขัดแย้งกับศาสนาพุทธ นี่ นำเที่ยวกินแหลก อะไร ชีพจรลงตีนกินอะไรของเขาไป ตามอำเภอจานอะไรรายการ ซึ่งมันย้อนแย้งกับศาสนาพุทธ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธที่จะพาให้ไปหลงในอาหาร 

อาหารนี่แหละหลงกันมาก ถ้าเรียนรู้ตรงนี้ โภชเนมัตตัญญุตา เป็นหลักของศาสนาพุทธ ปฏิบัติเรียนรู้กิเลสแล้วลดๆๆ ไป ไม่ต้องไปเอร็ดอร่อย ไม่ต้องไปตามหาอร่อยอีกเลย นั่นต่างหากคือศาสนาพุทธ ถ้ายังไปตามหาอร่อยอีก อร่อยที่ไหน ฉันนี่แหละ นักชิมชั้นเลิศว่าอย่างนั้น นักกินแหลก กินตามไปกินที่นั่นอะไร อร่อยที่ไหนตาม กิเลสแท้ๆ ซึ่งไม่รู้จักกิเลส ดูแล้วก็น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะไปขัดแย้งอย่างไร เพราะว่าคนเราแม้แต่เป็นพุทธศาสนิกชนแท้ๆ ก็ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เผยแพร่ออกมาสื่อสารจัดรายการ 

อาตมาก็เคย ผ่านมาตั้งแต่ยังไม่ปฏิบัติธรรม เป็นฆราวาส ทำรายการโทรทัศน์ ก็ทำรายการทำอาหารนี่แหละ อาตมาก็เป็นผู้ดูแลจัดรายการในอาหาร จัดรายการอาหารตั้งแต่เอา หม่อมหลวงเติบ ชุมสาย ที่เป็นมือทำอาหารระดับในวัง มาออกอากาศ เอาคนเก่งมาออกอากาศเป็นรายการก็ฮิตกันอยู่ เป็นรายการทำอาหาร ก็ไม่รู้ แต่มาปฏิบัติธรรมแล้วจึงรู้ ศาสนาพุทธ จึงน่าเห็นใจมันเป็นเรื่องโลกุตรธรรม 

เพราะฉะนั้นจึงยาก แต่ยากก็ดีสุด เพราะเป็นศาสนาที่เกิดผลจริง เรียกว่า ภาวนามัยหรือภาวนมยะ ภาวนามัย แปลว่า เกิดการสำเร็จ เป็นผล ภาวนาเป็นผล ทานก็ให้เกิดภาวนามัย ศีลก็เพื่อทำให้เกิดภาวนมัย

ผลที่สำเร็จ ท่านเรียกว่า หุตัง ในพระบาลี เมื่อมีผลสำเร็จก็คือละกิเลสได้  ลดกิเลสได้ เป็นผลของทาน เป็นผลของศีล ภาวนามัยไม่ใช่เป็นผลจากการนั่งหลับตา สะกดจิต หลับตาสะกดจิตไม่เกิดผลภาวนามัย เป็นผลเดียรถีย์ เป็นผลได้สมถะจิต ไม่ได้เป็นผลสำเร็จที่เป็นการปฏิบัติล้างกิเลสออก 

เพราะว่าการปฏิบัติทานก็ดี ปฏิบัติศีลก็ดี จะปฏิบัติแล้วมันจะรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย ภายนอก 5 ทวาร กระทบสัมผัสแล้ว เกิดการปรุงแต่งขึ้นมาเป็นสังขารธรรม แล้วก็แยกแยะสังขารธรรมนี้ให้ออก แล้วเราก็จัดการ วิจัย ตามโพชฌงค์ 7 นั่นแหละ 

เราปฏิบัติธรรมตามหลักมรรค 8 แล้วก็มีโพชฌงค์ 7 เป็นตัวร่วมไปด้วยเสมอเลย ที่จะทำงานร่วมกัน เมื่อโพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 ทำงานร่วมกัน ก็กลายเป็น โพธิปักขิยธรรม 37 

ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 หลัก 4 ของ สติปัฏฐานก็มีสำรวม สังวร พิจารณา กายในกาย

กายในก็ต้องมีกายนอก เวทนาในเวทนา ก็พูดกันนะ ใน เมื่อมีในแล้วมันก็ต้องมีนอก เมื่อมีนอกมันก็ต้องมีใน มันต้องมีคู่กันเสมอ จิตในจิต ธรรมในธรรม แต่เขาไปอยู่อันเดียวเขาไม่พิจารณา 2 ไม่ได้เปรียบเทียบกัน ไม่ได้มีทั้งคู่ เพราะฉะนั้นกายมีภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกาย ผัสสะ แล้วก็เกิดเวทนา ในเวทนานั้นก็คือมีตัวจิตเป็นประธาน 

ไอ้จิตเป็นประธานนี่แหละ เราต้องรู้รายละเอียดของจิตที่เป็นตัวตั้ง ที่มีกิเลสครบ เรียกว่า เจโตปริยะ เมื่อมีญาณ มีความรู้ก็เกิดรู้เจโตปริยะ 16 เป็น เจโตปริยญาณ 16 กิเลสก็มีกระบวนการอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นยากเลย 

1. มีราคะ 2. มีโทสะ 3. มีโมหะ ก็อ่านมันให้ได้ เรียนให้รู้ว่ามันเกิดราคะเมื่อไหร่ โทสะเมื่อไหร่ โมหะเมื่อไหร่ เรียนรู้ทีละลำดับ ไม่ใช่ไปฆ่ากิเลสราคะพรวดเดียว ราคะ ตื้นๆเล็กๆ ซึ่งมันไม่ใช่ตายง่ายๆนะ มันมี หยาบ กลาง ละเอียด ต้องฆ่ามันเป็นลำดับๆไป ให้มันตายเรียกว่า วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ก็เป็นเจโตปริยะ 6 ข้อแล้ว ก็จำง่ายเมื่อมีหลัก 

ที่นี้เมื่อเป็นคนมันมีตระกูลหรือว่ามีจริต มีจริตของตัวเอง เป็นพุทธจริตหรือ เป็นศรัทธาจริต เป็นต้น เป็นสายศรัทธาหรือสายปัญญา นี่แต่ละคนนี่แหละ ตัวเองคนส่วนใหญ่ ก็พอรู้นะบางคนก็มีปฏิภาณว่า เข้ามาศึกษาธรรมะจะรู้ได้แยกออกว่าอ๋อ เรานี่มีตระกูล มันเป็นตระกูลของ มาแต่ไหนแต่ไรเลย อย่างสายพระโมคคัลลานะกับสายพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะคือสายศรัทธา พระสารีบุตรคือสายปัญญา อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันไปบังคับไม่ได้ของคนแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าก็ศึกษาค้นพบตรัสรู้ได้ เรียบร้อย ก็เอามาสอนได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นใครจะมีจริตอย่างไรก็แล้วแต่ จริตอย่างหนึ่งพอเรียนรู้ธรรมะได้ทำให้มันลดละได้เป็นขั้นตอน เริ่มต้นลดได้ก็เรียกว่าเป็น สังขิตฺตํจิตตํ เป็นตระกูลศรัทธา 

ตระกูลปัญญาเป็นตระกูลฟุ้งๆ พวกฟุ้งกับพวกเป็นก้อน ซึ่งศัพท์สมัยใหม่อาตมาเรียกด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า Static กับ Dynamic อย่างนี้เป็นต้น มันก็มี 2 อย่างนี้แหละแต่ไหนแต่ไร มันได้มามันก็ยังยาก มันไม่กระจ่าง ไม่จับตัวได้เป็นเนื้อแท้ได้ง่ายๆ ได้ขึ้นมารู้แล้วเริ่มต้นได้แล้ววิธี 2 อย่างได้มาเป็นขั้น สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ของใครก็ของมัน ของตัวเองอยู่ตระกูลไหน ก็เรียนรู้ ลดกิเลสให้ได้จริง 

ทำได้ก็เรียกว่า มหัคคตะ จิตเป็น มหัคตจิต ทำไม่ได้เป็นอมหัคตจิต ก็เป็นอีกคู่หนึ่ง ก็จำได้ง่าย 

ถ้าทำได้ดีเรื่อยๆ เลยจนกระทั่งรู้จักแล้วเก่งแล้ว กระทบสัมผัสก็รู้จักกิเลสแล้วมีวิธีทำให้กิเลสลดได้ ได้เก่งขึ้นชำนาญขึ้นก็เป็น สอุตรังจิตตัง เข้าไปสู่จิตที่มันเป็นอุตตระ ไปเรื่อยๆแต่กิเลสมันยังไม่หมด กิเลสมันยังไม่จบ กิเลสมันยังมีอีก แต่ได้แล้วได้จริง แต่เป็นอริยะแล้วเป็นโลกุตระบุคคลแล้วตรงนี้  สอุตรังจิตตัง เป็นโลกุตระบุคคลไปเรื่อยๆๆๆ

ท่านแปล สอุตรังจิตตังว่า จิตดีแล้ว แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก มันรู้ว่ายังไม่หมดกิเลส ยังไม่ถึงขั้นสูงสุด ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง อนุตระคือ มันรู้จัก อุตระ มันคือความเหนือ เป็นโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นกิเลสยังไม่หมดไป ยังไม่สิ้นทีเดียว เรียกว่าได้แล้วทำได้แล้ว เข้าเป็นพระอาริยะไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย จะชื่อว่า อนุตตรังจิตตัง ก็เพราะแยกไปเป็น 2 อย่าง 

1. แกนจิต 2. แกนวิมุติ 

เพราะฉะนั้น จะต้องดูที่จิตกับดูที่วิมุติ อนุตตรังจิตตัง ทีนี้สมาธิของพระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิตะ มีจิตตั้งมั่น จิตที่จะตั้งมั่นเพราะว่ามีวิมุติ วิมุติคือกิเลสหลุดพ้นไป หลุดพ้นแล้วก็จึงจะตกผลึกลงไป ผลึกก็แน่นเข้า ตั้งมั่นเข้า 

เพราะฉะนั้นจิตที่จะเป็นจิตตั้งมั่นสมาธิของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่จิตตื้นๆ สะกดจิตเอาง่ายๆ ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ได้เก็บตั้งแต่ข้างนอกไปถึงข้างในละเอียดลออไป ไม่ใช่เลย 

นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไปหลง ศาสนาพุทธขอยืนยันอีกว่า ไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติ หลับตาปฏิบัติไม่ใช่ศาสนาพุทธ ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเป็นศาสนาพุทธ มีหลักฐานยืนยันอธิบายแล้วอธิบายอีกวนเวียนซ้ำซาก พวกเราเข้าใจแล้ว 

แต่หลับตานั้นจะมีประโยชน์ไหม มี ท่านถึงเรียกว่ามีอุปการะและท่านก็ไปแปลว่า มีอุปการะมากก็ไม่มีปัญหา หลับตามีประโยชน์อะไรบ้าง อาตมาก็ขยายความ มีอุปการะอะไรบ้าง แต่ไม่ใช่แกนของการปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะล้างกิเลสหมด สิ้นอาสวะได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย 

ผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ต้องนั่งหลับตาเพื่อล้างกิเลส ลืมตาปฏิบัติด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 เกิดฌาน เกิดวิมุติ เป็นวิชชา 8 ฌาน 4 เพราะฉะนั้นฌาน 4 ของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 ฌาน 4 ของนั่งหลับเดียรถีย์เขาก็เรียกฌาน 4 เหมือนกัน เกิดจากการนั่งหลับตาสะกดจิต ซึ่งเป็นคนละโลกเลย คนละเรื่องเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อศาสนาพุทธเสื่อมจริง เขาก็ไปเห็นตื้นๆง่ายๆเท่านั้น มันต้องยากหน่อยยากกว่ากันอยู่ ฌานของพระพุทธเจ้า ที่หลับตาไม่ได้ ต้องลืมตา หลับตาไม่ใช่ฌานของศาสนาพุทธ

พูดไปอย่างนี้มันก็ขัดแย้งกับที่เขาหลงยึดถืออาจารย์ใหญ่ แล้วก็มีครูบาอาจารย์นับถือกันมาสืบทอดกันมา โพธิรักษ์โผล่มาในชาตินี้อาจารย์ก็ไม่มี สำนักก็ไม่มี แล้วยังมาตั้งบอกว่าของฉันเอง ความรู้ของตัวเองมาตั้งแต่ชาติก่อนเขาก็ แหวะ ให้ไม่เชื่อ หน้าตาก็ไม่เห็นจะเป็นอาจารย์อาเจินอะไรเลย 

เขาไม่เชื่อเพราะว่ามันเสื่อมจริงๆ ความเชื่อถือมันยาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสายตำราหรือสายนั่งหลับตา ก็ไม่เชื่ออาตมาทั้งคู่ และสายที่นั่งหลับตาก็ไม่ค่อยอวดดีเท่าไร  สายลืมตา สายตำรานี่ถึงมาตีอาตมา มาจัดการอาตมาก็คือสายเถรสมาคม ที่เป็นสายตำรา สายเปรียญ ปริญญาเอก ปริญญาเอก ไปได้ปริญญาเอกศาสนาพุทธมาจากอเมริกาอย่างนี้ โธ่เอ๋ย ศาสนาพุทธที่เป็นอเมริกาเทวนิยม ศาสนาพุทธจะมาให้โลกุตระธรรมได้อย่างไร

นี่แหละคือเห็นชัดๆเลยว่ามันไม่เข้าใจเลย  ที่จะมาให้เทวนิยมมาสอนศาสนาพุทธ ให้โลกียะมาสอนโลกุตระ แล้วไปเขียนตำราเป็นเจ้ามาสอน นี่เห็นว่ามันเสื่อม โดยที่เขาไม่รู้อะไรเลย ไปเอาเศษขยะมาแกงให้เรากิน เพราะเขาไม่รู้ มันเสื่อมจริงๆ ยืนยันถึงความเสื่อมของศาสนาพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็นำพากันไปหลงทิศหลงทาง มันนานแล้วนะ มันเสื่อมมันผิดหลงทางมาหลายร้อยปีแล้ว หลายร้อยปีมาถึงวันนี้จึงบอกว่า โอ้โห จะไปสาวต้นทางที่พากันเสื่อม จนกระทั่งเห็นความผิด เห็นความเสื่อมเป็นความเจริญ เห็นความผิดเป็นความถูก ไปยึดอย่างนั้นแล้ว เห็นผลของความผิด จนกระทั่งไปหลง ผู้ที่จะว่าจริงๆแล้วมันก็มีภาษา 2 ภาษา เสื่อมก็คือตกนรก ทีนี้ถ้าพูดสภาวะคู่ คู่ของนรกก็คือสวรรค์ 

แต่ของพระพุทธเจ้ารู้ทั้งนรกสวรรค์เป็นสภาวะคู่ แล้วไม่มีทั้งนรกและสวรรค์ อันนี้แหละมันสุดพิเศษ เพราะฉะนั้นผู้ที่พ้นเป็นโลกุตระ มีอำนาจหลุดพ้นเป็นโลกุตตรธรรมจะรู้ทั้งนรกสวรรค์แล้วไม่เอาทั้งนรกสวรรค์ ก็สวรรค์ก็เป็นภพ  นรกก็เป็นภพ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่มีทั้งเทวดา 6 ภูมิ ไม่มีเทวดาจตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี คนที่เขาติดยึดอยู่เขาก็มี แต่พูดหลุดพ้นแล้วเป็นอรหันต์แล้วไม่มีสวรรค์ นรกไม่ต้องพูดเลย นรกนั้นพอมีนรกเยอะแยะสารพัด อาตมาไม่ได้จำมาเลย ไม่ได้ไปไล่ภาษาเขามา ที่เป็นนรก 

เพราะฉะนั้น อาตมานำสิ่งที่มันผิดเพี้ยนนี้มาพยายามพูด แม้ยังไม่ตายอายุถึง 100 ไปเกินกว่า  100 อาตมาก็ยังจะพูดอยู่อย่างนี้แหละ เพราะเป็นความจริงที่อาตมามั่นใจที่สุดแล้วว่ามันไม่มีทางเป็นผิด ก็ต้องแก้ไข ก็ต้องพูดย้ำพูดซ้ำพูดซาก อาตมาว่าอาตมาทำงานเผยแพร่อธิบายความจริง เอาสัจธรรมพระพุทธเจ้ามายืนยัน 50 กว่าปีได้ จนป่านนี้แล้ว อาตมาเชื่อว่า 

ถึงแม้เขาจะต้านอย่างไรก็ทุกวันนี้รับฟังบ้างแล้ว หรือ เขาไม่ต่อต้านอาตมา ผู้ที่ไม่ต่อต้านแต่รับฟังบ้างแล้วก็เจริญแน่ ผู้ที่ไม่ต่อต้านอาตมาก็เพราะว่าอาตมาหนังเหนียว ต้านอย่างไรอาตมาก็ไม่ยอมหยุด จะฆ่าอาตมาก็ฆ่าได้ให้ตาย แต่ว่าฆ่าอาตมาไม่ตายเพราะ อาตมาหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน ฆ่าไม่ตาย แล้วอาตมายังมีชีวิตอยู่แล้วก็จะพยายาม มีชีวิตให้นานขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะอธิบายสอนพวกนี้แหละ 

ถ้าไม่ฟังอาตมาบ้างแล้วก็ไม่พัฒนาความเข้าใจใหม่ ตั้งใจตื่นขึ้นมาเรียนรู้ฟัง อาตมาสาธยายคำสอนซ้ำซาก เพราะว่ามันไม่รู้จะทำอย่างไร มันต้องเอาแก่น ที่ว่าเอาแก่นหรือเบื้องต้น รากเหง้าของศาสนามาพูด ที่เป็นเปลือกหรือสะเก็ด กระพี้ นั้นมันมีเยอะแยะ มันเป็นเรื่องปลอมไม่เข้าหาแก่นมีมากมาย เราพูดไม่ไหว อาตมาก็ต้องลัดมุ่งเข้าไปหาแก่น 

แก่นที่ว่านี่ก็คือ พุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้ๆที่เรียกว่า จรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละ มันคืออะไรกันแท้ๆ เขาก็ยังพอพูดกัน ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่อธิบายขยายความว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิคือสิ่งที่เจริญ จึงเรียกอธิ ซึ่งนัยยะของศาสนาพุทธ อธิจิต เจริญเป็นสมาธิมันก็อย่างหนึ่ง อธิจิตของเดียรถีย์ หรือของที่ไม่ใช่พุทธมันก็มี มันก็อีกอย่างหนึ่ง ก็ต้องรู้ว่ามันต่างกันอย่างไร​ ก็มาศึกษากันให้ได้จริงๆ แล้วก็จะไปเสียเวลากับสิ่งที่มันผิดอยู่ทำไม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจ อธิจิต ที่เป็นจิตสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติศีลเพื่อให้เกิดอธิจิต และให้เกิดมีปัญญาที่เป็นปัญญาของพุทธ ไม่ใช่เป็นปัญญาเดียรถีย์

ที่จริงปัญญาเดียรถีย์ไม่มี มันเป็น เฉโก พยัญชนะที่ใช้บอกความรู้แบบโลกีย์ก็คือ เฉโก เป็นความรู้ความฉลาด พยัญชนะเรียกว่า เฉโก 

แต่ความรู้ความฉลาดที่เป็นปัญญา นี่เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตรธรรม เรียกว่าโลกุตระ เรียกว่าปัญญาแบบโลกุตระ อันนี้ก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัส ปัญญา 8 เอาไว้ อาตมาก็เอาปัญญา 8 มาเขียนเป็นหนังสือ เล่ม 1 ก็พิมพ์ออกไปแล้ว เล่ม 2 ก็พิมพ์ออกไปแล้ว เล่ม 3 เล่ม 4 ก็ยังเขียนอยู่ยังไม่จบ ขยายความเรื่องปัญญา เพราะมันเป็นความรู้โลกุตระ เป็นความรู้รอบโลก เป็นความรู้พิสดาร โอ้โห.. เลิศยอด ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีปัญญาเกิดในโลกหรอก 

พอเกิดแล้วคนก็รับเอาไม่ไหวมันก็เลยเสื่อม อาตมาก็นำกลับมาฟื้นอีก ให้เกิดเป็นความเข้าใจว่า จริงๆแล้วปัญญาหรือความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระ ที่เป็นอาริยกะ ไม่ใช่ มิลักขะ วนอยู่แต่ในโลกเทวนิยมเท่านั้นเอง 

 

กินอาหาร 4 ให้หมดอาลัยมีแต่อาศัยในชีวิต

พวกเรานี้พอเข้าใจไหมว่าโลกียะมันต่างจากโลกุตระ เทวนิยมมันต่างจากพุทธ อย่างไร เข้าใจกันดีหรือยัง มันแยกกันคนละโลกเลย เพราะว่าโลกเทวนิยมนั้นมันเป็น โลกที่รู้จักแต่แค่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เจริญ แล้วก็รักษาความเจริญให้มี ลาภเยอะๆสูงๆเข้าไว้ ให้ได้เท่านั้นเอง มันไม่ได้มีปัญญาที่เข้าไปชัดเจนแจ่มแจ้งว่า เหตุที่ไปหลงโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่นั้นมันคืออย่างไร มันไม่มีปัญญาที่เขาไปรู้ชัดจนกระทั่ง จนมันจบ รู้จบ ปฏิบัติให้ตนเองรู้จนจบ 

เมื่อรู้จบนี่แหละ เราจึงจะได้รู้ว่า จิตนิยามนี้มันคือธาตุรู้ที่ อ๋อ.. คนไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา อย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านอธิบายจนกระทั่งสุดท้ายรู้แล้วว่า จิตที่ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ รู้จักเหตุแล้วฆ่าเหตุ หมดแล้วไม่เกิดอีกเลยในจิต เมื่อรู้จบแล้วก็ อ๋อ..มันก็มีเหตุอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นอรหันต์ เป็นต้นขึ้นไป ก็รู้ว่าจิตที่หมดกิเลสเป็นอย่างนี้ จิตที่ยังมีกิเลสจะมากน้อยอย่างไรก็รายละเอียดก็มีไปตามลำดับ มันเป็นอย่างนี้ 

เมื่อบรรลุแล้วก็จะเห็น 2 ฝั่ง แล้วจะรู้ความจริงว่าตนเองเป็นจริงเป็นปัจจัตตัง เป็นตนเองแล้ว อ๋อ.. จิตมันเป็นสังขารชนิดหนึ่งเท่านั้น มันเป็นการปรุงแต่งระหว่าง รูปกับนาม เรียกมันว่าวิญญาณ เหตุปัจจัยอื่นๆก็ขยายไปเป็นอิทัปปัจจยตา หรือเป็นปฏิจจสมุปบาท 

เพราะผู้ที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ โดยถึงสภาวะเลย รู้ว่าสังขารมีอาการอย่างไร มาเป็นวิญญาณ วิญญาณเราเรียกว่าวิญญาณ ต่างจากสังขารอย่างไร แยกจากวิญญาณเป็นนามรูปแยกอย่างไร นามอย่างไร รูปอย่างไร เมื่อนามรูปไปรวมกันอีก เรียกว่า อายตนะ อายตนะก็คือ วิญญาณที่มีผัสสะ แล้วก็ในอายตนะนี่แหละไปเรียกว่า เวทนา รู้ความรู้สึก 

ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้เป็นสุขเป็นทุกข์  ไม่ได้แยกกิเลสที่เป็นเหตุแห่งสุขแห่งทุกข์  ไม่ได้แยกปัญญา เฉโกอะไรได้ จิตไม่เป็นปัญญาแท้ เป็นเฉโกอยู่ ก็หลงสุขเกลียดทุกข์ 

แต่สุขกับทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่ามันเป็นความโง่ ที่มันเป็นสังขารปรุงแต่ง มันเป็นอันเดียวกันแยกกันไม่ออกหรอก มันเป็นเทวะ เทวะ แปลว่า 2 เหมือนกระดาษ 1 แผ่น 

กระดาษแผ่นเดียวกันแยกไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะดับสุขก็ต้องดับทุกข์ จะดับทุกข์ก็ต้องดับสุข ไม่ใช่หลงสุข เพราะฉะนั้นศาสนาทั้งโลกที่เป็นเทวนิยม ทั้งหลายเรียกว่าเป็นสุขนิยม คือยึดเรียนรู้เอาสุขให้ได้ แล้วผู้ที่มีสุขมากที่สุด ถือว่าเป็นพระเจ้า สอนเรื่องสุข เป็นพระเจ้า 

ศาสนาพุทธมันเลยพระเจ้าไป เลยสุขทุกข์ ล้างสุขทุกข์หมดเลย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ชนิดที่ดับเหตุ ไม่สุขไม่ทุกข์มีพระบาลีว่า อทุกขมสุข ส่วนไม่มีเหตุแห่งทุกข์ หมดเลยเกลี้ยง สูงกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ คือ อุเบกขา 

อุเบกขา พระพุทธเจ้าจึงที่แยกว่าอุเบกขานั้นเป็นจิตที่มีองค์ธรรมอยู่ 5 คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้จักเหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ จิตจึงจะสะอาด เป็นปริสุทธาเป็นความบริสุทธิ์ เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์

พอเป็นอรหันต์ก็เริ่มบริสุทธิ์ ไม่สุขไม่ทุกข์อีกแล้วในโลก ก็จะเจริญเป็น ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไปอีก ที่จริงมีรายละเอียดมากกว่านี้อีก แต่พระพุทธเจ้าเอา 5 นี้ก็สบายแล้วไปถึงขั้นประภัสรา ก็สุดยอดแล้ว 

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้อาการของจิตอุเบกขา คือจิตไม่มีเหตุแห่งทุกข์คือกิเลสเลยได้ ไม่ใช่ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะสะกดจิตไว้ ไม่ให้สัญญามันทำงาน ไม่ให้มันรับรู้อะไร หรือไปกดเวทนาเอาไว้ไม่ให้มันรู้สึกอะไร 

เวทนากับสัญญานี้ มันเป็นคู่กันเหมือนสุขกับทุกข์ เหมือนเป็นเทวะคู่หนึ่ง เมื่อมีความตื่นไม่ใช่ไปกดให้มันดับสัญญาหรือดับเวทนา กดมันทั้งคู่ มันก็มืดดับดำมืด มืด ไม่เป็นเรียกว่า อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ไม่มีการกำหนดรู้อะไร ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก มันเหมือนพืชที่ถูกตัดออกมาจากขั้วแล้วไม่มีแม้ชีวะ เหมือนลูกอะไรกลิ้งคะโล่คะเล่  อยู่ตรงนี้มะม่วงอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธไม่ทำอย่างนี้ เก่งนั่งสะกดจิตได้หลับตาได้อย่างเก่งก็เป็นพรหมลูกฟัก แต่ถ้าเผื่อว่าตัดขั้วตัดอะไรที่เป็นชีวะมันตายแล้ว หามมันทิ้งได้เลย เพราะมันไม่รู้ตัว  ไม่รู้เรื่องอะไร ใช่ไหม  หามไปเผาก็ได้ มันไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้านั้นามตื่นเต็มรู้ตัวทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วมีธัมมวิจัยมีสติตื่นรู้เต็มร้อยทางกาย วาจาใจ มีธัมมวิจัย รู้เข้าไปลึกในจิตจนกระทั่งรู้กิเลสทีละลำดับ ดับตั้งแต่ภายนอกที่มันหยาบลดลงไปได้ แล้วตั้งแต่ภายนอกก็อยู่เหนือมัน ไม่ได้หนีมันเลย

กิเลสที่เกิดจากอบายมุขกิเลสที่เกิดจากกาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย มี 5 ทวาร กิเลสกามนี่แหละที่มันหยาบจัดจ้าน แล้วเขาก็เรียกว่าอบายมุข เราก็รู้เหตุของมันว่า เราไปติดไปยึดไปหลง พอมีโลกุตรธรรม รู้จักอบายมุข รู้จักเหตุ ไม่ไหวหรอก มันชั่ว มันทุกข์ แล้วต้องไปวนกับมัน เช่น ไปติดกินเหล้า ไปติดเล่นไพ่ ไปติดเล่นการพนัน ไปติดสิ่งเสพติด ที่หยาบๆ ขั้นต้น 

หรือจะไปติดในเรื่องที่จะไปอยากใหญ่ อันนี้ยากกว่าพวกนี้ จะไปรบให้เป็นเจ้าโลก จะไปปราบปรามประเทศนั้นประเทศนี้ให้เป็นเจ้าโลก กิเลสทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้อันนี้มันรู้ยาก ก็เอาแต่แค่นี้แหละ อยากใหญ่ ในอบายมุขตื้นๆก่อน 

แล้วเรียนรู้กิเลสนี้ให้หมดจริง หมดอบายมุขนี่แหละแล้วมาหมด กาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบแล้วไปเสพไปติดในกาม

เช่น กามกับอบายมุขมันก็ใกล้กัน ติดหนักก็เป็นอบายมุข อย่างมหาบัวนี้ติด หมากพลู ติดหนัก นั่นแหละเป็นอบายมุขแล้วจนไม่รู้ว่านั่นแหละคือตัวเองเสพติด ไม่รู้จักการเสพติด เรียกว่าติดหยาบท่านเรียกว่า สุรา

สุระ แปลว่า กล้า แข็ง ใหญ่ สุระ สุรา

เมรยะ ก็เสพติดลดลงมาอีก

มัชชะ ก็ลดลงมาอีก 

เสพติดสุดท้ายเป็น ปมาทะ แต่นี่ ท่านเอาแค่สุรา เมรยะ มัชชะ เอาแค่ 3 ขั้นตอน

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ก็ติดจมมันอย่างเป็นคนโง่คนไม่รู้เสพติด ที่อาตมายกตัวอย่างมหาบัวไม่ได้หมายความว่าเกลียดชัง แต่อาตมาสงสาร แล้วก็ไปมีลูกศิษย์ลูกหาหลงติดกัน พากันหลงไปอีก ยิ่งน่าสงสารมากเข้าไปใหญ่เลย แทนที่จะสงสารมหาบัวเท่านั้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องสงสารลูกศิษย์ด้วยก็เพราะว่ามันผิด เขางมงายไปเป็นทั้งชาติ มันก็น่าสงสาร

อุตส่าห์เสียสละตัวเอง ชีวิตเข้ามาบวช แต่ไปหลงทาง ไอ้หลงทางนี่แหละท่านเรียกว่า เดินอยู่ในทางกันดาร หลงทางนี่คือเดินอยู่ในทางกันดาร 

เพราะฉะนั้นผู้ที่หลงทาง เดินอยู่ในทางกันดาร จึงเป็นการหลงทางที่ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้ง่ายๆ เดินอยู่ในทางอันนั้นเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต วนอยู่ในนั้น

ท่านเทียบคนที่หลงทาง ว่ามันมืดบอด แย่ยิ่งกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านแยกอาหาร 4 เอาไว้ 

คุณว่า อาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร คุณว่าอันไหนหยาบกว่ากัน มองหยาบได้ทั้งสองด้าน 

วิญญาณอาหาร พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ว่า ต้องเรียนรู้นามรูป ถ้าแยกนามรูปไม่ออกไม่รู้จักวิญญาณ ก็เรียนรู้ต่อไม่ได้ 

นามรูปนี้เป็นขั้นต้นของการศึกษา เรียนรู้ ต้องรู้สภาวะ 2 คือนามรูป ไม่เดินด้วยนามรูป ไม่เดินด้วยสภาวะ 2 ไม่ปฏิบัติธรรมด้วยสภาวะ 2 ไปสะกดจิตให้เป็นแต่ 1 1 1 อย่างเดียวเลย หลับพลั๊วะเข้าไปหา 1 อย่างเดียวเลย โมฆะ 

ต้องมี 2 ต้องมีนามรูป ต้องมีกาย ต้องมีภายนอกภายใน ต้องมีกายมีจิตอะไรพวกนี้ อาตมาก็ขยายไปหมดแล้ว 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเทียบคนที่ หลงทาง ไม่รู้จักอะไร อีกอันหนึ่งก็คือ อันที่ 1 เลย วิญญาณอาหารอันที่ 4 

กวฬิงการาหาร อันที่ 1 ท่านเรียกว่าเป็นผู้ที่เดิน มีพ่อแม่กับลูก 3 คน เดินทางอยู่ในทางกันดาร กันดารนั่นแหละ อย่างไรก็ออกจากเขาวงกตทางกันดารนี้ไม่ได้ คนๆนี้ แล้วยังไปมืดเมาโมหะ หลงหนักหลงหนา เข้าไปอีก 

หลงหนักตรงที่ว่าเดินทางกันดารไป มันมีจิตนึกว่าจะไปสู่ทางที่สูงทางที่เจริญ แต่ไม่รู้ทางเลยเหมือนเขาวงกต ไม่รู้ทาง วน ทีนี้ก็มีเหตุปัจจัยอยู่ในตนเอง ท่านก็เรียกว่า อาหารเครื่องอาศัยชีวิต เป็นคำข้าว เป็นอาหาร กินให้ชีวิตอยู่ มีอาหารเป็นจำนวนหนึ่ง กินหมด หมดเสบียง ก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไร คุณจะเดินทางอยู่ทางไหน มันก็มีดินน้ำไฟลม มีต้นหมากรากไม้  มีผลไม้ มีสัตว์ คุณกินสัตว์ล่าสัตว์ กินก็ได้ อย่างโง่ๆนั่นแหละกินสัตว์ 

ไม่โง่ไม่กินแล้วสัตว์ คุณก็เก็บพืชกิน จะโง่จนกระทั่งไม่รู้จักว่าพืชอะไรกินได้ เลยหรือก็ได้ ไม่ ไม่ พอหมดแล้วเป็นไง เราจะไปอย่างไร อยู่ในทางกันดาร ถ้าไม่มีกินนี้ตายทั้งหมดทั้งลูกด้วยนะ พ่อแม่เห็นแก่ตัวก็อย่ากระนั้นเลย ฆ่าลูกที่เป็นที่น่ารักที่น่าชื่นใจนี้กิน เอาเนื้อมากิน เดินอยู่ในทางกันดารต่อไป ก็ฆ่าลูกเสีย แล้วก็เอาไปทำเป็นเนื้อเค็ม พกไป กินไปเรื่อยๆ ก็อยู่ในทางกันดารอยู่ในเขาวงกตนั่นแหละ มันไม่มีทางพ้นหรอกเพราะไม่รู้ทาง ไม่มีจุดเริ่มต้น 

เสร็จแล้วงมงาย ตัวเองฆ่าลูกด้วยมือ กินเข้าไปในปาก ลูกน้อยๆของฉันไปไหน ๆ ปัดโธ่เอ๋ย ก็เอ็งฆ่าลูกด้วยมือแล้วเอ็งก็ทำเนื้อเค็มกินยังชีพอยู่นี่  อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี้สุดแสบเลยนะ มันโง่อะไรถึงขั้นนั้นนะมนุษย์มนา

เพราะฉะนั้นคนกินเนื้อ และยกตัวอย่างถึงขั้นกินเนื้อบุตรด้วย คุณกินเนื้ออย่างอื่นก็เหมือนคุณกินเนื้อบุตร คุณกินเนื้อสัตว์ใดๆก็เหมือนคุณกินเนื้อ ทำไมโง่ ไม่รู้จักว่าพืชพันธ์ุธัญญาหาร มันไม่มีในแผ่นดินได้อย่างไร คุณเดินอยู่ในทะเลทราย รึไง

_สู่แดนธรรม... เดินอยู่ในทะเลทรายไม่มีพืชให้กินครับ 

พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าท่านบอกแค่ว่าเดินทางไกลกันดาร ไม่ได้บอกว่าทะเลทราย คือเดินทางอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ แต่คุณไปตีความว่าเดินอยู่ในทะเลทราย อย่าหัวล้านหลื่นครูนะ สำนวนของอีสาน อย่าหัวล้านหลื่นครู อย่าทำเป็นรู้เกินครูบาอาจารย์ 

เพราะฉะนั้นการโง่ซ้ำโง่ซ้อน คุณกินหมากกินพลูยังไม่ถึงขั้นกินเนื้อลูก อาจจะพอกันกับการกินเนื้อสัตว์ คุณก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง กินไป นึกว่ามันยังชีพที่จริงมันไม่ได้ยังชีพอะไรเลยในการกินหมากกินพลูอย่างนี้เป็นต้น นี่คือความไม่รู้ เสพติด ไม่รู้สิ่งเสพติดในอาหาร กวฬิงการาหาร 

_มีผู้เขียนมา คุณทำมาด้วยใจใต้ร่มโพธิ์ 

กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นอาหารเลี้ยงขันธ์ที่หยาบสุด มีกามคุณ 5 ครบ ต้องกินทุกวันขาดไม่ได้ จึงมีความยากที่จะแยกแยะความหิว ความรักชีวิต ความกลัวตาย แยกออกจากความติดในรูปรสกิน เสียงสัมผัสของอาหาร ที่ต้องอาศัยจนเกิดอาลัย

พ่อครูว่า...ผู้ที่พูดมาก็ได้เรียนรู้เข้าใจแม้แต่พยัญชนะและสภาวะ ว่า อาหารนี้เป็นของอาศัยจนเกิดอาลัย อาลัยคือยังโหยหา อาศัยคือในชีวิตยังต้อง อาศัยมันไป 

พระสูตรนี้ชี้ให้เห็นการกินเพื่อดำรงชีวิตโดยไม่มีทางเลือก เพราะอาหารที่มีอยู่นั้นน้อยนิดก็หมดลง แถมทางก็กันดาร หาอะไรกินก็ไม่ได้ จำใจต้องฆ่าลูกน้อยเพื่อทำเป็นอาหารประทังชีวิต ไม่ฉะนั้นก็จะตายทั้ง 3 คนพ่อแม่ลูก 

ขณะที่กินก็ยังรำพึงรำพันหาลูก กินเนื้อลูกอยู่แท้ๆก็ยังโง่จนกระทั่ง มันลืมไปได้อย่างไร ฆ่าลูกด้วยมือแล้วก็กินอยู่ในปาก ยังรำพี้รำพันว่า ลูกน้อยๆคนเดียวของฉันไม่อยู่ด้วยแล้ว หายไปไหนเสียๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้เตือนว่า ทำไมมันยังโง่ถึงขนาดนั้น ถ้ารู้สึกตัวกินอาหารนี่คือกินอย่างไม่ได้กินเพื่อความคะนอง ไม่ได้กินเพื่อความมัวเมา ไม่ได้กินเพื่อตกแต่ง ไม่ได้กินเพื่อประดับประดา แต่กินเพื่อจะต้องข้ามทางกันดาร ทางกันดารนี้คือโลกียะทั้งหมด รู้จักทาง พ้นจากทางกันดารออกไปสู่ทาง นิพพานได้นั่นคืออาริยะ นั่นคือทางพุทธ แต่เทวนิยมยังวนอยู่ในทาง กันดารทั้งนั้น ยังอยู่ในเขาวงกต ยังหลงสุขหลงทุกข์ ยังไม่มีทางพ้นได้เลย 

เพราะฉะนั้นข้อเตือนใจให้เราตั้งสติให้มั่นเวลากินอาหาร ให้เปรียบเหมือนกันกินเนื้อบุตร เป็นอาหารที่มีผลสูงมาก ทั้ง 4 ข้อรวม 3 ข้อที่ผ่านมา จะได้ไม่มัวเมาหลงในรสอร่อยของอาหาร หรือกินเพื่อให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อสวยงาม ผิวพรรณสวยงาม กินเพื่อให้ผิวพรรณสวยงาม กินแบบเพื่อความประดับประดา กินอย่างเท่ห์อีก 

แต่ให้กินเอาสาระ รู้รสของตามรสแท้ของอาหาร เพื่อข้ามทางกันดาร เพื่อข้ามโอฆะสงสาร เพื่อละกามคุณ 5 ในอาหารนั้น 

เมื่อกำหนดรู้ได้อย่างนี้แล้วความยินดีที่เกิดแต่เบญจกามคุณ จึงจะละสังโยชน์ได้ 

พ่อครูว่า... ดี ทำความเข้าใจไปเป็นลำดับ ผู้จะพ้นเรื่องอาหารนี้ มันเป็นเรื่องที่ แหม คือการใช้การรับรู้ทั้งทางตา หู จมูกลิ้น กาย ในอาหาร มันมีครบทุกรส กามคุณ 5 มันครบ ดีไม่ดีมันมีรสทางอัตตาด้วย คือติดยึดอย่างไม่รู้เรื่องเลย อัตตา ติดยึดอย่าง ไม่รู้เรื่องเลย เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้ตั้งแต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันเมาเลย เหมือนคนที่มันเมาเสพยา มันก็ไม่รู้เรื่องนี่คือพ่อคือแม่ คลั่งมาก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้ ไม่รู้เรื่องเลยติดยึด เมา ไม่รู้ความเสพติด ติดยึดคืออะไร แล้วทำให้ตัวเองหลง อย่างไม่รู้ว่ากินเพื่อที่จะยังขันธ์ แต่ไปติดเฉพาะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้ไปกินเพื่อยังขันธ์ กินหมากกินพลูนี้เพื่อยังชีวิตยังขันธ์ให้ต่อไปได้หรือเปล่า 

พวกคุณไม่เคยกินหมากกินพลูเลยเคยถามแล้ว ชีวิตพวกคุณสบายกว่าไปติดยึด หมากพลูอีก ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้นความรู้ตื้นๆแค่ไม่รู้จักว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องกินเพื่อยังขันธ์ แล้วก็มาหลอกคนว่ามันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ พูดกลบๆเกลื่อนๆไปที่กินหมากกินพลู มันไม่ใช่เรื่องเสพสิ่งเสพติดแต่มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ ถ้าจะให้อาตมาอธิบายตามความ เข้าใจที่อาตมารู้ก็คือ โมเมเพื่อให้เขาละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ก็เพื่อเลี้ยงธาตุขันธ์ ลึกเข้าไป กว่านั้นก็คือ คุณอยากกินต่างหาก แล้วคุณก็มาอ้างธาตุขันธ์มันอยาก ที่จริงธาตุขันธ์มัน ไม่ได้อยากหรอก แต่จิตนิยามของคุณต่างหากมันอยาก แล้วก็หลอกเอาไว้ว่านี่คือธาตุขันธ์ หลอกคนทั้งบ้านทั้งเมือง มหาบัวใช้ภาษานี้ว่ามันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ นี่คือหลอกคนไปอีก 

อาตมาไม่เชื่อว่ามหาบัวไม่รู้ เพราะเรียนบาลีมา เป็นมหาด้วย แค่เรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ไม่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าคนที่โกหกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหกไม่มีหรอกที่จะ ทำชั่วอะไรที่จะทำไม่ได้ ทำได้หมด ซึ่งก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร 

ที่ยกตัวอย่างนี้ขึ้นมาให้รู้ กวฬิงการาหาร ให้มันต่อกันไปจนกระทั่งถึงผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และ วิญญาณาหาร มันเชื่อมโยงกันหมดเลยนะ 

ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องวิญญาณ ก็จะรู้เรื่องในความสุขความทุกข์ 

วิญญาณาหาร พระสูตรนี้ชี้ให้เห็น ความทนทุกข์ทรมานของวิญญาณ พระราชาสั่งเจ้าหน้าที่ประหารโจร ด้วยหอก 100 เล่มเวลาเช้า โจรไม่ตาย เที่ยงก็เอาไปฆ่าอีกด้วย หอก 100 เล่มก็ไม่ตาย เย็นอีก 100 เล่มก็ยังไม่ตาย เพื่อที่จะยก ให้เห็นชัดๆว่า วิญญาณนั้นตายยาก ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แม้ว่ากำลังถูกประหาร ด้วยหอกเพียงเล่มเดียวก็เกินพอแล้ว หอกเล่มเดียวนี้ฆ่าชีวิตหนึ่งชีวิตตาย นี่หอกตั้ง 300 เล่ม ก็ยังไม่ตายอีก 

อุทาหรณ์นี้เทียบไปจนกระทั่งอาตมาว่า อาตมาใช้ปากหอกแทงไปเรื่อย แทงผู้ที่หลงผิดเหมือนโจรปล้นศาสนา ก็พูดผ่านไปอธิบายหมดแล้ว หอกอาตมาหักไม่รู้เท่าไหร่แล้ว นี่เกินกว่า 300 เล่มแล้ว จนอาตมาว่าโอ้..ตาย จนอาตมาจึงได้ชื่อว่า โพธิรักษ์ไอ้หอกหัก ไม่มีความสามารถที่จะใช้หอกแทงให้พวกนี้รู้สึกตัว หอกเล่มเดียวก็รู้สึกได้แล้วเจ็บได้แล้ว ทำไมถึงหนังเหนียวอย่างนั้น หนังเหนียวขนาดนั้น เจ้าประคุณเอ๋ย.. 

นี่แหละคือความไม่รู้ทุกข์ แล้วหลงทุกข์ว่าสุข เป็นพวกวิปลาส 

วิปลาส 4  มีอะไรบ้าง 

1.เห็นความไม่เที่ยง 2. เห็นความทุกข์ว่าเป็นความสุข 3. เห็นความไม่มีตัวตน ว่ามีตัวตน 4. เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็นเลย หลงว่า เป็นความน่าได้ น่ามี น่าเป็น 

เอาความไม่น่าได้ ไม่น่ามี  ไม่น่าเป็น มาพูดดูบ้าง 

 

ความทุกข์ 10 ประการที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้

คนเราเกิดมานี่ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ผู้ที่บรรลุแล้ว พระอรหันต์ทุกองค์ก็พูดแบบนี้ เห็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

พระพุทธเจ้าท่านแยกทุกข์ที่หลุดพ้นได้ เลี่ยงได้ 4 ประการ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 6 ประการ 

เพราะฉะนั้นทุกข์เท่านั้น ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ทุกข์ 4 ประการ หมดเลี่ยงได้หมดทุกข์ หมดสุขแล้วเพราะรู้เหตุมันดับไปแล้ว แต่ทุกข์อีก 6 ประการ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เลี่ยง ไม่ได้ 

ในทุกข์ 10 ประการ 

ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) 

1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย ใครก็เลี่ยงไม่ได้การเกิดก็เป็นทุกข์การแก่ก็เป็นทุกข์การเจ็บก็เป็นทุกข์การตายก็เป็นทุกข์นี่ เรียกว่า สภาวะทุกข์ สภาวะแปลว่า อันปรากฏ ปรากฏอยู่ให้เห็น 

2. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ 

3. อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .   ต้องขวนขวาย แม้แต่สัตว์ก็ต้องหากิน

4. พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ คนไม่ป่วยเลยตลอดจนตายไม่ปวดหัวเลยมันคงจะหายากอย่างน้อยก็ต้องป่วยบ้างอย่างนั้นก็ต้องเจ็บแก่มา ปวดขา ปวดแข้ง ปวดนั่นปวดนี่ เป็นพยาธิทุกข์

5. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้ วิปากคือวิบาก วิบากตามทันเราเหมือนหมาไล่เนื้อ มันจัดการทำให้เราทุกข์ อย่างอาตมานี้มีวิบากต้องไปรับทุกข์ ถูกแก๊สน้ำตา มันไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน ความเป็นพยาธิทุกข์เจ็บป่วยนั่นก็ทุกข์อยู่แล้ว เจ็บป่วยก็ทุกข์อาตมาเจ็บป่วยก็ทุกข์ ไอ้นี่วิปากทุกข์ วิบากมันตามมาถึงทัน โอ้โห แสบ ทุกข์ทรมานทรกรรม 

6. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่  

เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมามีรูปนามขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า จะพ้นทุกข์ได้จริงๆต้องไม่เกิดมามีรูปนามขันธ์ 5 สลายจิตวิญญาณ สลายอัตตาเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ สุดยอดแห่งการตรัสรู้เลย รู้วิธีทำ รู้วิธี รู้จักจิตนิยาม รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ รู้จักเหตุให้เกิดจิต ดับเหตุเสียได้ทุกอย่างสลายเป็นดินน้ำไฟลม อันนี้ก็คืออยู่ในทุกข์ที่เลี่ยงได้ แล้วมันจะพาให้ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้นั้น เลี่ยงได้ด้วย อีก 4 อันที่เลี่ยงได้ ในขณะที่คุณยังเป็นๆ 

ทำไมพระพุทธเจ้ารู้ว่าทุกข์ที่เลี่ยงได้ ถ้าคุณไม่มีชีวิต คุณจะรู้ได้ไหม ... ไม่ได้ จึงต้องมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นก็ค้นคว้าในขณะมีชีวิตว่า อ๋อ…มันเลี่ยงได้ ก็คือ อริยสัจ 4 

ทุกข์อริยสัจ คือ ทุกข์ที่เลี่ยงได้ เมื่อสามารถปฏิบัติจนหมดทุกข์ที่เลี่ยงได้นี่แล้ว มี

ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้) 

7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น) คือ คุณอวิชชา คุณโง่ คุณไม่รู้ คุณก็ไปมีทุกข์มีโศก ไปโศกทำไม ไปพิรี้พิไรอยู่อะไรต่างๆอยู่ทำไม ไปคร่ำไปครวญ แล้วก็ไปหลงโง่ ไปทุกข์โทมนัสอะไรอยู่กับมัน จะเหลือเศษทุกข์ อุปายาสะ ต้องเรียนรู้มาให้ได้มันเป็นปกิณกะทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย 

 

8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา) ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส เราสามารถดับเหตุคือ ราคะ โทสะ โมหะได้ นี่ก็เลี่ยงทุกข์นี้ได้แล้ว 

9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)  เป็นความทุกข์ที่ยังพัวพัน ยังเกี่ยวข้องอยู่ เหมือนกับพวกมหาเถรสมาคมยังต้องไปเกี่ยวข้อง ไปมีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่อย่างนั้น ทั้งที่มันเลี่ยงได้ ไม่ต้องไปเอา 

พระพุทธเจ้าเกิดมามีลาภ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มียศ มีสรรเสริญมีสุข พระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นมาเมื่อรู้ตัวแล้วไม่เอาเลยก็ทิ้งเลย เดินออกมาตัวเปล่าเลย 

มาถึงก็พบพระเจ้าปเสนทิโกศล บอกว่าอย่างนี้ดีจังเลย มาบริหารประเทศด้วยกันจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็บอกไม่เอาแล้วพระเจ้าข้า   ครึ่งหนึ่งของแคว้นโกศลมันใหญ่กว่าแคว้นของพระพุทธเจ้าคือแคว้นกบิลพัสดุ์นะ แคว้นกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้านั้นแคว้นเล็ก แคว้นโกศลกับแคว้นมคธเป็นแคว้นใหญ่ 

ไม่เอาเลยพระพุทธเจ้าไม่เอา มันชัดเจนทุกอย่าง เขาให้แผ่นดินยังไม่เอาเลย ให้ยศศักดิ์ที่ใหญ่ต่างๆไม่เอาเลย เขาเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ใหญ่กว่าเก่าก็ไม่เอา ยศศักดิ์อะไรต่างๆนานาก็ไม่เอา เพราะฉะนั้นคนที่ยังหลงติดยึดในยศศักดิ์ก็ยัง ยังเป็นสหคตทุกข์

10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า) เป็นทุกข์จากเหตุทะเลาะวิวาท

พ่อครูว่า... อาตมาถูกเถรสมาคม ถูกมหาประยุทธ์ มาชวนทะเลาะวิวาท อาตมาไม่เคยมีจิตทะเลาะวิวาทกับมหาประยุทธ์เลย ท่านเขียนหนังสือว่าอาตมาเล่มแรกออกมา อาตมาก็เขียนจดหมายขอบคุณท่านไปแล้ว ท่านคงนึกว่าไอ้นี่ประชดนะโพธิรักษ์นี้ หนอย..ด่ามันแท้ๆมันยังเขียนขอบคุณ ท่านก็เลยออกเล่ม 2 เล่ม 3 มาอีก ท่านก็บอกว่าจะเขียนต่ออีกนะ จะก่น เอาสิ่งที่ท่านว่าอาตมาผิดอย่างมหาศาลเลย ท่านจะเขียนต่อ แต่ท่านอย่างไรไม่รู้ พอเล่ม 3 ท่านก็หยุด 

อาตมาก็ว่า เออนะ ถ้าจะพูดคำว่า ทะเลาะ ก็คือ ปะทะกัน ท่านปะทะอาตมา เพราะท่านไม่รู้ว่าอาตมานี้เป็นตัวถูก ท่านไปหลงผิด ตรงที่ว่าอาตมามันยังใช้ภาษาไม่ถูก แรกๆต้นๆใช้ภาษาบาลี แปลบาลีไม่ถูก ก็ท่านเป็นเจ้าแห่งผู้รู้ไง ท่านก็มีอัตตามานะของท่าน ท่านก็ซัดอาตมาเลย ท่านมีชื่อในทางนำ เพราะใครก็ต้องนับถือว่าท่านเป็นผู้นำทางด้านศาสนา ตอนนั้นทางเถรสมาคมก็เอาเลย นั่นเป็นวิบากของอาตมา วิปากทุกข์

ท่านมาทะเลาะอาตมา แต่จริงๆแล้วอาตมา มันเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มันเป็น วิปากทุกข์ เป็นวิบากของอาตมาที่ต้องได้รับทุกข์อันนี้ มันเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้มันเป็นวิบาก 

โพธิสัตว์มีวิบากพวกนี้ทั้งนั้น เพราะโพธิสัตว์จะต้องตำหนิ ตำหนิถูกด้วยนะ แต่ก็เป็นวิบาก นี่ก็คือวิบาก เศษวิบาก เศษวิบากก็ยังไม่ใช่เบา โอ้โห  ต้องใช้เวลานาน แต่อาตมาไม่ได้ทุกข์อะไรหรอก ที่ถูกเล่นงาน ไม่ได้ทุกข์อะไร 

ที่อาตมาไม่ได้ทุกข์เพราะว่าอาตมารู้ว่าเป็นวิบากของอาตมา อาตมารู้ โดยเฉพาะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจทุกข์ 10  อย่างเหล่านี้ดีหมด ถ้าหากไม่เข้าใจทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ออกจากทุกข์ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ได้อย่างไร ก็รู้แต่ว่าเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ก็ยอม ทุกวันนี้ ยอมเกิดมาเป็นโพธิสัตว์ ตายแล้วเกิดอีกก็ต้องทุกข์ มีขันธ์ 5 ก็ต้องเป็นทุกข์แล้ว ต้องเลี้ยงดูมันต้องหางานให้มันทำ งานที่เรา ก็สมัครใจ งานโพธิสัตว์นี่ก็สมัครใจ 

คนเข้าใจเห็นใจว่า อาตมาทำงานนี้เป็นงานใหญ่งานหนัก แต่เหมือนหนีงานหนักมา สมัครงานเบานะ ที่อาตมามาทำงานนี้แต่ที่จริงเป็นงานหนักมาก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคที่เสื่อม ศาสนาพระพุทธเจ้าเสื่อมมาก ก็ยังหนักมากเลยเป็นงานที่ยากมาก 

ที่พูดนี้ใครจะเข้าใจได้ก็ดี เข้าใจเก่งๆก็ดี เข้าใจไม่ได้ก็ผ่านไปนะ มันเป็นงานที่โพธิสัตว์ได้ทำงานที่ยากมาก  ยากชนิดที่คนมองว่า มันเบา มันเหมือนได้รับความยอมรับนับถือ 

อาตมานี้ได้รับความยอมรับนับถือ เชิดชูยกย่อง อย่างทุกวันนี้ไปไหนมาไหนจะกินจะอยู่  โอ้โห…อาตมามาพ้นทุกข์ที่ว่า อาตมาไม่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมานี่จะได้รับบริการเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวเท่านั้นเอง  มันไม่เป็นกระบวนการ แต่เท่าๆกันนั่นแหละ แต่อาตมาต้องมาทำงานอย่างนี้ซ้อน อันนี้อาตมาก็ยังอธิบายไม่เก่ง ที่พูดไปเมื่อกี้นี้ 

ถ้าเข้าใจว่า อาตมานี้ลำบากชนิดหนึ่งทางนามธรรม และนามธรรมของอาตมา ไม่ต้องตะลอนๆเหมือนในหลวง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตะลอนทั่วประเทศ ท่านหนักอย่างเห็นเป็นรูปธรรม แต่อาตมานี้หนักอย่างนามธรรม ไม่ต้องตะลอน แต่โอ้โห…จะช่วยประชาชน ท่านก็ช่วยประชาชน เห็นไหมมันซ้อน มันต่างกันชัดเจน 

ซึ่งท่านทำอยู่ 70 ปี ท่านก็ไปแล้ว อาตมาก็ต้องทำสัก 70 ปีให้ได้ นี่เพิ่งทำมา 53 ปี อีกเท่าไหร่ อีก 17 ปี อายุ 105-106 ปี ประมาณนั้น

ไม่รู้จะเท่าหรือไม่เท่าท่านไม่รู้ได้ ก็ไม่รู้นะก็พากเพียรอยู่ เพื่อจะทำงานนี้ให้ได้ แต่ไม่ได้ไปแข่งดีแข่งเด่นอะไรกับในหลวงหรอก เพราะว่าอาตมาไม่จำเป็นต้องแข่ง เพราะว่าท่านก็ทำของท่านไป อาตมาก็ทำของอาตมาไป แต่มันช่วยมนุษยชาติทั้งคู่ คนหนึ่งทำรูป คนหนึ่งทำนาม อาตมาทำนาม ท่านทำรูป ก็ทำไป นี่ก็อธิบายสู่ฟังประกอบไปเรื่อยๆ 

 

คนจะชมพระพุทธเจ้าและอาริยสาวกว่ามีศีล คือการชมที่ต่ำที่สุดแล้ว

วันนี้อธิบายธรรมะอะไรต่ออะไรไป พิสดารต่างๆ เอาอันนั้นมาขยาย เอาอันนี้มาขยาย สรุปแล้วศาสนาพุทธนี้ ที่เรียนรู้สุขเรียนรู้ทุกข์ เป็นโลกุตรธรรม ที่อาตมาเคยแยกให้ฟังว่าเทวนิยมไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เพราะเขาไม่รู้จักเรื่องจิตวิญญาณ และก็ไม่พ้นสุขทุกข์ 

 เพราะเทวนิยมไม่ได้เรียนรู้จิตวิญญาณ ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์จะเวียนตายเวียนเกิด แม้จะได้เกิดเป็นศาสดาก็ต้องเวียนกลับมาเป็นกระยาจกอีกแล้วก็ไม่เป็นศาสดาไป เป็นกระยาจกอีกไม่เที่ยง แต่เขาไม่รู้    

ส่วนพุทธนั้นเที่ยง แม้จะเป็นเรื่องไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ทำให้เที่ยงได้ ในสิ่งที่เที่ยง เช่น เป็นผู้ที่ทำความดีเที่ยง ไม่ทำความชั่วอีกเลย อย่างนี้เป็นต้น  เพราะดับเหตุ  จะเกิดอีกชาติหน้าก็ไม่ทำความชั่วอีก จะเกิดอีกชาติไหนก็ไม่ทำความชั่วอีก อย่างอาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไร มีแต่เสียสละ มีแต่ช่วยเหลือ เฟือฟายผู้อื่น เกิดมาก็ต้องเลี้ยงน้องแล้วมาเสียสละ แล้วก็ยังอุดหนุนจุนเจือคนอื่นอีก เลี้ยงคนอื่นอีกอะไรต่ออะไรต่างๆนานา 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า มันชัดเจนที่ตัวเองนั้นชัดเจน เกิดมาแล้วความดีเที่ยง ไม่ทำชั่วทำแต่ดี ที่สำคัญคือ รู้สุขรู้ทุกข์ อันนี้แหละเป็นเรื่องตัดสินว่า ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักสุขรู้จักทุกข์ พ้นสุขไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าสุขทุกข์ มันอันเดียวกัน พ้นไม่ได้ ศาสนาพุทธรู้สุขรู้ทุกข์  พ้นสุขพ้นทุกข์ 

แล้วเมื่อรู้สุขรู้ทุกข์  รู้จิตวิญญาณ  รู้จิตนิยาม ชัดเจนแล้วว่ามันคืออะไร จะให้มันไม่เป็นจิตนิยาม ไม่ให้เป็นจิตเลย ทำตั้งแต่ตอนเป็นๆนี่ ทำให้มันเป็นแค่ลักษณะของพืช พืชนี่คือไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ไม่มีบาปไม่มีบุญแล้ว นี่คือฐานอรหันต์

ทำจิตให้เป็นพีชะ ให้เป็นพืช นี่คือฐานอรหันต์ แต่มันมีจิต จิตนั้นคือปัญญา เพราะฉะนั้นก็เลยทำจิตของตนเองให้เป็นพืช ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่บาปไม่บุญ มีแต่ประโยชน์อย่างเดียว เหมือนกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันไม่มีโทษหรอกแค่คนหรอกมีแต่ประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เวลาที่ 1.40.00

นอกจากจะทำจิตให้เป็นพืชได้แล้ว ยังทำจิตให้เป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมได้อีกด้วย นี่คือความรู้สุดยอดแห่งความรู้ จัดการจิตของเรานี่ จึงเป็นการพิสูจน์ว่า จิตวิญญาณไม่ได้เป็นของพระเจ้า พระเจ้าจะมาบงการไม่ได้ไม่รู้เรื่องเลยหรอ พิสูจน์ได้ว่าจิตวิญญาณเป็นของเราเอง จิตเราเอง ทำได้แล้ว ก็สลายหายไปเลยไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า ตายไปแล้วสลายเป็น ดินน้ำไฟลมไปเลย 

เขาไม่มีบัญชีของสุวรรณ สุวาน เพราะเขาไม่มีความละเอียดละออถึงขนาดนั้น ถ้ามีสุวรรณ สุวาน ก็จะบอกว่าทำไมคนนี้ไม่มาเข้าบัญชี ตายแล้วไม่มาเข้าบัญชี ไม่รู้เรื่องเลย พูดไปแล้วมันก็เหมือนกับข่มศาสนาเทวนิยม ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ข่ม แต่มันชัดเจน มันเป็นความจริงของศาสนาพระพุทธเจ้า มันเหนือกว่าอันนั้น 

เพราะฉะนั้นจึงสามารถมีนิพพาน ผู้ที่บรรลุนิพพานแล้ว จะยังชีวิตอยู่อีกต่อไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ จะเป็นโพธิสัตว์ถึงขั้นจะรื้อขนสัตว์ให้ หมดโลกก่อนแล้วถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นคนสุดท้าย ตามปณิธานคือ พระอวโลกิเตศวร นิมนต์ หรือเจ้าแม่กวนอิมเป็นอวตารของท่าน 

จริงเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นเหมือนสมมุติแต่มันก็เป็นปรมัตถ์ที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นผู้รู้จบโพธิสัตว์ก็รู้อันนี้ชัดเจน แล้วก็ทำให้เป็นเช่นนี้ได้ อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำ 

อาตมาพูด อาตมาอธิบายและบอกความจริงยืนยันอันนี้ อาตมาทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

พ่อครูว่า... อาตมามีอันนี้มาแต่ชาติก่อน มีโลกุตระธรรมมาแต่ชาติก่อน อาตมากล่าวไม่ได้ มังกุไม่ได้เก้อเขิน มันบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรสะดุด ไม่ใช่คนน่าอายนะมาไม่รู้จะอายอะไรอาตมาไม่ได้ทำสิ่งผิดพลาด ไม่ได้โกหกไม่ได้มาหลอกลวง อาตมาพูดความจริงและยุคนี้อาตมาต้องประกาศความจริง คนไม่กล้าประกาศความจริงเพราะคนมีจิตยังไม่อาจหาญแกล้วกล้ามั่นใจ คุณไม่กล้ากล่าวความจริงหรอก แล้ว ยิ่งความจริงที่อาตมากล่าวนี้เป็นอุตริมนุสธรรม ถ้าอาตมากล่าวไม่จริง อาตมาเป็นปาราชิก อาตมาไม่โง่ที่จะทำตัวเองปาราชิก แน่นอน เพราะฉะนั้นผู้ไม่รู้ก็หาว่าอาตมามาอวดตัวอวดตน อาตมาไม่มีการอยากอวดตัวอวดตน ไม่มี 

สิ่งเหล่านี้เป็นคำจริงที่อาตมาเองนี่ พูดจริง

ในความจริงที่อาตมากล่าวนั้นเป็นความจริงที่มีในอาตมา 

ในคำนั้นหาได้ในตัวอาตมา อาตมาทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง 

แล้วก็ไม่ใช่อยากจะอวดตัว ไม่มี ซึ่งมันเข้าใจยาก ก็มันอวดอยู่ทนโท่  มันชมว่าตัวเอง ดีมันไม่ใช่อวดหรือไง เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าอวดไม่ได้ อวดมันมีจิตอยากอวดอยากโอ่ อาตมามีการรู้จิตของตัวเองว่ามันมีอาการอยากอวด อยากโอ่เป็นอาการอย่างไร  ลิงค นิมิต มันเป็นอย่างไร มันแตกต่างอย่างไรโดยคำพูดที่กล่าวไปไม่มีจิตอวดโอ่เลย กับที่มีอยากอวดโอ่แม้นิดแม้น้อย ยังเหลือเศษ แม้นิดแม้น้อยอยากอวดอยู่คืออะไร อาตมาก็ต้องรู้ของอาตมา 

เพราะอาตมาไม่มีอยากอวดแม้นิดแม้น้อย ไม่มี ที่กล่าวชมตัวเองสูงสุดอย่างโน้นอย่างนี้ จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัส ใน พรหมชาลสูตร คนจะชมเราก็ชมว่าเราเป็นคนมีศีล คำอื่นยังไม่ใหญ่โตเลย คำศีลนี่ ยังน้อยนิดนักที่เป็นคำชมเรา ศีลนี่ยังน้อยยังต่ำนัก เรายังมีดีกว่านี้อีกมาก ศีลนี้เป็นเบื้องต้นในคำชม 

เพราะฉะนั้นถ้าใครชมคนว่าเป็นคนมีศีลนะ เริ่มต้นแล้ว ถ้าคนยังไม่มีศีลเลย ให้ชมได้ แม้ศีลข้อ 1 หรือศีลข้อ 2  ศีล 3 ข้อ คนนี้ยังไม่ใช่คน คนนี้ยังต่ำกว่าคน คนที่ไม่มีแม้ศีล 3 ข้อนี้ต่ำกว่าคน นี่คือคำจริงนะนี่ พูดความจริงไม่ได้ไปว่า ไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นคนจะมีความเป็นคนได้ตามหลักธรรมศาสนาพุทธแล้ว คุณต้องตรวจสอบว่าคุณมีศีล 3 ข้อนี้หรือไม่ มันยังมีนิดมีหน่อยยังได้บ้าง ยังเหลือเศษ ยังไม่บริสุทธิ์ มีจริง 

ข้อ 1 คือจิตที่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เวลาที่ 1.50.00

ศีลข้อ 1 ถ้าผู้ใดยังไม่มีเลย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเลย เป็นคนที่โหดร้าย เป็นคนฆ่าคนได้ คนที่ฆ่าคนได้นี้เลวสุดแล้วในคน เพราะฉะนั้นไปฆ่าสัตว์ก็เลวรองลงไป 

อาตมาเคยอธิบายไว้ เมื่อเกิดมาเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์ แม้แต่จะเป็นสัตว์เซลล์เดียว สัตว์เซลล์เดียวอันนี้จะพัฒนาไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้คุณอย่าไปทำร้ายเขา เขากว่าจะเกิดมาเป็นจิตนิยามได้ เริ่มเป็นเซลล์เดียว เริ่มเป็นสัตว์ก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดได้ง่ายๆที่จะมาเป็นสัตว์ ไม่ได้เกิดได้ง่าย ดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็เกิดไปของมันอยู่ตลอดกาลนาน นับเวลานับกาละได้ที่ไหนเล่า แม้แต่มาเกิดยกระดับเป็นชีวะเป็นพืชแล้ว มันก็เป็นพืชอีกนานเท่าไหร่กว่าจะมาเป็นสัตว์ได้  นี่คือวิทยาศาสตร์ Biology ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เป็นชีววิทยาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางโลกจะไปสู้พระพุทธเจ้าได้ที่ไหน ท่านรู้ที่มาที่ไปที่เกิดของระดับพวกนี้ แยกให้เห็นเลย แล้วพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากสภาวะ 2 ปรุงแต่งกันเป็น เป็นอุตุ มันก็ปรุงแต่งกันไปจนกระทั่งเป็นปรมาณูใช้กันอยู่ทุกวันนี้ปรุงแต่งเป็นพืชก็ปรุงแต่งกันไป จนกระทั่งเป็นสถานะหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมนุษยชาติ ไม่อาศัยมันก็ประดับเป็นธรรมชาติของมันไป  มันก็ทำหน้าที่ของมัน จะกรองอากาศ จะหมุนเวียนอะไรของมันก็เป็นพืช เป็นคนนี่แหละ เป็นตัวร้ายหรือตัวดี เป็นคนนี่แหละคือตัวร้ายตัวดี

พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนสุดท้ายไม่เป็นแล้วตัวร้าย เป็นแต่ตัวดี แล้วจนกระทั่งสูงกว่า ไม่เป็นตัวร้ายเป็นแต่ตัวดีแล้ว รู้เลยว่า ถ้าเราจะอยู่เป็นชีวะ หลักประกันก็เป็นคนดีที่สุด เกิดมาอีกกี่ชาติ กี่ชาติ ไม่ชั่วเลย  มีแต่เป็นประโยชน์ในโลก เป็นหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1 

ส่วนพืชพันธ์ุธัญญาหารนั้น ไม่ต้องไปอะไรเขาหรอก เพราะเป็นธรรมชาติที่เกินกว่าเราจะไปกำหนด จะไปแปร เปลี่ยน ไม่ต้องไปศึกษา ก็ศึกษาเพื่อที่จะปลูกมาเพื่อกินเพื่อใช้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรจนเกินการ แต่มาศึกษาตัวสำคัญคือความเป็นสัตว์มนุษย์ นี่แหละมันเป็นดีก็ดีสุดเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้า มันเลวก็เลวสุด เท่ากับเป็นจอมจตุมหาราช เขี้ยวงอก ตาโปน ถืออาวุธ นี้โบราณนะ สมัยนี้ก็เป็นระเบิดปรมาณู แล้วก็ตาโปน แล้ว ก็เสแสร้ง ญาติดีจะสัมพันธ์อย่างนั้นอย่างนี้กัน แต่ข้างหลังนี่เป็นหอกทั้งนั้น เขาไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมพวกนี้ 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่า ถ้าประเทศไทย ทำตัวเป็นกลาง  เป็นกลางให้ได้ ประกาศในโลกเลยว่าเป็นกลาง ไม่ทะเลาะกับใคร เราจะสร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร เท่าที่มีเลี้ยงโลก แล้วคุณทำคุณธรรม ประเทศไทยทำคุณธรรมอันนี้ให้ได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงโลก ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้เป็นโลกุตระให้ได้ เป็นคนไม่ต้องไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเป็นคนมีวรรณะ 9 ได้จริง แล้วจะได้มาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้หมดแล้ว  เราจะทำได้ ชาวอโศก เราทำสาราณียธรรม 6 ได้ทำวรรณะ 9 ได้ พิสูจน์ว่าในยุคนี้ก็ยังทำได้คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ท่านสอนอย่างนี้พูดว่าอย่างนี้เป็นอนุสาสนีแล้วทำได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เหนือชั้นกว่าเหาะเหินเดินน้ำดำดิน เหนือชั้นกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ เหนือชั้นกว่าการหยั่งรู้จิตเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ เพราะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติจริง ไอ้นั่นเป็นโทษ อิทธิก็เป็นโทษ อาเทศก็ เป็นโทษ อย่างนี้เป็นต้น 

คำสอนพระพุทธเจ้านี้เราพิสูจน์ได้หมด เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เอาคนมามีศีล มีที่ไหนบ้างล่ะคนมีศีลทั้งสังคม ชุมชนอโศกมีศีลกันทั้งสังคม ใครเข้ามาที่นี่ต้องถือศีลทั้งนั้น ไม่ใช่ทางเถรสมาคมจะพยายามสร้างชุมชนมีศีล ก็ไม่สำเร็จ ชุมชนมีศีล เขาทำไม่ได้

นอกจากมีศีลแล้วมีสมาธิที่เป็นสมาหิตะด้วย ไม่ใช่ไปเป็นสมาธิไปนั่งหลับตามิจฉาทิฐิด้วย แต่เป็นจิตที่ตั้งมั่นด้วยการกระทบสัมผัสโลกธรรมต่างๆ พวกคุณนี่ โลกธรรมข้างนอกหลุดพ้นมาได้หรือยัง เห็นไหมหลุดพ้นมาได้เป็นขั้นๆๆ จริงจังเลยพิสูจน์ได้ นี่คือจิตตั้งมั่น มีปัญญารู้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญญาไปเป็นเปรียญ 9 ไปเป็นดอกเตอร์ ไปเป็นอะไรเฉยๆ แล้วก็ได้ตำแหน่งได้เป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่เลย พูดไปพูดมาเลยเป็น 2 ทุ่ม 4 นาทีแล้ว ก็เอาละกำลังก็ยังดียังไปได้ควรแก่เวลาเอา เจริญธรรมทุกคน 

จบ     

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 08 มีนาคม 2566 ( 21:38:24 )

660310

รายละเอียด

660310 พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

https://www.boonniyom.net/53014.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1xu95Ipk0GR0Yp2VhioddJvSmmn9jrEbINyVrahuVjyE/edit?usp=sharing                             

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DIyaXmbWbTJotGQSHnSzxSI6dAtbvWYq/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/HtzJhMoulHY 

และ https://fb.watch/jaXrDnyoJ6/ 

 

หลักฐานยืนยันความจริงที่ถูกต้องตรงธรรมในคำสอนพ่อครู

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ ชวด ฉลู ขาล เถาะ ก็เป็นปีที่ 4 เหมือนกันวันนี้ตอง 4 อาตมาก็คงจะได้เทศน์ในงานพุทธาภิเษกฯ วันนี้เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ก็จะสรุปงานกัน โดยเฉพาะรายการตอนเย็น 6 โมง อาตมาเทศน์ นอกจากพาเปิดงานในตอน 9:00 น ถึง 10:00 น. แล้วก็เทศน์ 6 โมงวันเว้น เดี๋ยวนี้เขาให้วันเว้นวัน ก็ได้ประมาณนี้ 

แข็งแรงขึ้นมาเต็มที่อีกเมื่อไหร่ล่ะก็ ... มันมีเรื่องที่จะต้องพูด ที่จะต้องอธิบายละเอียดลึกซึ้งไป เห็นความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะ แต่ก็มีต้น ถ้าเผื่อว่าจับต้นแล้วก็ชนปลายหมด จับต้นแล้วก็มีการสังเคราะห์ สัมพันธ์กันเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งถึงปลายสุดจบ จบแล้วก็ยังมีจบหลายจบอีก จบสูงสุดที่สุดก็เป็น พระพุทธเจ้า จบรอบแล้วรอบเล่า ๆ อีก อาตมาก็ยังไม่ถึงจบสุดท้ายสูงสุด ยังมีปณิธานเต็มที่อยู่ที่จะต้องพากเพียรเกิดอีกเกิดแล้วเกิดอีก แม้ตายแล้วชาตินี้ชาติหน้าก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

รู้หมดแล้วไม่มีปัญหาเลยเพราะว่าได้เข้าใจและดับโลก ดับอัตตา สำหรับโลกตั้งแต่โลกหยาบ โลกอบาย โลกกามารมณ์ โลกรูปารมณ์ แม้แต่โลกอรูปารมณ์ ซึ่งเป็นโลกในระดับต้นในภาษาต้นๆหยาบๆ อาตมาก็เข้าใจตั้งแต่ภายนอกเข้ามาถึงภายใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะต่างๆ ย่อยละเอียดไปจนถึงกระทั่งอุทธัจจะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา จนกระทั่งจบด้วยอวิชชา เป็นวิชชา

ก็ชัดเจน เข้าใจหมดทั้งปัญญาและตัวดับ ตัวที่ดับคือ อาการ ลิงค นิมิต ของจิตเจตสิกต่างๆ ก็สามารถทำได้จริง อาตมาก็บอกแล้วอาตมาพูดไป ที่พูดไปนี้เป็นความจริงที่รายงานความจริง ไม่ได้อวดตัวอวดตน แต่มันเป็นเรื่องสูง เป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องธรรมะในระดับอาริยธรรม ที่คนยุคนี้เขาเสื่อมไปจากอาริยธรรม ชาวพุทธเองแท้ๆก็เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมเสื่อมไปจากอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์เอาไว้แล้วใน อาณิสูตร ว่ามันจะเสื่อม อาตมาก็กลับมากอบกู้ นี่ก็พูดซ้ำพูดซาก เคยพูดมาแล้วไม่รู้กี่ที 

ก็พูดมาอาตมาไม่มีครูอาจารย์ มีของตนเองและมีหน้าที่ที่จะมากอบกู้มาทำ เป็นไก่ตัวพี่ในชาตินี้ ที่จะต้องกอบกู้โลกุตรธรรมที่มันเสื่อมไปจริงๆตามคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้น ยืนยันกันจริงๆ ถ้าผู้รู้แล้วก็ให้พิสูจน์จากสิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็นจริง 

1. คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ยังโชคดีที่มีพระไตรปิฎก และก็ยังนับถือพระไตรปิฎก ฉบับนี้แหละ ฉบับสยามรัฐที่เราใช้กันอยู่ เป็นพระบาลี ก็ยังถือเล่มเดียวกันอยู่ เชื่อถือกันว่าถูกต้องหมด ใช้ได้ แม้ผู้ไม่รู้ท่านจะบอกว่าจะฉีกทิ้งเท่านั้นเท่านี้ส่วน ก็เป็นเรื่องความไม่รู้ของท่าน แต่ผู้รู้ รู้จริงๆ จะไปฉีกทิ้งทำไมเพราะมันใช้ประโยชน์ได้ แล้วเอามาปฏิบัติได้ด้วย 

นอกจากพระไตรปิฎกยืนยันแล้วข้อ 2. ผู้ที่ขยายความ อธิบาย สาธยายเป็นอุเทศเป็นนิเทศต่างๆ จากคำสอนพระพุทธเจ้า จากพระบาลีตัวเดียวกันก็ได้ แต่เอามาอธิบายแล้วต่างกัน 

อย่างอาตมาอธิบายต่างกัน อันนี้ก็เป็นข้อยืนยัน พระบาลีอันเดียวกันของพระพุทธเจ้านั่นคือของพระพุทธเจ้าอันเดียวกันนะ ถูกแล้วเป็นของพระพุทธเจ้า  ไม่ได้แย้ง เป็นของพระพุทธเจ้าเอง แต่คนชาวพุทธยุคนี้มาอธิบายอย่างนั้น แม้เป็นคณะใหญ่ เป็นผู้ที่ได้เรียนมากรู้มาก จบเปรียญ  จบด็อกเตอร์ทางศาสนา จบในนี้ ด็อกเตอร์ในมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาเองในเมืองไทย หรือไปจบมาจากเมืองนอก พุทธศาสนาจากเมืองนอก ซึ่งอาตมาก็บอกแล้วว่าคนไปจบพุทธศาสนาจากเมืองนอกมานั้น มันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องไปเชื่อมั่นได้ว่า มันถูกต้องเพราะว่า ศาสนาของเมืองนอก ผู้ที่สอน อาจจะเป็นพุทธ แต่ไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นไทย ไม่ได้อยู่ในเมืองไทย 

แม้แต่คนไทยที่อยู่ในเมืองไทยก็ไม่ได้เรียนน้อยเรียนต่ำกว่า ที่เขาคร่ำอยู่ในตำราของชาวพุทธเป็นชาวต่างชาติหลายคน อาตมาจำชื่อได้ไม่ค่อยเต็มไม่ค่อยถูก ก็ไม่อยากจะกล่าวถึงเท่าไหร่ ที่เขาอ้างอิงถึงผู้รู้ทางศาสนาพุทธ แล้วก็ยังยึดถือกันมา 

ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ทางท่านผู้ที่รู้มาก่อนท่านอธิบายไว้ อย่างที่มีมาก่อนอาตมาจะมาแสดงตัว มาแสดงธรรม ท่านแสดงไว้ว่าอย่างนั้น แต่อาตมามาแสดงตัว มาแสดงธรรมกลับเห็นว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ก็แย้งกัน แย้งกันท่านก็ถือว่าผิด ท่านถือว่าอาตมาผิด จึงมีเหตุการณ์ที่ท่านจะจัดการอาตมา เพราะถืออาตมาว่าจะมาเป็นกบฏต่อศาสนาพุทธ จะมาล้มล้าง จะมาเปลี่ยนแปลง จนเกิดเหตุเกิดเรื่องอย่างที่มันได้เกิดมาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ 2532  พ.ศ.2525 ก็เป็นพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ เป็นผู้จุดชนวน พ.ศ 2532 มหาประยุทธ์หรือท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตำแหน่งของท่านปัจจุบันนี้ เป็นผู้จุดชนวน 

เสร็จแล้วจนกระทั่งก็ต้องสู้ไปจนถึงขั้นออกนอกพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คือไปให้ฆราวาสตัดสินธรรมะพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่เรื่องของคดีโลก เป็นคดีธรรม แต่ทางโน้นไปให้ทางศาลของฆราวาสเป็นผู้ตัดสิน ก็ตลกดี อาตมาก็แพ้ เพราะว่าทางโน้นมีพลัง มีอิทธิพล มีอำนาจ มีอะไรต่ออะไรที่เยอะแยะ ซึ่งก็มีเหตุการณ์นะไอ้ตอนแพ้นี่ ผู้พิพากษาจะออกมาอ่าน แต่ก็มีคนที่มาเอาใบที่จะอ่านกลับไป และได้รับใบอ่านมาอ่านใบใหม่ มันมีหลักฐานอยู่นะมันมีภาพมีอะไรให้เห็นอยู่ กับผู้ที่เห็นๆกัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันมีอะไรถ่ายไว้ โทรทัศน์ก็คงไม่ได้ถ่ายไว้เพราะยังไม่ถึงยุคมีโทรทัศน์กัน แต่คงไม่มีใครไปถ่ายภาพเพราะว่าเขาห้ามถ่ายภาพอยู่ในศาล แต่อาตมาไม่ได้พูดความเท็จหรอก พูดความจริง ก็เห็นลีลานี้อยู่ เห็นผู้พิพากษาก็หน้าตาชอบกลอยู่ มันเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันต้องใช้ปฏิภาณปัญญามาก อาตมาก็สงสารผู้พิพากษา ก็ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ก็แล้วไป สรุปแล้วก็เป็นผู้ผิด ตัดสินให้ต้องติดคุก แต่รอลงอาญา ก็อยู่นอกคุกไปจน 2 ปีก็จบไป พอ 2 ปีครบแล้ว มันก็หมดคดี หมดคดีแล้ว จะหาเรื่องอีกก็คงไม่ได้แล้วเพราะถือว่าหมดแล้ว 

ทางธรรมวินัยนั้น อาตมาก็ยืนยันเด็ดขาดว่าอย่างนี้ และที่สำคัญก็คือที่พูดไปแล้วเมื่อกี้ว่าพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าเป็นหลัก 

2. คำอธิบายของ 2 ฝ่าย ทีนี้ก็ข้อที่ 3

3.คนตัดสิน ประชาชนพุทธศาสนิกของศาสนาพุทธเหมือนกันเป็นผู้ตัดสิน แต่ถึงตัดสินนั่นแหละอาตมาก็ยังมีส่วนน้อยอยู่ดีเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่เพราะฉะนั้นจะเอาส่วนปริมาณส่วนน้อยนี้เป็นเครื่องตัดสินก็ไม่ได้ 

ก็ต้องไปเอาที่ลึกกว่านั้นคือแล้วคำที่อาตมาอธิบายมันเป็นอย่างนี้เช่น คนต้องมาจนต้องมาลด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข  ต้องมีวรรณะ 9 แล้วจะเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็พูดหลายครั้งแล้วย้ำซ้ำซาก ทำได้จริงไหม 

วรรณะ 9 คนจะเป็นได้จริงไหม และสาราณียธรรม 6 จะมีชุมชนสังคมแบบนั้นได้ไหม ที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบ อบอุ่น อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สูงสุดคือไม่มีตัวตน ไม่ยึดเป็นของตัวของตน 

ลาภ ยศ สรรเสริญ  ดูชัดๆก็คือวัตถุ ลา ภ ยศ ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง ตั้งแต่มันมีสิ่งแทนธนบัตร เงินทอง ข้าวของ เพชรนิลจินดา วัตถุ ที่ดิน บ้านช่องเรือนชานอะไรต่างๆ มันลงตัวมันชัดเจนไหมว่าเป็นของกองกลางที่ไม่ได้แย่งได้ชิงกัน ไม่ได้ปล้นได้จี้อะไรกัน ไม่ได้คดีแย่งชิงปล้นจี้อะไรกัน ที่จะเป็นคดีขึ้นโรงขึ้นศาล 40-50 ปี อโศกเราไม่เคยมีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลแย่งทรัพย์สินเงินทองแย่งสมบัติ หรือทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทง ขึ้นโรงพัก ขึ้นศาล 50 กว่าปีไม่มีสักคดี 

สิ่งเหล่านี้แหละคือพฤติกรรมแท้ของมนุษย์ อันนี้เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่จะยืนยันตัดสิน ที่ประชาชนแม้แต่คณะใหญ่ ที่ยังอยู่คนละฟาก ที่แยกกัน โดยท่านก็เข้าใจว่า ท่านเป็นนิกายแล้วท่านก็มาผลักให้เราเป็นนิกาย 

คำว่า นิกาย มันผู้ใดที่ทำนิกาย หรือทำให้สงฆ์แยกกัน มันมีอนันตริยกรรม ไม่ต้องมา บอก อาตมาไม่ทำและอาตมาก็ไม่ได้ทำ พูดว่าไม่ทำ อาตมาจะไม่ทำนิกายและอาตมาก็ไม่ได้ทำนิกาย แต่ท่านทำนิกายกัน หลายอันอาตมาไม่ลงรายละเอียด ที่แสดงเห็นว่าท่านออกนอกธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ทำไปโดยอำนาจบาตรใหญ่ ให้ประชาชนเห็นความแยกนะ ไม่ลงไปที่นานาสังวาส 

คำว่า นานาสังวาส เป็นศัพท์วิชาการของพระพุทธเจ้าสูงสุด สังวาส แปลว่า ร่วมกันอยู่เป็นพุทธร่วมกันอยู่นะ แต่มันมีความแตกต่างกัน นานา ไม่ใช่กายต่างกัน

นิกาย คือ กายต่างกัน อันนี้มันหยาบ มันแรง เพราะ คำว่า กาย มันกินความลึกมาก และอาตมาก็มั่นใจว่าทางเถรสมาคมนั่นแหละได้เสื่อมไปจนกระทั่งเข้าใจคำว่า กาย ผิด มิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้ว จึงไม่บรรลุธรรม เพราะคำว่ากายนั้นถ้าเข้าใจผิดไปแต่ต้นเท่ากับกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดเลย  คุณปฏิบัติธรรมไปอีก กลัดกระดุมเม็ดต่อไปก็ยิ่งผิด และมันไม่ได้ผิดเพียงแถวเดียวเท่านั้น มันจะผิดเป็นปากกรวย มันจะบานออกไปเรื่อยๆเลย 

พอผิดคำว่า กาย มาพิจารณาสติปัฏฐาน 4 มีกายในกาย มันก็ออกไปเลอะเทอะไปหมด ความเป็นกายในต่างๆในพระบาลีมีเยอะ ไปเปิดพจนานุกรมบาลีดูสิ คำว่ากาย มีความหมายต่างๆนานา กายกลิ กายปัสสัทธิ กายปาคุญญตา กายลหุตา กายกัมมัญญตา กายอะไรอีกเยอะแยะ มันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกันมากมายในคำความเป็นกาย พอผิดแล้วก็เลอะหมดเลย 

เมื่อกายผิด กายหยาบกว่า ผิด จิตก็ต้องผิดด้วย มันก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะฉะนั้นก็เอาปัจจุบันธรรม แล้วพวกเราปฏิบัติตามที่อาตมานำพามา 40-50 ปีมาก็มีกลุ่มหมู่ เป็นกลุ่มสาราณียธรรม 6 เป็นชุมชนที่เป็นสาราณียธรรม 6 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  อยู่เป็นชุมชนที่มีความรักกัน ระลึกถึงกัน  เคารพกัน มีความอบอุ่น  เอื้อเฟื้อเจือจาน ทำมาหากิน ช่วยเหลือกันและเอาเข้าสู่กองกลาง ทุกคนก็ปฏิบัติตนให้มีคุณสมบัติ วรรณะ 9 เป็นคน เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ  (สันตุฏฐิ) แม้แต่ที่สุดเป็นคนมีน้อยที่สุดเป็นศูนย์ก็พอ แล้วเป็นคนขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) มีจิตเป็นพระอรหันต์ก็ขัดเกลากายวาจาอีก เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ขึ้นไปอีกอย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาก็นำพาประพฤติปฏิบัติอธิบาย แล้วพวกเราก็มีฐานจริงพวกนี้ แต่มันไม่ใช่จะดูกันออกง่ายๆว่าใครสูงระดับไหน ไม่พึงพูดเล่น พูดผิดมันอาบัติหนัก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครพูดเล่นในชาวอโศก ไม่มีใครอวดดิบอวด คนที่อวดดิบอวดดีก็แยกออกไปแล้วก็เป็นธรรมชาติธรรมดามีความที่เป็นเศษบกพร่อง error เศษตกเศษหล่น ก็มีบ้างแต่มีน้อย 5 คนจะถึง 10 คนหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะนักบวช 

นี่คือหลักฐานยืนยัน เอาอันนี้เป็นตัวแท้ อาตมาเห็นอันนี้ถึงความจริง นอกจากจะมาปฏิบัติได้แล้วมันยังมีความจริงอีกอัน ได้แล้วจิตบรรลุมันไม่ฝืน มันไม่ยากไม่ลำบาก มันสบายๆ มันประพฤติได้โดยไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องไปสังวรระวังแล้ว มันเป็นอัตโนมัติเลยก็ได้ มันจริงไหม 

ก็มาพิสูจน์ มายืนยันตรวจสอบความเป็นจริงเหล่านี้กัน มีให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา มี และอาตมาก็มั่นใจว่านอกจากมีแล้วนี่ ไม่สูญ อาตมาตายไปแล้ว คณะนี้ก็ยังอยู่ ซึ่งมีคนเขาบอกว่า โอ้ย สำนักแต่ละสำนักนี่ถ้าหัวหน้าตายลง สำนักนั้นก็ค่อยๆเสื่อมๆๆๆ อยู่ไม่นานหรอก 

จริง ถ้ามันไม่ใช่โลกุตรธรรมแท้ๆ มันก็ต้องเสื่อมในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าเป็นโลกุตรธรรมแท้แล้วนาน แต่ก็อีกแหละ โลกุตรธรรมถึงจะอยู่นานเท่าใดก็ต้องเสื่อม เสื่อมไปก่อนโลกียะที่เขาหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันนั้นมีครองโลก โลกียธรรมที่หลงเสพติด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันมีตลอดนิรันดร มันไม่เสื่อมไปไหน ประชากรเพิ่มขึ้นมันก็มีเพิ่มขึ้น นอกจากจะมีประชากรของศาสนาอื่น มาแย่งเอาศาสนิกของพุทธนี่แหละไป 

แต่พุทธแม้จะเป็นโลกียะก็ไม่ไปอื่นเขาง่ายๆ ชาวพุทธทุกวันนี้ในสังคมปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2566 มีชาวพุทธอยู่ในประเทศไทย 95% แต่เป็นอาริยะหรือเป็นผู้ที่มีโลกุตรรธรรม พูดให้ชัดก็คือมาเป็นชาวอโศก ถึง 10 %ไหม ไม่ถึง 10% แต่แน่นอนโลกุตรธรรมไม่มีในศาสนาอื่นใดในโลก มีอยู่ในนี้เท่านั้น และคุณสมบัติ คุณวิเศษ คุณธรรมของศาสนาพุทธ เป็นพฤติกรรมที่โลกกำลังต้องการ ด้วยลึกๆกำลังต้องการแต่เขารู้ยาก รับได้ยากเอาไปปฏิบัติตามได้ยาก เพราะลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องไม่จริง จริงตรงตามคำตรัสนี้ทั้งนั้น อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นคนพูดความจริง  ความไม่จริงอาตมาพูดไม่เป็น พูดแล้วคนเขาฟังแล้วหมั่นไส้ สำหรับคนที่เขาไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะเข้าใจความจริง อันซื่อสัตย์บริสุทธิ์อันนี้ เขาฟังแล้วเขาก็หมั่นไส้ เข้าใจไม่ได้ ก็บังคับเขาไม่ได้หรอกอันนี้ เกิดความไม่เข้าใจแล้วก็ความไม่เชื่อถือ ดีไม่ดีก็ไม่รับไม่เอา มันก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ประหลาดอะไร 

อาตมาทำงานศาสนา อาตมาไม่ได้ต้องการว่าใครจะเอาหรือไม่เอา แล้วก็จะมีอะไรจะเอาอะไรมาตอบแทน จะเอาทรัพย์ศฤงคาร เอาวัตถุสมบัติ เอาตำแหน่งยศศักดิ์ เอาคำสรรเสริญเยินยอยกย่องมาให้ หรือนามธรรมขั้นเอาสุข เอาความสุขมาให้อาตมา 

ไอ้ความสุขมันให้กันไม่ได้หรอก ของใครก็ของมันที่จะยึดถือของตนเอง แล้วก็ยึดถืออย่างนี้ไว้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่ไปยึดถือความสุขนั่นแหละคือคนที่ไปยึดถือความทุกข์ เพราะสุขทุกข์มันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นมายา สุขมันเป็นมายาของความทุกข์ ทุกข์นี้เป็นมายา เป็นผี เป็นมาร แล้วคนก็ไปยึดทุกข์ว่าเป็นความสุข นี่คือความจบคำจบ ไม่มี เหมิดคำเว้า ไม่มีคำจะพูดอีกแล้ว ภาษาไม่มี มีแต่สภาวะอันนี้ ถ้าใครเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ได้ ก็ต้องงงแน่ เพราะว่าไม่มีภาษาจะบอกสภาวะอันนี้ ภาษามันเป็นคำย้อนแย้งกัน ที่อาตมาขึ้นต้น เป็นภาษาที่มันเหมือนหลอกลวงมายา แต่มันไม่ใช่ มันเป็นสิริมหา มันไม่ใช่มายา แต่มันเป็นลักษณะเหมือนมายาแต่มันเป็น สิริ มันเป็นมหา มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครบหมด ยิ่งใหญ่ 

 

แก่นหัวใจประชาธิปไตยโลกุตระ

นี่คือลักษณะสภาวธรรมจริงในคน มีภาษายืนยันหลักฐาน คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระอนุสาสนี อันนี้คือปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ตรัสไว้ในเรื่องสาราณียธรรม 6 อาตมาเอามาทำได้ นี่คือปาฏิหาริย์ ตรัสเรื่องวรรณะ 9   อาตมาพามาทำได้แล้วก็ยืนยัน 

และอธิบายรายละเอียดไปถึงขั้นมาจน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็มีบารมีของท่านรู้ แต่ท่านก็พาคนมาจนอย่างอาตมาพามาเป็นยังไม่ได้ เพราะมันไม่ง่าย แต่ท่านรู้แล้วท่านยืนยัน แต่คนเข้าใจไม่ได้ แล้วก็เลยไม่ค่อยมีใครทำตามท่าน แม้แต่ข้าราชบริพาร ข้าราชการผู้รับหน้าที่สืบช่วงต่อ ก็ขยายไม่ออก นำพาทำไม่ออก เพราะตัวเขาก็ยังทำไม่ได้ 

แต่ในอนาคตพวกเราจะไปเป็นข้าราชการ ยังไม่เรียกว่าข้าราชบริพารนะ เป็นข้าราชการจะเข้าไปทำในอนาคต ข้าราชการมีทั้งข้าราชการประจำ กับข้าราชการจร 

ข้าราชการจร คือนักการเมือง ข้าราชการประจำคือผู้ที่เข้าไปทำงานให้รัฐบาลแล้วก็รับเงินเดือนจากรัฐบาล แต่พวกเราจะไม่เข้าไปทำงานรับเงินเดือนจากรัฐบาลง่ายๆ เป็นคำปลายเปิดนะ อาจจะไปทำในอนาคต แม้แต่พวกเราขณะนี้มีข้าราชการอยู่บ้าง และรับเงินเดือนอยู่บ้าง 

เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเป็นข้าราชการรับเงินเดือน แต่เงินเดือนก็เอามาเข้ากองกลาง อย่างนี้เป็นต้น นัยยะลึกๆ นัยละเอียดซับซ้อนพวกนี้แหละ นักวิจัย ผู้รู้ ในอนาคตจะมา  วิจัยสอบถาม 

ขณะนี้พวกเราได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ชื่อว่าพรรคสัมมาธิปไตย เพื่อจะปฏิบัติค่อยๆก้าวหน้าไป ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองไปแย่งลาภยศ ไปแย่งอำนาจ ไปแย่งตำแหน่ง แม้แต่ไปแย่งสรรเสริญ ที่เป็นโลกียะ ไม่ได้ทำทางนั้น ที่อาตมาพาทำ ตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับทางโลกเขา เช่น อาตมาให้พวกเราไปเรียนปริญญาโท  ปริญญาเอก ก็จบปริญญาโท ปริญญาเอก ออกมาเรื่อยๆ แต่จบมาแล้วไม่ได้เอาตำแหน่งยศศักดิ์นี้ไปแลกเอาเงินเดือนเงินดาวจากรัฐบาล ไปทำงานกับรัฐบาล หรือแม้แต่ไปทำงานรับใช้ที่อื่นเขาที่เป็นชาวข้างนอก ไม่ใช่ชาวอโศกเอง 

เพราะฉะนั้นชาวอโศกที่จบด็อกเตอร์ คุณสมบัติที่จบด็อกเตอร์เอง ก็อยู่ในชาวอโศก ไม่ได้รับเงินเดือนเงินดาว ได้ตำแหน่งเป็นด็อกเตอร์ ก็มีหลายสิบคนอยู่ แล้วเราก็ไม่ได้นิยมที่จะขานนำหน้าชื่อเป็นดอกเตอร์อะไรกันนัก แต่ก็ขานอยู่บ้าง บอกให้พอรู้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขานกัน บางคนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นดอกเตอร์ แต่ก็จบด็อกเตอร์ แล้วก็ทำงาน ก็มีความรู้ได้มาเอามาประกอบเป็นองค์ประกอบที่จะใช้งานเป็นเขาเป็นเรา มันก็ทำ จุดร่วมสงวนจุดต่างอะไรไป ก็เป็นผลไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น ก็บอกทิศทางของพรรคการเมืองสัมมาธิปไตยกันกับพวกเราได้ เช่น เขาให้สมัคร ส.ส ถ้ามีกฎหมายบังคับเราก็จะต้องเอาไปไม่ให้ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปหาเสียงอย่างที่ว่า ต้องเลือกฉันนะ ต้องลงทุนลงแรงเอาเงินทองไปโฆษณาหา เราถือว่าประชาธิปไตยหาเสียงยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ การยังหาเสียงให้ตัวเองไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ 

แต่นักประชาธิปไตยแท้ คือ ทำงานกับประชาชนเลย ทำไปไม่ต้องหาเสียง ประชาชนเขาเห็นว่าเราทำงานจริง เขายอมรับนับถือ ก็บอกว่าคนนี้จริง ทำงานจริงเขาก็เลือก หรือไม่เลือกไปแพ้การหาเสียงให้การหาเสียงชนะ ก็ชนะไปสิ 

หาเสียงต้องลงทุนลงแรง แล้วต้องลงความคิดด้วย วิธีการอย่างไร มันจะต้องได้คะแนนเสียงมากอะไรต่ออะไร นี่ไม่เกี่ยว คะแนนเสียงไม่มากก็ไม่เป็นไร เพราะแม้เขาไม่เลือก เราสมัครเป็นข้าราชการ 

สมมุติว่า เราเป็นพรรคการเมืองแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้ ส.ส สมาชิกของพรรคการเมืองเราที่เข้าไปรับหน้าที่ เราจะมีคณะกรรมการ คณะรับผิดชอบในพรรคไปทำงาน หรือแม้แต่ผู้นี้ไม่ได้รับตำแหน่งที่พรรคแต่งตั้งก็ตาม สมาชิกพรรคก็จะไปช่วยกันทำงาน ทำงานกับประชาชน 

ทำงานกับประชาชนคืออะไร คือเราไปช่วยเหลือเกื้อกูล ในส่วนที่เราควรจะช่วยได้ ตั้งแต่วัตถุ วัตถุเราไม่มี เราไม่รวย แน่นอนเงินทองนั้นไม่มีแน่ จน แน่นอน เพชรนิลจินดาก็ไม่มี แฝงเงินทองทรัพย์ศฤงคารไปอยู่ในลักษณะหุ้นก็ไม่มี หุ้นนั้นเป็นเรื่องของทุนนิยมซ้อนแฝง หลอก อะไรหลายอย่าง แม้ที่สุดไปเล่นอะไรที่เหมือนกับการพนัน คือการประกันภัย มันก็เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ประกันภัยนั้นเป็นการพนันชนิดหนึ่ง หุ้นก็เป็นการพนัน เราก็ไม่เอาไม่เล่น เล่นแชร์เล่นหุ้นก็ไม่เล่นทั้งนั้น 

แม้แต่เราให้เขา เรายังให้ แล้วจะไปเอาแชร์ไปเล่นชนะเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่ออะไร เสียแคลอรี่ เสียเวลา ความคิดที่จะไปเอาชนะแชร์ เอาชนะหุ้น เอาชนะประกันภัย ป่วยการ ไม่ต้องไปเสียเวลา 

ทีนี้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงที่ไปทำงานทางการเมือง อาตมาต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยว่า ผู้ที่ไปร่วมรับหน้าที่แล้วจะไปช่วยให้มันเกิดเป็นรูปเป็นร่าง ของพฤติกรรมของนักการเมือง ทำงานกับประชาชน มันมีอย่างนี้ พวกเราทำงานร่วมกันอยู่ในมวลสมาชิกเรา อย่างชาวปฐมอโศกก็ทำงานสร้างสรรค์ ปลูกผักปลูกพืชเป็นหลัก เราจะมีร่วมงานทำยาที่โรงงานทำปุ๋ยเราก็ช่วยกันทำ มีโรงงานผลิตไอ้โน่นไอ้นี่เป็นสินค้าเป็นผลผลิต เราก็ช่วยกันทำ เป็นสิ่งที่ไม่ได้มอมเมา เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า  เป็นสาระแก่นสารให้แก่มนุษยชาติ เราทำ เสร็จแล้วทำก็ทำอย่างสาธารณโภคี 

คณะผู้ที่ไปรับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางการเมืองของพรรคสัมมาธิปไตย เข้าไปทำร่วมกับเขา เขาจะมีอย่างไรก็ต้องสดับตรับฟัง ในเรื่องวงการการเมืองเขา หลักเกณฑ์นั้นต้องทำแน่นอน ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ แล้วก็จะต้องทำพฤติกรรมกับนักการเมืองเขา แต่ทำอย่างอุดมคติของเรา 

อุดมคติของเรา นักการเมืองหรือประชาธิปไตยแท้ๆ แบบของพระพุทธเจ้า 

1. ไม่มีตัวตน 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชนจริงๆ 4. มีความรู้มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะ ที่จะไปทำงานช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ไม่มีฝีมือไม่มีความรู้อะไรเลย เอา 4 ข้อนี้ก็เหลือกินแล้ว ยืนยันว่ามีในเราไหม ตามที่อาตมายืนยันว่า สิ่งนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ สิ่งนั้นก็มีในเรา เราก็พูดตามที่เรามีจริง ยถาวาที ตถาการี ก็ไปทำ 

รายได้ก็เอาไปเข้ากองกลาง คณะพรรคการเมืองเขา เขาก็พยายาม จะเอาเงินดาวน์เงินเดือนจากพรรค 

ภาพ insert มีขึ้นโลโก้ของพรรคสัมมาธิปไตย พ่อครูท้วงว่า โลโก้นี้มีธงชาติอยู่ข้างบนซึ่งเขาไม่อนุมัติ เราก็อย่าไปทำผิด คือต้องไปขออนุญาตอีกสถานที่หนึ่งให้ใช้ธงชาติไทยใส่เข้าไปได้ ถ้าเราทำได้แล้วเราก็ใส่ ถ้ายังทำไม่ได้เราก็ไม่ต้องใส่ อย่าไปทำผิด มีแต่เลข 0 เลข 1 เลข 2 แล้วก็มีรูปหัวใจตั้งไว้อย่างนั้น ก็เป็นโลโก้ของสัมมาธิปไตยแล้ว 

มันขยายความบางทีอาตมาก็ คืออาตมาไม่เก่งในพฤติการณ์ของนักการเมืองของไทย ประชาธิปไตยของไทย พฤติการณ์ของเขาต่างๆ อาตมาไม่เก่งทีเดียว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดรายละเอียดลงไปยังไม่ค่อยได้ ก็ค่อยๆพยายามศึกษาอยู่ พยายามที่จะรู้เขาแล้วก็เห็นว่าควรจะต้องไปถึงอย่างไรก่อน ก็แนะนำ แต่พวกเรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่รู้ เพราะเป็นผู้ไปคลุกคลีด้วยจะทำได้มากกว่าอาตมา เป็นตัวจริง อาตมาเป็นแต่เพียงตัวดูๆ จะช่วยแนะนำ จะเรียกโก้โก้ว่าเป็นที่ปรึกษา ก็เป็นที่ปรึกษาอายุมากๆแล้ว พวกเราก็อยู่ในวัยที่กำลังทำงาน 40-50-60 ก็ยังทำได้ 70 ก็อาจจะมีบ้าง ยังมี ช่วยกันไป 

เอาล่ะก็ขอพูดเอาไว้แค่นี้ก่อนว่า พวกเรานี้มีหลักในหัวใจแล้วว่า 

1.ไม่มีตัวตน นี่เป็นภาษาพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชน 4. มีความรู้ มีสมรรถนะที่จะทำงานกับประชาชน ให้เกิดประโยชน์คุณค่าแท้ 5. คิดออกตรงนี้ ก็ต้องไปรับทราบ ความจำเป็น ความสำคัญ ความต้องการของผู้ที่ควรจะต้องได้รับการช่วยเหลือ ข้อ 5 นี้ยังไม่ได้สรุปคำ พูดความหมายรายละเอียดเอาไว้แล้ว ค่อยไปสรุปคำ ชัดๆ  คำที่พอจะสื่อได้ว่ามันมีความหมายอันนี้ คือผู้ควรได้รับความช่วยเหลือนี่แหละ นั่นก็เป็นหน้าที่ของเรา 

5 ข้อเท่านี้แหละ ทำให้ลึก ทำให้ตรง ทำให้ละเอียด เพื่อยืนยันแก่นแกนของความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ส่วนประชาธิปไตยของโลกนั้นมันเป็นประชาธิปไตย 

1. ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์

2. ประชาธิปไตยเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ 

3. ประชาธิปไตยเลวสุดคือมีทั้งทุนสามานย์และมีทั้งเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ 

ขณะนี้มีอยู่ในเมืองไทย มีตัวอย่างอยู่ในเมืองไทย ไม่ออกชื่อใครไม่รู้ก็โง่เอาก็แล้วกัน นักการเมืองที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติ ไม่ใช่คุณ แต่เป็นโทษสมบัติ เลวสมบัติ ทุนนิยมสามานย์กับเล่ห์เหลี่ยมเลวร้ายกาจ 

เล่ห์เหลี่ยมเลวร้ายกาจนี้มันเหมือนความฉลาด ใช่ที่มันเป็นความฉลาด แกมโกง เป็นความฉลาดทุจริตเลวร้าย ใช่ เขาใช้อย่างสำคัญเลยนะ 

ขณะนี้ ว่ากันจริงๆเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมนี้สำคัญ แล้วใช้มากกว่าจ่ายทุนรอนอีกนะ ได้ข่าวว่า ขี้เหนียวน่าดูเหมือนกัน แต่เล่ห์เหลี่ยมนี้ โอ้โห.. ไอ้ลิ้น สัตว์ประเภทที่มันออกมาปั๊บ ไม่รู้กี่แฉกนั่นแหละ มันตวัดปั๊บๆๆ 

ตระหนี่กับประโยชน์สูงประหยัดสุด มันคนละเรื่องกันนะ ไม่ลงรายละเอียดแล้ว พอ เพราะฉะนั้นเรายังจะมีเวลาเวลาไม่มีหมด มี ตราบที่พระอาทิตย์และจักรวาล ยังคงอยู่ เราอยู่จักรวาลน้อยโดยมีนพเคราะห์ 9 ดวง มีพระอาทิตย์ 1 ดวงยังไม่แตก ยังไม่แยกส่วนของจักรวาลนี้ไป เอาแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปเอาจักรวาลใหญ่ มีพระอาทิตย์ 2 ดวง มีดาวอีกมากกว่า 9 ดวง ไม่ต้องไปเอาอย่างนั้นหรอก เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ก็เหลือกินเหลือใช้แล้วในความเป็นชีวิต เราจะรู้ว่าเราทำประโยชน์อะไรได้ในความเป็นมนุษย์ และเราจะพ้นทุกข์ หรือเราจะอยู่กันอย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

แล้วคำเหล่านี้มันเกิดมาในยุคนี้ มีคนตู่ว่า อาตมาบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ อาตมาไม่แย้ง ก็ใช่ แต่ที่อาตมาบัญญัตินี้ไม่ได้ออกนอกโครงสร้างศาสนาพระพุทธเจ้าเลย แต่มันเหมาะสมกับยุคสมัยเป็นมหาปเทส 4 อันนี้ที่อาตมาใช้คำตั้งภาษาขึ้นมาหลายภาษา เป็นภาษาไทยๆหรือภาษาบาลีบ้าง ผสมส่วนนิดๆหน่อยๆ เพื่อให้เข้าใจสื่อสารความหมายได้ว่า 

อิสระคืออะไร อิสระก็คือเป็นภาษาทางบาลีอยู่ แต่คนเข้าใจหมดแล้ว 

สบายก็มาจากบาลีคือ สัปปายะ คือสงบ สงบก็อยู่ในส่วนของบาลีเหมือนกัน อาตมายังไม่อยากอธิบายลงไปเยอะ 

ส ง ป ตัวบาลีไม่มีบใบไม้ สงบ อบอุ่น ภาษาไทย อิ่มเอมภาษาไทย เกษม เป็น ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี เขมะ เขมัง แต่คนเข้าใจดีมีความเกษมใส คือมันสบายใจรวมมาหมดเลยในนั้นมาอยู่ในมงคลสูตร ก็ไปอยู่เป็นคำสุดท้ายของมงคล 38 เขมัง เป็นคำสุดท้าย สุดยอดของมงคลหรือดีที่สุดแล้ว สุดยอดแล้ว เขมังหรือเกษม

แล้วตบท้ายด้วย มีใจเกื้อกูลอีก แล้วเพิ่มพูนการเสียสละอีก 

เพราะฉะนั้นใครจะมาขัดแย้งว่า คนที่มีใจเกื้อกูล แล้วยังเพิ่มพูนพลังเสียสละอีก ให้มันมีจริงให้มันเกิดเพิ่มพูนการเสียสละให้ได้ ใครจะบอกว่าเลวไม่ดีก็พูดไปเถอะ แล้วก็พูดตรงความหมายอันนี้กัน จะแปลเป็นภาษาอื่นๆก็คือความหมายนี้แหละ เพิ่มพูนเสียสละคืออะไร ภาษาอะไรก็แล้วแต่ ภาษาอังกฤษ ภาษาแขกก็ว่าไป มันเลวไหมล่ะ 

มันไม่ใช่ทำง่ายๆ สำคัญว่า เราทำจริงไหม เราจริงไหม เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่อยากตาย อยากจะนำพาพวกเรา ที่มีฐานรากของจิตเป็นประธานแล้ว เป็นผู้ที่ตัวตนไม่มีหรือน้อยแล้ว ซื่อสัตย์แล้ว และก็ช่วยผู้อื่นแล้ว รับใช้ผู้อื่นแล้ว และก็มีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่มีความรู้ความสามารถโดยปากเปล่า มีความรู้ความสามารถจริง มีพฤติการณ์พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีสมรรถนะ มีความรู้ 

          ทีนี้ความรู้จนกระทั่งว่าจะไปเปรียบเทียบกับโลกเขาว่าจะต้องมีใบรับรอง เป็นใบปริญญา เราก็เอาผู้ที่สามารถทำได้ทำมา ไม่ได้ทำมาอวดมาอ้างแต่ทำเพื่อยืนยันว่าเราก็รู้เราก็อยู่ในเกณฑ์ของพวกคุณอยู่ เพราะฉะนั้นในพรรคการเมืองของเรานี่ พรรคสัมมาธิปไตยนี้ จึงมีดอกเตอร์อยู่ไม่น้อย ที่จะร่วมทำในนั้น 

ไม่ใช่ต้องการอวดอ้าง แต่ก็ต้องยืนยันกับเขา เพื่อให้รู้ว่าเราเองก็พออยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ใช่ว่าเอาคนขุดมาจากไหน ไม่มีหลักมีฐานอะไรรองรับ แต่นี่หลักฐานของสากลประเทศรองรับ บ้างก็จบมาจากต่างประเทศ บ้างก็จบด็อกเตอร์อยู่ในประเทศไทย แต่พวกเราจบด็อกเตอร์อยู่ในประเทศไทยมากหน่อย เพราะเราไม่มีสตางค์ส่งไปเรียนดอกเตอร์เมืองนอก ผู้ที่จบเมืองนอกมาก็เป็นส่วนเงินทุนของเขาหรือทุนอื่นๆ เราก็ไม่ได้มีทุนไปสนับสนุนไปเมืองนอกเพราะมันแพง นอกจากไปได้ทุนส่วนตัว จากรัฐ จากโน่น จากนี่ก็ว่าไป

ฉะนั้นเราก็สนับสนุนให้เรียนดอกเตอร์อยู่ ปริญญาโทเรียนไป สนับสนุน ไม่ใช่ไปได้แล้วก็เอาไปรับใช้ ไปแลก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางโลก ไม่ใช่  แต่เอามาทำงานให้กับประชาชน 

เพราะฉะนั้น การทำพรรคการเมือง การจะประพฤติกับสังคมประเทศ เป็นพฤติการณ์ของนักการเมืองก็จะเป็นแบบของเรา เหมือนอย่างเรานี้เป็นสังคม สังคมเราก็มีพฤติการณ์ของความเป็นสังคม แล้วก็มีเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ก็เป็นอย่างของเรา เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจก็เป็นอย่างของเรา อธิบายยืนยันอย่างพวกเรา เราพูดอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น 

แม้แต่การเมืองก็จะเป็นอย่างของเรา ที่เรามั่นใจว่า เป็นอย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น อาตมาเขียนปัญญา 8 ยังไม่เสร็จ พยายามอยู่นี่จะให้มันจบ แก้แล้วแก้อีก บอกตัวเองว่าให้พอแล้ว มันก็อดแก้ไม่ได้ มันขึ้นไปหน้า 700 กว่าแล้ว แต่ยังมาทวน rewrite อยู่อีก แต่ก็ได้เพียง 200 กว่าหน้าเอง ก็พยายามจะให้มันเร็ว เดี๋ยวจะได้ตัดเล่ม 3 ออกไป และมันจะเกินไปอีกเป็น 500 600 700 หรือเปล่า นี่ตัดเล่ม 3 ออกไปแล้วนะ ยังเหลือเล่ม 3 ยังไม่ออกมา 

จบปัญญานี้แล้ว อาตมาเขียน “ประชาธิปไตยไทย”เอาไว้ ได้ร้อยกว่าหน้า ยังไม่ได้ทวนเลย ยังไม่ได้ไปเปิดดูอีกที แต่ก่อนนี้ก็เป็นความคิดอย่างนั้น มาถึงวันนี้ต้องแก้อีกแน่นอน ต้องไปขึ้นต้นใหม่หน้า 1 ใหม่อีกแล้ว ทวน ประชาธิปไตย ขยายอีก ก็คิดว่าจะไม่ให้มันยาวนัก เพราะถ้ายาวเกินไป คนไม่ค่อยอ่านหนังสือยาวๆกันแล้วเดี๋ยวนี้ อ่านสั้นๆๆๆ ยาวๆเขาไม่ยอมอ่าน  เพราะฉะนั้นก็ไม่เอายาว เอาอย่างพอสมควร อย่างสั้นนี่แหละ 

 

สรุปรวม 13 สูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 

เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง อาตมาว่าจะมา

สรุปรวม พระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่มีอยู่ 13 สูตร สรุปมาแล้วจะขยายไปเท่าที่ได้ในงานนี้ 

ฟังที่สรุปสั้นๆไว้ก่อน อ่านโครงสร้างสั้นๆก่อน 

1. พรหมชาลสูตร สูตรนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอก มิจฉาปฏิบัติ 62 ที่มีแต่อดีต 18 และอนาคต 44 คือ ผู้ทำเจโตสมาธิ เป็นสมาธิโลกียะทั่วไป ของสามัญดาดดื่นที่เขาเป็นกัน โดยเขาทำตามที่ระลึกเอาจากอดีตขันธ์ และอนาคตขันธ์ เท่านั้น ไม่มีปัจจุบันชาติ ที่เป็นทิฏฐธรรม จึงไม่มีนิพพาน เพราะ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรเกิด ตาย จริง 

อาตมาสรุปไว้แค่นี้ในนี้ อ่านแค่นี้ก่อน แล้วค่อยมาทวนอีกที 

2 . สามัญญผลสูตร คือสัมมาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ซึ่งครบๆ ก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 แต่ว่า สามัญญผลสูตรนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงคำว่า จรณะ 15 วิชชา 8 หรือ วิชชาจรณะสัมปันโน 

3. อัมพัฏฐสูตร คือ วิชชาจรณะ ซึ่งจะสัมปันโนจริง ก็ต้องสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เกิดผลจนกระทั่งบริบูรณ์จริง ซึ่งปฏิบัติได้ทั้งนักบวช ทั้งคฤหัสถ์ ที่อยู่ในบ้านในเมืองเป็นปกติสามัญ ไม่ต้องออกป่า หนีผู้คน ไม่ต้องไปหนีผู้คนอะไร หรือต้องมีสถานที่เฉพาะ หลับตาปฏิบัติแบบเดียรถีย์ อันอย่างนั้นมันคือนอกพุทธ

แต่ปฏิบัติด้วยศีล กับอปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะมีสัทธรรม 7 แล้วมีฌาน 4 วิชชา 8 เป็นยาดำ ช่วยตลอดสาย ดังนั้นการออกป่าจึงคิดผิดเชื่อผิด ว่า ผู้เป็นอาจารย์ที่บรรลุจรณะ 15 วิชชา 8 นั้น จะต้องอยู่ป่า เขาเชื่อกันสั้นๆอยู่ และอยู่ในสูตรนี้ อัมพัฏฐสูตร 

จริงๆแล้ว อัมพัฏฐมานพ เป็นผู้ที่มีไตรเวท เป็นภาษาของพราหมณ์ซึ่งก็คือพุทธอันเดียวกันกับไตรสิกขานี่แหละ เวชก็คือความรู้ ถือว่า อัมพัฏฐมานพ ลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ในสำนักหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ที่มีความรู้ยิ่ง เหมือนยุคนี้ที่เป็นผู้รู้อยู่ในเถรสมาคมนี่แหละ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รู้ยิ่ง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่เป็นพราหมณ์หาศาล 

พรหมณ์มหาศาล เป็นคำด่านะ แต่ยุคนี้ต้องใช้คำว่า พระมหาศาล เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นเจ้าคุณระดับสูงๆ โอ้โห.. เงินทองเป็นคนละหลายสิบล้าน  ร้อยล้านก็มีอะไรอย่างนี้ แม้แต่ที่สุดเงินรัฐบาลก็ยังให้เป็นนิตยภัต เป็นความเสื่อมหมดแล้ว มันไม่ตรงกับแบบที่พระพุทธเจ้าพาเป็นเลย เพราะฉะนั้นออกป่าก็คิดผิด วิชชา 8 จรณะ 15 ก็เสื่อม 

แล้วใน อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องความเสื่อมของชาวพุทธ 4 ประการอยู่ในพระสูตรนี้ 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

พ่อครูว่า... 

4. โสณทัณฑสูตร ผู้ที่จะมีศีลยั่งยืนกันได้จริง ก็ต้องครบตามศีลแต่ละข้อ ศีลจึงมาก่อน ไม่ใช่มีปัญญาแล้วจึงจะมีศีล นี่คือประเด็นที่จะพูดกัน 

ศีลมาก่อน ไม่ใช่ปัญญามาก่อนศีล อย่างสายท่านพุทธทาส อย่างนี้เป็นต้น ปัญญามาก่อนศีล ท่านไม่ได้เน้นศีลเลย ท่านพุทธทาสไม่ได้พูดถึงศีลเลยด้วยซ้ำ พูดไปอย่างนั้นผ่านๆ ไม่ได้พากันปฏิบัติศีล แต่ได้ศีลโดยจารีตประเพณี ได้ศีลโดยปริยาย แต่พวกเรานี้เอาศีลเป็นหลักปฏิบัติเลย ตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร ปหาราทสูตร

ใน โสณทัณฑสูตรนี้ เพียงแค่มีทิฏฐิ ให้สัมมาทิฏฐิก่อน ท่านเน้นตรงนี้ สัมมาทิฏฐิก่อน จึงจะทำวิมุติ ถึงจะทำอธิศีล  อธิจิต อธิปัญญา ที่มีผลบริบูรณ์ได้จริง ศีลนั้นจะพาสู่วิมุติ ของพุทธต้องบรรลุด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่แค่ศรัทธา นี่ก็เป็นนัยยะสำคัญ

พระพุทธเจ้าจะบรรลุธรรมจะต้องบรรลุด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่ศรัทธาอันยิ่ง ไม่เคยมีคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่า จะบรรลุธรรมด้วยศรัทธาอันยิ่ง ไม่มี มีแต่ปัญญาอันยิ่ง

5. กูฏทันตสูตร   เขามีศัพท์คำว่า ยัญพิธี หรือวิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติหรือพิธีกรรม จริงๆก็คือกรรมฐานเรานี่แหละ วิธีปฏิบัติหรือวิธีกระทำ ก็ต้องมีฐานะในการปฏิบัติ หรือมีฐานะในการ กระทำกรรม มีฐานะหรือที่ตั้ง เพราะฉะนั้น กรรมฐานที่ดีที่สุด คือที่ตั้งแห่งการปฏิบัติที่ดีที่สุดหรือการกระทำที่ดีที่สุด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา 

เป็นคำที่พวกคุณได้ยินมาแล้วทั้งนั้นฟังให้ดีๆนะ อาตมาขยายความพวกเราฟังแล้วจะรู้สึกลึกซึ้ง ซับซ้อน เพราะฉะนั้น กรรมฐานที่ดีที่สุดก็คือศีล สมาธิ ปัญญา วิธีปฏิบัติอื่นใดก็สู้ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ นี่คือยันต์พิธีที่ยอดเลิศสูงสุด และเป็นสัมมาทิฏฐิจริง 

สัมมาทิฐิให้ได้ก่อนเถอะ สัมมาทิฏฐินำทางให้ได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละคือกรรมฐาน เป็นยัญพิธีเป็นวิธีปฏิบัติที่เลิศยอด แล้วจึงจะเกิดปัญญา เกิดวิมุติ อย่าไปสับสนว่าปัญญามาก่อน หรือไปเข้าใจทิฏฐิมาก่อน ทิฏฐิยังไม่ใช่ปัญญา ทิฏฐิอาจจะมาก่อนได้ 

อย่าไปเข้าใจว่าปัญญามาก่อน อย่าไปสับสนว่าปัญญามาก่อนศีล ไม่ได้ ศีลต้องมาก่อนปัญญา นี่คือ กูฏทันตสูตร คำอธิบายเทียบอธิบายมานี้ยังดิ้นได้ทั้งนั้นเลย ต้องขยายต่อไปในอนาคต 

6. มหาลิสูตร คือ เจริญสมาธิเพื่อได้ความเป็นทิพย์ มีไหม? ซึ่งการเจริญสมาธิก็ได้ความเป็นทิพย์ เป็นโลกียธรรม คำว่าทิพย์นี้เป็นโลกียธรรม ผู้เจริญสมาธิเพื่อเป็นโลกียธรรม มันสู้ให้เป็นอาริยบุคคล เจริญสมาธิไปสู่การเป็นอาริยบุคคลอันเป็นโลกุตรธรรมไม่ได้ 

ความเป็นทิพย์ในแนวคิดแบบเทวนิยมมันลึกลับ มันไม่ใช่ทิพย์ที่กระจะกระจ่าง ที่เอามายืนยันเปิดเผยกันได้ ยกตัวอย่างประกอบแซมนิดหนึ่ง 

ในวิชชา 8 ประการ วิชชาข้อที่ 4 

1. วิปัสสนาญาณ 2. มโนมยิทธิ 3.อิทธิวิธี 4. โสตทิพย์ 5. เจโตปริยญาณ 6. บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8. อาสวักขยญาณ 

หูทิพย์ของเขา ทางเดรัจฉานวิชาได้ยินเสียงประหลาด ได้ยินเสียงลึกลับที่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน พิเศษพิลึกพิลือ แต่ทิพย์ของพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือความลึกซึ้ง หรือความละเอียดลึก บางเบาก็ได้ ยกตัวอย่าง 

เช่น ท่านยกตัวอย่างเสียงที่ได้ยินมาจากไกลแว่วมา แต่คนที่หูทิพย์จะฟังออกว่า อ๋อ.. เสียงนี้เสียงกลอง เสียงนี้เสียงตะโพน เสียงนี้เสียงเปิงมาง เสียงนี้เสียงสังข์ แยกออก ได้ยินไม่เต็มหูไม่เต็มที่หรอก เบาๆไกลๆ แต่ก็ยังสามารถรู้ทิพย์นี้ได้ หมายความว่าอะไร 

หมายความว่า ธรรมะที่ละเอียด ลึกซึ้ง บางเบา แต่ผู้ที่มีปฏิภาณแล้ว สัมผัสปั๊บ อ้อ..  ชัดเจน แม่น แม่นความจริง แม่นเป้า นี่คือทิพย์ นี่คือความหมายของอนุสาสนีปาฏิหาริย์ 

กลับมา ทีนี้

7. ชาลิยสูตร ยืนยัน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ ที่บรรลุผล อาสวักขยญาณ ก็ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละที่บรรลุผลสุดยอดของพุทธ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ คือ อาสวักขยญาณ มีญาณรู้ในการสิ้นอาสวะ ขยะ คือสิ้น สิ้นกิเลสอาสวะ 

ผู้ที่สามารถสิ้นอาสวะได้ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า ชีพหรือสรีระ นั้นคืออย่างไร เช่นว่า กาย ไม่ใช่สรีระ เพราะ สรีระไม่มีชีพ คำว่าสรีระ ก็ไม่รู้จะทำไง เป็นบาลี ต้องทับศัพท์ ภาษาไทยเรียกว่า ร่าง ถ้าไปเรียก ร่างกาย คำว่ากายเลยใช้ฝั้นเฝือ คำว่าร่างคือสรีระภายนอกด้วย 

 เพราะฉะนั้น คำว่า กาย ไม่ใช่ร่างภายนอก ไม่ใช่ซากศพด้วย ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่มีชีพ ไม่มีชีวะ กายนี่  .. กายมีชีวะ 

และที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ กาย ต้องมีคู่ 5 คู่ ส่วนใจนั้นคือ มนายตนะกับธัมมายตนะนั้นภายใน แต่ข้างนอกกาย มี 5 คู่ อันนี้แหละยากบี 18

ขออธิบาย อุปาทายรูป 24 

5 คู่นี้ มันต้องมี 10 ใช่ไหม แต่มันกลับเหลือ 9 เข้าใจกันยากตรงนี้ เพราะอะไร เพราะหักใจที่มันคือกาย ตัวรับรู้ออกไปซะ 1 เพราะฉะนั้น 5 คู่ก็เลยเหลือ 9 อันนี้ก็อธิบายยากจังเลย ถ้าไปกาย มี 5 คู่แล้วมี 10 มันจะเกิน 24 รูป จะกลายเป็นรูป 25 สิ่งเหล่านี้เป็นความลึกซึ้ง 

8. มหาสีหนาทสูตร ทีนี้มีคำมาอีกคำก็คือ ตปะ หรือบาลีคือ ตบะ คนต้องมีตบะตามควรตามจริง ต้องมี และตบะที่ดีที่สุดอีก ตบะที่ดีที่สุดก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา 

ตบะคือ เครื่องความเพียรเผากิเลส ทีนี้ความเพียรเผากิเลสคือ ปฏิบัติไตรสิกขา ไม่ใช่ทาน ซึ่ง ทานนั้นไม่ใช่ไตรสิกขา ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ตบะนั่นคือศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ทาน 

นี่แหละผู้ที่มิจฉาทิฏฐิก็ตบะก็คือความเพียร แล้วไปเพียรอย่าง เดียรถีย์ ได้อดทนอดกลั้นทรมานร่างกายอย่างโน้น มันไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติ​ พวกเราฟังศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฏฐิมาไม่มีปัญหา แต่ข้างนอกเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกเราพูดแล้วเข้าใจไม่มีปัญหามากคุณมีชีวิตมีความหมายว่าเป็นการสำคัญ

9. โปฏฐปาทสูตร ท่านขยายความก็คือสัญญาอย่างหนึ่งเกิด สัญญาอย่างหนึ่งดับ ไม่ใช่ให้ไปดับสัญญาไปหมดสิ้น คุณมีชีวะ คุณต้องใช้สัญญา ยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สัญญาเป็นตัวสำคัญมากตั้งแต่ต้นจนปลายเลย ทำงานหนักมากเลยสัญญา สัญญาคือความกำหนดรู้กับความจำ มีความหมายสำคัญ 2 อย่างในคำว่าสัญญา เป็นตัวทำหน้าที่กำหนดรู้ ท่านไปแปลภาษาสวยๆว่า เป็นการสำคัญมั่นหมาย​ สัญญาคือการสำคัญมั่นหมาย ภาษาสวย แต่มันรู้ยากกว่าคือการกำหนดรู้ คือตัวธาตุรู้ของเราเป็นตัวกำหนดอันนั้นอันนี้ สัญญา กับความจำนี่คือความหมายของสัญญา

   เพราะฉะนั้นไม่ให้ดับสัญญาสิ้นไป เพราะถ้าไปดับสัญญาสิ้นไปแล้วกลายเป็น อสัญญีสัตว์ พอไปดับสัญญา มันก็ดับอย่างมืด ดับอย่างบอด ดับอย่างแข็งทื่อ ไม่ให้ธาตุรู้มันทำงาน ทั้งๆที่ธาตุรู้มันต้องทำงาน คุณยังมีชีพ เมื่อไม่ให้ตัวธาตุรู้ทำงานมันก็ไม่ได้ทำงาน มันก็ไม่รู้ว่าที่มีอยู่ใน อะไร แล้วก็ไปหลงความไม่รู้ ไม่ทำงานอะไรนี่แหละก็คือการจบคือนิโรธ คือนิพพาน คือการดับ น่าสงสารที่สุดเลย จริงแล้วมันซ้อนอยู่นิดๆ เพราะฉะนั้นมันก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอะไรไม่ได้ สัญญามันไปกดไว้ 

เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ใน โปฏฐปาทสูตร มีอัตตา 3 ที่มีซ่อนไว้นิดเดียว โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อยู่ใน โปฏฐปาทสูตร ไม่ได้ขยายความอะไรมากแต่อาตมามีความรู้อันนี้เอง ก็เอา อัตตา 3 นี่มาขยายความให้ปฏิบัติกันจริงๆเลย 

โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบภายนอก ดับได้แล้วก็เป็นอัตตาอย่างกลาง เป็น มโนมยอัตตา หมดแล้วก็ดับอรูปอัตตา เป็นตัวสุดท้าย ต้องดับไปเป็นลำดับ 

มันจะดับได้อย่างไร ก็ต้องมาเรียนรู้แล้วมาปฏิบัติ ดับได้ จนกระทั่งไม่วิปลาสไป เพราะไปวิปลาส 4 แล้วจนกระทั่ง ผู้ที่วิปลาส 4 ตกผลึกลงไปเป็นวิปลาส 3 

วิปลาส 4 ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวใช่ตนมาเป็นตน เห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น ไม่น่ามีเลย มาเป็นความน่าได้ น่ามี น่าเป็น นี่คือวิปลาส 4 ยังไม่ลงรายละเอียดนะ เมื่อไปทำวิปลาส 4 นี้หนักเข้าก็ตกผลึกเป็นวิปลาส 3 มันก็จะมีทิฏฐิวิปลาสนั่นแหละตัวสำคัญนำ เสร็จแล้วก็เลยไปทำงานเป็นสัญญาวิปลาส ไปกำหนดใช้งาน ตกลงสั่งสมเป็นคนจิตวิปลาส คนก็เลยจมอยู่ในวิปลาส 4 เพราะมันมีรากฐานของวิปลาส 3 เป็นแกน จิตมันวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส สัญญาก็เลยกำหนดทำงานวิปลาสไปหมด 

10. สุภสูตร พระพุทธเจ้าก็ยืนยันวิชชา 8 ที่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ 

มันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือ พระพุทธเจ้าตรัสคำอย่างไร คนฟังแล้วเอาไปปฏิบัติเอามายืนยันกันได้ ไม่ใช่ลึกลับเป็นทิพย์ เป็นอะไรไปลึกลับปาฏิหาริย์เป็นสิ่งทิพย์ ตามมาพูดกันไม่ได้ 

แม้จะใช้คำว่าการเกิด ระลึกชาติได้เป็นต้น เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ เกิดเป็นคนชื่อนั้น ตระกูลนี้ ก็ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ก็คือ ยืนยันชาติแห่งการเกิดในปัจจุบันนี้ เกิดกรรมในปัจจุบัน ตั้งแต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่พิสูจน์ได้ นี่จึงจะเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เช่น 

ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ให้มีเมตตา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ พวกคุณก็สบายได้หมดเลย คุณทำได้ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าตั้งแต่ขั้นต้น หยาบ ไปจนถึงละเอียดหมด นี่เป็นปาฏิหาริย์ ปฏิบัติศีลตามคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วชัดเจน ถาวรด้วย ยั่งยืนด้วย สบายด้วย ไม่ฝืน ไม่ยาก อวิปฏิสาร 

อานิสงส์ของศีลมีอีก 10 ประการ สบายใจ ใจไม่เดือดร้อนอะไรเลย มีแต่จะศีลเคร่ง ใจไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อวิปฏิสาร สบายๆและแถมยังมีอุปกิเลสอีก มีความยินดี อิ่มเอมใจ แล้วถึงขั้นเป็นสุขมีความสุขด้วย แล้ว มียถาภูตญาณทัสนะ และสุดท้ายมีวิชชา และ วิมุติ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 

6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส) 

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

11. เกวัฏฏสูตร ปาฏิหาริย์มี 3 อย่าง ก็ขยาย ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง ในปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้เดียรถีย์นอกพุทธจะนิยมอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเรา ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ 1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี) 2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา) 3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)  พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ (เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)  

สอนว่าอย่างไรแล้วก็ทำได้อย่างนั้นอศีล อสมาธิ อปัญญาที่ถูกต้อง ศีลที่สัมมาทิฏฐิสมาธิที่สัมมาทิฏฐิ ปัญญาที่สัมมาทิฏฐิ วิมุติที่สัมมาทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะท่านถือว่ามันเป็นโทษในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ 

เพราะฉะนั้นท่านบอกโทษด้วย ว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติแม้มีในตนจริง มีอิทธิปาฏิหาริย์ก็ตาม มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ตาม มีในตนจริงขืนปฏิบัติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ แม้มีจริง 

แต่ถ้าไม่มีจริง อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์นี่แหละ ถ้าไม่มีจริงแล้วแสดง ก็เป็นปาราชิก เช่น สมีธัมมชโย อวดอุตริมนุสธรรมว่าตนเองดูคนเกิดคนตายได้ ตายไปแล้วอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เมื่อเขาสอบทานขึ้นไป โดยสร้างเรื่องว่าได้มาทำบุญกับท่านอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว เสร็จแล้วตายไปแล้ว ตอนนี้ถามว่าพ่อผมอยู่ที่ไหน 

เขาก็บอกเป็นตุเป็นตะธัมมชโยว่าพ่อเธออยู่ชั้นนั้นชั้นนี้ ก็ได้มาทำบุญที่ธรรมกายแล้วได้เท่านั้นเท่านี้ ดีแล้วอยากจะให้พ่อเป็นสุขกว่านี้ก็มาทำบุญให้มากกว่านี้อีกนะ เสร็จแล้วคนนี้ก็เลยเปิดเผยว่าพ่อผมยังอยู่ยังไม่ตาย ผมสร้างเรื่องมาให้ท่านลองดู คนก็ยังหลงเชื่อกันอยู่ เรื่องนี้ ไขขึ้นมาแล้วก็ยังมีคนเชื่ออยู่ 

สมีธัมมชโยนี้ปาราชิก 2 ตัว 1. อวดอุตริมนุธรรมที่ไม่มีในตน 2. เป็นกบฏเรื่องเงิน ขึ้นศาลแล้วก็ตัดสินผิดอะไรต่างๆ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร บอกว่าปาราชิกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นพระลิขิตของท่านตั้ง 3-4 ใบ. เสร็จแล้วคนก็ยังหลงไหลได้ปลื้มอุ้มชูกันจนบัดนี้ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์เลย ขออภัยอาตมาพูดความจริงสงสารเขานะ อาตมาสงสารทุกคนที่มาเกิดและร่างเป็นคน 

คนได้ร่างเป็นคนนี้ประเสริฐแล้ว ยิ่งได้มาพบพุทธศาสนายิ่งประเสริฐยิ่งขึ้น ยิ่งสามารถเรียนรู้อาริยธรรม ยิ่งประเสริฐขึ้นยิ่งกว่า ยิ่งบรรลุอรหันต์ได้เลย เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ดีเยี่ยมที่สุด คุณจะต่อภพภูมิโพธิสัตว์ต่อไปอีก เชิญ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะนี้ ถ้าไม่เข้าใจ 

ทีนี้เมื่อกี้ยังไขความไม่หมด ถ้าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ผิดแล้วต้องปลงอาบัติถ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงก็ต้องปาราชิก ส่วนอนุสาสนีปาฏิหาริย์นั้น ไม่มีอาบัติ 

ถ้าไม่มีในตนจริงก็อาบัติปาราชิกเหมือนกัน แต่ถ้าเผื่อว่ามีในตนไม่มีอาบัติ แสดงได้ทุกอย่าง แม้ที่สุดยิ่งเป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้ว หมู่ยกสติวินัยให้ด้วย ไม่มีอาบัติใดเลย เพราะว่าท่านจะมีมหาปเทส มีสัปปุริสธรรม 7 พิจารณาแล้ว อันไม่เที่ยงด้วย กาละ เทศะ ฐานะ ท่านจะมีใจซื่อ พระอรหันต์ขึ้นไปแล้วจะจริงใจทุกอย่างเพราะท่านซื่อ คนเข้าใจไม่ได้ แน่นอนคนเข้าใจไม่ได้ง่าย อาริยธรรมเข้าไม่ง่าย มันก็ต้องมีคนแย้งเยอะแต่อย่าไปเสียเวลา สำหรับพระอรหันต์จริง ท่านยกไว้ให้หมู่ยกไว้ โดยไม่ต้องไปปรับอาบัติท่าน ส่วนคน ไปห้ามเขาไม่ได้ เขาจะมาตู่มาปรับอาบัติก็เป็นเรื่องของเขา 

12. โลหิจจสูตร 

 [357] ดูกรโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลมิใช่หรือ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น.

ดูกรโลหิจจะเราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลอยู่ พระองค์ควรทรงใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้ง 2 นั้นแต่พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่พวกท่านและคนอื่นๆ ซึ่งได้พึ่งพระบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.

เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.

ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.

[358] ดูกรโลหิจจะ  ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียวไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล 

ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น 

เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

[359] ดูกรโลหิจจะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศล  ท่านก็จะขยายความคล้ายๆกัน 

พ่อครูว่า... ก็ขอสรุปว่า ผู้ที่บรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น ดังที่เป็นทิฏฐิที่ลามกของ โลหิจจพราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็มาแก้ให้ว่ามันผิด มันเป็นความเห็นแก่ตัว มันเป็นความไม่มีเมตตา ไม่มีการเกื้อกูล ไม่มีการช่วยเหลือ ยิ่งผู้น้อย ผู้ที่ควรได้อื่นๆมันหมดเลย ไม่มีเมตตา ไม่มีเกื้อกูล มันใจดำอำมหิตเลย มันผิดแน่นอน 

เพราะฉะนั้น สรุปเข้าเป้าก็ตรงที่ว่า ผู้บรรลุธรรมแล้วนี้บอกผู้อื่นได้หรือไม่ ... ได้ ควรบอก แต่ไม่ใช่บอกอย่างอวดโอ่ บอกอย่างพูดพล่าม ไม่ใช่ ก็พูดในกาละ ในสิ่งที่ควรจะพูด 

เพราะฉะนั้นในอันนี้แหละ อาตมาโดน โดนในสูตรนี้ เพราะอาตมาเอามาเปิดเผย แล้วท่านผู้ที่ซัดอาตมานั้น บอกว่าผู้ที่บอกว่าตัวเองบรรลุนั้น คือ ผู้ไม่บรรลุ นี่ ท่านว่าไปอย่างนี้เลยอาตมาจำประโยคนี้ได้ แต่คำต่อคำอาจจะไม่ตรงทีเดียว เพราะจะเอาอาตมาให้หนักให้ตายเลย ก็คนก็ฟังง่าย และผู้ที่พูดนี้เป็นผู้ที่มีเครดิต มีความเชื่อถือ มีคนมารับรองด้วย ว่าผู้ที่พูดว่าตัวเองบรรลุนั้นคือผู้ที่ไม่บรรลุธรรม ก็เข้าใจง่าย อาตมาก็ถึงฆาต ประชาชนเขายอมรับนับถือท่านผู้พูด ก็จะเอาอาตมาตาย เกิดสงครามจนกระทั่งมะรุมมะตุ้ม เกิดคดีที่อาตมาโดนเพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้ว ผู้ที่พูดผิด..บรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่นนี้มีทิฏฐิไปแล้วดำเนินไปต่อ ตายแล้วไปไหน นรกหรือไปเป็นเดรัจฉาน 

 อาตมาไม่ได้พูดเองนะ ก็สงสาร ท่านคนนั้นป่านนี้ท่านก็น่าจะได้สำนึก ผ่านมานานแล้ว ที่จริงก็ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องมาบอกอาตมาหรอก แต่ควรจะต้องให้ผู้อื่นได้รู้ว่า ท่านผิด ในสิ่งที่ท่านผิด การที่อาตมาพูดตรงนี้ เพื่อที่ท่านจะได้ลดอัตตามานะ ถ้าท่านได้ลดอัตตามานะท่านจะเจริญ ผู้ปกปิดสิ่งที่รู้ว่าตัวเองผิด แล้วยังกลับไปเสแสร้งว่า ฉันเป็นผู้ที่รู้ ฉันเป็นผู้ที่ไม่มีผิด มันจะไปกันใหญ่เลย บาปมันจะซับซ้อนหนักหนาเข้าไปอีก อาตมาก็ขอให้สติเรื่องนี้อย่างนี้นะ 

ถ้าเผื่อว่า ท่านเป็นผู้ที่จะเปิดเผยความจริงออกมาเหมือนปลงอาบัติ โอ้โห ท่านจะได้ยอมรับนับถือว่าท่านกล้าหาญที่ทำผิดแล้วยอมรับผิดต่อหน้าประชาชน เปิดเผย ไม่ปิดบัง ไม่เน่าใน ผู้นี้ ท่านถือว่าเป็นผู้ที่มี อาสโภ มีความกล้าหาญมาก 

แต่ที่ไม่กล้าเปิดเผย เพราะ มีความละอายอย่างแรงกล้า ฟังให้ดีนะซ้อนนะ มีความละอายอย่างแรงกล้า ไม่กล้าเปิดเผย หวงตัว มีความเกรงกลัวอย่างแรงกล้าว่า กลัวจะเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

เพราะฉะนั้นผู้ใดรู้สัจธรรมแล้ว จากพระพุทธเจ้าก็ดี จากสัตตบุรุษก็ดี แล้วรู้สึกว่า ตายๆๆ เราผิด ยิ่งได้ ไปดูถูกพระพุทธเจ้า ได้ไปดูถูกสัตตบุรุษ ตายๆๆ ผู้นั้นสำนึกจะละอายอย่างแรงกล้า สัทธรรมจะเกิดอย่างนี้จริงๆ สัทธรรม 7 ละอาย หิริ โอตตัปปะ อย่างแรงกล้า

เพราะฉะนั้น ผู้สำนึกจริง ก็จะกล้าสารภาพ หรือเปิดเผย ถ้าไม่กล้าสารภาพ คุณจะหมักหมม คุณจะเน่าใน และการที่ได้ทำกรรมที่ทำหมักหมมเน่าในแล้ว ตายไปแล้วจะเจริญหรือตกต่ำ ...ตกต่ำ 

ยังเหลือ เตวิชโชสูตร ค่อยว่ากันต่อไป

จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2566 ( 11:19:00 )

660313

รายละเอียด

660313 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 14 ที่สันติอโศก https://www.boonniyom.net/53012.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1RIDljojVHqF__gm5M84H98IH4FQPvzBzhCZvCHHrIw8/edit?usp=sharing                                 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1ooIsya26g5SRyCuAXGsY1xdoDwUcLJVb/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/626454905970115 

 

พลังสัมประสิทธิ์พิสูจน์อายุยืนได้จริง

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคนวันนี้วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ อาตมาก็ยังแข็งแรงดี แต่ก่อนนี้อาตมายังหนุ่มแน่นเป็นพระแล้วล่ะ เป็นสมณะ วนเวียนอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ ไปพักที่ห้องภาพสุวรรณ เห็นโยมพ่อของท่านสิริเตโช โยมพ่อของท่านซาบซึ้ง นอน ประเดี๋ยวกลางวันก็เห็นนอน ซึ่งเราไม่ได้นอนกลางวัน เรายังหนุ่มแน่น ทำไมเอาแต่นอนเราก็นึกอย่างงั้น 

พอมาถึงเวลานี้เรามาถึงวัยนี้ อ้อ เป็นเช่นนี้ อ๋อ… นะ นี่แหละ สังขารร่างกายมันไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัส ก่อนจะปรินิพพานก็ตรัสว่าเธอทั้งหลาย ทุกสรรพสิ่งย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันจริงที่สุด 

อาตมาพยายามพากเพียรแล้วนะ พยายามพากเพียรใช้สัมประสิทธิ์ช่วยจริงๆ อาตมาใช้ความรู้ที่มีจากพระพุทธเจ้านี่แหละ อาตมาเป็นคนไม่มีความรู้ ไม่ใช่เป็นนักการศึกษา ศึกษาน้อยมาก ชาตินี้ในความรู้ทางโลกีย์ทางโลก อาตมาไม่ค่อยได้ศึกษาเลย ก็มีความรู้ทางโลกเขาน้อยมาก 

แต่อาตมามั่นใจว่า อาตมามีความรู้ทางธรรมแบบพระพุทธเจ้า มากพอ มั่นใจ ว่า อาตมาทำได้ถูกตรงตามของที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แม้ว่าอาตมาจะยังมีความรู้ไม่สมบูรณ์แบบเท่า แต่ว่าแนวทางทำมาจนถึงระดับ อาตมาก็บอกหมดแล้วว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งมันเป็นความมีภูมิธรรมของอาตมาเอง และอาตมาก็เอามาแสดงความจริงเท่าที่อาตมามี 

40-50 ปีมาแล้ว หลายคนไม่เชื่อตอนแรกๆ เดี๋ยวนี้ก็ชักพอคลี่คลาย เอ๊.. น่าจะมีความจริงบ้าง หรือ หลายๆคนเห็นว่า เออ..จริงนะ แล้ว หลายคนก็มา ที่มาน้อย และอาตมาก็มั่นใจว่า ที่มานี้ไม่มีใครถูกหลอก ที่มานี้มาอย่างอิสระเสรีภาพทุกคน ตัดสินด้วยตัวเองจริงๆ ทั้งๆที่กระแสสังคมที่ครอบงำส่วนใหญ่ส่วนมาก เป็นแบบที่ชาวส่วนใหญ่กระแสหลักเขาพาเป็น มันตรงกันข้ามกัน ปฏิโสตังที่อาตมาพามาปฏิบัติประพฤติ แต่ก็ยังมีคนมีจำนวนที่พอใช้ ทุกวันนี้ถือว่าพอใช้ 

เอาอันนี้ก่อนก็แล้วกัน

 

พรรคการเมืองของชาวอโศกชื่อพรรคสัมมาธิปไตย

_กราบนมัสการและะเจริญธรรมพี่น้องทุกท่านครับ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม เรื่อง การสมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ครับ

ท่านที่สนใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ติดต่อได้ที่ ชุมชนชาวอโศกหรือแพทย์วิถีธรรม

ภาคกลาง : ทนายรินไท 088-554-7104, แรงผา 083-408-5577,

ดั่งทรายฟ้า 081- 208-2211, อุ่นไอธรรม 098-412-6231

ภาคอีสาน : มั่นแม่น 086-402-7199, ดินดอน 093-071-4264,

เอมอร (ขวัญดินไพร) 086-328-6440, ภูเพียรธรรม 094-191-2496

แพรลายไม้ 088-554-8239,  เพ็ญแสงฟ้า 064-832-5381

ภาคเหนือ : สุเมธ พรหมรักษา 084-047-8626, มั่นศีลขวัญ 081-885-8572

ภาคใต้ : รวม (ดีทุกแดน) 088-772-9870, ฟางฝน 089-853-7162

พ่อครูว่า... ก็ขอพูดถึงพรรคทางการเมืองก็ถือว่าเป็นพรรคของชาวอโศก พักการเมือง เป็นพรรคชาวอโศกเราชื่อพรรคสัมมาธิปไตย อาตมาเองเป็นคนแนะให้ตั้งขึ้น แต่ก่อนก็มีพรรคการเมืองของเราแต่ก็เลิกไปแล้ว อาตมาก็มาเห็นกลับว่า เอ๊.. มันควรจะต้องมี ก็เลย ให้กลับมาตั้งขึ้นใหม่ ก็ตั้งขึ้นมา ก็ได้ชื่อใหม่เป็นพรรคสัมมาธิปไตย เพื่อที่จะไปกับโลกเขา ตามแนวคิด หรือ อุดมคติอุดมการณ์ที่เรามี ว่า ความเป็นประชาธิปไตย อาตมาใช้คำว่าประชาธิปไตยไทย หรือ ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า อาตมาใช้คำว่าอย่างนั้น ประชาธิปไตยไทยหรือประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า 

อาตมาเชื่อมั่นเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นประชาธิปไตยแบบโลกุตระ คนจะเข้าใจอย่างนี้ได้ยากซึ่งเราก็ต้องเริ่มทำ ค่อยๆทำไป ซึ่งอาตมาเห็นว่า กลุ่มของแพทย์วิถีธรรมเขานี่ เขามีคนที่มีไฟ และเป็นกลุ่ม จับตัวกันแน่นเป็นเอกีภาวะที่แข็งแรงดี เขาจะนำพาไปได้ ก็เชื่อว่าจะมีผลต่อสังคมมากกว่าที่เราได้ทำมาแล้ว ซึ่งมันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน ก็คิดว่า ทำไป เราอยู่ในสังคมยังไม่ตาย 

 

SMS วันที่ 5-12 มี.ค. 2566

 

_กิตติมา เอกมาไพศาล· กราบนมัสการท่านสมณะ และสิกขมาตุ ด้วยความเคารพเจ้าค่ะ ..... เป็นคนเมืองเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ก่อนคิดว่าการปลูกต้นไม้มันยาก สกปรก เหนื่อย เปลืองเงิน และอื่น ๆ อีกมากมายสารพัดเหตุผลที่จะไม่ปลูก แม้พ่อครูจะพูดจนหอกหักหลายร้อยเล่ม แต่ใช่ว่าจะสูญเปล่า เพราะมันเกิดการ osmosis แล้ว จนถึงจุดเติมเต็มคือได้เห็นสิกขมาตุที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังขยันที่จะปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่กินได้ ลูกได้ขยับทำกสิกรรมแล้วเจ้าค่ะ เมื่อได้มาอยู่บ้าน ตจว. ปลูกอยู่ปลูกกินตามอัตภาพของร่างกายและฉันทะที่กำลังสะสมให้เพิ่มพูน ผลจากการทำกสิกรรม ร่างกายของลูกมีความแข็งแรงขึ้น ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ได้กินของจากสวนของเราเอง ประหยัดเงิน นอกจากนี้ยังเหนี่ยวนำให้ผู้สูงอายุในบ้านขยับมามองว่าเราทำอะไร แทนที่จะอยู่กับทีวี และเริ่มช่วยเรารดน้ำพืชผักเมื่อเรามาวัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ลูกทำ ก็เพื่อเตรียมความพร้อมในการไปอยู่ที่บ้านราช เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ระหว่างทางเราก็ขัดล้างกิเลสของเราไป ผ่านผัสสะที่เกิดรอบตัวเรา กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สมณะ และสิกขมาตุ เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เอ้าดี ขอให้เสร็จสมประสงค์เร็วๆ 

_บัวดาว พรมเลิศ· ภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาได้มาเจอพ่อครูได้ฟังธรรมที่พ่อครูนำมาอธิบายธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้แก่โลกได้น้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผลในตัวเองค่ะ

พ่อครูว่า... เอ้า… คนนี้ก็เข้าใจตัวเองมีมรรคมีผลดี 

 

_จรรยา ประเสริฐ·ดิฉันแม้มีโอกาสได้ดูแลแม่ แต่ก็ช่วงท้ายของชีวิตเขา มาสำนึกได้ก็สุดท้ายของชีวิตเขาแล้วค่ะ กราบสาธุทุกคนที่ดูแลบุพการี ส่วนการใส่บาตร ไม่ใส่เงินค่ะ ถ้าพระต้องการแต่เงิน จะไม่ใส่เลยค่ะ เพราะรู้ดีว่ามันบาปค่ะ

ทุกคนตายแล้ว ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องกลับมาเกิดอีกแน่นอน 

_สว่างแสง ขวัญดาว·น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

วันนี้ลูกมีคำถามของสามีที่ลูกไม่สามารถตอบได้ค่ะ สามีเลิกเหล้า บุหรี่ กาแฟได้ กำลังพยายามเลิกเล่นหวย สามียังไม่เข้ามาปฏิบัติธรรม สามีไม่เคยฟังเทศน์ ลูกเปิดพ่อครูไว้ เขาก็ฟังผ่านๆไม่เคยมานั่งฟัง แต่เขาก็ให้ลูกถือศีล 8 ค่ะ

เขาเป็นลูกจ้างขนขยะของเอกชน เขามีคำถามว่า "เฮาเมื่อตายแล้วได้เกิดยุเบาะ หรือว่า ตายแล้วเอาไปเผาแล้วก็เผาเลย บ่ได้เกิด" น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... เรื่องนี้แม้สามีจะไม่ฟังธรรมะ อาตมาก็ตอบ อาจจะไหลไปตามสายลมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาบ้างหรอก ผ่านหูก็ยังดีนะ 

ประเด็นแรก ตอบเลยว่า คนเราเมื่อตายแล้ว ทุกคนไม่ว่าศาสนาไหนด้วย ศาสนาใดก็ช่าง..ทุกคน เป็นคำตรัสยืนยันและอาตมาก็เห็นจริงด้วย เพราะอาตมาเกิดแล้วเกิดอีก รู้จักการเกิดชาติที่แล้วชาตินี้ น่าจะมาเกิดมาในชาตินี้มีอะไรมาแต่ชาติก่อน อาตมาไม่เคยมีอาจารย์เรื่องทางธรรมและมาแสดงออกทางธรรมะไม่น้อย หลายคนก็ถือว่าเป็นเพชรเป็นพลอยเป็นทองคำเสียด้วยซ้ำ 

เพราะฉะนั้นคนทุกคนตายแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์ต้องเกิดทุกคน เกิดอีกทุกคนตามกรรมวิบาก ไม่ใช่ตายแล้วเอาไปเผาแล้วก็เผาเลยไม่เกิดอีกไม่มีอะไรต่ออีก มีแน่นอนถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์ 

และประเด็น 2. แม้ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว มีสิทธิ์ตายแล้วแยกธาตุตัวเองออกไปเป็นดินน้ำไปลง ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างที่เรียกว่า ไม่ให้จับเกาะกลุ่มกันอีกเลย จิตสลายเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย อันนี้ไม่เกิด 

แต่ พระอรหันต์ที่บรรลุแล้ว สามารถที่จะไม่เกิดก็ได้ แต่จะเกิดก็ได้ และ การเกิดอันนี้แหละ เกิดมาบรรลุอรหันต์แล้ว มาเกิดในชาติต่อๆมา 

1. จะไม่ทำบาปหรือไม่ทำความชั่วเลยในชาติต่อๆไป จากนั้นจะอีกกี่ชาติก็ตาม ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ ล้านชาติก็จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ล้านๆชาติ เป็นโพธิสัตว์จากเป็นพระอรหันต์ไป จะไม่ทำบาปไม่ทำอกุศลเลย ทำแต่ดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) เพราะ สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เพราะได้ชำระกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการทำชั่ว ทำบาปหมดไปแล้ว 

การชำระกิเลสของพระพุทธเจ้านั้น นอกจากจะไม่ทำชั่ว ทำบาปซึ่งเป็นโลกียะแล้ว ยังเป็นโลกุตระที่ไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย จิตกลางๆ จิตรู้จักสุขรู้จัก จิตโลกที่เป็นกิเลสลงมายาลงสุขลงทุกข์ แต่ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วรู้ชัดเจนในเรื่องความยึดถืออุปาทาน หมดจบ ไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข ตามภาษาบาลี 

เพราะจิตสะอาดจากกิเลสแล้ว สจิตตปริโยทปรัง เป็นอุเบกขาซึ่งมีองค์ธรรม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาตมาสรุปมา 5 ประเด็น ที่จริงมีมากกว่านั้นพระพุทธเจ้าท่านขยายไว้ 5 ประเด็นนี้ก็ชัดครบดีแล้ว 

ปริสุทธา เพราะจิตบริสุทธิ์และจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ถ้ายิ่งบำเพ็ญเป็นปริโยทาตา จิตจะประภัสสรมากขึ้นผ่องแผ้วมากขึ้น และจะตกผลึกเป็น มุทุภูตธาตุ มุทุเป็นจิตที่มีทั้งปัญญาและทั้งศรัทธา มันมีทั้ง 2 สาย 2 อย่าง เต็มขึ้นเจริญขึ้น พัฒนาขึ้นมีภูมิธรรมเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นๆนั่นเอง สูงขึ้นจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น 

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม· ก่อนเป็น"ชาวอโศก" ถูกหล่อหลอมฝังแน่นว่า"ภาวนา"คือการนั่งหลับตา บริกรรมคำว่า"ภาวนาพุทโธๆๆๆ..."ตามลมหายใจเข้าออกค่ะ...ณ บัดนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เป็น"สัมมาทิฏฐิ" จากพระนิยตะโพธิสัตว์เจ้าพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่พร่ำสอนและ ตกผลึกเป็นนิยามในวัน"มาฆะบูชา"นี้ว่า "ภาวนา คือ การกำจัดกิเลสสำเร็จผล จิตสะอาดผ่องใส เป็นอรหันต์" ชัดเจนยิ่งสุดค่ะ

กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการพ่อครู ด้วยเศียรเกล้าฯ

 

_ประดับ อินทร์แป้น· เห็นด้วยกับพ่อครูในเรื่องนักการเมือง ไม่ว่าของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ ต่างเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็เพื่อแสวงหาอำนาจเพื่อที่จะได้เงินเยอะๆมากๆ แล้วใช้เงินต่ออำนาจแล้วๆเล่าๆวนอยู่อย่างนี้เป็นวัฏจักรตลอดไป บนความทุกข์ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ของประเทศและประชาชน...พวกเขาไม่สนใจบาปบุญคุณโทษ! สนในใจเพียงอย่างเดียวคือเงินและอำนาจเท่านั้น ...นี่แหละสันดานของนักการเมือง!

 

คนเราจะเสแสร้งทำดีไปตลอดชีวิตทุกชาติเลยจะเป็นไรไป

_แก้วใจเพชร· ขอโอกาสกราบนมัสการพ่อครูและท่านสมณะเจ้าค่ะ

อ๊ะว่าจะกลับบ้านเยี่ยมแม่สองสามวัน ก็กลายเป็นไปอยู่ตั้ง 18 วัน  แม่อยู่กับหลานน้อยๆ  แต่การกลับบ้านครั้งนี้  อ๊ะว่าขนาดยังไม่ถึง 5,000 ปี ภาพที่เห็นก็ประจักษ์ใจจริงๆแต่ที่สัมผัสได้ในหมู่บ้านตัวเองและบ้านอื่นๆ มันเป็นกลียุคชัดมากๆ

1. เยาวชนหนุ่มๆหรือผู้ชาย จับกลุ่มต้มกัญชา กระท่อมกันดื่ม ไม่ช่วยงานต่างๆของหมู่บ้าน มีแต่คนแก่คนเฒ่า

2. เด็กยังไม่อนุบาลทุกบ้าน เล่นมือถือกันทุกคน และชักดิ้นชักงอเมื่อไม่ได้เล่น ไม่ดั่งใจก็เตะตีตายาย และวาจาหยาบคาย

3. เด็กอายุ 10 ปี แต่งงานมีสามีกัน และไม่สนใจเรียน  /เด็กวัยรุ่นผู้หญิง  หาเงินเรียนด้วยการไปบ้านวัยรุ่นชาย อย่างเปิดเผย โดยที่ครอบครัวก็พูดไม่ออก

4. กินขนมเป็นอาหาร ไม่ทานผัก

5. ชาวบ้านวัยรุ่น ผู้ชาย /ผู้ใหญ่มีอาการมือเท้าอ่อนแรง เป็นอัมพฤตกันส่วนใหญ่  โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นนักฆ่าวัวควายหมูหมา  

6. มีแต่เด็กและคนชรา อยู่บ้าน  ที่รอวันตาย  เพราะวัยรุ่นเอาลูกหลานมาให้ตายายแก่ๆเลี้ยง

7. สิ่งที่ดีขึ้นคือ แต่ละบ้านปลูกพืชผักสวนครัว กันทุกบ้าน 

พ่อครูว่า...อันนี้ดีมากเลย ปลูกไว้กินได้ 

8. การเมืองลดการร้อนแรงขึ้น เมื่อก่อนพ่อแม่พี่น้องอ๊ะอยู่คนละสี  อ๊ะกลับบ้านไม่ได้  แม่กลัวจะถูกพี่ๆเขาฆ่าเอา  เพราะเคยกลับแล้ว  โดนถือมีดขู่เพราะอ๊ะมาอยู่กับอาจารย์และพ่อครู 

ปัจจุบันชาวบ้าน ศรัทธาอาจารย์พ่อครูและอาจารย์หมอเขียว เกือบทั้งหมู่บ้าน  เพราะเดี๋ยวนี้ดูจากเฟช ข่าวคราว  แต่ไม่มีเวลาฟังธรรม  แต่รู้ว่าทางนี้ถูกต้องแล้ว  ชาวบ้านยอมรับแล้ว  

รอบนี้เลยต้องอยู่ยาว  ทำสวน กสิกรรม เป็นกำลังใจให้แม่  และชาวบ้าน 

แต่ใจอ๊ะก็มีติ่งทุกข์นิดๆเจ้าค่ะ  ว่า อยากให้ท่านได้สิ่งดี  แต่รู้ว่าฝืนวิบากกรรมกันและกันไม่ได้ จะรู้ขีดกุศลและอกุศล ของเราและเขา เวลาจะช่วยท่าน มันได้มากกว่านี้ไม่ได้   เราก็มีกำลังเท่าที่มี ….ฝืนไม่ได้ แต่ก็พอใจที่ชาวบ้านท่านก็รู้จักพ่อครูกันหมด 

พ่อครูว่า... อาตมาเคยคิดว่า คนจะค่อยๆยอมรับที่อาตมาพาทำไปเรื่อยๆเพราะว่า ธรรมโมหะเวรักขติ ธรรมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม สจฺจํ เว อมตา วาจา สัจจะมันเป็นเรื่องจริง พูดอย่างไรก็จริงไปเรื่อยๆ ถึงวันที่จะต้องยืนยันความจริง 

_ก็เลยเข้าใจชัด ทำไมเราต้องเชื่อมช่วยโลก  ถ้าเราลดกิเลสได้มาก  มีองค์ประกอบที่ดี มีหมู่กลุ่ม มีกุศล และอื่นๆ ก็จะมึแรงพลัง ช่วยตนเองและผู้อื่นได้  

กราบรายงานพ่อครูเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ…

พ่อครูว่า... อันนี้หมายถึงว่า กลุ่มคนที่มาปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้ามาปฏิบัติโลกุตรธรรม แล้วก็จะเกิดผลอย่างที่เราเป็น แล้วก็จะมารวมเข้าไปเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นๆโตขึ้น พฤติกรรมพฤติการณ์ของพวกเรา มันก็จะเป็นพลังงานกระจาย แผ่ออก ให้คนเห็นได้ง่าย เห็นได้ชัด เห็นได้เร็ว 

อาตมาทำไมจึงพยายามที่จะรวบรวมพวกเราเข้าเป็นหมู่เป็นกลุ่ม เพราะเหตุนี้เอง เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจรีบๆมา มารวมตัวกันให้เป็นกลุ่มหมู่ ถ้าหากว่าหมู่บ้านเรามีเป็น1,000 คนขึ้นไป สันติอโศกมีเป็น 1,000 ราชธานีอโศกมีสัก 2,000 บาท โอ้โห…ฝันไปไกลมากเลย ที่อื่นก็มีกันคนละ1,000 - 2,000 อย่างนี้ รับรองประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีพลังของโลกุตรธรรมกระจายแพร่ออกไป สู่สังคมประเทศชาติ แล้วจะเป็นประเทศที่เป็นเมืองพุทธ เมืองโลกุตระ ประเทศโลกุตระที่ต่างประเทศเขามีไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะตะวันตกเทวนิยม เขาจะมีไม่ได้ง่ายๆ 

ประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้นำเป็นคนซื่อสัตย์ไม่คดไม่โกง ปัจจุบันนี้แหละ ซื่อตรงต่อการช่วยเหลือประชาชน ทำงานมีความคิดลึกและก้าวไกล วิสัยทัศน์ก้าวหน้า ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่เห็นแก่พรรคแก่พวกกว่าประชาชน อาตมาเป็นผู้มองเองนะ ผิดถูกอาตมาก็รับผิดชอบ จะมาบอกผู้ที่นำตามชื่อก็คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ซึ่งต่างจากคนที่เขาไม่มองอย่างนี้ เขาอาจจะไปรู้เกร็ดเล็กเรื่องลับเบื้องหลังเบื้องลึกอะไร อาตมาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเท่าเขา แต่เท่าที่อาตมารู้ อาตมาเห็นตัดสินอย่างนี้ แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็เป็น background ของเขาใช่ไหม เป็นคนดี แต่ infront ของเขา ข้างหน้าของเขา ทำอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ อาตมาเคยพูดว่า คนที่เสแสร้งประพฤติตนหลอกคนทั้งหลายเขาว่า เป็นคนดี เชิญ จงประพฤติหลอกคนทั้งหลายให้เป็นคนดีให้จริงนะ เชิญประพฤติไปเลย หลอกคนทั้งหลายไปจนตายไปอีกกี่ชาติก็ทำอย่างนี้ไปตลอด 

ฟังให้ชัดๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจสัจธรรม ผู้ไม่มีที่ตั้งของความจริง ไม่มีที่ตั้งของความรู้ความฉลาด พูดเป๋ๆไป๋ๆ ไม่เห็นจะเกิดความก้าวหน้าพัฒนา ไปคิดว่าเขาประพฤติตนหลอกว่าเป็นคนดีปะหน้า ก็ประพฤติเป็นคนดีไปสิ ปะหน้าไปนี่แหละจนตาย มันจะเสียหายอะไร จะบอกว่าคนจริงใจ คนเลวต้องแสดงเลวจะบ้าเหรอ 

คำว่า เสแสร้ง คำว่า ดัดจริต ทำตนเป็นคนดี มันเป็นภาษาเลว แต่เนื้อแท้คุณเอาจริงๆสิ มันเป็นของดี จะไปพูดภาษาว่า คนชั่วก็ต้องชั่วออกมาสิถึงจะจริงใจ..จะบ้าหรือ ตัวเองไม่ได้ปรับปรุงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำอะไรเลย แม้คุณจะเสแสร้ง แม้คุณจะฝืนทำดี คุณก็ฝืนไปเรื่อยๆ เสแสร้งไปเถอะ ให้ยาวนานจนตายนั่นแหละ 

เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ทุกวันนี้นี่ มีผู้นำเป็นคนซื่อสัตย์ไม่คดไม่โกงซื่อตรงต่อการช่วยเหลือประชาชน ทำงานที่มีความคิดลึกและก้าวไกล วิสัยทัศน์ก้าวหน้าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นจะพรรคพวกมากกว่าประชาชน แค่นี้ก็ดีพอแล้วสำหรับผู้นำประชาชน ผู้นำประเทศ  

คนที่เขามีจินตนาการ มีแนวความคิด โต่งไปในทางคนดีของเขาต้องดี๊ดีๆสวยๆหรูด้วยนะ แต่มันหาไม่ได้ หรือ จะบอกว่าหาได้ยากก็เอา อาจจะพอมีแต่ยาก คนขนาดพลเอกประยุทธ์ อาตมาว่าก็หายากแล้วนะ แต่คนไปเอาจุดด้อยจุดบกพร่องหรือว่าจุดเฟคนิวส์ต่างๆ เดี๋ยวนี้ สื่อ มีเดีย มันเฟคกัน มันโกหกกัน มันไม่ซื่อไม่ถูกต้องมันทำกันเยอะ แล้วคนก็กดอ่าน กดอ่านวันๆนั่งอ่านแต่พวกนี้ บ้าๆบอครอบงำทางความคิด แล้วคุณก็ไม่สามารถจะไปเช็คได้ว่าที่เขาพูดนี้มันเป็นเฟคนิวส์หรือเปล่า มันโกหกหรือเปล่า มันเจตนาจะดิสเครดิตต่างๆนานา คุณตรวจสอบหรือเปล่า ไม่หรอก ฟังไป แล้วมันก็เยอะด้วย คนที่เขาไม่ต้องไปทำอย่างนั้น ไปทำมาหากินสามัญเขาก็ไม่มานั่งกดอะไรพวกนี้หรอก 

เพราะฉะนั้นในการมองของคน มองกันก็ทุกคน ต่างคนต่างแต่ละคนก็ยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม ส่วนคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย ก็มองกันไปได้คนละแง่มุม 

อาตมาลองร่าง เศรษฐกิจหรือที่เขาสรุปกันที่ว่าเป็นตัว GDP อาตมาก็เลยอยากแสลนกับเขาหน่อย ทั้งๆที่เราไม่มีความรู้เลย แต่อาตมามั่นใจว่า อาตมามี GDP แบบพุทธ ที่อาตมายืนยันแบบนั้นก็คืออาตมาพาพวกเราชาวอโศกมาปฏิบัติธรรม มี GDP แบบพุทธแล้ว ยืนยันได้ มีแล้ว 

ทั้งๆที่คนที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองนอก แต่เป็นชาวอโศกก็มี ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองนอกก็ดีอยู่แล้วเป็น Domestic อยู่แล้วภายในประเทศ

 

GDP แบบพุทธที่เห็นแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมหรือผู้ยังนับถือพระเจ้า

พ่อครูว่า... เขาไปเรียนจบด็อกเตอร์มาจากต่างประเทศเป็นพวกเทวนิยมทั้งนั้น น่าจะจบมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาในเมืองไทยที่ประสาทปริญญาพุทธศาสนาหรือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ขออภัยเถอะที่ต้องพูดความจริง ก็ยังไม่ได้เข้าใจโลกุตระธรรมอย่างสมบูรณ์แบบอะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เศรษฐกิจ ที่จะรายงานตัวเลข GDP แบบพุทธได้ อาตมาลองแสลนดู

ที่พูดต่อไปนี้มันเกี่ยวพันทางเทวนิยมเยอะ 

ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า คำว่า “พระเจ้า”นั้น เราไม่ได้หมายถึง GOD ที่ชาวเทฺวะนิยมเคารพนับถือ กันอย่างสูงยิ่ง สำหรับ GOD หรือ“พระเจ้า”ของชาวเทฺวนิยมทั้งหลายที่บูชาเคารพนับถือนั้น เราก็ให้ความเคารพอยู่เช่นกัน เพราะ GOD อันหมายถึง“วิญญาณ”หรือ “พระเจ้า”หรือ“พระศาสดา”ที่ทรงคุณงามความดีแท้กันทุกพระองค์ เราย่อมเคารพพระผู้มีคุณธรรมอันสูงส่งไม่ว่าจะเป็นชาติเชื้อใดแน่นอน    

แต่“พระเจ้า”ในที่นี้ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึง เรื่อง“เงินๆทองๆ” ที่เป็น  “วัตถุ”แท้ๆ ซึ่งคนไปหลงงมงายวุ่นวายเอาเป็นเอาตายอยู่ที่“เงินๆทองๆ”กัน โดยนับถือเงินทองเป็น GOD ยิ่งชีวิต

และความรู้ความเห็นที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ไม่ใช่แบบโลกียะที่อาตมามีน้อยนิดจริงๆ ซึ่งเป็นความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นแบบโลกุตระ จึงแน่นอนว่า มันย่อมผิดเพี้ยนไปจากผู้รู้เศรษฐศาสตร์ผู้มีครู มีอาจารย์ มีตำราเรียนมากันแน่ยิ่งกว่าแน่   

“เศรษฐศาสตร์” คือ “ภาวะแห่งความเป็นจริง” ที่เป็น “สัจธรรม” ทาง “จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงินๆทองๆ” ที่หลงสูงหลงมากไปด้วย “ตัวเลข” หรือนับกันแต่ “จำนวนของตัวเลขที่แข่งกันสูง แข่งกันมาก” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคณะเศรษฐศาสตร์ในโลกก็รายงานกันแต่ตัวเลขเป็นสำคัญ 

มันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ” 

ขอแวะหน่อยหนึ่งว่า ชาวอโศกนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกิจแล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จ มาสำรวจได้เลย เสร็จอย่างไร จบกิจอย่างไร มาเรียนรู้เอา โดยความหมายคำว่า เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจของสังคม ชาวอโศกไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ไม่มี

ยกตัวอย่างเช่น ชาวอโศกนี่ กู้เงินกันไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย ในโลกเขาทำไม่ได้ เราไม่ได้ใช้คำว่ากู้ แต่เราใช้คำว่าเกื้อแล้วเงินที่เกื้อไป ไม่ได้ใช้คำว่าหนี้แต่เราใช้คำว่าเงินหนุน เงินที่อุดหนุนช่วยเหลือกัน 

อย่างปฐมอโศก กู้เงินจากกองกลางเอาไปซื้อที่ดิน 50 ล้าน ไม่ต้องเสีย ดอกเบี้ยสักบาท เอาเงินสดไปจ่ายด้วย เขาบอกมีด้วยหรือ จ่ายเงินสด เดี๋ยวนี้ไม่มี มีแต่เช็คเด้ง แถมเราก็บอกว่า มีก็กู้มาจากกองกลางไม่ใช่ของปฐมอโศกเองหรอก โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เขาก็ตาตั้งอีกมีด้วยหรือกู้เงินตั้ง 50 ล้านแล้วไม่เสียดอกเบี้ย เขาก็งงอีก เราก็บอกมี เออ.. โลกนี้ทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้ด้วยหรือ นี่คือกลุ่มคนประหลาดของโลก เห็นไหม? แล้ว พวกเราเสแสร้งหรือเปล่า... ไม่ได้เสแสร้ง ทำด้วยความเข้าใจมีปัญญาบริสุทธิ์ เกื้อกูลกันช่วยเหลือเฟือฟายกัน  แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ทุกคนมีจิตวรรณะ 9 ที่อาตมา ภูมิใจมากเลยที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ให้พวกเราได้ศึกษาปฏิบัติกันมีผลสำเร็จถึงขั้นมีสาราณียธรรม 6 แล้ว พวกเราเกิดคุณธรรม มีวรรณะ 9 แค่นี้ อาตมา ก็ไม่รู้จะพูดยัง

เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”ที่หลงจำนวนตัวเลข”กันหนักหนาสาหัส อันไม่ใช่
“วิญญาณ”หรือ“ธาตุรู้”หรือ“จิตใจ” หรือ“พระเจ้า”กันเลย

มาเจาะลึกวินิจฉัยกันให้ละเอียดๆดูทีรึ? ว่า อะไร? ตรงไหน? ที่มันหลงกำหนดหมายผิดๆเพี้ยนๆกันอยู่  จะได้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบใน“ความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงผิดนั้น”กันเสียที 

อาตมาได้ข้อความต่อไปนี้ มาจาก“กูเกิ้ล”....

คำว่า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม

เขาแถมคำว่า GNP : Gross National Product มาให้อีกด้วยนะ! 

ยิ่งใช้คำว่า GNP : Gross National Product นั้นแหละยิ่งเน้นหมายเจาะลงไปที่“เฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นของตนเองในชาติตนเองแท้ๆเท่านั้น” มันก็ยิ่งชัดเจนว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะไม่มี“โลกุตระ”

เศรษฐศาสตร์แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะหรือแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาว“ทุนนิยม”สากลทั่วไปที่มีนัยสำคัญลึกล้ำมาก 

แต่คนเห็นว่า“สุดโต่ง”เกินไป และเชื่อว่า ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อสังคม ต่อโลก  

สากลคนทั่วไปเข้าใจกันตามที่ลอกมาจากที่ท่านผู้รู้ทางเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมแปลกันไว้ ดังที่ยกมาอ้างอิงไว้ข้างบนนั้น 

ถ้าพินิจเข้าไปให้เข้าถึงความหมายที่ตรงเนื้อหาแท้จริงแล้ว มันกลับเพี้ยนไปจากความเป็นจริงของเนื้อหาแท้จริงที่เป็นกันอยู่ ซึ่งมีนัยสำคัญอยู่อย่างยิ่งยวดทีเดียว   

เริ่มประเด็นที่ 1 นั่นคือ เศรษฐศาสตร์แบบโลกุตระของพุทธ ถ้าระบุลงไปว่า Domestic ที่แปลว่า ภายในประเทศ ก็จะ“ไม่นับ”เอา“ผลผลิต”ที่ขายได้รายได้จาก“ต่างประเทศ” หรือ“ไม่นับ”เอาที่คนไทยในต่างประเทศไปมีรายได้อยู่ในประเทศอื่นเขาแล้วส่งเข้ามาให้เราในประเทศ ปนเปกันหรอก เรา“ไม่นับ”รวมเอาที่เป็น“รายได้”ที่ได้จากภายนอกประเทศ อันไม่ใช่“รายได้”ที่ได้จาก“ผลผลิต”ที่ผลิตจาก“ภายในประเทศโดยเฉพาะเท่านั้น”มารวม

คำว่า “รายได้ที่เกิดภายในประเทศ”นั้น ต้องไม่รวมเอา“รายได้”ส่วนที่ได้จากต่างประเทศเข้ามารวมด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็น“รายได้”จากสินค้าที่ไม่ใช่ผลผลิตของไทย หรือจากคนไทยที่ไปได้รายได้จากต่างประเทศเลย 

ก็ให้เอาเฉพาะที่เป็น“รายได้ภายในประเทศ”ที่ได้จาก“ผลผลิตภายในประเทศไทย และขายกันระหว่างคนไทยในประเทศไทยเท่านั้น” ที่นับเป็น“รายได้มวลรวมภายในประเทศ” คือ เอาของ“คนไทยที่ผลิตเองขายกันเองในประเทศไทยเอง เป็นรายได้“ทั้งเงิน ทั้งผลผลิตเฉพาะของคนไทยเองเท่านั้น”จริงๆ

“ความแตกต่าง”ของแนวคิดทาง“เศรษฐศาสตร์”ของทุนนิยม หรือที่ยังเป็นแบบ“โลกียะ”ทั่วไปในโลกสากลกับแบบ“โลกุตระ”ของ“พุทธ”ที่เป็น“บุญนิยม” มีเฉพาะของพุทธนั้นมีนัยสำคัญหลายประเด็น  

ตามประเด็นที่ 1 ที่สาธยายมานั้น ก็คือ ทั้งๆที่ท่านนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมกำหนดหมายว่า “รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น” แต่นักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมไพล่ไปคิดเอา“รายได้”ซึ่ง“มันไม่ใช่รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น”ตามกำหนดหมายและพูดๆกันอยู่ทั่วไปเป็นสากลหรอกนะ!

ทว่ามันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่บวกเอารายได้จากการขายผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผลิตภายในประเทศของตนเองแท้ๆ เมื่อส่งออกไปขายแก่ต่างประเทศได้รายได้มา ก็เอา“รายได้”จากต่างประเทศมารวมกันกับทั้งที่เป็น“ผลผลิต”ขายในประเทศด้วย รวม“รายได้เข้าเป็นมวลรวม” มันก็รวมเป็น“รายได้”ที่ขาย“ผลผลิต”ได้ทั้งจากต่างประเทศ รวมกับ“รายได้”ทั้งที่ขายได้ในประเทศ มันเป็นการเหมารวมปนภายนอกกับภายในเป็น“มวลรวม”ทั้งหมดหนะซี!  

นั่นมันไม่ใช่“การขายผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองในประเทศตนเองเท่านั้น”แท้จริงกันที่ไหน? มันยัง“ขี้ตู่”ไปผนวกเอา“ผลผลิต”ที่ขายให้ต่างประเทศ แล้วได้“รายได้”จากต่างประเทศ”แถมเข้ามาอยู่ดี

มันก็เป็น“รายได้มวลรวม”ที่ไปนับเอา“รายได้”จากที่ขาย“ผลผลิต”ออกไปให้แก่ต่างประเทศโน่นมา “รวมเป็นรายได้ปนเปเข้าไปด้วยอีก” แล้วหลงผิดนับว่า เป็น“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”

...มันสำคัญผิดไปมั้ย? พินิจดูกันให้คมๆ แม่นๆ ชัดๆ กันเถิด

พินิจกันลึกๆชัดๆคมๆแม่นๆชัดๆแล้ว จะเห็นว่า ที่ว่า “รายได้มวลรวมในประเทศเท่านั้น” หรือจากภาษาที่ว่า Gross Domestic Product นี้ มันเป็น“รายได้มวลรวม”คือ Gross

 ที่ถูกต้องตรงตามความกำหนดหมายกันแล้วหรือไม่ใช่? มันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่เกิดขึ้น“เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น”จริงๆหรือ?

มันต้องเอา“รายได้ที่เกิดขึ้นจากการนับ “รายได้” อันได้ขายกันในประเทศ”เท่านั้นเป็น“มวลรวม”ตะหาก

ประเด็นที่ 1 นี้ จึงเป็นการหลงผิดในการขาย“ผลผลิต”ที่ควบรวม“รายได้”จากภายนอก ของ“ผลผลิต”ที่ส่งออกไปขายนอกต่างประเทศ และหรือนับเอาของคนไทยที่ไปได้“รายได้”อยู่นอกต่างประเทศแล้วส่งเงินเข้ามาให้คนไทยในประเทศไทย ว่า เป็น“รายได้มวลรวม”เฉพาะของไทยคนไทยภายในประเทศไทยเท่านั้น ว่าเป็นการขาย“ผลผลิตไทยกันเองภายในประเทศเท่านั้น” แต่หลงว่า“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”  

ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรงของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ

คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”

ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญยิ่งกว่า “การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด

ประเด็นที่ 3 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่   “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา” ประเด็นนี้เองที่ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันอย่างภาคภูมิใจเต็มใจเป็นสุขใจจริงๆจังๆกันเลย

ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น ดี แพ้ผู้อื่นได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด

แล้วยินดีเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือผู้รับจ้างเป็นอันขาด”  

ประเด็นที่ 4 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบโลกียธรรม”สามัญของปุถุชน 

นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่อารมณ์ “ทุกข์” กับ“การขาดทุน”เลย หรือแม้แต่ผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็ตาม ที่“สัมมาทิฏฐิ”ดีแล้ว ก็จะ“ไม่ทุกข์”กับ“การขาดทุน” แต่กลับจะ“ยิ่งมีสุข”เกิดขึ้นบ้างในจิตของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์

ประเด็นที่ 5 นี้มันยากยิ่งมากๆเลยที่ชาวเทวนิยมโลกียะจะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงกันได้ นั่นคือ เครื่องชี้บ่งความเจริญก้าวหน้าของชาวโลกุตระนั้น “ตัวเลข”ที่แจ้งผลรวมสรุปของ“รายได้การค้าขายแต่ละครั้งคราว แต่ละไตรมาส หรือแต่ละ 6 เดือน หรือแต่ละปี แต่ละ 5 ปี 10 ปี อะไรพวกนี้ “โลกุตระ”จะนับเอา“ตัวเลข”ที่น้อยลงๆ ถึงเจริญสุดคือ “0” แม้แต่จะ“0”ในสังคมของเราชาวโลกุตระ ก็ยังอยู่ได้ แม้แต่เราจะขาดทุนจนหมดตัว 0 อยู่สบาย มีชีวิตพออยู่พอกิน สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”อยู่ 

จึงนับเป็นเศรษฐกิจที่มีความเจริญก้าวหน้าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำคัญยิ่งกว่าเศรษฐกิจที่ชาวทุนนิยมเขานับว่า เป็นความเจริญก้าวหน้าของเขาชาวโลกียะในโลกส่วนใหญ่

แม้ที่สุดเงิน“คงคลัง”ของชาวอโศกโลกุตระ ก็จะพยายามเหลือเก็บไว้ให้“น้อยที่สุด”เท่าที่จะสามารถทำการสะพัดให้ได้เร็วและออกไปมากที่สุด เท่าที่จะสามารถรักษาสภาพการอยู่ได้ในกระแสหมุนเวียนของสังคมในช่วงไม่ใกล้ไกลนัก โดยอ่านเอาจากสมาชิกของสังคมนั้นๆแต่ละสังคมว่า มี“ความสามารถ”กับ“ความขยัน”เป็นหลัก เป็นการประมาณประเมิน ประมาณ••••••••••••   

นี่คือ GDP ที่อาตมามีความรู้ตามประสาอาตมาที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้มาจากตำราเทวนิยมหรือไม่ได้มาจากตำราใดๆ แต่จะได้มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงตั้งแต่หลายชาติมาแล้วมาถึงชาตินี้ ก็มาพาชาวอโศกทำ สร้าง GDP แบบนี้ หรือมาทำเศรษฐศาสตร์แบบนี้ คนข้างนอกฟังแล้วก็บอกว่า โพธิรักษ์ทำอะไรจะรู้เรื่องหรือไม่ ไม่แน่ อาจจะรู้ก็ได้ 

ประเด็นนี้แหละ ประเด็นที่เขาฟังธรรมะของชาวอโศก เอาชัดๆ ฟังธรรมะจากอาตมา เขาฟังแล้ว หาว่า พูดอะไรว่ะโพธิรักษ์ บ้าหรือเปล่า? ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีที่ไหนคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 

ต้องมาจนกัน สบายกว่าไปรวย จะเป็นคนก้าวหน้า คนประเสริฐต้องมาจนกัน 

ประเด็นนี้ การพัฒนา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเอาประเด็นว่าทุกคนรู้จักลดลง พอ แล้วจน ไม่ต้องไปรวย พูดกันให้ชัดๆเลยผู้บริหารประเทศ ทำความเข้าใจกับประชาชนเลย ให้เข้าใจว่า นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า จะสำเร็จผลเป็นวรรณ 9 เป็นคนคลาสสิค เป็นคนมีชั้นวรรณะที่เจริญ เป็นผู้เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนกล้าจน มักน้อย เป็นคนใจพอ  เป็นคนขัดเกลาตนเอง  เป็นคนที่มีหลักเกณฑ์หลักการ การปฏิบัติพัฒนาตนให้เจริญทางกายวาจาใจได้ มีอาการที่น่าเลื่อมใส  มีกายกรรมก็น่าเลื่อมใส มีวจีกรรมก็น่าเลื่อมใส มโนกรรมก็น่าเลื่อมใส

เป็นผู้ไม่สะสม อปจยะ แต่เป็นคนเพียรพากเพียรขยันระดมความเพียร สำนวนของท่านมหาประยุทธ์หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านแปล วิริยารัมภะว่า การระดมความเพียร เป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยศัพท์ที่เขาแปล 

เพราะฉะนั้นคนที่มีวรรณะ 9 และทำให้สังคมจบด้วยสาราณียธรรม 6 อยู่กันยัง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อย่างชาวอโศกอยู่กันและก็มีรายได้ที่ได้มาโดยธรรม ใครก็ตามไม่ไปทุจริต ไม่เอาไปจากคนอื่นมาที่มันไม่งาม แล้วเอามารวมกันเป็นส่วนกลางลาภธัมมิกา  กินใช้ร่วมกัน แล้วก็ปฏิบัติตนไปด้วย ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  จึงเจริญๆอยู่อย่างนี้ 

นี่เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า แม้ในยุคนี้ก็มีคนเอามาปฏิบัติได้ มาเป็นคนจนได้ มาเป็นคนทำงานฟรีได้ เป็นคนไม่ต้องสะสม แต่ขยันสร้างสรรค์ แล้วก็กินใช้ตัวเอง กินใช้ไม่เปลืองไม่ผลาญ กินพออยู่พอกิน สบายวันๆไป ไม่ต้องกังวลเลยว่า ข้าวไม่มีกิน ดินไม่มีเดิน ตะวันไม่มีส่อง พี่น้องไม่มีเลย มีแต่พี่น้องไม่มีเสร็จ เห็ดไม่มีเก็บ ...​มี มีป่าที่มีเห็ดธรรมชาติหรือไม่ต้องธรรมชาติก็ปลูกเองเลย เพาะเองเลย กินเห็ดเพราะเราไม่กินเนื้ออยู่แล้วอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นชาวอโศก อาตมาถึงพูดอย่างโอหังเลยว่า ประสบผลสำเร็จทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเสร็จ แก้ปัญหาจบกิจ ใช้คำว่า จบกิจเลย จบกิจนี่เขาใช้กับความเป็นอรหันต์ จริง เป็นเช่นนั้นจริงๆ 

นี่คือความ จะพูดว่าเมื่อกี้จะพูดว่า เป็นความยิ่งใหญ่ แต่ยิ่งใหญ่จริงๆ ความยิ่งใหญ่ของธรรมะพระพุทธเจ้า นี่คือความยิ่งใหญ่ของธรรมะพระพุทธเจ้า 

 

วันเวลาพิสูจน์มรรคผลคนโลกุตระ

พ่อครูว่า... ที่ทุกวันนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์” พวกเรานี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยจริงใจเลยแล้วก็เอาชีวิตจริงๆมาปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นสังคมหมู่ที่เป็นหมู่บ้าน ชุมชน มีศีลกันทั้งหมู่บ้าน และก็มีสมาธิเป็น สมาหิโต ไม่ใช่เป็นมิจฉาสมาธิแบบทางโลกเขา เพราะสมาธินี้ลืมตาสมาธิเกิดจิตตั้งมั่นเพราะได้เรียนลดกิเลส เลิกมาได้เป็นจิตตั้งมั่นตั้งแต่ 

1. โลกอบายเราก็เป็นสมาธิแล้ว จิตของเราก็ตั้งมั่นแล้ว เราไม่ไปวอแวอีกแล้ว 

2. โลกกาม หลายคนก็ไม่แล้ว สบาย มาอยู่รวมกับหมู่กับกลุ่ม มีพี่น้องเยอะ ที่เคยมีคู่ก็มาอยู่กันอย่างเป็นพี่ๆน้องๆอยู่ในนี้สบาย เคยมีคู่หมั้นก็หนีมาเลย อย่างฟ้ารัก เป็นต้น มีมาตั้งแต่เป็นหนุ่มๆสาวๆแน่ะ มีคู่รักคู่มันอะไรก็เลิกมา อย่างจริงใจแล้วก็อยู่มาจนกระทั่งเดือนนี้ อายุ 70 หรือยัง 

หมอฟ้ารัก...อายุของฟ้ารักเท่าพ่อครูลบ 20 

พ่อครูว่า... อาตมา 88 คุณก็ 68 มิน่ายังผมดำ แต่คนที่อายุมากแล้วเลย 60 70 อายุมากแล้วแต่ผมยังดำก็ยังมี 

อาตมาเอง อาตมาพูดถึงธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว พูดทีไรแล้วมัน สุขเช่นนี้ นี่หรือจะลืม อาตมามีแต่คนบอกให้พักบ้างพักบ้าง เดี๋ยวคนข้างๆก็บอกว่า พักหน่อยพักหน่อย เอ๊… อาตมาก็ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้ทำเล่นๆนะ มันก็ไปสบายๆ นั่งทำไป 2-3 ชั่วโมง 

แต่ก่อนนี้อาตมาทำวันๆหนึ่ง 4 - 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมงก็นั่งต่อกันทำอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครมาทวงเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้เขาบอกว่าอายุมากแล้ว เจียมแก่ ไม่เจียมสังขารไม่ถูก 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังมีพลัง ยังมีกะจิตกะใจที่จะพากเพียร ยังพยายามที่จะไม่ขยาย แต่มันก็ผุดขึ้นมาโผล่ขึ้นมาอีก ขยายขึ้นมาขยายนั่นขยายนี่ ดูซินี่ทำเป็นแอ๊ค ขยายเศรษฐศาสตร์แบบที่เรามีความรู้ตามพระพุทธเจ้า มาตีความขยาย ซึ่งแน่นอนก็พูดกันไม่รู้เรื่องกับชาวเทวนิยมที่เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ที่มีตำราอ้างอิงกัน มันไม่เหมือนแน่นอน มันมีนัยยะสำคัญที่ไม่เหมือนประเด็น 1 2 3 4 5 ต่างกันไป เขาจะทำความรู้เรื่องหรือ ต้องมาขาดทุน ต้องมาทำงานฟรีนี่แหละคือความเจริญพัฒนาก้าวหน้า ต้องไม่เก็บเงินเป็นกอบเป็นกองเป็นก้อนอะไรมากมายสะพัดออกไป ที่จริงมันสอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์ที่เขาต้องการแต่เขาทำไม่ได้แต่พวกเราทำสำเร็จก่อนแล้ว 

คนที่ไปรวยกัน มันก็สะสมทุนรอน ดีไม่ดีเอาไปออกดอกเอาไปออกปันผลซ้อนอีก นี่เป็นระบบที่ซับซ้อนหลอก แล้วก็ เอาเปรียบเอารัดกันซับซ้อนระบบทุนนิยมนี้ ขออภัยเถอะ เลวจริงๆ ถึงได้เรียกว่า ทุนนิยมสามานย์ 

พ่อครูว่า... วันนี้อาตมาแสดงธรรมที่นี่ พรุ่งนี้ก็ว่างอีกวัน แล้ววันมะรืนก็จะกลับเข้าไปราชธานีอโศกแล้ว 

สมณะเดินดิน... ฝ่ายการเงิน เขารายงานเรื่องตลาดอริยะที่เราจะจัดในเดือนเมษายน คิดว่า ยอดขาดทุนก็จะให้สูงขึ้นมาหน่อย เขาบอกว่าโชคดีที่พลังบุญจะเพิ่มให้ถึง 2 ล้าน ก็สงสัยว่าพลังบุญทำไมถึงเอาเงินตรงไหนมาได้ ก็ได้ข่าวว่าพลังบุญขายของไม่ดี ขาดทุนติดลบอะไรก็ เขาก็ชี้แจงว่าเพราะว่า เงินเดือน ยังมีก๊อก 2 เป็นเงินเดือนของพนักงานที่เราตั้งยอดตามอัตราของตลาด แล้วเงินตรงนี้ก็จะมีส่วนต่างเพราะแต่ละคนเอาเพียง 2,000 ถึง 3,000 มันจึงมีส่วนต่าง จึงมีก๊อก 2 เอามาให้ตลาดอาริยะขาดทุนไม่แพ้ตอนงานปีใหม่ 

ก็ทำให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ก็สอดคล้องกับที่พ่อครูพยายามจะขยายเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์โลกุตระ 

มองอีกมุมก็น่าใจหายว่าเงินน่าจะสต๊อกเอาไว้ เก็บเอาไว้แต่ก็เอาออกไปเกือบหมดเกือบหมด มันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่จบกิจนะครับที่จะเข้าหาความสูญ

แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิวัฒน์ที่เขาพูดถึงเรื่องมณีแดง ยาที่จะมาเพิ่มอายุขัยมนุษย์ เขาบอกว่าเงินเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะทำลายมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เงินมีหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นเครื่องมือของพระโพธิสัตว์ รู้สึกว่าเขาพูดออกมา มาขยายความให้พ่อครูนะครับ 

พ่อครูว่า... เป็นเครื่องมือโพธิสัตว์อย่างไร โพธิสัตว์ไม่ได้ไปวุ่นวายกับเรื่องเงินๆทองๆ 

สมณะเดินดิน... เครื่องมือให้โพธิสัตว์ประกาศเศรษฐศาสตร์โลกุตระครับ 

พ่อครูว่า... ไหนๆแล้วก็ไหนๆแล้ว เอาให้ถึง 20:00 น ก็แล้วกัน วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ พรุ่งนี้อยู่อีกวัน มีอะไรก็สะสางกัน จะไปเยี่ยมคนอายุเกินร้อย เดือนเมษายนก็ครบ 102 ปี โยมภิญญา เดี๋ยวพรุ่งนี้ ยังมีเวลาก็ได้ไปเยี่ยมหน่อย 

อาตมาเคยพูดกับพวกเรา เราอายุ 80 ขึ้นไปก็หลายผู้หลายคนแล้ว มาตั้งแต่อายุ 30 หรือ 20 กว่าก็มี 40 ก็มี เดี๋ยวนี้ 80 เข้าไปแล้ว คนละ 30 ปี 40 ปี 50 ปี อยู่ได้ยังไง พามากิน นี่สมัคร สุนทรเวช เขาก็ว่าเราแต่ก่อน ไอ้พวกนี้นี่มัน กินกล้วย 1 หวีใช้งานทั้งวัน นี่ก็พูดประชด นี่ก็ไปสวรรค์แล้วล่ะสมัคร สุนทรเวช เขาอยู่หมู่บ้านอยู่ตรงกันข้ามนี่ 

คนเราแต่ละคน อาตมาเห็นจริงที่สุดเลยว่า คนเรานี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ แล้วอาตมาก็สรุปแล้วว่า กรรมนี่แหละคือ GOD คือพระเจ้าจริงๆ กรรมคือพระเจ้าตัวจริง 

กรรมของเราเอง เราฝึกฝนเรียนรู้การปฏิบัติกรรม ทำกรรมของเราจนกระทั่งสามารถที่จะทำกรรม จนบรรลุอรหันต์ จนบรรลุธรรมะโลกุตรธรรมขั้นอรหันต์ แล้วก็ทำตนเองอีก จะอยู่หรือจะไม่อยู่เป็นอมตะบุคคล เป็นคนระดับที่ 9 ในมูลสูตร 10 เป็นอมตบุคคล เป็นคนมีวิมุตแล้วก็เป็นอมตะบุคคล 

เป็นอมตะบุคคลก็คือ บุคคลที่จะตายก็ได้จะเกิดก็ได้ จัดการเองได้เลย ตายหลังจากการตายแล้วเรียกด้วยภาษาวิชาการว่า กายัสเภทรา ร่างแตก ปรัมมรณา หลังจากนั้นไปจะให้เป็นอะไรทำได้เอง จะให้เกิดอีกเวียนวนมาเกิดอีกก็ได้ อันนี้แหละในเถรวาทในทางพุทธศาสนาประเทศไทย เขาเป็นอุจเฉทิฏฐิ อรหันต์ตายแล้วต้อง 0 อรหันต์ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ เมื่ออาตมามาพูดว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้ยืนยันหลักฐานว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ต่อเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์เลย อาตมาเป็นผู้ที่ขยายความเรื่องโพธิสัตว์และก็ขอยืนยันว่าเป็นโพธิสัตว์เนื้อแท้ถูกต้องตรง 

มหายานทางด้านโน้นเขาทางญี่ปุ่น ทางจีนอะไรที่เขามีมหายาน ไม่ใช่เถรวาทที่เดียวเขาก็มีโพธิสัตว์ แต่โพธิสัตว์เขาก็เลอะเทอะอีกบานปลายเป็นโพธิสัตว์นิรันดร โพธิสัตว์มีอัตตา อะไรก็ไม่รู้เละเทะไปหมด  มันไม่ถูกต้อง กลับคำสอนของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้ามาถึงยุคนี้ที่อาตมายืนยันว่า ศาสนาพุทธ 2,500 ปี ยุคนี้มันเสื่อม แต่ อาตมาก็มากู้กลับได้ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้อวดดี ไม่ได้อยากเบ่ง อยากข่มใครหรอก แต่ขอยืนยันว่า อาตมาพูดความจริง ทุกอย่างที่อาตมาพูดไปเป็นความจริงทั้งนั้น แม้แต่เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าจะเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตนเอง มาอธิบายโลกนี้โลกหน้า มาต่อศาสนาในยุคนี้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 คนฟังแล้วก็หมั่นไส้ คนที่เขาไม่เชื่อถือ  อาตมาพูดจะไปน่าหมั่นไส้อะไร อาตมาพูดตามคำสั่งพระพุทธเจ้า อ้างอิงหลักธรรม ไม่ได้พูดลอยๆพูดเลยไม่อ้างอิง ไม่ อิงหลักอิงธรรม แล้วก็พามาปฏิบัติศึกษาแล้วก็เกิดหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้อีกอย่างที่อาตมายืนยัน 

ชาวอโศกมีอริยะ มีสมณะ 4 เหล่า เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆเพื่อที่จะยืนยันว่า ให้เขาเทียบดูว่า อรหันต์จริงกับอรหันต์เก๊ อาริยะจริง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง กับ ของเขา เขาไม่สามารถแยกแยะแบ่งเกณฑ์ว่าเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เขาแบ่งไม่ได้ชัด เขาแยกจิตเจตสิกต่างๆ แยกรูปแยกนาม รูป 28 เอารูป 24 นาม 5 แม้แต่ สัญญา 10 เวทนา 108 เขาก็แยกภาษากันทางอภิธรรมเขาก็ท่องกันจ้อยๆ แต่เขาไม่ได้เข้าถึงสภาวะกัน แต่พวกเรานี้เข้าถึงสภาวะ เข้าใจ มโนปวิจาร 18 แยกเวทนา มโนปวิจาร 18 

อาตมาเคยยืนยันว่าผู้ปฏิบัติธรรมถ้าแยกเจตสิกของตัวเองเป็น เคหสิตะ แล้วก็ทำให้เป็นเนกขัมสิตะ แล้วก็ทำจิตให้เป็นเนกขัมมะ ออกจากกาม ออกจากปฏิฆะ. ออกจากกิเลส ออกไปได้ตามลำดับๆ ถ้าไม่รู้สภาวะจริงของอันนี้ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์หรอก เอาแต่นั่งหลับตา หลับตา หลับตาดับก็ไปให้ก้นแตก ปึ๊ง บรรลุอรหันต์ก็น่าสงสาร ก็ไม่รู้หลักของศาสนาพระพุทธเจ้าเลยอย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาพูดไปก็ต้องอ้างอิงความจริงบุคคลพาดพิงผู้นั้นผู้นี้บ้างนั่นแหละมันเป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำผิดทำไม่ดีทำไม่ถูก มันซ้อน เพราะมันมีของจริงก็จะได้อ่านง่ายยืนยันได้ ว่าอย่าไปทำเช่นนั้น 

เช่น อย่าไปนั่งหลับตา อันนี้ยากมากเลยเพราะมันหลงเชื่อฝังจิตฝังใจมานานว่า ฌาน ต้องนั่งหลับตาสมาธิต้องนั่งหลับตา ขอยืนยันว่า ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ฌานวิสัยเป็นอจินไตย ฌาน ไม่ต้องนั่งหลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 ข้อที่ 11-15 

มี วิชชาเป็นยาดำ ต้องรู้ด้วยปัญญาตลอดสาย 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดถึงอยู่อย่างนี้พูดด้วยความมั่นใจ พูดได้อย่างที่เรียกว่าองอาจแกล้วกล้า ไม่ได้เงอะงะว่า มันจะถูกหรือเปล่ามันจะผิดพลาดไหมไม่มี วิจิกิจฉา ไม่มีข้องใจ ไม่มีสงวนเลยว่ามันจะผิดนะคือมันจะถูกเต็มที่หรือเปล่า อาตมาว่า ไอ้ที่ยังไม่ค่อยชัดตัวเองจริงๆเลยนี่นะ อาตมาจะยังไม่พูดออกมา จะบอกว่ามีไหม ก็มี แล้วอาตมาจะพูดออกมาทำไม ยังไม่มั่นใจตัวเองแล้วจะให้ผู้อื่นรู้ทำไมแม้จะได้ยินก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปพูดทำไม ก็เอาที่มันชัดๆที่มันมีอยู่เยอะแยะไปละเอียดลอออะไรก็ชัดก็เอาออกมา 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิถึงจริงๆ 

1.ฟังไม่รู้เรื่อง 

2. ฟังพอได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็ยังไม่ค่อยเชื่อ 

3. ฟังเข้าใจได้ ค่อยๆเข้าใจมาเรื่อยๆยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น 

4.มาเลยใช่แล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้างไม่ไปไหนอีกแล้ว เจออโศกแล้วไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้าง 

บางคนก็แก่แล้วจะไปไหนอีกอย่างโยมกรุณานี่เท่าไหร่แล้วปีนี้อายุ 

_โยมกรุณา..คาใจว่า คนที่เขาเอาการแต่งงานไปในโบสถ์นี่ร้ายกาจยิ่งกว่านั่งหลับตาอีก 

พ่อครูว่า... อาตมาเคยท้วงแล้ว พระทำอย่างนั้นเป็นอาบัติสังฆาทิเสส แนะนำให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน สังฆาทิเสสนะ อาบัติสังฆาทิเสสนะรองจากปาราชิก อาตมาท้วงไปแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็อ้างอิงหลักธรรมอาตมาอ้างอิงตามหลักธรรมวินัย 

คุณเองคุณชัดเจนเบื่อหน่ายชีวิตแล้วแต่เขาไม่เข้าใจ แม้แต่เป็นพระเป็นเจ้าเป็นระดับนั้น แล้วจะเอาเข้ามาจัดการทำงานให้แต่งงานกันอยู่ในโบสถ์ ของศาสนาพุทธนั้น จะร่วมกันทำสังฆาทิเสสอาตมาก็ท้วงไปแล้วเขาจะแจ้งทำกันอยู่ก็เรื่องของเขาอาตมาก็ไม่รู้ก็เห็นใจก็มันไม่รู้ 

พ่อครูว่า... อาตมาถามว่าอายุเท่าไหร่ ไม่ได้ถามว่าไปไหนมา 3 วา 2 ศอก 

_แม่ชีกรุณา… อายุ 93 ปีแล้ว ถามพ่อท่านตรงนี้เลยอกจะแตก 

พ่อครูว่า... ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นคนทางเขาทำอย่างนั้น คือมันไปยึดมั่นคนอื่นเขาประพฤติ อาตมาเคยพูดแรงๆ หยาบๆเลย ทำไม ส.ใส่เกือก ไปยุ่งอะไรกรรมใครกรรมมัน เขาทำก็คิดว่าเออ มันก็ประพฤติเขา กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ เขาทำก็เป็นกรรมของเขา เราไม่ได้ทำกรรมกับเขา เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาอย่าไปแส่

เป็นแต่เพียงว่ารู้ว่าเขาทำเช่นนี้ กรรมเช่นนี้เขาทำเช่นนี้ไม่ควรนะ เราสามารถที่จะแนะนำกันได้ เตือนกันได้ บอกกันได้อย่างที่อาตมาบังอาจ จะใช้คำนี้ก็ได้บังอาจจะเตือนเขาแนะนำเขา พูดไป 

ที่จริงอาตมา เราชาวอโศกนี้เป็นนานาสังวาสกับเถรสมาคม ตามวินัยของพระพุทธเจ้านั้น ค้านกันได้ แย้งกันได้ ตำหนิกันได้ ปฏิกโกสนา

_แม่ชีกรุณา...สมเด็จ 2 องค์นี้มันรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้าอีก 

พ่อครูว่า... ให้กินบุคแล็กระบายออกมา อย่าไปกินสลอดล่ะ สงสัยจะหูตึง ก็อย่างนี้แหละอายุมากขึ้นก็อย่างนี้ อาตมานี่พูดมากพูดซ้ำพูดวนรำคาญบ้างหรือเปล่า โยมว่า.. ไม่  จริงหรือเปล่า? จริง..ธรรมดาคนพูดซ้ำน พูดบ่น ทำไมไม่เบื่อ ไม่รำคาญเล่า 

_ทพ.ฟ้ารักว่า...มันเป็นสัจจะ 

พ่อครูว่า... ไม่หลงยึดผิดหรือ อาตมาก็ว่าอาตมาพยายามอยู่นะ ทำสิ่งที่มันไม่ได้ซ้ำซากจนเกินไป แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าซ้ำซาก ไปอ่านพระไตรปิฎกเถอะ รับรองคุณไม่อ่านข้ามให้มันรู้ไป ใครอ่านพระไตรปิฎกไม่ทนอ่านทุกตัวอักษรเรียงไปหรอก มันต้องมีวนแล้วท่านขยันซ้ำจริงๆ บางทีซ้ำตรัสอย่างนี้ขึ้นแล้ว 10 ข้อท่านก็ซ้ำ 10 ข้อนั่นแหละท่านก็ขยายเพิ่มนิดหนึ่ง บางทีคำเดียว บางทีวลีเดียวบางทีประโยคเดียว ขยายไปละเอียดจริงๆโอ้โห…สุดยอดจริงๆเลย 

_แซมดินว่า...ของพ่อท่านไม่เบื่อเพราะพ่อท่านจะร้อยเรียงใหม่ มาประกอบใหม่ เพิ่มเติมขึ้น 

พ่อครูว่า... เข้าใจอย่างนั้นแล้วได้อย่างนั้นจริงก็ดีแล้วล่ะอาตมาก็เจตนาให้เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าสอนไปทุกวันนี้ วนอยู่ที่เก่าไม่มีอะไรต่ออีกแล้ว อาตมาว่ายังมีอะไรละเอียดๆที่เป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการอยู่นะ 

ทวนซิ 5 ประการมีอะไรบ้าง 

1.ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ 

2. เข้าใจชัดขึ้น 

3. หายสงสัย 

4. ทิฐิถูกตรงขึ้น 

5. จิตผ่องใส จิตเลื่อมใสขึ้น 

เป็นอานิสงส์ 5 ประการจริงๆเพราะว่าธรรมะพุทธเจ้าละเอียดขึ้น และอาตมาก็ว่าอาตมายังอธิบายละเอียดขึ้นได้ อาตมาว่าอย่างนั้นนะ 

แต่คนที่เขาภูมิไม่ถึงนั้น เขาไม่ได้  เขาจับไม่ติด ต้องใช้ศัพท์คำว่าเขาจับไม่ติดแล้ว มันไปไกลหรือมันพ้นจากภูมิของเขา พ้นสิ่งที่เขาจะรู้ตาม เอาง่ายๆ 

โทรทัศน์ออก โทรทัศน์ของเราช่องนี้ รีรันอาตมาก็วันหนึ่งไม่รู้กี่เที่ยว ทุกวัน   แสดงสดบ้าง บางวันไม่ได้แสดงสดแต่รีรันวันละ 2-3 เที่ยว เพราะ 1 วันมีตั้ง เอากลางวันก็ได้ 12 ชั่วโมง อาตมาเทศน์ อาตมาบรรยายนี่ ไม่ได้มีโฆษณา  ไม่ได้เหมือนที่อื่นเขาเลย ช่องอื่นๆเขา ไอ้ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ได้เรี่ยไรเลย ไม่เหมือนช่องอื่น ช่องธรรมะเหมือนกันแต่เขาเรี่ยไรทุกช่อง เว้นช่องบุญนิยมช่องเดียว ไม่มีเรี่ยไร 

_แม่ชีกรุณา… สายหลับตาก็บอกว่าลืมตาเห็นแล้วนี่มันจะสงบได้ไง 

พ่อครูว่า... โยมนี่บอกว่า สายหลับตาก็บอกว่าลืมตาเห็นโน่นเห็นนี่แล้วมันจะสงบได้ไง นี่แหละคือประเด็นยิ่งใหญ่ นี่คือความสงบ 2 ประการ สงบของพระพุทธเจ้านั้นคือสงบลืมตา ไม่ใช่สงบหลับตา อาตมาเคยอธิบายแล้ว ความเคลื่อนไหว เขาไปเอาความสงบหมายถึงความเคลื่อนไหว สงบของเขาคือ จิตก็ไม่เคลื่อนไหวก็หยุดนิ่งนี่คือความสงบของเขา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจิตยิ่งคล่องแคล่วยิ่งว่องไวเป็น จิตปาคุญญตา ยืนยันหลักฐานอ้างอิงพระบาลีเลย คำของพระพุทธเจ้าเลย 

ผู้ที่สงบนั้นคือกิเลสตัวเหตุทำให้มันไม่สงบนั้น ตายหรือออกจากจิต จึงเหลือแต่จิตที่ แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว เป็นลิงเลยทั้งกายกรรมวจีกรรม มโนกรรมเป็นประธาน อาตมาว่า อาตมาเป็นคนสงบ แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว 

เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจความสงบ 2 ประการ โลกุตระกับกับโลกียะไม่ได้ง่ายๆ ในปัญญา 8 ข้อที่ 3

คนเขาบอกความสงบอย่างหนึ่งคือพวกที่มีฌาน มีสมาธิที่นั่งหลับตา ไม่เคลื่อนไหวกาย ไม่เคลื่อนไหววจี ไม่เคลื่อนไหวจิต ให้จิตมันนิ่งๆตามต้องการให้จิตมันหยุดคิดหยุดทำได้ ไม่มี วิญญัติ ไม่มีการเคลื่อนไหว 

มันไม่สงบเพราะกิเลสออกจากจิตบริสุทธิ์แล้วจิตก็ แคล่วคล่อง กายก็คล่องแคล่ว จิตปาคุญญตา กายปาคุญญตา 

พ่อครูว่า... จบ สาธุ 

ที่มา ที่ไป

GDP แบบพุทธสุดจบกิจ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 14 ที่สันติอโศก วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2566 ( 06:11:55 )

660315

รายละเอียด

660315 การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53011.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1MBtJbD5cW-emQM1OCES0YHsFo3LmE5eeZbuVxw_uT6s/edit?usp=sharing                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1ASflEAZ4rlIKixff7Zq5PXfYxLMuKiG_/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/iHEzHtmZTjQ 

และ https://fb.watch/jhvjQtlXcD/ 

 

สมณะฟ้าไท... 

 

พ่อครูสมัครแล้วและเชิญชาวอโศกสมัครพรรคสัมมาธิปไตย

ถ้าเราได้ติดตามฟังธรรมะจากพระครูสิ่งที่พ่อครูเน้นสิ่งหนึ่งคือให้ลืมตาปฏิบัติธรรม 2 เน้นย้ำเรื่องทำกสิกรรม เช้าอโศกต้องลงจากหอคอยงาช้างลงมาคลุกคลีกับกสิกรรมให้เกิดผลผลิตให้เต็มให้ทั่วโลกไปเลย ให้เขาได้กินฟรี 

ประเด็นที่ 3 คือเรื่องการเมือง ตอนนี้ชาวอโศกก็มีพรรคใหม่ชื่อพรรคสัมมาธิปไตย ได้จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะไปสมัครเป็นสมาชิก เขาบอกว่า สมณะ สิกขมาตุ ก็สมัครได้ พ่อครูก็สมัครแล้ว 

พ่อครูว่า... อาตมาสมัครแล้วสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย 

สมณะฟ้าไท... ไม่รู้สมัครเป็น number one หรือเปล่า 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ Number One อาตมาลำดับที่ 88 แล้วก็ พรรคนี่ ที่เขาบอกมาว่า พรรคได้รับอนุมัติเป็น นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ จดทะเบียนพรรคสัมมาธิปไตย และได้ส่งไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดูเหมือนจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายพอดี แล้วก็อยู่ในลำดับที่ 88 วันที่อนุมัติให้ก็วันที่ 8 มีนาคม ก็เป็นเรื่องที่บังเอิญ เราก็ไม่ได้ไปจัดสรร มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ถือได้ว่า พรรคสัมมาธิปไตยได้รับการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเรียบร้อยแล้ว พรรค 87 เป็นพรรค ที่รับจดทะเบียนคือพรรครวมใจไทย 

เขาก็มีกิจการกิจกรรมอะไรต่างๆที่ตามกฎหมายนะตามกฎระเบียบ พวกเราชาวอโศก ที่จริงแล้วนี่นะ ถ้ามีความรู้เพิ่มเติม ในหลักเกณฑ์หลักการพวกนี้ เมื่อเรามีพรรคสัมมาธิปไตย ขออภัยที่อาตมาใช้คำว่าเมื่อชาวอโศกมี คือ มันเป็นชาวอโศกเราจริงๆ ที่ไปเป็นกลุ่มคน ที่เรียกดูภาษาวิชาการ พรรค เป็นกลุ่มคนไปจดทะเบียนเป็นกลุ่มหรือเป็นพรรคในทางการเมือง ตามกฎหมายตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายสังคมประชาธิปไตยเมืองไทยแล้ว 

เราห้ามไม่ได้หรอกว่า คนจะมีพรรคมีพวกอย่างพวกแดง อย่างพวกเพื่อไทยที่เขาชอบทักษิณ ความเห็น ความคิด แนวคิดอย่างไรก็แล้วแต่ แบบ ทักษิณ แน่นอนเขาก็แสดงออกหาพรรคหาพวกช่วยกัน มันก็ช่วยกันธรรมดานี่เป็น กฎเกณฑ์หรือเป็นหลักธรรมชาติของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นชาวอโศกเราก็มีนัยยะอย่างนั้นเหมือนกัน เขาก็ทำกันเปิดเผย แต่ที่จริงมันไม่ได้ผิดอะไร มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสังคมที่ทำอะไรเป็นหลักเกณฑ์ด้วย เป็นอิสรเสรีภาพของมนุษย์ทุกคนด้วย ที่จะมีสิทธิ์แสดงความเห็นว่าเราชอบอันนี้ เราไม่เห็นด้วย อย่างนี้แสดงสิทธิที่ไม่ผิดกฎหมาย 

แต่ที่อาตมาพูดไปนี้ อาตมาไม่ได้อยู่ในเถรสมาคม อาตมาไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ของเถรสมาคม อาตมาก็เป็นนักบวชเป็นสมณพราหมณ์ ที่เป็นนานาสังวาสกับมหาเถรสมาคม แน่นอนอาตมาไม่มีกฎเกณฑ์ ตามที่มหาเถรสมาคมเขากำกับ จะเรียกว่าบังคับก็คือบังคับ นักบวชของเขาเป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่มีสิทธิ์จะมาบังคับนักบวชพวกเราพวกชาวอโศกนี้ได้ อาตมาก็ถือว่าเป็นอิสรเสรีภาพที่อาตมามีสิทธิที่จะทำได้ ที่จะพูดกับชาวอโศก ให้ได้รับประโยชน์อันนี้ 

เพื่อที่จะทำให้ความเห็นหรือความรู้หรือแนวคิด ของพรรคสัมมาธิปไตยที่เราเห็นด้วยกัน เห็นสอดคล้องกัน เป็นแนวเดียวกันที่เราเรียกกันว่า แนวสัมมา 

เพราะฉะนั้นจะเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมามรรค สัมมาผล หรือ สัมมาประพฤติ สัมมาปฏิบัติก็ตาม มันก็ต้องสอดคล้องส่งเสริมกันไป ก็แสดงออกมาตามความ บริสุทธิ์ใจ อิสรเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบนะ 

ก็อาตมาจึงเห็นว่า เออ ก็น่าจะบอกกันชาวอโศก ซึ่งเราไม่ได้คิดจะเอาไปแข่ง เราไม่ได้คิดจะเข้าไปแย่งตำแหน่งหน้าที่ เราไม่ได้คิด แม้แต่จะสมัคร ส.ส.นี่ เราก็ไม่ได้คิดจะสมัคร ส.ส. เพื่อที่จะเป็นส.ส.เข้าไปในสภา ในทางกฎหมายเขากำหนดว่า พรรคการเมืองทุกพรรคต้องส่ง แต่ก่อนนี้ก็ไม่มีกฎหมายนี้ อาตมารู้มา เมื่อเป็นพรรคการเมือง ต้องส่งเลือกตั้ง ส.ส. 2 สมัย 2 ครั้งได้ ถ้าไม่ส่งครั้งหนึ่งได้ เกิน 2 ครั้งไม่ได้ ยุบพรรคเลย แต่ก่อนนะ เท่าที่อาตมาจำได้ แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างนั้นอยู่หรือไม่ อาตมาก็ไม่ได้ ติดตามเรื่องของการเมืองนี้ เท่าไหร่ 

แต่ทีนี้เราเอง ชาวอโศกเราจะมีพรรคการเมือง อาตมาก็ว่าน่าจะส่งเสริมกัน ให้แสดงแนวคิดที่เรามีแนวคิดโลกุตระ แนวคิดตามพระพุทธเจ้าเท่าที่เราเข้าใจ เท่าที่เราเชื่อถือ ตามสิทธิมนุษยชน เราก็น่าจะต้องช่วยกัน ส่งเสริมกันบอกแจ้ง 

ที่สำคัญก็คือบอกแจ้งกันให้รู้ เราก็จะได้พัฒนาแนวคิด ที่เป็นโลกุตระ แนวคิดที่เราเชื่อว่าเป็นของพระพุทธเจ้าว่ามันดีนะ มันเป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อมนุษยชาติ มันเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ชาวอโศกเราพัฒนาตนเองขึ้นมา ร่วมกับ สังคมประเทศเขา ไม่ได้ดูดายหรือว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลยอะไร อย่างที่เราทำมาก่อน ถึงกาละนี้ ถึงกาละที่ควรแล้ว เราก็ถือโอกาสมันก็ดำเนินมาบรรจบ ครบกรรมกิริยาการเมืองที่เป็นมา เราก็ทำเต็มที่ 

นี่ ภาพเขาเอามาบอก เป็นภาพที่อาตมาไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย เขาจะต้องเอารูปไปติดไว้ในใบสมัคร อาตมาก็ต้องทำตามกฎหมาย ตามกฎเกณฑ์กฎหมายเขาเราก็ต้องทำ 

เพราะฉะนั้นจะเป็นเรื่องประหลาด จะเป็นเรื่องแปลกๆในสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ มันมีอะไรใหม่เกิดขึ้นมา คนเขาจะด่า คนเขาจะว่า ผู้ที่เขาอคติหรือผู้ที่เขายึดถือ แต่คนที่เขาเห็นว่า เอ๊..ทำอะไรแปลกๆนะองค์นี้ พระรูปนี้ หรือเขาไม่เรียกพระ เขาจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ สมณะรูปนี้ ตามกฎหมายเขาก็เรียกเราถูกต้องแล้ว เป็นสมณะพราหมณ์ สมณะพราหมณ์รูปนี้อย่างไร ทำอะไร เขาก็อาจจะมองไป 

ก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นจุดสำคัญของสังคมมนุษยชาติ มันเป็นการพัฒนาหรือว่าเป็นการ ปหายะ เป็นการเสื่อม มันเป็นความเสื่อมที่ทำนี้มันเป็นความเสื่อม หรือเป็นความเจริญของสังคมประเทศชาติ  ของมวลมนุษยชาติ ก็ดูกันไปนะ 

 

เรื่องพรรคสัมมาธิปไตย

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2566 นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับจดทะเบียนจัดตั้งพรรคสัมมาธิปไตย และได้ส่งไปลงประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาด้วยแล้ว

ถือได้ว่า พรรคสัมมาธิปไตย ได้รับการจดทะเบียนพรรคการเมือง โดยชอบด้วย กฎหมายเรียบร้อยแล้ว

เพื่อให้พรรคสัมมาธิปไตย สามารถดําเนินกิจการทางการเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงขอชี้แจงญาติธรรมและผู้สนใจ ดังนี้

ข้อ 1. ภายใน 1 ปี พรรคสัมมาธิปไตย จะต้องมีสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 5,000 คน (ห้าพันคน) และต้องเพิ่มจํานวนสมาชิกพรรค ให้มีจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน (หนึ่งหมื่น คน) ภายใน 4 ปี

ข้อ 2. ภายใน 1 ปี พรรคสัมมาธิปไตย ต้องดําเนินการให้มีสาขาพรรค อย่างน้อย ภาคละหนึ่งสาขา มี 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน โดยสาขา พรรคการเมืองแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลําเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของสาขานั้น

ตั้งแต่ 500 คน (ห้าร้อยคน) ขึ้นไป

ข้อ 3 จัดให้มีการประชุมใหญ่ของพรรคสัมมาธิปไตย ภายในเดือนเมษายน ของทุกปี ข้อ 4 ผู้สมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ต้องชําระค่าบํารุงพรรค ตามกฎหมาย คือ เป็นสมาชิกหนึ่งปี 100 บาท (หนึ่งร้อยบาท) หรือเป็นสมาชิกตลอดชีพ 2,000 บาท (สองพันบาท) พร้อมหลักฐาน ดังนี้ 1) สําเนาบัตรประชาชน 2) สําเนาทะเบียนบ้าน 3) รูปถ่าย ขนาด 1 นิ้ว 1 รูป (กรณีไม่มีรูปภาพ บริการถ่ายรูปฟรี)

1 คุณสมบัติสมาชิกพรรค ดังนี้ 1) อายุ 18 ปีขึ้นไป 2) ลดละเลิกอบายมุข

3) ไม่มีข้อห้ามตามที่กฎหมายกําหนด

กรณี การส่งสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้

1. ต้องมีสาขาพรรคสัมมาธิปไตย พร้อมแล้ว 4 ภาค

2. ต้องมีตัวแทนพรรคการเมืองประจําจังหวัดอย่างน้อยสามจังหวัด มีสมาชิก

ไม่น้อยกว่า จังหวัดละ 100 คน (หนึ่งร้อยคน)

3. การสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องผ่านการพิจารณาของสมาชิกพรรคฯ จาก การประชุมใหญ่ของพรรคสัมมาธิปไตย (กรณี ไม่ส่งผู้สมัครติดต่อกัน 2 สมัยเลือกตั้ง หรือ ไม่เกิน 4 ปี จะสิ้นสภาพของพรรค)

*สนใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ติดต่อได้ที่ ชุมชนชาวอโศกหรือแพทย์วิถีธรรม ภาคกลาง : ทนายรินไท 089-554-7104, แรงผา 083-408-5577, ดั่งทรายฟ้า 081- 208-2211, อุ่นไอธรรม 063-836-4938

ภาคอีสาน : มั่นแม่น 086-402-7199, ดินดอน 093-071-4264,

เอมอร (ขวัญดินไพร) 086-328-6440, ภูเพียรธรรม 194-191-2496 แพรลายไม้ 088-554-4239, เพ็ญแสงฟ้า 064-832-5381 ภาคเหนือ : สุเมธ พรหมรักษา 084-047-8626, มั่นศีลขวัญ 081-885-8572

ภาคใต้ : รวม (ดีทุกแดน) 089-772-9870, ฟางฝน 089-853-7162

นาบุญ 0994644059

 

พ่อครูว่า... มาบอกอะไรต่ออะไรไปแล้ว ผู้ที่มีกะจิตกะใจให้ความร่วมมือสนใจจะสมัครเป็นพักสัมมาทธิปไตยไม่ว่าจะเป็นชาวอโศกหรือคนข้างนอก ก็ตามมีคุณสมบัติตามที่ว่าแล้ว ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ อายุ 18 ปีขึ้นไป พยายามลดละเลิกอบายมุข ไม่มีข้อห้ามตามกฎหมายกำหนด สนใจสมัครสมาชิก 

_หมอเขียว... มีพี่น้องทางบ้านฝากถามคำถามมา 2 คำถาม 

1 พักสัมมาทธิปไตยลงสมัครเลือกตั้ง จะไม่ลดคะแนนลงตู่หรือ 

2 ทำไมนักธรรมะจึงต้องมาทำการเมือง 

พ่อครูว่า... คำถามที่ 1 ก็อิสระเสรีภาพของประชาชน จัดตั้้งพรรคขึ้นมา เจตนาก็ไม่ได้ไปลดคะแนนลุงตู่ ก็เพราะว่า เราไม่แข่งใคร แต่เราทำกับประชาชน เราก็มีอิสรเสรีภาพที่จะทำ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะไปเล่นพรรคเล่นพวกกันมีเชิงคิดเล่นพรรคเล่นพวก มันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว 

เพราะฉะนั้นเราทำโดยสิทธิเสรีภาพของเราที่ทำตามอิสระชน สามารถที่จะทำ ไม่ได้ผิดกฎหมายทำได้ เราก็ทำ แม้ว่า พอรู้กันโดยปริยายว่าเราก็ส่งเสริมลุงตู่ ถ้าตั้งพรรคขึ้นมามันก็จะไปลดคะแนนลงจากทางโน้น 

จะลดหรือจะเพิ่ม คุณคิดคุณตัดสินเองได้อย่างไง ว่า พรรคนี้ เกิดขึ้นแล้วจะมีบทบาทอย่างไร จะมีพฤติกรรมอย่างไร จะแสดงออกไปในสังคมอย่างไร แล้วประชาชนเขารับจากการแสดงออกของพรรคสัมมาธิปไตยนี้ มันจะไปช่วยคะแนนให้ลุงตู่หรือมันจะไปลด คุณตัดสินได้ยังไง 

สมณะฟ้าไท... เขาพูดถึงการเลือกตั้ง ถ้าพรรคสัมมาธิปไตยสมัครลงเลือกตั้งก็จะแบ่งแข่งกับพรรคลุงตู่ 

พ่อครูว่า... ก็ไม่ได้แข่งนี่ ก็สมัครตามกฎเกณฑ์ของสังคม 

สมณะฟ้าไท... ก็แล้วแต่คนจะเลือกหรือไม่เลือก 

พ่อครูว่า... มันก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่แท้จริง 

สมณะฟ้าไท... ซึ่งถ้าเราชาวอโศกจะไปเลือกพรรคลุงตู่ก็ได้ 

พ่อครูว่า... ไม่มีปัญหา เราไม่ได้ไปกำหนดกฎเกณฑ์หรือบัญชาการสร้างอิทธิพลครอบงำใครอย่างนั้นอยู่แล้ว เราไม่ทำอยู่แล้วอิสรเสรีภาพ ชาวอโศกเราจะไปเลือกพรรคหรือเลือกลุงตู่ การเมืองของไทยนี้เขาเลือกพรรคกัน แล้ว ส.ส.ของพรรคก็ไปเลือกนายกเลือกอะไรกันอีกทีนึง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ 

ถ้าจะคิดอีกทีแล้วมันกลับจะส่งเสริมกันด้วยซ้ำ เพราะว่าก็รู้กันโดยปริยายว่าเราไม่ได้ไปแข่งที่จะไปเป็นนายก แล้วเราก็มีเชิงส่งเสริมนายกตู่อยู่แล้ว แล้วมันจะไปมีปัญหาอะไร 

หินไท...สมัยนี้ไม่น่าจะส่งทันครับ 

พ่อครูว่า... ส่งทันหรือไม่ทันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่เลย ส่งไม่ทันไม่เป็นไรมันมี 2 สมัย ส่งสมัยนี้ไม่ได้ สมัยหน้าก็ต้องส่ง จะทัน หรือไม่ ทำไมจะไม่ทัน เงินสมัครไม่มี เอาน่า คงพอได้

นี่เรื่องของพฤติการณ์ของชาวอโศก เกี่ยวกับสังคมประเทศ เป็นประเทศประชาธิปไตยที่เขาจะเรียกกันว่าการเมือง แล้วคนที่เขามีอคติมีความนึกคิดอยู่ว่า การเมืองกับพวกธรรมะต้องไม่เข้าไปร่วมกันอันนี้ก็พูดกันนักหนาแล้วว่าไม่จริงผิด คนที่มีความคิดเห็นและทำอย่างนั้นเป็นคนที่ทำลายประเทศชาติเลย การเมืองไม่ให้เข้าธรรมะไปยุ่งนั้นเลอะเลย 

พรรคการเมืองนักการเมืองต้องให้ธรรมะเข้าไปช่วย หรือยิ่งเป็นนักการเมืองที่สนใจธรรมะร่วมกับธรรมะอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันเลยพากเพียรปฏิบัติตนให้เจริญในทางธรรมะด้วย เป็นอรหันต์เลย เป็นอนาคามี เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบันก็ยิ่งดีสิ ดีกว่าปล่อยให้ปุถุชนไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างประเทศชาติอยู่ทำไม ใช่ไหม นี่คือสัจจะที่จริง ก็ค่อยๆทำไป จะมีคนค่อยๆเข้าใจ 

พฤติการณ์ของโลกุตรธรรมพฤติการณ์ของมนุษย์ที่มีโลกุตรธรรม มันจะไม่เหมือนกับพฤติการณ์ของมนุษย์ชาวโลกียะที่เขาทำกันอยู่ ที่เขาประพฤติกันอยู่ พฤติการณ์ที่เป็นเขาจะไม่เหมือนแน่ เพราะฉะนั้นมันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาก็ใหม่ๆแปลก 

ตั้งแต่อาตมาพามาทำนั้นมันใหม่มันแปลก แต่จนเขาเห็นว่าผิดเพราะมันไม่เหมือนเขา จนนานมาจนวันนี้แล้ว เอ๊ะ มันผิดหรือมันถูก โพธิรักษ์นำพา คนก็ชักหยุด หยุดที่จะคิด ว่าผิดไปเลยนี่ลงไปแล้วได้เรื่อง แต่แน่นอนไม่หมด จำนวนมากยังเห็นว่ายังไม่ใช่ ยังอะไรต่ออะไรอีกเยอะ ยังไม่ยอมรับนับถือว่า นี่เป็นผู้ที่จะมาแสดงธรรม นำธรรมะพระพุทธเจ้ามายังไม่ แต่ไม่มีปัญหา 

เพราะผู้ที่เห็นและเป็นมวล อย่างถูกต้องตามธรรมซึ่งเรายืนยันว่าเป็นมวลที่ประพฤติจนกระทั่งเกิด สาราณียธรรม 6 มีวรรณะ 9 มีหลักเกณฑ์อะไรต่างๆนานาเอาอ้างอิงของธรรมะพระพุทธเจ้าเลย ยืนยันได้ มีที่อ้างมีที่อิง มีหลักฐาน หลักฐานพระไตรปิฎกตรง พวกนี้เขาก็พูดไม่ออกแล้ว นี่คือความจริงเพราะฉะนั้นก็พิสูจน์กันไปเรื่อยๆ 

 

ทีนี้ก็เอา sms ดู 

SMS วันที่ 13 มี.ค. 2566

 

อ่านทุกข์ออกนี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ

 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ชีวิตลูกมีความทุกข์มาก ครั้นเมื่อมาปฏิบัติธรรมกับพ่อครูเกือบ 3 ปีมานี้ ทุกอย่างในครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

ที่พ่อครูเคยบอกว่า ลูกๆใช้คำกับพ่อครูว่า"ที่เคารพอย่างสูงบ้าง ที่เคารพอย่างสูงยิ่งบ้าง ที่เคารพสุดเศียร สุดเกล้าบ้างฯลฯ" ลูกมีความเห็นว่า ที่พ่อครูมาสอนให้ลูกๆ ลดกิเลสได้นั้นมีค่ามากเกินกว่าที่จะหาคำใดๆมาสื่อสารได้ ลูกอยากถามตรงๆว่า 

ทุกข์ที่คนทั้งโลกประสพกันอยู่นี้ หากไม่มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่พ่อครูพาทำแล้ว พวกเขาจะมีทางพ้นทุกข์จริง หรือจะมีทางอื่นอีกหรือคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... คุณสว่างแสงปฏิบัติมาเกือบ 3 ปี สามารถมองเห็นทุกข์ อ่านทุกข์ออก นี่คือหัวใจของศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้ที่เห็นทุกข์ด้วยตัวเองว่าอันนี้คือทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้เห็นทุกข์นั้นคือเป็นอาริยะ เพราะผู้เห็นทุกข์อาริยะ 

แต่คำว่าทุกข์โลกีย์กับทุกข์อริยสัจ ทุกข์ที่เป็นโลกีย์เป็นทุกข์ที่เป็นอริยะปลอม อาริยะเก๊ เขาเห็นกันอยู่ มันคนละอย่างกัน มันลึกซึ้งมากตรงที่ว่า ทุกข์นั้นเกิดที่ไหน เกิดที่สมอง  เกิดที่หัว  เกิดที่มือ เกิดที่แขน เกิดที่ปาก ทุกข์เกิดที่ไหน ทุกข์เกิดที่ใจ เราเรียนรู้ใจหรือเรียนรู้จิตวิญญาณ แล้วเจตสิกที่เจาะเข้าไปจริงๆอาการทุกข์มันอยู่ที่ไหน​ อยู่ที่เวทนา

ชาวอโศกเราเรียนเจาะลึกเข้าไปถึงจิต ถึงขั้นเวทนา แล้วอ่านอาการทุกข์จากเวทนาได้ นี้ต่างหากที่มันต่างจากที่เขาเรียนกัน​ โดยเฉพาะเทวนิยมไม่รู้จักเรื่องเวทนา เวทนา 108 เป็นต้น มันละเอียดชัดเจนเลย แบ่งแยก เคหสิตะ มโนปวิจาร 18 แบ่งแยกได้ เอากิเลสออกได้เรียกว่าได้ธรรมะ รู้จัก มโนปวิจาร 18 อีกหมวดหนึ่ง ที่เป็นคฤหัสถ์เป็นผู้ที่ไม่ใช่อาริยะ แม้จะเป็นชาวพุทธก็ตาม แยกอ่านจิตในจิต อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อ่านไม่ออกแยกแยะไม่ออก มีธัมมวิจัย กิเลสกาม กิเลสปฏิฆะ มันมีอาการเมื่อผัสสะและเกิดเวทนาแล้วสามารถที่จะวิจัยวิจารณ์แยกเอาตัวการเอา ปฏิฆะออกได้ กำจัดกามกับกำจัดปฏิฆะได้ 

ซึ่งเป็นเรื่องปรมัตถธรรม เขาเรียนรู้จริงกันที่ไหน แม้แต่ทางเถรสมาคมไปนั่งหลับตากันอย่างใหญ่ แม้แต่เรียนเปรียญ 9 เรียนดอกเตอร์ ได้แต่บัญญัติภาษา ได้แต่ตำแหน่งหน้าที่กันไป เขาได้ประพฤติปฏิบัติกันเข้าไปถึงปรมัตถธรรมอย่างที่กล่าวนี้ที่ไหนกัน ขออภัยที่พาดพิง อาตมาพูดสัจจะ ความจริง ที่อาตมาเชื่อมั่นว่าเป็นจริงตามที่อาตมาพูด ถูกผิดอาตมาก็ต้องรับผิดชอบ แต่อาตมาเชื่อว่าอาตมาพูดถูกต้อง 

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ คุณสว่างแสงพูดว่า สามารถที่จะพูดได้เพราะเคยมีทุกข์มาเก่า มาคบกับเรา 2 ปีกว่า 3 ปี ฟังธรรมและเรียนรู้ได้ว่าลดความทุกข์ได้ จึงเห็นว่าการลดความทุกข์นี้เป็นคุณค่ามาก เพราะฉะนั้นการที่คนเขารู้จักคุณค่า แล้วเขาเรียกอาตมาว่า ให้ความเคารพว่าอย่างสูงสุดเศียรสุดเกล้า อะไรพวกนี้ มันก็เป็นความจริงใจของเขา ที่เขารู้สึกและเขาอยากจะให้ อาตมาจะไปขอร้องอยากให้เรียกหรือ..อาตมาไม่ได้อยากให้เรียกเลยนะ  ถ้าจะว่าจริงๆ ถ้าอาตมามีกิเลสอาตมาก็จะเหนียม มาเรียกกันขนาดนี้  สุดเศียรสุดเกล้าอะไรอย่างนี้ อาตมาก็จะเหนียม แต่อาตมาไม่มีกิเลสอุทธัจจะ กิเลสมังกุอะไร อาตมาไม่มีจริงๆ 

อันนี้ผู้ที่ศึกษาธรรมะที่มีภูมิปัญญาจริงจะเข้าใจดีเลยว่า คนที่ไม่มีอุทธัจจะแล้ว คนที่ไม่มี มังกุ ภาษาวิชาการแปลว่า ความเก้อเขิน ความเก้อยาก ความดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ในใจ มีความเขินๆเก้อๆ เขามาเรียกเรายกย่องสูง อาตมาไม่มีกิเลสที่ใครๆมี ที่เมื่อวานอาตมาเอาพรหมชาลสูตรมาอ่าน พระพุทธเจ้าบอกว่าใครมาชมเราก็อย่าไปฟูใจ เหลิงใจ ตำหนิก็ไม่เป็นไร

คนตำหนิอาตมาเยอะแยะ อาตมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ใช่หน้าด้าน ก็พูดไปอยู่ ตำหนิก็ฟังเขา เขาก็ตำหนิผิด ตำหนิถูก เขาตำหนิผิดอาตมาก็แก้ไป พระพุทธเจ้าให้แก้ไขนะถ้าเขาตำหนิผิด ถ้าเขาตำหนิถูกเราก็ยอมรับสิ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาไม่ได้ปฏิบัติผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าสักอย่าง 

 

ชาวอโศกเรามีเศรษฐกิจโลกุตระหนึ่งเดียวในโลก

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · ผู้น้อยเข้าใจถูกไหมหนอถ้าเปรียบว่า? รายได้ GDP เศรษฐศาสตร์โลกียะธรรมทำให้ปุถุชนเป็นทุกข์ด้วยพึ่งพาสังคมทุนนิยม

โลกภายนอกเป็นหลัก ไม่จีรัง อันผันผวนวิกฤติปรวนแปร ศก.ไม่แน่นอนฯ! รายได้ GNP เศรษฐศาสตร์โลกุตระธรรมให้อาริยะชนพ้นทุกข์ด้วยตนพึ่งตน พึ่งพิงชุมชนนิยมสังคมภายในเป็นแก่นเที่ยงแท้ ศก.คนจนพอเพียงพึ่ง พากันรอดไปด้วยกันได้แน่นอนแม้วิกฤติศก.โลกไม่จีรังฯ สาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2566 ( 21:20:57 )

660317

รายละเอียด

660317 GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53009.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1bIyQ516KXEzOCOx6-bmkfHCERYXTDRS4/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1c5SJSimW9-JDTDUfQa4VaK0b07vo-GcH/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/JKXGHNeWtQY 

และ https://fb.watch/jk87bdx-Rn/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ อาตมาก็แว๊บไปถึงงานปลุกเสก ซึ่งอยู่ต้นเดือนเมษายนในวันที่ 5 สรุปแล้วเหลืออีกไม่ถึง 20 วัน เราจะเข้างานแล้ว แต่ก็ดี ในงานพุทธาภิเษกที่ผ่านมา เหมือนเป็นการสัมมนาภายในของพวกเรา มีอะไรที่จะทำให้พวกเราสมบูรณ์ หน่วยงานองค์กรอะไรที่ต้องแก้ไขทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น ก็ได้เอาเรื่องราวต่างๆนาๆขึ้นมารวบรวมเรียบเรียง ก็มีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านด้วยกัน 

เรื่องหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ฟังแล้วก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า เป็นเรื่องที่ชาวอโศกจะต้องยกมาตรฐานการผลิต ฐานผลิต ฐานแปรรูปต่างๆนานา ต้องทำให้เข้ามาตรฐานสากลมากขึ้น เราก็จะต้องให้ความร่วมมือกับทาง อ.ย. ซึ่งเขาก็ให้ความช่วยเหลือเราทุกอย่าง ส่งเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำโดยตรง ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เขาอยากให้เราเข้าสู่มาตรฐานสากล เพราะหมู่บ้านของเรามีคนมาศึกษาดูงาน น่าจะเป็นตัวอย่างให้ชุมชนและคนที่มาศึกษาดูงาน ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ของรัฐเขาด้วย พวกเราเองก็จะได้มีการปรับปรุงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น รู้สึกทำแล้วมีแต่ดีไม่มีเสีย มีแต่เจริญก้าวหน้า 

ทางบ้านราชฯหลายอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ฐานงานที่อยู่กันมานานก็ยอมเปลี่ยนแปลงปรับปรุง เหมือนกับคู้แขนเข้าเหยียดแขนออก คิดแค่ 2 นาทีก็ยอมเปลี่ยนแปลงแล้ว 

_ป๋องว่า...เป็นธุดงควัตรข้อที่ 12 จะอยู่ตรงไหนก็ได้แล้วแต่หมู่จะจัดให้ 

สมณะเดินดิน... พวกเราเป็นเหมือนสายธุดงค์ ธุดงค์พ่อครูบอกว่าไม่ใช่ต้องไปเดินในป่าในดง แต่อยู่ในบ้านในเมืองนี่แหละ เรามีข้อปฏิบัติที่เคร่งครัด เป็นต้นว่า เราไม่ใช้เงินใช้ทอง ฉันอาหารวันละ 1 มื้อพวกนี้ ยิ่งได้ข้อที่ทำงานตรงไหนก็ได้อยู่ตรงไหนก็ได้แล้วแต่หมู่จะจัดให้ เป็นธุดงควัตรข้อที่ 12 ใครทำได้ถือว่าเคร่งมาก เป็นความเจริญก้าวหน้าอย่างมากๆทีเดียว ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่พวกเราก็เป็นไปได้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว 

เมื่อไปสันติอโศก พ่อครูไปเยี่ยมอุบาสิกาเย็นฟ้า (เดิมชื่ออภิญญา) อายุถึง 102 ปี ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ จากคนที่ไม่ค่อยจะพูดกลับพูดได้เยอะเลยหรือเป็นเพราะพ่อครูไปเยี่ยมเลยเกิดพลังพิเศษ คนดูแลบอกว่า บางช่วงก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่วันนั้นก็ค่อยๆจำได้ จำท่านแสนดินได้ก่อน คุยไปคุยมาค่อยจำท่านติกขะได้ แต่ว่า ลูกเขาไม่ค่อยอยากให้ดูโทรทัศน์เลย เพราะดูโทรทัศน์แล้วเขาจะไม่นอนเลย เพราะใจจะพุ่งมาอยู่ที่บ้านราชอย่างเดียวเลย แม้อายุ 102 ปี แต่จิตวิญญาณก็พุ่งมาอยู่กับหมู่กลุ่ม พุ่งอยู่กับพ่อครู เห็นพลังวิญญาณที่มีแรง จนลูกคิดว่าการดูโทรทัศน์ บุญนิยมทีวีจะเป็นอุปสรรคต่อแม่ เห็นคติภพที่ว่า ใจอยู่กับหมู่กลุ่มตลอด

แต่ก่อนนี้เคยเห็นตอนอายุ 50 ถึง 60 ก็ป่วยกระเสาะกระแส ดูแล้วไม่น่าอายุยืนได้เลย แต่พลังศรัทธาทำให้อยู่ได้ถึง 102 ปีแล้ว นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่บอกถึง ความมั่นคง ความแน่วแน่ ไม่ถดถอย มันเป็นตัวทำให้ชีวิตมุ่งมั่น อยู่ต่อไป แต่ก็น่าเสียดาย ที่ไม่สามารถมาอยู่กับพวกเราได้ 

พวกเราก็ตอนนี้มีพรรคการเมือง เดี๋ยวจะมีหัวหน้าพรรคขึ้นมา จะมีเรื่องราวอะไรต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ ใครที่นิ่งอยู่กับที่มีโอกาสหลุดออกจากหมู่นะ พ่อครูพาไปกลับรถด่วนขบวนสุดท้ายที่จะมาเก็บชาวบุญนิยมเดินทางไปต่อ 

วันนี้ได้โอกาสที่พวกเราจะได้ตั้งใจฟังสัจจะโลกุตระกัน ขออาราธนาพ่อครูครับ 

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกคน 

SMS วันที่ 15-16 มี.ค. 2566

 

_เมตตา โพธิสุทธิ์  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ เมื่อวันพุธพ่อครูเพิ่งเดินทางมาถึงเช้านี้ ตอนเย็นก็เทศน์เลย สุดดดด.....ยอดดดด.... ม๊ากกก..ค่ะ

 

_อารยา ศรีไพโรจน์  · ข้อกำหนดการเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ต้องเป็นคนที่กินมังวิรัติด้วยใช่หรือไม่ค่ะ

พ่อครูว่า...เอ๊ ไม่นะ ไม่มีกำหนด เป็นแต่เพียงว่าไม่มีอบายมุข ไม่ได้บังคับให้มาถือศีล 5 ก็ไม่ถึงอย่างนั้นหรอก มีแค่ว่า คุยๆกันบ้างว่า แค่ไม่มีอบายมุข อบายมุขก็ตามความหมายของพวกเรา คนนอกมาสมัครก็คงจะสัมภาษณ์บ้าง อบายมุขก็ถามไถ่ดู เป็นไง สูบฝิ่นบ้างไหม กัญชาลองเล่นบ้างไหมหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องถามอบายมุขต่างๆ เล่นหุ้น เล่นแชร์ได้แค่ไหน ก็เลียบๆเคียงๆดู ถ้าเห็นว่า คุณยังเป็นอย่างนั้นอยู่ พวกเราก็คงจะลำบากอะไรก็ว่ากันไป ก็ฉลาดกัน เจ้าหน้าที่จบด็อกเตอร์กันเยอะแยะ 

 

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร · ถ้าต้องการให้นายกลุงตู่เป็นนายกฯอีกรอบ บัตรสองใบต้องกา ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ กา ผู้สมัครของพรรคแบบเขตด้วย ครับ

 

_คอยใคร   · กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวันจันทร์ผมได้ไปสันติอโศกเพื่อฟังพ่อครูเทศน์ช่วงเย็น ผมจึงรีบทำงานให้เสร็จอย่างไวแล้วรีบเดินทางไปถึงสันติอโศกช่วงสี่โมงเย็นเพราะกลัวไปช้ารถจะยิ่งติดเยอะครับ พอไปถึงผมก็นั่งรอแถวๆซุ้มป้ายสันติอโศกซอยร้านขายอาหารเจครับ นั่งรอสักพักก็เห็นอาปะท่านหนึ่ง(ผมไม่ได้ถามชื่ออาปะ) ยกกระถางต้นไม้เดินข้ามไปข้ามมา ผมจึงถามอาปะว่า ให้ผมช่วยยกไหมครับ อาปะก็ให้ช่วยยกไปวางฝั่งตรงข้าม บอกว่าวางตรงไหนก็ได้ อาปะส่งกระถางมาสามใบ ผมก็ไปวางให้จนครบ

สักพักอาปะก็มายืนคุยด้วยถามที่มาที่ไปของผมและเล่าที่มาที่ไปของอาปะ พอคุยกับอาปะ ผมจึงเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อีกแล้วครับ อาปะถามจะไปบ้านราชเพื่ออะไร ผมก็ตอบไปว่าจะไปช่วยทำงานครับ อาปะก็บอกว่าอย่าคิดว่าไปช่วยทำงานสิ มันยิ่งใหญ่เกินไป คิดว่าไปปฎิบัติบัตธรรมจะดีกว่า แล้วก่อนอื่นให้มาลองเข้าค่ายที่สันติก่อน มาลองนอนต่างที่ เจอคนที่ไม่รู้จัก ว่าเราจะอยู่ได้ไหม กินได้ไหม ทิ้งคนข้างหลังได้ไหม เพราะเราพร้อมที่จะโดนดึงไปทางโลกียะมากกว่าโลกุตระ ถ้ายังก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ โอกาสที่จะโดนดึงกลับหลังมันมีมากกว่า ซึ่งมันพร้อมที่จะถอยหลังอยู่แล้ว

พอผมได้ฟังเช่นนั้นก็กระตุกจิตโลกุตระผมขึ้นมาอีกครั้ง เพราะช่วงหลังผมเองก็รู้สึกว่า ผมถอยหลังกลับไปจริงๆครับ การมาสันติเพื่อฟังธรรมพ่อครู ครั้งนี้มันเกินความคาดหมายที่ตั้งไว้มากครับ ได้พบอรหันต์ตัวเป็นๆ ได้พบพระโพธิสัตว์ตัวเป็นๆ บุญอย่างยิ่งครับ นานๆ ผมส่งแมสเสทมาที ขอเล่าเพียงเท่านี้ก่อนครับ 

กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ

 

_กิตติมา เอกมาไพศาล : ถ้าพ่อครูไม่เทศน์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองและมีพฤติกรรมเป็นรูปธรรมให้เห็น และมีการทำสืบเนื่องมา ซึ่งเห็นได้จากการที่อาจารย์หมอเขียวรับเป็นหัวหอกในการทำพรรคสไตล์บุญนิยม แต่ก่อนไม่ค่อยได้สนใจเรื่องการเมืองเท่าไร (แต่ก็ออกมาต้านระบอบทักษิณอยู่ค่ะ) แต่ก็ต้องมาสนใจเพราะพ่อครูเทศน์จนลูกรู้สึกว่าต้องมาสนใจมากๆล่ะ ถ้าไม่สำคัญพ่อครูคงไม่แสดงบทบาทชัดเจนเช่นนี้ มันน่าสนใจที่จะเห็นชาวโลกุตระทำการเมืองเจ้าค่ะ ลูกจะเรียนรู้การเมืองจากพ่อครู ถึงแม้จะยังไม่ค่อยอิน แต่ก็สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้วค่ะ เช่นเดียวกับการทำกสิกรรม ก็ได้รับสัมมาทิฏฐิจากพ่อครูจนเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง กราบขอบพระคุณที่ให้ปัญญาเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...ดีเข้าใจอะไรมากขึ้นก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้มากขึ้น เรียนรู้ธรรมะให้รู้ว่า เราจะพัฒนาไปอย่างนี้อย่างนี้ มันก็จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่งั้นมันก็จะไปตามยถากรรมตามกิเลส ถ้ามันสนุกมันได้เกิดขึ้นอะไรอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไปเรื่อย ตอนนี้อะไรให้ได้คิด ยิ่งเป็นธรรมะหรือว่าเป็นการเจริญที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ มันก็ได้อะไรเพิ่มขึ้น 

 

_มยุรี ชั่งภู่  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ วันนี้ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยที่สันติอโศก มีความยินดีอย่างยิ่งค่ะ

 

_สาน สีสกุล  · กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ ไปร่วมงาน พุทธา ภิเษก ที่ปฐมอโศก ได้รับหนังสือแจกฟรี เงาฟ้าที่ท่าน้ำ อ่านแล้วชอบมาก เป็นหนังสือที่มีคุณค่าน่าอ่าน ขอบพระคุณคณะผู้เขียนผู้จัดพิมพ์ครับ

 

จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยไม่จำเป็นจะต้องกินมังสวิรัติ 

_ช่อทิพ หนูทอง  ·เคยสมัครพรรคเพื่อฟ้าดิน โมฆะไปแล้วใช่ไหมคะ?

พ่อครูว่า...ใช่ หมายความว่ามันสูญไปแล้วเพราะว่ามันยุบไปแล้วมันเลิกไปแล้ว อันนี้มันเป็นพรรคตั้งขึ้นใหม่ เพราะฉะนั้นก็เริ่มกัน 

ก็ขอเสริมอีกนะว่า พวกเรานี่ คนมาสนใจทางเรา แม้จะเป็นเรื่องการเมือง ที่เราเปิดใจกว้างกับข้างนอกเขาก็เป็นการเมืองแต่คนข้างนอกก็ยังสนใจน้อย ก็เอาพวกเรานี่แหละ หรือว่าข้างนอกได้ยินได้ฟังสนใจก็เชิญ เมื่อกี้บอกไปแล้วว่าข้างนอกมาสมัครก็ได้ เราไม่ได้ไปเคร่งครัดเหมือนกับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมทีเดียว การเมืองนี้เราอนุโลมไปไม่ใช่น้อยตอบไปแล้ว เชิญมาสมัครได้ ถ้าสนใจมาเป็นสมาชิกของที่นี่ 

คือสมาชิกพรรคการเมืองจะเป็นสมาชิก 2 พรรคไม่ได้นะตามกฎหมายเขาไม่ให้..เป็นโมฆะ ถ้าเป็นสมาชิก 2 พรรคเขาก็หักไปเลยทั้งคู่ เป็นคนผิดไปเลย ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคไหนได้เลย เพราะฉะนั้นอย่าเป็นสมาชิก 2 พรรค มาเป็นสมาชิกพรรคเดียว 

ทีนี้ของชาวอโศกมันก็ได้ตามเกณฑ์ของตามกฎหมายเขา จะต้องมีสมาชิก 500 จะต้องมี 5,000 จะต้องมี 10,000 ตามกฎเกณฑ์ของเขา ซึ่งมันก็ต้องอาศัยคนข้างนอกบ้าง เพราะฉะนั้นเราก็ได้บอกไปแล้วว่า เพียงแต่ไม่มีอบายมุขเท่านั้นแหละ จะยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่ใช่มังสวิรัติ หรือไม่ได้ถือศีล 5 อย่างต่ำเหมือนชาวอโศก ที่จะเป็นสมาชิกในชาวอโศกทีเดียวก็ได้มาสมัครได้ 

 

วิปัสสนาจะได้ปัสสัทธิส่วนสมถะเป็นเดียรถีย์

_ทองใบ อิงคสารมณี  · ขอน้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง 

จะพ้นทุกข์ด้วยสมถและวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น จริงหรือเจ้าค่ะ?

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นหลักวิชาการ จะพ้นทุกข์ด้วยสมถะและวิปัสสนากรรมฐานจริงหรือเจ้าคะ ก็ขอขยายความนิดนึง คำว่า สมถะ กับคำว่าวิปัสสนา สมถะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นการสงบแบบเดียรถีย์ เพราะฉะนั้นคนส่วนมากที่มาปฏิบัติธรรมจะได้ความสงบแบบเดียรถีย์ คือได้สมถะ ซึ่งเป็นความสงบที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เป็นความสงบชนิดหนึ่งเรารู้แล้วก็ทำได้ง่ายไม่ยากหรอก 

แต่ถ้าเป็นความสงบแบบพระพุทธเจ้าแล้วจะเรียกว่า ปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะ 

ปัสสัทธิเป็นความสงบ วิปัสสนาเป็นความมีปัญญา ปัสสัทธิคือความสงบ วิปัสสนาคือมีปัญญา เพราะฉะนั้นมาปฏิบัติธรรมของพุทธแล้วก็จะมีปัญญา มาปฏิบัติเรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน เขาเรียกกันเผิ่นๆว่าคือการใช้การพินิจพิจารณาต่างๆแล้วคุณก็จะทำให้กิเลสลดได้ คุณก็จะเกิดปัสสัทธิ เกิดจิตที่มันสงบ ส่วนวิปัสสนานั้นคือจิตที่มีปัญญา 

เพราะฉะนั้นความเข้าใจทุกวันนี้ยังไม่ละเอียด รอปฏิบัติสมถะวิปัสสนา พูดอย่างนี้ก็แสดงว่า คนนี้ไม่เข้าใจศาสนาพุทธ ยังปนๆกันอยู่ ปฏิบัติก็จะไม่ถูกไม่สัมมาทิฏฐิ เพราะแม้แต่ใช้ภาษาความหมายของสภาวธรรม ซึ่งภาษามันก็สื่อสภาวธรรม ผู้ปฏิบัติแล้วไม่เข้าถึงสภาวธรรม มันก็ไม่มี พูดก็พูดยังไม่ถูกเราก็รู้แล้ว มันยังไม่ได้ เมื่อพูดไม่ถูกเข้าใจไม่ถูกก็ปฏิบัติไม่ถูก 

 

ผู้ที่มีจิตอยากจนแบบชาวอโศกเป็นคนเข้ากระแสโลกุตระ 

_ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : "ผมหลุดจาก" เทวนิยม".. (ธรรมกายได้)...เพราะ..(กาลามสูตร).. ของพระพุทธเจ้า.ครับ..ที่ไม่ให้เชื่ออะไรโดยไร้เหตุผลหรือหาความจริงไม่ได้.หลงงมงายตามๆกันไป....ผมมาฟัง"พ่อท่าน"..ครั้งแรก" FMtv" ปี 2553..ก็ฟังดูแปลกๆ เพราะ" พ่อท่าน" สอนไม่เหมือนพระรูปอื่นๆ ที่ผมฟังมา..

พ่อครูว่า...ขออภัยไม่เหมือนทั้งประเทศไม่มีใครเหมือนแน่นอน เพราะอาตมาเทศน์นั้น มันเป็นโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นธรรมะของโลกียะสามัญธรรมดา เหมือนกับศาสนาไหนๆ แต่อันนี้มีชื่อว่าพุทธแต่เขาก็วนเวียนอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่เป็นธรรมะที่จะมาเรียนรู้ลึกซึ้งเข้าไปเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนที่ตรัสรู้แล้วนำมาสอนมาเปิดเผยมาประกาศ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นพุทธที่เต็มๆ หรือเป็นพุทธที่เข้าเขตพุทธ เป็นอารยธรรมของพุทธ 

ซึ่งมันก็เป็นแบบโลกีย์ธรรมดาก็เจริญลาภยศเหมือนอย่างเถรสมาคมเขา ไม่เป็นโลกุตระ มันก็เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นสังคมศาสนาพุทธกระแสหลักหมู่ใหญ่เขา คุณก็ได้ฟังอย่างนั้นมาทั้งนั้น เพราะมันไม่มี 

พออาตมามาเทศน์ขึ้นคุณก็บอกว่าไม่เหมือนพระรูปอื่น มันก็ต้องถูกต้องแล้วจะเหมือนได้อย่างไร เพราะมันคนละชนิด อันหนึ่งไปนิพพาน อันหนึ่งมันไปพาล มันไม่ได้ไปนิพพาน พาล แปลว่า โง่ แปลว่ายังไม่ฉลาด 

 

_หลังจากนั้นก็ฟังธรรมะของ"พ่อท่าน"..มาตลอดจนถึงทุกวันนี้.. ยิ่งฟังยิ่งอยากจน.. 

พ่อครูว่า...ถ้าจริงตามที่คุณพูดมาก็หมายถึงคุณชัดเจนแล้ว จิตเข้ากระแสแล้ว เป็นอริยบุคคลแล้ว ยิ่งอยากจน 

จริงๆแล้วนี่ศาสนาของเทวนิยมหรือศาสนาของเดียรถีย์ เขาก็พากันไปจนเหมือนกัน จนนะ แม้แต่คริสตศาสนาเขาก็เห็นว่าไปจนนั้นถูกต้อง ศาสนาเชนอย่างนี้จนหมดเนื้อหมดตัวเลย แก้ผ้าเดินโทงๆ ไม่ใส่อะไรไม่เอาอะไร อย่างนี้เป็นต้น ศาสนาเยอะที่เขาเข้าใจในเรื่องอยากจน แต่อยากจนของพระพุทธเจ้านั้น อยากจน อยากอยู่กับสังคม อยากจนแล้วเป็นคนจนที่มีประโยชน์ต่อสังคมเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างที่ชาวอโศกเราเป็น ไม่ใช่เป็นคนงอมืองอเท้า สิ้นไร้ไม้ตอก นั่งมกซก หนักเข้า เป็นอาการซึมเศร้าอะไร ไม่ใช่ แต่เป็นคนยิ่งเบิกบานร่าเริงกระปรี้กระเปร่า ยิ่งรู้จักการงานทำการงานให้แก่สังคม แต่เป็นคนไม่สะสม เป็นคนไม่อยากได้เป็นคนที่ยิ่งมาถึงระดับเศรษฐกิจขั้นสาธารณภัยอย่างพวกเราเป็น ยิ่งสบายสร้างสรรค์แล้วก็พออยู่พอกิน แล้วก็ไม่ได้ตะกละตะกลามเพราะว่ากิเลสเราลด เราก็กินเพื่ออยู่ทำงานชัดเจนไปสบายชีวิต อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อยู่อย่างนี้อย่างจริงจังเลย ยิ่งฟังยิ่งอยากจนมันจะเป็นอย่างนั้น  

_ไม่อยากมีอะไรเพราะมันคือความทุกข์ และหลอกลวงใจของเราทุกเรื่องยิ่งมีทรัพย์มีเงินมากยิ่งทุกข์ (พ่อครูว่า...ขยายความอย่างนี้แสดงว่าคุณเข้ากระแส) เพราะจะหาความสงบไม่ได้ คนโน้นไปคนนี้มา เมื่อไม่ให้ก็มีปัญหาผิดใจกัน วุ่นวายไม่จบสิ้น..บางครั้งถึงตัดพี่ตัดเพื่อนตัดน้อง...หาความจริงใจไม่มี...(มีแต่โลกียธรรม).. ทั้งนั้นครับ..แต่ผมได้มาพบ (โลกุตรธรรม).. จากธรรมะของ"พ่อท่าน"....กราบ"พ่อท่าน"...ด้วยความเคารพที่สูงอย่างยิ่งครับ....

พ่อครูว่า...อาตมาฟังเท่าที่คุณพูด แสดงว่าคุณเลื่อนฐานะของจิตเป็นอาริยบุคคลขึ้นไปแล้ว ก็พัฒนาไปเถอะ นี่เป็นของจริงนะ เป็นคนที่ธรรมะพระพุทธเจ้ามันมีอริยบุคคลสมณะ 4 เหล่า มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่ข้อมูลมานี้อาตมาก็รู้ไม่ได้ว่า คุณจะเป็น สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่กำหนดได้ว่าเป็นโสดาบันแล้ว 

 

_BKK walk บีเคเค วอล์ค • ผมว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมต้องขับเคลื่อนด้วยกิเลส จึงต้องใช้วิธีสังขารปรุงแต่งมามอมเมาเพื่อให้เกิดการบริโภค ผู้นำฝ่ายโลกีย์จะไม่เอาเศรษฐกิจแบบบุญนิยม และเขาไม่อยากให้ชาวโลกเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ถูกต้องเหมือนของชาวอโศก เพราะถ้าชาวโลกมีสติตื่นรู้ว่ากำลังถูกมอมเมาอยู่ ระบบทุนนิยมก็ไปไม่ได้

พ่อครูว่า...คุณพูดถูกต้อง 100% แต่เขาเข้าใจไม่ถึงคุณหรอกแต่คุณมีความรู้ความเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่เรียนรู้ไม่ประสีประสาเกี่ยวกับโลกุตระด้วยซ้ำ แต่เขารู้ว่า เอ๊..คนที่มาปฏิบัติธรรมโลกุตระ มันหลอกไม่ได้ มันไม่เป็นเหยื่อเขา เขาก็พอสะดุดๆแค่นั้น แต่เขาไม่รู้ถึงขั้นโลกุตระ เขาไม่อยากให้เอาโลกุตระมาสอน แต่เขาขาดสมาชิกที่จะหลอกได้เพิ่มขึ้นเขาก็สะดุดเท่านั้นเอง 

 

นักบวชของพุทธทำการเมืองเป็นเรื่องที่มีมาแล้วในโลก 

_ชรินทร์ ธนโภค  • เป็นประวัติศาสตร์ของชาวโลก (วัชรินทร์โพสคลิปพ่อครูไปสมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย)

พ่อครูว่า...มันไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของชาวโลก ศรีลังกานั้นพระเป็น    ส.ส.เลยนะ แม้แต่พม่า ศาสนาพุทธนี้เขาก็เป็นการเมือง ทำการเมืองประท้วง ทำอะไรต่ออะไรกันเป็นกลุ่มเลย มันไม่ใช่เป็นประวัติศาสตร์ของชาวโลกหรอก เรื่องพระของพุทธหรือศาสนาพุทธที่เข้าไปทำงานการเมือง ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องประหลาด มันไม่ใช่เรื่องผิด 

แต่ประเทศไทยนี่ต่างหาก ไปยึดถือ ไปถือสาแบบนั้นว่า อย่านะอย่าเอาธรรมะเข้าไปยุ่งกับการเมือง พระนี่คือชาวธรรมะ การเมืองมันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ การเมืองเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะฉะนั้นพระต้องออกนี้ไปไกลๆ มันก็ยิ่งแย่ใหญ่สิ ประเทศก็ยิ่งเสื่อมยิ่งทรุด ไม่ผิดหรอกคุณพูดถูกการเมืองยิ่งเละอย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันต้องเอาธรรมะเข้าไปใส่ อันนี้แม้แต่ท่านพุทธทาสท่านก็เคยเตือนมาแล้ว แต่ท่านไม่ลึกเข้าไปถึงว่าพระจะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ท่านยังไม่ถึงหรอก ท่านยังไม่กล้าและท่านก็ไม่ทำ ท่านก็อยู่ของท่านไป รักษาตัวรอดพอสมควร แต่อาตมามันก้าวข้ามขั้นนั้นมาแล้วก็พาทำ จึงต่างกัน 

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ในงาน พุทธาภิเษก ครั้งที่ 47 ที่ปฐมอโศก ผมได้มีโอกาสไปได้แค่ 1 วัน ก็ได้พบมิตรดีตัวจริงหลายท่าน มีความอบอุ่นยิ่งครับและวันนั้นเป็นวันมาฆะบูชา ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาวันนั้น แต่โชคดีที่มาได้พอดีก็ได้มาฟังธรรมะจากพ่อท่านตัวจริง เกิดพลังใจยิ่งนักก็จะขอพากเพียรปฏิบัติลดละกิเลสต่อไปครับ กราบนมัสการขอบพระคุณสูงยิ่งครับ

 

พ่อครูว่า... มีข้อเขียนของคุณเทวินทร์ สิทธิ์น้อย เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่อาตมาจะอธิบายวันนี้ ที่จริงอธิบายมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็จะขออธิบายอีก ก็ขออ่านก็แล้วกัน 

 

หมู่กลุ่มที่มีจิตพุทธพจน์ 7 แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกิจ

_เรียน พ่อครู

จากที่ได้ฟังธรรมพ่อครู ที่สันติอโศก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 มีนาคม 2566) เรื่อง GDP โลกุตระ ผมได้สะดุดใจกับประโยคที่พ่อครูบอกว่า “เศรษฐศาสตร์คือเรื่องของจิตวิญญาณ” และทําให้ผมได้เปลี่ยน มุมมองเป็นอย่างมาก จากเรื่องนี้

ซึ่งแต่ก่อนผมเข้าใจว่าพ่อครูสอนเรื่องบุญนิยม แล้วใช้บริบททางด้านเศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือใน การอธิบาย แต่จากประโยคดังกล่าวทําให้ผมต้องกลับมาทบทวนความรู้เก่าๆ ที่มีอยู่บ้างในอดีตอีกครั้งหนึ่ง เทียบกับความรู้เรื่องอื่นๆที่ผ่านมา จึงพอจะคลําทางได้บ้างตามความหมายที่พ่อครูได้อธิบาย แล้วก็เห็นจริง ตามที่พ่อครู ได้บอกว่า “เศรษฐศาสตร์คือเรื่องของจิตวิญญาณ”

ขออ้างอิงคําจํากัดความ เศรษฐศาสตร์ จาก วิกิพีเดีย ว่าเศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ ศีกษาเกี่ยวกับการผลิต การกระจาย การบริโภคสินค้าและบริการ

คําจํากัดความก็คือเป้าหมายที่ทําให้ศาสตร์นี้เกิดขึ้นมา ซึ่งถ้าพิเคราะห์จากคําจํากัดความนี้แล้ว เศรษฐศาสตร์ ก็คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร พึ่งพากันและกันนั้นเอง

แต่ปรากฏว่าคนที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์มักจะใช้และหาช่องว่างของระบบเพื่อที่ให้ตนเองอยู่ในสถานะที่

ได้เปรียบกว่าคนอื่นในการเข้าถึงทรัพยากร จึงทําให้ความเข้าใจของคนในสังคมส่วนใหญ่เข้าใจผิดเพี้ยน (รวมทั้งผมด้วยในอดีต) ออกห่างจากคําจํากัดความเดิมของ เศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์ แบ่งเป็น 6 สาขา เศรษฐศาสตร์จุลภาค และ เศรษฐศาสตร์มหัพภาค

เศรษฐศาสตร์จุลภาค แบบโลกุตระ ตามความเข้าใจของผม ก็คือ เศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการบริหาร ตนเองเป็นสําคัญ ก็น่าจะเทียบได้กับ วรรณะ 9 ที่พ่อครูสอนอยู่นั่นเอง

ส่วน เศรษฐศาสตร์มหัพภาค แบบโลกุตระ ตามความเข้าใจของผม ก็น่าจะเป็น เศรษฐศาสตร์ที่ใช้ใน การบริหารสังคม คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ พ่อครู จึงให้นโยบายด้าน พรรคการเมืองไว้ว่า “ประชาธิปไตยสูงสุดคือบรมภาวะสุดประเสริฐ 5 ประการ นี้” เพราะนักการเมืองจะ เป็นผู้ที่มีบทบาทในการกําหนดกติกาในการจัดสรรทรัพยากรให้กับคนในสังคมอย่างเป็นธรรมจนเกิดบรมภาวะ

สุดประเสริฐ นั่นเอง

ส่วนอีกประเด็นที่ผมจู่ๆ ก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมา ก็คือตอนที่พ่อครูบอกว่า “GDP หลงติดกับตัวเลข มากกว่าเนื้องานของคนเป็นสําคัญ”

พ่อครูว่า... เก่งมาก ทุกวันนี้เขาพูดกันแต่ตัวเลขแต่เงินทอง แม้แต่การเมืองก็บอกว่าตัวเลขของผู้ที่รับคะแนนเลือกตั้ง ไม่ได้เข้าหาคนกับเนื้อหาของคนที่เขาจะทำงานการเมือง ว่ามันจะดีมันจะเป็นยังไง ไม่ ไปเผินอยู่ที่ตัว ๆๆๆ เศรษฐศาสตร์ก็ตัวเลขการเมืองก็ตัวเลข ยังนั้น หลงอย่างนั้นกัน 

_คําว่าหลงติดกับตัวเลข ผมเข้าใจเอาเองว่าพ่อครูน่าจะหมายถึงตัวเลขที่เป็นตัวบ่งชี้เรื่องเงินเป็นสําคัญ

เป็นเรื่องจริงทีเดียวที่เอารายได้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาเป็นตัวชี้วัดความเจริญ โดยไม่ได้ดูที่มาของรายได้ว่าเกิดจาก อะไรกันแน่ ทําให้ ค่า GDP ไม่สามารถเป็นดัชนีชี้วัดที่สะท้อนภาวะทางเศรษฐกิจของคนในสังคมได้อย่าง

แท้จริง

จะเป็นอย่างไรถ้ารายได้ส่วนใหญ่ของสังคมได้มาจาก การค้าอาวุธ การค้าประเวณี การเล่นการพนัน การค้ายาเสพติด ค้าการละเล่นบันเทิงเริงรมณ์ต่างๆ 

GDP ที่เกิดจากเนื้องานเหล่านี้แม้สูง แต่จะพูดได้อย่างเต็มปากไหมว่าเป็นสังคมแห่งความเจริญอาวุธ”

พ่อครูว่า... ดีมาก ไม่เสียเปล่า ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าและเข้าใจสัจธรรมก็จะเห็นความจริงของสังคม จริงๆขอพูดถึงตรงนี้แล้วขอพูดความจริง ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของเทวนิยมหรือของทางโลกที่เขาเรียนมา เป็นโลกียธรรมที่ตื้นเขินมากเลย ไม่ได้เป็นอะไรที่จะพัฒนาจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่มีวันจบ แก้ปัญหาประชาธิปไตยไม่มีวันจบ ขอยืนยัน แต่ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบแล้ว ประชาธิปไตยก็จบแล้ว

_ในทรรศนะของผมแล้วเห็นว่าไม่น่าจะใช่ ตามที่พ่อครูให้โศลกธรรมไว้นั้นเป็นจริงอย่างที่สุด “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้าง

GDP แบบโลกุตระ ควรเป็นดัชนีที่แสดงให้เห็นบริบทของสังคมนั้นๆ ว่าได้สร้าง ผลผลิต อุปทาน (supply) ที่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการจริงๆ อุปสงค์ (demand) ของสังคมได้ อย่างเพียงพอ เช่น อาหาร ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค บริโภคที่จําเป็น เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น จนเป็นสังคมที่พึ่งพาซึ่งกันและกันได้ เกิดบรมภาวะ 5 ประการดังที่กล่าวมาแล้ว

น่าเสียดายที่ผมมีความรู้เรื่องนี้เพียงตื้นเขินเท่านั้น เสมือนลิงที่ได้แก้ว ไม่สามารถนําไปต่อยอดได้มากกว่านี้แล้ว ใจของผมอยากให้ผู้ที่เรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อย่างสําคัญ เอาข้อคิดเห็นของพ่อครู เรื่อง GDP โลกุตระ ไปต่อยอด เพื่อเป็นเครื่องมือนําทางในการพัฒนาสังคมต่อไป

ผมขอกราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงครับที่ทําให้ผมเกิดความเข้าใจ ความเป็นโลกุตระที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

...เทวินทร์ สิทธิ์น้อย

 

พ่อครูว่า... ก็ขยายความต่อ เรื่องของพฤติกรรมของมนุษย์ จะเป็นพฤติกรรมที่เรียกด้วยศัพท์ว่า “เศรษฐศาสตร์” ก็ตาม จะเรียกพฤติกรรมของความเป็นประชาธิปไตยก็ตาม ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ เรื่องของสังคมมนุษย์นี่แหละ 

เพราะฉะนั้นความเข้าใจของผู้ที่ไปเรียนมา เรียนมาจากวิชาตักสิลาไหนๆ วิทยาลัยไหนๆ มหาวิทยาลัยใหญ่ๆของโลกที่เป็นเทวนิยมทั้งสิ้น 

แต่สังคมจะมีเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ จะมีรัฐศาสตร์หรือจะมีเรื่องของการเมือง มันอยู่ในธรรมชาติ ทีนี้พระพุทธเจ้าแบบของท่านสอนคนโดยใช้จิตเป็นประธาน จิตสามารถที่จะบรรลุธรรมหรือจิตที่จะสามารถรู้ธรรมะได้แล้วเข้าใจธรรมะ รู้ทิศทางที่พระพุทธเจ้าท่านนำพาสอนไปแล้ว มันเข้าใจและเรียกว่ามันบรรลุไปตามลำดับ เป็นอาริยธรรมเจริญขึ้น มันก็จะเข้าใจว่า เราควรประพฤติอย่างไรในสังคม หรือตัวเราเจริญเราก็เข้าใจอย่างนี้เราก็ทำอย่างนี้ มีคนนึงมี 2 คน มี 5 คน 100 คน 1,000 คนก็เป็นมวลหมู่กลุ่ม ของสิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ที่รู้หรือเรียกว่าการเมืองหรือเรียกว่ารัฐกิจ รัฐศาสตร์ที่รู้ มันก็เกิดขึ้นมา เป็นพฤติกรรมจริงขึ้นมาในสังคม 

ไม่ว่าที่ไหนมันเป็นธรรมชาติของที่ เขาเข้าใจเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์แบบใดกลุ่มหมู่เขาก็เป็นอย่างนั้น เขาเข้าใจอย่างไรรัฐศาสตร์การเมืองก็เป็นอย่างนั้น เช่นในหมู่ 3 นิ้วเขาก็เข้าใจว่าเขาเป็นเจ้าของประชาธิปไตยเต็มที่ เพราะหมู่อื่นไม่มาตะโกนบอกโหวกเหวก เขาก็มีมวลไปตามเขา 

เช่น พรรคการเมืองพรรคนี้เข้าใจประชาธิปไตยแบบนี้ พรรคการเมืองแบบนั้นเข้าใจประชาธิปไตยแบบนั้น เขาก็พยายามให้ทำให้คนมาทำตามที่เขาเข้าใจ เขาจะมีอำนาจหรือมีฤทธิ์เดชหรือมีความสามารถ ทำให้คนเป็นไปตามเขาได้เท่าไหร่ๆ นั่นคือการทำอยู่กับสังคม ไม่ว่าพรรคไหน 

ชาวอโศกก็เป็นพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่มากโดยธรรมชาติ ชาวอโศกคือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งโดยธรรมชาติ ไม่ต้องจดทะเบียน แต่ก็ทำงานเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ทำงานรัฐศาสตร์รัฐกิจ ทำงานการเมืองอยู่ในสังคมประเทศนี้แหละ 

อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเป็นสูตรใหญ่มาเป็นทฤษฎีใหญ่หลักการใหญ่ มาสอนเศรษฐศาสตร์ จะเรียกโดยแยกเป็นเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ก็ตาม พวกคุณก็ได้สิ่งเหล่านั้น ก็เกิดการเป็นจริงเป็นปรากฏการณ์จริงเป็นพฤติการณ์จริงของแต่ละคน 

และพฤติการณ์จริงๆพวกนี้ก็เป็นอยู่ในสังคม อาตมาก็บอกได้ว่าสังคมอโศกนี่ สบาย ได้ผลแล้ว เอาของพระพุทธเจ้ามา พวกคุณสบายไหมล่ะ สงบไหมล่ะ อบอุ่นไหม อิ่มเอมไหม เกษมใสไหม มีใจเกื้อกูลไหม เพิ่มพูนการเสียสละไหม 

นี่เป็นภาษาที่อาตมาเสริมเติมเข้าไปในยุคนี้ เป็นภาษาสมัยนี้ ที่อธิบาย แทนที่อาตมาจะอธิบายสาราณียธรรม 6 เท่านั้น จะอธิบายวรรณะ 9 เท่านั้น ความหมายเหล่านี้ก็คือสาราณียธรรม 6 คือวรรณะ 9 

สาราณียธรรม 6 จิตวิญญาณของพวกคุณมีพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  

ขยายความสาราณียธรรม 6 จะเห็นความเป็นเศรษฐศาสตร์ ความเป็นรัฐศาสตร์อยู่ในนี้ สมบูรณ์แบบ ฟังดู ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสนาที่เอาแต่ตัวรอดปลีกเดียว ปลีกเดี่ยวไปนั่งหลับตา ไปนั่งหลบหนีสังคม ไม่ใช่ แต่เป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาที่อยู่กับโลกอย่างลืมตาเปิดๆมีสติสัมปชัญญะ มีโลกวิทู รู้แจ้งในความเป็นโลก ในความเป็นอยู่ของสังคมมนุษยชาติ แล้วร่วมกับเขาเท่าที่เราจะสามารถร่วมได้ ให้มันเกิดผลเป็น…

จิตเป็นประธานนี่แหละ เสร็จแล้วก็เกิดกายกรรม วจีกรรม จากมโนกรรม  จากคนหนึ่ง สองคนแล้วก็รวมกันเฉลี่ยเกิดสังคมกลุ่มหมู่เช่นชาวอโศก เป็นต้น อาตมาพามาประพฤติปฏิบัติจนพวกคุณมีพฤติกรรม แล้วก็เกิดพฤติการณ์ของสังคมแบบนี้ทุกวันนี้ 

อาตมาได้ช่วยประเทศชาติแล้ว และประเทศชาติก็ต้องการผลในความเจริญเรียกว่า อาริยธรรม เป็นธรรมะเป็นความประเสริฐแล้วเกิดเป็นอาริยบุคคล อาตมาก็ได้ทำความเป็นอาริยบุคคลเกิดแล้ว อย่างพวกคุณเป็นอาริยบุคคล เป็นคนเจริญ ไม่ใช่คนมิลักขะ ไม่ใช่คนเถื่อนคนป่า 

คนเถื่อนคนป่าคือ พวกที่ยังสร้างแต่อาวุธเข่นฆ่ากัน หลงใหลในอบายมุข หลงใหลในการละเล่นการบันเทิงเริงรมย์หนักหนา สาหัส จัดจ้าน อย่างที่พอยกตัวอย่าง อเมริกา เป็นต้น นั่นยังเป็น มิลักขะ ยังเป็นคนเถื่อนอยู่ ยังไม่ได้ตื่นรู้ความเจริญที่แท้จริงที่จะเกิด อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม  เป็นสังคมที่ เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ ลงท้ายด้วยความเสียสละ เพิ่มพูนความเสียสละ เป็นคุณธรรมอันประเสริฐเลิศลอย 

เริ่มต้นใน พุทธพจน์ 7 ระลึกถึงกัน สาราณียะ รักกัน เป็นความรักอย่างดีนะของ 10 มิติ เป็นความรักที่ดีครบทั้ง 10 มิติอย่างดี แม้แต่เป็นอย่างที่ 1 เรื่องของคนคู่ก็อย่างดี 

เรื่องของพ่อแม่ลูกก็อย่างดี เรื่องของญาติโกโยติกาบริวารที่สูงขึ้นไป เป็นมิติที่ 3 ญาตินิยมก็อย่างดี เพิ่มจากมิตรสหายขึ้นไปก็เป็นสังคมนิยมก็อย่างดี จนกระทั่งถึงระดับชาตินิยมก็อย่างดี ยิ่งเป็นไปถึงต่างประเทศสากลนิยมก็อย่างดี เข้ามาหาจิตเทวนิยมก็อย่างดี อาริยะนิยม นิพพานนิยม พุทธนิยมสุดท้าย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่อาตมาวิเคราะห์วิจัยแล้วก็แยกหมายอะไรพวกนี้ ในอนาคตจะมีคนตามมาดู แล้วก็เอาไปใช้งาน ทุกวันนี้ก็มีคนหยิบไปใช้ประกอบบ้าง แต่เขาก็ยังไม่ เพราะอาตมาเป็นหมาหัวเน่าในประเทศไทยที่เถรสมาคมเขาตีตราเอาไว้แล้ว ตีตราเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนไม่ถูกต้อง ทำอะไรก็ไม่ถูกต้อง คนก็เลยต้องเชื่อเถรสมาคมเขา อันนี้แหละมันเป็นวิบากของประเทศที่อาตมาก็สุดสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ ก็พยายามเสนอว่า อาตมาทำนี่มันเป็นของดีนะ ไม่ใช่ของเน่า ของเสียอย่างที่เขาเข้าใจตีทิ้งอย่างนั้น 

ถ้าได้กันไปจริงๆแล้วนี่มันเจริญคุณว่าไหม ถ้าคนจะมาเป็นอย่างชาวอโศกอยู่นี่ เป็นได้ครึ่งได้ค่อนประเทศนี้จะเป็นอย่างไร อาตมาว่า โอ้โห…ประเทศไทยจะรุ่งเรืองเจริญมากเลย 

และอาตมาก็เชื่อมั่นว่า ความรู้อย่างนี้เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ที่คนทั้งโลกแสวงหาอยู่ แต่เขายังมองไม่ออก เขายังมองไม่เห็น โลกุตรธรรม อย่างนี้ เขายังมองไม่ออก ยังมองไม่เห็น 

เพราะฉะนั้นจะมามีความรัก สาราณียะ ปิยะกรณะ ก็มีความรักกันอย่างดี 

ครุกรณะ ก็จะรู้จักผู้ที่ควรเคารพ ไม่ใช่สับสนคนที่ควรเคารพไม่เคารพดันไปเคารพคนที่ไม่น่าเคารพ ไอ้ที่ถูกไปทำที่ผิด ไอ้ที่ควรไม่ทำไปทำไอ้ที่ไม่ ไอ้ที่จะนั่งไม่นั่ง ไปนั่งเอาที่จะตั้ง ไอ้ที่จะตั้งก็ไม่ตั้ง ไปตั้งไอ้ที่จะนั่ง 

แต่สัจธรรมที่ดีๆที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามา อาตมามั่นใจว่าของพระพุทธเจ้ามาแล้วก็เกิดผลต่อพวกเราอยู่อย่างนี้ มันก็ดีขึ้นมาแล้ว เห็นชัดเจนตามสาราณียธรรมที่จะพูดต่อ 

รู้จักเคารพกันเพราะรู้ว่า คนนี้นี่ควรเคารพ ปาสาทิกะ มีอาการน่าเลื่อมใสน่าเคารพ มีปัญญารู้ว่า คนที่ควรเคารพคือใครไม่ใช่เข้าใจอย่างโง่ๆผิดๆแต่เข้าใจถูกต้องว่าคนควรเคารพที่จริงเป็นอย่างนี้เอง คนที่ไม่ควรเคารพแต่หลอกเขาว่าน่าเคารพเป็นอย่างนี้เอง หลอกจนคนโง่ๆหลงเชื่อมันก็มีในสังคมมันไม่รู้ จะรู้จักว่าคนที่ควรเคารพคือใคร ครุกรณะ

สังคหะตรงนี้ก็ระบุเลยว่าจะเป็นคนที่มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือคนอื่นอยู่ ความเห็นแก่ตัวลดลง ความเห็นแก่ได้ลดลง วรรณะ 9 จะเกิดขึ้นสูงสุดเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนที่มักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลาตนเอง เป็นคนที่มีข้อปฏิบัติที่เจริญขึ้นๆ เป็นคนมีอาการน่าเลื่อมใส ไม่สะสม อปจยะ และเป็นคนที่ยอดขยัน ระดมความเพียร วิริยารัมภะ ตามวรรณะ 9 

เนี่ยเอาหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลยมาอ้างอิงยืนยัน ว่ามันเข้าหลักเข้าเกณฑ์อย่างนี้นี่แหละคือความเจริญ หรือความพัฒนาสังคมพัฒนามนุษยชาติ 

สังคหะ เกื้อกูล ช่วยเหลือ สร้างสรรค์ เสียสละอยู่ 

อวิวาทะ ไม่ใช่หาเรื่องทะเลาะกัน วิวาทกัน มันมีความขัดแย้งอันพอเหมาะและเราก็รู้จักการอนุโลม อะลุ่มอล่วยกันอยู่อย่างที่ในหลวงร. 9 เราตรัส อยู่กันอย่างอะลุ่มอล่วย อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันพึ่งพากันไปผ่อนสั้นผ่อนยาวแก่กันและกัน อย่างนี้เป็นต้น 

อวิวาทะ จะเห็นได้ว่าชาวอโศกเราไม่มีเรื่องที่จะวิวาทอะไรกันมากมายทะเลาะตีกันฆ่ากัน ขึ้นโรงขึ้นศาลมันไม่มี นอกจากคนข้างนอกเขามาทำอะไรเราก็ต้องอาศัยตำรวจ อาศัยคนข้างนอกเขา เพราะเราไม่มีทางจะไปห้ามกั้นเขาได้ แต่พวกเราเองไม่มีวิวาทกัน 

สามัคคียะ พร้อมเพรียงกันอบอุ่นมี เอกีภาวะ เป็นปึกแผ่นเป็นเอกภาพที่ดีงามครบ มีคุณธรรมพุทธพจน์ทั้ง 7 นี้อย่างแท้จริง 

ไม่สูญเปล่าคำสอนพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าผู้ที่มาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจสัจธรรมตามพระพุทธเจ้าอย่างที่ว่านี้และปฏิบัติได้มีมรรคมีผล มีอริยะ 4 เหล่าแน่นอน 

เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาก็เข้าใจและเชื่อมั่น ว่า ไอ้ที่เสื่อม โลกุตตรธรรมที่เสื่อมไปแล้ว 2,500 ปี ได้กอบกู้ขึ้นมาได้แล้ว นี่ อาตมาพูดด้วยความจริงใจและก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการโอ้อวด แต่เป็นเรื่องพูดจากความจริงใจ 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของที่จะอธิบายเป็นเชิงภาษาสมัยใหม่ เป็นความรู้สมัยใหม่ที่เรียกกันว่า เศรษฐกิจ เรียกเท่ห์ๆว่า GDP ก็แล้วแต่ เท่ห์เสียไม่มีพูดคำว่า GDP ได้ 

มันก็มีของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นพฤติการณ์พฤติกรรมของมนุษย์ ยุคของพระพุทธเจ้าก็มี แต่มันมีข้อจำกัดไม่เหมือนในยุคนี้ไง ในยุคโน้นเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส เป็นยุคที่คนไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน พระพุทธเจ้าท่านทำได้แต่ในวงของสงฆ์ ก็มี GDP โลกุตระแบบพุทธ ที่แตกต่างจากทั้งหมดทั้งมวลของเทวนิยมเขา เพราะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอเทวนิยม ไม่ใช่เทวนิยม มันต่าง ต่างแน่ 

 

อย่างที่อาตมาได้แยกแยะไว้ให้ฟังแล้วนี่อาตมาขยายอธิบายเพิ่มเติมขึ้นอีก ยาวกว่าแต่ก็จะซ้ำอย่างที่เคยอธิบายบ้างแล้ว แต่ว่าขยายความละเอียดขึ้นไปอีกเพิ่มขึ้นไป แต่เดิมนั้นมันมีแค่ไม่กี่ประเด็น 5-6 ประเด็น อันนี้ไปถึง 8 ประเด็นขยายความไปอีกเป็น แม้แต่ในรายละเอียดของแต่ละประเด็นก็ขยายเพิ่มขึ้นต้องอ่านใหม่ 

ฟังซ้ำซากเบื่อไหม ... ไม่เบื่อ ดีมาก 

 

GDP แบบพุทธที่เห็นแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมหรือผู้ยังนับถือพระเจ้า

ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า คำว่า “พระเจ้า”นั้น เราไม่ได้หมายถึง GOD ที่ชาวเทฺวนิยมเคารพนับถือ กันอย่างสูงยิ่ง สำหรับ GOD หรือ“พระเจ้า”ของชาวเทฺวนิยมทั้งหลายบูชาเคารพนับถือนั้น เราก็ให้ความเคารพอยู่เช่นกัน เพราะ GOD อันหมายถึง“วิญญาณ”หรือ“พระศาสดา”ที่ทรงคุณงามความดีแท้กันทุกพระองค์ เราย่อมเคารพพระผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง ไม่ว่าจะเป็นชาติเชื้อใดแน่นอน

 พ่อครูว่า... เป็นการทวนกระแสถ้าฟังไม่ดีดูเหมือนจะเป็นการลบหลู่พระเจ้าเลยทีเดียว ต้องฟังให้ดีๆแต่เราไม่ได้ไปข่มแต่เราเห็นความต่าง

ความต่างนี่แหละเป็นอุตระหรือเป็นโลกุตระที่นอกเหนือจากที่คุณเข้าใจกันแปลศัพท์สั้นๆ เขาแปลอุตระว่าอยู่เหนือ    

แต่“พระเจ้า”ในที่นี้ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึง เรื่อง“เงินๆทองๆ”ที่เป็น“วัตถุ”แท้ๆซึ่งคนไปหลงงมงายวุ่นวายเอาเป็นเอาตายอยู่ที่“เงินๆทองๆ”กัน โดยนับถือเงินทองเป็น God ยิ่งชีวิต

และความรู้ความเห็นที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ไม่ใช่แบบโลกียะที่อาตมามีน้อยนิดจริงๆ ซึ่งเป็นความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นแบบโลกุตระ จึงแน่นอนว่า มันย่อมผิดเพี้ยนไป ไม่ตรงกับผู้รู้เศรษฐศาสตร์ หรือไม่ตรงกับผู้มีครูมีอาจารย์มีตำราเรียนกันมาแบบสากลโลกียะนั้นแน่ยิ่งกว่าแน่   

“เศรษฐศาสตร์”คือ“ภาวะแห่งความเป็นจริง”ที่เป็น“สัจธรรม”ทาง“จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ“เงินๆทองๆ”ที่หลงยึดถือกันสูง หลงหนักว่า “ตัวเลข”นั่นแหละคือ“พระเจ้า” หรือเคารพบูชาแต่“จำนวนของตัวเลขที่แข่งกันสูง-แข่งกันมาก”เท่านั้น

ที่จริงแล้วมันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ ถูกต้องจริง แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ”ได้นิรันดร  

เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”กันหนักหนาสาหัสนั้น นั่นคือ หลงจำนวน “ตัวเลข”โดยหลงยึดถือเอา“รายได้”จากวัตถุแปรมาเป็นเงินทอง แล้วก็นับจำนวน“ตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันความเจริญ“เศรษฐกิจ” มันก็เป็นแค่การบ่งบอกว่า ความสำคัญของมนุษย์ทั้งหลายอยู่ที่“วัตถุ” ชีวิตคนจะอยู่ดีมีสุขด้วย“วัตถุ”เท่านั้น “วัตถุ”สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น“ที่พึ่ง”คือ“พระเจ้า”คือ God ของชีวิตคนทั้งหลายทั้งหมด

ก็ขอยืนยันว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแต่เรื่องของ“วัตถุ”นั้น ไม่มีทางสำเร็จเสร็จสิ้น ถึงขั้นไม่ต้อง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก “จบกิจ”เด็ดขาด ได้แน่นอน และยิ่งไปหลงยึดเอา“ความสูงของตัวเลข”ที่เป็น“จำนวนของ“รายได้ทางวัตถุ” มาเป็นเครื่องวัดแบบ“โลกียะ”สามัญปุถุชนทั่วไปในโลกอยู่นั้น ก็รับรองว่า “ไม่มีที่สิ้นที่สุด”เด็ดขาด หากไม่หันมา“แก้ปัญหาเศรษฐกิจกันทาง“จิตวิญญาณ” โดยใช้“ทฤษฎี”ของพระพุทธเจ้าที่เป็น“โลกุตระ” เพราะมันไม่มีขีดจำกัดเลย ว่า “ความสิ้นสุดของความโลภ” หรือ“ความสิ้นสุดของความต้องการอยากได้”ของคน มันรู้จัก“พอ”กันตรงไหน?

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ด้วย“ทฤษฎี”ของชาวโลกที่มีความรู้-ความฉลาดแค่ชาว“เทฺวนิยม”มีกัน จะสูงส่งเต็มที่ปานใดๆก็ตาม มันก็มีแต่แบบ“โลกียะ”อยู่เท่านั้น

มันยังไม่ใช่“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ที่มีความรู้-ความฉลาดของ“พุทธ”ที่เป็น “อเทฺวนิยม” คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว” และจัดการกับ“เทฺว”ได้สำเร็จสูงสุดถึงขั้น“อนัตตา”หรือ“นิพพาน” จึงจะสามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”เด็ดขาดลงได้จริง 

 พ่อครูว่า... อาตมาพูดไปนี้ พวกสายหลับตาเขาจะบอกว่า โพธิรักษ์เอาอะไรมาพูด ไอ้คำว่าเศรษฐกิจฟังแล้วก็บ้าๆบอๆ แล้วยังไงมาเกี่ยวกับเทวะเกี่ยวกับจิตวิญญาณเข้าไปอีก เขาจะเห็นว่า เขาฟังไม่ออก พูดง่ายๆ 

“ทฤษฎี”ของชาวเทฺวนิยม หรือชาวโลกที่ยังไม่มี“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ไม่มี“จุดสำเร็จ”ของ“ปัญหา”ว่า จะ“จบ”ปัญหาเศรษฐกิจได้แท้จริง 

เพราะ“คำตอบ”ของคนร่ำรวยหรือของผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ จะไม่มีคำว่า “เพียงพอ”หรือ“พอ”เป็นอันขาด คนผู้ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงทาง“จิตวิญญาณ”จากการเรียนรู้และปฏิบัติจนกระทั่งเกิด“ปัญญา”แท้ใน“อาริยสัจ 4”เท่านั้น ที่จะ“ยุติ”การกอบโกย-การเอาเปรียบจากสังคม จึงจะเป็นผู้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ของตนให้แก่สังคมได้สำเร็จจริง

พ่อครูว่า... พวกคุณนี้ยุติการกอบโกยออกแบบสังคมได้ เอาแค่พออยู่พอกิน ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราตรัสเอาแต่ว่า พอเพียง พออยู่พอกิน แต่คนไม่กระเตื้องและท่านไม่ได้ขยายความมากนัก เขาก็เลยสรุปกันว่า ตามศาสตร์พระราชา 

ถ้าไม่ศึกษาหรือเกิดความรู้-ความฉลาดทาง“จิตใจ” หรือความรู้-ความฉลาดทาง“วิญญาณ” หรือทำให้ประชาชนเกิดรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “เงินๆทองๆ”นั้นไม่ใช่ “พระเจ้า” แต่เป็น“ซาตาน” หรือเป็นผี เป็นมาร ต่างหาก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เงินๆทองๆนั้น คือ อสรพิษ คือ งูร้าย  

พ่อครูว่า... แต่เขาหลงงมงายอยู่แค่นี้ ไม่ว่าประเทศไหน เอางูพิษษเป็นพระเจ้า เอาซาตานเป็นพระเจ้า 

“วิญญาณ”หรือ“ธาตุรู้”หรือ“จิตใจ”หรือ“ความรู้-ความฉลาด”ของคนปุถุชนทั่วไปนั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า”ที่ชื่อว่า เงินๆทองๆแล้วกันละหรือ? 

ทำไมจึงเป็น“ทาสเงินๆทองๆ” หรือเป็น“ทาสพระเจ้า”กันนัก งมงายอยู่กับ GDP กันไม่เงยหูเงยหัว ทำไมไม่เห็นความสำคัญของ“จิตใจของคน”อันเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง”ของคนในสังคม”มากกว่า“เงินๆทองๆ” แล้วแก้ปัญหากันที่“จิตใจของคน”กันให้ได้ ถึงจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันได้จริง  ไม่ต้องแก้กันอยู่ตลอดกาลนาน ด้วยอวิชชาอยู่ อย่างที่ตำราหรือทฤษฎีของชาวโลกียะเทฺวนิยมมีกันทำกันอยู่ 

พ่อครูว่า... อย่างตอนนี้เห็นว่านายเศรษฐาจะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อาตมาว่าเอาเข้ามาเดี๋ยวก็หมด จะเก่งกว่าทักษิณในการที่จะทำอีก ทักษิณนั้นเอาไปเอามานอกลูกมาเป็นเรื่องข้าว แต่นี่ เรื่องที่ดินบ้านช่องเรือนชาน มันหนักก็เรื่องข้าวเลยนะทีนี้ 

เพราะแม้จะ“รู้สึก”กันว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้บ้าง ที่แก้ด้วยวิธีจัดการกันแต่ทาง“วัตถุ”และดูกันที่“ตัวเลข”รายได้”นั้น มันก็แค่“เกมที่จัดการแข่งขันกัน”ทำให้“สมบัติผลัดกันชม”ไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แล้วมันก็“ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนมั่นคงถาวร”เลย

ซึ่งมัน“ไม่หมดปัญหา”แท้ๆ เกิด“ทิฏฐิ”เป็นโลกุตระ แล้วปฏิบัติอย่าง“สัมมาปฏิบัติ” จนบรรลุ“ปัญญา”ของพุทธ สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันอย่างยั่งยืนถาวรไปตลอดกาลได้หรอก

ถ้าไม่สามารถรู้เรื่อง“จิต เจตสิก รูป นิพพาน” แล้วเรียนรู้ปฏิบัติตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าให้เจริญ งอกงาม ไพบูลย์เป็นที่สุดได้จริง

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ตามตำราหรือทฎษฎีที่เรียนกันมาจากเมืองนอกอันมีแต่“ความรู้”ของชาว“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียภูมิ”เท่านั้น รับรองได้ว่า ไม่มีวัน“จบกิจ”ในการ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”เด็ดขาดได้แน่ๆ

เพราะ“ความรู้-ความฉลาด”ประดามีของชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดที่เป็นแค่“โลกียภูมิ”นั้นยังเป็นแค่“เฉโก” แม้จะเก่งกาจปานใดก็ไม่สามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ที่เป็น“เศรษฐกิจ”ได้มั่นคงยั่งยืนถาวร แน่ยิ่งกว่าแน่

ต้องทำคนให้เกิด“ปัญญา”มี“ความรู้” ที่เป็นพุทธขั้น“โลกุตระ”ในชาว“อเทฺวนิยม”ที่แก้ปัญหากันด้วย“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”จึงจะจัดการกับ“พระเจ้า”ที่เป็น“เงินๆทองๆ” และมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ที่เป็น“พระเจ้า”ทางจิตวิญญาณอย่างถึงแก่นแท้ครบความเป็น“พระเจ้า”ที่เป็น“เงินๆทองๆ”และที่เป็น“จิตวิญญาณ”จริงที่สุด

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ตามตำราหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เรียนกันในเมืองไทยที่มี“ศาสนาพุทธ”ให้“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในการแก้ปัญหาได้จริง ตำราหรือทฤษฎีของศาสดาเทฺวนิยมแก้ไม่สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”เศรษฐกิจแน่

ซึ่งในประเทศไทยยุคนี้มีประชาชนคนจริงในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งได้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริงยืนยันให้พิสูจน์ได้

นั่นคือ กลุ่มชนคนไทยที่เรียกกันว่า ชาวอโศก หรือ“สันติอโศก”  

...เชิญ! เอหปัสสิโก ไปเห็นแจ้งของจริงด้วยได้ด้วยการ“เห็น”หรือ“สัมผัส”กันได้เลย  

ขอยืนยันว่า ตำราเรียนหรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเมืองนอกที่ร่ำเรียนมา จนจบด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ จากยุโรป ตะวันตก อเมริกา อินเดียจีน ตะวันออกกลาง ฯลฯ หรือแม้จะเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาก็ตาม ในยุคนี้ไม่มี“สัมมาทิฏฐิ”ที่จะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ของปัญหาเศรษฐิกิจได้ดอก

มีอยู่แท้ก็ที่ในเมืองไทยและเป็นพุทธอันมี“โลกุตรธรรม”ด้วยนะ! 

ไม่ใช่พุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ โดยเฉพาะที่แน่ๆก็เชิญพิสูจน์กันได้ใน“ชาวอโศก”  

มาเจาะลึกวินิจฉัยกันให้ละเอียดๆดูทีรึ? ว่า อะไร? ตรงไหน? ที่มันหลงกำหนดหมายผิดเพี้ยนกันอยู่ มันไม่สำเร็จเสร็จจบอย่างไร?  

จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบใน“ความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงผิดนั้น”กันเสียที 

อาตมาขอหยิบยกเอาข้อความต่อไปนี้ มาจาก“กูเกิ้ล” มาเป็นจุดเริ่มต้นสาธยาย

“คำว่า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม”

นอกจากคำว่า GDP เขาแถม GNP : Gross National Product มาให้อีกด้วยนะ! 

ยิ่งใช้คำว่า GNP : Gross National Product นั้นแหละยิ่งเน้นหมายเจาะลงไปที่“เฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นของตนเองในชาติตนเองแท้ๆเท่านั้น” มันก็ยิ่งชัดเจนว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะได้ว่า ไม่มี“โลกุตระ”

พ่อครูว่า... โลกุตระที่จริงนั้น อาตมาอธิบายล้ำหน้าไปก่อน จะได้เข้าใจก่อน ฟังต่อไปจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ความรู้ของอาตมาเรื่องเศรษฐศาสตร์ ที่บอกว่าเป็นรายได้เฉพาะภายใน domestic ก็คือคนไทยอยู่ในประเทศแล้วก็มีผลผลิต เมื่อผลผลิตที่มีแล้วก็ขาย ถ้าขายออกไปต่างประเทศแล้วไปเอาเงินต่างประเทศมา เราไม่นับนะ คุณขายเฉพาะในประเทศแล้วก็เงินที่ได้อยู่ในประเทศนี่แหละ domestic โดเมสติกที่อาตมาหมายถึงจริงๆ เขาจะหมายตรงอย่างนี้หรือเปล่า เขาก็ไม่หมายอย่างนี้จริงๆ 

ยิ่งกว่านั้นเมื่อคุณเอาของๆเรานี้ขายในประเทศ ให้มันพออยู่พอกินในประเทศ ของผลิตของไทยแล้วก็ขายกันพออยู่พอกินในประเทศ ถ้าคนจนเราก็ยิ่งต้องขายให้เขาถูกๆ จึงจะพออยู่พอกิน นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 

แต่นี่ไม่.. มีพ่อค้าคนกลาง มีพวกนายทุนมากว้านซื้อแล้วก็เอาออกไปขายต่างประเทศ แล้วพยายามกดราคาของคนไทย แล้วมีอิทธิพลด้วยนะ กดราคา แล้วเอาไปขายเอากำรี้กำไรจากต่างประเทศ

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนี้มันไม่ทำให้คนไทย เข้าใจตามพระพุทธเจ้าว่า อย่าไปหลงไอ้เงินๆทองๆ เราจะได้ไม่ตกเป็นทาสของพวกนายทุน อย่างพวกเรานี้ไม่หลงเงินๆทองๆ ไม่ตกเป็นทาสของนายทุน ดีไม่ดีไล่แจกนายทุน เพราะว่าเรามีความพอ เราพึ่งตนเองรอดพออยู่พอกินมีเหลือมีเกินจึงกระจายสะพัดให้แก่คนอื่น นี่คือการแก้ปัญหาสำเร็จ แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกิจเสร็จแล้ว เราทำได้ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า 

แต่ทฤษฎีของเทวนิยมไม่มีทางแก้เสร็จอย่างนี้ ขอยืนยัน เพราะมันจะกินก็ตาม จะใช้ก็ตาม มันบ้าไปกับโลกที่เขาหลอก แล้วก็โฆษณาหลอกกันเต็มหมดเลย ในข่าวคราวก็มีโฆษณาเต็มไปหมด 

แม้แต่สถานีข่าว สถานีธรรมะ ของเทวนิยม ไม่ใช่ ของพุทธ ก็ยังโฆษณาแบบเทวนิยม หรือเรี่ยไรหาเงิน หลงเงินๆทองๆเป็นพระเจ้าอยู่นั่นแหละเลี้ยงตนเองไม่รอด เดี๋ยวก็ขอบริจาคอยู่นั่นแหละ 

อาตมาภาคภูมิใจนะ เราทำของเรา ไม่เรี่ยไรบริจาคเงินจากใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่าว่าแต่บริจาคเงินจากใครเลย เงินที่เอามาทำทานหรือมาบริจาคให้แก่อโศก ต้องเป็นคนที่เป็นสมาชิกของชาวอโศกเท่านั้น คนนอกจริงที่ไม่รู้อิโหน่อีเหน่อะไรมาบริจาคไม่ได้ เคยมีคนต่างประเทศเอาเงินต่างประเทศค่าสูงด้วยนะมา เราก็บอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์บริจาค เอาคืนไปเขาก็งกๆเงิ่นๆ บอกว่าเรามีกติกา เรารับบริจาคไม่ได้ เพราะพวกคุณไม่ได้อยู่ในกติกาพวกเราอธิบายไป 

อย่าว่าแต่คนเมืองนอกเลย คนไทยที่ไม่รู้จักอโศกเลย เช่น เรามีกฎเกณฑ์ว่า ยังไม่ได้มาคบคุ้นที่วัดหรือพุทธสถานชาวอโศกถึง 7 ครั้งยังไม่มีสิทธิ์ให้บริจาค หรือว่าไม่ได้อ่านหนังสือ 7 เล่ม เดี๋ยวนี้มันมีโทรทัศน์แล้ว  แล้วโทรทัศน์จะดูกี่ครั้งกันล่ะ อยู่กันมาแล้ว 7 เดือน 7 ปีมีสิทธิ์บริจาคไหม ถ้าดูกันจริงๆจังๆก็เอา ถ้าดูก็ดูผ่านๆหรือเดือนนี้ดูครั้งเดียว ปีต่อมาก็ดูอีกครั้งสองครั้ง แล้วก็นับว่า 7 ครั้งอย่างนั้น มันก็จิ๊บจ้อยเกินไป มันจะรู้จักอะไรดีนักหนา เพราะฉะนั้นมันมีรายละเอียดอะไรต่ออะไรอีกเยอะ 

เศรษฐศาสตร์แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะหรือแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาว“ทุนนิยม”สากลทั่วไปที่ทั้งหลาย ทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญลึกล้ำมาก 

แต่คนเห็นว่า “โลกุตรธรรม”นั้น“สุดโต่ง”เกินไป และเชื่อว่า ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อสังคม ต่อโลก หรือเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่สากล เป็นของคนส่วนน้อย   

ที่จริงนั้น ไม่สุดโต่งหรอก มันเป็นไปได้ในคนกลุ่มที่มีอินทรีย์พละ ที่ได้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรม“โลกุตรธรรม”ได้แท้จริงแล้ว เขา“เป็นไปได้” และหมด“ปัญหา”ไม่เป็นทุกข์-ไม่เป็นสุข” ไม่ใช่“การทรมานตัวเอง” ต้องอดทนข่มฝืนใดๆเลย แต่มีจิตใจเจริญได้แท้จริง เป็น“การทำใจในใจ”คือ“มนสิการ” มี“ปัญญา”ปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”จริง จึงทำได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในเรื่อง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแท้ๆ

ยืนยัน“ตัวอย่าง”ใน“คน”ที่มีความเป็น“คน”เช่นเดียวกันกับคนทั้งหลายในโลก ว่า วิชชาการสุดวิเศษ ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ยั่งยืนถาวรนิรันดรนั้น“มี”จริง    

สากลคนทั่วไปเข้าใจกันตามที่ลอกมาจากที่ท่านผู้รู้ทางเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมแปลกันไว้ ดังที่ยกมาอ้างอิงไว้ข้างบนนั้น 

ถ้าพินิจเข้าไปให้เข้าถึงความหมายที่ตรงเนื้อหาแท้จริงแล้ว มันกลับเพี้ยนไปจากความเป็นจริงของเนื้อหาแท้จริงที่เป็นกันอยู่ ซึ่งมีนัยสำคัญอยู่อย่างยิ่งยวดทีเดียว   

 

เริ่มประเด็นที่ 1 นั่นคือ เศรษฐศาสตร์แบบโลกุตระของพุทธ ถ้าระบุลงไปว่า Domestic ที่แปลว่า ภายในประเทศ ก็จะ“ไม่นับ”เอา“ผลผลิต”ที่ขายได้รายได้จาก“ต่างประเทศ” หรือ“ไม่นับ”เอาที่คนไทยในต่างประเทศไปมีรายได้อยู่ในประเทศอื่นเขาแล้วส่งเข้ามาให้เราในประเทศ ปนเปกันหรอก เรา“ไม่นับ”รวมเอาที่เป็น“รายได้”ที่ได้จากภายนอกประเทศ อันไม่ใช่“รายได้”ที่ได้จาก“ผลผลิต”ที่ผลิตจาก“ภายในประเทศโดยเฉพาะเท่านั้น”มารวม

คำว่า “รายได้ที่เกิดภายในประเทศ”นั้น ต้องไม่รวมเอา“รายได้”ส่วนที่ได้จากต่างประเทศเข้ามารวมด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็น“รายได้”จากสินค้าที่ไม่ใช่ผลผลิตของไทย หรือจากคนไทยที่ไปมีรายได้จากต่างประเทศ 

ก็ให้เอาเฉพาะที่เป็น“รายได้ภายในประเทศ”ที่ได้จาก“ผลผลิตภายในประเทศไทย และขายกันระหว่างคนไทยในประเทศไทยเท่านั้น” ที่นับเป็น“รายได้มวลรวมภายในประเทศ” คือ เอาของ“คนไทยที่ผลิตเองขายกันเองในประเทศไทยเอง เป็นรายได้“ทั้งเงินทั้งผลผลิตเฉพาะของคนไทยเองเท่านั้น”จริงๆ

“ความแตกต่าง”ของแนวคิดทาง“เศรษฐศาสตร์”ของทุนนิยม หรือที่ยังเป็นแบบ“โลกียะ”ทั่วไปในโลกสากลกับแบบ“โลกุตระ”ของ“พุทธ”ที่เป็น“บุญนิยม” มีเฉพาะของพุทธนั้นมีนัยสำคัญหลายนัยะ หลากมิติ มากประเด็น  

ตามประเด็นที่ 1 ที่สาธยายมานั้น ก็คือ ทั้งๆที่ท่านนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมกำหนดหมายว่า “รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น” แต่นักเศรษฐศาสตร์เทฺว

นิยมไพล่ผิดเพี้ยนไปคิดเอา“รายได้”ซึ่ง“มันไม่ใช่รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น” ตามกำหนดหมายและพูดๆกันอยู่ทั่วไปเป็นสากลหรอกนะ!

ทว่ามันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่บวกเอารายได้จากการขายผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผลิตภายในประเทศของตนเองแท้ๆ เมื่อส่งออกไปขายแก่ต่างประเทศได้รายได้มา ก็เอา“รายได้”จากต่างประเทศมารวมกันกับทั้งที่จาก“ผลผลิต”ขายในประเทศด้วยรวม“รายได้เข้าเป็นมวลรวม” มันก็รวมเป็น“รายได้”ที่ขาย“ผลผลิต”ได้ทั้งจากขายให้ต่างประเทศ รวมกับ“รายได้”ทั้งที่ขายได้ในประเทศ มันเป็นการเหมารวมปนภายนอกกับภายในเป็น“มวลรวม”ทั้งหมดหนะซี!  

นั่นมันไม่ใช่“การขายผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองในประเทศตนเองเท่านั้น” แท้จริงกันที่ไหน? มันยัง“ขี้ตู่”ไปผนวกเอา“ผลผลิต”ที่ขายให้ต่างประเทศ แล้วได้“รายได้”จากต่างประเทศ”แถมเข้ามาอยู่ดี

มันก็เป็น“รายได้มวลรวม”ที่ไปนับเอา“รายได้”จากที่ขาย“ผลผลิต”ออกไปให้แก่ต่างประเทศโน่นมา “รวมเป็นรายได้ปนเปเข้าไปด้วยอีก” แล้วหลงผิดนับว่า เป็น“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”

...มันสำคัญผิดไปมั้ย? พินิจดูกันให้คมๆ แม่นๆ ชัดๆ กันเถิด

พินิจกันลึกๆชัดๆคมๆแม่นๆแล้ว จะเห็นว่า ที่ว่า“รายได้มวลรวมในประเทศเท่านั้น” หรือจากภาษาที่ว่า Gross Domestic Product นี้ มันเป็น“รายได้มวลรวม”คือ Gross ที่ถูกต้องตรงตามความกำหนดหมายกันแล้วหรือไม่ใช่? มันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่เกิดขึ้น“เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น”จริงหรือ?

มันต้องเอา“รายได้ที่เกิดขึ้นจากการนับ‘รายได้’อันได้ขายผลผลิตของไทยที่ไทยผลิตขึ้นได้”กันในประเทศ”เท่านั้นเป็น“รายได้มวลรวมจากผลผลิตของไทยเอง”ตะหาก

ประเด็นที่ 1 นี้ จึงเป็นการหลงผิดในการขาย“ผลผลิต”ที่ควบรวม“รายได้”จากภายนอก ของ“ผลผลิต”ที่ส่งออกไปขายนอกต่างประเทศ และหรือนับเอาของคนไทยที่ไปได้“รายได้”อยู่นอกต่างประเทศแล้วส่งเงินเข้ามาให้คนไทยในประเทศไทย ว่า เป็น“รายได้มวลรวม”เฉพาะของไทยคนไทยภายในประเทศไทยเท่านั้น ว่า เป็นการขาย“ผลผลิตไทยกันเองภายในประเทศเท่านั้น” แต่หลงว่า“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 1 นั้นกำหนดหมายผิดเพี้ยนตรงหลงควบรวมเอาที่“ไม่ใช่ภายในเท่านั้น”แท้ๆ มาควบรวมเป็น“ภายในแท้”เข้าไปด้วยอย่างสับสนอยู่ ไม่“ตรง”แท้ 

 พ่อครูว่า... ถ้าจะว่าเศรษฐกิจที่โลกเขาหมายถึงเราไม่ได้มีเรื่องเศรษฐกิจไม่ใช่ เราก็มีเรื่องเศรษฐกิจด้วย ทุกคนเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจทั้งนั้นจะว่าไปแล้ว  

คือเป็นสมาชิกของประเทศสมาชิกของสังคมก็ต้องอยู่กันอย่างที่เขาหมายความว่าผู้บริหารจะต้องแบ่งแจกทรัพยากรให้มีอยู่มีกินกันอย่างทั่วถึง แต่ถ้าไม่มีการลดกิเลสมีสมรรถนะสร้างสรรทำให้เหลือให้เกินแล้วเผื่อแผ่ผู้อื่นมันก็ไม่พอ ต้องทำอย่างที่พระพุทธเจ้าพาทำ อาตมาพาทำพวกเรานี้เป็นพวกที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบ และมีผลช่วยสังคมประเทศอยู่ทางเศรษฐกิจ จบแค่นี้ก่อน คุยต่อไปเดี๋ยวจะมากกว่านี้อีก 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

 

 

ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรงของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ

คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ แม้แต่จะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”กันนั่นเอง ที่กำหนดหมายกันผิดอยู่

เพราะพากันเผลอเผินไปหลง“ตัวเลข”กัน ว่า เป็น“เนื้อหาแท้จริง”

ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของคน”ที่เป็นผู้มีความรู้ในเรื่อง“เศรษฐศาสตร์” แบบ“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า หรือการเมืองก็เช่นกัน ก็ไปหลงกันที่“ตัวเลข” ไม่ไปสำคัญมั่นหมายกันที่“ตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญที่เป็นเนื้อหาแท้จริงยิ่งกว่า “ตัวเลข”ของ“การนับคะแนนเอาที่การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด 

มันจึงไม่ตรงสัจธรรม หรือความเป็นจริงกันได้จริง 

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 2 นี้ โลกียะหรือเทฺวนิยมจะวิปลาสไปคิดเน้น“ตัวเลข”แทนที่จะคิดเอา“เนื้องาน”ที่เป็น“ผลผลิตของคนผู้ผลิต”หรือสำคัญมั่นหมายกันที่“คนผู้ทำงานผลิตจริง” เป็นความเจริญทาง“เศรษฐกิจ”หรือ“การเมือง”กันแท้ 

 

ประเด็นที่ 3 นั่นคือ “โลกียะ”นับเอา“ผลได้” ที่เมื่อ“ได้เปรียบ”คู่แข่งขัน หรือผู้อื่นแล้ว เราได้ทำเกิน“ทุน”มาเป็น“ของเรา” มีผลมากเกินกว่า“คนอื่น”แท้ เมื่อ“เปรียบเทียบ”ก็เป็น

จริง คือเขาถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ก็ถูกของเขา ที่เขา“ยึดถือของเขาชาว“โลกียะเทฺวนิยม”เป็นสากล 

ชาว“โลกียะ”มีความยึดถือเช่นนี้ เข้าใจและเชื่อว่า อย่างนี้แหละว่า“ถูกต้อง”ดีจริง 

ความเป็น“โลกียธรรม”จะไม่ยอม“เสีย(สละ)ไปให้ใคร” ไม่ยอม“ขาดทุน” จะมีแต่“เอาเปรียบ-ได้เปรียบ”ถือว่า เป็นความเจริญ เป็นอารยะ(ศิวิไลซ์ civilize) หากจะ“เสียสละออกไป”ก็จะคิดเป็น“ราคาของคุณงามความดี-ความเขื่องคุณ”ที่ตนให้แก่คนอื่นได้เป็น“ความยึด” ซับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วยึดติดใส่จิตตนเองเป็น“ตน(อัตตา)” เป็น“ของของตน(อัตตนียา)”อยู่ และนับเป็น“บุญคุณ”ที่ตนมีต่อผู้อื่น นี้คือ ความยึด มันคือ“อุปาทาน”ที่เป็น“กิเลส”แท้ๆ

“ความยึด”ภาวะนั้นๆเป็นตน-เป็นของตนนั้น มันคือ“อุปาทาน”นะ! เป็น“กิเลส”

ทั้งๆที่“กิเลส”มันไม่ใช่“บุญ”เลยแม้แค่นิดน้อย “อุปาทาน”มันเป็น“การยึด”แท้ๆ 

แต่ก็เพี้ยนไปยึดเอา“กิเลส”มาเป็น“บุญ” แล้วก็หลงผิดว่า “ความยึด”เป็น“กุศล”

“บุญ”ต้อง“ไม่มี”อาศัยอยู่ในชีวิต  ส่วน“กุศล”นั้นต้อง“มี”อาศัยอยู่ในชีวิต

ที่ถูกแท้นั้น “บุญ”คือ “การทำลายความยึด” “บุญ”ไม่ใช่“การไปยึดมามีไว้”

แต่“กุศล”มันต้อง“มี” มันต้องสะสม  “กุศล”จึงแตกต่างจาก“บุญ”ที่มันไม่ต้อง“มี”     

“บุญ”มันก็“ผิด”ไปจาก“สัจจะ”ที่แท้ของ“โลกุตระ”กันอย่างอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะไพล่ไปเห็น“กุศล”เป็น“บุญ”อันผิดเพี้ยนไปจาก“สัจจะ”คนละทิศละทางเลย

“บุญ”มันไม่ใช่“สมบัติ”ที่จะ“มีสะสมไว้” ซึ่งแตกต่างจาก“กุศล”ที่คนต้องสะสม 

แต่“บุญ”เป็นแค่“พลังงานจิต”ที่สร้างให้เกิดเป็น“ฌาน”เป็น“ปัญญา” เผากิเลสเท่านั้น  “บุญ”มีหน้าที่ทำแต่“วิบัติ”ทำลาย“กิเลส หรือมีหน้าที่ฆ่ากิเลสให้ดับสิ้น 

“บุญ”ไม่มีความเป็น“สสาร” ไม่ว่าทางวัตถุหรือทางจิต เพราะ“บุญ”ไม่จับตัวกัน

ขึ้นเป็นกลุ่มก้อนเด็ดขาด มันเป็นแค่“พลังงานทางจิต” ซึ่ง“บุญ”นี้จะไม่“ทรงอยู่” เป็น“ธรรม”เกินกว่า“ปัจจุบันชาติ” เนื่องจาก“บุญ”เพียงทำหน้าที่เป็น“พลังงานขึ้นได้ในปัจจุบันของอาริยชนโลกุตระ”เท่านั้น “บุญ”ไม่เกิดใน“อดีต”หรือไม่่เกิดใน“อนาคต” 

“บุญ”เกิดใน“ปัจจุบันชาติ”เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันที่เป็นคนผู้มีพร้อม“ตาหูจมูกลิ้นกาย”ตื่นเต็มทำงานร่วมกันกับ“ใจภายใน”เป็น“ภาวะ 2”แล้วไซร้ “บุญ”ก็เกิดไม่ได้   

“บุญ”เป็น“พลังงานจิต”ที่ทำหน้าที่“ประหารกิเลส”เท่านั้น ไม่มี“คุณวิเศษ”อื่น 

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 3 นี้ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขาหลงผิดนับนับเอา“ความได้เปรียบ” นับส่วนที่ได้เกิน“ทุน” หรือได้เกินกว่า“คนอื่น”นั้นๆ ถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับ“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระกันคนละทิศละทางกันเลย

 

“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระนั้นนับเอา“ความเสียสละ”ซึ่งเป็น“ความเสียเปรียบ” นั่นเอง ว่าคือ“การได้กำไร” เพราะเสียสละก็“ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น” และก็แค่“สักแต่ว่าทำ”

ไม่“ยึดเป็นตัวตน” หรือปฏิบัติจนกระทั่งไม่ยึดมา“เป็นตน-เป็นของตน”ได้สำเร็จจริง

นี้คือ “คุณวิเศษ”ที่ชาวโลกุตระ“ทำได้” ซึ่ง“ยึด-ไม่ยึด”นี้ชาวโลกียะยังไม่ศึกษา

“ความยึด”ภาษาวิชาการว่า “อุปาทาน”นี้เอง คือ “กิเลส”ที่ต้องศึกษาและพิชิตมัน

“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระจึงแตกต่างกับขาวโลกียะเทฺวนิยม ยิ่งกว่าดาวคนละดวง

 

ประเด็นที่ 4 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่ “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา” ประเด็นนี้แหละที่ชาว‘เทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันให้สำเร็จได้ อย่าง

ภาคภูมิใจ เต็มใจ อิ่มเอมใจ เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละจริงๆจังๆกันเลย

 

ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น..ดี แพ้ผู้อื่น..ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด ไม่ยอมทุจริต   

แล้วยินดี เต็มใจเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือไม่ใช่ผู้รับจ้าง เป็นอันขาด

ผู้เป็น“อาริยบุคคล”แบบ“โลกุตระ” จึงไม่ใช่ทั้ง“ทาส”ทั้ง“เทพ”หรือเทฺวะผู้ยิ่งใหญ่ใด

เพราะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบความเป็น“เทพ”หรือ“เทฺว”แม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดปานใด

ความเป็น“ทาส”คือ ผู้ยังมี“ตัวตน”แล้ว ไม่รู้ว่า “ตนเองเป็นทาส”ที่หลงรับใช้ตัวเองก็ละลดความเป็น“ทาส”ได้ไปตามลำดับ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

ชีวิตที่มีอยู่ จึงอยู่อย่างมี“ปัญญาอันยิ่ง”ว่า ยังมีแรงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ได้ จึงอยู่อย่าง“เสียสละ” หรือรับใช้ผู้อื่นที่เหมาะที่ควร ชนิดที่ไม่ยึดติดความเป็น“ตัวตน”กันแท้

ผู้หมดสิ้น“อัตตา” หรือหมดสิ้นตัวตน เป็นคนตามที่กล่าวนี้จริงใจ จริงกาย ไม่เสแสร้ง

จึงเป็น“งัวงานเศรษฐกิจ”ที่ซื่อสัตย์ จริงใจ เต็มใจแก่สังคมมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้แท้  

  

ประเด็นที่ 5 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบชาว“เทฺวนิยมโลกียธรรม”สามัญของปุถุชน 

นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่มีอารมณ์“ทุกข์”กับ“การขาดทุน”เลย การทำ“เศรษฐกิจ”จึงสบายกายที่สุด สงบใจที่สุด 

หรือแม้แต่ผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็ตาม ที่“สัมมาทิฏฐิ”ดีแล้ว ก็จะพยายามตั้งใจ“ไม่ทุกข์”กับ“การขาดทุน” แต่กลับจะ“ยังมีสุข”เกิดขึ้นบ้างในจิตของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็ตาม เพราะมี“สัมมาทิฏฐิ”ในความเป็น“โลกุตระ”ดีแล้ว

“ความสุข”ที่เป็น“มายา”ตัวร้ายกาจเก่งยิ่ง คือ“ความทุกข์”แปลงร่างหลอกคนนี้เองที่ต้องเรียนรู้อย่างสำคัญสุดๆ กระทั่งมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”อันยิ่งใหญ่นี้ได้

จึง“จบกิจ”ที่จะยังหลงงงมงายวิ่งไล่เป็นทาส“พระเจ้า”ผู้สถาปนาตนเอง ยึดเอาความเป็น“เจ้าของสุข”ที่จะประทาน“สุข”ให้แก่“ทาส”ผู้ปล่อยไม่ไป เพราะยังมี“อวิชชา”

ดังนั้น ผู้มี“วิชชา” อันคือ“ปัญญา”หลุดพ้นจากความเป็น“ทาส”จาก“เทพ”หรือจาก“พระเจ้า”ได้จริง จึงคือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ ทั้งความเป็น“ทาส”เป็น“เทพ”เป็น“พระเจ้า” เพราะได้ศึกษาปฏิบัติจนกระทั่งสามารถทำ“จิต เจตสิก รูป”ให้บรรลุ“นิพพาน”สำเร็จแท้

“เศรษฐกิจ”แบบโลกุตระ จึงไม่ใช่ผู้่ติดยึดอยู่กับ“ตัวเลข”จนทำให้พา“สุข”พา“ทุกข์”

 

ประเด็นที่ 6 นี้มันยากยิ่งมากๆเลยที่ชาว“เทวนิยมโลกียะ”จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ นั่นคือ เครื่องชี้บ่งความเจริญก้าวหน้าของชาวโลกุตระนั้น “ตัวเลข”ที่แจ้งผลรวมสรุปของ“รายได้การค้าขายแต่ละครั้งคราว แต่ละไตรมาส หรือแต่ละ 6 เดือน 

หรือแต่ละปี แต่ละ 5 ปี 10 ปี อะไรพวกนี้ “โลกุตระ”จะรู้แจ้งรู้จริง“ตัวเลข”ที่

น้อยลงๆ หรือ“ขาดทุน” ถึงเจริญสุดคือ “0” แม้แต่จะ“0”ในสังคมของเราชาวโลกุตระ ก็ยังอยู่ได้ มีชีวิตพออยู่พอกิน สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกืิ้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”อยู่ จึงเป็นผู้ขาดทุน”ให้แก่สังคมแก่โลกชนิดที่ มี“ปัญญา”แท้ ที่รู้ชัดเจน จบจริง 

จึงนับเป็นเศรษฐกิจที่มีความเจริญก้าวหน้าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำคัญยิ่งกว่าเศรษฐกิจที่ชาวทุนนิยมโลกียะเขานับว่า เป็นความเจริญก้าวหน้าของเขาชาวเทฺว

นิยมโลกียะในโลกส่วนใหญ่

 

ประเด็นที่ 7 นี้ยิ่งแสดงถึงความทะนงองอาจแกล้วกล้าของ“จิตวิญญาณ”ที่มั่นใจใน“สมรรถนะ”และ“ความขยัน”ของตนๆ ของหมู่กลุ่มสังคมโลกุตระที่อยู่กันอย่างมีชั้นมี

ลำดับสูงกลาง-ต่ำของแต่ละคนที่ต่างก็ปฏิสัมพันธ์กันอยู่เป็น“เอกภาพ”ยิ่งนั้น ตาม“วรรณะ 9” ที่แต่ละคนของกลุ่มสังคมชุมชนโลกุตระนั้นๆ อยู่เป็นสังคม“สาราณียธรรม 6”

นั่นคือ การอยู่ร่วมกัน ด้วย“เมตตากายกรรม-เมตตาวจีกรรม-เมตตามโนกรรม 

แต่ละคนทำงานได้ลาภโดยธรรมแล้วก็เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี กินใช้เป็นกองกลางเดียวกัน แต่ละคนมีอินทรีย์พละไม่เท่ากันอยู่แน่ เพราะต่างคนต่างยังมี“ความเข้าใจ”ไม่เท่ากันหรือ“ทิฏฐิ”ไม่เท่ากันแต่กันอยู่กันอย่างเสมอสมานกัน รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวกัน ศัพท์คือ “ทิฏฐิสามัญญตา” และต่างคนต่างมีการปฏิบัติตามศีลที่ตนทำได้ของตนๆ และเคารพผู้มีศีลสูงกว่า อนุโลมผู้มีศีลต่ำกว่า ก็เป็น“ศีลสามัญญตา” ฉะนี้คือ ชุมชนคน“สาราณียธรรม 6” 

“เศรษฐกิจ”ที่มีในสังคมนี้ก็คือ ทุกคนทำงานได้ผลผลิตหรือรายได้เท่าไหร่ ก็นำมารวมเป็นกองกลาง ซึ่งเท่ากับทุกคนอยู่ในกงสี หรือเสียภาษีให้กองกลาง ไม่แบ่งออกไป ไม่แย่งกัน เพราะเป็นคนมีปัญญาอันยิ่งเข้าใจ“ความจริงที่เป็นโลกุตรธรรม” ของการไม่ยึดตัวตน ไม่เอามาให้ตัวตน แม้เราจะยังมีกิเลสเหลืออยู่ก็ขัดเกลาของตนเองที่จริงไปตามขั้นตอน  

 

ประเด็นที่ 8 แม้ที่สุดเงิน“คงคลัง”ของชาวโลกุตระ ก็จะพยายามเหลือเก็บไว้ให้“น้อยที่สุด”เท่าที่จะสามารถทำการสะพัดให้ได้เร็วและออกไปมากที่สุด เท่าที่จะสามารถรักษาสภาพการอยู่ได้ไปกับกระแสหมุนเวียนของสังคมในช่วงไม่ใกล้ไม่ไกลนัก โดยอ่านเอาจากสมาชิกของสังคมนั้นๆแต่ละสังคมว่า คนมี“ความรู้ความสามารถ”กับ“ความขยัน”แท้ๆที่เป็น“ต้นทุนสำคัญสุด”เป็นหลักเป็นการประเมินประมาณได้ว่า นี่คือ“ต้นทุนที่สำคัญยิ่งยอดแท้”ของเรา ที่ไม่มีขาดหายไปจาก“ทุนแท้”ของคนของสังคม เพราะมั่นคงยั่งยืนแน่นอนตลอดคนนั้นตายอยู่เสมอแล้ว

แม้จะมี“คน”ในสังคมนั้นพิการไป หรือแก่เฒ่าลงเรี่ยวแรงในการทำงานก็จะน้อยลงไปบ้าง เป็นธรรมดา คนผู้บรรลุเป็น“อาริยบุคคล”แล้ว ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จนกระทั่งถึงพระโพธิสัตว์ระดับสูงสุด ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมี“ปัญญา”รู้การอลุ่มอล่วยอนุโลม-ปฏิโลมกันไป จึงยิ่งมีแต่จะเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีถดถอยเลย

ซึ่งคนผู้จัดการใช้ความยืดหยุ่นทางใจของตนได้ดีรู้่จักทำความผ่อนหนักผ่อนเบา ผ่อนสั้นผ่อนยาว ให้เท่าทันกับเหตุการณ์สถานการณ์

แต่กระนั้น“ต้นทุนที่สำคัญวิเศษยิ่งสุดเป็นต้นทุน”อันคือ“ฌานวิสัยของคนผู้นั้น” จะอยู่กับตนไปจนกระทั่ง“ทำตายให้แก่ตนเองไป”เป็น“ปริโยสาน”นั่นทีเดียว

จะไม่ใช่“ความเที่ยงแท้”ที่ได้แค่ความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)“อัตตา”ของตนอยู่เท่านั้น แต่เป็นผู้หมดสิ้นความเป็น“อัตตา”ของตน เป็นผู้มี“อนัตตาธรรม”แล้ว และมีคุณวิเศษตาม“มูลสูตร 10”ได้สำเร็สัมบูรณ์ 

ฉะนี้คือ “ความเที่ยงแท้”ที่วิเศษสุด ไม่มีตกต่ำอีกเลย จะเวียนเกิด-เวียนตายไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ตาม ไม่เปลี่ยนแปลงไปจาก“ความเจริญงอกงามไพบูลย์”แล้วเด็ดขาด

จะไม่เหมือน“เทฺวนิยม”ซึ่งยัง“ไม่มีความเที่ยงแท้เด็ดขาด” แม้จะได้เป็น“พระศาสดา”องค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็ตาม ซึ่งศาสดาเทฺวนิยมนั้นยัง“ไม่รู้(อวิชชา)”หรอกว่า เมื่อท่านตายลงก็จะไปอยู่กับ“พระเจ้า”นิรันดรนั้น มันก็ยัง“ไม่เที่ยง”ตามที่ท่านเชื่อถือกันเลย

“อัตตา”ของพระศาสดาของเทฺวนิยมทุกองค์ เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะต่้องเวียนว่ายตายเกิดกันอีกนับชาติไม่ถ้วน เพราะท่านยังไม่มีความเป็น“อมตะ”แบบ“โลกุตรธรรม”ที่มี

“มูลรากของคุณวิเศษ 10”(พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58 “มูลสูตร 10”)

ความเป็น“อมตะ”นั้น ต้องมีเหตุมีปัจจัยในจิตวิญญาณว่า มี“คุณวิเศษ 10” ได้แก่ มีความยินดี(ฉันทะ)เป็นรากเหง้าของจิต(มูลกา)-มีการทำใจในใจ(มนสิการ)เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)-มีการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)เป็นเหตุเกิด(สมุทัย)-มีความรู้สึก(เวทนา)เป็นที่ประชุมลง(สโมสรณา)-มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ)เป็น“หัวหน้า(ปมุข)-มีความระลึกรู้ตัว(สติ)เป็นใหญ่(อธิปไตย)-มีความรู้ความฉลาด(ปัญญา)เป็นยิ่ง(อุตตระ)-มีความหลุดพ้น(วิมุติ)เป็นแก่น(สาระ)-มีกรรมสิทธิ์อยู่เหนือการเกิด-การตายของตนที่จะทำเกิดทำตายให้แก่ตนเองได้สุดวิเศษ(อมตะ)-มีการดับกิเลสสิ้นเกลี้ยง(นิพพาน)ถึงขั้นสามารถทำการตายเป็นที่สุดไปเลยแยกธาตุจิตของตนเป็นดินน้ำไฟลมไปไม่เหลือตามที่ตนต้องการเมื่อใดก็ได้(ปรินิพพานเป็นปริโยสาน)

ไม่ใช่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยที่บอกแจ้งถึง“ต้นทุนที่สำคัญยิ่งเป็นทุนแท้”ที่ตนพึงมีอยู่จริง ได้ชัดเจน ตามที่ได้สาธยายมานั้นแน่นอน    

“ต้นทุนที่สำคัญยิ่งเป็นทุนแท้”นี้ จะไม่หมดไม่หายไปไหน เพราะมันเป็น“สมบัติ

ในตัวคนติดตัวคน”ไปจนตาย เป็น“กรรมที่เป็นของของตน(กัมมัสสกะ)-กรรมเป็นมรดกวิบากของตน(กัมมทายาท)-กรรมจะพาตนเป็นไปดำเนินไป(กัมมโยนิ)-กรรมเป็นเผ่าพันธ์ของตน(กัมมพันธุ)-กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยของต(กัมมปฏิสรโณ)”ที่สะสมเป็น“สัมภารวิบาก”ติดตัวเรา จะตายแล้วเกิดใหม่ไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ เมื่อเป็น

“อาริยบุคคล”แล้ว “กรรมวิบาก”ที่เป็น“อาริยธรรม”แล้วของตนก็จะมีแต่เจริญ งอกงาม ไพบูลย์เป็นลำดับไปยิ่งๆ “เที่ยงแท้-ยั่งยืน-ตลอดไป-ไม่มีตกต่ำอีกแล้วเป็นธรรมดา-ไม่มี

อะไรหักล้างได้แล้ว-ไม่กลับกำเริบ”    

ฉะนี้คือ GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น

ที่คนผู้มีความรู้เรื่อง“เศรษฐศาสตร์”ได้แค่แบบ“เทฺวนิยม”ที่ยังเป็น“โลกียะ”เท่านั้น จะไม่รู้เรื่อง“เศรษฐศาสตร์”ที่เป็น“โลกุตระ”อย่างที่ได้สาธยายมา    

 

ทีนี้ มาดู GDP ที่ได้มาจากตัวย่อของ Gross Democracy Product ตามประสาอาตมา ที่ลองอวดภูมิ ที่คนเคยว่า อาตมา“ดัดจริต” ก็จริง อาตมาพยายาม“ดัดจริต”ตนเอง 

ทำ“จริต”ให้มันลดเลิก“ทุจริต” ให้มัน“สุจริต”ขึ้น ยิ่งขึ้นๆ ให้เก่งที่สุด ให้ได้เสมอๆ ไม่ได้หยุดหย่อน โดย“การทำจิตในจิตของตน(มนสิการ)” เพราะ“จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวงฯ(พตปฎ.  

 25 ข้อ 11) เป็น“ปรมัตถธรรม” และ“อาการกาย-วาจาอย่างอื่นที่เราควรทำ ดีกว่านี้ ยังมีอีก” ตามพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนไว้ใน“อภิณหปัจจเวกขณะ​ 10”อยู่จริงๆ  

Gross Democracy Product ตามที่อาตมาดัดจริตเรียกนี้ ก็คือ “ผลผลิตในความเป็นประชาธิปไตย ที่มีมวลรวมทั้งหมดอยู่ในสังคมนั้นๆ” มันคืออย่างไร? แบบไหน? 

โดยเฉพาะ“ความเป็นประชาธิปไตย”ที่อาตมามีความเข้าใจตาม“ปัญญา”ของอาตมานะ ว่า “ความเป็นประชาธิปไตย”แบบ“พระพุทธเจ้า”ซึ่งเป็น“โลกุตระ” 

ไม่ใช่“ความเป็นประชาธิปไตย”แบบชาวตะวันตก ยุโรป อเมริกา ฯลฯ หรือที่ยังเป็น“โลกียะ”ตามแนวคิดของชาว“เทฺวนิยม”ทั้งหลายประดามีอยู่ในโลก

แต่ต้องเป็น“ประชาธิปไตย”ที่มี“พุทธอาริยธรรม”อัน“สัมมาทิฏฐิ”แท้ๆถูกต้องถ่องแท้จริงๆด้วยนะ!

ถ้ากลุ่มหมู่มวลประชาชนนั้นๆปฏิบัติเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ถูกต้องถ่องแท้จริงตาม “โลกุตรสัจจะ”ของพระพุทธเจ้า ก็จะ“เกิดผลผลิต”เป็น“ประชาธิปไตย”ที่มี“อาริยธรรม” อันเป็น“โลกุตรธรรม” และเกิด“ปรากฏการณ์”ขึ้นในสังคมมนุษย์นั้นๆจริงได้แน่นอน

ซึ่งจะสามารถ“วัดค่า”ของความเป็น“ประชาธิปไตย”ได้จากความมี“เศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม”ในหมู่มวลชนกลุ่มนั้นๆ ใน“สังคมนิยม”กลุ่มนั้นๆได้ชนิดที่มี“คุณค่า-คุณลักษณะ-คุณธรรม-คุณประโยชน์-คุณงามความดี-คุณภาพ-คุณสมบัติ-คุณนิธิ(คลังแห่งความดีงาม)-คุณวิเศษ ฯลฯ” เฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็น“คุณค่า”ที่เข้าชั้น“อาริยคุณ-คุณที่เป็นโลกุตระ”ของพุทธแท้สัมมาทิฏฐิ

ถ้าแม้นมีสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติตรงพุทธแท้เกิดสัมมาปฏิเวธได้จริง“ผลยอดเยี่ยม”ที่ปรากฏ”ก็จะมียืนยันให้สัมผัสแตะต้องได้    

นั่นคือ ทำประชาชนให้อยู่ดีมีสุขถึงขั้นมี“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”กันจริงแท้แน่นอน

ทุกวันนี้ในประเทศไทยยุค พ.ศ. 2500 นี้ ได้มี“ความเป็นประชาธิปไตย”ตามที่สาธยายมาคร่าวๆนี้แล้ว “เชิญมาสัมผัสความจริงได้(เอหิปัสสิโก)ในหมู่กลุ่มที่เรียกว่า “ชาวอโศก”หรือ“ชาว“สันติอโศก”ดูบ้าง ก็จะพบ“ความเป็นประชาธิปไตย”ที่มี“คุณ”ดังกล่าวมานั้นกันจริงๆให้“สัมผัส”

ที่พูดนี้ไม่ใช่กิเลส“อยากอวดดี”หรอกนะ!  แต่เป็น“การบอกความดีที่ยืนยันได้ออกมาเสนอให้ตรวจสอบหรือพิสูจน์ความจริง” ด้วยใจบริสุทธิ์โดยในจิต“ไม่มีกิเลสหรืออุปกิเลสแม้เล็กน้อยเลย”  

ท่านผู้ใดพอจะฟังได้ และจะเชื่อบ้าง ก็น่าจะมาสัมผัสพิสูจน์ความจริงนี้นะ

อาตมาอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้ก็ยาวนานเกิน 50 ปีแล้ว พยายามสาธยายตาม“ทิฏฐิ-ปัญญา”ของอาตมาเท่าที่ได้“บำเพ็ญโพธิสัตวภูมิ”มา และมีในตัวเอง ก็มีผู้คนที่ได้ยินได้ฟัง และสนใจมาเล่าเรียนปฏิบัติตาม จนกระทั่งแต่ละคนเกิดมรรคผลจริงกันได้ แล้วนำตนเองที่ได้มรรคผลออกมาดำเนินไปรวมกัน เป็น“มวลรวม”ที่เกิด“ประชาธิปไตย”ในมวลชนกลุ่มหนึ่ง คือ แบบที่ชาว“อโศก”เป็นได้ ซึ่งพิสูจน์ทั้งในแง่ของ“เศรษฐศาสตร์ ก็บรรลุเศรษฐกิจที่“จบกิจ”ได้สำเร็จแล้ว 

ไม่ต้อง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก ให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นๆ ตามที่“สังคมโลกียะ”หรือชาว“เทฺวนิยมทั้งหลาย ยังแก้ไม่สำเร็จ ยังพากันหาทางแก้กันอยู่ ยังไม่สามารถเรียกได้ว่า สำเร็จ ขั้น”จบกิจ” เหมือนชาวอโศก ที่แก้ได้ด้วย“โลกุตรธรรม”

แม้จะยืนยันทั้งความเป็น“การเมือง”ก็ตาม ทั้งความเป็น“สังคม”ก็ตาม ชาวอโศกแก้ปัญหาสำเร็จ “จบกิจ”ได้ ทั้งที่เป็น“เศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม”

ซึ่งเป็นสังคมที่บรรลุ“สาราณียธรรม 6” นั่นคือ มีสังคมชุมชนที่อยู่กันด้วย“เมตตากายกรรม-เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภที่ได้มาโดยธรรมก็นำมารวมกันเป็น

กองกลางกินใช้ร่วมกัน ทุกคนในชุมชนต่างก็ทำงานฟรี ไม่มีคนแบ่งแยกเอารายได้จากส่วนกลางไปเป็นของตนเลย  พึ่งเกิด พึงแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ เป็นญาติธรรม ที่“ระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีกัน เป็นเอกภาพแท้ 

และแสดงความจริงที่เป็นสังคมเศรษฐกิจแบบ“มีมวลรวมของรายได้สูงถึงขั้นสาธารณโภคี”ทีเดียว•••••••••

 พ่อครูว่า... 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิGDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2566 ( 22:05:39 )

660320

รายละเอียด

660320 เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ราชธานีอโศก

 https://www.boonniyom.net/53010.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1dRO3zm-F8rr7gD3Ba58PmPXAYi2PYLnL/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1bmisEGESZov586ZrG_d4FT-XUygt0Aho/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Tii9BilFPX0 

และ https://fb.watch/jo52MC_9Vs/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ นั่นคือวันเวลาสำหรับขณะนี้ กำลังปัจจุบันนี้ เรามาพูดกันตามประสาชาวอโศกเราคุ้มน้อยๆ เรานำเสนอกับชาวโลกว่าเห็นอย่างนี้นะ เป็นอย่างนี้นะ เอาใหม่เอาใหม่ ดีไหมดีไหมดีไหม ชอบไหมชอบไหมชอบไหม เราก็เสนอ แล้วเราก็มาเป็นอย่างนี้อย่างจริงใจ มีความเต็มใจจริงใจจริงๆที่เราอยากจะให้คนอื่นเขาได้อย่างนี้บ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง มันดีนะ อยากจะให้เขาเป็น อยากจะให้เขาได้บ้าง เราก็เสนอไป 

ไม่ใช่เสนอขาย ไม่ใช่เสนอด้วยความโลภ ด้วยความอยากได้อะไรตอบแทนมา..ไม่ใช่ แต่เราเสนอด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความยินดีว่า มันน่าจะดีนะ ถ้าคนอื่นได้เป็นอย่างที่เราเป็น เพราะว่าเรามีสิ่งที่ดีสำหรับที่เราได้แล้วเรามีแล้วอย่างที่เราเป็น ที่มันก็เป็นเรื่องลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

สันตา มันเป็นความสงบสุดยอดวิเศษยิ่ง เป็นแบบโลกุตระไม่ใช่สงบแบบโลกียะที่ทั่วไปเขาเป็นกันอย่างนั้น สุดยอดอย่างยิ่งเลย 

ปณีตา มันละเอียดสุขุมประณีต อตักกาวจรา เดาเอาไม่ได้ ใช้ตรรกศาสตร์ไม่ได้ขบคิดเอาไม่ได้ หัวแตกตาย 7 เสี่ยงเปล่าๆ ไม่มีทางได้ต้องเรียนรู้ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แล้วปฏิบัติจะเกิดเป็นปัจจัตตัง มีจิตวิญญาณของตัวเองเกิดเป็นขึ้นมา แล้วก็จะได้รับรู้สึก สัมผัสของจริงในจิตของตนเอง เป็นธรรมรสของตนเอง จึงไม่ใช่เรื่องพูดกันแต่ปาก พูดแต่ปากได้แต่คิดไม่ได้ ต้องปฏิบัติจนบรรลุธรรม 

ตั้งแต่เริ่มโสดาบันขึ้นไปเป็นต้น  สกิทาคามี อนาคามีก็จะรู้ธรรมรส วิมุติรส แล้วยิ่งมีวิมุติที่วิเศษซับซ้อนทับทวีเป็นปฏิภาคทวียิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ยิ่งจะชัดเจนยิ่งจะมีความแน่นอนความวิเศษ อาตมาก็พูดยกย่องชมเชย  โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างวิเศษ

 

ก่อนอื่นขอประกาศก่อน

 

ระดมกันออกมาสร้างพรรคสัมมาธิปไตย 

_กราบขอพ่อครูได้โปรดพิจารณา ประกาศบอก...

      ตามที่คิดกันว่าวันพฤหัสบดีที่ 23 นี้ จะมีประชุม พรรคสัมมาธิปไตย  (สธต.)เพื่อจัดตั้งสาขาพรรค นั้น  ต้องขอยกเลิกไปก่อน 

     เพราะเพิ่งทราบว่า ทางกกต.ได้กำหนดให้แต่ละพรรคจะต้องมีสมาชิกในจังหวัดที่จะตั้งสาขาพรรค ไม่น้อยกว่า 500 คนขึ้นไป

     ซึ่งเรามีสมาชิกแล้ว แต่ยังไม่ถึง 500 คน และจะต้องพยายามกันต่อไป โดยระดมสมัครสมาชิกให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 คน ทั่วประเทศ ภายใน 1 ปีด้วยครับ 

พ่อครูว่า...  ฟังให้ดีนะแม้เป็นนักเรียนอายุ 18 ปีขึ้นไปก็สมัครเป็นสมาชิกได้ ช่วยกันหน่อย พวกเราชาวอโศกยังน้อยจริงๆ จริงๆเราก็ไม่ได้รับแต่สมาชิกชาวอโศกเท่านั้น เพราะการเมืองเราไม่ได้ทำแคบๆอยู่เฉพาะชาวอโศก เราสัมพันธ์ไปถึงคนอื่นด้วยโดยเฉพาะคนไทย เราสัมพันธ์ไปด้วย เกี่ยวโยงกันไปด้วย 

เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเป็นสมาชิกของเรา จึงไม่ใช่คนอโศกเท่านั้น ฟังให้ดีนะประเด็นนี้ ซึ่งพวกเรานี่ชินในเรื่องที่เราจะรับบริจาค จะต้องเงินของพวกสมาชิกชาวอโศกเราเท่านั้น ใครยังไม่ใช่ชาวอโศก ยังไม่ใช่สมาชิกที่นับเป็นสมาชิกก็อย่างน้อยจะต้องมาวัด หรือมาพุทธสถาน มาคบคุ้นกับชาวอโศกอย่างน้อย 7 ครั้งขึ้นไป ตามกติกา หรืออ่านหนังสือชาวอโศก 7 เล่มขึ้นไป ตอนนี้มันมีทีวีด้วย เขาก็มาอ้างเรื่องดูทีวีเรา ก็ไม่รู้จะไปเช็คเขาอย่างไร ก็ดูทีวีถึง 777 วันขึ้นไปอะไรอย่างนี้ ก็เพิ่งตั้งกติกาอันนี้วันนี้ เอาตัวเลข 7 จะได้ขลัง แล้วค่อยนับเป็นสมาชิก ผู้ที่จะมาก็ซื่อสัตย์ก็แล้วกัน ได้ดู 777 วันขึ้นไปนะก็ประมาณ 2 ปีขึ้นไป แล้วค่อยมาบริจาคได้ 

แต่ผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยนี้ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์จะต้องดูทีวี 777 วัน แล้วถึงจะมีสิทธิ์ หรือ มาวัด 7 ครั้งจึงจะมีสิทธิ์ ไม่ใช่ 

แม้แต่กินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่ได้ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัดอะไร เรามีข้อแม้เพียงแต่ว่า อย่ามีอบายมุข เพราะฉะนั้นคุณจะกินเนื้อสัตว์อยู่ หรือไม่รู้ล่ะ บางคนอาจจะฆ่าสัตว์มากิน มันจำเป็น เราก็ไม่ได้ไปเคร่งครัดถึงขนาดนั้นอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็พูดให้ชัดๆให้ครบๆ ไม่เช่นนั้นมันก็ยาก เพราะเราสัมพันธ์ในระดับกว้างออกไปกับมนุษยชาติเพื่อเป็นประโยชน์แก่กัน 

ที่ต้องการทำนี้ ไม่ใช่เราจะต้องการรายได้ ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ใช่ เราต้องการทำเพื่อทำประโยชน์รับใช้ประชาชน คงไม่น่ารังเกียจนะจะมีคนไปรับใช้ประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อจะเอาอะไรจากประชาชน อันนี้เราก็ พิสูจน์พรรคสัมมาธิปไตยก็แล้วกัน 

เพราะฉะนั้นพรรคของเราจะต้องระดมกันให้ได้ให้มีถึง 500 คนขึ้นไป และมันมีอีกว่า จะต้องให้ได้ 5,000 คนทั่วประเทศ นี่ก็อีกเงื่อนไขหนึ่งสำหรับภาค 4 ภาคจะต้องได้ภาคละ 500 คน ทั่วประเทศภายใน 1 ปีต้องได้ 5,000 คน ผู้ที่เห็นดีเห็นงามฟังไปแล้วก็ช่วยกันบ้าง 

_จาก  พระหมอ

        ๏ ณ แผ่นดินพุทธ ๏ 

   แผ่นดินพุทธ  ผุดแล้ว  ดังแก้วประเสริฐ

งามพริ้งเพริศ  เฉิดฉาย  คล้ายในฝัน

ร่มรื่นรมย์  ห่มธรรมชาติ  สะอาดครัน

ด้วยสร้างสรรค์ จากใจ  ใฝ่ธรรมา

 

   มนุษย์สร้าง  จัดสรรเสก  ให้เอกอุตม์

เพราะใจหยุด  โลภโกรธหลง  คงคุณค่า

จึงปลูกโลก  ปลุกชีวิต  จิตศรัทธา

ใช้เมตตา  นำทาง  ย่างชีวี

 

   สร้างสัปปา-  ยสถาน  โอฬารเขื่อง

ให้ลือเลื่อง  เนื่องนำ  สู่ธรรมวิถี

ชนเหล่าใด  หมายผดุง  มุ่งความดี

ก็จงมี  จิตแช่มชื่น  รื่นโมทนา

 

   เราจะสร้าง  ปัญญา  หาแก่นพุทธ

ไม่หยุดเพียง  สะเก็ดเปลือก  กระพี้หนา

ใครจะรวม  สร้างชาติไทย  ใจพัฒนา

เชิญเถิดมา  แผ่นดินธรรม  ลำน้ำมูล   ๛

 

                             _พระหมอ

 

พ่อครูว่า... นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ ก็เขียนมา 

 

_ดช.ธัมโม วารีสระ ... โลกุตระคืออะไรครับหลวงปู่ 

พ่อครูว่า... ตอบเด็กชายธัมโมนะ ไม่ใช่ตอบทั่วไปกว้างๆ โลกุตระคืออะไรครับ โลกุตระ คือ จะต้องฟังผู้ใหญ่ เชื่อฟังผู้ใหญ่ อย่าดื้อ แต่เห็นว่าสนใจฟังธรรมอยู่ก็ดีแล้ว ฟังธรรมไปเรื่อยๆให้เข้าใจ แล้วทำตนเองให้เป็นคนดี เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีให้ได้ โดยเฉพาะอยู่กับครูตุ๊ก ครูติ้ว ตอบ ฟังดีๆ ครูตุ๊ก ครูติ้วสอนหรือแม้แต่ ลุงหริก็ตาม สอนอยู่ในนั้นด้วย ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนอย่างนี้เป็นโลกุตระ เอาแค่นี้ก่อน 

 

SMS วันที่ 17-19 มี.ค. 2566

 

_ชาญณรงค์ จินดาธรรม…  · น้อมกราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่าน ผู้เป็นพระมหาเถรเจ้า ผู้ทรงธรรมฤทธิ์ในยุคกึ่งพุทธกาล ผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ด้วยความเคารพบูชายิ่งครับ 

พ่อครูว่า... เป็นข้อความที่ยกย่องในระดับสูงก็ขอบคุณ 

 

GDP โลกุตระไม่รับการค้าอบายมุข

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกได้ฟังพ่อครูอ่านข้อความของคุณเทวินทร์ สิทธิ์น้อย วิเคราะห์ว่ารายได้จากการค้าอาวุธ การพนัน ค้าประเวณี ค้ายาเสพติด ค้าอบายมุขต่างๆ ไม่น่านำมาคำนวณเป็นค่า จี.ดี.พี. ฉะนั้นค่า จี.ดี.พี.ควรคำนวณจากอะไรคะ จากปัจจัย 4 ได้ไหมคะ

ค่าจี.ดี.พี.ตามความหมายที่พ่อครูประสงค์คือค่าที่ได้เสียสละช่วยเหลือกันใช่ไหมคะ 

     ลูกเคยได้ยินพ่อครูว่า กาย คือองค์ประชุม ลูกมีคำถามว่าอะไรมาประชุม และประชุมกันอย่างไร ลูกรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่ฉลาดเลย เป็นคำถามที่ลูกน่าจะรู้ แต่ก็ไม่รู้ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... เอาประเด็น GDP ก่อน แล้วเรื่องกาย ค่อยอีกอันหนึ่ง

GDP ของชาวโลกียะ มันก็เป็นของโลกียะ เขาคิด เขาคำนวณ เขาก็นำเอามาบวกกันรวมกันเป็นองค์รวม GDP ก็คือรายได้องค์รวม 

ส่วนของโลกุตระ ก็คิดรายได้องค์รวมเหมือนกัน Domestic คือ ภายในประเทศ อันนี้มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งที่อาตมากำลังอธิบายอยู่อย่างสำคัญให้ติดตามไป เดี๋ยวจะอธิบายไป ยังไม่ถึง มันจะละเอียด อาตมาขยายความไปขยายความมาตอนนี้ไปได้ถึง 9 ประเด็นแล้ว อธิบายไปยังไม่ได้กี่ประเด็น.   ฟังไปจะเห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดของโลกียะกับแนวคิดของโลกุตระนั้น มันต่างกัน ฟังนัยยะสำคัญของมันไปเรื่อยๆแล้วนัยยะโลกียะมันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมากกว่าโลกุตระ โลกียะเขาก็มีประโยชน์แต่ใครจะมากจะน้อยจะควร หรือพูดชัดๆก็คือ ใครจะดีกว่ากันว่างั้นเถอะ ใครจะดีกว่ากันแท้ ลึกซึ้งกว่ากันแท้ ก็ติดตามกันดู 

เพราะฉะนั้นใน GDP ที่จะตอบตอนนี้ ตอบกันทีเดียวสั้นๆยังไม่ได้ บอกได้แต่ว่า อย่างเทวินทร์ เขามีความเห็นว่า GDP คือรายได้มวลรวมที่ได้มาจากการค้าอาวุธ การค้าพนัน ค้าประเวณีหรือยาเสพติด อบายมุขต่างๆ ไม่เอามานำรวมกันเป็นรายได้เป็นค่า GDP ทั้งนั้น อย่างนี้โลกียะเขาเอามาคิดจริงๆ 

ที่นี้โลกุตระเราไม่ทำ เราไม่คิด เราถือว่าร้ายแรงพวกนี้ หรือไม่ควร เป็นอันไม่ควร ค้าอาวุธ การพนัน ประเวณี สิ่งเสพติด มันเป็นอบายมุขทั้งนั้น แม้แต่รายได้จาก ถ้าจะให้เคร่งครัดขึ้นไปอีก รายได้จากการละเล่นบันเทิงเริงรมย์กีฬา ก็ถือว่าเป็นอบายมุขเป็นการเคร่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง 

ส่วนระดับการค้าอาวุธ การพนัน ประเวณี สิ่งเสพติด พวกนี้ชัดอยู่แล้วว่า มันนอกเกณฑ์ที่จะมาอยู่ใน GDP ของโลกุตระ เพราะฉะนั้น GDPของโลกียะเขาคิดก็เป็นเรื่องของเขาแต่ของเราไม่เอา GDP อย่างนี้ไม่เอา โดยเฉพาะว่า Domestic ภายใน ภายในกรอบของโลกุตระ ไม่ใช่อย่างโลกียะเอามารวมให้น่ารังเกียจ ขออภัยที่พูดคำว่า น่ารังเกียจ สะดุดใจเหมือนกันแต่ว่ามันก็เป็นจริงอย่างนั้น ค่อยๆฟัง ค่อยๆอธิบายไปแล้วเราจะค่อยๆเข้าใจ 

ว่ามันแบ่งเกณฑ์ของคุณธรรม คุณงามความดี คุณวิเศษ มีรายละเอียดไปเรื่อยๆเป็นความเจริญสู่ความเจริญยิ่งๆขึ้นของความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ติดตามไปเรื่อยๆ เรื่อง GDP อาตมาก็อธิบาย GDP อยู่ เดี๋ยวจะได้อธิบายต่อ แล้วอาตมาอย่าง GDP นี้ ยังแอ็คไปแปล GDP ว่า Gross Democracy Product อาตมาแสลนไปคิดอย่างนี้อีก แล้วจะอธิบายสู่ฟังติดตาม 

 

ต่อมาเรื่องกาย ขอฝากไว้ก่อน อาตมาตั้งใจจะอธิบายเรื่องกายหลังจากจบเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ไว้ก่อนกับเรื่องประชาธิปไตยที่เป็น GDP ประชาธิปไตย Gross Democracy Product 

เพราะว่าคำว่า กาย คำนี้ยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้แม้แต่คำว่ากายที่เข้าใจผิดกันตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 เข้าใจคำว่า กาย ไม่สัมมาทิฏฐิอยู่แล้ว มันกระดุมเม็ดแรกกลัดผิด ไปหมดเลยไม่มีทางบรรลุธรรมโมฆะเลย ก็จะต้องไปปฏิบัติกายในกายในสติปัฏฐาน 4 จะต้องไป รู้จักแยกกายแยกจิตอย่างไร มีธรรมนิยาม 5 ไม่ง่ายเลยที่จะแยก ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถธรรมอย่างสำคัญจริงๆ 

กายง่ายๆก็คือภายนอกต้องมีด้วย ภายในต้องมีด้วย กายต้องมี 2 สภาพ ต้องเป็นภาวะ 2 เสมอ เป็นเดียวไม่ได้ นี่ฟังไปตามลำดับ กายจะต้องมี 2 เสมอเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ เช่น เป็นรูปอย่างเดียวหรือเป็นนามอย่างเดียว ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลับตาเป็นนามอย่างเดียว กายข้างนอก ภายนอกไม่มีแล้ว ผิด ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น เอาไว้แค่นี้ก่อน 

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · กราบคารวะพ่อครู ลูกจนลงมากแล้วครับ จะพากเพียรให้จนให้ได้มากที่สุดครับ สงขลาภาพเสียงชัดเจนครับ.

พ่อครูว่า...เรื่องวิเศษเป็นเรื่องที่ทวนกระแสโลก เป็นเรื่องที่ยากไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆ อนุโมทนาสาธุ 

 

_จรรยา ประเสริฐ  · คลิปสัมภาษณ์คุณแจ๊ว ดิฉันได้ก๊อปปี้ไว้เลยค่ะ ที่เขาสัมภาษณ์ จากโลกียะ มาสู่โลกุตระ เพราะภาษาซื่อ ๆ แต่เข้าใจ ไม่มีภาษาประดิดประดอย แต่คุณธรรมล้นเหลือ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า...นี่แหละคนซื่อๆตรงๆ คนไม่มีจริตจะก้าน คนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมคนจริงใจมากๆ จริงใจจริงๆมันจะเป็นอย่างนี้ คนที่รู้กันจะรู้สึกซาบซึ้งคนจริงใจ จะเข้าใจคนจริงใจ 

 

ประชานิยมแบบโลกุตระเป็นเช่นไร

_อุเทน ศรียัง : สาธุอนุโมทนาครับนั่นแหละครับคือสิ่งที่พระราชาเขาเลือกนักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด นั่นคือความยั่งยืนและมั่นคงของประเทศชาติแต่นโยบายรัฐบาล 1 มันอยู่ได้แค่ 4 ปี ทำดีหรือไม่ดีก็ยังคาดหวังไม่ได้และนโยบายก็ใช่ว่าจะเอาของพรรคนั้น ของพรรคการเมืองนี้ อันไหนที่เป็นสิ่งดีก็ออกมาสืบต่อไม่ได้ แล้วประชาชนมันก็ต้องคลอนแคลนระส่ำระสายอยู่ตลอดไปนั่นแหละครับ รัฐบาลก็ต้องเข้ามาอุ้มทุกปี ช่วยเหลือทุกปีนั่นแหละครับ เพราะทุกๆนโยบายนั้น มันใช้ได้อย่างไม่ยั่งยืนและถาวรหรอกครับ เพราะทุกๆนโยบาย มันคือช่องออกของการทุจริตไงครับ มันจึงเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับประชาชนไม่ได้ครับ เพราะอันไหนไม่ดี เขาก็ต้องเอาทิ้งไป ประชาชนดีขึ้นได้ ประเทศชาติก็ล่มจมนั่นแหละครับเพราะรายได้และรายจ่ายมันจะไม่สมดุลกันครับ

พ่อครูว่า...ก็ประชานิยม มันไม่ใช่ของดีนี่ ที่จริงแล้วมันซ้อน ประชาชนนิยม แล้วนิยมสิ่งที่ถูกต้องดีหรือเปล่า ถ้าประชาชนไปนิยมสิ่งที่ไม่ดี นิยมที่จริงก็แปลว่าเที่ยงด้วย ไปเที่ยงกับไอ้สิ่งที่มันไม่ดี มันก็เจ๊งแน่ แต่ถ้าประชาชนนิยมหรือไปเที่ยงกับสิ่งที่ดีที่ถูกต้องแท้ นี่แหละมันเป็นนัยยะที่เข้าใจยากในโลกุตระกับโลกียะ นี่เป็นภาษาสิริมหามายา หรือเป็นมายา 

เพราะฉะนั้นเข้าใจผิด เข้าใจไม่ได้ก็เป็นมายาไปยึดเอาผิด ถ้าเข้าใจถูกก็จะดีถูกต้องเป็นสัจธรรม มันก็เป็นสิริมหามายา เพราะว่ามันเป็นdialacticคำพูดที่ 2 นัยยะอยู่ในโลก อันนี้แหละเทวนิยมเขายังไม่ชัดเจนเขายังไม่รู้แท้ เขายังยืนยันไม่ได้ถึงขั้นจิตที่จริงใจ จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ ไม่โลภโมโทสัน นั่นคือเงื่อนไขที่สำคัญ ต้องปฏิบัติธรรมเป็นโลกุตระจริงๆแล้วกิเลสลดจนหมด แล้วคนก็ไม่เชื่อว่าคนจะเป็นอรหันต์ คนจะหมดกิเลส แล้วคนที่หมดกิเลสนั่นแหละจะมาเป็นนายก จะมาเป็นนักการเมืองจะมาเป็นประชาชนผู้ที่จะมาช่วยการเมือง เขาไม่เชื่อ เขาเข้าใจผิดแบบที่พาเสื่อม พาผิดจากศาสนาพุทธไปแล้ว 

เขาเข้าใจว่าศาสนาพุทธธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งเป็นโลกุตระเป็นอารยะ ไม่มายุ่งกับการเมือง มันก็เห็นใจเขาเหมือนกันเพราะการเมืองมันมีแต่เลวๆผิดๆ เลวร้ายทั้งนั้นในโลก มีแต่ประชาธิปไตยที่ดี ที่บริสุทธิ์ ที่ ดีๆที่สะอาด ที่มีเหตุปัจจัยสำคัญ คือรู้จักกิเลสแท้ๆลดกิเลสแท้ๆน้อยมาก เทวนิยม ประชาเทวนิยม ไม่ได้ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สะอาด จากขั้วหัวใจที่สะอาด เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เทวนิยมน่ะ แล้วเขาก็มีเทวนิยมกันทั่วโลก มีอเทวนิยมหรือโลกุตตระอยู่ที่เมืองไทย ขอย้ำเลยนะไม่ได้พูดเล่น 

อาตมาเคยย้ำแล้วว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แม้มันจะเสื่อมไป 2,500 ปี รากเหง้าก็เป็นพุทธอยู่. ยังมีเชื้อของพุทธมาเรื่อยๆ แต่มันยังไม่เด่น มันมาเด่นเอายุคพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 รัชกาลอื่นก็ยังไม่มี รัชกาลอื่นก็ยังไม่เด่น 

คนแม้แต่ชาวต่างประเทศก็เห็น เขาให้รางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 เขาถวายรางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเขารู้ลึกๆอยู่ว่ามันดี แต่เขายังอธิบายโลกุตระไม่ออก เขายังอธิบายไม่ได้หรอก 

ที่เขาให้ เขาถวายรางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 มาจากสหประชาชาติ แม้แต่รางวัลของ Noble Price ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่รู้เลย Noble Price เขายังเป็นเทวนิยมอยู่ กรรมการ Noble Price เขายังเป็นเทวนิยม เขายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นในหลวงได้ไม่ได้แบบ Noble Price มันเป็นเรื่องของทางลักษณะการเมืองกลายๆ 

สหประชาชาติให้แก่ในหลวง ลึกๆเขารู้ว่ามีความดีที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมีพระจริยวัตรที่ พูดชัดๆคือท่านรับใช้ประชาชนจริงๆ ซึ่งเป็นคำสากล คำว่า รับใช้ประชาชน ไม่ใช่รับจ้างนะ คำนี้สูงส่ง นี่ ใช้ภาษาเราจะใช้ภาษา ราชาศัพท์จะใช้อะไร ท่านทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างที่เป็น พวกเราก็รู้ ถึงได้เกิดระเบิดแห่งความรัก พอท่านสิ้นพระชนม์ ก็ร้องไห้กันทั้งประเทศ  เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆศึกษาไป แล้วจะค่อยๆเข้าใจ 

 

_นฤพล สิมศรี : ไม่เคยให้ราคาอุ๊งอั้ง

พ่อครูว่า...ก็คงจะมีคนเข้าใจอย่างนี้ไม่น้อยแต่เขาไม่อยากจะพูดหักรานน้ำใจอะไรกันมาก แต่คุณนฤพลก็พูดความจริงใจออกมา คุณอุ้งอิ้งไม่มีราคาจะมาเป็นนายกอะไรอย่างนี้ ก็ใครจะเห็นอย่างไรก็เป็นความจริงของประชาชน ก็มองกันไป 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · กราบนมัสการสมณะครับ.เหตุคือโกง เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องญาติมิตรและเผด็จการรัฐสภาพวกมากลากไปไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน.ผลคือรัฐประหาร.

พ่อครูว่า...พูดชัดๆก็คือ ทักษิโณมิกซ์ที่ถูกประหารกันมา เป็นรัฐบาลทั้งตัวทักษิณเอง เป็นรัฐบาลตัวแทนที่เรียกกันว่า นอมินี มาตั้งแต่สมัคร มาถึงสมชาย แล้วก็มายิ่งลักษณ์ ก็ถูกรัฐประหารออกไปหมด 

นั่นแหละก็ชื่อว่าเผด็จการแน่ เผด็จการของทักษิณเขาทำได้ถึงขั้นเผด็จการในรัฐสภาเลย คือมีคะแนนเสียง ส.ส.ในพรรคเขา คือมีมาก มันเกินกว่าครึ่งไปตั้งมาก คือในกฎเกณฑ์ของกฎหมาย เขายกมือเท่านั้นชนะทุกอย่าง มันเลยเป็นเผด็จการรัฐสภา ต่อมาก็ลดลงบ้าง สุดท้ายก็ไปไม่รอด มันก็เป็นพวกมากลากไปอยู่นั่นแหละ 

พิสูจน์กันค่อยๆศึกษา นั่นเป็นพฤติการณ์จริงของสังคมประชาธิปไตย ค่อยๆดูไปเรื่อยๆและอาตมาก็ขอยืนยันว่าประเทศไทยนี้จะเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ 

อื่นๆเขาก็บอกว่าของเขาเป็นประชาธิปไตย จะเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกาที่หลงใหลได้ปลื้มกัน มันเป็นประชาธิปไตยที่ย่ำแย่ เป็นตัวอย่างที่ย่ำแย่ ประชาธิปไตยที่ยุโรป เขาก็มีอยู่หลายประเทศ มันคล้ายๆกัน อธิบายเทียบเคียงกันได้ ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐกิจก็ดี เดี๋ยวจะมีของประเทศสวีเดนมาให้ฟัง 

 

พุทธเศรษฐศาสตร์โลกุตระเน้นมีให้น้อยและขาดทุน

_Nammit TALKS (น้ำมิตรเสวนา)เศรษฐกิจในความหมายพ่อท่านคือ 1ประเทศ 2 ระบบ คือแยกสินค้าให้กับคนในประเทศและใช้ราคาหนึ่งเป็นค่าครองชีพให้พออยู่พอกิน และอีกราคาเป็นไปเพื่อขายต่างประเทศ ซึ่งจะราคาสูงหรือต่ำก็ให้ใช้หลักขึ้นอยู่กับให้เหมาะกับค่าครองชีพของประเทศนั้นๆ

การทำให้สินค้าจำเป็นกับการครองชีพให้มีราคาต่ำและมีใช้อย่างพอเพียงนี่คือเป้าหมายทางเศรษฐกิจแท้ แต่ในยุคนี้ ทำได้เฉพาะกลุ่มที่แยกจากสังคมใหญ่เพราะการสะพัดที่ไม่มีพรมแดนจะทำให้ทุกอย่างเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น และ ไม่สามารถคุมได้ในระบบทุนนิยม จนกว่า คนทั้งหลายจะเข้าถึงความเป็นชาวบุญนิยม แล้ววันนั้นจึงจะสามารถทำลายพรมแดน ให้เป็นแดนศิวิไลน์ได้ทั่วโลก สาธุ(เป็นความปรารถนาของพระอวโลกิเตศวร)

ความเห็นเฉพาะตน "พ่อท่านเทศน์ พุทธเศรษฐศาตร์จุลภาค ร.9 ท่านบอกทางเรื่อง พุทธเศรษฐสาตร์มหภาค"

พ่อครูว่า...เอาตรงคำว่าพุทธเศรษฐศาสตร์จุลภาคกับพุทธเศรษฐศาสตร์มหัพภาคก่อน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

พ่อครูว่า... นี่ใช้คำว่าพุทธร่วมด้วยนะ พุทธเศรษฐศาสตร์ จะให้ชัดก็โลกุตระ เศรษฐศาสตร์โลกุตระกับเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ใช่โลกุตระ ก็คือเศรษฐศาสตร์โลกุตตระกับเศรษฐศาสตร์โลกียะ 

จะใช้คำว่า พุทธเศรษฐศาสตร์ ศาสนากระแสหลักที่เป็นคนไทยเขายังไม่เข้าถึงโลกุตระ เพราะฉะนั้นใช้คำกำกับพุทธเศรษฐศาสตร์ มันต้องอธิบายอีก ใช้คำว่าเศรษฐศาสตร์โลกุตตระกับเศรษฐศาสตร์โลกียะ อย่างนั้นจะชัดเจน 

ทีนี้คำว่า เศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้น คุณน้ำมิตรบอกว่า ที่อาตมาอธิบายเป็นจุลภาค ส่วนเศรษฐศาสตร์ของในหลวง ร. 9 นั้นเป็นเศรษฐศาสตร์มหภาค 

มหภาคแปลว่า กว้าง เป็นส่วนใหญ่ ส่วนจุลภาคนั้นเป็นส่วนเล็ก ส่วนน้อย ก็ถูก เพราะเศรษฐศาสตร์โลกุตระนั้น มันยังรู้กันในคนส่วนน้อย ทำได้ในคนส่วนน้อย และที่จริงที่สุด มันก็จะได้ส่วนน้อยนั่นแหละเป็นหลักตลอดกาลนาน เพราะ เศรษฐศาสตร์โลกุตระ มันจะยอดพีระมิด ถ้ามันเจริญมันก็จะขยับเอามวลจากยอดพีระมิดลงมาหาฐานพีระมิดมาเรื่อยๆ มันก็ยังจะน้อยอยู่ตลอดกาล 

เพราะโลกุตระนั้น จากน้อยขยายมาๆ ถ้ามันไม่เกินครึ่งของฐานพีระมิดแล้วล่ะก็ แม้จะเกินครึ่งมาอีก ฐานพีระมิดก็ยังมีมวลมากกว่าครึ่ง ต่อให้พีระมิดลดลงมา เอามวลพีระมิดนี้จากพื้นที่มวลพีระมิดแหลมยอด ลงมาเรื่อยๆเกินครึ่งหนึ่งของฐานพีรามิด มวลของยอดพีระมิด มันก็ยังเป็นมวลน้อยกว่าฐานพีระมิดอยู่ดี 

แต่มวลที่น้อยนี่แหละ เป็นผู้มีความประเสริฐ เสฏฐะ แปลว่า ความประเสริฐหรือจะแปลจาก Economy เขาแปลว่า ประหยัด มันก็เป็นผู้ที่ประโยชน์สูง ประหยัดสุดอยู่ดี มันเป็นเรื่องของความเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดอยู่ดี เอาประโยคนี้มาอธิบายโลกุตระเศรษฐศาสตร์ โลกุตระก็แล้วกัน 

ประโยชน์สูง ประหยัดสุด มันไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยด้วยสุรุ่ยสุร่าย หรือว่าเป็นเล่ห์กลอยู่ในวิธีสะพัดเงินหมุนเงิน เพื่อโลภมาให้แก่ตัวเองได้มากขึ้นๆ แต่มันจะทำน้อยลง น้อยลง น้อยลง อาตมาอธิบายติดตามดีๆ ตอนนี้ขยายไปถึงประเด็นที่ 9 แล้ว เศรษฐศาสตร์โลกุตระนี้ ขยายตอนนี้มันไม่เชื่อมต่อกันก็คงจะเข้าใจยากเพราะไม่มีพลความ ต้องฟังพลความเป็นคำขยายพื้นฐานมาก่อนแล้วก็จะเข้าใจรายละเอียดได้ 

_สู่แดนธรรม... ผมนึกขึ้นได้ เหมือนกับแก่นภายในชาวอโศกมีพระโสดาบันจำนวนน้อยกว่าสมาชิกพรรคการเมืองที่เราประกาศรับเข้ามานี่แหละครับ อย่างนี้พอได้ไหมครับเพราะเขาจะเข้ามาเป็นฐาน จำนวนคนที่ได้อาริยธรรมก็จะมีจำนวนน้อยเป็นธรรมดา 

พ่อครูว่า... ก็คล้ายกันการเมืองประชาธิปไตย กับเศรษฐศาสตร์ก็จะมีนัยยะไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันก็จะมีส่วนต่าง แต่ว่าส่วนที่คล้ายกัน มันก็จะมีอย่างที่พูดทิ้งไว้เมื่อกี้นี้ เพราะฉะนั้น ก็ทำความเข้าใจไป ค่อยๆเข้าใจเรื่อยๆไปในรายละเอียดต่างๆ 

ที่อาตมาอธิบายอยู่นี่ก็มันเป็นความจริงใจของอาตมา ที่อาตมาเห็นว่ามนุษยชาติควรจะได้ความรู้อันนี้ ที่อาตมามั่นใจว่าเป็นความรู้ระดับยอดสุดของความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสังคมที่อาตมาเคยพูด ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วอาตมาก็เรียนรู้ตาม มายุคนี้ก็เอามาเปิดเผยในฐานะที่ประกาศตนบอกตนไปแล้วว่า เป็นลูกพระพุทธเจ้าที่อยู่ในระดับที่ โพธิสัตว์ระดับ 7 นั่นแหละ 

ที่พูดจริง อธิบายจริงแล้วพาทำจริงๆ มีการประพฤติ  มีการบรรลุธรรม มีการบำเพ็ญในมนุษย์จริง มีปรากฏการณ์สัมผัสได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมาพิสูจน์ความจริง สัมผัสความจริงกันเถอะ แล้วจะค่อยๆรู้เรื่อง ค่อยๆเข้าใจ 

 

รัฐสวัสดิการชาวอโศกนั้นยิ่งกว่ารัฐสวัสดิการของสวีเดน

ทีนี้มาฟังอันนี้ดู ฝั่งของ ดร.จบทางเศรษฐศาสตร์มาจากออสเตรียพูดถึงรัฐสวัสดิการสวีเดน

_เลือกตั้งไทย...มองไกลถึงสวีเดน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิตตะวัน ชนะกุล

อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ใกล้วันยุบสภา พรรคการเมืองน้อยใหญ่พร้อมใจชูนโยบายสวัสดิการเพื่อประชาชน 

 พ่อครูว่า... อาตมาว่าทางพลเอกประยุทธ์ ไม่เห็นจะออกมาบอกชูนโยบายอะไรมากมาย จะทำงานไปแล้วก็บอกผลงานไป ไม่เห็นอวดอะไรมากมาย แต่นี่เห็นพรรคการเมืองเขาอวดกันเลยกันมากมาย 

 

_หากทว่า ยังไม่ ปรากฏพรรคการเมืองใดประกาศจุดยืนจะปฏิรูประบบภาษี สําหรับเป็นแหล่งรายได้ของรัฐ และขจัดปัญหา คอร์รัปชัน เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นนั้นแล้ว สวัสดิการเพื่อประชาชนจะเกิดขึ้นในประเทศไทยได้จริงหรือ วันนี้ขอนําเสนอเรื่องราวและหัวใจสําคัญของรัฐสวัสดิการ สวีเดน หนึ่งในประเทศที่ได้รับการขนานนามว่า มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุด ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม

รัฐสวัสดิการประเทศสวีเดน เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของพรรค Swedish Social Democratic (SAP) ซึ่ง ชูนโยบายสังคมเท่าเทียม โดยการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า เพื่อสร้างสวัสดิการให้ประชาชน ในระยะเวลาของ การบริหารประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2475 ถึงปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลของพรรค SAP ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ทางสังคมเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวีเดน ให้เข้าสู่ระบบสวัสดิการทั้งหมด กล่าวคือ ประชาชน สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การศึกษาทุกระดับ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีบํานาญชราภาพ การ คุ้มครองจากการว่างงาน และผลประโยชน์ทางสังคมอื่นๆ

แม้ว่าชาวสวีเดนได้รับประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐเต็มรูปแบบ มีความสะดวกสบาย มีความมั่นคง ในชีวิต แต่ประชาชนต้องเสียภาษีหนักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในขณะที่ประเทศไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ประเทศสวีเดนและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศเดนมาร์คและประเทศนอร์เวย์เก็บ VAT 25% ซึ่งรวมอยู่ในราคาสินค้าและบริการที่ประชาชนจ่าย ปัจจุบันคนทํางานในประเทศนี้ โดยเฉลี่ยเสีย ภาษีเงินได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องไปตื่นเต้นเท่าไหร่หรอก เขาเสียภาษี 50% แต่ของเราชาวอโศกเสียภาษี 100% หัวเราะฮ่าๆๆ ด้วยความยินดีเต็มใจด้วยนะ 

 

_ผู้ประกอบการในฐานะนายจ้างต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล และชําระเงิน เข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง อาทิ เงินบํานาญ ประกันสุขภาพ และสวัสดิการ สังคมอื่น

น่าสนใจว่า ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (FICA Taxes) กําหนดให้นายจ้างและลูกจ้างจ่ายฝ่ายละ7.65% ของค่าจ้าง ประเทศไทยจ่ายฝ่ายละ 5% นายจ้างในสวีเดนต้องจ่ายสมทบในระบบประกันสังคมถึง 31.42% 

พ่อครูว่า... ของชาวอโศกเราเสียภาษีไม่ได้ถูกกดข่ม ไม่ได้ถูกบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพที่คุณจะเข้ามาอยู่ในสังคมนี้ แล้วคุณก็ทำงานเสียภาษี 100% อย่างเต็มใจ ซึ่งไม่เหมือนที่อื่นเลย มันอิสระเสรีภาพสมบูรณ์แบบ 

 

_แม้ว่าการจ้างพนักงานดูเหมือนเป็นภาระหนัก แต่นายจ้างก็ได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูป พนักงานมีสุขภาพแข็งแรง รู้สึกมั่นคงในชีวิต ส่งผลให้การทํางานในองค์กรมีคุณภาพ 

เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรค SAP ได้รับความนิยมจากคนสวีเดนจํานวนมาก สะท้อนจากผลการ เลือกตั้งที่พรรคได้รับคะแนนเสียงเป็นสัดส่วนสูงที่สุดตลอดมา แม้ว่าในปี พ.ศ. 2534 รัฐบาลพรรคขั้วอนุรักษ์นิยม ได้แก่ Centre Party, People's Party, Moderates, Christian Democrats และ New Democracy จะมี นโยบายลดภาษี ควบคู่กับการควบคุมบทบาทรัฐสวัสดิการ ลดผลประโยชน์บางประการที่ประชาชนเคยได้รับ ด้วยความกลัวว่ารัฐบาลจะตัดทอนสวัสดิการมากเกินไป ในปี พ.ศ. 2537 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เทคะแนน ให้พรรค SAP กลับเข้าสู่อํานาจอีกครั้ง ในครั้งนี้ พรรค SAP ได้ประกาศสร้างเสถียรภาพทางการคลัง ด้วยการตัดทอนการใช้จ่ายภาครัฐ และเพิ่มภาษี เพื่อลดการขาดดุลของรัฐบาล จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 การขาดดุลงบประมาณและการว่างงานลดลง รัฐบาลพรรค SAP จึงฟื้นฟูนโยบายเดิม พร้อมทั้งขยายสวัสดิการสังคมบางส่วนเพิ่มเติม

จะเห็นได้ว่า ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ระบบรัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดนประสบความสําเร็จ มาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการเสียภาษี เพื่อเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐนําไปสร้างสวัสดิการประเภทต่างๆ ให้กับคนในสังคมทุกระดับ นอกจากนี้ ชาวสวีเดนมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะบริหารเงินงบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่มีการทุจริต

พ่อครูว่า... คนในสังคม มีจำนวนพัน จำนวนหมื่น จำนวนแสน จำนวนล้าน โดยเฉพาะล้านคนขึ้นไปหลายล้าน จะไม่ให้มีคนทุจริตได้ไหม ยากมาก เพราะฉะนั้นกฎหมายต้องเข้มในเรื่องทุจริตมาก ถ้าเช่นนั้นประเทศที่ไม่ใช้กฎหมายเข้มข้นในการเอาผิดผู้ทุจริต คนในประเทศนั้นก็ต้องเป็นคนดีคนเจริญ เป็นคนมีกิเลสน้อย จนกระทั่งถึงขั้นไม่ทำทุจริต นั่นแหละมันถึงจะเป็นไปได้ ใช่ไหม 

เหมือนอย่างพวกเรานี่ เดี๋ยวค่อยๆอธิบายแล้วจะค่อยๆเข้าใจว่า จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีกิเลสน้อยจนกระทั่งถึงไม่มีกิเลส 

เพราะฉะนั้นคำว่าคนไม่มีกิเลสเป็นไปได้ และไม่ใช่เรื่องเกินเชื่อหรือเกินที่จะมีได้ เสียภาษี 100% ด้วยความยินดี แม้มันจะกิเลสไม่หมด พวกชาวอโศกกิเลสไม่หมดตั้งเยอะแยะก็ยังมาเป็นสมาชิกชาวอโศกเสียภาษี 100% เลย กิเลสยังไม่หมดยังไม่ใช่อรหันต์หรอกใช่ไหม เพราะฉะนั้นยิ่งคนเป็นอรหันต์ก็ยิ่งสบายแล้วก็เป็นแกนหลักให้แก่สังคมด้วย 

 

_เมื่อพิจารณาดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) ที่ใช้วัดการคอร์รัปชันของ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก พบว่า ประเทศสวีเดนและประเทศรัฐสวัสดิการเพื่อนบ้าน เป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นต่ำที่สุด 5 ลําดับแรกมาอย่างต่อเนื่อง ชาวสวีเดนมีทัศนคติที่ชัดเจนว่า การทุจริตทุกระดับเป็นพฤติกรรมที่ไม่สามารถยอมรับได้ คนสวีเดนจะไม่ทําสิ่งไม่ดี และจะไม่ทนยอมให้ผู้อื่นทําสิ่งไม่ดีที่มีผลต่อส่วนรวม โดยไม่เลือกปฏิบัติ กล่าวโดยเฉพาะคนสวีเดนไม่ยอมรับบุคคลที่มือไม่สะอาด มีประวัติด่างพร้อยมาเป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้น การบริหารงบประมาณแผ่นดินจึงมีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

พ่อครูว่า... ประเทศไทยเอ๋ย คุณจะไปเป็น ส.สคุณก็เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ไปสิ ไม่งั้นจะเป็นให้เสียชื่อวงศ์ตระกูลทำไม

นี่เป็น ดร.ชิตตะวัน ชนะกุล เขียนมาก็เป็นอาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ ก็เอามาให้พวกเราฟังก็ได้ประโยชน์กันนะ 

 

GDP แบบพุทธที่เห็นแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมหรือผู้ยังนับถือพระเจ้า ตอนที่ 2

พ่อครูว่า... เอาที่เขียนมาอธิบาย ... GDP มันก็เป็น“รายได้มวลรวม”ที่ไปนับเอา“รายได้”จากที่ขาย“ผลผลิต”ออกไปให้แก่ต่างประเทศโน่นมา “รวมเป็นรายได้ปนเปเข้าไปด้วยอีก” แล้วหลงผิดนับว่า เป็น“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ” ซึ่งไม่ใช่ที่อาตมาหมายเรื่องGDP 

GDP อย่างเข้ม ต้องเอาเฉพาะภายในที่เป็นผลผลิตภายในเท่านั้น อย่าเอาจากที่เราส่งไปขายต่างประเทศได้ หรือจากคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเอารายได้ส่งเข้ามาให้ในไทย มารวมเป็นมวลรวมด้วย อย่า อาตมาเข้มตรงนี้ว่า Domestic หรือ รายได้มวลรวมประเด็นที่ 1 ตรงนี้ แต่เขาไม่ได้คิดกันอย่างนี้หรอก เขาคิดรวม อาตมาก็เลยเอาแบบของอาตมาบ้างว่าเป็นอย่างนี้ แล้วมันจะทำได้สูงสุดเพราะคุณภาพของคน คุณภาพของคนที่ไม่มีกิเลส เสียสละเป็นที่สุด มีใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ 

เพราะฉะนั้นเสียสละเมื่อคนไทยหรือชาวอโศกเป็นต้น ชาวอโศกพออยู่พอกิน ทำได้มาก ทำได้เกิน ก็สะพัดส่วนมากส่วนเกินออกไปสู่คนอื่น ขายก็ขายขาดทุนได้ เพราะเราไม่ขี้โลภ แจกฟรีก็แจกได้ เราถือว่าเป็นความดีงามของมนุษยชาติ เป็นความเจริญของมนุษยชาติเป็นความประเสริฐความพัฒนาขึ้นของคน 

เพราะฉะนั้นเราทำได้จริงก็จึงยืนยันมั่นใจว่าเราทำได้จริง 

เพราะฉะนั้นถ้าไปสำคัญตรงนี้ รวมตรงนี้ผิด มันจะไปกระทบความงามคุณงามความดีของคน จะทำให้สูง เจริญยิ่งกว่านั้นในประเด็นสุดท้าย ปลายๆไม่ได้ คืออะไรคอยติดตาม

อาตมาก็ถามประโยคตอบไปว่า ...มันสำคัญผิดไปมั้ย? พินิจดูกันให้คมๆ แม่นๆ ชัดๆ กันเถิด พินิจกันลึกๆชัดๆคมๆแม่นๆแล้ว จะเห็นว่า ที่ว่า“รายได้มวลรวมในประเทศเท่านั้น” หรือจากภาษาที่ว่า Gross Domestic Product นี้ มันเป็น“รายได้มวลรวม”คือ Gross ที่ถูกต้องตรงตามความกำหนดหมายกันแล้วหรือไม่ใช่? มันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่เกิดขึ้น“เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น”จริงหรือ?

มันต้องเอา“รายได้ที่เกิดขึ้นจากการนับ‘รายได้’อันได้ขายผลผลิตของไทยที่ไทยผลิตขึ้นได้”กันในประเทศ”เท่านั้นเป็น“รายได้มวลรวมจากผลผลิตของไทยเอง”ตะหาก

ประเด็นที่ 1 นี้ จึงเป็นการหลงผิดในการขาย“ผลผลิต”ที่ควบรวม“รายได้”จากภายนอก ของ“ผลผลิต”ที่ส่งออกไปขายนอกต่างประเทศ และหรือนับเอาของคนไทยที่ไปได้ “รายได้”อยู่นอกต่างประเทศแล้วส่งเงินเข้ามาให้คนไทยในประเทศไทย ว่า เป็น“รายได้มวลรวม”เฉพาะของไทยคนไทยภายในประเทศไทยเท่านั้น ว่า เป็นการขาย“ผลผลิตไทยกันเองภายในประเทศเท่านั้น” แต่หลงว่า“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 1 นั้นกำหนดหมายผิดเพี้ยนตรงหลงควบรวมเอาที่“ไม่ใช่

ภายในเท่านั้น”แท้ๆ มาควบรวมเป็น“ภายในแท้”เข้าไปด้วยอย่างสับสนอยู่ ไม่“ตรง”แท้ 

  

ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรง

ของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ 

 

เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ไปหลงแต่ตัวเลข ใช้วิธีการซับซ้อนต่างๆมานานแล้วก็ไปเอาที่การเลือกตั้ง ประชาชนส่วนมากก็ถูกลากจูงให้สำคัญผิดไปกับการเลือก โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่า ลึกๆคนนี้ดีจริงๆหรือไม่ คนนี้เป็นคนทำงานดีมีเนื้องานรับใช้ประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้โฆษณาตัวเอง ไม่ได้หาเสียงให้ตัวเองด้วย แต่เขาทำงานจริงๆเหมือนอย่างในหลวงร. 9 ทำงานจริงๆ มีเนื้องาน มีผลงานอะไรอยู่ โดยที่ไม่ต้องทำอย่างนั้นหรือเปล่า ด้วยวิธีการโฆษณาหาเสียงเหมือนอย่างพวกเขาหาเสียงกัน บ๊องๆๆ กัน ฟังดีๆแล้วจะได้ความรู้ความเข้าใจ 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... ขณะที่ผมพบอโศกใหม่ๆ พ่อท่านสอนลูกๆให้ได้ทั้งนิพพาน และสอนให้ทำประโยชน์แก่สังคม ผมเห็นความแปลก ยุคแรกๆพวกเราต่อสู้เรื่องกามและไม่ได้ดังใจอัตตา ก็เลยหลบลงบาดาล พ่อท่านโจมตี ถีนมิทธะ และก็พาเราทำกสิกรรม ปฏิวัติสังคมด้วยฟางเส้นเดียว ก็ทำในสิ่งที่ มนุษยชาติต้องการ..สั่งสอนมาเรื่อยๆ พ่อท่านเอาความรู้เหล่านี้มาจากไหน เมื่อถึงหลายปีเข้า ธรรมะที่ไปถึงนิพพานก็ขาดไม่ได้ในการช่วยเหลือมนุษยชาติ มาวันนี้พามอง เศรษฐศาสตร์แบบโลกุตระ พ่อท่านเอาความรู้เหล่านี้มาจาก 

 

พ่อครูว่า... ไขความที่ว่า คุณบอกว่าไม่รู้อาตมาเอามาจากไหน อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่ได้ไปซื้อมาจากร้านขายยา ไม่ได้ไปซื้อมาจากห้างสรรพสินค้า ใหญ่ๆโตๆที่ไหนๆ หรือจากห้างต่างประเทศไหน โดยเฉพาะยิ่งพวกต่างประเทศทุนนิยมเทวนิยม ซึ่งคนละอย่างเลยกับทุนนิยมเทวนิยมด้วยซ้ำไป 

เป็นของที่อาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมารับมาจากของพระพุทธเจ้า แบบของพระพุทธเจ้าที่เลือกด้วยภาษาว่าโลกุตรธรรม เป็นโลกุตระมันต่างจากโลกียะ จะได้ชัดเจนว่าคนโลกุตตรเป็นอย่างนี้เหรอ ยิ่งจะฟังเศรษฐศาสตร์นี้ไปเรื่อยๆ ไปถึง 9 ประเด็นแล้ว ไม่รู้น้อยก็มากไม่รู้มากก็น้อยนะ จะรู้ว่าโอ้โหยอดเยี่ยม 

 

ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรง

ของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ

คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ แม้แต่จะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”กันนั่นเอง ที่กำหนดหมายกันผิดอยู่

เพราะพากันเผลอเผินไปหลง“ตัวเลข”กัน ว่า เป็น“เนื้อหาแท้จริง”

ตัวเลขสูงหมายถึงค่ามันสูงแต่ชาวโลกุตรธรรมเอาน้อย ของมันถูกนะ เราก็แจกฟรีจึงได้น้อย แต่ของเรายิ่งดีนะ ยิ่งมากจำนวนด้วย แต่เราขายถูกๆ ตัวเลขมันก็ต้องน้อยสิ เราก็ต้องแพ้เขาชัดเจน เพราะฉะนั้นการชี้บอกว่าแพ้หรือได้น้อย นี่แหละคือคนเจริญ คนประเสริฐ 

ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของคน”ที่เป็นผู้มีความรู้ในเรื่อง“เศรษฐศาสตร์” แบบ“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า หรือการเมืองก็เช่นกัน ก็ไปหลงกันที่“ตัวเลข” ไม่ไปสำคัญมั่นหมายกันที่“ตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญที่เป็นเนื้อหาแท้จริงยิ่งกว่า “ตัวเลข”ของ“การนับคะแนนเอาที่การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด มันจึงไม่ตรงสัจธรรม หรือความเป็นจริงกันได้จริง 

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 2 นี้ โลกียะหรือเทฺวนิยมจะวิปลาสไปคิดเน้น“ตัวเลข”แทนที่จะคิดเอา“เนื้องาน”ที่เป็น“ผลผลิตของคนผู้ผลิต”หรือสำคัญมั่นหมายกันที่“คนผู้ทำงานผลิตจริง” เป็นความเจริญทาง“เศรษฐกิจ”หรือ“การเมือง”กันแท้ 

 

ประเด็นที่ 3 นั่นคือ “โลกียะ”นับเอา“ผลได้” ที่เมื่อ“ได้เปรียบ”คู่แข่งขัน หรือผู้อื่น แล้วเราได้ทำเกิน“ทุน”มาเป็น“ของเรา” มีผลมากเกินกว่า“คนอื่น”แท้ เมื่อ“เปรียบเทียบ”ก็เป็นจริง คือเขาถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ก็ถูกของเขา ที่เขา“ยึดถือของเขาชาว“โลกียะเทฺวนิยม”เป็นสากล 

ชาว“โลกียะ”มีความยึดถือเช่นนี้ เข้าใจและเชื่อว่า อย่างนี้แหละว่า“ถูกต้อง”ดีจริง 

ความเป็น“โลกียธรรม”จะไม่ยอม“เสีย(สละ)ไปให้ใคร” ไม่ยอม“ขาดทุน” จะมีแต่“เอาเปรียบ-ได้เปรียบ”ถือว่า เป็นความเจริญ เป็นอารยะ(ศิวิไลซ์ civilize) หากจะ“เสียสละออกไป”ก็จะคิดเป็น“ราคาของคุณงามความดี-ความเขื่องคุณ-เท่ เก๋ โก้”ที่ตนให้แก่คนอื่นได้แล้วยึดเป็น “อุปกิเลส” มันก็ซับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วยึดติดใส่จิตตนเองเป็น“ตน(อัตตา)” เป็น“ของของตน(อัตตนียา)”อยู่ และนับเป็น“บุญคุณ”ที่ตนมีต่อผู้อื่น นี้คือ ความยึด มันคือ“อุปาทาน”ที่เป็น“กิเลส”แท้ๆ นี้คือความยึด มันคือ“อุปาทาน”ชนิดหนึ่ง เป็น“อุปกิเลส”แท้ๆ

“ความยึด”ภาวะนั้นๆเป็นตน-เป็นของตนนั้น มันคือ“อุปาทาน”นะ! เป็น“กิเลส”

ทั้งๆที่“กิเลส”มันไม่ใช่“บุญ”เลยแม้แค่นิดน้อย “อุปาทาน”มันเป็น“การยึด”แท้ๆ 

แต่ก็เพี้ยนไปยึดเอา“กิเลส”มาเป็น“บุญ” แล้วก็หลงผิดว่า “ความยึด”เป็น“กุศล”

“บุญ”ต้อง“ไม่มี”อาศัยอยู่ในชีวิต  ส่วน“กุศล”นั้นต้อง“มี”อาศัยอยู่ในชีวิต แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล  แต่อรหันต์หมดบุญไปแล้วเป็นผู้ ปุญญปาปปริกขีโณ 

ที่ถูกแท้นั้น “บุญ”คือ “การทำลายความยึด” “บุญ”ไม่ใช่“การไปยึดมามีไว้”

แต่“กุศล”มันต้อง“มี” มันต้องสะสม “กุศล”จึงแตกต่างจาก“บุญ”ที่มันไม่ต้อง “มี”     

“บุญ”มันก็“ผิด”ไปจาก“สัจจะ”ที่แท้ของ“โลกุตระ”กันอย่างอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะไพล่ไปเห็น“กุศล”เป็น“บุญ”อันผิดเพี้ยนไปจาก“สัจจะ”คนละทิศละทางเลย

“บุญ”มันไม่ใช่“สมบัติ”ที่จะ“มีสะสมไว้” ซึ่งแตกต่างจาก“กุศล”ที่คนต้องสะสม 

แต่“บุญ”เป็นแค่“พลังงานจิต”ที่สร้างให้เกิดเป็น“ฌาน”เป็น“ปัญญา” เผากิเลสเท่านั้น  “บุญ”มีหน้าที่ทำแต่“วิบัติ”ทำลาย“กิเลส หรือมีหน้าที่ฆ่ากิเลสให้ดับสิ้น 

“บุญ”ไม่มีความเป็น“สสาร” ไม่ว่าทางวัตถุหรือทางจิต เพราะ“บุญ”ไม่จับตัวกัน

ขึ้นเป็นกลุ่มก้อนเด็ดขาด มันเป็นแค่“พลังงานทางจิต” ซึ่ง“บุญ”นี้จะไม่“ทรงอยู่” เป็น“ธรรม”เกินกว่า“ปัจจุบันชาติ” เนื่องจาก“บุญ”เพียงทำหน้าที่เป็น“พลังงานขึ้นได้ในปัจจุบันของอาริยชนโลกุตระ”เท่านั้น “บุญ”ไม่เกิดใน“อดีต”หรือไม่เกิดใน“อนาคต” 

“บุญ”เกิดใน“ปัจจุบันชาติ”เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันที่เป็นคนผู้มีพร้อม“ตาหูจมูกลิ้นกาย”ตื่นเต็มทำงานร่วมกันกับ“ใจภายใน”เป็น“ภาวะ 2”แล้วไซร้ “บุญ”ก็เกิดไม่ได้   

“บุญ”เป็น“พลังงานจิต”ที่ทำหน้าที่“ประหารกิเลส”เท่านั้น ไม่มี“คุณวิเศษ”อื่น 

“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 3 นี้ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขาหลงผิดนับเอา“ความได้เปรียบ” นับส่วนที่ได้เกิน“ทุน” หรือได้เกินกว่า“คนอื่น”นั้นๆ ถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับ“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระกันคนละทิศละทางกันเลย
 

“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระนั้น นับเอา“ความเสียสละ”ซึ่งเป็น“ความเสียเปรียบ” นั่นเอง ว่าคือ“การได้กำไร” เพราะเสียสละก็“ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น” และก็แค่“สักแต่ว่าทำ”

ไม่“ยึดเป็นตัวตน” หรือปฏิบัติจนกระทั่งไม่ยึดมา“เป็นตน-เป็นของตน”ได้สำเร็จจริง

นี้คือ “คุณวิเศษ”ที่ชาวโลกุตระ“ทำได้” ซึ่ง“ยึด-ไม่ยึด”นี้ ชาวโลกียะยังไม่ศึกษา

“ความยึด”ภาษาวิชาการว่า “อุปาทาน”นี้เอง คือ “กิเลส”ที่ต้องศึกษาและพิชิตมัน

“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระจึงแตกต่างกับชาวโลกียะเทฺวนิยม ยิ่งกว่าดาวคนละดวง

 

ประเด็นที่ 4 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่ “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา” 

ประเด็นนี้แหละที่ชาว‘เทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันให้สำเร็จได้ อย่างภาคภูมิใจ เต็มใจ อิ่มเอมใจ เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละจริงๆจังๆกันเลย

 

ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น..ดี แพ้ผู้อื่น..ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด ไม่ยอมทุจริต   

แล้วยินดี เต็มใจเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือไม่ใช่ผู้รับจ้าง เป็นอันขาด”

ผู้เป็น“อาริยบุคคล”แบบ“โลกุตระ” จึงไม่ใช่ทั้ง“ทาส”ทั้ง“เทพ”หรือเทฺวะผู้ยิ่งใหญ่ใด

เพราะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบความเป็น“เทพ”หรือ“เทฺว”แม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดปานใด

ความเป็น“ทาส”คือ ผู้ยังมี“ตัวตน”แล้ว ไม่รู้ว่า “ตนเองเป็นทาส”ที่หลงรับใช้ตัวเองก็ละลดความเป็น“ทาส”ได้ไปตามลำดับ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

ฟังให้ดีนะ ตัวเองจะเป็นทาส จะเป็นผีเป็นซาตาน จะเป็นเทพก็ตัวเองทั้งนั้น 

ชีวิตที่มีอยู่ จึงอยู่อย่างมี“ปัญญาอันยิ่ง”ว่า ยังมีแรงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ได้ จึงอยู่อย่าง“เสียสละ” หรือรับใช้ผู้อื่นที่เหมาะที่ควร ชนิดที่ไม่ยึดติดความเป็น“ตัวตน”กันแท้

ผู้หมดสิ้น“อัตตา” หรือหมดสิ้นตัวตน เป็นคนตามที่กล่าวนี้จริงใจ จริงกาย ไม่เสแสร้ง

จึงเป็น“งัวงานเศรษฐกิจ”ที่ซื่อสัตย์ จริงใจ เต็มใจแก่สังคมมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้แท้  

ประเด็นที่ 5 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบชาว“เทฺวนิยมโลกียธรรม” 

สามัญของปุถุชน นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่มีอารมณ์“ทุกข์”กับ“การขาดทุน”เลย การทำ“เศรษฐกิจ”จึงสบายกายที่สุด สงบใจที่สุด 

จบ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2566 ( 04:16:35 )

660322

รายละเอียด

660322 เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53007.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1eP1SkWuK_QuW8kQTZiQeZrg7Tbe-57oe/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1W84kSVbnXDvYkyEnDIdSC-v1OAt1Tv1W/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NTBVpnn-q1k 

และ https://fb.watch/jqJZK_fbP_/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก มันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ เราเหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่ก็ใกล้จะงานปลุกเสกงวดเข้ามาทุกที ช่วงนี้ดูเหมือนพ่อครูมีเทวดามาปลุกบอกว่าเป็นเจ้าสำนักโลกุตระแต่เช้า จริงๆแล้วพวกเราก็เป็นพวกสำนักโลกุตระ ไปเบามาเบา 

พ่อครูพยายามไขความเป็นเศรษฐศาสตร์ออกมา แต่ก่อนพ่อครูให้เขียนบนเฮือนศูนย์สูญหลังคาว่า ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด คือ Minimum cost Maximize Profit ต้องทำอะไรให้ประหยัดที่สุดแต่เกิดประโยชน์สูงที่สุด ในทางเศรษฐศาสตร์ 

วิถีชีวิตของนักปฏิบัติธรรมเป็นวิถีชีวิตของนักเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างต้นทุนต่ำสุด เรามีศีลแต่ละข้อๆ ก็พยายามทำให้ชีวิตของเราไม่ไปเบียดเบียน ไม่ไปโลภใคร ไม่ไปคิดทำร้ายใคร มีศีล 5 คุ้มครองตัวเองได้อยู่แล้ว 

พ่อครู ให้หลักเกณฑ์ของสำนักโลกุตระเอาไว้ 

1. ป้องกันตัวเองได้ 

2. ไม่คิดเบียดเบียนใคร 

3. ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย

4. มีปฏิภาณปัญญาที่เป็นโลกุตระ (สัมมาทิฏฐิ) 

5. สำนักนี้จะต้องพาคนมาจน

6. จน กระทั่งอยู่กันเป็นสาธารณโภคี มีสารณียธรรม 6 มี บวร บ้าน วัด โรงเรียน ครบ และอยู่กันอย่างเป็นธรรมชาติด้วย

7. พยายามพาคนให้มาเป็นกสิกร สร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร เป็นอาชีพ มาเป็นกสิกรดีที่สุด

หนังสือเรื่อง มังกรหยก เขาสร้างจินตนาการว่า ใครได้สุดยอดวิชาจะเป็นหนึ่งในแผ่นดิน สำนักโลกุตระก็มีสุดยอดวิชา คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ใครได้วิชานี้ก็จะเป็นหนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน พวกเราก็ฝึกอยู่เพื่อถึงจรณะ 15 วิชชา 8 ทำให้ชีวิตเรา มีกำลังภายใน ตัวจริงเลย ที่อยู่เบา ไปเบา มาเบา จนเมื่อก่อนพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ บอกว่า พวกนี้ให้กินกล้วยน้ำว้าหวีเดียวทำงานได้ทั้งวัน เป็นผู้ที่มีภาระเบาและมีกำลังสร้างสรรค์ เสียสละอะไรได้มากมาย นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาที่พ่อครูพาพวกเราฝึกฝน ให้พวกเราเป็นจอมยุทธจริงๆ ที่จะออกไปช่วยโลกช่วยสังคม 

เราช่วยในด้านพาณิชย์ ด้านกสิกรรม ตอนนี้จะออกไปทางด้านการเมือง แต่การเมืองนี้ต้องสุดยอดฝีมือจริงๆเลยนะ เพราะเขี้ยวลากดินอยู่เยอะ ไม่อย่างนั้นส่งไปแล้วตายคาสนามรบ ต้องดูทิศทางให้มากเพียงพอ สุดยอดแล้ว ถ้าได้การเมืองบุญนิยมออกไปอีกอันหนึ่งที่ฝ่าด่าน 

ลองนึกถึงพลเอกประยุทธ์ ยืนอยู่บนเวทีมา 7-8 ปี โดนบูลลี่ โดนด่า โดนว่า นายกฯเปิดใจที่ภูเก็ต บอกว่าไปนั่งทะเล อยากจะไปเที่ยวทะเลได้ 8 ปีไม่ได้ไปไหนเลย มีแต่ว่าทำงานทั้งวันเพราะกลับบ้านอาบน้ำนอน ตื่นมาก็ไปทำงาน ไม่ได้พาครอบครัว พาภรรยาออกไปไหนเลย เพราะถ้าคิดว่าถ้าออกไปแล้วคนอื่นก็เดือดร้อน ไปแล้วต้องมีคนคุ้มกัน 8 ปีไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย มีแต่ไปทำงานทั้งวัน โดนกดดันขนาดนี้ ก็สมแล้วที่พ่อครูตั้งให้เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถูกกดดันขนาดนี้ก็ยังยืนหยัดกอบกู้ชาติบ้านเมืองขึ้นมาได้ 

วันนี้คิดว่า พ่อครูคงจะมาไขเศรษฐศาสตร์โลกุตระกันต่อ ขออาราธนาพ่อครูครับ 

 

โพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปจึงมีความรู้เองเป็นเองได้ 

พ่อครูว่า... ไขแน่ มาเป็นปึ๊งเลย เขียนไปแก้ไปทวนไป ฟังซ้ำซากแต่ขยายความออกไปอีก ไม่ใช่ง่าย ปัญญาพระพุทธเจ้าข้อที่ 1 ข้อที่ 2 

ข้อที่ 1 ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า จากสัตตบุรุษ ต้องฟังอย่างละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า อะไรพวกนี้ในข้าว 1 

ข้อ 2 ก็อย่างแรง แต่ข้อ 2 คือต้องเข้าไปอีก เข้าไปถามแล้วถามอีก เข้าไปรับทราบอีก เพื่อให้ความรู้นั้นเจริญงอกงามไพบูลย์ จะต้องให้บริบูรณ์ไพบูลย์ ให้เต็มไปแล้วไปอีก ไม่ใช่ว่าจะได้เก่งเองทีเดียว ไม่ได้ 

มีขั้นตอนที่จะเป็นเองนั้น ต้องขั้น 7 ขึ้นไป ขั้น 5 ขั้น 6 ยังไม่เป็น สยังอภิญญา ยังไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น 

ขั้น 7 ทำไม ไขให้ฟังนิดนึง ขั้น 7 ทำไมถึงเป็นของตนเองได้แล้วไม่ต้องไปรับจากพระพุทธเจ้า 

เพราะว่าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปนี้ ที่อาตมาเคยอธิบายไปแล้วว่าเป็นผู้ที่สอบผ่านเข้าไปถึงขั้นว่า เป็นผู้ที่จะมีสิทธิ์ นิยตะ เที่ยงแท้ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นสัตตบุรุษที่เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เองแล้ว มีคำว่า เอง ตัวเองเป็นเองรู้เอง

เริ่มต้นรู้เองตั้งแต่รู้บัญญัติ รู้ภาษา ได้สัมผัส กว่าจะได้เป็นนิยตโพธิสัตว์ต้องพบพระพุทธเจ้ามาตั้งหลายพระองค์  แล้วก็ต้องบำเพ็ญมาเอง ฝึกฝนเองมาไม่รู้กี่ล้านชาติ เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะมีคุณวิเศษ มีคุณธรรมคุณสมบัติ มีความรู้ ปัญญา ความสามารถ ครบครัน ที่จะเข้ามา ที่จะเป็นจริงในตัวบุคคลในตัวโพธิสัตว์นั้นๆ 

นี่ขยายความให้ฟังละเอียดๆ ตามที่อาตมาเห็นเป็นจริง 

ที่พูดไปนี้นะยังรู้สึกว่า ยังไม่ชัด ยังไม่เต็มในความ ที่จริงไม่เต็ม อาตมายักไว้อยู่เหมือนกัน ในความเป็นจริงว่า จะต้องใช้เวลาอีกนานนับชาติไม่ถ้วน กลัวคนจะท้อ ว่าตายๆ กลัวคนจะไม่มาเป็นโพธิสัตว์ จบอรหันต์แล้วก็จะไปแล้ว บ๊ายบาย เอาตัวรอดไป เจาะรูรอด กลัวจะไม่เป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็เลยยักไว้หน่อยนึง 

แต่อาตมาก็เคยพูดว่า ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวจัดเกินไป พอบรรลุอรหันต์แล้วมันจะได้คิดเลย เพราะกว่าจะบรรลุอรหันต์จริงๆ มันต้องล้างความเห็นแก่ตัวต้องล้างตัวตนจริงๆ มันหมดตัวตนจริงๆแล้ว 

คำว่า หมดตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ ของพระพุทธเจ้าชัดๆ มันไม่มีตัวตน แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดอ่าน ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันจะไม่มี ไม่ใช่ มันยิ่งเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันยิ่งเจริญ มันยิ่งจะมีความเห็นคนที่เขาทุกข์ มันอยากช่วยคนที่เขาทุกข์ มีความเมตตา 

กรุณา ลงมือช่วย ลงมือทำ ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ช่วยจนสำเร็จ แล้วก็เกิดมุทิตา ยินดีด้วย เขาได้พ้นทุกข์แล้วนะ ก็หมดหน้าที่ ก็ไม่ถือเป็นบุญเป็นคนไม่ติดใจ ล้าง ไม่ให้ติดค้างในจิตว่าเราจะต้องมีเราเป็นของเรา ยึดติดอย่างแท้จริง จึงมีจิตสะอาดเป็น ปริสุทธา บริสุทธิ์ อุเบกขาจะมีองค์ 5 

เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ยิ่งบำเพ็ญก็ได้ ยิ่งทำไปเรื่อยๆ มีหลายกิจการงานสำเร็จไปเรื่อยๆ หลายบุคคล ความบริสุทธิ์ก็จะยิ่ง ปริโยทาตา ยิ่งบริสุทธิ์มีความสะอาดที่สะสมความสะอาด มี มุทุภูตธาตุ 

มุทุภูตธาตุที่รวมตกผลึก ทั้งเจโตและปัญญา ทั้งคุณธรรมและสิ่งที่ไม่ติดยึดเป็นตัวเป็นตน ทั้งความฉลาด ทั้งศรัทธา อยู่ใน มุทุภูตธาตุนี่หมดเลย เป็นคลังแห่ง แก่นแกนของจิตวิญญาณทั้งหมด

เพราะฉะนั้นยิ่ง มุทุภูตธาตุ เจริญดี การทำการงานด้วยอัญญา ซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาดมาทางโลกุตระ ได้จาก อัญญธาตุ มาเป็น อัญญาธาตุ แล้วเจริญเป็นปัญญา ก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น ดีขึ้น ทำเท่าไหร่ๆ จิตก็สะสมเป็นประภัสสร เป็นความใสสะอาดยิ่งๆๆๆ ผ่องใสยิ่งๆๆ 

เพราะฉะนั้นจะผ่องใสทั้งจิตใจ ผ่องใสทั้งกาย ออกมาให้เห็นเป็นรังสีเป็นรัศมี อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจจะที่มีได้ เป็นจริง 

 

เริ่มต้นจาก SMS ต่อ 

_ป้าแจ๊ว...ดิฉันเป็นลูกชาวนา ดิฉันเขียนใบสมัคร ตามหมู่ ความสามารถพิเศษคือชาวนา กสิกรรม วันนี้พ่อครูสอน ปัจฉาท่านย่อย พ่อครูท่านก็เป่าปี่บนหลังควาย ตกคำว่า เป่าปี่เพลงหนังบนหลังควาย

พ่อครูสอนสัตว์ที่อยู่ในจิต เก๊ๆ ผีๆ ที่อยู่ในร่างในกายในกาย ทุกๆคนได้มีไม่ มีได้ อยู่ได้ 

อดีต ดิฉันขี่ควายมามาก พาควายไปทำงาน ขึ้นนั่งบนหลังควายสบายมากๆ ทำงานร่วมกัน ควายบางตัวมันใช้ดี ขยัน ดิฉันก็ขยันช่วยกันไถนา ขนข้าว มันมีควายขี้เกียจ มันดื้อ บางตัวไม่ดีมันชอบหนีเที่ยวก็ขายมันไปเลย 

ปัจจุบันอยู่ฟังธรรมซ้ำๆจิตที่เป็นสัตว์ควาย หายไปสิ้น เกิดจิตแท้ๆเป็นผู้รับใช้ มีควาย มีปัญญารับใช้พระอริยเจ้า คนอาริยะค่ะ 

กว่าจะเขียนได้เข้าใจ จิตวิตก วิจาร ปิติ ฌาน 1- 4 ละทุกข์ ละสุข อุเบกขา

1.ถาม...ประโยชน์ตน มีความยินดีฟังธรรมพ่อครู ตอบตรงเป้าเข้าใจได้ 

2. ประโยชน์ท่าน พิจารณาฟัง ถูกไหมคะ 

พ่อครูว่า...ประโยชน์ตนคือเราเข้าใจได้ดีมีความยินดีในสิ่งที่เราฟัง ทีนี้ประโยชน์ท่าน ประโยชน์คือพิจารณาฟังถูกไหมคะ เออ ...ถูกมั๊ย ...

มันต้องขยายความนิดนึงว่า ประโยชน์ตนฟังแล้วเข้าใจได้ ประโยชน์ท่าน พิจารณาก็คือ เออ เราเข้าใจได้ เราทำได้หรือยัง ทำได้แล้ว อ้อ เราทำได้แล้วเราก็จะช่วยผู้อื่นได้แล้วล่ะคือประโยชน์ท่าน 

แต่ถ้าเรายังเข้าใจได้ เราก็ยังไม่เก่งยังไม่ชัด พิจารณาแล้วก็อย่าเพิ่งเลยนะอย่าเพิ่งอวดดี อย่างนี้พิจารณา พิจารณาว่าเราเก่งพอจะช่วยผู้อื่นได้แล้วจริงๆหรือ เอาน่า พอได้ นิดๆหน่อยๆ ขนาดนั้นขนาดนี้ ประมาณ จะทำประโยชน์ท่าน ตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า 

ทำประโยชน์ตนก่อนแล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง ลึกซึ้งในความนี้นะ ทำประโยชน์ตนให้ได้ก่อน แล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง จะไม่ผิดพลาด จะไม่เสียหาย จะไม่ทำให้ต้องมาเศร้าใจทีหลัง อย่างนี้เป็นต้น 

 

SMS วันที่ 20 มี.ค. 2566

 

พืชผักภายนอกจะเป็นกายได้อย่างไร

_สว่างแสง ขวัญดาว· น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

การที่เราตัดเล็บส่วนที่งอกของเราแล้วทุกข์ พ่อครูว่า เรายึดส่วนที่เป็นพีชะของเรา ว่าเป็นกาย ลูกเข้าใจได้ แต่กรณีที่มีคนมาตัดต้นไม้ ทำลายผักของเราแล้วเราทุกข์จะถือว่า เรายึดต้นไม้ ยึดผัก ยึดพีชะ ว่าเป็นกายได้หรือไม่คะ 

พ่อครูว่า... ได้ ไปยึดภายนอกตัวตนด้วยซ้ำไปยึดเอาโลกทั้งโลกเป็นเรา คุณโง่ อาตมาไม่ได้บอกว่าไอ้โง่นะ เห็นไหมเขาจะยึดอย่างนั้นแล้วเขาก็ทำจริงๆจังๆใช่ไหม อย่างนี้ มันนอกกายตั้งไกลเลยมันเป็นของคนอื่นส่วนอื่นไม่ใช่ติดอยู่ที่ตัว 

กายจะต้องสัมผัสอยู่ที่ตัวเอง กาย จะต้องมีสัมผัส กาย หมายถึงสภาพทั้ง 2 อย่าง ต่างกับเทวะ 

เทวะ ก็แปลว่า 2 เทวะนั้นอันอื่นก็ได้ แต่กาย ต้องมีผัสสะติดอยู่ที่หหตัวเรา นี่คือนัยะสำคัญที่มันต่างกันประเด็นนึง

_ลูกยังสับสนว่า ต้นไม้กับผัก เป็นพีชะหรืออุตุ กันแน่ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

สงสัยว่า ต้นไม้นี่ เป็นพีชะหรืออุตุกันแน่ ไขความมาตั้งหลายทีแล้ว 

นี่ ผลไม้ มันกองอยู่หน้าเวทีเลย กองเจ้งเพ่ง ถามพวกเราว่าอันนี้มันเป็นอุตุหรือมันเป็น พีชะ ตัดออกไปแล้วมันเป็น อุตุ มันเป็น แต่ถ้ามันอยู่ที่ต้นมันเป็น พีชะ

แต่ถ้าผลไม้นั้นเราไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรานั้นมันเป็นกายแล้ว ทั้งๆที่อุตุมันตั้งไกล มันไม่ใช่เราเลย มันไม่ใช่ยังติดอยู่กับที่ตัวเรา อยู่ที่ร่างกายสรีระของเรา มันออกไปจากสรีระของเราแล้ว มันไม่ใช่สรีระของเราด้วยซ้ำไป พืช แต่เราไปยึดว่าเป็นเรา 

ผู้หญิงรักผม คนมาตัดผมไป ก็ร้องใหญ่ เขาเอาผมเราไป มันเป็นของเรา เล็บของเรา มันหักหลุดออกไปแล้ว โอ้ยตาย.. มันหลุดไป ไม่ใช่เราแล้วยังยึดว่าเป็นเราอีก เจ็บปวด ใครมาทำเล็บเราเสีย ถ้าตัวเองทำหักทำพังก็เจ็บใจตัวเอง คนอื่นมาทำพังเอาเรื่องเลยนะ ดีไม่ดี เล็บคนที่ทำอย่างสวย รักษา ใครมาทำหักทำพัง ดีไม่ดีถึงฆ่ากันเลยนะ มันหนักหนาสาหัส มันยึดจัดมันจะเป็นขนาดนั้น อย่างนี้เป็นต้น 

งานปลุกเสกนี้ อาตมาจะอธิบายเรื่อง กาย บอกไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ประชาธิปไตยจะอธิบายก่อนไปถึงงาน ในงานปลุกเสกพระแท้ๆ ตั้งใจเตรียมไว้แล้วจะอธิบายเรื่องกาย 

 

_พ่อครูคะ ลูกพึ่งตาสว่าง โดยพึ่งได้คิดว่าหากเราได้เสียภาษีอย่างหนักแล้วรัฐบาลเอาไปกระจายเป็นสวัสดิการเสียสละให้ประชาชน อย่างนี้ลูกก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือประชาชนและเต็มใจที่เสียภาษี เพราะจะเห็นอนาคตของสังคมว่ามีแต่จะสงบสุขยิ่งขึ้นๆค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...ดีถูกต้องเพราะเรามีรายได้พอที่จะเสียภาษี เราเต็มใจที่จะเสียภาษี อย่าขี้โกงอย่ายักยอก แต่พวกเราไม่มีรายได้ เราเอาเข้าส่วนกลางหมดเลย เขาก็ไปคิดเงินรายได้ของส่วนกลางภาษีอันโน้นที่เขาจ่ายกัน เราก็ไม่ได้เสีย เพราะรายได้ของเรามันไม่พอจะเสียภาษี ประเทศไหนเขาก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้น เป็นพื้นฐาน ไม่ยาก 

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · มนุษย์หูเทียมนอกบัตรสวัสดิการรัฐกับเบี้ยยังชีพ 800 ค่าแบตหูเทียมกับรายได้งานศิลป์คนโลกเงียบไม่มากพอที่จะชำระภาษีฯ ยอมเสียสิทธิกลุ่มเปราะบาง พัน 'สละเดือนละ200 12เดือน' ปีละ2400 มาหลายปีฯ ฟังพ่อครูอ่านสาระธ.สวัสดิการตปท.อ.ชิดตะวันไม่ทัน แต่ได้รับเพจจากอ.ศิษย์เอกพ่อครูส่งมาฯ อ.เปรียบนโยบายการเมืองตปท.ดีกว่าการเมืองไทยฤาเปล่า?

พ่อครูว่า...อาตมาก็ตอบในความเห็นของอาตมา การเมืองของต่างประเทศหรือการเมืองของไทย อาตมาก็ขอตอบกำปั้นทุบดินเลยว่า การเมืองของไทยในยุคนี้ขณะนี้ ดีกว่าต่างประเทศทุกประเทศ พูดอย่างโอหัง คนก็คงจะเข้าใจยากอยู่ แล้วคนที่เขาติดยึดอยู่ในความรู้ ตำรารัฐศาสตร์ การเมืองที่เรียนมาแบบเทวนิยม ชัดๆนะ.. เดี๋ยวไปศึกษากันว่าแบบเทวนิยมแตกต่างจากแบบโลกุตระที่ในเมืองไทยมีแล้ว ทำเนื่องต่อกันมานานแล้ว 

จะว่าไปแล้ว มันมีตั้งแต่ก้นบึ้งของจิตวิญญาณคนไทยมาตั้งแต่รุ่นพระเจ้ารามคำแหง สุโขทัยมาจนถึงทุกวันนี้ ลักษณะที่พ่อขุนรามให้เอาใครมาตีระฆังร้องทุกข์ จะเมื่อไหร่ก็ตามมาตีระฆังได้ อย่างนี้เป็นต้น เอาเท่านี้ก่อน อันนี้ 

 

ชาวอโศกเสียภาษี 100% ดูแลแบบโลกุตระ

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · สวีเดนเสียภาษี50% ถือว่าวินัยในการเสียภาษีดีกว่าประเทศอื่นในโลก.แล้วก็เอาภาษีนั้นมาดูแลผู้เสียภาษีในบั้นปลายของชีวิตแบบโลกียะ แต่ชาวอโศกเสียภาษี100% และดูแลกันแบบโลกุตระครับ.

พ่อครูว่า...ชาวอโศกหาได้ 100 เอาเข้ากองกลาง 100 ที่อเมริกาเขาก็ดุนะภาษีของเขา แต่เขามีเกณฑ์หักรายได้จากระดับต่างๆสูง บางคนเสียภาษี 90% เลยนะ แต่มันก็มีวิธีหลบเลี่ยง อาตมายังไม่มีรายละเอียด แต่มีต่างประเทศเขาทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว คุณจนแท้ บุญคุ้มมาจน เข้าใจถูก 

มันซ้อน คนชาวอโศกเรานี้ แม้จะมีสวัสดิการหรือดูแลกัน แต่คนชาวอโศกเองก็ไม่มีอะไรมากเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนกล้าจน เป็นคนพอเป็นคนสบายแล้ว ใครที่ยังติดค้างอะไรก็มี สัลเลขธรรม มีข้อปฏิบัติต่ำ กลาง สูงไปเป็น ธูตะ มีอาการดีขึ้นน่าเลื่อมใสขึ้น เป็น ปาสาทิกะ จะไปจบที่ไม่สะสมได้สมบูรณ์แบบ และยอดขยัน วิริยารัมภะ 

เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติสุดท้ายไม่สะสมเป็น 0 แล้วยิ่งอยู่กับหมู่สาธารณโภคี จะไปสะสมให้โง่ทำไม เก็บเงินสะสมไว้มันก็ต้องรักษาดูแลก็ห่วงหาก็ลำบากลำบนอะไรอย่างนี้ ก็มีกองกลางมีเจ้าหน้าที่ มีผู้ดูแลรักษาให้เบิกได้แล้วเราก็ไม่ได้ขี้โลภขี้ตะกละ ไปเบิกเอามากมาย เรามีความละอายตนเอง เบิกเอามากมายก็ละอายตนเอง  ละอายอย่างแรงกล้าด้วย 

มันซ้อน คำว่า ละอายอย่างแรงกล้า มันเป็นสำนึกจริงๆของคน ว่าจะมาเอามากเอาเปรียบ มันไม่ควรนะ มันจะรู้สึก คนมันจะรู้สึก 

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมหรือการเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณมันเจริญพัฒนาจริงๆ แล้วเจริญอย่างโลกุตระด้วย เอาแค่นี้ก่อนอันนี้ 

 

_ทรงยุทธ อัคคโกศล  · กราบนมัสการพ่อครู Swedish Social Democratic Party ตัวย่อ SAP น่าจะย่อมาจากคำภาษา Swedish (Sveriges socialdemokratiska arbetareparti = SAP)

พ่อครูว่า...ก็เป็นความคิด ประชาธิปไตย สวีเดนเขาก็มีพระเจ้าแผ่นดินใช่ไหม เขาเป็นประชาธิปไตยที่มีพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็เป็นแบบนั้น ซึ่งมันก็ต่างกัน นัยยะสำคัญที่ต่างกันกับประเทศไทย 

 

เข้าถึงไตรลักษณ์ด้วยปัญญา 8 ประการ

_ป่ารุ่ง วนาศิริ  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้า ด้วยสุดเคารพสุดบูชา กระผมยังคงปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พ่อท่านพาทำ แต่ต่างกันกับญาติธรรมที่ได้ปฏิบัติอยู่กับหมู่กลุ่มมิตรดีสหายดี (กระผมทึกทักเอาเองเป็นญาติยุค 4G ผ่านทางโซเชียลแม้ยังไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปคบคุ้น) กระผมมีโอกาสที่จะได้กราบพ่อท่านที่ปฐมอโศกแต่ก็ไปได้แค่ช่วงกลางวันที่พ่อท่านยังไม่ได้ลงมาเทศน์ ด้วยกิจการงานวิบากยังมิอาจปลดวางได้ แต่ก็พากเพียรปฏิบัติลดกิเลสให้ได้ตามลำดับ ตอนนี้อยู่ในขั้นอ่านอาการและจับตัวกิเลสของตนเองได้เร็วขึ้นครับ(มักจะเป็นกิเลสตัวโทสะยึดตัวตนรับคำตำหนิหรือคำพูดที่ไม่รื่นรมณ์แล้วมีอาการครับ) แต่ยังไม่สามารถทำใจในใจให้ล้างกิเลสได้ในทันที แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆครับ จนคนรอบข้างเริ่มแปลกใจและสงสัยว่าผมเปลี่ยนแปลงได้ไง ตรงนี้คือความมหัศจรรย์ของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใช่ไหมครับ✨

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิเคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2566 ( 20:49:22 )

660324

รายละเอียด

660324 จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9เคล็ดวิชา พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53008.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1cvwh_yULxSn2wJgX63rtxremci9ca_YT/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                              ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1p_kHMT40tQ-r4QqdcmAaYarMR9k2SG4S/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/GDQJ44bdB_0 

และ https://fb.watch/jtmBIn52sv/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 

ตอนนี้ หากเราฟังธรรมพ่อครูจะได้เป็นจอมยุทธมีเคล็ดวิชาอยู่ 9 ประการ ต้องฝึกให้ได้ครบเคล็ดวิชาจึงจะได้เป็น

จอมยุทธที่สมบูรณ์ มีข้อที่ 5 บอกว่าเป็นผู้ที่เสียสละเป็นปกติของชีวิต อยู่บ้านราช จะมีงานให้เสียสละเป็นปกติ ตอนนี้มีให้ไปทำหอมที่บ้านราชช้อป ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไปช่วยตัดแต่งหอม หรือใครอยากห้อยโหนโจนทะยาน มีมะพร้าวให้ไปเก็บที่สวนไวพลัง อีกหน่อยจะมีแตงโมให้ไปช่วยเก็บอีก 

งานปลุกเสกวันที่ 5 ถึง 11 เมษายน ก่อนงานก็มีค่ายยอส. เด็กมาทุกพุทธสถานเลย และมีงานตลาดอาริยะ 13-15 จอมยุทธมีเท่าไหร่ขนมาให้หมด มาช่วยกันแจกกันจ่าย อุดมสมบูรณ์สมกับเป็นจอมยุทธที่เป็นผู้ที่เสียสละเป็นปกติของชีวิต สำนักนี้จะอยู่กันอย่างสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเป็นคนจน แปลกดีนะเป็นคนจนแต่แจก ใจเสียสละเป็นปกติของชีวิต โลกเขาจะเข้าใจไม่ค่อยได้ เป็นคนจนแต่แจก แต่เสียสละ เขาเป็นคนมีแต่จะเอาแต่จะได้ แต่เรามีแต่จะให้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะปรินิพพาน วันนี้ก็มาฟังพ่อครูต่อที่จะฝึกให้เราเป็นจอมยุทธโลกุตระที่สมบูรณ์ 

พ่อครูว่า... เจริญธรรม บรรยากาศถึงจอมยุทธต่อไป ก็คุยกับ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 22-23 มี.ค. 2566

 

ฆราวาสด้วยกันจะกราบไหว้กันด้วยความเคารพถูกหรือไม่ 

_ติดดิน นาวาบุญนิยม · น้อมนมัสการพ่อครับ มีญาติธรรมถามผมว่า เหมาะควรอย่างไรที่พฤติกรรมของหัวหน้าพรรคฯให้ลูกศิษย์กราบไหว้บูชาเหมือนกราบไหว้สมณะสิกขมาตุ ผมก็ตอบญาติธรรมไปว่า ก็มันบังคับกันไม่ได้หรอกวาสนาบารมีเค้าทำกันมา.....พ่อช่วยตอบให้ด้วยนะขอรับ กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้า

พ่อครูว่า... การกราบไหว้การกราบเคารพกันมันเกิดขึ้นด้วยจิตวิญญาณที่เขาเคารพกันอย่างที่ติดดินเขาว่า เรียกด้วยภาษาง่ายๆ มันเป็นวาสนาบารมีก็ใช่ ไม่ใช่ว่าไปซื้อเอาตามห้างขายยามา หรือ ไปซื้อตามห้างสรรพสินค้า อะไรใหญ่ๆโตๆ มันไม่มีขายหรอก ก็สั่งสมมาแต่ละคน มันก็เป็นไปได้ และคนที่จะไปกราบเคารพเขานี่ คนทำให้คนกราบเคารพได้มีอยู่ง่ายๆก็ 2 นัย 

นัยหนึ่งก็ หลอกลวงเขาหาวิธีการที่จะทำให้เขาหลงใหล ยิ่งมีคนที่งมงายในเรื่องลึกลับในเรื่องเทพเจ้าในเรื่องเทวดาผีสางอะไร แบบไสยศาสตร์ magical ที่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เขาก็เคารพกันนับถือกัน 

ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธศาสนาอะไรหลายๆศาสนา แม้แต่ศาสนาเทวนิยมอื่นๆเขา ถึงขั้น นับถือกัน อาจารย์พาฆ่าตัวตายก็ฆ่าตัวตายกันเป็น ร้อยๆคน ฆ่าตัวตาย ตามกันไป เขายังถึงขนาดนั้นเลย มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณศึกษาให้ดีๆ 

ส่วนที่ถูกต้อง ส่วนที่เป็นสัมมาทิฏฐิมันก็มี เพราะฉะนั้นคนที่ควรเคารพได้ เป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้มาบวชมาเป็นนักบวช ตามพิธีการบวช เขาก็มีคุณธรรมเป็นอาริยะ เป็นโพธิสัตว์ แม้แต่เรียกว่าเป็นอรหันต์ก็มี แต่คนไม่ค่อยสนใจอาตมาก็ไม่ค่อยอยากจะพูดเพราะมันยากเกินไป ภูมิธรรมมันเลยอรหันต์ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ระดับ 8 กันไปได้ มันก็ต้องเป็นฆราวาสมาก่อน 

ทีนี้ไอ้เรื่องที่จะมาเป็นนักบวช ที่มีพิธีการ ที่จริงมันเป็นเพียงเปลือกสมมุติให้คนชัดเจนแล้วก็เคารพกันง่ายนับถือกันง่าย มันก็ดีกว่า มันมีทั้ง 2 ส่วน ทั้งความเป็นจริงกับสมมุติ แต่อันโน้นมันมีความเป็นจริง สมมุติมันเป็นอีกแบบ เป็นฆราวาสอย่างนี้เป็นต้น คนก็งง มันซับซ้อน เป็นฆราวาสเหมือนกับเรา อะไรวะ ..ดีอะไรกันนักหนา มันก็ลบหลู่กันได้ 

เพราะฉะนั้นก็คนที่ไม่รู้เขาก็ยังไม่มีภูมิปัญญาอะไรมากมายนัก มีปัญญาตื้นๆหรือมีความรู้ตื้นๆ ก็เป็นธรรมดา ความไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องทักท้วงก็ไม่เป็นไรก็บอกกล่าวกัน แก้ไขกันไป 

 

นักการเมืองกับนักธรรมะต้องเป็นคนคนเดียวกันได้ 

_สินพุทธ สุขพูล  · กราบนมัสการ พ่อครูฯ ครับ ผมเห็นบางคน คอมเม้น เรื่อง อย่าเอาศาสนาไปยุ่งเกี่ยว กับการเมือง คนที่พูดแบบนี้ น่าสงสารนะครับ ไม่รู้เลยหรือว่า ศาสนาจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะการเมืองในระบบ ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ที่ผ่านมานั้นที่ผมเห็น มันเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน เละเทะ มีแต่ทำการ เมืองเป็น อาชีพ มีแต่เห็นทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ที่จะเสียสละนั้นแทบไม่เห็นเลย ในเรื่องคุณธรรม แทบไม่มีเลย 

ผมว่า ศาสนาไปแก้ไขได้ครับ ไปแก้ได้ ให้คนทำการเมือง ให้นักการเมืองมี มีคุณธรรม แต่ทำไมคนที่คอมเม้นพูดในเรื่อง อย่าเอาศาสนาไปยุ่งการเมือง 

คนประเภทนี้ ต้องใช้เวลา เปลี่ยนความคิด มิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ทำความเข้าใจเสียใหม่อีกหลายภพหลายชาติหรือเปล่าครับ เพราะเป็นความเห็นที่ผิดอย่างมหันต์ ค่อนข้างมาก ผมไม่เห็นด้วยเลย เขาคิดได้ยังไงว่าศาสนาไม่ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอถามพ่อครูฯ ครับ คนที่คิดแบบนี้ต้องไปเปลี่ยนทัศนคติอีกหลายภพหลายชาติไหมครับ กราบนมัสการ พ่อครูฯ ครับ

พ่อครูว่า... อาตมาจะไปตอบเรื่องอะไรเขาจะคิดอย่างไร ก็คงจะต้องตอบว่า เขายังไม่รู้อยู่ เขายังโง่อยู่ เขายังนึกว่าคนที่เป็นธรรมะก็อย่างหนึ่ง คนที่เป็นการเมืองก็อีกอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่คิดว่าคนการเมืองคนธรรมะนั้นคือคนเหมือนกัน และก็เป็นคนสังคมเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นในคนเหมือนกันนี่ ก็มีการเมืองกับมีธรรมะอยู่ในตัวคนเดียวกันได้ และมันต้องมีด้วย พยายามศึกษาดีๆทำความเข้าใจ 

อาตมาเข้าใจนะที่คุณถามมานี่ เพราะว่าสังคมไทยนี่แหละ เมืองอื่นอะไรอื่นเขาจะว่ากันอาตมาไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของต่างประเทศเท่าไหร่ คนไทยนี่ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี่แหละ พยายามแยกพยายามแบ่งว่า ผู้บวชนักบวชอย่าไปยุ่งกับการเมืองเขา อาตมาก็เข้าใจเห็นใจเขาเหมือนกัน 

เพราะว่านักบวชของเขา มันยังตื้น ยังไม่มีภูมิธรรมอะไร ถ้ามาเจอนักการเมืองที่เขี้ยวลากดินก็ดึงเข้าไปเป็นเครื่องมือ ก็เสียพระเสียศาสนาเสียธรรม เขาก็เลยกันเอาไว้ ดูเหมือนทางเถรสมาคมประกาศไว้ว่า พระอย่าไปพูดเรื่องการเมืองอย่าไปเกี่ยวเรื่องการเมืองมันเป็นอย่างนั้นด้วย..ก็ดี ป้องกันไว้เพราะว่า พระในเมืองไทยแย่และอ่อนแอ เข้าไปยุ่งกับการเมืองไม่ได้ เพราะนักการเมืองเขี้ยวลากดินจริงๆก็เสร็จเขาหมด เขาก็กันเอาไว้ก็เป็นการป้องกันที่ดี 

แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วและมีภูมิธรรมพอแล้ว ก็สามารถที่จะไม่ว่าจะเป็นพระด้วยกันจะเป็นนักการเมือง ก็สามารถทำธรรมะเอาธรรมะใส่ลงไปในนักบวชก็ตามฆราวาสนักการเมืองก็ตาม ให้เขาได้ เพราะว่ามีอุตระมีโลกุตระ มีความเหนือที่เขายังไม่มีที่จะให้เขาได้ นี่ก็เป็นไปตามสัจจะ 

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · ช่วงนี้การสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยของภาคใต้คึกคักมากครับ.ญาติธรรมภาคใต้และจอส.พวธ.บำเพ็ญกันเข้มข้นมากครับ

 

_จรรยา ประเสริฐ  · ข่าวบอกว่า ลุงนายกตู่เราโดดเดี่ยว ไม่มีใครมาจับคู่ด้วย ดิฉันว่าดีแล้ว พิสูจน์ว่า ลุงตู่สู้อย่างโดดเดี่ยวทางการเมือง ส่วนพ่อท่าน ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวทางธรรม กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... เรากำลังพูดถึงจอมยุทธ จอมยุทธนี้โดดเดี่ยว มีเคล็ดวิชาที่ 1 คือป้องกันตนเองได้ จอมยุทธน่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล จะมีผู้ที่ไปสมทบเองไม่มีผู้สมทบก็ไม่มีปัญหาอะไร และถ้าสามารถแสดงว่า โดดเดี่ยวได้ ทำคนเดียวก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร คนอื่นจะมาสมทบอีกทีหลังก็เขาก็ต้องรู้แล้วว่านี่เป็นจอมยุทธ เขาจะมาขอเรียนเคล็ดวิชาด้วยเท่านั้นเอง เป็นธรรมชาติ 

 

การเมืองที่เป็นธรรมะมีแนวทางอย่างไร ทำไมต้องมีพรรคการเมืองด้วย 

_ณดวงกมล เสงี่ยมพงษ์ ... การเมืองที่เป็นธรรมะ มีแนวทางอย่างไรคะ แล้วทำไมต้องเป็นพรรคการเมืองด้วยคะ ...

พ่อครูว่า...ขออธิบายคร่าวๆนิดๆหน่อยๆพอสังเขปก็แล้วกันนะ ที่เป็นศาสนาเทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้า การเมืองของเขาก็มีคนนั่นแหละที่เป็นนักการเมือง แล้วตัวคนเขาจะมีธรรมะ มีคุณธรรมนั่นเอง มีธรรมะและคุณธรรมอยู่ในตัวของเขาเท่าไหร่ เขาจะขวนขวายพยายามที่จะศึกษาธรรมะ พัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมให้มีธรรมะขึ้นมาอีก มันก็อยู่ในตัวบุคคลเขา 

ศาสนาอื่น เขาก็ทำ เขาก็เป็น เขาก็มี ศาสนาพุทธมีแน่นอน เพราะคนต้องมีคุณธรรมหรือต้องมีธรรมะ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ คุณธรรมก็คือ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ ก็ต้องพยายามรู้ว่า ธรรมะที่เป็นโทษมันเป็นอย่างไร ธรรมะที่เป็นคุณมันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำทางคุณธรรมไม่ใช่ทำทางโทษธรรม นี่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่ชัดเจน ใช้พยัญชนะประกอบการอธิบายก็จะเข้าใจได้ชัดเจน 

แล้วทำไมต้องเป็นพรรคการเมืองด้วย พรรคการเมืองมันเป็นเรื่องของสมมุติโลกที่เขาจำเป็น จริงๆแล้วพรรคการเมืองมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ต้องตั้งหรอก มันมีทิฏฐิหรือมันมีความเห็นร่วมที่ตรงกัน เขาก็ไปรวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่ 

อาตมาว่าดูเหมือนนะ ดูเหมือนจะเคยผ่านๆว่า แม้แต่อเมริกาเขาก็ไม่มีกฎหมายว่าบังคับว่าจะต้องตั้งพรรคการเมืองนะ เขาก็รวมตัวกันขึ้นตั้งชื่อพรรคขึ้นมาแล้วก็เป็นพรรคเฉยๆ โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้เป็นพรรคการเมืองอะไร อาตมาไม่รู้นะดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เป็นพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรค Democrat กับ republican ก็เป็นพรรคโดยธรรมชาติ เหมือนในเมืองไทยก็จะมีพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรคเสมอก็จะเปลี่ยนแปลงไป คือเป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะเป็น 2 ใครจะไปเข้าหมู่ไหน จับมือร่วมมือฮั้วกันอะไรกัน หรือจะแยกเดี่ยวไปเข้าฝั่งใด มันเป็นวิธีการหรือเกมการเมืองที่จะเป็นไปตามธรรมชาติของ ทุกประเทศมันเป็นอย่างนั้นแหละ 

ถ้าคุณไปเป็นนักการเมืองเดี๋ยวคุณก็ไปศึกษาก็รู้ แต่ถ้าไม่ไปเป็นนักการเมืองจะไปจริงจังอะไรกับมัน ก็ดูที่ตัวบุคคล หรือถ้าคุณเห็นว่าอันนี้เป็นพรรคเป็นคณะก็ดูที่พรรคที่คณะปฏิบัติประพฤติกันอย่างไร ดูที่เนื้อหาดูที่พฤติกรรมพฤติการณ์ของเขาทำดีปฏิบัติดีกับประชาชนไหม การเมืองนักการเมืองคือผู้ที่อาสาจะไปทำงานช่วยพลเมือง ช่วยประชาชนในประเทศ ก็เท่านั้นเอง 

 

_วันดี ศรศูนย์  · ขอกราบนมัสการเจ้าค่ะ ได้ฟังพ่อครูเทศน์ เรื่อง คนฉลาดสร้างอาหาร ลูกก็เปลี่ยนจากอาชีพค้าขาย มาปลูกผักแบบไม่ใช้เคมี โดยติดตามดูการเกษตรทางบุญนิยมทีวี ตั้งใจว่าจะปลูกไว้กินก่อน ได้ผลผลิตมากๆ แล้วค่อยขายราคามิตรภาพ หรือแบ่งปันตามที่พ่อครูสอนเจ้าค่ะ

พอมาทำเกษตรแล้วก็พบว่า มันหนักมันเหนื่อยกว่า การทำอาชีพค้าขายที่ซื้อมาขายไป ได้เงินง่าย มิน่าเล่า คนจึงชอบค้าขายมากกว่า แต่ลูกตั้งใจว่า จะศึกษาทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผล แม้จะเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย แต่สมองปลอดโปร่งกว่า ตอนที่ค้าขายในห้องแอร์ รู้สึกชีวิตอิสระ ได้อยู่กับธรรมชาติ สายลมแสงแดด น่าภูมิใจที่สองมือเรา สร้างอาหารที่ปลอดภัยไว้กินเองได้ ไม่ต้องไปซื้อเขา ซึ่งมีสารพิษส่วนใหญ่เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ได้ผล อาตมาคิดว่าได้ผล เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่อาตมาพูดเป็นเรื่องจริง ซาโตรินะ..ได้เกิดความเข้าใจเกิดภูมิปัญญาขึ้นมา ดีจริงๆอาตมาไม่ได้พูดเล่นหรอก ฟังติดตามไป อาหารเป็นหนึ่งในโลก พืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของคนกิน ก็ไม่มีอื่นอะไร อาตมาไม่ได้เน้นอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เป็นปศุสัตว์อะไร 

 

ผู้ทำงานโลกุตระจริงแท้นั้นไม่หวังใน ลาภ ยศ สรรเสริญ 

_ทรงยุทธ (บี๋) : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ผมได้ฟังพ่อครูพูดถึงการเสนอชื่อบุคคลที่ได้ทำคุณงามความดีในด้านต่างๆ ให้กับประชากรในประเทศต่างๆ ให้ได้รับรางวัลสำคัญๆ อาทิ รางวัลโนเบล และรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ จึงเกิดความสงสัยว่าเขาเลือกมอบรางวัลกันอย่างไร ผมลองเข้าไปดูในเวปไซท์ขององค์กรเหล่านี้ และทราบว่าการที่เขาจะเลือกมอบรางวัลให้กับใครนั้น เขาจะประกาศให้มีการเสนอชื่อบุคคลสำคัญที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือทำคุณประโยชน์ต่อโลกให้เข้าไปเป็นผู้สมัครเข้ารับการพิจารณา และผู้ที่จะมีสิทธิ์เสนอชื่อต้องเป็นบุคคลสำคัญหรือองค์กรสำคัญ อาทิ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติและรัฐบาลแห่งชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สถาบัน International Law สันนิบาตสตรีสากล ศาสตราจารย์หรือรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ กฎหมาย ปรัชญา เทววิทยา ศาสนา หรือ อธิการบดี ฯลฯ ผมจึงคิดเล่นๆ (แต่อยากให้เป็นจริง) ว่า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์และองค์กรชาวอโศกที่ทำคุณประโยชน์อนันต์ให้กับมวลมนุษยชาติ น่าจะได้รับรางวัลเหล่านี้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังคงเป็นความคิดหลงลาภยศสรรเสริญของผมใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... ใช่เป็นความคิดที่อยากจะได้ ลาภยศสรรเสริญต่างๆ คนที่จะได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูมันเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แล้วก็เลยเห็นว่าเป็นการส่งเสริม มันเป็นจุดที่จะชวนให้คนอื่นเขาทำความเจริญทำความประเสริฐได้ดีๆ อย่างนี้สิ มันเป็นการชวนเชิญคนอื่นจะได้เห็นตัวอย่างมันก็เป็นวิธีการชนิดหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาเขาก็ทำกันทั่วโลก 

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆแล้วไม่ได้คิดอยากจะมีคนมายกย่องสรรเสริญ มีคนมาเชิดชูมีคนมาให้รางวัล มีคนมาอะไรให้ตำแหน่ง มันไม่หรอก อย่างอาตมานี้ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น แล้วอาตมาปางนี้ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับการยกย่องสรรเสริญหรอก มีแต่จะถูกด่าด้วยซ้ำจะถล่มจะถูกดูถูกดูแคลน เพราะอาตมาเสนอธรรมะที่เป็นโลกุตระอันเข้าใจยาก เป็นความยาก 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ทำงานเท่านั้นทำหน้าที่เอาโลกุตตรธรรมมาประกาศ ก็ได้มวลมนุษยชาติที่มีบารมี หรือว่ามีความจริงในตัวคน อย่างพวกคุณ ฟังแล้วเข้าใจก็มาเอา จนกระทั่งพากเพียรได้มรรคได้ผลขึ้นมา ก็มารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม 

สำเร็จจนกระทั่งทำมาหากินมีผลผลิตสร้างอะไรได้ก็เอาเข้ากองกลางเรียกว่า ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วก็กินใช้ร่วมกันเป็นกองกลางสาธารณภัย ลาภธัมมิกา ซึ่งมันสูงสุดแล้วนอกนั้นต่างคนต่างปฏิบัติตามทิฏฐิของแต่ละคนเสมอสมานกันไปมีศีลแต่ละระดับก็เสมอๆกันไปตามหลักสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า  ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา   

อาตมาก็ยิ่งมั่นใจว่า อาตมาทำงานธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์ บริบูรณ์ 

มันไม่ง่ายนะ..คนจะมารวมกันแล้วอยู่กันอย่างสาธารณโภคี ไม่ตีกันไม่ฆ่ากันไม่แย่งกันไม่ทะเลาะกัน มันสุดยอดแล้วซึ่งมันยืนยันว่าในสาธารณโภคีนี้มีพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  เป็นเอกภาพกัน นี่มันยืนยันว่าพวกเราอยู่กันอย่างสมบูรณ์ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าเลย เอาหลักธรรมมาอ้างอิงยืนยันยืนยันกับพฤติกรรมพฤติการณ์ของพวกเราจริงๆสำเร็จ นี่คือสิ่งที่อาตมาเอามาพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า 

มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบใด โลกไม่ว่างจากอรหันต์ 

ท่านตรัสถึงอรหันต์เลยนะ พิสูจน์ยืนยัน เดี๋ยวจะได้อธิบายต่อ 

 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ฟังพ่ออธิบายขั้นตอนการเลื่อนฐานแต่ละขั้นตอน ความเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 8 แม้ตัวเราเองยังไม่ถึงขั้นต่างๆ จะเริ่มต้นตรงไหนๆ มีองค์ประกอบครบพร้อม ถ้าพ่อท่านบรรลุ ขั้นตอนด้วยตนเองแล้วจะไม่สามารถอธิบาย ลองมาทดสอบตัวเองแล้ว ตัวลูกเองดูก็ยังคุณสมบัติอยู่หลายข้ออยู่นะ ขอพยายามทำต่อไป จะพยายามทำโดยไม่ท้อค่ะ ถึงความเป็นโพธิสัตว์ขั้นใหนก็ตามค่ะ กราบสาธุค่ะ

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ลูกได้เห็นพ่อท่านเปิดเผยเพชรที่เป็นโลกุตระหลากหลายเช่น เพชรในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพชรเรื่อง การเมืองเศรษฐกิจการปกครอง ลูกได้ติดตามอยู่ เพชรได้ฉายส่องประกายอันสูงส่ง ทำให้อโศกของเราเรืองรุ่งเป็นไปตามสัจธรรมครับ ขอให้พ่อท่านบริหารร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ

 

มาฟังธรรมพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แล้วจะหายกลัวผี

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกสาวของลูกเรียนระดับป.ตรี เช่าหอพักอยู่นอนไม่หลับบอกว่ากลัวผีค่ะ บอกให้ลูกหารูปพระมาให้เป็นที่พึ่ง จะโทร.หาลูกทุกคืน ลูกบอกลูกสาวว่า ผีไม่มีจริง ลูกสาวก็ยังกลัว ลูกกราบนมัสการพ่อครูเมตตาช่วยลูก จะบอกลูกสาวอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูให้สัมมาทิฏฐิลูกด้วยค่ะ 

พ่อครูว่า... อาตมาก็อธิบายให้คุณฟังนี่แหละฟังเข้าใจเท่าไหร่ ก็ไปบอกลูกสาวหรือพยายามอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจว่า คำว่าผีนั้นที่พูดกันด้วยภาษาไทยๆว่าผี ซึ่งหมายถึงเรื่องของผีก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ คนที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิก็เข้าใจว่าจิตวิญญาณที่เป็นผีที่ลอยตุ๊บป่องตุ๊บป่องอยู่ข้างนอก เป็นผีเปรตผีกระสือผีบ้าๆบอๆเอามาสร้างหนังเป็นนิทานนิยายอะไรหลอกกันไป คนมันก็ยิ่งโง่หนัก ก็ยิ่งไปหลงใหลกลัวผีอย่างนี้กัน หลอกกันมานานนับเป็นพันปีแล้ว มันก็น่าเห็นใจ ถูกครอบงำทางความคิดถูกหลอกไป ก็ไปงมงายอยู่อย่างนั้น 

อาตมาทั้งเทศน์และพูดมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แม้แต่ในวัดในวาก็บอกว่ามันไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไปสร้างเอง เป็นพวกที่คิดสร้างจะเรียกว่าเป็นศิลปินก็ ศิลเปรอะ เที่ยวไปหลอกคนให้งมงาย 

แต่มันมีเชิงดีอยู่ว่า ให้กลัวผีกลัวบาปกลัวทำไม่ดีซึ่งมันซับซ้อน จะกลัวสิ่งไม่ดีคุณก็ต้องทำตัวเองปฏิบัติตนเองให้จิตใจของคุณเป็นจิตใจที่ดี อย่าให้เป็นจิตใจที่ชั่ว 

จิตใจชั่วนั้นแหละคือ ผีอยู่ในคน นอกตัวคนคนที่ตายแล้วจิตวิญญาณไม่อยู่ในคนแล้ว ไม่เข้ามายุ่งอะไรได้กับคนเลย ขอประกาศเลย 

ขณะนี้มีในสังคมมีคนชื่อว่า หมอปลา เป็นคนปราบผี ออกอากาศกันอยู่ จอ Amarin นี้ชอบเอามาออกกันบ่อยที่สุดเลย พอดีอาตมาฟังๆดูก็มีสัมมาทิฏฐิบ้าง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ แกก็ยังพอมีบ้าง ก็ยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ช่วยได้พอได้คือบรรเทาไปขั้นตอนหนึ่งนะยังไม่สมบูรณ์แบบ 

ผีที่เป็นจิตวิญญาณที่ไม่อยู่ในร่างคนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเกี่ยวข้องอะไรกับคนเป็นๆได้เลย คนโง่แล้วคนก็บอกว่าผีเข้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงแล้วจิตของคุณโง่มีอุปาทานเอง เช่นจิตเข้าทรงมีผีเข้าตัวเองโง่เองตัวเองอุปาทานตัวเองว่า นี่แหละผีมันมาเป็นอย่างนี้ เข้าทรงเป็นอย่างนี้ เทวดาเข้าทรงเป็นอย่างนี้ ไปกันใหญ่เลย ก็มองว่าเทวดาหรือพระพรหมเข้าทรงก็ดูท่าทีดีเคารพกราบไหว้ เป็นผีก็ไล่กันอะไรอย่างนี้ 

การเข้าทรงก็ดีชักดิ้นชักงออย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็เล่นมานักไสยศาสตร์ เล่นมาแต่ก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วล่ะว่ามันบ้าของตัวเองคนเดียว ที่ดิ้นที่ทรงที่มีผีมีเจ้า มีเทวดามารพรหมหรือผีอย่างโน้นอย่างนี้เข้า จิตตัวเองเป็นทั้งนั้นเลย ไม่มีจิตวิญญาณใดๆไปเข้าใครได้ จิตวิญญาณใครๆก็เข้าใครไม่ได้ 

ถ้าจิตวิญญาณเข้าใครได้ พระพุทธเจ้าก็เอาจิตวิญญาณของท่านไปเข้าคนนั้นคนนี้ดีไปเลยเสร็จไปเลย จนกระทั่งครอบงำคนๆนั้นให้บรรลุธรรมไปเลย เฮอะ 

สมณะฟ้าไท... พ่อครูก็ไม่ต้องเทศน์มาก 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องเทศน์มากเลย สรุปดีๆให้ฟังอีก ผีคือจิตวิญญาณตัวเองชั่ว ดีคนกลัวความชั่วนี้ดี เอาความชั่วจิตวิญญาณชั่วๆนั้นเปลี่ยนซะไม่ให้มันชั่ว มันก็จะหมดผีไปจากตัวเอง แต่คุณเอาออก ไปทำเอาออกด้วยวิธีใดๆไม่ได้ นอกจากจะศึกษาธรรมะให้รู้ว่า จิตชั่วหรือจิต ชั่วคือผีผี คือชั่วเลวชั่วคือผี ภาษาไทยนี่แหละ 

คุณรู้อาการชั่วนั้นแล้วคุณก็เปลี่ยนแปลง ใช้การศึกษาให้เป็นปัญญาและพัฒนาเปลี่ยนแปลง กายวาจา ภายนอกก็อย่าให้มันเป็นไปตามผีพาเป็น จนกระทั่งจิตใจของคนเกิดปัญญาเป็นประธาน ทำให้กาย วาจาก็ไม่เป็นแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานก็แข็งแรง หายจากผี ไม่มีผี ผีในจิตหมดไปจากจิต ก็จบผี 

ถ้าจะกลัว กลัวผีในตัวของตัวเอง ผีข้างนอกไม่มีไม่มีผีหลอก ถ้ามีผีอาตมาเคยบอกแล้ว จับใส่ปี๊บมาขายอาตมาซื้อเดี๋ยวนี้ขึ้นตัวละ 10 ล้านก็ได้ 20 ล้านก็ได้เอา 50 ล้านก็ได้เอา โอ้โหขึ้นราคาไปไม่ 100 ล้านก็ได้เอาจับใส่ปี๊บมา 

เขาบอกว่า เขาใส่หม้อใส่อะไรของเขา เอามาสิเอามา มันเป็นตัวยังไง มันจะมาจะทุบปี๊บทุบถังที่ใส่มาแตกให้ได้แล้วผีมันจะได้หลอกอาตมาดู 

สมณะฟ้าไท... มีนักศึกษาข้างนอก บอกว่าผีจะเข้า มีวิธีแก้ไม่ยากหรอกไปเดินไปตบกบาลเขาแล้วผีจะออก 

พ่อครูว่า... เอา พูดกันดีๆนะ จิตวิญญาณมันโง่มันอวิชชา มันไม่ใช่เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมโดยธรรมะโดยปรมัตถ์สูงส่งแล้ว มันคือจิตวิญญาณเราชั่วเราเลวเท่านั้นแหละ เสร็จแล้วก็ไปพูดเป็นจิตวิญญาณเข้าไปสิงสู่ข้างนอกอยู่อะไรต่างๆนานา แล้วก็ไปกลัวความไม่ดี แล้วก็ไปปลุกสร้างนิยายหาเรื่องว่าผีมันหลอกอย่างนั้น มันกินไส้กินพุง มันเอาเป็นตาย มันทำให้เป็นอะไรต่ออะไร ความชั่วมันทำให้ตัวเองตายได้ แน่นอน ความชั่วมันทำให้ตัวเองตายได้ ตายอย่างน่าเกลียดน่าชังด้วย ตายไม่ดี เขาใช้ศัพท์คำว่า ตายไม่ดี คนชั่วตายไม่ดี 

เพราะฉะนั้นพยายามมาปฏิบัติธรรมมาศึกษาธรรมมาให้ดีๆ แล้วเรียนรู้จิตชั่ว จิตไม่ดี จิตผีให้ออกไปจากจิต ยิ่งเรียนรู้ทางศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรม 

ยิ่งสามารถที่จะชัดเจนมากเลยว่า อาการของจิตชั่ว อาการของจิตเลว จิตที่ไม่ดี แยกได้อย่างเป็นโลกียะ แยกได้อย่างเป็นโลกุตระ 

โลกียะก็คือ จิตที่มันชั่วหรือดี อันนี้เป็นสมมุติสัจจะ เราก็เรียนรู้สมมติธรรมตรงนี้ แล้วเปลี่ยนแปลงให้ดี ตามสมมุติ 

ประเทศไทยสังคมกลุ่มนี้ว่าอย่างนี้ดี ก็ทำกันให้ดีตรงตามสมมุติของกลุ่ม ไม่เที่ยงหรอก ดีของกลุ่มนี้ แต่กลุ่มโน้นอาจจะบอกว่าไม่ดี ชั่ว ไม่เอา อาจจะดีซ้อนกัน คล้ายๆกันเหมือนกัน แต่ก็มีนัยยะมุมเหลี่ยมมิติต่างๆที่ต่างกัน ชั่วเหมือนกัน ดีชั่วเป็นสมมุติ 

ส่วนโลกุตรธรรมนั้นสุขทุกข์ นี่ก็อธิบายกันมาหลายทีแล้ว เทวนิยมไม่ได้เรียนสุขทุกข์ เขาจึงไม่มีหมดสุขหมดทุกข์เพราะเขาไม่รู้เรื่อง เขาหลงสุขเกลียดทุกข์ แต่เขาไม่ได้เรียน เขาก็เลยถูกโลกธรรม ทำให้ไปติดยึดหลงยึดอย่างนั้นอย่างนี้ว่าเป็นสุขอย่างนั้นอย่างนี้เป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ 

คนหลงความชั่วแล้วทำชั่วได้สำเร็จก็เป็นความสุข เพราะเขาหลงเชื่อว่าอย่างนี้ดี แต่มันเป็นเรื่องไม่ดี เรื่องชั่ว เขาก็เป็นสุข เห็นไหม เขาได้ทำชั่ว เขาทำชั่วสำเร็จแล้วเขาก็สบายใจ 

นอกจากคนที่รู้ว่าชั่ว แต่ว่าตัวเองมันกิเลสเข้าอีก มันโกรธ มันไม่ชอบใจมันก็ทำให้ไปทำร้ายคนอื่นเขา ทำแล้วก็สำนึกก็มีอีก

เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยนี่ มันหมดเลย ทำดีก็ได้ดีอย่างถาวร ไม่ได้ดีแล้วก็ชั่วๆ ดีแล้วก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เทวนิยม ไม่จริงแท้แน่นอนหรอก แม้บรรลุเป็นศาสดาแล้วก็จะลื่นไหลออกมาเป็นชั่วอีก แต่ท่านไม่รู้เรื่อง ศาสดาเทวนิยมท่านไม่รู้ตัว ไม่เที่ยงหรอกแต่ท่านหลงว่าเที่ยง มีความรู้จบอยู่แค่พระเจ้า ก็เคารพนับถือพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้ารู้เท่านั้น ลูกศิษย์จะรู้อะไรเท่าพระเจ้า เท่าศาสดาของพระเจ้า 

เพราะเทวนิยมไม่รู้อัตตา ไม่รู้จิตวิญญาณที่ตัวตนมี และไม่รู้จักกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบาก 

จริงๆแล้วตัวเองนั่นแหละกรรมตัวเองทั้งนั้น ไม่มีก๊อด มีแต่กรรมเท่านั้นกรรมนั่นแหละยิ่งกว่าก๊อดถ้าเรียนรู้สมบูรณ์แบบแล้วเหนือกว่าก๊อดอีก เพราะเราทำเองให้เป็นเอง สุดท้าย สลายจิตวิญญาณ เป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเลย ได้เองด้วย ไม่ต้องตายแล้วไปอยู่กับก๊อด พิสูจน์ได้เลย ก๊อดเด๋อเลย ไม่เข้ามาบัญชีนี้หายไปไหนไม่ต้องตายแล้วต้องไปอยู่กับก๊อด 

พูดไปแล้วประเดี๋ยวจะหาว่าไปพูดข่มศาสนาเทวนิยม อาตมาเองก็พยายามแต่ว่ามันต้องเปิดเผยสัจธรรม มาถึงยุคนี้แล้วเป็นยุคเฉลียวฉลาดกันหมดแล้วแม้แต่เทวนิยมก็เฉลียวฉลาด ผู้ที่แสวงหายังมีอาตมาก็ต้องระมัดระวังเพราะเขายึดติดเหมือนกัน ไปวิจารณ์วิจัยเหมือนเชิงข่มเขามาก เขาก็จะติดใจถือสาได้  เอาเรื่องเอาราว มันก็ไม่ดี ก็พยายามอยู่

สรุปแล้วเรื่องผี ให้เขามาฟังธรรมอาตมาก็แล้วกัน มาฟังธรรมอาตมาอธิบายวันนี้เป็นต้น ยาวเยอะ 

จะสังเกตได้ง่ายๆ มีตอนสึนามิ ศพมีเยอะตายกันกองพะเนิน ฝังกันเต็มถิ่นนั้นถิ่นนี้ ก็เห็นเดินกันไม่เห็นจะมาหลอกใคร คนตาย พ่อลูกลูกตาย พ่อตามหาลูก แม่ตามหาลูก แม่ตายลูกตามหาอยู่ ก็ไม่เห็นมาบอกว่า ลูกพ่ออยู่นี่ อะไรอย่างนี้ ไม่เห็นผีจะออกมาบอกเลย เสร็จแล้วก็กอง เผละกันอยู่ ฟังกันอยู่ทั่วคนมีอุปาทานก็กลัวผี ก็ไม่เห็นมาหลอกกันเลย ไม่เห็นมีข่าวคราว สึนามิตายกันเป็นหมื่น ไม่เห็นมีข่าวว่าผีหลอกกันใหญ่โต มันตายโหงด้วยนะ เขาว่าตายโหงนี่ดุ ก็ลือกันไป 

สรุปอีกทีว่าให้มาฟังธรรมะสมณะโพธิรักษ์ ผีมันไม่มีหรอก ผีหลอกไม่มี ผี หมายถึง จิตโง่ หมายถึง จิตชั่ว จิตไม่ดี จิตที่มันโง่ๆ มันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันโง่ๆชั่วๆและไปทำชั่ว ถ้าจิตดี มันก็จะทำดีหรือยิ่งเป็นโลกุตระ มันก็จะพ้นสุขพ้นทุกข์เป็นนิพพาน เป็นปรินิพพานไปเลย นั่นคือสิ่งที่สุดยอด ติดตามให้ดีๆ 

ถ้าไม่ศึกษา ตอนนี้ก็ได้โอกาสอาตมาก็จะขอสำทับลงไป เกิดมาเป็นคนนี่นะ ถ้าไม่ได้มาเจอพระพุทธศาสนามาเจอโลกุตรธรรม ถ้าไม่ศึกษาให้ดีเลยนะ คุณจะมีชีวิตไม่จบ วนเวียนอยู่ในทุกข์ในสุข ในสูงในต่ำ ในความรวยความจน ในวิบากอะไรก็แล้วแต่ บางทีก็ฐานะดี บางทีก็ฐานะแย่ บางทีก็วิบากลำบากลำบนอย่างนั้นเยอะแยะ ยิ่งกว่า บุพเพสันนิวาส หรือว่ามันเป็นบุญทำกรรมแต่งอะไรกัน ทรมานทรกรรมกันเยอะ 

เพราะคนส่วนมากไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำชั่วกันเยอะ คนจึงทุกข์ยาก พิการทรมานอยู่เยอะ ช่วยกันไม่หวาดไม่ไหว คนที่หลุดพ้นหรือว่าคนที่จะไปอยู่ได้กุศลวิบาก ได้ดีมันก็ชั่วคราวแล้วมันก็ไม่ได้รู้อย่างเที่ยงแท้ หรือแม้แต่แค่โลกียะ ทำได้ดีชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หลงไปทำชั่วใหม่เพราะมันแก้แค้นกัน มันไม่ถาวร มันไม่ชัด มันไม่เป็นแบบพุทธที่คุณทำดีเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี 

เริ่มเป็นโสดาบัน มี อวินิปาตธรรม พระพุทธเจ้ารับรองแล้ว จิตเข้ากระแสไม่มีตกต่ำ แต่ยังไม่แข็งแรง 

สกิทาคามีก็ดีขึ้น มี อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำ จนกระทั่งเที่ยง 

อนาคามีขึ้นไป เที่ยง ไม่ตกนรกแล้ว ไม่ตกต่ำอีกแล้วไปเป็นอรหันต์สูงสุดนิพพานเลย 

สรุปง่ายๆแต่มันจริงมันลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่อยากจะรู้สัจจะความจริงแล้ว มา มาศึกษา ชีวิตที่เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้กี่ล้านล้านชาติของคนทุกคนในโลกนี้ ถ้าเผื่อว่าไม่มาศึกษาศาสนาพุทธโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็รู้สัจธรรมเป็นอารยธรรมเป็นโลกุตระ ไม่มีทางจบ จะวนเวียนอยู่อย่างอวิชชา วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ วนเวียนเกิดเป็นผู้ทำชั่ว ก็ไม่รู้เรื่องผีเรื่องสาง 

ศาสนาเทวนิยมก็ไม่ได้งมงายเรื่องผีสางเท่าศาสนาพุทธไทย อันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่ามันไปเกิดได้อย่างไร 

 

เอาล่ะ หมดเรื่องของ sms 

 

ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ มีเคล็ดวิชา 9 ประการ

_มีนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ

#เก้าเคล็ดวิชา

 

1 รวมยอดสุดเก้าเคล็ด         วิชา

ชีวิตสังคมสา-                            มารถใช้

หลักปฏิบัติพึ่งพา                     กลุ่มหมู่ ประเทศเอย

โดยพ่อท่านสรุปไว้                 แจกให้โลกมนุษย์ ฯ

 

2 ที่สุดของโลกหล้า             คือทาน

เจือแจกด้วยวิญญาณ            เจตน์แจ้ง

สิ้นสาเปกโขปาน                         น้ำสะอาด พ่อเอย

ดื่มด่ำพร่ำพรมแล้ว                      ฉ่ำชื้นฤทัยปอง ฯ

 

3 ปกป้องตนรอดได้              ตลอดวัย

แลไม่ทำร้ายใคร                     แต่ให้

เสียสละอิ่มเอมใจ                    ตลอดชาติ  ชีพเอย

ด้วยทิฏฐิสัมมาได้                   แปดถ้วนปัญญา ฯ

 

4 จึ่งมาจนแบบให้                    สละทวี

ไม่คิดเป็น   กระฎุมพี                 แบบบ้า

คนจนแบบสูงศรี                     วรรณพุทธ  สุดลึก

เป็นกสิกรแกร่งกล้า                กอบกู้แก่นแกน ฯ

 

5 ดินแดนสงบสุขได้              ด้วยพลี

สร้างก่อกรรมด้วยดี               ยิ่งแล้

สาธารณโภคี                         เป็นเอก อุเอย

เศรษฐกิจแบบพุทธแท้          ถ่องถ้วนทวนกระแส ฯ

 

6 ดวงแดดีเด่นด้วย         โลกุตระ

อุ้มโอบโลกียะ                  ชุ่มชื้น

ปัญญาแปดย่อมชนะ            โลภโกรธ  หลงเฮย

เพียรเพ่งเร่งฟูฟื้น                  แก่นแท้พุทธธรรม ฯ

 

7 บำเพ็ญเพียรพรั่งพร้อม    ยินดี

ด้วยกสิกรรมท้นทวี              ประเทศไว้

ชีวิตกินอยู่ศรี                         เดินนั่ง  นอนเอย

ออกแดดแผดเผาให้            ชีพยั้งยั่งยืน ฯ

 

8 วันคืนจึ่งพรั่งพร้อม          น้อมธรรม

รู้จักรู้แจ้งกรรม                     ถ่องถ้วน

รู้จริงสิ่งควรทำ                     รู้จบ เจนเอย

รู้จิตรุ่งเรืองล้วน                    โรจน์แล้วแก้วสี ฯ

 

9 วิถีเทวะล้วน                 ไป่จบ

เป็นคู่สองครองภพ                ตลอดไซร้

ทางเอกพุทธครันครบ           ถ้วนรอบ ชอบเอย

ผุดผ่องเพริศแพร้วให้           สุดสิ้นสัมบูรณ์ ฯ

 

เป้า   ถักธรรม

 

พ่อครูว่า... แต่งได้ดี แต่งได้เป็นกวีที่เรียกว่าได้เรียนได้ฝึกมาสมควรทีเดียว มี Talent ใช้ได้แล้วก็มีความรู้ทางธรรมด้วย ความรู้ทางธรรมก็ดี ความรู้ทางกวีการก็ดี เอ้า 

 

ทีนี่ก็มาเข้าสู่เรื่องราวที่จะอธิบายต่อก็คือ เรื่องของเศรษฐกิจกับการเมือง คละเคล้ากันไป เดี๋ยวก็ไปแวะแป๊บนึงเดี๋ยวก็ไปแวะเศรษฐกิจ พูดกันมายาวนาน 

ในมนุษย์นั้นจะต้องมีความเฉลียวฉลาดเป็นอาริยะ ของพระพุทธเจ้ารวมไว้หมดแล้ว อาริยะนี้รู้หมดจะเป็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นสังคมศาสตร์ใดๆ รู้เรื่องมนุษย์รู้เรื่องสังคม เพราะฉะนั้นจะแบ่งเป็นวิชาการสมัยใหม่เป็นเศรษฐศาสตร์เป็นรัฐศาสตร์หรือว่าเป็นการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ที่เขานำหน้ากันอยู่ทุกประเทศตอนนี้ 

เทวนิยม เขาก็รู้ มันเป็นเรื่องที่ต้องมีในสังคมมนุษยชาติ แต่เขาไม่รู้จักจุดพอจุดจบ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่สามารถที่จะ ให้ปฏิบัติกันให้ทำกันสอนกันบอกกันบริหารกันอย่างไร ไม่จบกิจ เศรษฐกิจก็ไม่จบกิจ การเมืองก็ไม่จบกิจ 

มีของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจบกิจ เศรษฐกิจก็จบ รัฐกิจหรือว่ากิจการเมืองก็จบ จบคืออะไร จบคือก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่เป็นภัยเป็นโทษกับสังคมแล้ว มีแต่ประโยชน์ให้แก่สังคม สั้นๆสรุปแค่นี้ 

อย่างชาวอโศกเรานี้ทำสำเร็จเศรษฐกิจก็สำเร็จการเมืองก็สำเร็จไม่มีปัญหากับสังคม เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นภาระหนักกับรัฐบาลเลยชาวอโศกเรา ขออภัยต้องพูดความจริง มีแต่เป็นประโยชน์ช่วยรัฐบาล ช่วยสังคม ช่วยประเทศชาติ ไปเรื่อยๆ.  เพราะคำสอนพระพุทธเจ้า 

เมื่อได้เรียนคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเป็นผู้มีปัญญา ที่เป็นโลกุตรธรรม มีปัญญาโลกุตรธรรม เป็นคนจริงบรรลุจริงจึงเป็นอาริยะ จะใช้ภาษาอังกฤษว่า ศิวิไลซ์ เจริญอาริยะศิวิไลซ์ แต่มันเป็นแบบพุทธของพุทธ 

เพราะฉะนั้นศิวิไลซ์หรืออาริยชนแบบพุทธ เป็นอาริยบุคคล 4 เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์หรือเป็นนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ จัดการกับเศรษฐกิจและการเมือง แต่ละคนก็จัดการของตน เป็นนักเศรษฐกิจ เป็นนักการเมืองของตนเองชนิดจบกิจถ้าเป็นอรหันต์ 

เริ่มต้นเป็นโสดาบันก็เป็นคนไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษต่อโลก อาจจะมี Error เป็นภาระบ้าง ถ้ายิ่งสกิทาคามี ก็ยิ่งน้อยลงในภาระ อนาคามีไม่เป็นภาระต่อโลกต่อสังคมแล้ว มีแต่จะช่วยโลก เป็นอรหันต์ถือว่า จบรอบ มีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียวไม่มีโทษเลย 

เพราะฉะนั้นจะช่วยทั้งกิจที่เป็นเศรษฐศาสตร์ ทั้งกิจที่เป็นรัฐศาสตร์หรือการเมืองไม่มีปัญหา ไม่ก่อปัญหาให้แก่หมู่แก่สังคมแก่ประเทศ หมู่กลุ่มชุมชนชาวอโศกหรือชาวสันติอโศกที่คนทั่วไปเขาเรียกขาน กันนี่แหละ

เป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาการเมือง อยู่ในประเทศไทย เป็นกลุ่มหมู่ที่ไม่มีปัญหาไม่ว่าเศรษฐกิจหรือการเมืองอยู่ในประเทศไทย และ ในประเทศอื่นก็หาอย่างนี้ได้ยาก หรือจะไม่มีเอาด้วย 

ไม่มีนี่หมายความว่า ชาวอโศกนี้เป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาแต่มีปัญญา เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจก็ตาม การเมืองก็ตาม นอกจากไม่เป็นโทษเป็นภัย ไม่เป็นภาระของรัฐบาลแล้วยังช่วยด้วย ช่วยเศรษฐกิจ ช่วยการเมืองให้แก่สังคมประเทศชาติ ต่างกันกับอย่างพวกเชนเขาก็ไม่เป็นภัยให้แก่สังคม เอาตัวรอด แต่เขาไม่เป็นประโยชน์แก่สังคมเลย 

หรือศาสนาพุทธที่เพี้ยนๆมิจฉาทิฏฐิไปหลับตานั่งสงบเข้าป่าก็แนวเดียวกันกับเชน แต่ยังไม่จัดจ้าน ไม่สุดโต่งเท่ากับเชน เท่านั้นเอง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่เป็นภัย ไม่เป็นโทษอย่างสนิทเลย เด็ดขาดด้วย เพราะจิตวิญญาณล้างเหตุคือล้างกิเลสที่เป็นตัวเหตุหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันที่จะเป็นโทษเป็นภัย สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) นอกจากไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่สังคมแล้วยังมีกุศลสมบูรณ์แบบเลย กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) นี่คือของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ 

อาตมาก็ภาคภูมิใจว่าอาตมาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราทำเป็นโลกุตตรธรรมทำได้ผลจนเกิดผลจริง 

วันนี้เขายังไม่เชื่อ เพราะถูกคณะใหญ่ที่คนนับถือ มาตีตราว่าเรานอกรีตเราผิดแล้วเราไม่ถูก ก็เลยทำให้การเชื่อถือคณะใหญ่หลักใหญ่มีอยู่ เพราะเขาก็ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด ยิ่งเป็นโลกุตตระยิ่งรู้ยาก 

ขนาดเถรสมาคมเป็นคณะของศาสนาพุทธเองยังไม่เข้าใจเลยก็ยังมาเล่นงานสิ่งที่ถูก มันซ้อนอยู่นะ ก็เลยไปให้คนสามัญที่เป็นเขาที่ยังไม่ได้เป็นผู้ที่ศึกษาเอาจริงเอาจังอยู่ มารู้เท่าเถรสมาคมได้อย่างไร ขนาดเถรสมาคมยังเข้าใจผิดอยู่ ยังเข้าใจถูกไม่ได้ ตัวเองก็ยังทำไม่ได้ แต่ที่เราทำได้นี้เขาเข้าใจไม่ได้ แล้วเขาเข้าใจเราผิดเขาก็เลยจะเล่นงาน แต่เล่นไม่ได้เพราะว่า ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง เราก็เลยทำมาได้ 40-50 ปีแล้ว อาตมาอยากจะอยู่นานๆเพื่อจะยืนยันต่อไปอีก เพื่อที่จะดูรักษาเวลาเลยว่า 

1.พวกเราจะจริงไหม พิสูจน์กับโลก พวกเรานี้จะถาวรยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตามพวกคนนี้พวกคุณจะออกไปจากวิถีแบบนี้ไปอยู่วิถีอื่นทางโลกียะเขาไหม ...ไม่ 

โอ้โห…หนักแน่นดีจังเลย จริงๆ มันเรื่องจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้วถ้ามันลงเข้าล็อคเข้ากระแสแล้วมันไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีตกต่ำ อวิปริณามธัมมัง ยิ่งนิยตะ เที่ยงแท้แล้วมันจะมีแต่ไปสู่ที่สูงที่สุดอย่างเดียว สัมโพธิปรายนะ 

พวกคุณพิสูจน์สิแล้วจะรู้ว่า เราจริงเหมือนกันนะ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์จริงๆใช่ไหม 

พวกชาวอโศก พวกคนข้างนอกเขาจะเรียก สันติอโศก ก็ไม่เป็นไร เป็นสังคมตัวอย่าง ที่ยืนยันได้ว่าเป็นผู้ที่หมดจบกิจในเรื่องเศรษฐกิจในเรื่องรัฐกิจ 

ทีนี้ก็เข้ามาหาจอมยุทธล่ะทีนี้ ในหนังจีนเขามีจอมยุทธ นั่นแหละเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ โกวเล้ง กิมย้ง มังกรหยกก็แล้วแต่ โกวเล้งมีเยอะกว่ากิมย้ง แต่กิมย้งทำแก่นมากกว่า

ผู้บริหารประเทศที่ดี คือ จอมยุทธโลกุตระ อาตมาก็ Rewrite ที่เขียนไปแล้วเติมแก้เข้าไปอีก 

2) ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ

ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ” ผู้มี“ปัญญา”กันจริง ก็จะมี“ความรู้-ความสามารถ”ระดับโลกุตระ ที่มี“เคล็ดวิชา 9 ประการ” ทำงานอยู่ในสังคมประเทศ เช่น 

1)ป้องกันตนเองได้  

2)ไม่ทำร้ายใคร  

3)ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย  

4)มีปฏิภาณปัญญาเป็นโลกุตระ(ที่สัมมาทิฏฐิ)  

5)เป็นคนผู้เสียสละอยู่เป็นปกติของชีวิต  

6)สำนักของจอมยุทธนี้ก็จะพาคนมาจน  

7)สำนักนี้อยู่กันอย่างสาธารณโภคี  

8)จอมยุทธจะพยายามพาคนให้มาเป็นกสิกร ทำอาชีพสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักให้มากๆ จะโน้มนำให้คนที่มีอาชีพอื่นใดอยู่ก็มาเป็น“กสิกร”ควรแปรชีวิตมาเป็นกสิกร“ดีที่สุด” จะไม่พากันไปสร้างอาวุธเลย  

9)“จอมยุทธโลกุตระมือหนึ่งในยุทธจักร” คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ “เทฺว”ด้วย“ปัญญา 8” 

ผู้สำเร็จจบครบเคล็ดวิชาทั้ง 9 นี้ คือ คนผู้มี“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เพราะเป็นผู้มีทั้ง“สมาธิ-สติ-ปัญญา”สามารถทำ“อธิปไตย”ได้เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“โลก-อัตตา-ธรรม”ครบถ้วนกระบวนการจึงอยู่เหนือ“โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย” 

อาตมานำคำสอนพระพุทธเจ้า ภาษาบาลีที่อาตมารู้จักสภาวะและเข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ของมันด้วย 

พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ คืออายะ 3 ส่วนอธิปไตย 3 คือ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย  

อายะ แปลว่า ประโยชน์แปลว่า กำไรหรือสิ่งที่ได้ แปลว่า รายได้ เป็นสิ่งที่ได้มา เป็นประโยชน์ที่ควรสร้าง 

หิตายะ ก็คือ ประโยชน์ ประโยชน์ที่มนุษย์พึงได้ พึงมี พึงเป็น 

พหุชนะ ก็คือ มวลประชาชน พหุ คือใหญ่ ชนะ คือประชาชน

คือเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่มวลประชาชน 

พหุชนสุขายะ คือทำความสุขให้กับมวลประชาชน 

อนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลโลก อนุกัมปายะ เป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่โลกอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้จักโลก รู้จักอัตตา รู้จักธรรมะ แล้วมีอธิปไตยเป็นพลัง พลังอธิปไตยที่เป็นโลกุตระ อยู่เหนือโลก เหนืออัตตา หรือจะเรียกว่าเหนือธรรมะก็ได้เพราะเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่เหนือจริงๆ เป็นอุตตระ 

เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะปฏิบัติแล้ว จิตเกิดสมาธิหรือสมาหิโต เป็นจิตตั้งมั่นก็เป็นแกนจิตแข็งแรง สามเส้ากับสติและปัญญา

เจโตสมาธิตั้งมั่น แล้วมี Dynamic 2 ตัว สติก็ดี ปัญญาก็ดี 

เจโตสมาธิ เป็น Static เป็นฐานตั้ง ส่วนสติกับปัญญาเป็นตัวที่ตื่นรู้เข้าใจสังคม เข้าใจมนุษยชาติ เข้าใจพฤติกรรม แล้วก็มีปัญญาเฉลียวฉลาด รู้ยิ่งว่าควรอย่างไรเป็นอย่างไร ที่ดีที่สุด 

เจริญแบบโลกียะก็รู้ฐานของโลกียะ ยิ่งเจริญเป็นโลกุตระซึ่งทวนกระแสกับโลกียะก็รู้ แล้วก็ประมาณว่าให้เจริญโลกียะอย่างนี้ก่อนได้ขั้นนี้แล้ว แล้วเอาโลกุตระใส่เข้าไปอีกเพื่อที่จะได้ ซ้อนซับซ้อน สูงยิ่งขึ้นหมดอัตตาหมดตัวตน แล้วช่วยผู้อื่นได้อย่างดียิ่งสมบูรณ์แบบ 

นี่คือสัจจะที่อธิบายง่ายๆคร่าวๆขยายความตรงนี้ให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นอธิปไตยทั้ง 3 อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  รวมเรียกว่า ประชาธิปไตย ภาษาสมัยพระพุทธเจ้านั้นยังไม่มี ก็คืออธิปไตย 3 นั่นแหละเพราะรู้โลกรู้อัตตาและรู้ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม จึงอยู่เหนือโลกในอัตตามันไม่ไปแบ่งส่วนอะไรแก่โลกเพราะท่านไม่มีตัวตน 

ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและปฏิบัติจนสำเร็จ เป็นจอมยุทธ

“จอมยุทธ”ผู้“อยู่เหนือ”ซึ่งภาษาก็ว่า“อุตตระ”จึงเป็นผู้สามารถพาสังคมหมู่กลุ่ม“พ้นปัญหาเศรษฐกิจ”ที่เป็นเรื่อง“เงินทอง” และ“พ้นปัญหาการเมือง”ที่“จบกิจ”ในเรื่อง Gross Democratic Product ด้วยฝีมืออันเก่งกาจ

เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบครบทั้ง 1) เศรษฐศาสตร์การวัตถุเงินทอง       2) รัฐศาสตร์การเมือง 3) สังคมศาสตร์การธรรมะ” ว่า “วัตถุเงินทอง”ก็ดี “เมืองและสังคมพลเมือง”ก็ดี “ธรรมะ”ก็ดี จะจัดการอย่างไรจึงจะเหมาะควรที่สุด 

จอมยุทธจัดการได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”นั้นๆจริงด้วย“ความรู้”แบบโลกุตระ ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา”

 

ความรู้โลกุตระในยุคนี้พ่อครูเป็นผู้ยืนยันเอง

พ่อครูว่า... 

3) “ความรู้”โลกุตระในยุคนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันเอง

และ“ความรู้ความเห็น”ที่อาตมาแสดงออกไปนี้ 

เป็น“ความรู้เฉพาะของอาตมาเอง” อาตมาได้มาแต่ของเก่า พิสูจน์ยืนยัน มันไม่เหมือนกับของที่เขามีกันอยู่ในจอมยุทธซึ่งเขาก็มีจอมยุทธหลายสำนักเหมือนอย่างในหนังจีน สำนักไหนที่ยิ่งใหญ่เขาว่า สำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม รู้จักสำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม ไม่ใช่สำนักเสื้ยวลิ้มยี่นะ นี่แหละ อาตมาเป็นเจ้าสำนัก เป็นจอมยุทธอยู่ในนี้ 

เขาก็มีไม่รู้กี่คณะ คณะมหาบัว คณะเถรสมาคมและอาจารย์อีกตั้งไม่รู้กี่ เยอะแยะ มีลูกศิษย์ลูกหา มีเคล็ดวิชาของเขาต่างๆนานา ต่างคนต่างใช้เคล็ดวิชาของตัวเองสอนลูกศิษย์แล้วก็เอามาอาละวาดกันอยู่ในสังคม 

แต่ดีที่ศาสนาพุทธไม่ทะเลาะกันถึงขั้นเป็นสงคราม อย่างนี้ก็อวดดี เถียงไปเถียงมา ของข้าดีกว่า ปฏิโกสนา ว่ากันแรงๆ มันเป็นธรรมชาติมีเท่านั้น 

ที่อาตมาได้มาจากพระพุทธเจ้า อันไม่ใช่แบบ“โลกียะเทฺวนิยม”ที่ชาวโลกซึ่งยังถูก“เทฺว”ครอบงำเล่นเล่ห์หลอกอยู่มากมายในโลก

เพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ภาวะของเทฺว”

ซึ่ง“ความรู้”ภาวะของเทฺวนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเอง ความเป็น“เทฺว”นั้นต้องรู้“ด้วยตัวเอง”จึงจะแท้และต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย“ความรู้”ที่เป็น“ปัญญา”อันเข้าขั้น“โลกุตระ”จึงจะ“รู้จบ-ทำจบ”ได้

ยุคนี้ไม่มีใครในโลกปัจจุบันจะสามารถ“ตัดสิน” ความเป็น“โลกุตระ”ได้เด็ดขาด ว่า ถูกต้องแท้คือไฉน? 

แต่คนสามัญทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า “แตกต่าง” จาก“ความรู้”ที่มันยังมีความเป็น“โลกียะ”กันไม่ยากเลย

อย่างชาวอโศกกับชาวโลกียะแยกกันได้ไม่ยากเลย มันแตกต่างกันชัดๆ แล้วเขาจะบอกว่าพวกนี้มันบ้าหรือเปล่า ซึ่งเราเข้าใจ เราเองเราก็ไม่มีปัญหาเราก็เข้าใจเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 

ตรงที่มัน“ทวนกระแส” มันแปลกประหลาดมาก! 

เช่น คนโลกียะจะนิยม“ความรวย” แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความจน” เป็นต้น หรือคนโลกียะจะนิยม“ความสุข”กัน แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความไม่สุขไม่ทุกข์”

เรื่อง“สุข-ทุกข์”นี้แหละที่เป็น“ความรู้”ที่แปลกแยกแตกต่างจากคนโลกียะหรือเทฺวนิยมไปชนิดที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งยวด

เพราะคนโลกียะจะรู้สึกตื้นๆง่ายๆว่า มีด้วยหรือที่คนจะ“ไม่เอาสุข”  ถ้าไม่เอา“ทุกข์”ใครๆก็เข้าใจได้

แต่คนที่ไพล่ไปคิด“ไม่เอาสุข”นั้น จะคิดบ้าๆ แปลกประหลาด พิกลพิการ วิตถารไปหรือเปล่า? 

สำคัญไปกว่านั้นคือ ทั้งๆที่เป็น“ความรู้”เรียกว่าโลกุตระ แต่มันประหลาดแปลกแตกต่างไปจากความเป็น“โลกียะ”ชนิดที่เดาเอาไม่ได้ ถึงกระนั้นมันก็ยังมีคนปฏิบัติบรรลุธรรมได้สำเร็จจริงด้วย และผู้ทำได้เป็นได้ก็จะยืนยันด้วยว่า มัน“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”แท้จริง 

แม้แต่คนผู้ที่บรรลุโลกุตรธรรมได้น้อยนิดก็ตาม ก็มีความรู้สึก“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”ไปตามลำดับด้วยจริง 

แล้วจะนับว่า เป็น“ความจริง”หรือเป็น“ความถูกต้อง”กันหรือไม่? ได้อย่างไร? ใครจะเป็นผู้ตัดสิน? 

ก็ให้นับเอาจาก“คน”ที่มี“อาการของพฤติกรรม”

ทางกาย-วาจา-ใจ ดำเนินชีวิตปรากฏให้เห็นได้อยู่ว่า มันเข้าข่าย“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเอง ว่า มันจริงมั้ย?

คำ 8 คำสำคัญนี้เป็น“ภาวะอันเยี่ยมยิ่งวิเศษยอด”

ที่คน สังคมคน ควรได้ ควรมี ควรเป็น ตามที่อาตมาเห็นนี้

อาตมาพูดอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่า ชาว“โลกียะ”จะเห็นว่า มันเข้าท่ามั้ย?  อาตมาก็ไม่อาจทราบได้

อิสระ คำแรกคำเดียวนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีได้ง่ายๆ เทวนิยมไม่มีอิสระในคำแรกเลย อย่างน้อยก็เป็นทาสพระเจ้า เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปด้วย อิสระคำเดี๋ยวนี้ แต่ของพระพุทธเจ้ามีอิสระจริงๆเลยตัวใครตัวมันทำเอากรรมใครกรรมมันทำสำเร็จได้ดีได้ชั่ว หรือจะหลุดพ้นนิพพาน ไม่นิพพาน ตัวคุณเองรับผิดชอบ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ

อาตมาพูดคำเหล่านี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเทวนิยมจะรู้ได้ไหม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... มาฟังสิ่งที่พ่อครูได้เขียน ได้เรียนรู้ว่าโลกุตระต้องมาฟังจากพ่อครูเท่านั้นในยุคนี้ 

พ่อครูว่า... เพราะ“ความรู้ทางโลกียะ”ที่ไปเล่าเรียนเอาจากมหาวิทยาลัยนั้น อาตมามีน้อยนิดจริงๆ อาตมาเล่าเรียนไม่เคยจบแม้ปริญญาตรี ไม่เคยไปเมืองนอกในชาตินี้เลย 

อาตมาพูดไปแล้วไม่รู้ว่าทางโลกียะเขาจะว่าเข้าท่าไหมหรือมันคุยเพียงโก้ๆ สวยๆ มีท่าทางมีความเป็นจริงไหม อาตมาก็ไม่รู้เพราะความรู้ของคนทั้งโลกเขามีเยอะ เขาฟังอาตมาแล้ว อาตมาเป็นคนมีการศึกษาน้อย จริงๆนะอาตมาไม่ได้พูดเล่นลิ้นอะไรหรอก ไม่ได้พูดทำโก้ถ่อมตัว อาตมาถือว่าความรู้โลกียะหมด จะวิชาการอะไรก็แล้วแต่ ปริญญาที่ไม่ใช่พาบรรลุนิพพาน ไม่ได้ปริญญาที่พาพ้นทุกข์ พูดไปแล้วเป็นเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น ไปหลงยิ่งใหญ่กับความรู้ตนเอง แล้วก็ส่งเสริมความรู้ตนเองแต่ละด้าน แต่ละแขนงไปตลอด มันไม่ได้ละหน่ายคลาย 

ชาตินี้ก็ถูกแล้ว แต่ก่อนก็สงสัยว่า ทำไมอาตมาเอง มันสมองความเฉลียวฉลาด แค่ปริญญาตรี ทำไมไม่ได้สักใบกับเขา แต่ก่อนนี้อาตมาก็ยังรู้สึกด้อยตัวเอง แต่ทุกวันนี้เข้าใจแล้ว ว่า อาตมาจะต้องพิสูจน์ว่า อาตมาจะไม่ใช้ความรู้โลกีย์ มาทำงานทางธรรมะ เอาธรรมะโลกุตระเพียวๆ ตอนหลังที่เข้าใจแล้วก็รู้ว่า มันต้องเป็นเช่นนี้ ไม่งั้นไม่เป็นการพิสูจน์หรอก 

ไม่ได้เรียนมาก็เก็บมาประกอบเล็กๆน้อยๆขยายความอาศัยเป็นฐานอาศัยให้คนอื่นเขารับรู้ตามมาบ้างเท่านั้นเอง จะใช้ภาษาอังกฤษ จะใช้ความหมายตามโลกเขาอย่างนั้นอย่างนี้ อาศัยไปอย่างนั้น อาตมาไม่ได้เรียนมา ถูกแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าทำไมอาตมาไม่ได้จบปริญญาตรีกับเขา ไปเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้ไปกับเขา แม้แต่ท่านเพาะพุทธก็ไปมาไม่รู้กี่ประเทศ อาตมาด้อยกว่าเยอะแยะ ไม่ได้ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แล้วจริงๆใจก็ไม่ได้อยากไปก็เห็นว่าจะไปทำไม 

ต่างประเทศ มีอะไรเหนือกว่าพระพุทธเจ้า มีอะไรเหนือกว่าความรู้ที่อาตมาว่าเป็นความรู้ทางมนุษยชาติ สังคมมนุษย์ เมื่อย ไปก็เมื่อย ไม่ได้คิดอยากไป เขาพร้อมที่จะจ่ายสตางค์ให้ไปนะ อาตมาก็ว่าไม่ไป 

“ความรู้”ที่อาตมาจะแสดงออกไปนี้จึงเป็นความรู้ ความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่ออย่างมั่นใจ ว่าเป็นแบบ“โลกุตระ”ที่อาตมามีติดตัวข้ามชาติมาแต่ชาติปางก่อน เพราะอาตมาได้บำเพ็ญ“โพธิสัตวภูมิ”สั่งสม“สัมภารวิบาก”อยู่ ซึ่งก็เป็นอจินไตยที่ยังเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ 

“โลกุตรธรรม”นั้นแน่นอนว่า มันย่อมแตกต่างไป 

ไม่ตรงกับผู้รู้เศรษฐศาสตร์โลกียะ หรือไม่ตรงกับผู้มีครู มีอาจารย์ มีตำราเรียนกันมาแบบสากลในโลกเทฺวนิยมทั้งหลายนั้นแน่ยิ่งกว่าแน่ แม้ชาวพุทธผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ 

 

เศรษฐกิจ ต้องแก้ปัญหากันทาง จิตวิญญาณ

พ่อครูว่า... 

4) “เศรษฐกิจ” ต้องแก้ปัญหากันทาง“จิตวิญญาณ”  

“เศรษฐศาสตร์”คือ“ภาวะแห่งความเป็นจริง” ที่เป็น“สัจธรรม”ทาง“จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงินๆทองๆ”ที่หลงยึดถือกันสูง หลงหนักจัดว่า “ตัวเลข”

นั่นแหละ คือ“พระเจ้า” หรือเคารพบูชากันอยู่แต่จำนวน

ของ“ตัวเลข”ที่แข่งขันกันสูง-แก่งแย่งกันมากยิ่งๆเท่านั้น

เศรษฐกิจเจริญของชาวอโศกยิ่งมีตัวเลขรายได้ 0 ตัวเลขน้อยนั่นแหละคือยิ่งเจริญ 

ที่จริงแล้วมันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ ถูกต้องจริง แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ” ได้นิรันดรเด็ดขาด ถ้าไปหลงมุ่นแก้กันอยู่แค่“ตัวเลข”  

เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”กันหนักหนาสาหัสนั้น นั่นคือ หลงจำนวน“ตัวเลข”โดยหลงยึดถือ

เอา“รายได้องค์รวม”ที่เป็นเงินทอง แล้วก็นับจำนวน“ตัว เลข”มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันความเจริญ“เศรษฐกิจ” 

มันก็เป็นการหลงผิดว่า ความสำคัญของมนุษย์ทั้งหลาย

อยู่ที่“เงินทอง” หลงผิดกันว่า ชีวิตคนจะยิ่งใหญ่ทำให้อยู่ดีมีสุขได้ด้วย“เงินทอง”เท่านั้น “เงินทอง”สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น

“ที่พึ่ง”คือ“พระเจ้า”คือ God ของชีวิตคนทั้งหลายทั้งหมด

ก็ขอยืนยันว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแต่ “ตัวเลข-วัตถุ”นั้น ไม่มีทางสำเร็จเสร็จสิ้น ถึงขั้นไม่ต้อง “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก “จบกิจ”เด็ดขาด ได้แน่นอน

และยิ่งไปหลงยึดเอา“ความสูงของตัวเลข”ที่เป็น“จำนวนรายได้ทางวัตถุ”มาเป็นเครื่องวัดสำคัญยิ่งกันซึ่งชาว“โลกียะ”สามัญปุถุชนทั่วไปในโลกเขาใช้กันอยู่นั้นก็ขอรับรองว่า “ไม่มีที่สิ้นที่สุด”ได้สำเร็จเด็ดขาด 

ถ้าแม้นไม่หันมา“แก้ปัญหาเศรษฐกิจกันทางจิตวิญญาณ” ซึ่งต้องเกิด“ปัญญา” โดยเฉพาะใช้“ทฤษฎี”ของพระพุทธเจ้าที่เป็น“โลกุตระ”กันให้“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะได้เพราะมันไม่มีขีดจำกัดเลย ว่า “ความสิ้นสุดของความโลภ”หรือ“ความสิ้นสุดของความต้องการอยากได้ของคนที่เป็นเรื่องของ“จิต” มันจะรู้จัก“พอ”กันตรงไหน? 

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ด้วย“ทฤษฎี”ชาวโลกที่มี“ความรู้-ความฉลาด”แค่ชาว“เทฺวนิยม”มีกัน จะสูงส่ง เก่งกาจเต็มที่ปานใดๆก็ตาม มันก็มีแต่แบบ“โลกียะ”อยู่ เป็นแค่“ความรู้-ความฉลาด”ที่ยังเป็น“เฉโก”กันเท่านั้น

มันยังไม่ใช่“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ที่มีความรู้-ความฉลาดของ“พุทธ”ที่เป็น“อเทฺวนิยม”คือ ผู้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ“เทฺว”อย่างสัมมาทิฏฐิ และจัดการกับ“เทฺว”ได้ สูงสุดถึงขั้น“อนัตตา-นิพพาน”และทำสำเร็จ“สูญ”นิรันดร

จึงจะสามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จกิจ “จบกิจ”กันถึงขั้น“ไม่ต้องแก้ปัญหา”กันแล้วๆเล่าๆ เพราะมี“ความสำเร็จเสร็จจบ”ที่บริบูรณ์สัมบูรณ์นิรันดร

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ




































 

โลกียะ กับ โลกุตระ มีประเด็นที่แตกต่างกันอย่างสำคัญยิ่งใหญ่ยิ่งยอด คือ...

คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส จะเป็นจะตายกันก็แต่ว่า ใครจะหาทางได้ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุดเก่งกว่ากัน แล้วก็แข่งกัน“หาเสียง” ว่า “ข้านี่แหละ” ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศ เสพยศ มีสรรเสริญสักการะมากยิ่งๆ ก็เสพ สรรเสริญสักการะ ได้ยิ่งๆ อยู่นานยิ่งๆ เสพกันให้หนักยิ่งๆ

แต่คนโลกุตระ ก็เหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส ที่จะให้คนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ลาภยศสรรเสริญสุข”นั้น “คนโง่”พากันวิ่งไล่ ยื้อแย่ง ฆ่าแกงกันมานานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

ซึ่งคนโง่ยิ่งงมงายสะสม“วิบาก”ให้แก่ตน“โง่หนักทับถมโง่”ใส่จิตไปอีกยิ่งขึ้นให้ยิ่ง“ชั่ว” ยิ่ง“เลว” ยิ่ง“ร้าย” ยิ่ง“แรง”หนักหนาไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่รู้ว่า“ชั่ว-เลว-ร้าย”

“คนโลกียะ”คือผู้ยังมี“อวิชชา”ซึ่งมันยังมี“ความโง่”

คนโลกียะทั้งหลายก็จะ“วนเวียน”อยู่กับ“สมบัติผลัดกันชม”กันไป ไม่มีสิ้นสุด หยุด“จบกิจ”จริงกันได้เลย  

คนโลกียะทั้งหลาย“เลิกโง่-หยุดโ่ง่”กันไม่ได้นิรันดร

เพราะยัง“อวิชชา” หรือยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่แท้

เขาจึงมุ่งมั่น“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอยู่แต่“วัตถุ” แต่“ตัวเลข” แต่“ทฤษฎีโลกียะ” ยัง“อวิชชา”ใน“จุดแท้”

ไม่รู้ว่า“เหตุ” ที่เป็น“จุดแท้”ที่ต้องแก้กันนั้น คือ 

ทาง“จิตวิญญาณ” ที่ต้องให้คนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่า “ความจน”ก็ดี “ความพอ”ก็ดี “ความไม่สะสม”ก็ดี นั้น เป็น“คุณวิเศษ”ที่เป็น“อุตตริมนุสสธรรม”ของคนผู้เป็น“อาริยะ”แท้ 

ผู้ประเสริฐแท้ เพราะมี“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“ปัญญา”

“จิตวิญญาณ”เลิก“เฉโก” ไปเป็น“ปัญญา”

“เฉโก”นั้นคือ “ความฉลาดที่บงการด้วยกิเลส”

ส่วน“ปัญญา”คือ “ความฉลาดที่บงการด้วยการลดกิเลส”ไปได้เรื่อยๆตามลำดับ กระทั่งจิต“ไม่มีกิเลส” 




 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2566 ( 13:26:45 )

660327

รายละเอียด

660327 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #16 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53006.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/137JmerIPQ1rGuIY-wGDiKhb1dwV26dCF/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1KhBsbZkvOHfR5Xs42rq85Xw1rXxhaxHq/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/A2HOO4Q501A 

และ https://fb.watch/jxjSKBfLQy/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ

 

SMS วันที่ 24 - 26 มี.ค. 2566

_วรัช นาวาบุญ · กราบพ่อครูครับ กราบเรียนถามครับ ผมอายุ 73 ปีเกิดพ.ศ. 2492 ผมย้ายไปอยู่ที่บ้านราชเลยได้ไหมครับ ย้ายทะเบียนบ้านนะครับ ผมยังทานเนื้อสัตว์บ้างตามครอบครัวครับ งานปลุกเสกปีนี้ผมไปครับ และจะไปแจ้งเจตน์จำนงค์กับผู้ใหญ่ใช่ใหมครับ งานจะให้ผมอยู่ฐานใหนก็ได้ครับ มีปมด้อย ยกของหนักมากไม่ค่อยไหวครับ กราบนมัสการเรียนถามครับ ด้วยความเคารพยิ่ง

ถ้าไม่มีเหตุ เป็นภาระทางพุทธสถานเกินไป จักขออาศัยฝากกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารใว้กับแดนพุทธราชธานีครับ ขออาริยะบุคคลทั้งหลายช่วยเมตตาแนะด้วยสอนด้วยครับ สาธุ

พ่อครูว่า... กินเนื้อสัตว์อยู่บ้านกับครอบครัวแต่มาอยู่ที่นี่ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้ามาอยู่ที่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์เลยก็มาได้ 73 ปีก็ไม่ แต่ก่อนนี้อาตมาก็บอกว่า 60 แล้วไม่อยากจะให้มาแต่เดี๋ยวนี้ก็เอาเถอะมาเถอะไม่มีปัญหาอะไร 

 

_ไพร จริยา  · ที่สันติอโศกถือว่ามีปัญหาไหม? เรื่องจอดรถ เห็นมีคนประท้วงและบอกว่า สันติอโศกเอาเปรียบสังคม

พ่อครูว่า... ก็เป็นปัญหาเพราะว่าไม่มีปัญญา คนไม่มีปัญญาก็มีปัญหา ก็เห็นสันติอโศกเขาไม่เห็นมีปัญหาอะไร ก็มีปัญหาอยู่คนเดียว คนที่สันติอโศกเขาไม่เห็นมีปัญหาอะไร คนไม่มีปัญญาก็มีปัญหา 

จริงๆแล้วไปมีความทุกข์ ทุกข์เพราะว่าไปแบก ไปแบกเหตุผล ไปแบกที่ตัวเองตั้งเป้าจะต้องเป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าไม่มีความสำนึกในสาธารณะ 

แล้วคุณนั่นแหละไม่มีความสำนึกในสาธารณะ ที่จอดๆกันอยู่นั้นก็เป็นเรื่องสาธารณะ ขนาดเจ้าหน้าที่เขายังไม่มายุ่งด้วยเลย จอดรถ เจ้าหน้าที่เทศกิจเขายังไม่มาว่าอะไรเลย เขาก็เห็นเป็นสาธารณะ ที่จริงถนนเป็นส่วนสาธารณะแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เทศกิจเขาไม่ได้ติดใจอะไร แต่คุณนั้นเป็นประเด็นปัญหาเอง คุณคนที่ไปจัดการวุ่นวายหาว่าสันติอโศกเอาเปรียบสังคม  

ก็ที่นั่นเป็นสังคมกลุ่มของชาวอโศกเขาไม่มีปัญหา แต่คุณน้อยนี่มีปัญหาเอง ก็อยากจะเป็นนายแบกทุกข์ เพราะว่ามีปัญหาก็แบกไป ก็คงจะซักซ้อมไปเป็นนายกมั้ง ซ้อมแบกๆไปเดี๋ยวก็ได้เป็นนายกนะ 

 

_จรรยา ประเสริฐ  · วันนี้ออกนอกบ้านไปทำธุระ ที่ตลาดเสนานิคม เห็นเจ้าคุณอลงกต ท่านออกบิณฑบาต ตอนประมาณ เกือบ 9 โมงเช้า คนใส่บาตรด้วยเงิน ทั้งไทย ทั้งพม่า แรงงานต่างด้าว มีคนเดินประกาศ ว่าเอาเงินไปช่วยคนป่วยที่วัด เจ้าคุณอลงกต เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ยิ้มแย้มแจ่มใส คนมาใส่บาตรด้วยเงินเป็นแถว ดิฉันเห็นแล้ว ต้องเดินก้มหน้าหลบไปอีกทางหนึ่ง ด้วยความรู้สึก ประเดประดังเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก บอกตัวเองว่า ของใคร ก็ของมันหนอ ทางเรามาทางนี้แล้ว ก็อย่าไปเศร้าหมองอะไรเลย กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ก็จริงอย่างคุณจรรยา ประเสริฐว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของพระหรือของภิกษุที่จะไปรับแบก ต้องไปช่วยคนป่วย ต้องไปรักษาคนป่วย ต้องเอาคนป่วยมาแบกมาหาม มันไม่ใช่เลย ก็ท่านทำมันก็ต้องทุกข์ของท่านเอง เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ มันไม่ใช่เรื่อง ว่าจริงๆแล้วทำผิดวินัยด้วย ภิกษุไปรักษาไข้รักษาคนเจ็บป่วยไม่ได้ ก็ผ่านไป 

 

_พรศรี ทองเกษร  · หัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตย ใครได้กราบนับว่าเป็นคนที่โชคดีมากๆเลยค่ะ เพราะท่านเป็นคนที่ควรเคารพบูชาคนหนึ่ง

พ่อครูว่า... มีคนเคยท้วงว่า มากราบฆราวาสทำไม ก็ต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างรู้สึก มันเป็นจิตบริสุทธิ์ของแต่ละคน เป็นสิทธิไม่ได้ไปบังคับอะไรกัน ก็เป็นไปตามธรรม 

 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · กราบนมัสการพ่อครูสอนดีมากพูดเรื่องการเมืองได้ดีมากชัดเจนและช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวทันการณ์ เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดต้องพิสูจน์ให้โลกนี้ค่ะ

พ่อครูว่า... เอา คนที่เห็นก็มี 2 แบบ 2คนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม เป็นธรรมชาติ

 

_แดง สารคาม  · จะอธิบายให้คนที่บ้านเข้าใจเรื่องการเมืองได้ยังไงคะ คนที่บ้านเกือบทั้งหมู่บ้านเกลียดลุงตู่ทั้งนั้นเลยค่ะ แม้น้องเขยก็เกลียดลุงตู่ค่ะ

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · กราบคารวะพ่อครูครับ คนในหมู่บ้านลูกอ.รัตภูมิ สงขลาสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยเกือบ 30 คนครับ..

 

_สุธน สายทอง Suton Saithong • ผมฟังธรรมพ่อท่านมาสองปี ฟังแล้วนำไปปฎิบัติ ลด ละ จาง คลายได้จริงครับ ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดครับ

พ่อครูว่า... ดีมาก ส่งข่าวอย่างนี้ก็ดี อาตมาก็สบายใจที่เทศน์ไปแล้วบรรยายธรรมะของพระพุทธเจ้าไปแล้วคนนำไปประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผล บอกว่า ละหน่ายจางคลายจากกิเลส เป็นความได้มรรคได้ผล ซึ่งต้องเป็นความมีปัญญาที่จะรู้จักจิตวิญญาณจิตใจของตัวเองว่ามัน ละหน่ายจางคลายจากกิเลส มีอาการ ละหน่ายคลาย จากอะไรก็แล้วแต่ ที่ยืนยันบอกไปว่าละหน่ายคลาย จากวัตถุจากทรัพย์สินเงินทอง เห็นว่าจิตของเรามีอาการ ละหน่ายคลาย ก็เป็นการอ่านจิตใจของตนเองเป็นอ่านละหน่ายคลายเป็น เป็นการปล่อยการวาง เป็นเรื่องของศาสนาพุทธโดยตรง 

 

_คุณดินดี ณ อุบล ... กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพค่ะ ปัจจุบันคนจำนวนหนึ่งสร้างความมั่นคงหลังความตายโดยการซื้อประกันชีวิตด้วยเหตุผลมากมาย แต่ชาวอโศกปฏิบัติตนมีศีล5เป็นอย่างต่ำ และอยู่ภาพใต้การปกครองแบบสาธารณโภคี ถามค่ะ ชาวอโศกมีความมั่นคงหลังความตายแล้วใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า... ช่างคิดเนาะ ชาวอโศกมาอยู่ในระบบการปกครองแบบสาธารณโภคีแล้ว มีความมั่นใจในความตายใช่ไหม ลองคิดดูสิ ใช่ 

_สู่แดนธรรม... ยังไม่ตายก็มีความมั่นคง 

พ่อครูว่า... ยังไม่ตายก็มีความมั่นคงแล้วโดยที่ไม่ต้องไปแย่งชิงเงิน แย่งชิงทรัพย์ศฤงคารอะไรอีก ก็สบายๆแล้ว อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

นอกจากจะมาจน มาพอ แล้วก็สร้างสรรค์ มีเหลือมีเกิน เสียสละเผื่อแผ่ผู้อื่นไปด้วย นี่เป็นเรื่องจริงที่เราทำสำเร็จ ทำผลปรากฏจริง ไม่ใช่พูดด้วยปากเปล่าไม่เข้าเรื่อง มันเป็นจริง แล้วก็ไม่ได้ฝืดฝืน ไม่ได้ทรมาน ไม่ได้ขัดสน ไม่ได้ทำแบบอวดอ้างเอาหน้าเอาตาอะไรด้วย 

 

ทำไมชาวอโศกต้องหาสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยด้วย 

_เจ็ดก้าว  . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงที่สุด ผมไม่เข้าใจว่า การจัดตั้งพรรคสัมมาธิปไตยจะเป็นการตัดคะแนนสนับสนุนลุงตู่ให้อยู่ต่อหรือไม่ครับ การออกทีวีทุกวันเรียกร้องให้คนมาสมัคร ก็เหมือนเป็นการหาเสียงนะครับ กราบแทบเท้าขออภัยอย่างสุดเศียรเกล้าจริงๆครับ

พ่อครูว่า... ก็เราเองมันคนกลุ่มน้อย คนยังไม่ค่อยจะเข้าใจ เราก็จำเป็นจะต้องบอกกล่าว จะใช้ศัพท์โลกๆเขาบอกว่าเป็นเรื่องบอกบุญกันหน่อย ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ได้ครบแล้วมันก็ทำไปทำไม ทำแล้วก็ไม่สำเร็จ ทำแล้วสูญเปล่า เมื่อเราไม่ได้เราก็เลยยอมจำนน มันไม่สำเร็จมันก็สูญเปล่าเฉยๆ ทำแล้วก็เพื่อประโยชน์ 

เพราะว่าเรื่องพวกนี้ แม้แต่แค่จะหาสมาชิกมันก็ไม่ค่อยง่ายแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่คิดว่า มันคงจะต้องแบกต้องหามกันไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ต้องอุตสาหะ วิริยะ กันหนักหนาพอสมควรทีเดียว ก็ทำดู ไปไม่รอดจริงๆก็เลิก ก็ลองทำดู ไปได้ก็เป็นประโยชน์ คิดว่าอย่างนั้นนะ 


 

เสร็จเรื่องของ SMS แล้ว อาตมาก็จะบรรยายอธิบายกันต่อ เรื่องของเศรษฐกิจ ก็ได้บรรยายกันมาเรื่อยๆ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

จุดแบ่งที่สำคัญคือโลกียะกับโลกุตระ

จุดแบ่งที่สำคัญจุดแยกที่สำคัญก็คือโลกียะกับโลกุตระ 

เศรษฐกิจแบบโลกียะหรือเศรษฐกิจแบบโลกุตระ มันต้องมีความแตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญด้วย เพราะว่ามันแตกต่างกันอย่างทวนกระแส มันไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่ว่ามีมากมีน้อยกว่ากัน หรือแค่มีดีมีชั่วกว่ากัน 

แน่นอนเรื่องดีนั้น โลกุตระก็ต้องดีด้วย แต่มันเหนือชั้นกว่านั้น คือคนโลกุตระนั้น เรื่องทุกข์เรื่องสุข ไม่เกี่ยงเรื่องทุกข์ และไม่โลภ ไม่ตะกละตะกรามเป็นสุข 

ถ้าฟังตรงนี้แล้วไม่เกี่ยงเรื่องทุกข์ แล้วไม่ตะเกียกตะกายอยากได้สุข นี่เป็นภาษาไทยง่ายๆ ถ้าเผื่อว่าคนมีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆนี่แหละเป็นอาริยบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ เรื่องสุขเรื่องทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์นี้  เข้าใจ มันจะมีสภาพที่หนักเหนื่อยลำบาก แล้วเรียกอันนั้นว่า ทุกข์ 

ก็เราเห็นว่าเหตุปัจจัยหรืองานอย่างนั้น ควรทำ หรือยิ่งสำคัญต้องทำด้วย เราก็ทำ มันยากเราก็รู้ว่ามันยาก ยุคนี้แน่นอนที่สุด คนมันแย่ คนมันกิเลสหนา กิเลสหยาบมาก ช่วยยาก 

 แต่คนที่มีบารมี คนที่สามารถรับรู้ธรรมะแล้วก็ทำได้บรรลุได้ ก็มารวมกันอยู่อย่างชาวอโศก มันก็ไม่ยากสำหรับคนที่ได้  หรือที่ยากก็พากเพียรปฏิบัติจนมันง่าย ได้โดยง่ายได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ก็เผากิเลสไปแล้วก็มาได้ สบาย ก็เป็นสัจจะ 

คนที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิหรือว่าเป็นคนที่ต่อต้าน ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะที่เป็นโลกุตระได้ ก็แน่นอน ตราบใดเขาก็ยังเข้าใจยากอยู่นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติธรรมดา 

ที่จริงแล้วมันก็จะว่าไปแล้วคนโลกีย์เขาก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสจะเป็นจะตายกันอยู่ แต่เขาจะเป็นจะตายในเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็เหน็ดก็เหนื่อยกัน เขาก็แย่งชิง พากเพียร อุตสาหะ สามารถที่จะเก่งกว่ากัน แข่งกัน หาเสียงว่าข้านี่แหละ  ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อะไรอย่างนี้ อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศเสพยศ มีสรรเสริญเสพสรรเสริญ สักการะมากมายก็ยิ่งเสพสรรเสริญ สักการะได้ยิ่งๆ แล้วอยู่นานได้ยิ่งๆ ก็เสพมันเข้าไปให้หนักยิ่งๆขึ้น  ก็ไม่รู้จักความเสพ เขาไม่รู้จักว่าการสั่งสมลงไปให้จิตนั้น เขายังมีภพมีชาติมีกิเลส ทรัพย์ทวีหนาขึ้น ๆๆ ด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ สักการะ ยกย่องกันไป

แต่คนโลกุตระนั้นจะว่าเหน็ดเหนื่อยก็เหน็ดเหนื่อย หนักหนาสาหัสเหมือนกัน แต่คนโลกุตระนั้นก็จะ เป็นการเหน็ดเหนื่อยที่คุ้ม

เพราะว่าได้โลกุตระแล้วมันไม่ต้องเป็นเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องไปซ้ำซากกับสิ่งนั้นอีกแล้วมันเลิกเลย แต่ของโลกียะนั้น เขาเสพสมสุขสม ได้ลาภได้ยศมาเสพสม มันไม่มีวันจะจบกิจ มันไม่มีวันที่จะไม่ติดไม่เสพ เพราะเขาไม่ได้เข้าสู่โลกุตระ ไม่เข้าไปสู่ความรู้จักกิเลส แล้วก็เข้าใจด้วยภูมิปัญญาอันยิ่งแล้วล้างกิเลสได้จริงๆ 

 

ภูมิปัญญานี้เป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่ไปล้างกิเลส กิเลสนี้มันโง่ ปัญญามันคือฉลาด 

เพราะฉะนั้นเกิดจิตที่เป็นปัญญาจริงๆ เป็นอัญญธาตุ ปัญญาธาตุ มันจะมีฤทธิ์อำนาจที่ปราบโง่เพราะมันฉลาดจริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ถึงขั้นจริง พลังงานที่เป็นปัญญาไม่จริงมันไม่ล้าง มันไม่สามารถกำจัดโง่ได้ กำจัดโง่ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นของจริง เพราะฉะนั้นแม้โลกุตระจะเหน็ดจะเหนื่อยอย่างไรแต่มันจบกิจ รู้แจ้งรู้จริงว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรนั้น ตัวเองโง่มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว วิ่งไล่มา ยื้อแย่งกันไป สมบัติผลัดกันชมกันมา ถึงขั้นฆ่าแกงกันก็ได้ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกเขาก็ยังเป็นกันอยู่อย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จริงๆก็จะโง่ไม่จบสิ้น งมงาย สะสมวิบาก ก็มีวิบากที่มันจะต้องติดต้องยึดต้องซับต้องซ้อนอยู่อย่างนั้น ทับถมลงไปในจิตใส่จิตอีก ยิ่งขึ้นๆๆ   มันไม่ได้คลายไม่ได้หน่าย มีแต่หนาเข้าไปอีกเรียกว่า ปุถุ มันยิ่งหนาแน่นเข้าไปอีก 

กิเลสยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นนั่นแหละคือมันชั่ว ชั่วของปรมัตถ์เลยนะ กิเลสหนาเพิ่มคือความชั่ว แม้จะมีความสุข สุขมันหลอกนะ ทำชั่วได้สำเร็จสมใจเป็นสุข มันยิ่งชั่ว มันยิ่งเลว มันยิ่งร้าย มันยิ่งแรงขึ้น หนักหน้าไปทุกที ไม่มีที่สิ้นสุด โดยคนเขาทำนี้ เขาไม่รู้ว่ามันคือชั่ว คือเลว คือร้าย แล้วเขาก็แรงโดยเขาไม่รู้หรอก 

 

สมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยไม่ได้ไปแย่งคะแนนเสียงลุงตู่

_ดญ.ใสกลางเพ็ญ(น้ำมนต์) ...​ กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพศรัทธาสูงสุด การที่เราสมัครพรรคสัมมาธิปไตย แต่เราไปเลือกพรรคลุงตู่ได้ไหมคะ ไม่ได้มีข้อห้ามหรือไปตัดคะแนนลุงตู่ใช่ไหมคะ บอกว่าหาเสียงสนับสนุนลุงตู่ได้ไหมคะ 

พ่อครูว่า... ทำไม น้ำมนต์จะไปหรือ อ้อ… เป็นคนส่งใบเท่านั้น ไม่ใช่คนเขียนถาม

อิสระเสรี ได้ คุณจะไปเลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้ อิสระเสรีภาพจริงๆนะพูดจริง แต่ควรหรือไม่ควรก็อยู่ที่คุณ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ในส่วนที่พูดกันว่าแล้วอยู่พรรคสัมมาธิปไตย แล้วจะไปเลือกพรรคลุงตู่ จะเป็นการตัดคะแนนลุงตู่ใช่ไหม 

พูดให้ชัด คุณ 1 คะแนน คุณอยู่สัมมาธิปไตย คุณก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ให้พรรคสัมมาธิปไตย ถ้ามีคนพรรคสัมมาธิปไตยสมัคร คุณก็ไม่เลือกคุณก็ไปเลือกพรรคลุงตู่ แน่นอนตัดจากสัมมาธิปไตยไปให้ลุงตู่ก็ถูก แต่มีพรรคสัมมาธิปไตยไม่ได้ลงสมัคร คุณก็เอาคะแนนเสียงที่คุณมีสิทธิ์ คุณจะไปตัดทิ้งทำไมให้สูญเปล่าก็ไปเลือกพรรคที่คุณพอใจ พรรคลุงตู่เป็นต้น  มันก็ไม่ได้ตัดคะแนนอะไรนี่ 

ทีนี้เรื่องที่เราพากันไปหาเสียงสนับสนุนลุงตู่ก็ได้ใช่ไหม เมื่อกี้มีคนท้วงคุณเจ็ดก้าว ไปหาเสียงมันไม่ถูก แม้แต่บอกเรียกคนมาสมัคร เป็นสมาชิกนี้ก็เป็นการหาเสียง เออ เอา ละเอียดๆเหมือนกันเนาะ 

พูดไปก่อนแล้วว่าพวกเรามันพวกน้อย รู้น้อย แล้วก็ไม่ครบไม่พอ มันไม่พอตามกฎหมายกฎเกณฑ์อะไรต่ออะไรก็จำเป็น มันต้องมีเวลามันมีเวลามีกรอบบังคับจำกัด มีทั้งจำนวนต้องได้ โอ๊ย.. ไม่เห็นใจกันเลย ก็ดีก็เคร่งครัดในเป็นพวกคุมกฎกันไป เราก็ใช้มหาปเทสหน่อยก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของวงกว้าง ไม่ใช่เรื่องของวงจำกัดหรือว่าวงแคบเข้ามาหาปรมัตถ์ มันเป็นวงกว้างเข้าไปสู่สมมุติ มันก็จะต้องมีอนุโลมปฏิโลมอะไรกันบ้าง ดี ก็ท้วงกันไปก็ท้วงกันมา 

 

เศรษฐกิจต้องแก้ปัญหากันที่จิตวิญญาณ 

ทีนี้มาเข้าสู่ที่เราบรรยายที่เราอธิบายกันไว้ต่อ 

เรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คนโลกีย์ยังมีอวิชชา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องขี้ตู่ไม่ใช่เรื่องไปทับถม ไม่ใช่ว่านะ คนโลกีย์ธรรมดาเขายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเขายังไม่รู้เรื่องอะไร แม้แต่มาปฏิบัติแล้วมันยังไม่ใช่จะหมดอวิชชากันได้ง่ายๆ จะหมดกิเลสกันได้ง่ายๆ เขาไม่รู้เขายังมีความอวิชชาที่แปลว่าความโง่ เขายังมีความโง่ ยังไม่ฉลาดพอ 

เพราะฉะนั้น คนโลกีย์ทั้งหลายก็จะวนเวียนอยู่กับสมบัติผลัดกันชม ไม่สิ้นสุด หยุด ไม่จบกิจ แหม! คำว่า “จบกิจ” วันนี้อาตมาเอามาพูดซ้ำพวกเราฟังแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้น มันมีกรอบของความจบกิจ ไม่ว่ากรอบของเรื่องเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่ากรอบของเรื่องรัฐศาสตร์ แล้วก็แยกย่อยออกไปอีกแต่ละกรอบๆ แต่ละขนาดของมัน มันสำเร็จ ได้อันนี้ๆ นี่คือความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ของพระพุทธเจ้า เห็นไหม 

เราทำอะไร เราปฏิบัติอะไร เรารู้ว่าอันนี้มันเป็นภาระหรือว่าเป็นทุกข์ เป็นเรื่องยากเป็นเรื่องไม่จบ เราทำจนเกิดปัญญารู้ อ๋อ..มันต้องแค่นี้ มันต้องอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้นี้ไปเป็นอจินไตย ปัญญานี้เป็น อจินไตย เป็นโลกุตระ 

แต่ละคนจะรู้ว่ามันจบอย่างไร ขนาดไหนมันก็ของแต่ละคน คุณจะได้กี่ชั้นคุณจะได้กี่ขั้น คุณจะได้สูงเท่าใดต่ำเท่าใดอยู่ หรือแม้เข้าใจผิดอยู่บ้าง แน่นอน มันก็ต้องเป็นไปบ้าง คนที่คมชัดเลยไม่กำหนดผิด หมดรอบนี้กรอบนี้แล้วขั้นนี้แล้ว เราเกี่ยวข้องระดับนี้ อันนี้ก็อันนี้จบ ไปเกี่ยวข้องกับขนาดนี้ต่อมา สูงขึ้นเราก็รู้ว่าสูงขึ้น อันนี้หมดเลย จบกิจ สิ้นเลย 

อ่านจิตเจตสิกของเราออก อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของเราออกเลยว่า เราเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง เราเองรู้เขารู้เรา รู้งาน รู้กิจ รู้อะไรก็แล้วแต่ ที่เราไปเกี่ยวข้องกับอันนั้นกับตัวเรานี่แหละ อ๋อ เรื่องนี้ แยกย่อยชัดๆ

ไอ้เรื่องเกี่ยวกับลิปสติกนี่ แต่ก่อนเป็นวรรคเป็นเวรยุ่งกับมัน เดี๋ยวนี้ สบม. ละจางคลาย เบาบาง น้อยลงไปได้เลยเดี๋ยวนี้หมดปัญหาเลยไม่ต้องแล้วล่ะ คุณจะรู้ไหมล่ะ 

แต่เรื่องยกตัวอย่างอย่างนี้แหละ แม้ลิปสติก แม้เนื้อสัตว์ แม้แก้วแหวนเงินทอง แม้แต่ลาภยศ แม้แต่ลึกเข้าไปถึงสรรเสริญเยินยอ ยกย่อง หรือดูถูกดูแคลน เราจะรู้ตัวเราว่า เราได้ระดับไหนอย่างไรแค่ใด เขาดูถูกดูแคลนเรา เขายังเข้าใจเราไม่ได้ อย่างที่เขาพูด เราไม่เกี่ยวแล้ว เราหลุดพ้นมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ เราไม่ได้ติดใจแล้วเรื่องอย่างนี้ ๆ 

เราจะรู้ของเรา ไม่ใช่ไปดูถูกเขา เราจะเข้าใจเขาว่า เขาไม่รู้เรา แต่เรารู้เรา เราจึงรู้เขาว่าเขายังไม่รู้เรา เออเข้าท่าเนาะ เพราะเรารู้ว่าเราจริงๆ แล้วเขาไม่รู้เรา เขาก็ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ อ๋อ..เราก็รู้เขา ว่าเขายังไม่รู้เรา ใช่ไหม นี่มันชัดเจนอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่มีอวิชชาอยู่หรือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ตาม เขาก็แก้ปัญหาของเขาไปในเรื่องใดก็แล้วแต่ โดยเฉพาะไปพูดถึงคำใหญ่หน่อยว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 

คำว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” มันมีเศรษฐกิจส่วนตัวกับเศรษฐกิจในครอบครัว เศรษฐกิจในวงที่เรารับผิดชอบ จนกระทั่งถึงเศรษฐกิจของประเทศ เรามีหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องรู้กรอบ รู้ขนาด เศรษฐกิจ 

เศรษฐกิจหมายถึงอะไร  เศรษฐกิจเขาก็ให้นิยามง่ายๆว่า ความพยายามที่จะรู้ว่าเราจะแบ่งแจกสมบัติหรือจะแบ่งแจกสิ่งที่ต้องอาศัยกินใช้ อยู่ในสังคมที่มีจำนวนจำกัดเท่านี้ เฉลี่ยกันให้ทั่วถึงกันได้ อย่างเหมาะสม คนควรได้มาก คนควรได้น้อย ซึ่งอันนี้ซับซ้อน 

คนควรได้มากคนควรได้น้อย คนเลวคนชั่ว ก็ช่วยบ้าง แต่น้อยไม่ต้องช่วยมันมากหรอกคนชั่ว ให้มันขวนขวายหน่อย คนดีก็ช่วยมากหน่อย ยิ่งดีแล้วยิ่งช่วยคนอื่นอยู่ด้วยเรายิ่งช่วยมากขึ้น เพราะมันเป็นภาวะซับซ้อนที่ คนนี้เขาดี เป็นภาวะที่เขาจะต้องมีสิ่งที่เราจะต้องช่วยเขาอย่างนั้นอย่างนี้ที่ควรจะช่วย ให้เหมาะสม 

ช่วยด้วยกำลังทรัพย์ ช่วยทางแรงงาน ช่วยด้วยการสนับสนุน ในที่สุดช่วยด้วยความรู้ความฉลาดช่วยกันอย่างนี้เป็นต้น มันมีละเอียดละออซับซ้อนกันเยอะแยะ 

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจึงไม่ใช่การไปแก้ปัญหาตื้นๆง่ายๆ ยิ่งระดับโลกุตระแล้วที่อาตมาพูด สำหรับตัวเราเองนั้น มาปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าแล้วมาเป็นคนจน เป็นคนจนก็สบาย คนจนที่มีประโยชน์ต่อสังคมไม่ตาย คนจนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าอยู่ในสังคมที่เป็นสังคมศาสนาพุทธจริงๆแล้ว ยิ่งเป็นสังคมที่เป็นโลกุตระ มันยิ่งจะไม่ตายเลย 

ยิ่งคนนี้ไม่ติดยึดแล้วก็ไม่มีตัวตน แต่ทำงาน ไม่ต้องกังวลเลยการจะอยู่จะกินจะใช้ จะมีคนช่วยเหลือไหม มี ปัดโธ่ ชัดเจน ไม่ต้องห่วงเลย 

ยิ่งเป็นชีวิตที่  ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา  ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้แล้วเราก็มีหน้าที่ทำงานให้สังคมไม่ต้องกังวล ไม่ต้องสะสมอะไรเลย ไม่กอบโกยไม่สะสม ไม่กังวล ชีวิตก็หนึ่งชีวิต เรามีกำลังความคิดก็เอาเวลามาทำงาน ยิ่งคนที่ทำงานหน้าที่มีหมด รัฐบาลให้เงินให้ทองไว้อยู่ ต่างๆนานา พอกินพอใช้เหลือกินเหลือใช้อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ผู้ที่มีคุณธรรม ความโลภไม่ค่อยมีแล้วหรือไม่มีเลย เท่านี้พอแล้ว มีสันโดษ มีสันตุฏฐิ ใจพอ เหลือ ก็ไม่ต้องกระดี๊กระด๊า ไม่ต้องการเพิ่มอีก มันมีความพอในใจ คนที่ไม่พอในใจอย่างที่เห็นๆอยู่นี้ รวยจนกระทั่งเงินทองจะท่วมหัวตัวเองตาย ก็ยังไม่พอ 

ไม่มีสำนึกว่าถ้าเผื่อว่าเราเอง ไปกอบโกยเอาสมบัติส่วนกลางที่มันมีอยู่จำนวนหนึ่งมาไว้ที่เรามากๆๆๆ คนอื่นนี้เขาจะขาดแคลนไหม เท่านี้เขาก็โง่ เพราะฉะนั้นคนรวยนี้โง่ตรงนี้ โง่ตรงที่ว่า ถ้าเราไปเอาสมบัติ เงินทองทรัพย์สินของส่วนกลาง ของโลก ของสังคม เอามาไว้ที่ตัวมากๆ คนอื่นจะขาดแคลนไหม แค่นี้ไม่เข้าใจ นี้โง่ ไม่รู้จะทำอย่างไร 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแล้ว อย่าไปทำเลย อย่างนี้มันเลว มันทำให้สังคมเขาเดือดร้อนคนอื่น เราเก่งนะ เราฉลาดที่จะสามารถทำมาหาได้ ได้มาก ได้เปรียบเขา แต่เราก็ยิ่งเอาเปรียบๆ ทั้งเลวทั้งโง่ซับซ้อนใหญ่เลย 

เพราะฉะนั้นคนรวยจะเห็นได้ว่า คนยิ่งรวยๆๆ ไม่รู้จักจบนี้ ทั้งเลวทั้งโง่ ขออภัยนะที่อาตมาพูดความจริงพูดปรมัตถ์ ไม่ได้พูดทับถม ไม่ได้พูดไปด่าคนรวยหรอก แต่พูดธรรมะ พูดสภาวะสัจธรรมให้ฟัง ตั้งใจฟังให้ดีๆ อาตมาพูดสัจธรรม ไม่ได้ไปโกรธไปเกลียดไปชัง แต่สงสาร ทำไมทั้งโง่ทั้งชั่ว 

วันนี้ไขความจริงเข้าไปลึกซึ้งอยู่นะ พระพุทธเจ้าฉลาดไหม มีทรัพย์สินเงินทองไหม ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็ไม่เอาแล้ว ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ไม่เอา มาเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งท่านก็ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินลาภสักการะเยินยอท่านก็ไม่เอาเลยแต่คนให้ท่านเอง เงินทองนั้นไม่มีอยู่แล้ว ตลอดพระชนม์ชีพออกมาอย่างชัดเจน 45 พรรษา 

อย่างอาตมานี้ไม่ต้องถึงขนาดพระพุทธเจ้า อาตมาตั้งแต่ออกมาจนถึงบัดนี้อาตมาไม่ต้องไปแสวงหาทรัพย์ศฤงคารอะไรให้แก่ตัวเองเลย สบาย อันนี้เป็นสัจจะที่เป็นอจินไตยที่คนโลกียะ คนปุถุชน แน่นอน เข้าใจยาก 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ก็เป็นคนมีปัญหา เป็นเจ้าปัญหา  เป็นตัวปัญหา ไม่รู้จักพอเป็นตัวปัญหา คนที่รู้จักพอแล้วจะเบา จะลดปัญหา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็บอกว่า เอาพอเพียง พอเพียง ท่านใช้ศัพท์สบายๆ ไม่เน้นหนักเหมือนโพธิรักษ์ 

สรุปแล้ว รู้จักพอบ้าง ท่านเป็นในหลวงท่านก็ต้องบอก คนที่มีเงินมีทองก็ไปทูลเกล้าถวายอยู่ ท่านจะไปพูดแรงๆเหมือนอย่างโพธิรักษ์ไม่ได้       โพธิรักษ์นั้นไม่มีปัญหาหรอกคุณ เพราะฉะนั้นคนที่ร่ำรวยไม่มาทำทานไม่บริจาคให้โพธิรักษ์หรอก ไม่มา ซึ่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็อยู่ไปตามประสาของอาตมาได้แล้ว 

เขาไม่รู้เหตุแท้จุดแท้ของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคม เหตุแท้จุดแท้ของการแก้นั้นคืออะไร ก็ไปแก้แต่เรื่องของวัตถุ วัตถุไม่พอ ก็ไปมีเกณฑ์ของวัตถุ การจัดวิธีการของวัตถุ เขาไม่ได้มาแก้กันที่จิตวิญญาณ 

อย่างชาวอโศกอาตมาพาแก้ปัญหาเศรษฐกิจทางจิตวิญญาณ แล้วอาตมาบอกได้ว่า ชาวอโศกจบกิจเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ยิ่งถึงขั้นสาธารณโภคี ทุกวันนี้พูดได้เลยว่า ปัญหาเศรษฐกิจของชาวอโศก ถึงขั้นเป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควายได้สบายแล้ว ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปเกรงว่ามันจะมีเหตุปัจจัยอะไรต่ออะไร มีแต่เหลือเฟือ แจก 

ยกมะระขี้นกให้ดู ทำไมมะระขี้นกมันใหญ่จังเลย คนก็บอกว่ามะระขี้นกกระจอกเทศ เขาก็เอาไปทำให้กินอันเป็นแว่นๆทอดมา ก็กินกันอยู่ ไอ้นี่มะระขี้นกอะไรกัน ขี้นกกระจอกเทศ จากไหนนี่ มะระจากสวนแพทย์วิถีธรรม หลังอาคารบวร โอ้โห เจ้าประคุณเอ๋ย เอาไปแกงเผ็ดแกงเขียวหวาน 

นอกจากอุดมสมบูรณ์แล้ว ผลหมากรากไม้ต่างๆ มันก็งาม เนื้อหนังอะไรของมัน มันให้ทั้งเนื้อหาแก่นสารสาระของตัวมันเองแต่ละอย่างๆ มันเปล่งปลั่ง มันสมบูรณ์ ดูบีทรูทหัวตั้งเท่านี้ มันเหมือนประชด มันใหญ่มันงามมันอวบมันสมบูรณ์ ไร้สารพิษทั้งนั้นด้วย 

มันมีประเด็นของจิตวิญญาณนี่ จะต้องมีภูมิปัญญา ปัญญานะ จะต้องมีภูมิปัญญา ไม่ใช่ฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ซึ่งภาษาศัพท์วิชาการว่า เฉโก ซึ่งเขาไม่ใช้แล้ว เขาไม่รู้เรื่องแล้ว แต่อาตมาแยกอยู่นะ เฉโก กับปัญญาเป็นความรู้ความฉลาด 2 อย่างของมนุษย์ คนโลกียะปุถุชนเขาก็มีความรู้ แม้แต่ศาสดาเทวนิยมเขาก็มีความเฉลียวฉลาดรู้ในกรอบของเฉโก ไม่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญาได้เลยเพราะมันไม่เป็นโลกุตระ อันนี้ก็พูดไปเขาจะได้เข้าใจแค่ไหนก็ไม่รู้ แม้แต่ในชาวพุทธจะเข้าใจได้แค่ไหนก็ศึกษาดีๆ 

เฉโก คือ ความฉลาดบงการ มีความฉลาดที่เป็นตัวบงการคือ กิเลส ชาวโลกีย์ยังไม่รู้จักกิเลส  ยังฆ่ากิเลส ยังกำจัดกิเลสในจิตตัวเองไม่ได้ มันจึงเป็นเจ้าเป็นพระเจ้า ที่บงการจิตใจของตนเอง เป็นพระเจ้าจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องพูดไปพล่อยๆ พูดไปอย่างขี้ตู่ พูดไปว่าเอา ไม่ใช่  มันเป็นเรื่องจริงเลย 

ส่วนปัญญานั้นคือ ความฉลาดที่บงการ ถ้ายังไม่สำเร็จก็บงการลดกิเลส แต่โลกียะนั้นความฉลาด เฉโก เป็นการบงการเพิ่มกิเลส แต่ของโลกุตระนั้น ความเฉลียวฉลาดเป็นการบงการลดกิเลส จนลดกิเลสหมดก็เป็นอรหันต์ มันลดไปตามลำดับๆจนกระทั่งไม่มีกิเลสเลย 

เมื่อหมดกิเลสแล้วก็จบกิจ กิจของมนุษย์สูงสุดถ้าหมดกิเลสท่านถือว่าจบกิจ เพราะฉะนั้นเมื่อจบกิจแล้ว จะเป็นกิจทางเศรษฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางรัฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางสังคมศาสตร์จบแล้ว 

นอกจากกิจทางเทคนิคเท่านั้นที่มันไม่จบกันง่ายๆ แต่กิจของมนุษยชาติของสังคมจะเป็นเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม การเมืองก็ตาม จะเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์จบ จบ 

จบกิจคือ เราไม่ทุกข์ไม่สุข เราอยู่กับสังคมไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคม นอกจากไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเป็นโลกานุกัมปายะหรือเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นอายะ 3 เป็นหิตประโยชน์แก่พหุชนะ แก่มวลประชาชน พาให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อนุเคราะห์โลก เลยไปจากกรอบประเทศของตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นสภาวะของรัศมีรังสีออกไป ซึ่งมันเป็น อจินไตย อีกชนิดหนึ่ง 

 

“ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ” 

5) “ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”      

“ทฤษฎี”ของชาวเทฺวนิยม หรือชาวโลกที่ยังไม่มี “ทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”ไม่มี“จุดสำเร็จ”ของ“ปัญหา”ว่า จะ “จบปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”แท้จริงได้เลย 

เพราะ“คำตอบ”ของคนร่ำรวยหรือของผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มี“ปัญญา”นั้น จะไม่มีคำว่า “เพียงพอ”หรือ“พอ”เป็นอันขาด คนผู้ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงทาง“จิตวิญญาณ”จากการเรียนรู้และปฏิบัติ จนกระทั่งเกิด“ปัญญา”แท้ใน“อาริยสัจ 4”เท่านั้น ที่จะ“ยุติ”การกอบโกย-การเอาเปรียบจากสังคม 

“ความรู้-ความฉลาด“แค่“เฉโก”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”

พูดแล้ว เหมือนอาตมาไปเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากที่ไหนมา เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพูดมานี้มีอยู่ในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนาแล้วต้องเป็นโลกุตระด้วย ทุกวันนี้มีได้เป็นได้ก็อยู่ในชาวอโศกเรานี่แหละ 

ถ้าไม่ศึกษาหรือทำให้เกิดความรู้-ความฉลาดทาง“จิตวิญญาณ”เจริญจาก“เฉโก”ขึ้นเป็น“ปัญญา”ให้แก่ประชาชนเกิดรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “เงินๆทองๆ”นั้นไม่ใช่ “พระเจ้า” แต่เป็น“ซาตาน” หรือเป็นผี เป็นมารต่างหาก  

คนก็ไม่มี“ปัญญา”ต้องตกเป็นทาส“เงินๆทองๆ” เพราะรู้ไม่ได้ว่า เงินทองมันคือ งูร้าย คือ ผี มาร ซาตาน

“เงินๆทองๆ”ไม่ใช่“พระเจ้า” ไมใช่ผี มาร ซาตาน 

แต่“คน”ที่“โง่”อยู่ต่างหากคือผี มาร ซาตาน เอง ฟังให้ดีนะมันซ้อนอยู่ในตัวเองทั้งนั้น หลงเงินๆทองๆเป็นพระเจ้า โง่นะ ไม่โง่นั้นเป็นผีๆมารๆเป็นซาตาน อันเดียวกันหมดเลย ทั้งคำว่าพระเจ้า ทั้งคำว่าโง่ ทั้งคำว่าผี มารซาตาน อันเดียวกันหมดเลย 

แท้จริง“เงินๆทองๆ”มันไม่รู้ตัวหรอก”ว่า มันเป็น“งูร้าย” หรือมันเป็น ผี มาร ซาตาน เพราะมันแค่เป็น“วัตถุ”  

คนต่างหากที่“โง่” ที่ไม่มี“ธาตุรู้”จนสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า ตนหลงโง่เองว่า “งูร้าย”คือ “เงินๆทองๆ” นั้นมันไม่ใช่“พระเจ้า”เลย มันเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้นใช้แทน“ค่า”เป็น“ตัวเลข”ให้รู้“จำนวน”กันเท่านั้น

ธนบัตรนี้คือกระดาษเขียนตัวเลขใส่เข้าไปเท่านั้น แต่ก่อนไม่มีธนบัตรก็เอาเบี้ยเอาหอย สมมุติว่าขนาดนั้นขนาดนี้ พอฉลาดขึ้นมาก็ทำธนบัตร ก็ปั๊มตัวเลขใส่เป็นเท่านั้นเท่านี้ ก่อนนั้นมีเหรียญเป็นรูจนกระทั่งพัฒนาเป็นกระดาษเบาขึ้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่บ้างแล้วก็ลดลงก็ใช้กระดาษเป็นหลัก ปั๊มได้ก็เป็นตั๋วแสดงค่าของเงินๆทองๆ 

ที่จริงแล้ว“เงินทอง”นั้นไม่ใช่“เนื้อแท้”ที่จะ“กิน”เข้าไปได้ “อาหาร”ทำให้สังเคราะห์“ชีวิตสังขาร”ของเราได้เลย เงินๆทองๆนี้คุณจะมีหอบไว้เท่าไหร่ก็เถอะก็ไม่ใช่ นี่แหละคือความฉลาดหรือความโง่ ตรงนี้เขาก็คิดว่าเงินๆทองๆนี้ฉันเอาไปซื้ออาหารได้ ก็จริงอยู่ในสังคมที่คนยังโง่ด้วยกัน มันยังต้องพึ่งพากัน ถ้าเป็นในสังคมที่คนฉลาดคนที่มีปัญญาแท้จริง แล้วคนที่รู้จักสาระเหตุปัจจัยของชีวิตที่ดี แล้วก็ไม่เป็นทาสไอ้ตัวเลขจำนวนเงิน จำนวนตัวเลข ซึ่งเป็นกระดาษกินไม่ได้ เขาจะรู้ว่าไอ้ของกินได้นี้สำคัญกว่ากระดาษนั้น กินได้ทันที กระดาษกินไม่ได้ทันที แต่ของแท้นี้กินได้ทันทีเขาก็จะรู้ 

เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไปนั่งผลิตเงินๆทองๆ 

คนที่ต้องหาเงินๆทองๆมาเพื่อที่จะได้ไปซื้อนั้น เป็นคนชั้น 2 ต้องมีเงินแล้วก็จะเอาไปซื้อของกินได้ คนชั้น 1 สร้างของกินตรงเลย ใครฉลาดกว่าใครเว้ย เงินๆทองๆไม่เห็นมีความสำคัญอะไรมากมาย! ผู้โง่งมงายในเงินทองอยู่จึงยังมี“ทุกข์”เพราะเงิน

ถ้ามันทุกข์เพราะไม่มีของกินมันก็สมควรอยู่ ไม่มีของจะกินมันก็จะตายเอา ต้องลนลานวิ่งหาของกินของใช้ อาตมาเองอาตมาเดินรอบอโศกนี้ราชธานีอโศก ไม่เห็นมันจะต้องอดต้องอยากได้ยังไง อะไรก็พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ขึ้นทิ้งกันของกิน เลือกกินเลือกใช้ เลือกกินเลือกยังชีพ มีอะไรต่ออะไรขึ้นมา อันนี้ยกขึ้นมาหน่อยเห็นคนอะไรก็ปลูกขึ้นมา ไอ้ที่ไม่ปลูกเกิดขึ้นเองก็งามเต็มไปหมด ไม่ค่อยกินกัน ไม่ค่อยนิยม นิยมอะไรก็ปลูกอันนั้น ไม่นิยมมันขึ้นเอง บางคนก็ชอบ บางทีก็สลับชีวิต กินอย่างนั้นอย่างนี้บ้างก็เลยอุดมสมบูรณ์เนาะ 

ซึ่งคน“ขี้โลภ” คนผู้ไม่มีปัญญารู้จัก“ทุกข์”เท่านั้นที่ต้องจมอยู่กับ“ทุกข์”จึงยัง“ขี้โลภ”แย่งเงินทอง กอบโกยเงินทอง ขี้เหนียวเงินทองเป็น“ชีวิต” เป็น“จิตวิญญาณ” เป็นอัตตา” เป็นตัวกูของกู เชิดชู“เงินทอง”คือ“พระเจ้า”         

“วิญญาณ”หรือ“ธาตุรู้”หรือ“จิตวิญญาณ”หรือ “ความรู้-ความฉลาด”ของคนปุถุชนคนโลกียะเทฺวนิยมทั่วไปนั้น จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า”ที่ชื่อว่า “เงินๆทองๆ”คือ ผี มาร ซาตาน งูร้าย ได้ จนกระทั่ง มีภูมิปัญญาจริงแล้วอยู่ “อยู่เหนือ(อุตตระ)”มัน​ เพราะเรามีสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร สิ่งที่กินใช้อยู่อาศัย ที่ตรงแล้วเป็นชั้น 1 เงินทองมันไม่ใช่ชั้น 1 เลย ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว จะว่าชั้น 2 ก็ยังโก้ไป มันแย่กว่านั้นด้วยซ้ำ 

ฉะนั้นคนที่รู้จริงมีปัญญาจริงจึง ไม่เป็น“ทาส”เงินๆทองๆกันสำเร็จเสร็จ“จบกิจ”จริง

จบกิจจริงๆเลย ใครลองสำรวจตรวจตัวเองดูซิว่าเรื่องเงินๆทองๆเราหมดปัญหาเลยนะ วันๆหนึ่งไม่ต้องไปกังวลอะไร ไม่ต้องไปหา ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่เหมือน มันจบกิจแล้วเงินๆทองๆ ใครรู้สึกแบบนั้นบ้างยกมือขึ้นซิ

อาตมาอธิบายธรรมะพวกนี้เป็นธรรมะโลกุตระหรือเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่ธรรมะที่จะต้องอธิบายวนๆเวียนๆอยู่ในภพชาติอะไร อันนี้ตรงเข้าไปถึงจิตเจตสิกและก็รูปนิพพาน ให้รู้ว่าเราเองติดอะไรยึดอะไร ชีวิตที่จะต้องละหน่ายคลายไอ้ที่หลงติดยึด แต่เข้าใจว่าเป็นพระเจ้าไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอัตตา พระเจ้าก็คืออัตตา 

เพราะฉะนั้นวิญญาณหรือว่าธาตุรู้หรือว่าจิตวิญญาณจริงๆ หรือความรู้ความฉลาดของคนปุถุชนโลกีย์เทวะทั่วไป ก็จะไม่รู้จักพระเจ้าที่ชื่อว่าเงินๆทองๆว่าคือผี คือมาร คือซาตาน คืองูร้ายอะไร จนกระทั่งจะต้องอยู่เหนือ ผู้อยู่เหนือแล้วก็ไม่เป็นทาสเงินๆทองๆสำเร็จจบกิจจริง 

ทำไมจึงเป็น“ทาสเงินๆทองๆ” หรือเป็น“ทาสพระเจ้า”กันนัก งมงายอยู่กับ GDP กันแบบไม่เงยหูเงยหัว ทำไมไม่เห็นความสำคัญของ“จิตใจของคน”

GDP ไปนับเอาแต่ตัวเลขเงินทองรายได้ แม้แต่ product หรือผลผลิตเขาก็ยังไม่สำคัญเท่ากับไอ้ที่ขายเป็นรายได้ เขาไปเพ่งที่ตัวเลขเงินๆทองๆ ไม่เห็นความสำคัญของจิตใจของคน อันเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง”ของคนในสังคม”มากกว่า“เงินๆทองๆ” แล้วแก้ปัญหากันที่“จิตใจของคน”กันให้ได้ มันถึงจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันได้จริง

พูดไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายฟังให้ดีๆเถอะ ไปงมผิดประเด็น ผิดเป้า ผิดจุดสำคัญ ไปแก้ที่ตัวเลข​ ไม่มาแก้ที่จิตใจคนกับเนื้อหาสาระ ทำให้คนนี้รู้จักเนื้อหาสาระแก่นสารว่าจะอยู่กับเนื้อหาสาระแก่นสาร โดยเฉพาะว่าสิ่งที่จะต้องอาศัย อาหารก็ตาม เครื่องกินเครื่องใช้ก็ตามอะไรที่จำเป็น เป็นความสำคัญเป็นปัจจัยแห่งชีวิต นี่คือให้เขามารู้จักอันนี้กัน ไปมัวแต่บอกว่าไม่มีเงินไม่มีทอง ยากจนๆ จะแก้ปัญหายากจนๆๆ เมื่อไหร่มันจะจบกิจ เมื่อไหร่มันจะสำเร็จ 

เพราะฉะนั้นกำหนดผิดฝาผิดตัวสิ่งที่เป็นปัญหาแท้ มันก็เท่ากับปัญญาไม่มี มันก็เท่ากับโง่ มันก็เท่ากับไม่รู้ความจริง 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้ที่จะมีหน้าที่ทำการช่วยสังคม แม้แต่ตนเองก่อน แก้ปัญหาให้ตัวเองก็ไม่ได้ ตนเองก็ไปหลงเรื่องเงินๆทองๆเรื่องของตัวเลข ว่านี่เป็นตัวชี้บ่งความเป็นเศรษฐกิจ แล้วก็ไปวุ่นวายอยู่กับตัวเลข เงินๆทองๆแม้แต่ของตัวเองก็ตาม แล้วจะไปแก้ปัญหาให้แก่สังคมโลก 

บางคนที่เข้ามาเสนอหน้าจะมาแก้ปัญหา ตัวเองนั้นรวยแล้วนะ เงินๆทองๆตัวเองมีเยอะ ประสบผลสำเร็จได้เงินๆทองๆแล้ว แล้วก็เห็นว่าตัวเองนี้ พ้นปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่คนไปรวยๆอย่างตนเอง แล้วก็มาครอบงำทางความคิดว่าจะแก้ปัญหาให้หายจน ฉันนี่แก้ปัญหาตัวเองสำเร็จแล้ว เห็นไหมนี่รวย รวย 

คนก็ต้องพาเชื่อ คนก็ต้องเชื่อว่า เออ..คนนี้จริงๆแล้วมีสิ่งที่เขาได้กระทำมาแล้วของเขาสำเร็จประโยชน์ เขาได้เป็นคนรวย เขาก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่เรารวยอย่างเขาได้ 

คนที่จะได้รับการแก้ปัญหานั้นฉลาดแกมโกงเท่าเขาไหม มีแทคติกมีวิธีการที่จะเอาเปรียบเอารัดได้อย่างเก่งเท่าเขาไหม ไม่เก่งเท่าหรอก จะเก่งเท่าเศรษฐาไหม จะเก่งเท่าทักษิณไหม มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกขี้โม้ทั้งนั้น เพราะเขามีวิธีการแทคติกต่างๆ กลเม็ดเด็ดพรายที่จะเอาเปรียบเอารัดในเชิงนั้นเชิงนี้ เขาไม่เก่งเท่าคุณหรอก คนที่เก่งมีวิธีการโลภโมโทสันเอาเปรียบให้ได้มากๆถึงขั้นโกงให้ได้มากๆนั้นดีหรือเลว...​เลว 

แล้วคุณจะเอาความเลวนั้นมาแจกจ่ายให้คนอื่นเป็นเหมือนอย่างคุณ มันซับซ้อนไหม คุณโง่ไปเถอะ อย่าเอาความโง่ของคุณมาแจกให้คนอื่นที่ยังไม่ได้โง่อย่างคุณ 

คนจนนะ 

1.จนเพราะจำนน ยังอยากจะเป็นอย่างเขาแต่มันโง่ก็เลยจำนนต้องยอม

2. คนจนอย่างมีปัญญา ไม่ไปเอาหรอกอย่างคุณ เพราะมันแก้ปัญหาไม่สำเร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย อย่างสำคัญก็คือ มันไม่ใช่ความดีงาม ถามไปแล้วเมื่อกี้นี้ มันเป็นความชั่วความเลว 

คนที่สามารถเอาความรวยจากสังคมมาได้มากๆ ไม่ใช่คนดีนะเป็นคนชั่วคนเลว ขออภัยอาตมาพูดแล้วก็เกรงใจอยู่นะ แต่มันเป็นความจริง อยากให้ฟังธรรมดีๆแล้วได้ปัญญา แล้วจะได้เข้าใจว่าเรารู้จักพอ เราจะเอารวยมานี้แล้วจะเกิดปัญหาในสังคม เพราะตัวเรานี่แหละ เพราะเรามาทำรวยให้เห็นก่อนแล้วเราทำได้แล้ว เราจะให้คนอื่นเป็นอย่างเราอีก คุณจะโง่ซับซ้อนจะชั่วซับซ้อนไปอีกกี่ชั้น ฟังทันไหมนี่ ไม่สับสนนะ 

เขารู้ไหมนะความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนเหล่านี้ ความฉลาดที่มีต่อสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนมี คัมภีราวภาโส อย่างที่อาตมาพูดนี้เขาไม่น่าโง่ที่จะเข้าใจไม่ได้นะ อาตมาอธิบายง่ายแล้วชัดเจนแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนที่รวยแล้ว รู้สึกตัว พอได้ฟังธรรมะ เลิก อย่างยุคพระพุทธเจ้าก็มีเศรษฐีต่างๆ เลิก จนกระทั่งมาเป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี กินข้าวก้นบาตรจากพระจากเจ้า นั่นคือคนมีปัญญา คนเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวยไม่ใช่เล่นนะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี 

หรือแม้แต่วิสาขา วิสาขานั้นรวยถึงขนาดคนใช้นั้นรวยเป็นอันดับ 6 ของประเทศ คนใช้นะ เป็นเศรษฐีรวยระดับ 6 ของประเทศ แล้วนางวิสาขาจะเป็นเศรษฐีระดับไหน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

เพราะฉะนั้นคนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่อาตมาพูดๆไปแล้ว ไม่มีความรู้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจริงๆ แม้เขาจะบอกว่าเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมได้ ด้วยวิธีการโลกียะ ด้วยวิธีการสมบัติผลัดกันชม วิธีการโยกย้ายเงินๆทองๆ แล้วก็เอาตัวเลขเป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นวัตถุตัวเลขอยู่อย่างนั้น 

มันก็ได้แต่เกม มันก็เป็นเกม เกมที่จัดการแข่งขันกัน ทำให้สมบัติผลัดกันชมไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น คนที่จนลง คนที่สู้ไม่ได้ มันก็จะพยายามหาทางแข่งใหม่ แย่งกันไปแย่งกันมา 

 มันต้องแก้กันอยู่ตลอดกาลนาน ด้วยอวิชชาอยู่ อย่างที่ตำราหรือทฤษฎีของชาวโลกียะเทฺวนิยมมีกันทำกันอยู่ 

เพราะแม้จะ“รู้สึก”กันว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้บ้าง ที่แก้ด้วยวิธีจัดการกันแต่ทาง“วัตถุ”และดูกันที่“ตัว เลข”ของ“รายได้”นั้น มันก็แค่“เกมที่จัดการแข่งขันกัน” ทำให้“สมบัติผลัดกันชม”ไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

มันก็ต้องมีคนที่ฉลาดแกมโกงหมุนเวียนขึ้นมาได้ซับซ้อนไม่มีจบหรอก มันเป็นการแก้ปัญหาอย่างงูกินหาง 

ก็ต้องแก้ปัญหาให้รู้สึกว่าแย่งกันน้อยลง แต่แย่งกันน้อยลงอย่างไร มันก็ไม่พอ จิตมันไม่เคยรู้จักพอ มันก็จะแย่งกันให้ยิ่งๆขึ้น 

เมื่อหาจากในสังคมกลุ่มของตนไม่ได้ ก็ไปแย่งกับกลุ่มสังคมอื่น แย่งจากกลุ่มสังคมอื่นได้เก่ง เก่งจนกระทั่งข้ามไปถึงนอกประเทศ ไปแย่งเอาจากนอกประเทศเขามา 

ขอแวะตรงนี้นิดหนึ่ง อาตมาเคยอธิบายไปแล้วพูดไปแล้ว เศรษฐศาสตร์โลกุตระที่อาตมาอธิบายนี้ ผู้ที่สำเร็จจบกิจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ตัวเองนั้น จะเป็นผู้ที่เหลือกินใช้ ให้แก่ผู้อื่น ขายขาดทุน แจกฟรี ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย คนในคนไทย หรือถ้ายิ่งเป็นระดับที่มีได้มากๆ อยู่ในระดับทำการเชื่อมโยงกับคนต่างประเทศ ช่วยต่างประเทศ 

เพราะฉะนั้นสมบัติหรือผลผลิตที่เราสร้างได้ Product ที่สร้างได้ในของเรานี้ Domestic เราจะขายให้ต่างประเทศนั้นเราจะขายให้ถูกๆ หรือแจกฟรี นั่นคือความเจริญของเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจโลกุตระ 

ไม่ใช่ว่าไปเอาตัวเลขที่ขายให้แก่ต่างประเทศได้ แล้วได้จำนวนมาก เอาเปรียบได้มากๆ  กำไรได้มากๆแล้วก็เอามาบอกว่า นี่ไง ประเทศไทยในประเทศไทย Domestic ได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ โอ้โห ปีนี้เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ปีนี้เท่านี้เปอร์เซ็นต์ จิตวิญญาณชั่ว จิตวิญญาณเลวอย่างนั้น ไม่น่ายกย่อง 

อาตมาพูดอธิบายลักษณะพวกนี้ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดไปแล้วไม่มีคนทำได้ พูดไปแล้วก็หาว่าเป็นเรื่องสุดโต่ง เป็นเรื่องที่ Impossible เป็นไปไม่ได้ พวกเราว่าเป็นไปได้ไหม เป็นไปได้ 

แต่ว่าคนไทยชาวอโศกเรานี้ยังไม่ถึงขั้นมี Export ยังไม่ถึงขั้นผลิตสินค้าส่งต่างประเทศ เพราะเรายังกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่ที่จริงเราก็มีเหลืออยู่นะ เหลือไม่น้อย เผื่อแผ่ออกไปแจกจ่ายอยู่ แต่ถ้าได้รับความร่วมมือจากสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเลย มาช่วยสนับสนุนให้พวกเราได้ทำแล้วคนจะเห็นว่าช่วยตรงนี้ดี 

อาตมาเน้น ในเมืองไทยนี้มันเหมาะสมในการเพาะปลูก สิ่งที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วอาตมาก็เคยเน้นเคยสำทับแล้วว่า น่าจะมาเน้นอันนี้กันให้สำคัญๆๆ อันอื่นนั้นลดน้อยลงไปได้ 

เมืองไทยเป็นเมืองที่สามารถที่จะสร้าง เป็นพื้นภูมิประเทศที่ โอ้โห.. มันกำไรขั้วโลกเหนือ แม้แต่กำไรประเทศที่มีหิมะมากกว่าเรา ประเทศไทยไม่มีหิมะเลย ปลูกผักได้ตลอดปีตลอดชาติ อันนี้เป็นจุดเด่นเป็นจุดสำคัญ อันนี้เป็นจุดเด่นเป็นจุดสำคัญของเรา เราน่าจะมาแก้ปัญหาอันนี้ 

อาตมาเคยอธิบายไปจนกระทั่งว่า น่าจะให้เหรียญตราแก่พวกที่เป็น กสิกร เป็นนักชาวไร่ชาวนา น่าจะให้เหรียญตราเลย ยกย่องเชิดชู แล้วเขาจะได้มีกำลังใจ ว่ามันเป็น จิตวิทยาสำคัญอันหนึ่งของโลก คนในโลกเขาก็ยังมีโลกียธรรมอยู่ ก็ใช้ ใช้จิตวิทยาพวกนี้ส่งเสริมให้กสิกร ชาวไร่ชาวนา มีความภาคภูมิใจ มีกำลังใจ ตายแล้วใส่โกศบ้างชาวไร่ชาวนา ไม่ใช่มีแต่ข้าราชการเท่านั้นที่ใส่โกศ ชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นผู้ที่เลี้ยงสังคมประเทศชาติอยู่แท้ๆ 

อาตมาก็พูดไปตามความเห็นของอาตมานะ เห็นว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ก็พูดไป 

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูดนี่ จึงยากที่จะจบกิจ อาตมาพาพวกเรา พวกคุณก็เป็นคนเหมือนอย่างคนอื่นในโลก มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็สบาย จบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์  จบกิจทั้งทางรัฐศาสตร์ ทั้งทางสังคมศาสตร์ อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดโม้คุยโต เพ้อเจ้ออะไรแต่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงที่อาตมาภูมิใจที่ทำจนถึงวันนี้แล้ว มีผลสำเร็จได้จริงไม่ใช่โม้ แต่มันก็มีจำนวนน้อย 

แต่จำนวนน้อยก็ทำไงได้ คนที่สามารถรับรู้ความเข้าใจความรู้อันนี้ได้ก็มีความรู้เท่านี้ อาตมาก็ประกาศโฆษณา โทรทัศน์ก็ไม่เปิดฟังกัน เห็นนะไม่ใช่ไม่เห็น แต่ไม่เอา ไปฟังอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ที่ไม่ได้พาเจริญอย่างนี้ อาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร  

ขนาดนี้อธิบายไปทางนี้เขาก็หาว่าโฆษณาตัวเองอยู่นะ ซึ่งมันเลี่ยงไม่ออกพวกนี้ ของดีก็ต้องโฆษณาก็เคยพูดแล้ว ต้องบอกกันของดีๆไม่บอกกันก็จะอย่างไร กลายเป็นคนใจโหดใจดำ ของดีๆและคุณก็ไม่บอกคนอื่นบ้าง มันจะเจริญอย่างไรสังคม 

แก้ปัญหาแบบโลกียะนั้น ซึ่งมันก็แก้ปัญหากันไป ดูดีได้ก็ไม่นาน “ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนมั่นคงถาวร”สำเร็จเสร็จจบกันเด็ดขาดได้เลย

เพราะมัน“ไม่แก้ปัญหาตรงจุดแท้ๆนั่นเอง

เนื่องจาก“ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ” มันก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันไม่“จบกิจ”เด็ดขาดแน่นอน

 

คนมี“ปัญญา”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหา“จบกิจ”(ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในตน) 

6) คนมี“ปัญญา”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหา“จบกิจ”       

ถ้าคนมี“ปัญญา” มีความรู้-ความฉลาด”ทำคนให้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ความเป็นคนเลี้ยงง่าย(สุภระ)-ความเป็นคนพัฒนาง่าย(สุโปสะ)-คนที่มักน้อยหรือกล้าจน(อัปปิจฉะ)-คนมีใจพอ(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) พวกเรานี้คนใจพอ มีน้อยก็พอมี ศูนย์ก็พอ เป็นคน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  ภูมิใจที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้พวกเราทำแล้วเกิดปรากฏการณ์จริง 

คนที่ขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ)-คนที่มีข้อปฏิบัติพาสูงส่งเจริญยิ่งๆ(ธูตะ)-คนที่มีอาการเป็นที่น่าเลื่อมใส(ปาสาทิกะ)-คนไม่สะสม(อปจยะ)-คนขยันเสมอ(วิริยารัมภะ)”สำเร็จได้จริง เป็น“คนประเสริฐ” เป็น“อาริยบุคคล”แท้ก็จะมีผลสำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันจริงๆแท้ๆได้อย่างวิเศษ

ผลสำเร็จก็จะพาสังคมหมู่กลุ่มประเทศชาติอยู่เย็นเป็นสุขมี“สาราณียธรรม 6” ที่ครบด้วย“เมตตากายกรรม-เมตตาวจีกรรม-เมตตามโนกรรม-มีลาภที่ได้โดยธรรมก็นำมารวมกันเป็นกองกลางกินใช้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวเรียกว่าเป็น“สาธารณโภคี”-ต่างก็เป็นอยู่ด้วย“ศีล”เสมอสมานกันไปเท่าที่แต่ละคนมี-ต่างคนต่างก็เป็นอยู่ด้วย“ทิฏฐิ”เสมอสมานกันไปเท่าที่ตนมีของแต่ละคน ตามฐานานุฐานะ

เศรษฐกิจสาธารณโภคี คาร์ล มาร์กซ์ แกอยากได้ ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง 100% ถ้าถึงสาธารณโภคีนี้เสียภาษี 100% สร้างมาเท่าไหร่ก็เอาเข้ากองกลางหมด เอาไปช่วย ไปขายก็ขายก็เอาไปเข้ากองกลาง ไม่ขาย มีผลผลิตตรงๆก็เอาเข้ากองกลาง ไปขายเป็นชั้น 2 ก็เอาไปเข้ากองกลาง 

แหม น่าสงสารคาร์ล มาร์กซ์ที่ไม่พบโพธิรักษ์ เขาตายไปก่อน โพธิรักษ์มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามา เพราะฉะนั้นคาร์ล มาร์กซ์มา ก็จะพูดถึงทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่สอนนี่แหละให้รู้ จะไปแก้ปัญหาปัญหาต้องแก้ที่จิตวิญญาณ ปัญหาเศรษฐกิจที่จะเสียภาษี 100% เสียภาษีให้แก่ส่วนกลางมากๆโดยไม่ต้องออกกฎหมายบังคับมากนัก 

อย่างประเทศที่เขามีกฎหมาย ออกกฎหมายบังคับให้เสียภาษีมากๆ อย่างที่เราอ่าน ประเทศโน้นประเทศนี้ สวีเดน สหรัฐ ภาษีของเขาขูดกันน่าดู แล้วเขาก็ให้สวัสดิการกัน จ่ายภาษีไปมาก เขาก็ให้สวัสดิการ เขาก็เลยไม่แข็งข้ออะไรกันมาก ถ้าสวัสดิการเขาไม่คุ้มก็จะประท้วงกันแน่ 

เพราะฉะนั้นคนที่ชัดเจนมารู้เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ดี ปัญหาสังคมก็ดี หรือแม้แต่ปัญหาการเมืองก็ตาม มาแก้ปัญหากันด้วยหลักวิชาที่พาให้จิตเจตสิกต่างๆนี้ลดกิเลสเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ขี้โลภ ลดโลภ โกรธ หลง

ด้วยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆ คนก็จะลดกิเลสได้จริงๆ แล้วก็จะมาจบสาราณียธรรม 6 แล้วก็จะปฏิบัติธรรมไปมีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญตากันตามฐานานุฐานะ 

ไอ้ที่จบแล้วก็อยู่กินใช้อาศัยกันไปเป็นสังคมที่ มีสมบัติอุดมสมบูรณ์ เป็นสมบัติชั้น 1 ด้วย เงินทองน้อยก็เป็นสมบัติชั้น 2 

แต่สิ่งที่อาศัยเป็นปัจจัยของชีวิตคืออาหารการกิน เป็นสมบัติชั้น 1 อุดมสมบูรณ์ 

มันไม่น่าจะยากนะ ที่อาตมาอธิบาย พระพุทธเจ้ามีความรู้ความเข้าใจสิ่งเหล่านี้มาตั้งทฤษฎี ทฤษฎีเป็นภาษาสันสกฤต ทิฏฐิเป็นภาษาบาลี อันเดียวกัน แต่คนไทยเอาทฤษฎีมาใช้ทั่วไป ทิฏฐิก็ใช้กันอยู่ในหมู่นักปฏิบัติธรรม แต่เขาก็ยังแยกว่า ทฤษฎีมันอย่างหนึ่ง ทิฏฐิมันอย่างหนึ่ง แต่ที่จริงมันอันเดียวกัน มันเป็นความรู้ความเห็นเป็นความเข้าใจ 

ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัส“ทฤษฎี”หรือ“ทิฏฐิ”ที่เป็นโลกุตระ เรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ”ไว้ให้ปฏิบัติอย่าง“สัมมาปฏิบัติ” จนบรรลุ“ปัญญา”ตามแบบพระพุทธเจ้าก็จะสำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันอย่างยั่งยืนถาวรไปตลอดกาลนิรันดรเลย

พวกคุณจะไปตลอดกาลนิรันดรไหม จะวกวนไปเอาข้างนอกอีกไหม ตอบมาชัดเจนเลย อาตมาเชื่อว่าพวกคุณจริงใจ ไม่ได้ตอบเล่นๆ 

ที่ตอบได้ก็เพราะว่าเราได้ปฏิบัติจริง ปฏิบัติมีผลจริง สามารถทำได้ 

นั่นคือ สามารถรู้เรื่อง“จิต เจตสิก รูป จบกิจก็ถึงขั้น นิพพาน” พวกคุณนี้มีนิพพานกันแล้วระดับหนึ่ง แต่คุณเข้าใจนิพพานไม่ได้ เป็นอรหัตผลหรืออรหันต์ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าจะว่าแล้วนี่ ง่ายๆตื้นๆ อาตมาเคยพูดมาแล้ว ชาวอโศกอยู่ในราชธานีอโศกนี้มันเป็นเมืองอนาคามี พ้นโสดาบัน สกิทาคามี การทำงานอะไรมาอยู่ที่นี่ อนาคามีขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ พ้นขึ้นไปก็เป็นอรหันต์ 

แต่สัญญา 1 วิจิกิจฉา 1 กำหนดไม่แม่น ตัดจบของตัวเองไม่ได้ สัญญามันขึ้นมาหลอก สัญญาคือความจำ มันเคยสุขอย่างนี้ เคยได้อย่างนี้ เคยมีอย่างนี้วนอยู่นั่นแหละ ก็เอ็งไปเอาหรือเปล่าตอนนี้ก็ไม่ได้เอาแล้ว มานั่งคิดมาวนซ้ำซากอยู่ทำไม ตรวจให้ดีๆนะ ใจตัวเองเป็นทาสสัญญา เป็นทาสความจำ เป็นทาสความหลงเข้ามาวนเวียนอยู่นั่นแหละ เคยสุขอย่างนั้น ก็ไม่เอาแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่เอาแล้ว จะให้ไปเอาอย่างนู้นก็ไม่เอา จะบ้าหรือเปล่า เห็นไหมว่าเป็นสัญญาวิปลาส สัญญามันพาให้วิปลาส วิปลาสคือบ้านะ สัญญามันวิปลาสเห็นไหม ตรวจสอบตัวเองให้ดี 

_สู่แดนธรรม... อันนี้คือไม่พ้นนิวรณ์ตัวที่ 5 ใช่ไหมครับ ไม่พ้นวิจิกิจฉา 

พ่อครูว่า... มันไม่สมบูรณ์แบบไม่ลงตัวทั้งๆที่ทำได้แล้วให้ไปเอา ก็ไม่ไปเอาแล้ว แล้วทำไมยังซ้ำแซะอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง วนคิดอยู่นั่นแหละแล้วมันก็เลยเหลือภพ เหลือชาติ ถ้าคุณเข้าใจชัดแล้วก็ไม่ไปวนก็จบภพจบชาติในตัว อย่างน้อยเป็นอนาคามีอย่างที่อาตมาว่า 

_สู่แดนธรรม... คงเป็นเพราะว่าพวกเราชาวอโศก เคยถูกสอนมาว่าอย่าไปสำคัญตัวเองผิด 

พ่อครูว่า... ก็นี่มันสำคัญตัวเองผิดต่างหากเล่า คุณจะไปเอาหรือลาภยศสรรเสริญอย่างที่ว่านั้นก็ไม่เอา แม้แต่สรรเสริญคุณก็ไม่เอา สุขอย่างโลกีย์ คุณก็ไม่เอาแล้ว จะเอาไม่สุขไม่ทุกข์ จะเอาสุขสงบอย่างนี้ แล้วมันคืออะไร 

_สู่แดนธรรม... กลัวให้คะแนนตัวเองผิดพลาดครับ 

พ่อครูว่า... ให้คะแนนตัวเองไม่ถูก มัน นามธรรมเนาะ คือจิตเจตสิกตัวเอง มันไม่ง่ายที่จะรู้แล้วจะจบให้มัน จะรู้ความสำเร็จให้มัน 

และเรียนรู้ปฏิบัติตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าให้เจริญ งอกงาม ไพบูลย์เป็นที่สุดได้จริง ถ้ากำหนดหมายได้ชัดจึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อาการของจิตวิญญาณ” ต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส คือสิ่งที่อาตมาพูดนี้   ชนิดที่แยกเป็น“เจตสิก”ย่อยออกไปละเอียดลออ ถึงขั้นสามารถทำ“เวทนาเจตสิก” นี่แหละคือจุดสำคัญ จะรู้จักความรู้สึกที่อ่านได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันจะต่างกันอย่างไร ความเป็นจิตเจตสิกที่มันมีสภาพ มีอาการของมันว่า เวททนา คืออาการอย่างไร สัญญา คืออาการอย่างไร สังขารคืออาการอย่างไร นี่คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ ที่พระพุทธเจ้าท่านละเอียดลออแยกมาให้เห็นอาการของความจริงปรมัตถ์ ที่จิตเราเป็น 

เวทนาคือความรู้สึก รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญาคือตัวกำหนด เป็นเจตสิกที่มันไปกำหนดอันนั้นอันนี้กำหนดรู้แล้วมันก็จำไว้แล้วมันก็มี 2 มันกำหนดรู้แล้วมันก็จำไว้ 

ส่วนสังขารนั้น มันปรุงแต่งกันเละเทะอยู่เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่อวิชชาไม่รู้จักสังขาร มันปรุงกันเละไม่รู้เรื่อง แยกกันไม่ออกเลย พวกเรานี้พอแยกออกบ้าง แต่ก็ยังแยกไม่ชัด เพราะฉะนั้นเมื่อมีวิชชาก็จะเข้าใจสังขาร เข้าใจวิญญาณ มันรู้ตัวแล้วเจตสิก 3 ก็คือวิญญาณ แยกออกเป็นรูปเป็นนาม เป็นนามรูป 

เสร็จแล้วก็สามารถที่ เมื่อมันมาปรุงแต่งกันเข้ามาเป็นอายตนะ มันก็ชักจะมันปนๆกันแล้ว มันชักแยกไม่ออก คุณก็เลยไม่รู้ว่า ในตัวตนของ อายตนะนี่ ที่มันรวมกันเป็นหนึ่งนี้ ระหว่างนามรูป ระหว่างกายกับจิต หรือวัตถุกับจิต มันรวมเป็นหนึ่งแล้ว แยกไม่ออก คุณก็ทำอะไรมันไม่ได้ ก็ให้มันเป็นพลัง เป็นอำนาจครอบงำเรา ก็กลายเป็นความไม่รู้ของสังขารที่อวิชชา ให้เราตกเป็นทาสสังขาร  ทาสอวิชชา ทาสอายตนะหรือทาสวิญญาณ เพราะแยกนามรูปไม่ออก 

ถ้าแยกเป็น 2 ได้ รู้จักความเป็น 2 ตัวสำคัญคือสุขทุกข์ แยกออกว่าสุขทุกข์ ชอบใจก็สุข ไม่ชอบใจทุกข์ นี่แหละคือความโง่อันดักดานที่สุด ชอบใจไม่ชอบใจ 

เพราะฉะนั้นถ้าเหตุปัจจัยมันได้เท่านี้ก็คือเท่านี้ มันสังขารกันเท่านี้ หรือเป็นอายตนะเท่านี้ปรุงแต่งเป็นอายตนะเท่านี้มันก็คือสังขารปรุงแต่ง ถ้าอายตนะก็ละเอียด สังขารก็หยาบ คุณเข้าใจรู้ทันว่านี่คือรูปนามปรุงแต่งกันอยู่ แยกออก 

รูปเป็นเครื่องอาศัย หยาบ นามเป็นเครื่องอาศัย ละเอียด สุขทุกข์อยู่ที่นาม 

คุณมีรูปที่เป็นเครื่องอาศัย เราทำมาหาได้เท่านี้ เพราะมีเท่านี้แล้วยังชีพยังสังขารอยู่รอดไหม อยู่ดีไหม พอไปได้แล้วใช่ไหม คุณเกิดสันโดษ คุณเกิด รู้พอ คุณก็จบ คุณไม่สันโดษ คุณไม่รู้พอ คุณยังมีกิเลส อยากได้ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส อยากได้มากกว่านี้ อยากได้เท่กว่านี้ ก็บ้าไปเถอะ 

แต่พวกคุณนี้ลดบ้าพวกนี้มามากแล้ว ตรวจความจริงให้ได้สิ จะได้รู้ว่า โธ่เอ๋ย เราก็จบกิจแล้ว ยังซ้ำแซะหมุนเวียนว่า เรายังมีนั่นมีนี่อะไรอยู่ 

นี่อาตมากำลังบรรยายให้พวกเราได้เข้าใจว่า เราจะไปตรวจสอบตัวเองได้ ชัดเจนขึ้น ได้เข้าใจความจริงขึ้นว่า 

ปัดโธ่ เราเองก็หลุดก็พ้นมาแล้ว แต่ไม่รู้จักหลุดพ้นเอง นั่นคือยังอวิมุติ เราก็หลุดพ้นมาแล้ว เราก็วิมุติแล้ว แต่ทำไมไม่รู้จักจบ อวิมุติ 

_สู่แดนธรรม... ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นวิมุติครึ่งหนึ่งได้ไหมครับ เจโตวิมุติแล้วแต่ปัญญายังไม่รอบ

พ่อครูว่า... ได้ ได้เจโตวิมุติแล้วแต่ปัญญาไม่รอบถ้วน

1.วิมุติ อวิมุติ 2.สมาหิตะ อสมาหิตะ 

สมาหิตะ คือ จิตตั้งมั่น คุณจะออกไปจากอันนี้ไหม คุณก็มีแล้วจิตตั้งมั่น ตรวจวิมุติของตัวเอง คุณมีอนุตรจิต แต่ไม่ตรวจ ไม่เข้าใจ ไม่สรุป ไม่รู้ตัวเอง อนุตระ มันหมดแล้ว มันเหนือแล้ว จิต ไม่ต้องมีอะไรอีกกว่านี้แล้ว แต่คุณก็ยังนึกว่า เรายังดีเหมือนกัน สอุตรจิต แต่มันยังไม่จบ ไม่รู้จักจบ แล้วจะจบตรงไหนวะ 

นี่การบรรยายธรรมะวันนี้เป็นการบรรยายธรรมะในการตรวจสอบ สรุปให้กิจของคุณจบ สรุปให้กิจของคุณจบ อาตมาว่าพวกเรามีสภาวะ เป็นอนาคามีเป็นอรหันต์กันไม่ใช่น้อย แต่มันยังไม่มีปฏิภาณปัญญาเพียงพอ ที่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นตรวจดีๆ 

อย่างน้อยก็พูดไปข้างนอกไปเทียบกับข้างในให้รู้อยู่ตั้งหลายครั้งหลายรอบแล้ว ว่าคุณจะออกไปไหมข้างนอก แล้วอยู่ที่นี่นี่พอไหม พอแล้ว แล้วจะกลัวความจนไหม จะสะสมอะไรอีกไหม แล้วทำไมถึงไม่หยุด ทำไมยังไม่พอ 

เราทำขึ้นมานี้มันซ้อน เราสร้างนี่เราชื่นใจ เราสร้างได้เก่ง มันเกิดความพองตัวเป็นอัตตา เราทำให้เขากินเขาใช้ มันเป็นอุปกิเลสซับซ้อนอยู่ ก็คุณทำได้ก็ดีแล้ว มันทำได้ให้คนอื่นอาศัยก็ดีแล้ว แล้วคุณจะไปยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่ทำไม รู้จักการยึดเป็นเราเป็นของเราไหม รู้ ชัดขึ้นเนาะ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านมีบทเรียน ให้เรียนจิต เจตสิก รูป นิพพานแล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติทฤษฎีของพระพุทธเจ้าให้เจริญงอกงามไพบูลย์ให้เป็นที่สุดให้ได้จริงๆ ซึ่งมันสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอาการของจิตวิญญาณ ชนิดที่แยกเป็นเจตสิกย่อยออกไปละเอียดละออ ถึงขั้นสามารถทำเวทนาเจตสิก ด้วยความมี“กาย-เวทนา-จิต-ธรรม” แล้วแยก“กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ได้อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์

“ความจบกิจ”จริงแท้เด็ดขาด จึงสำเร็จกันได้ 

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”หรือแก้ปัญหา“การเมือง” ตามตำราหรือทฎษฎีที่เรียนกันมาจากเมืองนอกอันมีแต่“ความรู้”ของชาว“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียภูมิ”เท่านั้น รับรองได้ว่า จะไม่มีวัน“จบกิจ”ในการ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” หรือไม่มีวัน“จบกิจ”ในการแก้ปัญหา“การเมือง”เด็ดขาดได้แน่ๆ

เพราะฉะนั้นไม่มีทางจบกิจการได้ง่ายๆหรอก ขนาดพวกคุณยังไม่ง่ายเลย 

เพราะ“ความรู้-ความฉลาด”ประดามีของชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดที่เป็นแค่“โลกียภูมิ”นั้นยังเป็นแค่“เฉโก” 

แม้จะเก่งกาจปานใดก็ไม่สามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” หรือ“แก้ปัญหาการเมือง”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”สุดสิ้นที่เป็น“เศรษฐกิจ”เป็น“การเมือง”ได้มั่นคงยั่งยืนถาวรยาวนาน 

ต้องทำคนให้เกิด“ปัญญา”มี“ความรู้” ที่เป็นพุทธขั้น“โลกุตระ”เป็นชาว“อเทฺวนิยม”ที่แก้ปัญหากันด้วย“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”จึงจะจัดการกับ“พระเจ้า”ที่เป็น“เงินๆทองๆ” 

ซึ่งจะมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ทั้งที่เป็น“จิตวิญญาณ”อย่างถึงแก่นแท้ครบทั้ง“พระเจ้า”ทั้ง“เงินทอง”เพราะมี“ความรู้-ความฉลาด”ขั้น“ปัญญา”โลกุตระ

อธิบายเฉลี่ยไปหมดเลยทั้งจิตวิญญาณของพระเจ้าและจิตวิญญาณของคนที่โง่ ไปหลงเงินว่าเป็นพระเจ้า 

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ตามตำราหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เรียนกันในเมืองไทยที่มี“ศาสนาพุทธ” ให้“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในการแก้ปัญหาได้จริง ตำราหรือทฤษฎีของศาสดา เทฺวนิยมแค่“เฉโก”แก้ไม่สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”เศรษฐกิจแน่

ส่วนมากนักเศรษฐศาสตร์ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็คือจบมาจากต่างประเทศ ไม่ได้จบมาจากมหาวิทยาลัยโลกุตระพูดชัดๆก็คือจบมาจากมหาวิทยาลัยชาวอโศกซึ่งก็ยังไม่มี มีแต่ชาวอโศกนี่แหละที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจมีความรู้ทางการเมืองแบบพระพุทธเจ้า จึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จ 

อาตมาพูดหลายทีแล้วว่า พวกเราชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้ปัญหาการเมือง เสร็จจบกิจ เชิญให้มาตรวจสอบ เอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้มาตรวจสอบได้ว่าจริงไหม ซึ่งมันเป็นของยาก แต่เป็นของที่น่าได้ โอปนยิโก เป็นของสูงเป็นของยากเป็นของน่าได้ ต้องเอื้อมเอาให้ได้แล้วเราก็เอาได้แล้วเอื้อมได้แล้ว นี่ตรงตามพระพุทธเจ้า สวากขาตธรรม เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ก็ถูกต้องชัดเจน

เพราะฉะนั้นเราทำได้ เราก็พูดความจริง ซึ่งในประเทศไทยยุคนี้แหละมีประชาชนคนจริงในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งได้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมมนุษย์”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-สังคมมนุษย์ได้จริงยืนยันให้พิสูจน์ได้อย่างบริสุทธิ์สะอาดใจ 

นั่นคือ กลุ่มชนคนไทยที่เรียกกันว่า ชาวอโศก หรือ“สันติอโศก”นี่เเหละ

เชิญ! เอหิปัสสิโก ไปเห็นแจ้ง“ของจริง”ได้ด้วย

ซึ่งจะเห็นความจริงได้ ด้วยการเห็นหรือ“สัมผัส”ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายใจเองเลยว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”หรือ“การแก้ปัญหาของมนุษย์ในสังคม”แบบพระพุทธเจ้าที่เป็น“โลกุตระ”นั้นแก้ได้ 

ขอยืนยันว่า ตำราเรียนหรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเมืองนอกที่ร่ำเรียนมาจนจบด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์จากยุโรปตะวันตก อเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย เกาหลีทั้งใต้ทั้งเหนือ ตะวันออกกลาง ฯลฯ หรือแม้จะเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาก็ตาม ในยุคนี้ไม่มี“สัมมาทิฏฐิ”ที่จะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ของปัญหาเศรษฐกิจได้หรอก

“ทฤษฎี”ที่แก้ได้ มีอยู่แท้ๆนั้น มีในเมืองไทยนี่เอง คือทฤษฎีพุทธ และเป็นพุทธอันมี“โลกุตรธรรม”ด้วยนะ! 

ไม่ใช่พุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ โดยเฉพาะที่แน่ๆก็เชิญมาพิสูจน์กันได้ใน“ชาวอโศก”ผู้มี“ปัญญา”โลกุตรธรรม จริงๆแก้ ปัญหาสำเร็จ

คนที่เขายังไม่อิโหน่อิเหน่อะไร ก็จะถามว่าเศรษฐกิจโลกุตรธรรมนั้นมีจริงหรือ 

 

“เศรษฐศาสตร์”แบบ“โลกุตระ”มีจริงๆหนะหรือ  

​​7) “เศรษฐศาสตร์”แบบ“โลกุตระ”มีจริงๆหนะหรือ?       

มาเจาะลึกวินิจฉัยกันให้ละเอียดๆดูทีรึ? ว่า อะไร? ตรงไหน? ที่มันหลงกำหนดหมายผิดเพี้ยนกันอยู่ มันไม่สำเร็จเสร็จจบอย่างไร?  

จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบได้ใน“ความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงผิดนั้น”กันเสียที 

อาตมาขอหยิบยกเอาข้อความต่อไปนี้ มาจาก“กูเกิ้ล” มาเป็นจุดเริ่มต้นสาธยาย

“คำว่า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม”

นอกจากคำว่า GDP เขาแถม GNP : Gross National Product มาให้อีกด้วยนะ! 

ยิ่งใช้คำว่า GNP : Gross National Product นั้นแหละ ยิ่งเน้นให้หมายเจาะลงไปที่“เฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นของตนเองในชาติตนเองแท้ๆเท่านั้น” มันก็ยิ่งชัดเจนว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะได้ว่า ไม่มี“โลกุตระ”

เศรษฐศาสตร์แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะหรือแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาว“ทุนนิยม”สากลทั่วไปที่ทั้งหลาย ทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญลึกล้ำมาก 

แต่คนเห็นว่า “โลกุตรธรรม”นั้น“สุดโต่ง”เกินไป และเชื่อว่า ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อสังคม ต่อโลก หรือเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่สากล เป็นของคนส่วนน้อย “มีได้”กลุ่มเดียว กระจุกเดียว เล็กๆ ไม่สากลทั่วถ้วน 

“โลกุตระ”นี่กระจายสยายเฉลี่ยเนื้อหาออกไปสู่คนทั้งหลายไม่ได้ เพราะเขามองตื้นๆแค่“รูปธรรม”

เขาต่างหากที่เป็นคนที่เห็นสุดโต่งนั้น เขาไม่เข้าใจว่า ความเป็นคน มี“จิตวิญญาณ”ที่ซึมซาบลึกล้ำเป็น“อิทัปปัจจยตา” มีปัจจยาการ มีปฏิสัมพันธ์อันละเอียดลออของจิตวิญญาณเยี่ยมยอดลาดลุ่มเรียบปานฝั่งทะเล อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เขาไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย 

จิตวิญญาณของคนนี้ซึมซับลึกล้ำ มีอิทัปปัจจยตามีความต่อเนื่องเชื่อมต่อเพราะเหตุนั้นจึงเป็นผลนี้เป็นปัจจัยการ 

ความเป็น“โลกุตรธรรม”นั้นมีความเป็น“ยอดสูงสุด”นั้นแน่นอน แต่คนผู้“ไม่มีปัญญา”จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง รู้จบในความเป็น“ยอด”นั้น เขาก็ว่า นั่นเป็น“ความสุดโต่ง”เหมือน“หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว” ฉันใดฉันนั้น     

ที่จริงนั้น ไม่สุดโต่งหรอก มันเป็นไปได้ในคนกลุ่มที่มีอินทรีย์พละ ได้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรม“โลกุตรธรรม”สัมมาทิฏฐิได้แท้จริงแล้ว เขา“เป็นไปได้” และหมด“ปัญหา ไม่เป็นทุกข์-ไม่เป็นสุข” เป็น“การทำใจในใจ”คือ“มนสิการ” มี“ปัญญา”ปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”จริง จึงทำได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในเรื่อง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแท้ๆ

ยืนยัน“ตัวอย่าง”ใน“คน”ที่มีความเป็น“คน”เช่นเดียวกันกับคนทั้งหลายในโลก ว่า วิชชาการสุดวิเศษ ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาการเมืองได้สำเร็จเสร็จ “จบกิจ”ยั่งยืนถาวรนิรันดรนั้น“มี”จริง 

จบ

ที่มา ที่ไป

ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #16 วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ

 

 


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2566 ( 07:47:46 )

660329

รายละเอียด

660329 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53004.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1P1_Po1t2kTeDv3RioO6WG8dHAICJeTIU/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1hFQsLs37L0xiSecxT0zeEsmOF66uvsd0/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/92hUPjXTcaM 

และ https://fb.watch/jzYtuos5Ek/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เทศนาที่ชั้น 3 อาคารศูนย์สูญ 

วันก่อนได้ฟังพ่อครูพูดถึงคนเราตกเป็นทาสของเงินๆทองๆ มีอุปมาของท่านดาไลลามะไว้อย่างน่าคิดว่า มนุษย์เรานี้ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อที่จะให้ได้เงินมา ทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอน ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อให้ได้เงินมา แล้วก็ต้องยอมสูญเสียเงินตราเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ และเฝ้าเป็นกังวลกับอนาคตจนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆคือเขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันหรือแม้กระทั่งอยู่ในอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาไม่เคยมีวันตาย และเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิต 

เหมือนคนปัจจุบันดิ้นรนหาเงิน ถามว่าหาเงินไปทำไมก็เพื่อส่งไปธนาคาร กู้มาเยอะแยะ ส่วนแก่ตัวมาก็กู้เงินมาเพื่อส่งโรงพยาบาล ชีวิตนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หาเงินเพื่อส่งธนาคารกับส่งโรงพยาบาล ก็เลยตายอย่างไม่เคยมีชีวิต 

เห็นบางคนร่ำรวยในเมืองไทยที่รวยมากๆ คุณโทนี่คิดว่าจะกลับมาติดคุกหลังการเลือกตั้ง เพราะเขาเทียบเคียงว่า ผ่านมา 6-7 ปีอยู่ต่างประเทศ เสมือนกับติดคุกใหญ่ ที่ติดคุกใหญ่เพราะว่าไม่ได้ไปอยู่กับลูกกับเมียกับครอบครัวเลย ดังนั้นถ้าจะมาติดคุกเล็กก็คิดว่า หลังเลือกตั้งก็จะมาได้ แต่คุณจตุพรบอกว่าคุณพูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้งแล้ว คุณโกหกมา 7-8 ครั้งแล้วจะมาโกหกต่อ 

แต่ที่เขาว่าชีวิตเขาติดคุกก็น่าจะติดเหมือนกัน เงินหลายแสนล้านที่โกงไป ไม่เคยทำให้เขาอยู่กับปัจจุบันหรือมีชีวิตน่ารื่นรมย์เลย เขาพยายามเอาเงินมาปล้นประเทศไทยแสวงหาอำนาจให้ได้ร่ำรวยต่อไปอีก ชีวิตของเขาดิ้นรนยอมเสียสุขภาพทุกอย่าง ยอมเสียสุขภาพทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน 

คนรวยก็จะทำทั้งความเลวและความโง่เป็นความไม่รู้จบ วันนี้เรามาเรียนเศรษฐกิจโลกุตระเพื่อให้วิ่งไปหาเศรษฐกิจที่รู้จบ จะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้อีกด้วย พ่อครูก็พูดทุกมุม ทั้งเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และการเมืองเพื่อให้แต่ละชีวิตรู้ความจบของแต่ละชีวิต วันนี้เราคงจะได้มาฟังสัจจะจากพ่อครูต่อ ขออาราธนาพ่อครูครับ 

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกคน 

SMS วันที่ 27 มี.ค. 2566

 

เงินที่ได้มาโดยสุจริตไม่เบียดเบียน มีหรือไม่ 

_ดวงกมล ก้อนทอง  · เงินที่ได้มาอย่างไม่เบียดเบียนและสุจริตมีได้ไหมเจ้าค่ะ เพราะโลกียะยังต้องใช้อยู่เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เข้าใจนึกจนกระทั่งอาตมา ต้องคิดเหมือนกันนะว่าเงินที่มันได้มาอย่างไม่เบียดเบียนและสุจริตนี้มีได้ไหม เพราะโลกียะยังต้องใช้อยู่ ที่จริงโลกุตระเขาก็ใช้เงิน แต่ว่าเขาก็ใช้อย่างสบายแล้ว ไม่ต้องไปกังวลเรื่องเงินมากนักไม่ต้องไปวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ 

คนโลกุตระอย่างสังคมชาวอโศก เป็นคนที่เห็นอดีตเป็นเครื่องชี้ทุกข์ เป็นคนที่เห็นอดีตเป็นเครื่องชี้ทุกข์ และก็ไม่กังวลกับอนาคต อยู่กับปัจจุบันที่สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ เอ๊.. จริงไหมนี่ อาตมาพูด เป็นลมๆแล้งๆ ฝันเพ้อไปหรือเปล่า ...โยมว่าจริง

สังคมไหนหนอเป็นอย่างนี้ สังคมหมู่กลุ่มมนุษยชาติ ชุมชนที่มีอย่างนี้มีด้วยหรือ ..​โยมว่ามี มีอยู่ที่ไหน อยู่ที่ชาวอโศก เป็นสิบๆแห่งหลาย 10 แห่งอยู่ 

ที่นี้เงินที่ได้มายังไม่เบียดเบียนและสุจริตนี้มีได้ไหม มี ท่านเรียกโดยศัพท์วิชาการว่า ลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา คือ เรามีสิทธิ์ในข้าวของ ที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้ได้เงินแลกเปลี่ยนมา ของนั้นเป็นของเราโดยสิทธิของเราอย่างแท้จริง ไม่ได้ไปเกี่ยวโยงคนนั้นคนนี้ แม้แต่จะเป็นญาติพี่น้อง เป็นญาติโกโยติกา มันชัดเจนว่าเป็นอิสระของเราเด็ดขาด เราก็ขายได้ 

เงินนั้นได้มา 1. ขายได้ และต้องขายอย่างอย่าไปเอาเปรียบ ถ้าจะเป็นความสุจริต ต้องอย่าไปเอาเปรียบ ขายเท่าทุนและต่ำกว่าทุน เงินนั้นจะสุจริต ถ้าคุณขายเกินทุน ไม่สุจริตแล้ว ฟังให้ดีๆ จะมีคนทำไหมอย่างนี้ ... มี 

คนที่ขายอย่างนี้ได้ก็เพราะว่า เราทำงานนี่นะ อย่างชาวอโศกเราปฏิบัติ เราขายของไป ของที่ขายเราผลิต หรือแม้แต่เราไปซื้อของคนอื่นมาก็ตาม เราไม่ได้คิดค่าแรงงาน ดีไม่ดีเราไม่คิดค่าโสหุ้ย แล้วเราก็ขายไป ขายขาดทุนหรือขายเท่าทุน นี่เป็นเงินสุจริตได้แน่นอน จะว่าไปแล้วมีเสียสละอยู่ในนั้นแล้ว 

นี่เป็นการพิสูจน์คนว่า คนอยู่ในโลกนี้จะเสียสละค่าแรงงานของเราโดยเราไม่คิดเลย นี่แหละคือของแท้สุจริต คนขยันมาก สร้างสรรค์ผลผลิตได้มากๆ หรือว่ามีคุณภาพดีๆ แต่เราขายของที่ราคา แทนที่จะโก่งราคาแพงเพราะของเราดี..ก็ไม่ เราขายราคาอย่างต่ำกว่าราคาตลาดด้วย นี่คือนักเศรษฐกิจชั้นหนึ่ง หรือนักเศรษฐกิจชั้นสูง 

ระบบทุนนิยมคิดไม่ออกหรอก เขาจะไม่ประพฤติอย่างนี้ เขาก็รู้นะพูดจริงๆเขาก็ไม่ได้โง่จนกระทั่งไม่รู้ว่าอันนี้มันดี ที่จริงมันไม่ใช่ดีเท่านั้นนะ มันเป็นการลดกิเลสตัวตน ลดกิเลสการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงด้วย แต่เขาคิดเรื่องอย่างนี้ไม่ออก เขาไม่เห็นคุณค่าของการลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว เขาไม่เห็นว่าอย่างนี้ราคาแพง การลดกิเลสได้หรือการไม่เห็นแก่ตัวนี้ราคาแพงกว่าอย่างนับไม่ถ้วนเลย ในความเป็นชีวิตมนุษย์ที่เกิดมา จะรู้หรือเปล่า 

ยิ่งมีความรู้ถึงขั้นมีปรมัตถธรรม อ่านจิตตัวเองได้เลยว่า เราลดลงได้ตามที่เราเข้าใจไหม จิตของเรารู้เลยว่าเราได้ลดกิเลสและเราได้เสียสละ เราขาดทุนของเราให้แก่สังคม ขาดทุนของเราคือเราได้ จะเรียกว่ากำไรก็ได้จะเรียกว่า “ได้” ก็ได้ เราได้ประโยชน์เราได้สิ่งที่ควรได้ ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตมีหวังนิพพาน จริงนะ มีหวังนิพพานเลย ไม่ใช่มีหวังแบบธรรมดาง่ายๆ 

 

อ่านรูปนามจากสติปัฏฐาน 4 จนถึงโพธิปักขิยธรรม

_แว๋ว อำนาจ  · ลูกพยามเรียนรู้อ่านรูปนามสติปัฏฐาน 4 อยู่แทบทุกขณะค่ะ วิบากลูกยังเยอะค่ะ ขอเพียรปฏิบัติอยู่ข้างนอกก่อนนะคะ

พ่อครูว่า... จะปฏิบัติอยู่ข้างนอกหรือปฏิบัติอยู่กับหมู่กลุ่มชาวอโศกก็ตาม ถ้าปฏิบัติถูกต้อง เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้า วิธีการที่ถูกต้อง คุณใช้คำว่า พยายามเรียนรู้ อ่านรูปนาม แล้วก็มีคำว่าสติปัฏฐาน 4 

ก็ขอขยายคำว่า รูปนามกับสติปัฏฐาน 4 ให้เข้าใจกันขึ้นอีก แถมให้ 

รูป คือ สิ่งที่สัญญา เจตสิกของเราอันหนึ่ง มันทำงานกำหนดรู้ ฟังให้เข้าใจเป็นพื้นฐานดีๆนะ รู้รูปที่เห็นด้วยตา รูปที่ได้ยินด้วยหู รูปที่ได้กลิ่นด้วยจมูก รูปที่ได้รสทางลิ้น รูปที่มีกายสัมผัส เรียกว่า โผฏฐัพพะ สัมผัสภายนอก เราก็รู้รูปนั้น 

คนที่มีประสาทครบทั้ง 5 ทวาร ได้สัมผัสกับรูปภายนอก แล้วก็เกิดรูปภายใน รูปภายในก็เป็นนามธรรมของเรา นี่คือรูปนาม คนจะต้องรู้รูปนาม คนรู้รูปนามคือคนที่รู้จักวิญญาณ 

ถ้าคุณเองคุณคิดไม่ออก ไม่มีความรู้ คุณก็จะแยกรูปแยกนาม หรือแยกภายนอก แยกภายในไม่ออก เรียกว่า 2 อย่าง แยกไม่ออกก็เรียกว่า อายตนะที่อวิชชา มันรวมอยู่ในนั้นเป็นหนึ่ง เป็นอายตนะที่อวิชชา 

เพราะฉะนั้นผู้ใดที่สามารถแยกรูปแยกนามออก และก็แยกสิ่งที่มันเป็นอายตนะนี่แหละ มันมีทั้งภายนอกมีทั้งภายใน เชื่อมกันอยู่ต่อกันอยู่ไม่ได้ขาดจากกัน พอมีตาสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอกแต่ละคู่แต่ละคู่ 

ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน เป็น 2

แล้วคุณก็สามารถที่จะไม่งมงายกับ 2 นี้มั่วเลยเป็น1 ไม่งมงายแล้ว มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สามารถมีประสิทธิภาพเลยแยกออก ว่าอะไรเป็นภายนอกอะไรเป็นภายใน อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม 

ลึกเข้าไปกว่านั้นผู้มีสติปัฏฐาน 4 จะพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา  จิตในจิต ธรรมในธรรม ฟังให้ดีนะต่อเนื่องกันนะ มีความรู้รูปนามแยก 2 สภาวะ  แยกภายนอกภายในออกแล้ว 

ก็จะมาพิจารณากาย คำว่ากายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน คนที่เข้าใจว่า กายมีแต่เพียงภายนอกไม่มีภายใน มิจฉาทิฏฐิ คนที่เข้าใจว่ากายมีแต่ภายในไม่มีภายนอก ยิ่งมิจฉาทิฏฐิหนักเลย 

กายมี 2 สภาวะเสมอ และคำว่า กาย นั้นจะต้อง ภายในหรือจิตวิญญาณ จิต มโน วิญญาณ เป็นประธาน สำคัญที่ประธาน และไม่ขาดกันนะกับภายนอก ไม่ขาดกับวัตถุภายนอกที่เราสัมผัสอยู่ด้วย 

เมื่อเข้าใจกายแล้ว แน่นอน คำว่าภายนอกกับภายใน ต้องมี 2 ใช่ไหม เมื่อกล่าวว่ากายในกาย มันก็ต้องมีกายนอก โดยปริยาย ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เมื่อคุณมีใน คุณก็ต้องมีนอก คู่กันเสมอ 

เมื่อสัมผัสกายแล้วจึงพยายามเน้นเข้าไปหาใน ในเชื่อมต่อโยงเข้าไปตัวที่จะเรียนรู้ต่อคือ เวทนา คือความรู้สึกหรืออารมณ์ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถแยก กายิกเวทนาได้ แยกเจตสิกเวทนาได้ เวทนามี 108 อันนี้เป็นคู่ที่ 1 มี 2 แยกได้ กายกับจิตไม่ได้แยกกัน แต่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์บริบูรณ์ มีภูมิปัญญาสามารถมีสติสัมโพชฌงค์ สามารถมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ฝึกเรียนภาคเรียนสัมผัสแล้วแยกได้ 

เมื่อแยกออกแล้วเวทนาในเวทนา รู้แล้วว่าเวทนาแยกได้เลยว่ามันมีเวทนาแท้กับเวทนาเก๊อีก แล้วเวทนาเก๊นั้น แยกเข้าไปอีกถึงจิตในจิต เพราะทำไมมันเก๊ มันต้องมีอะไรมาทำให้เก๊ ก็คือจิต จิตอวิชชา จิตโง่ๆ จิตที่ไปหลงราคะ โทสะ โมหะ ไม่รู้จักการทำให้ราคะลดหรือไม่มี โทสะลดหรือไม่มี โมหะลดหรือไม่มี ตามหลัก เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่สามารถทำได้ 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุอรหันต์ ไม่มีสิทธิ์ คุณจะรู้ชัดเจนเหมือนอย่างอาตมาพูด ตามตำราตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าเลยนะ อาตมารู้ชัดรู้ความรู้ทุกตัวละเอียด แม้คุณไม่รู้ได้เก่งเท่ากับอาตมา คุณก็ต้องแยกแยะได้อย่างน้อยตระกูล 3 กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ 

แล้วสามารถรู้มันบ้าง มันไม่คมไม่ชัดมันไม่แม่นเท่าไหร่ก็ตาม แต่รู้ถูกตัวมันบ้าง แล้วเวลาปฏิบัติคุณก็ทำราคะให้มันลดได้ ทำให้โทสะ ทำให้โมหะมันลดได้ เป็นลำดับไป ตามที่ท่านไล่ เจโตปริยญาณ 16 ซึ่งมีแต่ละคู่ๆ ไปตั้งแต่ สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ มหัคตะ อมหัคตะ  สอุตระ อนุตระ สมาหิตะ อสมาหิตะ วิมุติ อวิมุติ 

ผู้สามารถบรรลุพยัญชนะความหมายของมันได้ เข้าใจแล้ว แล้วสามารถปฏิบัติ ภาษาก็รู้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่รู้ภาษาดีพอ มันละเอียด  คุณก็ทำละเอียดไม่ได้ อรหันต์ไม่ใช่ได้แค่หยาบๆ อรหันต์ต้องละเอียด 

เพราะฉะนั้นต้องมีโพชฌงค์ 7 สำคัญ มีโพธิปักขิยธรรม 37 ถูกต้องบริบูรณ์ แล้วคุณต้องมีโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นหลักแกนใหญ่แล้วก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ด้วยอิทธิบาท 

เวลาปฏิบัติก็ใช้สัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน 

สังวรปธานคือ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องสำรวมสังวรณ์อินทรีย์ 6 นะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกมีธัมมวิจัยแยกกิเลสได้ ประหารกิเลสได้เป็นปหานปธาน พากเพียรประหารกิเลส 

ผลถึงจะเกิดเรียกว่า ภาวนาปธาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วก็ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันมิจฉาทิฏฐิแท้ นั่งภาวนาพุทโธเป็นมิจฉาทิฏฐิแท้ ไม่ได้มีสัมมัปปธาน 4 

เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ ไม่มีกาย นั่งหลับตาแล้วกายไม่มี ไม่มีเวทนาจะเชื่อมไปหาจิตไปหาธรรมะไม่ได้ ไม่มี อิทธิบาท 4 พากเพียรหลับตา แล้วก็บอกว่านั่งจนก้นแตกก็แตกตายฟรีๆด้วย ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลยด้วย นอกจากไม่ได้มรรคได้ผลแล้วยังได้อวิชชา ได้มิจฉาทิฏฐิ ติดไป ตายไปแล้วก็งมงายลงนรกไป นรกก็คือที่ไม่ผุดไม่เกิดง่ายๆ ไปรับวิบากที่มันเป็นวิบากที่ไปสร้างอะไรต่ออะไร ทุกข์ๆร้อนๆไปในภพไหนก็แล้วแต่ 

แม้แต่เกิดมาเป็นคน ได้ร่างคน ก็จะทุกข์ร้อนเป็นนรก ตายไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่าไปลงนรกแบบไหน แต่มาเกิดเป็นคนก็มีวิบากที่มันผิดพลาด มันเป็นผลวิบากบาป 

คนที่เอาแต่นั่งหลับตาไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ไม่ได้มีประโยชน์คุณค่ากันกับมนุษย์ นั่งเอาเปรียบเอารัดกินสิ่งที่เขาเอามาถวาย เหมือนกินเหล็กแดงเผาไฟ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น เหมือนกินเหล็กแดงเผาไฟ อย่างน้อยต้องมาสัมผัสๆแล้วตัวเองจะได้เรียนรู้ 

2. ก็ได้เกี่ยวได้ข้องกับผู้อื่นเขา ให้เขารู้เขาเห็นว่าเราเองเรามีความรู้ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้ามีสัมมาทิฏฐิ พอพูดได้บ้างอธิบายได้บ้าง สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร ก็ต้องพอพูดพออธิบาย แม้พูดอธิบายไม่ได้ ก็พยายามพากเพียรศึกษาให้ตัวเองมีความรู้ ไม่อย่างนั้นก็จะไปอธิบายภาวนาปธานผิด 

ภาวนาคือ การเกิดผล แล้วไปอธิบายเป็นเหตุ สังวรปธาน ปหานปธาน ได้ผลแล้วจึงอนุรักขนาปธาน ปธาน แปลว่าพากเพียรปฏิบัติ พากเพียรสังวรแยกแยะกิเลสประหารกิเลสให้ได้ พอได้ก็คือเป็นภาวนาเป็นผลเกิดได้เป็นภาวนาเสร็จก็จึงจะเป็นการสะสม อนุรักขนาปธาน 

ไปเข้าใจผิดเพี้ยน เอาเหตุไปเป็นผล เอาผลไปเป็นเหตุ ภาวนาเป็นผลดันเอาไปเป็นเหตุ แล้วเมื่อไหร่คุณจะเสร็จ คือเอาหัวเดินต่างตีน เอาผลไปเป็นเหตุ นี่คือความเข้าใจผิดที่น่าสงสารมาก พวกนั่งหลับตา 

ทำไมอาตมาเอาแต่ตีพวกนั่งหลับตา เพราะสงสารเขา เขาเอาจริงเอาจังมากมายเลยนะ เอาชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่เล็ก บวชมาตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระ จนกระทั่งแก่ตายเปล่า แล้วหลงว่าเป็นอรหันต์อีก ตายๆๆ  เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส มันอย่างมหาบัวสายหลับตาจนต้องอุทานเหมือนพระพุทธเจ้าว่าฉิบหายแล้วหนอ..มหาบัว แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเกิด 

ไอ้คำว่า “ไม่ผุดไม่เกิด”นี้ดูดีนะเหมือนเป็นอรหันต์ แต่ไม่ใช่ไม่ผุดไม่เกิดคืออยู่ในนรกไม่รู้กี่ขุม จนกว่าจะมาเกิดใหม่มาเรียนรู้สัมมาทิฏฐิใหม่ เพราะไม่ได้สัมมาทิฏฐิเลย อาตมาพูดแล้วเหมือนกับถล่ม ไปกล่าวไปว่าเพราะมันเสื่อมจริงๆ ศาสนาพุทธมันเสื่อมไปหลงหนักจริงๆ อาตมาก็บารมีน้อย พูดกับเขา เขาก็ไม่ค่อยเชื่อไม่ค่อยจะฟัง เพราะว่าอาตมามาคราวนี้โลกุตรธรรมมันเสื่อมไปจากคนชาวพุทธ 

คณะใหญ่ก็เป็นคณะเสื่อมแล้วเขาก็ไปเชื่อคณะใหญ่กัน ยึดถือกันทั้งสายบ้านสายป่า แยกกัน ที่จริงสมัยพระพุทธเจ้าเขาไม่มีสายบ้านสายป่า เขาก็มีสายบ้านอย่างเดียว คนออกป่าท่านก็เก็บมาจากป่า พระพุทธเจ้าลิงลมอมข้าวพองไปอยู่ในป่า เสร็จแล้วพ่อท่านรู้ตัวก็ค่อยๆออกจากป่าเข้าเมืองมา ก็จากป่าสู่เมืองไม่ได้ให้ไปป่า 

_สู่แดนธรรม... ส่วนมากพระองค์จะจำพรรษาอยู่ในวิหารของอนาถบิณฑิกะเศรษฐี 

พ่อครูว่า... ก็มาพบกับลูกเศรษฐีพระสยะ ก็ไปหาพราหมณ์ทั้ง 5 ที่ออกป่า แล้วก็มีเพื่อนพราหมณ์อีก พากันเข้าบ้านหมดเป็น 150 องค์ จนเป็น 500 องค์ ท่านไม่ได้ไยดีกับการอยู่ป่าเลย ท่านลิงลมอมข้าวพอง อยู่ป่าไป 6 ปี 

ลิงลมอมข้าวพอง คือเมาอยู่กับโลกเขาครอบงำ ขนาดพระพุทธเจ้ายังเสียเวลา 6 ปี แล้วโพธิรักษ์นี่ โอ้โห นาน ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ 8 ปี แต่ไม่ได้ออกป่าออกเขา ซึ่งไปบ้างไม่กี่เดือน แต่ไม่ได้เก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ พูดไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านี้ สติปัฏฐาน 4 อธิบายต่ออีกให้จบว่า เมื่อคุณรู้รูปนามแล้ว คุณก็แยกรูปแยกนาม ภาวะ 2 ได้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต 

ธรรมในธรรม คู่สำคัญก็คือโลกุตระกับโลกียะ เป็นภาวะ 2 สำคัญ ธรรมในธรรม เป็นสภาพที่ทรงไว้ซึ่งโลกีย์เราก็ออกจากโลกีย์  เนกขัมมะออกมาเป็นโลกุตระ ออกมาได้หมดตัวเลย ออกมาได้ทีละลำดับ 

เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน 4 จึงเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธ ถ้าคุณเข้าใจสติปัฏฐาน 4 พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ไม่แยกกัน เนื่องต่อกันอยู่ตลอด 

และต้องมีกาย ลืมตามีกายมีภายนอกเป็นหลัก กำจัดกิเลสภายนอกที่ หยาบเรียกว่า กามคุณ 5 ได้แล้ว แล้วคุณก็อยู่เหนือกาม เหลือกิเลส รูปภพ อรูปภพต่อไป ท่านแบ่งเป็น 3 อย่างง่ายๆคือ กาม รูปภพ อรูปภพ 

ดำเนินปฏิบัติอยู่เรียกว่า อวจร อยู่ในกามาวจร ก็ลดกามได้หมด คุณก็เหลือรูปาวจร ลดกิเลสในรูปาวจร ก็ยังมีตาหูจมูกลิ้นกาย แต่อยู่เหนือกามแล้ว 

ลดรูปได้หมดอีก ก็เหลืออรูปาวจร ละเอียดไปอีก แต่ไม่ได้ไปหลับตาอะไร ลืมตา แล้วก็ลดกิเลส ในอรูป ได้หมดเกลี้ยง สมบูรณ์แบบ ก็จบ 

อธิบายอันนี้ต่อให้จบแล้ว ถ้าอธิบายต่อไปก็ต้องเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ทั้งใช้เมื่อสติปัฏฐาน 4 และสัมมัปปธาน 4 

อิทธิบาท 4 ก็คือ คุณต้องโถมความพยายามทุกอย่าง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แล้วจึงจะเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 เกิดคุณภาพ ของคุณธรรมที่คุณจะได้ ไม่ว่าจะเป็นศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา 

เพราะฉะนั้นคำว่า สมาธิ อยู่ตรงที่อินทรีย์หรือพละนี้ จึงไม่ใช่สมาธิหลับตา สมาธิลืมตาก็อธิบายมาตั้งแต่ต้น แล้วก็จะเกิดความเชื่อ เข้าใจ ตัวศรัทธา คุณก็จะมีวิริยะ มีสติแข็งแรงขึ้น เจริญขึ้น มีกำลังอินทรีย์ และมีปัญญาเป็นตัววิชชาที่จะเป็นยาดำอยู่ไปทั้งหมดเลย อินทรีย์เจริญขึ้นจบเรียกว่าพละหรือผล พละ 5 หรือ พละ 8 (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... โพธิปักขิยธรรม 37 ถ้าไล่เรียงไป ง่ายๆคือ สะ สะ อิ อิ พะ พะ มะ  

พ่อครูว่า... เป็นโลกุตระ 37 ท่านตรัสว่าอันนี้เป็นโลกุตรธรรม 37 

เพราะฉะนั้นก็อธิบายให้กันฟังแล้วก็พยายามฟังดีๆ ถ้ารักจะเอาธรรมะและอาตมาก็ย้ำแล้วว่า เกิดมาเป็นคนไม่ได้ธรรมะโลกุตระนั้นเสียชาติเกิด เกิดมาไม่ได้โลกุตระแล้ว แถมกิเลสหนาขึ้นไปอีก แต่ละชาติๆ น่าสงสาร นะ คนมีเยอะในโลก ยิ่งสายเทวนิยมนี้น่าสงสาร ซับซ้อนร้ายกาจขึ้นทุกวัน 

จะเห็นความต่างของชาวอโศกกับชาวเทวนิยมทั้งหลาย แม้แต่ในเมืองไทย ก็ต่างกันจนกระทั่งเขาหาว่าพวกเราเป็นคนบ้าๆบอๆไปทำลายศาสนาเขา อาตมาก็ไม่รู้จะสงสารอย่างไร มันสุดสาคร สุดสินสมุทรจริงๆ สุดสงสารสุดสาคร สุดสินสมุทร 

 

_แดง สารคาม  · ที่บ้านน้ำมีน้อยค่ะ จึงปลูกผักได้น้อยค่ะ แห้งขอด อากาศร้อนมากเลยค่ะ

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ลูกได้เห็นพ่อท่านเปิดเผยเพชรที่เป็นโลกุตระหลากหลาย เช่น เพชรในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพชรเรื่อง การเมืองเศรษฐกิจการปกครอง ลูกได้ติดตามอยู่ เพชรได้ฉายส่องประกายอันสูงส่ง ทำให้อโศกของเราเรืองรุ่ง เป็นไปตามสัจธรรมครับ ขอให้พ่อท่านบริหารร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ผู้ที่เข้าใจที่อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย มาอธิบายนี้ ก็เห็นว่าเป็นของมีค่า เป็นเพชรยิ่งกว่าเพชร ไม่ว่าจะเป็นเพชร ศีลสมาธิ ปัญญา หรือเพชรมาเข้าใจการเมือง เศรษฐกิจ การปกครอง เป็นเพชรที่ฉายส่องประกายสูงส่ง ก็เป็นของคุณซึ้งซื่อ วิเชียร ที่เข้าใจ ก็ศึกษาให้ดีๆ แล้วก็ใช้ภาษากำกับสิ่งที่เราเข้าใจ ก็ต้องรู้ให้ได้ถึงสภาวะ องค์ประกอบของความหมาย ที่เราเข้าใจนั้นๆให้ได้ แล้วปฏิบัติได้ ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญา ได้ความเป็นการเมือง ความเป็นเศรษฐกิจ การปกครอง จนกระทั่งเราได้อย่างสมบูรณ์แบบมีเนื้อหา อย่างกับเพชรฉายส่องแสงแวววาวเลยก็ดี 

 

ไม่สะสมเงินทองข้าวของแล้ว สุดท้ายต้องมาอยู่กับสาธารณโภคี

_พอใจ รักดี  · ตั้งแต่ฟังชาวอโศกมา ทำให้รู้ว่าเงินก็แค่สิ่งสมมุติเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เท่านั้น ทุกวันนี้ดิฉันไม่คิดจะสะสมเงินทอง ไม่คิดจะสะสมสิ่งของแล้วเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... อ้าว บรรลุธรรมแล้ว รอรับ สักวันหนึ่งคงมาแล้ว คุณพอใจ รักดี จะไปไหน คุณไม่สะสม ก็จะอยู่สาธารณะโภคี  ไม่สะสมแล้วข้าวของเงินทองไม่เอาแล้วจะอยู่คนเดียวก็ตายลูกเดียว คือมันได้เหมือนกันนะคุณไม่ใช้เงินทองคุณไม่สะสมเลย แล้วสิ่งของคุณก็ไม่สะสม แล้วคุณจะเป็นอย่างไร ถ้าเผื่อว่าคุณวันนี้มันเจ็บปวดทำอะไรไม่ได้ แล้วคุณจะทำอย่างไร คือละเอียดๆแล้วมันไม่ได้หรอก ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นศาสนาแห่งสังคม ศาสนาที่จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นฝูง มีกายมีจิต 

กายคือองค์ประชุม กายคือหมู่คือฝูง กายไม่ได้มีเดี่ยว กายต้องมี 2 ขึ้นไป อย่างนี้เป็นต้น 

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม 

กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ

   จากรายการ "ปรับทุกข์ ปลุกธรรม" เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดิฉันประทับใจอย่างยิ่ง ที่พ่อครูแสดงความคิดเห็นว่า น่าจะมีการมอบ เครื่องอิสริยาภรณ์ ให้กับ "กสิกร"(คนฉลาด) เพื่อเป็นการให้คุณค่ายกย่องเชิดชู ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม กราบขอโอกาสเรียนเสริมว่า คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าได้รับการยกย่องเชิดชู ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความสะอาดปลอดภัยของสิ่งแวดล้อมในสังคม ก็คือ "พนักงานเก็บขยะ" ซึ่งเป็นงานที่ไม่พึงประสงค์ของคนส่วนใหญ่ น่าจะเป็นอาชีพที่ได้รับการตอบแทนที่มาก รวมทั้งได้รับสวัสดิการทางด้านสุขภาพที่ดีค่ะ

พ่อครูว่า... ถ้าสังคมเจริญถึงขั้นมองเห็น แล้วให้เกียรติ จะตั้งตระกูลเหรียญตราหรือเครื่องอิสริยาภรณ์อีกตระกูลหนึ่งสำหรับกสิกร สำหรับคนเก็บขยะ คนรักษาความสะอาด ซึ่งเป็นคนชาวบ้านชาวบ้าน ไม่ใช่ไปให้แต่คนที่เป็นข้าราชการ คนที่เป็นนายทุนใหญ่ๆ ถวายเงินเยอะๆ อาตมาว่าเป็นข้อคิดที่น่าคิดมาก 

 

_อีกประเด็น ที่พ่อครูได้กรุณาชี้แนะ คือการทบทวนการ"จบกิจ"ของลูกๆชาวอโศก ดิฉันได้ทบทวน การจบกิจ ในเรื่อง"เงินทองของมีค่า"ของตัวเอง สรุปได้ว่า จบแล้วจริงๆค่ะ เพราะสั่งสมความเบื่อหน่าย ความเบาสบายจากเครื่องประดับที่มีค่า ที่ใส่แล้วรู้สึกหนักคอ เกะกะนิ้ว แม้แต่นาฬิกาที่ใช้ในการทำงาน ก็จะรีบถอดเมื่อหมดเวลาทำการ จากหนักข้อมือ  มรดกที่เป็นเงิน แจกจ่ายเจือจานให้แก่พี่น้องที่ยังเวียนว่าย ท้ายสุดเงินคนแก่ ก็ยกให้กับพี่สาวผู้มีพระคุณ เบาสบายจริงๆค่ะ  และรู้สึก มั่นใจ มั่นคงใน"สังคมสาธารณโภคี"เป็นที่สุดค่ะ

 พ่อครูว่า...พูดถึงสาธารณโภคีแล้ว อาตมาภาคภูมิใจมาก พูดย้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว ว่าอาตมามาในยุคนี้ เอาสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า มาทำให้เกิดปรากฏการณ์จริงขึ้นมาได้ในสังคมมนุษย์ยุคนี้ 

พูดจริงๆ เถอะ ใครจะหาว่าอาตมาหลงละเมอเพ้อพกตัวเองก็ตาม มันยิ่งใหญ่นะ มันยิ่งใหญ่ตรงที่ว่าในยุคพระพุทธเจ้าทำได้เฉพาะในหมู่สงฆ์ ข้อจำกัดอาตมาก็เคยพูดไปแล้ว แต่ยุคนี้มันไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า มันคนละยุคคนละ กาละ เทศะ ฐานะ ยุคนี้ไม่ใช่สมบูรณาสิทธิราช ไม่มีนายทาส และทุกคนมีสิทธิเสรีภาพสมบูรณ์แบบ 

เพราะฉะนั้นจึงทำให้คนมาอยู่ในชุมชนสาธารณโภคี เป็นฆราวาสได้สำเร็จ ไม่ใช่อาตมาอวดเก่ง แต่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายืนยันกับโลกคนละยุคกาละเท่านั้นเอง ได้สำเร็จ มันสุดยอด สาธารณโภคีนี้ 

เพราะฉะนั้น ในเทวนิยม สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ทำให้เกิดสาธารณโภคีไม่ได้ จบด็อกเตอร์มาร้อยใบก็ทำไม่ได้ จากเทวนิยม จากต่างประเทศ ต้องศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงจะทำให้เกิดสาธารณโภคี จะเข้าใจสาธารณโภคี ทำให้เกิดสาธารโภคีได้สำเร็จ 

เมื่อสำเร็จก็เกิดชุมชนหมู่กลุ่มที่เป็นสาราณียธรรม 6 คุณก็จะอยู่กันอย่างสบายมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภ ได้มาโดยทำก็เอาเข้ากองกลาง ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  ใครบรรลุสูงสุดก็จบในตัวเองไม่บรรลุก็ทำต่อ แต่เข้าใจแล้วก็อยู่สบายจะไม่ไปไหน จะอยู่กับหมู่นี้ 

กราบขอบพระคุณพ่อครู พ่อผู้ให้กำเนิด"จอมยุทธ โลกุตระ"ทุกคน ด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ

ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม พ.29 มี.ค.2566:7.00น.

พ่อครูว่า... มีจอมยุทธโลกุตระไหมนี่ มี สำนักเสี้ยวลิ้มซ๊ก พรรคกระยาจก นี่จริงๆ 

 

_ฝากประชาสัมพันธ์ ช่วงงานศิษย์เก่านี้ ขณะนี้มีศิษย์เก่าชุมนุมอยู่ในราชธานีอโศก ตั้งจุดรับสมัครสมาชิกพรรค อยู่ที่อาคารบวร บริเวณหน้าเรือ เจิ้นเทิ่น ศิษย์เก่าทั้งหลาย ผู้ที่ควรจะสมัคร ถ้าใครไปเป็นสมาชิกพรรคอื่นๆอยู่แล้วต้องลาออกก่อนนะ ถึงมาสมัครได้ ถ้าไม่ลาออก สมัครซ้ำซ้อนนั้นโมฆะทั้งคู่ ไม่ได้ ถ้าใครยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคไหนเลยก็เชิญ 

พวกเราคนน้อยก็พูดไปแล้วก็มาช่วยกันหน่อย ตั้งพรรคสัมมาธิปไตยขึ้นมา เพื่อที่จะดำเนินอยู่ในสังคม สังคมไทยนี่แหละเข้าไป เพื่อที่จะยืนยันให้มันมีความเป็นจริง กับพฤติกรรมปฏิบัติให้มันเป็นเรื่องราว เพราะว่าเราอยู่ในสังคมนี้ ก็ทำตามสังคมนี้ไป 

 

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1

เข้ามาสู่เรื่องเศรษฐกิจที่อาตมาพูดอธิบายอยู่ อาตมาไปค้นเจอ เศรษฐกิจที่เขียนเอาไว้ถึง 45 ประเด็น 45 ข้อ อาตมาก็เลยเอามาดูอีก ก็เลยขยายต่อไปอีกเป็น 47 ประเด็น ก็น่าจะได้เอามาทบทวนอธิบาย 

ที่สำคัญคือมันมีความคิด แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็เกิดผล ความคิดความเห็นความเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติจนเกิดผล มันก็มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ คือโลกียะกับโลกุตระ หรือพวกเทวนิยม ที่มีความรู้ทางธรรมะแบบเทวนิยม ซึ่งมันไม่ออกมาหาโลกุตระเลย มันไม่ทวนกระแส มันไม่หมดอัตตานั่นเอง ไม่มีอนัตตา ไม่มีนิพพาน 

เพราะฉะนั้นพยัญชนะแต่แค่ไม่มีนิพพานนี้ก็ ยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งใหญ่ตรงที่ว่ามันไม่สามารถที่จะทำอะไรได้จบกิจ เศรษฐกิจก็ไม่จบกิจ จะวนเวียนเป็นลิงแก้แห วนเวียนเป็นกลุ่มไหมยุ่ง ซับซ้อนแล้วตัวเองก็แยกไม่ออก วน กลับไปกลับมากลับมากลับไปอยู่อย่างนั้น ยิ่งซับซ้อน ยิ่งพากันโง่หนัก 

ขออภัยที่อาตมาใช้ศัพท์ง่ายๆ โง่คือมันไม่รู้ มันไม่เข้าใจจริงๆ แต่อาตมาไม่มีเจตนาจะไปลบหลู่ไปข่มอะไรหรอก มันไม่รู้มันไม่เข้าใจจริงๆเลย ถ้าเข้าใจนะ ชาวโลกีย์ที่เข้าใจธรรมะแล้วนี่ จะไม่พามวลประชาชนที่เรามีอำนาจบริหาร อาตมานี้เป็นคนที่มีอำนาจบริหารอยู่ แล้วก็มีประชาชนที่มาเรียนรู้ธรรมะที่อาตมา ขอยืนยันว่าเป็นของพระพุทธเจ้านี้ มาเรียนรู้ แล้วบริหารพวกเรา จนพวกเราออกจากโลกียภูมิ มาอยู่ในโลกุตระภูมิกัน 

ซึ่งเป็นภูมิที่สุดยอด พบจุดสำคัญที่อาตมาสรุปเป็นภาษาในยุคนี้ กาละนี้ ฐานะนี้เลย ว่ามันมี อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

ลงท้ายปลายเปิด พร้อมที่จะเสียสละนะ เพิ่มพูนการเสียสละ คือมันไม่เอาแล้วตัวตน เหลือแต่พลังงาน เหลือแต่ความรู้ความสามารถในชีวิต แล้วเราก็เรียนรู้แล้วว่า เราไม่ใช่คนที่จะมาขี้เกียจ พอสบายแล้วก็ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พูดไม่รู้กี่ซ้ำแล้ว ไปอยู่กันนี้สบาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  

สบาย แล้วก็เลยขี้เกียจสันหลังยาวไป เป็นปลิงเกาะเพื่อนกิน แอบแฝง อาตมาเคยพูดไม่ใช่เรื่องเล่น คุณไปแอบแฝงกินกับคนชั่ว คุณก็บาปขนาดหนึ่ง คุณไปแอบแฝงกินกับคนดี คุณก็บาปหนักกว่าแฝงกินกับคนชั่ว คุณไปแอบแฝงกินกับอาริยะหนักเข้าไปใหญ่เลย บาปไม่รู้จะซับซ้อนกี่ชั้น 

เพราะฉะนั้นอยู่ในที่นี้อย่ากลายเป็นคนมาแอบแฝงกิน แอบแฝงอยู่ แต่พูดไปแล้วนี่ คนที่ไม่ค่อยได้ทำงาน เพราะว่าแก่แล้ว เจ็บป่วยมากแล้ว อะไรก็อย่าไปทำเกินไปล่ะ ก็ให้สมสัดส่วน เจียมแก่บ้างเจียมเจ็บบ้าง ไม่ใช่เสแสร้งนะว่าเราไม่รู้ตัว ไม่ใช่ ก็รู้ตัวตามสมควร ก็อยู่กันตามความเป็นจริงที่เราเกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย มันเป็นสังคมที่ประเสริฐ 

ในความเกิดเป็นคนมาแล้วนี้ ในการเกิดมาแล้ว ถ้าไม่เรียนรู้โลกุตรธรรมจนจบกิจ มันจะเกิดวนเวียนซ้ำซ้อนกลายเป็นสูงแล้วต่ำ ต่ำแล้วก็สูง สูงแล้วก็ต่ำ อย่างในเทวนิยม ได้เกิดเป็นศาสดาไม่ใช่จะไม่ต่ำ จะตกต่ำอีกกี่ชาติกี่ชาติเพราะเขาไม่รู้จักการเวียนเกิดเวียนตาย กรรมวิบากเขาไม่รู้ ไม่รู้กรรมวิบากศาสนาเทวนิยม 

แล้วก็ไม่รู้เหตุที่จะทำให้กรรมนี้หมดความวนเวียนลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ไม่วนเวียนลงต่ำ มีแต่โลกุตรธรรม อรหันต์นี้เป็นโลกุตรธรรมต่อเนื่องไป เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติให้ได้มากยิ่งขึ้น มากจริต มากความคิดอ่าน มากพฤติกรรมอะไรต่ออะไร ซึ่งมันมากหลากหลาย ต่างคนต่างคิดต่างเห็นนี้มันเยอะ 

เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์นี้ก็จะต้องมาเรียนรู้แต่ละจริต แต่ละบุคคล แต่ละความคิด แต่ละการยึดถือ เยอะแยะจะช่วยเขาอย่างไร ก็จะได้มากขึ้น มีโพธิสัตว์ตั้งไม่รู้กี่ระดับ จบอรหันต์แล้วยังมีระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ระดับ 8  ไม่ใช่น้อยๆ 

คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนาสาหัส ไม่รู้จักการเหน็ดเหนื่อย

คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส จะเป็นจะตายกันก็แต่ว่า ใครจะหาทางได้ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุดเก่งกว่ากัน 

ดูเหมือนว่าเขาไม่เอาลาภ ก็คือทรัพย์สินวัตถุ ของหยาบๆ เราไม่เอาหรอก 

แล้วก็แข่งกัน“หาเสียง” ว่า “ข้านี่แหละ” ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศ เสพยศ มีสรรเสริญสักการะมากยิ่งๆ ก็เสพ สรรเสริญสักการะ ได้ยิ่งๆ อยู่นานยิ่งๆ เสพกันให้หนักยิ่งๆ

เราไม่ได้ต้องการลาภที่เป็นวัตถุทรัพย์สิน แต่เรายินดีในวัตถุทรัพย์สินที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ของเรา แต่เรามีส่วนที่จะกำหนดทรัพย์สินนั้น ดีไม่ดีเรามีสิทธิ์เป็นหนึ่ง คนอื่นไม่มีสิทธิ์ด้วยในทรัพย์สินนั้น แต่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตัวเรานะ ไม่ได้ปรากฏอยู่ที่ตัวเรา ยิ่งสมัยนี้อยู่ในมูลนิธิ อยู่ในแบงค์มันยิ่งชัด อยู่ในอะไรก็แล้วแต่แฝงๆอยู่ เป็นองค์รวม แต่เราเป็นสิทธิที่จะสั่งการ บัญชาการทรัพย์สินนั้นๆ นี่ซับซ้อน เหมือนไม่มี

หรืออันนี้ยิ่งซับซ้อนเป็นอรูปเลย เรานี่ทำให้คนนับถือเชื่อถือได้ จนกระทั่งถ้าต้องการเมื่อไหร่ พูดไปปั๊บ คนนำมาให้เลย มากมายเลย ถ้าต้องการที่จะทำ

เขาจะรู้หรือไม่รู้ว่าเราต้องการทำอะไรก็ตาม พอบอกว่าเอามาใช้ประโยชน์อันนี้ เขาจะเอามาให้ทันที เหมือนอย่างกับมหาบัวบอก จะเอามาเข้ากองคลังให้รัฐบาล คนก็เอามาให้สิ แต่ตัวเองเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าทรัพย์อยู่นั่นแหละ จิตตัวเองผูกพัน พูดเมื่อไหร่ก็บอกว่าบริสุทธิ์สะอาด เอาเข้าคลังหมด ไม่ว่าดอลล่าร์หรือทองคำ พูดเมื่อไหร่ก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเกาะทรัพย์เฝ้าทรัพย์นั้นอยู่ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่รู้ง่ายหรอก จิตที่มันมีอุปาทานยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรานี้มันไม่ง่าย เป็นการยึดถือ 

แม้แต่บางคนบอกว่า ลาภนี้เราไม่เอาแล้วเราสบาย ซับซ้อน คนที่มียศ มีสักการะ สรรเสริญ มีคนมาให้ความสักการะสรรเสริญจริงๆ ผู้ที่ได้รับการสักการะ สรรเสริญ อย่างมีคนนับถือ เชื่อถือมาก ต้องการลาภเมื่อไหร่ก็ได้ง่ายทันที จะเอามาใช้อะไรสำคัญๆ คนเชื่อถือเพราะว่ามีความรู้มีความเข้าใจเรื่องโลก เรื่องธรรมอะไรลึกซึ้ง ต้องการเมื่อไหร่ก็ได้มา เพราะฉะนั้นลาภมันก็อยู่ในตัวกับสรรเสริญกับสักการะ 

ทีนี้สุข ก็ไม่รู้ว่าตัวเองติดสุขอยู่กับสิ่งเหล่านี้ซ้อนเข้าไปอีก อันนี้แหละน่าเห็นใจน่าสงสาร มันไม่ง่ายที่จะรู้ตัว คนติดเหมือนไม่ได้ติดลาภ แต่ติดสักการะ สรรเสริญ มีลาภอยู่ในตัวอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว แล้วก็ตัวเองก็เสพสุข 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้สุขก็รู้ทุกข์อย่างละเอียดลออหมด ถึงขั้นอรูปอย่างสูงสุด จึงจะหมดสุขหมดทุกข์ 

นี่ขยายความให้ฟังได้อย่างง่ายและอย่างหยาบเลย มันเป็นอารมณ์ที่เป็นเวทนา ศัพท์วิชาการก็คือ เวทนา ที่ลึกซึ้งสูงสุด

คุณจะไม่สุขไม่ทุกข์ คำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นภาษาหยาบๆ มันบ่งบอกถึงอารมณ์ของจิตว่าไม่สุขไม่ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ โลกียะทั้งหลับตาและลืมตา ทำได้ หลับตาก็สะกดจิตไม่ให้สุขไม่ให้ทุกข์ จนกระทั่งจิตมันถูกสะกด 

ลืมตาก็สะกดแบบลืมตา ว่างนิ่งเฉย ๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็ท่องด้วยบัญญัติ พยัญชนะ แล้วก็พยายามทำให้ว่างนิ่งเฉยแบบลืมตา ก็คือสะกดจิตตัวเองให้สัมผัสอะไรแล้วก็ทำจิตให้ว่างนิ่งเฉย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ ลาภ สักการะ สรรเสริญหรือไม่ เพราะตัวเองปฏิบัติแบบลืมตาหรือหลับ เสร็จแล้วก็อาศัยเสพซ้อนอย่างที่อาตมาว่าโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแปลงรูปไปเป็นสักการะสรรเสริญ แล้วก็เสพสุขอยู่ในสักการะสรรเสริญ 

ตามสภาวะที่ว่านี้ได้ไหม ... เห็นเงียบๆกัน มีคนได้บ้างแล้วลึกซึ้งเข้าไป ลึกซึ้งเข้าไปอีก 

เพราะฉะนั้นโลกุตระนี้กว่าจะรู้อย่างที่อาตมาว่ามานี้ก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนาเหมือนกัน เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสแบบโลกุตระ แต่มันลดละหน่ายคลาย จบกิจ แต่โลกียะไม่มีวันจบกิจ ยิ่งโง่ ยิ่งงมงาย

แต่คนโลกุตระ ก็เหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส ที่จะให้คนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ลาภยศสรรเสริญสุข”นั้น “คนโง่”พากันวิ่งไล่ ยื้อแย่ง ฆ่าแกงกันมานานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

ซึ่งคนโง่ยิ่งงมงายสะสม“วิบาก”ให้แก่ตน“โง่หนักทับถมโง่”ใส่จิตไปอีกยิ่งขึ้นให้ยิ่ง“ชั่ว” ยิ่ง“เลว” ยิ่ง“ร้าย” ยิ่ง“แรง”หนักหนาไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่รู้ว่า“ชั่ว-เลว-ร้าย”

ถ้าประเทศไทยเราเป็นโลกุตระ มีผู้บริหารเข้าใจธรรมะ ถึงขั้นทำให้คนในประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นกลาง เป็นประเทศที่ไม่เอาล่ะ รบราฆ่าฟันกับคนอื่น ใครจะทำสงครามรบราฆ่าฟัน ไม่เข้าข้างใคร ก็อยู่กลางๆ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร สร้างอาหาร เป็นกองพลาธิการ กับสามารถที่จะมีความรู้ในเรื่องของสุขภาพ เป็นทั้งพลาธิการและกาชาดให้แก่พลโลก ทุกประเทศในโลก 

ประกาศเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นกลาง ยินดีที่จะช่วย เราไม่ร่วมรบ ไม่ร่วมไปเข่นฆ่ากับใคร สร้างอาวุธก็ไม่ต้องสร้าง ดีไม่ดีจะลดการซื้ออาวุธด้วย มีใช้นิดหน่อยไม่ต้องไปใช้มาก 

จนกระทั่งประชากรโลกประเทศในโลกต่างๆ เข้าใจ ยกให้ ว่าประเทศนี้เขาเป็นกลางนะ เขาเป็นประเทศที่มีคุณค่าต่อโลก สร้างอาหารให้แก่โลก สร้างหยูกยาช่วยเหลือ ในเรื่องสุขภาพในเรื่องของความเดือดร้อนทางสุขภาพชีวิต 2 สภาพใหญ่นี้คือ อาหารกับยา ปัจจัย 4 นี้ช่วยโลก

ถ้าประเทศเราทำได้จริง รับรองอยู่รอด แล้วก็จะเป็นประเทศที่เป็นกลางที่ยิ่งใหญ่ ก็พอมีประเทศที่เป็นตัวอย่างบ้าง แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีความรู้แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่ของไทยนี้มีโลกุตระหรือเป็นพุทธที่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าโลกุตระที่อาตมาหรือฟื้น หรือในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็พยายามที่จะตรัสบอก 

ด้วยภาษาวิชาการมันหนักและยากหน่อย ก็คือมาเป็นแบบคนจน หรือมีพฤติกรรมอยู่อย่างขาดทุน อย่าไปอยู่อย่างเอาเปรียบเอารัด เอากำรี้กำไร เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ขาดทุน  อย่างเข้าใจด้วยปัญญา 

เรามีอะไรที่จะขาดทุน เราก็ขาดทุนพืชพันธุ์ธัญญาหารให้แก่เขา ถ้าจะขายก็ขายอย่างถูกๆ ขาดทุน ยิ่งแจกเลยได้ก็แจก เราไม่เอาอาวุธไปแจก เรามีแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารไปแจก พูดตรงนี้แล้วแว๊บไปถึงว่า จะไปจับปลาแจกนั้น อาตมาก็รู้สึกสะดุด ตาย คนเรา จะไปเอาชีวิตเขาไปให้คนอื่นเขา ตัวเองจับมาก็บาปแล้วเอาไปให้เขาฆ่าอีกแล้วก็ไปขายเอาเงินอีก จับปลาหรือเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงมันกับมือนะแล้วก็ฆ่ามันกินเอง หรือไม่ก็ขายให้เขาฆ่า เมื่อไหร่จะเข้าใจถึงสภาพ รู้สึกถึงชีวิตเขาชีวิตเรา 

ชีวิตคือชีวิต เมื่อไหร่เขาจะรู้สึก แล้วเมื่อไหร่เขาถึงจะเลิก ไม่ต้องไปอะไรมาก พระพุทธเจ้าสอนสั้นๆ พระมหากัสสปเก็บมาละเอียดน้อยเพราะพระมหากัสสปะนี้สายตัด 

มิจฉาวณิชชา 5 อย่าค้าสัตว์เป็น 

1. การค้าขายอาวุธ   (สัตถวณิชชา) 

2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) 

3. การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) 

4. การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา) 

5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา) 

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177) 

 

ถ้าเผื่อว่าเข้าใจแล้วประเทศเราไม่ค้าขายอาวุธไม่ค้าขายเนื้อสัตว์ ไม่ค้าขายสัตว์เป็น สัตตวณิชชา เขาไปเบี้ยวบาลีอย่างอื่น เนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่สัตว์เป็นด้วย ท่านละเอียดชัดหมดแล้วทุกอย่างเลย แล้วคุณจะเอาเนื้อที่ไหนมากิน เป็นเนื้อ บังสุกุล สัตว์ตายเองกับเดนสัตว์กิน แล้วมันจะเอามากินได้มากที่ไหนก็แย่งกันตาย 

สิ่งมอมเมา สิ่งที่เป็นพิษนั้นก็กว้าง ทุกวันนี้สิ่งมอมเมานี้ เจ้าประคุณ ราคาสิ่งมอมเมาแพงขึ้นด้วย เช่นการละเล่น การบันเทิง โอ้โห ค่าตัวนักเตะทุกวันนี้แพงลิบลิ่วเลย ค่านางเอกนางเอิกพระเอก แพงลิบลิ่วเลยคืออบายมุขเหล่านี้สิ่งมอมเมาที่เขาไม่รู้ เป็นพิษความรู้ความรู้

สิ่งที่เป็นพิษ มันเป็นพิษทั้งยาพิษที่กินเข้าไปแล้วเป็นพิษ ทั้งยาเสพติดที่เป็นพิษ ทำอะไรต่ออะไรที่เป็น ในเรื่องของของกินของใช้ก็ผนวกกันผสมผเสกับสิ่งมอมเมาเป็นพิษ ไม่ใช่ตายทันที แต่เป็นพิษตายทันทีก็มี กินขนาดหนึ่งก็ตายไปเลยก็ใช่ แล้วสิ่งมอมเมาก็เป็นสิ่งที่เป็นพิษเหมือนกันมันสะสม แล้วมันลึกซึ้งยาว ดีไม่ดีมันติดไปในจิตวิญญาณ ติดอยู่ในอุปาทานตัณหา ข้ามชาติไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ 

ความรู้ที่อาตมาพยายามแยก พยายามแบ่งว่าความรู้โลกียะก็อย่างหนึ่ง ความรู้โลกุตระนั้นเป็นความรู้ที่ครอบโลกียะ แล้วก็มีความพิเศษขึ้นมาเรียกว่ามี อัญญธาตุ มีอัญญา จนกระทั่งเป็นปัญญา เป็นความรู้ความฉลาดโลกุตระที่เต็มรูป 

ที่จะรู้รอบเลยว่า โลกก็ตามอัตตาก็ตาม ชีวิตที่เกิดมาเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก คืออะไร จะอยู่กับโลก อย่างสมบูรณ์แบบ มี อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ จะอยู่อย่างไรถึงจะเกิดอยู่ได้อย่างดีมีสภาพทั้ง 7 คำนี้ 

อิสระ พวกคุณมีอิสระไหม มีความสบายไหม สงบไหม อบอุ่นไหม อิ่มเอมอีก เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ .... อรหันต์ทั้งนั้นเลย 

นี่อาตมาขยายภาษาอันนี้ เป็นคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษของอรหันต์นะ เอาล่ะก็มีอรหันต์น้อย อรหันต์กลาง อรหันต์ใหญ่ ไปตามลำดับ 

อย่างน้อยพวกคุณก็เข้าใจเป็นโลกุตระ เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระเข้ามาแล้ว แต่สภาวะจริงๆทางจิตของคุณ จะเป็นขั้นไหน 

ขั้นโสดาบัน อาตมาเคยพูดย้ำพูดซ้ำหลายทีแล้วว่าในสังคมชาวอโศกเป็นสังคม อนาคาริกะ อนาคามีขึ้นไป ซึ่งมันแบ่งขีดกันสำคัญ 

โสดาบัน สกิทา คุณยังยุ่งกับเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ อย่างหยาบๆอยู่ 

พอมาอนาคามีแล้ว เมื่อกี้ก็ถามไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ลาภยศสรรเสริญก็ไม่เอา อยู่ในนี้ แต่มันลึกซึ้งในสรรเสริญ เยินยอ ยกย่อง มันก็มีละเอียด นัยยละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องลาภเรื่องยศชั้น เรื่องตำแหน่งหน้าที่ยศชั้น มันไม่แล้ว โดยเฉพาะยิ่งตำแหน่งหน้าที่ที่จะไปสัมพันธ์กับโลก โอ้โห..ไม่เอาเลย เหน็ดเหนื่อย ยุ่งยาก 

แม้แต่ในตำแหน่งหน้าที่ในที่นี้ อย่าขี้เกียจเกินไปก็แล้วกัน รับหน้าที่บ้าง ตำแหน่งหน้าที่ มันไม่มีเงินค่าตำแหน่ง ไม่มีอะไรให้ ดีไม่ดียกย่องสรรเสริญก็ไม่ คุณรับตำแหน่งนะ ทำไม่ค่อยเต็มที่ ในหน้าที่ของคุณนะ มันซ้อนเห็นไหม มันไม่เหมือนข้างนอกหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปขี้เกียจ อย่าไปรังเกียจนักกับตำแหน่งหน้าที่ บางทีก็ช่วยกันหน่อย ไม่งั้นจะหาใครทำงานรับผิดชอบอะไรไม่ได้เลย เราไม่ได้อยู่ในป่าในเขาในถ้ำในรูอยู่คนเดียว เราเกี่ยวกับสังคมเกี่ยวกับคนอีกเยอะแยะ มันก็ต้องสัมพันธ์กับโลกเขาอยู่ ก็ต้องช่วยกันบ้าง ไม่ช่วยกันไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงให้มาตั้งพรรคการเมืองดู มันเป็นการรับผิดชอบตำแหน่งหน้าที่ แล้วก็บ่นว่ามันต้องมีบัญชี มีการวงทะเบียน มีการรายงาน มีการทำเอกสาร เอ้า..เราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวตายกันพอดี มันต้องรู้จักสังคม อยู่ร่วมกับสังคมทำให้พอเหมาะพอเป็นไป 

เราไม่ได้กระดี๊กระด๊าอยากจะได้เป็นส.ส อยากจะเป็นผู้มีอำนาจ อยากจะเป็นผู้ชี้บอกโลก เราก็ทำอย่างนี้เราเป็นผู้บอกโลกอยู่ ไม่ใช่เราไม่ได้บอกโลก อาตมานี้บอกโลกนะ แต่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้ยิน เขาไม่เข้าใจ มีพวกคนนี้อยู่ในโลกที่พอมาเข้าใจพอได้ยินว่าใช่ก็มา เพราะอาตมาไม่ได้เป็นพวกที่จะไปหาบริวาร ใครมีปัญญารับรู้ได้ก็มาเอาเอง ใครไม่มาเอา มีปัญญารู้แต่อยู่ข้างนอกก็ได้ ไม่เป็นไร แต่มาเอาในนี้ได้ก็ โอ้โห…ง่ายกว่า สัมผัสได้ 

อาตมาอยากจะพูดคำว่า จบกิจ จบกิจ คำนี้ที่อาตมาได้พูดมาหลายทีแล้วว่า มันมีจบกิจทางด้านเศรษฐกิจ เขามีคำว่า “กิจ” ด้วยนะ เศรษฐกิจ แต่การเมืองก็คือ กิจการเมืองหรือรัฐกิจ อาตมาก็เคยใช้ภาษานี้ รัฐกิจคือทำงานทางด้านการเมืองเป็นกิจทางรัฐศาสตร์ เขาก็ไม่ได้จบกิจกันได้ง่ายๆ 

จะเรียกว่าสังคมก็คือเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ รวมแล้วเป็นสังคม ก็แบ่งกันคนละแง่เศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์ในการบริหารกับการสร้างสิ่งที่ อาศัยกินอาศัยใช้ 

ทีนี้เขาไม่จบกิจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ 

เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่จบกิจเพราะไม่รู้โลกุตระ ไม่รู้เศรษฐกิจแบบพุทธ แก้ให้ตายก็ไม่จบ อาตมาเองอาตมาศึกษาตามพระพุทธเจ้า ภาษาใหม่ภาษาเป็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก ประชาธิปไตยรัฐศาสตร์อะไรก็ไม่มี มันเป็นภาษาสมัยใหม่ แต่อาตมาก็เอาเนื้อแท้เนื้อหาของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์นั้นคืออะไร รัฐกิจและรัฐศาสตร์ การเมืองคืออะไร ตามภูมิของอาตมา ก็เอามาพูดเอามาขยาย 

บางคนก็บอกว่านักธรรมะอะไรวะ มาพูดวุ่นวายเรื่อง วุ่นวายทางโลกเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ เรื่องการเมือง ก็ไม่เป็นไร คุณเองคุณไม่เห็นว่าสังคมมันคืออย่างนี้ แล้วคุณก็จะให้ธรรมะไปนั่งหลับตาอยู่ในป่าในเขาก็เรื่องของคุณอาตมาไม่เห็นด้วย ก็ต่างคนต่างเห็นก็ทำกันไปอาตมาก็จะทำแบบนี้ในความเห็นของอาตมา ขออิสระให้แก่อาตมาหน่อย นี่อาตมาว่าเป็นอิสรเสรีภาพของอาตมานะ ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครจะอนุโมทนา ไม่อนุโมทนา ก็ไม่ว่าอะไร 

 

ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง

เขาพูดไปไม่มีทางทำได้สำเร็จ อย่างน้อยก็ทำให้ชาวอโศกนี้ไม่เป็นคนจนไม่ได้ เพราะเราจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจจนอย่างสมบูรณ์ 

เพราะมีคนตั้งใจมาจน มุ่งมาจนแบบโลกุตระเลย ซึ่งอย่าว่าแต่โลกุตระเลย แม้โลกียะคุณก็ทำให้หมดความจนไม่ได้ โลกแตกอีก 8 ลูกก็ทำไม่ได้ ที่พูดกันไปโม้กันไปเลอะเทอะ คุยเครื่องกันไป 

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

อันนี้เป็นมุมกลับ 

คนที่จนที่สุดอย่างมีปัญญาสมบูรณ์แล้ว เป็นคนที่รวยที่สุด 

ขณะนี้คุณมีอยู่ในสาธารณโภคีเท่าไหร่ ..คุณเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนประโยชน์สูงประหยัดสุดแล้ว ประหยัดไม่ไปฟุ่มเฟือย ไม่ได้ไปทำให้สุรุ่ยสุร่ายอะไร เอาไว้กองกลางนั่นแหละ คนอื่นจะได้ใช้ เราใช้น้อยเท่าไหร่ก็ดีไม่ต้องเปลืองไม่ต้องเสียอะไรมากเพราะเรา จะมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกที่จะทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวยกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

พระเจ้าทำได้ไหม พระเจ้าเข้าใจโลกุตระไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นชาวโลกุตระจึงกบฏต่อพระเจ้า แม้แต่พระเจ้าก็ทำให้คนหายจนไม่ได้ 

ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากหรือมีสุข-มีทุกข์ ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง

คนโลกีย์ไม่มีปัญญามีแต่เฉโกเฉกา ความรู้แบบโลกีย์ เพราะฉะนั้นคนทางโลกโลกีย์ คนที่มีวิบากในสมมุติสัจจะบอกว่าเขามีวิบากดีที่รวย ได้เสพสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณว่าเขาโง่หรือเขาฉลาด เขาโง่

ต้องทิ้งต้องออก พระพุทธเจ้าอยู่บนบัลลังก์ มีลาภยศสรรเสริญสุขเต็มรูป พอท่านรู้ตัวปั๊บ ท่านทิ้งหมดเลย นี่ก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว คุณเข้าใจให้ชัดๆเลยว่ามันคือความจริงที่เด็ดขาด 

อาตมารู้ตัวปั๊บออกมาเลยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 50 กว่าปีแล้ว ไม่ได้ใยดีทางด้านโน้นเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางโลกอาตมาก็พอมี จริงที่อาตมาบารมีไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก พระพุทธเจ้าท่านยิ่งใหญ่มีรูปธรรมชัดเจนกว่า แต่อาตมามีรูปธรรมแค่อาตมา แต่จิตมันชัดเจน มันไม่ไปแบกยศแบกลาภ เอาละลาภมันหยาบ ไม่แบก แต่สักการะแนบเนียนเข้าไปอีกแบกสุขที่เนียนเข้าไปอีก คุณนึกว่าคุณไม่มีคุณไม่ได้สุขเพราะว่าลาภยศสรรเสริญมันจริงหรือเปล่ามันง่ายหรือ จะรู้ละเอียดลออ 

ถ้ารู้จริงๆแล้วนี่มันหยาบนะพวกนี้ แม้แต่สรรเสริญยกย่องมันก็หยาบ ทิ้งเลยไม่เอา ลาภยศสรรเสริญ 

อาตมามาอยู่ที่นี่ได้รับการสรรเสริญด้วยการด่า มีพวกคุณมายกย่องสรรเสริญสุขเกล้าสุดเศียร ซึ่งคนเขาจะอ้วกตายอยู่แล้ว อาตมาอ่าน SMS พวกคุณมา บอกว่าเคารพพ่อท่านสุดเกล้าสุดเศียร อาตมาปล่อยให้พวกคุณกล่าวอยู่ไม่ปรามนี่ เพราะให้เขาอ้วกแตกเลย เพราะอันนี้คือความจริงใจ คนอ้วกแตกเพราะคนจริงใจแต่คุณไม่ได้อ้วกแตกเพราะความเสแสร้ง คุณโง่หรือคุณฉลาดกัน รู้จักความจริงใจของคนจริงใจบ้างสิ แต่คุณไปงมงายอยู่กับความเสแสร้งความฉาบพอก แล้วคุณก็ยกย่องเสแสร้งความฉาบพอก อันนั้นสิคุณไม่รู้ตัว ใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นนี่แหละเป็นการยืนยัน อาตมาถึงปล่อยให้เป็นไป 

ปรมัตถ์คือ การรู้อย่างละเอียดลออ ซึ่งจะยังไม่ขยายความต่อ คุณก็รับวิบากตามวิบากไป พวกคุณก็มีวิบากแล้วก็หลุดวิบากที่อย่างหยาบมาจนถึงขนาดนี้ มันก็สบายขึ้นไปเท่าไหร่แล้วในปรมัตถ์ เพราะจิตคือปรมัตถสัจจะ ก็เข้ามาหาความจริงอันนี้ได้ มันจึงเป็นอย่างนี้ มันจึงได้เสวยหรืออาศัยไม่เสวยก็คือเสพ อาศัย ได้อาศัยอย่างนี้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

ดีนะอาตมาสรุปคำเหล่านี้ไว้ มันลงไปที่ตัวฐานของความจบกิจ คำที่ว่าเป็นภาษาที่บอกอาการของความจบกิจของปรมัตถสัจจะ 

 

ข้อ 4. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศหายจนไปทุกคนได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศหายจนไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือให้สังคมรวยขึ้นอย่างมาก จนถึงขั้นรวยๆๆๆชนิดไม่มีขีดจำกัดความพอ ที่เรียกว่า“พอเพียง” คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ต้องหยุดมีมากกว่านั้น เราสามารถขยันสร้างสรรค์ให้มากๆได้ เมื่อมีมากกว่าตนกินใช้ก็นำออกสละเจือจานเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ย่อมเจริญยิ่งๆแน่นอน นี่คือคนรู้จริงมีความเข้าใจในความจนความจนเป็นคนจนเป็นคนจนจริงๆความมีปัญญาความฉลาดความฉลาดชลชลทรมน

ข้อ 5. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนทั้งหลายเกิดปัญญารู้แจ้งรู้จริง มีความเข้าใจใน“ความจน” และคนผู้นั้นเขาตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”ที่มีปัญญามีสมรรถนะอยู่ในสังคมได้ดีจริงๆ ความมีปัญญานั้นเป็นความฉลาดที่ประเสริฐพิเศษ เป็นความฉลาดของอาริยชน “ปัญญา”เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าใช้เรียกความฉลาดแบบอื่น(อัญญะ)ซึ่งแตกต่างจากความฉลาดของปุถุชน อันคือ“เฉโก” 

พยายามเน้น แยกให้เห็นถึงความฉลาด เฉโกกับปัญญา มันเป็นความจริงที่อาตมาได้เอามาพูด เขามีความฉลาดแต่ เฉโก เท่านั้นมันเป็นความจริงที่เขามีออกจาก เฉโก ไม่ได้ มามี อัญญธาตุ โลกุตระธาตุอื่นยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นชาวเทวนิยม ชาวทุนนิยม ชาวตะวันตก ชาวที่มีกรอบความรู้ทางธรรมะแบบเทวนิยม แบบพระเจ้า จะไม่มีทางใดเลยที่จะรู้จักจิตวิญญาณ รู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน จะหมดกิเลส 

เขาไม่รู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด เขาก็ไม่รู้ จะพอรู้โดยปริยายรู้โดยโลกๆ ในศาสนาของเขาคำว่ากิเลสก็ไม่มี ก็พยายามจะใช้หาภาษาอังกฤษมาเรียกกิเลส ซึ่งมันก็ไม่ตรง มันไม่รู้จักจิตเจตสิก ว่ากิเลสนี้คือ จิตเจตสิกที่มันอวิชชา จิตเจตสิกที่มันโง่ มันนึกว่าตัวเองฉลาด แล้วปฏิบัติตามที่ตัวเองนึกว่าฉลาด วนเวียนอยู่ในโลกียะ 

 

ข้อ 6. “ปัญญา”ที่ว่านั้นจะเห็นจริง เข้าใจจริงๆว่า ต้องเป็น“คนจน”ดีกว่าเป็นคนรวย ตนเป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออกให้แก่ผู้อื่นที่ควร ที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน 

เอาเข้ากองกลาง บริหารไปเผื่อผู้ที่แร้นแค้นไม่มีใช้ นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่งของโลก นักเศรษฐศาสตร์ชั้น หนึ่งของสังคม นักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่งของประเทศคือพวกเรานี่แหละ ใครจะบอกว่าพวกเราขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแกก็แล้วแต่ แต่ว่าเราใช่เราเป็นนักเศรษฐกิจ 

ทำตนอยู่ในสังคมประเทศมีเศรษฐกิจแบบหนึ่ง เราไม่ได้เป็นภาระไม่ได้เป็นปลิง ไม่ได้เป็นทากที่ไปเกาะสังคมดูดเอาเลือดจากสังคมอะไร เรามีแต่จะว่าจริงๆแล้วเรามีเลือดให้แก่สังคมด้วย บริจาคเลือดให้แก่สังคม โดยไม่ต้องให้เลือดที่เขาดูดไปสดๆหรอก แต่นี่แหละคือเลือดแท้ๆของเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ 

เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้ เพราะเกิดการสะพัดออกไปสู่ผู้อื่น อปจยะ ไม่ใช่มีมากแล้ว ไม่รู้จักพอ ยังโลภกอบโกยมาเป็นของตัวไม่รู้จบ คอนเซพท์ “เห็นแก่ตัว”อย่างนั้นไม่ควรมี เพราะฉะนั้นเรามีเหลือมีเกินถึงได้แจก ทรัพย์สฤงคารเราไม่มีจะแจกเท่าไหร่หรอก เพราะมีแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารเราเป็นคนรวยพืชพันธ์ุธัญญาหาร อยู่ในฐานะอย่างเราถือว่ารวยก็เหลือกินเหลือใช้ เราก็แจก แต่เราก็เหนื่อยเหมือนกันในการแจก เขาก็มาเอา พวกเราไม่ค่อยขยันเอาไปใส่ มันเหลือจริงๆ แต่ไม่ค่อยขยันเอาไปใส่

หมู่บ้านย่านนี้เขารู้กันดีแล้ว บางคนก็คอยดูรีบมาหอบเอาไปเลย อย่างนี้ต้องเตือนๆกันหน่อย 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ว่า… ตอนนี้ใช้วิธีไปแจกช่วง 4-5 โมงเย็นเพราะว่าคนผ่านเยอะคนงานเลิกงาน แล้วคนจ้องจะเอาเป็นกระสอบไม่ได้ 4 โมงครึ่งไปแล้ว รถกลับเยอะก็จึงเอาไปแจก 

พ่อครูว่า... ดีเราจึงต้องฉลาดกับสังคม อย่างนี้แหละโพธิสัตว์ จะช่วยเขาก็ต้องฉลาดเท่าทันเขา ไม่ฉลาดเท่าเขา มันก็ไม่ทั่วถึง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เฉลี่ยรายได้อันมีจำกัดให้แก่คนไม่ได้ทั่วถึงพอก็ไม่ได้ ดังนั้นเศรษฐศาสตร์จะต้องเฉลี่ยสิ่งที่พอมีจำกัดให้แก่คนทั่วไปได้ทั่วถึง ถูกต้องตามฐานะที่ควรจะเป็น ก็เป็นการแก้ไข ยังนึกว่าพวกเราไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจอะไร 

จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เทศนาที่ชั้น 3 อาคารศูนย์สูญ 


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2566 ( 18:22:10 )

660331

รายละเอียด

660331 ตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53002.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/13o-Jnr8UsAoC7-d6iL6I7iMVOqrgobhb/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                      

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kxJHyPmZX1PIL8Q_rVAQYz1CneFZZRH0/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/mu6Qfwd0FPs 

และ https://fb.watch/jCBrrqjHlw/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ถ้าท่านผู้ชมได้สังเกตก็จะมีเด็กๆนั่งอยู่หน้าเวทีเต็มเลย แล้วก็มีที่ไม่ใช่เด็กๆคือศิษย์เก่า นานๆทีมานั่งก็อยากให้นั่งตลอดไป ด้วยความระลึกถึง ดูอย่างไรผู้หญิงก็จะมากกว่าผู้ชายยังเหมือนเดิม วันนี้มีศิษย์เก่าพาลูกจะพาลูกมาเรียนม.1 คนหนึ่งสูง 170 ซมคนหนึ่งสูง 180 อีกคนนึงน้ำหนัก 80 อีกคนนึงน้ำหนัก 90 พี่เลี้ยงตัวนิดเดียว แต่เด็กมาสมัครตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม เด็กสมัยนี้ตัวใหญ่จริงๆ 

วันนี้ก็มีเข้าค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ เด็กนักเรียนมารวมตัวที่ราชธานีอโศก โรงเรียนสัมมาสิกขา มีสมาคมศิษย์เก่า รุ่นพี่ศิษย์เก่า ประธานมานั่งฟังด้วย ศิษย์เก่ามาช่วยดูแลนักเรียนก็ดีเอาภาระน้องๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยให้เด็กรู้จักสำนึกต่างๆนานา ถือว่าเอาภาระแทนผู้ใหญ่ได้ดีมากยิ่งขึ้น เราก็อยากให้มีบรรยากาศอย่างนี้ตลอดปีตลอดไป เห็นดีว่าลูกหลานมาช่วยงาน แต่ไม่รู้เขาจะมากี่วัน ค่ายเสร็จแล้วจะอยู่ตลาดอาริยะหรือไม่ ...อยู่ ก็ค่อยยังชั่ว 

พ่อครูว่า... ก็ช่วยงานหน่อยสิ..ตลาดอาริยะเราต้องการคนเยอะนะ 

สมณะฟ้าไท... คนเป็นแสนคน เรามาทำกุศลจะมีที่ไหน ก็งานนี้แหละตลาดอาริยะ ที่พ่อครูพาทำ ได้สร้างกุศลมหาศาลคนเรือนหมื่นเรือนแสน นานๆทีมาฟังหลวงปู่นะ เป็นสิ่งพิเศษที่เราควรได้รับรู้เพื่อการดำเนินชีวิตของเราที่เจริญในชาตินี้และชาติต่อๆไปด้วย ถึงขั้นปรินิพพานเลยทีเดียวขอกราบนิมนต์พระครูด้วยความเคารพครับ 

พ่อครูว่า... ก่อน จะโอภาปราศรัยกับพวกเราก็ขอเวลาโอภาปราศรัยกับ SMS เขานิดนึง 

 

มีบ้านอยู่ เป็นอนาคามีได้หรือไม่

_กิ่งธรรม.... กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพและศรัทธายิ่ง...ลูกได้ฟังธรรมพ่อท่านแล้วเข้าใจเป็นส่วนมาก...มีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่บ้างเช่น..พ่อท่านบอกว่าคนบ้านราชหรือชาวชุมชนที่เข้ามาส่วนกลางแล้วเป็นภูมิของอนาคามี..

ลูกก็เลยสงสัยว่า แล้วคนที่มีบ้านของตนเองในชุมชนถือว่าเป็นอนาคาด้วยไหมคะ เพราะยังมีบ้านอยู่...ต้องละบ้านไปอยู่ส่วนกลางด้วยไหมคะ..ลูกเคยคิดจะขายบ้านไปอยู่กะส่วนกลางเหมือนกัน แต่ลูกมีปัญหาเรื่องการนอนค่ะ....ถ้าคนมากๆหรือมีเสียงดังนอนไม่หลับ...เมื่อนอนไม่หลับก็เสียสุขภาพ จึงเลือกที่จะรักษาสุขภาพด้วยการมีบ้านไว้นอนให้หลับไป...จะได้มีแรงปฏิบัติธรรมค่ะ แบบนี้ถือว่า...ติดสบายด้วยไหมคะ...กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ก็มีบ้านได้ ปลูกบ้านแต่ว่าเราไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา เรามีแล้วก็ทางส่วนกลางมีที่มีทาง เราปลูกของเราแต่เราก็ไม่ได้ยึดติดว่าบ้านนี้เป็นของเรา แต่ถึงอย่างไรเราก็มีสิทธิ์มีส่วนที่จะอยู่ เราก็อยู่ก็พักของเราไป ใครจะมาอยู่บ้าง ใจเราจะเป็นอนาคามีหรือไม่ก็อยู่ที่ใจเราว่า 

ถ้าเผื่อว่าใครเขาจะมาหรือละลาบละล้วงบ้านเราบ้าง หรือ ก็ยินดีที่ใครๆจะมาพักบ้านเรา ถ้าใจอย่างนั้นก็เป็นอนาคามีได้ 

ก็ไม่เป็นไร ก็ดีก็สะดวก เหมือนอย่างอาตมาก็ยังมีที่ที่เขาจัดสรรให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ แล้วอาตมาก็ไปอยู่ที่ตรงนั้น อย่างอาตมาอยู่ประจำชั้น 4 ก็อยู่ เหมือนกันกับคุณก็อยู่บ้านหลังนี้ เป็นต้น ก็ไม่มีปัญหา ติดสบาย มันก็จะว่าก็ใช่ มันสะดวกดีนะ 

 

เทียบองค์รวมแล้วประเทศไทยสงบกว่าประเทศอื่นใดในโลก

_กิ่งธรรม....ลูกได้ฟังธรรมเกี่ยวกับการเมืองต่างประเทศที่มีการโกงน้อยมากหรือไม่โกงเลยเช่น เดนมาร์ก  สวีเดน  นักการเมืองเป็นที่ไว้วางใจจากประชาชนมาก ประชาชนก็มีภูมิธรรมในการเลือกคนดีๆไปปกครองประเทศ   ทั้งๆที่เขาเป็นประเทศแบบเทวนิยม..ลูกจึงสงสัยว่าประเทศเราที่พ่อท่านว่ามีภูมิโลกุตระ  ทำไมจึงเลือกนักการเมืองเลวๆเป็นส่วนใหญ่เข้าไปบริหารประเทศคะ  ก็แสดงว่าประชาชนของเราภูมิจิตไม่ถึงความดี แต่ข้ามขั้นไปภูมิโลกุตระเลย..ถ้าธรรมเป็นขั้นตอนลาดลุ่มการจะมีภูมิโลกุตรธรรมได้ต้องผ่านการเป็นคนดีไปก่อนหรือป่าวคะ..หรือว่าเป็นเช่นไรคะ จู่ๆก็สงสัยแบบนี้ค่ะ...กราบขอบพระคุณที่ชี้แนะค่ะ

พ่อครูว่า... คือคนเรานี่นะ จะเป็นโลกุตระหรือเป็นโลกียะก็ตาม  คนโลกียะ ที่มันมีกิเลสมันก็ต้องมีอยู่ด้วยทั้งนั้น ในประเทศไทยมีศาสนาพุทธที่พิเศษตรงที่มีโลกุตระ แต่แน่นอนมันต้องมีโลกียะอยู่ แล้วตัวบทบาทที่แสดงความไม่ดี คือพวกโลกียะ พวกมีกิเลสจัด มันก็ขยันที่จะแสดงกิเลส ขยันที่จะแสดงออกจัดจ้าน มันจึงเห็น 

แต่เราจะไปดูที่ตรงนั้นทีเดียวไม่ได้ เราดูที่องค์รวมว่า องค์รวมของประเทศสงบไหม คุณว่าองค์รวมประเทศไทยขณะนี้สงบไหม อาตมาว่าสงบ แต่แน่นอนพวกที่มีกิเลสมันก็ต้องแสดงกิเลส แล้วยิ่งมีกิเลสพวกที่เศษๆเหลือๆ ก็เป็นคนที่มีกิเลสที่สูง กิเลสที่แรง มันก็เลยเด่น เป็นพวกที่มีกิเลสมากๆมันก็จะแสดงออกมา ให้มันเวอร์ๆ อย่างพวกกะเทยเป็นต้น มีกิเลสซับซ้อนมากหน่อย ก็จะแสดงอะไรออกมาเวอร์ๆ ต่างๆนานาไป อย่างที่เห็นๆกัน 

แล้วพวกนี้จะมีความเฉลียวฉลาด แต่เฉลียวฉลาดที่ประกอบไปด้วยกิเลส เฉลียวฉลาดแสดง ปรุงแต่งเรื่องราวอะไรออกมา ปรุงแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ออกมาเวอร์ๆเด่นๆชัดๆ จะเห็นได้ใช่ไหม มันก็เป็นธรรมชาติที่เราสะดุดตา มันเป็นธรรมดา 

แต่โดยองค์รวมแล้วอย่างที่แนะนำไปแล้ว พวกนี้มันก็เป็นแบบนั้น จริงๆแล้วเมืองไทย มันมีแกนของความสงบสบาย ก็ดูสิ กระแสความรู้สึกของต่างชาติ ความรู้สึกของภายนอกเขานี่ โพลบอกว่าประเทศไทยนี้ โอ้โห.. ได้รับค่าความสงบ ได้รับค่าความน่าอยู่น่ามาเที่ยวสูง ถึงขั้นเป็นที่หนึ่ง อยู่ในอันดับต้นๆใน Top 10 หรืออะไรต่างๆ กับสังคมโลกเขาหมดเลย 

แต่คนที่มองตื้นๆว่าเมืองไทยไม่เรียบร้อยไม่สงบดี เพราะไปเห็นเศษๆพวกนี้โดยไม่เข้าใจองค์รวม จะต้องเทียบองค์รวมที่มีปฏิกิริยา แม้แต่เห็นเด่นชัดๆ แจ๋ๆ แรงๆ มันก็เป็นลักษณะกิเลสตัวเวอร์ๆตัวเด่นๆเท่านั้นเอง อย่าไปเข้าใจผิดสิ อย่าหลงผิด ต้องเทียบคู่ขององค์รวมกับส่วนย่อย เสมอ ให้ได้ แล้วเราจะรู้ค่าที่ใช้ได้แล้ว 

โลกจะไม่ให้มี 2 อย่าง จะไม่ให้มีความขัดแย้งกัน ไม่มี มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ 

_สู่แดนธรรม... คนอโศกเราบางทีก็ยังชอบมองว่า คนโลกีย์ทำความดีได้ขนาดหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นคนชาวโลกุตระก็จะต้องทำความดีได้มากกว่าคนดี ซึ่งผมว่ามองไม่ถูก อย่างประเทศสวีเดนหรือประเทศเดนมาร์ก เขาใช้ระบบบังคับ ส่วนประเทศไทยเรานั้นมีโลกุตระจริงแต่มีอิสรเสรีภาพ จึงไม่ได้เป็นครรลองเดียวกันได้ จึงเห็นผลต่างกัน 

พ่อครูว่า... ใช่ เขามีกฎมีข้อบังคับหลายอย่าง แม้แต่ภาษีก็เสียตั้ง 50% ซึ่งมีสิ่งที่เขาต้องเกรงกฎหมายของประเทศ เขาก็เลยสงบได้เพราะถูกกำกับด้วยกฎหมายพวกนี้ ไม่เช่นนั้นมันก็อยู่ไม่รอด มันมีเงื่อนไขหลายอย่าง 

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ 

ตอนนี้เป็นเวลารณรงค์การหาเสียงในการจะเลือกตั้ง ถึงผมจะได้ลงสมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย แต่ผมก็จะไปลงคะแนนให้พรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อสนับสนุนพล อ.ประยุทธ จันทร์โอชาเป็นนายกต่อไปอีก แต่ถึงลุงตู่จะได้หรือไม่ก็ตาม ผมก็จะไม่ทุกข์ไม่สุขกับเขา เพราะงานหลักของผมคือ การปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพ่อท่าน ด้วยการอ่านจิตอ่านใจให้เป็นปกติ มีความเพียรอยู่เป็นปกติสุข ถึงลุงตู่ไม่ได้ก็จะมีท่านอื่น ขึ้นมาแทน ก็ดูกันต่อไปครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า... ใช้ได้ การเข้าใจและการทำจิตใจเราอย่างเข้าใจเหตุผลเข้าใจเหตุปัจจัย เข้าใจว่าสิ่งที่มันต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้ๆแล้วสรุปรวมค่าแล้วจิตเราสบายจิตเราสงบ แต่เรารู้ว่าอันนี้คืออันนี้ อันนี้เทียบอันนี้เป็นอย่างนี้อย่างนี้มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา เราก็ไม่ไปเที่ยวไม่ชอบอันนี้หรือชอบอันนี้ ชอบอันนี้มากกว่าอันนี้ เป็นเชิงทะเลาะกันในจิตเราเอง เราไม่มีจิตทะเลาะกันเอง แต่เรารู้ความไม่เท่ากัน ความแตกต่างกัน แต่มีความเสมอสมานกันอยู่ ใช้ได้นะ นี่แหละคือการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าและจิตใจของเราจะไม่เดือดร้อน เพราะทุกอย่างมันต้องมีธรรมชาติของความแตกต่างกัน ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี อยู่กันอย่างเป็นไปได้ มีประโยชน์คุณค่า 

ซึ่งเราจะไปห้ามหรือไปบังคับจิตใจ ไปบังคับคนให้มามีอย่างที่เราต้องการ มันเป็นไปได้ที่ไหนล่ะ เป็นไปไม่ได้ ทำใจอย่างนี้ก็ถือว่าก็จบแล้วนะ ทำใจอย่างนี้ได้ อาตมาว่าจบแล้ว ใช้ได้แล้ว 

 

ทีนี้มีศิษย์เก่า มีพวกเรา ยอส. ยุวชนอโศกสัมพันธ์ ซึ่งเป็นประเพณีของเราที่มารวมกัน การรวมกันเสมอมาร่วมกันนี้ วาระที่มาร่วมกันอย่างนี้ดี เป็นความเจริญของมนุษยชาติที่เป็นสังคมที่ระลึกถึงกัน รักกันเคารพกัน แล้วก็ช่วยกันเกื้อกูลกัน อนุเคราะห์กัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีกัน เป็นเอกภาพ มันก็ลงตัว สมบูรณ์และสบาย อย่างนี้แหละมันเป็นผลสำเร็จของชาวอโศกเรา พวกเราต้องโตไปข้างหน้า ต่อไปมีลูกหลานมีลูกเต้าก็มากัน อย่างที่มันเป็นมันเป็นธรรมชาติที่ชาวอโศกเราทำงานมา อาตมาทำงานมา 50 ปี มันลงตัวหมดแล้วมันดีแล้ว 

แต่ละคนเขียนปัญหามา มีอะไรบ้าง อีก 1 ชั่วโมง 33 นาที มีปัญหาอยู่ จะว่ามากก็ไม่มากน้อยก็ไม่น้อยและอาตมาจะตอบให้มันหมดเวลาก็ได้ จะเหลือเวลาก็ได้ 

 

_จบม. 6 ปีนี้จะได้รับกลดจากหลวงปู่ไหมคะ 

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้กำหนดหมายในเรื่องนี้ 

สมณะฟ้าไท... ครับ เขาให้พ่อครูแจกครับ ปีนี้รับกลดปีสุดท้าย ปีหน้าก็จะได้รับเต๊นท์ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ปีนี้ทำไม่ทัน 

พ่อครูว่า... มันเป็นประเพณีของเรารับปลดนานหลายสิบปี ใช้ศัพท์โลกๆว่ามันเป็นของขลังอย่างหนึ่ง ที่เราเห็นว่าเป็นเกียรติหรือเป็นความรู้สึกสำคัญที่มันลึกซึ้ง เราก็ทำกันมานาน ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ 

อาตมาไม่ได้กำหนดหมายว่าเมื่อไหร่ จะมีอะไรต่ออะไรอย่างไรเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกำหนดหมายอะไร อยู่กันวินาทีต่อวินาที ใครมีอันนี้ๆแล้วให้ทำอันนี้ก็ทำ ก็ต้องให้ ปัจฉาสมณะ อยู่ใกล้ชิดจริงๆก็ 3 รูป อยู่ข้างๆอีก 4 รูป ช่วยอันนั้นอันนี้ไป แทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว

 

คนไม่ลดกิเลสคือคนไม่มีปัญญา

_คนไม่ลดกิเลสคือคนไม่มีปัญญาใช่ไหมคะ 

พ่อครูว่า... ใช่ไหม ...ใช่

อาตมาเคยย้ำเคยพูดเคยบอก แต่พวกเราก็ฟังแล้วเผินๆกันหรือทั่วไปก็ฟังเผินๆกันว่า อาตมาพูดหรือเปล่า คนเราเกิดมานี่นะ ถ้าไม่ได้มาเรียนรู้เพื่อรู้จักตนเอง เพื่อรู้จักสังคม แล้วก็รู้จักเข้าไปถึงจิตตัวเอง มีกิเลสเป็นประธานจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง แต่ตัวจิตวิญญาณมันมีกิเลสบงการอยู่ แล้วแก้ไขตรงนี้ 

แก้ไขตรงนี้แล้วชาติต่อๆไปเราจะเกิดอีก เกิดอีกแน่ ถ้าเราไม่ตายจบแบบอรหันต์ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ต้องเกิดมาทุกคน เกิดมาแล้วก็โง่ซ้ำโง่ซากด้วย ยิ่งเกิดยิ่งจะโง่ซ้ำซาก ถ้าไม่พบกับศาสนาพุทธ มันมีศาสนาโลกีย์ ที่เขาก็รู้เหมือนกันว่าวิธีที่จะทำให้จิตมันช้าลง เขาก็ทำสมาธินั่งสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิกดข่มไว้ ให้มันช้า กิเลสให้มันเกิดตามมาช้า อย่างนี้เป็นต้น พูดกันอย่างง่ายๆสบายๆให้เข้าใจ วิธีง่ายๆ ยื้อมันไว้เฉยๆมันก็ช้าลง แต่มันไม่ได้หมายความว่ากิเลสหมด เสียเวลากับชีวิตไปแต่ละชาติ เพราะมันจะช้าเท่านั้น แต่เสร็จแล้วมันก็กลับมาคืนอย่างเก่า ดีไม่ดีมันสะสมด้วยความไม่มีปัญญา มันจะสะสมซับซ้อน แรงขึ้นๆๆ ไปอีกชาติต่อๆไป ต่อๆไป 

ซึ่งมันโมฆะ มันไม่สมควรที่จะไปทำอย่างนั้น อย่างของพระพุทธเจ้านี้เรียนรู้อย่างมีเหตุมีผลมีตัวจริง ตามเข้าไปรู้ตัวเหตุแท้คือกิเลส แล้วก็จับกิเลสนี้ให้มั่นเลยนะ แล้วฆ่ามันด้วยปัญญา ด้วยความรู้ชัด ซึ่งไม่รู้จะพูดอย่างไรว่าปัญญานี้มันเป็นอิทธิฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่มาก ปัญญามันมีฤทธิ์ที่ประหารกิเลสอย่างที่เรียกว่า กิเลสจะต้องตายเพราะปัญญา เพราะพลังฤทธิ์ของปัญญา ปัญญามันจะมีฤทธิ์อย่างนั้นเลยจริงๆ 

คือกิเลสโง่ แล้วปัญญานี้มันฉลาด เพราะฉะนั้นตัวฉลาดนี้มันฆ่าตัวโง่อย่างแท้จริงเลย พูดเป็นภาษาไทยได้แค่นี้นะ เหมือนกับว่าดำกับขาว จะทำให้ดำมันลดลงเอาขาวมากลบ กลบมีฤทธิ์มากก็ดับได้ ฤทธิ์ไม่มากก็สู้ดำไม่ได้ หรือเอาดำกลบขาว มันก็กลบได้ ก็เหมือนกันแหละ 

ธรรมะนี้ ถ้าไม่เป็นขาว ขาวที่มีฤทธิ์มากๆ มันจะกลบดำให้หมดไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขาวต้องมีฤทธิ์มากๆมีฤทธิ์แรงถึงจะกลบดำลงไปให้หมดได้ ถ้าไม่มีฤทธิ์ ดำมันกลบขาวง่าย เหมือนกิเลสนี้มันกินคนง่าย แต่ปัญญานี้มันจะกินคนยาก มันจะทำให้มันหายโง่ยาก เออ..ตรงนี้ชัด 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า สอนคนให้หายโง่นี้มันยากจริงๆ แล้วโลกไม่ต้องมีปัญญาเลยทำให้คนโง่ได้เต็มไปหมด ตามๆกันไปหมด นี่เป็นธรรมชาติที่มันต้องเป็นอย่างนั้น 

 

ศิษย์เก่ามาช่วยจัดค่าย ยอส.เป็นคนเจริญขึ้น

_กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ คิดอย่างไรที่ได้เห็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขารวมตัวกันจัดค่าย ยอส ให้แก่น้องๆสัมมาสิกขาค่ะ

พ่อครูว่า... หลวงปู่จะเห็นอย่างไร ถ้าหลวงปู่จะเห็นว่ามันเชยไม่ได้เรื่อง ไม่น่าชื่นชม มันจะสมควรไหม มันจะควรเป็นไหม
มันก็ชื่นชม มันก็ยินดี มันก็เห็นว่า โอ้โห.. มันเป็นจิตพัฒนาก้าวหน้า เป็นจิตเจริญของพวกเราหนอ เข้าใจสาระที่เป็นสาระ เข้าใจสิ่งที่ควรทำในชีวิตควรจะต้องทำอย่างนี้ 

การที่จะมารวมกันเพื่อที่จะรวมกัน มีพลังเพื่อที่จะจูงดึงให้น้องๆเขาได้เจริญขึ้นไป ขึ้นไป คนที่เป็นศิษย์เก่าที่รู้ค่าของความเจริญนี้ ก็อยากแจกจ่ายให้น้องๆ แต่ถ้าคนที่เป็นศิษย์เก่าที่โง่ๆ ศิษย์เก่าที่ไม่เห็นค่า มันก็ไม่เอาถ่านมันก็ไม่มา.. พอ.. ด่าเท่านี้พอ 

ดิเรกว่า...ดีที่มา

พ่อครูว่า... นี่แหละลีลาของหลวงปู่ 

 

ทำอย่างไรให้เราหลุดพ้น จากความรักแบบผู้ชายผู้หญิง

_ทำอย่างไร ให้เราหลุดพ้น จากความรัก แบบผู้ชายผู้หญิงได้ครับ

พ่อครูว่า... มันไม่มีทางอื่นเลยนะ คำตอบมันคำตอบเดียว มันก็ต้องเรียนรู้ความรักเรื่องเพศ ความรักเรื่องนี้มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในโลก คนนี่มันเจริญกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันเรียกการติดพันในเรื่องของคู่ เมถุน ผู้หญิงผู้ชาย การสืบพันธุ์ การต่อเชื้อ คนมันมีความฉลาด ก็ไปเรียกว่าความรัก 

สัตว์มันก็มีความรัก สัตว์หลายชนิดนะมันมีคู่ๆเดียว มันรักกันแล้วก็มีคู่เดียวตลอดชีวิตมีเยอะไปในสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ตายพรากจากกันไปเลย แต่คนนี่ ถือว่าความรักนี้ยิ่งใหญ่ 

เพราะฉะนั้นตัวกิเลสในความรักนี้มันจึง โอ้โห.. มันพลิกแพลง มันเป็นกิเลสที่ดิ้น มันเป็นกิเลสที่มักมากอะไรต่างๆได้ ถ้ามีความซื่อสัตย์ คุณจะรักมากแต่มีความซื่อสัตย์ก็ยังดี รักมากแล้วไม่ซื่อสัตย์ แล้วก็ต้องการมากมายหลากหลายอีก ไอ้อย่างนี้มันก็ยิ่งแย่ 

มันก็เป็นอยู่ที่ว่า เราเองเราได้ปฏิบัติธรรมมา ได้สั่งสมลักษณะแบบไหนให้แก่ตนเอง ทีนี้ถ้าเรามาอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ จะสอนให้มาในทิศทางที่ลดลงน้อยลงทุกอย่าง มากอย่างก็ให้ลดลง แม้อย่างเดียว คู่เดียว ที่เป็นกิเลสกามก็ให้ลดลงด้วย สรุปแล้วก็คือ มาลดนั้นดีที่สุดสำหรับกิเลส ของพุทธนี้ครบทุกด้านทุกมิติอยู่แล้ว 

 

ทำไมคนเรามีการพัฒนาตัวเองในทางผิด

_ผมขอถามหน่อยครับ ทำไมคนเราในแต่ละช่วงเวลาถึงพัฒนาตัวในทางที่ผิดด้วยครับ 

พ่อครูว่า... คนโง่มันมีมวลมาก ความโง่หรือว่าความไม่ถูกต้องมันมาก คนจะหลุดพ้น คนจะรอดจากทุกข์ จากความลำบาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็เคยพูดมาไม่รู้กี่ทีว่า พระพุทธเจ้านี้เรียนรู้แต่ละชาติแต่ละชาติ เป็นโพธิสัตว์นี่ อย่างหลวงปู่นี่พูดในฐานะโพธิสัตว์เลย แต่ละชาติเกิดมานี้จะมาเรียนรู้คนกับสังคม เหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วก็จัดการคน ที่มีเหตุคือกิเลสนี่แหละเป็นตัวหลักใหญ่เลย ให้ลดกิเลส มันจะรู้ทั้งสมมุติสัจจะที่เป็นความดีความชั่ว แล้วพุทธจะรู้ทั้งจิตที่รู้สุข รู้ทุกข์ ที่เป็นโลกุตระ ดีชั่วเป็นโลกียะ 

เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้สมมติตามโลก ดีชั่วมันจะไม่เที่ยง มันจะสมมุติตามหมู่ตามคณะตามแต่ละสังคมประเทศชาติ สมมุติอย่างไรดี สมมุติอย่างไรไม่ดีมันไม่ตรงกันทีเดียว คล้ายกันแต่ว่าไม่เหมือนกันทีเดียว ไม่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าประเทศไหนไม่เหมือนเป๊ะหรอก ใกล้เคียงกันแท้ๆก็ยังไม่เหมือนกัน ยึดถือต่างกัน 

อย่างไทยกับลาว ไทยกับเขมร ก็มีเหมือนกันแต่ต่างกันอยู่ในนัยยะ อย่างนี้เป็นต้น ดีไม่ดีนับถือศาสนาพุทธเหมือนกันอะไรอย่างนี้  ซึ่งมันก็ต่างกัน ก็ต้องมาเรียนรู้ความต่างพวกนี้ มันยึดต่างกัน 

เพราะฉะนั้นกิเลสมันมีนัยยะที่ต่างนี่แหละ มันลำบาก โพธิสัตว์จึงเรียนรู้ความแตกต่างของกิเลสในมิติแต่ละมิติ แต่ละประเด็น แต่ละแง่ แต่ละเชิงแต่ละมุม หนักหนาสาหัสแล้วก็มาช่วยกันไป 

 

การฝืนทำจะทำให้เราเจริญจริงขึ้นหรือไม่

_กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ การฝืนทำ จะทำให้เราเจริญจริงขึ้นไหมคะ 

พ่อครูว่า... ได้ การฝืนทำมันเป็นเรื่องง่ายๆธรรมชาติเบื้องต้น สิ่งที่ไม่ดีเราก็ฝืนทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ควร แต่คนเราถ้าไปฝืนทำในสิ่งที่ไม่ดีมันโง่ซ้อนซ้ำ มันโง่ซับซ้อน ไปฝืนทำในสิ่งที่ไม่ดี 

ธรรมชาติง่ายๆ อย่างนี้เขาว่าดีมันก็ต้องฝืน คำว่าไม่ดีนี้มวลโง่ๆก็ไม่ทำตามเลย ยิ่งเป็นโลกุตรธรรมแล้วมันซับซ้อน ทั้งดีและไม่ดี เราไม่ติดไม่ยึด จนกระทั่งเราสามารถมีพลังจิตของเรา อยู่เหนือจิตของเรา สามารถที่จะทำให้ไปเข้ากับแบบนี้ได้ เขาว่าอย่างนี้ดีก็ไปทำจิตของเราทำตามอย่างนี้ได้ ไปอีกหมู่นึงเขาว่าอย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี ก็ต่างกับอีกหมู่นึง เราก็ปรับกับเขาได้ 

อย่างนี้แหละคือสุดยอดของจิต อยู่ในสมมติสัจจะ ส่วนซับซ้อนลึกซึ้งในเรื่องสุขเรื่องทุกข์นั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตรธรรมที่พวกเราก็ได้เรียนรู้ หลวงปู่พยายามสอนอธิบาย มันเป็นเรื่องสูงสุด จนกระทั่งรู้จักลักษณะของจิตของเวทนา ของเจตสิกต่างๆ แล้วรู้จักครบบริบูรณ์เลย 

จึงสามารถที่จะทำ สามารถปรับจิตของเราตามที่เราต้องการได้ โดยที่ ถ้าเราต้องฝืนทำ เราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ เราทำอย่างนี้จนไม่ต้องฝืน ทำให้จิตเป็นได้ตามที่เราต้องการโดยไม่ต้องฝืน จะเป็นอย่างไรก็ไปอยู่ในโลกกับเขาได้ดีกับที่หมู่เขาเป็นได้หมดทุกหมู่ทุกลักษณะ แล้วเราก็อยู่ของเราโดยไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นสิทธิ์ของเรา 

สุขทุกข์มันเป็นกิเลส มันไปยึดว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้าว่าจริงๆแล้วมีชีวิตหมดสุขหมดทุกข์ได้ ก็อยู่กับโลกียะ อยู่กับความดีความชั่วของกลุ่มหมู่ที่สมมุติกันเท่านั้นเอง

 

ผีคืออะไร

_ผีคืออะไรครับ

พ่อครูว่า... ใครตอบได้ไหม ศิษย์เก่าผ่านมาแล้ว ฟังหลวงปู่อธิบายสอนกันมามากมาย ใครตอบแทนได้ไหม ผีคืออะไร 

ศิษย์เก่าว่า...คือ กิเลส

พ่อครูว่า... ผีคือกิเลส มันเป็นตัวปลอมอยู่ในจิตเรา เป็นตัวโง่อยู่ในจิตเรา ผี คืออาการของจิตที่โง่ ที่ปลอม ที่แฝงอยู่ แล้วบงการอยู่ในจิตเรา เพราะฉะนั้นเราต้องไล่ผีออกจากจิตเรา ไม่ใช่ไล่อย่างหมอปลา 

หมอปลานั้นแกไล่ผีอย่างเทวนิยม แกก็ไล่ไปตามอุปาทานของแก แล้วก็ใช้จิตวิทยา ทำให้คนมันคลายจาง ที่จริงไม่ต้องไปไล่มันก็หยุด มันไม่หยุดมันดิ้นมากๆมันก็ตายเท่านั้นเอง ก็ช่วยให้หยุดได้เร็ว หมอปลาก็ช่วยได้บ้าง ก็เอา ไปตามวิธีของโลกีย์เขา ใช้จิตวิทยาทำอย่างโน้นอย่างนี้ โอ้โห มากพิธีเลยนะ หลอกกันไป

ที่จริงแล้วแก้ปัญหาอย่างนั้นมันไม่จบหรอก มันโง่ซับโง่ซ้อนชาติแล้วชาติเล่า หมดสมมุตินี้ เขาไปหาสมมุติใหม่ที่เขาบ้าๆบอๆ ถ้าเขาไม่เข้าใจไม่มีปัญญารู้ ที่จริงมันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ที่บอกว่าผีเข้า อาการอย่างโน้นอย่างนี้ มันคือความโง่ของตัวเอง เป็นอุปาทานหรืออวิชชาเราเอง ต้องสั่นต้องเข้าจะต้องไม่รู้เรื่องอะไรต่ออะไร ก็จิตของเราเอง เราทำเราเองตามที่เราเองโง่ ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันโง่เอง แล้วก็ไปทำตามเขา 

บางคนจำได้ตั้งแต่ชาติปางก่อนไม่รู้กี่ชาติ แล้วลึกๆนึกว่าเท่ ได้เป็นอย่างนี้แต่ทำอย่างนี้นึกว่าเท่ ลึกๆนึกว่าเท่ คือมันโง่ซ้อนโง่ บางคนก็รู้สึกเหมือนกันว่าอาย อายนี่ ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ถ้านึกว่าเท่นี้คนนี้จะต้องเป็นอยู่บ่อย เป็นอยู่นาน เป็นอยู่มาก เข้าใจไหม มันเป็นความโง่ซับโง่ซ้อนเท่านั้นเอง 

เพราะเรารู้แล้วว่าเราเองเท่านั้น เราเข้าใจตามเหตุปัจจัยของสมมุติโลก ของคนทั้งหลายเขาเป็นสามัญธรรมดา ตื่นๆเป็นอย่างนี้อย่างนี้ เราก็เป็นตามที่เขาเป็น ไม่ได้พลิกแพลง  ไม่ได้ประหลาด ไม่ได้แปลกแตกต่างไปจากเขา ไอ้ที่แปลกต่างไปนั้นมันเป็นการพิเรนพิลึกมันโง่ แล้วมาเข้าใจผิดว่ามันเด่น 

ก็มันเหมือนกับคนสามัญดีๆที่เขาอยู่อย่างสงบสบาย แต่ไม่ จะต้องให้เป็นแบบพิลึก 

 

_ผม กิเลสหนา...ทำไงจะดีขึ้นครับ 

พ่อครูว่า... ตอบไม่รู้กี่ที่แล้ว มาเรียนรู้โดยเฉพาะที่พวกเรา หลวงปู่และนักธรรมะของพวกเรา นี่แหละคือนักฆ่ากิเลส แหล่งกำจัดกิเลสคือชาวอโศกนี่แหละ ตัวจริง ไม่มีแหล่งที่ไหนที่จะตัวจริงที่จะฆ่ากิเลสได้จริงเท่าชาวอโศกหรอก นี่พูดอย่างชัดๆเจนๆ อย่างอหังการเลย จริงๆ ไม่มีแหล่งไหน ไม่มีสำนักไหนที่จะฆ่ากิเลสได้ชัดเจน ตรงและจริงเท่าชาวอโศก 

 

อกหักมาทำใจเช่นไร ทำอย่างไรจะไม่ยึดเขา

_กราบนมัสการค่ะหลวงปู่ หนูอกหักมา ทำอย่างไรดีคะ และมีคำถามต่อว่า ทำอย่างไรถึงไม่ยึดเขาคะ 

พ่อครูว่า... จะตายแล้วไม่มีเขา จะตายให้ได้แล้วหนอไม่มีเขา โอย.. อกหักมา ไม่มีเขานี้ไม่เป็นควายก็ดีแล้ว ไม่มี “เขา”นี้เราก็ไม่เป็นควายก็ดีแล้ว 

เรื่องพวกนี้คือความโง่ ความโง่ที่ไปรัก ไปอกหักอกพังอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนนะ พูดจริงๆ หลวงปู่ในชาตินี้ก็ยังอกหัก เคยอกหัก ชาตินี้นะ ยังเคยอกหัก 

คือมันเป็นธรรมชาติโง่อย่างหนึ่ง แต่ว่าอกหักของหลวงปู่ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ทำร้ายทำแรง ไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย แต่มันเป็นอาการที่พูดคำว่าอกหัก ถ้ามันไปยึดมากๆมันจะแรง มันจะเป็นจะตายว่ามันเป็นเรื่องจริงๆมันสำคัญ จะเป็นจะตายเลย ดีไม่ดีมันอกหักฆ่าตัวตายเลย นั่นมันโง่สุดโง่ ไม่รู้จะโง่อย่างไร 

มันเป็นเรื่องของกิเลสธรรมชาติระหว่างเพศเท่านั้นเอง ถ้าหลวงปู่จะอธิบายให้ฟังแล้ว เข้าใจดีๆว่า 

คนเราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ แล้วมีคู่ แล้วก็มีกิเลสนี้ มันระริกระรี้ไปหาเก่าๆที่จะต้องมาอีก มีใหม่ก็จะไปหาใหม่ไปอีก แต่ละชาติแต่ละชาติ เคยมี พอเจอคู่เก่าๆมาก และยังจะระริกระรี้หาคู่ใหม่ๆ นั่นแหละคือคนโง่ โง่ไม่จบ มันก็จะอาการที่จะมีเพิ่ม มีวิบากมีคู่วิบากมากขึ้นมากขึ้น มันก็จะเยอะ 

เพราะฉะนั้นคนไหนที่เกิดมาชาติหนึ่งนี่ เสร็จแล้วมีคู่รักคู่เดียว แม้จะอกหักก็คู่เดียว เหมือนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีคู่รักคู่เดียวมีคนเดียว ต้องถือว่าพลเอกเปรมนี่อกหัก ใครเคยรู้ประวัติไหม

อาจารย์ไตรรงค์ สุวรรณคีรี เคยเขียนเคยบอกไว้ ประวัติความรักของพลเอกเปรม ถือว่าอกหัก แล้วก็ไม่รักใครอีกเลยตั้งแต่บัดนั้นจนตาย แล้วก็อยู่ทำงานอะไรเพลิดเพลินก็อยู่ไป จะเจ็บจะปวดอย่างไรก็คิดว่าคงไม่ เพราะเห็นพลเอกเปรมเขาอยู่เป็นสุขสบายดีตลอดชีวิต 

เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ คนเรายิ่งมากเรื่องมากคนไป มันทรมาน แล้วยิ่งอาการหนักของตัวเอง สร้างวิบากความโง่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นมันจะรักคนนี้ก็รักคนเดียวแล้วก็พอแล้วก็เลิก ไม่มีแล้วก็เลิกไป สบายจบ ก็แนะนำได้เท่านี้ อย่าไปเที่ยวร่ำรี้ร่ำไรอะไรกับมัน ทำไมต้องยึดเขา โง่

อกหักมาจะทำใจอย่างไร ก็มันก็เป็นธรรมชาติ มีรักมีชัง มีอะไรอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องเพศเรื่องกิเลสพวกนี้ ก็ดูที่ในสังคม คนที่เขาไม่แต่งงานเขาไม่มีเรื่องเพศตลอดชีวิตมีให้เห็นไหม ...มี 

ก็ดูเขา แล้วเขาก็ดูเบิกบานร่าเริงเป็นสุขดีตลอดชีวิต เขาก็อยู่ได้ แล้วมันก็จะ คนที่ไม่มีมากแล้วเขาก็ไม่ติดยึด เขาก็มีชีวิตอยู่กับความสุขที่เขาจะทำงานสร้างสรรค์ มีประโยชน์มีคุณค่า มีอะไรต่ออะไรไป ดีไม่ดีอื่นๆที่เป็นโลกีย์ สนุกรื่นเริงไปกับโลกีย์เขาด้วยไม่ต้องเป็นเรื่องเพศ เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องวัตถุ เรื่องงานการอะไรต่ออะไรไปเยอะไป เรื่องที่จะทำให้เราไปสัมพันธ์ ยิ่งกว่าไปสัมพันธ์แต่เรื่องเพศ เพราะฉะนั้นอย่าไปให้ความสำคัญมันมาก 

 

ไทยในความคิดของพ่อครูเป็นเช่นไร 

_ผมมีเรื่องอยากถามครับ ผมอยากถามว่า ไทยในความคิดของท่าน ควรเป็นยังไง และหากไม่มีภูมิจะสามารถเข้าใจโลกุตระได้ไหม หากเป็นไปได้ผมจะสามารถกอบกู้ศาสนาเหมือนกับท่านได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ถามลึกซึ้งนะเดี๋ยวค่อยตอบ โอ้โห ถามแต่ละปัญหา ม.1 นะนี่เด็ก ม.1 ถาม มา 3 ปัญหา 1 ชั่วโมง 5 นาทีจะพอตอบไหมนี่ 3 ปัญหา 

_ปัญหาที่ 1 ไทย ในความคิดของท่านควรเป็นยังไง 

พ่อครูว่า... ฟังดีๆ ความรู้ของหลวงปู่นี่นะ เอาตั้งแต่คำว่าไทย 

ไทย แม้ตัว ไท มันก็แปลว่าความอิสระแล้ว ความอิสระเสรี ไท หากมี ย.ยักษ์เข้าไป ก็หมายถึงลักษณะ ผู้นี้ประพฤติ คนเป็นคนไทย เป็นผู้ประพฤติให้มีอิสรเสรีภาพนี่แหละคือคนไทย ประพฤติตนเองทำให้ตนเอง มีความเป็นไท

เราเป็นคนไทย แล้วเราจะต้องทำให้เกิดความเป็นอิสรเสรีภาพที่เป็น ไท ให้สำเร็จ นี่คือคำตอบแรก 

ทีนี้ ขยายความต่อมา แล้วคนไทยจริงๆล่ะ เข้าใจอย่างหลวงปู่เข้าใจและเขาได้ทำอย่างที่หลวงปู่พูดหรือไม่ 

ตอบ… คนไทยที่พยายามจะทำให้เกิดความอิสระของตนนี่แหละ มี จะรู้ละเอียด รู้ความชัดเจนว่า ความอิสระของตนนี่คืออะไร พวกเราไปอ่านในเพลงอิสรเสรีภาพให้ดี หลวงปู่แต่งเอาไว้นานแล้ว 

อิสระเป็นเช่นใด ใช่ฝันกันได้ง่าย... อิสระกายแต่ใจไม่พ้นคนเป็นทาส
เพราะเพียงกามโกรธยังบังอาจ…

ถ้าเข้าใจถึง กาย คือ จิตมโนวิญญาณ ลดกิเลสจากภายนอกเข้าหาภายในเป็นฐานเป็นหลัก ต้องทำกิเลสมันอยู่ที่ภายในกิเลสมันอยู่ที่จิต แต่กิเลสก็มี กาย ถ้าไม่มีกาย ในขณะที่เราสัมผัสไม่มีภายนอก คนหลับตามีกิเลสที่เป็นความจำไม่ใช่กิเลสความจริง ความจริงมีอยู่ในปัจจุบัน ที่มีตากระทบรูปหูกระทบเสียงทางทวาร 5  มีผัสสะ นั่นคือจะเกิดอาการจิตจริง กิเลสจริง 

จิตที่ยังไม่มีสัมผัสภายนอก แล้วเกิดจิตรับรู้ ไม่เป็นจิตจริง เป็นจิตจำ เป็นสัญญา มันไม่เป็นปัญญา มันไม่เป็นความชัดเจน ไม่เป็นความจริงครบสมบูรณ์ 

ไทย ในความคิดของท่านควรเป็นเช่นไร ก็สรุปจบก่อนตรงนี้ว่า 

1.ก็ควรเป็นอิสระให้ได้ แม้แต่ต้นๆ คือ ความหลุดพ้นจากความเป็นทาส อิสระคือความหลุดพ้นจากความเป็นทาส 

หยาบที่สุด คนเป็นทาสจากอบายมุข คุณเป็นทาสจากอบายมุข คุณเข้าใจว่าอบายมุขเป็นสิ่งที่เลวร้ายต่ำสุดแล้ว คุณเลิกไม่ไปสุขไม่ไปทุกข์ไม่ไปเกี่ยวไปข้องกับมัน มันมีอยู่ในโลก ช่างหัวมัน เราอยู่เหนือมันมันจะมีอย่างไรก็ไม่ทำให้เราเกิดอาการหวั่นไหวหรืออาการที่เราอยากจะไปเสพจากสุขอยากทุกข์อยากมีกับมัน นี่คือความหลุดพ้นที่เป็นอิสระ

2.กามต่อมา ตั้งแต่เรื่องเพศ ซึ่งมันซ้อนเรื่องเพศเป็นเรื่อง เป็นผู้ที่เรื่องเพศเลอะเทอะ เป็นเรื่องเพศสำส่อน มากคน ลดลงมาจนกระทั่งน้อยลงๆ และกาม จริงๆก็คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกามคุณ 5 ติดเอร็ดอร่อย ชื่นใจอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ลดลง อย่างนี้แหละคือหลุดพ้นจาก กามารมณ์ หรือกามภพ หมดแล้ว การหลุดพ้นจากกามภพได้ จากอบายมุขได้

ไม่ใช่เราหนีเข้าป่า ไม่ใช่เราไม่มีสัมผัส ไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวไม่ข้อง สัมผัสอยู่รู้เห็นเกี่ยวข้องก็ได้ แต่จิตของเราเป็นโลกุตระ เป็นอุตรจิต เป็นจิตที่อยู่เหนือมัน มันทำอะไรเราไม่ได้ เราลูบหัวมัน เหมือนยังกับลูบหัวพระอาทิตย์พระจันทร์ได้ มันทำอะไรเราไม่ได้เลย เรามีฤทธิ์เหนือมันเหมือนเราลูบหัวล้านกิเลสอบายมุข ลูบหัวล้านกิเลสกาม สบาย มันไม่มีฤทธิ์ทำอะไรเรา ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมอย่างนี้เข้าใจดีไหมมันจริงอย่างนั้นเลย นี่คือความหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระที่แท้จริง นี่คือแท้

เอ้าทีนี้ พอมาเป็นประเทศไทย มันเป็นความรวม ความเป็นอิสระของความเป็นอยู่ ความเป็นอิสระเขาก็ไปเรียกความเป็นอิสระ 

1.เป็นอิสระทางเศรษฐกิจ 

2. เป็นอิสระทางการเมือง 

ก็มีใหญ่ๆอยู่ 2 อย่าง เป็นความหลุดพ้น เศรษฐกิจเขาเป็นอย่างนี้เราก็อยู่เหนือ การเมืองเขาเป็นอย่างนี้เราก็อยู่เหนือ มันก็คือสังคมนี่แหละ ก็อยู่กับสังคมอยู่กับมนุษยชาติ สังคมกลุ่มที่เราอยู่ด้วย แล้วเราก็อยู่เหนือ เข้าใจ ช่วยกันอยู่ จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจก็ดี จะเป็นเรื่องการเมืองก็ดี มันก็มีผู้ช่วยกัน จะบริหารจะจัดการให้มันอยู่ดี 

เศรษฐกิจคืออะไร คือการนำสิ่งที่อาศัยกินใช้ที่มีจำนวนจำกัด และเอามาพยายามที่จะเฉลี่ยแบ่งแจกเกื้อกูลกันให้อยู่ได้พอมีพอกินกันไป นี่เป็นการขยายความนิยามขยายความหมายของมันง่ายๆให้ฟัง 

นั่นคือเรื่องของสิ่งอาศัย เศรษฐกิจสิ่งอาศัยกินใช้อาศัยกินที่เฉลี่ยกันอยู่ 

ส่วนการเมืองนั้นเป็นเรื่องของอำนาจ เป็นเรื่องของการจะมีอำนาจ จะเป็นใหญ่ จะได้เป็นผู้บริหาร จะได้เป็นผู้จัดการ อะไรต่ออะไรต่างๆนานา 

เราก็ดูอยู่กับสังคม เราไม่ต้องไปเป็นผู้มีอำนาจ ฟังให้ดีนะมุมนี้ เราไม่ต้องไปเป็นผู้มีอำนาจ แต่เราเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เข้าใจคนและกลุ่มคน และการกระทำของคน แล้วเราเข้าไปช่วยคน ช่วยกลุ่มคน ช่วยการกระทำของคน ตามภูมิของเราว่า อย่างนี้มันไม่ดีช่วยเขาให้ดี อย่างนี้มันไม่เจริญช่วยเขาให้เจริญ อย่างนี้มันเสียหายก็พยายามช่วยให้หยุดกัน คุณก็ไปช่วยกันทำอย่างนี้จริงๆกับแต่ละที่แต่ละกลุ่ม 

โดยที่ไม่ต้องยึดว่า ตัวเองเก่งตัวเองรู้ตัวเองทำได้ อย่างนี้คือเป็นผู้ที่ประชาชนจะให้อำนาจแก่เรา แต่ถ้าเราบอกว่าฉันนี่แหละเก่ง ฉันจะไปจัดการอย่างโน้นอย่างนี้เหมือนนักการเมืองขี้โม้ ฉันจะทำอย่างนี้ ฉันจะให้เป็นอย่างนี้ ฉันจะสร้างอย่างนี้ ..ขี้หมาแน่ะ

ไม่ต้องอวดอย่างนั้นเลย ไม่ต้องพูดอย่างนั้นเลย แต่ให้คุณแสดงการกระทำ แสดงการประพฤติ แสดงความสามารถของคุณไป คุณเริ่มต้นแสดงยังไม่เริ่มทำ ไม่ต้องไปเอาโม้ ไม่เอาขี้โม้ เอาขี้ทำ เนื้อทำเลยไม่ต้องขี้ ทำจริงๆเลย 

ทำตั้งแต่คุณเริ่มจะมาเป็นนักการเมือง คุณก็ทำงานกับประชาชนโดยไม่ต้องคุย อย่างอุ๊งอิ๊ง จะมาเป็นนักการเมืองมีแต่ขี้โม้ ยังไม่ทำอะไรกับเขาเลย 

ถ้าจะพูดแล้ว โอ้โห.. แล้วจะมาเหนือ โพลบอกว่า ประชาชน ให้คะแนนอุ๊งอิ๊ง จะเป็นนายก ลุงตู่ใช้ไม่ได้ ประชาชนเอ๋ย ตามืดตาบอด แต่ที่จริงมันมีแทคติก มันมีเทคนิควิธีทำโฆษณาอะไรทุกอย่าง ยิ่งทุกวันนี้ เฟคของ Social Media ของวิธีการมีมากเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงได้คะแนนนี้ตามโพล ได้คะแนนตามที่เขา มุกมิก เกิดจาก ทำให้คนเข้าใจว่า อย่างนี้จะมีประชาชนเห็นด้วย มันยิ่งส่อ ให้เห็นว่ามวลชนประชาชนโง่ตามแค่คำโฆษณา อวดอ้าง ไม่เข้าไปถึงสาระแก่นสาร เนื้อแท้ของพฤติกรรมของมนุษย์ 

คนที่เห็นพลเอกประยุทธ์​ กับอุ๊งอิ๊งเทียบกันแล้ว แล้วก็ไปเข้าใจว่าอยากได้อุ๊งอิ๊งมากกว่าพลเอกประยุทธ์นี่นะ พวกนี้คือโง่ดักดาน ขออภัยที่อาตมาพูดสัจธรรมความจริงไม่ได้ไปด่าใคร พูดให้รู้ตัว ถ้ารู้ตัวว่าฉันเป็น นี่ โพธิรักษ์บอกว่าคนพวกนี้โง่ดักดาน แล้วก็โกรธก็เรื่องของคุณ ไม่โกรธก็แล้วไปเข้าใจว่าจริงหรือ แล้วคุณมาตรวจสอบศึกษาให้ดีๆ 

จริงๆแล้วโดยค่ารวมเฉลี่ยของคนประเทศไทย เอาอย่างนี้ มันซับซ้อน อย่างนี้นิดนึง เลือกตั้งครั้งนี้ ดูคะแนนของรวมไทยสร้างชาติ กับเพื่อไทย ดูอันนั้นก็แล้วกัน ถ้าคะแนนของรวมไทยสร้างชาติไล่ทันหรือไล่ติดเพื่อไทยถือว่าชนะ ถ้ายิ่งรวมไทยสร้างชาติชนะเพื่อไทยเลย เมืองไทยเลิศ 

แค่รวมไทยสร้างชาติได้คะแนนใกล้เพื่อไทยเข้าไป ก็เจริญแล้ว อาจจะมีภูมิใจไทย คั่น อะไรก็แล้วแต่บ้าง หรือประชาธิปัตย์มาคั่น แต่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะยากแล้วทุกวันนี้ ก็จะมีภูมิใจไทย 

อาตมาอธิบายวิจัยพวกนี้เป็นความรู้เรื่องการเมืองของอาตมาทั้งนั้น ไม่ใช่ว่า อาตมาตามืดตาบอดไม่รู้อะไรเลยกับโลกกับสังคม ไม่ใช่ แต่อาตมาไม่ได้ไปเล่นกันเมือง ไม่ได้เป็นนักวิจัยวิจารณ์การเมือง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... หลวงปู่ ให้พวกเราศึกษาการเมืองด้วย เพราะเราอยู่ในสังคม สะท้อนให้เห็นภาพผลงานพลเอกประยุทธ์กับอุ๊งอิ๊ง ซึ่งคนไทยก็เห็นตำตาอยู่แล้วว่าพลเอกประยุทธ์มีผลงานมากมาย แต่ไปเชื่อคำพูดไม่กี่วัน เหมือนกับเราดูผู้ว่า กทม. คุณชัชชาติบอกว่าจะทำนู่นทำนี่ศึกษามา 2 ปีแล้ว มีแต่แก้ไข 200 เอาเข้าจริงๆไปไม่เป็นเลย ปัญหาเยอะแยะที่เขาทำแล้วยิ่งแย่เข้าไปอีกต่างๆนานา นี่ก็เทียบได้ชัดเจน 

ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ก็เชื่อคำโฆษณาเป็นหลัก แต่ไม่เอาความจริงของมนุษย์ เหมือนเราอยู่กับพ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็ดูด่าว่ากล่าวต่างๆเราต่างๆนานาแต่คนมาพูดอะไรดีกับเรานิดหน่อยเราก็หลงเชื่อว่าดีกว่าพ่อแม่เรา เขาไม่ได้เลี้ยงข้าวเราเลยนะ คนที่พูดดีกับเราเขาไม่เคยให้อะไรเราเลยแต่พ่อแม่เราให้ทุกอย่างแก่เรา แต่เราไม่รักพ่อแม่ของเรา ไปรักคนที่เขาโฆษณาว่าดี เหมือนลักษณะที่เราดูพลเอกประยุทธ์กับอุ๊งอิ๊ง ไม่ต่างกันหรอก 

พ่อครูว่า... เอา สรุป ปัญหาข้อที่ 1 ไทย ในความคิดของท่านเป็นอย่างไร สรุปก็คือ ไทยก็คือ ผู้มีอิสรเสรีภาพทั้งในความคิดและเป็นอิสรเสรีภาพทั้งการประพฤติปฏิบัติสำเร็จ เมืองไทยทำได้ จนกระทั่งมีคำพังเพยว่า คนไทย ทำอะไรได้ตามใจชอบคือไทยแท้ 

 

หากไม่มีภูมิ จะสามารถเข้าใจโลกุตระได้ไหม
_หากไม่มีภูมิ จะสามารถเข้าใจโลกุตระได้ไหม ลึกซึ้งมากอันนี้ 

ตอบ..ไม่ได้ คนจะเข้าใจโลกุตระได้นั้นพิเศษ พิเศษไม่ใช่สามัญ ไม่ใช่ปกติสามัญจะเข้าใจกันได้ง่ายๆในเรื่องของโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า 

ธรรมะขั้นโลกุตระนั้น มันเป็นความแตกต่างของโลกียะ ที่มันยังไม่มีแนวคิดนี้ โลกุตระนั้นยังไม่เคยมีแนวคิดนี้เลยจนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง จะอุบัติขึ้นมา นำเอาโลกุตรธรรมมาประกาศ จึงจะมีของอันนี้ ใหม่ขึ้นมา 

ใหม่จนเขาคิดว่าอะไรว่ะ บ้าหรือเปล่า แปลกประหลาด แต่ที่จริงมหัศจรรย์มาก เพราะฉะนั้นกว่าคนจะเห็นได้ว่า อันนี้คือความรู้ความฉลาด ที่มันเหนือชั้นกว่าที่โลกเขามีมาแต่ไหนแต่ไรทุกศาสดาของโลกียะ หรือเทวนิยมเขามี มันเป็นอย่างอื่นเรียกว่า อัญญธาตุ จนกว่าจะมี อัญญธาตุ มากพอ จนกระทั่งมีมวล อาตมาเคยบอกเป็นสังขยาเลขว่า ต้องมี อัญญธาตุ มากกว่า 50% ขึ้นไปถึง 60 70% จึงจะรู้ว่า อ๋อ.. อย่างนี้เองหรือโลกุตระ นี่คือภูมิธรรมที่จะสามารถที่จะ เอาตัวเองเข้ามาเรียนรู้แล้วประพฤติเป็นชาวโลกุตระเหมือนอย่างพวกเรา 

กว่าเราจะเห็นชัดเจน ยังไงๆแม้เราจะเถียงไม่ออก อธิบายไม่ได้แต่เราก็ว่าอันนี้เหนือกว่า โลกุตระนี้แปลว่า เหนือ เหนือกว่า แม้เราทำไม่ได้เลยนะ แต่ลึกๆเราก็จะยอมรับว่าอันนี้เหนือกว่า นี่มันเป็นน้ำหนักอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจจนกระทั่งสามารถ ตอบได้ว่าอย่างนี้อย่างไรก็เหนือกว่า แม้เราเองยังทำไม่ได้เลย แต่เราก็ชัดเจนว่า เหนือกว่า ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือคนนั้นเข้าถึงโลกุตรธรรม มีฉันทะ มีความยินดีแล้ว แต่เราไม่มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา พอ ที่จะเข้ามาเป็นชาวโลกุตระให้เต็มรูปเท่านั้นเอง แต่จิตของคุณฝังชิพเรียบร้อยแล้ว พวกเรามีแล้ว ส่วนมากเลย 

_หากเป็นไปได้ ผมจะสามารถกอบกู้ศาสนาเหมือนท่านได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ได้ อย่าลบหลู่ตนเอง หากเป็นไปได้ เข้าใจทั้งความเป็นไทยความเป็นอิสระ เข้าใจทั้งความเป็นโลกุตระ ถ้าคุณเข้าใจทั้งความเป็นอิสระได้จริง สัมมาทิฏฐิแล้วมีเนื้อหาที่ความเป็นไปได้ เป็นอิสระเพียงพอ อิสระจากโลกอบาย อิสระจากโลกกาม อิสระจากโลกที่เป็นอัตตาเข้าไปเยอะๆ แล้วคุณก็อยู่เหนือมัน อุตระ โลกุตระ พวกนี้ได้จริงก็แสดงว่า คุณเป็นคนที่มีผลสำเร็จมา คุณก็จะเป็นผู้ที่กอบกู้โลกุตรธรรมได้ นี่เป็นคำตอบที่จริง พากเพียรสิ พระพุทธเจ้าไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ว่าคนจะมาทำงานโลกุตระ หรือแม้แต่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งคุณก็มีสิทธิ์ เอาสิ 

อย่างหลวงปู่นี่ตอนนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นะ 

 

ความรู้สึกและความคิดของพ่อครูต่อนักเรียนสัมมาสิกขายุคนี้

_หลวงปู่รักนักเรียนสัมมาสิกาทุกคนมากไหมครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ตอบดีกว่ามั้ง ถ้าหลวงปู่ไม่รักพวกนักเรียนสัมมาสิกขามาก หลวงปู่ก็เลิกโรงเรียนสัมมาสิกขาไปแล้ว 

นี่ก็พยายามให้ทำมา มันกี่ปีแล้วนะ 

สมณะฟ้าไท... เริ่มใหม่ปี 2533 ถึง 2566 ก็ 30 กว่าปีครับ 

พ่อครูว่า... สร้างปฐมอโศก 2527 ยุคแรกๆ กศน. 

_หลวงปู่ครับ หลวงปู่คิดอย่างไรกับนักเรียนสัมมาสิกายุคนี้ครับ 

พ่อครูว่า... ตอบ คิดอย่างที่ พวกเราเป็น พวกเราเป็นอย่างไรหลวงปู่ก็คิดอย่างนั้น นักเรียนสัมมาสิกขา จะไปคิดอย่างไร 

 ความคิดคือความรู้ ความคิดคือความมีเหตุมีผล มีเหตุมีปัจจัยของมัน ถ้าคิดไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย คุณก็คิดฟุ้งซ่าน คุณก็คิดลอยๆ แต่นี่คุณกำหนดโจทย์ให้แล้วว่า คิดกับนักเรียนสัมมาสิกขาเป็นอย่างไร 

เด็กสัมมาสิกขาทุกวันนี้นี่ เข้าใจเรื่อสัมมาสิกขา เข้าใจเรื่องสัมมาอาริิยมรรค เข้าใจสัมมาเป็นโลกุตระดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเรายังไม่รู้สึกเพราะว่ามันเป็นเรื่องของชั้นความเชื่อแบบ สัทธินทรีย์ก่อน ปัญญินทรีย์ ก็จะตามมาทีหลัง เป็นกำลังของความเชื่อตามหลักถ้าปัญญาก็จะชัดเจนตามหลังไปเรื่อยๆ มันมีมากขึ้น มันมีดีขึ้นเรื่อยๆ 

_ส่วนตัวผมคิดว่า น้องยุคหลังต้องฝืนตัวเองมากครับ จากกระแสสังคมโลกีย์ที่มันร้อนแรงแผลงฤทธิ์ผิดสำแดงแฝงเล่ห์กลมายาแบบ 360 องศามากเลยครับ ศิษย์เก่าอย่างผมหรือศิษย์เก่าทั้งหลายควรจะเอ็นดูน้องๆอย่างไร ไม่ให้ใจของพี่ศิษย์เก่ากับน้องยุคใหม่เสียครับ เพราะโลกีย์มันดุดัน ไม่เกรงใจใคร ลากน้องทำผิด

 

พ่อครูว่า... มีความคิดอย่างนี้ เป็นความเจริญ ความคิดเจริญ ก็จะต้องพยายามประกอบด้วยจิตใจแต่ละคน ทั้งเราทั้งเขาให้ดีขึ้นๆ ไม่ว่าเราหรือของน้องใหม่ คุณเห็นก็ดีแล้ว ก็ไม่ผิด พูดไม่ผิด เพราะว่าโลกมันเสื่อมไปทุกที โลกียะมันจัดจ้านไปเรื่อยๆก็จริง ที่พูดก็ไม่เลว 

แต่ว่า ถ้าไม่มีพวกเรา ก็พยายามทำ จริงๆแล้วอัตราการก้าวหน้าของความเป็นโลกีย์ความเสื่อม มันจะน้อยกว่าความเจริญของโลกุตระไหม ความก้าวหน้าความเจริญของโลกียะของความเสื่อม มันจะน้อยกว่าความเจริญของโลกุตระไหม ...ไม่น้อย มันต้องมากกว่าแน่ มันต้องไม่น้อย

เพราะฉะนั้นโลกุตระถึงอย่างไร มันก็จะต้องยาก ฝืน อย่างที่คุณรู้สึก เพราะอัตราจำนวนมันมีมากไปก่อน แล้วก็มีคนที่เอาง่ายๆ คนที่สอนโลกุตรธรรมในศาสนาพุทธด้วยมีอยู่ในกลุ่มอโศก นอกนั้นแม้แต่พุทธยังไม่ใช่โลกุตระเลย แล้วเทวนิยมจะไปเข้าใจโลกุตระอะไร มันไม่รู้กี่ต่อเลย  .0001 กับ 99999 เทียบกันตามนั้นเลยไม่ใช่จุด 0.1 กับ .99 

แต่โลกุตระมันมีอำนาจ มีความเข้มข้น มีฤทธิ์ในตัวมันเอง จึงไม่ถูกกลืน โลกุตระของชาวอโศกไม่ใช่ไม่มีอัตราการก้าวหน้า มันมีก้าวหน้าอยู่เหมือนกันแต่มันไม่ได้ดั่งใจ เพราะโดยสัจธรรมแล้ว มันไม่ได้หรอก แม้พระพุทธเจ้าทั้งองค์ ท่านก็ทำได้จำนวนหนึ่ง หรือในอินเดียเองก็เถอะ ก็เป็นฤาษีกันเต็มอยู่ในชาวอินเดีย  ท่านก็ได้จำนวนหนึ่ง ศาสนาฮินดู  ศาสนาอิสลามในอินเดียท่านก็ช่วยไม่ได้ ท่านก็ช่วยได้จำนวนนึง

ยิ่งในยุคนี้มันเสื่อมกว่าในยุคพระพุทธเจ้าอีกเท่าไหร่ ได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว 

 

คนที่ซื้อบุหรี่มาใช้กับผู้ผลิตมาขาย ใครโง่กว่ากัน

_ดญ.ใสกลางเพ็ญ... หลวงปู่ค่ะ คนที่ซื้อบุหรี่มาใช้กับผู้ผลิตมาขาย ใครโง่กว่ากันคะ 

พ่อครูว่า... โอ้โห.. ดญ.ใสกลางเพ็ญ ดญ.น้ำมนต์ถาม คนซื้อบุหรี่มาใช้ก็คือซื้อมาสูบ กับผู้ผลิตขาย ใครโง่กว่ากัน ตอบประเด็นนี้ก่อน โง่ด้วยกันทั้งคู่ก่อน ทีนี้ใครโง่มากก็น้อย โง่ด้วยกันทั้งคู่ซึ่งไม่ควรทำทั้ง 2 อย่าง ทั้งใช้ก็ไม่ควร ทั้งผลิตขายก็ไม่ควรทำ เพราะมันเป็นคนโง่ แค่นี้ก็จบแล้วที่จริง 

เอ้าทีนี้ ใครมากใครน้อยกว่ากันประเด็นที่อยากรู้ ใครโง่มากใครโง่น้อยกว่ากัน จริงๆแล้วนี่นะ คนที่สูบบุหรี่นี่เขาสูบนะ แล้วเขาก็ได้ผล เขาสูบ เขาก็รู้ว่าเป็นความสุข เป็นความได้ประโยชน์จากการสูบ ส่วนคนที่ผลิต และสูบด้วย แน่นอน แสดงว่าคนนี้ เขาโง่มากกว่าแน่ ทั้งผลิตทั้งสูบทำให้คนหนักเข้าไปใหญ่ บาปหลายชั้น 

เอาทีนี้อีกคนหนึ่ง คนที่รู้ รู้ดีเลยว่าไม่ดี บุหรี่นี่ และตัวเองก็ไม่สูบด้วย แต่ทำบุหรี่ขาย ตอบอาตมาซิว่า คนนี้โง่หนักกว่าคนเหล่านั้นหรือเปล่า... ทั้งโง่หนักทั้งเลวด้วย 

คนที่รู้ว่าไม่ดี ตัวเองก็ไม่ทำ เหมือน คนที่รู้ว่าเหล้าไม่ดีแล้วตัวเองก็ไม่ดื่ม แต่ตัวเองทำขายจนรวย นี่แหละ โง่ชิบหายเลย โง่ใจดำ โง่เลวด้วย ตัวเองก็รู้ว่าไม่ดี แล้วตัวเองก็ไม่ และสร้างขึ้นมาเพื่อเอาเงินเอาทองเอาร่ำเอารวย ให้คนชิบหาย ให้คนติดให้คนยึด เป็นอะไรไป ใจทั้งดำทั้งเลวเลย ไม่ว่าจะไปสร้างบุหรี่ ไม่ว่าจะไปสร้างเหล้า สร้างสิ่งเสพติดอะไรก็แล้วแต่ 

นี่จะฟังบ้างไหมคนที่เขาทำอยู่ จะสะดุ้งสะเทือนบ้างไหม แล้วความผิดความชั่วพวกนี้ มันคือนรกตามกรรมวิบากของศาสนา ทำแล้วไม่เป็นอันทำไม่ได้ มันเป็นอันทำ คุณต้องรับกรรมรับวิบาก ชาตินี้คุณดูเหมือนได้เงินได้ทองได้ลาภได้ยศจากอันนี้ แล้วคุณก็ยิ่งเหลิงลอยเลยว่า เราได้ส่งเสริมจากอันนี้ให้ได้ลาภยศ คุณยิ่งโง่หนักไปหลงลาภยศสรรเสริญหนักหนาสาหัส ทั้งที่มันเป็นความเลวความเสพติดความฉิบหายวายป่วงของมนุษย์ 

กินเหล้ากันนั้น คนตายคนเมาแล้วประสาทเสีย ขับรถขับรา แม้แต่มีปืนมีมีด ก็ทำกัน คิดดูสิ เกิดกรณีอะไรถึงขั้นอาชญากรรมกันเลอะเทอะ เหตุปัจจัยจากสิ่งที่กดประสาทพวกนี้ทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามเขาถึงไม่ให้มีเหล้า เขาเข้ม แต่ถ้าอย่างว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาให้อิสรเสรีภาพ ให้เกิดสำนึก 

 

หลวงปู่มองเห็นภาพสัมมาสิกขาในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นอย่างไร

_หลวงปู่มองเห็นภาพสัมมาสิกขาในอดีต ปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้วอยากเห็นภาพสัมมาสิขาในอนาคตเป็นอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้ไปกำหนดเอาหรอก เห็นอดีตเป็นอย่างไรเห็นปัจจุบันเป็นอย่างไรก็คือ ส่วนอนาคตอยากให้เห็นเป็นอย่างไร อาตมาไม่ไปกำหนดอนาคตเพราะกำหนดไม่ได้ อยากให้เป็นอย่างไร ก็อาจจะมีวิสัยทัศน์ไปได้บ้าง ก็อยากให้ดีสิ ตอบง่ายๆ ไปถามทำไมอย่างนี้ 

ทีนี้ดีอย่างไร ดีก็คือเป็นผู้ที่มีภูมิเข้าใจ เข้าใจโลกุตรธรรม เข้าใจธรรมะอย่างที่หลวงปู่อธิบายสอน แล้วก็เกิดจิตใจมีปัญญา ชัดเจนได้ประโยชน์จากธรรมะที่หลวงปู่ให้รู้ นอกจากรู้แล้วก็เอาไปปฏิบัติด้วย 

เพราะฉะนั้นเท่าที่ทำแล้ว หลวงปู่ไม่มีสถิติ ไม่มีใครไปเช็คสถิติมา เพราะฉะนั้นจึงตอบไม่ได้ว่า อดีตกับปัจจุบันนี้ มันจะเทียบค่าอย่างไร 

ตอบง่ายๆก็คือว่าเราไม่หยุดในปัจจุบันที่จะเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณหรือความสามารถของเรา เราก็จะพยายามที่ให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีขึ้น ส่วนจะได้หรือไม่ได้นั้นเราไม่ได้ไปทำวิจัย ไม่ได้ไปทำสถิติเลยว่า เด็กเรามีเท่านั้นเท่านี้ ได้แล้วก็ติดตัวไป แล้วก็ไปเป็นคนดีในสังคม แต่อย่างใดอย่างไรมันก็มีดีอยู่ในสังคม ไม่ได้ไปทำสถิติอย่างเป็นรายละเอียด เป็นสถิติเลย 

แต่โดยประเมินประมาณมันก็ได้แล้ว ได้เจริญต่อสังคม ไม่เสียหลายหรอก แม้มันยากโลกุตรธรรมนี้ มันก็ได้ ไม่มากก็น้อยไป 

 

_หมาจร เขียนเป็นกลอนมา

หลากร้อน กิเลสร้าย วนรอบกาย วุ่นวายตน 

ซับซ้อน แสนซ่อนกล ให้สับสน ตนเมามัว

มิวายยังโง่ซ้ำ สรรหาเหา มาสุมหัว

ดึงเขาอื่น มาพันพัว มาสุมกับ กิเลสตน

ปัญหาตน ก็ว่าร้าย มิอายเพิ่ม ปัญหาคน

คนเพิ่มก็เพิ่มกล เพิ่มสับสน ผลมากความ

พ่อครูว่า... ใช้ได้ เป็นกวีเป็นเชิง กาพย์ยานี  

 

_ในการจัดค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ครั้งนี้ พี่ๆศิษย์เก่าตั้งใจที่จะนำพาน้องๆสัมมาสิกขา ให้ได้เห็นความสำคัญของการศึกษาที่สัมมาทิฏฐิ และภาคภูมิใจในความเป็นลูกอโศก ที่มี ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ดังที่หลวงปู่ได้พาก่อร่างสร้างโรงเรียนสัมมาสิกขาขึ้น โดยได้พาฝึกในเรื่องของระเบียบวินัย ควบคู่ไปกับการให้ความรักความอบอุ่นแบบพี่ดูแลน้อง 

ซึ่งศิษย์เก่าทุกคนตั้งใจมากๆค่ะ ที่จะมาจัดค่าย ยอส.นี้ ให้แก่น้องๆเพื่อเป็นการสืบสานความรักของหลวงปู่ให้ยั่งยืนสืบไปค่ะ 

พ่อครูว่า... ดีจังเลย อนุโมทนากับจิตดีๆอย่างนี้จัง พวกเราก็คงที่มานี้ก็คงมีจิตอย่างนี้แหละ ไม่มากก็น้อย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มาถึงแม้ว่าไม่มา บางคนอยากมาแต่ติดธุระของเขาก็มี ส่วนผู้ที่ไม่อยากมา ไม่เกี่ยวข้องจะมีบ้างเหมือนกันแหละ แต่ถ้าถามใจลึกๆแล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ควร ควรมาควรมาร่วมกันทำ ลึกๆเขาจะรู้เหมือนกัน อาตมาคิดว่า ไร้สาระ อาตมาว่าน้อยหรือไม่มีเลย คนที่เขาจะเข้าใจยังงั้นคิดอย่างนั้น อาตมาเชื่อว่าอย่างนั้นนะ 

 

ทำอย่างไรจะล้างกิเลสได้เก่งขึ้น

_ทำไมกิเลสแต่ละตัวมันล้างยากจังคะ ทั้งที่รู้ตัวเองมีกิเลสตัวนี้ เราจะทำอย่างไรดีให้เราล้างกิเลสได้เก่งขึ้น 

พ่อครูว่า... มี 3 ประเด็น 1. กิเลสแต่ละตัวมันล้างยากจัง ก็ถูก ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสตัวนี้เราจะทำยังไงดี ให้เราล้างกิเลสได้เก่งขึ้น ..ก็ต้องมาเรียนรู้สนใจ หลวงปู่ขอยืนยันนะว่า หลวงปู่นี้ เรียนรู้จากพระพุทธเจ้ามาจริง มาได้จริง ทำให้กิเลสลดได้จริง และขอยืนยันว่า สำนักอโศกนี่แหละ ทำให้กิเลสลดได้จริง 

เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือ ต้องมาที่อโศกนี้แหละ จึงจะรู้วิธีล้างกิเลสได้จริง นี่คือคำตอบ จะทำยังไง ถ้าไม่ใส่ใจ ไม่มา มันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ตลอดเวลาคุณยังรู้สึกว่าคุณยังไม่เป็นอรหันต์ ควรมา ถ้าคุณรู้สึกว่าตนเองเป็นอรหันต์แล้วก็แล้วไป หรือว่าไม่เอาแล้ว ก็แน่นอน มันไม่เอา 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักตัวเองอย่างนี้นั้นดีแล้ว และประเด็นที่ 3 ก็คือ อยู่ในความหมายของอันนั้น คนที่ถามมาอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ ประเด็นที่ 3 นี่คือเป็นสำนึกดีแล้ว เป็นสำนึกดี 

เพราะฉะนั้น คนที่มีสำนึกดีแล้ว ควรทำสำนึกดีให้เป็นจริงสิ นี่คือคำตอบ ถ้าสำนึกดีแล้วคุณไม่ทำดีตามที่สำนึกนั้น แน่นอนคุณก็ไม่สำเร็จ คุณก็ไม่ได้ผล คนที่รู้สำนึกดีว่าอย่างนี้ถูกต้องแล้ว แต่คุณไม่มาปฏิบัตินี่แหละ  โง่น้อย หรือโง่มาก .. โง่มาก.. ตอบถูกจังเลย คนที่ไม่สำนึกเขาไม่รู้เรื่องเลยเขาไม่มาเขาก็โง่เท่าที่เขาโง่เนาะ แต่คนที่รู้ดีเลยนะ สำนึกด้วยนะ แต่ไม่มานี่สิ คุณรู้ทำไมคุณสำนึกทำไม หา! 

 

_ทำอย่างไรให้ไม่ฟุ้งซ่านครับ 

พ่อครูว่า... คำถามสั้นๆง่ายๆ อธิบายเป็นเนื้อหามีเวลา 22 นาที 

 

_ทำไงสัมมาธิปไตย จะชนะเพื่อไทยได้ครับ 

พ่อครูว่า... คำถามนี้เอาไว้ก่อน 

 

ตอบอันนี้ก่อน 

 

ทำอย่างไรใจจะไม่ฟุ้งซ่าน

_ทำอย่างไรให้ไม่ฟุ้งซ่านครับ 

พ่อครูว่า... ฟุ้งซ่านนี้เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่งอยู่ใน 5 กิเลสทั้งหมดพระพุทธเจ้าสรุปลงไว้ที่ 5 ตัวนี้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา 

อีหลักอีเหลื่อ ครึ่งๆกลางๆ งงๆงวยๆ ไม่สำเร็จสงสัยอยู่นั่นแหละ ตัววิจิกิจฉาคือตัวที่โง่ไม่เสร็จ โง่ไม่จบ ฉลาดไม่สมบูรณ์ วิจิกิจฉาคือตัวจบถ้าพ้นวิจิกิจฉาได้ก็คือจบ 

เพราะฉะนั้นก็คือ 4 ตัวนี้แหละคือกิเลสหลัก กิเลสกาม พยาบาท คือกิเลสหยาบ ภายนอก กิเลสรวมใหญ่ทั้งหมด ส่วนกิเลส ฟุ้งซ่านกับ ถีนมิทธะ คือ กิเลสละเอียดภายใน 

ทีนี้ถ้าคนที่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำกิเลสภายนอกก่อน ถ้ากิเลสฟุ้งซ่านกับ ถีนมิทธะ ถีนมิทธะ คือกิเลสจับตัวเป็นก้อนแล้วมันก็โง่ ซึม และกิเลส อุทธัจจะกุกกุจจะ คือกิเลสเชิงสายฟุ้ง มันก็ฟุ้งไปมากขึ้น มากขึ้นเพราะไม่มีอะไรควบคุม ไม่มีภายนอกควบคุม 

คนที่ลืมตา ตื่นมามีตาหูจมูกลิ้นกาย จะเรียกว่า มันควบคุมก็ได้ จะเรียกว่ามันดึงเอาเราไป ตามันก็ดึงเราไป จะต้องไปรับรู้สนใจทางตา หูมันก็ดึงเราไปให้เราไปสนใจกับเรื่องหู จมูก ลิ้น กายทั้ง 5 ทวาร มันก็ทำให้เราครบทั้งภายนอกภายใน แล้วก็เป็นคนตื่น แต่คุณหลับเข้าไป มันไม่เป็นคนชาคริยะ หรือชาคระ มันเป็นคนหลับเป็นคนอยู่ในภพ 

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นการง่ายที่คุณจะโง่ มันจึงเป็นการง่ายที่จะถูกกิเลสตัวเองทับถมเข้าไป ไม่ว่าจะทับถมให้มันมีความมากขึ้น ความเจริญขึ้น เจริญของกิเลสนะ ถีนมิทธะ ก็ตาม อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็ตาม

เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตา ปฏิบัติธรรม สะกดจิต คุณก็จะอยู่กับ ถีนมิทธะ กับ อุทธัจจะกุกกุจจะ เพราะคุณตัดกามกับพยาบาทที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภายนอกนี้ออกไปเสีย ที่จะมีแรงดึงให้คุณตื่น คุณรับรู้ความจริง ที่มีปัจจุบัน สัมผัสตาหู จมูก ลิ้น กายนี้มันเป็นปัจจุบันทั้งจิตเต็มๆ มีปัจจุบันทั้งกิเลสที่เกิดตัวแท้ แต่คุณตัดไม่มีตัวจริงข้างนอก มันเป็นกิเลสจำไม่ใช่กิเลสจริง มันเป็นกิเลสเก่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า เป็นกิเลสในอดีตกับกิเลสในอนาคต ไม่มีกิเลสในปัจจุบัน ไม่มีกิเลสจริง มันเป็นกิเลสลำลอง มันเป็นกิเลสของตัวคุณที่คิดฟุ้งซ่าน  อดีตก็ฟุ้งซ่าน  อนาคตก็ฟุ้งซ่านอย่างเดียว 

มันเป็นภพของตัวเองเท่านั้น  มันไม่เกี่ยวกับความจริงที่มันจะเกิดปัจจุบันนี้มันมีใหม่ อันนี้คุณมีเท่าไหร่ คุณก็เก็บมาไม่หมดหรอกในความจำ แล้วคุณก็ขยำขี้ในขี้ไม่รู้กี่กองไปเก็บมาหมด จากอดีต แล้วขี้นี่นะยังไม่ได้เกิดจริง คุณฟุ้งซ่านเป็นอนาคต ขี้ใหม่ที่คุณฟุ้งซ่านนั้นคิดเอาเองเป็นขี้ใหม่ ยังไม่เกิดของจริงทีเดียว แต่คุณก็พยายามจะติดใจในอนาคต แล้วคุณก็จะออกมาเป็นตัวจริงในตาหูจมูกลิ้นกาย ให้มันครบเท่านั้นเอง คุณก็ไปสร้างอยู่ในอนาคต ขยำอยู่กับอดีต แหม.. 

สรุปแล้วนี่นะ มันไม่ใช่วิธีที่จะเรียนรู้กิเลสจริงๆ แล้วก็ทำให้มันลดลงไปทีละอันๆๆ แล้วมันจะหมด เหมือนคุณมีขวด มีน้ำอยู่ในขวดมีตะกอน คุณจะเอาตะกอนออก คุณก็หลับตา เอาไปอยู่ในที่มืด แล้วคุณก็จะหยิบฝุ่นออกให้ได้หมดมันจะหมดไหมเล่า มันต้องมาอยู่ในที่สว่าง แล้วต้องขยายความยืดความกว้างของมันออกให้เห็น มันถึงจะจับได้ดี จับได้ เอามันออกได้หมด

เพราะฉะนั้น การไปนั่งหลับตาเท่ากับจับฝุ่นในที่มืดออก และไม่ใช่คุณจับฝุ่นในที่มืดหรอก คุณหลงว่าคุณมืดหนักเข้าไปกดข่มเข้าไป มันก็ดิ้น ทำให้มันตกตะกอนแน่นๆๆๆเข้าไป แล้วคุณก็นึกว่ามันหมดแล้ว คุณเก่งที่คุณทำให้ตะกอนมันนิ่งหยุดได้ แล้วคุณก็มาหลงในน้ำใสข้างบน เพราะคุณเองคุณจม มันโง่ไม่รู้กี่ชั้นไม่รู้ การไปหลับตาทำนี้เป็นโมฆบุรุษ ที่อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไร 

พระพุทธเจ้าท่านว่า คนที่ไปนั่งหลับตาไม่ได้ เพราะในยุคนั้นมันเป็นยุคที่คนโง่หลับตากันเกือบหมด ถ้าท่านไปด่าเหมือนอย่างทุกวันนี้ท่านจะไม่ได้คนมาปฏิบัติธรรม แต่อาตมาไม่ใช่อยู่ในยุคพระพุทธเจ้าก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ยุคที่มีศาสนาพระพุทธเจ้าประกาศความจริงอันนี้มาหมดแล้ว แล้วจะไปหลับตาให้เป็นโมฆะ มันโง่หนัก เพราะฉะนั้นอาตมาพูดได้เต็มที่ พระพุทธเจ้าพูดเต็มที่ไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีคนมาเป็นลูกศิษย์เลย แต่อาตมานี้คัดเอาคนฉลาดมา 

คนที่โง่หรือคนที่ไม่มีทางที่จะรับโลกุตระได้ เขาไม่มาหรอก อาตมามาทำงานนี้ อาตมามาเก็บตกผู้ที่มีบารมี คนไม่มีบารมี ยากมาก เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าคนศาสนาอื่นที่มาเข้ากับอโศก มาเปลี่ยนศาสนามาอโศก อาตมาทำไม่ได้ มีที่ไหน ไม่มี น้อยมากเลย มีอยู่เหมือนกันแหละแต่อาตมาไม่อยากนับ เพราะว่ามันเทียบเปอร์เซ็นต์กันไม่ได้เลย มันน้อยมาก คนที่เป็นศาสนาอื่นแล้วมาปฏิบัติธรรมกับอโศก 

เพราะงั้นในธรรมะที่อาตมานำมาเปิดเผยนี้ จึงเป็นธรรมะที่พูดไปแล้วว่ามันเสื่อมจากสังคมพุทธ อาตมาไม่ได้สอนธรรมะโลกีย์เท่านั้น สอนโลกุตระ มันเสื่อมไปแล้วก็กอบกู้มันขึ้นมาได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญเอาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าภาคภูมิใจที่กอบกู้ขึ้นมาได้ ได้ประมาณนี้สำเร็จถึงขั้นสาราณียธรรม 6 เกิดสังคมชุมชนที่มาอยู่ด้วยกันนี้ ถึงขั้นมีสังคมสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วต่างคนต่างก็ปฏิบัติธรรมของตนเองมีศีล มีทิฏฐิของตัวเองเจริญขึ้นไปตามลำดับ เสมอสมานกันอยู่ร่วมกันอยู่ในนี้ เท่านี้อาตมาก็ภาคภูมิใจแล้ว 

 

ทำอย่างไรสัมมาธิปไตยจะชนะเพื่อไทยได้ 

_หรือเวลาอีก 12 นาที ทำอย่างไรคะสัมมาธิปไตยจะชนะเพื่อไทยได้ 

พ่อครูว่า... อาตมายังไม่ได้คิดไว้เลย ว่าจะทำอย่างไรดีหนอ ตอบก่อน อาตมายังไม่เคยคิดและก็จะไม่คิด จะไม่คิดว่าทำอย่างไรสัมมาธิปไตยถึงจะชนะเพื่อไทย ไม่คิด จะชนะหรือไม่ชนะ ไม่คิด แต่ขอให้สัมมาธิปไตย คนที่ทำงาน คนที่เป็นสมาชิกของสัมมาธิปไตย ทำงานการเมืองให้เป็นสัมมา ให้มันเป็นอธิปไตยที่เป็นสัมมา 

อธิปไตยที่เป็นสัมมา เป็นอย่างไร 

อธิปไตยคือพลังงาน ที่เป็นพลังงานเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังงานทางสสาร ทางวัตถุ แต่มีพลังงานทางสสาร ทางวัตถุร่วมด้วย แต่พลังงานนามธรรมหรือจิตวิญญาณเป็นหลัก เพราะฉะนั้นอธิปไตยโดยตรง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึง 3 อย่างคือ  อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  เราก็ต้องเข้าใจโลก เข้าใจอัตตา เข้าใจโลกุตระ ขออภัยเข้าใจธรรมะ 

ธรรมะ มันมีหลักใหญ่คือโลกียะกับโลกุตระ เพราะฉะนั้นสัมมาธิปไตยก็ต้องทำให้เกิดธรรมะที่เป็นโลกุตระให้ได้ สัมมาธิปไตยต้องพยายามจะทำอย่างไรให้เกิดธรรมะที่เป็นโลกุตระได้ 

ที่นี้โลกุตระคือยังไง โลกุตระก็คือความรู้ที่จะต้องรู้ เรื่องโลกเรื่องอัตตา 

โลกคืออะไร โลกคือการเกี่ยวพัน โลกคือการสัมพันธ์ โลกคือการเกี่ยวข้อง สัมพันธ์แล้วก็หมุนวนอยู่ เป็นพลวัต หรือพอสายใหญ่ก็คือเป็นวัฏจักร ภาษาสมัยใหม่ก็เป็นพลวัต ที่มันมีปฏิกิริยาเกิดจากการปรุงแต่งกันอยู่ในพลวัต หรือปรุงแต่งกันอยู่ในวัฏสงสาร 

โลก เกี่ยวข้องกับคนอื่น อัตตาคือตัวเราเอง 

ก่อนอื่นเราก็ต้องมาเรียนรู้อัตตาของเราเองให้ดีก่อน ทำคุณอันสมควรก่อนให้แก่ตนก่อน แล้วค่อยสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง พระพุทธเจ้าท่านมีหลักให้เราอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเราสามารถที่จะรู้อัตตาตัวเรา อัตตาคือตัวตน กิเลสคือความเห็นแก่ตน และมันบานออกเข้าไปหนัก เห็นแก่ตนไม่พอเห็นแก่พวกของตน เห็นแก่สังคมของตน เห็นแก่ประเทศของตน ตัดที่ประเทศ มันก็ไม่สมบูรณ์ 

เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นแก่มวลมนุษยชาติ แต่แน่นอนมีความสำคัญว่า มันก็ต้องทำที่ตน ช่วยตนให้มีคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนคนอื่นในภายหลัง จะต้องมีหลักสำคัญตรงนี้ก่อน ทำได้แล้วเราก็ถึงจะขยับไปเอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ไปช่วยผู้อื่นได้เป็นลำดับๆๆๆๆ ทำตนเสร็จแล้วก็ขยายโลกไป 

เพราะฉะนั้นจากภาษาคำว่า “โลก”ภาษาคำว่า “ตน” ก็มาสู่ประโยชน์เรียกว่า อายะ 3 คือ

พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

โลกานุกัมปายะ คือ โลก ไปช่วยโลกได้ คุณจะช่วยโลกได้คุณต้องรู้ หิตะกับสุขะ

หิตะ คือประโยชน์หรือรายได้หรือกำไร จริงๆก็เป็น synonym กับคำว่า อายะ คือประโยชน์ คือรายได้ คือกำไร นี่คืออายะ 3 

พหุชนะ หิตะ อายะ โลกา กัมปะ อายะ ทั้ง 3 ตัวก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าที่จะได้ให้แก่ผู้อื่น ผู้อื่นคือใครก็คือ พหุชน 

พหุชน ทั้งหมดก็คือโลก มวลมนุษยชาติ หรือ ศัพท์สมัยใหม่ว่าประชาชน มวล เติมเข้าไปอีกเต็มๆก็คือมวลประชาชน พหุชนคือมวลประชาชน

เพราะฉะนั้นอธิปไตย 3 พลังงานหรืออำนาจที่เรารู้ว่า อำนาจของโลก คนที่มีตัวตนจัด ก็จะเป็นคนที่จะรวบอำนาจโลกมาเป็นกู เอาอำนาจโลกมาเป็นตัวตน จะเป็นเจ้าโลก จะเป็นเจ้าอำนาจอย่างที่เขาโง่ๆทำกัน มันเป็นความเลว มันไม่ใช่ความดี แต่เขาไม่รู้กัน แต่ละผู้นำแต่ละประเทศจะเป็นใหญ่จะสร้างอำนาจให้ทุกคนจะต้องเกรงกลัว จะต้องยอมรับ จะต้องนับถือ ฉันเก่ง ฉันใหญ่ฉันโก้ เพราะเราข่มเพราะเราเบ่ง

จะเบ่ ด้วยอำนาจอาวุธเข่นฆ่า หรือเบ่งด้วยอำนาจของสิ่งที่เราสร้างได้แล้วเอามาเป็นเครื่องล่อ เป็นเครื่องให้แจกก็ตาม 

เพราะ เบ่งด้วย อำนาจ กับ ด้วยสิ่งที่เอาไปแจกจ่าย อันไหนดีอันไหนเลว ...จ่ายแจกดีกว่า

ทีนี้ก็มาเรียนรู้ความจ่ายแจก คุณจ่ายแจกสิ่งที่เป็นพิษ จ่ายแจกสิ่งที่เป็นความมอมเมา กับจ่ายแจกสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์  อันไหนดีกว่ากันอีก ... สิ่งที่เป็นคุณค่าดีกว่า 

คุณก็มาเรียนรู้ว่า สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่เป็นความมอมเมาคืออะไร ที่คุณจะสร้าง คุณจะเอาไปจ่ายแจกเขา เพราะฉะนั้นคุณเทียบคู่อันนี้แล้ว สิ่งที่เป็นพิษมอมเมากับสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร ยังชีพ ยังมนุษยชาติ ยังสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข คุณก็มาทำอันนี้ 

สรุปเข้าเป้าตรงนี้ ประเทศไทยรู้จักสาระแก่นสารอันนี้ไม่เก่งเลยในการทำสิ่งที่เป็นการเข่นฆ่าเป็นอาวุธ อันนี้รอดตัวแล้วเมืองไทย ไม่ต้องไปกลัวว่าเราสร้างอาวุธสู้เกาหลีเหนือไม่ได้ สู้อเมริกาไม่ได้ สู้รัสเซียไม่ได้ สู้ประเทศไหนๆไม่ได้ก็ช่าง 

ไม่ต้องไปกลัวมันเลยสร้างอาวุธเข่นฆ่าคนไม่ได้ แม้ในที่สุดจะมาสร้างสิ่งมอมเมา หรือเป็นพิษให้แก่มนุษยชาติ ไม่ได้ สู้เขาไม่ได้ สิ่งที่มอมเมาเป็นพิษนั้น ไอ้สิ่งที่เป็นวัตถุกดประสาทเลย นั่นก็ง่าย สิ่งที่เป็นพิษมอมเมา ที่มันกดประสาทเลย ก็อย่าไปทำสิ 

ทีนี้สิ่งที่ไม่ได้กดประสาทเลย แต่ล่อประสาทให้ระเริงหลง การละเล่นการบันเทิงเริงรมย์ การกีฬา พวกนี้ เสียเวลา จัดจ้าน ไร้สาระ แต่เขาว่าตัวนี้ยิ่งหลงมันยิ่งมากเลยนะ ตั้งราคาให้นักกีฬา ตั้งราคาให้การละเล่น ตั้งราคาให้แก่นักแสดง หลอกอารมณ์โลภ รัก โกรธ หลง จัดจ้านมากขึ้น ราคาแพงขึ้น แสดงถึงความโง่หนักของสังคม 

สำนักที่ให้แจกตุ๊กตาทองคือสำนักรวมคนโง่ สำนักงอกงามคนโง่ สำนักพยายามที่จะยึดความโง่ของคน ให้แค่นให้แน่นให้มากให้จัดให้จ้านอยู่ตลอดกาล นี่พวกดูแลควบคุมองค์กรตุ๊กตาทองจะมาฆ่าอาตมาไหมนี่ 

เพราะฉะนั้น การที่จะทำให้พลเมืองมามีความรู้ที่จะหลุดพ้นจากไอ้ความเสื่อมต่ำที่เราเทียบเคียงกันไปแต่ละขั้นๆ นี่คือการสร้างพลังงานจิต ให้มันสามารถเป็นสัมมาปฏิบัติ เป็นสัมมาผล ให้ดีงาม 

เพราะฉะนั้น มาเรียกว่า การเมือง ที่จะทำให้คนหรือพลเมือง สรุปเวลาหมดพอดี ให้มาเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นขั้นที่พวกเราทำกับสังคมโลกนี้ มันเป็นเรื่องขั้นโลกุตระ พูดกับเทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องหรอก ที่อาตมาพูดไปแล้ว พูดแรง พูดชัด พูดจัด ถึงขั้นไปว่าไปด่า องค์กรแจกตุ๊กตาทอง หรือนั่นแหละ แจกรางวัลอะไร แกรมมี่แกรมเมอร์แกรมม่าอะไรก็แล้วแต่ เยอะแยะ ทั้งนั้นแหละ เป็นองค์กรที่มอมเมามนุษยชาติทั้งนั้น ซึ่งมันช่วยไม่ได้เทวนิยมเขาเข้าใจไม่ได้หรอก แต่เมืองไทยก็อย่าไปกระดี๊กระด๊ากับเขามากนัก แต่ก็ไปเป็นกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่จัดจ้านเท่าเขาหรอก นี่แสดงว่าเมืองไทยก็ยังดี เอาละเวลาหมด

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ  วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2566 ( 05:23:38 )

660403

รายละเอียด

660403 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2 ปรับทุกข์ปลุกธรรม #17 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53001.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PxwrFaR553Oj2G7eIdqFJDuXi4o1UlUr/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1MyYjXa_Ptk1RGIhJkwq3-tnMr852RMgQ/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NeiG7eUJGnE

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1846866269014589 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน พบกันวันนี้จันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

ทีนี้เราก็มาเจรจาพาทีกัน ในเรื่องที่ควรจะพูดกัน อาตมายังไม่ตายก็คงจะได้อธิบายไปพูดไปจนกว่าจะตายจากกัน อาตมามีชีวิตเกิดมา ก็ไม่ได้พูดเก่ง จนมาได้ทำงานอาชีพ โทรทัศน์ เลยต้องพูด อยู่แผนกพูดจัดรายการเป็นโฆษก ก็เลยต้องพูดพูดพูดพูด แล้วก็มาปฏิบัติธรรมจนรู้ว่าตัวเองต้องบรรยายธรรมะ ก็เลยเลิกจากทำงานโทรทัศน์ ออกมาก็มาพูดๆๆๆจนทุกวันนี้ 50 กว่าปีแล้ว 

คนเคยบอกว่าอาตมาเสียงไม่เปลี่ยน อาตมาว่าเปลี่ยน โทนของเสียงไม่เปลี่ยน แต่ว่าเสียงมันเป็นเสียง แน่นอนไม่เหมือนหนุ่มๆ ตอนหนุ่มๆมันคมมันไว มันชัดกว่านี้ ตอนนี้มันก็ลดลงไป ถ้าใครเคยฟังตั้งแต่หนุ่มๆ ตอนบวชใหม่ๆนี่.. โอ้โห..ของมันขึ้น เทศน์ ฟังกันไม่ทัน จนกระทั่ง เทศน์ที่ลานอโศกวัดมหาธาตุ   จนเสร็จมีคนหนึ่งบอกว่าหลวงพี่ มันชิบหายเลย แต่ผมฟังไม่ทัน 

มาขึ้นต้นด้วย SMS ก่อน ปลุกเสกฯ อาตมาได้เตรียมเรื่องของคำว่า 
“กาย” เอาไว้อธิบาย ก็คงจะได้ฟังกันอย่างลึกซึ้งพิสดารในเรื่องกายจะได้ชัดเจน ยิ่งใหญ่คำว่า กาย ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งในส่วนกลาง มันก็จะมีประเด็นที่อาตมาจะหยิบเอามาอธิบายที่เตรียมไว้แล้ว ซึ่งไม่ได้เขียนรายละเอียดนะ จะร่ายสด งานนี้ร่ายสด มีประมาณ 9 ข้อ 9 ประเด็น ก็จะอธิบายไปทีละประเด็น ไม่รู้ว่าอาตมาได้อธิบายแค่ 3 ครั้งใช่ไหม ในงาน 

 

SMS วันที่ 31 มี.ค. – 2 เม.ย. 2566

 

ประชาธิปไตยอย่าไปให้ความสำคัญและความหวังกับการเลือกตั้ง 

_Chit Prakobdee ชิต ประกอบดี : คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนไม่ฉลาด ในเมื่อระบบเลือกตั้งถูกตัดสินเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นผู้ชนะ ถ้าคนดีชนะก็แสดงคนส่วนใหญ่ที่ไม่ฉลาดนั้นเลือกผิด แต่ถ้าคนเลวได้ชัยชนะ ก็แสดงว่าความผิดพลาดของคนที่ตั้งใจเลือกคนเลวนั้นผิดพลาดน้อย สุดท้ายก็ต้องพึ่งดวงของประเทศว่าขอให้คนเลวเลือกพลาดไปได้คนดีก็แล้วกันครับ แต่โอกาสจะมีไหม (มีน้อย) มีน้อยก็ต้องหวังเผื่อว่าประเทศนั้นมีบารมีของพ่อของแผ่นดินที่คอยปกป้องอยู่ตลอดเรื่อยมา

พ่อครูว่า... สรุปแล้วอย่าไปหวังอะไรมากกับการเลือกตั้งเลย แค่คุณคิดประกอบดี พูดมามันก็อย่างที่ว่า ยังมีความซับซ้อน มีแทคติก มีกลละเม็ด มีเชิงชั้น มีวิธีการ พวกเล่นการเมืองนี้สะสมนะ สะสมพรรคพวก สะสมอำนาจสะสมวิธีการอะไรอีกตั้งเท่าไหร่ จนกระทั่งที่เขาสะสมเอาไว้นี้มีฤทธิ์ทำให้เขาเลือกตั้งได้ชนะ ได้ทุกครั้งทุกครั้งทุกครั้ง ก็เลยกลายเป็นความสำเร็จของวิธีการ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของความจริง ที่คนที่จะเลือกหรือคนที่จะยกให้มาเป็นผู้บริหาร เป็นผู้ที่เข้ามาประจำตำแหน่งหน้าที่ที่จะรับผิดชอบอยู่ในคณะเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการในประเทศซึ่งมีทุกประเทศ พลเมืองธรรมดาก็คือพลเมืองธรรมดา แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็คืออันนั้น 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ถึงบอกว่า เราจะไปเอาที่การเลือกตั้งนี้เป็นสำคัญใหญ่ แล้วก็ชื่อว่าประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย อาตมาว่าอาตมาไม่เห็นด้วย ประชาธิปไตยต้องมองถึงแก่นเนื้อของมนุษย์ที่ทำงาน ประชาชนผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งขึ้นไปตามตำแหน่งหน้าที่ฐานะก็จะเลื่อนไปเป็นผู้นำประเทศ คุณจะเป็นแบบประธานาธิบดีกับคุณจะมาแบบอื่น คุณจะเป็นนายกก็เป็นแบบนายกเป็นผู้นำประเทศ ที่จะบริหาร 

เพราะฉะนั้นก็เอาที่คนนั้นๆแสดงฝีมือ แสดงความสามารถ แสดงสิ่งที่จะเป็นผู้บริหารเบอร์ 1 หรือไม่เบอร์ 1 ก็เป็นชนะเลือกขึ้นไปเป็นข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมือง ข้าราชการการเมืองคือข้าราชการ ก่อน ข้าราชการการเมืองก็ได้รับเลือกขึ้นมาตามวาระแล้วได้รับการรับรองจากในหลวง ประเทศที่ไม่มีในหลวงก็แล้วแต่กฎหมายของเขา 

สรุปแล้วเขาเห็นการเลือกตั้งเป็นสำคัญแล้วโมเมมุบมิบกัน อาตมาเห็นแล้วมันก็คงจะจัดสรร เมืองไทยก็คงจะจัดสรรได้ เห็นความสำคัญของการเลือกตั้งให้น้อยลงกว่าเห็นความสำคัญของมนุษย์ พฤติการณ์ของมนุษย์ผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วก็เป็นที่รู้กันของมวลประชาชนว่าต้องคนนี้ ถ้าคนนี้เป็นนักการเมืองหรือผู้ที่จะขึ้นไปเป็นผู้บริหารการเมือง จนกระทั่งถึงขั้นระดับชั้น เป็นข้าราชการชั้นสูงเป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีไปเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็จะต้องเอาเป็นความจริงของบุคคลพฤติการณ์พฤติกรรมความจริงของบุคคล 

 

_Bongkot Harnrob บงกต หาญรอบ · ตั้งจิตว่าเราเองนี่แหละจะทำอรหันต์ให้เกิดขึ้นเป็นลำดับไป เรานี่แหละจะปฏิบัติตนทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง(ท่านจันทร์ ยกฐานะให้ทุกคนที่ทำได้) สาธุ เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ขอให้กำลังใจและให้ที่คุณตั้งใจสำเร็จ อาตมาอยากได้นายกที่เป็นอรหันต์และควรจะเป็นด้วย เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วนี่ อาตมายังไม่อยากพูดมากเกินกว่านี้ เคยพูดผ่านไปแล้ว ว่าเมืองไทยนี้มีความจริงอันนั้นเอาไว้แค่นี้ก่อน คุณไปคิดเอาเองว่าอาตมาหมายถึงอะไร 

วงเล็บท้ายคงหมายถึงว่าทุกคนมีสิทธิ์จะทำได้เป็นอรหันต์และจะเป็นนายกฯ 

 

_ไพร จริยา  · เรื่องการเมืองผมเชียร์ตามบริบทของเหตุการณ์ของบ้านเมืองครับ ตัวอย่างเช่น ผมไม่เคยรักคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่วิกฤตชาติตอนนั้นผมต้องเชียร์คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะเหตุการณ์บ้านเมือง มันวิกฤตจริงๆ คนไหนที่ออกมา เพื่อบ้านเพื่อเมืองผมก็เชียร์ทั้งนั้นแหละ ผมเคยเชียร์ให้มีการปฏิวัติ ในครั้งที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน แต่ผมก็ยังผิดหวังกับการปฏิวัติในครั้งนั้น ผมก็เชียร์ให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการปฏิวัติ แต่ครั้งนี้ผมเห็นว่ามีผลต่อประเทศชาติบ้านเมืองในทางที่บวกเป็นอย่างมาก ยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหน ที่ทำให้บ้านเมืองได้ขนาดนี้ เจอวิกฤตต่างๆนานา ประเทศชาติก็ผ่านมาได้ และแล้วตอนนี้ ฝั่งคิดล้มล้างชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ยังมีความแข็งแกร่งในเรื่อง ประชาธิปไตยจอมปลอม คือ เอาผลการเลือกตั้งเป็นใหญ่ ดูจาก 4 ปีที่ผ่านมา สส. หรือผู้แทนในสภา ไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน พูดจาหรือการกระทำต่างๆนานา เป็นการ ทำลายชาติอย่างเห็นได้ชัด แล้วเลือกตั้งครั้งนี้ เขาก็ยังมีอิทธิพลอย่างมาก ผมเห็นว่าฝ่ายคนดีทุกหมู่เหล่า ทุกพรรคการเมือง น่าจะหันหน้ามารวมกันเพื่อบ้านเพื่อเมือง ให้เป็นเอกีภาวะเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อบ้านเพื่อเมืองอีกสักครั้ง ช่วยกันสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้ประเทศได้กำจัดขวากหนามของประเทศ ให้หมดไป เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา ผลงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นที่น่ายินดีระดับโลกหลายเรื่องราว แต่กลุ่มคนที่คิดล้มล้างสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ก็ยังมีอิทธิพล ผมเชื่อว่า ถ้ากลุ่ม เคลื่อนไหวต่างๆ เช่น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มกปปส .และกลุ่มต่างๆที่ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองรวมถึงพรรคการเมืองพรรคเล็กพรรคน้อย หันหน้ามารวมกันจัดปราศรัยใหญ่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมเชื่อว่า บ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยและพัฒนา ต่อไปอย่างสง่างาม เพราะจะหมดเสื้อนหนามของประเทศ

การที่ชนในชาติแตกแยกกันจนเกินสมาน คนที่จะมาประสานได้ดีเท่าพลเอกประยุทธ ผมยังมองไม่เห็นใคร การปฏิรูปอย่างหักล้างใช่ว่าจะทำให้เหตุการณ์สงบได้ หนำช้ำอาจจะเพิ่มความรุนแรงให้เกิดสงครามกลางเมือง จนยากแก่การควบคุมได้ ความเสียหายจะเกิดแก่ประเทศชาติประชาชนอย่างมหันต์ ผมเห็นว่าพลเอกประยุทธ ท่านทำได้ดีแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่ท่านพูดว่า"ผมไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ผมมารับหน้าที่ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปได้" คำพูดนี้เป็นธรรมอย่างแท้จริง ตามความรู้สึกของผม ผมไม่เชื่อว่าจะมีเทวดาหน้าไหนที่จะมาแก้ปัญหาประเทศบนความขัดแย้งอันถึงขีดจะรบราฆ่ากัน ในพี่น้องร่วมสายเลือด พ่อแม่ลูกพูดกันไม่รู้เรื่อง และสังคมโลกก็วิกฤตอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ดีอย่าง พลเอกประยุทธ ท่านปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความอลุ่มอล่วย คนที่มีใจเป็นธรรมจะไม่เอาปัญหาที่ยังไม่ได้แก้มาทับถมทำลายผลงานที่ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ

พ่อครูว่า... พลเอกประยุทธ์รู้จักหน้าที่การทำการเมือง ไม่ใช่เล่นการเมือง แต่เป็นนักการเมืองที่เป็นจอมยุทธไร้เทียมทาน 

คุณไพร จริยา มองได้ดีมาก มางานนี้หรือเปล่า ไม่ได้มา ซึ่งวิเคราะห์ได้ดีแล้วก็อ่านพลเอกประยุทธ์ได้เก่งได้แจ่มแจ้งดี อาตมาเห็นด้วยที่คุณแสดงออกมาในบทนี้ 

 

_สุภารัตน์ ไก่ ชนะทุกข์  · เมื่อวันพฤหัส ที่ 30 มี.ค. ได้มีโอกาสกราบพ่อครูที่บ้านราชธานีอโศกเป็นครั้งแรกและได้รายงานตัวกับท่านสมณะดินไท ลูกมีสภาวะที่สงบมากค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูและท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ รวมทั้งญาติธรรมทุกท่านที่ให้ความเมตตากับลูกค่ะ 

 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกจะไปร่วมงานปลุกเสกและงานตลาดอาริยะ ออกเดินทางวันที่ 4 เม.ย. ในจิตใจก็เป็นห่วงแม่อยู่เพราะแม่แก่ชรามากแล้ว ลูกจะมอบหน้าที่ให้ลูกสาว ซึ่งปิดเทอมอยู่เป็นผู้ดูแลแม่ ปรกติแม่จะติดลูกมาก ลูกได้บอกกับแม่ว่า"แม่ ข่อยสิไปบ้านราชจั๊ก 11 มื่อเด้อ ไปงานปลุกเสกกับงานตลาดอาริยะ เฮากะต้องฝึกพรากจากกันเด้อแม่ สักมื่อหนึ่งเฮากะต้องพรากจากกันแน่นอน ให้แม่คิดว่า บ่มีลูกแม่กะต้องอยู่ได้ แม่ว่าจั่งใด๋" แม่ตอบว่า"เอ้อ แม่บ่ว่าอิหยังดอก แม่ไปบ่ได้ แม่กะอยากให้ลูกไปอยู่" ต่อมา 2 วันที่แล้ว แม่ป่วยต้องไปหาหมอที่คลีนิก แม่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดโรคโลหิตจาง ครั้นแม่อาการดีขึ้น แม่ก็ยังเป็นฝ่ายบอกลูกก่อนว่า" แม่อยู่ดีมีแฮงแล้ว แม่กะยังอยากให้ลูกไปบ้านราช" ลูกรู้สึกเป็นการเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่เบาใจมาก ทิ้งเบื้องหลังไปได้อย่างเข้าใจค่ะ เรื่องลูกสาวกลัวผี หลังจากที่พ่อครูให้สัมมาทิฏฐิแล้ว ลูกได้เล่าให้ลูกสาวฟังและให้ฟังคลิป ลูกสาวบอกว่า ได้ฟังหลวงปู่พูดว่า ถ้าใครจับผีได้เอามาขายให้หลวงปู่ หลวงปู่จะซื้อตัวละ 20 ล้าน 50 ล้านได้เลย ฟังหลวงปู่พูดอย่างนี้แล้ว หลวงปู่ซื้อแพงขนาดนี้ แสดงว่าผีไม่มีจริง หลังจากนั้นพอตกกลางคืนลูกสาวก็ไม่โทร.มาให้คุยเป็นเพื่อนอีกเลย ลูกสาวว่า จะขอฟังคลิปพ่อครูเทศน์ไปก่อน ยังไม่ได้มาพบพ่อครูค่ะ ลูกชายก็ได้ฟังคลิปพ่อครูด้วยค่ะ ส่วนสามีบอกว่า"ข่อยฟังเทศน์บ่เป็น ก็เลยบ่ได้ฟังจั๊กเถื่อ" ลูกจึงมากราบเรียนพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ดีจังนะมีเสียงในฟิล์มด้วย อาตมาก็พูดเสียงในฟิล์มได้ด้วยก็เลยดูดีเหมือนกัน ก็ได้อย่างนี้แหละ อาตมาพูดได้สองภาษา ภาษาไทยกับภาษาอีสานหรือภาษาลาว จีนก็ได้แค่เจ๊คหนอซาซี เจี๊ยะปึ้ง หรือไม่ซิทฟั่นอะไรอย่างนี้ ซึ่งชื่อว่า พูดไม่ได้หรอก 

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · ฟังคำตอบพ่อครูจากคำถามลูกหลานอโศกทำให้สังคมทางบ้านได้อานิสงส์เรื่องการค้าขายอบายมุขฯใครโง่? คนค้าหลอกตัว คนขายลวงตน คงไม่ยอมรับว่า ตัวตนโง่ไม่โง่บนอุบัติภัยอบายรุนแรงคร่าชีวิต คนซื้อสิ้นชั่ววูบ'สูญชั่วยาม'เสียชั่วนิรันดร์ ฯไปกี่ครอบครัวลูกหลานคนซื้อแล้ว? ครอบครัวคนค้าขายอบายมุขฤาจะรู้สึกเห็นใจครอบครัวไทยหัวใจเดียวกัน! สงกรานต์ปีนี้วัดใจวัดสถิติวัดหัวใจความเป็นไทยรักลูกหลานไทย  พ้นอุบัติอบายรุนแรงรอดพ้นแต่คนขายสูญเสียแต่คนซื้อฤาไม่? 7 วัน อันไม่อันตรายคือคำตอบบอกสังคมเอง'สาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม #17 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2566 ( 05:30:41 )

660405

รายละเอียด

660405 พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53000.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1nMmIndtg9LlJs6YVOuD3SsPysK0aKnRk/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1v3KQ0fbI6KJWQCEMljoPTq0y5p6UU053/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/SGPxQRHI_lI 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/605050361521839 

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 

อาตมาจะพาปฏิญาณศีล 8 ในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 

 คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

[พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]

 

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 นี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

 

1. ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

 

2. อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่น ด้วยเชิงเอาเปรียบ ด้วยการโกง จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว

 

3. อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

 

4. มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม

 

5. สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

 

6. วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

 

7. นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดาประดิษฐ์ประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย

 

8. อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ...ดังนี้ สาธุ สาธุ สาธุ 


รู้จักกายกันให้ดีๆชัดๆ 9 ประเด็น ตอนที่ 1

พ่อครูว่า... เราก็มาเริ่มต้น วันนี้วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ 

คำว่า ปลุกเสกก็ดี คำว่าพุทธาภิเษกก็ดี คำว่าพุทธาภิเษกเป็นภาษาวิชาการ คืออภิเษกให้เป็นพุทธ มาเป็นภาษาไทยก็คือปลุกเสก เราก็ใช้คำว่าปลุกเสกที่ใช้ภาษาไทยต่อว่า ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ก็หมายความว่าเราจะปลุกเสกคนนี่แหละ ไม่ใช่ไปปลุกเสกอีหินดินปูน แม้แต่จะเป็นทองคำโลหะราคาแพง แก้วราคาแพง ดินข้างส้วมเอามาปั้นเป็นพระพุทธรูปอะไรก็ตาม แล้วก็มาเข้าพิธีปลุกเสกตามแบบเทวนิยม แล้วเราไม่ใช้ เราทำงานปลุกเสกอย่างนั้น เพราะปลุกเสกอย่างนั้นมันเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นไสยศาสตร์ เป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ เมื่อเอามาทำในศาสนาพุทธก็เลยทำให้ศาสนาพุทธกลายเป็นเทวนิยมกลายเป็นไสยศาสตร์ กลายเป็นเดรัจฉานวิชาไป 

เพราะฉะนั้นภิกษุที่ไปทำสิ่งเหล่านี้ก็อาบัติหรือผิด  นอกพระธรรม นอกวินัย ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไป เสื่อม เพราะฉะนั้นที่หลงผิดมันเสื่อมจริงๆ และภิกษุก็ได้มาทำอย่างนี้จริงๆหรือคนไทยชาวพุทธได้พากันหลงผิดตามกันไปนานมาแล้ว อาตมาต้องมาพูดตรงๆ พูดอย่างไม่ไว้หน้า พูดอย่างให้เข้าใจเลยว่า 

อย่ามาทำอย่างนี้เลยมันไปไม่รอด เราไม่ต้องไปพึ่งหรอกไอ้เรื่องลมๆแล้งๆอย่างนั้น มันเป็นอุปาทาน ที่อาตมาก็พยายามอธิบายอุปาทาน มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้น ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง 

พอได้ผลมาก็พอใจ ไม่ได้ผลก็เอาใหม่ ถือว่าเรายังไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึงอะไรก็แล้วแต่ พวกที่ยึดติดอย่างงมงายหลงใหลก็พยายามพากันทำไป เสียเวลา อาตมานี้พาลัดตรงเข้าสู่เป้าหมายอันถูกต้องไม่ต้องไปเดินวนเวียนอยู่ในแดนกันดารในทางเขาวงกตอะไร เดินตรง  เข้าสู่ธรรมะของพระพุทธเจ้าในเส้นทางตรง ตามที่พระพุทธเจ้าได้พูดมา 50 กว่าปีแล้ว 

เพราะฉะนั้นก็มาเริ่มต้นกันอีก เริ่มต้นกันแล้วก็เริ่มต้นกันอีก

ที่อาตมาใช้คำว่าเริ่มต้นก็คือ การศึกษาของพระพุทธเจ้านั้น เรียกโดยศัพท์ย่อๆว่าก็รู้กันทั่วว่า ทาน ศีล ภาวนา ก็ได้ แต่มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันกับคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา กับ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  

ทาน นั่นก็คือการปฏิบัติชนิดหนึ่ง ปฏิบัติแล้วในสัมมาทิฏฐิ 10 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ข้อที่ 1 ทินนัง คือทานที่ให้แล้ว ทานที่สำเร็จแล้วมันมีอานิสงส์ไหม ผลทานเรียก อัตถิทินนัง หรือนัตถิทินนัง

นัตถิทินนัง แปลว่าทานที่ไม่มีผล อัตถิทินนังคือทานที่มีผล 

คนก็ยังเข้าใจยากอยู่ว่าไอ้ผลนั้นมันคือยังไง เขาก็เข้าใจได้แค่ว่าทานไม่มีผล ก็คือทานแล้วไม่ได้อะไร

ที่จริง การทาน นั้นแม้แต่จะทานด้วยกิเลส ทานด้วยความไม่ชอบใจ ต้องจำเป็นจำใจต้องให้ ของเราให้เขาไป มันก็เป็นกุศล ผู้ที่ได้ให้ก็เป็นเจ้าหนี้ ผู้ที่รับไปก็เป็นลูกหนี้ ก็เป็นผลอยู่อย่างนั้นแหละ 

แต่ที่คำว่าเป็นผลหรือไม่เป็นผลนี่ มันต้องสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิตรงนี้มันเป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนกำกับไว้เลยว่า ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วทานต้องเป็นโลกุตระ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิแล้วทานจะไม่เป็นโลกุตระเป็นโลกียะธรรมดา ได้กุศล แล้วถ้าทานอย่างไม่เต็มใจก็ยังมีผล ได้ผล แต่มันยังไม่บริบูรณ์เท่านั้นเอง มันยังมีนัยยะสำคัญที่มันขัดแย้งกันอยู่ต่าง ๆมันก็เกิดวิบากซับซ้อนเพราะจิตใจผู้ให้ผู้รับนั้นไม่สมบูรณ์แบบทั้งคู่ 

หรือถ้าข้างหนึ่งเต็มใจ อีกข้างหนึ่งไม่เต็มใจมันก็ไม่สมบูรณ์ทั้งคู่ แต่ถ้าชัดเจน ผู้ทำทานที่ชัดเจนเป็นโลกุตระแล้ว ทานแล้วต้องรู้จักการทำใจในใจ 

คำนี้ยิ่งใหญ่ เป็นต้นแรกต้นราก หรือมูลกาของการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าในมูลสูตร 10 

1. ฉันทะ เป็นมูล เป็นข้อแรกเป็นมูลกา เป็นราก

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด 

ข้อแรกมีฉันทะมีจิตยินดี มีปฏิภาณปัญญาเข้าใจแล้วว่า อย่างนี้แหละผลอย่างนี้แล้วจะประพฤติอย่างไร ยิ่งเข้าใจได้อีกว่า อ๋อ..ประพฤติอย่างนี้แล้วจะได้ผลอย่างนี้ อ๋อ..ใช่เลย ยิ่งชัดเจนทั้งเหตุทั้งผลอย่างนี้เป็นต้น ก็ยิ่งเต็มรอบในฉันทะ ในความยินดีแล้วก็มาปฏิบัติให้มนสิการนี้เป็นโยนิโสมนสิการ คือการทำใจในใจของเราเอง ใจไม่มีใครมาทำใจในใจให้เราได้ เราต้องทำใจในใจของเราเองเท่านั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา เราเป็นเจ้าของใจเราเป็นประธานใจของเราเอง ​ไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรมาละลาบละล้วงยิ่งใหญ่ไปกว่าใจของเราเอง 

เพราะฉะนั้นตั้งใจดีๆฝึกเลย ฟังให้ดีๆที่อาตมาอธิบายนี้ จงตั้งใจปฏิบัติตามที่พยายามอธิบาย คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ พยายามขยายความทั้งสั้นทั้งยาว ทั้งอย่างอุเทส ทั้งอย่างนิเทศ อธิบายกัน แจกแจงกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นฟังได้เข้าใจดีแล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ต้องตามลำดับดีๆ อย่าเที่ยวไปตะกละตะกลาม 

อย่าไปเห็นว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ตื้นๆนะ  หลับตาเข้าไปแล้ว ปฏิบัติ ให้เกิดปัญญาให้เกิดวิมุติเลย ศีล สมาธิ มันก็ได้เองอะไรอย่างนี้ นี่พวกนี้ไม่ได้เรื่องเลย ปฏิบัติไปสูญเปล่า 

เพราะมรรคผลทุกอย่างจะต้องครบด้วยองค์ 3 ทั้งหมดเลย มีเหตุมีผล แล้วก็มีตัวจิตตัวประธานตัวเราเองนี่แหละจัดการปฏิบัติเหตุกับผลนี้ให้สมบูรณ์แบบ เกิดเป็นอภิสังขาร เป็นผลที่ ทีได้ปรุง ได้สังขารได้จัดการได้ปรับ ได้ทำให้มันเกิดมรรคเกิดผลอย่างแท้จริง ขยายความก็เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมีครบทั้ง ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วก็จะค่อยๆเกิด สัทธรรม 7 อาการของสัทธรรม 7 นี่ก็สำคัญมาก ก็อธิบายไปหลายทีแล้ว

ปฏิบัติไปก็จะเกิดสั่งสมเป็นสมาธิ สั่งสมเป็นปัญญา ไปตามขั้นตอนของ ฌาน 1 2 3 4 แล้วก็ครบสูตร ฌานตัวสุดท้ายก็สำเร็จเป็น อุภโตภาควิมุติ ก็หมายความว่าทั้ง 2 ส่วน อุภโตแปลว่า สอง ภาคแปลว่าส่วน 2 ส่วนคือทั้งเจโตและปัญญา หรือทั้งศรัทธาและปัญญา

ก็จะเกิดการวิมุติ เกิดการหลุดพ้น ทำให้จิตสะอาด และปัญญาก็รู้ว่าเราได้ปฏิบัติมาอย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้องบริบูรณ์ ครบ เป็นสุดท้าย 

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดยังปฏิบัติไม่มีศีลเป็นหลัก ก็ไม่เป็นลำดับ เช่น ไปหลับตาปฏิบัติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศีลตั้งแต่ข้อ 1 มีสัมผัสเป็นปัจจัย คุณลืมตาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะสัตว์คือมนุษย์นี่แหละ ที่อยู่ร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน 

ส่วนสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขา เขาก็อยู่ของเขาตามยถากรรมตามวิบากของเขา เขาก็จะพัฒนาตัวเองไปตามยถากรรมของเขา เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขา เพราะวิบากกรรมที่เราตั้งแต่มีอวิชชาไม่รู้  เราก็จะต้องไปเป็นวิบากเกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายมาแล้ว ยังมีอีกตั้งเยอะ แม้แต่ทั้งสัตว์ แม้แต่ทั้งตัวมนุษย์ ที่เกิดอยู่ร่วมยุคก็ตาม ยังไม่ได้เกิดร่วมยุคก็ตาม ยังมีอีกตั้งเยอะ 

เพราะฉะนั้นมันจะมากเกินไปแล้ว ต้องตัดเสียบ้าง สัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปยุ่งไปเกี่ยวอะไรกันเลย จนกระทั่งอาตมาพามาทำ อย่าว่าแต่ไปเกี่ยวข้องต้องเอามาเลี้ยงมาดู ต้องเอามาใช้งาน คนอวดเก่งเอามาฝึกหัดให้มันทำอย่างนู้นอย่างนี้ ทำได้ฝึกให้มันเป็น มันก็ทำได้อย่างนั้นแหละ อย่างเก่งก็อาศัยใช้แรงงานของมันมา เพื่อที่จะเลี้ยงตนเองบ้าง ก็เป็นวิบากเป็นหนี้ เป็นหนี้แก่กันและกันไปอยู่ในตัว 

แม้เราจะทำเป็นกุศลที่ดียังไงๆๆ มันก็ชดใช้กันไป วนเวียนกันอยู่นั่นแหละ นาน เสียเวลาซับซ้อน เพราะฉะนั้นเราตัดประเด็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ปฏิบัติกับคนด้วยกันนี่ เหลือพอ มากพอ ที่จะเป็นอรหันต์ คือทำให้กิเลสหมดได้ สัตว์มันก็ยั่วยวนให้กิเลสเราเกิดไม่ได้เก่งเท่ากับคนหรอก สัตว์ใดก็ตาม ไม่มีสัตว์ใด เดรัจฉานใดที่จะยั่วให้เราเกิดกิเลสได้เก่ง หยาบ กลาง ละเอียด ได้เก่งเท่าคนด้วยกัน แค่นี้ก็จบรอบเป็นอรหันต์ได้แล้ว 

เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์จึงเป็นอันตัดหมดเลย ไม่ให้เหลือวิบาก อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 รู้ดีถึงได้เอาเรื่องลึกเลย มาถึงขั้นไม่อนุโลมสำหรับผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มจะปฏิบัติกันนี่ เราก็เป็นหลักเกณฑ์เลยว่า 

1.ศีล 5 ก็ต้องสมบูรณ์ ต้องปฏิบัติให้ได้ เพราะเป็นพื้นฐาน

เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เอาไม่กินเนื้อสัตว์เลย อย่างที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ จะบอกว่าเข้มก็เข้ม เพราะอาตมาต้องการอรหันต์ ถ้าไม่เช่นนั้น ชาตินี้มันก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ง่าย 

อีกอันก็คืออบายมุขที่ไปเสพไปติดอยู่ในเรื่องต่ำไปวนเวียนอยู่ในโลกที่ชั้นแรกแล้ว ชั้นต้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นยังไม่ได้ก็แย่แล้ว 

เพราะฉะนั้นพวกเราเรื่องอบายมุขกับข้างนอกนี้จะชัดเจน ห่างเยอะ เพราะฉะนั้นแม้แต่เรื่องของกามคุณ 5 ก็เยอะ จนกระทั่งอาตมาได้พูดไปแล้ว ว่าสังคมชุมชน ที่เป็นชุมชนของชาวอโศกเป็นสมาชิกในชุมชน จึงเป็นคนที่มีภูมิธรรมถึงขั้นอนาคามีขึ้นไป แม้ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์แบบ กายวาจาก็เป็นอนาคามี ถูกบังคับอยู่ในตัว บังคับด้วยกฎเกณฑ์ บังคับในเพื่อนฝูงหมู่กลุ่ม

จิตเราอาจจะยังมีกิเลส ยังมีเศษของกามอยู่บ้างในศีล 5 ก็ค่อยๆเป็นไป พวกเราก็ค่อยๆรู้กัน คนนี้ศีล 5 คนนี้ศีล 8 คนนี้ศีล 10 คนนี้ ศีล จุลศีลเพิ่มขึ้นตามลำดับตั้ง 43 ข้อ ค่อยๆไล่ไป มันไม่ต้องถึงจุลศีลหมดทั้ง 43 ข้อหรอก ปฏิบัติไป 10 ข้อ 20 ข้อ 10 กว่าข้อไปก็บรรลุอรหันต์ได้ก่อนแล้วก่อนที่จะหมดจุลศีล เพราะฉะนั้นยิ่งจุลศีลครบ ก็แน่นอน คุณทำได้ดีได้มรรคได้ผลตามจุลศีล แน่นอน ได้เป็นอรหันต์แน่นอน 

อาตมาสรุปย่นย่อแม้แต่ในศีล 3 ข้อ ขยายมา สรุปอย่างหยาบแต่มันหมายถึงมีแนวลึกอยู่ในตัวโดยปริยาย 

ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ 

ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับพฤติกรรมของเราที่เกี่ยวกับเรื่องข้าวของ วัตถุจนกระทั่งมาถึงพืช พวกนี้พวกสัตว์และพืชนี้ พืชมันไม่มีจิตวิญญาณ พืชมันแม้จะมีชีวะ มันก็ไม่มีจิตวิญญาณ อันนี้ก็เป็นนัยยะที่ลึกซึ้ง 

ที่เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อมจนเข้าใจไม่ได้ในธรรมนิยาม 5 ที่จะรู้จักอาการของพลังงาน พลังงานระดับอุตุนิยาม ตัดกรอบแค่ไหน พลังงานขนาดพีชะ ตัดกรอบแค่ไหน พลังงานระดับจิตนิยามก็เป็นพลังงานระดับสัตว์เต็มๆตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนถึงสัตว์มนุษย์ จนกระทั่งจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เจริญสุด ซึ่งเจริญได้ด้วยการประพฤติ มีการกระทำเรียกว่า กรรม มีการสั่งสมลง ทรงไว้ หรือว่า ธรรม ธรรมะ การกระทำคือกรรม กรรมกับธรรมะ 2 อันนี้ ก็เป็นตัวเหตุและรูปนาม หรือตัว 2 ตัวคู่ที่จะต้องปฏิบัติ เทวฺ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมคือกรรม คือสภาพของกิริยาอาการ ธรรมะคือสิ่งที่สะสมแล้วก็ตกผลึก เป็นกองทุนสะสมธรรมะ ให้มันสมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นในความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ คำว่า กาย เป็นทั้งคำต้นในศาสนาพุทธ เป็นทั้งคำในขั้นต่อมา ขั้นปฏิบัติต่อมา ถ้าแบ่ง 3 อย่างก็เป็นต้น กลาง ปลาย มีทั้ง 3 ระดับสำหรับ กาย ไม่ขาด 

หรือจะไม่มีกาย หมายความว่าอะไร จิตไม่มีกายแล้ว จิตมีแต่อาการหรือกิริยา หรือลักษณะ เหลือแค่อาการของพีชะ เราก็อาศัยพีชะ ทำให้มันเป็นอุตุเลยก็อาศัยได้ เราก็ต้องอาศัยทั้งอุตุและพีชะอาศัยทางจิต 

อุตุนิยาม ก็ต้องเข้าใจนิยามของมันว่าอุตุขนาดไหน ทำความเข้าใจคำจำกัดความว่า มันคืออย่างนี้อย่างนี้คืออุตุ คือดินน้ำไฟลมคือสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นสสาร หรือจะเป็นพลังงานก็เป็นพลังงานทางสสารวัตถุ ไม่มีชีวะเข้าไปเกี่ยวข้อง นั่นคือกรอบของอุตุ 

กรอบของ พีชะ คือมีพลังงานความเป็นชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นขั้นเป็นชีวิตนี้ เราก็อาศัยขั้นนี้ได้ เพราะในขณะที่จิตของเราทำให้มันลดระดับความติดยึด ความเป็นอาการ ความเป็นกิริยา  ความเป็นพลังงานในระดับที่มันเป็นจิตนี่ เกี่ยวข้องกับอะไรก็แล้วแต่ เกี่ยวข้องกับสัตว์  เกี่ยวข้องกับพืช เกี่ยวข้องกับคน คนนี้คือจิตวิญญาณแล้ว สัตว์พืชคน 

คุณก็สามารถทำจิตของเราสัมผัสเกี่ยวข้องกัน ทำงานร่วมกัน ไม่ให้เกิดอาการ 1.ทำได้ไม่เป็น กาย ในระดับที่ไม่เป็นกายอย่างสนิท จึงคืออุตุ มันไม่มีกายแล้ว ไม่ถือว่ามีกายแล้ว แต่มันยังมีชีวะเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรา ถ้าอยู่ภายนอกก็มี แต่ไม่มีทุกข์มีสุขแล้ว ถ้าเป็นภายนอกเกี่ยวข้อง เช่น ผมยังยาวออกไป เออ.. ผมก็เป็นชีวะอยู่กับตัวเราอยู่แต่มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ นี่แหละจะเป็นฐานที่คุณจะบรรลุ บรรลุอาริยะ บรรลุโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ได้ก็ต้องรู้อันนี้

รู้ มนสิการ เราทำใจในใจของเราให้มันสังขารปรุงแต่งกันอยู่ แค่ ความเป็นพืชหรือให้มันเป็นอุตุได้เลย ถ้าเป็นอุตุได้เลยก็เท่ากับตัดความเป็นกาย กายะ ขาดออกไปจากตัวเรา ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ถ้าทำจิตของเราให้สำเร็จถึงขั้นว่า จิตหรือเจตสิก แยกไปเป็นเจตสิก เช่น  เวทนาเจตสิก แล้วเราก็ใช้สัญญากำหนดรู้ แล้วมันจะต้องทำการเกี่ยวข้องปรุงแต่งกันอยู่ เพราะมันยังมีการรู้กัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เราก็อาศัยกันเราจะไม่อาศัยดินน้ำไฟลมก็ไม่ได้ จะไม่อาศัยพืชก็ไม่ได้ จะไม่อาศัยสัตว์ 

สัตว์ พูดไปแล้ว เขาอยู่ตามยถากรรมของเขา เราไม่เกี่ยวข้อง เอาแต่แค่เกี่ยวข้องกับคน มีวิบากแก่กันและกันมากมาย เราก็มาทำให้เป็นวิบากกุศล จนกระทั่งถึงอโหสิกรรม กรรมที่ไม่เป็นกุศลไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญอะไรต่อกันและกัน เขายังไม่อโหสิหรอกแต่เราอโหสิเขาก่อน เราไม่ไปปรุงแต่งไม่ไปติดใจอะไรกับเขา แต่เราทำก่อนเราได้ก่อน คุณจะทำอยู่ คุณจะยึดอยู่ก็เรื่องของคุณ 

แต่เราเอง แม้ว่าเราอโหสิกรรมแล้ว อโหสิกรรมคือไม่ทั้งผูกพันทำร้ายตอบแทนแก้แค้นกัน ไม่ทั้งผูกพันที่จะรัก ทั้งรักทั้งชังทั้งผลักทั้งดูดนี่ อาการทั้งสองอย่างนี้เป็นอาการเทวะคู่ใหญ่คู่สำคัญ เราก็ไม่มีจิต คิดว่าเราเป็นกลางๆ 

ถ้าจะร่วมกันด้วยกรรมกิริยาก็ทำด้วยประโยชน์เกื้อกูลกันช่วยเหลือกันส่งเสริมกันเท่านั้น ไม่มีกิเลสข้างเคียงที่จะมาเกิด เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจจริงๆแล้วรู้จักกิเลสมันเกิดอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด หรือมันมีน้อยลงได้จนกระทั่งเหลือน้อยมาก คุณก็จะรู้ได้ด้วยตน ปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตน อ่าน จิตเจตสิก รูป

รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เราก็จะต้องรู้กายหรือสภาพที่เป็น 2 สรุปสั้นคือต้องรู้กายกับสัญญา สัญญาคือเจตสิกที่จะทำงานหนักตั้งแต่ต้น จนกระทั่งสุดท้าย สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาตั้งแต่ตัวต้นเลยตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป 

คุณจะต้องเอาสัญญาเป็นตัวกำหนดแล้วรู้ไปทั้งหมดเลย เป็นตัวทำงาน  เจตสิกใหญ่มีสัญญา เวทนา สังขาร  

คุณก็เอาสัญญาเป็นตัวตั้ง คนที่ยังไม่เข้าใจว่าสัญญาคืออะไร ทำงานอย่างไร มันทำหน้าที่อย่างไร มันมี 2 สภาพสัญญา 

1. ความจำ ทำได้แล้วหรือไม่ได้ก็ตาม มิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิก็ตาม คุณก็ต้องทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ทำให้มันได้ผล ได้แล้วก็ตกผลึกสั่งสมลงเรียกว่าความจำหรือว่าเป็นคลังแห่งตัวอัตตา มันก็มีอยู่ในฐานของตัวเรา จิตของเรา ฐานะ ฐานตั้งอยู่ตรงนั้น

เราก็ทำให้มันเกิดผลสมบูรณ์ที่สุดไม่มีกิเลส แล้วเป็นการรู้ ไม่มีก็คือ เจโต จิตสะอาดรู้ก็คือปัญญาสมบูรณ์แบบด้วยเจโตและปัญญา 

เจโต สะอาดจากกิเลส ปัญญา ก็รู้ว่ากิเลสคืออะไรแล้วได้ทำถูกต้องตามเหตุปัจจัยตามทฤษฎีที่สัมมาทิฏฐิหมดแล้ว ไม่มีแล้วกิเลสบรรลุแล้วหลุดพ้นแล้ว 

แม้หลุดพ้นแล้วชีวิตเราก็ยังมีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนี้ยิ่งไม่สำรอก กิเลสยิ่งหมดก็ยิ่งแข็งทื่อไม่ค่อยเอาเรื่องอะไร ไม่รู้จักสัมผัส ไม่รู้จักเวทนา ไม่ เวทนาก็ยิ่งชัดเจน เวทนาก็ยิ่งใสสะอาด ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเวทนา อย่างน้อย ก็เข้าใจละเอียดถึงทุกข์ถึงสุข 

แม้จะเป็นลักษณะของกุศล อกุศล เป็นดีเป็นชั่ว อันนี้เป็นโลกียะ รู้ก่อน แล้วทำได้ ทำได้สำเร็จแล้วเราก็ต้องอาศัยดีหรือกุศล ต้องอาศัยอันนี้จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันถึงจะเลิกกัน 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าแท้ๆ จบบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ยังไม่ได้พอหรอก ไม่สันโดษหรอกในกุศล กุศลมีอีกเท่าไหร่ก็ได้อาศัยดีขึ้นเท่านั้น ยิ่งกุศลดีกุศลวิเศษ กุศลประเสริฐเยี่ยมยอดขึ้นเท่าไหร่มันก็ยิ่งได้อาศัย ซึ่งมันเป็น อจินไตย 

อจินไตย ของกรรมวิบาก มันอธิบายยากมากมันจะเป็นผลของวิบาก วิบากคือผลของกรรม  มันจะออกฤทธิ์ออกเดชให้เราอาศัย 

ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาเคยยกตัวอย่างมามาก หลายทีแล้ว มันเป็นเหมือนพลังงานไร้สภาพ ไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีสภาพตัวตน แต่มีฤทธิ์ 

มีฤทธิ์ทั้งสิ่งที่คนเคารพนับถือบูชา มีฤทธิ์ทั้งคนมาทำร้ายปองร้าย ได้ยากขึ้นๆ จนไม่ได้ ทำไม่ได้ ฟัง 2 ประเด็นนี้ง่ายๆ

อาตมาคงมีศัพท์ ศัพท์บาลี แต่มันยังนึกไม่ออก 2 คำนี้ ลักษณะ 2 ลักษณะนี้ น่าจะมีแต่อาตมายังนึกไม่ออก 

แต่คุณสมบัติหรือโทษสมบัติ โทษก็คือไม่เอา คุณสมบัติก็คือมีไว้ มันเป็นลักษณะโลกียะ มันต้องอาศัยโลกีย์คือความมี มีก็ต้องมีสิ่งที่ดี สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็น ใช้สำหรับ ฐานอาศัย จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถึงจะแตกสลาย แยก ล้มเลิกกุศลธรรม ธรรมคือสิ่งที่ทรงอยู่ เลิก ไม่ต้องมีกรรมอีกแล้ว เพราะเราแตกแยกตายแล้ว ตาย กายแตกก็หมดกรรมไม่ต้องทำอะไร ธรรมะ สิ่งที่ทรงไว้รวมกันอยู่ เป็นของคุณ เป็นอัตตา

อ ต ต นี่แหละ คืออัตตา ไม่ลงลึกไปขยาย อ กับ ต ต เคยขยายแล้ว แล้วพ้นจากนี้ จะอธิบายเรื่องเศรษฐกิจ อาตมาก็อธิบายแยกพยัญชนะพวกนี้อยู่ ตอนนี้ขอผ่านไปก่อน จะเน้นเรื่องกายให้เข้าใจดีๆ ในช่วงงานปลุกเสกนี้ ให้เข้าใจชัดๆเพราะมันสำคัญ 

ตั้งแต่ต้น พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นเบื้องต้นเลยทุกคน ถ้าไม่เข้าใจ 1. ตัวตน 2. ความเป็นกาย เรียกว่า สักกะ คือ ตัวตน ตัวเรา 

ส กับ ก อันเกี่ยวกับตัวเรา สักกะ แล้ว ในความเป็นสักกะนี้ ก็มีลักษณะ 2 คือ กาย ลักษณะ 2 ตั้งแต่เริ่มต้น ใช้ศัพท์ซ้ำเลยว่า คือ กายกับจิต กาย เป็นลักษณะ 2 มีอะไรบ้าง ก็คือ ตัวหนึ่งคือกาย อีกตัวหนึ่งคือจิต ขยายจาก 2 จากคำว่า กายกับจิตแล้ว ออกมาก็คือ ตัวหนึ่งเป็นภายนอก ตัวหนึ่งเป็นภายใน กายภายนอก กับ กายภายใน 

กายภายใน ยังไม่เรียกว่า เวทนา กายในกาย เพราะจะต้องมาเรียนรู้มีสติปัฏฐาน 4 ก็จะต้องเรียนรู้กาย พิจารณาตามกายภายในเข้าไปหาในๆๆๆๆเข้าไปเรื่อยๆ ในจากกายก็เข้าหาเวทนา ในจากเวทนาก็เข้าไปหาจิต ในจากจิตก็คือคุณจะต้องรู้การกระทำเรียกว่ากรรม 

เมื่อทำสำเร็จเสร็จ ก็สั่งสมลงเป็น ธรรมะ กาย เวทนา จิต ธรรม 

เมื่อทำได้สำเร็จตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ก็เป็นโลกุตระธรรม หรือเป็นธรรมของอาริยชน อาริยะบุคคลแบบพุทธ ไม่ใช่ศัพท์คำว่าอริยะ อารยะ เขาก็แปลว่า คนเจริญ คนประเสริฐ ซึ่งทางภาษาอังกฤษก็มีแค่คำว่า ศิวิไลซ์ คือ คนเจริญ แต่เขาไม่มีโลกุตระ ไม่มีแบ่งแยกละเอียดลออ อย่างที่เราทำเพราะว่าเทวนิยมเขาไม่มี เขาไม่ได้มีการเรียนรู้เรื่องกรรม เรื่องวิบาก เรื่องจิตเจตสิกต่างๆเขาไม่ได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่มีวันที่จะมาเข้าใจ เข้าใจโดยปริยายไปอย่างนั้นแหละ โดยเขาเรียนจิตวิทยาหรือจิตศาสตร์เขาก็เรียนพื้นๆไปอย่างนั้น เทวนิยม จะมาลึกซึ้งแบบพระพุทธเจ้า มาแยกจิตเจตสิกต่างๆอย่างที่เราเรียนกันนี้ แม้แต่รูปก็ต้องมีตั้ง 28 เกี่ยวข้องกับจิตทั้งนั้นเลยนะรูป 28 แม้แต่มหาภูตรูป 4 ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับเราตั้งแต่ดินน้ำไฟลม 

แม้แต่เราทำให้จิตเราเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมก็ไม่เคยเกี่ยวกับจิต แต่เราต้องอาศัยมันอยู่ ก็ต้องรู้ว่ามีดิน น้ำ ไฟ มันมาปรุงแต่งเป็นอุตุดินน้ำไฟลม  ปรุงแต่งเป็นพืชให้เรากินเราใช้ไป อาศัยไป ในชีวิตมันก็มีดินน้ำ แม้แต่ในจิตของเราจะไม่มีดินน้ำไฟลมในจิตเดี่ยวๆ แต่เราก็ต้องอาศัยกันและกันกับพืชกับอุตุอยู่ มันฉีกขาดแยกขาดกันไม่ออกกันอย่างเด็ดขาด 

เราสามารถที่จะแยกอุตุคือดินน้ำไฟลมจากร่างกายของเราส่วนที่ไม่จำเป็นแล้ว หมดทุกข์หมดสุข หมดบาป หมดบุญ ไม่ต้องอาศัยมันอะไรนักหนาเลย เช่น ผม ขน เล็บ ฟันในส่วนที่มันไม่จำเป็น แต่ฟันนี่จะใช้อาศัยมันมากกว่าผม ผมนี่โกนสั้นได้เลย เล็บก็ตัดสั้นได้เลย ขน บางทีมันก็อาศัยคลุคลุมกันหนาว อย่างสัตว์หลายชนิด ที่ในเมืองหนาวจะขนยาว อาศัยมันบ้าง 

เพราะฉะนั้น ในส่วนที่เป็นผมก็ตัดไว้สั้นๆไว้ก็พอแล้ว จะพออาศัยกันร้อน แทนที่จะเอาผ้าคลุม คุณก็มีผมกันไว้ ก็กันร้อนได้ยิ่งกว่าพวกสมณะโกนโล้นเลย ไปเจอแดดเผา พวกคุณก็ค่อยยังชั่วมีผมกัน 

มาเข้าสู่ประเด็นหลักๆเลย กาย พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไปตามลำดับ 

ประเด็นที่ 1 อาตมาแยกไว้ ซึ่งมีถึง 9 ประเด็นใครจะโน้ตไว้ก่อนก็ได้ อาตมาค่อยๆอธิบายไปในงานปลุกเสกนี้ จะพยายามอธิบายให้ครบ 9 ประเด็น

1. สักกายทิฏฐิ 

2. ธรรมะนิยาม 5 

3. สติปัฏฐาน 4 

4. สัตตาวาส 9 

5. วิญญาณฐิติ 7 

6. วิโมกข์ 8 

7. สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย 

8. บุคคล 7 

9. อรหันต์ ที่ทำกายแตกตาย ด้วยการแยกกายแยกจิตของตน เป็นดินน้ำไฟลมสำเร็จสุดท้าย คือ ปริโยสาน นี่คือ 9 หลัก 

9 หลักนี้มีกาย เพราะฉะนั้นคำว่า มีกาย คำนี้ถ้ามิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นคำว่ามีกาย โดยเข้าใจกาย 1.เข้าใจผิด 2.มิจฉาทิฏฐิเลย ไม่เกี่ยวเลย ไม่ยุ่งเลยกับคำว่ากาย หลับตาเข้าไปสู่ข้างใน ทั้งๆที่เขาก็เข้าใจอยู่แล้วว่ากายนี้มันคือข้างนอก พวกหลับตาปฏิบัติธรรมเขารู้นะว่ากายนี้มันคือข้างนอก ใช่ไหม 

คุณจะเข้าใจถูกว่ากายข้างนอกนี้ คือกายที่ยังไม่ขาดไปจากสรีระคุณนะ สรีระของคุณมีเล็บ มีผมยาวออกมา แต่ไอ้ผมยาวๆส่วนยาวมันไม่ใช่กายแล้วนะ เล็บที่มันยาวออกมาเกินกว่าตรงนี้เกินกว่าประสาทแต่มันยังเป็นชีวะ มันก็ยาวไป มันก็ไม่มีความเป็นกายแล้ว เพราะมันไม่มีจิตเข้ามาร่วม ผมที่ยาวออกไปแล้วมันก็ไม่มีจิตเข้ามาร่วม 

ถ้าภาษาวิชาการก็บอกว่ามันไม่ใช่ตัวเราของเราแล้ว ผมที่ยาวออกไปส่วนที่มันไม่รับรู้สึกแล้วไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์มัน ไม่ใช่ตัวเราของเราแล้ว ง่ายๆตั้งแต่คุณยังเป็นๆอยู่นี่ มันยังติดอยู่ในตัวเรา มันก็ไม่ใช่เราของเรา เพราะฉะนั้นตัดออกไปเลยก็ยิ่งไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราใหญ่เลย แต่ถ้าคุณยังติดยึดอยู่จิตนี้ มันเป็นเราของเราอยู่ที่เป็นของฉันนะตัดออกไปฉันจะเป็นจะตายนะตัดผมของฉัน ฉันเลี้ยงมาตั้งนาน ไอ้คนรักเล็บไว้เล็บอย่างพวกฤาษี ถ้าเล็บขาดเล็บหักออกไป หรือแม้แต่ผู้หญิงไว้เล็บเสียยาวอย่างนี้ สวยประดิดประดอย มันขาดมันหักออกไปก็จะเป็นจะตาย จนกระทั่งคนก็เลยต้องสร้างเล็บปลอมมาให้ ทีนี้ไม่แคร์แล้ว ฉันทำเล็บปลอมก็ได้ คนฉลาดหาเงินก็หลอกเอาไปยึดติดว่านี่ตัวกูของกู กูไม่มีเล็บ ก็จะต้องให้มีเล็บ ก็จะต้องติดยึดให้เป็นตัวกูของกูอะไรอยู่ อย่างนี้เป็นต้น 

นัยยะอื่น ผมกับเล็บ ขน ฟัน หนัง หนังกับผิวหนัง มันยิ่งละเอียดมันยึดว่าเป็นผิวหนังของเรา ผิวหนังที่ต้องละเอียดเนียนนะ แต่ก็รู้เหมือนกันว่าไม่เอาขี้ไคล เอาขี้ไคลออกมันก็จะยิ่งบาง ขี้ไคลมันก็กันอะไรอย่างอื่นได้ก็เอามันออก ดีไม่ดีเอาโซดาไฟมาทำสบู่ถูให้มันลอกมันบาง เสร็จแล้วก็ไปซื้อครีมอะไรมาทาอีกใหม่ เสริมเข้าไปใหม่ให้หนาอีก มันจะบ้าหนักไปถึงขนาดไหน จากไม่เอาแต่ก็จะเอา แล้วก็ไปบอกว่าขี้ไคลมันน่ารังเกียจ มันก็น่ารังเกียจถ้ามันจับตัวมันก็จะมีแบคทีเรียอะไรเหม็น ก็เอาแต่พอช่วยคลุมไว้พอสมควร 

กาย ตัวแรก สักกายทิฏฐิ สักกะ ตัวเรา กาย คือสภาวะคู่ 

อย่ามิจฉาทิฐิ ก็คือ ต้องทำสัมมาทิฏฐิให้ชัดเจนว่า เมื่อไหร่มันยังชื่อว่าเป็นกาย เมื่อไหร่มันไม่ชื่อว่าเป็นกายแล้ว จะเข้าใจว่า 1.ตัวเรา สักกะ 2. ต้องมีกาย ต้องมีทั้งภายนอกและภายในเสมอ 

สติต้องมีความรับรู้ทั้งภายนอกและภายใน  ในขณะที่คุณเห็นภายนอก ตากระทบรูปเห็นรูป หูก็ได้ยินเสียง  จมูกก็กระทบกลิ่น ลิ้นก็กระทบรสได้รส โผฏฐัพพะ เสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง กระทบ 

คุณก็สามารถรู้อยู่นั่นแหละจึงเรียกว่า มีกาย มีสัมผัส ถ้าคุณไม่มีสัมผัส ไม่รับรู้ข้างนอกเลย คุณก็ขาดกายเป็นคนพิการ เป็นคนมี 1 เดียวไม่มี 2 เป็นคนพิการ 

คนต้องมี 2 ต้องมีวิญญาณ ต้องมีนามรูป นี่คุณไปมีอย่างเดียว คุณมี แต่นามรูปคุณไม่เอาเลย ไม่ได้ หรือคุณเอาแต่รูป คุณไม่เอานามเลย คนนี้ยิ่งบ้าใหญ่เลย ทำตัวให้แข็ง เป็นท่อนเป็นแท่ง เป็นพรหมลูกฟักที่นั่งหลับตาไม่รับรู้ ดับสัญญาไม่รับรู้ คุณก็ทำสำเร็จได้ ก็เป็นลัทธิเดียรถีย์ชนิดนึง ก็ทำให้ไม่รับรู้ได้ชำนาญได้เก่งก็เป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส จิตของคุณก็จะชำนาญมนสิการแบบไม่ได้คุณก็ได้อาศัยไป ออกมาจากฌาน ยิ่งคุณไม่ได้เรียนรู้พิจารณาตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ได้พิจารณาเวทนาเลยอย่างที่ศาสนาพุทธสอน คุณก็เข้าไปอยู่ในนั้นตลอดกาลนาน 

อย่างสายหลับตาทำ สายพระป่านี้ยังมอมเมาน้อย สายธัมมชโย มอมเมาทั้งภายในทั้งภายนอก สะกดจิตไว้ภายใน แล้วก็หมดความเป็นตัวเองเลย ถูกครอบงำ ถูกผู้ที่สะกดจิตครอบงำหลอกไว้หมดเลย หลอกได้ทุกอย่าง หลอกได้โง่สนิท พวกที่หลอก หลอกอย่างทั้งตื่นทั้งหลับ 2 ภพเลย 

หลับก็หลอกว่ามี ตื่นก็หลอกว่ามี แล้วก็หลอกซ้อนว่า คุณจะมีบุญ บุญมาก คุณมีเงินเอามาถวาย  ปิดบัญชีเลย คุณจะได้บุญมาก คนที่หลอกได้สนิท ปิดบัญชีมาจริงๆ แต่แน่นอนคนที่ปิดบัญชีแล้ว มีเงินมันสามารถก็ต้องหาใหม่ หาจนได้ ส่วนคนที่โง่หนัก หลงว่าจะเป็นอย่างนั้นมาปิดบัญชี เสร็จแล้วก็ไปหาใหม่มันก็ยากจนต้องลำบากลำบน ก็ต้องเลิกนับถือ ถ้าไม่เลิกนับถือ คุณก็ฆ่าตัวตาย เพราะสุดท้ายคุณก็ทนไม่ได้ คุณก็ต้องทรมานมากจะต้องหามาถวายๆ โอ้โห..อำมหิตจริงๆ ธัมมชโย 

เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นยิ่งบาปกว่าพระป่าที่หลับตา วิบากบาปเยอะมาก จะตกนรกหมกไหม้กันอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติอย่างธัมมชโย 

อาตมาไม่อยากแตะต้อง เพราะมันเกินไปแล้ว อย่างน้อยเขาเป็นสมีมา 2 ตัวปาราชิก 2 ตัว อวดอุตริมนุสธรรมตัวหนึ่งกับทุจริตหลอกเรื่องวัตถุเงินทอง ชัดๆว่าเขาทำจริงเลย มีหลักฐาน มีเหตุการณ์ มีทุกอย่างครบ ว่าเขาเองเขาเป็นปาราชิก เป็นสมีในชาตินี้แล้ว เอาล่ะ สมี คนปาราชิกจะตกต่ำขนาดไหน อาตมาก็เคยอธิบายแล้ว ควรจะปฏิบัติกับสมีอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้มันเสื่อมจนกระทั่งคลุกคลีกับสมี แม้แต่สมีในเถรสมาคมก็อนุโลมกันแล้วก็ไม่เข้าใจสภาพชัด เขาก็คลุกคลีเน่าในหมักหมม หมักดองอยู่ด้วยกันไป ซึ่งอาตมาถึงอยู่ด้วยกับเขาไม่ได้ ถึงแยกออกมามีพวกเรา ก็ปล่อยไปอันโน้น 

เพิ่งจะพูดไปถึง สักกายทิฏฐิ ทีนี้เน้นเข้ามาหา ธรรมนิยาม 5

สักกะ  ตัวเรา กาย มีสภาพ 2 มีนอกมีใน มีสภาพคู่ เป็นเทวะ แปลว่าสอง เทวะเป็นภาษาที่เรียกทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดเลย ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือต้องเป็นภาวะ 2 แม้จะพลิกมาเรียกภายนอกภายใน กายนอกกายใน เวทนานอกเวทนาใน เวทนานอกก็คือโยงออกมาจากกาย จิตในจิตนอก จิตก็ต้องโยงมาจากกาย มาจากเวทนา มันมีจิต แล้วคุณก็ทำในลักษณะ ทั้งกายหรือภายนอก ทั้งภายในเข้ามา ในกายแล้วเข้ามาหาเวทนา เวทนาเราก็ไม่ได้เรียกว่าเวทนานอกทีเดียว แต่มันโยงมาจากกาย มันมาจากนอกมันเชื่อมกันอยู่ไม่ได้ขาดจากกัน มันเป็นเรียกว่าภาษาหยาบๆว่า อิทัปจยตาหรือปัจจยาการ มันเนื่องกันมา หรือจะเรียกอย่างละเอียดว่า อายตนะ มันมารวมกันอยู่ใน ตนะ มันรวมกัน 2 ชิ้น  แล้วก็ทำเป็นประโยชน์เรียกว่า อายะ  ทำให้มันเป็นผล เป็นส่วนที่ได้ เป็นส่วนที่เจริญให้ได้ 

ถ้าโง่มันก็เข้าใจสิ่งเสื่อมเป็นสิ่งเจริญ ถ้าโง่คุณก็ทำสิ่งเสื่อมให้แก่ตน ถ้าคุณไม่โง่ คุณสัมมาทิฏฐิ คุณก็ทำสิ่งที่เจริญให้แก่ตน ทำอายตนะให้เจริญได้ 

เพราะฉะนั้นเราเข้าใจ สักกะคือ ตัวเราเองนี่แหละ มันเกี่ยวกับตัวเราไม่มีอื่น ทำที่ตัวเรา แล้วก็ทำขยายไป สักกะ แล้วก็กาย 

ขอลงไปลึกนิดหนึ่ง พยัญชนะคำว่า สะ กับ กะ

สะ แปลว่าความเกี่ยวกับความเกี่ยวข้อง 

กะ คือพยัญชนะตัวแรกของพยัญชนะทั้งหมด 

จนกระทั่งถึงเศษวรรค ย ร ล ว ส ตัว ส เป็นตัวที่ 5 

ตัวที่ 5 คือตัวที่อยู่เป็นกลางของ 9 แบ่ง 2 ข้างเป็น 4 4 ส ตัวที่ 5 คือ ส เป็นเศษส่วนที่พลังงานกำลังจะพัฒนาขึ้นไปหรือที่จะทำให้เสื่อมหรือเจริญ ก็คือตัวกลาง ย ร ล ว ส ห ฬ อํ 

อํ เป็นวัฏฏะ เป็นวงวน เป็น cyclic เป็นตัวรวมที่ปรุงแต่งกันอยู่ แล้วผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้ก็แยกไม่ออก แม้กระทั่ง 2 3 จนกระทั่งเกิดเป็น cyclic order เมื่อเกิดเป็น 3 แล้วก็จะเป็นปฏิกิริยาสมบูรณ์ ถ้ายังมี 2 มันก็เป็นแค่เส้นตรง เมื่อเป็น 3 มันก็จะหมุนวน

สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ละเอียดมาก แต่เราต้องเรียน ถ้าไม่เรียนก็ไม่ง่าย แม้คุณจะไม่รู้ละเอียดเหมือนอย่างอาตมาอธิบาย คุณรู้ได้เป็นขั้นตอนเป็นขั้นๆ คุณก็บรรลุอรหันต์ไปตามลำดับ หรือเป็นอรหัตผลไปตามลำดับ 

เพราะฉะนั้นในขั้นต่อมาที่พูดถึงธรรมนิยาม 5 นั้น คุณต้องแยกกายแยกจิตให้ได้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ชัด เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต 

เมื่อไม่เป็นกายแล้ว นั่นแหละเป็นความสำเร็จ ที่หมดทุกข์หมดสุข หมดบาปหมดบุญ ไม่เป็นกายแล้ว ถ้ายังเป็นกายอยู่ ยังเป็นสุขเป็นทุกข์ ยังเป็นบาปเป็นบุญ ดีชั่ว ยังไม่ต้องไปพูดถึง มันมีแน่  มันเป็นโลกียะ แต่นี่โลกุตระ บาป บุญ หรือสุข ทุกข์ เป็นโลกุตระ

บาปบุญของโลกิยะเขาอธิบายแบบของเขา แต่นี่เราอธิบายบาปบุญแบบโลกุตระ 

ฉะนั้นถ้าเผื่อเข้าใจอันนี้แล้ว เราจึงจะแยกกายแยกจิตได้ถูกต้อง ได้จริง 

3 ตัว อุตุ  พีชะ จิต 

เพราะฉะนั้นอาการของจิตที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่งภายนอก มาถึงขั้นต้องมีผัสสะ ยังไม่มีผัสสะเราเอื้อมเอาจิตมาเป็นของเรา คุณก็โง่หนักแล้ว มันอยู่กับเราต่อเนื่องกับตัวเรา แล้วมันเป็นลักษณะแค่ ชีพ แค่ชีวะ แต่มันเป็นพีชะแล้ว ในธรรมชาติของพีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีส่วน

ถ้าเรียนรู้ผมขนเล็บฟันหนัง คุณเรียนรู้ได้เลยตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่ผมยาวไป ส่วนไหนมันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว ไม่เป็นกายไม่ทุกข์ไม่สุข  ไม่บาปไม่บุญแล้ว คุณจะอาศัยมันบ้างก็อาศัยไป เช่น เราอาศัยดินน้ำไฟลม ดินน้ำไฟลมมันไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรกับเรา แม้แต่ที่สุดคุณอาศัย พีชะ พืช มันก็ไม่บาปไม่บุญอะไรแล้วกับเรา ก็อาศัยกันไป 

ผม ขน เล็บ ฟัน หนังของเราก็มีลักษณะ เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันไม่เป็นกาย เมื่อใด ส่วนไหนที่เราจะต้องอาศัย ส่วนไหนที่ไม่ต้องอาศัยแล้วหรืออาศัยบ้าง หรือต้องอาศัย ใช้คำว่า ต้อง หรือต้องอาศัยมัน ไม่อาศัยมัน มันไม่สมบูรณ์แล้ว มันบกพร่องแล้วเราต้องอาศัยอย่างนี้อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้องกำหนดรู้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นคุณจะมีกาย มีจิตที่บริบูรณ์ ร่วมกัน อาศัยกันและกันเป็นธาตุ 2 

ถ้าพลิกไปเรียกภาษาว่า กายคือรูป จิตคือนาม คุณก็ต้องมีรูปนามปรุงแต่งกันอยู่เรียกเต็มๆว่า วิญญาณ ก็อาศัยไป วิญญาณก็เป็นธาตุรู้ที่ต่างกับรูป 

รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็วิญญาณ คุณก็มีรูป มีวิญญาณอาศัยเป็น 2 สภาพ รูปกับวิญญาณก็เป็นนามรูป 2 อย่าง ที่มีตัวจักรกล 3 อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร 

พระพุทธเจ้าแจกให้เรียนรูป 28 กับนาม 5 

นาม 5 คือ 

1. เวทนา 

2. สัญญา 

3. เจตนา  

4. ผัสสะ 

5. มนสิการ 

เวทนาเป็นอารมณ์ที่คุณจะต้องรู้อย่างสำคัญเลย เวทนาท่านแจกไปถึง 108 เป็นฐานปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่รู้จักหรือว่าทำเวทนา 108 นี้ไม่สำเร็จ เช่น ทำเป็นเนกขัมมะ ไม่ได้ 

เนกขัมมะแปลว่า ออกจาก ออกจากกิเลสทั้งหมด คนเรามีกิเลสเต็มในสภาพของ เคหสิตะเวทนา หรือเรียกศัพท์ว่า มโนปวิจารพฤติกรรมของ จิต 

ธรรมดา ธรรมชาติ ก็เป็นเคหสิตะ มีสุขมีทุกข์ มีดีมีชั่วอยู่ในนั้นหมด จนเราสามารถทำเรียนรู้ดีชั่วแล้ว ไม่ทำแล้วชั่วทั้งหลาย ตามสมมุติโลก ซึ่งไม่เที่ยงอีก ที่นี่หรือที่อื่นก็สมมุติต่างกัน  คุณก็ทำตามสมมุติ ก็อยู่รอดแล้วกับหมู่ฝูง

เสร็จแล้วก็มาเรียนรู้ตัวนี้ทั้งโลกียะทั้งโลกุตระ ต้องมาเรียนรู้สุข หรือเรียนรู้กายรู้จิตที่สมบูรณ์แบบ เมื่อใดคุณจะไม่สุข เมื่อใดคุณจะไม่ทุกข์ 

สุขกับทุกข์ก็ต้องมาแยกกันออกให้รู้จัก โดยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อยากให้รู้ถึงอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ปุริสภาวะ เป็น 1 อิตถีภาวะเป็น 2  และ 2 นี้จับปรุงแต่งกัน ถ้าน้อยลงก็เป็น 1 ลดความปรุงแต่งจนกระทั่งไม่ปรุงแต่งเลยเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียกว่าเป็นเอกบุรุษ ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว เกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กันช่วยเหลือกันได้ บุรุษนี่แหละช่วยสตรีเยอะ สตรีก็มีแต่จะทำให้บุรุษแย่ลงไปทุกที 

จะต้องยอมรับความจริงว่าเป็นตัวยังมีกิเลสมากอยู่กว่าเอก เอกเขาเป็น 1 สตรีมันมี 2 แล้ว เอกเขานี่ 1 แล้ว 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจลักษณะแท้พวกนี้ แล้วก็ไม่ยอมรับว่าเราเกิดมาเป็นผู้หญิง เราเกิดมาเป็นผู้ชาย เกิดมาผู้หญิงจะดูถูกก็ดูถูกทำไมมันเป็นความจริง ก็เรียนรู้เป็นอรหันต์ได้ หมดสุขหมดทุกข์ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ 

ก็มันจะมีวิบากมาเป็นหญิง ก็ช่างศีรษะมันปะไร ก็เราก็ปฏิบัติธรรมะให้มันเป็นอรหันต์  ถ้าเราเองเราอยากพ้นทุกข์ เมื่อคุณพ้นทุกข์แล้ว คุณเป็นอรหันต์แล้วคุณอยากมาเกิดอีกเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ชายอีกคุณได้เป็นแน่ แต่คุณยังไม่มีคุณสมบัติเลย คุณยังไม่มีธรรมะอะไรที่คุณจะมาข้ามเขตมาเป็นบุรุษมาเป็นผู้ชาย มาเป็นเพศชาย มาเป็นเอกบุรุษได้ คุณก็ทำไม่ได้ อยากเป็นอย่างไร หนักเข้าเป็นกะเทยเลย ยุ่ง ยิ่งยุ่งใหญ่เลยยิ่งพิสดารใหญ่เลย เป็นผู้หญิงแท้ๆดัดจริตจะมาเป็นผู้ชาย ไอ้อย่างนี้ไม่ค่อยน่าเกลียดเท่าไหร่ ผู้ชายดัดจริตจะไปเป็นผู้หญิงอีกเถอะ คุณเอ๋ยทำไมโง่ซ้ำซ้อน เอาเถอะผู้หญิงเขาก็โง่แล้ว เขายังอยากจะเป็นกะเทย แต่ผู้ชายนี้ทำไมดีๆ ทำไมถึง อยากไปเป็นผู้หญิงทำไมมันปึกแท้ โง่ ผู้ชายอยากเป็นผู้หญิง

อาตมาไม่ได้ว่าลงโทษเขานะ เป็นสัจธรรม คนที่ยังยึดยังติดยังเป็นเขาก็ยังเป็นอาตมามีหน้าที่รู้แล้วก็ต้อง เอามาอธิบาย จะบอกว่าอาตมาเคยเป็นกะเทยมาหรือเปล่า อาตมาจำไม่ได้ มันนานเสียจนอาตมาทิ้งมันนานมาแล้ว จนกระทั่งก็น่าจะผ่านมาก็น่าจะโง่มาก่อนฉลาดนะ น่าจะเป็นกะเทยมาจนลืมจนระลึกไม่ออกว่าเราผ่านชาติที่เป็นกะเทยมาหรือเปล่า เราก็ระลึกได้แต่ชาติที่เราดีๆขึ้นมาเรื่อยๆเรื่องชั่วๆของเราเคยเป็นนั้นไม่ต้องไปจำเลย เราก็ลืมสนิท มันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่มันก็เป็นคนเขาเป็นอยู่ไม่รู้ว่าเราเคยเป็นมาก่อนหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เราก็ได้แต่แค่นั้น อาตมาก็พูดได้แค่นั้น 

เพราะฉะนั้นมาถึงขั้นรู้จักอันที่ 2 แยกธรรมนิยาม 5 กรรมกับธรรมะ อุตุกับพีชะ พีชะกับอุตุ กับจิต แยกเป็น 2 นัย พอเข้าใจแล้วใช่ไหม กรรมกับธรรมะ เป็นสภาพ 2 ที่คุณจะต้องอาศัยไปเรื่อยๆ แต่ปฏิบัติคุณจะต้องปฏิบัติให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ เป็นจิต 

เมื่อถึงอุตุ คุณก็ทำได้สมบูรณ์แบบ แยกธาตุได้ แยกกาย แยกจิต จิตของคุณมันยึดความเป็นตน จนกระทั่งทำอุตุไม่ได้ คุณก็กลายเป็นมนุษย์พืช เสร็จแล้วคุณก็ต้องเวียนกลับในภพชาติต่อไป แต่วัตถุนั้นกว่าจะแห้ง กว่าจะดีไม่ดี มันซับซ้อนอีกเป็นกรรมวิบาก 

คุณอาจจะยึดถือตัวตนของคุณอยู่ตรงนี้แหละ กูอยู่ตรงนี้ กูก็นอนตายเน่าแห้งไป ดีไม่ดีมันแห้งแล้วก็ยังกูอยู่นี่แหละ ก็โง่เป็นปู่โสมเฝ้าร่างแห้งเป็นทรัพย์ของกู เป็นสมบัติของกู กูก็อยู่กับซากศพแห้งนี่แหละ ไม่ไปไหนเพราะจิตมันเกาะมันยึดมันเป็นอย่างนี้อยู่ มันก็อยู่ไปนานเท่านาน เท่าที่คุณจะโง่ จนกว่าจะหมดพลังยึด  มันมีธรรมชาติของมันเหมือนกัน แต่นานๆจนกระทั่ง คุณยึดรูปวัตถุที่เป็นกายตาย กายแห้ง แล้วคุณก็ยึดรูป คุณก็อยู่นานเท่าที่รูปมันมี ถ้ารูปมันสลายแห้งเปื่อยเน่าทิ้งหมด คุณก็บอกว่าไม่แล้ว คุณก็ไปเกิดใหม่คุณก็เอาโง่ใหม่ไป ความโง่เก่านั่นแหละจนกระทั่งสะสมเป็นโง่เต็มรูป 

ส่วนคนที่ไม่ติดรูปอย่างนั้น ติดทางนามธรรมอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ติดสะกดจิตให้มันดับไปนานๆๆ ได้ฌาน 7 ฌาน 8 ซึ่งเป็น นิรมาณกาย ไม่ใช่กายจริง 

อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ วิญญานัญจายตนะ จนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ พวกนี้เป็นเรื่องโง่ ของพวกนิรมาณกาย 

สรุปตรงธรรมนิยาม 5 ถ้าคุณเข้าใจแยกกายเป็นอุตุ แยกจิตเป็นอุตุไม่ได้ แม้เป็นพีชะ ก็ไม่มีความเป็นกายแล้ว อาศัยมันได้ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ยิ่งเป็นอุตุยิ่งหมดบาปหมดบุญ 

ถ้ายังเป็นจิตอยู่ คุณยังวางทำจิตให้เป็น พีชะไม่ได้ คุณก็ยังมีสุขมีทุกข์ ถ้าคุณทำจิตเป็นพีชะได้ คุณพิสูจน์ตอนเป็นๆ อ้อ..มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันเป็นพีชะเป็นอย่างนี้เอง คุณก็ได้อาศัย เป็นฐานอาศัย ที่คุณไม่สุขไม่ทุกข์ได้ แต่มันยังมีขั้นตอนไปถึงอุตุคุณก็ทำให้เป็นอุตุได้คุณก็วางใจได้ แต่เป็นพีชะอยู่ โดยธรรมชาติธรรมดามันก็จะพัฒนาไป  พีชะ มันจะพัฒนาไปเป็นจิตนะ แต่คุณเองคุณเรียนรู้มาบ้างแล้วคุณก็จะพัฒนาได้เร็วกว่าธรรมชาติของดินน้ำไฟลมมันพัฒนาขึ้นมา กว่ามันจะได้เป็นพืช 

พืช กว่าจะพัฒนาขึ้นไปเป็นสัตว์ นานนับชาติไม่ถ้วน นับเวลาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็พอ ไม่ต้องไปคิดมัน 

 มาเอาความ สำคัญวิธี ที่เราเข้าใจ เราจะให้หมดสุขหมดทุกข์ เราจะสลายจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก เพราะคนที่ได้ธาตุจิตวิญญาณมาแล้วโดยธรรมชาติ คุณไม่ได้อยากได้ แต่คุณก็ต้องพัฒนาขึ้นมาจากพืช มันก็จะมาเป็นจิต ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว เห็นไหมตั้งแต่สัตว์อยู่ในน้ำ ละเอียดกว่าอยู่บนบก กว่าสัตว์จะขึ้นบก ก็เป็นสัตว์ในน้ำก่อน เป็นเซลล์กว่าจะปรับตัวมาสารพัด 

เมื่อรู้กายรู้จิตแล้วก็ทำด้วยกรรมแล้วก็สะสมเป็นธรรมะ คุณก็ทำธรรมะนิยาม 5 นี้ได้บริบูรณ์ เข้าใจได้ทำไปเรื่อยๆ คุณก็จะเริ่มต้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไปตามลำดับ

ทีนี้วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจกาย และเข้าใจเวทนาเข้าใจจิต ไปตามลำดับแล้ว คุณก็มาทำกรรม แล้วก็สะสมเป็นธรรมะ คุณก็มาทำสติปัฏฐาน 4 

เรียนรู้สติปัฏฐาน 4 คุณก็ต้องเข้าใจเวทนา เข้าใจจิต โดยกรรมกับธรรมะ ทำให้จิตมันมาเป็นพืช มันมาเป็นอุตุให้ได้ ตามสัมมาทิฏฐิ

ผู้ใดที่จะมาในทางธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วตั้งใจจะไปนิพพาน ต้องตั้งใจนะ ต้องยินดีนะที่จะไปนิพพาน ถ้าคุณไม่ยินดี ไม่ตั้งใจ เมินเสียเถิด อย่าคิดถึง ว่าคนๆนี้จะบรรลุนิพพาน ไม่มีทาง คุณต้องมายินดี แล้วต้องมาตั้งใจประพฤติ เอาใจใส่ประพฤติจริงๆ คุณจึงจะมีหวังได้นิพพาน 

เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมาตั้งใจทำสติปัฏฐาน 4 เพื่อเลิก ความเป็นสัตว์ เพราะฉะนั้น สัตว์ พระพุทธเจ้าแจกไว้ 9 

เมื่อคุณเรียนรู้ความเป็นสัตว์ 9 ชนิดนี้ แล้วคุณก็เลิกความเป็นสัตว์ทำให้เกิดความเป็น เป็นการเกิด นิพพัตติ การเกิดมี

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ และอภินิพพัตติ  

ชาติ คือการเกิดที่เป็นคำกลางๆ การเกิดใดๆเป็นทุกข์ทั้งนั้น  ชาติปิทุกขา การเกิดที่เป็นจิตนิยามขึ้นไปนั้นเป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นพืชเป็นอุตุนั้นไม่ทุกข์ 

เพราะฉะนั้นคนจะโง่อยู่ในฐานจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานไป อย่างสัตว์นรกต่างๆมันนานมาก จนกว่าจะมาพบธรรมะโลกุตรพระพุทธเจ้า แม้คุณจะเกิดพบเทวนิยมไปพบศาสดาเทวนิยม คุณก็ได้เป็นสัตว์ที่ทำดี แต่คุณก็ไม่มีทางที่จะปรินิพพาน ไม่มีนิพพาน ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปนิพพาน คุณก็จะได้แต่แค่ทำดี เทวนิยมได้แต่แค่ดีชั่วแล้วก็หมุนเวียนไป (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อท่านก็เริ่มมาตั้งแต่นาทีแรกแล้วว่า พาพวกเราเรียนแล้วเรียนอีก ศึกษาแล้วศึกษาอีก เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา เรื่องทาน ศีล ภาวนามีคำว่ากาย

ทำไมพ่อท่านสอนครึ่งเดียว ในคำว่า กาย

พ่อครูว่า... ยังพูดไม่ถึงครึ่งเลยในงานนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นข้อ 1 และ 2 สติปัฏฐาน 4 กำลังพูดถึงสัตตาวาส 9 ข้ออื่นก็ยังไม่ได้พูดเลย 

_สู่แดนธรรม... ผมหมายความว่า พ่อท่าน กำลังมีอุตสาหะให้คนหายเข้าใจผิดในเรื่องกาย 

พ่อครูว่า... แม้คำว่ากายคำเดียว ถ้ายังมิจฉาทิฏฐิ แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร มันไม่ได้ มันต้องเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิถึงจะเป็นอรหันต์ได้ 

ขอไล่ ไปทั้ง 9 ข้อก่อน

ข้อที่ 1 พ้นสักกายะทิฏฐิ 

ข้อที่ 2 ก็เข้าใจแยกธรรมนิยาม 5 

ข้อที่ 3 ก็มาเรียนรู้สติปัฏฐาน 4 มันก็จะมี กาย เวทนา จิต ธรรม 

กายก็มี 2 ก็มีอีกเยอะ จะไล่ไป คำว่ากาย ยังไม่ได้ลงละเอียดนะ 

เมื่อคุณทำสติปัฏฐาน 4 เข้าใจชัดว่ากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอย่างไร ด้วยการกระทำด้วยกรรมของคุณ โดยคุณจะต้องจัดการของคุณเอง แล้วก็สะสมใส่เซฟไว้เรียกว่า ธรรมะ ใส่คลังธรรมะไว้ แล้วคุณก็จะได้เต็มคลัง เต็มสมบูรณ์ไปตามรอบๆ 

เพราะฉะนั้นคุณก็จะรู้จักความเป็นสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ที่ 1 2 3 4 

สัตว์ในสัตตาวาส 1 2 3 4 โลกียะ เขามิจฉาทิฏฐิจะไม่สามารถรู้จักโลกุตระ ไม่รู้ตรงไหน ไม่รู้ตรงที่ว่าเขาไม่รู้จักสัญญา ว่ามันคืออะไร อย่างสมบูรณ์แบบ 

สัญญา มันเป็นธาตุกำหนดรู้กับธาตุความจำ ทำได้แล้วมันก็สั่งสม สัมผัสรู้แล้วมันก็จำ ทำได้หรือไม่ได้มันก็ยังจำ มันเป็นคลังเก็บสารพัดสำหรับสัญญา เก็บขยะ เก็บของเลอะๆเทอะๆ เก็บของโง่ๆ ก็เก่ง สัญญานี่

เพราะฉะนั้นเราต้องมา เรียนรู้ ทำให้มันเป็นสัญญาที่ฉลาด อะไรที่ไม่ควรเก็บก็ไม่ต้องจำ ยกตัวอย่างทุกวันนี้อาตมาไม่จำแม้กระทั่งว่า ชีวิตอาตมา อาตมาไม่เกี่ยว วันนี้ขี้หรือยังไม่ได้จำ พวกเรานี้ อาตมา ขี้ เขาก็จะถ่ายไว้ทุกที เอาไว้ดูแล้วก็ศึกษา 

เขาก็พอรู้ว่าขี้มันเป็นอย่างนี้แล้วไม่ค่อยดีนะ สังขารสุขภาพจะไม่ดีพอดูจากขี้ได้ ยิ่งทางจีนเขายิ่งรู้เยอะ หรือทางอื่นก็ศึกษา อันนี้ก็เป็นการศึกษาแล้วก็ใช้ประโยชน์ใช้ความรู้อาศัยพวกนี้บ้าง 

ขออภัยนะ ที่พูดเรื่องนี้มันเหมือนเน่าๆ แต่เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตอาตมาก็มีอย่างนี้แล้ว ก็มีคนดูแลรับผิดชอบถึงขั้นนี้ก็ว่ากันไป

เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นสัตว์ 

สัตว์ที่ 1 สัตว์ที่ 2 สัตว์ที่ 3 สัตว์ที่ 4 สัตว์ที่ 5 เอา 5 สัตว์นี้ก่อน

สัตว์ที่ 1 ก็มาเรียนจากความหมาย คุณก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ทำกายของคุณให้มันได้ ตามที่เป็นสัมมาทิฏฐิ โดยที่คุณต้องศึกษาปฏิบัติด้วยการใช้สัญญากำหนดรู้ 

สัญญากำหนดรู้ กาย โดยมีตัวสำคัญมันประกอบด้วยก็คือเวทนา 

เวทนาเป็นตัวรู้สึก กายเป็นตัวอาศัย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มาเป็นเหตุภายนอกทางกายแล้วก็มารู้สึก แล้วคุณก็ยึดในสุขทุกข์ ยึดความโง่ยึดความฉลาด คุณฉลาดเป็นโลกุตระแล้วคุณก็ทำออก คุณทำกิเลสตัวที่มันโง่ ทำให้เกิดทุกข์เกิดสุข ต้องพูดให้มันครบของพุทธนะ มันต้องล้างทั้งทุกข์และสุข เพราะมันจะไปเข้าใจผิดว่าสุขอย่างหนึ่งทุกข์อย่างหนึ่ง 

ใช่ โดยภาษาสิริมหามายาภาษาคู่มันคือทุกข์กับสุข แต่สภาพมันอันเดียวกัน ทั้งโง่ก็เป็นอายตนะ โง่มันเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันนามอย่างหนึ่งรูปอย่างหนึ่ง แต่คุณไม่รู้มันรวมเป็นอายตนะเลย 

อายตนะนี่คือฉลาด ตนะคือโง่ ตนะคือตน ตัวตน อายะคือประโยชน์ คือรู้ประโยชน์ รู้คุณค่า รู้ผล แต่ ตนะนี่มันก็ตื้อๆอยู่อย่างนั้น ตนะ เป็น Static ไม่ใช่ Dynamic ไม่ใช่ตัวรู้ มันเป็นตัวเป็น เป็นอย่างนั้นไม่รู้ตัวรู้ตน แต่มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน

เพราะฉะนั้นคุณสามารถที่จะเข้าใจความเป็นสัตว์ เริ่มต้นในวิญญาณฐีติ 7 จะเป็นตัวที่ขยายสัตตาวาส 9 จะเป็นตัวที่เปิดเผยความเป็นสัตตาวาส 9 เพราะคุณปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 คุณจึงเกิดการเจริญด้วยอินทรีย์ 5 เจริญด้วยพละ 5 โดยใช้โพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 

เป็นทฤษฎีหลักองค์รวมคู่เอก พระพุทธเจ้าเกิดโพชฌงค์ 7 จึงเกิด พระพุทธเจ้าเกิดมรรคมีองค์ 8 จึงเกิด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดโพชฌงค์ 7 ไม่มี มรรคมีองค์ 8 ไม่มี จะมีได้ก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมีความรู้ในโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 

มาพูดกันว่าโภชฌงค์ 7 นี้เป็นตัวเจริญเป็นตัวพัฒนาก้าวหน้า ส่วนมรรคมีองค์ 8 เป็นทางเดิน เดินไปทางนี้แล้วก็จะเจริญ พูดอธิบายเป็นภาษาก็เหมือนกับว่า เป็นพุทธะต้องเกิดมาแล้วเดิน 7 ก้าว ก็เลยเป็นตัวตนไป เป็นสิทธัตถะน้อย ที่สุดารัตน์เขาไปทำ Baby Buddha เดินไป 7 ก้าว แล้วถึงก้าวที่ 7 แล้วอาตมาถามว่าท่านนั่งหรือท่านล้มหรือท่านนอนลง แล้วท่านเดินถอยหลังหรือเดินไปข้างหน้าเขาก็ตอบอาตมาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวที่จะไปศึกษา แต่ภาษามันเข้าใจตื้นๆง่ายๆว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ซึ่งมันไม่ใช่อันนี้มันเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของจิตเจตสิก เป็นนามธรรมอย่างกับอะไรดี มันก็เลยเข้าใจไม่ได้ 

โพชฌงค์ 7 ก็เลยเข้าใจตื้นๆว่าเป็นลักษณะพุทธะต้องก้าว 7 ก้าว มันมีขั้นตอนของ 7 ก็คือโพชฌงค์ 7 นี่แหละ เป็นการก้าวซึ่งมี 

สติ ธัมมวิจัย วิริยะ คือตัวพากเพียร ปฏิบัติ ถ้าเข้าใจได้ มีสติเต็มตื่น แล้วก็รู้มีความรู้ตามที่อธิบายแทรกไปนี้ แล้วก็มีธัมมวิจัยแยกกิเลสออก ทำให้กิเลสดับได้ เนกขัมมะได้ด้วยวิริยะ พยายามได้ มันก็สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 สั่งสมเป็นผลตามลำดับเรียกว่าอินทรีย์ พละเรียกว่าผล ตัวพลังใหญ่ พลังครบสมบูรณ์เรียกว่า ผล 

เพราะฉะนั้น อินทรีย 5 กับพละ 5 ก็คืออันเดียวกันคือมี ศรัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา 

ศรัทธาก็คือตัวก้อนที่ได้ทั้งความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ความเชื่อได้มา อันนี้ใช่แล้วนะก็ศรัทธาแล้วก็วิริยะได้ผลอีก สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ แล้วสติ คุณก็จะเต็ม 100 ขึ้นๆๆ  ปฏิภาณของสติเต็ม 100 คุณจะรู้สติที่พร้อมด้วยกาย สติที่พร้อมด้วยวจี สติที่พร้อมด้วยใจ แข็งแรงเต็มรูปๆๆ สติ วิริยะ คุณปฏิบัติ เสร็จแล้วคุณปฏิบัติได้ตามลักษณะของ แม้ 

สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 คือสำรวมอินทรีย์ แล้วก็สามารถแยกเนกขัมมะ ทำกิเลสออก ดับกิเลสได้ ไปตามลำดับ สัมมัปธาน 4 ประหารกิเลสได้เป็นปหานปธาน มันก็เป็นผลเป็นภาวนาปธาน 

เพราะฉะนั้นมันเสื่อมจนกระทั่งภาวนากลายเป็นภาคปฏิบัติซึ่งมันไม่ใช่ ภาวนาเป็นภาคของผล แค่นี้ภาวนาคุณก็ไปนั่งหลับตากันหมดไม่ ภาวนาคือกันได้ผลแล้วได้ผลแล้วถึงจะรักษาอนุรักขนาปธาน รักษาผลที่ได้แล้วของภาวนา ภาวะคือการปรากฏผลที่คุณทำได้นี่แหละ ภาวะ ภาวนะ วิปัสสนายะ ได้ขึ้นมาเป็นผล คุณก็ทำ คุณก็สำเร็จได้ผลไปตามนั้น 

เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเจริญด้วยอินทรีย์ ทำผลได้เต็ม รู้มีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ ได้ผลสั่งสมขึ้นมา มันก็เป็นการตั้งมั่นของจิตเรียกว่า เป็นสมาธิ สมาธินทรีย์ ปัญญา ปัญญินทรีย์ สั่งสมเป็นปัญญาพละ และยังมีตรวจสอบด้วยวิมุติ วิมุติญาณทัสนะอีกนะ 

สรุปแล้วคุณเลิกความเป็นสัตว์ ตั้งแต่โง่เป็นสัตว์ ตั้งแต่กายต่างกันสัญญาต่างกัน คุณมีธาตุรู้ที่โง่มาก กายก็เป็นมิจฉาทิฏฐิวิปลาส สัญญาก็มิจฉาทิฏฐิ วิปลาส แล้วก็จับอะไรก็ไม่มั่นคั้นอะไรก็ไม่ตาย อยากจะจับอะไรก็จับเลอะๆเทอะๆไป 

เพราะฉะนั้นคุณกำหนด ยิ่งคุณเองคุณมีอัตตา มีมานะ มีอวดดี มีแข่งดีกับคนที่เขารู้ คนรู้เขาบอกว่าทำอย่างนี้ กูก็จะทำอย่างนี้ คนรู้ว่าทำอย่างนี้ กูก็จะทำอย่างนี้​ คุณรู้บอกว่าจะทำอย่างนั้น กูก็จะมาทำอย่างนี้ 

มิจฉาทิฎฐิกับสัมมาทิฏฐิมันจะต้องค้านแย้งกันตลอดเวลาด้วยมานะ อัตตา 

มันจะไม่ยอมทำตาม เพราะมันไม่เชื่อ มันไม่ศรัทธา มันไม่เอามันไม่นับถือ มันหลงว่าตัวกูของกูถูก คนนี้จะช้านาน 

เพราะฉะนั้นคนที่ติดยึดความรู้ที่ผิดแล้ว หรือแม้ไม่ผิด แต่คุณไม่ขยายออกตามที่คุณรู้ คุณรู้แต่บัญญัติพยัญชนะ ไม่มีการบรรลุธรรมแม้แต่ในชาตินั้น แต่คุณรู้เยอะเลยนะ ท่านเรียกว่า ปทปรมบุคคล เรียนมาก รู้มาก ยึดถือแต่ความรู้ แต่คุณไม่ได้บรรลุธรรมเลยแม้แต่ในชาตินั้นเลย นี่คือผู้ ปทปรมบุคคล

เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังเห็นอยู่บุคคลที่น่าสงสาร ปทปรมบุคคล ท่านรู้มากจริงๆนะ อาตมาได้ใช้ประโยชน์ ตำราที่เก็บมา อาตมาก็เอามาใช้ มีอยู่เยอะเลย แต่น่าสงสาร เขาไม่สัมมาทิฏฐิที่จะบรรลุธรรมได้ก็กลายเป็นบุคคลที่ ปทปรมบุคล ผู้รู้ธรรมะอยู่ก็มาก สาธยายธรรมอยู่ก็มาก ท่องจำไว้ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินั้น แล้วก็ไม่ยอมรับ 

ขณะนี้มันมีคนอย่างนี้อยู่จริงในสังคมพุทธในเมืองไทยนี่ ถ้าคนนั้นยอมรับอาตมาว่าถูก จิตยอมจริงๆเลยนะไม่ใช่ว่าแกล้ง แม้จะแกล้งก็ยังได้เลย กล้าเปิดเผยไหมล่ะว่ายอมรับแล้วว่าอาตมานี้ถูก ผมผิด ถ้าเป็นผู้หญิงก็ ดิฉันผิด มีที่เป็นผู้หญิงก็มีเป็นอาจารย์ใหญ่ๆทางธรรมะ โพธิรักษ์นี้ถูก รู้ไม่ใช่น้อย เขารู้บัญญัติภาษามีตั้งเยอะและจะเร็วด้วย แต่ความมีอัตตามานะมันใหญ่ กูไม่ยอม ดีไม่ดีได้ปรามาส ได้จัดการกับอาตมาด้วย ซึ่งน่าสงสาร อย่ายึดถือเลยอาตมาไม่ได้ยึดถือเลยว่า ท่าน ใครก็แล้วแต่ มาทำอาตมา มาจัดการอาตมา มาดูถูกอาตมา มาข่มอาตมาอะไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่ได้ติดใจ อาตมาอโหสิตลอดโลก ไม่ได้ยึดถือ แต่อยากให้มาช่วยกัน เพราะท่านมีคนนับถือเยอะ ถ้าท่านมาสักคนหนึ่งนั้น อื้อหือ.. จะได้ลูกศิษย์ตามมาอีกมหาศาลเลยนะ โอ้โห..อยากได้ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านพูดอย่างนี้เขาไม่มาแน่นอน 

พ่อครูว่า... อ้าว แล้วกัน ถ้ามาแล้วมันจะเสียหรือ มันไม่เสียนะ มันยอมตัวเองซะ  ลดอัตตาเสีย ลดความถือดี ลดอัตตามานะกันจริงๆ เข้าใจ นี่แหละมันจะเกิดเริ่มต้นเป็น สัทธินทรีย์ แล้ว เมื่อลดลงมาได้ แม้ไม่มากก็ต้องวิริยินทรีย์ พากเพียรมาลดตัวลดตน 

สติคุณก็จะเต็มขึ้น ตื่น ชาคริยะ แจ้งขึ้น แจ้งขึ้น ในความแจ้ง จ ฉ ช ฌ ย มันจะเจริญขึ้นเรื่อยๆจริงๆ 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ายังติดยึดอยู่อย่างนี้  แน่นอนคุณมีอัตตาคุณมีมานะมาก ถ้าคุณเปิดเผย สิ่งที่คุณได้ทำชั่วมา อัตตาของคุณมานะของคุณมาก คุณจะละอายมาก กล้าไหมล่ะ ยอมไหมล่ะ อายเป็นอายวะ ไม่กลัว คุณก็กระเตื้องจากหิริ  กระเตื้องขึ้นจากโอตัปปะ ตายเป็นตาย ไม่กลัว ไม่อาย แล้วคุณก็ประพฤติ ปลงอาบัติ  ยอมเปิดเผย ยอมรับว่าสิ่งนี้ได้ผิดแล้วขอทำคืน ไม่เอาสิ่งนี้ แล้วก็จะเจริญทันที 

เพราะฉะนั้น ลักษณะที่จะละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า แล้วก็จะเคารพอย่างแรงกล้า นับถือรักอย่างแรงกล้า ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 2 ข้อที่ 1 มันจริงอย่างนั้นเลยนะ นี่ตัวสภาวะธรรมมันจะเกิดอย่างนั้นจริงๆเลย 

แต่ถ้ายังไม่ทำ ไม่รู้จะข้ามไปอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ ยิ่งเกิดมาแล้วคุณก็ถูกวิบากหายไปไกล ไม่ได้เวียนมาพบอาตมาเลย หรือไม่เวียนพบโพธิสัตว์ในระดับที่ควรจะมี คุณจะมีกุศลร่วมกับโพธิสัตว์ที่ได้ทำกุศลร่วมวิญญาณที่กันมาไหมล่ะ แล้วจะไปรู้ได้ยังไง ใช่ไหม ถ้ามันไม่มี คุณก็ซวยไปอีกไกลเลย ถ้ามีบ้างก็ยังดี เพราะโพธิสัตว์ไม่ได้มีอาตมาองค์เดียว องค์อื่นก็มี อาจจะได้ทำกับคนนั้นคนนี้บ้าง ก็เอาเถอะ 

มาเข้า สัตตาวาส 

อันที่ 1 สัตตาวาสกับวิญญาณฐิติ 7 

วิญญาณฐิติ 7 เป็นสัมมาทิฏฐิที่จะต้องปฏิบัติให้ถูก วิญญาณฐิติ คือมีวิญญาณตั้งอยู่ วิญญาณคือธาตุรู้ที่มีทั้งภายนอกภายใน มีกาย มีภายนอกมีภายในคือวิญญาณ 

ไปหลับตาเสีย ไม่มีภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายไม่มี อันนั้นเรียกว่าสัมภเวสี คือผู้ไม่มีที่ตั้ง ผู้ไม่มีที่เกิด ผู้ไม่มีที่เกาะ ลอยละล่องไป อยู่ในภวังค์ อยู่ในภพแห่งความไม่รู้จักอะไรไม่มีอะไร ตาไม่มี หูจมูกลิ้นกายไม่มี คุณมีแต่จิตของคุณอยู่ในภพของคุณ เรียกว่าองค์แห่งภพ ภวังค์ คุณอยู่ตรงนี้แต่คุณไม่รู้กับใคร ไม่รู้กับใคร ตาหูจมูกลิ้นก็มีแต่คุณไม่สัมผัสกับใคร อยู่ในกะลาครอบของคุณอยู่ในภวังค์ เพราะฉะนั้นไอ้ที่ไปคิดว่าตายแล้วจะไปเจอคนนั้นคนนี้ จะไปเจอวิญญาณคนนั้นคนนี้นั้น  ไม่มี ตายแล้วนรกของคุณ คุณก็อยู่ของคุณคนเดียว สวรรค์โง่ๆของคุณ คุณก็โง่ของคุณคนเดียว หมดฤทธิ์ของสวรรค์ หมดแรงยึดแล้วคุณก็ตกนรก เพราะว่าสวรรค์กับนรกมันอันเดียวกัน แล้วสวรรค์มัน โอ้โห.. 

สวรรค์ความรู้สึกมันดูเหมือนมันเร็ว นรกมันรู้สึก มันดูเหมือนมันนาน นรก 1 นาทีกับสวรรค์ 1 นาทีนี้ สวรรค์ 1นาทีทำไมมันเร็วจังเลยวะหมดไปแล้ว แต่นรก 1 นาทีนี้ โอ้โห..ทำไมมันนานมาก มันทำไมไม่หมดสักที ใช่ไหม

นี่คือเวทนา ความรู้สึกของคุณเป็นเองทั้งนั้นเลย แล้วคุณเป็นก็ต้องเป็นนะ เพราะคุณโง่คุณไม่รู้คุณก็ไปยึดมันอยู่อย่างนั้น ยึดว่าเป็นสวรรค์ ยึดว่าเป็นนรก คุณก็โง่ทั้งนั้น 

สรุปแล้ว ความเป็นกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงเละไปหมดเลย ความเป็นมนุษย์ก็สารพัดมนุษย์ ความเป็นเทวดาก็สารพัดเทวดา ความเป็นมารเป็นผีก็สารพัดผี สังคม สงคราม มนุษย์ก็รบกับมนุษย์ มารก็รบกับมาร เทวดาก็รบกับเทวดา ดีไม่ดีเทวดารบกับมาร มารรบกับมนุษย์ มนุษย์รบกับเทวดา ล่อกันเละทุกวันนี้ คุณไม่มีสิทธิ์รู้

กายต่างกัน สัญญาต่างกัน แล้วในภาษาที่ท่านสอนไว้ในพระไตรปิฎก มีแค่ว่า เช่น มนุษย์ เทวดา มาร ผี สัตว์วินิปาต อะไรพวกนั้น แยกกันให้ชัด สัตว์วินิปาต คือสัตว์ที่มันตกร่วงลงไป ไม่รู้อะไรเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นมาร ไม่รู้เรื่อง

จนพยายามมาเรียนรู้ เวลามันหมดแล้ว แค่สัตว์ที่ 2 ก็ยังไม่ได้ขึ้นเลย มัน 2 ชั่วโมง อ้าว ยังเหลืออีก 3 คาบ ตั้งใจดีๆ    

ขอเช็คผล ใครฟังแล้วไม่รู้เรื่องยกมือขึ้น ไม่ต้องอาย มีแค่ 2-3 คน ทั้งหมด 900 กว่าคน แค่ 2-3 คนที่ไม่รู้ 

เจริญธรรมทุกๆคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ #45 

วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 เมษายน 2566 ( 06:26:29 )

660406

รายละเอียด

660406 พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52999.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ywnXjZ7rv--aObMGSaimwhZ26Bdf_36Y/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Fdk9m0XwX9H_I_yxupjwJG_FqttQvzZm/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/nvKimPtnHU4 

และ https://fb.watch/jKvPSNZlIg/ 

 

อานิสงส์ฟังธรรม 5 ประการในงานปลุกเสกฯ

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

เราก็เริ่มคุยกันพูดกันเรื่องที่ควรจะคุย ควรจะพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมะหรือเป็นเรื่องการเป็นอยู่ของชีวิต ปลุกเสกฯก็ดี  พุทธาภิเษกฯ ก็ดี ก็คือเรามาพยายาม อาตมาก็พยายามเทศน์ พวกเราก็พยายามมารับฟัง ทำให้มันเป็นธรรมะ ถ่ายทอดธรรมะ สาธยายธรรมะกันออกมา ให้ได้เข้าใจยิ่งๆขึ้น ยิ่งๆขึ้น 

46 ปี ใช่ไหม 45 ครั้ง ครั้งนี้ครั้งที่ 45 เราทำปีละครั้ง ก็ 45 ปีผ่านมาแล้ว 45 ปีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ไปแล้วนะ 45ปีท่านก็พอแล้ว ท่านไม่ไปถึง 46 แต่เรายังต้องทำต่อไปอีก 46 ก็ต้องต่อ ยังไม่ตาย ถึงอาตมาตายพวกเราก็ทำต่อได้ สมมุติว่าอาตมาตายปีนี้ ปีหน้าก็มีกันอยู่ ผู้ใดนำพากันอยู่ก็ทำต่อไม่มีปัญหาอะไร สืบทอดกันไป 

เพราะมันเป็นวิธีการที่จะได้เสริมความรู้ความเข้าใจ ความละเอียดละออของธรรมะพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งแหม..มันละเอียดจริงๆ อาตมายิ่งเขียนยิ่งคิด เห็นความละเอียดลึกซึ้งครบถ้วนบริบูรณ์ ขนาดอาตมายังรู้ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ยังเห็นความมากมายหลากหลาย ครบถ้วนจริงๆเลย ที่พูดออกมา พูดออกมา สาธยายออกมาๆ มันออกมาจากที่อาตมาเองเข้าใจและเห็นจริง เห็นยังไงเข้าใจยังไงก็เอามาพูดให้พวกเราฟัง พวกเรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่ละเอียดลึกซึ้ง ฟังธรรมมีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการขึ้นเรื่อยๆไหม 

1.ได้ฟังสิ่งใหม่ที่มีใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ 

2. เข้าใจยิ่งขึ้นๆๆๆ 

3. ขจัดความสงสัย ขจัดสิ่งที่มันข้องจิตข้องใจให้หมดไปๆๆ 

4. ทิฏฐิก็ตรง ตรง ตรง ตรง ตรงขึ้น เพราะฉะนั้นสัมมาทิฏฐิที่จะตรง ตรง ตรง ตรงจนกระทั่งมันไม่มีเป๋เลยได้ ไม่ใช่บอกว่าสัมมาทิฏฐิแล้ว  พ้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ครั้งเดียว แนวเดียว ทีเดียวเลย ไม่ใช่ ไม่พอ เพราะฉะนั้นปัญญาของพระพุทธเจ้าข้อที่ 2 จึงต้องไต่ถามแล้วไต่ถามอีก แต่สำหรับพวกคุณมาฟังอาตมาบรรยายแล้วบรรยายอีก อาตมาไม่เบื่อ ใครจะเบื่อก็ช่างศีรษะใคร ของใครของมัน แต่อาตมาไม่เบื่อจะอธิบาย บางคนฟังแล้วอาจจะเบื่อก็ช่างสิ ตัวใครตัวมัน ศีรษะใครศีรษะมัน 

 

SMS SMS วันที่ 3-4 เม.ย. 2566

_Khmer Bokador :  เขมร โบกาดอร์ · ประยุทธเป็นพระโพธิสัตว์เหรอครับท่าน

พ่อครูว่า... ก็ดูไป ดูไป จะได้รู้พฤติกรรมทางกายวาจาใจว่า  มันมีอะไรที่ไม่เหมือนคนสามัญธรรมดา มีความพิเศษ คุณจะได้ศึกษาเรียนรู้อันนั้นด้วยปัจจัตตังด้วยตัวคุณเอง 

 

ความฝันฟุ้งเป็นอุปาทานใช่หรือไม่

_คำถามจากลูกที่ยังมีปัญหา : ลูกมีปัญหาว่า ตอนหลับ มีอาการได้ยินเสียงเด็กผู้ชายพูดคุยเกี่ยวกับการหาที่เกิด แล้วบอกว่าในนี้เกิดไม่ได้ มันเป็นอุตุ มันไม่มีการปฏิสนธิ แต่เขาอยากหาที่เกิด และมีอีกเสียงเป็นเสียงผู้หญิงบอกว่าร่างนี้เขาฝึกบำเพ็ญอุโบสถศีล เสียงเด็กพูดแค่ศีล 5 ได้ไหม เสียงผู้หญิงพูดอีกว่า กรรมสโกมหิ กรรมทายาโท กรรมโยนิ กรรมพันธุ กรรมปฏิสรโน อย่ายุ่งกับเขาเลยปล่อยให้เขาได้บำเพ็ญเถอะ 

...มีอีกหลายเรื่องแต่ลูกจำไม่หมด เยอะมาก พอลูกรู้ตัว ใจเต้นแรง มีอาการกลัว เกิดขึ้น ส่งผลให้รู้สึกตัวไม่อยากเจอแบบนี้ อีกใจหนึ่งระลึกถึงคำสอนของพ่อครูว่า ตอนหลับไม่ใช่ความจริง ตอนลืมตาเปิดนั่นแหละความจริง ก็ปล่อยใจมันคลาย เสียงพูดคุยก็ยังมีอยู่ เป็นเรื่องใหม่เกิดขึ้นมาอีก พอมีสติก็เป็นตัวดูเฉยๆ มันก็หายไป มีอาการแบบนี้ บ่อยๆเกือบทุกครั้งที่หลับจะมีเสียงรบกวนตลอด 

ลักษณะแบบนี้ มันเป็นอุปาทานในจิตของลูกใช่ไหมคะ? หรือว่า มันเป็นตัวอุธธัทจะที่ฟุ้งเกิดขึ้นมาเพื่อให้ลูกได้ล้าง ตัวยึดพวกนี้ ออกจากจิตวิญญาณให้มันสัมมาทิฏฐิด้วย จรณะ 15 วิชชา 8 มีอาการแบบนี้จะชัดขึ้นเมื่อลูกเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ 3 วัน และยังมีเสียงของท่านสมณะ สิกขมาตุ กลุ่มพี่น้องอุโบสถศีล ส่งผลให้มีความตั้งมั่นในศีลมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นตอนหลับ

พ่อครูว่า... เสียงพูดคุยที่เกิดขึ้นมันเป็นสัญญา ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์บอกว่า สัญญาความจำนี่แหละมันไม่หายไปจากจิตง่ายๆ 

บอกว่ามันเป็นอุปาทานก็ถูกต้อง มันเป็นความยึดถือที่เห็นว่าอย่างนี้มันจริง มันยังยึดถืออยู่ มันจริงหรือมันยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็เลยติดอยู่กับตัวเรา เกี่ยวเกาะอยู่กับตัวเราประหวัดไปถึงมัน จิตประหวัดไปถึงมัน แล้วก็มีวนเวียนอยู่ยังไม่หายยังไม่คลาย 

ยิ่งมีอาการรู้สึกว่ามันดี มันน่ามีน่าเป็น หรือมันอร่อย มันก็จะยิ่งนึก ยิ่งจะอยู่กับเรานานและแน่น เพราะฉะนั้นก็พยายามเลิกอาการอย่างนี้ ให้จิตมันคลายมันปล่อยแต่ไม่ต้องถึงกับไปกดข่มมัน ต้องทำความเข้าใจให้แจ้ง ทำปัญญาให้แจ้งว่า มันเกิดเป็นอย่างนี้กลายเป็นเรื่องต้องเกี่ยวข้องพัวพัน ต้องมีร่วมกันอย่างนี้ไปปรุงแต่งอย่างนี้ เราก็มาเรียนรู้อันนี้กัน 

เมื่อเรามีปัญญาเข้าใจ มันมาก็ช่างมันเถอะเราอย่าไปเอาใจใส่มัน อย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน มันเป็นสัญญาผ่านไปแล้วมันก็ก่อให้สุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์เท่านั้นแหละมันก็คือความรู้สึกนึกคิดเป็นความจำเป็นความรู้สึกนึกคิด เป็นความปรุงแต่งเรียกว่าเจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร มันก็มีเท่านั้น 

มันก็ฟุ้งอยู่กับใจเรา เป็นอุทธัจจะก็ใช่ มีได้ถึงแม้ในภาวะตื่น และยิ่งเป็นได้ในตอนหลับ หลับแล้วยังมีการระลึกถึง เราได้ปฏิบัติประพฤติอย่างนี้ แบบนี้นะอยู่ในศีลออนไลน์ ควบคุมการระมัดระวังกาย วาจา ใจ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นประโยชน์ ดีกว่าไปฝันฟุ้งซ่าน ระลึกฟุ้งซ่าน ตอนนอนหลับ     

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ขอโอกาสถามพ่อท่านครับว่า พระสกทาคามีได้ปฏิบัติศีล 8 ส่วนพระอนาคามีต้องปฏิบัติ ศีล 10 เป็นต้น พระอรหันต์ในระดับที่ 4 นั้นต้องปฏิบัติ ศีล 43 ทุกข้อหรือไม่ครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านด้วยความเคารพสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ปฏิบัติไปบรรลุก่อนศีลครบ 43 ข้อก็ได้
 

พ้นกามคุณ 5 เข้าหาสาระแท้ของชีวิต

_จรูญลักษณ์ ทองเกสร  :  กราบนมัสการ พ่อท่านเจ้าค่ะ ลูกกำลังปฏิบัติตามคำสอนฯ ไม่กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์มา13 ปีกว่าแล้ว ปล่อยผมให้มีหงอกโดยไม่ย้อม ไม่ใส่เครื่องประดับมามากกว่า 10 ปี เรื่องเงินที่ได้มา พยายามสะพัดออกโดยการบริจาคผู้ยากไร้ ให้ของตามเหมาะสม ช่วยเหลืองานโดยเป็นจิตอาสา ทำงานเกินเวลา โดยเข้างานก่อนเวลาและเลิกงานหลังเวลาวันละ 1-3 ชม.เเละอื่นๆตามสถานการณ์ที่เอื้อให้ปฏิบัติตามหลักคำสอนฯ

พ่อครูว่า... ระวัง over time จะทำเกินทำมาก ประเดี๋ยวมันมากไปมันก็จะเกินขอบเขตต้องระมัดระวัง ทำตามพอดีๆ รู้จักพักรู้จักเพียรให้พอดี 

พวกเราที่รายงานผลหรือพูดถึงสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติประพฤติแล้วเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง พูดมาอธิบายมารายงานมาให้อาตมาอ่าน มันก็สะท้อนให้เห็นว่าอาตมาบรรยายธรรมะนี่นะ มีผล ทำให้พวกเรานี้เข้าใจ ว่าชีวิตมันจะดำเนินไปอย่างไร จะดีขึ้นอย่างไร ประเสริฐอย่างไร และก็พยายามทำไปเรื่อยๆ 

พฤติกรรมพฤติการณ์ที่พูดมาก็แสดงให้เห็นว่าเป็นความเจริญก้าวหน้า เป็นคนมีประโยชน์คุณค่า รู้จักเลิกรู้จักปล่อยวางสิ่งที่มันเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ก็เลิกไป อะไรที่มันดีกว่านั้น เอาเวลา แรงงานทุนรอนที่ได้คืนมาเอามาทำสิ่งเหล่านี้เหล่านี้ จนกระทั่ง 

อาตมามาเน้นให้พวกเราทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพราะฉะนั้นผลผลิตหรือผลที่เน้นขึ้นมา ที่เห็นเอามาโชว์ เอามาอวดมาอ้าง ดูสินี่เป็นผลไม้มาก จะมีไม้ที่เป็นใบแล้วก็กินใบอีกเยอะ เยอะกว่านี้ อันนี้ไม้ที่มันมีผลก็เอาผลมันมาเท่าที่ได้ ดูสินี่ ยาวไปมีหมด มะมี่ มะโม มะแตง บักอึ บักเงาะ บักกล้วย บักขาม ก็มีสารพัด มีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ อาหารเป็นหนึ่งในโลก 

เพราะฉะนั้นพวกชาวอโศกนี่ อาตมาจึงเห็นว่า มันบริบูรณ์ด้วยเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ที่เป็นสิ่งที่อาศัยใช้สอยในชีวิต ที่สำคัญเป็นหนึ่งในโลกอยู่รอด อาหารเป็นหนึ่งในโลก เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค ก็เป็นรองลงไป  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ได้ขาดแคลน

ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วพวกเราก็บรรลุผลสาระสำคัญของชีวิตก็อุดมสมบูรณ์  แล้วเราก็ยิ่งเข้าใจต่อไปเลยว่า  ความไปหลงว่า เพชรนิลจินดา เครื่องประดับเครื่องพอก เครื่องทา หลงอบายมุขมันเป็นสิ่งที่จะต้องไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับมันเราก็เลิกมาได้เรื่อยๆ แต่ก่อนนี้ไร้สาระมากเรานี้โง่เดี๋ยวนี้เลิก

นี่แหละคือวิมุติ  คือความหลุดพ้น ที่ยืนยันได้ตามพระอนุสาสนีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หลุดพ้นแล้วจิตก็เป็นเทวดา เป็นทิพย์ หลุดพ้นอย่างนู้นอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันมีรูปมีนาม มีภาวะปรากฏการณ์ มีพฤติกรรมในชีวิต  หลุดพ้นมาจากโลกอบาย หลุดพ้นมาจากโลกกามารมณ์ กามคุณ ที่ไปติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส       

กามคุณ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราสัมผัสแล้วแต่ก่อนจีจ๋า รูปสวยต้องสัมผัสๆเสพรสสวย เสียงก็ต้องได้รับสัมผัสๆกับเสียง ไม่ได้ยินเสียงไม่มีเสียงที่เราติดเรายึดไม่อร่อยก็รู้สึกว่ามันขาดอะไร จิตไม่มีชีวิตชีวา จิตขาดสิ่งที่เราต้องการก็ลดลงๆ เรื่องกลิ่นก็ไม่กระไร เรื่องรสทางลิ้น โอ้โห..มาก รสทางลิ้น ติดนาน ติดละเอียดติดหลายแบบหลายมุมหลายแง่กว่าจะหลุดพ้น จะรู้สึกว่ารสพวกนี้มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น เปรี้ยวก็เปรี้ยว เค็มก็เค็ม หวานก็หวาน ขมก็ขม มันก็เป็นรสของมันอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ได้ไปชื่นใจ ไปผลักไปดูดกับมัน รู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้ว่ามันจำเป็นสำคัญมันขมหน่อยก็กิน มันเป็นธาตุที่จำเป็นที่ควรจะต้องกินหรือว่าจะต้องกิน เขาเอามาให้ไม่มีอะไร มีแต่อาหารขมๆก็ต้องกินมันทั้งขมๆนี่แหละ มีแต่อาหารจืดๆก็กินมันทั้งจืดๆ มีแต่อาหารหวานๆก็กินมันทั้งหวานๆนี่แหละ แต่มันก็มีหลายอย่างอยู่หรอก ไม่ใช่มีอย่างเดียวทีเดียว 

เราก็ไม่ได้ไปเลือก เห็นความสำคัญในความสำคัญว่า กินอาหารอันนี้ จะเค็ม จะเปรี้ยว จะหวานก็แล้วแต่ มันมีธาตุที่ควรจะต้องได้รับเข้าไปในร่างกาย เราก็รู้ก็เข้าใจ 

_สู่แดนธรรม... มีคนรายงานว่าผลไม้นี้มาจากไหนบ้าง เงาะมาจากวังจันทน์พฤกษา แตงโมริมมูลโดยกลุ่มศรีโคตรบูรณ์ กล้วยจากสวนพวกเราหลายๆสวน ฟักทองจากสวนปู่เถา 

ผมฟังพ่อท่าน ผมได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า การวิมุติหลุดพ้นของชาวอโศกมีรูปธรรมชัดเจน ไม่ใช่บรรลุที่ยังเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ละเมอเพ้อพกเป็นภพเป็นชาติ แต่การบรรลุของพวกเรานี้ถึงแม้จะหลุดพ้นจากรูป เราก็มาสร้างรูปให้เกิดเป็นเศรษฐกิจ การสอนธรรมะที่มีประโยชน์ของพ่อท่าน โลกน่าจะต้องการมากนะครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ มันไม่งมงาย มันรู้จักประโยชน์คุณค่าหรือความไร้ประโยชน์และไร้คุณค่า นอกจากไร้ประโยชน์คุณค่าแล้วยังเพ้อพกละเมอไป มันยิ่งมีความจริงว่ามันเป็นนิรมานกาย เป็นสิ่งที่สร้างลมๆแล้งๆแล้วไปหลงใหลว่าเป็นทิพย์ เป็นสิ่งวิเศษอะไรต่ออะไรไปเป็นเรื่องลึกซึ้งของจิตวิญญาณที่สามารถเป็นได้ไปโน่นเลย มันก็เลยยิ่งไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้คุณค่า และเพ้อเจ้อหลงใหลเลอะเทอะ หนักเข้าเป็นบ้าได้ 

 

เรียนรู้ความเป็นกายในเรื่องเศรษฐศาสตร์

อาตมากำลังขยายความเรื่องกาย ซึ่งคำว่ากายนี้มีตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสุดท้ายจบ ต้น กลาง ปลาย  เช่น รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วก็มาปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 เริ่มต้นด้วยกาย กายนอกแล้วก็มีกายในกาย แล้วเข้าไปหาภายในไปเรื่อยๆ เป็น เวทนา จิต ธรรม

ลึกเข้าไปจนสามารถทำจิตเจตสิกต่างๆให้มันเป็นธรรมะที่เป็นโลกุตระลึกซึ้ง ลึกเข้าไปเจริญเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 ขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยฐานสำคัญคือโพชฌงค์กับมรรคมีองค์ 8 นั่นก็เต็มสูตร 7 หลักในโพธิปักขิยธรรม 37  สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8  ครบ นี้เป็นโลกุตรธรรม 37 ในศาสนาพุทธ 

พวกเราเรียนและเข้าใจ  เอาไปปฏิบัติ เกิดมรรคเกิดผล อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกเรานี้เรียนรู้ธรรมะเกิดมรรคเกิดผล จนกระทั่งเป็นจริง  มีคนหลุดพ้น มีคนเข้าใจปล่อยวางเรื่องรักโลกียะจนกระทั่งขั้นหยาบ จนกระทั่งสูงขึ้นสูงขึ้นละเอียดขึ้น แล้วชีวิตที่ มีเรื่องโลกีย์ในโลก โลกกับเรื่องการติดๆในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสลดลง จึงมาอยู่รวมกันเป็นคนกลุ่ม สังคมหมู่กลุ่ม ที่เป็นสาราณียธรรม 6 มาอยู่รวมกัน มีชีวิตร่วมกัน มีชีวิตดำเนินไปด้วยกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง จริงๆแล้วอาตมาว่ายิ่งกว่าพี่กว่าน้องเลย เพราะมันมีภูมิธรรมละเอียดลึกซึ้งสนิทใน เนียนใน มันไม่มีภาวะที่มันแบ่งตัวตน มันสลายตัวตนได้มากจริงๆ มันจึงอยู่กันได้เป็นมวลครอบครัวนี้ใหญ่ด้วย แล้วก็ไม่แย่งไม่ชิงอะไรกัน  แบ่งกันกินกันใช้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ใครบกพร่องใครขาดใครเหลือก็เกื้อกูลเจือจานกัน

มันจึงเป็นพฤติกรรมที่มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีผลผลิตก็มารวมกันไม่ไปเสียเวลาผลิตสิ่งที่ไร้สาระ พวกเราเป็นคนที่กอบกู้เศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติสังคม นี่แหละคือการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้ ไม่ได้ไปหลงใหลเศรษฐกิจบ้าๆบอๆ ไปสำคัญที่ตัวเงิน แล้วก็เลยไปหลงใหลตัวเงินตัวทองกัน ไปหลงใหลที่รายได้ตัวเลขของเงินกัน มันไปใหญ่

การเจริญของเศรษฐกิจการเจริญของชีวิตมนุษย์คือการเจริญไปทางโน้น  นี่แหละเข้าใจเศรษฐศาสตร์แบบเทวนิยม แบบขาเดียว แบบโง่ๆ มันไปกันใหญ่เลย แล้วทั้งโลกเขาเข้าใจอย่างนี้กัน ในเมืองไทยนี้มีผู้เข้าใจเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบของพระพุทธเจ้าคือชาวอโศกนี้ชัดเจน 

จึงมามีเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจแบบพระพุทธเจ้า ก็ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ   

นี่แหละคือคนบรรลุเศรษฐศาสตร์ บรรลุเศรษฐกิจจริงแท้ ไม่ได้ไปเที่ยวเป็นผู้ที่จะเป็นภาระของกลุ่มหมู่สังคมอื่น พวกเราอุดมสมบูรณ์ มีพออยู่พอกิน เหลืออยู่เหลือกิน แจกจ่ายเกื้อกูลผู้อื่นไป นี่คือคนที่สร้างเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เอื้อเฟื้อเจือจานแก่สังคม 

เพราะสังคมมีกิเลสมันก็มีแต่ตะกละตะกลามไม่พอ วัตถุแท่งก้อน ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่พอกอบโกยกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็ไม่พอ เสพย์แล้วเสพย์อีกเสพย์แล้วก็จัดจ้านขึ้น พวกเราเข้าใจแล้ว รสคือรส รูปคือรูป กลิ่นคือกลิ่น เสียงก็คือเสียง จบ มันไม่ได้ปรุงแต่งเพิ่มเติมอะไรมากมาย นี่เป็นการกอบกู้ความโง่ กอบกู้สิ่งที่มันทำให้เสียเวลา แรงงาน ทุนรอนไป คืนมาได้ นี่คือการทำงานเศรษฐกิจที่กอบกู้ความโง่ กอบกู้ความสูญเสียคืนมาได้ นี่เป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำ แต่เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของทางเทวนิยมของทางตะวันตกต่างประเทศ ที่เป็นความรู้ของศาสดา ขาเดียว ศาสดา รู้แต่เรื่องภายนอก เรื่องวัตถุ ไม่รู้เรื่องจิตที่สมบูรณ์ 

เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่สูงที่สุด เจริญที่สุดก็คือ คนจะมาเป็นคนมีวรรณะ 9 วรรณะหรือ the classes เป็นคนชั้นสูงมี 9 ขั้นอย่างพวกเราถือว่าเป็นคนมีวรรณะ 9 จริงเลี้ยงง่าย 

สุภระ ข้อที่ 1 แล้วก็มานั่งฟังธรรมเพิ่มความเจริญแล้วๆเล่าๆให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ 

สุโปสะ บำรุงง่าย พัฒนาให้เจริญขึ้นง่าย 

อัปปิจฉะ เอาแต่น้อย จนกระทั่งถึงฐาน 0 ก็ได้ 

สันโดษ หรือสันตุฏฐิ ใจพอ มัน 0 มันก็พอ มี 5 บาทก็พอ 10 บาทก็พอ 100 ก็พอ ใครที่มีความจำเป็นจะต้องมีเงินถึง 100 ถึง 1,000 ก็เอาขนาดนี้ พอก็คือ ไม่ไปเพิ่ม ไม่ไปแย่งชิงกับใครมาอีก มีส่วนเกินสัมผัสง่ายๆ ไม่ติด ไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียว กระจายเผื่อแผ่กันไป 

นี่คือความสำเร็จของนักเศรษฐศาสตร์หรือนักเศรษฐกิจที่สูงสุด สำเร็จถึงขั้นจบกิจ เศรษฐกิจที่จบกิจ จบคือ หมดตัวตน หมดกิเลสที่จะต้องเพิ่ม มีแต่สร้าง มีแต่ผลิต แล้วตัวเองก็อาศัยใช้สอยในสิ่งที่แรงงานที่เราทำ ความรู้ที่เราทำ ซึ่งมีเหลือมีเกินพอที่เรากินใช้ จึงเป็นคนมีกำไร จึงเป็นคนมีประโยชน์ เหลือ ก็สละประโยชน์ สละกำไรนั้น ให้แก่คนอื่นๆไป 

ซึ่งโลกเขาไม่สละ  เขาจะเอามากกว่าที่ตนเองทำได้ด้วยซ้ำ ตัวเองมีคุณค่า ค่าของคุณภาพหรือประสิทธิภาพของตนได้สัก 100 บาท คุณก็จะเอาให้เกิน 100 บาท ขี้โกงเขา  หาทางหาวิธีการที่จะเอาเปรียบเอารัด ด้วยวิธีซับซ้อนมาก ทุนนิยมสามานย์ แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ แล้วโลกเขาก็ใจทฤษฎีแบบนั้น พวกนี้เป็นเรื่องยืนยัน ชี้บ่งว่าเป็นคนเจริญทางเศรษฐศาสตร์ เจริญทางเศรษฐกิจ เพราะมันมีสมบัติมาก มันรวยมันเก่ง ที่ทำได้มากอวดอ้างเขาแล้วเอามาโชว์ โชว์แต่เงินทองนับกันไม่หวาดไม่ไหวก็เอาแปลงเป็นเพชร เป็นทองเป็นเครื่องอะไรตั้งราคา ในที่สุดเสื้อราคา 10 บาทถึง 20 บาทมันตั้งราคา 100 บาท คนโง่ก็บอกว่าข้ามีเงินซื้อ 100 บาท ทั้งๆที่ราคาทุนมัน 10 บาทอะไรอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคามันเป็นพันก็ขายเป็นหมื่นเป็นแสน คนโง่ก็ซื้อมาโชว์ว่า นี่ไง ฉันใส่เสื้อราคาหมื่น ราคาแสน ใส่แล้วมันเหาะได้หรือเปล่าวะ มันก็เหาะไม่ได้แต่ก็ถูกหลอกไป คนฉลาดคนโง่ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้

คนฉลาดโกงก็หลอกคนโง่ที่รวย ก็เป็นอย่างนี้ หมุนเวียนแล้วเกิดการสะพัด คนฉลาดที่โกงก็ได้ เขาก็อยู่กับระบบโกงกับระบบโง่นี่ แต่ชาวอโศกเรานั้นไม่แย่งรวย เข้าใจจน เข้าใจสร้างสรรค์ขยันเพียร ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ได้เป็นคนดูดาย สร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์คุณค่าไร้สาระ เลิก เอามาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า จึงเป็นผู้ที่เข้าหาสาระแก่นสารของชีวิตของสังคมมนุษยชาติ นี่คือผู้เจริญเศรษฐศาสตร์

คนเหล่านี้รู้จักองค์ประกอบ  รู้จักสิ่ง 2 คือกาย รู้จักจิต ที่ร่วมกันอยู่คือกาย 

 

วกกลับมาถึงกายต้องมี 2 อย่าง ต้องมีทั้งภายนอกภายใน มีแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่มีจิตวิญญาณเข้าไปเกี่ยวไม่ใช่กาย เพราะ ฉะนั้นถ้าเข้าใจผิดแค่นี้ก็เป็นโมฆะ​ หรือไปหลับตาไม่มีภายนอกเลยก็มิจฉาทิฏฐิอีก ผิด 

กายต้องมี 2 ข้างนอกข้างในร่วมกันอยู่เป็นอายตนะ ตลอดเวลาเสมอๆๆๆ แล้วก็วิจัยภาวะ 2 ใน 1 ภาวะ 1 ใน 2 อันนี้แหละ 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 

ตัวที่จะทำอย่างสำคัญจริงๆคือ เวทนา คือความรู้สึก  เพราะฉะนั้นความรู้สึกนี้มันมีสุขมีทุกข์ นี่แหละคือโลกุตระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ว่าถ้ามนุษย์เราเรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องเวทนานี้ อันประกอบไปด้วยเรื่องกาย ประกอบไปด้วยอัตตา ที่เที่ยวไปวุ่นวายเกี่ยวก่อให้เป็นกาย แล้วเป็นข้างนอกออกไปเรื่อยๆ เรียกว่าโลก กว้างขึ้น โลกมันไปเกี่ยวไปผูกไปพัน น้อยๆแคบๆก็กว้างขึ้นกว้างขึ้นจนเลยออกนอกโลกไปเป็นเจ้าโลกเลย ข้าจะต้องมีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นผู้เผด็จการหมด 

เพราะฉะนั้นในความรู้ความเป็นของชาวเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจเทวนิยม ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายจึงมีแนวโน้มแนวเน้นแบบนี้หมด ไม่มีมาเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบาย แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังมีส่วนเชื้อที่จะเหลือไม่เข้าใจโลกุตระบ้าง แต่จะหมดแล้วถ้าอาตมาไม่ฟื้นขึ้นมานี้ หายไปเลยนะ

จบ 22 เพราะฉะนั้นเราจบกิจของเศรษฐศาสตร์ ดูแลการอภิบาลการเลี้ยงดูกัน เศรษฐศาสตร์ก็มีการสร้างทรัพย์ศฤงคาร สร้างที่อยู่อาศัยกินขึ้นมาได้ แล้วก็แบ่งแจกเกื้อกูลกันไป ชาวอโศกสำเร็จจบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์จบกิจทั้งรัฐศาสตร์ เพราะเข้าใจกายเข้าใจจิตอย่างสมบูรณ์แบบ กายคือการเกี่ยวข้องจิตคือตัวเรา ตัวเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราจะมีปัญญามีธาตุรู้ที่เข้าใจวิจัยอะไรออก มีธรรมวิจัยสัมโพชงค์สมบูรณ์แบบ รู้ละเอียดลออจึงสามารถที่จะร่วมปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งสิ่งที่ควรปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยตาม กรอบ ของสังคมแต่ละกลุ่มแต่ละกลุ่มอย่างพอเหมาะ 

อย่างพวกเรานี้เหลือเฟือในเรื่องอาหารการกิน ถึงขั้นไปแจกเขาได้อยู่ ไปทำออกให้ข้างนอก ปลูกข้างถนนไปให้คนเขาได้เก็บกินเพราะเราอยู่ในของเรานี้กินเหลือเฟืออยู่แล้วส่งผลผลิตไปวางศาลาปันสุขก็ทำอยู่แล้ว ปลูกเข้าไปให้เก็บเอง เด็ดเอง มันขี้เกียจนัก
มีคนมองว่าอย่างนี้ก็ทำให้คนเขาขี้เกียจสิ.. ก็ให้มันขี้เกียจไปสิอยากจะโง่ไม่มีปฏิภาณทำไม บางคนเขาก็ทำ ทำไมเราทำเป็นเราก็ทำได้ทำไมเราไม่ทำจะเสื่อม ทำอะไรกันนักกันหนา คนฉลาดจะได้คิดคนโง่ก็แล้วไปเถอะมันโง่ก็ต้องโง่ไปสิ แต่จะเอาเปรียบเอารัดมีกิเลสเห็นแก่ตัวกันไป จะไปรับผิดชอบเขาได้อย่างไร ไอ้คนมันโง่ 

เราก็ให้คนได้คิดเหมือนกับเราทำการขายตลาดอาริยะต่ำกว่าทุน คนก็บอกว่าแบบนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัว เห็นกันได้ตอนแรกมันก็ใช่ ตอนหลังมันมีภาวะซับซ้อน ชาวอโศกมาเสียสละแล้วเราจะไม่ขี้โลภหรือความละอายก็จะเกิดขึ้นความสำนึกเกิดขึ้น เขาก็เปลี่ยนจิตของเขาเองว่าเราไม่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ขี้โลภเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่แย่งไม่ซิงไม่ขี้โลภเหมือนเก่า แต่ก่อนนั้นมาจองคิวอะไรกัน เวียนเทียนกัน เดี๋ยวนี้ก็สำนึกเกิดขึ้น 

นี่คือความเจริญของจิตที่เขาสำนึกและเขาก็เปลี่ยนแปลง อย่างนี้แหละเป็นผล ไม่ใช่ไปบังคับให้เขาหยุดให้เขาเจริญให้เป็นอย่างนี้ไม่มีบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพ คุณพัฒนาจิตของคุณให้เจริญเองเลย นี่คือการสร้างเศรษฐศาสตร์ สร้างให้คนรู้จักปฏิบัติกิจที่เป็นเศรษฐกิจที่ เป็นโลกุตระ เป็นเศรษฐกิจที่วิเศษ 

เพราะฉะนั้นในความเป็นเศรษฐกิจของชาวอโศกในโลกตะวันตก จบด็อกเตอร์มา 5 ใบ 10 ใบก็ไม่มีอย่างนี้ เพราะเกิดจากจิตเป็นประธานมีปัญญา รู้พอ รู้จบ มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)เพ่งทำลายกิเลส   มันยังเหลือสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ก็ขัดเกลาตนเอง กาย วาจา ใจ มีหลักเกณฑ์ให้ปฏิบัติที่สูงขึ้น  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) สุดท้ายเป็นคนไม่สะสมเหมือนพวกเรา สร้างสรรค์ไป ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา สบายๆ สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจก็มีแต่ความเกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟายกันไป ทุกคนก็มีแต่เพิ่มพูนการเสียสละ ชีวิตสุดท้ายปลายเปิด  ชีวิตคนนี้มีแต่พัฒนา ความเสียสละๆๆๆ จนกระทั่งเสียสละได้อย่างสุดยอด อย่างเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา มีวัง มีเวียง มีสมบัติ เกิดมารู้ตัวว่า เราต้องเป็นพระพุทธเจ้านี่ก็หนีเลยเดินออกมาเฉยๆเลย สมบัติพัสถาน ทั้งอำนาจบาตรใหญ่ ทรัพย์สินเงินทองก็หนีออกมาเฉยเลย เลิกเลย  มาถอดเครื่องทรงแบบกษัตริย์ออกมา นุ่งห่มผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล เดินเท้าเปล่า แต่ก่อนฉลองพระบาทเป็นทองคำ สมัยโบราณเป็นทองคำจริงๆ มาเดินพระบาทเปล่าเฉยๆเป็นสุขุมาลชาตินะพระพุทธเจ้า แน่นอนเท้าบางแน่ แต่ท่านก็มีบารมี ไม่มีปัญหา อย่างนี้เป็นต้น 

คือมันไม่ใยดีไม่แยแสแล้ว สมบัติโลก พอรู้ตัวก็ไม่เอาแล้ว อย่างอาตมาไม่ต้องถึงพระพุทธเจ้า พอรู้ตัวแล้วก็ไม่เอา มาทางนี้เลยแล้วก็พาพวกคุณมาจนได้ จนสำเร็จด้วย ซึ่งมันเป็นทฤษฎีที่ชาวเทวนิยม ชาวโลก ชาวโลกียะเขาบอกว่าอะไร ว่ามาจนยังไง 

แล้วมันซับซ้อนเป็นสิริมหามายา มาจนทำไมมันรวยๆ มันเอาแต่แจก ทำไมมันรวยได้ไง ดูที่นี่อะไรๆก็ดูอุดมสมบูรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือเครื่องใช้ดูสิทำให้คนมาเล่นมาอาศัยมากินมาใช้ จ่ายนะ เครื่องเล่นทั้งหลายก็จ่าย แล้วแถมจ่ายค่าไฟทุกวัน รวมแล้วหลายแสนต่อเดือน 

ในบ้านราชเรานี่ ตั้งแต่มาใหม่ๆก็มีคนมาทำงาน จนเดี๋ยวนี้มีคนงานมาอาศัยทำมาหากินตั้งแต่เรามาอยู่ก็หลาย 10 ปีแล้ว เขาก็ทำมาหากินจนกระทั่งตั้งหลักตั้งฐานะของเขาได้ เยอะแยะไป รวยกว่าพวกคุณ รวยกว่าพวกเรา พวกเราเป็นนายทุน เป็นคนจ่าย แต่ทางโน้นเขารวยกว่าพวกเรา 

_สู่แดนธรรม... เขามีรถแทรกเตอร์ 

พ่อครูว่า... มีทุกอย่างมีสมบัติพัสถาน พวกเราก็มีแต่รถส่วนกลาง มันดูแล้วมันสลับ แต่พวกเราไม่สับสน เราชัดเจนแล้ว เราเต็มใจยินดีอย่างนี้ พวกนั้นเขาจะต้องอาศัยติดยึดอยู่ ก็เป็นไป เราไม่มีปัญหาอะไร 

นี่คือความรู้ของมนุษย์ นี่คือความสำเร็จ ความรู้ของมนุษย์ ความสำเร็จที่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมโลกเขา แล้วเราเป็นตัวประโยชน์ เป็นอายะ พหุชนหิตายะ เป็นคนมีประโยชน์ ที่แท้จริง พหุชนะคือมวลประชาชน คือมี อธิปไตย 3 แล้วก็มี อายะ 3

อธิปไตยก็คือมวลประชาชน ประชาธิปไตยคืออธิปไตย 3 แล้วประชาชน พหุชนะ มวลประชาชน มีประโยชน์คุณค่าที่อาศัย ประโยชน์คุณค่าที่ทำให้คนสุขสงบ หิตะประโยชน์ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ประโยชน์ที่จะกระจายไปทั้งโลก โลกานุกัมปายะ ชาวอโศกทำสำเร็จแล้ว นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ นี่คือพุทธศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์ของศาสดาเทวนิยม นี่เป็นศาสตร์ของศาสดาพระพุทธเจ้า เป็นอเทวนิยม  ครบทั้งรัฐศาสตร์ ครบทั้งเศรษฐศาสตร์ จบกิจทั้งรัฐศาสตร์ จบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์ 

ที่อาตมาพูดไม่ได้ขี้ตู่นะ คุณมาตรวจสอบวิจัยเอาได้เลยนะว่านักศึกษาจะมาทำวิจัยชาวอโศกนี้ ในเรื่องเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ ต่อไปจะมีเพิ่มขึ้นๆๆ ซึ่งมันไม่มีในตำราของเทวนิยม ไม่มีในตำราของทางตะวันตก ยุโรปอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งตะวันออกกลางแล้วยิ่งไม่รู้เรื่องเลย 

มันมีในตะวันออกและอยู่ในประเทศไทยนี้สำคัญที่สุด สูงที่สุดสวยที่สุด ถึงขั้นจบกิจ 

อาตมาพูดอธิบายนี้มันก็ขยายด้วย แล้วก็สรุปด้วย เพราะเราเข้าใจกายที่เกี่ยวข้องภาวะ 2 แล้วเราทำจิตของเราให้จบกิจได้ กายมีภาวะ 2 ก็รู้จักกรอบ รู้จักขนาดที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ทำให้มันลงตัวทำให้มันได้พอเหมาะพอสม ปโหติ เป็นกรอบๆ ตามที่เราเกี่ยวข้องตามแต่ละองค์ประกอบทุกองค์ประกอบ 

คนที่เก่งขึ้นก็ทำให้เกิดองค์ประกอบได้กว้างขึ้น อย่างอาตมานี่เก่งพอสมควร ทำให้พวกเราเกิดเศรษฐกิจ หรือการเมืองรัฐกิจ บริหารกัน มีอะไรก็แบ่งแจกกัน เอามาเกื้อกูลช่วยเหลือกันกินใช้ร่วมกันเป็นเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ขยายออกไป มีในแวดวงของพวกเราที่เป็นสมาชิกอุดมสมบูรณ์แล้วก็เผื่อแผ่ออกไปแก่คนที่ไม่ใช่สมาชิก มีไหม เราเผื่อแผ่ออกไปเกินกว่าพวกที่ไม่ใช่สมาชิกชาวอโศกมีไหม.. มี 

มันก็สำเร็จแล้ว พวกเราพึ่งตัวเองรอดมีเหลือ แล้วเกื้อกูลผู้อื่นได้ ก็เป็นคนในโลกที่มีเศรษฐศาสตร์หรือมีเศรษฐกิจจบกิจแล้วไง ไม่ได้เป็นภาระรัฐบาล ไม่ได้เป็นภาระสังคม ไม่ได้เป็นภาระแก่ใครๆ 

นี่คือการพัฒนาเศรษฐกิจถึงขั้นจบกิจ เศรษฐศาสตร์ของเทวนิยมไม่รู้จักการจบกิจ ไปหลงอยู่แต่ตัวเลขของรายได้ แล้วรายได้ก็พิกลพิการจะเอาเปรียบได้เปรียบ เจริญมันจะต้องมีเปรียบให้ได้มากๆมากๆแต่ของพระพุทธเจ้านี้ สูญ ผู้จบรายได้ 0 ไม่ต้องมาสะสมอีกแล้ว นี่ต่างหากคือจบกิจที่เจริญสูงสุด มันทวนกระแสกันเลย แล้วเขาจะเข้าใจได้ไหมนี่ เขาจะเข้าใจได้ไหม ข้างนอกเทวนิยมโลกทั้งโลก เข้าใจได้ไหม แล้วพวกคุณเข้าใจได้ไหม.. ได้ ทำได้ โอ้โห..สุดประเสริฐเลย เยี่ยมยอดเลย ทำแล้วยังทำต่อไปอีก ทันสมัย ใหม่เสมอ ก็จริง 

จะว่าไปแล้ว พลเอกประยุทธ์ นี่แหละเป็นโพธิสัตว์ที่กำลังทำต่อ ตามฐานานุฐานะของความเป็นพลเอกประยุทธ์ ในนัยยะที่อย่างนี้ อาจจะไม่เห็นรูปร่างคมแม่นแน่นแข็ง เหมือนมีรูปธรรม นามธรรมเหมือนที่อาตมาพาทำ แต่ฟังเขาทำมีนัยยะพวกนี้อยู่ 

นี่คือความลึกซึ้งของศาสตร์ที่มนุษย์จะเอาไปสร้างเป็นกิจ เป็นการเป็นงานที่จะทำอยู่ในสังคม ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่มีปรากฏการณ์ มีพฤติการณ์ที่เป็นโลกุตรธรรม ที่เป็นธรรมะอาริยะ ชนิดเหนือโลก ที่ว่าเหนือโลกก็คือโลกเขามันเป็นโลกียะ เขายังไม่มีจิตชนิดนี้เลย อันนี้มันถึงเป็นพิเศษเหนือขึ้นไป มันไม่ได้ทำง่ายๆ ถ้าจิตของคุณไม่เข้าใจ จิตของคุณไม่ลดละตัวตน ไม่เข้าใจอย่างมีปัญญา 8 มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้หรอก 

ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่าเป็นไปตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วเอามาประกาศสอนไว้ แล้วอาตมาก็นำของพระพุทธเจ้ามาขยายความให้พวกเราได้ฟัง แล้วพวกคุณก็มีบารมี  มีความเข้าใจทำได้ เห็นดี ก็มา เอาชีวิตมาทางนี้ นี่เห็นหน้านั่งๆกัน แต่ก่อนมีรายได้ปีหนึ่งเดือนหนึ่งเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้จ๋อย ไม่มีเงินเดือนเงินวันอะไรเลย บางคนมีเงินผู้สูงอายุ (โยมบอกว่าเก็บไว้แล้วเอามาถวายพ่อท่าน) 

พ่อครูว่า... ทำเท่ ได้เอาเงินของเขามา รัฐบาลเขาให้ ฟังๆแล้ว มันก็ดูตลกๆ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะให้ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร จะเอามาให้อาตมา อาตมาก็ใช้เงินเป็น ก็ทำการสะพัดไปอย่างนี้ กระจายสร้างสิ่งที่ควรสร้างให้แก่ผู้ที่ควรได้ เกื้อกูลกันไป อาตมาว่าอาตมาพูดไม่เก่ง อธิบายไม่เก่งนะ 

ตัวอย่างสังคมอโศก สังคมบ้านราชเอามาวิจัยให้ละเอียดดีๆ มีคนมาเที่ยว มารับบริการ มาอาศัย ทำงานได้รายได้จากที่นี่ไป แล้วก็ไปเลี้ยงชีวิตไป วันแล้ววันเล่า เยอะแยะคนรอบด้านตั้งแต่ชาวอโศกเรามาอยู่ จนเดี๋ยวนี้เขาก็ยังมาทำงานอยู่ที่นี่ หนักเข้าก็คงจะเอาลูกมาเรียนที่นี่ 

นี่มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า โลกุตรธรรมนี้ แม้ทุกวันนี้ก็ยังสถาปนาลงไปในสังคมมนุษยชาติได้ ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันไม่ง่าย มัน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) 

มันมีความสงบ ความสงบไม่ใช่สงบแบบอยู่นิ่งๆ กายปัสสัทธิคือกายที่ไม่ขยับเขยื้อนนั้นไม่ใช่ กายปัสสัทธิคือองค์ประกอบของภายนอก ภายใน ที่มีตัวขับเคลื่อนเป็นประธาน จิตเป็นประธาน จิตมันลดตัวที่ทำให้ไม่แคล่วคล่อง ไม่ปราดเปรียว ไม่มีอะไรที่มันจะมาต้านให้เสียความสมบูรณ์หรือเสียความไม่ดีไม่งาม ที่เรียกกันว่ากิเลส มันลดลงๆ ยิ่งกิเลสลด ภายนอก กายปัสสัทธิ ก็ยิ่งแคล่วคล่อง ว่องไวปราดเปรียว รับรู้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้เป็น กัมมัญญตา เป็นการงานที่เหมาะที่ควร ได้สัดส่วนที่ไม่มากไปไม่น้อยไป ไม่แรงไป ไม่เบาไป ได้ขนาดที่พอเหมาะ 

เพราะฉะนั้นความสงบของแบบโลกุตระ จึงไม่ใช่ความสงบคือหยุดการเคลื่อนไหว กายก็ไม่เคลื่อนไหว กายวิญญัติ คือไม่เคลื่อน วจีวิญญัติ ไม่ต้องพูด มโนนั้นหยุดคิดเลย เป็นอสัญญีสัตว์ เข้าใจความสงบแบบเดียรถีย์ เข้าใจความสงบแบบมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นความสงบ 2 อย่างของปัญญา ข้อที่ 3 เป็นโลกุตระนี้ มันจึงไม่ใช่ความสงบ แต่แค่มันไม่กระดุกกระดิก ไม่ขยับเขยื้อนทางกาย ไม่ขยับเขยื้อนทางวาจา..ไม่ใช่.. มันยิ่งขยับเขยื้อน แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว จิตยิ่งผ่องใส ยิ่งสะอาด มันไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆตื้นๆ แต่มันลึกซึ้งอย่างนี้ 

แล้วมีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติ ต่อสังคม(พหุชน) มวลมนุษย์ประชาชนทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ก็ต้องเจริญรัฐศาสตร์ก็ต้องเจริญ เมื่อมันเป็นสัมมาทิฏฐิแบบนี้เพราะเข้าใจกายเข้าใจจิต จิตมันชัดเจนแบบนี้เป็น จิตปาคุญญตา เป็น จิตปัสสัทธิ เป็นจิตสงบจากกิเลส มันยิ่งแคล่วคล่อง มันไม่มีอะไรหนืดๆเลย หนืดๆเหนียวๆชาๆเชื่องๆไม่มี ยิ่งแคล่วคล่องเร็วไว ทันโอกาสทันเวลา มันจึงช่วยสังคมได้มาก ได้คุณภาพประสิทธิภาพสูงส่งด้วย 

นี่เป็นวิชาการหรือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า  เป็นรัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่เข้าใจกาย เข้าใจจิต จนกระทั่งหมดความเห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตน ไม่ใช่มีแค่โวหาร ไม่ใช่ภาษาพูด 

การเห็นแก่ตัว ไม่มี หมดตัวตน เพราะฉะนั้นจึงเพิ่มพูนการเสียสละ เข้าใจแรงงานคือแรงงาน รู้จักพักรู้จักเพียร อัปปัฏติฐัง อนายูหัง ไม่ได้ทำงาน ร่างกายเป็นประโยชน์คุณค่า ตัวเราเองเจริญสูงสุดแล้วเป็นคนไม่สะสม เป็นคนยอดขยัน อปจยะ วิริยารัมภะ

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหมือน Robot ที่มีจิตวิญญาณควบคุม Robot คือหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ที่มีจิตวิญญาณเป็นพระเจ้าควบคุมหุ่นยนต์นี้ ทำงานตามที่พระเจ้าต้องการ

_สู่แดนธรรม... ใช้พลังงานน้อย

พ่อครูว่า... ใช้พลังงานน้อยแล้วทำงานได้เก่งมาก ประสิทธิภาพสูงส่ง เป็นหุ่นยนต์ที่ประเสริฐสุด รับใช้โลก รับใช้ประชาชน รับใช้มนุษยชาติอยู่ นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เกิดมาเป็นตัวคน จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านสร้างให้พวกเราเป็นมนุษย์ Robot มนุษย์หุ่นยนต์ที่มีพระเจ้าควบคุม แล้วพระเจ้าคือใคร คือตัวเราเอง จิตวิญญาณสูงสุด ไม่มีตัวตน

มีแต่ประโยชน์ พหุชนะ ประโยชน์ทำให้พหุชนมีสุข แล้วก็เป็นประโยชน์แก่โลก โลกานุกัมปายะ ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน พิสูจน์ได้ความเป็นจริงอันนี้ 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีตัวตนได้แล้วมาอยู่ในหมู่กลุ่ม  มีประสิทธิภาพของตัวเราทำได้เท่านี้อย่างนี้ แล้วเราก็ร่วมกันรวมผลผลิตรวมผลประโยชน์ เอาไปรวมกันแล้วกระจายออกไป นี่คือการจบกิจเรื่องเศรษฐกิจเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด 

ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยสำนักตักสิลาไหนในโลก ก็จบกิจสู้มหาวิทยาลัยโลกุตระของพระพุทธเจ้าไม่ได้ นี่คือมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ จบแบบนี้ เป็นคนแบบนี้ เชิญผู้ที่จบมหาวิทยาลัยสูงสุด ดร. Post Doctor จากมหาวิทยาลัยใดๆในโลก มาวิจัยมาศึกษาเอาได้ เพราะว่ามันจบกิจ มันจบแล้ว  มันสมบูรณ์แบบแล้ว มันไม่ต้องรู้ต่ออีกแล้ว กิจที่ควรทำมันไม่มีอีกแล้ว กตัง กรณียัง จบกิจ กิจอื่นนอกจากนี้ ไม่มีอีก (กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ)

คือรู้ ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ รู้ครบรู้จบแล้ว เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ก็ดี การประพฤติก็ดี มันมีการจบในคน คนที่จบที่เรียกว่า อรหันต์ คือคนที่จบ ที่ตนเองจบกิจตนเอง หมดภาระ ภาระตัวเองไม่เป็นภาระแก่ตน ไม่เป็นภาระแก่ใคร มันมีความขยันมีความรู้ สมรรถนะ ความสามารถอยู่ในตัวแล้ว  

แล้วเราก็ทำเต็มที่ด้วยความไม่มีตัวตน มันก็เกิดคุณภาพ เกิดผลผลิต เกิดสิ่งที่มนุษยชาติได้กินได้ใช้ได้อาศัย ไม่สูญเปล่า เป็นคนไม่เสียแรงงาน เสียเวลาทุนรอน ไปบำเรอกิเลส บำเรอตนเอง บำเรออารมณ์ ไม่ เราเก็บคืนมาได้หมด เป็นความสูญเสียที่เกิดจากความโง่ แต่ก่อนโง่ก็ไปสูญเสียกับมัน เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน เดี๋ยวนี้เรียกคืนได้หมด แล้วเอามาใช้ทั้งเวลา แรงงาน ความรู้ ความคิด ทุนรอน เอามาผลิตสร้างสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารให้แก่มนุษยชาติ 

จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดที่จะมีสาระแก่นสาร ที่ไม่มีความรั่วซึมสูญเสียอะไรได้มากที่สุด ครบที่สุด ผู้รู้อย่างนี้ มาทำอย่างนี้อย่างพวกเรา มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วเอามาทำได้

เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ในศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใด ศาสตร์ที่ชัดๆเด่นๆก็มีเศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์ซึ่งเป็นของสังคมทั่วโลก เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยใหญ่ที่สุด 

ศาสตร์ที่ต้องอาศัยกินอาศัยใช้คือเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์คือ

ศาสตร์ที่ต้องใช้การบริหารดูแลเกื้อกูลจัดสรรอะไรกันอยู่ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จบกิจ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จบกิจแล้ว ไม่มีตัวตนก็จะมีแต่ประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆๆๆ นี่แหละศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเป็นศาสตร์ที่สร้างคนให้เป็นคนมีแต่ประโยชน์ ไม่ได้มีโทษอะไร เป็นภัยเป็นภาระแก่โลก สำหรับผู้อื่นเลย 

อาตมาเข้าใจอย่างนี้แล้วพาพวกเรามาทำอย่างนี้ อาตมาว่าเกิดจริง เป็นจริง พวกเราเห็นด้วยไหม…เห็นด้วย ทำได้ไหม..ได้ ทำแล้วเสียด้วย แล้วเราก็ทำอยู่ทำต่อ ทำไมทันสมัยขนาดนั้น 

ยิ่งพูดไปก็ยิ่งอบอุ่น 

อาตมาได้อธิบายเรื่องกายทั้ง 9 ข้อไปแล้ว 4 ข้อ 

1. สักกายทิฏฐิ 

2. ธรรมะนิยาม 5 

3. สติปัฏฐาน 4 

4. สัตตาวาส 9 

5. วิญญาณฐิติ 7 

6. วิโมกข์ 8 

7. สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย 

8. บุคคล 7 

9. อรหันต์ ที่ทำกายแตกตาย ด้วยการแยกกายแยกจิตของตน เป็นดินน้ำไฟลมสำเร็จสุดท้าย คือ ปริโยสาน 

สัตตาวาส 9 คือมิจฉาทิฏฐิ และเราก็มีสัมมาทิฏฐิเป็นวิญญาณฐิติ 7 

วิญญาณฐิติมี 7 สัตตาวาสมี 9 มันมากน้อยกว่ากัน วิญญาณฐิติ 7 มีน้อยกว่าสัตตาวาสอยู่ 2 ข้อ สัตตาวาสมีมากกว่าวิญญาณฐิติอยู่ 2 

สิ่งที่น้อยไป 2 นั้นคืออะไรบ้าง 1. อสัญญีสัตว์ 2. เนวสัญญานาสัญญายตนะ 

อสัญญีสัตตายตนะกับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ 2 อย่างนี้วิญญาณฐิติไม่มีแล้ว ผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็มี จะมีมากมีน้อยก็นั่นแหละ ถ้ามีมากคุณก็เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ หรือว่าสัตว์ที่ไม่ตื่นง่ายๆไม่รู้ การเป็นสัตว์ที่นรกหรือเดรัจฉานทำความเดือดร้อน ทำความเสื่อมให้แก่ตนเองและสังคมยิ่งๆขึ้น 

พอรู้แล้วเป็นวิญญาณฐิติ ก็เป็นผู้ที่เลิกสิ่งที่เราโง่ สิ่งที่เราทำให้เกิดความเป็นสัตว์ ก็จึงกลายมาเป็นการเจริญ ตั้งแต่เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 2 ทำให้จิตลด หรือจิตไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ รู้จักวิธีสัมมาทิฏฐิรู้จักวิธีลดละนิวรณ์ทั้ง 5 ก็คือกิเลสทั้งหมดนั่นแหละ กิเลสทั้งหมดพระพุทธเจ้าประมวลไว้แล้วมีนิวรณ์ 5 

กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉาคือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ 

จนกระทั่งค่อยๆทำมาได้ วิธีที่ง่ายที่สุดก็นั่งสะกด ไม่ให้มันมีนิวรณ์ หลับตาสะกดจิตตามแบบฤาษี แบบง่ายๆตื้นๆ เขาก็ทำมาก่อนเป็นฐาน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้มันไม่จริง มันไม่ดับที่เหตุมันไม่รู้เหตุมันได้แต่กดทับๆๆไว้ ให้ไม่รู้ มันต้องมาแจกออก แจกออก แจกออกทีละคู่ ทีละคู่ ก็รู้ตัวกิเลสจริง รู้ว่า กิเลสมันโง่อย่างนี้ มันฉลาดมัน ไม่มีเสียแล้ว มันก็เจริญ มันเป็นอย่างนี้ ทำออกไปตั้งแต่หยาบที่รู้ก่อน กลาง ละเอียด มันก็เจริญเป็นขั้นตอนตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ตามหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าว่าไว้ แม้แต่จะทำตามศีลแต่ละข้อก็แล้วแต่ จุลศีล 43 ข้อก็ทำไล่มาๆ ไม่ถึง 43 ข้อหรอก จบอรหันต์ก่อน ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิดีๆ ศีล 5 ก็จบแล้ว เป็นอรหันต์ได้แล้วถ้าชัดเจน ถ้าฉลาดพอ ถ้ามันยังไม่ฉลาดพอ ก็แจกไปหาศีล 8 ไม่ฉลาดพอแจกไปหาศีล 10 ไม่ฉลาดพอ แจกไปเป็นศีล12 13 15 จน 20 จน 30 มันจะโง่ดักดานจนถึง 43 ก็ให้มันรู้ไป 43 แล้วยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็ไปไหนๆ ไปที่ชอบที่ชอบก่อนเถอะ ก็หมดปัญญาจะช่วยแล้วคน 

เพราะฉะนั้นคนที่เห็นความสำคัญของหลักเกณฑ์แต่ละข้อแล้วทำไปตามลำดับๆ มันจึงสามารถที่จะเรียนรู้ เหตุที่เป็นเหตุจริง ที่คนโง่ไปยึดไปติด เลิกได้เลิกได้เลิกได้ มันก็มีขั้นตอนเรียงลำดับไปอย่างสำเร็จเสร็จแน่นอนด้วย เพราะว่าทำให้กิเลสตัวโง่นั้น มันเลิกเลย มันไม่มีตัวเราอีกต่อไปๆๆ นี่เป็นทฤษฎีที่สุดยอดแล้วของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ รู้จักลำดับของจิต แล้วแบ่งจิตออกเป็นเจตสิกต่างๆ 

จนกระทั่งมาจับที่เวทนา 108 แล้วรู้จัก มโนปวิจาร

มโนปวิจาร คือ ปวิจรติหรือปวิจยะ คือจิตที่ได้มีการเลือกเฟ้นไตร่ตรอง พิจารณาแยกแยะออกไป เพราะฉะนั้นมันจะเกิดอยู่พระพุทธเจ้าก็ค้นพบว่ามันมีการเกิดได้ 18 หลัก   

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง 6 มีสัมผัส มีกาย แล้วมีภายนอกภายใน เมื่อสัมผัสแล้วมันก็โง่ สัมผัสแล้วก็เกิดเวทนาเกิดความรู้สึก รู้สึกสุขพอใจ รู้สึกทุกข์ไม่พอใจ จะเอาให้ไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วก็มีวิธีที่มิจฉาทิฏฐิทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ประเภทดับสัญญา มันก็เลยยังวนเวียนอยู่แค่ สัตตาวาส 5 

สัตตาวาส 4 ฌาน 1 2 3 4 มันก็เป็นฌานแบบโลกีย์คือดับสัญญา ลดสัญญาไม่ให้ทำงาน ถึงสัตตาวาสที่ 5 ก็ดับสัญญาเลย เป็น อสัญญีสัตตายตนะ เขาก็จบแค่นี้ 

จากนั้นไปแม้จะมี อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ หรือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เป็นอายตนะเก๊ๆ เป็นอายตนะเพ้อๆ ที่สร้างเอง  ปั้นเอง เป็นนิรมานกาย ว่าอากาศเป็นอย่างนี้ ว่างๆ วิญญาณเป็นอย่างนี้ ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่กิเลสมีอยู่เต็มตัวอยู่เลยนะ อากิญจัญญายตนะ เสร็จแล้วก็ไม่แน่ใจว่ามันมีหรือไม่มีจริงหรือเปล่า ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็อยู่แค่นี้ สุดท้ายก็งง มันใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่รู้ มันไม่สมบูรณ์แบบหรอก มันไม่รู้จริง มันไม่รู้ชัดอะไรหรอก มันก็เลยยังวนไปโง่อยู่กับ อย่างเก่งก็แค่ สัตตาวาส 4 แล้วจะทำให้สำเร็จก็ไปดับสัญญา ไม่ออกจาก อันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาเข้าใจกาย และจิตมีภายนอกภายใน รับรู้โลก รับรู้อัตตาอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็จะตีกรอบของตัวเองไปรู้จักเหตุตั้งแต่โลกอบาย กามคุณ รูปาวจร อรูปาวจร 

เมื่อดับกิเลสภายนอกได้แล้ว ก็ไม่ต้องหนีไปจากโลกกามาวจรหรือกามภพ อยู่ในนี้ทั้งหมดเราไม่หนีไปไหนแต่กิเลสตัวเหตุนั้นมันตาย เราฆ่ากิเลสนั้น มันมีปัญญาเข้าไปแทนแล้ว กิเลสไม่รอหน้ากิเลสเข้ามา ใกล้ไม่ได้แล้ว กิเลสไม่เกิดอีกแล้วในจิต  นี่เรียกว่า อยู่เหนือกามภพ อยู่เหนือกามาวจร คือ อวจร อยู่ในภพนี้แหละ แต่ไม่ได้หนีเข้าป่าเขาถ้ำเข้ารูเลย อยู่สัมผัสสัมพันธ์กับโลกเขา ครบเต็มๆนี่แหละ แต่จิตของเรามันมีประสิทธิภาพ อยู่เหนือ โลกุตระ 

เพราะฉะนั้น พวกที่หลับตาปฏิบัติหนีเข้าป่าเขาถ้ำนั้น มันน่าสงสาร พูดไปแล้วก็ได้แต่บอก ได้แต่เตือนว่า เลิกได้แล้ว หยุดได้แล้ว ไปงมงายอยู่กับเดียรถีย์วิชา มันเป็นวิชาของเดียรถีย์ ไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ย้ำยืนยันอยู่อย่างนี้ ขอยืนยันว่าอาตมาเจตนาดี ไม่อยากให้โง่งมงายอยู่อย่างนั้นต่อไป ผู้ใดตื่นขึ้นได้ก็เป็นกุศล จะเรียกว่าบุญนั่นแหละ เป็นบุญ คุณก็จะได้มากำจัดกิเลสได้ถูก ไปนั่งหลับตาอย่างนั้นไม่มีบุญหรอก บุญคือได้รู้กิเลส มีปัญญารู้กิเลสแล้วรู้จักการลดกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้จริง ซึ่งมันไม่ได้อย่างนั้นก็ไม่มีทาง จะมาทำอย่างที่อาตมาว่านี่ ของพระพุทธเจ้าพาทำมันจริง 

เพราะฉะนั้นเมื่อสัตตาวาส 9 นี้ สัมมาทิฏฐิ เป็นวิญญาณฐิติ 4 ฌาน 1 2 3 4 อย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิ อสัญญีสัตว์ ไม่มี ก็จึงจบ จบตรงที่ว่า สุดท้ายคุณก็มีอากาศกับวิญญาณ แล้วไม่มีกิเลส ไม่มีตัวเหตุที่ต้องเอาออกให้หมดมี อากิญจัญญายตนะ มีอากาศกับที่ว่าง กับธาตุรู้ แล้วธาตุรู้นะรู้ว่าไม่มีกิเลสที่ต้องทำออกอีกแล้ว วิญญาณฐิติจึงมีแค่ 7 ไม่ต้องไป ใช่หรือไม่ใช่ ไม่ใช่หรือใช่ไม่ต้อง เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีกแล้ว 

มีผู้ไม่เข้าใจ มีผู้ไม่รู้ว่า ทำไม อรูปฌาน ทำไมมันเหลือ 3 ตัวไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เพราะมันมีปัญญา มันมีกาย มีจิต มีองค์ประกอบของโลก ของอัตตาครบ เรียงลำดับมาหมด ถูกต้องหมดครบ ไม่มีอะไรตกหล่น ไม่มีอะไรเป็นเศษละอองธุลีที่จะมากวนอีกเลย หรือว่ามาแฝงๆ ไม่มีอะไรแฝง

อาตมาก็พยายามอธิบายวนเวียนอยู่อย่างนี้  รำคาญไหม…ไม่ รู้จักเพิ่มขึ้นไหม…เพิ่มขึ้น เอ๊.. ก็วนเวียนพูดภาษาเก่าไม่เห็นมีภาษาใหม่เท่าไหร่เลยนะ 

แต่มันฉลาดขึ้น มันเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงๆ เป็นอานิสงส์ 5 ประการจริงๆ คุณมีอานิสงส์ 5 ประการ จบ เป็นอรหันต์ คุณก็จบตัวเอง คุณรู้แล้วคุณก็ทำได้ด้วยก็จบที่เป็น อุภโตภาควิมุติ เลย นอกนั้นเราก็รู้ว่าคนต่อๆไป โพธิสัตว์ก็รู้ของผู้อื่นคนนั้นคนนี้เขาก็มีของเขา เป็นอย่างไร ไม่เหมือนของเราทีเดียว ไม่เหมือนอย่างไรก็ค่อยๆรู้ ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง แล้วเราก็เอาโครงสร้างที่เราทำได้นี่แหละมาให้เขารู้ มันจะมีโครงสร้างหรือมีทฤษฎีสำเร็จของพระพุทธเจ้าเอาไปให้เขาให้สัมมาทิฏฐิ เขาก็จะทำได้เหมือนเราทำได้ เพราะว่าธรรมะมันจะเป็นอันเดียวกัน ของพระพุทธเจ้า รู้จักกายรู้จักจิต แยกกายแยกจิต 

การแยกกาย แยกจิตที่เป็นวิโมกข์ 8 ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 อยู่ด้วยกาย ตัววิโมกข์ 8 เองมี 

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) 

2. ผู้ไม่สำคัญมั่นหมาย รูปในภายใน เห็นรูปในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข  โหติ)

   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

4 อากาสานัญจายตนะ 

5 วิญญานัญจายตนะ 

6 อากิญจัญญายตนะ 

7. ผู้ที่ล่วงพ้น  อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ  (สัพพโส  อากิญ-จัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   เนวสัญญานาสัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ ฯ)  หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้  และไม่มีที่จะไม่รู้  .

8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   สัญญาเวทยิตัง   นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ)   หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์

ปัญญามัน รู้จักหน้ากิเลสหมด กิเลสก็หายไปหมด จิตของเราเป็นปัญญา 

ฟังอาตมาไปคุณจะตรวจสอบตัวเองไปโดยอัตโนมัติถ้าเข้าใจแล้ว แล้วคุณจะรู้ว่า อ๋อ… เราเป็นโสดาบัน สกิทาคามีหรือไม่ ยิ่งเข้าใจกรอบของโสดาบันเท่าไหร่ สกิทาคามีเท่าไหร่ อนาคามีเท่าไหร่ อรหันต์ มีเท่านี้ได้ จบกิจเท่านี้แล้ว จบกิจแล้วจริงๆคุณก็จะรู้ 

เพราะฉะนั้น ความหมายของอรหันต์คือ อรหะกับอันตะ 

อรหะคือไม่ลึกลับ อันตะคือสิ้นสุด มันมีความไม่ลึกลับ มันแจ้งจบแล้ว ไม่ลึกลับ สุดความลึกลับแล้ว อะไรลึกลับไม่มีอีก อรหะ อรหัง ไม่ต้องรบกับกิเลสอีกแล้วเรียกว่า อรณะ  คำว่ารณะ แปลว่าสงครามธรรมาธรรมะสงครามรบกับกิเลส คนเป็นอรหันต์แล้วจบ ไม่รบกับกิเลส เป็นบุคคลที่หมดความลึกลับหมดสิ้นกิเลสแล้วหมดจบกิจแล้ว 

อรหันต์ก็จบกิจอย่างนี้ ไม่ต้องมีสงครามกับตัวเองอีกแล้ว ก็มีแต่ไปช่วยผู้อื่น จะทำสงครามก็ทำช่วยผู้อื่น ซึ่งมันก็จะว่ายากก็ยากเพราะคนอื่นมันไม่ให้เราทำได้ง่ายๆ แล้วเราก็เจตนาดี ใช้ภาษาหยาบก็เรียกว่า เสือใส่เกือก เจตนาดีจะช่วยคนอื่นเขา อยากจะให้เขารู้จักอย่างที่เรารู้แล้วจบกิจได้อย่างที่เราเป็น เพราะฉะนั้นคนที่เขามีอัตตา มีความยึดถือตัวเอง มีความยึดถือความรู้ มีความเข้าใจผิด ก็ไม่อยากให้เราไปทำ เพราะว่าไม่เชื่อ 

แต่คนที่เขาเชื่อ คนที่เข้าใจ เขาให้ทำจึงได้ประโยชน์ ได้บรรลุไปเรื่อยๆๆๆ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านสอนมาช่วงนี้ คนน่าจะเอาไปเรียนในมหาวิทยาลัย

พ่อครูว่า… อาตมาเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามา เขาก็ยิ่งไม่เชื่อเพราะ 2 สำนักใหญ่ มหาจุฬาฯกับมหามกุฏได้ข่มอาตมาไว้แล้ว ตัดไม้ข่มนาม ไม่ให้อาตมาเงยหูเงยหัวขึ้นมา แต่อาตมาไม่ยอม อาตมาก็พยายามเสนอ ก็มีคนที่ไม่อคติ มีคนที่แสวงหาอย่างจริงใจ ไม่อคติ ไม่ไปกำหนดว่าอาตมานี้ไม่รู้ อาตมาเป็นคนผิด อาตมาไม่มีภูมิธรรมโลกุตระจริง เขาไม่มีอคติอันนี้ เขาก็ได้ยินได้ฟังบ้าง ถ้าเขามีบารมี มีภูมิธรรมก็จะรู้ว่าอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ใช่ ไอ้ที่เราเรียนมาบางคนแก่จะตายแล้ว ยังไม่บรรลุเลย อ๋อ.. อย่างนี้ เออเข้าท่า 

ปฏิภาณปัญญาของคน มันบังคับกันไม่ได้ คนที่มีมันก็มี มีอันนี้เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะต่อต้าน การที่จะเข้าใจผิดไม่ให้อาตมาทำก็ลดลงๆๆ 

เพราะฉะนั้น อาตมาก็ยังเห็นการลดลงนี้ยังไม่มากพอ จึงอยากจะอยู่พิสูจน์ธรรมะนี้ไป ถ้าอยู่ไปอีกจนอายุ 133 ปีนี่นะ มันก็คงจะชัดเนาะ (สาธุ ) มันคงจะชัด คงจะเสนอผลงาน เสนอทฤษฎี อธิบายความยากให้ง่ายเข้าใจได้ขึ้นไปยิ่งขึ้นๆๆ เขาก็มีฐานรองรับเพิ่มขึ้นๆ เจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นมาตามลำดับๆๆ จนสมบูรณ์แบบไพบูลย์ นิติตะวันเลย 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านมาทำผลงาน ทำบารมีในชาตินี้ ผลงานที่พ่อท่านทำ มีความเจริญมากกว่าในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชท่านได้กระทำไว้ ผมว่ายุคนั้น เจริญได้แผ่กระจายไปกว้างมาก แต่ว่าวัดกันทางเศรษฐกิจแล้วสู้ในยุคปัจจุบันนี้ไม่ได้เลยนะครับ 

พ่อครูว่า... ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจก็ตาม รัฐศาสตร์ รัฐกิจก็ตาม ความรู้ทุกวันนี้ เข้าใจกันมากขึ้น มันมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบขยายตัว มีรูปธรรม นามธรรม ที่ชัดเจนขึ้นมากกว่าเก่า 

 

มาขยายตรงนี้ ขยายบุคคล พระพุทธเจ้าท่านแจกบุคคลเอาไว้ 9 สำหรับบุคคล ระดับพระพุทธเจ้ากับระดับปัจเจกพุทธเจ้า ขอยกไว้ก่อน เหลือบุคคล 7 

บุคคล 7 1.อุภโตภาควิมุติ 2.ปัญญาวิมุติ  3.ทิฏฐิปัตตะ 4.กายสักขี 5.สัทธาวิมุติ 6.ธัมมานุสารี 7.สัทธานุสารี  

ก็มาไล่แต่ สัทธานุสารี คนที่มีศรัทธา จะเป็นจริต จะเป็นตระกูลของแต่ละคนก็ได้จะเป็นศรัทธาจริต ศรัทธาแกนนี้ 

ส่วนธัมมานุสารี เป็นแกนธรรมะกลางๆ ซึ่งจะมีพุทธิจริตก็ได้ หรือจะมาค่อยๆจากศรัทธาจริตขึ้นมาหาพุทธิจริตคือปัญญา ก็พัฒนามา 

เพราะฉะนั้น ต่ำสุด แย่สุดก็คือ สัทธานุสารี นี่ไม่ได้ไปกดไปข่มพวกสายศรัทธานะ ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน แต่กำลังอธิบายสารัตถะของวิชาการ เพราะฉะนั้นจะรู้ช้า ศรัทธาจะรู้ช้า 

ถ้าเป็นธัมมานุสารีก็จะรู้เร็วขึ้น ท่านอธิบายเอาไว้ว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธานำกับปัญญานำ ธัมมานุสารีก็เป็นผู้ที่มีปัญญานำ สัทธานุสารีก็เป็นผู้ที่มีศรัทธานำ 

เพราะฉะนั้น คนที่แม้จะมีตระกูลจริตมาแต่เดิมเป็นศรัทธาก็ตาม ก็พัฒนาขึ้นได้ ให้มันมีปัญญาจนกระทั่งสักชาติหนึ่ง ก็มาเป็นปัญญาแทน ไม่ต้องไปเป็นศรัทธาที่ช้าเหมือนอย่างเดิม รู้ช้า รู้ยากเหมือนอย่างเดิม เร็วขึ้น รู้ได้มากขึ้น ไวขึ้นได้ 

อันที่ 3 สัทธาวิมุติ คำว่า วิมุติ คำนี้เน้นตัวตระกูลศรัทธา ยังไม่มีทิฏฐิ ยังไม่มีความเห็น ยังไม่มีความเข้าใจ ยังไม่มีเชิงปัญญามาก เพราะฉะนั้น สัทธาวิมุติ จึงจะวนในสัทธาวิมุติ นาน อีกนาน เช่น ไปเอาแต่สะกดจิตแต่เข้าใจแต่ว่าจะทำให้เกิดวิมุตก็คือดับกิเลสกลายเป็นดับสัญญา ไม่เข้าใจว่าต้องมาทำจิตอื่นทำให้เกิดปฏิภาณปัญญารู้จักโลกรู้จักอัตตา แล้วก็จะมีรายละเอียดจับ

กิเลส ลดกิเลสให้ได้ไปตามลำดับ กว่าจะรู้ก็ช้า 

เพราะฉะนั้นในลำดับที่ 4 ทิฏฐิปัตตะ เป็นผู้ที่มีความเห็น เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ ปัตตะ คือ บรรลุ ปฏิภาณปัญญา ถ้าเป็นธัมมานุสารีก็ข้ามสัทธาวิมุติไปได้เลย เร็ว ไปเป็นทิฏฐิปัตตะ ก็บรรลุด้วยทิฏฐิที่สัมมาทิฏฐิ ผู้บรรลุก็จะมีกายสักขี มีหลักฐานพยานครบทั้งภายนอกภายในคือกาย 

สัมผัสข้างนอกก็วิมุติ จิตก็วิมุติ ก็จะมีปัญญา มีปฏิภาณปัญญาเข้าใจ เพราะฉะนั้น สายธัมมานุสารีหรือสายที่เข้าไปถึงทิฏฐิปัตตะได้เร็ว ข้ามกายสักขีมาเป็นปัญญาวิมุติ จึงทำอาสวะสิ้นได้ เพราะมันครบกาย ครบจิต 

ส่วนสัทธาวิมุตินั้นไม่ครบกายครบจิต กว่าจะมาเป็น ทิฏฐิปัตตะ กว่าจะมีกายสักขีสมบูรณ์ขึ้น กว่าจะเป็นปัญญาวิมุติได้ ก็นาน

เพราะฉะนั้น เมื่อสายศรัทธามีปัญญาวิมุติจึงจะเป็น อุภโตภาควิมุติได้ จึงจะทำอาสวะสิ้นหมดได้เมื่อมี 2 แต่ปัญญาวิมุติ สายปัญญานั้น สายพุทธิจริตนั้น มาถึงปัญญาวิมุติ ก็ทำอาสวะสิ้นหมดได้ก่อน 

เพราะรู้จักกาย รู้จักจิต กายต้องมีภายนอก ไม่ใช่หลับตา ไม่อยู่แต่ภายใน เพราะฉะนั้นจึงพูดอีก ย้ำตีหัวตะปูอีก หลับตานั้นเลิกไปเลยมิจฉาทิฏฐิ พวกโมฆะบุรุษ มันไม่ได้หรอก คุณปฏิบัติธรรมไม่มีกาย ไม่ยอมรับภายนอก มันไม่มีความจริง ไม่มี ทิฏฐธรรม มันไม่เป็น ทิฏฐกาละ ไม่มีปัจจุบันชาติ  มันมีแต่อดีตกับอนาคต อาตมาก็ไม่มีพยัญชนะมากกว่านี้เนาะ มันมีแต่วนอยู่ในเรื่องเก่ากับเรื่องที่เขาฟุ้งเฟ้อไปในอนาคต คิดฟุ้งไป มันไม่มีสัจจะที่ชัดเจน ครบเลย มีฐานที่ตั้งของความจริง ทุกคนรู้ร่วมกันได้

คุณไปนั่งหลับตา คุณคิด ใครจะไปรู้ร่วมกับคุณได้ คุณก็ไปอยู่ในภพของคุณ เป็นนิรมานกาย เป็นองค์ประชุมที่คุณเนรมิตเอง แล้วคุณก็มีพรรคมีพวก เป็นสัมโภคกาย พูดกันรู้เรื่อง แต่ต่างคนต่าง อทิสมาน ต่างคนต่างไม่เห็น ไม่รู้ของใครของใคร คุณรู้ของคุณคนเดียวของกู ก็รู้ของกูเท่านั้น แต่ก็ทำเป็นโมเมเหมือนรู้ร่วมกัน  แต่ที่จริงไม่ได้ร่วมตรงไหนเลย  

นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย คนที่ไม่มีที่ตั้งของกายนี้เป็นสัมภเวสี ไม่มีที่ตั้งของความจริง จะมีนิพพานต้องเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฐิ เพราะจะเรียนนิพพานต้องมีทิฏฐธรรมหรือทิฏฐกาล ต้องเป็นปัจจุบันชาติ เป็นหลับตามีแต่อดีตกับอนาคตก็อยู่ในทิฏฐิ 62 ของพระพุทธเจ้านั่นแหละมีแต่มิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 ให้เลิกเสียที ตื่นเสียทีตื่นเสียที 

_สู่แดนธรรม... ถ้าเขาบอกว่า เขาลืมตาออกมาแล้วเขาก็เดินสำรวม ไม่มองรูปไม่วอกแวก

พ่อครูว่า... คำแปลในพระไตรปิฎกว่าอย่างนี้เลยนะ ไม่ใส่ใจอย่างนั้นอย่างนี้ ก็โง่ดักดานต่อไป เขาไปแปลมสิการ ว่า ใส่ใจ อมนสิการคือไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ 

อมนสิการคือ การทำใจในใจ ที่มีผลสำเร็จเป็นโยนิโสมนสิการจนไม่ต้องมนสดิการอีก เรียกว่า อมนสิการ มันเป็นความหมายซับซ้อน ก็เข้าใจอันนี้ไม่ได้ เขาก็เลยไปแปลรวบรัด ว่า ไม่มีการสำคัญมั่นหมาย ไม่มีการทำใจในใจ แล้วคุณจะทำอะไร ทำแต่กายในกายกายนอกกายเท่านั้นหรือ คุณไม่ทำใจในใจ ไม่เหมือนอมนสิการเลย 

_สู่แดนธรรม... ความหมายที่ว่าฉันคือบรรลุแล้วไม่ต้องไปมนสิการ 

พ่อครูว่า... ใช่ อมนสิการคือ โยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์จบกิจแล้ว คือคำว่าไม่กับคำว่ามี พระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 เรื่องความมีกับความไม่มี นัตถิกับอัตถิหรือโหติกับนโหติ มีกับไม่มี อันนี้เป็นเครื่องตัดสิน ถ้ามีเหตุเป็นโลกสมุทัย คุณก็ต้องดับสมุทัยให้ได้จนเป็นโลกนิโรธ ดับสนิทกับเหตุในโลกสมุทัยหมดแล้ว จบ โลกของคุณก็เป็นโลกุตระสบายชัดเจน

_สู่แดนธรรม... ถ้าเขาสำรวมตา สำรวมลิ้น เขาสำรวมกาย ไม่ต้องมีอะไรมากระทบลิ้นเลย แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปหาสิ่งกระทบลิ้นเลย 2 ฝ่ายนี้ เขาก็เถียงกันว่า ฝ่ายที่ไม่มีการกระทบลิ้นนั้นเจริญกว่า จะใช้อะไรตัดสินครับ

พ่อครูว่า... ก็ต้องตัวเอง นั่นแหละเป็นผู้ที่เรียนรู้ตัดสิน คุณจะโง่คุณจะไม่ยอมรับคุณจะไม่รู้คุณก็ไม่รู้ครบของคุณเอง  แต่ถ้าคุณเองสามารถเปิดจิตรับว่ามันไม่มีทวารเดียวนะมันมีทั้ง 6 ทวาร มีทวารทั้ง 5 อีกภายนอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้วเราก็ไปทำอยู่แค่ทวารเดียว ถ้าปฏิภาณที่ไม่รู้แค่ว่า คุณทำนึกว่าคุณจบอยู่ในทวารเดียวไม่มีความเป็นจริงในปัจจุบันชาติเลย มีแต่เพ้อพกคิดเอา หรือเอาอดีตมาคิด มันไม่เอาความจริงในปัจจุบันชาติที่มีจริงนะ อันนี้มีจริงกระทบจริง รูปมีจริง เสียงมีจริง กลิ่นรสมีจริง กิเลสมันก็เกิดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสจริงๆ หรือวัตถุสมบัติต่างๆ มันก็จริงนี่ มันไม่ใช่ของไปคิดเอาอยู่ในอดีต อยู่ในภพ อยู่ในฝันเฉยๆ แค่นี้คุณไม่เข้าใจ แล้วคุณก็จะยังยืนยันว่าทำอันนี้แหละได้หมด มีตาทิพย์หูทิพย์หมด ก็ของใครของมันแล้ว 

อย่างนั้นมันจะไปยากอะไรแค่ อสัญญีสัตว์ อาตมาทำมาหนักหนาแล้วไม่ใช่ว่าอาตมาทำไม่เป็นอย่างสายลับตาสายมหาบัว ไม่ใช่อาตมาทำให้เป็นไม่รู้จักนะ รู้ แต่ มันมีตัวเทียบเคียงกับมาทำอย่างที่อาตมาพาอธิบายนี้ อันนั้นมันคนละเรื่องกันเลย ห่างไกลกัน อย่างนี้ดีกว่าเยอะเลย อาตมามี 2 อย่าง อาตมารู้ว่าอะไรมันเหนือกว่าอะไร แต่คุณมีอันเดียวงมงาย เสนอให้อีกอันคุณก็ไม่เอา แล้วคุณจะเป็นอย่างที่ 2 มาเทียบเคียงได้อย่างไร ก็ต้องมาลองดูสิ ดีนะ เปิดจิตหน่อยก็แล้วกันอย่าไปปิดจิตไว้ ยึดแต่ของตัวเองถูกไม่มีอะไรถูกกว่านี้อีกแล้วคุณก็ปิดประตู 

_สู่แดนธรรม... เขาก็ยืนยันว่าทางนี้ทางเดียว

พ่อครูว่า... ทั้งนี้ทางเดียวที่จะโง่สมบูรณ์แบบ คุณก็ได้แบบนั้น มันมีทางนี้ทางเดียวคือของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้วก็ต้องรู้ 2 ทางมาเปรียบเทียบกัน ว่า 2 ทางนี้มันมีทางเดียวจริงๆนะ ทางนี้มันยังไม่ใช่ แล้วคุณก็ไปหลงอยู่แค่ทางเดียวที่เป็นทางอีกทางหนึ่ง ที่มีคนเสนอว่ามันไม่เหมือนนะ มันต่าง ถ้ามันมีต่างมันต้องก็มี 2 สิ 

มันมีต่าง มันมีนานา เพราะฉะนั้น ต้องมาลองอีกอันสิ แล้วคุณถึงจะรู้ว่ามันจบอยู่ในทางนี้ทางเดียว ทางเดียวคือรู้ว่า 2 มันยังไม่จบ มี 2 ไปหลงทางอยู่ 2 ทางแต่คุณโง่ไม่เอาอีกทางหนึ่ง คุณไม่มีทางจบหรอก คุณก็วนอยู่ในโลกโลกีย์อย่างเก่า 

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ 2 ใน 1, 1 ใน 2 เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วน 2 (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 

มันจึงเป็นจุดจบ เป็นแหล่งกรรมฐานเวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนา ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งของการปฏิบัติ แต่เขาก็ไปหลงผิดว่ากรรมฐานต้องไปนั่งหลับตา ไปออกป่าไปบุกดง มันไปกันใหญ่เลยน่าสงสาร มันไม่เข้าตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไปแปลก็เพี้ยนๆอีกไปตามที่เขาชอบ 

เพราะฉะนั้น อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้า ถกกับอัมพัฏฐมานพ ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็คือวิชชาจารณะสมบัติ คือ มีทรัพย์หรือว่ามีความรู้ในวิชชาจรณะ อัมพัฏฐมานพ ก็ถือว่าตัวเองมีวิชชาจรณะเป็นลูกศิษย์ผู้มีครูถ่ายทอดมา ท่องได้ไตรเวชครบ วิชชาจรณสัมปันโนทะลุ ต้องไปอ่านรายละเอียดใน อัมพัฏฐสูตร 

อาตมาตั้งใจอธิบายเรื่องกาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นบุคคล 7 เมื่อกี้พูดถึง 9 แล้ว 2 อันยกไว้คือของพระพุทธเจ้ากับพระปัจเจก ก็เอาตั้งแต่ อุภโตภาควิมุติ จนถึงสัทธานุสารี บุคคล 7 

ผู้ที่เรียนรู้บุคคล 7 นี้ได้แล้วรู้ว่า เราเองเราอยู่ในตระกูลศรัทธาหรือปัญญา แล้วได้ปฏิบัติจนกระทั่งถึง กายสักขี 

กายสักขี สามารถรู้จักกายแล้วจึงสามารถทำอาสวะสิ้นได้ ทิฏฐิปัตตะก็เริ่มนับ แต่ยังไม่เด่นชัดถึงขั้นมีกาย กาย จะมีทั้งภายนอกภายใน ทิฏฐิปัตตะ จะมีแต่ภายในหรือมีแต่ภายนอกยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเป็นกายสักขี ก็ครบทั้งภายนอกภายในว่ามีวิมุติ วิมุติ เป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญญาอันยิ่ง จึงทำได้ครบหมดเลยเป็นปัญญาวิมุติ ก็จบกิจเป็นอรหันต์ได้ ในบุคคลที่ 6 เท่านั้น ส่วนสายศรัทธานั้นต้องเติมปัญญา อีกอันหนึ่ง อุภโตภาควิมุติ เป็น 2 ศรัทธาพอได้แต่ยังไม่ถ้วนไม่รอบ จะต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ครบรอบมีกายสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกภายใน จึงจะเป็น อุภโตภาควิมุติ 

จริงๆแล้ว อุภโตภาควิมุติ กับ ปัญญาวิมุตินั้น ปัญญาวิมุติสูงกว่า บุคคลที่ 6 สูงกว่าบุคคลที่ 7 ไม่ต้องเสียเวลาจบได้ก่อนทันทีเลย อันโน้น อุภโตภาควิมุติ จะต้องครบ 2 ของพระพุทธเจ้าสายธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ ปัญญาวิมุติ 

ส่วนสายสัทธานุสารี ต้องมาเป็นสัทธาวิมุติ แล้วจนกว่าจะเป็นทิฐิปัตตะ จนกว่าจะเป็นกายสักขีแล้วจนกว่าจะเป็นปัญญาวิมุติ มีปัญญาวิมุติจึงจะเรียกว่าเป็น อุภโตภาควิมุติ จึงต้องเก็บละเอียดเข้าไปอีก เข้าใจความซับซ้อนอันนี้ไหม 

เพราะฉะนั้นคำว่ากายนี้ในบุคคล 7 นี้ ต้องสมบูรณ์แบบ ทำอาสวะสิ้นได้หมด เด็ดขาด ก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว ทีนี้ก็จะทำกายแตกตาย รู้จักกายแล้ว กายคือ องค์รวมของ ธาตุ ดินน้ำไฟลมแล้วมีจิตใจเป็นตัว อยะ เป็นตัวยางเหนียว รวมไว้ 

เพราะฉะนั้นจะทำให้กายแตก ก็สามารถที่จะทำให้เป็นอุตุไปได้เลย แยกเป็นดินน้ำไฟลมไปได้หมด 

นี่แหละคือคนจบกิจสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างในเรื่องของพุทธศาสตร์ หรือธรรมะโลกุตระ เป็นศาสตร์ขั้นโลกุตระ จบทุกอย่าง ไม่มีในที่ไหนนอกจากศาสนาพุทธ ในโลกนี้ไม่มี มีอยู่แห่งเดียวในศาสนาพุทธ แล้วมันมีสัมมาทิฏฐิที่สุดอยู่ที่อโศกนี้ ศรีไสววิไลตา อยู่หว่างกลางพนา คืออยู่ระหว่างป่าทั้งหมด แต่อโศกนี้สีไสววิไลตา อยู่ท่ามกลางทั้งหมดยังเป็นป่า แต่ที่นี่เป็นเมือง ที่นี่เป็นสังคมผู้เจริญ สังคมอาริยะ นอกนั้นยังป่ายังเถื่อนยังเป็นมิลักขะอยู่ นี่ไม่ได้ไปดูถูกเขานะ ยิ่งเป็นศาสนาเทวนิยมนี้ยังเถื่อนอยู่มาก เขาจึงได้แย่งอำนาจแย่งทรัพย์สิน แย่ง GDP อะไรกันอยู่อย่างนั้น อีกนานนนน.. อีกนาน กว่าเขาจะรู้ เพราะฉะนั้นอยู่ในเมืองไทยนี้ ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่า พุทธศาสตร์ อย่าไปหลงเมืองนอกมากนัก เรียนพุทธศาสตร์ให้เป็นโลกุตระให้ได้โลกุตระ ไม่มีก็เข้ามาเรียนในชาวอโศกนี้ 

เอาละ พูดไปยืดยาวไปเลยไป 20 นาฬิกา 4 นาทีแล้ว 

_สู่แดนธรรม... สรุปยอดผู้ฟังในศาลาวันนี้ รวมทั้งหมด 1,054 คน ฆราวาส 987 คน นอกนั้นเป็นนักบวช 

จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 05:52:06 )

660408

รายละเอียด

660408 พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52998.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1rPmW3DWkvyVtsCLRq10UxC4Y2M1pwQce/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1v4QM25Lok7lPQhLAHV64Thypob5ynWLQ/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/i8nrsjyF1Ao

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/695281942372467 

ไปสู่โลกุตระได้ด้วยใจเป็นประธาน

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราก็มาพูดเรื่องของที่ควรจะพูด พูดในสิ่งที่เราควรจะทำ พูดในสิ่งที่เราจะดำเนินชีวิตอาศัยไป ไม่ได้พูดสิ่งที่นอกกว่าที่เราเองเราไม่รู้ รู้ไปก็ไม่ได้ใช้ในชีวิต แต่เราพูดในสิ่งที่เรารู้แล้วเราก็ใช้ได้ในชีวิต อาศัยในชีวิต จนกระทั่งความเป็นอยู่ของเราแต่ละคน ก็รู้สึก อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ ได้อย่างแท้จริง 

เป็นความเจริญของมนุษย์ มีชีวิตอยู่เป็นปกติสามัญเหมือนคนธรรมดา ไม่ใช่เป็นคนปลีกแยกไปจากความเป็นปกติของสังคมของมนุษย์ที่ควรเป็นอยู่เป็นสามัญที่ส่วนใหญ่ทั้งหลายเขาเป็นกัน ปลีกแยกแตกต่างออกไปอย่างง่ายๆตื้นๆ  

ที่จริงมีความแปลกแตกต่างที่เป็นโลกุตระที่ลึกซึ้งมาก แต่ไม่ได้หยาบอยู่แค่เอาร่างกายตัวเองหนีแยกออกไป ไม่ใช่  ธรรมะตรงนี้ที่มันเข้าใจตื้นๆมันก็เข้าใจแยก แต่ที่จริงมันมีความแยก แต่มันไม่มีความแยก มันมีความแยกแต่มันไม่มีความแยกอยู่ในตัวเองมันมีปัญญาที่จะรู้จักแยกอย่างละเอียดลึกซึ้ง 

แยกจนกระทั่งแยกเอาสิ่งที่มันเป็นพิษ สิ่งที่มันไม่ดีไม่งามในจิต แม้ในการประพฤติหรือความประพฤติภายนอกทางกายเราก็แยกออกแล้ว มันหยาบ เราก็เลิกมันได้แต่จะเลิกมาทางกายก็ตาม จิตก็เป็นประธาน ทางวาจาที่มันไม่ดีไม่งาม  เราเคยประพฤติอยู่ เราแยกออกแล้ว เราก็ไม่ประพฤติอย่างที่ไม่ดีไม่งามนั้นได้ 

จิตก็เป็นประธาน จิตเป็นตัวรู้ จิตเป็นตัวกำหนดและจิตเป็นตัวสั่งการและเป็นตัวแก้ไขมีพลังมีอำนาจทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงกายวาจา เปลี่ยนใจไปได้อย่างถาวรจากโลกียะชนหรือเป็นคนไม่เจริญ มาเป็นคนเจริญสูงสุด     

_มีคนเขียนส่งมาว่า...เมื่อสมัยที่ผมอายุ  ได้ 20 กว่าๆผมได้บวชเป็นพระ แล้วได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ ขณะที่นั่งรอเพื่อส่งอารมณ์ (พ่อครูว่า... คำศัพท์นี้มันไม่รู้มาจากไหนกันไปส่งอารมณ์เหมือนส่งดอกเบี้ยหรือส่งข้าวส่งน้ำ.. ไปส่งอารมณ์ ) ไปส่งอารมณ์ให้พระอาจารย์ (พ่อครูว่า... พระอาจารย์ไม่มีอารมณ์หรือไง ) ความรู้สึกนึกคิดแว๊บเข้ามาในใจ ถ้าทุกคนในประเทศมานั่งหลับตาปฏิบัติแบบนี้กันหมด แล้วจะมีใครไปทำไร่ทำนาปลูกข้าวปลูกผักทำสวนครัว อาหารการกินคงจะขาดแคลน 

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับที่พ่อครูนำพาปฏิบัติธรรม ก็ปฏิบัติธรรมพร้อมกับการทำงานทุกชนิดทุกอาชีพ การทำไร่ไถนาปลูกข้าวพืชผักสวนครัว ปลูกพืชผักผลไม้ ก็ปฏิบัติธรรมไปด้วยกันกับกิจการ นั้นๆ ยิ่งมีคนมาปฏิบัติธรรมมากเท่าไหร่ ผลจากการผลิตก็มีมากเพิ่มขึ้น อาหารเป็นหนึ่งในโลก ประเทศชาติจะไม่มีวันขาดแคลนอาหารประชาชนก็จะไม่เดือดร้อน  

พ่อครูว่า... คนที่เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อถือ ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเขาก็ไม่เอาก็เป็นธรรมดาธรรมชาติลางเนื้อชอบลางยา มันเป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ อาตมาได้เทศน์เรื่องกายกันมาหลายคาบ คาบนี้ก็เกือบจะเป็นคาบที่ 3 แล้วนะ ยังมีคาบหน้าเป็นคาบที่ 4 

ศึกษากายในวิโมกข์ 8 ให้พ้นสัตตาวาส 9

เรื่องกายที่อาตมาลองสรุปรวมเป็นหัวข้ออยู่ได้ถึง 9 หัวข้อ ตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นตัวแรกที่ทุกคนต้องศึกษา ทุกคนต้องมีความรู้เป็นสัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย แล้วก็อยู่ที่ตนเอง สักกายทิฏฐิ ต้องมีความเห็นที่ถูกต้องโดยเฉพาะคำว่า กาย 

สักกายทิฏฐิ เป็นการรู้เป็นอันที่ 1 ของทุกๆคนจะต้องเข้าใจ ที่นี้ผู้ที่จะศึกษาเพื่อที่จะบรรลุนิพพานจริงๆ ก็ต้องมาเข้าใจธรรมนิยาม 5 ถ้าเข้าใจธรรมนิยาม 5 ไม่ได้ 

การเข้าใจธรรมนิยาม 5 ก็คือสามารถแยกความเป็นกาย ความเป็นจิตได้ ซึ่งเป็นความลึกซึ้งซับซ้อนวิจิตรพิสดาร ที่วิทยาศาสตร์ทางโลกก็คิดไม่ออก มีพระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาสอนให้รู้ ก็จึงมีนิพพานได้ เป็นพระอรหันต์ได้ 

ถ้าแยกกายแยกจิตในธรรมะนิยาม 5 นี้ไม่ออก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

กรรม กับธรรม ก็เป็นการปฏิบัติเป็นการกระทำกรรมแล้วก็เกิดผลสั่งสมเป็นธรรม  

เพราะฉะนั้นจะเกิดกรรมที่สั่งสมเป็นธรรมได้ก็ต้องมีความเข้าใจเริ่มจากความเป็นจิตความเป็นพืช ความเป็นอุตุ 

อุตุ หรือ อุตุธาตุ หรือการกำหนดนิยาม คำจำกัดความของความเป็นธาตุก็คือมหาภูตรูป 4 คือดินน้ำไฟลม 

แล้วก็มีชีวะเป็นพืชเป็นระดับที่ 2 ก็เป็นอุปาทายรูป เป็นรูปที่เกี่ยวเนื่องกันกับทั้งกายและจิต เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจในรายละเอียดของอีก 24 สภาพ อุปาทายรูป 24 

ตั้งแต่แยกคน มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะต้องมาเรียนรู้ภายนอกที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย กับใจร่วมกับ 5 ทวาร ทำงานสัมพันธ์กันมีอายตนะ  

โดยท่านอธิบายแยกไว้มี ปสาทรูป โคจรรูป วิสยรูป

คือมีประสาทตากระทบกับรูปภายนอก โคจร มันเกิดทำงานแล้ว สตาร์ทเครื่องแล้ว ตา ประสาทตาทำงานกับสิ่งที่เป็นรูปภายนอก ภายในก็จะเกิดวิสัยที่รู้จักรูปนาม เป็นนามรูปขึ้นมา 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่รู้ขึ้นมาก็เป็นภาวะ 2 แล้วสิ่งที่เป็นภาวะ 2 ใดๆ ก็จะมีภาวะที่แตกต่างกัน มี 2 ภาวะ เป็น ปุริสภาวะ กับ อิตถีภาวะ นี่เป็น 2 ..ท่านมีรายละเอียดถึงขั้น รูปภายนอก 5 กับการสัมผัสอารมณ์เกี่ยวข้องกันโดยมีใจเป็นตัวร่วมกับรูปทั้ง 5 เป็น 5 คู่ 

สุดท้ายท่านสรุปว่า เหลือแค่ 9 รูป รูปภายนอกกับรูปภายในเหลือแค่ 9 เพราะจิตมันเป็นตัวร่วมอยู่ใน 5 คู่ เลยหักออกไป 1 เหลือ 9 ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่เกิด 5 คู่นี้ได้ มันก็มีแต่กาย 5 รูป 5 มันก็ไม่เกิดการมีภาวะที่จะเกิดภาวะ 2 ได้เลย 

จากภาวะรูป ก็มียอดแห่งความเป็นหัวใจเรียกว่า หทัยรูป หัวใจอันนี้เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปหัวใจที่อยู่ในร่างกาย ไม่ใช่อวัยวะในร่างกาย แต่เป็นนามธรรม เป็นตัวหทัย หรือจิตวิญญาณเลย จิตวิญญาณที่เรียกด้วยศัพท์ว่า หทัยรูป 

อยู่ที่ไหนไม่มีตำแหน่งไม่มีแหล่ง มันจะร่วมกับความรู้สึกเป็นชีวะขึ้นมา และเป็นชีวะในระดับมีความรู้สึก ชีวะในระดับพืชยังไม่มีความรู้สึกยังไม่มีเวทนา เป็นชีวะในระดับแค่สัญญากับสังขารเท่านั้น แต่ชีวะในระดับจิตขึ้นไปเป็นสัตว์ขึ้นไป จึงจะมีความรู้สึก จึงเรียกเอาชีวิตอันที่มีความรู้สึกนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องรู้จักชีวิตินทรีย์ ชีวิตรูปของมัน มีกำลังพลังอำนาจ ของความเป็นชีวิตสูงถึงขั้นจิต หรือจะเป็นชีวิตอยู่แต่แค่พืช ก็จะเรียนรู้เรื่องชีวิต 

อาหารรูป รูปที่เป็นเครื่องอาศัยเช่นตั้งแต่ กวฬิงการาหาร คือสิ่งที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์ มันมีรูปรสกลิ่นเสียง สัมผัสอยู่ในนั้นเลย ที่คุณจะเลี้ยงได้ เพราะฉะนั้น โภชเนมัตตัญญุตา จึงเป็นแหล่งที่เรียนรู้แห่งการปฏิบัติธรรมเรียนรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กิเลสอยู่ในนี้ทุกตัว เพราะฉะนั้นเรียนรู้กิเลสจากอันนี้แล้วฆ่ากิเลสแล้ว รู้จักกิเลส เข้าใจกิเลส เป็นอรหันต์ได้ในแค่การปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา ได้เลย เพราะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันพาให้เกิดกิเลส รวมแล้วอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย 

มาจาก อาหารรูปไป เครื่องอาศัยต่างๆที่เราจะต้องเรียนรู้ ก็มีการแยกเป็นปริเฉทรูป แยกให้ออกว่าจากที่มันมีความรู้สึกกับว่างจากความรู้สึก มันเป็นความว่างๆ หรือความรู้สึกที่ว่างจากกิเลส 

ผู้ที่ไม่รู้เรื่องมั่วก็ไปเรียนรู้ด้วยวิธีว่างจากความรู้สึก เขาก็ไปดับเวทนาดับสัญญา เพราะสัญญากับเวทนาต้องทำงานร่วมกันต้องสัมผัสกัน สัญญากำหนดว่ารู้เวทนามันสัมผัสอะไรมันก็จะรู้  ไม่มี ผัสสะมันก็ไม่เกิดเวทนาไม่รู้จะไปเรียนอะไร ไม่ว่าคุณจะไปดับเวทนาหรือดับสัญญาก็ตาม แต่ถ้าคุณดับสัญญาคุณก็หมดเลย มันก็คือจิตที่ทำงานอย่างหนักคือสัญญา ต้องกำหนดรู้ทำหน้าที่กำหนดรู้อะไรทุกอย่างภายนอกภายในที่จะได้เรียน จนกระทั่งเป็นความรู้สัญญาถึงขั้นปัญญา 

ถ้าคุณไปดับมันเสีย นี่แหละคือการทำให้มันว่าง ปริเฉทรูป ไปแยกออกแล้วก็ทำให้มันว่างชนิดที่เรียกว่า มันว่างอย่างเดียรถีย์ ว่าง อย่างโง่ๆ ว่างอย่างไม่ได้เป็นความวิเศษ ที่เป็นคุณสมบัติขั้นโลกุตระเพราะไปดับเอาสัญญาเป็น  อสัญญีสัตว์ 

เพราะฉะนั้นในสัตตาวาส 9 อสัญญีสัตว์ จึงเป็นสัตว์ตัวที่ 5 

ฌาน 1 2 3 4 ก็เป็นฌานที่นอกรีตของพระพุทธเจ้าเพราะไปนั่งหลับตาสะกดจิตหรือไปทำแบบไหนก็แล้วแต่ ที่มันไม่เป็นฌานที่เกิดจาก จรณะ 15 วิชชา 8 มันเป็นการปฏิบัติไปคนละเรื่องคนละทาง 

ความเสื่อมของศาสนาพุทธที่ไปเรียนฌานกันแบบนี้ ไม่มีใครพูดเลย ไม่เห็นอาจารย์สำนักไหนพูดว่าฌานจะต้องมาปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 เกิดฌาน ในจรณะ 15 ใครเคยได้ยินอาจารย์คนไหนสอนบ้าง ที่นั่งอยู่เป็นพันหรือเปล่าวันนี้ 

_สู่แดนธรรม... ที่พ่อท่านถามไป มีอาจารย์คนหนึ่งที่สอนครับ ชื่อท่านอาจารย์โพธิรักษ์ 

พ่อครูว่า... โธ่เอ๊ย 

ไปทำ อสัญญีสัตว์ กันทั้งนั้นหรือทำฌานนอกรีตซึ่งขาดกาย 

ขาดกายนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว เรียนรู้พุทธ ธรรมนิยาม 5 ก็ขาดกาย คุณก็ไม่รู้จักความเป็นกายอย่างพิสดาร อย่างวิจิตร อย่างรู้เลยหรือว่า เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่มันไม่เป็นกาย 

เริ่มต้นจิตวิญญาณมันรับรู้ตั้งแต่กรอบแค่พืช มีธาตุรู้ที่รู้ในจิตแค่พืช คุณก็ไม่มีเวทนา เวทนาที่คุณไม่ต้องการ ธรรมชาติมันจะมีธาตุรู้ที่รู้ดีเต็มที่อยู่ และรู้จนกระทั่งเป็นปัญญาคือจัดเป็นเวทนา เก๊ ที่มาหลอก เป็นรสผีรสมารรสหลอก ว่ามันดี มันสูงส่ง เอาออกได้เลยก็สมบูรณ์ 

ถ้าคุณไม่รู้อย่างนี้ โดยจิตเจตสิกต่างๆ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของมันออกตามที่อาตมาขยายความให้ฟังเป็น อุเทส แล้วไปปฏิบัติออกจากอาการมันได้มันมีลิงคะมันมีนิมิตอย่างนี้แล้วมันทำให้หายไปจางคลายได้หรือดับสนิทได้ ส่วนที่มันเป็นเจตสิกควรจะดับ โดยการมีกระทบสัมผัส 

ถ้าไม่กระทบสัมผัสคุณไม่เกิดความจริง ไม่เกิดสภาวะจริงได้หลับตามันเกิดเป็นอดีตกับอนาคตเข้าใจชัดไหมว่าอดีตกับอนาคตมันไม่มีของจริงมันเป็นความจำไม่ใช่ความจริง หรือความคิดฟุ้งซ่านเป็นอนาคตไปมันไม่ใช่ของจริง เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาอยู่กับมันโดยการหลับตาที่เป็นอดีตกับอนาคต เป็นทิฏฐิ 62 

มันไม่เกิดประโยชน์อะไรนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะตื่นสักที สงสาร พูดเมื่อไหร่ก็นึกถึงท่านทั้งหลาย หลายผู้หลายคนก็แก่เฒ่า อายุเป็น 100 ปีบวชตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระจนอายุ 100 กว่าแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่ไหว แสดงประพฤติเป็นข่าวคราว กว่าเป็นพระอรหันต์แล้วอะไรอย่างนี้ที่เป็นข่าว 

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจกายที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจการแยกกายแยกจิตเป็นธรรมนิยาม 5 จะไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียนรู้ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตทำในธรรม มีแต่ภาษากับทำจิตแบบเดียรถีย์ทำจิตผิดทาง มนสิการแบบออกนอกลู่นอกทางหมด 

เพราะไม่เข้าใจว่ากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตนั้นไม่ได้แยกกันเลยนะ มันจะเป็นปฏิสัมพัทธ์ต่อเนื่องกันจากภายนอกและเข้าไปภายใน เป็นภายในก็จะกลายเป็นตัวต่อที่คุณจะรู้ก็คือเวทนา แล้วเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา ก็คือจิตที่เราจะต้องแยกออกเป็นเจโตปริยญาณ 16 อ้อ..

จิตเจตสิกต่างๆ มันแบ่งมันแยกออกมาเป็นกิเลสปลอมตัวมา เหมือนมันมาเป็นเจตสิกแต่มันก็ไม่ใช่ เหมือนจะมาเป็นจิตแต่มันก็ไม่ใช่ แต่มันปลอมมาสนิทเนียนเหลือเกินเป็นกิเลสครอบครองตัวเรามาตั้งแต่เราอวิชชายังไม่ได้ศึกษาธรรมะ จนมาพอรู้ว่าอย่างนี้เอง 

แล้วก็เรียนรู้ตั้งแต่ตัวที่มันหยาบ รู้ง่าย ขจัดไปขจัดไป คุณก็จะได้บันได ในการที่จะเรียนรู้ตัวกิเลสในจิตสูงขึ้นๆ ตัวยิ่งเก่งยิ่งเล็กยิ่งละเอียดคุณก็จะจับมันได้ เอาตัวหยาบก่อน ตัวโตๆที่มันง่ายๆที่มันไม่เก่ง ไม่วิจิตร เอาตัวอย่างนี้ก่อนให้หมดไปหมดไปจนกระทั่งเจโตปริญาน 16 

คุณทำได้คุณก็เกิดโลกุตรธรรมเป็นธรรมะในธรรม จากโลกียะเป็นโลกุตระ จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไป หรือยิ่งแยกเป็นโพธิปักขิยธรรม ก็เป็นโลกุตรธรรมตามองค์ธรรม 37 องค์ประกอบแล้วก็มีขั้นมีชั้น แบ่งง่ายๆเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ากายก็มิจฉาทิฏฐิแล้วคุณจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 กระดุมเม็ดแรกก็ผิดแล้ว ไปเลย ไม่เหลียวหลังเลย ไม่รู้เรื่องเลยแหละ เหมือนคนที่ฟังอาตมาพูดภาษาอีสานไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ติดต่อกัน ไม่ได้พูดถึง พูดสั่งกันก็ไม่ได้สักคำ ไม่เกิดผลอะไร 

เพราะฉะนั้นคนจึงยังเป็นสัตว์อยู่ทั้ง 9 ชนิด สัตว์ 9 ชนิดนี้เคยอธิบายมาหลายที 4 ชนิดที่เขาปฏิบัติแล้วจะเกิดฌาน เกิดประโยชน์ในการทำใจในใจได้ แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเดียรถีย์ไปหมด หนักเข้าจนกระทั่งเข้าใจว่านิโรธคือ อสัญญีสัตว์ เขาจะได้แค่ อสัญญีสัตว์ แบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่ว่า เดียรถีย์ คนไหนหรือไปนั่งหลับตาปฏิบัติทั้งนั้น จะได้แค่ อสัญญีสัตว์ แล้วเข้าใจไปว่า นี่แหละคือนิโรธ 

แม้นิโรธที่ได้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่ใช่นิโรธของพระพุทธเจ้าเลย ฌานที่ได้ ก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ยิ่งไปได้สรุปว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ หลงว่าเป็น นิโรธ ของพระพุทธเจ้าหรือนิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมันไม่ใช่นิพพานเลยมันยิ่งไกล 

มันเป็นนิโรธ แปลว่า ความดับ แต่มันเป็นความดับอย่างซื่อบื้อ อย่างอวิชชา อย่างเดียรถีย์ ไปดับความนึกคิด ไปดับการทำงานการทำหน้าที่ ของธาตุสัญญาที่ทำหน้าที่กำหนดรู้ มันก็ไม่กำหนดรู้อะไรนิ่งยิ่งแข็งทื่อ กลายเป็นก้อนอิฐก้อนดินไปเลย 

ในสัตตาวาสข้อที่ 6 7 8 9 เป็นความเพ้อเจ้อทั้งนั้น พอดับสัญญาเสร็จแล้ว แล้วคุณก็มาสร้างภพใหม่เป็นอรูปภพ ภพที่จะต่อเนื่องจากอรูปภพไม่มีแล้วนะเพราะคุณ อสัญญีสัตว์ 

แล้วคุณก็ไปนิรมานกายด้วยความไม่รู้ว่ากายคืออะไร ก็ไปสร้างนึกว่าเป็นกาย นิรมาน คือ เนรมิตกายขึ้นมาเอง เช่น เป็นอากาศแล้วเราเป็นที่ว่างแล้วเรา นี่เป็นวิญญาณของเรา วิญญาณสะอาดวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณเก่งที่สุดแล้ว นิโรธแล้ว อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกิเลสแล้ว 

แต่คุณก็ไม่ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เอ๊!.. แล้วมันจริงหรือเปล่าวะใช่หรือไม่ใช่ จะว่าใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ มันไม่มีตัวปัญญาตัดสินหรอก เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็ใช่เดี๋ยวก็ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ได้อย่างไรเราได้มาถึงขั้นเป็นอากาศเป็นวิญญาณเป็น อากิญจัญญายตนะ แปลว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี แล้วไม่มีกิเลสแต่คุณก็รู้สึกว่าเอ๊ะ..กิเลสมันมีหรือไม่มีหรือเปล่า มันใช่หรือไม่ใช่ อาตมาขยายความที่ท่านแปลจากภาษาพยัญชนะ 

สัตว์บางพวก เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีอธิบายข้อความใช่หรือไม่ใช่ คุณไม่รู้จริงหรอก มันไม่ได้แท้ๆจริงๆเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิถูกต้องเลยก็ต้องปฏิบัติตามวิญญาณฐิติ 7 โดยไม่ต้องมีตัว ignore ของ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก ถ้าสัมมาทิฏฐิถูกต้อง กาย รู้จักกายมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งมาถึงตัวที่ 3 

กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน แล้วก็รู้ว่า นิโรธคืออะไร ความมืดคือ กิณหา ความดับคืออะไร 

เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจว่าควรมี กิณหาหรือไม่ สุภกิณหา สภาพของจิตที่ควรจะมีจะนอนหลับก็อยู่กับความมืดสบายดีไม่มีอะไรแม้แต่แสงสว่างไม่มีอุปาทานอะไรเลย หลับตาก็ดำมืดดำ กิณหา 

ถ้าคุณได้หลับตาเข้าไปแล้วยังมีแสงแวบวาบ สีขาว สีแดง สีเขียว มันเป็นอุปาทานทั้งนั้น ถ้าคนไม่มีอุปาทานแล้วหลับตาก็มืด ตอนนี้หลับตาตอนนี้มันมีแสงสะท้อนเข้ามา ถ้าหลับตาในที่มืดมันก็มืดเฉยๆเพราะไม่มีอุปาทาน พระอรหันต์ขึ้นไปแล้วชัดเจนหลับตาไม่มีอะไร แต่คนที่มีอุปาทานจะมีแสงสว่างแสงนั่นแสงนี่ ดีไม่ดีเล่นแสงสว่าง สีม่วง สีเขียว สีแดง สีเหลือง อะไรอีกเลอะเทอะเป็นอุปาทาน 

เพราะฉะนั้นจึงรู้จักสัจจะความจริงอย่างถูกต้องหมดเลย ตั้งแต่ความดำก็คือ ความดำ นิโรธก็คือนิโรธ ความมืดก็คือความมืด มันไม่ใช่นิโรธ นิโรธกับความมืดมันคนละเรื่อง นิโรธเป็นการดับกิเลสส่วนความมืดเป็นสภาวะที่ประสาทรับรู้เป็นองค์ประกอบการหลับตาหรืออยู่ในที่มืด อยู่ในที่มืดคุณไม่มีแสงสว่างเลย มันมืดจริงๆคุณก็ไม่เห็นอะไรเหมือนกัน ก็กิณหา คุณหลับตาไม่รับแสงสว่างมันก็ดำมืดสิ เมื่อคุณปิดตาเลยแล้วก็ไม่มีแสงสว่างพวกนี้มาส่อง เช่น อยู่ในกลางคืนเดือนมืด แรม 15 ค่ำเลยยิ่งมืดสนิทก็ไม่มีแสงอะไรเลย มันก็มืดเป็นธรรมดาก็ไม่ได้กำหนดผิดอะไรก็รู้ดี ไม่สับสนว่านิโรธกับ กิณหา อันเดียวกันหรือคนละเรื่อง มันคนละเรื่องไม่หลงผิดว่า กิณหาคือนิโรธ นิโรธคือกิณหา

คนที่ไปทำความรู้สึกเป็นความมืดความดำแล้วหลงว่าเป็นนิโรธนี่ นั่นน่ะ ก็เสียเวลาไปชาติ แถมกิเลสที่หลงติดนี้ไปอีกกี่ชาติ 

เพราะฉะนั้นจึงต้องมีวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องรู้วิโมกข์ 8 แล้วต้องรู้ด้วยกายอีก 

วิโมกข์ 8 มีอะไร 

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) 

2. ผู้ไม่สำคัญมั่นหมาย รูปในภายใน เห็นรูปในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)

3. ผู้ที่น้อมใของจเห็นว่าเป็นงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข  โหติ)

   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) 

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ 

จะเรียนรู้วิโมกข์ 8 นี้จะต้องเรียนรู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จะต้องมีภาวะ 2 ภายนอกภายในต้องมีกาย 

คุณจึงจะสามารถรู้หรือทำตนให้เป็นบุคคล 7 หรือจะเป็นบุคคล 9 ก็เชิญ แถมสองคือ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคุณจะต่อ ถ้าเอาจบแค่ อุภโตภาควิมุติ ก็จบ

ผู้จบ อุภโตภาควิมุติ แล้วก็เป็นผู้ที่ ทำให้อาสวะสิ้น ผู้ที่ทำให้อาสวะสิ้น ตั้งแต่ยังไม่ถึง อุภโตภาควิมุติ เป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุต ทำอาสวะสิ้นแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง 

เพราะท่านเป็นผู้ที่ทำมาถูกต้องตั้งแต่ต้น มีกาย รู้จักกายทำกาย เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปพูดว่า น เหวโข ไม่ต้องพูดว่าท่านจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่เขาก็ไปแปลอย่างเข้าใจสภาวะธรรมไม่ได้ก็ไปแปลว่าไม่มีไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ทั้งๆที่ท่านสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตลอด 

ถ้าจะบอกว่าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายคุณก็ พูดเป็นภาษาบาลีเต็มๆ ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ไปเอา น เหวโข มาทำไม

นเหวโข คือละเว้นไว้ เพราะว่าสิ่งนั้นได้ทำสำเร็จแล้วไม่ต้องไปกล่าวถึงส่วนนั้นอีก ถ้าจะไปก็คือไม่ต้องพูดต้องกล่าวถึงส่วนนั้นอีกพระองค์นี้ท่านสัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ต้น ท่านถึงได้ทำอาสวะสิ้นได้หมด เป็นอรหันต์ได้แล้ว ก่อน อุภโตภาควิมุติ ด้วย ซึ่งมันเป็นแกนของทางสายศรัทธาหรือสาย เจโต สัทธานุสารี

ถ้าเป็นสายธัมมานุสารีก็ถึงปัญญาวิมุติทำอาสวะสิ้นก็จบแล้ว 

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไปถึงขั้นผู้ที่ทำที่สุด ปัญญาวิมุติ สามารถที่จะรู้กาย รู้จักทุกข์อาริยสัจ แล้วทำให้ความทุกข์อริยสัจหมดไป ตั้งแต่บางอย่าง จนกระทั่งเป็นปัญญาวิมุติ ก็จะเจริญจากสัทธาวิมุติไปเป็นกายสักขี ก็จะต้องยังมีปัญญาอันยิ่ง 

กายสักขี อาสวะบางอย่างหมดสิ้น ยังไม่สิ้นอาสวะทั้งหมด รายละเอียดของบุคคล 7 นี้ผู้ที่ไม่รู้ปรมัตถ์อย่างแท้จริงจะสับสน 

พระพุทธเจ้าถึงตรัสอันที่เป็นสัทธาวิมุตินั้น บอกว่าถึงแม้ว่า จะทำให้อาสวะบางส่วนสิ้นไปได้ในสัทธาวิมุติ ก็ต่างกันกับ ทิฏฐิปัตตะ ไม่เหมือนกันกับทิฏฐิปัตตะ เพราะสายปัญญากับสายเจโตจะต่างกัน 

เพราะฉะนั้นเมื่อบรรลุอรหันต์บุคคล 7 เป็นปัญญาวิมุตหรือ อุภโตภาควิมุติ รู้อรหันต์แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่จะทำ กายแตกตาย กายัส เภทา ปรัมมรณา ก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเลยได้ กายแตกตายก็ทำกายของตนเองให้เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไป ไม่มารวมตัวกันเป็นจิตนิยามอีก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระอรหันต์จึงเป็นอมตะบุคคล ผ่านวิมุติแล้วเป็นอมตะบุคคล คือรู้จักรอบเลย ไม่ลึกลับแล้วในเรื่องของ จิตเจตสิก รูป นิพพาน

เพราะฉะนั้นจะเกิดหรือจะตาย พระอรหันต์คือพระเจ้าที่จะสั่งเกิดสั่งตายให้แก่ตนเอง จะทำตัวทำตายให้แก่ตนเองได้ แล้วตายเก่งกว่าพระเจ้าอีก ดับตัวเองเลยหมดความเป็นพระเจ้า ฆ่าพระเจ้าฆ่าจิตวิญญาณเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ศาสนาพุทธถึงขั้นทำลายพระเจ้าเลย ทำลายจิตวิญญาณนิรันดรของพวกอวิชชา เพื่อวิชาทำลายจิตวิญญาณตัวเองไม่ได้ แต่ศาสนาพุทธทำลายจิตวิญญาณ หรือทำลายพระเจ้าได้ พระเจ้าก็คือตัวเอง แต่เขาไม่รู้ 

ศาสนาเทวของนิยมมีความรู้แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาตามวิบาก ก็นึกว่า โอ่โห..ยอดเยี่ยม ความรู้พวกนี้ เราคงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ได้ขนาดนี้ ต้องมีใครสักคนหนึ่ง ก็นึกว่าเป็นผู้ที่ประทานความรู้นี้ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เพราะว่าไม่รู้อัตตา ไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาเอง 

ศาสนาของศาสนาเทวนิยมแต่ละองค์ท่านสั่งสมบารมีมาของท่านเองทั้งนั้นแล้วมาเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งและมาแข่งกัน เพราะมันไม่เหมือนกันเลยไม่เท่ากัน มันไม่ลงที่ศูนย์ มีศาสนาพุทธเท่านั้นนอกนั้นไม่มี 

พระพุทธเจ้าจึงรู้จักจิตเจตสิกต่างๆรู้จักจิตวิญญาณ ตั้งแต่ต้นจน 0 ตั้งแต่ หาประมาณมิได้จนกระทั่งเป็น 0 รู้ครบหมดเลยจึงจะต่อไปเป็นนิรันดรเท่ากับพระอวโลกิเตศวร คุณก็ทำไปสิจะอยู่อีกจนโลกแตกก็ว่าไป หรือจนไม่มีมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ท่านทำให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปหมดแล้ว นิมนต์เถอะท่าน 

อาตมาสรุป 9 ประเด็นจนกระทั่งถึงประเด็นอรหันต์ กายแตกตาย จนกระทั่งแยกกายแยกจิตเป็นดินน้ำไฟลม สำเร็จ สุดท้าย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็อธิบายกันมา

ผู้ที่สามารถรู้เรื่องจิตเจตสิกเหล่านี้ ถึงขั้นจบกิจ พระอรหันต์ถึงขั้นจบกิจหมายความว่าจบแล้วในการเรียนรู้ที่จะ เกิดเป็นคนหรือจะไม่เกิดเป็นคนอีก ตายสูญ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ หรือไม่ตายสูญ ก็มาเป็นโพธิสัตว์เกิดแล้วมีการมาต่อภูมิเพื่อจะช่วยรื้อขนสัตว์ ช่วยสัตว์ตัวอื่นเพราะตัวเองรอดแล้ว ตนเองสบายแล้ว ก็ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ก็ไปช่วยผู้อื่นศึกษาผู้อื่นขยายผล เป็นผู้ที่รู้รอบ หมดความลึกลับ อรหะ ถึงที่สุด อรหันตะ หมดความลึกลับอันสูงสุดเป็นอรหันตะ

คนที่มีภูมิมีปัญญาอย่างนี้คือ รู้โลก รู้อัตตา รู้ธรรมะ จึงมีอำนาจอยู่เหนือโลก เหนืออัตตา เหนือธรรมะ เหนือธรรมะก็คือโลกุตรธรรม 

ผู้ที่มีพลังงานอธิปไตยคือ มีสติเป็นอธิปไตย อยู่กับโลกเปิดตาหูจมูกลิ้นกายใจ รู้องค์ประกอบ องค์ประชุมของโลก ของอัตตาหรือของข้างนอกของข้างใน ว่าแต่ของดินน้ำไฟลมจนกระทั่งถึงพืชถึงสัตว์มนุษย์ถึงคน คนแต่ละระดับแต่ละฐานะก็รู้จัก 

สามารถที่จะอยู่ร่วม สามารถที่จะทำงานร่วม จัดการในเรื่องความเป็นอยู่ได้ดีเรียกว่ามีเศรษฐกิจดี จัดการให้เป็นอยู่ให้ได้สงบว่าระงับ อยู่อย่างอบอุ่น อย่าตีกัน อย่าทะเลาะกัน อยู่ช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องของการเมือง จะรู้เรื่องของเศรษฐกิจของการเมืองก็ช่วยโลกเขาช่วยทำเศรษฐกิจให้แก่โลก ให้มันจบกิจด้วย ทำการเมืองให้มันจบกิจด้วยเป็นอรหันต์ เท่านั้นได้เศรษฐกิจและการเมือง คือไม่ลึกลับทั้ง 2 อย่าง 

คือจะเป็นการเกิดกลุ่มหมู่น้อยหรือกลุ่มหมู่ใหญ่ขึ้นเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ระดับประเทศ ทำได้

อาตมา บริหารประเทศได้ แต่อาตมาไม่บริหารประเทศเพราะเขาไม่ให้บริหาร เขาไม่เชื่อน้ำมนต์ แล้ว อาตมาก็ไม่ลนลาน ไม่ดิ้นรน ไม่อยากจะไปบริหารหรอก เพราะว่าคนที่จะให้บริหารนั้นเป็นคนบ้าๆบอๆเยอะลำบาก เพราะฉะนั้นมาบริหารคนที่มีภูมิปัญญาโดยการคัดเฟ้นเอา คัดเลือกเอา โดยธรรมชาติอาตมาไม่ต้องเป็นนั่งคัดเลือกเอาเหมือนคัดทหารเกณฑ์ 

พวกคุณคัดตัวเองมาเองแล้วมาเรียนรู้ อาตมาบรรยายสอน วันนี้ก็มีเป็นพัน น่าจะถึงพัน เมื่อวานก่อนก็นับกันถึง 900 กว่าวันนี้น่าจะถึง 

_สู่แดนธรรม... ครั้งที่แล้ว 1,054 คนครับ 

พ่อครูว่า... อ้อ ถึงพันแล้วหรือ ก็มาเรียนรู้เพื่อจบกิจทางเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ มาเรียนรู้เพื่อจบกิจทางรัฐกิจด้วยหรือรัฐศาสตร์ มันก็จะจบกิจของความเป็นสังคมศาสตร์ไปในตัว 

ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้โมเม ไม่ได้พูดเล่นๆ ใช้บัญญัติภาษามาร่วมสมัยในยุคนี้ คำว่าเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ ก็มีในยุคนี้ ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก ยิ่งคำว่าการเมืองจะไปพูดได้อย่างไรในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่มีสิทธิ์พูดหรอก เป็นสังคมทาสด้วย เพราะฉะนั้น มันก็คนละยุคสมัย อาตมาพูดกับคนยุคนี้ที่ร่วมยุคร่วมสมัย 

 

เศรษฐกิจที่มีจิตวิญญาณ

มีคนฟังธรรมอาตมาแล้วก็เขียนอันนี้มาสรุปรวมดีๆ ตั้งใจฟัง

 

_จากบ้านเล็กเมืองน้อย  : เรื่อง เศรษฐกิจที่มีจิตวิญญาณ

กราบนมัสการพ่อท่าน ด้วยความเคารพรักยิ่ง

 

“เศรษฐกิจ” แปลด้วย จิตวิญญาณ คือ  การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เหมาะสมกับการอุปโภค บริโภค

หน่วยย่อยสุดในระบบเศรษฐกิจ (จุลภาค)ก็คือ “คน” ....ความประพฤติของแต่ละบุคคล  ย่อมจะส่งผลสะท้อนต่อสังคมส่วนรวม ไปจนถึงหน่วยใหญ่(มหภาค)..... ที่สุดก็กระทบเศรษฐกิจโลก 

แต่ละบุคคลจึงต้อง balance Demand ให้เหมาะสมต่อการ Supply  ...ซึ่งก็คือการบริหารรายจ่ายให้ไม่มากเกินกว่ารายรับ (ที่ค่อนข้างตายตัว)ของตนเอง..... ถ้าต้องการเศรษฐกิจที่ดี

ใช้จ่ายน้อย....ก็ไม่ต้องหามาก    ยับยั้งชั่งใจได้ ....ก็ไม่เป็นหนี้

จึงต้องแยกแยะ   สิ่งจำเป็น   ...ต้องมี กับ

             สิ่งฟุ่มเฟือย ...ต้องไม่ 

พ่อครูว่า... การแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือให้คนเข้าใจตนเอง ให้ลดลดการถูกหลอกไปตามกิเลส เข้าใจถึงปัจจัย 4 ที่จำเป็นของชีวิตเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นสิ่งที่พออาศัยได้บ้างเพื่อสร้างประโยชน์ นอกนั้นก็ปรุงแต่งเฟ้อเกินมาหลอกกันนับไม่ถ้วนเลย มันจบไม่ได้ถ้ามาไม่มาสอนสัจจะอันนี้ 

อาตมาจึงเสียดายมาก ประเทศไทยมีธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศไหน ประเด็นจบด็อกเตอร์เศรษฐศาสตร์จากประเทศไหนก็ไม่สู้ของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งกว่าอภิมหาด็อกเตอร์ ทางเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม มาศึกษาให้ดีๆ 

ใครจะว่าอาตมาหลงใหลวิชาการของพระพุทธเจ้าก็ตามใจ อาตมาก็ไม่ว่าอะไรหรือเห็นว่า อาตมาเป็นหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่เคยไปเรียนต่างประเทศอยู่ในกะลาครอบ หลงใหลกะลาตัวเองว่าดียอด คนอื่นเขารู้อะไรกว้างขวางเยอะแยะ เราก็ไม่เถียง อาตมาเป็นคนโง่เป็นคนไม่ค่อยรู้มากหรอก แต่อาตมารู้จบ อาตมาไม่รู้มากหรอก อาตมารู้จบรู้จริงรู้จบ อาตมาเชื่ออย่างนั้น 

 

_แต่ละบุคคลจึงต้อง balance Demand ให้เหมาะสมต่อการ Supply  ...ซึ่งก็คือการบริหารรายจ่ายให้ไม่มากเกินกว่ารายรับ (ที่ค่อนข้างตายตัว)ของตนเอง..... ถ้าต้องการเศรษฐกิจที่ดี

ใช้จ่ายน้อย....ก็ไม่ต้องหามาก    ยับยั้งชั่งใจได้ ....ก็ไม่เป็นหนี้

จึงต้องแยกแยะ   สิ่งจำเป็น   ...ต้องมี กับ

                   สิ่งฟุ่มเฟือย ...ต้องไม่

ความมักน้อยใจพอ  จึงเป็นคุณสมบัติที่ควรฝึกฝน ให้เป็น  “คนมีวรรณะ” 

พ่อครูว่า...วรรณะคือขั้นชั้นของความเจริญความประเสริฐที่ต้องพัฒนาขึ้นไป เป็นคุณสมบัติที่ควรฝึกฝนให้เป็นคนมีวรรณะ อาตมาเคยเอามาพูดแล้ววรรณะ 9 เป็นคนมีวรรณะ 9 ซึ่งเป็นคุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษของคนทีเดียว 

 

_การปฏิบัติ “ศีล” จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้    

มิเช่นนั้นก็จะไม่มี “วิชชาจรณะ”ที่จะพาให้เกิด “ตัวรู้” และ “ตัวลด”

 

ไม่ศรัทธาใน“ศีล” ...ก็จะไม่รู้จัก“อปันณกะ3”    (เฝ้าระวังตื่นตัว)

ไร้ซึ่ง“อปันณกะ3” ...ไม่มีทางพบ“สัทธรรม7”    (ตัวรู้)

ปราศจาก“สัทธรรม7” ...ไม่มีวันเข้าถึง“ฌาน4” (ตัวลด)

 

เข้าไม่ถึง“ฌาน4” ....ก็ยากจะเกิด “พลังงานบุญ”  ไปเผาทำลาย“ความละโมบโลภมาก”  ให้ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น หมดลงไปได้

 

นำสิ่งที่พ่อท่านสอน มาประยุกต์.....

จะเป็น อิสระ ก็ต้องยอม สละ  …….   ถ้าไม่เสีย สละ ก็ไม่ได้ อิสระ !

ถ้าเสียสละ “ความอยาก” ส่วนตน ...สละ “ตัณหา” ออกได้ ......จิตก็ยกระดับสูงขึ้นเป็นอุตระ  อยู่เหนือกิเลส (มนุษยศาสตร์)

เมื่อมักน้อยใจพอ เป็น อิสระ ได้

ตัวก็เบา สบาย

ใจก็ สงบ จากกิเลส (พุทธโลกุตระ)

เมื่อทำความจนส่วนตน เพื่อความรวยของส่วนรวมได้ ....สังคมก็ อบอุ่น (สังคมศาสตร์)

พ่อครูว่า... คนที่มาทำความจนให้แก่ส่วนตน จะทำให้สังคม คนที่มาทำความรวยให้แก่ตนก็จะทำความจนให้แก่ส่วนรวม 

หลักเศรษฐกิจมันมีทรัพยากรจำกัด คุณเอาไว้แก่ตัวมากๆคนอื่นเขาก็ขาดแคลนก็แย่งกันฆ่ากันตาย ไม่ได้เข้าใจยากอะไร แต่คนก็โง่ที่จะเห็นแก่ตัว แล้วคนที่ยังฉลาดน้อยก็ยังไปสอนให้พากันไปรวยอีกนั่นแหละ แทนที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการสอนให้คนจน 

ในประเทศไทยมีพระเจ้าอยู่หัว ทรงแนะ ให้มาเอาแบบคนจน ให้มาทำขาดทุนคือกำไร 

นักเศรษฐกิจจบด็อกเตอร์มาจากเทวนิยมจากต่างประเทศก็ไม่รู้เรื่องในหลวงองค์นี้ตรัสอย่างไร จึงทำไม่ได้ ทุกวันนี้ยังบื้อๆอยู่เลย ขออภัยอาตมาพูดสัจธรรม 

 

_ส่วนตัวเอาน้อย ส่วนรวมก็เหลือมาก....ทุกคนจึง อิ่มเอม

อยู่ดีมีสุขก็ เกษมใส 

จิตใจจึง เกื้อกูล (เศรษฐศาสตร์)

แล้วทุกคนก็ยิ่ง เพิ่มพูนการเสียสละ (การเมือง)

ทบทวีให้ “อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”    ยิ่งๆ...ๆขึ้น (รัฐศาสตร์)

เมื่อเศรษฐกิจหน่วยย่อยแข็งแรง ยั่งยืน.. คนไม่เป็นหนี้  ไม่แข่งกันรวย ไม่แย่งชิง ....ทุกคนก็ไม่ต้องเร่งรีบ สังคมก็ไม่ร้อนรน 

พ่อครูว่า... มันเหมือนมหาตามะคานธีพูดไว้เลยว่าทรัพยากรในโลกนี้มีมากพอสำหรับแบ่งให้คนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนคนเดียวที่มีความโลภตะกละไม่พอ 

ถ้าปฏิบัติอย่างที่เขาพามานี้สั้นๆ 

ทรัพยากรโลกย่อมเพียงพอ ต่อการแบ่งปันแก่คนทั้งโลกได้อย่างเหลือเฟือ….เศรษฐกิจโลกก็มั่งคั่ง มั่นคง .....โลกจึงสุขเย็น

พ่อครูว่า... นี่คือพูดทฤษฎีหรือวิธีการที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ปัญหาการเมืองถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่แยกกัน 

 

_“ศีล”จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด !

นอกจากจะเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณความนึกคิดของมนุษย์ ไปสู่  ความเป็นอาริยะ ได้แล้ว....ยังเป็น ธรรมนูญในการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ อีกด้วย

และความมี “ศีลเสมอสมานกัน”ของผู้คนเท่านั้น ...ที่จะสลายความเหลื่อมล้ำทั้งปวงไปจากสังคม ...ให้เกิด “สาราณียธรรม” ขึ้นได้ จริง!

พ่อครูว่า... ผู้ฟังแล้วก็สรุปมานี้ เข้าใจธรรมะและอาตมาเชื่อว่าคนที่ไม่มีอคติ ฟังธรรมด้วยดีแล้วก็ตรวจสอบสภาวะความเป็นจริง ปรากฏการณ์จริงของมนุษยชาติและสังคม โดยเฉพาะสังคมคือมวลมนุษย์ที่เรียกว่า ชาวอโศก ก็จะเห็นความจริงที่ปรากฏ 

ถึงขั้นวรรณะ 9 ก็ตาม มาเป็นมนุษย์สาราณียธรรม 6 ก็ตาม ครบ บริบูรณ์ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าได้จริง ยืนยันได้ อาตมาพูดนี่ ไม่ได้ขี้ตู่ ใครไม่เชื่อก็มาลองพยายามวิจัยพิสูจน์ว่า อาตมาพาทำนี่พวกเราทำได้จริงหรือเปล่า 

ทุกวันนี้สังคมชาวอโศกเป็นสาราณียธรรม 6 เพราะเข้าใจวรรณะ 9 เพราะจิตวิญญาณของพวกเราก็มีพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  เอามาจากของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกทั้งนั้น ไม่ได้พูดเองไม่ได้คิดตั้งเอง 

จิตมีคุณสมบัติอย่างไร สาราณียะ ไม่ใช่คนตัดขาดโดดเดี่ยว ไม่ระลึกถึงใคร หรือ..แต่ผู้เดียวเดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์..ไม่ใช่ 

มีการระลึกถึงคนนั้นคนนี้อย่างมีจิตสูงจิตเจริญ ไม่ใช่ระลึกอย่างฟุ้งซ่านหรือมีกิเลสประกอบ ประกอบไปด้วยกิเลส ไม่ใช่ ระลึกอย่างปรารถนาดี 

แม้แต่พระพุทธเจ้ายังระลึก ทรงตื่นบรรทมขึ้นมาก็ระลึกถึงว่า วันนี้เราระลึกถึงมีใครที่ควรจะไปโปรด ที่เรียนรู้มาก็จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านระลึกอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ทำหน้าที่เป็นประโยชน์ ก็ไปโปรดคน ไปสอนคน ไปช่วยใคร คณะไหนก็แล้วแต่ 

ปิยกรณะ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความรักความสัมพันธ์อันประเสริฐ ไม่ใช่ความผูกพัน เป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดีเป็นความสัมพันธ์อันประเสริฐ ที่ไปช่วยกันสัมพันธ์ รักกัน ปรารถนาดีต่อกัน

แล้วก็รู้จักที่ต่ำที่สูง ครุกรณะ จะเป็นที่ต่ำที่สูงด้วยสัจธรรมหรือที่ต่ำที่สูงด้วยสมมุติ วัยวุฒิ คุณวุฒิ สมมุติวุฒิ ก็รู้จักทั้งสมมุติและปรมัตถ์ว่าควรเคารพกันอย่างไร 

จุดกลางจุดที่ 4 นี่แหละสำคัญ สังคหะ คือ มีใจเกื้อกูล อย่างที่อาตมาสรุปเอาไว้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

เพราะฉะนั้นชีวิตของอรหันต์อยู่ ท่านไม่สงสัยการเป็นอยู่ แล้วท่านไม่ต้องห่วงตนเองอะไรหรอก ท่านทำงาน แล้วจะมีคนมาเลี้ยงดูไว้  ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา  เพราะจะมีคนมีดวงตา มีคนที่เห็นดีเห็นงามว่า คนคนนี้ต้องเลี้ยงไว้ อย่าให้ตายง่ายๆนะ เลี้ยงไว้ใช้ เลี้ยงไว้ใช้ มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเยอะเชียวคนนี้ ยังไงๆต้องช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ 

อาตมาเห็นผล ทุกวันนี้ อาตมาได้อันนี้อยู่นะ เขาไม่อยากให้ตาย แต่คงจะมีคนอยากให้ตายเหมือนกันนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกเขาอยู่นอกๆ อยู่ในๆนี้ไม่อยากให้ตายก็ช่วยอาตมาอยู่แล้ว เพียงพอแล้ว 

เพราะฉะนั้น คนที่มีการเกื้อกูลผู้อื่นนี่แหละ เป็นจิตใจที่ประเสริฐมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลไม่แย่งไม่ชิง ไม่ทะเลาะวิวาท อวิวาทะ ใครจะแย่งชิงไปก็ให้ด้วย แต่มันจะมีบารมีซ้อนที่จะมีคนมาแย่งชิงน้อย 

อันนี้เป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก คนจะมาแย่งชิงน้อย เพราะเราให้อย่างมาก และ คนที่เขาอยู่ในแวดวงใกล้ๆ คนจะมาขโมยของชาวอโศกนั้น เป็นคนนอกกับคนที่กิเลสหนักแรงหรือจำนนจำเป็นต้องขโมย ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ขโมยอะไรเลยชาวอโศกเลย เพราะชาวอโศกเป็นผู้ให้ ให้เขาจริงๆ เพราะท่านให้ขนาดนี้แล้วเรายังจะไปทำชั่วกับท่านอีกทำไม อันนี้แหละทำให้คนสำนึก พวกเราไม่ค่อยจะมีเหตุการณ์พูดอย่างนี้เท่าไหร่ นอกจากพวกกิเลสมากจริงๆหรือข้างในขโมยนิดๆหน่อยๆ จะเป็นเรื่องใหญ่ๆไม่มี 

ก็ไม่เกิดการแย่งชิง ไม่เกิดการทะเลาะวิวาท อยู่กันอย่างสามัคคี พร้อมเพรียงกัน 

พร้อมเพรียงกันทำ พร้อมเพรียงกันอยู่  พร้อมเพรียงกันกิน  พร้อมเพรียงกันสร้างสรร พร้อมเพรียงกันเสียสละ เป็นความพร้อมเพรียง ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ขัดไม่แย้งไม่เกิดปัญหา มันสงบอบอุ่นจริงๆ ถึงขั้นเรียกสรุปได้ว่าเป็น เอกีภาวะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นปึกแผ่น นี่เป็นคุณสมบัติ 7 ประการที่เกิดในมวลมนุษย์ มาวิจัยได้ความจริง 7 ประการนี้จะเป็นคุณสมบัติ คุณธรรมคุณวิเศษทีเดียวของมนุษย์ ที่จะได้อย่างมีเนื้อหาอย่างมีความสมบูรณ์แบบใน 7 ประการนี้ 7 ลักษณะนี้ คุณธรรม 7 ลักษณะนี้ 

ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ เกิดความรู้แล้วเอามาสอนแก่มวลมนุษยชาติ จึงเป็นความรู้ที่หมดปัญหา มีแต่ปัญญาอันยิ่ง เป็นความรู้รอบที่จะแก้ไขทั้งปัญหาในตนและปัญหาในสิ่งที่เราสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย

จากโลกที่เราสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่เรียกว่าโลก โลกน้อยๆ จากจักรวาลน้อย จนกระทั่งถึงจักรวาลกว้างขึ้นกว้างขึ้น เราก็สามารถที่จะช่วยกัน นำพากันช่วยสังคม 

ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสนาของคนกับศาสนาของสังคม เมื่อแก้ปัญหาคน แก้ปัญหาสังคมสำเร็จ จะต้องการอะไรอีกในโลก นอกจากคนโง่จะต้องการอำนาจบาตรใหญ่ จะต้องการทรัพย์ศฤงคาร จะต้องการเกียรติยศ จะต้องการสรรเสริญเยินยอ แม้ในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าสุข ซึ่งเป็นอารมณ์มายา อารมณ์เสพ ก็ล้างได้หมดสิ้น ไม่ต้องมีอารมณ์สุขหรืออารมณ์เสพ ที่เรียกว่า สุข 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สุดยอดว่าสุขกับทุกข์เป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน เป็นคู่ที่แยกกันไม่ได้ มันหลอกคุณว่าสุข แต่แท้จริงมันคือตัวทุกข์ ตัวแท้ คุณเป็นอาริยะ คุณเป็นผู้ประเสริฐ คุณเป็นผู้ฉลาดจริง คุณจึงจะรู้จัก ปัดโธ่เอ๋ย…ไอ้นี้เอาสุขมาหลอก 

สุขกับทุกข์ พยัญชนะเรียกสภาวะเป็นสภาวะ 2 ที่หลอกเป็นนักเล่นกล เป็นมายากลที่ไวเหลือเกินมันหลอกกัน จนคนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าสุขกับทุกข์มันเป็นตัวปลอมทั้งคู่เลย มันมี 2 ด้านมันก็หลอกต้องฆ่ามันทั้งหมดเลย จนเป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ 

ทีนี้พวกเดียรถีย์ พวกอวิชชาที่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจริงที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นโลกุตระ ก็ไปเข้าใจความไม่สุขไม่ทุกข์แบบ เดียรถีย์ แบบมิจฉาทิฏฐิ คือไปทำสัญญาไม่ให้มันมีความรู้สึก ไม่ให้มันรับรู้ทุกข์รู้สุข มันก็ไม่มีสิ ความทุกข์ความสุขเพราะไปดับจิต ดับเวทนา ดับสัญญาบื้อๆ ไม่ให้มันทำหน้าที่มันก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็เป็น อทุกขมสุข แบบ เดียรถีย์ แบบ อสัญญีสัตว์ แบบไม่รู้เรื่องไม่รู้สัจจะที่แท้จริง ไม่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานไม่รู้เรื่อง เวทนาในเวทนาไม่รู้เรื่อง ยิ่งแยกเป็นจิตในจิตถึงตัวเหตุใหญ่เลย เจโตปริยญาณ 16 ก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย ต้องแจกไปถึงเวทนา 108 ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย แม้แต่ชาวพุทธ ที่ไม่ได้เรียนดีๆไม่ได้เรียนอย่างสัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่เข้าใจ 

แม้พวกคุณจะมาไล่เวทนา 108 ไม่ออก มาเรียงพยัญชนะที่อาตมาอธิบายแจกไว้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วเอามาแจก คุณแจกไม่ได้อย่างอาตมาพูด แต่คุณก็มีสภาวะ เพราะคุณมีตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ 6 แล้วคุณก็รู้จักสภาพสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่ก็เป็น 18 แล้ว 

ทั้ง 6 ทวาร ตากระทบรูป มันสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันทำให้เกิดเวทนาสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ทั้งหมดทั้งนั้น เป็น 18 

อย่างเช่นคนอวิชชาคนโง่ๆโลกียะอยู่มันก็สุขก็ทุกข์ไปตามเหตุปัจจัยที่ตัวเองอุปาทาน มีตัณหา มันก็เกิดสุขเกิดทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนั้น แย่งกัน แล้วก็บำเรอตน บำเรอกิเลส มันก็ยิ่งโง่หนักไปทุกวัน ได้เสพสุขเสพทุกอย่างโลกียะ เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆเมื่อไหร่จะรู้ตัวหนอ 

เพราะฉะนั้นคนในโลกโลกียะยิ่งเห็นแล้วโอ้โห มันมีแต่กระหน่ำย่ำยีตนเองหลงสุขแต่ได้ทุกข์ หลงทุกข์แต่ได้สุข เป็นความวิปลาสเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นที่เห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นตัวตน เห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น อย่างนี้เป็นต้น ได้เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง มันก็จะชัดเจนไปหมดเลยพระพุทธเจ้าตรัสเอา 

แต่ก่อนก็เคยเป็นอย่างนี้มาทั้งนั้นไม่เว้นว่าใครเลย จนกว่าจะรู้ตัวว่าเดี๋ยวนี้เราไม่เอาแล้ว เป็นคนวิปลาสเดี๋ยวเขาเอาไปเข้าโรงพยาบาลนะ เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ว่าเป็นสุขเห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตนเห็นความไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น(งาม) เห็นความไม่งามว่างาม ซึ่งแปลว่างาม มันไกลมันยากไป แต่เขาบอกว่าง่าย อาตมาว่ายาก 

เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น อสุภะ ความไม่น่าได้ก็อสุภะ ไปเห็นว่าเป็นความน่าได้ ก็สุภะ ก็เลยเป็นสิ่งอย่างนั้นจริง 

ทุกคนเข้าใจสภาวะแล้วก็รู้ว่าเราก็เคยวิปลาสอย่างนี้มา เดี๋ยวนี้เข้าใจถูกต้องแล้ว อ๋อ…เข้าใจว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ก็จะไปทำให้มันเที่ยง ให้มันเป็นความยาวนานยามา ให้มันสิงสถิตอยู่ที่ดุสิตเลยแล้วก็สร้างเนรมิตเป็น ปรินิมมิตวสวัตตี สวรรค์วิมาน เพ้อๆ เป็นสวรรค์หลอกสวรรค์เพ้อ 

เป็นคนไม่วิปลาสแม้แต่สวรรค์ก็ไม่มี นรกก็ไม่มี คุณยังไปติดสวรรค์ คุณก็มีนรกเป็นภาวะคู่ ไม่แยกกันหรอก มันยังอวิชชา 

ถ้าคุณมีวิชชาแล้วคุณก็จะรู้สภาวะคู่คือดับไปทีละคู่ ๆๆๆ เดี๋ยวก็หมดเลยสภาวะคู่ เราอยู่เหนือมันหมด แล้วเรารู้จักสภาวะคู่ที่มันมีอยู่ตามสัจจะ ตามธรรมะที่มันเป็น มันมี 

 

อยากมีจิตอุเบกขาต้องมาเป็นกสิกรแข็งขัน

_มาวิเคราะห์วิจัยคำว่า อทุกขมสุข กับคำว่า อุเบกขา เคยอธิบายเคยวิจัยวิจารณ์มาแล้ว

ขยายจะได้รู้รายละเอียดจนกระทั่งถึงธรรมนิยาม 5 

ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างเดียรถีย์เป็นนั่งดับเป็น อสัญญีสัตว์ เป็น อสัญญีสัตตายตนะ อายตนะคุณมีแต่คุณไปดับสัญญาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ เป็น อสัญญีสัตตายตนะ เป็นสัตว์ชนิดที่ 5 อสัญญีสัตตายตนะ 

ผู้ที่ไม่รู้ ก็เป็นสัตว์อยู่อย่างนั้น ทีนี้ ผู้รู้ความไม่มีสุขไม่มีทุกข์โดยสภาวธรรม รู้จักเวทนาสุข รู้จักเวทนาทุกข์ รู้จักเวทนาในเวทนา จนกระทั่งทำให้เวทนาในเวทนา เป็นสุขเป็นทุกข์ 

แม้จะอาศัยสภาวะสุข ก็ไม่ได้เป็นสุขอย่างที่ได้เสพสุข ที่ได้สมใจสุข แต่เป็นสุขสงบที่มันลดเหตุปัจจัยเป็นไปตามลำดับเรียกว่าสุขสงบ ปัสสัทธิ ไม่ใช่สุขอย่างโลกีย์ที่มันสุข บำเรอบำรุงกิเลสไปเรื่อยๆไม่ใช่ 

ขอยืมภาษาคำว่า สุข เป็นฐานอาศัยว่า มันก็สงบลงๆสบายๆขึ้น สุขหมดไปทุกข์มันก็หายไปด้วยเพราะมันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นปัญญาที่รู้จักทัน รู้เท่าทัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม มันแยกกันไม่ได้ 

ยิ่งไปโง่เป็นซาดิสซึ่ม จะต้องการทุกข์ให้แก่ตนเอง แทนที่จะเอาสุข อย่างนี้ยิ่งหนักอาการหนักใหญ่ เป็นพวกจะต้องได้รับความรุนแรงๆ ทรมานเจ็บตัว รู้สึกได้เห็นความรุนแรงได้เห็นความวุ่นวายเดือดร้อนได้เห็นความดิ้นรนทรมานแล้วสบายใจ 

เพราะฉะนั้น คนซาดิสอยู่ เป็นคน มโนปโทสิกะ จิตของตัวเองโง่เป็นโทษ เป็นอารมณ์ทางรุนแรง ยินดีชื่นใจอยู่กับพวกนี้ ชอบคนสมัยโบราณนี่นะ เอาคนมาสู้กับสิงโต แล้วสิงโตมันก็กัด กิน ตาย คนดูรู้สึกสนุก สู้กับกระทิง อะไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดีก็สู้กัน ใช้อาวุธหอกขี่ม้า แทงกัน ใครตกใครตายก่อน เป็นอัศวินขี่ม้า แทง หอก 

นั่นแหละมันไม่มีความรู้ มันซาดิสกันหนัก จนกระทั่งมารู้ว่า คนเราทำไมมันจะต้องรุนแรงอย่างนี้ ฆ่าแกงกันอย่างนี้ให้เจ็บปวดกันอย่างนี้ ก็ค่อยๆเจริญขึ้นมา มาเป็นคนเจริญ 

ขอลัดขึ้นไปว่า เจริญจนกระทั่งไม่ต้องไปฆ่าแกงแย่งชิง เบียดเบียน เอาที่ดินแว่นแคว้น ไม่ต้อง แบ่งกันอยู่แบ่งกันอาศัย นี่เจริญกว่า 

พูดถึงตรงนี้แล้วอาตมานึกถึงตัวเอง โอ้…ชีวิตเรา ราชธานีอโศกเป็นพื้นดินที่มาอยู่นี้ ซื้อมาทั้งนั้นเลยนะมาเป็นหมู่บ้านทางนิตินัย เป็นหมู่บ้าน เป็นโฉนดของส่วนตัวทั้งนั้น ไม่ใช่ของสาธารณะ เหมือนหมู่บ้านอื่นๆเขา แล้วเขาก็ไปแจกกัน มีโฉนดของแต่ละคนแต่ละหมู่บ้าน ของเราอยู่กองทัพธรรมหรือว่าอยู่ในมูลนิธิธรรมสันติหมด ไม่มีของส่วนตัว แล้วต้องซื้อมาทั้งนั้นเลย แหม..วิบากเอ๋ย 

แต่เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ซื้อก็ซื้อ จนกระทั่งพออาศัยไป ซื้อมาแล้วเอาไปทำไม เราก็มาอาศัยสร้างสรรค์ทำประโยชน์ ที่ดินยังมีอีกเยอะให้เราทำไร่ทำนาทำสวนแล้วยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควร แต่ก็ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็มีอัตราการก้าวหน้าอยู่เหมือนกัน 

อาตมาก็เน้นย้ำกับพวกเราว่า ถ้าพวกเรามามีชีวิตชอบในการที่จะเป็นกสิกร ใครก็แล้วแต่ ลงไปทำ มันไม่มีจริตนิสัย มันไม่ชอบ จริงๆนะ พวกเราหลายคนไม่ชอบ ไม่ไปเยี่ยมกรายเลยพูดอย่างไรก็เฉย หางานอย่างอื่นทำกลบเกลื่อนไป ให้พากเพียรไปสร้างนิสัยให้ไปเป็นกสิกรสิ เขาก็ไม่เอา 

แต่ก็มีผู้เข้าใจพยายามพากเพียรเพิ่มขึ้นมา ก็ดีเหมือนกัน มันเป็นงานหนักไม่ใช่เล่น ยิ่งยุคนี้มันต้องหนัก ยุคแต่ก่อนคนมันน้อยพืชพันธุ์ธัญญาหารมันเยอะข้าวสาลีก็ไปเก็บเอาไปกิน ใครเข้ามาเก็บได้ก็ยังมีกันอีกเยอะให้กิน เดี๋ยวนี้มีที่ไหน 

 

_สู่แดนธรรม... มีผู้รายงานจำนวนคนฟังมา รวมกันแล้วได้ 997 คน ขาดอีก 57 คน 

 

นิพพานต้องเป็นปัจจุบันกาล

_ลูกขอรายงานสภาวธรรมตอนไปลงงานกับเพื่อนๆตอนบ่ายเพื่อเตรียมตลาดอาริยะ ลูกเห็นว่างานที่ได้ฝึกเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นงานกรอกเกลือ งานมัดขวดน้ำมันพืช งานม้วนเสื่อ เป็นงานที่ไม่ยาก อาศัยทักษะเพียงเล็กน้อยทำตามคำแนะนำของแม่ฐาน ถ้าเราไม่ปรุงแต่งนู่นนี่ตามสัญญาของเรามากเกินไป แต่ปรับกายกรรมวจีกรรมที่จำเป็นกับการทำงานไปกับเพื่อนร่วมงาน อะลุ่มอล่วยกัน บวกกับเนื้องานจำนวนมาก ทำให้เราได้ฝึกจนทำงานกันอย่างราบรื่น มีความเหมาะพอดีเหมือนเครื่องจักร และได้ผลงานปริมาณมาก 

ลูกมีปิติและความสุขเกิดขึ้น และเมื่อหมดเวลาก็ตัดรอบหยุดงานได้ไม่ติดยึดกับงาน รู้สึกถึงความเบาสบายสงบอบอุ่น ท่ามกลางหมู่พี่น้อง แม้อากาศจะร้อน แต่ไม่อบอ้าว 

ลูกอยู่บ้านราชค่ะ

พ่อครูว่า... ก็อธิบายความรู้สึกการปฏิบัติธรรมก็อย่างนี้แหละฟังธรรมแล้วเอาไปปฏิบัติประพฤติจริง จนเข้ามาอยู่ในพฤติการณ์ของสังคมอย่างพวกสังคมชาวอโศกก็มีพฤติการณ์ของสังคม เราก็มีพฤติกรรมอยู่ร่วมด้วย แล้วเราก็เกิดความรู้สึก เกิดปฏิภาณปัญญา เห็นอะไรเกิด อะไรเป็นอะไรกระทบจิตใจเกิดอย่างไร ได้รู้จิตรู้ใจรู้เจตสิกต่างๆอารมณ์ต่างๆ แล้วก็เลยจัดการ

การปฏิบัติธรรม คือ การทำงาน ทำงานร่วมกับคนมีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วเกิดกิเลสในปัจจุบันธรรม เป็นกิเลสปัจจุบันกิเลสแท้แล้วเราก็มีปฏิภาณปัญญาสามารถรู้กิเลสรู้ทันกิเลส แล้วทำให้กิเลสมันลดได้จริงไอ้นี่แหละคือความจริงที่จบได้ และจบแล้วจบเลย เป็นอรหันต์กันต้องอย่างนี้มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีทิฏฐิให้สัมมาว่า นิพพานต้องเป็นปัจจุบันกาลปัจจุบันชาติเป็น ทิฏฐธรรมกาละ เป็นปัจจุบันชาติขณะนี้ ไปหลับตาปฏิบัติธรรมอยู่ในภพชาติมันไม่มีนิพพาน 

เขาไม่ฟังอาตมาบ้างเลย ทำอย่างไรถึงจะเฮงขึ้นมาบ้าง 

 

ความรู้เรื่องกายสำหรับเด็ก 

_ดช.เพื่อฟ้าดิน หทัยเพชร... กายคืออะไรครับหลวงปู่ ... หลวงปู่ก็อธิบายอยู่ วันนี้ก็อธิบาย กาย ยังมีอีกคาบหนึ่ง คราวหน้าจะรวมหมดเลย ทั้งกายทั้งเศรษฐกิจทั้งความจบกิจของการเมืองการเศรษฐกิจ 

ตอบ กายคืออะไร ... มีคนช่วยตอบให้ว่า กายคือทั้งข้างนอกและข้างใน = ไม่ดื้อ บอก ดช.เพื่อฟ้าดินนะ รู้จักไหมว่าอะไรคือข้างนอก อะไรคือข้างใน และก็สรุปแล้ว ทำให้ไม่ดื้อทั้งกายและใจ 

ถ้าข้างนอกดื้อ ใจข้างในก็รับเอาความดื้อ พฤติกรรมการแสดงออกข้างนอกก็จะดื้อด้วย นี่คือมีผู้ช่วยอธิบาย กายคืออย่างนี้ เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ดช.เพื่อฟ้าดิน ปะเวจูเนียร์

 

สังคมชาวอโศกจบกิจเศรษฐกิจได้ คือมันดูไม่หรูหรา แต่ดูรุ่งเรือง

พ่อครูว่า... ทีนี้ก็มาขยายแบบรวมๆขยายแบบสรุปๆหน่อยหนึ่ง 

จบกิจ กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภาษาบาลีว่า กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ 

กตํ แปลว่าจบ กรณียัง แปลว่า กิจ

อาตมาเอามาใช้กับทางเศรษฐกิจอย่างชาวโศก อาตมาถือว่าจบกิจทางเศรษฐกิจมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ดี สามารถที่จะสร้างสิ่งที่อาศัยใช้กิน จากที่เราเป็นเรามีกันเราสร้างขึ้นมาอีกก็ตาม เพียงพอ กินใช้จนเหลือ จนอุดมสมบูรณ์ ทุกวันนี้

นอกจากสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของคนข้างนอกก็เรื่องของเขา เราไม่ไปเดือดร้อนวุ่นวาย 

แต่ละคนก็ตรวจสอบตัวเอง เรายังมีความเกี่ยวข้องกับโลกแบบนั้นๆขนาดนั้นขนาดนี้กับเขาเท่าไหร่ เข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศกแล้วก็มีกินมีใช้อาศัยประมาณ เราก็ใจพอพอแล้วนี่มันก็มากพอแล้วสบาย จะทำงานทำการจะทำกินทำใช้มันก็พอ มันพอเพียง 

ที่ในหลวงท่านตรัสว่า พอเพียง มันก็พอเพียงจริงๆ มันน้อยเราก็เห็นจริงว่าเราไม่ได้ตะกละตะกลามโดยเฉพาะส่วนตัว น้อยจนกระทั่งชีวิตอยู่ปัจจัย 4 มีบริขารที่ใช้นิดๆหน่อยๆ ตามงานของเราตามหน้าที่ของเรา คนชาวกสิกรคนที่ชอบกสิกรก็มีเครื่องมือมีอาวุธมีเสียมหรือว่ามีอะไรที่จะทำ เครื่องมือเครื่องไม้ประกอบ 

คนจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ก็มีเครื่องมือประมาณนั้นประมาณนี้ แล้วก็ดูใช้งานกันไป สังคมชาวอโศกเรานี้ อาตมาว่า 

“สังคมชาวอโศก มันดูไม่หรูหรา แต่ดูรุ่งเรือง” โดยเฉพาะอาตมาเจตนาสร้างสิ่งที่เป็นธรรมชาติ 

สิ่งนี้แหละ อาตมา เกิดมาตั้งแต่เป็นฆราวาสก็พยายามสร้างธรรมชาติ มีที่อยู่นิดหน่อย ไม่ถึง 100 ตารางวา มีสนามสำหรับทำต้นไม้ทำไปตามประสา มีรถยนต์ขนหินมาผ่านหน้าบ้านก็บอกว่าซื้อไหมครับ อาตมาก็เห็นว่าดีซื้อเอาเท่าไหร่ จำได้ตอนนั้นเขาขาย 1,500 บาท ซึ่งตอนนั้นชั้นโทเงินเดือนก็ยังไม่ได้นะ เงินเดือนชั้นตรี 750 บาท เงินเดือนชั้นโทก็ 1,250 ตอนนี้ 1,500 แนะ เงินเดือนหมดเดือนเลยนะ ก็บอกว่าเทลงเลย คนข้างบ้านก็บอกว่าซื้ออะไรให้เห็นตั้ง 1,500 บาท ในยุคโน้นเงินมันแพงขนาดนั้น 

แล้วอาตมาก็มาสร้างสนาม ตกแต่งทำน้ำตกน้อยๆ ทำสระรูปหัวใจ ทำสระรูปเท้า มีน้ำพุ มีน้ำตก ตามประสาไป 

พอออกมาจากทางโลกแล้ว ก็มาสร้างภูเขา สร้างน้ำตก สร้างลำธารอะไรอีก ตั้งแต่หมู่บ้านแรกปฐมอโศกไป สร้างน้ำตก สร้างภูเขา สร้างอะไรไปคือสร้างธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้มันมีการสะพัด ให้มันอยู่กันอย่างมีการหมุนเวียนไอน้ำมีลม เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ แทนที่จะไปสร้างแบบเมืองคอ-นก-รีต มันไม่ไหวเลยเมืองคอ-นก-รีต ฝนตกมานี้หลงทางหมดเลย น้ำไม่รู้ทางออกเลย เป็นภาระให้แก่ผู้ว่าฯ น้ำท่วมน้ำขังน้ำเน่าไป ลมพัดมาก็ไม่มีทางไป หลงทางหมด 

นี่แหละพูดเป็นสัจจะเป็นสิ่งที่เขาไม่รู้ตัวเลย เขาว่าเขาเจริญ เจริญขี้หมาอะไร มันเสื่อมหนัก นี่คือความไม่รู้ความไม่เข้าใจ ความอวิชชาเห็นสิ่งที่มันเสื่อมเป็นความเจริญ เรามาทำอะไรพวกนี้ จริงๆแล้วอาตมาว่า คนมาสัมผัสพวกเรานี้ แม้แต่สัมผัส ภูมิประเทศ สัมผัสธรรมชาติที่พวกเราทำ สัมผัสกับคนพวกเรา เขาจะว่าพวกเรานี้เป็นพวกที่เสื่อมไหม ...นั่นน่ะ ให้พวกคนกรุงมาสัมผัสพวกเรา จะว่าพวกเราเสื่อมไหม โง่ไหมตึกรามบ้านช่องมีดีๆก็หนีมาหมด เขาจะว่าพวกเราเป็นคนเสื่อมไหม ...

อาตมาว่า เขาก็จะไม่ว่าหรอก คนพวกนั้นจะรู้สึกเหมือนกันว่าเขาอยู่อย่างนี้รู้สึกว่ามันได้สัมผัสสิ่งที่ มันยิ่งกว่า รีสอร์ท มาได้เลยนี่ เป็นรีสอร์ท มีที่พัก มีเรือนเรือ เรือนเอาแบบไหน เอาเรือนอยู่ธรรมดาก็พออาศัยได้ นี่เรือนเรือ เรือเรือน มีอยู่ตั้งหลายลำ 

อาตมาว่าคนข้างนอกก็คงจะมาบอกว่าไอ้นี่มันอะไรวะคงจะไม่หรอก เอาเถอะพิสูจน์กันไป 

_สู่แดนธรรม... เมื่อตะกี้นี้พ่อท่านพูดคำที่ดีคำหนึ่ง... คือ สังคมชาวอโศกดูหรูหราแต่ไม่รุ่งเรือง

พ่อครูว่า... อย่างน้อยที่สุดราชธานีอโศกก็มีต้น บักรุ่ง(บักหุ่ง) ต้นมะละกอเยอะจะไม่รุ่งเรืองได้อย่างไร ถ้าปล่อยให้มันสุกก็เหลืองไปหมดเลยสุกคาต้น ตอนนี้ก็ปลูกดะไปริมถนน ปลุกไปเลยพริกมะเขือข่าตะไคร้ปลูกไปจะได้เก็บกินกัน ของเราก็เหลือเฟือกินกันไม่หวาดไม่ไหวท้องจะแตกตาย 

มันสำเร็จทางเศรษฐกิจ มันสำเร็จทางการบริหารกันอยู่ไม่ว่าการเมืองก็ตาม 

อาตมาช่วยประเทศชาติอยู่ก็คือช่วยพลเมือง ช่วยการบริหารช่วยการทำให้เกิดเศรษฐกิจดี ในสังคมประเทศ โดยเขาไม่เข้าใจคนเขาไม่เชื่อว่า เป็นคนจนนี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ และก็เป็นคนที่สร้างสิ่งที่เหมาะที่ควร เป็นกัมมัญญตา ให้แก่สังคมโลกเขา 

แม้แต่การเมืองก็สบาย นี่ทุกคนสำเร็จบรรลุประชาธิปไตยจบกิจแล้ว มีอิสระขึ้นมาทุกคนอิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล ใจที่คุณยังไม่เกื้อกูลก็มาเกิดใจเกื้อกูล แล้วก็เพิ่มพูนการเสียสละซึ่งเป็นปลายเปิด 

ก็เป็นชีวิตที่มีเหลือ ทำกินทำใช้เหลือ เรามีแต่จะเสียสละให้แก่ผู้อื่นได้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น 

ทุกวันนี้รู้สึกไหมว่า เราแจกจ่ายหรือว่าเราเองจะสละจะทำอะไรที่แบ่งปันให้คนอื่น มันรู้สึกว่าธรรมดาๆ มันรู้สึกว่าไม่มีความฝืน ไม่มีความลำบากอะไรเลยที่จะสละ เป็นแต่เพียงว่า คือเราเองเป็นสังคมซับซ้อน สังคมจน สังคมไม่ร่ำรวยอะไร แล้วก็ไม่ใช้วัตถุคือเงินทองสะสมไปเพื่อซื้ออะไรมาเพื่ออวดอ้าง แต่ด้วยน้ำพักน้ำแรง 

แล้วเราก็มีสิ่งที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา ถึงคราวบ้างแล้วก็ไปซื้อเอามาทำอย่างเช่นที่ตลาดอาริยะ คนอื่นเขาทำ เราก็ไปสั่งซื้อ สิ่งที่จำเป็น สิ่งที่จะมาหาความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหรือจะเป็นสิ่งที่ไฮโซนี้ไม่มี มีแต่โลโซทั้งนั้น มีแต่คนชั้นพื้นฐานของสังคมมนุษยชาติที่เป็นส่วนนี้ เป็นของจำเป็น เป็นของที่สมเหมาะสมควรที่มนุษย์จะอาศัยใช้สอย ไม่ใช่เป็นสิ่งมอมเมาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยครอบงำ ไม่มี 

นี่คือพวกเราพวกที่มีแก่นสาร สุดยอดแห่งแก่นสาร ไม่ใช่แค่เปลือก ไม่ใช่แค่สะเก็ด หรือกระพี้ แต่นี่คือแก่นสารเนื้อแท้แก่นแกนเลย

สังคมโลกอาตมาอธิบายตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าโลกเขาหลงแต่ใบดอกผลงาม คือท่านเปรียบเหมือน ลาภสักการะสรรเสริญ นั่นแหละคือความโง่ความยึดติดด้วยความหลงจะอยู่อย่างนั้น แม้แค่ศีลที่เป็นสะเก็ดเขาก็ยังไม่ได้ สมาธิแค่เปลือกเขาก็ยังไม่ได้ มิจฉาทิฏฐิหมด เพราะฉะนั้นปัญญาที่จะเป็นกระพี้เขาก็ไม่ได้ วิมุติที่เป็นแก่น No way ไม่มีทางที่เขาจะได้เลย ... 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 05:16:29 )

660410

รายละเอียด

660410 พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52997.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QgViDbXCr0hd6K27AmGjK387nRP9sDsP/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                           ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1V37NUy8QJNZYihrOT5C30mruVqJ-djFw/view?usp=share_link  

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/ZZ1bSELWKxg 

และ https://fb.watch/jPN83yI0ZR/ 

 

แยกกายแยกจิตให้ถึงวิญญาณฐิติ 7

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ชวด ฉลูขาล เถาะ ปีเถาะเป็นปีที่ 4 ยังไม่ถึง 5 

งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 45 นี้ คาบสุดท้ายแล้วที่อาตมาจะอธิบายในงานปลุกเสกนี้ ซึ่งอาตมาได้อธิบายในเรื่องของ กาย อธิบายคำว่ากาย ถึงแม้ว่าได้อธิบายพูดไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ยังไม่สามารถที่จะคลี่คลาย ขยายความ ความหมายของคำว่ากายนี้ให้ครบถ้วนได้ บริบูรณ์ดี สมบูรณ์จนกระทั่ง รู้สึกว่ามันจบถ้วนแล้ว แต่ก็ได้สรุปรอบจบความเป็นกายไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ยังไม่จุใจ 

พูดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองยังคลี่ไม่ค่อยออก วน รู้สึกว่ายังไม่เก่งเท่าไหร่ อาตมาพยายามที่จะนำ ความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ในสูตรต่างๆตั้งแต่คำว่า สักกายทิฏฐิ ที่ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้ รู้สักกะ รู้ กายะ 

รู้ความเป็นกายที่ตัวตนนี้ให้ชัดเจน ให้ถูกต้อง ให้สัมมา จนกระทั่งสามารถแยกกายแยกจิตได้เป็นธรรมนิยาม 5 ทำให้กาย จนไม่มีความเป็นกาย เป็นอุตุธาตุไป เป็นแค่ พีชะ มีจิตนิยามอาศัยไป

ก็รู้ความจริงได้ว่า พีชะ มันไม่เหมือนอุตุ เมื่ออุตุไม่มี มันก็ไม่มีเวทนา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็อาศัยชีวะที่มีเวทนาที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ 

พยัญชนะคำว่า อุตุ คืออย่างไร เราต้องรู้อาการจิต เจตสิกต่างๆที่แยกเป็นเจตสิก เจตสิก มันไม่มีเวทนา มันไม่มีกายเป็นอย่างไร เราก็เข้าใจของเราได้ โดยพระพุทธเจ้าท่านให้อ่านออกจากการพิจารณาตรงผม ขน เล็บ ฟันหนัง 

ซึ่งอาตมาก็ได้แจกแจงให้ฟังแล้วว่า ส่วนที่ไม่ว่าจะเป็นส่วนของขนของผม ของเล็บ ของฟัน ของหนัง ส่วนนอกที่ ไม่เกี่ยวกับประสาทแล้ว ไม่มีความเป็นกายแล้ว เราจะตัดให้มันขาดออกจากร่าง ก็ตัดได้ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนาเลย 

ส่วนที่มันขาดออกไปมันก็ยิ่งชัดว่ามันหลุดออกไปจากร่าง สรีระเราแล้ว มันไม่มีชีวะกับสรีระเราแล้ว มันหลุดออกไปเลย 

ส่วนนั้นมันก็ยิ่งชัดว่าเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ มันไม่มีชีวะขาดไปแล้วก็ขาดกัน ส่วนที่ยังเหลืออยู่เป็นชีวะ มันไม่เจ็บมันไม่ปวด มันไม่ทุกข์ มันไม่สุขก็เข้าใจว่า มันไม่ทุกข์ไม่สุข มันไม่เจ็บไม่ปวดอย่างนี้ไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกปวด ไม่รู้สึกชอบไม่รู้สึกชัง ไม่รู้สึกความเป็นเทวะหรือความเป็นกาย มันก็ไม่มีกายผูกยึด ไม่ติดไม่ยึดอะไรกัน 

อาการเช่นนี้นะเป็นอาการที่เป็น อทุกขมสุข เป็นฐานที่อาศัยของจิต ที่เราจะปฏิบัติ 

พวกมิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำให้ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ สะกดจิตให้ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ แต่มันไม่จริง มันไม่ถาวร มันไม่ยั่งยืน มันไม่ได้ดับเหตุ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธก็มารู้จักเหตุ ทำเหตุให้มันดับออกให้มันออกไป เหตุที่ทำให้เกิดอาการดูด อาการกาม อาการปฏิฆะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเห็นว่ามันเป็นความยึดติด มันเป็นความโง่ มันเป็นความหลงว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นรสชาติ 

ถ้ามันชอบอย่างนี้ก็เป็นสุข ไม่ชอบมันก็เป็นทุกข์ ชัดเจน 

โดยเฉพาะสิ่งหยาบที่เราเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์ เห็นได้ง่าย และจิตของเราก็มีปฏิภาณรู้ว่าอย่างนี้ไร้สาระ ชีวิตเราถ้าจะเลิกจากมัน ก็ไม่กระทบกระเทือนไม่ทำให้ชีวิตเราตกต่ำ ชีวิตเราจะสูงขึ้นด้วยซ้ำ ชีวิตที่เคยเสียเวลาแรงงานทุนรอนกับมันไร้สาระจริงๆโง่จริงๆ เห็นความโง่ของตัวเองชัดเจนเลย ชัด ปัญญาเกิดขึ้นเป็น วิชชา อวิชชาหายไปเลย ก็หลุดพ้นมาจากโลก อบาย ก็ชัดเจน 

เป็นเช่นนี้เองเหรอจิต เจตสิก รูป หลุดไปแล้วมันก็เป็นนิพพานเป็นชิ้นนี้เอง หรือ ความหมด ไม่มีความเกี่ยวข้องเป็นจิต เจตสิกอะไรกับเราแล้ว มันกลายเป็น สสารวัตถุ สรีระ เป็นอะไรที่เกิดอยู่ในโลก 

เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมันมีอยู่ก็เข้าใจแล้ว มันปรุงแต่งกันเป็นโลกอบาย เราก็หลุดพ้นจากโลกบาย เป็นเช่นนี้เอง ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง ไม่รู้แจ้งรู้จริงแล้วเหนือขึ้นมาเป็นโลกกาม มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มีสุขทุกข์อยู่ทางตา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธรรมายตนะภายใน มันก็เกิดสุขเกิดทุกข์อยู่ 

 

ก็เหมือนแต่ก่อนเราติดในอบายมุข มันก็ง่ายขึ้น เพราะมันมีของจริงที่เราได้หลุดพ้นแต่ละโลก โลกต่ำทำได้แล้วโลกหยาบ โลกต่อมา เราก็เข้าใจปฏิภาณของเรามันเกิดจริงมีจริงเป็นจริงมันก็จะทำให้ง่ายขึ้น ก็รู้ว่าโง่ไปหลงว่า เป็นสุขเป็นทุกข์ไปหลงอยู่ที่เวทนา ที่เป็นเรื่องมายาหลอกน่ะ ที่จริงมันเป็นทุกข์มันจึงหลงว่าเป็นสุข มันเป็นสภาพมายากลหลอกเรา ทุกข์สุขมันไม่มีจริงหรอก 

ความฉลาดก็สูงขึ้นเห็นขึ้น เลิกมาได้ รูปอะไรที่เป็นวัตถุรูป ที่เราเองเคยหลง เคยติด เคยทุกข์ เคยสุขกับมัน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน อันนี้เออ เราเองไม่ได้ติดมาก วางได้ปล่อยได้ มันก็หมดอาการผูกยึด ไม่แล้ว ไม่ติดไม่ยึด ไม่ห่วงไม่หา ไม่อาวรณ์ 

เราจะเกิดอาการที่ได้เรียนรู้ว่าจิตของเราเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์แล้วมันเกิดการ ละ วาง ปลดปล่อย ขาด หมดกิเลส แม้จะสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่อยู่ร่วมกัน สัมผัสสัมพันธ์กัน มันไม่เป็นโทษ มันเป็นประโยชน์ในอันนี้อย่างนี้ ก็เอามาร่วมใช้ร่วมกินร่วมใช้ กับชีวิตได้ มันเป็นจริงมันจะเห็น 

ฟังๆนี้เข้าใจไหม มีสภาวะไหม… มี ทำได้ไหม… ได้ ไอ้ที่ละได้แล้วมีไหม… มี ไอ้ที่ยังไม่ได้มีอยู่มีไหม… มี แล้วไอ้ที่ทำได้ ทำให้มันมีอยู่ มันไม่มีไม่ได้หรือ...กำลังทำอยู่ นี่ พูดไปแล้วเราก็รู้ว่าพูดอันนี้หมายถึงอะไร แล้วเราก็รู้ว่าเราได้หรือไม่ได้ ไม่มืดมัว กระจ่างชัด 

เป็นอาภัสรา เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง คือ มีกาย อย่างเดียวกัน พวกเราเข้าใจสัมผัสแล้ว เราชัดเจน เรายังติดอยู่ เราก็รู้ เราไม่ติดอยู่เราก็รู้ เข้าใจว่าสัญญากำหนดหมายของเรารู้อ่านรู้ว่า ยังติดอยู่นะ อาภัสรา หมายถึงความสว่างกระจ่างแจ้ง หรือปัญญา หรือความรู้ ความเจริญของจิตท่านเรียกว่าอาภัสรา เทวดาขั้นสูง 

วิญญาณฐิติขั้นที่ 1 ก็เป็นมนุษย์ เป็นมาร เป็นเทวดาไม่รู้เรื่อง กายต่างกันสัญญาต่างกัน

พอมาวิญญาณฐิติขั้นที่ 2 กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ทำให้เห็นอาการนิวรณ์ 5ไม่มีได้ ไม่มีกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา จนชัดเจนไม่สงสัย รู้จนกระทั่งกระจ่างแจ้งสัมมาทิฏฐิเลยว่ามันดับอย่าง กายต่างกัน 

เพราะเราลืมตาสัมมาทิฏฐิ ส่วนมิจฉาทิฏฐินั้นหลับตาเขาถึงทำให้ไม่มีนิวรณ์ สัญญาไม่มีนิวรณ์ ก็ทำได้เหมือนกัน พวกหลับตาเขาก็ทำได้สัญญาอย่างไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 

พวกลืมตาก็ทำได้ไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันโดยที่ กายต่างกัน คนหนึ่งลืมตา คนหนึ่งหลับตา 

พอไปวิญญาณฐิติขั้นที่ 3 เกิดปัญญาเกิดความสว่าง กระจ่างแจ้งรู้ อ๋อ.. กายอย่างเดียวกัน ความสว่างกระจ่างแจ้งอย่างเดียวกัน หรือมีปฏิภาณปัญญารู้ มีความรู้ความฉลาดอย่างเดียวกัน แต่ว่ามิจฉาทิฏฐิเขาเห็นต่างจากเรา 

ปัญญาของเขาไม่เหมือนเรา ความสว่างกระจ่างแจ้งความรู้เขาไม่เหมือนเรา เทวดาอาภัสราหรือความสว่างกระจ่างแจ้งความรู้ความเห็นไม่เหมือนกัน 

วิญญาณฐิติขั้นที่ 4 นี้ ไปกำหนดหมายสัญญา กำหนดหมายนิโรธ มิจฉาทิฏฐิไปกำหนดหมายนิโรธอยู่ที่ ความไม่มีชนิดไม่รู้ ชนิดไม่เห็นไม่เข้าใจ มันเป็นความนิโรธดับความไม่รู้ ดับสัญญา ดับเวทนา ดับให้จิตไม่ทำงานเท่านั้น มันเป็นลักษณะ กิณหา 

เป็นความดับ ความดำ ความหยุด มืด เงียบ สัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาที่หลงว่าเป็นนิโรธ มันไม่ใช่ของจริง 

เพราะฉะนั้นคนที่มองเห็น หรือคนที่ทำได้ สัมมาทิฏฐิ  ก็เข้าใจนิโรธว่าไม่ใช่มันดำ มันดับ มันมืด แต่มันก็สูงกว่าดำกว่าดับกว่ามืด กิเลส มันไม่มีก็ไม่สุขไม่ทุกข์ 

การดับสัญญาให้ดับให้ดำให้มืด คุณก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข แต่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขที่ต่างกัน 

ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขของมิจฉาทิฐินั้น เขาก็ไม่มีได้ แต่เขาทำแบบ ดำๆมืดๆไปเฉยๆให้มันหยุด มันดับ มันดำ มันผ่าน มันไม่มีแสงสว่างมันไม่มีปัญญา มันไม่มีความกระจ่างกระจ่าง ไม่มีความรู้เลย 

แต่ของพระพุทธเจ้านั้น อ๋อ.. อทุกขมสุข ที่เป็นอุเบกขา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะจิตสะอาดจากกิเลส อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

มันมีความเหมือนกันตรง กายเหมือนกันสัญญาเหมือนกัน แต่มันต่างกันที่สัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม 

เพราะฉะนั้นในวิญญาณฐิติข้อที่ 5 6 7 สัมมาทิฏฐิ อากาสา นัญจายตนะ คือ ความว่าง อากาศ นั้นอย่างหนึ่ง เป็นรูป 

วิญญานัญจายตนะ นั้นก็อย่างหนึ่ง เป็น นาม 

ระหว่างรูปกับนาม ระหว่างอากาศกับวิญญาณนี้ ไม่มีนิดหนึ่งที่ต้องการไม่ให้มีเรียกว่า สิทธัตถะ 

สิทธัตถะคือ ผู้ที่มีความต้องการอันสำเร็จแล้ว พยัญชนะคำว่าสิทธัตถะนี้ แปลว่าความต้องการ ผู้มีความต้องการอันสำเร็จแล้ว 

นี่แหละคือความเป็นสิทธัตถะ โอ้โห พวกคุณนี้เป็นลูกของพระนางสิริมหามายาเลยทั้งนั้นนะ พวกคุณนี้เป็นลูกเป็นบุตรของพระนางสิริมหามายาทั้งนั้นเลย ที่ให้กำเนิดมาอย่างเป็นผู้มีความต้องการอันสำเร็จแล้วได้จริง 

เพราะฉะนั้นจะมีกิเลสตัณหาในระดับใดก็แล้วแต่ กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา ก็อยู่สูงสุดหมดจบ แม้เป็นความต้องการหรือความอยากในระดับไม่มีภพแล้วเป็นวิภาวะตัณหา 

ก็เข้าใจว่า พระอรหันต์แล้วไม่มีภพแล้ว แต่มีตัณหาอันไม่มีกิเลส เป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาอันทำงานไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลส ไม่มีเพื่อตัวเพื่อตน มีแต่เพื่อผู้อื่น เป็นประโยชน์ 

ส่วนกามตัณหา ภวตัณหานั้นแน่นอนมันไม่มีหมดแล้ว เหลือภพ แม้ภพนั้น ก็เป็นภพอันยิ่งวิภวะ

วิ คือยิ่งไม่มีแล้ว กามก็ไม่มี ตัณหาก็ไม่มีหมด เป็นตัณหาอุดมการณ์อย่างนี้เป็นต้น 

สภาวะที่อาตมาอธิบายโดยพยัญชนะนี้ถ้าพวกคุณรู้ชัดเจนแล้วทำให้สภาวะมันถูกต้องได้ตามที่อาตมาพูดนี้ คุณคืออรหันต์ ใครทำได้ก็รู้ตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ทำได้อย่างแข็งแรงมั่นคงถาวร ไม่มีในจิต กระทบสัมผัสอยู่บัดนี้อยู่หลัดๆ อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างไรก็ไม่เกิด 

ภาวะใดก็ไม่เกิดมั่นคงถาวร สมาหิโต จิตตั้งมั่นที่อเนญชา สมบูรณ์แบบ ไม่หวั่นไหว ไม่เกิดอาการ อิญชนะ ไม่มีการเคลื่อนไหว จิตนะ มันไม่เคลื่อนไหว ไม่ใช่ว่ากายไม่เคลื่อนไหว กายคล่องแคล่วเลย วจีกรรมก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว แต่ไม่มีกิเลสมาแฝงในจิต ที่จะมาคล่องแคล่วมาทำหลอก แวบๆวับๆ เร็วไวเลยนะ ไม่มี  หายไป หมดสะอาดได้หมดจากจิต ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีบทบาทของกิเลสเหลือในจิตเลย อนุปาทิเสสะ ไม่เหลือ นิพพาน ที่เป็น อนุปาทิเสสนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจ สัตตาวาส 9 คือ ยังเป็นสัตว์อยู่หมดทั้ง 9 ตัว ส่วนวิญญาณฐิติ 7 นั้น บรรลุธรรมไปตามลำดับ พอพ้นลำดับที่ 4 ระดับที่ 5 6 7 ก็เป็นอรหันต์แล้ว หมดในรูปของอย่าง 1 อย่าง 2 อย่าง 3 อย่าง 4 ถ้ายังเหลือก็เป็น ฌาน หรือเป็นสภาพที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ทำวิญญาณฐิติ 7 ให้ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็ได้ชั่วคราว ยังไม่มีพลังของปัญญาแสงสว่างความกระจ่างแจ้ง ที่สมบูรณ์แบบ จนกระทั่งมีปัญญามีความรู้ความเข้าใจ มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเป็นอาภัสรา เต็มสภาพขึ้นมาเรื่อยๆ 

ความมืด ความดำ ความไม่รู้ ความที่ไม่กระจ่างแจ้งก็ค่อยๆหายไป หายไป หายไป ในวิญญาณฐิติข้อที่ 4 จนหมดความมืดดำ เป็นนิโรธที่คือกิเลสนั่นเองไม่ใช่ความมืดดำ แต่ความที่ยังบัง ยังพราง ความที่ยังลวงทั้งหลายแหล่สิ้นไปจากจิต มีแต่ความรู้สว่างกระจ่างแจ้งเต็ม คือเป็นปัญญาอันยิ่ง 

เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าก็จบที่วิญญาณฐิตี 7 ทรงสภาพเป็นอากาศ เป็นวิญญาณ เป็นอากิญจัญญายตนะ รู้สภาพ 2 คืออากาศกับวิญญาณ รูปกับนาม และรู้สภาพ อากิญจัญญายตนะ คือกิเลสนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี

ส่วน สัตตาวาส 9 อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ แถม เนวสัญญานาสัญญายตนะ แถม สัญญาเวทยิตนิโรธ  ที่จริง มันอยู่ในวิโมกข์ 8 หรืออนุปุพพวิหาร 9 มี สัญญาเวทยิตนิโรธ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านพูดถูกแล้วครับ 

พ่อครูว่า... สัตตาวาส 9 มันเป็นสัตว์หมดเลย สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่ถูกต้องนั้นมีอยู่ในวิโมกข์ 8 อยู่ในอนุปุพพวิหาร 9 

ในวิญญาณฐิติ 7 ไม่ต้องมีคำว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะว่ามันสมบูรณ์แบบแล้วโดยสภาวะธรรมที่ทำให้สำเร็จแล้ว จิตจบ 

ใน 3 ข้อ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ และ      อากิญจัญญายตนะ มันคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ 

คือรู้จักเวทนา รู้จักสัญญา ทำงานไปตามหน้าที่ที่ชัดเจนแล้ว มันรู้แจ้งรู้จบหมดเลยนิโรธก็เป็นนิโรธแท้ๆ ดับกิเลส สมบูรณ์แบบไม่มีกิเลสเลยเป็น อากิญจัญญายตนะ จิตก็เป็นแต่อากาศกับวิญญาณ เทวะ 2 ธาตุ รูปกับนามสังขารกันอยู่เท่านั้น 

เพราะฉะนั้น วิญญาณฐิติ 7 ของมิจฉาทิฏฐิ 4 ตัวแรกก็เหมือนสัตตาวาส 9 ที่อวิชชาอยู่ หลงจะเป็นฌาน หลงจะกำหนดกาย กำหนดสัญญา สัตตาวาส 1 2 3 4 ก็มิจฉาทิฏฐิไปตามประสา 

จริงๆก็คือเขาพยายามดับสัญญา ทั้ง 1234 เช่น ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ก็คือทำให้ดับสัญญาลงไปนั่นแหละ จนดับสัญญาเสร็จก็เป็น อสัญญีสัตว์ เป็นสัตตาวาสตัวที่ 5 

เพราะฉะนั้น สัตตาวาส ตัวที่ 6 7 8 จึงเป็นเรื่องนิรมาณกายเป็นเรื่องที่คุณเนรมิตขึ้นเอง ต่างคนต่างเพ้อไปไม่รู้เรื่องกันเลยนะ

อากาสานัญจายตนะ ของใครก็ของคนนั้น ของใครของใครพูดกันโมเม สัมโภคกาย ก็ว่าใช่ๆๆ แต่มัน อาทิสมานกายไม่รู้ไม่เห็นของใครของใครก็ของมัน แต่ทำเป็นบ้า​ ทำเป็นรู้ร่วมกันเป็นสัมโภคกาย 

แต่ต่างคนต่างปั้นขึ้นมาเนรมิตขึ้นมา นิรมาณกายเองขึ้นมาเองทั้งหมด เพราะฉะนั้นทำไปเป็นรู้กันมาก เอาจริงๆมาจับมาพูดกันสิ ต่างคนต่างไปไหนมา 3 วา 2 ศอกเลยนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เฮ้ย! อย่างที่คุณพูดมันใช่หรือเปล่านะ เออ ใช่ก็ใช่วะ สัมโภคกาย ของกูจริงกว่าของเอ็งมันจะไม่ใช่ มันจะจบไม่ลง มันจะสรุปไม่ได้  มันจะตัดสินไม่ได้เด็ดขาด  มันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้เลย จึงจบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นความสับสน เป็นความวิจิกิจฉา เป็นความไม่สำเร็จ เป็นความไม่เป็นหนึ่งเดียว ชั่วกาลนาน 

_สู่แดนธรรม... ชาวอโศกจะมีโอกาสที่เป็นสัมโภคกายที่กำหนดสัญญาไม่ตรงกันได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... เป็นสิ ถ้าคุณยังไม่มีปัญญาพอ ยังไม่สะอาดพอที่จะมีปัญญาแจกได้ชัดเจนพอ แต่ถ้าคุณเข้าใจแล้วต้องรู้ให้ชัดเจนจริงๆนะ ว่าพูดกันไปพูดกันมานึกว่าไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดราชธานีอโศกแล้วไม่ใช่ แต่เป็นเลือดสุพรรณอยู่โว้ย​  เป็นเลือดอยู่ต่างถิ่นกันไม่ใช่เลือดราชธานีอโศกด้วยกันเลยนะ มันจะรู้เอง 

พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า คบหาร่วมอยู่ด้วยกัน คบกันจะรู้จักกันและกันดี 

เพราะฉะนั้นอาตมาหยิบเอาบุคคล 7 มาอธิบายก็ดี ก็ใช้กายใช้จิตเป็นเครื่องตัดสินเหมือนกัน อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ  ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี  

อธิบายไปหลายทีแล้ว อุภโตภาควิมุติ ก็แน่นอนมันสมบูรณ์มันได้ทั้ง 2 อย่าง จะเป็นศรัทธาหรือปัญญาก็มีครบทั้งกายทั้งจิตพร้อม 

เพราะฉะนั้นก็เป็นอรหันต์ได้ อาสวะสิ้นหมดได้ 

พอเป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติ เออ ปัญญาวิมุตินี้ทำอาสวะสิ้นได้ แล้ว ทำอาสวะสิ้นได้เหมือน อุภโตภาควิมุติ เป็นอรหันต์เหมือน อุภโตภาควิมุติ ก็แสดงว่ามีกายสิ แต่ในพยัญชนะบอกว่า 

ปัญญาวิมุตตินั้นเป็นผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาเท่านั้นคือ ท่านที่ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาไม่ได้แปลเขาว่า ท่านที่ไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาแปลจาก น เหว โข อัฏฐ วิโมกเขฯ เขาไปแปลว่าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อันนี้แหละคนไม่มีสภาวะ อาตมาก็เห็นใจ​ เขาก็แปลตามพยัญชนะง่ายๆ แต่มันมีความลึกซึ้งในความหมายของมันว่า ไม่ต้องไปพูดถึงอีก น เหวโข เพราะท่านมีกายมาแล้วตั้งแต่ ทิฏฐิปัตตะ แล้วก็มีกายสักขี 

พอมาถึงปัญญาวิมุติ ท่านก็เป็นผู้ที่มีกายมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปพูดถึง ท่านผ่านกายสักขีมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะ ท่านก็เป็นบรรลุถึงทิฎฐิที่สัมมาแล้ว ทิฏฐิปัตตะ คือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ปัตตะ คือผู้บรรลุรู้กายรู้จิตสัมมาทิฏฐิ 

สัทธาวิมุติบุคคลที่ 3 สายศรัทธาจึงยังไม่รู้ง่าย ยังไม่รู้ อาริยสัจ 4 คุณก็จะเป็นสัทธาวิมุติได้ คุณก็นั่งหลับตาวิมุติไม่ได้มีกาย เขาก็ว่าเขาวิมุติ เขานิโรธ เขาเป็นอรหันต์กันนะ สายหลับตามหาบัวสายนั่งหลับตาเขาก็มีวิมุติหลับตา 

นั่นแหละคือมิจฉาทิฏฐิที่ถาวร แล้วจะวนเกิดวนตายเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส ไปอีกนานนับชาติไม่ถ้วน แต่มหาบัวหลงผิดว่าตัวเองมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ซึ่งน่าสงสารจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร 

เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ลูกหามหาบัวฟังหน่อยเด้อ อย่าไปเป็นอย่างอาจารย์ตัวเอง มันจะเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าจึงได้อุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ ปฏิบัติอย่างนี้ตายไปก็ไปกับความผิดความโง่ ความหลงแล้วนึกว่าตัวเองนิโรธด้วย เวรจริงๆ จะเข้าใจไหมนี่ 

อาตมาไม่ได้รังเกียจนะ อาตมาสงสารนะ ไม่ได้พูดเล่นลิ้นเลยจริงๆ มาก อยากไปนิพพาน สูงกว่าพวกคุณอีก พวกนี้อยากไปนิพพานสูงกว่าพวกคุณอีก ออกมาบวชก่อนพวกคุณ ทิ้งสมบัติพัสถานออกมาเป็นพระป่า ทิ้งเลยนะ ลาภยศไม่เอา ทำเหมือนกับเชน พวกเชน ทิ้งแล้วไม่เอา แต่มันมิจฉาทิฏฐิ มันไม่มีทางปฏิบัติที่สัมมา น่าสงสาร เสียเวลาไปหนึ่งชาติ แล้วแถมพกเอาความมิจฉาทิฏฐิไปอีกชาติหน้าชาตินู้น จะเจอคนสัมมาทิฏฐิสอนได้ไหมนี่ จะเจอสัตตบุรุษ หรือเจอเหมือนกันแต่กูไม่เอามึงในชาตินี้ 

อาตมาเป็นสัตตบุรุษมาบอก ก็ยังติดอยู่อย่างนั้นจมอยู่ในศรัทธาวิมุติอยู่อย่างนั้นแบบนั้น 

กว่าจะมีปฏิภาณปัญญารู้เป็น สัทธาวิมุติ อ๋อ.. มาเป็นทิฏฐิปัตตะ เจริญพ้นจากสัทธาวิมุติเป็น ทิฏฐิปัตตะ เจริญเป็นความเห็นที่สัมมาทิฏฐิ โธ่เอ๋ย..เรายังไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิเลยหนอกูๆๆ โพธิรักษ์บอกเท่าไหร่กูก็ ดื้อๆๆ 

ก็จะเกิดความละอายอย่างแรงกล้า ไม่ได้เคยดื้อด้านดึงดันต่อต้านโพธิรักษ์ หรือว่า ดูถูกดูแคลน โพธิรักษ์ไป ดีไม่ดีลบหลู่ต่อหน้าธาระกำนันอีก ได้ละเมิดไปก็พอรู้ตัวเข้าใจถูกขึ้นมา ต้องละอายอย่างแรง กลัวอย่างแรง ไม่ต้องกลัวหรอก อาตมาไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร 

แต่คนที่มันละอายจนกลัว พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ลึกซึ้งทุกๆคำ มันกลัวจริง​ เป็นจริงอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจอย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิจริง พูดง่าย แต่ไม่ใช่ง่ายๆหรอก แต่ละคนกว่าจะสัมมาทิฏฐิจริง ๆๆๆ นี่นะ​ จริงๆๆๆๆ กี่จริงก็ไม่รู้ อาจารย์สมเกียรติบอกว่าพ่อท่านพูดลงท้าย จริงๆๆๆๆ อาตมาก็ไม่รู้จะใช้พยัญชนะอะไร เพราะฉะนั้นเขาเจอแต่หลอก มันไม่จริงสักที ก็จริงให้มาเจอจริงๆๆๆๆๆๆนะ ไม่รู้จะพูดยังไง พยัญชนะต้องย้ำต้องซ้ำ มันเป็นพยัญชนะที่บอกถึงความจบ ตัวจบตัวจริง มันอย่างนี้ มันไม่มีผิดไม่มีพลาด 

นี่อาตมาอาศัยคำสอนพระพุทธเจ้ามาอธิบายต่างๆนานา เพื่อที่จะขยายรายละเอียดต่างๆเพื่อให้เราเข้าใจ 

`หนังสือปัญญา 8 ข้อ 227... 

(227)“อาริยะ”กับ“อนาริยะ”แตกต่างกันแน่นอน 

ความสงบที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น “ดับ”กันเฉพาะ“เหตุแห่งทุกข์” ได้แก่ “กิเลส”แท้ๆ ตรงๆ จึงจะเป็น“อาริยสัจ” คือ “สัจจะของผู้ประเสริฐ-ผู้เป็นอาริยะจริงๆ”

ถ้ายัง“หลับตา” ไม่มี“สัมผัส” ก็ไม่มี“เวทนา” ไม่มี “วิญญาณฐิติ”  ก็“มิจฉาทิฏฐิ”จะกำหนดความเป็น“กาย” แตกต่างกันกับผู้ปฏิบัติ“ลืมตา”มี“สติ”เป็น“อธิปไตย”เต็ม 100 รับรู้อยู่ พร้อมทั้ง“ภายนอก-ภายใน”ของกาย-วาจา-ใจ แน่ๆ

จึงไม่เป็น“อาริยสัจ” ยังเป็นแค่“อนาริยสัจ”อยู่

ผู้ยัง“อนาริยสัจ”ก็ทำ“ความสงบ” ได้ แบบเดียรถีย์

ผู้มี“อาริยสัจ”จึงจะทำ“ความสงบ”แบบพุทธได้

“ความสงบ 2 ชนิด” แบบพุทธ กับแบบที่ไม่ใช่พุทธ มันคนละ“ผลสำเร็จ”กันเลย

ผู้ทำได้ สามารถทำหลับตาดับไม่มีนิวรณ์ 5ได้ ลืมตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ทำได้ทั้ง 2 อย่าง ผู้นี้ก็รู้ทั้ง 2 สภาพเป็นเทวะ หลับตาแล้วจะมาลืมตารู้นี้ไม่ง่ายจะพารู้ด้วยไม่ง่าย แต่ผู้ที่สัมมาทิฏฐิลืมตาปฏิบัตินี้ หลับตาไม่ให้มีนิวรณ์ 5 นั้น โอ้ย มันไม่ยากอะไรหรอก ตามันไม่ได้กระทบรูป หูไม่ได้กระทบเสียง มันง่ายกว่าคุณ คุณไม่ได้ฝึก เพราะคุณเอาแต่สะกดจิตหลับตาเฉยๆ คุณไม่ได้ฝึกตากระทบรูปแล้วอย่าให้มีกิเลสนะทำให้กิเลสลดคุณก็ไม่ได้ทำ หูกระทบเสียงคุณก็ไม่ได้ทำ รูปรสเสียงสัมผัสไม่ได้ทำ ก็งมงายอยู่อย่างนั้น 

ทวาร 5 ยังมีกามอยู่ เหมือนมหาบัวเคี้ยวหมาก แชะๆอยู่ ก็ยังเฉยแล้วหลงว่าตัวเองไม่มีนิวรณ์ เป็นอรหันต์ นู่นไปนู่น ไปไกลลิบเลย 

นึกว่าไม่มีนิวรณ์แล้วก็ทำให้ ภพ ภวตัณหาวิภวตัณหาดับ ก็เป็นอรหันต์ใช่ไหม ก็หลงงมงายดับ ที่จริงตัวเองดับสัญญา เป็น อสัญญีสัตตายตนะ 

นี่คือความหลงผิดต่างๆ จนกระทั่งหลายแขนงที่พระพุทธเจ้าท่านแจกมา อาตมาก็หยิบมาขยายความให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไม่สามารถเกิดปัญญาอย่างปฏิสัมภิทา ญาณ ก็จะไม่รู้ละเอียด แล้วไม่สามารถแจกแจงอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายได้ อาตมาเป็นสายปัญญาอย่างปฏิสัมภิทาญาณ จึงแจกแจงได้ทั้งพยัญชนะทั้งสภาวะ  เอามาแจกแจงละเอียดและออกไป ตามที่ท่านมีบัญญัติไว้พระพุทธเจ้าท่านสอน 

แม้แต่เวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะอธิบายกันได้ง่ายๆนะเวทนา 108 

เวทนา 2 เป็นอย่างไร เวทนา 3 ซึ่งรู้ง่าย 2 3 ไม่ยาก 

กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา แยกกายแยกจิต แต่ถ้ากาย คุณมิจฉาทิฏฐิ กายิกเวทนาของคุณไม่มีเวทนานะ พวกที่มิจฉาทิฏฐิ 

กายิกเวทนา ของคุณไม่มีเวทนาคุณไม่มีคำว่ากาย มิจฉาทิฐิแล้วเมื่อเริ่ม กายิกเวทนาก็ผิดแล้ว เวทนา 108 ขึ้นโมฆะไม่เรียนรู้ได้เลยจะรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้เลย เพราะกายเริ่มต้นก็มิจฉาทิฐิ เวทนาคุณก็ไม่มีแล้ว แล้วคุณจะปฏิบัติกายที่มีอิทัปปัจจายายะตา ให้ถึง การศึกษาเวทนาในเวทนาจิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้เพราะไม่มี อิทัปปัจจยตาเลยคือจากอันนี้เป็นอย่างนี้อันนั้นเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย 

มันไม่ต่อเนื่องคุณตัดเป็นท่อนๆ เช่น รักษาศีลก็อย่างหนึ่ง ทำสมาธิก็อย่างหนึ่ง ปัญญาก็อย่างหนึ่ง พวกนี้พวกนักตัดเป็นท่อนๆ มันไม่มีอิทัปปัจจยตา ไม่มีปัจจยาการ ไม่มีเหตุมีผลที่ต่อเนื่องกันเลย ไม่มีปฏิจจสมุปบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นอวิชชาข้อสำคัญในอวิชชา 8 ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้จักอริยสัจ 4 ไม่รู้จักส่วนอดีตส่วนอนาคต ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท นี่คือมิจฉาทิฏฐิเต็มประตู 8 เลย คนนี้ 

หรืออวิชชา 8 ประการ ท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่มไหนจำไม่ได้ 

_สู่แดนธรรม... เล่ม 34 ข้อ 391

พ่อครูว่า... อาตมาอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้เดาส่ง แต่อ้างอิงหลักฐานที่คนนับถือ เช่นพระไตรปิฎก เป็นต้น จากตำนานเป็นต้น อาตมาก็ไม่พูดลอยลม แต่อ้างแล้วอ้างต่างกัน อธิบายต่างกัน แปลความหมายไปต่างกัน 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ติดตาม ก็ต้องติดตามเมื่อมันเห็นแตกต่างกันอธิบายต่างกันแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็สุดวิสัย มันยึดถือความเห็นของตนเข้าไปแล้ว ท่านก็บอกว่า ใครจะเห็นของใครเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ต่างคนต่างเห็น ต่างคนต่างอยู่ อยู่ด้วยกัน เห็นต่างคนต่างปฏิบัติยืนยันกันไป เป็นนานาสังวาส ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งคู่ แต่มันมีความเห็นต่างกัน เป็นนานาต่างกัน ท่านก็มีหลักธรรมวินัยพวกนี้ ก็ไม่ต้องไปถกเถียงกัน ไม่ต้องลงปาฏิโมกข์ร่วมกัน ไม่ต้องไปฟ้องร้องกัน แต่ด่ากันได้แรงๆ 

นี่คือหลักเกณฑ์ของนานาสังวาส ปฏิกโกสนา เป็นพยัญชนะบาลี ปฏิกโกสนาคือ คัดค้านกันได้อย่างดังๆแรงๆ เต็มที่เลย ปฏิกโกสนา คือคัดค้านกันได้อย่างเต็มที่คอจะแตกเลยได้ แต่อย่าไปทำลายกัน อย่าไปฟ้องร้องกัน 

_สู่แดนธรรม... ไม่ให้มี อักโกสะ 

พ่อครูว่า... ปฏิกโกสนาได้แต่ไม่ให้ถึง อักโกสะ หรือฟ้องร้อง อธิกรณ์ เพราะฉะนั้นเถรสมาคมฟ้องร้องอาตมา ทั้งที่เป็นนานาสังวาส ท่านก็ไม่รู้นี่แหละคือความไม่รู้ ท่านเสื่อมหมดแล้ว ท่านไม่รู้ธรรมวินัย อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ประกาศแล้วเรียบร้อยก็อยู่กันไปได้ตั้งนาน วันร้ายคืนร้ายยังไงก็ไม่รู้ บอกว่านอกรีตต้องจัดการ พ.ศ 2531 - 32 ก็ซัดอาตมา เหมือนผีเข้าได้ สุดท้ายเราก็ต้องยอมเขา 

ตัดสินไม่ได้ก็ให้ศาลทางโลกตัดสิน มันก็ผิดสิเขาจะไปรู้เรื่องอะไร ศาลทางโลกกับทางธรรมะ ผิดก็ผิด อาตมาก็ยอมทุกอย่างเลย ก็ทำให้ท่านได้รับวิบากไปต่างๆนานาสารพัด ท่านก็ไม่รู้หรอกว่าท่านทำอย่างนี้มันมีวิบาก ท่านไม่รู้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ กรรมใครกรรมมัน กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  ใครทำก็ของใคร 

อาตมามาทำงานจนถึงวันนี้ 2513-2566 ประมาณ 52 ถึง 53 ปีย่างเข้าไปแล้ว อาตมาว่าได้พูดยืนยันสัจจะ จนกระทั่งเขาไม่กล้าที่จะแย้งแล้ว 

เพียงแต่เขามีกิเลสอัตตา มานะ มีกิเลสอยู่ มันดันไว้ไม่ให้เขามายอมรับ เพราะว่ากิเลสของเขามีจริง 

คนที่กิเลสเบาบางหรือไม่มีกิเลสที่จะต้านแย้ง อัตตามานะน้อย แม้เขาจะมีอย่างอื่น ติดในโลกธรรมอะไรอย่างอื่นอยู่ แต่ลักษณะพวกนี้น้อย เขาก็เริ่มรับฟัง 

ยิ่งไม่มีอะไรอคติกับอาตมามากเกินไป ฟังธรรมด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีก็จะยิ่งเข้าใจ ยิ่งเข้าใจ อานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ ก็ยิ่งจะเกิดยิ่งจะเกิด ก็เป็นสัจจะตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ที่อ้างอิงมาเทียบเคียงนี้ทั้งนั้น 

 

ลักษณะคนมีโทษสมบัติ 6 ประการ ที่ไม่ควรคบ

ทีนี้ก็เข้ามาสู่ประเด็นที่อาตมาพูดโยงใยถึงเศรษฐศาสตร์ พูดถึงกาย พูดถึงจิต จนกระทั่งเกี่ยวข้องถึงความเป็นชีวิต เกี่ยวข้องถึงความเป็นสังคม แล้วก็มาทำงานกับสังคม ช่วยเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ให้กับมวลมนุษยชาติ ช่วยรัฐศาสตร์ ช่วยการเมืองให้มวลมนุษยชาติ 

เพราะฉะนั้นผู้ใดเป็นอรหันต์ขึ้นไป เป็นผู้ที่มีความจบกิจ ก็จะมีความจริง มีภูมิธรรมจริง สัจธรรมจริง แล้วก็มาช่วยอย่างมีความจริงนั้น เป็นการช่วยอย่างมีสัจจะมีความจริง 

ส่วนคนที่ไม่มีเลย ความรู้ทางธรรมไม่มี สมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ไม่อีโน่อีเหน่อะไรเลย คำสอนพระพุทธเจ้า โม้ถึงขั้นอนัตตาเลยนะอย่างทักษิณ 

ผู้ที่เขามีภูมิปัญญาก็รู้ได้ว่า ปัดโธ่ พูดไปคุยโม้โอ้อวด เป็นนักโอ่อวด 

โทษสมบัติ 6 ประการ

อวดตัวเอง เบ่งอำนาจ ฉลาดโกง โขมงโม้แหลก แจกอย่างมีเล่ห์ ทำเท่โง่ๆ

นี่คือผู้ที่แสดง ไม่ว่าด้านเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าด้านรัฐศาสตร์ นี่คือโทษสมบัติ 6 ประการ 

คนที่มีโทษสมบัติ 6 อย่างครบ นี้อย่าคบ ซวยมหาซวยเลย

_สู่แดนธรรม... มีคนอยากฟัง 6 ประการนี้ซ้ำอีกครั้งครับ 

พ่อครูว่า... อวดตัวเอง เบ่งอำนาจ ฉลาดโกง โขมงโม้แหลก แจกอย่างมีเล่ห์ ทำเท่โง่ๆ 

นี่คือนักเศรษฐศาสตร์คือนักรัฐศาสตร์ที่มีโทษสมบัตินี้อยู่ ก็ดูเอาก็แล้วกัน อ่านเอา 

 

ที่นี้มาแวะผู้ที่รู้รอบโลกผู้ที่ได้รู้จักโลกภายนอกมา รู้ความหมายของภายนอกแล้วก็เอามาแสดงความเห็นมาร่วม เหมือน sms ส่งมากัน ยาวเป็นข้อความ ยาวเหมือนบทความเลย ไม่ได้เป็นคำสั้นๆเป็น SMS ทีเดียว ลายมืออาตมานั้นไม่สวยเลยแต่อ่านง่าย 

บางคนเขียนตัวหนังสือก็ซ้วยสวย เป็นระเบียบเรียบร้อยแต่อ่านยากชิบเป๋งเลย จริงอ่านยากๆ เขียนสวยเป็นระเบียบตรง ได้เหลี่ยมได้มุมดี แต่ทำไมมันอ่านยากก็ไม่รู้ แต่ของอาตมา มันมีช่องว่างมีหัวมีตัวมีหาง มันดูง่าย มันแสดงซึ่งสัจธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน พวกนักทำเท่โง่ๆ ทำได้สวย แต่อ่านยาก 

เอามาฟังดู 2 อันนี้เขาเอามา 

 

เมืองไทยมีคุณธรรมสูงจึงอลุ่มอล่วยมากกว่าบังคับใช้กฎหมาย

_Las Vegas...และลอตเตอรี่

คราวที่แล้วผู้เขียนได้นำเสนอบทความ “กาสิโน...ฮาวาย...แดน Paradise!!!” เป็นรัฐที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว แต่ปฏิเสธการพนันทุกประเภทบนแผ่นดิน คราวนี้จะนำเสนอเมืองกาสิโนที่ดังกระฉ่อนทั่วโลก คือ ลาสเวกัส ตั้งอยู่ในมลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2564 กาสิโนในรัฐเนวาดามีรายได้รวม 13.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้มีภาพลักษณ์เป็นเมืองแห่งการพนัน แต่เนวาดาเป็น 1 ใน 5 รัฐที่มีกฎหมายบัญญัติให้การซื้อขายลอตเตอรี่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย 

อย่างไรก็ดี ในระยะเวลาที่ผ่านมาหลายทศวรรษ นักการเมืองของรัฐนี้ อาทิ Cameron C.H. Miller จากพรรคเดโมแครต พยายามผลักดันให้ลอตเตอรี่เป็นกิจกรรมถูกกฎหมาย เพื่อนำรายได้เป็นงบประมาณสนับสนุนการรักษาสุขภาพจิตเยาวชน เนื่องจากการฆ่าตัวตายของเยาวชนในรัฐเนวาดามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ.2563 อายุที่ต่ำที่สุดของเด็กที่ฆ่าตัวตายคือ 8 ปี การศึกษาของ University of Nevada, Las Vegas (UNLV) พบว่า ปี พ.ศ. 2565 สุขภาพจิตโดยรวมและสุขภาพจิตเยาวชนในรัฐเนวาดาแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 49 มลรัฐ

เมื่อพิจารณาปัญหาของประชาชนที่เกิดจากการพนัน ข้อมูลของ National Council on Problem Gambling พบว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ละปีประชากรผู้ใหญ่ประมาณ 2 ล้านคนมีปัญหาการพนันขั้นรุนแรง ในขณะที่อีก 4 ถึง 6 ล้านคนมีปัญหาเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่อพิจารณาข้อมูลเฉพาะรัฐเนวาดาที่เต็มไปด้วยกาสิโนชื่อดัง โดยเฉพาะลาสเวกัส Nevada Council on Problem Gambling เปิดเผยว่า ประมาณ 6% ของประชากรผู้ใหญ่ หรือประมาณ 140,000 คน มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับการพนัน เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่เข้ารับการรักษามีความคิดฆ่าตัวตาย และ 17% เป็นผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย

ดังนั้น นักการเมืองในมลรัฐเนวาดาจึงพยายามผลักดันลอตเตอรี่เป็นกิจกรรมถูกกฎหมาย เพื่อนำรายได้มาเป็นงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยจิตเวช อย่างไรก็ดี ไม่เป็นผลสำเร็จ ซึ่งไม่ได้มาจากเหตุผลด้านศีลธรรมหรือความเสื่อมโทรมของสังคมดังเช่นรัฐอื่นๆ ในกรณีของเนวาดา ลอตเตอรี่ถูกขัดขวางจากอิทธิพลของอุตสาหกรรมกาสิโน เพราะแม้ว่าร้านค้าทั่วมลรัฐจะมีเครื่องสล็อตการพนัน แต่การขายลอตเตอรี่ในร้านสะดวกซื้อและอื่นๆ จะทำให้ผลประโยชน์ของธุรกิจกาสิโนลดลงมหาศาล ด้วยเหตุนี้ ลอตเตอรี่จึงไม่สามารถหยั่งลงบนแผ่นดินเนวาดาได้ในเวลาอันใกล้

หมายเหตุ: ภาพประกอบของผู้เขียน เมื่อครั้งเยือน Las Vegas มลรัฐเนวาดา ผู้เขียนเป็นคนไม่ชื่นชอบเรื่องอบายมุข แต่เป็นคนชอบศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของแต่ละประเทศ ดังนั้น จึงใช้เวลาเดินชม ถ่ายรูป ทานขนม แต่ให้รู้สึกว่าบางพื้นที่ค่อนข้างน่ากลัว อย่างไรก็ดี ต้องชื่นชมการบังคับใช้กฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีประสิทธิภาพ เห็นได้จากในขณะที่ผู้เขียนเดินไปชั้นแรกของโรงแรมที่เป็นที่ตั้งของกาสิโน รวมถึงไปที่ร้านอาหารสั่งเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ พนักงานของร้านได้ขอดู ID เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่ใช่ underage (อายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งกฎหมายของรัฐเนวาดากำหนดไว้ที่ 21 ปี) การละเมิดกฎหมายส่งผลให้ถูกปรับสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 35,000 บาท) และจำคุกสูงสุด 6 เดือน 

 

พ่อครูว่า... อเมริกาเขาอยู่ได้เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง ในเมืองไทยนี้ไม่เข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมาย 

_สู่แดนธรรม... เมืองไทยเขาบอกว่าเป็นเมืองแห่งความอะลุ่มอล่วย 

พ่อครูว่า... จริงๆความอะลุ่มอล่วยมันเป็นการใช้ได้กับสังคมคน ที่จะต้องไม่บังคับ ไม่รุนแรง อะลุ่มอล่วยกัน มันก็อยู่ได้สงบได้สบายแล้ว แต่เมืองที่คนมันกระด้าง คนที่มันเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ดื้อดึง กฎหมายมันต้องแรง นี่เป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นจะบอกว่า เมืองไทยกฎหมายอ่อน กฎหมายไม่จริงจัง อะลุ่มอล่วยก็ใช่ เพราะเป็นเมืองผู้ดี อันนี้สัจจะไม่ได้พูดเล่นไม่ได้พูดยกย่องโดยเพ้อๆพกๆอะไร เป็นเมืองผู้ดี เป็นเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรมเป็นผู้ที่มีธรรมะ โดยเฉพาะคนไทย มีพุทธศาสนามีโลกุตรธรรม สูงสุด 

_สู่แดนธรรม... แสดงว่าในสังคมผู้เจริญไม่ต้องใช้อำนาจบังคับ จะใช้แต่สามัญสำนึก ก็พอใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช้สำนึกก็พอใช้ รู้จักใช้ภูมิปัญญาว่าอะไรควรอะไรไม่ควรในความเป็นมนุษย์กับในความเป็นสังคม 

 

ความจนอย่างจบกิจคือความเป็นคนมีวรรณะ 9

อาตมาพูดว่าในความเป็นมนุษย์กับในความเป็นสังคม พูดมาตั้งเท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี้เกิดมาไม่ได้ศึกษาอะไร เอ้า ทวน ท่านศึกษาความเป็นคนกับความเป็นสังคม พูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันสูงสุดจริงๆนะ ในการศึกษาความเป็นคนและรู้จักว่า คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก 

คนคืออะไร แล้วก็รู้ไปถึงจิต เจตสิกของคน แยกกายแยกจิต จนทำกายทำจิตให้ไปนิพพานได้ สรุปง่ายๆ นี่สุดยอดเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อคนกับสังคมมันจะเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าคนเป็นต้นเหตุ คนไม่รู้จักตัวเอง คนไม่รู้จักกิเลส แล้วก็ไม่ลดกิเลสจริงๆ 

ถ้าคนเรียนรู้กิเลส ลดกิเลสจริงๆ สังคมที่มีคนที่ลดกิเลส ก็เกิดเป็นสังคมที่เจริญๆ จากสังคมกลุ่มเล็กก็เป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มกว้างออกไป 

อย่างพวกเรานี้เป็นสังคมกลุ่มเล็ก แล้วก็ค่อยๆเป็นหมู่ใหญ่ขึ้นไป โดยเฉพาะที่มีพื้นฐานของศาสนาพุทธมาแต่เดิมแล้ว จึงหวังได้ว่า เมืองไทยต่อไปจากนี้ จะเจริญ 

มันเสื่อมมา 2,500 ปี ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีสังคมโลกุตระแบบนี้ สังคมโลกุตระแบบนี้คือสังคมสาราณียธรรม 6 เป็นสุดยอด เพราะสังคมสาราณียธรรม 6 นี้มีคุณธรรมของพุทธพจน์ 7 

สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  จริง จึงอยู่กันอย่างเห็นได้ สัมผัสได้ว่า มีวรรณะ 9

มีความเป็นอยู่อย่างสุภระ เลี้ยงง่าย เลี้ยงคืออย่างไร คือ อยู่อย่างนี้นะ กินอย่างนี้นะ ใช้อย่างนี้นะ ถ้าเลี้ยงหมูก็อยู่อย่างนี้นะ กั้นคอกไว้ กินอย่างนี้นะ เช้าเอามาเทใส่ไว้ให้ เลี้ยงง่าย ส่วนไก่ก็ปล่อยมัน มันไปจิกกินหาเองบ้าง หว่านเมล็ดถั่วงาข้าวให้มันกินบ้าง ไม่ให้มันเลยมันก็หากินเอง สำหรับไก่ เลี้ยงหมูก็ต้องกั้นคอกมันไว้ หรือไม่กั้นคอกก็ได้อยู่ในบ้านมันก็หากินเอง ใส่รางให้มันกินเองบ้าง เลี้ยงง่าย พวกเราง่ายกว่าหมูอีก ง่ายกว่าไก่อีก เพราะไปหยิบหากินเอง แล้วมีที่มีทางด้วย ไม่เละเทะเหมือนกับหมู เลี้ยงง่ายมีระเบียบเรียบร้อย สุภระ

บำรุงง่ายคือ ทำให้เป็นอาริยะ ทำให้เจริญง่าย สุโปสะ เจริญอะไร ก็เจริญอาริยธรรม เจริญโลกุตระง่าย ข้างนอกเขาไม่ได้ง่ายนะที่จะเจริญโลกุตระ แม้เจริญธรรมะโลกียะก็ยังยากเลย แต่ของเรานี้ สบม ทมด ปกต หห จจ  ปกต หห จจ มชยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ข้างหน้าไม่แปล แปลแต่ข้างหลัง มชยลล ทำได้จริง 

เป็นคนมักน้อย ท่านแปลศัพท์ อัปปิจฉะว่ามักน้อย อาตมาแปลให้ชัดว่า กล้าจน มีน้อยๆได้ กล้าที่จะมีน้อยๆ จนไปถึงข้อที่ 4 ใจพอ แต่เขาไปแปลเพี้ยนเบี้ยวบาลีว่า พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เปิดช่องให้พวกเศรษฐีทั้งหลายหรือกฎุมพีทั้งหลาย ใครมันไม่พึงพอใจในสมบัติที่มันมีอยู่ วะ ไปถามคุณธนินท์ ไปถามคุณเจริญว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ไหม มันไม่กินกันเลยความใจพอ ไปแปลความสันโดษว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ 

มันมีใจพอสัมผัสกับ อัปปิจฉะ ไม่มีน้อยๆก็พอไม่ต้องไปมากมากมันตรงกันข้าม มหัปปิจฉะ มักมาก มักคือชอบ มักน้อยคือชอบที่จะมีน้อยๆ ภาษาอีสาน มักคือ ชอบหรือรักเลย... เพลงโบราณฮักเจ้าเด้ขาเป๋ลืมเบิ่ง ฮักเจ้าแล้วขาแป้วลืมเห็น 

สันตุฏฐิใจพอ อาตมาแปลให้ตรงความหมายเลยคือ มีใจรู้จักพอสันโดษหรือ สันตุฏฐิ มีแค่นี้ก็พอ 

อย่างพวกเราคุณสมบัติพวกนี้เป็นได้จริงมีจริงด้วย และมีได้มากกว่านี้ เรามีความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะความสามารถได้มากกว่านี้ แต่เราเอาแค่นี้ เหลือ นี่ มาแจกจ่ายไป เอาไปแบ่งกัน เราเอาแค่นี้ พอใช้พอกินพออยู่ 

มันยืนยันสัจจะ มันยืนยันสภาวะธรรมจริง พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที ไม่ใช่พวกขี้โม้แหลก พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นจริงๆ ไม่ค้านไม่แย้ง ไม่ได้ตระบัดสัตย์อะไร  

เป็นผู้ที่ขัดเกลา สัลเลขะ เป็นผู้ที่ขัดเกลากายวาจาใจได้ กายบางทีบกพร่องก็ขัดเกลา วจีบางทีบกพร่องก็ขัดเกลา มโนก็ขัดเกลา มีหลักเกณฑ์ประพฤติปฏิบัติให้เจริญสูงขึ้นเรื่อยๆหรือ ธูตะหรือธุดงค์

ก็ไปแปลว่า ธุดงค์คือพวกหลับตา ออกป่า ออกดง ไปใหญ่เลยเบี้ยวบาลีเพี้ยนบาลีไป ทั่วทีปเลย นี่แหละคือความผิดพลาด 

เพราะฉะนั้นไปแปลว่าธุดงค์คือออกป่าออกดงนี้หมดท่าเลยนะ น่าเกลียดจริงๆเลย ธุตังคะ บาลีเขาไม่มีด.เด็ก  เมื่อมาเป็น ด.เด็ก ก็ทะลุดงเลยบ้าไปเลย ทำไมมันมักง่ายจังเลย ธูตะ แปลว่าบุกดง เลยออกไปออกป่าเข้ารกเข้าพงกันใหญ่เลย นี่คือความไม่ฉลาดที่แปลโดยภาษาไทยชัดๆว่าโง่ มันก็โง่กันไป ศาสนาพุทธ เพี้ยนผิดกันไปหมด 

ข้อ 7 เมื่อสามารถขัดเกลาได้ มีข้อปฏิบัติที่เจริญไปตามลำดับๆให้สูงขึ้นเรื่อยๆ มันก็มีอาการที่เจริญน่าเลื่อมใสขึ้นไปๆ กายกรรมก็ยิ่งเหมาะสมยิ่งดีไปเรื่อยๆเป็น กัมมัญญตา ไปได้เรื่อยๆๆๆ น่าเลื่อมใสขึ้น ทัังกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นประธานอยู่ดี 

สูงสุด 2 ข้อสุดท้ายเป็นคนไม่สะสม เป็นคนขยันเสมอ วิริยารัมภะ ไปด้วยพยัญชนะสวยๆว่า ปรารภความเพียร ท่านประยุทธ์ ปยุตโตหรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านแปลว่า  ระดมความเพียร พยัญชนะว่า วิริยารัมภะ ขยันเสมอ ขยันอยู่เป็นอัตโนมัติ ขยันอยู่ ปรารภ คือรู้จักพักรู้จักเพียร แล้วไม่สะสม 

2 คำนี้สุดยอดเลยนะ ขยัน สร้างสรรค์ ทำโดยไม่สะสม โดยเฉพาะไม่ต้องสะสมเลย ไม่มีสักบาท ทำแล้วเอาเข้ากองกลางหมดเลย มันพิสูจน์ความไม่สะสมเป็นตัวเป็นตนไม่มีตัวตนของตนเลยไม่มีของตน เอาเป็นของส่วนกลาง แล้วเราก็บริหารของส่วนกลางกันอุดมสมบูรณ์ ไม่แย่ง ไม่ชิง ไม่มุบมิบ ไม่ทะเลาะวิวาทกันเลย 

เราพิสูจน์สังคมที่อยู่กันอย่างไม่สะสมแล้วเข้ากองกลาง แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เจือจาน สังคหะเกื้อกูลแจกจ่ายกัน ผู้นั้นผู้นี้เก็บไปได้มากก็เอามาเข้ากองกลาง เอาไปแจกกันก่อน 

นี่มันเป็นเครื่องยืนยันสัจจะว่า สังคมนี้เป็นสังคมที่มีพฤติกรรม ตรงกันกับคำสอน พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไรทำได้อย่างนั้น เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ทำอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างนี้ได้ แล้วสบาย 

สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ จริงนะ ทุกคนมาทำอย่างอิสรเสรี 

อาตมายิ่งพูดไปแล้วมันยิ่งตรง ลงตัวในสิ่งที่เท่ๆ ไม่ใช่อวดเท่โง่ๆ ทำเท่โง่ๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้มีโทษสมบัติ แต่มีคุณสมบัตินะ ไม่ใช่ทำเท่โง่ๆแต่มันเท่จริงๆ ไม่ได้ทำเท่นะ แต่มันเป็นเท่ด้วยความจริง มันเท่ด้วยความจริง 

ทำเท่โง่ๆ เราไม่ได้โง่ เราไม่ได้ทำ แต่มันเท่ด้วยความประพฤติที่ถูกต้องตามธรรม เราประพฤติถูกต้องตามธรรม มันจึงมีท่าทาง ไม่ต้องแอ็ค ไม่ต้องดราม่า  ไม่ต้องเสแสร้ง มันเป็นความจริงอย่างไร เท่จริงๆ 

นี่พูดขยายความในคำเดียวกัน พยัญชนะเดียวกัน ทำเท่ กับ เท่ไม่ต้องทำ มันเท่จริงๆเอง อย่างนี้เป็นสุดยอดเลย 

คนมาจน ไม่มีมหาวิทยาลัยใดๆในโลกสอน ไม่มีใครกล่าว คนกล่าวว่าพากันมาจน บริหารกันด้วยแบบคนจน มีในประเทศไทยประเทศเดียว คนที่กล่าวจริงๆคือในหลวงรัชกาลที่ 9 ของประเทศไทย แล้วท่านก็ไม่ได้ขยายความอะไรมากเท่าไหร่ จึงตกเป็นภาระของโพธิรักษ์ที่ต้องขยายความ แล้วพาคนมาปฏิบัติยืนยันว่า มาเป็นคนจน บริหารกันแบบคนจน แล้วให้สำเร็จจบกิจในความเป็นคนจน 

ลองถามดูซิ ใครว่าตัวเองได้เป็นคนจนสำเร็จลงแล้วบ้างยกมือซิ 

_สู่แดนธรรม... มีเสียงปรึกษากันว่าจริงหรือไม่จริง แค่ไหน

พ่อครูว่า... จะเอากรอบไหน เราสามารถรวยได้ถึง 100 ล้าน เราไม่เอาเราแค่ 10 ล้าน เราสามารถเป็นคนจนลงได้ ถ้าเราทำมากได้เกิน 10 ล้าน เรากระจายแจกจ่ายอย่างไม่หวงแหน ให้ฟรีได้ หรือไม่ให้ฟรีก็ลดลงไป ไม่ใช่ไปเอาดอก ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก 

มีกรอบไปตามลำดับ สมรรถนะเราทำได้ถึง 1 ล้าน เกิน 1 ล้านเราก็กระจายได้ สมรรถนะเราทำได้ถึง 1 ล้านหรือ 5 ล้าน แต่ถ้าเกิน 1 ล้าน เราก็มีใจพอ ตีกรอบความพอ แล้วก็อยู่ได้ไหม อยู่ได้ ล้านหนึ่งก็เหลือแหล่แล้ว 

คนอยู่ได้แค่ 5 แสน เดือนละ 5 แสนบาท โอ้โห เกินนี้เหลือแหล่แล้ว ก็สะพัดให้ผู้อื่นออกไป แบ่งแจกจ่ายเลย ลดลงมา นี่คือการทำให้เศรษฐกิจเจริญ ทำให้คนก็เจริญ สังคมก็เจริญ สมรรถนะความสามารถ มีมากเกินกว่า ที่เราเอาไว้ใช้ 

1. เราสะสม กำหนดไว้มีของตน 2.เราทำการสะพัดออก นี่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ทั้งนั้น และคนจะต้องเจริญแบบนี้ 

ถ้าไปบอกว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการจะให้คนรวย ทุกคนจะรวยมีแต่รวยพร้อมๆกันอย่างมั่งคั่งสมบูรณ์ รวยกันทั้งนั้น ไอ้หวังตายแน่ ตายแน่ไอ้หวัง ไม่มีหวังหรอก มันขี้โม้แหลก มันเป็นโทษสมบัติทั้งสิ้น 

แต่ทำให้คนจนได้นี่ วิเศษด้วย ประเสริฐด้วย แล้วเจริญจริงด้วย เจริญคืออะไร ไม่ทำความชั่ว เจริญคือ หมดสุขหมดทุกข์ที่จะไปแย่งให้มันได้มากและเป็นสุข แต่มีน้อยก็สุข ไม่มีเลยยังสุขเลย สรุปลงไป นี่คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เอามาประกาศ ให้ศึกษาเป็นโลกุตรธรรม 

ในเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระปัญญาธิคุณ รู้เรื่องนี้ดี แต่ท่านก็ทำเท่าที่กรอบขอบเขตของท่าน ท่านก็รู้ท่านก็ทำเท่าที่ท่านทำได้ แต่อาตมาพาทำได้สำเร็จจนกระทั่งเป็นรูปธรรม สำเร็จถึงขั้นเป็นวัฒนธรรม เป็นพฤติกรรมที่มีจริง เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนมีสารานียธรรม 6 ยืนยันตามสัจจะ 

จึงเป็นเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งมันคล้ายกัน เศรษฐศาสตร์เป็นลักษณะของความรู้ รัฐศาสตร์คือลักษณะของการให้เรียนรู้และบริหาร แล้วก็ทำให้เกิดคุณภาพของเศรษฐศาสตร์อันนี้เศรษฐกิจอันนี้ พวกคุณก็เรียนรู้ง่าย สุโปสะ ศึกษาง่าย ปฏิบัติตนง่ายบริหารให้มันเกิดสังคม มีพฤติกรรมอย่างนี้ขึ้นได้ง่าย เป็นรัฐศาสตร์ 

การเมืองหรือการทำงานกับพลเมือง อาตมาก็ทำงานกับพลเมือง ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ตามทฤษฎีโลกุตระ ตามทฤษฎีที่อาตมารู้ว่า มันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดแย้งกับกฎหมาย ของโลกด้วย อย่าว่าแต่ของไทยเลยที่อาตมาพาทำ คุณไปปฏิบัติประพฤติอย่างนี้อยู่ในสังคม แม้ในคอมมิวนิสต์ ไม่มีใครเขามาว่าหรอก คอมมิวนิสต์นี่ พวกเรามาจนอย่างนี้เขาจะจนแบบสาธารณโภคีด้วย เขาอยากให้เป็นสาธารณโภคีให้เป็นกองกลางที่ทุกคนเข้ากองกลางทั้งหมดให้มาก เขาว่าหมดไม่ได้เหมือนเรา แต่เขาว่าให้มาก มากสู้อโศกได้หรือ หมดเลย 

นอกนั้นก็ปล่อยให้อิสระของแต่ละคนที่เขาจะต้องมีมากบ้าง แต่เขารู้แล้วอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้ามาหมดเนื้อหมดตัว มาเป็นคนจนนี้สูงสุด มีปัญญารู้แล้วว่าความจนดีที่สุด มาเป็นคนจนดีที่สุด เสียภาษีให้สังคมมากที่สุดหรือ 100% สูงสุดแล้ว 

เพราะฉะนั้นเป็นอิสระนะ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ไม่ได้บังคับด้วยกฎหมาย แต่เรียนรู้ด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติให้จิตเกิดปัญญาอันยิ่ง เต็มใจจน ตั้งใจจน  จนสำเร็จ จน จนสุขสำราญเบิกบานใจ มันสุดยอดของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว คอมมิวนิสต์ก็ไม่มีเรียน ประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่มีเรียน มีเรียนในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าหรือมหาวิทยาลัยอโศกที่สอนอยู่ แล้วประพฤติจริง ปฏิบัติจริง เป็นทฤษฎีจริง แล้วก็ปฏิบัติ พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่พูดพล่อย ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เทวศาสตร์ ชัดเจนหมด ไม่ใช่ศาสตร์ลับลึกลับ ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เทวศาสตร์ที่มีแต่จินตนาการ เป็นเทวะ เป็นพระเจ้าอะไร ไม่ใช่ 

เป็น Phenomenology  เป็นปรากฏการณ์ศาสตร์ มีปรากฏการณ์จริง ยืนยันจริง ไม่ใช่ epistemology หรือไม่ใช่ไสยศาสตร์ นี่คือสัจจะที่สุดยอด 

อาตมาถึง จริงๆแล้วอาตมาก็ไม่เคยมีจิตที่ คิดว่า ทำไมตนเองต้องต่ำต้อยจังเลย ไม่ได้เคยไปเรียนเมืองนอกกับเขาหนอชีวิต ไม่เคยคิดน้อยใจ คิดแต่ว่า เออ เราก็ไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกกับเขา ดีไม่ดีเรียนเมืองไทยยังไม่จบปริญญาตรีสักใบ โอ้ โพธิรักษ์เอ๋ยทำไมถึงได้มีข้อด้อยถึงขนาดนี้ 

แต่ทุกวันนี้อาตมาเข้าใจแล้วว่าข้อเด่นของอาตมาคืออะไร เพราะคนที่ไม่ต้องเรียนไปสำนักโลกๆที่เขาสอน คุณมีธรรมะ คุณมีความรู้ความสามารถของคุณอยู่แล้ว ในตัวเองมาแล้ว 

แล้วก็สามารถมีความรู้กับความจริงนี้สูงส่งด้วย ความรู้นี้ทำได้สำเร็จด้วย ไม่ใช่รู้เป็นตรรกศาสตร์เท่านั้น หรือเป็นปรัชญาเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์วิทยา เป็น Phenomenology เอามาปฏิบัติประพฤติให้เกิดปรากฏการณ์จริงได้ 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดให้ชัดอีกก็คือ มันไม่มีมหาวิทยาลัยที่จะสอนความรู้แบบอาตมาสอนนี้ได้ เพราะอาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้ว มีความรู้นั้นติดตัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อนมาถึงชาติปางนี้ ก็เอามาประกาศจริงๆ ว่าอาตมามีความรู้นี้มาโดยไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ คนเขาหมั่นไส้ก็หาว่าไป แต่อาตมาก็ไม่เป็นไร เขาหมั่นไส้ก็ทุกข์ของเขา อาตมาก็สงสารไป เพราะว่าเขาหมั่นไส้ เขาทำของเขาเอง เขาก็ทุกข์ของเขา 

แต่คนที่เขาเห็นว่า แปลกนะคนนี้กล้าพูดเช่นนี้ ไหนมาฟังซิ ฟังแล้วก็ดีนะ ดีก็ทำตาม ทำตามก็ยิ่งดี ทำได้สำเร็จก็ดี เอาชีวิตมาทิ้งกับทางนี้เลย 

ใครเขาจะมาว่าคุณโง่ ใครเขาจะมาว่าคุณเป็นคนอะไร ถูกโพธิรักษ์หลอก มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถอยู่ทางโลกเขาดีๆ ดันมาทำตัวมอซอ มาอยู่อย่างจนๆ มาอยู่อย่างผู้รับใช้ มาอยู่อย่างคนสิ้นไร้ไม้ตอก 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยตอบปัญหานี้ให้พวกมหาเปรียญธรรม เถรสมาคม ที่บอกว่า เขาดูถูกชาวอโศกที่เป็นคนโง่ที่ถูกหลอก แต่พ่อท่านบอกเขาว่า อาตมาหลอกได้แต่คนฉลาดเท่านั้น 

พ่อครูว่า... ก็เคยพูดไปแล้ว จริง อาตมาหลอกคนโง่ไม่ได้หรอกคนโง่ไม่มา ที่อาตมาพูด อาตมาอธิบายคนโง่เข้าใจไม่ได้ คนโง่ไม่เข้าใจ จะไม่เห็นว่าเป็นความจริงความประเสริฐ เขาก็ไม่มาไม่เชื่อ 

เพราะฉะนั้นคนมาได้มีแต่คนฉลาดเท่านั้น นี่มันจริงนะไม่ได้พูดเล่นลิ้นอะไร มันจริง 

เพราะฉะนั้นก็พิสูจน์กันไป ต้องใช้เวลา  อาตมายังเคยนึกถึงว่า อีก 100 ปี คำสอนของอาตมาที่พูดอยู่นี้ รวมทั้งที่อาตมาอธิบายความจริงๆก็เป็นคำสอนความรู้ของพระพุทธเจ้า แต่อาตมาเอามาทำงานสืบทอด ขยายความเป็นภาษาสมัยใหม่ให้ร่วมสมัย ให้คนยุคนี้รู้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตหรือสอนไว้ ว่าให้มาอธิบายแบบภาษาสมัยใหม่ ท่านใช้คำว่าภาษาถิ่น ให้อธิบายตามภาษาถิ่น ในพระไตรปิฎกแปลไว้ว่าอย่างนั้น นี่แหละคือภาษาสมัยนี้ ภาษาของคนที่พูดกันรู้เรื่อง 

อย่างพวกเราพูดภาษาที่อาตมาพูดนี่แหละก็เข้าใจ ภาษาสมัยนี้อย่างนี้แล้วรู้เรื่อง ดีไม่ดีก็เอาสแลงของทางโลกสมัยนี้ยุคนี้มาประกอบเสียด้วยซ้ำมาขยายความก็เข้าใจ ประกอบ English นิดหน่อย บางครั้งบางคราวมีภาษาจีนนิดๆ ภาษาจีนรู้น้อย ภาษาอังกฤษยังรู้มากกว่าภาษาจีน แต่ภาษาอีสานแถมมากหน่อยเพราะรู้มากหน่อย แต่ก็พูดใช้ภาษากลาง ภาษาไทยกลาง อธิบายกันไปมา 50 กว่าปีแล้ว ก็ยังเห็นว่าดี 

พวกเรายังเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียด ยังกระจายขยายความ อาตมาว่ายังขยายความไปได้อีก ให้มันละเอียดลึกซึ้งไปได้อีก ความลึกซึ้งที่อาตมารู้สึกว่ามันมากมายมหาศาล มันไม่จบง่ายๆ 

แล้วก็อยากจะให้รู้กัน ดีไหม… ดี แล้วพวกคุณก็ยินดีที่จะรับฟัง มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ มันมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นก็ยิ่งเป็นประโยชน์ ยิ่งเป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า 

 

อนูปวาโท อนูปฆาโต คืออย่าพูดให้ตนและคนอื่นเสียหาย

อาตมายังไม่ได้มีโรคพยาธิอะไรที่จะต้องทรมานทรกรรมนัก ไอก็เหนื่อยเท่านั้น แม้แต่เจ็บคอเจ็บอะไรก็ไม่เจ็บ ไอแล้วถ้ามันแรงก็เหนื่อย ถ้าไม่แรงมันก็ไอธรรมดา แล้วมันก็ห้ามไม่ได้ มันจะไอ มันบังคับไม่ได้แล้ว สรีระมันต้องไอ ถ้าไม่ไอมันก็แก้เหตุปัจจัย จะว่าชัดๆก็คือเสลดมันจะเข้าไปอุดตัน มันไปทำความระคายลำคอ มันก็ต้องใช้พลังงานที่จะขจัดอันนี้ออกไป มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องแก้ไขสรีระของตนเองเท่านั้น ก็ทำ มันก็ไม่ถึงขั้นทรมานอะไร 

อาตมาบรรยายมานี้ 2 ชั่วโมงยังไม่ถึงดี ไอบ้างหรือยัง… ยังไม่ไอเลยหรือ ก็ดีเห็นมั้ย มันก็ยังได้อยู่ มันก็ไม่กะไร พอเป็นไป

มันเป็นวิบากของอาตมา ที่อาตมาปากจัด ไปเที่ยวได้ว่าคนตำหนิคนมาก มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มันก็เลยจะต้องมีวิบากบ้าง เป็นวิปากทุกข์ มันก็เป็นธรรมชาติ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร ทำให้คนอื่นเขาไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ ถูกว่าถูกด่า มันก็มีผลสะท้อนมาทำให้อาตมาเกิดวิบากบ้าง 

ขนาดพระพุทธเจ้าไปยินดีในคนหาปลา วิบากนั้นท่านเร็ว ท่านรู้ท่านเข้าใจ จึงทำให้ท่านปวดหัวอะไรอย่างนี้ แต่ของอาตมานี้มันก็ยังหยาบ ชัดๆอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร ไปกระทบเขา แรง แต่มันก็ต้องกระทบ 

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้อาตมาก็รู้สึกว่าไม่น่าจะแปลว่า ไม่พูดกระทบตนกระทบท่าน น่าจะแปลว่า อย่าพูดให้ตนเสื่อม  อย่าพูดให้ผู้อื่นเสื่อม มันน่าจะหมายความอย่างนั้น คำพูดของเราพูดออกไปแล้วอย่าทำให้คนอื่นเสื่อม อย่าให้ตนเองเสื่อม 

พูดไม่กระทบ พูดดีก็ต้องกระทบคน คนดี พูดชั่วก็ต้องกระทบคนชั่ว เลี่ยงไม่ได้ แม้แต่คนไม่ดีไม่ชั่วก็ได้ชั่วคราวนะ คนไม่ดีไม่ชั่ว มันก็กระทบคนไม่ดีไม่ชั่วอยู่ดี เพราะมันพูดไปแล้วมันก็คือพฤติกรรมของคน 

พฤติกรรมของคนมันก็มีแบ่งอย่างหยาบๆ ก็มี ดีชั่วกับไม่ดีไม่ชั่ว มันก็ต้องกระทบ เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะต้องไปแปลคำอันนี้ว่าเป็นการพูดที่อย่าไปพูดกระทบตนกระทบท่าน พูดยังไงว่าไม่ให้กระทบใคร ไม่มีใครเป็นอย่างที่เราพูดเลย ไม่กระทบใครเลยพูดอะไรพูดไปทำไม พูดกระทบฟ้า กระทบดิน กระทบกับหมา ไปกระทบแมวแล้วมันได้เรื่องอะไรล่ะ อย่ากระทบคนนะ 

อาตมาจำนนจริงๆว่า สาธุ ทำด้วยไม่ได้ แปลอย่างนั้น อย่ากระทบตนกระทบท่าน อาตมาทำด้วยไม่ได้ อาตมาต้องอย่าไปทำให้คนอื่นเสื่อม กระทบให้คนอื่นเสื่อม ให้คนอื่นเสียหายอะไรอย่างนี้ ก็ว่าไป 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดนี้ไปกระทบ ไม่ได้เป็นการกระทบให้เกิดทรมานทรกรรมอะไร แต่ให้รู้ว่าอะไรควรปฏิบัติประพฤติ ที่มันไม่ดี ก็คือตำหนิส่วนเสีย มันทำให้ไม่ดี มันทำให้เสื่อม มันทำให้ไม่เจริญนะ ส่วนดีกระทบก็ไม่มีปัญหาอะไร คนที่ทำดีถูกต้องแล้วก็ชมเชย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สรรเสริญการชมเชย แต่ท่านสรรเสริญคำตำหนิ คำสรรเสริญท่านบอกว่าคำสรรเสริญเป็นั้นไม่ได้มีความดีอะไรให้คนละหน่ายคลาย  เป็นความชั่วชนิดหนึ่ง เป็นความต่ำทราม ท่านตรัสถึงขนาดนั้น ฟังแล้วคำสอนพระพุทธเจ้านี่ 

อาตมาเลยรอด เพราะไม่มีใครมาสรรเสริญอาตมา อาตมาทำอะไรเลยไม่มีความต่ำทราม เพราะฉะนั้นมีแต่คำตำหนิ คำตำหนิเป็นความเจริญ มีแต่ความเจริญ ที่เป็นสัจจะนะ อาตมาไม่ได้เล่นลิ้นอะไรไม่ได้พูดเล่นคารมอะไรหรือเล่นโวหารอะไร แต่มันเป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นมาฟังธรรมที่อาตมาค่อยๆอธิบาย เอาคำแต่ละคำมาขยายความ มาคลี่คลายออก มันจึงเป็นสิ่งที่เห็นความลึกซึ้ง ความซับซ้อน บางทีเราเคยเข้าใจอย่างนี้ พ่อท่านมาพูดอย่างนี้ มันเข้าท่ากว่านะ คุณก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีก แต่ก่อนนี้ยังกำหนดผิด จริงด้วยอันนี้มีมุมเหลี่ยม มีประเด็น มีมิติ มีนัยยะที่สำคัญลึกซึ้งขึ้นไปอีก อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม 

พยัญชนะมันมี 2 เท่านั้น มีบวกมีลบ มีดีมีชั่ว มีถูกมีผิด 2 มันก็เลยชี้ความถูกความผิด ความเจริญ 2 ขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละคู่ๆๆ ขึ้นไป เป็นอภิภายตนะ หรือเป็น อนุปคัมมะ ขึ้นไปเรื่อยๆทีละคู่ มีอภิภู มีการเรียนรู้ทีละคู่ อันไหนดีอันไหนชั่ว บางทีก็กลับกัน เจริญมุมนี้ เจริญมุมนี้ อยู่ในเหตุปัจจัยอยู่ใน กาละ เทศะ ฐานะ 

กาละนี้ เทศะนี้ ฐานะนี้ อย่างนี้ถูก กาละ เทศะ ฐานะ อย่างนี้ถูกมันไม่เที่ยง มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เราเข้าใจอันนี้ได้ เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราเข้าใจอันนี้ไม่ได้นะ ว่าความไม่เที่ยง อะไรไม่เที่ยง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรตายตัวหมด ถ้ามี 2 ไม่มีอะไรเที่ยง มี 1 ยังชะลอ แต่ยังไม่จริง จะเที่ยงจริงๆต้อง 0

มี 0 เท่านั้นเที่ยง นอกนั้น 1 ก็อาศัยชะลอ ไม่ขบไม่ขัดไม่แย้งอะไรกัน พอมี 2 ขึ้นมาเราก็มีปฏิภาณปัญญารู้ว่า เมื่อไหร่ กาละอันไหนมันดีมันควร เทศะไหน ฐานะอันไหนมันดีมันควร ก็เอาอันนั้น เป็นมหาปเทส 4 จบเลย อย่างนี้เป็นต้น 

สุดท้ายทุกอย่างพระพุทธเจ้าทั้งห้ามทั้งอนุญาตเอาไว้แล้ว มีครบ แต่ตาม กาละ เทศะ ฐานะ มันไม่ได้อยู่เท่าเดิม กาละนี้ เทศะนี้ฐานะนี้

เทศะ คือต่างภูมิประเทศ แต่ก่อนนี้ภูมิประเทศสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่เหมือนกับตอนนี้แล้ว ยิ่งคนทุกวันนี้ฉลาดแกมโกงมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า โอ้โห ไม่รู้กี่ต่อ คนละฐานะแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปเอามาตรการมาตรวัดของพระพุทธเจ้ามาจับกับยุคนี้ มันจับไม่อยู่หรอก จับไม่มั่นคั้นไม่ตายหรอกในยุคนี้ มันสุดดิ้นเลย ขนาดรูรอดที่หมามันรอดเขายังออกไปได้เลย หนีออกไปได้เลย 

ที่จริงรูรอดหมารอดนี้แสบนะ มันไม่น่าจะปล่อยให้รอดออกไปได้นะ ทำไมประเทศไทยปล่อยให้ออกไปได้ แสบนะ มัน หมายถึงสิ่งหนึ่ง 

มันหมายง่ายๆว่า คนไปนี้ไปทางหมารอด ลึกเข้าไปกว่านั้นอีก ทำไมประเทศคุณแม้ช่องให้หมารอดเข้ามา หรือให้คนโง่ออก เข้า 

เอาละมันจะมากไป ไม่ต้องไปกล่าวอย่างนั้นก็ได้

สรุปแล้ว อาตมาบรรยายธรรมะมาทุกวันนี้จนกระทั่ง โอ้โห พยายามที่จะเปิดมุมที่เป็นมุมที่ละเอียดลึกซึ้ง จากฐานเดิมนั่นแหละ แต่มีใหม่ขึ้นมาบ้าง ให้ได้อานิสงส์ในการฟังธรรมที่ลึกซึ้ง ทุกวันนี้อานิสงส์ 5 ประการ ก็ยังมีต่ออยู่ ยังไม่หมด ตามอานิสงส์ 5 ประการที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เพราะมันยังมีสิ่งใหม่ ที่ได้ฟังใหม่ แล้วเอามายืนยันให้รู้ใหม่ เป็นไหม 

เคยฟังแล้วไม่ได้รับฟังสิ่งใหม่ มันวนอยู่ที่เก่าแสดงว่า ทำไมคนอื่นเขารับรู้ได้ของใหม่ เรายังรับไม่ได้ก็เป็นธรรมชาติ อาตมาเคยอธิบายแล้วกำชับเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก อยู่แล้วว่า อ่านแล้วมันไม่เข้าใจ มันวน คุณก็อย่าเพิ่งไปข้าม อ่านใหม่พยายามทวนแล้วทวนอีก  ยิ่งคุณปฏิบัติคุณก็จะรู้ว่า ที่มันยังไม่รู้เพราะว่าภูมิมันยังไม่เพิ่มขึ้น นี่เป็นสัจจะของมัน 

ถ้าเราเริ่มเข้าใจเพิ่มเติมขึ้น มีของใหม่ เข้าใจเพิ่มเติมขึ้น คำว่าของใหม่นี้ เราจะมีปฏิภาณรู้เองว่า ไอ้ที่ใหม่นี้มันคือใหม่ดีหรือใหม่ไม่ดี ใหม่ที่ลึกซึ้งหรือใหม่ที่ไม่ลึกซึ้ง ปฏิภาณมันรู้นะ ในคน มันเข้าใจอยู่นะ อันนี้ฟังแล้วใหม่ เข้าท่านะ ไม่ใช่ใหม่ไปในทางต่ำหรือไปในทางเสื่อม ไปในทางที่ไม่ดี มันจะมีปฏิภาณเลือกว่าดีหรือไม่ดีในคนเจริญหรือว่าคนไม่เจริญ คนไม่เจริญก็ไปเข้าใจสิ่งที่ดีว่าไม่เจริญ ไปเข้าใจสิ่งที่ทุจริตไม่เจริญ นั่นก็เป็นเรื่องจริงของแต่ละบุคคล 

เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นใหม่ มีสิ่งใหม่ แล้วทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ไอ้ใหม่นี้ ไม่ใช่ ใหม่แล้วอะไรวะ ไม่ใช่ แต่เข้าใจเพิ่มขึ้น 

เพราะฉะนั้นท่านถึงตีเปลาะลงไปว่าทำให้ทิฏฐิตรง คลายความสงสัยเสียได้ก่อน เข้าใจแล้วไอ้ที่มันข้องใจอยู่ก็คลายไป หมดไป ทิฏฐิก็ถูก เพราะเป็นทิฏฐิ ทิฏฐิไม่ใช่อยู่คงที่ ความเห็นความเข้าใจเป็นทิฏฐิที่ว่ามันถึงไม่อยู่กับที่ มันถึงเจริญขึ้นเป็นสัมมาๆๆ ขึ้นเรื่อยๆเจริญขึ้นเรื่อยๆ 

จากทิฏฐิตรงขึ้น จิตจึงผ่องใส จิตจึงเลื่อมใส จิตจึงสะอาดประภัสสรขึ้นไปตามลำดับ จิตก็ประภัสสร 

ภัสสรนี้ เป็นลูกสะใภ้ของคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ 

_สู่แดนธรรม... สรุปตัวเลขคนฟังธรรมในศาลาวันนี้ รวมเป็น 948 คน ลดไปจากครั้งที่แล้ว 49 คน เพราะว่าพวกแพทย์แผนไทยก็กลับบ้านไปบ้าง... จบ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2566 ( 05:30:48 )

660411

รายละเอียด

660411 พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ  https://www.boonniyom.net/52996.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1h5TSQI8f3zwoSGPSdHROHJvTvrXoeFu9/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                               

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12JGdt-O5gl3IEKYakWQt5KhY8xg-QZ-7/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/601959565195725 

 

พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ

คุรุฟังฝน รายงาน ...พิธีรับกลด เป็นพิธีสำคัญที่จัดให้แก่นักเรียนที่เรียนสำเร็จ จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในเครือสัมมาสิกขาชาวอโศก จัดขึ้นครั้งแรกที่พุทธสถานปฐมอโศก เมื่อปี 2542 มาจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลา 24 ปี 

กลด เป็นสิ่งที่ใช้กันแดดกั้นฝน เป็นหนึ่งในบริขารที่สำคัญสำหรับผู้ทรงศีล 

ศีลเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานของชีวิตที่สำคัญมาก ที่จะนำพาให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมเกิดความผาสุกร่มเย็น และเจริญก้าวหน้า 

พิธีมอบกลด จี้ใบโพธิ์ และหยาดน้ำใจพรายทอง ในปีนี้ได้จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ ปวช. 3 จำนวน 19 คน และนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส.จำนวน 10 คน 

ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกตรง ตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นักเรียนนักศึกษาได้ใช้เวลาศึกษาอยู่ในโรงเรียน หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษาของชาวอโศก ตลอดระยะเวลา 6 ปีถึง 8 ปีครึ่ง 

และจะได้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุชาวชุมชน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่ช่วยอบรมเลี้ยงดูฝึกฝนจนนักเรียนนักศึกษา สอบผ่านการเป็นผู้มีศีลเป็นงานและสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน วันนี้ก็เป็นวันฤกษ์ดีสำหรับผู้ที่จบการศึกษา ในกรอบของความรู้ที่โลกสมมุติตั้งขึ้นมา เป็นลำดับๆเป็นแผนกๆ เราก็จบกันในวันนี้ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 

คนเราก็มีพิธีกรรม ตกแต่ง องค์ประกอบ จัดสรรขึ้นมา เป็นจารีตประเพณีของมนุษยชาติแต่ละชาติ แต่ละเผ่า แต่ละประเทศ ก็ทำกันไป เพื่อให้เป็นเครื่องอาศัยเป็นสมมุติสัจจะ เป็นความจริงชนิดหนึ่งที่ร่วมรับรู้กันรับรองกัน แล้วก็ใช้ดำเนินไปกับชีวิต ในสังคม 

คนอยู่ในกลุ่มใดหมู่ใด สังคมใด ประเทศใด ก็มีสมมุติสัจจะของกลุ่มนั้น ประเทศนั้น สังคมนั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยสมมติ เพื่อจุดหมายเป้าหมายสำคัญก็คือ เพื่อใช้อาศัยที่จะมีสิ่งที่เข้ามาร่วม เข้ามากระทบ สัมผัสแล้วก็มีจิตวิญญาณของแต่ละคน เกิดความรู้สึกไปต่างๆ แตกต่างกันไป 

แต่เราก็พยายามที่จะมีจุดที่พร้อมเพรียงกัน สามัคคีกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่กันอย่างเป็นองค์รวม แนบแน่น แน่วแน่หรือว่า แข็งแรง อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น ที่มีความสามัคคีสมบูรณ์ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เลยเข้าใจกัน กายกรรม วจีกรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

โดยมีมโน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เป็นตัวประธาน เท่าที่รู้แล้วมีสัญญากำหนดสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ดีที่สุด ที่เราควรจะต้องทำ แต่ละคนก็ตัดสินใช้ภูมิปัญญาปฏิภาณความรู้ของตนๆ ตัดสินให้แก่ตนว่า ขณะนี้ปัจจุบันนี้มีองค์ประกอบมี กาละ เทศะ ฐานะ อย่างนี้ เราประพฤติออกกายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ ดีที่สุดเท่าที่เราเห็นว่าควรจะทำ ส่วนใครที่ไม่เห็นว่าดี เขาก็ตำหนิ ส่วนใครที่เขาเห็นว่าดีก็ชม คนไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ติไม่ชมเฉยๆ ไม่เอาเรื่องไม่เอาราว ช่างหัวคุณประไรก็ได้ หรือคนรู้ หรือคนรู้แต่ไม่ชี้ รู้ว่าควรตำหนิหรือควรชม แต่เฉยๆก็มี 

หรือคนที่รู้ดีแล้วชัดเจนว่า ดี อย่างนี้ถูกต้อง ไม่ดี อย่างนี้ยังบกพร่อง แต่ไม่ชี้ก็มี ชี้ ก็มี 

คนชี้ ก็ต้องเป็นคนมีปัญญารู้ว่าดีถูกต้องเป็นถูกต้องแท้นะ ไม่ถูกต้องจริงๆนะ ก็มีการชมกัน ตำหนิกัน 

รับรองยกย่อง ปัคคัณหะ ก็ควรยกย่อง คนที่ควรยกย่อง 

แล้วก็มีการตำหนิคนที่ควรตำหนิ มีกรอบแห่งการยกเว้นหรือหลุดพ้น ไม่ต้องตำหนิอะไรแล้วก็คือ ผู้ที่เป็นอรหันต์ไม่ควรตำหนิ เป็นผู้ที่ไม่มีอกุศลเจตนา ไม่มีจิตเจตนาคิดทำอย่างใดๆที่มันผิด มีแต่เจตนาที่เป็นกุศลที่จะให้ดีตามสมมุติสัจจะ แต่ละคนนั้นกำหนดหมายว่า ดีที่สุดของเราอย่างนี้ แสดงกายกรรม วจีกรรมออกมาอย่างนี้ดีที่สุดก็พยายามทำให้ดีที่สุด ตามเจตนาที่เป็นกุศลก็ดีแล้ว 

ส่วนผู้ที่รู้ผิดเจตนาว่าดีอย่างนี้ กายกรรมอย่างนี้ว่าดี วจีกรรมอย่างนี้อาการอย่างนี้แหละดี ถ้ามันไม่ถูกต้องตามส่วนรวม ดูที่เขากำหนดไว้ว่าต้องอย่างนี้นะ อาการอย่างนี้แหละ ทำกายกรรมอย่างนี้วจีกรรมอย่างนี้ ถึงจะดีที่สุดของสังคมนี้ มันก็ยึดกันไปแต่ละสังคมแต่ละหมู่ไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกันกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ 

แม้แต่ในศาสนาเดียวกัน ลัทธิเดียวกัน โรงเรียนเดียวกัน อะไรเดียวกันก็ต่างคนต่างกายต่างกันสัญญาต่างกัน หรือจะมีกายต่างกันสัญญาเหมือนกันสัญญาอย่างเดียวกัน หรือจะมีกายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน หรือกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน 

พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้มีหลักเกณฑ์ให้ศึกษา เราก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น ก็ปรับปรุงให้แก้ไขให้มันดีที่สุด ดีที่สุดของสังคมคือกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน 

ผู้ที่ทำความเข้าใจแล้วก็จบตรงที่ เราต้องเข้าใจความเป็นอันเดียวกันนะ กายกรรมอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะสมมุติว่า มีกายกรรมอาการอย่างนี้ดี กำหนดหมายอย่างเดียวกัน แต่คนทำไม่อย่างเดียวกัน เราก็รู้ว่า อ้อคนนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เขาสมมุติอีกอย่างนึง ภาษาบาลีว่า นานา เขาก็เป็น คนกลุ่มเดียวกันสมมุติเดียวกันกับเรา แต่เขาเข้าใจอย่างนี้ เขาจึงมีอาการของกายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ ก็รู้เขา ของคนนี้ไม่เหมือนหรือของเราก็ไม่เหมือนกับของคนอื่นก็จบ เราจะไปบังคับ เราจะไปให้คนเขามาคิดอย่างเรา ยึดอย่างเรา เห็นว่าดีว่าควรอย่างเรา เป๊ะๆเหมือนกันหมด ไม่ได้ในโลก 

คนนี้เข้าใจอย่างนี้ด้วยปัญญา ก็เป็นคนจบ รู้จักนานาสังวาสรู้จักความร่วมกัน แต่มีสิ่งที่ต่างกัน อยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างรักอิสรเสรีภาพของแต่ละคนจริงๆ ไม่มีเจตนาร้าย มีแต่เจตนาดี ทำอย่างนี้ได้เท่านี้จบ ก็มีการยุติเรียกว่าสงบหรือว่ายุติธรรมหยุด ไม่ต้องมีการขัดแย้ง รู้จักความแตกต่าง รู้จักความเหมือนกันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของโลก 

คนที่ไม่รู้จริงก็จะตำหนิกันอยู่นั่นแหละ ชมกันอยู่เรื่อย ก็มีทั้งตำหนิและชม 2 อย่าง การติการชม ซึ่งมันมีสมมุติไม่เหมือนกันไปแม้แต่ปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็ไม่เหมือนกันเรื่องของจิตเจตสิก ยืนยันอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เหมือนกัน แต่มีปัญญาสูงสุดเข้าใจว่า มันไม่เหมือนกันได้ ไอ้ที่เหมือนกันแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องท้วงติงกัน มันก็มีแต่ความสูญ ถ้ามี 2 อย่างก็เทียบกันแล้วมันก็ไม่เหมือนกัน 

ปรมาณู 2 ตัวเกิดขึ้นมาไม่เหมือนกันแล้ว แตกต่างกันเป็นภาวะ 2 มันไม่มีอะไรเหมือนกันหรอก แต่เข้าใจว่าของเขาอย่างนี้เป็นอย่างนี้แล้วก็จบ แล้วเราจะร่วมกันด้วยอย่างไร คนนี้มี 5 เหลี่ยมคนนี้มีสี่เหลี่ยมคนนี้มี 2 เหลี่ยม คนนี้มี 10 เหลี่ยม จะเข้าเหลี่ยมกันยังไงดี ให้ไม่ขบ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ขัดกัน ก็พยายามทำให้ได้ก็จะอยู่ร่วมกันได้ดี มันมีเหลี่ยมขัดกันบ้าง ก็ทะเลาะกันบ้าง ไม่ลงรอยกันไปเท่านั้นเอง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นคนแล้วก็สังคมอยู่ร่วมกัน ก็รู้รายละเอียดอันนี้อันที่อธิบายมา รู้รายละเอียดแล้วก็จัดสรรกันถึงขั้นรู้ความต่างกันและเหมือนกันอย่างเดียวกัน มันก็ทำตามธรรมดาธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องกำหนดให้คนนั้นต้องมาทำอย่างเราคิดเราเห็น 

แต่ถ้ามันเป็นความแตกต่างที่มันไม่ดี มันพิลึก มันแปลก มันดูแยก มันมีส่วนพลังงานหรือว่ากายกรรมวจีกรรมออกมาแล้วมันเกิดผลกระทบ ทำให้เสียหาย ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นการทำความเจริญ มีแต่ความเสียหาย มีแต่ความเสื่อม เราก็บอกกันว่าอย่างนี้มันไม่ถูกนะ มันเกิดความเสียหาย มันเกิดความไม่ควรทำ มันก็เป็นธรรมดา ต้องมีอยู่แน่นอน 

ก็ติติงกันไปขัดเกลากันไป แล้วมันก็จะมีกายกรรมวจีกรรมที่ถูกติ ถูกขัดเกลา หมู่ไม่ได้เห็นร่วมด้วยเป็นอย่างนี้ ก็ลดลงได้ลดลงได้ จนกระทั่งไม่มีการขบไม่มีการขัด ยอมรับได้แล้วว่า ขณะนี้ก็ดีแล้วอยู่ร่วมกันไปได้ เป็นจุดยืนทำให้เกิดความสงบแก่สังคม 

อย่างชาวอโศกเรานี้ อาตมาว่าปฏิบัติได้ตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่มีพฤติการณ์พฤติกรรมของแต่ละคนออกมา มีความยุติและเป็นความสงบได้ดีมาก มีผลสำเร็จที่สวยงามมาก ที่ไหนๆๆถ้าเข้าใจแล้ว ที่จะต้องไปฆ่าแกงกัน สร้างอาวุธขึ้นมาแล้วจะต้องยึดถือพยาบาท อาฆาต ต้องเอาทางนั้นลงให้ได้ จะต้องไม่มีอยู่ในโลกร่วมกันไม่ได้อะไรพวกนี้ ที่มีความคิดรุนแรงพวกนี้คนที่เขาติดยึดก็ทำอยู่ คนที่เลิกแล้ว ไม่ทำแล้ว 

คนที่ได้มีความคิดมีหมู่กลุ่ม มีพลังงานสงบยุติธรรม จะเป็นพลังงานกำแพงไร้สภาพ กันไอ้พวกที่หยาบๆคายๆไม่ให้เข้ามาใกล้เรา เพราะว่ามันมีพลังฤทธิ์พลังธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นกำแพงไร้สภาพ กั้นไว้จริงๆ 

เพราะฉะนั้นพวกที่หยาบคายรุนแรงจะไม่เข้าใกล้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงหรอกแต่มันมีได้เกิดได้ อย่างพวกเราชาวอโศก เป็นคนมีกำแพงไร้สภาพนั้นที่เป็นบารมี กั้นไว้ไม่ให้สิ่งเลวร้ายนี้เข้ามาใกล้ 

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เข้ามารบกวนพวกเรารุนแรงไม่ค่อยมี เข้าใกล้ไม่ติด จะมีหลงก็มีเป็นธรรมดาเป็น Error เป็นส่วนที่เศษๆตกๆหล่นๆ ทะเร่อทะร่ามาบ้าง แต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วน้อยมากซึ่งเป็นธรรมชาติของความ error 

โลกจักรวาลมีมหาจักรวาล มีวงโคจรของดาวทุกดวง แต่ก็ยังมีเศษอุกกาบาตที่มันเข้าวงจรไหนก็ไม่ได้ก็มีอยู่บ้าง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เสร็จแล้วดีไม่ดีวันร้ายคืนร้ายไอ้อุกกาบาตนี้ก็ไปซัดดาวดวงใดดวงหนึ่ง กลายเป็นหลุมอุกกาบาต กลายเป็นเสียเส้นทางโคจรไปนิดๆหน่อยๆเปลี่ยนแปลงไป มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในมหาจักรวาลเกิดเปลี่ยนแปลงวงโคจร ของกลุ่มวงโคจรดาวตั้งแต่นพเคราะห์ไปจนกระทั่งถึงกี่วงโคจรแล้วก็แล้วแต่ก็เป็นธรรมชาติ 

ในมวลมนุษย์จิตวิญญาณของคนก็มีเช่นนี้ มีวงโคจร มีการ กระทบ มีอะไรต่ออะไรอีก แล้วก็เกิดอุกกาบาตหรือเกิดตัวประหลาด มากระเทือนกระทบกระแทก อย่างน้อยก็เสียองศาไปจุดจุด 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 ก็ได้ ซึ่งเราวัดไม่ได้เพราะมันน้อยเหลือเกิน มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง 

เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงถือว่าไม่เที่ยง แม้แต่รูปวัตถุการเป็นอยู่ก็ไม่เที่ยง จิตวิญญาณของมนุษย์ก็ไม่เที่ยง ละเอียดยิ่งกว่าวัตถุมันต้องเป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความไม่เที่ยงสมบูรณ์แบบแล้ว มันก็มีแตกต่างกันไป ไม่เที่ยงก็ไม่เหมือนกันหรอกไปอยู่รวมกันให้ได้ก็แล้วกัน รวมกันแล้วเข้ากันได้ สร้างประโยชน์ สร้างสิ่งที่อาศัยใช้กินอาศัยในชีวิตเป็นเครื่องอาศัย ไปตั้งแต่วัตถุหยาบไปจนกระทั่งถึงนามธรรมถึงจิตวิญญาณ สบาย 

ก็อยู่มีชีวิตไปแล้วๆๆจนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเด็กๆเข้าใจไหม ว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานคืออะไร ใครเข้าใจยกมือ ไม่เข้าใจเพียงคนเดียว ดูแลกับแน่น เข้าใจอยู่ 2 คน

เข้าใจได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมายความว่า จิตวิญญาณของแต่ละคนแต่ละคนรู้ที่จบ จบกิจแล้วรู้ที่จบ จบอะไร จบ จิตวิญญาณของเรา เราสามารถที่จะทำใจในใจเรียกว่ามนสิการ ทำใจในใจของเรานี้จบ 

เมื่อเราตายหมดลมหายใจ เราก็ไม่ให้จิตของเรารวมตัวกัน เพื่อที่จะเป็นจิตนิยามเกิดอีก หมุนเวียนเกิดไปในวัฏสงสารอีกเราทำจิตของเราได้เลยเป็นอรหันต์แล้วทำได้ แล้วจิตนั้น สลายเป็นดินน้ำไฟลมไป ความเป็นจิตนิยามเป็นอัตภาพของเราเลิกเลยในวัฏสงสารใน กาละ ในโลกในมหาจักรวาลไม่เหลือแล้ว นี่คือความจบที่สุดยอดแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าจิตวิญญาณคืออะไร ก็ให้เรียนรู้ที่จิตวิญญาณของเรามันปรุงแต่งกันอยู่อย่างไร มันรวมกันเป็นอายตนะ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เราก็เรียนรู้เวทนา จริงๆเวทนานั้นมันไม่มีการยึดติดกันหรอก เป็นแต่เพียงมันรู้ด้วยปัญญาว่ามันปรุงแต่งด้วยธาตุ 2 เป็นรูปกับนาม ถ้ามีกิเลสโง่ มีตัณหา มีอุปาทาน มันก็จะยึดเพื่ออยู่ด้วยอวิชชา 

พออยู่ด้วยวิชาแล้วมันเราจะยอมให้มันอยู่ไหม ถ้าให้มันยินดียึดมันก็ยึดได้ อยู่กันอย่างรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ตายอรหันต์ ตายกายแตก หลังกายแตกแล้ว ไม่ให้มันเกิดอีกแล้ว สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แล้วเราก็ทำได้ 

คนที่ต้องการตายสลายเลยเป็นอรหันต์มี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ตายอย่างแยกธาตุตัวเองไป เลิก ก็รู้ว่าจิตวิญญาณคือธาตุรู้ของเราเองไม่มีพระเจ้า ที่จะมาเป็นเจ้าของ ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร ไม่หรอกจิตวิญญาณไม่นิรันดร จิตวิญญาณเราพิสูจน์แล้วเราว่าสูญเป็นดินน้ำไฟลมได้ เราทำได้อิสรเสรีภาพส่วนตัวของเรา จิตวิญญาณเป็นของเราเราทำเอง เราจะทำให้เป็นกรรมดีกรรมไม่ดี หรือแม้แต่เข้าไปรู้นามธรรมมันสุขมันทุกข์ ก็รู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นสมมุติหลอก ให้คนหลงติดหลงติดก็ติดแต่สุข 

เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมไม่รู้จักจิตวิญญาณ ติดในความสุขไม่เอาทุกข์ แต่ไม่มีปัญญารู้ว่า แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์เขาไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ ก็อย่าไปยึดติดว่าสิ่งที่มี 2 สภาพคือเทวะ หรือพระเจ้าหรือคือจิตวิญญาณ 

เพราะฉะนั้นต้องมีจิตวิญญาณอยู่ก็ต้องมี 2 สภาพนี่แหละ ใครยึดกับสุขกับทุกข์ ยึดอย่างไรก็ตามสมมุติ ทุกข์กับสุขไม่เหมือนกันด้วยนะ คนบางคนให้กินแตงโมมีความทุกข์ยาก ไม่ไหว กินแตงโมนี่มันเย็นๆไม่กินต้องซดน้ำร้อน สุข อย่างนี้ก็ได้เป็นเรื่องของเขา สมมุติไปคนละอย่าง

เพราะฉะนั้นสุขทุกข์นี้เป็นสุดยอดแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณที่ตนเอง แต่ละคนจะอยู่ มันนึกว่าโลกนี้อยู่ไปมันก็สุขหรืออรหันต์รู้แล้วว่าทุกข์กับสุขมันไม่มีหรอก มันไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร มันไม่ยึดไม่ติด แต่เรารู้แล้วเราจะแยกสลายตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกก็ได้ ไม่เลิก เราจะสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ช่วยพูดให้พ้นทุกข์พ้นสุข รู้จักวิธีที่จะแยก จิตนิยามของเราให้สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเหมือนเราให้ได้ ก็เป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีก 

จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้ารู้โลกรู้คนอื่นๆ รู้มนุษยชาติทุกจริต ทุกความยึดติดของเขาหรือไม่ทุกคน ก็เอามากเท่าที่ประมาณไม่ได้เลย ก็เป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเกิดมาเป็นมนุษย์ 1 คน มีอัตภาพหรือมีอัตตาสูงสุดจบสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้านี้จบจิตเป็นอรหันต์เลิกได้ ไม่ต้องเกิดมาอีกได้ ไม่ต้องมีร่างที่ต้องมารับภาระอย่างนี้อีก เป็นโพธิสัตว์ก็ช่วยคนอื่น จนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็สุดยอดอยู่ตรงนั้น

นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จิตตรัสรู้สิ่งสำคัญที่สุดในความเป็นคน เป็นคนต้องรู้จักจิตวิญญาณ รู้จักธรรมะ 2 เทวะ พยายามระงับกายกรรม วจีกรรมที่จะทำให้เกิดการกระทบ การขัดแย้งมีมุมมีเหลี่ยมกันอยู่ก็ลดลงมาก็เข้าใจกัน ที่อย่างหยาบๆเลวๆของชาวอโศกนั้น เราลดลงไปไม่มีในสังคมเรา 

เราก็อยู่อย่างละเอียดอยู่อย่าง นิ่ม อยู่อย่างอ่อนโยน อยู่อย่างสุภาพนี่แหละเป็นสังคมสูงสุดแล้ว 

ขณะนี้ใครได้ยินเสียงหายใจของคนไหม ไม่มีเสียงใครเลย มีแต่เสียงหายใจ ใครสามารถได้ยินเสียงหายใจได้ เห็นไหม สังคมที่เงียบสงบมีคนอยู่เป็นร้อยหลายร้อยอาจจะไม่ถึงพันตอนนี้ ยังเงียบสงบอย่างนี้ มันไม่ใช่สังคมที่จะหาง่ายๆ มีอะไรดึงความสนใจ ก็มีหลวงปู่พูดอยู่คนเดียว เป็นจุดแห่งความสนใจ เป็นจุดรวมความสนใจ คนที่ไม่สนใจบ้างก็แล้วไป แต่คนสนใจมีอยู่เกือบทั้งนั้นเยอะและรับฟังรับรู้รับความเข้าใจ ก็ฟังก็ได้ประโยชน์จากที่ฟังอันนี้ 

พวกเราเรียนมา 6 ปีอย่างน้อยแต่ละคน บางคนซ้ำชั้น บางคนมีอะไรเรียนต่อก็มี ก็อยู่ 

ยิ่งคนเข้าใจว่าสังคมนี้เป็นสังคมที่พอแล้ว ข้างนอกเราเข้าใจแล้ว ไปดิ้นรนเพิ่มความรู้เพิ่มสมรรถนะอะไรเอามาให้ชีวิตเพื่อที่จะ รวยลาภ รวยยศ รวยสรรเสริญขึ้นไปอีกไม่เอาแล้ว ผู้ใดเห็นอย่างนั้นก็หยุดก็พอจบ ไม่เอาแล้ว 

เมื่อไม่เอาแล้วก็อยู่กับหมู่ อยู่กับหมู่ก็อยู่กันไป มีงานมีอะไรรับผิดชอบก็ช่วยกันไป ไม่เห็นแก่ตัว รู้พักก็รู้เพียรขยันทำงานสร้างสรรค์ไป มันก็เป็นสถานที่ที่จบกิจ สถานที่ที่มีเศรษฐศาสตร์มีรัฐศาสตร์ที่จบกิจ 

เศรษฐศาสตร์ก็คืออยู่กันอย่างมีการสร้างสรรค์ มีอาศัย พออยู่พอกิน เหลือกินก็แจกจ่ายเกื้อกูลออกไปแก่ที่อื่น การเป็นอยู่ของพวกเรา ผู้บริหารก็ไม่มีความลำบากอะไร บริหารง่ายเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายมักน้อยสันโดษ มีวรรณะ 9 จริงๆ สบายที่สุดเลยเป็นสังคมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเป็นทฤษฎีหลักสูตรให้เรียนรู้ประพฤติ สำเร็จ 

หลวงปู่ดีใจและภูมิใจมากที่เกิดมาในชาตินี้เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามา มาอธิบายแล้วก็มาทำให้พวกเราสนใจ แม้แต่พวกเราเด็กๆก็เข้าใจ และสามารถปฏิบัติประพฤติได้ สอบได้ใบคะแนนเกียรตินิยมทั้งนั้นเลย เรียบร้อยสอบได้ชั้นดีมาก 

แสดงว่าคนเรานี้ไม่ว่าในยุคไหน ก็สามารถที่จะพัฒนาให้เป็นคนที่ดีตามสมมุติของโลกได้ ในที่สุดไม่ใช่สมมติของโลกแต่เป็นความจริงของจิตวิญญาณคือรู้สุขรู้ทุกข์ แล้วก็ไม่เดือดร้อนในความทุกข์ไม่หลงใหลในความสุข อยู่อย่างที่สบาย มันไม่ตรงกันทีเดียวต่างกันเล็กๆน้อยๆตามสภาพ 

ส่วนคนที่เขายังติดยึดอยู่มาก ต้องการจัดจ้าน ต้องการมากต้องการใหญ่ เขาก็แย่งกัน เพราะฉะนั้นช่องว่างระหว่างความต้องการมันกว้าง มันใหญ่เกิน เขาก็ไม่สงบ แต่พวกเรานี้สงบอบอุ่น สบาย 

ปนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และพาทำ หลวงปู่ก็เข้าใจอย่างนี้แล้วพาพวกเราทำอย่างนี้ ใครจะไปทำอย่างอื่น จะไปพาคนหาเงินให้ได้มากๆ จะพาคนสร้างอำนาจให้ได้ใหญ่ๆ จะพาคนสร้างอาวุธให้เก่งๆ ก็เชิญไปเถอะ 

เรามาสร้างอาหารให้เก่งๆ แข่งกัน ใครจะสร้างอาวุธเก่งก็ช่างศีรษะเขา เรามาสร้างอาหารให้มากๆ เป็นอาหารที่ดีๆมีปริมาณมาก กินใช้อยู่ในนี้อุดมสมบูรณ์ในชีวิตเรา แจกจ่ายเครือแหเผื่อแผ่ผู้ที่ควรเผื่อแผ่ออกไป ได้กว้างเท่าไหร่ก็เท่าที่เราสามารถมีความสามารถที่จะทำได้มีสมรรถนะสูงเท่าใด เราก็ทำไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นการบูรณะสิ่งต่างๆ บูรณะคือเติมสิ่งที่บกพร่อง ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดขึ้นเรื่อยๆ ให้มันเต็ม ให้มันสมบูรณ์ ให้มันบริบูรณ์ อยู่เรื่อยๆ เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง มันมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีคนทำให้เสื่อมเป็นธรรมดาก็เพิ่มเติมไป 

เพราะฉะนั้นสุดท้ายจริงๆที่เราจะต้องทำงานคือต้องมาบูรณะสิ่งที่เสื่อมสิ่งที่คนทำเสื่อม กับมันเสื่อมโดยธรรมชาติ เราก็ต้องบูรณะไปเป็นที่สุด 

เพราะฉะนั้นเพลงบูรณภาพหลวงปู่เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว เลิกแต่งเพลงแล้ว บูรณภาพเป็นตัวจุดสุดแล้ว เป็นผู้ที่มาซ่อมแซมมาทำให้เต็มทำให้สมบูรณ์ ทำให้เกิดการบูรณะให้บริบูรณ์ให้ได้อยู่ตลอด เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่บกพร่องสิ่งที่ต้องซ่อมแซมโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์นี้ทำให้มันเสื่อม ทำให้ฉิบหายลงไป เราก็จำเป็นที่จะต้องบูรณะ ซ่อมแซม ปรับปรุงให้มันสมบูรณ์ ให้มันบริบูรณ์ 

ก็เป็นกิจที่เราจะต้องคอยเสียสละ ต้องเป็นผู้มาเก็บส่วนที่มันเสื่อมที่มันเสียหาย โดยธรรมชาติเราก็สุดวิสัย โดยคนนี้แหละก็ต้องสอนคน บอกให้คนรู้ว่า เอ็งนั้นแหละมาทำให้มีความเสื่อม ธรรมชาติก็ทำความเสื่อมอยู่แล้วแต่เอ็งนี้มีกรรมกิริยากายวาจา ด้วยจิตโง่ๆมาทำให้เสื่อมอีกมันไม่ดีหรอก โดยปรมัตถสัจจะเป็นหนี้ ซึ่งในกรรมวิบากพวกนี้เป็น อจินไตย เทวนิยมเรียนรู้จบด็อกเตอร์มาไม่รู้กี่ใบก็ไม่ได้เรียนรู้กรรมวิบาก 

ไม่ได้ดูการแก้ปัญหาให้จบให้เสร็จ เขาเรียนรู้ไม่จบไม่ว่าจะเป็นรัฐกิจ สังคมกิจเขาไม่มีจุดจบ ตัดสินว่าจบแล้วอย่างไรแค่ไหน ไม่มี และไม่มีวิธีการรายละเอียดจะทำอย่างไรให้มันจบกิจได้ 

คุณจะอธิบายกับโลกในด้านเศรษฐกิจก็ตาม หลวงปู่นี้พาพวกเราทำได้ เศรษฐกิจในสิ่งที่มีอย่างพอเหมาะจำกัดหรือมีเท่านี้แบ่งกันกินแบ่งกันใช้กัน ชาวอโศกมีแบ่งกินแบ่งใช้ สร้างขึ้นมาเองไม่ได้ไปเป็นภาระ ไม่ได้ไปแย่งชิงมาจากใคร เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา เหลือกินเหลือใช้ แจกก็ได้ เราก็มาเป็นเจ้าหนี้นี่แหละคือเจ้าโลกเป็นเจ้าหนี้ ขออภัยเราไม่เป็นลูกหนี้แต่เราเป็นเจ้าหนี้ด้วย เพราะเราไม่ได้ไปเอาของใครมีแต่เราได้ให้ ได้เสียสละ ชีวิตสุดแล้ว 

คนที่ไม่ได้เป็นลูกหนี้ เป็นแต่เจ้าหนี้ คนขี้โลภ คนจากกอบโกยเอาของคนอื่นด้วยวิธีการได้เปรียบใดๆมาแล้วมากอบโกยเอาสิ่งที่เป็นทุนของเราไปหาทางออกดอกออกผลทำให้มันเกิดความโลภขึ้นไปอีก คนพวกนี้เป็นหนี้ไม่จบ เป็นหนี้ข้ามชาติ น่าสงสารไม่จบกิจในการเป็นหนี้ไม่จบกิจในการหมดความโลภความเห็นแก่ตัว 

เห็นแก่ได้ เขาจะทุกข์ทรมานไม่รู้หยุดไม่รู้จบ แต่พวกเรารู้ยุติรู้จบรู้สงบรู้สบายชีวิตเกิดมา ตัวเองเราก็เป็นแล้วเราก็สงบได้ ไม่มีแย่งชิงสร้างสรรค์ กินอยู่ตามสภาพนั้นของคน มีอยู่มีกินสร้างสรรค์เกินอยู่เกินกิน มีเหลือก็เผื่อแผ่กัน ยังเหลือแจกอื่นๆเขาได้อีก 

อธิบายไป วนแล้ววนเล่า มันไม่มีที่จะอธิบายต่อไปอีกแล้ว เพราะพวกเรามีจุดจบ จบกิจสมบูรณ์ไม่ว่าจะทางเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ การดูแลเลี้ยงดูบริหารกัน การสร้างอยู่สร้างกินกันก็สบาย การมีชีวิตอยู่เกิดแก่เจ็บตายก็อยู่กันไปได้ สุดท้ายที่สุดชีวิตก็มี เสร็จแล้วก็สลายให้เลย เป็นขี้เถ้าขาวๆเลย มีดำๆบ้าง 

มันหมดแล้วครบแล้ว ชีวิตชีวิตเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันมีกิจกรรมกิจการงานมีสิ่งที่จะช่วยเหลือกัน โดยไม่จำเป็นจะต้องมาบังคับเลยไม่ต้องมาว่าจ้าง ไม่ต้องอวดดีเบ่งข่มกันว่าฉันเป็นลูกจ้าง นายจ้าง หมดปัญหามีแต่ปัญญา เข้าใจสภาพพวกนี้ นี่มหาวิทยาลัยขั้น Doctor ก็ไม่มีนะการบรรยายอย่างนี้ ไม่ว่ามหาวิทยาลัยใดในโลกไม่มีการบรรยายอย่างที่หลวงปู่บรรยายให้ฟัง หรือหลวงปู่เป็นผู้บรรยายให้ฟัง หลวงปู่เชื่อว่าพวกที่กำลังเรียนดร.กันนี้ ฟังไม่เข้าใจเท่าพวกเราหรอก จริง

ถามดูก็ได้ หลวงปู่อธิบายไปนี้ ใครเข้าใจดียกมือขึ้น ... เคยเข้าใจพอได้ยกมือขึ้น ใครเข้าใจไม่ได้เลยยกมือขึ้น ...ไม่มีเลย 

คำอธิบายพวกนี้ไม่ใช่เรื่องตื้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องโลกๆง่ายๆแต่เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของมนุษย์และสังคมที่ยิ่งใหญ่ 

นอกจากนั้นเรารู้วิธีจัดสรรกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของเราด้วยได้ผลจึงอยู่กันอย่างสงบอบอุ่นในพวกเรา เนี่ยหลวงปู่เอาพยัญชนะมานี้อยู่กันอย่างสงบ อบอุ่น สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

คำว่า ใจเกื้อกูล มันมีใจอย่างนั้นเลย มันไม่ได้อยากเห็นแก่ตัวมันรู้ว่าเห็นแก่ตัวชั่ว เกื้อกูลผู้อื่นนี้เจริญ เป็นมนุษย์ศิวิไลซ์ เป็นมนุษย์อาริยะ เป็นมนุษย์อริยะ เป็นมนุษย์อารยะ ที่คนต้องการได้แล้วใจเกื้อกูล 

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้ที่เกื้อกูลผู้อื่นนี้ เป็นผู้เสียสละจบแล้ว ความเป็นมนุษย์ที่สูงสุดเป็นคนมีใจเกื้อกูล แล้วก็เป็นคนที่เพิ่มพูนการเสียสละ แต่ละคนมีจิตแบบนี้เลย นอกนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเลย มีที่อยู่ มีสังคม มีหมู่กลุ่ม มีพฤติกรรม มีการสร้างสรรค์ มีการกินการใช้กัน ดำเนินชีวิตเรียบร้อยราบรื่น ง่ายงาม สมบูรณ์ที่สุดเลย 

เราพูดกับคนที่เข้าใจแล้วรู้แล้ว ไม่ต้องละเอียดลออพูดละเอียดแล้วเอาอะไรพูด ตีหัวเข้าบ้าน พูดสำคัญๆก็รู้เรื่องกันแล้ว 

จริงๆแล้วจะพูดไปว่า พวกเรานี้ดูเหมือนเศษๆของสังคมเขา แต่พวกเรานี้ยอดหัวกะทิของสังคมแล้ว แต่คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ คนมาเรียนรู้วิชาโลกุตระแล้วเข้าใจถึงกายถึงจิตเข้าใจกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลด พวกเรานี้ทำให้กิเลสลดได้ไม่น้อยก็มาก ทำให้กิเลสลดได้บางคนอาจจะลดได้น้อยๆ แต่ละคนก็ลดได้มาก กิเลสลดได้มาก อาจจะใกล้อรหันต์ก็ได้แต่ละคนพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้กำหนดรู้ รายละเอียดยังสับสนวนไปวนมา 

แม้ว่าเราจะอายุเท่านี้ก็เป็นอรหันต์ได้ อายุที่รู้เดียงสากันตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไปบรรลุอรหันต์ได้ คนที่พอรู้เดียงสาพอมีบารมีอย่างในยุคพระพุทธเจ้า 7 ขวบก็บรรลุอรหันต์ อายุขนาดพวกเรายุคนี้ก็เป็นได้ คนไม่เข้าใจศาสนาพุทธที่เขาเสื่อมแล้วเลอะเทอะเป็นจารีตประเพณี วิธีการบานปลายออกไปออกเป็นเดรัจฉานวิชา ไสยศาสตร์เป็นเรื่องผ่าออก ไกลนิพพานไม่ใกล้นิพพาน มีแต่ห่างออกไป ไกลออกไป เห็นแล้วก็น่าสงสาร พวกเรานี้เข้ามาใกล้นิพพานและมีนิพพาน นิพพานน้อยจนถึงนิพพานมากขึ้น จนกรอบของชีวิตอัตภาพ จบยุติเป็นอรหันต์

ซึ่งเป็นสภาพที่ รู้ได้บรรลุจริงได้ ผู้ที่มีสมองมีปัญญาที่ฟังเข้าใจแล้วรู้ได้ปฏิบัติจริงเป็นอรหันต์ได้ ไม่ว่าในยุคไหนเลย โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ตราบเท่าที่มีผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ยุคไหนก็ตาม ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ละเว้น 

ยุคนี้มีพระโพธิสัตว์อย่างหลวงปู่ ที่เป็นของจริงพามาสร้างอรหันต์ จึงเกิดอรหันต์ขึ้นไม่น้อย แต่คนไม่เข้าใจ เขาไม่รับรองเพราะเขาไม่รู้และรู้ผิดๆด้วย รู้อรหันต์เก๊ แล้วไปเคารพอรหันต์เก๊กันเราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เราก็ช่วยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่มีภูมิพอที่จะรับรู้ได้ ยุคนี้ก็มีคนรับรู้ได้จำนวนน้อยก็ถูกแล้ว 

ชาวอโศก นั้นมีจำนวนจำกัดไม่ได้เป็นของสาธารณะ พระพุทธเจ้าก็ตรัสมันไม่ใช่ของทั่วไปของสาธารณะปุถุชน มันเป็นเรื่องของอารยชนเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่มีภูมิปัญญาที่รู้ความจริงในความเป็นจริงนี้จริงๆ จึงเต็มใจที่จะมารับรู้และเข้ามาในวงจรหมู่กลุ่ม 

พวกเราทุกคนเรียกภาษาทั่วไปว่าเป็นคนมีบุญหรือมีกุศล มีสิ่งที่ดีนำพา เป็นบารมีของแต่ละคน ได้มาร่วมอยู่ในนี้ใช้ชีวิตอยู่ในนี้ จนกระทั่งอย่างน้อยบางคน 3 ปี บางคน 5 ปี บางคน 8 ปี บางคนมากกว่านั้น บางคนไม่ไปไหนแล้วอยู่อย่างนี้แหละ อย่างพี่ๆบางคนไม่ไปไหนแล้วดีที่สุด 

คุณต้องเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้าในกาลามสูตรบอกว่าให้อิสระ ไม่ต้องนึกว่าเป็นครูของเรา ไม่ต้องเชื่อว่าเป็นครูของเรา ตัดสินเอาเอง 

 

ความหมายของ จี้ใบโพธิ์ และหยาดน้ำใจพรายทอง

_รบกวนหลวงปู่ บอกความหมายของ กลด จี้ใบโพธิ์หยาดน้ำใจพรายทอง

จี้ เป็นสิ่งที่เอามาแขวนห้อยคอเป็นรูปใบโพธิ์ ใบโพธิ์ก็หมายถึง ภาษาบาลีโพธิแปลว่าความตรัสรู้ เพราะฉะนั้นใบโพธิ์นี้มันหมายถึงรูปธรรม นามธรรม คือความตรัสรู้ เอาโลหะเงินก็มี ไม่ใช่เงินก็มีเป็นโลหะทองคำก็มี เราเอามาทำเป็นรูปใบโพธิ์ก็เรียกจี้ใบโพธิ์ 

ที่นี้มีคำว่าหยาดน้ำใจ มีรูปใบโพธิ์แล้วเจาะตรงกลางเอามาทำเป็นหยดน้ำห้อยไว้ตรงกลาง พวกเราก็คงเห็นกันแล้ว เดี๋ยวนี้หยาดน้ำใจก็หายากแล้วเพราะไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ จะเป็นรูปใบโพธิ์แล้วเจาะเป็นรูปหัวใจตรงกลางห้อยด้วยหยาดน้ำใจ 

ยิ่งเป็นหยาดน้ำใจพรายทอง ให้แก่ นักศึกษา ปวส. มีทั้งหยาดน้ำใจเป็นใบโพธิ์ มีทั้งเป็นความตรัสรู้ มีน้ำใจที่เป็นความเกื้อกูลเพิ่มพูนเสียสละทั้งหมดเลย 

มีความหมายทั้ง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ ครบอยู่ในนั้น 

ที่หยาดน้ำใจจะมีเส้นผมของหลวงปู่อยู่นิดๆ ใส่ไปในนั้นด้วย หลายคนมือซนไปแกะออกหลุดหายไปเลยช่วยไม่ได้ มันจะร่วงหายไปได้ง่ายๆเพราะใส่ไม่กี่เส้น ก็เป็นเครื่องหมายเป็นเครื่องสื่อให้พวกเรารู้ พวกเราเข้าใจ 

สรุปแล้วเป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณจิตใจมันทั้งรู้และทำได้ ทำได้สูงสุดเป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สุดท้าย หรือมีนิพพาน มีปรินิพพาน ในชีวิตเป็นๆอยู่แล้วเราก็ยังไม่จบ ไม่จบขั้นทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หลังจากการตายแล้วก็ไม่รวมจิตวิญญาณแตกสลาย ไม่มารวมเป็นจิตวิญญาณของเราอีก เลิกอัตตาเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จบไปเลยไม่มีเราไม่มีอะไรส่วนที่จะเหลือเศษอยู่อีก เป็นอัตภาพ ของจิตนิยามหรือจิตวิญญาณ 

นี่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ที่โลกมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวตรัสรู้ ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายแหล่จำนนหมด เขามีจิตวิญญาณนิรันดรหมด แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจิตวิญญาณเลิกสลายได้ จะอยู่ยาวไปนิรันดรเลยก็ได้ แต่จะอยู่ไปทำไมเพราะรู้ทุกข์แล้วการเกิดเป็นทุกข์ ชาติปิทุกขา ก็ไม่ต้องไปเกิดอีก เกิดไปก็เท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น เกิดไปก็มีทุกข์ แต่ก็ยังเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างหลวงปู่เนี่ย. รู้ว่ามันทุกข์แต่มีประโยชน์ 

หนึ่งสืบทอดสิ่งที่เป็นความรู้ คนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วก็สืบทอดต่อไปอีก เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้วในความเป็นคนกับความเป็นสังคม ก็ทำไป สืบทอด เป็นประโยชน์แก่คนสืบศาสนาด้วย ต่อศาสนานี้ ให้ไปยาวยืน แต่เราก็ไม่ไปหลงใหลว่า มันยาวยืนไม่ได้ มันต้องจบ เราก็ไม่เป็นคนใจดำถึงขนาดนั้น 

ก็คิดอยู่ว่าจะจบ 9:30 น ก็ดี พวกเราก็ยังมีจำนวนแต่ลดลงนะ คนมาเรียน ทั้งๆที่มาเรียนฟรี คนก็ดีขึ้นนะ ปฏิเสธไม่ได้ แต่ทำไมสังคมข้างนอกคนที่เป็นพ่อแม่พอรู้ไม่ยอมให้มาเรียน ไม่ยอมส่งลูกให้มาเรียน นี่ เป็นการชี้บ่งถึงว่าโลกุตรธรรมนี้ยาก ให้ฟรี ก็ไม่เอา ต้องดิ้นรนไปเสียเงินเสียทอง อธิบายจริงๆก็บอกว่าดี แต่พ่อแม่บางคนก็บอกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างโน้น ก็ต้องไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะยังหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็ต้องทำ 

แต่ถ้าพ่อแม่ที่เข้าใจแล้วหรือว่าเด็กตัวนักเรียนเอง พ่อแม่ก็เข้าใจอยากให้อยู่ด้วย หรือบางทีพ่อแม่เข้าใจแต่เด็กไม่เข้าใจก็พยายาม พ่อแม่ก็พยายามใช้สิทธิของความเป็นพ่อแม่บังคับมาหรือผู้ที่เข้าใจบ้างให้มาเอาอันนี้ ก็ได้บ้าง 

คนที่พูดอย่างไรมันก็ไม่เอาเข้ามามันก็เกเรด้วย ก็ต้องเอาออกกัน จะเขาเอาออกกันเองหรือเราเอาออกก็แล้วแต่เกเรอย่างนั้นก็ว่ากันไป ก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ 

ในโลกในสังคมก็ช่วยกันอยู่ไปอย่างนี้แหละ เกื้อกูลกัน ทำงานช่วยมนุษยชาติอย่างหลวงปู่ทำงานช่วยมนุษยชาติมาตั้งแต่รู้ตัวอายุ 36 ปี ก็มาทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติให้แก่สังคมประเทศชาติ ให้เป็นคนที่เจริญแบบพระพุทธเจ้า ให้เป็นโลกุตระเลย หลวงปู่พยายามช่วย ช่วยประเทศชาติ ไม่ได้รับเงินเดือน ช่วยฟรี ช่วยอย่างเต็มใจ ถูกตำหนิด้วย ถูกด่าด้วย แต่เข้าใจเขา 

ไม่ใช่คนหน้าด้าน แต่เป็นคนรู้ว่า เขาไม่รู้เขาก็ต้องด่าอย่างหยาบคายด้วย ไม่ได้โกรธได้เคืองอะไร แต่ก็ไม่ใช่หน้าด้าน ด่าแล้วก็ยังหน้าด้านทำอยู่อีก ก็พวกคุณทำอะไรไม่ดีอยู่ เราจะทำดี ซึ่งเรามั่นใจ บริสุทธิ์ใจ ว่ามันดีจริงๆไม่ใช่ดีปลอมๆ ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ไม่มีอคติอะไรมากมาย ก็จะยอมรับว่าสิ่งที่อาตมาทำนี้ มันเป็นสิ่งดี 

เพราะฉะนั้นผู้รู้ไม่ต้านเขาทำไม่ได้อย่างนี้ด้วย กิเลสเขายังมีเขายังเกินเขาก็ มีมานะอัตตา เขาก็ต่อต้านแต่เขาไม่รู้ตัว 1.เขาไม่รู้จริงๆเขาก็ต้าน 2. เขารู้แล้วล่ะว่าดี แต่เขาไม่ให้ทำก็เพราะว่าไม่ต้องการให้เราเด่นเกิน ก็เป็นสัจจะเป็นมานะอัตตาของเขาเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาเห็นว่าดี ควรสนับสนุนก็ควรมาช่วยกันสนับสนุน ผู้ไม่สนับสนุนก็เรื่องของเขา ไม่มีปัญหา เราก็ทำงานของเราได้อยู่ 

เพราะว่าเราทำแล้ว จุดจบของมันเราไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีให้แก่มนุษยชาติ สังคม จุดจบของมัน มันจบจริงๆเขาไม่รู้ว่าดี ก็เกรงใจเขาจริงๆ คนไม่รู้ก็ตรวจสอบสิทธิ์มันไม่ดีอะไรบ้าง อาตมาว่ามันดีสมบูรณ์แบบกว่า 

ขนาดพวกเรามานั่งฟังอยู่อย่างนี้เป็นชั่วโมงสงบเงียบได้ ไม่มีภาวะต่อต้านอะไรมากมาย ลองถามดูซิดูใจจริงๆดูพวกเรา 

คิดว่าที่มานั่งฟังหลวงปู่พูดอยู่นี้ พูดวนๆซ้ำๆซากๆ มันมีประโยชน์ไหมใครว่ามีประโยชน์ยกมือ ... ก็เข้าใจกัน 

เพราะฉะนั้นอันนี้แหละไม่มีปัญหา จะเสียเวลากับสิ่งนี้เท่าใดก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นสิ่งที่จบเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กันจริงๆ 

เอาล่ะพอสมควรแก่เวลาดำเนินอันอื่นต่อไปสำหรับหลวงปู่จบแล้ว ลงจากเวที...สาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ 

วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 ที่ใต้เฮือนศูนย์ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2566 ( 06:03:40 )

660414

รายละเอียด

660414 พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566

https://www.boonniyom.net/52995.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1s5thINGd098dmkC_xQ322KmV1vJBcrZQ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                              

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1t8IEyqvFfjUxcgFZ_aICVH_riYNREN1C/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/923750038816021 

 

ตลาดอาริยะเกิดจากสาธารณโภคีที่ชาวอโศกพิสูจน์ได้

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เขายังสนุกสงกรานต์กันอยู่นะวันนี้ยังครื้นเครงกันอยู่ แต่พวกเรานี่ก็ครื้นเครงกันในตลาดอริยะ ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว โอ้โห วันนี้ก็ยังมาก แต่ก็ 3- 4 โมงก็เบาแล้ว พรุ่งนี้มีอีก 1 วัน ยังเหลือสินค้าอยู่อีกหน่อยนึง ใครยังไม่ได้มามาเลย ใครยังไม่ได้มา มาเลย สินค้ายังมีอยู่ คนสนุกสนานมากันเป็นหมื่นๆ รถจอดกันเป็น 5 พันกว่าคันโอ้โห มากันเป็นรถตู้ รถปิคอัพ รถเก๋งมากันเต็ม มันก็สนุกสนานกันไป เราสนุกสนานกันที่ได้เอื้อเฟื้อเจือจางแจกจ่ายกันไป

มันเป็นความจริงใจที่คนมีปัญญา คนไม่เห็นแก่ตัว คนไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ที่จริงคนพอมีปฏิภาณรู้ว่ามันดี คนที่ไม่เห็นแก่ตัว คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เกื้อกูล เต็มใจทำ แล้ว สุดท้ายเราก็เป็นคนมาเป็นคนจน มาเป็นคนไม่ต้องมีมาก มีไว้น้อยๆ 

อาตมาก็เคยเทศน์มา ย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ทีแล้ว คนที่มีปัญญาแล้วก็มั่นใจในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมั่นใจในหมู่กลุ่ม มีมวลสังคมมนุษย์ที่มีความเห็นร่วมกัน มีความเข้าใจ เหมือนกัน ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ลดได้กิเลสมาได้มากบ้างน้อยบ้างเหมือนกันจริงๆ มันจึงเป็นสังคมสาธารณโภคีได้ อย่างที่ชาวอโศกเป็นมา 50 ถึง 60 ปีแล้วเท่าที่อาตมาทำงานศาสนามาตั้งหมู่บ้านชุมชนมาก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด ตั้งแต่เริ่มมีชุมชนมีหมู่บ้าน เป็นหลายชุมชนหมู่บ้านเกิดหมู่บ้านมันก็เป็นสาธารณโภคีมาตลอดเลย 

ซึ่งเรื่องของเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบสาธารณโภคีนี่แหละ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงทำให้เกิดปรากฏการณ์ในโลก ในประเทศไทย ในคนไทยขึ้นมา 

จนกระทั่งทุกวันนี้ 40-50 ปีแล้ว คนข้างนอกเขาก็ยังไม่ไว้ใจ ยังไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก เขาก็รู้ว่ามันดี เสียสละจนกระทั่งไม่เป็นคนรวยเลย  มาเป็นคนจนมีเท่าไหร่ก็เสียสละช่วยกัน กินอยู่มากน้อยเขาก็รู้สันโดษเขาก็รู้ 

แต่เขาไม่เชื่ออาตมา ว่าอาตมานี้เป็นคนจริง เป็นผู้สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้ามาจริงๆ แล้วเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติจริง จนกระทั่งเกิดผลจริง เขายังเชื่อกระแสหลัก เขายังเชื่อส่วนใหญ่ 

อาตมาว่ามีน้อยนี้มันก็เป็นยอดพีระมิด ...พ่อครูถามน้องปุ้ย(จากสปป.ลาว) ว่า พีระมิด ฮู้บ่ ข้างล่างมันใหญ่ ทางยอดมันเล็ก  แหลมๆน้อยๆ ฐานมันมาหาข้างล่างมันก็ใหญ่ มันก็เป็นสัจธรรมที่ไม่ใช่รู้ยากรู้เย็นอะไร เพราะว่าคนจะเป็นคนประเสริฐเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่ลดกิเลสได้จริงๆ มันไม่ใช่ง่าย แต่มันจริงได้ เพราะมันจริงมันถึงเป็นปรากฏการณ์ที่จริงที่ดี 

เอาละ..ไม่มีปัญหาอะไร เราเองได้แล้วก็อาศัยไป ชีวิต ของเรา ก็ได้ ไป   ข้ามชาตินี้ชาติหน้ามันก็จะมีไปเรื่อยๆ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ก็สุดยอด 

 

SMS วันที่ 5-11 เม.ย. 2566

_Ka Por กล้าพอ   · วันที่ 5 เม.ย. 66 คนมาฟังธรรม เยอะมาก มองพ่อครูไม่เห็น ดูผ่านจอ มือถือ โชคดียังมีพัดลมตัวใหญ่ พัดให้คลายร้อน

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · กราบคารวะพ่อครูอ.รัตภูมิ สงขลาฝนตกช่วงเย็นครับ.เห็นญาติธรรมภาคใต้และภาคอื่นๆขึ้นไปบ้านราชฯ.ชื่นใจมากครับ..

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · ใครผ่านการฝึกฝนงานบุญอโศกถือศีล 8 ทานมังสวิรัติมื้อเดียวได้ 7 - 10 วัน ในแต่ละงานบุญ หลายวาระในแต่ละปีได้ เท่ากับได้ประกาศนียบัตรการฝึกฝนการต่อสู้วิกฤติภัย เป็นใบเบิกทางของแท้ยิ่งกว่าใบรางวัลใดๆในโลกร้อยพันสงครามโลกียธรรม' ที่รับรองความเป็นอาริยะชนนักสู้วิกฤติภัย รอดพ้นมาได้ทุกฤดูมรสุมวิปโยคร้อยพันทุกขภัยพิบัติโลก' ผ่านพ้นมาได้จริง อนุโมทนาสาธุ

 

สุขภาพดีด้วย 9 อ.

_จรรยา ประเสริฐ  · ฟังธรรม ตั้งแต่คุณยายเก็บคม จนถึงคุณยายอายุ 102 ปี คนนี้ แล้ว ได้ข้อคิดว่า อารมณ์เป็นส่วนสำคัญ อารมณ์ดี (พ่อครูว่า... อารมณ์ภาษาวิชาการว่า เวทนา)ต้องมีธรรมะโลกุตระ อย่างชาวอโศกนี้เอง ที่ทำให้อายุยืนนาน อาหารการกิน เป็นอันดับรอง แต่ต้องกินมังสวิรัติ (ไม่ใช่กินเนื้อสัตว์อย่างคนอื่นกินกัน) ออกกำลังกายอาบแดด พักผ่อน ทุกอย่างจะดี กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... อ้อ ชักเข้าใจชักเชื่อแล้วเชื่อถือเพิ่มขึ้นว่า มาบำเพ็ญมาปฏิบัติประพฤติแบบอโศกนี้ จะทำให้อายุยาวยืน เชื่อถือขึ้นมา อาหารการกิน เป็นอันดับรอง จริง

เอ๊ คุณจรรยา ประเสริฐ ไม่ได้นึกถึง 8 อ.หรือไง ที่อาตมาสรุปไว้

 8 อ. 1.อิทธิบาท 2.อารมณ์ 3.อาหาร 4.อากาศ 5.ออกกำลังกาย  6.เอนกาย 7.เอาพิษออก 8.อาชีพ 

_สู่แดนธรรม... มีคนแถม อ.ที่ 9 คือ อ.ออกจากพื้นที่ 

พ่อครูว่า... ออกนอกพื้นที่มันจะไม่อายุยืนยาวได้อย่างไร ต้องเข้ามาอยู่กับหมู่ ดีเหมือนกันเติมอันที่ 9 เป็น อย่าออกนอกพื้นที่ เข้าใจให้ดีนะตัวนี้ตัวที่ 9 ถ้าไปออกนอกพื้นที่ก็เสร็จอีด่าง สุนัขรับประทาน สุนัขคาบไปรับประทาน 

 

กินเหล้ากับสูบบุหรี่ เป็นวิญญาณฐิติข้อ 2 หรือไม่

_พันธุ์ พอเพียง  · กราบเรียนถามพ่อครูครับ สมมุติผมเลิกบุหรี่ได้ แต่มีญาติธรรม อีกท่านหนึ่ง เลิกเหล้าได้ จากทิฎฐิที่สัมมา เหมือนกัน อันนี้นับเข้าเป็น วิญญาณฐีติ ข้อที่ สอง ได้เหมือนกันใช่ไหมครับ ที่ว่ากายต่างกัน เพราะอีกคนหนึ่งเลิกเหล้า อีกคนหนึ่งเลิกบุหรี่ หรือผมเข้าใจ กาย ประเด็นนี้ คลาดเคลื่อนไปครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า... วิญญาณฐิติหมายความว่า ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่ปฏิบัติธรรม ต้องมีวิญญาณตั้งอยู่ในขณะปฏิบัติธรรม ฐิติ แปลว่าตั้งอยู่ ตั้งอยู่ก็คือวิญญาณจะต้องมีทางตา หู จมูก ลิ้น  กาย ภายนอก 5ทวาร สัมผัสภายนอกอยู่ มีกาย มีคำว่า กาย 

กายต้องมีภายนอกภายในเสมอ ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ จึงเรียกว่า ครบวิญญาณตั้งอยู่ ตาเห็นรูป ตากระทบรูปข้างนอกเห็นอยู่แล้วก็มีทั้งรูปภายนอกภายในในขณะปัจจุบันเลย ข้างนอกเห็นอยู่แล้วก็มีทั้งรูปภายนอกภายในในขณะปัจจุบันเลย ใจเราก็ได้รับรู้ภาพนั้นอย่างนี้ ครบวิญญาณ 

ถ้าหลับตาไม่มีภายนอกเขาเรียกว่า วิญญาณสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณไม่มีที่ตั้ง 

คนที่หลับตาก็ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็อยู่แต่ในความนึกคิดของตนเอง หนึ่งเดียว อยู่ในใจอย่างเดียว ในขณะเป็นๆนี้หรือนอนหลับก็อยู่ที่เราอย่างเดียว สัญญากำหนดว่ารู้อยู่คนเดียว 

ยิ่งตาย ร่างกายแยกกันเลย วิญญาณก็ออกจากร่าง ร่างกายก็เป็นซากศพ วิญญาณก็ออกไป วิญญาณอย่างนั้นแหละคือวิญญาณสัมภเวสี นอกจากพระอรหันต์ท่านตายแล้วท่านก็ทำให้วิญญาณมันแตกสลายเป็นดินน้ำไปลงไปเลย ก็ไม่มีวิญญาณสัมภเวสี ไม่มีวิญญาณที่จะล่องลอยไปเกิดอีก จบแยกแตกธาตุจิตวิญญาณสูญไป 

แต่ถ้าพระอรหันต์บำเพ็ญโพธิสัตว์ ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตาย จิตนี้ ท่านก็บอกว่าไปอยู่ที่ดุสิต ดุสิตคือแดนสงบ ดุสิตคือที่ที่ไม่ใช่นรกและสวรรค์คือ จุดพักของพระโพธิสัตว์ ใครเคยได้ยินบ้าง พระโพธิสัตว์มาเกิดก็มาจากดุสิตเป็นจุดพักของโพธิสัตว์ ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็พักที่ดุสิต ดุสิตแปลว่าที่พักที่เย็น สิตะ แปลว่าเย็น ก็เป็นการอธิบายสภาพของจิตวิญญาณ ผู้รู้ท่านอธิบายไว้ อาตมาก็รู้จริงด้วย อาตมาก็เข้าใจเรื่องนี้เพราะอาตมาก็ผ่านจิตวิญญาณ อาตมาก็ผ่านเรื่องเหล่านี้มา ก็พอเข้าใจพอรู้ระลึกได้ 

_สู่แดนธรรม... เขาถามมา เขายังเข้าใจผิดเรื่องกายต่างกันอยู่ 

พ่อครูว่า... อธิบายยังไม่ถึงเลย ที่เขาบอกว่าอันนี้นับเป็นวิญญาณฐีติข้อที่ 2 ได้เหมือนกันใช่ไหมครับ

เราก็มาดู วิญญาณฐิติข้อที่ 2 มีอะไรบ้าง กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน 

สัญญาคือการกำหนดหมายกันว่า จิตของเราไม่มีนิวรณ์ 5 นะ ที่นี้สัมมาทิฏฐิก็ดี มิจฉาทิฏฐิก็ดี สามารถทำให้จิตวิญญาณไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ด้วยกัน เป็นสัญญาอย่างเดียวกันตรงกันได้ แต่กายของเขาจะต่างกัน กายคนหนึ่งลืมตา สัมมาทิฏฐิลืมตา แต่กายของคนมิจฉาทิฐิหลับตา มันชัดไหมวิญญาณฐิติข้อที่ 2 

ที่นี้เขาถามมาว่า คนที่เลิกดูดบุหรี่ เลิกกินเหล้า ทิฏฐิของคนเลิกติดบุหรี่กับอีกคนหนึ่งเลิกเสพติดเหล้า มันมีคำว่า กาย คำว่า สัญญา คำว่าทิฏฐินะ ในวิญญาณฐิติ มันยืนยันคำว่า ถ้าสัมมาทิฏฐิคือผู้ที่ถูกต้องหนึ่งเดียวกันอยู่ในวิญญาณฐิติ แต่ถ้าใครมิจฉาทิฏฐิมันจะเป็นสัตตาวาส 9 ซึ่งก็มีวิญญาณฐิติ 7 แต่ยังแถม อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก 2 อันเป็น 9 

เพราะฉะนั้นวิญญาณฐิติ 7 จะบอกว่าเสพติด ก็คือเลิกเสพติดได้ก็เป็นนิวรณ์ มันก็ไม่เต็มนิวรณ์ทีเดียว มันไม่รายละเอียดทีเดียว แต่เริ่มได้คุณธรรม คนนี้เลิกบุหรี่ คนนี้เลิกเหล้า ทิฏฐิ ก็เลยสัมมาแบบเดียวกัน แต่ความสำเร็จสมบูรณ์มันยังไม่มี จะบอกว่าเหมือนกันอันนี้นับเป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 2 ได้เหมือนกันไหมได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่บริบูรณ์ 

ที่ว่า กายต่างกัน คุณคนที่เลิกบุหรี่กับคุณคนที่เลิกเหล้ามา มีกายเหมือนกัน กายไม่ต่างกัน ถ้าคุณหลับตากับคุณลืมตา อันนี้กายจะต่างกัน นี่เขาถามโดยสามัญ คนหนึ่งเลิกเหล้า คนหนึ่งเลิกบุหรี่ ถ้าหลับตาทั้งคู่ก็คงไม่สนุก สูบบุหรี่ก็คงลืมตาสบายๆดื่มเหล้าก็คงลืมตาสบายๆแล้วก็เลิกมา 

เลิกเหล้าเลิกบุหรี่มันก็ลืมตากันทั้งคู่ไม่ได้หลับตากันทั้งคู่ คุณเข้าใจคลาดเคลื่อนไปนิดหน่อย เอาให้คมๆชัดๆ 

 

สักกายแปลว่าตัวตนของเราเองเป็นเช่นไร

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ลูกได้ฟังพ่อท่านเทศน์สอน

เรื่อง กาย แล้วเข้าใจอย่างนี้ครับ กายคือสิ่งต่างๆที่แสดงอยู่ภายนอกและภายในของตัวเรา ถ้าเราเอาใจไปผูกพันธ์อันนั้นจะเป็นกายทันที แล้วจะเป็นสักกายะใช่ไหมครับ นี้เป็นข้อหนึ่งของกายที่ลูกเข้าใจครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ถ้าสัมผัสข้างนอกไม่ผูกพันข้างในเลยตัดขาดตัดเองเลยว่าข้างนอกสัมผัสตรงนี้ก็สัมผัสไป ไม่เกี่ยวกับจิต อย่างนี้มิจฉาทิฏฐิ กายต้องมีผูกพันเรื่องกันไม่แยกกัน เหมือนกระดาษ 2 แผ่น มีหน้า 2 หน้าไม่แยกกัน 

คำว่า สักกะ แปลว่า ตัวเราเลย เพราะฉะนั้นขนาดนี้ของเราเป็นคนมีประสาทข้างนอก แล้วมีจิตวิญญาณข้างในรับรู้กันอยู่ ไม่ใช่คนหลับ ไม่ใช่คนตาย ลืมตามีภายนอกมีภายในอยู่ ตัวเราต้องลืมตาเป็นสักกะ ตัวเราต้องลืมตา ที่บอกว่าลืมตานั้นก็คือที่บอกว่าลืมตานั้นก็คือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก ด้วย ไม่ใช่ไปหลับตาอย่างนั้นมิจฉาทิฏฐิ 

พวกหลับตาดับไม่รับรู้ภายนอกเลย นอกรีตพระพุทธเจ้าเป็นคนเดียรถีย์ เป็นคนนอกรีต สายหลับตา อาตมาหอกหมดไม่รู้กี่พันดอกแล้วนี่ หอกหัก เขาก็ยังหลับตาไม่ฟัง ฟังก็ไม่รับรู้ไม่เอาด้วย ไม่เชื่อถือ ไม่นำไปคิด ไม่นำไปพิจารณาจริงๆ แล้วเมื่อไหร่คุณจะบรรลุเล่า มันน่าสงสารจริงๆ คุณก็ท่องอยู่ในสังสารวัฏเรียกว่าน่าสงสาร คุณออกจากสังสารวัฏที่มิจฉาทิฏฐินั้นไม่ได้หรอก อาตมาพูดขนาดนี้ไม่น่าจะปึ๋กขนาดนี้ น่าจะมีปัญญาแล้วรู้ขึ้นมาบ้าง ปึก หมายความว่าโง่หนักโง่หนาโง่ติดแป้นเลย ยิ่งกว่ากาวตราช้างหรืออีพ็อกซี่เลย มันไม่สะดุดอะไรสักที 

ถ้าคนที่เขานั่งหลับตาเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วตื่นมา ถ้าคนที่เขานั่งหลับตาเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วตื่นมา พวกเราจะมีพวกอีกเยอะเลย พวกหลับตาตั้งแต่ยุควิสุทธิมรรค พุทธโกศาจารย์ ท่านพุทธทาสก็ยังติดหลับตา แต่ท่านก็ยังรู้ว่า การลืมตามีประโยชน์บ้างแต่ท่านก็ยังรู้ว่าการลืมตามีประโยชน์บ้าง แต่ท่านก็ติดอยู่ว่าต้องนั่งหลับตานั่นแหละ 

ไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติเลยก็เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นโพธิสัตว์ให้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นก็ได้ และผู้ที่ลืมตาปฏิบัตินั้นจะหลับตาปฏิบัติสะกดจิตแบบทางเดียรถีย์บ้าง ก็ได้ ง่ายๆ ไม่ยากเลย แต่ไอ้ ลืมตาต่างหากนี่มันยากกว่า ไม่อยากจะพูดว่ายากกว่า ประเดี๋ยวจะกลัว ประเดี๋ยวจะไม่มาปฏิบัติ 

พระพุทธเจ้าท่านสำทับว่า ฌาน 1 2 3 4 ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 

ไอ้ฌาน จะต้องไปนั่งเต๊ะท่าหาที่นั่งตั้งกายตรง ดำรงสติคงมั่นแล้วก็หลับตา ถ้ามากเหลือเกินเสียเวลาเสียสถานที่ แล้วจะเกิด ฌาน อย่างนั้นฌาน มันได้โดยยากได้โดยลำบาก แต่นี่มันไม่เลยมันอยู่กับการปฏิบัติในอิริยาบถธรรมดาสามัญเป็นฌาน 1 2 3 4 

วันนี้พบกับด็อกเตอร์ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มาเยี่ยมเยียนก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ ให้เกียรติ มาเยี่ยมเยียน บ้านราช ด็อกเตอร์ไตรรงค์ก็เป็น ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ นี่ ด็อกเตอร์ชิดตะวัน ชนะกุล ก็เขียนมา โดยที่ไปหยิบเอาประเด็นของนักการเมืองไปโฆษณาหลอกมนุษย์ว่า ถ้าเขาได้เป็นนายก เขาจะจ่ายให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไปหัวละหมื่น 

ใครที่เกินกว่า 16 ปี ยกมือ ได้คนละหมื่น คุณเศรษฐา ทวีสิน เขาหลอกล่อมนุษย์อย่างนี้ ก็เลยมีคนวิจารณ์เขาว่า วิธีการอย่างนี้มันฉลาดหรือโง่กันนี่ ให้หัวละหมื่น น้ำผึ้งหรือยาพิษของใคร  หัวละหมื่น...นํ้าผึ้งหรือยาพิษของใคร?!

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล...อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองใหญ่ ประกาศนโยบายเติมเงินใน กระเป๋าดิจิทัลให้ประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท ทําให้เกิดความแตกตื่นในหมู่ ประชาชนทั้งเห็นดีและไม่เห็นด้วย ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการ มีข้อท้วงติงเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายดังกล่าวบางประการ 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยข้อมูลหนี้ในระบบจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) ว่า ปี  พ.ศ. 2565 คนไทยประมาณ 25 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของ ประชากรทั้งประเทศมีหนี้ โดยมูลค่าหนี้เฉลี่ยต่อคนมากถึง 527,000 บาท แสดงให้เห็นว่า คนจํานวนมากมีการใช้จ่ายเงินเกินตัว มิหนําซ้ำ ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือทําให้คุณภาพชีวิต ในอนาคตดีขึ้น

บุคคลที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศจึงควรชูนโยบายเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นคนมี วินัย มีสมรรถนะความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความซื่อสัตย์เสียสละ เห็นประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อเป็นรากฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศ 

การที่แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีมีนโยบายเสนอเงินให้คนทั้งแผ่นดินใช้จ่าย พร้อมระบุว่า เงินนี้ควรนําไปใช้หนี้ในระบบได้ ซึ่งหากนโยบายดังกล่าวถูกนําไปใช้จริง ย่อมเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมใช้จ่ายเงินเกินตัวและก่อหนี้ โดยขาดความรับผิดชอบให้กับประชาชน นอกจากนี้ การนําภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ไปให้คนบางจําพวกใช้หนี้ส่วนตัว ย่อมเป็นเรื่องมิสมควร

ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีการใช้งบประมาณเกินตัวอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มี ความไม่สมดุลระหว่างการใช้จ่ายและการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เรียกทางวิชาการว่า การขาดดุลงบประมาณ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่า มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 3,185,000 ล้านบาท ในขณะรายได้ที่จัดเก็บได้เป็นเงินเพียง 2,490,000 ล้านบาท จึงต้องมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจํานวน 695,000 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นองค์ประกอบสําคัญของหนี้สาธารณะ

ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ปี พ.ศ. 2564 ประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไปมีจํานวน ประมาณ 53.71 ล้านคน ดังนั้น หากให้เงินคนเหล่านี้หัวละ 10,000 บาท จะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 537,100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 ของวงเงินงบประมาณแผ่นดินปี พ.ศ.2566 ซึ่งผู้แถลงนโยบายระบุว่า เงินที่นําไปใช้จ่ายในโครงการนี้ส่วนหนึ่งจะมาจากงบประมาณแผ่นดิน โดยตัด ทอนสวัสดิการบางอย่างลง รวมถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายดังกล่าว 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงพบว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ของงบประมาณ แผ่นดินประมาณกว่าร้อยละ 75 เป็นรายจ่ายประจํา ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการยากที่จะลดรายจ่ายดังกล่าวลง ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนกรณีที่อ้างว่า จะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ก็เป็นเรื่องอนาคตที่ยังไม่ มีความแน่นอน ด้วยเหตุนี้ แหล่งที่มาของเงินก้อนมหึมาจํานวนมากกว่า 530,000 ล้านบาทจากนโยบายนี้ จึงหนีไม่พ้นการก่อหนี้โดยวิธีการต่างๆ ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศต้องทะยานสูงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

(พ่อครูว่า... อาตมาตัดสินเลยว่า คุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วิธีคิดแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง 

และ ก็บอกกับคนส่วนใหญ่เลยว่า อย่างอาตมานี้ อายุ 88 ได้เงินช่วยเหลือผู้อายุยาว 800 บาทต่อเดือน อาตมาไม่เคยไปรับมาจากรัฐบาลเลย และ พวกเราก็มีอีกเยอะที่ไม่ได้ไปรับ เรามีพอใช้จ่ายอยู่ ให้รัฐบาลนำไปทำงานเถอะ เราไม่ได้เป็นภาระของทางโน้นช่วยเบาภาระรัฐบาลไป) 

การพุ่งสูงขึ้นของหนี้สาธารณะหมายถึงค่าเสียโอกาสของการใช้งบประมาณ ในอนาคตแทนที่ รัฐบาลจะสามารถนํารายได้จากการจัดเก็บภาษีไปใช้จ่ายสําหรับการพัฒนาประเทศ แต่กลับต้อง นําไปใช้หนี้ซึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเงินเกินตัวของรัฐในเรื่องที่ไม่เหมาะสมในอดีต กล่าวโดยเฉพาะ การก่อหนี้เพื่อมาใช้จ่ายเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบด้านภาษีจากคนรุ่นปัจจุบันไปยังคนรุ่นอนาคต การใช้จ่ายของรัฐที่เกิดขึ้น จึงควรถูกนําไปใช้ในโครงการที่เป็นการลงทุน ซึ่งจะทําให้คนรุ่นต่อไปได้รับ ประโยชน์ อาทิ การสร้างสาธารณูปโภค การรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษา

อย่างไรก็ดี สําหรับโครงการนี้ ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันซึ่งอายุ 16 ปี ขึ้นไป ได้ประโยชน์จากเงินหมื่นบาท ที่สามารถนําไปจับจ่ายใช้สอยพร้อมชําระหนี้ส่วนบุคคล คนรุ่นหลังซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จาก โครงการแม้แต่น้อย กลับต้องแบกรับภาระหนี้ประเทศ ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อเป็นงบประมาณจ่ายคืนการกู้ยืมเงินในโครงการที่นักการเมืองใช้หาเสียงกับคนรุ่นปัจจุบัน เปรียบดั่งนักการเมืองยื่นน้ําผึ้งที่มีรสหวานหอมให้คนรุ่นนี้ แต่อนิจจามันจะกลับกลายเป็นยาพิษที่แสนขมขื่น ทําให้คนรุ่นหลังต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทําของบรรพชนอย่างแสนสาหัส ขอคนไทยรวมทั้งนักการเมืองไทยยุค พ.ศ.นี้ โปรดไตร่ตรอง

พ่อครูว่า... เตือนสติกันก็ดี ผู้รู้ก็เตือนกันอย่างนี้แหละ 

 

นายกฯไทยคนที่ 30 ของโพธิรักษ์โพล

_คุณดั่งชัย(จำรัส ช่วงชิง) ... มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ เท่าที่ผมฟังพ่อท่านเทศน์มาหลายครั้ง ตั้งแต่รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ช่วงที่ ทนายนกเขากับจตุพรมาพบพ่อท่าน เขาก็บอกว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนไม่ดี แต่พ่อท่านยืนยันว่าเป็นคนดี 

และช่วงปลุกเสกมีคำถามหนึ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ใช่โพธิสัตว์หรือเปล่า พ่อท่านก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ 

แล้วมาวันนี้ครับ คุณใหม่เสมอ ตั้งคำถามพ่อท่านว่า ทำไมพ่อท่านสนับสนุนและเชียร์ให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกต่อไป พ่อท่านก็ยืนยันและตอบชัดเจนว่าเป็นคนดี นอกจากพ่อท่านจะยืนยันแล้ว ท่านที่ปรึกษาไตรรงค์ก็สนับสนุนอีกว่าเป็นคนดี คนๆนี้ไม่เคยคบคนชั่ว คบแต่คนดี 

ผมก็ไปชวนให้ ช่วยกันไหมเดินหน้าประเทศไทย ช่วยให้     พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกอีกครั้ง 

ญาติธรรมหลายท่านบอกว่า พ่อท่านยังไม่ประกาศ ก็เลยอยากให้พ่อท่านประกาศว่า เราควรเอาภาระมากน้อยเท่าไหร่ 

พ่อครูว่า... ควรเอาภาระไหม ... ควร ควรเอาภาระ ควรสนับสนุน ควรส่งเสริมพลเอกประยุทธ์ให้ขึ้นมาเป็นนายกต่อไปอีก เท่าที่ดู candidate นายกแต่ละคนๆอาตมาก็ว่า ราคาของ พลเอกประยุทธ์นี้เป็นที่ 1 นะ นี่โพธิรักษ์โพล 

เพราะฉะนั้นใครจะฟังโพลไหนก็แล้วแต่ ตอนนี้โพธิรักษ์โพลว่าอย่างนี้ ต้องการให้อาตมาประกาศ.. ประกาศไปแล้วนะ 

ควรสนับสนุนส่งเสริมให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกต่อไป อยู่ในขณะนี้คือบุคคลแล้ว คู่แข่งขันที่ลงสนามขณะนี้ ตามระบบของการเมือง เห็นหน้ากันอยู่มีใครบ้าง มีพิธา มีเศรษฐา  มีอนุทิน มีสุดารัตน์.. แต่ละพรรคก็บอกว่า ผมพร้อมจะเป็น ดิฉันพร้อมจะเป็นนายกเลยนะ อาตมาก็ยังเห็นว่า นายกประยุทธ์ควรจะเป็น 

 

วิธีแยกกายแยกจิตอย่างลัดคัดสั้น

_ซึ้งซื่อ... ผมอยากจะถามพ่อท่านว่า คืนนี้เอื้อไออุ่น พ่อท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง และอยากให้พ่อท่านอธิบายแยกกายแยกจิตด้วยครับ 

พ่อครูว่า... ก็เห็นใจนะ คำว่าแยกกายแยกจิตไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะเข้าใจอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ 

ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แยกกายแยกจิต ไม่ได้ดี ถึงขีดเพียงพอ เข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ อาจจะบรรลุความดี บรรลุความเจริญ แต่มันจะไม่ตัดขาดกิเลส และก็รู้จักรอบแห่งการตัดขาดกิเลสไปตามคำว่า โลก คำว่า การสัมพันธ์ระหว่างกายนอกกับสิ่งข้างนอก 

เช่น สมมุติง่ายๆขณะนี้มี กล้วย เขาเรียกว่ากล้วยดาบหรือกล้วยงาช้าง ลูกเบ้อเริ่มเลย คนที่เขาเห็นสัมผัสแล้วปั๊บก็บอกว่าน่ากิน น่ากิน อยากกิน ชอบใจ เห็นสัมผัสแล้วน่ากิน คุณยังมีการสัมผัสๆเกี่ยวข้องและยังมีความเห็นว่า น่าได้ น่ามี  น่าเป็น น่าอยากอยู่ นั่นคือคนที่ยังมีโลกเกี่ยวพันกับอันนี้อยู่ 

กายมีภายนอกกระทบด้วยตา อาจจะได้กลิ่นด้วย ได้รส ได้สัมผัสด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่มันไม่ได้ออกเสียงมา แต่ชอบใจ นี่คือคุณยังติดยึดเกี่ยวข้อง ยังเป็นโลก คุณยังดับโลกของการติดอันนี้ ยังไม่ได้ 

แต่ถ้าคุณสัมผัสแล้วก็เห็นว่า เออ เฉยๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง หมายความว่าสัมผัสแล้วก็รู้ว่า กล้วย กล้วยนี้มันมีความแตกต่างจากกล้วยชนิดอื่น กล้วยงาช้างหรือกล้วยดาบลูกมันโตมันใหญ่กว่ากล้วยเล็บมือนางเยอะ ก็รู้ความจริงเท่านั้นเอง รสมันอาจจะหวานไม่เท่ากล้วยเล็บมือนาง เออ…ก็สู้ไม่ได้ ก็ไม่ได้ติดใจว่า เราติดใจกล้วยเล็บมือนาง กล้วยดาบเราไม่ติดใจ ก็ไม่ใช่ 

ก็รู้ความเป็นจริงว่า ถ้าเกิดสมควรจะต้องกินก็กินได้ กินกล้วยเล็บมือนางก็ได้  กินกล้วยดาบก็ได้ ไม่ได้ผลักหรือดูดได้อย่างไร 

ถ้าเราจะต้องรับเพื่อจะกินเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต  เราก็กินมัน ไม่เกิดภาวะผลักหรือดูด..  กลางๆ.. อย่างนี้คือจิตไม่มีชอบไม่มีชัง ไม่มีอยากได้หรือไม่อยากได้ กลางๆ มีแต่ปฏิภาณปัญญาเห็นว่าควรไหมควรกิน ควรใช้ ควรอาศัยมันไหม ถ้าไม่ควรอาศัยก็ไม่กิน มันรู้สึกว่ากล้วยนี้มันแสลง ลมมันเยอะหรืออะไรก็แล้วแต่อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราไปรู้มันอีก ยิ่งไม่ควรใหญ่เลย ก็ว่าไป อย่างนี้เป็นต้น รายละเอียดเหล่านี้เราจะค่อยๆมีปฏิภาณความเฉลียวฉลาดที่จะรู้รายละเอียดเหล่านี้ไปเรื่อยๆ 

แม้มันไม่ละเอียดมัน หยาบ มันผลักก่อน มันถูกต้อง คุณก็รอดจากมันได้แล้ว และยิ่งถ้ามีเหตุผลอธิบายเพราะเหตุว่าไม่ควร เพราะเหตุอย่างนี้อย่างนี้ก็ยิ่งมีภูมิปัญญาปฏิภาณรู้รอบมากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น 

แต่ถ้าคุณ ละได้ก่อนแล้วก็ดี จริงๆแล้วอะไรๆก็ไม่ควรไปติดไปยึดทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ละได้ก่อน ได้แล้ว คุณไม่ได้ขาดอาหาร คุณไม่ได้ขาดสิ่งที่จะมาใช้ในชีวิต พวกส่วนนี้ถ้าจะว่าจริงๆแล้วเป็นส่วนเกินด้วยซ้ำ ไม่ต้องก็ได้ตลอดชีวิตไม่ต้องกินกล้วยดาบเลย รับรอง อยู่เจริญเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นโพธิสัตว์ได้ อ้าว ผ่าน

กายกับจิตให้ฟังไปเรื่อยๆจะอธิบายไปตามลำดับ ตอนนี้ขอต๊ะไว้ก่อน ต๊ะไว้ก่อน คือชะลอไว้ก่อนยังไม่ดำเนินการ

 

_กล้วยงาช้างจากน้าฉ่ำ จากพุทธสถานสีมาอโศก 

กดข่มไม่ใช่ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาไม่ใช่กดข่ม

_ในการทำงาน เมื่อถูกผู้ร่วมงานบ่นว่าเอา จิตตกวูบ แต่ตั้งสติได้ เหตุการณ์เมื่อกี้มันผ่าน เป็นอดีตไปแล้ว จะมาสลดใจอยู่ทำไมว้า จิตก็ขึ้นวูบเลย 

พ่อครูว่า... นี่แหละนักศึกษาก็อ่านอาการของจิตตัวเองได้ว่า โอ้โห พอผู้ร่วมงานบ่นว่าเอา จิตก็ตกวูบเลย  พอตั้งสติได้ เมื่อกี้นี้เหตุการณ์เขาว่าไปมันผ่านไปแล้ว พอรู้ว่า มันเป็นอดีตไปแล้ว จะมาสลดใจอยู่ทำไมว้า จิตก็วูบขึ้นเลย 

_เคยถามผู้รู้ธรรมะก็บอกว่า นั่นน่ะ เจโตกดข่ม อย่างไรถึงจะลดกิเลสไปตามลำดับคะ 

พ่อครูว่า... ก็เป็นได้ เป็นการกดข่ม ผู้รู้เขาว่าอย่างนั้น ก็เป็นได้ กดข่มแล้วพอวูบ ตั้งสติแล้วก็ตื่นขึ้นมาก็คลาย ก็เปลี่ยนแปลง ก็ทำปัญญาให้แจ้งสิ กดข่ม ไม่ใช่ปัญญา สมถะคือการกดข่มให้หยุด ปัสสัทธิคือการสงบให้หยุด 

ปัสสัทธิคือเห็นจริงรู้อยู่ อ้อ อย่างนี้เข้าใจด้วยปัญญา ปัสสัทธิที่คือปัญญาสมถะไม่มีปัญญาเป็นศรัทธากดข่ม เราต้องทำปัญญาให้แจ้ง 

ก็จริงๆแล้วคนจะติงจะท้วงจะว่าเอา เราก็จะมีอัตตาไปรับเขาทำไม 

เรารู้ความจริงว่ากิริยาอาการที่เราเป็นเมื่อกี้ เขาท้วง เขาว่า เขาตำหนิ เออ เขาท้วงว่า ไม่ดีไม่ถูกไม่ควร เราก็เอาคำตำหนิ จริงเขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ จริงอย่างที่เขาว่าไหม 

หรือแม้ว่าเขาไม่อธิบายเราก็พิจารณาว่ามันจริงของเขาหรือมันไม่จริง ถ้าจริง โอ้โห แล้วทำไมเราจะต้องถือตัวเขาว่าเราผิดแล้วเราก็ผิดจริงๆเราโง่ เราก็จะเกิดปฏิภาณปัญญาว่า ทำไมเราโง่นะ เขาว่าถูกแล้ว 

แต่แม้ว่าคุณจะพิจารณาแล้วคุณก็จะเห็นว่า คุณก็ไม่ผิด ก็อ้าว ถ้าคุณแน่ใจว่า คุณไม่ผิด คุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า โง่ไม่ได้อยู่ที่เรา โง่ มันอยู่ที่เขา เขาไม่รู้ความจริง ถ้าเราไม่มีอคติ เราไม่ลำเอียงข้างไหน ให้เราตรวจจริงๆว่าตัวเองเราก็ไม่ได้ผิด ความผิดก็อยู่ที่เขา แต่ถ้าผิดจริง ใช่แล้วเราโง่เราไปทำผิด เขาท้วงก็กราบเขาเลยขอบคุณเขา 

นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ถือตัวแล้วก็พิจารณาถึงภาวะองค์ประกอบความจริงทั้งหมดให้ชัดเจน 

 

เวทนาคืออะไร

_ดช.ธัมโม... ถามมาว่า เวทนาคืออะไรครับ 

พ่อครูว่า... ดช.ธัมโมฟัง เวทนา คือ เรานี่แหละ เราเองนี่ เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึก ฟังรู้จักความรู้สึกไหมล่ะเด็กชายธัมโม เรารู้สึกในใจของเรานี่ เรียกว่า เวทนา เวทนาคืออันนี้ รู้สึกด้วยใจ รู้สึกโกรธ รู้สึกไม่ชอบใจ รู้สึกชอบใจ นั่นแหละคือเวทนา ชอบใจก็เป็นเวทนา ไม่ชอบใจก็เป็นเวทนา เป็นเวทนาทั้งคู่ ความรู้สึกอย่างนั้นแหละ อาการที่มันรู้สึกอย่างนั้น เราก็รับรู้ อ่านอาการของเรา เมื่อมันเกิด เกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อไหร่ เอ่อ…เราก็รู้อารมณ์ของเราทัน ทำไมอารมณ์เราต้องไม่ชอบหรือชอบ 

ไม่ชอบหรือชอบนี้มันโง่ อย่าไปชอบหรือไม่ชอบ นี่ฉลาดขึ้น ให้รู้ความจริงแล้วก็พิจารณาความจริงว่า เห็นควรหรือไม่ควรสิ่งเหล่านี้ นั่นคือความจริงที่ควรจะรู้ควรจะทำ 

ชอบหรือไม่ชอบเป็นอาการของจิตผลักหรือดูด ไม่ชอบก็ผลักชอบก็ดูดเอา มันก็เป็นอาการอย่างนั้น ไหวไหมนี่ดช.ธัมโม ค่อยๆอธิบายไปเรื่อยๆเขาก็ซึมซับ อย่างน้อยก็ Absorb อย่างลึกก็เป็น Osmosis 

 

ลูกกตัญญู กับ ลูกอกตัญญู ต่างกันอย่างไร

_พ่อครู มีคำนิยามเกี่ยวกับ “ลูกกตัญญู VS ลูกอกตัญญู” อย่างไรคะ 

พ่อครูว่า... ก็มันตรงกันข้ามกัน ลูกกตัญญูก็หมายถึงลูกที่เขารู้จักบุญคุณ Vs ลูกอกตัญญู มันก็ตรงกันข้ามกัน ไม่ได้ยากอะไร คือคนรู้บุญคุณของพ่อแม่เรียกว่า ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ นั่นเรียกกว่า ผู้มีกตัญญู ส่วนลูกที่ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่เลยคือ ลูกอกตัญญู เปรียบได้กับเดรัจฉาน หมูหมากาไก่มันไม่รู้พ่อแม่มัน ต่างคนเกิดมาแล้วก็ต่างไป แต่คนจะต้องรู้บุญคุณของพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดนี่ มันมีกรรมวิบากมีเรื่องลึกซึ้ง มีกรรมกิริยาอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ ยิ่งพ่อแม่ที่ดี เลี้ยงดูเรามาจนโตจนดีจนได้ดี แล้วเราก็อกตัญญู นี่โอ้โห มันชั่วมากเลยนะ 

แม้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามาแล้วไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้ทำให้เราเจริญอะไร แต่เราเจริญเองก็ตาม จะให้กำเนิดก็เป็นผู้มีบุญคุณแล้ว ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดีไม่ไปเกิดในท้องหมา เกิดในท้องคน พ่อแม่นี้ได้ทำให้เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นคนก็ดีกว่าเข้าไปในท้องหมาและไปเป็นลูกหมาใช่ไหม ก็ต้องขอบคุณพ่อแม่อย่างนี้เป็นต้น ไม่ยาก  ง่ายๆ 

 

ทำอย่างไร ให้เราไม่กลัว ความลำบาก และไม่ติดหลงความสบาย 

_ทำอย่างไร ให้เราไม่กลัว ความลำบาก และไม่ติดหลงความสบาย 

พ่อครูว่า... ประเด็นคือความลำบากและความสบาย ก็เป็นประเด็นที่คนแต่ละคนเคยมีเคยเกิดทั้งนั้นแหละ กลัวความลำบากแล้วก็ชอบความสบาย 

ก็มาขยายความว่า ความลำบากกับความสบาย ในเทวทหสูตรท่านตรัสว่า ผู้ตั้งตนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่บนความสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง ใครจะเอาแบบไหนเอ่ย 

ที่นี้มาตีความสบายกับตีความลำบาก ภาษาไทยๆ 

ความสบายของภาษาไทยก็หมายความว่า สบาย ชอบใจ ยินดีสะดวกดี ง่ายดี อะไรก็แล้วแต่ ง่ายดีไม่ยากไม่ลำบาก ทีนี้ความลำบาก มันยากก็ต้องต่อสู้ ก็ต้องอุตสาหะ มันก็ต้องพากเพียร อาตมาค่อยๆอธิบายภาษาให้ฟัง

เพราะฉะนั้นคนที่พากเพียรจะเกิดการเจริญไหม ...เจริญ กว่าที่ปล่อยไปตามสบายเรื่อยๆ มันจะมีอะไรเจริญไหม ก็ไม่มีอะไรเจริญ แค่นี้ถ้าใครมีปฏิภาณรู้ว่า ควรจะปล่อยตัวตามสบายแล้วมันก็จะยิ่งเสพติดการสบายและไม่ได้ขยัน ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ไม่ได้มีทักษะ ไม่ได้มีความชำนาญ ไม่ได้มีความรู้อะไรเกิดอะไรที่ดีขึ้น สร้างสรรค์อะไรก็ไม่เกิดอะไรเลย ควรตายซะ หนักแผ่นดิน กินข้าวเขาเปลืองเปล่าๆ 

ก็อธิบายง่ายๆอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ตั้งตนอยู่บนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่ในความสบายนี้ เสื่อม ก็ถูกต้องทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความลำบาก เรารู้พักรู้เพียร รู้อุตสาหะวิริยะ 

ในโพธิสัตวภูมิโอ้โหก็ต้องสู้ความลำบาก ในขนาด ท่านมีการอธิบายไว้ว่าถึงขั้น จะต้องไปให้ถึงพุทธภูมิให้ได้ กระเสือกกระสนไป หมดแรง กระเสือกกระสน มือขาดมือด้วน ตีนขาดตีนด้วน เหลือแต่หน้าอก กระเสือกกระสนเอาหน้าอกไถไปเลือดโทรมก็ต้องไป ไปให้ถึงจุดพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องลำบากถึงขนาดไหนก็ต้องสู้ 

แล้วทีนี้โพธิสัตว์จะเป็นยังงั้นสำหรับคนที่มีวิบากสูง จะต้องสู้อย่างนั้นจริงๆแล้วผ่านได้มาก็จะเจริญขึ้นเจริญขึ้น เบาลงเบาลง สะดวกขึ้นสะดวก 

อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ต้องร้ายแรงขนาดนั้น ชาตินี้ถูกแก๊สน้ำตาเท่านั้นเอง คนจะเตะจะถีบก็ไม่เคยโดน ชาตินี้ไม่มีใครมาเตะมาถีบ โดนแก๊สน้ำตาเท่านั้นเป็นสิ่งที่กระทบจากคนที่มุ่งร้ายและก็ทำมา แล้วก็แก๊สน้ำตานั้นเขาไม่ได้มุ่งร้ายมาที่อาตมาหรอก อาตมาไปร่วมกับหมู่เท่านั้นเองแล้วก็ได้รับมาด้วยกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจตนาที่ว่าไปมุ่งหมายจะฆ่าอาตมาจะทำร้ายอาตมา 

 

_กราบนมัสการพ่อครูค่ะ...เรื่องกายง่ายๆบวกเป็นคนเจโตบวกปัญญาปัจจุบัน ได้เกิดปัญญาคำสอน ของพ่อผู้รู้จบ อดีตเก่าๆๆ ศรัทธาไปตามกิเลสตัณหาปัจจุบัน ฟังธรรมะเรื่อง กายในกาย ศรัทธาจิตตั้งมั่นอยู่ตรงนี้ อุภโตภาควิมุติ บวก ดิฉันออกมาจากสิ่งที่รักหลง ลูกหลานพรากออกมาทุกๆ รูปกาย ตักข้าวขาวให้เพื่อน ตักข้าวแดงเขาบอกร้อน ดิฉันบอกกายในเย็น รูป นาม รวม    สงบเย็นสงบสบายค่ะ 

พ่อครูว่า... แต่รวมแล้วค่ารวมแล้วเขารู้เพิ่มขึ้น อาตมาสรุปรวมแต่ละอย่างแต่ละอย่างของ แจ๊วไม่ได้ แต่เข้าใจ ตามที่เขียนมานี้เข้าใจว่า แจ๊ว กำลังรวบรวมและเข้าใจไปได้เรื่อยๆ ได้ไม่ขัดอะไร แต่ว่ามันยังเยอะ เศรษฐีบ้านนอก ปนกันไปหมด ก็ค่อยๆเรียบเรียงไป ก็เจริญตามภาวะของเขา เขาไม่ได้เรียนหนังสือหนังหามา เขาก็พยายามเขียนตัวหนังสือมา สะกดมา ก็เจริญไปเรื่อยๆ อยู่กับหมู่นี้ได้

 

คนกินเนื้อสัตว์บาปกว่าคนฆ่าสัตว์หรือไม่

_ดญ.ใสกลางเพ็ญ... หลวงปู่คะ คนขายเนื้อสัตว์ vs คนกิน ใครบาปกว่ากันคะ 

พ่อครูว่า... ดญ.ใสกลางเพ็ญ 7 ขวบ ... เขาอยากรู้ว่าอะไรใครบาปกว่ากัน มันก็บาปด้วยกันทั้งคู่ ขายก็บาป กินก็บาป อันนี้ ดญ.ใสกลางเพ็ญ รู้ก่อนนะว่า อย่าขาย พระพุทธเจ้าก็ห้ามขาย มิจฉาวณิชชา 5 มี 1.อย่าค้าขายอาวุธ 2. อย่าค้าขายสัตว์เป็น 3. ยาค้าขายเนื้อสัตว์ 4. ยาค้าขายอาวุธ 5. อย่าค้าขายยาพิษ (พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ177) 

5 อย่างที่ไม่ให้ค้าขายกันในมนุษย์ ไม่ใช่แค่นักบวช นักบวชนั้นไม่ค้าไม่ขายอะไรเลย ไม่ซื้อไม่ขาย นักบวชนี้ซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ คนที่ยังค้ายังขายอยู่ก็มีประเด็นว่า 

อย่าค้าขายอาวุธ สัตตวณิชชา 

อย่าค้าขายสัตว์เป็น สัตตวณิชชา

อย่าค้าขายเนื้อสัตว์ มังสวณิชชา

อย่าค้าขายของมึนเมา มัชชวณิชชา

อย่าค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ วีสวณิชชา

ทีนี้ถามมาประเด็นว่า คนขายเนื้อสัตว์กับคนกินใครบาปกว่ากัน 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยพูดไว้ในอดีต ว่า Demand Supply คนที่เป็นมือปืนฆ่ากับผู้ที่ว่าจ้างค่า คนว่าจ้างฆ่ามีโทษหนักกว่า เปรียบเทียบได้ว่าคนที่มีความอยากในการกินคือผู้ที่สั่งฆ่า 

พ่อครูว่า... ตกลงรู้นะน้ำมนต์ ว่า ผู้ที่สั่งฆ่ากับคนที่ฆ่า คนสั่งฆ่าร้ายกาจกว่า 

ในประเด็น 5 ประการ ในชีวกสูตร ลึกซึ้งสูงสุดเกี่ยวกับเรื่องเนื้อสัตว์ 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

 

การอนุโลมปฏิโลมกับนานาสังวาส

_ละอองหิน... ถ้าเรามีสภาวะที่สนุก ฟังธรรมก็สนุก ทำกิจกรรมก็สนุก ไม่ร้อนก็สนุก เรียกว่าภาวะแห่งความเจริญหรือภาวะอะไรคะ 

พ่อครูว่า... เจริญสิ มีธรรมรส ฟังธรรมเกิดธรรมรสเกิดรสแห่งธรรม มันสนุก มันแซ่บอีหลี ฟังธรรมนี้แซ่บยิ่งกว่าอะไร ลืมกินข้าว ลืมนอน ลืมกินขนม 

_แม้ไปขายของที่บวร ร้อนทั้งวันและไม่ได้นั่งทั้งวันก็สนุก 

พ่อครูว่า... ระวังสุขภาพบ้าง ดี แต่ระวัง ให้ระวัง รู้จักพักรู้จักเพียร 

_เจนจิต… ดิฉันก็มีสภาวะเดียวกับที่เขาค่ะ ในอากาศร้อนก็สนุกค่ะ วันนี้ จะถามว่า เราทำงานกลุ่มกัน 4-5 คน มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งกล่าวว่าเราผิด เราคิดพิจารณาแล้วก็บอกว่าเรายอมรับและขอโทษ อยากให้เรื่องมันจบๆ

พ่อครูว่า... ก็นึกว่าเป็นการประนีประนอม เหมือนอย่างอาตมายอมแพ้เถรสมาคม เป็นการประนีประนอม ไม่ไปต่อต้านเกิดความสงบ ก็อยู่อย่างยอมแพ้ ทั้งๆที่เรารู้ว่าเราไม่ได้ผิด แต่เราก็ยอมเป็นผู้แพ้ แล้วเราก็รู้ว่าผิด ผิดไม่ใช่เรา เราก็ไม่ได้ไปทำ ถึงแม้ว่าเราจะแพ้เราก็ไม่ไปทำอย่างที่เขา อันที่เขาถือว่าเราผิดแต่เขาถูก แต่ให้เราไปทำอย่างเขานี้ เราก็ไม่ได้ไปทำ เราก็ทำอย่างของเราอย่างที่อาตมาเป็นอยู่นี้ ที่ทำอยู่นี้กับเถรสมาคมเราก็ทำของเราอย่างนี้ ก็เกิดผล อย่างนี้ 

จนทุกวันนี้อาตมาว่า ผลที่อาตมาพาทำมันพิสูจน์ เถรสมาคมเขาก็ว่าไม่ได้ อาตมาพาทำ อาตมายืนยันทั้งคนที่ทำได้ ยืนยันทั้งตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า แม้คุณจะอธิบายของคุณอย่างโน้น คุณก็ได้ผลอย่างโน้น 

เราอธิบายอย่างนี้ก็ได้ผลอย่างนี้ คนที่มีปฏิภาณก็เทียบกันสิ ของอย่างนี้กับของอย่างโน้นอะไรจะเป็นทองแท้ อะไรจะเป็นทองเทียม หรือไม่ใช่ทองมากกว่ากัน คนตัดสินก็คือตัวเองทั้งนั้น 

พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ไว้ในนานาสังวาส ให้ฟังความทั้งสองข้าง แล้วก็พิจารณาหรือตรวจสอบ หรือจะปฏิบัติตามดูทั้งสองข้างก็ได้ สุดท้ายคุณก็ตัดสินอันไหนว่าเป็นธรรมวาที เป็นคำสอนที่อันนี้แหละถูกก็เลือกเอาสิ คุณเป็นผู้ตัดสิน

ซึ่งจริงๆก็ลางเนื้อชอบลางยา เราจะไปบังคับเขาไม่ได้ เขาอาจจะบอกว่าอย่างโน้นถูกอย่างโน้นอร่อยกว่าเขาก็ไปอันโน้น อย่างนี้ถูกคนที่ตัดสินอย่างนี้ถูกเขาก็มาเอาอย่างนี้ สุดท้ายนานาสังวาสไม่ทะเลาะกันต่างคนต่างชอบที่ชอบ ของใครของมัน ว่างั้น 

 

มาเป็นคนจนตามพระพุทธเจ้านี่แหละดี

_ใจแก้ว... อ่านจิตตัวเอง ที่กลับบ้านไปเที่ยวนี้ อยู่กับที่ บ้านราช อยู่กับพวกอโศกเป็นคนดีมีวรรณะ 9 อยู่อย่างสบาย พอเรากลับไปไปเจอพี่น้องทางบ้าน ฟังความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน เพราะว่าอารมณ์เขาไม่เหมือนกับพวกเราปฏิบัติธรรมละเอียด เสร็จแล้วไปถึงก็ขนาดใส่กางเกงปะ เขาก็ด่าเป็นชั่วโมงเลย คิดดูสิ คิดว่าเราทำงานบ้านไปช่วยเขาทำ เราก็ใส่กางเกงที่ปะ น้องชายก็ด่าว่าเสียศักดิ์ศรี ที่นี่เขาไม่แต่งตัวอย่างนี้ พี่น้องเขาแต่งตัวสวยๆ เขาบอกว่าพอนั่งก็ดูดีพอลุกขึ้นมาก็เห็นที่ปะไว้ตรงขาบ้าง ก้นบ้าง

จิตเราก็ไม่ไปต่อความ พูดไปเขาก็ไม่รู้ว่าที่นี่เรามอซอก็ยิ่งดี จะไปที่นั่นเขาก็ว่าๆๆ สงสัยต้องรูดซิปปาก เพราะว่าอยู่นี่พูดได้ทุกอย่าง ไม่ถือกัน ออกไปข้างนอกจะไปช่วยเขารู้สึกเห็นใจ พ่อครูบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ไม่ใช่ง่าย อรหันต์ง่ายกว่าเอาตัวเองให้รอด แต่เป็นโพธิสัตว์นั้น จิตมันเกิดที่เดียวก็หดเข้าไปอีก ช่วยเขาไม่ได้  เขาก็มองว่าทำให้พี่น้องเสียศักดิ์ศรี เมื่อก่อนอยู่สันติก็ไม่ใช่อย่างนี้ แต่พอมาอยู่ที่นี่แต่งตัวมอซอเพิ่มขึ้นก็มีความสบายๆ จะไปที่โน่นไปทำแล้วเขาก็ว่า 

หลานอีกคนก็บอกว่าเห็นแก่ตัว ไปอยู่วัดนานเกิน เขามีแต่ว่าเห็นแก่ตัว ทิ้งญาติไม่เอาญาติ 

พ่อครูว่า... เวทนาต่างกัน นั่นแหละมันชี้บอกให้เห็นว่า คนที่เขาไม่รู้เรื่องในเรื่องโลกุตระ ในเรื่องความคิดความรู้สึกความเข้าใจ ความยึดถือ มันคนละอย่างกันแล้ว เขาอย่างนั้นว่ามันดีมันสูงส่ง อย่างนั้นคนมันต้องเจริญแบบนั้น ไอ้แบบนี้มันเสื่อมมันโทรม มันต่ำ เขาดูถูกตัวแคลน มันเป็นความจริงที่เขาเข้าใจแบบเขา 

เพราะฉะนั้นนัยยะพวกเราเข้ามาเป็นคนจน มาเป็นคนที่เหมือนพระพุทธเจ้ามาเป็น ท่านเองท่านใส่รองเท้าทองใส่เครื่องทรงอร้าอร่ามต่างๆนานา เสร็จแล้วก็มาปลดทิ้งหมดเลย มาใส่ผ้าห่อศพ เอามาซักๆแล้วก็มาใช้ รองเท้าก็ถอดทิ้งไป เดินพระบาทเปล่า ทรัพย์สฤงคารก็ไม่เอาเลย เราก็เป็นพวกตระกูลเดียวกันกับพระพุทธเจ้า อันนี้ก็ง่ายๆ มาเอาอย่างพระพุทธเจ้า ทำงานมีประวัติมีเรื่องราวก็มียืนยัน แม้เราไม่ได้เกิดยุคเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ผู้ที่สืบทอดมาก็มีมาถึงทุกวันนี้ 

ความเข้าใจแล้วก็การเลือก เอาของใครของมัน มันก็คือทิฏฐิ หรือปฏิภาณปัญญาของแต่ละคน มันแยกพวก ต่างกัน เกิดความต่างกันมันก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญามีปฏิภาณรู้ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เราไม่ว่าอะไรเขา แต่เขาจะดูถูก ว่าเราว่าพวกเราเป็นพวกตกต่ำไม่ได้ดีแล้วมันไม่เจริญแล้ว เขาจะดูถูก เราก็เข้าใจเขา เราเข้าใจว่าจริงๆแล้วความตกต่ำหรือความเจริญ อะไรแท้ๆ โลกียะเขาก็จะคิดอย่างเขา โลกุตระเขาก็คิดอีกอย่างหนึ่ง เรามาจนเราเจริญ เราไปรวยนั้นเราซวย

เข่งว่า...เขาถามว่า อย่างแม่ที่ไปบวชเป็นภิกษุณีกับน้าเข่งใครเจริญกว่ากัน 

ตอบว่า ถ้าเป็นแม่กับลูกนี้แม่สูงกว่า แต่ด้านจิตวิญญาณ เราลดกิเลสได้ก็ต้องสูงกว่าแม่ที่ไม่ได้ลดกิเลส

พ่อครูว่า... ตอบอย่างนี้ดีแล้ว เราไม่ได้ไปลบหลู่แม่ แม่ก็อย่างหนึ่ง แต่จิตวิญญาณของเรานี้มันเจริญกว่าแม่ เขาจะว้ากเอาไหม 

เข่งว่า... ก็ต้องเงียบไว้ก่อน ไปเช็ควิมุติ ว่าผ่านไหม

พ่อครูว่า... ส่งอารมณ์ให้อาจารย์ตรวจอะไรอย่างนี้ เอาดี

 

ทำใจอย่างไรเมื่อกังวลกับการเลือกตั้งสส.

_ลูกมีความกังวลใจกับการเลือกตั้งส.สครั้งนี้มาก (พ่อครูว่า... ไปยุ่งอะไรกับเขามากเกิน เริ่มต้นกล่าวก็เห็นทุกข์แล้วนี่ ) กลัวพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล โดยมีอุ้งอิ้งเป็นนายก หากเป็นตามผลโพล จากหลายสำนักจริง แสดงว่า ประเทศไทยถึงยุคเสื่อมหรืออย่างไร จะทำยังไงดีค่ะ จึงจะไม่กังวล 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก โลกนี้เป็นของคุณคนเดียวหรือ แบกไว้ทำไม สังคมนี้เป็นของคุณคนเดียวหรือคุณไปแบกโลก แบกสังคมไปหมด โอ้โห..เป็นแซมซั่นหรืออย่างไร หรือเป็นเฮอร์คิวลิส แบกยกได้หมดเลยแบกโลก 

เหตุปัจจัยของการปรุงแต่งของโลกมันเป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันไปเรื่อยๆแหละ มันก็จะมีของมันไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นบ้างเป็นอย่างนี้บ้าง 

อาตมาก็เข้าใจและก็รู้สึกอย่างที่คุณรู้สึกอยู่บ้างคือ รู้สึกว่าถ้าเผื่อว่า เรื่องการเมืองไทยขณะนี้จะมีเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งแล้วเพื่อไทยได้ เพื่อไทยไปเป็นรัฐบาล (พ่อครูไอตัดออกด้วย) มันจะเป็นยังไงหนอ เราก็รู้สึกหรือเข้าใจตามประสาเรา 

สมณะเดินดิน... ผมมีวิธีคิดง่ายๆว่า พ่อครูมากอบกู้ศาสนา ถ้าจะกอบกู้ศาสนาได้ บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง ถ้ากอบกู้ศาสนาไม่ได้ บ้านเมืองก็ไม่รุ่งเรือง คงจะไปด้วยกัน ทิศทางบ้านเมืองน่าจะเป็นความรุ่งเรืองมากกว่า เพราะหลวงปู่มากอบกู้ศาสนาได้ทำให้คนดีมากับคู่บ้านเมือง คิดแค่นี้ไม่ได้คิดอะไรมากครับ 

พ่อครูว่า... ชาตินี้มีวิบาก เราก็ได้แต่บูรณะเรื่อยไป บูรณะภาพ ก็ช่วยกันทำให้มันดีขึ้นได้ มันยังไม่ได้ก็คือมันยังไม่ได้ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะ ทำดียังไม่มากพอ Let's Go On 

 

หนังสือปัญญา 8 คือเคร็ดวิชชาสลายวิญญาณ

_1. ผมเคยได้ยินพ่อครูเทศน์ถึงคนที่เป็นสายศรัทธาหลงปัญญา จะสังเกตตัวเองอย่างไร ว่าตัวเราใช่สายศรัทธาหลงปัญญาหรือไม่ ถ้าใช่มีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ 

2 .หนังสือปัญญา 8 คือเคล็ดวิชาสลายวิญญาณ ผมรู้สึกเช่นนี้ถูกต้องนะครับ 

พ่อครูว่า... ตอบอันที่ 2 ก่อนใช่ หนังสือปัญญา 8 คือเคล็ดวิชา สลายวิญญาณ

เคร็ด เขียน เคร็ด ดีกว่า ไปเขียน เคล็ด มันจะเป็นการเคล็ดขัดยอกไปเสีย เคร็ด มันมาจากเกร็ด ส่วนย่อย แยกมาย่อยๆ เคร็ดวิชา 9 วิชชา 

เคร็ดวิชชาสลายวิญญาณ 

ที่บอกว่า ศรัทธาหลงปัญญา จะแก้ไขอย่างไร กำปั้นทุบดิน แก้ไขโดยการปฏิบัติธรรมแล้วตรวจตัวเอง ให้รู้ลำดับ รู้ความเป็นจริงของตัวเองว่า เรากำลังติดยึดเรื่องอะไรอยู่ในขณะนี้ให้ชัดๆบางทีเราติดเรื่องหยาบอยู่เลย แต่เรามาเอาเรื่องละเอียดมันก็เลอะเทอะสิ ศรัทธาที่มันไม่มีปัญญา มันก็จะสับสนอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นให้มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ เริ่มต้นไปด้วยการปฏิบัติธรรม ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ แล้วข้อสำคัญ สัตว์ที่สำคัญก็คือคน เดรัจฉานให้ปล่อยไปตามยถากรรม อธิบายไปไม่รู้กี่ทีแล้วปล่อยไปตามยถากรรมเถอะมันก็มีวิบากกรรมของมันอย่าไปยุ่งกับมันเลย เราจะไปร่วมวิบากกับมันอีก ทำให้ชาติของเราต้องพัวพันกับสัตว์เดรัจฉานอีก ตัดมันไปก่อนไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ปล่อย ของใครของมันน่าจะมีวิบาก แต่ชาตินี้เราอย่าไปเพิ่มวิบากไม่ว่าจะเป็นวิบากบุญ วิบากบาป วิบากดูดหรือผลัก ไม่ต้อง 

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่ต้องเอาสัตว์มาใช้งาน ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ เราก็ต้องว่าไปกับคน 

เพราะฉะนั้นศีลข้อที่ 1 เอาคนนี้แหละเป็นสำคัญ แล้วท่านบอกว่าอย่าฆ่า อย่าเบียดเบียนอย่าทำร้าย หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง ก็คือหวังประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อคนด้วยกันนี่ 

อย่างเช่นอาตมาหวังประโยชน์ต่อมหาบัวต่อมหาชนหรือท่านมหาประยุทธหรือท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หวังประโยชน์ด้วยใจจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ตำหนิหรือว่าบอกสิ่งที่ควรเลิก ควรละ สิ่งที่ควรจะทำต่อว่ากันไปตามความจริงใจ 

_เพื่อนสู่แดนธรรม...ถามว่า... ก็เป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในชุมชนใดๆมาก่อน แล้วก็ได้มาอยู่ใน บ้านราช เขามีหน้าที่มีอยู่ แต่ว่า เวลาได้ยินเสียงประกาศจากส่วนกลางให้ไปช่วยงาน ลงแรง แต่เขา ไม่สามารถไปได้ เขาก็เกิดความกินแหนง ว่าเขาไม่ไปเขาจะเกรงกลัวอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เขาก็เลยเป็นทุกข์ใจนะครับ อยากให้พ่อท่านช่วยให้เขาทำใจอย่างไรที่จะ 

พ่อครูว่า... คุณมีหน้าที่อยู่แล้ว คุณทำหน้าที่อยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไรก็ไม่ต้องไป ก็มีหน้าที่อยู่แล้ว เราก็ทำหน้าที่อันสมควรอยู่อันนี้ก็เป็นประโยชน์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนอื่นก็มีอีกตั้งมากมายก็คงจะไป นอกจากว่าเขาประกาศแล้วประกาศอีกทำไมคนยังไม่ไป เราพอจะไปช่วยได้ ก็ไป 

แยกกายแยกจิตอย่างสัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า... อธิบายแยกกายแยกจิต จะต้องอธิบายกันอีกนานอีกมากเลยเรื่องกายเรื่องจิต ถ้าเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ 

1.เข้าใจกายสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า เข้าใจกายผิด ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ ท่านใช้คำว่า กาย กับ สักกะด้วย ก็ต้องมาเอาที่ตัวเราอย่าเพิ่งไปเอาที่คนอื่น กายของตนความเป็นกายนี้เอาที่ตัวเราจึงเรียกว่า สักกายะ 

ทีนี้คำว่า กายนี่แหละกับจิต จะต้องแยกให้ออก การแยกตรงนี้แหละลึกซึ้งมาก ถ้าแยกตรงนี้ผิด ไม่มีทางเป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงสอนการแยกกายแยกจิตนี้ ให้อ่านเอาจาก ผมขนเล็บฟันหนัง จะเอาอันไหนก็ได้ แยกดูจากผมก็ได้ จากขนก็ได้ จากเล็บก็ได้ จากฟันก็ได้ จากหนังก็ได้ หนังก็มีผิวหนังข้างนอกกับผิวหนังข้างในที่ถึงประสาท

  ผิวหนังข้างนอกไม่มีประสาท มันก็จะไม่รู้สึก คือไม่มีเวทนา รู้สึกได้รู้สึกเฉยๆ รู้สึกไม่มีอะไรไม่บวกไม่ลบได้ ทีนี้อธิบายผิวหนังมันละเอียดมันชิดกันเกินมาก 

ขนก็สั้น ฟันมันก็อยู่ข้างในเกิน ผมมันก็ยาวเกิน ทีนี่ก็อธิบายเล็บง่ายกว่า อาตมาก็เอาเล็บเป็นตัวอย่าง ฟังให้ดีๆอธิบายแล้วหลายร้อยทีนะ แต่ก็อธิบายอีกเพราะมันสำคัญ 

เพราะฉะนั้นภิกษุที่มาบวชอุปัชฌาย์ต้องอธิบายแยกกายแยกจิต นี่แหละในธรรมนิยาม 5 ให้แก่ลูกศิษย์ให้ได้ ถ้ายังเข้าใจอันนี้ไม่ได้ลูกศิษย์ก็หมดหวัง ถ้ายังมิจฉาทิฐิในเรื่องแยกกายแยกจิตอยู่ลูกศิษย์บวชไปก็สูญเปล่าไม่มีทางบรรลุอรหันต์ อุปัชฌาย์ต้องอธิบายนี้ก่อน อันนี้เป็นธรรมวินัยเป็นหลักธรรมด้วยนะ 

กาย คือสภาพมีเวทนามีจิตร่วมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นพิจารณากายในกาย พิจารณาเวทนาในเวทนา พิจารณาจิตในจิต พิจารณาธรรมในธรรม 

เพราะฉะนั้นการพิจารณากายในกายนี้ มันยิ่งกว่านอก เพราะฉะนั้นก็เข้าหาเวทนาเข้าหาจิต เพราะฉะนั้นกายในกายจึงต้องมีเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาไม่ใช่กาย ฟังให้ชัดๆนะ 

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณทำจิตของคุณ ไม่ให้มีเวทนา ทำความรู้สึกทำใจในใจของคุณเมื่อสัมผัสอะไรก็แล้วแต่ 

1.มันไม่รู้สึกมีเวทนาเก้ เวทนาอร่อย เวทนาที่เป็นรสชาติแบบโลกีย์รส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เป็นรสชาติพิเศษเป็นรสชาติอร่อยเป็นอัสสาทะ อย่างนี้เป็นเวทนาเก๊เลย

2.ทีนี้เวทนาที่ไม่เก๊คือเวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสอันนี้แดง เราก็นึกว่าสวย สวยคือเก๊ แต่แดง ไม่ว่าจะไทยจีนแขกฝรั่งก็สภาวธรรมอันเดียวกัน น่าจะเรียกชื่อต่างกัน 

แดงหรือ เป็นรูปกลมหรือรูปเหลี่ยมอะไรก็แล้วแต่หรือกระทั่งละเอียดเป็นผิวหนัง ผิวหนังเนียน ผิวหนังหยาบก็แล้ว ตามความเป็นจริงของคนหรือรูปธรรมทุกอย่าง มันเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น 

คุณก็กำหนดรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วไม่ผลักไม่ดูดสิ่งนั้น นี่คือเวทนารู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น ในฐานะที่เรายังมีชีวิต เรายังรับรู้ เรายังมีจิตนิยาม แต่เรารู้สึกว่า เราไม่มี 2  เราไม่มีผลักไม่มีดูด จิตของเราเหมือนพืช ไม่มีกาย ไม่มีเวทนา 

พืชมันมีแต่สัญญากับสังขาร มันมีแต่การปรุงแต่งกับกำหนดรู้ของมัน กล้วยดาบ มันจะต้องเอาธาตุนี้มา ธาตุนี้ไม่ใช่มันไม่เอา มันเอาแต่ธาตุนี้มาปรุงแต่งเป็นกล้วยดาบ อันอื่นมันไม่เกี่ยว มันไม่ไปทะเลาะ มันไม่ไปวุ่นวายอะไร 

แม้ว่าธาตุนี้ควรจะได้มันก็ไม่ถึงแย่ง มันมีแรงดูดพอสมควรได้มาก็เอา อันอื่นมันดูดได้ไปมากกว่ายอมแพ้ไม่เอา ไม่มีภัยไม่มีการรบราอะไรนี่คือพืชเป็นภาวะอาการของธาตุรู้ แม้ขั้นสัญญากับสังขารก็ไม่มีศัตรูก็ไม่มีการไปเบียดเบียนอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำจิตได้แบบนี้ถือเป็นจิตอรหันต์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษ 

เพราะฉะนั้นจะทำแต่ตนเองเจริญขึ้นเจริญขึ้น ถ้ายิ่งทำให้ ตัดไปเลยไม่เป็นส่วนของกายเลย ขาดออกไปจากชีวิต 

ถ้ายังมีชีวะร่วมอยู่นี้ยังเรียกว่า มันไม่มีกายแต่มีชีวะอยู่เรียกว่าพืช มนุษย์พืชที่ไม่รับรู้สึกอะไรแล้ว นอนมีชีวิตอยู่เฉยๆประสาทรับรู้ไม่มีเลย อะไร ๆ ก็ไม่รู้ นั่นคือมนุษย์พืช 

เล็บ มันยาวออกมาแล้วพ้นประสาท แต่มันมีชีวะเหมือนมนุษย์พืช มันยังไม่ตาย ยังไม่ได้ตัดออกไปเป็นดินน้ำไฟลม ตัดขาดออกจากเล็บไม่เจ็บไม่ปวดไม่ทุกข์ไม่บาป ตัดออกไปแล้วมันก็ขาดออกไป ที่ขาดออกไปแล้วเป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไม่ไปต่อชีวะชีวิตอีกแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนที่ทำจิตเป็นอุตุ มนสิการทำจิตในจิตของเรา ทำของเราให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากอยู่ แต่ทำได้ 

เพราะฉะนั้นทำจิตให้เป็นพืช นี่คือฐานอาศัยของอรหันต์ ถ้าทำจิตไม่เป็นพืชมันยังมีผลักมีดูดมีทุกข์มีสุขอันนี้คุณก็ยังทำไม่สำเร็จ เห็นไหมมันแยกกายแยกจิตอย่าง 

เพราะฉะนั้นไม่มีกายไม่มีเวทนา จิตมันก็ไม่ชื่อว่ามีจิต เพราะฉะนั้นถ้ายังมีกาย ยังมีเวทนา กายกับเวทนาจึงไม่แยกกัน แต่อธิบายแยกกันได้ว่า กายคือสิ่งภายนอก 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจหยาบๆก็คือตัดกายคือภายนอกอย่างเดียวไม่มีจิตร่วมด้วยนี่แหละมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นคนไปนั่งหลับตาปฏิบัติทิ้งกายภายนอกเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเลยไม่รับรู้สัมผัสคุณก็อยู่ในจิตอย่างเดียวนั่นแหละเป็นโมฆบุรุษ มิจฉาทิฏฐิตลอดกาลแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมอรหันต์เลย เพราะคุณไม่มีสัญญากำหนดรู้กาย ที่ต้องมีภายนอก อาตมาสำทับนะว่ากายต้องมีภายนอกเสมอ ขาดภายนอกเป็นสัมภเวสี ขาดภายนอกเป็นจิตในภวังค์ เป็นจิตล่องลอย ไม่มีที่ตั้งไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งไม่มีฐานที่ตั้งไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัตินี้ เลิกมาได้ทั้งหมดเลย มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิมีจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีลเป็นข้อๆไปปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละคือครบ

มีสำรวมอินทรีย์ 6โภชเนมัตตัญญุตาแล้วทำจิตให้ตื่นเต็มให้ได้ 3 ข้อนี้ ปฏิบัติแล้วจึงจะไปเกิดสัทธรรม 7 ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เกิดสัจธรรม 7 คุณจะรู้สึกว่าอย่างนี้เชื่อแล้วเข้าใจแล้วจะมี คุณก็จะเกิดเป็นมิจฉาศรัทธาตามที่คุณยึดถือไป ไม่เกิดเหตุปัจจัยอย่างที่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 

เช่น คุณไปยึดถือว่า ผิด ทั้งๆที่มันถูก ไปยึดอันที่ถูกกว่านี้ผิด ผลักเขาเสีย ก็ต้องว่ากันคุณผิด ผมถูก ทั้งที่เขาถูก คุณเข้าไปว่าเขาผิดด้วยซ้ำไป หรือไปซัดเขาใหญ่เลย พอไปรู้ความจริงก็จะรู้ว่า เราไม่ควรไปว่าท่านเลยคนนี้แหละ จะเกิดหิริโอตตัปปะแท้ๆ อายตัวเองกูหนอกู เฮ้ย โป๊ความโง่ ไปเปลือยความโง่ออกไปแท้ๆ ให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้ความโง่ ผู้รู้เขารู้นะ ไอ้นี่มาตำหนิสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง คนไม่รู้ก็แล้วไปเถอะ 

อย่างโลกุตระนี้จะมีคนรู้มากหรือคนรู้น้อย..น้อย .. เพราะฉะนั้นจึงมีคนรู้น้อยอยู่ ก็เป็นสัจจะ อาตมาถึงไม่ตื่นเต้นตกใจอะไร ไม่มีคนรู้อะไรอาตมามากมาย ส่วนพวกที่ผิดที่ไม่รู้มีอวิชชาก็ต้องมีเยอะแน่นอนไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ตกใจตื่นเต้นเป็นธรรมดาธรรมชาติแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาไม่เคยตื่นเต้น ทำงานศาสนาตั้งแต่อายุ 36 จนป่านนี้ไม่มีอะไรที่จะตื่นเต้นตกใจอย่างนั้นเลย 

นี่เป็นสัจจะเข้าไปที่กายที่จิตอีกทีหนึ่งว่า ถ้าแยกกายแยกจิตอย่างนี้ไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว คุณก็ไม่สามารถทำให้จิตของคุณเป็น กลาง ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ มันเป็นกลางเพราะมันไม่มีเหตุปัจจัยที่จะไปปรุงแต่งอีกแล้ว จิตของคนที่ไม่มีเหตุปัจจัยไปปรุงแต่งว่ามันทุกข์มันสุข แล้วยิ่งจิตของคนไม่มีการปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ไปเรื่อยๆ มีความสะอาดเป็น ปริสุทธา มีจิตอุเบกขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งปริโยทาตา ปริสุทธายิ่งบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเก่า มุทุตาก็ยิ่ง สะสมจิตที่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ยิ่งมีประสบการณ์ กัมมัญญตา ทำงาน มีกรรมกิริยา มีการกระทบสัมผัสอีกยิ่งชำนาญยิ่งเกิดทักษะยิ่งทำได้ดีได้เร็วได้มาก สั่งสมลงไปเป็น มุทุภูตธาตุ จิตก็ยิ่งประภัสสร ใสสะอาด สะอาดใสไปเรื่อยๆ นี่คือองค์ธรรม 5 ของบริสุทธิ์หรือของอุเบกขา อาตมาก็อธิบายย้ำๆมา

เพราะฉะนั้น คนที่ทำได้อย่างนี้ ก็ยืนยันว่าตัวเองได้เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ คนที่ทำได้ตรงกัน 

เพราะฉะนั้นคนที่แยกกายแยกจิตได้อย่างที่อาตมาว่ามานี้ ถึงจะบรรลุอรหันต์ ทีนี้ที่มันไม่บริสุทธิ์ มันไม่ปริสุทธา ไม่ปริโยทาตา เพราะมีกิเลสมาปรุงแต่งทำให้ไม่บริสุทธิ์ขึ้น คุณก็ต้องรู้ หยาบ กลาง ละเอียด เหลือน้อยเป็นอรูป คุณก็ต้องเอาออกให้หมด หมด เป็นจิตที่หมดตาม เจโตปริยญาณ 16 ราคะโทสะ โมหะ สกุลใหญ่ 3 ทำให้มันเป็น วีตะ ทำให้มันไม่มี  ทำให้มันออกมา วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ

คุณก็ทำด้วยทฤษฎีพระพุทธเจ้าสอน จรณะ 15 วิชชา 8 เสร็จแล้ว คุณก็เจริญขึ้นเจริญขึ้น เจริญด้วยสัทธรรม 7 คุณก็จะศรัทธายิ่งขึ้นเชื่อถือเข้าใจมีความเห็นถูกต้องมากยิ่งขึ้น ละอายมากยิ่งขึ้น 

ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ยิ่งเห็นว่าโอ้โหแต่ก่อนเราโง่ โง่หนักยิ่งมีศรัทธา หิริ แรงกล้ายิ่งรู้ว่าโง่หนัก ยิ่งไปซัดผู้ที่ถูก ยิ่งมีโอตตัปปะยิ่งเกรงกลัว ไปละเมิดผู้ที่ไม่ควรละเมิด เราก็ไปละลาภละล้วงแล้ว ก็ยิ่งโอตัปปะอย่างแรงกล้า ก็จะเกิดความเคารพอย่างแรงกล้า ความรักอย่างแรงกล้า บูชาอย่างแรงกล้าขึ้นไปตามลำดับตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ฤดูในปัญญา 8 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้หมดเลย

ศรัทธา หิริ โอตตัปปะก็เจริญ เมื่อคุณเจริญคุณก็ทำกลับ ยอมรับความผิด ปลงอาบัติ ทำให้ถูกคืนไม่ละอายที่จะสารภาพบาปหรือเปิดเผยบาปเรียกว่าปลงอาบัติ คนไม่ปลงอาบัติทั้งที่รู้ว่าตนเองผิดแล้วก็ไม่บอกปลงอาบัติหมักหมมเน่าใน คนนี้คือคนไม่เจริญ 

คนที่รู้ว่าตัวเองผิด โดยเฉพาะผิดกับผู้นี้ ไปสารภาพผิดเลยยิ่งเจริญ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดรู้วิธีทำให้เจริญนี้ได้ ก็ทำขึ้นมาก็กลายเป็นผู้ที่เจริญเรียกว่าพหูสูต ผู้เจริญยิ่งยิ่งขึ้น เป็นปัญญาข้อที่ 4 ศีล แล้วปัญญาข้อที่ 5 พหูสูตก็เจริญยิ่งขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้น น่าจะมี วิริยารัมภะ ข้อที่ 7 ก็เป็นผู้ที่เป็นบัณฑิตแล้ว ข้อที่ 8 ก็สรุปรวมเลย 

คุณก็เป็นพหูสูตคุณก็เจริญดีขึ้น พหูสูตไม่ได้แปลว่า learned man ไม่ใช่เป็นผู้ที่คงจะเรียนเจริญแบบเรียนท่องจำแว่นตาหนาเตอะ พวกที่บอกว่า เก่งสุจิปุลิแบบนั้นมันเป็นโลกีย์ สุจิปุลิคือโลกีย์

สุ คือ ฟัง จิ คือ คิด ปุ คือถาม ลิ คือจด

สุ จิ ปุ ลิ มันเป็นโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตตระเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้นี้เกิดพหูสูตร เมื่อรู้ตัวเองว่าเจริญถูกต้องดีและดีแล้ว จึงมีวิริยะสติปัญญาอีก 3 ตัวของสัทธรรม 7 อ๋อ อย่างนี้มันต้องเพียรทำอีกทำให้สติยิ่งเจริญ สติยิ่งเปิดเผยสติยิ่งรู้กว้างรู้ไกลรู้สะอาดรู้สว่างยิ่งขึ้น 

 วิริยะ สติ  ปัญญา ปัญญาจึงเป็นตัวแจ้งตัวสว่างตัวสมบูรณ์แบบเป็นธาตุ เป็นความสรุปสรุป รู้ที่ยิ่งใหญ่ครบ สัทธรรม 7 

ในสัทธรรม 7 นี้แหละ ที่เป็นการขยาย 7 องค์ ฌาน 1 2 3 4 เป็นตัวสรุป สรุปความรู้สัทธรรม 7 นี่แหละ เป็นฌานที่ 1 

สรุปลงไปที่ 2 เป็น วิตก วิจาร

วิตก คือ ตัวเกิดก่อนดำริ วิจารคือ พฤติกรรมของมัน 

วิตก คือบวก วิจาร คือลบ เป็นธาตุรู้ตัวเดียวกันทำงานร่วมกันเหมือนน้ำมี H กับ O มีไฮโดรเจนกับออกซิเจนอยู่ด้วยกัน วิตกกับวิจารคืออย่างนี้

เขาจะแปลไปว่าวิตกคือการไตร่ วิจารคือการตรอง ก็ได้ หรือ ตริ ตรอง จับตัวนี้มา แล้วก็มาตรอง มากรองมาคัดให้ละเอียดลงไปอีกอย่ากระด้าง อย่างนี้เป็นต้น 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สรุปตรงนี้ก่อน วิตก วิจาร ไม่ต้องไตร่ตรอง ชัดเจนแล้ว 

สมณะเดินดิน... พ่อครูพยายามอธิบายฌานในชีวิตประจำวันของเรา ก็เราพยายามเผากิเลส เผาอบายมุข เผาการติดยึดในกามคุณ แม้เด็กๆก็มีฌานได้ ทำวิตกวิจารได้ เช่น อยากกินไอศครีม เป็นต้น ไม่ใช่ว่า ไปนั่งหลับตาทำฌาน พอลืมตาก็เรียกน้ำร้อนน้ำชามาซดกันใหญ่ 

พ่อครูว่า... ฌาน 1 วิตกวิจาร พักได้ มันก็ปีติดีใจ ที่เราเจริญด้วยดีว่าถูกต้องแล้วหนอ เสร็จแล้วมันก็ต้องลดเพราะว่าปิติถือว่าเป็นอุปกิเลส ให้มันสงบลงไปจึงเป็นขั้นสุข ปีติ สุข จนกระทั่งสุขก็ยังมีอาการอยู่ กรึ่มๆไม่เอา ให้มันเป็นกลางๆ วางเฉยเป็นอุเบกขา 

สายเจโต วิตกวิจารก็อย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่งต่างกัน เสร็จแล้วไปถึงฌานที่ 4 ฌานที่ 4 เขาก็เป็นเอกัคคตา เป็นจิตเป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แต่ยังไม่เข้าฐานอุเบกขา แต่มันมีอุเบกขาเป็นคำอธิบายของพระพุทธเจ้าอยู่ เขาก็เลยโมเมเป็นอุเบกขา แต่ อุเบกขาของเขาหมายถึงจิตสะอาดจากกิเลส เขากดข่มกิเลส มันก็ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ ตัวเอกัคคตาเขา เป็นทำแบบสะกดจิตกดข่ม ชเป็นสายนั่งหลับตาแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส นอกรีต ของพระพุทธเจ้า เขาก็ทำได้ 

สัญญาไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันแต่กายต่างกัน เพราะฉะนั้นพวกที่ลืมตาทำกายต่างกัน ฌาน จึงเป็น ฌาน ลืมตาที่เป็น ฌานวิสัยไม่ใช่เดาได้ง่ายๆ พวกฌานหลับตานั้น เดาไม่ออกเลยจนกว่าจะมาปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองได้เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ คุณจะรู้ได้ว่า ฌานลืมตา มันต่างจาก ฌานหลับตาอย่างนี้หรือ 

ตายๆๆ หลงมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้ก็หลงมาเสียจนแก่แล้ว ฟังโพธิรักษ์มาไม่รู้กี่ร้อยเที่ยวแล้ว กูก็จะนั่งหลับตาบอกว่า โพธิรักษ์ไม่เคยนี่หว่า ปัดโธ่เอ๋ยอย่างนั้นมันจะไปยากอะไรนั่งหลับตา อย่างนั้นอาตมาก็พูดให้ฟังไม่รู้กี่ทีแล้ว อาตมานั่งหลับตาอยู่ที่ป่าแสม วัดอโศการาม เคยพูดแล้ว ใครนึกออกไหมว่าจะพูดอย่างไรต่อไป ... 

_สู่แดนธรรม... นึกออกครับ ยุงกัดครับ

พ่อครูว่า... นั่งตากยุงอยู่ข้างนอกแหละ แล้วก็นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปข้างใน ยุงทะเล ยุงป่าแสม มันมาทีละก้อนๆนะ มันไม่ได้มาทีละตัว มันรุมเรา ไม่รู้สึกเลยข้างนอก เก่งมาก สมถะเก่งมาก ถ้าอาตมาทำจริงๆไม่ได้พูดโกหก ฝึกมาทำไมจะไม่รู้ไอ้อย่างนั้น พอออกมา โอ้โห อาตมาไล่ยุงแล้วแดงเถือกลายพร้อยคันคะเยอ ยุงทะเลนี่ไม่ใช่ยุงลายยุงที่เป็นโรค 

เพราะฉะนั้นอย่างนั้นอาตมาว่า อาตมาไม่ใช่หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว อย่างที่คุณทำนี้อาตมาทำได้หมดแล้วก็ไม่ได้ด้อยได้น้อยกว่าพวกคุณหรอก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านรู้หมดท่านทำมาหมดทุกอย่างอะไรที่ เดียรถีย์ เขา ทำ

อาตมาไม่ได้หมาเข้าท่านจะต้องไปกินขี้ ตั้งแต่กินขี้ก้อนใหญ่ จนกระทั่งออกมาหรือขี้ก้อนน้อยลงก็กินขี้ที่ออกมาอีกน้อยลงน้อยลงจนกระทั่ง ไม่เหลือ พระพุทธเจ้าท่านทำมาหมด อาตมายังไม่ถึงขั้นนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ที่เขาผ่านมาแล้วอาตมาผ่านมาหมดไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าเราเป็นหมาเห็นหน้าเงินช่วยแล้วเราทำไม่ได้เราก็เลย แอ๊คว่า องุ่นนี้มันเปรี้ยว อาตมากินมาไม่รู้กี่พวงแล้วองุ่น ไม่ใช่หมานะคนนี้แหละกินองุ่น นึกว่าคุณเป็นคนกินองุ่นเท่านั้นอาตมาก็เป็นคนกินมาทั้งนั้นไม่ใช่หมาให้องุ่นเปรี้ยว มาเหยียดว่าเป็นหมาเลย

เอาละ อาตมาก็อุ่นเลยไป 7 นาที ... ก็พอสมควร สองชั่วโมงเต็ม เอื้อไออุ่น ประเดี๋ยวจะอ้าวเจริญธรรมคุณทุกคน...สาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะครั้งที่ 42 ปี 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 เมษายน 2566 ( 14:54:47 )

660417

รายละเอียด

660417 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ราชธานีอโศก 

https://www.boonniyom.net/52993.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Q_EgPQja-63Wq6GdTMhewSKxU4VAxhbA/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1QY5ZqlSOv2uOvh4lSTGM71XbzPjdtFBy/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/MEFhmBksrZY 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/616732716659944 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

เรามาเริ่มธรรมะกันด้วย SMS ก่อนแล้วก็ขยายธรรมะ อธิบายธรรมะไปตาม SMS มันก็เป็นการอธิบายไปสู่เป้า ของผู้ที่ใคร่รู้สงสัย ต้องการคำอธิบาย มันก็ไม่ใช่อาตมาพูดคนเดียว อาตมาพูดคนเดียวด้วยเจตนาจะเอาความรู้เอาธรรมะที่คิดว่าควรจะต้องขยายออกมาขยายออกมา ยังไม่มีใครรู้ ยิ่งไม่มีใครเข้าใจเลย จะต้องเอาออกมาให้สังคมมนุษยชาติได้รู้ มันก็ค่อยทำ ตอนนี้เอาที่ผู้ที่อยากรู้กับเขาบ้าง แต่ยังไม่รู้รายละเอียดก็ถามมา 

SMS วันที่ 12-15 เม.ย. 2566

 

ดู YouTube คนต่างชาติมากินมาเที่ยวไทยเป็นอบายมุขหรือไม่ 

_วาส ทองจันทร์  · กราบนมัสการพ่อครูค้วยความเคารพยิ่งครับ นานแล้วที่ผมไม่ได้ส่งข้อความถามปัญหา วันนี้ผมมีข้อสงสัยว่า จะผิดไหมที่ผมได้ดูยูทูปเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่นิยมไทย ทั้งจีน ญีปุ่น เกาหลี ฝรั่ง แขก ที่เขาแห่กันมาเที่ยวไทย เห็นเขากินเขาเที่ยว เห็นเขามีความสุขและยกย่องไทยต่างๆ นาๆ ผมก็ดีใจปลาบปลื้มใจ และดีใจไปกับเขาเมื่อเขามีความสุข   อย่างนี้มันเป็นอบายมุขไหมครับ

พ่อครูว่า... ตอบในประเด็นสำคัญนี้ก่อนว่าเป็นอบายมุข ถ้านับอย่างดีๆ นับอย่างลึกซึ้ง เป็นอบายมุข  ยังยินดีในเรื่องกินเรื่องเที่ยว ฟังดีๆนะธรรมะพระพุทธเจ้า ยังหลงใหลเสวยสุข เสวยทุกข์อยู่กับกินกับเที่ยวอย่างเป็นอบายมุข ระวัง.. 

เพราะฉะนั้นคนที่หยุดแสวงหากินอร่อย หยุดเที่ยวที่จะสนุก คนนี้ลดอบายมุข คนที่ยังไม่หยุดเที่ยว ที่ยังรู้สึกสนุกในการเที่ยว ยังเป็นอบายมุข คนที่ยังหลงแสวงหาอร่อยมาให้ตนเอง คนนั้นก็ยังมีอบายมุขยังข้องหาอบายมุข ยังท่องหานรกอยู่ 

เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเอาผิด เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร เขาอวิชชาเต็มรูป ชาวที่ไม่ใช่พุทธ แม้แต่พุทธที่ยังไม่ประสีประสายังไม่สัมมาทิฏฐิอย่างลึกซึ้งจริงๆ ได้คิดขั้นโลกุตตระตามที่อาตมาพูดไป เขายังเป็นผู้แสวงหาความอร่อยให้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ยังแสวงหาการเที่ยวสนุกเพลิดเพลินใน ขิฑฑาปโทสิกะ ยังไปอยู่เรื่อยๆ ก็เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 

 

ศึกษานิพพานต้องรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาท 

_อุ้น ตาลทอง  · อธิบายปฏิจจสมุปบาทให้ฟังบ้างได้มั้ยคะ จะรอฟังในยูทูปค่ะ

พ่อครูว่า... ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมะที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณแล้วก็แยกนามรูปไม่เป็น หรือสรุปมาเป็นอายตนะก็ไม่ได้ จะเริ่มที่เรียนรู้อีกมีผัสสะ มีเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ ก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ แม้ว่ามันจะเกิด เกิดอย่างนี้แหละมันจะเป็นสายเกิดไม่ใช่สายดับที่พูดกันเมื่อกี้ 

สายดับก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิด อะไรคือชาติ เมื่อเกิดชาติมันก็เกิดภพ เกิดภพแล้วก็สั่งสมเป็นอุปาทาน เมื่อมีอุปาทานมันก็เคลื่อนไหวเคลื่อนที่ออกมาเป็นตัณหา เป็นตัณหาก็ออกมาเป็นความรู้สึกมาเป็นเวทนา 

เวทนาสุข สุขเวทนาต้องการที่จะสิ่งบำเรอความรู้สึกสุข ไม่ต้องการทุกข์ก็ดิ้นรนหาผัสสะ เอาผัสสะนั้นมาบำเรอสุข หรือที่จริงก็มาเสริมทุกข์ให้หนายิ่งๆขึ้นด้วยอวิชชาก็เป็นอย่างนั้นแค่นั้น นี่คือปฏิจจสมุปบาท 

เพราะฉะนั้นคนเราจะต้องมาเรียนรู้สภาวะหรืออาการของสังขารมันเป็นยังไง อาการของวิญญาณมันเป็นอย่างไร อาการของรูปของนามมันเป็นอย่างไร จนกระทั่งแยกอาการได้เป็นรูปนามได้เป็นภาวะ 2 ได้ รวมกันเป็นอายตนะก็รู้อาการได้ เพราะฉะนั้นอาการเหล่านี้นี่แหละเป็นอาการทางจิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วจิตเจตสิกรูปนิพพานนี้มันก็ยังติดสุขเกลียดทุกข์ไม่อยากได้ทุกข์ มันก็เป็นภาวะ 2 ที่ดูดและผลักอยู่แค่นั้น 

ก็มาเรียนรู้เวทนา ที่มันดูดหรือผลัก 

จนกระทั่งรู้ว่ามันไม่ต้องดูดต้องผลักอะไรนี่จิตวิญญาณ หรือเวทนาในมนุษย์ เพราะแม้แต่สามัญปุถุชนมันก็มีวาระที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุขเวทนาอยู่เป็นคราวๆเป็นเวลาพัก พักยก มีโดยอัตโนมัติแม้แต่ปุถุชนก็มี เป็นต้น 

แต่มันไม่อยู่นานหรอก  พักยก มันยังโง่มันก็วิ่งหาสุข ก็คือ วิ่งหาทุกข์นั่นแหละ เพราะสุขทุกข์มันเป็นอันเดียวกันมันเป็นมายาหลอก

ถ้าไม่มาเรียนรู้ว่าสุขทุกข์เป็นอารมณ์หลอกเป็นมายา มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่ศึกษารู้เรื่องนี้ เทวนิยมในโลกนี้ไม่มีศาสนาไหนที่จะออกจากสุขจากทุกข์ไม่มี 

ผู้เรียนรู้สุขรู้ทุกข์แล้วจึงจะรู้จักอัตตา อนัตตา ได้อย่างแท้จริง ที่แท้ตัวเราอัตตาตัวคือ เอ๋ย ตัวกูก็โง่อยู่กับสุขกับทุกข์นี่แหละ ไม่เอาทุกข์จะเอาสุข แล้วก็บำเรอจิตอยู่อย่างนี้ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จึงมีความรู้ วิชชา ความโง่ของตัวเอง 

แล้วมันอยู่ไหนสุขทุกข์ สัมผัสอยู่ปัจจุบันนี้แล้วมันก็กลายเป็นอดีตแล้วก็ฝังให้ตัวเองยึดติดว่ามันเป็นจริงมีจริง แค่อดีตมันก็ไม่จริง แต่นึกว่าเป็นจริงก็อยู่ที่สัญญาคือความจำ เคยเป็นสุขนะ อย่างนี้คือทุกข์นะ อั๊วะไม่เอานะทุกข์ อั๊วะจะเอาแต่สุข อนาคตก็วิ่งหาแสวงหาที่จะเอาแต่สุข ก็จะได้ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ ยิ่งกิเลสหนาโง่หนักๆซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด 

เพราะคิดดูคนเราเมื่อไหร่จะมารู้ ยิ่งเราได้รู้แล้วจะยิ่งได้เห็นว่าน่าสงสารมนุษย์ แล้วมนุษย์เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ จนกระทั่งทำตนให้อยู่เหนือไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วจิตก็หมดเหตุที่จะพาเกิด ก็คือเมื่อไม่เกิดสุข มันก็ไม่เกิดทุกข์จิตก็ว่างจิตก็สะอาดจากเหตุที่มันจะสุขจะทุกข์ ก็กลายเป็นจิตอุเบกขา กลายเป็นจิต ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าจิตก็คือธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น เป็นธาตุ

ของรูปกับนาม พอตายแล้ว นามคือจิตนิยาม ตายแล้วเลิก ตายเป็น นิพพาน 3 ตายแล้วก็สูญ เป็นสุญญตนิพพาน ไม่ตั้งจิตต่อ อนิมิตนิพพาน ไม่สร้างนิมิตอะไรอีกเลย อัปนิหิตตนิพพาน จิตนิยามก็หายไปกลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีที่ตั้ง สูญไปเลย เลิกไปเลยอัตภาพนี้ก็หายไปเกลี้ยง จ้อย เป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน สุดท้าย นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็เพราะรู้จักปฏิจจสมุปบาทนี่เอง 

 

ตลาดอาริยะเป็นการช่วยเศรษฐกิจประเทศเศรษฐกิจโลก

_ศศิธร โลมะบุตร  · ขอน้อมก้มกราบ นมัสการพ่อครู เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ ( เพราะบารมีธรรมของพ่อครู คณะท่านสมณะ คณะท่านสิกขมาตุ และ มวลชาวอโศก ทั้งปวง รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงสามารถจัดงานตลาดอาริยะอย่างเสียสละได้ยิ่งใหญ่นี้เจ้าค่ะ หาได้ยากยิ่งเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ )

_สิริลักษณ์ ปัญญา : ปันสุขทุกคน ตลาดอาริยะ ขายของต่ำกว่าต้นทุน มีแห่งเดียวในประเทศไทย

พ่อครูว่า... จริง ในโลกขณะนี้ไม่มีที่ไหนที่จะมีเจตนาจริงบริสุทธิ์ใจ ที่จะทำตลาดอาริยะ เพื่อช่วยมนุษยชาติให้เขาได้มีเครื่องกินเครื่องใช้ เพราะว่าเราไม่ได้ไปหาเครื่องเล่น  เครื่องประเทือง เครื่องบำเรออะไรมาขาย เราขายแต่สิ่งที่เป็นสาระ เขาก็ได้มาอาศัยซื้อราคาถูกเอาไปใช้งาน มันเป็นการช่วยเศรษฐกิจให้แก่สังคม ให้แก่ประเทศ ให้แก่มนุษยชาติ เป็นการช่วยเศรษฐกิจ เหมือนรัฐบาลช่วย รัฐบาลแจกเงินไปแล้วเขาเอาไปทำเอง จะไปหาอั้นนั้นอันนี้แจกให้ทีเดียวมันก็ละเอียดเกิน แต่พวกเราอยู่ในพื้นฐานมวลมนุษยชาติ ก็พอรู้ว่า 

เครื่องใช้สำคัญ เครื่องกิน เครื่องใช้ที่สำคัญจริงๆเป็นสาระเป็นปัจจัยชีวิต เราก็หาสิ่งนั้นมาบริการกันเราก็ทำอยู่อย่างนี้ 

แล้วก็ทำมานานตั้งแต่อาตมาพาทำงานศาสนามา ทำตลาดอาริยะมา 40 กว่าปี 40 กว่าครั้งแล้ว ที่จริงมากกว่า 40 ครั้งที่ไม่ได้นับครั้งย่อยๆอีก เราเคยทำมาในจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไม่ได้ทำส่วนกลางที่เดียวก็เคยทำ 

ก็เป็นความรู้ของเราที่รู้ว่าเราช่วยมนุษยชาติเสียสละอย่างนี้แหละ สังคมก็จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น เหมือนกับรัฐบาลมีหน้าที่ช่วยสังคมเป็นการช่วยเศรษฐกิจสังคมโลก 

 

ลุงตู่ให้ใช้เตาถ่านเป็นสิ่งถูกแต่ทำไมถูกด่า

_ทุ่งทอง ผ่องสุวรรณ  · สาธุคับหลวงปู่..ผมชมตลาดนัดแล้ว ส่วนมากชาวบ้านซื้อเตาถ่านหรืออังโล่กลับบ้านกัน แต่ทำไมตอนลุงตู่บอกให้ชาวบ้านหันมาใช้เตาถ่าน  มีแต่คนด่าลุง

พ่อครูว่า... ช่างจับมาเนาะ อาตมาก็ไม่ได้ยินผ่านหูว่า ลุงตู่ได้พูดแนะนำให้ชาวบ้านใช้เตาถ่าน อาตมาไม่ได้ยิน ไม่ได้ผ่านหูว่าลุงตู่ได้พูด แต่คุณทุ่งทองได้ยิน คนอื่นก็ด่าลุงเลย ไปเอานิยายอะไรกับคนด่า เราจะต้องมีความมั่นคง มีความรู้ความมั่นใจว่าที่เราเสนอ เราช่วยสังคมมนุษยชาติไป มันเป็นสิ่งที่สมควร มันเป็นสิ่งที่จำเป็น มันเป็นสิ่งที่ควรที่จะต้องเสนอให้แก่สังคม เราก็ไปทำด้วยความรู้ความมั่นใจของเรา แต่คนจะด่านี้มันก็ด่าตะพึด มันหาเรื่องด่าไอ้โน่นไอ้นี่ไป เราก็ฟัง   เขาด่าบางทีเขาด่าดีมีเหตุผลก็เป็นประโยชน์ บางทีมันด่าสาดเสียเทเสียเพื่อที่จะให้ดิสเครดิต ด่าเพื่อจะด้อยค่าเราไปเท่านั้น มันก็เป็นธรรมชาติมีอยู่ เราจะไปเอานิยายอะไรกับมันได้ เราก็ฟังไปมีประโยชน์บ้างก็เอามา ไม่มีประโยชน์ก็ปล่อยทิ้งไป 

 

_ฝากฟ้า นาวาบุญนิยม : ได้อดีตแอร์ฮอสเตส(น้องพิมพ์เพชรรุ้ง)ระดับอินเตอร์ มาจัดการเอง ทำความสะอาดห้องสุขา ก็ต้องสะอาดน่าใช้แน่นอน สาธุทุกๆท่านที่ร่วมด้วยช่วยกันสร้างกุศลครั้งนี้ นะคะ

พ่อครูว่า…ผู้ที่เห็นควรทำเห็นว่าเป็นสาระกว่าที่เราทำมาก่อน แต่ก่อนก็ไปบริการแต่คนมีสตางค์ในเครื่องบิน ก็เป็นประโยชน์ระดับ หนึ่ง แต่เราบริการคนทั่วไปคนพื้นๆและเป็นความจำเป็นแล้วหาคนที่จะไปทำได้ยาก ถ้าตีราคาเป็นกุศลนี้จะเป็นกุศลที่สูง แต่ทางโลกไปตีราคาอย่างโน้นสูงอันนี้ราคาต่ำ ดีไม่ดีกดขี่ดูถูกดูแคลน คนที่มีปัญญาก็รู้สาระ ทำสาระให้เป็นสาระ คนที่ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้จักสาระ ไปทำอสาระ รู้จักสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นอสาระ มันก็เป็นธรรมชาติของคนก็แบ่งกันทำไป 

 

_อนุชา นามบุตร : เมนูที่ชอบเลยคับ ส้มตำ ลาบหมู ลาบหมูแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นลาบหมูเจ อร่อยมาก กับเมนูอาหารบาทเดียว

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

พ่อครูว่า… กินอาหารไม่ถึง 50 บาทท้องตึงเลย ถ้ากินหมด 50บาทท้องแตกเลย มีจานละบาท ส้มตำจานละบาท เศรษฐกิจที่นี่สุดยอดเลยนะ เราทำได้เราทำได้จริงๆมาแบบนี้เสมอ 40-50 ปี สุดยอด มันน่าจะทำต่อ 

 

_สิริลักษณ์ ปัญญา : ตลาดอาริยะแต่ละครั้ง นอกจากผู้ชื้อได้สินค้าราคาถูกแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับพี่น้องที่นำรถเข็นมาบริการ ขนสินค้าจากอาคารบวร ไปส่งที่ลานจอดรถ ก็เป็นระยะทางไกลพอสมควร โอกาสทองได้ของดี ราคาถูก สร้างรายได้ให้รถเข็นนำพาสินค้าสู่ลานจอดรถ สุดยอด ตลาดชุมชนรวมพ่อค้า แม่ค้า ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ยกนิ้วให้

พ่อครูว่า…ดี

_Chalad Sermpanya ฉลาด เสริมปัญญา : ปีหน้าขอตั้งตบะจะมาร่วมงาน..ให้ได้ค่ะ

พ่อครูว่า… รีบมานะ ไม่ใช่อะไรหรอก อาตมาว่าตลาดอาริยะก็คงไปได้เรื่อยๆ กลัวคุณจะตายก่อน ให้รีบมา เดี๋ยวนี้ดูสิขนาดนายเอ๋ ชนม์สวัสดิ์อายุ 50 กว่าเอง ปึบเดียวตายจ้อย heat stroke ตายเลย นี่ก็พูดไปงั้นไม่ได้แช่งคุณนะ

 

_ประดับ อินทร์แป้น  · นับถือความเห็นของท่านดร.ไตรรงค์ครับ...ตรงไปตรงมาดี ที่เกี่ยวกับวงการของศาสนาอื่นครับ.

 

_งามใบตอง นิลมณี  · น้องปุ้ยกับคุณแม่นาลี จาก สปป.ลาว ก็น่ารักสุดๆ เลยค่ะ คุณแม่พาน้องปุ้ยมาเรียนที่นี่เลยค่ะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า… เขาก็เป็นคนลาว จะมาที่นี่ อยากมาเห็นว่าดีก็มา ไม่มีปัญหาอะไร เป็นนักเรียนต่างประเทศก็ได้เนาะ จากลาวเป็นนักเรียนต่างประเทศมาเรียนที่ไทยเลยก็ได้ ก็แล้วแต่วิถีชีวิตของแต่ละคน 

 

_วิมล เจวรัมย์  · ปฏิบัติกร คุณแหม่ม คุณมะลิ คุณนาลีและลูก ๆ คุณเกตุมณีและลูก ๆ ทุกคนมีของเก่ามาทุกท่าน สุดยอดจริงๆค่ะ

พ่อครูว่า… คนนี้ก็มองลึกถึงว่า พวกที่มาก็มีของเก่า ทุกอย่างมีมาแต่เหตุก็คงมีของเก่าด้วย แล้วก็มาได้รับของใหม่จนถึงขีดหนึ่งก็มาสัมผัสสัมพันธ์ ยังไม่มีบารมีถึงขีดถึงเขต มันก็ไม่เข้ามา หรือแม้แต่จะได้สัมผัสได้พบก็ไม่ได้สัมผัสไม่ได้พบก็เพราะไม่มีบารมี อันนี้ไม่ได้พูดอย่างเท่ๆแต่พูดด้วยความจริงเป็นอย่างนั้นเป็นไปตามนั้นแหละ 

 

_Ka Por ข้า พอ   · เกศมณี คุยสนุก ด้ย_แปลว่า_ค่ะ ใช่บ่

พ่อครูว่า… ใช่ โด้ย ขะน่อย ก็คือขอรับกระผม(ดิฉัน) เป็นคำรับ หรือขอรับดิฉัน เป็นคำรับว่าใช่ เป็นภาษาลาว อีสานก็ใช้ อีสานเก่าๆก็โด้ยๆๆ

 

พรปีใหม่ไทย 2566 จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · ใครช่วยบอกได้บ้าง?ว่าพ่อครูประทานพรปีใหม่ไทยปีเถาะแล้วฤายัง?ปีที่แล้วพ่อครูให้พรปีใหม่ไทยวิถีใหม่ว่า หมดสุข..หมดทุกข์..ฯ ปีใหม่ไทยนี้ยังไม่มีใครส่งเพจ พรพ่อครูมาเลยสาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 เมษายน 2566 ( 21:33:39 )

660419

รายละเอียด

660419 ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52992.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1LIb1tBuITCePajwHzLntRfJzmC_6hgp0/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Ke9TuYdKMHwkUqjtmCuL7PwcV5NbgnVS/view?usp=share_link

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Aw-57cBLo8Y 

และ https://fb.watch/j-Gj5h7Ni5/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราเพิ่งเสร็จงานตลาดอาริยะครั้งที่ 42 ไป ทำมา 40 กว่าปี ตอนเริ่มต้นทำที่สันติอโศก มีคนไม่กี่คนมาขายของ แล้วก็ย้ายไปที่ปฐมอโศก คนมาไม่เท่าไหร่ จนทุกวันนี้คนมามืดฟ้ามัวดินใช้เวลา 40 กว่าปี 

ซึ่งโลกุตระอาจจะไม่หวือหวาฟู่ฟ่า แต่ว่าค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป เป็นการขายราคาขาดทุนโลกีย์แต่กำไรอาริยะ ความคิดอย่างนี้ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าทางโลกมีแต่จะอยากได้เอาเปรียบกันทั้งนั้น แต่นี่คิดกลับตาลปัตรกับทางโลก อาหารจานละ 1 บาทตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ 40 ปี ไม่มีขึ้นราคาเลย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าวัตถุดิบอะไรจะขึ้นไม่เกี่ยว 1 บาทอย่างเดียวเรื่อยไป ไม่รีบร้อนแต่เร่งเครื่องตลอดเวลา ไม่หวือหวาแต่มั่นคงยาวนาน คนก็ค่อยๆรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่อยู่กับพ่อครูมาจะเห็นลักษณะอย่างนี้ โลกุตระจะไม่หวือหวาแต่มั่นคง ทำอย่างเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ 

เหมือนตอนไปชุมนุมพ่อครูให้โศลกว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ  

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 17-18 เม.ย. 2566

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกกลับมาจากไปร่วมงานที่บ้านราชแล้วค่ะเมื่อวันที่ 16 เม.ย. พอถึงบ้านก็ได้พบแม่และพบสามีที่กลับมาจากทำงานขนขยะที่กรุงเทพ ได้พบลูกสาวลูกชายด้วยค่ะ พอตกค่ำเราก็นั่งล้อมวงคุยกัน ลูกก็ถามว่า"ข่อยไปบ้านราชมาหลายมื่อ ทุกคนคิดจั่งใด๋" แม่บอกว่า"แม่นบหาพ่อครูทุกมื่อ ขอบารมีพ่อครูให้แม่บ่เป็นหยัง ลูกสิได้อยู่ส่อยงานพ่อครูจนจบงาน ลูกกลับมาแล้วแม่ดีใจแฮง แม่บ่เป็นอิหยังเลย บ่ป่วยเล้ยย" ส่วนสามีก็บอกว่า"เจ่าอยู่พุ้นอย่าห่วงหน้าห่วงหลัง ข่อยอยู่ทางนี้ข่อยสิเบิ่งลูกเบิ่งแม่เอง" ส่วนลูกสาวก็ว่า" หล่าคิดฮอดอิแม่แฮง"สำหรับลูกชายก็ถามว่า" งานปลุกเสกเป็นจั่งใด๋ ได้เอาพระไปปลุกเสกนำบ่"ลูกก็ตอบว่า" บ่แม่นแบบนั้น คือเอาคนมาฟังเทศน์ปลุกเสกคนให้เป็นพระ คือจั่งปลุกเสกคนกินเหล้า คนเล่นการพนัน คนกินเนื้อสัตว์ ให้มาเซากินเหล้า เซาเล่นการพนัน เซากินเนื้อสัตว์ จั่งซี่" ลูกชายก็พยักหน้า ลูกก็เล่าบรรยากาศตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอนของงานปลุกเสกและงานตลาดอาริยะให้ทุกคนฟัง สุดท้ายลูกก็สรุปให้ทุกคนฟังว่า "เกือบ30ปีมานี่บ่เคยออกบ้านนานเท่านี่ กะมีครั้งนี้หละที่ไปปฏิบัติธรรมและกลับมาด้วยความสบายใจเพราะทุกคนเข้าใจ ข่อยกะขอบคุณทุกคนที่อนุญาตให้ไปบ้านราช" ลูกมากราบเรียนพ่อครู น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

 

ปฏิบัติธรรมไม่หาเงินแต่ชอบยืมเงินแล้วไม่จ่ายหนี้ถูกต้อง 

_Ampika Chung เอมพิกา ชุง   · นมัสการเจ้าค่ะ มีเพื่อนไม่กินสัตว์ ไม่หาเงิน ไม่ใช้เงิน แต่พอเดือดร้อนไปยืมคนอื่นจนเป็นหนี้ แต่เขาก็ปลงได้ด้วย ไม่เดือดร้อนว่าตนเป็นหนี้เป็นสินคนอื่น แบบนี้เรียกว่าปลงได้ และไม่ต้องทำกิน ไม่ขายและบอกไม่ชอบเงิน 

แต่ทุกครั้งเดือดร้อนต้องยืมเงินคนอื่นบ่อย ๆ (เหตุเพราะชินจากการเคยรับ จากการให้ทานจึงนอนรอโอกาส สักวันคงมีคนนำมาให้ แบบนี้ถือว่าปฎิบัติธรรมมองบวก จนไม่เดือดร้อนกับเจ้าหนี้ต้องฝึกทำจิตแบบไหนคะ) จึงจะทำได้แบบนี้ค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ต้องทำความฉลาดทำความรู้ให้ได้ก่อนว่า ไอ้คิดแบบนี้ทำแบบนี้ มันจะเข้าท่าหรือ ไปยืมเงินแล้วก็เฉย ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วไม่ใช้หนี้คืนด้วย จะทำได้ไง เพราะฉะนั้นก็ต้องทำความเข้าใจให้แจ้งว่า ที่ทำอยู่อย่างนั้นมันไม่ถูก ไม่ถูกต้อง ทำเข้าไปวันหนึ่ง ถ้าไปเจอเจ้าหนี้ที่โหดๆ..ตาย มันมาเอาตายเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่คืนแบบนี้นานเข้า มันก็เอาตายเท่านั้นเอง ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่ามันไม่ถูกต้อง คิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่สอดคล้องแม้แต่สมมุติสัจจะของโลกก็ไม่ถูก ยิ่งปรมัตถ์แล้วยิ่งไม่จริงใหญ่เลยแบบนั้นเรียกว่า มันขี้โกงเขา ไปเอาของเขามาแล้วไม่ใช้คืน มันเป็นเรื่องของสามัญ สังคมโลกเขาง่ายๆ ตื้นๆ จะไปถือเป็นปรมัตถ์ ทุกอย่างไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งนั้นอะไรอย่างนี้ คุณจะตีกินแบบนั้นไม่ได้ มันจะซับซ้อนสลับสับสนวุ่นวายตาย ใช้ไม่ได้ 

 

โลกุตระจะไม่ยินดีในการเที่ยวแต่ยินดีในการสร้างอาหารเผื่อโลก

_พลังเพ็ญ คำด้วง  · ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ละเอียดสุขุมลึกซึ้งอย่างยิ่ง (เรื่องอบายมุขที่พ่อครูอธิบาย แค่มีความยินดีที่ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะ) ก็ถือเป็นอบายมุขขั้นละเอียด ทำให้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นค่ะ เกิดปัญญามากขึ้น กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... เป็นอบายมุขขั้นละเอียดคือเป็นสิ่งที่ไม่ดี อบาย ถ้าใส่คำว่า มุขะคือเป็นหัวหน้า ยิ่งใหญ่ สำหรับเราที่ยังมีจิตที่ยังมีการฟูใจ คนชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะ เราก็ยินดี แล้วไอ้ความยินดี มันก็มีองค์ประกอบ ยินดีที่เขามาเที่ยวเมืองไทย ตื้นๆก็ยินดีที่เขามาเที่ยวเมืองไทย แต่องค์ประกอบที่มาเที่ยวเมืองไทยก็จะมีว่า  ในด้านวัตถุ เขามาเที่ยวเมืองไทยก็เอาเงินมาจ่าย เอาเงินมาใช้สอยในเมืองไทย อันนี้ก็เป็นเรื่องของโลกสากล คิดว่า อันนี้เป็นเศรษฐกิจ อันนี้เป็นรายได้ ที่คนต่างชาติเข้ามาแล้วก็นำเงินเข้ามาแล้วเอามาจับจ่าย เอามาใช้ เอามาสะพัดออก มาให้แก่คนไทยได้รับเงิน จากการซื้อขายของกินของใช้อะไรก็แล้วแต่ 

มันก็เกิดการเป็นบทบาทของโลก คนทั้งโลกก็มีเรื่องซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยอัตราเงินทอง จนกระทั่งมันสนิทเนียน จนกลายเป็นเรื่องที่เขายึดว่าสำคัญที่สุดที่จะใช้ ในการยังชีพ 

เพราะฉะนั้นในโลกสามัญปกติธรรมดาๆ ก็มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน สร้างผลผลิตขึ้นมาแล้วก็ขาย เอาเงินมาซื้ออย่างอื่นที่เราไม่ได้ผลิต เราผลิตอันนี้แล้วก็ไปซื้ออย่างอื่นที่เราจำเป็นต้องกินต้องใช้ต้องอาศัยอย่างอื่น สลับไป มันก็เป็นการยังชีพไป 

ทีนี้ถ้าคนที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก จนกระทั่งไม่ต้องไปพึ่ง ไม่ต้องไปพึ่งพาเงินของคนอื่น อีกเลย หรือให้ชัดๆก็คือ ไม่ต้องไปพึ่งเงิน ไม่ต้องไปพึ่งธนบัตรอีกเลย เรามีชีวิตอยู่กับปัจจัย เช่น ปัจจัย 4 

ปัจจัย 4 คืออาหาร ข้าว ผ้า ยา บ้าน อาหารการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วก็เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค แล้วก็ที่พักที่อาศัย 

ที่พักที่อาศัย อย่างเราชาวอโศกไม่ต้องยึดว่าเป็นบ้านของเรา มีบ้านส่วนกลาง แม้คนที่มาสร้างบ้านในส่วนกลางนี้ก็จนกระทั่งไม่ยึดว่าเป็นบ้านของเรา ใครจะมาอาศัยร่วมก็ได้ เพราะว่าบ้านก็อยู่ได้หลายคน อย่างนี้เป็นต้น เราก็พึ่งพาอาศัยกัน บ้านไม่ต้องมีของตนเลย ก็อาศัยพึ่งพากันไปได้ ยาก็มีของส่วนกลาง อย่างบ้านราชที่โฮ่งปัว ผ้านุ่งก็เบิกใช้กับกองกลาง ก็มีเบิกได้ 

อาหารการกินยิ่งมีส่วนกลาง แต่ละวันแต่ละวันก็เก็บขึ้นมาช่วยกันปลูกช่วยกันใช้ทุกวัน กินไปหมดไป แล้วก็อุจจาระออกไป ทิ้งไป มันก็ต้องปลูกต้องเก็บทุกวัน อันนี้เป็นเรื่องหนักต้องทำงานสำคัญเรื่องอาหารการกิน กวฬิงการาหาร เรากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์ เราก็สร้างจนกระทั่งเป็นปกติสามัญ 

ซึ่งอาตมาก็ยังพยายามจะเร่งรัดพัฒนาให้พวกเราลงมาเป็นชาวไร่ ชาวสวน ชาวกสิกรกัน ไปปลูกพืชผักกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะถ้ามากแล้วเราก็มีหน่วยสะพัดแจกจ่ายออกไป เชื่อว่ามีที่แจกจ่าย จะขายบ้างเพื่อที่จะได้อะไรแลกเปลี่ยนมาอย่างถูกๆจริงๆ แจกได้อยู่แล้ว มันมาก ทุกวันนี้เราก็ยืนยันว่าเราพอแจกได้อยู่ ขายถูกเราก็ขายได้อยู่ 

แล้วยิ่งทุกวันนี้พวกเราเข้าใจ แล้วก็มาช่วยกันทำให้มากยิ่งขึ้นๆ แจกออกไปอีก ขายให้ถูกลงไปอีก นี่คือความเจริญ ยิ่งแจกได้มากยิ่งถูกลงไปอีก เห็นไหม เศรษฐศาสตร์ของชาวโลกุตระ ทิศทางแนวโน้มของความเจริญกับทิศทางแนวโน้มของความเจริญโลกียะของทุนนิยม มันตรงกันข้ามกันเลยเห็นไหม 

แล้วเห็นจริงๆอย่างที่ว่านี้ด้วยนะ เห็นจริงอย่างนี้ไหม เรายิ่งทำอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นจริงเฉยๆ  มาลงมือทำสิแล้วมันจะได้มากยิ่งๆขึ้น เพื่อการให้เห็นทิศทางของสัจธรรมที่ว่า เจริญจริงๆ ความเจริญที่เป็นโลกุตรธรรมแท้ๆ เรายิ่งได้เสียสละ เพิ่มพูนการเสียสละ ตัวสุดท้าย ใน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ (พ่อครูคันจมูก ตัดออก)

การไปยินดีในสิ่งที่ได้มา จนกระทั่งเราเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ได้มามันดี มันไม่เสียหาย เราก็อย่าไปให้เกิดจิตฟูขึ้นมาถือเป็นอุปกิเลส ของอาริยะชนชั้นสูง ชั้นละเอียด รู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ วางใจ มุทิตา เห็นว่าก็ดีแล้วก็วางไม่ต้องมีจิตฟูใจ มุทิตา แล้วก็อุเบกขา 

มุทิตา คือ มันรับรู้ในทันทีทันใดนั้นว่าอันนี้มันควรแล้ว แม้เรื่องไม่ควร เราก็รู้มีปฏิภาณซ้อนว่าอันนี้บกพร่องอยู่นะไม่ควร จะต้องปรับปรุงให้มันดี แต่อันนี้ดีแล้วควรแล้วก็มุทิตาดีแล้ว แล้วก็อุเบกขา ใจของเราก็เข้าใจอย่างนี้ ทำใจในใจของเราได้อย่างนี้ อย่างชำนาญอย่างเร็วอย่างได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากใน ฌานทั้ง 4 นี่แหละเป็นอาการของจิตเจตสิกของผู้ที่ ฝึกดีแล้วก็จะเป็นอย่างนี้

 

_สมุห์เอิบ คชรัตน์  · สาธุๆ กับรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จากพระครูปิติวิริยคุณ วัดชูนวลรัตนาราม สงขลา

 

ตายแล้วไม่เน่าจิตจะอยู่อย่างไร การแยกกายแยกจิตที่แท้

_เมตตา โพธิสุทธิ์  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ ลูกมีข้อสงสัยเรื่อง “กาย” ที่ยังเข้าใจไม่ชัดแจ้ง อยากจะเรียนถามพ่อครูในเรื่องที่ว่า คนที่มีกายและจิต (คนที่มีชีวิต)

จะต้องทิ้งร่างของตนตอนตาย สิ้นลมหายใจ แต่ผู้ที่ยังอวิชชา มีอุปาทานจัด ยังไม่มีสัมมาทิฐิ จะไม่ยอมทิ้งร่างของตนตอนตาย เพราะยึดติดร่างของตนอยู่ว่าเป็นกาย จึงกลายเป็นศพที่ไม่เน่า แถมยังมีผมและเล็บงอกออกมาด้วยนั้น ลูกมีข้อข้องใจว่า ในความเป็นจริงมีโอกาสเป็นไปได้เช่นนี้หรือค่ะท่าน ในความเห็นของลูกมีความคิดว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะจิตแยกออกจากร่างไปแล้ว จิตจะยังมีอำนาจไปบังคับควบคุมร่างนั้น ไม่ให้เน่าเปี่อยไปตามธรรมชาติได้อย่างไร จึงน้อมกราบขอคำอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ จากพ่อครูด้วยค่ะท่าน กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... เรื่องนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ตั้งใจฟังดีๆ จิตวิญญาณของคน เอาหยาบๆก่อน ปกติสามัญเลย คนที่ยังอวิชชา เมื่อตัวเองตาย สิ้นลม ขาดลมหายใจลง เป็นปกติสามัญตื้นๆของคนทั่วไป พอตายลงปั๊บ จิตวิญญาณเขาจะไม่มีในร่าง จะออกจากร่างไป จิตวิญญาณหรือจิตนิยามนั้นจะออกจากร่างไปเต็มรูปเลย ก็เหลือร่างที่เป็นซากศพ 

แล้วซากศพนั้นเมื่อไม่มีพลังงานใดเลยของจิตนิยามเหลืออยู่ที่ซากศพ ซากศพนั้นก็จะเน่า หรือแม้ว่าซากศพนั้น มันไม่มีความชื้นไม่มีน้ำ มันไม่มีอะไรมาก มันก็จะทำปฏิกิริยาเน่าช้า เน่าช้าจนกระทั่งบางทีไม่รู้สึกว่ามันเน่า มันจะค่อยๆแห้งลง แห้งลง แห้งลง ใช้เวลา 

ทีนี้ คนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ว่านี่คือร่างของเรา ตายลง จิตวิญญาณควรออกจากร่าง แต่ไม่ออกยึดร่างเป็นของเรา คนๆนี้ส่วนมาก ที่จะยึดร่างของตนเองได้นั้น ก็คือคนที่ศึกษาเรียนรู้ คนไม่ศึกษาเรียนรู้ยึดร่างตัวเองไม่เป็น แต่คนที่มิจฉาทิฏฐินั้นจะศึกษาเรียนรู้สร้างความยึดสายหลับตายึดเก่ง ทำให้จิตวิญญาณเป็นความแน่นแข็ง ติดอยู่กับจิตวิญญาณได้เก่ง ก็จึงตายแล้วยึด 

เพราะฉะนั้นสายหลับตา สายเจโต พวกนี้จึงมีร่างของอาจารย์ที่ไม่เน่าเยอะ ฟังแล้ว แล้วไอ้การยึดร่างไม่เน่านี่ สัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ... มิจฉาทิฏฐิ แต่เขาไปหลงว่าสัมมาทิฏฐิว่า นี่แหละวิเศษ นี่แหละประเสริฐ ว่ายอดว่าเก่ง เอาใส่โลงแก้ว เอาไว้กราบไหว้เคารพนับถือก็ยังมีอยู่เยอะ 

แต่แท้จริงทุกอย่างแล้วเมื่อมันได้ทุกอย่างลงตัวได้สัดส่วนพอเหมาะก็ต้องตาย ร่างกายตายก็คือตาย 

เช่น คนที่ไม่เข้าใจ คนที่ยังยึดร่างตัวเอง แล้วก็ไม่ยอมออกจากร่าง เมื่อไม่ยอมออกจากร่าง ยึดร่างตัวเองอยู่ ทั้งๆที่เป็นมนุษย์พืชแล้ว ข้างนอกไม่รับรู้สึกแล้ว ไม่มีกายแล้ว ไม่มีกายคือ ไม่มีเวทนา ไม่รับรู้สึกเลย จิต อยู่ในจิตเท่านั้นเป็นจิตระดับ พีชนิยาม เหมือนพืช แล้วทางหมอก็เรียก มนุษย์พืช

ถ้ามนุษย์พืชนี้จะไม่มีเวทนา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีจิตนิยามเป็นตัวตนแล้ว เป็นพืชแล้ว เพราะฉะนั้นเราฆ่าพืชโดยเราจะบาปไหม?... ไม่บาป

_ป๋อง... จะเข้ากับ เมถุนสังโยคว่า ปรารถนาเป็นพระเจ้าหรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้วยึดไว้หรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... จะตีความเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่มันต้องมีนัยยะสำคัญต่างกัน อันนี้เรากำลังพูดถึงสรีระ มันจะเน่าหรือไม่เน่า แต่อันนั้นมันยึดถือนามธรรมก็เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นกาม เขาก็ยึดเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ตายแล้วต้องไม่พรากจากกัน จะต้องยึดเป็นเราอยู่นั่นแหละ ผูกพันกันต่อไปนั่นคือเมถุนสังโยค อันนี้กำลังอธิบายรูป อันนั้นมันเป็นนามธรรม ที่ยึดอยู่ ไม่พรากไม่จากกันไป ทั้งๆที่ควรจะพรากแล้วแต่ไม่พราก 

เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยที่กำลังอธิบายนี้เมื่อไม่พราก แล้ว มันจะมีดินน้ำไฟลมที่สังเคราะห์กันมากหรือไม่มาก แบคทีเรียเยอะหรือไม่เยอะ เมื่อมันไม่เยอะ มันก็ดูไม่เน่ามันก็เหมือนทำเนื้อตากแห้ง เนื้อย่างอะไรไปเรื่อยๆ มันก็ไม่เน่า มันก็ทำปฏิกิริยากันอย่างไม่ดุเดือดไม่เน่าฉุฉะอะไร 

มันละเอียดลอออย่างนี้ คนที่ศึกษาผิดก็ไปยึดถือผิดๆอย่างที่อธิบายไปแล้วสรุปแล้ว ว่า มันไม่ได้หมายความถึงความเก่งกาจเก่งกล้ามีความวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่มีหรอก แต่ก็งมงาย มีกันอยู่ทั่วไป ในศาสนาอื่นๆ จะมีหรือไม่มีจะโง่เหมือนศาสนาพุทธที่ยึดถือกันอย่างนี้หรือเปล่า จีนนี่ ยึดถืออันนี้กันอีกเยอะ ไทยก็ไม่เบาไม่น้อยกว่าเขา ยึดที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็พอรู้กันว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่ควร 

ตายแล้วจิตวิญญาณก็ควรทิ้งร่างไป แม้ที่สุด ร่างที่จะเป็นแค่พีชะอยู่ ก็ไม่ควรอยู่แล้ว เพราะมันไม่เป็นกายแล้ว จิตพิการแล้ว กายพิการแล้ว คือไม่มีกายมันก็พิการแน่ จิตไม่มีกายมันก็พิการ เพราะจิตมันต้องมีกาย 

จิตไม่มีกาย ในร่างที่คุณเองถือว่าเป็นกายของคุณ ที่จริง มันไม่ใช่กายของคุณแล้ว คุณไม่ได้รับรู้สึกภายนอกเลย ใครจะกระทบกระเทือนกระแทกกระทุ้ง คุณก็ไม่รับรู้สึก จิตของคุณอยู่ที่คุณ ถ้าคุณเกาะอยู่ที่ร่าง มันก็อยู่ในร่าง แต่มันไม่อยู่ในร่างหรอกเป็นจิตสัมภเวสี 

จิตของคุณที่เป็นมนุษย์พืชนี้ มันไม่อยู่ที่ร่างหรอก มันเป็นสัมภเวสีเหมือนนอนหลับ คุณนอนหลับจิต มันก็เป็นสัมภเวสีแล้วออกไปท่องเที่ยวเรียกว่า จิตท่องเที่ยว จิตล่องลอย จิตไม่มีที่เกิดไม่ได้รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่รู้เรื่อง มีแต่จิตอยู่ในภพของมันเอง 

ถ้าใครเผาร่างกายนั้นทันที เผาในขณะที่ เป็นมนุษย์พืช ร่างนี้ก็ไม่รู้สึก ร่างนี้ก็ถูกเผาไป จิตก็ออกไปอยู่นั่นแหละ เพราะจิตไม่ได้เกาะกับกายแล้วไง นี่เป็นนัยยะที่ละเอียดที่อาตมามีภูมิรู้อธิบายสู่ฟังได้ 

สรุป ตรงนี้ก็ได้ว่า เรียนรู้จิตที่อยู่ในระดับ จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามให้ดีๆ ที่พูดนี้มันอยู่ระดับครึ่งๆ ไม่เป็นอุตุนิยาม จะเป็น พีชนิยาม เล็บมันยังงอก ผมก็ยังยาว มันไม่รู้สึกเจ็บปวด มันไม่มีบาปไม่มีบุญ มันไม่ใช่เราแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว 

คำว่า เรา ของเราคือ เราต้องอยู่ครบทั้งกายและจิต รู้สึกเต็มๆ แต่พอมันออกมาเป็นเล็บที่เป็นชีวะ ยังเป็นพืช ไม่มีประสาทรับรู้แล้ว เล็บก็ตาม ผมก็ตาม ฟันหนังก็ตาม ผมก็หยาบ ขนก็เล็กละเอียด ฟันก็ยากกว่า หนังก็ยิ่งยากใหญ่มันละเอียด ก็อธิบายที่เล็บ 

เพราะฉะนั้นมันยาวออกมาไม่มีกายแล้วแต่คุณยึดว่าเป็นเรา ไม่เจ็บไม่ปวดแต่คนก็เจ็บปวด ผู้หญิงที่รักเล็บฉันสวย หักออกไปจะเป็นจะตายจะฆ่ากันว่า เล็บฉัน มันไม่ใช่ของฉันแล้วแต่คุณก็ของฉันของฉัน มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ยึดมั่นถือมั่นหรอก ตัวมันเองตัวเล็กมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับเล็บ แต่เล็บมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกับเรา มันไม่ใช่เราแล้ว มันหนีไปอย่างอื่นแล้ว อธิบายละเอียดให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นคนที่แยกกายแยกจิตตรงนี้แหละ จากที่ พระพุทธเจ้า ท่านให้ศึกษาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หนังนี่อธิบายยาก 

ความไม่ใช่เรา ไม่ใช่กายเรา อันนี้แหละในขณะที่มีชีวิต เราทำสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ แล้วเราก็ทำใจในใจของเรากับสิ่งนั้นๆๆๆ ว่าไม่เป็นกาย ไม่เป็นเรา อันนี้จิตทำได้อย่างนี้แหละ เป็นผู้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีบาปไม่มีบุญ ผู้ทำใจในใจมนสิการใจของตนเองได้อย่างนี้ คุณก็จะไม่ยึด ถ้ายึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็เจ็บก็ปวด ถ้าไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ได้อาศัยชีวิต 

เพราะที่จริงที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย แต่สมควรจะยังชีพต่อไปหรือไม่สมควรที่จะยังชีพของเราต่อไปเลย หรือมันขาดจากตัวเราไปแล้ว เล็บมันห่างมันขาดจากตัวเราไปแล้ว ก็ต้องเข้าใจความจริงสิว่า ไม่ใช่ของเราแล้วนะ ผมมันยาวไม่ใช่ของเราแล้วนะ 

เพราะฉะนั้นภิกษุผมมันยาวหน่อยก็โกน ไม่มีปัญหาอะไรมันไม่ใช่เรา เล็บก็ยาวก็ตัด ใครอยากจะไว้ยาวที่จะใช้ประโยชน์บ้างก็ไว้ไป ถ้าไม่ใช้ประโยชน์อะไรแล้วก็ไม่ต้องไว้ 

ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ว่า ยึดเป็นเราหรือไม่ยึดถือเป็นเราของเรา 

ติดตามต่อไปเพราะเรื่องกายยังมีความลึกซึ้งซับซ้อนมาก ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เริ่มต้นต้องเข้าใจคำว่า กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ ใน สักกายทิฏฐิ พ้นความเข้าใจผิดว่า กายไม่ใช่หนึ่งเดียวนะ กายต้องมี 2 ต้องมีนอกมีในนะ นี่เป็นหลักเกณฑ์อย่างหยาบข้างต้น 

ถ้าเข้าใจผิดตั้งแต่ว่ากายนี้ไม่มี 2 มีแต่ข้างนอกอันเดียวหนึ่งเดียวคนนี้แหละมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นคนที่กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่สักกายทิฏฐิ ไม่มีหวังจะเป็นอรหันต์เพราะว่ากระดุมเม็ดอื่นมันก็จะผิดหมด 

เพราะฉะนั้นจะไปพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิดในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งเป็นอิทัปปัจจยตาต่อ คุณทำต่อไม่ได้ ก็เมื่อกายคำต้นผิด จะไปพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา ซึ่งเป็นกายที่ละเอียดตามเข้าไปหานามธรรมข้างในเรื่อยๆ จิตในจิต ธรรมในธรรม คุณผิดตั้งแต่ต้น กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมันก็ผิดไปหมด 

ก็จะพิจารณาเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ผิดไปด้วยไม่ออก เมื่อตั้งแต่กายพิจารณาไม่ได้แล้ว คุณจะปฏิบัติหลักเกณฑ์ใด ในทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีทางบรรลุธรรม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่พิจารณากายในกาย สัมมาทิฏฐิ ได้แล้วเวทนาก็มีจิตลดกิเลสได้ ก็ยังต้องไปตรวจ ว่าคุณปฏิบัตินั้นจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไปตลอดหรือเปล่า 

คือปฏิบัติวิโมกข์ 8 มีกายไม่หลุดไม่หายไปด้วยตลอดหรือเปล่านะ เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมะไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ 

เพราะฉะนั้นในบุคคล 7 ไปแปล น เหวโข ในปัญญาวิมุติ บุคคลที่ 6 ไปแปลว่าไม่ได้สัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกายนั้นก็แปลผิด แท้จริง นเหวโข ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะผ่านระดับ 5 กายสักขี มีกายเป็นหลักฐานอยู่แล้ว ทำอาสวะสิ้นบางอย่างได้แล้ว พอเป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติ อาสวะสิ้นหมด นับเป็นอรหันต์ได้แล้ว 

สายปัญญาจะไปถึงปัญญาวิมุติ ก็จบกิจแล้วเป็นอรหันต์แล้ว ส่วนสายศรัทธาต้องเป็น อุภโตภาควิมุติ คือศรัทธา ทำได้แล้ว แต่ไม่มีปัญญารู้จบ ต้องไปมีปัญญาเสริมให้อีก 1 ตัวเป็น อุภโตแปลว่าสอง ต้องมีทั้งศรัทธาและปัญญาเติมเข้าไปเต็ม จึงจะเป็นผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายที่อาสวะสิ้น เป็นพระอรหันต์ สายศรัทธาจึงช้ากว่าปัญญาวิมุตเป็นบุคคลที่ 7 ปัญญาวิมุตเป็นบุคคลที่ 6 อุภโตภาควิมุติ เป็นบุคคลที่ 7 ต้องเติมปัญญา แต่บุคคลที่ 6 มีศรัทธาเป็นแกนแล้วพอแล้วรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ต้น พอมีปัญญาก็สรุปตัวเองได้หมด จบกิจก่อน รายละเอียดพวกนี้ไปเดาไม่ได้นะ เดาแล้วมืด วนเลย สับสนเลยนะ เดาไม่ได้ ต้องมีสภาวะจริงๆจะพูดได้พอ 

พระอรหันต์ที่ไม่รู้ละเอียดไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะอธิบายไม่ได้เหมือนอาตมา อาตมาเป็นสายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้อธิบายรายละเอียดได้อย่างนี้แหละ ใครจะอธิบายได้อย่างอาตมาทุกวันนี้ สาธยายไปถึงขั้นเวทนา 108 

แจกละเอียด อุปาทายรูป 24 รูป 28 เกี่ยวข้องกับนามธรรม 5 อย่างไร สังเคราะห์กันยังไง ถึงขั้นไหน อาตมาก็ไม่ได้อธิบายบ่อยๆ อธิบายขั้นต้นเมื่อไปถึงขั้นโน้นค่อยอธิบายอีก 

 

_สนอง นิละกุล : สภาวะจิตจากการไปบ้านราชฯครั้งนี้รู้ว่าอากาศร้อนมากนอนไม่เต็ม จิตปั่นป่วนอยู่บ้างเรื่องบ้านเมืองพ่อบอกว่าปท.มันไม่ใช่ของเราคนเดียว มิตรดีบอกว่าพ่อ.เอาอย่างไรเราก็เอาตาม ก็จบลง เราไปเอาธรรมะยังไม่เข้าใจกายในกายแจ่มแจ้งครับ

พ่อครูว่า... เห็นไหมกายในกายไม่ใช่ง่ายๆ คุณสนองก็ยังไม่เข้าใจชัด ก็ติดตามฟังเอา

 

_ป้าเปิ้ล เชิญชม  • มี 5 บ.ก็อิ่มได้ เหมือนย้อนไปในอดีต สมัยคุณตาคุณทวดเลยนะ

พ่อครูว่า... เงินมีค่าสูง 5 บาทก็อิ่มท้องได้ ซื้ออย่างละบาท ได้กินตั้ง 5 อย่าง อิ่มแปล้เลย ชามละบาทๆๆ 5 บาท มันต้องอิ่มแน่เลย ถ้าเป็นอาตมากินไม่หมดหรอก 5 ชาม ทุกวันนี้ต้องพยายามกินอาหารให้ได้พอ 

สมณะฟ้าไท... ช่วยไม่ให้เงินเฟ้อด้วยครับ 

พ่อครูว่า... พวกเราเป็นพวกรักษาเศรษฐกิจของประเทศสังคมได้จริงๆชั้น 1 เลย 

 

เปรียบเทียบการเป็นนายกฯ คุณทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง การหาเสียง เพื่อเอาคะแนนในการเลือกเพื่อจะได้คะแนนให้ได้มาซึ่งนำมาเพื่อตัวเอง และพรรคตนเอง ถ้าเป็นการเมืองโลกุตตระ จะไม่เป็นเช่นนี้ เอาสมมุติมาใช้ เงินอนาคตมาใช้ ไม่อยู่กับปัจจุบันต้องมาดูของจริงที่อโศกเรา กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... มันยังยากอยู่ ก็วิจัยนิดหน่อยก็แล้วกัน 

พวกหาเสียงจะเอาเงินอนาคตมาใช้ แถมเป็นเงินดิจิตอลอีกต่างหาก ไอ้เงินดิจิตอลคือเงินอยู่ในตัวเลขลอยลมอยู่ในอากาศ เอาตัวเลขมาล่อจะให้คนละ 10,000 บาท ทำไมคนเรา โดยเฉพาะคนไทย เอาละประเทศอื่นเขาจะหลอกกันจะหลงเชื่อก็เรื่องของเขา เขาจะฉลาดตามเขา แต่คนไทยทำไมต้องฉลาดน้อยเหมือนเขา อาตมาละเว้นคำว่าโง่ ทำไมต้องไปฉลาดน้อยเหมือนชาวเทวนิยม ที่เขาไม่เข้าใจเศรษฐกิจแบบโลกุตระแบบไทย บังคับไม่ได้หรอกคนจะฉลาดน้อยก็ฉลาดน้อย 

เพราะฉะนั้นคนฉลาดน้อยกับคนฉลาดจริงๆแบบโลกุตระ อันไหนมีมากกว่ากัน คนฉลาดโลกุตระก็ต้องน้อยกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องหลอกคนที่ฉลาดโลกียะ ฉลาดแบบทางโลกๆ เขาก็ต้องหลอกคนพวกนั้น เขาก็จะได้คะแนนเสียงมา 

เพราะฉะนั้นคะแนนเสียงที่หลอกกันได้ แล้วก็มาอวยกันมาให้กัน มันไม่ใช่ความจริงเลย มันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นประชาธิปไตยมวล ประชาธิปไตยปริมาณ ประชาธิปไตยไม่ได้เข้าหาแก่นสารสาระที่แท้ แต่มันก็ไปเรื่อยๆ เมืองไทยก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นตอนนี้อาตมาขอวิจัยต่อนิดนึงว่า โพลต่างๆ เขาก็โพลไปกับคนที่ยังเข้าใจแบบโลกียะเยอะๆ ผลออกมาโพลก็จะต้องเป็นแบบนี้เช่นโทรบอกว่าเมืองไทยได้เบอร์ 1 มามากเลย เบอร์ 2 นี้จะได้คือพลังประชารัฐ หรือ ภูมิใจไทยจะได้มา เพื่อไทยต้องเบอร์ 1 เบอร์ 2 พลังประชารัฐหรือภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ จะอยู่อันดับที่ 4 ที่ 5 นู้น ตามโพลที่เขาวัดโดยค่านิยมของตัวเลข หรือยังสับสน สาระกับตัวเลข ตัวหลอกกับตัวจริง

คนที่ทำงานจริงๆ ชัดๆ ทำสาระกับมวลมนุษยชาติ ทำเพื่อประชาชนจริงๆมีความรู้ความสามารถ มีปรากฏการณ์จริง มีผลงานจริง ก็รู้อยู่ เพราะมันได้พิสูจน์ใหม่ๆสดๆนี้เลย พรรคเพื่อไทยก็ดี คณะที่ทำอยู่แล้วก็ดี ก็คือฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นฝ่ายที่ยังไม่สมบูรณ์แบบกับอีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายสมบูรณ์แบบกว่า ก็คือฝ่ายทักษิโนมิคกับฝ่ายพลเอกประยุทธ์ แบบพลเอกประยุทธ์กับแบบทักษิณ มีหมู่ใหญ่ๆอยู่ 2  หมู่เท่านั้นเอง

ฉะนั้นตอนนี้ก็จะเลือก 2 ค่ายใหญ่ๆนี่แหละ ตัดสินกันให้ดีๆนะ อาตมาก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้เหมือกนัน ก็ยังไม่ได้เลือกจริง อาตมาไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าอะไรจะมา 

แต่ใครทายใจอาตมาได้ไหมว่า อาตมาอยากให้อันไหมมา...ได้ ว่า รทสช มา อยากให้ รทสช เบอร์ 22 มาชนะการเลือกตั้ง แน่นอน อาตมาก็อยากให้เป็นอย่างนั้น 

แต่อาตมาก็ไม่สามารถไปบังคับความเห็นความเชื่อ ซึ่งคนก็พยายามครอบงำทางความคิด propaganda หาเสียงแข่งกันอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะผ่านวันที่ 14 พฤษภาคมค่อยมานับแต้มกัน ว่าแล้วจริงๆมันจะออกผลกันว่าอย่างไร 

ซึ่งโดย ถ้าจะบอกว่า ผลที่ควรจะเป็น อาตมาก็มีเหตุผลเพียงพอ มีหลักฐานมีที่อ้างที่อิง มีพฤติกรรมจริง 

พฤติกรรมสู้ไม่ได้ คนที่ไม่ควร จะเป็นทรยศ ขี้โกง ขี้โลภ เห็นแก่พวก เห็นแก่ตระกูล กับผู้ที่ทำเพิ่มมวลประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ มันไม่ได้เห็นยากอะไรมันง่ายเห็นชัดๆอาตมา ทำไมคนจะฉลาดน้อยจนกระทั่งไม่สามารถแยกได้ว่า อย่างทักษิณกับอย่างพลเอกประยุทธ์ ใครเป็นประชาธิปไตยเนื้อแท้ตัวจริงกว่าใคร ทำไมถึงยังโง่จนกระทั่งไม่รู้ว่าพลเอกประยุทธ์ 8 ปีเหมือนกัน ทักษิณก็ 8 ปี แล้วยังแถมต่อด้วย มากกว่าหรือเปล่า ตั้งแต่ 2544 ตัวเองถูกออกไปแล้วมี นอมินี สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มากกว่า 8 ปี 

ทักษิณจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ก็เห็นผลแล้วว่า มันก็น่าจะเทียบค่ากันได้ว่า ผลงาน ทั้งทุจริตและสุจริต ทั้งผลงานที่เกิดการพัฒนาให้แก่ประเทศชาติ มันชัดจะตายว่ามันเจริญกว่ากัน มันเสื่อมกว่ากันมันชิบหายกว่ากันเท่าไหร่ ถ้าจะอธิบายกันอย่างลึกซึ้ง ซับซ้อนแล้วนี่นะ 

ทักษิณนั้นขี้โกงไป พลเอกประยุทธ์ต้องมานั่งใช้หนี้ด้วยสร้างใหม่ด้วย  ใช้หนี้ด้วย ก็ยังทำได้มีผลงานเหนือชั้นกว่าทักษิณ คิดดูสิ แค่นี้มองไม่ออก ฉลาดน้อยต่อไปเถอะ 

_ป๋อง.. ปีที่แล้วผมเชื่อพ่อท่านว่าพลเอกประยุทธ์ทำงานไม่ประชด  2533 พ่อท่านทำงานหนัก พ่อท่านว่า ทำงานอย่าประชดมันจะเสียหาย พ่อท่านบอกว่า พลเอกประยุทธ์ทำงานไม่ประชด ผมก็เชื่อตรงนั้น 

พ่อครูว่า... คือทำงานให้จริงใจ เราเข้าใจยังไง ถูกผิดอย่างไร ผิดเราไม่ทำ เราทำที่ถูก ที่ดี ที่ควร ไม่ต้องประชด อาตมาพูดนี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องจิตเจตสิกที่ละเอียดลึกซึ้ง ในระดับโลกุตระ ไม่งั้นมันจะไม่แล้ว ประชดมันจะเป็นกิเลสเสริม มันไม่สมบูรณ์แบบ มันต้องทำหลายที ถ้าไม่ประชดแล้วทำทีเดียวจบ ทำด้วยความจริงใจ 

1.ไม่ประชด 2. ทำแล้วไม่ต้องไปติดใจ เรามีความสามารถเท่านี้ทำไปได้อย่างนี้ แน่นอนผลก็ต้องออกมาตามความเป็นจริง จะมากหรือจะน้อยมันก็ต้องจริงตามที่เราทำ เพราะฉะนั้นก็ตามจริงเรานี่แหละ ถ้าไปประชดแล้ว การประชดเท่ากับการมีความสะท้อน ความสะท้อนนี้มันไม่จบเลย มันไม่หยุด มันไม่เป็นหนึ่ง มันมี 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 4 เป็น 16 ไปโน่น ซึ่งมันละเอียดขึ้นไปอีก แล้วไอ้ที่ความสะท้อนมันคือความไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าทำไม่ประชด มันจบเป็นหนึ่งเดียวเลย หนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่งคูณหนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่งหนึ่ง หนึ่ง มันจบเลยมันก็คือหนึ่ง สำเร็จ 

 

การเลือกสส.เลือกนายกไม่ใช่เรื่องเล่นๆต้องตรวจสอบให้จริง 

_แปลกและดีในyoutube •  จะเป็นสส .ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์แม้แต่นิดเดียว.มาหาเสียงยังไม่มีข้อมูลไม่ศึกษา.แค่อยากได้ตำแหน่งเพื่อความเท่ เพื่ออำนาจ เพื่ออวด..แล้วบ้านเมืองจะรอดเหรอ

พ่อครูว่า... เมืองไทยจะว่าไปแล้ว ถ้ามองอย่างดีๆก็ได้ เขาก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ให้คนใหม่ที่เขาอยากทำ ก็อย่าไปดูถูกเขาให้เขาลองฝีมือบ้าง มองดีๆ ถ้ามองให้ลึกซึ้งขึ้นไป เอ๊..เมืองไทยมันเป็นของเล่นหรือเปล่า อยากให้ใครมาเล่นอะไรก็เล่น มันเป็นของเล่นหรือเปล่า แล้วตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเล่นหรือเปล่า ตำแหน่ง สส.ก็ดี ยิ่งตำแหน่งนายกก็ยิ่งกว่า จะเป็นตำแหน่งเล่นๆได้หรือเปล่า 

มันไม่ใช่ของเล่นนะจ๊ะ ทำเป็นเล่นไป เราพัฒนาประเทศเจริญมาถึงขนาดนี้ เหตุปัจจัยที่จะพัฒนาไปต่อ ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยที่ดีที่ยังเต็มที่ ยังไม่เสื่อมทรุด ยังไม่ได้อะไร นอกจากปากหอยปากปู คนที่จะมาดิสเครดิตไปเฉยๆ ผิดถูกก็ว่าไป ถล่มทลาย ดูถูกดูแคลน ข่มกันเฉยๆ มันไม่เอาความจริงมาพูด ก็แล้วไปเถอะ 

เรารู้ความจริงแล้วมันควรจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ขอเตือนสติประชาชนทั้งปวง อาตมาว่า 14 พฤษภาคม การลงคะแนนเสียงครั้งนี้ ตัดสินใจตรวจสอบให้ดีๆนะ อย่าผิวเผินไปถูกหลอกถูกครอบงำทางความคิด ที่มันมีแต่ละพรรค แต่ละเจ้า ต่างก็มีเหตุผลมาหลอกเยอะเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่หลอกปฏิบัติจริงดำเนินจริงมีผลงานจริงอะไรต่ออะไรจริง ตรวจสอบให้ดีๆอย่าทำเป็นผิวเผิน 

_Here Thoon เฮีย ทูน • ถ้าเปิดโอกาสทุกพรรคทุกฝ่ายให้เข้ามาขายความคิดแนวทาง จะแสดงถึงความเป็นกลาง ความใจกว้าง ขันติความอดทนรับฟัง และปราศจากอคติด้วยนะครับ

พ่อครูว่า...ให้คนมาพูดแสดงภูมิ มันมีขี้โม้ได้เยอะ แต่ผลงานที่ทำจริงสิ แต่ละพรรคแต่ละคนก็มีผลงานจริงผ่านมา ตัวแคนดิเดต ตัวที่ขึ้นจะมาชิงเป็นนายกกันอยู่ก็เห็นๆอยู่ ทำไมแค่นี้ยังจะต้องให้มาพูด ให้มาดีเบต ให้มาแสดงภูมิขี้โม้ให้เสียเวลาอีกทำไมอาตมาว่า 

ดูเหมือนว่าพลเอกประยุทธ์ไม่รับดีเบตใช่ไหม ดีแล้ว อย่าไปเสียเวลากับนักอวดฝอย อวดพ่น อวดพูด อวดอ้าง ยังไงๆ พลเอกประยุทธ์ก็มีผลงานทำมา คนที่เป็นคนมาดีเบตก็มีผลงานกันทุกคนเสนอหน้ามา เพราะฉะนั้นก็เอาที่เนื้อแท้เลยของแต่ละคน จะต้องพูดกันทำไม พูดมันพูดอะไรก็ได้โม้อะไรก็ได้ เหมือนอย่าง คุณเศรษฐาจะให้รายละหมื่นอายุ 16 ขึ้นไป นักวิจัยการคลังออกมาเต้นเหยงๆเลย ชิบหายนะคุณจะถ้าอย่างนั้นปรึกษาการคลังหรือเปล่าเอาเงินก้อนมาแสนล้าน ห้าแสนล้านมาแจกเลย แล้วมันจะเป็นยังไงการคลัง เศรษฐาเอ๋ย

แล้วไปเอาง่ายๆว่าพูดภาษาอังกฤษก็ยังไม่เป็นเลย เขาถือว่าพูดภาษาอังกฤษเก่งก็เลยยกอันนี้มาข่ม ถ้าบอกว่า พลเอกประยุทธ์พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ก็มีล่ามดำเนินงานมา 8 ปี แล้วไม่มีผลงานหรือไง สมัยนี้จะไปยากอะไร มีโทรศัพท์ก็พูดได้ทุกภาษา ตอบได้ทุกภาษา ขอให้กดเครื่องเป็นเถอะ คุณถามมาภาษาอะไรก็ได้ อัดมากดเลย แล้วมันแปลเป็นภาษาเรา ว่าไงก็รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องกันเป็น สบม  ธมดปกต หห จจ  ปกต หห จจ มชยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เห็นไหม สะดวกจะตายทุกวันนี้ อีกหน่อยต่อไป จะเป็นภาษาสากลหมดแล้ว 

_ขอให้ข้อมูลเสริม เท่าที่ลูก ลองถามคนที่เข้ามาในชุมชนเรา ส่วนใหญ่เลือกลุงตู่ จะเลือกเพื่อไทยไม่กี่คน มวลชนดังกล่าวเป็นคนต่างจังหวัดหลายคนก็พร้อมเลือกลุงตู่ 

พ่อครูว่า... อาตมาเชื่อว่าพวกเราเลือกพรรคลุงตู่เสียส่วนใหญ่ พวกเราที่ชอบพรรคเพื่อไทยก็มีบ้างแต่ไม่มาก มั่นใจว่ามีน้อยเราก็ไม่ได้บังคับกัน คุณจะไปเลือกเพื่อไทยเราก็ไม่ว่าอะไร คุณเห็นว่าอันนั้นดีกว่าจริงๆ เขาไปเชื่ออันโน้นไปเข้าใจอันโน้น 

พูดถึงคนที่มาซื้อของตลาดอาริยะเป็นคนข้างนอกด้วย หรือ ประชาชนที่เข้ามาเที่ยวมาเล่นน้ำในหมู่บ้านเรา ตอนนี้มีเยอะอยู่ ก็สอบถามดูได้ สอบถามมาเป็นหลายร้อยคน 

_ช่อทิพ หนูทอง  · เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 8.00-17.00 น. บัตรสีม่วงเลือกส.ส.แบ่งเขต สีเขียวเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถ้าพรรคสัมมาธิปไตย ...ถ้าได้มีสิทธิ์มีเสียงในรัฐบาล เอาธรรมะของศาสนาพุทธมาใช้บางเรื่องในการบริหารประเทศ ถามว่าศาสนาอื่นอาจรังเกียจ จะป้องกันล่วงหน้าได้อย่างไรคะ?

พ่อครูว่า... คิดไปไกลนะ เรายังไม่คิดไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก แต่ก็จะตอบว่าคิดอย่างไร อาตมาว่ากว่าจะถึงวันนั้น เราจะได้ขยายความเข้าใจ ขยายสัจธรรม ความจริงไป กว่าที่พรรคสัมมาธิปไตยจะมีคนขึ้นไปเป็น ส.ส จะเป็น ส.สแบ่งเขตหรือบัญชีรายชื่อก็ตาม แล้วเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในรัฐบาล อาตมาว่าเราสามารถจะพูดได้ แม้ในศาสนาอื่นเขาก็ดูอยู่ เขาก็เห็นอยู่ เขาก็จะเข้าใจถึงสถานะความเป็นจริงในปัจจุบันนั้น status quo คือสถานะ ที่เป็นจริงในปัจจุบันนั้นๆ ไม่ใช่วันนี้ อาตมาว่าเขาจะได้รับความรู้ความเข้าใจเหมือนกับประเทศไทย ที่เป็นอยู่ 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพุทธ 95% เป็นชาวพุทธ ศาสนาอื่นเกรงใจ เมื่อชาวพุทธมวลส่วนใหญ่เอาอย่างไรแล้ว เขาจะไม่ยกเอาศาสนาขึ้นมาเป็นข้อตัดสิน เขาจะเอาความรู้ทางการเมืองเป็นตัวตัดสิน เพราะฉะนั้นถ้ามวลของ ส.ส ที่ทำงานการเมืองออกเสียง เป็นอย่างไรแล้วเขาจะไม่เอาเรื่องของศาสนาเขามา ไม่ว่าศาสนาคริสต์หรืออิสลามตลอดมาของเมืองไทย เขารู้สถานการณ์อันนี้อยู่เพราะฉะนั้นจะไม่ทะเลาะกันไม่ขัดแย้งกันหรอก อย่างน้อยประชาธิปไตยก็ต้องถือว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่ย่อมชนะอยู่แล้วใช่ไหม 

_สู่แดนธรรม... หากเราเป็นเช่นนั้นจริงๆในอนาคต เราจะไม่ถูกรังเกียจจากศาสนาอื่นเลย เพราะเราไปเป็นผู้ที่เสียสละ ศาสนาไหนๆก็ต้องต้อนรับ เราไม่ได้ไปแสดงพิธีกรรม ถ้าเราเป็นแบบศาสนาพิธีกรรมเป็นความเชื่อ มันจะเถียงกัน 

พ่อครูว่า... เป็นเรื่องของสากล เรื่องของสัจจะ ไม่ใช่แสดงเรื่องศาสนา แต่มวลของศาสนาพุทธมันเยอะไง คนเป็นพุทธมันเยอะ มันก็เลยจะต้องได้โดยธรรมเป็นโดยธรรม เพราะฉะนั้นทางด้านศาสนาอื่นจึงยากเพราะมีมวลยังไงก็น้อย 

 

_ป๋อง... ตอนนี้รอมฎอน วิทยุรัฐสภาตี 4 ถึงตี 5 ผมก็จะได้ฟังความรู้ของศาสนาอิสลาม 

 

_ป้าเปิ้ล เชิญชม  • ความอุตสาหะเสริม......ดิฉันคงต้องเติมสิ่งนี้ให้ตนเอง เพราะค่อนข้างจะไม่มีค่ะ

พ่อครูว่า... เอาสำนวนเพลงของอาตมามาใส่ เข้าใจสำนวนนี้ได้ดีแล้วก็บอกว่าตัวเองยังขาดสิ่งนี้บกพร่องสิ่งนี้ เอาเชิญ ดีมาก 

 

_จาก  คุณชาย หัวใจสีขาว • บ้านเมืองชิบหายยังไม่พออีกรึไงท่าน ข้าวของขึ้นราคา น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้าขึ้นราคาจนเดือดร้อนกันไปทั่ว  การที่ท่านออกมาสนับสนุนแบบนี้ เหมือนกับท่านกำลังสร้างกรรมให้ตัวเองชัดๆ ดูบทเรียนที่พระหลายๆรูปโดนกรรมให้ผล จนต้องสึกจากพระก็มีให้เห็น..ระวังเรื่องกรรมเอาไว้นะท่าน มันตามสนองทันตาจริงๆ หมดศรัทธาจริงๆ

พ่อครูว่า... โอ๊ย..คุณเอ๋ยคุณชายหัวใจสีขาว เอาเถอะขออนุญาตให้อาตมาแสดงความจริงใจของอาตมาก็แล้วกัน ส่วนคุณเห็นแย้งนั้นอาตมาก็เกรงใจ ยังไงก็ขอขัดแย้งกับคุณนะขอแสดงความจริงที่อาตมาเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ ตามความจริงใจของอาตมา ขออนุญาตนะคุณชายหัวใจสีขาวนะ 

อาตมาว่า อาตมาไม่ได้มองอย่างคุณมอง คุณมองว่าขณะนี้ข้าวของขึ้นราคา จนเดือดร้อนกันไปทั้ว

มันเป็นความเห็นต่างก็ขออนุญาตว่า อาตมาเห็น อย่างนี้จริงๆไม่ได้หลอกตัวเอง คุณเองก็คงไม่ได้หลอกตัวเองแต่มันเป็นนานาสังวาส ความเห็นของคุณก็อย่างหนึ่งความเห็นของอาตมาก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นคุณจะสนับสนุนทางโน้นก็สนับสนุนไป อาตมาก็ขอสนับสนุนทางอาตมาก็แล้วกัน ต่างคนต่างมองเห็นดาวกันคนละดวง 

ก็จะเห็นกันในอนาคตถึงผลพิสูจน์นั้น เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่รู้จะว่ายังไงเพราะเกิดนานาสังวาสแล้วนี่ก็ต้องอย่างนี้แล้วเนาะ 

 

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอนที่ 3

 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ 

   ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์  ส่วนใครจะเห็นด้วย และนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสาระสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย

เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้

ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง ชาวอโศกธนบัตรน้อยแต่มีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารให้คนอื่น คุณหอบธนบัตรกับหอบพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไปกลางทะเลถึงกลางทะเลแล้วใครจะตายก่อนกัน คุณกินธนบัตรนั้นตายก่อนพวกเรา พวกเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว หรือหอบธนบัตรไปเต็มอยู่ที่กลางทะเลทราย ของเราก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเยอะไปกลางทะเลทราย ใครจะตายก่อนกัน 

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นความคิดที่วิปริตวิตถารยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนรวยข่มคนจนกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

ข้อ 4. ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากจึง“ดี-ชั่ว ; สุข-ทุกข์”ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง

“อรหันต์”ของพุทธจึงคือผู้“จบกิจ”ที่มี“ปัญญา” ตนเป็นคนหมดสุข-หมดทุกข์สนิท อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ ในชีวิตที่ยังมีอยู่

อรหันต์จึงคือผู้มีชีวิตแสดงพฤติกรรมเป็นรูปธรรมให้ปรากฏว่า คนผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็“จบกิจ” ปัญหา“กิจ การงานเมืองหรือการเมือง”ก็“จบกิจ”ให้เห็นเป็นตัวอย่าง

ซึ่งเป็น“สังคมคนวิเศษ”แปลกประหลาดๅมหัศจรรย์จาก“สังคมสามัญปุถุชนคนโลกียะ”ที่ยืนยันความแตกต่าง กันอยู่ให้เห็นพิสูจน์ได้ว่า คนอาริยะโลกุตระมีจริง ไม่ใช่แค่จินตนาการ

ข้อ 5. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศ“หายจนไปทุกคน”ได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศ“ไม่มีคนจนเลย” มันเป็นไปไม่ได้ 

และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือไปโฆษณายัดเยียดให้สังคมรวยขึ้นมากๆๆ กระทั่งถึงขั้นเพ้อกันและหลงยึดจะเอาแต่รวยๆๆๆ ชนิดที่มีแต่“ความเชื่อถือ”ว่าคนจนนั้นต่ำต้อย คนจนนั้นเป็นทุกข์ คนจนนั้นคือคนไม่มีประโยชน์ กระทั่งไม่มี“ความเชื่อ”ชนิดอื่นที่ดีวิเศษกว่านี้ 

ควรแก้ปัญหาด้วยการทำตนให้คนเข้าใจ“ความจน” นั้นมีนัยสำคัญอย่างประเสริฐสุด และการเป็น“คนจน”และให้เกิด“สังคมคนจน”ที่อยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นคนชั้นหนึ่ง

ซึ่งเป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง 

ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข และเป็นคนผู้เพิ่มพูนการเสียสละสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ให้แก่โลกยืนยันความจริงสุดวิเศษนี้  เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษวิเศษ ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ 

อาตมาเห็นความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆไม่ใช่ละเมอเพ้อพก ถึงพูดออกมาด้วยพยัญชนะภาษาตามที่เห็นจริงนั้น คนที่ฟังแล้วหมั่นไส้ไม่เห็นด้วยเพราะไปฟังบัญญัติไม่มามองความจริงที่อาตมาพาให้คนมาเป็นจริงได้ มันเป็นคนจนที่ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อย่างนี้ มันจริงตามพยัญชนะภาษานั้นหรือเปล่า 

ถ้าคุณสงสัยว่ามันไม่จริงก็ขอเชิญมาอยู่สังเกตที่นี่สักปีสองปี หรือ 6 เดือนก็ได้ หรือ 3 เดือนก็ได้ 1 เดือนก็ได้ เชิญแล้วคุณจะเข้าใจได้ อยู่นานๆก็ยิ่งจะเข้าใจ 

ข้อ 6. คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อเรา“มี”วัตถุเงินทองของกินของใช้ ถึงจุด“เพียงพอ”ยังชีพสำหรับตนอยู่ได้กันแล้ว เราก็ควร“พอ” ต้องไม่บำเรอตนมากกว่านั้น การเป็นคนรู้จัก“พอ” มี“ใจพอ”นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความเป็นผู้“สันโดษ(สันโตสหรือสันตุฏฐิ)”คือ ผู้เป็น“อาริยะ” เป็นคนเจริญแท้จริง เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีความรู้ฉลาดที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ในโลก

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้ ซึ่งเป็นคนมี“ใจพอ” เป็นคนมีน้อย”ก็พึงพอใจ เป็นคนมีปัญญาที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงการเป็น“คนจน”ผู้ประเสริฐที่มีประโยชน์สร้างสรรค์เสียสละให้แก่สังคมอยู่ ว่า เจริญยิ่งกว่าเป็นผู้ได้เปรียบอยู่ในสังคม 

คนผู้มีปัญญาที่ยินดีในการเป็น“คนจน”จึงเกิดขึ้นแท้จริง อย่างเต็มใจเป็น“คนจน”ยินดี“ความมีน้อย(อัปปิจฉะ)” และเป็นคน“ใจพอ(สันโดษ,สันตุฏฐิ)” ถึงขั้นเป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) แต่เป็นคนยอดขยัน(วิริยารัมภะ) และเสียสละอยู่ปกติสุข

คนผู้มีจิตใจและปัญญาดังว่านี้ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระแท้ เป็นใจที่จริงบริสุทธิ์

จึงเป็น“ความจริง”ที่ทำตนให้“จน”ได้อย่างเต็มใจเป็น “คนจน”ผู้มีปัญญา  

สังคม“คนจน”ที่แต่ละคนไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรพัฒนาสังคม ไม่เอาจากสังคม แต่สร้างให้แก่สังคมอยู่จริง และในคนที่มีปัญญาตรงกันนี้มารวมกันอยู่ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นได้ เป็นสังคมคนชั้นหนึ่ง

เมื่อมีคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้มารวมกันเป็นกลุ่มหมู่ขึ้น ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ได้จริง จึงมีปรากฏการณ์ของ“สังคมอาริยชนคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก”ที่เป็นจริง

“สังคมคน”ที่ยกระดับเป็นอาริยชน“ชั้นหนึ่งหรือชั้นเอก(classic)”ยังไม่ได้ ก็เพราะยังเป็น“สังคมหรือหมู่กลุ่มมวลมนุษย์”ที่ยังมีคุณธรรมตาม“วรรณะ 9”ไม่มากพอถึงขั้นหรือยังมีไม่เต็มที่บริบูรณ์ 

คนชั้นหนึ่งหรือคนชั้นเอก(classic)จะเต็มบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมี“วรรณะ 9” 

“วรรณะ 9”เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ทั้ง 9 นี้ ได้แก่ (1)เป็นคนเลี้ยงง่าย(สุภระ) (2)เป็นคนบำรุงง่าย(สุโปสะ) (3)เป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน(อัปปิจฉะ) (4)เป็นคนใจพอคือสันโดษ(สันตุฏฐิ) (5)เป็นคนปรับปรุงขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ) (6)เป็นคนมีข้อปฏิบัติที่พาสูงขึ้นๆ(ธูตะ,ธุดงค์) (7)เป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส(ปาสาธิกะ) (8)เป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) (9)เป็นคนมีความขยันอยู่เสมอปกติวิสัยหรือปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)

คนผู้ใดมี“วรรณะ 9”เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอกแท้

ข้อ 7. ดังนั้น การบอก“ความจริง”อันประเสริฐแก่คนในสังคมโลก มันเป็นความดีงามแท้ จึงควรบอกให้คนทั้งหลายในโลก“เข้าใจ”หรือมี“ปัญญา”ในประเด็นนี้สำคัญยิ่งว่า คนที่มี“วรรณะ 9” เช่น คนที่มีใจพอ หรือคนที่มักน้อยคือ กล้าจน กระทั่งทำตนเป็น“คนจน”ได้นั้น เป็นคนเจริญจริง คนประเสริฐแท้ คนมีความรู้ฉลาดแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)จริงๆ ไม่ใช่คน“ชั้นสอง”ที่จะตกต่ำไปจาก“ชั้นวิเศษนี้”ไปเป็นคน“ชั้นสอง”อื่นใดๆอีกเด็ดขาด  

ทำไมคนที่มาเป็นคนจนชนิดนี้ จะกลายเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอกไม่ใช่คนชั้น 2 ไม่ตกลงไปเป็นคนชั้น 2 เลย ไม่ตกต่ำไปจากขั้นวิเศษนี้ จะไม่ไปตกเป็นคนชั้น 2 อีกเลยเด็ดขาด เพราะจิตวิญญาณมีปัญญา มีความชัดเจนเที่ยงแท้ยั่งยืนแน่นอนตลอดกาล เป็นความเห็นที่ไม่เป็นอื่นอีกเลย จะไม่แปรเป็น 2 เลย นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

เที่ยงแท้ตลอดกาลไม่แปรเป็นอื่น ไม่มีอะไรมาหักล้างความจริงนี้ได้ ไม่กลับกำเริบเลย อสังกุปปัง จึงยืนยันได้เด็ดขาดว่าอันนี้เป็นความจริงถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นความจริง เป็นได้แล้วเป็นจริงเลยเป็นความเที่ยงแท้เป็นนิพพานไม่เปลี่ยนแปลง 

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic) จึงจะเป็น“คนมีน้อยๆ, คนมักน้อย,คนกล้าจน(อัปปิจฉะ)” ซึ่งเป็นคุณวิเศษขั้นโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคุณสมบัติถึงขั้น“วรรณะ 9”

ภาษาบาลีที่มีความหมายถึง“ขั้น”หรือ“ชั้น”ที่เป็น “หนึ่ง”หรือ“เอก”ก็คือ คำว่า “วัณณะ”หรือ“พัณณะ” ส่วนภาษาสันสกฤตก็ว่า “วรรณะ” หรือ“พรรณะ” อันเป็นภาษาสื่อให้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงระดับของความเจริญหรือความเสื่อมในคุณธรรมของคน เมื่อ“ดี”ขึ้นจากเดิมก็ใช้คำว่า“สุ” ถ้า“ไม่ดี”หรือ“เสื่อม”ลงก็ใช้คำว่า“ทุ” 

ผู้เจริญก็คือ “สุพรรณหรือสุวรรณ” บาลีก็ว่า “สุพัณณหรือสุวัณณ” ผู้เสื่อมก็คือ “ทุพรรณหรือทุวรรณ” บาลีก็ว่า “ทุพัณณหรือทุวัณณ” 

ไทยเราแปล “สุวรรณ”หรือ“สุพรรณ”ว่า “ทอง” ก็คือสิ่งมีคุณค่าสูงสุดในประเภทโลหะ ซึ่งก็ยอมรับนับถือกันทั้งโลกเป็นสากลว่า “ทอง”คือโลหะที่มีคุณค่าสูงสุด

ความเป็น“ชั้นหนึ่ง,หรือชั้นเอก(classic)”จึงคือ “ทอง”

“คนจน”จึงเป็นคนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับ“ทอง” หรือ“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”

เพราะเป็น“คนจน”ชนิดวิเศษที่มีความสามารถขยันสร้างสรรค์ จึงอุดมสมบูรณ์ สร้างได้มากเกินกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ แล้วนำออกสละเจือจานเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่ในสังคม ชนิดที่เพิ่มพูนความเสียสละ ไม่ใช่เพิ่มพูนการเอาเปรียบ แต่เป็นคนไม่หวง ไม่เก็บกักไว้ เสียสละออกไป

ภาวะเช่นนี้ จึงเป็นความเจริญยิ่งจริงแท้แน่นอน

พฤติกรรมของคนดังกล่าวนี้แหละคือ คนผู้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกจริงแท้

เอาไว้แค่นี้ก่อน

 สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 เมษายน 2566 ( 21:15:05 )

660424

รายละเอียด

660424 วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #19 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52989.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1R-z3ub7Z2uBxRHYqLQm4-DmTbUemjpdw/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1jTOGtGdqrlwWapM7E_3pkBt9Xs0G4UNo/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/177786761863618 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ เราก็มา ไม่มีเรื่องอะไรดีที่สุดเท่ากับเรื่องของธรรม แล้วธรรมะก็ไม่เคยขาดเรื่องของมนุษย์ เรื่องของมนุษย์ขี้เหม็นเคี่ยวเข็นเทวดานี่แหละ เราก็ต้องพูดพาดพิงถึงเขาตลอดเวลาแล้วก็ขยายความอธิบายแนะนำ 

 

พ่อครูว่า... เริ่มกันที่ SMS 

SMS วันที่ 21-22 เม.ย. 2566 

_อุเทน ศรียัง  · อนุโมทนาครับสิ่งที่นักการเมืองเขาพูดมานั้น มันยิ่งทำให้คนไทยเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างมากมายครับ ถ้าคนจนรวยได้ คนที่เขารวยอยู่แล้วมันก็ยิ่งรวยมากขึ้นครับ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์เราก็เท่าเทียมกัน มันขึ้นอยู่กับธรรมชาติเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่นักการเมืองหรอกครับ ธรรมชาติของมนุษย์เรา มันมีฝนแล้วมันมีน้ำท่วมมันมีลมพายุมันมีไฟไหม้และมันก็มีโรคระบาดสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยการควบคุมไม่ให้มนุษย์เหลื่อมล้ำไปกว่ากันครับ แต่ทุกๆวันนี้มนุษย์เราคิดว่า ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขึ้นอยู่กับนักการเมือง มันไม่เป็นเช่นนั้นหรอกครับเพราะถ้าประชาชนทั้งประเทศรวยขึ้นได้ประเทศชาติมันก็ล่มสลายนั่นแหละครับ เพราะว่าเราจะเอาคนที่ไหนทำงานปลูกข้าวค้าขาย ถ้าต่างคนต่างมีเงินครับ

พ่อครูว่า... ถูกไหม มันเอาแต่กินแต่เที่ยวเอาแต่สำรองสำราญสบาย หาเรื่องว่าคนนั้นคนนี้เหมือนใครเอ่ย ที่รวยๆแล้วเที่ยวนั่งเครื่องบินไปเปิดช่องแล้วก็ว่าคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อยป่วนกันไป ไปหลงอะไรคารมของทักษิณ อาตมาว่าอย่าไปเปิดช่องให้เขาพูด ปิดเลย ถ้าทุกคนปิด ทักษิณตายลูกเดียว อกแตกตาย เพราะฉะนั้นทักใครก้าวพ้นทักษิณได้นะ สุขสำราญเบิกบานใจ นี่คือคำตอบ

 

_พลังเพ็ญ คำด้วง  · กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ ฟังธรรมวันที่ 22 เมย. จากท่านปัจฉาทั้ง 3 ท่าน ชัดเจนในเรื่องของกรรมกับกาละ ยิ่งขึ้น กรรมทั้ง3สำคัญที่สุดของการเกิดเป็นคน ต้องระมัดระวังสังวรกรรมทั้ง3ให้ไปสู่ที่ความที่เป็นกุศลให้ยิ่งๆทั้ง3กรรม กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ได้ก็ถูกต้อง ต้องทำกรรมที่ดีได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็จะได้อาศัย

 

_สินอโศก · กราบนมัสการท่านปัจฉาเดินดิน ท่านปัจฉาดินไท ท่านปัจฉาแสนดินด้วยความเคารพยิ่งค่ะ วันนี้ดิฉันดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง เพราะดิฉันมีจิตไม่สงบ มีจิตฟุ้งซ่าน ดิฉันคิดถึงลูกชายค่ะ แต่ตอนนี้ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันค่ะ ดิฉันรอให้เขาตอบมาก่อน เพราะหลายๆ อย่างไม่ลงตัวค่ะ

พ่อครูว่า... แต่ก่อนนี้เห็นสามีมาอยู่ด้วยกับเขา อาตมาก็เดาว่าตอนนี้สามีกับลูกชายคงไปต่างประเทศ อาตมาก็เดาไปผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย ก็จัดสรร ภาระของใครก็ภาระของใคร ก็คิดเสียว่าทุกอย่างก็เป็นไปตามกรรม คนทุกคนมีกรรมเป็นของของตน จะเป็นลูกชายก็ดี จะเป็นสามีก็ดี จะเป็นตัวคุณก็ดี ก็มีกรรมเป็นของๆตน ถ้าไปห่วงหาอาวรณ์ ไม่ตัดไม่ปลงไม่ปล่อย มันก็จะนัวนังไปชาติแล้วชาติเล่า ก็พยายามปล่อยบ้าง เขาก็คงไม่เดือดร้อน ไม่มายุ่งกับคุณเมื่อเขาไม่มายุ่งกับคุณ คุณจะไปกังวลกับเขาอะไรมากเล่า 

และอาตมาขอแนะนำให้ ที่พึ่งอันเกษม หมู่กลุ่มเป็นที่พึ่งอันเกษมคุณก็พอเข้าใจแล้ว 

 

_บุญสูง สาดา  · ลำบากวันนี้ดีกว่าลำบากวันหน้า อย่าได้ถามหาเงินตราจากนักเลือกตั้ง เงินคือของหลอกล่อ ขอคะแนนไม่จริงจัง อนิจจังอย่าได้หวังลมปากมากเล่ห์กลคนไม่ดี กราบพ่อครูสมณะสิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านครับ

พ่อครูว่า... ดีทำความเข้าใจทำปัญญาให้แจ้งไปเรื่อยๆ 

 

_แดง สารคาม  · เดี๋ยวนี้จำนำข้าวคนที่หมู่บ้านดิฉันได้ขายกิโลละ 15 บาทค่ะ ซึ่งไม่เคยมีนายกคนไหนทำให้ขายข้าวได้แบบนี้เลยค่ะ เขายังจำอยู่คะ

พ่อครูว่า... 

 

_Vipas Bincharoen  วิพัศ บิณเจริญ • 8ปีที่ผ่านมามีแต่พวกคนตาบอดใจบอด ผลงานมีดีๆมากมาย จะสาธยายให้เห็นถนนหนทางเจริญแค่ไหนทั้งประเทศ ให้เบิกเนตรดูบ้างมีรถไฟฟ้าทั่วทุกที่ รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟลอยฟ้า ถนนมอเตอร์เวย์ถนนสี่เลนส์แปดเลนส์ตามต่างจังหวัด ฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุ ปักธงแดงไอเคโอ้การประมงพื้นบ้านและการจัดโควิด19ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ จนต่างชาติยกย่อง และล่าสุดการจัดงานประชุมเอเปค 2022 จนต่างชาติชื่นชม เห็นหรือยัง จะตาบอดหรือแกล้งโง่และไม่ยอมรับความจริง อย่าอยู่แต่ในกะลาหรือว่ามาจากหลังเขา หรือเข้าไปโลกพระจันทร์เพิ่งกลับมา แหกตาดูบ้าง อย่าเอาแต่ความเกลียดชังมาบังตาบังใจ เหมือนควายที่กินหญ้าใช้แต่วาทะกรรมเดิม ๆ โง่ซ้ำซาก ดักดานจนเกินเยียวยา

พ่อครูว่า... นี่อาตมาไม่ถือว่าเป็นคำด่า แต่ถือว่าเป็นความจริง ต่างคนต่างงมงายอยู่กับของตนเอง ถ้าใครตื่นมาฉลาดก็เลิกงมงาย เลือกที่จะทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาก็ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง 

 

วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ

เรามีการประชุม สรุปการประชุมสื่อบุญนิยมวันนี้ เราทำด้วยความรู้สึกใจไม่มีอะไรเป็นความลับที่ไม่น่าเปิดเผย

 

สรุปประชุมสื่อบุญนิยมวันนี้ วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ

1. ช่วยกันแชร์คลิปหรือภาพเชียร์ลุงตู่เบอร์ 22 ทาง FB tiktok line instagram twitter

_ช่วยเชียร์ สิ่งดีลุงตู่ ได้ทำแล้ว ทำอยู่ แล้วจะทำต่อถ้าได้เป็นนายกฯ

_ช่วยแก้ประเด็นที่เขาใส่ร้ายลุงตู่ 

_ช่วยแก้ไขสิ่งบิดเบือนหรือเป็นโทษภัยในสื่อ ที่นักการเมืองที่มีโทษสมบัติ 6 ประการ  1. อวดตัวเอง 2. เบ่งอำนาจ 3. ฉลาดโกง 4. โขมงโม้แหลก 5. แจกมีเล่ห์ 6. ทำเท่โง่ๆ โทษลักษณะของนักการเมือง 6 ประการนี้ อย่าทำ อย่าเลือก อย่าคบหา!

 

2. ผลิตคลิป ป้ายภาพ เชียร์ลุงตู่อยู่ต่อ เผยแพร่ผ่าน platform ต่างๆ เช่น FB tiktok line iG twitter  เน้นเรียบง่าย เอาความจริงของคนรักลุงตู่มาเปิดเผย จากคนเล็กคนน้อยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงวัย คลิปสั้นๆ สัมภาษณ์คน หรือ ร้องเพลงเชียร์ลุงตู่ 

 

3. เปลี่ยน ธีม บุญนิยมทีวี เป็น เบอร์ 22 เชียร์ลุงตู่ สุดลิ่มทิ่มประตู

4. พูดคุยโดยตรงกับคนที่เข้ามาในพื้นที่เรา ว่าเขาเลือกพรรคไหน หากเขายังไม่ตัดสินใจก็ลองนำเสนอพรรค รทสช. เสนอลุงตู่ ให้นำเสนอการช่วยเหลือเขา ไม่ยัดเยียด 

5. เข้าร่วมกลุ่มไลน์ Open chat เชียร์ลุงตู่กาเบอร์ 22 โดยสแกน QR code ที่หน้าจอ เพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้ ใครใช้สื่อไม่เป็นอยากใช้เป็น จะมี admin มาช่วยฝึกหัดสอนให้

6. ใช้ห้อง Open chat เชียร์ลุงตู่เป็นที่ผลิต ที่เก็บกระสุนธรรมะ แล้วช่วยกันตรวจสอบก่อนเผยแพร่ ช่วยกันยิงกระสุนธรรมะออกไปให้กว้างไกล ทางสื่อ social เพื่อให้ข้อมูลจริงไปกระทบใจ ไปเปลี่ยนใจคนที่เป็นพลังเงียบ ให้ออกมากา เบอร์ 22 รทสช. ทั้งเบอร์พรรคและเบอร์เขต  #เชียร์ลุงตู่อยู่ต่อกาเบอร์22      

 

พ่อครูว่า... คณะที่จะเชียร์กัน ทางฝ่ายเขา เขาก็ใช้โซเชียลพวกนี้ เต็มรูป เต็มสตรีมเหมือนกัน เขาก็ทำเต็มที่ เราสามารถทำได้ เราก็ช่วยกัน เพราะขณะนี้มันเป็นเรื่องการ จะพูดแล้วมันก็ต้องเป็นการแข่งขัน ชิงไหวชิงพริบ  ชิงความสามารถ ฉวยโอกาสหรือชิงโอกาสกันจริงๆ ซึ่งต้องทำเพราะว่า ถ้ามันพลาดไปมันผิดไปแล้ว ปล่อยให้สิ่งไม่ถูกต้องไม่ดีงามขึ้นมามีกำลัง พังแน่ประเทศ 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ตรัสไว้ชัดๆ ต้องช่วยให้คนดีขึ้นมามีอำนาจทำงาน ดูแลปกครองบ้านเมือง ในหลวงท่านก็ตรัสเรียบร้อยสุภาพชัดเจน เราก็ต้องทำตามพระราชดำรัสนี้ เพราะเป็นความจริงด้วย เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

อาตมาเคยอธิบายไว้ว่า คนเป็นกลางนั้นต้องเข้าข้างคนดี คำนี้คนที่เขาพาซื่อว่าเป็นกลางต้องอยู่เฉยๆ ใครจะดีใครจะชั่วก็นั่งเฉยอย่าไปเข้าข้างใคร นี่คือคนเป็นกลาง ใช่ก็กลางอย่างหนึ่ง เป็นกลางโง่ๆ กลางปล่อยให้คนดีกับคนชั่วเขารบกันไป ถ้าคนชั่วชนะคุณก็อยู่กับคนชั่วที่ชนะไป ถ้าคนดีชนะก็ดีไป 

คือเป็นคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงไม่มีอาการไม่มีอะไร ทำไปเฉยๆ รู้ก็รู้ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ อาตมาว่า มันเปลืองแผ่นดิน มันหนักแผ่นดิน มันไม่มีประโยชน์ รู้ทั้งรู้แล้วก็ไม่ทำอะไร อาตมาว่าตายซะ จะเบาแผ่นดินคนอย่างนี้ นี่พูดชัดๆ อาตมาพูดเต็มที่ คือทำไมมันคิดอะไรโง่ๆ 

อาตมาเคยอธิบายเรื่องนี้ พฤติกรรมเป็นกลางของผู้มีปัญญา ปาสาโท เหมือนคนที่อยู่ที่ปราสาทสูงมองลงมายังข้างล่าง คนที่มีปัญญาปาสาโท มโนกรรมย่อมรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก โดยไม่มีอคติ 4 วจีกรรมก็กล่าวคำตำหนิในสิ่งที่ควรตำหนิคนควรตำหนิ ยกย่องคนที่ควรยกย่อง

กายกรรมเข้าร่วมกระทำกับฝ่ายที่ถูกต้อง คือคบหาบัณฑิตนั่นเอง 

พฤติกรรมเป็นกลางของผู้ที่มีปัญญา 1.โง่ไม่รู้ว่าอะไรคิดอะไรถูกนี่โง่ชัดๆ 2. กลัวจะเสื่อมลาภเสื่อมยศเสื่อมตำแหน่ง กลัวเสียหน้า นี่คือลักษณะของคนที่ไม่เป็นกลางที่ไม่มีปัญญา ข้อที่ 3. เห็นผิดมิจฉาทิฏฐิ คิดว่าเป็นกลางแล้วไม่ควรจะไปยุ่งกับฝั่งไหน นี่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายกาจ 

 

NEO PROTEST ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่

มาเข้าสู่ประเด็นที่สนุก เตรียมภาพเอาไว้ insert ด้วย 

หัวข้อบอกว่าทำไมต้องประยุทธ์จันทร์โอชา

ทำไมต้องประยุทธ์ จันทร์โอชา ... 

 

จาก FB พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี 21 เม.ย. 66

 

ผมเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด ตั้งแต่ต้อง “ยอมนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนางเป็น รมว.กลาโหม ปี 2556 อีกตำแหน่งหนึ่ง” 

ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเสนาธิการทหารบก ช่วงต่อต้าน “คนเสื้อแดงป่วนเมืองอย่างหนักขั้นเผาบ้านเผาเมือง สังหารและทำร้ายทหาร” 2553 ซึ่งอยู่ในส่วนของการปฏิบัติการ ของ “แก้วสามประการระบอบทักษิณ พรรคการเมือง มวลชน กองกำลังติดอาวุธ” 

 

จนนางยิ่งลักษณ์ ถูกศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า “ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมปลดย้ายข้าราชการ” (ย้ายท่านถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไร้เหตุผลและคนอื่นๆ) เพื่อเปิดทางให้ญาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.และในกระบวนการนั้นต้องย้ายข้าราชการอย่างน้อย 2 ตำแหน่งเพื่อให้สามารถย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เข้าตำแหน่งได้

 

เมื่อนางยิ่งลักษณ์ ถูกถอดถอนตำแหน่งและอำนาจแล้ว เกิดสูญญากาศทางการเมือง เพราะรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจสมบูรณ์ในการบริหารบ้านเมือง 

พ่อครูว่า... ซึ่งแน่นอนรัฐบาลก็ต้องดิ้นรนรักษาอำนาจไว้ เพื่อจะมีอำนาจในการดูแลหรือควบคุมประชาชน เขาต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเลวหรือรัฐบาลดี รัฐบาลเลวเขาก็คิดว่าเขาจะไปช่วย แต่ที่จริงเขาไปเอาเปรียบเอาความเลวร้ายเข้าไป แต่รัฐบาลดีก็จะไปอุดหนุนจุนเจือเอื้อเฟื้อให้ประชาชนเป็นอยู่สุขสบาย มันก็มี 2 ลักษณะ 

เพราะฉะนั้นในขณะที่มันเป็น 2 ลักษณะนี้นี่แหละ ไม่มากก็น้อย มันเป็นยังไง มันเป็นอย่างดี รัฐบาลเลวจะทำให้ประชาชนเลว หรือรัฐบาลดีจะทำให้ประชาชนดี โดยสัจจะมันเป็นอย่างไหนคนก็ต้องใช้ปฏิบัติปัญญาของตัวเอง อ่านของจริง 

สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ไตร่ตรองดูสิ อย่างที่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำ กับรัฐบาลอื่นทำ รัฐบาลที่ผ่านมาแล้วต่างๆ อาตมาว่าก็ยังดีกว่ารัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่รู้กี่รัฐบาล ยิ่งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็นำความจริงที่เรามีภูมิมีปัญญารู้ เอามาเปรียบเทียบวัดกันดูสิ ว่าอะไรมันควรดีกว่าอะไร ไม่มีใครที่จะไปบิดเบี้ยวความจริง นอกจากคุณจะไม่มีข้อมูล คุณจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย เป็นคนไม่รู้เรื่อง สังคม การเมืองอะไรไม่รู้ ฉันได้แต่ทำยาเสพติดขาย ฉันได้แต่เต้นแรงเต้นกามัวเมาอยู่กับกีฬา อยู่กับการบันเทิงเริงรมย์ อยู่ในอบายมุข  อยู่ในอะไรก็แล้วแต่ ไม่รู้สังคมประเทศเขาจะมีอะไร ใครจะบริหารอะไร 

คนพวกนี้นี่ แหม! นอกจากไร้สาระแล้ว ยังไปทำสิ่งที่งมงาย สิ่งที่ไม่มีคุณค่าสาระอะไรให้แก่สังคมบ้านเมือง เกิดมามีชีวิตก็มีแต่นรก ไม่นรกขิฑฑาปโทสิกะ ก็นรกมโนปโทสิกะ ก็คนไม่รู้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาก็จะทำโง่ของเขาไป เสียเวลาไปแต่ละชาติเกิดมาก็มีกรรมกิริยาอยู่ก็ไปงมงายเสียเรื่องไม่เข้าท่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนต่อสังคมอะไรเลย มีแต่มอมเมาซ้ำเติมตนเองและซ้ำเติมสังคมให้โง่เง่า จมไปกับเรื่องไร้สาระด้วย เกิดเป็นคนที่ต้องศึกษาพวกนี้แหละ 

_ขณะเดียวกันมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนาง ตั้งแต่กลุ่ม กปท. คปท.กองทัพนิรนาม จนเกิดเป็น กปปส.และการชุมนุมยืดเยื้อมา 10 เดือนประชาชนและประเทศชาติเดือดร้อน

พ่อครูว่า... จริงๆแล้วเริ่มตั้งแต่ 2549 อาตมานำคณะ นำสมณะนำชาวอโศก นำคนที่ไปร่วมทำมา จนเสร็จสิ้น พ.ศ 2557 แต่ละช่วงๆอาตมาร่วมไปตลอดเลย ในระยะนั้น ซึ่งอาตมาว่าอาตมาจำได้ ไม่ได้เลอะเลือนอะไร อาตมานำพาไปชุมนุมประท้วง โดยใช้ศัพท์ว่า Neo-protest 

Neo คือแบบใหม่ แบบไหนคือแบบที่โลกเขาทำไม่สำเร็จ คือแบบใช้ความสงบสยบความรุนแรง ไม่มีอาวุธ ไม่ให้ร้ายป้ายสี ไม่เอาความเท็จ เอาแต่ความจริงมาเปิดเผย ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ  พูดแล้วก็ต้องดูว่าอยู่ในนี้ไหม โบรชัวร์แผ่นนั้น 

ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

• ยุทธวิธีการชุมนุม (รูปแบบการชุมนุม) 

    1. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย

    2. ไม่มีความรุนแรง

    3. เสนอความรู้ และ ความจริง

    4. ไม่หยาบ

    5. ไม่ผิด

  กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้

 

เป้าหมายของการชุมนุม

    1. ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่ มีปริมาณการแสดงออกเป็นประชาธิปไตย

    2. แสดงคุณภาพของความเป็น ประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ)

    3. เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชน

    4. ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริงเป็นตัวตัดสิน 

    5. เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีมาแสดง(มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลางให้ทุกคนต่างร่วมกินร่วมใช้ได้) 

พ่อครูว่า... ข้อที่ 5 นี้ยังไม่เคยมีในสังคมพุทธในสังคมประเทศไทยก็ตาม สาธารณโภคีนี้เขายังไม่ค่อยรู้เรื่องกัน ยังไม่เข้าใจ ยังไม่เห็นฤทธิ์เดช ยังไม่เห็นธรรมฤทธิ์ของสาธารณโภคี อาตมานำคนที่ประพฤติ มีพฤติกรรมที่เป็นสาธารณโภคีได้แล้ว เอาไปแสดงความเป็นจริง ท่ามกลางการชุมนุมตลอดมาตั้งแต่ต้นจนจบ 

เป็นชุมชนที่ทำสาธารณโภคีกันให้เห็น เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ คนที่มีปัญญาในอนาคตจะนำสิ่งเหล่านี้มาวิจัยแล้วขยายความ สู่คนรุ่นหลังฟัง แต่มันมีปรากฏการณ์จริงที่พวกเราได้ประพฤติมาแล้ว คำว่า สาธารณโภคี ซึ่งแปลง่ายๆก่อนว่า ผู้มีความเป็นสาธารณะ ที่ร่วมกัน มีทรัพย์สฤงคาร มีของกินของใช้มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่เอาเป็นของตน เอามารวมไว้กองกลาง แล้วเราก็ร่วมกินร่วมใช้อยู่อย่างเป็นคนดี เป็นคนมีวินัย เป็นคนมีความระมัดระวัง ตามคุณธรรมของพระพุทธเจ้าสอนมา  เป็นคนมี ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ

เป็นคนมีวรรณะ 9 มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  หรือมี เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  อย่างนี้เป็นต้น

คำบาลีที่อาตมายกอ้างมาประกอบยืนยันพวกนี้ เป็นพฤติกรรมจริงที่คนอย่างพวกเราได้ฝึกฝนจนมีพฤติกรรมจริงตามแต่ละพระบาลีแต่ละตัวนี้กันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย 

คนที่มากถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอาริยะสูงสุด ก็ทำเต็มรูป มันจึงมีปรากฏการณ์จริง มันจึงมีอำนาจ มีฤทธิ์ เป็นธรรมฤทธิ์จริง ทำให้เกิดพลังงานนี้เกิดขึ้นในสังคม เป็นพลังงานบริสุทธิ์  เป็นพลังงานสงบ เป็นพลังงานสุภาพ เป็นพลังงานที่ สรุปเลย ชนะพลังงานเลวร้าย สรุปเข้าเป้าเลย ชนะมาแล้ว ไม่ได้พูดปากเปล่า มีคนร่วมรู้ร่วมเข้าใจและยินดีมาเปิดเผยตัว เข้ามาร่วมกินร่วมใช้ นี่คือสาธารณโภคีทั้งนั้น ภาพที่เห็นนี่ อาหารส่วนกลางทำกัน ไม่ได้มีใครมาจ้างวานสักบาท ใช้แรงงานส่วนตัวด้วย

นี่คือที่เสียสละออกมาร่วมกับมวลประชาชน เพื่อให้เกิดพลังงานร่วมที่มีธรรมฤทธิ์ แล้วพลังงานธรรมฤทธิ์นี่แหละ เข้าไปชนะพลังงานอธรรม อย่างเป็นสัจธรรมอย่างเห็นๆเลย ชนะไปแล้ว ในเมืองไทยเป็นปรากฏการณ์นั้น 

คนที่ไปชุมนุมเหล่านี้ ในกองทัพธรรมเหล่านี้ ไม่เป็นตัวเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงหรือไปถึงฆ่าแกงไปทำร้ายผู้อื่น ไม่มี มีแต่ผู้อื่นมาทำร้ายพวกเรา แต่เขาก็ทำร้ายได้ไม่เท่าไหร่หรอก ก็มีความสูญเสียบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ อาตมาถือว่าเป็นสงครามสังคม ที่เสียหายน้อยมาก 

ทั้งๆที่เขามีฤทธิ์เลวร้ายไม่ใช่เล่น แต่ด้วยธรรมฤทธิ์ที่เป็นพลังงานไร้สภาพ ที่ปิดกั้นไม่ให้เขาทำรุนแรงได้มากกว่านี้ นี่เป็น อจินไตย ที่อาตมาพูดได้เท่านี้ เป็นเรื่องที่เป็นจริงเป็นธรรมฤทธิ์เป็นทิพย์ เป็นเรื่องทิพย์ชนิดนึง 

เพราะฉะนั้นใน Neo protest หรือปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่า อาตมานี่แหละ เป็นตัวที่เข้าใจอันนี้ ออกมาในโบรชัวร์นี้เป็นความรู้ความคิดของอาตมาทั้งนั้น อาตมาจึงเป็นหัวหน้าโปรเทสแท้น โปรเทสแท้นตัวจริง นี่คือโปรเทสนำ เป็นตัวพาให้เกิดการประท้วงแนวใหม่ Neo protest 

เพราะฉะนั้นการปฏิวัติ ด้วยธรรมะก็ดีจะด้วยการเมือง สังคมก็ตาม เอาพฤติกรรมของเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ เอาไปใช้ในการประท้วงเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธ ใช้เศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจสาธารณะโภคี เป็นธรรมาวุธ ประท้วงสิ่งนี้ สำเร็จลงได้ สงบ สุภาพเรียบร้อยมาก 

ใช้เวลาจริงๆแล้วไม่นาน 49-57 ประมาณ 8 ปี ในการประท้วงอย่างสุภาพ สงบ เรียบร้อย แล้วสำเร็จอย่างทุกวันนี้ที่ยังเกิดอาฟเตอร์ช็อค เกิดคลื่นอยู่บ้าง มันเป็นคลื่นของสิ่งที่เหลือเศษๆ เป็นโมเมนตัมของมันเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ซึ่งไปห้ามไม่ได้หรอกเป็นความยึดมั่นถือมั่นของเขาที่จะกระเหี้ยนกระหือรือ ต้องเอาให้ได้ 

เพราะ 1. เขาได้โกงเอาไว้เป็นเงินเป็นฤทธิ์ชนิดหนึ่ง โกงไว้ไปแล้วเอาไปทำกิจการอยู่ต่างประเทศ ออกดอกออกผลให้เขามีเงิน สนับสนุนให้เขาทำ แล้วเขายังใช้เงินเป็นอำนาจต่างๆนานา 2.แล้วคนที่ยังโง่งมงาย ยังเป็นบริวาร ยังเป็นผู้หลงไปกับเขา ก็ยังเป็นฤทธิ์เป็นแรงอยู่ 2 ประเด็นง่ายๆนี่ยังเหลือเศษเป็น After Shock อยู่ 

แต่อาตมาขอไม่พยากรณ์ ขอยืนยันตัดสินเลยว่า เอาเถอะ คุณจะลาก After Shock ของคุณไปให้อีกกี่ปีก็ตาม ไร้ผล ไร้น้ำยา แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกที่คุณยังเชื่อมั่นหรือดิ้นเป็นเฮือกสุดท้าย 

คุณต้องดิ้น ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ คุณตายเมื่อไหร่คุณก็ไม่ดิ้น หยุดดิ้นแน่ แล้วก็ไปสู่นรก คนที่เหลือก็ยังเชื่อมั่นก็จะยังดิ้นต่อ ถือว่าทักษิณเป็นยอดหัวเชื้อ หมดหัวเชื้อไปก็เหลือหางเชื้อ ใครไม่เชื่ออาตมาก็บังคับไม่ได้ ใครไม่เชื่อก็ช่าง อาตมาวิจารณ์วิจัยไปตามเหตุปัจจัย 

เพราะฉะนั้น NEO PROTEST ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่

   ให้ประโยชน์ และคุณค่า กับการพัฒาประชาธิปไตย

    มุ่งเอาความจริงกับความรู้ ออกมาตีแผ่

    ไม่มุ่งแพ้ชนะ - ไม่รุนแรง - ไม่หยาบคาย

    เพื่อยกระดับการต่อสู้ขึ้นสู่...“วิถีอาริยชน” 

นี่คือโบรชัวร์ที่ใช้ในการชุมนุมตั้งแต่บัดโน้นที่สำเร็จแล้วจนถึงบัดนี้ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้กระทำนี้ เรียกใช้ศัพท์ตามคานธีเขาเรียกว่าสัตยาเคราะห์ การอนุเคราะห์ด้วยความจริง สัตยะ จนกระทั่งกอบกู้ประเทศชาติได้ คานธีเขาก็ใช้ แต่คานธียังใช้ได้ไม่งามเท่าของไทย เพราะยังมีความรุนแรง ฆ่าแกง ทำให้เห็น ทำประเจิดประเจ้อ ทหารของอังกฤษเขาก็ทำโหดเหี้ยมต่างๆนานา ก็เป็นเหตุการณ์อันหนึ่งในโลก ปฏิวัติแบบคานธี

แต่ประเทศไทยปฏิวัติแบบโพธิรักษ์ ขออภัยนั่นเป็นคานธีโพธิสัตว์ระดับหนึ่งปฏิวัติ แต่ในเมืองไทยนี้โพธิสัตว์ระดับโพธิรักษ์ปฏิวัติ เป็นผู้ทำการปฏิวัติ ไม่เหมือนกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือให้เรียบร้อยให้สำเร็จ ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงคราวนี้ จะไม่ยั่วยุไม่ทำให้เกิดความรุนแรง เหมือนคานธีท่านใช้สัตยาเคราะห์แบบนี้ จนกระทั่งกอบกู้ประเทศชาติได้

เรามุ่งเอาความจริงกับความรู้ออกมาตีแผ่เปิดเผยเป็นหลัก เอาความจริงความถูกต้องที่เป็นหลักฐานแท้ว่ามันจริงอย่างงั้น ไม่จริงอย่างงี้ ก็จะถูกเอามาเปิดเผยให้มากๆ หมดๆ

นี่คือยุทธศาสตร์ใหญ่ของเรา ที่จะยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆหมดๆ

เราก็จะได้เป็นคนมีความรู้ ทำอะไรอย่างอาริยชน เป็นคนศิวิไลซ์ซึ่งไม่ใช่คนเถื่อนๆที่เอาแต่เรี่ยวแรงมาฆ่าแกงกัน คนผู้ประเสริฐแล้ว ถ้าจะชนะกันก็ชนะกันด้วยความถูกต้อง หรือความจริง ผู้ใดมีความถูกต้อง มีความจริงกว่าก็ชนะตามสัจธรรม ซึ่งจะมีทั้ง ตุลาการภิวัฒน์ และ ประชาภิวัฒน์ เป็นผู้ตัดสิน 

ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนแต่ละคนมีอำนาจ (อธิปไตย)ของตนเต็มๆ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ร้อยคนก็ร้อยเสียง หมื่นคนก็หมื่นเสียง ล้านคนก็ล้านเสียง เป็นตัวจริง เห็นกันชัดๆเลย อันนี้แหละเป็นเรื่องประชาธิปไตย ที่ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอธิปไตยออกมาแสดงตัวให้ปรากฏ 

ประชาชนท่านใดที่เห็นด้วย ก็ขอให้ออกมาชุมนุมกัน ขอให้มาแสดงคะแนนเสียงความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเราจะมีแผนก ลงทะเบียนกรุณามาบอกชื่อบอกหลักฐานด้วย เราจะได้บันทีกลงไว้ เพื่ออภิวัฒน์ประชาธิปไตยไทย ให้เจริญรุ่งเรือง

พ่อครูว่า... นี่คือสิ่งที่เป็นเหตุการณ์ปรากฏการณ์มาหลายยุคหลายเหตุการณ์ จนกระทั่งผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้วในการชุมนุมประท้วง 

อำนาจของประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนทำรัฐประหาร ซึ่งในประวัติรัฐศาสตร์ประวัติการศึกษาทางรัฐศาสตร์ เขายังไม่สามารถมีปรากฏการณ์จริง มีสิ่งที่จะยืนยันได้อย่างที่อาตมากำลังนำของไทย นำเสนอนี้ แล้วยืนยันด้วยว่า นี้คือการปฏิวัติของประชาชนที่ไม่ใช้อาวุธไม่ใช้ความรุนแรง ถูกต้องตามสากลนิยมทั่วโลก เอาความจริงเป็นธรรมาวุธ เอาความจริงมาเป็นธรรมาวุธ มายืนยันให้เขายอมจำนนเลย คนที่ผิด คนที่เลว คนที่ชั่ว เอามายืนยันเลย จนเขาจำนน 

ชาวโลกเขาก็มองก็เห็นทั้งนั้น ยิ่งยุคนี้เป็นยุคสื่อสารมวลชน เขารู้เขาเห็นกันหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นพลังอำนาจของความถูกต้อง มันชนะพลังอำนาจของความผิด ความเลวร้าย มันจบไปเลย โค่นระบอบทักษิณ ที่เราไม่ได้ปิดบังอะไร เราก็พูดจริงๆตรงๆในความจริงใจ ว่าคุณนั้นเป็นตัวร้ายจริงๆ เลิกเถอะ แล้วเราก็พยายามมาทำ เป็นพฤติการณ์ ปรากฏการณ์จริงของสังคมประเทศชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ เดี๋ยวนี้มีทั้งรูป มีทั้งเหตุการณ์ มีทั้งอะไรต่ออะไร ถ้าคนที่เป็นนักรัฐศาสตร์ เป็นนักประวัติศาสตร์จริงๆ เก็บรายละเอียดพวกนี้มาเรียบเรียงตามวันเวลาอะไรต่างๆนาๆ มีเหตุการณ์ต่างๆ 

ซึ่งมันจะชัดเจนทุกอย่างเลย ประชาธิปไตย นี่แหละคือพฤติการณ์ของประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่ได้เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไปแล้ว จบสิ้นไปแล้วด้วย ด้วยชัยชนะของประชาชน แต่เศษของ After Shock อย่างที่ว่ามันยังเหลืออยู่อย่างนั้น เป็นคลื่นอยู่ ที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งก็ห้ามไม่ได้มันเป็นสัจจะอย่างหนึ่ง เศษของ After Shock มันก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แม้แต่จิตวิญญาณมนุษย์ที่มันยึดมั่นถือมั่นจะต้องเอาชนะคะคาน ยิ่งเขายืนยันเลยว่าผมแพ้ไม่เป็น ปัดโธ่เอ๋ยแพ้อยู่ไม่รู้กี่แพ้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ โง่ไม่เสร็จ นึกว่าตัวเองไม่แพ้ ยังไม่แพ้ ยังไม่แพ้ ยังไม่แพ้ โหดเหี้ยม ตัวเองมันแพ้แล้วรับทุกข์คนเดียวยังไม่พอ เอาน้องสาวมาแพ้อีก ยังไม่พอดันจะเอาน้องเขยมา เอาลูกสาวอีก สงสัยถ้าอายุยืนคงจะเอาทั้งหลานมา เอาหลานขึ้นมาแน่ อำมหิตจริงๆเลยคนคนนี้นี่ โอ้โห.. ไม่รู้จักหยุดจักพอ ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักว่าควรจะจบเสียที 

เขาโกงไปได้ชีวิตของเขาจะอยู่ไปอีกกี่ปี ก็ใช้เงินสนุกสำเริงสำราญสร้างกิเลสใส่ตัวเองไปเถอะ อย่ามาเอาทั้งกิเลส ตัวเองสำเริงสำราญกับกิเลสแล้ว ยังจะมาเอากิเลสที่มาบุกรุก มาสร้างความพยาบาทอาฆาต สร้างคู่ต่อสู้ใส่ตัวเองเป็นวิบากต่อไปอีก โอ้..ทักษิณเอ้ย เมื่อไหร่จะตื่น เมื่อไหร่จะรู้ตัวสักทีน้อ 

อาตมาก็ได้แต่วิจัยวิจารณ์ไปตามความเป็นจริง อย่างก็..มันน่าสงสารอย่างสุดยอดเลยนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ 

อาตมาว่าเรื่องนี้เอามาพูดในตอนนี้ช่วงนี้ มันก็ยังไม่ใช่ล้าสมัยมันก็ยังอยู่ในสมัย เพราะยังมีส่วนของ After Shock ของทักษิณ เกิดคลื่นอยู่ เราก็พูดความจริงอันนี้เพื่อให้รู้ตัวกัน ถ้าใครเห็นว่าจะช่วยกัน อย่าให้ After Shock นี้เกิดเป็นผลเสีย ก็ช่วยกันกั้น ช่วยกันต้าน มีอะไรที่จะทำให้มันระงับได้ก็ช่วยกันทำให้มันระงับ อย่าให้มันลุกลามขึ้นไปเลย มันเป็นบาปของมวลหมู่ของทักษิณนั่นแหละ 

อาตมาไม่ได้พูดความใส่ร้าย ไม่ได้ไปลงโทษ ไม่ได้ว่า แต่พูดถึงความจริงที่เป็นกรรมกิริยาที่เขาทำ อาตมาก็ไม่อยากให้เขาทำกรรมกิริยาที่เป็นอกุศล ที่เป็นบาป ที่ไม่สมควรทำ แต่คนไม่รู้เขาไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำนี้มันเป็นบาปเป็นชั่ว คนบาปทำบาปโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ได้แต่บอกไป เผื่อจะมีคนที่พอจะมีปฏิภาณปัญญาฟังแล้วจะรู้ว่าเราไม่ควรจะไปส่งเสริมคนชั่ว ร่วมมือกับคนชั่ว 

คนที่เคยหลงผิด อย่างคุณศรัณย์วุฒินี่ โอ้โห..เป็นคนที่ตื่น น่าสรรเสริญ ออกมาแล้วมายืนยันมาพูดมาตีแผ่ แม้แต่จตุพรก็พอมีท่าที แต่ไม่แน่เหมือนศรัณวุฒิ ศรัณย์วุฒินี้เด็ดขาด รู้ชัดออกมาเปรี้ยง จตุพรยังกั๊กๆ ทำเป็นเก่งนะ จตุพรทำเป็นว่าฉันเป็นกลาง ฉันไม่อยู่พวกไหน ศรัณย์วุฒินั้นชัดเลยมาอยู่พรรคนี้แหละ พรรครวมไทยสร้างชาตินี่แหละ มาอยู่มาช่วยบิ๊กตู่นี่แหละ 

เปิดเผยอย่างไม่แคร์ อย่างมั่นใจ สวนจตุพรนั้นยังทำ act ยังทำมีมานะอัตตาทำเป็นเท่ ฉันรู้นะฉันจะเป็นคนตัดสินอะไรๆอยู่ ก็ทำที ก็คนละ Character คาแรคเตอร์ของจตุพรเขาก็อย่างหนึ่ง ของศรัณย์วุฒิเขาก็อีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นตัวละครที่เราจะดูและจะศึกษา 

อาตมาก็เป็นตัวละครอย่างหนึ่ง ศึกษาดีๆเถอะ ในยุคนี้มีให้ศึกษาดีๆ แต่ละคนๆเป็นตัวละคร ตัวผู้ร้าย ตัวพระรอง ตัวพระเอก ตัวผู้ช่วยพระเอก ตัวผู้ช่วยผู้ร้ายมีเยอะ เอาละ นี่เป็นละครของธรรมชาติแท้ ละครความจริงของโลก ♪♬โลกนี้คือละคร บทบาทบางตอน ชีวิตยอกย้อนยับเยิน.. จริ๊งจริง จริงที่สุด เอ้าพัก การวิจารณ์วิจัยละครเรื่องนี้ฉากนี้ไปก่อน 

 

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน3

พ่อครูว่า... มาเอาเรื่องเศรษฐกิจที่อาตมาได้พยายามเขียนอธิบาย มันเป็นความรู้และเป็นวิธีการ เป็นภาคปฏิบัติที่จริงที่คนทั้งโลกร่วมใช้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Economic หรือ economy มันแปลว่าประหยัด ความหมายแท้ๆมันแปลว่าประหยัด เขามาใช้แปลกว้างๆว่าเศรษฐศาสตร์ จริงประโยชน์สูงประหยัดสุด อาตมาขยายจากคำว่าประหยัดเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด 

ทีนี้ความรู้ที่จะเข้าใจถึงเรื่อง จะจัดสรรยังไง ให้เกิดพลังฤทธิ์ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด หรือให้เกิดเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกิจการจริงๆ เรียกว่าเศรษฐกิจ ออกมาให้มีผล ผลต่อมนุษย์ ผลต่อสังคม และมีผลกระทบไปสู่คนอื่นๆทั่วโลกเลย 

อาตมาก็ขยายเรื่องราวพวกนี้ ว่าจะจบก็ยังไม่จบ ขยายไปตอนนี้ถึง 60 ถึง 70 ข้อแล้ว

    ...ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์  ส่วนใครจะเห็นด้วยและนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสาระสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย

เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้

ข้อ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นความคิดที่วิปริตวิตถารยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนรวยข่มคนจนกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

ข้อ 4. ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากจึง“ดี-ชั่ว ; สุข-ทุกข์”ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง

“อรหันต์”ของพุทธจึงคือผู้“จบกิจ”ที่มี“ปัญญา” ตน เป็นคนหมดสุข-หมดทุกข์สนิท อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ ในชีวิตที่ยังมีอยู่

อรหันต์จึงคือผู้มีชีวิตแสดงพฤติกรรมเป็นรูปธรรม ให้ปรากฏว่า คนผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็“จบกิจ” ปัญหา“กิจ การงานเมืองหรือการเมือง”ก็“จบกิจ”ให้เห็นเป็นตัวอย่าง

ซึ่งเป็น“สังคมคนวิเศษ”แปลกประหลาดมหัศจรรย์จาก“สังคมสามัญปุถุชนคนโลกียะ”ที่ยืนยันความแตกต่าง กันอยู่ให้เห็นพิสูจน์ได้ว่า คนอาริยะโลกุตระมีจริง ไม่ใช่แค่จินตนาการ

ข้อ 5. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศ“หายจนไปทุกคน”ได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศ“ไม่มีคนจนเลย” มันเป็นไปไม่ได้ 

และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือไปโฆษณายัดเยียดให้สังคมรวยขึ้นมากๆๆ กระทั่งถึงขั้นเพ้อกันและหลงยึดจะเอาแต่รวยๆๆๆ ชนิดที่มีแต่“ความเชื่อถือ”ว่าคนจนนั้นต่ำต้อย คนจนนั้นเป็นทุกข์ คนจนนั้นคือคนไม่มีประโยชน์ กระทั่งไม่มี“ความเชื่อ”ชนิดอื่นที่ดีวิเศษกว่านี้ 

ควรแก้ปัญหาด้วยการทำตนให้คนเข้าใจ“ความจน” นั้นมีนัยสำคัญอย่างประเสริฐสุด และการเป็น“คนจน”และให้เกิด“สังคมคนจน”ที่อยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นคนชั้นหนึ่ง

ซึ่งเป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง 

ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

_สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อครูได้เอาความรู้เก่าๆมาอธิบาย ทำให้เราไม่กลัวอาฟเตอร์ช็อคของระบอบทักษิณ พ่อครูสอนให้เรามาเป็นคนจนมหัศจรรย์ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เป็นพระอาริยะผู้มีนิพพานเป็นที่พึ่ง 

พ่อครูว่า... เป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง

ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข 

และเป็นคนผู้เพิ่มพูนการเสียสละ สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ให้แก่โลกยืนยันความจริงสุดวิเศษนี้  เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษวิเศษ ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ 

  ข้อ 6. คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อเรา“มี”วัตถุเงินทองของกินของใช้ ถึงจุด“เพียงพอ”ยังชีพสำหรับตนอยู่ได้กันแล้ว เราก็ควร“พอ” ต้องไม่บำเรอตนมากกว่านั้น การเป็นคนรู้จัก“พอ” มี“ใจพอ”นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความเป็นผู้“สันโดษ(สันโตสหรือสันตุฏฐิ)”คือ ผู้เป็น“อาริยะ” เป็นคนเจริญแท้จริง เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีความรู้ฉลาดที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ในโลก

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้ ซึ่งเป็นคนมี“ใจพอ” เป็นคนมีน้อย”ก็พึงพอใจ เป็นคนมีปัญญาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงการเป็น“คนจน”ผู้ประเสริฐที่มีประโยชน์สร้างสรรค์เสียสละให้แก่สังคมอยู่ ว่า เจริญยิ่งกว่าเป็นผู้ได้เปรียบอยู่ในสังคม 

ผิดกับถูกนี่อย่าให้สับสน ถูกก็ถูกสิ ผิดก็ผิดสิ อะไรควรก็ควรอะไรไม่ควรก็ไม่ควรให้แม่นๆ 

คนผู้มีปัญญาที่ยินดีในการเป็น“คนจน”จึงเกิดขึ้นแท้จริง อย่างเต็มใจเป็น“คนจน”ยินดี“ความมีน้อย(อัปปิจฉะ)” และเป็นคน“ใจพอ(สันโดษ,สันตุฏฐิ)” ถึงขั้นเป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) แต่เป็นคนยอดขยัน(วิริยารัมภะ) และเสียสละอยู่ปกติสุข

คนผู้มีจิตใจและปัญญาดังว่านี้ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระแท้ๆ เป็นใจที่จริงบริสุทธิ์

จึงเป็น“ความจริง”ที่ทำตนให้“จน”ได้อย่างเต็มใจเป็น “คนจน”ผู้มีปัญญา  

สังคม“คนจน”ที่แต่ละคนไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรพัฒนาสังคม ไม่เอาจากสังคม แต่สร้างให้แก่สังคมอยู่จริง และในคนที่มีปัญญาตรงกันนี้มารวมกันอยู่ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นได้ เป็นสังคมคนชั้นหนึ่ง

เมื่อมีคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้มารวมกันเป็น
กลุ่มหมู่ขึ้น ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ได้จริง จึงมีปรากฏ

การณ์ของ“สังคมอาริยชนคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก”ที่เป็นจริง

“สังคมคน”ที่ยกระดับเป็นอาริยชน“ชั้นหนึ่งหรือชั้นเอก(classic)”ยังไม่ได้ ก็เพราะยังเป็น“สังคมหรือหมู่กลุ่มมวลมนุษย์”ที่ยังมีคุณธรรมตาม“วรรณะ 9”ไม่มากพอถึงขั้น หรือยังมีไม่เต็มที่บริบูรณ์ 

คนชั้นหนึ่งหรือคนชั้นเอก(classic)จะเต็มบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมี      “วรรณะ 9” 

“วรรณะ 9”เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ทั้ง 9 นี้ ได้แก่ 

(1)เป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภร)(2)เป็นคนบำรุงง่าย(สุโปส) (3)เป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน(อัปปิจฉะ) (4)เป็นคนใจพอคือสันโดษ(สันตุฏฐิ) (5)เป็นคนปรับปรุงขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ) (6)เป็นคนมีข้อปฏิบัติที่พาสูงขึ้นๆ(ธูตะ,ธุดงค์) (7)เป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส(ปาสาทิโก,ปาสาทิกะ) (8)เป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) (9)เป็นคนมีความขยันอยู่เสมอปกติวิสัยหรือปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)

คนผู้ใดมี“วรรณะ 9”เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอกแท้

ข้อ 7. ดังนั้น การบอก“ความจริง”อันประเสริฐแก่คนในสังคมโลก มันเป็นความดีงามแท้ จึงควรบอกให้คนทั้งหลายในโลก“เข้าใจ”หรือมี“ปัญญา”ในประเด็นนี้สำคัญยิ่งว่า คนที่มี“วรรณะ 9” เช่น คนที่มีใจพอ หรือคนที่มักน้อยคือ กล้าจน กระทั่งทำตนเป็น“คนจน”ได้นั้น เป็นคนเจริญจริง คนประเสริฐแท้ คนมีความรู้ฉลาดแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)จริงๆ ไม่ใช่คน“ชั้นสอง”ที่จะตกต่ำไปจาก“ชั้นวิเศษนี้”ไปเป็นคน“ชั้นสอง”อื่นใดๆอีกเด็ดขาด  

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic) จึงจะเป็น“คนมีน้อยๆ, คนมักน้อย,คนกล้าจน(อัปปิจฉะ)” ซึ่งเป็นคุณวิเศษขั้นโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคุณสมบัติถึงขั้น“วรรณะ 9”

ภาษาบาลีที่มีความหมายถึง“ขั้น”หรือ“ชั้น”ที่เป็น “หนึ่ง”หรือ

“เอก”ก็คือ คำว่า “วัณณะ”หรือ“พัณณะ” ส่วนภาษาสันสกฤตก็ว่า 

“วรรณะ” หรือ“พรรณะ” อันเป็นภาษาสื่อให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงระดับของความเจริญหรือความเสื่อมในคุณธรรมของคน เมื่อ“ดี”ขึ้นจากเดิมก็ใช้คำว่า“สุ” ถ้า“ไม่ดี”หรือ“เสื่อม”ลงก็ใช้คำว่า“ทุ” 

ผู้เจริญก็คือ “สุพรรณหรือสุวรรณ” บาลีก็ว่า “สุพัณณหรือ

สุวัณณ” ผู้เสื่อมก็คือ “ทุพรรณหรือทุวรรณ” บาลีก็ว่า“ทุพัณณหรือ

ทุวัณณ” 

ไทยเราแปล “สุวรรณ”หรือ“สุพรรณ”ว่า “ทอง” ก็คือสิ่งมีคุณค่าสูงสุดในประเภทโลหะ ซึ่งก็ยอมรับนับถือกันทั้งโลกเป็นสากลว่า “ทอง”คือโลหะที่มีคุณค่าสูงสุด

ความเป็น“ชั้นหนึ่ง,หรือชั้นเอก(classic)”จึงคือ “ทอง”

“คนจน”จึงเป็นคนที่มีคุณค่า”เทียบเท่ากับ“ทอง” หรือ“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”

เพราะเป็น“คนจน”ชนิดวิเศษที่มีความสามารถขยันสร้างสรรค์ จึงอุดมสมบูรณ์ สร้างได้มากเกินกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ แล้วนำออกสละเจือจานเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่ในสังคม ชนิดที่เพิ่มพูนความเสียสละ ไม่ใช่เพิ่มพูนการเอาเปรียบ แต่เป็นคนไม่หวง ไม่เก็บกักไว้ เสียสละออกไป

ภาวะเช่นนี้ จึงเป็นความเจริญยิ่งจริงแท้แน่นอน

พฤติกรรมของคนดังกล่าวนี้แหละคือ คนผู้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกจริงแท้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรมว่า... นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกพยายามที่จะเฉลี่ยให้ทั่วถึงกันให้กองกลางได้มีมากเพื่อจะแบ่งได้ทั่วถึง แต่เขาก็ทำไม่ได้อย่างทั่วถึง และต้องใช้การบังคับ แต่พ่อครูสามารถทำได้ คนสามารถมาเสียภาษีให้ส่วนกลางได้ 100% มันน่าทึ่งมากนะครับ 

พ่อครูว่า... ทึ่งตะลึงซาบซึ้งจับใจ 

เพลง ทึ่งจริงๆ

  ทึ่งตะลึงซาบซึ้งจับใจ

ดูไฉนเขาก็คนเช่นเราทุกอย่าง

กายเล็กใหญ่ ไม่เห็นต่าง

แต่ใจสิไยห่างกันหนักหนา

    ทึ่งตะลึงซาบซึ้งแปลกใจ

ดูไฉนใจเขาจึงต่างคนทั้งหล้า

ใจเขาซื่อ ใจเขากล้า

ท่าทีที่ทำ น้ำใจเลิศคน

    ท่ามกลางแวดวง
    หลงเกียรติกามลาภยศสับสน

สังคมจมขี้ จนปี้ป่น

ทนแทบไม่ไหว

ทึ่งตะลึงที่เขากล้าฟัน

ยืนหยัดหยันฟื้นสังคมล่มจมนั้นได้

ใจเขายอด ใจยิ่งใหญ่

ฝึกใจอย่างไร… ถึงจริง …ทึ่งจัง ..[ทึ่งจริงๆ]

 

ข้อ 8. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนทั้งหลายเกิด

“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ เข้าใจ“ความจน”ว่า เป็น“ความเลิศประเสริฐแท้”ชัดเจนแจ่มกระจ่าง เขาจึงตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”เองอย่างเต็มใจยิ่ง เพราะมี“ปัญญา”และมี“สมรรถนะ”อยู่ในสังคมได้ดีจริงๆ 

ความมี“ปัญญา”นั้นเป็นความรู้-ความฉลาดที่สุดวิเศษพิเศษ เป็นความรู้-ความฉลาดของอาริยชน “ปัญญา”เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าใช้เรียกความรู้-ความฉลาดแบบอื่น (อัญญะ) ซึ่งแตกต่างจากความรู้-ความฉลาดของปุถุชน อันคือ“เฉโก”ที่ยังเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ยังอยู่ในกรอบ“โลกียะ”เท่านั้น

เฉโก มาจากคำว่า ฉะ(6) กับเอก (1) เปลี่ยนความฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายได้แค่นี้คือความเป็นโลกีย์ เหมือนกันคนในโลกความฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ได้เท่านี้เรียกว่าเฉกะ 

แต่ของพระพุทธเจ้าเลิกจากความวนเวียนอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแล้วก็ติดยึดอยู่ในวงวนนี้ไม่รู้จัก พระพุทธเจ้ารู้ว่ามันเป็นสมมุติมันเป็นอัตตา แต่ อันนี้เป็น อัญญา เป็นความต่างจากที่เขารู้กัน นอกเทวนิยมที่ยังไม่มีโลกุตรธรรม เขาก็อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตลอดกาลนาน คุณเกิดมาเมื่อไหร่ก็เห็น 

ถ้าคุณเองไม่บรรลุโลกุตรธรรม คุณก็ไปจมเป็นมวลเป็นหน่วยหนึ่งของโลกียะเขา ต้องไปแย่งความเจริญ แย่งความรวยมีสุขมีทุกข์แย่งลาภยศสรรเสริญสุขตามสมมุติอยู่อย่างนั้นเป็นล้านๆชาติมาแล้ว 

เพราะฉะนั้นเริ่มมาได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระพาออกจากตรงนั้นมา คุณออกมาได้บ้างหรือยังเอ่ย ออกมาได้ให้สมบูรณ์แบบเลยว่า ฉันจะไม่จมอยู่ในโลกียะนั้นอีกแล้ว 

ไปเลยไปจากโลกียะ ขอแยกทางจากโลกียะ ไปเถิดไป 

เฉโก คือความรู้ความฉลาดที่อยู่ในกรอบของโลกียะเท่านั้น 

ข้อ 9. “ปัญญา”ที่ว่านั้น...เห็นจริง เข้าใจจริงๆว่า ต้องเป็น

“คนจน”ดีกว่าเป็น“คนรวย” ตนเป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออกให้แก่ผู้อื่นที่ควร ที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน 

เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้ เพราะเกิดการสละออกไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่มีมากแล้ว ไม่รู้จักพอ ยังโลภกอบโกยมาเป็นของตัวไม่รู้จบ คอนเซพท์“เห็นแก่ตัว”อย่างนั้นไม่ควรมี

“ความรู้-ความฉลาด”ขี้โลภนั้นมันยังเป็นความนิยมของชาวโลกียะ ยังเป็น“เฉโก” ที่อยู่ในกรอบความเห็นแก่ตัว

มันยังไม่ได้เรียนรู้“ตัวตน” จึงยังไม่ได้“ละลดตัวตน” เพราะศาสดาของศาสนาที่มี“ความรู้-ความฉลาด”อยู่ในกรอบของ“เฉโก” ยังไม่มี“ทฤษฎี”ที่จะละลดตัวตน แต่หลงยึดว่า “ตัวตน”นั้นมีอยู่นิรันดรด้วยซ้ำ 

จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ความเป็นตัวตนหรืออัตตา”  ไม่สามารถทำ“อัตตา”ตนเองให้“สูญ”เหมือนศาสนาพุทธ

“เทฺวนิยม”หรือศาสนาที่นับถือ“พระเจ้า”ยังมี“ความรู้-ความฉลาด”ที่อยู่ในกรอบของ“เฉโก”อยู่เท่านั้น จึงยังไม่สามารถรู้จักกิเลส ตัวตนก็ลดละไม่ได้ หมดสิ้นตัวตนก็ไม่มี

เทฺวนิยมโลกียะที่มี“พระเจ้า”จึงมี“อัตตา”นิรันดร

ผู้มี“ความรู้-ความฉลาด”ขั้น“ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “กิเลส” จึงรู้จบความเป็น“อัตตา”สู่“อนัตตา”สำเร็จแท้ได้

ผู้บรรลุ“อนัตตา”จึงเป็นคนไม่มีตัวตน ก็ไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นจึงเป็นผู้เสียสละจริง จึงเป็น“คนจน”ที่มีปัญญาแท้

จึงสำนึกตัวเองที่เคย“โง่”เคยคิดอยากเป็น“คนรวย”

ที่นั่งอยู่ที่นี่มีคนที่ไม่คิดจะไปรวยมีอยู่ไหม ...มีคนหนึ่ง 

อาตมาเมื่อก่อนยังคิดจะไปรวยเลย เคยทำมาแล้ว 

    จึงรู้สึกละอาย(หิริ)ตนเองอย่างแรงกล้าที่ไม่เคยสำนึกในความ“โง่”เช่นนี้มาก่อนเลย มีแต่หลงว่า ตนมีความรู้ความฉลาดใน“เศรษฐศาสตร์”โลกียะเดียรถีย์แบบเทฺวนิยมสุดเลิศประเสริฐศรี ที่มีแต่“อยากรวยๆๆๆ” จนกระทั่งเกิด“ปัญญา”เป็นโลกุตระรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“สัจจะ” ที่เกินกว่า“ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกียะจะมี 

 

สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #19 วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ ราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2566 ( 20:43:14 )

660426

รายละเอียด

660426 คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/52609.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Iio-o8-Pkre_mmNafjgzdIh9R0W3dqeW/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Ll6W5UBpJ4f3-yeeX9z8cHUCz1BOeVra/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XJkgh1dUTQI 

และ https://fb.watch/k8W461Z1u0/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราได้มาศึกษาธรรมะกับพ่อครู เพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนจน เป็นคนจนที่เป็นคนชั้นสูง เพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกในอนาคต ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจเราก็ช่วยด้วยการจัดตลาดอาริยะ ผลิตอาหารไร้สารพิษเพื่อไปขายให้ถูกหรือแจกฟรี สถานที่ก็ทำน้ำตกให้มาพักผ่อนหย่อนใจ แต่เรื่องที่จะทำได้ยากคือเรื่องการเมือง แม้คนจะเข้าใจได้ยาก แต่เราก็ต้องช่วย เราเคยไปช่วยด้วยการไปชุมนุมมาแล้วตั้ง 8 ปี แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ เราก็ต้องไปช่วยต่อ เชียร์ลุงตู่สู้ๆ ทำอย่างไรให้คนเข้าใจได้มากขึ้น 

ถ้าพรรคที่เป็นคนเลวไปปกครองประเทศ เราก็ต้องไปทำหน้าที่อีกครั้ง ตอนนี้เราก็พยายามสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน สามารถสื่อสารทางไหนก็เท่าที่ทำได้ บางทีประชาชนเขาไม่รู้หรอกว่าเขาควรจะเลือกใคร

ถาม ประชาชนที่มาขายของตลาดประชารัฐ ว่าเขาจะเลือกพรรคไหน เขาก็บอกว่าใครก็ได้ครับที่แจกเงินให้เขา ซึ่งประชาชนเขาไม่รู้เรื่องว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร เมื่ออาตมาบอกผลกระทบกับเขา ถ้าเขาเลือกพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเรา เขาอาจจะสั่งปิดให้เราได้ หรือไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะปิดเอง เพราะต้องไปชุมนุมไล่เขา โยมเขาก็เลยถามว่างั้นผมควรเลือกพรรคไหนดีครับ เมื่อเขาเห็นความเดือดร้อนของเขา เขาก็จะสนใจขึ้นมาเลย ก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาใหม่ ให้เขารู้ว่าควรจะเอาใครเลือกใครไปปกครองประเทศชาติ จะได้อยู่กันอย่างผาสุก 

 

คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน

พ่อครูว่า... ก็มาพูดซ้ำซากเนาะ อาตมาก็ว่าต้องพูดวนซ้ำซากเพราะว่ามันไม่ง่าย มันยากมากทีเดียวสำหรับความเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่จะเป็นคนผู้มีประโยชน์แท้ ผู้มีคุณค่าจริง เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค ยากมาก 

เพราะงั้นคนที่จะมีภูมิปัญญาปฏิภานรู้ความจริงว่า คนที่จะเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิคจริงๆ ต้องใช้ภาษาฝรั่งเข้ามากำกับร่วมสมัยเขาให้ชัดหน่อย คนคลาสสิค(Classic Man)คือคน ที่เป็นคนชั้น 1 Class แปลว่า ชั้น เป็นคนชั้น 1 ไม่ใช่คนชั้น 2 คือเป็นคนจน เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค 

จะต้องเป็นคนจนที่มีปัญญานะ เป็นคนจนมหัศจรรย์ไม่ใช่เป็นคนจนพื้นๆดาษๆแบบโลกๆ โลกียะ เป็นคนจนเพราะว่าสิ้นไร้ไม้ตอก ซกมก ไม่มีความรู้ไม่ขยันหมั่นเพียร ดีไม่ดีผลาญพร่า ทำลาย บำเรอบำรุงตนเอง ดีไม่ดีก็เห็นแก่ตัว อย่างนั้นก็แน่นอนเข้าใจไม่ยากอะไรเป็นคนจนแบบนั้นมันไม่ใช่เป็นคนจนที่มีคุณค่าหรือเป็นคนจนผู้ประเสริฐอะไรหรอก 

ตอนนี้เรามาเป็นคนจนผู้ประเสริฐ นี่แหละเป็นความหมายของโลกุตระ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนชั้น 1 ชั้นเอก ยิ่งกว่าคนรวย คนรวยนั้นเป็นคนชั้น 2 เป็นคนชั้นรองเป็นคนชั้นล่าง คนจนนี่เป็นคนชั้นบน 

เพราะว่าเขาเป็นคนลอย คนรวยคนลอย ลอยฟ่อง ไม่ติดอยู่กับคน ไม่เห็นคนสำคัญเป็นหนึ่งเท่าเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ คนรวยแตะติดอยู่กับเงินทองทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าแตะติดอยู่กับคน คนรวยจึงห่างจากความเป็นคน นี่อาตมาพูดสัจจะ ไม่ใช่คนชั้น 1 นั้นแน่นอนไม่ใช่คนชั้นเอกนั้นแน่นอนตามสภาพจริงของคนรวยเขาเป็นกันอยู่จริง 

คนรวยนั้นถูกคั่นด้วยเงิน ด้วยทรัพย์สิน จึงห่างจากความเป็นคน คนจนนั้นไม่ค่อยมีเงิน คือคนที่มีก็ไม่สะสม คนจนที่เจริญ ที่มีปัญญาแท้ แม้จะมีมากๆก็ไม่สะสม จึงยืนหยัดความเป็นคนจน ไม่สนิทสนมกับเงิน แต่คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับคน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ทำคนที่เป็นผู้สร้าง จริงๆด้วยกัน 

โดยเฉพาะมีปัญญารู้ว่าคนที่ขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นสาระสิ่งที่เป็นสัจจะ ไม่ใช่เอาเวลาไปสร้างไปออกแรงเตะลูกกลมๆ ไปออกเต้นดีดๆ อะไรต่ออะไรต่างๆนาๆไปรำไปร้องเลอะเทอะ เป็นเรื่องกามเป็นเรื่องราคะ มันก็ยิ่งลามกเข้าไปใหญ่ เข้าใจสัจจะพวกนี้ รู้จักทิศทางที่เป็นคนเจริญคืออะไร 

เป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์แท้ เป็นคนที่ใช้แรงงาน ทำงานที่เป็นสาระสัจจะ 

เป็นคนที่ทำงานแตกต่างจากคนที่เป็นผู้ทำเงิน คนผู้ที่ไปทำเงินนั้นเป็นคนชั้นล่าง หลงเงินสำคัญกว่างาน ก็เลยหาทางที่จะได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน ความซับซ้อนที่นายทุนเขาคิดเป็นความซับซ้อนที่ได้เปรียบไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น แล้วไม่ต้องทำงาน ใช้ระบบทางโลก เดี๋ยวนี้ยิ่งมีระบบดิจิตอล ระบบ blockchain อะไรต่างๆนานา อาตมาตามรู้ไม่ได้ 

มีคนพยายามเอาความรู้พวกนี้ส่งมา ข้อมูลพวกนี้มาให้อาตมาอ่าน อ่านแล้วก็ยิ่งเห็นความซับซ้อนของกิเลสคน ยิ่งมันเป็นอากาศเป็นดิจิตอลเป็นอะไรเหล่านี้ โอ้โห..ยิ่งเป็นความซับซ้อนที่ทำให้คนไม่สามารถที่จะรู้ความซับซ้อนในอากาศ เป็นวิธีการในเชิงได้เปรียบซับซ้อน เขาก็เลยยิ่งทำอันนี้ แล้วก็หลอกให้คนไปหลงในเงินพวกนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ใดยังสัมผัสแตะต้องเงินแล้วก็เห็นเงินนี่แหละเป็นสมบัติ เป็นทรัพย์สิน เป็นเพชรนิลจินดา สุดยอดที่เขาจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นนี่นะ เขาก็จะจมงมงายอยู่กับสิ่งพวกนั้น 

แต่ผู้ใดที่มารู้จักงาน ทิ้งเงินไว้ข้างหลังเลย มาสำคัญในงานที่เป็นสาระแก่นสาร โดยเฉพาะงานที่เป็นกสิกร มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต 1 ในโลก 

อาตมาไม่ได้มาครอบงำทางความคิดนะ อาตมาพูดความจริง คนที่เป็นกสิกร คนที่เป็นชาวไร่ชาวนานี่ เป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนที่มีกุศล เป็นคนที่สร้างอาริยทรัพย์ให้แก่ตนเองไว้ ซึ่งมันเป็นวิบากเป็นกุศลวิบาก ยิ่งทำเท่าไหร่เท่าไหร่ยิ่งช่วยคนช่วยมนุษยชาติไว้ 

ยิ่งไปหลงปั่นเรื่องเงิน ให้เป็นดิจิตอลให้เป็น blockchain อย่างที่เขาคิดทำซับซ้อน พวกนั้นยิ่งเป็นหนี้ คือในทางได้เปรียบได้รวย ได้แต่เงิน แต่เขาไม่มีวิธีการที่จะรู้จักการสร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร ดีไม่ดีเอาความรู้ไปสร้างอาวุธ ฆ่าๆๆๆ ไอ้นั่นยิ่งบาปซับซ้อนเลย ยิ่งฆ่าๆๆ กันมันเป็นวิบากซับซ้อนหนักเข้าไปอีก นี่คือความฉลาดแท้กับความฉลาดเทียม หรือฉลาดแกมโกงหรือ เฉโก ฉลาดแท้คือปัญญาที่อาตมาพยายามแยกพยัญชนะ ปัญญา กับ เฉโก ให้ฟัง ยากมากเลยคนที่ไม่มีภูมิธรรมจะรับได้ ไม่มีภูมิปัญญาพอจะแยกแยะความถูกความผิด ความดีแท้กับความดีเทียม แยกไม่ได้ คนที่ปัญญามันไม่มีจริงๆไม่สามารถแยกออก ซึ่งมีจำนวนเยอะด้วย ในโลกๆ 

คนรู้จักโลกุตระจะแยกออกว่า คนจนแท้จริงประเสริฐกว่าคนรวย เมื่อเห็นจริงแล้วมีฉันทะ ยินดี จะมาจัดการปฏิบัติตนให้มนสิการ มาทำให้ใจในใจของเรามันกิเลสลดเลย กิเลสเป็นเหตุให้คนโง่ ก็ต้องลดกิเลสยิ่งฉลาดดำเนินตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีปฏิบัติหมดแล้ว อาตมาก็อธิบายซับซ้อนไป ก็จะเป็น

คนที่เจริญแท้ เป็นคนทำงาน ไม่ไปหลงเสียเวลาเป็นคนทำเงิน 

เราจะสามารถจัดลำดับของคนที่มีโทษ กับคนที่มีประโยชน์ แยกออกคนมีโทษกับคนมีประโยชน์ 

คนมีประโยชน์ใช้แรงงาน คนมีโทษใช้แรงเงิน 

ผลที่เกิดจากแรงงานของคน เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ 

ส่วนผลที่เกิดจากการใช้แรงเงิน เป็นโทษเป็นภัย

เริ่มตั้งแต่สร้างวัตถุ แล้วก็มาสร้างความรู้ หรือแม้จะมองว่ามา สร้างคุณธรรม สร้างวัตถุ สร้างความรู้ สร้างคุณธรรม 

ทีนี้วัตถุมีอะไรบ้างที่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา คนโง่หนักๆนี่ก็ไปสร้างลูกระเบิด ไปสร้างปืนผาหน้าไม้ ไปสร้างอาวุธฆ่าคน 

อาวุธที่เขาสร้างกันขึ้นมาในโลกของคนโง่ เขาไม่ได้สร้างอาวุธขึ้นมาเพื่อฆ่าแมลงหวี่แมลงวัน ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่นะ เขาสร้างมาเจตนาฆ่าคนนะ เห็นเจตนา สัญจิจจะ เห็นเจตนาของคนไหมว่ามันอำมหิต มันเป็น มิลักขชน เป็นคนป่าคนเถื่อน คนมืดบอด เป็นคนที่ไม่รู้จักความเจริญ ไม่รู้จักอาริยะ มืด งมงาย ทำชั่วอยู่ในโลกนรกมืด น่าสงสารจริงๆคนพวกนี้ 

สร้างวัตถุแล้ว แล้วเขาก็พยายามสร้างความรู้ที่เอามาสร้างวัตถุ ฉลาด ฉลาดโง่ๆ ไม่รู้จะใช้ภาษาว่าอย่างไร ฉลาดทรามๆ ฉลาดยิ่งทำให้ตัวเองตกนรกมืดบอด สร้างวิบากบาปให้แก่ตัวเอง นี่ในโลกนี้ ยังมีโลกอย่างนี้อยู่ในประเทศไหนๆ เทวนิยมเขาก็ยังไม่รู้เรื่อง 

ศาสนาพระเจ้าที่ยังอยู่ในวง เขาก็จะงมงายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ งมงายอยู่กับเงิน งมงายอยู่กับอาวุธร้าย เป็นวัตถุ เงินก็ดี วัตถุอาวุธร้ายกว่า เป็นวัตถุ แล้วก็หาความรู้ไปสร้างเงินให้ได้มากๆเอามาใช้เป็นอำนาจ ไปสร้างวัตถุขึ้นมาให้มันเป็นอาวุธอะไรขึ้นมามันเป็นอำนาจ แล้วเป็นความรู้ที่สร้างเงินได้ความรู้ที่สร้างอาวุธร้ายแรงได้ แล้วก็ชื่นชมยินดีปรีดาพอใจที่ตัวเองมีความรู้ ที่สร้างเงินได้มาก เอาเปรียบคนได้มาก โกงคนได้มากซับซ้อน ไม่ให้คนรู้ทัน แล้วก็เสียประโยชน์แก่ตนเอง 

ขี้โกงชัดๆอย่างทักษิณก็ตาม หรือขี้โลภอย่างมีวิธีซับซ้อนหาเงินมาได้อย่างแจ็คหม่าก็ตาม พวกนี้พวกมีวิบากบาป วิบากอกุศลที่เขาไม่รู้ตัว ใช้ความซับซ้อนของโลกดิจิทัล โลกบล็อกเชน โลกที่มันคิดไม่ได้ง่ายๆ เป็นอรูป เป็นนามธรรมที่ ละเอียด ลึกลับ ไม่ใช่ลึกซึ้ง แต่มันลึกลับ คนก็ไม่ค่อยรู้ทัน 

แต่ถ้าคนไม่ไปหลงเงิน ไม่ไปหลงอาวุธ แล้วก็ไม่ไปอยู่ในความเกี่ยวข้องกับเขา เอ็งจะแย่งเงินกันก็แย่งกันไป เอ็งจะแย่งอาวุธก็แย่งกันไป เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นอบายมุขเป็นเรื่องไร้ค่า เราก็ไม่สนใจ 

แม้เขาจะมีคุณธรรมขึ้นมาบ้าง พยายามคุยว่าเป็นคุณธรรม ช่วยเหลือเขา ส่งอาวุธไปช่วยเหลือเขา การส่งอาวุธไปช่วยเหลือเขาจะส่งอาวุธไปทำอะไร เอาไปฆ่า ไม่ใช่ไประเบิดแมงหวี่แมลงวันเหรอ แต่เอาไปฆ่าคนเหรอ แล้วเขาจะไม่รู้หรืออย่างไร เขาก็รู้ 

ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ฆ่าสัตว์ สิ่งที่มีชีวิต คน ยังไงๆคนก็คือผู้ที่มีพัฒนาการขึ้นมาได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เขายังไม่รู้ว่าคนมีศักดิ์ศรียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือ แค่นี้เขาก็ยังไม่รู้เลยแล้วมาทำร้ายคน ที่เป็นคนที่มีกุศลสามารถได้เกิดมาเป็นคนแล้ว แทนที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน 

เรื่องกรรมเรื่องวิบากแค่นี้ เทวนิยมพวกที่กระเหี้ยนกระหือรือในการสร้างอาวุธมาฆ่าคน มืดบอดคิดไม่ออก ไม่สามารถรับรู้และไม่สามารถเลิก ที่จะทำความชั่วความบาปความเลวทราม เขาไม่เลิกง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นเขาจะไปหลงว่ามีคุณธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ คุณธรรมอะไร ยังส่งอาวุธไปให้ยูเครน ให้ฆ่ากันเข้าไป เสร็จแล้วก็แย่งชิงอำนาจ มีเล่ห์เหลี่ยม มีวิธีการกันอยู่ว่าจะหาพรรคพวกยังไง 

เพราะฉะนั้นถ้าเราปลีกตนออกมาจากสงครามโง่ๆพวกนี้ได้ มาเป็นกลางได้คือความเจริญ แล้วเราจะเป็นกลางได้เราก็ต้องเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ และคุณค่าประโยชน์ที่จะยับยั้งคนพวกนี้ได้ในอนาคต คือการสร้างอาหาร สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกับสร้างยา เป็นกาชาดกับเป็นกองพลาธิการในโลก 

คนนี้แม้แต่ในสงคราม กองพลาธิการกับกองกาชาด เขาก็ยกเว้นแล้วไม่ทำร้ายแล้วไม่ว่าฝ่ายไหน อันนี้รู้กันเป็นสากลแล้ว นอกจากพวกมืดบอด มืดสนิท โง่สนิท ก็แล้วไป แต่คนที่ไม่โง่สนิทเป็นเรื่องสากลเขาก็รู้อยู่แล้วว่า 

กองกาชาดกับกองพลาธิการ กองที่ทำอาหารกับผู้ที่ทำการรักษาช่วยเหลือชีวิต 2 ฐานนี้ สุดยอดที่จะต้องละเว้นไม่ไปทำร้าย 

เพราะฉะนั้นคนที่จะฉลาดรู้ลึกซึ้งซับซ้อนมาทางคุณธรรม ที่ประเสริฐแท้นี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนไว้คือหลักโลกุตรธรรมกับโลกียธรรม ก็จะต้องมาเรียนรู้กรอบของความวนอยู่ใน cyclic order ของโลกียะ มันมีกรอบของมันอยู่ มันจะฉลาดเอาเปรียบเอารัด ฉลาดวนอยู่ในนี้ แบบเจริญโลกีย์เป็นผู้ชนะ อย่างเก่งก็เป็นผู้ที่สุภาพมีความดีงาม แต่ไม่รู้ลึกซึ้งไปกว่านั้นถึงกรรมถึงวิบาก ความดีงามก็เป็นแค่ความดีงามในระดับโลกีย์ ในระดับขั้นหยาบๆ อยู่ในสมมุติสัจจะ อยู่ในกรรมกิริยาที่คนตื้นๆพูดกัน 

ส่วนกรรมกิริยาที่ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนไปถึงขั้น รูปภพ อรูปภพ เขาไม่มีปัญญาที่จะรู้ แค่กามภพ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ เป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ทวาร 5 ข้างนอก แล้วเขาก็ยังติดยึดในรส รสของกามคุณ 5 รสของการได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ยังไม่ต้องไปพูดถึงได้สุขเลย สุขทุกข์เขายังยากที่จะรู้ 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาพยายามใช้พยัญชนะบอกโลกียธรรมนั้น มีความรู้รอบ มีความรู้อยู่ในกรอบของเฉโกเท่านั้น ซึ่งมีความรู้อยู่แค่ดีคืออะไร ชั่วคืออะไร ตามสมมุติ แต่เขาจะไม่รู้จักอารมณ์หรือความรู้สึกที่เสพสุข เสพทุกข์ เขาไม่รู้ แต่เขาจะหลงสุข เสพย์สุข อารมณ์สุข 

สุขตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่มีอำนาจบาตรใหญ่ มีอาวุธฆ่าคนได้ชนะเป็นเจ้าโลก เขาสุขของเขานะ เขาสมอารมณ์ที่เขาเป็นเอก เป็นเจ้าโลก เป็นหนึ่ง ซึ่งมันไม่น่ายินดี ไม่น่ายินชอบอะไรเลย ที่เป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักกรรมรู้จักวิบาก เขาก็จะทำอยู่อย่างนั้น ทางเฉโก โลกียะ เขาไม่มีความรู้ที่จะแยกออกนอกกรอบวงวน cyclic order เขาจะไม่ฉลาดออกไปรู้ สิ่งที่คุณกลับไปหลงจมอยู่ในวงวนของโลกีย์ มีดีมีชั่ว แล้วก็หลงสุขเป็นสุขนิยมอยู่อย่างนั้น ไม่มีงอกเงยหรอก คุณก็จะจมอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน อีกกี่ล้านๆชาติ คุณก็จมอยู่ในนั้นเท่านั้น เป็นคนดีตามสมมุติ แล้วสมมุติก็ไม่เที่ยงไม่ตรงกันด้วย แล้วก็วิ่งหาความสุขเสพ ความรู้ที่จะออกจากกรอบ โลกียะได้สำเร็จนั้น ความรู้ชนิดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านใช้บัญญัติว่าเป็นปัญญา แต่มันสับสนไปหมดแล้วคนเอาไปปู้ปู้ย้ำใช้เป็น เฉโก ปนกัน จนเขาไม่ใช้คำว่า เฉโกแล้ว เขาฉลาดแบบโลกีย์นะ แต่เขาก็นึกว่าเขาเป็นปัญญา   ความรู้ 2 อย่าง เขารู้อย่างเดียวคือ เฉโก แต่เขาหลงว่า เฉโก คือปัญญา ซับซ้อนตัวเองรู้ดีเป็นชั่วๆเป็นดี เฉโกมันชั่ว แต่เขานึกว่าเป็นปัญญา เขานึกว่า เฉโก คือดี สับสนอยู่อย่างนี้ 

นี่คือความไม่รู้มายากลที่ตัวเองเป็นอย่างนั้น ตัวเองไม่มีความจริงไม่มาเรียนรู้ความจริงให้ชัดแล้วก็แม่น แม่นว่าอะไรดีแท้ อะไรดีเก๊ อะไรดีเทียม อะไรถูกต้องเป็นความจริง 

ความรู้เช่นนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาขยายผลให้เห็นกัน อาตมาก็เอามาขยายความความละเอียดละออ โดยอาศัยภาษาศัพท์ที่ว่า เศรษฐกิจ หรือเศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ หรือว่าการเมืองอย่างนี้เป็นต้น เป็นภาษาศัพท์ใหญ่ๆ ที่สังคมโลกเขาเห็นสำคัญกัน แล้วก็ประพฤติกันอยู่ โดยไม่มีความเข้าใจความรู้ในเรื่องเศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ 

ซึ่งในโลกยุคไหนก็มีอันนี้แหละมีเศรษฐศาสตร์ มีรัฐศาสตร์ แต่ภาษาในยุคสมัยโบราณยังไม่ค่อยจะไปใช้ภาษานี้เท่าไหร่ มันเป็นภาษาทางสันสกฤตทางบาลี รัฐ หรือเศรษฐะ ทางภาษาทางยุโรปทางอังกฤษเขาก็ใช้ภาษาอะไรก็ว่าไป  ซึ่งเขายังไม่ได้มีรายละเอียดเหมือนทางตะวันออก หรือต้นตอมาจากอินเดีย 

ภาคตะวันออกก็มีลึกซึ้งแต่ก่อนก็มีขงจื้อ เล่าจื้อ เม้งจื้อ เฉลียวฉลาด เมืองไทยก็เป็นเมืองเล็กๆที่เพิ่งเกิดได้ยังไม่ถึงพันปี และเป็นมนุษยชาติในยุคสุดท้ายของโลก โลกยุคสุดท้ายในครั้งสุดท้ายนี้ อย่างที่ทางคริสต์เขาเรียกว่า สิทธิชนยุคสุดท้าย 

ทางศาสนาคริสต์มอร์มอน เขาบอกว่าพวกมอร์ม่อนเขารู้ยิ่งกว่าโปรเทสแท้นท์ โพรเทสคือการประท้วง โปรเทสแท้น คือตัวเต็มของผู้ประท้วงเขาเรียกว่าโปรเทสแท้น

ที่อาตมาเพิ่งเอามาอธิบายว่าในเมืองไทยนี่อาตมาเป็นตัว โพรเทสแท้น อาตมานำพวกเราไปชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ซึ่งเป็นรัฐศาสตร์ประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ พูดแล้วเหมือนหลงตัวเองยกตัวเองเป็นผู้นำในการประท้วงเหล่านี้ แต่มันเป็นจริง ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่จะหาว่าอาตมายกตัวหลงตัวเองก็แล้วไป แต่มันเป็นคำกิริยาเป็น ปรากฏการณ์จริงในโลก อาตมาไม่ได้เป็นคนทำตัวเด่น 

อาตมาทำงานไปตามประสาของอาตมาชี้นำอะไรบ้าง แต่ประชาชนทั้งหลายเข้าใจ เช่น อาตมาขึ้นว่า Neo protest ขึ้นว่าจะต้องชุมนุมกันแบบนี้ วิธีชุมนุมเป็นแบบนี้ ประท้วงแบบนี้ อะไรต่ออะไร ที่มีหลักฐานต่างๆโดยเฉพาะมีโบรชัวร์ที่พิมพ์ไว้ แล้วก็ไม่มีใครทำหรอกนอกจากอาตมาเป็นคนที่จะชี้นำพวกนี้ ชี้นำทั้งภาษา วิธีการและก็พาทำ แม้แต่แค่ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ  อย่าสงบอย่ารุนแรงเป็นอันขาด ตายเป็นตาย เราจะไม่ทำให้ใครตาย เราตายก็ไม่เป็นไรเราก็ได้ทำดีเป็นกุศลยิ่งเจริญ สิ่งเหล่านี้อาตมาว่าปรากฏการณ์พวกนี้ นักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์นักสังคมศาสตร์ก็ตาม จะมาวิจัย มาเรียนรู้หลักฐานความเป็นจริง ซึ่งมันมีหลักฐานบันทึกไว้เยอะ แล้วเขาจะค่อยๆลึกซึ้ง รู้ว่าอันนี้มาจากต้นตออะไร ใครเป็นคนต้นคิดเป็นผู้นำ เขาจะค่อยๆรู้ 

เพราะผู้ที่ไม่แสดงตัวปรากฏตัวอย่างโดดๆเด่นๆ จริงๆ ซับซ้อนเหมือนไม่มีตัวตน นั่นแหละยิ่งซับซ้อนไม่มีตัวตนนั่นแหละ คือผู้นำที่เป็นสภาวะสิริมหามายา เป็นตัวจริง แม้ทุกวันนี้อาตมาพูดไปพูดความจริง ที่จริงเหนียมตัวเองเหมือนกัน เอาตัวเองมายืนยันมาพูด ทางวิชาการเขาจะบอกว่า อย่าเอาตัวเองไปเป็นละครในวิชาการนั้น อาตมาก็ว่า มันไม่พูดถึงได้ยังไง ก็มันเป็นพฤติการณ์เป็นพฤติกรรมที่ต้องไปยืนยัน ก็คนมีพฤติกรรม แล้วเราก็มีพฤติกรรมอันนี้แล้วไม่พูดถึง ขนาดพูดถึงยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังมีอคติยังต่อต้าน บอกว่าอวดตัวอวดตนไม่ใช่ของจริง 

คือมันถึงยุคสุดท้ายซึ่งต้องพูดความจริง ต้องบอกความจริง ถ้าคนจริงไม่บอกความจริง มันไม่มีใครจะรู้ความจริง ที่เป็นความจริงที่ไม่มีคนรู้ได้ง่าย ความจริงที่คนจริงเท่านั้นมีความจริงและยืนยันความจริง ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้แล้วได้แต่เดา แล้วไปเดาความจริงได้อย่างไร ความจริงที่ยอดไม่ใช่ความเดา  ความจริงที่ยอดนั้นไม่ใช่ความเดา ความจริงที่ยอดนั้นเป็นความยาก เดาไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นศาสนาเดากับศาสนาจริง จึงพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง โดยไปเข้าใจภาษาที่สวยๆว่า อย่าไปอวดตัว อย่าไปบอกว่าเราดี มันเป็นการอวดตัว ภาษาสวยนะ 

เราบอกว่า เราดีตัวเราจริง มันเป็นภาษากระด้าง คนอะไรวะมาอวดตัวเอง อะไรอย่างนี้ มีความซับซ้อน 

 

เดี๋ยวเอา sms ก่อน

_กิ่งธรรม...กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธาสูงสุด...ลูกอยากจะพูดถึงความเข้าใจ...ต่อเรื่องความรวยและความจนว่า...จริงๆแล้วความรวยในความเข้าใจของลูกคือความแม้มีน้อยก็พอและแบ่งปันได้ความรวย คือมีอิสระต่อทรัพย์สมบัติและเงินทอง..อิสระคือไม่มีสิ่งใดมาบีบคั้นให้เราเป็นทุกข์ต่อสิ่งนั้นได้ ความรวยในความจนคือแม้มีน้อยแต่ก็ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน   ส่วนความจนนั้นคือมีความต้องการมากเกินกว่าสิ่งที่มีอยู่หรือได้รับเสมอ   แม้จะมีมากเท่าใดๆ  ก็ไม่พอกับความต้องการ ไม่คิดจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร    จะให้ก็ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทนเสมอแบบนี้เรียกว่าความจน  คือจนด้วยใจ   

ลูกได้ฟัง  สม.กล้าข้ามฝันเทศน์เรื่องการได้มาอยู่บ้านราชเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1  ลูกว่ายิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1อีกค่ะ  เพราะถูกหวยรางวัลที่ 1เอาไปใช้ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ ตายแล้วก็ไม่ใช่ของเรา   แต่โลกุตรสมบัติ ที่ได้แต่ละพุทธสถาน  ติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ค่ะ   อยู่พุทธสถานไหนๆก็ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1เหมือนกัน...แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนค่ะว่าต้องอยู่ที่ไหน  การได้มาซึ่งโลกุตรคุณสมบัตินั้นยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1เสมอค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ลูกว่าชาวอโศกรวยมากค่ะ เป็นความรวยในความจน   รวยข้ามชาติรวยไม่เข็ดค่ะ  เป็นสิริมหามายาจริงๆ ค่ะ   ลูกแค่เล่าสภาวะและความเข้าใจสู่กันฟัง...ขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านด้วยค่ะว่าถูกต้องไหม?

พ่อครูว่า... ดีมากถูกต้อง นี่คือการเช็คผล มาสอบอารมณ์ ให้อาจารย์สอบอารมณ์ เป็นภาษาทางสายสมถะ 

 

SMS วันที่ 24 เม.ย. 2566

 

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา  · เทศน์กัณฑ์วันจันทร์ ที่ 24เม.ย. นี้ มีบรรยากาศ และเนื้อหาสาระ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเอื้อนเพลง เสริมการบรรยาย ที่ทำให้ลูกๆเข้าใจสาระและร่าเริงในธรรมยิ่งขึ้น แต่ก็สลับเป็นบางครั้งกับการไอ ที่ลูกๆได้แต่นั่งลุ้น ให้การไอนั้นยุติลงโดยเร็ว ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง พ่อครูจะมีอิทธิบาทเต็ม !!! ในการทวนซ้ำพร่ำสอน ราวกับให้ลูกๆ ที่มีปัญญาน้อยที่สุดได้เข้าใจ หรือโปรยองค์ความรู้ ไว้ให้กับผู้ที่แสวงหาได้มีโอกาสมาเงี่ยโสตสดับฟัง ตามรอบแห่งบารมี จึงกราบขอสรุปไว้ว่า นี่แหละ คือพฤติกรรม ของพระนิยตะโพธิสัตว์ ที่มาทำหน้าที่กอบกู้ รื้อขนสัตว์ เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ยากแท้จริงค่ะ กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนา ด้วยเศียรเกล้าฯ ค่ะ

พ่อครูว่า... ผู้รู้ รู้ ผู้ไม่รู้เขาก็ไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วเขาอาจจะมองว่าเป็นผู้มาทำลายศาสนาพุทธอีก ก็เป็นไปตามภูมิของคน เราก็ไม่รู้จะห้ามกันได้ หรือไปบังคับให้ฉลาดกันได้อย่างไร ห้ามไม่ให้โง่ก็ห้ามไม่ได้ 

 

_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงนี้ช่วงหาเสียง ผมก็เห็นป้ายหาเสียงของพรรคพลังธรรมใหม่ เลยสงสัยว่าพรรคนี้เกี่ยวข้องอะไรกับลุงจำลองไหมครับ แล้วพรรคพลังธรรมใหม่กับพรรคสัมมาธิปไตย แนวคิดและแนวทางการเมืองต่างกันไหมครับ ทำไมไม่รวมตัวกันไปเลยครับ ขอถามเท่านี้ก่อนครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูครับ

พ่อครูว่า... พรรคพลังธรรมใหม่เขาก็เติมคำว่าใหม่ ก็ไม่ใช่พรรคพลังธรรมเก่าของคุณจำลองแน่นอน ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าพรรคพลังธรรมใหม่ อีกพักหนึ่งชื่อว่าพรรคสัมมาธิปไตย มันก็ไม่ใช่พรรคเดียวกันแน่จดทะเบียนก็คนละพรรค ทุกกลุ่มทำงานก็คนละกลุ่ม แนวคิดและแนวทางทางการเมือง ก็มีต่างและมีเหมือน มันยังรวมตัวกันไม่ติดยังรวมตัวกันไม่ได้ ก็ต่างคนก็ต่างไป.. ขอถามเท่านี้ก่อนครับ ก็ขอตอบแค่นี้ก่อนนะครับ

 

_บุญสูง สาดา  · ร่วมด้วยช่วยกันทำประเทศไทยให้ยืนยง สนับสนุนผู้คงความดีมีสัมมาธิปไตย ประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐบาลไทย อยู่ต่อไปเพื่อทำงานสานต่อแบบพอเพียง กราบพ่อครูสมณะสิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านครับ

พ่อครูว่า... เป็นบทกวีนะนี่ แต่มันเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาบท

เช่น โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งนะ 

อาบน้ำแต่งตัวแล้ว กินข้าว 

 

คนรวยไปทำไม ก็รวยไปทำทุกข์ 

_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร  · กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อยากรวย แต่ยังถามตัวเองเสมอว่า อยากรวยไปทำไม เพื่ออะไร ทุกวันนี้ก็มีทุกอย่างแล้ว

พ่อครูว่า... ก็ถามตัวเองแล้วตอบตัวเองให้ได้สิ ว่าจะรวยไปทำไม คนที่รวยไม่เสร็จจะรวยไปทำไมคือ รวยไปทำทุกข์ เพราะคุณรวยไปแล้วก็จะหลงความสุข แล้วก็จะใช้ความรวยบำเรอความสุขให้แก่ตัวเอง มันโง่ซ้ำโง่ซ้อน บำเรอสุขมากเท่าไหร่ สุขก็ยิ่งหนา ความสุขหนา กิเลสทุกข์ก็ยิ่งหนาไปด้วยกัน เพราะสุขทุกข์มันอันเดียวกัน 

ถ้าเข้าใจคำว่า สุขกับทุกข์นี้เป็นอันเดียวกันไม่ได้ แล้วคุณต้องเลือกทั้งสุขทั้งทุกข์ เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง ก็อธิบายมามากแล้ว ถ้าคุณไม่เลือก คุณก็ติดอยู่กับสุขกับทุกข์ มันเป็นเทวะที่ พระเจ้าหลอกเอาไว้พระเจ้าคือสุขนิยม พระเจ้าคือ ในตัวเองเป็นจอมมายา ตัวเองเป็นซาตาน เป็นผีแล้วหลอกให้หลงสุข โดยมีมีดแห่งทุกข์ซ่อนอยู่ข้างหลัง 

ขออภัยพูดไปยาวมากเดี๋ยวจะไปหาว่าพระเจ้าเขาเยอะ แต่มันเป็นสัจธรรมอาตมาพูดให้เป็นวิชาการศึกษาให้ดีๆก็แล้วกันเอาไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้ว 

 

ทักษิณเรียนรู้อาชญวิทยามาเพื่อเป็นอาชญากร

_แดง สารคาม  · ดิฉันเล่าเรื่องทักษิณไม่ดี คนที่ฟังนั้นเขาบอกว่าศาลแกล้ง คนอื่นแกล้งนายกปูและนายกทักษิณค่ะ

พ่อครูว่า... คนอยู่ในโลกที่มืดๆบอดๆก็เป็นอย่างนี้ จะพูดอย่างไรเขาก็จะว่าทักษิณเขาถูกศาลแกล้ง เพราะทักษิณเขาพูดอย่างนี้เลยบอกว่าศาลนี้แกล้ง ศาลนี้ไม่สุจริต ศาลไม่ซื่อต่อเขา อะไรต่างๆนานาของเขาหาเรื่องไป เพราะว่าเขาจบด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา ซวยจริงๆเลย ไปจบด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา คือวิชาของอาชญากร แล้วเขาก็ได้ความรู้ทางอาชญวิทยา ความรู้ของอาชญากรมาเป็นตัวอาชญากรซะเอง ซวยจริงๆทักษิณเอ๋ย แล้วยังไม่พอยังมาครอบงำคนอื่นให้เป็นอาชญากรตามอีก บาปซับบาปซ้อน ดีไม่ดีใจดำมาก มาสอนให้ลูกเป็นอาชญากรอีกด้วย โฮ้! ทักษิณเอ๊ย เขาทำด้วยความไม่รู้นะ ซึ่งภาษาก็คือโง่ ไม่รู้ก็คือโง่ เขาทำด้วยความไม่รู้ของเขา น่าเห็นใจจริงๆน่าสงสาร เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวสักที ถ้าเขารู้ตัวแก้ไขซะ ยังจะได้เพลานรกลงไปได้บ้าง แต่นี่เขาคิดว่าคงจะยาก คงไม่มีวันจะสว่าง สงสัยจะมืดมามืดไปหนักกว่าเก่าทักษิณเกิดมาชาตินี้ มืดมาแล้วก็มืดไป ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน น่าสงสารจริงๆ 

อาตมาพูดถึงก็พูดด้วยความสงสารเป็นเมตตา ถ้าหากอาตมาไม่แตะเลยมันก็ใจดำ ที่แตะเพราะว่า1.สงสารเขา 2. มันเป็นตัวอย่างอันชัดเจนที่จะใช้ให้สังคมมนุษยชาติได้เรียนรู้ตาม อันนี้ต้องขอบคุณเขา ที่เขาเป็นตัวอย่างให้เราได้พูดความไม่ดีของเขา เขาไม่ได้อนุญาตหรอก แต่เราเอามาเฉยๆ เอามายืนยันกับโลก 

 

_Rujira Wongpalee รุจิรา วงปาลี  · พ่อครูสมณโพธิรักษ์ หนึ่งเดียวในโลก ที่สามารถคลอเสียงเพลงและเทศน์แสดงธรรมะ โลกุตระธรรม ประทับใจมากที่สุดค่ะ เพลงที่ท่านแต่งไว้ถ้อยคำและสำนวนหวาน ไพเราะ ลึกซึ้งกินใจ กราบขอบคุณสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ดีงามสู่สังคม น้อมกราบนมัสการ

พ่อครูว่า... สำทับรับรองว่าเป็นคุณค่า อาตมาก็ขอบคุณ ที่เห็นคุณค่านี้

 

ปฏิบัติเป็นลำดับต้องเริ่มจากภายนอก 

_บุญสงค์ พวงพลอย  · กราบนมัสการพ่อท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก รูป รส กลิ่น เสียง ธัมมารมณ์ ภายใน ใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... ใช่ คุณเข้าใจให้ชัดก็แล้วกัน ตาคุณก็มองไปข้างนอก หูมันก็เอาเสียงข้างนอกเข้ามากระทบได้ยิน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สมณะฟ้าไท... เราฟังธรรมพ่อครู พ่อครู เป็นศิลปินก็เอาองค์ประกอบมาให้เราได้ฟังหลายองค์ประกอบ จับประเด็นสำคัญๆมาให้เราได้ประโยชน์ เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์  คณิตศาสตร์ศิลปศาสตร์ ต่างๆนานาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ คนฟังก็ได้ครบทุกประเด็น ทุกคน แล้วแต่คนจะชอบแบบไหน 

พ่อครูว่า... คุณเรียกว่าธรรมารมณ์ภายใน  หรือการรับรู้ภายในเข้าไป มันเชื่อมโยงจากภายนอกคือกามภพไปหารูปภพภายใน มันเชื่อมกัน ทำกิเลสหยาบภายนอกหมด จึงเหลือภายใน 

ถ้าทำกิเลสหยาบภายนอกไม่ได้ แล้วก็ไปนั่งหลับตาทำภายในโดยวิธีการแบบสะกดจิต เพราะไม่ได้เริ่มต้น คุณไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่คุณจะไปปัดกวาดข้างในห้องให้มันสะอาด มันจะได้ยังไง คุณต้องเปิดประตู คุณต้องทำภายนอกให้เป็นก่อน หยาบๆแล้วได้แล้วจึงจะเข้าไปรู้จักความสะอาดที่หยาบๆ ตั้งแต่ทำหยาบๆได้ก่อน จึงจะรู้ความละเอียดซ้อนเข้าไปเรื่อยๆตามลำดับได้

หยาบๆคุณยังตาถั่วอยู่เลย ยังไม่รู้เรื่อง ยังทำความสะอาดกิเลสก้อนหยาบๆของคุณยังทำไม่ได้ แล้วคุณจะไปเห็น ดวงตาคุณจะมีประสิทธิภาพที่จะไปรู้กิเลสละเอียด โดยที่กิเลสหยาบคุณก็ยังไม่เคยรู้จัก แต่คุณหลับตาแล้วไปสร้างนิรมาณกาย สร้างภพชาติเพ้อพกว่าคุณได้รู้จักกิเลสละเอียด โดยจริงๆวิธีการก็ไม่ใช่ ทำให้กิเลสพวกนั้นหมดก็ไม่ใช่ คุณกดข่มกิเลส ไปดับสัญญาแล้วนึกว่าเป็นนิโรธ 

ก็พูดไม่รู้เท่าไหร่แล้วพวกนั่งหลับตาปฏิบัตินี่โมฆะ ไม่มีทางบรรลุธรรม  พูดเท่าไหร่คนที่เขาทำอยู่ก็ยังไม่สะดุด ไม่เกิดปฏิภาณปัญญารู้สักทีเลย ว่ามันผิดลำดับจริงๆหรือ มันโมฆะจริงๆเหรอ เขาจะไม่ค่อยเชื่ออาตมาหรอก เพราะเขาเชื่ออาจารย์แล้วไปฝันเพ้อ สร้างภพชาติ ที่ได้แล้วก็จะมีตาทิพย์ ไปสอนวิญญาณฝรั่ง วิญญาณมาจากต่างประเทศ เหมือนอย่างอาจารย์มั่น สายหลับตาไปอย่างนู้นเลย 

อาตมาก็ได้แต่สงสาร ทำยังไงจะพยายามให้เขามารู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 ฌานอย่างนั้นมันเป็น ฌานหมาก ฌานพลู ฌานเรือนชานบ้านอะไรโน่น มันไม่ใช่ ฌาน คือ พลังงานไฟที่เผากิเลส ไม่ใช่ ฌานอย่างนั้นมันฌานเย็นไม่ใช่ฌานไฟ ฌาน พระพุทธเจ้ามีพลังงานไฟ เป็นอุณหธาตุ สามารถเผากิเลสได้ แต่ฌานเย็นไม่สามารถเผากิเลสได้ 

 

_จรรยา ประเสริฐ  · เรื่องกายในกาย ลูกเข้าใจแค่ตื้น ๆ ว่า ตาเรามองเห็นผู้หญิง กายลูกมองเห็นว่า ภาพผู้หญิง ส่วนกายในกายส่งไปที่ใจว่า สวยหรือไม่สวย แต่พิจารณาแท้จริงว่า ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเราไม่ได้ยึดว่า สวยหรือไม่สวย นี่คือกายในกายตามที่ลูกเข้าใจ เวทนาในเวทนา ได้กินผักมะเขือเทศ เวทนาในเวทนาคือ มะเขือเทศรสอะไร ก็ตามนั้น เปรี้ยวคือเปรี้ยว แต่เวทนาในเวทนา อีกนัยยะหนึ่งคือ เราจินตนาการว่า มะเขือเทศรสเปรี้ยวนี้อร่อย เห็นเวทนาเทียม เข้าใจอย่างนี้ค่ะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ถูกต้อง บรรยายสภาวะมาอาตมาอ่านแล้วเห็นว่าถูกต้อง จะต้องแยกแยะจริงรู้ได้มีธรรมวิจัยสมโพชฌงค์อย่างนี้แหละ มีวิตกวิจารวิจัยออกอย่างนี้แหละ แยกอันที่จริงอันที่เท็จได้ แยกสภาพ 2 ได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ แยกไม่ได้ก็เป็นมายาแยกได้เป็นสิริมหามายา 

 

พระอรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีจิตเป็นปัญญา 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกขออนุญาตถาม

1. คนตายที่อยู่ในภาวะพีชะ แต่จิตยังยึดร่างที่เป็นพีชะนี้ไว้อยู่ อย่างนี้จะสามารถเรียกได้ว่า ยึดพีชะเป็นกายได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ได้ ที่จริงเขาไม่มีกายแล้ว กายคือสภาวะที่ มีทั้งภายนอกภายในมีจิตเจตสิกก็ร่วมกับรูปภายนอก กาย จะต้องมีธาตุรู้ร่วม เขาเองเขาไม่รู้ภายนอกแล้ว เป็นมนุษย์พืช เขามีแต่จิตยึด ภาษาคำว่า กาย ก็คือเขาสลับสับสน ไม่มีกาย แต่เขานึกว่าเขามีกาย เป็น นิรมาณกาย ยึด และแถมยึด อยู่ที่จิตวิญญาณที่มันเกาะร่าง 

ร่างนี้ไม่ใช่กาย นะ แต่ร่างคือสรีระเพราะฉะนั้นก็เลยซับซ้อน กลายเป็นยึดร่างเป็นกาย ทั้งๆที่มันไม่มีกายไม่มีจิตที่ร่วมอยู่แล้ว ไม่มีภายนอกแล้วมีแต่ภายใน มันก็เลยยึดเกาะแต่เพียงภายในว่าเป็นฉันเป็นฉัน เลยกลายเป็นพืช ไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึกภายนอกอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าได้อาหารเลี้ยงเหมือนกับพืชมันก็จะอยู่ไปนาน ถ้าหากอาหารหมดมันก็แห้งลงๆ 

การแยกอุตุ แยกพืช แยกจิตได้ เข้าใจแล้วเอาไปทำปฏิบัติการกระทำให้มันถูกต้อง กระทำตั้งแต่ภายนอกแล้วก็ทำใจในใจมนสิการให้ใจมันเป็นอุตุ ให้ใจมันเป็นพืช ให้ใจที่จิต ใจที่เป็นจิตที่ทำตนเป็นอุตุ พีชะได้ ใจก็มีญาณ วิชชา สามารถทำวงจรของจิตให้เราจนสามารถกำหนดได้ว่าอันนี้ให้เป็นอุตุ อันนี้ให้เป็นพืช  อันนี้ทำได้ให้เป็นจิต จิต ก็เป็นปัญญาอยู่เหนือมีโลกุตระ อยู่เหนืออุตุกับพืช โดยใช้อุตุ พืช 

พระอรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีสติเต็ม 100% รู้ทั้งนอกทั้งในครบบริบูรณ์ แล้วก็อยู่อย่างพืชกับอุตุแต่มีจิตเป็นปัญญา ครบรอบถ้วน

 

ธรรมชาติมีเหตุและปัจจัยที่เป็นไปตามบารมี 

2  . ลูกฟังข่าว หลายประเทศในโลกเดือดร้อนมาก มีสงคราม มีภูเขาไฟระเบิด มีน้ำทะเลสูงขึ้นเพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเป็นต้น ช่วงนี้ทางบ้านลูกอยู่ร้อยเอ็ด อากาศร้อนมากถึง40องศา แดดร้อนแผดเผาผิวไหม้ค่ะ อยู่ๆฝนก็ตกลงมาเปลี่ยนร้อนเป็นเย็น ทำให้ลูกคิดถึงพ่อครูทันทีค่ะ ลูกว่าบารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยปกป้องโลกไว้ทั้งโลกให้ภัยวิกฤติที่หนักเป็นเบา ลูกขออนุญาตถามพ่อครูว่า เป็นได้ไหมคะ

พ่อครูว่า...ไม่ได้ อาตมาไม่มีฤทธิ์แบบนั้น อย่ามาโมเมเสียให้ยาก อย่ามาหลอกใช้ ไม่หลงลมหรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่เป็น อจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้ง

ธรรมชาตินี่แหละมันจะลงตัวทีเดียว กับบารมีของบุคคล เช่น ธรรมชาติวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระพุทธเจ้าจะต้องประสูติ หรือตรัสรู้ หรือปรินิพพานในวันเดียวกันนั้น อันนี้เป็นเรื่องลงตัวที่จะลงตัวอย่างที่เรียกว่า คุณอยากได้คุณก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติให้มีบารมีลงตัวได้ ปฏิบัติได้แล้วจะเห็นได้ว่ามีเรื่องที่เกินคิดเป็นไปได้ปานฉะนี้ 

จึงทำให้คนที่ไม่รู้จักเหตุไม่รู้จักเหตุผล ก็เลยเป็นพวกยึดเป็น ฤทธิ์เป็นเดช เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสายศรัทธาที่ไม่มีปัญญาก็เลยไปหลง แต่มันเป็นจริง ผู้มีปัญญาก็จะรู้ว่าอันนี้มาแต่เหตุ ผู้ไม่มีปัญญาไม่รู้จักเหตุจึงเป็นไสยศาสตร์ สายศรัทธา แล้วก็ไปโมเมว่าตัวเองมีฤทธิ์เลอะเทอะใหญ่ ก็หลอกคนไปเยอะพวกสาย ศรัทธา โมเมว่า ฉันบันดาลได้ 

ยิ่งรู้ทางอุตุนิยมวิทยา ก็เอาความรู้ทางอุตุวิทยาทำนาย เลยแม่นใหญ่เลยอย่างโน้นอย่างนี้ คนรู้ตัวก็หนีทันใช่ไหม ธรรมชาติจะเป็นอย่างนี้คนรู้ก็จะหนีทัน ก็เลยเก่งใหญ่เลยวิเศษใหญ่เลย ไปรู้จักทางอุตุนิยมวิทยา 

 

ถ้าขัดแย้งกับความจริงมีแต่จะไปสู่นรก 

_สุธน ไทรทอง  · ผมกับน้องชายเราเป็นคู่แฝดกันครับอายุ45ปีครับ เราทั้งคู่เคยโง่กันมากครับไม่เคยสนใจธรรมะเลย แต่ได้มาพบธรรมะของพ่อท่านฟังแล้วเข้าใจครับ และนำไปปฏิบัติ ลด ละ จาง คลายได้ตามลำดับครับ ตอนนี้ผมกับน้องชายติดตามฟังธรรมะของพ่อท่านตลอดครับ ผมกับน้องชายขอขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงสุดครับ ถ้าไม่พบธรรมะของพ่อท่านผมกับน้องชายคงยังโง่อยู่ และไม่รู้จะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร

พ่อครูว่า... คุณมีบารมีเก่านะ ถ้าไม่ได้พบอาตมาจะเข้าใจยาก คนที่จะเข้าใจเองโดยไม่ต้องฟังจากสัตบุรุษ ไม่ต้องฟังจากผู้รู้นั้น เป็นบารมีของเขามา คนที่อวดดีว่าฉันมีบารมีไม่มาฟังโพธิรักษ์ หรือจริงๆฟังโพธิรักษ์พูดก็บอกว่าฉันต้องรู้ของฉันเองและต้องแบบของฉัน อย่างนี้แหละจะเป็นคนที่ดักดาน จะโง่ไปอีกนาน เพราะว่าไม่ยอมรับสัจจะที่จริง นึกว่าตัวเองเป็นสัจจะ นึกว่าตัวเองเป็นสัจจะทั้งที่เขาเป็นสัจจะจริงยืนยันให้ แล้ว มันจะต้องต่างกันความรู้ของเขากับความจริงมันจะต้องต่างกันใช่ไหม ความรู้ของเขากับความรู้ที่เป็นจริงมันจะต้องต่าง ถ้าคุณขัดแย้งความต่างกับความจริงตลอดเวลา ..ไปเถอะไป ถ้าหัวใจเธอจริงพอ.. แต่ไปสู่นรกนะ 

 

กดข่มความเจ็บปวดมันไม่พาบรรลุธรรม

_ตุ๊ก อัศวิน  · น้อมกราบขอบพระคุณ..'พ่อครู'..ที่กรุณาไขข้อข้องใจ..เรื่องกรรม/วิบาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก เมื่อถึงคราวต้องเผชิญ..ในยามเจ็บป่วยได้ไข้ และ ถึงคราวต้องทำกาละ ละโลกนี้ พ่อครูไม่แนะให้ใช้เคล็ดวิชชา 'กดข่ม' ด้วยสมาธิ แต่ ให้ใช้วิชชา 'กฏแห่งกรรม' คือ เติมน้ำใส(ละชั่ว/ทำดี) เพื่อเพิ่มคุณภาพน้ำนั้นให้ใส..ใสสะอาดขึ้น..วิบากร้ายจักได้เบาคลาย!! จึงขอโอกาส โปรดให้ สัมมาทิฎฐิ กรณี เจ้าคุณนรรัตน์ฯ..ที่ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็งที่คอและกรามช้าง จนเน่าเฟะ แต่ท่านมิได้แสดงความเจ็บปวดให้เห็น และ ยังคงลงอุโบสถ ทำวัตรเช้า_เย็น มิได้ขาดนั้น แสดงว่า เจ้าคุณฯ ท่านกดข่มด้วย สมาธิ

กล่าวคือ..ท่านเจ้าคุณฯยังคงมีรับทุกข์เต็มร้อย แต่..ท่านไม่โอดโอย!! 

หรือ ท่านเจ้าคุณฯ ใช้ วิชชา กดข่มด้วยสมาธิ..บรรเทาเบาคลาย..หรือ ระงับ ดับความเจ็บปวดนั้นได้..เจ้าคะ 

พ่อครูว่า... จริง ท่านเป็นสายเจโต และท่านก็โดดเดี่ยว ท่านทำตัวโดดเดี่ยว ท่านมีบารมีระดับหนึ่ง ก็พยายามพากเพียรอุตสาหะ ท่านมีความอดทนพากเพียรสูงมาก มีความซื่อสัตย์สุจริต ท่านเองท่านเคารพในหลวง ร.6 ท่านเคารพอย่างสูง แล้วก็ออกบวชทดแทนที่ ในหลวงสิ้นพระชนม์ท่านก็ออกบวชตลอดชีพ

เป็นตัวอย่างของสายเจโตที่อดทนได้เก่ง พากเพียรอุตสาหะมาก เป็นตัวอย่างแก่โลกในยุคนี้ในความเป็นเจโต แต่ก็พอมีสัมมาทิฏฐิเพราะคุยกันกับอาตมารู้เรื่อง แล้วก็เห็นว่า อาตมานี่แหละ 

อาตมาได้คุยกับท่านเจ้าคุณนรเป็นชั่วโมง ไปกับคุณสรวง ท่านไม่รับแขกนะท่านเจ้าคุณ เคยเล่าให้ฟังแล้ว คุณสรวงก็เป็นลูกศิษย์วัดเทพศิรินทร์ที่เจ้าคุณนรอยู่ ท่านก็ปิดกุฏิเงียบ ไม่โอภาปราศรัยกับใครเลย ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นแล้วก็กลับเข้าไปในตึกของท่านตลอดปิด ซึ่งมันเป็นฤาษีอย่าง 100% เต็มที่เกินไป มันสุดโต่งเกิน แต่ท่านมีความพากเพียรอุตสาหะสูง 

แล้วที่มีบารมีคือคุยกับอาตมารู้เรื่อง อาตมาไปถึงก็จะทำยังไงดี ท่านก็ไม่เคยออกมารับแขก ใครจะไปเคาะไปเรียกท่านก็ไม่รับแขก อาตมาก็ว่าแล้วจะทำอย่างไร คุณสรวงก็รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ท่านไม่รับแขกใคร อาตมาก็ลองๆดู 

ท่านก็อยู่ในกุฏิ ปิดหน้าต่างปิดประตู เงียบ อาตมาอยู่ห่างจากตึกประมาณ 5-10 เมตร อาตมาก็บอกคุณสรวงว่าจะลองดู อาตมาตอนนั้นยังเล่นเจโตอยู่ ตอนเป็นฆราวาส เป็นนายรัก รักพงษ์ อาตมาก็ใช้วิชาของอาตมา เสร็จแล้วท่านก็เปิดหน้าต่าง พลั๊วออกมา คุณสรวงก็ตกใจ เป็นไปได้อย่างไร เขาเห็นอาตมาส่งจิตไป ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา ปั๊บ 

เราก็บอก ขอนมัสการครับ ท่านก็ถามว่ามาทำไม อาตมาก็บอกว่าก็อยากจะมาทำความคารวะเคารพท่านครับ ท่านก็บอกว่าคารวะที่บ้านก็ได้ เราก็นึกว่าท่านจะตัดบท อาตมาก็เลยพูด ก็อยากจะมาโอภาปราศรัย มาได้รับธรรมะจากท่านบ้างครับ 

เท่านั้นแหละท่านก็ว่าเดี๋ยว ปิดหน้าต่างแล้วท่านก็ลงมา ข้างล่าง ท่านก็อยู่ข้างใน อาตมาก็อยู่ข้างนอก คุยกันเป็นชั่วโมง จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกันบ้าง พอคุยกันเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่า..ขอให้บรรลุนิพพานเร็วๆ ก็จบ ปิดหน้าต่าง คุณสรวงบอก พระมาอวยพรให้ฆราวาสหนุ่มๆด้วย มาอวยพรให้ฆราวาสบรรลุนิพพานได้อย่างไร เพราะเขาก็มีความรู้เรื่องธรรมะด้วย คุณสรวงก็รู้ว่า นิพพานเป็นเรื่องสูงส่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ พระมาอวยพรให้ฆราวาสบรรลุนิพพาน แสดงว่าพระนี้จะต้องรู้ว่าฆราวาสคนนี้ปฏิบัติไปนิพพานนะ คุณสรวง อักษรานุเคราะห์ เป็นเจ้าของห้องอัดเสียงจาตุรงค์ อยู่เชิงสะพานหัวช้าง 

_สู่แดนธรรม... ตามที่คุณตุ๊ก อัศวิน ถามมา เราต้องใช้พลังเจโตในการระงับความเจ็บปวดใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ถ้ามันสุดวิสัยจะใช้บ้างก็ได้ แต่มันไม่เห็นทุกข์ ถ้าคุณทำคุณก็กลบทุกข์เฉยๆด้วยอำนาจพลังงานชนิดหนึ่ง ที่เรียกพลังงานเจโต พลังงานสมถะ มันก็ทำให้ดับๆลืมๆไปได้ แต่มันไม่มีปัญญา มันไม่บรรลุธรรม มันไม่พาบรรลุธรรม มันได้แต่ชะลอ มันได้แต่ Symtomatic treament เท่านนั้นเอง รักษาตามอาการที่มันเจ็บปวดกดข่มมันไป มันไม่ได้ไปถอนเหตุไม่ใช่ Radical treatment ไม่ใช่ไปดับเหตุฆ่าเหตุ จะไปกดเหตุข่มเหตุไว้เฉยๆชั่วคราวมันเป็นการชลอ เฉยๆ 

_สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วผมคิดว่า ทุกขเวทนาขนาดนั้น ร่างกายก็จะรับทุกข์เป็นธรรมดา 

พ่อครูว่า... ก็ต้องใช้ปัญญาสลายเหตุ มันก็หายไป เราก็จะรู้ได้ว่า อ๋อ.. เพราะเหตุมันดับ ทุกอย่างจึงดับ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุดับทุกอย่างก็ดับ

_สู่แดนธรรม... ผมเคยคิดว่า ถ้าเจ็บป่วย แบบที่เราเป็นกันแล้วเราไปมีอัตตาว่า ขอขันธ์ของเราจงอย่าเป็นอย่างนี้เลย 

พ่อครูว่า...ชะลออยู่นานอย่างนั้น เสียเวลา แล้วหลงด้วย หลงว่า เป็นฤทธิ์เป็นเดชด้วย ซวย ให้ดับเหตุ มันเป็นวิบากก็รับวิบากไป หรือคุณทำกุศลวิบากเพลาทุกข์นั้นได้ ก็เห็นความจริงว่า อ๋อ.. เราทำเหตุ ที่เป็นกุศลไม่ใช่ไปหนีเหตุ มันก็เหมือนหมาไล่เนื้อ  ไล่ไม่ทัน เราก็พ้นไปเรื่อยๆ 

_และ..ขอโอกาสเพิ่ม อีกกรณีเจ้าค่ะ กรณีศึกษา..อีกเรื่อง..ที่มีความเชื่อ กันว่า การสวด โพชฌงค์ 7..ก็บรรเทาความเจ็บปวด..ได้ ดังปรากฏใน พตปฎ ว่า ยามที่ พระพุทธเจ้าป่วย ท่านก็ได้ให้สานุศิษย์ สวดโพชฌงค์..เจ้าค่ะ น้อมกราบ..ขอบพระคุณในความกรุณาอย่างยิ่ง..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... โพชฌงค์ 7 นั้นเป็นปัญญาที่แท้จริง แต่ถ้าไปสวดโพชฌงค์ 7 แล้วหายปวดนั้นมันเป็นศรัทธาเป็นเจโต แล้วกดข่มไปด้วยบทการสวด กดข่มไปด้วยพลังงานการสะกดจิต สมถะ ที่ไปจดจ่ออยู่ที่การสวด เลยนึกว่าบทสวดมีฤทธิ์มีอำนาจ ทำให้หายเจ็บหายปวด มันก็บรรเทาด้วยอุปาทานชนิดหนึ่ง อุปาทานที่มันไม่เจ็บไม่ปวด คนที่แทงทะลุ กินเจภูเก็ต ไม่เจ็บไม่ปวด เขาก็จะต้องมาเข้าทรงก่อนคือสะกดจิต สั่งตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วเขาก็แทงทะลุ ที่เขาเล่นกัน พวกภูเก็ตเขาทำกันเต็มๆต่างๆนานา เลือดไหลโทรมก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันเป็นได้ อาตมาก็ทำมานักทางด้านสะกดจิต เล่นหนังเหนียวฟันไม่เข้า กรีดกัน แต่ไม่เข้า เหนียวกระทั่งเอามีดมาเฉือนก็ไม่เข้า แต่แรงๆก็เป็นเส้น เลือดซิบๆเหมือนกัน มีดคมๆ มีดจะลองฟันกันจะต้องเอามาโกนขนก่อนนะ โกนร่วงเลย กรีดอย่างมากก็เลือดซิบ เก่ง หนังเหนียวทน เล่นไสยศาสตร์อาตมาเล่นอยู่ 8 ปี 

เรื่องไสยศาสตร์ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ เอาตัวเองไปทดลองไปเล่น ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำ สะกดจิตแล้วพิสูจน์ ถึงได้รู้ว่า วิทยาศาสตร์นี้รู้กระจ่างแต่ตื้น ไสยศาสตร์นั้นมืดแต่ลึก มันก็ 2 ทิศ พุทธศาสตร์สว่างหมดเลย ไม่มีจากลึกมาตื้น จากมืดมาสว่างหมดเลย 

การสวดโพชฌงค์ 7 จึงเป็นเจโต เป็นการอาศัยบทสวดกดข่มระงับความเจ็บปวดได้ อย่างเจ้าคุณนรฯ เจโตแท้เลย ซึ่งมันก็ยากที่จะฟื้น ที่จะมารู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ก็ไปตามวิบากใครวิบากมัน

 

ทานสูตรทำทานให้ถึงพระพรหมทำอย่างไร

_วันดี ศรศูนย์  · กราบนมัสการถามพ่อครูเจ้าค่ะ 

1. นาย ก. มักเอาเงิน สิ่งของเครื่องใช้ ให้กับนาย ข. แต่เวลาที่ นาย ก.ไม่สบอารมณ์ ก็จะพูดกับนาย ข.ว่า รู้อย่างนี้ไม่ให้เงินก็ดี ถามว่า นาย ก.ให้เงิน สิ่งของ แบบหวังผลตอบแทนใช่มั้ยเจ้าคะ และนาย ข.ควรเลิกรับเงิน จากนาย ก. ดีกว่ามั้ยเจ้าคะ 

พ่อครูว่า... ที่จริงก็บอกเขาว่าทำทานแล้ว หวังผลตอบแทนก็เป็นตัวตนไม่ได้ละตัวละตน ไม่ได้ตัดปล่อย ตัดทิ้ง 

ทาน ถ้าไม่มีจิตไปผูกพันไปหวังผลตอบแทนเลย เรียกว่าไม่มี สาเปกโข พระพุทธเจ้าสอนไว้ในทานสูตรชัดเจน แล้วยิ่งไปตกผลึกว่าเป็นของฉัน ก็ยิ่งยึดเป็นตัวเราของเรา ยิ่งไปสะสมเป็นคลังเลย สันนิธิเปกโข ใส่คลังใส่เซฟไว้ ยิ่งบอกว่าชาติหน้าฉันตายไปแล้วจะได้กินทานของฉัน พวกนี้ไม่ได้ไปผุดเกิดง่ายๆหรอก ตายแล้วก็มีแต่จะจมอยู่กับไอ้พวกนี้แหละ อยู่กับตัวตนของเราของกูของกู ไม่รู้จักจบ ไอ้นี่ไม่ใช่ทานสูตร 

สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่มี สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วไม่มี สวรรค์ 6 ชั้น ก็คือภพที่เสพติด ตั้งแต่ชั้น จตุมหาราช คือชั้นที่ไปบุกรุก เบ่งข่ม แย่งชิง 4 ทิศ เรียกว่า จตุ

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง 

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว 

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ  

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี เป็นอาการเก๊ อาการที่ 32 อาการสุขลวง  

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี คืออยากให้ความสุขนี้อยู่ยาวนานให้ได้มากที่สุดไม่ยอมหยุดยอมพัก ใครจะสอนให้หยุด เย็น เลิก เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่เอา นอกจากไม่เอาแล้วยิ่งหาพวกสารพัด

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ 

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ คือสร้างเองเนรมิตเองได้ตามใจ มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชใหญ่ 

อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) สวรรค์ชั้นที่ 6 คือยิ่งมีผู้อื่นมาร่วมเนรมิตสร้างสรรค์ให้ยิ่งหนักยิ่งใหญ่เข้าไปใหญ่เลย อตฺตมนตาโสมนสฺสํ สร้างพรรคพวกให้มาลงนรกกัน เสร็จแล้วปลื้ม ที่เอาเปรียบเขาได้ฆ่าแกงเขาได้ ชนะเขาได้หลอกเขาได้ เหมือนอย่างธัมมชโย หลอกเขาได้ให้มาทำบุญแล้วมาทำกับตัวเองนะ ตัวเองร่ำรวยให้คนอื่นปิดบัญชีหมดเลย เอามาทำทานให้แก่หลวงพ่อ แล้วคนก็งมงายหลอกกัน 

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส) 

พรหมคือจิตสะอาด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้จักการจัดการทำจิตของตนเองให้ลดละจางคลายขึ้นมาด้วยบุญ ด้วยพลังงานที่เป็นอาวุธฆ่ากิเลส ลดกิเลสให้ได้ด้วยบุญ ซึ่งไม่ง่าย เป็นความซับซ้อน ที่อธิบายได้ยากแต่อาตมาก็พยายามอธิบาย 

คำว่าบุญ ไปหลงว่าเป็นกุศล ซึ่งมันเสื่อมหนัก ศาสนาพุทธนี้เสื่อมหนักที่ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล เพราะบุญนั้นเป็นพลังงานของจิตที่เลวร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำบุญสำเร็จนี้จะต้องแรง ฆ่ากิเลสให้ได้ 

บุญเป็นอาวุธร้าย แต่มันเป็นพลังงานจิต ที่เป็นฌาน 1 2 3 4 ฌานอันสุดท้าย อาตมาเคยอธิบายเป็นรูปธรรมว่าเหมือนเพชฌฆาตมือสุดท้าย 

มือ 1 2 3 ฟันมาแล้วจริงๆมันตายแล้ว แต่เพื่อที่จะให้ตายเด็ดขาดจริงๆ ต้องถึงมือบุญ เพชฌฆาตมือสุดท้าย กิเลสตายเสร็จแล้ว เด็ดขาด บุญก็เลิก จบกิจ บุญก็ไม่มีอีกบุญก็ไม่ทำ ปุญญปาปปริกขีโณ ก็สิ้นบุญสิ้นบาป 

พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญ คนสิ้นบุญแล้ว บาปก็หมดแล้ว บุญหมดแล้วไม่มีฟื้นอีก เป็นเอกังสะ เป็น one way Traffic เป็นคนทางเดียว สายเดียว ไม่มีโค้ง ไม่มีงอ ฆ่าแล้วหายไปเลย ฆ่าได้ก็หาย ฆ่าไม่ได้ก็หายไปเหมือนกัน ฆ่าไม่สำเร็จคุณก็ต้องสร้างบุญใหม่อีก แต่ถ้าฆ่าได้สำเร็จจบกิจแล้ว เรียบร้อย บุญก็ไม่มีอีกเลย พระอรหันต์เป็นคนหมดบุญเพราะฆ่าบาปได้เกลี้ยงเสร็จแล้ว จบกิจ ไม่มีฟื้น ไม่มีอะไรที่จะวนมาอีกแล้ว 

จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจคำว่าบุญ ฟังดีๆกว่าจะเข้าใจคำว่าบุญได้แล้วสร้างพลังงานให้เกิดบุญตั้งแต่ฌานที่ 1 ก็เริ่มต้นมี อุณหธาตุ มันรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดเป็นลำดับ ฌาน 1 2 3 4 ก็ทำให้กิเลสลดไปทีละ 25 ๆ เป็น 50 เป็น 75 จนถึง 100 ครบ แล้วก็ประหารมือสุดท้ายด้วยอุเบกขา อุเบกขาเวทนาสูงสุด

คือพยายามสำทับเนกขัมมะ จนกระทั่งเป็นอเนญชา อเนญชาแล้วอเนญชาอีก สั่งสม ตกผลึกลงด้วยกิเลสหมด แล้วก็ตกผลึกตั้งมั่น

กิเลสนั้นคือ กิเลสแท้ๆชัดๆตามแบบที่รู้จักกิเลสตั้งแต่ 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ) 

เจโตปริยญาณ 16 คือวิปัสสนาญาณข้อที่ 5 วิชชาข้อที่ 5 หากไม่รู้จักเจโตปริยญาณ 16 คนนี้ไม่บริบูรณ์ ไม่รู้จักรูปนามรูป 28 รูป รูป 24 ฆ่า กิเลสไปตามขั้นตอน 

1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  

ทำได้แล้วมันจะแบ่งเป็น 2 สาย 

7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต ก็ต้องทำให้มันออกให้ได้   

8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 

ทำได้แล้วมันก็เจริญขึ้น มหะคือมาก อัคคะคือเลิศยอด

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   คือทำได้ ทำไม่ได้ก็10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

นี่คือเครื่องวัดความเจริญ คุณไม่รู้พยัญชนะมาก แต่ก็ต้องรู้สภาวะต้องมีญาณรู้ ว่าอ๋อ เราทำได้เจริญขึ้นหรือไม่เจริญ แล้วจะเดินไป สู่

 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  มันจะมีปฏิภาณรู้ว่ากิเลสยังไม่หมด ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่สุดท้ายจะต้องเป็น 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) คือไม่เหลือแล้ว ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ต้องตรวจสอบอีก 2 สภาพ 

1.ทำให้กิเลสหมดอย่างบริสุทธิ์ อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นวิมุติ สะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว

2.ตกผลึกเป็นจิตตั้งมั่นอย่างมี เจโตปริยญาณ 16 ไม่ใช่ สะกดจิตอย่างเป็นเจโตสมาธิ เขาก็ตั้งมั่นแต่ไม่มี เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีญาณปัญญารู้หลักเกณฑ์มาตรวัดทั้ง 16 ขั้นนี้ เขาไม่รู้หรอก พยัญชนะ ของพระพุทธเจ้ามีอยู่ให้เรียนรู้แม้จะเรียนรู้อภิธรรมมา เขาก็ไม่รู้สภาวะเหล่านี้ พวกเรียนอภิธรรมได้แต่ตรรกะพยัญชนะเหตุผลอธิบายได้อย่างคล่องปาก แต่เขาไม่เข้าถึงสภาวะ จึงกลายเป็นคน ปทปรมบุคคล เป็นคนบัวใต้โคลน เป็นคนที่รู้มาก สาธยายอยู่ก็มาก จำได้ก็มาก สอนคนอยู่มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นไม่ได้บรรลุธรรม น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาก็เป็นของเขาเอง 

 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)  

 

เพื่อนที่ด่าเราลับหลังเราควรคบต่อไปหรือไม่ 

2. เราคบเพื่อนคนหนึ่ง ต่อหน้าก็พูดกับเราดีมาก แต่ก็พูดด้อยค่าเราลับหลัง เราควรเลิกคบคนๆนี้มั้ยเจ้าคะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ไม่ต้องเลิกคบเขาหรอก แต่ก็บอกเขาเตือนเขาให้ความรู้เขา ว่าทำอย่างนั้นมันไม่ดี มันไม่ถูกจะไปเลิกคบเขาทำไม มันน่าสงสารหรือถ้ามันหยาบคายมันรุนแรงเสียหายเกินไป จนกระทั่งเรารู้ตัวเราว่าเราก็ช่วยเขาไม่ได้เลย ถ้าอย่างนั้นถึงขนาดนั้นก็หยุดไม่ต้องไปคบกัน เพราะว่าเราไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะช่วยเขาได้เลย นอกจากไม่มีสิทธิ์แล้วเขายิ่งละลาบละล้วงทำร้ายตัวเอง ทำความเสียหายทำบาป ทำวิบากบาปมากขึ้นอีกด้วย ก็ไม่ต้องคบกัน 

เพราะฉะนั้นอาตมาว่ามหาบัวเพราะมหาบัวตายแล้ว ถ้ายังไม่ตาย อาตมาจะไม่กล้าพูดขนาดนี้ เพราะเขาจะยิ่งแย่ไง ท่านยังไม่ตายอาตมาจะไม่กล้าพูดขนาดนี้ แต่เพราะท่านตายไปแล้วอาตมาจึงกล้าพูด ไม่ใช่ว่ากลัวแต่ไม่อยากให้ท่านทำบาป ถ้าท่านอยู่ท่านก็จะโกรธ ก็แย่สิ 

อย่างธัมมชโยนี้ อาตมาพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้นก็จึงพูดได้ เพราะว่าโง่หนักยิ่งกว่ามหาบัว ไปหลงพญาครุฑ นึกว่าตัวเองรู้มาก เขาเป็นนักอ่าน นักศึกษามาก และมีปฏิภาณปัญญา เฉโก ไม่ใช่ปัญญา ปฏิภาณเฉโกรอบจัดเลย เพราะฉะนั้นเขาถึงหลอกคนได้ตื้นๆ รอบจัดเอาตื้นมาใช้ล่อได้ อาตมามันค่อนข้างลึกเอาความลึกมาล่อไม่ได้ 

ถ้าหากอาตมาอธิบายตั้งแต่หยาบตื้น คนรับได้ก็จะได้ไว แต่นี่อาตมาไม่เก่ง ชักของลึกมาให้ตื้นไม่เก่ง ได้แค่นี้ ก็พากเพียรไป อาตมาต้องพากเพียรเพื่อให้มีความสามารถมากกว่านี้ 

สมณะฟ้าไท... วันนี้มีข่าว หญิงสาวชื่อแอม ใช้ยาพิษฆ่าคนไปหลายศพ เนื่องจากเรื่องเงินทอง เล่นแชร์ สรุปจบ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2566 ( 07:15:32 )

660428

รายละเอียด

660428 แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53268.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1XdwAEiGEntcBS2aEEFG4v-qZr6hFcSPa/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1SJ19CbIoPIc-SjuhgP665fNgkBXZQuOa/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1385701248893358 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ อีก 2 วันก็สิ้นเดือนเมษายน เดือนพฤษภาคมถือว่าเป็นเดือนมงคลเดือนแห่งพืชมงคลเดือนแห่งการเพาะปลูก มีวันพืชมงคลและวันที่ 5 พฤษภาคมก็เป็นวันฉัตรมงคล 

โรงปุ๋ยพลังชีวิต ตอนแรกว่าจะเปิดขายลดราคา วันที่ 3-7 ตอนนี้ก็ขยับออกไปให้มันยาวขึ้น เปลี่ยนเป็นวันที่ 4-11 พฤษภาคม ฝนฟ้าก็จะตกวันนี้ก็จะมีพายุเข้าที่อุบลราชธานี 

ปีนี้ข่าวว่าข้าวจะขาดแคลนในโลก เพราะประเทศจีนและอินเดียประสบภาวะแห้งแล้ง มีคลื่นความร้อน ทำให้การปลูกข้าวไม่ได้ตามเป้าหมายการส่งออกจะลดน้อยลง ผู้ที่บริโภคข้าวโดยเฉพาะทางเอเชียก็จะมีการขาดแคลนข้าวในรอบ 40 ปี 

พ่อครูก็ส่งเสริมให้พวกเราปลูกข้าว มีท่านถักบุญให้ข้อมูลข้าวสารปี 2565 ที่บ้านราช บริโภคร่วมกันที่ครัวกลาง 26,260 กก บริโภคนอกโรงครัวกลาง 13,220 กก

บริจาคให้องค์กรต่างๆ 10,976 กก

สรุปว่า ปี 2565 รวม 50,456 กก ต้องมีข้าวเปลือก 100,000 กก  หรือ 100 ตันข้าวเปลือกจึงจะเพียงพอ

เราบริโภคกันเอง 40 ตันข้าวสาร หรือประมาณ 80 ตันข้าวเปลือก

พวกเราที่ช่วยทำนาเป็นคนหนุ่มสาว มีจำนวนคนน้อยไม่เพียงพอกับพื้นที่ที่เราต้องรับผิดชอบทำนาเกือบ 150 ไร่ แม้จะใช้เครื่องแต่ก็ทำไม่ทัน เป้าหมายที่พ่อครู บอกให้พวกเราเป็นชาวนาน่าจะใกล้เป็นจริง 

 

เจ้าที่เจ้าทางที่เป็นจิตวิญญาณนอกตัวไม่มีจริง 

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 26-27 เม.ย. 2566

_คอยใคร  · กราบเคารพพ่อครูครับ ตอนนี้ผมรับงานทำบ่อปลาอยู่แถวถนนศรีนครินทร์ครับ วันที่ผมไปเปิดงานต้องมีการทุบบ่อเก่าและรื้อโครงเหล็กหลังคาเดิมออก จึงให้คนงานไปต่อไฟจากตู้ไฟบ้านลูกค้า พอต่อไฟเท่านั้นตู้เชื่อมก็มีเสียงระเบิดดังปังๆๆ แต่ไม่แรงมากครับ คนงานจึงไปดึงไฟออก หัวหน้าช่างผมก็ไปดูที่ตู้ถึงรู้ว่าลูกน้องต่อไฟผิด เพราะตู้เป็นไฟสามเฟส ก็เสียตู้เชื่อมไป 1 ตู้ในวันเปิดงาน และผมได้ยินเสียงแว่วๆจากคนงานว่า "เอาแล้ว..เจ้าที่เล่นซะแล้ว" ผมก็ฟังผ่านๆ ไม่สนใจอะไร ก็เริ่มรื้อทุบบ่อไปได้ครึ่งวัน จากนั้นผมก็เดินตรวจงานทุบบ่อเก่าที่ทุบ  พื้นดินจะไม่เท่ากันต้องคอยโดดขึ้นลงและก็มีพื้นต่างระดับที่ผมไม่ได้มองดีๆ เลยทำให้เท้าผมพลิกเกิดอาการเจ็บ ผมก็นั่งขอบบ่อเอามือจับที่ข้อเท้า ก็มีเสียงแว่วๆมาอีกครับ "ว่าแล้ว เจ้าที่แรง ขนาดลูกพี่ยังโดนเลย" ผมก็เกาหัว แล้วตะโกนไปว่า "เจ้าที่อะไร ทำงานพลาดเอง ต่อไฟผิดตู้พัง นี่ก็เดินไม่ระวังเอง เลยสะดุด ดันไปโทษเจ้าที่ทำไม" คนงานก็ยิ้มๆแล้วบอกอีกว่า "ลองของซะแล้วลูกพี่"

มาถึงคำถามครับ เรื่องเจ้าที่เจ้าทางเชื่อถือได้ไหมครับ แต่ถ้ามีจริงทำไมถึงต้องแกล้งกันด้วยครับ ตามจริงควรจะอำนวยความสะดวกเพื่อให้งานเสร็จไวๆเจ้าของบ้านจะได้ดีใจใช่ไหมครับ หรือเจ้าที่ไม่พอใจที่ไม่มีของมาเซ่นไหว้ก่อนทำงาน ปรกติเริ่มงานหัวหน้าช่างผมจะทำทุกทีแต่วันนี้คงลืมครับ แต่เช่นนั้นก็เถอะครับ เจ้าที่ถ้ามีก็ไม่น่าถือตัวถือตนเลย สู้ชาวอโศกก็ไม่ได้ ไม่มีตัวไม่มีตนเป็นคนรับใช้ ขอถามเท่านี้ก่อนครับขอกราบขอบพระคุณพ่อครูครับ

พ่อครูว่า... เจ้าที่เจ้าทางในศาสนาพุทธไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆเลยว่า คนที่ยังเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ก็เป็นเทวนิยม ไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้อะไรพวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆแล้ว 

สรุปดีกว่า คนที่ยังศึกษาเรื่องของจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูปนิพพาน ที่เป็นเรื่องปรมัตถ์แท้ๆ ศึกษายังไม่ดีพอ โดยเฉพาะยังไม่จบกิจ ยังไม่ถึงขั้นอรหันต์มันจะยังมีเชื้อของเทวนิยม นึกว่าเป็นเจ้าที่มีวิญญาณอันนั้นอันนี้สถิต สรุปให้ชัดๆว่าไม่มีวิญญาณที่ว่านี้อยู่ที่นอกตัวนอกตนมาเป็นอะไรกับเราเลย อุปาทานทั้งสิ้น แล้วตัวเองก็เป็นผีบ้าเอง 

เช่นพวกที่เข้าส่งเจ้าลงมีวิญญาณเข้าทรง ตัวเองผีบ้าเองสะกดจิตตัวเอง ชักดิ้นชักงอเองโดยมีสัญญาเก่ามีความเชื่อเดิมติดยึดมา มันเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะต้องทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ โดยมีจิตติดยึดเชื่อว่ามันมีจริง 

ถ้าคุณฟังอาตมาเข้าใจแล้วจิตวิญญาณที่ล่องลอยจะมาเข้าทรงคนนั้นคนนี้ อะไรพวกนี้ ไม่มี วิญญาณเจ้าที่เจ้าทางใดๆไม่มี วิญญาณคือธาตุจิตที่อยู่ในตัวมนุษย์เท่านั้น ขออภัยไปให้ลึก แม้แต่วิญญาณพระเจ้าที่เขาว่ามี นี่ก็ไม่มี ให้ลึกๆไปถึงขั้นนั้นเลยมันเป็นอุปาทาน 

เพราะฉะนั้นศาสนาเทวนิยมจึงมีพระเจ้าอยู่ ศาสนาพุทธไม่มี พระเจ้าก็คือจิตวิญญาณเรา พระเจ้าทำอะไรเราไม่ได้ เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณพอตายก็ปรินิพพานเป็นดินน้ำไฟลมไม่ไปอยู่กับพระเจ้านี่คือของพุทธ 

เอาแค่นี้ก็แล้วกันแต่เดี๋ยวจะมากไปกว่านี้ 

 

แยกกายแยกจิตให้เป็นอุตุพีชะได้จึงได้บรรลุอรหันต์

_ครู สา  · แล้วการแยกกาย แยกจิต สร้างความตระหนักรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ตีโพยตีพายในความทุกข์กาย และจิตเป็นผู้เฝ้ามองให้เห็นจริงในอาการไตรลักษณ์ จะมีผลต่อการพิจารณาในวาระสุดท้ายก่อนตาย ที่ไม่ทนทุกข์ทรมานและเป็นการตายตามความเป็นจริงที่นำไปสู่การหลุดพ้นไหมคะ นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ใช่ ถ้าคุณสามารถศึกษาได้จริง แล้วก็ปฏิบัติเหตุปฏิบัติดับเหตุ ที่มันเป็นตัวการโง่ๆได้หมด คุณก็แยกกายแยกจิตได้บริบูรณ์ 

กายก็คือสภาพอย่างที่อาตมาอธิบายซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก แต่ต้องรู้เบื้องต้นเสียก่อน พ้น สักกายทิฏฐิ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนในสังโยชน์ 10 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจเรื่องกายไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้วหมดท่าเลย ไม่สามารถที่จะจัดการความบรรลุธรรมบริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาดีๆแยกกายแยกจิตได้ รู้จักกายสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะรู้จิตลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ ถ้ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นจะมารู้จิตลึกซึ้งเป็นลำดับนั้นเป็นไปไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นพวกที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมตัดภายนอกไม่มีกายเสียแล้วตั้งแต่ต้นนี้ จึงโมฆะไม่มีวันที่จะสำเร็จเรื่องบรรลุอรหันต์ได้เลยเป็นอันขาด ที่มีกันก็มีแต่กายเก๊ หรือมีแต่อรหันต์เก๊กันเท่านั้น 

 

_ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ …กาย ร่างที่ไม่มีจิตทำไมเรียกว่ากายคะ 

พ่อครูว่า... เขาถาม โดยที่มีความเข้าใจแล้ว ถามมาประเด็นเรื่องกาย ร่างคือสรีระที่ไม่มีจิตแล้วทำไมไม่เรียกกาย?

ซากศพคือร่างที่ไม่มีจิตแล้ว ก็ไม่มีกายแล้ว ฟังให้ดีนะนี่เด็กหญิงอายุ 11 ปีถาม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายนะแต่เด็กเรา 11 ปี ซึ่งถามนี้ก็เข้าใจมาระดับหนึ่งแล้วว่า ร่างหรือซากศพไม่มีจิตจึงไม่เรียกว่ากาย 

เพราะคำว่ากายต้องมีจิต ถ้าไม่มีจิตร่วมได้เลยไม่ใช่กาย เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม สสาร วัตถุ ไม่มีจิตได้ร่วมด้วยอย่างนั้นคือไม่มีกาย แม้แต่พืช พืชไม่มีเวทนา ไม่มีจิตร่วม มีแต่แค่พีชนิยาม ไม่มีจิตนิยาม นี่แหละคือเรื่องลึกซึ้ง 

ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วปฏิบัติด้วยตัวเองเรียกว่าทำกรรมเป็นกรรมนิยามให้เกิดผลทรงไว้ จบ

ถ้าแยก อุตุนิยาม พีช จิต ไม่ได้ เข้าใจถึงอาการ 3 ขั้นนี้ไม่ได้ไม่มีวันบรรลุอรหันต์ ผู้บรรลุอรหันต์ก็คือผู้ที่สามารถทำจิตให้เป็นอุตุได้เป็น พีชะได้ ทำจิตมนสิการทำจิตในจิตของเราได้ เมื่อกระทบสัมผัสกับอะไรต่ออะไรในโลกสามารถที่จะมี วสวัตตีโก 

ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ทำให้จิตเป็นอุตุ เป็นพีชะ และ เป็นจิตที่บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นโลกุตรจิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ จึงเป็นผู้ที่ควบคุมจิตจัดการจิตไม่ให้จิตมันไปทำชั่วไม่ให้จิตมันไปสุขไปทุกข์ เป็นจิตที่สุดยอดฉลาดและสามารถทำจิตให้แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย นี่คือความจริงใจที่สุดในศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรื่องจิตวิญญาณและจัดการกับจิตวิญญาณได้ เสร็จสมบูรณ์แบบจบกิจเลย 

 

จิตวิญญาณประชาธิปไตยคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสส่ง..อารมณ์..เจ้าค่ะ กาละนี้..เป็นกาละแห่ง สงครามสยามยุทธ์ เจ้าค่ะ

มีผู้ประกาศตนลง..สนามยุทธ์ครานี้มากมายหลายสำนัก มากกว่าครึ่งร้อย..แค่อ่านรายชื่อพรรค ก็มึนตึ้บ..เจ้าค่ะ!! พรรคสัมมาธิปไตยได้เป็นพระอันดับ ที่ 88 นับเป็นเลขมงคลยิ่งนักแล..เจ้าค่ะ ซึ่งเป็นไปตาม'กาละ_เทศะ_ฐานะ ดังที่พ่อครูได้ปรารภไว้!!

ในความเห็นของเตง..เข้าใจว่าพรรคสัมมาธิปไตย มิได้ตั้งเป้าที่จะมี ส.ส. ให้มาก เพื่อชิงตำแหน่ง เป็น นาย ก. แห่งสยามประเทศนี้ แต่พรรคสัมมาธิปไตย จะเล่นบทผู้ช่วยพระเอก เป็นผู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้พระเอกเล่นบทบาทของ พระเอก ให้เด่นชัด..คือ..ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ชิมิ..เจ้าคะ จำได้ว่า..ในกาละสมัยหนึ่ง ที่พรรค 'เพื่อฟ้าดิน' ก็ได้เล่นบทบาทนี้ด้วยการใช้สิทธิแห่งพรรค จัดทำป้ายโฆษณา เป็นรูป สัตว์การเมือง เสือ_สิงห์_กระทิง(ควาย)_แรด ติดประกาศหรา!! เพื่อเตือนสติ นักเลือกตั้ง ทั้งหลาย ให้เห็นโทษ เห็นภัย จาก นกม(นัก_กิน_เมือง) ที่จะมาแทะทึ้ง สะด๊วบ เค้กประเทศไทย อย่างตะกรุมตะกราม ไม่เกรงใจประชาชน..เรยยย..ดังนี้แล จึงขอได้โปรดให้ สัมมาทิฎฐิ..เพื่อความเข้าใจ..ข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้..ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง แก่สติปัญญา..ด้วยเจ้าค่ะ น้อมกราบ._/\_.ขอบพระคุณ

ด้วยความเคารพยิ่งสุดเศียรเกล้า..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ประเด็นอยู่ที่ว่าพรรคสัมมาธิปไตยสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จะไปเป็นผู้ช่วยพระเอก ไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจจะเป็นพระเอกเองแต่มาเป็นผู้ช่วยพระเอกอันนี้ถูกต้องแล้ว จะทำตนเป็นผู้ช่วยพระเอก 

และผู้ช่วยพระเอกจริงๆนี้คือใคร คือประชาชน ในประชาธิปไตยผู้ที่เป็นนักการเมืองน้ำดี ประชาชนก็ต้องหนุน ก็ต้องช่วย ยิ่งเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงๆจนสูงที่สุด เช่นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้น ก็ต้องมีประชาชนเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มที่ ดังที่เห็นได้ขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ตาถั่ว อาตมาว่าอาตมาตาดีนะที่เห็นความจริงว่า พลเอกประยุทธ์มีประชาชนสนับสนุน ไม่ได้จัดตั้ง 

การเมืองเขาที่มีผู้ที่ทำหน้าที่มาเป็นส.สแล้วจะไปเป็นรัฐมนตรีไปเป็นนายก เขาจัดตั้งกันทั้งนั้น จัดตั้งกันถึงขนาดจ่ายคนละกี่บาทเพื่อพอเวลาไปปรากฏการณ์ที่ไหนก็ไปเสนอหน้า เป็นหน้ามา หรือหน้าม้าก็ได้เอ้า อย่าไปใส่ตัวอื่น มาเป็นหน้าม้า เขาทำกันอย่างนั้น 

แต่ผู้ที่จริงมีประชาชนไปสนับสนุนยินดีโดยไม่ต้องจัดตั้ง ไม่ต้องมีหน้าม้า นี่คือสัจจะความจริง เพราะฉะนั้นในความจริงที่มันลึกซึ้งกันทุกวันนี้เราเห็นได้ความจริง อย่างพลเอกประยุทธ์ไม่ต้องไปนั่งเสียเงินจัดตั้งพวกนี้เลย หรือแม้แต่เป็นกลยุทธ์กลวิธีวิธีการ กลเม็ดเด็ดพรายอะไรเยอะ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยทุกวันนี้จึงเป็นประชาธิปไตยเลือกตั้ง ที่ก็ทำลำลองกันไปเท่านั้นเองจะเลือกตั้ง มันจริงอยู่ที่คนปฏิบัติตรงประพฤติจริงนักการเมืองจริง 

ในเมืองไทยจะเห็นได้ว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนักการเมืองที่มีประชาธิปไตยลึกซึ้งมาก ขอบอกได้เลยว่าลึกซึ้งกว่าอเมริกา เพราะมีความรู้ทางวิญญาณ อเมริกาเป็นการเมืองขาเดียว เป็นการเมืองไม่มีวิญญาณ เป็นการเมืองมีแต่รูปธรรมไม่มีนามธรรม นามธรรมกระจัดกระจายไม่ได้เป็นประชาธิปไตย นามธรรมแหลกละเอียด นามธรรมนั้นถูกเหตุข้อมูลหลักฐาน ค่ายกลแห่งการเมืองจัดการหมดเลย ไม่ได้บริสุทธิ์ใจไม่ได้เป็นความอิสระเสรีภาพอย่างสมบูรณ์แบบอะไรเลย  

ความเข้าใจประชาธิปไตยของอาตมายิ่งเห็นว่าประชาธิปไตยของไทยแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาคนละขั้ว ใครเห็นว่าประชาธิปไตยขาเดียวเลือกตั้งแล้วไม่มีกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีวิญญาณ กษัตริย์คือวิญญาณของประชาชน คือวิญญาณของประเทศ เพื่อสืบสายจิตวิญญาณเป็นกรรมพันธุ์เป็นสันตติตลอดเวลา 

กรรมพันธุ์นี้สืบทอดกันอยู่ในระบบของกษัตริย์ที่สืบสันตติวงศ์ที่มีกฎมณเฑียรบาลที่มีเชื้อสายสืบกันมา ต้องมีการอบรมฝึกฝนเตรียมตัว พี่จะต้องขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของประเทศ แม้จะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กษัตริย์ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ 1 องค์ แม้แต่นายกจะเป็นตัวแทนประชาชนประชาชนก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ กษัตริย์ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วยอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ จึงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ขาเดียว ประชาชนสืบทอดไม่มีที่ไปที่มา ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีเนื้อในมีแต่เปลือก อันนี้เข้าใจกันยาก 

เพราะฉะนั้นความเสื่อมของการเมืองในโลก เมื่อประชาธิปไตยต้นแบบเขาก็มีกษัตริย์ อังกฤษเขาก็มีกษัตริย์ แต่พอไปเป็นอเมริกาเหลือขาเดียวก็จึงเป็นประชาธิปไตยพิการ มันไม่มีทางจิตวิญญาณไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ทางจิตวิญญาณ มันเอาแต่ประชาชนอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจกันยากอยู่ เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ 

จนสุดท้ายก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วคอมมิวนิสต์เองก็กลายเป็นเผด็จการเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนได้ จะเป็นเรื่องของประชาชนที่แท้เอาประชาชนเป็นหลักเลยก็ไม่ได้ เอาไปเอามาล้มเหลวหมด ทั้งประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ล้มเหลวทั้งคอมมิวนิสต์ชัดเจนที่สุดก็คือ เกาหลีเหนือ 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังยืนยงคงที่อยู่ดีก็คือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างอังกฤษเขาก็ยังทรงไม่ได้ แม้แต่ญี่ปุ่นหรือทางสแกนดิเนเวีย ทางยุโรปบางประเทศก็ยังมีกษัตริย์เป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศไทยนี่แหละที่ยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังทรงสภาพสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์นั้นพิการ เป็นระบบบริหารประเทศที่พิการไม่เป็นประชาธิปไตย 

 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... พวกที่สนับสนุนไม่เอากษัตริย์ จะมีจิตวิญญาณที่หยาบกระด้าง ไม่มีการเคารพนับถือในวัยวุฒิชาติวุฒิ 

พ่อครูว่า... ค่อยๆศึกษากันไปเป็นเรื่องลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องตื้น เรื่องต้องมีสภาพ 2 เทวฺ พอเป็นพิการขาเดียวหนึ่งเดียว เหมือนอย่างเทวนิยม พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวนี้ก็พิการแล้ว แล้วแถม เป็นหนึ่งเดียวที่ลึกลับด้วยพระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้ 

แต่ถ้าจริงพระเจ้าก็คือพระศาสดาเองนี่แหละที่มีภูมิธรรมทั้งหลายทั้งหมด ของศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลามหรือศาสนาเทวนิยมใดๆก็แล้วแต่ ที่มาสอนเป็นคัมภีร์ที่บอกว่าเป็นของพระเจ้าแท้จริงเป็นของพระศาสดาเองที่ได้สั่งสมกรรมวิบากมา 

จนกระทั่งไม่รู้ว่าเป็นของตนเองที่ได้สะสมมาจนสูงส่ง ตนเองได้สะสมความรู้ความจริงของแต่ละศาสนา มีความรู้ของตนเองมาก็ไม่รู้ได้ว่าเป็นของตนเองไม่มั่นใจ ไม่กล้ารับรองว่าเป็นของตนเอง ก็เลยบอกว่าเป็นของพระบิดา เป็นของพระเจ้าประทานมาให้ แล้วอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สมมุติกันอยู่ในจินตนาการอยู่ในห้วงลึก จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ไม่มีใครเคยสัมผัสพระเจ้าได้เลย ต่างๆนานาพวกนี้มันเป็นความไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความชัดเจน 2 สภาพเลย เทวะ ซึ่งสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ ครบโลกครบอัตตา มันเป็นความรู้ที่ไม่บริบูรณ์ในเทวนิยมขาเดียว 

สรุปง่ายๆก็คือศาสนาพระเจ้าเป็นความรู้ที่ยังขาเดียวลึกลับอยู่ยังไม่เต็มเต็ง ยังไม่เป็น เทวฺ ที่เป็นสอง ยังไม่เป็นสองที่แท้ 

 

เกิดเป็นคนจนอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นคนชั้นสูง 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูคะ ณ.วันนี้ลูกยังไม่ได้ข่าวว่า จะมีผู้สมัคร ส.ส ท่านใดมาประกาศตนว่าจะขอเป็นคนจนเพราะช่วยเหลือสังคม ทั้งที่คนจนแบบที่พ่อครูพาทำนี้เป็นจริงได้ ช่วยเหลือสังคมได้จริง นี้เป็นเพราะอะไรคะ ฟังพ่อครูเทศน์เรื่องคนจน คนรวย ลูกมีความเห็นอย่างแท้จริงว่า คนจนที่พ่อครูพาทำ นี่แหละเป็นผู้กอบกู้เศรษฐกิจช่วยเหลือสังคม 

ลูกขอถามว่า เพียงเราได้ชาติกำเนิดมาเป็นคนจน ทำมาหากินสุจริตไม่เบียดเบียนใคร เราจะสามารถเรียกได้ว่า ได้ชาติกำเนิดมาสูงกว่าคนรวยตั้งแต่เกิดเพราะเอาเปรียบเขาได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... เอาเปรียบเขาได้แต่คุณไม่เอาเปรียบเขา นี่คือคนจนที่สมัครใจจน ไม่ไปเอาเปรียบเขา จะรวยก็ไม่ไปรวยแข่งเขาแต่มาทำตัวให้จนกว่าเขา คนนี้ต่างหากเป็นคนที่รู้เป็นคนที่สมัครใจมาจน และเป็นคนจนที่มีภูมิปัญญามาเก่า ที่มีบารมีมาเก่า 

พระพุทธเจ้าหรือเจ้าชายสิทธัตถะนี้รวยหรือจน ..รวย แต่มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วรวยหรือจน ..จน ท่านทิ้งสมบัติพัสถานที่ยิ่งใหญ่มา ถ้าท่านอยู่ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ์ แม้แต่ท่านจะเกิดในแคว้นเล็กแต่ต่อไปท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารที่เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในยุคนั้นในอินเดีย ก็ยังยอมรับนับถือเลยในพระพุทธเจ้า มาเลย จะแบ่งแคว้นให้ปกครองครึ่งหนึ่งและทั้งคู่ บริหารแบบนี้แล้วสุดยอด เป็นผู้บริหารที่สุดยอดแล้ว คนจะได้สุขสบายกัน 

อย่างนั้นเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่เอา ถ้าเอาก็จะได้ยิ่งใหญ่เป็นจอมจักรพรรดิ์เลย ขนาดยังไม่ลงมือนะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารก็ให้แล้ว ยิ่งลงมือทำก็จะเป็นจอมจักรพรรดิที่ไม่ใช่จอมจักรพรรดิอย่างเจงกิสข่าน ที่ไปเที่ยวฆ่าล่า ไม่ใช่ และจะเป็นจอมจักรพรรดิ์อย่างสายบุ๋นไม่ใช่สายบู๊ คนจะมาขึ้นกับท่านโดยที่เรียกว่าด้วยพระคุณ ไม่ใช่พระเดชเลย สุดยอดอย่างนั้นแต่ท่านไม่เอา ยิ่งใหญ่เป็นจอมจักรพรรดิ์ ท่านเป็นจริงเป็นได้จริง แต่ไม่เอา

มาเป็นคนจน มาเป็นคนไม่มีสมบัติพัสถาน นี่มันแสดงถึงสภาวะจริงที่ยิ่งใหญ่มาก อาตมาพูดมาหลายทีหลายครั้งแล้ว คนก็นึกไม่ออก เข้าใจยังยาก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมสูงสุดนี้มาเป็นคนจน พระอรหันต์มาเป็นคนจนทุกคน ไม่สะสมสมสมบัติ อนาคาริกชนก็ทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว สละทรัพย์สฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน แล้วก็มาบริหารร่วมกันกินใช้ร่วมกันดูแลไป ร่วมรับผิดชอบด้วยกันเรื่องอะไรแบบอยู่คนเดียว เป็นเรื่องเดาเอาไม่ได้ ต้องมีปัญญา มีภูมิรู้จริงๆ 

 

เศรษฐกิจจะดีนั้นเน้นที่งานไม่ใช่ไปเน้นที่เงิน

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ตอนนี้การเมืองทั่วไป กำลังหาเสียงกันชนิดที่ไม่คิดความดีและชั่ว จะต่างกันขนาดไหน หาเสียงแบบสกปรก เริ่มแจกเงินกันแล้วแนวเดิม จะให้นักการเมืองโลกีย์ลดความแก้ตัวได้อย่างไร อยากฟังพ่อท่านให้ความรู้บ้างก็จะดีนะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมาพูดจนคอจะแตกแล้วอธิบายไปแล้ว อธิบายไปจบจนกระทั่ง ว่า คนที่ไปงมงายอยู่กับเงิน นั่นคือคน ง.โง่ อย่าไปเอาเงินมาเป็นหลักเอางานมาเป็นหลัก อย่าไปงมงายอยู่กับ ง.โง่ เงิน เอางานที่งามที่งอกงาม งานที่เป็นสัจจะประเสริฐจริง เป็นหลักของมนุษย์ อย่าไปโง่อยู่กับเงินๆทองๆ 

เพราะฉะนั้นเรื่องจน คนมาเป็นคนจนพิสูจน์ได้ คุณทำงานให้แก่ประชาชนนี้เถอะ แล้วไม่ต้องสะสมเงินเลย อย่างอาตมานี้ ไม่เห็นอดอยากเลย แล้วพาพวกเรามา ก็วางมา ละทิ้งมาเหมือนกัน แล้วพวกเราอดอยากไหม ก็ไม่อดอยาก เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ไม่อดอยากอะไรเลย 

เพราะในภาวะสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน เราไม่ไปโง่ที่จะไปติดอะไร พะรุงพะรัง ไอ้นี่ก็งาม ไอ้โน่นก็หรู ไอ้นี่ก็สวยก็แพง ไอ้นั่นก็ชั้นสูง ก็ไฮโซ เลิกโง่จากพวกนั้นมาหมดแล้ว รู้จักเหตุปัจจัย สาระปัจจัยของชีวิตมันนิดเดียว ไม่มากเลย แถมบริขารให้อีกก็ยังไม่มากเลย องค์ประกอบที่จะใช้ในชีวิต ทุกวันนี้ก็อาจจะมีดินสอ ปากกาแว่นตาหรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ไม่ได้เพื่อหาเงิน ไม่ได้เพื่อเสพสุข แต่เพื่อทำงานรับใช้สังคม 

อาตมาใช้คอมพิวเตอร์ ใช้เพื่อสังคม ไม่ได้ใช้เพื่อหาเงิน เป็นเงินทางอากาศ ไม่ได้ใช้แบบนั้น แต่ใช้เพื่อจะเป็นความรู้ทางธรรมะ เอาไว้เขียนหนังสืออธิบายเนื้อหาธรรมะ เพื่อสื่อสารธรรมะ เพื่อบันทึกธรรมะอะไรต่างๆเท่านั้น 

สรุปแล้วต้องมาเป็นคนจนจริงๆ เพราะฉะนั้น นักการเมืองที่ดี ผู้รับใช้ประชาชนที่จริง ต้องเป็นอาริยบุคคล ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคลจริง โดยเฉพาะเป็นอรหันต์ ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงก็ยังไม่ใช่นักการเมืองแท้ 

นักการเมืองที่จริง ต้องเป็นอรหันต์นั่นแหละสูงสุด ยิ่งเป็นโพธิสัตว์เลย ซึ่งคนเขาก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งหาว่าธรรมะอย่ามายุ่งกับการเมือง การเมืองอย่ามายุ่งกับธรรมะ นั่นคือคนนั้นเป็นคนพิการ คนที่ไหนจะแยกจากการเมืองได้ คนที่ไหนจะแยกจากธรรมะได้ ธรรมะกับการเมืองมันอันเดียวกัน 

คนที่เข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่การเมืองคนนั้นคือเดียรถีย์ คือคนไปอยู่ป่า พวกเข้าใจป่าว่าเป็นการบรรลุธรรม พวกโง่พวกไม่ใช่สังคมมนุษย์ หนีไปเป็นผีป่า อย่างพวกเชนผ้าก็ไม่นุ่ง แดดลมหนาวอะไร ไม่รู้สึกรู้สา ทรมานทรกรรมตัวเองไปเดินโทงๆๆนึกว่าบรรลุธรรม แม้แต่ไม่ถึงขนาดนั้น ออกป่าก็พิการแล้ว คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่มนุษย์ป่า ไม่ใช่ มิลักขะ คนเป็นชาวอาริยกะ เป็นคนเจริญ เป็นคนสังคมไม่ใช่คนป่าเถื่อน เป็นคนอยู่เดี่ยวไม่ใช่ คนเป็นสัตว์สังคม 

แค่นี้ไม่เข้าใจแล้ว ปลีกแยกไปจากสังคม ผิดแล้ว มิจฉาทิฏฐิแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสังคม รู้จักสังคมดี สังคมเต็มๆก็เรียกว่าโลก รู้จักภาวะโลก ภาษาคำว่า สังคมคือความเกี่ยวข้อง โลกก็คือความเกี่ยวข้องที่ยิ่งกว้างขึ้น กว้างขึ้น ตามลำดับ แล้วก็เป็นผู้ที่อยู่กับโลกอยู่กับสังคมอย่างอยู่เหนือ เรียกว่าโลกุตระ อยู่เหนือโลกอยู่กับโลก 

ไม่ใช่ไปนั่งทับโลกหรอก เหนือคือผู้มีจิตที่เข้าใจแล้ว เรื่องของการอยู่กับมนุษยชาติว่าจะอยู่กับเขาอย่างไร เป็นผู้ที่มีคุณค่า เป็นอาริยะแบบไหน นี่คือสัจจะที่สุดยอดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาก็นำเอามาสาธยายอธิบาย 

คุณป้ารัตน์บอกว่า ทำยังไงจะให้นักการเมืองลดความเป็นโลกีย์ลดความเห็นแก่ตัว 

อาตมาก็ว่า ตัวอย่างอย่างทักษิณเขาทำ เขาใช้เงิน เป็นนักการเมืองที่ใช้เงินเป็นหลักเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นตระกูลเดียวกันตระกูลที่ยังเห็นเงินเป็นเรื่องของสัจธรรม โดยเฉพาะที่จะทำงานกับสังคม 

เพราะฉะนั้นคนทำงานกับสังคมไม่ต้องไปคำนึงเรื่องเงิน ทำงานกับสังคมคำนึงเรื่องงานแล้วก็จะหยุดโง่ ถ้าไปทำงานกับสังคมคำนึงแต่เรื่องเงินก็ยังโง่ 

เช่น เศรษฐกิจก็ไปวุ่นแต่ตัว GDP ตัวรายได้เป็นหลัก นี้มันยังโง่ เศรษฐกิจของมนุษยชาตินั้นเอาที่งานไม่ใช่ไปเอาที่เงิน ผลของงาน1,  คนทำงาน1, ปัญญาความเฉลียวฉลาดของคนอีก1 เอาอันนี้ คนไหนมีคณะไหนมีแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่ต้องไปคำนึงถึงเงิน 

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ชาวอโศก ไม่ได้เอาเงินเป็นหลักเลย เอาเรื่องงาน เอาเรื่องคน แล้วเอาเรื่องความรู้ความสามารถของคน นี่คือสาระแก่นแท้ของการกอบกู้เศรษฐกิจก็ตาม กอบกู้การเมืองก็ตาม

ได้งมงายอยู่การเมืองก็เรื่องคะแนนเสียงเศรษฐกิจก็เรื่อง GDP รายได้ เวรจริงๆเลย คุณแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คุณแก้ปัญหาการเมืองไม่จบกิจอะไรหรอก ไม่เป็น กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ แน่นอน มันผิดเป้ามันไปแก้ที่ผล ไม่ได้แก้ที่เหตุ เหตุมันอยู่ที่คน ไม่ได้ไปอยู่ที่เงิน ไม่ได้ไปอยู่ที่คะแนนเสียง ไม่ใช่ มันมาอยู่ที่คน 

ฟังนะนักการเมืองก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ก็ตาม ฟังอาตมาพูด แล้วจงอย่าไปหลงเทวนิยม นั่นยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า เทวนิยมหรือทางยุโรปหรือทางศาสนาพระเจ้า ความรู้เศรษฐศาสตร์จากเทวนิยมรัฐศาสตร์จากเทวนิยมนั้น มาเรียนเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเถิด เอาละเถรสมาคมก็ยังเข้าใจยาก เถรสมาคมไม่ได้เข้าใจรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์อย่างที่อาตมาพูดหรอก มันก็น่าสงสารเหมือนกัน อาตมาเกิดมาในยุคนี้ถึงมาเปิดเผยเอาความจริงสาระสัจจะพระพุทธเจ้ามายืนยัน คนก็ยังไม่เชื่อง่ายๆหรอก เพราะอาตมาถูกข่มถูกดิสเครดิต ถูกทางโน้นประกาศแล้วก็ไปเชื่อเถรสมาคมนั่นแหละ คุณก็เชื่อกันอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่พยายามที่จะมาฟัง ไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่ฟัง ผู้ที่นำสิ่งที่แปลกดี 

จนกระทั่งอาตมาทำงานมา 50 กว่าปี มีมนุษยชาติ มีพฤติกรรมสังคม มีวัฒนธรรมสังคม มีรูปธรรมสังคมสมบูรณ์แบบหมดแล้ว ให้เห็นได้ กระจายอยู่ทั่วประเทศในชุมชนชาวอโศก เป็นสาราณียธรรม 6 ถึงขั้นสาธารณโภคี

ซึ่งเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจแบบสาธารณโภคีประชาธิปไตยก็อยากได้ คอมมิวนิสต์ก็อยากได้ 

คือสาธารณโภคีนี้ประชากรสมาชิกของสังคมเสียภาษี 100% ประชาธิปไตยที่สมาชิกของประเทศเสียภาษี 100% คุณไม่เอาหรือ คอมมิวนิสต์ มีสมาชิกประชากรเสียภาษี 100% จะเอาไหม มันจบแล้ว

คอมมิวนิสต์เขาพยายามกดขี่บังคับ ด้วยกฎหมาย ด้วยอำนาจอะไรก็แล้วแต่ ให้ผู้ที่เสียภาษี เสียภาษีให้ได้มากที่สุด ซึ่ง ลำเอียง อยู่ดี  สุดท้ายก็แพ้นายทุนมันไม่สำเร็จเพราะกิเลสของคน มันมีวิธีการหลีกเลี่ยงสารพัด 

มันต้องบริสุทธิ์ใจว่า มาเป็นคนจน  ผู้ที่จบเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์แบบแล้วจะมาเป็นคนจน อย่างพระพุทธเจ้าที่อธิบายไปตอนต้นแล้ว ก็ท่านรวยอยู่แท้ๆแต่มาเป็นคนจน พระบาทเปล่าเลย ไม่มีอะไร ห่มผ้า 3 ผืน  รูปแบบก็ชัดๆอยู่แล้ว ท่านไม่ได้มาเสแสร้ง ไม่ได้มาทำ แอ็ค ไม่ได้ทำดรามาติกอะไร ไม่ใช่ ท่านเป็นเรื่องจริง ปฏิบัติเปิดเผยจริง เป็นความจริง 

คนที่ประเสริฐคือ รู้ว่าเป็นคนจนดีแล้ว มาเป็นคนจนได้สมบูรณ์สูงสุดแล้ว ความเป็นคนจนสูงสุด อาตมาเคยเรียบเรียงภาษา

คนที่เข้าใจความสมบูรณ์แบบของคน เป็นคนที่จะไม่ต้องไปพึ่งวัตถุสมบัติ ไปพึ่ง  อำนาจภายนอก ไม่ต้อง พึ่งความไม่มีกิเลส พึ่งความบริสุทธิ์ใจ พึ่งความไม่มีตัวตน แล้วเป็นคนรู้จักกรรม กรรมกิริยาที่ดีอยู่กับสังคม รับใช้มนุษยชาติ เป็นผู้รับใช้ผู้อื่น 

แม้เราจะรับใช้ผู้อื่นอยู่ในงาน เช่น งานนี้คนเขาว่าเป็นงานชั้นต่ำ เป็นงานขนขยะ เป็นงานเช็ดส้วม เป็นงานกวาดถนน มันเป็นการตีค่ามาเบ่งมาทับกัน เป็นจิตที่ไม่เห็นความสำคัญของมนุษยชาติที่มีปัญญา มีความเข้าใจถึงงานที่ควรจะทำ 

สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้หรอก มันมีแต่มนุษย์นี่แหละรู้จักงานที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจก็มายกว่างานนี้สูงกว่างานนี้ งานนี้ต่ำกว่างานนี้ต่างๆนานาสารพัด มันจึงเกิดการเหลื่อมล้ำ เกิดการไม่เสมอภาค เกิดการลำเอียง เกิดอะไรๆ ก็ไม่สงบ ไม่เจริญ 

 

ต้องสนับสนุนคนดีให้มาเป็นผู้ปกครอง 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งได้เห็นความอุตสาหะพากเพียรจริงใจ จริงจังของพี่น้องชาวอโศกที่ได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียว ที่พ่อท่านได้ประกาศเป็นธรรมะวาทีสนับสนุน พล.อ ประยุทธ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราชาวอโศกมีความหวังสูงมากครับ

เลือก พรรครวมไทยสร้างชาติลุงตู่ เบอร์ 22 วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ครับ

กราบนมัสการขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... คนที่เห็นคนเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา คนที่ไม่เห็นอย่างนี้ก็จะหาว่ามายุ่งการเมือง ถ้าไม่ยุ่งมันก็ยิ่งยุ่งต้องจัดการให้มันถูกต้องถ้าไม่ยุ่งเหมือนจะไม่ถูกต้อง อาตมารู้ว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องขอยืนยันว่า อาตมารู้อะไรถูกต้องและอะไรไม่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ต้องไปช่วยสิ่งที่ถูกต้องให้มันถูกต้องด้วยดี 

คำพูดของอาตมานี้ตรงกันกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องสนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศ ถ้าไม่สนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศประเทศจะเสีย ก็อันเดียวกันความเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักสิ่งที่ดีแล้วต้องมาสนับสนุนสิ่งที่ดี ส่วนคนโง่ที่เขาไม่รู้จักคนดีจริง ไปเข้าใจคนชั่วว่าดี แต่เข้าใจคนดีว่าชั่ว อันนั้นเป็นเรื่องความโง่ของเขาก็สุดวิสัยที่เราจะไปช่วยเขา ถ้าเขาตั้งจิตตั้งใจตั้งสติดีๆ ดูให้ชัดๆเลยว่า ใครดีใครชั่วกันแน่ แล้วให้รู้ชัดๆว่า เรานี้โง่เง่าไปถูกครอบงำทางความคิด ไปถูกเขาหลอก ไปหลงสนับสนุนคนชั่วคนไม่ดีอยู่ได้ คุณจะตื่น แล้วคุณจะละอายตัวเองทำไมตัวเองถึงโง่มาได้นานปานนั้น หรือโง่เพราะต้องเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จากเขา ยังเป็นทาส เราก็จะต้องเลิกเป็นทาส เลิกเป็นผู้โง่ได้ ถ้ายังโง่เป็นทาสอยู่ก็ช่วยไม่ได้ 

 

_ตี๋ๆๆๆๆๆ แซบมาก : ไปเอามาจากไหน ต้องให้คนดีมาทำงาน งั้นมึงก็ให้พระมาทำงานให้ดิ(คอมเม้นท์ใต้คลิปของป้าปีกบุญ ใน tiktok ค่ะ 26/4/66)

พ่อครูว่า... แยกความเป็นพระกับคนไม่ออก พระคือผู้ประเสริฐคนที่มีคุณธรรมนั่นแหละคือพระ คือผู้ประเสริฐ พระนั่นแหละถ้าไม่มีความมีคุณธรรม แม้จะมีรูปแบบ เป็นพระแต่ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรที่ถูกต้อง ที่เหมาะควรที่จะเป็นเลย อาตมาก็ไม่อยากจะลงลึก เดี๋ยวจะไปว่าเขาอีก 

ลองศึกษากันให้ดีๆพระพุทธเจ้าให้ศึกษากรรม กรรมกิริยาที่ออกมานั่นแหละจะดูออกว่า เป็นคนสูงหรือคนต่ำ คนดีหรือไม่ดีจริงๆ อย่าไปเอาเรื่องรูปแบบ เรื่องหลักเกณฑ์อะไรมาก เอาพฤติกรรมจริงและคุณต้องฉลาดพอรู้ว่าพฤติกรรมจริง อย่างไรคือคนดีแท้ๆ คนที่ดีแท้ๆคือคนมีวรรณะ 9 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนชั้น 1 เป็นคนคลาสสิค วรรณะก็คือคลาส the classes เป็นคนมีชั้นมีวรรณะไม่ใช่ the masses ซึ่งเป็นคน ปุถุชนทั่วไป ส่วนใหญ่ 

คนที่เป็นคนชั้นสูงชั้น 1 ชั้นเอก มีพฤติกรรมแสดงออกมาจริงๆว่าเป็นคนชั้น 1 ชั้นเอกเป็นคนชั้นสูง ส่วนคนทั่วไปthe masses เป็นคนสามัญปุถชน มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน หมดกิเลสก็เป็นพระอรหันต์เป็นคนชั้น 1 

 

การให้ทาน เสมอด้วยการรบ

_คนนครพนม  :  “การให้ทาน เสมอด้วยการรบ”  หมายความว่าอย่างไรครับ ขอพ่อท่านช่วยอธิบายด้วยครับ

พ่อครูว่า... อธิบายอันนี้ก็จะอธิบายได้ครบสูตรเลย การให้ทานยากเสมอด้วยการรบ คนอยู่ในสนามรบก็รบกันฆ่ากันเพื่อเอาชนะ นั่นมันชนะกับคน ชนะเรื่องรูปธรรม ชนะเรื่องคน แต่ทานนี้เป็นการชนะเรื่องตน ไม่ใช่ชนะเรื่องคน ชนะเรื่องต้องไม่มีตัวตน 

เพราะฉะนั้น การทานที่สูงสุดคือ ทานที่หมดชาติหมดภพ ทานอย่างไม่มีสาเปกโข ทานอย่างไม่มีภพไม่มีชาติ พอทานจบ จิตของคุณอย่ามีอะไรต่อว่า ฉันเป็นคนมีประโยชน์ ฉันเป็นคนมีคุณค่า ฉันเป็นคนทำบุญทำคุณนะ 

เพราะฉะนั้นการสอนให้ต่อภพต่อชาติ ทำบุญแล้วก็มา อิมินา. สะกาเรนะ ขอให้มีส่วนบุญนี้อุทิศไปให้ผู้ตายซะอีกแน่ะ แล้วผู้ตายจะกินได้ยังไง ผู้ตายไม่มีปาก ไม่มีลิ้น ไม่มีกระเพาะ ไม่มีอะไรแล้ว ส่งให้ตายไปยังไง อาตมาเคยอธิบายยกตัวอย่าง ใช้ภาษาอีสานว่าได้ ปลาคอ(ปลาช่อน) มีไข่มา กำลังดีเลยนะ ผ่าออกมา เอาพุงทั้งไข่ทั้งไส้ปลาช่อน เอามาทำอาหารรับรองว่า วันนั้นแย่งกันเลย ครอบครัวหนึ่ง ถ้ามันหลายตัวก็ค่อยยังชั่วหน่อย มีไส้มีไข่หลายๆตัวก็เอามาไม่แย่งกันเท่าไหร่ ถ้าไส้เดียว ไข่มันมี 2 หลอด เป็นเม็ด 2 หลอดไข่ปลาช่อน อาตมาเคยทำเคยจัดการ นี่แหละคนชอบกิน ไส้ปลาคอ ไข่ปลาคอ พูดภาษาอีสาน

ตายแล้วก็บอก พ่อแม่ตายแล้ว ได้ปลาช่อนมา มีไข่มีไส้ดีเลย วันนี้ทำแกงทำกับให้ ส่งเอาไปถวายพระ ให้พระฉัน แล้วให้พระอุทิศส่ง

ไข่ปลาช่อนไส้ปลาช่อนนี้ให้ไปให้พ่อ พ่อชอบ พ่อที่ตายไปแล้วชอบกินนัก อาตมาก็บอกว่าเอาไปให้พระฉัน แล้วก็ถึงจะให้พระส่งไปให้ผู้ตาย พอพระฉันเสร็จแล้วก็ ยถา วริหา ปูรา ปาริปุเรนติสาครัง ถามว่าไข่หรือไส้ปลาช่อนออกจากท้องพระวิ่งจู๊ดไปให้พ่อกินได้ไหม เขาก็หัวเราะ มันจะไปได้ยังไง พรุ่งนี้เช้าก็กลายเป็นอุจจาระพระ นอกนั้นก็ไปสังเคราะห์ร่างกาย เลี้ยงร่างกายของพระนั่นแหละ นี่ก็พูดจนหมดเปลือกแล้ว 

เพราะฉะนั้นการทานนี่นะ มันยาก 1. จะทานแค่หยาบๆ ให้วัตถุทาน ให้อะไรต่ออะไรก็ยังยากแล้ว เท่ากับการรบ รบกับกิเลสของตนเองที่ขี้หวงขี้แหน กลัวจะเสียบาทเสียเบี้ย กลัวจะไม่ครบที่จำนวนที่ตนสะสมไว้ได้ ไม่อยากให้พร่อง  มันจึงเหมือนการรบที่จะทาน 

เพราะฉะนั้นวัตถุก็ยากแล้ว สละวัตถุได้ก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่อย่างหยาบ ก็ต้องรบกับกิเลสหยาบนี้อีก นึกเป็นบุญคุณ นึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จะเอาไว้กินภพหน้าชาติโน้นอีก เป็นปรมัตถ์สูงไปอีก ลดหยาบได้ก็เหลือละเอียดที่ต้องล้าง 

เพราะฉะนั้นการทำทานเสมอด้วยการรบ ตั้งแต่ขั้นสนามใหญ่สนามหยาบ สนามขั้นธรรมาธรรมะสงคราม ระหว่างเทวดาและมาร เทวดากับมารนี้อันเดียวกัน ไปโง่หลงก็นึกว่าเป็นเทวดา ที่แท้มันมีแต่มาร เป็นมาร ก็รบจนชนะมารซะ มารหยาบได้แล้วเป็นรูปภพ เหลืออรูปภพ ก็เป็นมารตัวน้อย ก็รบเอาชนะมารตัวน้อยอีก 

 

เป็นฆราวาสไปแยกคนคู่ให้เป็นโสดจะได้กุศลไหม 

_วัยรุ่นสงสัย   :  กราบนมัสการหลวงปู่ครับ  การที่เราพยายามทำให้คู่รักคู่หนึ่งแยกกัน กลายเป็นคนโสด จะเป็นกุศล หรือ อกุศลครับ เพราะคู่รักคู่นี้ มีความสัมพันธ์ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนประมาณหนึ่งครับ

พ่อครูว่า... รายละเอียดไม่พอ ให้โจทย์ของอาตมาคำนวณอาตมาให้คำตอบไม่ได้ เลยไม่มี ซตพ.ให้คุณ ข้อมูลน้อยเกินไป 

เอาคำตรัส ที่สมบูรณ์แบบเลย เอาที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การตั้งตนเป็นคนโสด ผู้ที่ตั้งตนเป็นคนโสด ท่านเรียกว่าเป็นบัณฑิต ผู้ที่ฝักใฝ่ในความเป็นคนคู่ ไปแต่งงาน ไม่โสด ย่อมเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่าโง่หรอก ย่อมเศร้าหมอง

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า คุณเป็นภิกษุนี้ ท่านมีวินัยเลยว่าอย่าไปส่งเสริมให้เขาแต่งงานกัน เป็นพระเป็นเจ้าแล้วไปสนับสนุนให้เขาแต่งงานกัน ไปสวดงานแต่งงาน ไปอวยพรให้แต่งงานให้เป็นคู่ไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ต้องอาบัติสังฆาทิเสส อย่าไปเอื้ออวยให้คนแต่งงานเข้าไปหาทุกข์ ท่านให้วาง เลิก ปล่อย ให้เข้าใจถึงสัจจะอันนี้ 

อาตมาเคยเปรียบที่จะให้ไปแต่งงานในโบสถ์ของศาสนาพุทธ เขาเปรยกันมา อาตมาเหยียบเบรกท6 ล้อเลย 10 ล้อเลย รถสิบล้อต้องเบรกมันสิบล้อเลย เพราะสังฆาทิเสสกินหัวเลยนะ พูดแรงๆอย่างนี้ เป็นพระเป็นเจ้าไม่รู้จักวินัย พระพุทธเจ้าไม่ให้ส่งเสริม ไปส่งเสริมได้อย่างไรทำให้คนแต่งงานก็เป็นคนคู่ 

ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ บวชเป็นพระเป็นเจ้าเป็นใหญ่เป็นโตขนาดเป็นพระเป็นเจ้า จะมาจัดการพิธีการ พิธีกรรม มีอำนาจมีส่วนมีสิทธิ์จัดการสังคมศาสนาด้วย อยู่ในฐานะตำแหน่งจะต้องจัดการอย่างนี้ได้  ยังไม่รู้เรื่องแค่สังฆาทิเสสข้อนี้ 

ศาสนาอื่นเขาไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องของเขาไป พระศาสดาของเขามีความรู้อย่างที่เขาเป็น เขาก็ว่ากันไป แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องรู้ทุกข์อาริยสัจ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่รู้อย่างพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยให้ได้ เข้าใจพระวินัยให้ได้ ถ้าเข้าใจพระธรรมวินัยแค่นี้ ขั้นสังฆาทิเสส อย่างหยาบแค่นี้ ยังละเมิดยังทำอยู่ได้ แล้วจะไปบริหารศาสนาพุทธได้ยังไง 

เพราะฉะนั้น เรื่องพระ อย่าไปยุ่งเรื่องคนเขาแต่งงานในศาสนาพุทธ แต่ถ้าเป็นฆราวาสไม่ได้อยู่ในฐานะ เป็นฆราวาสก็ไม่ใช่พระคนละฐานะ เพราะฉะนั้นฆราวาสจะไปแยกคู่กัน มองไปในแง่ปรมัตถ์ก็ดี แต่มองไปในแง่โลกๆประเดี๋ยวจะฆ่าแกงกัน มันก็มีมาแล้วเรื่องของเรื่อง มันเป็นไปตามธรรมชาติ ลึกไปกว่านั้นเลย 

ลึกไปกว่านั้นคือ คุณจะไม่ให้ผู้หญิงผู้ชายแต่งงานกันเลย โลกก็หมดสิคนน่ะ ลึกไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เป็นอาริยะระดับต้น โสดาบันก็มีผัวเดียวเมียเดียว นี่คือวินัยของพระพุทธเจ้า ก็แต่งงานสิ ไม่งั้นคนก็หมดโลกสิ ผัวเดียวเมียเดียว ได้ อย่านอกใจกัน อย่าไปเที่ยวได้มีเรื่องทุกข์ร้อนมากกว่านั้น อยู่กันให้ดี มีความรัก 10 มิติ สูงๆ จะแต่งงานก็ให้ความรักเจริญสูงๆขึ้นไป มิติที่ 3 ที่ 4 อะไรขึ้นไป ไม่ใช่ว่า แต่งงานก็เห็นแต่เรื่องเสพกาม ลูกมาก็ฆ่าทิ้งอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่คนแล้ว มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานแล้ว ก็อธิบายอย่างหนักๆนี้แหละ 

เพราะฉะนั้นอยู่ในฐานะของฆราวาส ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสมณะนักบวช ก็อยู่ในฐานะหนึ่งก็มีคู่แต่งงานกันแบบผัวเดียวเมียเดียว ตามหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปอะไรถึงขนาดนั้น ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติแล้วนายกฯประยุทธ์มารับไม้ต่อ มีสิ่งที่น่าจะได้พูด อีกสักอันหนึ่งก็คือ ทำไมต้องประยุทธ์ จันทร์โอชา ... 

จาก FB พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี 21 เม.ย. 66

ผมเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด ตั้งแต่ต้อง “ยอมนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนางเป็น รมว.กลาโหม ปี 2556 อีกตำแหน่งหนึ่ง” ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเสนาธิการทหารบก ช่วงต่อต้าน “คนเสื้อแดงป่วนเมืองอย่างหนักขั้นเผาบ้านเผาเมือง สังหารและทำร้ายทหาร” 2553 ซึ่งอยู่ในส่วนของการปฏิบัติการ ของ “แก้วสามประการระบอบทักษิณ พรรคการเมือง มวลชน กองกำลังติดอาวุธ” 

จนนางยิ่งลักษณ์ ถูกศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า “ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมปลดย้ายข้าราชการ” (ย้ายท่านถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไร้เหตุผลและคนอื่นๆ) เพื่อเปิดทางให้ญาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.และในกระบวนการนั้นต้องย้ายข้าราชการอย่างน้อย 2 ตำแหน่งเพื่อให้สามารถย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เข้าตำแหน่งได้

เมื่อนางยิ่งลักษณ์ ถูกถอดถอนตำแหน่งและอำนาจแล้ว เกิดสูญญากาศทางการเมืองเพราะรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจสมบูรณ์ในการบริหารบ้านเมือง ขณะเดียวกันมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนาง ตั้งแต่กลุ่ม กปท. คปท.กองทัพนิรนาม จนเกิดเป็น กปปส.และการชุมนุมยืดเยื้อมา 10 เดือนประชาชนและประเทศชาติเดือดร้อน

แต่รัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ไม่หยุดกอบโกยโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวและออกกฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ตัวทักษิณเองและระบอบทักษิณรวมทั้งเครือญาติและที่ร้ายแรงส่งเสริมให้ท้ายพวกอนาธิปไตยล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายการข่าวของ กลุ่มชุมนุมและฝ่ายทหารอาชีพ รับรู้ว่า “กลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดงได้รับเงินและคำสั่งให้จัดการกับ กปปส.และกลุ่มอื่นๆ อย่างเด็ดขาดเพื่อเปิดทางให้ตำรวจสามารถสลายชุมนุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แล้วให้รัฐบาลรักษาการประกาศการเลือกตั้งตามที่มีแผนงานเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ถูกผู้ชุมนุมและพรรคการเมืองต่างๆ เว้นพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นต่อต้าน รัฐบาลรักษาการระบอบทักษิณได้รับคำสั่งจากเจ้าของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นให้ตื้อและยื้อไว้จนกว่า “กองกำลังติดอาวุธแก้วสามประการระบอบทักษิณ” มีความพร้อมและเคลื่อนทัพประชิดทุกเวที กปปส.และเข้าสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงด้วยอาวุธ และตำรวจจะเข้าสวมรอยสลายกลุ่มชุมนุมทุกกลุ่ม ฝ่ายทหารที่เข้ากับระบอบทักษิณก็จะสนับสนุนการสลายการชุมนุมอ้างว่าสนับสนุนตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ฝ่ายชุมนุมรู้ถึงแผนยุทธศาสตร์นี่ดี ก็พร้อมรับมือด้วยหลักอหิงสาและเตรียมชิง “อำนาจรัฏฐาธิปัตย์” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลตามฎีกาที่เขียนไว้แล้ว แต่ฝ่ายทหารจึงรีบชิงโอกาสก่อนที่ “กองกำลังติดอาวุธระบอบทักษิณ” จะดำเนินการสลายการชุมนุม กปปส.(รวมทั้งหมด กปท.และ คปท.) จะเกิดสงครามกลางเมืองทันที กองทัพจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง ในการนี้ฝ่ายทหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดประชุมทุกฝ่ายเพื่อหาทางยุติการชุมนุมและความรุนแรง ด้วยการขอให้รัฐบาลรักษาการลาออก ซึ่งขณะนั้น นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีอำนาจอะไรแล้วเป็นบุคคลธรรมดา เข้าใจกันด้วยครับ แต่รัฐบาลรักษาการปฏิเสธที่จะลาออกทั้งสองวันประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องประกาศยึดอำนาจ ซึ่งมวลชนดีใจเพราะ “เดิน กิน นอน บนถนน ข้างถนนรวม 10 เดือนแล้วจะได้จบเสียทีและรัฐบาลระบอบทักษิณก็จบสิ้นไปแล้ว คดีอาญาเอาผิดนักการเมืองในระบอบทักษิณจึงได้เริ่มขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวเลือกที่มวลชนต้องการไม่ใช่คนอื่น แต่คนอื่นนั้นมี “พลังแฝง” เพราะเป็นผู้มีอาวุโสกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องยอมรับตำแหน่ง มิฉะนั้น ระบอบทักษิณจะได้อำนาจคืนอย่างแน่นอนเด็ดขาด และการชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณถูกสลายไปโดยปริยาย ดังนั้นอำนาจรัฐตกเป็นของระบอบทักษิณทันที แกนนำหลัก พธม.และ กปปส.จะถูกล้างแค้นอย่างหนักกว่าที่เห็นในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นตัวแปรสำคัญในการป้องกันระบอบทักษิณไม่ให้ได้อำนาจอย่างชุบมือเปิป แต่ถูกกดดันตลอดเวลาและทำอะไรไม่ได้มาก เพราะท่านถ้าลาออก “บ้านเมืองจะวุ่นวายและนำสู่ความขัดแย้งรุนแรงและการแตกแยกอย่างชัดเจนและมีการเผชิญหน้ากันหลายเส้า”

สรุปว่า  :   พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะไม่ได้ยึดอำนาจรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักรักษาการระบอบทักษิณ ที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรักษาการ และที่สำคัญยิ่ง 

นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เข้าร่วมประชุมหาทางออก (เพราะรัฐบาลรักษาการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและเกิดสูญญากาศทางการเมืองและ รธน.เปิดโอกาสให้รัฐบาลนั้นเป็นแค่รัฐบาลรักษาการเท่านั้น นางยิ่งลักษณ์ หมดอำนาจไปแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรให้ยึดอีกแล้ว ขอได้เข้าใจตามนี้ด้วยครับ

พ่อครูว่า... พลเอกประยุทธ์บริหารแล้วประชาชนก็ไม่ได้ออกไปประท้วงต่อ ตอนนั้นที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์มาเป็นนายก เราก็ออกไปประท้วงไม่ยอมอีก จากนั้นเป็นยิ่งลักษณ์ก็ผ่านการเลือกตั้งมา เข้ามาเป็นนายก ประชาชนก็ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นนอมินี ก็ไปขับไล่อีก 

แต่พอพลเอกประยุทธ์ขึ้นมา ประชาชนไม่ได้ไปไล่ ก็เห็นว่าไม่ใช่เป็นนอมินีทักษิณและเป็นผู้ที่มีบทบาทเข้าตาประชาชน ไม่ใช่ไม่รู้จักแต่ประชาชนรู้จัก ก็เลยไม่ได้ไปขับไล่ 

ถ้าพลเอกประยุทธ์มาบริหารเหมือนกับทักษิณหรือว่านอมินีของทักษิณอีก ประชาชนจะไปขับไล่อีกไหม ก็ไป ถ้าพลเอกประยุทธ์ไปทำแบบนั้น แต่มันไม่ใช่ พลเอกประยุทธ์บริหารก็เข้าตาประชาชน 

สรุปแล้วรายละเอียดที่พูดนี้ก็คือ มันไม่มีการยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์เลย เพราะว่าไม่มีใครมีอำนาจสักคน นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลก็ไม่มี ยิ่งลักษณ์ก็ไม่มี ไม่มีอำนาจอะไรเหลือแล้วเป็นแต่เพียงพูดออกปากให้เกียรติกันเท่านั้นเอง มันเป็นสุญญากาศมันว่างหมดแล้ว พลเอกประยุทธ์บอกว่าผมขอยึดอำนาจเป็นการพูดปากเปล่า พลเอกประยุทธ์จึงไม่ใช่เผด็จการ พลเอกประยุทธ์จึงไม่ใช่คนยึดอำนาจ 

แต่ที่จริงนั้นผู้ยึดอำนาจจริงๆคือประชาชน ไปทำการประท้วง ประชาชนเป็น โปรเทสแทนท์ที่แท้จริง ประชาชนเป็นจอมประท้วงที่แท้จริง ไม่ใช่ไปทำม็อบด้วย ไปทำ protest ไปทำการประท้วงอย่างดี อย่างสงบไม่มีอาวุธ อย่างสุภาพ เอาความจริงไปยืนยันเป็นธรรมาวุธ ไล่ สิ่งที่มันเป็นอธรรมออกไป อย่างบริสุทธิ์อย่างงดงาม อย่างชนะ Absolute เลย 

เป็นประชาธิปไตยที่ประท้วงโดยประชาชนเป็นตัวอย่างของโลก ไม่ได้ไปประท้วงเฉพาะยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์เป็นตัวปลายแต่ประท้วงตั้งแต่ทักษิณ ไปสมัคร ทักษิณถูกยึดอำนาจโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินก็แล้วไป จากนั้นมาสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ประชาชนทั้งนั้น 

สมณะเดินดิน... ตอนทักษิณเราก็ไปประท้วง 

พ่อครูว่า... ของทักษิณมีทหารมาปฏิวัติ ของสมัครนั้นเป็นตุลาการภิวัฒน์ ต้องมีอะไรช่วยตามหลักเกณฑ์สังคมหลักเกณฑ์กฎหมายมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาที่เป็นนามธรรมล้วนๆไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องที่จะเอามาพูดกันได้มันก็ไม่ได้ มันก็ต้องใช้มันก็ต้องสอดคล้องกัน มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม มีทั้งกฎหมายมีทั้งพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบ 

ถ้าพูดไปจริงๆแล้ว การเมืองประชาธิปไตยไทยนี่เป็นตัวอย่างที่สวยงามสมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่ได้แกล้งพูด แต่พูดความจริงเลยว่า มันเป็นตัวอย่างของโลกที่เกิดขึ้นมา เป็นปรากฏการณ์ให้แก่โลก ที่สุดยอด ใครจะว่าอาตมาเป็นคนอยู่ในมุมแคบๆมองไม่กว้าง ที่อื่นเขามีตัวอย่างสวยกว่านี้ ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็เห็นอันนี้ อันอื่นไม่เห็นก็เลยยกอันนี้แหละ แม้แต่อาตมาก็ไปเป็นส่วนร่วมในกระบวนการนั้น จนเขาหาว่าเป็นพระเป็นเจ้าจะมายุ่งอะไรกับการเมือง อาตมาเห็นว่าเป็นหน้าที่ เห็นเป็นสิ่งควรทำ อาตมาก็เป็นคน ประชาชนคนหนึ่งในประเทศไทยอาตมาก็ทำหน้าที่ 

จนกระทั่งทำหน้าที่แล้วได้ผล ก็ดีแล้ว ก็ถึงจะเกิดความเป็นจริงของพฤติกรรมมนุษย์ จริงๆ มันก็เสร็จ สำเร็จรูปสภาพ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ 

ที่การบริหารเป็นนายกมาตั้งแต่สำเร็จอำนาจตอนนายกสมัคร สำเร็จตอนอำนาจของนายกสมชาย สำเร็จตอนอำนาจของนายกยิ่งลักษณ์ สำเร็จพลเอกประยุทธ์ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ 8 ปีกว่าแล้ว 

ประชาชนทุกวันนี้ว่ากันไปแล้ว อาตมาว่ากระแสของพลเอกประยุทธ์นี้สูงมาก อาตมาไม่อยากเป็นนักพยากรณ์ ว่าการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ ผลจะออกมาอย่างไร ไม่อยากเป็นนักพยากรณ์ ก็คอยดูก็แล้วกัน โพลต่างๆ ปากกาเซียนต่างๆ อาตมาว่างวดนี้จะหักประกาศเซียน ทุบโพลต่างๆ แตกระเนระนาดไปหรือเปล่า ปากกาเซียนหักไปไม่รู้กี่ด้ามหรือเปล่า ก็ไม่ต้องไปถึงดูไบหรอกไปดูไป อีกไม่กี่วันก็ถึง 14 พฤษภาคม เหลืออีก 16 วัน เอง ใจเย็นๆ 

แต่แม้กระนั้นก็ดี ตามกระแสของสังคมขณะนี้ ใครก็เห็นแล้วว่า ประชาชนเอาประยุทธ์ทั้งประเทศ แล้วพลเอกประยุทธ์ก็วางตัวได้สวยมาก สวยอย่างไร คือไม่ยอมไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นอิสระ ดีมาก นี่เป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่ไปอยู่ในพรรคจะต้องให้พรรคคอุ้มชู ไม่เกี่ยว 

แสดงว่าพลเอกประยุทธ์มีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยลึกซึ้งดีทีเดียว พวกที่มีความรู้ประชาธิปไตยประดักประเดิดไม่จริง ก็จะว่าอะไรวะ ให้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของรวมไทยสร้างชาติ ประกาศเป็นสมาชิกของรวมไทยสร้างชาติแต่ไม่ลงปาร์ตี้ลิส พวกนักการเมือง นักรัฐศาสตร์ประดักประเดิดยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็บ๊องๆๆไปตามประสาเขา

ยิ่งเห็นเลยว่า พลเอกประยุทธ์ชัดเจน เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยที่วิเศษ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่งชิงอะไรในพรรค แม้ว่า สมมุติว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ รทสช. ชนะ แคนดิเดตเบอร์ 1 ก็คือพีระพันธ์ใช่ไหม ที่เขาใช้ Party List เบอร์ 1 แล้วดูซิว่าถ้า รทสช. ชนะ แล้วก็มีสิทธิ์เสนอชื่อนายก เขาจะยกพีรพันธ์ไหม เขาจะเสนอพีระพันธ์ไหม แล้วพลเอกประยุทธ์จะอกหักไหม คอยดูกันต่อไป ซึ่งไม่ใช่ต้องดูต่อไป ลึกๆคนไทยก็พอรู้เรื่องอยู่แล้ว นอกจากคนตาเขตาเอียงตาบอดตาถั่ว ก็ไม่เห็น 

เพราะอะไรก็เพราะสัจจะเพราะความจริง อันนี้แหละเป็นการยืนยันประเทศไทย ว่าประเทศไทยนี้จริงใจ และมีดวงตาที่เห็นความจริง นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความคิดกันอย่างนี้หรือ นี่เป็นโพธิรักษ์โพลนะ นี่เป็นอ่านเป็น โพล ของโพธิรักษ์เอามาพูด ไม่ใช่โพลของสำนักไหน แต่สำนักโพธิรักษ์ อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆ 

ประชาชนเป็นร่างกษัตริย์เป็นจิตวิญญาณของประเทศ 

อาตมาจึงประเมินได้ว่าประชาธิปไตยของเมืองไทยนี้สูงส่งประเสริฐ ประเสริฐกว่าอเมริกาเยอะ พลเอกประยุทธ์ใช้เงินไหม ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไหม ใช้เครือแหเครือข่ายไหม ไม่ ไม่เหมือนประชาธิปไตยแบบอเมริกาไม่เลย นั่นแหละประชาธิปไตยที่เขานึกว่าประชาธิปไตยจะต้องเป็นหนึ่ง ต้องประชาตรงๆสายตรงจากประชาธิปไตยจากประชาชนมาเป็นประธานาธิบดี นอกนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์ ต้องประชาชนโดยประชาชนของประชาชนประชาชนเท่านั้น แล้วในหลวงไม่ใช่ประชาชนหรือไง 

ในหลวงนั่นแหละเป็นหัวใจของประชาชน ซึ่งเขาเข้าใจความเป็นหัวใจกับร่างไม่ได้ ประชาชนคือร่างของประเทศ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินคือจิตวิญญาณของประเทศ มีสภาพ 2 ในความเป็นประเทศต้องมีสภาพกายและจิต ประชาชนนั้นคือกายของประเทศ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินนั้นคือจิตวิญญาณของประเทศ 

ประเทศที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นกายพิการเป็นร่างมีแต่ร่าง และจิตวิญญาณก็ไม่อยู่ในระบบ จิตวิญญาณเละเทะ จิตวิญญาณของใครก็ได้เป็นประชาชนที่ไม่มีที่ไปที่มาไม่มีทศพิธราชธรรม ไม่มีการสืบสันตติวงศ์ ไม่มีกรรมพันธุ์ ไม่มีการสืบกฎมณเฑียรบาล 

ไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาเป็นผู้บริหาร จับใครมาก็ได้ สุ่มคนนี้ได้เอามาเป็นประธานาธิบดีใครก็ไม่รู้ ไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาเลย ดีไม่ดีไปดู background แล้วเป็นคนหากินเป็นนายทุนใหญ่ เป็นตัวอำนาจเบ่งอะไรต่างๆนานา มีแทคติกในการสร้างอำนาจอีกเยอะแยะด้วย เรื่องรัฐศาสตร์มันซับซ้อน 

สรุปแล้วอาตมาก็มองด้วยความรู้หรือภูมิของอาตมา ประชาธิปไตยแบบไทยหรือแบบพระพุทธเจ้าหรือของอาตมาเป็นแบบนั้น ยิ่งจะเป็นการบริหารประเทศแบบคนจน อันนี้จะต้องได้พูดกันต่อไป อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราได้ตรัสไว้แล้ว ให้บริหารแบบคนจน ให้คนมาเข้าใจถึงการขาดทุนเป็นความประเสริฐ การไปเอากำไรนั้นเป็นความชั่ว ซึ่งท่านไม่ได้ตรัสอย่างนี้นะนี่อาตมาพูด ว่าการขาดทุนนี้เป็นความประเสริฐ การกำไรนี้เป็นความชั่ว 

หรือใช้ภาษาอีกทีว่า การเสียนี่แหละเป็นการได้ ในหลวงท่านก็ตรัสอยู่ พูดเต็มๆคือการเสียสละนี่แหละเป็นความประเสริฐ การไปได้เปรียบเอาเปรียบนั้นเป็นความต่ำเป็นความเสื่อม ไม่ใช่ความประเสริฐ นี่เป็นสัจจะในความเป็นจริง 

คนเข้าถึงความเป็นจริงอย่างนี้ไม่ได้มันยาก มันหยั่งถึงความจริงที่เข้าใจยาก ความจริงถ้าตั้งสติใช้การพิจารณาจริงๆอย่างที่อาตมาพูดเขาจะรู้นะว่าคนเสียสละนี้ มันจะไปต่ำกว่าคนเอาเปรียบได้อย่างไร มันประเสริฐ ความจริงแค่นี้ก็ไขไม่ออกแล้วจะไปเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ก็ตามก็ล้มเหลว 

สมณะเดินดิน... พลเอกประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนอื่นเขาใช้เงินกันทั้งนั้น 

พ่อครูว่า... แพ้แน่ๆถ้าพ่อแม่ไม่ช่วย 

สมณะเดินดิน... มีคนมองข้ามช็อตว่าจะไม่มีการเลือกตั้งเขาไม่ยอมกัน คำตอบคือพลังเงียบ เราต้องช่วยกันปลุกพลังเงียบขึ้นมาช่วยมีทางนี้ทางเดียว ...

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 04:44:49 )

660501

รายละเอียด

660501 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #20 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53267.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1M38a4o6l5SMSJjLokYSbcZPWoJsLzh2D/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kebiyJcnl2DbGqknXHBZGk90oGVSdVqq/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/byeJBQ6DzH8

และ https://fb.watch/kftufyGy3I/ 

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ พระจันทร์เป็นข้างขึ้น เกือบจะถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แล้วนะ วันเวลาก็ผ่านไปผ่านไปแต่ละวัน 

_Fc ลุงตู่ ..ที่จ.ตรัง พวกเราไปมอบหนังสือปัญญา 8 ให้ลุงตู่ 

ท่านรับแล้วถามว่า ทำอย่างไรให้นอนหลับ ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับเลยครับ

_กล้าเป็น...ผมว่านะ  ที่ลุงตู่นอนไม่หลับ คงมีความกังลวลเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ยิ่งพรรคล้มเจ้ามาแรงด้วย แกแบกภาระประเทศไว้หนักมาก จริงๆลุงคงไม่อยากกลับมาทำการเมืองเท่าไรนักหรอก แต่สำนึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่จะต้องปกป้องแผ่นดินไทย

เพราะเวลาหาเสียงลุงจะพูดเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ย้ำอยู่ทุกครั้ง ครับ

แนวคิดแก้ปัญหาให้คนไปรวยไม่ช่วยแก้ปัญหาจริง

พ่อครูว่า... คือคนเรายังดี ยังมีคนรับผิดชอบเอาภาระสังคมประเทศชาติ ว่าอย่างนี้แหละ ถ้าไม่มีคนรับผิดชอบเอาภาระสังคมประเทศชาติ ยิ่งมีพวกที่จะล้มเจ้า พวกที่จะแย่งอำนาจ พวกที่จะนึกให้ตัวเองเป็นใหญ่ มีหัวก้าวหน้า จะก้าวไถลหรือก้าวไกลก็แล้วแต่ ก็ว่ากันไป 

ที่จริงก็เป็นจิตเจตนาดีกันของทุกคน เจตนาจะให้เป็นอย่างที่เราคิดว่าดี เช่น เจตนาของคนส่วนใหญ่ เขาคิดพยายามแก้ปัญหา พยายามพัฒนาเศรษฐกิจอย่างที่เป็น ในความคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจก็คือจะต้องทำให้คนนี้รวย ทำให้คนมีเงินมีทองกันทุกๆคน หรือให้ทุกๆคนมีเงินมีทองกันมากๆแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข นี่ก็เป็นความเห็นความผิดของคนทั่วโลก เป็นความเห็นทางโลกีย์ง่ายๆ เผินๆไม่ลึกซึ้งเลย 

แต่อาตมามองว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาแบบอย่างนั้น อาตมาก็ดี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ดี ก็มองการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแนวเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ได้ดีแล้ว ต้องมาทำให้คนเข้าใจความจน แล้วก็มาทำตนให้เป็นคนจน ทำความเข้าใจให้ได้ว่า ความอยู่ดีกินดีหรือความอยู่เย็นเป็นสุข ความประเสริฐแท้ๆ ไม่ใช่ให้คนไปแย่งกันร่ำรวยหรือจะต้องอยากรวย 

อันนั้นมันเป็นความโลภ เป็นกิเลสธรรมดาๆ โลภเห็นเงินเป็นใหญ่ เห็นตัวเงินตัวทองเห็นตัวทรัพย์ศฤงคาร เป็นเรื่องที่จะยังชีวิตหรือจะทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข หรือทำให้ชีวิตเป็นใหญ่เจริญรุ่งเรืองเขารู้สึกและเข้าใจอย่างนั้น concept หรือความคิดองค์รวมเขาไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น 

ซึ่งมันไม่ถูกต้องทั้งตัวเองทั้งความที่เขาคิดอย่างนั้น มันต้องคิดให้เป็นผู้ที่ถ่วงไว้ เพราะธรรมดาธรรมชาติคนมีกิเลสจะต้องไปแข่งกันรวย แย่งกันรวย แต่มันแย่งกันไปได้กี่คน คนจะไปรวย มันก็จะทำให้คนจนหนักเข้าไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องช่วยถ่วงดุล โดยเรามาเป็นเพื่อนคนจน แล้วก็พาคนจนช่วยกันสร้างสรรค์ อยู่เย็นเป็นสุข รู้จักพอ รู้จักกินรู้จักอยู่ อันนี้แหละเป็นประเด็น อย่าไปหลงโลกว่า กินจะต้องกินแบบนี้ ถึงจะเท่ ถึงจะว่าเจริญ  ถึงจะว่าอร่อย ถึงจะว่าเป็นคนชั้นสูงอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ 

กินก็คือกินอาหารที่มันเป็นสาระ ได้ธาตุอาหารที่ดีมีสาระ มีคุณค่าที่ดี แม้มันจะไม่หรูหรา ไม่เอร็ดอร่อยไม่อะไรก็แล้วแต่ มีปัญญาเข้าไปถึงเนื้อหาแก่นสารของอันนั้นแท้ๆว่ากินคืออะไร อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุทั้งหลายไม่ได้กินเพื่อเล่นหัว เพื่อมอมเมา เพื่อบำรุงบำเรอ เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่ กินเพื่อให้ขันธ์ตั้งอยู่ได้ ให้ได้ธาตุที่ขันธ์ต้องการ ขันธ์ 5 ของเรา สังขารขันธ์ของเราต้องการ ยิ่งสมัยนี้ทางวิทยาศาสตร์ ทางแพทย์ทางโภชนาการรู้ดีเรื่องการกินอาหารอย่างไร อย่างนี้ต่างหาก 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่ชัดเจนในสาระอันแท้จริงนี่แหละ ไม่เข้าใจจุดเป้าหมายสำคัญเนื้อแท้ของสิ่งนั้น สิ่งนั้น เป็นเป้าเป็น Goal เป็น Interest Point ไม่เข้าใจจุดสำคัญพวกนี้ มันผิดเป้าหมด 

โลกหรือกิเลสมันจะหลอกให้ออกนอกเป้าอยู่เรื่อย ออกนอกเนื้อหาแท้อยู่เรื่อย แล้วคนจะโง่ไปตามผีหลอก ตามกิเลส ตามสังคม เป็นสังคมที่เป็นสังคมผี สังคมคนคือสังคมผีหลอก มันหลอกกัน เพราะฉะนั้นคนที่จะมีปัญญา รู้จักเนื้อแท้ รู้จักกันความจริง แล้วดึงคนให้เข้ามาหาแก่นแล้วอย่าให้ไปถูกหลอก ถูกจับไปเป็นบริวารผี มาเป็นผู้มีปัญญา เป็นอาริยบุคคล  จึงไม่ง่ายเลย ยากแสนยาก 

 

คนไม่รู้จักกายคือคนพิการ

_ทอง เอ็นจีโอ tong ngo  • มีบางคน..ค่าที่ลืมตาดูโลกและเติบใหญ่ขึ้นมา ก็เห็น "ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง" ในความเป็นบ้านเมืองตัวเอง จนชินเหมือนปลา จะเห็นคุณค่านั้น ต่อเมื่อแล้ง-น้ำแห้งเกล็ด เหมือนนก จะเห็นคุณค่าท้องฟ้า ต่อเมื่ออยู่ในกรงขัง!

เราทุกคน แต่ละก้าวชีวิต มีทั้ง "ผิดบ้าง-ถูกบ้าง" เป็นธรรมดา เพราะนั่น คือ ที่มาของคำว่า

"ประสบการณ์" ฉะนั้น แต่ละคน......

จงใช้ "ประสบการณ์" ทบทวนตัวเอง บ่อยๆ จะได้ชื่อว่าเป็นคน "ไม่เสียชาติเกิด"!

พ่อครูว่า... มันจะรู้ว่าเราเป็นคนไม่เสียชาติเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ คนที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด 

คนที่เกิดมาเสียชาติเกิดก็คือ คนที่เกิดมาไม่ได้แก้ไขจิตวิญญาณตนเองให้กิเลสลด นี่คือคนเสียชาติเกิด 

ใครก็ดีที่เกิดมาแล้วไม่รู้จักกิเลส อ่าน จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของตนเองไม่ออก แยกจิตเจตสิก แยกกายแยกจิตไม่ได้ อ่านจิตเจตสิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นแยกกิเลสที่มันแฝงในจิตและเราไม่ได้และทำให้กิเลสมันออกไปจากจิตไม่ได้ นั่นแหละคือคนเสียชาติเกิด มีเยอะไหม ....เยอะ

โลกเทวนิยมมีหมดเลย เกิดมาเสียชาติเกิดทั้งนั้น แล้วไม่เสียชาติเกิดเปล่า ซวยด้วย เกิดมาแล้วซวย เสียชาติเกิด เพราะเกิดมาแล้วถูกครอบงำด้วยกิเลส จะฆ่าแกงจะต้องเอาชนะ จะต้องเลิศด้วยทางรสนิยม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรูหราฟู่ฟ่าเต็มสังคม กิเลสทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นคิดดูสิ คนเกิดมาเสียชาติเกิดนี้มีจำนวนตั้งเท่าไหร่ คนที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิดมีเท่าไหร่ อย่างในประเทศไทยก็มีชาวอโศกอยู่จำนวนหนึ่ง
พวกที่เขานึกว่าเขาไม่เสียชาติเกิดเหมือนกัน เขาก็นึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำ คือพวกไปนั่งหลับตา นึกว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กัน นี่ก็ยิ่งน่าสงสารใหญ่เลย แล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขานะคนพวกนี้ พวกที่นึกว่าหลับตาคือการดับกิเลส คือการทำให้อวิชชาไม่รู้จัก ยิ่งไม่รู้จักกิเลสใหญ่เลย หลับตาเข้าไปนั่งสะกดจิตไม่มีวันได้รู้กิเลส พวกนี้โมฆบุรุษ 100% เลย 

เพราะฉะนั้นในการศึกษาของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่บรรลุธรรม มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ 

พวกที่ 1 คือ พวกหลับตาปฏิบัติ พวกนี้แค่พูดว่าหลับตาปฏิบัตินี้ตัดประเด็นไปได้เลย พวกนี้ใหญ่มาก มีพวกไม่ใช่น้อย แล้วก็หลับตาแล้วพากันมืดบอดไป เสียชาติเกิดแล้วก็ซวย งมงาย เพราะมันยิ่งมืดยิ่งบอด ยิ่งไม่รู้เรื่อง จมหายไปในภพ ในภวังค์ ไปนานเหมือนอาฬาร ดาบส อุทกดาบส ตายไปแล้วจะได้กลับมาได้ร่างคนกลับมาเกิดอีกนานมาก จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ อาฬารดาบส อุทกดาบส เอ๋ย 

คนไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกตรงนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานว่าตายๆๆ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แล้วก็สะกดจิตเอา สะกดจิตเอา จนกระทั่งได้เอารูปฌาน 7 8 คือทำตัวเองให้ฉิบหายอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุทาน มันเสียเวลาไปนานเป็นกัปๆเลย ไม่รู้กี่ล้านปี จม อยู่ในนรกหมกไหม้ที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจมนรกอย่างไร เพราะว่าจิตไม่ได้ตั้งอยู่กับฐาน ตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสัมภเวสี มันไม่มีใครจะบอกใครได้หรอกว่า เอ็งจะลงนรก เพราะเหมือนกับคนนอนฝัน นั่นแหละเหมือนคนตายแล้วก็จิตไปอยู่ในภวังค์ มันก็มีเรื่องมีราว แม้มันจะเงียบได้มันก็ต้องฟื้นขึ้นมารู้ เพราะคนเราธาตุรู้มันรู้มากกว่าไปดับ ไม่จบกิจ แล้วหมดฤทธิ์มันก็ตื่นขึ้นมารับเรื่องอะไรต่ออะไร 

แล้วจิตตัวเองอยู่ในสัมภเวสีมันก็มีแต่ดิ้นรน ดิ้นรนไปตามโลกีย์ที่ตัวเองถูกครอบงำ เป็นกิเลสทั้งนั้นเลย ไอ้หยุดก็กิเลสชนิดหนึ่ง การดับจิตมันเป็นการดับสัญญา อสัญญีสัตว์ ก็มีพลังที่จะสะกดไว้ได้อย่างหนึ่ง 

แล้วหมดความสะกดมันก็จะดิ้นเป็นโลกีย์ แล้วอยู่ในโลกีย์ที่ไม่มีโลกีย์ แล้วก็ไปหลงสร้างว่ามันเป็นโลกีย์ เป็นอุปาทานอยู่ในนรกหมกไหม้ 

อาตมาพูดเป็นภาษาอธิบายให้ฟังประมาณนี้ ซึ่งน่าสงสารมากพวกที่นั่งหลับตา อันนั้นก็แล้วไปเถอะ นั่งหลับตา อธิบายไปไม่ไหวกับเขา 

ส่วนพวกที่ยิ่งใหญ่พวกที่ 2 คือพวกที่เก่ง เก่งทางเปรียญ เก่งทางปริยัติ เก่งทางพระอภิธรรม เก่งทางเรียนบัญญัติ พยัญชนะ ภาษากับตรรกะ ความคิดฟุ้งซ่าน ความรู้ พวกนี้มีแต่ภาษาเป็นตรรกะเป็นเหตุเป็นผล มีเหตุมีผล มีผลต่อเหตุ จ้อยๆๆเลยนะ มีเหตุมีผลมีผลมีเหตุจ้อยๆ 

แล้วในความคิดของคนเหล่านี้ต่างไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ เขามีเหตุมีผลนึกว่าเขาฉลาดแล้วนะ แล้วพวกนี้ไม่รู้จุดสำคัญคือ กาย

มีเหตุมีผลก็เป็นเหตุผลของบัญญัติภาษา เหตุผลของความคิด แต่ไม่รู้จักคำว่า กาย 

คนที่ไม่รู้จักคำว่ากายคือไม่เข้าถึงความเป็นจริงของชีวิต คุณจะจับเหตุผล เพ้อฝันเพ้อพก กับเรื่องหลักเกณฑ์วิธีการอะไรพวกนี้ ไม่เข้ามาสู่ชีวิตจริง 

ชีวิตจริงต้องมีกายคือมีความรู้สึก กับผัสสะ ตาหูจมูกลิ้นภายนอกเรียกว่า กายกับจิต ที่มี 5 คู่ มีกายแล้วคุณก็ยังอวิชชาอยู่ คุณก็จะมี กาม

คุณต้องมาเรียนรู้ กาม ตั้งแต่กามหยาบ ตั้งแต่อบายมุข พ้นอบายมุขก็ยังมีกิเลส กาม การปรุงแต่งด้วยรูปนาม ด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) สภาพคู่ของมัน กับ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กาย ใจ 

5 กิเลสนี้ ต้องเรียนรู้และมันเป็นของ หยาบคือเปลือก คุณจะเข้าไปถึงเนื้อ คุณต้องปล่อยหรือปอกเปลือกออกก่อน แต่คนที่เข้าใจผิดไปปอกเปลือกคือนึกว่าไปหาเนื้อ มันไม่ได้ มันเป็นความคิดที่ยังไม่เข้าท่า มันต้องปอกเปลือกได้แล้ว หมดเปลือกก็คือกิเลสภายนอกแล้วกิเลสที่เหลือ ก็เป็นกิเลสภายใน มันถึงจะเป็นความจริง 

ไปคิดเอาไม่ปอกเปลือกแล้วก็ ... เปลือกมันไม่ใช่เปลือกมันผลไม้แต่มันเปลือกเหล็กมันแข็งมันหนา คุณจะเข้าไปหาข้างในคุณจะต้องเอาเปลือกแข็งเปลือกที่เหมือนกันอยู่ข้างนอกออกให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะได้เข้าไปถึงสภาพกิเลสชั้นต่อไปนี้ได้ 

ถ้าไปคิดเอาง่ายๆว่า ฉันทำภายในเลย ไม่ต้องไปทำข้างนอก มันไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจกายคือ มีภายนอกกับภายใน เข้าไปตามลำดับเลย กายในกาย กายในกาย กายในกาย มันมีตั้งหลายชั้น คำว่า กาย จึงมีภายนอกอยู่ด้วยเสมอ สมมุติว่ามันมี 5 ชั้นของกาย

กายนอก มันเกี่ยวกับกายในคือจิตเพราะฉะนั้นกายนี้มีจิตกับภายนอก ล้างกิเลสที่ภายนอกได้ก็เอากายต่อมาเป็นกายใน กิเลสที่เกี่ยวข้องกับภายนอกเป็นชั้นนอกอีกคุณก็ต้องล้างกิเลสชั้นนอกก่อน ชั้นนี้ได้แล้วก็เหลือภายใน คุณก็ต้องล้างกายใน จนกว่าจะหมดที่มันไม่มีภายนอกแท้ๆได้ เรียกว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อย่างน้อย 3 ชั้นจึงจะไม่มีภายนอก เหลือภายในเป็น รูป เป็นภวตัณหา เป็นรูปตัณหา อรูปตัณหา ถึงจะเหลือภายในที่หมด ข้างนอกแล้วเป็นอนาคามี คุณก็ถึงจะล้างกิเลสนี้ไปอีก เหลือข้างในเป็นอรูป แล้วก็ถึงอรูปจนหมด 

พวกที่เข้าใจว่ากายคือ มีแต่เป็นภายนอกสรีระนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วและมีเยอะอย่างเช่น คนไทยคำว่ากายหมายถึง เปลือกผิวหรือข้างนอกเท่านั้น เป็นภาษาไทยนะไม่เกี่ยวกับจิตเลย เป็นศาสนาพุทธและใช้คำว่า กาย แต่กายของเขาทำให้เข้าใจผิดว่ามันเหลือแต่เพียงภายนอกไม่มีจิตและร่วมด้วยเลย จึงมิจฉาทิฏฐิ โมฆบุรุษไป กว่าจะพูดกันรู้เรื่องนี้ยากมาก 

ต่อให้เรียนเปรียญ 9 ต่อให้เรียน ดร.ทางศาสนาได้ ไม่มีทางแม้จะเรียนดร. ทางศาสนาพุทธมาในเมืองไทย ก็ไม่ใช่จะเข้าใจคำว่ากายได้ง่ายๆ ยิ่งใหญ่มากเลยคำว่ากาย 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถ้าคุณเข้าใจกายที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ที่ต้องศึกษากันให้ได้ก่อน 

ถ้าคุณเข้าใจคำว่า กายสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย ปิดประตูไปเลย ศาสนาพุทธ แม้คุณเข้าใจกายถูกต้องแล้ว คุณจะไปนิพพานจริงๆคุณก็ต้องมาเรียนแยกกายแยกจิต ให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงเวทนา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไปนิพพานจริงๆคือ ผู้ที่จะมาบวชเป็นภิกษุ พระพุทธเจ้าจึงมีหลักวินัยไว้เลยว่า ให้สอนสัทธิวิหาริก สอนผู้มาบวช มาบวชนี้จะต้องไปนิพพานทุกคน

ให้รู้จักการแยกกาย แยกจิต จากกรรมฐานทั้ง 5 คือ ผม ขน เล็บฟัน หนัง ให้รู้ว่ากายกับจิตมันต่างกัน กายขาดจิตไม่ได้ ทำจิตให้ไม่มีกายได้นี่คือจิตจะเป็นพีชะหรือเป็นจิตนิยาม นี่แหละคือจุดสำคัญที่จะเป็นอรหันต์ จะเป็นอาริยะได้ ตรงนี้แหละแยกกายแยกจิตอันนี้ ธรรมนิยาม 5 ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วคุณจะมาพิจารณาโพธิปักขิยธรรม แยกกาย พิจารณากายในกาย ให้เห็นเวทนาในเวทนา ให้เห็นจิตในจิต ธรรมในธรรม ขี้หมานะครับ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย 

ท่องพยัญชนะ มีแต่เหตุผลไปตามตรรกะ ไม่มีเข้าถึงเนื้อ แยกกายแยกจิตได้ แล้วแยกกายจริงๆไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุข้างนอก แต่เกี่ยวกับจิตที่ยังสัมพันธ์กับกายกับโลกภายนอก ไปหลับตาไม่มีสัมผัสภายนอกจึงปิดไปเลย ตัดทิ้งได้เลยโมฆะไปเลย พวกหลับตาปฏิบัติไม่ต้องพูดเลย 

เพราะฉะนั้นลืมตาแล้วต้องรู้จักสัมผัสต้องรับรู้ด้วย มันมีนอกนะแล้วกิเลสภายนอกนี่ต้องรู้ก่อน เอาออกให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้ก่อนแล้ว อย่าไปเริ่มต้นบันไดขั้น 2 ขั้น 3 ขั้น4  ขั้นแรกยังไม่ได้เลยก็ผิดแล้ว 

อาตมาทำงานมา 50 ปี ยิ่งสงสารพวกนั่งหลับตา แล้วก็สงสารตรงที่ว่าไปถูกทางเถรสมาคมครอบงำ ว่าอย่ามาฟังโพธิรักนะ เป็นพวกกบฏศาสนา พวกที่นอกรีต พวกทำลายศาสนา เป็นพวกเทวทัตเขาลงโทษอาตมาสารพัด ก็เลยพากันไปสู่นรกกัน 

เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจถึงสภาวะกายต้องมีภาวะ 2 เสมอ ความเป็นกาย ถึงจะสามารถปฏิบัติทำใจในใจหรือมนสิการ(นาม) มนสิกโรติ(กิริยา) จะทำใจในใจได้สำเร็จ ต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่ากายเสียก่อน 

ส่วนใหญ่ก็ยังยาก ยังมิจฉาทิฎฐิกัน ยังทำความเข้าใจยังไม่ได้ ยังมีความเข้าใจผิด เข้าใจว่ากายคือภาวะหนึ่ง แล้วเป็นทางภายนอก แล้วเป็นวัตถุ ไม่เกี่ยวกับจิต นี่คือกาย เข้าใจอย่างนี้ เข้าใจว่ากายคือสรีระ คือร่างภายนอกส่วนเดียวไม่มีความเป็นจิตเจตสิกร่วมอยู่เลย 

เพราะฉะนั้นในความรู้ความฉลาดสุดๆของผู้ที่มีความเชื่อมั่นอยู่แค่นี้ แค่กาย คือสรีระส่วนเดียวภายนอกเท่านั้น เป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้เป็นทิฎฐิที่พิการ พิการตลอดเลย ไม่ใช่วิปลาสเท่านั้น พิการเลย ไปตลอดกาลตลอดชีวิตเลย ถ้าเข้าใจว่ากายคือเพียงภายนอกเท่านั้นแล้วหนึ่งเดียว เป็นเปลือกเท่านั้นเอง เป็นวัตถุไม่มีจิตร่วม 

ที่อาตมาบอกเงื่อนไขไป 2 3 4 เงื่อนไขเท่านั้น เข้าใจผิดแค่นี้ คนนี้ กายคำแรกมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้แล้ว ตลอดชีวิตของคนนี้ เป็นโมฆะ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีมรรคผลตลอดตาย แล้วยิ่งไปเข้าใจผิดที่ถูกหลอกว่าเป็นอรหันต์เก๊ หลับตาอีก ก็ยิ่งซวยไปตลอด 

คนเราทุกคนไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน มีกายกันทุกคน ภาษาว่ากายในศาสนาพุทธ แม้ศาสนาคริสต์ อิสลาม ก็มีกายทั้งนั้น และต้องมาเรียนรู้ความจริงอันนี้ คุณจะใช้ภาษาอะไรก็แล้ว ให้คุณเข้าใจสัจจะสาระคือความเป็นกายคือภาวะ 2 เรียกว่า เทวฺ ภาวะ 2 คือกาย มันแยกกันไม่ออกนะ 

พระอรหันต์สามารถทำจิตของตัวเองไม่ให้มีกายได้ จิตที่ทำให้ไม่มีกายอย่างเก่งก็คือเป็น พีชนิยาม เก่งไปกว่านั้นให้เป็นอุตุนิยามเลย ในขณะที่มันมีจิตนี่ให้มันปรุงแต่ง อย่าให้มันมีความรู้สึก กายนั้นคือ มีความรู้สึกอยู่ด้วย ถ้าไม่มีความรู้สึกเลย อย่างไกลเป็นอุตุ นั่นคือทิ้งไปเป็นวัตถุ ต้องให้มีความรู้สึก ขนาด พีชะเป็นชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนผมขนเล็บฟันหนังที่ยาวออกไปไม่มีความรู้สึก ออกไปพ้นประสาทแล้ว ไม่บอกผมขนเล็บฟันส่วนที่มันไม่อยู่กับประสาททางจากประสาท 

หรือแม้แต่ผิวหนังที่มันร่อนออกมาภายนอกไม่ติดกับประสาทแล้ว เป็นขี้ไคล เป็นต้น คุณขัดออกก็ไม่เจ็บอะไร 

นี่ มันถึงจะหมดความรู้สึกหรือเวทนา ผู้ใดไม่เข้าใจอาการของเวทนา เรียนรู้ธรรมะไม่บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นกรรมฐานใหญ่ของศาสนาพุทธคือ เวทนา เรียนรู้เวทนาจึงจะไปนิพพานเป็นอรหันต์ได้ ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่ตั้ง เป็นฐานปฏิบัติเรียกว่ากรรมฐาน คนนั้นไม่มีทางปฏิบัติรู้เรื่อง 

ความรู้ความฉลาดของผู้ที่เข้าใจผิดไปแล้วตั้งแต่ต้น คือเข้าใจกายที่เป็น 2 เป็น 1 เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 มีแต่เพียงภายนอกหรือ 1 ที่มีแต่ในภายใน โมฆะทั้งคู่เลย

เพราะฉะนั้นความรู้ความฉลาดของใครก็ตามที่พิการไปอย่างนี้ คือไม่มีคู่ มีเพียงภายนอกอย่างเดียวหรือภายในอย่างเดียว ไม่มีทั้งภายนอกภายใน นี่คือความเข้าใจพิการ กายมันพิการ เข้าใจอย่างนี้มันพิการ ผู้นั้นก็หมด ไม่มีวันที่จะทำความจริงให้ถูกต้องความจริงได้ตลอดกาลตลอดชีวิต ตายไปชาติๆหนึ่งก็หมดชาติ 

เทวนิยมไม่ต้องพูดเลย ปิดประตูนิพพานเลย ไม่มีทางที่จะปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ ไม่มีทางที่จะดับทุกข์ดับสุข ไม่มีทางที่จะทำให้ชีวิตหมดอัตตา ตายแล้วก็เลิก เป็นดินน้ำไฟลม แม้นอยู่มีชีวิตคุณก็อยู่เหนือโลก โดยไม่ทำความชั่วและอยู่อย่างไม่ทุกข์ไม่สุข อยู่อย่างเป็นประโยชน์ให้แก่โลก ถึงแม้คุณจะเป็นชีวะก็เป็นชีวะที่เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อโลก อรหันต์ขึ้นไปจะเป็นอย่างนั้นจนเป็นโพธิสัตว์ไปจนถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีวันทำได้ 

ความเป็นกายนี้ อาตมาขยายความก็คือ ความเป็นเทวะ เทวะ 2 คือภาวะ 2 แท้ๆ ที่คนทุกคนต้องอาศัย อาศัยเทวะ อาศัยกาย อาศัยภาวะ 2 ไปกับชีวิต ใช้กับชีวิต 

เพราะฉะนั้นคุณอาศัย สิ่งที่คุณอาศัยจะต้องไม่พิการ กายไปยึดแต่เพียงภายนอกหรือภายในก็เป็นความพิการ คุณก็อาศัยความพิการของชีวิตไป เป็นคนพิการ 

ชีวิตที่ไม่มีกายคือคนที่ไม่เต็ม ไม่ครบ ไม่ครบความเป็นคน คือคนพิการ คนไม่เต็มเต็ง ก็มีชีวิตไม่เต็มเต็งไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาปฏิบัติก็ดี พวกเทวนิยมก็ดี คือคนพิการทั้งนั้น เป็นชีวิตไม่เต็มเต็ง ไม่ใช่ไปด่าเขา ไม่ใช่ไปข่ม ไม่ใช่ไปดูถูกเขานะ ตามสัจจะที่เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ พูดตามหลักวิชาการ ไม่ได้ไปด่าไปว่าเขา 

เพราะฉะนั้นคนที่พิการตลอดกาลแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดศาสนาไหนก็ตาม ก็ต้องมีกาย อันเป็นสภาวะที่ต้องมี 2 แต่เมื่อไปเข้าใจว่าเป็นสภาวะ 1 คนมีสภาวะเพียง 1 ไม่ว่าชาติไหนศาสนาไหนไม่ละเว้นเลย คนนั้นก็พิการไปอีกตลอดชาติ เกิดอีกกี่ชาติๆ ก็เป็นคนพิการ คนไม่เต็มคน 

ฟังดีๆนะ เกิดมาเป็นคน การจะเป็นคนเต็มคนไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะที่อาตมาพูดนี่ มันต้องมีกายที่มีความเป็น 2 ยืนยันความจริงด้วยกันหมดทุกคน แต่มันหมดไม่ได้หรอก ไม่ง่ายหรอกที่คนจะรู้ได้ 

จะต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงชนิดที่เป็นปัญญา 8 พอรู้แล้วคุณจะต้องศึกษาจนกระทั่ง อ๋อ.. ต้องรู้เป็นความรู้อีกชนิดหนึ่งคือเรียกว่าปัญญา 8 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึง 8 ขั้น 8 อย่าง จึงจะรู้จริง รู้จบ ถ้าคุณไม่รู้ปัญญา 8 อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์ คุณไม่รู้แจ้งรู้จริงรู้จบ คือไม่จบกิจ ไม่เป็นอรหันต์ ไม่สำเร็จสูงสุด ครบความเป็นกายเป็นจิต

และที่สุดจะแยกกายแยกจิตได้ถึงที่สุดสำหรับผู้ที่รู้แท้ ที่สุดสำเร็จสมบูรณ์ จึงมีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อัตตานั้นคือภาวะ 2 ที่สังขารกันอยู่เท่านั้นด้วยอวิชชา อัตตาคนคือภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกันด้วยอวิชชา 

ผู้มีวิชชาหรือมีปัญญาก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่ามีภาวะ 2 ของนามกับรูปปรุงแต่งกัน สังขารกันอยู่ เป็นวิญญาณมีนามรูป เมื่อเข้าไปปรุงแต่งกันสนิทก็เป็นอายตนะ แยกให้ชัดๆ มีผัสสะก็เป็นเวทนา ก็รู้เวทนา เวทนาจึงเป็นอาการของความรู้สึก ที่เต็มรูปของปุถุชน 

เทวนิยมมีเวทนาเต็มรูปของปุถุชน คือยังอวิชชา หลงอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข  สุขเต็มบ้องเลย เขาไม่ได้เรียน เขาไม่ได้คิดจะเลิก แต่เขาก็จะมีปฏิภาณรู้เหมือนกันว่ามันหยาบ มันน่าจะพอแล้ว ไม่เอา แต่เขาไม่รู้จักแท้จริงหรอก ลดได้ชั่วคราวเสร็จแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ถูกครอบงำใหม่ก็วนเวียนใหม่ ไม่แล้ว ไม่มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จบกิจเสร็จแล้วเสร็จเลยแต่เขาไม่เสร็จ วนเวียนได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า อยู่อย่างนั้นแหละไม่เคยจบ  วน เป็นโลกียะหรือเป็นโลกอยู่ตลอดกาล 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ รู้จักนามรูปแล้วสามารถแยกแยะ โดยมาเรียนรู้ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ก็รู้เหตุว่า มันอยู่ที่ตัณหาหรืออุปทาน 

ตัณหาคือกิเลสเคลื่อนที่  อุปาทานคือกิเลสจับอยู่กับที่

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรียนรู้ตัณหาได้ง่ายกว่าที่มัน นิ่งไปหลับตาสะกดจิตมันยิ่งรู้ยาก ต้องให้มีผัสสะแล้วให้มันคุ้ยออกมาทีละลำดับ แก้ไขไปทีละขั้นทีละตอน มันก็หมด เหมือนจับฝุ่นออกจากแก้ว ในน้ำ จับฝุ่นให้ได้ถูก จับฝุ่นให้ออก น้ำในแก้วก็ใสจบไม่มีทางขุ่นอีกเลย ตอนนี้ไปกดฝุ่นให้มันกองแน่นอยู่ในก้นแก้ว คือวิธีการนั่งสะกดจิตหลับตาเป็นอย่างนั้น 

สะกดให้ฝุ่นกองอยู่ก้นแก้ว ยิ่งแน่นยิ่งแข็ง เป็นอาฬารดาบส อุทกดาบส ซวยไปอีกไม่รู้กี่ชาติ พระพุทธเจ้าถึงอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ เสียววาบไหม จะไปเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส ไหม นั่นแหละพวกนั่งหลับตาน่าสงสาร ไม่รู้จะทำยังไง 

จนพระพุทธเจ้าท่านอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ อาฬารเอ๋ย อุทกเอ๋ย มันหนักหนาสาหัสอย่างนั้น 

พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้ให้มีวิชชา รู้จักรู้แจ้งภาวะ 2 ของนามของรูปที่ปรุงแต่งกันเป็นวิญญาณ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเมื่อจับตัวของมันได้แล้ว จับตัวของจิตที่มันปรุงแต่งกันอยู่ จับมาแล้วก็เอามาคุม ให้มันมาร่วมกันแล้วรู้จักทำประโยชน์ก็คือรู้จักทำอายตนะ 

ตนะคือตัวมัน ในบาลีกับไทยใกล้กัน ตนะ คือตน อายะคือประโยชน์ กำไรหรือส่วนที่ได้ ก็ทำการมาจับตัวอายตนะ มาทำงาน แม้จะแยกยังไม่ออกแต่ถ้าคุณสามารถคุมอายตนะ เมื่อมันมีผัสสะ มีเวทนาแล้วก็สามารถที่จะจัดการ กับอายตนะที่เป็นเหตุปัจจัยร่วมกันอยู่นี้ 

ให้มันทำสิ่งที่สร้างสรรค์หรือปรุงแต่งขึ้น เป็นกุศล เป็นประโยชน์ นี่เรียกว่าควบคุมจิต ทำจิตให้สร้างสรรค์ ให้จิตเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ อย่าทำโทษตามสมมุติของโลกเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

โลกของสมมุติว่าอย่างนี้ควรทำ ก็ทำ ตามมหาปเทส 4 อันนี้ไม่ควรก็ไม่ต้องทำ หรือตามสัปปุริสธรรม 7 

 

หมดกามหมดอัตตาจึงมีอายะ 3 ครบ

เพราะฉะนั้นคนจึงเรียนรู้ความจริงได้ว่า ที่ปรุงแต่งจะเรียกว่าวิญญาณ จะเรียกว่าสังขาร หรือเรียกว่าอายตนะ ก็ต้องรู้ว่ามันคืออะไร สังขารก็แค่นี้ พอปรุงแต่งเหตุปัจจัยมันเป็นวิญญาณ ยิ่งมันปรุงแต่งจับตัวแน่นเป็นอายตนะมันก็เป็นอย่างนี้ ก็เรียนรู้ได้จากการมาพยายามปฏิบัติตามหลัก มีผัสสะ มีที่ตั้ง มีฐานที่จะปฏิบัติคือมีผัสสะ มีกายมีภายนอกภายในสัมผัสกัน เกิดเป็นภาวะแยกได้ ว่า อ้อ นี่คือจิต นี่คือตัณหา เวทนานั้นจิตจริงๆมันรู้จักความจริงตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ เหตุที่เป็นอย่างนั้นคือมันโง่ เสร็จแล้วมันโง่ไปปรุงแต่งเป็นทุกข์เป็นสุขเป็นรสเป็นชาติเป็นโลกีย์มันเป็นอย่างนี้ 

เหตุที่มันเป็นอย่างงั้นเพราะโง่ อวิชชา ไปถูกครอบงำตามโลกเป็นตัณหาต้องกำจัดมัน เพราะฉะนั้นจะไปกำจัดในอุปาทานมันยากเพราะมันเป็นตัวแน่นจนตกผลึก ถ้ามันเคลื่อนไหวขึ้นมา มันรู้ได้ง่าย จับได้ง่าย ก็ต้องมาล้างที่ตัณหา 

เพราะฉะนั้นฐานที่ปฏิบัติต้องให้เกิดตัณหา มีสัมผัส มีเวทนา มีตัณหาแยกกายแยกจิตได้จับออกมาแยกภาวะ 2 ได้ จับอาการของตัณหาได้ตั้งแต่กามตัณหา หยาบข้างนอก ล้างตัณหาในกามาวจรหมด มันอวจรในโลกข้างนอก โลกแห่งกายแห่งกาม คุณก็หมดกามราคะ เหลือรูปราคะ อรูปราคะ คุณจึงจะไปล้างอันโน้นต่อ ล้างตัณหาภายในต่อ เหลือแต่รูป อรูป ล้างอรูปก็จบ ก็จึงจะเป็นลำดับอย่างมหัศจรรย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่ใช่ประดักประเดิด ดับหน้าหลังหลังหน้าอะไรไม่เป็นลำดับไม่ใช่ เป็นลำดับราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล วิเศษสุดเลย 

คนจะเรียนรู้ญาณคืออะไร รู้เหตุ ดับเหตุมันได้ ดับภาวะ 2 เหลือ 1 สุดท้ายทำให้มันเป็น 0 1 นี้มันเป็นพืช ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว เป็นอุตุก็เป็น 0 บริบูรณ์ได้ 

ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในปัญญา 8 จึงรู้จบ ด้วยการศึกษาที่แยกเวทนา 108นั้น แยกที่ละเอียดก็คือไปแยกเวทนา 108 ผู้ที่แยกเวทนา 108 ได้ครบครัน ผู้นั้นแหละจบสมบูรณ์ได้เพราะรู้จักมโนปวิจาร 18 เป็นโลกีย์ เลิกเนกขัมมะเป็นโลกุตระออกไปได้ แยกทำกิเลสออกจนสุดท้ายหมดเวทนา 36 รู้จักฝั่งของเคหสิตะ 18 ฝั่งเนกขัมสิตะ 18 สูงสุดเป็นอุเบกขา สุดท้าย 

พ้นจากสุขเวทนา พ้นจากทุกขเวทนา พ้นจากโทมนัส โสมนัส กลายเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขูปวิจาร เป็นอุเบกขา เป็นพฤติการ พฤติกรรมกิริยาของอุเบกขา 

กิริยาของอุเบกขาคือ กิริยาที่บริสุทธิ์จากกิเลส มีคำว่า ไม่ทุกข์ไม่สุข คำว่าไม่ทุกข์ไม่สุข ยังเรียกว่าอุเบกขายังไม่ได้ทีเดียว เพราะไม่ทุกข์ไม่สุขแล้วเขาก็ไปเรียนรู้กันว่า พระพุทธเจ้าสอนทางสายกลาง คุณก็ไปเรียนการเดิน มีถนนเส้นหนึ่ง มีเลนซ้ายเลนขวา คุณก็เดินตรงกลางไป แล้วจะไปไหนจ๊ะ..ทางสายกลางไปนิพพาน แล้วนิพพานคืออะไร ไม่รู้ 

พระพุทธเจ้าบอกให้เดินทางสายกลาง มันก็เดินกลางไปอย่างนี้ ทางสายกลางนั้นคือ ข้างหนึ่งเป็นกาม ข้างหนึ่งเป็นอัตตา คุณต้องรู้ว่าจิตของคุณที่กระทบและเป็นกามข้างนอก แล้วคุณก็มีกิเลสข้างในอัตตา ลดกาม ลดอัตตา แล้วคุณก็จะเล็กลงๆๆ มาหา กลางสุดท้าย กิเลสหมด สูญไม่มีกาม ไม่มีอัตตาก็กลางที่สุด อย่างนี้ต่างหากคือการเดินทางสายกลาง 

เพราะฉะนั้นความไม่รู้สภาวะจริงของคนพูดเป็นรูปธรรม ทางสายกลางคือถนนเส้นหนึ่งมีซ้ายมีขวา ฉันก็เดินไปกลางๆทาง แล้วไปไหน ไปนิพพาน แล้วนิพพานอยู่ไหน ไม่รู้ เพราะมันไม่รู้จักภาวะ 2 ไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักพยาบาท ไม่รู้จักภายนอก ไม่รู้จักภายใน ทำไม่ถูกสภาวะเลย 

แล้วยิ่งไปหลับตาเดินอีก หลับตาเดินไปไหน ไปนิพพาน มันยิ่งมืดไปใหญ่เลย เข้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย อาตมาหยิบมาวิเคราะห์ไม่ใช่ไปด่าไปว่า น่าสงสาร จะให้รู้ความเป็นจริง 

ภาวะของความเป็น 2 อย่าให้เป็นคนพิการ ถ้าไปเป็นคนพิการเสียแล้วเข้าใจคำว่ากายก็ผิดเพี้ยน ไปยึดแต่ข้างนอกก็ผิดเพี้ยนพิการ ยึดแต่ภายในก็ผิดเพี้ยนเป็นพิการ 

ชีวิตของคนที่มีความเป็นคนเต็มๆ ต้องมีความรู้ความฉลาดให้ครบ เป็นคนอยู่ตลอดชีวิตตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นคนในชาติใดศาสนาไหนก็ต้องมีกายอันเป็นสภาวะหนึ่งของคน สภาวะกายที่จริงเป็นสภาวะ 2 แต่รวมเข้าไปเป็นอายตนะและเป็นหนึ่งของคนทุกชนิดทุกศาสนาไม่ละเว้นศาสนาใดเลย สภาวะอันเดียวกันหมดเมื่อมารู้ความจริงแล้ว 

นี่คือสัจจะมีหนึ่งเดียว ต้องมาเรียนรู้ตรงนี้ ตั้งแต่เริ่มตรงนั้นเป็นหนึ่งได้ก็เป็น พีชธาตุ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ยิ่งทำให้เป็นอุตุธาตุได้ก็สมบูรณ์แบบเลย เป็นหนึ่งเดียวเลยเป็น เอเสวมัคโค นัตถัญโญ

ชาติอื่นศาสนาอื่นไม่มีคำว่ากาย แต่ศาสนาพุทธมีคำว่ากาย แม้แต่คนไม่ใช่พุทธก็มีกาย แต่เขาไม่มีวันได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เป็นพุทธไม่รู้จักคำว่ากาย ซึ่งก็จะเป็นความเป็น 2 ใน 1-1 ใน 2 หรือ 2 ใน 1 ใน 0 ต้องเข้าใจความเป็น 2 และทำให้เป็น 1 และทำให้เป็น 0 ได้ 

ความเป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ตัวเลข 3 ตัวนี้จึงสูงสุดในศาสนาพุทธที่อาตมาให้ไปทำเป็นโลโก้ของพรรคสัมมาธิปไตย ซึ่งคนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ แต่ทำไว้ ต่อไปในอนาคตคนจะค่อยๆเข้าใจ 

ที่อาตมาพูดอย่างนี้ก็คือ อาตมาเทศน์ธรรมะโลกุตระนี้ไว้ อาตมาตายไปโน่นแหละ พวกเราจะเข้าใจ แล้วคนข้างนอกเขาจะพอเข้าใจตามได้ในอนาคต อาจจะ 100 ปีข้างหน้า อาตมาตายไปแล้ว 100 ปีข้างหน้าหรือไม่ถึง อาจจะเป็น 99 ปีก็ได้ ข้างหน้าถึงจะรู้ หรือ 95 หรือ 90 โลกนี้ดีจังเลย 90 ก็รู้โลกุตรธรรมแล้ว ยิ่ง 80 ก็ยิ่งดีใหญ่ ไม่รู้อาตมาพยากรณ์ไม่ได้เรื่องนี้ 

แต่ขอพูดไว้ในที่นี้ ยืนยันไว้ว่านี่คือสัจธรรมที่ผู้แสวงหาสิ่งที่สูงสุดในความเป็นจิตวิญญาณ แล้วจะจบกิจในเรื่องจิตวิญญาณ ทำให้จิตวิญญาณหมดอบายมุข หมดกาม หมดรูปตัณหา หมดอรูปตัณหาได้ เป็นพระอรหันต์หรือจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือคุณจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องพูดกันมากจะเข้าใจกัน นอกจากคุณจะเป็นอรหันต์แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นสิทธิ์ที่คุณจะทำได้ 

เป็นอรหันต์ก็ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งทำได้เก่ง ท่านจะยังอยู่ จะยังศึกษาช่วยคนอยู่ก็เอา อย่างอาตมาถึงรู้เพราะอาตมาเป็นมาจริงๆไม่ได้พูดผิด พูดจากความจริงที่เป็นมา ไม่ใช่เดาและไม่ได้พูดออกจากตำรา แต่พูดจากสิ่งที่ตัวเองเป็นมา มีมา สร้างมา ผิดมา ถูกมาตลอดเวลา 

ผู้ที่สามารถแยกกายแยกจิตได้จริง แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าอัตตามันก็คือสิ่งที่ปรุงแต่งด้วยอวิชชา เมื่อมีวิชชา รู้แล้ว แยกมันเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้วก็จะรู้ว่ามันไม่มีตัวตนจริง เป็นอนัตตาแท้ๆ รู้จักตัวจิต ตัวเจตสิกต่างๆ แล้วก็รู้ว่า ถ้าเรายังรักษาให้เป็นอายตนะไป แล้วก็ทำงานกับโลกสร้างประโยชน์ รู้เท่าทันอายตนะไป แล้วสร้างประโยชน์ต่อโลกไป คุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าในปฏิจจสมุปบาท ก็รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ยิ่งคุณทำตัณหาให้หมดไป อุปาทานหมดไป ภพชาติก็ไม่มี เป็นโพธิสัตว์ที่เหนือกว่าอรหันต์ คุณจะพูดอย่างที่อาตมาพูดได้ 

แต่ถ้าคุณไม่เป็นอย่างที่เป็นอรหันต์ไปแล้วได้จริง คุณมาพูดอย่างอาตมา พูดอย่างไรก็ไม่เข้าท่า เดี๋ยวก็สับสนวุ่นวาย แต่ถ้าคนมีสภาวะจริงแล้วมันจะไม่วกวนไม่สับสน ไม่ผิดๆพลาดๆอะไร 

จะรู้จริงๆต้องรู้ครบปัญญา 8 จึงจะรู้แจ้งรู้จักรู้จริง ต้องรู้เวทนาในเวทนา 108 ได้อย่างดี จึงจะครบบริบูรณ์ เป็นคนจบกิจ 

 

เรียนเวทนา 108 สัมมาทิฏฐิ จนไม่มีพญาครุฑ-พญานาค

มาไล่เรียงดูเวทนา 108 หรือมาเรียนรู้ปัญญา 8 กันดู 

เวทนา 108 เป็นรายละเอียด ส่วนปัญญา 8 เป็นโครงสร้างใหญ่ที่ครบบริบูรณ์ ถ้าเป็นเวทนา 108 มันเจาะลงไป แล้วพวกเราพอมีภูมิธรรม มีฐานที่จะฟังเวทนา 108 ลงไปได้ 

เวทนา 108 ส่วน ปัญญา 8 เป็นโครงสร้างใหญ่ที่ครบเลย โดยเฉพาะข้อสุดท้ายจบเลย 

 

เวทนา 108 

เวทนา 2 (แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)

-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม) 

-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).

นี่แหละคือภาวะ 2 เมื่อเป็นเวทนาก็คือมีความรู้สึก กายิกะ คุณต้องรู้จักความรู้สึกหรือเวทนาที่เป็น กาย เรียกว่า กายิกะ

กายิกะ จะต้องมีภายนอกภายใน และกายจะต้องมีกิเลสอยู่ภายนอกต้องมีกิเลสอยู่ ล้างกิเลสภายนอกคือกามได้หมดแล้ว จึงจะเหลือแต่กิเลสภายในเป็น เจตสิกะ เป็นกิเลสในเจตสิก จึงจะชัดเจนว่า กายิกะกับเจตสิกะ มันชัดเจนอย่างนี้ ถ้ายังไม่หมดกิเลส แล้วยิ่งเข้าใจผิดเลย คุณไม่ทำข้างนอกก่อน คุณมาทำข้างในเลย เจตสิกะ โดยปิดประตูข้างนอก หลับตาเลยเป็นโมฆะ หรือ มิจฉาทิฏฐิ กายิกะ มีแต่ภายนอกไม่มีภายใน โมฆะอีก 

กายิกะกับเจตสิกะ จึงเป็นภาวะ 2 ที่ไม่มีแยกกัน ใช้คู่นี้ปฏิบัติจึงจะรู้จักสุขทุกข์ และถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์ 

 

เวทนา 3 (แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..)  

  1. สุขเวทนา 

  2. ทุกขเวทนา .  . 

  3. อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา). 

ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ มิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำได้ แล้วเขาก็หลงผิดแล้วก็จมอยู่ในความหลงผิดนั้น ว่าเป็นเป้าหมาย เป็นผลอันสำคัญ ไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยการดับสัญญา อสัญญีสัตว์ หรือไม่ อสัญญีสัตว์ เก่งที่สุดก็ได้แค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็น 2 อายตนะหรือ อสัญญีสัตตายตนสัตว์กับ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์

2 สัตว์นี้ เป็น 2 สัตว์ที่ตัดออกทิ้งได้เลย ของศาสนาพุทธ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิแล้วไม่เล่นทั้งคู่ ไม่เอาทั้งคู่ เมื่อไม่เอาคุณจะต้องมาปฏิบัติอย่าให้มันมี ถ้ามีอยู่ก็เป็นสัตตาวาส 9  คุณก็ต้องปฏิบัติอย่างมีวิญญาณฐิติ 7 ไม่ต้องไปมีสัตตาวาส 9 เอา อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ออก วิญญาณฐิติจึงไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีแค่ อากิญจัญญายตนะ 

 

(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)

  1. สุขินทรีย์ 

  2. ทุกขินทรีย์ 

  3. โสมนัสสินทรีย์ 

  4. โทมนัสสินทรีย์ 

  5. อุเบกขินทรีย์ 

 

มีน้ำหนักและภายนอกภายใน คือความหนัก ความแน่น ความเบา ความบาง ความหนา เป็นดีกรีของมัน มีภายนอกภายใน มีมากมีน้อย มี 5 ขั้น 

สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนาภายนอกเลยเกี่ยวกับภายนอกจนถึงเหลือโสมนัสกับโทมนัสเป็นภายใน หมดภายในอีกจึงจะเป็นอุเบกขาเวทนา หรือเรียกว่า อุเบกขินทรีย์ 

 

เวทนา 6 (แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)

จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา

โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู

ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก

ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น

กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย

มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

 

ทั้ง 6 ทวารมีสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ก็เป็น ได้แก่ มโนปวิจาร 18  (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ6)

สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โสมนัส)  

ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โทมนัส)  

เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร   (6ทวาร+อุเบกขา) 

 

ต้องมาเรียนรู้ลดกิเลสภายนอกจะเหลือแต่กิเลสภายใน เป็นโสมนัสโทมนัส จนกระทั่งเป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีทั้งภายนอกภายใน ปริสุทธาไม่มีสุขทุกข์ไม่มีโสมนัสโทมนัส ละสุขทุกข์ก่อนได้แล้วละโสมนัสโทมนัส นานัตสัญญา สัญญากำหนดได้หมดทั้งภายนอกภายใน ทั้งความสุขความทุกข์โสมนัสโทมนัส เหตุอย่างกิเลสหมดอันนี้จึงเรียกว่าอุเบกขาสะอาดจากกิเลส ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะสะอาดจากกิเลส 

แต่มิจฉาทิฏฐินั้นไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะไปสะกดสัญญา ไปสะกดเวทนา ดับสัญญาดับเวทนาไม่ให้มันรับรู้สึก เป็นพวกสะกด เขาก็ทำได้เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางถาวร ไม่มีทางยั่งยืน ไม่มีทางเป็นอรหันต์ ถ้าเข้าใจสัมมาทิฏฐินั้นจะรู้ว่าไปนั่งสะกดจิตหลับตาไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้ เหมือนแก้วน้ำกับฝุ่น เอาฝุ่นออกจากน้ำในแก้ว จนฝุ่นหยาบๆจนถึงละเอียดออกหมด เหลือแต่น้ำที่ใสในแก้วน้ำ แก้วน้ำนี้ก็ไม่ขุ่นอีก ใสตลอดกาล ใสอย่างสะอาดบริสุทธิ์เลยด้วย 

มันต่างกันเรียนรู้ด้วยปัญญากับเรียนรู้ด้วยวิธีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ต้องย้ำตีหัวตะปู พวกที่หลับตาและพวกที่ใช้ตรรกะ เรียนจนหัวโตใส่แว่นตาแบกหัวน้ำหนักความรู้ เป็นพญาครุฑกับพญานาค 

พวกพญานาคก็เป็นพวกที่แบกความรู้เหินหาว อยู่เหนือคนอื่นหมดเลยพญาครุฑ ไม่ลงมาหาดินเลย ส่วนพวกที่ไม่อยู่บนดินไม่ขึ้นฟ้าแต่ลงบาดาลเลยคือพวกนาค ไม่ได้มีความรู้หรอก แต่ดับความรู้สึกคือพวกนาค 

น่าสงสาร เป็นพวกสายเทวนิยม มีพญานาค บูชาพญานาค มีงานพญานาคมีพญานาคออกมาเลื้อย เห็นรอยตีนพญานาคกัน หรือเห็นพญานาคว่ายอยู่ในแม่น้ำ 

แล้วพญานาคจะต้องมีหงอนตามความคิดของจิตรกรหรือศิลปิน ก็คืองูหรือนาคคือ พวกนอนหลับไป แล้วหลับอยู่ใต้บาดาล แล้วกว่าจะตื่นทีหนึ่งคือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นทีละองค์ถึงจะตื่นแต่ละครั้ง ถึงจะรู้สึกตัวแต่ละครั้ง คิดดูซิว่ามันจะจมขนาดไหน นานขนาดไหนกว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกสักองค์หนึ่ง แล้วก็จะลอยถาดมา กระทบกับถาดที่เรียงกันของพระพุทธเจ้าเป็นถาดทองคำ ก็ดังกริ๊ก ก็จะตื่นขึ้นมา รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ รู้สึกแล้วก็รู้แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 องค์แล้ว รู้แล้วก็ดับ หลับต่อไป นานจนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งจะได้มาอุบัติแล้วก็มาลอยถาดทองมาใหม่ แล้วก็มาคลิก ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีหนึ่ง เวทนาความรู้สึกของคนนี้มันขนาดไหน กว่าจะรู้สึกตามที่อุทาหรณ์ ตำนานที่พระพุทธเจ้าอธิบายให้ฟังนี้มันสุดสงสาร สุดสาคร สุดสินสมุทรจริงๆเลยเจ้าประคุณ 

ส่วนพญาครุฑก็เหินหาว เป็นพระยาพรหมทัต ใหญ่ รื่นเริงบันเทิง เสพกากี จนกระทั่งมีตัวเล็นเข้ามาแฝงอยู่กับขนพญาครุฑ แอบเสพนางกากีเป็นชู้ของพญาครุฑ นี่ก็คือนิทานอันหนึ่งก็เป็นกามอันหนึ่งก็เป็นอัตตา 

พญาครุฑที่มีคนธรรพ์หรือมีเล็นแฝงอยู่ในขนและแอบเสพเป็นชู้กับกากีเมียของพญาครุฑ แล้วก็จมอยู่ในกามกับจมอยู่ในอัตตา เป็นพญาครุฑกับพญานาค 

เพราะฉะนั้นพวกความรู้หัวโต หลงอยู่ในตรรกะเหตุผลก็คือพวกพญาครุฑ เหินหาวเหินเวหา เดินไม่ติดดินเลย ไม่ใกล้กับคนเลย ลอยฟ่องอยู่ประดับฟ้า พวกนี้ก็พูดกันยาก เพราะเขาเป็นพญาครุฑเสียแล้ว ส่วนบาดาลเราก็ลงไปไม่ถึง พญานาคเลย ช่วยยากสองพวกนี้ ช่วยยาก ยากจริงๆ 

นี่คือสิ่งเปรียบเทียบแล้วคนก็ไปเข้าใจว่าพญาครุฑ พญานาคมีจริง แต่จริงๆมีไหม..มี คือความโง่ของคนทั้ง 2 ฝ่าย น่าสงสารพญาครุฑก็ดึงไม่ลง พญานาคก็ขุดไม่ขึ้น อาตมายอมพญาครุฑ ยอมพญานาค หมดสิทธิ์ที่จะไปช่วยอะไรเขา เพราะอาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะ พระพุทธเจ้าก็ช่วยยากแสนยาก ยิ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์แค่นี้ อย่าไปเผือก มันไม่ใช่สถานะที่จะพูดกันได้ อาตมาเห็นแล้วก็สงสารได้แต่พูดอย่างนี้ เขาจะรู้สึกตัว เขาจะเข้าใจ พอจะเชื่อถือหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกได้อย่างไร 

เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งมาเป็นคนอย่างพวกเรา ไม่เป็นพญาครุฑ ไม่เป็นพญานาคแล้ว ไม่ไปหลงงมงายกับพญานาค พญาครุฑ บ้าๆบอๆ สร้างเป็นรูปธรรม นาคก็ใส่หงอนใส่เครื่องทรง ที่จริงนาคก็คืองูนอนเอือก ส่วนพญาครุฑมีปีกแข็งแรง บินฟ่องลอย 

เขาก็ไปเขียนรูปออกแบบพญาครุฑก็สมบูรณ์แบบ พญานาคก็สมบูรณ์แบบ นี่ยังน้อยไป รูปที่เขาออกแบบมายังน้อยไป 

ผู้ที่หลงสิ่งที่สมมุติ สมมุติเป็นรูปธรรม สมมุติเป็นตัวตนพวกนี้ แม้กระทั่งสมมุติว่าเป็นสัตว์ ก็ยังไปหลงติดความเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉานงูก็ตาม สัตว์เดรัจฉานนาคก็ตาม กว่าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งเปรียบเทียบมันไม่มีจริงหรอก ต้องเข้าใจได้ว่าจิตของเราโง่เง่าเป็นอย่างนั้นจริง โง่เป็นพญาครุฑก็โง่จริงๆโง่เป็นพญานาคก็โง่จริงๆ รู้แล้วก็มาเข้าใจความเป็นกลาง ความเป็นกาม ความเป็นอัตตา

หลงในกาม หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รู้ตัวที่ไหน อยู่ในเถรสมาคม ส่วนพวกหลับตาเข้าป่า พระป่าเข้าป่า เป็น เดียรถีย์ ฤาษีบุกป่าเข้าดง ไม่รู้เรื่องเป็นคนละทิศ เป็น 2 ทิศ ยากมาก 

ทีนี้ความเป็นจริงของสัจจะของพระพุทธเจ้านั้น ที่จะบรรลุธรรมเป็นคนที่เข้าใจ ชั้นฟ่องขึ้นไปถึงหาฟ้า ชั้นจมลงไปหาบาดาล รู้จักสิ่งฟูฟองทั้งจมหนัก อยู่ที่ความเป็นสามัญของคนมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วอยู่กับโลกธรรมที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

ไม่ว่าจะเป็นสุขทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หรือสุขทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือภพชาติ ก็เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งนั้น แต่คนก็ยึดหยาบก็เป็น โอฬาริกอัตตา  ลดอัตตาหยาบได้ก็เหลือ มโนมยอัตตา เชื่อมระหว่างภายนอกภายใน จนหมดภายนอก (สกิทาคามี )เหลือข้างใน มโนมยอัตตา ภายในก็เป็นอนาคามี ก็มาเรียนรู้ข้างในจริงๆ เป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา…ก็ลด 

พยัญชนะที่เรียกสิ่งเหล่านี้มันเป็นสภาวะธรรมจริงๆ ถ้าคุณไม่ลดจริง คุณยังมีอยู่ ยังไม่ยอมปล่อย ยังไม่ยอมทิ้ง คุณยังเกี่ยวข้องยังสัมผัส คุณยังมีสุขกับมัน สุขด้วยรสชาติ จะหยาบกลางขนาดไหน มันต้องหมดสุขหมดทุกข์ คุณต้องอ่านเวทนาในเวทนาตัวหมดสุขหมดทุกข์นี้ให้ได้ แล้วคุณต้องรู้เหตุของมันคือ ลดเหตุ ลดกิเลสจริงๆ หยาบ กลาง ละเอียด หมดสุขหมดทุกข์ที่เป็นอุเบกขานั้น ไม่ใช่หมดทุกข์หมดทุกข์ที่แค่อทุกขมสุข ฤาษีก็กดข่มได้ ดับสัญญาดับเวทนา ไม่ให้มันทำงาน มันก็ไม่ได้ล้างเหตุให้สะอาดสมบูรณ์แบบ 

นอกจากจะทำให้กิเลสหมด หายไปเป็นขั้นๆตอนๆ เกลี้ยง จริงๆแล้ว มันจึงจะไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วคุณก็จะไม่สุขไม่ทุกข์อีก อย่างอาตมาทุกวันนี้พยายามจะฟื้นกินอาหารให้มันอร่อยอีก เห็นเลยว่ามันหมด มันก็หมดจริงๆ มันไม่ได้แกล้งจะไม่อร่อยนะ แต่มันเมื่อยจริงๆในการกินข้าวแต่ละวัน แล้วยิ่งสังขารนี่บอกตรงๆว่า อยากตายแล้ว มันต้องยังขันธ์ไป เพื่อที่จะทำงาน .. ชาตินี้มีวิบาก สุดยาก ตรากตรำซ้ำเติม ย้ำตาม ก็พยายาม สุดความอุตสาหะเสริม 

มันต้องอุตสาหะจริงๆเลย ต้องพยายามจริงๆเลย ถ้าไม่งั้นมันไม่เกิดบูรณะขึ้นได้ มันไม่เกิดบูรณะแล้วมันจมเลย มันตายแน่ๆ มันเสียหายแน่ๆ อาตมาก็เอา มันจะลากไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เอา

 

คนรวยไม่ใช่คน คนมีแรงสร้างได้ทั้งประโยชน์และโทษ

ผู้ที่รู้จักความจริง อาตมาสรุปคนที่รู้จักความจริงคือคนที่รู้จักความจน คนที่รู้จักความจริงคือคนที่ไม่กลัวความจน คนที่จะมารู้จักความจริงคือคนที่จะมาจน คนที่จะมาจนได้คือคนชั้น 1 คือคนชั้นเอก คือคนคลาสสิคแมน เหนือชั้นกว่า Superman นะ เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิคโดยแท้ 

คนรวยคือคนชั้นรอง ไม่ได้ไปดูถูกเขานะ ไม่ได้ไปข่มเขานะ แต่พูดสัจธรรมสู่ฟัง คนรวยไม่ใช่คนคลาสสิค แต่เป็นคนหลงชั้น หลงชั้น วรรณะ เรียกตัวเองว่าเป็นคนไฮคลาส ยังไม่ใช่คนคลาสสิค เป็นคนชั้นรวยเป็นคนชั้น 2 เป็นคนชั้นรองไม่ใช่คนชั้น 1 

คนรวยนั้นไม่ติดอยู่กับคน คนรวยนั้นไม่แตะติดอยู่กับคน ไม่เห็นคนสำคัญเป็นหนึ่งเท่ากับความเป็นเงิน ฉีกหน้าคนรวยมาให้ดู 

ไม่ได้เห็นความเป็นคนสำคัญเท่ากับเงินทองทรัพย์สมบัติ เพราะฉะนั้นคนรวยยังติดหนึบติดหนักอยู่กับเงินทองทรัพย์สมบัติ ยิ่งกว่าการอยู่กับคน คนรวยจึงห่างจากความเป็นคน ตามสภาพความจริง 

สรุปง่ายๆคือคนรวยไม่ใช่คน 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... เสียชาติเกิดนั้นบางคนบอกว่าถ้าไม่ได้ไปกินไปเที่ยวอย่างที่อย่างนี้อย่างนี้นะถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าพระโพธิสัตว์เห็นว่าถ้าเกิดมาแล้วไม่ทำให้ตัวเองเบาว่างจากกิเลส อย่างนี้เป็นคนเสียชาติเกิด ทำตนให้หมดความยึดถือในตนแล้วมาทำอายะ 

พ่อครูว่า... เป็นคนมีอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

คนรวยห่างจากความเป็นคน เพราะไปหลงอยู่กับเงิน ไม่มาแตะติดหรือมาใกล้กับคน ถูกคั่นด้วยเงินๆทองๆให้ห่างจากคน

ส่วนคนจนไม่ค่อยมีเงินอยู่ด้วยไม่สนิทสนมกับเงิน แต่คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับคน เป็นผู้ทำเป็นผู้สร้างจริงๆ 

คนนี้แหละคือพระเจ้า คนนี้แหละคือผู้สร้าง คนนี้แหละคือผู้ทำกรรม กรรมที่ดีเลิศประเสริฐขนาดไหนก็คือคน เป็นผู้ทำจริงๆ เป็นผู้สร้างจริงๆ สร้างสิ่งประเสริฐสูงสุดได้คือเป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอกจริงๆ 

เพราะฉะนั้นผู้สร้างผู้ทำจริงๆนี่แหละคนเข้าใจ ก็จะมีการคลุกคลีหรืออยู่ร่วมด้วยกับคนที่เป็นนักสร้างนักทำ อยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจว่าอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นชั้น 1 เป็นชั้นเอก เป็นคนมีประโยชน์มีคุณค่า ใช้แรงงาน ถ้าเป็นแรงงานทางกายได้ก็ทำ ไม่ดูถูกคนใช้แรงงาน 

ถ้าไม่มีคนใช้แรงงานแล้ว คนอาศัยแต่ช้างม้าวัวควายหรืออาศัยเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องไม้สร้าง มันไม่ได้สัจจะที่จริงหรอก ไม่ได้สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของสัจจะ 

คนที่เข้าใจแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่เกิดจากคน และเกิดจากคนที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน เป็นคนคลาสสิคจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิปัญญาสูงส่งประเสริฐรู้จักเนื้อแท้ของสิ่งที่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด และรองลงมารองลงมา แล้วก็สอนมนุษย์ พามนุษย์ แนะนำมนุษย์ทำในสิ่งที่ประเสริฐ ที่ขาดแคลนในโลก ไม่ว่าในยุคไหนกาลไหน 

สอนให้คนมาทำงาน ไม่ใช่สอนให้คนไปเอาแต่คิด 

เพราะฉะนั้นเราสามารถจัดระดับของคน คนมีโทษกับคนมีประโยชน์จากแรงงาน เอาแรงงานของคนที่มีพฤติกรรมจริง มาเป็นตัวกำหนดค่า ว่าใครเป็นคนมีประโยชน์ ใครเป็นคนไม่มีประโยชน์ ได้ 

คนที่เข้าใจสาระสัจจะแท้จะไม่ดูถูกคนที่เป็นคนแรงงาน วันนี้เป็นวันแรงงานแห่งชาติวันที่ 1 พฤษภาคม 

แรงงานของช้างม้าวัวควาย เราก็รู้แล้วก็เข้าใจ แรงงานของคนแน่นอนก็ต้องมีค่ากว่าแรงงานช้างม้าวัวควาย เพราะฉะนั้นก็จะต้องเข้าใจให้ค่าของแรงงาน 

ภูมิปัญญาสากลทั่วไปถือว่าเป็นวันแรงงานแห่งชาติ แรงงานแห่งโลกที่เขาเรียกว่า Mayday เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความรู้ลึกซึ้งของคน 

ต้องระลึกถึงแรงงานของคนกันนะ เพราะฉะนั้นคนที่ดูถูกแรงงาน คนนี้ไม่มีภูมิธรรม เป็นคนเรียกว่าวัวลืมตีน หรือม้าลืมตีน หมดท่าเลย ม้าขาหัก  เคยได้ยินไหมม้าที่ขาหักขาเสีย เจ้าของสงสารสุดร้องไห้สุดท้ายก็ต้องยิงม้าให้ตาย เพราะมันอกจะระเบิด ม้ามันวิ่งไม่ได้ มันเดินไม่ได้ มันเสียม้าเลยนะ เพราะค่าของมันคือวิ่งได้ มันพาคนวิ่ง วิ่งจนกระทั่งตั้งแต่เป็นแรงงาน อาตมานี้สงสารม้าจังหวัดลำปาง มากเลย รู้จักไหม เห็นแล้วรู้สึกสุดสงสารทุกที 

แล้วมันก็ทรมานกว่าจะได้หยุดได้พักจะได้กินหญ้า แล้วพักนอนมากลางวันก็เอาแล้ว เอาอะไรมาบังตามันซะด้วย ไม่ให้เห็นอะไรมากมาย แล้วก็ขับลาก สงสารม้าจริงๆ ทรมานทรกรรม เป็นเวรเป็นกรรมเป็นวิบาก ก็ได้แต่ปลงที่มันเป็นวิบาก 

ทีนี้เรามาลองแยกแยะดู จัดลำดับความเป็นโทษเป็นประโยชน์ของแรงงาน 

ผลที่เกิดจากแรงงานของคน คนที่มีคุณค่าหรือมีประโยชน์ หรือว่าคนเป็นโทษเป็นภัย  เริ่มตั้งแต่สร้างแรงงานทางวัตถุ วัตถุมีอะไรบ้าง

1. สร้างวัตถุขึ้นมาฆ่ากัน อันนี้เลวต่ำที่สุดในความเป็นคน ใช้แรงงานทั้งแรงงานทางกายทั้งแรงงานทางสมอง คิดค้นเครื่องมือขึ้นมาฆ่ากัน เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำที่สุด เกิดมาทั้งทีใช้ความรู้ทั้งแรงกายแรงปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาหรอกเป็น เฉโก เป็นความฉลาด สร้างเครื่องมือมาฆ่ากัน นรกหมกไหม้ เขาไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักวิบากเขาก็ทำ เพราะฉะนั้นอาตมาก็ได้แต่หวังว่า เมืองไทยจะไม่เป็นเมืองที่สร้างอาวุธ ยังไงๆก็อย่าไปสร้าง จะอาศัยบ้างก็ซื้อเขามา เพื่อที่จะป้องกันเล็กๆน้อยๆ 

ถ้าเป็นประเทศที่ไม่ต้องใช้อาวุธไม่ต้องมีอาวุธเลย เอาอาหารพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นธรรมาวุธ ยิงโลกไปเลย ยิงอาหารหรือยิงยา เป็นธรรมาวุธ เป็นอาวุธ ยิงใส่โลกไป อาตมาว่าถ้าเผื่อว่าเข้าใจจุดนี้แล้วก็พากเพียรจริงๆ ให้เป็นประเทศที่มีธรรมาวุธที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือยารักษาโรค ก็จะเป็นผู้ที่สร้างวัตถุ ใช้แรงงาน ใช้แรงปัญญา ใช้แรงความรู้ มาสร้างสิ่งที่ประเสริฐสุดให้แก่โลก ตรงกันข้ามกันกับที่สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ฆ่าแกงกัน 

ทีนี้มาสร้างเครื่องเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออะไรต่ออะไร จะเรียกเป็นถึงขั้นดิจิตอล แล้วก็เป็น AI ปัญญาประดิษฐ์ จนกระทั่งมันจะคิดแทนคน จนกระทั่งคนจะสู้มันไม่ได้แล้ว อีกหน่อยพวก Robot ความคิดทางเทคโนโลยีมันจะกลับมาฆ่าคน อาตมาไม่รู้หรอกว่ามันจะฆ่าได้ยังไง แต่มันจะย้อนกลับมาฆ่าคน 

สัตว์เดรัจฉานนี่นะ เอามันมาเลี้ยง พยายามที่จะมีอำนาจเหนือช้าง เหนือม้า เหนือกระทิง เหนือแรดก็แล้วแต่ คุณควบคุมมันได้ สักวันหนึ่งมันก็แว้งมาทำร้ายคุณจนได้ หุ่นยนต์พวกนี้มันก็จะแว้งมาฆ่าคุณได้อีกเหมือนกัน อาตมาไม่รู้ว่ามันจะฆ่าอย่างไรเท่านั้นเอง นั่นแหละวัตถุไปสร้างมัน 

ทีนี้คนมีประโยชน์ก็สร้างวัตถุ วัตถุที่มีประโยชน์ก็พืชพันธุ์ธัญญาหารกับยารักษาโรค เป็นวัตถุที่ดีที่สุดในชีวิต ในเรื่องของคนอาศัย คนอาศัยกับคนทำลาย กับสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารมาใช้ในชีวิต แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าทำไมเกิดมามีชีวิต ทำไมไม่สร้างสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ เอาแรงงานความรู้และเวลา ไปสร้างทำไมในสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย มาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่านี้ นี่คือวัตถุ 

ทีนี้ความรู้ ความรู้อันประเสริฐคือความรู้ที่เสียสละ ความรู้ที่เป็นเมตตา ความรู้ที่เกื้อกูลช่วยเหลือ ความรู้ที่รู้ว่าสิ่งใดที่ควรให้คนได้อาศัย แล้วก็อยู่เย็นเป็นสุข กับความรู้ที่ให้คนเอามาห้ำหั่นกัน แข่งกันฆ่ากัน ฆ่ากันอย่างที่เป็นอาวุธจริงๆ หรือเอามาเป็นความรู้ที่ไปสร้างยาพิษ ไปสร้างความมอมเมา เป็นความรู้นะ นี่เกิดเหตุการณ์ในสังคมไทย กรณีคนชื่อแอมไซยาไนด์ มันเป็นไปได้ถึงอย่างนั้น ชาตินี้พวกคุณจะคิดออกมั้ยวิธีนั้น จ้างพวกคุณ คนอย่างพวกคุณก็คิดไม่ออกหรอก สู้แอมไม่ได้ เขาคิดยังไงของเขาไปคิดฆ่าคน วางยาไปไม่รู้กี่คน นี่เขานับยังไม่ครบ คนคิดอย่างนี้มันก็มีได้ นี่เป็นความรู้ความคิดและเป็นความรู้ความคิดอันเลว 

ความรู้เป็นยาพิษความรู้เป็นเรื่องมอมเมา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มอมเมาการบันเทิงเริงรมย์กับมอมเมาการเอาชนะคะคาน กีฬาเอาชนะคะคาน บันเทิงเริงรมย์ก็เสพรสฟรุ้งฟริ้งไป เขาไม่เข้าใจหรอก 

สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องของจิตนิยามเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วก็ไปเสพทางจิต เพราะฉะนั้นแทนที่จะให้คนไปหลงในเรื่องของการสร้างความรู้สร้างความคิดแล้วเอามาเสพ น่าจะเอามาสร้างคุณธรรม เอาความรู้มาสร้างคุณธรรม 

แม้แค่เป็นคุณธรรมของทางโลกีย์ ให้มาทำดีตามสมมุติกันไม่ทำชั่ว ก็ดีแล้ว ในชั้น 1 

ยิ่งเป็นขั้นโลกุตระ ดีชั่วก็รู้ด้วย แล้วทำดีอย่างถาวรด้วย สามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วทำให้จิตมีภูมิปัญญา รู้ว่าดีตามสมมติโลกคืออันนี้ แล้วไม่ไปทำตามสมมุติโลกที่เขาว่าชั่ว ทำแต่ดีอย่างมีปัญญา มีธัมมวิจัยเลือกเฟ้นตัดสินได้ คนในสังคมในกลุ่มไหนว่าสมมุติอย่างนี้ดีก็ทำดีตามสมมุติเขา ไม่ขัดแย้ง หรือเราเห็นว่าเราขัดแย้งอันนั้นที่เขาทำมันเป็นโมหะเกินไป เราไม่ทำกับเขา เราก็วางเฉย ถ้าเราจำเป็นจะต้องอยู่กับคนกลุ่มนั้น 

ยิ่งเป็นคุณธรรมขั้นโลกุตระยิ่งสุดยอด คุณธรรมโลกุตระนั้น รู้รอบ รู้จบ มีความจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ 

จบกิจ ในรอบของอบายมุข ปัญญามันสูงสุดจริงๆ เป็นรสชาติหรือเป็นวัตถุสมบัติที่เราไปได้ไปมีไปเป็น วัตถุก็ตาม ไม่ได้เสพรสชาติกับอบายมุขก็ตาม ปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ จบกิจเลย ไม่มีอบายมุขอีก ชาตินี้คุณก็ไม่มี ชาติหน้าคุณได้แล้วอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว คุณก็ไม่มีวันเวียนกลับ อสังกุปปัง อสังหิรัง อวิปริณามธัมมัง สัสตัง ธุวัง นิจจัง นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่มีปัญญาอย่างวิเศษ ข้ามชาติเลย ไม่ตกต่ำแม้แต่ชาติต่อๆไปอีก 

อย่าว่าแต่ชาติเดียวเลย นี่ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่อย่างนี้ ควบคุมได้ถึงการเกิดชาติหน้าชาติโน้น เทวนิยมเขาไม่รู้จักชาติต่อไปหรอก อย่างศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเขารู้จักชาติต่อไปแต่เขาไม่สัมมาทิฏฐิ มันกลายเป็นความเที่ยง เป็นนิรันดรไป เพราะเขารู้ที่จบไม่ได้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเสียแล้ว ศาสนาพราหมณ์ก็ดี ฮินดูก็ดีหรือแม้แต่ศาสนาพุทธก็หลงไปเป็นฮินดู หลงไปเป็นเทวนิยมก็จบจิตไม่ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักจิตเจตสิกไม่รู้จักนิพพาน 

ที่ไม่รู้ก็เพราะว่ามิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นเลย มิจฉาทิฏฐิต้นจริงๆก็คือ 1.ไม่รู้จักกาย 2.ไม่รู้ฌาน 3.ไม่รู้บุญ 4.ไม่รู้สมาธิ 5.ไม่รู้วิมุติ หรือนิโรธนิพพาน เป็น synonyme นิโรธ วิมุติ นิพพาน เป็นคำใช้แทนกันได้ แต่เขาไม่รู้ 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมไปจากความรู้ที่ถูกต้อง ศึกษาตำรา. ศึกษาบัญญัติเหมือนกับยุคพระพุทธเจ้าปฏิบัติขึ้นมา ยังมี พราหมณ์มหาศาล รวยลาภยศสรรเสริญ เป็นเจ้าของพื้นที่ เป็นเจ้าของเวียงวัง 

เหมือน อัมพัฏฐมานพเป็นลูกของพราหมณ์ที่ยิ่งใหญ่ เขาถือว่าเป็นผู้สืบสกุลมาจากพราหมณ์ เป็นผู้ดีสูงส่ง มีความรู้ทางสมบัติเต็มที่ เขาก็นึกว่าเขามีเหมือนอย่างในยุคนี้ เขานึกว่าเขามีวิชชาจรณะสมบัติ อัมพัฏฐะ ไม่ใช่ออกป่าแต่เป็นพวกมีเวียงวัง มีสมบัติพัสถานเป็น Land Lord มีความรู้อีกนึกว่าเป็นเจ้าของวิชชาจรณะ

มาเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ซักไซร้ไล่เรียงใน อัมพัฏฐสูตร ไล่จนรู้จักต้นตระกูลเดิมเลยนะ โดยการแบ่งกันว่า เป็นฆราวาสหรือเป็นนักบวช เขาถือว่าเป็นนักบวช แต่เขาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ เป็นคฤหัสถ์ เขาก็ข่มว่าเขาเป็นนักบวช โดยบอกว่าฆราวาสสูงขนาดไหนก็ต้องไหว้นักบวช เขาจะให้พระพุทธเจ้าไหว้เขา 

พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า ถ้าไหว้เธอ หัวของเธอจะแตกเป็น 7 เสี่ยง อันนี้เป็น อจินไตย 7 คือ ตัวเลขที่สมบูรณ์แบบครบรอบในพลังงาน ถ้า 9 ถือว่าเป็นสมดุลในพลังงาน cyclic order ถ้า 7 เป็นพลังงานสูงสุด 8 กำลังจะเข้าที่ถึง 9 ก็ลดลง ผู้แรงจะแรงเป็น 7 ผู้ 8 จะลดลง 9 ก็เป็นผู้รักษาสมดุล ประนีประนอม ปรองดอง เป็นผู้ประสานโลก

สัจจะของพระพุทธเจ้าละเอียดลออ แล้วอธิบายไปได้ละเอียดไปได้เรื่อยๆ อาตมาก็ไม่ได้ไปอ่านจากตำราไหน มันเป็นของตนที่มีมาเองเอามาพูด อาตมาเป็นคนอ่านหนังสือยากมาก ไม่ได้เป็นนักอ่านเลย 

เล่าเรื่องเรียนตอนเป็นเด็กนักเรียนมัธยม และวิทยาลัย เรียนเพาะช่าง เพื่อนตอนนี้ไม่รู้เหลือกี่คน ... อาตมาเป็นรุ่น 2 ของคณะ Fine Art เรียนเพาะช่าง 5 ปี จบเพาะช่างมา ก็งงว่าเราไปเรียนเพาะช่างทำไม ทุกวันนี้ไม่ได้เขียนภาพสักภาพ 

แต่ ศิลปะมีตั้ง 5 แขนง pure art นะ เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นศิลปะหมด ชงเหล้าก็เป็นศิลปะ ค้าขายก็เป็นศิลปะ โกงก็เป็นศิลปะ อาตมาได้ความรู้ศิลปะคือการได้รู้จัก Composition ทุกวันนี้ใช้คอมโพสทั้งนั้น ทุกอย่างก็เป็นการใช้ Composition ทั้งนั้นแม้แต่วรรณกรรมก็เป็น Composition 

สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #20 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 03:31:41 )

660503

รายละเอียด

660503 ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53266.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1deeb6Fkaiq0qC4ADyJ_neG3Wm5mqZ2LD/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/17630Vd0E8QlxZKtaxurMQBOMKuCryRT-/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/tPxX7uIsaow 

และ https://fb.watch/ki5BaOIldi/  

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ปกติโดยทุกปี 15 ค่ำเดือน 6 จะเป็นวันวิสาขบูชา แต่ปีนี้มีเดือน 8 2 หน วิสาขบูชาปีนี้จะไปตกวันที่ 3 มิถุนายน 2566 งานอโศกรำลึกปีนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายนเป็นต้นไปเลย 

เหลืออีก 11 วัน เป็นโค้งสุดท้าย เขาบอกว่าประเทศไทยจะได้เปลี่ยนแน่ ทางโลกบอกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เหตุการณ์ต่างๆในโลกในประเทศไทย พ่อครูมองว่าเป็นเครื่องกระเทาะให้เห็นว่าใครเป็นใคร ใครเป็นแก่น ใครเป็นแก้ว ใครเป็นของจริง ใครเป็นของปลอม 

ตอนนี้บางพรรคโพลมานำโด่งเลย พรรคที่บอกว่าคนแก่เป็นพวกไดโนเสาร์ จะกวาดเอาสิ่งดีงามของบ้านเมืองไปหมดสิ้นเลย เขาไปหลงตะวันตก หลงฝรั่ง ที่เชิดหน้าชูตาของเขา เขามั่นใจมาก เขาบอกว่า ก้าวไกลมาไกลเกินกว่าจะแพ้แล้ว ความอยากจะเป็นนายกทำให้คนจับโกหกได้ สร้างเรื่องราวเพื่อให้คนเชื่อ แต่ผู้คนก็ได้เห็นแก่น เขาไม่มีแก่น เป็นแก้วที่รอแตกร้าว เมื่อกระทบผัสสะแล้วจะไปได้ถึงไหน 

ดูลุงตู่น่าจะเหนื่อยมาก เพราะเดินทางไปที่นั่นที่นี่ตลอดเวลา โพลล่าสุดบอกว่า พิธานำอันดับ 1 อุ๊งอิ๊ง มาอันดับ 2 ลุงตู่เป็นอันดับ 3 ได้คะแนนนิดเดียว เทียบกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้วลุงตู่ดูเหมือนจะเทียบไม่ได้ แต่ก็เห็นความมั่นคง ไม่เห็นร่องรอยว่าจะย่อท้อ ไปแต่ละที่ยังดูมั่นคงแน่วแน่ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ อาจจะเพราะความบีบคั้นทำให้ต้องดึงพลังออกมาให้มากที่สุด เพื่อจะรักษาบ้านเมืองไว้จึงต้องทำให้เต็มที่สุดและแรงเกิด 

แต่การตอบโพลนั้น ประชาชนบางคนก็ต้องเก็บไว้ในใจ ไม่สามารถแสดงออกได้เปิดเผย ก็ลองดูว่าจะออกมาแบบไหน วันที่ 14 พลังเงียบจะเงียบเชียบต่อไปหรือเปล่า หรือพลังเงียบจะออกมายืนหยัดยืนยัน พวกเรามีเวลาอีก 10 วัน ใครจะไปช่วยชักชวนให้พลังเงียบตื่นขึ้นมาได้ก็เป็นการช่วยชาติบ้านเมือง 

แต่สิ่งที่จะช่วยได้อย่างมั่นคงยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นสัจจะสาระต้องดำรงอยู่ในชีวิตเรา 

 

แสงธรรมจะทอบวรต้องปลุกพลังเงียบให้ออกมา

พ่อครูว่า... ที่บอกว่าพลังเงียบและความเงียบนี่นะ อันนี้แหละ เป็นตัวชี้บ่งถึงความยังไม่เจริญ อยู่เงียบๆงุ่นๆคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร มันเป็นมิจฉาทิฎฐิที่ลึก มันไม่ใช่เรื่องของความเป็นมนุษย์เต็มรูปที่มีความตื่นเต็ม รู้จักสังคมข้างนอกก็รู้จักข้างใน รู้จักทั้งภายนอกภายในเต็ม100 สมบูรณ์แบบ มันไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นอวิชชาจริงๆของคน 

แต่ทีนี้อาตมายังหวัง ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวว่า คนไทยจะมาถึงวันนี้แล้ว จะเสื่อมถึงขนาดนั้น อาตมายังมั่นใจว่า คนไทยทุกวันนี้เจริญ โดยเฉพาะทางด้านของการเมืองก็ตาม ศาสนาก็เอาเถอะมันอาจจะยาก 

แต่เมืองไทยนี่แม้ว่าศาสนาที่ว่ายาก แล้วก็ยังมีกลุ่มคนที่เข้าใจที่เข้าถึงสัจธรรมโลกุตระแท้ๆจะมีจำนวนน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มีเชื้อโลกุตระอยู่ ไม่ใช่ 

มี แต่มันพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ถึงวันนี้นี่อาตมาก็ยังมั่นใจว่า มันจะชนะได้อยู่ ยังมั่นใจว่าสัจธรรมที่เป็นโลกุตระยังจะชนะได้อยู่ 

ถ้าจะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่อาตมาจะคุยโม้ 

อาตมาทำงานโลกุตรธรรมมาตั้งแต่ พ.ศ 2513 ทำมาทำมาแล้ว ในหลวง ร. 9 เห็นร่วม เริ่มตั้งแต่ 2527 มาเรื่อยๆ ในหลวงเริ่มเห็นด้วยเริ่มตรัส สิ่งที่ท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะตรัสอะไรก็ต้องมั่นพระทัยว่าตรัสออกมาแล้วสู่สาธารณชน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ 

เช่น จะตรัสว่าแบบคนจน หรือมาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันไม่ใช่เรื่องง่าย 

ที่เราเห็นท่านตรัสตามหลักฐานที่มีใน พ.ศ 2534 แต่อาตมาว่าท่านเริ่มตั้งแต่ พ.ศ 2527 มาเรื่อยๆ มาถึง 2534 ท่านถึงเต็มรูป ตรัสออกมาด้วยภาษาต่อสาธารณชนเลยว่า บริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ต่อมา อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันเป็นเรื่องของภูมิธรรมของโพธิสัตว์แท้ๆ มันพูดเล่นไม่ได้หรอกในระดับในหลวงหรือสาธารณชนทั่วโลก พูดเล่นไม่ได้ แต่คนเข้าไม่ถึง อย่างข้าราชบริพารไม่มีปัญญารับช่วงต่อ มันก็เลยยากไปไม่ออก 

ทีนี้มาพวกเรานี่แหละรับไม้ หรือจริงๆก็ทำอยู่แล้ว พวกเราเป็นโลกุตระอยู่แล้ว รับทำอยู่แล้ว เมื่อในหลวงมาตรัสอย่างนี้อีกก็เลยยิ่งโอ้โห.. แทบจะถือว่า ถ้าไม่มีธรรมะหน่อยนี่จะผยองเลยนะ รีบคว้ามาถือว่าทำอย่างคะนอง ทำอย่างผยองเลย ซึ่งอาตมาก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลย เราก็ไม่ถึงขั้นคะนอง ไม่ถึงขั้นผยอง แต่ก็ทำตนเป็นผู้น้อย เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้แพ้อยู่ไป 

แต่พยายามเสนอเนื้อแท้ ๆๆ ให้ปรากฏทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งรูปธรรม นามธรรม ให้เต็มส่วน ให้เต็มสภาพเสมอๆ ก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อยๆๆๆมาตลอด ถ้าจะว่าจริงๆแล้วเปอร์เซ็นต์ที่มีแม้แต่อยู่ในประเทศไทย ก็ยังไม่ได้อยู่ในเขตขีดที่ถือว่า น่าจะมั่นใจหรือว่าน่าจะปล่อยได้ว่างั้นเถอะ ปล่อยเดี่ยวได้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น 

มันจะต้องช่วยอุดหนุน ช่วยทุ่มแรงไปอยู่เรื่อยๆ อาตมาถึงบอกว่า มันน่าจะตายแล้วก็ยังตายไม่ลง ยิ่งทุกวันนี้ไอแรง มันมีเหมือนน้ำพิษออกมา มันบอกไม่ถูกรสชาติมันก็ทรมาน มันไม่ใช่น้ำกรดทีเดียวนะ มันเป็นน้ำพิษที่มันขื่นมันขมมันจะอ้วกมันจะไอออกมาสารพัดเลย มันไม่มีในสารบบ เลยไม่รู้จะบอกด้วยภาษาอย่างไรมันเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องขจัดออกไม่พึงต้องการ เพราะฉะนั้นจึงต้องไอขจัดอย่างแรงให้รีบเอาออกจึงทรมาน มันลึกซึ้งซับซ้อน พูดไปพวกคุณก็จะเห็นใจเปล่าๆ ปล่อยอาตมาไปเถอะ ตามวิบากไม่มีปัญหาอะไร ..ชาตินี้มีวิบาก.. 

นึกถึงเพลงบูรณภาพ มันสุดยอดเลย อาตมาแต่งตอนนั้นเหมือนเบลอๆ ทุกวันนี้ก็ยังจำเนื้อไม่หมด แต่ทุกคนก็ทำได้ดี อย่าเพิ่งเอาออกมา อาตมาจะมีวันที่พูดถึงเรื่องเพลง เรื่องกวีการเหล่านี้เหมือนกัน ซับซ้อนตั้งแต่เริ่มต้น รู้สึกว่าจะต้องแต่งเพลง เมื่อมาบวชแล้วนะ เพลงแรกที่แต่งตั้งแต่ตอนเป็นนักบวชแล้ว คือ เพลงขันติต้องไม่จาง หรือเพลงตะวันทอฟ้า ซึ่งอาตมาทบทวนแล้วเห็นว่ายากที่คนจะเข้าใจได้ 

เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า 

เป็นกวีการที่ต้องขยายความกันเป็นวันๆเลย 

• เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ

คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า

ความคิดเคยเฉยเชือนก็เตือนตามมา

แม้เพียรเพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนวแล้วเล่า

 

มันมีสัมผัสทั้งเสียง ทั้งพยัญชนะ สระ มีสำเนียงเสียงเมโลดี้ด้วย 

เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจ คือเปรียบเทียบเหมือนกับใจเรานี่แหละ มันมีความให้ช้ำใจ เมฆสีดำ เราก็ยิ่งคล้ำอยู่ในใจ มันยังไม่ขาวไม่สะอาดสว่างออกมาเลย เห็นแล้วเหมือนขวานที่ผ่าเข้าไปในหัวใจให้แหลกละเอียดอะไรอย่างนี้ 

ความคิดเคยเฉยเชือนก็เตือนตามมา อาตมาเคยไม่เอาแล้วตั้งแต่ออกบวชใหม่ๆ กับคุณชวน ไปหาที่อยู่สัก 2 ไร่ ถ้าใครจำได้ แล้วจะไปอยู่ตรงนั้นจะไม่เอาเลย จะไม่พูดถึงธรรมะแล้ว เพราะเห็นเลยว่ามันยากจริงๆ พวกนี้พูดไม่ขึ้นหรอก อย่างไรก็คงปลุกไม่ไหว ไม่เอาแล้ว เฉยเชือน ความคิดตัดทิ้งเลยไม่เอาแล้ว 

แต่เสร็จแล้วความสำนึกก็เตือนตามมา ว่า ไม่ได้นะๆ ก็เลยจะต้องหันมาเพ่งเพียร พยายามทุ่มแรง แม้เพียรเพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนวแล้วเล่า ให้ก้าวหน้ามา แรงนำหน้า แต่ผลมันไม่ตามมา อย่าว่าแต่นำหน้าเลย ตามยังยาก 

• ก็ยังช่างเย็นเช่นยาค่าไร้

หรือคนไซร้ซานเขลาคลานคุกเข่า

ยอมซบจนซ้อนจมใต้ตมซมเซา

มิเงยหน้าเลย เคยเนาฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม..โธ่เอ๋ย

 

ก็ยังช่างเย็นเช่นยาค่าไร้ มันเหมือนยาหมดอายุหมดค่าแล้ว ก็เลยนึกถึงคน หรือคนไซร้ซานเขลาคลานคุกเข่า หรือว่าคนทั้งหลายแหล่มันหมดแล้ว ไม่โงไม่เงยขึ้นมาแล้ว ยอมซบจนซ้อนจนใต้ตมซมเซา คนนี่คงจะขุดไม่ขึ้น ตกลงไปใต้ตรงซมเซาถูกโคลนทุกอะไรต่ออะไรมันทับถมไป มิเงยหน้าเลย เคยเนาฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม..โธ่เอ๋ย

ไม่โงไม่เงยขึ้นมาเลย อยู่อย่างไรก็เป็นเช่นนั้นก็ยังเยาว์ยังเด็กยังเล็กเช่นเดิม โธ่เอ๋ย 

 

• ฟ้าดินผินเพลินเผินพลอย

เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด..ไยเฉย

หรือธรรมต่ำศักดิ์นักจึงปึ่งเลย

คนเอ๋ย..ควรครวญใคร่ก่อน

ฟ้า ไม่หันหน้ามองเราเลย ไปหลงใหลอะไรอยู่ที่ไหนทำไมไม่มาช่วยเลยฟ้าดิน เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด..ไยเฉย ทำไมต้องเมินต้องเฉยต้องหนีไม่เห็นใจเราบ้างเลย 

หรือธรรมต่ำศักดิ์นักจึงปึ่งเลย หรือธรรมะมันต่ำศักดิ์นักหรือถึงได้ไม่ดูดำดูดีนักเลย ไปไหนก็ไม่รู้ไม่ช่วยอะไรเลย คนเอ๋ย..ควรครวญใคร่ก่อน แล้วก็หันมาหาคนว่าควรจะใคร่ครวญให้ดีๆซะก่อน 

 

• ผิว์เป็นเช่นใด ไม่ควรด่วนท้อ

แข็งพอขอเพียงมิพาลเพี้ยนผ่อน

ยังยิ่งยง ยั้งยืนหยัดทนอาทร

(1)แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอนเทิดธรรมสู้ทน

(2)แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอนเทิดธรรมเถิดเทอญ.

 

ผิว์เป็นเช่นใด ไม่ควรด่วนท้อ ปลอบใจตัวเองไม่ควรจะท้ออย่ารีบท้อ ไม่งั้นก็ตายกันพอดี แข็งพอขอเพียงมิพาลเพี้ยนผ่อน เต็มครบเลย ฮึด ขึ้นมาเต็มที่เลย ขอเพียงไม่อ่อนไม่เพี้ยนไม่พาลไม่ผ่อน 

ยังยิ่งยง ยั้งยืนหยัดทนอาทร ต้องสู้ แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอนเทิดธรรมสู้ทน แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอนเทิดธรรมเถิดเทอญ. 

เป็นเพลงที่แต่งตอนมาบวชแล้ว มันก็มีจารีตประเพณีวัฒนธรรมหรือความยึดถือกันว่า นักบวชจะมายุ่งเกี่ยวกับการร้องรำทำเพลงไม่ได้ ไม่ถูกต้อง อาตมาก็ว่ามันใช้ได้นะ ยิ่งในยุคนี้ ยุคเพลงการมันทั่วโลกเลย มันใช้เป็นสื่อกลางเป็น Social Media ได้อย่างดีมากเลย 

อาตมาก็เลยไม่เป็นไรหรอก ใครจะว่าอย่างไรก็เอา ตัดสินใจแต่งเพลง เพราะฉะนั้นในคราบที่เป็นนักบวชก็แต่งไม่ใช่น้อยเพลง และแต่งไว้แล้วมันก็ยากอย่างที่ว่า คนคลี่ไม่ออก ยังขยายกระจายให้มันง่ายให้มันรู้ตื้นขึ้นมา ชักลึกมาให้ตื้นยังไม่ค่อยได้ ก็ยังพยายามทำไป อาตมาทุกวันนี้ก็เข้ามาหาเนื้อหาสาระของธรรมะก่อน

อู๊ด..เขาบอกว่าเพลงระดับนี้ต้องโพธิสัตว์ระดับ 7 ถึงจะแต่งได้ 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็จริง พูดไปก็ยกย่องกันเอง มันก็ดูน่าเกลียด

 

_ทอง เอ็นจีโอ tong ngo  • มีบางคน..ค่าที่ลืมตาดูโลกและเติบใหญ่ขึ้นมา ก็เห็น "ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง" ในความเป็นบ้านเมืองตัวเอง จนชินเหมือนปลา จะเห็นคุณค่าน้ำ ต่อเมื่อแล้ง-น้ำแห้งเกล็ด เหมือนนก จะเห็นคุณค่าท้องฟ้า ต่อเมื่ออยู่ในกรงขัง!

เราทุกคน แต่ละก้าวชีวิต มีทั้ง "ผิดบ้าง-ถูกบ้าง" เป็นธรรมดา เพราะนั่น คือ ที่มาของคำว่า

"ประสบการณ์" ฉะนั้น แต่ละคน......

จงใช้ "ประสบการณ์" ทบทวนตัวเอง บ่อยๆ จะได้ชื่อว่าเป็นคน "ไม่เสียชาติเกิด"!

พ่อครูว่า... อาตมาได้เน้นไปแล้วว่าเกิดมาเป็นคนจะไม่เสียชาติเกิดได้อย่างไร เสียชาติเกิดเพราะไม่ได้ธรรมะโดยเฉพาะไม่ได้โลกุตรธรรมขึ้นไป คนโลกียะก็พยายามทำดีและชั่วก็พากเพียรไป โลกียะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วพยายามสั่งสมดีให้แน่นหนา มันยังไม่ใช่ปรมัตถ์ ยังไม่ใช่โลกุตระ มันยังเปลี่ยนแปลงได้ มันยังไม่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันยังไม่เป็น มันก็จะต้องวนเวียนกลับอยู่ โลกียะก็คือยังต้องวนเวียนกลับ ยังไม่จบกิจ ยังต้องหมุนเวียนอยู่ มันจะเป็นเช่นนั้น 


 

พลังเงียบพลิกเกมแน่ ถ้าแห่ออกมาช่วยกัน

_อภิชาลา กลั่นแก้ว Apichala Klunkeaw  • เชียร์ รทสช ✌

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2566 ( 21:28:29 )

660508

รายละเอียด

660508 ตอบปัญหา ใครคือเผด็จการ ใครคือประชาธิปไตย รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #21 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53265.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/17YIKkepS7ESFRbMQUEoMDzGedKu5DJui/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1XvGboVRzTF3vlh2cowOAzRbuAUAHdq2j/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/QB2zJyS03_A 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/913206006632042 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก มี SMS เหลือบานตะโก้ ตอบหมดก็เก่งตอบไม่หมดก็เก่ง ครั้งมาตั้งแต่วันที่ 3 วันนี้วันที่ 8 

SMS วันที่ 3 พ.ค. 2566

_คอยใคร  · กราบเคารพพ่อครูครับ ดูข่าวท๊อปนิวส์ที่ทางช่องบุญนิยมทีวีนำมาเปิดช่วงบ่าย รายงานข่าวว่าGM และ IBM จะเลิกจ้างคนงานเป็นหมื่นคนและจะใช้ AI ทำงานแทนในส่วนที่ไม่ต้องใช้คนคอยคุม ผมก็มานึกถึงคำพ่อหลวง ร.9 ที่บอกไว้ว่ายิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งถอยหลัง 

พ่อครูว่า... Adam Smith บอกว่าต่อไปในอนาคต คนจะทำหน้าที่แค่นั่งผ่าน แม้จะทำเข็มหมุด เครื่องก็ทำทั้งนั้น คนคอยดูแลเท่านั้นไม่ต้องทำงานอะไรเลยเครื่องมือทำ แม้จะทำเข็มหมุด 

เราก็ยกไว้ว่า ยิ่งก้าวหน้ายิ่งถอยหลัง คำว่าถอยหลังนี้มีความหมายเยอะเลยคือสมรรถนะของคนจะเลวลง ความสัมพันธ์ของคนจะเลวลง สังคมก็จะไม่อบอุ่น ไม่มีคุณธรรมคุณภาพ ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างจิตกระด้าง ไม่มีความเข้าใจไม่มีความรู้ถึงเรื่องความสัมพันธ์สังคมอะไรเป็นต้น มันจะไปกันใหญ่เลย มันเจริญทางวัตถุแต่มันจะเสื่อมทางจิตวิญญาณอย่างหนักเลย 

_ถอยหลังในที่นี้ในความคิดผมคือ คนจะทำงานน้อยลง แล้วจะไม่มีงานทำสมใจอยากที่จะให้ความก้าวหน้าเข้ามา เช่นดำนาก็มีรถ เกี่ยวข้าวก็มีรถ ใส่ปุ๋ยก็มีโดรน จนทำให้ขาดน้ำใจขาดความรักสามัคคี ลงแขกดำนาเกี่ยวข้าวก็จางหายไป 

ยังมีข่าวเยอรมันเปิดเสรีให้คนเข้าประเทศเพราะขาดแรงงานอย่างมาก เห็นว่าต้องการเจ็ดล้านคน ผมว่าคนคงแห่กันไปอย่างแน่นอนเพราะเห็นแก่เงิน สวนทางกับทางบ้านราช ขอ777 คนยังเรียกแล้วเรียกอีกก็ยังมาไม่ถึง (รวมตัวผมด้วยที่ยังไม่ได้ไปอยู่สักที) 

ครั้งนี้ไม่มีคำถามครับ แค่มาบอกว่า ช่องบุญนิยมเปลี๊ยนไป มีข่าวนอกช่อง ยิ่งช่วงนี้มีแต่รายการหาเสียงลุงตู่เยอะมากครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูแค่นี้ก่อนครับ

พ่อครูว่า... คุณก็ดูดีๆบุญนิยมทีวีก็ช่วยสังคมอยู่ เราก็มีความคิดเห็นคิดนึกเราแสดงออกร่วมด้วย 

_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร  · กราบนมัสการเจ้าค่ะวันนี้ได้คุยกับลูกค้าเรื่องการเมืองก็ถูกแซวว่าเตรียมตัวจะออกไปใช่มั้ย และลูกค้าก็บอกว่าไปสนามหลวงอยู่เป็นปีไม่อดตายเพราะได้อาหารจากกองทัพธรรม ชอบมากคือซุบมะเขือ รายงานมาเพื่อทราบเจ้าค่ะ

_วันชัย สหมโนธรรม  · - ทำจริง...ทำต่อเนื่อง ท่านพล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ แน่นอน แบบบัญชีรายชื่อบัตรสีเขียว กาเบอร์ 22 พลังเงียบออกมาเยอะๆ จะได้ชนะนายกโพล 555

พ่อครูว่า... ถ้าพลังเงียบไม่ออกมาได้นายกโพลแน่ ของเขาแรงจริงๆปลุกเร้าเก่งจริงๆเก่งในทางปลุกเร้า แล้วคนก็โง่งมงายไปกับเสียงปลุกเร้า ทำไมมันอ่อนแอ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีปัญญาของตัวเองบ้างเลย คนหนอ 

เมืองไทยเป็นเมืองที่มีโลกุตระ

_ปุนเมฆ สีขาว  · พระพุทธเจ้า ยังทรงเลือก #ท่านภิกษุเจ้าชายมหานามะ ครองกรุงกบิลพัสดุ์แทนเทวทัต คนไทยที่รู้จักดี - ชั่ว ก็จะเลือกคนดีที่สุด กล้าหาญ ฉลาด อดทน เสียสละ และมีวิสัยทัศน์ เป็นคนที่ #สมบูรณ์พร้อมในความดี "ทั้งโลกและธรรม" มาบริหารบ้านเมือง กราบสาธุ ! พ่อครูที่กรุณาแจงเหตุถี่ถัวน !

พ่อครูว่า... แถมหน่อยๆ ว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มีความรู้ความฉลาดแบบปัญญา ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแค่แบบ เฉโก เท่านั้น เป็นความรู้ความฉลาดที่ รู้ทั้งแบบโลกียะและมีความรู้แบบโลกุตระด้วย เป็นความรู้ของโลก 2 แบบ 

ความรู้อย่างที่เป็นตัวตนกับความรู้ที่ออกจากตัวตนหรือละตัวตนไม่มีตัวตน จนเป็นอนัตตาได้ นี่เป็นความรู้สุดพิเศษของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้และค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผย เอามาสอนเอามาแนะนำให้คนเรียนรู้และปฏิบัติตาม จนกระทั่งเรียบร้อย สามารถที่จะรับช่วงถ่ายทอด และในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธก็ยังมีเชื้อ แม้มันจะเสื่อม โลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากสังคมศาสนาพุทธ แม้แต่ในเมืองไทย เสื่อมไปมาก อาตมาก็พูดหลายทีแล้วว่าเสื่อมจนหมดไม่เหลือโลกุตรธรรม อาตมาจึงต้องเอาโลกุตรธรรมเข้ามาสถาปนาลงไปในโลกยุคนี้ ในพุทธศาสนา ก็ได้ขึ้นมาจริง มีปรากฏการณ์ มีมวลมนุษยชาติรับฟังได้ ปฏิบัติตามได้มรรคได้ผลก็มาเป็นคนโลกุตระ เป็นอาริยบุคคลที่แท้จริง แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าอริยบุคคลจริง เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ในกลุ่มชาวอโศกมีจริง ไม่ใช่พระอาริยะเก๊ 

ส่วนพวกที่นั่งหลับตาเข้าป่าที่มิจฉาทิฏฐิกันเต็มมากมายที่มันเสื่อมแล้วนั่นคือเก๊ ขออภัยที่พูดความจริง ชี้ชัดความจริงลงไปให้รู้ความจริง ไม่ได้หลงใหลตัวเอง ไม่ได้คุยตัวเองอะไร ไม่ได้อวดอ้างอะไร แต่พูดความจริงของสัจธรรมสู่ฟัง 

พ่อครูหมดความยุ่งแล้วมาทำให้โลกหายยุ่ง

_เด่นภูมิ รุ่งกิจศุภมงคล ·สงฆ์ยุ่งเรื่องทางโลกมันใช่หรอคับ?

พ่อครูว่า... คุณก็มีภูมิแค่ว่าสงฆ์ยุ่งทางโลก แต่คนไม่รู้จักว่าโลกมันยุ่ง แล้วสงฆ์ที่ท่านหมดความยุ่งแล้วท่านก็มาช่วยโลกให้หายยุ่ง คุณเข้าใจอันนี้ไม่ได้ คุณก็มองได้เท่าที่คุณมอง ก็ไม่เป็นไรคุณก็เข้าใจตามนั้น 

อาตมาไม่ใช่เป็นสงฆ์ที่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่อาตมาเป็นคนที่หมดความยุ่งได้แล้วในตัวเอง เห็นสังคมเห็นโลกเขายุ่งมากเลยสงสารก็มาช่วย แก้ความยุ่งให้แก่โลกให้แก่สังคมเขา ก็มีคนที่เข้าใจแล้วก็ลดความยุ่งของตนเองลงไปได้เรื่อยๆ เข้ามารวมกันเป็นคนสงบ เป็นคนที่หมดความยุ่ง แล้วก็มาสงบสบาย เป็นคน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ เป็นคนมีคุณสมบัติและคุณธรรมแบบนี้ มาสิ มาตรวจสอบดู 

_พิภพ แพงศิริ  · ไอ้นี้ยังไม่ตายเหรอ

พ่อครูว่า... คนนี้คงจะรู้จักเรานานแล้ว บอกว่า โอ้โห มันน่าจะตายแล้วทำไมป่านนี้มันยังไม่ตาย ก็ต้องบอกว่า ยังจ้ะ ยังไม่ตายจ้ะ สวัสดี ไม่พบกันนาน 

อาตมาเจตนาจะยังไม่ตายง่ายๆ ถ้าอาตมาพิสูจน์ตนเองนี่นะ ซึ่งมันอยู่ในนี้ สังขารมันแบบนี้ ลากสังขารไปได้ถึง 100 ปีคนจะยอมรับ ว่าอันนี้มันอาศัยอะไร มียาวิเศษ มียาอายุวัฒนะอะไรที่สามารถยืนยงอยู่ได้ เขาก็จะมาสนใจ ยาอายุวัฒนะของอาตมาก็คือธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้านี่แหละ แล้วคนจะได้สนใจในอนาคต 

สงฆ์อโศกไม่ได้แต่งกายเลียนแบบพระ

_คุมะ  · พระก็ไม่ใช่ แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นพวกลัทธิเถื่อน คนพวกนี้ทำให้ศาสนาเสื่อม ชอบออกมายุ่งเรื่องการเมือง เคยออกมาขับไล่ท่านนายกทักษิณ พวกนี้ไม่ใช่คนดีอะไร

พ่อครูว่า... ไม่ได้แต่งกายเลียนแบบเราแต่งไม่เหมือน ดูดีๆดูรายละเอียดอาตมาไม่ได้ลอกเลียนแบบเลย ไม่ได้ผิดกฎหมายแล้วกฎหมายก็รู้ แต่งเครื่องแบบลอกเลียนเถรสมาคมนั้นกฎหมายคุ้มครอง เขาจับนะ นี่พวกอาตมาเขาไม่จับ เขาชัดเจนทุกอย่างแล้วว่าพวกอาตมาไม่ได้ลอกเลียนแบบ แล้วอาตมาก็ไม่ใช่พระสงฆ์อาตมาเป็นสมณะ ไม่ได้ลอกเลียนแบบพระสงฆ์ อาตมาแต่งแบบสมณะ ในพุทธศาสนา 

และคำว่าเถื่อนกับคำว่าอาริยะ เถื่อนคือคำว่า มิลักขะ อาริยะคือผู้เจริญ คุณศึกษาดีๆคำว่า อาริยะกับคำว่ามิรักขะ คุณศึกษาดีๆใครเถื่อน ใครเจริญกันแน่ 

และที่ว่าทำให้ศาสนาเสื่อม คนที่ทำให้ศาสนาเสื่อมนี่แหละ ที่อาตมาก็สงสารจริงๆ เพราะเขาทำให้ศาสนาเสื่อมมันเป็นบาป แล้วเขาก็ไม่รู้ตัว เขาสร้างนรกให้แก่ตนเองไปอยู่เรื่อย อาตมาก็ได้แต่สงสารก็ช่วยกันเตือน ก็มีพวกที่ค่อยๆรู้ตัว อยู่ในเถรสมาคมนี่แหละ ค่อยๆตื่นค่อยๆรู้ตัวขึ้นมา สำหรับคนที่ไม่ได้มีอคติไม่ได้มีอัตตาถือดิบถือดีอะไรกันมากมายนัก ฟังโพธิรักษ์แล้วท่านก็เข้าใจแล้วก็ปรับปรุงตัวเอง แม้จะอยู่ในเถรสมาคมนั่นแหละ ก็เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับตามภูมิที่ท่านมี มีภูมิปัญญา มีปฏิภาณ สามารถรับรู้สามารถฟังแล้วได้ประโยชน์จากธรรมะ แม้ปรโตโฆษะ ฟังอาตมาที่เป็นคนละพวกก็เข้าใจ ได้รับสาระสัจจะที่แท้จริง เอาไปปฏิบัติแก้ไขตัวเองก็อนุโมทนาสาธุ 

ส่วนคนที่มืดบอดสนิทแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสงสว่างแค่ไหนก็ไม่มีไม่สามารถส่องไปถึงได้ ก็ต้องเข้าใจเขา ปล่อยไป 

แล้วก็ชัดเจนตรงนี้เองว่าคุณเป็นพวกทักษิณนี่เอง เอาละถ้าทักษิณดีคุณก็ตามไปอยู่กับทักษิณต่างประเทศไม่มีที่อยู่นะ เขาอยากจะเข้ามาเลี้ยงหลาน แล้วใครทำให้ ทักษิณเอ๋ย ทำตัวเอง เป็นเวราณุเวรเอง ก็ว่ากันไป 

นี่เป็นสัจจะศึกษาให้ดีแล้วจะมองออกว่าใครถูกใครผิด เขาจะมองกันได้มองกันออกสำหรับคนที่มีดวงตา คนที่ไม่มีดวงตาก็มืดก็บอดไป ตามความมืดความบอดของแต่ละคน 

SMS วันที่ 6 พ.ค. 2566

เขาด่ามาเราเอามาเป็นคุณเป็นประโยชน์

_Kasem Santhong เกษม แสนทอง   · พอจะสังเกตได้นะครับว่า คนที่เขียนคำหยาบคายด่าว่าคนเห็นต่าง นั่นแสดงว่าสภาวจิตของเขาเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะในรายการของชาวบุญนิยม, เราได้ประโยชน์จากบุคคลเหล่านี้โดยการเจริญเมตตาและอภัยครับ

พ่อครูว่า... ใช่ ได้ประโยชน์แม้แต่คนที่เขาทำไม่ดี เราก็ได้ประโยชน์จากคนที่ทำไม่ดีมาเป็นตัวอย่าง มาเป็นข้อคิด มาเป็นสิ่งเปรียบเทียบหรือเตือนให้รู้ว่า เราได้ประโยชน์หรือว่าเราได้โทษอะไรจากเขา 

เขาเจตนาจะให้เป็นโทษ แต่เรารับมาเป็นคุณ เป็นประโยชน์ เราก็ฉลาดรับให้ดีๆ แล้วก็เจริญเมตตา เราได้ประโยชน์จากคนเหล่านี้ เจริญเมตตาและอภัยดี คนตั้งจิตไว้ดีไว้ถูกแล้วได้ประโยชน์ทั้งนั้น 

_ตุลย์ สิทธิการ  · พรรคลุงตู่ไม่เคยโจมตีพรรคใด นิสัยดีอะ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้เหมือนลุงตู่สักเท่าไหร่ ลุงตู่ไม่โจมตีใครจริงเลยพูดแต่ส่วนที่ดีไปแล้วก็แก้ไขส่วนที่อะไรไม่ดี ซึ่งไม่ได้ไปกระทบบุคคลนั้นบุคคลนี้ จะแก้ไขปรับปรุงอะไรก็บอกนโยบาย สิ่งใดที่จะกระทบก็เลี่ยง นั่นเป็นส่วนที่ดีของลุงตู่ 

แต่อาตมาเป็นคนชี้ เป็นคนกลาง ชี้ถูกชี้ผิด นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง เป็นคนชี้ทั้ง 2 ส่วนอันนี้ถูกอันนี้ผิดอันนี้ผิด อันนี้ถูกก็บอกให้เข้าใจลักษณะอย่างนี้อย่างนี้ เพื่อให้รู้รอบถ้วน เป็นหน้าที่ของอาตมา อาตมาก็เลยทำไม่เหมือนลุงตู่เท่าไหร่ 

 

สภาคือที่ๆมีคนสงบที่กล่าวธรรมอยู่

_Thiwakon Chumcheed ทิวากร ฉ่ำจิต  · แต่ก่อนผมก็ไม่ชอบการเมืองครับ และไม่ใช่เรื่องของเรา และคิดว่านักบวช พระไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

ในโขมทุสสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 15 ข้อที่ 724-725 พระพุทธเจ้าเดินเข้าไปธรรมสภา ตรัสสอนธรรมกับคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ด้วยพระคาถาว่า 

ในที่ใดไม่มีคนสงบ ที่นั้นไม่ชื่อว่าสภา คนเหล่าใดไม่กล่าวธรรม คนเหล่านั้นไม่ชื่อว่าคนสงบ คนสงบละราคะโทสะ และโมหะแล้ว กล่าวธรรมอยู่ ฯ สาธุครับ

พ่อครูว่า... อันนี้นี่นะ ผู้มีปัญญาถึงปัญญาข้อที่ 7 ในปัญญา 8 จึงจะเป็นผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงขั้น ความสงบของคนสงบชนิดนี้ได้ อาตมาก็เลยอยากจะเอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ายืนยันอธิบายที่เป็นสาระสำหรับอันนี้ว่า 

ความสงบของคนสงบ มีฐานะของแต่ละคน ฐานะของคนที่มีความสงบ เป็นคนสงบที่มีความสงบ แข็งแรง มีจิตตั้งมั่น ก็จะทนต่อแรงกระทบภายนอก จะทำงานกับสังคมที่จัดจ้าน จัดจ้านไปด้วยความเข้าใจผิด ด้วยมิจฉาทิฏฐิ ด้วยอวิชชาได้สูงขึ้น มากขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างแท้จริง 

ส่วนคนที่ไม่มีความสงบในจิต ราคะ โทสะ โมหะอย่างมาก มาทำอะไรกับสังคมที่เขายังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่นั้นจะรบกัน ทะเลาะกัน ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะเป็นโทษเป็นภัยต่อสังคม 

เพราะฉะนั้นสังคมที่มันจะไม่มีความสงบอยู่จริง เพราะราคะ โทสะ โมหะ นี่แหละ จึงต้องอาศัยคนที่สงบและมีคุณธรรม สงบจากราคะ โทสะ โมหะ จริง จะมาช่วยได้ อย่างที่เห็นที่เป็นจะช่วยได้ 

เป็นสัจจะ คนที่ไม่รู้มองไม่ออก ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนที่รู้และมองออกอย่างอาตมาไม่มีปัญหาหรอก เรื่องนี้ อาตมาทำเท่าที่ควร อาตมาไม่ได้ไปอ้าขาผวาปีกที่จะไปทำอะไรกว้างไกล จนอวดดิบอวดดีไปตอแยกับพวกที่ไม่ควรตอแย อาตมาไม่หาเรื่อง อาตมาเป็นคนหัวไม่มีเหา และไม่เคยไปหาเหามาใส่หัว อาตมาเข้าใจและฉลาดพอที่จะเป็นคนไม่มีเหา ไม่ไปหาเหามาใส่หัวตัวเอง  อาตมาอยู่อย่างสะอาดได้เสมอ 

ในพระไตรปิฎกเล่ม 15 ข้อ 725 

โขมทุสสสูตรที่ 12

[724] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมชื่อว่า โขมทุสสะของเจ้าศากยะ ในแคว้นสักกะ ฯ

ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังโขมทุสสนิคม ฯ

สมัยนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ประชุมกันอยู่ในสภาด้วยกรณียกิจบางอย่าง และฝนกำลังตกอยู่ประปราย ฯ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังสภานั้น ฯพราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า คนพวกไหนชื่อว่าสมณะโล้น และคนพวกไหน รู้จักธรรมของสภา ฯ

โขมทุสสสูตร

[725] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ด้วยพระคาถาว่า

ในที่ใดไม่มีคนสงบ ที่นั้นไม่ชื่อว่าสภา 

คนเหล่าใดไม่กล่าวธรรม คนเหล่านั้นไม่ชื่อว่าคนสงบ 

คนสงบละราคะ โทสะ และโมหะแล้วกล่าวธรรมอยู่ ฯ

พ่อครูว่า... สงบแบบไม่เคลื่อนไหว ไม่มี อิญฺชนาติ(การเคลื่อนไหว) ไม่ได้เป็นคนที่สงบจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ 

คนที่สงบจาก ราคะ โทสะ โมหะ เช่น พระอรหันต์เป็นต้น จะมี  กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มีความคล่องแคล่วว่องไวของกายของวาจา เพราะจิตเป็นประธาน จิตแคล่วคล่องว่องไว จิตมีพลังกำลัง มีความรู้ความสามารถ และจะเป็นจิตตั้งมั่นที่สูงส่ง จะแสดงออกซึ่งมันตรงกันข้ามลักษณะพาซื่อแบบเดียรถีย์ ที่บอกว่าคนสงบคือคนที่นิ่งไม่เข้าสังคม ไม่ยิ้มไม่รับไม่แตะไม่ต้องไม่เข้ากับใครในสังคมเพราะว่าสู้ไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่เป็นฌาน เป็นสมาธิแบบศาสนาพุทธหรือเป็นโลกุตระ ไปปฏิบัติแบบฌานฤาษี ฌานแบบดาบส เดียรถีย์ ต่างๆ มันก็เลยมีมรรคมีผลกันคนละอย่าง 

คนสงบแบบนั้นไม่มีประโยชน์ต่อสังคม ไม่มีประโยชน์ต่อตนที่แท้ เป็นการดูเหมือนว่าได้ประโยชน์เพราะตัวเองสงบ ก็แต่ละชาติบรรเทาไป แล้วก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนแบบ เดียรถีย์ ไม่ใช่สิ้นทุกข์แบบโลกุตระ สิ้นทุกข์ดับทุกข์ได้ชั่วคราวแบบกดของแบบ เดียรถีย์ เท่านีั้น 

เสร็จแล้วก็ไม่ยั่งยืนเปลี่ยนแปลงพลังงานสงบชั่วคราว แล้วมันก็จะขึ้นมาใหม่ ทนได้เท่าที่มีแรงสะกดได้ยาวได้นานแล้วก็ไม่เที่ยงแท้ ไม่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ไม่ถาวรเที่ยงแท้ยั่งยืนมันจะเวียนกลับ มันสังกุปปัง เวียนกลับตลอด แม้จะบรรลุเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม เป็นเจ้าศาสนาเลยก็เวียนกลับตกนรกใหม่ จิตมีกิเลสอีกอย่างเก่าเกิดตายตายเกิด แล้วก็ลืมไปไม่แน่นอนไม่มั่นคงไม่ได้ล้างกิเลสอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนน้ำยิ่งขุ่น ยิ่งกดแน่น เหตุปัจจัยมันไม่ได้หายมันไม่ได้หมดเชื้อ 

ความสงบแบบนั้นไม่เที่ยงแท้ ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่จบกิจ เป็นคนไม่จบกิจ 

[726] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าคนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น 

พ่อครูว่า... อาตมาก็จุดไฟแล้วคนที่ไม่มีจักษุอย่างไรก็ไม่เห็นแสงอาตมาจะพูดอย่างไรเขาก็จะมืดอย่างผู้ที่ไม่มีจักษุนั่นแหละ 

พวกข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงท่านพระโคดมผู้เจริญกับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้ ฯ

พ่อครูว่า... เหมือนพวกคุณเห็นอาตมากล่าวธรรมแล้วก็เข้าใจก็จึงเข้ามา มาปฏิญาณเป็นพุทธมามกะ จนกระทั่งได้เป็นพุทธบริษัท พุทธมามกะก็เข้ามาขออยู่ในวงนี้หน่อย เสร็จแล้วก็มาอยู่ไปก็ปฏิบัติธรรมได้ ก็บรรลุธรรมเป็นพุทธบริษัท 4 คือ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่แม้แต่จะเป็นพุทธมามกะเขาก็เลยไม่เข้ามา เขาก็เลยจะท่อง พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ แต่เขาไม่มาขอตั้งใจที่จะเอามาเป็นที่พึ่ง อย่างที่ท่านเป็นกันนี่แหละเอามาเป็นที่พึ่งเขาก็ยังไม่มา เขาก็ยังเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่นอกนอก ก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพุทธบริษัทเลย เข้าใจพุทธศาสนิก พุทธมามกะและพุทธบริษัทได้ดีแล้วนะ นี่เป็นเรื่องจริง 

เพราะฉะนั้นพวกเราเป็นพุทธบริษัทที่มีสมณะ 4 เหล่า ส่วนคนที่เขายังเป็นพุทธศาสนิก ตามทะเบียน ตามตระกูล ตามจารีตประเพณีมีเยอะมากเลยในยุคนี้ พุทธศาสนิกเยอะ 

แค่บางคนก็ไปพูด ไปเปล่งกล่าว ไปวัดไปวา พระท่านก็พากล่าว พุทธังสะระณังคัจฉามิ เขาก็กล่าวตาม ฆราวาสเขาก็ไม่กล้าออกเสียงเหมือนกับพระที่ใส่สำเนียงอย่างเท่ห์ๆหรอก เขาก็กล่าว พุทธังสะระณังคัจฉามิ พระก็ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ ลากเสียงยาวกว่านี้ อาตมาละอายหน่อยๆก็เลยไม่ลากยาว ลากยาวก็เป็น อาตมาเป็นนักร้องเก่า ก็ไม่เอาแล้ว ฆราวาสเขาก็รับตามไป ธัมมังสะระณัง คัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ

ก็ได้แต่ไปกล่าวรับกันเฉยๆเป็นอัตวาทุปาทาน ยึดได้แค่วาทะกล่าว เป็นอัตตาอยู่อย่างเก่านั่นแหละ ไม่ได้แก้ไขความเห็น ไม่ได้แก้ไขจิตวิญญาณ ไม่ได้แก้ไขตามศีลตามพรตอะไร เพราะฉะนั้นก็ได้แต่ อัตตวาทุปาทาน ทิฏฐุปาทาน กามุปาทาน ก็อย่างเดิม แม้แต่เช่นพระชื่อดังที่กำลังดังตอนนี้ ทั้งโกงเงินตั้ง 180 ล้าน ทั้งเสพเมถุน ดัน เมถุนก็เป็นการเสพผิดเพศอีก พวกวิตถารอีก อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็อย่างนี้เต็มเละกันอยู่ในวงเถรสมาคม 

ซึ่งอาตมาก็จำเป็นจะต้องบวชอยู่ในประเทศไทยที่มีสงฆ์ บวชเสร็จแล้วก็ไม่ไหว เราจะอยู่ต่อก็ไม่ได้ก็เลยต้องประกาศนานาสังวาสขอแยกออกมาบริหารเอง ไม่ไหวอยู่ด้วยไม่ไหว มันปนเละหมักหมมเน่าใน นี่เป็นสัจจะตามเรื่องจริงที่มันผ่านมาแล้ว อาตมาประกาศ นานาสังวาส 

สงฆ์หมู่ใหญ่ก็ไม่รู้เรื่อง นานาสังวาส จัดการกับอาตมาอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นบาปของท่าน เพราะท่านไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักธรรมวินัย มาจัดการกับอาตมา ก็เลยได้บาปซ้ำบาปซ้อนอะไรต่ออะไรกันไป อาตมาก็ได้แต่สมเพชเวทนา ไม่รู้จะทำยังไง มันสุดวิสัยที่จะแก้ ที่จะช่วย 

จนป่านนี้แล้ว ยิ่งเป็นหัวหน้าผู้ที่นำพา นึกว่าตัวเองเป็นผู้รู้ แสนรู้ นำหมู่ออกมาจัดการกับอาตมา ป่านนี้ท่านจะสำนึก ท่านจะรู้สึกว่าเราผิดแล้วหรือยังหนอ ก็ยังไม่รู้ได้ ก็น่าสงสารไป 

ส่วนอาตมานั้น อาตมาไม่มีปัญหาเลย อาตมาอยู่อย่างไรก็รอดตัว อยู่ยังไงก็อยู่ได้ อยู่ได้แม้แต่ในที่ร้อนขนาดไหนอาตมาก็สบายเย็น เพราะมีภูมิคุ้มกัน มีสิ่งที่ตัวเองสามารถที่จะคุ้มกันตัวเองได้ ไม่ละลายไป ไม่เสื่อมไป ไม่เพี้ยนไม่เปลี่ยนไปตามเขา เป็นผู้ที่มีทั้งเจโตและปัญญาที่พร้อมแล้ว 

แยกแยะธรรมะโลกียะกับโลกุตระ

เพราะฉะนั้น อาตมายืนยันตัวเองว่า อาตมาเป็นผู้ที่สัมมาทิฏฐิ เป็นผู้นำธรรมะที่เป็นโลกุตระอันเสื่อมไปแล้วจากสังคมศาสนา ที่เป็นของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ฃไม่ใช่ศาสนาโลกียะธรรมดาเท่านั้น 

แยกให้ฟังอีก โลกียะกับโลกุตระ ประเด็นที่มันต่างกันสำคัญคืออะไร โลกียะนั้นไม่สามารถที่จะรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้นจึงแยกเจตสิกที่เป็นเวทนาในเวทนาต่างๆไม่ได้ แยกเวทนาคือเป็นอารมณ์หรือเป็นความรู้สึก ไม่มีสัญญาเพียงพอที่จะกำหนดรู้ ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะสามารถมีธัมมวิจัยสมโภชฌงค์ หรือมีโพชฌงค์ 7 จนกระทั่งมาปฏิบัติเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ได้ ไม่มีทาง 

เทวนิยมไม่มีทาง แม้แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิสอบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ทางศาสนาพุทธได้ บัญญัติภาษาที่อาตมาพูด โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านคล่องปริ๊ด พูดเหตุผลด้วยตรรกะอะไรชัดเจนหมด แต่ท่านไม่ได้แม้แต่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ท่านมีวิริยะแต่ไม่เป็นสัมโพชฌงค์ เป็นวิริยะเดียรถีย์ 

เพราะว่าท่านจะหลงผิด จนกระทั่งถึงขั้นว่า ถ้าจะทำสติให้เต็มนั้นจะต้องนั่งหลับตาแล้วก็ทำตนเองให้เป็นผู้ที่มีสติตื่นเต็มอยู่ในการหลับตานั่นแหละ เก่ง 

ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆแล้ว เมื่อกิเลสออกไปจากจิตจริงแล้วไม่ต้องไปนั่งหลับตาแล้วทำให้สติตื่นเต็มอยู่ในจิตหรอก ปฏิบัติลืมตาตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละ กิเลสจะหมดไปจริง หมดไปจริง เมื่อกิเลสหมดไปจริงแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นพระอรหันต์ 

พระอรหันต์มีสติในการหลับตากับสติในการลืมตาเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องไปปฏิบัตินั่งหลับตาทำให้สติตื่นเลย คนที่นั่งหลับตาสติเต็มร้อย ตื่นเต็มร้อยตามที่เขาหมาย เขาจะหมายถึงว่าสติเต็มร้อยแบบไหน ก็เป็นแบบที่หลับตาอยู่ในถ้ำ หลับตาอยู่ในเบอร์มิวด้า หลับตาอยู่ในแดนมืด เขาก็สว่างอยู่ในที่มืด 

จริงๆแล้วสว่างกับมืดมันอันเดียวกันไหม..ไม่ เพราะฉะนั้นเขาจึงสร้างความสว่างในที่มืดแบบสร้างนิรมานกายขึ้นมา เป็นอุปาทานทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นความจริงเลย เพราะฉะนั้นคนที่หลับตา ทำสมาธิหรือสร้างสติในการหลับตานั้น หลับตาเข้าแล้วไม่มืดจะมีแสงสว่าง เป็นแสงสว่างนิดๆหน่อยๆ วอบแวบๆ เป็นแสงสว่างสีเขียว สีม่วง สีแดงหรือถ้าไม่สว่างเป็นอาภัสรา สว่างในที่มืด เป็นเรื่องเก๊ทั้งนั้นเป็นอุปาทานสร้างขึ้นเอง คนหลับตาก็มืด คนลืมตาก็สว่าง ถ้าเป็นกลางวันมีแสงพระอาทิตย์ ถ้ากลางคืนมืดๆเดือนแรม 15 ค่ำด้วย หลับตามันก็มืดตึ๊ดตื๋อ มันไม่มีแสงอะไรแม้แต่แสงพระจันทร์ก็ไม่สะท้อนเข้ามา มันก็มืด 

เห็นความจริงตามความเป็นจริงแบบ สุภกิณหา กิณหา แปลว่าดำ แปลว่ามืด ผู้สัมมาทิฏฐิก็จะมี สุภะ รู้จักความจริงตามความเป็นจริง สัมมาทิฏฐิเข้าใจว่าความมืดก็คือความดำมืดของแสง นิโรธคือนิโรธ จะไม่หลงผิดว่าความดำมืดเป็นนิโรธ เพราะนิโรธเป็นการละกิเลส แต่ความดำมืดเป็นเรื่องของรูปธรรม เป็นเรื่องของวัตถุธรรมเท่านั้น ไม่ใช่จิตไม่ใช่กิเลส อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นการสำคัญผิด กำหนดหมายผิด สำคัญมั่นหมายผิดหรือมีสัญญาผิดพวกนี้แหละ จึงเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่บรรลุธรรม เพราะนามธรรม 5 ของเขาไม่บริบูรณ์ 

นามธรรม 5 ในการปฏิบัติธรรมคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ พวกที่มิจฉาทิฏฐิหลับตาไม่มีผัสสะภายนอก เขาจึงทำใจในใจผิด นั่งหลับตาจึงเป็นพวกเดียรถีย์ นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 ตีทิ้งได้เลยนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ของพุทธ ฌานก็เป็นฌานเดียรถีย์ 

เขาไปยึดถือว่าฌานคือทำจิตให้ไม่มีอาการของนิวรณ์ทั้ง 5 ให้ได้ เขาหลับตาสะกดไว้ไม่ให้จิตมันไปคิดไปนึกอะไร มันก็นิ่งๆๆ มันก็ไม่รับรู้อาการ ตาก็ไม่ได้กระทบรูป  หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่ได้กระทบ ไม่กระทบมันก็ดีแล้วเหลือแต่จิต เขาก็ทำจิตให้เป็นนิ่งอีก แข็งแรงตั้งมั่นเขาก็ได้ ได้ประโยชน์แบบนั้น 

ซึ่งมันเป็นโทษที่มิจฉาทิฏฐิ แล้วคุณก็จมอยู่ในอวิชชาอย่างเก่า ไม่โงไม่เงยเพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิที่จะฟื้นขึ้นมาปฏิบัติลืมตา ปฏิบัติรู้ความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ 

หลับตานอนหลับ คุณจะหลับตาลงไปแล้ว ประโยชน์ของการหลับตามี 1.พักผ่อน 2. ทบทวนธรรม 3. ทำเตวิชโช 4. เอาไปเล่นฤทธิ์เล่นเดชบ้าๆบอๆได้ นั่นแหละการหลับตา 

เพราะฉะนั้นรู้จักใช้ประโยชน์ พักผ่อน ทบทวนธรรม หรือจะใช้เตวิชโช ส่วนที่จะไปเล่นฤทธิ์เดชบ้าๆบอๆ พระพุทธเจ้าท่านบอก พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) 

สัจธรรมที่อาตมาอธิบายไปทั้งหมดคือการรื้อฟื้น เอาความถูกต้องเอาสัจธรรมที่ถูกต้องเข้ามาสถาปนาลงไปในความผิดพลาด ในความเสื่อม แล้วอาตมาไม่ได้พูดผิด อาตมาไม่ได้อวดตัวอวดตน ไม่ได้เบ่งอะไร แต่เป็นคนกอบกู้ โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ 

ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญา มีไหวพริบ เข้าใจที่อาตมาพูดก็จะรู้ว่าใช่จริงๆ คนนี้ก็เจริญแน่ แต่คนใดที่ยิ่งฟังอาตมาเหมือนอย่างที่คุณอะไรต่ออะไร SMS 

_Saichol Sawatdiphom  สายชล สวัสดิภูมิ · พระแบบไหนมาเกี่ยวไรด้วยการเมืองไม่ใช่กิจของสงครับ

_อรุโณ. ภิขุก์  · คนทําโพล..แค่.3.คน..แล้วคนไทย.60.กว่าล้าน...การสํารวจกลุ่มตนเอง.ก็.ใด้.ใจ.ตน.เอง....เจ็บ.คอ

พ่อครูว่า... คือโพล ไม่มีกลุ่มแล้วเขาก็ใช้ใช้กลุ่มของเขาอยู่อย่างนั้นแหละความเห็นมันก็จะแสดงออกอย่างนั้น มันเป็นหน้าที่เป็นงานชนิดหนึ่งเป็นอาชีพของพวกนี้ เขาก็ทำมาหากินกันไป ไปเอาสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ โพล แต่ละอัน มีนัยยะคล้ายกัน ต่างกันไปเป็นการอวดดีของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง 

ก็ จะมีประโยชน์ไหม อาตมาว่า มีประโยชน์ทำให้สังคมมันยุ่งเหยิง อาตมาว่าไม่น่าจะเอาประโยชน์อย่างนี้ 

_สู่แดนธรรม... เขาคงเชื่อว่าวิธีการอย่างเขาไม่ได้ผลถ้าไม่มีมวลชนเชื่อเพิ่มขึ้นครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เขาก็คือครอบงำความคิดผู้ที่มีความเห็นร่วม ได้หมู่ได้พวกไปเรื่อยๆ 

_อุบล คนโก้  · แต่ละเขตมีหมายเลขผู้สมัคร ก่อนเข้าคูหาเดินไปดูที่กระดานก่อน ให้มั่นใจว่ารวมไทยสร้างชาตินะคะ

พ่อครูว่า... ที่ทางบรรเทาทุกข์ชี้สุขเกษมศานต์ไป ก่อนเข้าไปก็ไปดู เบอร์ 22 เป็นเบอร์ของพรรคนะ ส่วนเบอร์ของ สส.แต่ละเขต ต้องไปดูว่าผู้สมัครรวมไทยสร้างชาติคือใคร ถ้าไปดูแล้วมีก็คือคนนั้นเอาเลย ไปดูให้ชัดเจน ใครชื่ออะไร เบอร์อะไรในพรรคนี้ หรือในที่นั้นไม่มีเลย ซึ่งรวมไทยสร้างชาติส่ง สส.ทุกเขต 

_https://fb.watch/knu9O7NhKY/ คอมเมนต์ในคลิปนี้ ลูกหลานคนอุบลฯ ทั้งนั้นที่มาแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่บอกว่า ไม่มาเที่ยวน้ำตกบ้านราชอีกแล้ว แต่ทำไม2-3วัน คนถึงมาเที่ยวน้ำตกเพิ่มขึ้นทุกวันก็ไม่รู้  ^___^

พ่อครูว่า... อ๋อ..นึกได้แล้ว เพราะคุณเองไม่มา คนอื่นก็เลยต้องมา ถ้าคุณมาอยู่ในนี้เขาก็รู้สึกว่าคนอย่างคุณมาเขาก็เลยไม่อยากมา เมื่อคุณไม่มาคุณก็เลยมามากขึ้นใช่ไหม น่าฟังนะเอาไปคิด 

เบิ่งตาดูเมืองไทยดีขึ้นจริงไหมในยุคลุงตู่

_Lek Small . อยู่แถวบ้านข่อย มาเอาเผิ่นไปนำแหน่ค่ะ มักหลายอ้ายตู่ ข่อยกะได้แต่หันหน้าละเบะปาก โพดฮ้าย คือจั่งเน๊ตกะมีบ่เบิ่งบ้านเบิ่งเมืองเขา พอเว้าเรื่องการเมืองเผิ่นกะว่า ไผ๋เป็นมันกะโกงคือเก่า อ้ายตู่มันโกงกะแบ่งให้เฮาใช้เดือนละ300 จะแม่นข่อยหน่าย ความคิดนี้ ที่นี้ของแพงเผิ่นกะว่ามันขึ้นตามยุคตามสมัย ข่อยล่ะเบื่อคัก

พ่อครูว่า... เขาไม่ได้โกงที่ให้ 300 นั้นเงินรัฐบาล ระวังอย่าพึ่งตายไปก่อนนะ เบื่อมากๆเดี๋ยวจะไม่เอาชีวิตไว้ เอาน่า อยู่ๆดูไป 

อาตมาว่าสังคมการเมืองก็ดี เศรษฐกิจก็ดี ในยุคนี้ของไทย มันดี แต่ทิฏฐิของเรา ความเห็นความเข้าใจของเรา มันไม่สัมมา มันไม่รู้จักความพอเหมาะพอดี ความเป็นมหาปเทสที่สมบูรณ์แบบแล้ว มันไม่เข้าใจ 

มันก็เลยอยากได้ตามที่เราต้องการ ดีขนาดนี้แล้ว มันไม่ใช่หาได้ง่ายๆขนาดนี้ 

กระแสของสังคมโลกเขาก็มองสังคมไทย ประเทศไทย เขาก็บอกมานะ ให้สัญญาณมาว่า เมืองไทยเศรษฐกิจดีอย่างไร เป็นเมืองที่ดีน่าเที่ยวอย่างไร คนมามากขึ้นจริงไหม สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะ ชี้บ่งความจริงทั้งนั้น 

แต่คนพูดที่ไม่มีปฏิภาณปัญญาอะไรก็มองอยู่ในมุมมืดที่ตัวเองอยู่ก็มืดอยู่อย่างนั้น แล้วก็พูดออกมาขายขี้หน้าตัวเอง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของเขา 

ราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านชั้น 1 

_Oyo Yoh . เลือกตั้งเสร็จรีบไปเชิญลุงเพิ่น มาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน บริหารชาวอโศกพวกเจ้าเด้อละ

พ่อครูว่า... จะให้เราไปเชิญ มันคนละฐานะ คงหมายถึงลุงตู่ ซึ่งลุงตู่เจริญกว่า ก้าวหน้ากว่า สูงกว่าจะมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอโศกหรือหมู่บ้านราชธานีเท่านั้นแหละ ไปเป็นหัวหน้าประเทศนั่นแหละดีแล้ว จะเอามาทำไม ใช้ผิด เอามีดโกนไปหั่น ปอกเปลือกทุเรียน ใช้มีดโกนยิลเลตต์ไปปอกเปลือกทุเรียน อาตมาว่ามือคุณพังหมด มือคุณถูกหนามทุเรียนปักเลือดไหล ไม่ได้กินทุเรียนหรอก มันผิดประเภท ต้องใช้ให้มันถูกมันเหมาะมันสม ลุงตู่ไปทำงานกับสังคมประเทศดีแล้ว 

จะว่าไปแล้ว อโศกไม่ต้องไปใช้คนถึงขนาดลุงตู่หรอก ใช้ขนาดโพธิรักษ์นี่ก็อยู่แล้ว สบายๆ อโศก เพราะว่าเป็นคน เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

เป็นคนคลาสสิคแล้ว เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอกแล้ว อาตมามาดูแล ง่าย ลุงตู่ไปดูแลคนที่ไม่มีวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงยาก บำรุงยาก มักมาก ไม่มีใจพอมีแต่ขี้โลภจัดจ้านแล้วก็ไม่ขัดเกลากิเลสด้วย ข้อปฏิบัติหลักเกณฑ์ที่จะปฏิบัติธูตะต่างๆให้ตัวเองเจริญก็ไม่มี ไม่มีอาการที่น่าเลื่อมใสเลย แถมสะสม ดักดานสะสมหนัก ขี้เกียจด้วยซ้ำไม่มีความขยันไม่มีระดมความเพียรเลย 

วรรณะ 9 ไม่มีเพราะฉะนั้นเจริญไม่ได้คนไม่มีคลาส นี่แหละคนชั้นต่ำจริง ไม่มีคลาส แต่ถ้าคนมีวรรณะ 9 จริง ก็เป็นคนชั้นสูงแท้ไม่ใช่เป็นคนไฮคลาสนะ เป็นภาษาของเขาเป็นเรื่องโลกเป็นคนหัวสูงเป็นคนชั้นสูงแบบโลกีย์ เฉิดฉาย ไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือสุขแบบฟรุ้งฟริ้ง สุขแบบโลกีย์ ปรุงแต่ง มอมเมามนุษยชาติพวกนี้ไร้สาระ ฟังธรรมะดีๆอาตมาพูดสัจจะ อาจจะแรงเพราะมันถูกต้องตรงตามความเป็นจริง 

_YoungTurks Sinwattannakul คนเหมือนกันกลับดูแคลนและเสียดสี เขาก็มีสิทธิ์ของเขาใช่หรือไม่?ไหนว่าคนเท่ากันนั่นอย่างไร เราก็ชอบของเราไปตามใจเรา

_แฟนตัวยง Taweechai Siangpairoh YoungTurks Sinwattannakul ทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนเท่าเทียมอันนี้จริง แต่การสนับสนุนเผด็จการ สนับสนุนความรุนแรง เห็นผิดเป็นถูก หน้ามืดตาบอด อันนี้มันไม่มีความเป็นมนุษย์แล้วครับ

พ่อครูว่า... พวกก้าวไถล พวกเผด็จการแต่เขาก็หลงว่าพวกประชาธิปไตยพวกมืดหัวบอด หลงตัวเองยังหนักตัวเองยอดเผด็จการแสดงท่าทีหาเสียงเท่านั้นก็ ลงน้ำหนัก คอมมานด์ เบ่ง ต้องอย่างนี้อย่างนี้แรงแล้ว ไม่เหมือนกันกับผู้ที่เขาไม่ต้องไปแสดงถึงขนาดนั้น พูดสัจจะไป ทำพอสมควรดีไม่ดีก็สนุกสนานด้วย ไม่ใช่เอาเป็นเอาตายซีเรียส เราดูแค่นั้นก็สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลว่าใครเผด็จการ ใครให้อิสรเสรี 

ทักษิณคือเผด็จการลุงตู่คือประชาธิปไตย

_โพลชี้นำทำลายชาติ  สังเกตว่า คลิปเชียร์ลุงตู่หลายคลิปส่วนใหญ่จะมีคนมาคอมเม้นท์เสียดสีถากถาง จนถึงด่าว่าแรงๆ มีมาก มากกว่าคนชื่นชมหลายเท่า ต่างจากคลิปเชียร์เพื่อไถ หรือ ก้าวไถล เป็นเพราะอะไรครับ

พ่อครูว่า... คนที่เขาอยู่สงบหรือคนที่เข้าใจดีแล้วเขาไม่ตื่นตูมตื่นเต้นตามลมตามกระแสอะไรหรอกเขาไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้น ส่วนคนที่จี้นิดๆหน่อยขึ้นเดือดร้อนอย่างนี้ต้องช่วยกันต้องอะไรต่ออะไร มันก็ออกแรงหวือหวาอยู่อย่างนี้มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

เพราะฉะนั้นพวกเพื่อไถหรือก้าวไถล ก็จะเป็นลักษณะแบบที่เขาเป็นนี่แหละ มันก็ถูกต้องแล้วดูให้ออกเถอะสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล 

ที่เขาพูดอยู่ทุกวันนี้ ประเด็นหลักๆประเด็นใหญ่ๆคือใครเป็นประชาธิปไตย ใครเป็นเผด็จการ เราแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ 

ทักษิณกับลุงตู่ 2 คนเลย ใครเป็นพวกเผด็จการใครเป็นพวกประชาธิปไตย ... พวกเราก็ตอบ ชัดเจนทักษิณเป็นเผด็จการ ลุงตู่เป็นพวกประชาธิปไตย แต่พวกที่งมงายก็มองเห็นผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิดแบบนักมายากล เขาไม่มีสิริมหา เขาไม่ได้มีความดีความถูกต้องอะไรที่จะรู้ความผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก มันสลับกันไปหมด มันเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นคนไม่แม่นประเด็น ไม่รู้จักความถูกความผิดที่ถูกต้อง สลับสับสนอยู่อย่างนั้น 

เขาเป็นพวกเผด็จการโดยแท้ หัวหน้าเผด็จการใหญ่คือทักษิณ เขาไม่หยุดเผด็จการ ทุกวันนี้ก็ยัง เห่าบ๊องๆ ไม่ยอมแพ้ 

เมืองไทย เผด็จการแพ้ประชาธิปไตยไปนานแล้ว เขาก็ยังงมงายมืดมนอยู่กับความหลงของเขา อยู่ในที่มืด ไม่เคยตื่นไม่เคยรู้สึกไม่เคยเข้าใจ และก็หลงว่าพวกเขาเป็นประชาธิปไตยๆ พวกนี้เป็นพวกเผด็จการ 

ซึ่งอาตมาอธิบายเรื่องเผด็จการไป นักรัฐศาสตร์เขาจะยังเข้าใจไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ตรงคำว่า ประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนรัฐประหารรัฐบาล สำเร็จอย่างสวยงาม ใช้เวลานาน ใช้ความจริงไม่ใช้อาวุธไม่ใช้ความรุนแรง ใช้ความถูกต้อง จัดการ ประหาร หรือปฏิวัติ รัฐบาลไม่ถูกต้อง รัฐบาลไม่ดีออกไป 

จนทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ตั้งแต่ทักษิณสมัคร สมชาย มาถึงยิ่งลักษณ์ เป็นพวกเผด็จการทั้งนั้น แต่เขาหลงว่าเขาเป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นพวกมืดบอด ยังหลงว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย 

ประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการที่เขาไปมองตื้นๆ แค่ว่า พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ จากเมืองไทยที่เป็นสูญญากาศแล้ว ประชาชนปฏิวัติเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะต้องทำแล้ว ประเทศไทยกลายเป็น อากาสาณัญจายตนะ เป็นที่ว่าง อากาศ โดยมีคนไทยเป็น วิญญานัญจายตนะ ขจัดเสี้ยนหนามออกไปเป็น อากิญจัญญายตนะ หมดสิ้นแล้วไม่มีแล้ว อากิญจัญ แปลว่าไม่มีหมดเสี้ยนหนาม ไม่มีกิเลส ไม่มีคนเลว ไม่มีคนที่ต้องขจัดอีก ครบบริบูรณ์ถ้วน เป็นอากิญจัญ เป็นอายตนะ 3 

อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นอายชนะ 3 ที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจนี่คือสัจธรรมที่สมบูรณ์แบบ สัจธรรมที่ลงตัว 

เรียนรู้พยัญชนะให้เข้าถึงสภาวธรรม

อาตมาอ้างอิงธรรมะในระดับโลกุตระมายืนยันอธิบายด้วย ไม่ใช่ว่าอาตมาอธิบายเลอะเทอะโมเม ผู้ที่ฟังธรรมะโลกุตระอย่างที่อาตมาพูดนี้ไม่เข้าใจ เขาจะสับสนวุ่นวายเพราะเขาเรียนมาตาม ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ตามแบบของเขา ซึ่งเขาอยู่ในโหมดภาษาพยัญชนะ แล้วมีแต่เหตุผลของภาษาพยัญชนะ เขาไม่ได้เข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริง

พวกนี้น่าสงสาร เขาเก่ง ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ เขาเก่ง แต่ไม่รู้จักสภาพสัจธรรมปรมัตถธรรม ไม่รู้แม้กระทั่งความเป็นกายก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่เลย ยิ่งความเป็น สักกายทิฏฐิ ความเป็นตัวตนความเป็นอัตตา ยังอีกนาน เขายังเข้าใจไม่ได้ ยังหลง ไม่เข้าถึงสภาวะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน 

เพราะฉะนั้นยิ่งจะเข้าไปแยกแยะกรรมฐานคือเวทนา 108 เขายิ่งไม่รู้จักแน่ จึงได้มิจฉาทิฏฐิ ต้องมีผัสสะนะ จึงปฏิบัติมนสิการได้ในนามทั้ง 5 เขาก็มิจฉาทิฏฐิ ผัสสะไม่มี ก็ มนสิการโดยไม่มีผัสสะ คุณก็มีเวทนา สัญญา เจตนาไปตามในมุมมืดของคุณ แล้วก็เละไปหมด 

เพราะเมื่อไม่มีผัสสะ รูปธรรมข้างนอก เป็นกาย เป็นรูป 28 อุปาทายรูป 24 เขาไม่มีทางได้ปฏิบัติเลย 

อาตมาพูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าอ้างอิงภาษาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นไม่ได้โมเมพูดเรื่อยๆเลอะเทอะเลย

ผู้ฟังธรรมเข้าใจเห็นจริงจะเห็นว่าเขาไม่อยู่ในร่องรอยของพระพุทธเจ้า ไปนั่งหลับตาแล้วจะมีความรู้อย่างที่อาตมาพูดนี้ได้ยังไง พูดไม่ได้ ไม่รู้จักสภาวะแยกแยะไม่ถูก 

ทั้งที่อาตมาแยกแยะนี้ไม่ได้ละเอียดลออมากมายถึงขั้นอภิธรรม มากมายกว่านี้ตั้งเยอะแยะ อธิบายแค่ที่ อาตมาอธิบายนี้ก็เถอะ ใช่ว่าจะรู้กันได้ง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นฟังธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆตามที่อาตมาเอามาบรรยาย เอามาอธิบายให้ฟังกันไปเรื่อยๆ แล้วเอาไปปฏิบัติตาม คุณก็จะได้ไม่เสียชาติเกิด จะได้เป็นอาริยบุคคลไปตามขั้นตอน เหมือนอย่างกันกับชาวอโศกเรานี้ ได้บรรลุธรรมมา เป็นผู้ที่เจริญขึ้นไปตามขั้นตอนไม่เสียชาติเกิด 

คนที่ยังเกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่งไม่ได้บรรลุธรรมเลย นอกจากไม่ได้บรรลุธรรมแล้วกิเลสก็หนาขึ้นหนาขึ้นแล้วมีความเห็นผิดมากขึ้นมากขึ้นอีก มันเสียชาติเกิด เกิดมาไม่ได้ธรรมะแล้วแถมมีแต่มิจฉาทิฏฐิ มีแต่อวิชชา ใส่เต็มหูเต็มหัวไปอีก มันสุดจะน่าสงสาร 

เป็นบุคคลอย่างเก่งที่สุดนะ ในกระบวนการยุคนี้ ก็เป็น ปทปรมบุคคล ในบุคคล 4 

ปรมะ คือ ยิ่งยอด ปท คือ บท ยิ่งยอดโดยบทคือ ไปได้ความยิ่งยอดแต่แค่พระธรรมเป็นบทๆเท่านั้น 

ท่านขยายความว่า ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลเลยในชาตินี้) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ  หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108) 

เป็นพวกที่อเวไนยหรือมิลักขะ เป็นคนเถื่อนอยู่แต่เป็นคนเถื่อนอย่างหลอกมนุษย์ด้วยซ้ำว่าฉันรู้ฉันเจริญฉันกล่าวธรรมด้วยบทเยอะแยะเลย ร่ายภาษาที่รู้มามาก ฟังมามากกล่าวธรรมได้มากก็มาบอกสอนผู้อื่นอย่างแจ้วๆ..แต่ตัวเองไม่ได้รู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรม ได้ธรรมะหรือไม่ได้ธรรมะไม่รู้ 

แค่ ไม่มีผัสสะ โดยเฉพาะไม่มีผัสสะเต็มสภาพภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แค่นี้เขาก็มิจฉาทิฏฐิแล้วว่า ผู้ที่จะบรรลุธรรมจะต้องหลับตาแล้วจะต้องเกิดฌานเกิดสมาธิเกิดปัญญา ในการหลับตา พวกนี้มิจฉาทิฏฐิสนิท เดียรถีย์ 100% ที่ไปเข้าใจว่าจะบรรลุธรรมในการหลับตา ไม่มีผัสสะภายนอก ไม่มี โผฏฐัพพะ เป็นคนไม่เต็มเต็ง

เขามี 6 ขาแต่ตัวเองมีขาเดียวมีแต่จิต อีก 5 ขาไม่มี เป็นคนพิการ รายละเอียดที่ท่าน อธิบายไว้ถึงรูป 28 หรือ อุปาทายรูป 24

แค่ภาวรูป แยกเป็น 2 ก่อนถึงภาวรูป ก็จะมีความรู้ในรูปในนาม จะต้องรู้ภายนอกภายใน ให้เป็น วิสยรูป ให้เป็นรูปที่มีประสาท ปสาทรูป 5 แล้วมีโคจรูปอีก 4 อันนี้ก็เข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ

ทำไมโคจรรูปมี 4 ปสาทรูปมี 5 

ประสาทต้องมีทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วในประสาททั้ง 5 มีจิตร่วมอยู่ด้วยเรียกว่ากาย เพราะฉะนั้นกายจะมีอยู่กับ ชิวหา ฆานะ โสตะ จักขุ กาย

กายนี้ จะเรียกเป็น 1 หรือเป็น 2 ก็ได้ ถ้ารวมทั้ง 5 ทวารและมีจิตอีกอันหนึ่งเป็น 6 เพราะฉะนั้นจิตที่ร่วมอยู่กับ 5 ทวาร มันก็คือกาย เวลามาใช้จริงก็เลยใช้กับ ชิวหา ฆานะ โสตะ จักขุ ใช้อีกกับ 4 อันนี้ แต่จริงๆใจมีอันเดียว 

1 จักขุ (ตา)  6 รูปะ (รูป) 

2 โสตะ (หู)  7 สัททะ (เสียง) 

3 ฆานะ (จมูก)  8 คันธะ (กลิ่น) 

4 ชิวหา (ลิ้น)  9 กายา (กาย)

5 รสะ (รส)    10 โผฏฐัพพะ (สัมผัส) 

 ลุงตู่บริหารประเทศไทยที่มีเนื้อโลกุตระ

_สู่แดนธรรม... พ่อครูพาเรารู้ การเมืองใครเป็นประชาธิปไตยกว่ากัน ผมได้ดูข้อมูล ทำให้รู้ว่า คนบางคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดพรรคก้าวไกล เขาลาออกแล้วมาเปิดเผยว่า ความเป็นจริงในพรรคก้าวไกลไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยเลย คือเขาถามว่า พวกสมาชิกพรรคคุณมีสิทธิ์อะไรบ้างไหม ในการออกเสียงว่าใครควรเป็น สส. หรือนโยบายหาเสียงของพรรค ควรมีทิศทางไปทางไหน พวกสมาชิกพรรคที่เป็นคนชั้นล่างเคยได้รับสิทธิในการออกความเห็นไหมคนที่ลาออกมาคนนี้ก็ชี้แจงว่า จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากคนเพียง 3-4 คนในพรรคเท่านั้น ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างที่เขาได้โฆษณาชวนเชื่อเลย 

พ่อครูว่า... ต่อที่สู่แดนธรรมพูดนี้ เรื่องของการเปิดอิสรเสรีภาพ ดูนายกตู่เถอะ เขาเห่าบ๊องๆๆ ทุกวันนี้มันน่าจะจับเข้าคุก น่าจะให้หยุดเห่าเสีย แต่ลุงตู่ไม่ได้ทำ ไม่ได้สั่งหรอก พวกเรามีใจเอื้อเฟื้อให้เขาได้เห่าบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะอกแตกตาย เห่ายังไงๆ ก็ไม่มีผล กระทบกระเทือนอะไร เพราะน้ำหนักของประชาธิปไตยในเมืองไทยมันแข็งแรงมากแล้ว 

เพราะฉะนั้นเสียงพวกเห่าบ๊องๆๆ เท่ากับเสียงหมาเห่าเครื่องบินเท่านั้น เครื่องบินไม่ได้ยินเสียงหมาหรอก หมาเห่าเสียงตัวเองดังเลย เห่าเต็มที่คอจะแตก นึกว่าเครื่องบินจะได้ยินเสียงหมาเห่า ไม่มีทางได้ยินหรอก จะเห่าให้คอแตกเสียงก็ไม่ถึง แต่ตัวเองนึกว่าเสียงดังเพราะได้ยินแต่เสียงตัวเองแต่เขาไม่รู้ความจริง 

อย่างทักษิณนี่พยายามพูดอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกันแหละทักษิณกับลูกน้องเขาเห่าก็ต้องเห่าเหมือนกัน เห่านี่ภาษา คือ กิน 2 คู่นะ เห่านี่มีตองหนึ่งกับคู่หนึ่งนะ คุณไม่เคยเล่น poker ไม่เคยเล่นเผล่ะสิ อาตมาเล่นมาจนมาก 

_สู่แดนธรรม... ตอนนี้เขาไม่กลัวทักษิณกันแล้วครับ ที่บอกว่าแผ่นดินจะสไลด์ไม่หวังแล้วครับ เพราะว่ามีพรรคก้าวไปไกลๆนำหน้า เขาอยากจะให้พรรคนี้ก้าวไปไกลๆ ไปที่อื่นเลยครับ เลยมีคนให้ข้อคิดว่า

การที่ลุงตู่ทำผลงานมาทั้ง 8 ปีควรเห็นด้วย ผัสสะทางตา กลับไม่พบเห็นหรือพบเห็นก็ไม่เชื่อ แต่คนไทยหลายคนดันไปเชื่ออายตนะที่เกิดทางจมูก คือไปเชื่อกลิ่นน้ำลายของคนโจมตีหาเสียง ทีอย่างนี้คุณเชื่อ พวกเราก็เลยไม่ค่อยสบายใจว่า ดูจากมือถือ เจอแต่โฆษณาของทีมพรรคก้าวไปไกลๆ ทำไมลุงตู่จะได้เข้าวินหรือไม่ 

พ่อครูว่า... ทักษิณก็ก้าวไปไกลคนหนึ่งแล้วไง

เข้าวินหรือไม่เข้าวิน มันอยู่ที่สัจจะ ต้องดูว่าเราไม่เอากับสิ่งเปลือก เอาสิ่งที่เป็นเนื้อถ้าเป็นเนื้อจริงก็เข้ามา ถ้าเนื้อยังไม่จริงก็ยังไม่เข้ามา เราจะพิสูจน์ว่าเป็นประชาธิปไตยเนื้อๆ หรือเป็นประชาธิปไตยจริงๆหรือเปล่า 

ถ้าเป็นประชาธิปไตยเนื้อๆจริงๆก็เป็นได้แน่ เพราะฉะนั้นพวกที่เปลือกๆเห่าๆอยู่รอบๆนอกๆพวกนี้ มันก็ต้องเป็นธรรมดาธรรมชาติ ก็ต้องมีสะเก็ด มีเปลือก มีกระพี้อะไรอยู่ ถ้าแก่นแข็งแรง ไม่มีปัญหาหรอก ดูไป 

อาตมาว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยโลกุตระ ประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศใดๆในโลก อันนี้อาตมาไม่ได้พูดเวอร์ แต่คนจะหาว่าอาตมาพูดเวอร์ ยิ่งเขาเรียนประชาธิปไตยจากเทวนิยมประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยที่ไม่รู้จักธรรมะที่ทวนกระแส 

เช่น เศรษฐกิจที่เจริญนั้นคือต้องเป็นเศรษฐกิจที่ต้องทำให้สังคมเข้าใจความจนแล้วมาเป็นคนจน แล้วจะแก้ปัญหาเสร็จ แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบ 

ถ้าคุณยังงมงายจะแก้ปัญหาให้คนรวย ให้คนไปรวย ให้คนไปรวยได้มากๆ คุณก็ต้องแย่งชิงกันหัวปักหัวปำ ฆ่าแกงกันไปอยู่ตลอดโลกแตก คุณแก้ปัญหาอย่างไรก็ไม่จบ 

เพราะฉะนั้นถ้าแก้ปัญหาอย่างโลกุตระ อย่างในหลวงร. 9 เราตรัส ต้องมาแก้ที่ให้คนเป็นคนพอเพียง มาเป็นคนจนเอาแบบคนจนเป็นผู้ที่ขาดทุนเสียสละให้แก่สังคม คนที่มีเศรษฐกิจเจริญ นั้นคือคนที่สามารถให้คนอื่นได้ เสียสละให้คนอื่นได้ ขาดทุนให้คนอื่นได้คือคนกำไร นั่นคือคนที่มีเศรษฐกิจเจริญ 

คนที่ยังโลภเอาเปรียบเขาโลภมาเท่าไหร่ก็ไม่พอนั่นคือพวกเถื่อน พวกขี้โลภจัด หน้ามืด ฟังธรรมะแค่นี้ออกไหม 

เห็นไหม  คือมันยากนะคนที่จะรู้จักสัจธรรมที่ลึกซึ้ง แล้วประเทศไทยสำเร็จแล้วในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สำเร็จแล้วในการทำรัฐศาสตร์การเมือง แต่ผู้ที่ไม่รู้ก็จะดึงกลับไปสู่ความเสื่อมอีก โง่ไม่เสร็จ ไม่รู้จะทำยังไง ต้องช่วยกัน ยังไงๆก็ไม่สิ้นความหวังจะช่วยให้เขาได้หายโง่ขึ้นมาบ้าง 

_@mongkolsombutpoo มงคล สมบัติภู... ก่อนหน้านั้นผมคนหนึ่งก็เป็นคนหนักแผ่นดิน ไม่เคยรักชาติ ไม่นับถือศาสนา ไม่เคารพกษัตริย์ ด้อยค่าชาติตัวเอง ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน อยากเป็นเมืองขึ้นของอเมริกา เพื่อที่คนในชาติจะได้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกากันทั้งประเทศ ไม่เคารพญาติพ่อแม่พี่น้องเพราะผมถือว่าทุกคนเท่ากันไม่มีพี่ป้าน้าอา ไม่มีบุญคุณต่อบิดามารดา เพราะทั้งสองทำให้เราเกิดเพราะว่าสนุกสนานด้วยกันทั้งสองคนผมจึงได้เกิดมา ถือว่าไม่มีบญคุณต่อกัน แล้วที่เลี้ยงผมมาจนเติบใหญ่ได้เรียนหนังสือก็เพราะมันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่อยู่แล้วที่ต้องเลี้ยงดูผม (ผมเรียนรู้มาจากโซเชียลที่ปั่นกรองอยู่ในสมองผมทุกๆวันจนผมคิดว่าก็จริงของมันแฮะ) 

แล้วมาวันหนึ่งผมได้ยินเสียงเพลง"หนักแผ่นดิน" ผมลองมานั่งฟังเรียบเรียงเนื้อแล้วคิดตาม ผมว่าผมนี่เป็นคนหนักแผ่นดินจริงๆ ผมแม่งโคตรเลวเลย ลืมรากเหง้าของชาติกำเนิด ลืมวัฒนธรรมที่ดีของประเทศไทยที่สั่งสอนให้ต้องรักชาติศาสน์กษัตริย์อย่าลืมบุญคุณบิดามารดา ไม่คิดทำร้ายชาติของตัวเอง ต่อไปนี้ผมจะกลับตัวเสียใหม่เป็นคนไทยที่จงรักภักดีต่อชาติศาสน์กษัตริย์ตลอดไป

 

เพลงหนักแผ่นดิน

หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน

คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน

ได้อาศัยโพธิทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย

คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย

แต่ยังฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเช่นทาสของมัน...

พ่อครูว่า... นี่คือคนหนักแผ่นดิน ดัง คนแต่งเป็นทหารยศสิบโท สิบโทบุญส่ง 

_กิ่งธรรม .  กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพศรัทธายิ่งค่ะ....ลูกได้อ่านบทความของประเทศที่เขามีความขัดแย้งเรื่องการเมืองต่ำมากเพราะนักการเมืองไม่โกง...ประชาชนไว้ใจรัฐบาลมากเพราะรัฐบาลทำเพื่อประชาชน  และตัวประชาชนเองก็ไม่เลือกคนโกง  เป็นวัฒนธรรมของประเทศเลยว่า การโกงต้องเป็น 0   เป็นประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดีมากๆ   อย่างเช่น เดนมาร์คเป็นต้น  

ฟังแล้ว เชื่อว่า  ปชช.เองก็พร้อมจะเสียภาษีแม้มากเพราะเขาจะได้รับในภายหลัง แม้อโศกเองพวกเราก็พร้อมเสียภาษี100% (พ่อครูว่า... อันนี้สุดยอดเลยนะ ในโลก) เพราะเข้าใจในคำสอนของพ่อท่าน  

แต่เมื่อเปรียบกับประชาชนคนไทยและนักการเมืองส่วนใหญ่ของไทยแล้ว  ยังมีนิสัยฉ้อฉล  กลโกง  ปั้นน้ำเป็นตัว ให้ร้ายป้ายสีกันต่างๆ  นานา  แสดงถึงผลการสอนศีลธรรมจากศาสนา  หรือผลการสั่งสอนระบบการศึกษาของเราแย่มาก  ล้มเหลวใช่ไหมคะ?...

ตอนแรกลูกรู้สึกอยากเป็นชาวเดนมาร์คจังค่ะที่มี  รบ.และสวัสดิการรัฐดีมาก   แต่พอมาคิดอีกทีก็คิดว่า ถ้าดีขนาดนั้นเราก็ไม่ได้สร้างบารมี   ไม่ได้เสียสละ  ไม่ได้ต่อสู้ให้คนดีๆ  อย่างที่เรากำลังช่วยลุงตู่อยู่ขณะนี้  ความคิดสร้างสรรด้านการต่อสู้ ด้านการเรียนรู้ความโง่เง่าของคน  เราก็จะไม่ชัดเจน   อยู่ประเทศไทยนี้ดีที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ชัดเจนระหว่างความดีกะความชั่ว  และเลือกข้างที่ดี  เราต้องออกแรงเสียสละเพื่อช่วยคนดีถือว่าได้สร้างบารมี   นับว่าดีกว่าอยู่ประเทศที่มีทุกอย่างดีอยู่แล้วไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาก คิดแบบนี้ดีไหมคะพ่อ...ใช่ไหมคะ?  

พูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงพี่อ๋อย  เอื้อมพร   ที่ต้องไป  ๆ มา ๆ ระหว่างไทยกับเดนมาร์ค  พออายุมากขึ้นก็จะไปมาลำบากขึ้น  ลูกได้อยู่ที่นี่นับว่าดีที่สุดแล้วค่ะ ต้องกราบขอบพระคุณพ่อท่านที่สร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้อยู่ค่า.

พ่อครูว่า... ใครว่าการศึกษาไทยเราล้มเหลวไหม อาตมาว่าล้มเหลวเละเลย 

อบาย ทุคติ วินิปาต นรก คืออะไร

_จาก ครูมัธยม ในจูฬกัมมวิภังคสูตร เหตุแห่งอายุสั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น  คำว่า "อบาย ทุคติ วินิบาต นรก" ...หมายความว่าอะไร กรุณาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆด้วยค่ะ นมัสการขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... อบายแปลว่าไม่สบาย ปายะ เป็นความเจริญ เป็นความได้ เป็นประโยชน์ อปายะ คือไม่เป็นความได้ ไม่เป็นประโยชน์ แปลเอาความว่า ไม่สบาย 

ทุคติ คือ ที่ไปที่มันเลว ที่ไปที่จะดำเนินไปเดินทางไป ไปสู่ที่ ทุกข์(เลว)

วินิปาตะ แปลว่า ตกลงไปในที่ๆที่มันไม่มีที่จะตกแล้ว มันตกต่ำ จนไม่มีที่จะตกอีกแล้ว วิ นิ ที่ต่ำ คุณจะตกต่ำขนาดไหนก็ดี ตกไปจนกระทั่งถึงไม่ต้องตกในที่ๆตกอีกต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันตกลงไปในที่ที่ต่ำที่สุดแล้ว 

นรกก็เป็นคำกลางๆ หมายถึงสิ่งที่เป็นทั้ง อบาย ทุคติ วินิปาตะ เป็นสิ่งที่เป็นนรกเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าจะไปจริงๆก็หมายถึงว่า

มันไม่ ระ กะ และ นะ คือไม่ แปลว่า โพธิรักษ์นะ พวกนัก ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อย่ามาแย้งนะ อาตมาพวกนอกระบบ 

เพราะว่าพวกนี้ เขายังไม่ใช่ความเป็นคน นระ คือ คน ก คือผู้ที่เป็น นระ เขาไม่ได้เข้าใจความเป็นคน เขาเป็น นระกะ เขาไม่ ระกะ

อธิบายไปตามประสาอาตมาในเวลาอีกนิดหน่อยนะ ให้ฟังสิ่งที่แปลกใหม่ 

ระ คือ พยัญชนะเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ก เป็นพยัญชนะตัวแรกใน 5 วรรค 

รากเหง้าของภาษาบาลี 

วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง

วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ

วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น

วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม

เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ก เป็น static ระ เป็น dynamic เป็นตัวขับเคลื่อน 

เพราะฉะนั้นพวกนี้ไม่มีปัญญา นรกะ คือไม่มีปัญญาที่จะ รู้ ระกะ

แต่ พวกที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้จักนรก นะ ระ กะ ไม่นำหน้า ระกะ

ส่วนผู้ที่จะรู้จัก กะ รู้จัก นะระ คือความเป็นคน 

จึงรู้ว่าคนหนอคนนั้นสำคัญไฉน มันอยู่อย่างโง่ๆวนไปวนมาวุ่นไปวุ่นมา ใช้พยัญชนะเหล่านี้มาอธิบายสภาวะเป็นนัยยะของระดับคนที่จะต้องเข้าใจว่า พยัญชนะแต่ละตัวที่ผู้บัญญัติขึ้นมา เป็นปราชญ์เอก เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ สร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสภาวะสัจธรรมทั้งหลาย 

มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันเป็นเรื่องสัจจะที่ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่จะสามารถเข้าใจความหมายของพยัญชนะแต่ละตัว หมายถึงสภาวธรรมอะไรได้ถูกต้องจริง จึงไม่ใช่เรื่องมาทำเป็นแอ๊คเล่นๆ มาทำเป็นพูดเลอะเทอะ ไม่ใช่ มันเป็นรากฐานของความจริง พยัญชนะสื่อสภาวะ มันเป็นความจริง จึงใช้อันนี้เป็นสื่อให้คนรู้จักความจริงตามพยัญชนะ แล้วก็มาเป็นภาษา มาเป็นคำ มาเป็นวลี มาเป็นประโยค อะไรต่ออะไร จนกระทั่ง เป็นคัมภีร์ตำรา เพื่อที่จะให้คนได้ศึกษาเรียนรู้สัจธรรมทั้งหลาย มันจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ 

เรียนรู้ สกะ สวะ สยะ 

อาตมาพูดนี้ อย่าว่าพูดเพ้อๆเล่นๆหัวๆไม่ใช่ แต่พูดด้วยความจริงที่พยายามใช้สภาพ 2 คือ ภาษาหรือพยัญชนะสื่อเข้าไปสู่สภาวะ สภาวะสัจจะ 

อธิบายให้รู้ทั้ง 2 สภาพ ถ้ามันแย้งกัน สลับกัน มันก็ผิด ถ้ามันสอดคล้องกันแล้วมันก็มีการ 2 อย่างจะไม่เหมือนกัน จบด้วย 2 อย่างจะไม่เหมือนกัน ถ้ามี 2 ผู้ที่เข้าใจ 2 อย่างลงตัวกันเป็นหนึ่งด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งสามารถเข้าใจว่าเป็น 0 ได้ ทุกอย่างเป็นแค่อนัตตา เป็นแค่สมมุติ เป็น 1 แล้วก็อาศัยเป็น 1 ไปร่วมกัน แล้วแต่ละคนก็ยิ่งสามารถทำจิตให้เป็น 0 ได้เลยก็จบ จบด้วย 0 1 2 

เพราะฉะนั้นจะไม่งง ไม่สงสัยในความเป็น 2 เลย ในอะไรก็แล้วแต่ต้องเป็น 2 ถ้าอันใดไปหลงเป็น 1 แล้วยึดเป็น 1  เช่นยึดพระเจ้าว่าเป็น 1 เท่านั้นไม่มี 2 อย่าไปแยก อย่าไปอธิบายเป็น 2 อีกไม่ได้ต้องเป็น 1 นิรันดร ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ พวกนี้มืดบอด อยู่กับความเที่ยงที่ ทั้งตายทั้งเน่า อยู่กับซากศพที่เน่าด้วย น่าสงสาร 

กาละต้องเคลื่อนไป ไม่มีกาละใดที่ไม่เคลื่อน เทศะก็เปลี่ยนไป ฐานะก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมสัดส่วน ฐานะคือภูมิธรรม เทศะคือ ภูมิประเทศ กาละคือสิ่งที่เคลื่อนไป 

ถ้าเข้าใจอันนี้ดี คุณจะอยู่กับโลกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ศึกษาธรรมะจนกระทั่งเข้าใจแม้แต่อัตตาหรือจิตวิญญาณของเรา แล้วก็เข้าใจรอบถ้วนเลยว่า เราอาศัย เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เราแค่อาศัย แล้วก็ไม่มียางเหนียวอะไรที่จะติด ยึด ไม่รู้จักปล่อยวาง 

เป็นผู้ที่รู้จักสูงสุดในเรื่องของพลังงานเศษวรรค แค่ ยะ 

อยะ ไม่มีแม้แต่เหลือยาง อะ คือไม่ ไม่มีแม้แต่ยางแล้ว อยะคือยางเหนียวที่มันยึดอะไรต่ออะไรอยู่ด้วยอวิชชา 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ด้วยวิชชาแล้วก็ใช้ยางเหนียวนี้เพื่ออาศัย เพื่อ สยะ เท่านั้น โดยใช้งานชั่วคราวเรียกว่า สวะ และ อยู่กับโลกเขาอย่าง สักกะ 

สักกะ สวะ สยะ 3 อย่างนี้ อาตมาใช้พยัญชนะพวกนี้มาสื่อสภาวะธรรมที่ลึกซึ้ง อธิบายสภาวะธรรมมาสู่ฟัง

อาตมาอธิบายสภาวะของ สักกะ อย่างไร สวะ อย่างไร สยะ อย่างไร 

เช่น อาสวะ พวกเราเข้าใจว่าอาสวะเป็นกิเลส 

อาสยะ ไม่มีกิเลสแล้วเป็นอาศัยเท่านั้น 

ถ้ายิ่งเป็น อาสกะ มืดเลย แน่นเลยใหญ่เลย เป็นคนโลกๆไปเลยตลอดกาลอีกนานเท่านาน กว่าจะตรัสรู้ กว่าจะหลุดพ้น พวก สักกะ 

ที่อาตมาอธิบายไปนี้ไม่ใช่พูดพล่อยๆ พูดเล่นไปตามความคะนอง ไม่ใช่ 

อาตมาพูดโดยอาศัยสภาวะธรรมะ เป็นเครื่องอธิบายพยัญชนะทั้งหลายแหล่ที่ปราชญ์เอกผู้ที่บัญญัติภาษาขึ้นมา โดยเฉพาะตั้งแต่ภาษาบาลี เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งสร้าง แล้วพระพุทธเจ้าองค์หลังๆต่อมา ก็ใช้ภาษาพวกนี้ ภาษาบาลีเป็นต้น เรียนรู้จากภาษาให้เป็นสภาวะ จนเข้าใจสภาวะสูงสุด ก็ต้องใช้สื่อจากภาษา 

คนไม่รู้สภาวะไปหลงแต่ภาษาเป็น ปทปรมบุคคล จึงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดที่ได้พูดไปแล้ว 

อาตมาพูดไปบรรยายธรรมะไปก็เพื่อคนในโลกที่จะต้องมีธรรมะ เพราะฉะนั้นคนที่มิจฉาทิฏฐิก็จะบอกว่าธรรมะปฏิบัติธรรมอะไรมายุ่งกับโลก คุณจะแยกโลกแยกธรรมออกจากกัน คุณก็ไปอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็แล้วกัน แยกโลกแยกธรรมออกจากกัน จะไปอยู่ที่ไหน คุณจะออกไปอยู่นอกโลกอวกาศ คุณก็อยู่ในกระแสของแรงดึงดูดของอันนั้นอันนี้ ถ้าไม่งั้นคุณก็จะกลายเป็น อุกกาบาต ถูกแรงดึงดูดตรงไหนดึงดูดไปก็ไปกับเขาไปเรื่อย ดีไม่ดีดูดแรงอุกกาบาตก็ไปกระแทกโลกจนเป็นหลุมอุกกาบาต ดีไม่ดีทำเอาโลกลูกนั้นเคลื่อนไปจากเส้นวงโคจรได้เลยนะ นั่นแหละคือความไม่เที่ยงของมหาจักรวาล 

จะเป็นแรงดึงดูดหรือเป็นแรงกระแทกของทั้งอุกกาบาต ของดวงดาวต่อดวงดาว หรืออะไรก็แล้วแต่ พวกนี้เป็น อจินไตย มันมีทั้งพลังงานในระหว่างที่ว่าง พลังงานอยู่ในที่ว่าง และพลังงานที่ใกล้ชิดกันกระทบสัมผัสกัน แตะกันเลย กระแทกกันเลย อย่างแรงถึงขั้นระเบิดเลย มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติของธรรมชาติทั้งหลาย 

เอาละ ไอ้อย่างนั้นเป็นเรื่องนอกตัว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่ต้องไปสนใจมาก มันเกิดอยู่อย่างนี้นิรันดร 

แต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือเราเกิดมาเป็นชีวะแล้วเป็นจิตนิยามแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนเรา ท่านก็มีจิตนิยามและท่านก็ตรัสรู้จิตนิยามว่า จิตนี้คือแค่สังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วเรียกกันว่า วิญญาณ เรียนรู้มันแยกได้เป็น 2 อย่างคือ นามกับรูป ก็เรียนรู้นามรูปนี้ไป แม้มันจะไปรวมกันเป็นอายตนะ ก็สามารถแยกออกได้เป็น 2 เรียนรู้อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ถ้าไม่รู้ก็กลายเป็นโทษ กลายเป็น ตนะ คือ ตัวตน ไม่รู้ว่ามันรวมกันอยู่เพื่อประโยชน์ อายะ

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้ได้ โดยอาศัยผัสสะ มีผัสสะกระทบสัมผัสตื่นเต็มด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะรู้จัก รู้ได้ด้วยมีเวทนาเป็นตัวบ่งชี้ เพราะฉะนั้นเวทนาจึงเป็นฐานที่เรียนรู้อย่างสูงสุด 

ศาสนาเทวนิยมไม่มีปัญญาที่จะรู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่มีปัญญาที่รู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เขาก็จมอยู่ในโลกียะ มีแต่ดีชั่ว ชั่วดี ไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักจิตวิญญาณเต็ม ไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีนิพพาน 

เขาจึงจมอยู่กับจิตนิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้น คุณจะอยู่ต่อไปโดยไม่ทำชั่วเลย ทำแต่ดี จะเกิดอีกกี่ชาติก็ทำแต่ดี แล้วสุดท้ายไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เรียนรู้เวทนาสมบูรณ์แบบ เป็นคนที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นคนที่รู้จักจิตวิญญาณคืออะไร อยู่ต่อไปก็มีแต่ประโยชน์ มีแต่ อายะ

เพราะฉะนั้นจึงอยู่กันอย่างเป็นพวกที่มี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เป็นอายะที่สอง อยู่กันอย่างเป็นคนที่สร้างประโยชน์ แล้วเป็นคนที่ทำให้โลกนี้หรือมนุษยชาติมีสุข 

สุข โดยพยัญชนะที่หยาบๆก็แปลว่า สุขสบาย

สุ แปลว่า ดี 

ข คือว่าง แต่ว่างนั่นแหละดี คนที่รู้อย่างนี้คือพวกที่เป็นผู้ที่มี ประโยชน์ต่อโลกอนุเคราะห์โลก หรือโลกานุกัมปายะ นั่นแหละคือผู้ที่เป็นพระเจ้าตัวจริง เป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้อนุเคราะห์โลก จัดสรรโลก ให้อยู่อย่างมีประโยชน์อยู่กันอย่างมี สุขะ จบ อายะ เพราะเวลามันหมดมาครู่ใหญ่แล้ว

_สู่แดนธรรม... ก่อนจบขอพูดคำคมจาก คุณไชยยะฝากถึงคุณศิลป์สร้างว่า... ผู้ที่จะมาเนรคุณชาติบ้านเมือง มักจะมากับคำว่า พัฒนาและคำว่า คุณภาพที่ดีกว่าครับ ...สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #21 ตอบปัญหา ใครคือเผด็จการ ใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:55:06 )

660510

รายละเอียด

660510 ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53264.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1pxHwtgVV-WMs9tcUTJLpjLfWsQVPjyxU/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1NPGbPRK6avieekwgUzSTs06EaF0MzadN/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1226683051311421

 

การเมืองประชาธิปไตย ประเทศไทยที่สวยงามที่สุดที่โลก

สมณะเดินดิน...วันนี้วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศกเป็นวันแรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ เมื่อกี้กูรูแป้งบอกว่าหมดหน้าร้อนแล้วจะเป็นหน้าฝน ช่วงนี้ฝนฟ้ากำลังจะตก เหลืออีก 3 วันก็จะรู้แล้วว่าอะไรออกมา 

คราวที่แล้วพ่อครูบอกว่า อะไรจะเข้าวินอะไรไม่เข้าวิน ต้องดูที่ว่าอะไรเป็นเนื้อจริง เป็นประชาธิปไตยเนื้อๆเป็นของจริงหรือเปล่า ตอนนี้รู้สึกว่าโพลมีผลต่อประชาชนมากๆ ดูของลุงตู่แทบไม่เห็นอะไรออกมา มีแต่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลมาทั้งนั้น 

แต่คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรมบอกว่า ถ้าผลเลือกตั้งอย่างที่โพลออกมา เขาก็จะเลิกพูดเรื่องการเมืองเลยจะไปพูดแต่เรื่องธรรมะ ก็ต้องหยุดเรื่องการเมืองเลย เขาก็ให้ดูการสุ่มตัวอย่างในแต่ละเขต แต่ละเขตประชาชนไม่ต่ำกว่าแสนคน แต่เอาตัวอย่างมาไม่ถึง 10 คน 10 คนในแสนคน จะไปรู้ได้อย่างไรว่า คนติดตั้ง 8หมื่น 9หมื่น

พ่อครูว่า... เขาคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้วหยิบเอาตัวอย่าง ว่านี่แหละเป็นตัวอย่างของค่าเฉลี่ยทั่วไปได้ เขาบอกว่า 1 2 3 แทน 100 ได้ 

สมณะเดินดิน... คุณสนธิญาณเอาอาชีพเป็นเดิมพันหรือว่าจะเลิกวิเคราะห์การเมืองเลย ดูเมื่อวานคุณพีระพันธ์พยายามบอกให้นายกเห็นว่า ไปที่ไหนก็เห็นทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กตื่นตัววิ่งเข้ามาหา วิ่งเข้ามากอด 

พ่อครูว่า... นี่แหละคือความสำเร็จของการเมือง ความสำเร็จของจิตวิญญาณที่เป็นการเมืองโลกุตระ ไม่ใช่ความสำเร็จของการเมืองที่ได้อำนาจ จะสั่งอะไรก็สำเร็จได้..ไม่ใช่ จะได้จิตวิญญาณของมนุษย์เกิดความรัก เกิดสิ่งที่เป็นพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ นี่มันเกิดคุณธรรมสุดยอดอย่างนี้ในจิตวิญญาณมนุษย์ นี่ถือว่าเป็นงานการเมืองหรืองานประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์แบบที่สุด 

สมณะเดินดิน... คุณพีระพันธ์บอกว่าอยู่ในการเมืองมา 30 ปีไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้ และไม่ได้เป็นที่จังหวัดเดียว เป็นที่ภาคเดียว

พ่อครูว่า... เป็นเครื่องชี้บ่งว่าการเมืองประชาธิปไตย ประเทศไทยที่สวยงามที่สุดที่โลกในประเทศไหนไม่มีเหมือนหรอก เอาไปชี้เลยเอาจุดสำคัญไปชี้เป็น Interest Point ของความเป็นประชาธิปไตย 

สมณะเดินดิน... ตัวแพ้ชนะอยู่ที่อะไรมีเนื้อประชาธิปไตยที่แท้จริงกว่า แต่ทุกวันนี้นักข่าวก็ดี นักวิชาการก็ดี ไปจับอยู่ที่กระแส ตอนนี้เขาก็วิเคราะห์ว่า ตัวตัดสินจริงๆอยู่ที่กระสุน ตัวเขตนี่แหละแต่ละพรรคจะเอากระสุนไปยิงกันเท่าไหร่ กระแสนั้นได้แค่ร้อยเดียว พวกปาร์ตี้ลิสต์ ส่วนกระสุนนั้นได้ ส.ส.เขตอีก 400 เขาไม่สนกระแสแต่เขาสนที่กระสุน 

ประชาธิปไตยของนักวิชาการหรือนักข่าวเขาดูที่ว่า กระแสบวกกระสุนบวกการตลาดด้วย แล้วยกมือให้ใครเป็นฝ่ายชนะ ต้องดูโพลที่พ่อครูบอก ว่าเนื้อแท้ตัวจริงประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน ตรงนั้นน่าจะเข้าวินมากกว่า 

สรุปแล้วสิ่งที่เป็นสัจจะพลังของสัจจะ กับพลังเงิน พลังการตลาด การสร้างกระแสขึ้นมา ประเทศไทยหวยจะออกอะไร 

แต่พ่อครูเคยบอกว่า พวกเห่าบ๊องๆนี้ก็มีฤทธิ์เดชเหมือนกัน มันเห่ามีเสียงแต่ทำให้ครอบคลุมประเทศไทย เหมือนกับว่าเขาจะมาล้มสถาบันแล้ว ยึดอำนาจแล้ว แต่จริงๆแล้วจะมีสักกี่คนมายึดอำนาจ คนไทยมากกว่า 90% จะยอมให้เขายึดอำนาจสถาบันหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเด็กมาไม่นานเท่าไหร่เลยจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอะไรอย่างนี้ ซึ่งกระแสตรงนี้มันก็มีผลเหมือนกัน 

แต่พวกเราที่ขี่จักรยานไป ผ่านบางโรงเรียนเด็กๆก็ไม่ชอบพวกนี้ แม้แต่เด็กต่างจังหวัดก็แสดงออกมาทางประชาธิปไตยของเขาเหมือนกัน มีคนที่ครอบงำเด็ก แต่จริงๆก็คงไม่ใช่แกนหลักหรือเสียงส่วนใหญ่ของคนในชาติ แต่ดูเหมือนเห่าออกมา เหมือนครอบงำสังคมไทย คิดว่าสังคมไทยจะเป็นอย่างนั้นแล้ว 

อีก 3 วันเขาบอกว่าคำทำนายคำพยากรณ์ โพล ก็เหมือนคำพยากรณ์จะพยากรณ์ให้แม่นขนาดไหน 

แต่ก่อนนี้มีชาดก ที่ว่า ถ้าเมืองสองเมืองรบกัน ดาบส (อดีต พระพุทธเจ้า)บอกว่า พระราชาแคว้น ก. จะชนะ พระราชาแคว้น ข.ก็จะแพ้ เมื่อมีคำทำนายอย่างนี้ พวกแคว้นก.ก็จะเฮฮา จัดเลี้ยงฉลองไม่ไปฝึกซ้อมรบ แต่ว่าแคว้น ข. เตรียมพร้อมมากกว่าเพราะว่ารู้ว่าตัวเองจะแพ้ สุดท้ายแล้ว แคว้น ข.ก็ชนะ 

ดาบสบอกว่า ความพยายามของบุรุษที่แน่วแน่ มั่นคง แม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อย่างนั้นพวกเรา มีอะไรจะช่วยกันเหลืออีก 2-3 วันก็ สำคัญที่จะทำให้เหนือคำทำนาย เหนือโพล ทำประชาธิปไตยที่เป็นเนื้อนี้ให้เกิดขึ้นได้ จะเกิดเนื้อขึ้นได้เพราะเราเข้าใจในสัจธรรม 

พ่อครูว่า... เดี๋ยวเราจะได้พูดถึงที่ท่านเดินดินเกริ่นนำว่า ประชาธิปไตยคืออะไร การเมืองคืออะไร 

ยิ่งขุดยิ่งพบความดี ของนายกฯลุงตู่

_โอ๋-บัวกรุ่นบุญ 9 พ.ค.2566

น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

ช่วงนี้การเมืองมาถึงโค้งสุดท้าย 14 พ.ค.นี้ ชาวไทยทุกคนก็จะได้ช่วยกันตัดสินแล้ว  ตั้งแต่พ่อครูปลุกพลังชาวอโศกและพลังเงียบให้ออกมาสนับสนุนลุงตู่ เห็นว่ามีผลตอบรับในทางที่ดีมากๆค่ะ พวกเราร่วมมือร่วมใจออกมาช่วยกันทุกภาคส่วน ทำเต็มที่ เท่าที่แต่ละคนจะทำได้ค่ะ  

พ่อครูว่า... ก็ได้ผล ทำให้คนตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ทำให้คนเปลี่ยนเป็นคนไม่ดูดาย เมื่อเราเป็นคนเป็นมนุษย์ในสังคมประเทศนี้ มันก็มีผลต่อเรา เพราะเราอยู่ในสังคมนี้เรื่องการเมืองไม่มีผลต่อเราไม่ได้มันมีผลต่อเรา เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องออกไปแสดงความเห็นร่วมแสดงออกเป็นคะแนนหนึ่ง ที่จะเห็นอย่างไรที่เขาต้องการให้เห็น แต่ละคนก็จะเกิดความเห็นหรือทิฏฐิของแต่ละคน หรือ Concept ของแต่ละคน ความคิดองค์รวมของแต่ละคนว่า เราเห็นอย่างนี้ เรามีความเห็นความต้องการ จะให้เราชี้ เราก็ชี้อย่างนี้ จะเลือกใครหรือเอายังไงอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มาชี้ 

ผลงานของลุงตู่เป็นกระแสที่เป็นความจริง แรกๆก็ไม่มีใครรู้หรอกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพลเอกประยุทธ์จะเป็นนักการเมืองตัวเอกที่สำคัญแค่ไหน ก็ไม่มีใครคิดจะรู้ 

แต่พอได้กระทำมาแล้ว ถือว่าเป็นงานการเมือง 8 ปีของพลเอกประยุทธ์จึงเห็นผลเมื่อ 8 ปีผ่านมา เพราะฉะนั้นน้ำหนักของความจริง ที่ในเลือดหรือในความเห็นความรู้ ความคิดองค์รวมของคนไทย มันแสดงออก ว่าอย่างนี้อันนี้คนนี้มาทำงานงานนี้ คืองานการเมืองมาเป็นนายกฯ 

ก็แสดงว่าคนไทยเจริญ มีความรู้จริง ไม่ใช่ไปถูกหลอกด้วยวิธีอย่างนั้น แทคติกอย่างนี้ เพื่อที่จะให้ได้คะแนนเสียง ใช้วิธีการสารพัด โดยเฉพาะทางสื่อโซเชียลเดี๋ยวนี้เขาลงทุนเลยนะ ทำมากเลย แล้วก็มีวิธีต้องไปตะโกนหาเสียงอะไรต่างๆนานา ซึ่งไม่ใช่

คนไม่กตัญญูคือคนไม่ดี ที่ไม่ใช่แค่คนเห็นต่าง 

_ตอนนี้มีคนเห็นความจริงมากขึ้น เห็นค่าของลุงตู่เพิ่มขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพรรคก้าวไถล เพื่อใคร นี่ล่ะค่ะ ที่ผู้นำพรรคไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยกัน มีคลิปหลุดบ้างอะไรบ้าง 

พ่อครูว่า... คนจริงคนไม่มีแผลยิ่งต้องการให้คนตรวจสอบ คนจริงคนที่มีผลงานด้วยจะเห็นผลงานยิ่งขึ้น ไม่มีแผลก็จะยิ่งเห็นความสะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เห็นไหมมันเป็นผลซ้อนที่มันสุดยอดเลย 

_เป็นสิ่งหนึ่งช่วยผลักดันให้คนต้องมาขุดคุ้ยหาดูข้อมูลของลุงตู่มากขึ้น พอยิ่งดูก็ยิ่งรู้ ยิ่งรักลุงตู่  ก็เพราะเหตุว่า ลุงเป็นคนดี ดีมานานแล้วด้วยค่ะ ถูกปลูกฝังความซื่อสัตย์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทำเพื่อผู้อื่นมาตั้งแต่เด็กๆ

คนดีๆเขาก็มองเห็นความดีของลุงตู่ ไม่สงสัยค่ะ หลายคนเพิ่งเห็น ซึ่งก็ดี แต่อีกหลายคนก็ยังไม่เห็น แถมยังต่อว่ากลับ ด้วยการเรียกคนดีที่สนับสนุนลุงตู่ว่า..  "ไอ้พวกคนดี" ฟังดูก็ดีนะคะ เราเป็นพวกคนดี ไม่ได้เดือดร้อนแต่อย่างใด แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาใช้คำว่า “ไอ้พวกคนดี” มาเป็นคำต่อว่า เป็นคำด่า

เขาคงแยกแยะไม่ออกจริงๆ หรือ ว่า ... คนดี คืออย่างไร ?  แล้ว คนดี สำคัญอย่างไร ?

ทำไมต้องเป็นคนดี ?  

อยากกราบขอความเมตตาจากพ่อครู ช่วยให้คำนิยามของคำว่า

"คนดี" และ "ลักษณะของคนดี" ด้วยค่ะ

 กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงในความเมตตาค่ะ

พ่อครูว่า... คนดี คือ คนกิเลสลด จนกระทั่งเป็นคนไม่มีกิเลส นี่คือคำตอบที่ถูกที่สุด คุณจะเอาอะไรอื่นมาวัด สู้อันนี้ไม่ได้หรอก คนดีคือคนรู้จักการลดกิเลส และทำให้กิเลสลดจนหมดกิเลส อรหันต์คือคนดีที่สุด 

ลักษณะของคนดีคือยังไง คนดีจะเป็นคนที่มีวรรณะ 9 คนดีจิตวิญญาณจะเป็นพุทธพจน์ 7 คนดี อาตมาสรุปเป็นภาษาง่ายๆว่า จะเป็นคนที่มี อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ นี่คือคนดี 

ใครที่จะปฏิบัติตนเองหรือมีชีวิตขึ้นมา ทำตนเองให้เข้าใกล้ความมีอิสระ สำคัญนะความอิสระ บอกง่ายๆว่าที่มันไม่อิสระเพราะถูกอำนาจโลกีย์ อำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นนาย มันบังคับ 

เพราะฉะนั้นคนที่หลุดพ้นจากอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คือคนอิสระสุดยอด 

เพราะฉะนั้นลักษณะของคนดีก็เป็นคนที่ อย่างพวกเรานี่ เป็นลักษณะของคนดี แล้วคนดีมารวมตัวกันก็เป็นกลุ่มชุมชน เป็นกลุ่มสังคมหมู่ แล้วสังคมหมู่นั้นจะอยู่กันอย่างไร สังคมหมู่นั้นก็จะอยู่กัน

อย่างดูได้เลย อ่านออกจากคนหมู่นั้นจะมีลักษณะของคน อยู่กันอย่างมีกายกรรมเมตตา มีวจีกรรมเมตตา มีมโนกรรมเมตตา มีลาภที่ได้โดยธรรมแล้วก็เอามารวมกัน กินใช้ด้วยกัน เป็นสาธารณะ และเป็นคนที่ปฏิบัติตน ต่างคนต่างมีทิฏฐิเป็นสัมมา สามัญญตา ต่างคนต่างมีศีลสามัญญตา นี่คือสิ่งที่ตรวจสอบได้ว่าเป็นลักษณะของคนดี จนกระทั่งถึงเกิดชุมชนของคนดี 

_ต้อย  น้อมนบ : โค้งสุดท้าย     ท่ามกลางการต่อสู้อย่างเข้มข้นเพราะสงครามครั้งนี้... เราแพ้ไม่ได้จริงๆ... จึงมักได้ยินคำนี้  "ความคิดต่าง"  ซึ่งคนพูดคงหมายให้แต่ละฝ่ายวางใจกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

พ่อครูว่า... ความคิดต่าง คือ นานาความคิด เป็นสังวาสเดียวกันคือคนไทยร่วมกัน แต่มันมีความคิดต่าง จะให้มันมีความคิดเหมือนกันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นอันไหนที่มันต่างจนกระทั่งเข้ากันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่ อันไหนพอเข้ากันได้ก็มารวมกัน เข้ากันได้ 1% เข้ากันได้ 10% เข้ากันได้ 50% เข้ากันได้ 80% แต่จะหาที่เข้ากันได้ถึง 100 นั้นไม่ได้หรอก สูงสุดได้ 90 ถึง 99 ก็ยอดเยี่ยมแล้วในมนุษยชาติ อย่างพวกเรานี้อยู่กันอย่างดี 99-100 ไม่ถึง 100  90-99 อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นไปได้แล้วก็สูงสุดแล้ว 

คนพูดคงหมายให้วางใจกันก็ใช่ ตามหลักพระพุทธเจ้าเรียกว่า นานาสังวาส เมื่อพิจารณาดูแล้วความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่ง ความเห็นของเราก็อย่างหนึ่ง ท่านตรัสกับสงฆ์ ท่านตรัสกับหมู่ชนว่า 

เทวทัตนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเห็นของเทวทัตก็เป็นอย่างหนึ่ง เป็นของเทวทัต ของเราก็เป็นอย่างหนึ่งของเรา ท่านตรัสอย่างนี้คือความเป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน ไม่ต้องมาทะเลาะกัน จะว่ากันจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรอย่างแรงๆได้ ต่อว่าต่อขานคัดค้านอย่างแรง ตำหนิอย่างแรงได้ แต่อย่าฟ้องร้องกัน อย่าทำคดีกัน ปากหอกไม่ว่า อย่าให้เกิดเป็นคดีแล้วจะตีกัน ยิ่งไม่เอา ให้เกิดแค่คดีกัน ขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นคดีฟ้องร้องกันก็ไม่ ให้เป็นสิทธิของแต่ละคน 

คุณเห็นอย่างของคุณก็ว่ากันไปจะตำหนิอย่างโน้นก็ว่าไปแรงๆเลยเต็มที่เลยได้ นี่เป็นเรื่องของนานาสังวาสในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า 

_ จึงขอร่วมออกความเห็นว่า นี่ไม่ใช่เรื่องความคิดต่างแต่อย่างไร  ถ้าเมืองไทยคือครอบครัวใหญ่ของเรา ลูกทุกคนต้องเคารพรัก มีความสำนึกกตัญญูรู้คุณทดแทนคุณต่อพ่อแม่ อันเป็นหน้าที่สำคัญของคนเป็นลูกที่ดี 

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงชี้ชัด "คนดีคนชั่ว" ต่างหาก ถ้าปล่อยให้คนชั่วได้อำนาจปกครองดูแลบ้านเมืองของเราแล้ว.. จะเกิดอะไรขึ้น ขอให้คนไทยทุกคนคิดให้รอบคอบและพากันออกมาสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ กันอย่างถล่มทลายเลยนะคะ 

สมณะเดินดิน... คุณคนนี้เขาเห็นว่า คนที่คิดเรื่องไม่กตัญญู อย่างนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องคิดต่าง 

พ่อครูว่า... มันเป็นความคิดต่างที่มันไม่ถูกต้องของเขา ซึ่งเป็นความคิดที่แสดงออกว่า ไม่ต้องเคารพพ่อแม่ ไม่ต้องมีกตัญญูกตเวทีที่เขาพูดไป เขาพูดได้อย่างไรนะ ในจารีตประเพณีหรือวัฒนธรรมของคนไทยมันไม่น่าจะพูดอย่างนี้ ถ้าหากคนอเมริกันพูดอย่างนี้ อาตมาไม่สงสัย วัฒนธรรมของอเมริกันเป็นอย่างนั้น แต่วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมทางเอเชียมันไม่มี หรือแม้แต่อินเดีย แต่ถ้าตะวันตกหรืออเมริกันจ๋า เขาคิดอย่างนี้อาตมาไม่สงสัย 

_สู่แดนธรรม... คุณต้อยเห็นว่า ถ้าไปคิดอย่างนั้น ไม่จัดในพวกคิดต่าง (เสียงฟ้าร้องดังตัดออกด้วย) ความคิดเห็นแบบลูกเนรคุณแบบนั้นไม่ควรเป็นความเห็นต่าง แต่ถ้าเลือกตั้งครั้งนี้มันควรจะชี้ชัดแยกดีแยกชั่วเลย 

พ่อครูว่า... ทำให้ตัวเขาเองรู้ว่าเขาตีตัวเขาเองแตกแยกออกจากสังคมไทย ก็เห็นว่าสิ่งอย่างนี้เป็นวัฒนธรรมอย่างนี้มันเป็นอำนาจนิยม คิดไปโน่นเลยนะ เป็นการเลยเถิดสุดโต่ง จะให้เสมอกันเท่ากันหมดเลยไม่มีอะไรจะต่างกันเลย มันต่างกันไม่ได้อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นความเพ้อฝันที่สุดโต่งเกินไป คิดกันได้ปานนี้เนาะคนเรา ช่างกระไรถึงได้โง่สนิทอย่างนี้ ถ้าปล่อยให้คนชั่วดูแลบ้านเมืองก็เกิดความฉิบหายสิ อาตมาว่า Wait and See อีกไม่นาน Coming soon อีก 4 วัน 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง พอเห็นบรรยากาศการเมืองกระแสแรง ประชาชนเขาฉลาดขึ้น มองเห็นว่าพลังเงียบจะมีพลัง สามารถจะพลิกผัน กระแสนี้จะต้องกลุ่มพลังเงียบจากสันติอโศก เพราะเขาเห็นฝีมือมามากแล้ว แม้นักการเมืองหรือลุงตู่ก็รู้ข้อมูลทางเรามากพอ และรับหนังสือปัญญา8 ไว้อ่าน แต่ลูกอ่านใจตัวเองว่า ถ้ากลุ่มคนดีเรา แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็พูดกับตัวเองว่า เอาละแพ้ก็แพ้ จะรอดูว่าบ้านเมืองจะดีขึ้นไหม เราคงได้เห็นในไม่ช้านี้ จะทำใจให้กว้างๆ รอพรรคสัมมาธิปไตยเราเกิดขึ้นในอนาคต การเมืองโลกุตระเกิดขึ้นได้ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... สงสัยจะได้ทันเห็นไหมนะชีวิต ป้ารัตน์ จะเห็นสัมมาธิปไตยมีบทบาททางการเมือง ตั้งขึ้นมาก็ให้ทำไปเรื่อยๆเราไม่ได้กระดี้กระด๊า ไปเรื่อยๆมาเรียงๆนกบินเฉียงไปทั้งหมู่ 

การเมืองโลกุตระนั้นทุกวันนี้มันก็เกิดอยู่แล้ว ชาวอโศกเราทำการเมืองมาแล้ว มีจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ชาวอโศกหรือผู้ที่เห็นสอดคล้อย เห็นด้วยว่าอย่างอโศกที่เราทำนี้ถูกต้อง เขาก็ร่วมด้วยตามที่เขาสามารถแต่ละคน จะร่วมด้วยอย่างไรแค่ไหน 

ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ขัดแย้งก็ด่า มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด มันเป็นเรื่องบอกความจริง ทุกอย่างมันรายงานความจริงของมันออกมาให้เรารู้ เราอ่านจากสิ่งที่เป็นผลสะท้อน มีอาการให้เห็น อาการเหล่านั้นมันบอกความจริงเราทั้งนั้น 

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนถูก

_KasemSanthong  เกษม แสนทอง · ถ้าผมจำไม่ผิด

 พ่อท่านเป็นผู้พูดว่า "ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนนยขยุถูก" เป็นคนแรกครับ

พ่อครูว่า... ก็น่าจะใช่ อาตมาก็ยังไม่เห็นว่าใครจะพูดว่าความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคน หรือแม้แต่ในต่างประเทศก็ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังคนใดพูด ประโยคนี้ ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนถูก 

คนดี คนถูก ก็รู้แล้วนะ คือคนที่ต้องเป็นหลัก ทีนี้คนที่จะรู้จักคนดีคนถูกจะต้องมีปัญญา และเป็นปัญญาที่จริงด้วยนะ ถ้าปัญญาไม่ค่อยจริง ปัญญามิจฉาทิฏฐิ ปัญญาเป๋ๆ มันจะไปรู้จักคนดีคนถูกที่จริงได้อย่างไร คนดีคนถูกตัวจริง ยิ่งมันโง่ก็จะไม่รู้จักคนดีคนถูกตัวจริง 

เพราะฉะนั้นคำว่า ความเป็นกลาง จึงยิ่งใหญ่ที่สุด คือคนมีปัญญา ในคำตรัสของพระพุทธเจ้าคือ จงคบบัณฑิต อย่าไปคบคนพาล นี่แหละแปลว่า จงไปเข้าไปอยู่กับคนที่เป็นบัณฑิต อย่าไปอยู่กับคนพาล นี่แหละคือความเป็นกลาง จงไปอยู่กับบัณฑิต อย่าไปอยู่กับคนพาล นี้คือความเป็นกลาง ชัดเจน 

คนที่ยังไปคบคนเป็นมิตรสหายอยู่กับคนพาล ก็คือคนโง่ เพราะฉะนั้นคนเป็นกลางต้องคบหาบัณฑิต ต้องช่วยกันกับบัณฑิต ต้องส่งเสริมบัณฑิต ต้องช่วยกัน ถ้าเราไม่ช่วยคนที่เป็นบัณฑิตหรือคนที่ดี คนที่ถูกต้อง ยิ่งเรามีปัญญาถูกต้องแล้วไม่ช่วยส่งเสริม เราก็ใจดำ 

แม้คุณจะมีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด รู้จักสิ่งที่ดี แต่คุณทำเฉย ไม่ทำอะไร หนักแผ่นดิน ที่พูดไปแล้วเคยพูดไปแล้ว มันเป็นคนรกแผ่นดิน หนักแผ่นดิน ตายซะคนพรรค์นี้ นี่กินข้าวหายใจออกอากาศเขาเสียบรรยากาศในโลก ฉะนั้นมีชีวิต มีชีวิตเป็นปลิงเกาะสังคมไป เพื่อที่จะถึงวันตาย ไม่ได้เรื่อง คนไร้สาระ 

เพราะฉะนั้นความเป็นกลางจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องของคนมีปัญญา และเขาต้องเข้าข้างคนดี 

จะเห็นได้ว่ากระแสของเมืองไทยชัดเจนขึ้น เข้าข้างคนดี เด็กๆเล็กๆผู้ใหญ่เห็นด้วย ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องจบด็อกเตอร์คือคนฉลาด ไม่ใช่ เด็กๆเล็กๆมันก็ฉลาดเป็น นี่เป็นธรรมชาติที่ลึกซึ้ง เป็นคนฉลาดจริง การจะรับว่าเขาเป็นคนดีโดยเขาไม่ต้องมาหาเสียง ไม่ต้องมาปะเหลาะ นี่คือคนของสังคม เป็นคนสาธารณะ ใครก็เห็นใช่ไหม เด็กๆก็เห็นได้นี่แสดงว่า นายกตู่นี่เป็นคนทำงานของบ้านของเมือง เป็นนายก เป็นผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง ทำงานจนกระทั่งเข้าตาเด็กๆ ผลงานเข้าตาเด็กๆ นายกไม่ได้ปะเหลาะ เด็กมันจะประสีประสาอย่างไร นายกจะหาเสียงอย่างไร เด็กจะไปรู้เรื่องอะไร 

แต่ความลึกซึ้งเด็กมันมี หนุ่มสาวมี ผู้ใหญ่มี คนแก่มี เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญา รู้ความจริง คนโง่เท่านั้น คนเป็นพาลเท่านั้นที่ไม่รู้ความจริง 

_อุบล คนโก้  · สีม่วงกาเบอร์ผู้สมัครประจำเขต สีเขียวกาเบอร์ 22 ลุงตู่นะจ้ะๆ

_ติ๋ว สงวนเผ่า  · คนเลือกลุงตู่เลือกด้วยที่เห็นลุงตู่ไม่ขายชาติ รักประเทศไทยจริง ช่วยเหลือประชาชนจริง

พ่อครูว่า... พูดถึงตรงนี้แล้ว ถ้าปล่อยให้ทักษิณครองประเทศไปอีกสักปีสองปี คิดว่าคงเอาประเทศไทยไปขายหมดเลยนะ ใช่ไหม จะขายอะไรต่ออะไรขึ้นไปให้จนกระทั่งจะหมดบ้านหมดเมืองประเทศไทยจะชิบหาย เป็นหนี้เขา แกขายจนกระทั่ง โอ้โห ซึ่งลึกซึ้งนะคำว่า ขายชาติ 

_มิ้น ครีม  · สมองเดียวกันก็งี้แหล่ะพูดยังกะตาตู่ไม่สนใจยศลาภพูดเพื่อไรเขากินข้าวกันไม่ได้กินหญ้าต้องมาฟังคำไร้สาระพวกนี้

_น้องเรซซิ่ง ลูกพ่อเพชร  · สึกออกมาลงสมัครดีไหมคับเดียวผมเลือกทั้งครอบครัวเลยคับ

พ่อครูว่า... ไม่คิดจะสึก อาตมาเป็นประชาชน เป็นนักประชาธิปไตย มีสิทธิ์มีเสียงแสดงออกก็แสดงออกของอาตมา คุณจะมาทำเป็นต้านอิสรเสรีภาพของอาตมา คุณอย่ามาละลาบละล้วงอิสรเสรีภาพของอาตมา คุณรู้เสียด้วยว่าคุณเองผิด ไม่มีทางได้สึกออกไปจะให้คุณเลือกหรอก อาตมาไม่ได้คิดจะไปหาอำนาจพวกนี้ ไม่ได้คิดไปเล่นการเมืองอะไรพวกนี้ อย่ามายัดเยียด 

กระจกที่ดีต้องส่งให้เห็นตัวตนของตน

_สมศักดิ์ พุทธวจน  · ว่าจะเอากะกะจกไปถวายนะ

พ่อครูว่า... จะให้เรามองดูตน อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาเป็นผู้ที่ได้เป็นคนดิบคนดีขึ้นมา เพราะอาตมาดูตน ส่องกระจกดูตนแล้วแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ที่อาตมาเจริญ อาตมาชัดเจนนะ ไม่ได้พูดอย่างเหนียมอายหรือบันยะบันยัง อาตมาพูดความจริง 100% ให้ฟัง 

ทุกวันนี้อาตมาได้ดิบได้ดีเพราะอาตมามีกระจกอย่างดี ส่องดูตัวเอง อันนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนเราเลย ท่านบอกว่าเหมือนดูน้ำใสแล้วจะเห็นอะไรอยู่ในน้ำใสนี้หมด เหมือนเราดูตัวเองเราจะเห็น มีหอยมีปูมีปลา มีดิน มีเศษธุลีละออง ก็จัดการทำให้สะอาด อาตมาทำอย่างนั้นมาจึงเป็นคนสะอาดมาถึงทุกวันนี้ เพราะอาตมามีกระจก 

เพราะฉะนั้นอาตมาว่า กระจกของคุณนั้นเป็นกระจกขี้กะโล้โท้กระจกของคุณสู้ของอาตมาไม่ได้ อาตมามีกระจกแล้ว ขอบคุณ ไม่ต้องเอากระจกขี้กะโล้โท้ของคุณมาให้หรอก กระจกของอาตมามีและได้ใช้แล้ว ส่องตัวเองจนกระทั่งเห็นกิเลสตัวเองแล้วก็ได้ล้างกิเลสตัวเองแล้ว จนประกาศออกไปด้วยความจริงว่า อาตมาเป็นอรหันต์ บรรลุธรรมสูงแล้ว คุณสิ ยังงมงายอยู่กับกระจกโค้งๆ กระจกเบี้ยวๆ กระจกขุ่นๆ กระจกมัวๆ กระจกมืดๆอะไรของคุณอยู่ อย่าเอากระจกอย่างนั้นมาให้อาตมาเลยเสียเวลา ขอบคุณ 

บวชเป็นสมณะแล้วไม่กินข้าวแลง

_มะนัส พลราช  · บวชกินเข่าแลงติ

พ่อครูว่า... คุณก็พูดไป อันนี้ไปตำหนิคนที่มาบวชแล้ว แค่ฉันอาหารมื้อเดียว ฉันอาหารตอนเช้าถึงกลางวันถึงเที่ยงประมาณนั้น เลยเที่ยงไปแล้วไม่ฉัน นี่เป็นธรรมะเป็นวินัยแล้วก็เป็นวัฒนธรรมของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นคุณคนนี้ก็เลยมายัดเยียดมาประชดประชันอาตมาว่ามาบวชกินข้าวเย็นกันหรือ 

ไอ้เรื่องกินข้าวเย็นนี้มันเรื่องเล็กน้อย อาตมานี้อย่าว่าแต่กินข้าวเย็นเลย ทุกวันนี้กินอาหารหรือฉันอาหารแต่ละวัน แสนลำบาก มันจะกินไม่ลง เพราะว่าร่างกายจะไม่รับอาหารแล้ว สังขารขันธ์ของอาตมามันหนัก ทั้งปฏิบัติธรรมมาแล้ว มันก็ไม่ได้มีความอยาก ไม่ได้มีความตะกละตะกลาม ตัณหาในความอยากอะไรๆ อาตมาก็ไม่มีมานานแล้ว แล้วก็ยิ่งสังขารมันไม่ค่อยรับแล้ว มันก็เลยยิ่งหนักที่จะต้องพากเพียรพยายามกินอาหารเข้าไป 

ถ้าไม่กินให้มันก็เหมือนกับเราเองเป็นคนขั้น ICU แล้ว ถ้าเขาไม่ต่อท่อต่ออะไรให้ก็ตายไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาถึงพยายามให้อาหารตัวเองต่อท่อให้ตัวเอง เป็นคนอยู่ในห้อง ICU แล้วอย่างนั้นแหละ 

เพราะฉะนั้นที่มาประชดประชันอาตมาว่า มาบวชกินข้าวแลงคุณยังไกลห่างมาก ยังไม่รู้ภูมิธรรมของอาตมา และภูมิธรรมที่คุณเอามายัดเยียดให้อาตมานี่ จะว่าเด็กๆก็เป็นอย่างนั้น ที่จริงมันต่ำตม เป็นความคิดที่ยังต่ำตมอยู่อีกเยอะ อาตมาก็ว่าเป็นความคิดเด็กๆของคุณก็แล้วกัน 

เป็นสมณะต้องเดินสู่ความเป็นกลาง คือหมดกามหมดอัตตา

_ธนากร เกตขำ  · เป็นพระต้องเดินสายกลาง

พ่อครูว่า... คำว่าทางสายกลาง ที่แปลมาจากคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาแปลว่าความเป็นกลาง ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติ เพื่อเข้ามาบรรลุความเป็นกลาง และเขาไปแปลเป็นภาษาไทยว่าทางสายกลาง แปลแล้วให้ความหมายที่ผิดไปเลย คนก็เลยไปยึดว่า คำว่ากลางไปยึดที่มัชฌิมาแปลว่ากลาง ข้อปฏิบัติเขาก็เลยไปแปลว่าเป็นทางสาย 

เพราะฉะนั้นเขาได้กลางแล้ว แล้วเขาไปอยู่กับทาง ทางที่มีกลางก็ต้องมีซ้ายขวา คุณได้กลางแล้วเพราะฉะนั้นทางสายกลางคุณก็เดินไปกับทางที่มันมีซ้ายมีขวา ก็แค่ไม่ไปทางซ้ายทางขวา 

และเขาก็เปรียบเหมือนกับพิณ 3 สาย มันมีสายสูง สายต่ำ สายกลาง เพราะฉะนั้น ให้ดีดสายกลางมาเปรียบเทียบ แล้วอธิบายขยายความเป็นทางสายกลาง เดินสายกลางนี้คุณต้องเดินสายกลาง 

คุณก็โง่เง่าเดินสายกลาง ไม่รู้จักขวา ไม่รู้จักซ้าย ไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักอัตตา ที่มาจาก อันตา คือฝ่าย 2 ฝ่าย คือกามกับอัตตา คุณก็เดินตามืดตาบอดรรรปิดปิดปิดไปกับ กาม อัตตา ไปตลอดนิรันดร 

คุณไม่มีทางรู้ความจริงว่า กามคืออะไร อัตตาคืออะไร แล้วคุณก็ต้อง ลดเหตุที่มันเกิด กาม ลดอัตตาไป กาม ที่เป็นภายนอกต้องหมดก่อนที่จะเหลือ รูปธรรม อรูปธรรมภายใน ก็ล้างภายในอีก ก็หมดกิเลส อย่างนี้เขาจะไม่รู้เขาจะเรียนรู้ไม่ได้ เขาไม่ได้เรียนกิเลส ไม่ได้เรียนรู้กิเลส กาม อัตตา เข้าเรียนการเดิน เดินไปตามทางที่เขาเข้าใจ และทางที่เดินที่เขาเข้าใจคือเดินตรง ตรงไปในทางที่กูเข้าใจ ว่าเป็นกลาง ก็เป็นอุปาทานเท่านั้นเองของเขา แล้วเขาก็เดินไปอย่างมืดมัวไม่รู้เหตุปัจจัยเลยว่าปฏิบัติอย่างไรจะเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 

ที่จริงเขาเดินลืมตาแต่ตาเขาบอด พวกนี้ตาบอดตาใส นานแสนนานกว่าจะรู้สึกตัวว่ากูจะเดินไปอีกกี่ล้านชาติ ทำไมโง่ขนาดนี้จึงจะรู้สึกตัว แล้วจึงจะมาค่อยๆได้ความรู้​ แล้วถึงจะรู้ถึงทางเดินที่ถูกต้อง 

เรื่องความเป็นกลางนี้มันยากมากที่จะเข้าสู่ทาง เรียกว่าทาง อลมริยา กว่าจะเข้าไปสู่ทางสูงสุดได้ ส่วนมากทางสายกลางก็จะบอกว่าเดินเหมือนปากกรวย  เรียกว่า นาลมริยา คือเป็นความรู้ผิดเดินทางผิด เดินทางไปสู่โลกียะอวิชชามันก็เหมือนบานเป็นปากกรวยเรื่อยๆ เป็นนรกใหญ่นรกลึกนรกโตไปเรื่อยๆ

ส่วนผู้เดินทางไป อลมริยา คือเส้นทางเดิน คือข้อปฏิบัติที่ให้เรียนรู้จัก กาม อัตตา และเมื่อรู้จักกิเลส กามอัตตา ทำให้กิเลสกามอัตตาลดไปเรื่อยๆ ก็มีหวังจะไปเข้าสู่จุดกลางที่สุดปลายที่สุด จบปลายสุดกลางที่สุดก็คือจุดศูนย์กลาง 0 นั่นเอง เราเอาคำว่า สูญ มาใช้ หรือ ถ้าจะเอาเป็นรูปธรรมก็คือ ไม่มีอะไร สูญ 

ขยายความอีกคือคุณต้องเรียนรู้ 2 ข้าง ความเป็นกิเลส 

สมณะเดินดิน... ความเป็นกลางนั้นถ้าคนเรายึดเพียงพยัญชนะ ส่วนใหญ่คนไทยก็จะใช้พยัญชนะเหล่านี้ บอกว่าเดินเข้าสู่ทางสายกลาง จะต้องเดินไปตรงกลางๆไม่ซ้ายไม่ขวา แต่จริงๆแล้วมันคนละเรื่องกับสภาวะ ประเทศไทยความเป็นกลางก็คืออย่าไปซ้ายไปขวา คนก็มักจะพูดกันว่าจะทำตามทางสายกลาง กินเหล้าก็ไม่ต้องกินมาก กินพอดีๆอะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับสภาวะที่จะต้องออกจากกาม ออกจากอัตตา ทำให้เห็นว่าศาสนาไม่ไปถึงไหนเพราะได้แค่พยัญชนะตีความตามพยัญชนะแต่ไม่ได้ปฏิบัติให้มีสภาวะ 

พ่อครูว่า... คุณที่แนะนำอาตมาว่าเป็นพระต้องเดินสายกลาง ก็ขอบคุณ อาตมานั้นจบความเป็นสายกลางแล้ว งั้นอาตมา บรรลุธรรม เป็นโพธิสัตว์ ศึกษาธรรมะให้ดีจะได้ปัญญาฟังด้วยดีจะได้ปัญญา อย่าเพ่งโทษอาตมาเลย อาตมาไม่มีโทษมีภัยอะไรแล้ว เพ่งอย่างไรก็ผิด เพราะฉะนั้นพยายามฟังดีๆจะได้ปัญญา สุสูสังลภเตปัญญัง 

ตัวอย่างผลงาน 8 ของรัฐบาลลุงตู่

_ว่าที่ ร.ต. หนุ่มน้อยไทกะเลิง  · จงบอกนโยบายที่ประยุทธ์ทำได้ให้ฟังสัก5ข้อหน่อยพระคุณเจ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็นผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 21:24:19 )

660512

รายละเอียด

660512 เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53262.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1q8LF503X5Di_eSHHBVbFg784j2VHH606/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kYqp_c9l1u90NH58I_eRiDXIOGfdE6kH/view?usp=share_link 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/PSza3XuqXO8 

และ https://fb.watch/ktZigbkSMW/ 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้พวกเราไปเดินปลุกพลังเงียบ เป็นพลังบริสุทธิ์ ไปปลุกพลังเงียบ น่าจะเป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมีขบวนจักรยาน ไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้เสียงกัน 

กกต.ประเมิน จะมีคนมาใช้สิทธิ์สัก 80% แต่ดูจากที่ประชาชนตื่นตัวออกมาเลือกตั้งล่วงหน้า เขาประเมินใหม่ว่าปีนี้น่าจะมีคนมาใช้สิทธิ์ถึง 85% ถือเป็นยอดที่สูงมาก จะมีผลให้พวกที่ใช้กระสุนหาเงินซื้อเสียงกันไม่ไหว คนออกมาเยอะๆเงินก็จะสั่งไม่ได้ 

พวกเราไปเดินมีฝนตกด้วย ฝนตกที่ทุ่งศรีเมือง กับฝนตกที่บ้านราชนั้นไม่เหมือนกัน ที่บ้านราชนี้ตกมาอย่างหนัก แต่ที่ทุ่งศรีเมืองตกกำลังพอสบายๆ ทำให้เกิดความลงตัว พี่น้องเสื้อแดงจะอยู่บนรถ เป็นจำนวนมากไม่ค่อยจะได้ลงมาเพราะเห็นฝนตก ส่วนพวกเรามีเสื้อกันฝนพร้อมรบ มีสีสันที่มาร่วมรวมกัน ถือว่าพวกเรารวมไทยสร้างชาติได้สำเร็จแล้ว รวมเหลืองรวมแดง 

วันนี้เป็นวันนิมิตหมายที่ดีแม้ต่างสีต่างความเข้าใจ แต่เราก็รวมๆกันได้ ซึ่งชาวบ้านเขารู้จักพวกเราอยู่แล้ว รู้จักจากการมาซื้อของที่ตลาดอาริยะ เป็นตัวเชื่อมโยงทำให้ชาวบ้านรู้จักพวกเราเป็นส่วนใหญ่ 

บทบาทที่พวกเราออกไปเคลื่อนตัวทำให้มีคนมาดูบุญนิยมทีวีเพจ Facebook ถึง 10.3 ล้าน คนมาแสดงความรู้สึกที่ดีมากกว่าพวกเราอยู่เฉยๆ 

พ่อครูว่า... มันไม่ใช่วันสุดท้ายหรอก เป็นแต่เพียงว่าวันนี้เป็นวันที่ 12 พรุ่งนี้วันที่ 13 มันก็ใกล้จะถึงวันที่ 14 สรุปง่ายๆว่าเป็นวันสุดท้ายที่อาตมาจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเมืองกับเขา ซึ่งมันไม่ใช่ ไม่ใช่แค่นี้หรอก ยังจะวิจัยวิจารณ์ต่อไปอีก แต่มันหมายถึงว่า มันกำลังเข้มข้นเคี่ยวข้นกัน กำลังรู้สึกว่าอินเทรนด์กันอยู่ในอารมณ์เท่านั้นเอง เรื่องของเรื่อง 

ก่อนจะไปเรื่องการเมืองก็ขอ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 10 พ.ค. 2566

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกได้เห็นขบวนชาวอโศกมาปลุกพลังเงียบแล้วนับว่าล้ำหน้ากว่าคณะหาเสียงอื่นๆมาก

ไม่มีใครเหมือน ใช้ความเรียบง่าย มาปลุกพลังเงียบ ใช้การขี่จักรยาน ใช้พืชผักมาตบแต่งรถแห่ ใช้คนแต่งตัวมอซอ ใช้ความอ่อนน้อมมาปลุกสำนึก 

 

แท้จริงแล้วประชาธิปไตยคืออย่างใด

ลูกมีความสงสัยคือว่า มีพรรคการเมืองบางพรรคใช้คำว่าประชาธิปไตยแทนฝ่ายของตน แต่พฤติกรรมก้าวล่วงสถาบัน ก้าวล่วงวัฒนธรรมไทย ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่าแท้จริงแล้วประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร  เป็นแบบพรรคบางพรรคว่าไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ต่างคนต่างเอาประชาธิปไตยยึดมาเป็นตัวประกันของตัวเองทั้งนั้นแหละ ทีนี้คำว่าประชาธิปไตยนั้น ใน Concept ของแต่ละคนที่เขากล่าว ของพรรคแต่ละพรรคที่เขายึดถือ มันมีนัยยะลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ 

คำว่า ประชาธิปไตย ต่างคนต่างถือว่า ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่ยึดถือความเป็นประชาธิปไตยทั้งนั้นแหละ แต่จะถูกจะผิดอย่างไร มันต่างกันไปเยอะ 

ซึ่งเขาก็เป็นประชาธิปไตยแบบคล้ายๆอเมริกา เพราะอเมริกาเขาไม่มีสถาบัน ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือหลายประเทศเขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเขาก็ไม่อยากให้มี เหมือนอย่างฝรั่งเศสทำเสร็จไปแล้ว หรืออีกหลายๆประเทศทำให้ไม่มีไปแล้ว เขาก็กลายเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินก็ถูกของเขา ก็เป็นประชาธิปไตยแบบของเขา จะไปว่าเขาผิดก็ไม่ได้ เพราะเขามี Concept ประชาธิปไตยของเขาแบบนั้น 

แต่ของไทยเรามีพระเจ้าแผ่นดิน หรือแม้แต่อังกฤษก็มีพระเจ้าแผ่นดินซึ่งก้าวล่วงไม่ได้ นี่แหละคือสมมุติที่แตกต่างกันนัยยะธรรมดา เราจะไปเอาของเราไปยึดถือแบบของเขาทำไมของเขาเป็นแบบนั้น ก็ของเขาทำแบบนั้นก็ถูกของเขาสิ มันซับซ้อนอย่างนี้ 

แล้วแท้จริงประชาธิปไตยเป็นแบบใด เป็นการถามความรู้ที่ยิ่งใหญ่นะ ซึ่งประชาธิปไตยก็เป็นไปอย่างของแต่ละคนแต่ละ Concept ของเขา ที่เขายึดถือของเขาเข้าใจของ เขาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็แตกต่างกันไป ปีนี้มาถามว่าแล้วแท้จริง ประชาธิปไตยเป็นอย่างไร 

ตอบ แท้จริงไม่มีความจริง ประชาธิปไตยก็เป็นความเห็นความเข้าใจความยึดถือของคนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม แต่ละประเทศ แตกต่างกันไป จึงเรียกว่าเป็นเทศะ เทศะคือความแตกต่างกันไป ไม่ผิด  

เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจให้ได้ว่า ของเขาก็ยึดถือเข้าใจเป็นแบบนั้นถูกของเขา เราไปว่าเขาไม่ถูกซึ่งก็เรานั่นแหละไปว่าของเขาผิด ตัวเราเองผิดไปจากเขา ก็เขาถูกของเขา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ไปยึดถือตัวตนก็ทะเลาะกัน แย้งกัน เถียงกันไปไม่จบ ถ้าจบแล้วก็เป็นนานาสังวาส 

เราก็เห็นว่าคนร่วมกันก็เข้าใจ เป็นคนร่วมกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน นานา แปลว่าแตกต่างกัน ต่างคนต่างถือกันไป ไม่เห็นแปลก อะไร 

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าความจริงแล้วประชาธิปไตยเป็นแบบใดมันไม่มีหรอกของความจริง มันเป็นความสมมุติทั้งนั้น 

แต่ทีนี้ มันเป็นระบอบของการบริหารประเทศ เราก็มามองเอาตรงที่การบริหารประเทศ คุณจะใช้ภาษาเรียกแบบนั้นแบบนี้ แบบอเมริกา แบบอังกฤษ แม้แบบไทยมีพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกับอังกฤษ แต่ก็ยังมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกัน ซ้อนๆอยู่ ไม่เหมือนกันทีเดียว แม้แต่ในกฎหมายก็ยังต่างกันในข้อกำหนดกฎเกณฑ์ 

กฎหมายเกี่ยวกับในหลวง เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง กฎหมายก็มีนัยยะต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายกัน เพราะว่าลอกเลียนกันมา ไทยก็ไปลอกของเขามาก่อน แต่ก่อนนี้ก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ใช้ของทางด้านตะวันตก ด้านอังกฤษยุโรปมา เพราะฉะนั้นจะไปนับว่าเป็นความจริง มันไม่จริงหรอก เป็นสมมุติ ของใครก็ยึดถือกันไป 

_ตุ๊ก อัศวิน  · พ่อครูท่าน..กรุณาปรารภธรรม โปรด ผู้มืดบอด ด้วยเมตตาธรรมยิ่ง..เจ้าค่ะ

ดุจจุดเทียนในที่มืด..ถ้าใจไม่บอดสนิท..คงตามตรึกตรอง..และ..แจ้งใจในที่สุด

กราบอนุโมทนา..สาาาธุเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... แสดงว่าฟังแล้วเข้าใจแล้วตรึกตรองตามก็แจ้งใจ ก็ได้รับความแจ้งใจไปตามลำดับๆดีแล้ว ส่วนคนไม่รู้ก็มืดก็บอด จุดเทียนอย่างไรเขาก็ไม่เห็น ไม่มีแสงอะไรให้เขาเห็นหรอก เทียนสักกี่กระบุง กี่ตะกร้า กี่รถโกดัง ก็ไม่เห็นอะไร เพราะว่าเป็นเรื่องขององค์ประกอบของกิเลสมันมีเยอะ เราเรียกว่ากิเลส เขาก็ว่าเป็นความเห็นของเขา ก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง...

ความเป็นกลางเข้าข้างคนทำดี 

ให้เขามีความมั่นใจในกุศล 

คนทำดีเสียสละละตัวตน 

ปัญญาชนย่อมรู้เห็นความเป็นจริง

....ผลงานของนายกลุงตู่ทำสำเร็จตามนโยบายที่วางไว้ที่พ่อครูกรุณาอ่านมีมากมายจนสาธยายไม่หมด แต่พอถามประชาชนบางคนก็บอกว่า ลุงตู่อยู่มา 8 ปีไม่เห็นมีผลงานอะไร แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลมีน้อยเกินไป จนไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณอ้นทิพานันได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยยิงเลเซอร์ขึ้นไปบนเสาสะพานพระรามแปด เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์พรรครวมไทยสร้างชาติเบอร์ 22 จนเกิดแรงสะเทือนเลื่อนลั่น พรรคต่างขั้วนั่งไม่ติด ออกดาหน้ามาโจมตี จนสื่อทุกช่องต่างมารุมเพื่อเล่นงานคุณอ้น จนกลบข่าวทักษิณจะกลับมาเลี้ยงหลานเสียสนิท คุณอ้นคนดีนี่แหละที่เราควรปกป้องและเข้าข้างให้กำลังใจเพราะเธอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีแล้วค่ะ

พ่อครูว่า...รัฐบาลประชาสัมพันธ์น้อยไป อันนี้เห็นจริงด้วย แต่ก็ทำเนื้อแท้มากกว่านั้นดีแล้ว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เดี๋ยวนี้มันมีเลอะเทอะเยอะแยะ มันกลบเนื้อหาไปเสีย ออกไปทางเพ้อเจ้อ โกหก หลอกลวงกันเต็มไปหมด 

อโหสิต้องทำกับคนตอนเป็นๆจึงได้ผล 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · เรียนถามพ่อครู คำว่าอโหสิกรรม ควรใช้ตอนใหนดีครับ ใช้กับคนตายแล้วหรือว่ายังไม่ตายดีครับ

พ่อครูว่า... คำว่า อโหสิกรรม หมายความว่า ใครทำกรรมอะไรมาก็แล้วแต่ จะทำร้ายทำแรงมากับเรา ทำผิดทำถูกมา ส่วนมากก็ทำผิดกับเรา แล้วเราไม่ถือสา เราก็เลิก อโหสิแปลว่าไม่ถือสา ยกเลิก อโหสิ ไม่ติดไม่ยึด ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกัน อโหสิ 

มันก็เป็นเพียงปัจจุบันธรรม อโหสิที่ปฏิบัติต่อกัน ที่จริงบางทีแค่ปากพล่อยๆ บอกว่า เออ..อโหสิ แต่ใจยังไม่ได้อโหสิหรอก ใจมันยังยึดอยู่ มันยังจองเวรจองกรรมกันอยู่นะ ยังถือสากันอยู่นะ แต่ด้วยแบบว่าสังคมๆ พอบอกพูดมาก็ว่าดี พูดมาอโหสิก็ขั้น 1 ยกให้ 

ถ้าถามประเด็นว่าตอนไหนดี ก็ตอนคนเป็นๆนี่แหละ ตอนคนตายแล้วจะไปรู้เรื่องอะไร คนเป็นๆต่อกันนี่แหละ แล้วก็พูดกันแล้วมันก็จะยอมวาง บางทีมันก็วางกันได้ปล่อยไม่ยึดไม่ถือไม่พยาบาทไม่ถือสาต่อกันได้ อันนี้ก็เป็นสัจจะเหมือนกัน แต่ส่วนมากกิเลสมันไม่ยอมง่ายๆ แต่มันก็ทำเป็นเรื่องของโก้ๆเป็นเรื่องโลกๆไปให้มันดูดี บอกว่าไม่เอา อโหสิ ไม่ถือสา พูดไปมันก็ดูดีนะ ก็เป็นคุณธรรมอันดีอันนึง แต่จริงๆแล้วใจจริงๆมันจะอโหสิจริงไหม 

ส่วนกับคนตายนั้น คุณเป็นคนที่จะอโหสิ หากว่าอโหสิกับคนเป็นมันก็จะต้องเปลี่ยนแปลงกันอยู่ แต่คนที่ตายไปแล้วนั้นคุณจะไปบอกอโหสิกับคนตาย คนตายก็ไม่รู้เรื่องด้วย มันสูญเปล่า อโหสิกรรมกับคนตายมันสูญเปล่า สำหรับคนที่เราจะพูดกับเขา คนตายคนนั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่ตัวคุณนั้นคุณอโหสิ ถึงอโหสิหรือไม่อโหสิ คุณจะไปทำอย่างไรกันได้ล่ะเขาตายไปแล้ว มันอยู่ที่คุณ 

ถ้าคุณจองเวรจองกรรมอยู่ที่จิตของคุณอยู่ ต่อไปก็พัวพันกันอีก ส่วนคนตายไปแล้วเขาไม่อโหสิคุณ คุณบอกว่าอโหสิแต่เขาไม่ยอมอโหสิ เขาตายไปแล้วคุณจะไปแก้ไขเขาได้ยังไง ถ้าเขาผูกพยาบาทไปแล้วเท่านั้น หรือเขาอโหสิแล้วก็แล้วไป ถ้าเขาไม่อโหสิเขาพยาบาทแต่คุณบอกว่าอโหสิให้คนตาย มันจะได้ผลอะไร 

เพราะฉะนั้นก็ไม่มีผลอะไรหรอกต่อคนที่ตายไปแล้ว อโหสิก็พูดกันกับคนที่ยังเป็นๆนี่แหละ จะได้ผลไม่ได้ผลกันจริงก็ตรงนี้ เป็นแต่เพียงปากพล่อยๆก็ได้ผลน้อย ถ้าจิตใจมันอโหสิจริง วางจริง ปล่อยจริงก็ได้เยอะขึ้น 

เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป

_SMS กราบนมัสการครับ ผมขอฝากถามพ่อครูครับ ท่านไม่ต้องบอกว่าเป็นผมนะครับ กลัวเด็กจะเกียดผม 

พ่อครูจะล้วงกระเบื้องออกจากคอลูกหลานอย่างไร ขณะนี้ลูกหลานที่ไร้เดียงสา ( ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา) กำลังกลืนเศษแก้ว อย่างงมงาย  (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... อันนี้จะมีผลต่อลูกหลานที่เป็นศิษย์เก่า พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย ไปแต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์แดงส้มนี้ไม่ได้เลย มีพวกเราบอกว่าเหมือนเป็นสัญญาณของกลียุค ที่เด็กถูกล้างสมอง ถูกปลูกฝังให้เป็นอย่างนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้ทั้งหมด เห็นนายกลงตู่ไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ชื่นชมลุงตู่เหมือนดาราเกาหลีเลย 

_คือเขาได้ปรามาสคนรุ่นเก่าว่า ถูกศาสนา-สถาบันครอบงำมายาวนานตกอยู่ภายใต้ คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หลอกมาทั้งชีวิตเด็ก(ศิษย์เก่า)

เขาปรามาสพ่อครูว่า “แค่พ่อครูประกาศว่า พลเอกประยุทธ์เป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหม็นขี้ฟันแล้ว” เขาจะบาปมากไหมครับ เขาอกตัญญูไหมครับ หลายคนบอกว่า ปล่อยเขาไป พ่อครูคิดอย่างไรครับ  เด็กคิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ผมน่ะเป็นห่วงจริงๆ

พ่อครูว่า... บาป โดยสัจจะเป็นบาป เพราะอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดสัจจะ ถ้าเขาเห็นค้านแย้งแล้วก็ไปมีกรรม โดยเฉพาะออกมาทางวาจา ทางกายกรรมชัดเจน คือเห็นผิด เห็นคนละอย่าง ถ้าข้างไหนดีอีกข้างหนึ่งก็ต้องชั่วแล้ว ไปเป็นกุศลอีกข้างหนึ่งก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เป็นอกุศล 

จิตของเขามีความเห็น ความเข้าใจ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิสักนิดนึงก็คือบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิได้บาป 

เขาก็อกตัญญู แต่ว่ามันเป็นอกุศลที่เขาเองเขาไม่รู้ มันเป็นอวิชชาซ้อนอยู่ลึกๆเขาก็ต้องทำตามนั้น สรุปแล้วก็คือเขาสะสมเอาอวิชชาใส่ตัวเอง สั่งสมมิจฉาทิฏฐิใส่ตัวเองไปเรื่อยๆ 

ก็จะไปคิดอย่างไร มันต่างคนต่างเห็น เขาก็เข้าใจของเขา บังคับไม่ได้ คนที่จะคิดอย่างไร ต่างคนก็ต่างคิดไป เขาจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ขยายความเข้าก็จะเห็นชัดเจนว่าเป็นบาป มันเกิดอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ เนรคุณประเทศ เนรคุณวัฒนธรรม เนรคุณสิ่งที่เราได้อาศัยเป็นอยู่ ได้อาศัยวัฒนธรรม ได้อาศัยสิ่งที่ดีงามของสังคมที่นับถือกันมายาวนาน อย่างอิสระ ไม่ได้ไปขึ้นกับระบบอื่นที่เขามาครอบงำ เป็นอิสระส่วนตัวสบาย 

ที่จริงทุกวันนี้อยู่แล้วสบายแต่เขาต้องการให้ขัดแย้ง มันก็ไม่สบาย แต่ผู้ที่อยู่อย่างคนส่วนใหญ่อย่างพวกเราแล้ว ประเทศไทยตอนนี้ ประชาชนก็ไม่ได้แย้งมากเหมือนที่เขาแย้งอยู่ ผู้ที่มาแย้งก็สบายก็สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล ถ้าลึกขึ้นไปก็อย่างพวกเราใจเกื้อกูล เพิ่มพูนความเสียสละไป 

ส่วนคนที่ยังไม่เข้าถึงขั้นโลกุตระ เขาก็ยังไม่เจริญอย่างที่อาตมาอธิบาย เป็นห่วงเขาก็ดี แล้วก็สงสารกัน 

เป็นพระมาหาเสียงช่วยลุงตู่ได้หรือ 

_คุณเบล ออแกไนซ์  · เป็นพระมาหาเสียงช่วยเหลือได้หรอ

พ่อครูว่า... 1.อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณก็ไม่เข้าใจแม้ได้มองอาตมาก็มองไม่ออกว่าเป็นอะไร อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณจะบอกว่าคุณมีพระของคุณ แล้วคุณก็กำหนดว่าพระของคุณนั้นไปหาเสียงไม่ได้ ต้องให้อยู่เงียบๆ อยู่อย่างผู้เป็นคนใบ้ยังไม่มีเสียง อย่าไปหาเสียง ก็เรื่องของคุณ 

แต่ทีนี้เสียงคืออะไร เสียงของคุณก็คือเงื่อนไขว่าต้องช่วยเหลือด้วย พูดความช่วยเหลือก็มีอันเดอร์สตูทไว้ว่าช่วยเหลืออะไร นี่คงเป็นการช่วยเหลือลุงตู่ เอาให้ชัดๆง่ายๆ 

จะได้หรือ ซึ่งคุณเองคุณเห็นของคุณ มันก็ถูกของคุณ พระของคุณ คุณก็มองว่า ถ้าพระของคุณนี้มาหาเสียง คุณว่าได้เลย แต่อาตมาไม่ได้เป็นพระแบบที่คุณหมาย อาตมาก็มาหาเสียงช่วยเหลือลุงตู่อยู่จริง ได้หรือไม่ได้ ก็ทำอยู่เต็มที่เลยไม่ได้ยังไง ได้ ไม่ผิดกฎหมายด้วย เป็นประชาธิปไตยด้วย ตำรวจไม่จับ นี่ตอบครบๆไง เขาถามว่าทำได้หรือซึ่งก็ได้ อิสรเสรีภาพไม่ผิด 

เป็นแต่เพียงความยึดถือความเห็นเท่านั้นที่ต่างกัน คุณกับอาตมาก็เป็นนานา ความเห็น นานาทิฏฐิ 

_วนิดา ฯ.  · โอ้ย อย่ามาพูดเอาใจลุงตู่ คนเขาด่าทั้งบ้านทั้งเมือง

พ่อครูว่า... อาตมาเห็นจริงว่าไม่ควรจะด่า แต่คนด่านั้นอาตมาเห็นว่าด่าไม่ดี อาตมาก็ต้องถ่วงดุลความเห็นของสังคมเอาไว้ว่า คุณด่าทั้งบ้านทั้งเมืองนั้นมันมาก ความหมายของเขาคนด่าทั้งบ้านทั้งเมืองหมายความว่าคนด่าลุงตู่มาก 

คนด่าลุงตู่กับคนที่ชมลุงตู่ ชื่นชมลุงตู่ โดยค่าที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่ค่านิยมนะ โดยคุณค่าที่แท้จริงเลยของประชาชน อาตมาก็เห็นว่าลุงตู่ลงที่ไหนตลาดแตกที่นั่น ไปเดินที่ไหนในแดนใต้ แดนอีสาน แดนเหนือ แดนตะวันออกอะไรก็เห็นตลาดแตกทุกแห่ง 

เพราะฉะนั้นคนด่านั้นมันช่างด่า แต่คนที่เขาชื่นชมก็เป็นพวกเงียบ พวกสุภาพ ไม่ใช่เป็นพวกแจ๊ดๆแจ๋ๆ ก็ด่าก็ทำ แล้วขยันเสียด้วยนะ ดีไม่ดีพวกนี้รับจ้างก็มีก็ต้องทำไป ก็เป็นสัจจะเราก็ต้องมององค์ประกอบหรือว่าเหตุปัจจัยมันเยอะแยะ ก็เป็นไปอย่างนั้น 

สมณะโพธิรักษ์ คือสมณะในศาสนาพุทธ ไม่ใช่พระไม่ใช่ลัทธิ

_ก็แล้วแต่ บันไรยนต์  · มันไม่ใช่พระครับเมื่อก่อนเคยเป็นพระ แต่ทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงจึงให้ออกจากการเป็นพระเลยมาตั้งลัทธิเอง

พ่อครูว่า... ที่จริงอาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมาไม่ใช่พระ อาตมาเป็นสมณะ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ยังงมโข่ง ยังอยู่หลังเขา ยังไม่รู้รายละเอียด ไม่มีข้อมูล ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย พูดไปส่งๆ 

แต่ก่อนที่ไหน เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น ที่คุณเรียกว่าพระ อาตมาก็ว่าความหมายของคุณนั้นอาตมาเข้าใจร่วมกันได้ ว่าอาตมาเป็นนักบวช อาตมาเป็นภิกษุของศาสนาพุทธ แต่ก่อนอาตมาก็เป็น เดี๋ยวนี้อาตมาก็เป็น แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสังคม อาตมาก็ว่าไปตามบัญญัติภาษาเขาจะว่ากันไป แต่เนื้อแท้สัจธรรมอาตมาไม่ได้เปลี่ยน 

ตั้งแต่บวชมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 มาจนถึงวันนี้ อาตมาก็ยังเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นมา แต่ต้นมาเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ 

ที่คุณว่าทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงเป็นการใส่ร้ายอาตมา อาตมาไม่เคยผิดวินัยสงฆ์ อย่าว่าแต่วินัยสงฆ์ร้ายแรง วินัยสงฆ์ตื้นๆ วินัยสงฆ์อ่อนๆอาตมาก็ไม่ได้ทำ คุณเองคุณอยู่กับกระแสพวกเฟค พวกอวิชชามิจฉาทิฏฐิ เขาครอบงำทางความคิดของคุณ คุณก็เข้าใจเชื่อตามอวิชชา เชื่อตามพวกมิจฉาทิฐิที่เขาเข้าใจอาตมาผิด ที่เขาใส่ความอาตมาบ้าง แล้วคุณก็เห็นด้วย เห็นตามเขา ถูกเขาครอบงำทางความคิด คุณก็ว่าอาตมาทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง ขออภัยที่พูดความจริงสู่คุณให้ฟังก็แล้วกันไม่ได้โกรธเคืองไม่ได้ถือสานะ แต่อธิบายความจริงให้คุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ ให้ฟัง ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง แต่เถรสมาคมเป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงกับอาตมา 

แล้วคุณนี้ก็เข้าใจผิดว่าให้ออกจากการเป็นพระ อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ ออกหรือเข้าอาตมาก็อยู่อย่างเดิม เขาจะให้ออกหรือไม่ออก อาตมาก็อยู่อย่างเดิม 

อาตมาไม่ได้มีลัทธิเอง อาตมามีศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเองเอาของพระพุทธเจ้ามา ไม่ได้ตั้งเองเลย ประเด็นนี้เป็นประเด็นยิ่งใหญ่ อาตมาเคยอธิบายมาเท่าไหร่ คนยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกอย่างคุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ จะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกว่า 

ลัทธิก็ดี  ศาสนาก็ดี  มันก็มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอยู่ 

ศาสนาคือ มีคำสอน ของเจ้าหมู่เจ้าคณะ ที่คนยอมรับมากเรียกว่าศาสนา มากจนตั้งเป็นศาสนา จนคนทั่วไปในโลก แต่ละประเทศแต่ละกลุ่มหมู่ยอมรับได้ 

ลัทธิก็เป็นคนที่กำลังสร้างนัยยะความเข้าใจของเขาอย่างของเขา แล้วมันก็ยังไม่ได้มีคนมีคณะหมู่กลุ่มเท่า มันก็ต่างกันตรงนี้ 

อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้าตามที่ใครเขามาทำ เขาพูดกันเขาพูดภาษาคำโกหก พูดภาษาคำที่ไม่จริง อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้ากับสิ่งที่เขาอย่างที่คุณคิดว่าออกๆเข้าๆ อาตมายังคงเป็นอย่างที่อาตมาเป็นตั้งแต่เริ่มต้น จนบัดเดี๋ยวนี้

สมณะเดินดิน... ความจริงต้องเห็นใจคนที่เขาเข้าใจอย่างนี้มากๆเลยนะ เทียบกับลุงตู่ ลุงตู่ทำงานมา 8 ปี ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้มีเวลาพักเท่าไหร่เลย ทำขนาดนี้คนยังมองว่า ประเทศไทยไม่พัฒนา เป็นเผด็จการ คือคนรุ่นใหม่เขามองว่าทำให้ประเทศไทย 8 ปีนี้เสียเวลาไปมากๆ อันนี้เป็นเพียงรูปธรรมที่มองเห็น ซึ่งจะมีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอะไรเยอะแยะ คนที่ไม่ชอบก็มองไม่เห็น อย่างพ่อครูพาพวกเราทำ ยิ่งเป็นเรื่องทวนกระแส ต้องเห็นใจพวกเขามากๆ เขาได้ยินข่าวอะไรทางลบมากๆ จะยิ่งยากกว่าทำความเข้าใจพลเอกประยุทธ์อีกเยอะเลย 

พ่อครูว่า... ความเห็นความรู้ความฉลาดของคนบังคับไม่ได้ แต่เป็นประเด็นให้อาตมาได้ใช้อธิบายธรรม คุณจะใช้ภาษาอะไรหนักๆจะทวงมาอย่างแรง ปฏิกโกสนาก็ได้ อาตมาไม่ได้เป็นปัญหา ไม่ได้ยึดถือหรอก อาตมาหยิบเอามาอธิบายนัยยะแง่มุมที่มันแตกต่างกัน เอามาขยายความให้ฟัง 

อาตมาก็ขอท้าวความให้ฟังนิดนึงว่า อาตมาเคยพูดด้วยความจริงมานานแล้ว ว่าศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อมจากเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม มันเสื่อมจริงๆ อาตมาไม่ได้หาเรื่อง ไม่ได้ใส่ความ มันสูญหายไปจากวงการศาสนาพุทธเลย ในเมืองไทยแม้แต่บอกว่าเป็นเมืองพุทธ ถือศาสนาพุทธเป็นหลักเลย แต่ก็มีแต่ความรู้แบบเดียรถีย์ ความรู้แบบโลกียะแล้วมันก็ผิดเลอะเทอะเยอะ เมืองไทย มีไสยศาสตร์ มีเดรัจฉานวิชา อะไรต่ออะไรกันเต็มไปหมด 

อย่าว่าแต่อาบัติสังฆาทิเสสเลย อาบัติปาราชิกก็มีเยอะ ที่เขาทำไปเลอะเทอะเยอะแยะไปหมด มันใช้ไม่ได้ 

อาตมาจึงอยู่ร่วมไม่ได้ มันเห็นด้วยความจริงใจ ก็จึงประกาศลาออกมา ทนอยู่ได้ 5 ปี อาตมาบวชอยู่ในเถรสมาคม 2513  พอพ.ศ. 2518 อาตมาก็เลยประกาศแยกนานาสังวาส ก็ยอมเป็นพุทธอยู่ด้วยกันสังวาสเดียวกัน แต่มันเป็นนานๆมันแตกต่างกันอาตมาก็ประกาศตามธรรมวินัยเลย 

แต่เถรสมาคมที่เสื่อมมากจนไม่รู้จักธรรมวินัยก็มาเล่นงานอาตมา ซึ่งผิดวินัย เป็นอาบัติอยู่นะแต่ก็ไม่ได้แก้ไข อาบัติก็คาต่อไปยิ่งทับถมยิ่งซับซ้อนเป็นพระไม่ปกติ อปกตัตตะ เป็นพระไม่สมบูรณ์บกพร่องอยู่อย่างนั้น เขาร่วมทำร่วมเห็นอยู่เขาก็เป็นอยู่ ความเห็นมันก็คือความเห็น ความเป็นก็คือความเป็น เขาเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ

คืออาตมาถูกเขาผิดนี่พูดตรงๆพูดความจริง เขาก็ซวย อาตมาก็เลยได้แต่สงสารเขา อาตมาไม่เคยโกรธเขานะ ตั้งแต่เขาทำแล้วเขาก็พยายามตีอาตมา ซัดอาตมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานเลยนะ ขึ้นมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ฆราวาส มันก็ไม่หนักเท่าไหร่ พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ 

จนกระทั่งมาถึงเป็นพระ จนกระทั่งท่านมหาประยุทธ์ หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ เขียนเป็นหนังสือมาเลยเป็นลายลักษณ์อักษรซัดอาตมา ซึ่งท่านก็เป็นที่นับถือของสังคมศาสนาพุทธ ก็เลยเอาใหญ่เลย ซัดอาตมาใหญ่เลย คนก็เชื่อตาม อาตมาก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น 

เพราะความเห็นของเขามันร่วมกัน ไปด้วยกัน แล้วเขาก็หาว่าอาตมาผิด อันใดที่เขาเห็นว่าอาตมาผิดอะไรร้ายแรงอย่างใด ซึ่งมันตรงกันข้ามกันเลย เขานั่นแหละผิดร้ายแรงยิ่งกว่า จะว่าไปแล้ว แล้วเขาก็บอกว่า เขาก็เลยไล่อาตมา แท้จริงแล้วอาตมาลาออกมาก่อนแล้ว ไม่ได้ถูกไล่ ลาออกมาอย่างสมัครใจด้วย ออกมาเป็นนานาสังวาส เป็นคณะสงฆ์ชาวอโศก ประกาศอย่างมีลายลักษณ์อักษรเลยนะ แล้วเขาบอกว่ามาตั้งลัทธิเอง ซึ่งมันไม่ใช่ คุณต่างหากออกมาเป็นลัทธิเพี้ยน เป็นศาสนาเพี้ยนจากของพระพุทธเจ้าไป อันนั้นต่างหากความจริง 

นี่คือความเข้าใจที่ทำความเข้าใจให้กันได้ยาก มันไม่ง่าย ก็ต้องค่อยๆอธิบายความจริง แล้วก็ยืนยันความจริง ผู้มีปัญญา มีตารู้จะมองออกว่า จริงๆแล้วเนื้อแท้ของศาสนาพุทธนั้นเป็นชาวอโศกหรือทางเถรสมาคม 

_Thapakorn Janbamrung ธภากร จันทร์บำรุง  · เป็นพระแต่ตัวโดยแท้ เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ต่างจากปาราชิก ตาลยอดด้วนหาดำเนินต่อได้

พ่อครูว่า... คนนี้ก็พิพากษาอาตมาใส่ความปาราชิกเลย ซึ่งไม่ได้อ้างอิงว่าอาตมาปาราชิกอันไหน ข้อไหนใน 4 ข้อ อะไรอย่างนี้เขาก็ไม่มีเหตุผล ไม่มีรู้เรื่องรายละเอียดอ้างอิง ใส่ความเอาดื้อๆ ถ้าแบบนี้เป็นพระมาทำก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส หาว่าคนอื่นปาราชิกด้วยความไม่มีมูล ก็ถือว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสสนะ ถ้าเป็นฆราวาสก็แล้วไปเถอะ หาว่าเป็นปาราชิกตาลยอดด้วนอะไรอย่าง อาตมาก็ไม่ได้จะพูดรายละเอียด พูดแก้ตัว ที่จริงพูดสัจธรรมให้ฟัง 

 

จะให้พวกเพื่อไถ-ก้าวร้าวหันมากลับใจเป็นไปได้ยาก

_โพลชี้นำทำลายชาติ · ดีเจต้อย จตุพร พรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้ อีสาน กลับใจออกจากทักษิณ เพื่อไถได้  เด็กๆและเยาวชนไทยจะกลับใจออกจากพรรคก้าวร้าวได้มั้ยครับ ทำอย่างไรดีครับ

พ่อครูว่า... เขาจะไปทำอย่างไรคุณพูดมา ดีเจต้อยเขาก็กลับใจมาแล้ว จตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้กล่าวเต็มปากแต่ก็ออกมาตรงกันข้ามกันแล้ว เจ๋งดอกจิกก็ออกมาชัดแล้ว แรมโบ้อีสานนั้นชัดเจนเลย ออกมาหมดแล้ว 

ก็จะให้อาตมาไปช่วยเพื่อไถกับก้าวร้าว อาตมาว่าคงช่วยยาก เพราะว่าเขาจมอยู่ในมุมมืด เขาจมอยู่ในนรก เขาจมอยู่ในแดนที่มันไม่เห็นแสงสว่าง ไม่รู้เรื่องอะไร ทำอย่างไรเขาก็ไม่กระเตื้องหรอก ทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกรู้สา เพราะฉะนั้นคงไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็เป็นตัวอย่างของคนในโลก ที่คนที่มืดอยู่แล้วก็มืดไป พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว มืดมามืดไป แล้วก็มืดหนักกว่าเก่าอะไรไปมันเป็นอย่างนั้นอยู่จริง ก็คงจะทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะมันเกินกว่า 

อาตมาไม่มีสิทธิ์ เขาเห็นอาตมาเป็นตัวตลก เป็นตัวบ้าๆบอๆไปพูดไม่มีน้ำหนักอะไร ไม่มีน้ำหนักหรอก เขาไม่ฟัง เขามีพ่อที่เขาจะฟัง มีอาจารย์ มีศาสดาของเขาที่เขาจะฟังอาตมาพูดนั้นไม่มีน้ำหนักเขาไม่ฟัง ดีไม่ดีเขาจะด่าย้อนมาเยอะด้วยซ้ำไป 

อาตมาก็พูดยกตัวอย่างอธิบายสัจธรรม วิจัยวิจารณ์บ้าง ตำหนิบ้างที่มันผิด แล้วไอ้ที่พูดมาส่วนใหญ่มันผิดก็เลยต้องตำหนิเสียเยอะ 

จะชมนั้น พูดไปแล้วอาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะจะหาที่ชมมันไม่มี มันมีน้อย แล้วอาตมาไม่มีภูมิปัญญาที่จะหาที่จะชมเขา ก็ยังชมอยู่บ้าง แต่ก็น้อยประเด็นที่จะชมเขามันน้อย 

นี่พูดด้วยความจริงเลย ไม่ได้พูดใส่ความหาเรื่องแต่มันเป็นความจริงที่พูดไป เพราะเป็นยุคสมัยที่มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ที่บอกว่า ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธจะผิดเพี้ยนไป คนจะไปเชื่อคนที่พูดเก่ง เหมือนปัจจุบันนี้แหละที่มีคารมคมคายพูดเก่ง ภาษาอะไรเก่ง อาตมาพูดนั้นบาดใจเหมือนไปทำร้ายทำลายเขา นี่มันเป็นสัจจะอย่างนี้ที่มันยาก ที่จะให้คนเข้าใจสาระสัจจะต่างๆ 

 

พ่อครูสอนโลกุตระนั้นมันยาก แต่ยิ่งต้องพยายาม

เพราะฉะนั้นงานโลกุตรธรรมนี้มันยากมากเลย ยากที่สุด ที่อาตมาทำงานนี้มันยาก แต่อาตมาก็ไม่ได้ท้อแท้หรืออาตมาก็ไม่น้อยในความพยายาม อย่างที่สุดเลย ยิ่งต้องพยายาม ยิ่งต้องเพิ่มความพยายาม ก็เห็นว่ามันไม่ได้ผล มันน่าจะได้มากกว่านี้ 

สังขารอายุเราก็ร่วงโรยไปเรื่อย นี่รู้สึกว่าจะต้องพยายาม ขืนไปท้อถอยหรือไปท้อแท้ ไปลดความพยายามให้น้อยลง ให้มีความพยายามน้อยลงมันไม่ได้ มันต้องพยายามจริงๆ 

เพราะฉะนั้นยิ่งอาตมาพูด ยิ่งอาตมาเปิดเผย หรือบอกมุมบอกประเด็น บอกแง่ที่ผิดไปมากเท่าไหร่เท่าไหร่ มันก็ยิ่งกระเทือน มันก็ยิ่งทำให้คนมองคนละด้าน เขายึดถืออีกด้านหนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งได้รับกระทบ 

ในการกระทบตนกระทบท่านที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในภาษาคำสอนอันนี้ อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้แหละ เป็นความหมายที่ลึกซึ้งมากเลย 

แปลว่ากระทบตนกระทบท่าน ภาษามันพูดตื้นๆง่ายๆ จริงๆกระทบแล้วคือพูดไปแล้วมันก็ไปถูก ไปแตะไปกระทบนั่นแหละ กับอีกฝ่ายหนึ่ง เราจะพูดฝ่ายดีชมฝ่ายดีมันก็กระทบฝ่ายดี เราจะไปพูดฝ่ายชั่วมันก็กระทบฝ่ายชั่ว 

ถ้าเรายิ่งไปพูดฝ่ายชั่วถูกต้องแล้วเขายึดว่าเขาดี มันก็จะต้องสะท้อนแรง เราพูดไปบอกว่าฝ่ายชั่วเป็นดี เราก็เป็นคนโง่ โง่แรง ไปมองที่เขาชั่วเป็นดีเราก็โง่แรง เขาชั่วเราก็ต้องบอกเขาชั่ว เราจะไปบอกเขาดี ไม่ได้ เราก็โง่แรง มันก็ผิดสัจจะ อาตมาก็ทำผิดสัจจะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาชั่วก็ต้องบอกว่าเขาชั่ว เขาผิดก็ต้องบอกว่าเขาผิด ผิดมากผิดน้อยก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องบอกเหตุบอกผล บอกหลักบอกฐาน อย่างที่อาตมาพยายามเอาหลักฐาน เอาพระไตรปิฎกเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง มายืนยันขยายความต่างๆนานา

จนกระทั่งขยายความไปเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นธรรมะลึกซึ้งไปถึงจิต. เจตสิกรูป. นิพพาน มันก็ยิ่งชัดเจนสำหรับคนที่แสวงหา คนที่พยายามศึกษาพากเพียรศึกษาก็ยิ่งได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอย่างพวกเรานี่เข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่าอาตมาเป็นคนที่จะต้องเคารพสุดเศียรรสุดเกล้า เขาก็พูดออกมาจากความจริงใจ อาตมาไม่เคยไปแนะนำว่าคุณจะต้องเคารพอาตมาอย่างสุดเศียรสุดเกล้านะ ถ้าจริงๆแล้วอาตมาควรจะเหนียม นึกอยู่ในใจว่าเหนียมเหมือนกัน คนมายกย่องยกยอด้วยพยัญชนะด้วยภาษาให้อาตมาสูงเหลือเกินนะ ไม่ใช่ว่าต่ำๆนะ เคารพสุดเศียรสุดเกล้าอะไรต่างๆนานา.   มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่นะ 

ซึ่งอาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ผิดไปจากความจริงที่เป็นหรอก แต่อาตมาพูดไปมันก็น่าหมั่นไส้ เพราะอาตมาเป็นผู้ที่ก็ควรเคารพอยู่ตามที่พูดที่ว่ามามันไม่ได้ผิด 

มันยิ่งสังคมผิดมาก แล้วมีคนถูกขึ้นมาคนหนึ่ง มันยิ่งเด่น มันยิ่งยอด ฟังเข้าใจไหมด้วยความหมายมันยิ่งเด่นมันยิ่งยอด และถูกอย่างโลกุตระด้วย มันยิ่งยอดใหญ่เลย 

ฟังดีๆนะอาตมาไม่ได้มาหลงตัวเองหรือว่ามาพูดชมเชยตัวเองยกย่องตัวเองอะไร อาตมากำลังพูดสัจธรรมสู่ฟัง 

เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆทำความเข้าใจให้ดีๆเถอะ พยายามศึกษาไป ผู้ที่มีภูมิปัญญามีดวงตาก็ได้ประโยชน์ ผู้ที่ไม่มีดวงตาก็แน่นอน จะให้อาตมาไม่พูด จะให้อาตมาไปพูดผิดๆเพี้ยนๆอาตมาก็บาป มันพูดไม่ได้ ถูกก็ต้องพูดให้ถูก ผิดหนักผิดมากอย่างไรก็ต้องว่ากันตรงๆตามน้ำหนักตามความเป็นจริงของมัน ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ตรงมันก็เข้าใจเพี้ยนไปมันก็ไม่ดี นี่คือสัจธรรมต่างๆที่ มันต้องเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นเรามาพูดกันในเวลาที่เหลือ

 

ความเห็นต่างเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้มันมีเป็นธรรมดา 

_สู่แดนธรรม... จากทางบ้านถามมาว่า เขาอยู่ในท่ามกลางสังคมที่มีความเห็นต่างหลากหลาย ว่าเท่าที่ทราบถึงวันนี้ ภายในพวกเราเองหลายคนก็ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น ทิด หลายๆคนก็ไม่ได้เห็นด้วยกันกับการเลือกลุงตู่ หลายๆคนที่เป็นคนเป็นผู้ใหญ่ คนขายของหน้าตลาดสันติก็ยังมีพรรคฝ่ายตรงข้ามอยู่ในดวงใจ แล้วมามีรายได้อยู่ในนี้ ข้อมูลส่วนกลางที่เปิดให้ฟังเขาก็ไม่เปิดรับ อยากขอความกรุณาพ่อครูช่วยตอกย้ำสำนึก ให้คนเหล่านี้อีกครั้งด้วยนะคะ ขอให้บ้านเมืองได้คนดี 

พ่อครูว่า... ก็มันเป็นธรรมดาธรรมชาติความเห็นต่าง พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ทั้งพระองค์ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเห็นต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองยังมีพระชนม์ชีพอยู่นะในยุคพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ในประวัติในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะ เห็นต่างและรวนอยู่และป่วนอยู่ ตั้งแต่พระเทวทัต พวกฉัพพัคคีย์ หรืออะไรต่างๆนานาอยู่ในนั้น ก็มาป่วนก็มารวนอะไรอยู่ 

มีพระพุทธเจ้าทั้งองค์ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ แล้วอาตมาเป็นใครจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าที่จะห้ามได้ จะไม่ให้มีได้ มันห้ามไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็ดูที่ตัวเรา เห็นคนอื่นที่เขาเห็นแตกต่างกันไปหากว่าพอสนิทกัน พอที่จะคิดว่า เตือนเขาให้สติเขาบ้างได้ ก็ให้บ้าง ถ้าเห็นว่ามันสุดวิสัย มันเหนือวิสัยที่จะไปเอาไม้สั้นไปรันขี้เปล่าๆก็ไม่เข้าท่าอะไร ก็ต้องปล่อยให้เป็นไป 

เพราะไปห้ามไม่ได้หรอกในความรู้ความเห็น สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่นานาสังวาส 

นานาสังวาสนี้มันแตกต่างจากนิกาย 

จะขยายความนานาสังวาสกับนิกายให้ฟังเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งแล้วเป็นธรรมวินัยที่ยิ่งใหญ่ 

ผู้ที่ทำนิกาย อย่างที่มีอวิชชา มิจฉาทิฐิหนักจนถึงขั้นอวิชชา คือเห็นกายเป็นคนละกาย 

นิกาย อันที่เป็น พรหมกายหรือธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระพรหมกายหรือธรรมกายก็ดี มันหมายถึงตัวเราตถาคตนะ อยู่ในพระไตรปิฎกมี แล้วทางธรรมกายเขา เอาไปตีกินว่าเขาเป็นธรรมกายเป็นกายของพระพุทธเจ้า ที่จริงแล้วเขานั่นแหละยอดแย่ยอดนิกายเลย คือธัมมชโย สมีธัมมชโย เป็นสมี 2 ตัวด้วย หมายถึงคนปาราชิกไปแล้ว ต้องไล่ไปให้ไกลจากวงการศาสนาพุทธเลย อย่าให้มาฟัง เพราะมันเสื่อม เดี๋ยวนี้สมีที่ปาราชิกอยู่แล้วก็เอามาคลุกคลีอยู่เละเทะ ซึ่งมันเสื่อมจากธรรมวินัยไม่อยู่ในร่องในรอยของพระพุทธเจ้าเลย ลำบากมาก เค้าไม่เข้าใจคำว่ากายเป็นยอดเดิม 200 ไม่รู้เข้าใจเลย

นิ แปลว่าไม่ คือ ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่พรหมกายของพระพุทธเจ้า มันเป็นกายของ เดียรถีย์ ของซาตาน ของผีนรก มันเป็นเช่นนั้น 

กาย แปลว่าองค์รวม กายคือ จิตคือมโน คือวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับภายนอกอยู่ แต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นเอาที่จิต มโนวิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าจิตมโนวิญญาณ พระไตรปิฎกเล่ม16 ข้อ 230 

เพราะฉะนั้นพวกที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจเลย อันนี้แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่ขอยืนยันว่า เถรสมาคมได้มิจฉาทิฐิจนอวิชชาไปแล้ว ในความเป็นกายและเขาก็ได้ทำนิกายแล้ว เขาก็ได้อนันตริยกรรม 

ผู้ที่ทำตนเองหรือสงฆ์ของหมู่ตนเอง ให้เป็นหมู่ที่แตกจากธรรมกายหรือพรหมกายของพระพุทธเจ้า เป็นนิกาย นั่นแหละคือผู้ได้ทำอนันตริยกรรมเป็นนรกหนัก เป็นนรกใหญ่นรกลึก 

โดยที่เขาเข้าใจสมมุติ เข้าใจปรมัตถ์ไม่ได้เลยสับสนไปหมดซับซ้อนด้วย ความซับซ้อนถูกต้องเป็นผิด ผิดเป็นถูกต้องสลับซับซ้อนจนไม่รู้กี่ชั้น เห็นผิดเป็นถูก แต่ละชั้นแต่ละชั้นไป 1 2 3 กลายเป็นทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นนิกาย เป็นอนันตริยกรรมข้อที่ 5 ทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยก 

อาตมาทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยโดยประกาศนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ทนอยู่ได้ถึง 5 ปีนะอยู่กับสงฆ์หมู่ใหญ่ แล้วก็เป็นสงฆ์ที่เป็นนิกายเป็นการออกนอกรีตไปแล้ว อาตมาอยู่ด้วยไม่ได้จึงได้ขอประกาศตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า 

เสร็จแล้ว ยิ่งสงฆ์หมู่ใหญ่แสดงความจริงออกมาให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจความเป็นนานาสังวาสเขาก็ไม่ ยำเละอาตมาใหญ่เลย ดึงอาตมาเข้าไปอีกทั้งๆที่ ได้ลาออกมาตั้งแต่ 18 อยู่กันดีนะอาตมาก็อยู่มาได้ 

จนกระทั่งพ.ศ 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็ไปเล่นงานท่านพุทธทาส แล้วก็มาแขวะเล่นงานอาตมาบ้าง เราก็สงสารนะ ตอนแกเข้าคุกก็ยังส่งข้าวส่งน้ำให้แกเลย ขออภัยที่พูดเหมือนรื้อฟื้นบุญคุณ แต่เราเห็นใจเข้าใจ เราไม่ได้ถือสาและอโหสินั้นเราไม่ได้มีอยู่ถือสาไม่ได้ติดใจอยู่แล้ว เขาน่าสงสารด้วย จนกระทั่งแกเขียนเป็นหนังสือออกมาว่าข้าวของท่านมียาง คือขอบคุณนั่นเอง ระลึกถึงบุญคุณพวกเรา ครูหนูนี่แหละเป็นตัวเชื่อมซึ่งครูหนูก็เสียชีวิตไปแล้ว ครูหนูชื่ออำไพ หุ่นตระกูล ช่วยกัน 

จนมา 2532 ทีนี้สมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือมหาประยุทธ์ ท่านเป็นคนเปิดเรื่องเลย ซัดอาตมาใหญ่ โดยไปยึดถืออาตมาผิด จริงอาตมาผิดเพราะยังไม่ได้เข้าใจในพยัญชนะ ไปใช้พยัญชนะสับสนผิดไปจากความจริงไปหน่อย ท่านก็ถืออันนี้เป็นใหญ่เป็นโต ตีอาตมาเละเลย ว่าอาตมาไม่มีความรู้ในสภาวธรรมของโลกุตรธรรมหรือธรรมะของพระพุทธเจ้า ใส่ใหญ่เลย เขียนหนังสือว่าอาตมา มา 3 เล่ม 

เถรสมาคมก็ร่วมกันใส่อาตมาใหญ่เลย ต้องไปอ่านในหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสที่อาตมาได้เขียนไว้ เป็นการเอาธรรมวินัยมาขยายความไว้ ว่าเถรสมาคมไม่น่าทำอย่างนี้เลย มันผิดมันเป็นบาป เป็นอกุศลแก่ตัวเองจริงๆ ก็ทำไว้ให้ผู้ที่เขามาศึกษา คนจะได้รับรู้ความจริง ไม่ได้เจตนาจะไปว่าไปด่าเขาหรอก แต่อาตมารักษาความจริง เอาประกาศความจริง มายืนยันความจริงที่มันผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ก็ทำออกไปเป็นหลักฐาน 

เสร็จแล้วก็จนป่านนี้อาตมาก็ว่าก็ยังไม่กลับใจ เหมือนอย่างฝ่ายแดงเขาก็กลับใจ จนกระทั่งจะหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดีเจต้อย จตุพรพรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้อีสานก็กลับใจมาหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ยกขบวนแดงกลับใจกันมา อาตมาว่าจะหมดเนื้อหมดตัวแล้วนะทักษิณ เพราะว่าผู้ที่เขามาถึงวันนี้แล้วมาไกลแล้ว ทักษิณถูกเขากลับใจออกมา แต่เขาเกรงใจยังไม่ประกาศตัวอีกเยอะ ยังไม่พูดยังไม่ประกาศตัว แต่ก็ไม่เอาทักษิณแล้วมันเป็นพวกเสียงเงียบจะมีอยู่เยอะ แล้วจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

นัยยะของการเมืองก็ดี นัยยะของธรรมะก็ดี มนุษย์ต้องมีการเมือง มนุษย์ต้องมีธรรมะ จะบอกว่านักธรรมะมายุ่งอะไรกับการเมือง คนพูดนั้นคือคนที่ไม่มีภูมิปัญญาอะไร ไม่มีภูมิปัญญาที่จะรู้ว่าคนมันต้องอยู่กับการเมือง ต้องอยู่กับธรรมะ มันก็ต้องสนใจในเรื่องพวกนี้ แล้วก็เรียนรู้ให้ถูกต้อง ทำถูกต้องแล้วเราจะได้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูก ในทางที่ดี 

เกิดมาทั้งทีแล้วกรรมเป็นอันทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เรียกว่าธรรมะ การกระทำที่เรียกว่าการเมืองมันก็เป็นกรรมทั้งนั้น มันหลีกพ้นคำว่ากรรมไปไม่ได้ กระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าการเมืองกระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าธรรมะ ก็เป็นกรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันมีผลต่อชีวิตคุณทุกคน คุณละเว้นการเมือง ละเว้นธรรมะไม่ได้ 

หากว่าคุณละเว้นธรรมะสิยิ่งแย่ใหญ่เลย ก็พูดกันไม่รู้กี่ทีคำนี้ ถ้านักการเมืองหรือผู้ทำงานการเมืองไม่มีธรรมะนี้ชิบหายใหญ่เลย ใครๆก็พูดแม้แต่ท่านพุทธทาสก็พูด ความรู้แค่นี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเป็นความรู้ง่ายๆ 

นักการเมืองยิ่งไม่มีธรรมะนี้ชิบหายเลยไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่ประเทศไหนก็แล้วแต่ 

“เมื่อไม่คำนึงถึงธรรมะ ไม่คำนึงถึงศีลธรรมแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรก สำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้ก็กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย” นี่เป็นคำพูดของท่านพุทธทาสบันทึกไว้ ท่านพูดไว้ก่อน 

เป็นเรื่องที่เขารู้กันอยู่ คนเรามีการกระทำ การกระทำงานจะไม่เรียกว่าธรรมะจะเป็นงานอาชีพเป็นกัมมันตะ คือ หรือ กรรมที่เรียกว่าอาชีพหรือกรรมที่เรียกว่ากัมมันตะ.  กรรมที่เรียกว่าวาจา หรือสังกัปปะ ก็มี 4 อย่างเท่านั้นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมรรคมีองค์ 8 

มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ

ถ้าหากมิจฉาทิฏฐิในกรรมต่างๆ คือเข้าใจผิดไป คุณก็ไปทำ กรรมต่างๆตามที่คุณเข้าใจผิดๆ คุณก็ได้อกุศลหรือได้บาป คุณก็ได้อันนั้น 

ท่านพุทธทาสก็เคยบอกว่าธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที 

ซึ่งมันก็ทำลายกันอยู่อย่างเห็นๆ เพราะฉะนั้นคนที่พูดกันอย่างเด็กเป็นเด็กจริงๆเลยว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นการพูดที่ไม่เดียงสาเลย ไม่อยากพูดว่าโง่ ไม่เดียงสาคือยังอ่อนเยาว์ ยังโง่ยังเป็นคนพาล ยังไม่ประสีประสาอะไรจริงๆ เป็นคนที่ตื้นที่โง่ที่ยังเขลาอยู่ ไม่รู้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นคนที่พูดอย่างนั้นเราก็จะต้องบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาเองเขลายังตื้นไป ยังเป็นเด็กไม่เดียงสา ยังไม่เข้าท่าอะไร ก็เตือนให้เขารู้แล้วเขาจะรู้จะยอมรับหรือเปล่าก็เรื่องของเขา เราก็ให้ความจริงก็บอกความจริงไปเท่านั้น 

สำหรับผู้ใดที่สำนึกหรือรู้ตัวว่า เราเองแค่นี้ก็เข้าใจผิดแล้วหรือ แค่ว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองเป็นความเห็นที่ผิดแล้วหรือ มันก็ผิดแล้ว มันผิดอย่างหนักด้วยนะ มันตื้นๆแต่มันหนักมันร้ายแรง อย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นคำกล่าวที่เราดูง่ายๆตื้นๆ แต่มันร้ายแรงลงไปถึงมนุษยชาติและสังคม ความเข้าใจผิดอันนี้ 

มันดูง่ายดูตื้นแต่คุณทำง่ายๆตื้นๆนี่แหละ แต่มันมีผล มีผลกระทบถึงสัจธรรมมันลึก มันกินหนักมันร้ายแรงหนัก มันมีผลลงไปเสียหายด้วย เป็นผลถึงขั้น ปหายะ เป็นคนทำร้ายทำลาย 

คนที่กล่าวว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองนั้นเป็นคนทำร้ายทำลายตัวเองก็โง่ลงไป ให้คนอื่นได้ยินได้ฟังพาให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือโง่ตาม และยิ่งโง่ตาม ไปประพฤติตามกันอีกก็เลยพากันชิบหายกันไปใหญ่ในนรก นรกก็ยิ่งลึกกันไปใหญ่ 

เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ได้เข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจ อาตมาเข้าใจถูก อาตมาจึงต้องมาทำสิ่งที่ถูกซะ ส่วนเขาจะว่าเป็นความเข้าใจของเขา 

ถ้าเขาฟังธรรมด้วยดี สุสสูสังลภเตปัญญัง เขาก็จะได้ปัญญา แต่เขาฟังไม่ดี ตั้งจิตไว้ผิดก็ยิ่งไปใหญ่ ยึดมั่นถือมั่นว่าเราไม่ใช่อย่างที่เขาว่ามา เป็นความเห็นผิดที่หนักหนาสาหัส เขาก็ยิ่งจะซวยมาก อาตมาก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ก็ได้แต่แสดงธรรมและพูดไปด้วยความเมตตา ด้วยความสงสาร เห็นๆอยู่ 

พูดถึงพวกเราให้ชัดๆ ไปตำหนิเขาก็จะหาว่าเราปากจัด มาชมดีกว่า ชมก็ชมพวกเรานี่แหละ ชมโลกุตรธรรม ชมเนื้อหาสาระที่เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ เราเป็นมนุษย์ชาวพุทธที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคโลกุตรธรรมเสื่อม แล้วอาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาประกาศ พวกคุณมีดวงตา 

ชาวอโศกมีดวงตา ฟังเข้าใจรับได้ก็เลยเอาชีวิตมาสนใจ เป็นคนไม่เสียชาติเกิด แล้วมาเป็นคนมีศีล แล้วก็มาปฏิบัติอปันกะปฏิปทา 3 จนกระทั่งเกิดสัทธรรม 7 จนกระทั่งเกิดฌาน 

ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นฌานวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่ฌานนั่งหลับตาสะกดจิตที่เขาทำกันอยู่ทั่วไปเป็นเดียรถีย์หรือทางเถรสมาคมหรือวงการพระป่า ซึ่งออกนอกรีตหมดแล้ว 

ขอยืนยันว่าฌานหลับตาเป็นฌานนอกรีต เป็นฌานนอกพุทธ ไม่ใช่ฌานที่เป็นฌานวิสัย ที่เป็นอจินไตยที่เป็นพุทธวิสัย เป็นฌานวิสัยที่เป็นแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตานี้ไม่ใช่เลย 

อาตนาก็ต้องพูดย้ำเพื่อให้เขาได้ยินได้ฟังให้ได้ตรวจสอบ อาตมาใช้คำว่าท้าทายให้มาตรวจสอบเลย อาตมายืนยันว่าที่อาตมาพูดอาตมาตำหนินี้ตำหนิถูกว่าคุณผิด ไม่ได้ตำหนิผิดว่าคุณถูก แต่ตำหนิถูกแล้วว่าคุณนั้นผิด ขอยืนยัน 

ที่อาตมาพูดอยู่นี่อาตมาเกิดมาเห็นความเสื่อมของศาสนา หรือจริงๆแล้วอาตมาได้ยืนยันแล้วว่าอาตมาเป็นคนมากอบกู้ศาสนาพุทธคืนมา ในยุคนี้ เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในมนุษย์ได้ จนเกิดกลุ่มหมู่มนุษย์ที่บรรลุโลกุตรธรรม เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 นี่พูดยืนยัน อ้างอิงหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลยนะ 

ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าทำได้สำเร็จ พวกคุณได้รับมรรคผลจึงได้อยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างสบาย คุณมาทุกคนอย่างอิสรเสรีภาพ.  อาตมาไม่ไปหลอกลวง ไม่ได้ประเล้าประโลม ไม่ได้ปะเหลาะ พูดสัจธรรมแข็งๆด้วย พวกคุณก็เข้าใจ รับฟังได้แล้วเห็นดี จึงมาปฏิบัติศีลตามหลักปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งก็คือกิน อยู่หลับนอน 

อปัณณกปฏิปทา 3 แปลง่ายๆว่า กินอยู่หลับนอน คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วก็ได้มรรคผล ได้ธรรมะเจริญ เป็นความเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา เพราะจิตคุณได้รู้จักกิเลส จิตของคุณมีปัญญารู้จักกิเลส และทำให้ปัญญามีพลัง ปัญญามีอินทรีย์ มีพลัง มีฤทธิ์ กำจัดกิเลสไปได้ 

เพราะทำให้พลังจิตของคุณเป็นกำลัง เป็นกำลังปัญญาขึ้นมา เป็นอินทรีย์ของปัญญา เป็นพละกำลังของปัญญา มันจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทำให้กิเลสลดลงๆๆๆได้ นั่นคือการเกิด ฌาน

ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตดับไม่รับรู้ ฌาน ที่มีความตื่นยิ่งมีปัญญามีความรู้ที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ 

แล้วมันทำกิเลสลดลงไปจิตใจก็ยิ่งกระจ่างใสประภัสสร. ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้คือคุณลักษณะของฌานศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วทำให้เป็น อสัญญีสัตว์ ให้จิตมันไม่กำหนดแล้วรู้ ให้จิต มันไม่มีความรู้สึก เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สัญญาก็เป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาดับ ไม่รับรู้สึกอะไร เป็นพรหมลูกฟัก เป็นเหมือนก้อนดินก้อนหินอะไรอย่างนี้ แต่ที่จริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันก็สงบระงับลงไปเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้แต่ความชิบหายแล้วหนอที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าไปทำผิดอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ฌาน ไม่รู้จักตั้งแต่ไปหลับตา หลับตาแล้วไม่มีคำว่ากาย กาย ต้องมีภายนอก ไม่ขาดภายนอกภายใน 

กายต้องมี 2 สภาวะ ต้องมีทั้งภายนอกและภายในเสมอทำงานร่วมกันเรียกว่าอายตนะ ภายในกับภายนอกมีรูปกับนามแล้วมีอายตนะ แล้วต้องมีผัสสะเสมอ แล้วอายตนะนั่นแหละเมื่อคุณมีปัญญาชำแรกลงไป เรียนรู้ก็จะรู้เป็นเวทนาแล้วก็แจกเวทนาออกเป็นถึง 108 ได้ 

แจกเวทนาไปถึง 108 ตั้งแต่เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 

อาตมาไม่ได้พูดด้วยบัญญัติภาษาเท่านั้น อาตมาพูดนั้นอาตมาเอาสภาวะเป็นตัวตั้ง แล้วอธิบายออกไป เอาสภาวะเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาพยัญชนะเป็นตัวตั้ง อาตมาต้องระลึกเอาสภาวะก่อน แล้วค่อยมาระลึกเอาพยัญชนะมาแปะทีหลังแล้วพูด 

บางทีก็สับสนพยัญชนะหรือบางทีก็ระลึกพยัญชนะไม่ออก แต่สภาวะอาตมามีครบ จึงอธิบายรายจละเอียดของสภาวะได้ 

เพราะฉะนั้นคำว่านิกายคือ ผู้ที่ไม่รู้ต้นเลยตั้งแต่คำว่ากายมันมีภายนอกด้วยภายในด้วย เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ผู้เข้าใจไม่ได้แล้ว ผู้นี้ก็คือผู้ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นกระดุมเม็ดแรกของศาสนา 

ผู้เข้าใจหรือพ้นสักกายทิฏฐิ เข้าใจคำว่ากายแล้วต้องมาดูที่ตัวเอง การศึกษาต้องมาเรียนที่ตัวเอง ถ้าพ้นตัวนี้ไม่ได้ ผิดตั้งแต่ตัวนี้เริ่มต้นก็ไม่ได้เลย อีกอันที่ 2 ที่จะต้องแยกกายแยกจิต เพื่อที่ให้ผู้ที่จะศึกษาไปนิพพานจะต้องแยกกายแยกจิต ให้รู้ว่ากายกับจิตนั้นเมื่อใดมีกาย จิตของเราทำให้ไม่มีกายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตกับกายมันไม่มี มันมีกายกับจิต แต่เราทำใจในใจ มนสิการทำแต่แค่ใจในใจเท่านั้น ให้มันไม่มีกาย 

คำว่าไม่มีกายคำนี้คือไม่ให้มันมีกายที่แยกเข้าไปถึง เจตสิก กายิกเจตสิก กับ เจตสิก มันมีกายกับเจตสิก แยกกายเป็นเจตสิกก็คือ แยกตัวปฏิบัติจริงคือ ตัวเวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า 

เพราะเวทนาเป็นตัวแท้ของความสุขความทุกข์ เวทนาคือความรู้สึกหรืออารมณ์ที่มันรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ตัวนี้เป็นอริยสัจต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาริยะเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ฉลาดแล้วก็จะเรียนรู้ที่เวทนานี้ได้ว่าเป็นอาการหรือว่าเป็นความรู้สึก ว่ามันเป็นทุกข์ 

อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของมันได้คือจับสภาพของมันได้ว่าอาการนี้คืออาการทุกข์ แล้วคนที่มิจฉาทิฏฐิก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข นี่คือพวกวิปลาส เพราะว่าสุขกับทุกข์นั้นมันตัวเดียวกันมันเป็นอารมณ์ ถ้ามันเป็นอารมณ์สุขมันก็คือมายามันหลอก แต่ที่แท้มันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่คนวิปลาสก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข แล้วก็ไปยึดความสุขให้มันเที่ยง ก็เป็นความวิปลาสตัวต้นเลย 

มันไม่เที่ยง สุขมันก็ไม่เที่ยงแต่ไปยึดว่าให้มันเที่ยงจะต้องเป็นสุขตลอดกาล ตั้งแต่จตุมหาราช จนดาวดึงส์ จนถึงยามา 

จตุมหาราชคือ ข้าจะต้องแย่งชิง  ข้าจะต้องประหัตประหารเอาจากคนอื่นให้ได้ เป็นจอมยักษ์จอมมารเป็นนักรบใหญ่ถือดาบถือง้าวถือหอกมีเขี้ยวมีตาโปนเอาไปแย่งในโลกโลกีย์ แย่งได้มาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นภพลวงเป็นภพหลอก.  เป็น ตาวติงสา เป็น อาการที่ 33 ซึ่งจริงๆแล้วในภพมันมีแค่อาการที่ 32 คือทวัตติงสา มันไม่มีดาวดึงส์ไม่มีอาการ 33 ที่เป็นการหลอกลวง

แล้วต้องการให้เป็นสุขยาวนานคือยามา ได้ยาวนานยามหนึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง ก็จะได้ให้หลายๆยามเป็นยามต้นยามกลางยามปลายให้มันสุขต่อกันไป ซึ่งมันไม่ได้มันไม่เที่ยง แต่คุณก็จะพยายามดึงดันให้เป็นยามา ให้เป็นดาวดึงส์เป็นสุขนี่แหละ เป็นตัวหลอกตัวปลอมเป็นมายาในการจะเอาความสุขนี่แหละให้เป็นยามา 

เขาจะให้พัก กูก็ไม่พัก จะให้ดุสิตก็ไม่พัก ดุสิตแปลว่าเย็น ก็ไม่เอาดันทุรังต่อไปเลยสร้างขึ้นจะเอาต่อไปอีกเป็นนิมมานรดี ก็เลยยิ่งไปภพซับซ้อนเนรมิตขึ้นมาหลอกตัวเอง เก๊แล้วเก๊อีก เรียกว่า นิมมานนรดี ยังไม่พอ

ใครๆมาเห็นตามโง่ตามก็ช่วยกันมา ปรินิมมิตวสวัตตี สร้างให้เป็นกำลังใหญ่เป็นพญามารยิ่งใหญ่ที่สุดเป็น ปรินิมมิตวสวัตตี ทำนรก ให้ใจตัวเองซับซ้อนไป ฟังให้ดีนะ 

ไอ้คนที่ไม่รู้จักสวรรค์เก๊ของเก๊ทั้ง 6 แล้วก็ไปหลงสวรรค์คุณก็มีภพ เพราะศาสนาพุทธท่านมาสอนให้รู้จักสวรรค์รู้จักนรก แล้วไม่เอาสวรรค์นั่นแหละยิ่งตัวหลอกซับซ้อนยิ่งเป็นมายาเป็นนรกในเมืองมายา มันเป็นนรกชัดๆ 6 ชั้นนั้น 

ศาสนาพุทธจึงไม่เอาแล้วทั้งนรกและสวรรค์เลิก แต่ศาสนาพุทธนั้นมันเสื่อมก็ไปหลงสวรรค์ กันอยู่นี่ศาสนาก็สอนแต่ให้ทำบุญทำทานให้เกิดภพชาติเกิดสวรรค์อะไรอยู่ เป็นสวรรค์ดาวดึงส์ สวรรค์มีสุข หลงความสุขเป็นสุขนิยมเหมือนกับเทวนิยมเขา ที่เป็นสุขนิยม 

แล้วเมื่อไหร่คุณจะหลุดพ้นสักที บวชมาตั้งอกตั้งใจน่าสงสารอยากจะได้นิพพาน อยากจะหลุดพ้น แต่คุณก็โง่งมงายสร้างภพชาติให้แก่ตัวเองวันแล้ววันเล่าได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เป็นโลกีย์อยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักกายไม่รู้จักจิต 

พูดแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรให้ฟื้น อาตมาก็ไม่เสียหลายหรอกพูดไปแล้วยังมีพวกคุณเข้าใจ แล้วก็มาฝึกฝนปฏิบัติได้มรรคได้ผลตาม ฟังธรรมะให้ดีจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่าอาตมาพูดถูก 

เพราะว่าสังคมที่บรรลุมรรคผลจริงๆมีแต่สังคมชาวอโศกนี่แหละ นี่ขอยืนยันนะอาตมาไม่ได้พูดหลอกลวง ไม่ได้พูดประเล้าประโลมปะเหลาะ ไม่ได้พูดผิดด้วย พูดผิดมันบาป อาตมาพูดถูกต้อง ในเถรสมาคมนั้น หาได้ยากจนกระทั่งเรียกว่าไม่มีเลยที่จะถูก อาตมาก็ขอใช้คำว่าหาได้ยากก็แล้ว จะบอกว่าไม่มีเลยนั้นเพราะอาตมาก็ไม่ได้รู้จักละเอียดลออไปทั้งหมด อาจจะมีผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิอยู่บ้าง หรือมีส่วนที่เป็นอาริยะบุคคลบ้าง เป็นโสดาบัน สะกิดทาคามี อนาคามีได้บ้าง แต่มันไม่ง่ายนะที่จะเป็นโสดาบัน จิตเข้ากระแส 

ตั้งแต่ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม จนถึง สัมโพธิปรายนะ 

ก็คือจะต้องมีถึง 4 ส่วนก่อนเรียกว่า โสตาปันนะ คือ รู้จัก ทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ รู้จักการดับความดับทุกข์ อาการของการดับทุกข์ รู้จักวิธีการทำให้ดับทุกข์ โสดาบันก็ต้องเริ่มรู้อันนี้ก่อน 

จะรู้ความทุกข์ก็ต้องรู้จักจิตเจตสิกของตัวเองว่าความทุกข์มันเป็นอาการยังไง แล้วคุณก็ต้องรู้ว่าอาการของจิตของคุณมันเป็นยังไง มันเป็นอย่างนี้หรือมันเป็นอาการอย่างนี้คือความทุกข์และไปหลงว่ามันเป็นสุข รู้ว่ามันเป็นมายามันหลอกเราอยู่ ที่จริงมันเป็นผีเป็นซาตานมาหลอก แต่เราไปเห็นว่ามันเป็นอารมณ์สุข มันหลอก ผีมันเป็นมาหลอกว่าเป็นอารมณ์สุข ที่แท้มันเป็นทุกข์ อันเดียวกัน มันอันเดียวกันทุกข์กับสุข ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

เพราะฉะนั้นอริยะจะเห็นทุกข์ ความสุขไม่มีหรอก ความสุขมันเป็นตัวมาร ตัวซาตาน ตัวผีหลอก 

เพราะฉะนั้นคนที่จะหลงสุขกันอย่างเทวนิยม ไม่มีทางที่จะขึ้นมาได้ ศาสนาเทวนิยมไม่มีทางจะรู้จักสุขทุกข์ เขาเรียนรู้ได้แต่ดีแต่ชั่วที่เป็นสมมุติในโลกเท่านั้น แล้วเขาก็อาศัยอันนั้น เป็นศาสนาทุนนิยมเป็นศาสนาอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เขาก็พยายามนะ ศาสนาทางโน้นเขาก็พยายามจะมาเป็นคนจน มาเป็นคนทิ้ง ลาภยศ บางคนก็พยายามที่จะทิ้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็พยายามเหมือนกัน แต่เขากำหนดไม่ถูก มันสัมมาทิฏฐิไม่สมบูรณ์ มันไม่เป็นปัญญา 

มันไม่เป็นปัญญาเพราะมันยังไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ปัญญาข้อที่ 1 เขาไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส เขาไม่ได้ฟังสัตบุรุษพูด เขาไม่ได้ฟังสัมมาทิฏฐิจากผู้ที่สัมมาทิฏฐิ แม้จะได้ยินได้ฟังแล้วปัญญาข้อที่ 2 ก็ต้องมาฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกในปัญญาข้อที่ 2 เข้ามาถามไถ่มาซักไซร้ไล่เรียงเรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก จึงจะค่อยๆเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จึงจะเกิดหิริโอตตัปปะสูงขึ้นเรื่อยๆ พอสำนึกแล้วจะรู้สึกตัว ตายๆๆๆทำทุกข์อย่างแรงกล้าเลย แต่ก่อนที่เราเข้าใจผิด เห็นหัวเป็นตีนเห็นตีนเป็นหัวเลย ตีลังกากลับเลย จะรู้อย่างนั้นเลยจริงๆจะเห็นตรงกันข้ามที่เป็นสัจจะความเป็นจริง 

จะรู้จริงๆแล้วเข้าใจ วูปสมะ ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 จึงจะรู้ถึงความสงบ 2 อย่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

_สู่แดนธรรม... จะรู้จัก ความสงบ 2 อย่าง

สมณะเดินดิน... วันนี้ได้อ่านใน Facebook ของดร.แสวง รวยสูงเนิน บอกว่าคนเราจะเลือกเอาระหว่าง ฌานหลับตากับลืมตา ควรจะเลือกแบบไหน ถ้าฌานหลับตา คนเราต้องหยุดคิดหยุดพูดหยุดทำ หยุดทำมาหากินทั้งหมด แต่ถ้าเป็น ฌานลืมตา ก็ยังคิดได้พูดได้ ทำได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีความคิดพูดทำได้อยู่ เขาไม่ได้มาเจอพวกเรามานานแล้วก็ยังมีสัมมาทิฏฐิเข้าใจได้ 

เห็นพวกเราทำงานทำการทำงานอยู่แต่ก็มีความสงบในตัว เคยเห็นพวกสายวัดป่ามานั่งหลับตาฟังธรรมพวกเราเดี๋ยวก็พลิกไปพลิกมา แต่รู้สึกพวกเราดูเหมือนทำงานทำการวุ่นแต่ก็ฟังธรรมกันอย่างสงบ ฟังธรรมกันอย่างที่พ่อครูบอกว่า ที่นี่เหมือนไม่มีคนเลยทั้งที่อยู่กันเป็นร้อยเป็นพันเป็นความสงบ 2 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าวิเศษกับความสงบทั่วไป 

พ่อครูว่า... ขยายความคำว่าสงบ 2 อย่างให้ฟัง พยายามจะพูดให้ง่ายๆ ความสงบ 2 อย่างที่เข้าใจนี้ ความสงบอย่างที่เป็นโลกุตระ เป็นฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่เป็นอจินไตยกับความสงบแบบฤาษี

ความสงบแบบ เดียรถีย์ โลกียธรรมดา คือเป็นความสงบที่เขาเอาตื้นๆอย่างความเคลื่อนไหวมันมีหรือไม่มี เป็นความเคลื่อนไหวทางการกระทำทางกายกรรม กายกรรมไม่เคลื่อนไหว เขาก็เลยไปนั่ง นั่งนิ่ง หรือบางทีไม่นั่งก็นอนทำสมาธิ หยุดนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว หยุด อิญชนะ (การเคลื่อนไหว) เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดถึงอิญชนะ เขาไม่เข้าใจ ไม่ระวังระแวงด้วยว่าสงบก็คือหยุด

สงบที่เขาเข้าใจกันแค่ตื้นๆเขาเข้าใจว่าแค่ไม่เคลื่อนไหวกาย พูดก็พูดให้เบาๆน้อยๆหรือนิ่งๆไม่พูดเลย ไม่เคลื่อนไหวทางวาจา หนักเข้าก็ไม่เคลื่อนไหวทางจิต ให้สงบ แล้วเขาก็ว่าเขาอ่านอาการ กาม ปฏิฆะ ที่มันเกิดในจิตซึ่งมันเป็นสัญญาไม่ใช่เป็นกรรมที่จริง ปฏิฆะที่จริง ที่เกิดการกระทบสัมผัสใน กามาวจร เพราะเขาไปนั่งหลับตาอยู่ใน รูปภพ อรูปภพ 

แล้วเขาก็เข้าใจอีกแหละว่าเขาจะทำให้มันนิ่งลึกเข้าไป ให้หยุดนิ่งไปเลย นี่แหละคือสงบ เขาเข้าใจอย่างนี้กันเลยนะมากกว่ามากเลย โดยเฉพาะสายเทวนิยม แม้แต่อินเดียเองเดี๋ยวนี้ เป็นฤาษีกันทั้งนั้น อินเดีย ไม่มีโลกุตรธรรมนะ ไม่มีใครสอนโลกุตรธรรม เป็นฤาษีทั้งนั้น เป็นพวกนอกรีตทั้งนั้น 

โดยฉะนั้นในเมืองไทยนี่ก็เถอะ แยกไม่ได้ ทำความสงบที่มันสงบเพราะ จิตมันแคล่วคล่อง จิตมันตื่น จิตมันสว่าง จิตมันแจ่มใส ไม่ใช่จิตที่ยิ่งหรี่ยิ่งหลบยิ่งหลับ ไม่ใช่ มันยิ่งตื่น ยิ่งแจ่มใส ยิ่งกระปรี้กระเปร่าเพราะอะไร 

เพราะกิเลสมันออกไป ทำให้กิเลสตัวขุ่นมัว ตัวหมอง ตัวที่ทำให้ยิ่งมืดบอดนั้นมันลด มันลดค่าลงเรื่อยๆ กิเลสนี้มันหมดไปจิตมันก็ยิ่งตื่นใสสะอาด บริสุทธิ์จากกิเลสไปเท่าไหร่ ปริสุทธาจิตที่ บริสุทธิ์จากกิเลสก็คือ ปริสุทธามากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มันก็ยิ่งประภัสสรความฉลาดชนิดก็ยิ่งแจ่มใส สงบจากกิเลสจิตก็ยิ่งแจ่มใส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ทำกรรม กัมมัญญาทุกอย่างที่เป็นกัมมันตะมันเป็นอัญญา มันพร้อมไปด้วยความฉลาดชนิดอัญญาปัญญา กำกับพร้อมไปตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้น ฌานหรือสมาธิ หรือจิตที่สงบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ฌานที่คนนิ่ง ไม่ใช่ฌานแบบแข็งทื่อ แต่เป็นฌานที่ยิ่งมี กายปาคุญญตา มี จิตปาคุญญตา มีกายกรรม แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว วจีกรรมก็แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว มโนกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว นี่คือสัจจะสุดยอด 

ซึ่งผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญา เพราะความเข้าใจไม่มี เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่ซับซ้อน ทำไมยิ่งสงบยิ่งหยุด ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งว่องไว เขาก็ไปเข้าใจว่าสงบคือหยุดคือนิ่ง คือไม่เคลื่อนไหว ซึ่งมันผิด มันไม่ใช่อย่างนี้เป็นต้น 

_สู่แดนธรรม... สรุปว่า มีสมณะที่สันติฯ บอกว่า เดินตามโยมที่ ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าบอกว่า กาเบอร์ 22 ทั้งสองบัตรเลยไม่ได้นะ จบ 

พ่อครูว่า… อย่างนี้แหละ บัตรสองใบมันทำให้งง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 10:17:38 )

660512

รายละเอียด

660512 เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53262.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1q8LF503X5Di_eSHHBVbFg784j2VHH606/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kYqp_c9l1u90NH58I_eRiDXIOGfdE6kH/view?usp=share_link 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/PSza3XuqXO8 

และ https://fb.watch/ktZigbkSMW/ 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้พวกเราไปเดินปลุกพลังเงียบ เป็นพลังบริสุทธิ์ ไปปลุกพลังเงียบ น่าจะเป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมีขบวนจักรยาน ไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้เสียงกัน 

กกต.ประเมิน จะมีคนมาใช้สิทธิ์สัก 80% แต่ดูจากที่ประชาชนตื่นตัวออกมาเลือกตั้งล่วงหน้า เขาประเมินใหม่ว่าปีนี้น่าจะมีคนมาใช้สิทธิ์ถึง 85% ถือเป็นยอดที่สูงมาก จะมีผลให้พวกที่ใช้กระสุนหาเงินซื้อเสียงกันไม่ไหว คนออกมาเยอะๆเงินก็จะสั่งไม่ได้ 

พวกเราไปเดินมีฝนตกด้วย ฝนตกที่ทุ่งศรีเมือง กับฝนตกที่บ้านราชนั้นไม่เหมือนกัน ที่บ้านราชนี้ตกมาอย่างหนัก แต่ที่ทุ่งศรีเมืองตกกำลังพอสบายๆ ทำให้เกิดความลงตัว พี่น้องเสื้อแดงจะอยู่บนรถ เป็นจำนวนมากไม่ค่อยจะได้ลงมาเพราะเห็นฝนตก ส่วนพวกเรามีเสื้อกันฝนพร้อมรบ มีสีสันที่มาร่วมรวมกัน ถือว่าพวกเรารวมไทยสร้างชาติได้สำเร็จแล้ว รวมเหลืองรวมแดง 

วันนี้เป็นวันนิมิตหมายที่ดีแม้ต่างสีต่างความเข้าใจ แต่เราก็รวมๆกันได้ ซึ่งชาวบ้านเขารู้จักพวกเราอยู่แล้ว รู้จักจากการมาซื้อของที่ตลาดอาริยะ เป็นตัวเชื่อมโยงทำให้ชาวบ้านรู้จักพวกเราเป็นส่วนใหญ่ 

บทบาทที่พวกเราออกไปเคลื่อนตัวทำให้มีคนมาดูบุญนิยมทีวีเพจ Facebook ถึง 10.3 ล้าน คนมาแสดงความรู้สึกที่ดีมากกว่าพวกเราอยู่เฉยๆ 

พ่อครูว่า... มันไม่ใช่วันสุดท้ายหรอก เป็นแต่เพียงว่าวันนี้เป็นวันที่ 12 พรุ่งนี้วันที่ 13 มันก็ใกล้จะถึงวันที่ 14 สรุปง่ายๆว่าเป็นวันสุดท้ายที่อาตมาจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเมืองกับเขา ซึ่งมันไม่ใช่ ไม่ใช่แค่นี้หรอก ยังจะวิจัยวิจารณ์ต่อไปอีก แต่มันหมายถึงว่า มันกำลังเข้มข้นเคี่ยวข้นกัน กำลังรู้สึกว่าอินเทรนด์กันอยู่ในอารมณ์เท่านั้นเอง เรื่องของเรื่อง 

ก่อนจะไปเรื่องการเมืองก็ขอ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 10 พ.ค. 2566

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกได้เห็นขบวนชาวอโศกมาปลุกพลังเงียบแล้วนับว่าล้ำหน้ากว่าคณะหาเสียงอื่นๆมาก

ไม่มีใครเหมือน ใช้ความเรียบง่าย มาปลุกพลังเงียบ ใช้การขี่จักรยาน ใช้พืชผักมาตบแต่งรถแห่ ใช้คนแต่งตัวมอซอ ใช้ความอ่อนน้อมมาปลุกสำนึก 

 

แท้จริงแล้วประชาธิปไตยคืออย่างใด

ลูกมีความสงสัยคือว่า มีพรรคการเมืองบางพรรคใช้คำว่าประชาธิปไตยแทนฝ่ายของตน แต่พฤติกรรมก้าวล่วงสถาบัน ก้าวล่วงวัฒนธรรมไทย ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่าแท้จริงแล้วประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร  เป็นแบบพรรคบางพรรคว่าไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ต่างคนต่างเอาประชาธิปไตยยึดมาเป็นตัวประกันของตัวเองทั้งนั้นแหละ ทีนี้คำว่าประชาธิปไตยนั้น ใน Concept ของแต่ละคนที่เขากล่าว ของพรรคแต่ละพรรคที่เขายึดถือ มันมีนัยยะลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ 

คำว่า ประชาธิปไตย ต่างคนต่างถือว่า ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่ยึดถือความเป็นประชาธิปไตยทั้งนั้นแหละ แต่จะถูกจะผิดอย่างไร มันต่างกันไปเยอะ 

ซึ่งเขาก็เป็นประชาธิปไตยแบบคล้ายๆอเมริกา เพราะอเมริกาเขาไม่มีสถาบัน ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือหลายประเทศเขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเขาก็ไม่อยากให้มี เหมือนอย่างฝรั่งเศสทำเสร็จไปแล้ว หรืออีกหลายๆประเทศทำให้ไม่มีไปแล้ว เขาก็กลายเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินก็ถูกของเขา ก็เป็นประชาธิปไตยแบบของเขา จะไปว่าเขาผิดก็ไม่ได้ เพราะเขามี Concept ประชาธิปไตยของเขาแบบนั้น 

แต่ของไทยเรามีพระเจ้าแผ่นดิน หรือแม้แต่อังกฤษก็มีพระเจ้าแผ่นดินซึ่งก้าวล่วงไม่ได้ นี่แหละคือสมมุติที่แตกต่างกันนัยยะธรรมดา เราจะไปเอาของเราไปยึดถือแบบของเขาทำไมของเขาเป็นแบบนั้น ก็ของเขาทำแบบนั้นก็ถูกของเขาสิ มันซับซ้อนอย่างนี้ 

แล้วแท้จริงประชาธิปไตยเป็นแบบใด เป็นการถามความรู้ที่ยิ่งใหญ่นะ ซึ่งประชาธิปไตยก็เป็นไปอย่างของแต่ละคนแต่ละ Concept ของเขา ที่เขายึดถือของเขาเข้าใจของ เขาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็แตกต่างกันไป ปีนี้มาถามว่าแล้วแท้จริง ประชาธิปไตยเป็นอย่างไร 

ตอบ แท้จริงไม่มีความจริง ประชาธิปไตยก็เป็นความเห็นความเข้าใจความยึดถือของคนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม แต่ละประเทศ แตกต่างกันไป จึงเรียกว่าเป็นเทศะ เทศะคือความแตกต่างกันไป ไม่ผิด  

เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจให้ได้ว่า ของเขาก็ยึดถือเข้าใจเป็นแบบนั้นถูกของเขา เราไปว่าเขาไม่ถูกซึ่งก็เรานั่นแหละไปว่าของเขาผิด ตัวเราเองผิดไปจากเขา ก็เขาถูกของเขา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ไปยึดถือตัวตนก็ทะเลาะกัน แย้งกัน เถียงกันไปไม่จบ ถ้าจบแล้วก็เป็นนานาสังวาส 

เราก็เห็นว่าคนร่วมกันก็เข้าใจ เป็นคนร่วมกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน นานา แปลว่าแตกต่างกัน ต่างคนต่างถือกันไป ไม่เห็นแปลก อะไร 

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าความจริงแล้วประชาธิปไตยเป็นแบบใดมันไม่มีหรอกของความจริง มันเป็นความสมมุติทั้งนั้น 

แต่ทีนี้ มันเป็นระบอบของการบริหารประเทศ เราก็มามองเอาตรงที่การบริหารประเทศ คุณจะใช้ภาษาเรียกแบบนั้นแบบนี้ แบบอเมริกา แบบอังกฤษ แม้แบบไทยมีพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกับอังกฤษ แต่ก็ยังมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกัน ซ้อนๆอยู่ ไม่เหมือนกันทีเดียว แม้แต่ในกฎหมายก็ยังต่างกันในข้อกำหนดกฎเกณฑ์ 

กฎหมายเกี่ยวกับในหลวง เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง กฎหมายก็มีนัยยะต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายกัน เพราะว่าลอกเลียนกันมา ไทยก็ไปลอกของเขามาก่อน แต่ก่อนนี้ก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ใช้ของทางด้านตะวันตก ด้านอังกฤษยุโรปมา เพราะฉะนั้นจะไปนับว่าเป็นความจริง มันไม่จริงหรอก เป็นสมมุติ ของใครก็ยึดถือกันไป 

_ตุ๊ก อัศวิน  · พ่อครูท่าน..กรุณาปรารภธรรม โปรด ผู้มืดบอด ด้วยเมตตาธรรมยิ่ง..เจ้าค่ะ

ดุจจุดเทียนในที่มืด..ถ้าใจไม่บอดสนิท..คงตามตรึกตรอง..และ..แจ้งใจในที่สุด

กราบอนุโมทนา..สาาาธุเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... แสดงว่าฟังแล้วเข้าใจแล้วตรึกตรองตามก็แจ้งใจ ก็ได้รับความแจ้งใจไปตามลำดับๆดีแล้ว ส่วนคนไม่รู้ก็มืดก็บอด จุดเทียนอย่างไรเขาก็ไม่เห็น ไม่มีแสงอะไรให้เขาเห็นหรอก เทียนสักกี่กระบุง กี่ตะกร้า กี่รถโกดัง ก็ไม่เห็นอะไร เพราะว่าเป็นเรื่องขององค์ประกอบของกิเลสมันมีเยอะ เราเรียกว่ากิเลส เขาก็ว่าเป็นความเห็นของเขา ก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง...

ความเป็นกลางเข้าข้างคนทำดี 

ให้เขามีความมั่นใจในกุศล 

คนทำดีเสียสละละตัวตน 

ปัญญาชนย่อมรู้เห็นความเป็นจริง

....ผลงานของนายกลุงตู่ทำสำเร็จตามนโยบายที่วางไว้ที่พ่อครูกรุณาอ่านมีมากมายจนสาธยายไม่หมด แต่พอถามประชาชนบางคนก็บอกว่า ลุงตู่อยู่มา 8 ปีไม่เห็นมีผลงานอะไร แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลมีน้อยเกินไป จนไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณอ้นทิพานันได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยยิงเลเซอร์ขึ้นไปบนเสาสะพานพระรามแปด เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์พรรครวมไทยสร้างชาติเบอร์ 22 จนเกิดแรงสะเทือนเลื่อนลั่น พรรคต่างขั้วนั่งไม่ติด ออกดาหน้ามาโจมตี จนสื่อทุกช่องต่างมารุมเพื่อเล่นงานคุณอ้น จนกลบข่าวทักษิณจะกลับมาเลี้ยงหลานเสียสนิท คุณอ้นคนดีนี่แหละที่เราควรปกป้องและเข้าข้างให้กำลังใจเพราะเธอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีแล้วค่ะ

พ่อครูว่า...รัฐบาลประชาสัมพันธ์น้อยไป อันนี้เห็นจริงด้วย แต่ก็ทำเนื้อแท้มากกว่านั้นดีแล้ว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เดี๋ยวนี้มันมีเลอะเทอะเยอะแยะ มันกลบเนื้อหาไปเสีย ออกไปทางเพ้อเจ้อ โกหก หลอกลวงกันเต็มไปหมด 

อโหสิต้องทำกับคนตอนเป็นๆจึงได้ผล 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · เรียนถามพ่อครู คำว่าอโหสิกรรม ควรใช้ตอนใหนดีครับ ใช้กับคนตายแล้วหรือว่ายังไม่ตายดีครับ

พ่อครูว่า... คำว่า อโหสิกรรม หมายความว่า ใครทำกรรมอะไรมาก็แล้วแต่ จะทำร้ายทำแรงมากับเรา ทำผิดทำถูกมา ส่วนมากก็ทำผิดกับเรา แล้วเราไม่ถือสา เราก็เลิก อโหสิแปลว่าไม่ถือสา ยกเลิก อโหสิ ไม่ติดไม่ยึด ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกัน อโหสิ 

มันก็เป็นเพียงปัจจุบันธรรม อโหสิที่ปฏิบัติต่อกัน ที่จริงบางทีแค่ปากพล่อยๆ บอกว่า เออ..อโหสิ แต่ใจยังไม่ได้อโหสิหรอก ใจมันยังยึดอยู่ มันยังจองเวรจองกรรมกันอยู่นะ ยังถือสากันอยู่นะ แต่ด้วยแบบว่าสังคมๆ พอบอกพูดมาก็ว่าดี พูดมาอโหสิก็ขั้น 1 ยกให้ 

ถ้าถามประเด็นว่าตอนไหนดี ก็ตอนคนเป็นๆนี่แหละ ตอนคนตายแล้วจะไปรู้เรื่องอะไร คนเป็นๆต่อกันนี่แหละ แล้วก็พูดกันแล้วมันก็จะยอมวาง บางทีมันก็วางกันได้ปล่อยไม่ยึดไม่ถือไม่พยาบาทไม่ถือสาต่อกันได้ อันนี้ก็เป็นสัจจะเหมือนกัน แต่ส่วนมากกิเลสมันไม่ยอมง่ายๆ แต่มันก็ทำเป็นเรื่องของโก้ๆเป็นเรื่องโลกๆไปให้มันดูดี บอกว่าไม่เอา อโหสิ ไม่ถือสา พูดไปมันก็ดูดีนะ ก็เป็นคุณธรรมอันดีอันนึง แต่จริงๆแล้วใจจริงๆมันจะอโหสิจริงไหม 

ส่วนกับคนตายนั้น คุณเป็นคนที่จะอโหสิ หากว่าอโหสิกับคนเป็นมันก็จะต้องเปลี่ยนแปลงกันอยู่ แต่คนที่ตายไปแล้วนั้นคุณจะไปบอกอโหสิกับคนตาย คนตายก็ไม่รู้เรื่องด้วย มันสูญเปล่า อโหสิกรรมกับคนตายมันสูญเปล่า สำหรับคนที่เราจะพูดกับเขา คนตายคนนั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่ตัวคุณนั้นคุณอโหสิ ถึงอโหสิหรือไม่อโหสิ คุณจะไปทำอย่างไรกันได้ล่ะเขาตายไปแล้ว มันอยู่ที่คุณ 

ถ้าคุณจองเวรจองกรรมอยู่ที่จิตของคุณอยู่ ต่อไปก็พัวพันกันอีก ส่วนคนตายไปแล้วเขาไม่อโหสิคุณ คุณบอกว่าอโหสิแต่เขาไม่ยอมอโหสิ เขาตายไปแล้วคุณจะไปแก้ไขเขาได้ยังไง ถ้าเขาผูกพยาบาทไปแล้วเท่านั้น หรือเขาอโหสิแล้วก็แล้วไป ถ้าเขาไม่อโหสิเขาพยาบาทแต่คุณบอกว่าอโหสิให้คนตาย มันจะได้ผลอะไร 

เพราะฉะนั้นก็ไม่มีผลอะไรหรอกต่อคนที่ตายไปแล้ว อโหสิก็พูดกันกับคนที่ยังเป็นๆนี่แหละ จะได้ผลไม่ได้ผลกันจริงก็ตรงนี้ เป็นแต่เพียงปากพล่อยๆก็ได้ผลน้อย ถ้าจิตใจมันอโหสิจริง วางจริง ปล่อยจริงก็ได้เยอะขึ้น 

เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป

_SMS กราบนมัสการครับ ผมขอฝากถามพ่อครูครับ ท่านไม่ต้องบอกว่าเป็นผมนะครับ กลัวเด็กจะเกียดผม 

พ่อครูจะล้วงกระเบื้องออกจากคอลูกหลานอย่างไร ขณะนี้ลูกหลานที่ไร้เดียงสา ( ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา) กำลังกลืนเศษแก้ว อย่างงมงาย  (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... อันนี้จะมีผลต่อลูกหลานที่เป็นศิษย์เก่า พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย ไปแต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์แดงส้มนี้ไม่ได้เลย มีพวกเราบอกว่าเหมือนเป็นสัญญาณของกลียุค ที่เด็กถูกล้างสมอง ถูกปลูกฝังให้เป็นอย่างนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้ทั้งหมด เห็นนายกลงตู่ไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ชื่นชมลุงตู่เหมือนดาราเกาหลีเลย 

_คือเขาได้ปรามาสคนรุ่นเก่าว่า ถูกศาสนา-สถาบันครอบงำมายาวนานตกอยู่ภายใต้ คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หลอกมาทั้งชีวิตเด็ก(ศิษย์เก่า)

เขาปรามาสพ่อครูว่า “แค่พ่อครูประกาศว่า พลเอกประยุทธ์เป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหม็นขี้ฟันแล้ว” เขาจะบาปมากไหมครับ เขาอกตัญญูไหมครับ หลายคนบอกว่า ปล่อยเขาไป พ่อครูคิดอย่างไรครับ  เด็กคิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ผมน่ะเป็นห่วงจริงๆ

พ่อครูว่า... บาป โดยสัจจะเป็นบาป เพราะอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดสัจจะ ถ้าเขาเห็นค้านแย้งแล้วก็ไปมีกรรม โดยเฉพาะออกมาทางวาจา ทางกายกรรมชัดเจน คือเห็นผิด เห็นคนละอย่าง ถ้าข้างไหนดีอีกข้างหนึ่งก็ต้องชั่วแล้ว ไปเป็นกุศลอีกข้างหนึ่งก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เป็นอกุศล 

จิตของเขามีความเห็น ความเข้าใจ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิสักนิดนึงก็คือบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิได้บาป 

เขาก็อกตัญญู แต่ว่ามันเป็นอกุศลที่เขาเองเขาไม่รู้ มันเป็นอวิชชาซ้อนอยู่ลึกๆเขาก็ต้องทำตามนั้น สรุปแล้วก็คือเขาสะสมเอาอวิชชาใส่ตัวเอง สั่งสมมิจฉาทิฏฐิใส่ตัวเองไปเรื่อยๆ 

ก็จะไปคิดอย่างไร มันต่างคนต่างเห็น เขาก็เข้าใจของเขา บังคับไม่ได้ คนที่จะคิดอย่างไร ต่างคนก็ต่างคิดไป เขาจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ขยายความเข้าก็จะเห็นชัดเจนว่าเป็นบาป มันเกิดอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ เนรคุณประเทศ เนรคุณวัฒนธรรม เนรคุณสิ่งที่เราได้อาศัยเป็นอยู่ ได้อาศัยวัฒนธรรม ได้อาศัยสิ่งที่ดีงามของสังคมที่นับถือกันมายาวนาน อย่างอิสระ ไม่ได้ไปขึ้นกับระบบอื่นที่เขามาครอบงำ เป็นอิสระส่วนตัวสบาย 

ที่จริงทุกวันนี้อยู่แล้วสบายแต่เขาต้องการให้ขัดแย้ง มันก็ไม่สบาย แต่ผู้ที่อยู่อย่างคนส่วนใหญ่อย่างพวกเราแล้ว ประเทศไทยตอนนี้ ประชาชนก็ไม่ได้แย้งมากเหมือนที่เขาแย้งอยู่ ผู้ที่มาแย้งก็สบายก็สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล ถ้าลึกขึ้นไปก็อย่างพวกเราใจเกื้อกูล เพิ่มพูนความเสียสละไป 

ส่วนคนที่ยังไม่เข้าถึงขั้นโลกุตระ เขาก็ยังไม่เจริญอย่างที่อาตมาอธิบาย เป็นห่วงเขาก็ดี แล้วก็สงสารกัน 

เป็นพระมาหาเสียงช่วยลุงตู่ได้หรือ 

_คุณเบล ออแกไนซ์  · เป็นพระมาหาเสียงช่วยเหลือได้หรอ

พ่อครูว่า... 1.อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณก็ไม่เข้าใจแม้ได้มองอาตมาก็มองไม่ออกว่าเป็นอะไร อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณจะบอกว่าคุณมีพระของคุณ แล้วคุณก็กำหนดว่าพระของคุณนั้นไปหาเสียงไม่ได้ ต้องให้อยู่เงียบๆ อยู่อย่างผู้เป็นคนใบ้ยังไม่มีเสียง อย่าไปหาเสียง ก็เรื่องของคุณ 

แต่ทีนี้เสียงคืออะไร เสียงของคุณก็คือเงื่อนไขว่าต้องช่วยเหลือด้วย พูดความช่วยเหลือก็มีอันเดอร์สตูทไว้ว่าช่วยเหลืออะไร นี่คงเป็นการช่วยเหลือลุงตู่ เอาให้ชัดๆง่ายๆ 

จะได้หรือ ซึ่งคุณเองคุณเห็นของคุณ มันก็ถูกของคุณ พระของคุณ คุณก็มองว่า ถ้าพระของคุณนี้มาหาเสียง คุณว่าได้เลย แต่อาตมาไม่ได้เป็นพระแบบที่คุณหมาย อาตมาก็มาหาเสียงช่วยเหลือลุงตู่อยู่จริง ได้หรือไม่ได้ ก็ทำอยู่เต็มที่เลยไม่ได้ยังไง ได้ ไม่ผิดกฎหมายด้วย เป็นประชาธิปไตยด้วย ตำรวจไม่จับ นี่ตอบครบๆไง เขาถามว่าทำได้หรือซึ่งก็ได้ อิสรเสรีภาพไม่ผิด 

เป็นแต่เพียงความยึดถือความเห็นเท่านั้นที่ต่างกัน คุณกับอาตมาก็เป็นนานา ความเห็น นานาทิฏฐิ 

_วนิดา ฯ.  · โอ้ย อย่ามาพูดเอาใจลุงตู่ คนเขาด่าทั้งบ้านทั้งเมือง

พ่อครูว่า... อาตมาเห็นจริงว่าไม่ควรจะด่า แต่คนด่านั้นอาตมาเห็นว่าด่าไม่ดี อาตมาก็ต้องถ่วงดุลความเห็นของสังคมเอาไว้ว่า คุณด่าทั้งบ้านทั้งเมืองนั้นมันมาก ความหมายของเขาคนด่าทั้งบ้านทั้งเมืองหมายความว่าคนด่าลุงตู่มาก 

คนด่าลุงตู่กับคนที่ชมลุงตู่ ชื่นชมลุงตู่ โดยค่าที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่ค่านิยมนะ โดยคุณค่าที่แท้จริงเลยของประชาชน อาตมาก็เห็นว่าลุงตู่ลงที่ไหนตลาดแตกที่นั่น ไปเดินที่ไหนในแดนใต้ แดนอีสาน แดนเหนือ แดนตะวันออกอะไรก็เห็นตลาดแตกทุกแห่ง 

เพราะฉะนั้นคนด่านั้นมันช่างด่า แต่คนที่เขาชื่นชมก็เป็นพวกเงียบ พวกสุภาพ ไม่ใช่เป็นพวกแจ๊ดๆแจ๋ๆ ก็ด่าก็ทำ แล้วขยันเสียด้วยนะ ดีไม่ดีพวกนี้รับจ้างก็มีก็ต้องทำไป ก็เป็นสัจจะเราก็ต้องมององค์ประกอบหรือว่าเหตุปัจจัยมันเยอะแยะ ก็เป็นไปอย่างนั้น 

สมณะโพธิรักษ์ คือสมณะในศาสนาพุทธ ไม่ใช่พระไม่ใช่ลัทธิ

_ก็แล้วแต่ บันไรยนต์  · มันไม่ใช่พระครับเมื่อก่อนเคยเป็นพระ แต่ทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงจึงให้ออกจากการเป็นพระเลยมาตั้งลัทธิเอง

พ่อครูว่า... ที่จริงอาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมาไม่ใช่พระ อาตมาเป็นสมณะ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ยังงมโข่ง ยังอยู่หลังเขา ยังไม่รู้รายละเอียด ไม่มีข้อมูล ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย พูดไปส่งๆ 

แต่ก่อนที่ไหน เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น ที่คุณเรียกว่าพระ อาตมาก็ว่าความหมายของคุณนั้นอาตมาเข้าใจร่วมกันได้ ว่าอาตมาเป็นนักบวช อาตมาเป็นภิกษุของศาสนาพุทธ แต่ก่อนอาตมาก็เป็น เดี๋ยวนี้อาตมาก็เป็น แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสังคม อาตมาก็ว่าไปตามบัญญัติภาษาเขาจะว่ากันไป แต่เนื้อแท้สัจธรรมอาตมาไม่ได้เปลี่ยน 

ตั้งแต่บวชมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 มาจนถึงวันนี้ อาตมาก็ยังเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นมา แต่ต้นมาเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ 

ที่คุณว่าทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงเป็นการใส่ร้ายอาตมา อาตมาไม่เคยผิดวินัยสงฆ์ อย่าว่าแต่วินัยสงฆ์ร้ายแรง วินัยสงฆ์ตื้นๆ วินัยสงฆ์อ่อนๆอาตมาก็ไม่ได้ทำ คุณเองคุณอยู่กับกระแสพวกเฟค พวกอวิชชามิจฉาทิฏฐิ เขาครอบงำทางความคิดของคุณ คุณก็เข้าใจเชื่อตามอวิชชา เชื่อตามพวกมิจฉาทิฐิที่เขาเข้าใจอาตมาผิด ที่เขาใส่ความอาตมาบ้าง แล้วคุณก็เห็นด้วย เห็นตามเขา ถูกเขาครอบงำทางความคิด คุณก็ว่าอาตมาทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง ขออภัยที่พูดความจริงสู่คุณให้ฟังก็แล้วกันไม่ได้โกรธเคืองไม่ได้ถือสานะ แต่อธิบายความจริงให้คุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ ให้ฟัง ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง แต่เถรสมาคมเป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงกับอาตมา 

แล้วคุณนี้ก็เข้าใจผิดว่าให้ออกจากการเป็นพระ อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ ออกหรือเข้าอาตมาก็อยู่อย่างเดิม เขาจะให้ออกหรือไม่ออก อาตมาก็อยู่อย่างเดิม 

อาตมาไม่ได้มีลัทธิเอง อาตมามีศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเองเอาของพระพุทธเจ้ามา ไม่ได้ตั้งเองเลย ประเด็นนี้เป็นประเด็นยิ่งใหญ่ อาตมาเคยอธิบายมาเท่าไหร่ คนยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกอย่างคุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ จะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกว่า 

ลัทธิก็ดี  ศาสนาก็ดี  มันก็มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอยู่ 

ศาสนาคือ มีคำสอน ของเจ้าหมู่เจ้าคณะ ที่คนยอมรับมากเรียกว่าศาสนา มากจนตั้งเป็นศาสนา จนคนทั่วไปในโลก แต่ละประเทศแต่ละกลุ่มหมู่ยอมรับได้ 

ลัทธิก็เป็นคนที่กำลังสร้างนัยยะความเข้าใจของเขาอย่างของเขา แล้วมันก็ยังไม่ได้มีคนมีคณะหมู่กลุ่มเท่า มันก็ต่างกันตรงนี้ 

อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้าตามที่ใครเขามาทำ เขาพูดกันเขาพูดภาษาคำโกหก พูดภาษาคำที่ไม่จริง อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้ากับสิ่งที่เขาอย่างที่คุณคิดว่าออกๆเข้าๆ อาตมายังคงเป็นอย่างที่อาตมาเป็นตั้งแต่เริ่มต้น จนบัดเดี๋ยวนี้

สมณะเดินดิน... ความจริงต้องเห็นใจคนที่เขาเข้าใจอย่างนี้มากๆเลยนะ เทียบกับลุงตู่ ลุงตู่ทำงานมา 8 ปี ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้มีเวลาพักเท่าไหร่เลย ทำขนาดนี้คนยังมองว่า ประเทศไทยไม่พัฒนา เป็นเผด็จการ คือคนรุ่นใหม่เขามองว่าทำให้ประเทศไทย 8 ปีนี้เสียเวลาไปมากๆ อันนี้เป็นเพียงรูปธรรมที่มองเห็น ซึ่งจะมีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอะไรเยอะแยะ คนที่ไม่ชอบก็มองไม่เห็น อย่างพ่อครูพาพวกเราทำ ยิ่งเป็นเรื่องทวนกระแส ต้องเห็นใจพวกเขามากๆ เขาได้ยินข่าวอะไรทางลบมากๆ จะยิ่งยากกว่าทำความเข้าใจพลเอกประยุทธ์อีกเยอะเลย 

พ่อครูว่า... ความเห็นความรู้ความฉลาดของคนบังคับไม่ได้ แต่เป็นประเด็นให้อาตมาได้ใช้อธิบายธรรม คุณจะใช้ภาษาอะไรหนักๆจะทวงมาอย่างแรง ปฏิกโกสนาก็ได้ อาตมาไม่ได้เป็นปัญหา ไม่ได้ยึดถือหรอก อาตมาหยิบเอามาอธิบายนัยยะแง่มุมที่มันแตกต่างกัน เอามาขยายความให้ฟัง 

อาตมาก็ขอท้าวความให้ฟังนิดนึงว่า อาตมาเคยพูดด้วยความจริงมานานแล้ว ว่าศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อมจากเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม มันเสื่อมจริงๆ อาตมาไม่ได้หาเรื่อง ไม่ได้ใส่ความ มันสูญหายไปจากวงการศาสนาพุทธเลย ในเมืองไทยแม้แต่บอกว่าเป็นเมืองพุทธ ถือศาสนาพุทธเป็นหลักเลย แต่ก็มีแต่ความรู้แบบเดียรถีย์ ความรู้แบบโลกียะแล้วมันก็ผิดเลอะเทอะเยอะ เมืองไทย มีไสยศาสตร์ มีเดรัจฉานวิชา อะไรต่ออะไรกันเต็มไปหมด 

อย่าว่าแต่อาบัติสังฆาทิเสสเลย อาบัติปาราชิกก็มีเยอะ ที่เขาทำไปเลอะเทอะเยอะแยะไปหมด มันใช้ไม่ได้ 

อาตมาจึงอยู่ร่วมไม่ได้ มันเห็นด้วยความจริงใจ ก็จึงประกาศลาออกมา ทนอยู่ได้ 5 ปี อาตมาบวชอยู่ในเถรสมาคม 2513  พอพ.ศ. 2518 อาตมาก็เลยประกาศแยกนานาสังวาส ก็ยอมเป็นพุทธอยู่ด้วยกันสังวาสเดียวกัน แต่มันเป็นนานๆมันแตกต่างกันอาตมาก็ประกาศตามธรรมวินัยเลย 

แต่เถรสมาคมที่เสื่อมมากจนไม่รู้จักธรรมวินัยก็มาเล่นงานอาตมา ซึ่งผิดวินัย เป็นอาบัติอยู่นะแต่ก็ไม่ได้แก้ไข อาบัติก็คาต่อไปยิ่งทับถมยิ่งซับซ้อนเป็นพระไม่ปกติ อปกตัตตะ เป็นพระไม่สมบูรณ์บกพร่องอยู่อย่างนั้น เขาร่วมทำร่วมเห็นอยู่เขาก็เป็นอยู่ ความเห็นมันก็คือความเห็น ความเป็นก็คือความเป็น เขาเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ

คืออาตมาถูกเขาผิดนี่พูดตรงๆพูดความจริง เขาก็ซวย อาตมาก็เลยได้แต่สงสารเขา อาตมาไม่เคยโกรธเขานะ ตั้งแต่เขาทำแล้วเขาก็พยายามตีอาตมา ซัดอาตมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานเลยนะ ขึ้นมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ฆราวาส มันก็ไม่หนักเท่าไหร่ พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ 

จนกระทั่งมาถึงเป็นพระ จนกระทั่งท่านมหาประยุทธ์ หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ เขียนเป็นหนังสือมาเลยเป็นลายลักษณ์อักษรซัดอาตมา ซึ่งท่านก็เป็นที่นับถือของสังคมศาสนาพุทธ ก็เลยเอาใหญ่เลย ซัดอาตมาใหญ่เลย คนก็เชื่อตาม อาตมาก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น 

เพราะความเห็นของเขามันร่วมกัน ไปด้วยกัน แล้วเขาก็หาว่าอาตมาผิด อันใดที่เขาเห็นว่าอาตมาผิดอะไรร้ายแรงอย่างใด ซึ่งมันตรงกันข้ามกันเลย เขานั่นแหละผิดร้ายแรงยิ่งกว่า จะว่าไปแล้ว แล้วเขาก็บอกว่า เขาก็เลยไล่อาตมา แท้จริงแล้วอาตมาลาออกมาก่อนแล้ว ไม่ได้ถูกไล่ ลาออกมาอย่างสมัครใจด้วย ออกมาเป็นนานาสังวาส เป็นคณะสงฆ์ชาวอโศก ประกาศอย่างมีลายลักษณ์อักษรเลยนะ แล้วเขาบอกว่ามาตั้งลัทธิเอง ซึ่งมันไม่ใช่ คุณต่างหากออกมาเป็นลัทธิเพี้ยน เป็นศาสนาเพี้ยนจากของพระพุทธเจ้าไป อันนั้นต่างหากความจริง 

นี่คือความเข้าใจที่ทำความเข้าใจให้กันได้ยาก มันไม่ง่าย ก็ต้องค่อยๆอธิบายความจริง แล้วก็ยืนยันความจริง ผู้มีปัญญา มีตารู้จะมองออกว่า จริงๆแล้วเนื้อแท้ของศาสนาพุทธนั้นเป็นชาวอโศกหรือทางเถรสมาคม 

_Thapakorn Janbamrung ธภากร จันทร์บำรุง  · เป็นพระแต่ตัวโดยแท้ เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ต่างจากปาราชิก ตาลยอดด้วนหาดำเนินต่อได้

พ่อครูว่า... คนนี้ก็พิพากษาอาตมาใส่ความปาราชิกเลย ซึ่งไม่ได้อ้างอิงว่าอาตมาปาราชิกอันไหน ข้อไหนใน 4 ข้อ อะไรอย่างนี้เขาก็ไม่มีเหตุผล ไม่มีรู้เรื่องรายละเอียดอ้างอิง ใส่ความเอาดื้อๆ ถ้าแบบนี้เป็นพระมาทำก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส หาว่าคนอื่นปาราชิกด้วยความไม่มีมูล ก็ถือว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสสนะ ถ้าเป็นฆราวาสก็แล้วไปเถอะ หาว่าเป็นปาราชิกตาลยอดด้วนอะไรอย่าง อาตมาก็ไม่ได้จะพูดรายละเอียด พูดแก้ตัว ที่จริงพูดสัจธรรมให้ฟัง 

 

จะให้พวกเพื่อไถ-ก้าวร้าวหันมากลับใจเป็นไปได้ยาก

_โพลชี้นำทำลายชาติ · ดีเจต้อย จตุพร พรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้ อีสาน กลับใจออกจากทักษิณ เพื่อไถได้  เด็กๆและเยาวชนไทยจะกลับใจออกจากพรรคก้าวร้าวได้มั้ยครับ ทำอย่างไรดีครับ

พ่อครูว่า... เขาจะไปทำอย่างไรคุณพูดมา ดีเจต้อยเขาก็กลับใจมาแล้ว จตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้กล่าวเต็มปากแต่ก็ออกมาตรงกันข้ามกันแล้ว เจ๋งดอกจิกก็ออกมาชัดแล้ว แรมโบ้อีสานนั้นชัดเจนเลย ออกมาหมดแล้ว 

ก็จะให้อาตมาไปช่วยเพื่อไถกับก้าวร้าว อาตมาว่าคงช่วยยาก เพราะว่าเขาจมอยู่ในมุมมืด เขาจมอยู่ในนรก เขาจมอยู่ในแดนที่มันไม่เห็นแสงสว่าง ไม่รู้เรื่องอะไร ทำอย่างไรเขาก็ไม่กระเตื้องหรอก ทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกรู้สา เพราะฉะนั้นคงไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็เป็นตัวอย่างของคนในโลก ที่คนที่มืดอยู่แล้วก็มืดไป พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว มืดมามืดไป แล้วก็มืดหนักกว่าเก่าอะไรไปมันเป็นอย่างนั้นอยู่จริง ก็คงจะทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะมันเกินกว่า 

อาตมาไม่มีสิทธิ์ เขาเห็นอาตมาเป็นตัวตลก เป็นตัวบ้าๆบอๆไปพูดไม่มีน้ำหนักอะไร ไม่มีน้ำหนักหรอก เขาไม่ฟัง เขามีพ่อที่เขาจะฟัง มีอาจารย์ มีศาสดาของเขาที่เขาจะฟังอาตมาพูดนั้นไม่มีน้ำหนักเขาไม่ฟัง ดีไม่ดีเขาจะด่าย้อนมาเยอะด้วยซ้ำไป 

อาตมาก็พูดยกตัวอย่างอธิบายสัจธรรม วิจัยวิจารณ์บ้าง ตำหนิบ้างที่มันผิด แล้วไอ้ที่พูดมาส่วนใหญ่มันผิดก็เลยต้องตำหนิเสียเยอะ 

จะชมนั้น พูดไปแล้วอาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะจะหาที่ชมมันไม่มี มันมีน้อย แล้วอาตมาไม่มีภูมิปัญญาที่จะหาที่จะชมเขา ก็ยังชมอยู่บ้าง แต่ก็น้อยประเด็นที่จะชมเขามันน้อย 

นี่พูดด้วยความจริงเลย ไม่ได้พูดใส่ความหาเรื่องแต่มันเป็นความจริงที่พูดไป เพราะเป็นยุคสมัยที่มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ที่บอกว่า ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธจะผิดเพี้ยนไป คนจะไปเชื่อคนที่พูดเก่ง เหมือนปัจจุบันนี้แหละที่มีคารมคมคายพูดเก่ง ภาษาอะไรเก่ง อาตมาพูดนั้นบาดใจเหมือนไปทำร้ายทำลายเขา นี่มันเป็นสัจจะอย่างนี้ที่มันยาก ที่จะให้คนเข้าใจสาระสัจจะต่างๆ 

 

พ่อครูสอนโลกุตระนั้นมันยาก แต่ยิ่งต้องพยายาม

เพราะฉะนั้นงานโลกุตรธรรมนี้มันยากมากเลย ยากที่สุด ที่อาตมาทำงานนี้มันยาก แต่อาตมาก็ไม่ได้ท้อแท้หรืออาตมาก็ไม่น้อยในความพยายาม อย่างที่สุดเลย ยิ่งต้องพยายาม ยิ่งต้องเพิ่มความพยายาม ก็เห็นว่ามันไม่ได้ผล มันน่าจะได้มากกว่านี้ 

สังขารอายุเราก็ร่วงโรยไปเรื่อย นี่รู้สึกว่าจะต้องพยายาม ขืนไปท้อถอยหรือไปท้อแท้ ไปลดความพยายามให้น้อยลง ให้มีความพยายามน้อยลงมันไม่ได้ มันต้องพยายามจริงๆ 

เพราะฉะนั้นยิ่งอาตมาพูด ยิ่งอาตมาเปิดเผย หรือบอกมุมบอกประเด็น บอกแง่ที่ผิดไปมากเท่าไหร่เท่าไหร่ มันก็ยิ่งกระเทือน มันก็ยิ่งทำให้คนมองคนละด้าน เขายึดถืออีกด้านหนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งได้รับกระทบ 

ในการกระทบตนกระทบท่านที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในภาษาคำสอนอันนี้ อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้แหละ เป็นความหมายที่ลึกซึ้งมากเลย 

แปลว่ากระทบตนกระทบท่าน ภาษามันพูดตื้นๆง่ายๆ จริงๆกระทบแล้วคือพูดไปแล้วมันก็ไปถูก ไปแตะไปกระทบนั่นแหละ กับอีกฝ่ายหนึ่ง เราจะพูดฝ่ายดีชมฝ่ายดีมันก็กระทบฝ่ายดี เราจะไปพูดฝ่ายชั่วมันก็กระทบฝ่ายชั่ว 

ถ้าเรายิ่งไปพูดฝ่ายชั่วถูกต้องแล้วเขายึดว่าเขาดี มันก็จะต้องสะท้อนแรง เราพูดไปบอกว่าฝ่ายชั่วเป็นดี เราก็เป็นคนโง่ โง่แรง ไปมองที่เขาชั่วเป็นดีเราก็โง่แรง เขาชั่วเราก็ต้องบอกเขาชั่ว เราจะไปบอกเขาดี ไม่ได้ เราก็โง่แรง มันก็ผิดสัจจะ อาตมาก็ทำผิดสัจจะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาชั่วก็ต้องบอกว่าเขาชั่ว เขาผิดก็ต้องบอกว่าเขาผิด ผิดมากผิดน้อยก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องบอกเหตุบอกผล บอกหลักบอกฐาน อย่างที่อาตมาพยายามเอาหลักฐาน เอาพระไตรปิฎกเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง มายืนยันขยายความต่างๆนานา

จนกระทั่งขยายความไปเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นธรรมะลึกซึ้งไปถึงจิต. เจตสิกรูป. นิพพาน มันก็ยิ่งชัดเจนสำหรับคนที่แสวงหา คนที่พยายามศึกษาพากเพียรศึกษาก็ยิ่งได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอย่างพวกเรานี่เข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่าอาตมาเป็นคนที่จะต้องเคารพสุดเศียรรสุดเกล้า เขาก็พูดออกมาจากความจริงใจ อาตมาไม่เคยไปแนะนำว่าคุณจะต้องเคารพอาตมาอย่างสุดเศียรสุดเกล้านะ ถ้าจริงๆแล้วอาตมาควรจะเหนียม นึกอยู่ในใจว่าเหนียมเหมือนกัน คนมายกย่องยกยอด้วยพยัญชนะด้วยภาษาให้อาตมาสูงเหลือเกินนะ ไม่ใช่ว่าต่ำๆนะ เคารพสุดเศียรสุดเกล้าอะไรต่างๆนานา.   มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่นะ 

ซึ่งอาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ผิดไปจากความจริงที่เป็นหรอก แต่อาตมาพูดไปมันก็น่าหมั่นไส้ เพราะอาตมาเป็นผู้ที่ก็ควรเคารพอยู่ตามที่พูดที่ว่ามามันไม่ได้ผิด 

มันยิ่งสังคมผิดมาก แล้วมีคนถูกขึ้นมาคนหนึ่ง มันยิ่งเด่น มันยิ่งยอด ฟังเข้าใจไหมด้วยความหมายมันยิ่งเด่นมันยิ่งยอด และถูกอย่างโลกุตระด้วย มันยิ่งยอดใหญ่เลย 

ฟังดีๆนะอาตมาไม่ได้มาหลงตัวเองหรือว่ามาพูดชมเชยตัวเองยกย่องตัวเองอะไร อาตมากำลังพูดสัจธรรมสู่ฟัง 

เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆทำความเข้าใจให้ดีๆเถอะ พยายามศึกษาไป ผู้ที่มีภูมิปัญญามีดวงตาก็ได้ประโยชน์ ผู้ที่ไม่มีดวงตาก็แน่นอน จะให้อาตมาไม่พูด จะให้อาตมาไปพูดผิดๆเพี้ยนๆอาตมาก็บาป มันพูดไม่ได้ ถูกก็ต้องพูดให้ถูก ผิดหนักผิดมากอย่างไรก็ต้องว่ากันตรงๆตามน้ำหนักตามความเป็นจริงของมัน ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ตรงมันก็เข้าใจเพี้ยนไปมันก็ไม่ดี นี่คือสัจธรรมต่างๆที่ มันต้องเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นเรามาพูดกันในเวลาที่เหลือ

 

ความเห็นต่างเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้มันมีเป็นธรรมดา 

_สู่แดนธรรม... จากทางบ้านถามมาว่า เขาอยู่ในท่ามกลางสังคมที่มีความเห็นต่างหลากหลาย ว่าเท่าที่ทราบถึงวันนี้ ภายในพวกเราเองหลายคนก็ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น ทิด หลายๆคนก็ไม่ได้เห็นด้วยกันกับการเลือกลุงตู่ หลายๆคนที่เป็นคนเป็นผู้ใหญ่ คนขายของหน้าตลาดสันติก็ยังมีพรรคฝ่ายตรงข้ามอยู่ในดวงใจ แล้วมามีรายได้อยู่ในนี้ ข้อมูลส่วนกลางที่เปิดให้ฟังเขาก็ไม่เปิดรับ อยากขอความกรุณาพ่อครูช่วยตอกย้ำสำนึก ให้คนเหล่านี้อีกครั้งด้วยนะคะ ขอให้บ้านเมืองได้คนดี 

พ่อครูว่า... ก็มันเป็นธรรมดาธรรมชาติความเห็นต่าง พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ทั้งพระองค์ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเห็นต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองยังมีพระชนม์ชีพอยู่นะในยุคพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ในประวัติในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะ เห็นต่างและรวนอยู่และป่วนอยู่ ตั้งแต่พระเทวทัต พวกฉัพพัคคีย์ หรืออะไรต่างๆนานาอยู่ในนั้น ก็มาป่วนก็มารวนอะไรอยู่ 

มีพระพุทธเจ้าทั้งองค์ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ แล้วอาตมาเป็นใครจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าที่จะห้ามได้ จะไม่ให้มีได้ มันห้ามไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็ดูที่ตัวเรา เห็นคนอื่นที่เขาเห็นแตกต่างกันไปหากว่าพอสนิทกัน พอที่จะคิดว่า เตือนเขาให้สติเขาบ้างได้ ก็ให้บ้าง ถ้าเห็นว่ามันสุดวิสัย มันเหนือวิสัยที่จะไปเอาไม้สั้นไปรันขี้เปล่าๆก็ไม่เข้าท่าอะไร ก็ต้องปล่อยให้เป็นไป 

เพราะไปห้ามไม่ได้หรอกในความรู้ความเห็น สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่นานาสังวาส 

นานาสังวาสนี้มันแตกต่างจากนิกาย 

จะขยายความนานาสังวาสกับนิกายให้ฟังเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งแล้วเป็นธรรมวินัยที่ยิ่งใหญ่ 

ผู้ที่ทำนิกาย อย่างที่มีอวิชชา มิจฉาทิฐิหนักจนถึงขั้นอวิชชา คือเห็นกายเป็นคนละกาย 

นิกาย อันที่เป็น พรหมกายหรือธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระพรหมกายหรือธรรมกายก็ดี มันหมายถึงตัวเราตถาคตนะ อยู่ในพระไตรปิฎกมี แล้วทางธรรมกายเขา เอาไปตีกินว่าเขาเป็นธรรมกายเป็นกายของพระพุทธเจ้า ที่จริงแล้วเขานั่นแหละยอดแย่ยอดนิกายเลย คือธัมมชโย สมีธัมมชโย เป็นสมี 2 ตัวด้วย หมายถึงคนปาราชิกไปแล้ว ต้องไล่ไปให้ไกลจากวงการศาสนาพุทธเลย อย่าให้มาฟัง เพราะมันเสื่อม เดี๋ยวนี้สมีที่ปาราชิกอยู่แล้วก็เอามาคลุกคลีอยู่เละเทะ ซึ่งมันเสื่อมจากธรรมวินัยไม่อยู่ในร่องในรอยของพระพุทธเจ้าเลย ลำบากมาก เค้าไม่เข้าใจคำว่ากายเป็นยอดเดิม 200 ไม่รู้เข้าใจเลย

นิ แปลว่าไม่ คือ ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่พรหมกายของพระพุทธเจ้า มันเป็นกายของ เดียรถีย์ ของซาตาน ของผีนรก มันเป็นเช่นนั้น 

กาย แปลว่าองค์รวม กายคือ จิตคือมโน คือวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับภายนอกอยู่ แต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นเอาที่จิต มโนวิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าจิตมโนวิญญาณ พระไตรปิฎกเล่ม16 ข้อ 230 

เพราะฉะนั้นพวกที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจเลย อันนี้แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่ขอยืนยันว่า เถรสมาคมได้มิจฉาทิฐิจนอวิชชาไปแล้ว ในความเป็นกายและเขาก็ได้ทำนิกายแล้ว เขาก็ได้อนันตริยกรรม 

ผู้ที่ทำตนเองหรือสงฆ์ของหมู่ตนเอง ให้เป็นหมู่ที่แตกจากธรรมกายหรือพรหมกายของพระพุทธเจ้า เป็นนิกาย นั่นแหละคือผู้ได้ทำอนันตริยกรรมเป็นนรกหนัก เป็นนรกใหญ่นรกลึก 

โดยที่เขาเข้าใจสมมุติ เข้าใจปรมัตถ์ไม่ได้เลยสับสนไปหมดซับซ้อนด้วย ความซับซ้อนถูกต้องเป็นผิด ผิดเป็นถูกต้องสลับซับซ้อนจนไม่รู้กี่ชั้น เห็นผิดเป็นถูก แต่ละชั้นแต่ละชั้นไป 1 2 3 กลายเป็นทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นนิกาย เป็นอนันตริยกรรมข้อที่ 5 ทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยก 

อาตมาทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยโดยประกาศนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ทนอยู่ได้ถึง 5 ปีนะอยู่กับสงฆ์หมู่ใหญ่ แล้วก็เป็นสงฆ์ที่เป็นนิกายเป็นการออกนอกรีตไปแล้ว อาตมาอยู่ด้วยไม่ได้จึงได้ขอประกาศตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า 

เสร็จแล้ว ยิ่งสงฆ์หมู่ใหญ่แสดงความจริงออกมาให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจความเป็นนานาสังวาสเขาก็ไม่ ยำเละอาตมาใหญ่เลย ดึงอาตมาเข้าไปอีกทั้งๆที่ ได้ลาออกมาตั้งแต่ 18 อยู่กันดีนะอาตมาก็อยู่มาได้ 

จนกระทั่งพ.ศ 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็ไปเล่นงานท่านพุทธทาส แล้วก็มาแขวะเล่นงานอาตมาบ้าง เราก็สงสารนะ ตอนแกเข้าคุกก็ยังส่งข้าวส่งน้ำให้แกเลย ขออภัยที่พูดเหมือนรื้อฟื้นบุญคุณ แต่เราเห็นใจเข้าใจ เราไม่ได้ถือสาและอโหสินั้นเราไม่ได้มีอยู่ถือสาไม่ได้ติดใจอยู่แล้ว เขาน่าสงสารด้วย จนกระทั่งแกเขียนเป็นหนังสือออกมาว่าข้าวของท่านมียาง คือขอบคุณนั่นเอง ระลึกถึงบุญคุณพวกเรา ครูหนูนี่แหละเป็นตัวเชื่อมซึ่งครูหนูก็เสียชีวิตไปแล้ว ครูหนูชื่ออำไพ หุ่นตระกูล ช่วยกัน 

จนมา 2532 ทีนี้สมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือมหาประยุทธ์ ท่านเป็นคนเปิดเรื่องเลย ซัดอาตมาใหญ่ โดยไปยึดถืออาตมาผิด จริงอาตมาผิดเพราะยังไม่ได้เข้าใจในพยัญชนะ ไปใช้พยัญชนะสับสนผิดไปจากความจริงไปหน่อย ท่านก็ถืออันนี้เป็นใหญ่เป็นโต ตีอาตมาเละเลย ว่าอาตมาไม่มีความรู้ในสภาวธรรมของโลกุตรธรรมหรือธรรมะของพระพุทธเจ้า ใส่ใหญ่เลย เขียนหนังสือว่าอาตมา มา 3 เล่ม 

เถรสมาคมก็ร่วมกันใส่อาตมาใหญ่เลย ต้องไปอ่านในหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสที่อาตมาได้เขียนไว้ เป็นการเอาธรรมวินัยมาขยายความไว้ ว่าเถรสมาคมไม่น่าทำอย่างนี้เลย มันผิดมันเป็นบาป เป็นอกุศลแก่ตัวเองจริงๆ ก็ทำไว้ให้ผู้ที่เขามาศึกษา คนจะได้รับรู้ความจริง ไม่ได้เจตนาจะไปว่าไปด่าเขาหรอก แต่อาตมารักษาความจริง เอาประกาศความจริง มายืนยันความจริงที่มันผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ก็ทำออกไปเป็นหลักฐาน 

เสร็จแล้วก็จนป่านนี้อาตมาก็ว่าก็ยังไม่กลับใจ เหมือนอย่างฝ่ายแดงเขาก็กลับใจ จนกระทั่งจะหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดีเจต้อย จตุพรพรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้อีสานก็กลับใจมาหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ยกขบวนแดงกลับใจกันมา อาตมาว่าจะหมดเนื้อหมดตัวแล้วนะทักษิณ เพราะว่าผู้ที่เขามาถึงวันนี้แล้วมาไกลแล้ว ทักษิณถูกเขากลับใจออกมา แต่เขาเกรงใจยังไม่ประกาศตัวอีกเยอะ ยังไม่พูดยังไม่ประกาศตัว แต่ก็ไม่เอาทักษิณแล้วมันเป็นพวกเสียงเงียบจะมีอยู่เยอะ แล้วจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

นัยยะของการเมืองก็ดี นัยยะของธรรมะก็ดี มนุษย์ต้องมีการเมือง มนุษย์ต้องมีธรรมะ จะบอกว่านักธรรมะมายุ่งอะไรกับการเมือง คนพูดนั้นคือคนที่ไม่มีภูมิปัญญาอะไร ไม่มีภูมิปัญญาที่จะรู้ว่าคนมันต้องอยู่กับการเมือง ต้องอยู่กับธรรมะ มันก็ต้องสนใจในเรื่องพวกนี้ แล้วก็เรียนรู้ให้ถูกต้อง ทำถูกต้องแล้วเราจะได้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูก ในทางที่ดี 

เกิดมาทั้งทีแล้วกรรมเป็นอันทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เรียกว่าธรรมะ การกระทำที่เรียกว่าการเมืองมันก็เป็นกรรมทั้งนั้น มันหลีกพ้นคำว่ากรรมไปไม่ได้ กระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าการเมืองกระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าธรรมะ ก็เป็นกรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันมีผลต่อชีวิตคุณทุกคน คุณละเว้นการเมือง ละเว้นธรรมะไม่ได้ 

หากว่าคุณละเว้นธรรมะสิยิ่งแย่ใหญ่เลย ก็พูดกันไม่รู้กี่ทีคำนี้ ถ้านักการเมืองหรือผู้ทำงานการเมืองไม่มีธรรมะนี้ชิบหายใหญ่เลย ใครๆก็พูดแม้แต่ท่านพุทธทาสก็พูด ความรู้แค่นี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเป็นความรู้ง่ายๆ 

นักการเมืองยิ่งไม่มีธรรมะนี้ชิบหายเลยไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่ประเทศไหนก็แล้วแต่ 

“เมื่อไม่คำนึงถึงธรรมะ ไม่คำนึงถึงศีลธรรมแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรก สำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้ก็กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย” นี่เป็นคำพูดของท่านพุทธทาสบันทึกไว้ ท่านพูดไว้ก่อน 

เป็นเรื่องที่เขารู้กันอยู่ คนเรามีการกระทำ การกระทำงานจะไม่เรียกว่าธรรมะจะเป็นงานอาชีพเป็นกัมมันตะ คือ หรือ กรรมที่เรียกว่าอาชีพหรือกรรมที่เรียกว่ากัมมันตะ.  กรรมที่เรียกว่าวาจา หรือสังกัปปะ ก็มี 4 อย่างเท่านั้นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมรรคมีองค์ 8 

มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ

ถ้าหากมิจฉาทิฏฐิในกรรมต่างๆ คือเข้าใจผิดไป คุณก็ไปทำ กรรมต่างๆตามที่คุณเข้าใจผิดๆ คุณก็ได้อกุศลหรือได้บาป คุณก็ได้อันนั้น 

ท่านพุทธทาสก็เคยบอกว่าธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที 

ซึ่งมันก็ทำลายกันอยู่อย่างเห็นๆ เพราะฉะนั้นคนที่พูดกันอย่างเด็กเป็นเด็กจริงๆเลยว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นการพูดที่ไม่เดียงสาเลย ไม่อยากพูดว่าโง่ ไม่เดียงสาคือยังอ่อนเยาว์ ยังโง่ยังเป็นคนพาล ยังไม่ประสีประสาอะไรจริงๆ เป็นคนที่ตื้นที่โง่ที่ยังเขลาอยู่ ไม่รู้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นคนที่พูดอย่างนั้นเราก็จะต้องบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาเองเขลายังตื้นไป ยังเป็นเด็กไม่เดียงสา ยังไม่เข้าท่าอะไร ก็เตือนให้เขารู้แล้วเขาจะรู้จะยอมรับหรือเปล่าก็เรื่องของเขา เราก็ให้ความจริงก็บอกความจริงไปเท่านั้น 

สำหรับผู้ใดที่สำนึกหรือรู้ตัวว่า เราเองแค่นี้ก็เข้าใจผิดแล้วหรือ แค่ว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองเป็นความเห็นที่ผิดแล้วหรือ มันก็ผิดแล้ว มันผิดอย่างหนักด้วยนะ มันตื้นๆแต่มันหนักมันร้ายแรง อย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นคำกล่าวที่เราดูง่ายๆตื้นๆ แต่มันร้ายแรงลงไปถึงมนุษยชาติและสังคม ความเข้าใจผิดอันนี้ 

มันดูง่ายดูตื้นแต่คุณทำง่ายๆตื้นๆนี่แหละ แต่มันมีผล มีผลกระทบถึงสัจธรรมมันลึก มันกินหนักมันร้ายแรงหนัก มันมีผลลงไปเสียหายด้วย เป็นผลถึงขั้น ปหายะ เป็นคนทำร้ายทำลาย 

คนที่กล่าวว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองนั้นเป็นคนทำร้ายทำลายตัวเองก็โง่ลงไป ให้คนอื่นได้ยินได้ฟังพาให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือโง่ตาม และยิ่งโง่ตาม ไปประพฤติตามกันอีกก็เลยพากันชิบหายกันไปใหญ่ในนรก นรกก็ยิ่งลึกกันไปใหญ่ 

เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ได้เข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจ อาตมาเข้าใจถูก อาตมาจึงต้องมาทำสิ่งที่ถูกซะ ส่วนเขาจะว่าเป็นความเข้าใจของเขา 

ถ้าเขาฟังธรรมด้วยดี สุสสูสังลภเตปัญญัง เขาก็จะได้ปัญญา แต่เขาฟังไม่ดี ตั้งจิตไว้ผิดก็ยิ่งไปใหญ่ ยึดมั่นถือมั่นว่าเราไม่ใช่อย่างที่เขาว่ามา เป็นความเห็นผิดที่หนักหนาสาหัส เขาก็ยิ่งจะซวยมาก อาตมาก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ก็ได้แต่แสดงธรรมและพูดไปด้วยความเมตตา ด้วยความสงสาร เห็นๆอยู่ 

พูดถึงพวกเราให้ชัดๆ ไปตำหนิเขาก็จะหาว่าเราปากจัด มาชมดีกว่า ชมก็ชมพวกเรานี่แหละ ชมโลกุตรธรรม ชมเนื้อหาสาระที่เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ เราเป็นมนุษย์ชาวพุทธที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคโลกุตรธรรมเสื่อม แล้วอาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาประกาศ พวกคุณมีดวงตา 

ชาวอโศกมีดวงตา ฟังเข้าใจรับได้ก็เลยเอาชีวิตมาสนใจ เป็นคนไม่เสียชาติเกิด แล้วมาเป็นคนมีศีล แล้วก็มาปฏิบัติอปันกะปฏิปทา 3 จนกระทั่งเกิดสัทธรรม 7 จนกระทั่งเกิดฌาน 

ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นฌานวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่ฌานนั่งหลับตาสะกดจิตที่เขาทำกันอยู่ทั่วไปเป็นเดียรถีย์หรือทางเถรสมาคมหรือวงการพระป่า ซึ่งออกนอกรีตหมดแล้ว 

ขอยืนยันว่าฌานหลับตาเป็นฌานนอกรีต เป็นฌานนอกพุทธ ไม่ใช่ฌานที่เป็นฌานวิสัย ที่เป็นอจินไตยที่เป็นพุทธวิสัย เป็นฌานวิสัยที่เป็นแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตานี้ไม่ใช่เลย 

อาตนาก็ต้องพูดย้ำเพื่อให้เขาได้ยินได้ฟังให้ได้ตรวจสอบ อาตมาใช้คำว่าท้าทายให้มาตรวจสอบเลย อาตมายืนยันว่าที่อาตมาพูดอาตมาตำหนินี้ตำหนิถูกว่าคุณผิด ไม่ได้ตำหนิผิดว่าคุณถูก แต่ตำหนิถูกแล้วว่าคุณนั้นผิด ขอยืนยัน 

ที่อาตมาพูดอยู่นี่อาตมาเกิดมาเห็นความเสื่อมของศาสนา หรือจริงๆแล้วอาตมาได้ยืนยันแล้วว่าอาตมาเป็นคนมากอบกู้ศาสนาพุทธคืนมา ในยุคนี้ เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในมนุษย์ได้ จนเกิดกลุ่มหมู่มนุษย์ที่บรรลุโลกุตรธรรม เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 นี่พูดยืนยัน อ้างอิงหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลยนะ 

ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าทำได้สำเร็จ พวกคุณได้รับมรรคผลจึงได้อยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างสบาย คุณมาทุกคนอย่างอิสรเสรีภาพ.  อาตมาไม่ไปหลอกลวง ไม่ได้ประเล้าประโลม ไม่ได้ปะเหลาะ พูดสัจธรรมแข็งๆด้วย พวกคุณก็เข้าใจ รับฟังได้แล้วเห็นดี จึงมาปฏิบัติศีลตามหลักปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งก็คือกิน อยู่หลับนอน 

อปัณณกปฏิปทา 3 แปลง่ายๆว่า กินอยู่หลับนอน คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วก็ได้มรรคผล ได้ธรรมะเจริญ เป็นความเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา เพราะจิตคุณได้รู้จักกิเลส จิตของคุณมีปัญญารู้จักกิเลส และทำให้ปัญญามีพลัง ปัญญามีอินทรีย์ มีพลัง มีฤทธิ์ กำจัดกิเลสไปได้ 

เพราะทำให้พลังจิตของคุณเป็นกำลัง เป็นกำลังปัญญาขึ้นมา เป็นอินทรีย์ของปัญญา เป็นพละกำลังของปัญญา มันจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทำให้กิเลสลดลงๆๆๆได้ นั่นคือการเกิด ฌาน

ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตดับไม่รับรู้ ฌาน ที่มีความตื่นยิ่งมีปัญญามีความรู้ที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ 

แล้วมันทำกิเลสลดลงไปจิตใจก็ยิ่งกระจ่างใสประภัสสร. ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้คือคุณลักษณะของฌานศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วทำให้เป็น อสัญญีสัตว์ ให้จิตมันไม่กำหนดแล้วรู้ ให้จิต มันไม่มีความรู้สึก เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สัญญาก็เป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาดับ ไม่รับรู้สึกอะไร เป็นพรหมลูกฟัก เป็นเหมือนก้อนดินก้อนหินอะไรอย่างนี้ แต่ที่จริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันก็สงบระงับลงไปเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้แต่ความชิบหายแล้วหนอที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าไปทำผิดอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ฌาน ไม่รู้จักตั้งแต่ไปหลับตา หลับตาแล้วไม่มีคำว่ากาย กาย ต้องมีภายนอก ไม่ขาดภายนอกภายใน 

กายต้องมี 2 สภาวะ ต้องมีทั้งภายนอกและภายในเสมอทำงานร่วมกันเรียกว่าอายตนะ ภายในกับภายนอกมีรูปกับนามแล้วมีอายตนะ แล้วต้องมีผัสสะเสมอ แล้วอายตนะนั่นแหละเมื่อคุณมีปัญญาชำแรกลงไป เรียนรู้ก็จะรู้เป็นเวทนาแล้วก็แจกเวทนาออกเป็นถึง 108 ได้ 

แจกเวทนาไปถึง 108 ตั้งแต่เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 

อาตมาไม่ได้พูดด้วยบัญญัติภาษาเท่านั้น อาตมาพูดนั้นอาตมาเอาสภาวะเป็นตัวตั้ง แล้วอธิบายออกไป เอาสภาวะเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาพยัญชนะเป็นตัวตั้ง อาตมาต้องระลึกเอาสภาวะก่อน แล้วค่อยมาระลึกเอาพยัญชนะมาแปะทีหลังแล้วพูด 

บางทีก็สับสนพยัญชนะหรือบางทีก็ระลึกพยัญชนะไม่ออก แต่สภาวะอาตมามีครบ จึงอธิบายรายจละเอียดของสภาวะได้ 

เพราะฉะนั้นคำว่านิกายคือ ผู้ที่ไม่รู้ต้นเลยตั้งแต่คำว่ากายมันมีภายนอกด้วยภายในด้วย เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ผู้เข้าใจไม่ได้แล้ว ผู้นี้ก็คือผู้ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นกระดุมเม็ดแรกของศาสนา 

ผู้เข้าใจหรือพ้นสักกายทิฏฐิ เข้าใจคำว่ากายแล้วต้องมาดูที่ตัวเอง การศึกษาต้องมาเรียนที่ตัวเอง ถ้าพ้นตัวนี้ไม่ได้ ผิดตั้งแต่ตัวนี้เริ่มต้นก็ไม่ได้เลย อีกอันที่ 2 ที่จะต้องแยกกายแยกจิต เพื่อที่ให้ผู้ที่จะศึกษาไปนิพพานจะต้องแยกกายแยกจิต ให้รู้ว่ากายกับจิตนั้นเมื่อใดมีกาย จิตของเราทำให้ไม่มีกายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตกับกายมันไม่มี มันมีกายกับจิต แต่เราทำใจในใจ มนสิการทำแต่แค่ใจในใจเท่านั้น ให้มันไม่มีกาย 

คำว่าไม่มีกายคำนี้คือไม่ให้มันมีกายที่แยกเข้าไปถึง เจตสิก กายิกเจตสิก กับ เจตสิก มันมีกายกับเจตสิก แยกกายเป็นเจตสิกก็คือ แยกตัวปฏิบัติจริงคือ ตัวเวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า 

เพราะเวทนาเป็นตัวแท้ของความสุขความทุกข์ เวทนาคือความรู้สึกหรืออารมณ์ที่มันรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ตัวนี้เป็นอริยสัจต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาริยะเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ฉลาดแล้วก็จะเรียนรู้ที่เวทนานี้ได้ว่าเป็นอาการหรือว่าเป็นความรู้สึก ว่ามันเป็นทุกข์ 

อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของมันได้คือจับสภาพของมันได้ว่าอาการนี้คืออาการทุกข์ แล้วคนที่มิจฉาทิฏฐิก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข นี่คือพวกวิปลาส เพราะว่าสุขกับทุกข์นั้นมันตัวเดียวกันมันเป็นอารมณ์ ถ้ามันเป็นอารมณ์สุขมันก็คือมายามันหลอก แต่ที่แท้มันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่คนวิปลาสก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข แล้วก็ไปยึดความสุขให้มันเที่ยง ก็เป็นความวิปลาสตัวต้นเลย 

มันไม่เที่ยง สุขมันก็ไม่เที่ยงแต่ไปยึดว่าให้มันเที่ยงจะต้องเป็นสุขตลอดกาล ตั้งแต่จตุมหาราช จนดาวดึงส์ จนถึงยามา 

จตุมหาราชคือ ข้าจะต้องแย่งชิง  ข้าจะต้องประหัตประหารเอาจากคนอื่นให้ได้ เป็นจอมยักษ์จอมมารเป็นนักรบใหญ่ถือดาบถือง้าวถือหอกมีเขี้ยวมีตาโปนเอาไปแย่งในโลกโลกีย์ แย่งได้มาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นภพลวงเป็นภพหลอก.  เป็น ตาวติงสา เป็น อาการที่ 33 ซึ่งจริงๆแล้วในภพมันมีแค่อาการที่ 32 คือทวัตติงสา มันไม่มีดาวดึงส์ไม่มีอาการ 33 ที่เป็นการหลอกลวง

แล้วต้องการให้เป็นสุขยาวนานคือยามา ได้ยาวนานยามหนึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง ก็จะได้ให้หลายๆยามเป็นยามต้นยามกลางยามปลายให้มันสุขต่อกันไป ซึ่งมันไม่ได้มันไม่เที่ยง แต่คุณก็จะพยายามดึงดันให้เป็นยามา ให้เป็นดาวดึงส์เป็นสุขนี่แหละ เป็นตัวหลอกตัวปลอมเป็นมายาในการจะเอาความสุขนี่แหละให้เป็นยามา 

เขาจะให้พัก กูก็ไม่พัก จะให้ดุสิตก็ไม่พัก ดุสิตแปลว่าเย็น ก็ไม่เอาดันทุรังต่อไปเลยสร้างขึ้นจะเอาต่อไปอีกเป็นนิมมานรดี ก็เลยยิ่งไปภพซับซ้อนเนรมิตขึ้นมาหลอกตัวเอง เก๊แล้วเก๊อีก เรียกว่า นิมมานนรดี ยังไม่พอ

ใครๆมาเห็นตามโง่ตามก็ช่วยกันมา ปรินิมมิตวสวัตตี สร้างให้เป็นกำลังใหญ่เป็นพญามารยิ่งใหญ่ที่สุดเป็น ปรินิมมิตวสวัตตี ทำนรก ให้ใจตัวเองซับซ้อนไป ฟังให้ดีนะ 

ไอ้คนที่ไม่รู้จักสวรรค์เก๊ของเก๊ทั้ง 6 แล้วก็ไปหลงสวรรค์คุณก็มีภพ เพราะศาสนาพุทธท่านมาสอนให้รู้จักสวรรค์รู้จักนรก แล้วไม่เอาสวรรค์นั่นแหละยิ่งตัวหลอกซับซ้อนยิ่งเป็นมายาเป็นนรกในเมืองมายา มันเป็นนรกชัดๆ 6 ชั้นนั้น 

ศาสนาพุทธจึงไม่เอาแล้วทั้งนรกและสวรรค์เลิก แต่ศาสนาพุทธนั้นมันเสื่อมก็ไปหลงสวรรค์ กันอยู่นี่ศาสนาก็สอนแต่ให้ทำบุญทำทานให้เกิดภพชาติเกิดสวรรค์อะไรอยู่ เป็นสวรรค์ดาวดึงส์ สวรรค์มีสุข หลงความสุขเป็นสุขนิยมเหมือนกับเทวนิยมเขา ที่เป็นสุขนิยม 

แล้วเมื่อไหร่คุณจะหลุดพ้นสักที บวชมาตั้งอกตั้งใจน่าสงสารอยากจะได้นิพพาน อยากจะหลุดพ้น แต่คุณก็โง่งมงายสร้างภพชาติให้แก่ตัวเองวันแล้ววันเล่าได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เป็นโลกีย์อยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักกายไม่รู้จักจิต 

พูดแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรให้ฟื้น อาตมาก็ไม่เสียหลายหรอกพูดไปแล้วยังมีพวกคุณเข้าใจ แล้วก็มาฝึกฝนปฏิบัติได้มรรคได้ผลตาม ฟังธรรมะให้ดีจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่าอาตมาพูดถูก 

เพราะว่าสังคมที่บรรลุมรรคผลจริงๆมีแต่สังคมชาวอโศกนี่แหละ นี่ขอยืนยันนะอาตมาไม่ได้พูดหลอกลวง ไม่ได้พูดประเล้าประโลมปะเหลาะ ไม่ได้พูดผิดด้วย พูดผิดมันบาป อาตมาพูดถูกต้อง ในเถรสมาคมนั้น หาได้ยากจนกระทั่งเรียกว่าไม่มีเลยที่จะถูก อาตมาก็ขอใช้คำว่าหาได้ยากก็แล้ว จะบอกว่าไม่มีเลยนั้นเพราะอาตมาก็ไม่ได้รู้จักละเอียดลออไปทั้งหมด อาจจะมีผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิอยู่บ้าง หรือมีส่วนที่เป็นอาริยะบุคคลบ้าง เป็นโสดาบัน สะกิดทาคามี อนาคามีได้บ้าง แต่มันไม่ง่ายนะที่จะเป็นโสดาบัน จิตเข้ากระแส 

ตั้งแต่ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม จนถึง สัมโพธิปรายนะ 

ก็คือจะต้องมีถึง 4 ส่วนก่อนเรียกว่า โสตาปันนะ คือ รู้จัก ทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ รู้จักการดับความดับทุกข์ อาการของการดับทุกข์ รู้จักวิธีการทำให้ดับทุกข์ โสดาบันก็ต้องเริ่มรู้อันนี้ก่อน 

จะรู้ความทุกข์ก็ต้องรู้จักจิตเจตสิกของตัวเองว่าความทุกข์มันเป็นอาการยังไง แล้วคุณก็ต้องรู้ว่าอาการของจิตของคุณมันเป็นยังไง มันเป็นอย่างนี้หรือมันเป็นอาการอย่างนี้คือความทุกข์และไปหลงว่ามันเป็นสุข รู้ว่ามันเป็นมายามันหลอกเราอยู่ ที่จริงมันเป็นผีเป็นซาตานมาหลอก แต่เราไปเห็นว่ามันเป็นอารมณ์สุข มันหลอก ผีมันเป็นมาหลอกว่าเป็นอารมณ์สุข ที่แท้มันเป็นทุกข์ อันเดียวกัน มันอันเดียวกันทุกข์กับสุข ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

เพราะฉะนั้นอริยะจะเห็นทุกข์ ความสุขไม่มีหรอก ความสุขมันเป็นตัวมาร ตัวซาตาน ตัวผีหลอก 

เพราะฉะนั้นคนที่จะหลงสุขกันอย่างเทวนิยม ไม่มีทางที่จะขึ้นมาได้ ศาสนาเทวนิยมไม่มีทางจะรู้จักสุขทุกข์ เขาเรียนรู้ได้แต่ดีแต่ชั่วที่เป็นสมมุติในโลกเท่านั้น แล้วเขาก็อาศัยอันนั้น เป็นศาสนาทุนนิยมเป็นศาสนาอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เขาก็พยายามนะ ศาสนาทางโน้นเขาก็พยายามจะมาเป็นคนจน มาเป็นคนทิ้ง ลาภยศ บางคนก็พยายามที่จะทิ้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็พยายามเหมือนกัน แต่เขากำหนดไม่ถูก มันสัมมาทิฏฐิไม่สมบูรณ์ มันไม่เป็นปัญญา 

มันไม่เป็นปัญญาเพราะมันยังไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ปัญญาข้อที่ 1 เขาไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส เขาไม่ได้ฟังสัตบุรุษพูด เขาไม่ได้ฟังสัมมาทิฏฐิจากผู้ที่สัมมาทิฏฐิ แม้จะได้ยินได้ฟังแล้วปัญญาข้อที่ 2 ก็ต้องมาฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกในปัญญาข้อที่ 2 เข้ามาถามไถ่มาซักไซร้ไล่เรียงเรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก จึงจะค่อยๆเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จึงจะเกิดหิริโอตตัปปะสูงขึ้นเรื่อยๆ พอสำนึกแล้วจะรู้สึกตัว ตายๆๆๆทำทุกข์อย่างแรงกล้าเลย แต่ก่อนที่เราเข้าใจผิด เห็นหัวเป็นตีนเห็นตีนเป็นหัวเลย ตีลังกากลับเลย จะรู้อย่างนั้นเลยจริงๆจะเห็นตรงกันข้ามที่เป็นสัจจะความเป็นจริง 

จะรู้จริงๆแล้วเข้าใจ วูปสมะ ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 จึงจะรู้ถึงความสงบ 2 อย่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

_สู่แดนธรรม... จะรู้จัก ความสงบ 2 อย่าง

สมณะเดินดิน... วันนี้ได้อ่านใน Facebook ของดร.แสวง รวยสูงเนิน บอกว่าคนเราจะเลือกเอาระหว่าง ฌานหลับตากับลืมตา ควรจะเลือกแบบไหน ถ้าฌานหลับตา คนเราต้องหยุดคิดหยุดพูดหยุดทำ หยุดทำมาหากินทั้งหมด แต่ถ้าเป็น ฌานลืมตา ก็ยังคิดได้พูดได้ ทำได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีความคิดพูดทำได้อยู่ เขาไม่ได้มาเจอพวกเรามานานแล้วก็ยังมีสัมมาทิฏฐิเข้าใจได้ 

เห็นพวกเราทำงานทำการทำงานอยู่แต่ก็มีความสงบในตัว เคยเห็นพวกสายวัดป่ามานั่งหลับตาฟังธรรมพวกเราเดี๋ยวก็พลิกไปพลิกมา แต่รู้สึกพวกเราดูเหมือนทำงานทำการวุ่นแต่ก็ฟังธรรมกันอย่างสงบ ฟังธรรมกันอย่างที่พ่อครูบอกว่า ที่นี่เหมือนไม่มีคนเลยทั้งที่อยู่กันเป็นร้อยเป็นพันเป็นความสงบ 2 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าวิเศษกับความสงบทั่วไป 

พ่อครูว่า... ขยายความคำว่าสงบ 2 อย่างให้ฟัง พยายามจะพูดให้ง่ายๆ ความสงบ 2 อย่างที่เข้าใจนี้ ความสงบอย่างที่เป็นโลกุตระ เป็นฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่เป็นอจินไตยกับความสงบแบบฤาษี

ความสงบแบบ เดียรถีย์ โลกียธรรมดา คือเป็นความสงบที่เขาเอาตื้นๆอย่างความเคลื่อนไหวมันมีหรือไม่มี เป็นความเคลื่อนไหวทางการกระทำทางกายกรรม กายกรรมไม่เคลื่อนไหว เขาก็เลยไปนั่ง นั่งนิ่ง หรือบางทีไม่นั่งก็นอนทำสมาธิ หยุดนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว หยุด อิญชนะ (การเคลื่อนไหว) เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดถึงอิญชนะ เขาไม่เข้าใจ ไม่ระวังระแวงด้วยว่าสงบก็คือหยุด

สงบที่เขาเข้าใจกันแค่ตื้นๆเขาเข้าใจว่าแค่ไม่เคลื่อนไหวกาย พูดก็พูดให้เบาๆน้อยๆหรือนิ่งๆไม่พูดเลย ไม่เคลื่อนไหวทางวาจา หนักเข้าก็ไม่เคลื่อนไหวทางจิต ให้สงบ แล้วเขาก็ว่าเขาอ่านอาการ กาม ปฏิฆะ ที่มันเกิดในจิตซึ่งมันเป็นสัญญาไม่ใช่เป็นกรรมที่จริง ปฏิฆะที่จริง ที่เกิดการกระทบสัมผัสใน กามาวจร เพราะเขาไปนั่งหลับตาอยู่ใน รูปภพ อรูปภพ 

แล้วเขาก็เข้าใจอีกแหละว่าเขาจะทำให้มันนิ่งลึกเข้าไป ให้หยุดนิ่งไปเลย นี่แหละคือสงบ เขาเข้าใจอย่างนี้กันเลยนะมากกว่ามากเลย โดยเฉพาะสายเทวนิยม แม้แต่อินเดียเองเดี๋ยวนี้ เป็นฤาษีกันทั้งนั้น อินเดีย ไม่มีโลกุตรธรรมนะ ไม่มีใครสอนโลกุตรธรรม เป็นฤาษีทั้งนั้น เป็นพวกนอกรีตทั้งนั้น 

โดยฉะนั้นในเมืองไทยนี่ก็เถอะ แยกไม่ได้ ทำความสงบที่มันสงบเพราะ จิตมันแคล่วคล่อง จิตมันตื่น จิตมันสว่าง จิตมันแจ่มใส ไม่ใช่จิตที่ยิ่งหรี่ยิ่งหลบยิ่งหลับ ไม่ใช่ มันยิ่งตื่น ยิ่งแจ่มใส ยิ่งกระปรี้กระเปร่าเพราะอะไร 

เพราะกิเลสมันออกไป ทำให้กิเลสตัวขุ่นมัว ตัวหมอง ตัวที่ทำให้ยิ่งมืดบอดนั้นมันลด มันลดค่าลงเรื่อยๆ กิเลสนี้มันหมดไปจิตมันก็ยิ่งตื่นใสสะอาด บริสุทธิ์จากกิเลสไปเท่าไหร่ ปริสุทธาจิตที่ บริสุทธิ์จากกิเลสก็คือ ปริสุทธามากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มันก็ยิ่งประภัสสรความฉลาดชนิดก็ยิ่งแจ่มใส สงบจากกิเลสจิตก็ยิ่งแจ่มใส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ทำกรรม กัมมัญญาทุกอย่างที่เป็นกัมมันตะมันเป็นอัญญา มันพร้อมไปด้วยความฉลาดชนิดอัญญาปัญญา กำกับพร้อมไปตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้น ฌานหรือสมาธิ หรือจิตที่สงบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ฌานที่คนนิ่ง ไม่ใช่ฌานแบบแข็งทื่อ แต่เป็นฌานที่ยิ่งมี กายปาคุญญตา มี จิตปาคุญญตา มีกายกรรม แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว วจีกรรมก็แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว มโนกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว นี่คือสัจจะสุดยอด 

ซึ่งผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญา เพราะความเข้าใจไม่มี เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่ซับซ้อน ทำไมยิ่งสงบยิ่งหยุด ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งว่องไว เขาก็ไปเข้าใจว่าสงบคือหยุดคือนิ่ง คือไม่เคลื่อนไหว ซึ่งมันผิด มันไม่ใช่อย่างนี้เป็นต้น 

_สู่แดนธรรม... สรุปว่า มีสมณะที่สันติฯ บอกว่า เดินตามโยมที่ ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าบอกว่า กาเบอร์ 22 ทั้งสองบัตรเลยไม่ได้นะ จบ 

พ่อครูว่า… อย่างนี้แหละ บัตรสองใบมันทำให้งง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 11:25:08 )

660515

รายละเอียด

660515 สงครามข่าวสารกับปรากฏการณ์จริงการเมืองไทย รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #22 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53263.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1e6r4S8ZInMqMF23SlIBBBDJgxu9Rkt4q/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                   

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1vXXQ9ktr-XmZWL2qdLExJzuF2qmfrX0Y/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Ael65wzAoS8

และ https://fb.watch/ky56H52z9Z/

 

สงครามข้อมูลข่าวสาร กับความยึดให้เที่ยงกับความยึดให้เปลี่ยน

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ 

เราก็มาโอภาปราศรัยกันไปตามฐานะที่เป็นมนุษย์ก็คุยกันพูดกัน รู้เรื่องกันด้วยกันพูดนี่แหละ ฉลาดหรือโง่ก็อยู่ที่การพูดนี้ด้วยเป็นอย่างยิ่ง 

โลกทุกวันนี้ มันเต็มไปด้วยการส่งสื่อสารข่าวสาร มันเป็นโลกแห่งข่าวสารมวลชน มันก็เลยหลงข่าวสารกัน 

คนที่เก่งเรื่องการทำข่าวสารกับคนที่เก่งเรื่องการทำ ลงมือทำ ทำจริงๆ ด้วยกาย วาจา ใจออกมาเป็นผลผลิตเป็นชิ้นงาน เป็นผลงานให้มนุษย์ได้กินใช้อาศัย อย่างถ้าเจริญก็สุขสำราญเบิกบานใจเลย 

แต่ทุกวันนี้ผลที่ประเทศไทยกำลังได้รับขณะนี้ เป็นเรื่องของผลของผู้ชนะด้วยความเก่ง ในการใช้ io ใช้ยุทธการทางข้อมูลข่าวสารกัน ความรู้ที่รู้กันแค่ข่าวสาร ซึ่งถูกกรอกหูกรอกตากัน กรอกวันแล้ววันเล่ามากมาย มันเป็นแค่การรับรู้ที่ฉาบ พอก เอาไว้เพียงภายนอก 

ตอนนี้มันกำลังแสดงผลว่ามันมีผลมาก ผลของการกรอกหู กรอกตาพวกนี้ มันมีผลมากในยุคสมัยนี้สมัยใหม่ ซึ่งมันเป็นการใช้เครื่องมือ แล้วก็ใช้วิธีการ ซึ่งเป็นเทคนิคสมัยใหม่ ที่คนผู้ไม่รู้ทัน เขาเรียกอันนี้อย่างสวยงามเลยนะว่า ปัญญาประดิษฐ์ 

ที่จริงไม่ใช่ ถ้าเข้าใจปัญญาอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว มันไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์ แต่มันเป็น เฉโกประดิษฐ์ ใช้ภาษาผิดว่าเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นแล้วก็เรียกมันว่า ปัญญา 

เพราะฉะนั้น คำพูดก็ผิดแล้ว แล้วเขาก็เอามาใช้ครอบงำคน คนส่วนใหญ่แม้แต่คนไทย เข้าใจคำว่า ปัญญา กับ เฉโก ยังไม่ได้ยังมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ด้วย ก็เลยยิ่งงมงายกันไปใหญ่ ยิ่งหลงเลอะเทอะกันไปใหญ่ 

เพราะฉะนั้นนัยยะสำคัญที่ผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ในยุคนี้ก็คือ คำว่าความรู้ความฉลาดที่เป็นปัญญา กับความรู้ความฉลาดที่เป็น เฉโก สงครามระหว่าง เฉโก กับ ปัญญา ตอนนี้ เฉโก กำลังทำท่าว่าจะชนะ นั่นคือการใช้ IO 

IO นี้มาจากคำว่า Information Operation แปลเป็นไทยว่ายุทธการทางข้อมูลข่าวสาร ไอโอ (IO) หรือ Information Operation คืออะไร แล้วมันคือกลยุทธ์ทางสงครามแบบไหน?

IO มาจาก “Information Operation” แปลเป็นภาษาไทย คือ “ยุทธการทางข้อมูลข่าวสาร” มันเป็นกลยุทธ์การสู้ด้วยข้อมูลข่าวสารนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างกระแสความได้เปรียบมาอยู่ในฝ่ายตนเอง อีกทั้งสามารถใช้เพื่อการปลุกปั่นยุยงส่งเสริมให้เป็นไปตามความต้องการอีกด้วย ให้เขายอมรับนับถือเราว่าเรามีความรู้ความเก่งความสามารถ จนกระทั่งถึงขั้นแย่งชิงตำแหน่งนายก ตำแหน่งผู้นำประเทศตอนนี้กำลังแย่งชิงกัน อย่างเช่นผู้ชนะตอนนี้เป็นผู้ที่ใช้ io กันจริงๆเลย 

ช่องทางของการใช้ ยุทธการทางข้อมูลข่าวสาร Information Operation หรือที่เรียกย่อๆ ว่า IO นั้น เป็นยุทธการทางข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อต่างๆ เช่น

  •  เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • สื่อสังคมออนไลน์

  • จิตวิทยามวลชน

  • ภาพมายาทางทหาร

  • การปล่อยข่าวลับ

  • แพร่ข่าวลวง

  • การบิดเบือนข่าวสาร

IO ถูกนำมาใช้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างอิทธิพลในการตัดสินใจของฝ่ายตรงข้าม โดยการควบคุมข้อมูลข่าวสารที่ศัตรูได้รับ รวมทั้งการหว่านพืชหวังผลการข่าว ปลุกกระแสมวลชน ยึดครองอำนาจและประโยชน์ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่เคียงคู่กับการสู้รบในโลกมาตั้งแต่ไหนต่อไหน

สงครามที่ใช้ IO เป็นเครื่องมือสำคัญที่โดดเด่นที่สุดในโลกนี้คงหนีไม่พ้น “สงครามเย็น (Cold War)” สงครามที่เกิดขึ้นในช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ขั้วอำนาจด้านเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา แย่งชิงความเป็นใหญ่กับขั้วอำนาจสังคมนิยมสหภาพโซเวียต ยุคสมัยของสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาไม่ได้จับอาวุธขึ้นรบกับสหภาพโซเวียตโดยตรง แต่ต่อสู้กันผ่านสงครามตัวแทนอย่างสงครามเวียดนาม (Vietnam War) และสงครามเกาหลี (Korean War) ไปจนถึงการใช้ข้อมูลข่าวสารชิงดีชิงเด่นสร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายตัวเองอย่างที่เรียกว่า กลยุทธ์ IO นั่นเอง ดังที่มีกรณีกระฉ่อนออกมาเรื่องการส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่เรื่องลวงโลกกันแน่ จนกลายเป็นกรณีศึกษาเรื่อง IO ชื่อดังระดับโลก

พ่อครูว่า... พิสูจน์ตัวเองไปศึกษาความจริง พิสูจน์ตัวเองไป อาตมาพูดได้เลยว่า พิธากับนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำงานการเมืองไปแล้ว 8 ปี นายกประยุทธ์ อาตมาว่าไม่เก่งเรื่อง IO เท่าพิธาหรอก ไม่เก่งเท่าหรอก ขออภัยที่ดูถูกปรามาสนายกประยุทธ์ พิธาเก่งกว่า แล้วก็มีคณะด้วย แล้วใช้ด้วย เจตนาด้วย จนได้ผล อย่างที่เป็น เพราะฉะนั้นก็ดูไป เพราะว่ามันเป็นจริง เกิดมาในเหตุการณ์ กติกาของสังคมก็เป็นไป เป็นกฎหมายของสังคม เขาก็ใช้ เขาไม่ได้ทำนอกกฎหมายอะไร หรือแม้แต่เขาทำอะไรที่มันผิดกฎหมายอยู่ เดี๋ยวกฎหมายก็จะทำงานตามหน้าที่ของกฎหมายขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ความเป็นจริงของคน อาตมาว่าเพียงประเด็นเดียว ของคน คือประเด็นความซื่อสัตย์ประเด็นเดียว อาตมาว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แล้วที่จะใช้ตัดสินกันได้ เพราะฉะนั้นก็พิสูจน์กันไป 

ประเด็นซื่อสัตย์ ประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักจริงๆเลย อย่างพิธากับประยุทธ์ แค่ประเด็นความซื่อสัตย์ประเด็นเดียว อาตมาก็ว่ามันมีความเป็นจริงของมันอยู่ในนั้น 

แต่แน่นอน ความเก่งของคนเก่งที่มันเก่งวิธีการ ไม่ใช่เก่งงานการ แต่เก่งวิธีการ เขาใช้วิธีการ เขาก็ได้ผล เพราะฉะนั้นก็จะยังวิจัยวิจารณ์อะไรไปไม่ได้หรอก ก็ดูผลไปก็แล้วกัน อาตมาวิจัยวิจารณ์ไป ดีไม่ดีประเดี๋ยวจะผิด แต่อาตมามั่นใจอยู่เหมือนกันว่าวิจารณ์ได้โดยไม่ผิดหรอก แต่ว่าอย่าวิจารณ์ดีกว่า เพราะว่ามันไม่เหมาะ ดูไปเถอะ 

คนที่ได้ไปลงคะแนนให้โดยหลงลมพิธา จนกระทั่งเห็นแล้วว่ามันผิดพลาดหักปากกาเซียนไปจมเลย โอ้โห! ปากกาเซียนหักไปไม่รู้กี่ด้ามงวดนี้ ไม่น่าเชื่อ ว่าพรรคก้าวไกลจะเก่งถึงขนาดนี้ มากันได้อย่างขนาดนี้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องความเป็นไปของโลก มันเป็นเรื่องของความหมุนวนหมุนเวียน โลกมันก็หมุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องของความจริง ความไม่เที่ยง 

ทีนี้ใจคนหรือใจใครก็แล้วแต่ ใครไปยึดตนเองว่า โลกต้องไม่หมุน หยุด มันก็ผิดแล้วนะ โลกมันต้องหมุนเวียนอยู่ตลอด มันหยุดนิดหนึ่งก็อยู่ไม่ได้ มันต้องหมุนเวียนต้องเดินไป จะให้โลกต้องเป็นอยู่อย่างที่ตนเองยึดให้มันอยู่อย่างเก่านี่แหละ อยู่อย่างเดิมนี่แหละ เป็นหนึ่งเดียว อยู่อย่างเดิมอย่างเก่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่แหละคนไหนที่เข้าใจอย่างนี้แล้วยึดอย่างนี้อย่างสายเทวนิยม สายพระเจ้า ยึดพระเจ้าเที่ยงเป็นหนึ่งเดียว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการขึ้นกับอะไรทั้งนั้น กี่ยุคกี่สมัย กาละ เทศะ ฐานะใด อย่างไรก็ช่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 

ผู้ที่ยึดอย่างนี้แหละเขาก็ยึดของเขา เขายึดอยู่อย่างนี้มันก็จะไม่เป็นไปตามที่เขายึดหรอก เขาก็ไม่ค่อยชอบที่มันจะมีการเปลี่ยนแปลง เขาก็เป็นทุกข์แต่เขาไม่รู้จักทุกข์ เขาก็จะเอาให้ได้ ได้สมใจก็เป็นสุข ยึดถือทั้งๆที่มันก็เป็นไปไม่ได้ ยึดให้มันหยุดให้มันเราหนึ่งเดียว ครองโลก 

ถ้ายึดอย่างที่ว่านี้ ให้มันเป็นหนึ่งเดียวคงที่ เที่ยงแท้ นิรันดรเลย ต้องให้เป็นหนึ่งคงที่เที่ยงแท้นิรันดร อันอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วมันก็ทุกข์ด้วย 

หรือไม่ใช่อย่างนั้น กลับกันยิ่งไปหลงการเปลี่ยนแปลง ฟังให้ดี คำนี้ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่ได้สัดส่วนนะ ยิ่งไปหลงการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ตั้งอยู่อย่างเก่า ต้องเปลี่ยนไป ต้องก้าวไป ต้องให้ไปก้าวไปไกลๆ ต้องก้าวไปไกลๆ แล้วมันก็เป็นการก้าวเกิน ก้าวมากเกินกว่าความเหมาะสม ก้าวไกล ก้าวเกิน ก้าวไถล หัวคะมำแน่ คนนี้หัวคะมำคว่ำไปเองแน่ 

แม้ว่าเขาจะยึดผลได้ดูเหมือนว่าเขาชนะเขาได้ ก็ดูกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้มันก็เป็นสงครามที่เขาเขียนอันนี้ให้อาตมาวิเคราะห์ ลองฟังดู 

 

พลังแห่งความแพ้ พลังแห่งความเสียสละยิ่งใหญ่ที่สุด

ก้าวไกล vs อนุรักษ์นิยม ใครชนะ 

ปกติผมไม่เขียนเรื่องการเมืองเลย เพราะมีพี่น้องและผู้ใหญ่ที่นับถือ อยู่ทุกพรรค แต่วันนี้จะมาพูดภาพรวมให้ฟังก็พอ 

ถ้ามองภาพแค่วันนี้ ดูเหมือน ฝั่งอนุรักษ์นิยม จะชนะ เพราะมีทั้ง สว. 250 ทั้งองค์กรอิสระ  ช่วยทั้งคะแนนเลือกตั้ง ทั้งรอยุบพรรคด้วยข้อหาประหลาดๆ  ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะคนระดับนายกสมัคร ยังตกเก้าอี้ด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี  เรื่องอื่นก็คงไม่ต้องพูดถึง ข้อหาอะไรก็ยัดๆได้หมดแหละงั้น  

ชัยชนะของฝั่งขวานั้น คือการเป็นรัฐบาลวันนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไร น่าเกลียดขนาดไหน  นั้นคือชัยชนะของเขา ซึ่งเอาเข้าจริง กองเชียร์ขวาก็รู้ แต่ ก็กูได้เปรียบอยู่ ก็เลยลืมๆไปซะ  

_สู่แดนธรรม... 

แต่ถ้ามามองภาพรวม ส่วนตัวผมว่า พวกซ้ายแบบก้าวไกล นั้นชนะทุกกระดานมาเรื่อยๆ  โดยที่ฝั่งอนุรักษ์นิยมหลงกลเขาโดยไม่รู้ตัว  ผมไม่คิดว่า ฝั่งพวกซ้าย มีเป้าหมายจะเป็นรัฐบาลในวันนี้ ไม่งั้นจะขาดใจตายเหมือนพวกนักการเมืองรุ่นเก่า แต่เป้าหมายเขาคือ การชนะใจคนรุ่นใหม่ ให้เกลียดอีกฝั่งแบบชาตินี้ไม่เผาผีกับฝั่งซ้าย อันนี้ เขาทำสำเร็จมาเรื่อยๆแบบที่มี พวกอนุรักษ์นิยม ทำตามบทของเขาแบบไม่รู้ตัว การที่ใครจะเป็นพระเอกได้ ในบทมันต้องมีผู้ร้าย ผู้ร้ายตามบทหนัง ควรเป็นเผด็จการ บ้าอำนาจ หน้าตาแก่ๆโกงๆ  สมุนก็ปากดี แต่ทำงานไม่เป็น มีกลโกงแบบโจ่งแจ้งสารพัด ถือปืน พลิกแพลงกฎเข้าข้างตัว แถกันแบบ คนดูร้องโห่ทั้งโรง  อันนี้ พวกขวาทำครบ แถมตีบทแตกแบบ เทคเดียวผ่านมาตลอดหลายปี  จนคนดูส่ายหัวทั้งโรง  

_สู่แดนธรรม... ก็คอยดูกันต่อไป 

_ส่วนพระเอก ต้องหน้าตาหล่อ มีฝีมือ และก็ต้องโดนรังแก ให้คนเห็นใจ แต่ก็ยังสู้ เพื่อกู้โลก เพื่อประชาชน  ต้องโดนเหยียบย่ำในช่วงแรกให้คนดูเอาใจช่วย โดนแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาพูดจาคมๆ กระแทกใจคนดูแล้วสู้ยิบตาต่อ คนดูก็เชียร์ สุดหัวใจ ร้องไห้ตาม อันนี้ พวกก้าวไกล ทำครบ แถมตีบทแตกแบบเทคเดียวผ่าน แม่ยก เชียร์ช่วยทั้งโรงเหมือนกัน 

 

ธนาธรเองก็เคยบอกไว้ว่าตามแผนเขา ใช้สี่การเลือกตั้ง หรือ 16 ปี ในการจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล  ถ้าตามแผนเดิมเขา นี่เพิ่งเดินมาแค่ สี่ปี หรือยกแรก แต่ก็ดูเหมือนเขาเดินมาเร็วกว่าแผนของเขาอีก เพราะอนุรักษ์นิยมดันทำทุกอย่างไปเร่งให้เขาชนะ  คนชอบไปคิดว่า การถูกยุบพรรค ทำให้พวกเด็กๆแพ้ กลับบ้านไปเล่นเกม เลิกเล่นดีกว่าไม่สนุกแล้ว  แต่ผมคิดกลับด้าน 

เด็กๆ พวกนี้ ฉลาดเป็นกรด ผมว่า การรอให้โดนยุบพรรคเป็นหนึ่งในแผนของเขา โถ ประสบการณ์ในอดีต ที่เห็นไทยรักไทย พลังประชาชน นายกสมัคร และอีกมากมาย เด็กพวกนี้ เห็นมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เที่ยวผับ วันที่เขาวางแผน เขาจะไม่รู้รึ ว่าตัวเองจะโดน  ถ้าเป็นผม ใน war room นี่คือ ซีนแรก ที่ต้องวางเลยว่า มันเป็นแบบนี้ 100%  เดี๋ยวเราจะโดนยุบพรรค เราจะเก็บซีนอย่างไร ให้ได้ใจคนดู ให้เกลียดอีกฝั่งแบบจับใจ เขาไม่ได้หวังคนแก่ ที่ดัดนิสัยไม่ได้ เขาหวังเด็กๆ รุ่นใหม่ และก็ได้ผลเต็มๆ 

วันแรกที่เขาตั้งพรรค อนาคตใหม่  ผมเชื่อว่า ในเวลาหาเสียง 60 วัน ธนาธร ไม่คิดหรอกว่าจะได้ สส. ขนาดนี้ คงกะแค่ เจ็ดแปดเสียง เข้าไปเป็นฝ่ายค้านด่าเก็บดอก ก็หรูพอแล้ว แต่พวกคนแก่ เล่นใหญ่เกินเรื่อง แถมมีเรื่องยุบพรรคอื่น ที่ทำให้คะแนนไหลไปหา ธนาธร เลยเปิดตัวมาซะ 80 เสียง ตัวคนได้ยังงงเอง  แต่ก็ต้องไหลไปตามเกม แถมยังไปตัดสิทธ์ ธนาธร ช่วยให้เขาดังระดับโลกไปอีก ด้วยข้อหาแบบ อัยการไม่ฟ้องภายหลัง  ผมว่าอยู่ในแผนของเขา เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาจะโดนไม้นี้และเตรียมไว้แล้ว แต่คงคิดในใจว่าน่าจะโดนข้อหาทำกับแกล้ม ออกยูทูป อะไรมากกว่า ข้อหา ถือหุ้นสื่อที่ปิดไปนานแล้ว ถ้าธนาธรไม่โดนวันนั้น พิธา ก็ยังไม่ได้เกิด เพราะรัศมี ธนาธร กับ ปิยบุตร ช่อ จะบังไว้ ความดังก็อาจแค่ระดับ หมอวาโย ณ วันนี้  

แต่พอพวกคนแก่ ทุบโครม  ตามแผนเขา เขาก็ดัน พิธาที่เตรียมไว้ขึ้นทันที และก็ได้ผลสมใจ แถมพิธาตีบทแตกกระจุย ด้วยความหล่อบวกดีกรีมหาลัยระดับโลก แถมไม่เคยตายไมค์ กลายเป็นซุปตาร์ระดับ ยืนหนึ่งแบบไม่มีใครเทียบทันที 

คราวนี้ เด็กๆ ก็ได้ซุปตาร์ มาเพิ่มฟรี คือ ธนาธร อันนั้นดังติดลมบนไปแล้ว พิธามาเป็นหน้าใหม่  แถมยังมี มือรองๆระดับ โรม  วิโรจน์ มาแซมเวที  อีกเพียบยุบพรรค ตัดสิทธิ์ สส. เด็กๆ เขาไม่สนหรอก แผนเขาเกมยาว 

เป้าหมายเขาคือ ทำให้คนเห็นว่า พวกคนแก่นั้น น่าเกลียดเพียงใด ทำทุกอย่างได้เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจวันนี้แบบไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม และก็สมใจ บางคนออกมาบอกว่า ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปก่อน ด้วยมือ 250 สว. และใช้แม่เหล็กดึงเอาทีหลัง แฉแผนโจ๋งครึ่มเหมือนผู้ร้ายในหนังฝรั่งทุนต่ำ ที่ชอบแฉแผนตัวเองก่อนจะฆ่าพระเอกแล้วตายเองตอนจบขนาดนี้ เด็กรุ่นใหม่ 6 ล้านเสียงจะไปไหน นอกจากไปก้าวไกลหมด ไม่เหลือให้พรรคอื่นเลย

แถมตัดสิทธ์ ธนาธร แล้วธนาธรกลับบ้านเลี้ยงลูกซะเมื่อไหร่ ก็ยังเป็นกรรมธิการงบประมาณ เดินอยู่ในสภาแถวนั้นแหละ เพียงแต่ ไม่ได้ติดบัตรเขียนว่า สส. เท่านั้น แต่ความดังทะลุฟ้าไปแล้วระดับอินเตอร์ กลายเป็นตำนานเดินได้ ต้องขอบคุณพวกคนแก่ที่ดันเขามาถึงขนาดนี้

รอบนี้ไม่เข็ด จะเอาข้อหา itv ที่เด็กรุ่นใหม่เกิดไม่ทัน มายัดต่อ  เด็กงง ทั้งประเทศ itv มันคืออะไรวะ กระทั่งคุณนิพิษฎ์ ปชป.เก่า ตอนนี้อยู่พลังประชารัฐ ฝั่งตรงข้าม ขนาดเป็นคู่แข่งยังทนดูไม่ได้ ต้องรีบมาปรามกรรมการ  บอกไม่หวายๆ เดี๋ยวกองเชียร์หายหมด หนักกว่าซีเกมส์เขมรอีก 

คู่แข่งยังทนดูไม่ได้ แล้วคนดูจะทนดูได้เรอะ แต่พระเอกรับคะแนนแม่ยกไปแล้วเต็มๆ ตอนนี้เด็กๆ คงหัวเราะก๊าก ทำอะไรตามแผนกูหมดเลย ซึ่งเขาก็รู้ว่า เดี๋ยวพวกคนแก่จะยุบก้าวไกล แหม คนทั้งประเทศรู้ สามล้อ แท๊กซี่รู้ ทำไมเด็กพวกนี้จะไม่รู้ เผลอๆตอนนี้ดีไซน์ โลโก้พรรคใหม่เสร็จแล้ว  รอว่าเมื่อไหร่จะยุบกูซะที เร็วๆหน่อย รอไม่ไหวแล้ว จะได้เก็บคะแนนสงสาร เพิ่มอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ และตำนาน เพิ่มความแค้นให้ผู้คน แบบเดือดเกินร้อย สะสมให้รอวันระเบิด 

ธนาธร กับพิธา ก็ดังค้างฟ้าไปเหมือนพี่เบิร์ด และปั้นซุปตาร์ตัวใหม่ น่าจะเป็นไอติม หรือ บ่มดีๆ อีกพักยังมี สี่จตุรเทพ มีนไชยนันท์  ที่หล่อราวกับเทพบุตร รวยหมื่นล้าน  ถ้าเดินขึ้นมานำเมื่อไหร่ สาวๆตายหนักกว่าพิธา แต่บทยังไม่มา รอคนแก่ ยัดให้อยู่ แต่เดี๋ยวก็มาแน่นอน ไม่มีผิดหวัง 

ตัวดีๆ หล่อๆแบบนี้ พวกเด็กๆมีอีกเพียบ แค่ยืนรอบท จากคนแก่เฉยๆ  ไม่ต้องทำอะไร ดังแบบข้ามวันได้เลย นักการเมืองพรรคอื่นบ่น กูยืนมาสิบปี เหมือนพี่หนวด พยายามขี่ทั้งม้า แต่งชุดลิเก ยังไม่ดังสมใจ มีแต่คนไปถามว่ารับแก้บนมั้ย ยังไม่ดังได้เท่าเด็กๆพวกนี้ วันเดียวเลย  

เอาจริงเข้าผมว่า พิธายังไม่อยากเป็นนายกหรอก แต่ก็เล่นตามบทไหลตามกระแสที่ส่งมา โย่ว นี่คือเสียงของนายก เด็กกรี้ดสนั่น สาวสลบ  แต่เอาเข้าจริง เข้าไปเป็นนายกตอนนี้ รับรอง ทำอะไรไม่ได้ เพราะ ขรก. ประจำ ยืนขวางอยู่  ไอ้ที่บอกว่า นักการเมืองโกงกิน ถ้าเอาเรื่องจริง สุดท้ายคือ ขรก. ประจำนี่แหละมากที่สุด นักการเมือง ยังสอบได้มั่ง ตกมั่ง เป็นฝ่ายค้านมั่ง แต่ ขรก. ประจำนี่แหละ  กินนาน กินทน กินยันเกษียณ  นักการเมืองทำอะไรไม่ได้เลย ถ้า ขรก. ไม่เขียนชง ใส่พานมาประเคนแล้วแบ่งกัน  จะให้ รมต. เดินไป เอาเงินสดในกระทรวงกลับบ้านยังไง ถ้าระดับตั้งแต่ ผอ. ยัน อธิบดี ไม่ชงไปให้เซ็น  แต่ด่านักการเมืองมันสนุกไง ภาพชัดดี ด่าแล้วเท่ดี ก็เลยเอากันแค่นี้พอ  

เกมนี้ถ้ามองกว้างๆ ผมว่า คนแก่ถูกเด็กหลอก เดินตามแผน เขาไปแล้ว เพราะชัยชนะของพวกเด็กๆ เขาไม่ได้ต้องการเป็นรัฐบาลวันนี้เดี๋ยวนี้  เป้าหมายเขาคือต้องการให้รุ่นใหม่รักเขาและเกลียด พวกคนแก่ แบบสุดหัวใจ ซึ่งเขาทำสำเร็จแล้ว โดยใช้มือของพวกคนแก่ ที่หิวโหยอำนาจ โชว์ความน่าเกลียดเอาเปรียบทุกอย่าง ให้คนรุ่นใหม่เห็น เหมือนซีเกมส์เขมร และเทใจไปให้เขา 

ผมว่าก้าวไกล งวดนี้ ยังไม่ยอมร่วมรัฐบาลง่ายๆหรอก ถึงมีคนมาชวนก็จะยื่นเงื่อนไขแบบสุดโต่ง จนพรรคอันดับหนึ่งไม่ยอม และทำอะไรบ้าๆบอๆ จนคะแนนความชอบไหลมาทางพวกเด็กๆอีก สะสมพลัง บ่มศรัทธา รอเวลา จนถึงวันนึง ที่มวลชน อยู่ในมือเขาเต็มกำลัง แบบมืดฟ้ามัวดิน ขนาดพลิกฝ่ามือ ซ้ายขวาได้เมื่อไหร่ วันนั้นแหละ ซึ่งอีกไม่นานหรอกเพราะพวกคนแก่ เดินทุกอย่างตามแผนของเขาหมดเลย  

ขงเบ้ง ของพวกเด็กๆคือใคร ขอคารวะจริงๆ

พ่อครูว่า... เราก็ไม่รู้ว่า ขงเบ้ง ของเขาคือใคร นี่คือสงครามสังคมเขาก็เอาความเห็นกันมาอย่างนี้ 

อาตมาก็ขอวิจัยนิดหน่อยก่อน แล้วเดี๋ยวจะขออ่าน SMS บ้าง 

มันไม่ใช่เพิ่งเกิดสงครามชนิดนี้อย่างนี้ในโลก มันเกิดขึ้นมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย เป็นแต่เพียงว่ามันมีองค์ประกอบของเครื่องมือเทคโนโลยี อาวุธยุทธภัณฑ์ อะไรต่างๆนาน แม้แต่สิ่งที่โลกไม่เคยเกิด สมัยก่อนมันก็มีมาแล้ว ยิ่งสมัยนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นมาสารพัดซับซ้อน จนกระทั่งมีสงคราม blockchain สงครามเงินทางดิจิตอลต่างๆนานาสารพัด ซึ่งมันสุดยอด สงครามทางพวกที่จะแย่งความได้เปรียบ แย่งความชนะ แย่งจะเป็นเจ้าโลก ซึ่งเป็นเรื่องจะบำเรอกิเลสทั้งสิ้น เขาก็ทำไปสนุก สุขทุกข์ แต่เขาไม่รู้ทุกข์ เขาก็ทำไป แพ้เขาก็ทุกข์ ชนะเขาก็สุข แต่เขาก็เสี่ยงแต่เขาก็ทำ เพราะเขาไม่รู้ เขาต้องทำ มันก็ดำเนินกันไปอย่างไม่หยุดไม่หย่อน 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่จะรู้จักความพอเหมาะพอควร ที่ในหลวง ร. 9 ใช้ศัพท์คำว่า พอเพียง ได้สัดได้ส่วนที่พอเหมาะ แล้วก็เป็นอยู่อย่างมีชีวิตที่ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันอะไรกับใคร ใครจะมาทำร้ายเราหรือใครจะมารังแก เราก็ยอมแพ้ได้ 

โดยการยอมแพ้ของเราหรือของใครก็แล้วแต่ที่แพ้อย่างมีปัญญา แพ้ก็แพ้แต่เราก็ไม่ได้ไปแก้แค้น ไม่ได้ไปทำร้ายตอบอะไร เราก็ทำดี ดีไม่ดีเราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ช่วยเหลือเขาด้วย แต่แน่นอนเราไม่ไปเสริมพลังทำลาย เช่น ไปเสริมพลังสร้างอาวุธให้เขา ไปเสริมซื้ออาวุธเขา หรือทำอะไรซับซ้อนให้เขาเองยิ่งทำเลวหนักขึ้นซึ่งมันบาปด้วย แล้วเราก็มีปัญญาพอที่จะไม่ไปสนับสนุน 

เราก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ทำอาหารการกิน ทำยารักษาโรค ช่วยกัน ให้เขากินเขาใช้ ให้เขาได้รับประโยชน์ ซับซ้อนขึ้นไปอีก 

สิ่งเหล่านี้ผู้รู้อย่างพวกเราชาวอโศก ที่อาตมาได้สรุปแล้วพาดำเนินไปอยู่ คนเขายังไม่เชื่อหรอกว่า พลังแห่งความหยุดหรือพลังแห่งความยอมแพ้ พลังแห่งการยอมเสีย คำศัพท์เต็มๆก็คือ เสียสละ ยอมเสียสละให้คนอื่นไปเรื่อยๆ มันเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้ว มันเป็นฐานความดีเยี่ยมของคนที่ยืนอยู่ในฐานที่เจริญสุดแล้ว 

ที่อาตมาสรุปด้วยคำว่า อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ

ปลายเปิดไว้ว่าเพิ่มพูนการเสียสละ นั่นแหละเป็นผู้ที่ให้เขาเท่านั้น แล้วเราก็จะได้พวก ได้หมู่ ได้มวลที่มีทิฏฐิที่สัมมาทิฏฐิตรงกัน แล้วก็มีฐานของสถานะเจริญเข้ามาร่วมได้ มีศีล สมาธิ ปัญญา ขออภัยใช้ศัพท์วิชาการไปก่อน มีหลักเกณฑ์ในการประพฤติตนแล้วมีการเจริญทางจิตเป็นศีลสมาธิปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ  ขึ้นมาเรื่อยๆ 

กลายเป็นคนโลกุตระ เป็นอาริยกะ เป็นผู้ที่เจริญจริงๆไม่ใช่    มิลักขชน คนเถื่อน เขาไม่รู้ว่าเขามีความเถื่อน เช่น อเมริกา เขาไม่รู้ว่าเขามีความเสื่อมความต่ำลงเป็นสภาพเชิงซ้อนที่เขาไม่รู้ตัว เช่นอเมริกาทุกวันนี้ อย่างไรอย่างไรก็แพ้จีน 

อาตมาที่พูดที่อธิบายอะไรพวกนี้ก็อาศัยความจริงจากโลก จากสังคมโลกเขาก็ประพฤติอยู่ อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษา ไม่ได้เป็นนักคิดนักเรียน ที่ไปได้รู้ข้อมูล ได้รู้วิธีการเข้าใจ ไม่ อาตมาเป็นคนทึ่มๆเป็นคนซื่อๆเซ่อๆ มีข้อมูลอะไรก็เอาที่เป็นปัจจุบันเอาไปใช้เป็นปฏิภาณปัญญา บางทีก็ไม่ค่อยทันสมัย บางทีก็สอบตกด้วยซ้ำ 

แต่ที่มันเป็นจริงนั้นมันอยู่ที่พวกเรา ที่อาตมาพาทำพาปฏิบัติแล้วได้มรรคได้ผลแล้ว จะเป็นคนจริง เป็นคนจริงที่มี วรรณะ 9 เป็นคนจริงที่มาอยู่ร่วมกันเป็นสาราณียธรรม 6 ได้แล้ว จนกระทั่งเป็นสังคมสาธารณโภคี เป็นอย่างนี้ 

อันนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏจริงแล้วจึงยืนยัน ส่วนจะเป็นเหตุเป็นผลเป็นปฏิภาณ เป็นหลักเกณฑ์ ที่ปราดเปรื่องเหมือนรู้รอบ อย่างคุณเปลวสีเงินหรืออย่างนักวิเคราะห์วิจัยสังคม เต็มไปหมดในสื่อสารมากมาย อาตมาก็พยายามจะวิเคราะห์วิจัยอย่างเขาบ้าง บางทีก็ดูเหมือนจะไม่ทันสมัยเหมือนอย่างเขา 

แต่อาตมายืนอยู่ได้เพราะอาตมามีลักษณะจริงของสัจธรรม ที่มีคนทำได้แล้ว ซึ่งไม่ใช่ง่าย เป็นคนคลาสสิคอย่างที่อาตมาได้พูดถึงไปแล้ว คลาสสิคเป็นภาษาอังกฤษเขา เป็นภาษาเก่า คลาสคือชั้นเป็นคนมีขั้นมีคลาส เป็นชั้นสูง แล้วเป็นชั้นสูงที่มีเนื้อแท้ ไม่ใช่เปลือก ที่จะสูงเด่น โชว์ผิว ไม่ใช่ แต่เนื้อเห็นยาก เป็นพวกเนื้อๆแก่นๆ เห็นยาก ต้องผู้มีภูมิปัญญาจริงๆถึงจะเข้าถึงแก่น หยั่งรู้ถึงเนื้อแท้ของพวกเรา 

เพราะฉะนั้นแก่นแท้จะเป็นหลักของทุกอย่าง ยั่งยืนนาน ทนต่อการพิสูจน์ อย่าางพวกเราที่เป็นไป อาตมาชะลออายุ พยายามที่จะไม่ตายง่ายๆเพราะว่าต้องนำพาพวกเรา เพื่อจะให้สิ่งที่กำลังนำพาอยู่นี้ที่เป็นสัจธรรม ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วเอามาประกาศแก่โลกไว้ อาตมาพยายามเอามาสืบสาน มันได้ประมาณนี้ยังไม่ไปถึงไหนเท่าไร อยู่ในวงแคบ 

แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ยังอยู่อย่างนี้อยู่ในวงแคบ ยังอยู่ในกลุ่มเล็กน้อย ซึ่งรักษาตัวรอด คนอื่นทำลายลงได้ยาก อสังหิรัง ใครจะมาหักล้างลงไปได้ยาก แล้วเพราะพวกเรานี้เที่ยง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เพราะฉะนั้นคนจะมาหักล้างมาทำลายได้ยาก สุดท้ายพวกเรา อสังกุปปัง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่กลับกำเริบ ไม่เปลี่ยนไปแล้ว 

ท่านไม่ใช้คำว่า ที่มันจะค้านแย้งกันไปในตัว แต่มันก็ค้านแย้งกันไปในตัว 

_สู่แดนธรรม... ท่านไม่ใช้ไม่ค้านแย้งกับไตรลักษณ์ครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ ทุกอย่างนอกจากจะใช้ไตรลักษณ์แล้วก็มีว่า ทุกสิ่งเสื่อมไปเป็นธรรมดา นี้เป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าด้วย ทุกอย่างเสื่อมไปเป็นธรรมดา  

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ว่าทุกอย่างเสื่อมไปเป็นธรรมดา จะไปดึงดันเอาไว้ทำไม ถ้าจะแปลว่าเสื่อมคือความน่าเกลียด ถ้าจะแปลว่าแพ้ก็ดูดี ถ้าแปลว่า “เสื่อม” ดูน่าเกลียด แต่เสื่อมคือความจริง แพ้คือความหลอก แพ้เหมือนกับประโลมใจพูดโก้ จะเสื่อมนั่นคือความจริง 

ผู้ที่รู้ความจริงอันซับซ้อนลึกซึ้งว่าทุกอย่างก็เป็น 0 ผู้ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอม 0 ก็จะวนเวียนเหมือนหนังจีนแล้วยิ่งสะสมวิบากซับซ้อน แค้นคนเดียวไม่พอ สั่งสม ให้ลูกหลานแก้แค้นให้ปู่ย่าตายายนะไปอีก นี่ เพราะความไม่รู้ 

มันต้องเลิกพยาบาท เลิกจองเวร อโหสิไปทั้งหมด ต้องยอมให้จบให้หยุด เสร็จแล้วเราก็เอาพลังงาน แรงงาน ความรู้ต่างๆ ทุนรอนที่มี เอามาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างผู้ที่เสียสละ เพิ่มพูนการเสียสละไปเรื่อยๆ อันนี้แหละจบครองโลก 

เราไม่ได้เป็นผู้อดอยาก เราไม่ได้เป็นคนที่ไม่ทำงาน เป็นคนยอดขยัน ทุกคนนอกจากยอดขยันแล้วมีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถและมีปัญญา มีปฏิภาณปัญญาความเฉลียวฉลาด รู้จักสงวนหรือประหยัด 

สงวนหรือประหยัดคำนี้เป็นคำใหญ่ ภาษาอังกฤษเขาก็ใช้คำว่า Economy หรือ Economic แปลว่าประหยัด แต่เขาไปแปลว่าเศรษฐศาสตร์ คนเจริญต้องเป็นคนประหยัด เป็นคนสงวน เป็นคนมีน้อยมักน้อย ไม่เอามาก  ไม่สะสมมากอีกด้วย อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งสัจจะมันจะลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบหมดเลย เพราะฉะนั้นผู้ทำหรือปฏิบัติประพฤติตนได้ตรงกับผู้รู้ที่เป็นปราชญ์เอกอย่างพระพุทธเจ้า เป็นต้น 

ซึ่งพวกเราคนไทยหรือชาวพุทธ เรียกว่ากุศลมาก เรียกศัพท์โลกๆว่ามีบุญมาก ที่จริงซับซ้อน บุญมันไม่ใช่มีมากหรอก บุญมันต้องน้อย แต่ผลของบุญคืออาวุธฆ่ากิเลส เพราะคุณฆ่ากิเลสได้มากคือผลบุญของคุณทำได้สำเร็จมากก็เลยเป็นคนเจริญ คำว่าบุญคำเดียวเป็นสิริมหามายา 

คุณจะต้องทำบุญได้ฆ่ากิเลสได้ ฆ่ากิเลสตนเองด้วย ไม่ได้เป็นภัยเป็นโทษกับใคร บุญนั้นฆ่ากิเลสตัวเอง ไม่ได้ไปฆ่ากิเลสคนอื่น ฆ่าแล้วบุญก็หายไป บุญก็ไม่มีอีก เพราะว่ากิเลสมันตายแล้วไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว กิเลสตัวนี้ตาย ตายอย่างสมบูรณ์แบบ ตายอย่างไม่เกิดอีกเลย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือบุญนี้อีกแล้ว คนนั้นก็หมดบุญ เป็นภาวะจริงซับซ้อนเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้ง อาตมาบรรยายซึ่งก็เข้าใจยากอยู่ แต่คนจะค่อยๆเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะสัจธรรมสุดท้ายที่เป็นสิทธัตถะ หรือชื่อพระพุทธเจ้าก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แก่นธรรมอันนี้มันเป็นคำสิริมหามายา มันเป็นคำเหมือนที่โลกเขาทางฝรั่งเขาเรียกว่า Dialectic มันขัดแย้งกันในตัว แต่เขาจับมันไม่ได้ เขาไม่มีปัญญาพอจะจับสภาพไหนจริงๆแท้ๆว่า อันไหน มันคือด้านที่ถูกต้อง ด้านที่เป็นหนึ่งแท้ ไม่สับสนไม่สงสัย ไม่กลับกลอก ถูกต้องตรงแท้แน่นอนเป็นหนึ่งเดียว 

คุณฟังเข้าใจแต่ว่าเราจะเป็นคนที่ทำเช่นนั้นได้สำเร็จสูงขึ้นไป ตามกรอบองค์ความรู้ องค์ประกอบของกรอบแต่ละรอบๆ สูงขึ้นไปถึง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไปตามลำดับ คุณรู้จริงทำได้จริงมันถึงจะเกิด ได้แต่รู้ๆๆโดยเฉพาะที่พูดพาดพิงมาแล้วตั้งแต่ต้น ว่าคนเอาแต่รู้ ใช้สื่อสาร ใช้ IO ข้อมูลข่าวสารเป็นยุทธการใหญ่ รบแล้วชนะ แค่สื่อสารข่าว รบกันชนะด้วยสื่อสาร แต่ทำไม่เป็น เนื้อแท้ไม่มี แก่นไม่เกิด พวกนี้ทำได้ฉาบฉวย 

ประเทศไทยเดินทางมาไกล ไกลจนกระทั่งมีของจริงกับของพวกตลกพวกนี้ จนทุกวันนี้ก็ยังเกิดข้อตลกนี้อยู่ ตัวตลกนี้อยู่ ลิเกตลกนี้เกิดอยู่ 

เพราะฉะนั้นเรามีปัญญา ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเห็นว่าเรื่องนี้มันเกิดมาประหลาด เราก็อุทานไปตามโลกว่ามันไม่น่าเกิด มันประหลาดอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งที่จริงมันเกิดเพราะว่าคนมันยังไม่หยุด มันยังดิ้น (พ่อครูไอตัดออกด้วย) มันยังมีเศษ 

ละอองธุลีของสิ่งที่ยังบกพร่อง สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ มันยังเกิดอยู่ กระเด็นกระดอนอยู่ตามความเป็นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อแท้ของประเทศไทย เนื้อแท้ของเศรษฐกิจก็ดี เนื้อแท้ของการเมืองหรือรัฐศาสตร์ รัฐกิจก็ตาม ความเป็นสังคมเนื้อแท้ของคนไทย 

อาตมาไม่ได้มองว่ามันตกต่ำ แต่มันมีตัวแสดงบทบาทออกมา คนก็เห็นตัวแสดงบทบาท ส่วนที่เป็นแกนเป็นแก่นเรียกว่าเป็น เข็มของชีวิต เสาเข็มของชีวิตคนมองไม่เห็นหรอกคน จะเห็นแต่ส่วนบนเห็นบทบาทข้างบนเท่านั้น แล้วเขาก็มองฉาบฉวยข้างบน 

ซึ่งถ้าความจริงมันไม่มีเข็มจริงๆมันจะไปอยู่รอดอะไร มันก็แกว่งให้ดูอย่างเดียวก็กลิ้งหลุดเป็นอุกกาบาตออกนอกโลกเท่านั้นเอง แต่ถ้าสิ่งที่มีเข็มมีแก่นแกนที่หยั่งลึกจริง ไม่มีปัญหาหรอก 

อาตมาเคยพูดความจริงมายืนยันประกอบให้เห็น ว่าความจริงแล้ว ประเทศไทยนี้ ฉาบพอกไปด้วย ฉากบนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้พระไตรปิฎก ที่บอกว่าคนที่ไม่รู้จักแก่น แสวงหาแก่น แล้วก็ไปพยายาม แสวงหาแก่น แต่เพราะความไม่รู้เป็นอวิชชาโง่ ก็เลยไปได้แต่ใบดอกผล งดงามมีผลเต็มไปหมด ใบสวย ดอกหอมกลิ่นฉุยเลย 

แต่ไม่ได้แก่น ไม่ได้แม้แต่กระพี้ ไม่ได้แม้แค่เปลือก แต่ไปได้แค่สะเก็ด แต่ไปได้ใบดอกผลงามหลงอยู่อย่างนั้น เหมือนศาสนาพุทธในประเทศไทยทุกวันนี้ งดงามอยู่ด้วยใบดอกผลคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกียะเต็มๆ 

แต่โลกุตระที่เป็นแก่น ศีลเหมือนสะเก็ด สมาธิเหมือนเปลือก ปัญญาเหมือนกระพี้ วิมุติเหมือนแก่น 

เขาไม่ได้แม้ศีล เพราะฉะนั้นเมื่ออโศกเกิดขึ้นเขาก็บอกว่า พวกนี้มันทำเคร่งศีล มันได้แต่ศีล มันไม่ได้มีสมาธิ มันไม่ได้มีปัญญา มันไม่ได้มีวิมุตอะไรหรอก มันมีแต่ศีล เขาก็ว่าอย่างนั้น ผู้รู้ทั้งหลายก็ว่าอย่างนั้น 

ศีลต้องเอาที่อโศก สมาธิต้องเอาที่ธรรมกาย ปัญญาไปเอาที่สวนโมกข์ ท่านพุทธทาส ว่าอย่างนั้นเลยนะ ข้อสรุปของเขา อาตมาก็ว่า เขาว่ากันไป เพราะเขามีภูมิรู้เท่านั้นขนาดนั้น ก็ว่าไป 

จนมาถึงวันนี้แล้วอาตมาหยิบอันนี้มาพูดจะเห็นได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ มันเป็นองค์รวมไม่ได้หมายความว่ามันได้อย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นสภาพของอภิสังขารที่ลึกซึ้ง สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่อย่างลึกซึ้งมาก 

เพราะฉะนั้นพวกเราต้องสำคัญศีลเป็นของต้นเลย มองว่าเราบริสุทธิ์ด้วยศีล แล้วศีลนี้ขัดเกลาไปถึงจิต กิเลสออกจากจิตก็คือถูกขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ จิตก็สูงขึ้นเป็นสมาธิหรือ อธิจิต 

จิตสะอาดขึ้น ปัญญาเราก็ยิ่งรู้ความจริงของศีลกับจิต หรือศีลกับวิธีปฏิบัติ แล้วเราก็ทำปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แต่ละข้อๆ เกิดการขัดเกลากิเลสออกจากจิตเป็นอธิจิตจริงๆ 

กิเลสออกจากจิตก็เรียกว่า วิมุติหรือนิโรธ กิเลสดับหรือหลุดพ้นจากกิเลส ก็ได้เป็นวิมุติๆ ขึ้นไปเรื่อยๆเป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ  สูงขึ้นไปเรื่อยๆตามลำดับ 

ผู้ที่เห็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตามที่อาตมาอธิบายนี้เอามาขยายความ คุณเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ ทำให้อาการมันเป็นจริง กำหนดหมายเครื่องหมายนิมิตว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ เครื่องหมายมันเป็นอย่างนี้ เอาสัญญากำหนดหมายแล้ว ถูกแล้ว มีกายมีสัญญากำหนดว่ารู้องค์ประกอบ ทั้งภายนอกภายใน ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งภาวะ 2 ไม่ได้มิจฉาทิฏฐิว่าแม้แต่กายก็มีเพียงแต่ภายนอกไม่มีข้างใน ไม่ใช่ 

เพราะฉะนั้นสามารถทำได้อย่างนี้จริง ผลที่เกิดจึงเป็นผลจริง ทำให้คนบรรลุ บรรลุศีล บรรลุสมาธิ บรรลุปัญญา บรรลุแก่น อย่างชาวอโศกนี้ ผลดอกใบไม่งดงามไม่พริ้งเพราอะไรเลย ไม่ได้อะร้าอร่ามด้วยใบดอกผลส่งกลิ่นหอม ดูทั้งสีสวย รสชาติโลกียะ โอ้โห!เปล่งปลั่ง เต็ม ไม่

เพราะฉะนั้นคนที่มีดวงตา มีภูมิปัญญาแท้ มองลึกเข้าไปจะเห็นด้วยซ้ำว่า พวกเรารู้สิ่งเหล่านั้นเราทิ้งมา ละมาลดมาเลิกมาจริงๆด้วย มันกลับตรงกันข้ามกับที่เขาเข้าใจ 

เขานึกว่าเราขาดไป หรือด้อยจากที่เขาต้องการ ซึ่งเราไม่ได้ขาดแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมาธรรมะสงครามนี้มันจึงไม่ได้ไปขัดแย้งกัน คุณก็ไปเอาผลใบดอกของคุณ เราก็ทิ้งสิ่งเหล่านั้น มันก็เลยไม่ได้รบกันถ้าเราไม่ได้ไปรบกับเขา 

แต่เขาไม่รู้ว่ารบกับเราด้วยความโง่ โง่คืออะไร คือเขานึกว่าเราจะไปแย่งความเด่น จะไปแย่งความดี จะไปแย่งความถูกต้อง 

ซึ่งเราไม่ได้แย่งเลยเพราะเราถูกต้องอยู่เป็นแกน แต่เขาผิด แต่เขาไม่รู้เขาก็เลยทำได้แต่ความผิด เขาได้ความเด่นเราก็ไม่ได้ไปแย่งหรือจะบอกว่าความดีแบบโลกๆ ดีอย่างโลกียนิยมแบบโลกๆ ดีเพราะเด่นด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันย้อนแย้งกัน เราไม่ได้ไปแข่งอย่างนั้นกับเขา 

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทั้งรบ ไม่มีทั้งแย่ง ไม่มีทั้งแข่งดีแข่งเด่นกัน สงบอบอุ่นเลย เพราะพวกเราอยู่กัน ด้วยความรู้อันลึกซึ้งถึงขั้นนานาสังวาส แต่เขายังไม่เข้าใจนานาสังวาส เขาจึงเป็นผู้ทำนิกาย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งสุดยอด คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

 

อย่ากลัวกลียุค ไม่ผ่านกลียุคก็จะไม่เก่ง

_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพสุดเศียรสุดเกล้า หลังทราบผลการเลือกตั้ง ลูกเริ่มเห็นเขาล้างของกลียุคที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าคนของพรรคสีส้มขึ้นมามีอำนาจ แต่ก็ยังเชื่อมั่นศรัทธาในบารมีของพระโพธิสัตว์อย่างน้อย 2 องค์ และบริวารของท่านที่จะไม่ปล่อยให้แผ่นดินไทยวอดวายไปต่อหน้าต่อตา แบบซีเรียหรือยูเครน 

ลูกมีสภาวะเกิดขึ้นคือลูกไม่อยากเกิดในช่วงของกลียุค เพราะมันคงยากลำบากเกินไปที่เราจะมีชีวิตอยู่รอดทำความดีได้ ลูกตั้งใจจะทำความเพียรเพื่อให้ภูมิจิตสูงขึ้น 

จะต้องทำภูมิจิตให้สูงเป็นพระอริยะระดับใดขึ้นไปคะ จึงจะกำหนดการเกิดของตัวเองให้ไม่ต้องไปเกิดในกลียุคได้ค่ะ 

พ่อครูว่า... มันหนีไม่พ้นหรอก คนถ้าไม่ผ่านกลียุค มันก็จะไม่เก่ง มันก็จะไม่รู้ความจริง คุณเดาเอาไม่ได้ มันต้องไปผ่าน ไม่ต้องไปกลัวหรอก ถ้าคุณเองพยายามพากเพียรปฏิบัติ คุณจะมีจิตที่ยืนหยัดอยู่กับมันได้ แต่เพราะคุณเองคุณยังไม่ปฏิบัติให้มันมีภูมิธรรม เมื่อไม่มีภูมิธรรมคุณก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว 

ถ้ายิ่งกลัว พลังงานในตัวของเราจะยิ่งอ่อนแอ มันยังไม่เป็นนักสู้หรือไม่เป็นนัก เปิดใจเต็ม รับรู้สิ่งที่มันเกิดหรือมันกำลังเผชิญกำลังกระทบกระแทกเราอยู่ แล้วเราจะแข็งแรง ไม่งั้นจะอ่อนแอตลอดกาลมีแต่จะหลบเลี่ยงจะหนี มันไม่เกิดการเจริญอะไรเลย หลบเลี่ยงหลบหนีมันหมดท่า อย่าไปคิดอย่างนั้น นี่ก็ขอตอบเท่านี้ก็แล้วกัน 

 

SMS วันที่ 12-13 พ.ค. 2566

_ตุ๊ก อัศวิน   · เคยได้รับวัคซีน..เมื่อครั้งเชียร์ คุณรสนา สมัครเป็น ผู้ว่า กทม แว้ว เจ้าค่ะ!! ครานี้..มีภูมิต้านทานค่ะ คงเจ็บ(หัวใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูรปรับทุกข์ปลุกธรรม #22 สงครามข่าวสารกับปรากฏการณ์จริงการเมืองไทย วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2566 ( 07:53:22 )

660517

รายละเอียด

660517 เศรษฐกิจดี หรือ เศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53261.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1v1eLk_zqlGvl4VLbLifresmgHsemW2nc/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Ie2Sb0hJqb8QZfzTd-yQvmSY5qFQxZJN/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/6nrPmfNROss 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/255746603692917 

 

สมณะเดินดิน...วันนี้วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566  แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนที่มีความสุขในประเทศไทยคงจะเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หน้าตาสดใส ได้มีเวลาพักผ่อน แล้วไม่มีใครมาด่าอีกแล้ว คนไทยคงจะเตรียมตัวด่านายกคนใหม่ เพราะความต้องการเยอะความต้องการสูงความต้องการมาก นายกคนใหม่คิดจะทำเรื่องที่ยากและไม่มีใครกล้าทำด้วย คนที่จะทุกข์ต่อจากลุงตู่น่าจะเป็นคนที่ชื่อพิธา 

ลุงตู่ก็บอกว่าขอบคุณประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์ ยังคงยึดมั่นในชาติศาสตร์กษัตริย์และประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน ไม่ได้ยึดว่าจะได้เป็นหรือไม่เป็นนายกฯ 

เหมือนพวกเราออกไปช่วยหาเสียงก็ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เราก็ยังคงทำหน้าที่ของพวกเราไป 

ขนาดสมัยพระเวสสันดร ช่วยเหลือประชาชนเมืองอื่น เป็นผู้ให้มากมาย แต่ประชาชนของตนก็ยังขับไล่พระองค์ออกไป เพราะเป็นสิ่งที่คนเข้าใจได้ยาก เป็นเครื่องทดสอบว่าจะเป็นโพธิสัตว์แข็งแรงขึ้นไปอย่างไร 

พ่อครูว่า... เดี๋ยวจะได้พูดถึงสิ่งที่ท่านเดินดินเกริ่นมา มีทั้งเรื่องการเมือง มีทั้งเรื่องธรรมะและไปถึงขั้นสาธารณโภคี 

พูดถึงสาธารณะโภคีเป็นของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอาตมานะ ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ และอาตมาก็กล้าพูดจะเรียกว่าท้าทายก็ได้ ว่าไม่มีใครที่จะตรัสรู้ความจริงขั้นสาธารณโภคี ทั้งความรู้และความเป็นไปได้ เป็นทฤษฎี เป็นความรู้ เป็นความคิดขึ้นมา แล้วก็คนสามารถปฏิบัติจริงเกิดผลจริงเป็นจริงได้ 

ทฤษฎีที่คิดได้แต่ยังเกิดผลจริงเป็นจริงไม่ได้มีอีกเยอะ ยังความคิดพวกสตาร์วอร์ มันคิดไปไกล สร้างหนังมาหลอกเอาเงินคนไปทั่วโลกเป็นไม่รู้กี่หมื่นกี่พันกี่แสนล้าน หรือว่าจะสร้างแบบ Harry Potter ก็คิดได้ แบบที่ JK rowling คิดและเขียนออกมา ร่ำรวยกินจนตายก็ไม่หมดทุกวันนี้ แกได้เงินค่าลิขสิทธิ์ขายหนังสือ แค่เขียนเรื่องเดียวก็รวยแล้ว 

ซึ่งความเป็นไปไม่ได้พวกนี้มีเยอะมาก เอามาคิดสร้างเป็นหนังจีนก็เยอะ สร้างเป็นหนังอินเดียก็เยอะ จีนกับอินเดีย 2 ประเทศแค่นั้นในโลกก็ใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงอันอื่นๆแถมมาอีกตั้งเท่าไหร่ 

เราพยายามศึกษาความจริง ให้อยู่ที่ความจริงหรือให้เกิดพิสูจน์ได้ สัมผัสได้กันจริงๆ เดี๋ยวขอคุยกับ SMS กัน 

SMS วันที่ 15-16 พ.ค. 2566

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ การเลือกตั้งที่ผ่านไปผมก็ได้ไปทำหน้าที่ดีที่สุดเรียบร้อยแล้ว ผลออกมาเป็นเช่นไรก็เข้าใจว่าเป็นไปตามสัจจะ

ธรรมแล้ว คือคนฉลาดน้อยย่อมมีมากอยู่ ไม่ว่ากัน แต่ชาวอโศกก็ยึดมั่นในธรรมมะขององค์พระพุทธเจ้าและพ่อท่านอย่างมั่นคงตามธรรมอยู่เป็นปกติครับ what everything happens for the best ชาวอโศกและผมเองก็จะไป เข้าค่ายศีล 8 ที่สันติอโศก

วันที่ 19 - 21 พฤษภาคมนี้ ชื่อค่าย ขอก้าวตามพ่อไป ครั้งที่ 176 เพื่อบำเพ็ญธรรมต่อไปครับ กราบนมัสการขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรจะเกิดมันก็เกิด เราก็มองไปในแง่ดีดีก็ดีทั้งนั้น ไปเข้าค่ายศีล 8 เราเจตนาดีก็ได้นิดได้หน่อยหรือได้มาก ดีไม่ดีบรรลุอรหันต์กันในการอบรมนี้เลย หรือไม่บรรลุอรหันต์แล้ว ไปอบรมก็ยังจะได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพิ่มเติมอีกจริงๆ ทำไปให้ถึงพันครั้งเลย ทำไปถึงพันครั้งคงจะอยู่กันนะยังไม่ตาย เราจัดกันเดือนละครั้ง ปี 12 ครั้ง 10 ปีก็ 120 ครั้ง 

 

IO คือยอดการสร้างอุปาทาน

_คนสู้ สุดใจธรรม  · IO จะถือว่าเป็นการสร้างอุปาทานได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... IO นี่แหละยอดสร้างอุปาทานได้เก่งที่สุด ยอดเก่ง เก่งในการสร้างอุปาทานคือกิเลสนะ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นที่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ขณะนี้ จะเรียกว่าตามผลตามเหตุมาเรื่อยๆเกิดขณะนี้ มันเป็นผลงานของ IO โดยตรงเลย แท้จริงเลยเห็นๆ เป็นการสร้างอุปาทานแท้ๆเลย IO คือ information operation 

มันเป็นสงครามหรือยุทธการของสื่อสารมวลชน เป็นผลงานของเครื่องมือนี้เด็ดขาดเลย นับไปเลยพวกโซเชียลมีเดีย กดๆๆ หาเสียงพูดไปอะไรพวกนี้ เป็นเรื่องของพวกที่สร้าง Operate สร้างขึ้นมาทำขึ้นมาให้มันเป็นอะไรขึ้นมาเพื่อที่จะ ไปใส่ในหัวมนุษย์ ให้มนุษย์ฟังเข้าใจอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น เห็นจริงอย่างนั้น กระเหี้ยนกระหือรือตามนั้น สำเร็จเลย ได้ผล มันเป็นเรื่องของกรรมกิริยาของมนุษย์ มนุษย์สร้างขึ้นมาให้เกิดผลมันเป็นจริง 

 

ปัญญาประดิษฐ์แท้จริงคือเฉโกประดิษฐ์

_พานุ วิปัสสี  · เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ เค้าอยู่กับ AI ตลอดเวลา โดยเค้าไม่รู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณ

พ่อครูว่า... คนทุกวันนี้อยู่กับ AI จริง อยู่ในกล่องพวกนี้เป็นตัว AI 100% เลย เป็น เฉโกประดิษฐ์แต่เขาไปดัดจริตเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ มันเกิดปัญญาไม่ได้ ปัญญาเป็นโลกุตระ เฉโก วัตถุจะมา สร้างโลกุตระไม่ได้ 

และที่สำคัญที่สุดต่างประเทศเทวนิยมไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความรู้โลกุตระ เพราะฉะนั้นมันจะไปสร้างสิ่งที่ไม่รู้จักเลยไม่มี ทั้งๆที่เป็นคนชาวพุทธเองเยอะเลย ยังรับโลกุตรธรรมเข้าไปรู้ในจิตวิญญาณในปัญญา เป็นความรู้ความฉลาดยังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมันเป็นอจินไตยเกิน มันเป็นเรื่องที่เกินนึกคิด หรือไกลมาก ค่อยๆฟังค่อยๆติดตามค่อยๆเข้าใจกันไปตามลำดับ ก็จะได้ขยายความไปเรื่อยๆ 

 

โลกุตระมีน้อยคือยอดปิรามิด แต่มีมากก็ยิ่งดี

_จรรยา ประเสริฐ  · อยากบอกน้องสาวของพี่ ความที่พี่สาวคนนี้ได้ปฏิบัติธรรมตามพ่อ มีผลพวงให้หลานสาวของพี่ เขาเลิกกินเนื้อสัตว์แล้ว เป็นสิ่งที่พี่ดีใจเป็นที่สุด เขาบอก ที่เลิกกิน เพราะเขาเห็นอาจารย์ใหญ่ของเขาด้วย และ เห็นว่าการฆ่า มีผลต่อเขา เขาสัญญาด้วยนะว่าจะเป็นโสด นี่คือความคิดเด็กรุ่น แบม กับตะวัน ของขวัญใด ๆ พี่ไม่เอาแล้ว ได้จิตวิญญาณ ลูกชาย กับหลานสาว นับว่าคุ้มแล้ว สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... คนที่รู้ค่า ไม่กินเนื้อสัตว์ก็รู้ค่าแล้ว และจะอยู่เป็นโสดอีก รู้ค่า ดีใจใหญ่เลยคนเป็นแม่คนเป็นญาติ ทั้งลูกทั้งหลานบอกอย่างนี้แล้วดีใจ คนที่เข้าใจในเรื่องของสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน และก็มีคนมาทำตามได้ก็ดีอกดีใจกัน มันต้องดีอกดีใจเพราะฉะนั้นอาตมาเองก็ต้องดีอกดีใจตามที่พวกเราสามารถมาปฏิบัติตามได้ประมาณขนาดนี้ 

อาตมาเคยพูดหลายทีแล้ว อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด มาทำงานเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสถาปนาลงไปในสังคมยุคนี้ แล้วก็มีคนขนาดพวกคุณ 100 คน 1,000 คน หมื่นคน แสนคน ตอนนี้เขาตีค่าว่าเป็นล้านคนด้วยนะ อาตมาก็ว่าฟังๆ กรึ่มๆเหมือนกันได้มาล้านคนโลกุตระในคนไทย 70 ล้านคน ได้ 1 ล้านคนนี้ โอ้โห! 

เพราะว่าโลกุตระเป็นยอดปิรามิด ได้นิดนึงในล้านคน ล้านคนในพ้นโลก 7 พันล้าน มันยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ เอานะก็เป็นการฟังไปจริงเท็จก็ยังไม่รู้จริง ได้จริงมันก็ดีแหละ ถ้ามันไม่ได้เราก็ไม่เป็นไร มีความหวัง ฝันๆไปบ้าง 

 

_แดง สารคาม  · กลียุคใกล้เข้ามาแล้ว ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนนค่ะ

พ่อครูว่า... เป็นสำนวนโบราณ คนที่เป็นคนดีก็เดินตามตรอกส่วนคนไม่ดีไปเดินตามถนน มันก็เป็นไปตามยุค คนดีๆก็ต้องหลบ ปล่อยให้พวกที่เขาเป็นเจ้าโลกไปสร้างอำนาจบาตรใหญ่เกเรเกตุงทำอะไรออกลวดลายทำของเขาไป ไม่ไปรบราฆ่าฟันก็ไม่สงบ ไปปะทะกันก็ไม่ดี พูดกันได้ต้องเป็นคนที่มีจิตรับได้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่อิสรเสรีภาพ แล้วแต่ตัวใครตัวมันเห็นดีเห็นตาม 

เพราะฉะนั้นรากเหง้าหรือ มูลกา ข้อ 1 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือความยินดีคือฉันทะ เป็นข้อ 1 เพราะฉะนั้นผู้ที่มี มูลกา เป็นจุดแรกของจิตที่มีน้ำหนักมีความยินดีในอะไร 

ถ้ายินดีในสัจธรรมที่ดี โดยเฉพาะเป็นโลกุตระเลยก็สุดยอด แม้ว่าเป็นโลกียะแต่เขายินดีในความดี แทนที่จะไปยินดีในความเลว ยินดีในเรื่องที่จะเสียหายมันก็ยังดีกว่าไปตามลำดับ 

จุดคำว่า “ยินดี”จึงเป็นจุดต้นทางคำใหญ่ที่สุดของพลังที่เรียกว่าอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ เป็นต้น 

 

_ไมเคิ้ล สกอฟิลด์ : แพ้ก็คือแพ้ ยอมรับแล้วอีก4ปีค่อยเลือกใหม่ เป็นพระน่าจะคิดได้ปลงได้ เป็นพระออกมาพูดแบบนี้มันเหมาะสมไหม ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ด้วย ถ้าไม่ยอมรับกฎกติกา จะลงเลือกตั้งทำ ค.... อะไร อยากให้บ้านเมืองสงบก็ควรยอมรับผลการเลือกตั้งนะ เคารพเสียงส่วนใหญ่

พ่อครูว่า... ก็เคารพ แต่คุณควรจะต้องให้เกียรติเสียงส่วนน้อยบ้าง มีคำกล่าวของสากลเขาบอกว่า Majority Rule Minority Right 

Majority คือส่วนใหญ่ เราก็เคารพ แต่ควรต้องเคารพ Right ของส่วนน้อยเขาด้วยไม่ใช่คุณจะมาเหยียบย่ำดูถูกดูแคลนมาข่ม 

ได้ยอดพีระมิดเป็นส่วนน้อยหรือส่วนใหญ่หนอ.. เป็นส่วนน้อย เราก็ขอขอบคุณ ค.ไมเคิล 

 

_@areepotisompran อารี โพธิสมภาร   • กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพค่ะ มีความเชื่อว่ามีบางพรรคมีต่างชาติหนุนหลังแน่นอนเพราะถ้าไม่มีคนไม่มีเครื่องมือที่ดีมาหนุน เขาคงทำไม่ได้ขนาดนี้ เด็กฟังเรื่องโกหกบ่อยๆจนคิดว่ากลายเป็นเรื่องจริงแล้วเกิดศรัทธากลายเป็นอุดมการณ์ นี่หละคือจุดอ่อนของเด็กยุคใหม่ แล้วก็มาโทษคนรุ่นเก่าว่าไม่ทันโลกก็โลกมันเสื่อมมากขึ้นทุกวัน

พ่อครูว่า... ก็ดูเขาไป ไม่อยากติเรือทั้งโกลนให้เขาทำไปก่อน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำงานยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังขัดข้องทางกติกาทางเทคนิคทางความเป็นจริงอีกหลายช้อยส์เลยที่จะต้องสังเคราะห์กันขึ้นไปอยู่ ก็ Wait and See พวกเราก็ดูเข้าไป เราก็ไอซียูไป Wait and See เราก็ดูไป เราไม่ใช่คนดูไบ อยู่บนภูดูเสือกัดกัน อยู่บนภูก็ดู 4 ขากัดกัน 

 

_@wommstaff วูมสตั๊ฟ •  น้อมกราบนมัสการพ่อท่านสมณะและสิกขามาตุเจ้าค่า ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองเลยขอพระพุทธเจ้าธรรมะและพระสงฆ์ปกปักษ์รักษาประเทศชาติและประชาชนด้วยเถิด

 

_@masterrobloxtv  มาสเตอร์โรบ๊อกซ์ทีวี • ปล่อยไปเถอะแผ่นดินนี้ไม่ไช่ของเราคนเดียวเขาทำดีก็แล้วไป แต่ถ้าทำไม่ดีเมื่อไหร่ละก็

พ่อครูว่า... ทิ้งท้ายไว้ทำไม่ดีเมื่อไหร่แล้วก็…พวกเราด้วยไหม พวกเราก็เอา เราก็ดูไป ถ้าเขาทำไม่ดีเราก็จะเอาด้วย 

 

เราอยู่เหนือการเมืองแต่ไม่ใช่ใจดำไม่ช่วยเลย

_@tongngo ทอง เอ็นจีโอ • อยู่ไปตามประสาอโศกเถอะ อย่าโดดเข้าไปเป็นเบี้ยให้เขาเอาไปเล่นอีกตัวเลย เพราะการเมืองมีอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่าเราจะตามทัน มันเป็นเกมส์ที่มีผู้ควบคุมกำหนดว่าจะให้ไปทางไหน?เมื่อไหร่? ซึ่งเรารับรู้แต่สิ่งที่ถูกกำหนดให้รู้เท่านั้น ซึ่งมีค่าเพียงกากข้อมูล เหมือนเราที่บอกว่าทุกสิ่งที่เห็นคือความจริง(ที่เราจะให้เห็น)เท่านั้น 

กว่าจะคิดได้ว่า เป็นเรื่องสมบัติผลัดกันชม ที่ไม่น่าเชื่อว่าทำให้เราเต้นตามคลื่น ตื่นตามลมไปได้ ซึ่งเราคุยว่าอยู่เหนือมันแล้วไม่ใช่หรือ?

พ่อครูว่า... เราไม่ได้เป็นคนซื่อบื้อ เราอยู่เหนือมันก็จริงแต่เราไม่ใช่คนใจดำ ที่จะเห็นอะไรตายต่อหน้าต่อตา คนทำร้ายทำลายกันรังแกกันไม่ถูกไม่ต้องแล้วก็เป็นคนใจดำ บอกว่าเป็นคนเป็นกลางที่ไม่รู้ไม่ชี้ใครจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เขา เราเป็นกลาง เราก็อยู่เฉยๆ เราก็ไม่ได้ไปหูหนวกตาบอด แล้วไม่ใช่เป็นคนใจดำและไม่ใช่เป็นคนที่ไร้ปัญญา เราก็มีปัญญาปฏิภาณพอ และเรามีมากกว่านั้นตรงที่ว่า 

เราไม่แคร์แม้แต่จะตาย เพราะว่าการเกิดการตายเราเข้าใจแล้ว ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เป็นกุศลเจตนา เราไม่ได้เจตนาไปทำร้าย เราก็มีธัมมวิจัย มีปัญญาวินิจฉัย ว่าเราไปทำสิ่งที่ดีงาม เสียสละด้วย แม้แต่ที่สุดเสียสละคือเสียสละชีวิตตายเลยนะ ด้วยกุศลเจตนาจะไปขาดทุนอะไร มีแต่กำไร มีแต่เรื่องเจริญ มีแต่เรื่องดี เราก็มีกุศลวิบากแก่เราเองอย่างแท้จริงด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้ด้วยปัญญาปฏิภาณเพียงพอ 

เพราะฉะนั้นต่างคนต่างเห็น เห็นอย่างคุณเห็นก็ทำอย่างที่คุณเห็น ทุกคนก็ทำตามที่ตัวเองเห็นดีเห็นงามเป็นอิสรเสรีภาพต่างคนต่างว่าไป 

ถ้าอย่างไรเสีย อาตมาว่ายังมี ที่คุณทองพูดมากับอาตมามันมีนัยยะที่ขัดแย้งกันอยู่เหมือนกัน อาตมาก็คงจะต้องเห็นอย่างที่อาตมาเห็นขออนุญาตนะ ขออนุญาตเห็นตามที่อาตมาเห็นก็แล้วกันส่วนคุณจะเห็นอย่างของคุณอาตมาไม่มีสิทธิ์จะไปละลาบละล้วงอะไรหรอก 

 

_@thanapolk ธนาโภค  • ลุงตู่เราเเพ้เพราะใช้สื่อโซเชียลไม่เก่งเหมือนฝ่ายค้านเดิมครับ

พ่อครูว่า... อาจจะมีส่วนแต่ก็เดาไปแต่ก็จริงๆก็สรุปผลอย่างที่อาตมาได้พูดไป เขาได้ใช้เครื่องมือ เฉโกประดิษฐ์

แม้แต่การใช้ IO เป็นการใช้ยุทธการ ยุทธศาสตร์เครื่องมือสื่อสารมวลชนก็ใช้หมด มันก็เลยผสมผสานมีผลพลังงานขึ้นมาสำเร็จ 

แต่เรื่องเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเรื่องประดิษฐ์มันเป็นเรื่องทำขึ้น เพราะฉะนั้นก็มีผล ให้เขาใช้ผลนั้นไป มันก็ต้องเป็นการทดลองมนุษยชาติ มันก็ต้องเป็นไป คนที่จะต้องทำอย่างนี้เขาก็ต้องทำถึงเวลากาละตามวิบากที่เขาต้องทำ เป็นวิบากเก่าหรือวิบากใหม่ก็ตามเขาก็ทำ มันก็ทำแล้วอย่างที่เขาทำไม่มีปัญหาอะไร เราก็ดูและเราไม่ได้ปล่อยปะละเลย มีอะไรที่เราพอจะไปร่วมไปช่วยก็ค่อยๆช่วยกันทำตามกันไป 

 

_จากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม • กราบนมัสการเจ้าค่ะท่าน ดิฉันได้ฟังเรื่องที่คนในวัดมาระบายให้ฟัง ก็เลยเกิดคำถามเหล่านี้ขึ้นมา เป็นไปได้ไหมเจ้าคะที่ส่งให้พ่อครูตอบ แล้วแต่ท่านพิจารณาค่ะ

     ในสาธารณะโภคีมีคนอยู่หลากหลายฐาน (รวมนักบวชด้วย) ศีลไม่เท่ากัน ฉะนั้นการที่จะเกิดการกล่าวหา การเล่นพรรคเล่นพวก การทำตัวไหลตามผู้ที่อยู่มาก่อน จะถูกหรือผิดไม่ใช่สิ่งสำคัญ ให้หันมาทำนาตัวเอง ล้างกิเลสอัตตามานะของเรา เข้าใจแบบนี้ถือว่าสัมมาทิฏฐิไหมคะ?

พ่อครูว่า... ดี สัมมาดี 

 

การเอาภาระกับการเพ่งโทษต่างกันอย่างไร

     _ในกรณีความถูกผิดหรือความเป็นธรรม ควรต้องมีการตัดสิน หรือปล่อยไป กรรมใครกรรมมัน ทำแต่นาตัวเองก็พอ?

พ่อครูว่า... คนที่ไม่มีหน้าที่ ยังไม่มีภูมิพอ ยังไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปแนะนำเขาได้ก็ดูตัวเอง หรือแม้แต่เราอยู่ในฐานะที่ไม่ถึงกับไปสอนเขาหรอก แต่ก็น่าจะแนะนำเขาบ้าง เจตนาดีอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก็บอกกันไป ถ้าเห็นดีว่าแนะนำไปแล้วมันยิ่งเพิ่มกิเลสเขาแรงขึ้นเราก็หยุด ถ้าเห็นว่าเขาฟังเราก็ดูดีก็ได้ผลก็ค่อยๆช่วยกัน ก็ไม่เสียหายอะไร ก็ดูท่าทีดูผลสะท้อนตอบที่เราทำไปบ้าง เราก็ต้องทำช่วยกัน ก็ทั้งปล่อยแล้วไม่ปล่อย 

 

_ วลีที่ว่า "การเพ่งโทษ" กับ "การเอาภาระ" วัดความแตกต่างได้จากตรงไหนเจ้าคะ? ขอให้ออกมาทางรูปธรรมนะคะ

พ่อครูว่า... การเพ่งโทษกับการเอาภาระ มันเป็นสภาพได้ทั้ง 2 แง่ เราจะไปวัดไปชี้ตัดสินว่าอะไรควร ไม่ควร อะไรถูก อะไรไม่ถูก ยาก มันเป็นความแตกต่างกัน

พ่อครูว่า... เอาภาระคือมีกุศลเจตนาเป็นแนวทางดีทางควร ก็พยายามชี้บอกเขาเช่นเราพยายามชี้บอกเรื่องมหาบัวผิด เรามีกุศลเจตนา พยายามบอกสิ่งที่ถูกแล้วสิ่งที่เขาทำมันผิดโมฆะไปเลยไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็บอกกันไป หรือแม้แต่ธัมมชโยหรือแม้แต่ท่านมหาประยุทธ์หรือสมเด็จพุทธโฆษาจาร ก็ได้พูดถึงสิ่งที่ควรที่พอจะตำหนิอะไรให้ก็เป็นกุศลเจตนา ไม่ใช่การเพ่งโทษแต่เป็นการเอาภาระในฐานะที่เป็นสังวาสเดียวกัน

ขนาดอสังวาสเลย อย่างสมี ธัมมชโยเราก็แสดงออกเหมือนตีงูให้กากิน ให้คนที่เคยหลงผิดได้ยินก็จะรู้สึกตัวได้ ว่ามีคนเห็นในแง่อย่างนี้ คนที่ฟังด้วยดีก็จะเกิดปัญญารีบถอนตัวไม่อย่างนั้นจะยิ่งจมถลำไปใหญ่ แต่พวกนี้ก็จะถูกหลอกปิดหูปิดตาไม่ให้ไปรับของที่อื่น เขาไม่กล้าพอไม่อิสระพอก็เลยถูกครอบงำทางความคิด ให้ฟังแต่เขาคนเดียวเป็นนักสะกดจิต ให้ฟังอย่างอื่นไม่ได้ เหมือนพวกชอบอำนาจบาตรใหญ่ครอบงำทางมิจฉาทิฏฐิมันจะเป็นอย่างนี้ ทางที่ไปกำหนดบังคับไม่ให้อิสระเสรีภาพแก่ความคิดก็จะตีกรอบกันไว้ไม่ให้ไปรับอย่างอื่น เป็นวิธีการสามัญที่ใครก็เข้าใจได้ มันก็มีผลเพราะเป็นสัจจะไปตามนั้น 

ซึ่งมันไม่เก่งเหมือนของพระพุทธเจ้าที่ให้อิสระเลย คุณเข้ามาจะมาทำยังไงก็ได้จะมาล้างสมองจะมาป่วนมากวนอะไร สัจจะที่มั่นคงแน่นอนทั้งเจโตและปัญญาแล้ว ไม่มีหวั่นไหวไม่มีเคลื่อนคลอนอยู่อย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง 

เพราะฉะนั้นการเพ่งโทษก็ดี ในภาษามันก็บอกแล้วว่าไม่ดี ส่วนการเอาภาระมันดี 

 

_สายพิน •   กราบเรียนถามว่า 

1. จิตกับใจ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

2. อารมณ์ ความรู้สึก เวทนา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ขอคำอธิบายด้วยเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... จิตเป็นภาษาบาลีหรือแม้แต่สันสกฤตก็ใช้ ส่วนใจนั้นเป็นภาษาไทย บาลีสันสกฤตเขาไม่รู้เรื่องหรอก ใจนี้เป็นภาษาไทยเดิมๆเลย คือเป็นธาตุรู้ เป็นพลังงานในร่างกายเราเรียกว่านามธรรม สภาวะแท้เป็นอันเดียวกัน แต่พยัญชนะคนละตัวเท่านั้น 

อารมณ์ความรู้สึกเวทนา อีกแหละ เวทนาเป็นภาษาบาลี อารมณ์ก็มาจากบาลีด้วย แต่ความรู้สึกนี้เป็นภาษาไทย อันเดียวกันหมด เป็นแต่เพียงพยัญชนะต่างกันแต่เนื้อหาอันเดียวกัน 

 

มาพูดถึงเรื่องของ AI หรือ IO ซึ่งอาตมากำหนดหมายชักจะเพี้ยนไป จะโทษตามันก็ด้วย ประสาทสมองก็คงจะด้วย มันทำงานมาจะ 90 มันจะเต็ม 89 วันที่ 5 มิถุนายน 2566 จะเต็ม 89 ขึ้น 90 สรุปแล้วคือมันไม่อ่อนแล้ว แล้วมันก็ไม่หนุ่มด้วย จะร่วมร้อยแล้ว เผลอแป๊บเดียวนะ อาตมาก็เป็นเด็กที่วาริน ยังแก้ผ้าโทงๆโดดสะพานสูงที่กุดปลาขาว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาตัดเป็นถนนไปหมดแล้ว แป๊บเดียวยังไม่นานเลย 

ขนาดรุ่นที่แก้ผ้าโดดน้ำก็ต้องเด็กโตแล้วไม่แก้ผ้าโดดน้ำ อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ โดดน้ำตูมสูงเลยนะ อวดเก่ง ทำเท่ ถ้าตกลงไปผิดท่าแบนๆ เจ้าพระคุณเอ๋ย เจ็บน่าดูเลย 

 

เฉโกประดิษฐ์ AI กับและปฏิบัติการทางการสื่อสาร IO

มาเข้าถึงเรื่องสาระที่ควรจะพูดเรื่อง AI IO กำลังมีผลงานของมันด้วยมาถึงในยุคนี้ 

เอา AI ก่อน คือ artificial intelligence แล้วก็ให้ชื่ออย่างโก้ว่า Artificial ก็คือ art คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาประกอบขึ้นมา ไม่ใช่ของสัจจะตามธรรมชาติแต่สร้างขึ้นมา แล้วจะเป็นตัวที่กำหนดความรู้ความฉลาด Intelligence มันก็ประดักประเดิดแล้ว มันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เกิดจากนามธรรม แต่มันเกิดจากเครื่องมือวัตถุ เพราะฉะนั้นมันจะไปเป็นจริงอย่างที่มันเป็นสัจจะของชีวิต แค่พืชยังไม่ได้เลยมันเป็นแค่วัตถุเป็นแค่อุตุ เพราะฉะนั้นยังไกล AI ที่เขาก็เป็นเครื่องมือที่ใช้กันตามหน้าที่ควรจะทำได้ 

ที่นี้ IO มันละเอียดลึกไปกว่า AI เพราะมันเป็นเรื่องของธาตุรู้ขึ้นไปแล้วเป็นนามธรรมขึ้นไปกว่าแล้ว Information ก็คือเป็นพวกข้อมูลข่าวสารต่างๆ การให้ความรู้ทางข้อมูลข่าวสารกัน 

Operation คือการปฏิบัติหรือการทำงาน เขาเรียกรวมกันว่ายุทธการสื่อสารมวลชน Io 

ก็มีผลงานของมันทั้งนั้นเกิดมา Io ยังมีลึกเข้าไปสู่นามธรรมมากกว่า AI 

ที่นี้ความรู้นี้เป็นนามธรรม ความรู้ตามรหัสของเครื่องประดิษฐ์ เขาเรียกกันว่า artificial intelligence มันเป็นเครื่องประดิษฐ์วัตถุ มันจะไม่มีความรู้เกินกว่าที่มันมีโปรแกรมเอาไว้หมดแล้ว ตามรหัสที่จะกำหนดออกมา มันรู้เกินนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่คิดเครื่องมือพวกนี้เป็นชาวเทวนิยม เป็นชาวโลกียะ ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมาละลาบละล้วงเกินกว่าโลกุตรธรรมเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นได้แค่ เฉโกประดิษฐ์ เฉโก คือความรู้ในโลกียะตามกรอบแต่ปัญญาคือความรู้ออกนอกกรอบเกินกว่ากำหนด เพราะฉะนั้นจึงเกินกว่ารหัสเกินกว่าโปรแกรมขอบเขตที่วัตถุเขามี 

คนที่มีนามธรรม มันเป็นไปได้ แต่ความรู้ของคนที่ยังไม่มีโลกุตระ จะมาโมเมเอาไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องจะโมเมขึ้นมาได้ เพราะมันละเอียดเกินกว่า มันเป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง โลกุตระเป็นคุณวิเศษที่เหนือเกินกว่าที่จะเอามาทำเล่นๆมันทำไม่ได้ 

ความรู้ที่เป็นโลกุตระนั้นมันไม่มีในภาษาอังกฤษ ที่บอกว่าเป็น artificial intelligence หรือ Operation information นั้นเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น แต่โลกุตระนั้นไม่มีในภาษาอังกฤษ เพราะเป็นความรู้ที่แปลกใหม่ มันวิเศษเกินกว่าสามัญธรรมดา ที่เป็นความรู้ทั้งหลายที่เคยมีมาแล้วในโลกสามัญปุถุชน มันเป็นความพิเศษเกินกว่า 

เพราะฉะนั้นอีกนาน ต้องพูดว่าอีกนานไม่เร็วเท่าไหร่หรอก ที่คนตะวันตกหรือชาวเทวนิยมชาวที่นับถือศาสนาพระเจ้าจะมาเข้าใจ แล้วเป็นคนส่วนมากด้วยในโลก 

คนที่รู้จักโลกุตรธรรมนั้นเป็นส่วนน้อย มีอยู่ในกัปหนึ่ง กัปหนึ่ง พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาแล้วก็ประกาศโลกุตรธรรมให้คนได้ใช้ เสร็จแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน รู้จักความจบเป็นอมตะบุคคล 

พอบรรลุเป็นอมตะบุคคลแล้วจะเกิดจะตายอีก เป็นพระโพธิสัตว์เพื่อที่จะสืบทอดศาสนาช่วย เพื่อที่จะช่วยรื้อขนสัตว์มนุษย์ไปต่อ หรือจะทำบารมีของตนเองเพิ่มเติมขึ้นไปก็ตาม ก็จะเกิดต่อเชื่อมไป แล้วก็จะหมดยุคกัปอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีโพธิสัตว์ก็จะมียุคกัปที่หมดเลยเรียกว่าพุทธันดร ว่าง ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีพระโพธิสัตว์ ถึงแม้มีโพธิสัตว์อุบัติมาก็สอนใครไม่ได้ สอนก็สูญเปล่า  เพราะฉะนั้นก็เกิดมาเพื่อที่จะเห็นสิ่งจริงเหล่านั้นได้ มันเป็นกลียุค โพธิสัตว์ เกิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนมันเสื่อมจนรับโลกุตระไม่ได้ ทำไปก็สูญเปล่า ก็ไม่ต้องแสดงออก ก็รู้เขารู้สิ่งที่มันเกิดเหตุการณ์อุบัติที่มันมีในโลกในสังขารโลกที่มันเกิดก็เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น 

 

luxury กับ Economy เศรษฐศาสตร์กับฟุ่มเฟือย

ผู้ศึกษาตามที่อาตมาพูด ได้ภูมิธรรมเหมือนที่อาตมามีภูมิก็จะรู้ความจริงอย่างนี้โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือหนังหาอ่านจากตำราหรือรับมาจากพระเจ้าที่ไหนไม่ต้อง มันจะเป็นจริงของมัน 

อย่างอาตมาอุบัติขึ้นมาในชาตินี้ อาตมาก็บอกว่าบรรลุเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ เอาสิ่งที่ตัวเองมีตั้งแต่ชาติก่อนมาแล้วก็เอามาสาธยาย และมันก็พอดีกับมีตำรามีพระไตรปิฎกหลักฐานต่างๆ แม้แต่มีตำนาน ที่มีอยู่ในสังคมมันก็เลยไปตรง ยืนยันอ้างอิงได้ อาตมาก็เลยอยู่รอด 

ถ้าอาตมาไม่พูดมาไม่มีหลักฐานไม่มีสิ่งยืนยันอ้างอิงไม่มีสิ่งจริงปรากฏว่ามนุษย์เป็นได้หรือเปล่า พูดแล้วเป็นเรื่องสุดโต่ง เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้หรือเปล่า มันเป็นไปได้ สิ่งนี้จึงเป็นหลักฐานเป็นสิ่งจริงที่อาตมาเคยสรุปลงไป ตามหลักฐานยืนยันถึงขั้นว่า

  อาตมาเกิดมาทำงานร่วมต้นความจริงจิตใจมันเป็นความจริงเป็นจริงตรงกันรวมกันเป็นหนึ่งหกทุกวันนี้ 50 กว่าปีพาคนมาปฏิบัติบรรลุมรรคผลได้เป็นอาริยบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนกระทั่งมีโพธิสัตว์ด้วยมาร่วมมารวมกันเป็นปึกแผ่นเดียวกัน เป็นมวลเดียวกัน เป็นชาวอโศกเป็นต้น มันไม่ขัดแย้งหรอกในเรื่องความจริง จิตใจมันเห็นจริงเป็นจริง ตรงกัน มันก็มารวมกัน จัดลำดับมากน้อยสูงต่ำกว่ากันบ้างก็เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็อยู่รวมๆกันมาเป็นหนึ่งเดียวกันจนกระทั่งเป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 

จนมีวัฒนธรรมถึงขั้นสาธารณะโภคี หรือ แม้แต่ จะอยู่ด้วย กายกรรมเมตตา พฤติกรรมทางกายวาจามโน มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างมีเมตตาไม่ได้อยู่กันอย่างแข่งดีแข่งเด่นโหดร้าย อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยอะลุ่มอล่วยกัน ขัดเกลากันบ้าง ตำหนิติเตียนกันบ้างก็เป็นไปตามจิตที่ปรารถนาดีมีกุศลเจตนา 

แล้วที่มีความยืนยันยกอ้างให้ทันสมัยกับภาษาโลก คือเรื่องเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ อาตมาก็พยายามยืนยันสัจจะความจริง เศรษฐศาสตร์หรือเรื่องการเมืองก็ได้ เศรษฐศาสตร์อธิบายได้ชัดกว่าการเมืองมันซับซ้อนมากกว่าอธิบายได้ยาก คนเข้าใจได้ยาก เศรษฐศาสตร์จะเข้าใจได้ง่ายกว่า มีหลักฐานยืนยันได้ชัดเจน 

อย่างเศรษฐศาสตร์ของพวกเราเป็นแก่นสาร เป็นเนื้อแท้พฤติกรรมที่ทำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์สำเร็จแล้วจบกิจ แต่การเมืองของพวกเรายังไม่เคยไปทำอะไรมาก มันก็เลยยังไม่มีผล ไม่มีกรรมกิริยาออกไปมาก แต่เศรษฐศาสตร์ที่เราทำ มันเป็นเนื้อหาสาระของมนุษย์ 

เสฏฐะ หรือ เศรษฐะ มันแปลว่าความเจริญ ความประเสริฐยิ่ง ภาษาอังกฤษก็คือ Economy หรือ Economic มันแปลว่าประหยัด 

เพราะฉะนั้นภาษาคำว่า Economy กับภาษาคำว่าประหยัด เขาเองก็ขัดแย้งในตัวเอง แทนที่เรื่อง Economy แต่เขากลับไปเป็นเรื่อง luxury เขาไปหลงผิด Economy คือประหยัดมีน้อยแต่ Luxury คือมีมากหรูหราฟุ้งเฟ้อใหญ่โต เห็นไหมว่าบัญญัติภาษาของเขาเองก็ถูกนะเป็น Economy คือประหยัด แต่พฤติกรรมที่เขาทำเป็นผิดเป็น Luxury เป็นพวกฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มันไม่ประหยัด 

นี่แหละคือมายามันหลอกตัวเอง คุณกำหนดพยัญชนะดูเหมือนจะถูกแต่คุณประพฤติกับการกระทำของคุณมันผิด คุณชอบประหยัดแต่คุณไปทำฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มันก็ล้มเหลวสิ แล้วคุณจะเอาอะไรกันแน่ นี่แหละคือความยากที่คนเราก็ไม่คิดจะเป็นนะคน ไม่คิดจะเป็นอย่างนี้หรอก แต่มันเป็นจริง คนเรามันเป็นอย่างนั้นได้ มันต้องให้ชัด

หยิบเอาคำใหญ่ๆคือคำว่า GDP คำสำคัญคำใหญ่ของเขาเลยมาหยิบเป็นตัวพระเอกเป็นตัวนำตัวแสดง 

คือเขากำหนดเจตนาว่าจะทำอย่างนี้เป็น GDP จริงๆคำว่า GDP ก็หมายถึงตัวชี้บ่งถึงเศรษฐกิจ แต่แท้จริง GDP มันออกนอก 

เขาบอกว่า GDP ดีจังเลย เจริญจังเลย หมายความว่าเขาจะต้องได้ตัวเลขของรายได้ ตัวเลขของเงินทองสิ่งที่เขาได้เปรียบมาก เขาจะต้องได้มากตัวเลขสูง ได้เงินทองมากๆ จึงบอกว่าเศรษฐกิจดี 

ความจริงแล้วมันไม่ใช่ มันไม่ได้ประหยัด มันไม่ได้มีน้อย มักน้อย แต่มัน luxury มันฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมากมาย แล้วคุณปฏิบัติก็ไปรีดของคนอื่นมา คุณก็ต้องไปโกยของคนอื่นมา เอาเปรียบมาให้ได้มากๆ แล้วเขาก็ทำอย่างนี้ทั้งโลก 

เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เป็นเทวนิยมยังไม่เป็นโลกุตระ มันจะยังไม่แม่น มันจะเป็นอย่างนี้พูดดูเหมือนดีๆ แต่เมื่อทำจริงๆเค้าเป๋แล้ว แปลว่าเข้าป่า ภาษาจีนเข้าแปลว่าแย่แล้ว มันก็ไปนอกความจริง ผิดจากความจริงไป 

 

“เศรษฐกิจดี” หรือ“เศรษฐกิจไม่ดี” คือ อย่างไร? 

     ในสังคมขณะนั้นหรือในกาละช่วงปัจจุบันนั้นๆ“มันคืออย่างไร?” 

 เอาอะไร? มาเป็นเครื่องวัดหรือเครื่องชี้บ่งยืนยัน ว่า “เศรษฐกิจดี” หรือ“เศรษฐกิจไม่ดี”

1)ถ้าผู้ใดจะเอา“ตัวเลขของการเงิน” ที่ได้ที่มี นับเอาจากเงินคงคลังและจากกระแสสะพัด ที่มี“จำนวนสูง-จำนวนมากแห่งตัวเลขของเงิน”เท่านั้นเป็นตัวชี้บ่งยืนยันว่า “เศรษฐกิจดี” ผู้นั้นก็จะได้“ความรู้”แค่ว่า สังคมนั้นเก่งในเรื่อง“ตัวเลขของการเงิน”ชี้บ่งว่า “เศรษฐกิจดี”แค่นั้น และเท่านั้น ที่อยู่แค่“ตัวเลขของ GDP”นี้แหละ เป็นตัวบ่งชี้“เศรษฐกิจ” ตัดสินกันว่า “เศรษฐกิจดี”หรือ“เศรษฐกิจไม่ดี” ก็คือ ยืนยันด้วยตัวเลข GDP

ซึ่งมันแสนง่ายดายกันเหลือเกิน!! มันผิวเผินตื้นเขินเกินไป!!!

สังคมใดที่เอาแค่“ตัวเลขของ GDP”มาเป็นเครื่องชี้บ่งตัดสิน
เด็ดขาดว่า “เศรษฐกิจ” ดีหรือไม่ดี มันก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกันแค่“ตัวเลข”

แล้วก็เอาแค่“ตัวเลขของ GDP”เท่านี้ มายืนยัน“เศรษฐกิจ”ว่า ดีหรือไม่ดี นี้คือ ความรู้-ความฉลาดของชาว“เทฺวนิยม” ก็เป็นแค่รสนิยม“โลกียะ” ที่ขึ้นอยู่กับ“ค่านิยม”ของอำนาจ“ลาภยศสรรเสริญสุข” ที่“ทุนนิยม”ใช้เป็นเครื่องชี้บ่งว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี”กันอยู่เท่านั้น แน่นอน

ในโลกสามัญปุถุชนคนโลกียะทั่วไป เขาก็ถือกันว่า“จริง”อยู่

แต่ชาว“บุญนิยม”หรือคนผู้มี“ความรู้-ความฉลาด”เป็น“โลกุตระ”จะมีเครื่องชี้บ่งตัดสิน“เศรษฐกิจดี”ที่“จริง”แตกต่างไปกว่าชาว“เทฺวนิยม”โลกียะหรือ“ทุนนิยม”ทั้งหลาย อย่างมีนัยสำคัญลึกซึ้งซับซ้อนอีกมาก

2)ยังมีอะไรอื่นที่เป็น“องค์ประกอบ”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ด้วย ที่จะเป็นเครื่องชี้บ่งว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เช่น มันต้องมี“คน” มี“การกระทำ” มี“ความรู้สึก” มี“กาละ” มี“เทศะ” มี“ฐานะ”เป็นต้น ที่แต่ละอย่างก็เปลี่ยนแปรไปเสมอ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ทั้ง“กาละ”ทั้ง“เทศะ”ทั้ง“ฐานะ” โดยเฉพาะมี“ความรู้สึก” หากไม่เอามาคิดมาร่วมคำนวณด้วย มันก็ไม่ครบ“ความจริง”แน่ มันผิวเผินตื้นเขินเกินไป มันบ่งชี้ยืนยันตัดสิน“ความจริง”ที่เรียกว่า “เศรษฐกิจดี”กันยังไม่ได้หรอก

“กาละ”คือ เวลา ซึ่งเคลื่อนที่เสมอ, กำหนดเอาวาระเป็นครั้งเป็นรอบ และ“ไม่คงที่” มีอยู่นิรันดร ตราบที่มีอวกาศมีเอกภพมีมหาจักรวาล

“เทศะ”คือ องค์ประกอบสิ่งต่างๆ,แต่ละอย่างต่างกัน ย่อมแย้งกัน หรือขัดกัน ไม่ใช่ความเป็นหนึ่งเดียว ต้องกระทบกันทำให้ไม่หยุดอยู่ 

“ฐานะ”คือ ที่ตั้งของรูปกับนาม, ตำแหน่งของขั้นชั้นที่เป็นอยู่ ซึ่งล้วน“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ดับไป”ในสรรพสิ่งอยู่ตลอดกาล 

ดังนั้น จึงไม่มีอะไร“เที่ยงแท้-คงที่-เป็นหนึ่ง”อยู่เป็นอันขาด 

เพราะแค่“กาละ”คือ เวลา มันก็ไม่เคย“คงที่” ไม่มีใครจะบังอาจให้“กาล” หรือให้“เวลา”มันนิ่ง เที่ยงแท้ แม้แต่“พระเจ้า”

มันจึงต้องขึ้นกับ“กาละ”ด้วยแน่นอน แม้“เทศะ” และ“ฐานะ” โดยเฉพาะ“คน” แม้“การกระทำ” และ“ความรู้สึก”นั่นแหละยิ่งสำคัญกับความเป็น“เศรษฐกิจ” ที่จะมี“ความรู้สึก”เป็นเครื่องชี้บ่งว่า “เศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดี” ซึ่งจะมี“ความรู้-ความฉลาด”ระดับ“ปัญญา”ตัดสินได้

“เศรษฐกิจดี”ในความหมายของชาวเทฺวนิยมโลกียะนั้นจึงยังไม่ “จบกิจ”เด็ดขาดได้แน่นอน เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“จิต เจตสิก รูป นิพพาน”  ดังนั้น“เศรษฐกิจดี”ของเทฺวนิยม ก็ยังขึ้นอยู่กับ“สุข”อยู่ดี 

3) เฉพาะอย่างยิ่ง“ฐานะ”ของ“คน”ที่ประกอบไปด้วย“กาย”กับ“จิต” และต่างก็เป็น“ภาวะของตนเองทั้งสิ้น” ต่างก็อิสระของแต่ละคน ไม่มีใครบังอาจ จะมาเป็น“เจ้า”เป็น“นาย”ใครเลยในความเป็น“อัตตภาพ” อันเป็นตนของตน

แต่คนหรือลัทธิศาสนาที่ยังไม่สามารถมี“ธาตุรู้”ที่เจริญกว่านั้น มันก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงของ“เศรษฐกิจ”หรือของ“ตัวของตน”แน่ๆ

เพราะมันยังมี“เฉโก”กับ“ปัญญา” หรือ“อวิชชา”กับ“วิชชา” หรือยังมี“กิเลส”กับ“ไม่มีกิเลส”เป็นต้น ที่เป็นภาวะ 2” อันเป็นเรื่องของ“เทฺว”ใน“จิตนิยาม” ซึ่งมันย่อม“แตกต่าง”กันอยู่นั้น “ความจริง”มันก็ไม่ลงรอยกันอยู่แท้ มันต่างกันไปมี“เทฺว” มี“ภาวะ 2” ตราบที่มี“นามกับรูป”ในความเป็น“จิตวิญญาณ”หรือมี“จิตนิยาม”กันแล้วในโลก  

ผู้ไม่มี“ปัญญา” ย่อมตัดสินให้“ยุติธรรม”ไม่ได้อยู่ดี

ผู้มี“ปัญญา”เท่านั้นที่จะตัดสินให้“ยุติ”หรือ“จบกิจ”สำเร็จ

4) “เศรษฐกิจ”มันอยู่เหนือ“กาละ”ไม่ได้หรอก หรืออยู่เหนือ“เทศะ”ก็ไม่ได้แน่ หรืออยู่เหนือ“ฐานะ”ของคนที่มีไม่เท่ากันยิ่งไม่ได้เด็ดขาด

มันย่อม“ไม่เที่ยงแท้-ไม่คงที่”อยู่ตลอดกาลแน่นอน

ดังนั้น จะ“ยุติ”กันได้ถึงขั้น“จบกิจ”แท้จริง จึงไม่ใช่ไปทำ“เศรษฐกิจ”ที่เป็นองค์ประกอบของ“ภายนอกกาย-ภายนอกจิต”ของตนๆ

มันต้องหันมาทำ“ยุติธรรม”กันในจิตใจของคนแต่ละคนจึงจะ“จบ” 

และก็สามารถทำความ“จบกิจ”ได้เฉพาะตนแต่ละคนผู้มี“ปัญญา”

เมื่อมี“ปัญญา”แล้ว จึงจะได้ช่วยกันจัดการ“องค์ประกอบ”ต่างๆอื่นๆให้สังคมเกิด“เศรษฐกิจ”ที่จะเรียกว่า “เศรษฐกิจดี”ได้จริง

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ  

สมณะเดินดิน... 

พ่อครูว่า... พุทธทำความเที่ยงและทำความไม่เที่ยงได้ จบสุดที่ 0 ทำตัวเองให้ 0 ได้ เทวนิยมีแต่ความมีนิรันดร ไม่มีความไม่มี พวกนี้โง่ยิ่งกว่าเจ้าชายอนุรุทธ เพราะเจ้าชายอนุรุทธไม่รู้จักคำว่า “ไม่มี” ชีวิตเจอแต่ความมี อันนี้เป็น อจินไตย สำคัญมาก 

ของเขาจะไม่รู้จักเลยคำว่า ไม่มี หรือคำว่า ศูนย์ ของเขาจะมีนิรันดร เจ้าชายอนุรุทธให้เอาขนมมาแต่วันนั้นขนมหมด ข้ารับใช้เลยบอกว่า ขนมไม่มี เจ้าชายอนุรุทธก็เลยบอกว่าเอาขนมไม่มีนั่นแหละมาให้ 

 

5) ซึ่ง“ฐานะ”ของ“จิต”คนผู้ยังเป็น“ปุถุชน”อยู่นั้น จิตย่อมเป็น“เฉโกโลกียะ”อยู่ ก็เป็นธรรมดาที่จะยัง“ตกต่ำเป็นธรรมดา(วินิปาตธรรม)” เพราะ“ปุถุชน”  นั้นยังไม่“นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง”แน่นอน

ดังนั้น คนที่มี“จิต”แตกต่างกันอยู่แท้จริง คือ ฝ่ายหนึ่ง “ยังมั่นคงยั่งยืนไม่ได้” แต่อีกฝ่ายนั้น“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” มันก็ย่อมมี“เศรษฐกิจ”ที่แตกต่างกันคนละขั้ว คนละดีแน่ๆ

“เศรษฐกิจดี”ก็ต้องมี“ฐานะ”เข้าขั้น“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” จึงจะนับว่า เป็น“เศรษฐกิจดี”ได้แท้

ซึ่งภาวะที่จะ“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” ก็มีแต่“จิตวิญญาณ”ของคนผู้มี“ปัญญา” และทำ“จิต เจตสิก รูป นิพพาน”สำเร็จ จึงจะเป็นผู้“จบกิจ”อย่างยั่งยืนตลอดกาลนิรันดร

 

6)แต่“ความแตกต่าง”ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มีใครหรือพระเจ้าใดจะมาทำให้ “ความแตกต่าง”ที่เป็น“ภาวะ 2”ยิ่งใหญ่ในเอกภพมหาจักรวาล “ยุติ”ได้

นอกจาก“ตนเอง”เท่านั้นที่จะจัดการกับ“จิตวิญญาณ”ของตนเองให้เป็น“ปัญญา”ได้จริง จึงจะสามารถจัดการ“กับ“ตนเอง”และ“ความไม่เที่ยง-ไม่คงที่”ของ“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ได้ถึงขั้น“จบกิจ”เฉพาะตนเป็น“ยุติ”

จึงจะมีความ“จบกิจ”เฉพาะคนที่มี“จิต”เข้าขั้นคุณวิเศษถึงขั้นเป็น“อาริยบุคคล”ที่เป็น“ความรู้-ความฉลาด“ขั้น“ปัญญา”สามารถรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง“เศรษฐกิจ”ของโลกของสังคม และ“การกระทำจิตในจิต(มนสิการ)ของตน”ให้อยู่กับ“ความไม่เที่ยง-ไม่คงที่”ของ“กาละ-เทศะ-ฐานะ”อันเป็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันให่้เกิด“เศรษฐกิจ” และ“ปัญญา”ที่“ฉลาดเพียงพอของแต่ละคน อยู่ในสังคมมนุษยชาติ

 

7) ซึ่งไม่มีอำนาจใดแม้แต่ของ“พระเจ้า”จะมาจัดการกับ “เศรษฐกิจ” โดยเฉพาะจัดการกับ“จิตวิญญาณ”ของใครแต่ละคนได้ นอกจาก“ตัวเราเอง” ถ้า“พระเจ้า”บัญชาทุกสรรพสิ่งได้หมด สังคมมนุษย์ก็ไม่ต้องมีโรงเรียน หรือไม่ต้องมีมหาวิทยาลัยกันหรอก หรือมนุษย์ก็ไม่ต้องมีสมอง ไม่ต้องมีจิตวิญญาณ พระเจ้าก็สั่งคนนั้นคนนี้ให้จัดการตามพระประสงค์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียทุนรอน ไม่ต้องเสียแรงงานใดๆเลย มนุษย์ ทุกคนและสังคมที่อยู่ในบัญชาของพระองค์ก็เป็นอยู่อย่าง“สงบสุข”ได้ตามพระประสงค์กันแล้ว ไม่ต้องมากังวลกับ“ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก

แต่ตามจริงของ“สังคมมนุษย์”ที่เกิดที่เป็นกันได้จริงนั้น คนที่ยังมีแต่“เฉโก” ไม่มี“ปัญญา”ที่เป็น“โลกุตระ” ก็จะยัง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” ให้“ดี”พอที่จะเรียกว่า “จบกิจ“เป็นที่“ยุติ”ไม่ได้

แม้แต่“พระเจ้า”ก็บังคับหรือบัญชาให้เศรษฐกิจเป็นเข่นนั้นเป็นเข่นนี้ไม่ได้ พระเจ้าบังคับให้“เศรษฐกิจไม่ดี”ตลอดกาลก็ไม่ได้ หรือบังคับให้“เศรษฐกิจดี”ขั้น“จบกิจ” เป็นที่“ยุติ”ให้แก่คนแก่สังคมก็ไม่ได้

คนแต่ละคนต่างหากที่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิตวิญญาณของตนเอง”และสามารถอยู่กับ“เศรษฐกิจที่แม้จะแปรปรวนวิปริตวุ่นวายปานใด ก็จะอยู่ด้วยจิตใจมี“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”อย่าง“ยุติธรรม” เพราะ“จบกิจ”ได้เฉพาะตน 

 

8) นอกจาก“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์และสังคมไม่“สงบสุข”กันเท่านั้น ถ้า“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์ก็ดี สังคมก็ดี “สงบอบอุ่น”กันจริงละก็ ท่านก็จัดการกับเรื่องขี้ปะติ๋วแค่“เศรษฐกิจ”นี้ ไม่ให้มันต้องเป็นภาระหนักยุ่งยากให้แก่มนุษย์ที่ต้องสรรหา“วิธี” ตาม“เจตนา” ตามที่มี“อุดมคติ” ตามที่มี“เชิงคิด”ของมนุษย์นำมาใช้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอย่างไม่เคย “จบกิจ”กันลงได้นี้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกันแล้วๆเล่าๆให้แก่คนในโลก “เศรษฐกิจ”ไม่“จบกิจ”เป็นที่“ยุติ”ในมนุษย์ในสังคมในประเทศกันดอก

 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566  แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2566 ( 10:21:15 )

660519

รายละเอียด

660519 เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53259.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1AVCxkERmC_YKtGnlgW-benYBw1R-GGNY/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1xg5Eej7p-6_nUZQ85qPv4QcfgwMVHH3C/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/azEhQldtmZQ 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1016111512888017 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

พูดถึงความไม่เที่ยงตอนนี้ พรรคที่มีเสียงข้างมากตอนนี้ก็กำลังฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพวกไปชนที่รักชาติก็เตรียมรองเท้า หากว่ามีการแตะ ม.112 เมื่อไหร่ ก็พร้อมออกๆ คึกคักน่าดู 

อ.ปานเทพ ดูว่า รัฐบาลนี้น่าจะพ่ายแพ้คุณธรรม เพราะประเทศไทยมีประชาชนไทยที่มีคุณธรรม คนชั่วไม่สามารถทำอะไรได้ เขาว่าอย่างนั้นนะ ศาลสถิตยุติธรรมก็จะช่วยด้วย 

พ่อครูว่า... ถ้าคุณพิธามีคุณธรรมจะอยู่รอดตามคำทำนายนี้ แต่ถ้าเขาไม่มีคุณธรรมเขาก็จะอยู่ไม่รอด 

สมณะฟ้าไท... เขาบอกว่าดวงเมืองตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นครับ 

พ่อครูว่า... เป็นสัจจะด้วยไม่ต้องเอาหมอมอมาพูด 

สมณะฟ้าไท... มันก็สอดคล้องกัน แล้วสหรัฐอเมริกาก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ประเทศอเมริกาก็ยังเป็นหนี้ประเทศไทย 

พ่อครูว่า... ตามความรู้สึกอาตมา มองตามแง่ลีลาของสัจธรรมว่า ระบอบของสหรัฐอเมริกาที่ใช้ปกครองประเทศ มันเป็นในระบบบริหารปกครอง ชนิดที่เป็น เฉโกประดิษฐ์ มันคิดขึ้นมาใหม่จะของอังกฤษ เหมือนกับคนที่คิดอยู่ในปัจจุบันนี่แหละคือคน พิโถ พิโธ่ จะเกิด พิโธมิกส์ ดูซิจะแข่งกับทักษิโนมิกได้ไหม คำว่าพิโธก็ใกล้กับพิโถนะ ก็ดูถูกดูแคลนกันไม่ได้ ให้เขาทำไปก่อน ก็เป็นตระกูลแซ่ลิ้มกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน แซ่ลิ้มเป็นกลุ่มใหญ่ของจีนเลย 

สมณะฟ้าไท... วันนี้มาฟังเพลงบูรณภาพก่อน

 

บุพเพสันนิวาสของประเทศไทยในยุค เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ 

เพลง บูรณภาพ

คำร้อง-ทำนอง : ครูรัก รักพงษ์

 

แม้ภัยพิฆาต ชาตินี้มีวิบาก

สุดยาก ตรากตรำ ซ้ำเติม ย้ำตาม

ก็พยายาม สุดความ อุตสาหะเสริม

ภัยร้ายปานใด ไม่ท้อ คงเดิม

ยิ่งเติม เพิ่มแรง แห่งเพียร

สุดลึกพระคุณ สุดเกล้าสุดเศียร

แม้เจียนใจขาด ชาตินี้มิอาจ ขยาดใด

เพื่อฟ้า เพื่อดิน ถิ่นรักชาติไทย

เชิดชูบูรณภาพ จนตราบ อสงไขย

ไทยคือไท เทิดไท้สุดใจ

สิ้นใจเพื่อไท นิรันดร์กาล

 

แต่งคำร้อง ทำนอง ในคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บ้านราชเมืองเรือ

พ่อครูว่า... ตอนนี้วันนี้มันวันที่ 19 วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำพอดี กำลังมืดมิดพอดี เดือน 6 ปีเถาะกระต่าย 

วันที่ 3 มิถุนายนนี้ ยังอีก 10 กว่าวัน ตรงกับวันวิสาขบูชา มันใกล้ๆกันกับวันที่ 5 มิถุนายน และก็ใกล้กันกับวันที่ 9 มิถุนายน วันสำคัญๆของเราอยู่นะ ก็มีคนติงมาว่า 

จะจัดงานยังไงผนวกกันไหม 3-10 ทั้งหมด 8 วัน เราก้าวหน้าอยู่ไม่ถึงกับก้าวไกลนะ ก็คิดๆกันดูยังอีกหลายวันพวกเราจัดงานเร็วเนรมิตได้ พวกเราไม่ยากหรอก ทำตามประสากระยาจก ทำง่ายไม่ยากเย็น 

เมื่อกี้ได้ยินได้ฟังเพลงบูรณภาพ ซึ่งเป็นเพลงสุดท้าย ที่จริงอาตมาแต่งไว้จมหายไปเขาไปควักขึ้นมา อาตมาก็จำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ความจำแย่มาก ของเก่าๆมีอยู่ ของใหม่ใส่เข้าไปมันไม่ค่อยจะรับแล้ว เพราะฉะนั้นการศึกษาใหม่ของอาตมาจะไม่มีไม่เกิดเลยในชีวิต ระดับนี้ต่อไป ไม่มีอะไรใหม่เกิดเลย มันก็มีแต่ของเก่า อันนี้ก็ดี 

ของเขาก้าวไกลเกินไปเพราะฉะนั้นเอาของเก่ามาถ่วงไว้หน่อย ก็คงจะได้ผล 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเกิดอยู่นี่มันเป็นนิยาย เหตุ นิทาน สมุทัย มันเป็นตอนหนึ่งของบุพเพสันนิวาสของประเทศไทย เป็นเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย มีเรื่องราว เป็นเรื่องราวจริงของประวัติศาสตร์หรือของตำนานในเรื่องเกี่ยวกับสังคมประเทศไทยที่มันดำเนินไป มามองกันในแง่ของรัฐศาสตร์หรือมองในแง่การบริหารปกครองดูแลกัน มีผู้ขึ้นมาเป็นหัวหน้านำ เป็นท่านขุนของเผ่า แล้วก็นำหมู่กลุ่มเผ่าพันธุ์ดำเนินไป มีมาแต่เดิมแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งมาตั้งชื่อหัวหน้าเผ่าเป็นอะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้มีภาษาอีกเยอะ เรียกพระเจ้าแผ่นดินแล้วเรียกพระมหากษัตริย์ เรียกว่าราชาธิบดีก็ได้ เป็นภาษาที่ใช้แทนกัน จนกระทั่งเป็นหัวหน้า เรียก ประธานาธิบดี หรือภาษาอะไรอื่นก็แล้วแต่ 

มันก็เป็นธรรมชาติ ถ้าเผื่อว่าฟังเนื้อหาเนื้อความของเพลงบูรณภาพ ครบ ดูแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรคือจิตวิญญาณของเราอย่างเต็ม บูรณะแปลว่าเต็ม ยังมีสภาพเต็มที่จะมีบทบาท มีการกระทำ จากจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งที่เราเทิดทูนสุดเกล้าสุดเศียรต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ 

ตั้งแต่ประเทศไทยเกิดมาจนถึงปัจจุบันเป็นประเทศที่มีชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เป็นประเทศที่เกิดมาไม่มีพระมหากษัตริย์เหมือนสหรัฐอเมริกา ก็ดำเนินไปแบบของเรา 

ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์จะต้องมีธรรมชาติพวกนี้มันเป็นสัจจะที่ใช้อาศัยอยู่ในสังคมโลก สังคมมนุษยชาติก็ต้องเป็นไป

เราก็ต้องมาขยายความเอาพฤติกรรมจริง เอาหลักการทฤษฎีความจริงมาวิเคราะห์วิจัย ลองดูว่ามันพอจะเข้ากับหลักไหน แล้วเราก็ศึกษาเกิดความรู้ไปในแต่ละชาติๆ ก็ได้เกิดความรู้ผ่านชาติไป 

แต่ละคนที่เกิดมามีชีวิตผ่านปัจจุบันไป มันก็จะบันทึกสิ่งที่เราผ่าน สิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เราได้เกี่ยวข้องมา เกี่ยวข้องอย่างมีเหตุปัจจัยที่เราไปเกี่ยวข้องอย่างสำคัญมากสำคัญน้อยอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นธรรมชาติของแต่ละคน เป็นประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวของแต่ละคน 

อาตมาเคยพูดไว้ว่า 

“เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่าช่วยเขา” 

อาตมาก็มาได้คิดต่ออีกนิดหน่อย ว่า 

“เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ 

แพร่กระจาย สยายข้อมูลข่าวสาร

ประหารศัตรูคู่แข่ง แอ้งแม้งได้ยอดสุด”

พ่อครูว่า...  ตอนนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า กำลังเริ่มต้นกันด้วย ระบบเลือกตั้ง ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนะ แต่เริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นมีสมมุติบัญญัติ จะเรียกว่าสมมุติสัจจะก็เอา กำลังเกิดสมมุติกันในกรอบของกรรมกิริยาของระบบเลือกตั้ง แล้วเขาก็พยายามที่จะเก่ง 

เก่งที่สุดในแผ่นดิน เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือสยายข้อมูลข่าวสารประหารศัตรูคู่แข่งแอ้งแม้งไปได้ยอดสุด เขาชนะแล้ว เขาใช้แล้ว ใช้ข้อมูลข่าวสารใช้ io แถมด้วย AI อาตมาแปล AI ว่า เฉโก ประดิษฐ์ ไม่ได้แปลว่าปัญญาประดิษฐ์หรอกเพราะว่าคนคิดเครื่องกลมันคิดขึ้นมา คิดเครื่องมืออันนี้ขึ้นมา มันเป็นความคิดของชาว เฉโก หรือชาวเทวนิยม ไม่ใช่ความคิดของชาวบุญนิยมหรือชาวพุทธชาวโลกุตระ มันไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่รูปแบบวิธีการของชาวโลกุตระ ไม่ใช่วิธีการของชาวพุทธแท้ๆเขาก็เป็นชาวพุทธนะ แต่เป็นชาวพุทธแบบ เฉโก เป็นชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิ 

ก็ดูไป วิธีการที่เขาใช้ทั้ง io และ AI แต่ว่ามันเป็นการกระทำที่มีผลงาน แล้วผลงานที่ออกมามันก็จะ..ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าเหตุของเขาเป็นเหตุที่ถูกต้อง เป็นเหตุที่จริงทั้งจิตใจทั้งกรรมกิริยาทั้งความสามารถของเขา ถ้าของเขาสมบูรณ์แบบออกมาครบ โอ้โห.. เราจะดีใจมากเพราะอายุเขายังหนุ่มเลยยังไม่ถึง 60 เขาจะทำงานให้แก่ประเทศชาติได้ดีมาก ก็ต้องดูความจริงไป 

เราก็ดูแล้วตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปประมาททีเดียว หรืออย่าเพิ่งไปเผลอใจหรือดีใจมากเกินไป เหมือนเราเคยทุ่มใจให้แก่ทักษิณ ตกกระไดขาเป๋เลย ทุ่มใจให้ทักษิณตกกระไดขาเป๋เลย อกหักๆ ยังไม่หมดเยื่อใยนะทักษิณ เขายังมีเยื่อใยอยู่ ยังมีเหตุปัจจัยเข้ามา เป็นน้ำยาผสมสัดส่วนอยู่ในระบบวิธีการเมืองของไทย ยังไม่สิ้นเชื้อ 

เพราะฉะนั้นก็เลยยังประมาทอะไรไม่ได้ มันยังไม่สิ้นเชื้อ ก็เห็นอยู่ว่า  เป็นส่วนผสมของพิษ มันยังมีพิษเป็นส่วนผสมอยู่ในระบบการเมืองของเราอยู่ เพราะฉะนั้น เราก็ระมัดระวังค่อยๆดูกันไป 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองมันก็เป็นนิยายที่จะว่าไปแล้วตอนนี้กำลังขึ้นบทใหม่ ผ่านระบบวิธีที่โลกนิยมกันคือระบบการเลือกตั้ง อาตมาว่ามันไม่ใช่ระบบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ เลือกตั้งเป็นเพียงแต่วิธีการส่วนย่อย 

ประชาธิปไตยเนื้อแท้นั้นคือความจริงของบุคคล ที่ได้มีทั้งอดีตปัจจุบัน ที่มีน้ำหนักของอดีตกับปัจจุบัน มี background หรือมีภูมิหลังมีบทบาทมี ไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวพรวดออกมาปั๊บ กอบกู้ประเทศขึ้นมาเป็นม้าขาวเลย อย่างนั้นมันอาจจะมีนานๆฟลุ๊คสักที แปลกจริงๆนะขี่ม้าขาวมา เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ค่อยไว้ใจ 

แต่พระเอกที่มีประวัติมี background มีเรื่องราวมีเหตุปัจจัยของอดีตปัจจุบันที่เอามารวมกันแล้ว เราก็รู้ว่ามันมีเหตุมีผลอะไรต่างๆนานา ที่เป็นสิ่งที่เรายอมรับว่าอย่างนี้มันไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วมาเก่ง อาจจะพระเอกจริง มันก็เลยยังไม่รู้ว่าพิธาจะเป็นพระเอกม้าขาวหรือเปล่า 

ยิ่งเอาเบื้องหลังที่เขาขุดกันมาอยู่บ้าง เบื้องหลังก็ดูไม่เละเทะจนเกินไปนะ ก็มีข้อบกพร่อง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติชีวิต คนต้องมี Error มีผิดพลาดบกพร่องบ้างนิดๆหน่อยๆ  ซึ่งอาตมาว่าจะเอาอันนั้นมาเป็นเหตุปัจจัยตีทิ้งพิธาเขายังไม่ได้หรอก 

เพราะฉะนั้นเอาเถอะชีวิตของมนุษยชาติ ไม่ต้องห่วงหรอก อย่าเพิ่งรีบปรินิพพานเป็นปริโยสาน แม้คุณจะเป็นอรหันต์แล้วก็ดูนิยายเรื่องนี้ต่อไปก็แล้วกัน ดูไป พวกเราพวกชาวดูไป พวกเราไม่ใช่ชาวดูไบ ซึ่งไม่สามารถเก่งร่ำรวยจนกระทั่งสร้างแผ่นดินจากทะเล ทำได้ตามแปลนเลยนะ มีกิ่งก้านสาขาเป็นต้นไม้เลยนะ สร้างเองเลยยิ่งกว่าพระเจ้า ความสามารถอย่างนั้นคนจึงได้ทึ่ง 

อย่างทักษิณนี้คนทึ่งเลย ไปเป็นสมาชิกชาวดูไบ แต่ดูเหมือนไม่ได้เป็นสัญชาติดูไบนะ มีสัญชาติมอนเตรเนโกร ก็เป็นคนอาศัยต้องต่อวีซ่าต่อพาสปอร์ตต่อบัตรประชาชนอยู่ อะไรอย่างนี้ ก็เป็นไป 

ทุกอย่างเป็นตัวละครของบุพเพสันนิวาส เป็นตัวละครของเรื่องราวนิทานหรือนิยายของโลก โดยเฉพาะเป็นตัวสำคัญๆ อย่างทักษิณเขาก็ทำไปแล้ว ตอนนี้ก็ของ พิธามารับบทแสดงก็ดูกันไป 

 

มาเข้าถึงความรู้ที่เราควรได้ศึกษาได้คิด 

SMS วันที่ 17-18 พ.ค. 2566

_จรรยา ประเสริฐ  · ดีแล้ว นักบวชพูดเรื่องการเมือง เราจะได้ตาสว่าง

พ่อครูว่า... ถ้าให้แบบไม่ใช่นักธรรมะมามันจะมีธรรมะในเรื่องการเมืองได้อย่างไร​ อย่างน้อยเป็นนักบวชก็ต้องมีธรรมะ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่นักธรรมะนักบวชจริงก็พาเข้าป่า แต่ถ้าเป็นนักธรรมะนักบวชที่มีทฤษฎีที่สัมมาทิฏฐิที่จริงมันก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ดูไป นี่เป็นละครของชีวิตละครของโลกทั้งนั้น

 

Do it Best, Let it Be. อะไรที่ดีก็ควรสนับสนุน อะไรที่ไม่ดีก็ควรต่อต้าน 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ..

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตั้งความหวังไว้เล็กน้อย (ถามพวกเรา ใครตั้งความหวังไว้มาก หรือเล็กน้อย ) เพราะเห็นการตอบรับลุงตู่จากประชาชนดีมาก แต่พอก้าวไกลคะแนนมาสูงได้ ส.ส.มากกว่าทุกพรรคก็เลยผิดคาดไป ความเชื่อที่ว่าพระสยามเทวาธิราชจะช่วยเมืองไทย แต่ตอนนี้ลูกสงสัยว่าพระสยามเทวาธิราชนั้นยังอยู่ในเมืองไทยหรือไม่(ลูกเข้าใจว่าพระสยามเทวาธิราชก็คือสำนึกดี คุณธรรมความดีของคนไทย)

...พระสยามเทวาฯพาสงสัย 

สถิตใน ไทยนั่น นั้นจริงหรือ 

ไยหมางเมินทำมืดมนให้คนลือ 

คนสัตย์ซื่อผลักไสไม่นิยม

ต่อจากนี้ต้องกลมเกลียวอย่างเหนียวแน่น

อยู่ในแดนคนดีที่งามสม 

มีพ่อครูเปี่ยมปัญญาน่าชื่นชม 

แดนอุดมโลกุตระธรรมชื่นฉ่ำเย็น

พ่อครูว่า... คำว่าโลกุตรธรรมก็หมายความว่า เป็นน้ำหนักของความปล่อยวาง ของความเห็นตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างไม่เที่ยงมันมีความเป็นไป มันมีอย่างนี้ก็ได้อย่างนั้นก็ได้ เราก็ดูไป เข้าสู่โหมดดูไป ไม่น้ำขึ้นน้ำลง ไม่หวือหวาวูบวาบ ดีใจเสียใจเกินไป เราก็ดูละครของโลกมันก็เป็นไปตามธรรม ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก 

เพราะเราก็ยังเป็นผู้มีสำนึกยังเป็นผู้มีกรรมกิริยา ยังพอตัดสิน ยังพอทำงานอยู่กับสังคมโลกมนุษย์อยู่ ถ้าเห็นสมควรอย่างไรเราก็ทำตามสมควรตามเหมาะสมนั้นๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาเราก็ไม่ต้องตีตนไปก่อนไข้ ยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดเหตุร้ายแรงอะไร เขาอาจจะมีอะไรใหม่ๆที่เรายังนึกไม่ถึง เขาก็พยายามจะนำเสนอ 

แต่ข้อเสนอของเขาอาตมาเห็นแล้วก็ โอ้โห.. ฟังนโยบายต่างๆที่เขาว่า..อาตมาดูแล้ว มันล้ำหน้าไปไกลตามชื่อพรรคของเขา ก้าวไกล อาตมาก็ได้วิจารณ์ไปบ้างว่า มันจะเป็นก้าวไถล ก้าวเกินนะ ขาฉีกขาฉิ่งขาหักขาเป๋ไป มันไม่ก้าวไปตามลำดับให้พอเหมาะพอควร  มันถึงแล้วเหรอเหตุการณ์ควรจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะเราดูแล้วมันไม่อยู่ในกรอบของ cyclic order ออกนอกกรอบไปหวือหวายิ่งกว่าสตาร์วอร์ จะบอกว่าถอยหลังไปหา Harry Potter ของ JK rowling ถอยหลังเข้าเป็นนิยายดึกดำบรรพ์ก็ไม่ใช่ มันไปเป็นนิยายสตาร์วอร์หรือ the ring ออกไปนอกโลก มันจะมีอย่างนั้นหรือ ถอยหลังไปอย่าง Harry Potter ก็คงไม่ จะหวือหวาไปเหมือน Star Wars เลย อาตมาว่ามันก็โอเวอร์ไปนะ คงไม่เป็นไปถึงขนาดนั้น 

เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปตกอกตกใจอะไรมาก เพราะข้อเสนอคนนำเสนออะไรก็ได้ก็ดูเขาไปเขาจะทำอะไรได้แค่ไหน อะไรที่เหมาะควรรับได้ตามเหตุปัจจัย กาละ เทศะ ฐานะ ที่เหมาะสมของมัน เราก็ไปด้วย 

อะไรที่รู้สึกว่ามันไม่ไหวนะ มันควรต่อต้านมันอย่างที่เคยทำมาก็ต้องออกไปต่อต้าน เดี๋ยวนี้มีคนคิดนำหน้าอาตมาแล้วที่เตรียมตัวไปต่อต้าน มีแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาไม่จำเป็นต้องเป็นตัวนำตัวคิดตัวตนออกไปเป็นตัวตามได้ ถ้าถึงเวลาวาระจะมาควรใครจะไปบ้าง ยกมือกันเพียบ บางคนไม่ยกมือกลัวหรือ 

_ตุ๊ก อัศวิน :  การได้รับ..'สัมมาทิฎฐิ'..จากพ่อครู จากรายการ 'ปรับทุกข์-ปลุกธรรม' (วันจันทร์ที่15/5/2566) ในเรื่องทำใจในใจ..หลังรู้ผลของการเเลือกตั้ง..อ่ะเจ้าค่ะ

ดุจ..'ลูกศรปักคาใจ'..ได้รับการถอนออกด้วย 'ธรรมวิธี'..เจ้าค่ะ กาละนี้..วางใจได้บ้างแล้วเจ้าค่ะ Do it Best, Let it Be. หน้าที่แห่งตนได้ทำเต็มที่แล้ว (ทุ่มเทใจ/กาย ช่วย 'ลุงตู่' )

ต่อไปเป็นหน้าที่ของ'กฎแห่งกรรม'..เจ้าค่ะ 

น้อมกราบ._/\_.ขอบพระคุณ ในเมตตาธรรม..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ทำให้ดีที่สุดแล้วก็ดูไป ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยนะ Let It Be อยากไปแปลว่าปล่อยปละละเลย เราก็เอาอันที่ดีที่สุด Do it Best และ Let It Be 

พวกเราจะไม่ทุกข์ก็ตรงที่มีปัญญาปฏิภาณเข้าใจ พวกเราศึกษาธรรมะแล้วเอาไปใช้จิตใจก็ไม่ทุกข์ยากพอสมควรเข้าใจเหตุการณ์เข้าใจเหตุปัจจัยแล้วก็ทำได้ทำใจได้ 

 

_Juju-sc7ub จุ๊จุ๊ • ลุงตู่ไม่มีเงินแจก  ผลเลยออกมาอย่างที่เห็น  ต่อไปชาวบ้านคงรวยแล้ว  มีแม่ค้าอุบลคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อบอกยุคลุงตู่หากินลำบากเป็นหนี้  ต่อไปคงรวยแล้วหมดหนี้    ฟังแล้วน้อยใจแทนลุงเลยทำงานเพื่อประชาชนแท้ๆ

พ่อครูว่า... อย่างนี้แหละควรจะเอามาวิเคราะห์ ค่ารวมที่ลุงตู่ทำงานมา 8 ปี มันน่าจะเป็นราคาหรือค่าการทำงานของนายกประยุทธ์ ว่ามันเป็นการช่วยคนส่วนมากเป็น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ มันไม่น่าไปตัดสินราคาตัดเคิร์ฟได้ ไม่ใช่องค์รวมของคนหมู่ใหญ่ แต่เป็นความคิดของแม่ค้าคนนี้ แน่นอนก็ต้องมีบ้างเล็กๆน้อยๆ 

แม่ค้าคนนี้ก็เลยคิดว่า พิโธมิกส์ จะทำให้เขาดีขึ้นเมื่อออกมาปฏิบัติ แต่ตอนนี้เรื่องราวยังคาราคาซังอยู่เลย ความคิดนำหน้ามันมีไปหลายอย่างก็ค่อยๆดูไปเรื่อยๆ 

 

_Jandme เจแอ่นด์มี  • ท่านนายกฯประยุทธ์ก็บอกเสมอว่าท่านไม่ใช่ คนเก่งในทุกเรื่อง แต่ท่านมีความ รัก ความจริงใจ จงรักภักดี ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต 

ส่วน พิธา ก็ไม่ใช่คนเก่ง อะไร ทุกอย่างมีการจ้าง คนอื่น ทำให้  และการช่วยเหลือ หนุนหลังจากต่างชาติ  เราก็ดูกันไป ว่า อนาคตของชาติจะเป็น อย่างไร กับ  นโยบาย  อบายมุข เสรี แบบ ครบวงจร  สังคมไทยก็เสื่อมโทรมมากยิ่งกว่าที่เป็นปัจจุบัน  และอื่นๆ อีก ล้วนแต่ ทำลายความเป็นมนุษย์ชาติ สมใจอมริกา

พ่อครูว่า... มันเข้ากันกับที่อาตมาว่าเลยนะ 

“เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ 

แพร่กระจาย สยายข้อมูลข่าวสาร

ประหารศัตรูคู่แข่ง แอ้งแม้งได้ยอดสุด”

ตอนนี้อาวุธที่สำคัญคือเขาใช้ AI และ io นี่แหละ เป็นนวัตกรรมของโลก คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ใช้ แล้วเอามาใช้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษที่คนใช้ 

สรุปอยู่ที่ดูไปตลอด นโยบายอบายมุขนิยม ก็คงจะทำให้ประเทศไทยแย่ลง 

 

_Limonsrinama ไลมอน ศรีนามา และ Pimsupaaksornsawas  พิมพ์สุภา อักษรสวัสดิ์ • กราบนมัสการค่ะ ชอบฟังคำสอนของพ่อท่านและการตอบคำถามจาก sms เป็นสัจธรรมทั้งหมด

 

_Chanlakbitkub  ฉันล่ะบิตคัพ : จะช่วยประชาชนช่วยประเทศได้อย่างไร ประชาชนเลือก 2 พรรค ถล่มทลาย

พ่อครูว่า... ก็คงเป็นพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทย ฟังน้ำหนักภาษา คงจะไม่เห็นด้วยกับที่ประชาชนเห็นกัน ที่เขาเอามาขู่ในสภาว่า ต้องเคารพเสียงประชาชนนะ ผ่านเลือกตั้งมาเขาได้คะแนนมากจริงๆต้องเคารพอันนี้นะ 

เราก็เข้าใจ Majority Rule กฎเกณฑ์ของโลกมันเป็นอย่างนี้ เรารู้ แต่พวกเรามันเป็นพวก Minority Right เป็นพวกน้อย เป็นสิทธิของเราที่จะคิดตามนี้ได้มาว่าเราไม่ได้ ซึ่งคำว่า Right คือความถูกต้อง มันสามารถถูกต้องได้อยู่นะอย่าเพิ่งดูถูกดูแคลน ตกลงก็ต้องดูไปก่อนจะไปติเรือทั้งโกลน 

 

_user-qt9qr1ci3m คิวที 9  • กราบนมัสการค่ะ.สาธุค่ะ./หลังเลือกตั้งหนูเศร้าใจหนักอยู่ 2วัน.เลยมาตามฟังธรรมจากสมณะชาวอโศก.ฟังจากอ.หมอเขียว คลายใจหายทุกข์แล้วค่ะ.

พ่อครูว่า... นี่เป็นการรายงานความจริงของคนในประเทศนะ ใครได้รับกระทบและมีความรู้สึกความคิดอย่างไร และดีหายทุกข์ได้ไว 

 

การเมืองไทยยังอยู่ในขั้นตอนคัดเลือกตัวแสดงรอบแรกอยู่ 

_user-fu1cj4mg9x เอฟยู 1 • ศาสนาพุทธสอนให้ทุกคน ทุกหมู่เหล่ารักใคร่สามัคคีกัน สอนให้เป็นทางสายกลาง ไม่รู้ว่าท่านนับถือศาสนาอะไรสอนให้คนอื่นรักคนนั้น เกลียดชังคนนี้ ถ้าท่านนับถือพุทธ มันมีรูปแบบการสอนพุทธศาสนิกชนในรูปแบบนี้ด้วยหรอ ผมงง แล้วก็งง ไม่มีใครอายุ 1 พันปีหรอก เดี๋ยวก็ตายกันทุกคน ดังนั้นควรสอนให้คนรักใคร่ สามัคคีกันดีกว่ามาชังนั่น รักนี้ แบบนี้เป็นกรรม เป็นบาปหรือไม่

พ่อครูว่า... อาตมาบอกว่า ดูไปอย่าไปติเรือทั้งโกลน คุณก็ฟังธรรมะอาตมาไปดีๆ ถ้าหากอาตมาไปด่าไปว่าคนนั้นคนนี้เกินไป อาตมาว่าอาตมายังไม่ได้ด่าคุณพิธาเลยนะ ก็ยังบอกให้ดูไป ความรู้สึกก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่นะพูดเป็นจริงตามความรู้สึก ยังไม่ได้มีน้ำหนักไปดูถูกดูแคลนเขา 

แต่แน่นอนว่ามันไม่เข้ากับสิ่งที่อาตมาได้มีมาแต่เดิม นี่ของเขามีของใหม่พิธาเขามาเสนออันใหม่ อาตมาก็ยังไม่ได้ดูถูกทีเดียว เขาเสนอโครงสร้างใหม่พิมพ์เขียวใหม่นโยบายอะไรใหม่ๆ ขึ้นเขายังไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ดูถูกเขาทีเดียวอาจจะดีแต่มันเหมาะสมกับยุคสมัยหรือมวลมนุษย์คนไทยในขณะนี้เหมาะสมแล้วหรือ ก็ยังไม่รู้ ตอนนี้ก็ทำอะไรยังไม่ได้มาก 

ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้มีตำแหน่งนายกที่บริหารได้เต็มรูป นิยายเรื่องนี้ยังไม่ได้บรรจุตัวแสดงเลย เป็นแต่เพียงกำลังคัดเลือกตัวนะ รอบแรกอาจจะพอดูผ่านๆ แล้วก็คัดไว้ ได้ตัวพอรู้ๆกันเห็นๆ แต่ว่ามันยังไม่ลงตัว กรรมการยังมีอีกหลายหมู่กลุ่มยังมีเหตุปัจจัยอีกหลายอย่างก็ให้ดูไป แหม..ดูไปนี้ดีจังเลยใช้ได้เรื่อยๆ 

 

นายกฯลุงตู่ใช้บ้านใช้น้ำใช้ไฟของหลวงผิดด้วยหรือ

_Kocharin Manikul กชริน มานิกุล · ที่นายกฯตู่อยู่บ้านหลวง ใช้น้ำใช้ไฟหลวงเป็นการเอาเปรียบไหม ? บวชเพื่ออะไร

พ่อครูว่า... อาตมาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้ อาตมาก็ใช้แต่น้ำของราษฎร จะว่าไปแล้วถ้าเผื่อว่าหลวงใจแคบ ก็ถือว่าผิด แต่ถ้าหลวงหรือรัฐบาลใจไม่แคบนัก เขาก็ทำงานให้ประเทศ ก็แค่ที่พักบ้านพัก มันจะกี่พันกี่หมื่นกันเชียว ค่าเช่าบ้านจะเป็นเดือนละแสนเชียวหรือ แต่เขาทำงานอาตมาว่าราคามันมากกว่าแสนนะ ถ้าคิดอย่างนี้อาตมาก็ว่าไม่เสียหลายอะไรหรอก แต่ใครจะคิดอย่างตัวเองคิดด้วยวิธีคิดที่ต่างกันมันก็ได้ คุณก็ว่าเป็นการเอาเปรียบ แต่ถ้าเผื่อว่าคิดให้ดีมันไม่น่าจะเอาเปรียบ 

อย่างเราเรามีตลาดประชาราษฎร์ คนมาขายของที่นี่ มาเช่าที่เราก็ไม่ได้คิดค่าเช่าที่ น้ำไฟก็ใช้ของเรา ใช้ฟรีของเรา เขาก็มาค้าขายได้เงินไปเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัวเขา ในตลาดประชาราษฎร์ของเรา ตอนนี้คนยังไม่ค่อยมาก ผู้ที่จะมาค้าขายก็ยังไม่มากยังไม่กรูเกรียว รถทัวร์ยังไม่เข้ามาก แขกเหรื่อยังไม่มากก็เลยยังไม่มีพ่อค้าแม่ค้ามามาก ถ้าหากไปในอนาคตคนมาก ซื้อขายมากคนจะมาสมัคร ก็คงจะมากขึ้น เราก็จะเป็นที่กลางให้เขามาค้าขายใช้น้ำใช้ไฟ หรือแม้จะมาทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองในหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ก็เลี้ยงชีวิตมาหลายสิบปีมีหลายครอบครัว อย่างนี้เราก็ช่วยกันไป ที่พูดไม่ได้ยกอ้างอิงเอาบุญคุณ เอาหน้าเอาตานะ มันเป็นพฤติการณ์ของมนุษย์ที่พึงอาศัยกันและกัน เราทำได้เราไม่ได้เป็นหนี้ที่เราช่วยเขาเราไม่ได้เป็นหนี้สิน เราช่วยเขาได้ก็ช่วยกันไป นี่คือการอาศัยซึ่งกันและกันอย่างนี้แหละ ไม่ได้ไปหาทางเอาเปรียบเอารัด แต่เสียสละไปนี้ก็อย่าไปหวังว่า เราได้เสียสละเราได้เป็นคนมีบุญคุณต่อเขาอย่าไปคิดอย่างนั้นนี่คือวิธีคิด 

 

บวชเพื่ออะไร

_บวชเพื่ออะไร?

พ่อครูว่า... ประเด็นที่ 1 บวชเพื่อตัดกิเลส ถามต่อมาว่าได้ตัดหรือเปล่า ก็ตอบว่าได้ ทำไมรู้ได้อย่างไรว่าได้ตัด อาตมาก็ต้องศึกษาตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้สิ 

มันเกิดธาตุรู้ที่เป็นปัญญา ธาตุรู้ที่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันรู้จริงๆรู้อาการของจิตคือเจตสิกต่างๆ แยกแยะออกเป็นสังขารเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตั้งแต่รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณแล้วแยกรายละเอียดลงไปได้อีก แล้วไปที่กรรมฐานใหญ่คือเวทนา 108 ก็แยกได้ชัดแล้วแยกเป็นภาษาด้วยและเป็นสภาวะที่ตามภาษา บัญญัติพยัญชนะภาษา ระบุว่าอาการอย่างนี้เป็นอย่างนี้ 

อาการสุขเป็นอย่างนี้ อาการทุกข์เป็นอย่างนี้ อาการไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์แบบเดียรถีย์ก็ทำได้ รู้วิธี อาตมาทำได้ 

แล้วไม่สุขไม่ทุกข์แบบพระพุทธเจ้าแบบโลกุตระคือลืมตาเห็นเหตุปัจจัยทุกอย่างชัดเจน จิตใจก็ไม่ได้ติดใจ ไม่ผลัก ไม่ดูด ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขา ชัดเจนเพราะว่าเรามีปัญญารอบ รู้รอบถ้วนทุกอย่างในจิตใจอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างมันก็ตถตาเขาก็เป็นอย่างนั้น ก็อยู่ด้วยกันไปได้อันไหนพอร่วมกันก็ได้ก็ร่วมกันไป อันไหนไม่ได้ ร่วมกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างไป หนักๆก็เป็นนานาสังวาสต่างคนต่างทำตามที่ตัวเองเห็น 

มันมีที่จบมีที่ตัดสินได้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อาตมาใช้ภาษาสื่อสภาวะพวกนี้มันละเอียดละออ คุณติดตามดู ศึกษาฝึกฝนตามที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบาย จนกระทั่งได้มรรคผลจากการบวช บวชเพื่อได้มรรคผลแล้วก็ออกมาเป็นตัวจริงของอาตมา แล้วก็แสดงอยู่กับสังคมขนาดนี้ คุณอาจจะมาพบอาตมาใหม่ๆดูไปต่อได้ ให้ศึกษาดีๆ อย่าเพิ่งตั้งข้อสังเกตเพ่งโทษไว้ อย่าเพิ่งโทษ ทำใจกลางๆเหมือนกับถ้วยน้ำชาที่เทน้ำชาเก่าออก แล้วค่อยๆรับน้ำชาที่อาตมารินเข้าไป แล้วจะได้รู้ว่าเป็นน้ำชาดี น้ำชามอมเมา หรือน้ำชาพิษ

ข้อสำคัญคุณจะมีปฏิภาณปัญญาพอที่จะตัดสินว่า สิ่งที่อาตมาทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ประพฤติออกไป คุณสามารถรับได้จับได้ พิจารณาได้ ตัดสินได้หรือไม่ เท่านั้นเอง 

ก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละเป็นคน มันก็อยู่กันได้ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกนี้ ก็ไม่น่ามีอะไรอื่นมากกว่านี้ที่สามารถรู้กันได้ เป็นกายกรรม วจีกรรม ศึกษาให้ดี 

สรุปยอดอีกที อาตมาบวชเพื่อล้างกิเลสให้หมดไป  คุณอาจจะไม่เคยได้ยินว่า อาตมาล้างได้หมดแล้ว อาตมาเป็นพระอรหันต์และเป็นพระโพธิสัตว์ อธิบายไปมากแล้วและอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย คุณจะได้มีอะไรใหม่ๆ ศึกษาตามให้ดี สิ่งที่อาตมาพูดไปนี้ไม่ใช่พูดพล่อย แต่เป็นความจริงทั้งนั้น ที่อาตมาพูดว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้เป็นต้น ติดตามดีๆแล้วจะได้ประโยชน์ 

 

เก่งกว่าทุกประเทศคือเปรตแท้

“เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ 

แพร่กระจาย สยายข้อมูลข่าวสาร

ประหารศัตรูคู่แข่ง แอ้งแม้งได้ยอดสุด”

พ่อครูว่า...  เปรตก็หมายถึงคนนี่แหละ ที่มีพฤติกรรมไม่ดี มันเป็นตัวบงการ เป็นพระเจ้า เป็นตัวนายของชีวิตของคุณ ของคนไหนก็แล้วแต่ มันเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ แล้วก็เลยแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารเอาไปประหารศัตรูคู่แข่ง โดยใช้ข้อมูลข่าวสาร ใช้ io มาปราบศัตรูคู่แข่งจนชนะ ศัตรูคู่แข่งแอ้งแม้งไปได้อย่างที่เห็นมีผลสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นก็ดูไปก่อน เขาใช้วิธีนี้เครื่องมือนี้อย่างนี้ ซึ่งมันยังตัดสินไม่ได้ อาตมาตัดสินด้วยซ้ำแล้ว ถ้าเธอว่าเขาเข้ากับหลักเกณฑ์ที่อาตมาพูดไว้ว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา 

ถ้าคุณเอาคำว่าช่วยเขาเป็นนโยบายนำ แล้วก็สร้างต่างๆนาๆเลย ว่าจะได้ผลอย่างนี้อย่างนี้คาดว่าจะได้อย่างนี้ ถ้าเลือกผมนะจะได้อย่างนี้คาดไว้ มันเป็นการติดสินบนไว้ก่อนทั้งนั้น คุณจะทำสำเร็จหรือไม่อาตมาก็ให้ดูไป ไม่ได้ตีทิ้งเขาทีเดียว ดูเขาไป เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งมาลงโทษอาตมาว่าอาตมาไปดูถูกดูแคลนกันทีเดียว แต่อาตมายังไม่เชื่อไง เพราะคุณยังไม่ได้ทำ 

แต่ลุงตู่ทำมาแล้วก็มีผลสำเร็จที่อ้างอิงยืนยันได้ อาตมาก็เชื่อสิ แต่คุณยังอยู่ในความฝัน ในจินตนาการ ในความคาดคิดซึ่งมันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง มันยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ไม่เป็นตัวเป็นตนอะไรออกมา เพราะฉะนั้นเราจะไปตัดสินก่อนได้ไง ก็ต้องดูไปก่อน 

 

Economy กับ Luxury : Progressive กับ Conservative

ทีนี้อาตมาอยากจะให้ข้อคิดอยู่ในประเด็นที่เขาพูดผ่านมาบ้างแล้ว ว่าความรู้กับการกระทำ ความรู้นั้นมันรู้อะไรก็คิดไปตามรู้ได้มันมาก แต่การกระทำจริงๆ มันจะตรงกับที่เรารู้ไหมนั่นก็หนึ่ง และ 2 มันไม่ตรง มันก็ไปกันใหญ่ 

เช่น มันเป็นแค่นักมายากลยังไม่แม่นเป้า มาเล่นตลก เช่น คุณบอกว่าคุณจะมาช่วยเศรษฐกิจ มนุษยชาติ คุณก็มาลงมือช่วยทำ แต่คุณช่วยเศรษฐกิจมนุษยชาติ คุณทำอย่างไร คุณช่วยให้คนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย คุณช่วยคนจะให้คนร่ำรวยหรูหราฟู่ฟ่ามีมากฟุ่มเฟือย คุณทำอย่างนี้ แต่คุณบอกว่าคุณอยากจะช่วยเศรษฐกิจ 

ที่นี่ภาษาคำว่าเศรษฐกิจภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Economy ซึ่งไม่ได้แปลว่าฟุ่มเฟือย ไม่ได้แปลว่าหรูหราฟู่ฟ่า Economy มันแปลว่าประหยัด 

คุณบอกว่าจะมาช่วยเศรษฐกิจ Economy แล้วเศรษฐกิจจะต้องประหยัดแต่คุณดันจะไปช่วยให้คนร่ำรวย ให้คนมีมากได้ฟุ่มเฟือยให้ความร่ำรวยมีมากนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า Luxury หรูหราฟุ่มเฟือยมีมาก ซึ่งขี้โกหก ก็บอกว่าจะมาทำให้ดีแต่ว่าถ้าให้มนุษยชาติหลงความหรูหราฟู่ฟ่าและจะบอกว่าให้รวยๆ เศรษฐกิจดีแล้วจะรวยแล้วรวยแล้ว มันตลบแตลงหรือเปล่า 

ตรงนี้ลึกซึ้งนะ ความหมายของคำว่า economy Economic มันหมายถึงมาน้อย ไม่ได้หมายถึงพวก Luxury ที่เป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมากมาย ลักษณะอย่างนี้แหละเรียกว่ามายา คุณพูดอย่างหนึ่งแต่คุณพามาทำอีกอย่างหนึ่ง อันนี้มันลึกซึ้งตรงนี้ มากเรื่องเลย 

จิตตัวเองเป็นยอดมายาหลอกตัวเอง หลอกด้วยคำว่าสุข 

คำว่าสุขด้วยความหมายของโลกียะ คำว่าสุขแบบโลกียะหรือแบบคนโลกๆคือสุขเพราะได้ ลาภเยอะ ได้ยศเยอะ ได้ตำแหน่งสูง ได้คำสรรเสริญเยินยอมาก ได้เสพทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสมกิเลสสมตัณหาก็พอใจ ก็เป็นสุข มันเป็นโลกียสุขแท้ๆ 

โลกียสุขไม่เที่ยงยั่งยืนโลกียสุขคือกิเลส คุณก็เสพสุขไปแล้วก็ไม่เที่ยงคุณก็จะหมุนเวียนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จมไปเกิดชาติแล้วชาติเล่าต้องยาวไปอีกไม่รู้กี่ชาติ 

กว่าจะรู้สึกว่า กว่าจะรู้สึกว่าเราก็หลงไปกับสุข เหมือนหมาแทะกระดูก ที่มันไม่มีเนื้อ ไม่มีหนังอะไรแล้วมีแต่กระดูกเป็นแคลเซียม มันก็ดูดน้ำลายอร่อย แคลเซียมมันไม่ได้มีอะไรอร่อยๆ แต่คุณก็ดูดมันอยู่อย่างนั้นแหละ ขออภัยยกตัวอย่างคุณเป็นหมาไป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

ทีนี้ลึกลงไปในพยัญชนะเลย คำว่า สุข 

สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง

ถ้าคุณบอกว่าจิตจะไปอร่อยไม่อร่อยไม่มี ว่างกลางเลย ข คือว่าง ถ้าคุณเห็นว่าอย่างนี้แหละถูกต้องแหละดี คุณจบเลย แต่คุณไม่ว่างนี่สิ มันก็เลยขบถกับคำว่าสุข พยัญชนะสุขมันก็ดีของมัน แต่เสร็จแล้วมาเบี้ยวตัวเอง ขบถตัวเองไปผิดเพี้ยนคำว่าสุข ไปเป็นอร่อยและดีสมใจและดีได้บำเรอกิเลสแล้วดี มันก็เป็นขบถ 

อาตมาใช้พยัญชนะจนถึงคำว่า สุ กับ ข

คำว่าอร่อยกับไม่อร่อย อัสสาทะ

คนไปหลงโง่ว่ามันมีอะไรทั้งๆที่ไม่มีอะไร 

มันไม่มีอะไร แต่คุณไปหลงว่ามันมีอะไร คุณก็มีไป คุณมีคุณก็ต้องเกิดอีกๆๆๆ แต่ถ้าคุณตายลงไปด้วยการไม่มี สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายสูญไปเลย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีนิมิตอะไร ตายด้วยนิพพาน 3 ไม่มีนิมิต ไม่มีความตั้งจิต สูญไปเลยแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมก็จบ 

 ผู้ที่ฟังตามได้ไหวและทำจิตทำใจให้ได้ตามนี้ ไม่ต้องมีใครมาตัดสินให้คุณเป็นอรหันต์เลย ไม่ต้อง สัจธรรมเป็นผู้พิพากษาเอง คุณตัดสินผิดคุณก็ผิดของคุณเอง คุณตัดสินถูกก็ถูกของคุณเอง สัจธรรมอิสระเสรีภาพมันสุดยอดอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นคนทุกวันนี้ เข้าใจแค่ Economy กับ Luxury เข้าใจแค่ประหยัดมีน้อยมักน้อย กับการไปหลงมีมากมากๆ พยัญชนะบาลีหลักการพระพุทธเจ้าก็คือ อัปปิจฉะกับมหัปปิจฉะ

มักน้อยคืออัปปิจฉะ มีน้อยๆหรือสูญไปเลยก็ได้

กับ มหัปปิจฉะ มีมากเท่าไหร่ก็ไม่มีขอบเขต ไม่พอ มีมากเท่าไหร่นับไม่ถ้วนจนไม่มีประมาณเลย อัปปมัญญา มันก็พูดกันไม่รู้เรื่องคนที่มีไม่พอ มากเท่าไหร่ก็เอา กับคนที่มีที่จบ มีที่ศูนย์ มีที่พอ มีกรอบ พอแค่นี้อาศัยแค่นี้มี 1 มี 2 มี 3 มี 4 มี 5 อย่างมากก็แค่มี 5 ก็พอแล้ว ปัญจะมีเลข 5 อย่างดีถ้าคุณสามารถควบคุมได้ก็เป็น 7 มีพลังงานส่วนเหลือส่วนเกินก็เอาไปทำงานรับใช้ผู้อื่น 

แต่ถ้าคุณมีส่วนเกินที่มากกว่า 5 แล้วคุณก็เอามาโลภ เอาไปทำร้ายผู้อื่น กรรมวิบากของคุณก็ต้องเป็นจริง แต่ถ้าคุณซื่อสัตย์รับใช้ให้แก่ผู้อื่น กรรมวิบากของคุณก็ดี เรียนรู้กรรมวิบากอันนี้เป็นสัจจะความจริงเลยไม่มีใครแย้งได้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องประหยัดกับเรื่องมักมาก แค่นี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้ในความจริง แล้วคุณก็ประพฤติจริงอยู่ในร่องในรอยของคำพูดนั่นแหละ บัญญัติหรือมักมากฟุ่มเฟือยหรูหรา 

ทีนี้เราก็ไปมองดูคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่มักมากหรือมักน้อย …มักมาก มันเป็นธรรมชาติของกิเลสของเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไทว่า... รัฐบาลนี้จะขึ้นค่าแรง 450 บาทต่อวันภายใน 100 วัน ได้ข่าวว่าจะมีการไล่คนงานออก ตอนเขามาหาเสียงคนงานก็ดีใจ แต่ตอนถูกไล่ออกจะเสียใจ แล้วเขาบอกว่าขึ้นทุกปีด้วย บริษัทไหนมันจะไหว มันจะไปรอดได้อย่างไรล่ะ 

อย่างนักเรียนเขาก็จะให้เลิกชุดนักเรียน ใส่ชุดอะไรก็ได้ มันคงเละดี

พ่อครูว่า... เละ มันเป็นคำประชดซ้อนอยู่ในตัว เละมันไม่ดี มันต้องได้สัดส่วนที่พอเหมาะ มันถึงจะดี 

สมณะฟ้าไท... เอา โลกียสุขมาหลอกคน คนก็ชอบสิ เหมือนประเทศอื่นที่เขาให้เงินประชาชนเยอะๆ อย่างเวเนซูเอล่า เดี๋ยวก็เงินเฟ้อหรอก 

พ่อครูว่า... อาร์เจนติน่าล้มละลายจนเงินตกขนาดนี้ มันเป็นตัวอย่างที่เป็นไปได้ อะไรจะขนาดนั้นอย่างนี้เป็นต้น ก็ดูจะมีตัวอย่างในประเทศอื่นโดยเฉพาะอเมริกากำลังทำท่าที ว่าเงินดอลลาร์นี้เขาจะพยายามรักษาค่าให้ได้ อาตมาก็ยังไม่รู้ลึกๆนะว่าในอเมริกานี้เขามีน้ำมันหรือเขามีทองคำมากพอหรือเปล่า ในประเทศอเมริกาขณะนี้ เขาไม่ได้เปิดเผยว่ามีทองคำหรือมีคงคลังเท่าไหร่ มีการสะพัดเท่าไหร่ ประเทศไทยเปิดเผยนะ แต่อเมริกายังไม่ยอมเปิดเผย คนเขาก็พอรู้ไต๋ได้ เพราะว่ามันมีพฤติการสัมพันธ์กับสังคมอยู่ เขาก็เอาสิ่งนั้นมาประมวลตัดสินบอกราคา ตีค่าของอเมริกาได้ 

เขาก็ปิดข่าวไม่ให้รู้ ดูว่าเขาจะทำได้นานแค่ใด เพราะจริงๆแล้วเขาเอง เขาก็จะต้องลงทุนสร้างเครื่องไม้เครื่องมือที่เขามีความเก่งตรงนี้ สามารถสร้างอาวุธสามารถ สร้างเทคโนโลยีต่างๆเอามาอยู่ ซึ่งเขาต้องใช้เงินทุนซ้อน ถ้าเขาหมดแล้วหรือเขาเป็นหนี้วัตถุดิบที่จะเอามาสร้าง คนอื่นเขาไม่ให้แล้ว คุณมีเองพอไหมมีวัตถุดิบ มีโลหะ มีสิ่งที่จะเอามาเป็นเหตุปัจจัยในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ แล้วเอาสิ่งเหล่านี้มาขายได้เงินให้เลี้ยงพลเมืองในประเทศตนเองจะไหวไหม 

ถ้าไม่ไหว เหตุปัจจัยมันไม่สมดุลพอมันก็ต้องคว่ำให้เห็น มันก็จะล้มละลายให้เห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มันก็จะต้องดูไป ดูกันจริงๆ มันยังไม่จบทีเดียวเพราะเขายังไม่ยอม วางมือ ยังไม่ยอมแพ้ เหมือนกันกับทักษิณ มันยังไม่ยอมแพ้ยังไม่ยอม ตอนนี้ไม่ได้เป็นตัวพระเอกขอเป็นพระรองก็แล้วกันขอเล่นบทนี้ เอาก็เอาว่ะ เรียกด้วยศัพท์ของสังคมว่าขอโหนไปก็ยังดีนะ เกาะไปโหนไปก่อน ยังไม่ได้ที่ 1 ทีเดียว สักวันหนึ่งเถอะ ถ้าจะรอให้หัวหน้าตัวเองก่อน หรือได้ทีก็คว่ำหัวหน้าลง เราไม่รู้ได้อันนี้เราไม่กล้าไปตัดสิน 

แต่อาตมาดูท่าทีเขาก็ทำอยู่อย่างนี้ 

สรุปแล้วมันเป็นเหตุผลหรือเหตุปัจจัยที่คนละเรื่อง เรื่องที่เขาทำนี้อาตมาว่า เป็นวิธีการ แล้ววิธีการที่ทำมันก็จะออกผลอย่างนี้ 

ส่วนเรามีวิธีการอีกอย่างหนึ่งทำแล้วผลมันจะออกมาอีกอย่างหนึ่ง นี่มีนัยยะรายละเอียดที่แตกต่างกัน 

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะไปตัดสินกันทีเดียวไม่ได้ ถ้าเอาภาษามาเรียกให้ตัวเองภาษาง่ายๆว่า พวกคอนเซอร์เวทีฟกับพวก Progressive 

ของเขาก้าวไกลของใหม่เป็น Progressive ของเราเป็นพวกอนุรักษ์นิยมเป็นคอนเซอร์เวทีฟ ของโบราณแต่เราก็โบราณนวทัศน์นะ ของเราโบราณไม่ใช่งุ่มง่ามไม่รู้โลก แต่เรารู้ กาละ เทศะ ฐานะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แล้วคุณจะเข้าใจที่เราพูดไหม เราใช้คำว่า กาละ เทศะ ฐานะ 

แล้วเนื้อแท้กาละคือความเคลื่อนไปทุกอย่างก็ไปเรื่อยๆเป็นกาลเวลามันไม่ถอยหลังไปเรื่อยๆ 

เทศะ ในสิ่งที่เป็นไปมันมีความแตกต่างกันมันมีสภาพ 2 เสมอ ตั้งแต่วัตถุมันก็จะมีบวกกับลบ พอมีชีวะขึ้นมา จะมีธาตุรู้กับเหตุปัจจัยที่เป็นรูปธรรม ไปด้วย

ธาตุรู้ในระดับ พีชะ มันก็ปรุงแต่งของมัน มันเป็นประธานควบคุมตัวมันเองแต่มันไม่ไปเบียดเบียนใคร 

ใครเข้าใจคุณสมบัติคุณลักษณะพิเศษของพืช มันเป็นตัวเอง วันนี้เป็นฐานอาศัยของศาสนาพุทธต้องทำจิตวิญญาณให้อยู่ในฐานะพืช คุณก็เป็นประโยชน์แก่คนแก่สัตว์ทั้งหมด พืชมันเป็นประโยชน์แก่คนแก่สัตว์ทั้งหลายนะ มันไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวมันเองเลย มันก็เป็นตัวมันของมันอยู่อย่างนี้ 

เช่น ผลหมากรากไม้ข้างหน้านี้ มีกล้วย มีมะไฟ มีเงาะ มีมะม่วงเยอะแยะของมัน มันก็เป็นของมันแล้วมันก็ทำขึ้นมาให้คนสัตว์ได้อาศัยใช้กินแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไร จนกว่าพลังงานของแต่ละตระกูลแต่ละเชื้อ เชื้อชาติเงาะ เชื้อชาติมะไฟ เชื้อชาติมะม่วง หมดเชื้อมันก็สลายไป มันยังมีเชื้ออยู่มันก็ปรุงแต่งของมันไป เอาเชื้อไปปลูกต่อขยายต่อ หรือจะมีใครมาช่วยให้มันขยายผลใหม่อีกมันก็เป็นธรรมชาติที่คนผู้ที่เรียนรู้วิทยาศาสตร์มาก็ไม่ได้ประหลาดอะไร 

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้ทำจิตวิญญาณของเราให้เป็นเหมือนอย่างพืช ปลอดภัยที่สุดมีประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกและมนุษย์ สุดยอด 

อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ 

อาตมาเอามาขยายความให้พวกเราทำ แล้วทำได้พวกเราจึงมีทิฐิอย่างนี้มีศีลสามัญญาตา ทิฏฐิสามัญญา จึงมาร่วมกันมีพฤติกรรมกายวาจาใจมีศีลสมาธิปัญญาอยู่อย่างนี้ก็สร้างสรรค์อย่างนี้ พวกเราจึงมาเป็นพวกที่จะสร้างพืชพรรณธัญญาหาร 

เราไม่สร้างอาวุธ เราไม่สร้างสิ่งมอมเมา เราไม่สร้างสิ่งที่เป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น พืชชนิดหนึ่งเรียกว่ากัญชา แน่นอนพวกเราไม่เอากัญชา เพราะมันล่อแหลมที่จะเป็นพิษ มันเอียงข้างไปเป็นพิษแล้วเราไม่สร้างกัญชา 

จะบอกว่าเป็นอาหาร มันไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นยาอยู่บ้าง ก็เข้าใจ ยามันไม่ใช่เนื้อแท้ๆที่จะไปกินมากนะ ยาก็เป็นแค่เมื่อมีสิ่งไหนบกพร่องเอาอันนั้นมาเติมนั่นเรียกว่ายา เป็นโอสถ เป็นสิ่งที่ขาดมันพร่อง มันไม่เต็มมันจะต้องอาศัยเนื้อนี้ เอาเนื้อนี้มาเติมให้มันเต็มนั่นคือยา 

ส่วนอาหารนั้นมันจะต้องใช้ทุกอย่าง ที่จะต้องใช้สังเคราะห์สังขารเป็นเนื้อหนังมังสาให้มีเรี่ยวแรงมีความคิด ทำงานอยู่ในโลก นั่นคืออาหาร อาหารและยาก็มีนัยยะต่างๆ 

เราก็อาศัยจากพืชพันธุ์ธัญญาหารมาเป็นทั้งยาทั้งอาหารและเราจะได้สร้างสิ่งเหล่านี้ อาตมาก็ขอบอกพวกเรา 

พวกเรายังมีพลังงานเหลือที่จะไปทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อีก แผ่นดินเราก็ยังพอมี เหตุปัจจัยที่จะไปสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้มากก็ยิ่งดี ถ้ามันมีมากกว่านี้ก็ช่วยกันเผยแพร่ ช่วยกันกระจายให้คนอื่นต่อไป ถ้าเราเข้าใจอันนี้สมบูรณ์แล้วทุกคนก็มีวิริยะอุตสาหะ 

เป็น วิริยารัมภะ เป็นคนปรารภความเพียร เป็นคนระดมความเพียร กระตุ้นอย่าให้เป็นคนเฉย คนชา คนหยุด มันมีแรงอยู่ก็รู้พักรู้เพียร เรายังมีแรงมีโอกาสมีเหตุปัจจัยก็ช่วยกันทำ ให้เก่งเป็นกสิกรเป็นนักสร้างสรรค์พืชพันธุ์ธัญญาหาร อย่างเต็มที่ สร้างให้ท่วมโลกไปเลย พูดให้มันเวอร์ๆ เสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บส่งขยายกระจายไป 

เราไม่ขายเอาเปรียบ เราไปขายอย่างขาดทุนหรือแจกฟรี นี่เป็นอุดมคติอุดมการณ์ของเราเป็นความจริงใจ ไม่ใช่ดัดจริต ไม่ใช่เรื่องช่วยเขาแล้วก็จะไปเก็บกวาดเอาดอกเบี้ย เอารายได้ทีหลัง เราไม่เอา เราให้ไปสดๆให้แล้วก็ตัดบัญชีๆๆเลย เราอย่าประมาทให้จนกระทั่งเราเองไม่พอกินพอใช้เราก็แย่ แต่เราก็ทำเป็นอยู่แล้ว 

สรุปพระพุทธเจ้าว่าคนมีสมรรถนะมีความขยัน มีความรู้ความสามารถสร้างสรรค์พืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องไปสร้างอาวุธ ไม่ต้องไปสร้างสิ่งมอมเมา ไม่ต้องไปสร้างสิ่งที่เป็นพิษ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เรามีสมรรถนะ มีความรู้อันนี้และขยัน ให้รู้เพียร มันเพียรเต็มที่ ไม่ย่อหย่อน แล้วก็พัก อัปปติฏฐัง อนายูหัง เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป  เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท  เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)  

ถ้าเราทำตรงอย่างที่อาตมาพูดไปคร่าวๆ 

มาเป็นกสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ของประเทศ ของโลกเลย ให้มันกระจายไปแก่ประเทศอื่นๆได้เผยแพร่ประเทศอื่นๆได้ ถ้าเผื่อว่าเราสามารถสร้าง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ที่คนต้องกินต้องใช้ แล้วเราก็ส่งออกไป 

จะมีวิธีคิดถนอมอาหารได้ก็ดี ไม่ต้องถนอมอาหารส่งให้สดๆไปกินไปใช้ได้ก็ดีก็ทำ ถ้าเราทำอันนี้ได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ได้อย่างมากๆๆๆ เท่าไหร่ มันก็จะเป็นเครื่องชี้บ่งความเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่ความเจริญก้าวไกล แต่เป็นความเจริญก้าวหน้าเท่านั้น 

เราไม่ได้ก้าวไกลจนกระทั่ง มีแผนที่ไกลออกไป แต่เราก้าวทุกก้าวที่เรามีความรู้ว่า เราก้าวไปข้างหน้านี้เราจะก้าวไปได้ เราไม่เวอร์ไปจนกระทั่งวาดฝันไปไกลเกินกว่าคิด 

เราประมาณเท่าที่เราจะสามารถว่าเราไกลขนาดนี้ เราไม่เหลือบ่ากว่าแรง สํานวนไทยไม่เหลือบ่ากว่าแรงทำได้ โดยประมาณแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรงเป็นสำนวนไทยที่ประมาณแล้วพอดี เราก็ทำไปเรื่อยๆ 

แต่ถ้าเพิ่มความสามารถได้เพิ่มขึ้นก็ทำเพิ่มขึ้น คุณเพิ่มความขยันได้มากขึ้น คุณก็เติมความขยัน ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เป็นความขยันของเรา ความสามารถของเราก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร มันออกมาจากพลังงานประสิทธิภาพของเรา เราก็สร้างก็ทำเต็มที่ ๆๆ 

ผลผลิต จะเรียกว่า By Product ผลได้ ที่ตามสมรรถนะความสามารถของเราก็เป็นผลที่ตามมา ที่จริง ไม่ใช่ผลพลอยได้แต่เป็นผลตรงตามเหตุปัจจัยที่ผลิต เหตุมีก็ต้องมีผลตามนี้ ไม่ได้ผิดจากความจริงตรงไหนเลย เราไม่ได้ผิด ไม่ได้พลาด ไม่ได้เผลอไปตกต่ำอะไร เราทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

ถ้าเผื่อว่าเราไม่ต้องไปคำนึงเพราะอะไร เพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก นี่ก็เป็นคำสอนของพ่อเรา ใช่ไหม อาหารนี้เป็นหนึ่งในโลก คนต้องอาศัยทั้งนั้นเลย คนไม่ต้องอาศัยปืนผาหน้าไม้ คนไม่ต้องอาศัยสิ่งมอมเมา คนไม่ต้องอาศัยสิ่งที่เป็นพิษ คนไม่ต้องอาศัยสิ่งที่เป็นแฟชั่น เป็นสิ่งที่จะประเทืองหลอกล่อหรูหราฟู่ฟ่า เราเอาสิ่งที่มันชัดเจนเลย มาใช้ ไม่ต้องแค่น่านิยมแฟชั่น แต่เอาตัวชัดๆจริงๆเที่ยงๆว่าเราใช้มาแล้วเป็นมาแล้ว ไม่ผิดพลาดเป็นเนื้อแท้เนื้อหา ก็เต็มที่ 

นี่ อาตมา ได้ขยายความและบอกนัยยะสำคัญของสิ่งที่กำหนดกันผิดพลาด Economy หรือ Luxury ที่เป็นภาษาฝรั่ง ว่า คุณจะประหยัดมักน้อยหรือคุณจะทำให้ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไป อะไรกันแน่ 

ในความกำหนดหมายของคุณ สัญญาอย่างหนึ่งแต่คุณก็ไปทำให้มันเป็น ภาพ เป็นสิ่งที่เกิดเป็นกาย เป็นการปรุงแต่งของรูปของนามอีกอย่างหนึ่งมันก็เป็นกบฏ มันก็ใช้ไม่ได้ 

ในความลึกซึ้งคำสอนพระพุทธเจ้าวิญญาณฐิติ 7 ถ้าเข้าใจ คุณจะสมัยใหม่เป็นอาภัสรา คุณก็ทำไปด้วยปัญญาให้ชัดเจน อย่าไปทำให้มันมืดๆงมงาย เป็นวิญญาณฐีติข้อที่ 4 

แม้คุณจะทำวิญญาณฐิติข้อที่ 4 คุณก็มีแสงสว่างในตัวเอง มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวตัดสิน สิ่งที่รู้ยังไม่ชัดแต่เรามีไฟ เป็นไฟพิเศษแสงสว่างพิเศษเห็นความจริงอันนี้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ แม้จะอยู่ในที่มืดเรียกว่า กิณหา เราก็มีแสงสว่างเป็น สุภะ เป็น สุภกิณหา ทำอันนี้อย่างมีแสงสว่าง อย่างมีความรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ จัดการสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จบลงที่ วิญญาณฐิติข้อที่ 4 

ส่วนข้อที่ 3 เป็นอาภัสราคือสว่างแจ้งชัดเจนก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำทุกอย่างถูกต้องตามที่รู้ที่เห็น มีเหตุปัจจัยถูกต้องสมบูรณ์แบบ อาภัสรา 

ส่วนในเหตุปัจจัยที่มันไม่สว่างขนาดนั้น มันก็มีกิณหามันมืด มันดำมันคล้ำบ้างแต่เราก็ต้องทำปัญญาของเราให้เป็น สุภะ อย่าให้มันวิปลาสไปในสุภะ อย่าให้เข้าใจ อสุภะเป็นสุภะ เมื่อเราชัดเจนไม่วิปลาสมี สุภะ มันเก่งกล้าสมบูรณ์ตามเหตุปัจจัย 

นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ขยายความรู้ลึกไปถึงวิญญาณฐิติ 7 

 1 นั้นมันเละเทะ 2 นั้นมันจัดสัดส่วนได้เป็นปฐมฌาน ได้สัดส่วนที่พอมาพอดีได้ อันนั้นก็ทำ 

แต่ทีนี้เหตุปัจจัยมันมากขึ้นก็ด้วยภูมิปัญญา หรือความสามารถที่พอดีทำสิ่งที่เป็นอาภัสรา เป็นสิ่งที่อาศัยใช้สอยอย่างชัดเจนสดสวยงดงามน่ารัก แม้เหตุปัจจัยมันลงไป มันจะคล้ำ มันจะมืด มันจะยากสักหน่อย เราก็จะต้องเติมความรู้ความสามารถเรียกว่า สุภะ อย่าสูงไป อย่าให้ผิดพลาด 

ก็เป็นอันที่ 4 ของวิญญาณฐิติ ลืมตาอย่างมีเหตุปัจจัยครบ ไม่ใช่ทำอย่างงมคลำ 

ส่วนอันที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 วิญญาณฐิติอีก 3 อัน อันนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของ cyclic order ของสามเส้า 

1. อากาศ อากาสานัญจายตนะ ที่ว่าง 

2. วิญญานัญจายตนะ 

มันก็มีเท่านี้แหละสรุปลงในโลกก็มีที่ว่างกับวิญญาณ และวิญญาณของคุณไม่มีกิเลสคือ อากิญจัญญายตนะ 

หรือที่ว่าง ของคุณไม่มีสกปรก ที่ว่างของคุณนี้สะอาด ที่ว่างนี้บริสุทธิ์ ที่ว่างนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัย 

คุณก็อาศัยที่ว่างที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย มีพิษมีภัยก็ช่วยกันเอาออกแล้วจิตใจก็มีสมรรถนะ มีความสามารถ ที่จัดการได้ไม่ให้มีภัย ไม่ให้มีโทษ ไม่มีเรียกด้วยโทษทางจิตก็คือกิเลสไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งเสียหาย อากิญจัญญายตนะ มีแต่สิ่งที่เป็นสิ่งที่ดีตลอดหมดเลย 

นี่คือสามเส้าสุดท้าย ถ้าเข้าใจก็คือมีแค่นี้แหละ อากาศ วิญญาณ อากิญจัญญายตนะ 

สมณะฟ้าไท... ประเด็นการเมือง “ดูไป” ถ้าดีอย่างลุงตู่ เราก็เชียร์ ถ้าไม่ดีเราก็ตามดู เราก็ติงเตือนก็ประท้วง 

พ่อครูว่า... พวกเรานักโพรเทสตัวจริง protestant  neo protest

สมณะฟ้าไท... อย่างไรพวกเราก็ไปกันพรึ่บ ไม่เกี่ยงผมหงอกผมดำ ไม่เกี่ยงสรีระ เห็นใน Facebook กปปส.ก็คึกคักถ้าไปแตะมาตรา 112 ก็ออกไปเลย 

_สู่แดนธรรม... วันนี้ผมได้ฟังที่พ่อท่านยืนยัน สิ่งที่ไม่ตรงกันระหว่างความรู้และการกระทำ พ่อท่านเคยพูดไว้นานแล้วว่าความรู้กับความจริง ความรู้ economy ควรจะไปทางประหยัดมักน้อยลดลง แต่พฤติกรรมจริงกลับไปทำตรงกันข้าม ให้มันมีความมักมากฟุ้งเฟ้อ ซึ่งตรงกันข้ามกับ economy ก็คือ luxury 

สมณะฟ้าไท... สรุปที่พ่อครูมาย้ำให้พวกเราลงมือทำกสิกรรม โลกนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทุกคนก็ต้องกิน Pinocchio เขาก็ต้องกินเหมือนกัน 

พ่อครูว่า... เขากินหรูหราด้วย 

สมณะฟ้าไท... เราเป็นฝ่ายผลิต เราก็เป็นมิตรกับทุกคนเขาจะชั่วจะเลวเราก็ช่วยหมด ไม่ว่าเขาจะมาเผาเรือเรา เอาน้ำปลาร้ามาสาดเรา เราก็ช่วยเขา เพราะพ่อครูเน้นย้ำว่า เราต้องทำให้สะอาด จิตเราสะอาด สิ่งที่เราทำมันก็จะสะอาด อาหารก็สะอาด สถานที่ก็สะอาด บุคลากรก็สะอาดไม่มีพิษไม่มีภัย ในวิญญาณฐิติ 7 3 ข้อสุดท้าย ทุกอย่างสะอาดหมด มันเป็นความสะอาดที่พวกเราทำได้เสมอๆ แม้ว่าพวกเราจะไปชุมนุมไปประท้วง ไปถีบจักรยานช่วยหาเสียง ก็สะอาดหมดจด 

พ่อครูว่า... เรามีฐานชัดเจนคือเรามีฐานกสิกร ใครทำไม่เป็นก็ลงมือทำ เป็นแต่เพียงว่า สมณะมีหลักพระวินัยคุ้มครอง ก็อย่าว่ากันนะ สิกขมาตุ ก็ทำได้เต็มที่ไม่มีวินัย 

สมณะฟ้าไท... เราทำไม่ได้เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เหมือนคนโลกีย์ เราทำตัวเองสร้างตัวเองอย่างบริสุทธิ์ทุกอย่างพึ่งตัวเอง ไม่ได้อาศัยโลกีย์ ไม่ได้อาศัย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราไม่ได้ทำเพื่อได้ผลประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น ชาวอโศกก็ต้องเสียสละตัวเองให้แก่สังคมไปเรื่อยๆโดยไม่ได้มีอะไรกลับคืนมามีแต่ให้ออกไปทั้งนั้น โดยมีจิตใจที่ว่างเบาสบายแล้วก็สะอาดอยู่ตลอดเวลา 

จบ


 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศคือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2566 ( 18:46:47 )

660522

รายละเอียด

660522 การเมืองไทยวันนี้คือ สงครามความรู้กับการกระทำ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #23 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53260.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1BiNCMqsDY5-Ki1Udfw6azxjY1f31gxq6/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/195kk181gRBZ2xoqJ6F7qBUIqJmJnx1Cr/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/KpquISO2MjY 

และ 

https://fb.watch/kHbbWlQghG/

และ

https://fb.watch/kH7Zh4H0WC/ 

 

อเนญชาภิสังขารเพื่อชะลอความเสื่อม

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ เราก็มาพูดจาโอภาปราศรัยกันเรื่องธรรมะธรรมโม โลกเขากำลังถกกันอภิปรายกันแสดงความเห็นกันแนะนำกัน เรื่องของนายกฯ เขาจะได้นายกฯคนใหม่กันประเทศไทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

อาตมารู้สึกว่าอาการของสังขารมันออกมากขึ้น อาการความเสื่อมมันเสื่อมมาก แต่ก็พยายามประคอง พยายามชะลอ ใช้คำว่าพยายามประคองหรือชะลอชีวิตจริงๆ เพราะว่ามันจะหยุดทำงานแล้วมันจะพักมันได้เวลาวาระมัน แต่ก็เห็นว่ามัน เอาน่ะ..ลากไปก่อน 

ถ้าอาตมาไม่สามารถวางใจหรือไปติดยึดว่า คือมันเป็นทุกข์ชัดๆเป็นทุกอริยสัจ มันต้องพยายามอยู่กับอาการปลงเรียกว่าสังขาร เป็นอภิสังขาร ซึ่งอาตมาต้องใช้ อเนญชาภิสังขารมาก เพื่อให้ทรงไว้ได้ต่อไปมากทีเดียว ขออภัยที่ต้องใช้พยัญชนะ อเนญชาภิสังขารมาขยายสภาวธรรม เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้ที่ยังไม่ถึงนึกเอาเองไม่ได้หรอกเป็นอจินไตย มันเป็นอาการที่เราไม่เห็นดวงดาวที่มันไกลพ้นไปจากสายตา มันไกลลิบมองไม่เห็น นอกจากจะใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มันมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น คุณยังไม่เป็นกล้องตัวนั้น อย่างไรก็เห็นไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น 

ก็พยายามไป อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ก็ยิ่งเข้าใจความเป็นชีวะ ความเป็นชีวิต ซึ่งอาตมาเป็นผู้ที่เอาธรรมนิยาม 5 มาขยายความให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรมนิยาม ธรรมนิยามต่างๆ ก็ดี มันเป็นเรื่ององค์ประกอบของพลังงาน ตั้งแต่พลังงาน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรม ธรรมะ จนถึงขั้นพลังงานธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม 50 กว่าปีนี้อธิบายมาได้ขนาดนี้ ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาได้เอามาพูดนี้สุดครบ จนวนรอบ ขยายแล้วขยายอีก รอบแล้วรอบอีก จบแล้วจบอีก ขยายใหม่แล้วใหม่อีก ก็ว่าไป ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ก็เป็นประโยชน์ไป ก็มีเท่านี้แหละชีวิตชีวะก็เป็นประโยชน์อยู่เท่านี้ 

ถ้าอาตมาตายลง แล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยก็จบไป ก็สบาย แต่พอมีปณิธานจะไปเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องไปให้ถึงจุดเป็นพระพุทธเจ้า 1

2. ยังเห็นประโยชน์ที่จะต้องช่วยมนุษยชาติ ประโยชน์ที่จะต่อพุทธกัปป์ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมไปให้ถึง 5,000 ปี ประโยชน์ที่จะพิสูจน์ยืนยันสัจธรรมที่โลกส่วนใหญ่ทั้งหมด ยิ่งตะวันตกเทวนิยมเขาไม่มีปัญญาจะรู้สัจธรรมอันนี้เลย แม้แต่ชาวพุทธไทยเดี๋ยวนี้มันก็เสื่อมมากจริงๆ ไม่ใช่อาตมาลงโทษ ขออภัย คนชาวพุทธเสื่อมไปจากสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เรื่องกลองอานกะ มันเสื่อมหายไปจริงๆอาตมาต้องเอามาสถาปนาลงไป จึงยากเย็นแสนเข็ญ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ ที่อาตมาจะต้องทำ 

ก็อธิบายไปกับ SMS เกี่ยวกับการเมืองบ้าง ซึ่งไม่ได้แยกกันกับธรรมะ 

 

_SMS วันที่ 19-21 พ.ค. 2566

_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง  · น้อมกราบนมัสการท่านสมณะเดินดิน สมณะดินไท สมณะแสนดิน ชมรายการวันเสาร์ 20 พ.ค. 66 ได้สัมมาทิฏฐิดีคะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... เป็นอานิสงส์ของการฟังธรรม ได้ฟังสิ่งใหม่ ให้เข้าใจยิ่งขึ้น ความสงสัยข้องใจคลายไป สัมมาทิฏฐิตรงขึ้นจิตใจผ่องใส 

 

แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ทิ้งลาภสรรเสริญทางรูปธรรมก่อน

_วรัช นาวาบุญ  · พ่อครูคือพ่อคนใหม่ทางจิตวิญญาน ทำให้ผมมีชีวิตใหม่อีกครั้งในโลกนี้ครับ ด้วยคำสอนของพ่อครูผมพยายามฟังตั้งหลายปีกว่าจะเข้าใจคำสอน กว่าจะรู้และบางคำยังไม่เข้าใจครับ แต่พยายมฟัง ทำมนสิการใจใจได้ดีขึ้น และทบทวนศีลเกือบทุกเย็น ผิดบ้างถูกบ้างแยกแยะเสมอ กราบนมัสการครับ 

พ่อครูว่า... อนุโมทนาที่ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วหลงว่าฉันมีธรรมะชั้นสูง อาตมาเห็นอาจารย์ใหญ่ๆในทางสายพุทธนี่แหละ เวลาแสดงธรรมท่าทางท่านรู้ธรรมะเยอะ แต่ท่านก็ยังติดๆยึดๆเห็นๆ ท่านก็พูดลึกไกลสูงด้วยพยัญชนะ แต่สภาพเป็นจริงของตัวท่าน ยังไม่ได้ปลดปล่อย เป็นผู้หญิงอายุ 90 กว่าแล้วก็ยังทาปาก ยังย้อมผมยังดัด แค่นั้น แค่รูปธรรมเท่านั้น แต่อธิบายธรรมะนี่ โอ้โห.. ใครฟังแล้วนี่อื้อหือ ระดับเลยปรินิพพานไปเลย เอาล่ะ พอ พูดแล้วน่าสงสาร เห็นแล้ว ได้บัญญัติได้ภาษากัน แต่สภาวะธรรมนั้นมันไม่ลงกันเลยกับตัวเอง 

อาตมาพูดถึงพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้านี้ เป็นพระจอมศาสดา พอเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็เป็นเจ้าชาย พอท่านรู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วโอ้โห.. ท่านลอกคราบออกไปเลย ปลดออกไปจากตัวเองไม่เหลือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่ท่านจะไปหลงติดแบกไว้กับตัวเอง ไม่มีเลย 

ฟังดีๆอาตมาพูดให้ฟัง ตอนนี้อาจารย์ใหญ่ๆ แบก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แบกสุขที่ติดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เห็นๆ ถ้าผู้ที่รู้จักแล้วจะละอายว่ายังแบกยังติด เราบอกว่ามันหมดนะในภาษาธรรม แต่ตัวเองยังแบกยังติดยังไม่ได้ออกจากตัวเองเลยยังอยู่กับตัวเองชัดๆ 

ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็วางหมดเลย ยกตัวอย่างอันนี้ให้ฟังไม่รู้กี่ทีแล้ว เขายังเข้าใจกันไม่ได้ ตัวเองก็ยังไม่ละอายยังไม่เหนียมตัวเอง ว่าทำไมเรายังให้ผู้ที่รู้เขาติได้ ท้วงได้ ว่าได้ มันก็เป็นสัจจะเขายังไม่จริง เขารู้ยังไม่จริงมันก็ได้แต่พูดเท่ๆโก้ๆ 

 

_Kru Sa ครูสา : คนไทยรุ่นลูกหลาน เกิดในยุคเสื่อมทุกอย่างเช่นครอบครัวเสื่อม การศึกษาเสื่อม ผู้เผยแผ่ศาสนาเสื่อม ฯ จึงทำให้ขาดภูมิคุ้มกันชีวิต และถูกกระตุ้นกิเลส ให้ดูบทเรียนพระรักเกียรติ์ อดีตรมว.สาธารณสุข แล้วจะเข้าใจคนทำงานการเมืองที่..ไม่เที่ยง

พ่อครูว่า... นี่แหละก็มีตัวอย่างมีคนประพฤติให้ดู เราดูแต่ละคนผ่านชีวิตมาเป็นตัวอย่างเป็นครูให้เรารู้ทั้งนั้น คำว่าเสื่อมคำนี้ไม่ใช่พูดกันเล่นๆแต่มันจริงๆ อาตมายิ่งเห็นชัดเจนว่าต้องมากอบกู้ความเสื่อมมันหนักจริงๆ เห็นความเสื่อมจริงๆไม่ใช่เที่ยวไปลงโทษเขานะ เห็นความเสื่อมแล้วเราก็ต้องช่วยต้องกอบกู้ ช่วยจริงๆ ซึ่งเขาเองเขามองว่าเราเป็นผู้ผิด เป็นผู้เสื่อม จะมากอบกู้ได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นสิทธิ์ที่เขาจะเห็นอย่างนั้น เราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ ก็ทำไปตามหน้าที่ตามสิทธิ อาตมามีทั้งสิทธิมีทั้งหน้าที่

สิทธิคือความสำเร็จ หน้าที่คือเป็นของเราที่ต้องกระทำ อาตมาก็มีสิทธิหรือมีความสำเร็จแล้วสำหรับอาตมาเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิทธัตถะ ท่านก็มีสิทธิขั้นสิทธัตถะของท่าน เพราะว่าท่านเองท่านเป็นผู้ที่หมดแล้วซึ่งความอยาก สำเร็จแล้วซึ่งความอยาก สิทธัตถะ หมายความอย่างนั้น 

 

กฎหมายม.112 มีมาหลายรัฐบาลไม่เห็นมีปัญหา 

_Sumit Numsinlak สุมิตร นำสินลักษณ์   · ทำไงครับ ผมยังคิด ยังรู้สึกไม่ดีที่ พรรคลุงตู่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ชาติไทยกำลังไปด้วยดี หลายๆเรื่องที่ ลุงตู่ทำไว้ โดยเฉพาะ 112 คงไม่มีปัญหาถ้าลุงตู่ยังอยู่

พ่อครูว่า... 112 นั้นอยู่มาไม่รู้ตั้งกี่รัฐบาลแล้ว 10 20 รัฐบาลแล้ว 20 กว่าแล้วเพราะนายกตอนนี้คนที่ 30 แล้ว เขาก็อยู่มาในเมืองไทยเรามาตรา 112 แต่มาถึงตอนนี้เป็นปัญหามากเลยในยุคนี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดมากเลย ทำไมมันเป็นปัญหา ก็เพราะคนมันเป็นเจ้าปัญหา ถ้าไม่มีคนเป็นเจ้าปัญหา สำหรับมาตรานี้มันก็ไม่มีปัญหาเพราะมันอยู่กันได้สงบสบาย มีประโยชน์คุณค่าแก่ประเทศชาติมาตั้งเท่าไร กี่ยุคกี่พระเจ้าแผ่นดินกี่พระองค์มาแล้ว ก็เป็นธรรมดาของความคิดของคน คนฉลาดคนโง่ คนโง่ก็ทำตามโง่ คนฉลาดก็ทำตามฉลาดเป็นธรรมดา 

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · อยากไปเที่ยวกรุงเทพ.ไปนอนเต๊นท์แถวราชดำเนินครับ.

พ่อครูว่า... หมายความว่าอะไร คุณคนนี้ คุณก็แบกเต็นท์ไปกลางถนนราชดำเนินแล้วคุณก็ไปนอนสิ คุณจะไปทำอะไร พูดมีนัยแฝง อาตมาไม่รู้เลย อาตมาโง่ อาตมาไม่รู้ว่าแบกเต๊นท์ไปนอนถนนราชดำเนินทำไม ที่จริงรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร เอาน่าใจเย็นๆ 

 

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ดี 

_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ · กราบนมัสการค่ะ ค่าแรงยังไม่ขึ้น ของขึ้นราคาแล้วค่ะ โลกุตระต้องให้ค่าแรงลง ของจะได้ลดลงแบบเก่า 

พ่อครูว่า... จัดมาเศรษฐกิจคือจะต้องขึ้นค่าแรงให้คนจะต้องทำให้คนรวยสังคมโดยประเทศรวย จ้างก็ทำไม่ได้มันย้อนแย้งในตัวมันเองมันไม่ฉลาดพอ มันต้องมาทำให้จนมันต้องมาทำให้ลดลงอย่างในหลวง ร.9 ตรัสไว้อย่างพระพุทธเจ้าพาทำ อย่างอาตมาพาทำ อาตมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้พวกเราเสร็จเพราะอาตมาพาพวกเรามาจน พอมาจนได้ที่จิตของเรามันมี เลี้ยงง่าย(สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)  มันจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ มันจบกิจเลยสบายไม่ดีดดิ้นไปกว่านี้ นี่แหละคือสงบจบกิจ มันสำเร็จ 

แต่เขาแก้ปัญหาแบบไม่มีปัญญา แบบที่เขาคิดกันแบบโลกียะหรือเทวนิยม มันเป็นความรู้ทางโลกียะทางโลกๆ ที่โลกเขาเรียนกัน ขนาดชาวพุทธเองก็ยังเข้าใจยาก อย่างเถรสมาคม ตัวเเองแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้เลย แก้ปัญหาเรื่องเงินทองไม่ได้แม้แต่เป็นพระเป็นเจ้ายังเละเทะ ศึกษาไปดีๆ

 

 _ประเทศไทยยุคนี้ คนสบายเกิน ไม่เคยเกิดสงคราม ไม่อดอยาก กินอาหารเหลือเฟือ จึงคิดไม่ยาวเอาเฉพาะหน้าให้ตัวเองสบาย อยากเปลี่ยนผู้นำ จึงเชื่อว่าจะได้จะมีจะเป็น ความเชื่อนี่แหละ จะเป็นเกราะให้คนคิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง อย่างดี คนคิดต่าง ต้องสงบไว้ ทำงานของเราไป ดูไป เชื่อในกฏแห่งกรรม กฏเดียวยุติธรรมที่สุดค่ะ 

พ่อครูว่า... สรุปของตัวเองได้ พูดไปแล้วก็ยิ่งเข้าใจธรรมะ เข้าใจสัจธรรม แล้วก็ปล่อยวางได้ สรุปให้ตัวเองได้ 

 

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา  · ตั้งความหวังไว้มากค่ะ หวังว่าคนดีที่ได้สั่งสมความดีมาถึง 8 ปีจะเข้าตาประชาชนส่วนใหญ่ ค่ะ

พ่อครูว่า... อาจจะเข้าตาเข้าใจนะสำหรับผู้ที่เข้าใจ ส่วนคนไม่เข้าใจคนที่มืดมัวมันก็ไม่เข้าตา เพราะฉะนั้นยิ่งจะไปเข้าใจไม่เข้าใจแน่นอน มันก็เป็นไปตามสัจจะมันเป็นสิ่งจริง ก็ดูไปดูจากสิ่งจริงพวกนี้แหละพิจารณาเอาจากความจริง 

 

คนเป็นกลางต้องเข้าข้างบัณฑิต

_สมโพชน์ สีเมฆ  · ประเทศไทยเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มายาวนานมาก

พ่อครูว่า... ที่ถูกคือ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

_พรรคก้าวไกลจะดีหรือชั่วเราก็ต้องน้อมรับ เพราะประชาชนค่อนประเทศเลือกเขาเข้ามา

ความจริงแล้วในพระวินัยห้ามพระภิกษุข้องเกี่ยวกับการเมือง แต่นี่ไม่ใช่พระภิกษุจึงยุ่งกับการเมืองได้

พ่อครูว่า... ไม่ถึงขั้นประเทศนะที่เลือกเขา และไม่มีพระวินัยห้ามภิกษุเกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย อย่าเที่ยวเอาสิ่งที่ไม่จริงใส่ของพระพุทธเจ้ามันบาปนะ คุณมาพูดสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ มาพูดสิ่งที่ไม่มี ตกลงดีละ คุณเห็นว่าอาตมาเกี่ยวกับการเมืองได้ไม่ขัดแย้งกัน 

ที่เขาห้ามภิกษุสมัยนี้ที่เป็นพระมหาศาล ห้ามไม่ให้ยุ่งกับการเมืองนั้นถูกแล้ว เพราะยังไม่มีภูมิปัญญา ไปยุ่งกับการเมืองก็จะถูกนักการเมืองเขาใช้เป็นเบี้ย ใช้เป็นหัวคะแนนให้หมดเลย ภิกษุ เป็นลูกกะโล่ให้นักการเมืองหมดเลย เพราะฉะนั้นมันยังไม่มีภูมิพอ ยังไม่เคี่ยวทันนักการเมืองเขา จึงออกกฎห้ามไม่ให้ภิกษุ ไม่ให้พระทางเถรสมาคมเขาเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้นถูกต้องแล้ว ทำไปเถอะสมฐานะ แต่ของเรามันไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่โง่กว่านักการเมือง แต่เข้าใจการเมืองแล้วก็จะพาการเมืองให้เจริญได้ด้วยจึงต้องทำงาน มันต่างกัน มันคนละฐานะ

_วนิดา ฯ.  · ท่านเป็นนักบวช ผมว่าไม่เหมาะที่จะมาวิเคราะห์เรื่องการเมือง เป็นการชี้นำให้ประชาชนแบ่งแยกข้าง--ฝ่าย มากกว่าครับ

พ่อครูว่า... คุณก็เข้าใจไม่ได้ว่า ผู้ที่รู้เรื่องฝ่ายเรื่องพวก ฝ่ายที่เป็นพาลชนกับบัณฑิต ก็ต้องแยกฝั่งให้ชัดเจนให้เข้าใจ ให้รู้ว่าอย่าไปร่วมมือกับฝ่ายพาลชน หรือไปส่งเสริม ถ้าไม่รู้ก็จะหลงผิดไปช่วยสิ่งที่ไม่ควรทำเลย ไปช่วยพาลชน แล้วไม่มาช่วยบัณฑิต เสร็จแล้วก็บอกว่าเป็นกลางๆ คนกลางๆต้องไม่ช่วยใคร ใครชั่วใครดีก็ปล่อยให้เขาปู้ยี่ปู้ยำไป บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว ใครจะทำชั่วก็ชั่วของเขาเองเขาโง่ ใครฉลาดก็รู้ทันตามที่ฉลาดก็เรื่องของเขา เขาฉลาดอะไรอย่างนี้ 

คุณก็พูดไปส่งๆ ไม่เข้าใจสัจธรรมให้สำคัญให้ดีๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจแล้วต้องศึกษาธรรมะให้ดีๆ ขออภัยนะที่พูดสัจธรรม ไม่ได้แก้ตัว แต่พูดให้ฟัง ฟังธรรมด้วยดีแล้วจะได้ปัญญา อาตมาก็พูดตามธรรมพระพุทธเจ้า 

นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง พระพุทธเจ้าท่านก็ทำอย่างนี้ อาตมาไม่ได้ทำผิดไปจากพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นให้ศึกษาดีๆ นี่ไม่ได้ไปตำหนิหรือไปว่า อาตมาสอน เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายกคำสอนพระพุทธเจ้ามายืนยันด้วยให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปนั่งบื้อหรือรู้อะไรดีชั่วก็เฉย 

คนไม่รู้อะไรดีหรือชั่วก็อยู่เฉยๆนั่นก็ถูกแล้วเพราะคุณไม่รู้ แล้วคุณจะไปทำเป็นอวดดีรู้มันก็ไม่ถูก ควรอยู่เฉยๆ ตามประสาคนที่ไม่รู้หรือโง่ แต่อาตมาไม่ได้เป็นคนโง่หรือคนไม่รู้อย่างนั้น อาตมารู้ แล้วจะทำเป็นคนตาบอด เป็นคนไม่รู้ มันไม่ใช่ มันก็โกหก แล้วก็ใจดำด้วย มันผิด อาตมาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ฟังดีๆ 

 

_พ่อ บักบอส  · ผมสมเพชได้หมดศรัทธาตั้งแต่บอกว่าไอ้ตูบเป็นคนดีที่ควรปกป้องเพราะมันเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด ผมฟังแล้วไอ้คนพวกนี้มันหลุดนี่หว่า

พ่อครูว่า... ก็เป็นภูมิธรรมของคุณ เป็นความเข้าใจของคุณอย่างนั้นจริงๆไปห้ามได้อย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น อาตมาก็เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ชัดเจนคุณพูดมา คุณกับอาตมาต่างคนต่างเห็น ต่างเข้าใจกันคนละอย่าง ก็ทำไปตามที่คุณเห็นของคุณไป อาตมาก็ทำอย่างอาตมา เราก็ต่างคนต่างเห็นต่างกันเป็นธรรมชาติ อย่าทะเลาะกัน อาตมาไม่ทะเลาะกับคุณหรอก คุณก็คงไม่ทะเลาะกับอาตมา เป็นแต่เพียงความเห็นต่างกันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เป็นนานาสังวาส 

 

_Krissana Sreekimkeaw กฤษณา ศรีขิมแก้ว   · ฟังแล้วก็ไม่เหมาะนะครับ สึกแล้วออกมาทำแบบนี้นะครับ อ้างว่าเป็นอรหันต์อีกลำดับ 7 เชียว แต่ฟังพูดยุ่งการเมือง ดูก็รู้ว่าไม่เป็นกลาง คนที่เป็นอรหันต์เขาไม่มาทำแบบนี้หรอกครับ คนตีตายพระอรหันต์ยังให้ตีโดยไม่โกรธ จะไม่มีอารมณ์ โกรธเกียจ โมโห อาฆาตในจิตใจ แต่ท่านพูดอารมณ์มาเต็มแถมเอียงข้างอีกด้วย

พ่อครูว่า... ก็เป็นจริงอย่างที่คุณเข้าใจ ซึ่งก็ไม่ตรงกับที่อาตมาเป็น อาตมาว่าอาตมาทำถูกต้องแล้วแต่คุณเห็นต่างไป มันก็เป็นธรรมชาติของความเห็น อาตมาไม่แย้งเพราะเป็นความเห็นของคุณจริงๆ เอาเถอะอาตมาขอทำตามที่อาตมาเห็นก็แล้วกันนะ เพราะอาตมามีสิทธิ์ของอาตมาที่จะทำตามที่อาตมามีสิทธิ์ 

ยิ่งในยุคนี้สิทธิเสรีภาพสมบูรณ์แบบ ก็อย่าว่ากันเลยนะ ดูกันไปยาวๆ 

 

_Phaisarn Sri ไพศาล ศรี : ท่านจันทร์ จีที200 ไม้ล้างป่าช้า ผู้ผลิตเป็นฝรั่ง ยอมรับแล้วว่าลวงโลก สว.บางคน เป็นกรรมการตรวจให้ผ่านได้อย่างไร คิดแบบวิทยาศาสตร์

เป็นกรรมวิบาก ให้เด็กถอนหงอก อันละ199บ. ไทยซื้ออันละหลายแสนบาท กรรมแบบที่ท่านเทศน์ แหละครับ นมัสการ ด้วยความเคารพ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่รู้ข้อมูลที่ว่านี้ถ้าตามข้อมูลก็เป็นการโกงขี้โกงบาปใครบาปมันกรรมใครกรรมมัน คนขี้โกงขี้กินก็เป็นบาปไป ถ้ามันจริงนะ ถ้ามันไม่จริงก็อีกแล้วแต่อาตมาก็พูดตามโจทย์ที่คุณพูดมาไปตามน้ำเท่านั้นเอง ถ้าเป็นทุจริตมันก็บาป ถ้าไม่ทุจริตเป็นเรื่องเหมาะสมก็ตามควรอาตมาไม่รู้ข้อมูลอันนี้ 

 

_เปิ้ล บ้านไผ่  • เพลง"บูรณภาพ" ไพเราะและขลังมากค่ะ ทั้งคนร้องก็ร้องได้ดี

 ดิฉันอยากมีโอกาสใช้เสียงร้องเพลง รับใช้พ่อท่านบ้าง แม้ไม่เก่งก็จะพยายามค่ะ 

พ่อครูว่า... แจ้งไปทางป๊อก หินไฟ หรือว่า โอ๋ ฆราวาส คณะที่เขาทำงานดนตรี อยากร่วมก็ขอบคุณมาเลย 

 

_Wanpen Signer วันเพ็ญ ไซเนอร์   · ทำดีได้ได้ดีทำชั่วก็ได้ชั่วไม่ช้าก็เร็วกรรมทำงาน

พ่อครูว่า... ถูกต้องหมด สั้นๆ 

 

_พุทธพิมพ์ไพร ...กราบนมัสการพ่อครูค่ะ....  หลังเลือกตั้งอึ้งกับผลการเลือกตั้งไป 1 วัน ทำใจได้แล้วก็เตรียมตัวดูไป  ฟังธรรมแล้วก็ได้แง่คิดระลึกถึงโศลกธรรมที่พ่อครูเคยให้ไว้  

"คนฉลาดสร้างอาหาร  คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ" ในใจก็คิดว่ายุคนี้สถานการณ์นี้น่าจะ

"คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างวาทกรรม บิดเบือน ใส่ร้าย"

เพราะวาทกรรมที่บิดเบือน ใส่ร้ายสร้างความแตกแยกระดับครอบครัว  จนถึงระดับประเทศ  และโลกเลยค่ะ

พ่อครูว่า... วาทกรรมก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง ฟังคนจะเป็นนายกฯ

พูดถูกต้อง เขาจะแยกทุกอย่างเท่าที่ดูแนวความคิดของว่าที่นายก ฟังแล้ว เขาจะทำไหวไหมนี่แต่เขาก็ยังหนุ่ม อาจจะเป็นนายกฯสัก 30 ปีได้ ก็คงแย่ ดูซิว่าเขาแยกแล้วจะจัดส่วนการแยกธาตุเหล่านั้น ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ ประเทศไทยจะต้องมีผู้ที่มาทำงานนี้ให้แก่ประเทศหรือไม่ อาตมาก็ไม่ใช่คุณฟองสนานเนาะ ก็เลยรู้ไม่ได้ ไม่สามารถรู้ ไม่ใช่หมอมอ ไม่สามารถตัดสินรู้ได้ว่าเป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ก็ยังเห็นเขากำลังทำ MOU กันเต็มที่ ผนึกพรรคต่างๆ พยายามอยากจะได้กระทรวงนั้น กระทรวงนี้ อะไรต่ออะไรอยู่คึกคักกัน 

มันดูบุพเพสันนิวาสจริงๆ มันเป็นเรื่องราวเหตุ นิทาน สมุทัยปัจจัยของโลกจริงๆเลย เป็นเรื่องราวของพฤติกรรมของมนุษยชาติในระดับประเทศ ไม่ใช่ในระดับครอบครัวเท่านั้น 

 

( SMS ต่อไปนี้ชื่อ คนโพสต์ เขาอาจจะตั้งให้ไม่ซ้ำกับคนอื่น ซึ่งอาจจะอ่านยาก นิมนต์พ่อครูข้ามไปเลยไม่ต้องอ่านชื่อเขาก็ได้ครับ )

_@user-ue7id7bk4t  • น้อมกราบพ่อครูท่านที่เคารพยิ่งๆขึ้นค่ะ.ฟังเพลงพ่อเห็นพ่อครูโดนคนให้ร้าย(ถ้ายังอยู่โลกเก่าเจ็บปวดแทนพ่อค่ะ) พออยู่โลกใหม่เข้าใจธรรมะจัดสรรให้พ่อครูพาลูกเจริญและหลุดพ้นจากกรรมเก่ามาสร้างกรรมใหม่ที่จะติดตัวพวกเราไปทุกภพทุกชาติค่ะ

_@mocsl3537  • สาธุเจ้าค่ะฟังท่านพ่อตอบปัญหาแล้วคลายเครียดดีค่ะ

_@user-xj6sy3ip7d  • ท้อแท้ค่ะ  ฟังแล้วรู้สึกดีค่ะ  ขอบคุณนะค่ะ

พ่อครูว่า... มันก็เกิดจากปฏิกิริยาของสังคม 

_@tanatkongyuen6564  • หนูก้อป่วย..ใจป่วยกายมา..2วันเช่นกัน..ฟังหมอเขียว..ฟังพระอาจารย์...แล้วสบายใจขึ้นค่ะ...นมัสการเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ใช้ได้อยู่กับธรรมะก็ไม่ต้องไปวูบวาบกับโลกเขานักมันเป็นธรรมชาติของโลกฟังไปก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงเขา 

 

หลังเลือกตั้ง 2566 การเมืองต้องดูไปยังไม่ถึงขั้นต้องลงสนาม

_@welapon65  • ร้อยเอ็ดพร้อมลงถนน     ปกป้องสถาบัน

พ่อครูว่า... คุณคนนี้เหมาทั้งร้อยเอ็ดเลยนะ เอาละจะต้องไปลงถนนปกป้องสถาบันหรือไม่ ก็คงไม่ถึงขั้นนั้นกะละมังเท่าที่ดูๆแล้วก็รู้สึกว่าเขาจะยืดหยุ่น ถึงแม้จะมีอะไรอยู่ในจิตของเขาว่าเขาจะต้องเอาลงให้ได้หรืออะไรอยู่ก็ตาม แต่ท่าทีที่เขากำลังทำฉากหน้าเขาคงไม่ทำถึงขั้นจะต้องลงไปถนนหรอกเขาคงฉลาดอยู่ เพราะว่าเขาดูดีนะว่าพลังประชาชนไม่ใช่เรื่องธรรมดา คนๆนี้เขาเข้าใจเรื่องพลังประชาชนไม่ใช่ธรรมดา 

และเขาคงมีปฏิภาณรู้ด้วยว่าพลังประชาชนที่มาให้คะแนนเลือกเขาขึ้นมาขณะนี้ มันไม่ใช่พลังประชาชนทั้งประเทศ หรือไม่ใช่พลังประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย อาตมาว่าเขาพอมีปฏิภาณไหวพี่ก็รู้เรื่องนี้อยู่เขาคงไม่ทำให้เกิดพลังประชาชนที่จะต้องลงไป เพราะเขาเห็นมาแล้วบทเรียนพลังประชาชน ซึ่งไม่ถึงขั้นที่จะต้องมาแตะมาตรา 112 หรือจะมาล้มสถาบันอย่างโจ่งแจ้ง เขาจะแย่งชิงอำนาจอย่างแค่ทักษิณที่เขาทำมา เท่านั้นประชาชนยังถึงขนาดนั้น ถ้าไปถึงขั้นแตะสถาบัน หนักกว่านั้นแน่นอน รับรองถนนแน่นกว่านี้แน่นอน งวดนี้ แค่ที่ทำเรื่องของชาติเรื่องของการเมืองก็ยังขนาดนั้น ถ้าหากลึกไปถึงขั้นสถาบันรับรอง ประเทศไทย ไม่รู้ซะแล้วว่าประเทศไทย จะมาล้มล้างสถาบันเหมือนหลายประเทศที่เขาทำได้ เขาก็ทำเขามีจิตอย่างนั้นอยู่ อาตมาว่าจิตอย่างนี้แหละจะอยู่กันไปนานเท่าไหร่ประเทศไทยก็ดูไปก็แล้วกัน อาตมาก็ทิ้งเรื่องไว้แค่นี้แหละ 

 

_กราบนมัสการพ่อครูพระศาสดาเคารพอย่างสูง ในคำสอนค่ะ ผู้นำวิญญาณดิฉันเกิดได้จริงๆ ปัจจุบันฟังธรรมซ้ำค่ะ ยังมีชีวิตอยู่ วิญญาณดับเป็น 0 จากกามคุณ 5 เลย ดิฉันไปเผาศพเพื่อน พิธีกรบอกให้พระสวดส่งวิญญาณไปสวรรค์

1. ถาม วิญญาณเราต้องรู้ต้องไปเอง เราต้องส่งด้วยศีลกุศลวิญญาณทุกขณะปัจจุบัน ใช้ถูกไหมคะ 

พ่อครูว่า... ใช่เราเองจะต้องเป็นผู้ส่ง ไม่ต้องส่งหรอกมันจะไปตามกรรมวิบาก 

2. วิญญาณอายตนะทั้งหมดดิฉันส่งทางกายวาจาใจสงบพอได้ มากน้อยศึกษาธรรมะตลอดชีวิตค่ะ ขอบพระคุณพ่อครู ผู้เมตตาค่ะ 

 

เกิดมาควรได้สลายจิตนิยามให้เป็นพีชะสำเร็จ

พ่อครูว่า... เรามาพูดถึงเรื่องวิญญาณ ลงรายละเอียดในเรื่องวิญญาณ 

วิญญาณคือธาตุรู้ที่เป็นสัจธรรมที่สำคัญ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าวิญญาณขันธ์ ซึ่งมันจะรวมทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์ 5 ขันธ์

ขันธ์ คือความรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นกอง มันหมายถึงเจตสิกต่างๆอาการของพลังงานจิตเป็นนามธรรมเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณเป็นคำรวม พระพุทธเจ้าเข้าใจวิญญาณก็แยกวิญญาณออก แม้จะแยกเป็นรูปขันธ์ เวทนา สัญญา ก็แยกแล้ว 

แล้วจะเรียนรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณได้ ต้องแยกออกเป็น 2 สภาพคือรูปกับนาม 

รูปถ้ามีแต่วัตถุรูปเฉยๆ มันเองมันไม่สามารถที่จะรู้ตัวมันเองมันไม่สามารถที่จะเรียนความเป็นตัวมันเองได้ เพราะมันไม่มีธาตุรู้ที่เป็นตัวตนเป็นจิตในยาม สามารถที่จะรู้องค์รวมของตัวเองพลังงานของตัวเองอาการที่มันรวมเป็นพลังงานของรูปมัน วัตถุมันไม่รู้ แต่มันเป็นพนักงานที่เป็นธรรมชาติบวกลบเป็นต้นดูดผลักในตัว มันก็ทำหน้าที่ของมันไปตามที่มันเป็น มันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นพลังงานอื่นก็จัดการกับมันเพราะมันไม่เป็นตัวเอง 

แม้จะเป็นพลังงานระดับสูงขึ้นมาเป็นพืช พีชนิยาม ก็ยังไม่ใช่วิญญาณยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีความรู้สึกในตัวเอง มันเป็นพลังงานชีวะ มันเป็นธาตุรู้ตัวมันเอง จับตัวมันเองได้ มีบวกมีลบ มีธาตุนั้นจะต้องใช้ ธาตุนี้ไม่ต้องใช้ มันรู้ว่าอันนี้ต้องเอา เอาไว้ใช้กับตัวมันเองส่วนอันอื่นที่ไม่ใช้ มันก็ไม่เอา มันไม่ทะเลาะ ไม่เบียดเบียนกับใครอื่น มันเอาแต่ตัวมันเองเป็นพืช 

พลังงานลักษณะเหล่านี้ที่อาตมาขยายไปคร่าวๆมันเป็นพลังงานที่ไม่เป็นภัย เป็นพลังงานฐานอาศัยของจิตวิญญาณ ระดับ พีชนิยาม หรือพืช การศึกษาของพระพุทธเจ้า ศึกษาจิตหรือวิญญาณและแยกเป็นเจตสิกย่อยออกมาแล้วให้เป็นพลังงานในระดับพืช ใช้พลังงานนี้อาศัย ก็จะไม่เป็นบาปเป็นภัยเป็นโทษ และในที่สุดไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึกก็ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่เป็นฐานอาศัยของพระอรหันต์ พระอรหันต์ต้องรู้พลังงานในระดับพืชแล้วทำจิตให้เป็นพืช ทำให้เป็นพลังงานพืช เมื่อกระทบสัมผัสกับอะไร 

รับมาแล้วก็ทำให้เป็นพลังงานพืช ตัวเองก็ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้วไม่ไปทำบาปทำชั่วทำไม่ดี มีแต่จะทำสิ่งที่ดี พืชนี้ให้ประโยชน์ ให้สิ่งที่เป็นคุณค่าแก่สิ่งอื่นๆไม่เป็นโทษกับใคร นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด 

ทีนี้พลังงานถึงขั้นจิตนิยามหรือวิญญาณ ตรงนี้ ซึ่งคนเป็นสัตว์แล้วไม่ใช่แค่พืช เริ่มตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานสัตว์ 2 เซลล์ 5 เซลล์ 100 เซลล์ ล้านเซลล์ อยู่ในพลังงานระดับยึดเป็นตัวกูของกู ยึดเป็นตัวเอง เพราะฉะนั้นพวกนี้หวงแหนตัวเอง รักชีวิตตัวเอง มีความรู้สึกจองเวรจองกรรม มีอาฆาตมาดร้าย ทำร้ายผู้อื่นได้ ตั้งแต่เซลล์เดียว 2 เซลล์หรือล้านเซลล์ เช่นพวกเชื้อโรค เป็นพลังงานเซลล์เป็นพลังงานชีวะระดับเล็ก มันกัดแหลกทำคนตายไปตั้งเท่าไหร่ 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้พลังงานพวกนี้ยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แล้วท่านก็พยายามมาให้คนที่เป็นจิตนิยามระดับเรียนรู้พวกนี้ได้ แล้วมาทำจิตวิญญาณหรือทำจิตนิยามหรือเจตสิกของตัวเองให้อยู่ในลักษณะที่อาศัย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ไปทำร้าย ทำแต่ประโยชน์ 

(อาตมาขออภัยคันจมูก อากาศมันมีความเปลี่ยนแปลง)

เพราะฉะนั้นการศึกษาคน การศึกษาวิญญาณหรือจิตนิยามของตน ของคนทุกคน จะมีลักษณะเหมือนกันในความเป็นจิตวิญญาณ ศึกษารู้จักแล้วก็จัดการทำมันเรียกว่า มนสิการ ทำใจทำจิตของตนเองให้มีสภาวะหรือมีลักษณะตามที่พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะให้

ทำให้เป็นพีชะอาศัย ถ้าเป็นจิตนิยามก็จะมีความรู้ความฉลาดที่สูงเรียกว่าปัญญา ขึ้นไปในระดับที่สามารถที่จะอยู่พ้นหรือหลุดพ้น จากภาวะของพลังงานจิต พลังงานจิตนิยามของสัตว์อื่นเรียกว่า อุตระหรืออยู่เหนือ พลังงานของอันอื่นทำร้ายพลังงานที่เป็นอุตตระที่อยู่เหนือกว่าไม่ได้ เพราะมันมีปฏิภาณปัญญาความฉลาดที่สามารถ ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นที่ยังต่ำกว่า ทำเราไม่ได้ และไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายผู้ที่ต่ำกว่าด้วย นี่เป็นคุณสมบัติคุณวิเศษของจิตนิยามหรือจิตวิญญาณ 

พระพุทธเจ้าสอนให้คนมีจิตวิญญาณหรือจิตนิยามให้มีลักษณะนี้ เสร็จแล้วจึงอยู่ในโลก ยังเป็นคนที่ใช้พลังงานจิตของตนเป็นประโยชน์และไม่เป็นโทษแก่สัตว์ใด แม้สัตว์ใดจะมาทำร้ายเราจะเป็นโทษต่อเรา ก็ไม่มีโกรธ ไม่มีถือสา ไม่มีอาฆาต ไม่ร้ายตอบ มีแต่จะทำดีตอบ 

เขาจะร้ายกับเราขนาดไหนเราก็ต้องหาทางช่วย ช่วยไม่ได้ก็ห่างกันเสียก่อน ช่วยไม่ได้ต่างคนต่างอยู่ เราก็ไม่มีฐานะพอจะช่วยเขาได้ นอกจากจะฝากลมฝากฟ้าฝากดินไปให้เขา เผื่อเขามีภูมิธรรมรับได้ ก็ฝากไปบ้างฝากให้บ้าง แต่ไม่มีสิทธิ์จะไปช่วยเขาได้ ยิ่งเขายึดถือตัวเองว่าเขาถูกต้อง เขาเหนือกว่าเรา ปิดประตูไม่รับ เป็นการเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ดีไม่ดีหาว่ามาทำร้ายทำลาย 

เขาไม่ทำร้ายเราก็ดีแล้ว เราก็ต้องพยายามทำให้เขาจนกระทั่งว่า เราไม่ไปทำร้ายเขาหรอก จนกระทั่งเขาเชื่อถือไว้ใจเราว่าเราไม่ทำร้ายเขาหรอก มีแต่จะทำดีตอบ แม้เราจะตำหนิติเตียน จะตำหนิเขา จะพาดพิงว่าสิ่งที่เขาทำนี้ผิดก็ต้องประมาณ ให้เขารับประโยชน์จากที่เราว่า เราตำหนิให้ได้ ถ้าประมาณผิดเขามีภาวะสะท้อนตอบแรงหรือโกรธมา มันไม่ดี ก็ต้องประมาณให้ดี นี่เป็นเรื่องที่อาตมาทำ แล้วอาตมาก็ระมัดระวังสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นต้น 

 

การเมืองยุคนี้ คือสงครามระหว่างความรู้กับการกระทำ

สรุปสั้นๆว่า เราเป็นคนเกิดมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ ตรัสรู้ว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วเราไปเป็นทาสหรือเราไปตกอยู่ในวังวนของอะไร งมงายวนๆวังวนหลงอยู่กับลาภ ยิ่งกว่านั้นไปงมงายอยู่กับอบายมุข งมงายอยู่กับสิ่งไร้สาระ จะมีปฏิภาณรู้ว่าเราโง่หลงมานาน อยู่กับอบายมุข มันมัวเมาอยู่กับอบายมุข 

เช่น จะแย่งอำนาจอย่างที่เขาไม่รู้ อย่างเทวนิยมหรือฝ่ายโลกที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาแย่งอำนาจกัน หรือแม้แต่คนในพุทธศาสนาก็ตาม ยังมัวเมาการแย่งอำนาจอยู่ แสดงว่าเขาไม่รู้ 

ผู้ที่แย่งอำนาจคือผู้แย่ง ผู้ไม่แย่งก็คือผู้ไม่แย่ง ผู้ไม่แย่งที่อยู่ในสังคมที่ดี คนดีจะเอาอำนาจให้เองให้แก่คนดี แต่ถ้าเผื่อว่าเกิดสังคมมีพลังงานแบบสมัยนี้ พลังงานไอโอพลังงาน AI ที่จะเป็นพลังงานที่มอมเมาคน ที่จะหลอกคน ครอบงำให้คนจะต้องมาเห็นดีเห็นงามอะไรก็แล้วแต่ 

จนกระทั่งได้ผล สั้นๆก็คือครอบงำคนให้มาเชื่อเรา โดยวิธีการโดยการทำ 

1. ทำวิธีการเพื่อให้คนมาเชื่อเรา 

2. คนที่ไม่ทำเลย แต่คนนี้ทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติกับคนที่ทำอะไรก็แล้วแต่ จะเป็น AI หรือ IO ก็แล้วแต่ หรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ตามที่จะสร้าง ที่จะครอบงำให้คนมาเชื่อเราให้เราได้ใช้อำนาจได้ มันมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆอย่างนี้ 

ยกตัวอย่างคนสองคนเป็นตัวอย่างชัดๆเลย พลเอกประยุทธ์ กับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขออภัยที่ต้องระบุบุคคลเลย เพื่อที่จะให้เข้าใจได้ง่ายๆเพราะเป็นตัวอย่างแท้ เป็นตัวอย่างจริง เป็นคนจริง มีพฤติกรรมจริงมีพฤติการณ์จริงทำงาน ที่คนทุกวันนี้เห็นอยู่ ก็เอามาให้ศึกษา 

พลเอกประยุทธ์ทำงาน แต่คุณพิธานั้นทำเครื่องมือ ทำวิธีการ ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนมาให้อำนาจ แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ต้องการอำนาจ ทำงานตรงๆเลย แล้วประชาชนก็ให้เอง อาตมาพูดความจริงสู่ฟัง วิเคราะห์วิจัยให้ออก ในกิริยาการ พฤติกรรม กาย วาจา ใจ ของคน 2 คนนี้ เห็นชัดที่สุด จะเห็นชัดที่สุดเลย

เพราะฉะนั้นในสัจจะที่คนทำงานแล้วก็รู้จักงาน งานที่เป็นสาระ ขณะนี้ว่าไปแล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าคุณพิธาจะทำงานเป็นแค่ไหน แต่แน่นอน ลิงตกต้นไม้ไปหลายตัวแล้ว พูดจนลิงหลับ ลิงตกต้นไม้ครอบงำ กล่อมเสียจนเชื่องเลย แล้วก็ให้คะแนนเขา เขาก็ขึ้นมาได้ 

อาตมามองเห็นอย่างนี้นะ ขออภัยอาตมาวิจารณ์ตรงๆ 

ขออภัยคุณพิธาด้วย เพราะอาตมาวิจารณ์ด้วยสัจจะ ด้วยใจจริง ถ้าหากเห็นว่ามันเป็นไปอย่างที่อาตมาว่าดีหรือไม่ดี  คุณก็ฟังแล้วคุณก็จะแก้ไขก็แก้ไข ถ้าคุณเห็นว่าไม่แก้ไขแล้วอาตมาเข้าใจผิด แต่คุณเข้าใจและเชื่ออย่างที่คุณทำนั่นแหละถูก แน่นอนคุณก็ทำของคุณไป คุณก็ไม่ฟังอาตมา แต่ฟังเขาคงไม่ฟังหรอกเพราะอาตมามันยิ่งกว่าปากหอยปากปู ไม่ได้มีน้ำหนักน้ำเนื้ออะไร คนอื่นๆใดๆพูดอย่างมีน้ำหนักมาก อาตมาพูดไปทุกวันนี้ยากที่คนจะมาฟังอาตมาว่าที่อาตมาพูดนี้เป็นเนื้อหาเป็นน้ำหนักที่น่าฟัง มันมีน้อยที่คนจะรู้จัก คุณค่าที่อาตมาแสดงธรรมหรือแสดงวาทะ แสดงคำพูด แสดงสิ่งที่สื่อออกไปสู่สัจธรรม น้อยที่จะเข้าใจที่อาตมาเสนออยู่ 

ส่วนคนที่จะไปฟังสิ่งที่คุณพิธาเสนอ เขาจะเข้าใจง่ายเพราะมันเป็นโลกียะ มันเป็นเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ส่วนอาตมานั้นไปคนละเรื่องเลย มันเป็นเรื่องของการขัดเกลา อันนี้เป็นโลกุตระเลยอันนั้นมันเป็นโลกียะ มันก็เลยยากที่จะเข้าใจ แต่ยิ่งเขาไม่เข้าใจจึงจำเป็นต้องยิ่งพูดกัน อธิบายกันให้เข้าใจ 

เราดูได้จากพฤติกรรมของคนคือความจริง ที่ชี้บ่งการกระทำนั้นๆว่า สิ่งที่จะใช้ตัดสินคือ เป็นการเสียสละหรือเป็นการเห็นแก่ตัว ใช้ 2 สิ่งนี้ การเสียสละกับการเห็นแก่ตัว ทำเพื่อให้ตัวได้ เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่พรรคพวกของตัว แสดงให้เห็นชัดๆเจนๆว่า 

ลักษณะของพลเอกประยุทธ์กับคุณพิธา แสดง. พลเอกประยุทธ์พูดแล้วต้องการพวก ต้องการคะแนน หรือคุณพิธาต้องการคะแนนหรือไม่ต้องการคะแนน มันต่างกันอย่างเห็นๆเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่พูดเพื่อที่จะให้ได้คะแนนมาเพื่อให้แก่ตัว แก่พรรคพวกของตัว เพราะฉะนั้นเขาจะเก่งพูด พูดเพื่อจะได้คะแนน 

คะแนนมันยังไม่ใช่ความจริง เป็นคะแนนของคำพูดเท่านั้น ความจริงกว่านั้นของคน มันต้องเอาที่การกระทำครบ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำแล้วครบมีผลออกมา จะไปว่าคุณพิธาก่อนก็ไม่ได้ เพราะว่าเขายังไม่ได้มีโอกาสทำเหมือนพลเอกประยุทธ์ อันนี้ก็ต้องเข้าใจเห็นใจเขาอยู่

แล้วตามวิสัยทัศน์ของเขาที่เขาพูดออกมามีนโยบาย มีสิ่งที่เขาจะทำอะไรต่างๆนานา เราฟังแล้วมันต่างกันหมดเลยกับพลเอกประยุทธ์ทำมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้พูดก่อนแต่ทำมาตลอด 8ปีแล้ว แต่คุณพิธา ยังไม่ได้ทำสักปี ก็เอามาเทียบกันยังไม่ได้ แต่เราก็พอมองเห็นทิฏฐิ ความเห็นความเข้าใจ หรือแม้แต่จะมองลึกลงไปถึง

ศีลสามัญญตากับศีลสัมปาทา คุณพิธา จับร่องรอยได้มีการโกหก ก็เห็นได้แล้ว มันเทียบกันไม่ได้

แม้ ทุกวันนี้ลุงตู่ก็ไม่ได้ดึงดัน ไม่ได้ไปแก่งแย่ง มีแต่พิธาดิ้นรนแย่งอำนาจนายกมาให้ได้ แต่ลุงตู่ก็ไม่มีปัญหา ก็กลางๆ แต่ตอนนี้รักษาการ ตามหน้าที่ที่ยังไม่หมด ก็อย่างน้อยรักษาการนายกฯ แต่ทีนี้อยู่ในวาระที่รักษาการ จะบอกเป็นนายกฯเต็มก็ยังไม่ได้ เพราะมันลดลงมาถึงขั้นรักษาการณ์อยู่ นี่มันเป็นพฤติการณ์สังคมที่เราต้องศึกษาดีๆ อ่านดีๆแล้วจะรู้

คนที่วิจัยวิจารณ์ว่า เป็นพระมาพูดอะไรเรื่องการเมือง อาตมาก็สงสารที่เขามีความเข้าใจ มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ตื้นๆ 

อาตมาพูดก็ต้องได้รับผลสะท้อนต้องรับผิดชอบเอง เพราะ อาตมามีใจบริสุทธ์ไม่ได้ปรารถนาร้าย เป็นความปรารถนาดีที่ต้องการให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แก่มวลประชาชน ส่วนผู้ปฏิเสธก็แน่นอนอาตมาไม่สามารถไปบังคับอะไรได้ แล้วแต่ แต่ผู้ไม่ได้ปิดประตูก็มารับ แม้เขาจะเห็นแย้งก็เป็นธรรมชาติ ก็ตัดสินเอา เป็นสิทธิส่วนตัว สิทธิคือสิ่งที่จบ สิ่งที่ สำเร็จในตัว ของใครของมัน ไม่มีใครบังคับได้ เราตัดสินของเราเอง

คนที่จะสามารถหวังดีและแยกแยะสิ่งที่มันต่างกัน วิเคราะห์วิจัย  ยืนยัน อ้างอิง นำเสนอให้เห็นว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิด อะไรถูก เพื่อจะได้เข้าใจ ตัดสินได้ถูกดีกว่า

ไม่เช่นนั้นยึดอยู่ ไม่มีอะไรกระทุ้งกระเทือน ไม่มีอะไรมากระตุ้น ให้รู้ว่าที่เรายืนอยู่มันผิดไม่เข้าท่า ควรเปลี่ยนที่ใหม่ ผสมหน่อย เปลี่ยนแปลงไป มันก็จะได้เจริญขึ้น 

_ป๋อง...วันนี้ครบ 9 ปีที่มี พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจ

พ่อครูว่า... พูดถึงเรื่อง ประยุทธยึดอำนาจเป็นเรื่องเข้าใจยาก อาตมาพูดแล้วคนเข้าใจไม่ได้สักที ที่บอกว่าพลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการ มายึดอำนาจ เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอของพลเอกประยุทธ์ โดยใช้คำว่า พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจ มาบริหาร

ซึ่งอาตมาพูดบอกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะอาตมาอยู่ในเหตุการณ์เป็นตัวจริงร่วมกับประชาชน เข้าไปยึดอำนาจประเทศไทย ยึดอำนาจอะไร? ยึดอำนาจรัฐบาล ที่เห็นว่ารัฐบาลใช้ไม่ได้ ตั้งแต่ รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัครเป็นของประชาชนประชาชนมีสิทธิ์ตามที่ประชาชนควรสมชาย ยิ่งลักษณ์ อาตมาไปร่วมยึดอำนาจ

คำว่ายึดอำนาจเป็นภาษาที่ไม่ดี แต่โดยความเป็นประชาธิปไตยอำนาจเป็นของประชาชน ประชาชนมีสิทธิ์เต็ม ที่จะยึดอำนาจ ตามประชาชนส่วนใหญ่เห็นควร เพราะออกมาแสดงตัวเป็น 10 ล้าน จนกระทั่ง กกปส. รวมกัน ชัตดาวน์แบงค็อก ปิดเมืองหลวงได้เลย 

นี่คือปรากฏการณ์ที่แท้จริงว่าประชาชนยึดอำนาจ คนไม่เคยพบเคยเห็น ประชาชนไม่มีมีดอาวุธ มีแต่มือเปล่ากับใจจริงและความสงบ เอาความจริงเป็นเครื่องมือไปยึดอำนาจแล้วยึดได้สำเร็จ สวยงาม เป็นตัวอย่างของโลก ที่ตายไปไม่ใช่ฝีมือของประชาชน    สวยงามแล้วฉันมีพฤติการณ์ดูคุ้มครองประชาชนประชาชน แต่เป็นฝีมือของรัฐบาลเลว ประชาชนถูกอำนาจของรัฐบาลเลวที่ประชาชนไปยึดอำนาจ แล้วประหารอำนาจรัฐบาลลงได้จริง

นี่คือการเมืองรัฐศาสตร์บทสำคัญของโลก ประเทศไทยได้ทำสำเร็จสวยงาม แต่คนไปเชื่อ AI IO ที่มันโฆษณา โซเชียลหลอก 

เป็นเรื่องที่ ดร.ทางรัฐศาสตร์ไม่เข้าใจ 

ลุงตู่ก็ยังมีกำลังใจทำต่อแต่ก็มีวิบากที่ไม่ให้ทำ นายกประยุทธ์ไม่ได้แสดงอาการอะไร ก็ให้เสียงประชาชนหรือผู้ที่เห็นด้วยออกมา แม้แต่ลีน่าจังก็ออกมาใส่ตูมๆๆ.. คนดูมีเท่าไรลีน่าจังใส่ให้เห็นเลย ทำให้เห็นเลยว่าใครเล่นไฮโลเป็น คนไหนตาต่ำ คนไหนตาสูงจะเห็นคนเล่น 

นี่เป็นบทบาทของมนุษยชาติในสังคม ที่เมืองไทยมีบทบาทของประชาธิปไตยซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นไป เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เป็นเรื่องที่มันเกิดขึ้นอย่างวางแผนวางผัง ไม่ มันเกิดตามสัจจะของมัน มีจิตวิญญาณเป็นตัวประธานของแต่ละคนออกมาแสดงตัว ดูไป แล้วจะได้เห็นว่า ลึกๆแล้วมันมีพลังงานเหมือนกัน เหมือนกับมีพลังงานคลื่นปะทะแต่เบามาก ในประเทศไทย 

แตกต่างจากนอกประเทศไทยซึ่งน่าสงสาร เมืองไทยดูนุ่มนิ่มเหมือนหนังอินเดีย ไม่เหมือนหนังจีนเลย เหมือนหนังอินเดีย รบกัน เหมือนโขน แหม ฟันกัน นุ่มนิ่มนุ่มนวลสวยงามหวานจ๋อย เรียกว่า Soft Power สุดเลย มันดูดีจังเลย นี่คือสิ่งจริง ไม่ได้มีใครสร้างได้ ไม่ได้มีใครเขียนบท มันเป็นสัจธรรมที่ออกมาให้โลกได้ดูได้รู้ 

ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญามีดวงตาจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยแสดงละครเรื่องประชาธิปไตยได้เยี่ยมจริงๆ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยพูดไว้นานแล้วว่าพลังแห่งจิตใจพลังงานแห่งความสำนึกดีของคนในชาติรวมกันแล้วจึงเรียกว่า พลังของพระสยามเทวาธิราช 

พ่อครูว่า... ถูกต้อง ใช้ศัพท์อย่างนั้นเลยก็ได้ มันเป็นความจริงของคนของสังคมมนุษยชาติ คนที่เป็นกลุ่มสังคมแล้ว มีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ที่เกิดจริงเป็นจริงออกมายืนยัน ยืนยันความเป็นเอกภาพ ที่มีทิฏฐิสามัญญตา คนไทยเราทั้งประเทศ มีทิฏฐิส่วนรวมส่วนใหญ่มีศีลสามัญญตา มีหลักมีเกณฑ์ รวมไปถึงกฎเกณฑ์กฎหมาย วัฒนธรรม แม้แต่ที่สุดถึงขั้นเมืองไทยนี้ พระเจ้าแผ่นดินก็อยู่ในกฎมณเฑียรบาล อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งก็ปฏิบัติประพฤติกันจริงกันอยู่ เป็นตัวอย่างให้โลกได้สัมผัสได้เห็นอยู่ มันเป็นความจริงของโลก ที่อาตมาดูตามภูมิของอาตมาเอง โอ้..เมืองไทยยังจะมีอะไรสวยๆ น่าดู ซึ่งคนดูแล้วไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่เป็นเรื่องน่าดู คุณเอาสตางค์เป็นล้านๆๆๆไปจ้างพิธาทำก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น เขาไม่รับจ้างหรอกเขาก็ทำตามที่เขาทำ หรือแม้แต่ทักษิณเองก็เถอะ ที่เขามีทรัพย์สินมากๆ หรือความโกงเอาไปมากๆเป็นเรื่องความโกงของเขาแต่ไม่มีใครเอาเงินไปจ้างเขาหรอกเขาโกงไปเอง เขาก็เป็นตัวละครที่ทำจริง 

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นตัวอย่างของโลก เป็นตัวละครในกระดานของการเมืองประเทศไทย เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ได้ออกไปจากกระดานนะ ยังแหลมหน้ามาอยู่ในกระดานตลอดเวลาเลย แล้วก็ทำทีเป็นอยู่ข้างๆเคียงๆกับพิธา ต้องเอาเพลงหน้าเหลี่ยมมาให้ฟัง สี่เหลี่ยมก็มี 4 ด้าน  ... มันเห็นแล้วสุดสวยสุดงามสุดยอดเยี่ยมเลย 

_สู่แดนธรรม... ฟังธรรมพ่อครูวันนี้แล้ว พวกเราที่เป็นห่วงว่าพระสยามเทวาธิราชจะไปไหนหรือไม่ ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เพราะว่าจิตสำนึกดีของคนไทยที่เป็นพลังรวมของคนทั้งประเทศ อย่างไรก็ประคับประคองกันได้อยู่ 

พ่อครูว่า... มันเป็นสงครามของความรู้ กับสงครามของการ กระทำ ตอนนี้ แยกให้ออก ฉะนั้นสงครามความรู้เขาก็ทำ คนที่กระจายแต่ความรู้มาเป็นพลังให้น่าเชื่อถือ กับคนที่กระทำแล้วเป็นพลังที่น่าเชื่อถือ คนที่มีปฏิภาณปัญญา มีดวงตา ก็แยกแยะให้ออกก็แล้วกันว่า คนทำจริงกับคนที่เอาแต่ความรู้แล้วมีพลังความรู้ อย่างคุณพิธาเขายังไม่ได้ทำงานมา ก็เอาเบื้องหลังที่เขาทำงานมาเหมือนกัน เอาผลงานจาก ย้อนจากนี้ไปถอยหลังไปจากที่เขาประพฤติอยู่ในสังคมประเทศ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ก็เอาพฤติกรรมของเขามาใช้เป็นเครื่องตัดสินก็พอได้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องความรู้พอสรุปแล้ว มันจะมีแต่ความรู้ ความขี้โม้ ความขี้คุย หรือมีทั้งแสดงความรู้ ขี้โม้ขี้คุย แล้วก็ทั้งทำด้วย อย่างทักษิณนี้ทั้งรู้ ขี้คุยด้วย แล้วทำด้วย 8 ปีด้วย กับพลเอกประยุทธ์ 

พลเอกประยุทธ์อาจจะรู้สู้ทักษิณ สู้พิธาไม่ได้ แต่ทำงานมีผลงาน เอาอันนั้น เอาเนื้อๆมาตัดสินสิ เอาล่ะ ตัดสินกับพิธายากเพราะเขายังไม่ได้ทำเท่าไหร่ ตัดสินกับทักษิณพลเอกประยุทธ์กับทักษิณ ดูซิว่าอะไรคืออะไรแท้ ถ้าเราไม่ลำเอียงไม่อคติจริงๆ ก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเนื้อแท้ของความรู้กับงานผลงานหรือการทำงาน เป็นสิ่งตัดสิน 

สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #23การเมืองไทยวันนี้คือสงครามความรู้กับการ
กระทำ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2566 ( 03:44:58 )

660524

รายละเอียด

660524 ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53258.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1gS4FwLTtofruo0bZCYM5_LOB7Quscbxz/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/12xBfFfHy1OOLEpryb_S6jSD_pIwggiQE/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/6LLyYJbPzP0 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1452789412217698 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันจันทร์ที่แล้วพ่อครูบอกว่าการเมืองไทย ถ้าเป็นบทละครก็เป็นบทละครที่แสดงได้อย่าง Soft Power ได้อย่างนุ่มนวลไม่รุนแรง ถ้าจะให้ชื่อตอนก็ให้ชื่อว่าบุพเพสันนิวาส ตอนนี้พระเอกพิธากำลังมาแรงไปไหนมาไหนก็มีพี่วินมอเตอร์ไซค์ไปส่งไปนั่งกินข้าวข้างทาง มีพรรค รทสช อยากลองของ ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางนั่งกับพื้นบ้างเลียนแบบ จะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าทัวร์ลงทั้งวันทั้งคืน เขาต้องการทดสอบว่าประชาธิปไตยของพวกคุณเป็นยังไง มีคนที่คลั่งไคล้สักรอยบนตัวเป็นรูปหน้าพิธา กระแสกำลังขึ้นสูง 

ขณะที่เขากำลังแสดงตัวเป็นว่าที่นายก เราก็จะเห็นรอยยิ้มของทางพรรคเพื่อไทย เราจะเห็นคดีที่เรื่องสื่อ itv ก็น่าจะไปได้ยาก เพราะมีกรณีตัวอย่างของผู้สมัครคนอื่นที่ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากซื้อหุ้นสื่อเพียงแค่ 1 หุ้น คุณพิธากว่าเขาจะฝ่าหุ้น itv ได้ ก็มาเจอกรณีมาตรา 112 อีกก็ยิ่งยาก 

ลุงป้อมก็ยิ้มแย้มแจ่มใสรอพรรคเพื่อไทย ถ้ามีเพื่อไทยก็ติดด่าน สว.อีก ลุงป้อมดูมีความสุข ดูแล้วละครเรื่องนี้แต่ละคนเล่นบทบาทอย่างมีความสุขทั้งนั้นเลยไม่รู้จะตกที่ใคร 

ประชาชนก็ดูไปยิ้มไปก็แล้วกันเพราะคนแสดงเขาก็ยิ้มกันทุกคน ตอนนี้สถานการณ์อย่างที่คุณตุ๊ก อัศวิน เสนอว่าให้ Do it Best ,Let It Be ดูไป ทุกอย่างจะค่อยจัดสรรไปเอง 

 

พ่อครูว่า... 

SMS วันที่ 22-23 พ.ค. 2566

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · ฟังพ่อครูแสดงธรรมครั้งแรกบนเวทีสะพานผ่านฟ้า.ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิดครับ.พ่อครูบอกแพ้คือชนะ.ลูกฟังแล้วต้องหนีไปอาบน้ำ.แต่ทุกวันนี้ลูกต้องมารอพ่อครูแสดงทุกๆวัน.ลูกคงดวงตาเห็นธรรมขึ้นบ้างแล้ว

พ่อครูว่า... โดยเฉพาะฟังธรรมะอาตมา รสธรรมะอาตมาเป็นธรรมรสระดับขั้นโลกุตระ มีรสติดรส มันก็ต้องยากหน่อย แต่คนรับฟังได้แสดงว่าเข้าท่า 

 

_นพดล ทองโคตร  · ภายในพรรคส้ม ความเป็นอยู่เค้าอยู่แบบระบบคอมมิวนิตส์ สองสามคนมีอำนาจ ห้ามถาม ออกความคิดเห็น ไม่ให้ยกมือไหว้กัน ครับ พอออกมาโฆษณาชวนเชื่อใช้ภาษาว่าประชาธิปไตย หลอกคนครับ

พ่อครูว่า... ดูกันให้เห็นจริง อะไรเป็นสัจจะ อะไรเป็นการหลอก 

 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · กราบนมัสการพ่อครูสอนดีมากเลยค่ะ เพื่องานพ่อครูต้องทนทุกข์ทำงานน่าเห็นใจมากค่ะ 

 

_วิชาญ คำสุข  · ลีน่าจังยังเห็นความดีลุงตู่ครับ

 

_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก  · ยุคสมัยเปลี่ยน การทำงานมันก็ควรจะเปลี่ยน หรือพัฒนาขึ้นดีมั๊ย ?เจ้าคะ มีความรู้สึกว่า ทีมลุงตู่แกทำไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าจะทำเพื่อชาติ ก็ยังมีสิ่งอื่นที่เราจะช่วยกันได้อีกเยอะ โดยเฉพาะความมีปัญญาของชาวอโศก มีอะไรช่วยกันได้อีกเยอะเลยเจ้าคะ เป็นหูเป็นตาให้ชาวโลกียะโง่ ๆ ในสายตาของชาวอโศกได้อีกเยอะ น้อมกราบหลวงปู่ อยากคุยเจ้าคะ รอดูละครหมอหลวงช่องสาม ถนอมสุขภาพเจ้าคะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤษภาคม 2566 ( 08:07:55 )

660526

รายละเอียด

660526 คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53256.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1AopEo13a5f3odf53KaTnl0Wi6EevUx0B/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1_mE2goSKDLPlsC8eHGp-VIP3KdBdE-Pe/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/M3lJNQjpilI 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/552447893500872 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุค จะเห็นคนที่กล้าโกหกทั้งๆที่รู้ ใส่ร้ายป้ายสีกัน สมัยพุทธกาลมีนางจิญจมาณวิกา กล้าใส่ร้ายพระพุทธเจ้า 

เขาพูดโกหกกัน พูดกรอกหูบ่อยๆก็เชื่อ พระพุทธเจ้าสอนให้วิเคราะห์ตามหลักกาลามสูตร เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์ปฏิบัติด้วยตนเอง 

 

พ่อครูว่า... 

SMS วันที่ 24-25 พ.ค. 2566

_Petcharat Rank เพชรรัตน์ แรงค์ · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ... กราบขอบพระคุณพ่อครูที่เมตตาสอนเรื่องการเมืองให้เข้าใจง่าย.กลางต้องเข้าข้างคนดี...

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2566 ( 14:55:34 )

660529

รายละเอียด

660529 ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #24 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53257.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/15xIrZOsI7NLJ8iXr7D9K_fqKFZXw1sdk/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1Z2wPGgvaWR9siqdVkMVKzwzxuUQAhYyW/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/LZGp9x-6Ch8

https://fb.watch/kQqfLSiJLt/ 

และ https://fb.watch/kQkNAzd9Sn/ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ ตอน1(รวม1+2+3)

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

วันนี้เรามีศพ อยู่ข้างหน้าอาตมานี่ตั้งอยู่ข้างหน้าอาตมานี่เป็นศพของ นางสาวประทับใจ รักพงษ์อโศก ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อวานนี้ ถูกรถจักรยานยนต์ชนในขณะที่ไปทำงานแล้วรถมันเสียน้ำมันหมด แล้วลงมาจากรถเอาไฟมาส่องถนนมันเป็นที่มืดๆ รถมอเตอร์ไซค์มาจากไหนไม่รู้ซัดตูมเดียวซี่โครงหัก ขาหัก แล้วก็เลือดตกใน ช่วยกันไม่ทัน ก็สิ้นชีวิตไปเสียก่อน 

ชื่อเล่นของประทับใจเขามีชื่อว่าบี เป็นชาวอโศกเราจนกระทั่งอยู่ในตระกูลรักพงษ์อโศก ซึ่งมีท่านซาบซึ้ง สิริเตโช เป็นต้นตระกูล เมื่ออยู่กับพวกเราแล้วก็อยู่กันอย่าง ชาวอโศกจริงๆมานาน โดยเฉพาะเป็นครูด้วยสอนเด็ก สอนนักเรียนมามากมายหลายรุ่น เป็นครูตัวอย่างที่ทุกคนควรจะต้องได้ศึกษาอย่างดีชีวิตเขา 

เขาได้ประพฤติเขาได้กระทำ ทำงานไปด้วยศึกษาไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย ครบสูตรของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปปฏิบัติธรรมหนีเข้าป่าเขาถ้ำหลับตาสะกดจิตไม่ใช่ อันนั้นมันของเดียรถีย์นอกรีตมันผิดมิจฉาทิฐิ แต่ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำปฏิบัติลืมตามีอายตนะ 6 รับรู้ทางทวาร ทางหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ทำงานเกี่ยวเนื่องกันมีอายตนะต่างๆ โยงใยจิตวิญญาณกับภายนอกภายใน แล้วก็รับรู้ตัว 

ถ้าดูที่ชื่อว่าอายตนะคือมีทั้งภายนอกภายในระหว่างนามรูปวิญญาณอายตนะ สัมพันธ์กันเกิดเป็นสามเส้า วิญญาณแล้วก็แยกเป็นนามรูปมี 2 สภาพนามกับรูป 

ตั้งแต่รูปภายนอกแล้วก็มีภายในกำหนดรู้เป็นกาย เห็นรู้ชัดเจนอยู่ เรียกว่าอายตนะเป็นสภาพเชื่อมต่อระหว่างภายนอกภายใน ระหว่างกายระหว่างจิตอันนี้เป็นต้น 

ซึ่งพวกเราศึกษากันมารู้จักสภาวธรรมจากพยัญชนะจากภาษาที่อาตมาหยิบมาเป็น อุเทส เป็นคำอธิบายขยายความแล้วสามารถมีธาตุรู้มีปัญญามีสัญญากำหนดสภาวธรรมต่างๆพวกนี้รู้ด้วย ทั้งพยัญชนะและสภาวะมารวมเป็นอันเดียวกันเรียกว่าอายตนะ แล้วก็ปฏิบัติตนมา 

กำลังจะทำปริญญาเอก จวนจะดีเฟน กำลังจะได้ปริญญาเอกแล้วก็บอกอาตมาอยู่ว่า อย่างไรปีนี้ก็คงได้จบปริญญาเอก อาตมาก็ถามเขาอยู่เสมอ เขาก็ตั้งใจทั้งทำงานทั้งปฏิบัติธรรมทั้งสอนหนังสือ ครบครัน เพราะฉะนั้นจึงมีความสำคัญสัมพันธ์ มีกับพวกเราจนกระทั่งพวกเราได้เผลอ ไปมีความผูกพัน 

สัมพันธ์กับผูกพันนี้ต่างกัน ผูกพันคือสังโยชน์คือความติดยึดผูกพันกันจะไม่พรากจากกันว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นมันก็เลย ทั้งๆที่พวกเราศึกษาธรรมะศึกษาอย่างเห็นๆอ่านอาการรู้สภาวะอย่างอื่นๆ รู้แจ้งในภาวะมีสติสัมปชัญญะปัญญา มีสติตื่นเต็มทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รู้เห็นอาการของจิตเจตสิกรูป แต่เราไม่ถึงขั้นให้จบเป็นนิพพานได้ นี่แหละก็ต้องศึกษากัน 

ศึกษาถึงจิตที่มันผูกพันไม่รู้จักจบ 

ฟังเรื่องของความผูกพันกับความสัมพันธ์ให้ดีๆ สัมพันธ์มันต้องเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์คือการเกี่ยวข้องกันทำงานร่วมกันอยู่ด้วยกัน ส่งเสริมกัน ขัดเกลากัน ทำประโยชน์แก่กันและกันจนกระทั่งมีประโยชน์มากขึ้น สร้างสรรค์มีประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งวัตถุทั้งพฤติกรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมทั้งความรู้ความคิด ปัญญา เชื่อมโยงกันอยู่ไม่ขาดตลอดเวลา 

เป็นคนมีปัญญาเป็นคนมีการศึกษาเป็นคนไม่เสียชาติเกิดคือ ชีวิตนี้ก็ได้อาศัยชีวิตอยู่ และรู้จักทุกข์รู้จักสุข และก็ได้ลดทุกข์ อาศัยสุขซึ่งเป็นการใช้อาศัยภาษาพยัญชนะมาใช้ ลำลอง ให้เป็นการติดยึดอารมณ์นั้นไม่ใช่ แต่มันก็ยิ่งกว่าอารมณ์นั้นเรียกว่า ปรมังสุขัง เป็นอารมณ์ที่ยิ่งกว่าสุข 

เขาเรียกว่าสุขคนโลกๆคือการบำเรอ แต่ยิ่งกว่าสุขนี้ไม่มีการบำเรอเป็นแต่เพียงอารมณ์หรืออาการความรู้สึกที่อาศัย ให้เป็นความรู้สึกที่เพียงอาศัยกันอยู่เท่านั้น จึงเป็นผู้ที่รู้สภาพที่เรียกโดยโลกๆว่าทุกข์กับสุข รู้ทั้งสภาพที่ไม่มีและสภาพที่ยังมีสภาวะที่เหลือ บางๆเบาๆ เล็กๆน้อยๆ มันก็มีอยู่เรียกว่า อนุสยะ น้อยคืออนุ สยะ คือตัวตน ยังมีตัวตนน้อยๆนิดๆ ไม่ถึงขั้น สกะ และไม่เป็นถึงขั้น สวะ 

สยะ สวะ สกะ 

สยะนี้ น้อยกว่าเพื่อน ย ล ฬ ว ส ห

สยะตัวที่ คือเศษวรรค สักกายะ สักกะ เป็นตัวตนที่เต็มรูป หยาบ รู้ยาก ศึกษาลดสักกะ แล้วมาลด อาสวะ แล้วมาลดอาสยะ หรือจบด้วยอาศัย อาสยะ เพียงแต่รู้จัก สยะ แล้วอยู่กับ สวะ อาสวะหมด

ยิ่ง สกะ ให้หมดก่อนเลย มันหยาบ ตัวตนที่เป็นสักกะ เช่น สักกายะ เป็นต้น

ผู้รู้ใช้พยัญชนะแล้วก็รู้จักสภาวะศึกษาจนสามารถลดกิเลสตัวนั้นลงได้ พระพุทธเจ้าสอนเราถึงความทุกข์ทั้ง 10 แม้พระพุทธเจ้าบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เลี่ยงไม่ได้เรียกว่าเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6 อย่าง 

ฟังดีๆนะพวกเรายังมีทุกข์อยู่ มี โศก ปริเทว ทุกข  ยังมี โทมนัส ยังมี อุปายาสะ อยู่ นี่คือคนที่ยังไม่รู้ความจริงยังมีโศกอยู่ ทั้งๆที่พวกเราคือพวกที่ไม่โศกแล้วบรรลุความโศกเป็นอโศกแล้ว แต่ก็มีผู้ที่ยังไม่บรรลุมีความโศกอยู่ ยังมีแค่พิรี้พิไร ติ่งต่องๆ แหม่นี่ พรากจากกันตายจากกัน เรามีชีวิตเคยร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมประโยชน์ร่วมสร้างสรรค์ ร่วมเรียนรู้ ร่วมอาศัยซึ่งกันและกันสัมพันธ์กันอยู่ มีความสัมพันธ์ด้วยกันมา แต่เสร็จแล้วมาตายจากกัน 

มีใครจะไม่ตายจากกัน มีไหม ใครจะไม่ตายจากกันเลยตลอดนิรันดร ยกมือ เด็กก็เข้าใจผู้ใหญ่ก็เข้าใจ ไม่มีใครจะไม่ตายพรากจากกัน 

ถ้ายิ่งเข้าใจลึกซึ้งไปว่าคนเรานี้ตายพรากเฉพาะร่างกายนี้แต่จิตวิญญาณไม่พรากจากกันง่ายๆ ถ้าหากผูกพัน 

ถ้าผูกพันก็จะต้องมาเจอกัน แม้จะผูกพันแบบอาฆาตก็ต้องมาเจอกัน ผูกพันแบบรักใคร่ก็ต้องมาเจอกัน แล้วก็เกิดบุพเพสันนิวาส จะเป็นนิทาน เป็นเรื่องของการอาศัยร่างกายอาศัยชีวิต อาศัยบทบาท อาศัยเรื่องราวที่เราเคยสร้างนิยายร่วมกัน ไม่ว่ารัก ไม่ว่าโกรธ ไม่ว่ารักหรือชัง สร้างหนังมาเป็นล้านๆเรื่องแล้ว แล้วก็เห็นกันดูกันไปเป็นเรื่องเป็นราว จึงไม่ใช่เรื่องไม่จริง เป็นเรื่องจริง 

อาจจะเป็นเรื่องปรุงแต่งบ้าง เสริมเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้มันหวือหวากว่าเวิ่นเว้อไปหน่อยบ้างแล้วแต่ แต่มันจริง มันก็มีโลภโกรธหลง หนังนี่เขาเอาเรื่องของความโลภความโกรธความหลง มาเป็นรสชาติ ปรุงแต่ง แล้วก็สร้างเป็นลีลาของผู้แสดงตัวแสดงออกมา เป็นหนังแต่ละเรื่องทุกเรื่องแค่นั้นแหละ ใช้โลภโกรธหลงเท่านั้นแหละมา สร้าง 

ทีนี้พระพุทธเจ้าสอนเราถึงทุกข์อีก 4 อย่างที่มันเป็นเรื่องรสชาติของความโลภโกรธหลง เป็นทุกข์ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้เลี่ยงได้ 

ส่วนความทุกข์อีก 6 อย่างที่เลี่ยงไม่ได้มีอะไรบ้าง 

ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) . 

1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย คนจะมีความทุกข์นี้ เกิดเป็นชีวิตขึ้นมาแล้วก็พยายามโตขึ้น ถึงขั้นแก่บางคนก็ฝงก่อนแก่ ตายตั้งแต่ตอนเด็ก ตายตอนหนุ่มสาว ตายในระหว่างกำลังเป็นวัยทำงาน เป็นวัยแข็งแรงอย่างบีนี้ สรรอายุ 45 กำลังเป็นวัยสร้างสรรค์ทำงานแต่ก็ตาย เกิดแก่แล้วก็ตาย ไม่มีใครเลี่ยงได้เรียกว่าสภาวทุกข์

2. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ ร่างกายเรามีความรู้สึกมีการกระทบ มีร้อนมีหนาวกระทบอยู่กับธรรมชาติใครก็เลี่ยงไม่ได้ มันร้อนเกินก็เป็นทุกข์ มันหนาวเกินไปก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่กับสิ่งแวดล้อม มันร้อนมันหนาว หรือมันกระทบ มันเจ็บมันปวด เป็นแผลเกิดขึ้นต่างๆนาๆ มันปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ อั้นไว้ก็เป็นทุกข์ มันเลี่ยงไม่ได้หรอก นิพัทธทุกข์ 

เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมีร้อน มีหนาว มีหิว มีกระหาย เพื่อที่จะเอามาบำบัดร่างกายถ้ามันขาดแม้เราไม่อยาก แต่มันก็ต้องกระหายเอามาบำบัดตามควร ถ้าไม่ให้มัน มันก็ไม่ได้เหตุปัจจัยก็เหี่ยวแห้งก็ตาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะอย่างนี้เป็นต้นมันต้องมีมันเป็น นิพัทธทุกข์ มันเลี่ยงไม่ออก

3. อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน คือการแสวงหา จะต้องหาอาหารมาเลี้ยงชีพ จะต้องช่วยตนเอง แม้คนอื่นจะหามาให้ เราก็ต้องพยายามกิน อย่างอาตมาต้องแสวงหาความมีชีวิตต้องกินให้มัน ไม่กินให้มันก็อยู่ไม่ได้ มันก็ฝืนก็เป็นทุกข์ถ้าไม่อยากกินก็เป็นทุกข์ เราก็รู้ความจริงเป็นทุกข์แบบนี้เรียกว่า อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ผู้ที่จะต้องพากเพียรให้มีชีวิตอยู่ ถ้าเราไม่ต้องการแต่เราควรจะอยู่มันก็ต้องกิน  

หรือแสวงหางานการ ถ้าไม่ทำงานการก็ไม่ใช่คนยิ่งกว่าเดรัจฉานก็ต้องแสวงหาการงานทำ  งานที่สร้างสรรค์มันก็ลำบากมันก็ทุกข์เราก็รู้ความจริงที่ต้องทำต้องจำเป็นจำนน มันก็ควร 

4. พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ มีความทุกข์เพราะว่าความเจ็บป่วย อวัยวะเจ้าการไม่สมดุล มันเจ็บมันป่วยมันขัดข้อง มันขาดแคลน มันไม่สมดุล อย่างอาตมานี้เลือดลมไม่สมดุลอยู่ข้างใน เจ็บจี๊ดจ๊าดข้างใน ตรงที่แขนที่ขาที่โน่นที่นี่ วันนี้ก็เจ็บตรงนี้หลังคอก็ปวดร้าวๆขึ้นมา เขาก็เอายาทาให้หน่อย นวดให้หน่อย ก็ค่อยยังชั่วแล้ว มันก็เป็นพยาธิทุกข์ 

5. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้ อันนี้เป็นอจินไตยไม่ต้องคิด เราทำมาแล้ว มันเป็นวิบาก ชาตินี้มีวิบาก วิบาก มันมาถึงมันก็ต้องทุกข์ อย่างอาตมามีวิบากหนักหนาสาหัส ไปเนื่องจากอวัยวะมันไม่ดี มีกระเปาะอะไรขึ้นมาเบียดบังเส้นเสียงเส้นลม ทำให้ไอ มันก็เป็นวิบาก และเป็นอย่างที่หมอผ่าไม่ได้ด้วยถ้าหมอผ่าได้ป่านนี้ผ่าออกไปนานแล้ว นี่หมอผ่าไม่ได้ มันเสี่ยงมาก มันติดกับหลอดลมที่จะหายใจเลย เสี่ยงมากเลย จะไปปะผนังหลอดลมมันติดกับผนังหลอดลมปะไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้ผนังหลอดลมรั่วก็ไม่ได้ มันก็เลยเป็นวิบากที่หนักกับอาตมา เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ อาตมายังมีวิบากพวกนี้อยู่ก็ดีแล้ว นอกจากพวกนี้แล้วอาตมาก็ไม่เจ็บไม่ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเท่าไหร่เลยในชีวิตมา 

ที่จริงเคยเป็นโรคอยู่ 2 โรค 1. เป็นกาฬโรค 2.เป็นไทฟอยด์

ตอนเป็นกาฬโรค ยายบอกว่าตายไปแล้ว 15 วินาทีเลย ชัก ไม่หายใจ แลบลิ้นยาวออกมา ยายก็ร้องไห้แล้ว พับไปเลยเสร็จแล้วก็ฟื้นขึ้นมา อาตมาจำได้ตอนนั้นเหมือนกับเข้าสนามรบ เป็นเด็กอยู่เลย อยู่ประมาณชั้นม. 2 เดี๋ยวนี้ก็ประมาณป.6 หายจากโรคแล้วก็หัวโกร๋นผมร่วงเลย 

2. มาเป็นโรคไทฟอยด์ ประมาณอยู่ม. 8 ปีแรกเลย อยู่กับพี่ล้วน ควันธรรม อาศัยอยู่กับเขาทำงานเลี้ยงลูก ทำกับข้าวให้เขา เราก็เรียนหนังสือไป เป็นโรคไทฟอยด์ ก็เกือบตายเหมือนกัน สลบไป ไม่รู้ตัวไปหนึ่งวันแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหาย หัวโกร๋นอีกเหมือนกัน 2 ครั้งเป็นวิบากที่อาตมาเจอในชีวิต เป็นวิบากที่เลี่ยงไม่ได้  ไม่ได้อยากเป็น แล้วก็เกือบตาย 

นอกนั้นก็ไม่มีโรคอะไรหนัก ก็มีที่คออย่างที่ว่า 

6. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ ขันธ์นี่คือหมู่กอง ได้มันเป็นกองทุกข์ มีรูป มีเวทนา มีกาย มีความรู้สึก มีสัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์ มีขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ มันมีสิ่งที่มันเป็นอาการของจิตต่างๆ จิตสัมพันธ์กับอื่นๆเรียกว่า รูป แล้วก็กลายเป็นความรู้สึก เป็นการกำหนดรู้เป็นหน้าที่ของเจตสิกต่างๆ แล้วก็ปรุงแต่งสังขารรวมตัวกันเรียกเต็มๆว่า วิญญาณ ก็มันมีอยู่มันยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ตายทิ้งเกิดมาต้องมีพวกนี้ 

แม้ไม่มีรูปเป็นวิญญาณร่องรอยสัมภเวสีไม่มีใครเห็นรูป แต่ก็มีเวทนา มีความรู้สึก มีสัญญากำหนดรับรู้ของตัวเองอยู่ ปรุงแต่งเป็นวิญญาณของตัวเอง แต่อยู่กับตัวเองไม่ได้พบกับใคร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใคร มีอยู่กับวิบาก 

ถ้าเป็นวิบากที่ตัวเองอวิชชาตัวเองไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัวแล้วก็ไปตามที่เราคิดว่าเราปรุงแต่งจะดิ้นออกจาก อยากหาที่เกิด อยากหาตาเห็น จมูกได้กลิ่น อยากหาลิ้นได้รับรส อยากหามีกายสัมผัสกับอะไร อยากมันไม่หยุดหรอก เหมือนกับคนนอนหลับนี่มันต้องตื่นมา พอนอนพอสมควรแล้วก็ต้องตื่นมาหาอะไรมาบำเรอตา. หู.  จมูก. ลิ้น. กายสัมผัสเสียดสี หลงว่ามันเป็นความสุขหลงว่ามันเป็นความหน้าได้หน้ามีหน้าเป็น มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้นคนที่ไม่รู้ 

นอกจากมันเบื่อมันทุกข์มากก็อยากจะตายตายไปแล้วมันยังไม่หมดกิเลส มันก็จะมีอยู่นั่นแหละ เสร็จแล้วก็ไปอยากดิ้นรนใหม่ยิ่งโง่อยากจะดิ้นรน เห็นว่าถ้ามีตากระทบรูป หูกระทบเสียงพวกนี้แหละเป็นสุข ก็ยิ่งดิ้นรนอยากจะหาที่เกิด ดิ้นอยากจะมีตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสัตว์นรกเรียกว่า จิตวิญญาณที่ตายไปแล้วเป็นสัตว์นรก ที่มันดิ้นรนอยากได้ตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งมันไม่มี มันก็เลยดิ้นรนที่รวมเรียกด้วยศัพท์ว่าดิ้นรนหาที่เกิด 

คือหาที่ที่จะมีตาหูจมูกลิ้นกายครบ นั่นแหละตายไปแล้วเป็นสัตว์สัมภเวสีดิ้นหาที่เกิดร่างเกิดที่มีครบตา จมูกลิ้น กาย มันเป็นความทุกข์ดิ้นรนแล้วตามวิบากมันจะไม่ได้ ถ้าไปมีวิบากที่จะต้องได้รับนรกอเวจีต้องไปตกทุกข์ดิ้นอยู่นั่นแหละ ก็ดิ้นจนกระทั่งมีวิบากอื่นที่ตนเองฝังไว้ในสัญญา มีอาฆาตมีพยาบาท มีแก้แค้น มีอยากได้อยากมีอยากเป็น แล้วมันก็ไม่ได้ 

อยากได้แล้วไม่ได้ไม่รู้แล้ว อวิชชาด้วย ก็ดิ้น อยากมากดิ้นมาก แล้วก็ไม่มีทางออก ไม่มีทางได้ จะขาดใจก็ไม่มีใจจะขาด เพราะมันไม่มีชีวิตชีวะ ไม่มีลมหายใจอะไร  มันไม่ต้องใช้ตับปอดไส้พุงอะไรมันไม่ต้องใช้ มันมีแต่นามธรรม พวกเราก็คงนึกออกยาก แต่มันทุกข์ชนิดที่เรียกว่า มันโง่ มันดิ้นรนในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ 

แล้วมันอยากได้สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้  มันก็ดิ้น แล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากความทุกข์อาการจิตของตัวเอง อาตมาจึงบอกว่า ทุกข์กระแทก ฆ่าทำร้ายทำลายอาการจิตของตนเอง ใช้ภาษาเรียกอันนี้ใช้พยัญชนะเรียกอันนี้ มันโง่ขนาดนั้นมันไม่รู้ มันอยากทำลายสิ่งนั้นเพราะคิดว่าทำลายแล้วมันจะได้เปลี่ยน เปลี่ยนออกมามี อยู่อย่างนั้นมันไม่มีสิ่งที่ตนเองอยากได้ก็เลยจะเปลี่ยนสภาพนั้น ออกมาเพื่อให้มันมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้อีก  มันก็เลยแต่เจ็บปวด ยิ่งทุกข์ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งทุกข์ยิ่งดิ้นรน 

เหมือนกับสัตว์ตัวที่มันดิ้นรนออกจากกรงขัง ก็ยิ่งกระแทกกรงไปเรื่อยๆมันยังไงอย่างนั้นอยู่ เสร็จแล้วมันก็ตาย กระแทกจนมันต้องตายเพราะมันกระแทกก็จะมีแต่ความกระทบกระเทือน ความเจ็บความแตก ความทำลายตาย ตายแล้วมันก็ไม่มีตาย แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นอีก มันหนักกว่าเก่าเพราะโง่ไง เพราะอวิชชา มันก็ทำอย่างนั้นอีกหนักกว่าเก่า ความทุกข์ซ้ำซาก ความทุกข์หนักขึ้นหนักขึ้นโดยไม่รู้จักทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ทับถมทุกข์ นี่คือโง่ 

พวกเราได้รับการศึกษาพวกนี้แล้ว เราจะไม่ทำทุกข์ทับถมทุกข์หรือไม่ทำทุกข์ทับถมตน เราจะมีทางออก เราจะมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เราจะมาเกิดเร็ว จะมาเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ มาหาที่เกิดแล้วจะมีที่เกิด ได้ที่เกิดที่ดีด้วย มาอยู่ในหมู่กลุ่มแวดวงที่ดีด้วย ไม่ไปอยู่ในแวดวงที่ยิ่งโง่ ไปพาเราเจอวิบากสารพัดนี่ไม่ มันมีวิบากดีเป็นกุศลวิบากมันก็จะมา อย่างบีนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกไม่ไปไหนไกลเดี๋ยวก็มาเกิดในนี้แหละ ดูแลกันก็แล้วกันแล้วอย่าไปขี้ตู่กันมากว่าคนนี้แหละบีมาเกิด เดี๋ยวจะเป็นบีหลายคน เด็กน้อย เกิดมาในนี้หลายคนเดี๋ยวก็เป็นบีไปหมด มันก็จะไปไม่รอด 

ความทุกข์ที่เลี่ยงได้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ(คือความคับแค้นใจอึดอัดขัดเคืองอยู่ในใจ) มันจะลดลงจนกระทั่งหายหมด 

ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้) 

7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น) 

8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา) 

9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) 

10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า) 

เราก็ให้มันมามีบทบาทกับเราไม่ได้ ราคะก็เป็นทุกข์ โทสะก็เป็นทุกข์ โมหะเกิดความวุ่นวาย งงไม่รู้จักอะไร ก็เป็นทุกข์ 

หรือ ทุกข์ เพราะโลกเขายั่ว ลาภยศสรรเสริญ สุขที่เป็นโลกีย์ก็ไปหลงอยากได้อยากมีตามเขาก็เป็นทุกข์เรียกว่า  สหคตทุกข์ 

ทุกข์ที่มันสุดยอดก็คือ วิวาทมูลกทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดจากการทะเลาะวิวาทกัน นี่เป็นทุกข์ที่ 4 ของความทุกข์ที่เลี่ยงได้ อธิบายไปแล้ว ส่วนความทุกข์อีก 4 อย่างนั้นเลี่ยงได้  

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิวาทะหลังเลือกตั้งของประเทศไทยเป็นไปอย่างสวยงาม

พ่อครูว่า... วิวาทะ หรือวิวาท เป็นมูล 

ขณะนี้ประเทศไทยเรากำลังเกิดสงคราม หรือเรียกว่าวิวาทะระหว่างการเมือง การเมืองขณะนี้มีวิวาทะมีการขัดแย้งกันถกเถียงกัน แล้วยังไม่รู้จะออกทางไหนตอนนี้ ซึ่งมันเป็นสงครามของธรรมาธรรมะสงครามหรือเป็นสงครามการเมืองที่สวยงามมาก เราใช้ชื่อว่าวิวาท แต่เมืองไทยวิวาทกันไม่เหมือนกับยูเครน ไม่เหมือนสหรัฐหรือรัสเซียต่างๆข้างนอก อย่างนั้นมันเป็นวิวาทที่ฆ่ากันตายกันจริงๆ แต่พวกเราไม่ ยิ่งกว่าโขน ทำท่าจะฆ่ากัน ลีลามากสวยงามอ่อนช้อย เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ไม่เหมือนเขาที่โหดเหี้ยมเอาตายเลย แต่พวกเราทำไปก็ยิ้มไป 

อย่างพิธานี้ยิ้มมาก ยิ้มๆ ดูดีๆเถอะยิ้ม ใจดีสู้เสือ เพื่อที่จะหว่านล้อม ยิ้มเพื่อโปรยเสน่ห์ที่จะให้เขาเอาขึ้นเป็นนายกฯให้ได้ เป็นกลยุทธ์กลวิธีกลเม็ดชนิดหนึ่ง เขาก็ทำ มันเป็นธรรมชาติเป็นสัญชาตญาณไม่ลึกซึ้งอะไรหรอกง่ายๆเขาก็ทำอยู่ ก็ว่าไป 

สรุปแล้วการเมืองของไทยเป็นตัวอย่างของโลก แม้เรื่องตำแหน่งยิ่งใหญ่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ ยิ่งใหญ่ทางด้านฆราวาส ทางด้านประชาชน นอกจากในหลวงพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็มีนายกฯ จะเป็นใหญ่ในประเทศที่มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เขาก็จะเปลี่ยนให้ได้ก็พยายามไป แล้วก็บอกแล้วพูดไปแล้ว เขาก็มีการวิวาทกันเป็นมูล วิวาทมูลกะ แล้วก็เป็นทุกข์ เขาก็วิวาทกันไปเท่านั้น 

แต่อาการวิวาทของสงครามแย่งนายกฯของเรา เห็นได้ว่ามันเรียบง่าย มันไม่เหมือนประเทศข้างนอกเขา ไม่เหมือนประเทศอื่นๆเขาเลย มันเบาบาง มันเล็กน้อย มันถ้อยที ค่อยพูดกันยิ่งกว่าโขน ยิ่งกว่าสีสันของลิเกอ่อนช้อย สวยงามงดงาม มันไม่ปะทะ มันไม่รุนแรงมันไม่โหดเหี้ยม มันสุดงาม นี่เป็นตัวอย่าง 

ตัวอย่างของการเมืองของไทย อาตมาเคยอธิบายตัวอย่างของการปฏิวัติโดยประชาชน ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติเป็นผู้ทำรัฐประหาร ที่อาตมาไปร่วมเป็นตัวละครมีบทบาทอยู่ตั้งหลายรัฐบาล หรือรัฐประหารจนสำเร็จ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลสุดท้ายที่ได้ประหารสำเร็จไปแล้ว จนกระทั่งมีผู้ขึ้นมารับหน้าที่รับไม้บริหารต่อ คือพลเอกประยุทธ์ ที่ได้มารับไม้ต่อ 

ดูเหมือนเป็นสงครามเรียกว่าปยุทธะ ซึ่งแปลว่าสงคราม คือผู้ที่มีบทบาท ปะ คือดำเนินการอยู่ด้วยการรบ ยุทธะ แต่ไม่ได้เป็นการรบรุนแรง เป็นการรบที่ไปสู่ความยุติหรือ ยุตะ แปลว่าหยุดเป็น ปยุตตะ 

ปยุต เป็นชื่อของภิกษุชาวไทยเราคือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ อันนี้แหละจะเป็นอาจารย์ทางการเมือง นี่แหละลีลาของการเมืองไทย มันจะเป็นอาจารย์ที่ดังไปทั่วโลก โฆษาจารย์ เป็นตัวอย่างเป็นอาจารย์ให้โลกรู้ได้ศึกษา การเมืองนี้เป็นอาการตัวอย่างเป็นอาจารย์สอนให้มนุษย์โลกรู้ว่า นี่คือการเมืองที่สวยงามที่สุดในโลก 

แม้จะแย่งกัน แม้จะเหมือนวิวาทกัน เหมือนแย่งชิงอะไรกันอยู่ก็ไม่ได้เหมือนชาวโลกที่รุนแรง อันนี้ไม่โหดร้าย ไม่รุนแรง ไม่ฆ่ากันถ้อยทีถ้อยอาศัย ตอนนี้เขาก็ยังตกลงกันอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ แต่ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าหัวหางแย่งกันอยู่ จะมีใครเอาตัวกลางไปกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังไม่รู้ หวยยังไม่ออกก็ต้องดูกันไป 

แต่ลีลาพฤติการณ์ของการเมืองทั้งหลายแหล่ มันจะงาม มันจะไม่เหมือนของประเทศใดๆ คนกลัวจะเกิดสงครามกลางเมือง เช่น มีคนคิดไกลไปจนถึงว่าจะมีกลุ่มประชาชนออกมาประท้วง ลงถนน แล้วก็มีกลุ่มประชาชนไทยอีกกลุ่มหนึ่งออกมาประท้วงปะทะกัน แล้วจะเกิดทะเลาะกันวิวาทกันหรือเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา เขาหวั่นไหวว่ามันจะเกิดอย่างนั้น 

ซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่จะทำให้เกิดมีอยู่ด้วย อาตมาไม่บอกว่าจะทำหรือไม่ทำ แต่อาตมาก็จะดูว่าเหตุการณ์มันจะมาถึงขั้นไหน 

สมมุตินะ แม้ว่ามันจำเป็นจะต้องออกไปห้าม ออกไปเป็นการโพรเทส เป็นนักประท้วง การประท้วงครั้งนี้หรือครั้งตัวอย่างที่อาตมาพาไปประท้วงมา ซึ่งเป็นวิธีการประท้วงที่สวยงามที่สุด ใช้ความสงบ ใช้ความสุภาพ ใช้ความเรียบร้อย เอาความจริงมายืนยันกัน ใครผิดแพ้นะ เอาความจริง ยาวให้เป็น จะช้าจะนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร อยู่ในสนามรบ สนามประท้วงนั่นแหละรบกันอย่างนั้น มีอะไรก็มารบกัน เราก็สร้างวัตถุ สร้างสื่อสารเอามาขยายความจริงพูดกันให้รู้เรื่องอย่างคน คนชั้นสูงคนฉลาด ไม่ใช่โง่เง่า ไม่ใช่พวกมิลักขชน แต่เป็นพวก อาริยกะ เป็นคนเจริญคนฉลาด 

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างการรบกันประท้วงกันตั้งแต่สมัยทักษิณ ตอนนั้นก็มีพลังงานจากกองทัพพลเอกสนธิมาช่วยนิดหน่อย ก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติมีทหารมาร่วมนิดหน่อย จากนั้นมาตั้งแต่สมัคร สมชาย มาถึงยิ่งลักษณ์ ประชาชนทั้งสิ้นปฏิวัติ แล้วก็ปฏิวัติอย่างงดงามปฏิวัติอย่างสงบ ปฏิวัติอย่างอาริยกชน ปฏิวัติอย่างคนชั้นสูง อย่างคลาสสิคที่สุด เป็นการปฏิวัติที่คลาสสิคที่สุด หาดูไม่ได้จากไหนเลยในโลกนอกจากเมืองไทยเท่านั้นแสดงได้ และเป็นการแสดงที่จริงนะไม่ใช่เป็นการแสดงละครละเม็ง แต่เป็นเรื่องจริงของประเทศ ของมนุษยชาติแท้  ผ่านไปแล้วจบไปแล้ว มีผลสำเร็จไปแล้ว รัฐบาลพ่ายแพ้ไป 

จนทุกวันนี้เป็นตัวการที่เขาจะยึดอำนาจนี้ เขายังยึดอยู่เลย ยังเห่าอยู่เลยส่งเสียง ยังมีเศษเหลือ เศษเหลือของเยื่อใยของเขาที่ยังพยายาม จะเอาอำนาจคืนมาให้ได้ 

แต่อาตมาขอพยากรณ์ ขอพูดเลยว่าไม่ได้หรอก ไม่ได้แล้วล่ะ แต่เขาก็ไม่สิ้นความพยายาม ก็ทำอยู่ไปก็เป็นตัวอย่างของโลกตัวอย่างของความจริงที่มันมีอยู่ในโลกให้ดู ละครของโลก ตัวละครของโลกจริงๆ สร้างให้เห็นไป ยังไม่ลงเอยยังไม่จบทีเดียวแล้วก็ยังมีเศษเหลือมีเยื่อใยต่องแต่ง ยังมีกลเม็ดกลเชิงให้ดูกันอยู่เท่านี้ 

อย่างเห็นได้จะเป็นก้าวไกล จะเป็นเพื่อไทยสัมพันธ์กันขนาดไหนมีลีลายึกยักกันอย่างนี้ อาตมายังอธิบายไม่เก่ง อธิบายยากอยู่แต่ดูไปเถอะ เราไม่จำเป็นจะต้องบินไปดูไบ เพราะดูไบเป็นเมืองประเทศปลอมทั้งนั้นเลยอยู่ในทะเล มันถมทะเลขึ้นมาเป็นเมืองเป็นประเทศขึ้นมา เขาสร้างรัฐของเขาขึ้นมาเองอะไรพวกนี้แล้วก็เป็นเจ้าของรัฐมีเงินมีทองมาบริหาร เพราะเขามีน้ำมันมีทรัพย์ก็ว่ากันไปตามประสาชาวโลก ยังไม่ขยายความ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ ตอน2(รวม1+2+3)

พ่อครูว่า... มาเข้าสู่พวกเราที่ยังมีทุกข์อันโง่ ยังมีทุกข์อันโหยหา ผูกพันกับบีเขา 

  เขาตายก็คือตาย เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย อาตมาเคยใช้โศลกนี้ ผู้ที่จะต้องตายก็ต้องตาย ผู้ที่จะต้องโตก็ต้องรู้ว่าเขาโตแล้วนะ อย่าทำเป็นเหมือนเขายังเล็กอยู่ เขาเป็นอธิบดีแล้วก็ยังบอกว่าลูกเอ๋ย ปัดโธ่ เขามีลูกน้องมีความเป็นผู้บริหารก็ยังเลี้ยงเขาเหมือนเป็นลูกแหง่ยังไม่รู้จักโต เขามีวุฒิภาวะ มีความรู้ความสามารถที่จะทำอะไรกับสังคมได้ยิ่งกว่าเราแล้ว เราเลี้ยงเขาแล้วโตขึ้นเราก็รู้จักวาระที่จะจบ 

เพราะฉะนั้นเลี้ยงลูกให้รู้จักโต  เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย 

แม้ว่าบีเขาไม่ใช่พ่อแม่จริงแต่ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเด็กๆมันผูกพัน นี่แหละมันทุกข์เพราะว่า ความผูกพันเรียกว่า สังโยชน์

สังโยชน์เป็นความผูกมันเป็นทุกข์ อย่างไรอย่างไรบีก็ไม่ฟื้นตายแน่ แล้วมะรืนนี้ก็จะเผาร่างเป็นเถ้าถ่านไป จิตวิญญาณของบีไม่ได้ตกต่ำ จิตวิญญาณของเขาได้รับการศึกษา ได้รับการเรียนรู้ปฏิบัติพัฒนา เจริญ เจริญไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตกต่ำ ไม่มีทุคติ มีแต่สุคติ มีแต่ที่ไปที่เจริญสูงขึ้นไปหาที่สุดที่สูงไปเรื่อยๆ 

เขาเจริญในทางโลกก็เจริญ มาเป็นนักกสิกรรม เป็นกสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ มาช่วยพวกเราสอนพวกเด็กๆพวกเราหรือผู้ใหญ่ก็ตามพากันทำ ทำงานด้วย สร้างสรรค์ไปด้วย ศึกษาธรรมะไปด้วย ศึกษาทางโลกก็เรียนจนกระทั่งจะจบด็อกเตอร์ 

เราก็ไม่ได้ไปเห็นว่า อย่างดอกเตอร์เขา เป็นไปไม่ได้ เราก็เป็นได้ แต่แม้จะเป็นได้ พวกเราหลายคนจบด็อกเตอร์แล้วไม่เห็นจะไปเอาตำแหน่งดอกเตอร์ไปรับจ้างทำงาน รับสินบาทสินบนอะไรจากคนอื่นเขา เลี้ยงตัวเองไม่ต้อง อยู่ในนี้แหละมี ปริญญาใบประกาศใบรับรองเป็นดอกเตอร์ได้แล้วก็อยู่ในนี้ แต่ก็ทำงานอยู่กับพวกเรานี่แหละ มีงานหลายอย่างถนัดอะไรก็ทำกันไป 

งานที่จะเป็นประเภทคิด ประเภทเป็นงานด้านเอกสารด้านความรู้ด้านสังคมข้างนอก หรือสัมพันธ์กับข้างใน จนกระทั่งถึงอยู่กับดินหินปูน อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็อยู่นี่แหละก็ช่วยกันทำไป สร้างสรรค์ไป 

พิสูจน์ความจริงอันนี้กันในสังคม อาตมาจะพาพิสูจน์ว่า ผู้ที่เจริญควรยกย่องและมีค่ามีประโยชน์แก่โลกที่สุดคือกสิกร กสิกรเป็นผู้สร้างสิ่งอาศัย 1 ในโลก กสิกรคือผู้สร้างอาหารในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก พระพุทธเจ้ายืนยันและก็จริงที่สุด เราเจริญคือสร้างอาหารให้ดี ให้อุดมสมบูรณ์ สร้างอาหารให้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าแจกไปทั่วโลก 

เพราะว่าเราเรียนเศรษฐศาสตร์ เราเรียนทางที่จะเอาเปรียบหรือเสียสละ 

พวกเราเป็นชาวเสียสละไม่ใช่ชาวเอาเปรียบ ไม่ได้เห็นการได้เปรียบเป็นคุณค่า แต่เราเห็นการเสียสละเป็นคุณค่า เป็นความประเสริฐ ความเอาเปรียบเป็นความเลว การได้เปรียบเป็นหนี้ การเสียสละเป็นเจ้าหนี้ 

เราพยายามศึกษาและเห็นความจริงแล้วทำความจริงอันนี้ให้ได้เรื่อยๆเลย เพราะฉะนั้นสังคมพวกเราอาตมาพาทำตามที่อาตมาเข้าใจ เข้าใจตามที่ได้เรียนมากับพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งถึงปางนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เอาความจริงมาเปิดเผย มาพาทำ มาพิสูจน์ให้พวกเราทำ จนกระทั่งพิสูจน์ความจริงนี้ เป็นความจริงที่เจริญ เป็นความจริงที่ประเสริฐ เป็นความจริงที่คนจะต้องมาเป็นมามีมาได้ 

แล้วจะมีประโยชน์คุณค่าต่อโลกเขาไปอีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นผู้ใดฟังดีๆแล้วจะเห็นได้ว่าเราไม่อยากมาเป็นกสิกร เราไม่อยากลงมาเป็นนักปลูก นักคลุกกับดิน แล้วก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เรายังคิดไม่เจริญนะ เรายังไม่รู้จักความเจริญของมนุษยชาติที่แท้จริง ทำความเข้าใจดีๆ แล้วมาให้ได้มาเป็นให้ได้ 

อย่างสมณะไม่ได้ไปเป็น นี่นะ ถ้าเปิดไปเลย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกินคิด เพราะว่าสมณะ จะต้องไม่ไปคลุกแย่งฆราวาสปลูก มันจะยากมันจะไม่ดี มันซับซ้อนที่อธิบายยาก 

มาเป็นผู้ที่ให้ความรู้ที่ละเอียดละออ ปฏิบัติตนให้บรรลุสูงสุดแล้วก็ปฏิบัติตนให้รู้มีความรู้ความจริงเอามาบรรยายมาบอกมาสอนแบ่งหน้าที่กันเท่านั้นเอง ฆราวาสก็ทำอยู่กับกสิกรรมนั่นแหละ จะเก่งในเรื่องอุตสาหกรรม จะเก่งเรื่องเทคโนโลยีอื่นๆบ้าง ก็เก่งเถอะพอเป็นพอไปพออาศัย มันไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับกสิกรรมหรอก 

คุณจะสร้างอุตสาหกรรมหรือว่าสร้างเทคโนโลยี เก่งถึงขั้นสร้างปืนสร้างระเบิด แม้แต่สร้างเครื่องใช้อาศัยใช้สอยได้ลึกซึ้งมากมายก็ตาม ก็เป็นประโยชน์อยู่ แต่ถึงอย่างไรๆ คุณก็ต้องกินทุกคน 

คนพิสูจน์ได้เลยว่าไม่ต้องอาศัยปืน ไม่ต้องอาศัยระเบิดอยู่ได้ อยู่ได้อย่างสงบดีด้วย 

เพราะฉะนั้นสังคมใดที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้อาวุธ ใช้ปืน ใช้สิ่งที่ต้องเข่นฆ่ากัน จะสงบดี  สงบเลย ไม่ใช้ เห็นว่าสิ่งนี้เป็นพิษเป็นภัยมาก อย่าเอาเข้ามาวุ่นวายในสังคมเรา ไม่ต้องไปกลัวว่าใช้ปืนใช้ระเบิดไม่เป็นจะเป็นคนโง่ไม่ต้องกลัว โง่ที่ใช้ปืนฆ่าคนไม่เป็นนี่ให้มันโง่ตายไปเลย ใช้ระเบิดฆ่าคนไม่เป็นนี่โง่ไปเลย ไม่ต้องไปฉลาดเฉลียวที่จะไปใช้เงิน ไปใช้อาวุธ ใช้เครื่องฆ่าคน แล้วได้รับชมเชยว่าเก่งในการฆ่า เก่งในการใช้อาวุธ ไม่ต้อง ไม่ต้องไปหลงหนังจีน ไม่ต้องไปหลงหนังฝรั่ง หนังแขกเขาก็ไม่ส่งเสริมอาวุธการฆ่านะ ประหลาด หนังแขกไม่ส่งเสริมอาวุธการฆ่า มีแต่ใช้อาวุธใส่ไปแล้ว กลายเป็นดอกไม้ ซึ่งมันเป็นสุดยอดแห่งความรู้ สุดยอดแห่งปฏิภาณความรู้เลย 

ถ้าฟังธรรมเป็น ถ้ารู้จักสัจธรรมจะรู้จักแนวคิดของคนชั้นสูงกับแนวคิดของคนชั้นต่ำ ชั้นต่ำที่ยังโหดอยู่นี้มีเยอะ ตัวอย่างชั้นต่ำนี้มีเยอะ ตัวอย่างชั้นสูงดูจากอินเดียอย่างนี้เป็นต้น เข้าใจไม่ง่ายหรอก 

หรือแม้เมืองไทยก็ยังครึ่งๆกลางๆ ก็ดีแล้วไม่สร้างอาวุธดีแล้วไม่ต้องไปกระเหี้ยนกระหือรือแบบโลกเขา ไม่ต้องไปแข่งกับทางโน้น แข่งทางด้านมาสงบ 

ขณะนี้เมืองจีนเขาเข้าใจสภาพพวกนี้ขึ้นมา แล้วอาศัยการสงบ สร้างสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจะเป็นผลผลิตของจีนตอนนี้ ระวังเถอะจีนจะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารแข่งกับคนไทย เพราะคนเขาเยอะ เขามีคนเป็นพันล้าน เขาทำขึ้นมาแล้วเมืองไทยไม่มีพื้นที่ที่จะแพร่พืชพันธุ์ธัญญาหารให้เขาซื้อขายเป็นสินค้าเป็นผลผลิต แล้วก็ต้องอาศัยบ้างก็ไม่มีปัญหาหรอก จริงๆแล้วเมืองไทยยังมีความรู้ที่ลึกซึ้งเข้าไปกว่านั้น 

ไม่ขาย ไม่ต้องได้รายได้แลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน หรือธนบัตร แลกเปลี่ยนเข้ามาไม่ต้อง เงินมันเป็นเศษกระดาษ เป็นกระดาษชำระธรรมดา แล้วเขากำกับว่าชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเท่านั้นก็เราไม่เป็นหนี้จะไปห่วงทำไมกระดาษชำระหนี้ ก็เราไม่เป็นหนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปมีกระดาษชำระ พวกเราไม่เป็นหนี้ กระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเราก็อยู่ตามกฎหมาย เราไม่เป็นหนี้ เราก็ไม่ต้องใช้กระดาษชำระ 

แต่เราใช้พืชพันธุ์ธัญญาหาร ใช้สิ่งอาศัยเครื่องอาศัยที่เราอาศัยใช้ เราก็ทำเป็นแล้วอาศัยแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซื้อหามาใช้ก็พอใช้พอสอย 

เช่นตอนนี้ขอเบิกตังค์ไปซื้อจอ จอ LED จอใหญ่เอามาใช้ดูกัน เป็นจอสื่อให้พวกเราได้เห็นได้รู้ เราก็ซื้อเพราะว่าเราทำไม่เป็น เราก็พอมีเงิน แม้จะขายของราคาถูกแจกฟรีก็ยังพอมีเงินไปซื้อได้ ก็ซื้อมาอาศัยก็ไม่ได้ขาดแคลน ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากมายนัก อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ได้เกิดลำบาก ไม่ได้เกิดความขลุกขลัก ไม่ได้เกิดความรันช็อต ไม่ได้เกิดเดือดร้อนอะไร นี่คือการทำให้สังคมการทำให้ชีวิต ไม่ลำบาก 

ก็วกเข้าหามาหาจิตวิญญาณที่เรายังมีความลำบาก ความโง่ มีความผูกพันเกินไป ยังผูกพันกับบี เขาตายไปแล้ว จิตเขาก็ไปสู่สุคติอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเขาหรอก เรานั้นไปเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์ มันโง่เปล่าๆ มีความทุกข์เพราะไปอาลัยอาวรณ์ ไปห่วงหาเขา มันตัดขาด เขาตาย เขาก็จิตวิญญาณเขาก็พาเป็นไปสู่สุคติ แล้วจะไปเกิดไปเป็นอะไรต่อ ซึ่งเรารู้ไม่ได้ตามกรรมวิบากๆ เขาก็จะมาเกิดอยู่ในแวดวงของพวกเรานี่แหละ แล้วก็จะช่วยกันไปดำเนินกันไปสัมพันธ์กันไปอีกในอนาคต มันไม่ใช่เรื่องที่แปลก ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เข้าใจ อาตมาอธิบายสิ่งที่เข้าใจสิ่งที่รู้จริงให้ฟัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปงงไปสงสัย ฟังดีๆแล้วติดตามความจริงนี้ไปด้วยชีวิตของเรา 

ศึกษาชีวิตจริง เราเอาแต่พฤติกรรมความดีงาม บีเขามีความดีงามอะไร เรียนรู้แล้วทำแล้วฝึกตาม กายกรรมดีงาม วจีกรรมดีงามมโนกรรมดีงาม เรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติตนให้ได้ดีงาม อะไรไม่ดีของบีเขาเราก็รู้ว่าไม่ดี เราก็ไม่เอา เราจะตัดสินเองว่าไม่ดี เราก็ไม่เอา อะไรตัดสินว่าดีก็เอา เราก็จะยิ่งมีปฏิภาณปัญญาฉลาด รู้ดีที่ละเอียดละออ ดีที่สูงขึ้นสูงขึ้น แล้วเราก็มาเป็นคนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่กันและกัน เป็นตัวอย่างแก่กันและกันให้เราได้เรียนรู้ความจริงจากพฤติกรรม จากการประพฤติการปฏิบัติ 

ไม่ใช่เรียนรู้โดยมีแต่ตัวหนังสือ มีแต่พยัญชนะ แต่นี่มีกรรมกิริยา มีคนจริง มีการประพฤติ มีการสัมพันธ์กัน มีผลต่อกันและกัน เรามีโรงเรียนของเรา ห้องเรียนของเรานี้มันสุดยอดเลย เป็นบวร เป็นบ้านวัดโรงเรียนที่มีการศึกษาที่มีอะไรครบ สมบูรณ์แบบ 

เป็นโรงเรียนหรือเป็นมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วเราจะได้รู้จักว่า อันนี้คือเหตุปัจจัยในการเรียน เหตุปัจจัยในการศึกษาจากพฤติกรรม จากทั้งตั้งแต่วัตถุ การใช้วัตถุ การเกี่ยวพัน การสัมพันธ์ การประพฤติ การคิด ความฉลาดเฉลียว เอามาใช้สร้างสรรค์ ชีวิตเราก็เจริญพัฒนาขึ้นไป นี่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน 

ชีวิตของผู้ที่ยังไม่จบ จบในเรื่องหนึ่ง จบในกรอบหนึ่ง โสดาบัน สกิทาคามีจบ อนาคามีจบ อรหันต์จบ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 จบไปเป็นขั้นๆ มันก็มีกรอบแห่งความจริงให้เราศึกษาไปตามลำดับ 

เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นความจริงที่พวกเรามีตัวอย่าง มีตัวอย่างประพฤติให้เราเข้าใจ ให้เราเห็นความจริง เป็นตัวอย่างที่ศึกษา นี่แหละสุดยอดแล้ว เป็นโรงเรียนหรือเป็นมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บวร บ้านวัดโรงเรียน ศึกษาดีๆเถอะ แล้วเราจะได้ 

แล้วเราจะลดความทุกข์ บรรเทาทุกข์ เข้าใจความจริงว่า อ๋อ.. เขาตายพรากไป อย่างไรเขาก็ไม่ฟื้นกลับมา แต่ที่จะเหลืออยู่ก็คือพฤติกรรมที่เราจำได้ ความเคยเกี่ยวพันสัมพันธ์กัน เราก็เอากรรมกิริยาอะไรที่เราเห็นดี อันนี้ควรทำอย่างนี้ นั่นต่างหากที่มันเป็นสิ่งที่จะได้ที่เราจะเอามาประพฤติตาม แล้วก็ทำให้เป็นตามดีตาม สิ่งดีๆอะไรของบีเขามีเยอะ เด็กๆทุกคนเคยอยู่ด้วยกันมาเข้าใจ เก็บเอาสิ่งดีๆของพี่บีเขา ของอาบีเขาหรือว่าของครูบี เอามา เรียนรู้ปฏิบัติประพฤติให้ได้ประโยชน์อันนั้น 

อย่าไปอาลัยอาวรณ์ อย่าไปผูกพันอะไรมากนัก มันไม่ฉลาด ไปผูกพันไปอาลัยอาวรณ์อยู่มากเกินไปก็เท่านั้นเอง อย่างไรมันก็ต้องพรากจากกัน ไม่มีอะไรจะไม่พรากจากกัน 

จะยิ่งใหญ่ จะดี เป็นผู้คนที่ดีงามมากเท่าไหร่ อย่าว่าแต่บีเลยขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังต้องพรากจากไป จะดีอย่างไรก็ต้องตาย ถึงเวลาก็ต้องตาย ตายช้าตายเร็วก็แล้วแต่ อย่างพระพุทธเจ้าอายุ 80 ก็ตายแล้ว อาตมาอายุ 89 90 ยังไม่ตาย ยังพยายามกระเสือกกระสนให้นานพอสมควร แต่ก็ต้องตายในวันหนึ่ง แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ต้องอะไรอาวรณ์อะไรให้มากมาย เหมือนอย่างที่เรามีอาการอาวรณ์อาลัยแล้วมันเป็นทุกข์นะ การอาวรณ์อาลัยมันก็ทุกข์ จะทุกข์มากทุกข์น้อยอะไรก็แล้วแต่ ผู้ที่ผูกพันกันมากกับบี อย่างตี้ ก็ร้องห่มร้องไห้กับอาตมา อาตมาก็บอกให้รู้ความจริง ปล่อยวาง อย่างไรบีเขาก็ตายไปแล้ว เรายังอยู่ก็ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์อะไรที่ดีก็ทำ ถ้าไปร้องไห้มันก็เท่านั้นเอง อย่างไรก็ไม่ฟื้น อย่างไรก็ไม่กลับมาด้วย มันก็ได้แค่นั้น เราก็ต้องเข้าใจความจริงตามความเป็นจริงพวกนี้ให้ดี อย่างนี้เป็นต้น 

การที่จะเข้าใจนี้เป็นเรื่องจริงจากคนจริงๆ พฤติกรรมจริงๆ และกิเลสเราที่โง่ กิเลสเราที่มันติดยึดผูกพัน ไม่รู้จักปล่อยจักวางสิ่งที่เป็นอย่างนี้แล้วต้องปล่อยต้องวางต้องตัดต้องพรากก็ต้องรู้การพราก ไม่มีอะไรจะไม่พรากจากกัน นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่จะไม่พรากจากกัน 

เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมาเรียนรู้ความจริงพฤติกรรมของคนจริงๆพวกนี้ แล้วเราก็รู้จักปล่อยจักวาง รู้จักการสละปล่อย สละ วางปล่อย เลิก ไม่ผูกพันต่อ แต่เรามีความรู้ความจำได้เราก็เข้าใจ ระลึกได้จากความรู้ความจำเอามาเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่เอามาทุกข์ทับถมตน 

อย่าเอาทุกข์ทับถม อย่าเอามาระลึกทุกทับถมตน อย่าเอามาระลึกเพื่อสร้างกิเลสให้แก่ตน จงระลึกมาเป็นประโยชน์ในการที่จะเตือนสติเตือนปัญญาปณิธานปัญญาให้รู้ว่า เราอยากผูกพันมีแค่สัมพันธ์กันมีประโยชน์ร่วมกัน อย่าไปสร้างโทษมาให้แก่ตัวเองเรื่องโง่ๆ 

เพราะฉะนั้นเรารู้จักตัวอย่าง รู้จักพฤติการณ์ของคน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เป็นพฤติการณ์ที่ดีหรือที่เราควรเอามาศึกษาทำประโยชน์แต่ไม่ใช่เอามาผูกพันกับพระพุทธเจ้า ดีนะพวกเราไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็สิ้นพระชนม์ไปจากเรา เหมือนบีที่ตายไป ไม่งั้นเราจะผูกพันกับพระพุทธเจ้าหนักกระทั่งจะตายตามมันก็หนักสิ อย่างไรพูดเศร้า ท่านก็สิ้นไปของท่าน บี เขาก็ไปตามของเขา

ส่วนเรายังอยู่เราก็ศึกษาเรียนรู้ ประพฤติในชีวิตที่ยังมี ก็ใช้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรียนรู้ประพฤติให้มันเจริญ ให้มันพัฒนา ให้มันเป็นประโยชน์คุณค่า ให้มันเสียสละ อย่าให้มาเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่พรรคพวกของตนเองเกินไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ไทยจะเรืองอำนาจด้วยการเป็นชาติกสิกรรมกับกาชาด

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาตัวอย่างอย่างขณะนี้ ขณะนี้มันเป็นตัวอย่างของสังคม ที่เขาเองเขาพยายามใช้คำพูด กับวิธีการสื่อสาร กับการแสดงออกว่าเขาจะมาเป็นตัวผู้เก่งกาจ จะมาทำ จะมาแบกภาระรับใช้สังคม นี่เป็นคำขี้โม้นะ ไม่รู้ทำอะไรเป็นแค่ไหน แล้วก็มาคุยโม้ โอ้โหจะทำเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ จะให้รายได้แต่ละคนนี้แจกเลยคนละ 3,000 บาท แจกเลยคนละ ค่าแรงงานวันละ 450 อะไรต่างๆนานา คนอายุ 16 ปีขึ้นไปแจก 10,000 บาทเลย ขี้หมาแน่ะครับ 

คือมันหลอก หลอกให้นึกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองจะเนรมิต ตัวเองจะทำได้โดยเอาความโลภของคน ความอยากได้ความต้องการขี้โลภ มาเป็นเหตุปัจจัยหลอกคนให้หลงเชื่อว่าฉันนี่แหละเป็นพระเจ้าเป็นผู้เนรมิตเลยนะ ทำอันนี้ให้ หลอกบำเรอความโลภบำเรอกิเลสทั้งนั้น อย่าไปโง่หลงคนที่มาหลอกบำเรอกิเลสเราด้วยคำพูดคำโม้ จริงๆเขาทำ เขาก็ทำไม่ได้หรอก 

ถึงแม้จะทำได้จริงคุณจะไปแบมือรับจากคนที่เขาให้ กับคุณสร้างสรรค์ด้วยน้ำมือคุณแล้วก็มีสิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไปขายมาเป็นเงินของตนเองเป็นสิทธิของเราด้วย มันไม่เท่กว่าไปรับเหมือนขอทานจากรัฐบาลจากคนนั้นให้คนนี้ให้ จากนายกฯเป็นผู้บัญชาให้ โธ่เอ๋ย มีเกียรติกว่านั้นหน่อยได้ไหม มีศักดิ์ศรีกว่านั้นหน่อยได้ไหม 

ฟังธรรมะดีๆที่อาตมากำลังบรรยายให้ฟังอย่าไปถูกหลอกง่ายๆตื้นๆด้วยคารมหว่านล้อม อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ดูถูกแต่อาตมากำลังพูดนี้ถูก 

คนที่กำลังโม้ กำลังพูดกำลังทำสัญยิงสัญญากับสังคม ว่าเอาฉันให้มีอำนาจ ฉันจะสร้างอันนี้ให้ ฉันจะทำอันนี้ให้ ขี้โม้ทั้งนั้น โดยเข้าใจถึง โลกที่โง่ๆ ถูกคารมหว่านล้อมระหว่างภาษากับเครื่องมือสื่อสารให้หลงเชื่อว่า ฉันนี่แหละจะเป็นคนเก่ง เป็นคนเนรมิต เป็นคนมีอำนาจจะสร้างให้คุณได้ดังประสงค์จะเนรมิตให้ทุกอย่าง มันสร้างรูปนี้ทั้งนั้นเลย ในการเมืองของโลกบอกให้เลย เขาใช้อย่างนี้เลย 

แล้วก็พยายามที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ว่าฉันทำได้นะ เช่นฉันสร้างปืน ฉันสร้างลูกระเบิด สร้างเครื่องมือฆ่าคนได้นะ แจกไปเลยให้ไปเลยเห็นไหม มันซับซ้อน คุณสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารแจกสิ  ชั่วช้าสามานย์คือสร้างอาวุธ 

คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ แค่นี้เขาก็ไม่รู้ จะสร้างอาวุธฆ่ากันเก่งให้ตายอย่างไรก็ไม่ใช่คนเจริญ แต่เป็นคนเสื่อมคนสามานย์ แต่สร้างอาหารนี้จะให้โง่ให้ตาย อย่างไรสร้างอาหารขึ้นมาให้คนได้กินได้อาศัย จะเป็นคนโง่ เขาจะหาว่าโง่ไม่ฉลาดอย่างไรก็ตามเถอะ สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ได้ ให้คนอื่นได้เหลือให้คนอื่นได้กินได้ใช้ไป เขาว่าไม่เจริญก็ให้มันรู้กันไป 

_สู่แดนธรรม... เขาคิดอย่างนี้ครับ บอกว่ามีเงินซะอย่าง จะไปทำทำไมอาหารซื้อเอาก็ได้ 

พ่อครูว่า... อาตมากำลังอธิบายเรื่องเงิน ตั๋วแลกเงิน ใบกระดาษชำระ ตอนนี้กำลังขยายความให้ฟัง คนมันโง่ไปเห็นกระดาษชำระเป็นพระเจ้า แย่งกันตีราคาค่าเงินของฉันจะราคาสูงต่างๆนานา แหม จะบ้าไปถึงไหน 

เมืองไทยขณะนี้เงินบาทกำลังสูงขึ้นๆ เพราะพฤติกรรมของคนไทยรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต ค่าเงินบาทมันจึงขึ้น เพราะเห็นค่ากระดาษชำระ มันไร้ค่า มันเป็นภาวะซับซ้อน คนที่เห็นค่าของกระดาษชำระหรือธนบัตร ไม่มีค่าที่เราจะต้องไปหลงใหล เรารู้จักสาระ ยกตัวอย่างเช่น อาวุธกับอาหาร สร้างอาหารแล้วก็ไปไม่ต้องไปสร้างอาวุธ ไม่ต้องสร้างเทคโนโลยีมาแข่ง อย่างในหลวง ร.9 ตรัสไว้แล้วว่า เราไม่เอาเจริญก้าวหน้าแบบโลกที่เขาเป็นอุตสาหกรรม  

_สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อท่านได้แสดง วิสัยทัศน์ของพระโพธิสัตว์ คนทั่วไปถ้าลูกศิษย์ลูกหามีความทุกข์โศก มีความพลัดพราก เจ้าสำนักก็ต้องปลอบโยนด้วยคำไพเราะหู ให้ลืมไป แต่พ่อท่านเอาความจริงมาตีแผ่ ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่สามารถเข้าถึงความธรรมดาเหล่านี้ได้ เราก็จะไปต่อความผูก ต่อความยึด มันก็จะทุกข์ต่อไปเท่าที่เราไปต่อ พ่อท่านก็เลยต้องสอนให้ตัดซะ 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นอาตมากำลังขยายความจริง ขยายพฤติกรรมของคนว่า คนที่เก่งแต่ภาษาพูดกับใช้เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อที่จะส่งเสริมคำพูดของเราให้คนมาหลงเชื่อเท่านั้น กับการกระทำจริงๆ กระทำสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารให้แก่มนุษย์โลก อาศัยใช้สอยกินใช้ อันนี้มันต่างกันมากเลย 

ในหลวง ร.9 ลงไปส่งเสริมกสิกรรม ไปส่งเสริมคนปลูกคนทำมาก ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้นไปส่งเสริมในเรื่องของงานที่จะเป็นงานสาธารณูปโภคมาก ยังไม่ลงไปถึงกสิกรรมเหมือนในหลวง สำหรับพลเอกประยุทธ์ ถ้าพลเอกประยุทธ์ลงไปถึงกสิกรรมเหมือนในหลวงด้วยสุดยอดเลย จะสุดยอดกว่านี้เลย เพราะเข้าไปหาแก่นสารสาระเป็นหนึ่งในโลกคืออาหาร ยิ่งกว่าอาวุธ 

แต่พลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ไปส่งเสริมอาวุธอะไรกันนักหนาหรอก เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็ยังมีกองทัพอยากจะได้อะไรบ้างเพื่อป้องกัน แต่เรื่องที่จะเป็นอาวุธไปสู้ เมืองไทยก็ไม่ได้กระดี๊กระด๊าอะไรมากมายนัก และกำลังเข้าใจว่าเราจะมาเข้าสู่ความเป็นกลาง มาสู่สังคมประเทศที่เป็นสังคมสงบ ไม่ไปเป็นพวกที่ฆ่าแกง ทะเลาะวิวาทกับใคร จะเป็นพวกพลาธิการกับพวกกาชาด 

พลาธิการคือ การสร้างอาหาร ส่วนกาชาดคือ สร้างการดูแลรักษาป้องกันให้ชีวิตเป็นอยู่ได้ดี อีกด้านหนึ่ง คืออาหารกับยาว่างั้นเถอะ อาหารกับหยูกยา การรักษาสุขภาพ 2 อันนี้แหละทำให้เด่น 2 เรื่องนี้ทำให้เด่นเถอะ รับรองว่าจะเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งอาศัยที่สุดยอด ในความเป็นมนุษยชาติทั้งโลก อย่าไปแย่งชิงไปแข่งขันกับการสร้างอาวุธ แม้แต่เครื่องอาศัยอื่นที่มันไม่ใช่ของกินกับของใช้ 

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่า ของกินนี่แหละเป็นหนึ่งในโลก แต่ของใช้ก็ลำลองมา แต่ของที่ใช้ฆ่ากัน ข่มกัน ทำร้ายกันทำลายกัน อันนั้นเลิกเลย ไม่ต้องไปสร้าง ใครเขาจะบอกว่าเราโง่ เราไม่มีความรู้ เราทำไม่เป็น  ช่างมัน ไม่เป็นไร สร้างอาวุธไม่เป็นแล้วบอกว่าโง่ เราก็ยอมโง่ที่สร้างอาวุธฆ่าคนไม่เป็น แต่เราสร้างอาหารได้ดีคุณมาแข่งกับเราสิ 

ต้องเข้าใจทิศทางของความเจริญ อันเป็นหนึ่งจริงๆ คลาสสิคจริงๆ เป็นหนึ่งเป็นเอกจริงๆ มาเข้าใจจุดนี้ให้ได้ อย่าสับสนให้ได้ แล้วทำอย่างมีความเข้าใจมีความรู้ทำให้ดีทำให้จริง พัฒนาสิ่งที่มันเป็น โดยเฉพาะกสิกรรม 

ถ้าเมืองไทยหรือคนไทยเข้าใจ แล้วมาเป็นกสิกรกันอย่างที่อาตมาว่ามากกว่านี้ขึ้น แม้แต่ในชาวอโศก ถ้าเข้าใจแล้วก็จิตมันยินดีมันชัดเจน ว่าเรามาเป็นกสิกรเหมือนบีเขานี่ ดีกว่านะดีกว่าที่จะไปเป็นอันอื่น อันนี้ถ้าเข้าใจอย่างจริงเลย โอ้โห..ความเจริญมาเลย ความเจริญความประเสริฐจะเกิดเด็ดขาด เกิดจริงๆเลย นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดเลยพยายามเข้าใจให้ได้ 

เพราะฉะนั้นในความรู้ที่จะรู้ความจริงว่าอะไร พฤติกรรมอย่างไร พฤติการณ์อย่างไรชีวิต เราจะดำเนินอย่างไร จึงจะเป็นคนมีคุณค่า ไม่ใช่อยากมีคุณค่า แต่มันจะเป็นความมีคุณค่าโดยสัจจะ มีคุณค่าโดยความจริง 

เราเป็นที่พึ่ง เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคน ให้คนได้อาศัย จากเรี่ยวแรงจากความรู้ความสามารถของเราทำให้แก่โลก ถ้าเข้าใจที่อาตมาพยายามพูดพยายามอธิบายมาวันนี้ตั้งแต่ต้นจนขณะนี้ รู้ว่าอะไรคือสาระแก่นสารแล้วมาทำมาเป็นให้ได้อย่างที่อาตมาว่า ชีวิตไม่มีตกต่ำ

ชีวิตไม่ได้ไร้ประโยชน์จะมีแต่ความเป็นคุณค่ามีความประเสริฐพัฒนาขึ้นไป เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนต้องรู้ทิศทางชีวิต ชีวิตที่เป็นสุคติชีวิตที่ดีคืออะไร อย่างบี อย่าไปดิ้นรนประพฤติแบบทุคติ ประพฤติไปในทางที่มันโง่ๆชั่วๆต่ำๆ ยกตัวอย่าง อย่าไปสร้างอาวุธอย่าไปเจริญแบบนั้นเลย มันเป็นทุคติ มันไม่ใช่สุคติ มาเป็นผู้สร้างอาหารสร้างความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจานแจกจ่ายเสียสละ นี่คือผู้ประเสริฐ เป็นเรื่องเจริญเป็นเรื่องของมนุษย์ เข้าใจให้ได้ง่ายๆมันไม่ยากอะไรหรอกที่จะเข้าใจ แล้วมาเป็นให้ได้อย่าเอาแต่คำพูดอวดโอ่อย่างที่พูดผ่านไปแล้ว พูดแต่โม้คุยโม้จะทำอย่างนู้นอย่างนี้ บำเรอกิเลส 

เขาจับจุดได้ว่าคนนี่ถ้าเผื่อว่าจะไปบำเรอกิเลสเขาได้เขาจะชอบใจเรา ฟังให้ดีนะที่เขาล่อกิเลส คนมีกิเลสอยากได้อยากมีอยากเป็นโดยเฉพาะวัตถุตื้นๆ หลอก จะให้เงินมากๆจะให้อันนู้นอันนี้มากๆ ฟังที่เขาคุยโวมีแต่อย่างนั้น ไม่มาพูดถึงสาระแก่นสารไม่มาพูดถึงการเสียสละ 

มันซ้อนที่ว่าเขาพูดว่าเขาจะทำให้เขาจะเป็นผู้บันดาลเขาจะเป็นพระเจ้าจะทำให้ แต่ไม่ใช่ตัวเองพาให้คนมาทำมาสร้างสรรค์แล้วก็มาเสียสละไม่ โดยเฉพาะตัวเองไม่ทำ ทำอะไรไม่เป็น เอาธนบัตรหรือเอากระดาษชำระเอาตัวเลข ตัวเลขของกระดาษชำระตัวเลขของธนบัตร ราคาของตัวเลขนั้นมาคุยเขื่อง มาสร้างเป็นวาทกรรม บอกตัวเลขเท่านั้น บอกตัวเลขเท่านี้ คนโง่ก็ไปหลงตัวเลขกันทั้งนั้นมันตื้นเหลือเกิน คุณพูดถึงมานั้นคุณทำอะไรเป็นบ้าง คุณจะพาทำคุณจะพาลุย คุณพูดอันนั้นหน่อยสิ มีไหมออกจากปากเขามีไหม ไม่มี 

พลเอกประยุทธ์พาทำ แม้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ไปลงมือหรอกหรือ.แม้แต่ในหลวงร.9 ก็เหมือนกัน ไม่ได้ลงพระจริยวัตรลงไปหรอกแต่ท่านก็ลงไปลุยพาคนอื่นทำ ทุกคนช่วยกันทำ ได้กินได้อาศัยได้อยู่ ได้ยังชีพยังชีวิตกันมา ที่เรารอดกันมาได้ประเทศไทยขึ้นมานี้ เพราะพวกเรารู้จักสาระแก่นสารเครื่องอาศัยในชีวิต ไม่ใช่ไปหลงโลกหลอก หลอกด้วยอาวุธ หลอกด้วยธนบัตร หลอกด้วยสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมอมเมา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย 

เพราะฉะนั้นการมามีชีวิตที่เข้าใจสาระแก่นสาร แล้วลงมือพากันทำ อย่างชาวอโศกเรานี่ถูกแล้ว ถูกทางแล้ว มาเป็นกสิกรแข็งขัน หรือกสิกรแข็งขลัง กระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม นี่ก็เป็นเพลงของคนไทยที่มีความรู้แต่งไว้ว่าเมืองไทยจะเจริญด้วยอย่างนี้ ไม่ใช่ไปเจริญแบบอื่น ไม่มีเนื้อเพลงของไทยจะไปสร้างอาวุธปราบคนนั้นคนนี้ ไม่เห็นมีเพลงไทยแบบนั้นเลย มีแต่เพลงสร้างอะไรแข็งขันกระดูกสันหลังของชาติ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ ตอน3(รวม1+2+3)

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นวันนี้ แม้เป็นวันที่เรามีผู้ที่อยู่ร่วมกับเราจากไป ก็จงเอามาเป็นอุทาหรณ์ มาเป็นตัวอย่างในการที่จะเกิดความรู้ปฏิภาณ ที่จะได้รู้ได้รับเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่า เราเสียสิ่งนี้แต่เราได้อีกสิ่งหนึ่ง เราเสียคน ไม่ใช่คนเลวนะ ถ้าเราถูกพญามัจจุราชพรากคนไปคนนึง แต่เราก็จะได้ความรู้ ได้กำลังใจ ได้ว่าเราจะดำเนินชีวิตกันอยู่ เราจะมีคติในการดำเนินไปอย่างดี สุคติอย่างไร 

อย่าไปเข้าใจว่าสุคติตายไปแล้วจะไปสู่สุคติ ตายไปแล้วจะไปสู่ทุคติ ไอ้อย่างนั้นเป็นการพูดประโลมใจเท่านั้นเอง แต่อันนี้เป็นปัจจุบันธรรม อย่างไร เราจะดำเนินต่อไปอย่างสุคติเราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างดี เราเข้าใจว่าควรจะประกอบกรรมอย่างนี้ ควรจะกระทำอย่างนี้  ควรจะคิดอย่างนี้ มีแนวคิด มีการสร้างสรรค์อย่างนี้ มีการประพฤติอย่างนี้ กระทำอย่างนี้ให้เจริญ แล้วเราก็ได้อาศัยเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้อาศัย อย่างนี้ต่างหากคือสิ่งที่ประเสริฐ 

อาตมายังมีชีวิตอยู่ ยังจะพาดำเนินไปอีก ตั้งใจจะอยู่ให้พอสมควร นี่เขาจะฉลองให้อาตมาก็รับการฉลอง เพราะว่าจะเป็นการเรียกว่าส่งเสริม ถ้าบอกว่าโฆษณามันเหมือนตีฆ้องร้องป่าว ไม่ถึงขั้นนั้น นี่เป็นเพียงการโปรโมทส่งเสริม ให้คนได้ฟัง ให้คนได้เห็น ให้คนได้เข้าใจว่าพากันมาทำอย่างนี้นะ 

เช่น กำลังจะโปรโมทอาตมา กำลังจะส่งเสริมอาตมาว่าอาตมาพาทำอย่างนี้ อาตมาพาทำกันมาตั้ง 50 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่เลิกจากทางโลกออกมาบวช พ.ศ 2513 มาถึงวันนี้ 50 กว่าปี ก็พาส่งเสริมให้พวกเรามีชีวิตจนกระทั่งเป็นตัวอย่างชุมชนสาธารณโภคีกันขนาดนี้ 

ซึ่งเป็นเรื่องยืนยันต่อสังคมโลกว่าพาคนมาเป็นอย่างนี้มันเป็นสุคติอย่างไร เป็นปกติหรือสุคติ พาดำเนินไปสู่สิ่งดีคือสุขคติ หรือมันพากันไปสู่สิ่งไม่ดีเป็นทุคติกันจริงๆ นี่มาพิสูจน์เรื่องปัจจุบันธรรม พฤติกรรมจริงมีให้เห็น ยืนยันจับต้องได้ เป็นทั้ง ฟีโนมิน่า เป็นทั้ง scenario เป็นทั้งปรากฏการณ์เป็นทั้งสถานการณ์ Scenario คือสถานการณ์ ฟีโนมิน่าคือปรากฏการณ์ ที่อาตมาพาทำทั้งปรากฏการณ์ทั้งสิ่งที่เป็นสถานการณ์ ที่ให้คนยืนยันพิสูจน์ได้ ว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ควรเป็นควรมีกัน เป็นสิ่งที่เราจะได้เข้าใจและเราก็จะได้มาพากันทำจริงๆให้เกิดปรากฏการณ์ แล้วก็กลายเป็นสถานการณ์ที่เราได้อาศัย เป็น scenario อาศัยรับรองชีวิต 

แล้วคนอื่นเขาก็จะได้เห็นเป็นฟีโนมินอลเป็นฟีโนมิน่า เป็นปรากฏการณ์ที่กระจายเผยแพร่ phenomena เป็นพหูพจน์ให้ได้รับรู้ได้รับเข้าใจ ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐเป็นสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็นกัน 

เอาล่ะอาตมาใช้เวลามาพอสมควรชั่วโมงครึ่ง จะต่อไปอีกก็ยังรู้สึกว่ายังมีกำลังอยู่ ก็ลงไปสู่ที่ตอนนี้เรามีผู้พรากจากไปเป็นผู้ที่เราก็ได้อยู่ร่วมกันมา มีประโยชน์ร่วมกัน มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ร่วมกันมาแล้วด้วยสังคมสาธารณโภคี สังคมที่เรามีส่วนกลางอาศัยใช้สอย แล้วเราก็พากเพียรปฏิบัติตนด้วย ทิฏฐิสามัญญตา   ศีลสามัญญาตากันไป 

มันก็จะมีคนแล้วคนเล่าแบบนี้ ไม่ใช่ว่าบีเป็นคนที่ตายคนแรกในพวกเรา ก็มีคนที่ตาย ที่เราก็เคยผูกพันอาลัยอาวรณ์กันมาแล้ว จนกระทั่งถึงบีขณะนี้เป็นปัจจุบัน ซึ่งอาตมา บ่นไปไม่กี่วันผ่านไปเฮือนสุดชีวิต ว่า เฮือนสุดชีวิตไม่ได้ทำงานมานานแล้ว ไอ้หยา มาถึงวันนี้ต้องได้ทำงาน ไม่น่าบ่นเลย ไม่ได้หมายความว่าอาตมาบ่นมันก็จะต้องเกิดไม่ใช่หรอก พอดีมันมีจังหวะก็นำมาพูดไปเท่านั้นเอง 

มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ ที่นี่แหละเกิดมาก็มาอาศัยซึ่งกันและกันส่งเสริมกัน ช่วยเหลือกันและพากันให้เจริญ เจริญๆ ไปสู่สุคติ เจริญๆไปสู่การดำเนินชีวิตที่ดีๆๆ ยิ่งขึ้น รู้จักทิศทาง ไม่ต้องไปใช้ความคิดที่งมงายไปชาติหน้าสุคติ ชาติหน้าจะเป็นวิญญาณ. ไม่เราทำวิญญาณปัจจุบันเราในปัจจุบันนี้ ธาตุจิตธาตุวิญญาณให้เข้าใจให้มีพลังงานทางกาย วาจา ใจ แล้วก็สร้างพลังงานกายกรรมพลังงานวจีกรรม ซึ่งมาจากมโนกรรมที่เป็นประธาน ช่วยกันเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ 

ซึ่งมันเป็นโลกเป็นสังคมมนุษย์ที่อาตมา แหม ในจิตลึกๆของอาตมานี้อาตมาเข้าใจว่า คนอย่างพวกเราที่เป็น มันเป็นคนที่ถอด ถอดรหัส ถอดเอาความรู้มาจากพระพุทธเจ้าได้จริงๆเลย ตรงกับที่คำสอนพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเอามาประกาศ พวกเรานี้ได้รับถ่ายทอดมาได้ ถอดแบบออกมา มาเป็นคนที่เหมือนพระพุทธเจ้าพาเป็น 

มาเป็นคนมีวรรณะ 9 มาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 สำเร็จ อาตมาว่าอาตมาพูดไว้วันนี้ คนจะเข้าใจที่อาตมาพูด สรุปๆว่า มาเป็นคนวรรณะ 9 เป็นคนอย่างไร เป็นคนสาราณียธรรม 6 มันเป็นคนอย่างไร นี่แหละมันเป็นเรื่องอย่างนี้แหละครับ อย่างนี้แหละเชิญมาดูสิ เชิญมาสัมผัสมาศึกษา อย่าไปหลงระเริงไปใช้เวลา ใช้แรงงาน ใช้ความเกิด ความตาย อยู่กับไอ้นู่นเสียชาติเกิดมาหลายชาติแล้ว มาเลยลัดๆ มาเลย คัดสั้นเข้ามาเลย ลัดๆคัดสั้นมาที่นี่เลย ตรงจุดที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นกัน นี่สุดยอดเลย 

เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาชาตินี้อาตมาไม่ได้สงสัย ไม่สงสัยคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยว่า ที่ได้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถ่ายทอดนั้น จนกระทั่งพวกเรามาเรียนรู้แล้วก็มาปฏิบัติประพฤติได้ขนาดนี้ ยิ่งสำทับให้อาตมาเห็นจริง ว่ามันเป็นไปได้ยาก แต่มันก็เป็นไปได้ ท่ามกลางโลกที่เทียบเคียงคนทั้งโลก 7,000 ล้านกว่า เดี๋ยวนี้จะ 8,000 ล้านหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกมา เลยว่าพลโลกมีอยู่จริงๆเท่าไหร่เรามีอยู่แค่นี้แหละ 800 8,000 สวยๆหน่อยตัวเลขก็ 80,000 แต่แปดแสนนั้นยังไม่กล้าพูดว่า ชาวอโศกจะมีถึง 800,000 หรือเปล่า ถ้ามี 800,000 ขึ้นไปในโลกจะเป็นตัวอย่างอันปรากฏขึ้นในโลก ที่คนผู้แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ มนุษย์จะประเสริฐอย่างไร อย่างนี้ มนุษย์ประเสริฐเป็นอย่างนี้ มนุษย์อาริยะ มนุษย์เจริญเป็นอย่างนี้ 

พูดแล้วผู้ที่เขาฟังที่เขาไม่เชื่อ เขาไม่เห็นจริง เขาไม่เข้าใจบอกว่ามาเป็นคนจนหรือว่าเป็นคนประเสริฐ เขาก็ จะเกือบอาเจียนเลย (เอี๋ย) เป็นอาการอาเจียนของเด็กน้อย เขาก็จะไม่เชื่อ แต่นี่มันเป็นสัจจะนะ มันเป็นความจริง มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ประกาศได้ อาตมาเห็นว่ามันยังมีเนื้อหายังไม่มาก ยังไม่แน่น ยังไม่หนักพอ จึงพยายามลากสังขาร พยายามลากสังขารนำพากันไปอีก 

กาลเวลาจะพิสูจน์คนด้วย อาตมาก็จะทำและยืนยันสัจจะที่พูดกันมาก่อนแล้วว่า กาลเวลาพิสูจน์คน มันเป็นการพิสูจน์คนว่าอาตมาพาทำนี้มันเป็นประโยชน์จริงหรือประเสริฐจริงหรือ เขาจะค่อยๆยืนยันพิสูจน์ไป พิสูจน์ไปเรื่อยๆแล้วก็จะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ไม่ประเสริฐ กับสิ่งที่ประเสริฐเปรียบเทียบกันไป เขาจะเห็นความจริงจะยอมรับความจริงได้ 

ยกตัวอย่างง่ายๆว่าคนไปรวยนี่มันไม่เจริญหรอกมันเสื่อม คนมาจนนี่ต่างหากมันเจริญ คนไปขี้โลภได้ ได้มาได้มา มันเสื่อม แต่คนเสียสละเสียสละให้ไปนี่ต่างหาก เจริญ 

อาตมาพยายามพาพิสูจน์ความจริงพวกนี้ แล้วคนมาทำได้นี่มันสุดยอดเลย เอาคนมาจนนี่มันเจริญกว่าคนรวย คนมาเสียสละนี้มันดีกว่าคนไปเอาเปรียบ เด็กๆฟังไว้เข้าใจไหม เด็กๆก็เข้าใจได้ ผู้ใหญ่เข้าใจไม่ได้ก็โง่ซะ ไป!

ผู้ใหญ่ก็เข้าใจได้ แต่เวลาจริงๆทำกลับกัน พูดแล้วเข้าใจไหมผู้ใหญ่ มาได้เปรียบที่มันเสื่อม มาเสียเปรียบนี่มันเจริญ ผู้ใหญ่เขาก็เข้าใจแต่เวลาไปทำจริงๆเขาจะไปเอาเปรียบหรือไปเสียสละ เขาก็ไปเอาเปรียบ มันจะตลบตะแลงตอแหลไปถึงไหนกันวะ 

รู้ก็รู้ว่าเจริญคืออะไร แต่ไม่มาทำความเจริญ เช่นคนเจริญไปทำน้ำเมามอมเมาคนทั้งโลกและได้เงินเยอะๆ มันโง่หรือฉลาดกันแน่ โง่ คุณตอบนะ อย่าไปตอบดังนักเดี๋ยวมันจะสะเทือน เห็นไหม 

เพราะฉะนั้น สัจจะที่กำลังอธิบายแล้วแยกแยะแบ่งเปรียบเทียบให้รู้ทีละคู่ทีละคู่ไปง่ายๆ เราจะเข้าใจว่าเราหลุดพ้นในสิ่งที่เข้าใจผิด แต่ก่อนเราก็เป็นคนอยากได้อยากได้เปรียบอยากไปรวย เมื่อเรามาเข้าใจแล้วเรานึกว่าความเสียสละความเสียเปรียบพูดให้ชัด เสียสละเมื่อเปรียบเทียบแล้วเราได้เสีย เราไม่ได้เป็นผู้ได้ อย่างที่ในหลวงท่านตรัส เราเสียนี่แหละคือเราได้ อ๋อ..อย่างนี้คือความเจริญยิ่งกว่าไปได้ เสียสละนี่คือมันได้ มันดีกว่าไปได้ ไปเอา มาเป็นผู้ให้มันดีกว่าไปเป็นผู้รับ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นมาศึกษาดีๆชีวิตเราเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้ว มันสงสารคนที่เขาไม่เข้าใจชีวิตอย่างพวกเรา ดีไม่ดีมาด่าพวกเราด้วย มันน่าสงสารคนพวกนั้น เขาตามืดตาบอด เขาไม่รู้เลยว่า นี่แหละคนดี นี่แหละคือคนพากันมาประเสริฐ เป็นคนที่จะมี เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติแก่โลก แก่ตนนั้นก็ได้ แล้วก็จะเป็นแก่ผู้อื่น แก่มวลมนุษย์ชาติต่อไปอีกอย่างนี้ต่างหากเล่า 

ไอ้อย่างที่พวกคุณไปได้แย่งกันกินสูบดื่มเสพ เอาเปรียบเอารัด ดีไม่ดีฆ่ากัน โกงกัน หลอกลวงกัน จะมีชีวิตอย่างนั้นกันอยู่ทำไม แข่งดีแข่งเด่นกันอีก แล้วไปแข่งดีแข่งเด่นกันทำไม ทำดีแล้วก็จบในตัวแล้วมันจบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จะมาศึกษาธรรมะโลกุตรธรรมเป็นธรรมะที่ฟังแล้วมันทวนกระแสกับแนวคิดของโลกีย์เขา มันคนละเรื่องกัน มันทวนกระแสกัน อันนี้แหละมาพากเพียรในเรื่องนี้มาพยายามในเรื่องนี้เถอะ แล้วเราจะเจริญประเสริฐกันอย่างแท้จริง 

สำหรับมนุษย์อาตมาก็ว่ามันไม่มีทางอื่นที่จะเจริญที่จะดี จะผิดไปจากนี้ อันนี้มันถูกต้องที่สุดแล้ว อาตมาบังคับความเชื่อคนไม่ได้หรอกอาตมาได้แต่พูดความจริง เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจ คนจะเห็นดีเห็นงามตามด้วย ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้วก็อย่าช้า อย่าช้าเลยมาเถอะ มานี่ก็ไม่ได้ปะเหลาะหรอก ไม่ได้อ้อนวอนร้องขอหรอก แต่บอกชี้ความจริงให้ฟังเท่านั้น 

มาทางนี้เราจะไม่เสียเวลา เราจะลัดไม่เสียเวลาไปกับทางโลกมาทางนี้มีแต่ความจริง มาพบทางนี้ ทางนี้จะพาเป็นกลุ่มมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่จะพาพวกเรา พากันเจริญถ่ายเดียวเพราะ หมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีนี้ จะพาพวกเรามายินดี ฉันทะในทิศทางที่ควรจะเป็น แล้วจะพาพวกเรามีศีล แล้วจะพาพวกเราเรียนรู้อัตตา เรียนรู้ตัวตน แล้วจะพาพวกเรามีทิฏฐิที่ตรง ทิฏฐิที่สัมมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะพาพวกเราปฏิบัติ ทำใจในใจ ประเสริฐ ทำใจในใจถูกต้องถ่องแท้แยบคาย โยนิโสมนสิการขึ้นเรื่อยๆ 

นี่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ได้พบแล้วจะพาเจริญ พาเกิดทิฐิที่สมบูรณ์ พาปฏิบัติธรรมใจในใจให้เจริญด้วยการเริ่มมีศีล จนกระทั่งขัดเกลากิเลสไปเป็นพหูสูตรแล้วเราก็จะรู้ว่า โอ้ ความเจริญแบบนี้มันดีจริงๆ คุณก็จะวิริยะพากเพียรทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นพหูสูตรยิ่งเจริญพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจบเป็นบัณฑิตเป็นปัญญาข้อที่ 7 เป็นบัณฑิตเลยแล้วก็จะอยู่กันอย่างมีภูมิปัญญาอยู่กันอย่างสังคมบัณฑิต อะไรควรหยุด หยุด อะไรควรพูด พูด อะไรควรทำๆอะไรพากันทำควรสอนก็สอน รู้จบเป็นปัญญาข้อที่ 8 เลย 

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อาตมานำหลักฐานมาอ้างอิงยืนยันว่า อาตมาพาพวกเราทำไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าพา ที่ตรัสไว้พาเป็นพาไปมาตลอดสาย ยิ่งยืนยันความจริงเลยว่าพวกเราปฏิบัติตามแล้วมีความเป็นจริงตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า 

มาเป็นสาธารณะโภคีก็ได้ มาเป็นสังคมคนมีศีลเป็นสังคมที่อยู่กันอย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมก็ได้ เป็นสังคมสาธารณโภคีก็ได้ เมืองจีนเขาอยากได้นะ ประเทศจีนอยากได้สาธารณโภคี สังคมนิยมคอมมิวนิสต์เขาอยากได้อย่างนี้นะแต่เขาทำไม่ได้.  อโศกทำได้แล้ว เป็นของส่วนกลางไม่จำเป็นจะต้องแบ่งแยกไป เป็นกงสี 

คนจีนมีกงสีแบบแต่เก่ามาซึ่งปัจจุบันนี้มันเสื่อม แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มทำขึ้นมาดีขึ้น เพราะทุกวันนี้จีนเป็นตัวอย่างของโลกที่ดีพอใช้ทีเดียว ก็เป็นมวลใหญ่ 

แต่ยิ่งไทยแล้วมันซ้อนมีอโศกเป็นแก่นแกน เจริญขั้นสุดยอดเป็นสารานียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 เกิดจริงเป็นจริงขึ้นมาได้ นี่แหละสุดยอดจริงๆ เรียกว่ามนุษยชาติ เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจทำให้เจริญขึ้นไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เมืองไทยเป็นประเทศดูไป อาศัย Minority Right ได้ดีกว่า Majority rule

พ่อครูว่า... ก็มาสรุปตรงที่ว่า ขณะนี้เมืองไทยมีตัวอย่างของคน เขาเอาแต่พูดสรุปว่าเขาเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ใช้เทคโนโลยีโฆษณาตัวเอง ตัวเองจะเป็นคนเก่งคนสามารถจะเนรมิตอันนู้นอันนี้ให้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ มีแต่คำพูด มีแต่คำโชว์ความคุยเขื่อง อาตมาก็ว่าอย่างไรๆอย่าไปหลงลมกันนัก อย่าเอาไปทุ่มโถมหลงลมกันจนกระทั่ง เอาบ้านเอาเมือง เอาประเทศไปให้เขาทำเล่น ประเทศชาติไม่ใช่ของเล่นนะอาตมาขอให้สติ 

ในกฎหมายก็ดี ในกฎเกณฑ์ก็ดี จงมองที่คนเขาเตือนกันว่า Majority rule minority right ตามกฎเกณฑ์มันก็อาศัยคนส่วนใหญ่ แต่อย่าไปเน้น อย่าไปหลงเรื่องของส่วนใหญ่ จนกระทั่งเอากฎเกณฑ์ เช่น ชนะเลือกตั้งมวลใหญ่ให้ชนะแล้ว ให้คำนึงถึงจุดเล็กๆ minority right คำว่า right เขาแปลกันว่าแค่สิทธินั้น มันไม่พอ มันมีความถูกต้องมีในตัวด้วย คนที่ถูกต้องจำนวนน้อย minority มองอันนี้ให้เป็นสำคัญ โดยเฉพาะเมืองไทยนั้นเป็นคนที่ใช้ Minority Right นำประเทศมาเรื่อยๆ เพราะเป็นประเทศเล็ก เป็นประเทศมีพลเมืองไม่ถึงร้อยล้าน จึงไม่ได้ใช้ majority rule เป็นหลัก แต่อาศัยไปบ้างเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เจาะสิ่งที่นำประเทศไปได้นั้นคือ minority right เป็นเรื่องความถูกต้องของคนส่วนน้อย Minority right ความถูกต้องของคนส่วนน้อยนำพาไปได้เรื่อยๆ 

นี่เขาก็ถ่วง คนส่วนใหญ่ชนะไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องพิเศษเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ คนส่วนน้อยเหมือนปรอทที่มีน้ำหนักยิ่งกว่าโฟม น้อย เล็ก อย่าไปดูถูก เล็กพริกขี้หนู อยาไปดูถูกพริกเม็ดเล็กเผ็ดล้ำ อย่าไปดูถูกงูตัวน้อย นี่คำสอนเหล่านี้มีมาแต่ไหนแต่ไร แล้วถ้าเผื่อว่าเหตุปัจจัยหรือสัจธรรม มันตรงกับสัจธรรมจริงแล้ว ยอดพีระมิดนั้นมีน้อยแน่นอน ฐานพีระมิดนั้นมีใหญ่มีมากก็เป็นธรรมดา อย่าไปหลงระเริงว่าเราเป็นยอดพีระมิดเท่านั้นแหละ เราทำความจริงอันนี้แม้เล็กแม้น้อยทำไปเถอะ มันจะเป็นประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ 

อาตมาเข้าใจอย่างนี้ พาทำอย่างนี้ แล้วพวกเราที่มีปัญญาก็รับได้แล้วก็มาพากันทำก็จะเกิดหมู่มวล ที่จะมีทั้งปรากฏการณ์ จะมีทั้งสถานการณ์ มีทั้งฟิโนมีนาและมีทั้งซินนารีโอเสริมสร้างไปได้เรื่อยๆ นี่คือความจริงที่อาตมาว่าอาตมายังมีชีวิตอยู่พาทำ แล้วก็เกิดจริงเป็นจริงขึ้นมาในสังคม แม้ใครจะยังเข้าใจไม่ได้ อาตมาก็มั่นใจจะยืนหยัด

พวกเราที่ฟังอยู่นี้ ใครจะยืนหยัดไปกับอาตมาบ้าง ยกมือ ก็ค่อยๆทำไป ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ แล้วก็มีคนถามกันว่า อันนี้ได้ยินมา ระลึกถึงความหลัง นี่จะต้องออกไปทำอย่างนี้อีกหรือเปล่า  มีคนถามมา อาตมาบอกว่าอาตมาตอบไม่ได้ ไม่รู้จะต้องไปทำอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ถึงจะต้องออกไป อาตมาว่ามันจะเกิดปรากฏการณ์ที่พิเศษ ถ้าจะต้องออกไปก็จะเป็นปรากฏการณ์พิเศษ ที่คราวนี้พวกเราได้ความรู้ประชาชนคนไทยได้ความรู้กันเยอะ มันจะเข้าใจอะไรลึกซึ้งขึ้นมา 

เวลาจะหมดอาตมาขอจบด้วย คนยังเข้าใจความรู้ถึงจิตวิญญาณยังไม่ดีพอ คนขาดจิตวิญญาณไม่ได้ ฉันใด คนก็ขาดพระเจ้าแผ่นดินในประเทศ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย ถ้าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์มันเลยเถิดไปแล้ว มันไปตัดเอากษัตริย์ออกไปแล้ว ไปรวมอำนาจอยู่ที่คนคนเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องขาเดียว ประชาธิปไตยขาเดียวอย่างสหรัฐเป็นต้น ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน คอมมิวนิสต์ไปตัดพระเจ้าแผ่นดินออก เป็นขาเดียวอีกเหมือนกัน มันก็เลยกลายเป็นคนพิการไป 

เสร็จแล้วกลับตาลปัตรไปเป็นเกาหลีเหนือ จะเป็นสังคมนิยมหรือจะเป็นคอมมิวนิสต์ ดันกลายไปเป็นจอมเผด็จการใหญ่อีก เกาหลีเหนือ เป็นจอมเผด็จการใหญ่ยิ่งกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความไม่รู้ความไม่เข้าใจ มันเป็นตัวอย่างในโลกให้เรายืนยันพิสูจน์ 

เพราะฉะนั้นตัวอย่างของแต่ละประเทศแต่ละประเทศ พฤติการณ์ของแต่ละประเทศเป็นตัวอย่างที่เราศึกษาได้ดีมาก เป็นความจริงที่ไม่มีอะไรจะมาสร้างได้ง่ายๆ พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้มาสร้างหรอก ธรรมดาธรรมชาติของจิตวิญญาณหรือความคิดความรู้ของมนุษย์นี่แหละ มันรู้หรือมันโง่ก็แล้วแต่ มันก็พาตัวเองทำอย่างที่มันเป็น 

อาตมาก็ขอจบตรงที่ว่า ดูประเทศไทย ประเทศไทยคือประเทศดูไป เปรียบเทียบกับประเทศดูไบ ที่เขามีเงินมาก สร้างอำนาจ สร้างเพื่อเสวยสุข สักวันก็จะเสียเวลายาวนาน เพราะเขามีเยอะ มีน้ำมัน มีทะเล มีบ่อน้ำมันก็เลยทำได้ แต่ดูเปรียบเทียบกับประเทศไทย คือประเทศดูไป จะได้เปรียบเทียบกับประเทศดูไบ ในอนาคต ...​จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #24 ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2566 ( 16:00:14 )

660531

รายละเอียด

660531 มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก  https://www.boonniyom.net/53254.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1iCGlDpUpwWNo8csbiaxqEBjoiwFuIPr-/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/12fhvH8xn1emZPAJRu5evC4SeC7qj6DjE/view?usp=share_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/mWRO3l6lvnU 

และ ​https://www.facebook.com/300138787516163/videos/621300900061375 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เราก็ได้ทำพิธีนำร่างของคุณประทับใจ เป็นร่างที่ไร้วิญญาณ กลับคืนสู่ดินน้ำไฟลม 

มีคนมาร่วมงานมากทีเดียว เพราะเป็นคนสำคัญเกี่ยวข้องกับรายกิจการ เป็นที่รู้จักกันในหมู่พวกเราหลายแวดวง จะได้เห็นความอัศจรรย์ของพลังงาน ที่พ่อครูพาพวกเราปฏิบัติธรรมแบบลืมตา เดินมรรคมีองค์ 8 ทำให้มีพลังงานพิเศษที่จะพัฒนาขับเคลื่อนอะไรได้หลายๆด้านพร้อมกัน 

คิดดูว่าคนธรรมดาๆเจอพ่อนอนติดเตียงที่เขาต้องแบกรับภาระ คนทั่วไปก็แทบไม่มีพลังงานเหลือจะไปทำอะไรแล้วล่ะ มีน้องเขย น้องสาว หลาน หมุนเวียนกันมาคอยดูแลคนป่วยอย่างเดียว เป็นงานใหญ่งานหนักทีเดียวที่ต้องรับผิดชอบ แต่โจทย์อันนี้เขาก็ผ่านได้สบายๆ คือถ้ามีปริโภชน์หรือความกังวลใจก็จะทำไม่ได้ 

และสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้คือสามารถเรียนปริญญาเอกไปด้วยสามารถลงคลุกกับดินทำกสิกรรมทั้งวัน ไม่สงสัยที่ตัวดำ ไปทำงานไม่เห็นใส่หมวก เป็นสาวๆแต่ไม่สนใจเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว ลุยงานหนักตลอด คนเขาเชื่อว่าการเรียนกับการทำงานหนักไปด้วยกันไม่ได้หรอก แต่เขาก็สามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน ทั้งที่สัมภาระวิบากก็ยังมี 

แค่นั้นก็ยังไม่พอยังเป็นคุรุที่เอาภาระ ฟังเด็กๆที่เขามาเปิดใจที่พี่เขาได้พาให้เขาฝึกอดทน เห็นคุณค่ากสิกรรม แต่สามารถทำให้เด็กผู้ชายบางคนบอกว่าโตขึ้นไปเขาจะทำอาชีพกสิกรรมนี่แหละ การถ่ายทอดของเขาสามารถลงไปสู่เยาวชนได้ แค่งานรับผิดชอบเด็กๆสอนหลายห้องอีกด้วย แค่เรื่องเดียวก็หนักแล้วสำหรับชีวิต แต่พลังงานของเขาสามารถเอามาใช้ขับเคลื่อนได้หลายด้านพร้อมๆกัน 

ยังทำสื่ออีกด้วย เป็นแอดมินเพจบุญนิยมทีวีด้วย เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่พลังงานมนุษย์สามารถเอามาใช้ขับเคลื่อนหลายด้านได้ 

คนเราถ้าทำอะไรไม่สะดุด แค่พ่อป่วย ถ้าหากจิตใจสะดุดก็ทำอะไรไม่ได้แล้วอย่างอื่น แต่จิตใจเขาอ่อน ไว สามารถผ่านเรื่องราวหลายๆด้านไปพร้อมกัน ปฏิบัติธรรมไปได้อย่างน่าอัศจรรย์กับชีวิตชีวิตหนึ่งที่ขับเคลื่อนหลายด้านได้พร้อมกัน 

แต่ว่าเวลาชีวิตของแต่ละคนก็มีเหตุปัจจัยได้ตามวิบากของตนเอง เขาได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วอย่างที่มนุษย์ทั่วๆไปยังทำได้ยาก เป็นเพราะพลังของโลกุตระที่พ่อครูได้นำมาปลูกฝัง แล้วท่านก็บอกอยู่แล้วว่า ทุกวันนี้ท่านฝืนสังขาร เพื่ออยากเห็นสิ่งที่ท่านสอนลงไป จนนี่ดีกว่ารวยยังไง ทำให้คนเสียสละได้อย่างไร การหลับตา ลืมตามีคุณค่าประโยชน์ต่างกันอย่างไร จะเห็นถึงความอัศจรรย์ของคำสอนพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาเผยแพร่ ทำให้มนุษย์เกิดความมหัศจรรย์ได้จริงๆ 

พ่อครูว่า... เอาละเราก็พูดกันถึงบีเข้ามาเยอะแล้วนะ ทีนี้เราก็มาฟังธรรม ฟังไปแล้วก็พูดพาดพิงเกี่ยวเนื่องเมื่อเวลาถึงอะไรที่มันมีความเกี่ยวเนื่องถึงพฤติกรรมของเขา เท่าที่เขาได้ทำมา 

 

SMS วันที่ 27-28 พ.ค. 2566

 

_อัศวิน · กราบขอบพระคุณ..ท่านปัจฉา ที่กรุณา เล่าสู่ฟัง up 2 date สุขภาพของ'พ่อครู' ให้ได้สดับ..เจ้าค่ะ รับทราบ.ข่าวสุขภาพ..ของพ่อครู..ด้วยจิตที่..ร่าเริง...เบิกบาน..เจ้าค่ะ

 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · รายการที่ท่านปัจฉาทั้ง 3 ท่านนี้ดีที่สุดยอดจริงๆ นะค่ะ

 

ปลูกผักคอนโดกินได้ตลอดชีวิต 

_จรรยา ประเสริฐ  · ดิฉันอยู่บ้าน ปลูกกระเพรา โหระพา ไชยา ผักต่าง ๆ ไว้กินเองแล้วค่ะ ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว ส้มจี๊ด มีไม่ขาด สามารถเก็บมาผัดกินได้อย่างเรียบง่าย ทำได้ทีละขั้นแล้ว ไม่กังวลว่า อนาคต ไม่มีใครมาเลี้ยง อยู่กับเราจะทำยังไง?? อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่กลัวอนาคต กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... อันนี้อาตมาก็อยากให้ใครต่อใครได้พิสูจน์เหมือนคุณจรรยาว่า ปลูกผักพืช อาตมาเคยพูดถึงขั้นว่า แม้คุณไม่มีที่ดิน แต่คุณมีบ้าน มีชายคาบ้าน คุณก็ทำผักคอนโด ห้อยชายคาบ้านลงมาเลยเป็นกระถางต่อกันมา 10 ชั้นเลย เรียงกัน รดน้ำกระถางบนก็ถึงกระถางที่ 10 ได้ พูดมาหลายทีแล้ว ผักที่คุณชอบมีเยอะแยะเอามาปลูกลงไปในกระถาง เก็บกินได้เลยรอบบ้าน เป็นคอนโดเรียงกันเลย 10 กระถางรอบบ้าน คนเก็บกินแค่นี้ หมดแล้วก็เอาลงต่อ คุณเวียนกินได้ตลอดชีวิตเลย รดน้ำเอง 

จะรู้สึกว่าชีวิตนี้มันสะดวกได้ สบายดีเหลือเกิน เพราะว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารมันงามไม่มีหยุดเลย กลางวัน กลางคืนมันโตของมันทั้งวัน ยิ่งบางชนิดโตเร็วเห็นทันตาเลย ใครเคยไปดูหน่อไม้ ยืนดูหน่อไม้มันโตให้เห็นทันตาเลยนะ คุณดูเถอะไปเป็นชั่วโมงจะเห็นว่ามันโตขึ้นมา ยาวออกมาให้เห็นๆเลย อย่างนี้เป็นต้น 

เรามีชีวิตอยู่ในสังคมพวกเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ว่าชีวิตมันเบา มันไม่หนัก มันไม่ยาก คือมันถูกดึงเอาความคิดไปปรุงแต่งไปวุ่นกับเรื่องไร้สาระเสียเยอะ สาระแท้ๆในชีวิตไม่มีอะไร ปัจจัย 4 พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไปแล้ว อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม   ที่อยู่อาศัย 

อาหารเราก็มีที่จะกินจะใช้อยู่ตลอดเวลาแล้วนอกนั้นก็ไม่มีอะไรกังวลมาก เอาละก็ว่าสรุปไปที่เน้นสิ่งที่กระทำกัน 

 

สวยดูดีแบบโลกุตระมันทวนกระแสกับทางโลก 

_...มองเห็นว่า คนเพิ่งเข้ามาปฏิบัติธรรม กับพ่อใหม่ ๆ นี่ ถ้าเป็นผู้หญิง หน้าตาสวย ขาว ดูดี ไปตามประสาชาวโลก แต่พอเข้ามาปฏิบัตินาน ๆ เข้า จากหน้าตา ขาว สวย หมวย ดูดี เปลี่ยนไปตามธรรม เพราะธรรมเจริญมากขึ้นในตัว ความสวยทั้งหลายแหล่ หายไปเลย มีแต่หน้าตาดำ ๆ ผอม ๆ อย่างนางฟ้า พิมพ์เพชรรุ้ง ป้าเข่ง บุญยิ่งแก้ว และอีกหลาย ๆ คนที่เห็นในจอค่ะ เจริญในธรรม กันไปตามลำดับของแต่ละคน ขออภัยที่ยกตัวอย่าง เพราะเห็นอย่างคนโลกีย์มองอย่างนั้น ว่าสวย แต่ก็มองในความเจริญในโลกุตระ ด้วยค่ะ เดี๋ยวนี้ในจอที่ถ่ายทอดสด ไม่มีแล้วคนสวยทางโลก มีแต่เจริญและสวยทางธรรมค่ะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... จะเห็นได้ว่านี่คือสิ่งที่เปรียบเทียบกันระหว่างโลกุตระกับโลกียซึ่งมันจะแตกต่างกันไป ปฏิโสตัง ทวนกระแสโลกไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่ามันจริง เสียดายกันบ้างไหมนี่ เสียดายโลกียะ แต่ก่อนก็เคยเต็มที่เต็มที่กันมาไม่ใช่น้อย 

ถ้าเด็กลูกหม้ออยู่ที่นี่แล้วโตขึ้นไป เกิดมาเป็นอย่างนั้นก็แล้วไปเถอะ แต่นี่พวกคุณเพิ่งมากัน อย่างคนอายุ 50 60 70 ขึ้นไป ก็เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนที่จะมา แต่พอมาทางนี้แล้ว ยิ่งจิตของเรามันเป็นจริง จิตของเราหลุดพ้นจากโลกียะจึงมาเป็นโลกุตระแท้ๆ มันยิ่งจะเห็นว่า โอ้หนอ น่าสงสารคน ที่จริงก็สงสารตัวเองนั่นแหละ แต่ก่อนตัวเองก็ช่างไม่เข้าใจจริงๆ เห็นแล้วมัน มันรู้แล้วก็ดูไม่ยาก คนไม่รู้นี่จะดูยาก คือมันเป็นคนส่วนน้อย แย้งกับคนส่วนมากเขา เราก็ยืนยันไป 

เราไม่ได้ทำเพื่ออวดโอ่ ไม่ได้ทำเล่นทำหัวอะไร แต่มันเป็นสัจจะ ที่เดินตามพระพุทธเจ้า แล้วก็จะเห็นจริง ก็ทำก็ว่าไป 

 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง..ได้ฟังธรรมวันนี้มีประโยชน์ได้อ่านใจตัวเองว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับคนที่ comment แบบหยาบคาย ก็เข้าใจเขานะว่า เขายังมีความเห็นแบบนั้นเพราะนิสัย เขาเอง ข้อมูลที่เขารับฟังมาด้วย และแรงกระตุ้นจากสังคม เขาอาจไม่รู้ตัวว่าเขาทำกรรมที่เป็นบาปหนักที่กล่าวคำหยาบและอาฆาตมาดร้ายกับผู้ทรงศีล ...ธรรมะอันทรงคุณค่าก็จะได้การตอบรับจากคนทรงคุณค่า เพราะปฏิบัติแล้วได้มรรคได้ผล หลุดพ้นจากความทุกข์

 

_แก้วลา ไชยวงค์  · อาจารย์หมอพรทิพย์ ท่านมารายการคุณต้น ท๊อปนิวส์ ว่าประเทศไทยมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีผู้รักษาธรรมปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ค้ำจุนประเทศไทยไว้ ไม่มีใครทำอะไรได้  ดิฉันคิดถึงชาวอโศก พ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรม ทุกพุทธสถาน และกลุ่มแพทย์วิถีธรรม ท่านอาจารย์หมอเขียว เป็นผู้นำธรรมค้ำจุนประเทศไทย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2566 ( 16:07:19 )

660603

รายละเอียด

660603 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2566 ณ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53255.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/179dHk4ubsh_I59GmyvDkk3-BMYMzXnjr/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1XAFQD4D1-aKbAVCyXuDcP5S9Dl_YQv7-/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/9t40o7pqBL0 

และ https://fb.watch/kW_lT9UBmo/ 

 

ก่อนพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา และเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ชาวอโศกจึงได้จัดพิธีถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชินี ตอน 18.00 น. 

 

กิ่งแยกสามเส้าของวิสาขบูชา

จากนั้น พ่อครูร่วมพิธีมอบหุนขี้ผึ้งรูปเหมือนพ่อครู(ปางปุ้งเต้าเสาสิ้ว) ที่อาสนะสงฆ์ 

 

จากนั้นพ่อครูได้นำลูกๆกล่าว...

 ✿ สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

 

อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ

วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร

ปริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ

ขอยอบนอบหมอบกราบคารวะ 

ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้ 

เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาท ของสมเด็จพ่อ ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า 

พระผู้มีพุทธคุณŽดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง

เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้

ณ กาลศุภสมัย 3 มิถุนายนนี้ ...... 

เร่ิมกล่าวตามพ่อครูว่า... เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย  

ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ 

ณ บัดนี้ว่า… เลือดและวิญญาณขอเหล่ข้าน้อยทั้งหมดนี้  

ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า  

จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน

ขอได้โปรดรับปณิธานนี้

ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลายเถิดเทอญ.

หลังกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พ่อครูได้เทศนาต่อ ......

พ่อครูว่า… 15 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ พอดีวันนี้มันฤกษ์งามยามดีมาประจวบงาน จัดไปจัดมา ตรงกับวันวิสาขบูชาของปีนี้ และก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินี องค์ปัจจุบันของเราด้วย ก็เลยผนวกกันไป งานเราก็เลยเป็นงานที่มีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้มาร่วมผนวกกันเข้าไปอย่างดียิ่งเลย 

คำว่า วิสาขะ นี่ ความหมายของมันคือ สาขา สาขะ เป็นสิ่งที่เป็นกิ่ง เป็นสิ่งที่แยกออกจากสาขา มีกิ่งแยกออกไปเรียกว่า วิสาขะ 

มีคำว่า ติ คำนี้แปลว่า 3 ก็มี 3 กิ่ง สามกิ่งสำคัญนั้นก็คือ 

1 ประสูติ 2 ตรัสรู้ 3 ปรินิพพาน 

เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตัวเลขก็คือ 15 ค่ำเดือน 6 ซึ่งเป็นวิสาขะของจันทรคติ เป็นดิถีวิสาขปุณมี เรียกว่าอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นเดือนที่ระหว่างเมษายนกับพฤษภาคม ตอนนี้มันเลยมาถึงมิถุนายน วันนี้วันที่ 3

วิสาขะหรือวิสาขา เป็นชื่อของดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ที่เป็นดาวอยู่ในจักรวาล ซึ่งพวกเราอยู่ในโลกลูกหนึ่งจักรวาลนี้เป็นจักรวาลน้อยมี 9 ดวงด้วยกัน แต่ดาวฤกษ์อยู่นอก 9 ดวง อยู่โลกเรามองออกไปจะเห็นแสงสว่างทุกข้างขึ้น เต็มดวงเมื่อ 15 ค่ำ แล้วก็ค่อยๆมืดลงเป็นแรม 15 ค่ำก็มืดสนิท 

เพราะฉะนั้นในความหมายของพยัญชนะก็ดี ในความหมายของตัวเลขก็ตาม ในความหมายของ เทศะ ฐานะต่างๆของกาละต่างๆก็ตาม มันจะประจวบเหมาะระหว่าง 3 ใน 1 และ 1 ใน 3 

คำว่า 3 ใน 1 ก็มีสภาวะ 3 อย่างคือประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานอย่างนี้เป็นต้นเป็นสามเส้า อยู่ในวงกลมวงวน หรือในองค์ประกอบหนึ่งที่เรียกว่าโลกหรือวงวน ที่จะหมุนเวียนสลับซับซ้อนอยู่ในนี้ มันจะมีเริ่มต้นจากสามเส้า และใน 3 ใน 1 และ 1 ใน 3 นี้ จะเกิดเรื่องราวอะไรต่ออะไรขึ้นไปเยอะแยะมากมาย 

เหตุการณ์ประกอบกับวันและเหตุการณ์มีองค์ประกอบตั้งแต่บุคคลฐานะ องค์ประกอบสถานที่ต่างๆ และเวลา กาละ เทศะ 

กาละก็คือเวลา ที่มันมีอยู่ประจำเอกภพนี้ เคลื่อนไปทุกอย่างเคลื่อนไปคือ กาละ เราก็มาตั้งเป็นเวลาไว้เป็นนาทีเป็นชั่วโมงจนถึงเป็นอาทิตย์เป็นเดือนเป็นปี ก็ใช้กันไปทั่วโลก เพื่อเป็นสมมุติหมายให้คนต่างๆเข้าใจ แล้วเอามาใช้อาศัยเพื่อจะสื่อให้เกิดการเกี่ยวข้องกัน สร้างสรรค์กันแม้ที่สุดในการกำหนดหมายเอาไปทำลายกัน มันก็เป็นเรื่องของคน ซึ่งไปทำลายสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไปทำลายสิ่งที่ดีมันก็เป็นโทษอะไรอย่างนี้ ก็มีคู่กันระหว่างสิ่งดีกับไม่ดี คู่กันตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆศึกษา เราจะได้ค่อยๆเข้าใจถึงความเป็นโลก คือทุกอย่างปรุงแต่งกันอยู่ในองค์ประกอบของข้างนอกอันอื่น จนกระทั่งมาเกี่ยวข้องกับเรา แล้วก็มีพฤติกรรมพฤติการณ์ต่างๆ ปรุงแต่งกันขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว คนมีธาตุรู้เป็นเจ้าเรือน ก็เป็นตัวที่จะกำหนด 

ซึ่งจิตวิญญาณที่มันกำหนดนี่แหละ มันหลากหลายมากที่สุดเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนเรา แล้วก็เอามาตรัสเป็นสูตรต่างๆ ในการที่จะเรียนรู้อาการที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งแยกย่อยเอาไว้ ตั้งแต่ 2-3 มากมายขยายเป็น 4 5 6 7 8 9 จนนับไม่ถ้วน เป็นรายละเอียดที่มีต้นตอคือจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ที่มันเป็นตัวกำหนดทั้งรู้ กำหนดทั้งเกิด กำหนดทั้งดับ ก็เป็นเรื่องลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์แต่ละคนๆ 

ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเองทุกพระองค์ ท่านก็เป็นคนหรือเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกคน แต่ท่านได้ศึกษา ตามพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ เราไม่รู้หรอกพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ที่เป็นต้นธาตุแท้ๆคือใครตามไม่ได้ไม่มีใครจะรู้ต้นทางต้นธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ไม่สามารถตรัสบอกได้ ว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 เมื่อใด ลแต่ประมาณผู้ที่สามารถระลึก พระพุทธเจ้าระลึกชาติย้อนไปได้ เป็นล้านๆล้านๆปี 

แล้วก็ผู้ที่เกิดแม้แต่พระพุทธเจ้าอุบัติประสูติหรือว่าตรัสรู้แล้วก็ประกาศพระธรรม แต่ละองค์แต่ละองค์ก็ตามไปถึงต้นตอ ต้นธาตุ ต้นธรรมไม่ได้ คนที่อวดเก่งว่าเป็นต้นธาตุต้นธรรมเอง อวดเก่งว่าเป็นผู้รู้จุดเริ่มต้นของพระพุทธเจ้าองค์แรกก็ดี เป็นเรื่องอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน เพราะมันเป็นไปไม่ได้นอกจากเป็นเรื่องอุปาทานตัวเองสร้างเรื่องเอง แล้วก็กำหนดหมายเองเอามาพูดเลอะเทอะ 

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ในศาสนาพุทธเรามีผู้รู้ มีผู้เรียน มีผู้ประกาศอธิบายมา มาถึงยุคนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาลของพระพุทธเจ้าสมณโคดม มันเสื่อมมากเลย เสื่อมมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 พุทธกาลของพระสมณโคดมจะมี 5,000 ปี

อันนี้เป็นเรื่องแน่นอน ไม่ใช่อาตมาเป็นผู้รู้แต่ผู้รู้ท่านอื่นท่านบอกกันมาต่อๆกัน ว่า ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจะมีอายุถึง 5,000 ปี จากนั้นโลกทั้งโลกจะว่างจากศาสนาพุทธไปเรียกว่าพุทธันดรเป็นช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธเลยเป็นช่วงที่คนเลวร้ายที่สุด 

เป็นกลียุคที่คนจะฆ่ากันทำร้ายกันคือคนชั่วจัดเต็มไปหมดจนศาสนาพุทธช่วยอะไรไม่ได้เลย ไม่มีฤทธิ์พอจะช่วยคนชั่วเลวนั้นได้ในยุคนั้น ยุคนี้ก็ร้ายแรงไปเรื่อยๆคนไม่รู้หรือคนทำชั่วทุกวันนี้ แม้แต่ในชาวพุทธหรือแม้แต่ในคนที่เคยเป็นพุทธ แล้วก็ไม่นับถือพุทธขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกล่าวว่าจะไม่มีศาสนา ถึงขั้นจะไม่มีชาติ  ไม่มีศาสนา  ไม่มีพระมหากษัตริย์ เขากล้ากล่าวได้ถึงปานนี้ก็ตาม ก็เป็นความนึกคิดของเขา เป็นทิฏฐิของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเป็นโทษเป็นภัยของสังคมมนุษยชาติ 

อาตมาเป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันกับทุกๆคน เหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็เป็นคน ที่มีอาการ 32 ครบเหมือนกันหมดในคนมีอาการ 32 นี้เป็นส่วนเต็ม อาตมาก็ได้บำเพ็ญตนเองเกิดมาเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรในศาสนา ในธรรมะ อาตมาระลึกไม่ได้หรอกในช่วงที่เกิดมาตั้งแต่ยังเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่รู้เรื่องอะไรจนกระทั่งรับวิบากไป จนกระทั่งได้มาพบพระพุทธเจ้า  มาพบศาสนาพุทธ จนกระทั่งศรัทธาเลื่อมใสแล้วก็ปฏิบัติตาม ได้บรรลุธรรม นานมาเป็นหลายล้านปี จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี้ อาตมาก็ระลึกได้เท่าที่ระลึกได้ 

ระลึกได้ว่าอาตมาเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเป็นพระโพธิสัตว์ ในประเทศไทยนี้ศาสนาพุทธไม่ได้เข้าใจเรื่องของความเป็นพระโพธิสัตว์ ก็พูดถึงบ้างแต่ไม่ค่อยรู้เรื่องกัน อาตมาต้องเป็นคนนำสิ่งเหล่านี้มาประกาศลงไปในเมืองไทยในยุคนี้ ในที่อื่นๆ ในประเทศอื่นๆที่มีศาสนาพุทธ ญี่ปุ่นเป็นต้น พม่า เป็นต้น ลาว จีน ก็มีศาสนาพุทธ แม้แต่ในเกาหลี ในเขมร 

แต่ศาสนาพุทธเหล่านั้นเสื่อมไปหมดแล้ว เสื่อมจนไม่เหลือโลกุตรธรรม ไม่รู้จักโลกุตรธรรม กลายเป็นศาสนาที่เป็นโลกียธรรมหรือเป็นเทวนิยม เหมือนกันกับส่วนใหญ่ของคนส่วนใหญ่ในโลก ศาสนาเทวนิยมจะแยกแบ่งกันไปเป็นศาสนาหลายศาสนาที่มีความเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง แย้งกันบ้าง ก็ต่างคนต่างอวดเก่ง พระศาสดาแต่ละองค์ก็มีความเก่ง มีความรู้คนละแง่คนละเชิง ก็เลยแข่งกัน แล้วก็สร้างศาสนาของแต่ละองค์ ก็จะมีสมาชิก มีศาสนิกของแต่ละศาสนา 

ศาสนาเทวนิยมมีเยอะหรือ ศาสนาโลกีย์ ส่วนศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาโลกุตระ มีศาสนาเดียวจะเกิดในยุคไหนๆ กาละไหนๆ ก็จะมีศาสนาเดียว จะมีคนเห็นผิด แตกแยกออกไปจากสิ่งที่ถูกต้อง เรียกความไม่ถูกต้องนั้นว่านิกาย ศาสนาพุทธจึงเกิดนิกายขึ้นมาได้เหมือนกัน เรียกว่าไม่ใช่พุทธกายหรือธรรมกายของพระพุทธเจ้า แต่เป็นกายที่ผิดเพี้ยน เข้าใจความเป็นกายก็ยังไม่ถูกต้องอะไรอย่างนี้เป็นต้น วันนี้คงไม่ได้พูดรายละเอียดตรงนี้ 

กว่าอาตมาจะได้มาขยายรายละเอียดในคำว่า กาย อย่างนี้ก็นาน ปลูกฝังเรื่องพวกนี้มานาน จนกระทั่งเพิ่งมาเปิดขยายมาไม่นานใน 10-20 ปีนี้เท่านั้น อาตมาทำงานศาสนามาถึง 50 กว่าปีแล้ว ค่อยๆขยายรายละเอียดความละเอียดของธรรมะพระพุทธเจ้ามาเรื่อยๆ เพราะมันผิดมันเพี้ยนไปจนไม่เหลือแล้ว 

คำว่ากายเป็นคำต้นและเป็นคำกลางและเป็นคำปลาย ที่จะต้องใช้ประกอบกับความรู้ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าอย่างสำคัญมากเลย คำว่า กาย ตั้งแต่ต้น ถึงกลาง ในกลาง ก็มีรายละเอียดเยอะจนจบคำว่า กาย ก็จะเป็นคำที่จะต้องใช้ตรวจสอบถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิญญาณฐีติ 7 อย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาพยายามนำคำตรัสของพระพุทธเจ้าพวกนี้ มากล่าวให้พวกเราได้เข้าใจ เอามาใช้ประกอบในการปฏิบัติธรรม สุดท้ายเราก็จะได้บรรลุนิพพานและจะได้เป็นประโยชน์ต่อโลก

ประโยชน์ตนนั้นคือตัวเองได้บรรลุนิพพาน 

บรรลุนิพพานคืออะไร คือบรรลุการรู้จักจิตเจตสิกต่างๆ 

จิตคือธาตุรู้ที่แยกออกไปเรียกแต่ละหมวด แต่ละเรื่อง แต่ละราวเรียกว่าจิต แล้วจิตก็ยังแยกละเอียดไปอีก 

เจตสิก คือส่วนละเอียดของจิตที่แยกออกไปอีก ประกอบไปทั้งหลายแหล่เรียกว่าเจตสิกทั้งนั้น คือรายละเอียดของจิตอีกทีหนึ่ง ซึ่งจิตก็แยกออกไปจากคำว่าวิญญาณ วิญญาณเป็นธาตุรู้องค์รวมทั้งหมดเรียกว่าวิญญาณขันธ์ แต่จิตแยกออกไปจะเรียกขันธ์ก็ไม่เต็มขันธ์ เจตสิกกก็แยกย่อยออกไปอีก 

เจตสิกแยกย่อยออกเป็น เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  5 หมู่ใหญ่ จุดสำคัญที่สุดคือจุดเวทนา นี่คือความรู้สึกหรืออารมณ์ของคน ในคนมีอารมณ์ มีความรู้สึก เราจะต้องเรียนรู้อาการของความรู้สึกให้ได้ เด็กก็ตาม  ผู้ใหญ่ก็ตามมีทุกคน แล้วก็จะต้องรู้อาการที่เป็นจิตเจตสิกของเรา เวทนาเจตสิกคืออาการอย่างนี้ แตกต่างจากอาการอื่นแตกต่างจากขันธ์ เช่น สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปขันธ์วิญญาณขันธ์ ต่างกันนะ 

แม้แต่ในเวทนาเจตสิก ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น ขันธ์ทีเดียว ย่อยออกไปแล้ว มันก็ยังมีความแตกต่างกันอีก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านสรุปให้เรียนรู้เวทนาไปถึง 108 เวทนา ที่อาตมาได้ขยายความไปมากมายแล้ว ซึ่งก็จะขยายความอีกซึ่งไม่ใช่เรื่องตื้น 

มันเสื่อมไปตั้งแต่ก่อนที่จะถึงกึ่งกลางพุทธกาลก่อนจะถึงพ.ศ. 2,500 ก่อนจะถึง 2,500 มันเสื่อมมาเรื่อยๆ มาถึง 2,500 ก็เสื่อมสุดเลยไม่เหลือ ไม่มีศาสนาพุทธ มีแต่ศาสนาเทวนิยม ศาสนาโลกีย์ ศาสนานอกรีตของศาสนาพระพุทธจ้า 

อาตมาเกิดมาในยุคนี้อันนี้แหละที่อาตมาจะไขความ

 

จำนนต้องประกาศว่าตนคืออรหันต์ ตอน 1

เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก “ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์”

เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด

และยุคนี้มันไม่มี“อรหันต์จริง”หรือ“โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊”หรือ“โพธิสัตว์เก๊”กันทั้งนั้น

ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง”

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมต้องเอา“ตนเอง”นี้แหละ“ตัวแท้”ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน 

เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ“อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊”กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนัก

ซึ่งมันก็รู้“ความจริง”กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วยว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!!

ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้ ความเสื่อมของคนชาวพุทธ มันเสื่อมกันสุดๆแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊” ไม่รู้จัก 

“อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” หรือมีแต่“อรหันต์”ที่ต้อง“เดา”เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!!

เพราะ“พระอาจารย์”หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว

จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น

“อรหันต์เก๊”ว่าเป็น “อรหันต์”มันก็หลอกคนอยู่  

ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม”ไม่ได้เป็นอันขาด 

ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! 

อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้“ตนเอง”นี้แหละเป็น“เป้าให้ยิง”กันเลย

ถ้าอาตมา“เป็นของเก๊”อาตมาถูกยิงเผาขนมาหนักหนาสาหัสมาป่านนี้ ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน”แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่อยู่ยงคงกะพันกันถึงวันนี้ วินาทีนี้หรอก

อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น“อมตบุคคล”กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี“ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น“ความจริงที่ข้ามชาติ”มาเป็นผู้“เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์”กันขึ้นในยุคนี้ 

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน กับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ“ของเก๊”กัน ชาวพุทธด้วยกันแต่ท่านไปหลงของเก๊ ตัวเองเป็นของเก๊แล้วเอามาประกาศ อยู่ร่วมสมัยกัน มีทั้งของจริงและของเก๊ อาตมาประกาศตนว่าตนเป็นของจริง และผู้ที่ไม่ตรงกับอาตมาเป็นของเก๊ 

อาตมาเห็นแล้ว จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้  เพื่อให้สังคมรู้ “ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ 

แต่คนในยุคนี้ส่วนมาก ยังไม่รู้ว่า “ความจริง”หรืออรหันต์จริง”เป็นเช่นใด? ...กันแท้!

เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ส่วนใหญ่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว เสื่อมกันไปจริงๆ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร”เรื่อง“กลองอานกะ” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672

เป็นการยืนยันคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า “จริงแท้” มันมี“ความเสื่อม”ตามที่เป็นจริง ปรากฏกันให้เห็นกันหลัดๆ โต้งๆ โทนโท่อยู่ให้สัมผัสได้ในขณะนี้ ยุคนี้ แล้วมันจะ“ไม่จริง”ได้ยังไง?!  ในเมื่อมันมี“ความเสื่อม”สัมผัสได้อยู่    

เมื่อยุคนี้มัน“ไม่มีความจริง”ของอรหันต์-โพธิสัตว์กันแล้ว อาตมาจึงต้องแสดงตัวขึ้นมาให้ปรากฏ ให้คนพิสูจน์“ความจริง”ว่า อาตมาคือ ตัวตนยืนยัน“ความจริงของอรหันต์-ของโพธิสัตว์”จริงๆ

เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนในยุคนี้ ไปหลงเชื่อถือ และไหลงเข้าใจผิดๆอยู่กับ“ขอปลอม-ของเก๊”กัน

ซึ่งเป็นทั้งปลอมทั้งเก๊ใน“ความรู้-ความเข้าใจ” และทั้งปลอมทั้งเก๊ในคำพูดคำอธิบาย และทั้งการเป็นอรหันต์ที่คนอื่นั้งหลายไปพากันหลงผิด เชื่อผิด อรหันต์เก๊นั้นๆกัน แบบ“เดาๆ”กันด้วยนะ!

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม-จำต้องยืนยันตนเอง-บอกตนเองขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยความจริงในใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมากยังไม่รู้ความจริง”หรือไม่รู้“อรหันต์จริง” เป็นเช่นใด?

ขอแวะตรงนี้ว่าถ้าท่านไม่ตรงกับอาตมาท่านหยุดเสีย ท่านทำผิด ซึ่งกรรมเป็นอันทำ ใช้ยางลบลบไม่ได้ ไปทำกรรมผิดๆเป็นสมบัติของท่าน อาตมาถึงขอปราม หยุดเถอะ อย่าทำเลยสิ่งผิด แต่แน่นอนท่านไม่หยุด แต่ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ 

เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว ตามคำพยากรณ์เรื่องกลองอานกะของพระพุทธเจ้านั้นแหละ 

เมื่อ“ความรู้จริง-อรหันต์จริง”ประกาศตนต่อสังคมยุคสมัยที่เสื่อมจริงๆนี้ จึงยากที่จะให้“คนเสื่อม”ซึ่งพากัน “มิจฉาทิฏฐิ”ไปสุดหนักหนาสาหัส และหลงยึดมั่นถือมั่นใน“ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊หรืออริยะเก๊”กันสนิทเนียนแล้วนั้น กลับมา“เข้าใจ”หรือ“เชื่อถือในความรู้จริง-อรหันต์จริงหรืออาริยะจริง”กันได้ง่ายๆ

มันย่อม“ยากสสส์”สุดยากกันแน่ยิ่งกว่าแน่!!!

แต่อาตมานั้น“ง่ายสสสส์”สุดแสนง่ายที่อาตมาจะบอก“ความจริง-ยืนยันตนเองที่เป็นจริง”ของอาตมา นำออกมาแสดงต่อสังคมกันอยู่จริงๆนี้ ตามที่ตนเองเป็นตามที่อาตมามี“ผลของความสำเร็จในการเป็นอรหันต์จริง”นั้นๆมาแล้ว และผ่าน“ความเป็นอรหันต์”เป็น“อนุโพธิสัตว์”ผ่านขึ้นไปเป็น“อนิยตโพธิสัตว์”กระทั่งเจริญขึ้นผ่านมาเป็น“นิยตโพธิสัตว์”คือโพธิสัตว์ระดับ 7 และกำลังมีกระแสความเป็น “มหาโพธิสัตว์”ระดับที่ 8 ขึ้นไปเป็นลำดับๆ นี้

มันมี“สภาวธรรม”จริงในตนเองแท้ จึงนำเอา“คุณวิเศษ”อันเป็น“นามธรรม”แท้ๆที่“วิเศษแท้”นี้ออกมาพูดมาบอกได้ง่ายๆ เป็นลำดับๆอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย 

ถ้าอาตมา“ไม่มีคุณวิเศษ”เหล่านี้จริง อาตมาจะเอาอะไรมาพูด มาบอกต่อประชาชน ต่อสังคม ที่เป็นทั้ง“ความจริง”ของ“สภาวะแห่งคุณวิเศษจริง” ทั้ง“ความจริงที่ถูกต้องถ่องแท้ของคำสาธยายคำอธิบาย” ทั้ง“ความรู้-ความคิด-ความเห็น-ความเข้าใจ-ความเชื่อ” ทั้ง“ความสอดคล้องเรียงร้อยที่เป็นลำดับไม่สับสน” ทั้ง“ความเป็นได้”ที่มีคนมีสังคมกลุ่มหมู่มวลมนุษย์จริง-บรรลุธรรมได้เป็นคุณวิเศษพิเศษขั้น“โลกุตระ” ซึ่งเป็น“อื่น(อัญญะ)”ไปจาก“โลกียะ” เป็นภาวะ“โลกอื่น”ที่ภาษาเรียกว่า “โลกุตระ”นี้แหละ ให้คนทั้งหลาย“สัมผัส”ได้ด้วยตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจกันเลย  

เพราะ“ความรู้”ก็ดี “ความเป็นอรหันต์”ก็ดี มันมีในตัวอาตมาอยู่แล้วแท้ๆ มีข้ามชาติตั้งแต่ชาติก่อนๆติดตัวมา 

ซึ่งยุคนี้ในโลกทั้งโลก มันไม่มี“ความรู้คุณวิเศษ”ที่เป็น“โลกุตระ”กันแล้ว อรหง-อรหันต์ไม่มี แม้แค่“รู้จัก” ก็ไม่รู้จักกันแล้วจริง ไม่ต้องไปพูดคำว่า“รู้แจ้ง-รู้จริง”กันเลย มันไม่มีใครมีความรู้ถึงขั้น“ปัญญา”รู้จัก“โลกุตระ” เถรสมาคมก็ตาม เทวนิยมทางตะวันตกก็มีแต่ความรู้ เฉโก กันเป็นโลกียะ ส่วน ปัญญาเป็นโลกุตระ 

ในโลกยุคกึ่งพุทธกัป พ.ศ. 2500 ก่อนอาตมาจะเกิด จึงไม่มีอรหันต์แท้ มีก็แต่อรหันต์เก๊กันทั้งนั้น ก่อนอาตมาเกิดก็มีคนประกาศอรหันต์แต่เป็นอรหันต์เก๊ 

ดังนั้น ความเป็น“อรหันต์”มันจึงไม่มีใครรู้จริงกันแล้วจริงๆ เพราะ“อรหันต์”เป็น“โลกุตรธรรม” แต่“ความรู้โลกุตระ”มันไม่มีแล้วในโลกยุคกึ่งพุทธกัปป์นี้ ตามที่อาตมาก็ได้เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร” เรื่อง“กลองอานกะ”ที่เป็นเรื่องของ“โลกุตระ”

ในโลกยุค“กึ่งพุทธกัปป์”นี้ ก่อนอาตมาจะเกิดจึงไม่มี“อรหันต์”แท้  มีก็แต่“อรหันต์เก๊”กันเท่านั้น 

ยุคนี้อาตมาเกิดมา ในตัวอาตมามี“ความเป็นอรหันต์ติดตัวมาแล้ว”มาเกิดเป็นคนในยุคนี้ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “อรหันต์เก๊” ก็คือ “ของไม่จริง” อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ที่จำต้องเอา“ตนเอง”ที่เป็น“อรหันต์จริง” มายืนยันขึ้นในสังคมพุทธ ที่ถูกครอบงำด้วย“ของเก๊-ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊”กันมานานแล้ว ให้พิสูจน์ ให้สัมผัสกัน ให้มาใช้เรียนรู้“ถลกหนัง-ลอกคราบ-ยิงเป้า”กันจริงๆ

ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ของจริง”อาตมาก็พรุนแหลกราญไปทั้งกายทั้งจิตใจแน่ๆ แต่อาตมา“อยู่ยงคงกระพัน”จริงๆ 

ดังนั้น ในยุคเดียวกันร่วมสมัยกันนี้ ที่โลกยุคนี้สมัยนี้ร่วมกันอยู่ มีทั้ง“ของเก๊”และมีทั้ง“ของจริง”แสดงตัวกัน

เมื่อ“ของเก๊-อรหันต์เก๊”ก็แสดงตัวอยู่แล้ว ยืนยันตัวเองแล้วในสังคม ขณะนี้ เผยแพร่กระจาย“ความเก๊”มาก่อนที่อาตมาจะปรากฏตัวด้วยซ้ำ ชาวพุทธก็ได้รับซับทราบ และได้เชื่อถือกันมาแล้วก่อนอาตมาจะเกิดมาในยุคนี้  

ที่จริงอาตมาประกาศอรหันต์ พ.ศ.2558 อาตมาใช้คำว่า โพธิสัตว์ไปก่อน แล้วค่อยใช้เวลา กว่าจะประกาศอรหันต์ก็รอจนปี 2558 อาตมาไม่ได้ตะกละตะกรามอวด อาตมาใช้เวลา 45 ปี ค่อยประกาศ แต่อาตมาเคยเล่าว่าเคยบอกแก่คนที่มาถามส่วนตัว คือ ขวัญดี กับ อ.แสง จันทร์งาม ตอนนั้นยังไม่ได้ถึงเวลายืนยัน แต่เขาเซ้าซี้มากก็เลยบอกไป ก่อน พ.ศ.2558 ส่วน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ไป คุยแต่เนื้อหาธรรมะ แล้วท่านก็ไปกล่าวข้างนอกรับรองว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ก็ไม่ได้บันทึกอะไร 

“อรหันต์เก๊”เขาก็แสดงตัวกระจาย“ความเก๊” ตามทิฏฐิของเขา ต่างก็มีคนปักใจเชื่อกันถึงขั้น“ยึดมั่นถือมั่น”

เพราะเป็น“ยุคเสื่อม”จริง จึงได้แต่“ของเก๊”กัน 

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”เป็น“อรหันต์จริง”แท้ๆ เกิดมาในยุคนี้ร่วมสมัยอยู่นี้ มายืนยันความเป็น“อรหันต์”อย่างองอาจแกล้วกล้า(อาสโภ) ตามคุณลักษณะของอาตมา  

ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้รู้ได้เห็นได้“สัมผัส”คนที่ยืนยันตนเองกันจริงๆ เห็นกันโต้งๆ โทนโท่ ถึง“ของเก๊” กับ“ของจริง”ในยุคกึ่งพุทธกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ก็ต้องใช้วิจารณาญาณของแต่ละคนอย่างอิสระตัดสินลือกเฟ้นด้วยตนเองเถิด ว่า อันไหนจริง-อันไหนเก๊! 

ด้วยความเมตตาสงสารของอาตมาอย่างจริงใจแท้ๆ อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมเอา“ตนเอง”ที่เป็น“ของจริง” ชนิดที่“จำต้อง”เปิดเผย“ความจริง”ขึ้นมาให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ศึกษาพิสูจน์กัน   

ชนิดที่ไม่เคยมีใครแสดออกอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ มี“อาสโภ” ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเป็น“มังกุ”ใดๆในจิตเลย ดั่งที่อาตมาเป็นอาตมามีกันนี้หรอก

จิตที่“อาสโภ”ถึงขั้นไม่มี“ความเก้อยาก”คือ ไม่มี “มังกุ”นี้ เป็นอจินไตย เป็นอาการของจิตในจิตที่คนไม่มีเอง เป็นของตนเอง จะคิดเอาอย่างไรก็ไม่ตรงตามจริงได้  

มังกุ เป็นอาการขวยเขินน้อยๆ แต่ อุทธัจจะ เป็นการขวยเขินมากกว่า หากไม่ใช่อาริยะขั้นสูงจะไม่รู้อาการนี้ เพราะจะมีอาการหยาบกว่ามังกุมาก อรหันต์คือผู้ที่หมดอาการมังกุ 

เมื่อสังคมพุทธมีแต่คนผู้ไม่ใช่“คนจริง”ในความเป็นผู้“สัมมาทิฏฐิ”ตั้งแต่“ความรู้”ก็“มิจฉาทิฏฐิ” ใน“การปฏิบัติ”ก็“มิจฉาปฏิบัติ” ใน“ผลที่ได้บรรลุ”ก็“มิจฉาผล” 

อาตมาผู้มี“ความจริง”ใน“ความเป็นอรหันต์-เป็นโพธิสัตว์” ที่มี“ผลสำเร็จ”ถึง“ระดับ 7”มาแล้ว นำ“ความจริง ที่มีผลสำเร็จระดับ 7 จริง(สยัง อภิญญา)”นั้นติดตัวมาเกิดข้ามชาติมาเป็น“โพธิรักษ์”มีร่างกายตัวตน”เป็น“คนจริง”ในยุคนี้ พบ“ของเก๊”ที่ในโลกยุคนี้มี 

อาตมาจึงสุดทางเลือก ที่จำต้องทำอย่างที่ได้ทำมา นั่นคือ ต้องบอก“ความจริง”ว่า จริง บอก“ความเก๊”ว่า เก๊ มันจำนน จำเป็นที่ต้องย้ำยืนยั้น วันนี้เป็นวันสำคัญก็เลยย้ำหนัก เพราะเป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันอโศกรำลึกวันแรก และเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีด้วย 

ก็ได้ทำมาตามลำดับ ซึ่งได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ คือ เริ่มต้นกันตั้งแต่“ศีลให้สัมมาทิฏฐิ” แล้วจึงต่อ“สมาธิ”ให้สัมมาทิฏฐิ และ“ปัญญา”ให้สัมมาทิฏฐิ จน กระทั่งถึงขั้น“วิมุติ”ให้สัมมาทิฏฐิ 

ที่สุด“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ที่สัมมาทิฏฐิ

จบ 

ที่มา ที่ไป

พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2566 ( 11:12:17 )

660605

รายละเอียด

660605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566

https://www.boonniyom.net/53252.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Y_Koa2qO5LmYdm2VqUS8eqdAORVfICJY/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XAFQD4D1-aKbAVCyXuDcP5S9Dl_YQv7-/view?usp=sharing 

  

ยูทูป 

และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/259546276730316 

สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำพาลูกๆ กล่าวคำบูชาพ่อครู 

พิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู

เริ่มด้วย ขอกราบคารวะพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงจากนั้น  จึงเกริ่นกล่าว
ตั้งนะโม (3 จบ)...ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างของโลก ผู้ทรงประทานเส้นทาง  แห่งความพ้นทุกข์ ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ 4 และมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ 10 เป็นเข็มทิศนำทาง   ไปสู่ความหลุดพ้น   จากทุกข์ทั้งปวง
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นกันว่า
อัตถิ ทินนัง ทานมีผลจริง
อัตถิ ยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง
อัตถิ หุตัง พิธีปฏิบัติ จนเกิดผลที่จิตมีจริง
อัตถิ สุกฏ   ทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก การทำดีทำชั่ว  มีผลดลบันดาลได้จริง
อัตถิ อยังโลโก โลกโลกีย์นี้มีจริง
อัตถิ ปโรโลโก โลกหน้า คือโลกโลกุตระ มีจริง
อัตถิ มาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อ    ผู้ให้กำเนิด  ทางจิตวิญญาณ  ของข้าพเจ้าทั้งหลาย  มีจริง
อัตถิ สัตตา โอปปาติกา  การก่อเกิดทางจิตวิญญาณมีจริง
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ 

สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้ง  โลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง
และบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็ได้มีที่พึ่ง ที่อาศัย  ในสมณพราหมณ์ ที่เป็นผู้รู้แจ้ง  ทั้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง คือพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติ จนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เกิดแสงสว่างในชีวิต  อันมีสัมมาทิฏฐิ 10 และสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรม  สมควรแก่ธรรม
ในวาระครบรอบ 89 ปี ของพ่อครู ในการกอบกู้ศาสนาที่ผ่านมา พ่อครูได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ด้วยเลือดทุกหยด และเหงื่อทุกหยาด เพื่อประโยชน์และความสุข ของมวลมนุษยชาติ  มาตลอด
จวบจนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุ ขึ้นปีที่ 90 ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ ได้กำเนิดขึ้นใหม่ ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตน ร่วมกันว่า…
ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะเข้าไปตั้ง ความละอายอย่างแรงกล้า ความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ความรักอย่างแรงกล้า และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ต่อพ่อครูผู้เป็นสัตบุรุษ จะเป็นผู้ไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง สัจจาธิษฐาน ที่เป็นปิตุบูชา ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ จะเกิดจริงเป็นจริงได้ ก็เพราะการมุ่งมั่น เอาจริง และความเพียร พยายามอย่างแรงกล้า ของข้าพเจ้าทั้งหลายนั่นเอง ... สาธุ

 

ฤทธิ์แรงของการเปิดเผยสัจจะทำภิกษุกระอักโลหิต 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตรงกับวันคล้ายวันเกิด อาตมาเกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2477 วันนี้วันที่ 5 มิถุนายน 2566 

66 กับ 77 ลบกันเหลือ 89 ปี แล้ววันนี้วันที่ 5 มิถุนายนก็เป็นวันที่อาตมาจะเริ่มต้นปีที่ 90 วันที่ 1 อาตมาเกิดประมาณไม่ได้รู้จักเวลาตกฟาก แม่ก็ไม่รู้จักเวลาตกฟาก บอกแต่ว่า เช้า พระกำลังเดินบิณฑบาตกลับเข้าวัด แล้วหลังบ้านเป็นวัด บ้านเป็นร้าน ที่จังหวัดศรีสะเกษ เห็นหลังไวๆ ตอนพระกลับจากบิณฑบาต บอกเวลาตกฟากได้เท่านั้นก็ประมาณเวลา 7:00 น พระต่างจังหวัดจะบิณฑบาตสายหน่อยก็ประมาณ 7 โมงกว่าๆไม่ถึง 8 โมง ก็ประมาณนั้น 

เกิดมาจนกระทั่งมาถึงวันนี้แล้ว 89 ปีกำลังจะย่าง 90 มาถึงวันนี้อาตมาก็ได้เปิดเผยตนเอง เปิดเผยด้วยความจริงใจเปิดเผยด้วยความตั้งใจเปิดเผยด้วยเมตตาจิตอย่างสมบูรณ์เต็มที่ เพราะมันเป็นความเปิดเผยที่สะอาดบริสุทธิ์ และก็เป็นความเปิดเผยจากคนที่ ขออภัยต้องกล่าวความจริงอีกว่า คนบริสุทธิ์คนสะอาด มีแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่แฝงเลยแม้แต่นิดหนึ่ง สิ่งใดแฝงที่มันไม่ใช่ความจริงจะเล็กจะน้อยประมาณน้อยขนาดอณู ปรมาณูขนาดไหนก็ไม่มี มีแต่ความจริงล้วนๆเต็มๆ 

อาตมาได้เกริ่นกล่าวถึงเรื่องนี้มาหลายวัน พยายามเรียบเรียงคำพูดคำบรรยายคำที่จะอธิบายจะบอกกล่าวตรงๆ อาตมาก็พยายามที่สุดที่จะให้มันครบให้มันแม่น ให้มันถูกตรงจริงๆให้มันจริงให้มันชัดให้มันง่าย โดยอาศัยสิ่งที่อาตมาได้ใช้ชีวิตทางธรรม ประกาศตนเองแสดงตนเอง พาทำ 

แล้วก็มีผู้มารู้มาเห็นตามเข้าใจตามและกระทั่งออกมา เป็นชาวอโศกตั้งแต่นักบวช มาบวชตาม เอาชีวิตมาทางนี้อย่างไม่ถอยหลังอีก นอกจากวิบากของบางคนไม่ถอยหลังแต่สุดท้ายไปไม่รอดตกร่วงไปถอยหลังอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่หลุดออกไป หลุดออกไปมีบ้าง มีมิจฉาทิฐิติบ้างก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่มันมี สิ่งที่ขาดตกบกพร่อง error ย่อมเป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีกระเซ็นกระสายกระดอนออกไปบ้างจากกลุ่มสัจจะที่แท้จริง ก็มีมาแต่มีน้อย นอกนั้นก็อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา 

อาตมาเองอาตมาพยายามที่จะเปิดเผยความจริงในวาระอายุ 90 อย่างให้ครบให้ถ้วนให้สะอาด ให้เข้าใจกันอย่างเต็มที่ พยายามเรียบเรียงคำพูดภาษาต่างๆให้ดีที่สุดให้ครบ ก็เท่าที่จะทำได้ สำหรับผู้ที่เข้าใจเชื่อถือได้อยู่เห็นจริงอยู่ ก็จะฟังได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อถือโดยเฉพาะยิ่ง ตรงกันข้ามกันเลย ไม่เชื่อเลย ขัดแย้งต่อต้าน มันก็อีกนัยยะหนึ่ง มันก็จะรู้สึก ฟังไม่ไหวหรือฟังไม่ได้ ก็ผู้ที่ฟังไม่ได้เขาก็จะไม่ฟังเลยเขาจะเลิกฟังแล้วมันทนไม่ได้ 

พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่าท่านตรัสความจริงนี้ ตรัสความจริงใน 180 รูป เมื่อตรัสเสร็จแล้ว 60 รูปบรรลุอรหันต์เลย อีก 60 รูปลาสึก ส่วนอีก 60 รูปอาเจียนเป็นโลหิตออกจากปากตาย มีฤทธิ์แรงถึงขนาดนั้น ในการเปิดเผยความจริง 

การเปิดเผยความจริงมีฤทธิ์แรงขนาดแบ่งได้เป็น 3 ชนิด พระพุทธเจ้าตรัสเสร็จจบ มีสงฆ์ที่ร่วมนั้น 180 รูป 60 รูปบรรลุอรหันต์เลยพอฟังจบทันที อีก 60 รูป ยังเข้าใจไม่ได้ แต่ก็ขัดแย้ง ก็เลยถอย ลาสึก อีก 60 รูป ลาสึก อีก 60 รูปตายเลยอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากตาย มันแรงถึงขนาดนั้น สัจจะนี่ ฟังดีๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสามัญ มันเป็นเรื่องสุดยอด 

 

ทำไมพ่อครูต้องประกาศอรหันต์ในยุคนี้ ตอน 1

มาฟังซ้ำอีกที เรื่องนี้ เรื่องจำเป็นแห่งจำเป็นมากที่สุดที่จะต้องบอกว่าตัวเองนี่ อาตมานี่ละ เป็นอรหันต์ และเป็นโพธิสัตว์ แล้วอาตมา ก็สาธยายความเป็นอรหันต์ สาธยายความเป็นโพธิสัตว์มาตลอด โดย เปิดเผยความเป็นโพธิสัตว์ก่อน ยืนยันว่า ตนเองเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้กล่าวคำว่าเป็นอรหันต์ อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าอธิบายโลกุตระนั่นแหละในความเป็นโพธิสัตว์มาเรื่อย แล้วในความเป็นโพธิสัตว์มีความเป็นอรหันต์ ก็ขยายความมาเรื่อยๆตามลำดับ 

คร่าวๆก็คือ โพธิสัตว์นั้นมีตั้งแต่เริ่มต้นจิตเข้ากระแสโลกุตระ เรียกว่าโสดาบัน จิตอารมณ์เข้ากระแส พอเริ่มเข้ากระแสจนไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเข้ากระแสจนเที่ยง จิตจะเที่ยง แล้ว จิตที่ เข้ากระแสสู่โลกุตรธรรมจะเที่ยงนั้นไม่ตกต่ำแล้ว ไม่พลิกผันแล้วมีแต่จะไปสู่ที่สุดที่สูง คือจบอรหันต์ทุกองค์ คือถึงขั้น นิยตะ

โสดาบันมี 3 ขั้น 1 โสตาปันนะ 2 อวินิปาตธรรม 3 นิยตะ 4 สัมโพธิปรายนะ 

ไม่ตกต่ำคือจะไม่ตกร่วงไป แต่ไม่ออกนอกกระแส อาจจะตกต่ำถึงขั้นสึกไปเป็นฆราวาสแต่ไม่ออกนอกกระแส สุดท้ายอย่างมาก 7 ชาติเรียกว่า สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน อย่างมากที่สุด 7 ชาติก็ตั้งหลักได้และขึ้นสู่นิยตะ จริงแท้ที่จะบรรลุอรหันต์ได้แล้วก็ปฏิบัติต่อไป จนเป็นอรหันต์ไปแต่ละองค์ๆ ก็เป็นสกิทาคามี อนาคามี เป็นอรหันต์ได้ตามลำดับ นั่นคือกรอบของความเป็นอรหันต์ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอรหันต์ลำดับที่ 1 ก็คือโพธิสัตว์ระดับที่ 4 อาตมาก็ขยายความไปตามลำดับอธิบายมาเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ถ้าไม่มีความจริงเอามาพูด มันไม่ได้หรอก มันละเอียดละออกลับไปกลับมา สลับไปสลับมา ซับซ้อนลึกซึ้งมาก ถ้าเผื่อว่าไม่มีของจริงพูดไปประเดี๋ยวจะเลอะ เลอะแล้วก็เละเทะไปไม่มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในชาตินี้ยุคนี้จึงจำเป็นมากที่สุดเพราะว่าสำคัญมากยิ่งจริงๆ 

เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก“ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์”

เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด

และยุคนี้มันไม่มี“อรหันต์จริง”หรือ“โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊”หรือ“โพธิสัตว์เก๊”กันทั้งนั้น

ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง”

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม-จำต้อง เอา “ตนเอง”นี้แหละ“ตัวแท้”ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน 

เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ“อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊”กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนัก

ซึ่งมันก็รู้“ความจริง”กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วย ว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!!

ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้ ความเสื่อมของคนชาวพุทธ มันเสื่อมกันสุดๆแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊” ไม่รู้จัก“อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” หรือมีแต่“อรหันต์”ที่ต้อง“เดา”เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!!

เพราะ“พระอาจารย์”หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว

จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น“อรหันต์เก๊”ว่าเป็น “อรหันต์”มันก็หลอกคนอยู่  

ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม”ไม่ได้เป็นอันขาด 

ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! 

อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้“ตนเอง”นี้แหละเป็น“เป้าให้ยิง”กันเลย

ถ้าอาตมา“เป็นของเก๊”อาตมาถูกยิงเผาขนมาหนักหนาสาหัสมาป่านนี้ ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน”แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่อยู่ยงคงกะพันกันถึงวันนี้ วินาทีนี้หรอก

อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น“อมตบุคคล”กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี“ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น“ความจริงที่ข้ามชาติ”มาเป็นผู้“เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์”กันขึ้นในยุคนี้ 

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกันกับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ“ของเก๊”กัน

อาตมาเห็นแล้ว จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้  เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ 

มียืนยันในสัมมาทิฏฐิ 10 ในพระไตรปิฎกที่ทั้งธรรมยุติและมหานิกายใช้อ้างอิงเชื่อถือตรงกัน 

เอาแต่ข้อที่10 เริ่มต้น

ในยุคใดที่มีผู้เป็น สยังอภิญญา อุบัติขึ้นมา ผู้สยังอภิญญา จะมีคุณธรรม เป็นผู้ดำเนินถูกต้องปฏิบัติถูกตรงแท้จริง ก็จะประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง อยังโลโก ปโรโลโก เพราะท่านเป็นผู้รู้ยิ่งด้วยตนเองมาแล้วจริง ก็อาตมานี่แหละ สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้ยิ่งด้วยตนเองมาแล้วจริง ข้ามชาติมา 

สยังอภิญญาคือผู้รู้ความจริงในความเป็นจริงที่สัมมาทิฎฐิ 9 ข้อนั้น ข้อที่ 10 ระบุไว้ว่าท่านคือ สยังอภิญญา จะเป็นผู้เปิดเผยความจริงที่รู้แจ้งด้วยตนไม่ว่าโลกนี้โลกหน้า อย่างไร หรือความละเอียดลออ ของสัจธรรมก็จะสัจฉิกัตวา เอาความจริงที่รู้แล้วมาเปิดเผยให้กระจ่างแจ้ง 

เริ่มต้นตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ  ข้อที่ 1 คือ 

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง) การทำทานคือการให้ เรามีของๆเราเยอะแยะเลย เราระกำ เรามังคุดสับปะรดเงาะเรามีมาก เราก็เอาไปให้ ทาน เอาไปให้ ทินนังคือให้แล้วเป็นอดีต เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วจบแล้วเสร็จแล้วเป็น Past perfect tense 

ให้ไปแล้ว การทำทานที่ให้ไปแล้วมีผลไหม หรือไม่มีผล 

ทุกวันนี้เขาสอนเรื่องทานกันก็ไม่มีผล โดยเฉพาะผลโลกุตรธรรม จริง เขาทานแล้วมีผลโลกียะอยู่ ให้ของให้เงินให้ข้าวให้น้ำ ให้วัตถุสมบัติ หรือแม้แต่ให้กำลังกาย ให้แรงงาน ให้ความรู้ให้สัจธรรม ก็ได้ให้ทั้งนั้น 

ผู้ที่ได้ให้ไปโดยที่ตัวเองยังไม่มีภูมิธรรมพอ ก็จะให้กันแล้วก็จะมีผลแค่เป็นกุศล สิ่งที่เราให้แก่ผู้อื่นนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นของไม่ดี ก็จะเป็นบาป ไม่มีกุศล เป็นอกุศล 

เช่น ให้อาวุธ ให้สัตว์เป็น ให้สัตว์ตาย(ให้เนื้อสัตว์นั่นเอง) ให้ของเป็นพิษ ให้ของที่มอมเมา แค่ให้นะ คุณไม่ได้ขาย ถ้ายิ่งคุณขาย เรียกว่า มิจฉาวณิชชา 5 บาปหนักเข้าไปอีก 

มิจฉาวณิชชา 5 

1.การค้าขายอาวุธ   (สัตถวณิชชา) 

2.การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) 

3.การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) 

4.การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา) 

5.การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา) 

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177) 

ให้อาวุธไปฆ่าคนนั่นแหละเลว ศาสนาพุทธถึงขั้นไม่มีตัวตนใครจะฆ่าเรา เราก็ให้ฆ่า แล้วก็ตาย เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ตายไปแล้วก็เกิดมาดีกว่าเก่า เจริญกว่าเก่านะ เพราะว่าจิตใจของเราไม่อาฆาตพยาบาท แต่ถ้าคุณอาฆาตพยาบาทคุณก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้นใน 5 อย่างนี้ไม่ใช่ไปขาย ให้ทานด้วยซ้ำ บาป ทานอาวุธให้อาวุธก็บาป มีคนไม่รู้เรื่องเทวนิยมทำเก่งสร้างอาวุธได้มากๆ ก็เอาไปแจกให้เขา เอาไปทำไม ให้เขาไปฆ่าคน คุณให้เขา คุณก็บาป คนเอาไปฆ่าก็บาปด้วยกันซ้ำซ้อนไปอีกตั้งเท่าไหร่ เขาไม่รู้เรื่องหรอกเรื่องกรรมวิบาก คนพวกนั้นทำแล้วก็จะวนเวียนอยู่ในนรกหมกไหม้ซ้ำซ้อนหนักหนาสาหัส 

เพราะฉะนั้นผู้ใดละเว้นเลิกการฆ่า เลิกการใช้อาวุธในศีลข้อการทาน ทินนัง ในการทาน เพราะฉะนั้นถ้าทานผิดๆ ดังกล่าวแล้วก็เป็นการทานที่บาป

เข้ามาลึกไปอีก ทานอย่างไร ทีนี้ไม่ใช่ทานสิ่งที่เป็นบาป ทานเนื้อสัตว์ อาวุธ สิ่งเป็นพิษมอมเมาอันนั้นเป็นบาปแน่นอน 

ทีนี้ ทาน ที่ไม่เป็นของบาป ให้ข้าวให้น้ำเป็นต้น แต่คุณทานแล้ว นัตถิทินนัง ทานแล้วได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ

ทานข้าวไม่ใช่ของมิจฉา 5 อย่างดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ทานปัจจัย 4 อันอื่นที่ไม่ถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัย ใช้ประโยชน์ได้ ก็ยังไม่บาป แต่นี่ดีเลย ทานปัจจัย 4 ทานข้าว ผ้า ยา ที่อยู่ 

คุณทานแล้วคุณทำใจในใจ ไม่เป็นอานิสงส์ไม่เป็นผลอะไร อาจทานแล้ว คุณก็ให้เขาด้วยจิตใจว่าให้ แต่คุณยังหวง ยังยึดเป็นของเรา เธอจะต้องเหมือนกับให้เขาแล้ว เขาจะต้องมาใช้หนี้เราคืน เราให้ 5 บาทคุณเอา 5 บาทมาคืน ดีไม่ดีให้ 5 บาทเอาไปออกดอกออกผลดอกเบี้ยต้องมาคืนรวมกัน เกินกว่า 5 บาท ยิ่งราคามากขึ้นก็ยิ่งตะกละตะกรามยังมีความโลภยังมีความเป็นตัวตน ทั้งโลภ ทั้งมีตัวตนไม่ปล่อยไม่ขาดยังไม่ว่างไม่วางจากตัวตน ทานแบบนี้ พุทธเจ้าถือว่าทานแล้วไม่มีผล 

หรือแม้แต่แค่ทานแล้วหลงภพชาติ ทานแล้วจะได้ไปอยู่สวรรค์ ทานแล้ว จะเป็นสมบัติที่เราไปกินไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว ทานไปแล้วจะได้สะสมใส่คลังไว้เป็นของเราไปอีกนาน การคิดพวกนี้ยังไม่เป็นทานที่มีอานิสงส์สมบูรณ์ 

แม้แต่ทานแล้ว ส่งไปให้คนนั้นคนนี้ที่ตายไปแล้วเป็นเจ้าของเจ้าของ ส่งให้พ่อให้แม่ที่ตายไปแล้ว ให้ปู่ให้ย่าที่ตายไปแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นไม่มีคำสอนอย่างนี้ในคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไม่รู้เอามาปนจาก เดียรถีย์ ศาสนาอื่นที่สอนกันผิดๆ มาใส่ไว้เมื่อไหร่ไม่รู้แต่อาตมายืนยันว่าผิดเต็มสังคมศาสนาพุทธ 

ทีนี้ ทาน ที่มีผลมีอานิสงส์เป็น อัตถทินนังคืออย่างไร คือทานแล้วตัดสูญเลย

ล.23 ข.49 ทานสูตร 

ทานที่ให้แล้วมีอานิสงส์คือ ทานที่ให้แล้วตัดขาด ไม่มีหวังจะเป็นเราเป็นของเรา ทานแล้วตัดจบขาดเลยนึกว่า ไม่มีสาเปกโข ไม่มีความหวังต่อจากการให้เลย ให้แล้วจบไม่ต้องจำก็ได้ ไม่ต้องจำว่าเราได้ให้ทานเลย จบ นี่คือทานที่มีอานิสงส์สูงสุดเพราะทานอย่างไม่มีภพ ไม่มีชาติ ทานอย่างตัดภพตัดชาติ ทานอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือทานอย่างมีอานิสงส์สูงสุด 

ถ้ายังทานแล้วก็หยาดน้ำกรวดน้ำ ส่งไปให้ผู้ตาย ส่งไปให้วิญญาณนั่นนี่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามไปอยู่ทั้งนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่มีผล ส่งไปอย่างไรมันก็ไม่ถึง เอาไปให้ผู้ใดก็ไม่ได้ 

กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  กรรมเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวไม่มีถ่ายทอดให้ใครได้ ใครจะรับมรดกจากกรรมของเราไม่ได้ กรรมของเราดีชั่วบาปบุญของเราเองคนเดียว ไม่มีผู้ต่อ แบ่งให้ลูกให้หลาน แบ่งผู้ที่จะรับช่วงจากของเราไม่ได้ กรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม ตนรับมรดกกรรมของตนเองรับแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เป็นของใครอื่น จะสืบทอดเป็นมรดกให้คนอื่นไม่ได้ เป็นของตนเท่านั้น 

แค่กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม พยัญชนะว่าอย่างนี้ ก็ยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าผู้ใดสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้เลย เรื่องกรรมนี้อย่าไปคิดต่อกับใครเลย เป็นเรื่องของตนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลแบบโลกีย์ 

ยิ่งกรรมเป็นโลกุตระเป็นบาปเป็นบุญ ซึ่งยิ่งละเอียดลึกซึ้ง บุญคือกำจัดกิเลส บาปก็คือกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่เลิกกิเลสได้ มีปัญญาตัดกิเลสที่มีอยู่ ล้างจนหมดสิ้นเกลี้ยงจากจิตแล้วในเรื่องใดๆ เรื่องนั้นๆตัดขาดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หมดบาป หมดอกุศล หมดสิ่งที่จะไปสืบต่อไม่ดี หรือจะต้องตัดกิเลสอีกก็ไม่ต้องแล้ว หมดแล้วจบ บุญจึงมีหน้าที่ตัดกิเลสแล้วก็จบ บุญก็เลิก สำหรับกิเลสตัวไหนที่บุญจัดการแล้ว บุญก็ไม่มีหน้าที่มาทำการจัดการกับกิเลสตัวนั้นอีกแล้ว บุญก็ไม่มีตัวตนอีก 

ผู้ใดตัดกิเลสตัวไหนดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว กิเลสตัวนั้นดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว ก็ไม่ต้องมีบุญมาทำงานกับกิเลสอันนี้อีกแล้ว จะเอามันมาทำไม จะใช้มันอีกทำไม ก็ไม่ใช้มันแล้ว มันไม่เกิดอีกเด็ดขาด  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันจบแล้วจบเลย 

ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่จบกิจ เป็นศาสนาที่จบได้เด็ดขาดไม่มียึกยัก ไม่มีวนเวียน ไม่มีวอแวอะไรเลย ขาดแล้วจบ คำว่า จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ จึงเด็ดขาดอย่างนี้ มันไม่สุขทุกข์อีก 

เช่น ถ้าเราเข้าใจสภาพของเศรษฐกิจ ก็ทำเรื่องของเศรษฐกิจให้มันจบกิจ ของเศรษฐกิจ ก็ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจอีก 

แก้ปัญหาการเมือง คุณทำการเมืองในกรอบการเมืองทุกคนในสังคม คุณก็ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องการเมืองอีกมันจบกิจของการเมือง 

อย่างชาวอโศกปัญหาเศรษฐกิจจบกิจ ไม่ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจอีกเลย เศรษฐกิจไม่ขาดแคลน มีอะไรกินใช้มีเครื่องอาศัยในสังคมนั้นๆ หมุนเวียนไม่ขาดตอน ไม่ขัดข้อง อยู่อย่างพออยู่พอกิน ดีไม่ดีเศรษฐกิจดี คือให้ผู้อื่นได้ด้วย สละให้ผู้อื่นได้ด้วย ทานให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย แจกจ่ายผู้อื่นได้ด้วย ไม่ต้องไปขาย ไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนอะไรคืนมาด้วย ให้ฟรีๆเสียสละจริง นี่คือ ผู้เสียสละ 

แล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนคืน ไม่ถือว่าเป็นหนี้ มีแต่ให้เสียสละให้ นี่คือคนที่เศรษฐกิจดี แม้คนนี้จะเป็นคนจน เป็นคนไม่สะสมไม่มีคงคลัง แต่ก็พึ่งสมรรถนะกับความขยันของเขา และของหมู่ ต่างขยัน ต่างมีสมรรถนะ ต่างทำสร้างสรรค์ขึ้นมา 

ผลผลิตที่ควรสร้างแล้วก็สร้างสิ่งที่ควรสร้าง อาศัยกิน อาศัยใช้ และคนอื่นก็อาศัยกินใช้ เพราะเป็นของอาศัย เป็นอาหารของมนุษย์ในโลก แล้วก็แจกจ่ายเผื่อแผ่กันเหมือนที่เราๆทำ ศาลาปันสุข เราก็ได้จากไป ดูบอกไว้ของเราแบ่งให้กินได้ 

สม.กล้าข้ามฝัน… ตอนนี้จะเอาที่ร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นหลัก 

พ่อครูว่า... อ้อ เข้ามาเลยอยู่ข้างในนี้คนทั้งหลายได้ยินได้ฟังก็บอกกัน ถ้ามีก็ได้ไป ถ้าพวกเราเก็บมา ก็ได้แบ่งกันไปเอาไป เพราะพวกเราเผื่อแผ่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจกลุ่มของสังคมตนเองจบกิจแล้วก็ไม่เดือดร้อน พออยู่พอกินเหลือเฟือแบ่งแจกได้ก็ทำกัน มันจะเป็นเรื่องปรากฏการณ์จริง เป็นพฤติกรรมจริงทำกันจริงๆเห็นๆไม่ได้พูดเล่น เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมพิสูจน์ได้ ยืนยันได้ จับต้องได้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องทานจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องเริ่มต้นและเป็นเรื่องกลางและเป็นเรื่องปลายสุด เรื่องทาน

แม้ที่สุดชีวิตจบเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ก็มีแต่เรื่องทานเรื่องเดียว เริ่มต้นเป็นอรหันต์ ก็สมบูรณ์แบบแล้วในเรื่องการทาน ก็จะทานได้หลายอย่าง ทานทั้งวัตถุ ทานพลังงาน แรงงาน แรงกาย ทานทั้งความรู้ ทานทั้งคุณธรรมต่างๆโลกียธรรม โลกุตรธรรมเป็นธรรมทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์จะเข้าใจเรื่องนี้แม้แต่ในความเป็นทาน ยังดีที่สุดละเอียดละออวิจิตรพิสดารในเรื่องการทาน

เพราะฉะนั้น การทานที่ยังเป็นโทษเป็นภัย ทานสิ่งที่เป็นมิจฉาฯ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... วันนี้เป็นวันที่เราจะได้ตั้งใจสดับฟังธรรมะที่พ่อท่านจะได้มาช่วยบอกความสำคัญในวันนี้ ย่าง 90 แล้ว คงจะเอาของเก่ามาขยายให้ละเอียดขึ้น คนทั่วไปมักคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา 

พ่อครูว่า... ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งคนเอาคำว่าทานไปใช้งาน เพื่อจะสร้างอำนาจ ให้อาวุธแก่พวกเธอ พวกเธอจะต้องอยู่ในอำนาจ ฉันนะ ฉันสร้างอาวุธได้เก่งได้วิเศษมีประสิทธิภาพสูงมาก อำนาจการฆ่าการทำลายเจ๋งเลย ให้ใครไปจำนวนมากพอสมควร คุณจะต้องอยู่ใต้อาณัติของเรา ใช้เป็นเรื่องสร้างอำนาจบาตรใหญ่ 

_สู่แดนธรรม... ตอนผมเข้ามาตอนแรก พ่อท่าน ออกนโยบายไม่ให้ใครบริจาคเงินให้เราอย่างง่ายๆ เพราะป้องกันคนมาแสดงอำนาจว่า ฉันให้เงินคุณ คุณต้องตอบสนองความต้องการของเรานะ ก็ยังไม่มีองค์กรไหนจะทำอย่างพ่อท่าน ใครจะมาทำบุญต้องผ่านด่าน 

พ่อครูว่า... จะมาทำทาน จะมาบริจาคให้แก่เรา จะต้องมาคบคุ้นศึกษาเราเสียก่อนถึง 7 ครั้ง หรืออ่านหนังสือเราอย่างน้อย 7 เล่ม นี่เป็นหลักเกณฑ์ของเรา เพราะฉะนั้นคนที่มาใหม่ๆยังไม่รู้เรื่องอยากจะทำทานเผื่อไปตามโลกเขา นึกว่าเราจะรับง่ายๆ โอ้โห เคยมีคนมา ยิ่งต่างประเทศมา ยื่นมาเลยบอกว่า คุณไม่มีสิทธิ์จะทำทาน ก็ต้องบอกเขาดีๆ 

คนที่เขาตั้งใจให้ของเรานะถ้าเราบอกไม่ดีเราตายนะ หนอย เราจะให้อย่างบริสุทธิ์ใจอยากจะให้ คือมันหลงตนเอง เราเองก็มีหลักเกณฑ์ของเราซึ่งทำให้ยากมากเลยแต่เราก็ทำมาสำเร็จ 

_สู่แดนธรรม... องค์กรที่เป็นมหาอำนาจของโลกจะใช้นโยบายอย่างนี้ล่ะครับ ให้ทุนไป ประเทศที่รับทุนไปก็จะเกรงใจไม่กล้าขัดขืน 

พ่อครูว่า... นี่แหละที่อาตมาใช้โศลกหรือม็อตโต้ว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา ... นี่แหละผู้ที่บอกว่าฉันจะช่วยเธอแล้วจะสร้างอำนาจบาตรใหญ่ให้ เช่น นักการเมืองกำลังจะใช้นโยบายบอกว่าเอาฉันไปมีอำนาจ ฉันจะช่วยทำอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ในเกมที่อาตมาว่านี้ เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา 

ลักษณะนี้สังเกตดีๆ คนที่สัญญิงสัญญาว่าจะให้อย่างนู้นอย่างนี้แล้วก็ทำไม่ได้หรอก คุยได้คุยโม้ แต่คนที่ไม่พูดว่าจะให้ อาจจะบอกโครงการอาจจะบอกคร่าวๆ ต้องการกันอีกไหม ก็ไม่ได้มาเซ้าซี้ทำเป็นโฆษณาว่าเป็นเรื่องที่ฉันจะทำให้ เลือกฉันสิเอาฉันไปเป็นผู้มีอำนาจ ฉันจะใช้อำนาจทำให้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งตรงนี้ โดยเฉพาะในเรื่องนักการเมือง ศึกษาดีๆเถอะเรื่องนี้ละเอียดละออมาก เสร็จแล้วก็กลายเป็นเรื่องล้มเหลวกลายเป็นเรื่องทำลายกลายเป็นเรื่องสร้างอำนาจบาตรใหญ่ให้แก่ตัวเองเฉยๆ เหมือนอย่างพวกไม่มีความรู้ในโลกธรรม ประเทศไหนก็แล้วแต่อย่างนี้ทั้งนั้นเป็นความรู้เทวนิยมมีอยู่แค่นี้ 

อาตมาก็ขอพัก คำว่า ทานไว้แค่นี้ก่อน 

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) หรือศีล หรือ ข้อปฏิบัติวิธีปฏิบัติเรียกว่า ยิฏฐัง ทานนั้น ลักษณะการให้ ส่วนศีลหรือข้อปฏิบัติคือหลักเกณฑ์ที่คุณจะเอาไปประพฤติ เพื่อเกิดผลโลกุตรธรรมเหมือนการทานนั่นแหละ การล้างกิเลส 

การทำทานก็เพื่อล้างกิเลส การถือศีลหรือข้อปฏิบัติก็เพื่อล้างกิเลส เพราะฉะนั้นการเรียนศีลหรือข้อปฏิบัติเอาไปปฏิบัติ ถ้าไม่มีศีลไม่มีข้อปฏิบัติ คุณก็สะเปะสะปะ คุณก็ไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร 

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็ไม่มีหลักเกณฑ์ คุณก็สะเปะสะปะไป ศีลมันก็เละเทะ จะไปปฏิบัติศีลได้อะไร เขาก็บอกว่าได้บุญได้กุศล แล้วคุณไปทำอะไร ศีลก็คือไปทำทาน หรือไม่ก็ไปสะกดจิตแบบกดข่มไว้ เหมือนกับเดียรถีย์ทั้งหลายแหล่คือไปปฏิบัติ แล้วเรียกเก๋ๆว่าไปปฏิบัติวิปัสสนา ไปปฏิบัติศีล วิปัสสนา แปลว่า การเกิดผล ภาษาก็ยิ่งเละใหญ่เลย สภาวะก็คนละเรื่อง 

วิปัสสนาแปลว่าการเกิดผลแล้ว เขายังไม่ได้ไปปฏิบัติเลยมีการเกิดผลแล้ว ปฏิบัติก็ยังไม่มีข้อปฏิบัติด้วย เช่น ถือศีลด้วยจารีตประเพณี ก็คือถือศีลที่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาพาทำกัน ตั้งแต่ปู่ย่าตายายถ่ายทอดมา ศีลคือปฏิบัติอย่างไรข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ข้อ 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ข้อ 4 ก็ไม่พูดปด ข้อ 5 ไม่ดื่มน้ำเมา คุณก็พาซื่อทำตามไปกดข่ม ไม่ได้เกิดปัญญาไม่ได้เกิดการล้างกิเลสไม่ได้เข้าใจการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไปติดยึดในอุปาทาน ก็ทำตามที่เขาพาทำกดข่มได้ดี กดข่มได้นาน เหมือนมันเลิกได้เลยก็ทำกันไปตามจารีตประเพณี มันไม่สำเร็จด้วยปัญญาเลย

เพราะฉะนั้น ศีลในข้อปฏิบัตินี้ แม้ข้อ 1 ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้าย การวางอาวุธ วางศาสตรา อยู่กันด้วยความเอ็นดูเมตตาปรารถนา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ท่านก็แปลไว้ดี แปลในพยัญชนะภาษาจากบาลีมาเป็นไทยในศีลข้อที่ 1 

วางอาวุธ วางศาตรา มันสุดยอดแล้วในแต่ละประเทศ  เพราะฉะนั้นประเทศใดที่ไม่ต้องใช้อาวุธ  ไม่ต้องใช้ศาสตราเลย ทำให้ประเทศเป็นกลาง แล้วก็เป็นประเทศที่มีคุณค่า มีประโยชน์ตรงที่เสียสละ ตรงที่มีปัจจัยสำคัญของชีวิต อาหารเป็นหนึ่งในโลก เป็นเลิศอย่างนี้ เป็นต้น อาหารคือ กวฬิงการาหาร คือพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นต้น นี่แหละเรามีสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่น เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น หรือเราปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วจะขายบ้างเพื่อที่จะหมุนเวียน ก็ขายอย่างขาดทุน 

ที่ขายได้ก็เพราะเราสร้างจนเหลือเฟือ  สร้างจนมีมากเกินพอกินพอใช้ในครอบครัวของเราในสังคมของเราในประเทศของเรา เราก็ถึงมีแจกมีใจมีเผื่อแผ่แก่คนอื่น ฉันไม่จำเป็นต้องเอากำรี้กำไร ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนมา ให้มากให้ฟรีได้ ให้เขาอย่างเสียสละสมบูรณ์แบบได้ให้ไปเลย  มันเป็นเรื่องดีเรื่องวิเศษสำหรับมนุษย์ด้วย เป็นเรื่องปรารถนาดีต่อกัน พิสูจน์ความปรารถนาดีอย่างนี้สิ 

สังคมใดก็ตามมีหมู่คนที่เข้าใจอย่างนี้แล้วตั้งใจทำอย่างนี้เช่นอโศกเรา เราได้ตั้งใจทำมาเรื่อยๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราชาวอโศกเป็นกสิกร เป็นนักกสิกรรมกันอย่างโอ้โห มีหัวใจเป็นนักกสิกรรมเลยนะ แล้วก็ปลูกที่ดินพอมี ทำขึ้นไปเถอะ ทำแม้แต่ในที่ของเราแล้วมันยังมีแรงเหลือ ทำในที่สาธารณะที่พอทำได้อย่างที่พวกเราทำ ปลูกมันข้างถนนเลย ใครเขาจะไปว่าอะไร เราปลูกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ 

ถ้าเราทำจริง เราทำจนกระทั่ง มีที่สาธารณะก็ทำจนอุดมสมบูรณ์ ที่ว่างๆคนอื่นแล้วก็ไปปลูก ก็จะมีคนมาฟ้องศาลว่าไปปลูกในที่ของเขา อาตมาก็จะดูว่าศาลจะติดสินให้พวกเราติดคุกเพราะบุกรุกพื้นที่เขาไหม เพราะเราปลูกแล้วเราก็เอาไปแจกจ่ายเจือจานเราไม่ได้ ที่ของเราก็ปลูกในที่ของเราเต็มหมดแล้วเราก็ต้องปลูกในที่ของคนอื่นเพื่อจะได้กินได้ใช้กัน เราไม่ได้หวงแหนในที่ของเรา นี่เป็นโลกุตระธรรมที่ยิ่งใหญ่ อาตมาจะพาพิสูจน์เรื่องนี้ไป จะต้องติดคุกติดตะรางเพราะว่าละเมิดปลูกผักพืชในที่คนอื่นก็ให้มันรู้ไป 

เรื่องที่อาตมาพาทำเป็นเรื่องทวนกระแสโลกที่ไม่มีใครทำอย่างนี้กันหรอก เพราะฉะนั้นในศีลในข้อปฏิบัติ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ สัตว์ที่เป็นเดรัจฉาน สัตว์ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้เอาสัตว์มาทำงาน เอาสัตว์มากิน เอาสัตว์มาอาศัยกินไข่มัน กินอะไรก็แล้วแต่ที่ออกจากมัน ไม่ได้ไปส่งเสริมเลย แม้แต่จะเอามาใช้แรงงาน เอามาเลี้ยงแล้วก็เกิดรักผูกพันกับสัตว์ ยิ่งแย่ใหญ่เลยมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้อย่างสัมมาทิฏฐิเลย 

สัตว์เกิดมามันก็มีวิบากของมันไปตามวิบากของมัน เราอย่าเข้าไปสู่วงกระแสของวิบากกับมัน เมื่อเราไม่ไปเกี่ยวข้องทั้งรักทั้งชัง กับสัตว์ใด กลางๆ เห็นแล้วก็เอ็นดูมัน ถ้ามันทุกข์นัก เราก็ช่วยมันบ้าง อย่าไปต้องช่วยมันมาก ไปช่วยมันมากจนกระทั่งมันเสียสัตว์เสียนิสัยเสียสันดานสัตว์ เอาสัตว์มาเลี้ยงจนเสียสันดานสัตว์ คุณบาป คุณเอาสัตว์มาเลี้ยงจนมันเสียสันดานสัตว์ ปล่อยมันเข้าป่ามันก็ตาย เสียความสามารถที่จะป้องกันตนเองทำให้ตนเองอยู่รอดไม่ได้ มันไม่เป็นแล้ว เสียนิสัยสัตว์หมด คุณบาปนะ นี่เป็นนัยยะสำคัญที่อาตมาชี้ให้ 

เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาเอาสัตว์มาเลี้ยง รักสัตว์ก็จงให้สัตว์เขาไปตามยถากรรม ไปตามวิบากของเขา คนไม่เข้าใจชาวอโศกหาว่าชาวอโศกไม่ดูแลสัตว์ ไม่เลี้ยงสัตว์ เขาเข้าใจยาก แต่ค่อยๆเข้าใจกันไป 

ถ้าจะว่าเรื่องเมตตา สงสาร นี่แหละเมตตาสงสารยอดอย่างชาวอโศกนี้ เมตตาสงสารเข้าไปหาอุเบกขา เมตตาสงสารที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยทั้งผลักทั้งดูด 

เรื่องสัตว์เดรัจฉานก็อย่างที่พูดผ่านไป สัตว์ที่เป็นคนด้วยกันนี่แหละ มันจะมีวิบากต่อกันและสูงมาก คนนี้แหละ จะเป็นเรื่องของความรักหรือความอาฆาตผูกพัน โกรธเคืองอาฆาตกันก็ตาม เกิดในคนนี้แหละ 

_สู่แดนธรรม... วันนี้จะมีรายการที่เขาจัดผังไว้มีต่อจากรายการ นี้ครับ

จบ ชมข่าวเด่นในรอบปีของชาวอโศกต่อ

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2566 ( 20:55:58 )

660609

รายละเอียด

660609 พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566 https://www.boonniyom.net/53250.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1fLcBjw4Wh_OC9XfM_p4k6_06CTM249Qx/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1jSbBOEPERhwQAsLDf1NEAa7vcrT27RNv/view?usp=drive_link 

  

ยูทูป https://youtu.be/bYM7nRSQhwI

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/705674088028729 

 

ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
พ่อครูว่า... วันนี้วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ วันนี้ก็เป็นวันเรียกว่าสุดท้าย ส่งท้าย ของงานอโศกรำลึก บูชาพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ 42 ทำมากันตั้งแต่วันที่ 3 ถึงวันที่ 10 วันที่ 10 เป็นวันสุดท้ายจริงๆ ก็จะมีการทำวัตรเช้า สมณะสิกขมาตุร่วมรำลึกอโศกรำลึก จะพูดอะไร สรุปอะไรก็ว่ากันไป พอเสร็จแล้วก็ เตรียมเดินทางกลับกัน ผู้ที่ไม่กลับจะอยู่เลยก็ขออนุโมทนาสาธุ อยู่เลยได้ไม่มีปัญหาอะไร ยังรออยู่ว่าเมื่อไหร่มันจะมีพลเมืองสัก 777 คน เอาเลขสวยๆเท่านั้น แต่เป็น 1,000 คนเราก็ไม่เกี่ยง ตอนนี้ 1,000 คน งานนี้มีคนมาร่วมเป็น 1,000 คน และยังมีจอต่างๆที่เขายังไม่มา เปิดดูจออีกก็ไม่น้อย 

รายการสุดท้ายของอาตมาที่เขากำหนดเรื่องมาเลย แค่จะมาพูดคือ ให้ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม มันก็สมควรแก่เวลา ที่จริงก็เปรยมาแล้วยืนยันตัวเองว่าเป็นธรรมิกราช แล้วก็ดีนะ เขาเขียนเป็นภาษามาเลยว่า ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม ไม่ใช่ราชะ แต่เป็นธัมมิกราษฎร ประกาศโลกุตรธรรม 

จริงอาตมาไม่ได้เป็นราชา อาตมาเป็นราษฎร ก็ต้องประกาศราษฎร เสียงก็ตาม ภาษาซ้ำกันก็ตาม มันเป็นอจินไตย ที่เยอะเหลือเกิน อาตมาเองพยายามบอกไปพูด ทำไปก็แนะนำไป มันมีคำที่เป็นสำเนียงเดียวกัน ภาษาเดียวกันสะกดต่างกัน มันมีความซับซ้อน 2 ใน 1 และ 1 ใน 2 อันนี้เป็นความลึกซึ้งที่เป็นอจินไตยสูงสุด ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้านี้ แล้วคนไม่รู้ได้ง่ายๆ 

มันเป็นสัจจะที่ต้องศึกษาและปฏิบัติมาจนมีภูมิปัญญา ที่จะสามารถรู้ได้ ไม่เช่นนั้นก็รู้ไม่ได้จริงๆ วันนี้ก็เป็นวันที่จำนนจำยอมและจำต้อง ประกาศธัมมิกราษฎร์ แต่เราจะประกาศออกไปดื้อๆเฉยๆมันไม่มีอะไรที่จะเป็นพลความ เป็นสิ่งที่จะต้องอธิบายสาธยายมาว่ามันมีอะไรมาบ้าง ที่เป็นเหตุปัจจัย มีองค์ประกอบ อะไรบ้าง และมีอะไรที่เป็นมาแล้วทำมาแล้ว จะรวบรวมมาเอามาย้ำยืนยัน 

อาตมาก็ต้องพยายามเขียนเรียบเรียง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) คำต่างๆที่จะเอามาสาธยายกัน ยืนยันให้ได้ เอามาเพื่อที่จะประกอบการพูดได้ว่า มันเป็นความจริงที่ยืนยันได้จริง มีทั้งหลักฐานจากพระไตรปิฎก หลักฐานจากตำนาน หลักฐานจากคำเล่าลือกันมา หลักฐานจากตัวตนจริง และตัวตนจริงก็ได้ออกมาแสดงตัว ออกมานำพา และอาตมาว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ 

นำพามาตั้ง 50 กว่าปี อาตมาก็ได้ย้ำมาอย่างจริงๆจังๆว่า ยุคนี้เป็นยุคเสื่อม ตอนแรกก็ย้ำเต็มที่ไม่ได้ ขนาดนั้นเขาก็ยังพยายามจะเอาอาตมาตาย ทำงานมาตั้งแต่บวช พ.ศ. 2513 จนพ.ศ 2532 ถูกกระหน่ำ เราก็พยายามนำความจริงออกสู้ อาตมาไม่มีอะไรอื่นสู้นอกจากความจริง หมดความจริงอาตมาก็ต้องตาย อาตมาก็ต้องสู้ด้วยความจริง เพราะฉะนั้นความจริงอาตมามั่นใจว่าจะพาให้ชนะได้ 

มีเด็กคนหนึ่งเขาถามมา คงจะอยู่ในที่นี้ก็คงจะตอบอันนี้ก่อนค่อยเข้าสู่เรื่องที่จะประกาศธัมมิกราษฎร์กัน 

 

อยากกอบกู้ศาสนาแบบหลวงปู่จะทำได้อย่างไร

_ผมอยากถามว่า ถ้าผมอยากจะเป็นแบบหลวงปู่ ที่จะได้ช่วยกอบกู้ศาสนาครับ จะทำอย่างไร 

พ่อครูว่า... คำตอบ ก่อนอื่นก็ตอบอย่างนี้ ทำอย่างหลวงปู่ ซึ่งก็คงยากอย่างเด็กถามมา ก็ตอบว่าทำอย่างหลวงปู่นี่แหละ 

ทีนี้ทำอย่างหลวงปู่ทำอย่างไร อย่าละสายตา อย่าหนีไปไหน หลวงปู่ก็ยังไม่ตาย ก็ยังมีพี่ป้าน้าอา  มีพี่มีน้องอยู่ในนี้อีกเยอะ นี่แหละอยู่ร่วมในนี้แหละ คนหลายคน แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจะสอดคล้องเข้าไปถึงที่สุดจบ มีหนึ่งเดียว 

มีข้อเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ 2 อย่าง เปรียบเทียบกันแล้วได้อันหนึ่ง แล้วก็จะไปมีอันที่สูงขึ้นไปอีก เอาไปเทียบแล้วก็เลือกเอาอีก 1 อัน ก็ได้อันที่สูงขึ้นไปอีก เหมือนกับแชมเปี้ยนโลกเขาจะไต่เต้าตั้งแต่ เป็นนักมวยที่ยังไม่มีชื่อเสียง จนไต่ระดับเก่งขึ้นมาอีกหน่อยแล้วก็ไต่ระดับเก่งขึ้นไปอีก เป็นกระทั่งเป็นรองแชมป์เปี้ยน รองแชมป์เปี้ยนโลก แล้วก็จะชนะรองแชมป์เปี้ยนโลกเป็นแชมป์เปี้ยนโลก มันมีขั้นมีตอนมีคู่ 

นี่แหละคือ 2 สภาพที่จะต้องเทียบขึ้นไปเรื่อยๆ อันนี้แหละเป็นเรื่องยาก คำว่าเทวะแปลว่า 2 ยิ่งใหญ่ทุกอย่างคือเทวะ อย่างเทวนิยมนี่เขาแยกไม่ออก หนึ่งเดียวหนึ่งเดียวแล้วเขาตีไม่แตกและห้ามตีแตกด้วย พระเจ้าของเขาว่าไปแล้วอย่าแยกอย่าแตก ของพระเจ้าเที่ยงแท้ กาละจะเปลี่ยนวินาทีจะเดินไปเรื่อยๆเขาก็ต้องอย่างเดิมอยู่ที่เก่า กาละก็อยู่อย่าง เทศะก็อันเดียวฐานะก็อันเดียว ไม่ขึ้นอยู่กับอย่างอื่นเลยนี่คือความพาซื่อ เป็นสิ่งที่ไม่เจริญ เป็นสิ่งที่ปักหลักหนึ่งเดียว ทั้งๆที่โลกมันไม่ได้อยู่หนึ่งเดียวมันไม่เที่ยง 

จึงเป็นคำว่าเที่ยงนิรันดร์เดียว หนึ่งเดียวนิรันดร กับคำว่าไม่เที่ยง 2 คำนี้คนละโลกกันเลย 2 คำนี้เท่านั้นแหละ 

ผู้ที่จะตรัสรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 1 เป็น 2 และ 2 เป็น 1 จนกระทั่งขยายเป็น 3 จนกระทั่งสังเคราะห์ 3 นี้ให้มี 4 มี 5 มี 6 มีเป็น 0 แล้วก็ยังมีต่อไปอีกเป็น 20-30 เป็น 50 เป็น 100 ขยายไปจนเป็นประมาณมิได้ เสร็จแล้วก็จะเห็นว่าสรุปลงมาหา 0

0 คืออะไร 0 คือหาประมาณมิได้เป็นอันเดียวกัน 

มาเข้าสู่คำที่ได้เรียบเรียงร่างเอาไว้ ก็ยังเอามาแก้ตั้งแต่ต้นจนถึงจบ วันนี้ปริ้นท์ออกมา 20 กว่าหน้าเท่านั้น 

มันมีภาษาเก่าซ้ำอยู่ มากน่ารำคาญ ถ้าคนฟังไม่รู้ดีก็จะรำคาญจะเบื่อ เหมือนกับอ่านพระไตรปิฎก ถ้าความรู้ใหม่ที่เราจะได้ถ้าเราเจริญ มันจะเหมือนใหม่ขึ้นไปอีก จากพระไตรปิฎกอันเก่านี่แหละ นี่ก็คือความซับซ้อนของสภาวะกับความเจริญของเรา แต่อาตมาเอาอันนั้นมาขยายกันช่วยพวกเรา ขยายความด้วยภาษายุคนี้ภาษาใหม่ให้เข้าใจได้ ยิ่งเอามาจากพระไตรปิฎก พระบาลีมาอ่านให้ฟัง พวกเราไม่ได้เรียนบาลีมาก็จะมืดเลยไม่รู้เรื่อง แล้วบาลีทุกวันนี้ก็แปลกันเพี้ยนจากบาลีเดิม 

ภาษาบาลีเป็นภาษาตาย หมายความว่าเป็นภาษาที่เหมือนกับเทวนิยมไม่เปลี่ยนแล้ว แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ยึดมั่นถือมั่น เปลี่ยนไปตาม กาละ เทศะ ฐานะ เริ่มต้นตั้งแต่คำว่า กาละเวลา มันอยู่กับที่ไหม นอกจากนาฬิกาตาย มันอยู่กับที่ โลกมันก็หมุนไปเป็นเวลาอยู่ตลอดไม่มีอะไรหยุดหรอก 

ฉะนั้นคำว่าหยุด คำว่าจบกิจ คำว่า 0 คำว่าลงตัวแล้ว จึงคือคำตอบชนิดหนึ่ง ในคำว่าเที่ยงหรือคำว่าหยุด หยุดสะเด็ด หยุดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นสภาวะหนึ่งเท่านั้น อยู่ในสภาวะ 2 ตราบที่เรายังมีร่างกายมีกายกับจิต มีคนอื่นกับตัวเรา มัน 2 ทั้งนั้น แต่เราต้องรู้จบ 

เมื่อเราไม่มีตัวตนจะแพ้ก็ได้ ยอมก็ได้ จะให้ชนะก็ไม่ประหลาดอะไร จะยอมให้เราชนะ เราก็ยอมได้ จะให้เราชนะก็ชนะก็คือชนะ  เราก็ไม่ไปกระดี๊กระด๊าฟูใจ เราชนะเขาได้ ถ้าเขาให้เราชนะคือเขาได้นะ คือเขายอมแพ้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ยอมแพ้นั่นแหละคือ ผู้ชนะ สรุปตรงนี้ไปก่อน 

 

ทำไมพ่อครูต้องประกาศอรหันต์ในยุคนี้ ตอน 3

• เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก“ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์”

ที่เขาบอกว่าจะมีธัมมิกราช 2 องค์ องค์หนึ่งคืออาตมา แล้วก็เปิดเผยอีกองค์หนึ่งว่าคือในหลวงรัชกาลที่ 9 เปิดเผยมาแล้วผู้ไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร 

เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด

เขาเขียนมาให้อาตมาว่า ธัมมิกราษฎร์ และต้องคู่กับธัมมิกราชะ คือต้องมีกษัตริย์และราษฎรเป็นราชประชาสมาสัย ประชาชนกับพระราชาอาศัยซึ่งกันและกัน นี่คือประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตะวันตกไม่มีทางที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ หรือเทวนิยมหรือรัฐศาสตร์ในศาสนาพระเจ้า ศาสนาเทวนิยม ยังไม่เข้าใจความเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประชาธิปไตยที่ต้องมีพระเจ้าแผ่นดิน ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

ประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นประชาธิปไตยขาเดียวนั้นเป็นประชาธิปไตยพิการ ประชาธิปไตยเก๊ 

และยุคนี้มันไม่มี“อรหันต์จริง”หรือ“โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊”หรือ“โพธิสัตว์เก๊”กันทั้งนั้น

ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง”

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม จำต้องเอา “ตนเอง”นี้แหละ“ตัวแท้”ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน 

เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ“อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊”กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนัก

ซึ่งมันก็รู้“ความจริง”กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วย ว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!!

ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้คนที่เป็นชาวพุทธได้เสื่อมไปจากเนื้อหาสาระขั้น“โลกุตระ”กัน หมดแล้ว ไม่มีแล้ว มันเสื่อมกันสุดๆแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊” หรือมีแต่“อรหันต์”ที่ต้อง“เดา”เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!!  ชาวพุทธไม่รู้จัก“อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” 

เพราะ“พระอาจารย์”หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว

จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้เอาคนผิดที่เป็น“อรหันต์เก๊”ว่าเป็น “อรหันต์” มันก็หลอกคนอยู่  

ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม”ไม่ได้เป็นเด็ดขาด 

ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! 

อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกได้อีกแล้ว จำต้องใช้“ตนเอง”นี้แหละเป็น“เป้าให้ยิง”กันเลย

ถ้าอาตมา“เป็นของเก๊”อาตมาถูกยิงถล่มหนัก ร่างแหลกกระจุยแน่นอน ไม่เหลือซากมาจนป่านนี้แน่   

เหมือนคุณได้พระเครื่องมาที่รับรองว่าได้มาแล้วฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แต่คุณได้ของเก๊มา เมื่อถูกยิง..ก็พรุนเลย อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่พูดมานี้อาตมาไม่ได้ส่งเสริมให้คุณไปเชื่อพระเครื่องนะ ประเดี๋ยวจะเข้าใจผิดอีก 

เรื่องไสยศาสตร์เหล่านี้อาตมาเคยเล่น ถามว่ามันเป็นจริงไหม มันเป็นจริงเพราะมันเป็นอุปาทานสำหรับคนที่มีอุปาทาน เหมือนเช่น รสอร่อยมันไม่มีจริง คุณก็เคยเชื่อว่ามีจริงก็เคยมีจริงมาทั้งนั้น จนกระทั่งมาศึกษาปฏิบัติธรรม จะเห็นว่ามันจางคลายลง หรือมันไม่มีได้จนกระทั่งมันไม่มีจริงๆมันก็มีแต่รสจริงของมันเท่านั้นเอง รสจริงมันคืออะไรหวานเค็มเผ็ดเปรี้ยวก็คือของมันเองมันไม่มีสวย มันก็มีจริงของมันอยู่อย่างนี้เอง สีแดงสีเขียวสีนั้นสีนี้ มันก็เป็นของมันอย่างนั้นใครเห็นก็เป็นอย่างนั้น คนจะชอบหรือไม่ชอบก็เฉพาะบุคคล ชอบหรือไม่ชอบคนที่เห็นเป็นของจริงก็อันเดียวกันหมด แต่ที่เห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ มันต่างคนต่างแยกไปของใครของมัน มันเป็นอุปาทาน เข้าใจความเป็นอุปาทานมากขึ้นไหม 

ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน” แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่ยืนหยัดอยู่ยงหนังเหนียวอยู่กันถึงวันนี้ ถึงวินาทีนี้หรอก

อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น“อมตบุคคล”กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี“ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น“ผู้มีความจริงที่ข้ามชาติ”มาเป็นผู้“เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์”กันขึ้นในปัจจุบันยุคนี้ 

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้สมัยนี้ ร่วมกัน
กับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ“ของเก๊”กันนี่แหละ

สังคมพุทธขณะนี้จึงมีทั้ง“ของจริง”และทั้ง“ของเก๊”

อาตมาก็อายุจะ 90 แล้ว ก็น่าจะไปแล้วแต่คนก็จะร้องไห้กัน รู้สึกว่า คนก็น่าจะได้รับธรรมะกัน ถ้ายังไม่มั่นใจว่ามีมวลขนาดนี้จะพอช่วยกันพยุงศาสนาพุทธ ที่เป็นเนื้อแท้โลกุตระไปถึง 5,000 ปีของพระพุทธเจ้าไหม 

อาตมาก็เปิดเผยตัวเองแล้วว่าเป็นผู้ที่รับผิดชอบศาสนาพระพุทธเจ้ามาเอง 

_สู่แดนธรรม... ช่วงนี้ หากโดนละอองฝน ก็จะไอได้ครับ

พ่อครูว่า... ปัจฉาฯ ก็พยายามจะบอกให้นอนพัก อาตมาก็ยังไม่ยอมนอน พยายามจะเขียนสิ่งที่จะมาประกาศวันนี้ 

อาตมาเห็น“คนเก๊”ที่หลอกสังคมมนุษย์อยู่ โทนโท่ จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ที่มีแต่“พุทธเก๊” อาตมา“พุทธจริง-คนจริง”เมื่อเห็นความเป็น“พุทธ”ที่“เสื่อมจริง”ในยุคที่อาตมาเกิดมานี้ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ไว้กันอยู่โทนโท่ มีแต่“พุทธเก๊”อยู่โต้งๆ แล้วจะให้อาตมาทำยังไง?

อาตมาไม่อยากไปต่อสู้หรือไปขัดแย้งอะไร แต่มันไม่ได้  มันปล่อยไปไม่ได้ อาตมาก็ได้พูดหมดแล้วทุกอย่างว่าลักษณะธรรมะพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นนานาสังวาส ความเห็นต่างกัน เป็นพุทธด้วยกัน สังวาสเดียวกัน แต่ความเห็นมันต่างกัน ต่างคนก็ต่างยืนยันของตนเอง ให้สิทธิของคนทั่วไปเขาเป็นอิสระ ให้เขารับฟังแล้วเขาเลือกเฟ้นของเขาเอง เมื่อเขาเห็นว่าอาตมายืนยันอย่างนี้ ว่าเป็นธรรมวาที เขาก็มาเอา แต่ใครที่เห็นว่าอาตมาพูดนี้ไม่เป็นธรรมวาที เป็นอธรรมวาที เขาก็ไปเอาอันโน้น อาตมาก็ไม่ว่าอะไรเขามีสิทธิ์ 

ใครเห็นอันโน้นเป็นอธรรมวาที มาเห็นที่อาตมาพูดเป็นธรรมวาทีเขาก็มาเอา ก็เป็นอิสระเสรีภาพของคุณอีกเหมือนกัน นี่คือความจบของนานาสังวาส แล้วในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ชัดในเรื่องนานาสังวาส คุณจะถล่มอีกฝ่ายหนึ่งด้วยภาษาคำพูด โดยไม่ให้ไปตีรันฟันแทงกันนะ คุณถล่มไปได้เลยท่านเรียกว่า ปฏิกโกสนา ค้านกันอย่างจังๆค้านกันอย่างแรงๆเลย ท่านปราชญ์ทางโน้นก็แปลปฏิกโกสนาว่า ค้านอย่างจังเลย ใช้หอกปาก มุขสตี 

อาตมาก็ทำมาหมดตามธรรมวินัย ไปฟ้องร้องกันไม่ได้ ไปอธิกรณ์กัน ฟ้องร้องกันไม่ได้ ให้เป็นเรื่องเป็นราวกันไม่ได้ แต่ว่าเถรสมาคมมาฟ้องเรา เขาทำผิดธรรมวินัยไปหมดเลย นานาสังวาสเขาก็ไม่รู้ เขาทำการอธิกรณ์อาตมาผิดพระธรรมวินัยก็ไม่รู้ 

แล้วจะให้อาตมาทำเฉยเมย ไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยไป เก๊ก็เก๊กันไป ปู้ยี่ปู้ยำกันไปเถิด ...อย่างนั้นหรือ?

และจริงที่สุดอีก ก็คือ อาตมาเป็น“คนผู้ที่เกิดมาเพื่อกอบกู้ความเสื่อม”นี้โดยตรงโดยแท้

ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน“สัมมาทิฏฐิ 10” นั่นเองครบชัดแล้ว นั้นก็คือ “ทั้ง 10 ข้อ”ตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 10 จะปรากฏ“ความจริง”คือสัจจะขึ้นใน“โลก”   

ใน“ข้อที่ 10”ก็ตรัสระบุไว้ชัดเจนแจ่มแจ้งแท้ๆว่า ในโลกที่มีคนผู้“สยัง อภิญญา”อุบัติขึ้นมา ยุคใด ยุคนั้นผู้“สยัง อภิญญา”ที่เป็นผู้ดำเนินถูกต้อง ปฏิบัติถูกตรงแท้จริง ก็จะประกาศโลกนี้-โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะท่านเป็นผู้“รู้ยิ่งมีภูมิธรรมยิ่งนั้นๆด้วยตนเองมาแล้ว”จริง จึงชื่อว่า “สยัง อภิญญา” 

คำว่า “สยัง อภิญญา”นี้ หมายถึง “คนจริง”ที่มี “อภิญญาในตนเองแล้ว” 

“สยัง”คือ “เอง” ก็หมายเอา“ตัวตนของตน”นี่เอง

“อภิญญา”ที่เป็น“สัมมาทิฏฐิ”ของพุทธหมายถึง “ความรู้ที่เป็นโลกุตรธรรมมีเองในคนผู้นั้นแล้ว” ไม่ใช่อภิญญาที่เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์ รู้ใจคนเหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ไม่ใช่ แต่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นความรู้ที่เป็นโลกุตรธรรม และโลกุตรธรรมนั้น มีเองในคนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นก็คืออาตมายืนยันตัวเองว่าอาตมาเป็นคนมีโลกุตรธรรมในตัวเองแล้ว มีอภิญญาคือโลกุตรธรรมมีเอง 

“อภิญญา”จึงคือ ตัวอาตมานี้แหละ“สยัง อภิญญา” ตัวจริง ที่เกิดมาเพื่อมาทำงานนี้ ในยุคพ.ศ. 2500 นี้ 

“สยัง อภิญญา”คือ คนเช่นใด? 

“ความมี”อยู่ในตน มีอะไรบ้าง? 

และ“ชีวิตดำเนินไป” อย่างไร? 

“สยัง อภิญญา”แปลว่า คนผู้มีธรรมะที่เป็น“คุณวิเศษแบบ       ‘โลกุตระ’ขั้น‘อรหันต์’ในจิตตนเองแล้ว”มากถึงขั้นเรียกได้ว่า “เป็นของตนเองติดอนุสัยตนเองไปได้” 

ซึ่งเป็นคนที่มี“โลกุตรสมบัติ”ฝังใน“จิต”สูงขึ้นเกินกว่าขั้น“อรหันตวิสัย”ระดับ 1 หรือเป็น“โพธิสัตววิสัย”ระดับ 5 ขึ้นไป เป็นผู้มี“อรหันตธรรม”สะสมลงใส่“จิต”ตนเป็นผู้“อมตะ” 

“อมตะ”นั้นคือ คนบรรลุธรรมจบ“อรหันต์”ระดับ 1”ได้แล้ว มีความสามารถ“ทำใจในใจ”ของตนให้“ตาย”ลงแล้วทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” หมายความว่า คนผู้นี้ตายสิ้นลมหายใจลงไปแล้ว เมื่อ“ตายกายแตกลง”คนผู้นี้ก็ตาย“จบ”ด้วย“นิพพาน 3” คือ ตายด้วย“สุญญตนิพพาน (ตายอย่างสูญ)-อนิมิตนิพพาน(ตายอย่างไม่ทำนิมิตใดอีก)-อัปปณิหิตนิพพาน(ตายอย่างไม่ตั้งจิตใดอีก)”

นั่นคือ คนผู้“จบกิจ(กตัง กรณียัง)”แล้วเป็น“อรหันต์” ผู้มี“ปัญญา”จริง“สัมมาทิฏฐิ”จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบใน“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”จึงสามารถจัดการกับ“จิต”ของตนโดยตนจะ“ตายกายแตกลง”แล้วจะไม่ตั้งจิต“เกิด”อีก ทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ไปเลยก็ได้ หรือจะ“ตายกายแตกไป”ในชาตินั้นแต่ยัง“ตั้งจิตต่อภพภูมิต่อไปอีก”ก็ได้ ทำ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน(ไม่ตั้งนิมิต) อัปนิหิตตนิพพาน(ไม่ตั้งจิตต่อ) ได้

“จิตวิญญาณ”ของท่านผู้นี้ก็แตกแยกธาตุสลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป ไม่เหลือความเป็น“จิตนิยาม”ต่ออีก

ผู้บำเพ็ญ“โพธิสัตว์”ที่ผ่านการบรรลุธรรมถึงขั้น “อรหันต์”ได้แล้ว  “อรหันต์”ก็ยังตั้งใจ“เกิด”อีกได้ สามารถทำ“ความตาย ; ความเกิด”ข้ามชาติไปอีกกี่ชาติต่ออีกกี่ชาติย่อมได้ แต่ก็ยังมี“ภูมิโลกุตรธรรม”ยังไม่มากพอถึงขั้น“สั่งสมตกผลึกผนึกแน่นในตนเอง” กระทั่งได้ชื่อว่า “สยังอภิญญา” ซึ่งเป็น“ผู้มีโลกุตรธรรมเป็นของตนเองแล้วในตนแท้เด็ดขาด โดยไม่ต้องอาศัยใครเลยได้เลย” 

มันเป็น“ของตนเองแท้” ไม่ต้องรับถ่ายทอดมาจากใครอื่นแล้วอีก เกิดชาติใดก็ควักเอาของตัวเองขึ้นมาใช้ได้เองเต็มสิทธิ์ 

“สยัง อภิญญา”คือ คนผู้ที่ได้บรรลุ“โลกุตรธรรม”มี
“คุณวิเศษขั้น‘อรหันต์’ในตนเองมาแล้ว” ถึง 3 ขั้นแล้ว กำลังบำเพ็ญอยู่ในความเป็น“โพธิสัตว์”ขั้นที่ 7 

นั่นคือ (1)ขั้น“โสดาบันโพธิสัตว์” (2)ขั้น“สกิทาคามีโพธิสัตว์ (3)ขั้น“อนาคามีโพธิสัตว์” (4)ขั้น“อรหันตโพธิสัตว์” (5)ขั้น“อรหันตอนุโพธิสัตว์” (6)อรหันตอนิยตโพธิสัตว์ (7) ก็คือ “อรหันตนิยตโพธิสัตว์” และ(8) ก็“อรหันตมหาโพธิสัตว์”

ถ้าจะนับความเป็น“โพธิสัตว์”ก็มี“(8)ขั้นเท่านี้

ขั้นที่(9)ก็เป็น“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

คือ“โพธิ”ที่เต็ม“โพธิ”เป็น“สัมมาสัมโพธิญาณ”เลย

แต่หากนับรอบของ“อรหันต์”ก็ได้ 5 อรหันต์ 

(1) “อรหันต์”รอบแรกข้นต้น (2) อรหันตอนุโพธิสัตว์ (3) อรหันตอนิยตโพธิสัตว์ (4) อรหันตนิยตโพธิสัตว์ (5) อรหันตมหาโพธิสัตว์  

สูงสุดเข้าสู่ขั้น (6) ก็เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อรหันต์”คือ “ความเป็นที่สุด” ซึ่งมี“ที่สุด”ในแต่ละรอบของอรหันต์ ซึ่ง“อรหันต์”นั้นยังมีอีกหลายกรอบในความเป็นอรหันต์แต่ละรอบๆ ที่เป็น“อรหันต์”ขั้นสูงขึ้นๆ

ความเป็น“อรหันต์”จึงไม่ใช่มีแค่อรหันต์ขั้นเดียวเท่านั้น  ยังมี“ความจริงของ‘โลก’ของ‘อัตตา’ของ‘ธรรม’ที่ลึกล้ำละเอียดวิจิตรยิ่ง “อรหันต์”จึงมีอีกมากมายหลายหลาก“ขั้นชั้น” ดังที่ได้สาธยายมานั้นแล้ว

ส่วน“โพธิสัตว์”เป็น“โพธิ”หมายถึง“ความตรัสรู้”ที่สามารถจะสูงส่งสูงสุดตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าได้ถึงขั้นสุดสูง สุดแห่งที่สุดก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์

โพธิสัตว์ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ที่บางลัทธิบอกว่าเป็นปุถุชนที่สั่งสมบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่เลย 

โดยนับความเป็นผู้มี“โพธิ”ว่า“โพธิสัตว์”ก็คือมีคุณธรรมโลกุตระซึ่งมีเฉพาะในศาสนาพุทธเท่านั้นในโลก 

สภาวธรรม“โพธิสัตว์”จึงมีมากกว่า“อรหันต์”

ผู้เริ่มมี“โพธิ”กว่าจะนับเป็น“อรหันต์”ก็ต้องมี“โพธิ” กันถึง 4 ขั้น จึงจะเริ่มนับเป็น“อรหันต์”ได้เป็นขั้นที่ 1

ความเป็น“อรหันต์”มีน้อยกว่าความเป็น“โพธิสัตว์” ด้วยประการฉะนี้

คนผู้เริ่มมี“คุณวิเศษ”อันเป็น“อนุโพธิสัตว์”ขึ้นในจิตก็คือเข้าสู่กระแส“โพธิสัตว์”ที่จะต่อไปสู่“พระพุทธเจ้า”

แล้ว“โพธิสัตว์”ก็จะเจริญความรู้“โพธิธรรม”ขึ้นไปจากภูมิ“โสดาบัน”คือ“ผู้เข้ากระแส”เจริญขึ้นๆตามลำดับ   

“โพธิสัตว์”ระดับ 4 จบรอบนี้ก็นับเป็น“อรหันต์”

ผู้จบ“อรหันต์”คือ ผู้สามารถจะ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” สลาย“จิตนิยาม“หรือ“อัตตา”ของตนให้หมดสิ้นไปไม่เหลืออยู่ในวัฏฏสงสารหรือใน“กาล”กันอีกแล้ว โดยทำ“จิตนิยาม”ของตนให้สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย

ส่วน“โพธิสัตว์”ที่จบกิจเป็น“อรหันต์”ได้แล้ว จะยัง
ไม่ยอม“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ก็เพิ่มภูมิ”ต่อไปอีก ก็เป็นผู้มี“โพธิธรรม”สูงกว่า“อรหันต์”รอบต้นขึ้นไปอีกเป็นลำดับๆ

แล้ว“โพธิสัตว์”ที่จบ“อรหันต์”ขั้นต้นได้แล้ว ก็บำเพ็ญต่อเป็น“อรหันต์”ขั้นสูงขึ้นเรียกว่า “อนุโพธิสัตว์”

และมี“อรหันต์”ขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”สูงยิ่งต่อไปอีกเป็น“โพธิสัตว์”ระดับที่ 6 ซึ่งยังมีโพธิธรรม”ไม่เพียงพอที่จะยืนยันมั่นคงได้ว่า “เที่ยงแท้” ต่อการจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จนกว่าจะมี“โพธิธรรม”สูงขึ้นสู่ขั้นที่ 7 เป็นผู้“เที่ยงแท้แน่นอน”แล้วที่มี“โพธิธรรม”สูงถึงขั้นเข้า“กระแส”ของความจะเป็น“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” 

“โพธิสัตว์”เมื่อเข้าสู่ภูมิที่(7) จึงได้ชื่อว่า “นิยตโพธิสัตว์” ซึ่งสูงกว่าขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”ขึ้นไปอีก 1 ขั้นเป็น “นิยตะ”อันมีความหมายถึงว่า เป็นผู้“เที่ยงแท้(นิยต)”แล้วที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ส่วน“อนิยตโพธิสัตว์” หมายถึง คนผู้มีภูมิธรรมโลกุตระสูงเกินกว่า“อนุโพธิสัตว์” ที่เป็น“อรหันต์”แล้ว จึงคือ ผู้“อรหันตอนิยตโพธิสัตว์”เป็น“โพธิสัตว์ระดับ 6”

และ“อนิยตโพธิสัตว์”ก็คือ ผู้ยัง“ไม่เที่ยงแท้”ที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระพุทธเจ้า”ได้ จึงยังชื่อว่า “อนิยตโพธิสัตว์”  อนิยตะ นั้นแปลว่า ยังไม่เที่ยงแท้  

ซึ่ง“อนุโพธิสัตว์“ก็คือ “อรหันต์ขั้นที่ 2” เป็นผู้มีความเป็น“อนุ” ที่หมายความว่า “ผู้ตามจะไปเป็นพระพุทธเจ้า หรือผู้เริ่มเข้าสู่ความมี“โพธิภูมิ”พระพุทธเจ้าน้อยๆ จึงเป็น“อรหันต์ขั้นที่ 2”

“อรหันต์ขั้นที่ 3”ต่อก็จะได้ชื่อว่า “อนิยตโพธิสัตว์”

“อรหันต์ขั้นที่ 4”จึงจะเป็น “นิยตโพธิสัตว์” 

สูงไปกว่า“อนิยตโพธิสัตว์”ที่นับมาตามลำดับตั้งแต่ขั้น“โสดาบัน”คือ ภูมิขั้นที่(1) และ“สกิทาคามี”เป็นขั้น(2) จนกระทั่งถึงภูมิ“โพธิสัตว์”ขั้นที่(8) ก็เรียกชื่อว่า “มหาโพธิสัตว์” ถ้าจะเรียกเต็มยศก็“อรหันตมหาโพธิสัตว์” เป็น “อรหันต์ขั้นที่ 5” แต่เป็น“โพธิสัตว์”ระดับที่ 8

ตั้งสติไล่เรียงกันดีๆ อย่าให้สับสน 

“อรหันต์”ขั้น 6 หรือ“โพธิสัตว์”ระดับที่(8) ก็สูงต่อขึ้นไปเป็น         “ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”

ซึ่งคนผู้เป็น“ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”ที่สูงสุดก็มี ภูมิธรรมเท่าเทียม“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

สูงสุดก็ภูมิที่(9)เกินกว่า “ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์” คือ พุทธภูมิสูงสุด“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” จบสัมบูรณ์

ถ้านับจากเริ่มเป็น“ผู้เข้ากระแสโลกุตระโสดาบัน” เป็น“โสดาบันโพธิสัตว์”  ก็นับเป็น“โพธิสัตว์ระดับ 1” มาถึงขั้นเป็น“สยัง อภิญญา”ก็เป็น“โพธิสัตว์ระดับ 7”

ผู้บรรลุ“อรหันต์”คือ คนผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กิเลสใน ตน”แล้วก็กำจัดกิเลสนั้นของตนได้หมดสิ้นเชื้อขั้น“อาสวะ”

“อาสวะ”คือ จิตที่ยังมี“เชื้อ”ของ“ตัวตนขั้น“สวะ” อยู่ “เชื้อ”ที่เรียกว่า “อุปาทิ”  

ซึ่งความยึดเกี่ยวกับ“ตัวตน”นั้น มีพยัญชนะที่ใช้กันคือ สก, สว, สย

ส เริ่มพยัญชนะตัวนี้ เริ่มมีความเป็น“ตน” 

สกะ คือ “ของตน”ที่หยาบใหญ่ถึงขั้นประกอบด้วย “กาย” เป็น“สักกาย” อันมี“รูปธรรม”หรือถึงขั้นมี“วัตถุธรรม”ที่เกี่ยวเกาะภายนอกกันทีเดียว

สวะ คือ “อาสวะ” ก็เป็น“ของตน”แน่ แต่หมายถึง“นามธรรม”หรือเข้าไปหมายเอา“จิต”ภายในที่ยึดเกาะเกี่ยวทั้ง“ภายนอก”ทั้ง“ภายใน”ติดยึดอยู่เป็น“กิเลส”ทั้งหยาบทั้งกลางทั้งปลาย 

ส่วน“สยะ”นี้เป็น“ของตน”ที่เน้น“ภายใน”ถึงขั้นเป็น“ของตนเอง”ถึงขั้นเป็น“เอง”กันเลย ตั้งแต่ตนเองได้ “อาสัย” ไปจนถึงขั้น“นิสัย” แล้วก็ขั้น“วิสัย” ที่สุดลึกถึงขั้นอยู่ใน“อนุสัย” จึงไม่ใช่เน้นหยาบอยู่ภายนอกแล้ว แต่ลึกเข้าไปสู่ภายใน ที่เป็น“นามธรรม”ถึงก้นบึ้งของจิตทีเดียว

   เรื่องของ“จิต เจตสิก รูป นิพพาน” ซึ่งเป็น“ธรรม” ขั้น“อภิธรรม”นั้น ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า ที่บรรลุขั้นมี “ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ที่สุดสามารถ“รู้จบ”กันจริงๆแท้ๆ ถึงขั้นเป็นผู้จัดการ“ใจในใจขอตน”ให้เป็นไปได้สำเร็จสูง สุดอย่างสำคัญยิ่งยอด 

เช่น จัดการให้“ใจตนเอง”ทำแต่“ดี”ไม่ทำชั่วอีกเป็นเด็ดขาดตลอดไป ชนิดไม่กลับไปทำชั่วกันอีกเลยก็ได้  

จัดการให้“ใจตนเอง” ไม่มี“สุข”ไม่มี“ทุกข์”ก็ได้

จัดการให้“ใจตนเอง”รู้จักกิเลสก็ได้ รู้แจ้งทั้งกิเลสทั้งรู้จริงวิธีลดละดับกิเลสก็ได้ 

จัดการสลาย“จิตใจตนเอง”เมื่อตายกายแตกลงไป(กายัสสะเภทา)ก็ทำ“ใจตนเอง”ให้หมดความเป็น‘จิตใจ”แตกสลายกลายไปเป็นดินน้ำไฟลมกันเลยก็ได้

สรุปคือ ความเป็น“จิตวิญญาณ”นั้น สุดยิ่งใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบในความเป็น“จิตวิญญาณ”หรือคือ“อัตตา” คือ“เทฺว”คือ“ภาวะ 2”คือ“นาม-รูป”คือ“กาย-จิต”คือ“พระเจ้า”คือ“ปรมาตมัน”คือ“สังขาร”คือ“อนัตตา”คือ“สูญ”

ผู้มี“ปัญญา 8”จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงและรู้จบ ใน“ความจริง”ทั้งหมดนี้ได้ครบถ้วน

อาตมาเกิดมาในยุคนี้ พร้อมกับ“ความรู้ในความจริง”เหล่านี้ทั้งหลาย และด้วยความจริงใจใสซื่อ อาตมาจึงเอา“ความจริง”ตามที่มันเป็นจริงทั้งหลายมาสาธยาย สู่มนุษย์ในโลกยุคนี้ได้สดับ จากปากของอาตมาเลย 

เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ 

แต่“ความเสื่อม”ของคนในยุคนี้ส่วนมาก ยังไม่รู้ว่า “ความจริง”โดยเฉพาะ“อรหันต์จริง”ว่า เป็นเช่นใดกันแท้? เพราะถูกหลอกมานาน คนยุคนี้จึงได้พบแต่ “อรหันต์หลอก-อรหันต์เก๊” หรือ“อรหันต์เดาเอา”กันทั้งนั้น เท่านั้น

คนชาวพุทธยุคนี้ ส่วนใหญ่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันสนิทแล้ว ได้เสื่อมกันไปจริงๆ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร”เรื่อง“กลองอานกะ” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672 ตามที่ได้เคยยกอ้าง เอามาให้ได้รู้ได้เห็นกันแล้ว

จึงยืนยันตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ว่า“จริงแท้”มันมี“ความเสื่อม”ตามที่เป็นจริง ปรากฏกันให้เห็นกันโทนโท่อยู่ให้สัมผัสได้ในขณะนี้ ยุคนี้ แล้วมันจะ“ไม่จริง”ได้ยังไง?!  ในเมื่อมันมี“ทั้ง“22 อย่าง”กันอยู่ หลัดๆ โต้งๆ

นั่นคือ มีทั้ง“คนเสื่อม” มีทั้ง“คนที่เป็นอรหันต์แท้”

เพราะ“อาตมา”ไม่เหมือนกับ“คนเสื่อม”ทั้งหลายอยู่โทนโท่ เห็นๆกันหลัดๆ โต้งๆ ที่“สัมผัส”กันทั้งที่“เป็นของเก๊”ทั้ง“อาตมา”ผู้เป็น“ของจริง”ได้อยู่แท้ๆ ในขณะนี้ยุคนี้ร่วมกัน

มันไม่ใช่เรื่องเพ้อพก พล่อยๆ ลอยลม ปากเปล่า มีแต่ใน“จินตนาการ” หรือมีแต่อยู่ใน“ความลึกลับ”กันเท่านั้น    

เมื่อยุคนี้มัน“ไม่มีความจริง”ของอรหันต์-โพธิสัตว์กันแล้ว อาตมาจึงจำต้อง“แสดงตัวขึ้นมาให้ปรากฏ” ให้คนพิสูจน์“ความจริง”ในยุคนี้ ว่า อาตมาคือ ตัวตนยืนยัน “ความจริงของอรหันต์-ของโพธิสัตว์”จริงๆนั้นคือ “อาตมา”

เพื่อให้เปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนในยุคนี้ ไปหลงเชื่อถือ และหลงเข้าใจผิดๆอยู่กับ“ของปลอม-ของเก๊”

ซึ่งเป็นทั้งปลอมทั้งเก๊ใน“ความรู้-ความเข้าใจ” และทั้งปลอมทั้งเก๊ในคำพูดคำอธิบาย และทั้งการเป็นอรหันต์ที่คนอื่นทั้งหลายได้พากันหลงผิด เชื่อผิด“อรหันต์เก๊”นั้นๆกัน มันได้แค่“เดาๆ”กันเอา ว่า “อย่างนี้ๆแหละน่า..อรหันต์!  

อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม-จำต้องยืนยันตนเอง-บอกตนเองขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง” ด้วยความจริงใจไม่มีเศษสาเถยยะ-เศษมังกุก็ไม่มี 

แต่คนในยุคนี้ส่วนมากส่วนใหญ่ยังไม่รู้“ความจริง” หรือไม่รู้“อรหันต์จริง” ว่า เป็นเช่นใดกันแท้?

เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว ตามคำพยากรณ์เรื่องกลองอานกะของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเปรียบเทียบไว้นั้นแหละ ...ว่า

จะมียุคที่ชาวพุทธเสื่อมความรู้เรื่อง“โลกุตระ”

ในโลกยุคนั้นก็จะไม่มี“คนจริง”ที่มี“ความรู้โลกุตร ธรรมจริง-อรหันต์จริง”กันเลย ยังมีก็แต่“พยัญชนะ” 

เมื่อ“มีผู้มีโลกุตรธรรมจริง-อรหันต์จริง”ประกาศตนต่อสังคมในยุคสมัยที่เสื่อมจริงๆนี้ จึงยากที่จะให้“คนผู้เสื่อม”แล้ว ซึ่งพากัน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปสุดหนักหนาสาหัส และหลงยึดมั่นถือมั่นใน“ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊หรืออริยะเก๊”กันสนิทเนียนแล้วนั้น หันกลับมา“เข้าใจ”หรือ“เชื่อถือในความรู้โลกุตรธรรมจริง-อรหันต์จริงหรืออาริยะจริง”กันได้ง่ายๆ

จิตวิญญาณคนมันยึดมั่นถือมั่นกันจริงๆ แล้วยิ่งอาตมาเป็นอาภัพบุคคล ใช้ความพยายามมีวิบากเยอะ ต้องมีบูรณภาพเต็มที่ 

เพราะฉะนั้นมันย่อม“ยากสสส์”สุดยากกันแน่ยิ่งกว่าแน่เลย!!!

แต่อาตมานั้น“ง่ายสสสส์”สุดแสนง่ายที่อาตมาจะบอก“ความจริง-ยืนยันตนเองที่เป็นจริง”ของอาตมา นำออกมาแสดงต่อสังคมกันอยู่จริงๆนี้ ตามที่ตนเองเป็นตามที่อาตมามี“ผลของความสำเร็จในการเป็นอรหันต์จริง”นั้นๆมาแล้ว และผ่าน“ความเป็นอรหันต์”เป็น“อนุโพธิสัตว์”ผ่านขึ้นไปเป็นอรหันต์ขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”กระทั่งเจริญขึ้นผ่านมาเป็นอรหันต์ขั้น“นิยตโพธิสัตว์” และกำลังมีกระแสความเป็นอรหันต์ขั้น“มหาโพธิสัตว์”ระดับที่ 8 ซึ่งมีความเป็น“อรหันต์”กันสูงขึ้นๆ เป็นลำดับๆไม่ใช่มี“อรหันต์”ขั้นเดียวเท่านั้น แต่มันมีตั้งหลายระดับ

มันต้องมี“สภาวธรรม”จริงในตนเองแท้ จึงจะนำเอา“คุณวิเศษ”อันเป็น“สัจธรรม”แท้ๆที่“วิเศษแท้”นี้ออกมาพูดมาบอกได้ง่ายๆ เป็นลำดับๆอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย 

ไม่ใช่พวก ปทปรมบุคคล ปทะ คือบท บทเรียนการเล่าเรียนความรู้ แล้วก็ไปติดอยู่ที่ ความรู้นี้ว่า ปรมะคือบรม คือยอด เขาได้แต่แค่บทเรียน 

ท่านเปรียบเหมือนพวกบัวใต้ตม ที่ไม่ได้ธรรมะ ปทปรมะนี่ต่ำสุดอยู่ใต้ตม สูงขึ้นมาคนนั้นคือ เนยยบุคคล แต่ก็ยังอยู่ใต้น้ำยังไม่โผล่จากน้ำ สูงขึ้นไปอีก อยู่ปริ่มน้ำเรียกว่า วิปจิตัญญู 

ส่วนคนที่สูงกว่านั้นที่สุดเรียกว่าอุคติตัญญู เจอแสงสว่างรู้ได้ทันที ส่วนพวกวิปจิตัญญูคือต้องรับเพิ่มอีกหน่อย ส่วนพวก เนยยบุคคล ต้องอีกหลายขั้นกว่าจะบรรลุ 

สวนบัวใต้ตม ท่านใชบัญญัติว่า ปทปรมบุคคล ซึ่งมีคุณสมบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ปทปรมบุคคล คือคนที่รู้สูงสุดแล้วนะเป็น ปทปรมบุคคล คือเป็นผู้ที่รู้พระพุทธพจน์ก็มาก ท่องจำไว้ได้ก็มาก สอนคนอยู่ก็ได้มากสาธยายอยู่ก็มาก แต่ผู้นี้ไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินี้ 

ซึ่งไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องนะ แต่บางคนเขายกย่องว่าเป็นปราชญ์เลยนะ เป็นผู้รู้เลยนะ ยอมรับกันกับคนไม่รู้ด้วยกันก็ยอมรับด้วยกันเองว่าเป็นปราชญ์ แต่แท้ๆได้แค่ ปทปรมบุคคล เป็นคนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาก ทรงจำไว้ได้มาก สอนสาธยายอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรม 

เพราะฉะนั้นคำว่าบรรลุธรรมจึงไม่ง่าย รู้ได้ยากเพราะว่าเป็นผู้รู้เยอะเลย ขออภัยที่ต้องพาดพิง ในเถรสมาคมเป็นเปรียญ 9 เป็น   ด็อกเตอร์ จบมาจากเมืองนอกเป็นดอกเตอร์ทางพุทธศาสนา แล้วเมืองนอกจะมาสอนโลกุตรธรรมพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะเขาเป็นเทวนิยม เขาเป็นศาสนาพระเจ้า จะมารู้สภาวะของโลกุตรธรรมได้อย่างไร 

ต้องเรียนจากโรงเรียนเดิมมหาวิทยาลัยของพุทธแท้ๆอยู่ในเมืองไทย โดยเฉพาะต้องอโศก เพราะในเถรสมาคมจริงๆ ต้องขออภัยที่บอกว่าเขาไม่มี ก็เกรงใจอาตมาไม่อยากให้ไปลบหลู่ เพราะต้องอาศัย ให้อาตมาไปทำอย่างที่เถรสมาคมทำ อาตมาก็ทำไม่ไหวเพราะมันเยอะ เละเทะหยำฉ่ากัน อาตมาทำไม่ได้ เขาก็ต้องช่วยกันไปก็ต้องขอบคุณเขาเหมือนกัน 

ทางเถรสมาคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องรับผิดชอบแล้วก็รักษาไว้ขนาดหนึ่ง ก็ช่วยกัน ก็ต้องขอบคุณทางเถรสมาคมอย่างยิ่ง 

เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็น ปทปรมบุคคล จึงเป็นผู้ที่น่าสงสารมาก เพราะท่านก็มุ่งหมายศึกษากัน เพื่อที่จะให้บรรลุธรรมเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะด้วยบารมี จะด้วยกรรมวิบากอะไรของท่านก็แล้วแต่ ท่านก็มาไม่ได้ ท่านก็ต้องติดอยู่อย่างนั้นแหละ 

เพราะฉะนั้นก็ต้องเตือนให้สติท่าน อาตมาก็สงสารจริงๆก็พยายามพาดพิงถึง แต่ก็เกรงใจ ที่จริงผู้ที่ท่านไม่บรรลุธรรม แต่ท่านรู้พุทธพจน์ก็มาก ท่านก็เอาพุทธพจน์มาเขียนมาบันทึก อาตมาได้รับประโยชน์จากที่ท่านบันทึกไว้มาก ได้อาศัยของท่านก็ต้องขอบคุณจริงๆ ได้อาศัยที่ท่านบันทึกไว้ ท่านค้นคว้ามากรู้มาก และท่านไปเก็บไว้หมดนะ ของอาจาริยวาทของอรรถกถาจารย์ ท่านก็เก็บมาหมด มันเยอะแยะไปหมดอาตมาก็ต้องเอามาคัดเอาสิ่งที่ถูกต้อง ก็ระลึกถึงบุญคุณท่านอยู่หลายๆท่าน อาศัยท่านหลายคน 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่พ้น ปทปรมบุคคล จึงเป็นคนที่ ไม่มีภูมิรู้ที่จะบรรลุธรรม ขยายความให้ฟัง 

ที่ไม่บรรลุธรรมมันเริ่มต้นตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 คือจะต้องรู้จัก สักกายทิฏฐิ อย่างสัมมาทิฏฐิ ต้องพ้น กายะ ความรู้เรื่อง กาย เรื่องสักกะของตน ที่นี้ท่านเข้าถึงตนเองหรือเปล่า เข้ามาถึงกายวาจาโดยเฉพาะจิตในจิต 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายผิดตั้งแต่คำแรก โดยคำว่า กาย ไปไหมเอาถึงข้างนอกเท่านั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลย นี่แหละคนนี้แหละ ปทปรมบุคคล แน่นอน เพราะกลัดกระดุมเม็ดแรก สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้ว จากนั้นไปก็เป็นเหมือนปากกรวย เมื่อผิดตั้งแต่ต้น เหมือนปากกรวยก็บานผิดกว้างออกไปเรื่อยๆ แล้วหลงความผิดที่มากนั้นเป็นวิปัสสนูปกิเลส เป็นกิเลสที่หลงความรู้ แล้วหลงในความรู้มากของตนเอง 

ก็น่าเห็นใจท่านรู้มาก แล้วท่านก็ไม่รู้ว่าท่านเลือกอันที่ถูกอันที่ผิดไม่ได้เพราะมันเยอะมากเลย ท่านเลือกไม่ถูก แยกไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น สักกายะก็ไม่พ้นคำว่ากาย นอกจากจะรู้ความหมายคำว่ากายแล้วต้องมีทั้งภายนอกภายในมี 2 ต้องรู้จริง แต่ท่านเองท่านเข้าถึงสภาวะจริงนี้ไหม รู้จริงแล้วมันต้องไปเข้าถึงสภาวะจริง คุณก็ต้องมาปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ต้องปฏิบัติโลกุตระข้อแรกคือต้องพิจารณา กายในกายของโพธิปักขิยธรรม 37 

ถ้าเข้าใจกายในกายผิดแล้ว กายคุณไม่เกี่ยวกับภายนอก คุณมีแต่ใจข้างใน กายในกายคุณก็ไปหลงว่ามันเป็นภายในทั้งหมดมีแต่จิต คุณไม่มีกาย ไม่มีการสัมพันธ์กับภายนอกกับกาย คือนั้นคือเหมือนคนตาบอด เหมือนคนหลับตา เหมือนคนอยู่ในที่มืดแล้ว 

แต่กายนี้ต้องสว่าง ต้องเห็นด้วยตาหูจมูกลิ้นกายต้องรับสัมผัสด้วยหมด แล้วก็ต้องรู้ร่วมกันกับจิตด้วย ต้องรู้ทั้งในทั้งนอกพร้อมกันเรียกว่าอายตนะ พร้อมกัน 

แล้วก็แยกอายตนะอีก ไปแยกเวทนาในเวทนา เพราะฉะนั้น ท่านก็สำทับลงไปอีก พระพุทธเจ้าว่าคุณต้องมีผัสสะนะถึงจะมีเวทนา เพราะฉะนั้นถ้าอายตนะของคุณไปหลับตาคุณมีแต่ในจิตไม่มีภายนอกไม่มีกายไม่มีสัมผัสภายนอก คุณก็ผิด เพราะฉะนั้นหลับตาปฏิบัตินี้เป็นโมฆะทั้งสิ้น 

เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนใน อินทริยภาวนาสูตร

พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ

พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

จบ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566 วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2566 ( 21:44:50 )

660612

รายละเอียด

660612 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53251.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/1Aw0Xb_S4yvBucV8tVVg97YKQjp7hlKiO/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                             

ดาวน์โหลดเสียงที่   

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/AWawJ8J3Sl0 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/6493841494013546  

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 

SMS วันที่ 2-11 มิ.ย. 2566

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม : กราบนมัสการ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ

"โลกุตรธรรม" ที่เลิศยอดและเป็นเอก ในวันสำคัญของโลกในวันนี้ คือ "สัมมาทิฏฐิ 10" ที่มีความพิสดารลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในรอบที่ลึกขึ้น ควรแก่การติดตาม รับฟัง อย่างมี"ปรโตโฆษะ"ต่อๆไป กราบขอบพระคุณ พ่อครู ในความเมตตากรุณา อันประมาณมิได้นี้ ด้วยเศียรเกล้าฯ และขอกราบอนุโมทนา กับความสำเร็จรายทางของการขยายอายุขัย ในวาระอายุครบ 89 ปีเต็ม ในวันที่ 5 มิ.ย. นี้ค่ะ

พ่อครูว่า... เขาเป็นอาจารย์พยาบาล ก็สนใจในเรื่องขยายอายุขัย อาตมาก็เชื่อว่าเป็นไปได้ 

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม· ร่าเริงเบิกบานในธรรมเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้รับฟังการ

ทบทวน "ระดับต่างๆของ โพธิสัตว์" ความรู้ใหม่เกี่ยวกับ "ระดับอรหันต์หลังบรรลุ อรหันต์

ในอรหันต์" สนุกมากค่ะกับการตามฟังพ่อครูเทศน์สอนให้ทัน แบบไม่ขาดตอน และที่

ยิ่งใหญ่ยอดสุดคือ การประกาศ ความเป็น"พระธรรมมิกราษฏร์" ผู้มี"โลกุตรธรรม"เป็น

ของๆตน ("สยังอภิญญา") กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนา ด้วยสุดเศียรเกล้าฯ

ณ เวลา 18.24 น. ศ.ที่ 9 มิ.ย.พุทธศักราช 2566" พระนิยตะโพธสัตว์เจ้า" พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้ก้าวย่างสู่ระดับ "พระมหาโพธิสัตว์" ได้บันลือสีหนาทประกาศก้องไปทั่วโลก ถึงความเป็น "พระธรรมมิกราช" องค์ที่ 2 ร่วมกับ"พระธรรมมิกราชองค์แรก"คือ พ่อหลวง ร.9 อย่างองอาจแกล้วกล้าเป็นที่สุด!!! ลูกคนนี้รู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นกาละ เทศะ ฐาณะที่เป็นมงคลสูงสุดแก่มวลมนุษยชาติ ในยุคกึ่งพุทธกาล ที่ได้รับทราบว่า "โลกุตรธรรม"ที่สามารถกอบกู้และสืบสานพระพุทธศาสนานั้นมีผู้ร่วมรับภาระนี้ถึง 2 องค์ โดยมีพ่อครูผู้เป็น "สยังอภิญญา"เป็นผู้นำพากราบอนุโมทนา ด้วยสุดเศียรสุดเกล้าฯค่ะ

 

_ไพรเพ็ญพุทธ จันทร์ศิริ  · กราบนมัสการพ่อครูฟังธรรมวันศุกร์ที่ 9 มิ.ย. ตั้งใจฟังด้วยใจจดจ่อจนไม่กล้าลุกไปเข้าห้องนํ้าเลยครับ

 

_แก้วลา ไชยวงค์  · เชื่อเจ้าค่ะในหลวง ร.9 และพ่อครู ทั้งสองพระองค์ แบ่งงาน ในหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ 

 

_รุจิรา วงปาลี · เติบโตมาในวัฒนธรรมของพุทธเถรวาทในเมืองไทยแล้วมาศึกษาพุทธมหายานแนวทิเบตในนิวยอร์ก แล้วตกผลึกสรุปได้ว่า พุทธธรรมแนวอโศก คือความสมบูรณ์ของพุทธศาสนา ณ ศตวรรษนี้

 

_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยเคารพอย่างสูงคะ ขอร่วมฟังทางที่บ้านค่ะ พ่อครูได้ประกาศของจริงแท้เรื่องอรหันต์ อยากให้ผู้ร่วมสมัยกันพุทธศาสนาให้หยุดทำหลับตาเป็นอรหันต์ ในฝั่งที่หลับตารอบๆเค้ายังทำทุกวัด คือ เวียนเทียนไป สวดมนต์ นั่งสมาธิแล้วดี เพราะเห็นภาพชัดว่าไปนั่งสมาธิเตรียมธูปเทียนดอกไม้ไปที่วัดคะแต่ลูกเตรียมฟังพ่อครูด้วยสมุดบันทึกปากกา เทียบได้แบบนี้คะ(ได้ตามฐานะ แต่ก็ขอเพียรตามที่ได้ปฏิญาณตนร่วมด้วยวันที่ 3 มิย.คะ)สาธุธรรมะพ่อครูนำมาสอนให้เข้าใจต่างจากหลับตา เคยไปทำมาก่อนแล้วคะ  สาธุสาธุสาธุคะ

พ่อครูว่า... ไปใช้ภาษาแบบ Command เขาก็จะไม่ชอบใจเอานะ 

ก็มันจริงนะ อาตมาก็เคยทำผ่านมานักในการหลับตาปฏิบัติ หลับตามาเป็นสิบๆปีเหมือนกัน ไม่ใช่น้อยๆนะที่อาตมาปฏิบัติ ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ 8 ปีนั้นหลับตาปฏิบัติทั้งนั้น และยังแถมปฏิบัติธรรมจริงๆอีกหลายปีรวมแล้วหลายสิบปีหลับตาทำมา ทั้งอย่างเข้าใจ อย่างไม่เข้าใจก็ทำมานัก เล่นไสยศาสตร์มา 8 ปี หัวหกก้นขวิดในเรื่องไสยศาสตร์หลับตาเป็นเทวนิยมไสยศาสตร์ไปกัน เพราะฉะนั้นอาตมารู้ทั้งสองฝ่ายรู้ทั้ง 2 แบบ 

 

ยุคนี้จะสัมมาทิฏฐิต้องรับธรรมะจากสยังอภิญญา

_มุก 2130 : ผมยังสงสัยในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ครับว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงขีดเส้นให้ว่า ถ้าจะสัมมาทิฏฐิได้นั้น ต้องเชื่อหรือพบหรือเห็น ในสมณะผู้อยู่ในขั้น สยังอภิญญา ขึ้นไปครับ ความหมายคือถ้าพบหรือเห็นหรือเชื่อในสมณะผู้ต่ำกว่าสยังอภิญญา จะยังไม่นับเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ...ใช่ไหมครับ .. / คมมากครับ ที่พ่อครูพูดว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาต้นโพธิ์ ไม่อย่างนั้น จะผิดในมาตรา 157

พ่อครูว่า... ประเด็นที่คุณมุกตั้งขึ้นมาว่าในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ครับว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงขีดเส้นให้ว่า ถ้าจะสัมมาทิฏฐิได้นั้น ต้องเชื่อหรือพบหรือเห็น ในสมณะผู้อยู่ในขั้น สยังอภิญญา ขึ้นไปครับ ความหมายคือถ้าพบหรือเห็นหรือเชื่อในสมณะผู้ต่ำกว่าสยังอภิญญา จะยังไม่นับเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ...ใช่ไหมครับ 

ฟังดี ๆ ทำไมถึงย้ำสำทับว่าต้องพบ จริงๆแล้วอาตมาย้ำว่าต้องพบโพธิสัตว์ระดับ สยังอภิญญา ถ้าอาตมาจะพูดว่า จริงๆไม่ใช่แค่พบเฉพาะ สยังอภิญญา แต่ควรจะพบพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป 

เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้พบพระพุทธเจ้าก็สุดยอดแล้ว เมื่อไม่ได้พบพระพุทธเจ้าก็พบ สยังอภิญญา ก็ยังดีกว่าที่ต่ำกว่า สยังอภิญญา เพราะฉะนั้นจึงควรพบ สยังอภิญญา 

เพราะอะไร เพราะ สยังอภิญญา คือผู้ที่มีเนื้อธรรมโลกุตระในตัว เป็นเองในตัวเอง สยังอภิญญา ตายข้ามชาติก็มีโลกุตรธรรมติดตัวมา แต่ถ้าคนที่ยังไม่มีโลกุตรธรรมนั้นจะต้องได้รับจากพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือต้องได้รับจากสัตบุรุษ สยังอภิญญา ก็ตาม

สยังอภิญญา คือผู้ที่มีโลกุตระในตัวเองไม่ต้องรับจากใคร เกิดมาในยุคที่ไม่มีโลกุตระท่านก็ประกาศได้เหมือนปัญหานี้ผมก็เคยสงสัยในยุคนี้อาตมาเอามาประกาศได้ 

_สู่แดนธรรม... สัมมาทิฏฐิข้อสุดท้าย ถ้าไม่ได้พบเจอผู้ที่อธิบายสัมมาทิฏฐิข้อที่เหลือก็ไม่รู้สัมมาทิฏฐิ 

พ่อครูว่า... ข้อ มาตา ปิตา แม่มี พ่อมี หากไม่มีภูมิโลกุตระก็จะอธิบายแบบเป็น magical เป็นเรื่องลึกลับไม่รู้เรื่องไปเลย อาตมายืนยันอธิบายโลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลกโลกุตระ 

มาตา ปิตา โอปปาติกโยนิ อาตมาอธิบายความเป็นสัจธรรมไปถึงสิริมหามายาคือยุคนี้ก็มีในคนได้ ถ้าเข้าใจได้ว่าสิริมหามายาคือสภาวะธรรม ของผู้ที่สามารถทำให้เกิด คลอดธรรมะ ไม่ใช่คลอดตัวตนบุคคล ไม่ใช่คลอดแบบ ชลาพุชโยนิ อัณฑชโยนิหรือสังเสทชโยนิ แต่นี่คลอดอย่าง โอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดที่กรรมพาเกิด กัมมโยนิ ไม่ใช่การเกิดทางอยู่ในน้ำคร่ำในมดลูก หรือ เกิดมาเป็นไข่ก่อน หรือเกิดเป็นแบคทีเรีย โดยการแตกตัวในน้ำคร่ำ ไม่ใช่ 

เป็นการเกิดที่เป็นนามธรรม การเกิดทางจิตวิญญาณ ติดตามฟังไปเรื่อยๆได้รับความรู้ไปตามลำดับ 

 

ทานขั้นสูงสุดคือธรรมทานจากผู้หมดตัวตน

_นพดล ทองโคตร  · ขอเรียนถามพ่อครู ว่า ทาน ที่เสียสละสลายอัตตาจบสิ้นแล้ว นำร่างกายและจิตใจลงแรงมาทำงานกอบกู้ศาสนาตามพ่อครู เป็นทานชั้นสูงสุดกว่าทานอย่างอื่นมั่ย ขอรับ

พ่อครูว่า... ใช่ อย่างอาตมาทำ ธรรมทาน แบบที่คุณว่าเป็นขั้นสูงสุด คือเอาร่างกายและจิตใจลงแรงทำงานกอบกู้ศาสนา อาตมาก็ตามพระพุทธเจ้า เป็นทานขั้นสูงสุดเรียกด้วยศัพท์ง่ายๆเขาใช้กันอยู่ในวงการว่าธรรมทาน คือมาทานธรรมะ อาตมาไม่มีเงินมาทาน ไม่มีทอง ไม่มีเพชรนิลจินดา ไม่มีวัตถุอะไรมาทาน อาตมาก็ธนบัตรก็ไม่มี จะเอาธนบัตรมาแจกไม่มี มีแต่ธรรมะ 

แล้วธรรมที่อาตมาทานหรือบริจาคหรือให้ ให้แก่คนทั้งหลายคือโลกุตรธรรมด้วย เป็นทานที่มีสาระสัจจะถึงขั้นโลกุตรธรรม ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งคนที่ไม่ฟังโลกุตรธรรมไม่ไหว เขาไม่เอา เพราะฉะนั้นคนดูช่องนี้อย่าไปเทียบเลย คนดูช่องนี้ไม่เท่าไหร่หรอกโดยเฉพาะรายการอาตมา ถ้ารายการที่เขาเปิดร้องเพลงผู้ครองรักก็เปิด หลาย ทีวันนี้ ตอนนี้กำลังได้นักร้องของ Golden Song เขา คนจะดูอันนั้นเยอะกว่าฟังอาตมาฟังไม่ไหว ก็เข้าใจอาตมาก็ไม่มีปัญหา แต่อาตมามีความจำเป็นจำนน จำต้องแสดงธรรมโลกุตระไว้ 

แสดงออกมาในยุคนี้และยืนยันอย่างหนักหนาอย่างแรงเลย เอาตัวตนทุ่มเข้ามาเลย เรียกว่าไม่มีคนที่ทำแบบนี้ จะได้ขยายความให้ฟัง 

_เรืองรุ่ง พลังบุญ  · เป็นพลังของพระอรหันต์หรือเปล่าคะ อายุของพ่อครูก็ 90 ปีแล้ว น้ำเสียงตอนเทศน์ ฟังแล้วมีพลัง มีความเมตตาต่างจากคนที่มีอายุ 90 ปีทั่วไปค่ะ

พ่อครูว่า... คงจะเป็นไปบ้างตามที่คุณเข้าใจ คงจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่กับคนอายุ 90 ที่ไม่มีพลังธรรม นี่มีพลังแห่งธรรมะร่วมไปก็เลยเป็นอย่างนี้ 

 

_ธวัชชัย คงสมจิตร์  · ผมขออาราธนาให้พ่อครูมีอายุยาวอย่างน้อย 120 ปีครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า... สาธุอนุโมทนา ถึงได้ก็ดี ถ้าอยู่แล้วไม่ค่อยแข็งแรงก็คงไม่อยู่แล้ว ถ้าอยู่แล้วให้อยู่ทำงานได้อย่างนี้ไม่ใช่ติดเตียง 120 ปี ถ้าอย่างนั้นจะอยู่ทำไม อย่างน้อยที่สุดก็หามมาเทศน์หน่อยก็ยังได้ เอาอย่างนั้นก็เอา ช่วยหามมาอาตมาถึงวาระไปเทศน์แล้วก็เอา เทศน์ได้อยู่อย่างมีเรี่ยวมีแรงพูดได้อยู่ สมองไม่ปั่นป่วนเลอะเลือนก็เอา 

 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · อรหันต์ทั่วไปต้องเคี้ยวหมากไม่หยุด คาบบุหรี่มวนโตๆหรือเข้าบำเพ็ญถ้ำ(แต่เพียงผู้คนเป็นเวลานานๆออกจากถ้ำต้องหนวดยาวผมยาวรุงรังครับ).อันนี้อรหันต์แท้..

พ่อครูว่า... นิยามอรหันต์ของคุณคนนี้ก็แบบนี้แปลกๆ ต้องอยู่ในถ้ำหนวดยาวรุนแรงถึงเป็นอรหันต์แท้ จริงๆพูดประชดมั๊ง 

 

_จรรยา ประเสริฐ  · ฟังเมื่อวานรายการชีวิตชาวอโศกต่างแดน ขอบอกว่าทึ่งจริง ๆ ญาติธรรมอโศก ไม่ใช่กระจอกเลย ฐานะมหาเศรษฐี มีก็มาก มีความรู้ ตั้งแต่ไม่มีความรู้ ถึง ดร. ปริญญาเอก คนสุขสบายก็สุขล้น คนลำบาก ก็ลำบากล้น

พ่อครูว่า... ยิ่งเอาสภาวะของตัวเองของตนที่ผ่านมา มาอธิบายมันฟังดี เป็นเรื่องแท้ๆ ไม่ใช่เอาตำราหรือเอาภาษาบัญญัติอะไรมาพูดอธิบายกันเฉยๆ ได้เอาจากความรู้สึก จากสัญญา จากความจำจากความกระทบ ตัวเองผ่านการสัมผัส ผ่านความเป็นจริงของชีวิตมา โอ้โห จะเป็นเวทนาหรือความรู้สึกของตัวเองรับมาเต็มที่เลยก็สะสมมาเอามาบรรยายกันก็ชัดเจนดี 

_รุจิรา วงปาลี : น้อมกราบนมัสการพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ติดตามอยู่ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา

โลกุตรธรรมไม่ใช่เฉกาแต่มีปัญญา

_วาส ทองจันทร์  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมข้องใจคุณไพศาล พืชมงคล เป็นโพธิ์สัตว์ระดับไหนครับ ทำไมแกแยกความสำคัญ 1-2-3 ไม่ได้ ชอบยำลุงตู่ และเลือกไปยืนข้างพรรคก้าวไกลครับ

พ่อครูว่า... ใครบอกว่าคุณไพศาลเป็นโพธิสัตว์ คุณวาส พอมองออกว่า ลักษณะที่ถูกต้องตรงเข้าหลักเข้าเกณฑ์ไหม 

อันนี้ก็ขอวิจัยแทรกให้ฟังนิดหนึ่งว่า อย่างคุณพิธา เขาได้รับการศึกษาผ่านเทวนิยมมา เขาก็ซาบซึ้งได้รับอิทธิพลของเทวนิยมเข้ามา จะว่าเต็มรูปก็เต็มรูป เขาไม่มีอิทธิพลของโลกุตรธรรม หรือของพุทธเลย เขาก็เลยมาแสดงออกเต็มที่ของเขา เขามีความเห็นของเขา ความเข้าใจของเขา มันจึงค้านแย้งกับพฤติกรรมตั้งแต่จิตวิญญาณมาจนกระทั่งถึงกรรมกิริยา ภาษาพูดที่ออกมา แสดงออกมาของลุงตู่หรือของพลเอกประยุทธ์ 

มันเป็นจริงที่ต้องค้านแย้งกัน เพราะอันหนึ่งเทวนิยม อีกอันหนึ่งมีวิญญาณของโลกุตระวิญญาณของอเทวนิยมของพุทธ 

เทวนิยมหรือความรู้ทางธรรม เทวนิยมของตะวันตก ไม่ได้เข้าใจโลกุตระได้เลย เขาไม่มีโลกุตระเลย เพราะฉะนั้นธรรมะของเขามีแต่โลกียธรรม ไม่มีโลกุตรธรรม 

โลกุตรธรรมเป็นธรรมะที่สวนกระแส ปฏิเสโสตังกับโลกียะ 180 องศาเลย ยกตัวอย่างที่พูดไปแล้วพวกเราเข้าใจ คนพวกนั้นก็ต้องเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเต็มประตูของโลกียะ แต่โลกุตระนั้นทิ้งเลย ทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข และเป็นผู้ที่ทำงานสังคม ที่ไม่ใช่พูดแบบออกนอกรีตหลับตาหนีเข้าป่าไม่รู้จักสังคม อย่ามายุ่งการเมืองไม่ใช่โลกุตระนะ อย่างนั้น 

โลกุตระของพระพุทธเจ้ามี โลกวิทู รู้หมดทั้งโลกียะและโลกุตระและมีอุตระคือเหนือโลกียะที่ช่วยโลกียะ มีโลกานุกัมปายะ ช่วยเหลือโลกโดยเฉพาะช่วยเหลือโลกียะ 

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ถ้าฟังแล้วจะบอกว่า ไอ้นี่มันหลงตัวเองมายกตนข่มท่านหรือเปล่า โลกุตระจะยกตนข่มโลกียะเขา ยกตนข่มตะวันตก ยกตนข่มศาสนาพระเจ้า ซึ่งเราไม่ได้ยกตนข่ม แต่มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น มันเป็นความจริงของสัจธรรม โลกุตระมันเหนือกว่า มันอุตระ มันเหนือกว่าโลกียะโดยสัจธรรมก็พูดสัจธรรมเท่านั้น เขาจะรู้สึกว่าถูกข่มก็เป็นอัตตาของเขา ถ้าเขาไม่มีอัตตาเปิดจิตฟัง ที่อาตมาสาธยายนี้ สาธยายแยกโลกียะและแยกโลกุตระให้ฟังชัด ผู้ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา มีปัญญาเข้าใจ 

แม้คำว่าปัญญานี่ก็เป็นโลกุตระ คำว่า ฉลาด นั้นมีภาษาบาลี เฉโก หรือเฉกะ หรือเฉกา เป็นความรู้ความฉลาดอยู่แค่นั้นแหละ เป็นเฉพาะหนึ่งเดียว เฉกะ ในความรู้ของโลกุตระมีความรู้ครบ 6 

ฉลาดแปลว่า 6 แต่เฉกะ คือ ฉะเอก เขามีความเข้าใจแค่หนึ่งเดียวอีก 5 เขาไม่เข้าใจ เขาไม่มีภูมิรู้อีก 5 ทวารที่รู้โลกกว้าง ที่รู้ทั้งสังขารของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปเป็นจิตวิญญาณแบบไหนๆ จะเป็นเทวะหรือเป็นสัตว์นรก อยู่ในนี้อีก ซับซ้อนลึกซึ้งเขาไม่มีความรู้ เทวนิยมมีความรู้อยู่ในวงแคบ อยู่ในวงวนของเฉกะเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเขาเอาคำว่า ปัญญา ไปใช้ในความรู้ศาสนาเทวนิยมของทางตะวันตก ของศาสนาพระเจ้า ไม่ได้ เขาไม่มีความรู้ทางปัญญา เขามีความรู้แค่ทาง เฉกะ 

พล.อ.ประยุทธ์อยากสืบทอดอำนาจต่อจริงไหม

_สู่แดนธรรม... ตอนที่พ่อท่าน กล่าวถึงลุงตู่ มีสมณะผู้ใหญ่ฝากถามมาให้เข้ากันว่า นักวิชาการมองว่าลุงตู่พยายามสืบทอดอำนาจ หลงในอำนาจ พอดีกับใน sms ก็ถามขึ้นมา 

เขาบอกว่า _โรจ ราษฎร : ประยุทธ์แพ้เลือกตั้ง แต่อยากอยู่ต่อ พระอาจารย์ว่าไง

พ่อครูว่า... ตอบไปเลย ประเด็นที่ว่า 1. พลเอกประยุทธ์อยากอยู่ต่อ 2. พลเอกประยุทธ์เป็นผู้สืบทอดอำนาจ 

เลยบอกให้อีกเลยว่ามีคนบอกพลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการ สืบต่ออำนาจ เป็นอยากอยู่ต่อ อาตมาแถมให้อีกว่าเป็นเผด็จการ 

อาตมาอธิบายผ่านไปหมดแล้ว เหตุการณ์จริงผ่านไปหมดแล้วพูดไปไม่รู้กี่เที่ยวแล้ว ว่าเหตุการณ์การเมืองของประเทศไทย ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ทักษิณยังไม่เต็มรูป ทักษิณมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มาเอารถถังอะไรมาให้ประชาชนเอาดอกไม้เสียบปลายกระบอกปืน เต๊ะท่าเฉยๆ แต่จริงๆแล้วประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนประหารรัฐบาลทักษิณไปแล้ว 

พอมาถึงสมัคร ประชาชนก็ไปประท้วงประหาร ประหารรัฐบาลของสมัครลง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าอำนาจของประชาชนเข้าไปประท้วงนั้น โดยไปยืนยันว่ารัฐบาลนี้ต้องลง รัฐบาลสมัครต้องลง แต่ประชาชนจะไปปลดตำแหน่งเขาไม่ได้ ก็มีนัยยะสำคัญคือ ตุลาการภิวัฒน์ช่วยตัดสินให้สมัครตกเก้าอี้นายก 

ทักษิณก็เก่งอีกเอานอมินีสมชายขึ้นไปอีก พวกเราก็ไปประท้วงจนกระทั่งไปปลูกข้าวในทำเนียบ สมชายเข้าทำเนียบไม่ได้เลย นี่อธิบายมานี่เป็นเรื่องเหตุการณ์จริงทั้งนั้นของประเทศไทย เป็นเรื่องของการเมือง เป็นเรื่องของรัฐศาสตร์บทใหญ่เลย เป็นเรื่องปฏิบัติจริง ไม่ใช่เรื่องในตำรา พฤติการณ์เป็นประชาธิปไตยแล้วประท้วงกันอย่างไม่ได้รุนแรง ไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้อ มีแต่พวกรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจของรัฐบาล รัฐบาลทรราช รัฐบาลคอรัปชั่นมาย้อนฆ่าประชาชน เป็นผู้ฆ่า ไม่ใช่เกี่ยวกับประชาชนผู้ที่ไปปฏิวัติรัฐประหาร 

จนสมชายก็ตกเก้าอี้ เก่งจริงๆทักษิณต้องยอมรับว่าเขาจบอาชญวิทยากันจริงๆ เอายิ่งลักษณ์ขึ้นมาอีก 49 วันขุดมาจากไหนไม่รู้เป็นนายกได้ โอ้โห..เก่งจริงๆ 

เสร็จแล้วก็ถูกปฏิวัติลงไปอีกถึงพ.ศ. 2557 ปฏิวัติลงไปแล้วจนกระทั่งหมดอำนาจ ไม่มีเลย เป็นช่วงว่างสุญญากาศของผู้ที่ดูแล ไม่มีรัฐบาลดูแล ตามระบบกฎหมายเลยตอนนั้นน่ะ 

เพราะฉะนั้นแม้แต่พลเอกประยุทธ์เข้าไปบอกว่าอย่างนั้นผมก็ขอยึดอำนาจ ไปขอยึดอำนาจกับคนที่ไม่มีอำนาจ มันว่างแล้วช่วงนั้นช่วงว่าง จากรักษาการคือนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล พลเอกประยุทธ์บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมก็ขอยึดอำนาจ 

แกไม่มีอำนาจอยู่แล้ว แต่มันเหมือนพลังงานโมเมนตัมที่เกิดต่อเนื่องตามรูปแบบของประชาธิปไตยพยัญชนะ ประชาธิปไตยตามบัญญัติ ตามตัวหนังสือเท่านั้นเอง แต่พฤติกรรมจริงมันสำเร็จแล้ว 

ประชาชนเอาอะไรไปปฏิวัติ เอาอะไรไปล้มล้างรัฐบาล ก็เอาความจริง ไปประกาศความจริง ประกาศว่าคุณผิดอย่างนี้ คุณทำไม่ถูกอย่างนี้ คุณจะต้องไม่เหมาะไม่ควรที่จะได้เป็นรัฐบาลออกไป เอาความจริงทุกคนเรียงหน้าขึ้นไป ใช้เวทีพูดทั้งหลายทั้งแหล่ ก็ประกาศให้โลกเขารู้คนทั่วไป เขาก็รู้ เขาก็เข้าใจ พลังของมวลประชาชนนี่ ซึ่งมันเป็นสภาพไร้สภาพ พลังงานของจิตวิญญาณประชาชน ทำให้พวกนี้จะต้องอยู่ไม่ได้ ความจริงชนะความเท็จ ความถูกต้องชนะความผิด เป็นสัจจะ 

จนกระทั่งเมื่อยิ่งลักษณ์ออกไป พลเอกประยุทธ์มาบอกว่ายึดอำนาจ ซึ่งเป็นแค่ฟองคลื่นของรูปแบบเท่านั้นเอง มันไม่ใช่เรื่องสัจจะอะไรมากมาย จริงๆไม่ต้องไปยึดอำนาจ ถ้าถูกต้องจริงๆแล้วนะ ประชาชนไปเชิญพลเอกประยุทธ์มาต่อเลย แต่เราก็ทำไม่ได้เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นทหาร เป็นผู้รักษาอำนาจรัฐ แต่อยู่ในหน้าที่ ก็เป็นหัวหน้าคสช.รักษาความสงบของประเทศชาติ 

ก็เข้ามาทำงานตามหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งมันไม่มีทางเลือกอื่นเลย มันจะต้องเป็นเช่นนี้  ตถตา มันต้องเป็นอย่างนี้ 

เมื่อมารับหน้าที่ มาบอกว่ายึดอำนาจแล้วก็ขึ้นทำงาน เราก็ไม่ได้ออกไปประท้วงพลเอกประยุทธ์อีกเลย จนบัดนี้ก็ไม่ได้ไปประท้วง มีแต่เห็นว่าเข้าตาประชาชน เข้าตาพวกเราด้วย เราก็สนับสนุนส่งเสริมทำความเจริญให้แก่ประเทศชาติ กอบกู้ทั้งหนี้สิน ทั้งเรื่องอะไรต่อเรื่องอะไรต่างๆนานา ตามฐานะของผู้บริหารที่จะต้องทำ ก็เห็นผลงานที่เข้าตา 

ซึ่งอาตมาเคยพูดนะ นายก 29 คนมา คนที่ 29 คือพลเอกประยุทธ์นี่แหละ เป็นนายกที่ทำงานมีคุณภาพ ถ้าจะบอกว่าเป็นรัฐบุรุษ นายกประยุทธ์สมควรที่จะได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านจะช่วยแก้ไขความเข้าใจเรื่องการอยากอยู่ต่อ 

พ่อครูว่า... พลเอกประยุทธ์ ที่จริงก็เคยพูด แต่จะพูดเต็มคำไม่ได้ พูดว่าตัวเองก็ผมก็ทำงานไป ไม่มีงานผมก็กลับบ้าน แค่คำพูดแค่นี้มันแสดงถึงจิตวิญญาณลึกๆของตัวตนของพลเอกประยุทธ์อยู่แล้ว เป็นความลึกของจิตวิญญาณแต่คนเข้าใจไม่ได้ อาตมาเข้าใจ 

คือจริงๆแล้วนี่พลเอกประยุทธ์เหนื่อยมาก อาตมาเห็นว่าเหนื่อย อาตมาเห็นใจ เพราะฉะนั้นถ้าได้หยุดก็ดีเหมือนกันจะเอาอะไรทำงานมาตั้ง 8 ปี 9 ปี ผลงานก็มีต่างๆนานา คนไม่เข้าใจก็เป็นธรรมดา คนที่ดิสเครดิตก็เป็นธรรมดาเขาก็ต้องทำ แต่ส่วนที่มันเป็นจริงที่มันได้ผล คุณก็ต้องดูความจริงอันนี้ให้ได้ 

ก็อยู่ที่ปฏิภาณปัญญาของคนที่จะมองความจริงนี้ออกถูกต้องหรือไม่ถูกต้องแค่ไหนก็ไปบังคับกันไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องสัจจะ 

_สู่แดนธรรม... ทำไมนักวิชาการถึงมองว่าลุงตู่ทำไมอยากสืบต่ออำนาจ 

พ่อครูว่า... นักวิชาการไม่ใช่เทวดา นักวิชาการนี้โง่เยอะและหลงความรู้ หลงตำรา ซึ่งในหลวงเคยปรามเรื่องหลงตำรา คำตรัสของในหลวงมีชัด ท่านไม่ได้ตรัสชัดหรอก แต่อาตมาเข้าใจชัด ท่านบอกว่าเสร็จแล้วก็ต้องปิดตำรา แล้วก็ต้องเปิดตำราหน้าใหม่ แล้วบอกว่าอนาคตข้างหน้ายังมีและไม่บอกว่าอนาคตต้องทำอย่างไร นี่คำตรัสของท่าน อาตมาไม่ได้เป็นคำต่อคำนะ แต่เป็นเนื้อหาที่ในหลวงท่านตรัสอย่างนี้เป็นต้น 

_สู่แดนธรรม... ดูจากพฤติกรรมว่าใครสืบทอดอำนาจกันแน่เมื่อเทียบกับทักษิณแล้ว ทักษิณแสดงชัดเจนกว่าครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ ทุกวันนี้ก็ยังจะสืบทอดเอาใครต่อใครมาสืบทอดอยู่นี่ เอาละเรื่องนี้ก็ค่อยๆพูดกันไปเรื่อยๆขยายความเพราะมันละเอียดลึกซึ้ง 

 

พิสูจน์ประชาธิปไตยแบบพุทธสุดลึกล้ำที่เป็นจริง

ที่ว่าลึกซึ้งมากก็คือ ความเป็นประชาธิปไตยก็ตามที่ใช้ศัพท์สมัยนี้เรียกว่าประชาธิปไตย ความเป็นเศรษฐกิจของสังคมประเทศก็ตาม นัยยะของศาสนาพุทธมันก็มี 

เอาเรื่องเศรษฐกิจก่อน เศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ ขอยกตัวอย่างพวกชาวอโศก พัฒนาการจนเป็นสังคมกลุ่มหมู่ สังคมมนุษย์ชาวอโศก ได้จบกิจของความเป็นเศรษฐกิจแล้ว จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ เพราะไม่ต้องไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่เดือดร้อนกับเศรษฐกิจในสังคมชาวอโศก ดำเนินไปวันต่อวัน 

ทุกคนมีวรรณะ 9 มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วก็อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  กินใช้ร่วมกันต่างคนต่างปฏิบัติธรรม นี่คือ สาราณียธรรม 6 

เป็นสังคมที่พระพุทธเจ้ามาเปิดเผยในยุคของท่าน ท่านทำได้แต่ในวงสงฆ์ สาราณียธรรม 6 หรือขั้น สาธารณโภคี ท่านทำได้แต่ในวงสงฆ์ ก็ในยุคนั้นเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส มีนายทาส มีลูกทาส เป็นยุคที่คนไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนเลย 

เพราะฉะนั้นจะทำให้คนทั่วไปเกิดสาธารณโภคีนั้น ก็ได้ในคนที่มีภูมิธรรมโลกุตระ ก็คือ วงการสงฆ์ ของพระพุทธเจ้าและบริสุทธิ์สะอาดดี 

เช่น ภิกษุในยุคนั้นไม่ได้มีเงินมีทอง ไม่ได้มียศศักดิ์ ไม่ได้มีตำแหน่งแบบโลกีย์เลย อยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ปกครองกันไป นี่เป็นการปกครองของประชาธิปไตยแบบ Absolute ประชาธิปไตยแบบคลาสสิค ประชาธิปไตยชั้น 1 ประชาธิปไตยชั้นเอก 

ซึ่งเทวนิยมมีไม่ได้ ตะวันตก ตำราประชาธิปไตยตะวันตก ยิ่งประชาธิปไตยขาเดียวเหมือนอย่างประชาธิปไตยของอเมริกา ไม่มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีจิตวิญญาณ ประชาธิปไตยเทวนิยมขาเดียว ประชาธิปไตยแบบอเมริกาหรือประเทศที่เป็นแบบอเมริกาไม่มีกษัตริย์ 

กษัตริย์คือจิตวิญญาณ คือคนที่มีจิตวิญญาณแล้วสืบทอดทางจิตวิญญาณมา มีการฝึกอบรมตน พระเจ้าแผ่นดินทุกองค์ ไม่ใช่ไปเลือกตั้งจากใครก็ได้มาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... เคยฟังที่พ่อท่านพูดไว้ ทำให้ระลึกถึงว่า ในแผ่นดินพระเจ้ามคธ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแคว้นโกศลก็ตาม ยุคนั้นเป็นยุคที่เรียกว่าฮ่องเต้มีอำนาจสมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าในแผ่นดินของพระพุทธเจ้านั้น ดูเหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐเข้าไป 

พ่อครูว่า... ใช่ พระพุทธเจ้าเป็นรัฐประชาธิปไตย ท่านมีความถูกต้องดีงามคุณธรรมของมนุษย์สูงสุด คนระดับพระเจ้าปเสนทิโกศลพระเจ้าพิมพิสารก็ตาม เป็นแคว้นใหญ่ของอินเดียยุคนั้น ยอมให้ว่าถ้าอย่างนี้แล้ว ท่านพูดกับพระเจ้าอชาตศัตรู บุตรของพระเจ้าพิมพิสาร ว่าคนของท่านจะมาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า ที่เคยเป็นราชบริพารที่สนิทชิดเชื้ออยู่ใกล้ชิดด้วย ที่ท่านชอบ จะมาเป็น สมาชิกของพระพุทธเจ้า มาเป็นสาวกพระพุทธเจ้า เลิกจากงานที่รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะเอาคืนไปไหม ก็บอกว่าไม่เอาคืน มีแต่จัดส่งเสริมให้เขาเลย อนุโมทนาเลย 

นี่คือทฤษฎีหรือว่ายอดความรู้ของพระพุทธเจ้า คนในยุคนั้นจะพูดไปก็เป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ขนาดพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นใหญ่ก็ต้องยอมรับหมด แคว้นน้อยแคว้นเล็กยอมรับหมด ที่เป็นสุดยอดแล้วมันเป็นเรื่อง Absolute แล้วมันไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่น มันเป็นสัจจะที่คนในโลกจะต้องมีเช่นนี้ มันยิ่งใหญ่ 

คำสอนโลกุตรธรรมที่พิสูจน์ชัดว่าคนสมัยนี้ทำได้จริง

ทีนี้มาพูดถึงของไทย ไทยยังมีเชื้อ แล้วเชื้อนั้นพระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ใน อาณิสูตร เชื้อโลกุตรธรรม พระพุทธเจ้าก็ใช้คำนี้ในพระไตรปิฎก ว่า โลกุตรธรรม จะเสื่อมไป กลายเป็นของปลอมของเก๊ เอาของปลอมมาแทรกแทนกลองอานกะ ไม่มีเนื้อแท้เลย มันเสื่อมไปหมด แล้วมันก็จริง 

มาถึงยุคนี้กึ่งพุทธกาล 2,500 ปี โลกุตรธรรมเสื่อมไปหมด แล้วอาตมาถึงขั้นต้องจำยอม จำนน จำเป็น จำต้องยืนยันว่า อาตมานี่แหละเป็นธัมมิกราษฏร์ เป็นผู้ที่จะนำโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในสังคมพุทธ ในยุคที่เสื่อมไปจริงนี้

จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้มาพูดลงน้ำหนักยืนหยัดยืนยันถึงขนาดนี้อาตมาทำงานศาสนามา 50 กว่าปีแล้วเพิ่งจะมาลงน้ำหนัก ยืนยันว่าอาตมาเป็นธัมมิกราษฏร์ พูดเข้าตัวเข้าตนเลย ทางด้านวิชาการเขาจะรังเกียจมากเลย เอาตัวตนเข้าไปเป็นตัวละครอยู่ในตำรา ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ยิ่งเอาตัวเองเข้าไปว่าฉันใหญ่ มันเป็นการอวดตัวอวดตน 

แต่ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่เข้าใจเรื่องเหล่านั้น อาตมาเข้าใจแต่อาตมาจำนน จำเป็น จำยอม จำต้องบอกตัวเอง เพราะอะไรเพราะของเก๊ ของปลอม เขาก็ประกาศตนเองอยู่ทุกวันนี้ แต่เขาประกาศไม่มีน้ำหนักเท่าอาตมาหรอก แต่เขาประกาศว่าเขาเป็นพระอริยะ เขาเป็นผู้รู้ เขาเป็นอรหันต์ เขาเป็นอะไรอยู่ ประกาศอย่างหน่อม แน้ม ไม่อาสโภ ไม่ได้อาจหาญแก้วกล้า จนไม่มีแม้แต่ มังกุ ไม่มีท่าทีขวยเขิน เก้อยาก อาตมาไม่ยากที่อาตมาจะบอกว่า อาตมาเป็นอรหันต์ ไม่ยากที่อาตมาจะบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ไม่ยากที่อาตมาจะบอกว่า อาตมาเป็นธัมมิกราษฏร์ เพราะมันเป็นจริงอยู่ในตัวอาตมาไม่ได้สะดุดอะไรสักนิดเลย มันของจริงง่ายๆ 

แล้วที่ว่าง่ายๆเพราะอาตมาก็แสดงความจริงนี้ได้ด้วย ไม่ใช่พูดมาแต่ปาก อยู่ไหนของจริงพฤติกรรมของจริงความเป็นของจริง พาคนเข้าใจของจริงนี้ สร้างคนให้เข้าใจความจริงที่พูดนี้ได้บ้างไหมล่ะ ได้ไหม...ได้ พวกคุณพูดเองและคุณได้อะไร ส่งเสียงตอบรับเต็มคำเลย 

เพราะฉะนั้นในยุคนี้จึงเป็นยุคที่พิเศษ เป็นยุคที่จะว่าแปลกประหลาดก็แปลกประหลาด เพราะจะมีสิ่งที่แปลกประหลาดพิเศษแปลกประหลาดมาอุบัติขึ้นมา อย่างที่เป็น 

อาตมาพูดหนัก พูดใหญ่ พูดอวดตัวเต็มรูปเต็มร่างเลย แค่อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาเริ่มต้นประกาศตัวเองเป็นโพธิสัตว์ก่อนในประเทศไทย เพราะประเทศไทยไม่ได้นับถือโพธิสัตว์ ประเทศไทยศาสนาพุทธประเทศไทยถือว่าพระโพธิสัตว์ยังไม่ใช่อริยะ เข้าใจแค่นั้นด้วย ไม่เข้าใจ เช่น 

ไปเข้าใจว่า สุเมธะดาบส อยู่ในประวัติในตำราในพระไตรปิฎก เขาถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เขาก็เข้าใจว่าสุเมธะดาบสเป็นพระโพธิสัตว์ คือเป็นผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ 

จริง ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สุเมธะดาบสไม่มีความเป็นอรหันต์มาตั้งแต่ต้น อรหันต์ขั้นที่ 1 อรหันต์ขั้นที่ 2 อรหันต์ขั้นที่ 3 อรหันต์ขั้นที่ 4 สุเมธะดาบสเป็นอรหันต์ขั้นผ่าน 1 2 3 มาแล้วเป็นอรหันต์ขั้นสูงมาแล้ว ถึงขั้นมาให้พระพุทธเจ้าเดินทอดได้เหยียบร่าง แต่เขาไม่รู้ความเป็นอรหันต์หรือโพธิสัตว์ เขาก็เลยถือว่านี่เป็นโพธิสัตว์ก็คิดว่ายังไม่เป็นอรหันต์ แต่ยังไม่ได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นท่านก็ไปพระพุทธเจ้า สุเมธะดาบสก็คือพระพุทธเจ้านั่นแหละ มาเป็นสมณโคดมนั่นแหละ เขาเข้าใจไม่ได้ในความละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน 

เขาเข้าใจไม่ได้ในความละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนของขั้นชั้นเรียกว่าวรรณะ The Classes ขั้นชั้นวรรณะที่ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน ผู้ที่จะเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนของขั้นชั้นต้องเป็นอภิภู เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 สูงกว่าอาตมา 

จะมาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ละเอียดลออเท่าขั้นอภิภู ท่านแปลเป็นภาษาไทยว่าพระผู้เป็นเองคืออภิภู สยังอภิญญา คือผู้เป็นเองเหมือนกันแต่ต่ำกว่าอภิภู จากอภิภูก็เป็น สยัมภู เป็นพระพุทธเจ้าเลยเป็นผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบเลย 

ที่เราพูดนี้เป็นการพูดธรรมะพุทธเจ้าของศาสนาพุทธขั้นสูงขั้นละเอียดที่อาตมาพูดไปนี้ ไม่มีใครมาพูดหรืออธิบายธรรมะที่ละเอียดสูงขั้นอย่างนี้ ในหมู่กลุ่มที่พูดกันรู้เรื่อง พูดกันเข้าใจและเอามาใช้ได้ ไม่มีหรอก มีแต่ขออภัยต้องพูดความจริง มีแต่ เดียรถีย์ ออกป่านั่งหลับตา ออกป่า นอกพุทธ

หลับตานี้เป็นมิจฉาทิฏฐินอกพุทธ หลับตาปฏิบัติแล้วก็หลงว่าผู้หลับตา นี่เป็นอรหันต์ ที่ไปยกย่องพวกหลับตามหาบัว อาจารย์มั่นเป็นอรหันต์ ขอยืนยัน อาตมาพูดอย่างไม่กลัวถูกฆ่า อรหันต์เก๊

เนี่ยอาตมาพูดสัจธรรมนะ พูดสภาวธรรม ไม่ได้ไปพูดดูถูกตัวบุคคล ท่านมีความอุตสาหะ อาจารย์มั่นก็ดี มหาบัวก็ดี มีความตั้งใจ จนเสียชีวิตคาผ้าเหลืองทั้งนั้น จริงจังนะ อุตสาหะพยายามมากมาย แต่น่าสงสารน่าเสียดายที่ท่านมิจฉาทิฏฐิ ไปออกปฏิบัติแนวของเดียรถีย์กัน ตอนนี้ก็มีเดียรถีย์กัน ยุคนี้มันเสื่อม แล้วไปหลงผิดว่าอย่างนั้นคือของจริง คือของแท้ คือของจะพาบรรลุธรรม อาริยธรรม ท่านอธิบายอาริยธรรมไม่ได้ ท่านอธิบายสาระของ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แยกแยะ วรรรณะ 9 อย่างอาตมาไม่ได้ แยกแยะ เวทนา 108 ไม่ได้ ในตำรามี ในพระไตรปิฎกมี แต่ไม่มีใครกล้าแตะ กล้าเอามาแยกแยะมาพูด จนกระทั่งพวกเราเข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติ 

พวกเราปฏิบัติเวทนา 18 ได้ไหม ...ได้

เออ นี่เราพูดกัน แล้วเราก็อธิบายกัน แล้วเราก็เอามาปฏิบัติจริง เพราะฉะนั้นจึงมีคนที่รับคำพูดของอาตมา ว่าทำได้ เวทนา 18 ที่เป็นของโลกียะกับ 18 ของโลกุตระ มันมีเนื้อหาสภาวธรรมอย่างไร พวกเราฟังแล้วก็เข้าใจก็เอามาปฏิบัติ เนกขัมมะออกมา 

ลดกาม ลดปฏิฆะ ลดข้างนอกก่อนจนหมดกิเลสภายนอกแล้วก็เข้าไปกำจัดกิเลสภายใน ในขั้นรูปราคะ อรูปราคะ ไปตามลำดับ จนเหลือเศษ มานะ อุทธัจจะ ไล่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเศษธุลีละอองไปจนหมดเกลี้ยง 

พยัญชนะมันสื่อสภาวธรรม เป็นธรรมะละเอียดอย่างไรเราก็สามารถเข้าใจและรู้อาการ ลิงค นิมิต 

รู้อาการของจิต ลิงคคือเพศ คือความแตกต่างกัน มันแตกต่างกันอย่างไรก็รู้ความแตกต่าง และก็จับมีเครื่องหมายจับทั้งนามธรรมเรียกว่านิมิต สภาพนั้นได้ และจัดการ ไอ้ที่ไม่ใช่ เป็นอาการของกิเลสแทรกแซง หรือผสมอยู่ ก็แยกออกได้ ก็เอาแต่เฉพาะอาการ มันเป็นจิตเจตสิกเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่จิตเจตสิกจริง มันเป็นจิตเจตสิกเก๊ แต่มันทำทีเป็นจิตเจตสิก 

ปัญญาสามารถแยกออก จัดการไอ้ตัวปลอม ไอ้ตัวเก๊ ผีมารมาแทรก ก็ฆ่ากิเลสที่เป็นตัวผีมารออกไปได้หมด แยกแยะได้ 

อย่างแยกเวทนาเก๊ เวทนาจริง รสอร่อย เป็นผีหลอก รสจริงก็คือรสจริง เช่น รสทางลิ้น เราแตะน้ำตาลหวาน เออ น้ำตาลมันก็หวาน ฝรั่งก็บอกว่า Sweet หวาน จีนก็ว่า ตี หวาน ก็รสอย่างนี้ ฝรั่งจีนก็แตะแล้วได้รสเดียวกันของจริง 

เอาละ ไม่ฝรั่งจีน เอาคน คนชอบ มีรสนิยมชอบรสหวาน เขาก็ว่ามันอร่อย คนที่ไม่มีรสนิยมในหวานไม่ชอบ เขาก็บอกว่าไม่อร่อยเลย มันก็เป็นเรื่องเก๊ของคนอุปาทาน หรือเป็นกิเลสของใครของมัน 

ก็แยกสภาวธรรมพวกนี้ออก แล้วก็ทำของเก๊ให้มันหมดไปในจิต 

คนที่ไม่มีรสอร่อยเป็นอรหันต์เป็นต้น มีแต่รสจริง คุณจะแตะเอาส้มโอลูกนี้มาปลอกแล้วเอามากิน รส มันก็มีรสจริงของส้มโอลูกนี้ ใครกินก็รสเดียวกัน แต่คนที่อร่อย คนที่ชอบ คุณก็มีของเก๊ ของใครของมัน คนที่ไม่ชอบก็เป็นของเก๊ของเขา คนชอบก็เป็นของเก๊ของเขา 

คนที่มีญาณปัญญาแยกอาการหรืออารมณ์หรือความรู้สึกหรือเวทนาได้ถึงปานฉะนี้แหละ คือคนที่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกผิดแยกถูก แยกชั่วแยกดี แยกกิเลสหรือสัจจะออกได้ แล้วก็มีวิธีการคือพยายามทำปัญญาให้แจ้ง ภาษาไทยก็จะพูดได้ประมาณนี้ 

ทำปัญญาให้แจ้งคือทำความรู้ความฉลาดให้รู้ว่า เฮ้ย เอ็งนี่ เป็นผีหลอกอย่ามาทำเป็นแหลม ข้ารู้เอ็ง ผีมันก็อาย ผีมันก็กลัวไปเลย พูดภาษาไทยได้แค่นี้ 

แต่ฤทธ์อำนาจที่ผีเห็น ปัญญา หรือตัวธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ วันนี้เลย อธิบายได้แค่นี้แหละ 

เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นนามธรรม เป็นความรู้ที่มีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งกิเลสนี้มันกลัวสุดกลัวเลยไม่กล้าเข้าใกล้ อย่าว่าแต่มาถึงสัมผัสเลย อาตมาว่าถ้ายังไม่แข็งแรงนะ ปัญญายังไม่แข็งแรงมันสัมผัสได้ แต่มีปัญญาแล้วนี่เหมือนปลิง 

อาตมาเคยอธิบาย คุณมีฤทธิ์เนื้อตัวของคุณ คุณเอายาหม่องไปทาแข้งขาไว้ ปลิงมาแตะยาหม่อง มันแพ้หลุดไปเลย แต่มันไม่กล้าเข้าใกล้ ปลิงมันจะไม่กล้าเข้าใกล้ กิเลสไม่กล้าเข้าใกล้เลย นี่เป็นการอธิบายพลังงานของปัญญา มีธรรมฤทธิ์จนถึงขนาดนี้ 

อาตมาเอาสภาวธรรมนะ เพราะฉะนั้น ทำไม พระพุทธเจ้านี่ไม่มีใครไปทำร้ายร่างกายท่านได้เลย มีคนเลวสูงสุดเทวทัตไปทำให้พระบาทห้อเลือด เป็นอนันตริยกรรมสูงสุด ใครไปทำร้ายไม่ได้ 

อย่างอาตมาใครก็มาทำร้ายไม่ได้ แต่คนที่ทำให้อาตมาแสบตาด้วยแก๊สน้ำตา ขออภัย จะเป็นกรรมไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วมาทำให้อาตมานี่ต้องแสบจริงๆแสบตาขนาด ขออภัยต้องพูดความจริง ก็เป็นบาปของเขา อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปลงโทษเขานะ มันเป็นกรรมกิริยาของเขาที่ทำ เขาก็ไม่ได้เจตนาจะทำอาตมาหรอก แต่อาตมาอยู่ในนั้น อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นวิบากของอาตมาด้วยที่อาตมาจะต้องไปเจอ ต้องไปเผชิญอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น 

_สู่แดนธรรม... เหตุการณ์ที่พ่อท่านโดนแก๊ส มีคนพยายามดิสเครดิตพ่อท่านว่า เป็นพระอรหันต์อะไร ทำไมหนีจากแก๊สน้ำตา ก็มีคนตอบช่วยว่า อาตมาไม่ได้กลัวตายนะ แต่อาตมารู้ว่าสำหรับอาตมายังไม่สมควรตาย อากัปกิริยาเขาดูจากอาการภายนอกแล้วก็สรุปว่าอรหันต์หรือไม่ใช่อรหันต์ เขามองกันอย่างนี้ (นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำก่อน) 

ผมจะขอสรุปให้ฟังว่า พ่อท่านได้อธิบายความเป็นอรหันต์แท้มาด้วยหลักวิชาการ บางทีเด็กๆฟังอาจจะไม่เข้าใจ เป็นเรื่องของเวทนาแท้ เวทนาเทียม ถ้าใครมีความเข้าใจก็เป็นบุญกุศลของเขา 

แต่อาจะขอสรุปให้ฟังง่ายๆว่า พ่อท่าน อธิบายเรื่องง่ายๆ เรื่องของการทำทาน พระอรหันต์ท่านก็จะมีสายตามองว่า ครั้งหนึ่งนะ มีคนขออนุญาตลาออกจากวัด เพื่อจะไปทำงานหาเงินมาทำบุญทำทานให้พ่อท่าน พ่อท่านก็บอกว่าคุณจะไปทำอย่างนั้นทำไม มันเป็นทางอ้อม ถ้าจะทำทานจริงๆ อยู่ในวัดคุณเสียสละหยาดเหงื่อร้อยหยด คุณได้บุญทั้งร้อยหยดเลย คุณได้ตรงนั้นเต็มๆที่เลยไม่ต้องแบ่งมาทำทีหลัง ถ้าคุณทำงานได้เงินเดือน 20,000 คุณเอามาทำบุญ 19,000 บาทไหมล่ะ ก็ไม่จริงนะครับ นี่คือหลักการมองง่ายๆ แม้แต่เรื่องทำทาน พระอรหันต์ก็จะมองลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปมอง 

พ่อครูว่า... ตอบเรื่อง คุณไพศาลไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อะไรหรอก ทำไมแยกความสำคัญ 1 2 3 ไม่ได้ และชอบยำลุงตู่ และเลือกไปยืนข้างพรรคก้าวไกล ก็เป็นธรรมดา ตามฐานะของบุคคลอย่างคุณไพศาลก็เป็นไปตามคุณไพศาล 

_เกษม แสนทอง  · ขอให้ท่านติกขวีโร ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อช่วยงานพ่อท่านไปนานแสนนานขอรับ

พ่อครูว่า... มีคนช่วยอาตมา ก็ขอบคุณ แต่เขากลัวว่าท่านจะไปก่อนอาตมา ก็เลยบอกให้อยู่ช่วยไปนานๆ คือมีจิตใจอยากจะให้มันเกิดการสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรหรอก ท่านเดินดินก็ช่วยได้มาก

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · รายการวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย. สมบูรณ์และได้รับประโยชน์จากท่านเล่าประสบการณ์ได้ดีที่สุด กราบนมัสการท่านติกข ท่านฟ้าไท สม. กล้าข้ามฝัน เล่าแบ่งปันความรู้รอบตัวมีสาระมากค่ะ

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · คงมีสักวันที่จะมาอยู่บ้านราชและมีชีวิตปกติสุขอย่างกับครอบครัวของคุณลุงเราโน่และคุณพี่หายโง่ อนุโมทนาสาธุกับทุกคนที่ได้มาอยู่แผ่นดินพุทธ

พ่อครูว่า... ก็ริษยาเข้าอยู่อย่างนั้นนะไม่ได้มาสักที ก็มาให้ได้ เมื่อไหร่จะมา จะเอากระดูกมาหรืออย่างไร ก็มาตอนยังเป็นๆสิ

ประเทศไทยคือดินแดนกสิกรรมโลกุตระ

_สีดิน  · พ่อครูสอนว่า"สมรรถภาพคือของจริงที่เราได้สะสมติดตัวไปทุกภพทุกชาติ" "การทำกสิกรรมคือการสะสมสมรรถภาพที่แท้จริง"

พ่อครูว่า... จริง ก็เข้าใจ อาตมาเน้นให้มาเป็นนักกสิกรรมกัน มาเป็นพวกที่เป็นกสิกรแข็งขัน มาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันเป็นหนึ่งในโลก  เป็นงานที่มีคุณค่ามากที่สุด จะบอกว่าเป็นกุศลก็เป็นกุศลสูงสุด จะบอกว่าเป็นบุญก็เป็นบุญ 

เพราะว่าคนที่จะมาเป็นกสิกรต้องล้างกิเลส ไม่อยากจะมาหนักไม่อยากจะมาร้อน  ไม่อยากจะมาทำ แล้วพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันซับซ้อน พืชพันธุ์ธัญญาหารจะขายแพงไม่ได้ ขายแพงแล้วมนุษยชาติแย่เลย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ขายข้าว  ขายพืชผักผลไม้ราคาต้องถูก ราคาแพงไม่ได้ ราคาแพงตายทั้งโลกเลย เพราะคนจนมีเยอะ แล้วคนจนก็ต้องกิน คนรวยก็ต้องกิน ถ้าขายแพงคนรวยมันไม่ตายหรอกมันรวย แต่คนจนตายหมด ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นมันจึงมีความจำเป็นสำคัญมากเลย อันนี้โดยปฏิภาณลึกๆของคนทั่วไปในโลกเข้าใจ จึงยอมให้ราคาสิ่งเหล่านี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารหรือของกินราคาแพงขึ้นไม่ได้ ก็มีแต่พวกอวดรวย ที่เขาหลอกเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารไปขาย ผักโขมยอดสวยๆ 5 ยอด 100 บาท ทอดน้ำมันหอยไปให้พวกไฮโซซื้อกิน เต๊ะท่ากินของราคาแพง อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่คนเขาหลอกคนรวยนี่ เสื้อผ้าชุดธรรมดา ติดขนไก่อันหนึ่งตรงนี้ ว่ามีตัวเดียวในโลกมีตัวเดียวในสังคมแฟชั่นยุคนี้ อันนี้แสนบาท คนก็ไปซื้อมาใส่ โอ้โห..ใส่แล้วต้องใส่ครั้งเดียวนะแล้วห้อยทิ้งไว้ ใส่ซ้ำนี่โดนทักเลยนะ ตัวนี้มันใส่มาแล้วขายหน้า ไม่ได้ มันโง่ได้ทีจริงๆคนเรา 

แต่ก็สมแล้วล่ะ เขาก็ต้องหลอกเอาเงินคนพวกนี้ออกมาสู่ มันเป็นวิธีการของเศรษฐกิจ ต้องหลอกคนโง่ที่รวยให้ควักออกมาอย่างโง่ๆ เพราะมันจะได้มีเงินสะพัดออกมา มันก็เป็นวิธีการของเศรษฐกิจธรรมดา 

ทีนี้เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าพาคนมาจน ในประเทศไทยมีคนพูดว่าต้องมาจนมี 2 คน คืออาตมากับในหลวง ร.9 ว่าต้องมาจน นักเศรษฐศาสตร์ที่บริหารประเทศอยู่นี้ไม่กล้าพูดจะพามาจน ไม่กล้า ไม่มีใครพูดเป็นคนที่ 3 มีอาตมากับในหลวงเท่านั้นว่าต้องพาคนมาจน ขาดทุนของเรา มาขาดทุนอย่าไปเอากำไร ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนเขาก็หูหักฟังไม่รู้เรื่อง แล้วว่ามันจะอยู่อย่างไร 

แล้วพวกอโศกอยู่อย่างไร มาจน มาขาดทุน อยู่ได้อย่างไร ความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้มันยิ่งใหญ่มาก มันยิ่งใหญ่มาก 

เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจของศาสนาพุทธนี้คือ มันต้องมาเป็นคนจน ถ้าสามารถเฉพาะตน คงคลังของตน 0 บาทได้ คุณสำเร็จเศรษฐกิจของคุณแล้ว ส่วนตัวของคุณแต่ละคนคงคลังของคุณ 0 บาท คุณอยู่กับการสะพัดส่วนกลาง สบายมากเลย คุณไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องดูแลอะไรเลยในเงินส่วนตัว มีอะไรก็ไปเบิกจะใช้ก็ไปเอาที่กองกลางมา ซึ่งมันก็เป็นได้แล้ว ของอโศกเราเป็นได้แล้วอย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งเศรษฐกิจระดับสาธารณโภคีนี้ยังไม่เคยมีในโลก มีแต่ในยุคพระพุทธเจ้าที่อยู่ในสงฆ์ ฆราวาสยังเป็นไม่ได้ในยุคโน้น เพราะว่ามีข้อจำกัดที่พูดไปแล้ว แต่ในยุคนี้มันไม่มีข้อจำกัด ไม่ใช่ยุคทาส ไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคที่คนเรามีสิทธิเต็มที่ 

เพราะฉะนั้น ฆราวาสก็ทำสาธารณโภคีได้ อาตมาจึงพาฆราวาส มาทำสาธารณโภคีเพื่อยืนยันความเป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอด เศรษฐศาสตร์สุดยอด ไม่ขึ้นกับเงินทอง ไม่ขึ้นกับทรัพย์สฤงคาร พวกนี้ ธนบัตรเงินทองไม่มีอำนาจในพวกเรา แต่เราก็ไม่ใช่ไม่รู้จักว่าธนบัตรคืออะไร ใช้ในสังคมอย่างไร เราก็ไม่ได้โง่อะไร เราก็รู้ เราก็ใช้ตามควร อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ถ้าจะว่าไปแล้วมันก็พูดแล้วก็เหมือนอวดตัวอวดตนว่ายิ่งใหญ่ 

แต่ที่จริงอาตมาว่ามันยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องของอาตมา เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามากระทำ มาประพฤติ มาปฏิบัติ เป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านเอามาประกาศท่านตรัสรู้และเอามาประกาศ ก็นำสิ่งนี้มายืนยัน 

เทวนิยมประเทศนอกตำรา ดร.ทางเศรษฐศาสตร์ไม่รู้จักเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีหรอก ทำไม่ได้ จะมีที่ประเทศไทยมีที่อโศกนี้ด้วย และเป็นเล่นๆหรือเปล่า ...ไม่ เป็นไปเรื่อยๆ เป็นปึกแผ่นขึ้นไปเรื่อยๆแต่ก่อนน้อยกว่านี้ ชาวอโศกตั้งแต่แรกที่อาตมาทำมีน้อยกว่านี้ เดี๋ยวนี้ก็มากขึ้นเป็นชุมชนชาวอโศก กระจายไปในประเทศก็มี หลายชุมชน 10 20 30 ชุมชน 

_สู่แดนธรรม... ฟังวิสัยทัศน์ที่พ่อท่านพยายามให้สังคมมองแล้ว ผู้มีปัญญาคงรู้ว่า ความรู้แบบนี้มันยิ่งใหญ่ที่ประเทศไทยจริงๆครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ ประเทศไทยเรามี ประเทศอื่นไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์แบบนี้ความจริงของเศรษฐศาสตร์แบบนี้ในประเทศโลกุตระ ประเทศที่เป็นโลกียะเทวนิยมมีไม่ได้ ไม่มีปัญญารู้ด้วย แล้วเขาจะไม่เชื่อหรอก เขาจะว่าพวกเรานี้อดทนเอา กดข่มไว้เอา มันดูดีมันเท่ แล้วก็ทำอดทนเอา ทรมานไป ซึ่งเราไม่มีการทรมาน มันสบายๆ มัน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ ด้วย เป็นปลายเปิด มีชีวิตมีแต่เพิ่มพูนการเสียสละเท่านั้น สุดท้ายชีวิต 

_สู่แดนธรรม... ถ้าอย่างนั้นผมไม่สงสัยแล้วว่าเมื่อก่อน 10 ปีที่แล้ว พ่อท่านบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจฝ่ายพระคุณ ตอนนั้นผมฟังแล้วประเทศไทยจะเป็นไปได้หรือ 

พ่อครูว่า... เป็นได้แล้ว แต่เป็นอยู่ในสังคมประเทศไทย สังคมของประชากรประเทศไทย ที่มีกระจาย เป็นส่วนน้อยไม่ได้มาก ธรรมดาของยอดพีระมิดมันมีน้อย ไม่ใช่ฐานพีระมิด เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

_สู่แดนธรรม... แสดงว่าเด็กๆรุ่นนี้เยาวชนที่ฟังเลคเชอร์อยู่ อีก 20 ปีคงเห็นความเจริญไปกว่านี้นะครับ 

พ่อครูว่า... ฟังเข้าใจไหม เอาเถอะ มันเป็นไปได้ 

ช่อทิพ หนูทอง  · ฟัง ดร.เกริก แล้วได้ข้อคิดดีหลายอย่าง ขอบพระคุณค่ะ

_แก้วแกร่งธรรม นำมาจน  · น้อมกราบพ่อครูด้วยความรักและเคารพอย่างสูงสุด ขอให้พ่อครูสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว และนำพาลูก ๆ ปฎิบัติธรรมเพื่อการบรรลุธรรมสืบไป และ ขอติดตามฟังธรรมและปฎิบัติตามพ่อครูพาเดิน ทุกชาติไปจนกว่า ลูกจะได้สภาวะอรหันต์เจ้าค่ะ

_อารยา ศรีไพโรจน์ ·

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 

 


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2566 ( 09:58:02 )

660614

รายละเอียด

660614 เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53249.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/13MZWLalmPvgUZcUUeaH7HdSl37hUL2GJ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1-2f9W18JZiQKjUbR2o0CUQUcooEgvooS/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/vNH4N4lKG2A 

และ https://fb.watch/l9qj9frN5f/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เราก็เพิ่งจะเสร็จงานอโศกรำลึก ปีนี้พ่อครูย่างอายุ 90 ปี ปีหน้าก็ 90 ปีเต็ม หมู่บ้านราชธานีอโศกก็จะครบรอบ 30 ปีด้วย เพราะฉะนั้นปีหน้า 90 + 30 ก็เป็น 120 ถือว่าเลขสวย 

ชุมชนหมู่บ้านของเราก็มีนัยยะที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจ บางทีฟังพ่อครูมีความลึกซึ้งโลกุตระ แต่การเห็นองค์ประกอบของ บุคคลสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ ก็มีส่วนอย่างมาก 

เคยไปที่ไต้หวัน วันนั้นนั่งเครื่องบินตกหลุมอากาศมาก กัปตันตัดสินใจเชิดหัวขึ้นก่อน แล้วกลับไปนอนที่ฮ่องกงแล้วค่อยไปไต้หวัน แต่อาตมาคิดว่าคนที่ไปก็มีแต่คนดีๆทั้งนั้นเกินครึ่งลำ ต่อมาบางท่านได้กลับมาเป็น ผบ.ตร. เป็นรองนายก 

ไปดูองค์กรฉือจี้ เขาก็มีอะไรคล้ายเราหลายอย่าง เช่นเรื่องมังสวิรัติ แต่เขาจะไม่พูดเรื่องการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทำงานกว้างไปทั่วโลก ไปสัมผัสเรื่องขยะอย่างเดียวเป็นหลัก นอกนั้นก็ไปดูภาพ ดูนิทรรศการ ดูห้องประชุมของเขา ได้ดูของแห้งเสียส่วนมากไม่ได้ดูของสด แต่ทุกคนก็อยากจะไปพบเจ้าสำนักคือท่านธรรมาจารย์ อยากสัมผัสแนวคิด แต่ดูเหมือนเจ้าสำนักไม่ค่อยชอบพบแขก เราก็ได้ไปดูงานไปดูสถานีโทรทัศน์ ได้เห็นแต่เรื่องวัตถุ

ได้เห็นเพียงแค่นี้คณะที่ไปก็คุยกันใหญ่ว่าจะกลับไปเปิดร้านเจอย่างที่ไต้หวัน สินค้าที่เขานำเสนอก็ซื้อกันมาใหญ่เลย เพราะมีความศรัทธา องค์ประกอบที่เขาจัดให้น่าเลื่อมใส แม้จะยังไม่เห็นตัวบุคคลมากนัก 

คณะที่มาดูงานที่บ้านราชฯ เรามีองค์ประกอบกิจกรรมบุคคลหลายด้าน เช่น การพาณิชย์ การกสิกรรม อย่างที่เป็นของสดไม่ใช่เอาของแห้งมาให้ดู คนมาก็อยากจะมาพบพ่อครู เคยมีคณะจากสถาบันพระปกเกล้า มาฟังพ่อครูพ่อครูก็พูดเรื่องลึกซึ้งมาก แต่พอพ่อครูเทศน์เสร็จ ก็มีคำถามเดียวจากคนที่เป็นพระ ที่เป็นลูกของ ดร.ระวี ภาวิไล ท่านถามว่าพ่อครูที่ได้มาสืบทอดศาสนาได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าใช่ไหม เมื่อได้รับคำตอบทุกคนก็นั่งเงียบ บางคนสังเกตว่าศีรษะสั่นเล็กน้อย 

คิดว่าดูองค์ประกอบทั้งหมดแล้วแม้เขาจะไม่เชื่อ เขาก็ไม่กล้าลบหลู่ เพราะเป็นองค์ประกอบที่มนุษย์จะคิดและทำอย่างนี้ขึ้นมาได้เป็นเรื่องอัศจรรย์ ทำนองเดียวกับคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรังสิต มีพวกเราไปสัมภาษณ์คณบดีที่นำมา อาจารย์เขาก็พูดในความรู้สึกเชิงบวกว่าน่าจะมาสัมผัสอีก 

องค์ประกอบของบุคคล สถานที่ทำให้เราไม่กล้าดูถูก และเราอยากศึกษานะ ทำไมเขาคิดพูดทำอย่างนี้ ต้องติดตาม ฉะนั้นปีที่ 30 ของบ้านราชฯ พวกเราควรจะได้มาทบทวนกัน ต้องมาระดมสมองกันว่าอะไรจะทำให้องค์ประกอบของที่นี่ให้บริบูรณ์สมบูรณ์ 

พ่อครูว่า... ก่อนอื่นคงต้องโอภาปราศรัยกับ SMS 

_กราบขอพ่อครูช่วยประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ

.. ขอเชิญทุกท่านร่วมเข้าค่ายอุโบสถศีลสันติอโศก ครั้งที่ 177  "ฝึกจิตให้ตั้งมั่น" วันศุกร์ที่ 16 - อาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2566 เริ่มรับลงทะเบียนเย็นวันศุกร์ที่ 16 มิ.ย. เวลา 16.00น.เป็นต้นไป ปฏิบัติธรรมพักค้างที่วัด จบกิจกรรมวันอาทิตย์ที่ 18 มิ.ย. เวลา 15.00น. ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0858107041 หรือติดตามข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ค กลุ่มค่ายอุโบสถศีล สันติอโศก

 

SMS วันที่ 12-13 มิ.ย. 2566

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · พ่อครูเคยกล่าวฯการให้ทางโลกุตระ คือการให้ที่ให้แล้วให้เลยไม่เอาคืน!

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2566 ( 20:20:37 )

660616

รายละเอียด

660616 สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53248.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ 

https://docs.google.com/document/d/1ELYQqM1_937orhwK47xA28_LiFUMnDnI/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1swW3Gcm-dq5uF4vcmKp9KCLPbIhFkjJ3/view?usp=sharing 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/R73vqsQRjnA 

และ https://fb.watch/lc6gph3WF0/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ 

กลางเดือนมิถุนายนแล้ว ปีนี้เข้าพรรษาจะเลทไปเพราะมีเดือน 8 2 หน เข้าพรรษาประมาณวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ปกติเข้าพรรษาจะตกเดือนกรกฎาคม 

ช่วงนี้พ่อครูก็ประกาศคุณวิเศษ ประกาศไปแล้วทุกอย่างก็ดูเงียบ แต่ก่อนอยู่ที่สันติอโศก ติดป้ายไว้ที่หน้าสัญญา 2 ว่าเชิญมาคารวะพระโสดาบัน ประมาณ 30 ปีที่แล้ว พ่อครูก็แสดงธรรมและประกาศให้ทุกคนรู้ว่าท่านเป็นพระโสดาบัน คนก็ไม่อัศจรรย์อะไร มาเป็นสิ่งที่พวกเราเป็นได้อยู่ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพ่อครู 

แต่ว่าในความเข้าใจของคนข้างนอกเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เคยเห็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณนรฯ เขาทำประวัติแล้วเขียนยกย่องภาพหน้าปกหรือว่าพระอริยะโสดาบัน เขาถือว่าโสดาบันเป็นเรื่องใหญ่มาก 

สมัยก่อนพ่อครูพาสมณะจาริกไปที่โคราช พักที่ศาลากลาง มีคนไปแจ้งเจ้าคณะจังหวัด ก็มาสอบถามว่า มาทำไม พ่อครูบอกว่ามาเผยแพร่ธรรมะ เขาถามว่าเอาอะไรมาเผยแพร่ พ่อครูก็บอกว่าเอามรรคผลมาเผยแพร่ เขาก็เลยถามว่ามรรคผลนี้ได้อะไรบ้าง พ่อครูก็บอกว่า สำหรับท่านที่เป็น อุปสัมบัน ก็พอบอกได้ว่าโสดาบัน สกิทาคามีผมก็ผ่านได้แล้ว ท่านก็บอกให้เลขาจดเอาไว้ ซึ่งเลขาองค์นี้ก็แปลกเหมือนกัน ตอนหลังมาบวชเป็นสมณะชาวอโศก ฟังวันนั้นคนหนึ่งบรรลุเลย อีกคนหนึ่งก็ทะลุปรอทแตกเลย 

เขาเลยทำเอกสารเผยแพร่ไปทั่วว่า พระโพธิรักษ์อวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งแค่บอกตัวเองเป็นพระโสดาบัน เขาก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ทุกวันนี้บอกเลยไปไกลเยอะ 

พ่อครูว่า... อาตมาตอนนั้นจำได้ใช้ภาษาว่า โสดาฯ สกิทาฯผมก็ผ่านแล้ว 

สมณะเดินดิน... เขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เอาไปประจานเป็นความผิดใหญ่ มีพระสุเมธาธิบดี เจ้าคณะที่กรุงเทพฯ ที่จริงแล้วคุณวิเศษนั้นอวดได้ถ้ามีในตน แต่ท่านไปบอกว่าถ้าอวดออกมาเมื่อไหร่ก็คือปาราชิกทันที มีพระผู้ใหญ่บอกว่าผู้ที่อวดประกาศตนว่าบรรลุธรรมผู้นั้นคือผู้ไม่บรรลุธรรมอย่างนั้นเลย เลยกลายเป็นหลักการของศาสนาที่ผิด 

พ่อครูประกาศมากในช่วงปลายของชีวิต แต่ถึงจะบอกหรือไม่บอก อาตมาก็เห็นผู้คนก็มีประมาณนี้ เพราะสิ่งที่บอกไปไม่ตรงกับอุปาทานของคน แต่ถ้าพ่อครูบอกว่าหวยงวดหน้าจะออกอะไร ประชาชนจะมาเยอะแยะเลย วันนี้ไปเดินกับพ่อครู มีบอกว่าคุณพิธาไปซื้อลอตเตอรี่เลขท้าย 30 ปรากฏว่าลอตเตอรี่ถูกซื้อกันเกลี้ยงเลย เบอร์ 30 และเบอร์อื่นด้วย แต่ว่าวันนี้เลขท้าย 2 ตัวออก 30 จริงๆทำให้คนที่หลงอยู่แล้วจะหลงหนักยิ่งขึ้น เขาเลยบอกว่าพิธาพารวย 

พ่อครูว่า... ไปใหญ่สิ พิธา 

สมณะเดินดิน... ถ้าพ่อครูพูดในเรื่องพวกนี้แสดงฤทธิ์ให้ดู วัดจะหาที่อยู่ไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้พ่อครูประกาศให้มาลดกิเลส มาทำใจอะไรอย่างนี้ บอกให้เลิศสูงขนาดไหนก็ไม่มีใครมา เพราะไม่ตรงอุปาทานเขา ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามอวดเพราะว่า แต่ก่อนพระอดอยากก็เลยบอกอวด เพื่อให้คนมาทำบุญเยอะๆ เป็นการอวดเพื่อลาภสักการะชื่อเสียงให้คนมานับถือมากๆ แต่สิ่งที่พ่อครูทำนี้เพื่อยืนหยัดยืนยัน 

 

SMS วันที่ 14-15 มิ.ย. 2566

 

_จรรยา ประเสริฐ  · ดิฉันถามตัวเองว่า ทำไมปฏิบัติธรรม แล้วเครียด พบว่า ในงานอโศกรำลึก ตัวเองตั้งใจฟังพ่อเทศน์ ทุกช็อท ตามดู ไม่ให้พลาด เพื่อว่าเราจะได้ไต่ให้สูงขึ้น ฟังเสร็จต้องทบทวนอีกหลายรอบ จนนอนดึก บางครั้งถึง ตี5 ซึ่งคิดว่าตัวเองเจริญในธรรม เข้าใจ และรื่นเริงในธรรม ไม่พลาดแม้รายการปฏิบัติกร ฟังแล้วทึ่ง ตามฟังทุกวัน ตลอดงาน พบว่าทำไมเราเครียดเนี่ย มันไม่ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผิดทางแน่ ๆ จึงหยุดฟังตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. มาถึงวันนี้ 15 มิย. ระหว่าง 4 วัน ไปพักสมอง ตั้งใจว่าจะไม่ฟังธรรม จะทบทวนตัวเอง โดยใช้ธรรมชาติบำบัด คือไปอยู่กับบ้านริมน้ำ จะเทสมอง (ที่เครียดให้หมดว่าเกิดเพราะอะไร???) กินอาหารที่นำไปเอง อยู่คนเดียว มีลำไย ลิ้นจี่ มะม่วงเปรี้ยว มะเขือ พริก กระเทียมหอม น้ำมะขาม เกลือ น้ำผึ้ง สารพัดน้ำ ไวตามิ้น ข้าวอีกนิดหน่อย แค่นี้ ทำยำกินอย่างเดียว กินแล้วลงเล่นน้ำ ปรากฎว่า เดินลงแม่น้ำ ที่ริมตลิ่ง ขี้โคลน ขี้เลน สูงเท่าหัวเข่า ธรรมชาติบำบัดจริง ๆ ค่ะ ได้ข้อคิดว่า กิเลส ก็เหมือนขี้โคลน ขี้เลน ถ้าเราไม่กำจัดมันเลย มันก็ท่วมหนา ถ้าไม่ล้างให้สะอาด ย่ำเหยียบไปมา ก็เกาะติดขาเราอย่างนั้นตลอด ตั้งใจจะไม่ฟังธรรม 7 วัน คิดเองได้ว่า ที่เราเครียด เพราะเรายึด เหมือนที่ปฏิบัติกรพูดว่า จะไม่ยึดตัวบุคคล แต่จะยึดในคำสอนพ่อท่าน คำสอนหมอเขียว เพราะถ้าไม่มีพ่อ หมอเขียวแล้ว เราจะทุกข์ ดิฉันนึกถึงวันที่น้องบีเสียชีวิต เห็นทุกคนในบ้านราช เสียใจ ที่หนักที่สุดคือน้องตี้ เราก็สะท้อนใจ จากการจากไปของคนดีอย่างน้องบีด้วย และก่อนหน้านั้นเราเครียดกับเรื่องการเมืองลุ้นลุงตู่ พอปลดได้ มายึดการเลือกตั้งนายก โดยที่เราไม่รู้ตัว มันสั่งสมตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง อาจารย์ไม้ร่มถามพ่อ เรื่องพระโพธิสัตว์ เราเสียเซลล์เลยค่ะ ยึดในความจำที่พ่อเคยกล่าว พ่อบอกพ่อก็ผิดได้ เรายึดไปเต็มเปา จนมาคิดว่า เราเชื่อพ่อทุกเรื่องจริงหรือ??????? ถ้าเราเชื่อพ่อทุกเรื่อง พ่อบอกให้ลดกิเลสอะไร เราต้องทำตามซิ นี่เราไม่ได้ทำตามทุกเรื่อง เราก็ไม่ได้เชื่อพ่อจริง ๆ แต่เลือกเชื่อในสิ่งที่เรายึด เราถูกใจ พอคิดได้ เทสมองโล่งไปเลย จะฟังพ่อต่อไป ทำต่อไป เจออะไรที่หนัก เราจะได้แกร่ง แม้แต่การเกิดในยุคกลียุค ความเลวร้ายในสังคมมีเยอะมากตามที่เห็น เด็กไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เคารพครู เราต้องเรียนรู้ และตัดกิเลสได้ในอนาคตต่อไป ในที่สุดไม่ถึง 7 วัน ต้องกลับมาฟังธรรมใหม่ ย้อนดูที่เราไม่ได้ฟัง เทสมอง จูนสมองใหม่ เริ่มต้นอีกครั้ง และหลาย ๆ ครั้ง กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ที่อาตมาพยากรณ์ยันตระผิด ทักษิณผิดอะไรอย่างนี้ ทำไมผิดตัวเองอะไรเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็ตอบว่าอาตมาก็โง่ได้ มันก็ต้องโง่มาก่อนฉลาดเท่านั้น ไม้ร่มเขาก็เลยหยุด ก็ชัดเจนขึ้นก็ต้องมีปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะไปฉลาดโดยไม่โง่มาก่อนเลยมันมีที่ไหน มาฉลาดมาเลยทันทีไม่มีหรอก 

ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาและบรรลุธรรม อย่างนั้นมันเป็นอุปาทานทั้งนั้นเลยมีแต่อุปาทานไม่มีของจริง หลับตาปฏิบัติธรรมก็ไม่มีของจริงแล้วมันไม่เป็นทิฏฐธรรม ไม่เป็นปัจจุบันชาติ ปฏิบัติธรรมแบบนี้ผิดแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีทิฏฐธัมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีทิฏฐิที่จะบรรลุธรรมได้ต้องเป็นปัจจุบันทิฏฐิ 

ถ้าใครมีความรู้ความเห็นความเข้าใจว่า นิพพานไม่ได้เกิดในทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติ ปัจจุบันคือต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดสว่างมีอาโลก มี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง การบรรลุธรรมได้อย่างนั้น ถ้าไปหลับตา..ไม่ได้ แค่นี้เข้าใจไม่ได้ก็เป็นโมฆะไปหลับตาไม่มีสิทธิ์บรรลุนิพพานของพระพุทธเจ้ามีแต่นิพพานเก๊ เป็นอรหันต์เก๊เป็นนิพพานเก๊กันทั้งนั้น
 

นรกสวรรค์คือภพคือชาติคืออุปาทาน 

_ดินงาม นาวาบุญนิยม  · ลูกเข้าใจแล้วค่ะนรกในปัจจุบันสวรรค์ในปัจจุบัน ลูกเพิ่งเขัาใจชัดๆเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ และปฏิบัติถูกแล้วค่ะ ฟังพ่อครูเข้าใจซาบซึ้งมากขึ้น เข้าใจเพิ่มกับคำว่าปัจจุบันค่ะ ลูกทำปัจจุบันทุกครั้งเมื่อเจอผัสสะ ได้ผลตามกำลังปัญญาของตนค่ะ

พ่อครูว่า... ดีมากหลายคนจะเข้าใจเพิ่มขึ้น นรกสวรรค์จริงๆคือจิตเป็นภพเป็นชาติ แล้วก็คิดว่าอาการหรือสภาพของนรก สภาพของสวรรค์ มันเป็นภพเป็นชาติ ตายไปแล้วค่อยไปอยู่ที่นรกตายไปแล้วค่อยไปขึ้นสวรรค์ ไอ้อย่างนั้นมันก็เป็นความเข้าใจที่มันไม่เป็นความจริงมันเป็นความเข้าใจแล้วก็เอามายึดถือ มันเป็นสัญญาในอนาคต เรายังไม่ตาย ตายไปแล้วเราก็มีภพมีชาติเป็นอนาคตซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่งใน 62 เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะต้องไปคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นมันไม่ถูกมันมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้ใดจับได้ว่า นรก-สวรรค์ ก็คือการสัมผัสจิตของตนในขณะปัจจุบันนี้ จิตของเราตกนรกจิตของเรามีทุกข์ก็คือตกนรก จิตของเรามีสวรรค์ก็ขึ้นสวรรค์ ศาสนาพุทธสอนไม่ขึ้นสวรรค์ตกนรก อาการรู้อะไรตามความเป็นจริงเท่านั้น ตากระทบรูปอันนี้อันนี้ก็เห็นเป็นอันนี้เท่านั้นอันนี้ไม่มีอาการทางจิตฟูแฟบ หรือตกนรกขึ้นสวรรค์ชอบไม่ชอบชังไม่ชังไม่มี ถ้ามีก็ยังเป็นกิเลสอยู่ หยาบ กลาง ละเอียดแล้วแต่อย่างนี้เป็นต้น คุณดินงามฟังธรรมเข้าใจ ชัดเจนคนนี้ฟังธรรมเข้าใจสภาวะแล้วก็ทำได้ 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · กราบคารวะพ่อครู.วันนี้พ่อครูตอบคำถามลุงเราโน่ภาษาฝรั่งด้วย.เป็นบุญของลูกอย่างยิ่งสาธุครับ

_ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : พวกส้มเน่า.. 

พ่อครูว่า... เขากำลังสดใสนะตอนนี้ เอาไปซื้อหวยเลขท้าย 30 ปรากฏลอตเตอรี่ขายหมดเกลี้ยงเลย แล้ววันที่ 16 ดันออกเลขท้าย 2 ตัว 30 อีกด้วย ทำไมประเทศไทยมันจะมีอะไรที่พิลึกป่านฉะนี้ ขลังจริงๆ ซึ่งเขาเป็นคนสมัยใหม่นะ และมีความขลังซ้อนด้วยก็เลยจะไปกันใหญ่ คนก็เลยจะยิ่งงมงาย ยิ่งน่าสงสาร อาตมาก็ยิ่งหนักนะ จะต้องดูแล ให้เลิกสิ่งงมงายพวกนั้น 

การไปกังวลซื้อหวยเล่นหวยก็เป็นอบายมุขอยู่แล้ว รัฐบาลในประเทศไหนที่ไม่ต้องอาศัยเงินหวย จะเป็นรัฐบาลเป็นประเทศที่เจริญ ประเทศที่ยังพึ่งเงินหวยอยู่ไม่เจริญ 

_มันเรียนจบจาก"สถาบันไหนมา" 

พ่อครูว่า... เขาจบมาจากมหาวิทยาลัย harvard เลยนะ

_ถึงไม่เข้าใจและ หาเรื่องต่างๆแบบข้างๆคูๆ..  การเป็นนายกเขามีขั้นมีตอน..ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จใครได้คะแนนเสียงอันดับ1 เป็นนายกทันทีมันใช่หรือ.. นี่คือประเทศไทยไม่ใช่"เกาหลี" วุฒิภาวะของ"ลุงตู่" ท่านรู้สถานการณ์อยู่แล้ว..ลุงตู่ก็ต้องอยู่จนกว่าการแต่งตั้ง"นายกคนใหม่"เป็นเอกฉันท์" และโปร่งใส.. ถ้าลุงตู่ไปทันทีแล้วมีเหตุการณ์เร่งด่วนอันใดของประเทศ..ประชาชนก็จะต้องต่อว่า" ลุงตู่"อีกว่าขาดความรับผิดชอบทิ้งหน้าที่ของตน... เพราะนายกคนใหม่.. ยังไม่ได้ผ่านสภา และต้องตรวจสอบคุณสมบัติอย่างอื่นอีกว่า ขัดต่อกฏหมายในการเป็น "นายก" หรือไม่ สุดท้ายต้องทูลเกล้าถวายปฏิญาณตนต่อเบื้องสูง..จึงมีอำนาจในการทำงานของหน้าที่นายกได้...(เหมือนกับเรา)..ทำงานบริษัทที่ไหน??..ลาออกไปโดย "ไม่ส่งงานที่ค้างอยู่" ให้กับคนต่อไป..มีแต่เพื่อนร่วมงานเขาว่า"เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ" และเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีใครว่าดีเลย..

สมณะเดินดิน....คุณพิธาไปจังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่แค่ไปซื้อหวยยังไปประกาศว่าจะให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดสุราก้าวหน้าอีกด้วย บ้านเมืองจะสงบได้ต้อง บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง เขาบอกว่าต้อง ปิดอบาย แต่นี่ จะเปิดหมด 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง แต่เป็น...

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · ขอแสดงความยินดีกับคุรุธรรมอาวุโส คุณครูขวัญดินบวรศีรษะอโศก กับรางวัลบุคคลากรอโศกคนดีในค่าแห่งแผ่นดินฯ ในรัฐลุงรปภ.เทิดทูนสถาบันฯ อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นกำลังใจมวลชนรักช.ศ. กษ.ปชช. ผ่านพ้นวิกฤติกลียุคชาติปชช.มาด้วยกัน2 แผ่นดินฯ อนุโมทนาสาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2566 ( 05:53:02 )

660619

รายละเอียด

660619 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53247.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่  

https://docs.google.com/document/d/1iuzRXeXbIfgq0uaTv_hyqMCR5JI0Vxxs/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1w_jj2vlVh6Q3RXJCOr79eWcVeXIJtDv8/view?usp=sharing   

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NrvkMjKnc1Y 

และ https://fb.watch/lg213Q1YZ1/ 

 

พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  

_กราบขอโอกาสกราบพ่อครูช่วยประชาสัมพันธ์ค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ด้วยค่ะ

.. ขอเชิญทุกท่านร่วมเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์​ ครั้งที่ 19 “เพิ่มศีล เพิ่มปัญญา พาพ้นทุกข์” วันศุกร์ที่ 23 - อาทิตย์ที่  25 มิถุนายน 2566  สมัครง่ายๆ โดยการแสกน QR Code จากหน้าจอ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์โอเพ่นแชท เมื่อเข้ากลุ่มแล้ว ท่านจะได้รับรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ จากผู้ดูแลกลุ่ม อย่ารอช้า  รีบสมัครเลย

SMS วันที่ 16-18 มิ.ย. 2566

_Darin Chitnuyanond ดาริน ชิตนุยานนต์ · กราบนมัสการค่ะ ใช้ยา9เม็ดของคุณหมอเขียวในการดูแลสุขภาพของท่านพ่อสมณะหรือเปล่าคะ?

พ่อครูว่า... ก็คงจะเอามาดูแล ก็เขาไม่ได้บอกว่าอันนี้เม็ดที่ 1 เม็ดที่ 2 ก็คงจะดูแลกันอยู่ 

_เปิ้ล ม่านไม้สายน้ำ : ถ้าไม่มีใครบอก ดิฉันก็ไม่ทราบได้ว่า ท่านประยุทธ์ ทำผลงานอะไรบ้าง

พ่อครูว่า... ไม่เห็น หรือว่าเห็นอยู่ผลงานในประเทศไทยแต่ไม่รู้ว่าใครพาทำสิ่งเหล่านี้ เช่นตอนนี้กำลังสวยเลยนะ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง นั่นคือผลงานพลเอกประยุทธ์ ยังไม่มีนายกคนใหม่มา ผู้ที่จะมาเป็นนายกก็คงจะทำงานได้มากกว่าพลเอกประยุทธ์ เท่าที่ฟังเขาสงสัยอยู่ เจ้าประคุณทูนหัว พอดีฟังแล้ว นกฟังก็คงตกต้นไม้เลย ในคำโฆษณาของเขา นกฟังแล้วหลับผลอยตกต้นไม้เลย จริงๆ 

อาตมากลัวมากเลย กลัวนักพูด หรือว่ากลัวเลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา บอกว่าจะช่วยอันนั้นอันนี้แล้วเอาไหม เวลาเขา เราก็ดูเขาไป อาตมามาวิจารณ์เขา ก็อาจจะผิดก็ได้ เขาอาจจะเป็นผู้วิเศษเกิดมาในยุคนี้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวก็เป็นได้เราก็ดูไป แต่เราก็จะว่าไปแล้วมันเหมือนดูถูก ประมาทเขาไปเลยนะประมาทเขาก่อน ที่เขาจะแสดงความเป็นจริงจะได้แค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ดูแล้วมันเวอร์ๆไปจะไหวเหรอ มันเป็นอย่างนั้นมันทำให้เข้าใจอย่างนั้น ก็พูดไปตามที่เราเข้าใจเราคนซื่อ เข้าใจอย่างนี้ก็พูดไปอย่างนี้ จะผิดจะถูกอย่างไรก็ขออภัยก็แล้วกัน 

บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้วเลย 

_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก  · บุญกับกุศล กราบขอบพระคุณที่เมตตา แต่ถ้าจะทำ เพราะดีใจที่ได้ทำ ถ้าทำเพื่อต้องการให้ใครมาช่วย ไม่ทำดีกว่าเจ้าคะ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวบ้านสบายดีเจ้าคะ ลูกคิดอย่างคือทำกุศลบุญไม่หวังให้ใครมาช่วยเลย อย่ามานะเจ้าคะ ขออนุญาตช่วยเหลือตัวเอง กราบขอบพระคุณเจ้าคะ

พ่อครูว่า... คำว่าบุญ กับ คำว่ากุศล มันเสื่อมไปจากความรู้ของคน คนยุคนี้โดยเฉพาะชาวพุทธ คำว่าบุญคำว่ากุศล บุญภาษาบาลีคือ ปุญญะ กุศลก็คือ กุสละ ความหมายที่ชัดเจนของมัน เขาได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมันเลยเสื่อม เข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจว่าบุญกับกุศลคืออันเดียวกันเลย 

ที่จริงพยัญชนะแต่ละพยัญชนะมันไม่อันเดียวกันหรอก พยัญชนะที่มันไม่เหมือนกันมันก็ไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เป็นคำซินโนเนม เป็นคำที่ใช้ลำลองกันไป มันคล้ายกัน แต่มันก็มีสิ่งที่ต่างกัน 

แต่บุญกับกุศลมันต่างกันลิบลับเลย มันไม่ใช่ต่างกันแค่คล้ายๆกัน บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้วเลย กุศลทำแล้วสั่งสมอาศัยไปตลอด จนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยกุศล 

บุญนี่ จะว่าอาศัยก็ไม่ใช่อาศัย เพราะบุญมันไม่ใช่สภาพที่ อยู่ที่ไหน มันจะเกิดใน ปัจจุบันธรรม เป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันชาติ แล้วมีเหตุมีปัจจัยให้ก่อเกิดอันนี้ ถ้าใครไม่มีภูมิปัญญาเลย ไม่มีตัวบุญจะเกิด ขออภัยมันไม่ได้เป็นตัว มันไม่ได้มีลักษณะอาการของบุญที่เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นมาเลย ในคนผู้ใดก็แล้วแต่ที่ไม่มีภูมิปัญญา มีจิตวิญญาณ 

ต้องมีภูมิปัญญาสัมมาทิฏฐิและสามารถ และพวกเราที่สัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยครบพร้อม สัมผัสมีรูปมีนามมีสภาพ 2 สัมผัสกัน แล้วเกิดอาการ เกิดอาการขึ้นมาเป็นสภาวะธรรมเรียกว่าอายตนะก็ตาม ลึกเข้าไปในนั้นเป็นเวทนา สามารถที่จะแยกแยะมีตัวธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสในปัจจุบันธรรม ออกจากจิต แล้วเห็นกิเลส 

การเห็นกิเลสนี้เป็นตัวปัญญา เป็นตัวญาณทัศนวิเศษ เป็นปัญญา เป็นความฉลาดเยี่ยมยอดที่มีพลังฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ เห็นกิเลสแล้วกิเลสจะถอยเลย นอกจากกิเลสมันไม่รู้ตัว ยังไม่รู้ว่า เฮ้ย! ปัญญาเห็นเอ็งแล้วนะ มันก็จะ เด๋อๆอยู่ เมื่อมันรู้ว่าปัญญาเห็นแล้วมันก็จะหายไปเลย อาตมาอธิบายสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นคนคิดไม่ถึง คิดไม่ออกหรอกว่า บุญนี้เป็นธัมมาวุธเป็นปัญญาวุธ บุญนี้เป็นอาวุธ ประหาร ไม่ใช่เป็นอื่นเลยเป็นอาวุธประหารเป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติเป็น ทิฏฐธรรม เกิดแล้วก็จัดการ จัดการประหารได้สำเร็จก็สำเร็จ 

แต่ส่วนมากแล้วมันจะสำเร็จเพราะเป็นตัวพลังงานต่อจากฌาน เพราะฉะนั้นคนจะปฏิบัติธรรมะนี้ให้เกิด ฌานของพุทธ ต้องวงเล็บว่า ฌานที่สัมมาทิฏฐิของพุทธ เป็นฌานวิสัยของพุทธ ก็คือพลังงานปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์นั่นแหละ มันเห็นกิเลส มันแยกกิเลสจากจิตออก มันเป็นสติ ธัมมวิจัย มันเป็นโพชฌงค์  อย่างน้อยโพชฌงค์ 3 

พอมันแยกกิเลสได้แล้วมันก็จะมีตัวปัญญาอยู่ร่วมด้วย กับฌาน พอเจอหน้ากิเลส ทำงานทันที ทำงานแล้วกิเลสก็ถอยไป กิเลสก็จะกลัวปัญญา เพราะฉะนั้นมันก็จะถูกฆ่าโดยกิเลสอย่างที่กล่าวมานี้อย่างแท้จริง 

ส่วนกุศลนั้นมันคนละเรื่องเลย กุศลคือ ผลของวิบากกรรม คุณกระทำดีกุศลก็เกิด คุณกระทำไม่ดีอกุศลก็เกิด ให้คุณเป็นเครื่องอาศัยเป็นพาหะ เครื่องอาศัยของชีวิตตั้งแต่ตอนเป็นๆ จนกระทั่งตาย แล้วก็มีสั่งสมเป็น พาหะ แม้คุณบรรลุเป็นอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า  คุณก็จะต้องมี พาหะ คืออาศัยอยู่ตลอดเวลา แต่บุญมันไม่เกี่ยวเลย 

บุญไม่ใช่เครื่องอาศัย แต่มันเป็นเครื่องช่วยให้คุณนี่ พ้นทุกข์ บุญนี่มันช่วยให้พ้นทุกข์ ส่วนกุศลมันทำให้คุณมีผลดี มีความดี เป็นพาหะ เป็นสมบัติ กุศลเป็นสมบัติ แต่บุญเป็นวิบัติ ไม่ได้เป็นสมบัติเลย

อาตมาอาจจะใช้คำศัพท์หน่อย บุญเป็นวิบัติ กับกุศลคุณสมบัติ 

เป็นเรื่องของการฆ่าการทำลายสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม บุญอยู่กับพวกไม่ดี เจออะไรที่ไม่ดีมันมีหน้าที่ฆ่า แล้วคนจะสร้างพลังงานบุญได้ ต้องเป็นอาริยชน เป็นผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง ตั้งแต่สภาวะที่มันเริ่มเป็นบุญก็เป็น ฌาน 1 2 3 4 บุญ ร่วมมาตั้งแต่ฌาน 1 2 3 4 จะนับ ฌาน 5 ก็แล้วแต่ ถ้าฌาน 5 แล้วเด็ดขาด ตาย กิเลสสิ้นไปเลย ถ้าลงมือถึงขั้นบุญสมบูรณ์แบบ อาตมาก็อธิบายรายละเอียดพวกนี้ 

ที่คุณบอกว่า ถ้าจะต้องให้คนมาช่วยไม่ทำดีกว่า อยู่บ้านเฉยๆไม่ต้องยุ่งชาวบ้านสบายดี... คุณก็บอกสภาวะจิตตัวเอง 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้า

เริ่มสนุกค่ะ ขณะที่พ่อครูกรุณาอธิบาย เปรียบเทียบ ระหว่าง "อุปโตภาควิมุติ" และ"ปัญญาวิมุติ"เพราะเข้าใจมากกว่าครั้งก่อนๆค่ะ ครั้งนี้เป็นการเทศน์สอนจากยอดไปหาต้น(ปฏิโลม) ลูกๆอาจเข้าใจด้วยภาษาแต่ยังไม่มีสภาวะ ดังนั้นในรอบต่อไปกราบขอพ่อครูได้กรุณาอธิบาย จากต้นไปหายอด (ง่ายไปหายาก)ความสนุกจะเพิ่มขึ้นจากมีสภาวะรองรับเป็นลำดับๆ ค่ะ กราบเรียนถามพ่อครูว่าความเข้าใจเกี่ยวกับการเทศน์ข้างต้นถูกต้องหรือไม่คะกราบขอบพระคุณในความกรุณา ด้วยเศียรเกล้าฯ ค่ะ

พ่อครูว่า... มันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องปรมัตถ์เรื่องโลกุตตระที่แท้จริงไม่ได้บอกมาว่าคุณเข้าใจอย่างไร เอาแต่ประเด็นจากยอดมาหาต้นและบอกว่าปฏิโลม  ปฏิ แปลว่า ทวน เดี๋ยวอธิบายจากต้นไปหายอด ของบุคคล 7 

 

สัทธาวิมุตติ ก็นับเป็นพระอาริยะขั้นต้น

_สว่างแสง ขวัญดาว  · สัทธาวิมุตติ พวก(2)ที่มีสัมมาทิฏฐิมีปัญญานี้จะเป็นอาริยะบุคคลด้วยไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... สัทธาวิมุติ อาตมาอธิบายเป็น 2 นัย 

นัยหนึ่ง พวกยังไม่สัมมาทิฏฐิ สายศรัทธาส่วนมาก จะไม่มีปัญญาเข้าใจยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะทำวิมุติ ประเภทกดข่ม เป็นการดับ เป็นการทำกิเลสให้ลด ประเภทกดข่มไว้ เขาก็ทำกันจริง

สายหลับตาเป็นต้น ซึ่งไม่มีทางจะเป็นทางสัมมาทิฏฐิได้หลับตา หลับตาปฏิบัติไม่บริบูรณ์มันเป็นคนพิการ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาวิมุติได้ ก็เป็นสัทธาวิมุติ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไปตลอด ต้องลืมตา 

พวกลืมตาปฏิบัติแล้วถึงจะเกิดวิมุติด้วยปัญญา ศรัทธาถ้าเผื่อว่าไม่มีปัญญาเติมเลย อย่าง อุภโตภาควิมุติ อันดับที่ 1 ไล่ไปถึง สัทธานุสารี ตัวที่ 7 

อุภโตภาควิมุติ ต้องมีปัญญาเข้าไปเติม สายศรัทธาได้ไปมากแล้ว ก็จะเติม สัทธานุสารีเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค พอมาสัทธาวิมุติ ก็จะเริ่มรู้จักอริยสัจ 4 เริ่มจะปฏิบัติเข้าไปหาอาริยะ จึงจะเป็น ทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงได้ด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมา เท่าที่สายศรัทธามี พระพุทธเจ้าถึงยังกำกับว่า ไม่เหมือน ทิฏฐิปัตตะเขา สัทธาวิมุติ จะได้เห็นอริยสัจ 4 ก็ตาม แล้วก็ทำอาสวะสิ้นได้เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่ก็จะต่างจาก ทิฏฐิปัตตะ อย่างนี้เป็นต้น จะไม่เหมือนกันทีเดียว  จะค่อยสูงขึ้น

สัทธานุสารี คือผู้ที่พยายามติดตามหาความรู้ที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าไปสู่  โสดาปัตติมรรค และก็ได้โสดาปัตติผลต่อไป พอเจอหรือได้โสดาปัตติมรรค ก็จะปฏิบัติจนเกิดผลได้ไปเรื่อยๆ 

ธัมมานุสารี ก็ตามหาโสดาปัตติมรรค แต่เป็นสายปัญญา จะเห็นเร็วและรู้ได้ง่ายกว่าศรัทธา มันเป็นสัจจะของธาตุ ฐานของจิต เป็นจริตของมนุษย์ เป็นศรัทธาจริต พุทธิจริต มาแต่ไหนแต่ไรก็จะเป็นไปตามนั้น 

เมื่อเป็นทิฏฐิปัตตะแล้ว สัทธานุสารีก็ตาม กว่าจะไปถึงทิฏฐิปัตตะ ก็จะต้องสัมมาทิฏฐิ มีมรรคมีผลจนทำอาสวะสิ้นได้ ไปเป็นลำดับๆ 

สายนั้นต้องมีปัญญาจึงจะทำให้อาสวะสิ้นได้ แต่สายปัญญานั้นมีปัญญาอยู่แล้วจึงทำอาสวะสิ้นได้เลย สายศรัทธา ต้องมีกายสัมผัสวิโมกข์ 8 ส่วนทิฏฐิปัตตะสิ้นอาสวะบางอย่างด้วยปัญญา แต่สัมผัสวิมล 8 ด้วยกายมาตลอด 

ส่วนกายสักขีนั้น มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะแล้ว เพราะฉะนั้นมีกายแล้ว ออกไปขั้นที่ 6 มีปัญญาวิมุต ถึงมีบาลีกำกับว่า นเหวโข ไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก 

แต่ในภาษาที่เขาแปลว่า มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงเป็นภาษาที่ผิด สิ้นอาสวะไม่ได้ จะสิ้นอาสวะได้ จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาตมาเห็นภาษาบัญญัติแล้วเลยรู้ว่าอันนี้แปลผิด มันก็รู้ว่าผู้นี้ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้แปลกันคนเดียวนะ แล้วเขาก็เรียนกันอย่างนี้ด้วยเรียนกันผิดๆมา ที่อาตมาว่ามันเสื่อมศาสนาพุทธ มันมีแต่พยัญชนะ สภาวะมันเข้าไม่ถึง อาตมามีสภาวะจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร คุณจะชี้ขาวแล้วบอกว่าดำ แล้วไปชี้ดำแล้วบอกนี่ขาว อาตมาก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าก็ดำคุณจะบอกว่าขาว ขาวคุณจะบอกว่าดำ มันจะได้เรื่องอย่างไร 

_สู่แดนธรรม... ถ้าพ่อท่านแปลก็จะแปลว่า ไม่จำเป็นต้องสัมผัสวิโมกข์อีก 

พ่อครูว่า... น เหวโข คือไม่ต้องอีกแล้วนั่นแล คือผ่านแล้ว มีแล้ว ไม่ต้องไปกล่าวคำว่ากายอีก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไม่ต้องกล่าว สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก เพราะว่าผ่านมาตั้งแต่ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขีแล้ว ก็ท่านไปแปลง่ายๆเข้าใจลวกๆว่ามี น ต้องบอกว่าไม่เลย ตีทิ้งเลย 

_สู่แดนธรรม... แปลอย่างท่านก็แปลผิดเลย แปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสักหน่อยเลย

พ่อครูว่า... ที่จริง ผู้สัมมาทิฏฐิแล้วไม่ต้องพูดเลย ท่านปฏิบัติทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ลืมตามาตลอดไม่ได้ไปหลับตาทำ แต่ทีนี้ เพราะเขามิจฉาทิฏฐิในเรื่องปฏิบัติธรรมหลับตา มันก็เลยมั่วซั่วไปหมดเลย แปลพยัญชนะ ก็เลยไปกันใหญ่เลย 

คนละวาที อาตมากับฝั่งโน้น คนฟังดูก็เลือกเอา แยกแยะตัดสินเองว่าอันไหนเป็นธรรมะอันไหนเป็นอธรรม ก็แล้วแต่คน ที่สุดก็คือตัวเองเป็นผู้ตัดสิน 

คุณสว่างแสงว่ามานี้ก็ต้องเป็นอาริยบุคคล มีปัญญาก็เห็นทุกข์อริยสัจ เป็นอริยบุคคลไปตามลำดับ 

_ฟ้าเจือศีล  จากปัญญา8 เล่ม2 หน้า150  รบกวนพ่อท่านขยายความคำ(วินิพโภค)  และ(วินิพภุชติ) 2คำนี้ต่างกันอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า... มันไม่ต่างกันหรอก คำหนึ่งเป็นคำกิริยา อีกคำหนึ่งเป็นคำนาม 

วินิพโภค แปลว่า แยก 

วินิพภุชติ แปลว่า ทำการแยก เกี่ยวกับการแยก เป็นคำนามโดยตรง เป็นตัวการแยกเลย เป็นตัวเกี่ยวกับการแยก แค่นั้นที่ต่างกัน 

สัจจะของผู้ถูกและผู้ผิด ควรกล่าวอย่างไรต่อกัน

_Here Thoon เฮีย ทูน  · กลับมาเผยแผ่โลกุตระธรรมดั่งเดิม ลดละเรื่องโลกิยะ

พ่อครูว่า... อาตมาพูดบรรยายธรรมะนั้น ต้องมีโลกียะเป็นเครื่องประกอบจึงจะเผยแพร่โลกุตระได้ 

_( 3 คอมเม้นท์ต่อไปนี้ อยู่ใต้คลิป สมณะ 3 รูป แสดงธรรมวันเสาร์ พุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวน โดยสมณะเดินดิน ส.ดินไท และ ส.แสนดิน)

• อยากให้ทางใครที่ท่านสอนคนละอย่างกัน ไม่อยากให้ไปพูดถึงท่านอี่น มันดูไม่ดีจะทำให้ท่านเสียมากกว่าได้

พ่อครูว่า... ขอบคุณที่เตือน อาตมาทำตามที่คุณขอไม่ได้ การที่สอนกันคนละอย่างนี่แหละมันจำเป็นที่จะต้องอธิบายกัน แล้วก็พูดถึงกันและกัน คนผิดเขาผิด เขาไม่รู้คนถูกหรอก เขาจะพูดถึงคนถูกไม่ได้ ส่วนคนถูกนั้นจะรู้คนผิด จึงต้องพูดถึงคนผิดเสมอ คุณยังไม่มีปฏิภาณปัญญาพอที่จะเข้าใจความจริงนี้ได้จึงว่าอาตมา ถ้าคุณมีปัญญาคุณจะไม่ว่าอาตมา เพราะผู้ที่ถูกนั้นจะต้องรู้ทั้งถูกและผิด ส่วนผู้ที่ยังผิดอยู่นี้ไม่มีปัญญารู้ถูก เพราะฉะนั้นจะไม่กล่าวถึงผู้ถูกได้จะไม่อาจเอื้อม แต่ผู้ถูกนั้นรู้จักผู้ที่ผิดแล้วมีเมตตา มีความกรุณาปราณี มีความสงสาร มีความเห็นใจ จะเกื้อกูลช่วยเหลือจึงต้องพูดถึงผู้ผิด 

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจจะปรามผู้รู้จะห้ามผู้รู้ แล้วผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาพอถูกปรามถูกห้าม ก็จะหยุด แต่อาตมาขออภัย อาตมาหยุดไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นสัจจะที่อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดความถูก โดยไม่มีสภาพ 2 จะมาพูดความถูก ความถูกจริงๆจะมีสภาพ 2 คือผู้นั้นจะต้องรู้ความผิดด้วย แล้วไม่ทำผิดอีก จึงเป็นผู้ถูก 

ส่วนผู้ที่ผิดนั้นเขาไม่รู้ถูกเลยเขาก็จะทำแต่ผิด หรือเขาจะเริ่มรู้ถูกบ้างเขาก็จะเริ่มมีความรู้ 2  มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งเต็มถูก ถึงจะรู้ผิดเต็ม แล้วคุณก็จะอยู่กับถูกเต็ม 

_• อย่าไปพูดถึงพระท่านอื่นเลยนะค่ะ

พ่อครูว่า... ขออภัยเถอะคุณห้ามผิด ไม่พูดถึงไม่ได้ ถ้าไม่พูดถึงแล้วก็พูดลอยลงไป คนจะเข้าใจยากเพราะไม่มีตัวอย่าง แบบนี้ไปว่าไปแล้วมีคนเป็นอย่างที่ว่าหรือเปล่ามันก็ไม่ได้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นคนที่พูดแล้วอธิบายถูก เมื่อเห็นคนผิด ก็จะต้องนำมาเพื่อที่จะยืนยัน มีคำสอนอยู่อันนึงบอกว่า อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้เป็นคำพูดที่โมฆะ 

เพราะคุณพูดถึงความถูกความผิด มันก็ต้องกระทบคนทั้งคู่ พูดความถูกก็กระทบคนถูก พูดความผิดก็กระทบคนผิด นอกจากไม่มีคนถูก คุณพูดอย่างไรก็ไม่มีกระทบเพราะคนถูกไม่มี เมื่อคนถูกไม่มีจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางกระทบคนถูก เพราะคุณผิดอยู่ คุณก็พูดแต่ผิดๆ 

ส่วนถ้ามีคนถูก คนถูกก็จะพูด ก็จะต้องพูดถูก แล้วจริงๆคำพูดคนถูกนั้นอย่างน้อยก็มีของตัวเราเอง ตัวของผู้ถูก เมื่อเกิดคนถูกขึ้นมา 

เช่น อาตมาเป็นคนถูก เกิดมาในยุคนี้มันไม่มีใครถูกในเรื่องโลกุตระ อาตมาเอามาพูดโลกุตระจึงต้องพูดทั้งถูกและผิด 

ส่วนคนผิดที่มีกันอยู่เก่า มันไม่มีแล้วคนรู้โลกุตระ คุณก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดถูก ก็ไปพูดแต่คนผิด ไปกระทบกับคนผิด คนผิดก็พูดกระทบกับคนผิดไป แล้วก็รู้ว่าใครผิดมากผิดน้อยลงตัวว่าไม่ผิด 

ผู้ผิดมากอาจจะบอกคนผิดน้อยว่าผิดมากก็ได้ ผู้ที่ผิดน้อยอาจจะพูดกับคนที่ผิดน้อยว่ามากก็ได้ ก็มันโง่ คนผิดที่รู้ความไม่จริงก็ผิดมันก็ตู่กันไปตู่กันมาเท่านั้นเอง 

ฟังธรรมะดีๆ แล้วก็ตามให้ถึงที่เลย พิสูจน์กันให้ถึงเนื้อแท้เลย ว่าทำแล้วมันเป็นได้ไหม มันยาก มันทวนกระแสได้ไหม เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาเทียบเอาพระสูตรไหน เอาพุทธพจน์เข้าไหนข้อไหนเอามายืนยันกันไป อันไหนมันเข้ากับเรื่องราวเหตุการณ์รูปนามนั้นๆ มันก็รู้กันได้

สภาวธรรมของสัทธรรม 7 อย่างฉายหนังช้า

_• ฟังธรรมจากท่านสมณะ 3 ท่าน ได้สาระประโยชน์ 3 มุม (สนุกที่ทำให้รู้จักกิเลสของตัวเอง) เตือนให้ไม่เผลอกับสติ

พ่อครูว่า... ผู้ที่อธิบายไปแล้วคนฟังก็ทำให้เราเกิดรู้จักกิเลสตัวเอง นี่ก็คือตัวประโยชน์แท้ ของโลกุตระด้วย พูดอธิบายไปแล้ว สอนไปแล้วทำให้ เกิดรู้จักกิเลสตัวเองอ่านกิเลสตัวเองออก เมื่อกิเลสจริงคือเกิดในขณะปัจจุบัน กระทบสัมผัส ปั๊บ กิเลส มันก็เกิดมาพร้อมกับสังขาร คุณก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นกิเลส คุณจะมีปฏิภาณปัญญาฉลาดมาก หรือน้อยแล้วแต่ รู้ว่าอันนี้เป็นกิเลสของเรา ในขณะที่สัมผัสเกิด นั่นแหละเป็นตัวเป้าหลัก เป้าหมายหลัก ที่ให้คนฟังธรรมแล้วเอาไปใช้จริง 

เมื่อสัมผัสจริง กิเลสจริง คุณมีไหวพริบแล้วรู้จักกิเลสจริง แล้วคุณก็จะต้องฝึกสร้างบุญ สร้างปัญญา หรือสร้างฌาน สร้างพลังงานทางจิตนั่นแหละ ให้มันลดละกิเลสนั้นได้ 

เพราะฉะนั้นคนจะมีอาการลดกิเลสได้ ฟังประเด็นนี้ดีๆ เมื่อสัมผัสแล้วเห็นกิเลสตัวเองแล้ว กิเลสจะลดได้นั้น เกิด ท่านเรียกว่าเกิดสัทธรรม 7 คือ กิเลสลดได้ 

1. ศรัทธา ถ้าหากศรัทธาที่เกิดจากสัทธรรม 7 จะมีปัญญาร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นศรัทธาที่ปัญญายังไม่เข้าไปร่วมมาก ก็จะเริ่มรู้น้อยๆ ศรัทธายังไม่มีปัญญาเข้าไปร่วมมาก จะเริ่มรู้น้อยๆ 

พอเริ่มรู้น้อยๆนี้จะไม่รู้สึกถึงขั้น หิริ จะไม่รู้สึกมีน้ำหนักถึงขั้นอาย อายอะไรอายที่ศรัทธานี้คือ เป็นหลักที่เห็นจริง เชื่อจริง แต่เชื่อจริง ในความที่ยังไม่มีปฏิภาณปัญญามาก ก็เชื่ออย่างผิดๆ ก็จะไม่กระทบแล้ว ถ้าเมื่อกระทบแล้ว คุณรู้ว่าคุณผิด คุณรู้ว่าคุณไม่ถูกหรือคุณรู้ว่าคุณ ชัดๆคือ รู้เป็นตัวกิเลสของเราเกิด ตัวผิด ตัวไม่ควร เป็นลักษณะสภาวธรรมชนิดหนึ่ง ตัวผิด ตัวไม่ถูก ตัวไม่ควร ตัวกิเลส 

พอคุณเห็นกิเลสตัวนี้แล้ว คุณจะรู้สึกละอายที่ตัวเองมีกิเลส ตัวเองมีความผิด ตัวเองมีความไม่ถูก อาการอาย มันจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่แสดงกิเลสออกแล้วก็รู้ตัวว่า เรานี่ มีแต่แสดงกิเลสออก 

เช่น คนมีปฏิภาณปัญญา รู้เลย แต่ก่อนนี้เราแสดงออกอย่างนี้ แสดงความไม่ควร แสดงความไม่ดี แสดงความโลภ แสดงราคะ แสดงความโกรธ พอรู้ว่าอาการอย่างนี้แต่ก่อนเราก็เคยทำ พอรู้ว่าตัวทำไม่ดีอาการนี้ไม่ควร โลภก็ไม่ควร ราคะก็ไม่ควร หรือแสดงกาม อาการโกรธ มันจะสำนึก เราเกิดละอาย อย่างนั้นจึงเรียกว่า เทวธรรมนั่นคือคุณเริ่มเจริญแล้ว อายต่อสิ่งที่เรารู้ว่าอันนี้ไม่ควรเป็นของเราแสดงออก 

โอตตัปปะ อายแรงกว่า หิริ เกรงกลัวต่ออันนี้เลย เกรงกลัวต่อที่ตัวเองทำไม่ดี ทำสิ่งที่น่าอาย น้ำหนักของการละอาย เกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อสิ่งไม่ดีมันสูงขึ้น 

เมื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัญญาคุณกระทบบ่อยๆ วิริยะ สติ  ปัญญา ซึ่งเป็นสัทธรรมอีก 3 ตัวท้าย พหูสูตรตัวกลางคือคนที่เจริญ คนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมา มันเป็นตัวบอกสถานะของคุณ ว่าคุณจะเป็นพหูสูตรเจริญ เป็นอาริยะขึ้นก็เพราะคุณรู้จักกิเลส ละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีของตนเอง จนถึง  หิริ โอตตัปปะ แล้วคุณจะรู้ตัวว่าอย่างนี้ต้องลด คุณจะลดไปในตัว

น้ำหนักของสติปัญญา ปัญญามันจะบอกเลย ปัญญามันจะมีธรรมฤทธิ์ ให้เราเจริญซักทีเถอะพ่อคุณเอ๋ย ผู้หญิงก็บอกว่าแม่คุณเอ๋ย บอกตัวเองทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราไม่เจริญ คุณก็จะมีสติ คุณก็จะมีวิริยะ เป็นอินทรีย์ เป็นพละ 

สัทธินทรีย์ คือศรัทธาเกิดแล้ว วิริยะเก็เกิด สติก็เกิด สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ก็จะเกิด มีอินทรีย์ 5 พละ 5 ก็จะเกิด เมื่อเกิดแล้วคุณก็สั่งสมการลดกิเลส จิตสะอาดก็ตกผลึกๆๆ เป็นการตั้งมั่นของจิต เป็น สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ซึ่งเป็นตัวยาดำทั้ง 5 นี้ มันก็จะยิ่งเจริญเป็น ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ไปตามลำดับๆๆ 

นี่คือลีลาของธรรมะที่อาตมาเอาสภาวะธรรมอันละเอียดๆ มาชี้ให้เห็น เหมือนเป็นรูปธรรม เหมือนกับฉายหนังช้า ฟังเข้าใจดีไหม 

นั่นแหละ ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญาดีๆจะเห็นความจริงด้วยสัทธรรม 7 ของพระพุทธเจ้า อย่างไปฉายหนังช้าให้ตัวเองดูเลย มันเป็นอย่างนั้นสภาวธรรม 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถรู้กิเลส สามารถทำให้กิเลสลดลงไปเรื่อยๆได้ นี่แหละคือสภาวะฌาน เริ่มต้นลดก็ฌาน 1 ลดได้มากขึ้นจนกระทั่งดีใจมีปิติ ลดได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งมีปิติปัสสัทธิหรือยิ่งสงบลงไป มันไม่ใช่ดีใจแบบได้รับบำรุงบำเรอกิเลส แต่มันดีใจ ปิติใจ เพราะเราเจริญทางอาริยะ เจริญทางโลกุตระ เพราะฉะนั้นก็จะเสริมสร้างให้เกิดทั้งสัทธรรม 7 และฌาน 4 

ซึ่งฌานไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ฌานไม่มีเข้าไม่มีออก ฌานจะเกิดในปัจจุบันธรรมไปตามลำดับ ฌานไม่มีไปนั่งเข้าฌานออกฌาน ไม่มี ฌานเป็นอจินไตย กว่าจะรู้ความเป็นฌาน ไม่ง่าย ไม่มีคนสัมมาทิฏฐิอธิบายไม่มีทางเข้าใจฌานเลย อาตมาอธิบายไปยังรู้สึกว่าไม่เก่งอธิบายเลย แต่พวกคุณพอเข้าใจไหม 

พวกคุณพอรู้เรื่องไหม เด็กๆพอรู้เรื่องไหม ก็น่าเห็นใจ คนไม่รู้เรื่องมาฟังอาตมาจะบอกว่าอาตมาพูดอะไรไม่รู้ ก็จะไปรู้ได้อย่างไรเพราะคุณไม่รู้ 

คนที่ฟังธรรมะแล้วมีธรรมรส เรียกว่าสนุกในธรรมะ ก็ดี ก็เจริญธรรมแน่นอน 

...........................

_• สมัครสมาชิกพรรคได้ที่ไหนค่ะ

พ่อครูว่า... มาที่ บวร หรือทางไลน์ได้

_• แข็งแรงทุกคน ผมสั้นทุกคน สุขภาพดีทุกคน ดูจากการเดินและนั่ง นั่งพื้นได้ นั่งหลังตรง เดินแกว่งแขนแบบแข็งแรงชอบค่ะ

พ่อครูว่า... พวกเรานี้ปฏิบัติธรรมผู้หญิงก็ตัดผมสั้นอย่างกับผู้ชายเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรมดานะ เป็นเครื่องแสดงการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง อาตมาก็ว่าชาวอโศกนี้ไม่เหมือนชาวโลกเขา ที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาก คนประมาณนี้ มวลคน อาตมาว่า พวกเรามีโรคภัยไข้เจ็บน้อยไม่มาก เดินแกว่งแขนก็รู้ได้แล้วนะ 

_ กระผมพบคำสอนของพ่อครูเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้ทำตามคำสอนแล้วรู้ตนเอง และเข้าใจในกายเพิ่มขึ้น กราบคารวะด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ดี ไม่ง่ายนะที่จะเข้าใจกายอย่างสัมมาทิฏฐิ 

_• ผู้ครองรักที่แท้จริง/คือผู้ที่เอาชนะใจตนจากใจ

_• หลวงพ่อจำแนกแยกแยะได้ถูกต้องและละเอียดมากในยุคนี้ครับ ผมขออนุโมทนาสาธุการในธรรมที่ท่านประกาศแจ้งด้วยตนเองในหนทางแห่งโพธิญาณโดยแท้..เป็นธรรมที่จำแนกแยกแยะได้จริงตามสภาวะธรรมที่ทรงเกิดขึ้นในปัญญาของหลวงพ่อที่เข้าถึงธรรมแท้ของพุทธะ

พ่อครูว่า... อาตมาก็ว่าใช่นะ อาตมาเป็นพูดแจกแจงธรรมะละเอียด พยายามอธิบายให้ละเอียดทั้งนั้น คนนี้เชื่อว่าอาตมามีธรรมะแจ้งด้วยตนเองในหนทางแห่งโพธิญาณที่แท้ ขยายความชัด ก็เท่ากับยอมเชื่อว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา 

ใช้คำว่า ทรง คือมันมีอยู่ตอนนี้ มีอยู่ ไม่ใช่เป็นคำราชาศัพท์นะ อาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะใช้คำราชาศัพท์ คำว่า ทรง มันมีอยู่ ทรงอยู่ คนนี้เขามองความจริงออก อาตมาก็อนุโมทนาด้วยที่คุณเห็นความจริงอันนี้ คนเขาไม่เห็นก็ไม่เห็น คุณเห็นก็ดีแล้ว 

_• ต่อไปปท.ชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรในเมื่อผู้นำโน้มน้าวไปในทางมัวเมา ลุ่มหลง แบบนี้เท่ากับยอมเป็นทาสของกิเลสแบบเปิดเผย แทนที่จะทำตามหลักคำสอนถูกต้อง เห็นผิดตั้งแต่แรกเริ่มเสียแล้ว

พ่อครูว่า... ก็น่าสงสารบ้านเมืองอยู่ ผู้ที่พอมองเห็นแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีคนถามว่าจะทำยังไง อาตมาก็ตอบไปแล้ว แม้แต่วันนั้นซึ่งท่านดอกเตอร์ บัณฑิตทั้งหลายเป็นอาจารย์มาถามประเด็นนี้เหมือนกัน อาตมาก็ตอบไปแล้ว เราก็ทำไปเท่าที่เราสามารถทำได้ด้วยความจริงใจเต็มภูมิแล้ว ตามสมเหมาะสมควร มันก็ต้องเท่านั้น เราจะไปมีกิเลสอยากให้มันได้ มันเป็นอะไรต่ออะไรก็คงไม่ได้ ก็ได้เท่าที่เรามีความสามารถทำงานไปไม่ดูดาย ทำงานกับสังคมไป ดีแล้วก็ช่วยกัน พยายามระมัดระวัง 

_สู่แดนธรรม... มีคนชี้แจงว่า สมัครพรรคสัมมาธิปไตยได้อย่างไร 

ผู้อยู่ต่างจังหวัด สามารถเข้าเว็บไซต์ แล้วไปโหลดใบสมัคร ที่ www.sammaa.or.th แล้วก็ส่งมาทางไปรษณีย์

 

ความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ rebirth อย่างเป็นตัวเป็นตน ก็เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างหนึ่ง 

_กิ่งธรรม กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพและศรัทธายิ่ง...วันก่อนลูกได้สนทนาธรรมกับญาติธรรมใหม่คนหนึ่งเขาไม่ค่อยเชื่อสนิทใจเรื่องตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นคนโน้นคนนี้..แต่เขาเชื่อเรื่องกรรมปัจจุบันเท่านั้น  เชื่อว่าทำดีก็ได้ดีในชาตินี้แล้ว เท่านั้น  ที่พิสูจน์ได้ เขาถามลูกว่าลูกเชื่อไหมว่าตายแล้วเกิดเป็นตัวตนแบบนี้   ลูกว่า เชื่อ   เขาถามว่ามีสภาวะอะไรจึงเชื่อ  ที่เขาไม่เชื่อเพราะเขาไม่มีสภาวะ  เขาระลึกชาติไม่ได้

พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าก็ตรัสในพระไตรปิฎกก็มีเยอะ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้มีเยอะ เรื่องนี้ โดยเฉพาะในสายพุทธ ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้ก็ดี ด้วยก็ rebirth การเกิดแล้วก็เวียนวนเกิดใหม่มาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้ 

ก็ขอขยายความตรงนี้ให้ฟังนิดหนึ่งว่า การเกิดนี้เกิดด้วยวิบาก ตายแล้วมาเกิดอีกก็มีวิบากหนุน วิบากสนับสนุน 

เพราะฉะนั้น คนที่มีกุศลวิบากที่เข้ากับพวก ที่จะต้องเกิด มันเป็นสัจจะ คนที่จะมีวิบากไปกับพวกบาปพวกนรกด้วยกัน เขาก็จะเกิดกับพวกบาปพวกสัตว์นรกด้วยกัน คนที่มีกุศลเป็นกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะบุคคล ก็จะมาเกิดในกลุ่มที่เป็นอาริยบุคคล แม้วิบากจะพาเขาให้ไปเกิดไกล วันหนึ่งเขาก็จะต้องเดินทางมาสู่กลุ่มที่เป็นอาริยะด้วยกัน อันนี้เป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นที่คนกล่าวกันว่า คนนี้มีจิตวิญญาณเก่าของคนนั้นมาเกิด มาเป็นคนนั้นคนนี้ มันไม่ผิดหรอก แต่มันไม่รู้กันได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นก็เดากันไปเดากันมาเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ควรจะต้องไปเดา 

เราจะสามารถรู้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปรู้เอานั่งทำญาณ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ว่าคนนี้ชาติก่อนเป็นจิตวิญญาณเก่าเป็นใครเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นรูปธรรมเลย ไม่ใช่ มันจะรู้จักกันเมื่อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้เหมือนกันว่าจะรู้ได้ด้วยการคบคุ้น อยู่ด้วยกันไป เหมือนคนที่มีมาเก่า ถ้าตายอายุแก่มาเกิดเป็นเด็ก มันก็จะมีลักษณะเหมือนผู้ใหญ่ แซมอยู่ในสภาพเป็นเด็กนั่นแหละ หรือโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็จะรู้จักอีกอย่าง 

คือมองออกว่า สภาวธรรม ที่ติดอยู่ในจิตวิญญาณนั่นแหละมันจะมาแสดงออก ไอ้ตัวแสดงออกนั้น สิ่งที่เป็นธรรมะมากติดตัวมาจนกระทั่งไม่ต้องทำอะไรมาก มันก็จะแสดงบทบุคลิก หรือกิริยาอาการออกด้วยตัวมันเอง ลักษณะบุคลิกที่แสดงออกมาเองนั้นเราเรียกว่าสัญชาตญาณ ติดมาจากสัญญาแล้วมาออกบทบาท โดยที่ตัวเองก็ไม่มีเจตนาแต่มันจะออกมาเป็นอัตโนมัติ ก็จะเห็นได้ง่าย 

เป็นคุณธรรม เอาหลักธรรม เอาธรรมวินัย เอาศีลมาจับได้เลยมันจะเป็นคุณธรรม เป็นโลกุตระ ผู้ที่มีภูมิธรรมก็จะยิ่งเห็นชัดได้ 

อย่างอาตมามองคนอยู่ไกล ไม่ได้มาอยู่ในชาวอโศก มีคุณธรรมคนที่เป็นโพธิสัตว์ตามที่อาตมาพูดไป คนที่เด่นชัดอย่างนั้นด้วยซ้ำไปที่อาตมาได้พูด คนที่มีไม่มากนัก ไปบอกไปชี้ก็ยาก ขนาดคนที่มีมาก อาตมาบอกชี้ คนก็ยังรู้ตามได้ยาก 

ก็เป็นธรรมะเป็นสัจธรรมอันหนึ่งที่เลียนแบบกันไม่ได้ มันอวดเก่งได้แต่อวดเก่งและผิด ผิดเป็นไงก็หน้าแตก คนที่พยากรณ์โดยไม่แน่จริงไม่ถูกจริงก็หน้าแตก ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดเล่นๆไปพยากรณ์เล่นๆไม่ควร มันจะหน้าแตกนะ 

  _ ลูกเองก็ระลึกชาติไม่ได้แล้วจะเอาสภาวะมาจากไหน  ลูกก็ได้แต่บอกว่าที่เชื่อเพราะเคยอ่านเรื่องการระลึกชาติของคนอื่น..

พ่อครูว่า... ไปอ่านดูมีเยอะในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในชาดกมีเยอะมาก 

_และจากที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ซึ่ง พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อแบบนี้  

พ่อครูว่า... คือไม่จำเป็นจะต้องไปคิดเรื่องนี้เท่าไหร่หรอก

_ถ้าจะถามเรื่องสภาวะก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร  เขาเองก็บอกว่าอยากได้รับฟังคำอธิบายจากพ่อท่านให้เขาเข้าใจสภาวะเพื่อจะได้เชื่ออย่างสิ้นสงสัยว่าคนเราตายแล้วเกิดเป็นตัวตนจริงๆเพื่อว่าถ้าเชื่อแล้วจะได้ทำให้เขาปฏิบัติธรรมได้ดียิ่งขึ้นค่ะ..สำหรับความคิดของลูกนั้น ลูกว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แค่ปัจจุบันเรามุ่งมั่นทำความดี ละกิเลสให้ได้ตามกำลัง..ผลก็ได้ตามที่เราทำ แม้แค่ชาตินี้เราก็สบายแล้ว ถ้าไม่มีชาติหน้าจริง..เราก็สบายในชาตินี้ก็คุ้มแล้ว คิดแบบนี้ถูกต้องไหมคะ

พ่อครูว่า... คิดอย่างคุณกิ่งธรรมนี้ก็ดี แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเชื่อ โดยไม่ใช่เชื่ออย่างงมงายนะ เชื่อว่าตายแล้วมาเกิด จะเป็นคนไหนก็แล้วแต่ คนนั้นคนนี้ และถ้ามันมีจริง สัจจะมันมีจริง ฉะนั้นคุณเชื่อบ้างแล้วก็ต้องอ่านจากสภาวะของคนนั้นๆ ที่ว่าจริงมันจริงอย่างไร คุณรู้แค่ไหน ถ้าคุณรู้ว่าเหมือนกับคนนี้ พูดง่ายๆ 

คนนี้ตายไป มีคุณธรรมขนาดไหน เสร็จแล้วมาเกิด บอกว่ามาเกิดเป็นเด็กคนนี้ เข้ามาอยู่ในหมู่เรา มันมีการแสดงออกทางกาย ทางวาจา มันก็มาจากจิตเป็นประธาน มันเหมือนกับคนนั้นที่เรารู้จักมาก่อนที่ตายไปแล้วมาแสดงออกคนนี้ มันเหมือน มันคล้าย มันมีลักษณะแสดงออก มันก็เป็นจริง 

ประเด็นที่บอกว่าจะเชื่ออย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสขนาดนี้คุณยังไม่เข้าใจ ยังไม่เชื่ออีกว่า การเวียนตายเวียนเกิดมีจริง แล้วคุณจะมาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เอาละอาตมาไปบังคับให้คุณเชื่อไม่ได้หรอก แต่ลองคิดดีๆสิ ถ้าเผื่อว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมที่คุณทำแล้วมันก็สั่งสมเป็นธรรม สั่งสมเป็นวิบาก มีอย่างนี้คุณทำอย่างนี้ เอาที่จะรู้ง่ายก่อน 

เช่น คุณมีอาริยธรรม หรือมีโลกุตรธรรม ชาตินี้คุณเกิด คุณมีแล้วในตัว คุณตายไปแล้วมาเกิดต่อ เกิดในร่างเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ก็มาเกิดอยู่ในนี้ มันก็จะมีวิบากคนที่ตายที่ติดตัวเด็กคนนี้มา แน่นอนเด็กยังไม่แสดงออกเต็มตัว เพราะมันยังไม่เดียงสา ปฏิภาณปัญญายังไม่มีวุฒิภาวะพอ มันก็จะแสดงเป็นเด็กๆไปก่อน แต่มันจะมีการส่อแสดงบ้าง บางทีมันพูด อันนี้มันพูดได้อย่างไร ภาษาอย่างนี้มันเป็นคนโตคนอาริยะ ภาษา โลกุตระ พูดมาบางทีเรายังไม่พูดถึงขั้นนี้เลย บางทีจะพบ เด็กคนนี้พูดอย่างนี้ได้อย่างไร 

_สู่แดนธรรม... ผมมีตัวอย่างเด็กพวกเรา เขาพูดตอนเขาอายุ 7-8 ขวบ พูดว่า ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นเด็กใหม่ เดี๋ยวจะต้องมาเรียนหนังสือกันใหม่อีก มันลำบากมากเลย การเรียนหนังสือนี่ ผมก็เคยคิดอย่างนี้แต่คิดตอนผมโตแล้ว ตอนเด็กผมไม่เคยคิดอย่างนี้ได้เหมือนเขาเลย ผมว่ามันเป็นสัญญาที่จำมาจากอดีตของเขาครับ 

พ่อครูว่า... มันเป็นนามธรรมมาก เพราะฉะนั้นมันต้องมาศึกษาดีๆแล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้ของเรา ญาณหยั่งรู้ของเราจะมีมากหรือมีน้อย เราก็พอจะค่อยๆเกิดจริง ญาณหยั่งรู้ มันจะไปซื้อเอาตามร้านขายยา ตามห้าง Supermarket ห้างใหญ่ๆมันไม่มี มันต้องสร้างสั่งสมเป็น กัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรมตนเอง มันจะมีเหตุปัจจัยต่อเนื่องมาจนสั่งสมเป็นตัวรากเหง้า เป็นตัวนำเป็นตัวพาเกิดเรียกว่า กรรมพันธุ์ พาเราเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของเรา เป็นเผ่าพันธุ์โลกุตระเป็นต้น มันก็จะมาเกิดอยู่ในเผ่าพันธุ์โลกุตระ มันไม่ไปเกิดอยู่ในดงโลกียะ มันอยู่กับเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก 

1.วิบากพามา 2.คุณจะแสวงหาเอง ก็จะมาอยู่กับหมู่โลกุตระจนได้แหละ นอกจากวิบากคุณหนักแล้ว คุณไม่ได้พากเพียรมาก มันก็อาจจะนาน แต่ถ้าพากเพียรด้วย วิบากไม่มาก คุณก็เข้ามาง่าย น้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน เป็นสัจจะ ไม่ใช่เรื่องปลอมแปลงหรือมาขี้ตั๋วเอา ดัดจริตเอา มันไม่ใช่ เป็นสัจจะ 

หมู่กลุ่มของชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มชาวโลกุตระ เป็นหมู่กลุ่มของสัจธรรมชนิดจริง แล้วอยู่กันได้จนกระทั่ง อาตมาว่า คนมันเสื่อมจากธรรมะพระพุทธเจ้าเยอะจริงๆ จนเขามองไม่เห็น ทั้งๆที่อาตมา ว่าเราเป็นกลุ่มโลกุตระที่ชัดเจนมากมีถึงขั้นสาธารณะโภคี สาราณียธรรม 6 แล้วมี พฤติกรรมเนื้อหา สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  แม้แต่วรรณะ 9 ก็มีจริงๆเลย

แล้วก็มาเรียนรู้เป็นสังคมที่มีศีลก็รู้ มีสมาธิก็จริง แต่คนเขามิจฉาทิฏฐิในสมาธิเขาก็เลยไม่รู้ว่าชาวอโศกนี่แหละคือพวกที่มีสมาหิโต มีสมาธิจริง เขาก็ไปหลงว่าสมาธิหลับตาของเขาเป็นสมาธิจริง เขายึดอย่างนู้นว่าเป็นของถูก ของอโศกไม่มีสมาธิ ปฏิบัติธรรมอะไรไม่ได้นั่งภาวนา ไม่ได้เกิดสมาธิกันเลย เขาก็ว่าอย่างนั้น เขาก็เข้าใจสมาธิของเขาอย่างมิจฉาและเอามาวัดพวกชาวอโศก  มันจะได้อย่างไรเอามิจฉาสมาธิมาวัด มายืนยันเป็นเครื่องยืนยันว่า มันต้องเป็นอย่างนั้นถึงจะเป็นสมาธิ ไอ้นี่มันไม่ใช่ มันตรงกันข้าม มันเป็นสมาธิลืมตา เป็นสมาธิที่มีสติสัมปชัญญะเต็ม ยิ่งเป็นสมาธิยิ่งจิตสว่าง ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา แล้วมันก็รู้ทันกิเลสอย่างเร็ว ตัดกิเลสก็ได้ไว หรือกิเลสมารอหน้าไม่ได้ อย่างนี้ต่างหากเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า มันเป็นอจินไตย เป็นฌาน อจินไตย เป็นสมาธิ อจินไตย ซึ่งเขาเข้าใจไม่ได้ในทางมิจฉาทิฏฐิ ทางพวกที่ออกนอกรีตพระพุทธเจ้าแล้ว เขาเข้าใจยาก 

เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ

_สมพอน สปป.ลาว ขอฝากคำถามเถีงหลวงปู่แน่ครับเพื่อขอคำอะทิบาย และเพื่อให้หายข้อสงใสครับ  เดืยวนี้ที่หมู่บ้านผมผีปอบกำลังบุกรุกย่างร้ายแรงเลียครับ และมีผีปอบมากด้วยครับ  ผู้คนมีความบาดกลัวมาก พอมืดมาหมู่บ้านมิดจี่ลี่ ยากจะถามหลวงพ่อว่า และข่อความอธิบาย ว่าผีปอบคืออะไร ? ผีปอบเกีดมาจากไหน และ ทำไม่ผีปอบเถีงส้างแต่ความไม่ดีงามมีแต่หาทำให้คนตาย หาเข้าสิงคนโน้นคนนี้

พ่อครูว่า... ฟังดีๆ หมอปลาน่าจะมาฟังอาตมาพูดเรื่องนี้ ไปไล่ผีกันจังเลย นอกจากผีปอบแล้วผีอะไรแกก็ไล่หมด 

ผีปอบนี้คืออุปาทานชนิดหนึ่ง มันเป็นอุปาทานหมู่ด้วย มันเป็นอุปาทานในตัวคนแต่ละคนนั่นแหละ ยึดมั่นถือมั่นว่าอาการอย่างนี้ เป็นจริงมีจริง มันยึดมันติดด้วยอวิชชา 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นตั้งแต่เริ่ม เอาง่ายๆเลยสำหรับพวกเรา คุณยึดติดว่ารสอร่อยนี้มี นั่นแหละผีปอบ ผีกินหัว กินตัวคุณไหม คุณเคยถูกผีปอบนี้กินหัวไหม รสอร่อย นี่แหละอุปาทาน 

คนที่หมดอุปาทานแล้วหมดการยึดถือ โธ่เอ๋ย.... มันไปยึดผิดๆ มันไปจำความผิด มันไปยึดผิดว่า มันเป็น มันมี 

คนที่เป็นอรหันต์แล้ว ผีหายไปเลย ผีปอบ ผีกระสือ ผีอร่อยหายไปเลยไม่มีในอารมณ์จิต ไม่มีในความรู้สึก ไม่มีในเวทนา เวทนาไม่มีผี ไม่มีรสอร่อย ไม่มีผีปอบที่มันกิน 

ทีนี้ ที่มันเป็น มันเป็นไปถึงขั้นเป็นรูปธรรม เข้าสิงเข้าทรง พอผีเข้านี่ไม่มีอะไรเข้า คุณเองนึกว่าอาการอย่างนี้นี่ มันถูกเข้าทรง เป็นเจ้าเข้าทรง อย่างไม่กลัวเจ้าด้วย เอาเจ้ามาเข้าทรงแล้วแสดงอำนาจแสดงความเขื่อง แสดงความชอบนึกว่าเป็นสิ่งที่ดี 

หรือไม่ได้อยากเข้าแต่มันมาเข้า นึกว่าองค์ลง ผีเข้า หรือว่าวิญญาณเข้า มันไม่มีอะไรเข้าใครได้หรอก ตัวเองโง่ อุปาทานคิดว่ามันมีเอง ก็เลยมี ก็เลยเป็น 

เช่น คนที่รู้สึกว่าเข้าทรง แล้วเป็นไง สั่น ก็เป็นอุปาทาน มาแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ จำมาแล้วมาถึงชาตินี้ หรือแม้แต่มาเห็นชาตินี้ คนนี้สั่น พวกเขาทรงก็จะสั่น ตัวเองมีเชื้อแล้ว เชื่อว่าเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วถึงคราวที่จะเป็นบ้าง ก็สั่นแบบนั้น บ้าๆบอๆทั้งนั้น 

ฉะนั้นจึงเป็นอาการที่ไม่ปกติ ปกติคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง ตาเห็นรูปอย่างนี้ ทุกคนเห็นตรงกันหมดไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากกัน นี้คือความจริง 

หากเห็นผิดแปลกไปก็กายต่างกันสัญญาต่างกัน องค์ประชุมเรียกว่ากาย สัญญาคือการกำหนดหมาย กำหนดต่างกัน มันก็ต่างกันไปเลย นี่ละเอียดมาก 

แม้แต่จะมาเรียนรู้บ้าง กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน สัญญาณมันอยู่ข้างใน กายมันอยู่ข้างนอก ฉะนั้นก็มีกายต่างกันแม้จะรู้สึกว่าอย่างนี้คือผี สัญญากำหนดตรงกัน ว่าอย่างนี้คือผี แต่กายคุณก็ยังต่างกันไปสารพัด องค์ประชุมข้างนอกที่รูปนาม มีทั้งกิริยาภายนอกภายใน มันก็จะต่างกันไปเยอะ 

จะเป็นกายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน คือองค์ประชุมเหมือนๆกันคล้ายๆกัน เช่น เมื่ออุปาทานหมู่ว่าผีปอบเป็นอย่างนี้ แสดงตัวแบบนี้ เขาก็กำหนดกาย ถ้าแสดงกิริยา กายกรรม วจีกรรมออกมาเหมือนอย่างนี้ ส่วนมากก็จะเป็นสภาพที่ไม่รู้ตัว แล้วก็สติสัมปชัญญะอะไรก็ไม่ได้เป็นตัวตน ดิ้น ชัก อะไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดีก็อาละวาดอะไรต่ออะไรต่างๆ เขาก็ถือว่าไม่ปกติแล้ว มันเป็นอุปาทานเอาอะไรไม่รู้มาเข้า 

จะเป็นด้วยชอบ จะเป็นด้วย อุปาทานหนัก ยึดอุปาทานเยอะ แล้วก็เป็นเช่นนี้ก็ตาม ก็อวิชชาทั้งนั้น คือโง่ทั้งนั้น มันก็เป็น แต่คนที่มีปัญญารู้ชัดอย่างที่อาตมาอธิบาย 

อาตมาตอนที่ยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง อาตมาก็ไปเล่นไสยศาสตร์ ก็ไปเข้าทรง เข้าทรงนี้มีลักษณะเขื่องนะ เข้าทรงนี้เราจะต้องเข้าทรรงสภาพวิญญาณชั้นสูง มีอำนาจเหนือกว่าสิ่งที่เราจะเอามาเข้าทรง

แล้วเราก็แสดงออกอะไร เพื่อที่จะแสดงอำนาจบาตรใหญ่หรือแสดงความเก่ง แม้กระทั่งถึงขั้นจะแสดงฤทธิ์ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ก็ทำ เพื่อแสดงความเก่งนั้น มันก็มีแล้วก็มีได้ คนไม่เข้าใจก็เชื่อสิเพราะเป็นเรื่องเกินสามัญ แสดงออกทางอาเทสก็ตาม หยั่งรู้อันนู้นอันนี้ ทายแม่นก็ตาม อิทธิฤทธิ์ อย่างน้อย พอเข้าทรงได้แล้วสูบบุหรี่ทีละ 10 มวน อม พ่น เอาไฟจี้ ก็ไม่เจ็บอะไรก็แล้ว แต่ที่ดูเหมือนอิทธิปาฏิหาริย์อะไรพวกนี้ 

หรือพวกปักษ์ใต้ ในวันกินเจ เขาแทงด้วยมีด ทำไปสารพัด เสร็จแล้วพอหายเข้าทรง เขาก็เพลาพวกนี้ไป บางคนแผลมันหายไปเลยด้วย ซึ่งมันฤทธิ์ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ มันเกินเชื่อ

อาตมาไปเล่นไสยศาสตร์ อาตมาก็ทำ เล่นพวกนี้ก็เล่นมาทั้งนั้น หนังเหนียว หนังทนก็เล่นมาแล้ว 

เพราะฉะนั้นพลังงานที่มันยึดถือ แล้วเอามาใช้เป็นฤทธิ์ เป็นอิทธิฤทธิ์ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ หรืออิทธิปาฏิหาริย์ก็ตาม มันก็เป็นได้ 

เพราะฉะนั้นถ้ามีพลังจิตที่รวมได้จริงๆ ถึงขั้นเหาะได้ มันเหาะได้จริงๆ พลังงาน ถึงขั้ใจนหายตัว อย่างสมัยโบราณเขาก็เป็น 

จริงๆการหายตัวไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรหรอก หายตัวนี่ คือการสะกดจิตคน ให้คนเชื่อว่าฉันไม่มีตัวตน มองไม่เห็นตัว มองไม่เห็นเลย เป็นคนว่าง เป็นความว่างเป็น invisibleman ก็คือการสะกดจิตให้คนเห็นอย่างนั้น 

เหมือนคนที่สะกดจิตตัวเองให้ไม่เห็นสิ่งนี้ มันก็ไม่เห็น อาตมาเคยเล่นสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์ สะกดจิตแล้วสั่งให้เขาไม่เห็น อย่างบนโต๊ะนี้มีหิน เขาก็บอก เราก็สั่งให้เขาไม่เห็นว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีอะไร เราก็บอกให้เขาหยิบเห็นก้อนสีแดง จะควานหาเลย เขาจะไม่เห็นว่ามันอยู่ทนโท่ เขาก็ไม่เห็น เราทำบางทีมีแก้วใส่น้ำอยู่ บนโต๊ะ เขาก็ควานไปกลิ้งตกแตกเลย เขาก็สะดุ้งตื่น ว่าแก้วแตก เขาไม่เห็นจริงๆ 

อาตมาเคยสะกดจิตพวกเรา คุณสุภาพที่ตายไปแล้วเป็นสิกขมาตุ ไปสะกดจิตเขาแล้วเอาพริกให้เขากิน สั่งให้ไม่เผ็ด เขาก็กินเฉย ป้อนให้เขา เขาก็กินเฉยไม่แสดงอาการเผ็ดอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องอุปาทานจิตทั้งนั้น ผู้มาเข้าใจด้วยปัญญาอันสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีอุปาทานเหล่านี้ ผู้นั้นเองผู้หมดอุปาทานเอง ก็รู้ว่าพวกนี้มีอุปทานอยู่มากหรือน้อย 

เช่น คนกลัวผีเป็นอุปาทาน ผีมันไม่มีให้คุณกลัว ไม่มีผีหลอก แต่คุณกลัวเอง กลัวจนกระทั่ง ตาหลอก ไม่มีผี ไม่มีรูปร่างอะไรแต่เห็นอะไรเคลื่อนไหว ตาหลอก ทางหมอทางแพทย์ก็รู้ว่ามันเป็นความหลอกทางตา กลายเป็นอันนั้นอีกซึ่งมันไม่จริง 

อาตมาเคยบอกว่า ถ้าคุณเห็นผีตัวไหน คุณท่องคาถาไว้ว่าแค่ตาย แค่ตาย ก็เดินเข้าไปหาผีตัวนั้นเลย คุณก็จะรู้ว่าอะไรมีหรือไม่มี ดีไม่ดีไม่มีอะไรเลย หรือมีอะไรเป็นเค้าให้คุณเห็นว่า ที่แท้คุณหลอกตัวเองทั้งนั้น นี่คือสัจจะ 

เพราะฉะนั้นคำว่า ผีหลอก ผีคือกิเลสเท่านั้นที่มันโง่ สรุปแล้วคือผีโง่ ผีกิเลสโง่ คุณเป็นพระอรหันต์คุณหมดผี คุณยังไม่ใช่อรหันต์เป็นอนาคามีก็ยังผีอยู่เล็กๆน้อยๆ แล้วก็ไม่ได้กลัวแล้วถ้าเป็นอนาคามีก็ไม่ได้กลัวผีข้างนอก ผีอยู่ในคุณ คุณก็รู้ตัวถ้าเป็นอนาคามีอย่างสัมมาทิฏฐิคุณก็จะรู้ว่าผีคืออยู่ที่ตัวเรา ผีพวกนั้นคุณก็เข้าใจแล้วว่ามันไม่มี 

ถ้าผีที่อยู่ภายนอกที่ตายไปแล้ว พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องญาติพี่โกโยติกาลูกหลาน ตายไปแล้วไปก่อน มันมาหาคุณไม่รู้ผีกี่ตัว เพราะคุณมีญาติเยอะแยะแต่ละคน มันจะมาหาพวกคุณกันทั้งนั้นคุณจะเห็นผีมาหลอกทั้งนั้นเลย ถ้ามันมีจริง แต่มันไม่มี นอกจากคนขี้กลัว คนนั้นก็จะเห็นผี จะมีผี ถ้าคนไม่ขี้กลัว มันไม่มีหรอกผีที่จะมาหลอก มีแต่กิเลสเรา โง่ 

ฟังพอเข้าใจไหม ถ้าใครเข้าใจเดี๋ยวนี้ชัดเจน หมด ผีพวกนั้นคุณไม่ต้องกลัวเลย คุณจะไปนอนป่าช้า คุณจะไปเดินที่ไหนๆ ที่มืดๆที่คุณเคยกลัวมันไม่ต้องกลัวหรอก พวกเรานี่ ศพที่นอนอยู่ ก็ไม่เห็นกลัวกันเลย พวกเราถึงบอกว่าจะไม่ค่อยกลัวผีเหมือนกับข้างนอกเขา ข้างนอกเขากลัวมากเลย 

ไปถามสังวร กลัวผีหรือเปล่าไปนอนอยู่ เฮือนสุดชีวิต เฝ้าเมรุอยู่ นอนอยู่ทุกคืน 

_สู่แดนธรรม... ผมมีเรื่องเล่าเสริม เกี่ยวกับผีปอบที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ผมฟังจากท่านถิรจิตโตเล่าให้ฟังว่า แม่ของเขา มากินมังสวิรัติกินมื้อเดียวแบบ กดข่ม แต่ลึกๆแล้วชอบอยากจะกินลาบเลือด ตอนกลางวันกดข่มไว้ พอนอนตอนกลางคืนก็ละเมอมาเปิดตู้กับข้าวกิน 

พ่อครูว่า... มี โดดตึก โดดบ้านก็ยังมีเลย 

_สู่แดนธรรม... กินแบบสะลึมสะลือ กินเนื้อดิบๆ เคี้ยวหยับๆ พอลูกๆเปิดไฟมาเจอเข้าก็บอกว่าแม่เป็นปอบ จริงๆแล้วไม่ใช่ปอบ แต่เป็นจิตสำนึกที่บงการเขา เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ 

_ทางชุมชนอโศกช่วยไปเปิดร้านมังสวิรัติที่สกลอโศกได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... คุณก็รวมตัวกันสิ คุณก็เอาหมู่บ้านของคุณนั่นแหละตั้งขึ้นเลย ร้านบุญนิยม ที่สกลนคร จะขายสินค้า ขายอาหาร ก็ทำสิทำได้ไหมก็ทำเลย ก็ตอบให้ จะไปให้สันติอโศกเขาไป กำลังเขาก็ไม่ค่อยมี มีอยู่แค่นั้น พวกเรานี้งานทุกวันนี้มันมาก เพราะว่ามันทำแล้วดีไง จะบอกว่าเป็นที่นิยมอาตมาก็ไม่กล้าพูดเท่าไหร่ นิยมสำหรับคนที่เขาเห็นคุณค่า มันก็เป็นที่นิยม ส่วนคนที่ไม่เห็นคุณค่าไปพูดว่านิยม เขาก็ไม่นิยมหรอก 

แม้เราขายสินค้าราคาถูก เราก็ไม่ได้ขายสินค้าที่เขานิยมเช่นสินค้าแฟชั่น สินค้าที่โลกเขานิยม ของเราก็จะขายแต่ของพื้นบ้านของคนชั้นล่าง ของคนชั้นสูงเราไม่ได้เอามาขาย เพราะฉะนั้นก็ไม่ค่อยมีคนมานิยมเท่าไหร่ ขวาน พร้า  กะต้า กระบุง กะละมัง ชาม เสื้อผ้าหน้าแพรที่ใส่ก็ไม่ใช่แบบแฟชั่น มันไม่เหมือนกับทางโลกไฮโซ ไม่ใช่สังคมนิยม ไม่ใช่พวกแฟชั่นนิยม พวกเรา มันจึงเป็นแบบพวกเรา

สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2566 ( 11:40:48 )

660621

รายละเอียด

660621 ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53246.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/1sAeXfbt03xjUOFzkvUJhFyZPnlivqnhn/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1h8tlkQlyg2-09pg_J4hKJIC4qXXfJrlD/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fFsIpizZzBU

และ https://fb.watch/liF1ppXycq/ 

สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  

วันนี้ข่าวดังระดับโลกมีการลุ้นกัน มีพวกเศรษฐี 4-5 คนนั่งเรือดำน้ำที่จะลงไปสำรวจเรือไททานิคที่ล่มอยู่ก้นมหาสมุทร ความลึกระดับ 4 พันเมตร คือ 4กิโล เขาพาทริปทัวร์ไป 3-4 เที่ยวแล้ว แต่เที่ยวนี้อยู่ดีๆ สัญญาณหายติดต่อไม่ได้ ต้องระดมหลายประเทศช่วยเหลือ ลุ้นระทึกเพราะอ็อกซิเจนอยู่ได้ 3-4 วัน เวลานับถอยหลังยิ่งน้อยลง ยิ่งไม่เจอมันก็ลุ้นกันว่ารอดหรือไม่รอด การเดินทางอย่างนี้ไม่ใช่ถูกๆ ไปครั้งหนึ่งหัวละ 8 ล้าน 7 แสน มีมหาเศรษฐีระดับรวยๆจากหลายประเทศ อเมริกา ปากีสถาน ซีอีโอของคนที่คิดเรือดำน้ำก็ไปด้วย 

พ่อครูว่า… เศรษฐีหาทางเที่ยว นอกโลกเขาก็ไป นี่เที่ยวใต้น้ำ สักวันคงทะลุใต้ทะเลออกไปอวกาศเลย 

สมณะเดินดิน…บางทีก็ไปอวกาศออกนอกโลกไปเลย กลับมาฉลอง ดีใจที่กลับมาปลอดภัย  คนมีสตางค์นี่ คิดอะไรนี่ถ้าเป็นเรา จ้างก็คงไม่กล้าไป จะเอาชีวิตไปทิ้งทำไม แต่คนมีสตางค์นี่เขาทำอะไรเพื่อได้เห็น ได้ฟัง ได้ดูสิ่งที่อะไรแปลกๆ

แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เห็นที่แปลกไม่มีอะไรยอดเยี่ยมกว่า ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การเห็นพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต ซึ่งเป็นที่รวมให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ อย่างนี้ไม่มาเห็นไม่มาดูกันเลย หรือว่า สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การสดับธรรมของพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต อันนี้น้อยมากเลย แต่ถ้าอะไรบ๊องๆ ไม่ค่อยปกติคนจะดูกันเป็นล้าน 

พ่อครูว่า… พวกเรานี้มาทุกวันเลย สวนานุตตริยะ ได้ฟังธรรมทุกวัน เดี๋ยวอาจจะมาจะเทศน์ เรื่องจิตวิญญาณพวกนี้

สมณะเดินดิน…อันที่ 3 คือ ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม ได้แก่ การได้ศรัทธาในพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต หรือการได้อริยทรัพย์ อันนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม 

สิกขานุตตริยะ คือการศึกษาอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การฝึกอบรมอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  อันนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเราพยายามฝึกฝนศึกษากันอยู่

ปาริจริยานุตตริยะ การบำเรออันยอดเยี่ยม ได้แก่ การบำรุงรับใช้พระตถาคตและสาวกของพระตถาคต อันสุดท้ายคือ อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การระลึกถึงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต

บทสุดท้ายเขาอธิบายว่า ที่ได้ชื่อว่า การเห็น การฟัง การได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ที่ว่าเป็นความยอดเยี่ยม เพราะว่า ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ความล่วงพ้นจากโสกะปริเทวะ ความดับสูญจาก ทุกข์โทมนัส เพื่อการบรรลุญายธรรม ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน อันนี้ไม่เสียสตางค์เลยแต่แทบจะต้องจ้างคนมาฟังมาดูเลย สิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้น้อยมาก 

อนุตตริยะ 6 ประการ

อนุตตริยะ แปลว่า ภาวะอันยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยม ในหมวดอนุตตริยะ 6 นี้ กล่าวถึงการเห็น การฟัง การได้ การศึกษา การบำรุง และการระลึก ที่ยอดเยี่ยม เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ล่วงพ้นโสกะปริเทวะ ดับสูญทุกข์โทมนัส และเพื่อการบรรลุญายธรรม กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อนุตตริยะ 6 ประกอบด้วย

1. ทัสสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม คือการเห็นที่ประเสริฐกว่าการเห็นอื่น ๆ หมายเอาการเห็นพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่จะทำให้เกิดความเจริญงอกงามทางจิตใจ ในปัจจุบัน ถึงแม้พระตถาคตได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว แต่พระธรรมวินัยของพระองค์ยังคงอยู่ การได้เห็นพระธรรมวินัยของพระองค์ ก็เปรียบเหมือนการได้เห็นพระตถาคตเช่นกัน

2. สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม คือการฟังที่ประเสริฐกว่าการฟังอื่น ๆ หมายเอาการฟังธรรมของพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต ได้แก่การได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นการฟังที่นำประโยชน์มาให้ เป็นการฟังที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งสรรพสิ่งตามความเป็นจริง

3. ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม คือการได้ที่ประเสริฐกว่าการได้อื่น ๆ หมายเอาการได้ศรัทธาในพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต หรือการได้อริยทรัพย์ 7 ประการ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา

4. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม คือการศึกษาที่ประเสริฐกว่าการศึกษาอื่น ๆ หมายเอาการศึกษาอบรมในอธิศีล อธิจิตต์ และอธิปัญญา คือการศึกษาและลงมือปฏิบัติเพื่อประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน

5. ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม คือการบำรุงที่ประเสริฐกว่าการบำรุงอื่น ๆ หมายเอาการบำรุงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต การที่ได้บำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการสนับสนุนปัจจัย 4 แก่พระสงฆ์สามเณรผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเพื่อธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ก็จัดเข้าในข้อนี้

6. อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม คือการระลึกที่ประเสริฐกว่าการระลึกอื่น ๆ หมายเอาการระลึกถึงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต คือระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ด้วยจิตใจที่เคารพบูชา นั่นเอง

 พ่อครูว่า…ที่พวกเราได้มา เป็นลาภานุตตริยะที่ เอาเงินร้อยล้านมาซื้อ มาจ่ายก็ไม่ได้ เป็นลาภของพวกเราอย่างยิ่ง ที่พวกเราได้อยู่ทุกวันนี้

SMS วันที่ 19 มิ.ย. 2566

_คอยใคร...กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงนี้มีเรื่องผีมาเป็นประเด็นคุยกันหลายรายการเลยครับจากที่พ่อครูตอบเรื่องผีปอบไป  ทั้งสมณะ ทั้งสิกขมาตุก็เอาเรื่องผีมาบรรยายธรรมฟังเพลินดีครับ  ยิ่งเรื่องของสิกมาตุผาแก้วที่บอกต้องไปเซ็นชื่อว่า "มาแล้ว" ช่วงเดินไปก็กลัวไป  มีเสียงอะไรหน่อยก็ต้องคอยคิดว่าเสียงอะไร  แต่ทุกวันนี้สิกมาตุยืนยันว่าไม่กลัวผีแล้วครับ  

มาถึงเรื่องของผมบ้างครับ  ถ้าผมนั่งฟังธรรมเพลินๆ เริ่มซึ้งในธรรมรส แล้วในครัวมีเสียงโครมคราม ผมมักตกใจและจะรีบคว้าไม้กวาดทันทีครับ ไม่ได้เอามาป้องกันตัวนะครับแต่ต้องกวาดบ้านหน่อยครับ  เพราะถ้ายังนั่งฟังเพลินๆต่อ อาจได้นอนฟังพระสวดแทนครับ  ทุกวันนี้ผมเลิกกลัวผีตั้งแต่มาฟังธรรมพ่อครูครับ  แต่กลัวคนที่บ้านมากกว่าครับ  มาเล่าสภาวะเท่านี้ก่อนครับ ขอกราบลาพ่อครูด้วยความเคารพครับ

พ่อครูว่า… ดีมาก ฟังธรรมมาจนได้ดีนะคุณคอยใคร เรื่องผีเดี๋ยวค่อยมาว่ากัน

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · ฝีปอบกับผีเปรต.ผีเดียวกันมั้ยครับพ่อ.

 พ่อครูว่า…เดี๋ยวฟัง

_นพดล ทองโคตร  · ผี เป็นอุปาทานคนหลง ยึดว่ามี และเป็นลักษณะเดียวกันกับกามราคะมั้ยครับพ่อครู

พ่อครูว่า…  แต่ละคนๆมากันเป็นทิวเลยเรื่องผี อาตมาก็คิดจะเทศน์อยู่เหมือนกันเรื่องผี.. ใช่ กามราคะนี่แหละผี เดี๋ยวจะได้เทศน์ละเอียดๆ ติดตามฟังดีๆ

_พร...ขออนุญาตกราบเรียนถามข้อสงสัยที่ว่า ..ความรู้ หรือธาตุรู้อย่างวิชชา ที่รู้ลึก รู้ละเอียด โดยการสัมผัสรู้ เป็นการรู้อย่างไร  ขอ กราบรบกวนช่วยยกตัวอย่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า…ดี ฟังดีๆตรงนี้ ความรู้หรือธาตุรู้ ธรรมดาคนมีธาตุรู้เรียกว่า ความรู้ สัมผัสก็รู้ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำงานกระทบสัมผัส มันก็จะรู้ แล้วรู้อันนั้นเรียกว่า ธาตุรู้ทั่วไป ทุกคนมี ถ้าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กายไม่เสีย ประสาทไม่เสีย มีการกระทบก็รู้สิ่งจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ธาตุรู้ ทีนี้รู้อย่างวิชชาเป็นอย่างไรไม่ใช่รู้สามัญ เป็นโลกุตระ ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นธาตุรู้ที่เป็นความรู้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น รู้จิตเจตสิก แล้วรู้จิต แยกจิตเป็นเจตสิกรายละเอียดต่างๆออก เช่น เวทนาก็แยกเวทนาได้ สัญญาก็แยกสัญญาได้ เวทนาก็มีหลายเจตสิกที่ทำงาน ซึ่งเราแยกกันตามที่พระพุทธเจ้าสอนกันมาถึง 108  สัญญาที่จริงมีมากกว่า 10 แต่เคยเรียนกัน สัญญา10  เป็นต้น เป็นสัญญา 2 สัญญา 3 สัญญา 4 อะไรซึ่งมีนัยยะต่างๆ กัน

สังขารนี่เยอะเลย ปรุงแต่งกัน สังขารภายนอก ภายใน สังขารโลก สังขารทางกาย ทางจิตเป็นกายสังขาร จิตสังขารอะไรเยอะแยะ  

วิญญาณก็คือองค์รวม เป็นธาตุรู้ เป็นองค์รวมที่เป็นเจตสิกทั้งหลายแหล่ เวทนาก็ตาม สัญญาก็ตาม สังขารก็ตามมากมาย ก็ชื่อรวมว่า วิญญาณ ใครจะมาเรียนรู้วิญญาณ แยกเป็นรูปเป็นนาม เป็นสภาพ 2  ศึกษาตามจริง รูปกับนาม ทีละคู่ ทีละคู่

ตั้งแต่มันรวมกันเป็นอายตนะ เป็น 2 สภาพ รวมกันเป็นตัวตน มันเป็น 1 2ใน1 1ใน2 อายตนะ เสร็จแล้วเราก็สามารถแยกเป็นรูปเป็นนามได้ ศึกษาได้ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นมีผัสสะแล้วมันก็เกิดเวทนา มันก็คือสังขารนั่นแหละ เวทนาปรุงแต่งขึ้นมา แล้วเราก็รู้รายละเอียดของเจตสิก เวทนาเจตสิกตัวต้น แยกเวทนาออก  จนรู้ตัวตน ตัวจริง ตัวปลอม มันก็เหมือนเจตสิกเป็นพลังงานทางจิต จริงๆก็คือตัวอวิชชา เป็นตัวโง่ของเราเอง มันทำให้เราหลงไปตามนั้น  ความไม่รู้ ได้ยินมา  กิระดั่งได้ยินมาคือกิเลส กิระ กิละ หรือเอสะ นึกว่ามีจริง

เสร็จแล้วก็หลงไปตามกัน จนมาได้ยินได้ฟังของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ลบล้างหมดเลยว่า มันไม่มีอะไร  จริงๆแล้วมันคือการทำงานของตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส 

จิตก็เป็นธาตุรู้ร่วมกันกับตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็รู้ความจริงตามนั้น มันรู้จริงๆในขณะปัจจุบันกระทบแล้ว พอรู้ปั๊บมันก็หายไป ไม่มีอะไรเลย อนัตตา แต่มันมีสัญญาความจำของเรา พอกระทบแล้วจำได้ แล้วเราก็ยึด ยิ่งไปหลงอุปาทานตามที่คนเขาว่า อย่างนี้แหละเป็นของน่าได้ น่ามี น่าเป็น ยิ่งยึดใหญ่เลย หรือของนี้ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น ไม่เอา หนักเข้าไม่เอา ถึงขั้นเฮ้ยอย่ามาใกล้นะ ผลักแรงโกรธ มีอยู่กับตัวเราที่สัมผัส ไม่ยอมจะจัดการทำลาย มันก็เป็นพลังงานโง่ที่ทำงานหนักขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจบแล้วเนี่ย เป็นอรหันต์หรือยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์ มันจะชัดเจนเลย อย่างอาตมาพูดไปขยายละเอียดไปได้เรื่อยๆ มันเป็นอัปปมัญญาหรือเป็นสิ่งที่หาประมาณมิได้เลย ปรุงแต่งกันอย่างละเอียดมากมาย อาตมาถ้าอายุสัก 200 ปีอาตมาก็ขยายความไปได้อีก จะตามฟังไหม…ตาม

ถ้า 200 ปีก็อีกร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง ยาวนานไปอีก 100 กว่าปีเอง

อาตมายังมั่นใจว่า ชาวอโศกเราจะอายุยืน ตามดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ละคนก็ตามดูของตัวเองนั่นแหละ ใครตายก่อนก็ไม่ได้ดูต่อ ใครอยู่ต่อก็ได้ดูต่อ เดี๋ยวอธิบายความรู้เรื่องผีให้มากขึ้น

เพราะฉะนั้นวิชชาของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ

_ช่อทิพ หนูทอง  · ดิฉันเป็นชาวอโศกมาหลายสิบปี ตอนนี้วิบากกรรมเบาบางแล้ว ถ้าจะทดลองไปอยู่บ้านราช เรียนถามพ่อครูว่า 1.ต้องไปขอนุญาตใครก่อน 2.อยู่อาศัยได้ที่ไหน 3.ลงฐานงานไหน คะ?

พ่อครูว่า… มาเลยๆไม่ยากหรอก มา ง่ายที่สุดมาพบสิกขมาตุกล้าข้ามฝันก็ได้  เดี๋ยวจัดแจงให้ ปัญหาที่คุณสงสัยก็มาพบสิกขมาตุก็ได้ไม่ยาก สิกขมาตุดูแลอยู่ จะบอกว่าดูแลไม่ดูแลก็เป็นไปโดยปริยยนะ เหมือนผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ใหญ่เนอะสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน แม่บ้านทางบ้านราช เป็นผู้ทำหน้าที่ เป็นสัจจะของสิกขมาตุเอง 

_ชาญณรงค์ จินดาธรรม · พิธาซื้อลอตเตอรี่ถูกเลขท้าย  2 ตัวคือเลข 30...นั่นหมายความว่า เขาจะได้เป็น"นายกทิพย์"ไปอีกแค่ 30วัน หลังจากนั้นเขาจะได้เป็นว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านไปอีก 4 ปีครับ

พ่อครูว่า…น่าฟังนะคำพยากรณ์อันนี้ Wait and See เราจะคอยดู คุณคนนี้พยากรณ์แปลกๆดี แต่ก็ดูมีเหตุปัจจัย

_ซึ้งซื่อ วิเชียร · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ตอนนี้พ่อท่านได้ประกาศพระธรรมมิกราษฎร์แล้ว ผมอยากกราบเรียนพ่อท่านให้อธิบายคำว่า พระธรรมมิกราษฎร์จะต้องมีศีลขนาดไหนและปฏิบัติกายและจิตอย่างไรจึงจะได้เป็นเช่นนี้ครับ ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ

กราบนมัสการขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า… ถามเข้าท่าดี จะรวมไปอธิบายที่บอกไว้แล้วจะอธิบายเรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องมนุษย์ ขยายความต่ออีกหน่อย เดี๋ยวค่อยกลับไปอธิบายละเอียด

_narongs.1816 ณรงค์ • รักษ์โฆษกทีวีบางขุนพรหมผูกนาฬิกาด้วยแต่อวดว่าเก่งแสดงโวหารทางธรรมะนิกายใหม่มีมากมายในประเทศไทยกรมศาสนาแลบ้างเปล่า ดูโฆษกแต่งแบบพระ?

พ่อครูว่า… รักษ์ กล่าวชื่ออาตมาผิด อาตมาชื่อรัก ไม่มี ษ.ฤาษีการันต์ นั่นอดีต งานนั้นเลิกมาตั้งนานแล้ว เลิกมา 50 กว่าปีแล้ว อวดว่าเก่งอันนี้ใส่ความอาตมา ใส่ความอาตมาว่ามีสาเฐยยะ อาตมาไม่มีความอวดพูดแต่ความจริง ถ้าจะพูดให้ถูกต้องอาตมาพูดความจริงเก่ง โวหาร คำนี้ไม่ใช่เป็นวาทกรรมโก้ๆ แต่เป็นภาษาที่บอกความจริง อาตมาไม่ได้เป็นนิกาย ใครเป็นนิกายคนนั้นอนันตริยกรรมเอง อย่าเอาเรื่องนิกายมาใส่อาตมา อาตมาจะขอ คุณไม่เข้าใจง่ายๆหรอกคำว่านิกาย คนทำนิกายไม่เข้าใจสภาวะนิกายคืออะไร อาตมาไม่ทำนิกาย ใครทำนิกายคนนั้นอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้นใครมาทำให้อาตมาแยกจากสงฆ์ที่เขาแยก อาตมาไม่เคยจะแยกสงฆ์ นิกายคือการทำให้สงฆ์แตกแยก คนนั้นอนันตริยกรรม อาตมาไม่เคย อาตมาพยายามทำตามธรรมพระพุทธเจ้า เช่น เอ่อ..อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ประกาศนานาสังวาส อาตมาก็ทำแต่เขาไม่เข้าใจ อาตมาทำตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518  เขาก็ไม่รู้ประกาศแล้วก็อยู่ดีมา จนถึง พ.ศ 2532  ผีเข้าอย่างไรก็ไม่รู้ เถรสมาคมโดยเฉพาะผู้รู้ที่เป็นปราชญ์เอกชี้นำมา ซัดอาตมา ทำอธิกรณ์อาตมาเลย นานาสังวาสทำอธิกรณ์กันไม่ได้ อาบัติ ผิดธรรมวินัย เขาก็มาจัดการกับอาตมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ต่างๆนานา  ล้วนแล้วแต่อวิชชชาหรือมิจฉาทิฏฐิของเถรสมาคมที่เป็นความเสื่อมอย่างสูงมาก มาจัดการอาตมาทั้งนั้น ก็เป็นอกุศลเป็นบาป อาตมาได้แต่สงสารไม่รู้ทำอย่างไร อาตมาถูกทำโดยไม่ตอบโต้ ไม่ให้มันแรง เขาก็ทำเอาๆอย่างย่ามใจเพราะความโง่อวิชชาของเขามันผลักดันให้เขาทำ

 ขออภัยนะที่อาตมาอธิบายธรรมะนี้เป็นสัจธรรม อธิบายความจริงจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ถ้าผู้ที่ตั้งใจฟังธรรมะด้วยดี สุสูสัง ลภเต ปันยัง จะเข้าใจว่า อ้อ..นี่เราทำผิดเหรอ อ้อ..ที่เราทำเสียหายเหรอ

50 กว่าปีที่อาตมาแสดงตัวแล้วก็แสดงธรรมตลอด อาตมายังไม่ตายพูดได้แสดงได้ ยังมีเวลา มีกำลัง มีแรง อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่มีงานอื่น มีแต่งานนี้แล้วจะไม่ให้อาตมาทำ ไม่ได้ นอกจากไม่ได้แล้วคุณจะบาปหนาด้วยที่จะไม่ให้อาตมาทำ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทำงานนี้งานเดียว 45 พรรษาจนกระทั่งปรินิพพานไปแล้ว มันเป็นเรื่องสุดยอดของมนุษย์แล้ว สูงสุดเป็นอนุตตริยะอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาก็ต้องมาทำเรื่องนี้แหละ

แสดงโวหารเก่ง นิกายใหม่ ไม่มีนิกายพูดไปแล้ว อย่ามาบาปใส่อาตมา คุณจะสร้างบาปก็เรื่องของคุณ คุณจะเป็นนิกาย ใครมีความเข้าใจอวิชชาที่เป็นการแยกแยะสงฆ์นี่ผิดมาก เห็นความแตกต่างให้ได้อย่าไปเห็นความแตกแยก แตกแยกเพทะ เพทา ไม่ได้ เป็นนิกาย เห็นความแตกต่าง ไม่ใช่แตกแยก เห็นความนานาให้ได้ เห็นความจริงให้ได้ เพราะฉะนั้นคนไหนทำใจในใจอย่างถูกต้องกำหนดถูก จิตของเราไม่พยายามไปเพ่งโทษมองเป็นนิกายหรอก มันบาปเป็นอนันตริยกรรม ให้มองเป็นนานาสังวาส นานาสังวาสมากก็แตกต่างกันมากก็ว่ากันไป ปฏิโกสนากันได้ตำหนิกันได้ค้านกันได้อย่างนั้นไม่ถูกอย่างแรงๆ ค้านกันดังค้านคอแตกก็เรื่องของคุณ ค้านได้ อาตมาค้านอยู่ ตำหนิอยู่อย่างนี้ ปฏิโกสนาได้ อย่าไปฟ้องร้อง อย่าไปหาเรื่อง อย่าไปอธิกรณ์ อย่าไปทะเลาะวิวาท อย่างนี้ผิด นี่คือสัจธรรม

คุณไม่รู้เรื่องอะไรก็มาว่าอาตมา อาตมาก็สาธยายธรรมให้ฟังก็ฟังให้ดี มีนิกายใหม่มากมายในประเทศไทย คุณระวังให้ดีเถอะไปเห็นนิกายอะไรมากมาย เขาก็แตกต่างกันไป มันก็ยึดถือกันไปสารพัด เดี๋ยวจะได้สาธยายรายละเอียด เรื่องจิตวิญญาณที่อวิชชา อยู่ในนั้นหมด กรมการศาสนาแลบ้างเปล่า กรมการศาสนาก็แล จะทำอะไรได้ นอกจากเป็น จนท.กรมการศาสนาเป็นฆราวาสนะก็ทำอาชีพเลี้ยงตัวไปเท่านั้นเอง ดูโฆษกแต่งแบบพระ?มาศึกษาดีๆคุณณรงค์ อย่ามองอาตมาผิด คุณจะเสียประโยชน์ มองอาตมาดีๆศึกษาดีๆฟังด้วยดีไป ศึกษากันไป อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน โดยเฉพาะติเรือด้วยอวิชชา

_PayongsakKongsila พยงค์ศักดิ์ ก้องศิลา  • แล้วท่านละเรื่องทางโลกได้รึยัง จิตยังวุ่นวายอยู่ใช่ไหม อืม ไม่น่ารอดๆ เกิดแต่กรรม

พ่อครูว่า…ได้แล้ว ได้แล้วจริงๆคุณเอ๋ย เรื่องโลกียะ เรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียะ เถรสมาคมเขาละไม่ได้ แต่อาตมาสิละมาได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ฟังดีๆนะคุณพยงค์ศักดิ์ ท่านล่ะ ละเรื่องทางโลกได้หรือยัง ตอบว่าได้แล้ว คุณไปมองทางพระเถรสมาคมนั้นแหละที่ยังละเรื่องทางโลกยังไม่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อยู่อย่างนั้น สุขก็เสพเสวยอยู่อย่างนั้น รู้เรื่องที่ไหนขายขี้หน้าลูกพระพุทธเจ้า

อาตมาว่า คุณจิตยังวุ่นวายอยู่เยอะ ไม่น่ารอดๆ เกิดแต่กรรม พูดภาษาสูงเสียด้วย คุณนั่นแหละจะไม่รอด อาการน่าเป็นห่วง ไม่รอด ไม่รอด ไม่รอด คุณนั่นแหละเกิดแต่กรรม โดยเฉพาะแค่ทิฏฐิก็ยังไม่สัมมาอะไร คุณพงษ์ศักดิ์เรียนดีๆศึกษาดีๆ มองอาตมาในมิติใหม่ดีๆอย่าไปมองในมิติเดิม ตั้งใจศึกษาดีๆตั้งใจฟังธรรม ฟังด้วยดีจะได้ปัญญา ถ้าฟังด้วยเพ่งโทษได้บาปแน่นอน

สู่แดนธรรม… พ่อท่านทำความวุ่นให้วายแล้วครับ 

พ่อครูว่า… คนนี้เอาภาษาคำว่า วุ่นวาย มาใช้แยก วิเคราะห์ อย่างนี้เดี๋ยวมหาประยุทธ์ว่าเอานะ นี่ยอดเยี่ยมในการวิจัย เก่งมาก วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ยอดเยี่ยม

สู่แดนธรรม…แล้วก็สามารถที่จะวุ่นอยู่กับเขาได้ โดยความวุ่นมันไม่มี

 พ่อครูว่า…ใช่ๆ อาตมาก็แยกศัพท์แบบนี้เก่ง มหาประยุทธ์ก็ซัดอาตมาน่าดู จริงๆพยัญชนะนี่ คำที่เอามาแยกแล้วก็เข้าใจถึงสภาวะธรรมที่ดีเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เข้าใจ เช่น พระบ้านนอกท่อง นะโมตัสสะ..ว่า เอ้อเข้ามาน้อมน้อมเข้ามา ตัดซะ ตัดกิเลสอย่างโน้นอย่างนี้ แยกศัพท์อย่างนี้มันได้ประโยชน์เข้าสภาวะ ถ้าไปติดอยู่ที่พยัญชนะ ยึดพยัญชนะ แปลผิดทุกอย่างก็จะผิดไปหมดอะไรอย่างนี้ ทั้งๆที่เขาแปลเข้าหาสภาวธรรมที่ดี คนฟังเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้บรรลุธรรมเลย แต่เขาก็ไปติดอยู่ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์อยู่นั่นแหละ ติดอยู่ในความรู้หลักเกณฑ์ ซึ่งมันเกิดทีหลังสภาวะ น่าสงสารคนพวกนี้หลงอยู่ในความรู้ แล้วก็เลยชาตินี้ไม่ได้บรรลุธรรมอะไร ก็วิเคราะห์วิจารณ์ไป ใครฟังด้วยดีก็ได้ปัญญา

_@Sayan สายัณห์ ...กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ   การที่เราทำเกษตรแล้วรู้สึกชอบพืชที่เราปลูก เมื่อพืชถูกแมลงทำลาย รู้สึกว่าจิตตก ขัดใจ แต่ไม่มาก(ปฏิฆะ) แบบนี้หมายความว่า เรายังติดอยู่ในรูปภพใช่ไหมคะ 

พ่อครูว่า… ใช่ ยึดเป็นเราเป็นของเรา ยึดเป็นภพเป็นชาติ ว่านี่เป็นเราเป็นของเรา พืชเรานะ แมลงมาแย่งเจาะของฉันนะ ฉันก็ขัดใจ จิตตกเพราะว่าเรียนมาสูง เราจะฆ่าแมลงก็ไม่ฆ่าสัตว์ แต่จิตตก ไม่ชอบใจที่เธอแย่งกินผักฉัน ฉันรักพืชชอบพืช อ่านจิตอย่างนี้ออกดีแล้ว ก็แบ่งกันกินบ้าง จะไม่ให้มันกินเลย มันจะอยู่อย่างไร ทำอะไรที่พอจะแก้ไขไปให้คลายบ้าง มันปลูกไม่เป็นแต่เราปลูกเป็นก็ดีแล้ว เป็นกุศลเผื่อแผ่กันไป ใจเผื่อใจแผ่กันสิ   

เพิ่มพูนการเสียสละไป ทำไปเรื่อยๆก็จะเจริญ เป็นภพเป็นชาติตามที่คุณถามมาว่าใช่ไหม ใช่

เรื่องผี เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องเทวดา เรื่องมนุสโส 

พ่อครูว่า… ทีนี้มาเข้าเรื่องผี เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องมนุสโส ฟังดีๆ

จิตผี ภาษาไทย ผี ภาษาบาลีเป็นเรื่องของมาร เปรต สัตว์นรก อวินิปาตะ อะไรพวกนี้ต่างๆนาๆ พวกที่ตกลึกจนไม่รู้จะลึกยังไง อวินิปาตะ ตกลงไปในที่ต่ำ ในที่เสื่อม ในที่โง่

จิตของเรานี่แหละ มันเป็นอย่างนี้ อยู่ในตัวเรา  ยังอวิชชา ยังเป็นจิตผี จิตตกต่ำ จิตไม่เจริญ การเจริญของจิตนั้น ขั้นที่ 1 เขาเจริญแบบโลกีย์  มันมีความเจริญอยู่ 3 ประการ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 

1. สมมุติเทพ เทพหรือเทวดา แปลว่า จิตเจริญ  

2. อุปปัตติเทพ 3. วิสุทธิเทพ 

เป็นเทวดา 3 ประการ

สมมุติเทพ คือ โลกีย์

อุปปัตติเทพกับวิสุทธิเทพ เป็นโลกุตระ จิตเจริญแบบโลกุตระ 

มาวิเคราะห์วิจัยเรื่องสมมุติเทพ เทวดาโง่ สมมุติโลกีย์นี่เทวดาโง่ เทวดายังไม่เจริญ เทวดาคือจิตของคน จิตในปัจจุบันนี่แหละ จิต    

1.ฆ่าสัตว์ คนฆ่าสัตว์นี่ก็จิตไม่เจริญแล้ว สัตว์เดรัจฉาน สัตว์อะไรก็แล้วแต่ สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก ไม่เจริญ ไม่ใช่มนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นพวกตกต่ำ เป็นพวกสัตว์นรก อวินิปาตะ

2.ยังลักทรัพย์ ยังเอาของที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา เป็นทุจริต ยังเป็นสัตว์นรก ทุจริตมากโกงมาก อย่าว่าแต่โกงเลย เอาเปรียบเอารัดมากก็ยังเป็นสัตว์อยู่ ยังไม่ใช่เทวดาเจริญ ยังเป็นสัตว์

3.ยิ่งไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างไปหลงละเมอเพ้อพกกับสิ่งเหล่านั้นแล้วหลงว่าเป็นเทวดา หลงว่าเจริญ หลงว่าได้เสพรส   สวย มายา เสพสวยสมใจสุข ทุกข์ ยิ่งสุขหนักทุกข์หนัก โง่หนัก ปรุงแต่งหนัก ลึกเข้าไปหนัก โง่เข้าไปหนัก ปรุงมาเสพ ปรุงมาหลอกคน ดีไม่ดีปรุงมาขายอีก หลอกมาให้คนซื้อ เอาของเล็กๆน้อยๆมาหลอกโฆษณาใช้จิตวิทยา ราคาได้แพงอีก  ยกเป็นของไฮโซอะไรไปอีก พวกนี้พวกมิลักขะ พวกคนเถื่อนคนไม่เจริญ ไม่ใช่อริยกะ เป็นคนเถื่อนแท้

เพราะฉะนั้นในศีล 3 ข้อนี้ ศีลข้อ 4 วาจา เพราะฉะนั้น 3 ข้อเป็นอย่างไร คุณก็พูดอย่างนั้นเป็นวาจา เพราะจิตของคุณ ข้อ 4 เพราะมัวเมาโมหะหนัก จิตที่โง่ที่หลงหนักก็พูดอย่างนั้นเพราะทำอยู่ 3 ข้อนี้ ถ้ายังฆ่าสัตว์ก็ไม่ใช่จิตมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ผู้ที่จิตสูงแล้ว ยังฆ่าคน ยิ่งไม่ใช่มนุษย์หนักเข้าไปอีก ยิ่งสร้างอาวุธฆ่าคน ยิ่งคนเถื่อน มิลักขะหนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้น ใน มิจฉาวณิชชา 5 อย่าง 

1.การค้าขายอาวุธ   (สัตถวณิชชา) 

2.การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) 

3.การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) 

4.การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา) 

5.การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา) 

(พตปฎ.  เล่ม 22 ข้อ 177) 

5 อย่างนี่ถ้าเข้าใจจริงแล้วเลิกเลย เป็นมนุษย์แต่คนที่ยังค้าขาย 5 อย่างอยู่นี้ยังเป็นเดรัจฉาน ยังเป็นสัตว์ สัตว์ต่ำสัตว์ตกนรกลึก ยิ่งมากหนักเท่าไหร่ ยิ่งฆ่าสัตว์ แล้วสร้างอาวุธฆ่าคนด้วยยิ่งบาปหนัก ยิ่งอวิชชาเป็นคนเถื่อนแล้ว ไม่ใช่คนเจริญ ไกลความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลงว่าตนเป็นเทวดา จะเป็นจตุมหาราช จะเป็นเจ้าโลก มีอำนาจบาตรใหญ่ ทุกวันนี้ที่ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องเลย แต่พอฟังออกว่าด่ากูนี่หว่า ดีไม่ดีเขาจะถือสาเอา

อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดความจริงให้ฟัง พูดความจริงระหว่างพวกเรา อาตมาโชคดีที่พูดภาษาฝรั่งไม่ได้ก็เลยไม่มีคนต่างประเทศมาเข้าใจแล้วก็ไม่มีใครแปลบรรยายธรรมะที่อาตมาพูดด้วย นี่เป็นกุศลของอาตมา ถ้าไม่อย่างนั้นคนแปลออกไป นั่นมันด่ากูนี่หว่า อาตมาเจอแน่ได้เรื่องแน่ เพราะอาตมาวิเคราะห์วิจารณ์ไปจนกระทั่งถึงพระเจ้า ถึงศาสดาเทวนิยมที่พากันอวิชชา ต้องพูดขออภัยหน่อย แล้วมันเป็นความจริงที่ต้องขออภัย ด้วยมารยาท มารยาทผู้ดีก็ต้องขออภัยเขาเพราะไปตำหนิเขาหนัก เพราะเขายกย่องเชิดชูบูชากัน เพราะเขาเข้าใจเช่นนั้นจริง เขาทำอย่างนั้นจริง ซึ่งมันก็ต้องพูดกัน จะว่าเป็นการข่ม เป็นการตำหนิก็ถูก เป็นนิคคัณหะ

หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ศีล 5 เป็นศีลที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ คนที่มีคุณธรรมศีล 5 จริงจิตเจริญ เอาศีลมาอธิบาย อาตมาอธิบายธรรมะชั้นสูงนะ เอาศีลมาอธิบายก่อน ในศีลนี่แหละเป็นอภิธรรมที่ลึกซึ้ง จะขออธิบายดังต่อไปนี้  

ศีลข้อที่ 1 ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ อธิบายแค่นี้แหละ เดี๋ยวจะขยายความ

 1. ละการฆ่าสัตว์ คุณยังฆ่าสัตว์อยู่ คุณยังเป็นผี ยังเป็นสัตว์ชั้นต่ำ คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาสัตว์มาค้ามาขายมาเลี้ยงเอ็นดู เอามารักมาชังก็เป็นกรรมวิบากอยุ่แล้ว สัตว์เขาก็อยู่ไปตามประสาเขา ตามวิบากของเขา เรามีวิบากมาเยอะไม่ว่ากับสัตว์หรือกับคน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆ คุณก็กินเขามาหนัก ฆ่าเขามาหนัก เลิกซะบ้างเถอะชาตินี้ ฟังอาตมาหน่อย เลิกเสียได้ คุณจะได้ตัดบ่วงกรรม ตัดกรรมบ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์ เทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องของกรรมวิบาก การไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็นึกแค่เป็นการกินเพื่อสุขภาพหรือเพื่อแฟชั่น เขาไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบากที่ซับซ้อนลึกซึ้งมากที่สุดเลย 

อาตมาขอซ้ำ เคยพูดอธิบายหลายทีแล้วในชีวกสูตร ซึ่งเป็นบาป 5 ประการ บาป 5 ประการนี้ที่เกี่ยวกับสัตว์ 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     

ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

เริ่มต้นตั้งแต่ที่ สัญจิจจะ ปานังชีวิตา โวโรเปตุง  สัญจิจจะหมายความว่า จิตมีสัญญา สัญญาที่มีทิศทางจะไปแล้ว ไปเกี่ยวกับปาณาชีวิตัง ไปเกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณของสัตว์ โวโรเปตุง ไปในทางมุ่งร้าย ถึงขั้นจะไปฆ่า เริ่มต้นมุ่งร้ายแล้ว

ผู้ที่ สัญญาของคุณเริ่มต้นมีทิศทาง ในชีวกสูตร

ข้อที่ 1 เป็นบาปเป็นอันมาก  ผู้กล่าวชื่อสัตว์แล้วมี สัญจิจจะ ปานังชีวิตา โวโรเปตุง ท่านเพี้ยนไปแปลว่าจิตที่เจาะจงบุคคล จริงๆแล้ว ปานังชีวิตาไม่ใช่หมายความตื้นๆแค่เจาะจงบุคคล แต่เจาะจงต่อชีวิตไปมุ่งร้ายต่อปานะ จิตวิญญาณของชีวิต จิตวิญญาณ จิตมีทิศทาง

กล่าวชื่อสัตว์โดยมีจิตตัวนี้เป็นจิตเริ่มต้น บาปเป็นอันมากข้อที่ 1 แล้ว ฟังให้ดีมันละเอียดมากนะที่พูดนี้ สัญจิจจะ กล่าวชื่อสัตว์เท่านั้นบาปแล้ว แล้วสัญจิจจะ คุณมีจิตมุ่ง คุณมีจิตเจาะจง คุณมีจิตมีทิศทางไปอะไร 

 2. ไปจับมันมา แค่กล่าวชื่อนั้นบาปแล้วที่มีสัญจิจจะ ปานังชีวิตาโวโรเปตุง  นี่แหละจิตมุ่ง จิตเฉพาะเรื่องนี้ เรื่องเลวร้ายนี้ ไปแปลเบี้ยวบาลีว่า เฉพาะบุคคล เพราะฉะนั้นท่านให้ละเว้นถ้าเผื่อว่าบริสุทธิ์โดยส่วน 3 คือ 1.สัตว์เดี๋ยวฆ่ามาก็เห็นอยู่หลัดๆก็ยังกินไม่ได้   2.ได้ข่าวว่าสัตว์นี้มันตายเพราะคนฆ่ามาขายฆ่ามาให้ กินไม่ได้ ได้ข่าวสัตว์ที่มีคนฆ่า เฉพาะบุคคลฆ่ามัน คือมันปนเปกันได้ข่าวว่างั้น 3.สงสัยสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ที่มันเป็นเนื้อบังสกุล เป็นเนื้อเดนสัตว์กินหรือเปล่า หรือว่าเป็นอุทิสสมังสะ ก็คือ สัตว์มีสัญจิจจะ มีจิตมุ่งที่จะทำร้ายปานะ ชีวิต โวโรเปตุงคือ ไปทำร้าย คราวนี้ตายด้วยมีจิตมุ่งอย่างนี้หรือป่าว ข้อ 1 กล่าวชื่อสัตว์เท่านั้น ข้อ 2 ไปจับมันมา 

ข้อที่ 3 บอกให้ฆ่า สั่งฆ่า บาปมาเป็นลำดับมากขึ้นๆ 

ข้อที่ 4 ฆ่าสัตว์ให้ตาย บาป บาปหนัก บาปซ้ำ บาปซ้อน บาปเป็นอันมาก เป็นลำดับๆ 

ข้อที่ 5 เอาไปทำอาหารถวายภิกษุสาวกพระพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าก็ห้าม แล้วมันจะบาปไม่รับประทานหัวยังไง เห็นไหมว่าบาปเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระภิกษุ ถวายพระพุทธเจ้า บาปหนักมาก ไม่ใช่อาตมาพูดเอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน แต่คนเข้าใจไม่ถึงธรรม

ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้ ใครจะไปฉันเนื้อสัตว์ ใครจะไปกินเนื้อสัตว์ มันเป็นวิบากกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้มันก็ยังโง่ ยังเป็นผี เป็นสัตว์นรก มันก็ยังบาป ยังตกนรกเพราะแม้แต่กิน แล้วไปแก้ตัวว่าพระพุทธเจ้าสอนว่ากิน สักแต่ว่าอาหาร ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ทั้งๆที่เอาชิ้นเนื้อกินใส่ปาก มันเป็นการเลี่ยงบาลี ท่านไม่ได้แปลว่าสักแต่ว่ากินอาหารเพื่ออย่างนั้น ท่านไม่ให้กินเพื่อไปติดรส ไม่ให้กินเพื่อมัวเมา แล้วไปบอกว่ากินเนื้อสัตว์นี่ไม่ติดรส ไม่มัวเมา ขี้หมาแหนะ มันคนละระดับที่พิจารณาที่บอกประเด็นว่า

แม้คุณไม่กินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติ แต่คุณยังกินมัวเมา ยังติดรสอยู่ให้คุณปัจจเวกขณ์ ไม่ให้กินมัวเมา กินเพื่อเชิดชูหลงอะไร แล้วยังมาตีขลุมมาแปลว่า กินเนื้อสัตว์ไปเถอะ แล้วเอามาแก้ มันคนละขั้นตอนกันเลย มันคนละระดับกันเลย จิตยังหยาบแล้วมาตีความพวกนี้ แล้วให้ตัวเองทำหยาบๆบาปๆอยู่ แล้วก็อ้างอิงไปใหญ่ ว่าสมัยพระพุทธเจ้า พระเทวทัตยังขอให้ฉันมังสวิรัติ พระพุทธเจ้าไม่ตั้ง  หาว่าพระพุทธเจ้ายังฉันเนื้อสัตว์

ถ้าพระพุทธเจ้ายังฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว เทวทัตจะกล้าออกกฎมาให้สาวกเลิกฉันเนื้อสัตว์ได้อย่างไร แค่นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าก็ไม่ออกเพราะท่านเจาะช่องให้ ไม่เช่นนั้นจะบีบคั้นเกินไป

_สู่แดนธรรม…มีกรณีบางกรณีเปิดช่องให้ภิกษุบางรูป

พ่อครูว่า…ท่านบอกว่าผีเข้าอย่างนั้นผีเข้า ก็คือจิตวิญญาณต่ำ เป็นผีห่าซาตาน ผีดุ มันจะเอาตาย มันจะกินเนื้อสัตว์จะไปแย่งออกจากปากมันได้ยังไง

มนุษย์มันเป็นอย่างนั้นเหมือนพวกติดยา ไปแย่งมัน มันฆ่าตายเลย ทำเป็นเล่นไปเถอะ

  _สู่แดนธรรม...ทีนี้มาเรื่องเมตตาสัตว์

พ่อครูว่า…ไม่ฆ่าสัตว์ เว้นการฆ่า เมตตาสัตว์ วางอาวุธ วางศาสตรา อาวุธที่ฆ่าสัตว์เดรัจฉานไม่เท่าไรแต่อาวุธที่ฆ่าสัตว์คน ฆ่าสัตว์เดรัจฉานไม่เท่าไรเขาวางไหม พระพุทธเจ้าท่านละเว้นกล่าวถึงคนคือท่านตรัสอย่างผู้ดีว่า คนคือสัตว์ใหญ่ สัตว์ที่ไม่ควรฆ่า ถ้าคุณไม่ฆ่าสัตว์อื่นๆแล้ว คุณไม่ฆ่าหรอกคน มันบาปหนักกว่าฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าพระพุทธเจ้ายิ่งมีอัตราบาปหนักขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีปัญญารู้แม้กระทั่งเรื่องสัตว์ เรื่องคน แล้วก็สร้างอาวุธฆ่าคน นี่คือผีขโมด ผีโหดร้าย ผีมิลักขะ ผีคนเถื่อน คนป่า คนไม่เจริญ 

เทวนิยมไม่รู้เรื่องนี้น่าสงสารเขา สอนเขาไม่ได้ แก้ไขไม่ได้เพราะมันสุดวิสัย คนพวกนั้นไม่มีภูมิปัญญา ไม่มีภูมิพอจะรู้ ไม่มีบารมีพอจะมารู้ศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาผู้ดี เป็นศาสนาชั้นสูง classic ชั้นสูงสุด

เพราะฉะนั้น ถ้าศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เสื่อม ศาสนาพุทธที่เข้าใจโลกุตระอย่างที่อาตมาอธิบาย ถ้าสงฆ์ส่วนใหญ่อธิบายธรรมะเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาอธิบาย เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างโลกคงจะเจริญมาก นำพาโลก โลกจะยกย่องเชิดชู 

แต่เอาเถอะสักวันหนึ่งผู้ที่มีภูมิปฏิภาณปัญญาของเทวะนิยมจะเห็น จะเห็นยอดสุดยอดของมนุษยชาติ

แม้แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคนเท่านั้น จิตใจเขาก็สุดยอดประเสริฐแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ วางศาสตรา ไม่สร้างอาวุธฆ่าคน มีความละอาย รู้ว่าเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆเลย คุณแสดงความโกรธออกมาก็น่าละอาย แต่คนไม่มีหิริ ไม่มีความละอายก็แสดงความโกรธเฉย ทำไมอย่างนี้ก็ต้องโกรธสิ ถ้าไม่โกรธก็ไม่ใช่คนแล้ว อย่างนี้คุณเป็นสัตว์นรก

ถ้าคุณเป็นมนุสโส ผู้ที่มีจิตสูง คุณไม่ผีเข้าอย่างนั้นหรอก โกรธนั้นผีเข้าแล้ว แม้แต่คุณไม่ใช่โกรธ รักชอบเสพ เป็นผีแปลงตัวจากทุกข์เป็นสุข คุณวิปลาส เป็นคนยังวิปลาสในข้อที่เห็นทุกข์เป็นสุข คุณวิปลาส เห็นทุกข์เป็นสุข

วิปลาส 4 มี 1. เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง 2. ไม่มีตัวตนเป็นตน 3. เห็นทุกข์เป็นสุข 4. เห็นไม่งามว่างาม ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ไปแปลคำว่างามมันยาก สุภะอสุภะไปหลงว่ามันเป็นสุภะ

เพราะฉะนั้น พวกเรามาเรียนถึงขั้นปรินิพพานแม้แต่การมีปานังชีวิตตาก็ไม่น่าเป็นแล้ว เพราะฉะนั้นจึงทำตนให้เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีเชื้อชีวิตปานังชีวิตตังก็ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นผู้ที่วางอาวุธ วางศาสตรา มีใจละอาย เอ็นดู ไม่ทำลายสัตว์ ไม่ทำลายมนุษย์ มีใจเมตตากรุณาเอ็นดู  จริงๆแล้วอาตมาเองก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังมองพวกที่ยังสร้างอาวุธฆ่าคน ยังไม่เอ็นดูเขา ใจยังไม่เอ็นดูเขา มองว่ามันร้าย มันเอ็นดูไม่ไหว เอ็นดูไม่ลง อาตมาเห็นคนสร้างอาวุธ มันยังทำไม่ได้ มันยังเห็นไม่ได้ จิตยังไม่ถึงขั้นอย่างพระพุทธเจ้าท่าน แต่สังเวสนะ 

_สู่แดนธรรม...แล้วพ่อท่านสงสารเขาไหมครับ เอ็นดู มาจากกรุณา สงสาร

พ่อครูว่า… กรุณาคือการกระทำ กระทำให้เขาเลิกจากบาป ให้เขาเลิกจากไปหลงสุขหลงทุกข์ แค่ดีแค่ชั่วเทวนิยมเขาก็สอน ให้เลิกชั่ว ประพฤติดี แต่มาเลิกสุขหรือเลิกทุกข์นี่แหละ เพราะมันพูดกันรู้ง่าย เลิกทุกข์มันรู้ง่าย แต่เลิกสุข เลิกทำไมวะ มันยากกว่า แต่พวกเราเข้าใจแล้ว สุขกับทุกข์มันมายาหลอกเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิต ไม่มีกิเลสแล้ว จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้วเรียกว่า อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา จิตพระอรหันต์เป็นจิตอย่างนั้น จิตไม่มีกิเลสก็สะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์

อาการของจิตไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นอรหันต์ กับอาการไม่สุขไม่ทุกข์ของเดียรถีย์ก็ทำได้เหมือนกัน จิตไม่สุขไม่ทุกข์ เขากดข่มทำหลอกตัวเอง ทำจนกระทั่งตัวเองไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะการกดข่ม เพราะการหลอกตัวเองไว้ เช่น พวกลืมตาใช้สติ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันเป็นสามัญลักษณ์ อย่าไปติดใจปล่อยวาง ใครจะเป็นยังไงช่างหัวมัน เราจะเป็นยังไงช่างหัวเรา มันก็โง่เอาอะไรมาประเล้าประโลมใจไปเฉยๆ ยังไม่ได้เจาะลึกเข้าไปถึงอาการของจิต อาการ ลิงคะ นิมิต  อุเทศ  ไม่ได้เจาะเข้าไปถึงจิตพวกนี้ และไม่ได้แยกแยะกิเลสที่เป็ยเหตุใหญ่ เหตุแห่งทุกข์เหตุแห่งสุข

ให้รู้อาการของกิเลสนั้น เลิกกิเลสนั้น จิตจึงจะไม่สุขไม่ทุกข์อย่างแบบสัมมาทิฏฐิด้วยปัญญาแล้วเลิก ไม่ใช่ไปเที่ยวกดข่ม วิขัมภนะกับปัสสัทธิ วิขัมภนะก็กดข่มเป็นสมถะได้

ปัสสัทธิ เห็นจริงเห็นจังแล้วก็ระงับ ปัสสัมภยัง เป็นการระงับเป็นการสงบ ไม่ใช่ไปวิขัมภนะแล้วสมถะกันอยู่ เป็นปัสสัมภยัง หรือ

วิปัสสนา เห็นอย่างยิ่ง เห็นด้วยการเกิดปัญญาญาน ในขณะที่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส เปิดรู้ มีกายมีจิต

การพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นี่เป็นโลกุตระสมบูรณ์แบบ เมื่อคุณมีศีล

ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนาจิตในจิต ธรรมในธรรมเกี่ยวกับสัตว์ แล้วคุณเกิดเวทนาอย่างไร กระทบแล้วคุณก็อยากกินเนื้อสัตว์ กระทบแล้วคุณก็ไม่ได้วิจัยวิจารเวทนา ความรู้สึก แยกกิเลสไม่ออก ไม่รู้บาป ไม่รู้บุญที่เกี่ยวกับสัตว์ ไม่ละอายเลย ไม่เอ็นดู ไม่กรุณา ไม่หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่

คำว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมาอธิบายหลายทีแล้วว่า ทุกเซลล์ทุกจุติที่มันเป็นชีวะขึ้นมาแล้ว จิตนี้เริ่มจุติจากพืชมาเป็นสัตว์แล้ว อัตภาพของจิตตัวนี้อาจจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ คุณไปทำร้ายเขาทำไม อาตมาเทศน์ไปกี่ทีแล้วจำได้ไหม

นี่คือหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมามีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่อย่างนี้  ปล่อยเขาเซลล์ที่เป็นจิตนิยามแล้ว พืชนี่แหละกินเข้าไปสิ ไม่มีวิบาก ไม่ก่อบาปก่อเวร

เพราะฉะนั้น ศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่อธิบายเขายากมาก มันไม่มีภูมิที่จะรับ ไม่มีภูมิที่จะรู้เรื่อง อิสลามเขาก็ดี เริ่มดีขึ้นมาจุดหนึ่งคือเขาไม่กินหมู ได้อย่างเดียว ละเว้นไม่กินสัตว์อย่างเดียว หมู ก็เริ่มแล้วนะ  ส่วนคริสต์เขาก็มีลัทธินิกายไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาไม่อยากจะพูดต่อไปว่า อาตมามีเพื่อนอิสลาม ไปนั่งกับเขากินก๋วยเตี๋ยวหมู เฮ้ย…อย่าพูด ก็เพื่อนกันกับอาตมาเป็นอิสลามตั้งหลายคน เรียนด้วยกันมา ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ก็เป็นที่รู้กัน เราก็ไม่พูดก็กินไป ขออภัยที่เอามาเปิดโปง เป็นเรื่องจริง ก็ดีเป็นจิตกุศลอย่างหนึ่งให้ละเว้นเนื้อสัตว์นะแต่ขอหมูอย่างเดียว ไม่รู้เหตุผลอะไร แต่ก็ไม่กินเนื้อหมู

_สู่แดนธรรม…ไม่กินหมู แล้วก็ไม่กินสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

พ่อครูว่า… เขาก็เริ่มดี เขาไม่กินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง ไม่กินหมู ส่วนคริสต์ก็มีนิกายที่เขาไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่อยากเรียกนิกาย เรียกพวกลัทธิ

สมณะเดินดิน… พวกเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส (Seventh-day Adventism)

พ่อครูว่า… ก็ดี ก็เริ่มไม่กิน หลายเผ่าหลายหมู่อยู่ 

จิตวิญญาณเทวดา จิตวิญญาณผี สมมุติเทพ อุปปัติเทพ วิสุทธิเทพ

สมมุติเทพคือคนยังหลงเลอะอยู่กับโลกียะ ยังวนเวียนอยู่ในบาปเวร ในทุกข์สุข เป็นเทวดาขี้เก๊ เทวดาไม่จริง เทวดาโลกียะ ต่อให้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง คุณก็จะต้องเวียนวนอยู่ในนรกสวรรค์ ยังกินเนื้อสัตว์ ยังฆ่าสัตว์ ศาสนาที่เขาไม่ฆ่าสัตว์เลยมีไหม ศาสนาอื่น ไม่นะ ศาสนาพุทธนี่ข้อ 1 เลย ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์   มีฮินดู ฮินดูที่เคร่งๆเป็นศาสนาเก่า เป็นต้นตอของศาสนาพุทธนี่แหละ

เพราะฉะนั้นเริ่มต้นที่เก่ยวกับสัตว์ สมมุติเทพเป็นเทวดา เทวดาหมายถึงจิตสูง แต่จิตสูงในความหมายของเทวดานั่นคือเทวะ แปลว่า 2  เขายังแยกไม่ออกว่า 2 นี่คือ

ถ้าเทวดายังติดสุข เทวดาจตุ เทวดาดาวดึงส์ เทวดายามา อะไรเหล่านี้น่ะ เทวดายังมีสวรรค์ ก็เป็นเทวดาสมมุติ ยังไม่รู้เรื่อง ถ้าจะเป็นเทวดาก็ขอเป็นเทวดาสวรรค์ เป็นสวรรค์อุปาทาน เป็นจตุมหาราชก็อุปทานแล้วเลวร้ายด้วยเพราะจะต้องสร้างอำนาจให้ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าโลกทั้ง 4 ทิศ จตุคือสี่ มหาราชยิ่งใหญ่มาก 

ถ้าได้มาดังใจเป็นดาวดึงส์ เป็นเมืองสวรรค์ที่สมใจ เป็นอาการที่ 33 ตวติงสะ ซึ่งเป็นอาการเก๊ไม่มีจริง คนมีแค่อาการ 32  เพราะฉะนั้นอาการอีกหนึ่ง เก๊ สมมุติเอาแล้วก็นึกว่าเป็นจริงแล้วคนก็เป็นจริง นั่นแหละผีหลอก เป็นเทวดาหลอกคุณ ผีแท้ๆ หนักกว่าผีปอบ ผีกระสืออีก

ผีกระสือนี้เลือกกินลำไส้เลยนะ ชอบกินเครื่องใน ผีเปรต  เปตู ผู้ตกต่ำ เปตะ ผู้โง่ ผู้ตกต่ำ เดรัจฉาน พวกขวางทางนิพพาน ยังไม่เจริญ อวินิปาตะ พวกขี้กลัวจะทำดี พวกขี้กลัวที่จะเป็นโลกุตระ พวกขี้กลัวจะมาเป็นชาวอโศก เป็นพวกอสูรทั้งนั้น  อสุรกาย นอกจากอสูรกายขี้กลัวแล้วยังขี้โง่ด้วยโง่น่ะ ไม่รู้จักสิ่งที่ควรใกล้แล้วก็ไม่มาใกล้ แย่เลย เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่รู้จักความเป็นมนุสโส ยังหลงเทวดาหลงผีอยู่ ถ้าชั่วก็ว่าเป็นผี  ถ้าดีก็ว่าเทวดาแค่นั้นเอง  เข้าใจง่ายๆตื้นๆแต่เป็นโลกียะ ก็ดีไปขั้นหนึ่ง ไม่ทำชั่ว ไม่เป็นสัตว์นรก ไม่เป็นผี แต่ก็เป็นผีฆ่าแกงคนอยู่ทุกวันนี้ เทวนิยมเขาไม่รู้เรื่อง แต่พุทธรู้เรื่องแล้ววางศาสตรา วางอาวุธแล้วมีแต่เอ็นดูกรุณา หวังดีเอ็นดูสัตว์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างที่มีคุณธรรมอันคลาสสิคอันนี้ เป็นโลกุตระธรรม ศีลข้อ 1 นี่แหละ แต่ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจแล้ว ปฏิบัติศีลอะไร ไปเรียนไปบวชให้ได้เปรียญแล้วมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในวงการศาสนา เป็นเจ้าคุณ  เป็นอนุศาสนาจารย์เลี้ยงชีวิตไปชาติหนึ่งๆ ก็เป็นโลกีย์อยู่อย่างนั้นไม่ได้โลกุตระ

ผู้ที่ออกมาบวชก็เพราะว่ารู้เวทนาในเวทนาที่เป็นมโนปวิจาร 18 เรียนรู้ทุกข์ ออกจากทุกข์ตั้งแต่กาม ปฏิฆะ แล้วรู้ว่าทำจางคลายได้ แต่เขาแค่กดข่ม ระงับง่ายๆตื้นๆ เผินๆไม่ได้รู้ถึงขั้นปัญญา ญาณ แล้วละเลิกจิตเจตสิก ถึงขั้นมีมโนปวิจาร เรียนรู้สุขทุกข์ 

เนกขัมมะคือออกจากสุข ออกจากทุกข์ ท่านไปบอกว่าออกจากกาม ก็กามนั่นแหละมันใคร่อยาก อยากได้สมใจก็สุข ไม่สมใจก็ทุกข์

“ใคร่อยาก”เป็นเหตุของสุขทุกข์ออก ได้เนกขัมมะข้อแรก ออกจากสุขทุกข์ ตั้งแต่เริ่มต้นกาม ออกจากกามก็ไม่ได้เรียนรู้จริง ไม่ได้มาปฏิบัติจริง พวกเรามีบารมีเรียนมา ยังมีคนที่เพิ่งเริ่มต้นที่ติดตามฟังอาตมาอย่างน้อยไม่มีอคติ แต่ก็ถูกเถรสมาคมไปครอบงำไว้ว่าโพธิรักษ์ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นพวกทำลายศาสนาพุทธ อย่าไปฟังอย่าไปนับถือ ก็ถูกเขาครอบงำง่ายๆก็ไปเชื่อเขา ก็ไม่ได้ฟังธรรมอาตมาหรือฟังก็เพ่งโทษ ไม่มีความยินดี ไม่มีความพอใจที่จะฟัง แต่ถ้าคุณฟังด้วยฉันทะ ฟังแล้วมนสิการไป ทำใจในใจตามที่อาตมาแนะนำโดยมีผัสสะเป็นปัจจัยเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วคุณก็ปฏิบัติเป็นสมาธิได้ สติคุณก็จะใหญ่ขึ้น ปัญญาคุณก็จะอยู่เหนือ คุณมีแก่นวิมุติ สุดท้ายคุณก็เป็นอรหันต์ เป็นอมตะ ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ นี่คือมูลสูตร เป็นรากเหง้าของสัจจธรรม 10 หลัก 

คำสอนพระพุทธเจ้านี่หลักเกณฑ์ต่างๆที่ได้อธิบายแล้วฟังดีๆพวกเราจะเข้าใจ อาตมาขยายความให้เข้าใจดีๆ พูดทวนพูดซ้ำ ได้ใหม่ขึ้นมาอีก พวกเราจะได้อนิสงฆ์ 5 ประการในการฟังธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เขาเอาของมหาบัวมาพูดมาเผยแพร่เหมือนของมหาบัวเอง มีการไปออกอากาศอยู่โดยไม่บอกว่าของพระพุทธเจ้านะ บอกว่าของมหาบัว

พวกเราฟังธรรมแล้วเข้าใจก็จะได้ปฏิบัติประพฤติจริงๆ พวกคุณเป็นคนเจริญ เป็นอริยบุคคลจริงๆที่อาตมาพูดอย่างนี้ ไม่ใช่มายกย่องป้อยอยอเล่นๆ มันเป็นคนรู้จักสัจจะ  เป็นผู้มีปฏิภาณปัญญาชัดเจน ชีวิตนีเนอะแต่ก่อนก็ไปหลงบ้าๆบอๆอยู่ทางโน้น อย่างญาดาคนนี้ก็เป็นไฮโซ ไปหมดทุกวงการ เสร็จแล้วก็มาอยู่อย่างนี้ ผมเผ้าก็ไม่ย้อมแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วก็ หงอกได้ที่ไหน ย้อมเจ้าซะเลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่หัวซาแล้ว ผมจะหงอกก็ช่างผม มันก็เป็นไปตามธรรมของมัน ผู้ที่ได้เข้าใจทิศทางความเป็นจริงของชีวิต เลิกไปหลงเทวดา เลิกไปหลงเป็นผี มาเป็นมนุสโส คนที่ยังไม่มีศีล 5 ยังไม่ใช่มนุสโสยังไม่ใช่คนเจริญ ยังไม่ใช่อริยกะ อย่างพวกสร้างอาวุธฆ่าคน ฆ่าอะไรอยู่สร้างสิ่งที่มอมเมา ยังงมงายอยู่ในเรื่องของสัตว์เป็น สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่ปรุงแต่งมอมเมากัน เห็นแล้วอาตมาก็ว่ายากจริงๆ อย่างรายการโทรทัศน์นี่ชวนกันปรุงแต่งไปกิน “ชีพจรลงพุง” Eater อาตมาแปลว่าจอมแดก แสวงหากิน มันอร่อย มันสุดยอด มันมัวเมา มอมเมาสุดยอด หลงรูปรสสัมผัส ศีลข้อ 3 ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยสังวร แม้แต่บวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้ว “อาหารวันนี้อร่อยโยม” ตายๆๆๆ ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้รู้เรื่อง บวชมามันน่าละอาย ไม่มีความละอายเลยแม้แต่เรื่องรสอาหาร นี่ก็วิจารณ์ให้ฟังถึงเรื่องสัจธรรมต่างๆ ก็เป็นการตำหนิ พูดให้รู้เรื่อง ให้สังวร ให้ระวัง พูดให้เนกขัมมะ เป็นฆราวาสก็เนกขัมมะได้ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ละกาม ละปฏิฆะ ละกิเลสไป

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อุปปัติเทพคือเทพที่รู้จักการเกิดของจิต โอปปาติกะโยนิ อุปปัติเทพ จิตเรามีกิเลสและเราก็รู้จักกิเลส จนกระทั่งสามารถเห็นชัดเจนว่ากิเลสนี้น่าละอาย กิเลสนี้น่ากลัว หิริโอตตัปปะ ศรัทธา ปัญญาเจริญเข้าที่เลย ก็ลดละ ลดละมา พยายามพากเพียรแม้จะเห็นว่ากิเลสมันยังยึด ยังติด มันยังมีอาลัยอาวรณ์ ก็ลดลงๆ จนกระทั่งจิตของคุณเป็นกลาง

 อย่างอาตมานี้ พยายามดึงความอร่อยขึ้นมา กินอาหารก็พยายามบอกปรุงมาเลยสุดฝีมือ ละเว้นเผ็ดอย่างเดียว เขาก็พยายาม เอ๊..ทำไมปรุงรสมายังไม่เห็นอร่อยสักที ใครจะปรุงรสอาหาร อร่อยๆให้อาตมาลองดูเลยจะให้รางวัล อย่างว่าล่ะปรุงมา อย่างว่าล่ะเดี๋ยวจะโดนเซ็นเซอร์ ก็เลยไม่ค่อยได้กินที่ปรุงมา ลองดู อย่าให้มันเป็นพิษเป็นภัยมาให้อาตมาฉัน ระวังเครื่องปรุงแต่งข้างนอก อาตมาว่าเดี๋ยวอาตมาจะภูมิคุ้มกันแย่พอดี ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มันก็ไม่มีปัญหาหรอก มันก็มีธาตุสารอาหารที่สมบูรณ์แบบตามโภชนาการก็ใช้ได้ มันก็ใช้ได้ทุกอย่าง มันมีหมดแหละจะว่าไปแล้ว

_สู่แดนธรรม… ถ้าอาหารรสอร่อยแล้วจะมีผลดีกับพ่อท่านอย่างไรครับ

พ่อครูว่า..มันก็จะกินได้ไม่ทรมาน อาตมากินข้าวบางที 2 ชั่วโมง กว่าจะจบ กว่าจะพอได้ปริมาณ มันไม่ถูกรสอะไรล่อเลย มันก็กินยากไง มันค่อยๆกินให้ได้ปริมาณพอเลี้ยงขันธ์ มันไม่อร่อยเลย มันไม่มีรสอร่อย รสอร่อยมันตายไปจากจิตอาตมา อันนี้อาตมาพูดแล้วก็เหมือนคนดัดจริต เล่นลิ้นทำโก้   อาตมารู้เวทนาของอาตมามันมากเกินไป มันเวอร์ มันเลยเถิด มันควรจะต้องมาเข้าใจ เห็นเขาอร่อยก็อนุโลมกับเขาบ้าง แต่เราไม่ติดแล้วล่ะ ทำอย่างไรก็ไม่ติดแล้ว แต่เขาก็ว่าเขาปรุงมาเต็มที่นะรสอร่อยของเขา แต่อาตมามันทิ้งหมดเลยรสอร่อยของใครก็ทิ้ง อาตมาก็เลยยังไม่เห็นมีอร่อยสักที

_สู่แดนธรรม…อย่างว่าพ่อท่านฆ่าผีหมดแล้ว ผีที่เป็นอารมณ์

พ่อครูว่า… ใช่ มันไม่ผี เทวดาก็ไม่มี จริงๆอาตมาไม่เป็นทั้งเทวดาหรือผี อาตมาเป็นวิสุทธิเทพ เป็นจิตที่วิสุทธิ อาตมาพูดง่ายกับพวกเรา แต่กับคนอื่นเขาจะหาว่าหลงตัวหลงตนเป็นวิสุทธิเทพ

วิสุทธิเทพ คือ ผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว สะอาดบริสุทธิ์หมดทุกอย่าง ไม่มีแม้สุขทุกข์ ไม่มีแม้บาปบุญ วิสุทธิเทพก็คืออรหันต์นั่นแหละ อาตมาก็เป็นอรหันต์จริงๆไม่ได้พูดเล่น ทุกวันนี้อาตมาก็สบาย ไม่ได้มานั่งมังกุ  ไม่ได้เหนียมเขิน พูดด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ พูดธรรมะทุกอย่างสะดวก เพราะไม่ได้ปิดบังอะไรเลย

_สู่แดนธรรม..ถ้าอย่างนั้นมันคงมีผีหลอกชนิดที่ละเอียดลออมากอยู่

พ่อครูว่า… จะให้ผีแปลงตัวเป็นเทวดามาหลอกอาตมาไง ใครจะทำผีเป็นเทวดามาหลอกอาตมาได้บ้าง ก็ลองดูสิ

_สู่แดนธรรม…ผีที่หลอกแบบที่รู้ได้ยากที่สุดก็คือวิสุทธิเทพปลอม อรหันต์ปลอม อันนี้ถือว่าเป็นผีชั้นสูงได้ไหมครับพ่อท่าน

พ่อครูว่า… มันคงไม่ได้หรอก ก็ไม่รู้ล่ะ ก็ลองดูสิ วิสุทธิเทพไม่มีปลอม ปลอมอยู่คุณจะไปเรียกว่าวิสุทธิได้อย่างไร วิสุทธิมันไม่ปลอมแล้ววิสุทธิ เอาพยัญชนะมาเบี้ยวบาลี คุณเอาเก๊ไปใส่วิสุทธิเขาได้อย่างไร อาตมาจึงแยกอรหันต์เก๊ได้ ถึงได้พูดถึงได้บอก ว่าเก๊

เพราะฉะนั้นการฉันมื้อเดียว มีคนค้นพระไตรปิฎกมาให้

รวมพระสูตร ภิกษุฉันมื้อเดียว

1.จุลศีล(เล่มที่ 9 ข้อที่ 1)

2.วิตถตสูตร (อุโบสถ 8 ประการ ) (เล่มที่ 13 ข้อ132)

3.กีฏาคิริสูตร คุณของการฉันอาหารน้อย(เล่มที่ 13 ข้อ 222)

4.กกจูปมสูตร  ประโยชน์ของการฉันอาหารมื้อเดียว(เล่มที่ 12 ข้อ 263)

5.อุโปสถสูตร (เล่ม 20 ข้อ 510 )

6.ภเวสิสูตร (เล่ม 22 ข้อ 180 )

7.พระภัททาลิฉันอาหารหนเดียวไม่ได้ (เล่ม 13 ข้อ 161)

(บอกว่าพระพุทธเจ้าให้ฉันมื้อเดียว พระภัททาลิไม่เห็นด้วยที่ทรงบัญญัติให้ฉัน 1 มื้อ ต่อมาได้ยอมรับ) 

พ่อครูว่า…ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้ฉันมื้อเดียวมีพระสูตรต่างๆที่ได้อ่านไปแล้ว แม้แต่ในจุลศีลก็มีอยู่ชัดๆ แต่เขาบอกว่าไม่มีพระพุทธเจ้าบอกให้ฉันมื้อเดียวมีที่ไหน แม้แต่ศัพท์ที่เขาว่าให้ฉันแต่ที่นั่งแห่งเดียว เขาก็แปลกันก็ยังไม่รู้ ฉันมื้อเดียวนี่ก็เหลือแหล่แล้วชีวิต อาตมานี่ทรมานฉันวันๆหนึ่งกว่า 2 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ มันไม่อร่อยก็เลยฉันไปได้บ้างแต่ก็พยายาม อาตมามันมากไป อาตมาบำเพ็ญมาก จนกระทั่งกลายเป็นยังยากที่จะดึงกลับคืนมา สัญญาณมันดึงกลับคืนยาก ในจุลศีลก็มีบอกว่าฉันมื้อเดียว 

สมณโคดมฉันหนเดียว ไม่ฉันในยามวิกาล ฉันหนเดียวอยู่ในจุลศีล ข้อ 1 พระไตรปิฎกเล่ม 9 

เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นผีหรือเป็นเทวดา ถ้าเข้าใจเทวดาสมมุติแล้วลดความเป็นเทวดาสมมุติ ไม่ไปหลงเป็นจตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา นิมาณรดีอะไรพวกนี้

สวรรค์ก็คือแดนหรือภพของคนที่ยังอวิชชา ยังไม่เข้าใจว่าต้องเลิกสวรรค์นี่แหละคุณจึงจะเลิกนรก เขาก็ไปสอนกันแต่ให้เลิกนรกหรือเลิกทุกข์แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่า เรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นสิ่งเดียวกัน มันก็เลยไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางจะหลุดพ้นอะไรได้ พวกเราเรียนดีๆเทวะแยกให้ออก มันแยกไม่ได้ 2 อย่างนี้ สุขกับทุกข์ หรือแม้แต่กายเรื่องภายนอกภายในก็แยกไม่ได้ เรียกว่าเทวะแปลว่า 2 เพราะฉะนั้นจะมาแยก 2 ได้ต้องเข้าใจว่าอาการ 2 อยู่ใน 1 สุขเป็นหนึ่งหรือทุกข์เป็นหนึ่ง แต่สุขทุกข์มันอยู่ด้วยกัน เผลอไม่ได้ เผลอปั๊บมันเป็นมายาหลอกเลย ต้องสิริมหามายา ผู้ใดทำจิตให้เป็นสิริมหามายาได้ เท่ากับผู้นั้นเป็นสิทธิธัตถะ สิริมหามายาก็เป็นสิทธัตถะ ทำจิตตัวเองให้เกิดเป็นสิทธัตถะ สิทธัตถะคือผู้ที่เลิกกิเลสตัณหาได้หมดสำเร็จแล้ว เป็นผู้สำเร็จในสิทธัตถะในเรื่องของกิเลส ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะมาเป็นสิริมหามายานี่ คุณจะอยู่กับสุขกับทุกข์ คุณจะอยู่กับโลกเขานี่อย่างอนุโลมปฏิโลม ได้เหมือนเล่นกล แต่ไม่เล่นกลหลอกคุณมีอยู่จริง คุณอนุโลมกับเขาได้ อย่างอาตมาอนุโลมกินอร่อย อาตมาว่าอาตมาไม่ติด เพราะเป็นสิริมหามายา มีสิทธัตถะอยู่กับตัวแล้ว สิทธัตถะคือผู้ที่สำเร็จแล้วในการทำกิเลสตัณหาออกหมด นี่แปลภาษาให้ฟังไทยๆง่ายๆ

_สู่แดนธรรม...แปลว่าผู้มีความสำเร็จในประโยชน์อยู่

พ่อครูว่า…ก็ได้ เป็นผู้ที่หมดแล้วเรื่องกิเลสตัณหาของท่าน เป็นผู้ที่สำเร็จหมดแล้ว 

ผู้สำเร็จประโยชน์อะไร ในคนเรามีประโยชน์อย่างยิ่งอะไร คุณไปล่าลาภ ได้ลาภเยอะเป็นประโยชน์ โอ้..คุณจะหลงอยู่อีกนาน อีกกี่ชาติไม่รู้ น่าสงสารคนที่มาบวชเป็นภิกษุ ได้ลาภมาโดยการครอบงำเขา ขออภัยนะพูดชัดๆหลอกให้เขามาทำทานบริจาค หลอกให้เขามาบริจาค  รวยลาภยศเละเลย  มหาบัวนี้ยังดีอยู่อย่าง หลอกให้เขามาทำทาน แต่ไม่เอามาไว้เป็นของตัว แต่เอาไปฝากไว้ในคลังของประเทศเป็นดอลลาร์บ้าง เป็นทองคำบ้างเต็มประเทศ มหาบัวติดไปเป็นตัวกูของกู สมบัติของประเทศ ข้าเป็นคนหาเข้าคลังนะ มหาบัวไม่อยู่หรอก เป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าทรัพย์ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ภาคภูมิใจมากแล้วได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเพราะทำงานอันนี้ จนกระทั่งสถาบันหลักเชื่อมโยงเลย ซึ่งมองในโลกียะก็ดูดี แต่มองในโลกุตระแล้วเนี่ย มหาบัวก็บอกว่าหลงกระทั่งเป็นอรหันต์ เพราะโลกียะพวกนี้ครอบงำจิตตัวเองว่าตัวเองทำสำเร็จยิ่งใหญ่ แล้วไปหลงหลับตาแล้วปึ้งบรรลุ แล้วจำวันที่เวลาบรรลุได้ด้วยนะ ซึ่งมันเป็นเดียรถีย์แท้ๆเป็นเรื่องของโลกโลกีย์ ขอย้ำอีกทีว่า หยุด อวิชชาเป็นผี อย่าไปหลงผีเป็นเทวดา หยุด ไปหลงนั่งหลับตานั่นน่ะไปเมืองผีแล้วไปหลงว่าเป็นเทวดาเหมือนอย่างมหาบัวหลงแล้วก็นั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ทั้งนั้น แล้วจะหลงเช่นนี้ก็เป็นตัวอย่างกันอยู่นี่ ขออภัยอาตมาวิพากษ์วิจารณ์หนัก ก็เอาก็วิพากษ์วิจารณ์มานานแล้วไม่อยากให้เป็น

อาตมาสงสารก็เห็นอยู่ว่าตกอยู่ในวัฎสงสาร จมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิและอวิชชาอยู่ ใครจะกล้ามาว่ามหาบัวอย่างนี้บ้าง ว่าออกอากาศถ่ายทอดไปทั่วโลก ขอบคุณมหาบัวที่อาตมาบังอาจไปหยิบมาเป็นตัวอย่างในการใช้อธิบายธรรมะ เพราะพฤติกรรมปรากฏการณ์จริงอยู่ในสังคม อาตมาไม่ได้พูดลอยลม พูดมีเหตุปัจจัยจริงอ้างอิงได้ เพราะอันนั้นมันผิด ไม่ได้ชังมหาบัว อาตมาสงสารมหาบัว ไม่ได้ข่มคุณเพื่อจะยกตัวเอง อาตมาไม่ต้องยกตัวเองเลย เพราะยกอย่างไร เขาก็ไม่ขึ้นให้หรอก สัจธรรมเท่านั้นถ้าคุณเห็นสัจจธรรมที่อาตมา คุณจะเข้าใจ

สมณะเดินดิน…ผี มีพระสูตรอธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พ่อครูพูดนี้สัมพันธ์กับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เรื่องสังวาสสูตร พูดถึงเรื่องผัวผีเมียผีอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวนี้เขาใช้คำว่าสามี สามีในโลกนี้ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ดื่มสุราเมรัย เป็นคนทุศีล มีบาปทำ มีใจอันมลทิน มีความตระหนี่ครอบงำ มีข้อสุดท้ายแถมด้วยว่า ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อันนี้คือผัวผี ความจริงตัวเองเป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ อันนี้ก็แย่อยู่แล้ว ยังด่าว่าสมณะพราหมณ์ เห็นว่าเป็นผีทิฏฐินี่น่ากลัวมากเลย

 ส่วนผัวผีเมียผีก็เหมือนกัน ภรรยาเขาก็ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม ด่าบริภาษสมณะพราหมณ์ นี่ถ้าอยู่ด้วยกันผัวก็ผีเมียก็ผีก็เรียกบ้านผีสิง บางทีได้ยินเสียงตูมตามตูมตามก็ให้ได้รู้ว่า มีผีสิงอยู่ ที่พ่อครูมาสอนนี่ตรงในพระไตรปิฎก

ในพระไตรปิฎกก็ระบุไว้อย่างนี้แหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ถ้าเป็นผัวก็ผัวผี ถ้าเป็นเมียก็เมียผี แถมอีกว่า ตัวเองทำผิดยังไม่พอ ยังด่าบริภาษสมณพราหมณ์อีก ทำบาปอยู่แล้วยังไปด่าบริภาษให้ซ้ำบาปลงไปอีก

พ่อครูว่า… อาตมาพูดศีลข้อที่ 1 พูดอยู่แค่นี้แต่ที่จริงอาตมาสอนอภิธรรม ผู้ปฏิบัติศีลเรียนรู้เรื่องศีลและปฏิบัติศีลได้ผลเรียกว่า อานิสงส์ของศีล 10 ประการ  ในกิมัตถิยสูตรข้อที่ 1  

การได้อานิสงส์ 10 ของศีล 

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ 

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 

6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส) 

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208) 

พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าอธิบายว่าศีลมีอานิสงส์ถึงจิต อานิสสงส์ของการปฏิบัติศีลไม่ใช่ได้แค่กายกับวาจา คุณเลิกได้คุณจะไม่เดือดร้อนเนื้อร้อนใจ อวิปฏิสาร คุณจะเห็นสัตว์เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นจริง ไม่เอามาค้าขาย มาหลอก มาล่อ มาปรุงแต่งกินกันเข้าไป มอมเมากันเข้าไปจนกลายเป็นโรค เป็นภัย เป็นพิษ เห็นโทษภัยในสิ่งเหล่านี้ 

ต่อมาผู้ที่มีอานิสงส์ได้ก็จะมีปามุชชะมีความยินดี เราหลุดพ้นไม่ละเมิด จิตก็จะพัฒนานี่เรียกว่า เป็นอานิสงส์ของศีล สัมมัปทาน 4 สติปัฏฐาน 4 ในการปฏิบัติศีล

เอาข้อเกี่ยวกับสัตว์นี่แหละ คุณก็เอามาระวังกาย เวทนา จิตธรรมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์คุณจะเอามาทำอะไรถ้าไม่เอามากิน เอามาพิจารณาละเลิก เลิกได้ไม่เดือดร้อน ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่เกี่ยวกับสัตว์ ไม่ต้องมารักมาชัง มาค้ามาขาย ผู้ที่เลิกมาได้แล้วจิตไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์ศีลข้อที่ 1 จิตยินดีสูงส่งขึ้นไปเป็นปิติอิ่มเอมใจ เกิดความสงบปัสสัทธิ สงบเพราะกิเลสของคุณลด ไม่ใช่สงบเพราะไปสะกดจิต ไม่ใช่ไปนั่งสมถะ ไม่ใช่หนีจากของจากคน..ไม่ใช่

มันมีสุข 2 อย่าง สุขอย่างที่กิเลสลด นี่คืออุปปัติเทพไปถึงวิสุทธิเทพ ไม่ใช่สุขที่ไปเสพสุข เสพทุกข์ อยู่แบบสมมติเทพ ไม่ใช่ สุขที่ลดลำดับเหตุแห่งทุกข์หมด วิสุทธิก็หมดสุขหมดทุกข์เลย อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นเมื่อปัสสัทธิ เมื่อสงบแล้วจิตจึงตกผลึกจิตสะอาดแบบนี้นะแบบกิเลสลดนะ สมาธิเป็นประมุขของจิต เป็นประมุขเพราะจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิโตเป็นเจโตปริยญาณ 16 รู้จักกิเลส ราคะ โทสะ โมหะแล้วทำให้กิเลสลด เป็นสมาหิตตัง เป็นวิมุตติ อวิมุตติ จึงเป็นจิตตั้งมั่นที่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่จิตตั้งมั่นแบบเดียรถีย์ ดาบสทั้งหลายแหล่ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ เป็นจิตตั้งมั่นที่เป็นสมาหิโต เกิดรู้มีเจโตปริยญาณ 16 เลย นี่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า

ยถาภูตญาณทัสสนะ รู้รอบรู้ถ้วน รู้ยิ่งในความจริง นิพพิทาก็เกิด  วิราคะก็เกิด  สุดท้ายวิมุตติญาณทัสสนะ นี่คืออานิสงส์ 10 ประการของการปฏิบัติศีล 

เพราะฉะนั้นใครที่ปฏิบัติสอนกันอยู่ ควบคุมกายวาจาที่ผิด ถ้าจะทำสมาธิก็ไปหลับตาทำ ศีลก็ควบคุมกายวาจา เขาอธิบายกันอย่างนี้มันตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าตรงไหนล่ะ อนุสาสนีปาฏิหารย์ เห็นไหมว่ามันเพี้ยนผิดกันไปไกล ไปแยกศีลกับสมาธิของพระพุทธเจ้าออกจากกัน ผิด  ศีลทำให้เกิดสมาธิก็ชัดเจนอยู่ในอานิสงส์ 10 ประการ สมาธิเกิดจากการปฏิบัติศีล ข้อ 6 นะ สมาธิ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการนั่งสะกดจิต ขอย้ำอีกตีหัวเข้าบ้านอีก นั่งหลับตาเลิกได้แล้ว มันผิด มันเดียรถีย์ มันเสื่อมหนักจริงๆศาสนาพุทธ อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร

_สู่แดนธรรม...แสดงว่าลำดับขั้นทั้ง 10 ข้อเป็นเหตุเป็นผลส่งกันมาเรื่อยๆ 

พ่อครูว่า… สมาธิเกิดจากการปฏิบัติธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างนี้ต่างหากที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เพราะฉะนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นความเสื่อม

อาตมาก็ต้องพูดไปปากเปียกปากแฉะ คนที่ไม่รู้ก็ไปค้านแย้งกับคำสอนอาจารย์ของเขา เขาก็หาว่าอาตมาเป็นอะไร มันน่าสงสารเขาไม่รู้จริงๆ ไม่ได้โกรธเคืองอะไร

สมณะเดินดิน สรุปจบ มีผู้แยกไว้ว่าศีลต้องไปที่สันติอโศก สมาธิต้องไปที่ธรรมกาย และปัญญาต้องไปที่สวนโมกข์ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2566 ( 15:59:23 )

660623

รายละเอียด

660623 ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใครตรงที่...คนทำตามบรรลุได้จริง พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53245.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/19Mf-xW6EuFZULuH1UbhV00ZhrTrkTAm0/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/17cQOZbaEQ1ZsmbetCHsU12DEkUjvL5jk/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XPdMR0FKCv4 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/794974935346174 

 

สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  

ตอนนี้ถ้าเราติดตามข่าวคราวของสังคมจะมีข่าวคนตายดังอยู่ 2 ข่าวคือข่าวคนตายในมหาสมุทรกับคนตายในโรงพยาบาล คนตายในมหาสมุทรคือเรือดำน้ำที่ไปดูเรือไททานิค เรือดำน้ำถูกแรงดันอากาศกดให้แตกระเบิดคือความกดอากาศใต้น้ำมันสูง เขาสำรวจมันแตกกระจายคนก็ต้องตาย เพราะแรงกดใต้น้ำทำให้เรือแตก คนที่ไม่ไปเขาบอกคุณภาพไม่เพียงพอบางคนก็กลัวเลยไม่ไป ก็โด่งดังไปทั่วโลก 

แต่คนที่ตายโรงพยาบาลศิริราชคือผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากรเป็นผู้ว่าตงฉิน ขณะอยู่โรงพยาบาลก็ทำงานตลอดเวลาอายุ 58 ปีเป็นผู้ว่าที่คอยช่วยเหลือ 13 หมูป่าที่รอดมาได้ ขยันทำงานเต็มที่เป็นบุคลากรราชการคนไทยที่สำคัญทีเดียว ที่ทำงานเพื่อประชาชนแล้วก็เป็นผู้อำนวยการจิตอาสาในจังหวัดนั้นๆ ชีวิตสองคนจะต่างกันพวกเศรษฐีร่ำรวยมีเงินมากมายล้นฟ้าไม่รู้จะไปไหนก็เลยไปเที่ยวดูเรือใต้ทะเล คนรวยไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร แต่ถ้าให้ประชาชนหรือจะบริจาคพวกนี้จะไม่ให้แต่ถ้าไปเที่ยวไปได้เสียสละไม่เอา อีกคนก็เป็นคนเสียสละทำงานเพื่อประชาชน โลกนี้ก็มี 2 ฝั่งคู่กัน  ฝั่งคู่กันใน ฝั่งคู่กันในประเทศไทยโชคดีที่มีคนเสียสละ

ถ้ามีสิ่งเลวร้ายสุดๆในยุคนี้ ก็มีสิ่งดีที่สุดคือพระโพธิสัตว์ คนก็เทียบกันว่าจะเอาอันไหน คนฉลาดก็จะเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุด คนโง่อวิชชาก็จะเลือกเอาสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไปกับตัวเอง แล้วแต่วิบากกรรมจะจัดสรรก็เลือกเอา วันนี้เรามาฟังธรรมจากคนที่ดีที่สุด

 

 พ่อครูว่า… เริ่มต้นด้วย SMS ตามธรรมเนียม วันนี้มีคนเอาทุเรียนมาถวาย จัดอยู่ที่หน้าเวที บอกว่าเอามาถวาย 40 ลูก 100 กิโลกรัม ถ้ากิโลละ 5 บาท  500 เชียวไม่ถึงหรอก จริงๆกิโลกรัมละเท่าไหร่ (มีคนบอกว่า 180 บาท) อันนี้อะไรภูเขาทองเหรอ ไม่ใช่ก้านยาว ก้านยังไม่ยาว ชะนีหรือเปล่า หมอนทองหรือชะนี อาตมาไม่ค่อยรู้จัก ได้แต่กิน เขามาถวายก็กินไป เมื่อวานนี้หรือวันนี้ทุเรียนก็ปลาร้าๆหน่อย ก็กินไป 

 

_ดิฉันนางสงวน ทองกล่ำ :ฟังพ่อครูเทศน์ทุกวันกินมังสวิรัติ ขอนำทุเรียนมาถวาย 40 ลูก

พ่อครูว่า…สาธุ นายอ้วนกับนางสงวน ทองกล่ำ มันสุกหรือยัง ถ้าสุกแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ

 

SMS วันที่ 21-22 มิ.ย. 2566

พ่อครูกับอิทธิบาทในการฉันอาหาร

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการค่ะ.ได้ยินคลิปพ่อท่านคุยเรื่องฉันอาหารนานเป็น 2 ชั่วโมง ได้ยินแล้วเข้าใจเพราะพ่อวิมุตเรื่องรสชาติอาหารเป็นอรหันต์ในเรื่องนี้ แก้ไขต้องค่อยฝึกฉันอาหารที่มีรสที่เข้มขึ้นๆค่อยฝึกใหม่ครบทุกรส อาจจะดีฉันได้ไวขึ้น และมากขึ้น ขออภัยที่แนะนำพ่อท่าน เป็นความเห็นส่วนตัวค่ะ กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า…เรื่องนี้ไม่ปรากฏกับตัวก็ไม่เข้าใจ ปรากฏกับตัวเองเราก็ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งลดรูปรสกลิ่นเสียง รู้แต่รสที่เป็นความจริงตามความเป็นจริง มันก็ทำได้จนกระทั่งมันเลิก มันจะเลยเถิดไปหรือเปล่า คือจนกระทั่งมันก็เฉยๆกับการกิน ที่จริงมันรู้สึกไม่หิว ไม่อยากมาหลายสิบปีแล้ว มันหมดความหิว ความอยาก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาฉันก็ฉันเลี้ยงขันธ์ไป จนมาถึงบัดนี้อายุก็มาก  ร่างกายไม่ค่อยอยากรับอาหารแล้ว คือมันจะไป แต่เราก็เห็นว่ามันควรจะยืดอายุไปหน่อยน่า ทำงานไปก่อน ลองใช้อิทธิบาทดู พยายามฝืนอายุขัยต่ออายุขัยด้วยอิทธิบาท พยายามพูดมาหลายที มันก็ได้จริงๆ มันยิ่งนานก็ยิ่งเหนื่อย นี่นอนตั้งแต่ 2 โมงหรือ 3 โมง จนเขาบอกว่าได้เวลาเทศน์แล้วก็มา 

คนเราก็เท่านี้แหละ รู้แล้ว สุดท้ายมันก็ดูดหรือผลัก นี่มันค่อนข้างจะผลัก เราก็พยายามวางใจไม่ให้ผลัก ควรรับก็รับไป มันก็เลยไม่มีแรงดูดอะไรเลยก็ต้องพยายาม กินก็พยายาม มันก็คงฝังอยู่ในอนุสัยอาตมานะ ทำงานก็เขียนหนังสือหรือแม้แต่เทศน์ ไม่รู้สึกยากแต่มันง่าย เทศน์แล้วก็เพลิน เขียนแต่หนังสือธรรมะเท่านั้น จนเขาต้องเตือนต้องบอกให้ไปนอนไปนอน ก็ต้องไปนอนไปพัก  ก็ดี ชีวิตเกิดมาก็ยิ่งรู้ว่าเกิดมาไม่มีอะไร กินอยู่หลับนอนชีวิต เสร็จแล้วเราจะต้องทำงาน รู้เพียรรู้พักตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อัปปัตติฐัง อนายุหัง รู้พักรู้เพียรแล้วเราก็จบ

 

_ไพโรจน์ อรรคสีวร  · น้อมกราบนมัสการ สมัครปรุงอาหาร ให้พ่อครูฉันได้อร่อย ฉันได้มากขึ้น ได้ธาตุอาหาร บำรุงกายขันธ์ ที่พ่อครู จะอยู่ทำงาน ได้นานๆ ครับ

พ่อครูว่า… คุณไพโรจน์ก็เคยทำอาหารมาถวายแล้ว อาตมาก็รู้สึกว่ากินยาก มันจัดๆไปในเชิงอย่างไรก็ไม่รู้ ฉันยาก ก็ขอบคุณที่จะมาช่วย ตอนนี้ก็พออยู่แล้วล่ะ เยอะ ต้องเบรคต้องกันไว้ ไม่งั้นมันจะมากเกินก็ขอบคุณ

 

กินอย่างไม่ดูดไม่ผลัก รู้ความจริงตามความเป็นจริง

_ไผ่แก้ว นาวาบุญนิยม · กราบขอบพระคุณพระโพธิสัตว์แทบเท้าของท่าน ท่านเทศน์เรื่องความไม่เมตตา ดิฉันกำลังมีวิญญาณผีอยู่พอดีค่ะ ถอยหลังซ่อมแซมตัวเองด่วนๆค่ะ

พ่อครูว่า… พวกเรานี้เข้าใจจิตเจตสิก มันเป็นอาการอย่างไร อ้อนี่กำลังเป็นจิตที่ไม่ดี จิตเป็นผีที่ไม่เมตตา เมตตาเป็นกุศล เป็นความประเสริฐ มันไม่มีก็เลยตีราคาว่าเป็นผี นี่แหละเราเรียนรู้ธรรมะ แล้วเราก็เข้าใจจิตเจตสิกต่างๆ อะไรไม่ควรเราก็ปรับปรุงมัน ทำได้ตามต้องการ ก็เป็นผลสำเร็จในการปฏิบัติธรรม จนกระทั้งรู้จักภาวะที่ปรุงแต่งอยู่ ความรับรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบสัมผัส ใจเราเป็นตัวรับรู้ ก็ปรุงจิตวิญญาณ ปรับเรียกว่าอภิสังขาร 1 ให้มันไม่มีกิเลสที่จะบำเรอตน มีกิเลสผลักกับกิเลสดูด ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงซึ่งมันละเอียดลึกซึ้ง 

กว่าจะปรับได้ว่าให้มันลงตัว มันไม่ผลักไม่ดูด มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเราก็จะว่าจิตถึงยินดี มันก็ถึงยินดี แต่อย่าให้มันแรงถ้ายินดี ถ้ามันแรงเกินมันก็ไม่เข้าท่า ก็ให้เห็นว่าเออมันมีความพอใจมันก็ยังเบิกบานร่าเริงอิ่มเอมอยู่ก็พอแล้ว 

นี่แหละการเรียนรู้มันก็สบายอยู่กับชีวิตการงาน เรียนรู้กับลาภยศสรรเสริญ การงานต่างๆ พวกเราหมดโลกธรรมแบบลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขแบบโลกๆที่บำรุงมีลาภแล้วก็สุข มียศก็สุข สรรเสริญก็สุข หรือว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่สุขหยาบๆ เราก็น้อยลงๆ เราก็เป็นอารยะเจริญจริง เป็นอริยบุคคลจริง ชีวิตก็ชัดเจน 

อย่างอาตมาพาพวกคุณปฏิบัติมาวันนี้เห็นชัดเจนสอดคล้องกับหลักของพระพุทธเจ้าสาราณียธรรม 6 พระพุทธพจน์ 7 ธรรมะต่างๆหมวดต่างๆมีผลไม่ใช่มีแต่พยัญชนะของพระพุทธเจ้าที่ตรัส มีภาวะที่พวกเราทำได้ อันนี้คือผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดเลยที่อาตมาเกิดมาชาตินี้ ไม่ได้อะไรเลยหรือที่เคยได้มาก็ช่าง สู้อันนี้ไม่ได้เลยสุดประเสริฐแล้วชีวิตก็ยินดีชีวิตที่ได้มีประโยชน์ขนาดนี้

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ผมได้ทราบมาว่า หลานหยกเด็กพวกสามนิ้วทำกิริยาไม่เหมาะสมต่อสังคมไทย เพราะมีผู้ใหญ่ไม่ดีคอยเสี้ยมอยู่เบื้องหลังจนทำให้หลานหยกติดคุกมาแล้ว และคุณแม่ของหยกได้ออกมาเปิดเผยเปิดใจต่อสังคมโดยผ่านสื่อ tiktok ว่าผู้ใหญ่ที่ไม่ดีอยู่เบื้องหลังไม่ควรกระทำ สมควรที่จะเป็นคุณแม่ตัวอย่างที่ดีท่านหนึ่ง ผมเห็นว่ายังมีพ่อแม่เด็กพวกนี้อีกไม่น้อยที่ไม่ได้ออกมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมเช่นนี้ ผมอยากกราบเรียนพ่อท่านได้ให้ธรรมะแก่ผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่ดีนี้ด้วยครับ และที่สำคัญผมอยากฝากความคิดเห็นถึงพระสงฆ์หมู่ใหญ่ที่อยู่ในสังคมปัจจุบันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทำหน้าที่อย่างไรและคณะพระสงฆ์หมู่ใหญ่ท่านได้ทำหน้าที่อย่างไรบ้างเกี่ยวกับสังคมโลกกำลังลุกเป็นไฟ พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ 

คงไม่ใช่หน้าที่ของท่านดอกน่ะ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…เขาฟังอาตมาหรือ อาตมาก็ให้สัมมาทิฏฐิ ให้ความรู้ที่จะเรียนรู้ไปปรับตัวนี้แหละ เขาฟังก็ให้อยู่แล้ว รับสิ

ก็เป็นเจตนาดีของพวกเราเองก็ตามว่าผู้ที่มาบวชแล้วก็ทำหน้าที่ อย่างพวกเราที่มาบวชก็ทำหน้าที่อย่างภิกษุหรือสิกขมาตุ ก็ทำหน้าที่ไป อาตมาก็ว่าอาตมาประสบผลสำเร็จที่ให้พวกเรามาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า มาบวชแล้วก็เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อโลก มี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จริงๆนี่เป็นเครื่องชี้บ่งมีอายะ 3 เป็นเครื่องชี้บ่งในชีวิต ว่าเออ คุ้มดีแล้ว ประเสริฐแล้ว

_สมบูรณ์ แซ่โง้ว . หลังจากล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ผู้ป่วยกินอาหารได้น้อยมาก คำสองคำเป็นปกติ มีอยู่วันหนึ่งไม่กินอะไรเลย คราวหนึ่งเจออาหารที่ชอบจะกินได้เป็นชามแต่ก็ครั้งเดียวเท่านั้น เขามีศรัทธาในตัวพ่อครู ขอพ่อครูพูดให้กำลังใจเขาด้วย เผื่อว่าเขาจะกินอาหารได้เพิ่มขึ้น สังเกตดูว่าเขาอยู่ในภาวะถดถอย อาหารคงไม่พอเลี้ยงร่างกายเลี้ยงสมอง ทำให้บางครั้งมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเอาแต่ใจตัวเอง ขอบคุณครับ

พ่อครูว่า…แซ่เดียวกับอาตมาเลย  ให้คนที่กินอาหารไม่ค่อยได้ไปช่วยคนที่กินอาหารไม่ค่อยได้เหมือนกันเนาะ เอา สู้ๆไปด้วยกัน  กินให้ได้ ให้ได้ ให้ได้ เผื่อว่าเขาจะกินได้มากขึ้น

เขาฟังอาตมาอยู่ไหมล่ะ ไม่ฟัง คุณเอาไปพูดก็คงได้แค่นั้น ชวนเขามาฟังที่อาตมาพูด..เอ้า… คนเราก็ต้องกินอาหาร ถ้าไม่กินอาหารไม่ได้หรอก ชีวิตก็ต้องกินอาหารเลี้ยงขันธ์ตามควร ถ้าไม่งั้น ถ้าลดไปเรื่อยๆมันก็แห้งลงแห้งลง สุดท้ายก็ตาย ถ้าคนที่เขาอยากให้เราอยู่ เขาก็ให้อาหารเลี้ยงดูก็อยู่ไปกินไปพยายามไป ถ้าเราไม่มีประโยชน์แล้วคนเขาก็ไม่อยากให้กิน เดี๋ยวมันก็ไปเองล่ะ ก็อยู่ไปตามควร

_สายันต์ ธนานันท์  #แรงบันดาลใจ inspiration... 

ก็มาต่อกันถึงเรื่องแรงบันดาลใจ ของป้าพอ ป้าเป็นเด็กเกเรมากถึงมากที่สุด เพราะคิดว่าความเอาแต่ใจตนเอง และ เกรี้ยวกราด คือ ความเท่มีคนให้ความสนใจ เพราะได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเด็กก้าวร้าว  มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด เหมือนที่เคยเขียนก่อนหน้านี้เรื่อง #นักโทษ ป้าจะโทษคนอื่นหมด ตัวเองถูกอย่างเดียว การที่เรามีความสามารถมาก ๆ เป็นการกระตุ้นแรงขับของ #อิด สัญชาตญาณความเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักการควบคุมตัวเอง

พ่อครูว่า… คำว่า ISH ตัวนี้มันลึกซึ้งออกเสียงเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า อิช คำเต็มมันคือ ISH 

I คือตัวฉัน S คือ ลักษณะของเพศหญิง SHE  H คือ เพศชาย HE 3 อย่าง จริงๆก็คืออิช

ผสมกับคำว่า Self  คำว่า Self ก็แปลว่าตัวเอง Selfish นั่นแหละคือตัวเนื้อแท้ ความเห็นแก่ตัวเป็นตัวที่เห็นแก่ตัวอย่างแรงกล้าเลยนี่คืออิช นี่ก็ขยายความนิดหน่อยตามประสาตามที่อาตมามีภูมินิดหน่อย ความเห็นแก่ตัวเป็นสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ ถูกต้อง

คนที่เจริญก็คือคนที่ลดความเห็นแก่ตัว อาการมันเป็นอย่างไรก็ต้องรู้แล้วก็เลิก อะไรที่มันขับดันอาการกายวาจาใจเห็นด้วยปัญญา มันก็จะลดกิเลสพวกนี้อย่างจริง 

_เมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเองเพราะในสังคมครอบครัวบีบบังคับให้ต้องเป็นเช่นนั้น บุคคลทั่วไปในสังคมเห็นว่าการได้อย่างที่ใจต้องการคือความประเสริฐ 

พ่อครูว่า…ใช่ บำเรอกิเลสมันจะประเสริฐตรงไหน คนที่เข้าใจผิดทำอะไรได้ดั่งใจตัวเองว่าเป็นความประเสริฐคือมิจฉาทิฏฐิ ไม่ต้องไปบำเรอใจ ไม่ต้องได้อะไรดังใจ เรายินดีเสียสละไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเอง  ไม่ต้องเอาอะไรมาบำเรอใจนี่คือความประเสริฐ มันกลับกันตรงกันข้ามกัน  

_เป็นโชคอันมหาศาล 

พ่อครูว่า…เป็นเคราะห์ร้ายไม่ใช่โชค

 _ทุก ๆ คนเลี้ยงลูกมาก็สอนให้เห็นแก่ตัวตั้งแต่แรกเกิด เราจะเห็นความวุ่นวายในสังคมอยู่เนือง ๆ เนื่องจากการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อมีการกระทำใด ๆ เราย่อมถูกเสมอ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดเพราะสิทธิมนุษยชนที่พูดกันโดยนักวิชาการที่มีอคติ เอาตัวเองเป็นใหญ่ สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกแห่ง โดยไม่เคยพูดถึงหน้าที่ สังคมจึงเกลื่อนก่นไปด้วยการเรียกร้องสิทธิ์

พ่อครูว่า… เรียกร้องด้วยความเห็นแก่ตัวทำอะไรก็เรียกร้องสิทธิ์สิทธิฉัน ทำไม ก็ไปอยู่ป่าโน่น มาอยู่ทำไมในเมือง เขามีกฎ มีเกณฑ์ มีวัฒนธรรม มีอะไรเหมาะสมควร ไม่บำเรอตนเอง ไม่เอาอะไรใส่ตน ศาสนาพุทธเราเรียนเรื่องนี้ดีสุดยอด

_ป้าเป็นคนที่เคราะห์ดีมาก ๆ ที่ประสบเหตุการณ์กับชีวิตเมื่ออายุเพียงแค่ 34 ปี ก็เกิดวิกฤตกับชีวิตอย่างรุนแรง จนต้องหันหน้าเข้าหาศาสนา ถ้ายังดึงดันต่อไป ป้าก็คงจะเหมือนคนทั่วไปที่แยกทางกับสามีแล้วหาใหม่ แล้ว ๆ เล่า เหมือนกับพวกดาราที่เปลี่ยนสามีเหมือนเปลี่ยนผ้าอนามัย สังคมก็เห็นด้วยกับการไม่ต้องทนกับความไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งต่างกับอดีตโดยสิ้นเชิง สมัยโบราณจะไม่ยอมรับหญิงหลายผัว เพราะเป็นแบบอย่างที่ชั่วช้ามาก ๆ เนื่องจากหญิงมีมดลูกสามารถตั้งครรภ์ได้ทุกเมื่อ การที่เด็กที่เกิดมาจะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อมีโอกาสสูงมาก 

พ่อครูว่า..นี่พูดในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง รายละเอียดชัดเจนไม่ขยายความแล้ว นี่เป็นความคิดที่ดีถ้ารู้ตัวอย่างนี้ซะมากมาย สังคมก็จะไม่สำส่อน ไม่วุ่นวายในเรื่องพวกนี้กัน

_การได้พบพระพุทธศาสนาคงไม่ใช่เป็นความบังเอิญ เพราะเมื่อป้าได้ศึกษาธรรมะ ป้าก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนหลวงพ่อที่ป้าเข้าไปมอบตัวเป็นศิษย์ บอกว่าของเก่ามันมาก ท่านแทบไม่เคยสอนธรรมะกับป้าแบบเป็นเรื่องเป็นราว เพราะท่านบอกว่าท่านยังเกิดอีก แต่ป้าอธิษฐานชาติสุดท้ายเมื่อได้พบคำสอน และมีความตั้งใจมั่นที่จะปฏิบัติให้มีดวงตาเห็นธรรมแห่งความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

เมื่อมีโอกาสได้ทำตามปณิธาน ป้าก็หาทางอย่างสุดความสามารถ การปลูกป่าเป็นความตั้งใจมั่นของป้า แม้จะประสบอุปสรรคนานาประการ ป้าก็ยังคงที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้คนปลูกต้นไม้ ถึงแม้จะไม่ได้ผลใด ๆ เลย ป้าก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้อกล้าไม้ไปให้เขาปลูก เพาะกล้าไม้ให้กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ซึ่งใคร ๆ เมื่อจะปลูกต้นไม้ ก็จะไปขอที่ป่าไม้ แต่ป้าเพาะกล้าไม้ให้ป่าไม้

ไม่คาดฝันว่าสิ่งที่ทำจะถึงวันที่ได้ดั่งความตั้งใจ แหล่งศึกษาเรียนรู้เรื่องป่าของป้าสำเร็จแล้ว พร้อมที่จะให้ทุกคนบนโลกใบนี้ได้เรียนรู้เรื่องประโยชน์ที่นับเป็นตัวเลขไม่ได้ของป่า เรื่องทางโลกป้าถือว่ามันเป็นความสำเร็จตามประสงค์แล้ว แต่ทางธรรมคงต้องใช้เวลาอันยาวนาน ป้าจะไม่เกิดในคราบของปุถุชนอีกแล้ว จะไม่หมกมุ่นในกามคุณทั้ง 5 อีกต่อไป ถึงแม้จะตัองเกิดแล้วเกิดอีก ป้าก็จะมุ่งหน้าสู่ความไม่เกิดอีกในทุกภพทุกชาติ

ขอปฏิญาณตนเป็นพุทธสาวก เป็นลูกพระโพธิสัตว์ #พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ทุกภพทุกชาติ เพื่อเป็นบริวารในการยังศาสนาให้อยู่ครบ 5,000 ปี ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าหมู่กลุ่มก็จะดำรงค์ชีวิตแบบชาวอโศกไปอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง ชาวอโศกต้องเป็นคนจนที่มีแต่การให้ มีแต่การขัดเกลากิเลส ไม่หลงในลาภสักการะใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อทำให้กิเลสหมดไป เข้าถึงการปรินิพพานในที่สุด(เป็นปริโยสาน)

พ่อครูว่า..ชัดเจนๆ ลงท้ายชีวิตก็มีแต่ให้ มีแต่เสียสละนี่สุดยอด

ต้องเป็นคนมีจิตอาริยะจึงจะอยู่กับหมู่ชาวอโศกอย่างเป็นสุข

_สู่แดนธรรม . กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพครับ  วันนี้ผมขอลางานพ่อครูหนึ่งวัน ไปงาน 33 ปีศิษย์เก่าศีรษะอโศก   และผมขอเสนอประเด็นหนึ่ง ตอนที่พ่อท่านเคยพูดว่า ต่อไปประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจในฝ่ายพระคุณ แสดงออกโดยความเมตตากรุณา มีความเอ็นดู  และพ่อท่านก็มักตอกย้ำถึงองค์ธรรมอันครอบคลุมศีลข้อที่ 1 มีความเมตตา มีความเอ็นดูและหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง  ผมก็นึกอยากรู้จักว่า สภาวะความเอ็นดูนั้น มาจากคำว่าอะไร 

ปรากฏว่า มาจากคำว่า ทยา และทยาปันนะ ครับ  ทยา แปลว่า เอ็นดู เห็นอกเห็นใจ ส่วนทยาปันนะคือ การบรรลุเข้าถึงการมีเมตตากรุณา  ซึ่งดูไปแล้ว คำว่า ไทย, คนไทย ก็น่าจะมาจากคำว่า ทยะ หรือ ทยา ที่มีการบรรลุเข้าถึงความเมตตากรุณาปรานี นี่เอง  ซึ่งสภาวะนี้ย่อมมีความลึกซึ้งต่อผู้อื่นยิ่งกว่าคำว่า ไท ที่เป็นอิสระไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใครเสียอีก  พ่อท่านเห็นด้วยไหมครับ

พ่อครูว่า… ทยา อันนี้เป็นรากศัพท์ของความเอ็นดู เข้าถึงความเอ็นดู อันนี้เป็นรากศัพท์ที่มันเป็นชื่อ ทยา หรือ ไท ประเทศไทย ท ย เมืองไทยจึงเป็นพวกทยา จิตวิญญาณเป็นผู้มีความเอ็นดู ทยาปันนะบรรลุความเอ็นดู จิตเข้าถึงคำนี้ วิจัยเรื่องนี้เข้าท่าดีมากทีเดียว 

เห็นด้วย เคยเทศน์ด้วยเนื้อหาด้วยภาษาเรื่องนี้ไปมากแล้วตรงกันชีวิตไม่มีอะไรดีไปกว่า อยู่เป็นคนที่มีชีวิตเพิ่มพูนการเสียสละเป็นอาการสุดท้ายของชีวิตนอกนั้นเราก็อยู่กับมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีมีญาติธรรม พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ แล้วเราก็เป็นคนดีที่เขาไม่ได้เป็นหมาหัวเน่าอยู่ในหมู่กลุ่ม เราก็เป็นคนดีอยู่ในนี้ได้ นี่คือสุดยอดแล้วในชีวิตคนเรา หมดเรื่องทุกข์ อาตมาว่าไม่น่าจะทุกข์ นอกจากว่ามันโง่ 

คนที่อยู่ในสังคมของชาวอโศก อาการที่คนอื่นเขาทำให้ทุกข์ มันน้อย น้อยจนแทบจะไม่มีนอกจากเราเองยึดติดมาก เรียกร้องมาก บำเรอตนเองมาก แล้วตนเองก็ทุกข์เพราะว่าตนเองโง่อยู่ตรงนี้อยู่ในนี้

เพราะฉะนั้น คนจะมาอยู่ในสังคมของชาวอโศกได้ มันไม่ใช่ธรรมดาอริยบุคคลเท่านั้น คุณคนหนึ่งถ้าเริ่มมาอยู่ได้คุณก็เริ่มเป็นอารยบุคคลแล้วถ้าอยู่ไม่ได้คุณก็ทุกข์ คุณมีตัวขัดแย้งกับหมู่ไม่เป็นอาริยะ ถ้าจิตเป็นอริยชน มันก็ขัดน้อยหรือจนกระทั่งไม่ขัด นอกจากไม่ขัดก็อยู่ด้วยกัน สนับสนุนเป็นสามัญญตา มีแต่พากันเจริญๆเป็นสุข นี่คือสังคมสงบสุขสุดยอด  

ความเสียสละ มันเป็นความลึกซึ้งสูงสุด เพิ่มพูนความเสียสละเป็นตัวสุดท้ายจากที่อาตมาเรียบเรียงพยัญชนะ 1. อิสระ 2. สบาย 3. สงบ 4. อบอุ่น 5. อิ่มเอม 6. เกษมใส 7. ใจเกื้อกูล 8. เพิ่มพูนการเสียสละ พยายามเอาภาษามาร้อยเรียงให้มันคล้องกันเป็นร่าย มาสัมพันธ์สัมผัสกันจำง่าย เป็นร่ายเป็นคำสัมผัส

ซึ่งเป็นคุณสมบัติของการเป็นอยู่สุข ผู้ใดได้คุณธรรม 8 ตัวนี้ ได้กันบ้างไหม เอ้อ..ขานรับเนอะว่า ได้… เข้าใจความหมายของ 8 ตัวนี้ว่ามีความหมายอย่างไรแล้วเราก็มีสภาวะธรรมอยู่ด้วย มันเป็นจริงเราปฏิบัติธรรมมีผลสำเร็จอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วสุดท้ายก็อยู่ได้คนเดียว นั่งสบายสงบแล้วก็ค่อยๆซึมหลับนิ่ง ผ่านวันไปด้วยความหยุดนิ่งไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน  กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมก็ไม่กระปรี้กระเปร่าแววไว.. 

แต่ของเราคล่องแคล่ว เราไม่พัก เราไม่เพียร ถึงเวลาควรพักก็พัก ถึงเวลาเพียรก็เพียร แต่ละวันแต่ละวัน อาตมาอ้าวเช้าแล้วหรอ ก็ตื่นก็ทำงานไป ถึงเวลานอนแล้วหรอ ก็นอน  วันๆเราก็อยู่กับการกระทำอยู่กับกิจที่ควรทำไป โดยเฉพาะกรรมหรือกิจที่ควรกระทำตลอดเวลาแต่ละวันๆ เราไม่ได้ทำชั่ว เราทำแต่ดีตามสมมติโลกและปรมัตถ์หรือโลกุตรธรรม จิตเราแต่ละวันๆเราก็ไม่ได้ทุกข์ สุขก็ไม่ได้เสพ นี่ยิ่งเป็นโลกุตระ ทุกข์ก็ไม่ทุกข์อยู่อย่างนี้เข้าใจอาการของทุกข์จริงๆมันไม่มีอยู่กับหมู่ สุขเราก็ไม่ได้ไปติดไปยึดอะไร 
 

นรกชั้นจตุมหาราชใครเลิกได้เป็นคนเจริญ

อาการของสุขที่คนยังอวิชชามากๆไม่รู้ก็คือโอ้โห..ได้เป็นเจ้าใหญ่เจ้าโลก มีอำนาจบาตรใหญ่ดังทั่วโลก เป็นต้น ดังเพราะมีอำนาจที่เขาต้องยอมรับว่าเราเป็นเจ้าอำนาจ เช่น จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐประธานาธิบดีของรัสเซีย เขาก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกมันใหญ่ สุกแล้วตายคาตำแหน่ง ดีใจเลิศยอดแล้ว 

พวกนี้ลงนรกทั้งนั้นเพราะไม่รู้จิตพิเศษหลงในอำนาจบาตรใหญ่ เป็นจตุมหาราช หลงว่าเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 จตุมหาราช แล้วก็ได้เป็นสมใจ นี่คืออวิชชาที่ยากที่คนเขาจะเข้าใจ โดยที่ไม่รู้ว่าจตุมหาราชนี้ฆ่าคนนะ ถืออาวุธเขี้ยวงอกตาโปนดุเดือด 

นั่นเป็นรูปสมัยโบราณเขาทำ ถ้าเป็นสมัยนี้ให้ดีไซน์หน้ายักษ์รับรองหนุ่มคนนี้ นี่เรียกว่าใครดูรูปสัมผัสปั๊บแลบลิ้นออกมาเป็นไฟเลย มันจะดุขนาดไหน เขี้ยวนี้อย่าไปแตะเชียว พิษร้ายยิ่งกว่าจงอาง 5 ตัวประกอบกัน มันดุเดือดแล้วมันเอาเขาก็ไม่รู้ว่าเขาได้อำนาจนั้น เขาพอใจซึ่งมันเป็นความหลงผิดอย่างนี้เป็นต้น

หรือจะเสพความสุขแบบดาวดึงส์ เสพสุขสมใจในทวารที่อาการ 33  แม้จะได้สมรักสมต้องการ เป็นกาม เป็นราคะ เป็นใคร มันซ้อนเช่นพวกที่ไม่รู้ การกีฬาหรือการละเล่นบันเทิงเริงรมย์เป็นโทษทั้งนั้นเป็นโทษแล้วก็ไม่รู้อารมณ์ที่ชื่นใจ 

โอ้โห.. ชนะกีฬา ยิ่งเป็นกีฬาที่เขานิยมกันทั่วโลก ราคาค่าตัวแพงลิ่ว  ราคา 100 ล้าน พันล้าน เตะเข้าโกล์ได้เป็นล้านๆ แล้วทำเงินกันทั้งโลกจริงๆด้วย คนก็นั่งดูกันดึกดื่นแค่ไหน คนมันติดทั่วโลกด้วยอวิชชา เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองนี่โง่ มันอวิชชาไปติดรสเรื่องพวกนี้อยู่ มันซาดิสเป็นพวกแรงมีแทคติกอะไรเก่งนิยมชมชอบ

ถ้าคุณมีพลังงานมีสมรรถนะความสามารถมาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเก่งอย่างนั้นนะมีประโยชน์คุณค่า อันนั้นมีอะไรไม่มีประโยชน์อะไรเลย เด็กๆมันยังเห็นเลยทำไมผู้ใหญ่พวกนี้มาแย่งลูกบอลกันอยู่ได้ มาถือลูกบอลเข้าไปสนามที่กำลังเตะกัน เอาลูกบอลมาให้จะแย่งกันทำไมตั้ง 20 คน  เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคยถือลูกบอลไปให้ เห็นไหมว่าเด็กมันยังฉลาดกว่า ไปแย่งกันอยู่ทำไม 

ซึ่งมันส่อแสดงให้เห็นว่าคนนี้มันโง่กันเท่าไหร่ ขออภัยนะที่อาตมาพูดความจริงแล้วโลกมันยังติดรสชาติอย่างนี้อยู่ มันไม่ใช่ความเจริญมันเป็นความเสื่อม มันเป็นความเจริญของกิเลสแต่เป็นความเสื่อมของคนที่มันหลงเลอะเทอะอะไรพวกนี้ แทนที่จะเอากาลเวลาแรงงานทุนรอนมาสร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์ในความเป็นมนุษย์ไปเสียเวลา เสียเงิน เสียทอง เสียแรงงานอะไรต่ออะไรอยู่อย่างนั้นล่ะ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นประเทศที่เจริญคือประเทศที่ไม่หลงใหลอะไรพวกนี้มากมาย อาตมาเห็นแล้วทั้งข่าวคราว ทั้งนักวิจัยของสังคมอะไรๆ 

อาตมาก็เคยโง่ เคยเตะบอลอยู่ในวารินฯนี่แหละ มีทีมฟุตบอลตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ อาตมาเคยแต่งเพลง เอาชื่อนักฟุตบอลที่เป็นทีมเรามาเป็นเพลงตั้งแต่เด็กเคยทำ จำไม่ได้แล้ว คือมันก็มีเศษของความหลงเป็นสัญชาตญาณติดๆมายังลิงลมอมข้าวพอง ยังติดเศษมาก็เห็นใจ

แต่ก็จะพยายามพูดเพื่อจะให้รู้ว่าควรจะเลิก ไม่ใช่ว่าควรส่งเสริม มันมากอยู่แล้วแต่คนโง่ไม่รู้คนอวิชามันเยอะส่งเสริมกันอยู่ มันก็ไม่มีหมด มีแต่จัดจ้าน  

ต้องไปชวนพ่อแม่พี่น้องมานั่งเต็มสนามฟุตบอล ต้องไปขอร้องพ่อแม่พี่น้องมานั่งดูหน่อย คนไม่มีมาดู แต่เดี๋ยวนี้ต้องเสียเงินไปดูเพราะกิเลสมันเจริญคนมันโง่ เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ก็ต้องบินไปดูนัดสำคัญๆ อย่างทักษิณมีสตางค์ที่ออกนอกประเทศไปเข้าไม่ได้ก็จะไปดูกีฬาที่ดูไบอย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเนาะพูดพยายามพูด พยายามข่มดูถูกสิ่งที่ไม่น่าไปติดไปยึด มีอาการมองเห็นด้วยปัญญา เลิกพวกนี้ได้คุณเจริญ ไปนิยมชมชื่นไปติดไปยึด คุณเสื่อม

_ปีกบุญ ...อาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2566

กราบนมัสการ พ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง

ระยะนี้ พ่อครูเน้นย้ำถึงความเป็นอรหันต์ และ โพธิสัตว์ ของ พ่อครู อีกทั้งจะเป็นผู้มาสืบทอด พุทธศาสนาให้ยืนยาวถึง 5000 ปีด้วย

ดิฉันจำไม่ได้ว่าในปี 2528 พ่อครูได้ประกาศตน ว่าจะมาสืบทอดศาสนาพุทธหรือยัง

 แต่ด้วยสามัญสำนึก ทำให้ดิฉันเชื่อเช่นนั้น จึงได้เขียนบทกลอนขึ้นมาว่า

ก้มกราบแทบเท้าพ่อท่าน

ผู้สานสืบต่อพระศาสนา

ตีแผ่ฤทธิ์แรงแห่งศาสดา 

สะเทือนฟ้าสะเทือนดินทุกถิ่นไทย

ฯลฯ

เหตุผลที่ดิฉันเชื่อเช่นนั้น คือ 

1. พ่อครูแสดงธรรมไม่เหมือนใคร และนำไปปฏิบัติ จนเกิดผลได้ มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างใน

2. พ่อครูแสดงธรรมที่ทวนกระแสโลกีย์ โน้มน้าวไปในทางละหน่าย คลายจาง จากกิเลส 

พ่อครูว่า… อันนี้ก็ชัดเจนเข้าใจได้ว่าอาตมาสอนเป็นไปในทางละหน่ายคลายจางจากกิเลส สอนตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนไหม…ตรง

3. ธรรมะที่พ่อครูสอนสอดคล้องกับคำสอน ของพระพุทธเจ้า

4. วัตรปฏิบัติของ พ่อครู สอดคล้องกับคำสอน ทำอย่างไร สอนอย่างนั้น

5 .พ่อครูสอนให้ชาวอโศกถือศีลอย่างจริงจัง จนเกิดมรรคผล เข้าถึงจิต ซึ่งต่างจากสำนักอื่น

ฯลฯ

 

ในโอกาสนี้ ดิฉันขอรบกวนถามพ่อครู 2 เรื่อง คือ

 1 ตามที่พ่อครูกล่าวถึงคำตรัสของ พระพุทธเจ้าที่ว่า สายปัญญาจะพัฒนาตนเอง เพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ เร็วกว่า สายศรัทธา นั้น

แล้วทำไม พระโมคคัลลานะ และ พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นสายศรัทธา บรรลุธรรมเร็วกว่า พระสารีบุตร ซึ่งเป็นสายปัญญาคะ

พ่อครูว่า… มันมีความซับซ้อน สายศรัทธานี่นะในโลกีย์นะ สายศรัทธาจะบรรลุเร็วกว่าเพราะเรื่องไม่มาก สายศรัทธาเรื่องไม่มากตัดๆๆๆ เพราะฉะนั้นจึงบรรลุเป็นอรหันต์ เร็วกว่าเมื่อไหร่ก็เร็วกว่า สายปัญญา มันมีความผยองในตัว เป็นคนรู้ มันก็เลยขออีกหน่อยน่าหน่อยน่า มันก็เลยต้องช้า เท่านี้พอเข้าใจไหม สายศรัทธาจะเจียมตัว 

2. เมื่อหลายปีก่อน ในงานอโศกรำลึกที่สันติอโศก

พ่อครูเคยให้ชาวอโศกเรียงแถวเข้าไปจับฉลากที่พ่อครูทำขึ้นมาและในฉลากนั้นมีคำว่า "สุญญโต โพธิ"อยู่เพียง 11 ใบเท่านั้น ซึ่งดิฉันเป็นคนหนึ่งที่จับฉลากได้

ขอเรียนถามพ่อครูว่า พ่อครูมีความประสงค์อย่างไรคะ จึงทำฉลากขึ้นมาเช่นนั้น

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

ปีกบุญ

พ่อครูว่า… ตั้งแต่พ.ศ 2528 ตอนนี้ปี 66 อาตมาจะจำได้ไหม สุญญโตเป็นศูนย์ โพธิคือตรัสรู้ เจตนาที่ทำฉลากก็เพื่อจะสื่อ 2 คำนี้ สุญญโต กับ โพธิ

 

ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใคร...ตรงที่มีคนทำตามได้จริง

แสดงธรรมไม่เหมือนใคร เรื่องนี้เอาดีๆ

อาตมาแสดงธรรมไม่เหมือนใคร คำนี้ลึกซึ้งมาก เกิดมาชาตินี้จริง อาตมาแสดงธรรมไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนหมายความว่าแสดงแตกต่างจากที่เขาแสดงกันมาแล้ว นานแล้วแบบนั้น แนวนั้น พออาตมาเกิดอาตมาก็แสดงธรรมขึ้นบ้างแล้วมันไม่เหมือนที่เขาแสดง 

มันไม่เหมือนถึงขั้นว่าเขาบอกขาวเป็นดำ อาตมามาบอกดำเป็นขาว มันก็เลยไม่เหมือนกัน มันก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องอย่างที่มันเป็น อาตมาก็เลยโดนต้านว่านี่ว่าอาตมาผิดจะมาทำลายศาสนา เริ่มต้นที่อาตมาอธิบายโดยเอาพยัญชนะบาลีแปลโดยอัติโนมัติของอาตมา มันไม่เป็น ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธฉันทลักษณ์

ซึ่งมันเพี้ยนออกไปนอกโลกุตระแล้ว มันเสื่อมมันไม่เป็นโลกุตระมันเป็นโลกๆ เป็นคำวิจิตรตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาณิสูตร เป็นคำของอรรถกถาเป็นของอาจารย์ปรุงแต่งแล้วความหมายของสภาวธรรมมันออกนอก มันไม่เป็นโลกุตระแล้ว นอกจากไม่เป็นแล้วกลบเกลื่อนทับถมเลย 

พออาตมาเอาโลกุตระมาพูดขึ้น แน่นอนมันต้องไม่เหมือนกัน ขัดแย้งกันใหญ่เลย อาตมาก็ยังไม่เก่งแรกๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่อาตมาก็ยังยืนหยัดยืนยันอย่างอาตมามีความรู้ที่จะแปลที่จะขยายความ จนกระทั่งลัดมาถึงวันนี้เลย  จนกระทั่งเขาเห็นแล้วว่าความซับซ้อนลึกซึ้งของธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ตื้นๆในเรื่องที่จะรู้จักธรรมะ สภาวธรรม เขาเรียนกันมีแต่พยัญชนะแล้วแปลไปงามฟรุ้งฟริ้ง ไปปรุงแต่งเป็นโลกจินตา เป็นเรื่องของการปรุงแต่งภาษา ไพเราะเพราะพริ้งต้องงดงามเป็นนิรมาณกายเป็นเรื่องเพี้ยนผิดไป อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่หาเรื่องเป็นเรื่องจริง จนกระทั่งวันนี้ มันเห็นยืนยันมากเลยทุกวันนี้ว่าอาตมาพาทำ มันยิ่งเห็นจริง

ก็ยืนยันแล้วว่า อาตมาพาทำ ปฏิบัติแล้วมีชีวิต ตรงตามอนุสาสนี ตรงตามคำสอน มีสิ่งยืนยันได้ตามปรากฏการณ์ อาตมาพูดย้ำพูดซ้ำมาหลายทียืนยันว่า อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาสอนคน จนกระทั่งคนพากเพียรบรรลุธรรมมามีชีวิตเป็นสาธารณโภคี มาเป็นสาราณียธรรม 6 กันได้ ยืนยันเป็นปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้นอยู่ในโลก ในโลกเลยไม่ใช่แต่ประเทศไทยเท่านั้น ในโลกไม่มีสังคมใดที่มีความเป็นอยู่ดำเนินชีวิตไปอย่างอิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูน เสียสละ 

เหมือนชาวอโศกเรานี่หรอก ไม่เหมือน ไม่มีเหมือน ที่ไหนๆก็ไม่มีเหมือน ขอยืนยัน นี่ไม่ใช่หลงตัวหลงตน ไม่ใช่เพ้อเจ้ออะไรต่ออะไรไป..ไม่ใช่ เป็นเรื่องสาระสุดประเสริฐของความเป็นมนุษย์ที่เป็นตัวอย่างของโลกอยู่  

ชาวไทยยังไม่เห็นความเป็นคุณค่าของชาวอโศก อาตมาขออภัยจริงๆต่อมนุษย์ชาติ ต่อชาวไทย อาตมาไม่ได้หลงตัวหลงตน ไม่ได้หลงยกชาวอโศก  แต่ชาวพุทธไม่ค่อยมีปฏิภาณปัญญารู้ค่าของชาวอโศก รู้ค่าของคุณธรรมที่เป็น อาริยธรรมโลกุตรธรรมที่ชาวอโศกเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้ปฏิบัติแล้วบรรลุผลสำเร็จจนเป็นสังคมชาวอโศก มีวัฒนธรรมถึงขั้นสาราณียธรรม 6

หาสังคมอย่างนี้ได้ยากในโลก มันยากจนกระทั่งมาอยู่กันได้ไม่มีจำนวนมากหรอก มันก็ได้ประมาณนี้ เอาสิใครจะมาแกล้งเป็นได้ไหม  คุณกดข่มมาจริงๆก็อยู่ไม่ได้กี่วัน ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริง ถ้ามีสภาวะจริงก็อยู่สบาย สบายไปจนตายเลย 

ใครจะอยู่อย่างนี้จนตายบ้าง..ยกมือขึ้นซิ ดูว่าใครจะไม่ยก (ยกมือกันหมด) เพราะฉะนั้นสัจธรรมที่ว่าอาตมาพาทำจนกระทั่งพวกคุณยกมือแสดงว่า รับรองการสอน รับรองมรรคผล รับรองความจริงที่อาตมาเอามาเปิดเผยแล้ว พวกคุณก็รับได้แล้วก็ปฏิบัติได้ จนกระทั่งมันไม่ใช่เรื่องตื้นนะมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องของชีวิตจิตวิญญาณนะ มันเป็นเรื่องของชีวิตจิตวิญญาณ

เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ ประเด็นที่พูดคือไม่เหมือนใคร มันจะเหมือนได้อย่างไรมันเป็นโลกุตระ มันเป็นยอดปิรามิด มันไม่เหมือนใครหรอกมันสุดยอดเลย 

ไม่ต้องไปพูดถึงเทวนิยมยังอีกห่างไกลนัก พลเมืองโลก 7พัน-8 พันล้านแล้วมีที่มีอยู่นี้ 800 จะเอาให้มากกว่านี้ 8หมื่น 8 แสนจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงเป็นคนที่แสดงพฤติกรรมความเป็นมนุษย์ประเสริฐอยู่ในโลก เป็นตัวอย่างอันสุดยอด ใครจะไม่เห็นใครจะเห็นแล้วไม่เข้าใจ ไม่รับ ดีไม่ดีจะผลักก็ตามเถิด แต่สิ่งนี้ก็สุดประเสริฐแล้ว เพราะเราไม่ได้เป็นภัย เราไม่ได้เป็นโทษกับใครเลยนอกจากไม่ได้เป็นภัยเป็นโทษกับใครเลยแล้ว เรายังมีประโยชน์แก่คนเป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนะทำให้คนสงบมาสุข พหุชนะสุขายะมาสงบมาสุข   ต้องขยายความตรงนี้บ้าง

 

อย่าไปทำชั่ว-ทำแต่ดี-อย่าไปแย่งชิงความสุข

สุขมันมีโลกีย์บำเรอกิเลสไป จนกระทั่งหมดสุขหมดทุกข์แล้วเราก็สรุปแล้วสิ่งอย่างนี้เป็นการอนุเคราะห์โลกที่ยิ่งใหญ่ โลกานุกัมปายะ เป็นประโยชน์คุณค่าอันประเสริฐยิ่งใหญ่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งต่างกันคนละขั้วกับเจ้าโลกที่เป็นจตุมหาราชที่เทวนิยมเขายังทำแม้แต่ในเมืองไทยก็ยังอยากเป็นใหญ่เป็นโตตั้งแต่ทักษิณจนเดี๋ยวนี้มาพิธา นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นเลยซึ่งทุกวันนี้ 

มาถึงตรงนี้ก็ขยายความให้เห็นว่าแล้วเมืองไทยจะไปอย่างไร ทำไมมันพะอืดพะอมนัก จะได้นายกฯมันก็ยังไม่ได้ เขาบอกต้องให้ประชาชนเป็นใหญ่ เขาได้คะแนนเสียงมาจากประชาชนเลือกตั้งมาเป็นเบอร์ 1 เลยนะ ไม่ให้เขาเป็นนายกฯไม่ได้นะ นี่แหละได้เชื้อโง่จากสหรัฐมาเป็นนักศึกษา Harward  มาจากมหาวิทยาลัยของสหรัฐเลยนะ เขาก็ยังพยายาม มีภาพ insert ประกอบพิธาเป็นนายกยากกว่าขึ้นสวรรค์ ยิ่งนานยิ่งริบหรี่

 นี่มันเป็น พฤติการณ์ นี่มันเป็นเรื่องหนึ่งของเรื่องบุพเพสันนิวาส เป็นเรื่องราวของโลกของมนุษย์ เป็นตัวอย่างเหมือนกับนิทานเหมือนกับละครนิยาย เป็นเรื่องๆหนึ่งของโลกให้เห็น นี่แหละแสวงหาอำนาจแบบโลกๆเสร็จแล้วมันก็จะเป็นทุกข์ จริงๆแล้วอาตมาโชคดีมหาศาลเกิดมาชาตินี้ไม่ได้เป็นนายก สุดยอดเลย ถ้าเป็นนายก คุณจะต้องเป็นนายกฯที่เลวหรือเป็นนายกที่ดี ก็ต้องขยันก็ต้องดูแลทำงานกับพลเมืองประเทศ ไม่ถึงร้อยล้าน 70 ล้านนี่ก็ไม่ใช่งานเบาแล้ว 

อาตมามาบริหารเทียบกับนายกฯ นายกฯต้องบริหารคน 70 ล้านของคนไทย อาตมาไม่ได้เป็นนายกฯ อาตมาเป็นแค่โพธิรักษ์บริหารคน 700 คน7,000 คน70,000 คน โอ้โห..สบายกว่านายกไม่รู้เท่าไหร่เลยเพราะอาตมาบริหารโดยไม่ต้องบริหาร ให้พวกคุณช่วยตัวเอง ให้พวกคุณประพฤติ ให้พวกคุณทำตัวเองให้เป็นอย่างนี้อย่างนี้ 

พวกคุณง่ายนิดเดียวที่อาตมาพาทำตามพระพุทธเจ้าสอน      “อย่าไปทำชั่ว-ทำแต่ดี-อย่าไปแย่งชิงความสุข” สั้นๆแค่นี้แล้วพวกคุณก็เข้าใจ

สุขตั้งแต่อบายมุขก็เลิกมา สุขที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญก็แย่งก็เลิกมา สุขที่จะเสพกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สุขที่ไปแย่งผู้หญิงผู้ชายทางเพศก็ลดมาเลิกมา ทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ลดลงมาก็สบายเลย 

พวกคุณวันนี้เขาเอาทุเรียนมาให้กองอยู่ข้างหน้าตั้ง 40 กว่าลูกไม่ได้เอามาหมดหรอกแค่เอามาจัดฉาก เป็นไงใจ..โอ้โหอยากจะแย่งเอาไปไหม อยากเอาไปกินไหม ได้กินก็ได้กิน ไม่ได้กินก็แล้วไปใช่ไหม แต่ก่อนไม่เฉย เดี๋ยวนี้เฉยแล้ว “เฉย”นั่นชื่อพ่ออาตมา

อจินไตยชนิดนี้ พูดถึงชื่อ แม่อาตมาชื่อบุญโฮม พ่ออาตมาชื่อบุญเฉย บุญโฮม เอาบุญมารวมกัน บุญเฉยเอาบุญมาแล้วเฉยๆ เข้าใจหรือยัง รวมกันแล้วไม่มีปัญหาอะไร รวมกันแล้วเป็นประโยชน์คุณค่า ไม่ทะเลาะไม่แย่งไม่ชิง กลางๆสบายๆไม่ต้องทะเลาะกัน นี่คือปรมัตถ์สูงสุด อาตมาอาศัยพยัญชนะแค่นี้ ผู้ที่เข้าในแก่นแกนของสาระชื่อมันมีความหมายทั้งนั้น 

ทำไมพระพุทธเจ้าต้องชื่อสิทธัตถะก็ต้องชื่อ สิทธัตถะ ทำไมแม่ของพระพุทธเจ้าต้องชื่อ สิริมหามายา เป็นแม่พระพุทธเจ้าทำไมต้องชื่อมายา ภาษาสวยๆมีอีกเยอะ ชื่อมายา ถ้าไม่มีคำว่า สิริ ถ้าไม่มีคำว่า “สิริมหา” ล่ะแย่เลย  แต่ไม่ใช่มันเป็นภาษาไดอะแลกติก เป็นภาษาซ้อนอยู่ในนี้ สุดท้ายมันซ้อนอยู่ในนี้ ชั่วอยู่ก็ดีสุขหรือทุกข์เจริญอยู่ก็เสื่อม มีอยู่กับไม่มี มาลงตัวแล้ว ใช่หรือไม่ใช่ ลงตัวแล้วเป็นคู่แล้วนะ เหมือนหรือไม่เหมือน แท้หรือไม่แท้ ลงท้ายตรงนี้แล้ว 

อาตมาเป็นของแท้ เป็นของไม่เหมือนใคร ลงประเด็นแล้วขยายประเด็นนี้ เห็นไหมมันเป็นสัจจะอย่างนั้น ไม่เหมือนใครและ “แท้”เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรงข้ามกับอาตมาก็ต้องไม่แท้ใช่ไหม ผู้ตาดีก็รู้ของแท้ ผู้ตาไม่ดีก็รู้ของไม่แท้ นี่มันสัจจะนะ

 

ปฏิวัติประชาชนของเมืองไทยทำได้ดีไม่มีใครเหมือน

อาตมากำลังอธิบายธรรมะที่เป็นเรื่องลึกแล้วเป็นเรื่องจริง อาตมาเอามายืนยันตัวเองเอาสิ่งที่จริงมาในเรื่องวิชาการ เขาจะพยายามเลี่ยงว่าอย่าเอาตัวเองไปใส่ในวิชาการที่ตัวเองทำเป็นอันขาด เขาจะเลี่ยงเพราะเขาไม่มีความจริงพอ เขาไม่กล้าพอ 

เหมือน กันกับเถรสมาคม ห้ามภิกษุไปยุ่งกับการเมืองเพราะเขาไม่กล้าพอเขาไม่สามารถให้ภิกษุมายุ่งกับการเมืองได้เพราะเขาอ่อนแอ ถ้าเขาเอาไปเป็นเบี้ยไปเป็นหัวคะแนนหมดเลย แต่อาตมาไม่เหมือนเขาเลย พาคุณเข้า แปลว่าพาคุณไปมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงกว่า แล้วไปช่วยการเมืองเขาแล้วเราก็ไปช่วยกันตามลำดับ 

เราก็ไม่ได้ติดได้ยึดในเรื่องการเมือง ไปช่วยเขาแล้วเราก็ไม่ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ ช่วยเพื่อพลเมืองในประเทศ เรื่องที่ไม่ดีไปช่วยขจัดออกเป็นคราวๆ คราวๆแล้วเราก็มาปฏิบัติธรรม มาพัฒนาตนเอง ถ้าการเมืองยุ่งเมื่อไหร่เราก็จะออกไปใช่ไหม เราไม่มีปัญหารู้ดีอยู่ เราไม่ได้อยากดังอยากใหญ่อยากโต เพราะฉะนั้นดีๆนะ ทักษิณก็ถูกพวกชาวอโศกมีส่วนออกไปประท้วง

 พูดถึงเรื่องประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนประหารรัฐบาลเรียกสั้นๆว่าทำรัฐประหาร ประชาชนประหารรัฐบาล พวกคนไทยทำ ชาวอโศกไปเป็นมวลอยู่ในนั้นจริงเลย แล้วประชาชนไทยที่มีภูมิปัญญาก็เห็นด้วย จนกระทั่งสุเทพมีพลเมืองมี FC ของเขาเยอะนำพามาเป็นล้านๆมาปิด shutdown กรุงเทพฯเลย ปิดกรุงเทพฯ 

นี่คือพฤติกรรมการเมืองหรือรัฐศาสตร์บทสำคัญของชาวโลกเลยซึ่งอาตมาพูดนี่เขายังบื้อๆอยู่ นักรัฐศาสตร์ยังไม่เข้าใจ หาว่าพลเอกประยุทธ์มาเป็นเผด็จการมายึดอำนาจ เราไม่เถียงไม่แย้งแต่เราพูดความจริง เพราะมันเป็นความจริงให้ศึกษา เราไม่ได้อยากแย่งอำนาจ ไม่อยากได้อะไรแต่เราทำจริง มีปรากฏการณ์จริง มี พฤติการณ์ จริงไม่ใช่พูดลอยลม

ไปไล่ทักษิณมันไม่เต็มรูปเพราะว่ามีพลเอกสนธิ บุญยะรัตกลิน มาช่วยทำเป็นปฏิวัติ ทำเป็นยึดอำนาจ แต่ไม่ได้ทำอะไรหรอก เอารถถังออกมาประชาชนเอาดอกไม้ไปเสียบปลายกระบอกปืนเล่น เสร็จแล้วจากนั้นสมัครก็ขึ้นมาเป็นนอมินีของทักษิณ อาตมาพูดก็ซ้ำซาก เราก็ไปไล่อีก ตอนนั้นตุลาการภิวัฒน์เอาสมัครลง เอานอมินีสมชายน้องเขยขึ้นมาอีก แล้วก็เอาเข้าทำเนียบก็ไม่ได้ ไปยึดทำเนียบกัน ปลูกข้าวทำนากันในทำเนียบ นี่คือของจริงทั้งนั้น 

เป็นพฤติการณ์ของประชาชนที่ไปทำหน้าที่ทางการเมืองปฏิวัติหรือประหารรัฐบาล ทักษิณก็เก่งขุดเอาน้องสาวมาเลือกตั้ง 49 วันได้เป็นนายกอีก ขออภัยต้องชมเก่งฉิบหายเลย ชิบหายนี่คำชมนะเก่งในทางชิบหายนี่เขาเก่งจริงๆ เสร็จแล้วก็เอานายกมาปู้ยี้ปู้ยำประเทศฉิบหายไปหลายแสนล้านจนกระทั่งได้คดีเป็นนักโทษไปเลย อยู่ในประเทศไม่ได้ต้องออกไปทางช่องสุนัข หายไปเลยจนป่านนี้ก็ยังไม่เจอเป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศไทย  

นี่คือพฤติการณ์จริงของประเทศไทยซึ่งไม่มีใครเหมือน ยืนยันมาเรื่อยๆตั้งแต่ทักษิณ สมัครสมชาย ยิ่งลักษณ์ เนื่องต่อกันมาอาจจะมีอะไรคั่นนิดๆหน่อยๆมีอภิสิทธิ์คั่นเล็กๆน้อยๆ 

นี่คือสัจจะที่เป็นพฤติการณ์ตัวอย่างของโลก มันไม่ใช่เรื่องสมมุติ มันเป็นเรื่องจะต้องมีต้องเป็น มันเป็นสัจจะที่จะต้องลงตัวระหว่างรูปกับนามทุกอย่าง เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ ปฏิวัติโดยสงบไม่ใช้อาวุธ เอาความจริงมาเป็นธรรมาวุธ มาเปิดเผยความจริง อย่างยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ความจริงมันชนะความชั่ว ความจริงชนะความเท็จเห็นไหม มันลึกซึ้งนะแล้วมันเป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นมันจึงยั่งยืน ขณะนี้การเมืองมันเป็น After Shock มันเป็นโมเมนตัมของคลื่นการเมืองที่เหลือ พยายามจะดิ้นพยายามจะฝืนขึ้นมา แต่แก่นแกนของเนื้อแท้มันสำเร็จเรื่องไปแล้ว แผ่นดินไหวมันไหวลงรูปจากเรื่องของเขาเข้าที่แล้วอันนี้ยังเป็นเศษ After Shock เล็กๆน้อยๆ  

 

พิธาแปลว่าเศษ เก่งกว่าทุกประเทศคือเปรตแท้

พิธานี่แปลว่า เศษ หลากหลาย ลงตัว คำว่า พิธะ พิธา

พิธะ นี่เอกพจน์ พิธาพหูพจน์ เศษละอองหลากหลายกระจาย 

อาตมาก็ดูว่าจริงๆพิธาจะได้เป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทยไหม แล้วก็มีเหตุการณ์ที่เอาลอตเตอรี่หางเลข 30 มาให้เขาซื้อ ใครจะเป็นนายกคนที่ 30 แล้วหวยมันก็ออกเบอร์ 30 อาตมาก็ว่ามันอะไรวะ ทำไมมันถึงขนาดนี้ โอ้โห..เห็นไหมมันมีอะไรที่พิลึกว่าต้องเชื่อนะว่ามันมีอะไรต่ออะไรขลังพิเศษพิสดาร ที่มันซ้อนๆเหมือนกับเรื่อง magical อะไรที่มันลึกลับซับซ้อนเหมือนกับเรื่องเชิงกล เป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่ลงตัวอะไรได้ขนาดนี้ มันหลอกให้คนหลง มันมีอะไรซับซ้อนมาเป็นเรื่องที่หลอกคน นี่ไงสุดยอดไหม อะไรอย่างนี้ 

นี่ก็ยังดูไปว่าจะเป็นยังไงหรือแม้แต่ที่สุด พิธาได้เป็นนายก เขาก็โม้ไว้เยอะ แหมนโยบาย เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา จะช่วยอย่างนี้ จะช่วยอย่างนี้ ขี้โม้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสามัญของสังคมโลกเลย หาเสียงโม้ตัวเองให้คนอื่นเขาเชื่อ สารพัดที่จะสัญญิงสัญญาติดสินบนอวดเก่งจะทำอย่างนี้จะช่วยอย่างนี้จะเป็นอย่างนี้อย่างนี้ดูแล้วโอ้โหหลากหลายมหาศาล เป็นพระอินทร์มาเนรมิตได้หรืออย่างไร มันเป็นสามัญของโลกเขาก็หลอกด้วยวิธีอย่างนั้น

เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา อาตมาก็รวบรวมมาได้อีกว่า เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศคือเปรตแท้ แพร่กระจายขยายข้อมูลข่าวสาร ประหารศัตรูคู่แข่ง แอ้งแม้งได้ยอดสุด ก็ขยายความให้ชัดๆมันเป็นเช่นนี้แหละท่านผู้ชม มันเป็นเช่นนี้จริงๆ

 

อจินไตยของฌานทั้ง 4 ในยุคนี้มีแต่พ่อครูที่สอนได้

เข้าประเด็นกับคำว่า อาตมาไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนจริงๆเพราะยุคนี้เป็นยุคที่อาตมาเป็นตัวต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งได้พูดไปจนกระทั่งน่าเกลียด แต่อาตมาก็จำนน จำเป็น จำยอม จำต้องแสดงความจริงว่าไอ้ตัวจริงนี่คืออาตมามันไม่เหมือนใคร เพราะมันเป็นเรื่องของคนเป็นเช่นนี้ เป็นอย่างอาตมา มันนานนนน...มากแล้วพันๆปีจะปรากฏขึ้นมาสักคนหนึ่ง หลายพันปี 

อาตมา 2,500 กว่าปีจึงมาเกิดยุคนี้ มาปรากฏตัวยุคนี้คนหนึ่ง ไม่เหมือนใคร ขึ้นมาทำไร? ขึ้นมาทำพรื๊อ? ขึ้นมากอบกู้พระศาสนาพระพุทธเจ้า ยืนยันตนเองมีหลักฐานอ้างอิงแล้วก็พาประพฤติบรรยายให้ฟัง พวกคุณเข้าใจพาประพฤติจนเกิดมรรคผลจนมาเป็นคนชนิดนี้ จนเป็นสังคมกลุ่มรวมอย่างนี้ ยืนยันตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าตามอนุสาสนี 

แน่นอนพิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ทางศาสนา นี่เป็นวิทยาศาสตร์ทางศาสนา เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ศาสนาลึกลับเหมือนเทวนิยม ไม่เหมือน 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเป็นคนไม่เหมือนใคร เป็นคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ยืนยันให้คุณมาพิสูจน์ มาพิสูจน์ตัวอาตมาว่าความไม่เหมือนใครของอาตมานี้ผิดหรือถูก ตรงตามธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือไม่ แล้วอาตมาก็กล้าพูดว่า ไม่ได้ตรงน้อยๆ ตรงอย่างลึกซึ้ง ตรงอย่างมีความสมบูรณ์ สมบูรณ์ไม่น้อยเลยสมบูรณ์เท่าที่อาตมามีความสมบูรณ์ได้ในธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่สมบูรณ์เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ย่างเข้าหา 8 ไป 

นี่ก็ท้าวความเอาคำหรือเอาภาษา เอาสิ่งที่บรรยายมายืนยันมา เอามายืนยันว่าอาตมาไม่ได้ทำหลงๆเลอะๆ แต่คนที่เขาไม่เชื่อเขาไม่มีภูมิปัญญาว่า อันนี้เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นธรรมะขั้นที่ไม่ใช่เรื่องสามัญ คนจะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เทวนิยมไม่ต้องพูด 

เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีปัญหาในเรื่องที่ทำไมอาตมาไม่ได้รางวัลจากต่างประเทศสักอย่าง แต่ขออภัยเดี๋ยวจะหาว่าไปลบหลู่เขา เกาหลีใต้ให้อาตมามา 1 รางวัลในชีวิตนี้แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกอาตมาพูดไปหลายทีแล้ว แต่ไม่มีใครเขาฮือฮาอะไรด้วยและไม่กล้าส่งเสริมอาตมาด้วยเพราะถูกไม้กุมเหงคาดไว้ว่า อย่ามายกย่องเชิดชูโพธิรักษ์นะ ใครมายกย่องเชิดชูจะเป็นพวกกบฏของประเทศไทย เป็นกบฏในประเทศไทยเลยนะ ถูกกั้นอย่างนั้นไว้สำหรับอาตมาเป็นถึงอย่างนั้น ซึ่งอาตมาไม่ได้เสียใจ ไม่ได้น้อยใจนะ มันยิ่งท้าทายให้อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามายืนยัน เอามาประกาศไป ไม่ใช่คนจะรู้ได้ง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้ได้ต้องเป็นคนที่มีบารมี ต้องใช้คำนี้  มีบารมีถึงจะรู้ได้ ไม่มีบารมีก็บังคับกันไม่ได้ ต่อให้โลกเชิดชูยกย่องเป็นผู้รู้ทางพุทธศาสนาแต่กลับมามองอาตมาว่าไม่ใช่ ดีไม่ดีมอง เป็นกบฏด้วย น่าสงสารคนนั้น มันยิ่งทำให้อาตมาเห็นว่ามันเป็นความเสื่อม ตัวนี้เป็นตัวชี้บ่งสังคมต่างประเทศยกย่องเชิดชูว่าผู้นี้เป็นผู้ เป็นคนที่สองรองจากพระถังซัมจั๋งเป็นเจ้าแห่งพระไตรปิฎกว่าอย่างนั้นเลย อย่างอาตมานี้เป็นหมาหัวเน่า 

ถ้าเข้าใจจะเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเสื่อมของพระพุทธศาสนามันเสื่อมขนาดนี้ มันไปมองเห็นผิดเป็นถูก ผิดลึกเลยนะแล้วเห็นว่าถูกยอดเลยนะ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยากมากที่จะเอาความจริงที่ไม่เหมือนใคร มันไม่เหมือนแล้ว มันค้านแย้งกันแทบจะทุกมุมทุกเหลี่ยม 

แต่กระนั้นก็ดีโลกยังไม่สิ้นโดยเฉพาะคนไทยสังคมพุทธยังไม่สิ้น ยังไม่ไร้เท่าใบพุทรา ยังใบโตเหมือนผักปลังที่นี่ใบใหญ่กว่าหน้าอาตมาอีก ผักปลังของบ้านราช  

มันยิ่งเห็นสัจจะต่างๆที่มันยืนยัน โลกนี้ก็เป็นเช่นนี้เนาะ มันยากจริงๆที่อาตมาเกิดมาในความไม่เหมือนใครในยุคนี้ มันยากแสนยาก แต่มันก็มีคนที่จะเข้าใจความยากนี้ได้ เอาชีวิตมาสู่ความยากนี้จนได้โดยง่ายโดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 พวกคุณนี่จึงมีฌานของพระพุทธเจ้า อย่านึกว่าพวกคุณไม่มีฌาน คนที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตนั่นแหละไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้าเลย 

ฌานของพระพุทธเจ้าคือเป็นอาการ เป็นประสิทธิภาพของจิตวิญญาณที่เข้าใจทุกอย่างได้เปิดเผยและตื่นอยู่ตลอดเวลา ลืมตา ได้ยินเสียงเต็ม 100% ฌานไม่ได้ไปหลับตา ไม่ได้ไปทำหรี่ ไม่ได้สะกดความรับรู้ทั้ง 5 ทวาร 6 ทวารให้หรี่ให้หลบเข้าไปในภวังค์  ฌานคือความตื่นเต็ม 100% ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจตื่นออกมาแล้วรับคนนี้ชักมีหวังรู้ทุกอย่าง 

ฌานของพระพุทธเจ้านั้นจะปฏิบัติได้ต้องมีศีล อปัณกะปฏิปทา 3 นี่เป็นหลักยืนยันอปัณกะปฏิปทาแปลว่าไม่ผิดไปจากพุทธ ถ้าผิดไปจากเอาไปอปัณกะปฏิปทา 3 นี่แหละนอกพุทธ 

 อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ (กิน อยู่ หลับ นอน)

ตื่นแล้วสำรวมอินทรีย์คือเป็นอยู่เป็นอยู่อย่างสำรวม สำรวมนี่แหละเป็นผู้ที่จะต้องตื่นรู้ตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่เป็นปกติและปฏิบัติในการตื่นเต็มร้อย ตา หู จมู กลิ้น กายไม่ใช่ไปหลับไปหรี่เลย ไอ้นั่นมันขอเดียรถีย์โมฆะเห็นความเสื่อมไหม ไปนั่งหลับตามันเสื่อมเดี๋ยวนี้ก็ยังไปหลงอยู่ อาตมาพูดไปเถอะเขาจะไม่เชื่ออาตมา เขาจะเชื่ออาจารย์ที่พาเขาผิด เพราะเขาได้โง่สนิทสมบูรณ์แล้ว เขาจึงฟังอาตมาไม่เข้าใจไม่ขึ้น คนที่ฟังอาตมาแล้วแว้บๆว่าอันนี้น่าจะถูกนะเออ..คนนี้ ชักมีหวัง แต่คนที่ไม่แว้บเลยหาว่าอาตมามาทำลายศาสนาอีก อันนี้น่าสงสารแต่บังคับไม่ได้หรอก บังคับกันไม่ได้ อาตมาก็ได้แต่แสดงความจริง 

มาขยายคำว่า “ฌาน”ต่อ ซึ่งเป็นฌานวิสัย ฌานอจินไตย 

ฌานของพุทธไม่เข้าไม่ออก ความเป็นอาการของฌาน ความเป็นจิตที่เรียกว่าฌาน ไม่มีเข้าไม่มีออกมีแต่พลังงานที่เรียกว่าฌาน เพราะฉะนั้น คุณปฏิบัติตนเองประพฤติตนเองเรียนรู้ตนเอง มีกายวาจาใจมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีสัมผัสกับทุกๆอย่าง แล้วคุณก็ไปสังขารเรียกว่า ปรุงแต่งที่จิต แล้วเราก็เรียนจิตตัวนี้  เรียนจิตตัวนี้แหละ เมื่อมันปรุงแต่งออกมาแล้ว แล้วคุณก็เกิดธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์หรือมีโพชฌงค์ 7 มีสติตื่นรู้แล้วก็ธรรมวิจัยพากเพียรให้มันวิจัยให้ได้วิจัยกิเลส แล้วรู้ด้วยปัญญาว่ากิเลส กิเลส กิเลส กิเลสมันจะแพ้ปัญญา คุณทำได้คุณก็ปีติ ปัสสัทธิได้ผลก็สั่งสมลงเป็นสมาธิจนถึงขั้นเป็นฐานอุเบกขา นี่คือ โพชฌงค์ 7 

อุเบกขาแปลว่าจิตบริสุทธิ์  ปริสุทธา  ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา มาเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 สติปัฏฐาน 4 และอิทธิบาท 4 หลับตาไม่ใช่สัมมัปปธาน 4 หลับตาไม่มีสังวร สำรวมอินทรีย์6 ไม่มีปหานปธาน ไม่ได้ประหารกิเลสได้เลย ฌานคือการเผาผลาญ ฌานคือพลังงานที่เรียก ในภาษาไทยว่า ไฟ เผากิเลสเป็นผุยผงเลย 

เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิบัติฌานไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ถูกไปนั่งหลับตา ไม่มีวันจะได้ฌานของพระพุทธเจ้า ไม่มีวันจะเผากิเลสได้เลย ไม่มี มันผิด มันมิจฉาทิฏฐิ ถ้าผู้ที่เข้าใจผิดไปโน้น ได้มีความตื่นฟังอาตมารู้เรื่องเลิกมาได้ ศาสนาพุทธจะเจริญขึ้นอีกเยอะเลย มาฟังดีๆที่อาตมาพูด สุตสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีจะเกิดปัญญา ปัญญา 8 จะเกิดเพราะคุณจะได้พบสัตบุรุษ คุณจะละอายอย่างแรงกล้า คุณจะรักอย่างแรงกล้าเคารพอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้นสัจธรรมจะเกิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ก่อนไปศรัทธาอย่างนู้นอย่างแรงกล้าๆๆ ทีนี้จะเห็นจริงว่าโอ๊ยตาย…เพิ่งรู้จะมาศรัทธาแรงกล้าทางนี้จะรู้ประโยชน์ ปัญญา 1 2 เกิด แล้วปัญญา 3 ก็จะเข้าใจ คุณจะได้เกิดจะเห็นความสงบ 2 อย่างได้ 

ความสงบอย่างไปนั่งสะกดจิตหลับตา สงบอย่างนั้นยิ่งบื้อยิ่งตื้อเข้าไปอยู่ในภพในชาติ นี่มาสงบตื่นรู้เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาเข้าใจว่าความสงบนี้คือปราศจากกิเลส กิเลสมันออกๆๆ กิเลสจิตมันยิ่งคล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว สดชื่น เบิกบาน ยิ่งวิเศษอิสรเสรี มันตรงกันข้ามไปหมดเลย ไม่เหมือนที่คุณยืนยันศึกษามา อันนั้นมันผิดมันเพี้ยน อันนี้มันถูก ไม่เหมือนๆ 

เห็นหมายความไม่เหมือนจะยิ่งๆขึ้น คุณจะยิ่งเข้าใจว่ามันไม่เหมือน อาตมายังพูดความไม่เหมือนต่างๆยังไม่หมดเลย ฌานก็ไม่เหมือน สมาธิก็ไม่เหมือน

เพราะฉะนั้น ฌานที่เขาได้ มันไม่ได้เผากิเลส มันมีแต่หมักดองกิเลส ทำกิเลสหมักดองเป็นปลาร้า เป็นบูดู เป็นน้ำเน่า เน่าไปกันใหญ่เลย ยิ่งเน่ายิ่งกลิ่นฉุนยิ่งชอบอะไรอย่างนี้ เปรียบเทียบกับรูปธรรม บูดูของคนปักษ์ใต้ นี่คนปักษ์ใต้เขานั่งอยู่ข้างหน้า ปลาร้าเน่าของอีสาน ทางเหนือก็ถั่วเน่าหรืออะไรเน่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

 

สมณะฟ้าไท… ไปถามนักศึกษาที่ ม.อุบล ปลาแดกหอมไหมเขาบอกหอม ถ้างั้นเอามาใส่สเปรย์ฉีดเลย โอ้ย มันเหม็นครับ เวลากินก็หอมตอนกิน ถ้าไปฉีดเป็นสเปรย์ก็เหม็น

พ่อครูว่า…มันเป็นอุปาทานว่าอันนี้น่าได้ น่ามี น่าเป็น อสุภะเป็นสุภะไปแล้ว มันวิปลาส

_ป้าเข่ง…เป็นคนใต้ แต่กินบูดูไม่เป็น

 

บ้านเล็กเมืองน้อยเขาเขียนมาวิจัยวิจารณ์ดี…

 

_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพรักยิ่ง

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องพึ่งพากัน อยู่ร่วมกันเป็นหมู่กลุ่ม ความกระหายการยอมรับจากสังคม เพราะกลัวจะไร้ตัวตนหมดความสำคัญ ทำให้ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ถูกใช้....เพื่ออวดภูมิโลกจินตา 

จนละเลยสัจธรรม หลงลืมจิตวิญญาณ... สัญชาติญาณจึงคงความเห็นแก่ตัวเยี่ยงสัตว์ (อัตตาธิปไตย)

พ่อครูว่า… ฟังดีๆนะ ลึก ไปหลงบัญญัติ ทิ้งสัจธรรม ทิ้งสภาวะ

ความรักตัว กลัวอดกลัวตาย จึงผลักดันให้หลีกหนีทุกข์ ....แต่ในระหว่างที่ดิ้นรน แย่งกันหากิน เอาชีวิตรอดบนทางทุรกันดาร กลับหลงเสพติดสุข .....จนเบียดเบียนกัน ...ทำร้ายมนุษย์...ทำลายสังคม

พ่อครูว่า… สุขตัวนี้ลึกมาก ไปหลงในสรรเสริญเยินยอ 

แท้จริงแล้ว..... มนุษย์เพียงต่างแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยแก่ชีวิต

แต่หลงผิดไปนิยมทุน...ยึดเงินทองเป็นหลักประกัน  ซ้ำดันกักตุนจนเลยเถิด(โลกาธิปไตย)    ฟุ้งเฟ้อชีวิต - ฟุ่มเฟือยความเป็นอยู่ (เศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์)…..แย่งสุขมาที่ตน-ยัดทุกข์แก่ผู้อื่น

พอสังคมสุรุ่ยสุร่าย .... ทรัพยากรก็ร่อยหรอ 

เมื่อขัดสน .... ย่อมกระทบกระทั่ง (สังคมไม่สมดุล) 

ผู้ปกครองควรจัดสรร .... แต่กลับแสวงหา 

ระบอบการปกครองควรกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำ .... กลับฉ้อฉลด้วยเล่ห์ลับซับซ้อน(การเมืองไร้ธรรมาธิปไตย)  ผูกโยงชักใยทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองให้เลวทรามอย่างทั่วถึง

ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเช่นใด ก็ได้ผู้ปกครองเป็นเช่นนั้น ...นักการเมืองจึงสุมหัวหากินอยู่กับคำว่า “ช่วยเขา” ...นโยบายรัฐจึงเอื้อประโยชน์แต่กลุ่มทุน …ทรราช จึงมีให้เห็นทุกยุคสมัย

พ่อครูว่า… เขากล่าวหาพล.อ.ประยุทธว่าเอื้อประโยชน์แต่กลุ่มทุน

ทาสความกลัวที่เรียกว่า...มนุษย์   จึงติดหล่มทุน  สูญเสียอิสรภาพ  ถูกชี้นำบงการ

ประชาชน กลายเป็น “ทาสทุน”…

และถ้ายังให้ อำนาจอธิปไตยเป็นของ “ทาสทุน” = ให้อิสระแก่กิเลส  ......ด้อมสุขจึงระเริงทุน จนสังคมเหลวแหลก – ลูกหลานก้าวร้าวเอาแต่ใจ  ....    กู่ไม่กลับเช่นปัจจุบัน

พ่อครูว่า…ทาสทุนคือนายทุน 

(ค่อยมาต่อคราวต่อไป)

แม้ประชาธิปไตยจะเสรีแค่ไหน ก็ไม่ช่วยให้มนุษย์มีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตได้                                                       ถึงเศรษฐกิจจะมั่งคั่งเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์มีใจพอได้   ต่อให้สังคมทันสมัยเพียงใด ก็ไม่ทำให้เกิดจิตวิญญาณที่เสียสละ                                                                                                      ดังนั้น   จะเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ ประชาชนจึงต้องเป็นอิสระจากกิเลส...เสียก่อน

“ความเป็นอิสระจากกิเลส  จึงจะทำให้มนุษย์ยอมเสียสละ”

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็นคู่ (มนุษย์ กับ สังคม)    แล้วจัดสรรความเป็นคู่ (อัตตาธิปไตย กับโลกาธิปไตย)ให้ลงตัวได้ในทุกกาลเทศะ ฐานะ (ธรรมาธิปไตย)...ให้ทั้งมนุษย์และสังคมเจริญขึ้น เกิดสมดุลในการอยู่ร่วมกันด้วย อายะ3

 

ผ่านไปเกือบ 2600 ปี.... ความชะงักงันในความรู้แจ้ง ทำให้ขาดแคลนปัญญาโลกุตระ

“พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์”  บุคคลในข้อ10 ของสัมมาทิฏฐิ10 ได้หงายของที่คว่ำ นำโลกุตรธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ กลับมาประกาศ ชุบชีพกลองอานากะ ให้ดังขึ้นอีกครั้ง

พ่อท่านสอนให้อธิศีลไปกับ การปฏิบัติจรณะ ให้เกิดผลเป็นสัทธรรม จนเกิดปัญญา เป็นฌานไปเพ่งเผาทำลายกิเลส .....ให้จิตสะอาดด้วยพลังงานบุญ เป็นหลักประกันชีวิตที่จะไม่ตกต่ำทำชั่วอีก

 

...จิตวิญญาณมนุษย์ก็เป็น อิสระ จากกิเลส   พ้นจากสุขนิยมเข้าสู่ “สภาวะสูงสุดของผลสำเร็จในความเป็นมนุษย์โลกุตระ(ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน)” ที่จะสร้างสมดุลอันดีงามแก่สังคม

เมื่อมีใจพอ ก็พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินมากๆ  ไม่แย่ง ไม่แข่งกันรวย จึง สบาย 

ไม่ฟุ่มเฟือยตามแฟชั่น พ้นจากความเป็นทาสทุนได้ จิตใจก็ สงบ 

แม้ไม่สะสม แต่ยังขยัน จึงเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นที่พึ่งพิงของสังคม ...เมื่อมีน้ำใจต่อกัน หยวนๆกัน แบ่งปันกัน สังคมก็ อบอุ่น-อิ่มเอม (พหุชนะหิตายะ / โลกาธิปไตย) 

ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน ผู้คนจึงต่าง เกษมใส 

และยิ่งมี ใจเกื้อกูลต่อกัน (พหุชนะสุขายะ / อัตตาธิปไตย) 

เมื่อสาราณียธรรมเริ่ม osmosis เข้าสู่สังคม ผู้คนก็ยิ่ง เพิ่มพูนการเสียสละให้แก่กัน  ให้แก่ส่วนรวม.....จนสังคมสาราณียะเจริญยิ่งๆขึ้น (โลกานุกัมปายะ / ธรรมาธิปไตย)

....นี่คือแนวคิด “พุทธาธิปไตย” อันเป็น สังคมนิยมประชาธิปไตยโลกุตระของพระพุทธเจ้า ที่ อำนาจอธิปไตยเป็นของผู้อิสระจากกิเลส  โดยผู้ รู้ ตื่น เบิกบาน ที่ปรับจูนสมดุลของเทวะ ตัด-ต่อความเหมาะควรแก่โลก เพื่อโลกที่สุขเย็น .....ครบทั้ง อธิปไตย3 และ อายะ3 

....อย่างที่พระพุทธเจ้า ประกาศศาสนาแก่โลก 

...อย่างที่ ในหลวง ร.9 ทำเพื่อคนไทย

...อย่างที่ พ่อท่าน ทำอโศกโมเดล

และสังคมที่มีสาราณียธรรมครบพร้อมเท่านั้น  จึงจะเป็นหลักประกันความมั่งคง ปลอดภัยที่แท้จริงของมนุษย์

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใครตรงที่...คนทำตามบรรลุได้จริง วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 24 มิถุนายน 2566 ( 05:54:16 )

660626

รายละเอียด

660626 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53243.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่  

https://docs.google.com/document/d/1WVZHQnNLQVzIBU2T9-lE0X7FzJ2tacZe/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1pkH-N0mxSiZQ3skY-Cq085xstBZn8UM4/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Wym06zhbKNA 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1322088865399114 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เรามาเข้าสู่การฟังธรรมกัน วันนี้มีนักเรียนมานั่งฟังธรรมด้วยเยอะวันจันทร์ 

เดี๋ยวขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก็คงจะใช้เวลาทั้งรายการ 

 

SMS วันที่ 21-22 มิ.ย. 2566

 

ลักษณะอาการจิต แค้น กับ ก้าวร้าว

_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : ท่านเจ้าคะ แค้นกับก้าวร้าว
พ่อครูว่า… แน่นอนๆ  มันยึด มันมีอาการเห็นแก่ตัวนั่นแหละถึงขั้นใช้คำว่าแค้นกับก้าวร้าว มันมีนัยยะสำคัญเป็นอาการของจิต แค้น เป็นอาการลักษณะหนึ่ง 

แค้น นี่มันผูกพยาบาท โกรธ สายโกรธ
ทีนี้ก้าวร้าวนี่ มันอาจจะไม่โกรธแต่มันยึดตัวตน ข้านี่ ตัวของข้าใครอย่ามาแตะเชียวนะ ใครมาแตะใครมาว่า ใครมาทำให้ไม่ชอบใจ บางทีไม่มากมาย แต่แสดงออกตอบโต้อย่างรุนแรงเรียกว่าก้าวร้าว เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ชื่อว่า ก้าวๆ ชอบคำว่า ก้าวก้าว ระวังเถอะ จะก้าวไถล มันไกล มันเลยไปจากก้าวไกลอีก มันร้ายแรงกว่าก้าวไกลอีก เป็นก้าวไถล ก้าวร้าย ก้าวร้าว ก้าวร้าย 

ก้าวร้าว ไปหาก้าวร้าย แค้น บางคนอาจจะไม่แสดงออกแค้นอยู่ในใจเก็บ ได้โอกาสเมื่อไหร่ฉันจะแสดงออก ถ้ายังไม่แสดงออกก็แค้นเก็บไว้ได้ ได้โอกาสเมื่อไหร่จะแสดงออกให้สะใจเลย 

ส่วนก้าวร้าวเป็นการแสดงออกแล้ว เป็นอาการที่แสดงลักษณะที่มันไม่ดีแล้ว ก้าวร้าว 

_(ต่อ)ที่มาของเวทนานี้ มีเหตุจากอะไร ใช่ความเห็นแก่ตัวมั๊ยเจ้าคะ

พ่อครูว่า…คุณปองแสงพุทธนับ แค้นกับก้าวร้าวนี่นับเป็นเวทนาเจตสิก พอจะสังเคราะห์เข้า มีลักษณะเวทนาปนอยู่ แต่มันมีความปรุงแต่ง มันมีสังขาร ปรุงแต่งเข้าไปให้มีลักษณะถึงแค้น ปรุงแต่งเข้าไปให้มีถึงลักษณะก้าวร้าวออกมา เพราะฉะนั้นมันมีทั้งเวทนา มันมีทั้งสังขารที่ตัวเองนั่นแหละ มีอวิชชา ไม่มีความรู้ของอาการจิตพวกนี้ ไม่ได้สังวรระวัง ไม่ได้ควบคุม มันก็สะสมอกุศลจิต อกุศลเจตนาเข้าไป มันปรุงแต่งกันผนึกเข้ามากก็เรียกว่าแค้น ผนึกมากก็แสดงก้าวร้าวออกมา 

มีเหตุจากอวิชชา มีเหตุจากความไม่รู้จักยับยั้งความแค้น ไม่รู้จักยับยั้งความก้าวร้าว ถ้ายับยั้งมันก็จะเป็นการระงับด้วยการกดข่ม แต่ศึกษาตามคำสอนพระพุทธเจ้า มันก็จะมีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ แล้วรู้จักสัจจะทางจิตเจตสิกรูปนิพพาน ละเอียดทั้งเจตสิก ละเอียดไปทั้งเวทนา 108 หรือละเอียดไปเต็มทั้งสภาพของโพธิบักขิยธรรม 37 มันก็จะละเอียดลึกซึ้งเข้าไปถึงสภาพต่างๆ ที่สามารถที่จะรู้เหตุในรายละเอียดของเจตสิกต่างๆ ว่าตัวไหน คนไม่ถนัดเท่ากัน บางคนถนัดปรับตรงนี้ บางคนถนัดปรับตรงนี้ 

เช่น คนนี้ถนัดจัดการกับ ไม่ใช่เรื่องของเวทนาโดยตรง ไปจัดการที่ รูปนาม ไปจัดการที่อายตนะ ในปฏิจจสมุปบาท จะมีเหตุปัจจัยหลายๆคำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของจิตทั้งนั้นในปฏิจจสมุปบาท 

ตั้งแต่ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา จนกระทั่งถึงตัณหา อุปาทาน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะมีญาณปัญญา มีธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นปัญญา จะสามารถรู้สิ่งเหล่านี้อย่างสัมผัสสภาวะจิตเจตสิกเลย แล้วสัมผัสมีธาตุรู้อย่างไปรู้นามธรรมอาการเจตสิกต่างๆหรือจิตต่างๆเป็นต้น แล้วก็สามารถมีโพชฌงค์ 7 แยกแยะ ธัมมวิจัย แยกแยะออกได้ๆๆ แล้วก็จัดการ โดยมีปฏิภาณรู้ว่าควรจัดการตัวไหนให้มันระงับ ควรจัดการตัวไหนให้มันเจริญ จะทำให้มันระงับหรือให้มันหยุด มันเสื่อม ให้มันไม่มีกลับ ทำให้มันมีคือให้มันเจริญๆยิ่งๆ จะรู้จัก ก็จัดการตามที่เราเห็นว่า สิ่งใดควรทำ ไอ้สิ่งที่ไม่ควรให้มีก็ทำให้ไม่มี สิ่งที่ควรให้เจริญแล้วก็ทำขึ้นไป 

เจริญจนกระทั่งเป็นจิตเจริญสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณเท่าพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นความเจริญ ไม่ต้องไปห่วงทางการเจริญของจิต ไม่ใช่ไปดับไปหยุดมันไม่ให้ทำงาน เหมือนกับสายที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอา สะกดจิตเอา โอ้โห..น่าสงสารสายหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะความเสื่อมในศาสนาพุทธเมืองไทยมันเสื่อมไปจนกระทั่งไปหลงยึดครูบาอาจารย์ที่ไปสอนนั่งหลับตาสะกดจิตแบบเดียรถีย์นอกรีต ได้ภูมิธรรมแบบโลกียะมันไม่ข้ามเขตมาโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นคนที่จะมีจิตข้ามเขตมาสู่โลกุตระนี้ โอ้โฮ..กว่าจะมีธาตุรู้ที่มีโลกุตระธาตุ เป็น อัญญธาตุ สั่งสมมา จะต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยใน 100  คือครึ่งหนึ่งของความเป็นอัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ค่อยๆสั่งสม ต้องเลย 50 ขึ้นไปถึงจะแสดงออกให้ผู้ที่สามารถหยั่งรู้ อย่างพระพุทธเจ้าหยั่งรู้ อย่างหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะเป็นต้น ในพราหมณ์ 5 รูป ที่มาเรียนรู้กับท่าน 5 รูปแรก 

พอพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะก็บอกว่า อัญญาสิ วตโพ โกณทัญโญ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นการรู้นี่แหละเรียกว่า อัญญา ถ้าอัญญะแปลว่าอื่น แปลว่าธาตุโลกุตระเป็นธาตุตั้งแต่เริ่มต้นเลย จนกระทั่งสั่งสม สะสม 1 หน่วย 2 หน่วยจนเลย 50 หน่วย 60 หน่วยจนแสดงออก ช่วยตนเองได้ ผู้อื่นที่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างพระพุทธเจ้าจะรู้ว่านี่มีจิตอัญญธาตุแล้ว 

หรือผู้ที่สั่งสม ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะสั่งสมอัญญธาตุทุกคน กว่าจะมี อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ศึกษาโลกุตระไปเลยได้ต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยขึ้นไป ถึงจะถือว่ามันเข้ากระแส เข้าเขตที่จะเป็นผู้...ถ้าจะบอกว่า 50 ยังไม่ถือว่าเที่ยง เสื่อมได้นะ แต่ถ้าเผื่อว่าไปถึง 75 แล้วจะถึงขั้นนิยตะ เที่ยง ที่จะเจริญเข้าไปพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างน้อยเป็นอรหันต์ได้ อย่างสูงขึ้นไปจะเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ 

นี่คือนัยยะ ความลึกซึ้งของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบแล้วเอามาประกาศในโลก เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ค่อยๆศึกษากันไป พวกเราชาวอโศกนี่แหละ จะวางรากฐานของความรู้โลกุตรธรรมไป เพราะมันเสื่อมมาตั้ง 2,500 ปี มันเสื่อม แล้วอาตมาได้เกิดมาในยุคนี้ มาเป็นผู้เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในโลก ใหม่ เพราะมันเสื่อมไปแล้วถ้าอาตมาไม่ขึ้นมา มันจะหายไปเลย อาตมารับผิดชอบอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องมา มันมีกาละของมัน มันมีวาระเวลาที่อาตมาจะต้องออกมาทำงาน ทำมา 50 กว่าปีแล้วก็ยังทำต่ออยู่ ศึกษาต่อๆกันไป 

แล้วถามซ้ำว่าอย่างนี้ความเห็นแก่ตัวไหม รวมๆก็คือความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ กิเลสมันทำเพื่อตนเองก็เป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น บำเรอตัวเองก็เป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ที่บอกว่าทั้ง 2 ฝ่ายพอๆกันคือความแค้นกับความก้าวร้าว บอกว่ามีมืออาชีพไม่ทะเลาะกัน 

_(ต่อ)ทั้งสองฝ่ายพอ ๆ กัน มืออาชีพไม่ทะเลาะกัน ปรับความเข้าใจกัน คนไทยด้วยกัน กรรมใครกรรมมัน แบบนี้ได้มั๊ยเจ้าคะ หรือว่าดิฉันคิตไม่ถูกต้อง ประเทศเราจะได้ไปต่อ

พ่อครูว่า…จะบอกว่าทั้ง 2 ฝ่ายคือความแค้นกับความก้าวร้าวไม่ทะเลาะกัน ปรับความเข้าใจกัน คนไทยด้วยกัน กรรมของใครของมัน แบบนี้ได้ไหม 

อาตมาไม่รู้จะบอกได้อย่างไร จะตอบอย่างไร คุณก็มีเจตนาดีไม่อยากให้คนที่มีความแค้นกับคนที่มีความก้าวร้าว เขาไม่ทะเลาะกัน จับมือกัน 2 ฝ่าย เป็นมืออาชีพด้วยกันทั้งคู่ก็ไม่ทะเลาะกันซะ ปรับความเข้าใจกันซะ เอ๊ พูดเป็นนัยๆ หมายถึงนักการเมืองที่เขามีอาการนี้กันอยู่ใช่ไหม เหมือนพูดเป็นนัยๆว่าพี่ไปหลายวันอะไรอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าเอาเรื่องราวของตัวละครเรื่องจริงของนักการเมืองขณะนี้ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งฝ่ายแค้นฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายก้าวร้าว เขาเรียกกันอย่างนั้นเลยนะ 

_สู่แดนธรรม... ที่มาของปัญหานี้น่าจะฟัง ท่านถิรจิตโตเทศน์ ฝ่ายแค้นก็คือพรรคเพื่อไทย ฝ่ายก้าวร้าวก็คือพรรคก้าวไกลนี่แหละครับ 

พ่อครูว่า... ตามปฏิภาณของอาตมา อาตมาไม่ได้ไปจับเรื่องจากที่ท่าน ถิรจิตโตพูด

คุณจะไปให้เขาจับมือกัน เอาน่า อาตมาว่าปล่อยให้เขาเล่นละครไปเถอะ ซึ่งไม่ใช่ละครหรอกเป็นเรื่องจริงของชีวิตบุพเพสันนิวาส มันเป็นละครเรื่องบุพเพสันนิวาสของโลก ก็ดูกันไป พวกเราชาวดูไปไม่ใช่พวกชาวดูไบ กรรมใครกรรมมัน แบบนี้ได้ไหม ก็กรรมใครกรรมมันอยู่แล้ว มันก็จะต้องไปต่อของมันเมื่อมันทะเลาะกันสุดท้าย 

อาตมาว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปละลาบละล้วงเข้าไปสู่ตรงนั้น มันหยาบเกินไป บอกได้เลยว่ามันหยาบเกินไปที่จะเข้าไปยื่นมือเข้าไปร่วม คำว่า หยาบเกินไป ถ้าใครฟังแล้ว (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

คำว่า หยาบเกินไปนี่ มันซับซ้อนลึกซึ้ง dialectic มันกลับไปกลับมา มันดูเหมือนใครมองว่าจะรุนแรงก็เรียกว่าหยาบ ถ้าใครมองว่ามันไม่มีอะไรมาก มันก็ดีมันละเอียด มันเป็นปฏิกิริยาของสงครามสังคม เรื่องการเมือง ขณะนี้เป็นเรื่องจริงของประเทศไทย ที่มันกำลังสังเคราะห์ความเป็นการเมืองของไทย ความเป็นประชาธิปไตยของไทย มันกำลังสังเคราะห์กันเข้า ละเอียด ละเอียด ลึกซึ้งขึ้น 

ดูเชิงหนึ่ง ก็บอกว่ามันหยาบ มันเละเทะรุนแรง ถ้าคนที่ดูไม่เป็นก็จะเป็นอย่างนั้น คนดูเป็นจะเห็นว่ามันกำลังสังเคราะห์เก็บละเอียดขึ้นไป เนียนนะ 

คนที่มองว่า มันแรง เรียกคำว่า “แค้น”ก็ดี คำว่า “ก้าวร้าว”ก็ดี การแสดงออก แค้นกับก้าวร้าว คำว่า แค้น มันเป็นเรื่องแรงอยู่นะ คำว่าก้าวร้าวก็เป็นเรื่องแรงไม่ใช่เรื่องเบาๆ เป็นสงครามที่เหมือนสงครามแรง แต่ที่จริงโดยลักษณะของความเป็นจริงที่มันเกิดการสังเคราะห์อยู่ขณะนี้ มันไม่แรงหรอก เท่าที่อาตมารู้ อาตมาถึงไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวอะไร ปล่อยเขาจัดการกันเอง 

เหมือนกับหนังเรื่องรามเกียรติ์รบกัน หรือโขนรบกันเท่านั้นแหละ แล้วมันก็จะจบตามบท ผู้เขียนบทอาจจะเป็นพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าอาจจะเป็นผู้เขียนบทก็ได้แล้วก็จะจบไปตามบทเอง 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยบอกว่า ดูมวยต้องดูคะแนนให้ครบ 15 ยกครับ ไม่ใช่ดูการน็อคในระหว่างยก อย่างนั้นมันหยาบไปใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ มวยน็อคมันหยาบ เพราะมวยจะเป็นศิลปะชั้นสูงจะต้องเก็บชกให้ครบ 15 ยกแล้วก็เก็บคะแนนไป ใครเก่งก็ได้คะแนนเยอะ นั่นแหละถึงจะเป็นมวยศิลปะชั้นสูง ก็ศึกษาไป ใช้ภาษาสื่อสภาวธรรม ให้ฟังกัน 

 

_สุคนธ์ เมืองแก้ว  · พรรคก้าวไกลนี้จะให้ ส.ว.ยกมือให้มาบริหารประเทศ..เอาให้ดีนะ ส.ว.บ้านเมืองนี้ยังอนุรักษ์ประเพณีไทยอยู่นะครับ..

พ่อครูว่า…คนนี้ก็เตือนสว. อย่างไรอย่างไรจะยกมือให้ใครเพราะเขามีส่วนมากเลยสว. หรือวุฒิสภา เขามีสิทธิ์ที่จะอนุมัติว่างั้นเถอะ ยกมือให้มาบริหารประเทศต้องผ่านสว.เขา เอาให้ดีๆนะเตือนไว้ ก็รออยู่มีจังหวะหลาย จังหวะซึ่งพิธาจะต้องผ่านอีกหลายจังหวะซึ่งมีผู้พยากรณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเปลวสีเงิน ไม่ว่าจะเป็นจตุพร พรหมพันธุ์ พยากรณ์ไว้หมดแล้วว่าพิธาจะไม่ได้เป็นนายก พิธาเขาได้เจอคำตัดสินของทั้งคุณเปลวสีเงินและคุณจตุพร พรหมพันธุ์แล้ว พิธาก็คงจะอ่อนแรงเหมือนกันนะ ระดับมือ ผู้เป็นสื่อสารหรือผู้ที่เป็น พูดกันศัพท์อย่างอาตมาก็คือเป็นฆ้องปากแตกของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นจตุพรหรือคุณเปลว เหมือนฆ้องปากแตกที่มีเสียงดังอยู่นะ เสียงดังอยู่ในประเทศไทยอยู่ พูดอย่างนั้นไปแล้วก็คงจะ ในหัวใจก็คงวูบๆวาบๆน่าดูเหมือนกันนะ ก็ดูมันเป็นเรื่องบทบาทของสงครามสังคมสังคมสงครามอยู่เป็นธรรมชาติ 

 

_ธันยวีร์ วิยาสิงห์  · ปากท้องชาวบ้าน สนใจบ้าง กลัวลุงตู่ขนาดต้องขจัดให้สิ้นซาก เลยรึ

พ่อครูว่า…คนนี้ฟังแล้วมีนัยยะแสดงเท่าที่อาตมาอ่านภาษา พอจะฟังได้ว่า ว่าไปถึงพวกที่เขากำลังเป็นตัวปฏิกิริยา พูดกันชัดๆ ก็หมายถึงพรรคก้าวไกล พิธา ถึงฝ่ายที่เป็นสีส้ม เป็นตัวปฏิกิริยาเด่น ก็ปรามไปว่า ที่ปากท้องชาวบ้านสนใจบ้าง สนใจเรื่องสำคัญคือปากท้องชาวบ้าน เขากลัว ต้องรีบปราบ รีบขจัด รีบจัดการ เห็นเขาก็ทำลักษณะคล้ายๆอย่างนั้นจริงๆ 

โอ้โห..ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเป็นนายกก็ยังจะให้ลุงตู่รีบหยุด เก็บข้าวเก็บของออกจากทำเนียบ ไปโน่นเลย เป็นคำละลาบละล้วง เบ่งอำนาจอะไรต่ออะไรไป จนกระทั่งเจ้าประคุณเอ๊ย จะเป็นตัวพิธาเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าเสียงมันออกมาจากฝ่ายนั่นแหละฝ่ายก้าวไกลนั่นแหละบอกให้ จะเป็นใครก็แล้วแต่คนของก้าวไกลนั่นแหละ หรือเป็นสมาชิกเป็นฝ่ายถือหางว่างั้นเถอะ พูดบอกว่าให้ลุงตู่รีบเก็บข้าวของออกจากทำเนียบ นี่รัฐบาลใหม่เขาจะเข้าไปแล้ว ไปโน่นเลย ซึ่งปัดโธ่เอ๋ย.. คุณจะต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน จะให้เขาปล่อยมือทิ้งหน้าที่ ทิ้งการรับผิดชอบไปได้ยังไง แค่นี้ก็ยังไม่รู้ความตะกละตะกลาม ความเห็นแก่ได้ อยากจะรีบเข้าไปเป็นนายก อยากจะเข้าไปเป็นใหญ่เป็นโต อยากจะไปบริหารประเทศชาติ เอาน่า อย่าเพิ่งแสดงออก เขาเรียกอะไรนะ แสดงความอยากมากเกิน 

_สู่แดนธรรม... ตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่าครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ตีตนไปก่อนไข้ กระเหี้ยนกระหือรือ อย่ากระเหี้ยนกระหือรืออย่างนั้นนัก เราได้เห็นนะ เราได้ดู พวกนี้เป็นการแสดงออกจริง จะว่าละครก็ไม่ใช่ละครลิเก เป็นเรื่องแท้ ดี

 

สมณะยุ่งกับการเมืองไม่ผิดวินัย พระยุ่งกับการเมืองผิดระเบียบ

_นวลจันทร์ เฟื่องศิลป์  · เป็นพระมายุ่งอะไรการเมือง ผิดวินัยสงฆ์มั๊ยคะ

พ่อครูว่า…ตอบไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าไม่ผิด คำว่า การเมืองนี่ มันเป็นภาษาสมัยใหม่ ภาษาในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่มีหรอก คำว่า การเมือง สมัยพระพุทธเจ้านั้นเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การบริหารปกครองสิทธิ์เด็ดขาดอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน ใครจะพูดอะไรมากมายไม่ได้ จะวิจารณ์เรื่องการบริหารมากไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านพาคนให้บรรลุเป็นประชาธิปไตยอย่างถึงขั้นสาธารณะโภคีเลย แล้วท่านก็ทำอยู่ในแวดวงของท่าน ทำได้แต่ในเฉพาะหมู่สงฆ์ แล้วท่านก็มีบารมีจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคนั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่เลยนะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร เป็นเจ้าแคว้นที่ใหญ่มากในประเทศอินเดียใหญ่กว่าแคว้นอื่นๆเยอะ 

เหมือนกับจีนกับอินเดียสมัยนี้เป็น 2 ประเทศใหญ่มาก มีพลเมืองพันกว่าล้านทั้งคู่ นอกนั้นประเทศอื่นยังไม่มีพลเมืองถึงพันล้านเลย มี 2 ประเทศนี้พันกว่าล้านอย่างนี้ เป็นต้น มันก็คล้ายๆกันกับยุคพระพุทธเจ้า  ที่มีแคว้นโกศลกับแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารถูกพระโอรสประหารชีวิต แล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ขึ้นครองราชย์ในยุคพระพุทธเจ้า 

ก็เป็นตัวอย่างให้เราได้ดู อาตมาก็พยายามนำพฤติการณ์ หรือสิ่งที่มันเป็นบทบาทของการเป็นอยู่ของประชาชนก็ดี การบริหารก็ดี ที่เรียกกันจนกระทั่ง การบริหารเรียก ประชาธิปไตย มันก็เป็นภาษาของการบริหารปกครองประเทศนั่นแหละ ทุกประเทศ

จนกระทั่งมาสมัยนี้ก็แบ่งแยกเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ระบอบประชาธิปไตยขาเดียว ระบอบเผด็จการ  ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายแล้วยุคนี้ขณะนี้ทั่วโลก สู้กันระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย เอาประชาชนเป็นหลัก คอมมิวนิสต์ก็เอาประชาชนเป็นหลัก คือรวบรวมพลังที่จะมีอำนาจเหนือประชาชน คอมมิวนิสต์เขาเป็นอย่างนั้น โดยมีหมู่ไม่ถือว่าเป็นส่วนบุคคล แต่ก็มีหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะอยู่ เป็นการปกครองด้วยคณะบุคคลเรียกว่า คอมมิวนิสต์ เป็นอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่คณะบุคคลนั้น แล้วก็เป็นคณะบุคคลที่ใช้อำนาจมากกว่าประชาธิปไตย เท่าที่รัฐศาสตร์  การเมือง วิชารัฐศาสตร์ เขาก็เรียนกัน จะเป็นอย่างนี้ 

ส่วนประชาธิปไตยนั้นให้อิสรเสรีภาพแก่ประชาชนมากกว่าคอมมิวนิสต์ ถือว่าคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิที่บังคับ มีลักษณะบังคับ อำนาจอยู่ที่ผู้บริหารมาก แต่ประชาธิปไตยนั้นเขาพยายามที่จะบอกกันว่า พยายามที่จะบอกจะพูดกันว่า ให้ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วประชาชนมันหัวแหลกหัวแตก มันจะไปรวมหัวกันได้ง่ายๆที่ไหน 

เพราะฉะนั้นมันลึกซึ้งมากเลย จะต้องทำจิตวิญญาณให้เป็นจิตวิญญาณรวมเข้ามาหาหนึ่งเดียวกัน โดยมีภูมิปัญญาที่จะให้คนเขาปฏิบัติจิตให้มีความเจริญเป็นอาริยะ มีความเจริญที่จะไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นแกนแก่นของประชาธิปไตย หรือแท้ๆก็คือความเจริญของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน แล้วก็มีปัญญา มีปฏิภาณปัญญา 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้มีธาตุรู้ที่เรียกว่าปัญญา ไปหยั่งรู้เรื่องของอาการจิตเลย อ่านรู้อาการของจิตเลยที่แยกแยะเป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน แยกแยะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์  สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์  วิญญาณขันธ์ แล้วก็แยกไปเป็นรูปนามเป็นอายตนะ เป็นผัสสะอะไรอย่างนี้
จนกระทั่งมาแยกแยะเวทนา 108 ซึ่งเป็นแกนของกรรมฐาน เป็นที่ตั้งของกรรมฐานของศาสนาพุทธ แต่พอศาสนาพุทธเสื่อมก็ไปเป็นสมถะ กรรมฐานก็กลายเป็นกสิณ คือใช้กสิณแล้วก็สะกดจิตโดยใช้กสิณเป็นที่ยึด ใช้กสิณเป็นที่เพ่งจิตให้มันเกาะอยู่ตรงนั้นเป็นวิธีสะกดจิต กสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ กสิณอะไรต่ออะไรจนกระทั่งถึง 40 กสิณ ท่านพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรครวบรวมเป็น 40 กสิณ 

สรุปคือ ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นฐานที่เกาะ ให้เป็นฐานที่ให้จิตเข้าไปยึด ยึดตรงนี้ให้จิตมันเกาะนิ่งๆ ถ้าคนที่เขาเป็นผู้สะกดจิตพวกนี้ จิตของพวกนี้ก็จะดับสัญญา ไม่เป็นเจ้าของจิต ผู้ที่เป็นผู้สะกดก็จะเป็นเจ้าอำนาจของจิตนั้นก็จะสั่ง สั่งผู้ที่ถูกสะกดให้ทำอย่างโน้น ให้เป็นอย่างนี้ ให้รู้สึกอย่างนั้นรู้สึกอย่างนี้ได้ เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนความรู้จริงๆได้เลย 

เช่น ตา ก็ลืมตานี่แหละ ไม่ให้เห็นก็ได้ ทั้งๆที่มันมีอะไรให้เห็นแสงสว่างก็มี ตาก็ลืมแต่ไม่เห็น หรือให้เห็นสิ่งที่ไม่มี มันไม่มีนะแต่ให้มีขึ้นมาหลอกตัวเองได้ก็เห็นอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาก็ศึกษามาทำมา ฝึกฝนมา ทำเป็น อาตมาทำทางนี้เป็น (ภาพเก่าของพ่อครู insert) 

 

ประวัติศาสตร์เริ่มต้นโทรทัศน์ในประเทศไทย

ตอนนั้นอาตมาทำงานโทรทัศน์เป็นผู้ช่วยคุณจำนงค์ รังสิกุล ตอนนั้นก็ไปร่วมสมาคมค้นคว้าทางจิต ที่เห็นในภาพคือเขากำลังทำการสะกดจิต 

คณะอาตมาทำงานที่บริษัทไทยโทรทัศน์ เป็นวันเปิดโทรทัศน์ไทย เป็นวันแรกเรียกว่าวันเกิดของโทรทัศน์ไทยคือวันที่ 24 มิถุนายน 2498 เริ่มต้นมีโทรทัศน์ในเมืองไทยช่องแรกคือช่อง 4 

อาตมาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้ที่อยู่ในโทรทัศน์ กล้องโทรทัศน์ จะเห็นว่าเขียนว่าไทยทีวี มันใหญ่เบ้อเร้อต้องใช้ขาลาก ใช้ลูกล้อ ใช้ฐานรับตั้ง น้ำหนักมันน่าจะถึง 100 กิโลกรัมกว่า ใช้คนลาก คนจูง คนถ่าย ช่างภาพถ่ายก็คนหนึ่ง คนลากก็อีกคนหนึ่ง ต้องมีอย่างนี้ทั้งนั้นเลยมันเทอะทะมากเลย นี่ รายการอะไรต่างๆ อาตมาเป็นพิธีกร 

พูดถึงอันนี้มีคนยุให้อาตมาเล่าถึงประวัติเหล่านี้อยู่เหมือนกัน พอดีเขาไปเก็บภาพ มีคนไปเก็บ ไปสะสมภาพเกี่ยวกับโทรทัศน์พวกนี้ มาได้เยอะเลย เอามาให้ท่านลั่นผาได้มา ก็เลยเอามาให้ดู โอ้โห มันน่าเป็นแฟ้มภาพที่จะเอามาพูดถึงเรื่องอดีต มันจะดึงให้อาตมาสามารถที่จะระลึกถึงอดีตในภาพเหล่านั้นขึ้นมาได้เยอะเลย เพราะอาตมาเป็นผู้ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มเริ่มต้น ในวงการโทรทัศน์เมืองไทย ที่มีอายุยืนอยู่ ในขณะนี้คนที่อยู่ในยุคที่มีโทรทัศน์ ช่องต้นๆตั้งแต่ทำงานตั้งแต่ พ.ศ. 2498 จะเหลืออยู่ไม่กี่คนก็ไม่รู้ 

นี่ คุณอารีย์ นักดนตรี ยังอยู่นะ อายุแก่กว่าอาตมา 2 ปี เป็นศิลปินแห่งชาติแล้ว นี่ ฉลอง สิมะเสถียร เป็นพระเอก หรือสะอาด เปี่ยมพงศ์สาน 

พูดถึงฉลอง มีเกร็ดเล่าเรื่องนิดหนึ่ง สมัยก่อนฉลองก็เป็นนักร้อง เป็นพระเอกหนัง เป็นพระเอกละครโทรทัศน์ เป็นพนักงานโทรทัศน์เหมือนกับอาตมาด้วย นี่พวกโทรทัศน์ช่อง 4 ทั้งนั้นแหละ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเริ่มๆทำงานตั้งแต่อาตมายังเรียนหนังสืออยู่นะ อาตมายังเรียนอยู่เพาะช่างปี 3 ยังเรียนไม่จบ พ.ศ. 2498 อาตมาอยู่ปี 3 แล้วก็มีโอกาสได้เข้ามาทำงานโทรทัศน์ ทำงานเป็นตัวเริ่ม 

อาตมาเริ่มด้วยรายการเด็ก คืออาจารย์สมจิตร สิทธิชัย เป็นผู้ช่วยคุณจำนงค์ คุณจำนงค์เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ส่วนอาจารย์สมจิตร สิทธิชัย เป็นรองหัวหน้า เป็นผู้ช่วยจัดการอยู่ ก็มาจัดการ จะทำรายการเกี่ยวกับเด็ก ก็ไปหาคนที่จะมาทำรายการเกี่ยวกับเด็ก 

เขาก็ไปที่ชมรมดรุณสารของอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง อยู่ในเครือข่ายหนังสือพิมพ์สตรีสาร อาจารย์นิลวรรณ ออกหนังสือเด็กเรียกว่าดรุณสาร แล้วก็มีสโมสรดรุณสาร มีชมรมดรุณสาร ซึ่งเดี๋ยวนี้ยังเหลืออยู่ชมรมดรุณสาร พงษ์ศักดิ์ พยัคฆ์วิเชียร ก็อยู่ร่วมอยู่ในชมรมนี้ด้วยกับอาตมา 

แต่ก่อนมีกิจกรรมร่วมกัน แต่ก่อนใช้โรงพยาบาลสงฆ์เป็นที่จัดชุมนุม จัดชมรม มีกิจกรรมอะไรก็ไปจัดสนุกสนานที่นั่น 

พูดถึงภาพนี้ ผู้ใหญ่ที่ยืนเป็นพิธีกร คือหม่อมราชวงศ์พิศวาส นาควานิช ซึ่งเป็นแม่ของผู้บัญชาการทหารบกคนหนึ่ง(พลเอก ธีรชัย นาควานิช) ซึ่งลูกชาย 2 คน เป็นพลเอกทั้งคู่ อาตมาจำชื่อไม่ได้แล้ว อายุมากกว่าอาตมา 2 ปีหรือปีเดียว อาตมาก็เลยเรียกพี่อู๊ด ก็ทำงานอยู่โทรทัศน์ด้วยกัน 

ภาพนี้คือภาพรายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว ที่พูดเมื่อกี้ว่าอาจารย์สมจิตรไปชมรมดรุณสารแล้วก็ได้ตัวน้องแดงคือนิภา ธรรมพิชา ซึ่งไปเข้าตาแมวมอง จะเอามาเป็นพิธีกรในรายการเด็ก เสร็จแล้วน้องแดงเขาก็ตกลงจะมาทำรายการ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเอาพี่รักมาด้วย 

คือน้องแดงเขาศรัทธาอาตมา อาตมาเป็นเด็กโข่งอยู่ในชมรมคืออายุค่อนข้างจะมาก เขาก็เรียกพี่ทั้งนั้นในตอนนั้น เป็นคนแต่งเพลง ดรุณวอลซ์ ตั้งแต่เขายังไม่เปิดตัวชมรมเลย อาตมาใช้นามปากกา เกื้อปรียา อาตมาล้อเลียนนำแฟนของอาจารย์องุ่น ที่มีนามปากกาว่า ปรียา อาตมาก็ใช้นามปากกา เกื้อปรียา ส่งเพลงดรุณวอลซ์ไปให้ เขาก็ชอบใจเขาก็ร้องกัน แต่ไม่เจอตัวผู้แต่งสักทีเลย เพลงดรุณวอลซ์นั้น ใช้นามผู้แต่งว่า รักพงษ์ มงคล ซึ่งเดี๋ยวนี้ช่องบุญนิยมทีวีก็เอามาเปิดอยู่ 

เสร็จแล้วอาตมาก็ได้โอกาสไปเปิดตัวที่ชมรม ก็เลยไปอยู่ในชมรมนั้น น้องแดงเขาก็อยู่ในชมรมนั้น ก็เลยศรัทธาอาตมา อาจารย์สมจิตรเอาน้องแดงไปทำรายการเด็ก ก็คุยกันจะทำอย่างไรดี ซึ่งอาตมาก็เป็นคนแนะ ว่าเอาเด็กตั้งแต่ 7 ขวบถึง 15 ขวบ ประกาศให้มาสมัครเข้ามาตอบปัญหา เราก็ตั้งปัญหาขึ้นมาให้ตอบแล้วก็แจกรางวัลไป โอภาปราศรัยเล่นกับเด็กๆ สร้างความเฉลียวฉลาดให้ตอบปัญหา อาจารย์สมจิตรก็เห็นดีเห็นชอบด้วย จึงเป็นรายการเด็กรายการแรกของประเทศไทย 

จะตั้งชื่อรายการว่าอย่างไร อาตมาก็เป็นคนตั้งให้ว่าเป็น รายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว อาจารย์สมจิตรก็ชอบ ก็เลยกลายเป็นรายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว เป็นรายการเด็กให้สมัครมา เขียนจดหมายมา คนก็เขียนจดหมายมาเยอะ พ่อแม่พี่น้องคนที่มีโทรทัศน์ดูกันแล้ว มันก็มีสตางค์นะ คนมีโทรทัศน์ดูสมัยใหม่ๆ ก็ไม่ใช่จะแพร่หลายเกิน เขาก็เขียนจดหมายมา 

มีรายการเกี่ยวกับดนตรี อาตมาก็จัดรายการ เอาวงดนตรีของโรงเรียนต่างๆมาออกอากาศ อาตมาจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง อันนี้เป็นภาพรายการคนกล้า เด็กแสดงสีไวโอลิน 

อันนี้เป็นวงดนตรีของโรงพยาบาลหญิง คนที่เป่าแซกโซโฟนคือกิ่งรัก คนที่ 2 จากซ้ายมา กิ่งรักคือน้องสาวอาตมาตอนเขาเรียนพยาบาล เขาเป็นนักดนตรีด้วย เดี๋ยวนี้จะอ่านโน้ตออกหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยคงจะทิ้งหมดแล้ว เดี๋ยวนี้อายุ 85 แล้ว 

เขาบอกว่าคนที่จะพูดถึงเรื่องเก่าคือคนแก่นะ ..เอาน่า ก็ยอมแก่แก่ก็แก่ก็ยอมรับก็แล้วกัน เรื่องเหล่านี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์จะชอบ มีตำนาน มีประวัติศาสตร์ แต่นี่ไม่ใช่ของไม่มีหลักฐานยืนยัน มันมีหลักฐานยืนยันอ้างอิงด้วย มันสนุกนะ ทำให้รู้จักประวัติเก่าๆซึ่งยังมีผู้เล่าเรื่องพวกนี้เป็นประวัติเอาไว้ด้วย มันจะมีความจริงที่เหลือ ไม่ใช่มาค้น เดาเอา คาดคะเนว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ใช่ แต่นี่มันเป็นเรื่องที่มีประสบการณ์จริงมา ผู้ที่จะอยู่ในเหตุการณ์จริง มาพูดก็จะชัดเจนกว่า เอาแค่นี้ก่อนเพราะเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งยังมีอีกเยอะ SMS 

 

ตอบปัญหาสมณะทำการเมืองให้ถึงสัมมาธิปไตย

_(ต่อ)นวลจันทร์ เฟื่องศิลป์  · เป็นพระมายุ่งอะไรการเมือง ผิดวินัยสงฆ์มั๊ยคะ

พ่อครูว่า…คำว่าไม่ยุ่งการเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง เรื่องของเรื่องคือพระภิกษุนี่ยังไม่มีภูมิธรรม ยังไม่มีความรู้ความสามารถอะไรที่จะมาช่วยการเมืองเขาได้ เพราะมันเป็นยุคเสื่อม ขออภัยที่อาตมาต้องพูดความจริงออกไป ไม่ได้ไปว่ากล่าว เอาความจริงมาพูด มันเป็นยุคเสื่อมที่ศาสนาพุทธมันเสื่อม ภิกษุก็เสื่อม ไม่มีพลังอำนาจอะไรพอที่จะไปทำงานกับสังคมเขาได้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองมันเขี้ยวลากดิน คือมันร้าย มันใช้เล่ห์กลแทคติกอะไรมาก ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาไม่มากเพียงพอเข้ามายุ่งก็จะโดนพวกนักการเมืองดึงเอาไปเป็นหัวคะแนน เอาเงินฟาดบ้างเพราะมันเสื่อมไง พระอยู่ใต้อำนาจเงิน อำนาจของอำนาจอะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงกลายเป็นนายเป็นเจ้าอำนาจที่จะใช้พระเป็นเครื่องมือ แล้วเขาก็ชอบด้วยนะ นักการเมืองชอบพระที่อ่อนๆ แล้วพระนี่ มีอภิสิทธิ์โดยธรรม คนเคารพนับถือ  เพราะฉะนั้นจะพูดกับคนได้ง่าย จะบอกคนให้มาเอาอันนี้ มานับถืออันนี้ มาเลือกพรรคนี้ ง่ายไง มันเป็นสภาวะซับซ้อนอยู่อย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงชอบที่จะเอาพระไปเป็นหัวคะแนน ก็ง่ายก็ใช้อิทธิพลอะไรก็แล้วแต่เท่าที่จะมีอิทธิพล แล้วพระเองก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของนักการเมือง เพราะไม่มีบารมี ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญาพอที่จะอยู่เหนือนักการเมือง ทางสงฆ์หมู่ใหญ่จึงบริหารด้วยการบอกว่ามีกฎของเถรสมาคมว่า พระอย่าไปยุ่งกับการเมือง ก็ไม่ผิดของเขา แต่มันจะเอามาใช้กับอาตมาไม่ได้ อาตมาเป็นนานาสังวาสกับคณะใหญ่ คณะใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็เป็นไป คุณก็ทำอย่างนั้นถูกแล้ว ดี อาตมาว่ามันก็พอเป็นไป ถ้ามายุ่งแล้วมันจะยาก 

แต่อาตมานั้นเป็นนานาสังวาสคือเป็นอีกคณะหนึ่งของศาสนาพุทธ ที่ถูกตามธรรมวินัยมาหมด ได้ลาออกมาประกาศกับคณะสงฆ์อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย มีหลักฐานเป็นตัวหนังสือด้วย อาตมาเขียนประกาศต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 จำวันได้ด้วย เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2518 อาตมาก็มาเป็นอีกคณะหนึ่งเรียกว่านานาสังวาสกับสงฆ์ 

นานาสังวาสนั้นเป็นพุทธร่วมกันซึ่งไม่ใช่นิกายนะ อาตมาไม่ยอมให้ใครมาว่าอาตมาเป็นนิกายเพราะอาตมาไม่มีจิตที่จะเป็นนิกาย เพราะจิตที่จะเป็นนิกายนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าไปแยกสงฆ์แม้จิตของคุณแยก อันนี้ลึกซึ้งเป็นเรื่องของวินัย จิตคุณก็ตกต่ำ เป็นอนันตริยกรรม แล้วยิ่งทำสภาพจริงของวัตถุนี้ได้ประพฤติจริงเหมือนอย่างกับสงฆ์หมู่ใหญ่ เขาออกมาประพฤติจริงด้วย แล้วทำแยกอาตมา แล้วเขาก็มาเรียกอาตมาว่าอาตมาเป็นนิกาย เห็นสิริมหามายาไหม  เขามาเรียกอาตมาว่าเป็นนิกายนอกรีต ต่างกันกับของคณะใหญ่ว่างั้นเถอะ สงฆ์หมู่ใหญ่ เถรสมาคมเป็นคณะที่ประชาชนหมู่ใหญ่เขานับถือก็ใช่ แต่นับถืออย่างไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย ไม่เจริญตามธรรมวินัย 

แต่อาตมาแยกมานี่มันเป็นของจริงที่เจริญตามธรรมวินัย โดยเฉพาะเป็นโลกุตรธรรม ต้องขออภัยจริงๆที่ต้องพูดความจริง ไม่ได้ไปข่มไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน แต่แยกให้ฟังว่า อย่างนี้ถูกต้อง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ตามสัจจะ ถึงเวลา ถึงโอกาสจำเป็นที่จะต้องพูด ซึ่งจะมีหนังสือที่อาตมาจะออก กะว่าจะออกแจกในวันงานฉลองครบรอบ 90 ปีของอาตมา เดือนมิถุนายน 2567 ชื่อหนังสือบอกไปก่อนเลย 

“เกิดมาชาตินี้” นี่ยังเขียนอยู่ยังไม่จบทีเดียว ซึ่งจะเป็นหนังสือที่พูดอย่างอหังการมากเลย แต่มันจำเป็นที่จะต้องแสดงอย่างนั้น ค่อยๆเห็นก็แล้วกัน 

เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในชาตินี้ ตามชื่อหนังสือจึงต้องมาทำงานทางศาสนาที่ยากมากเลยในยุคที่จะกอบกู้ศาสนาพุทธขึ้นมา แล้วก็จะต้องปลูกฝังสถาปนาสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถึงขั้นโลกุตระให้ลงไปในศาสนาพุทธ 

เพราะศาสนาพุทธยิ่งใหญ่เพราะความมีโลกุตรธรรม เทวนิยมตะวันตก ศาสนาพระเจ้าไม่มีหรอก โลกุตรธรรมไม่มี 

เพราะฉะนั้นธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมจะเป็นธรรมะในระดับเล็กน้อยไปจนกระทั่งถึงระดับระบอบที่บริหารปกครองประเทศ ธรรมะที่อยู่ในระบอบไปบริหารประเทศนี้ เป็นธรรมะที่จะต้องมีอยู่ในการเมืองอยู่ในการบริหารประเทศ ถ้าไม่มีธรรมะอยู่ในการบริหารประเทศ ผู้บริหารประเทศไม่มีธรรมะนี่เป็นต้น ก็พังสิ ผู้บริหารประเทศไม่มีธรรมะ ประเทศก็ฉิบหายวายป่วงหมด เพราะฉะนั้นผู้บริหารประเทศจึงต้องมีธรรมะ โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตรธรรม 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แม้มันจะเสื่อม อาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปแล้ว 50 กว่าปีแล้ว มีคนรู้ มีคนรับได้ มีคนปฏิบัติบรรลุมรรคผล มีสมณะ 4 เหล่า มีพฤติกรรมของโลกุตรธรรมจนเป็นสังคมชาวอโศก อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 อย่างนี้เป็นต้น เป็นของจริงมาพิสูจน์ได้ ยืนยันได้ เป็นของจริง 

อาตมาจำเป็นจะต้องย้ำยืนยันอ้างอิงว่ามีของจริง คุณมาสัมผัสพิสูจน์ได้เรียกว่า เอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ได้ ไม่ได้พูดลอยลมไม่ได้พูดแต่เฉพาะปากเปล่า 

เพราะฉะนั้นในการเป็นการเมือง ที่คนพูดด้วยภาษาของความไม่รู้ของเขาว่าเป็นพระเป็นเจ้า เป็นนักธรรมะหมายถึงอย่างนั้น อย่ามายุ่งการเมือง ผิดวินัยสงฆ์ใช่ไหมคะ ซึ่งไม่ผิดวินัยสงฆ์ แต่อาจจะผิดระเบียบของเถรสมาคมที่เขากำหนด อาตมาไม่รู้แท้ว่าเขากำหนดหรือไม่กำหนด แต่ก็คงจะเข้าใจอย่างนั้นว่าพระอย่าไปยุ่งกับการเมือง ซึ่งอาตมาก็เห็นด้วย พระของเถรสมาคม อย่าให้มายุ่งกับการเมืองเลย เพราะสู้เขาไม่ได้หรอก ถูกเขาเอามาเป็นหัวคะแนนเลย แน่นอนมันก็จะเป็นอย่างนั้น 

 

_ประวิทย์ บุญราศรี  · ท่านเป็นพระอย่าไปยุ่งหรือออกความเห็นเลยครับนมัสการขอเถอะครับ

พ่อครูว่า…ขออภัย อาตมาไม่ให้คุณหรอก คุณขอก็ไม่ให้ ขออะไร ขอว่าอย่าให้ไปยุ่งการเมือง อาตมาก็ขอ อาตมาขอคุณเหมือนกันว่า อาตมาขอยุ่งการเมืองเถอะ แต่จริงๆอาตมาไม่ได้เข้าไปยุ่งการเมือง อาตมากำลังเข้าไปทำการเมืองที่มันยุ่งๆให้หายยุ่ง ไปช่วยให้หายยุ่ง นี่ไม่ได้เล่นลิ้นนะ ไม่ได้ใช้คารมโวหารอะไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นถึงวันนี้อาตมาจึงให้พวกชาวอโศกตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า พรรคสัมมาธิปไตย และอาตมาก็ออกแบบโลโก้ให้ เป็นแบบที่คนทางโลกๆ โลกโลกีย์หรือคนที่ไม่เข้าใจทางโลกุตรธรรม ดูแล้วจะงงว่าโลโก้อะไรมีแต่ตัวเลข มีเลข 0 เลข 1 เลข 2 อยู่ในใบโพธิ์ 

สัมมาธิปไตยคือ อธิปไตยที่เป็นสัมมานั่นแหละ 

0 1 2 มีความหมายอะไร ใบโพธิ์ก็คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หมายถึงความตรัสรู้เป็นโพธิ 

0 ก็คือสุญญตา 1 ก็คือความเป็นเอกธรรม เป็นจิตที่ทำให้เป็น 1 ได้ อยู่เหนือ 2 

ส่วน 2 คือความเป็นเทวะ ความเป็นสภาพคู่ของทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ เริ่มตั้งแต่อุตุนิยาม ตั้งแต่พลังงานสสารก็มีพลังงานบวกลบ เป็น 2 ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงขั้นเป็นชีวะ เป็นพืช เป็นสัตว์มีพลังงาน 2 เป็นคู่ที่ทำงานตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้นความรู้ของผู้ที่รู้ความเป็น 2 และจัดการปรุงแต่งกันระหว่าง 2 ให้เกิดเป็นสภาพ 3 

สภาพ 3 ถ้าเป็นสภาพปรุงแต่งกัน สภาพที่สามารถคุมการปรุงแต่งของ 1 2 ได้ อันนั้นก็เรียกว่าประธาน คุมไม่ได้ก็เรียกว่าอวิชชาเรียกว่าโง่ เพราะฉะนั้นสังขารก็เป็นนายของตัวอัตตา

ส่วนผู้ที่สามารถคุมได้ การคุมสภาพ 2 ได้ ก็เป็นโลกุตระ คุมไม่ได้ก็เป็นอวิชชา หรือพระเจ้า คุม 2 ไม่ได้ ได้แต่ยึด 2 เป็น 1 เทวนิยมหรือพระเจ้าศาสนาเทวนิยมยึด 2 เป็น 1 แล้วใช้อำนาจยึด เป็นศาสนาบังคับ เป็นศาสนาใช้อำนาจ อำนาจของพระเจ้า ทุกคนต้องเป็นทาสของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้นอิสรเสรีภาพ ไม่มีทาสไม่มีนาย อันนี้นี้จะลึกซึ้งมาก อธิบายไปได้อีกกี่วันก็ได้ 

 

ลักษณะประชาธิปไตยที่ดี 5 ประการ

_สู่แดนธรรม... นักเรียนของเรา ส่งโน้ตมาถามว่า...ประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นอย่างไร เขาอยากรู้ว่าไม่ดีเป็นอย่างไรด้วย 

พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยที่ดี อาตมาได้พยายามพูดเป็นภาษาอาตมาว่า 

1.ไม่มีตัวตนหรือพูดง่ายๆว่าไม่เห็นแก่ตัว 

2. มีปัญญา 

ซึ่งอาตมายังไม่ได้เรียบเรียงคำความ น่าจะมี 4-5 คำในเรื่องประชาธิปไตยนี้ 

3. เป็นผู้ทำงานรับใช้ประชาชนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน 

4. มีความซื่อสัตย์ 

5. มีสมรรถนะ มีความรู้ 

เรียงใหม่แบบนี้

 1. เสียสละ

 2. ไม่มีตัวตน

 3. ซื่อสัตย์

 4. มีสมรรถนะมีความรู้

 5. รับใช้ประชาชน

พ่อครูว่า... 5 ข้อนี้เป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรง ประชาธิปไตยที่มีสมรรถนะ มีประสิทธิภาพอย่างดีแล้ว เสียสละคือเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสีย ไม่ใช่เป็นผู้ได้เลยนะ ไม่มีตัวตน เป็นสัจจะที่ลึกซึ้งมาก ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ไม่มีตัวตนได้ ศาสนาเทวนิยมนั้นไม่มีคำสอน ไม่มีความรู้ให้มาศึกษาจิตวิญญาณให้ละกิเลสจนไม่มีตัวตนได้ มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวและอยู่ในประเทศไทย และจริงๆก็อยู่ในชาวอโศกด้วย แม้แต่เถรสมาคมก็ทำให้หมดตัวตนไม่ได้ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ยังไม่มีปัญญาพอที่จะสอนให้มดตัวตนได้จริง เพราะยังไม่เป็นโลกุตระแท้ 

ความซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ความซื่อสัตย์นี้ยิ่งใหญ่มาก ใครก็ต้องยอมรับว่าพลเอกประยุทธ์นี้ซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้น พลเอกประยุทธ์มีตัวเด่นคือซื่อสัตย์กับทำงานรับใช้ประชาชน 2 อย่างนี้ ที่เด่นดังอยู่ทุกวันนี้ พลเอกประยุทธ์มี 2 อย่างนี้ของประชาธิปไตยคือซื่อสัตย์กับรับใช้ประชาชน 

และ 3 คือมีสมรรถนะมีความรู้คือสามารถสร้างสรรค์ช่วยเหลือมนุษยชาติ ก็เห็นความเสียสละของพลเอกประยุทธ์อยู่อย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นขั้นไม่มีตัวตนก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นบริบูรณ์ในตัวนั้น แต่เสียสละซื่อสัตย์ มีสมรรถนะมีความรู้ กับรับใช้ประชาชนนั้น พลเอกประยุทธ์มีอย่างเห็นๆ นี่ได้แสดงตัวเอง ได้ทำงานผ่านมา 8 ปี มีหลักประกัน มีสิ่งยืนยันใน กาละ เทศะ ฐานะ มาแล้ว

เพราะฉะนั้น คนจะมาแข่งขันนี้ อาตมาเคยพูดแล้วว่าในชีวิตของอาตมา อาตมาเกิด 2477 ประชาธิปไตยเมืองไทยประกาศ 2475 แต่มันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นรูปร่างอะไรขึ้นมามากหรอก มันยังเป็นการเมืองที่เป็นเผด็จการ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยมานาน แต่มันก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยที่มีรากเหง้าของโลกุตรธรรม แม้ว่ามันจะไม่ขึ้นมาเป็นตัวทำงานข้างบน แต่อยู่ข้างใต้ Unconscious Subconscious ในจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก มันก็ออกมาทำงานอยู่ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงของเมืองไทย จึงเป็นความเป็นจริงที่มีประชาธิปไตยแบบโลกุตระของพุทธศาสนา ประชาธิปไตยเดียวในโลกไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้น ตำรารัฐศาสตร์ประเทศไหนไหน ถ้าไม่เข้าใจศาสนาพุทธโลกุตรธรรมอย่างที่อาตมาอธิบายนี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจประชาธิปไตยที่เป็นอุตระ ประชาธิปไตยที่เหนือประชาธิปไตยทุกประชาธิปไตยในโลกเท่าที่เขาถือว่าเขาเป็นประชาธิปไตยในโลก 

เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยที่ดีที่สุดต้องโลกุตระ 

และมีหลักประชาธิปไตย 5 ประการ 

1. ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ 

2. กษัตริย์ต้องเป็นประมุข 

3. มีพระจริยวัตร มีการประพฤติจริง มีบทบาทจริงด้วย สืบสันตติวงศ์ 

4. มีทศพิธราชธรรม แล้วยิ่งสูงยิ่งละเอียด 

5. ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตย 2 ขาคือ มีกษัตริย์กับประชาชน เรียกว่าราชประชาสมาสัย รวมเรียกสรุปอีกอันเป็นกระบวนการ 5 

พ่อครูว่า... ก็ค่อยๆศึกษาไปว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ว่าความเป็นระบอบการเมือง ระบอบการบริหารประเทศชาติ มันก็มีมาแต่ไหนแต่ไรของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่เผด็จการหรือว่าตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือตั้งแต่เป็นหัวหน้าเผ่า มาเรื่อยๆ จนพัฒนามา เอาความเป็นประชาชนเข้ามามีสิทธิมีอำนาจร่วม  หรือว่ากระจายอำนาจเป็นศัพท์สมัยใหม่ว่า กระจายอำนาจให้แก่ประชาชนเขามีอำนาจร่วมในการร่วมรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมประพฤติอยู่ในสังคมไม่ใช่เอาอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่ผู้บริหารเป็นหัวหน้า หรือแม้ที่สุดประยุกต์มาเป็น ผู้บริหารเป็นหัวหน้าคนเดียวก็ไม่ควรไว้ใจ ก็เลยมาตั้งเป็นคณะแบบคอมมิวนิสต์ เรียกว่าแบบคณาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยหรืออธิปไตยแบบมีคณะเป็นกลุ่มบริหารและก็ค่อยๆเลือกกันเข้ามา เขาอาจจะมี 10 คน 15 คน 20 คนก็แล้วแต่เขา แล้วแต่ประเทศที่เขาทำ ซึ่งอาตมาเป็นคนไม่กว้างขวาง ไม่ไปรู้สถิติประเทศนั้นประเทศนี้ แต่รู้ถึงจุดสำคัญ   รายละเอียดสำคัญพวกนี้ได้ในพฤติกรรมต่างๆทั้งหลาย อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษา ไม่ได้เป็นนักสถิติที่จะค้นคว้ารอบรู้อะไร แต่รู้ด้วยปฏิภาณปัญญา รู้ด้วยความรู้ที่มีมาเดิม อาศัยสัจจะพวกนี้มาแจกแจงอธิบายสู่กันฟัง ด้วยความมั่นใจว่าอาตมาไม่ได้พูดสิ่งที่ผิด พูดสิ่งที่ถูกต้อง 

ในคนที่ไม่เข้าใจอาตมา อาตมาขอให้อาตมาอย่าไปยุ่งกับการเมือง อาตมาก็ขอคืนว่าขอเถอะขอยุ่ง แล้วอาตมาบอกแล้วไม่ใช่เล่นลิ้น ไม่ได้ไปทำให้การเมืองยุ่ง แต่ไปช่วยให้การเมืองหายยุ่ง อาตมาพาทำ ไม่ใช่พา อาตมาพยายามเข้าไปร่วม ก็ไปยุ่งนี่แหละกับในการเมือง เช่นเข้าไปเป็นผู้ประท้วงหรือไปขับไล่ หรือไปเรียกว่าไปปฏิวัติ ไปรัฐประหาร 

รัฐประหารคือ ประหารรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลทรราช เป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกต้อง เป็นรัฐบาลที่ไม่ควรจะบริหารต่อไปเรียกว่าทรราช ซึ่งก็จริงที่ได้ทำมาแล้วตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำไปแล้ว อาตมาได้ร่วมมือมาทั้งนั้น พาพวกเราไปแล้วก็มีคณะมวลประชาชนเข้ามาร่วมและเป็นผู้ที่รู้จักเป็นผู้ที่มี Goodwill มี Favorite ทางสังคมมากกว่าอาตมาในเรื่องทางการเมืองก็ช่วยกันนำอย่างที่เห็นที่เป็น ผ่านไปแล้วมีหลักฐานต่างๆ นักรัฐศาสตร์จะอธิบายได้ แต่อาตมาเอง อาตมาไม่ได้เป็นตัวจะมายึดว่าเราเป็นผู้มีอำนาจ เราเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มีเดช มีความเก่งกล้ามา อาตมาไม่ได้ยึด ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ อาตมามีแต่พฤติกรรมจริงเท่านั้นแหละ ที่จะว่ามาจะต้องได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะต้องมีตำแหน่งยศศักดิ์ฐานะอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่ต้อง 

มี Insert ภาพ คุณหมาแก่ หรือคุณดนัยมาสัมภาษณ์ ก็มีภาพเก่าๆมาร่วมบ้าง 


 

ชาวอโศกไปทำ Neo protest ไม่ใช่ก่อม็อบ

_รัฐพล เพิ่มทรัพย์  · เทวทัตขอต้องได้..แนวคิดดีมากๆครับ แต่คิดจะเป็นศาสดา บารมีไม่ถึง..เพราะอิงการเมืองเพื่อความยิ่งใหญ่ของลัทธิทานผัก..

พ่อครูว่า…ตั้งข้อหาว่าอาตมาเป็นเทวทัต ขอต้องได้ และอาตมาก็พูดอยู่แล้วว่าอาตมาไม่ได้เป็นศาสดา อาตมาเป็นโพธิสัตว์ จะไม่ขยายความมาก คุณรัฐพลควรศึกษาไปอีก บอกว่าอาตมาบารมียังไม่ถึง ความเป็นศาสดา ซึ่งอาตมาจะไปเป็นศาสดาก็เป็นศาสดาพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละไม่เป็นศาสดาเทวนิยม 

คุณพูดมาใส่ความหาความอาตมาว่าอาตมาทำงานไปอิงการเมืองเพื่อจะได้ความยิ่งใหญ่ของลัทธิทานผัก พูดไป ท้าวความอีกอาตมาเข้าไปร่วมกันเมืองมาตั้งแต่พ.ศ 2549 อาตมาจำได้ ประมาณกรกฎาคม แล้วอาตมาก็นำประท้วงมา อาตมาอธิบายย้ำเลยว่าอาตมาคือนักประท้วงและอาตมาก็ใช้คำว่า Protest แล้วอาตมาไม่ได้พากันไปประท้วงแบบหมู่ประชาชนที่เขาใช้คำว่า ม็อบ ม๊อบเป็นนักประท้วง นักรวนสังคม 

คำว่า ม็อบ กับ Protest ก็เป็นการประท้วงทั้งคู่ แต่คำว่าม็อบคือลักษณะของความวุ่นวายเดือดร้อนเสียหาย ส่วนลักษณะโปรเทสคือลักษณะชั้นดี ชั้นทำงานอย่างถูกต้องมีครรลองคลองธรรม อย่างที่พวกเราเป็นชาวโปรเทส อาตมาก็ใช้คำว่า NeoProtest  ในตอนที่ประท้วง อาตมาก็คิดเองภาษาว่า Neo-protest คือเป็นการประท้วงแทนที่จะใช้คำว่าม็อบ อาตมาไม่ใช้ แต่มันเป็นการชุมนุมประท้วงเหมือนกัน 

ม็อบเขาใช้แบบกันเยอะแล้ว เก่าไปแล้ว คำว่า Protest เราก็ยังไม่มี เดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกม็อบกันอยู่ เขาก็ยังไม่ใช้ Protest แต่อาตมาใช้คำว่า Protest แล้วใช้คำว่า นีโอ ซึ่งเป็นการประท้วงแบบใหม่กลายเป็นไทยง่ายๆว่าประท้วงแบบใหม่ 

โดยนำคณะเข้าไป มีสมณะ ประชาชน เมื่อชาวอโศกเข้าไปร่วมไปตั้งเต็นท์ ไปยึดพื้นที่อยู่ในถนนอยู่ในสนามรบที่อยู่ในกลางกรุงเทพฯ ทำกันอยู่มีหลักฐานยืนยันทั้งภาพนิ่งวีดีโอ มีคณะมวลแล้วก็มีผลสำเร็จ ยืนยันได้ว่ามีผลสำเร็จเพราะว่า ประท้วงจนกระทั่งรัฐบาลต้องพ่ายแพ้หรือว่าต้องเลิก ต้องหยุด หายไปได้อย่างที่ยืนยันแล้ว 3-4 รัฐบาล 

จนกระทั่งรัฐบาลประยุทธ์ ขึ้นมาบริหาร เราก็ไม่ได้ไปประท้วงอีก ให้ทำงานมาถึง 8 ปี แล้วถึงวันนี้เราก็ยังเห็นดีอยู่ว่า ท่านประยุทธ์น่าจะได้ทำต่อตามที่ความตั้งใจของพลเอกประยุทธ์เองว่า ต้องการจะทำต่อ 

แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่คนดันทุรัง เขาจะให้หยุดก็หยุด ไม่ใช่คนดันทุรัง เขาจะให้ทำต่อ ก็พูดไว้แล้วว่าทำต่อมีสิ่งต่อที่จะต้องทำอย่างนี้เป็นต้น ก็ดูไปก็แล้วกันว่าหวยจะออกอะไรในประเทศไทย ตอนนี้ก็ยัง โอ้โห ..มีตั้งหลายคนที่เป็น candidate จะขึ้นมาเป็นนายกอยู่นี่ อย่างมีพิธา โอ้โห ชูมาเด่น กระนั้นอุ๊งอิ๊งก็ยังมาแทรกอยู่ เศรษฐาก็ยังเป็นแคนดิเดตเป็นตัวที่จะเข้ามาชิงตำแหน่งนายกกัน 

มีพิธา มีอุ๊งอิ๊ง มีเศรษฐา แม้แต่อนุทินก็มีชื่อในนั้น ใครอีกล่ะ บิ๊กป้อมประวิตร แหมลืมไปได้ไงคนนี้ บิ๊กป้อมนี้มากับเพนกวินนะ เดินท่าทางเหมือนเพนกวิน นี่ก็อีกอย่างนี้เป็นต้น 

แต่ว่า สังเกตดีๆเถอะ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้แสดงตัวว่าจะมาชิงเป็นชื่อในแคนดิเดต ไม่มี มีแต่ทำงานไป อาตมาถึงบอกว่า ผู้ที่เอาแต่พูดอวดชูนนโยบาย รู้เหมือนพิธา แต่ประยุทธ์ไม่ต้องชูอะไรมากก็บอกบ้าง ไม่บอกก็ทำเลยทำๆๆเพราะมันมีคณะบริหารอยู่แล้วเห็นว่าควรทำก็รีบทำไป ก็ได้ผลงานทุกวันนี้ก็เจริญงอกงามแม้แต่ในทางวัตถุ ทางจิตวิญญาณก็นำอยู่อย่างประพฤติให้ดู 

พลเอกประยุทธ์นี้ประพฤติธรรมะโลกุตรธรรมให้ดู จนกระทั่งอาตมาเห็นว่าคนนี้เป็นโพธิสัตว์ บอกไปแล้วคนเข้าใจไม่ได้ อาตมาก็ไม่ได้พยายามอธิบายขยายความอะไรเพราะมันไม่ง่าย แต่ยังไงพลเอกประยุทธ์ก็ทำอยู่  แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นคนเอาตัวตนมาแสดงโด่เด่เป็นหลักยึดมั่นถือมั่น ใครยินดีอยู่ให้ทำก็ทำ ใครไม่ยินดีให้อยู่ให้ทำก็เลิก จนกระทั่ง 8 ปีก็มีผลงาน เรื่องนี้ดูไปเถอะอย่าเพิ่งไปหยุด พวกเราพวกชาวดูไป บอกแล้วไม่ใช่ชาวดูไบ 

คุณรัฐพลบอกว่าอิงการเมือง เราไม่ได้อิง เราไปทำการเมืองอย่างเต็มสภาพอย่างระมัดระวัง แล้วไม่ได้ไปแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่ อาตมาบอกไว้เลย อาตมาไม่ได้ไปเอาตำแหน่งในทางการเมือง แน่นอนคุณชาตินี้ตามอาตมาดูไปเถอะ 

อาตมาบอกอีกคำ  อาตมาโชคดีมากเลย กรรมมหาวิบากในชาตินี้ อาตมาไม่ได้เข้าไปเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่อะไรที่จะเป็นยศศักดิ์เป็นตำแหน่งหน้าที่ทางโลกเลย มีแต่ถูกคนดูถูกดูแคลน มีแต่คนเขาตั้งให้เลยนะ ตั้งให้เป็นเทวทัต ตั้งให้เป็นศาสดามหาภัย แม้แต่ว่า นักการเมืองที่เขาว่าไปเป็นตัวตั้งตัวตี ไม่ อาตมาก็พาทำเป็นมวลประชาชนเพราะพวกเราประชาธิปไตย ไม่มีปัญหาอะไรเป็นแต่เพียงว่าอาตมา อาตมามีการแนะว่าจะเอาอย่างนี้ด้วยไหมถ้าเอาด้วยก็ไปทำกัน ถ้าพวกคุณไม่ไปอาตมาก็ไม่ไปแต่ถ้าพวกคุณมีมวลมากพอบอกว่าอาตมาจะพาทำอย่างนี้จะไปกันไหม ถ้าไปก็ไปกันเป็นหมู่มวล ไม่ได้ไปคนเดียวโด่เด่ แล้วไม่ได้ใช้ความบังคับด้วย ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ด้วย มันลึกซึ้งค่อยๆดูกันไป 

 

_บุญช่วย อึ้งเรือนยะ : สันติอโศกเดินตามพระพุทธเจ้าหรือเดินตามมหาวีระกันแน่คับ

พ่อครูว่า...คุณต้องพยายามเข้าใจว่ามหาวีระกับพระพุทธเจ้านั้นมีความคล้ายความต่างกันอย่างไร 

พระมหาวีระนั้นไม่ยอมรับลัทธิพระเจ้าเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า อันนี้เหมือนกัน แต่พระมหาวีระนั้นเป็นฤาษี เป็นโลกียะธรรมะอยู่ ยังเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษจนสุดโต่ง พระมหาวีระนี่เดี๋ยวนี้เขาก็เรียกว่าศาสนาเชน ออกป่าหนีสุดโต่งไป โอ้โห..ไม่กินเนื้อสัตว์เหมือนศาสนาพุทธ ระมัดระวังเรื่องสัตว์ต่างๆไม่ให้แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอะไรต่ออะไร ไม่ให้มันตายเพราะตนเลย ระมัดระวังอย่างยิ่งแล้วก็ไม่เกี่ยวกับสังคม หนีออกปากเขาถ้ำไป มันกลายเป็นสุดโต่งเป็นอัตตาที่ไม่รู้ตัว ให้ค่อยศึกษากันไป 

 

_ในตรม จนตลอดชาติ  · 

เป็นหญิง อย่าง่วงเหงานอนซบเซาอยู่จนสาย 

การเรือน เร่งขวนขวายเอาใจใส่ในเคหา 

ข้าวปลา อย่าคาหม้อทิ้งเหลือให้บูดรา

ถ้วยชาม อย่าให้คาจงล้างทำจำให้ดี 

ถึงน้องหยกครับ

พ่อครูว่า…เขียนมาเป็นภาษากลอน ฟังแล้วซึ่งก็เป็นแบบของคุณในตรม มันไม่ใช่กลอนสี่ แต่คำมันก็ว่ากันไปก็มีสัมผัสใน อันนี้เขาเขียนถึงน้องหยก ก็ส่งความไปถึงน้องหยก ใครเข้าใจความหมายก็ดูก็มีน้ำใจใช้อาตมาเป็นสื่อ ก็ว่าไป 

 

อรหันต์ก็เป็นมะเร็งได้

_นพดล ทองโคตร  · ขออนุญาตคิดว่า พ่อครูไม่ได้ป่วยมะเร็งครับ ด้วยเห็นว่าจิตพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ก่อให้เกิดโรคภัยแก่ร่าง คงมีแต่เพิ่มพลังแก่ร่างกาย ให้พ่อครูแข็งแรง อายุยาวได้ทำงานกอบกู้ศาสนาได้อย่างเต็มกำลังครับ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ยังไม่รู้สึกว่าอาตมาเป็นโรคร้ายที่เขาบอกมาเหมือนกัน อาตมาก็พอรับรู้ว่า เขาว่าอาตมาเป็นมะเร็ง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตรวจได้จากค่ามะเร็งในเลือด อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าอาตมาเป็นมะเร็งอะไร 

อาตมาเป็นไอเท่านั้น มันมีกระเปาะ อันนี้หลักฐานชัดเจน มันเบียดเส้นเสียงอยู่นี่ แล้วมันก็ขับเสลดเหนียวออกมา ทุกวันนี้อาการมันหนักขึ้นมันก็คงเจริญ มันสร้างสเลดเหนียว เข้ามาปิดท่อหายใจอยู่แถวนั้น ก็เลยจะต้องขับเสลดที่เหนียวที่ปิดนี้หนัก ทุกวันนี้มันแรงขึ้น ผ่าตัดก็ผ่าไม่ได้เพราะมันติดอยู่กับหลอดเสียง มันเสี่ยงตายมากเลย เขาก็ไม่ผ่า หมอก็ไม่รู้จะผ่ายังไงเพราะมันติด ก็เลยเป็นโรควิบากของอาตมา อาตมาขอรับไป 

_สู่แดนธรรม... ผมขอถามเพิ่มครับ ค่านิยมของคนที่คิดด้วยตรรกะ เขาจะมองว่าพระอริยะชั้นสูงหรือพระอรหันต์จะไม่มีสิทธิ์เป็นมะเร็ง เขามองอย่างนั้นว่าพระอรหันต์ไม่มีความเครียด ไม่มีปมอะไรที่เป็นกิเลส เขาเลยบอกว่าการที่คนเป็นมะเร็งมีสาเหตุจากความเครียด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ถ้าบอกว่าใครมีสิทธิ์เป็นมะเร็งนั้นเขาจะลบทิ้งเลยว่าไม่ใช่อรหันต์ 

พ่อครูว่า... เข้าใจไปยังงั้นบ้างก็แล้วแต่ จะบอกว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย แม้แต่จะเจ็บจะป่วยโรคแรงโรคหนัก ไม่มี มันก็ไม่จริงทีเดียว โรคแรงๆหนักๆแล้วแต่วิบาก อรหันต์บางองค์ก็ตายด้วยโรควิบากร้ายแรงก็ได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะไปคิดอย่างนั้น 

_สู่แดนธรรม... เพราะฉะนั้นมะเร็งไม่ใช่เกิดแต่ความเครียดเท่านั้นใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ แต่ความเครียดก็เป็นส่วนให้เกิดมะเร็งเหมือนกันแต่ไม่ใช่ความเครียดเท่านั้นมีเหตุปัจจัยอีกเยอะ อวัยวะสรีระต่างๆก็เป็นมะเร็งได้ ต้องไปคุยกับแพทย์เขาดีๆจะรู้เหตุปัจจัยมากกว่าเรา 

 

_Kvit Ssk  ควิท เอสเอสเค· ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเลวร้ายเท่ากับคนที่เห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี มองเห็นมิจฉาทิฎฐิเป็นสัมมาทิฎฐิ อันเป็นความคิดที่เป็นปัญหาต่อสังคมส่วนรวม

พ่อครูว่า...อันนี้ใช่ สิ่งเลวร้ายคือเห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี มองเห็นมิจฉาเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณพูดมาถูกหมด แต่คุณหมายความหมายถึงว่าคุณว่าอาตมาหรือเปล่า คุณมองว่าอาตมาเห็นผิดเป็นถูกเห็นชั่วเป็นดี  เห็นมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณศึกษาอาตมาให้ดีๆไปเถอะถ้าคุณเห็นนะ แต่ถ้าคุณไม่เห็น คุณพูดกลางๆก็แล้วไป ไม่มีปัญหาอะไรคุณพูดถูกต้องแล้ว 

 

พ่อครูตื่นมาตีระฆังทุกชั่วโมงเพื่อฝึกไม่ติดหลับ

_ตุ๊ก อัศวิน · น้อมกราบ._/\_.ขอบพระคุณ คณะปัจฉา ที่ทุ่มเทสรรพกำลังทั้งกายและใจ ช่วยดูแล 'พ่อครู' ให้ท่านดำรงธาตุขันธ์ให้อยู่เป็นประโยชน์ ต่อโลก ไปอีกนานเท่านาน และ ขอบพระคุณที่กรุณาเล่าสู่ฟัง ถึงความ 'เป็น_อยู่_คือ' ของพ่อครู ให้ลูกๆได้ตระหนักรู้ และ เพิ่มความเพียร ให้สมกับ 'ความกรุณาของพ่อครูที่มีต่อลูกๆ'..เจ้าค่ะ

ฟังท่าน ส เดินดิน ปรารภถึง ในอดีต พ่อครู ลุกมาตีระฆังทุกชั่วโมง ราวกับ เป็น 'แขกเฝ้ายาม' ในยามวิกาล ฉะนั้น!! จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้..เจ้าค่ะ 

ปุจฉา: พ่อครู ท่านเห็นประโยชน์อันใดฤา จากการบำเพ็ญ ตีระฆังทุกโมงยาม..เช่นนั้น..เจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณยิ่ง..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...การที่อาตมานอนแล้วก็ตีระฆัง อาตมามีกังสดาลอยู่ข้างตัวนอนแล้วถึงชั่วโมงก็ เริ่มนอนประมาณ 2-3 ทุ่ม พอได้ 1 ชั่วโมง ถ้านอน 3 ทุ่ม ถึงเวลา 4 ทุ่ม ก็ตี 5 ทุ่มก็ขึ้นมาตี 2 ยามก็ตี ชั่วโมงหนึ่งก็ขึ้นมาตีโดยอาตมามีหลักเกณฑ์ว่า ถ้าอาตมารู้สึกตัวแต่ละชั่วโมง อาตมาจะทำให้ตัวเองรู้สึกตัวทุกชั่วโมงเพื่อขึ้นมาตีระฆัง เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกตัวขึ้นมาก่อน 4 ทุ่ม10 นาที หรือเลย 4 ทุ่มเป็น 10 นาที อาตมาก็ถือว่าอนุโลมถือว่าตีได้ ถ้าเลยไปแล้วก็ถือว่าพลาดไม่ตี ไปตีเอาชั่วโมงต่อไป 

ทีนี้ประเด็นว่า ทำไมอาตมาเห็นประโยชน์อะไรจากการจะต้องลุกขึ้นมาตีเหมือนกับคนเฝ้ายาม อาตมาฝึกความตื่น อาตมาฝึกไม่ให้ติดการหลับการนอน นี่เป็นหลักเลย ไม่ติดกันหลับการนอน นอนอย่างหลับอร่อย พูดอย่างเป็นกิเลสคือหลับอร่อย หลับอย่างเพลิน 

ฝึกจนกระทั่งอาตมาจับกิเลสติดอร่อยติดหลับได้ จนกระทั่งอาตมากำหนดการหลับการตื่นได้ และอาตมาก็ตีระฆังนี้มา ตั้งแต่นุ่งชุดขาว ก่อนนุ่งชุดขาว พ.ศ 2532 อาตมาตีระฆังมาก่อน จนกระทั่ง มาหยุด เมื่ออาตมาอายุ 70 แต่อาตมาก็ติดเป็นนิสัยแล้ว ตอนนี้กลางคืนก็จะตื่นเกือบทุกชั่วโมงเหมือนอย่างตอนโน้น แต่ก็พยายามจะหลับให้ได้นาน ชั่วโมงครึ่งบ้าง 2 ชั่วโมงบ้าง นานๆจะหลับต่อกันถึง 3 ชั่วโมงสักที แล้วโดยเฉพาะเขาบอกว่าหลับไม่ลึก ที่เขาใช้ศัพท์ภาษาเท่ๆว่า Deep sleep 

เขามีเครื่องวัด นาฬิกานี้เป็นเครื่องวัดอะไรสารพัด หมอก็อาศัยเป็นเครื่องวัดต่างๆนานา เหมือนกับหมอแมะ หรือใช้สเตทโตสโคป เจาะดู อันนี้เป็นเครื่องวัดมาค่อยใช้ตรวจดู ท่านแสนดินก็มาดู มันก็บอกเท่าที่มันมีได้ เขาก็ทำไว้ ไม่ใช่ใส่ไว้โก้ๆ อันนี้ไม่ใช่ใส่ไว้เท่ ไว้โก้ ไว้ติดอะไร ไม่ใส่ก็ดีกว่า แต่หมอเขาก็ให้ใช้เพื่อที่จะดูแล สรีระร่างกายเป็นประโยชน์ เป็น AI ชนิดหนึ่ง มันเก่ง ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องอลังการ ว่าทำเท่ทำโก้ ไม่ใช่ ที่จริงมันรุงรังเสียด้วยซ้ำไปแต่อาตมาก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็ใช้ไปมันก็ไม่กระไรมันก็พอได้ 

 

นายกฯประยุทธ์บริหารได้ดีที่สุดใน 29 คนที่ผ่านมา

_รอยใบไม้ . มีคนมองว่ากองทัพธรรมเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก อยากให้เป็นกองทัพแบบเดิมดีแล้ว ดีกว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์มาร(ลุงตู่) เป็นผู้ตรวจสอบ มิใช่ผู้รับรอง เพราะคนเรามีกิเลส ไม่อยากให้เอาองค์กรอโศกไปรับรองใคร พ่อครูมองอย่างไรในเรื่องนี้คะ

พ่อครูว่า…มีคนท้วงๆมาอย่างนี้  รอยใบไม้เขาส่งข้อมูลมาให้ อาตมาก็ขอจะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้ จะเรียกว่าบอกความละเอียดลออหรือความจริงก็ได้ ว่าที่จริงกองทัพธรรมมันก็เป็นชนหมู่หนึ่ง จริงๆแล้วกองทัพธรรมนี้เป็นชื่อมูลนิธิที่ชาวอโศกเราไปจดทะเบียนเป็นชื่อมูลนิธิ กองทัพธรรมมูลนิธิ เริ่มแรกก็มีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นประธานกองทัพธรรม เดี๋ยวนี้ หนึ่งพุทธ วิมุตินันท์ เป็นประธานกองทัพธรรม 

อาตมาก็ขอยืนยันว่าตามที่อาตมามอง ในเรื่องนี้อาตมาไม่ใช่ว่าอาตมาจะทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ไม่ตรอง ไม่เห็นว่ามันควรจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ อาตมาก็ไตร่ตรองแล้ว อาตมานี่ใจเป็นกลางแต่เข้าข้างคนดี นี่เป็นหลักเกณฑ์เลย เป็นคนใจเป็นกลาง อาตมาไม่ได้ไปลำเอียงว่าจะต้องรักคนนั้นชังคนนี้ แต่อาตมาดูตามสถานะจริงๆสถานะหรือกรรมกิริยาพฤติการณ์ของพลเอกประยุทธ์ เขาเป็นคนที่ควรส่งเสริมและเขาทำได้ดี 

จนกระทั่งอาตมาเคยพูดส่งเสริมว่า นายก 29 คน อาตมาเห็นว่านายกคุณประยุทธ์นี่แหละ คนที่ 29 นี้เป็นนายกที่ดีที่สุด ทำงานได้ดีที่สุดแล้วก็มีจิตที่แข็งแรงมั่นคง ทำงานมานานถึง 8 ปี เท่ากับพลเอกเปรม พลเอกเปรมก็ไม่ได้มีจุดเด่นเหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์หลายอย่าง พลเอกเปรมมีลักษณะเป็นทางศรัทธาจริต แต่พลเอกประยุทธ์นี้มาทางพุทธิจริต มีปฏิภาณปัญญา มีความแววไวต่างๆ นานา แล้วทำงานเผชิญหน้า ไม่เลี่ยงไม่หลบ ทำงานอย่างเผชิญ ทำงานอย่างเผชิญ หลายอย่างอาตมาอธิบายไม่ครบ พูดไม่หมด 

สรุป อาตมาเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรี คืออาตมาก็เกิด 2477 ก็ทัน พอได้รับรู้ตั้งแต่นายกคนที่ 1 2 3 อาตมาจะไม่ทัน แต่หลังๆนี้มันก็พอรู้ตั้งแต่ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม อาตมาก็รับรู้ยังจำได้หลายๆอย่างมาเลยเพราะโตพอสมควรแล้ว 

ก่อนจอมพลแปลกก็มีไม่กี่คน เอาเถอะมันยังไม่เข้าร่องรอยประชาธิปไตยเท่าไหร่ อันดับ 1 2 3 มา มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา มาถึงจอมพลแปลกคนที่ 3 อาตมาก็รับรู้มา นอกนั้นพอรับรู้มาด้วยอาตมาก็โตมา 

เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่จอมพลแปลก จนกระทั่งนายควง อภัยวงศ์ นายทวี บุณยเกตุ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายปรีดี พนมยงค์ ตั้ง 29 คนผ่านมา อาตมาก็เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ ควรจะได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษคนหนึ่งของประเทศ แต่คนอื่นเขาจะเห็นด้วย อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรเขาหรอก พูดไปตามความเห็นของอาตมา อาตมามีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นในทางที่ปรารถนาดี ส่วนใครจะมองว่าเป็นความปรารถนาที่ไม่ดี แต่คงไม่คิดว่าอาตมาปรารถนาร้าย นอกจากจะเวอร์ไปเท่านั้นว่าอาตมาคิดปรารถนาร้าย อาตมาไม่ได้ปรารถนาร้ายหรอก แต่เห็นว่าปรารถนาไม่ถูกต้องเท่าที่คุณเห็นก็ขัดแย้งกันบ้าง 

เรื่องคนมีกิเลสหรือคนไม่มีกิเลส ไม่ใช่เรื่องที่คนจะรู้กันได้ง่ายๆหรอก คนมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส พระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์นี่เหมือนคนมีกิเลส แสดงความปรารถนาดีออกไปสูง ความปรารถนาหรือความอยาก มันเหมือนกิเลส 

ความปรารถนาดีอันสูง มันก็เหมือนกับอยากแรงๆ มีความอยากแรงๆ แต่พลังงานที่เป็นความปรารถนาดีอันสูง มันเป็นพลังงานที่จะต้องใช้ ถ้าปรารถนาดีพลังงานมันไม่สูง ปรารถนาดีเบาๆเยอะๆเยอะแหยะๆแล้วมันจะได้ผลอะไร มันก็ไม่ได้ผลอะไร มันก็จะต้องมีความปรารถนาดีที่แรงพอสูงพอ ให้พอเหมาะพอควรแล้วก็จะต้องอยู่ในขั้นแรง มันถึงจะชนะ มันถึงจะสำเร็จผล ถ้าความปรารถนาดีเบาๆน้อยๆมันจะไปสำเร็จผลอะไรได้ล่ะ นี่ก็พยายามใช้ภาษาสื่อสภาวะให้ฟังอธิบายสัจธรรมให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นอาตมาว่าอาตมาแสดงออกตลอดเวลา มันเป็นลักษณะที่คุณไม่เข้าใจง่ายๆหรอก ความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมันเข้าใจผิดมา ไปเข้าใจอรหันต์เก๊ ไปเข้าใจโพธิสัตว์เก๊ แต่โพธิสัตว์ยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากมายหรอกในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดถือเถรวาทสุดโต่งแล้วก็ผิดเพี้ยนไปด้วย มันก็เลยเลอะกันไปใหญ่ แม้จะมีสายที่ใช้ปฏิภาณปัญญา ชอบปัญญาก็กลายเป็นปัญญาฟุ้ง ปัญญาไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราว ซึ่งมันไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิอะไร อาตมาก็วิจัยวิจารณ์ระบุ แม้ว่าจะพาดพิงก็ได้ทำไปแล้ว เขามีความปรารถนาดี มีเจตนาดีทั้งนั้น ไม่ได้ต้องการไปยกตนข่มท่าน ไปอวดที่อวดดีอะไร แต่พูดถึงผลของศาสนาทั้งนั้น 

ฉะนั้นความเห็นที่แตกต่างกัน ก็ขอลงท้ายว่า สุดท้ายคุณก็เห็นอย่างของคุณ คนที่เห็นต่างกับอาตมานะ ส่วนของอาตมาก็เห็นอย่างอาตมา ลงท้ายก็นานาสังวาสก็แล้วกัน คุณก็เห็นอย่างนั้น คุณก็ทำของคุณไปศึกษาไป แต่อย่ามาลบหลู่อาตมามากนัก

ไม่ใช่ว่าป้องกันตัวไม่อยากให้ลบหลู่ แต่ว่าเชิงตำหนิกัน นี่มันเป็นลักษณะที่เป็นสัจธรรมที่มันเลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่าไปลบหลู่ อ้าวไปตำหนิก็คือไปลบหลู่อยู่แล้ว ภาษามันคนละคำเท่านั้น ลบหลู่ก็คือข่ม ตำหนิสิ่งที่ควรข่ม ควรตำหนิหรือลบหลู่ ถ้าจะไปพูดให้ แรงก็คือด่า ใช้ภาษาพวกนี้ มันมีนัยยะเดียวกันแต่น้ำหนักมันต่างกันเท่านั้นเอง สรุปแล้วก็คือตำหนิ ภาษาสวยๆของพระพุทธเจ้า นิคคัณหะ อย่างตำหนิอย่างดัง อย่างแรง อย่างมาก อย่างไรก็ได้เรียกว่า ปฏิโกสนา ตำหนิหรือว่าข่มอย่างแรงๆดังๆ ข่มหนักๆอย่างไรก็ได้ เป็นภาษา อย่าไปฟ้องร้องกัน นี่เป็นธรรมวินัยเลย ยิ่งเป็นนานาสังวาสแล้วคนฟ้องร้องเป็นอาบัติ อาตมาถูกฟ้องร้อง คนที่เขาไม่รู้จักวินัย ทำละเมิดวินัยมาฟ้องอาตมา เขาอาบัติกันทั้งนั้น พูดไปจะเหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บมากเกินไป ก็ขอผ่านไปก่อนก็แล้วกัน 

 

ทำอย่างไรไม่ไปตกในสุทธาวาส 5

_สม.รินฟ้า . กราบเรียนถามพ่อท่านค่ะ พ่อครูโพธิรักษ์กล่าวไว้เมื่อ 12 มี.ค. 2558 ว่า การติดหลับนี่ จะนานกว่าอุทกดาบสอีก เพราะถ้าเป็นอนาคามีก็ไปอยู่ในสุทธาวาส..พระพุทธเจ้าว่า ตถาคตไม่เอาสุทธาวาส มันดูสะอาด แต่มีภพชาติที่นาน แล้วไม่มีอะไรดึงด้วย ไม่อยากติดก็ต้องออกมา…

กราบเรียนถามว่า..อนาคามีภูมิ มี 5 ระดับ ต้องไต่ทีละระดับไหมคะ..??

และถ้าไม่พ้น 5 ระดับ ต้องค้างอยู่ที่ชั้นสุทธาวาส ข้ามพุทธันดร..แล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์เองรึคะ..??

ปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้เป็นพระอนาคามี โดยไม่ต้องหยุดที่ชั้นสุทธาวาสคะ..??

พ่อครูว่า...ตอบอย่างตีหัวเข้าบ้านก่อน 1.ปฏิบัติอย่างโพธิรักษ์ 2. ปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ เข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้านั้นสายปัญญาโดยตรง อาตมาก็สายปัญญาโดยตรง พระสมณโคดมกับสมณะโพธิรักษ์ อันเดียวกัน สายเดียวกัน มาเหมือนกัน แล้วอาตมาก็ไม่ยอมตายแบบที่จะต้องไปค้างอยู่ที่สุทธาวาส 5 ขั้นนั้นเป็นอันขาด 

สุทธาวาส 5 ขั้นนั้น พูดเป็นภาษาทางธรรมก็เรียกว่า มี

อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา เรียกเต็มๆว่า

  1. อวิหาสุทธาวาสภูมิ

  2. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

  3. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

  4. สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

  5. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

พ่อครูว่า... สุทธาวาส 5 นี้ถ้าเผื่อว่าไม่ปฏิบัติอย่างเรียงลำดับให้น่าอัศจรรย์ มันก็จะขลุกๆขลักๆ ไม่บรรลุอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็จะไปตกค้างอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แม้ที่สุดไปตกค้างอยู่ในสุทธาวาส 

เพราะฉะนั้นจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องเรียงลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ คือ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่ใช่ไปติดแบบเดียรถีย์อย่างศรัทธามั่งอย่างปัญญามั่ง ต้องมาเป็นปัญญาให้มาก เดินทางให้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่ขลุกไม่ขลัก ถ้าปัญญาบ้างศรัทธาบ้าง ศรัทธาบ้างปัญญาบ้าง ง่ายๆคือว่าปฏิบัติอย่างโพธิรักษ์ปฏิบัติกับปฏิบัติอย่างฤาษีปฏิบัติ ฤาษีบ้างโพธิรักษ์บ้าง โพธิรักษ์บ้างฤาษีบ้าง นั่นแหละมันจะไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล และจะไม่จบง่ายๆ ดีไม่ดีจะกลายเป็นวิริยาธิกะ เสียเวลาอีกเท่าตัว แม้แต่ศรัทธาที่เขาตรงไปเลย 

อาตมาเคยอธิบายแล้ว เราจะไปประเทศอะไร ในทางที่ประเทศอยู่ใกล้กับเรานี่แต่เราผ่าไปเดินผิดทาง แทนที่จะลัดเข้าไปแล้วไป แต่ถ้าคุณตั้งใจเดินจริงๆแล้วคุณก็จะถึงเร็วแต่ก็นานหน่อยแต่ถ้าคุณเดินตรงไปถูก ทางเดินมันก็สั้น ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่งเดินไปทางนี้หน่อยแล้วก็ถอยหลังมา กลับมาทางนี้หน่อยๆ โอ..คุณไม่แน่นอน ไม่ชัด จะเอาศรัทธาก็ไม่เอา ปัญญาก็ไม่เอา ไปทางโน้นก็ไม่เอา ทางนี้ก็ไม่เอา กลับไปกลับมา กลับมา กลับไป ยิ่งไปๆมาๆเท่าไหร่ก็จะยิ่งมากนาน ทั้งหนัก ทั้งนานมากเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร 

สรุปมาปฏิบัติให้ลัดตรงแบบสายปัญญาตรง อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาเป็นสายปัญญาตรง ไม่เหลาะแหละ ดีไม่ดีตีทิ้งเลยสายศรัทธา ถึงขั้นนั้น จะเห็นได้ไหมอาตมาแรงถึงขั้นตีทิ้งเลย ไม่วอแวกับศรัทธา แต่ศรัทธาจริงๆเขาก็ต้องอาศัยแกนสมถะ แล้วถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจริง สมถะมันจะได้ในตัว เป็นความสงบที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะแต่เป็นปัสสัทธิ เป็นความสงบอย่างเห็นๆ ปัสสัทธิ 

สรุปจบ


 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2566 ( 11:54:50 )

660628

รายละเอียด

660628 ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53244.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1zkUfTWuIFoUa33eetczumc13dGmH5rnh/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/16tMW3Xwo79l6PBjrkzrVPTPhXqWD-Wke/view?usp=sharing 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/SFVKPkbSOIo 

และ https://fb.watch/lrXeMBywZy/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนมิถุนายน ชีวิตเราก็เคลื่อนตัวตามวันเวลา ถ้ายังอยู่ก็ถือว่าโชคดี เราควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด 

พ่อครูเคยเทศน์เร็วๆนี้ว่า ท่านโชคดีที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลายคนคงไม่คิดเช่นนี้ เพราะหลายคนใฝ่ฝันมากเลยที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาน่าจะคิดออก ถ้าดูอย่างพลเอกประยุทธ์ทำงานเต็มที่ ผลงานก็มี แต่คนก็ว่าได้ เพราะคนเขาต้องการอำนาจ อีกหลายคนเขารอมาตั้ง 8 ปี ก็ต้องหาทางเอาลง ต้องแย่งชิง ต้องต่อสู้ ถ้าไม่แน่จริง จอมยุทธ์จริง เขาไม่เอาลงด้วยเล่ห์ ด้วยกลก็ด้วยมนต์คาถาหาทางทำให้เอาลงให้ได้ แม้จะแทบไม่มีบาดแผลให้คนเขาว่าได้ 

บางคนคุยโม้ว่าบริหารบริษัทได้อย่างดี แต่หลักฐานบอกว่าบริษัทเจ๊งตั้งหลายร้อยล้าน คือโกหกอีกหลายเรื่อง ต้องทุกข์ทรมานกันอีกหลายเรื่อง แต่ตอนนี้ไปไหนมาไหน ก็มีด้อมส้มออกมาต้อนรับมากมาย เพราะเขามีความหวัง ว่าตนเองจะได้อะไร แต่ถ้าต่อไปไม่ได้อย่างที่ตนต้องการ ก็จะผิดหวัง ทุกข์ทรมานกันมากมาย 

เปรียบเทียบสมัยพรรคพลังธรรมกำลังขึ้น มีคนมาฟังการปราศรัยมากมาย เมื่อเทียบกับพ่อครูเทศน์แล้ว คนติดตามน้อยกว่าเยอะ แต่สุดท้ายเมื่อหมดยุคสมัยแล้ว สิ่งที่ทำก็เหมือนกับความว่างเปล่า เหมือนไม่มีอะไรเลย ทั้งที่พลตรีจำลองก็ไม่ได้โกงกินอะไร ทำประโยชน์มากมาย แต่เมื่อหมดความนิยมสิ่งเหล่านั้นก็เหมือนเป็นอากาศธาตุที่ไม่เหลืออะไร แต่ของพ่อครูนี้แม้จะทำแล้วดูเหมือนมีน้อยๆ แต่นานหลายสิบปีก็ยังมีแก่นสารสาระที่ยั่งยืนต่อเนื่องต่อไป 

พวกเราสบายเพราะไม่ได้หิวโหยโลกธรรมอย่างเขา เราเข้าใจในโลกุตระ เราเข้าใจในชีวิตก็มีความสุขสบาย แต่คนไม่เข้าใจก็จะเดือดร้อน เขาไม่คิดว่าเดือดร้อนด้วยซ้ำไป พระพุทธเจ้าบอกว่า กรรมยังไม่เห็นผล คนทำชั่วก็คิดว่าเหมือนกับยังดื่มน้ำผึ้ง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นยาพิษที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานในภายหลัง เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรมไม่ได้เข้าใจชีวิต 

 

SMS วันที่ 26-27 มิ.ย. 2566

_Ka Por กล้าพอ : ว่ากันว่า กินให้พอดี ทุเรียนช่วยลดไขมัน กระตุ้นการระบาย ดีท็อกซ์ลำไส้

พ่อครูว่า... เพิ่งเคยได้ยิน 

_สู่แดนธรรม... อันนี้จริงครับ ไปศีรษะอโศกกินเข้าไป 2 เม็ด ผมถ่ายท้องทั้งวันเลยครับ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่มีประสบการณ์นี้ มันแล้วแต่ธาตุขันธ์ของใครของมันนะ 

 

ยืดอายุขัยได้จริงเป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ประชาธิปไตยในเมืองไทยคะแนนเป็นหนึ่งแล้ว ยังไม่เรียบร้อย ตัวเลือกที่จะได้เป็นนายก ลืมไปว่าพรรคที่ร่วมรัฐบาลจะเอาด้วยหรือเปล่า หลายขั้นตอนกำลังโดนโจทย์หลายชั้น มาให้เห็นรุมเร้า สำหรับเราดูให้ยาว ยาวไปๆ  เล่นการเมือง เล่นต่อไป กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า... เราก็ดูเรื่องจริงหรือละครของเอกภพ ของมหาจักรวาล มนุษยชาตินี่แหละเป็นตัวละครจริงๆแล้วก็เล่นไปแต่ละเรื่องแต่ละเรื่องหลายล้านเรื่อง แต่ละคนแต่ละคนก็เรื่องคล้ายบ้างไม่คล้ายบ้าง ต่างกันคนละขั้วเลยก็มีดุเดือดเผ็ดมัน รักหวานจ๋อยก็แล้วแต่ มันก็คือสัจจะที่เราจะศึกษาไป ยิ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์นี้ สารพัดที่จะเห็น สารพัดที่จะศึกษา จะเข้าใจ เขาเป็นอย่างนี้นะ กรรมวิบากของคนแต่ละคนที่ไม่รู้ ก็โอ้โห..น่าสงสาร 

อย่างชาวเทวนิยม ชาวศาสนาที่มีความรู้ระดับพระเจ้าเป็นเทวนิยมเป็นโลกียะอยู่ เขาก็มีความคิดอยู่ในกรอบของเขานั่นแหละเขาไม่รู้สุขรู้ทุกข์ไม่รู้จักโลกธรรม เขาจะแย่งโลกธรรมกันเป็นเจ้าโลกให้ได้ เขายังไม่รู้หรอกอย่างที่เห็นๆ 

ทางเอเชียเราก็ดีตะวันออกมา จะไม่เหมือนเลยจะไม่เหมือนทางตะวันตกทางอเมริกา ทางยุโรป ที่เขามีแต่ศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้า เขายังกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ในการจะแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กันอย่างเต็มเหนี่ยว เขายังไม่รู้จักเลยว่าสุขนี้เป็นมายา เป็นสิ่งที่ต้องลดละ จะเห็นได้ว่าศาสนาเขาไม่มากระทำอย่างนี้ซึ่งมีน้อยมากที่จะมาลด ละ มักน้อย มีบ้างแต่น้อยมาก 

เพราะฉะนั้น ความต่างกันระหว่างศาสนาเทวนิยมกับศาสนาทาง อเทวนิยมหรือทางศาสนาตะวันออก ที่ศึกษาจิตเจตสิกกัน 

ทางตะวันออกนี่ศึกษาจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่คนที่เข้าใจไม่สัมมาทิฐิทีเดียวก็จะได้นิพพานเก๊ไป โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้านิพพานจริงๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้นิพพาน ที่แท้จริง อาตมานำมาเปิดเผยนำมาขยาย เพราะว่ามันเสื่อมไปอย่างที่เคยยืนยันแล้ว 

ศาสนาพุทธมันยาวนานมากว่า 2,500 ปีกึ่งพุทธกัปป์ของศาสนาพระสมณโคดมจะมีอายุยืน 5,000 ปี เมื่อถึง 2,500 ปี มันก็เสื่อมมาจนอาตมาอุบัติขึ้นในยุค 2,500 คืออาตมาเกิด 2477 ไปอยู่ทางโลกเป็น ลิงลมอมข้าวพอง อยู่ 36 ปี จะต้องไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แบบโลกๆเขาไปตามวิบาก มันเป็นตามธรรมชาติ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็มีลิงลมอมข้าวพองของท่านและก็ถูกพระบิดามอมเมาจนต้องมีเรื่องของโลกๆ เรื่องกาม เรื่องวัตถุอยู่บ้าง 

จนกระทั่งมีวิบากที่ถูกลัทธิ ถือว่า 6 ปี ไปทรมานอยู่ในป่า 6 ปี จึงค่อยๆระลึกรู้ความจริงของท่านได้ว่า ท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดมาชาตินี้จะมาทำงานสถาปนาศาสนาพุทธลงไปในโลก ในยุคของท่าน ท่านก็ระลึกได้ตั้งแต่วัน 15 ค่ำเดือน 6 แล้วก็ออกมาทำงานไปอีก 45 ปีแล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

อาตมาก็พูดเปิดเผยตัวเองไปตามความจริงว่า อาตมาเกิดมาในยุคพระพุทธเจ้าด้วยแล้วก็รับช่วง รับปากพระพุทธเจ้าเลยล่ะ ซึ่งก็ไม่ได้มีคนมารู้ร่วมด้วยแต่ก็เป็นเรื่องจริง อาตมาพูดเรื่องนี้เรื่องจริง รับสืบทอดมาจนมาถึงวันนี้ ทำงานมาตั้ง 53 ปีเข้าไปแล้ว แล้วอาตมาก็เห็นว่ายังไว้ใจไม่ได้ศาสนาพุทธโลกุตระนี้จะไปอีกได้เท่าไหร่ จึงพยายามยืดอายุ เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า จะต่ออายุขัยได้ไหม ซึ่งยืนยันว่าอาตมาทำได้ต่ออายุขัยมา 1 นักษัตรแล้ว ตอนนี้เข้านักษัตรที่ 2 

จากอายุ 72 ตอนนี้อายุ 89 ย่างเข้า 90 แล้ว เข้านักษัตรที่ 2 จนถึง 96 ก็ครบ 2 นักษัตร ซึ่ง 1 นักษัตรมี 12 ปี ถ้าเลย 96 ก็เป็นนักษัตรที่ 3 ไปถึง 108 ก็จะครบ 3 นักษัตร 

อาตมาก็พยายามที่จะดึงตัวเอง พยายามที่จะลากขันธ์ไปให้ถึง 108 ให้ได้ เมื่ออาตมาอายุ 108 อย่าเพิ่งรีบตายไปจากอาตมานะ ไปด้วยกันนะ จะมาดูผลงานไง มาดูโลกุตรธรรมที่จะเจริญในโลกขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็นยังไง น่าดูนะอาตมาว่า Hollywood หรือ Bollywood ก็สร้างไม่ได้หนังเรื่องนี้ ยังไม่มีใครเขียนบทได้นะ อาตมาก็ไม่กล้าเขียนบทล่วงหน้าเหมือนกัน แต่มันน่าติดตามดู เรื่องนี้นี่ พูดไปแล้วก็เหมือนเล่นละครลิเก แต่ที่จริงมันเรื่องจริง เพราะฉะนั้นก็ตามไปดูก็แล้วกัน 

ทีนี้ การเมืองที่เขาเป็นอย่างที่ป้ารัตน์พูดมา คือ เขามีแทคติกอย่างที่รู้กันว่า พิธาเขาใช้กลเม็ดเด็ดพราย เหตุปัจจัยที่จะทำให้เขาได้คะแนน สรุปเข้าเป้าเลย มันมีสารพัดที่จะใช้สื่อสาร วิธีการจิตวิทยาอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างเต็มรูปเลย จนกระทั่งชนะได้ 

แต่นั่นแหละเขาเก่งที่ได้คะแนนเสียงจากกลวิธีเลือกตั้ง ซึ่งมันขัดแย้งกับความจริง มันไม่ใช่ของจริง มันไม่เป็นเรื่องเป็นประชาชนยกให้จริงๆ มันจึงยาก ดูละครเรื่องนี้ไปเถอะ มันไม่ใช่เรื่องจริงก็ว่ากันไป ที่จริงก็มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่นะกับเพื่อไทย เสร็จแล้วเดี๋ยวนี้ไม่ไปด้วยกันเท่าไหร่แล้ว แล้วจะยังไง คือ มันพะอืดพะอมนะ เอา ยังไม่รู้ได้ว่าจะเป็นยังไง พลเอกประยุทธ์ก็ขึ้นบนภูดูเสือกัดกัน ก็เอาเข้าไป พวกเราพวกชาวดูไป ไม่ใช่พวกดูไบ ก็ดูเขาไป 

จะข้ามพ้นกลียุคในยุคนี้ได้อย่างไร 

_จับใจ ธนะโภค :กราบนมัสการพ่อครูฯ ดิฉันอยากทราบการข้ามพ้น"ยุคกลียุค"ได้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า... ตอบว่าคุณก้าวพ้นไม่ได้หรอก อาตมาก็ไม่มีวิธีให้คุณก้าวพ้น เพียงอย่างเก่งคุณก็ตายไปก่อน ที่กลียุคมันจะเกิด แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณข้ามกลียุค มันจะค่อยๆรุนแรงไปเรื่อยๆจนถึงยุคที่เลวร้าย ทุกวันนี้ก็เป็นจริง 

เพราะฉะนั้นในเมืองไทยเป็นการเมืองเศรษฐกิจก็ตาม การเมืองก็ตาม เรื่องของสังคมมนุษยชาติ เมืองไทยนี่อาตมาไม่มีความเก่งพอจะสาธยายรายละเอียดในภาษาที่จะสื่อให้คนทั้งหลายได้รู้ได้ 

แล้วก็ลึกคืออาตมารู้อยู่ว่า เศรษฐกิจของเมืองไทยนี้ สุดยอดแล้ว ก็พูดไปแล้วล่ะแต่คนเขาก็ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องของโลกุตระ เศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

การเมืองที่ดีก็เช่นเดียวกัน ไม่เป็นเรื่องของทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันมีแต่ใจสดๆ ที่ทำงานช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรมาทำให้มีวิธีโค้งเข้ามาหาตัวเอง ทำงานเสียสละ ทำงานช่วยกันไปด้วยความเข้าใจ ได้เท่าไหร่ก็เป็นผลเท่านั้นเท่านั้น 

ทุกวันนี้ประเทศไทยถือว่า สงบมาก สงบกว่าประเทศใดๆ ดูเหมือนประเทศจีนเขาจะเป็นสุข แต่ประเทศจีนไม่สุขสงบเท่าประเทศไทย ประเทศจีน สุขเขายังแย่งชิงเขายังแย่งลาภ พยายามแสวงหา ลาภมากกว่าประเทศไทย 

ผู้ไม่แสวงหาลาภมี 2 อย่าง

1.เป็นผู้หลุดพ้นก็พักการแสวงหาในการแย่ง 

2.เป็นผู้พัก มันสู้ไม่ได้ก็ต้องพักซึ่งไม่ใช่คนหลุดพ้นนะ 

พัก ด้วยการหยุดตัวเอง มันแย่งไม่ได้ มันจำนนก็เอาเท่านั้นเท่านี้แต่อยากได้อยู่ก็ตามมันได้เท่านี้ ลักษณะอย่างนี้ ของอินเดียนี้เขามีมาก ลักษณะที่จนแล้วก็จำนนแล้วก็อยู่อย่างนี้ คนอินเดียก็มีคนรวยน้อยคนแต่จนนี้มีมาก แต่ก็สงบ ไม่ก่อเรื่องราววุ่นวาย เหมือนประเทศเล็กๆ อินเดียมีตั้งพันกว่าล้านเขาก็อยู่กันได้ไม่วุ่นวาย นี่นัยยะละเอียดๆพวกนี้อาตมาค่อยๆอธิบาย ซึ่งมันไม่ง่าย มันซับซ้อนหลายชั้นมาก ค่อยๆขยายไปพอเข้าใจได้ 

ส่วนจีนนั้น เขาเสพ เขากิน เขาใช้มากกว่าอินเดีย อินเดียกินน้อยใช้น้อยเพราะจำนน ส่วนจีนพลเมืองพอๆกันเพราะตอนนี้เขารวยสถานะเขาดีโดยเฉลี่ยทั่วไป ก็เลยดูตามประสาโลกว่าเศรษฐกิจของจีนเขาดีจังเลย เศรษฐกิจอินเดียมีคนจนมาก คนอดอยากมาก อะไรมาก 

ทีนี้มาดูไทย ไทยเป็นโลกุตระที่เข้าใจ เต็มใจมาจน มุ่งมาจนด้วยปัญญา เต็มใจตั้งใจมาจนด้วยปัญญา จนได้สำเร็จ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

คนจนที่เสียสละ คนจนที่สร้างสรรค์ อุดมสมบูรณ์ ดูบนโต๊ะนี้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารโชว์ทุกวัน เผือกหัวเบ้อเร่อ  ทั้งเผือกทั้งมันอาตมาก็กิน เป็นของไร้สารพิษที่พวกเราปลูก สุดยอด พูดไปประเดี๋ยวจะน้ำลายไหลมากเกินไป เว้นวรรคดีกว่า 

พ่อครูเป็นมะเร็งหรือ? แต่ 90 ยังแจ๋ว

_ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : ทุกวันนี้..มองดู"พ่อท่าน" แข็งแรง และสดใส มากกว่าได้พบเห็น "พ่อท่าน" ครั้งแรกทาง FM tv (ปี 2552).. ถึงแม้"พ่อท่าน" จะเป็นมะเร็ง ที่ใครๆ ก็กลัวและไม่อยากเป็น..แต่มะเร็งมันคงกลัวพ่อท่านที่เป็น"พระโพธิสัตว์"และพ่อท่านไม่ได้สนใจมัน มันอยากอยู่ก็อยู่ไป มันอยากเป็นก็เป็นไป มันคงน้อยใจ และมันก็คงหายไปจากพ่อท่านแล้ว..เพราะ พ่อท่านอยู่เหนือ "ขันธ์ทั้ง 5"แล้ว..(กราบนมัสการ)พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ..

พ่อครูว่า... อาตมาก็ไม่ได้มีความคิดเรื่องเหล่านี้คืออาตมาไม่ได้กังวล อาตมาจะเป็นมะเร็ง จะเป็นโรคอะไรก็รับมัน มันเป็นวิบาก ที่มันหนักก็คือกระเปาะในท่อลมก็ไอ เพราะมันสร้างเสลดขึ้นมาระคายเคือง อาตมาเรียกมันว่า น้ำพิษ โอ้โห..มันเหมือนน้ำกรดออกมา มันก็ต้องไอ ไอๆๆ เพื่อขจัดเสลดที่มันเหนียว บางทีไอแรงมากขากออกมาได้เสลดนิดเดียว เสลดอาตมาใส ไม่เหมือนเสลดของคนเป็นวัณโรคหรอก ของอาตมาใส เหนียว น้อย เหนื่อย 

เป็นโรคที่หมอเขาบอกว่าไม่รู้กี่ล้านคนจะมีสักคน ทำไมไปเลือกเอาวิบากอะไรมาก็ไม่รู้ ก็รับมันไป นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเขาว่าเป็นมะเร็ง เขาว่าไปก็เป็นอย่างนี้ มันก็ยังไม่มีฤทธิ์อะไร เขาว่าเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง วันนี้ท่านแสนดินก็ไม่อยู่ด้วยเพราะท่านติดโควิดตอนนี้ก็พัก ตอนนี้หายแล้ว แต่ท่านยังไม่ประมาท (ท่านตอบมาว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง) เราก็ไม่ประมาท 

อาตมาไม่ได้เก่งถึงขนาด แต่ก็พยายามพิสูจน์ พยายามที่จะมีอำนาจเหนือใช้ศัพท์อย่างนี้ อำนาจเหนือพลังงาน มันสามารถที่จะช่วยขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณให้มันพัฒนาเกินสามัญ พัฒนาได้จริงๆ ที่พูดมาอย่างที่ว่าอายุ 90 ยังกับไม่ใช่อายุ 90 

อาตมายังมั่นใจอยู่ว่าพิสูจน์ไปเถอะ อาตมาก็ไม่กล้ารับรองทีเดียวแต่มั่นใจอยู่ว่าอายุ 100 อาตมาคงไม่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่ เพราะเอาพลังงานของจิตนี้มาใช้ ส่วนสรีระ ส่วนรูปขันธ์ แน่นอนเสื่อม แต่ก็พยายามจะช่วยมันอีก มันก็จะซ้อนขึ้นมา มันก็จะได้ผลบ้างเหมือนกัน แหม แต่มันเกิดมา 1 นักษัตร กำลังย่างไปสู่นักษัตรที่ 2 คือ ฝืนเกินจริงไปแล้ว อาตมาเคยบอกว่า อายุขัยของอาตมามีแค่ 72 ปีแต่มันถูไถมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว 90 ยังแจ๋ว มันก็ไม่ใช่ของเล่นแล้ว เป็นการพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าในเรื่องพลังงาน เรื่องจิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง พิสูจน์อันนี้ 

เพราะฉะนั้นอาตมานี้พลังงานจิตแท้ๆเลยเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต แล้วก็อธิบายยากว่าอาตมาทำยังไง อย่ามาถามนะ อาตมาก็อธิบายธรรมะไป ทำอย่างที่ขยายธรรมะต่างๆ เป็นพลังงานที่มันปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นพลังงานรวมแล้วก็เกิดผล 

_วาส ทองจันทร์ : กราบนมัสการพ่อครูครับ มันยากยิ่งกว่าเข็นเขาขึ้นครกอย่างพ่อครูว่า มันยากมากๆ ที่จะให้คนสมัยนี้รู้และเห็นธรรมที่แท้จริงได้ เพราะเห็นกลุ่มสนทนาในเฟซบุ๊กบางกลุ่มเขาประกาศห้ามคนที่บรรลุเข้ากลุ่ม เพราะพวกเขาบอกว่า จะคุยกันตามประสาของคนไม่บรรลุ วาสั้นครับ

พ่อครูว่า... เอาน่า สังสรรค์กันหน่อย อย่าตีตนออกห่างกันไปเลย ยังไงๆก็เป็นมิตรเป็นเพื่อนกันก็แล้วกัน 

นานาสังวาสนั้นต้องท้วงติงกันได้ พาดพิงบุคคลได้

_@benjapornamm เบญจมาภรณ์ แอม 9770  • พูดได้ครับแต่ทำไมต้องว่าถึงหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นหลวงปู่มหาบัวหรือครูบาอาจารย์ ทั้งๆที่ท่านก็บวชที่หลังและท่านก็เคยไปกราบไหว้ไม่ใช่เหรอครับเช่นหลวงปู่พุทธทาสไม่ใช่เหรอครับ (ใต้คลิปพ่อครูเทศน์เรื่องความเป็นทิพย์ของพ่อครูอยู่ที่ไหน 6 มิ.ย.66)

พ่อครูว่า... อันนี้ถูก อาตมาบวชทีหลังท่าน อาตมาบวชที่วัดอโศการาม จะว่าสายหลวงปู่มั่นก็ใช่ อาจารย์ลีเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นอยู่วัดอโศการาม อาตมาไม่ทัน อาจารย์ลีตายก่อนอาตมาจะบวช อาตมาบวชอุปัชฌาย์ไม่ใช่อาจารย์ลี อุปัชฌาย์เป็นพระราชวรคุณ ตอนหลังท่านก็เป็นพระเทพวรคุณ เป็นอุปัชฌาย์ทางด้านธรรมยุต แล้วอาตมาก็มา สวดญัติที่วัดหนองกระทุ่มอีกทีเป็นมหานิกาย ก็หลวงอาเป็นอุปัชฌาย์เป็นผู้สวดญัติให้ 

อาตมาเลยเป็นพระทั้งสองนิกาย เข้าพิธีบวชเป็นพระทั้งธรรมยุตและมหานิกายและอาตมาก็ลาออกมาเป็นนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 วันที่ 7 สิงหาคมก็เป็นนานาสังวาสกับทั้งมหานิกายและธรรมยุต ประกาศผลเองออกมาตามพระธรรมวินัยไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยเลย แต่ท่านไม่รู้เรื่องธรรมวินัยนานาสังวาส เพราะมันลึก ลึกซึ้งสุด 

ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีนานาสังวาสที่พระพุทธเจ้าประกาศธรรมวินัยกับพระเทวทัต ท่านไม่ได้ประกาศนิกายกับพระเทวทัตแต่ท่านประกาศนานาสังวาส ส่วนเทวทัตจะถือว่าท่านเป็นคนละนิกายก็เป็นเรื่องของเทวทัต เช่นเดียวกันกับอาตมาประกาศนานาสังวาสกับมหาเถรสมาคมที่มีทั้งธรรมยุตและมหานิกาย 

แต่ทางโน้นทั้งธรรมยุตและมหานิกายถือว่า อาตมาเป็นนิกายซึ่งอาตมาไม่ได้ถือว่าพวกท่านเป็นนิกาย เรื่องนี้ลึกซึ้งมาก ธรรมะซับซ้อนเป็นสิริมหามายา มันก็ต่างคนต่างยึด ต่างคนต่างถือ ต่างคนต่างเห็น เขาก็เป็นอย่างนั้นอาตมาก็เป็นอย่างนี้ จิตก็คนละสัญญา คนละกำหนดหมาย ก็เป็นคนละอย่าง ศึกษาไปอันนี้ลึกซึ้ง นานาสังวาสนี้ลึกซึ้งสุด 

มันเป็นเครื่องตัดสินสุดท้ายที่เป็นการจำนนแล้ว ระหว่างมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เมื่อความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันเห็นกันคนละอย่าง ก็อยู่เป็นสุขเป็นสุขกันเถอะ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเข้าใจว่า อันนี้เราเข้าใจอย่างนี้ถือว่าเป็นธรรม อันนี้ถือว่าอย่างนี้เป็นอธรรม คุณก็ถือธรรมอันนี้ แต่อีกคนเห็นว่า อันนี้เป็นธรรมะ แต่อันนี้มันเห็นขัดกัน อันโน้นเป็นอธรรมก็ต่างคนต่างเข้าใจต่างคนต่างยึดถือ ต่างคนต่างปฏิบัติไปก็แล้วกัน และผลมันจะออกมาตามสัจธรรม สัจธรรมไม่มีใครไปบิดพลิ้วมันหรอก มันเป็นของมันเอง มันเป็นของมันจริง 

และอาตมาก็ไม่งง ไม่สงสัย ไม่ประหลาดว่า พวกเราจะเป็นหมู่น้อย ไม่สงสัย ไม่ประหลาด อย่างพวกเราชาวอโศกที่เป็นโลกุตรธรรมเป็นหมู่น้อยที่เป็นยอดพีระมิด มหานิกายธรรมยุตของมหาเถรสมาคมก็เป็นอีกหมู่หนึ่ง แน่นอนมหานิกายกับธรรมยุตก็ยังจะเป็นหมู่น้อยของเทวนิยม ซึ่งเทวนิยมเขาเป็นฐานพีระมิดส่วนใหญ่มากเลย 

แม้ว่าของเถรสมาคมหรือสงฆ์หมู่ใหญ่ กระแสหลักของประเทศ จะไม่เป็นโลกุตรธรรมเหมือนอย่างชาวอโศก แต่ก็มีเชื้อของธรรมะพระพุทธเจ้า มากกว่าเทวนิยมอีก เป็นสัจจะ 

เทวนิยมเขาก็มีหลายขั้น อาตมาก็ไม่อยากจะไปวิจารณ์เขามาก หลายอย่างหลายขั้นแล้วเขาก็เข้ากันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ด้วย ไม่เป็นสังวาสเดียวกันไม่ร่วมกัน มันเกินกว่าจะเรียกว่านิกายแล้ว มันคนละศาสนา ไม่ใช่แค่ต่างนิกายเท่านั้นแต่คนละศาสนาเลย ดีไม่ดีฆ่ากันด้วย แข่งดีแข่งเด่นกันนั้นแน่นอน 

ทีนี้กลับมาหาเรา อย่างเราชาวอโศกกับเถรสมาคม เราไม่ได้ไปแข่งดีแข่งเด่นกับเขานะ มันไปตามสัจจะ คนเข้าใจว่าอย่างนี้ดี น้อยด้วย อย่างอโศกนี้คนเข้าใจว่าดีมีน้อยด้วยก็ไม่เห็นเป็นปัญหา เราอยู่แล้วว่าสัจจะนั้นยอดพีระมิดก็จะมีน้อยแค่นั้น มันก็เป็นสัจจะ เราจะไปงงไปสงสัยอะไร ทางโน้นเขามีมากกว่าดีแล้ว ท่านก็ทำของท่านให้ดีอย่าให้มันเสื่อมยิ่งกว่านี้ แต่มันก็ยาก 

เพราะลักษณะที่ไม่เสื่อมกับลักษณะที่ยังเสื่อมอยู่ แน่นอนเสื่อมอยู่ก็ต้องเสื่อม อันที่ไม่เสื่อมแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ตกต่ำ อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ไม่เสื่อมแล้ว ดีไม่ดีมันนิยตะเที่ยงด้วย

 ที่ไม่เสื่อมนั้นก็ยังยึกยักอยู่นะ ไม่เที่ยง ยังขยับไปขยับมา สุขบ้างทุกข์บ้างมีเยอะ แต่นิยตะนี้ จะยิ่งน้อยลงไปแล้วใช้ศัพท์คำว่าเที่ยงได้ มีแต่ไม่ยึกยักแล้วมีแต่จะ สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงที่สุดที่จบ นี่คือลักษณะสัจธรรมพวกนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด พยัญชนะบาลีอาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ อาตมารู้สภาวะพวกนี้ ของเรามีตรงกันกับของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น 

4 ขั้น โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นคุณสมบัติขั้นพระโสดาบัน 

ตอนนี้อาตมากำลังอธิบายถึงพลังงานที่เข้ามาเป็นชีวะ มันเริ่มตั้งแต่ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ 

เพราะฉะนั้นพลังงานที่จะเริ่มมาเป็นชีวะ มันเริ่มมาตั้งแต่ สัตตะ แปลว่า 7 เช่น 7 หน่วยแล้วเริ่มมาเป็น ปาณะ ซึ่งไม่ใช่ตื้นเลย มันลึกขนาด อาตมากำลังอธิบายอยู่ค่อยๆขยายไป กำลังพูดถึงขั้น ปาณะ มันจะเลยจากสัตตะคือ 7 ซึ่งยังไม่เป็นชีวะเต็มรูปด้วย 

พอเริ่มเป็นชีวะเต็มรูป แต่มันลึกซึ้งละเอียดเล็กน้อยเป็นเยื่อ ชีวะ มันอันที่ 4 คือ ปาณะ อาตมากำลังขยาย เช่น ปาณาติปาตะ ก็คือปาณะ เชื้อชีวิตเยื่อชีวิต ใครทำให้ตกร่วง..บาป ละเอียดขึ้นไปอีกนะบาปไม่ใช่เรื่องเล่น 

เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งขั้น ภูตะ พลังงานนั้นโตกว่า ปาณะ ยิ่งพลังงานชีวะโตกว่าภูตะ เอาไว้แค่นี้ก่อน ฝากไว้ก่อนโอฬาร 

การอธิบายนั้นต้องอธิบายอย่างมีรูปธรรม มีบุคคลจริงจึงจะเป็นที่น่าเชื่อถือ เข้าใจกันได้ง่าย อาตมาทำนี้อย่างฉลาด คุณเองยังคิดไม่ถึงอย่างอาตมาก็ตามประสา ขออภัยอาตมาไม่ได้ว่าคุณโง่แต่คุณยังฉลาดไม่ถึง คุณยังไม่รู้ร่วม ยังไม่รู้ครบ คุณรู้หนึ่งเดียวยังไม่ถึง 6 ยิ่ง 7 คุณยิ่งไม่เข้าข่ายเลย ฉฬะคือ 6 ก็อธิบายสังขยาเลขนิดหน่อย 

พลังงานความเข้าใจของคุณอาจจะแค่ 1 เท่านั้น เทวนิยมนี้แค่หนึ่งเดียว คุณจะเลยเทวนิยมได้มากกว่านั้นจะ 2 จะ 3 ได้แค่ไหนก็ไม่รู้เพราะอาตมายังวัดคุณไม่ได้ เพราะไม่รู้จักกัน ก็ค่อยๆทำความเข้าใจศึกษาให้ดีๆ 

ตอบ สรุปก่อนว่าทำไมอาตมาต้องไปว่า เพราะอาตมาเวทนาหรือว่าสงสาร แต่ก็สงสาร ท่านก็เสียไปหมดแล้ว สงสารหลวงปู่เสาร์สงสารหลวงปู่มั่น มหาบัวแต่สงสารท่านก็เสียไปหมดแล้วก็คือต้องสงสารลูกศิษย์ อาตมาจึงจำเป็นจำนนต้องว่าเพราะท่านผิดเพราะท่านยังไม่สัมมาทิฏฐิ ท่านยังมิจฉาทิฏฐิ อาตมาก็พูดความจริง 

พวกคุณยึดถือว่าของอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ อาจารย์มหาบัวสัมมาทิฏฐิ แน่นอนคุณก็ต้องค้านแย้งกับอาตมา แต่อาตมาก็ต้องพูดความจริง ว่าอันนั้นยังมิจฉาทิฏฐิ ถูกมันอันนี้ คุณก็ค่อยแง้มใจดูสิ แง้มใจมาฟังอาตมาหน่อย อย่าปิดใจมาฟังอาตมาเลย ถ้าปิดใจมาฟังอาตมา มันก็รับอะไรไม่เข้า ต้องแง้มๆหน่อย ขอแง้มๆก็พอก่อน แล้วถ้าคุณเจตนาดี แสวงหาจริงๆนะ ให้แง้มมาเถอะแล้วฟังอาตมาบ่อยๆ 

_@Prasa_Yiaedin  ประสา ยายดิน • ถูกต้อง และถือได้เลยว่าคำกล่าวนี้เป็นสัจจะธรรมของผู้ที่เข้าใจชีวิตที่แท้จริง ว่าแท้แล้วที่มาเวียนว่ายตายเกิดกันนี้ ก็เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นเป็นภารกิจหลัก ดังนั้นการไม่ได้โลกุตรธรรม จึงเท่ากับเสียชาติเกิดไปเปล่าๆนั่นเอง เกิดและตายไปฟรีๆ ทรมานไปกับผลวิบากของการเกิด แก่ เจ็บ และตายไปแบบฟรีๆ (ใต้คลิป เกิดมาชาติหนึ่งไม่ได้ธรรมะโลกุตระพพจ.เสียชาติเกิด)

พ่อครูว่า... ที่เป็นเทวนิยมไม่เข้าใจโลกุตระก็จะมีแต่ตายเกิด เกิดตายเป็นหนี้กัน สมบัติผลัดกันชม แก้แค้นกันยิ่งกว่าหนังจีน มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ตอนนี้คุณชักเข้าใจแล้ว เริ่มเข้าใจแล้ว คุณประสา ยายดิน เริ่มเห็นทิศทางแล้วถ้าอย่างนี้ก็มีหวังศึกษาให้ดีเถอะมีหวังจะไปสู่นิพพานได้ แต่ทางโน้นนั้นปิดประตูเลยยังไม่เห็นทาง ยังไม่เห็นทิศเลย ฟังธรรมดีๆจะเข้าใจ นี่มันมากขึ้นด้วยอธิบายชักง่ายขึ้นเรื่อยๆ 

_@tuipum ตุ้ย ปุ้ม804  •  โลกวุ่นวายเพราะคนไม่ยอมฟังข้ออรรถ ข้อธรรม พอไม่ฟังย่อมไม่รู้และไม่มีทางรู้(เพราะอนุสาสนียปาฏิหาริย์ต้องเกิด เนื่องแต่ความเข้าใจถูกต้อง ตามความจริงเท่านั้น) แต่ถ้าฟัง พอได้รับรู้แล้วต้องวิเคราะห์ จำแนกแยกแยะด้วยการตั้งอยู่บนความถูกต้องตามความจริงด้วย ผลที่ได้รับคือ ความเข้าใจถูกต้องตามหลักสัจธรรมอย่างแท้จริง และไม่ใช่เข้าใจแบบเข้าข้างตัวเองด้วยนั้น เป็นไปในทางจิตฝ่ายดี ครั้นได้มีการสั่งสมมากยิ่งขึ้น ย่อมเป็นจิตที่มีกำลัง มีอานิสงส์มาก ทำให้มีความร่าเริง อาจหาญในธรรม ให้เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ไม่รู้จักพอยิ่งๆขึ้นไป จนเป็นความมั่นคงด้วยเป้าหมายสูงสุดคือ"ความเป็นอนัตตา" กราบนมัสการพ่อท่าน และเหล่าสมณะทุกรูป ตามที่ลูกได้เข้าใจจากข้อธรรมที่หลากหลายเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เมื่อถึงขีดถึงขั้นมันบอกตัวเองได้เลย จะเข้าใจผู้ที่ให้ความลึกซึ้งไปเรื่อยๆว่าอย่างนี้ใช่อย่างนี้ต้องติดตามเอามันยิ่งกว่าขุมทรัพย์ยิ่งกว่าเจอบ่อทองบ่อเงินอีกสุดยอด ก็จะเข้าใจ 

อันนี้เข้าใจเป้าหมายความสูงสุดคือความเป็นอนัตตา หมดตัวตนแล้ว ดีเข้าใจถูกแล้วตามลำดับพากเพียรไป 

ฟังธรรมได้อานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ

_@Pueng-ur2cg ผึ้ง • ขอน้อมกราบ พระอรหันต์พระโพธิสัตว์ พ่อครู โพธิรักษ์ และพระสงฆ์ผู้เจริญ เจ้าค่ะ .. สาธุ แม้ลูกจะยังไม่เคย ได้ไปสันติอโศก แต่ได้ฟังธรรมหลวงพ่อ มา 7 วัน ย้อนฟังคลิปเก่าหลายคลิป ยิ่งมั่นใจได้เจอ เนื้อนาบุญของโลก และคำสอนอันประเสริฐของพุทธศาสนา  และได้เจอพระโพธิสัตว์ แท้จริง ในชาตินี้แล้วเจ้าค่ะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 12:26:43 )

660630

รายละเอียด

660630 การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53242.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/15AK9BD5DUC0yqwE_g8SQB_WtyTrBuOa5/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/16RkzH2Pgb-yZg_EtQVezuMfar78rtE1z/view?usp=drive_link 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fQRSKdhzfCM 

และ https://fb.watch/lutVSFtbqW/ 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เข้าพรรษาแล้ว เดี๋ยวก็น้ำท่วมแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็เตือนว่า วันเวลาล่วงไป พวกเธอทำอะไรอยู่ เราเคยปฏิญาณเรื่อง 8 อ. จำได้ไหม จะอยู่ฉลอง 100 ปีพ่อครู ตอนนี้เอา 90 ปีก่อน แต่จะอายุยาว อายุสั้นไม่สำคัญเท่าได้ลดกิเลสหรือไม่ 

พ่อครูว่า...

SMS วันที่ 28-29 มิ.ย. 2566

_Petcharat Rank เพชรรัตน์ แรงค์ · กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ.. ลูกกราบยืนยันด้วยปฏิบัติบูชาพ่อฯในข้อที่ว่า สัจจะเค้าเป็นของเค้าเองไม่มีบิดพริ้วได้.. เป็นไปตามสัจจะ.. ถูกหรือผิดเป็นผลก็ได้พิสูจน์ของจริงปรากฏเป็นสัจจะนั้นๆ.. แม้ศีลข้อ1เมื่อปฏิบัติดีแล้ว.. ก็ดีเลยดีร้อยไปถึงข้ออื่นๆ... ร้อยงดงาม.. สัจจะอัศจรรย์พ่อฯบอกไว้จริงทุกอย่างค่ะ.. 

กราบขอบพระคุณค่ะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กรกฎาคม 2566 ( 19:52:44 )

660703

รายละเอียด

660703 สังคมอโศกคือสังคมสาราณียธรรมที่มีสภาวะจริง รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #28 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53240.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่  

https://docs.google.com/document/d/1xqI5qIHB22rmZQ7uMN0uS-qv3SCPFYss/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                               

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1BoJWzOm3bVIO58L7F633estm08GgkWCW/view?usp=sharing 

https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660703-e26gd57 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/jFtzNXZtLPM 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/802414687945704 (ท่อน1)

https://www.facebook.com/100078722032092/videos/580394117615313 (ท่อน2)
 

สัปปายะ 4 มีในสังคมสาราณียธรรมชาวอโศก

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2566 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราก็มาฟังธรรมกันอีก ชีวิตพวกเราดีจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นๆ ไม่ใช่พูดโดยไม่มีเหตุปัจจัย แต่มีเหตุปัจจัยมีความจริงยืนยันทุกวัน นอกจากผู้ใดจะหลบหนีไป ไม่มา มีทุกวันนอกจากวันที่เกิดเหตุการณ์พิเศษจริงๆ ที่เราต้องไปทำงานอื่น ถ้าไม่ทำงานอื่น กิจวัตรประจำวันเราในเวลาเช้าก็ดี เย็นก็ดี ทั้งเช้าทั้งเย็น เราได้ฟังธรรมกันทุกๆวัน 

เป็นชีวิตที่โชคดีของมนุษย์ ในมงคล 38 ก็ยืนยันข้อหนึ่งคือได้ฟังธรรมได้เสวนาธรรม คนเราทุกวันนี้นึกดูง่ายๆเถอะ คนในสังคมข้างนอก เขาไม่ได้ฟังธรรมกันเหมือนอย่างชาวอโศก โชคดีที่มีวัฒนธรรมมีกิจวัตรประพฤติปฏิบัติกันมา 

อาตมามาทางธรรมะมาทางศาสนาได้พาทำมาตลอด มีวันยกเว้นที่ติดธุระพิเศษอย่างที่กล่าวแล้ว นอกนั้นก็ต้องมาฟังธรรมทั้งนั้น การที่จะรู้อะไรต่ออะไรขึ้นมา มันจะต้องได้ฟัง ปัญญาข้อ 1 ข้อ 2 ในปัญญา 8 ต้องได้ฟัง ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าได้ฟังจากสัตบุรุษ ข้อที่ 1 ส่วนข้อที่ 2 ฟังแล้วฟังอีก ฟังมาแล้วก็ไต่ถาม ฟังแล้วฟังอีกไต่ถามแล้วไต่ถามอีก 

คนเราจะรู้ได้ด้วยการสื่อทางคำพูดนี้แหละดีที่สุด สื่อทางภาษาใบ้ก็ยาก เดี๋ยวนี้ไม่พูดถ้าจะรู้ไม่ฟังไปกดเอา กดเอาทางอากาศ ก็เป็นการสื่อภาษา การกำหนดคำ การกำหนดความกำหนดลักษณะ ที่จะบอกมันจะสื่อให้เรารู้ให้เราเข้าใจว่าอะไรคืออะไร แล้วเราก็ได้รู้กัน
โดยเฉพาะยิ่งสื่อไปรู้ถึงนามธรรม เป็นลักษณะของ มันเป็นลมๆแล้งๆไม่เป็นรูปธรรม ไม่มีมหาภูตรูป ยิ่งทำให้เรารู้ได้ยากแต่เราก็สามารถรู้กันได้ ศาสนาพุทธยอดเยี่ยมตรงนี้แหละ ตรงที่สามารถที่จะไปรู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอุเทส คือชี้แจงสู่กันฟังแล้วเราก็ได้รู้กันด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

มีอาการ ฟังแล้วเข้าใจความหมายแล้วจับอาการในจิตตัวเอง จับนิมิตในจิตตัวเอง อ๋อ อันนี้ต่างจากอันนี้ อาการนี้ต่างจากอาการนี้ ตั้งแต่อาการในอาการของจิตเจตสิกเอง อาการที่มาเกี่ยวข้องกัน ปรุงแต่งกัน จนมันเกี่ยวข้องกับข้างนอกสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วไปเป็นอาการในจิตที่เรียกว่าสังขาร แล้วเราก็สามารถรู้แยกแยะได้ แยกอาการของเราที่มันเกี่ยวข้องกัน อยู่ด้วยกันอย่างไร  อยู่ด้วยกันอย่างผูกพัน หรืออยู่ด้วยกันอย่างทะเลาะกัน เป็นต้น 

พวกเราชาวอโศกอาตมาได้อธิบายเอาธรรมะพระพุทธเจ้าเท่าที่อาตมามี เท่าที่อาตมารู้เอามาแสดง อุเทส แสดงนิเทศ อุเทสคืออธิบายยาวๆ ส่วนนิเทศคืออธิบายสั้นๆ พวกเราจึงเป็นผู้ที่เกิดในดินแดนอันเป็นสัปปายะ มีบุคคล มีอาหาร มีเครื่องอาศัยต่างๆ มีธรรมะ ที่บริบูรณ์ด้วยสัปปายะ 4 นี่เป็นสิ่งที่เจริญพร้อมแล้ว 

สัปปายะ 4 มีสถานที่ มีบุคคลแล้วเราก็อยู่ในสถานที่นี้ มีบุคคลและก็มีการสื่อกัน ไม่ใช่แต่นั่งฟังธรรมเท่านี้ แม้แต่เวลาอยู่ด้วยกันกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กระทบกันไปกระทบกันมา ก็มีการรู้กัน นัยๆ โดยปฏิภาณปัญญาสื่อกัน บอกกันในทีหรือตรงๆสอนธรรมะหรืออื่นๆ ทำงานกันไปก็สอนธรรมะกันไป บางคนก็ช่างสอนจนคนข้างๆรำคาญอะไรอย่างนี้ ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย อลุ้มอล่วยกันไป มีประโยชน์แก่กันและกันติงกันเตือนกันจนกระทั่งบางทีก็ไม่ถึงทะเลาะกัน เป็นแต่เพียงสร้างความรำคาญกัน พวกเรามี อวิวาทะ เป็นอยู่ชัดเจนตาม สาราณียธรรม 6 ที่มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  

นี่เป็นคำยืนยันว่าคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร มีพุทธพจน์ 7 ก็สื่อยืนยันความจริงว่ามันเป็นสังคมดีสังคมเจริญ สังคมสงบ สังคมที่ประเสริฐ สังคมของคนเจริญ คนประเสริฐ คนอริยะที่แท้จริง 

จนกระทั่งเรามี สาราณียธรรม 6 นอกจากรายละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆแล้วเรายังมีสภาพของกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีเมตตา เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี ต่างคนต่างอยู่ร่วมกันแล้วทำงานมีผลผลิต ได้ผลประโยชน์ได้สิ่งที่เกิดเอามารวมกันกินใช้ร่วมกัน ลาภธัมมิกา ไม่แบ่งแยกไปเป็นส่วนตัวส่วนตนอะไร เผื่อแผ่ร่วมกัน กินร่วมกันใช้เป็นกงสี ใหญ่ ทั้งหมู่บ้านทั้งชาวอโศก ที่อยู่ต่างจังหวัด ต่างถิ่น ต่างที่ก็ถือเป็น สาธารณโภคี เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆ ถึงขั้น สาธารณโภคี อาตมาภูมิใจมากๆ ว่ายุคนี้นะ 

ที่ดีใจมากเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดได้จริงเป็นจริง ในยุคพระพุทธเจ้าเกิดได้แต่ในวงการสงฆ์ พูดมาหลายๆทีมากมาย ยืนยันย้ำเหตุปัจจัยให้ฟังแล้ว มันเป็นข้อจำกัด ในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยุคทาส ยุคคนยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนอะไรต่างๆ มันเป็นข้อจำกัดทำให้ทำไม่ได้ แต่ยุคนี้ไม่ใช่หรอก ต้องทำได้​แล้วก็เป็นจริงยืนยัน ทำให้คนได้อาศัยเป็นอยู่สุขกัน อย่างที่พวกเรา ผู้ใดเห็นดีเห็นงามแล้วมาเลยมาอยู่ที่นี่ แล้วก็อยู่กันไปจนกระทั่งตายจากกัน เยอะ 40-50 กว่าปีมานี้ แล้วยังจะมีต่อไปอีกสำหรับผู้ที่มีดวงตารู้และก็เห็นดีเห็นงามก็มา  บางคนเห็นดีเห็นงามนะแต่วิบาก มันมาไม่ได้ก็น่าเห็นใจ ไม่รู้จะทำยังไง 

มาคุยกับ SMS ดู 

SMS วันที่ 30 มิ.ย. – 2 ก.ค. 2566

_พี่มร บำรุง  · เมื่อหลายปีก่อนก็เคยใด้ไปร่วมชุมนุมอยู่หลายครั้งด้วยชอบไปนั่งที่เต้นท์สันติอโศกชอบมาก ๆ จิตใจดีกันทุกคนเลยค่ะ

พ่อครูว่า... พูดฝากมาที่ไหนหนอ จะมาอยู่บ้านราชบ้าง 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการค่ะกราบขอบพระคุณท่านปัจฉาที่ดูแลพ่อท่านเป็นอย่างดี พ่อท่านอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้วเพราะโยมเชื่อเช่นนั้น ขนาดไอก็ต่อสู้การไอและยอมรับความจริง เหมือนยายปรานีพิชิตมะเร็ง มะเร็งปอดหมอว่าจะเสียชีวิตภายในหกเดือน สุดท้ายอยู่มานานมากเพราะยอมรับและต่อสู้รักษาตัวเองด้วยดื่มฉี่และอยู่ตามวิถีชีวิตมังสวิรัติอย่างเดียว เป็นตัวอย่างให้เรา กราบสาธุค่ะ

_ตุ๊ก อัศวิน   · ร่วมระลึกชาติ ถึงกิจกรรม 'ลงถนน' ของ พี่น้องเอ้ยยยยย!!

นี้ คือ โครงการตามหาญาติ(ธรรม) แต้ๆ เจ๊า!! ด้วยเหตุปัจจัยนี้ ที่ชักนำให้นำตัวและใจ เข้าถึงหมู่ชาวอโศก..จนถึง บัดnow เจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณ คณะปัจฉา ที่ up to date พยาธิสภาพ(Disease)ของพ่อครู..เจ้าค่ะ

ที่สำคัญ คือ ให้ 'สัมมาทิฎฐิ' ในเรื่อง เหตุปัจจัย ของ การเจ็บไข้ได้ป่วย ในมุม 'กฎแห่งกรรม' ในหลากหลายมิติ เช่น กรรมอดีต สู่ กรรมปัจจุบัน / ปัจจัยของสิ่งแวดล้อม (อารมณ์/อาหาร/อากาศ/อาการทั้งกาย&ใจ)ก็มีส่วน / ความก้าวหน้าของการแพทย์ ก็เป็นตัวช่วยอย่างยิ่ง.. เป็นต้น ที่สำคัญ ท่านได้ให้ความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงธรรม ในเรื่องพระอรหันต์ กับ โรคที่ท่านได้รับ ด้วยการยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า และ พุทธสาวกที่สำคัญอีกหลายๆองค์ ที่ต่างก็ได้รับอาพาธในหลายๆ แบบ ทำให้ยิ่งตระหนักว่า..'หนีอะไร ก็หนีได้ แต่ ไม่อาจหนีพ้นวิบากกรรม'..เจ้าค่ะ น้อมกราบ_/\_ขอบพระคุณยิ่งๆ..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ดี ก็เรียนรู้จากสิ่งที่พูดกันถึงอะไร เราก็ไปที่ใจ เรียนรู้จากที่พูดอะไรถึงอะไรให้เข้าใจ ก็ได้รับรู้ได้เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆเรียกว่าธรรมะ 

ทำจิตให้ไม่หมองรู้ ความจริงตามความเป็นจริง 

_นางจับใจ ธนะโภค  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูฯ ดิฉันขอกราบเรียนถามค่ะ

1. ช่วงที่พ่อครูฯ แจ้งว่า ถ้าการเมืองเป็นเหตุให้ชาวอโศกต้อง"ลงถนน" จิตดิฉันจะตื่น

พ่อครูว่า... ชอบลงถนนคนนี้ จับใจเป็นพี่สาวของดินดอน รายงานอาการของจิตได้ละเอียดดีนะ 

2. ช่วงที่รายงานสุขภาพของพ่อครูฯ จิตของดิฉันตื่นแบบหมองๆ (ฝืนการรับรู้มาก)

***ขอน้อมกราบเรียนถามพ่อครูฯ ว่า จิตของดิฉันเป็นปกติหรือไม่คะ

พ่อครูว่า... จะฝืนไปทำไมก็รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ต้องถึงกับหมอง รู้ว่าใจหมองก็ดีแล้ว แต่อย่าไปทำใจหมอง ให้จิตว่างๆ ร่าเริงเบิกบาน ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง ดีแล้วล่ะที่อ่านอาการหมองๆของจิตตัวเองออกก็อย่าไปทำจิตให้หมอง 

ที่จิตของเราหมองเพราะเรามีจิตอวิชชาเป็นตัวเหตุของเราเอง เราทำเองทั้งนั้น เราจะหมอง เราจะน้อยใจ เราจะเสียใจ เราจะโกรธ เราจะรัก เราทำเองทั้งนั้น เรียนรู้แล้วก็ทำใจนี่แหละ เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจอย่างถ่องแท้แยบคาย ทำให้ได้ ทำให้ดี ปรับมันขึ้นไป นี่คือการปฏิบัติธรรม 

มันจิตก็ปกติของคุณ ที่คุณยังมีข้อบกพร่องของคุณ อาตมาก็อธิบายผ่านไปแล้วก็ปรับปรุงทำให้ได้ให้เป็นใจสบาย รู้ความจริงตามความเป็นจริง คนนั้นคนนี้คนที่เรารัก คนที่เรายินดี คนที่เราบูชา คนที่เราเคารพ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ก็ไม่ต้องไปมัวหมองไปตามเรารู้ความจริงตามความเป็นจริง เท่านั้นก็พอแล้ว 

ชาวบวรอโศกอยู่กันอย่างเหนื่อยในการลดกิเลส

_จรรยา ประเสริฐ  · อยู่วัดได้ ถือว่าสร้างบารมีมาก่อนมาก อยู่บ้านยอมรับว่า เราทำอย่างพวกเขาไม่ได้ แน่ ๆ ดูแล้วว่าเรายังทำไม่ได้ แม้พยายาม ไม่มีของเก่ามารับรอง เพียรอย่างนี้ (อยู่บ้าน) เป็นขั้น ๆ ไปก่อน เฮ้อออ เหนื่อยกับกิเลส เราเองแท้ สาธุ

พ่อครูว่า... คนอยู่วัดในแบบที่ไม่ใช่ชาวอโศกเขาไม่ได้มีชีวิตแบบบวรเหมือนพวกเรา พวกเรานี้อยู่กันอย่างบ้าน วัด โรงเรียน อยู่กันอย่างที่มันสัมพันธ์กันอย่างสนิท เกื้อกูลกัน มีพฤติกรรมของชาวบ้าน ชาววัด ชาวโรงเรียน เป็นชีวิตสามัญปกติ เราก็ทำหน้าที่ของแต่ละคน คนที่มีหน้าที่ทางโรงเรียนมากหน่อย ก็รับผิดชอบก็ทำหน้าที่ทางโรงเรียนมาก คนที่ทำหน้าที่บ้านมากก็ทำไป คนที่ทำหน้าที่วัด เช่นนักบวช เป็นต้น ก็ทำทางธรรมะมากก็ทำไป ตามกำหนด ตามธรรมวินัย ตามหลักเกณฑ์ ตามวัฒนธรรม นี่แหละเป็นความประเสริฐ บ้าน วัด  โรงเรียนของชาวเรา 

ไม่เหมือนของเขาที่เขามีข้อจำกัด ซึ่งเขาต้องทำอย่างนั้นดีแล้วเพราะเขาไม่สามารถที่จะทำอย่างที่เราทำได้ เขาจำเป็นต้องมีหลัก มีเกณฑ์ มีขีด มีขั้น กั้นเอาไว้ไม่เช่นนั้นมันเลอะ เลอะเลย แต่ของเรามันมีจิตวิญญาณ มีภูมิธรรมที่สูง จึงอยู่กันอย่าง เหมือนบ้าน เหมือนสังคมครอบครัว ที่พูดย้อนซ้ำไปมาแล้วว่าเป็นกงสีใหญ่ เป็นองค์รวมที่อยู่กันอย่างเป็นญาติพี่น้องสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เหมือนบ้านเดียว กัน ทั้งหมดเลยของชุมชน อันนี้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เป็นหมู่กลุ่ม สังคมชุมชนที่ยิ่งใหญ่ ที่เจริญ อาตมาภาคภูมิใจในความเป็นจริงที่เกิดได้ มีรูปธรรม มีวัฒนธรรม มีปรากฏการณ์เป็นจริงยืนยันกับโลกเขา ไม่ใช่ทำเล่น แต่มันเกิดจริงเป็นจริงเป็นความจริงของมนุษยชาติ พูดไปแล้วยิ่งใหญ่ 

เหนื่อยกับกิเลสดีแล้วที่ได้ต่อสู้กับกิเลส เป็นความเจริญอย่างหนึ่งนะ คนข้างนอกเขารวยในลาภยศสรรเสริญ แม้แต่บวชเป็นพระเขาก็ไม่ได้มารู้สึกเหมือนที่คุณพูด  เหน็ดเหนื่อยกับการลดกิเลส เขาก็น้อยมีบ้าง อาจจะมีบ้างบางผู้บางท่าน พากเพียรเหนื่อยกับการลดกิเลส มีชีวิตที่จะเห็นอันนี้เป็นสำคัญแล้วก็เหน็ดเหนื่อยกับมัน เอาน่า เหนื่อยอะไรทางโลกก็เหนื่อยได้ แต่ไม่ดีเท่าเหนื่อยทางลดกิเลสหรอก

_นตา รักษาสุข · วันที่ 30 มิย. 66 วันนี้ zeno ดีมาก ขอบพระคุณ

1 ก.ค.  66 ไม่ตรงกับออกอากาศ เดี๋ยวคุ้มดีเดี๋ยวคุ้มร้าย เหมือนใจคนที่แปรเปลี่ยนเวลาอยู่ใกล้ใครก็ใจอ่อนกับคนนั้น เห็นคนที่ตนเองชอบดีหมด คนอื่นที่ไม่ใช่ไม่มีอะไรดี ราวนี้อากาศธาตุที่น่าขบขัน

พ่อครูว่า... ก็ทำใจให้ปกติเห็นมันไม่เที่ยงหรอก ใจคนหรืออย่างอื่นก็ตามมันไม่เที่ยงสักอย่าง เราอย่าไปถึงขั้นตกเป็นคุ้มดีคุ้มร้าย มันไม่ดี รู้จักความจริงแล้วก็ปฏิบัติตน 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน  · ธรรมะค่ำคืนวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. สนุกมากเลยครับ.จีน อินเดีย อเมริกา..สาธุ

พ่อครูว่า... อาตมายกตัวอย่าง มีลักษณะอะไรมาเทียบเคียง ยกตัวอย่างเปรียบเทียบอธิบายธรรมะให้ฟัง อย่างจีนเป็น  อย่างอินเดียเป็น   อย่างอเมริกา เป็น  ผู้ที่ฟังธรรมเข้าใจก็ได้ประโยชน์ มันเป็นตัวอย่างของโลกของมนุษย์ของกลุ่มชุมชนมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์และกามเทพไปนี้ดี อาตมาก็คิดว่าพวกเราจะเข้าใจจะรู้สิ่งที่ยกเอามาเปรียบเทียบของจริงตัวอย่างจริง มันเข้าใจลึกๆอย่างมีนัยยะสำคัญที่ทำให้เรารู้ได้ 

หมดสุขหมดทุกข์ในเรื่องอาหาร 4 

_ชุมพล ยอดสะเทิน  · เข้าค่ายสุขภาพปี 54 ที่ดอนตาลเจอหนังสือพ่อครูเล่มเล็กๆ เปิดโลกเทวดา อ่านจบ อุปาทานความเชื่อเดิมมลายหายสิ้น เราก็เข้าใจว่าเทวดามันจะต้องเป็นรูปเป็นร่าง มีที่อยู่อาศัยเป็นเมืองๆหนึ่งบนท้องฟ้าซึ่งเรามองไม่เห็น มีนางฟ้าเป็นบริวาร 500 คน มีความสุขสบาย ซึ่งเกิดจากการทำบุญถวายเงินให้พระเยอะๆ แต่ความจริงมันเป็นเรื่องของเทวะหรือสภาพ 2 ความหลงในสุขลวงที่มันไม่มีอยู่จริง สุขกับทุกข์มันเป็นตัวเดียวกัน ผมยังทำใจไม่ได้กับต้มยำเห็ดฟางที่ผมมีความสุขเสมอเมื่อได้กิน แม้จะเริ่มรู้ว่ามันคืออุปาทานที่เราไปมโนมยอัตตาปรุงความสุขขึ้นมา พ่อครูบอกว่าหมดรสสุขทุกข์ในเรื่องของอาหาร โอ้โหถ้าแบบนั้นกิเลสความชอบความชังทุกเรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้ เราก็ต้องล้างอุปาทานแบบเดียวกันเช่นเรื่องอาหารใช่ใหมครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพครับ

พ่อครูว่า... ศาสนาพุทธเรียนรู้ตัวสุขทุกข์แล้วทำให้สุขทุกข์ปราศนาการไปจากจิต หายไปไม่เกิดในจิตเลย คนที่ไม่มีทุกข์ไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข ภาษาง่ายๆ ส่วนภาษาบาลีลึกซึ้งก็คืออุเบกขา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะดับเหตุ คือกิเลสจนถึงอาสวะออกไปได้ จิตสะอาดเรียกว่า อุเบกขา ที่มีลักษณะ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตมันสะอาดจากกิเลสหมด สุขทุกข์ 

ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำได้โดยกิเลสไม่ออกหมด จิตไม่สะอาดเขาทำได้ เดียรถีย์ทำได้ ทำให้จิตไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยวิธีเดียรถีย์ วิธีนั่งสะกดจิต ลืมตาก็ทำได้ สะกดจิตแบบลืมตา ให้จิตมันไม่สุขไม่ทุกข์ มีอาการช่วงที่เขาทำได้นั้นมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่มันไม่ได้เป็นจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะล้างเหตุตัวจริงไปเลย คือ อาการโง่ อาการที่เป็นกิเลส ล้างมันออกจนมันไม่มีในจิตเลย ไม่เกิดอีกในจิตอีกเลย มันจะมีเหตุทางข้างนอกสัมผัสกระทุ้งกระแทกกระเทือนอย่างไร กิเลสก็ไม่เกิด มันมีนัยยะสำคัญที่ลึกซึ้งกว่ากันมากเลย อันนี้อธิบายสั้นๆ 

นี่คือการเรียนรู้ธรรมะ เป็นการเรียนรู้ที่ตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้า มาเรียนรู้ความติด ความยึด ความมีกิเลสอย่างนี้แหละ เหตุที่เป็นเห็ดฟาง เรียนรู้แล้วก็ลดกิเลสมันให้ได้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ตาไม่ได้กระทบสัมผัส หูไม่ได้ยินเสียงพวกนั้น ซึ่งไม่รู้จะพูดยังไง มันนอกรีต มันเป็นเดียรถีย์ เดี๋ยวนี้ก็ยังหลงผิดเป็นเดียรถีย์แบบนี้เพราะความเสื่อมของศาสนาพุทธ มันเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ใน อาณิสูตร มันก็เลยไปยึดถือ

จนอาตมานำมาฟื้นคืนก็ได้ขึ้นมาเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นอุปาทานจริงๆ มันไปหลงยึดถือตามที่กิระดั่งได้ยินมามันเชื่อมาตั้งแต่ชาติไหนไม่รู้ว่าเห็ดฟางนี่อร่อย จิตนี้ก็ยังติดมีอุปาทานยึดถือติดตามนั้น แล้วที่เราไป มโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่เราเกิดเอง ของเราเอง ทำเอง สำเร็จด้วยจิตของเราเอง ปรุงความสุขขึ้นมา นี่สื่อออกมา ให้เข้าใจสภาวธรรมตามภาษาที่อาตมาบอกไปว่า คุณมีสภาวะจริง 

อาตมายืนยันอันนี้ อาตมาบอกความจริงให้รู้ว่า ที่เขาเป็นนักปฏิบัติธรรมเรียนรู้ศาสนาพุทธกันมา เขาจะรู้จักอาการเวทนา ความรู้สึก และความรู้สึกของคุณแม้กินอาหาร คุณก็ไม่มีรสสุข รสทุกข์ ไม่มีรสสุขรสทุกข์จริงๆ อ่านอาการสุข อ่านอาการทุกข์ได้ ไม่มีอย่างตื่นๆไม่ใช่วิปลาส ไม่มีอย่างรู้ๆอยู่ว่าอาการของเวทนาที่มันเป็นอุปาทาน เป็นตัณหา มันเป็นยังไง 

สุขทุกข์ในเรื่องอาหารหมดไป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนหมดสุขหมดทุกข์ในเรื่องอาหารนี่แหละเรียกว่าคนปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา ใน กวฬิงการาหาร มีผัสสาหาร มีมโนสัญเจตนาหาร มีนามรูปและจิตเจตสิกแล้วอ่านอาการกิเลสออกจาก โภชเนมัตตัญญุตา จากอาการที่มันหลอกในกาม ในอาหาร หลอกไปผัสสะแล้วเกิดจริง มีเจตนาที่เป็นมโนมยอัตตา ที่เป็นกามหยาบ ต้องลึกไปถึงภวตัณหา หรือเป็นวิภวตัณหา นี่คือการปฏิบัติเรียนรู้ธรรมะ ได้ของจริง ที่อาตมาอธิบายถึงนี้พาดพิงถึง กวฬิงการาหาร แล้วก็ผัสสาหาร 

พูดถึงอาหาร 4 แล้วเปรียบเทียบ กวฬิงการาหาร ผัวเมียมีลูกเดินทางไปด้วย เมื่ออาหารหมดก็ฆ่าลูกทำเป็นเนื้อเค็มกิน กินไปก็บ่นหาว่า ลูกไปไหน เป็นอุทาหรณ์พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบที่อาตมาเห็นว่า มันลึกซึ้งซาบซึ้งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ผัสสาหาร เหมือนวัวไม่มีหนัง แล้วมันจะแสบขนาดไหน ผัสสะนี่มันจะต้องเจ็บแสบ มันจะมีเวทนา มันจะรู้จักความเจ็บแสบรู้จักทุกข์ เหมือนวัวไม่มีหนังคือ ผัสสาหาร แล้วคนไม่มีผัสสะ เหมือนวัวไม่มีหนัง แต่คุณไม่รู้จักเจ็บจักแสบ ด้านทน ไม่รู้จักเวทนา ไปหลับตาอีกก็เลยกลายเป็นคนไม่มีผัสสะ  มันซ้อนไปซ้อนมา 

เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีทางที่จะปฏิบัติ มโนสัญเจตนาหาร ไม่รู้กามตัณหา ภวตัณหา เราเรียนรู้ลดจนหมดกาม ภวะ ถึงจะเป็นวิภวตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นตัณหาที่อยู่เหนือ กาม เหนือภวะ คุณไม่ได้เรียนรู้เลย คุณหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะไปหมดเลย ทิ้งเลยรูป นาม วิญญาณไม่มีในที่นี้ สุญโญเลย ไม่ปฏิบัติครบภาวะ 2 อย่างนี้เป็นต้น 

คุณชุมพลเข้าใจเรื่องอาหารแล้ว ถึงบอกว่าการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านี้ 3 อย่างนี้ไม่ผิด อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ไปนั่งหลับตา ผิด เป็นการปฏิบัติผิด ไม่ใช่ศาสนาพุทธ การปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธต้องมี 3 อย่างนี้เสมอ ต้องตื่นนะไม่ใช่ไปหลับตา ข้อ1นี่ก็ผิดแล้ว พอสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แต่นี่ไม่สำรวมทั้ง 6 ไปสำรวมใจอย่างเดียว 

เพราะฉะนั้น โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มี นี่มันผิดเพี้ยนไปมันผิด มันเสื่อมไปจริงๆเพราะหลับตาเอ้ย ต้องให้ท่านดินไทมาเรียก พี่น้องเอ้ย… ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเหลืองแล้วก็ดำลงด้วย ชาติจะเหลืองดำลง ที่จริงมันคนละคำอาตมาสะแลงไป 

ตื่นเถิดชาวไทยอย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเหลืองและดำลงก็เพราะเราทั้งหลาย เป็นเพลงสมัยเก่า 

ผู้มีภูมิธรรมสูงจะไม่หลงสวรรค์ โชคดีแล้วไม่ได้เกิดมารวย 

_ประสิทธิ์ ปัดสวรรค์  · อยากให้พ่อท่านเทศน์เรื่องกินของหลวงชอบเอาเปรียบคนอื่นครับผม

พ่อครูว่า... คนเราไม่รู้ทันสวรรค์และหลงสวรรค์ ชีวิตต้องมีสวรรค์นั่นคือคนไม่สูง คนที่สูงแล้วก็จะรู้ว่าสวรรค์ก็เป็นภพ นรกก็เป็นภพ สวรรค์มันยังหลอก แต่เอาเถอะ ถ้าพอรู้ว่าสวรรค์ขั้นที่มันลำลองจะต้องอาศัยมันเป็นขั้นๆอันนี้ยังพอใช้ได้ แต่ไปหลงว่าสวรรค์คือสิ่งที่จะต้องได้ต้องเป็นต้องมีแบบเสพรสของสวรรค์ แบบนี้ยากที่จะปฏิบัติธรรมไปนิพพาน สุดท้ายสวรรค์ไม่มี นรกก็ไม่มี นรกสวรรค์คือภพชาติ คือความลวง คือสุขทุกข์นั่นเอง หมดสุขหมดทุกข์เป็นพระอรหันต์ เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือเรียนรู้ธรรมะจากอาตมาจะเป็นอย่างนี้ 

ส่วนเรื่องการกินของหลวง อาตมาไม่ค่อยมีประสบการณ์ ไม่รู้เรื่อง ชาตินี้อาตมามีกุศลจังเลย กุศลของอาตมาคือ 

1.ไม่ได้รับราชการเลยในชาตินี้ 

2. ไม่ได้มียศมีตำแหน่งราชการกับเขาเลย C1 C2 C3 C4 C5 ซี้เลี้ยวอะไรก็ไม่มี ไม่มีกับเขาเลย  เป็นคนเกิดมาโชคดีมาก ชาตินี้ นี่อย่างหนึ่ง 

3. อีกอย่างหนึ่งคือเกิดมาชาตินี้ไม่ได้เป็นคนร่ำคนรวย ไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะ มีเงินร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แหม โชคมันดีอะไรอย่างนั้น ในพระไตรปิฎกก็มีนะ เขาเกิดชาตินี้ไม่ได้มาเป็นกษัตริย์ ไม่ได้เป็นเศรษฐี แล้วเขาให้อธิษฐาน สาธุเกิดชาติต่อๆไปอย่าให้เป็นเศรษฐี อย่าให้เป็นกษัตริย์ ไปเป็นใหญ่เป็นโตอะไร อธิษฐานกัน ในพระไตรปิฎกมี 

_สู่แดนธรรม... คุณประสิทธิ์เขาอยากให้พ่อท่านอธิบายอธิศีล ของศีลข้อที่ 2 พ่อท่านเคยเทศน์ 

พ่อครูว่า... อาตมาเคยบอกแล้วไงว่าอาตมาไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปกินของหลวง อาตมาไม่เคยไปกินของหลวง อาตมาไม่รู้เรื่อง เขากินยังไง เขาใช้วิธีการยังไง ได้ยินได้ฟังวิธีการของเขา มันไม่ลึกซึ้ง อาตมาอธิบายไม่ค่อยได้ 

_สู่แดนธรรม... ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า ถ้าคนไปกินของหลวงมันจะไปผิดศีลข้อที่ 2 กุหนา ลปนา จนกระทั่งพวกเราเกิดความละอายใจลาออกจากหลวงมาเลย ผมว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ 

พ่อครูว่า... อย่างนั้นก็ได้หรือปรับตัวกลับใจปรับเปลี่ยนตัวเองไม่กินของหลวง ของหลวงนี่คือของประชาชน ของส่วนรวม ของกลางมีเจ้าของเจ้าของเยอะ เพราะฉะนั้นมีเจ้าของเยอะจึงเป็นหนี้ประชากรเป็นล้านๆคน 1 บาทของหลวงคือเจ้าของมีคนเป็นเจ้าของ เป็นเงินภาษีของทุกคนเขามีส่วนร่วม เป็นเงินส่วนกลางของหลวง มันก็ไปกินภาษีของหลวง 1 บาท ไปโกงภาษีของหลวง 1 บาท คุณเป็นหนี้ประชาชนที่เขามีส่วนเป็นเจ้าของภาษีของเขาอยู่มากเพราะมันจึงบาปไม่ใช่น้อยที่ไปกินสินบาทสินบน ไปกินของหลวงที่ใช้ศัพท์ง่ายๆว่า กินของหลวง ชอบเอาเปรียบคนอื่น 

แม้แต่ศัพท์คำว่า ชอบเอาเปรียบคนอื่น นี่ก็เป็นความเลว คนที่เอาเปรียบคนอื่นนี่ก็เป็นความเลวที่แท้จริง ใช่ไหม คนใดที่เข้าใจลักษณะอาการของความเอาเปรียบ แล้วไม่ทำการเอาเปรียบ ฝึกตนเลยว่าอย่าไปทำการเอาเปรียบใคร เป็นคนเสียเปรียบนั่นแหละด้วยศัพท์ชัดๆ เสียเปรียบทั้งๆที่เรารู้ว่าเรา เสียเปรียบไม่ใช่เสียรู้ เรารู้ว่าเราเสียเปรียบ ตั้งใจเสียเปรียบด้วย และมีปัญญาอีกว่า ควรเสียเปรียบให้คนนี้มากกว่าคนนี้ คนนี้ควรเสียเปรียบให้เขามากๆหน่อย เช่น ควรเสียเปรียบให้แก่พลเอกประยุทธ์  เพราะพลเอกประยุทธ์ทำงานได้ดี เพราะฉะนั้นจะมีอะไรไปเสียเปรียบให้แก่พลเอกประยุทธ์ ช่วยเหลือในส่วนนั้นส่วนนี้ อะไรที่ควรจะมีส่วนช่วยได้เสียให้ได้สละให้ อย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างง่ายๆชัดๆ นี่คือสิ่งประเสริฐ พวกนี้รู้จักการเสียเปรียบและก็เป็นคนอยู่อย่างเสียเปรียบ 

สรุปอย่างในหลวงท่านตรัส ผู้เสียนั่นแหละคือผู้ได้ การเสียนั่นแหละคือการได้ ในหลวงท่านไม่ได้กระจายความมาก อาตมากระจายความให้ฟัง นี่เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ สิ่งประเสริฐเป็นอย่างนี้ 

_เกษม แสนทอง · วันนี้ (30มิ.ย.)พ่อท่านบรรยายวรรณะ 9 ได้เยี่ยมยอด ฟังเข้าใจง่ายครับ

พ่อครูว่า... ดี วันนี้คิดว่าจะเอา อวรรณะ 6 มาอธิบาย ได้อธิบายวรรณะ 9 ไปแล้ว คุณคนนี้ฟังแล้วเยี่ยมยอด ยัง ยังจะมียอดคนนั้นอีกค่อยๆแถม อธิบาย อวรรณะ 6 ก็จะได้เปรียบเทียบกับ วรรณะ 9 

_Pichai Ppt พิชัย พีพีที  · เรื่องศาสนา มีหลายอย่าง ไม่เห็นด้วย แต่ชอบ แนวคิดการเมือง มากครับ

พ่อครูว่า... อ้อ คุณคนนี้เขาแยก ฟังธรรมะอาตมาแล้วแยกว่าอาตมาพูดนี่พูดการเมืองด้วย พูดธรรมะด้วย แต่เขาบอกว่าเขาฟังธรรมอาตมาแล้วไม่เห็นด้วย มีหลายอย่างไม่เห็นด้วย

นัยยะของการเมืองที่คุณชอบที่อาตมาพูด นี่แหละคือนัยยะของศาสนาในการเมือง คุณฟังให้ดีๆ นัยยะธรรมะในการเมืองที่คุณชอบนั่นแหละดีแล้ว หรือจริงๆก็คือ นัยยะของพฤติกรรมของมนุษยชาติ จะไปร่วมกับการเมืองหรือร่วมกับสังคม เศรษฐกิจ ร่วมกับอะไรทั้งนั้นแหละ มันก็ไม่ได้แยกขาดจากการเด็ดขาดหรอก ฟังดีๆได้ประโยชน์ก็ดีแล้ว 

_บัวดาว พรมเลิศ · โอ้รายการวันที่ 1 ก.ค.ท่านดินไทเสียงท่านฟังได้ชัดเจนดีมากเลยเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เสียงท่านดินไท ใครฟังได้ชัดเจนก็ดีมากแล้ว 1. ท่านจะพูดช้าๆ 2. ท่านจะพูดไม่ดังไม่แรงเหมือนโพธิรักษ์หรือท่านฟ้าไท ดูหลายๆท่าน ท่านพูดขนาดนั้นไม่ดังอะไรมาก ท่านบอกพี่น้องเอ้ย…ได้แค่นี้ ถ้าเราร้องพี่น้องเอ้ยแล้วก็เหอะ รับรองว่า Frequency ต่างกันกับของท่านดินไทมากเลย 

เศรษฐกิจดีแบบชาวอโศกคือมี วรรณะ 9 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · ลุงตู่ดี แต่ทำมัยเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นเลยปล่อยให้ ข้าวยากหมากแพง ถ้าปากท้องชาวบ้านยังหิว จะให้คนรักชาติคงลำบากครับ

พ่อครูว่า... คนเรา 2 คนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย คุณอัมพรมองว่าลุงตู่มาบริหารประเทศและทำให้เศรษฐกิจนี้ไม่ดี คนต่างประเทศเขามองมาด้วย เขามีนักเศรษฐกิจสถิติบอกเลยว่า ลุงตู่บริหารประเทศเศรษฐกิจไทยขึ้นอันดับดังนี้ คุณอัมพรนี่ไม่รู้เรื่องอะไรไม่รู้ไปมืดบอดอยู่ที่ไหน บอกว่าไม่ดีขึ้นเลย ข้าวยากหมากแพง ก็ใส่ความไป 

แต่ก่อนนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 สตางค์ ชามละสลึง ชีวิตของอาตมาผ่านมา เดี๋ยวนี้ชามหนึ่ง 50 บาทแล้ว บอกว่าราคามันแพงกว่า แน่นอน มันแพง แต่ก่อนมัน 10 ตังค์ ส่วนก๋วยเตี๋ยวสลึงหนึ่ง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำนะกินชามเบ้อเร่อเลย ถ้า 10 ตังค์ก็ครึ่งหนึ่ง ถ้าชามละสลึงก็กินอิ่มเลย ต้มยำดีด้วยเครื่องปรุงพร้อมสมัยก่อน ก็ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกันนี่เดี๋ยวนี้ ดีไม่ดีมันขึ้นห้างขายชามละ 100 บาท 150 บาท ทั่วไปเดี๋ยวนี้ชามละ 50 แล้วกระมัง แล้วบอกว่ามีเศรษฐกิจไม่ดีเพราะราคามันแพง 

ผ้าขาวม้าแต่ก่อนผืนหนึ่ง 50 สตางค์หรือ 1 บาท เดี๋ยวนี้ผืนละ 100-200 บาท ก็ผ้าขาวม้าผืนเดียวกันแล้วบอกว่าเดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจแพง มันไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นเรื่องของการสมมุติ คนที่ไปยึดติดราคาตัวเลข พวกนี้เมา พวกนี้งง พวกนี้ยังยากที่จะพ้นทุกข์ 

ชาวอโศกไม่ไปติดกับตัวเลข เศรษฐกิจอันเดียวกัน ยุคเดียวกัน  ชาวอโศกไม่ได้มีเงินทองหรูหรา ไม่ได้ใช้เงินซื้อนู่นนี่มากมาย ลดความจำเป็น ลดกิเลส กลายเป็นคนจนที่เศรษฐกิจดี ชาวอโศกเป็นคนจน ไม่ใช่พูดเล่นนะ เป็นคนไม่มีเงินมากจริงๆ ไม่สะสมเงินเลยแต่เศรษฐกิจดีเพราะสบาย อยู่กับสังคม ทำงานสร้างสรรค์ กินใช้ลดกิเลสตาม  มีวรรณะ 9 

อยู่กันอย่าง เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  โอ้โห อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ 

คนจนเอาแต่เสียสละ คนจนมีแต่เสียสละ คนอะไรวะ พิสดารจริงๆ เป็นคนจนแต่มีแต่เสียสละ ไม่เอาเปรียบเอารัดใคร จะถือว่าคนคนๆนี้บ้าไม่ได้เลยนะ อัจฉริยะ เห็นไหม เป็นคนอัจฉริยะ เป็นคนจนอัจฉริยะ ฟังดีๆนะฟังธรรมที่อาตมาพูดนี่ไม่ใช่พูดเล่น 

แต่พูดโดยธรรมะพระพุทธเจ้าสอนแล้ว เราปฏิบัติตามได้ เป็นคนอัจฉริยะแบบนี้จริงๆ ในเมืองไทยมีคำสอนนี้ แล้วสอนไป พวกเราเข้าใจได้ แล้วปฏิบัติตนเป็นแบบนี้ได้ มีตัวอย่างในประเทศไทยคนไทย ในโลกเทวนิยมไม่มีคำสอนนี้ โลกตะวันตกเรียน Doctor มาทางเศรษฐศาสตร ได้ด๊อกเตอร์ทางการเมือง ทางสังคมศาสตร์อื่นๆ ไม่มีตำราจะมาปฏิบัติได้อย่างนี้ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมานำมาขยายความจริงของพระพุทธเจ้าที่มันเสื่อมไปนานแล้ว มันเป็นโลกุตระ อาตมานำเอาโลกุตระมาฟื้นและมีคนเป็นจริงได้ เท่าที่อาตมาทำงานมา 50 ปี ได้คนจริงมากระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีความเป็นอยู่ด้วยชีวิตแบบนี้ นี่คือลักษณะที่ดี เศรษฐกิจที่ดี ศึกษาดีๆคุณอัมพร 

เพราะฉะนั้น คุณก็มีความรู้ มีความเข้าใจ มีทิฏฐิหรือมีวิสัยทัศน์มีกระบวนทัศน์ของความคิด มันไม่เข้ากับของพระพุทธเจ้า ยากนะศึกษาให้ดีๆ 

อาตมาเชื่อว่าคุณอัมพร สถานะหรือฐานะคุณอัมพร ทั้งด้านนอกนั้นอาตมาว่าจะรวยกว่าพวกคุณชาวอโศก อาตมาว่าฐานะเขาดีกว่า มีเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของเขาในชีวิตจะรวยกว่าของชาวอโศกนี่เยอะ เขาก็มองว่าเศรษฐกิจไม่ดี เขาจะมีการใช้จ่ายมากกว่าชาวอโศกเยอะ แต่ชาวอโศกสบาย มีเศรษฐกิจดี เราลดการถูกโลกหลอก ลดการถูกหลอก มาเป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่ถูกหลอกเป็นคนสบายเลย อยู่กับปัจจัยชีวิต ให้เขาเข้าหาปัจจัย 4 หัวใจโลกๆที่เขาหลอกกันชาวอโศกมีน้อย จนกระทั่งไม่ถูก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลอก มีแต่สิ่งที่ซ้อน ภวตัณหา วิภวตัณหา ซ้อนอยู่ข้างใน เห็นดีๆ อาตมาอธิบายสิ่งที่ประเสริฐอยู่จะได้ประโยชน์ 

 

นายกลุงตู่และคุณพีรพันธ์ทำงานอย่างตัวตนน้อยหรือหมดตัวตน 

_จรรยา ประเสริฐ  · ท่านพีรพันธุ์ ช่วยนายกประยุทธ รู้ข่าวอย่างนี้ ทำให้ปลื้ม ทีแรกมองว่าท่านมาเกาะเพื่อหวังประโยชน์ด้านการเมือง ผิดถนัด ท่านเป็นเพชรแท้ของนักการเมืองทีเดียว สาธุ

พ่อครูว่า... คนมีดวงตา คนมีความรู้ความเข้าใจที่ดี มองออก มองเห็นเพชรเป็นเพชร มองเห็นแก้วก็เห็นแก้ว มองเห็นเศษขยะเป็นเศษขยะ คนที่มีดวงตาที่ดีก็มองเห็นความจริงความดีของบุคคล คุณพีระพันธุ์นี่ก็อย่างที่คุณจรรยา ประเสริฐว่า เป็นคนที่ท่านเป็นเพชรแท้ของนักการเมืองจริง เป็นนักการเมืองตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเหมือนกันคุณพีระพันธุ์ ไม่ได้ติดยึดในเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง ขนาดเคยเป็นรัฐมนตรี  เคยเป็นผู้พิพากษามา ไม่ใช่เล่นๆ

_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย  · เหมือนมีนัยลึกๆว่าลุงตู่จะได้กลับมาเป็นนายกอีกครั้ง ท่านเลยไม่ไปรายงานตัวขออยู่รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลลุงตู่อีกครั้งรึเปล่าน้อ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #28 สังคมอโศกคือสังคมสาราณียธรรมที่มีสภาวะจริง วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2566 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กรกฎาคม 2566 ( 08:09:25 )

660705

รายละเอียด

660705 การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก 

https://www.boonniyom.net/53241.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1c60gsoLHJxJGdB-SyuH0qn954qOog9XV/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/14DBfmzSAI204h6lzzAZOAv6aGpXyzZty/view?usp=sharing 

 

https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660705-108-1-e26j09s 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/cwCPwhaPA1U 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/283153367700637 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ประเทศไทยก็ได้ประธานรัฐสภาแล้ว ก็บอกว่าเป็นสารตั้งต้น ขึ้นไปเพื่อจะทำให้ได้เกิดนายกรัฐมนตรี มีคนเปรียบเทียบว่าการแย่งประธานสภาของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล เหมือนกับพระกับเณรแย่งกัน สุดท้ายโต๊ะอิหม่ามได้ไป 

บทนี้เป็นบทที่เขาต้องการสะท้อนให้เห็นว่า คนที่อยากได้กลับไม่ได้ คนที่ไม่อยากได้กลับได้ เขาว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต 

พ่อครูเคยให้ข้อคิดไว้ว่า “เพราะไม่กังวลในความร่ำรวย ไม่หิวโหยในความบันเทิง ไม่ปรารถนาความเป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีปัญหากับความเครียด ชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน”

เราคงต้องมาเรียนรู้เรื่องความไม่ได้ดั่งใจ ลดความเครียดลงไปชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน มนุษย์หากปรารถนาความร่ำรวยความเป็นใหญ่เป็นโต ชีวิตจึงตามมาด้วยความเครียด 

พ่อครูว่า... เริ่มต้นกันที่ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 3 – 4 ก.ค. 2566

_สินอโศก : กราบนมัสการท่านค่ะ ดิฉันยังมีกิเลสอยู่ค่ะ ดิฉันกินมังสวิรัติได้บริสุทธิ์100% ไม่มีอาการโหยหาเนื้อสัตว์แล้ว และทีนี้ ดิฉันไม่ชอบเมื่อเห็นคนอื่นยังกินเนื้อสัตว์อยู่ค่ะ

พ่อครูว่า…ดีรู้ว่าตัวเองยังมีกิเลส 

คนที่หลงตัวเอง ว่าไม่มีกิเลสทั้งๆ ที่กิเลสของตนเองยังไม่รู้ แม้แต่กิเลสขั้นหยาบ แล้วนึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ คนนี้น่าสงสารยิ่งกว่า เช่น พระนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นต้น 

การนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่มีทางที่จะหมดกิเลสได้ มีแต่พวกวิปริตแล้วก็หลงตัวเองว่ากิเลสหมด นึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยววันนี้อาตมาเตรียมเรื่องออกป่า โดย พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องป่าไว้ 5 ประการ ที่จะได้เอามาสาธยาย

_เหนือ กาลเวลา  · กินสิ่งไม่ชอบบ่อย ๆ เอาไปเอามา.กลายเป็นชอบเฉยเลยครับ..แฮร่ ๆ

องค์ประกอบของหมู่มิตรดีทำให้เราโยนิโสมนสิการได้ชัดเจนครับ..อยู่คนเดียวถ้าไม่มีของเดิมมันจะเสริมอัตตาได้ง่ายๆ แม้อยู่กับหมู่แล้วยังแอบหลบไปอยู่กับภพเรื่อยเลย..ที่บ้านราชจะโชคดีหน่อย ..เรื่องเยอะดี..อิอิ..

พ่อครูว่า…เข้าใจนะ ใช้องค์ประกอบต่างๆเป็นเหตุปัจจัยในการปฏิบัติธรรม ที่พูดนี้เข้าใจ คือพวกเรานี้อาตมาภาคภูมิใจที่ปฏิบัติตรงธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว มันเห็นรายละเอียด พวกเราเก็บและเก็บน้อยเก็บละเอียดมุมนั้นมุมนี้ คนนั้นก็มองมุมนั้นมุมนี้ แล้วก็มาพูด บางทีอาตมาฟังแล้ว โอ้โห แง่นี้เรายังไม่ได้รู้สึกว่า เคยประหวัดไปถึงเลยนะเขาก็หยิบขึ้นมา เราก็เห็นได้ตามที่เขานำมาพูด มันก็เป็นเรื่องที่ดี 

 

ไม่สุขไม่ทุกข์มี 2 แบบ 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพค่ะ ท่านสิกขมาตุสัจฉิกตาว่า จุดสูงสุดของพุทธคือการไม่ทุกข์ ไม่สุข ท่านว่าคนทั่วไปปรารถนาไม่ทุกข์ แต่การไม่สุขนั้นคนยังไม่อยากเว้น ดิฉันว่าศาสนาพุทธมีความวิเศษตรงที่สอนให้คนมาปรารถนาการไม่ทุกข์ ไม่สุขได้ และพบการไม่ทุกข์ไม่สุขได้จริงค่ะ น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า…วิเศษ คนที่สามารถรู้ว่าอาการจิตของเรา อาการที่มันไม่ทุกข์ไม่สุข อทุกขมสุข การที่รู้อาการไม่ทุกข์ไม่สุขนี้ รู้ได้ 2 อย่าง 

รู้อย่างงมงาย รู้อย่างไม่ชัดแจ้ง ไม่เปิดเผย ไม่สว่าง  รู้อย่างมี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก(แสงสว่าง) สัมผัสเหตุปัจจัยอยู่อย่างสว่างๆ กับรู้อย่างมืด ไม่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา ไม่มีแสงสว่าง ดับแล้วก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะเป็นการดับสัญญา ดับการกำหนดรู้มันก็เลยไม่รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ พวกหลับตาได้ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนี้เหมือนกันแล้วซวย 

นึกว่าตัวเองไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะว่าความไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นยอดสำคัญของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นไปดับอย่างนั้น ก็เลยได้แต่ งม จม ซวย ไปหลงเลย

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งหลับตาให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบนั้น ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นมันไม่มีปัญหาเลย สำหรับผู้ที่มาปฏิบัติให้เข้าใจความสุขความทุกข์โดยดับเหตุ เมื่อดับเหตุไม่สุขไม่ทุกข์ได้แล้ว กิเลสละเอียดหมดเกลี้ยงเลย ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้กันอย่างสว่างๆ รู้กันอย่างสัมผัสอะไรต่ออะไรได้เลย 

หลับตาลงก็เงียบสบาย ไม่ต้องไปนั่งหลับตาให้ยากเลย อย่างนั้นสะกดจิตแทบตาย กว่าจะไม่สุขไม่ทุกข์ได้ แต่ผู้ที่ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าแล้ว ลืมตา พอได้จริงแล้วเป็นอรหันต์ จะหลับตาลงไป มันก็สบาย เพราะมันไม่มีหรอกจะไปดับไม่สุขไม่ทุกข์แบบหลับตา เพราะไม่สุขไม่ทุกข์ในขณะแม้แต่ลืมตาแล้ว หลับตามันก็เหลือแต่จิต จิตก็ไม่มีเหตุคือกิเลส ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่มีเหตุที่กระทบสัมผัสแล้ว หลับตาไปจิตก็สบายง่าย 

ถ้าลืมตาสัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่สุขไม่ทุกข์ยากกว่า แต่นี่ เหตุ สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มี ดับไปหมด ยิ่งหลับเลย ก็เลยมีแต่จิต เมื่อจิตหมดกิเลสแล้วเหตุก็ไม่มี นอนหลับก็มีแต่กรน ด้วยสรีระ มันไปห้ามไม่ได้ พระอรหันต์ก็ห้ามกรนไม่ได้ 

_แก่นกลั่นบุญ แก้วตั้ง  · กราบเรียนถามพ่อท่านค่ะยุคนี้(ปัจจุบัน) พอคุณพิธาเข้ามาในแวดวงการเมือง ทำไมถึงทำให้ประเทศชาติสั่นคลอนได้มากมายขนาดนี้...ทั้งๆ ที่แจ้งชัดเจนว่าล้มล้างม.112 (กลบเกลื่อนไปมา) แต่ทำไมถึงต้องยอมให้เข้าไปมีบทบาทในส่วนของการบริหารประเทศ ซึ่งเสี่ยงมาก นักปฏิบัติธรรมอย่างพวกเราควรวางตัวในการเข้าไปเกี่ยวข้องทางสื่ออย่างไร (เช่น เฟส ฯลฯ) ถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ คอมเม้นท์ และโพตส์ ถือว่าควรมั้ยคะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กรกฎาคม 2566 ( 11:50:01 )

660707

รายละเอียด

660707 ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53238.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1PZxC5S8cxONvPvXxtcuGauvSqgxA30nu/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1gm6c90VFPeDp3Q_EqVnHv9zarY5oEyLc/view?usp=sharing 

 

https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660707-108-e26lu25 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Wj7OgiLZC3A 

และ https://fb.watch/lDMZ4G6EEB/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

พ่อครูพูดเอาไว้ในหนังสือสารอโศก ฉบับเดือนกันยายน 2565 - มีนาคม 2566  ไว้ว่า “แก่นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา อาตมาก็ไม่เก่งที่จะพูดอะไรต่ออะไรให้พิสดารไปมากมาย ก็วนเวียนอยู่ในคำสอนพระพุทธเจ้า ที่เอาหัวใจหรือเอาหลักการธรรมะพระพุทธเจ้ามาสอนอธิบายขยาย ด้วยความซ้ำซาก แต่ซ้ำซากก็ต้องฟัง เพราะเป็นธรรมะอันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ใช่คนจะมารู้ได้ง่ายๆ 

ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายที่เป็นศาสดาอยู่ในโลกซึ่งแพร่หลายยิ่งกว่าศาสนาพุทธ มีสมาชิกหรือผู้เป็นศาสนิกของเขามากมาย แต่ของพุทธเราไม่มากหรอก นอกจากไม่มากแล้วในศาสนาพุทธเองแท้ๆก็ยังยาก ที่ถือว่าเป็นผู้มีภูมิธรรม มีปัญญาที่จะเข้าใจลักษณะของศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระ ความรู้ของศาสนาทั่วไปก็เป็นความรู้ที่พูดตรงกันทุกคนว่า ทุกศาสนาเป็นศาสนาที่พาให้คนละความชั่วมาเป็นคนดี ซึ่งอาตมาก็ได้ย้ำให้ฟังว่า ศาสนาพุทธก็พาให้คนมาทำดี และสามารถทำดีได้อย่างถาวรด้วย หมายความว่าอะไร หมายความว่าทำดีในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือจิตวิญญาณเป็นประธานนั้น สามารถรู้จักเหตุแห่งการทำชั่วด้วย แล้วละเหตุแห่งการทำชั่วนั้น จึงไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาด 

เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมของผู้ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงทำแต่ดีไม่มีทำชั่วเด็ดขาด และสามารถไม่ไปตามความปลุกเร้าให้ทำชั่วด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างไรก็ตามก็ไม่ไปทำอีก จึงเป็นการทำดีแบบโลกุตระ ไม่ได้ทำดีแค่โลกียะเท่านั้น โลกียะไม่เที่ยง โดยเฉพาะเขาทำได้ชาตินี้ ชาติหน้าตกต่ำ ชาติหน้าไม่เที่ยงแล้ว แม้จะเป็นศาสดาเองเกิดมาชาติต่อๆไป  เขาจะไม่มีการรู้ถึงจิตวิญญาณเวียนตายเวียนเกิด และก็เหตุที่เป็นตัวต้นแห่งจิตนิยาม ต้นเหตุคือกิเลสนี่แหละ เขาไม่ได้เรียนรู้กัน เพราะฉะนั้น เขาทำลายกิเลสไม่ได้ ได้แต่กดข่ม สังวรระวังเฉยๆ แล้วไม่มีทฤษฎี ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นญาณปัญญาที่จะจัดการกับกิเลส” 

sms

ทำจิตให้เป็นดินน้ำไฟลม คืออย่างไร

_กิ่งธรรม...กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพและศรัทธายิ่งค่ะ...ลูกมีความสงสัยว่าสภาวะจิตที่เป็นพีชะกับอุตุ   แตกต่างกันอย่างไรคะ เพราะจิตที่เป็นพีชะ กะ อุตุ  ต่างก็เป็นจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เราจะทำจิตให้เป็นดินน้ำลมไฟ  ในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรคะ  เพราะจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้  แต่ดินน้ำลมไฟไม่มีธาตุรู้  หรือว่าเป็นอุตุตอนที่เราตายไปแล้วคะ  กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า…กายที่สามารถแยก เราไม่ไปแยกดินน้ำลมไฟหรอก แต่ในคำว่า กาย อันนี้ลึกซึ้ง ยังไงๆคุณก็จะต้องมี ในขณะที่คุณยังไม่ตาย กายแตก เพราะฉะนั้นคำว่า กายแตก กายัสเภทาปรัมมรณา หลังจากกายแตกไปแล้วนี่ ถ้ามันยังไม่ทิ้งกาย ยังไม่วางคำว่ากาย มันก็จะยังเกิดได้ มันก็จะยังมีจิตนิยาม มันก็จะเหลือธาตุรู้อยู่ เป็นแต่เพียงว่า 

เมื่อตายกายแตก จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไป เหลือสิ่งที่เป็นซากศพ ก็นั่นแหละคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แท้ นั่นเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ไม่มีจิตที่ร่วมเลย และไม่เรียกว่ามีกาย มีแต่ซากศพ ไม่ถือว่า คนตายที่มีร่าง จะบอกว่าคนตายมีแต่ร่างกาย ผิด คนตายไม่มีกาย มีแต่ร่าง แต่คนที่ยังไม่ตาย ต้องมีกายอยู่เสมอ จะต้องมีทั้งดินน้ำไฟลมและจิต สังขารกันอยู่ ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ ไม่มีการแยก เพราะฉะนั้นคำว่ากายจึงไม่แยก 2 ต้องมี 2 เสมอ กาย มีอย่างเดียวไม่ได้ นี่คือสัมมาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ 2,500 กว่าปี มิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้วในสังโยชน์ 10 ข้อที่ 1 ต้องให้สัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย และต้องรู้กายที่เป็น สักกะ ในตัวเรา ของตน จึงจะเป็นผู้ที่สังวร สำรวม ปฏิบัติธรรมใดๆได้ เพราะมีความสัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย แล้วตัวเองก็ปฏิบัติธรรม เพราะมีสัมมาทิฏฐิคำว่ากายจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมของพุทธบรรลุธรรม ถ้าไม่มีความรู้สัมมาทิฏฐิอันนี้ โมฆะ 

เพราะฉะนั้น กาย จะต้องมีข้างนอกเสมอ กายต้องมีข้างนอกเสมอ เมื่อมีข้างนอกเสมอ จึงมีกามคุณ 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องเรียนรู้กิเลสใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย จนหมดกิเลสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือเราอยู่เหนือมันได้

กามาวจร ข้างนอกเราอยู่เหนือมันหมด แล้วเป็นอนาคามีภูมิเป็นพระอนาคามีขึ้นไป เหลือแต่กิเลส รูปาวจร อรูปาวจร ข้างใน ก็สัมพันธ์สัมผัสข้างนอกนี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รับรู้อะไรอยู่ แต่ข้างนอกกิเลสไม่ได้กินท่านแล้วอนาคามี กิเลสมันหมดไม่มีฤทธิ์กับท่านและท่านก็หมดกิเลสภายนอก 

เพราะฉะนั้น ดินน้ำไฟลมกับจิต มันต้องร่วมกันเป็นกายผสมกันอยู่​ แต่เรียนรู้นี้เรียนรู้จากปัญญา กำหนดรู้ด้วยสัญญา และตัวรู้ที่มันเป็นตัวรู้สึกจริงๆคือเวทนา สัญญาก็เป็นตัวกำหนดรู้จากเวทนาในเวทนา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครู อธิบายถึงเรื่องกาย ซึ่งเราฟังมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่เราจะรู้กายในปัจจุบันของเราได้ รู้เท่าทันอย่างมุทุภูตธาตุได้รวดเร็ว ไม่ง่าย แล้วจะทำใจในใจให้กิเลสมันลดในขณะปัจจุบันนั้นก็ยิ่งยาก ถ้าใครทำได้ก็ถือว่าจิตมี มุทุภูตธาตุ จิตเป็นอรหันต์ในปัจจุบันๆนั้นได้ หรือว่ามีความสามารถในการปฏิบัติธรรม 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นเราทำใจในใจ มนสิการ การทำใจในใจของเรา เราจึงทำแต่ใจในใจ เป็นความรู้สึก และเป็นตัวที่จะรู้สึกอย่างดินน้ำไฟลม เป็นความรู้สึกอย่างดินน้ำไฟลม ใช้ภาษาพูดได้เท่านี้ คือดินน้ำไฟลมมันไม่มีบาป มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรแล้ว 

ก็อาการของใจที่เราสามารถสัมผัส ตาเราเห็นรูป เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงของรูป รูปที่เราสัมผัสนั้นเป็นดินน้ำไฟลม เช่นก้อนหิน นี่คือก้อนหิน หยิบขึ้นมาดู ถ้าบอกว่าก้อนหินเฉยๆเราก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นอะไร พอก้อนหิน ทาสี เขาปรุงแต่งด้วยสี ดูอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดา แล้วเขาก็มาเอาสีทา เขียนลาย เขียนรูปอะไรเข้าไป มันก็เหมือนไม่ใช่ก้อนหิน แต่มันก็เป็นก้อนหินก้อนนี้ มันก็เลยแปรเปลี่ยนให้ความรู้สึกของเรา 

การเห็นก้อนหินเฉยๆไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย แม้คุณเองคุณไม่ได้เห็นว่ามันปรุงแต่ง ถ้าคุณชอบ โอ้โห..ก้อนหินก้อนนี้สวย มันก็สวยได้ ถ้าเขียนอย่างนี้มันก็แปลกไปจากก้อนหินเรียบๆ ถ้าเห็นเรียบๆก็ไม่รู้สึกว่าแปลก สวยๆอะไร ถ้ามาเขียนเป็นรูปร่าง มันก็เหมือนจะสวยขึ้น มันก็ต้องมีหิน มันก็ต้องมีความรู้สึก มีสัญญา มีเวทนากำหนด รู้สึกว่ามันสวย แล้วก็ชอบใจ รู้สึกว่าสวย อาการรู้สึกเวทนาของคุณก็ว่าสวย 

มันก็มีทั้งก้อนหิน ดิน น้ำ ไฟ ลม มีทั้งเวทนา เพราะฉะนั้นกายในกาย เวทนาในเวทนา คุณก็แยกมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกวิจัยแยกวิภัช แยกออกว่า กาย ส่วนนอกมันเป็นดินน้ำไฟลม ไอ้นั่นมันพืช ไอ้นี่มันอุตุ ก็แยกได้ว่านี่เป็นอุตุนะ 

ส่วนอันนั้นคือพืช และพืชพวกนี้ตัดออกมาจากรากแล้ว พวกนี้มันเป็นพืชหรือเป็นอุตุ มันก็เป็นอุตุ มันหมดชีวะ นอกจากยังเหลือเป็น เจตภูต ในภูตคาม มีเชื้อแตกเหง้าแตกรากอีก มันยังมีภูตอีก 

มี 3 ภูตะ มหาภูต ภูตคาม เจตภูต 

พืชที่เกิดแต่เหง้าแต่ราก มันก็ปลูกขึ้นอีกแต่ว่าพืชบางอันถัดมาแล้วมันก็ไม่สามารถเป็นชีวิตชีวะอีก งอกงามไม่ได้อีก 

สรุปที่ถามมามันก็ต้องรู้สังขาร สังขารมันก็ปรุงแต่งอยู่ร่วมกัน ในร่างกายคุณไม่มีธาตุดินน้ำลมได้ที่ไหน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเราไม่ได้มี อุจจาระมันถ่ายออกไปเป็นอุจจาระ มันก็เป็นอุตุ เป็นอุตุไปแล้วไม่เป็นพีชะ ไม่เป็นอาหาร แน่นอนอาหารไม่ใช่จิตหรอก คำข้าวอาหารไม่ใช่จิต เมื่อกินเข้าไป มันจะเป็นสัตว์ คนกินเนื้อสัตว์นะ ตอนเป็นๆก็เป็นชีวะ แต่ว่าคุณกินเข้าไปแล้ว มันไม่เหลือหรอกชีวะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพืชก็เหมือนกัน มันอยู่บนต้นมันก็เป็นชีวะ คุณตัดออกมามันก็ไม่เป็นชีวะแล้ว กินเข้าไปมันก็ไม่มีชีวะ

แต่สัตว์บางทีมันยังดิ้นอยู่เลยนะ กินมันทั้งเป็นๆ สัตว์ ชีวะของมันตายคาปากเลย พวกยักษ์ทั้งหลาย 

_สู่แดนธรรม... ผมขอถามว่าอุตุมันปรุงแต่งกับอุตุ มันไม่มีเจตนาใช่ไหมครับ ทีนี้พืชปรุงแต่งกับอุตุ อันนี้มีเจตนาไหมครับ 

พ่อครูว่า... มันมีเจตภูต เริ่มต้นมีเจตะ ถ้ามันเป็น ภูตคาม มันก็มีส่วนของธาตุมุ่ง มันมี สัญจิจจะแล้ว เพราะว่าธาตุพืชมันมีสัญญากับสังขารแล้ว มีธาตุมุ่ง มีธาตุที่มีจิตมุ่ง มันเริ่มแล้ว ตั้งแต่สัญญา ซึ่งสัตว์ตรงกับตรงกับคำว่า สัญจิจจะ หรืออีกคำคือ อุทิศะ มีธาตุมุ่งแล้ว ไม่มีความมุ่งหมายแล้ว พวกเราศึกษาสภาวธรรมก็ละเอียดลออขึ้น 

กิ่งธรรม คงพอเข้าใจได้นะว่า ตอนตายก็แน่นอน ไม่มีจิตวิญญาณในร่างมันก็เป็นซากศพดินน้ำไฟลมแน่ แต่อยู่ในชีวิตตอนเป็นๆนี่แหละ เพราะฉะนั้นปัญญาของพระพุทธเจ้าจึงสามารถรู้ได้ยอดเยี่ยมเลย และนอกจากจะรู้ได้ว่า ร่างกายเรามีดินน้ำไฟลม มีพืช มีพีชะ มีทั้งสภาพอาการอุตุ พีชะ จิต และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้มันเจริญหรือมันเสื่อมได้ด้วยกรรม คนอวิชชาเขาก็ทำโดยอวิชชา ไม่รู้ ทำให้เสื่อม เขาก็ทำของเขาเอง ทำกรรมที่มันเป็นความเสื่อม เป็นบาปเป็นตัวอกุศลก็แล้วแต่ เขาก็เป็นคนทำ 

เมื่อสามารถเรียนรู้กรรมและสามารถทำกรรมไม่ให้มันเป็นกรรมที่เสื่อม กรรมต่ำ เป็นกรรมที่เจริญ เป็นกรรมที่ประเสริฐจนถึงขั้นโลกุตระ สามารถทำกรรมที่ล้างกิเลส เพราะรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต 

จิตมันมีกิเลส รู้จิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 รู้จิตในจิต 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  

แล้วก็รู้วิธีทำให้กิเลสมันลดได้ 4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  

ทำให้จิตมันลดกิเลสได้แล้วมันก็มีอีก 2 แบบ 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)  

นี่คือเจโตปริยญาณ 16 อีก 8 คู่ เมื่อทำได้ก็ทรงไว้เรียกว่าธรรมในธรรมปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็ต้องเรียนรู้นี่แหละ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

ถ้าไม่เรียนรู้อันนี้และปฏิบัติอันนี้ได้จนกระทั่งถึง สมาหิตะ เป็นวิมุติ เจโตปริยญาณ 16 ปฏิบัติไปตามลำดับจนถึงจบ

ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีผัสสะ มันเป็นโมฆะ ไม่รู้เรื่องกายมันไม่มีแล้ว ไม่รู้แล้ว เวทนามันไม่มีสัมผัสภายนอก เวทนามันก็ไม่มี แล้วมันจะไปรู้อะไร มันก็มีแต่ กายเก๊ เป็น นิรมาณกาย เป็นสัมภเวสี กายทิพย์ สัมโภคกาย อทิสมานกาย กายทิพย์ก็กายเพ้อเจ้อไป ภาษาคำว่าทิพย์ มันเป็นความเจริญ แต่มันเก๊ มันอวิชชา เรื่องทิพย์ มันเป็นเรื่องหลอกตัวเอง เป็นมายา 

แยก ฟังแล้วพอเข้าใจได้นะ ตอนเราตายไปก็เหลือแต่ซากศพเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปแท้ แต่ยังไม่ตาย คุณเป็นอรหันต์แล้วคุณก็ยังมีกาย แต่กายคุณไม่มีกาม ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรแล้ว ก็อยู่กับสามัญ 

ยิ่ง ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย นอนหลับตาไป มันก็ยิ่งสบายเพราะทวารที่จะไปสัมผัสเกี่ยวข้องเกิดปรุงแต่งกับกิเลสพวกนี้ คนที่ไม่เป็นพระอรหันต์ยังมีอยู่ แล้วแต่ฐานะของคน ใครอยู่ในฐานะที่มีกิเลสมาก กิเลสน้อย จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว ลืมตามันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ใช่อรหันต์ อนาคามีก็ยังอยู่เหนือไปแล้ว เหลือแต่ข้างใน สกิทาคามี ก็มากหน่อย ไม่มีกิเลสนอกกิเลสใน โสดาบัน ก็เริ่มเรียนรู้เบื้องต้น อย่างนี้ก็เป็นสัจธรรมไปตามลำดับ

สรุปแล้ว ดินน้ำไฟลมกับจิต รวมกันเป็นกาย จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ก็แล้วคุณมีชีวิตอยู่อย่างไร จนป่านนี้อายุก็เยอะแล้ว ก็อยู่ได้อย่างที่มันมีมาอยู่ มันก็เป็นอจินไตย

คนไม่ศึกษาก็จะยิ่งงง แต่พวกเราศึกษาแล้วจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ มันปรุงแต่งกันอยู่ สังเคราะห์สังขารกันอยู่ เป็นอย่างนี้เอง คุณก็พ้นอวิชชา คุณก็พอเข้าใจสังขารว่าเป็นเรื่องปรุงแต่ง ถ้าเราแยกแยะได้เราจึงจะพอเข้าใจได้ ถ้าตายมันก็แยกไปได้เลยนะ ถ้าเราไม่ยึดติด ไม่เกาะเกี่ยวกันเลย ตายแล้วแยก ตายด้วยสุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน นิพพานอย่างไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย สูญ ไม่มีนิมิตอะไรที่จะเกี่ยวกันอีก ไม่มีการตั้งจิตที่จะต่อเลย อ๋อ.. มันก็เข้าใจแล้วมันก็แยกได้ 

มันจะแยกได้ มันพิสูจน์ได้ตั้งแต่เราเองเกี่ยวข้องกับอะไรต่ออะไรทั้งหมด เดี๋ยวนี้เราก็สามารถรู้จิตของเราว่าจิตของเราไม่ไปเกี่ยว เช่น หินนี่ คุณสัมผัสหินคุณก็รู้ว่าเป็นหิน คุณไม่ได้ปฏิพัทธ์ ไม่ได้ชื่นชอบมัน คุณเห็นหินแล้วก็เฉยๆ สักแต่ว่าหิน ใช่ไหม ไม่มีอารมณ์มาผูกพัน อารมณ์ชอบอารมณ์ชังคุณไม่มีกับมัน นั่นแหละมันไม่เกี่ยวเกาะอะไรแล้ว มันก็เป็นหินของมัน จิตก็เป็นจิตของเรา จิตพระอรหันต์ก็เป็นอย่างนั้น แต่เราจะสามารถอย่างพระอรหันต์อยู่เหนืออีกที สามารถเกี่ยวข้องเอามาใช้ประโยชน์อะไรต่ออะไรกันอีก หรือว่ามีประโยชน์แก่กันและกัน 

_สู่แดนธรรม... ประเด็นที่เขาถามอยู่ตรงที่ว่าเราจะทำจิตให้เป็นดินน้ำลมไฟ ในขณะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เพราะจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ แต่ดินน้ำลมไฟไม่มีธาตุรู้ 

พ่อครูว่า... คุณจะไปบังคับให้ดินน้ำลมไฟมีธาตุรู้ได้อย่างไร คุณก็ทำธาตุรู้ของคุณ ให้มันเป็นของมัน แล้วเราก็เป็นเรา เราก็รับรู้มันของมันโดยเราไม่เกี่ยวเกาะ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าอันนี้เป็นอย่างนี้เราก็ไม่เกี่ยวเกาะ เราไม่เกี่ยวเกาะมันก็เป็นอย่างนี้ 

สมณะฟ้าไท... ไม่เกี่ยวเกาะมันก็เปรียบเหมือนกับอุตุใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... จิตคุณทำได้ไหมล่ะ คุณอาจจะงงในภาษา จิตคุณอาจจะทำได้แล้วและคุณก็ทำได้บ้างแล้ว คนที่จิตใจไม่เกี่ยวเกาะกับอะไร ปุถุชนก็เป็น คุณเห็นก็ผ่านไปเฉยๆ รู้แต่สักแต่ว่ารู้ แล้วก็ปล่อยจิตนั่นแหละเป็นจิตอรหันต์ ปุถุชนนี่แหละ จิตคุณรู้สักแต่ว่ารู้ แล้วก็ไม่เกี่ยวเกาะอะไร อาตมาถึงบอกว่าอรหันต์มีอยู่เต็มโลก เคยเขียนมาแล้ว บรรยายมาแล้ว แต่คนไม่รู้ว่าจิตที่จะเป็นอรหันต์อย่างมีปัญญารู้แล้วคุณก็ทำได้ 

แล้วคุณทำได้ตั้งแต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวเกาะ มันก็เป็นอรหันต์มาแล้วอะไรที่มันเกี่ยวเกาะคุณก็ทำออก ทำจิตไม่ให้เกี่ยวเกาะ ให้เห็นว่ามันเป็นธาตุดินน้ำเป็นลม เป็นธาตุพืช เป็นธาตุสัตว์ ที่อยู่ร่วมกันมีประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นเอง อย่าไปทำเป็นโทษเป็นภัยแก่กันและกัน โดยเฉพาะสัตว์ อย่าไปทำเป็นโทษเป็นภัย พีชะกับพืช ดินน้ำไปลมมันไม่จองเวรจองกรรม คุณจะทำยังไงกับมัน มันก็ไม่มีเวรมีภัย ไม่มีบาป ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกัน 

แต่ถ้าเริ่มเป็นสัตว์ขึ้นไป พระพุทธเจ้าสอนว่า มันไม่รู้ มันอวิชชานะ มันก็จองเวรจองกรรม มันยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราอีกสารพัด อธิบายมาจนเมื่อยแล้ว เมื่อยแล้วเมื่อยอีก 

_สู่แดนธรรม... คุณกิ่งธรรมถามทิ้งไว้อีกว่า หรือว่าเราจะทำให้เป็นอุตุ ตอนเราตายไปแล้วค่ะ 

พ่อครูว่า... นั่นเป็นพระอรหันต์สามารถทำได้ก็ทำ คุณยังไม่เป็นอรหันต์ แม้แต่อยากจะทำก็ทำไม่ได้ ต้องทำได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆนี่แหละ เพราะฉะนั้นถามว่าจะทำยังไงคุณก็ต้องทำได้แต่เป็นๆ คุณต้องรู้ว่าทำให้จิตเราเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ มันเป็นธาตุรู้ที่ไม่มีความรู้สึก ต้องเรียนรู้อ่านอาการทางจิตและต้องเอาสัญญากำหนดรู้ให้เป็นปัญญาว่าจิตเราสัมผัสพวกนี้ มันก็สัมผัสเหมือนเป็นสัมผัส ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือแม้แต่สัมผัสพืชก็เหมือน ดิน น้ำ ไฟ ลม สัมผัสคนก็เหมือน ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เกี่ยวเกาะได้ สัมผัสเพชรนิลจินดา คุณก็เหมือนกันสัมผัสก้อนดินก้อนหินได้ 

แต่มันก็มีสมมุติของโลก ทองคำเพชรนิลจินดา โลกเขาตีราคาต่างกันกับหินนะ แต่เพชรนิลจินดา หิน มันรู้เรื่องของมันที่ไหนล่ะ  คนไปตีค่ามันเองทั้งนั้น 

อุปาทายรูป 24 มีอะไร

_ป๋อง ยากเข็ญว่า... อุปาทายรูป เป็นอย่างไรครับ 

พ่อครูว่า... เข้าท่านะ อุปาทายรูป 24

อุปาทาย คือ ยึด เข้าไปยึด รูปมี 28 มี 4  อันแรกคือ ดินน้ำไฟลม 

ก็มีการคือ มีดินน้ำไฟลมมาปรุงแต่ง ดินน้ำไฟลมก็มีอยู่ในเรา แต่เราแยกได้นะว่าดินน้ำไฟลมจริงๆคือดินน้ำไฟลมจริงๆ แต่จิตนี้ยึดอาศัย เป็นชีวะ 

เมื่อยึดเป็นชีวะ คุณก็ต้องมาเรียนรู้ใน อุปาทายรูปมี 24

ก. ปสาทรูป 5

จักขุ (ตา) 

โสตะ (หู) 

ฆานะ (จมูก) 

ชิวหา (ลิ้น) 

กายา (กาย)

 

ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4

รูปะ (รูป) 

สัททะ (เสียง) 

คันธะ (กลิ่น) 

รสะ (รส)

โผฏฐัพพะ (สัมผัส) 

(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน) 

กายนั้นมันต้องมีจิตด้วย เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็น 1 ใน 2    2 ใน 1 เขาก็เลยนับเป็น 1

เพราะฉะนั้นเอา 5 คู่และหักออกอีก 1 รวม 9 

ต่อจากนั้นก็เป็นภาวะ 2 

0. อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ) 

11. ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช) 

ง. หทยรูป 1  ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป   มันไม่มีรูปร่างอยู่ในกายเรา มันต้องเกิดจากการสัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน หทยรูปก็อยู่ตรงสัมผัสตรงไหนคือตรงนั้น หัวสัมผัส ศอกสัมผัส หทยรูป ก็อยู่ตรงมีชีวะเป็น ชีวิตรูป  

จ. ชีวิตรูป1 = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส 

จากนั้นก็เป็นอาหารรูป 

ฉ. อาหารรูป1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร 

ช. ปริเฉทรูป1 = 15.อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง 

ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ  17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ 

ฌ. วิการรูป = 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญญา 

ญ. ลักขณรูป 4 = 21.อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป  

22.สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง 

23.ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม 

24.อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ 

พ่อครูว่า... แม้คุณไม่เกิดไม่ดับ คุณยังมีชีวะอยู่ ต่อจากนั้นก็มีแต่เสื่อมหรือจะเกิด เกิดก็เป็น อปุจยะ ไม่เกิดก็เป็น ชรตา แล้วก็มีอนิจจตาเป็นตัวสุดท้ายเป็นตัวไม่เที่ยง นอกจากคุณเอง คุณจะปฏิบัติจนกระทั่งคุณสามารถเกิด นิยตา ไม่ใช่ นิจตานะ 

ตัวสุดท้ายของรูปมันคือคำว่า อนิจตา ผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุอรหันต์แล้วทำตัวเที่ยงได้ ตัวเที่ยงนี้ไม่ใช่ นิจจะ แต่เป็นนิยตะ 

นิยตะ ตัวเที่ยงของโลกียะ  อนิยตะ เป็นตัวเที่ยงของโลกุตระ การศึกษาที่อาตมาอธิบายนี้มันเยอะมาก สูงมาก ละเอียดมาก  มันเป็นใบไม้ทั้งป่า ที่อาตมาเจออะไรก็อธิบายหมด เหมือนอาตมาไปเดินวันนี้ก็เดินไปทางท่ากกเสียว ต้นไม้เยอะ ข้างทาง เราก็รู้ไม่กี่ต้น พอดีหมอแตงไทยเขามาเจอ หมอแตงไทยเขาเป็นแพทย์ เป็นลูกชีวกโกมารภัจ ก็ถามว่าอันนี้ต้นอะไรเขาก็บอก แล้วบอกว่าแก้โรคอะไรด้วยสารพัดรู้ 

อาตมาเหมือนคนรู้มากในนามธรรมในธรรมะ อธิบายไปเยอะเหมือนแตงไทยอธิบายเรื่องสมุนไพรให้อาตมาฟัง เราก็ผ่านหูเฉยๆไม่รู้เรื่องเพราะมันเยอะแยะ เหมือนอาตมาอธิบายให้พวกคุณฟัง คนไหนรับอันไหนได้ รู้อันไหนได้ เหมือนหมอแตงไทยอธิบายให้อาตมาฟัง อันไหนพอรู้ได้อาตมาก็รู้ มันจำไม่ได้ต้นนั้นหมายความว่าอันนี้ ต้นนี้ใช้รักษาโรคนี้ใช้ชนิดนี้อะไร จำไม่ได้สักอัน หรืออาจจะจำได้สักอันก็ไม่รู้ล่ะ ไม่ได้เจตนาจะจำด้วย แต่เป็นพวกคุณจะพยายามจำ คนไหนจำได้มากก็ดี จำได้เท่าไหร่ก็ว่ากันไป ก็ศึกษาไป นี่ก็อธิบายขนาดนี้ก็แล้วกันมันเยอะแล้ว ค่อยๆศึกษาพยัญชนะบางทีคำเดียวนี้มันเยอะ 

SMS วันที่ 5 – 6 ก.ค. 2566

_ตุ๊ก อัศวิน  · เริ่มลั่นกลอง..ตีฆ้อง..ร้องป่าว..ประชาสัมพันธ์ งาน ฟรี "คอนเสิรต์ 90 ปี บูชาพ่อครู รัก รักพงษ์" ที่จะจัดขึ้นในปี 2567 ด้วยการนำผลงานเพลงของพ่อครูมาแสดงให้ดังกระหึ่ม กึกก้อง ห้องประชุม ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย!!

พ่อครูว่า... 9 มิถุนายน 2567 เขาจะจัดงาน คอนเสิร์ตครูรัก รักพงษ์ จองกันข้ามปีเลยที่ศูนย์วัฒนธรรม อยู่กับประสาเขาก็มีโลกกับเขาด้วย อาตมาก็มีความโยงใยมาใช้บ้างไม่ได้สร้าง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

อาตมาถึงกำชับกำชาว่า งานนี้อย่าให้เป็นงานหาเงินเป็นอันขาด แม้แต่คนจะมาบริจาคห้ามได้เลยว่า นี่งานนี้ ห้ามรับเงินบริจาคเลย เรี่ยไร นั้นเด็ดขาดไม่ได้เรี่ยไรเด็ดขาด แม้แต่คนจะมาบริจาคก็ยังห้ามเลย แม้แต่คุณจะไปขายของขายนั่นขายนี่แฝงก็ไม่เอา แจกฟรี คุณจะเอาอาหารไปแจก คุณจะเอาหนังสือไปแจก คุณจะเอาเทปไปแจกฟรี อย่าไปหาเงินหาทอง อย่าให้ไปเกี่ยวข้องเรื่องเงินทองอาตมากำชับกำชาไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น จัดงานนี่พวกอาชีพเขาก็ต้องมีค่าตัว ต้องมีเงินไปจ่าย คนพวกนี้ก็ราคาแพงด้วย เราก็ไม่รู้เขาจะเข้าใจพวกเราแค่ไหนเขาคิดเต็มราคาเราก็ต้องให้เขา ถ้าเราต้องการให้เขามาช่วย คนที่ไม่คิดราคา ไม่เอาค่าตัวก็เรื่องของเขา ก็ต้องว่ากันไป มันก็ต้องจ่ายจากกระเป๋าเราแน่ๆ ที่เขาจะจัดกันก็ว่าไป กระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมายก็ต้องหาให้เขาไป  

_ถือว่า..งานประชาสัมพันธ์ เริ่ม ลั่นกลอง ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 จากบทความ คุณเปลว สีเงิน ในหัวข้องานเขียน "สวรรค์หรือเหว"? คุณเปลวได้นำเนื้อเพลง "ผู้แพ้" ของพ่อครู มาลง..มีประมาณนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์  วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2566 ( 08:55:13 )

660710

รายละเอียด

660710 พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence) รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #29 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53239.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่  

https://docs.google.com/document/d/1s1Yt5PHmz2zGWjUuOT9rJXKx4y8WZfq2/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true                                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1oHvut0hR0Z8BnXS3qTEXdLbHfkzQnjIu/view?usp=sharing 

https://spotifyanchor-web.app.link/e/0Klnc9U1jBb

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/TLemXCtXqOE 

และ https://fb.watch/lHJFLNVZU0/ 

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 แรม 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

เราก็มาฟังธรรมกันอีก อาตมาก็มีหน้าที่แสดงธรรม พวกเราก็ฟังธรรม อาตมาเกิดมาชาตินี้ เกิดมาเผยแพร่ธรรมะ ชีวิตชาตินี้ถูกกำหนดมาอย่างนั้น ก็เต็มใจทำ ทำมา ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะต้องมารับหน้าที่นี้ 50 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ตอนนี้ปี 2566 เป็นเวลา 53 ปี 

SMS วันที่ 7 – 9 ก.ค. 2566

_บุญระบบ มุนีเวช  · กราบขอบพระคุณท่านสมณะทั้ง 3 รูปที่สรุปข่าวการเมืองให้ฟังโดยที่เราไม่ต้องไปติดตามข่าวให้ปวดหมองเลยฟังสรุปข่าวจากรายการมองโลกมองธรรมได้ความชัดเจนดีมากค่ะกราบนมัสการค่ะ ประทับใจอย่างมากในรายการมองโลกมองธรรม โดยเฉพาะดูคลิปสัมภาษณ์ท่านพีรพันธ์ทำให้ได้รับทราบความดีงามในความรักชาติของลุงตู่ที่มีแต่ความห่วงใยประชาชนตั้งใจทำงานเสียสละจริงๆเสียดายนายกตู่มากคนดีอย่าพึ่งท้อแท้นะคะ รักลุงตู่เหมือนเดิมค่ะ

พ่อครูว่า... รายงานผลความรู้สึกของประชาชนคนหนึ่ง อาตมาก็มีหน้าที่รายงานไป 

_โกศล สุขเล็ก  · กราบนมัสการท่านสมณะ ตอนนี้กำลังมีบุคคลกำลังนำกฎหมู่มาขู่กฎหมาย..

พ่อครูว่า... เอออันนี้ก็มีแง่ มีประเด็นแง่เชิงที่เอามาว่ากันได้ กำลังมีคนนำกฎหมู่มาขู่กฎหมาย เขาก็ยืนยันว่าเขาได้คะแนนเสียงมา ชนะเลือกตั้งมา เขาก็ว่าเขาได้ชนะเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าใครๆ เขาว่าเขาเป็นเสียงประชาชน นี่แหละมันทำให้มองเห็นว่า คนที่ไปหลงเรื่องการเลือกตั้ง Election ไปหลงการเลือกตั้ง  ปรารถนา การเลือกตั้งว่าคือประชาธิปไตย ถือจัดถือยิ่งเลย เสร็จแล้วได้คะแนนนี้มาก็นึกว่ามันสุดยอดแล้ว ดังที่มีเหตุการณ์อยู่ในปัจจุบันนี้ มีคนเขาแย้งต่างๆนานาให้เห็นได้ว่า ประชาธิปไตยนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ประชาชนมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น บอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าไม่มีเลือกตั้งยังเต็มใบไม่ได้ เอาก็เป็นความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน อาตมาก็วิเคราะห์วิจัยไปบ้าง 

_แก้วลา ไชยวงค์  · คนชั่วจะครองเมืองจริงหรือเจ้าคะ ท่านจันทร์

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #29 พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence) วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 แรม 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2566 ( 10:32:20 )

660714

รายละเอียด

660714 คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53237.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/15VieNniAdDtBhY7JRhcjdnr9duK8EhN6/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1lR0pwOY3avy3F4SWVCA5rb3l8EatmKWE/view?usp=sharing 

และ

https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660714--9-e26uie2 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/wN8aEW-bO5M 

และ https://fb.watch/lN0gP3ZCp2/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้พ่อครูก็ลดวันเทศน์ลงเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน คือวันอังคารกับวันศุกร์ เพราะฉะนั้นจากเดิมวันอังคารที่สมณะสันติอโศกเคยแสดงธรรม ก็จะเลื่อนไปเป็นวันอาทิตย์ 

เมื่อวานนี้ เราผ่านวันดีเดย์เลือกนายกไปแล้ว ได้คะแนนเสียง 324 ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เราก็ไม่ได้นายก คนที่ดังหลังโหวตเลือกนายกเสร็จก็คือคุณชาดา ไทยเศรษฐ์ พวกรักสถาบันก็เชียร์คุณชาดาเต็มที่เลย แต่นักปฏิบัติธรรมเราก็เปรียบเทียบระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม กับ 13 กรกฎาคม ว่าจิตใจต่างกันไหม อย่างไร

ประเด็นที่อภิปรายกันมากคือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่เราจะต้องช่วยกันปกป้องด้วยชีวิต 

พ่อครูบอกว่าเป็นการศึกษาประชาธิปไตยที่สวยงาม มีฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล มีคนประท้วงก็ไม่รุนแรง แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ 

ส่วนเราก็มาศึกษาธรรมะโลกุตระเพื่อลดละกิเลสตัวเองและช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ 

พ่อครูว่า... เริ่มต้นด้วย SMS วันที่ 10 – 11 ก.ค. 2566

 

_พลังเพ็ญ คำด้วง  · กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุค่ะ ฟังคลิปพ่อครู ตอนแรกก็รู้สึกทุกข์ใจ แต่ก็ต้องมาปรับจิตปรับใจตัวเอง ว่าไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราต้องไม่ประมาท ในการปฏิบัติธรรมต้องลดละสักกายะ ที่เรายังติดยึดอยู่เพื่อปฏิบัติบูชาพ่อครูให้ยิ่งขึ้น ในกาละนี้ค่ะ ธรรมะประทับใจในวันนี้ บาปแม้เล็กแม้น้อย อย่าทำ(ทุกการกระทำเราต้องชดใช้) 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

จะตั้งใจมีสติสัมโพชฌงค์ให้มากขึ้น รู้ว่าบาปจะพยายามไม่ทำ ให้ได้มากที่สุด กราบขอบพระคุณท่านสมณะและสิกขมาตุได้อานิสงส์ในการฟังธรรมวันนี้มากค่ะ 

พ่อครูว่า[…บาปแม้เล็กแม้น้อยอย่าทำเสียเลย เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง คำว่าบาปเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีในกายวาจาใจ แม้แต่เบื้องต้นที่เรารู้ด้วยสามัญสำนึกเป็นธรรมดา จนกระทั่งลึกซึ้งไปถึงขั้นบาปที่ลึกขึ้นเข้าถึงขั้นซับซ้อนข้างใน เราก็ไม่ทำ เพราะผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนที่รู้ว่า กรรมเป็นอันทำ กรรมนี่แหละเป็นของของตน กรรมเป็นมรดก เราจะต้องเป็นทายาทของกรรมของเรา ไม่มีอื่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรมนี่แหละยิ่งใหญ่ เทวนิยมศาสดาของเขารู้แต่เรื่องของก๊อต ก๊อตว่าอย่างไรเขาก็แค่นั้น ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ให้ตนเองรู้ในกรรมของตนเอง 

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · กราบขออนุญาตพ่อครูฯสมณะฯสิกขมาตุฯขอส่งกำลังใจถึงลุงรปภ.ขวัญใจมหาชนไทยรักปกป้องภักดี ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ฝากฝังรวมไทยสร้างชาติ ดูแลชาติบ้านเมืองปชช.ต่อไป ไม่ว่าจะยืนอยู่ ณ จุดใด มนุษย์หูเทียมขอเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยเช่นกัน วันต่อไปจะมีแต่ประเด็นธรรม ตามรอยธรรมตถาคตเจ้าที่พ่อครูพาปฏิบัติโลกุตระธรรม อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติสิ้นทุกข์โศกไปด้วยกันฯ สาธุ

พ่อครูว่า…ฟังธรรมก็บอกความจริงที่ตัวเองเข้าใจและเขียนรายงานมาอย่างนี้แหละ ขอบคุณ 

 

_งามใบตอง นิลมณี  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะท่านสิกขมาตุค่ะ วันนี้ฟังธรรมมีสภาวะ เข้าใจและซาบซึ้งกับคำสอนค่ะ น่าจะมีสาเหตุจากการฟังธรรมะพ่อครูเมื่อวาน รับทราบอาการป่วยของพ่อครูแล้ว ใจไม่ค่อยดีค่ะ แต่จะกระตุ้นตัวเองทำความเพียรให้เพิ่มขึ้นและจะสังวรในกรรม 3 ให้สุจริตมากขึ้นค่ะ น้อมกราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า…ก็ถูกแล้ว ปฏิบัติให้มีสุจริต 3 ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

 

_มหาชัย โหราศาสตร์ไทย  · หมดยุคภิกษุณี ไม่มี มีไม่ได้ มั่ว รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ขาดไปตั้งแต่ยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว อย่าหาทำ พระโพธิสัตว์เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้ อย่าแถ

พ่อครูว่า...ภิกษุณีไม่มี เราก็ไม่ได้ว่าอะไร คุณมาใส่ความว่าเราทำให้มีภิกษุณีเหรอ อาตมาไม่มีภิกษุณี มีแต่สิกขมาตุ ไม่ได้มั่ว รู้อยู่ ปฏิบัติธรรมะอยู่ในกฎเกณฑ์ อยู่ในหลักการ อยู่ในศีล ในวินัยของพระพุทธเจ้า เราก็รู้ สภาวธรรมคือสภาวธรรม ซึ่งสภาวธรรมนั้นจะปฏิบัติแล้วมันก็ได้สำหรับตนเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจสภาวธรรมให้ดีว่ามันได้อะไร อะไรพัฒนาไป อะไรเจริญ อะไรได้ไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ให้จริง ก็เอา ต่างคนต่างเข้าใจนะ 

 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ

การวินิจฉัยของพ่อครู เกี่ยวกับอาการไอ ภาวะอ่อนแรง และการ ประมาณในการเทศน์ การพัก การเขียนหนังสือ เป็นเอกสิทธิ์ ของพ่อครูอย่างสมบูรณ์ค่ะ เพราะ พ่อครูคือ "Independent Man" ค่ะ ลูกคนนี้ น้อมรับ ตามที่พ่อครูเห็นควรทุกประการ ความหวังที่มีอยู่ ก็ยังแอบหวังว่า มณีแดงก็ดี เอ็นโดจีนัสสเต็มเซลล์ก็ดี จะสามารถ รักษาฟื้นฟู กระเปาะที่คอของพ่อครู ได้หรือไม่หนอ??? ทุกอย่างคงเป็นไปตามธรรม ตามบารมีของพ่อครูอย่างแท้จริงค่ะ กราบขอบพระคุณ ด้วยเศียรเกล้าฯ ในความเมตตากรุณา อย่างหาที่สุดมิได้ ของพ่อครู ต่อลูกๆ และมวลมนุษยชาติค่ะ

 

_Tonkra Thunyatorn ต้นกล้า ธัญญาธร  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง..

อยากขอความกรุณา.. ให้บุญนิยมทีวีเปิดธรรมะ ย้อนหลัง ช่วงเวลา 20.00 - 22.00.. เพราะเป็นช่วงตั้งจิตก่อนเข้านอน.. ถ้าได้ฟังเป็นการบรรยายธรรมะ จะดีมากๆๆๆเลยคะ..

ปล. ตอนนี้ เป็นเกี่ยวกับการเกษตร ในช่วงเวลา ดังกล่าว..กราบขอบพระคุณสำหรับการรับเรื่องไปพิจารณาคะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2566 ( 05:36:08 )

660717

รายละเอียด

660717 ประกาศกองทัพธรรมไปร่วมชุมนุมให้กำลังใจสว. รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #30 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53236.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/1U4t6QdJrfi4QsNVsrtYrya2dAS1A9K0i/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1ThBdznm_gCNnQpNdnw7ZJur3GfeO1Z9t/view?usp=sharing 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/SjHsZrM2MXE 

และ https://fb.watch/lQZ1zTOWOV/ 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันแรม 15 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันจันทร์ 

เดือน 8 แล้ว อาตมาเกิดเดือน 6 มิถุนายน ที่จริงตามจันทรคติเป็นเดือน 7 วันที่มัน 5 มิถุนายน ตามสุริยคติ ปีจอ วันอังคาร แหม..น่าจะเกิดวันจันทร์ ปีจอวันจันทร์เดือน 7 

 

ประกาศกองทัพธรรมรวมตัวให้กำลังใจสมาชิกวุฒิสภา 

ขอประกาศ ฟังให้ดีนะท่านทั้งหลายที่เป็นประชาชนคนไทย

ในขณะนี้ suddently เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังต้องการรู้กระแสนี้ 

ประกาศ พรุ่งนี้วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2566 ทางกองทัพธรรมจะได้ไปรวมตัวกัน 

ขอฟังอีกครั้ง ทางกองทัพธรรมจะได้ไปรวมตัวกัน เพื่อยื่นแถลงการณ์เป็นกำลังใจให้กับสมาชิกวุฒิสภา (เสียงปรบมือ) ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญ โดยไม่เกรงกลัวต่อการข่มขู่คุกคามจากผู้ที่พยายามทำให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย 

โปรดฟังอีกครั้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อการข่มขู่คุกคามจากผู้ที่พยายามทำให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย 

ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับการบริหารประเทศ ดังมีใจความว่า 

“ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” 

ทวนอีกครั้ง คำตรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 

“ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” 

ญาติธรรมท่านใดที่พร้อมจะไปร่วมกันได้ ให้พบกันที่ทางเข้ารัฐสภาทางเข้าบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่จำกัด เวลา 11:30 น. ของวันพรุ่งนี้อังคารที่ 18 กรกฎาคม 2566 

อย่าไปจำวันเวลาผิดนะ หรือถ้าอยากจะทราบรายละเอียดให้ติดต่อกับคุณแซมดิน 

พ่อครูว่า... แซมดินอยู่ที่สันติอโศก อาตมาก็อยู่อุบลราชธานี มันก็ห่างไกลกันก็คงจะไม่ได้ไป แต่หัวใจไปเลยร่วมด้วยเต็มหัวใจ เชิญ ท่านผู้ที่รู้สึกว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติตามที่ในหลวงท่านตรัส ดังที่ได้ทบทวนให้ฟังเมื่อกี้นี้แล้ว 

เหตุการณ์คราวนี้กำลังเกิดเช่นนี้ ซึ่งอาตมาก็ขอกล่าวตามที่อาตมารู้สึกว่ามันเป็นจริงก็คือ เพื่อควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ นี่เป็นความเห็นของอาตมาเห็นเช่นนั้นจริงๆว่ากำลังจะมีคนไม่ดีจะมาแย่งอำนาจ แย่งกันอยู่เลย เราก็พยายามที่จะมาต้านเพราะเรามีความจริงใจ เราเห็นว่าเป็นคนไม่สมควรไม่เหมาะ คนที่ควรนั้นก็แสดงสปิริตที่น่านับถือ แต่คนที่ไม่ควรนี้ยิ่งแสดง มันก็เป็นสปริตเหมือนกันแต่เป็นสปริตคือจิตวิญญาณที่ไม่น่านับถือ ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะต้องมาช่วยกัน 

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี อันนี้อาตมาก็พูดมาเขียนมาตั้งแต่ออกมาสู่สังคมช่วยในเรื่องการเมือง เขียนหนังสือเป็นเล่มๆ ผู้ที่มีจิตเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี เป็นหนังสือเป็นเล่มๆพิมพ์ออกมาเลย เพื่อที่จะมาช่วยกันผนึกรวมตัวกับคนดีแสดงออกอย่างสงบสุภาพเรียบร้อย ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ใครมีแง่ มีประเด็น มีเชิง ที่จะรู้ว่าความถูกต้องคืออะไร ความไม่ถูกต้องคืออะไรก็เอาออกมาเปิดเผยกัน ชี้แจงกันให้ประชาชนทั้งหลาย ได้รับทราบ ทุกวันนี้อาศัยสื่อ ทั้งหลายแหล่ทุกวันนี้ สารสนเทศทางสื่อสารต่างๆบอกกันถึงกันได้เร็วได้ไว เป็น Globalization แล้ว ไม่มีอะไรปิดอะไรกั้นกันได้ง่ายๆ เราช่วยกัน 

ต้องพยายามเห็นให้จริงว่ามันเป็นความสำคัญมากเรื่องนี้ ถ้าเผื่อว่ามันจำเป็นจะต้องหนักถึงขั้นที่จะต้องให้อาตมาออกไป พวกเราออกไปชุมนุมกันเถอะ ชุมนุมกันในสถานที่เหมาะ ประตูทางเข้ารัฐสภาด้านบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่จำกัด ก็คงมีทางเดียว ไปที่นั่นเวลา 11.30 น. พร้อม จงไปทำกัน 

ถ้าเผื่ออย่างไร เหลือบ่ากว่าแรงจะให้อาตมาลงไป บอกมา บอกมา (เสียงปรบมือ) จะไปในทันใด ใครจะไปกับอาตมาบ้าง (ยกมือกันเพียบ ) ทำไมตื่นกันทั้งนั้นเลย ไม่มีใครหลับเลย แล้วไม่มีใครหลงผิดด้วย ไม่หลับแล้ว ไม่หลงผิด ยกมือกันเต็มเลย เอ๊ มันยังไง มันเต็มใจเต็มกำลังกันยังไง พวกเรานี่ ไม่กลัวตายหรือไง (ไม่)

ป๋อง... ถวายในหลวงรัชกาลที่ 10 ด้วยครับเดี๋ยววันเฉลิมพระชนม์พรรษาท่านวันที่ 28 ด้วยครับ 

พ่อครูว่า... วันเฉลิมพระชนม์พรรษาวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 เฉลิมพระชนม์พรรษาในหลวงรัชกาลที่ 10 ด้วย 

พวกเราเป็นมนุษย์ เป็นคนไทย มีความรับรู้สังคม ไม่ได้เป็นคนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็นคนรู้อยู่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองควรจะช่วยกันอย่างไร ทำอย่างไรให้มันเกิดความสงบ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

นี่เป็นการเสียสละ แม้ที่สุดเสียสละชีวิตและร่างกายในสิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้ไปทำร้ายใคร คนร้ายจะทำร้ายเราก็สุดวิสัยที่เขาทำร้ายเราด้วยความโหดเหี้ยมของเขา ก็เป็นเรื่องความร้ายแต่เราไม่ไปทำร้ายตอบ ไม่อาฆาตมาดร้ายด้วย 

เราได้ปฏิบัติมาแล้ว เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า แล้วเราเชื่อมั่นโดยเฉพาะอาตมาเชื่อมั่นตนเองว่าไม่มีปัญหา อาตมาออกไปสนามรบ ไปร่วมชุมนุมตั้งแต่ พ.ศ 2549 จนถึง 2557 หลายครั้งหลายงวด ตั้งแต่ ไปร่วมสมทบไล่ทักษิณ ไล่สมัคร ไล่สมชาย ตอนไปไล่สมชายนี้จำได้เลยว่า ไปนอนกันอยู่ในทำเนียบ ปลูกข้าวทำนากันอยู่ในทำเนียบ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าทำเนียบไม่ได้เลย เป็นนายกที่ไม่ได้เข้าทำเนียบเลย ตลอดจนออก 

จนกระทั่งยิ่งลักษณ์สุดท้าย แล้วเราก็ถือว่าพวกเรานี้ใช้กำลังประชาชนปฏิวัติหรือรัฐประหารรัฐบาลทรราชทั้งหลาย สำเร็จเสร็จจบ ถูกต้องตามกติกาสากลโลก เป็นการประท้วง protest ไม่ใช่ม็อบ โปรเทสคือประท้วงอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง ไม่หยาบคาย แต่พูดเสียงดัง จะดังจนคอแตก ใครมีกำลังก็ว่าไป ไม่ให้หยาบคาย ไม่ให้ผิด จะดังอย่างไรก็ดังไป แล้วเราก็ได้ทำมาแล้ว มีโทรทัศน์ เราก็เอาโทรทัศน์เข้าไปทั้งกลางวันกลางคืน ถ่ายทอดกันอยู่ที่นั่นแหละ ลงทุนลงแรงกันเต็มที่ ทำกันต่อเนื่องตั้งหลายปีหลายงวด 

แล้วเป็นการแสดงการปฏิวัติโดยประชาชน ให้รัฐบาลทรราชทักษิณล้มไปพ่ายแพ้ไป ก็พยายามตั้งนอมินีขึ้นมาเป็นสมัคร สุนทรเวช เราก็ไปขับไล่อีก ซึ่งก็มีองค์ประกอบ มีตุลาการภิวัฒน์ ท่านช่วยด้วย สมัครก็ตกเก้าอี้ไป สมชายก็เป็นนอมินีขึ้นมาอีกเราก็ไล่อีก จนสมชายตกไป เลือกตั้งใหม่ เก่งอีกเอายิ่งลักษณ์ขึ้นมาได้อีก เราก็ไล่อีก จนยิ่งลักษณ์ออกประตูหมาลอดไป จนเดี๋ยวนี้ยังจับตัวไม่ได้ ช่องทางหมาลอดไม่ใช่ประตู

คือจริงๆแล้วเมืองไทยเป็นเมืองเมตตา ถ้าจะไปตามจับมาจริงๆนั้นได้ ถ้าโหดเหมือนอย่างเกาหลีเหนือ พี่ชายเขาก็ตามฆ่าเลยเกาหลีเหนือ แต่คนไทยไม่ได้เป็นคนใจโหดอย่างนั้น ก็เลยเอาตามวิบากกรรมใครก็วิบากกรรมของเขา เขาจะรู้สึกเหมือนเขามีสุข เพราะเขามีเงินบำเรอตัวเอง เป็นสุขไป แต่นรกทั้งนั้น นี่เขายังไม่หยุด ยังออกมามีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ให้ประเทศไทยรวนเร แต่อาตมาพูดตามจริงเลยนะ ก็รู้สึกว่าเขาทักษิณลดลงแล้วนะ จะเพราะแก่รึเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าจะเห็นความจริง สาธุขอให้เขาเกิดเห็นความเห็นความจริงเถิด จะได้เจริญขึ้นบ้าง ว่าเราควรลดบทบาท เราน่าจะเป็นผู้แพ้ได้แล้ว แต่เขากล่าวไม่ได้ เขาจะไม่กล่าวคำว่าเป็นผู้แพ้ 

อาตมาก็เคยพูดอันนี้กับทักษิณ ไม่ได้พูดกับเขาหรอกแต่พูดออกไปทางสาธารณะ ว่าถ้าเขากล่าวว่า เขาเป็นผู้แพ้ ยอมแพ้ได้ นี่โอ้โหประเทศไทยจะมีประสิทธิภาพขึ้นเยอะเลย แต่นี่เขายังไม่กล่าวก็ยังทำทีทำท่า ตอนนี้ก็ดันลูกสาวคนสุดท้องขึ้นมาอยู่เลย 

ซึ่งก็ดูท่าทีแล้ว ก็ยังยอมอ่อนข้อ เอาคุณเศรษฐา ทวีสิน พรรคเพื่อไทย มาเป็นหนังหน้าไฟ นี่ยังไม่รู้เลยว่าประเทศไทยจะออกหัวออกก้อยอะไร ตอนนี้แคนดิเดตผู้จะเป็นนายก ไม่รู้ใครต่อใครกันแน่ จะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาจากไหน แล้วจะมา Shane, come back! หรือเปล่าไม่รู้ ใครเคยดูหนังเรื่อง Shane, come back! ฟังนัยยะสำคัญให้ดีๆนะ come back นะ จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาละ พูดเป็นนัยๆว่าพี่ไปหลายวันก็พอแล้ว 

อาตมาเห็นว่าเมืองไทยนี่การเมืองกำลังงดงาม มันกำลังขัดเกลาสิ่งที่ยังเป็นสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อย ละอองเล็กละอองน้อย ที่มันยังเหลือเป็นทรายใต้พื้นเท้า ในรองเท้าออก ขจัดทรายใต้เท้านี้ออก ซึ่งงาม ไม่รุนแรงหรอก สู้กันได้ด้วยคารมคมคาย เรียกว่า มุขสตี ด้วยปากหอก ออกไปชุมนุมประท้วงก็ไม่มีอะไรรุนแรง ไม่เหมือนประเทศต่างๆข้างนอก เขายิงกันฆ่ากันรุนแรง 

เมืองไทยเป็นตัวอย่างของโลกที่เป็นประชาธิปไตยที่สวยสดงดงาม เป็นตัวอย่างในขณะนี้ ในขณะนี้เหมือนกันในประเทศอื่นเขายังตีกัน เขายังรบราฆ่าฟันกัน ยังซัดกันไม่หยุดไม่หย่อน ทั้งรูปหยาบ รูปละเอียด สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์มา ทดลองยิงอาวุธให้แสดงเบ่งอำนาจอะไรต่างๆนานาอยู่นี่ ลงทุนกันหนัก ส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ของเราให้เจ้านี้ฆ่ากัน ทำบาปกันอย่างมหาศาล 

เทวนิยมหรือศาสนาที่มีพระเจ้าจะไม่เข้าใจถึงความเป็น สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ เขาจะไม่รู้รายละเอียดพวกนี้เลย เขาไม่รู้ว่าการฆ่ากันเป็นกรรม ที่เป็นวิบากร้ายวิบากหนัก ที่ไม่ควรจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นรายละเอียดที่พระพุทธเจ้าสอนถึงขั้นชีวกสูตร ใน สัญจิจจะ ปานัง ชีวิตา โวโรเปตุง 5ข้อ ที่มันเป็นบาปอันมากไม่ใช่บุญเลย อีกนานมากอีกไกลกว่าคนเหล่านี้จะมีปัญญาหยั่งรู้รายละเอียดพวกนี้อีกนาน 

คนที่เขาอยู่ในเทวนิยม ประเทศที่เขาบอกว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นตัวอย่างแบบประชาธิปไตย ของพิธาก็ดี ของใครก็ดีอีกฝ่ายหนึ่งนะ ฝ่ายที่เห็นดีเห็นด้วยกับคุณพิธาอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนฝ่ายเราก็ตรงกันข้ามกับคุณพิธา ต่างคนต่างจะเห็นกันคนละมุม คนหนึ่งมองเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย อีกฝ่ายหนึ่งเห็นขี้ตมขี้โคลน เห็นอันเดียวกันนี่แหละ มันเป็นลักษณะ 2 สภาพ อันนี้แหละเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งที่สุด 

เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆฟังไป  อาตมาจะค่อยๆแยกรายละเอียดของโลกุตรธรรมแต่ละขั้นๆ แต่ละมุม แต่ละแง่ แต่ละนัยยะสำคัญคนละมุม คนละแง่ให้ฟังชัดๆดีๆ พวกเราศึกษาไป 

นักรบธรรม...​ถ้าหากผ้าสีหมองออกไปเมื่อไหร่ สงครามระหว่างทุนนิยมกับบุญนิยมเกิดขึ้นนะครับ 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็เป็นเรื่องสัจจะ ที่ผู้ไม่เข้าใจเรื่องสัจธรรมพวกนี้ จะเข้าใจได้ยาก คณะผ้าสีหมองหรือแม้แต่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมออกไปทำการร่วมชุมนุมประท้วงเป็นบทบาทลีลาจริง เขาก็ไม่ได้ไปเพื่อความรุนแรง เขาไปเพื่อความสงบสยบความรุนแรง ไปแสดงสัจธรรมความสงบสยบความรุนแรง ที่เราได้แสดงปาฏิหาริย์มาแล้วเป็นพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เอาความสงบไปสยบความรุนแรง ชนะมาตั้งกี่รัฐบาล ประชาชนชนะ 

จนทุกวันนี้โดยรัฐศาสตร์เทวนิยม รัฐศาสตร์ของโลกีย์เขาเข้าใจอันนี้ไม่ได้ พูดแล้วเขาก็ยังงงๆ ไอ้ความสงบมือเปล่าแล้วมันจะไปชนะคนมีลูกระเบิด มีปืนประสิทธิภาพสูงๆ แล้วเขามีกำลังมีอำนาจด้วย  จะไปสู้ได้อย่างไร เราทำตัวอย่างมาตั้งหลายรัฐบาล แล้วชนะจริงๆด้วยในประเทศไทย ในประเทศอื่นก็ทำลอกเลียนแบบไม่ได้ เพราะประชาชนคนในประเทศอื่นจะไม่เหมือนประชาชนคนในประเทศไทย ลอกเลียนแบบยากมาก ทำได้ในประเทศไทยเพราะประเทศไทยเป็นประเทศอาริยะ ศิวิไลซ์เซชั่นสูงสุดจริง จึงทำได้ มีองค์ประกอบพร้อม ทั้งบุคคล เหตุการณ์  สถานที่ ทุกอย่าง เครื่องอาศัยต่างๆ โดยเฉพาะมีธรรมะครบพร้อม จึงทำอันนี้ได้สำเร็จ 

เพราะฉะนั้นประชาชนคนชาติอื่นๆ ขออภัยพูดแล้วเหมือนไปข่มเขา แต่กำลังสาธยายความจริง เขาทำลอกเลียนแบบไทยไม่ได้ง่ายๆหรอก เพราะเขายังไม่ใช่คนเจริญ คนอาริยะ คนศิวิไลซ์ที่แท้จริง พวกเรานี่ศิวิไลซ์อย่าง The Classes ชั้น 1 เจริญแบบคลาสสิคเจริญอย่างเป็นเอก อย่างเป็นหนึ่งจริงๆ นี่คือสัจธรรม 

ใครฟังธรรมะที่อาตมาพูดนี้แล้วเข้าใจเห็นสภาวะ เหตุการณ์จริง มี status quo ยืนยันความจริงนี้อยู่เลยหลัดๆ ถ้าใครเห็นนะ คนนั้นมีดวงตาเห็นธรรม  คนไหนยังไม่เห็น ก็ไม่มี

แล้วเกิดที่ เทศะ ประเทศไทยและฐานะคนอย่างคนไทยจึงจะทำสิ่งนี้ให้เกิดได้และเกิดในกาละนี้ ปัจจุบันชาตินี้ นี่กำลังเกิดอยู่นี่ continuum continueing ขณะนี้เลย ของจริง

ประกาศอีกครั้ง ทางกองทัพธรรมจะได้ไปรวมตัวกัน เพื่อยื่นแถลงการณ์เป็นกำลังใจให้กับสมาชิกวุฒิสภา (เสียงปรบมือ) ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญ โดยไม่เกรงกลัวต่อการข่มขู่คุกคามจากผู้ที่พยายามทำให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย 

ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับการบริหารประเทศ ดังมีใจความว่า 

“ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” 

พ่อครูว่า... พวกเราอยู่ในเป็นพลังรวมไม่ใช่เป็นหมู่เล็กหมู่น้อยมาทำข่มขู่หมู่ใหญ่ ไม่ใช่ ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของมวลประชาชน ร่วมกันผนึกกันเป็นพลังรวม ไม่ใช่เป็นหมู่เล็กหมู่น้อยมาทำข่มขู่หมู่ใหญ่ ไม่ใช่ 

ให้ปรากฏความเป็นหมู่ใหญ่จริงๆ เหมือนอย่างกับที่เราไปทำจนกระทั่งครั้งสุดท้ายคณะของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พร้อมกันมาสมทบเป็นล้านๆ ตั้งไม่รู้กี่ล้านคน นี่คือปรากฏการณ์ในเมืองไทย สงบด้วย อาตมาอยู่ในเหตุการณ์มาตลอดจนจบ แล้วคุณสุเทพก็มาพบกันอยู่กับอาตมา ก็ทำงานร่วมกันอยู่ อย่างนี้เป็นต้น เรื่องนี้โปรดติดตาม ดูไป ไม่ต้องไปเรื่องดูไบ ทิ้งไว้ไกลๆ พวกนั้นพวกไกลๆ พวกนั้น ก็ปล่อยเขาไปดูไบ เพราะพวกเขาไกลๆ พวกเรามาอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปดูไบ อยู่กันในหมู่นี้แหละทำตรงนี้ 

 

ทีนี้เอา sms 

SMS วันที่ 14 – 16 ก.ค. 2566

 

วิสัยทัศน์ของก้าวไกลเป็นเรื่องเก่าที่ล้มเหลวแบบอเมริกา 

_ธรรมธารทิพย์ มาลิณี  · กราบนมัสการค่ะ ชาวยูเครนบางส่วนอาจสนับสนุนรักชื่นชอบ นายกของเขา เหมือนคนไทยบางส่วนยังหลงไหลพิธา เชื่อว่าเขาทำได้จะทำให้ปท.รุ่งเรือง

พ่อครูว่า... จริงอย่างที่คุณ comment มา ที่เขาบอกมามีแนวนโยบาย มีวิสัยทัศน์ อาตมาฟังแล้วมันเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ แสดงทิฏฐิ แสดงภูมิ ไอ้อย่างนั้นนะมันเก่าแล้ว ล้มเหลวแล้ว คุณยังไปเอาความล้มเหลวที่เห็นอยู่ คุณยังมองไม่ออกว่ามันล้มเหลวและคุณจะให้เทียบเคียงที่กำลังล้มเหลวอยู่นี่ กล่าวชัดๆคือเอาอย่างอเมริกา ทำไมคุณถึงได้ ฉลาดน้อยจริงๆ ทำไมฉลาดกะปริบกะปรอยเหลือเกิน มันน่าจะฉลาดให้มากๆขึ้นมา ทำไมฉลาดกระปริบกระปอยอยู่ได้ 

แล้วก็แสดงท่าที อื้อหือ เสนอภูมิ แสดงคำพูดวาทกรรมออกมาเจ้าประคุณเอ๋ย ที่จริงมันดี ให้ปรากฏความจริงออกมา ไม่ใช่ว่า ไหนล่ะตัวอย่าง..นี่แหละตัวอย่างของจริงปรากฏ มีสิ่งแสดงปรากฏจริงแล้วเอามายืนยันกันได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่พ้นปัจจุบันกาล มันยังไม่พ้นพฤติการณ์ของปัจจุบัน มันยังไม่จบ ยังไม่ตัดสิน มันยังคาราคาซังอยู่ เดี๋ยววันที่ 19 กรกฎาคม ก็ดูไป โปรดตามไปดู 

 

_โกศล สุขเล็ก  · กราบนมัสการท่านสมณะ..มีคนไทยกลุ่มหนึ่งต้องการเป็นใหญ่โดยไม่คำนึงกฎระเบียบในสังคม..

พ่อครูว่า... พวกที่มองเห็นก็มองเห็น พวกที่มองไม่เห็นก็ตาบอดตามืดอยู่อย่างนั้น

 

_นิชา มหาวงศ์ · คนบางกลุ่มจะปั่นให้คนออกมาประท้วง ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง เพื่อให้พ่อ เมกาเข้ามายุ่ง

พ่อครูว่า... ขออภัยอาตมาไม่ได้ปั่นให้คนไปประท้วงนะ แต่ในโซเชียลของเขาปั่นกัน 

_สู่แดนธรรม... เราไม่ได้ปั่นให้ไปประท้วงแต่เราไปให้กำลังใจไปส่งเสริม สว. 

พ่อครูว่า... คุณยังไม่ทันยิ้มก็เห็นไรฟันแล้ว ก็จริง ต่างคนต่างมองกันออก

_จันที ชุมวงวาปี  · ศีล 5 ข้อ ปฏิบัติไม่ได้ อย่าอาสา เป็นผู้นำประเทศเลยครับ

พ่อครูว่า... คนนี้เอาสัจจะของพระพุทธเจ้ามาพูดถูกที่สุด ศีล 5 ข้อยังปฏิบัติไม่ได้ อย่าริิอ่านเข้ามาเป็นผู้นำประเทศเลย พูดก็อย่างนั้น กระทำก็อย่างนี้ จริง ไม่ขยายความมากล่ะศีล 5 ข้อ 

 

พ่อครูขอบคุณที่อนุญาตให้ตาย 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

สิกขมาตุกล้าข้ามฝันท่านพูดชัดเจนว่าหากร่างกายพ่อครูนี้ พ่อครูพิจารณาแล้วว่า อ่อนล้ามากแล้ว จำต้องสละร่าง ท่านสิกขมาตุรับได้ ลูกก็ยอมรับได้ค่ะ เพราะเห็นใจพ่อครูมาก พ่อครูให้พวกเรามายิ่งกว่ามากแล้ว น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ขอบคุณที่อนุญาตให้ตาย ก็จะมีหลายคนที่ค่อยๆวางใจ หลายคนยังไม่อยากให้ตาย แต่คนที่วางใจก็ค่อยๆ วางใจ นี่เป็นสัจจะที่ลึกซึ้ง ซึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านตรัสกับอานนท์ อานนท์ก็ร้องไห้เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ไปยืนร้องไห้อยู่กับประตู ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของผู้ที่ยังมีอาลัยอาวรณ์ ก็ไม่มีปัญหาอะไร มันไม่ใช่เรื่องอกุศลจิตอะไรเกินไป มันก็เป็นกุศลจิตชนิดหนึ่ง ก็เป็นไปตามสัจธรรม 

 

ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ตั้งแต่ประชาชนไปปฏิวัติ

_ในตรม จนตลอดชาติ  · พ่อท่านต้องเห็นประชาธิปไตยเต็มใบกับลุงตู่ก่อนจะสละสังขารต้องทำภารกิจนี้สำเร็จก่อนครับ

พ่อครูว่า... คนนี้ยังหวังว่าประชาธิปไตยเต็มใบกับลุงตู่ สรุปรวมว่าจะให้อาตมาทำให้ลุงตู่กลับมาทำหน้าที่ประชาธิปไตยเต็มใบ 

พูดถึงประโยคหรือวลีนี้ว่า ประชาธิปไตยเต็มใบ เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบมาแล้วตั้งแต่ประชาชนคนไทยมาทำการปฏิวัติรัฐบาลทรราช 1 ครั้ง 2 ครั้ง 1 รัฐบาล 2 รัฐบาล 3 รัฐบาล 4 รัฐบาล ซึ่ง 4 รัฐบาลนี้คือตัวเลขที่บอก 1 2 3 เลข 4 เป็นเลขที่ยืนยัน ว่าเป็นการออกจาก cyclic order 3 มาเป็นตัวนี้ 

เลขนี้ทางวิศวกรรมศาสตร์ เขาก็รู้ว่าเป็นพลังงานในระดับที่เป็นธรรมะ เป็นพลังงานทด ที่มีพลังสูงยิ่งกว่า จึงจะออกมาจากแรงดึงดูดของวงกลมนี้ได้ แล้วก็มาเป็นอีกอันหนึ่งเสริมทัพจาก 3 เป็น 4 แล้วก็จะพัฒนาเป็น 5 เป็น 6 ได้อีก 2 เส้า ถ้า 2 เส้านี้ร่วมกันอีกเกิดพลังงานตัวที่ 7 ตัวนี้เป็นตัวพลังงานที่สูงสุด แล้วเมื่อ 7 นี้รวมกับ 8 เป็น 9 ก็ถือว่าบริบูรณ์ เป็น cyclic order ของ 3 3 3   ที่ยิ่งใหญ่ นับออกไปอีกจาก 3 3 9 เป็น 10 จะเป็นปฏิภาคทวี ตีกลับไป ซับซ้อนตีกลับไป เป็นพลังงานซับซ้อนที่มีปฏิภาคทวี อินฟินิตี้ ที่อาตมาใช้สูตรว่า  E=C(mc2 + A) นี่คือสูตรที่อาตมาใช้เป็นสูตรที่ต่อจาก E=mc2 ของไอสไตน์ เพราะอันนี้มันรวมนามธรรม

ทุกวันนี้นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฟังสูตรของอาตมาพูดก็ยังยาก พวกเราปฏิบัติตามนามธรรมของสูตรนี้ไปเรื่อยๆแล้ว 

A ก็คือ mc2 นี่แหละ แล้วก็บวก A บวก A บวก A ถ้า A นี้มี 4 ตัวก็ยกกำลังอีก 1 ทบไปเป็น C ข้างหน้า 

ไอสไตน์รำพึงกับลูกสาวว่า แกเองแกค้นพบ E=mc2 แค่นี้คนก็ยังเข้าใจยาก แต่เขาก็เข้าใจเพราะมันเป็นรูปธรรม แล้วเขาก็เอามาใช้งานสำเร็จอยู่ทุกวันนี้ คือ E=mc2 ส่วนอาตมานั้นมันเป็นนามธรรมถึงขั้น  E=C(mc2 + A) ดังที่อธิบายไปแล้วคร่าวๆเมื่อกี้นี้ พวกเราใช้อยู่เป็นนามธรรม มีผลเกิดอยู่นี่ เป็นปฏิภาคทวีอยู่นี่ ขอไอนิดหน่อย

_สู่แดนธรรม... วันนี้ผมก็ตั้งข้อสังเกต พ่อครู ออกตัวแรง กำลังขับเหยียบคันเร่งตั้งแต่แรกเลย 

_ป๋อง คือกำลัง 4 พ้นภัย 5 ใช่ไหมครับ 

_สู่แดนธรรม... ตอนที่ผมได้ฟังพ่อท่านประกาศว่าไปให้กำลังใจวุฒิสภา ผมได้อ่านคนที่เขาสรุปมา มีสมาชิกด้อมส้มไปถามแซวว่า วุฒิสมาชิกเกี่ยวอะไรมีผลอะไรในการโหวตเป็นนายก ประชาชนไม่รู้กี่ล้านเสียงไม่มีความสำคัญหรือ 

คนสรุปสั้นๆว่า คำถามวุฒิสมาชิกเกี่ยวอะไรคะ มีคนตอบว่า วุฒิสภาคือระบบถ่วงดุลค่ะ คุณด้อม ไม่งั้นสภาก็มีแต่ส.ส.พวกมากลากไปไร้คนคานอำนาจ ที่อเมริกา ขนาดระบบเลือกประธานาธิบดีโดยตรงเขาก็ตัดสินที่ Electrolal ไม่ใช่ป๊อปปูล่าโหวต นับคะแนนส.ส.รวมทุกรัฐเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่คะแนนประชาชนนะคะ 

ปี 2016 Hillary คนเลือกมากกว่าแต่ทรัมป์ชนะเพราะ Electrolal ไงคะ ดิฉันเหนื่อยนะคะที่ต้องมาให้การศึกษาพวกคุณค่ะ 

พ่อครูว่า... ดีค่อยๆศึกษา มันเป็นการศึกษาที่ละเอียดละออ ผู้ที่ปรารถนาความรู้ ปรารถนาความจริงค่อยๆรู้ขึ้น รู้เพิ่มเติมขึ้นมา มันเป็นการศึกษาที่ไม่ใช่เรียนจากตำราตัวหนังสือ แต่มันเป็นการศึกษาจากสภาวะพฤติกรรมจริงของมนุษยชาติ ซึ่งไม่ใช่เล่นละครด้วย เหตุการณ์จริง เกิดจริง เป็นจริง เจริญจริง เสื่อมจริงอย่างแท้ๆของมนุษยชาติเลย ไม่ใช่ละครละเม็ง เป็นเรื่องจริงๆเลย สวยงามมาก 

_สู่แดนธรรม... คุณป๋องถามว่า อัตรากำลังทดเป็น 4 เป็น 7 นั้นใช่ลักษณะของการมีกำลัง 4 แล้วจะพ้นภัย 5 ใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ถูกต้อง กำลังของปัญญา 4 พ้นภัยทั้ง 5 สรุปได้แค่นี้ก่อนก็แล้วกันไม่ขยายความ เดี๋ยวมันจะเยอะเกินไปแล้วก็เลยไม่ต้องไปอ่าน นี่ก็ยังไม่จบ โลกุตระที่ว่ากันไว้ยาวเหยียดโปรโมทเอาไว้ว่าจะให้ฟังนี่ยังไม่ขึ้นเลย 

 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการค่ะ ได้ฟังเรื่อง ที่พ่อท่านบอกถึงอาการของพ่อท่านว่าเป็นอย่างไร ทำให้เราได้ดูใจของแต่ละคนว่า รู้สึกนึกคิดอย่างไร สำหรับส่วนตัวใจหมองๆแต่ได้ข้อคิดว่า พระอรหันต์ว่าถ้าขาดพ่อจะเป็นเช่นไร ไม่ให้ประมาทในเรื่องสุขภาพ  ด้วยอายุของพ่อ และพวกเรา ว่าจะจัดการกับตัวเราและ พ่อท่านรู้ตัวว่าเป็นเช่น ไร ย้อนบอกพวกเรา เห็นความเมตตาต่อผู้อื่น พระอรหันต์ท่านบอกเราทั้งหมดทั้งสิ้น กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... บอกตรงๆว่าอาตมาปล่อยไปแล้วตายจริงๆ แต่มันเป็นการใช้อิทธิบาทต่ออายุให้ยืนยาวไป แล้วไม่ดูทุเรศทุรังการอะไร มันก็พอมีพลังที่จะทำงานได้อยู่ ไม่ใช่ว่ายึดอายุไปแล้วก็โอย ไม่ได้เรื่องราวอะไรเลย นอนติดเตียง เป็นภาระคนนั้นคนนี้ก็ไม่ใช่อย่างนั้นก็ควรตาย แต่นี้ก็ไม่ใช่นะ 90 ยังแจ๋ว ยังส่งเสียง ยังอะไรต่ออะไรอยู่แม้จะไอไปบ้าง ก็เสนอปรุงแต่งวาทกรรมให้พวกเราได้ฟังเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ตามคำสอนพระพุทธเจ้าอยู่ได้อยู่ ก็ทำไป 

_ในตรม จนตลอดชาติ  · ขอให้พ่อท่านอยู่กับลูกหลานนานตราบเท่านานที่สุดครับกราบนมัสการครับ ในขณะนี้สังคมต้องการฟังธรรมเป็นอย่างมากครับเหมือนขาดที่พี่งพาครับ

พ่อครูว่า... รับนิมนต์ รับอาราธนา 

 

ทำอย่างไรจะละวางจากอาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ 

_ช่อทิพ หนูทอง  · การที่ฆราวาสบางคนหลับแล้วเห็นเหตุการณ์ในอนาคตบางเรื่องได้และทำบางอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เรียนถามพ่อครูว่า 

1.เกิดจากการสะสมบารมีทางนี้มาจากชาติก่อนใช่หรือไม่ 

พ่อครูว่า... ใช่ตามที่คุณพูดมา คนที่เขาสะสมบารมีทางด้านนั้นมา เห็นเหตุการณ์ในอนาคตบางเรื่องได้ในภาวะที่ใช้อาเทศนาปาฏิหาริย์ ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริมไม่สนับสนุน ท่าน อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ)  ท่านรังเกียจน่าเบื่อหน่าย น่าระอา ท่านไม่ได้ส่งเสริม มันเป็นจริงแต่ท่านไม่ส่งเสริมอาเทศนาปาฏิหาริย์กับอิทธิปาฏิหาริย์ ท่านไม่ส่งเสริม ท่านส่งเสริมอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไปอ่านดูในเกวัฏสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 341-342 อาตมาจำได้เพราะเพิ่งผ่านตาก่อนลงมา 

2. เราไม่อยากมีบารมีทางนี้ แต่อยากละกิเลสเพื่อการหลุดพ้นมากกว่า ถามว่า จะแก้ไขสภาวะนี้ให้หมดไปได้อย่างไร

พ่อครูว่า... ถูกต้องดีมาก ข้อที่คุณติดอยู่ก็เลิกวาง คุณอย่าเอาใจใส่มัน มันจะเก่งกาจ มันจะวิเศษวิเศษวิเสโสอย่างไร คุณก็อย่าไปหัวซามันสิ อย่าไปสนใจ เหมือนกับคนที่มันยังติดรสอร่อย เขาก็ยังมีรสอร่อยของเขาอยู่ ก็ปล่อยเขาไปสิเป็นกิเลสของเขา เขาบำเรอกิเลสของเขาไป  เราก็ไม่เอาแล้ว เราก็ไม่มีรสอร่อย หรือคนที่เขายังทำอยู่เหมือนหมอปลา อย่างผีเข้าอันนั้นอันนี้ เขาก็ต้องเป็นของเขาตามภูมิของเขา มันเป็นอุปาทานที่เขาต่างสมพร้อมกันสมยอมกัน ร่วมเห็นด้วยกันเป็นสัมโภคกาย เป็นการเห็นด้วยร่วมกันว่า มันมีจริงเป็นจริง 

ถ้าคุณชัดเจนยิ่งกว่านั้น ไม่ให้มีแล้วก็ทำความเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง คุณก็จะหมดจะลด จะละ จะไม่มี แต่คุณยังเห็นมี ยังเชื่อว่ามีและก็มี มันก็มีสิ ถ้าคุณชัดเจนด้วยปัญญาอันยิ่งว่า มันไม่มีหรอก มันมีแต่เหตุปัจจัยและคุณก็ปรุงแต่งเป็นตัวเป็นตนขึ้นมามี คุณก็มี 

แปลภาษานี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ว่าสิ่งมีกับสิ่งไม่มี มันเป็นอย่างนี้จริงๆ คนเราก็อาศัยเรื่องนี้เป็นโลกนิโรธหรือเป็นโลกสมุทัย ก็เป็นโลกสมุทัยที่คุณยังติดอยู่ ถ้าคุณยังเลิกไม่ได้ ก็เป็นโลกนิโรธไปก็ดับสนิท ไม่มีโลกที่จะเกิดหมุนเวียนต่อไปอีกอย่างนั้น ศึกษาดีๆอาตมาอาจจะพูดเร็วไปหน่อย 

_สู่แดนธรรม... สรุปว่าให้เขาทำความไม่ใส่ใจ

พ่อครูว่า... ใช่ ไม่ต้องไปใส่ใจ มันมีของคนมี คนอื่นเขาก็จะมีก็มีเราก็เลิกไม่ได้มีเหมือนเขาแล้ว นี่ใช้ภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ 

_พลังเพ็ญ คำด้วง  · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง วันนี้ลูกตั้งใจฟังธรรมที่พ่อครูแสดงธรรมอย่างมากค่ะ ฟังน้ำเสียงของพ่อครูที่แสดงธรรมแหบแห้ง พอควร. เห็นถึงพลังเมตตาที่พ่อครูอยากให้ลูกๆเข้าใจธรรมะโลกุตระ และปฏิบัติถึงขึ้นเข้าใจ การทำจิตอย่างไร ให้เป็นอุตุ ทำจิตอย่างไรให้เป็นพีชะ ซึ่งลูกเข้าใจว่าคงไม่มีใครมาอธิบายธรรมะอย่างนี้ ให้เข้าใจได้อย่างนี้ในยุคสมัยนี้ ลูกจะพยายามนำมาฝึกใช้ในการกระทบผัสสะต่างๆในชีวิตประจำวัน กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... ขอสำทับด้วยว่าใช่ ไม่มีใครจะมาอธิบายธรรมะอย่างนี้ในยุคนี้ มีอาตมาเป็นสยังอภิญญา นำอันนี้มาตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า ก็ยืนยันอยู่นี่ 

เพราะฉะนั้นคนเห็นจริงแล้วยิ่งฟังยิ่งตาม ยิ่งปฏิบัติด้วยยิ่งชัด

ส่วนคนไม่เห็นจริงคุณจะไปรู้เรื่องอะไร คุณก็ไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไปบังคับความเชื่อคนไม่ได้ คุณมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าใช่ คุณก็จะรู้ว่าใช่เอง คนที่ศึกษาตาม ปฏิบัติตามได้ มีภูมิขึ้นตามก็จะช่วยอธิบายต่อไป 

_นาง จับใจ ธนะโภค  · กราบนมัสการพ่อครูฯ การพึ่งตัวเองได้ (อัตตาหิ อัตตโนนาโถ) ด้านจิตวิญญาณ สุข-ทุกข์ ทางโลกุตระ(ขั้นต่ำ) ที่ปฎิบัติรายละเอียดอย่างสัมมาทิฐิ เช่น ทานมังสวิรัติ ถือศีล 5 ละอบายมุข ลด โลภ โกรธ หลง โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย  ***ที่สำคัญสุดมีสภาวะจิตสัมผัสกับศีล สมาธิ ปัญญา และทำให้สุข-ทุกข์ลดลงได้จริง ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า... ดีจังเลย อธิบายมาครบดี ใช่ ที่คุณพูดมาถูกต้องแล้วแสดงว่าคุณมีสภาวะ อาตมา approve ใช่ ตามที่คุณมีสภาวะที่พูดมานั้นเป็นของคุณ อาตมาฟังได้ว่าเป็นของคุณ อาตมาก็อนุมัติให้เป็นจริงตามนั้น ต้องอาศัยอาตมาอนุมัติด้วยนะ 

องคุลีมาลมุ่งเอาวิชาไม่ได้มุ่งฆ่าโดยตรง 

_ส.คิดถูก นาวาบุญนิยม · มีผู้ถามเรื่องวิบากกรรมขององคุลีมาล ที่ฆ่าคนตายเกือบพันคน จะได้ผลเช่นใด ผมเข้าใจว่า วิบากที่องคุลีมาลไม่มีจิตกุศล จึงสามารถเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสได้และได้บรรลุอรหันต์ แต่วิบากที่ฆ่าคน ท่านก็ได้รับผลตอบแทนด้วยการถูกคนทำร้ายร่างกายขณะเดินไปบิณฑบาต หลังจากท่านปรินิพพานแล้วท่านก็ไม่ได้รับวิบากกรรมใดๆ อีกแล้ว

พ่อครูว่า... แปลว่าองคุลิมาลไม่มีจิตยินดีเป็นกุศลกับกรรมที่ฆ่าสำเร็จ แต่จิตกุศลมันไปมุ่งอยู่ที่จะได้วิชา โลภวิชา ไม่ใช่โลภในการเก่งฆ่าคน เห็นไหมความซับซ้อน ไม่เห็นว่าการฆ่าคนได้นี่เป็นความเก่ง แต่ไปมีมโนสัญเจตนาตรงที่ว่าจะได้วิชาอันยิ่งยอดที่ถูกอาจารย์หลอก แต่พระพุทธเจ้ารู้ทันอาจารย์ขี้หลอก ไม่ให้ไปตกเป็นเหยื่อของอาจารย์ขี้หลอก ก็เลยต้องมาโปรดองคุลีมาล เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด องคุลีมาล เท่านั้นแหละ คนฉลาดอย่างองคุลิมาลก็วางดาบเลย ไม่ตามฆ่าท่านแล้ว ที่จริงจะตามฆ่าพระพุทธเจ้านะไม่ใช่เล่นเลย มันซับซ้อน พวกนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดในโลกมีบุคคลจริงมีสภาวธรรมจริง ลึกซึ้ง ก็เลยหยุดเลยเลิก ไม่ปฏิบัติ แล้วก็ตามพระพุทธเจ้าไป ท่านก็เลยบรรลุธรรม  และก็ไม่มีวิบากกรรมใดเพราะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป


ตัดกรอบ กาม-อัตตา จากอนันตังจนอนัตตา

_จาก อรอุษา กทม. ·  พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 18 มี.ค. 2558 บอกว่า กามก็ไม่มีกรอบ..จะอร่อยนั้นถ้ามีอร่อยกว่านี้อีกก็เอา รวยกว่านี้เอา ใหญ่กว่านี้เอา สนุกกว่านี้เอา..นี่คืออาการไม่สิ้นสุด ถ้าใครไม่กำหนดขอบเขตก็คือ อนันตัง..บานไปเป็นปากกรวยไม่สิ้นสุด..เราต้องตัดกรอบกาม รูป อรูป ก็ทำกามให้หมดก่อน พอหมดกามก็มีสิ่งที่เหลือเป็นอนันตัง ก็ต้องตีกรอบอีก... 

เกิดคำถามที่ว่า 1.อนันตัง คือ อะไร  2.ทำไมพอหมดกาม ที่เหลือจึงคืออนันตัง

3.ทำไมต้องตีกรอบอีก

ดิฉันเข้าใจว่า อนันตัง เท่ากับ infinity คือไม่มีที่สิ้นสุด นักปฏิบัติธรรมต้องหัดรู้จักตัด แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะได้ขนาดไหน พ่อครูเคยยกตัวอย่างเรื่องอร่อย ในขั้นแรกยังตัดอร่อยไม่ได้หมด ก็ให้ตีกรอบที่อร่อยแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องสรรหาอร่อยสุด ซึ่งก็ยิ่งสนองตัณหาให้หนาขึ้นๆไม่มีวันสิ้นสุด คือ ถ้าไม่ตัดไม่ตีกรอบก็ยิ่งบานปลาย

หมดกามที่เหลือก็เป็นอนันตัง ก็คือกิเลสหรืออาการที่อยู่ในขั้นละเอียดขึ้น ก็คือเรื่องของอัตตามานะ ที่ยังเหลืออยู่

การลดละกิเลสมีหลายขั้นตอน ขั้นหยาบคือคือพวกอบายมุข ขั้นหยาบรอง ลงมา มาคือเรื่องของกามราคะ ก็คือเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าละเอียดคือเรื่องของมานะ และ เรื่องของความ ฟุ้งซ่าน

การตีกรอบ เช่น กรอบ อร่อยแค่นี้ ก็คือโสดาบัน ตีกรอบอีกว่า อร่อยน้อยๆ ก็คือสกิทาคามี เป็นต้น

ก็หมายถึงว่า ใครลดละกิเลสได้ขนาดไหน หากไม่ลดไม่ละไม่เลิก ก็จะมีแต่จะบานปลายไปเรื่อยๆ เป็นอนันตังหรือ Infinity ถูกมั้ยคะ

พ่อครูว่า... ถูกต้องคุณเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องขยายความ คนยังไม่เข้าใจอย่างคุณก็ติดตามต่อไป แต่คุณเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ ถ้าตีกรอบ มันก็จะไม่มีอนันตัง ตัดทิ้งเป็นรอบๆไป จะเหลือกรอบละเอียดไปเรื่อยๆตัดทิ้ง วันหนึ่งก็หมด 

โลกุตระคืออะไร โลกุตระสำคัญอย่างไร 

โลกุตระคืออะไร? โลกุตระสำคัญอย่างไร? 

โลกุตระมีในโลกได้เพราะใคร? โลกุตระจะทำให้คนเจริญแบบไหน? ในโลกมีโลกุตระเกิดอยู่ประจำโลกหรือ? 

ทำไม? เพราะอะไร? โลกจึงไม่มีโลกุตระทั้งๆที่ยังมีคนชาวพุทธนับถือศาสนาพุทธกันอยู่แท้ๆ 

สังคมคนที่ไม่มีโลกุตรธรรมนั้น คือสังคมคนที่ไม่พ้นทุกข์ สังคมที่มีคนพ้นทุกข์จะเป็นสังคมอย่างไร? ไฉน? 

คนจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องบรรลุโลกุตรธรรม? 

สุขทุกข์คืออะไร? ทำไมต้องสุข-ต้องทุกข์? คนผู้ไม่สุข-ไม่ทุกข์มีด้วยหรือ? ตรงไหน? ที่ในคนมันมีอาการสุขทุกข์ และคนที่ไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยปัญญาอันยิ่งและจะมีประโยชน์อะไร 

สุดยอดของคนเป็นอรหันต์ เป็นไปทำไม?

อันแรกโลกุตระคืออะไร ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นมาในโลก โลกที่พระพุทธเจ้าจะอุบัตินั้นคือโลกที่ไม่มีโลกุตรธรรมเลย ไม่มีเลย ไม่มีเหลือเชื้ออยู่ในฐานของคนที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาตรัสประกาศไว้แล้วก่อน แล้วก็ยังเหลือเชื้อในคน ในยุคที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาไม่ว่าองค์ใดองค์หนึ่ง ก็คือยุคที่ไม่มีคนมีความรู้ในเรื่องโลกุตระเลย 

เพราะฉะนั้นโลกุตระคืออะไร ? จึงไม่ปรากฏในโลก มีแต่ความรู้โลกียะกันเท่านั้น

โลกุตระ คือรู้เรื่องสุข เรื่องทุกข์ โลกุตระคืออะไร คือรู้เรื่องสุข เรื่องทุกข์ แล้วจะขยายความเรื่องสุขเรื่องทุกข์คืออะไรทีหลัง

โลกุตระสำคัญอย่างไร โลกุตระ คือรู้เรื่องสุข เรื่องทุกข์ โลกียะ คือเรื่องดี เรื่องชั่ว ที่ขยายความ โลกียะหรือทุนนิยมหรือเทวนิยมจะไม่มีปัญญา แวบไหว อาตมาใช้คำว่าแวบไหว ไม่มีปัญญาที่จะแม้แต่จะแวบไหวเลยว่า เอ๊ มันจะต้องไปคำนึงถึงความสุข ความทุกข์ ไม่มี เขาว่าคนก็ต้องมีความสุขสิ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าสุขเป็นตัวเดียวกันกับทุกข์ เป็นมายา หลอกตัวเองอยู่ไม่รู้จักจบ ถ้าคุณจะฆ่าสุขได้ คุณก็ต้องฆ่าทุกข์ คุณฆ่าทุกข์ได้ สุขก็จะหายไป นี่เป็นความฉลาดของพระพุทธเจ้า ถึงให้รู้จักทุกขอริยสัจ แล้วปฏิบัติดับทุกขอริยสัจให้ได้ 

สุขที่เป็นสุขัลลิกะ ทุกข์นี่มันเรื่องจริงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่สุขนี่มันเป็นตัวขี้หลอก อัลลิกะ เป็นตัวเท็จ เป็นตัวความเก๊ มันหลอกเราเป็นตัวสุข แท้จริงมันเป็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์จะเห็นเลยว่าไม่มีหรอกสุข มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพราะฉะนั้นดับทุกข์เสียได้ สุขก็หมดไป พิสูจน์ได้ชาตินี้เป็นวิทยาศาสตร์เลย วิทยาศาสตร์ทางจิต คุณดับสุข คุณต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของสภาวะสุขหรือทุกข์ คุณอ่านสภาวะใดก็ได้ ทุกข์หรือสุข แล้วตามเหตุมา เหตุ รู้จักเหตุที่คุณมี เป็นตัณหาก็ดี เป็นอุปาทานก็ดี คุณดับอาการของตัณหาหรืออาการของอุปาทาน ซึ่งเป็นตัวสภาวะ  static ตัณหาเป็นสภาวะของ dynamic ของตัวสภาพเคลื่อน อุปาทานเป็นของสภาพนิ่งซึ่งรู้ยาก เพราะฉะนั้นมันจึงต้องมีกระทบสัมผัสให้มันเคลื่อนมาแล้วก็ฆ่าตัณหา ตัณหาหมดเกลี้ยงเลย หยาบกลางละเอียด ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา อรูปตัณหาหมดเลย อุปาทานก็เกลี้ยงด้วย อย่างนี้เป็นต้น คุณมีสภาวะจริงตามพยัญชนะที่อาตมาพูดไปเนี่ย มีสภาวะจริง ตรงถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ คุณก็บรรลุสัมมาปฏิเวธ 

โลกุตระสำคัญอย่างไร สังเขปแล้วนะ โลกุตระคืออะไร คือสุขทุกข์ เทวนิยมไม่เรียนรู้เรื่องสุขทุกข์ เรียนรู้แต่ดีชั่วแล้วก็วนอยู่แค่ดีชั่ว แล้วก็ติดสุขด้วยเป็นสุขนิยม เพราะฉะนั้นเทวนิยมตะวันตกหรือชาวตะวันออกกลางก็ตาม ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่เรียนรู้เรื่องนี้ ไม่มีภูมิจะรู้ด้วย เพราะฉะนั้นเขาจะยังไม่มีทางที่จะเลิกสุขเลิกทุกข์ จะจมอยู่แล้วก็จะมีสงคราม เพราะสุข เพราะทุกข์นี่แหละ จะสุขเพราะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเพราะได้อำนาจได้ตำแหน่ง เพราะได้เสพ หรือได้สรรเสริญก็แล้วแต่  สรรเสริญเป็นจ้าวโลกหรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เขาจะไม่รู้จัก 

ทีนี้โลกุตระสำคัญอย่างไร มากกกก สำคัญมาก มากก็คือต้องเรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์นี่แหละ สุขทุกข์คืออาการของเจตสิก ที่เรียกมันว่า เวทนา ด้วยภาษาศัพท์วิชาการ เวทนาเป็นภาษาบาลี คือความรู้สึก 

อาการรู้สึก คืออาการรู้สึกนี้ มันจะมีลักษณะแบ่งเป็นใหญ่ๆคืออาการสุข อาการทุกข์ แล้วก็อาการไม่สุขไม่ทุกข์ 

ทีนี้พวกมิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำอาการไม่สุขไม่ทุกข์ของเขาได้เหมือนกันด้วยการสะกด สะกด สะกด สะกดเป็นสมถะ เขาก็สำเร็จเหมือนกัน อาฬารดาบส อุทกดาบส หรือพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่ได้เรียนรู้ถึงสภาวธรรมจริงว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดๆ สัมผัส แล้วก็เห็นกิเลสตัวจริง แล้วก็รู้มันได้ด้วยฌาน ด้วยปัญญา ว่าไอ้นี่มันขี้หลอก 

เพราะฉะนั้นตัวปัญญาจะมีธรรมฤทธิ์ เป็นธรรมฤทธิ์ที่เป็นเรื่องที่พูดด้วยภาษาไม่ได้ว่าเป็นธรรมฤทธิ์ถึงขนาด กิเลสนี้มันเจอปัญญาเนี่ย โอ้โหมันหนีไกลลิบ เฮ้ย…นี่ ปัญญาเกิดแล้วมันมาแล้ว เราอยู่ไม่ได้แล้ว นี่พูดด้วยพยัญชนะด้วยภาษาสู่ฟัง มันจะเป็นธรรมฤทธิ์ฆ่ากันเองอย่างนั้นเลย สภาวะของปัญญาเกิดรู้แจ้ง รู้จริง รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ไอ้เจ้ามาร เจ้าผี เจ้ากิเลส เจ้าตัวหลอกไม่จริง 

สรุปแล้วก็คือ ตัวไม่จริง พอความจริงมันขึ้นมาแท้ คือปัญญา เป็นความจริง ไอ้ตัวความไม่จริงมันจะไปรอหน้าความจริงได้ไง นี่ก็ใช้พยัญชนะใช้ภาษาอธิบายสภาวะชัดแล้ว

เพราะว่าแม้แต่ความไม่จริง มันก็มีสัจจะในตัวมันว่า เฮ้ย…เราเป็นตัวหลอกนะ ไปเจอตัวจริงเข้า เฮ้ย เอ็งจะเอาตัวไม่จริงไปสู้กับตัวจริงเขา หมอไหนก็ไม่รับเย็บนะ หน้าแตก เอาความไม่จริงไปทำเป็นจะชนะความจริง ก็ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะได้เท่านี้แหละ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย อาตมาพูดได้เท่านี้มีภาษา 

เพราะฉะนั้นโลกุตระคือความรู้ชนิดที่ลอยตัว 

โลกะ + อุตระ 

อุตระ แปลว่า อยู่เหนือ เห็นอยู่หลัดๆ โลกเขาก็มีอยู่แต่ผู้มีปัญญานั้นแล้ว หลุดพ้นจากโลก อยู่เหนือ ลอยอยู่เหนือ อุทธัง อยู่เหนือสภาวะโลก โลกก็เป็นตัวยอมแพ้ ไม่กล้าที่จะทำอะไรกับปัญญา เหมือนกับตัวกิเลสที่มันเป็นตัวไม่จริง พอเจอหน้าความจริงมันก็ต้องวิ่งหนี 

ตามสำนวนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตถาคตเห็นเราแล้ว มันก็หายไปเลย มีในพระไตรปิฎก พวกมารทั้งหลายบอกว่า ตถาคตทรงเห็นเราแล้ว มันวิ่งหนีหูตูบเลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆสภาวธรรมสัจจะ เพราะปัญญามีธรรมฤทธิ์ ที่พวกมาร พวกความไม่จริงทั้งหลายแหล่ที่ใช้ภาษาไทยชัดที่สุดนี่ ความไม่จริงมันจะกล้ารอหน้ากับความจริงได้อย่างไร มันหายไป มันเป็นสภาวะที่เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมากเลยซึ่งคนธรรมดาที่ไม่มีภูมิหรือภูมิยังไม่ถึง ฟังแล้วก็จะบอกว่ามีด้วยหรือว่ะ

นี่แหละอาตมาขยายผลความจริงว่า เราเอาความสงบไปรบชนะความรุนแรง จนชนะมาแล้ว อันนี้ยังหยาบกว่าเมื่อกี้ที่พูดด้วยพยัญชนะภาษาว่า ไอ้ตัวมาร ตัวไม่จริง กับตัวปัญญาเป็นตัวจริง มารมันรู้มันกลัวความจริง ไอ้นั่นยิ่งละเอียดกว่าที่เราออกสนามรบเอาความสงบไปสยบไปประหารความรุนแรง 

นี่แหละประเทศไทยมีตัวอย่างความจริงอันนี้ เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่มีภูมิธรรมจะรู้  พวกเทวนิยมนี้ยังยาก คนไทยด้วยกันและเป็นพุทธด้วยกันนี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ยังอีกเยอะเลย แม้แต่ผู้รู้ปราชญ์เอกทางเถรสมาคม ยังๆ ยังไม่ใช่ง่ายๆ 

ทีนี้ตอบอันที่ 2 ว่าโลกุตระสำคัญอย่างไร ถ้าความรู้โลกุตระธรรมที่ต้องรู้สภาวะกิเลส รู้สภาวะปัญญา รู้ธรรมฤทธิ์ต่างๆพวกนี้ คุณไม่รู้จริงๆเลยนี่นะ คุณก็จะไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญพวกนี้เลย เพราะมันจะไม่ปรากฏผลให้คุณเห็นความสำคัญในความสำคัญ อ๋อ.. นามธรรมพวกนี้ มันรบกันด้วยนามธรรมแล้วมันมีแพ้ชนะกันด้วยนามธรรมด้วยหรือ คุณจะไม่เห็นความจริง 

เพราะฉะนั้น ปัจจัตตัง ตัวคุณปฏิบัติเอง คุณก็จะเกิดความจริงอันนี้ คุณถึงจะรู้ความสำคัญในความสำคัญนี้ได้ ว่ามันเป็นอย่างไร หมดความเว่าแล้ว พูดไปอีกประเดี๋ยวก็วน ใครอัดเสียงไว้เอาไปฟังทวน ก้าวหน้าต่อไป  

ในข้อต่อว่า โลกุตระมีในโลกได้เพราะใคร ในโลกที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นและเป็นโลกที่ไม่มีโลกุตระเลย ในยุคไหนก็ตาม ถ้ายังไม่มีคนอย่างพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ในโลกนั้นจะไม่มีโลกุตระเกิด พระพุทธเจ้าเกิดอุบัติขึ้นในโลกเป็นตัวตน มีขันธ์ 5 มนุษย์ แล้วประกาศสัจจะนี้เป็นโลกุตระ โลกุตรธรรมจึงเกิดได้เพราะพระพุทธเจ้า 

ไม่มีใครบังอาจจะนำเอาโลกุตระมาประกาศออกไปในโลกที่ไม่มีโลกุตระ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นเจ้าของโลกุตระทุกพระองค์ เมื่อโลกหรือยุคใดที่ไม่มีโลกุตรธรรม และก็ไม่เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาประกาศโลกุตรธรรมแล้ว ก็ต้องมีสัตตบุรุษ มีผู้รู้ความจริงที่เป็นสัจจะโลกุตรธรรมมาประกาศ 

เช่นยุคนี้ ยุคใกล้กลียุคนี้พระพุทธเจ้าไม่อุบัติ ต้องปล่อยให้พระโพธิสัตว์ ยุคนี้ก็มีพระโพธิสัตว์ 2 องค์ใหญ่ๆ เป็นธรรมิกราช 2 องค์คือในหลวงรัชกาลที่ 9 กับอาตมา มาประกาศความจริงของโลกุตรธรรมนี้ 

ในหลวงตามสัจจะบารมีของท่าน ในหลวงท่านก็แสดงรูปธรรม ส่วนอาตมานั้นเป็นฝ่ายปัญญา ก็แสดงนามธรรมให้ละเอียดลออยิ่งกว่ารูปธรรม มันเป็นหน้าที่ เป็นสัจจะบารมีของแต่ละบุคคล ในหลวงท่านก็มีของท่าน อาตมาก็มีของอาตมา แต่ต้องคู่กัน ในหลวงกับอาตมานี้คู่กันมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่อย่ามาถามนะชาติไหนบ้าง อาตมานึกออกบ้างไม่ออกบ้างแล้วก็ยังไม่มีรายละเอียดเท่าไหร่ไม่อยากพูดถึง มีบ้างแต่ว่ารายละเอียดน้อย แล้วก็อ้างอิงไม่ได้เพราะมันไม่มีในประวัติศาสตร์ด้วย ไม่มีในตำนาน มีในตำนานบ้าง แต่มันก็น้อย เลือนลางไม่ค่อยรู้ ในมหายานเขาจะมีเยอะ เถรวาทไม่มีเลยตำนานพวกนี้ ก็เลยไม่อยากพูดถึง เพราะว่าพูดไปก็ไม่มีหลักฐานอ้างอิง มันเลื่อนลอยอาตมาก็ไม่อยากจะพูดให้เสียเวลา 

ทำความจริงนี้ให้ปรากฏก็แล้วกัน ในหลวงท่านก็มีบารมี 89 พรรษา ท่านก็สวรรคตไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่อาตมานี้ยัง อีลากอีเลือ ไปอยู่เนี่ย ถูลู่ถูกังชีวิตไป ทำหน้าที่ไปให้ได้มากที่สุดเพราะอาตมายังต้องสั่งสมสัมภาระวิบากอันนี้ สั่งสมบารมีอันนี้ ต้องทำ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเสียหาย พวกคุณ ประชาชน ผู้ที่มีประโยชน์ รับประโยชน์ได้ ก็รับประโยชน์ไป อาตมาก็ทำประโยชน์นี้ไป มันไม่ใช่ของเสีย มันเป็นของดี ก็ทำ 

_นักรบธรรม...สรุปว่าของพระโพธิสัตว์นี้จะต้องเหนื่อยกว่าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญมากกว่าพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... แน่นอนสิ ถามว่าพระโพธิสัตว์จะต้องเหนื่อยกว่าพระพุทธเจ้าใช่ไหม ก็ใช่สิ ยิ่งพระสมณโคดมเป็นยุคปลายแล้ว ท่านเหนื่อยน้อยที่สุด ทำใบไม้กำมือเดียว อายุ 80 ไปแล้ว บ๊ายบายทิ้งไว้ให้พระโพธิสัตว์แบก มันเป็นสัจจะ มันจะต้องเป็นเช่นนี้ Born To Be มันต้องเกิดแบบนี้แหละ มันต้องเกิดต้องเป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ก็ไม่ใช่ของจริง ของจริงมันเป็นอย่างนี้ 

_นักรบธรรม...แล้วพระอวโลกิเตศวรเป็นพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ 

พ่อครูว่า... ยังสิ ยังไม่ได้ประกาศตัวเป็นพุทธเจ้า ท่านมีปณิธานสูงใหญ่ ไม่รู้ท่านจะลดปณิธานนั้นแล้วก็มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร ก็เรื่องของท่าน ที่จริงมันเป็นบัญญัติ โลกุตรธรรม ถามว่าโลกิเตศวรมันเป็นบัญญัติที่เป็นบัญญัติของปณิธาน ใครจะมีปณิธานขนาดนั้นก็เอาสิ แต่จริงๆแล้วเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็จะรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ท่านก็จะไม่ดันทุรังทำไปจนถึง Impossible ท่านจะให้คนตรัสรู้หลุดพ้นเป็นอรหันต์หมดทุกคนทั้งโลกแล้วจึงจะปรินิพพานเป็นองค์สุดท้าย  มันเป็นเรื่อง Impossible มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก 

เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีลด เหมือนกันกับพิธา ถ้าลดซะบ้างนะ พิธาเอ๋ย อย่าไปเอาอย่างทักษิณเลย มันก็จะตายโครมเหมือนทักษิณนั่นแหละ เป็นแต่เพียงว่าคุณจะมีแผ่นดินอยู่หรือไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนทักษิณไหม เท่านั้นแหละ ดูไป 

_นักรบธรรม...ในยุคสงครามนิวเคลียร์ทำลายล้างแทบเกลี้ยงโลก แล้วก็จะมีมนุษย์ที่เหลืออยู่นี้ไม่กี่คน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรน่าจะเกิดยุคนี้ล่ะครับ 

พ่อครูว่า... สรุปคำพูดของอู๊ด หมายความว่าในโลกนี้คนเชื่อว่าอาวุธนี้จะปราบคนตายหมดทั้งโลก คุณมีอาวุธเก่งแล้วก็ปราบให้คนตายหมดโลก คุณก็อยู่ไปสิคนเดียว เป็นใหญ่อย่างที่คนทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น เกษมสันต์ เกื้อกูล สามัคคี อยู่อย่างนี้สิ ไปอยู่อย่างที่คุณปราบคนไม่เหลือ แล้วคุณเป็นใหญ่ ข่มคนหมด เหลือก็กะหยิบเดียวเหลือแต่พวกคุณกันเองเดี๋ยวพวกคุณก็กัดกันเองเดี๋ยวพวกคุณก็แย่งตำแหน่งคุณก็ฆ่ากันเองใหม่ 

อาตมาไม่อยากจะพูดหรอกว่าฆ่ากันไปหมดเลย เหมือนอย่างอาตมาเคยพูดว่า มีคนที่เก่งในการยิงปืน ทั้งเร็วทั้งแม่น หันหลังชนกันแล้วเดินออกไปให้กรรมการเป่านกหวีดแล้วหันกลับมายิงกันเลยแล้วเป็นยังไง ก็ตายทั้งคู่เพราะมันเร็วทั้งคู่ มันแม่นทั้งคู่ มันกดนิ้วพร้อมกันทั้งคู่ ลูกปืนวิ่งไปก็ถูกตัวคนที่มันยิงด้วยกันทั้งคู่ มันก็ตายพร้อมกันด้วยกันทั้งคู่ 

นี่คือความจบ แล้วจะไปทำทำไม อ๋อ.. เป็นเรื่องจะหาทาง ปรินิพพานเป็นปริโยสานเหรอ ไม่ใช่มั้ง การปรินิพพานด้วยการถือปืนหันหลังชนกันแล้วตายพร้อมกันทั้งคู่และพวกนี้คือปรินิพพานหรือ ไม่ใช่ 

_สู่แดนธรรม... เหลือกรรมการอีกคนยังไม่ตายครับ 

_นักรบธรรม..​ จะเหลือพวกที่ปฏิบัติธรรมไปหลบอยู่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... นี่เขาแก้มา พวกยิงกันมันก็ตาย อันนี้ก็สำคัญ วางศาสตรา วางทัณฑะ วางอาวุธ อย่างพวกเรานี่วางแน่ๆเลยออกไปชุมนุมกันพร้อมหรือยัง มีอาวุธไหม ไม่มีอาวุธ มีแต่หัวใจจริงๆ ตายเป็นตายพวกเรารู้จักความตายว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ตายก็ตายด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความจริง ด้วยความดีงามอันวิเศษ เป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเราไม่ใช่จะเป็นคนซาดิสม์ หรือจะเป็นคนมาโซคิสม์ ตายแล้วดีมันดีไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นคนวิปริตวิตถารแบบนั้น เราก็ไปทำอย่างที่เหมาะที่ควร ตามเหมาะตามควร 

มาพูดถึง โลกุตระ มีในโลกได้เพราะใคร.. เพราะพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ถ้าในโลกยุคใดปราศจากโลกุตระแล้ว และสมเหมาะสมควรที่พระพุทธเจ้าจะต้องมาประกาศลงไป แล้วโลกุตระจึงจะมีอยู่ในโลก จนกระทั่งโลกุตระเสื่อมไปเรื่อยๆ ก็จะมีพระโพธิสัตว์ที่ค่อยๆกอบกู้ช่วยมาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าก็หมดพระหน้าที่ของพระองค์แล้วทุกพระองค์ ไม่มาอุบัติในยุคที่ไม่ควรเกิด 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มาเกิดในยุคที่ไม่ควรเกิด คือยุคที่เข้าสู่กลียุคและมีคนเลวหนักแล้ว มันไม่เหมาะสมที่พระพุทธเจ้าจะมาทำสิ่งนี้เพราะมันจะหยาบ อย่างอาตมานี้แรง หยาบ ดูแล้วไม่งาม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้ามาแสดงอย่างอาตมานี้เสียหมด เสียสมณสารูปของพระพุทธเจ้า ต้องปล่อยให้คนอย่างอาตมาต้องมาเกิดในยุคนี้ 

ต่อไปยิ่งจะแรงกว่านี้เพราะความเลวร้ายจะหนักหนาสาหัสกว่านี้ นี่ขนาดยุคที่อาตมาเกิดนี้ มันจะแรงกว่านี้ และยุคเหล่านั้นไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา เป็นหน้าที่ของโพธิสัตว์ระดับต่อไป จะต้องมาเผชิญกับความหยาบแรงกว่านี้ 

อาตมานี้หยาบไม่ลง พูดหยาบก็ไม่ได้ มันไม่ได้จริงๆ อาตมาชาตินี้ไม่เคยพูดหยาบ แม้แต่คำว่ากูมึงที่พูดกับเพื่อน เพื่อนพูดกับอาตมานี้ก็พูดกูมึงได้ แต่อาตมาพูดไม่ออก พูดได้แต่ ลื้อ อั๊วะเอ็ง ข้า อย่างเก่ง เอ็งข้า แค่นั้น กูมึงอาตมาพูดไม่ได้ชาตินี้ เพื่อนอาตมาหลายคนก็ว่าอะไรวะ เขาพูดกับอาตมาว่ากูมึง แต่อาตมาพูดกับเขาพูดกูพูดมึงไม่ออก พูดได้แต่เอ็ง ข้า ลื้อ อั๊วะ 

_นักรบธรรมว่า..​แก ฉันได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... มันจะงามไป มันจะไพเราะไป ลื้อ อั๊วะ เอ็ง ข้า ก็สมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้เวลามันหมดแล้ว จะต่อไหม 

_สู่แดนธรรม... เพื่อเป็นการเซฟพ่อท่านนะครับ 

พ่อครูว่า... แน่ใจหรือว่าเป็นการเซฟ ไม่ใช่ว่ายิ่งพูดยิ่งเป็นการ stimulate ขึ้นมาหรือเพิ่ม Co-efficient ขึ้นมาไม่ได้เหรอ

_สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อครูพูดเรื่องประเทศไทยนี้เท่านั้นที่จะทำโลกุตระได้ ต่างประเทศพยายามจะทำโปรเทสแบบประเทศไทย 

พ่อครูว่า... อยากให้เลียนแบบนะ แต่ไม่ใช่จะเลียนแบบได้ง่ายๆ 

_สู่แดนธรรม... สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #30 ประกาศกองทัพธรรมไปร่วมชุมนุมให้กำลังใจสว. วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2566 ( 13:13:51 )

660721

รายละเอียด

660721 ตอบปัญหาพาทำจิตเป็นอุตุไม่เกี่ยวเกาะ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53235.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1Pa96-ZyNTpiSaN9401OHt8sbcBBH7j9N/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                        

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/102QSdfJUixhMN_R8jHrRsz_xkXUIcZ_M/view?usp=sharing  

และดูวิดีโอได้ที่ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ภัยพิบัติธรรมชาติทุกวันนี้มีเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมโลกเปลี่ยนแปลง ช่วงเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าให้ภิกษุอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน  ไม่ให้ภิกษุไปเหยียบกล้าข้าวของชาวบ้าน แต่สมัยนี้ การเดินทางไม่เหมือนสมัยก่อน สมณะชาวอโศกก็ประจำอยู่ที่พุทธสถานประจำอยู่แล้วไม่ได้ไปไหน ญาติธรรมก็มาอยู่เข้าพรรษากัน พ่อครูก็อยากให้มีสมาชิกที่ราชธานีอโศกสัก 777 คน แต่ก็ควรเป็นคนที่แข็งแรงด้วยนะ ไม่ใช่คนติดเตียงคนพิการ มาแล้วคนจะมาเสียสละทำงานได้ร่วมกับหมู่กลุ่มได้ อยู่กับหมู่กลุ่มจะทำให้สุขภาพร่างกายดี ออกกำลังกายร่วมกัน สุขภาพจิตก็จะดีปฏิบัติธรรมร่วมกัน 

พ่อครูว่า... 

SMS วันที่ 17-20 ก.ค. 2566

สังคมประเทศไทยนี้เศรษฐกิจดีมาตลอด 

_ผู้ก่อ ความสงบ  · ตอนนี้เศรษฐกิจดีไหมครับ

พ่อครูว่า... คำว่าเศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดีนี้ลึกซึ้งนะ ชาวบ้านราชเราเศรษฐกิจดี แต่พวกเราเป็นคนจนนะ ตอบกันอย่างไม่มีสงสัยเลยมีคำตอบเดียว ไม่มีให้เลือกเลย เศรษฐกิจดีแต่เราเป็นคนจน แล้วคนจนทำไมมีเศรษฐกิจดี ...​ไม่มีหนี้ 

เงื่อนไขว่าเศรษฐกิจดีคือ 

1. ไม่มีหนี้ 

2. มีสมรรถภาพขยันหมั่นเพียรทำงาน เลี้ยงตัวเองตลอด งานที่สุจริตงานที่ดีมีประโยชน์คุณค่าแล้วเลี้ยงตัวเองรอด 

3. นอกจากเลี้ยงตัวเองรอดแล้วยังมีส่วนเหลือส่วนเกิน จากที่ตัวเองใช้อยู่ใช้กิน ใช้อย่างสบายแล้ว ยังมีเหลือส่วนเหลือส่วนเกิน เพราะฉะนั้นส่วนเหลือส่วนเกิน 

4. สะพัดแจกจ่ายเจือจาน ขายก็ขายราคาต่ำกว่าทุนหรือแจกได้เลย นี่คือเครื่องวัดเศรษฐกิจดี ถ้าจะพูดถึงเรื่องชัดเจนแล้ว แต่ทุกวันนี้นี่นักเศรษฐศาสตร์เขาเรียนทฤษฎีของเทวนิยม เขาไม่เข้าถึงเนื้อแก่นสาระของคำว่า ความเป็นอยู่ดีของมนุษยชาติของคน คืออะไร 

เขาไปสำคัญที่ความรวย ไปสำคัญที่วัตถุทรัพย์ แล้วเขาก็ว่าเขาฉลาด วัตถุทรัพย์นั้นสะพัด มีวัตถุทรัพย์โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เป็นตั๋วแลกเงิน เรียกกันว่า แบงค์โน๊ต แล้วก็สะพัดหมุนเวียน คือมันห่างออกไปจากแก่น มันขยับเคลื่อนจากตัวแท้เนื้อแท้ ออกไปไกลเลย 

สุดท้ายเขาก็ไปบอกว่าเศรษฐกิจดี ใช้ GDP เป็นเครื่องวัด ไปโน่นเลย GDP ก็คือ Ghost Disease Product ไปโน่นเลย มันต่างกันคนละโลกเลย ทางโลกเขายึด GDP Gross Domestic Product อาตมาก็อธิบายรายละเอียด เขาก็ว่าไป เขาแปลหรือให้ความหมายของมันอย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เขามี Concept อย่างนั้น เขาก็เลยแปลไปเป็น Concept ของตัวเอง มันก็ได้ความหมายแบบเขา เพราะฉะนั้นจะถือว่าดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ Concept อยู่ที่ความเข้าใจองค์รวมของแต่ละคน 

อาตมาตอบสำหรับคุณผู้ก่อความสงบนี้ ก็คงจะถามหมายถึงสังคมประเทศไทย เศรษฐกิจของสังคมประเทศไทยดีไหม 

อาตมาก็ขอตอบว่า สังคมประเทศไทยนี้เศรษฐกิจดีมาตลอด ไม่เคยเดือดร้อนเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เดือดร้อนไม่มีจะอยู่จะกินถึงขั้นปล้นกัน จลาจลไม่เคยมี เมืองไทยไม่เคยมี มีแต่ทำทานกันได้เผื่อแผ่กันได้ ยิ่งอยู่ย่านนี้แล้ว แถวๆกระท่อมปันสุข พอได้เวลาก็มา เขารู้เวลาก็รับแจกไป หน่อไม้ ผักปลัง นานๆจะมีทุเรียนไปแจก จริงนะทำไปเล่นไป เราไม่เคยแจกถึงคนละลูก เราแจกคนละพู แต่แจกถึง 800 กิโลกรัมก็เคยมี 

เพราะฉะนั้น GDP ก็แล้วแต่ว่าคนจะมี Concept อย่างไร ประเมินไปโดยรวม อาตมาก็ว่าเมืองไทยไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจเท่าไหร่ จะบอกว่าข้าวยากหมากแพง มันก็ไม่มีปัญหานะ 

ข้าวยากหมากแพงเป็นสำนวนตื้นๆของคนที่ไม่เข้าใจแนวลึก อะไรมันจะแพง แต่ก่อนนี้ตอนอาตมาเป็นเด็กก๋วยเตี๋ยวชามละสลึง เดี๋ยวนี้ชามละ 50 บาท แล้วมันอยู่ได้อย่างไร แล้วจริงๆก๋วยเตี๋ยวสมัยที่อาตมากินกับก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวนี้ก็ชามเท่ากัน ตัวเลขมันขึ้นไปเฉยๆ เราเองก็มีรายได้ประมาณในยุคเดียวกันนี้ ที่มันจะก็พอไปได้กับสังคม รายได้เราไปได้กับสังคม มันก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ตัวเลขมันเปลี่ยนเท่านั้นเอง 

แล้วทีนี้มันมีความโง่อวิชชาของคน มันมีความโง่ตรงไหน ตรงที่ว่ามันอยากจะได้ธนบัตรหรือว่าตัวเลขของเงินนี่แหละ มาไว้ที่ตัวเองมากๆ เท่านั้นเอง แล้วก็จะได้จ่ายมากๆคล่องๆ 

บางคนขี้เหนียวนะ มีเงินมากๆก็จ่ายเท่าเดิม กินอยู่เท่าเดิม แต่เงินที่มีมากก็เก็บไว้ชื่นใจ สุดท้ายตายจากไป โอ้โห เหลืออยู่กองเบ้อเร่อเลย กองอยู่เยอะเลยนะ ตัวเองก็ไม่ได้ใช้หรอก ตัวเองก็กินอยู่เหมือนเดิม นอกจากพวกที่ว่ามีมาก ก็กินอยู่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยตามแฟชั่น กิเลสเพิ่มซ้อนอีกก็เรื่องของเขา 

เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆแล้วเข้าใจ มีปัญญาปฏิภาณลึกซึ้ง มันไม่เดือดร้อนอะไรหรอกชีวิต 

คนๆหนึ่งทำงานอาศัยการงานไม่ว่าจะเป็นการงานที่เป็นการลงมือทำเลย เป็นการงานกรรมกรเลยหรือการงานนักบริการ ใช้แรงงานอื่น กรรมกรทำของตัวเอง ใช้ของตัวเอง กินของตัวเอง หรือไปรับใช้คนอื่นกรรมกร หรือเป็นกรรมการเป็นนักบริหารอย่างนี้เป็นต้น 

แม้แต่ที่สุดมาเป็นนักบวช มันอยู่ได้ นักบวชที่เคร่งๆที่อยู่ด้วยธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างพวกเรา ไม่ได้มีการสะสมเงินทองทรัพย์สินอะไรเลย อาศัยความดีอาศัยการอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นคนเจริญในธรรมจริงๆเลย พอเลี้ยงตัวเองรอด 

สมณะฟ้าไท... เหลือด้วยครับ

พ่อครูว่า... จริงๆองค์รวมของประเทศไทยสบาย อย่างพวกเราพิสูจน์ได้เลย อย่าว่าแต่เรานักบวชชายเลย นักบวชหญิงสิกขมาตุเราก็อยู่สบาย เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต้องพูดถึงเลยเมื่อมาบวช ก็สบายอยู่สบาย สึกมีน้อย อาตมาจะบอกว่าตายเยอะกว่าสึก มันไม่น่าจะใช่นะ สิกขมาตุเสียชีวิตไปมีจำนวนมากกว่าที่สึกไป สึกไปมีน้อย บวชแล้วก็มีชีวิตไปจนกระทั่งเป็นโรคตายบ้าง แก่ตายบ้าง นี่เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันเลยว่าเศรษฐกิจคืออะไร ศึกษาดีๆ 

มีคนแซมมาว่า ต้องทำให้จนจริงๆ แต่ไม่จนใจในสมรรถภาพ เป็นการยืนยันได้ว่าชีวิตมนุษยชาติ มันไม่ยากอะไร รู้จักวิธีเป็นอยู่ แล้วก็มันจะมีหมู่ มีกลุ่มด้วย เหมือนอย่างพวกเรา เป็นศาสนาพระพุทธเจ้าที่เป็นเรื่องจริงและพิสูจน์ มันจะเป็นอย่างที่มันเป็น 

_อนันต์ ศิรินุพงศ์  · สส.มีหน้าที่ออกกม. แต่การ เป็นรมต. ควรเป็นเพื่อช่วยเหลือคน

พ่อครูว่า... จริง สส. เป็นตัวแทนประชาชนมีหน้าที่ออกกฎหมายออกกฎระเบียบของประเทศอาศัยไป ส่วนรัฐมนตรีควรเป็นอีกหน้าที่หนึ่ง เลือกขึ้นไปบริหาร ช่วยกันบริหารประเทศ เป็นคณะรัฐบาล ส.ส.ไม่ใช่คณะรัฐบาล ดีไม่ดีเป็นฝ่ายค้านด้วย ก็เป็นเรื่องของระบบบริหารประเทศว่ากันไป 

_องอาจ วิจิตรานนท์  · กราบนมัสการขอรับพระคุณเจ้าที่เคารพยิ่ง กระผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่าภิกษุไม่ควรจะมายุ่งกับการเมือง ผมเองรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาลหากพระพุทธเจ้า ท่านไม่ตัดสินใจ ออกมาสอนกษัตริย์ทั้งหลายตลอดจนประชาชนคนอินเดียในขณะนั้น ป่านนี้ก็คงไม่มีศาสนาให้เราได้รับรู้ การที่พระองค์ทรงออกมาสั่งสอนนี่ก็เท่ากับพระองค์ออกมายุ่งกับการเมือง เพราะฉะนั้นพระองค์คือนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของโลก นี่คือทัศนะคติที่ผมคิดเอาเอง หากผิดพลาดพลั้งประการใดขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยนะขอรับ

…พระคุณเจ้าขอรับ ความคิดของกระผมว่า หัวหน้าพรรคส้มเน่านั้นคือกองทัพหน้าของคนหนีคุกในข้อนี้ท่านจะสังเกตได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ส่งคนของพรรคลงมาแข่งขันในการเลือกนายก คนหนีคุกนั่นแหละตัวเอ้ที่คิดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่นให้พระมหากษัตริย์มากระซิบข้างหู ตีตนเสมอท่าน อีกอย่างคือทำพิธีบวงสรวงในวัดพระแก้ว เป็นต้น

พ่อครูว่า... ตอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ทำงานเพื่อแคว้นของท่านประชาชนของท่าน แต่ตอนออกบวชแล้วก็ทำงานเพื่อประชาชนทุกคน เพื่อมวลมนุษยชาติ คุณคนนี้ชัดเจน แต่คนเขาฟังไม่ค่อยเป็น อาตมาพูดไว้เป็นประเด็นที่หลายมุมหลายแง่แล้ว คุณคนนี้ฉลาดเข้าใจ ทุกอย่างก็ดูที่สังคม ดูที่มนุษยชาติ 

_เวียงทอง นุ่นภักดี  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ ตัวลูกเห็นการเมืองปัจจุบันมีการแสดงเหมือนละครไม่เห็นความจริงใจของนักการเมืองที่แบ่งขั้วกันชัดเจน อีกฝ่ายสีหมองๆ อีกฝ่ายสีเหลืองที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถ้าแต่ก่อนลูกคงจะทุกข์เพราะจิตลูกคงเกลียดชังเขา แต่พอมาพบธรรมะแท้จากพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุ อาจารย์หมอเขียว พี่น้องจิตอาสา ทำให้ลูกวางใจได้ว่าทุก อย่างที่เกิดขึ้นมันดีที่สุดแล้ว มันเป็นไปตามธรรมเจ้าค่ะ กราบสาธุเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ดี นี่แหละฟังเสียงธรรมะ เรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะแล้วมีความเข้าใจเกิดปัญญาทำให้ตัวเองสบายขึ้นและปรับตัวอยู่กับสังคม มันจะเป็นไปอย่างไรก็ได้ในสังคมอวิชชา เขาไม่ได้มีปัญญาเข้าใจ ไม่ได้อยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ไม่เที่ยง 

_บวรวงศ์ เกตุพงษ์  · กองทัพธรรมออกไปให้กำลังใจวุฒิสภาเป็นความประเสริฐ ใช้ความสงบสยบความรุนแรงและความก้าวร้าวหยาบคาย

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · ลุงตู่ไปแล้ว พ่อครูจะตรอมใจใหมครับ

พ่อครูว่า... ไม่ตอบดีกว่า อาตมาเลิกแล้ว ไม่มีแล้วเรื่องตรอมใจ แล้วยิ่งประเทศไทยเราไม่มีอะไรเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องตรอมใจ ไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยิ่งไม่เกิดอาการตรอมใจ ลุงตู่จะไปจะมาก็เป็นกาลเวลา ที่จริงลุงตู่ทำงานเป็นนายกมาเกิน 8 ปีนะ เดี๋ยวนี้ก็ยังรักษาการนายกอยู่

ส่วนพิธาก็บอกว่าผมเป็นนายกแล้ว คนนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย กำหนดอย่างนี้ก็ไม่เข้าเป้า มีความอยากเป็นชัดเจน ต้องการที่จะได้จะเป็นจะมี มันชัดเจนเป็นกิเลส แล้วแสดงออกว่าต้องทำหน้าที่นะ เขากล้าทำได้อย่างไร แต่เมืองไทยก็ดีนะ ไม่เอาเรื่องกันเท่าไหร่ถ้าเอาเรื่องก็เข้าคุกแล้วพิธา เอากฎหมายมาจับจริงๆหลายประเด็นเลยนะ ส่วนคนไทยก็ดีนะ มันจะบ้าก็ไปให้มันบ้าไป เขาไม่รู้ตัวจริงๆ เห็นไหมกิเลสของคน ให้มันทำอะไรเลยเถิดสุดโต่ง น่าเกลียดเขาก็ไม่รู้ว่าน่าเกลียด ก็ดูกันไป คนไหนเป็นไปอย่างไร ทุกอย่างก็แสดงความจริงออกมา​ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลในมนุษย์

 

อโศกยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นไปตามลำดับ

_เล็ก วันนะ  · อัตวินิบาต ของอโศกคือยึดมั่นถือมั่นในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

พ่อครูว่า... คุณพูดถูกต้อง แต่ไม่ใช่อัตวินิบาต แต่เป็นความหลุดพ้นลอยตัวของชาวอโศก อยู่เหนือแล้วหลุดพ้นแล้ว เพราะฉะนั้นยึดมั่นถือมั่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกต้อง เพราะรู้ว่าอะไรถูกต้องก็ต้องยึดฝ่ายนั้น อะไรไม่ถูกต้องไม่ต้องไปยึดสิ ต้องเลิก ถ้าเราไปยึดฝ่ายไม่ถูกต้องฝ่ายไม่ดี เราก็ต้องเลิกมายึดฝ่ายดี 

แต่คำว่ายึดมั่นถือมั่นนี้ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็ยังต้องยึดมั่นถือมั่นก่อน ยึดมั่นถือมั่นดีให้ได้แล้วอย่าให้ความไม่ดีนี้ยังอยู่ พอได้แล้วก็ค่อยๆ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นจนที่สุดไม่ต้องไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา คุณเอาไปฟังซ้อนฟังซ้ำถ้าอัดไว้ ทำความเข้าใจดีๆ 

 

สายอรหันต์เก๊คือสายหลับตามหาบัว ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท 

_รชต หอมนาน  · ผมนับถือหลวงตามหาบัวคับ ที่ท่านว่าหลวงตามหาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ผมก็ไม่รู้ แต่กูไม่นับถือมึง ไอ้เป**

พ่อครูว่า... ก็เป็นธรรมดา 2 คนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย 

มันก็น่าเห็นใจ อาตมาสงสารสังคมพุทธศาสนาทุกวันนี้ มันเสื่อมหนักเลย คนส่วนใหญ่ไปหลงผิดเคารพสิ่งที่มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติผล ไปหลงอรหันต์เก๊ไปหลงคนที่ดำเนินผิด อย่าว่าแต่พระหลับตาปฏิบัติเหมือนสายมหาบัวเลย แม้แต่เถรสมาคม ก็ไปยึดถือออกนอกรีตนอกทาง ศีลสมาธิปัญญาไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว ไปเข้าใจเพียงวิชาการอะไรภายนอก แล้วก็ไปประพฤติปฏิบัติสร้างก่ออะไรกันเพื่อที่จะได้ ตำแหน่งยศศักดิ์หรือว่าสร้างให้ฐานะของวัดของตัวเอง สถานที่ของตัวเองมีคนมายอมรับนับถือ มีแขกเหรื่อมากๆอะไรพวกนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารศาสนาพุทธ 

ยุคพระพุทธเจ้าคนเข้าใจอยู่คนที่มาบวชในพุทธศาสนาคือคนมาละหน่ายจางคลายจากกิเลส ในยุคนี้ในชาวอโศก ชาวอโศกอาตมาก็ทำกลับ นำของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนสำเร็จมรรคผล แล้วก็มีสิ่งที่เกิดเป็นปรากฏการณ์จริง เป็นพฤติกรรมจริงเกิดขึ้นในสังคม มีพฤติกรรมทางมีศีล มีพฤติกรรมทางมีสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิแบบพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิเป็น สมาหิโต ไม่ใช่เจโตสมาธิแบบที่เขาหลับหูหลับตาปฏิบัติแบบมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่ คนละเรื่อง 

เป็นปัญญา แต่ของเขาไม่เป็นปัญญาไม่เข้าหลักเกณฑ์ปัญญาของพระพุทธเจ้า เป็นแค่เฉโก เป็นแค่ความรู้โลกียะ ที่แม้ว่าจะพอรู้สึกเข้าใจเรื่องสุขเรื่องทุกข์บ้าง เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นอวิชชาไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์เป็นอวิชชา 8 ทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค อวิชชา 4 ข้อก็ไม่รู้แล้ว สิ่งที่เป็นส่วนอดีตก็ไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นอนาคตส่วนที่เป็นอนาคตก็ไปยึดมั่นถือมั่น แล้วแต่บุคคล ใครจะไปยึดอดีตมาก ใครจะไปยึดอนาคตมาก ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ไปยึด บางคนก็เอาหมดเลยทั้งอดีตอนาคต 

ไม่อยู่ในปัจจุบัน นี่คือวิชาที่แท้จริงเพราะอดีตก็ดี อนาคตก็ดีไม่ใช่ความเป็นจริง อดีตผ่านมาแล้วอนาคตก็มาไม่ถึง พูดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ต้องเข้าใจใน กาละทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติเป็นความจริง 

เพราะฉะนั้นแม้แต่แค่นี้แหละเข้าใจไม่ได้ว่าคุณจะไปปฏิบัติกับความจริงหรือคุณจะไปปฏิบัติกับสิ่งที่มันไม่จริง อยู่กับอดีตมันก็มีแต่สัญญา อนาคตก็มีแต่สัญญา กำหนดหมายอะไรไปล่วงหน้า มันไม่ได้เป็นปัญญา มันไม่ได้เป็นของจริงอะไรเลย มันไม่ได้ประโยชน์ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ในทิฏฐิ 62 พรหมชาลสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรก มิจฉาทิฏฐิจมอยู่ตรงนั้นเยอะเลย 

เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท 11 12 อวิชชาสนิท สังขารก็ไม่รู้เรื่อง วิญญาณก็ไม่รู้เรื่อง เรื่องวิญญาณก็คิดเป็นสัมภเวสีไปไม่อยู่ในปัจจุบัน ต้องเป็นวิญญาณฐิติอยู่ในปัจจุบันขณะนี้จึงจะใช่ของจริง แต่นี่ไม่เลย ดีไม่ดีกำหนดวิญญาณก็ไปกับหมอปลา วิญญาณผีเข้าผีออกอะไรกันซึ่งเป็นอุปาทาน ก็ต้องปล่อยไปมันเป็นอุปาทานของเขา อย่าไปจำ อย่าไปยึด อย่าไปถือตามที่เขาทำตามกันมา คุณไปจำมาตั้งแต่กี่ชาติแล้วว่าผีเป็นอย่างนั้น 

ผีมันคือกิเลสอยู่ในตัวคุณอย่างน้อยที่สุดบอกว่าผีเข้าคือความโง่ของคุณ ผีกิเลสมาเข้าคุณ นอกจากกิเลสนั่นแหละเป็นผีของคุณแล้วคุณก็รู้จักกิเลสและคุณก็เริ่มลดมาเป็นศีลสมาธิปัญญา 

อันนี้กิเลสเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน อันนี้กิเลสเกี่ยวกับข้าวของเกี่ยวกับพืช อันนี้กิเลสเกี่ยวกับกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) นี่แหละผี รู้จักผีให้ได้ อย่าไปงมงายกับผีอย่างนั้นก็เรียกอย่างติดปากว่าผีหลอกผีหลอก เอาผีจริงๆสิ เอาผีออกจากตัวให้ได้สิ 

คนไม่เข้าใจไปศรัทธาอรหันต์เก๊ไปศรัทธามิจฉาทิฏฐิอรหันต์สายหลับตามหาบัวเป็นต้น ก็ได้แต่สงสารอย่างเดียว ฟังอาตมาบ้างเปิดจิตอย่าไปงมงายจนเกินกาล ไม่งั้นก็ได้แต่จมกับจอม คุณเอ๋ย คุณ รชต หอมนาน อาตมาว่าจะเหม็นนานนะ ขออภัยไปแปลงชื่อคุณ

 

การไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นกิจของสงฆ์อย่างยิ่ง 

_นราพรรณ เกียงหนุน  · หนูมีข้อสงสัยค่ะ เนื่องจากหนูไม่มีความรู้เรื่องธรรมขนาดนั้น อยากทราบว่าเรื่องการเมืองตรงนี้เป็นกิจของสงฆ์ด้วยหรอคะ แล้วหนูได้รับคำตอบมาว่าพระพุทธเจ้าก็เล่นการเมืองแต่เท่าที่หนูทราบมาท่านก็ไม่ได้อยากเข้าการเมืองและได้ทำแค่เป็นที่ปรึกษา(ถ้าหนูเข้าใจผิดช่วยบอกสิ่งที่ถูกด้วยนะคะ) แต่อันนี้เหมือนเป็นการตัดสินเลยหนะค่ะ ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดเป็นเรื่องผิด ทั้งที่เราก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ยังไม่ได้เริ่มเลย หนูแค่สงสัยไม่ได้มีเจตนาจะมาสร้างความวุ่นวายนะคะ พอดีได้ฟังจากที่แม่เปิดอยู่ตลอด มันขัดแย้งกับสิ่งที่หนูคิดหนูจึงอยากทราบเหตุผลค่ะ

พ่อครูว่า... ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากว่าคนของพระเจ้าแผ่นดินที่ครองแคว้นใหญ่ อย่างพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรู มาเข้ามาบวชกับพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังสนับสนุนเลย พระพุทธเจ้าสุดยอดท่านมีบารมีสูง แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปแย่งคนนะพวกคุณมาเองทั้งนั้นเลย อาตมาก็ไม่ได้ไปแย่ง ไม่ได้ไปโฆษณาหว่านล้อมอะไรต่ออะไร ไม่หาเสียง ไม่หาสมาชิกแต่พวกคุณเป็นสมาชิกด้วยอิสระเสรีภาพเอง เป็นภูมิปัญญาปฏิภาณของพวกคุณรู้ว่าอย่างนี้ใช่ อย่างนี้ต้องเอาคุณก็มากันเอง เป็นความเฉลียวฉลาดของพวกคุณเอง 

ดี คุณถามมาก็ดีแล้ว อาตมาก็บอกให้นิดหน่อยก็แล้วกันว่า ที่หนูตัดสิน สิ่งที่อีกฝ่ายคิดเป็นสิ่งผิด ทั้งที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ก็ลองติดตามดู ฝ่ายทางด้านที่หนูเคยได้ยินได้ฟังมาเยอะแยะก็คงจะรู้บ้างแล้วล่ะ โดยเฉพาะประเด็นที่บอกว่า เป็นกิจของสงฆ์ด้วยหรือ ในเรื่องของการเมือง ก็ขอยืนยันว่าเป็นกิจของสงฆ์อย่างสำคัญ 

แต่ อาตมาก็อธิบายนัยละเอียดหลายทีแล้วว่า สงฆ์ยุคนี้ พระพุทธศาสนานี้ ภิกษุเสื่อมไปจนกระทั่งไม่รู้เท่าทันนักการเมือง เขาก็เลยไม่ให้ไปยุ่งกับการเมืองดีแล้ว ไม่อย่างนั้นกลายเป็นลูกน้องนักการเมืองไปหมด ไปเป็นบริวารนักการเมืองหมด เขาซื้อไปเป็นหัวคะแนนอยู่ในประเทศไทยหมด 

เพราะฉะนั้นทางด้านเถรสมาคมก็เลยมีกฎของเถรสมาคมว่าอย่าให้ภิกษุไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถูกต้อง 

แต่ของอโศกนั้นเข้าใจเรื่องการเมือง เข้าใจในเรื่องพฤติกรรมสังคม และมีโลกุตรธรรมอยู่เหนือพวกนี้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎหลักอะไรที่ต้องไปห้ามให้ยุ่งกับการเมือง จริงๆแล้วควรสอดส่องการเมือง เมื่อใดควรจะต้องลงมือไปช่วยตาม กาละ เทศะ ฐานะ ที่ควรให้ช่วย อย่างที่เราทำมาหลายทีแล้ว 

 

ปัญญาทำให้กิเลสวิ่งหูตูบ

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ที่พ่อท่านได้กรุณาปลุกลูก ๆ ออกไปปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อ Rally ในระบอบประชาธิปไตยไทย โดยให้ลูกๆไปรวมหมู่มิตรดี ผมก็ได้ไปมาแล้วในวันที่ 18 ก.ค 66 ก็ได้อ่านเวทนาในจิตรู้สึกไม่มี สุข ทุกข์ เลย ครับ ถ้าต้องไปอีก ขอเพียงพ่อท่านกรุณาประกาศอีก ผมจะขอไปกับหมู่มิตรดีครับ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ดี อ่านเวทนาความสุขความทุกข์ แล้วอ่านเหตุแห่งความสุขความทุกข์นั้นได้ออก เหตุมันคือตัวปลอมทั้งนั้น มันเป็นเหตุมันเป็นทุกข์ แต่มันมาหลอกเป็นสุข คุณจะเกิดปฏิภาณปัญญาในการผัสสะจนกระทั่งปัญญาของคุณมีธรรมฤทธิ์ พอเจอหน้ากิเลส กิเลสมันก็รู้ว่าปัญญามันรู้หน้าเราแล้วอย่างที่เคยอธิบาย กิเลสมันจะรีบวิ่งหนีเลย ปัญญารู้หน้าเราแล้ว เจ้าของปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสมันเห็นหน้าตถาคต ตถาคตเห็นเราแล้วมันก็รีบวิ่งหนีหูตูบเลย นี่อธิบายเป็นรูปธรรมให้ฟังชัดๆเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วนามธรรมมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย 

ก็ช่วยกันดูแลเอาใจใส่บ้านเมืองประเทศชาติสังคมที่เราร่วมอยู่ด้วย ถ้าสังคมมันเสื่อมเสีย มันทรุด มันไม่ดีไม่งาม เราก็ร่วมอยู่ในสังคมด้วย มันก็ต้องดูแลช่วยกัน ไม่ดูดายดีแล้ว ดูดีกัน 

_นาง จับใจ ธนะโภค วันพุธที่ 19 ก.ค. 66 พุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวนจากท่านปัจฉาฯ   · วันนี้ฟังธรรมได้อรรถรส - ได้ฟังคำสอน เรื่องประโยชน์จากคำตำหนิ – ได้ฟังเรื่องการเมือง – ได้ฟังชาดก

พ่อครูว่า... มีรายงานมาได้ประโยชน์ก็ขอบคุณ 

 

วิบากไอของพ่อครูใครเป็นคนทำ

_กราบนมัสการ พ่อท่าน ที่เคารพ ศรัทธายิ่งค่ะ เข่ง ใจแก้ว เดินทางจากบ้านราช วันที่ 6 เดินทางต่อ บ้านปาดังเบซาร์ค่ะ เข่งฟังธรรม วันจันทร์ที่ผ่านมา ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ฟังไปฯ พ่อท่านก็ไอแล้วไออีก 

พ่อครูว่า... เมื่อกี้ ก่อนเข้ารายการก็ร้องเพลงเล่น กูล่ะเว้ยเฮ้ยกูเป็นคนไอ รู้บ้างไหมไอเป็นคนทำ ! 

_ดิฉันมีความรู้สึกเห็นใจมากๆจริงๆ 

พ่อครูว่า... มันเป็นวิบากของอาตมาจริงๆ แต่ว่าทรมานมาก มันก็ไม่อย่างนั้นแต่มันทรมานอย่าง ทรถ มันไม่ปกติ มันแหย่ให้เรา  แต่อาการมันแรงแต่อาตมาไม่มีปัญหาในการติดยึด แต่มันเกิดสภาวะจริง มันไอมันจะต้องขับเสลดมันเหนียว ต้องไอแรง แล้วมันก็มีที่อาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษ รสชาติมันไม่ได้เรื่องเลย มันเกิดขึ้นมาแล้วไอ้กระเปาะนี้ ปั่นทั้งเสลด ปั่นทั้งน้ำพิษออกมา มันก็เลยเป็นวิบากของอาตมาเป็นการทรมานชนิดหนึ่ง มันไม่รุนแรงหรอก แต่มันก็ไม่น่าจะมี เป็นของที่ไม่น่าได้น่าเป็นเลยไอแรงๆมันเมื่อย น้ำพิษมันก็บอกไม่ถูกเลย ใครก็ไม่อยากจะอมในปาก มันเป็นของแปลกที่ไม่มีตัวอย่าง อาตมาว่าอาจจะเป็นคนเดียวในโลกที่มีอันนี้ หมอเขาจนปัญญา ก็เป็นไป มันก็เป็นวิบากของอาตมาก็จำเป็น 

_พ่อครูอายุก็จะ 90 แล้วนะ ให้พ่อท่านเทศน์ อาทิตย์ละ 1 วัน ก็พอแล้วน่ะ นอกจากนั้นก็ใช้รีรันที่พ่อท่านเทศน์ไว้ก็ดีนะ

พ่อท่านเทศน์ไป สุดท้ายพูดว่า อาตมาไม่ไหวแล้วควรจะปลงสังขารได้แล้วถึงเวลาจะตายได้แล้ว ดิฉันฟังแล้วมีอาการในจิตตุบๆเกิดขึ้น จะว่าอาการเศร้าก็ไม่ใช่ อาการสงสารก็ไม่ใช่ จับอาการของจิตคล้ายๆเห็นใจ เข้าใจพระโพธิสัตว์ มีความเมตตากรุณา ลูกๆ หาที่สุด มิได้ ใช่ใหมค่ะ พ่อท่านค่ะ เข่งก็ขอมาบ้านปาดังเบซาร์ ก็ได้ปฏิบัติเหมือนกับที่อยู่บ้านราชค่ะ เป็นปกติ เข่งขอกราบพ่อท่าน เคารพศรัทธายิ่งๆค่ะ

พ่อครูว่า... ดีเราใช้เหตุปัจจัยเหล่านี้เป็นเครื่องศึกษาปฏิบัติตามอ่านจิตอ่านใจแล้วก็พิจารณาออก จะว่าเป็นอาการเศร้าก็ไม่ใช่ ใช่ว่าสงสารก็ไม่ใช่ ใครๆเห็นใจเข้าใจพระโพธิสัตว์ มีความเมตตากรุณา ลูกๆ หาที่สุด มิได้ ใช่ใหมค่ะ ใช่แล้ว

ดี ก็เกิดปัญญาเกิดปฏิบัติธรรมเจริญในธรรมไปเรื่อยๆ อาตมาก็ยังภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ   เอาของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่สืบต่อไป ก็ยังมีคนที่ฟังธรรมโลกุตระธรรมรู้เรื่องเข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ มีมรรค มีผล มีสมณะ 4 เหล่าเกิดขึ้นอย่างแท้จริง 

อาตมาก็ยังภูมิใจว่าอาตมายังทำงานได้มรรคได้ผล เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นของจริง คนที่เขาไม่มีภูมิปัญญารู้ เขามองไม่ออกก็น่าสงสารไม่รู้จะทำไง จะไปบังคับความเชื่อ ความฉลาด บังคับให้คนอวิชชามามีวิชชามันทำไม่ได้ ก็ได้แต่สงสารกัน คนที่ได้ก็ได้ไป ผู้ที่สนใจใฝ่รู้แสวงหาไม่มีอคติก็จะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะทุกวันนี้แรงต่อต้านหรือแรงด่าเหลือน้อยลง แต่ก็ไม่น้อยหรอกในโซเชียลทุกวันนี้ มันมีเยอะและคนไม่รู้มันมาก จะไปเอานิยายกับโซเชียลเขา ที่ comment ออกมา เขาก็ comment มา วิจัยวิจารณ์ไปตามเขา เขาก็สนุกกันดีนะ อาตมาไม่ได้เคยมีกดๆกับเขาเลยตั้งแต่มีพวกนี้มา ก็ไม่รู้เขาเกิดรสชาติกันอย่างไร สนุกสนานอย่างไร อาตมาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาก็เห็นได้แต่เห็นอย่างนั้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร 

 

วิบากกรรมของการพูดคำหยาบ 

_ด.ช.เจเจ . ผมเคยอ่านวิบากของการพูดผิดศีลข้อ 4 ทุกข้อก็พอจะเข้าใจได้บ้างครับ ยกเว้นวิบากของการพูดคำหยาบหรือผรุสวาจา ท่านบอกว่า ย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจ ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์  หมายความว่ายังไงครับหลวงปู่ 

พ่อครูว่า... พูดคำหยาบก็แน่นอน มันไม่น่าพอใจ ผู้ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ก็คือผู้ที่มีจิตสูง เมื่อได้รับฟังคำหยาบ มันก็ไม่น่าพอใจ มันก็เป็นธรรมดาหมายความว่าอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่พูดคำหยาบ อาตมาว่าอาตมาไม่เคยพูดคำหยาบ มีแต่พูดคำแรง และพูดคำที่ท้วงสิ่งผิด การพูดที่ท้วงสิ่งผิด แล้วมันมีจริง ความผิดนั้นมีจริง มีบุคคลจริง เกิดขึ้นจริง ยิ่งมีมากมันก็ยิ่งดูเหมือนว่าคนนี้ไปพูดแรง แล้วเขาแปลคำว่าแรงเป็นคำหยาบ ซึ่งไม่ใช่ 

คำหยาบคือคำที่ไม่น่าพูด เป็นคำไม่ใช่ของผู้ดี การตำหนิสิ่งผิดเป็นหน้าที่ของผู้ดี พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อพูดสิ่งที่ตำหนิสิ่งผิดมาตลอด ท่านตรัสว่า การตำหนิแล้วการตำหนิอีกเป็นความเจริญ คำสรรเสริญนั้นเป็นคำต่ำทราม ไม่มีค่าอะไรพอจะให้ละหน่ายจางคลายจากกิเลส 

ส่วนคำตำหนินั้นเป็นคุณค่าประโยชน์ตลอด พยายามเข้าใจธรรมะฟังธรรมะดีๆ 

 

วัตถุประสงค์ที่ต้องเข้าใจคำว่า กาย 

_พร... น้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ

   ดิฉันได้ฟังพ่อครูบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง อุตุ พีชะ ชีวะ  ปกติดิฉันจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก ฟังพอผ่านๆหูไป เพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องละเอียด ลึ้กซึ้ง เกินภูมิปัญญาและฐานะของตน  แต่เมื่อวันก่อน โน้น ดิฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาและพ่อครูก็บอกว่า เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษา จึงไม่อยากปล่อยผ่าน  ดิฉันคิดว่า การเรียนรู้ไว้ก่อนก็คงไม่ได้เสียหายอะไร  คำถามอาจจะยาวไปสักหน่อย ทำให้พ่อครูต้องลำบากในการอ่าน ครั้นจะตัดออกบ้าง ก็จะไม่เกิดความสมบูรณ์ ชัดเจนในปัญหานั้นๆ จึงต้องกราบขออภัยพ่อครูเป็นอย่างยิ่งค่ะ  เรื่องที่ดิฉันสงสัยคือ..

 1 .การศึกษาเรียนรู้ในความเป็น "กาย" เพื่อจุดประสงค์อะไรบ้างคะ

พ่อครูว่า... การศึกษาเรื่องความเป็นกาย เข้าใจความเป็นกายให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ เพื่อจุดประสงค์ให้ถูกต้องไง ถ้าความเข้าใจคำว่ากายไม่ถูกต้องในศาสนาพุทธ คำแรกนี้เลย ล้มเหลวทั้งกระบวน 

กาย เป็นสัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่มีอวิชชามิจฉาทิฐิอยู่ยังเป็นอยู่ ภาษาคำว่า กายะ เป็นบาลีของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธคนในศาสนาพุทธเสื่อมแม้แต่ในประเทศไทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครู กำลังอธิบายที่พวกเราถามมา อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรมนิยาม

พ่อครูว่า... คำว่ากายนี้ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่

 1. สัมมาทิฏฐิในสังโยชน์ข้อที่ 1 เรียกว่าเครื่องเกาะเครื่องผูกเป็นกิเลสสำคัญข้อที่ 1 เลยที่จะต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า กาย สัมมาทิฏฐิแท้ๆคืออย่างไร ถ้าคำว่า กาย ไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ข้อแรก เลิกเลย 

2.คำว่ากายนี้มันเป็นคำที่จะต้องมีจิตร่วมอยู่ตลอดเวลา คำว่ากายเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงวัตถุสรีระอย่างเดียว มิจฉาทิฏฐิหนักเลย มิจฉาทิฐิหนักก็คือเข้าใจคำว่ากายเป็นวัตถุเป็นดินน้ำไฟลม เป็นภายนอกอย่างเดียว ไม่ได้ไปเน้นหาจิต มีแต่เน้นไปทางจิตโดยไม่เกี่ยวกับภายนอกมันก็ผิดแต่มันก็ดีกว่าเข้าใจแต่เพียงภายนอก 

คำว่า กายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน กายต้องมีสองเสมอเป็น 2 ใน 1และ 1 ใน 2 ซึ่งเป็นเรื่องสิริมหามายาเป็นเรื่องเข้าใจยากมาก 

เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจกายไม่ได้ แยกกายแยกจิตไม่ได้ เมื่อใด อารมณ์หรือเวทนามันมีกาย เมื่อใดเวทนาไม่มีกาย ตรงนี้แหละจะบรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรมก็อยู่ตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นเวลาคนมาบวช พระพุทธเจ้าจะต้องให้อุปัชฌาย์อธิบายการแยกกายแยกจิตให้ได้ ให้สัมมาทิฏฐิก่อน ถ้าไม่สัมมาทิฎกายแล้วแยกกายแยกจิตไม่ถูกต้อง ล้มเหลวในการบวชเลย จะแยกธรรมนิยาม 5 ไม่ออก จะเข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามและปฏิบัติด้วยกรรม ด้วยธรรม ปฏิบัติไม่ได้เลย จะล้มเหลวไปทั้งขบวนสูญเปล่า 

เพราะฉะนั้นในเถรสมาคมอาตมามั่นใจ คำว่ากายทุกวันนี้ มันมาเป็นพลเมืองของไทยหมดแล้ว เดิมเป็นของอินเดีย จะเป็นเชื้อชาติไทยแล้วไม่ใช่แค่สัญชาตินะ แล้วเขาก็หมายคำว่ากายคือ ร่างภายนอก กายคือสรีระ แล้วก็เรียกกันด้วยศัพท์เต็มว่า ร่างกาย ก็ยิ่งชัดเจนว่าร่างกาย เขาหมายถึงจะเป็นภายนอก เป็นดินน้ำไฟลม ไม่ได้เข้ามาหาใจเลย อันนี้ผิดถนัดเลยคือความล้มเหลวหรือความเสื่อมของศาสนาพุทธ 

เพราะฉะนั้นถามว่าการศึกษารู้ในคำว่ากายเพื่อจุดประสงค์อะไรก็เพื่อให้สัมมาทิฏฐิ เพราะถ้าไม่สัมมาทิฏฐิข้อนี้ข้อเดียวก็เลิกเลยศาสนาพุทธ นี่คือจุดประสงค์ อาตมาก็พูดมาตั้งนานแล้ว แล้วจะยังเข้าใจสัมมาทิฏฐิกันได้แค่ไหน ยังอีกนะ อาตมาว่าคนยังเข้าใจไม่ครบง่ายๆเรื่องกาย อาตมาก็ยังไม่เก่ง ขยายความได้เท่านี้ก็ไม่ใช่น้อย 

คุณต้องเข้าใจแยกกายแยกจิต ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมต้องพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าคุณเข้าใจกายในกายผิดตั้งแต่แรก คุณเข้าใจกายในกายไม่ได้แล้วคุณจะไปปฏิบัติอย่างไร พิจารณากายนอกกายใน มันอยู่ตรงไหนยังไง เมื่อคุณเข้าใจว่ากายมีแต่ข้างนอก หรือคุณจะเข้าใจกายในกายคือภายใน 

ความหมายของกาย เวทนา จิต ธรรมนี้ เป็นอิทัปปัจจยตาไม่ได้แยกกันนะ แยกกันไม่ได้ กายก็จะต้องมีเวทนา เวทนาใดที่ไม่มีกายไม่เป็นกาย แต่เวทนาที่จะเกิดนั้นต้องมีผัสสะภายนอก ถ้าไม่มีผัสสะภายนอก เวทนาไม่มี เมื่อมีเวทนาแล้วก็ต้องปฏิบัติเวทนาไม่ให้เป็นกาย 

กายคือความสุขความทุกข์ เพราะฉะนั้นสัมผัสภายนอกอยู่ แล้วสัมผัสแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นั่นคือความสำเร็จของเวทนา ความรู้สึกหรืออารมณ์สัมผัสภายนอกอยู่ ในสภาวธรรม เขาสัมผัสภายนอก คุณมีกายแล้ว แล้วคุณก็มีจิตมีเวทนาและคุณก็ทำเวทนาของคุณไม่ให้มีกายไม่มีสภาพ 2 ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ นี่แหละเป็นการปฏิบัติ ต้องรู้ 

แล้วเวลาปฏิบัติจริงๆต้องอ่านสภาวะของตัวเองออกในปัจจุบันนั้นๆ ไปนั่งคิดเอา ไปสัญญาคิด ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ของจริงหรอก คุณไม่รู้อารมณ์จริงไม่รู้จักเวทนาตัวจริงที่เกิดในปัจจุบันชาตินั้นๆ คุณไม่รู้คุณก็ได้แต่เดาเอา มันก็ไม่ตรงสภาวะ ความรู้สึกจริงมันไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่เวทนาขณะนั้น มันเป็นสัญญา มันเป็นเพี้ยนไปกำหนดสัญญา เอาความจำมาคิด แล้วคุณจะเจอความจริงจากมันได้อย่างไรมันต้องมีเวทนาเกิดอยู่หลัดๆถึงจะอ่านความจริงได้ว่า มันถึงจะอ่านได้ว่า มันไปหลงความสุข มันเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ มันเป็นอารมณ์ แว่บๆเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์อย่างนี้ สุขอย่างนี้ ทุกข์มันมีความจริงคุณจะอ่านออกได้อย่างไร คุณไม่ได้ทำปัจจุบันคุณไม่ได้ทำ คุณไปทำแต่ในอดีตในอนาคต อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นการที่จะปิดหูปิดตาไม่มีภายนอก มันโมฆะเลยที่ปฏิบัติธรรมกัน มันเสื่อมสนิทจริงๆเลย นักปฏิบัติธรรมนึกว่าจะได้บรรลุธรรมและหลงผิดไม่ได้บรรลุด้วย มันน่าสงสาร ดีที่พวกเรามาฟังแล้วอาตมากู้กลับศาสนาพุทธคืนมาได้ประมาณนี้ จนป่านนี้แล้วอาตมาก็มาถึงขั้นบ่นๆว่าไม่ควรจะอยู่แล้ว ได้ขนาดนี้ก็คงจะประมาณนี้นะ นอกนั้นก็ความหวังมันยิ่งกว่าพิธานะ แต่พิธาเขายังมีหวังมากกว่าอาตมา เขายังเหลืออีกมาก 

 

ทำจิตไม่เกี่ยวเกาะเป็นอุตุ

  2.  ความเป็น "อุตุ" ที่อยู่ในคนเป็นๆนี้ จะคิดตามยังไงก็คิดไม่ออกค่ะ ( มีข้อสังเกตุว่า แม้คนที่ตายแล้ว ก็ยังเหลือ "จิต" หรือ "ตัวรู้" อยู่ และจะมีเจตสิกร่วมอยู่ด้วยหรือไม่อย่างไร อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้ค่ะ)

พ่อครูว่า... ฟังดีๆมันเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม ที่อาตมาอธิบายมันเป็นสภาวะธรรม 

อุตุคือสภาวะดินน้ำไฟลม ในตัวเราเป็นสังขารปรุงแต่งมีดินน้ำไฟลม ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ในนี้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาผม  ขน  เล็บ  ฟันหนัง จะเป็นผมก็ตาม เป็นขนก็ตาม เป็นเล็บก็ตาม ไม่ต้องไปพูดถึงฟันถึงหนัง มันละเอียดเกินไป เอาแค่เล็บแค่ผม อาตมาถนัดที่อธิบายเรื่องเล็บ 

เล็บคน ถ้าอ่านพิจารณากรรมฐานนี้ได้ รู้จักเวทนาในสิ่งนี้ว่า มันเป็นกายหรืออะไรไม่เป็นกาย อธิบายแล้วอธิบายอีก ตอนนี้ก็ยังอธิบายอีก 

เล็บในคนที่มันยังมีชีวะยังไม่ได้ตัดออกจากนิ้ว มันยังเป็นเล็บยาวพ้นปลายประสาทออกมา มันไม่มีเวทนา มันไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บ ไม่มี ผมขนก็เหมือนกัน ปลายผมยาวก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ทุกคนเข้าใจใช่ไหม ตัดออกมา ขาดออกจากร่างกาย มันกลายเป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว จะเอายาอะไรมาเชื่อมต่อมันก็ไม่เป็นชีวะแล้ว ไม่เหมือนหนัง เล็บของคนที่หลุดออกไปแล้วเอามาต่อไม่ติดหรอก ไม่มีความรู้สึก ไม่ใช่กาย ไม่มีเวทนา 

1. ตัดออกไปแล้วเป็นอุตุแน่นอนแม้ว่าตัดแล้วมันยังมีชีวะอยู่ก็ตาม มันก็ไม่รู้สึกเจ็บไม่ปวดอะไร มันไม่มีเวทนา แต่มันติดอยู่ที่ร่างกายเรายังเป็นชีวะนี่แหละ มันเป็นพืชเป็นชีวะ เข้าใจให้ดีนะเป็นพืชกับเป็นจิตนี่แหละ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้ว่าจิตทำให้เป็นพืชเป็นอย่างนี้ เป็นอุตุอย่างที่คุณทำมาแล้ว มันจะเอาออกยังไง 

ทีนี้คุณถามหนักกว่านั้นไปถึงอุตุในร่างกาย อุตุในร่างกายนั้น ขี้ไคลหรืออุจจาระที่มันออกไปแล้ว หรือแม้แต่เมนของผู้หญิงหรือเรียกว่าระดูมันหมดชีวะแล้ว ไหลทิ้งออกมาเฉยๆ 

_สู่แดนธรรม... ขี้มูกแห้งด้วยครับ 

พ่อครูว่า... แถมให้ ไม่มีในพระไตรปิฎก ระดูหรืออุจจาระที่มัน ไม่เหมือนระดู ออกไปแล้ว ทิ้งออกไปให้ ไม่เจ็บไม่มีปวด มันสบายด้วย 

_สู่แดนธรรม... ที่บอกว่าอุตุเขาคงหมายถึงจิตใจมากกว่าครับ 

พ่อครูว่า... ใช่เขาหมายถึงจิตใจอย่างไร ก็ยังที่อธิบายว่า เราสามารถที่จะทำความรู้สึก ความรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าความรู้สึกของคุณอันนี้เราไม่เกี่ยวเกาะ จิตของเราไปเกี่ยวเกาะใช้ภาษาไทยถูกต้องแล้วตรงตามวิชาการ คำว่าไม่เกี่ยวเกาะ แม้แต่เราสัมผัสอยู่แต่เราไม่เกี่ยวเกาะ มันก็ไม่มีความรู้สึกใด ความรู้สึกที่ไม่มี ยิ่งกว่าพืชยิ่งกว่า พีชะ มันเหมือนกับไม่ใช่เราเลย มันไกลไปเป็นอุตุ มันก็เป็นดินน้ำไฟลม ที่เราอาศัยในรูปธรรมก็มีอยู่แล้ว ร่างกายก็มีดินน้ำไฟลม มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ผสมส่วนปรุงแต่งกันอยู่ในร่างกายนี้ ในจิตใจก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ทำความรู้สึกให้เข้าไปถึงความรู้สึกอ่านความรู้สึก แล้วก็อ่านในขณะที่มีการสัมผัส ถ้ามันไม่สัมผัสมันก็เข้าใจว่าเป็นดินน้ำไฟลมอยู่ข้างนอกเหมือนเราตัดเล็บตัดผมอะไรออกไปหลุดออกไปแล้ว มันก็ไม่ใช่เรา มันก็ไม่เป็นกายอย่างชัดเจนแล้ว แต่อ่านความรู้สึก แม้มันติดอยู่ที่ตัวเรา เราก็เห็นให้ได้ว่าเราไม่ไปเกี่ยวเกาะมันจนถึงขั้นรู้สึกได้ มันไม่รู้สึกอยู่แล้วก็อย่าไปทำความรู้สึก 

เช่น ผู้หญิงชอบเล็บของฉัน สวย ยาว ตอนนอนมีคนมาตัดเล็บออกไป แกตื่นมาแกดิ้นแน่เลย เอาเล็บของฉันมา จะดิ้นตายแน่เพราะอาการเกี่ยวเกาะมันเป็นกิเลสโง่ มันไม่ใช่ของฉันแล้วตัดออกไปยิ่งไม่ใช่ของฉันก็ดีแล้วไม่ใช่ของฉัน ช่วยออกไปดีแล้ว แต่มันเกี่ยวเกาะ เห็นไหม ความโง่ของคนมันโง่ได้ระดับไหม โง่ได้ระดับผู้หญิงจะเข้าใจดีพูดเรื่องเล็บเรื่องผม หรือเรื่องผิวต้องนวลต้องผ่องต้องเนียน เอาไว้โชว์ ก็เป็นการติดยึด ก็เป็นการนิยม ค่านิยมของคนเป็นเรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มันก็เป็นธรรมชาติของคนที่มีกิเลสที่ยังอวิชชา ยัง หลงใหลในสิ่งเหล่านั้นอยู่ 

อย่างพวกเรานี้ หน้าตาบางทีไม่ค่อยล้างเลย ไม่ค่อยดูแลเลย อย่าว่าแต่ผัดหน้าทาแป้ง 3 ชั้น 5 ชั้นเลย พวกที่เคยมาแล้วนั่งอยู่นั่นแหละ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงเมื่อไหร่จะเสร็จสักที ทีนี้เรื่องของอุตุที่อยู่ในคนเป็น อย่างสู่แดนธรรมว่า ขี้มูกแห้ง 

_สู่แดนธรรม... มันไม่เกี่ยวเกาะแล้ว 

พ่อครูว่า... อธิบายเลยไปอีกนิดหนึ่ง 

_    กราบเรียนถามในข้อนี้ว่า  ถ้าการทำจิตให้เป็น "อุตุ" ซึ่งอยู่ในคนเป็นๆแบบนี้ คือการทำเจตสิกทั้งหลายให้หายไป หมดไป  แม้กระทั่งตัว "รับรู้" ก็ลดทอนลง ให้น้อยลง เล็กลงๆไปเรื่อยๆ  จนหมดสิ้นไป  สูญไป คล้ายๆกับการทำสมาธิแบบฤาษี ซึ่งเป็นโลกียฌาน ที่ดับเจตสิกทั้งหมด  ที่สุดก็ดับความ"รับรู้" จนไม่รู้อะไรเลย จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อย่างไรคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จะยิ่งเข้าใจได้ยากขึ้นอีก เพราะจะไม่มีการเคลื่อนไหว หรือไม่มีปฏิกิริยาใดๆของ "นาม" ที่อยู่ภายในเลย  ( อันนี้เป็นความคิดแบบตรงดิ่ง ทื่อๆน่ะค่ะ  ขอพ่อครูช่วยกรุณาขยายความถึงอาการที่แตกต่างกัน  ให้พอรู้เป็นแนวให้ด้วยค่ะ )

พ่อครูว่า... ไม่เกี่ยวเกาะด้วยปัญญากับไม่เกี่ยวเกาะด้วยสมถะมันก็ต่างกันนะ ต้องทำด้วยปัญญา แต่ที่จริงสมถะมันก็ต้องใช้ประโยชน์ก่อน จนกว่าจะทำด้วยปัญญาได้ในที่สุด เหมือนกับเราไม่เกี่ยวกับสิ่งในโลกที่เราวางแล้ว อันนี้ไกลจากเรา เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวเกาะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเลย มีหลายเรื่องใช่ไหมที่มันมีอยู่ในสังคม

ทุกวันนี้ แล้วเราปฏิบัติธรรมมาเรียนรู้ธรรมะ แต่ก่อนเราเกี่ยวเกาะนะเห็นเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องน่ารู้ น่าเป็น น่ามี น่าได้ไปกับเขา พอตอนหลังเราเห็นแล้วไร้สาระ เราจะเห็นว่า สาระสำคัญในสาระ มันงวดเข้างวดเข้า น้อยเข้าน้อยเข้า จนสุดท้ายนี้จะถึงขั้น สาระชีวิตที่อาศัยนั้น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นปัจจัยชีวิตเป็นเครื่องอาศัยปัจจัย 4 สุดท้ายเลย 

นอกนั้นก็เป็นเครื่องอาศัยเป็นบริขาร ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ตาย แต่ 4 ปัจจัยนี้สำคัญมาก หรืออาหารเป็นหนึ่ง อาหารสำคัญที่สุดในบรรดาปัจจัย 4 เครื่องนุ่งห่ม บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคไม่มีก็ยังไม่ตายทันที 

สัญญาของพระอรหันต์กับสัญญาของพืชต่างกันอย่างไร

  3.  "สัญญา" ของพีชะหรือพืช  มีลักษณะอาการอย่างไรคะ มีขอบเขตหรือไม่  และมีความแตกต่างต่างจาก "สัญญา" ในอยู่ในคนอย่างไรคะ

พ่อครูว่า... ไม่ต่างกันแต่มันมีประสิทธิภาพน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง พืชมันก็มีสัญญากำหนดหมายมีทิศทาง 

สัญจิจจะ แปลว่า จิตมีทิศมุ่ง อาตมาแปลเป็นไทย จิตเริ่มมีทิศมุ่ง ซึ่งอันนี้ลึกซึ้งละเอียดมากเลย ท่านที่เรียนเปรียญ 9 เป็นดอกเตอร์ทางบาลีก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่กับพยัญชนะเยอะ แต่อาตมาอธิบายอย่างสภาวะ มันมีประโยค ว่า

สัญจิจจะ ปานังชีวิตา โวโรเปตุง หมายถึงจิตเริ่มมีเจตภูตหรือเจตสิก มีทิศมุ่ง อาตมาก็แปลเป็นไทยอย่างละเอียดแล้ว เริ่มต้นมีทิศมุ่ง 

เพราะฉะนั้นการที่มีจิตแบบนี้ในชีวกสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงว่า ถ้าจิตคุณมี สัญจิจจะ บางทีก็ใช้คำว่าอุทิสะ ปาณัง อารัพติ นั่นเป็นประโยคอีกอัน คล้ายกัน แต่ อุทิสะ มันหยาบกว่า สัญจิจจะ

เพราะฉะนั้นจิตมีทิศมุ่ง อย่าง ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) นี่คือจิตของคนเจาะจง แล้วเขาไปแปลหยาบๆว่าเจาะจงบุคคล ซึ่งมันไม่ใช่ จิตมันทิศมุ่งไปไม่ดีเป็นจิต โวโรเปตุง อารัพติ จิตมีมุ่งหมายไม่ดีต่อสิ่งนั้น ถ้าเป็นสัตว์ คุณก็มีจิตมุ่งไม่ดีต่อสัตว์ ข้อแรกกล่าวชื่อสัตว์นั้น จงไปนำสัตว์นั้นมา มีจิตมุ่งแค่นี้บาปเป็นอันมากแล้ว ไม่ใช่บุญเลย

คุณมีจิตมุ่งอย่างนั้น ถ้าสัตว์มันรู้ตัว มันก็ทุกข์แล้ว แต่มันยังไม่รู้ตัว คุณก็เริ่มก่อทุกข์ขึ้นมาในโลกเป็นคนบาปแล้ว  

 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส จับมันผูกมัน มันก็บาปหนักเข้าไปเพราะมีกรรมกิริยากายกรรม

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  จิตมุ่งหมายของคุณมันโหดหนักเข้าไปใหญ่ 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  สัตว์มันเป็นทุกข์ มันก็จองเวรจองกรรม เป็นเวร เป็นภัยกันหนักต่อไปอีก 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

ข้อ 5 นี้ยิ่งใหญ่เลย ท่านสรุปไว้เลยว่าข้อนี้เป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรเลยมันบาปมา 4 ข้อไม่ควรแล้ว ยิ่งข้อ 5 นี้มันยิ่งไม่ควรอย่างยิ่งเลยมัน อกัปปิยะ 

ทำอาหารอย่างประณีตเลยนะ อย่างยอดเยี่ยม มีกุ๊ก 5 คนมาจาก 5 ประเทศเลยปรุงอาหารถวายพระพุทธเจ้า อาตมาพูดให้เป็นพิธาหน่อย ใส่เลย ถวายให้พระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นจิตมีทิศมุ่ง ไม่ได้ไปหมายมุ่งเอาพระพุทธเจ้า เอาภิกษุ เอาตัวตนบุคคล แต่มันมุ่งไปในทางร้ายไปในทางต่ำ ไปในทางบาปของคุณ นี่แหละคือการเบี้ยวบาลีให้มันหยาบ แล้วกิเลสก็เลยได้กินเนื้อสัตว์ เบี้ยวบาลีเพื่อกินเนื้อสัตว์ ฟังดีๆ  

สมณะฟ้าไท... มาข้างนอกเอาพระสูตรนี้ไปเทศน์รับรองอดแน่นอนครับ 

พ่อครูว่า... ก็เขาจะเข้าใจไหม ความเชื่อเขาก็ถูกครอบงำความคิดสำเร็จรูปแล้ว อาตมาจะเจาะเข้าไปได้ไหมนี่ แทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า แทงด้วยหอก ร้อยเล่มกลางวัน แทงได้หอกเจาะร้อยเล่มเย็นมันจะเข้าไหมนี่ ของพระพุทธเจ้ามาพูดทั้งนั้นเป็นสัจจะในโลก ของเขามันอยู่ยงคงกระพันแทงด้วยหอกก็เสียหอกไปเปล่าๆ มันก็ยากแต่ก็ต้องทำ 

ก็สัญญาในคนนั่นแหละ สัตว์เดรัจฉานจะไปเรียนรู้ได้อย่างไร แม้แต่คนที่ไม่มีภูมิธรรมพอจะฟังรู้เรื่องเขาฟังที่อาตมาอธิบายไม่รู้เรื่องหรอกเพราะภูมิเขาไม่ถึง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... ผมจำได้ที่พ่อท่านเคยบอกไว้ว่าพืชมันมีสัญญา มันดูอะไรที่มันต้องการมันก็เอา อันไหนที่มันไม่ได้ต้องการ มันก็ไม่เอา บอระเพ็ดกับต้นตาลอยู่ที่ดินเดียวกันทำไมรสชาติต่างกัน 

พ่อครูว่า... มันดูดเอาธาตุอาหารมาปรุงแต่งต่างกัน มันก็ไม่แย่งกัน เพราะฉะนั้นพวกพืชมันไม่ทะเลาะกัน ดีไม่ดีมันก็เกี่ยวพันกันอยู่ด้วยกันไป บางทีมันกลืนกันเลย 

สัญญาของคนมันก็มีประสิทธิภาพกว่าสัญญาของพืชเข้าใจอย่างนั้นก็แล้วกัน แม้แต่สัญญาของคนก็มีประสิทธิภาพกว่าสัตว์เดรัจฉาน การกำหนดหมายของเดรัจฉาน มันจะไม่มีคุณธรรม หรือบางทีมันมีคุณธรรมมากกว่าคน คนนั้นเหี้ยมโหดกว่าเดรัจฉานก็ได้ คนมีคุณธรรมมากกว่าเดรัจฉานก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

 

การระลึกถึงความตายควรระลึกอย่างไร

  4.  การระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆนั้น  จะได้รับประโยชน์อะไรบ้างคะ

  พ่อครูว่า... อันนี้ก็สำคัญ ถ้าคุณเองกลัวความตายเป็นต้น ไม่อยากตายเป็นต้น คุณจะทุกข์มากเพราะฉะนั้นใกล้ความตาย คุณจะเป็นทุกข์มาก เจ็บป่วยหรือแก่มากๆกลัวความตายไม่อยากตาย มันไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ต้องระลึกให้เห็นว่าคนต้องตาย อาตมาตั้งชื่อให้พวกเราคนหนึ่งชื่อว่า “ต้องตาย” มันต้องตาย คนเรา ต้องคิดเห็นให้ดี เพราะฉะนั้นเราจะไม่กลัวความตาย 

การตายการเกิดนี่ไปกลัวมันทำไม คนจะกลัวความตายเพราะว่าตายจากชีวิตนี้ไปแล้ว บาปตัวเองทำไว้มาก เกิดมามันจะไม่ได้อย่างนี้ เกิดมากลัวที่ใช้คำว่านรก เกิดมาอีกแย่กว่าเก่า นรกคือที่ต่ำ มันจะต่ำกว่าเก่าอีกก็ไม่อยากตาย 

ส่วนคนที่ทำดี มันก็จะสงบ มันจะตาย ทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจหรอกมันกลัวตายอยู่บ้างแต่จะกลัวน้อยกว่าสงบกว่า ต้องศึกษา ถึงอะไรพอถึงเวลาตายบางทีไม่ควรตายด้วยซ้ำไปอายุยังน้อยแต่ยังไม่ควรตายมันจะตายมันก็ต้องตาย 

เพราะการตาย นึกถึงความตาย ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วตายเกิดนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องมีการเกิดการตาย การตายการเกิด เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ดับไปนี้ยังไม่ใช่นิโรธ ยังไม่ใช่ สุญโญ ต้องเกิดมาหมุนเวียนตายเกิด เกิดตาย

จึงต้องมาศึกษาว่า สิ่งที่จะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่จะให้เราเกิด ตายแล้วก็เกิดเกิดมาดี ไม่ตกต่ำ ทั้งโลกียะยิ่งโลกุตระแล้วอย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์รู้จักโลกุตระหลายขั้น เป็นอรหันต์หลายขั้น ยิ่งอยู่สบาย ยิ่งไม่มีความร้าย ความเลว ยิ่งมีแต่สิ่งประเสริฐ สิ่งที่ดี 

จนที่สุดตายอย่างนิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน คือตายอย่าง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายอย่างเลิกเลยจบเลย สลายจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

สุดยอดแห่งอัตตา สุดยอดแห่งจิตวิญญาณ สุดยอดแห่งการเกิดมา แม้คุณเองบรรลุอรหันต์แล้ว คุณก็ยังไม่อยากตาย คุณก็ไม่เป็นไร ร่างกายคุณจะต้อง กายสเภทา ปรัมมรณา ต้องตั้งจิตเกิดอีกอยู่ ธรรมะที่คุณเป็น นิยตะแล้ว เป็นอะไรแล้วคุณก็เกิดมาได้เกิดแล้วไม่เป็นภัยต่อใครเลย คุณจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีหลักประกันแล้วว่าจะดีขึ้นไปอีก จะเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมมนุษยชาติไปได้อีก มันเป็นตนเองสูงขึ้นไปอีก สูงสุดจนเป็นพระพุทธเจ้า 

อาตมาอธิบายได้เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ผ่านการเป็นโพธิสัตว์มานี้ก็ขั้นที่ 7 แล้วเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ไม่ได้พูดเล่นอาตมาเป็นจริง อธิบายพวกนี้เป็นสัจธรรมฟังดีๆแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร อาตมาเป็นโพธิสัตว์ไง ให้รู้ว่าอ๋อโพธิสัตว์เป็นอย่างนี้หรือจะได้รู้สัจธรรมว่า ของจริงความเป็นจริงเป็นอย่างนี้เนาะ จะได้ชัดเจนขึ้น 

นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งจริงพวกนี้ที่อาตมาเอามาพูดเอามาแสดงแล้วพากันเป็น พากันให้ศึกษา คุณจะเกิดมาอีกคุณจะได้ไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คุณจะได้ไปเป็นเจ้าสัว คุณจะได้ไปเป็นคนดังคนเด่นอะไรในทางโลกยังไงนะ มันไม่เที่ยงแล้วมันก็หลงเลอะเทอะไป ตามอุปาทาน ตัณหาของคุณหมุนเวียนตกต่ำขึ้นสูง สมบัติผลัดกันชม เป็นโน่นเป็นนี่วนเวียนอยู่นั่นแหละ แล้วก็หลงว่าสุขว่าทุกข์ ไม่มีจบสิ้น มาเรียนรู้ทางธรรมะนี้แล้วคุณจะอยู่กับโลกอีก โลกก็ไม่มีปัญหา เป็นประโยชน์กับโลก เป็นคุณค่าให้แก่โลก ไม่ใช่หนักแผ่นดินไม่ใช่เปลืองข้าวเปลืองที่ดินอะไรต่ออะไร แต่จะมีคุณค่า หาค่า บ่ มิได้ ตีราคาไม่ได้เป็นคนมีค่ามาก ประมาณค่ามิได้เลย 

เพราะฉะนั้นจบอรหันต์แล้วถือว่าเป็นกรอบจบกิจ คุณจะเกิดมาอีกเท่าไหร่ก็ตีราคาไม่ได้ มันสุดยอดแล้ว เกิดอีกไม่เป็นโทษเลย มีแต่เป็นคุณค่าต่อโลกตลอดยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น เป็นหลักประกันของจิตนิยามหรือความเป็นได้ธาตุจิตนิยามมาเป็นสัตว์โลกแล้ว 

ถ้าได้จิตนิยามเป็นสัตว์โลกแล้ว ไม่มีวิชชา อวิชชาตลอดไม่มีทางสิ้นสุด ก็จะหมุนเวียนอยู่ในโลกนรกสวรรค์ ตลอดกาลนาน มีโลกุตระเป็นทางออก ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น 

พวกเราบางคนยังไม่ถึงอรหันต์ก็เข้าใจแล้วตายเป็นตายก็ไม่ได้ยึดถืออะไรมาก ยิ่งเราได้ปฏิบัติธรรม ได้ทำกุศลไว้มากก็ยิ่งสงบยิ่งไม่เดือดร้อน แต่ถ้าชาตินี้เราทำแต่บาปแต่ชั่วไปเยอะเลยมันจะไม่สงบ เพราะฉะนั้นจะตายก็ต้องศึกษาธรรมะก็จะรู้ว่าให้ระลึกถึงความตาย คุณต้องตายนะ ตายสงบหรือตายดิ้นพราดพราดก็เลือกเอา 

_ จากการสังเกตุดูว่า ถ้าเวลาใดจิตยังมีความไม่สงบ ไม่นิ่งมากพอ  และยิ่งหยาบไปกว่านั้นคือ ยังถูกนิวรณ์รบกวน เบียดเบียนจิตอยู่  การระลึกถึงความตายจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย  จริงหรือไม่ อย่างไรคะ

  ขอกราบนมัสการขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า... คุณเองพูดมา คุณก็รู้อยู่แล้ว มาถามอาตมาว่าจริงหรือไม่ คุณพูดมาอย่างที่คุณเข้าใจเป็นสภาวะนะ 

อันนี้มันไม่จริงหรอก มันเข้าใจโดยปฏิบัติปัญญา คนจะตายดีหรือไม่ตายดีให้เข้าใจเหตุผล เข้าใจความจริงเลยว่าตายดีหรือตายไม่ดีตายแล้วเกิดใหม่ดีหรือตายแล้วมีแต่ตกต่ำ ตายแล้วไม่ดี อันนี้มันก็จะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ตัวเอง 

 

เหลืออีก 7 นาที 

ไปคัดมาจาก หนังสือทางเอกภาค 1

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาทำจิตเป็นอุตุไม่เกี่ยวเกาะ วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2566 ( 05:24:29 )

660724

รายละเอียด

660724 ประชาธิปไตยจะให้คะแนนกันอย่างไร ตอน 1 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #31 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53232.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่  https://docs.google.com/document/d/18NAkVhYTNg1d0vdfITxMiHpkYrETFEgv/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1GIhnrUAuPEaA6GKrBqkqFoVBGOptCFof/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660724---1--31-e27a867 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/CPStk5bPp-E   

และ https://fb.watch/l_dxvNNe4q/ 


 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ที่นี้เราก็มาเจรจาพาทีกันตามกิจวัตรที่เราทำประจำกันมาคือฟังเทศน์ เดี๋ยวนี้อาตมาก็เหลือการเทศน์ ลดลงมาเหลือแค่อาทิตย์ละ 2 วัน คือวันจันทร์กับวันศุกร์ ดูให้พัฒนาการของสังขารมันดีขึ้นมากกว่านี้หน่อยค่อยเติม ถ้ามันไม่ขึ้นก็ต้องลดลงเรื่อยๆ เหลือ 1 ถ้ามันขึ้นก็ค่อยเติมเป็น 3 เป็นอาทิตย์ละ 3 วัน ตอนนี้เหลือ 2 วัน 

ดูหน้าฉากเขาประดับหน้าเวทีที่อาตมานั่ง บรรยายอยู่นี่ ประดับด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทุกวัน หน้าเวทีเราจะประดับประดาด้วยสิ่งเหล่านี้ เอามาตั้งโชว์เสร็จแล้วก็ค่อยๆเก็บไปเข้าครัว บางคนไม่เก็บไปเข้าครัวก็เก็บไปเข้าท้องเลย หลายอย่างเอาไปกินได้เลย หลายอย่างก็ต้องเอาไปผ่านไฟ เอาไปผัดแกงต้ม อุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ วันนี้ผักปลังมาจากสวนทำกิน ส้มโอ แก้วมังกร มาจากสวนดอนตาล เผือกหัวใหญ่ ริมแม่น้ำมูลบ้านราช สวนของคุณอุบลวรรณา นี่เอง ส่วนฟักมาจากสวนเพื่อฟ้าดิน 

อุดมสมบูรณ์อย่างนี้แหละเราเร่งทำให้มากๆไม่มีอะไรก็เอาไปแจกเอาไปให้ปันสุขเราแจก เราก็แจกอยู่แทบทุกวัน ผู้รับหน้าที่ก็มีดาวเพ็ญเป็นหลัก ใครจะช่วยกันก็ช่วย ที่จริงกุ๊กไก่น่าจะไปช่วยป้าๆน้าๆเขาทำ กุ๊กไก่ไปช่วยเก็บผลไม้ ทำงานหน่อย อยากเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องทำงาน บอกว่าขอเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็บอกว่าขอไม่ได้ต้องทำงานจะเป็นโพธิสัตว์ ให้ไปหางานทำ แนะนำให้แล้วงาน คงฟังอยู่นะกุ๊กไก่ 

SMS วันที่ 21-23 ก.ค. 2566

_Kiattiphong Hemwaranan.... เกียรติพงษ์ เหมวรานันท์

พออาศัยอยู่ไปอยู่มา หลายชั่วอายุคนเข้า … รุ่นลูกรุ่นหลานปัจจุบันก็ทึกทักกันเอาเองว่าตัวเองคือเจ้าของที่-เจ้าของบ้าน-เจ้าของประเทศ

… กลับไปดูบนหัวโฉนดที่ดินที่เราได้อาศัยอยู่อาศัยกินตั้งแต่โคตรเหง้า

…“ตราครุฑ”นั่น คือสัญลักษณ์ที่แปลว่า เจ้าของตัวจริงเขาแบ่งที่ให้ใช้  เขาอนุญาตให้ใช้ที่ดินในนามของเรา เป็นชื่อของเรา  … ชึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ของเรา ตั้งแต่โคตรเหง้าแล้ว … เขาแค่อนุญาตให้ใช้ …

>>> พอมาถึงยุคนี้ ลูกหลานของผู้อาศัย กะจะเล่นลูกหลานเจ้าของที่ตัวจริงซะแล้ว …. 

>>> บอกลูกบอกหลาน กลับไปดู“ตราครุฑ”

พ่อครูว่า... ดี พูดอย่างนี้ก็ดูชัดแต่ลึกซึ้งอยู่ เตือนไปถึงพวกที่เขานึกว่าเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วจะเล่นแปรรูปที่ดินประเทศไทยให้ใครเขาได้ ขอส่งสัญญาณไปถึงคนพวกที่อวดดิบอวดดีผยอง คิดเอา โดยการหว่านล้อมด้วยโวหารอื่น แต่ที่จริงแล้วทำลักษณะเหมือนจะเป็นอย่างนี้ 

 

เรื่องตอนฝันกับเรื่องตอนตื่น ฝึกอย่างไรให้เป็นเรื่องเดียวกัน

_สมพอน สปป.ลาว ..หลวงพ่อครับ ขอฝากคำถามเถิงหลวงปู่แน่ครับ เลื่องมีอยู่ว่า:มีเพื่อนบ้านผมคนนึ่งอายุสี่สิบกว่าปี(เดียวนี้เขาตายไปใด้สามเดือนแล้วครับ)  ในช่วงที่เขาป่วยหนัก เขาใด้ฝันแล้วเขามาเล่าสู่ยาดพี่น้องฟังว่า มีผู้ชายคนนึ่งตัวดำมีรูบร่างใหญ่พูดกับเขาว่า:ตามหาคุณมานานแล้วกำลังเจอ ไปกับผมเดืยวนี้ ในชาดที่แล้วคุณไปลักเอาพระพุทธรูปไปขาย แล้วเขาก่อพูดกับชายคนนั้นว่าอย่าเพิ่งเอาผมไป ผมขอเวลาอยู่อีกสองปีเถิดครับ ชายคนนั้นก่อตอบเขาว่า ไม่ได้ คุณต้องไปกับผมเดียวนี้ ผมตามหาคุณมานานแล้ว ต่อมาอีกไม่เถิงอาทิดเขาก่อป่วยนักขึ้นแล้วก่อหมดสะติไปครับ

อยากจะถามหลวงปู่ว่าเลื่องนี้เปันเลื่องจิงไหมของชีวิดคนเราเมื่อใกล้จะตายก่อนจะมีคนมารับไป(แต่ว่าไปไหนไม่รู้ครับ)

พ่อครูว่า... ก็ตอบตรงนี้ก่อนเลยว่า คนที่ตายแล้วไม่มีใครมารับไปหรอก ตายแล้วเราก็ไปของเราเอง ตายแล้วของเราก็ไปของเรา ตามกรรมวิบากของเรา หลังตายนี่อาตมาก็ไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่ เพราะพูดไปแล้วก็จะมีคนอวดดี อวดเป็นผู้รู้ แล้วก็พูดต่อไป ก็มันไม่มีใคร ที่ยังไม่ตายจะไปรู้ได้ คนละภพ มันก็ไม่รู้ก็ไม่ชัดเจนเหมือนกัน 

มันต้องศึกษาดีๆแล้วก็จะรู้ว่าการเกิด การตาย มันเป็นการเดินทางของจิต เหมือนคนนอนหลับและคนตื่น คนตื่นอยู่ก็อยู่ในภพตื่น พอหลับตกไปสู่อีกภพหนึ่งเป็นภพหลับ มันก็จะเป็นอีกภพหนึ่ง ซึ่งมันไม่ค่อยต่อกันหรอก มันคนละภพ แล้วคนที่ยังไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เรียนรู้จริงแล้ว ทุกคนของตนเองแต่ละคนก็ฟังสิ่งที่อาตมาจะพูดก็คงเข้าใจ มันจะเหมือนกับคนละโลกกันเลย แล้วเราก็เหมือนจะเป็นคนละคน แต่รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเอง อาตมาว่ามันเป็นอีกคนละเรื่องอีกคนละความเข้าใจ อีกคนละการคบหาพวกนี้ เป็นเรื่องเป็นราวเป็นละคร คนละเวลาวาระ มันลืมเรื่องที่เรามีชีวิตตอนเป็นๆตื่นๆ 

หลับไปแล้ว มันก็ไปเหมือนอีกโลกหนึ่งเหมือนอีกชีวิตหนึ่ง เหมือนละครคนละเรื่องกัน แต่ตัวเราก็ยังเป็นตัวเรา แต่มันมีตัวละครอื่นโดยมีเรื่องราวอื่นอีกคนละเรื่อง นอกจากคุณจะศึกษาฝึกฝนจนกระทั่ง ให้ชีวิตตื่นกับหลับนี่ มันต่อเนื่องกันแล้วมันก็เหมือนตื่นกับหลับ ตื่นกับหลับ ซึ่งไม่ง่ายมันยาก อาตมาทำได้ แต่ก็ไม่ง่าย ต้องพยายามทำ แต่ก็ทำได้ 

พอตื่นก็คือตื่น พอหลับก็คือหลับเป็นเรื่องเดียวกัน ความรู้สึกเดียวกัน ภพเดียวกัน แต่พอตกลึกลงไปก็เปลี่ยนเหมือนกัน แต่ถ้าเผื่อว่าเราจะประคองเป็นเรื่องราวต่อเนื่องเหมือนที่เราตื่นอยู่ เอาเรื่องที่เราคิดตอนตื่นนี่แหละ ที่เราปรุงแต่ง ที่เราจะดำเนินเรื่องอะไร มันก็ไปด้วยเรื่องนี้ได้ แล้วก็ยาว มีเรื่องมีราวอะไรไปได้ แต่มันจะไม่ได้หลับลึก มันกินพลังงานเหมือนกัน 

สิ่งเหล่านี้ มีรายละเอียดมาก ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ เรื่องจิต เจตสิกมันก็มีตื่นกับหลับ มีตายกับเกิด มีสุดท้ายคือมีกับไม่มี สุดท้ายเราก็จัดการความมีให้ไม่มี อะไรที่เราจะทำให้ไม่มี กิเลส หยาบ กลางละเอียด ที่เกิดในจิตเรา จนมันไม่มี มันไม่มีแล้วมันก็ไม่เกิดอีกในจิต จนจะดึงมันกลับมารู้สึกอีก ไม่ได้ โอ้โห.. 

อันนี้อาตมาก็เจอกับตัวเอง อย่างเช่น รสอร่อยที่พูดกัน อาตมาดึงกลับคืนมาไม่ได้ กินอาหารเพื่อให้ได้ปริมาณ เพื่อจะยังขันธ์ ไปแต่ละวัน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเคี้ยวไป ไม่ได้กินด้วยความหิวกระหายความตะกละตะกราม ความเอร็ดอร่อย มันช้านาน กว่าจะได้ปริมาณพอที่จะเลี้ยงขันธ์

ซึ่งก็พยายามอยู่ แต่ฟื้นขึ้นมาบ้างนิดๆหน่อยๆก็เอา ก็พอเป็นพอไป อย่างเขาสนุกสนาน ไม่ใช่แต่เรื่องกินหรอก ดูเรื่องเขาสนุกสนาน เขาโกรธ เขาแค้น ดูอารมณ์เราจะไปกับเขา เขาจริงเขาจังสนุกกันเล่น อาตมาก็พยายาม พยายามร้องเพลง พยายามรื่นเริง แต่ว่าเรื่องเศร้าๆสร้อยๆ เรื่องที่มันไม่ดี มันบั่นทอนกำลังมาก อาตมาไม่ทำหรอก ก็ทำแต่เบิกบานร่าเริงไปเท่านั้นเองที่เห็นได้ ใครคบใครอยู่ได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสสัมพันธ์อยู่ก็จะเห็นอาตมาก็เป็นเช่นนั้น 

อธิบายอีกทีสรุปว่า ศึกษาปฏิบัติธรรมเอาเอง แล้วจะรู้ความจริง ไอ้้ที่พูดนิยายไม่รู้กี่เรื่องก็เล่ากันไป ก็ตอบให้ได้ว่า ไอ้ที่พูดกันนี้ คนเขานึกว่ามันมีมันก็มีได้ จะเป็นเรื่องหลอกตัวเองโกหกก็ได้ เป็นอุปาทาน มีได้ แต่ที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่เขาไม่มีอย่างนั้น คุณบ้าอยู่คนเดียวตอบง่ายๆ 

 

ตัวศักดิ์ศรีใช้กระทุ้งกิเลสได้แต่อย่าไปยึดจนเป็นอัตตา

_นาง จับใจ ธนะโภค  · กราบนมัสการพ่อครูฯ ดิฉันขอน้อมกราบถามค่ะ

1. คำว่า"ตัวศักดิ์ศรี" เป็นตัวกระทุ้งทำให้เห็นกิเลส 

2. จะมีวิธีการปฎิบัติอย่างไรให้ "ตัวศักดิ์ศรี" เป็นแรงจูงใจทำให้สามารถลดกิเลสได้ด้วยคะ

พ่อครูว่า... ศักดิ์ศรีมันไม่ช่วยให้ลดกิเลสหรอก อาจจะดูเหมือนมันทำให้ลดกิเลสได้ คือ ให้รู้สึกไว้ตัว อย่าไปคลุกคลี อย่าไปวุ่นวายอย่าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต่ำ ไว้ศักดิ์ ไว้ศรีตัวเองบ้าง มีศักดิ์ศรีบ้าง อย่าไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น จะทำใจในใจอย่างนี้ แล้วก็ทำให้ได้อย่างนี้ ก็ไอ้สิ่งที่เราจะไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องนั่นแหละ คุณก็ต้องเห็นแล้วว่ามันไม่ควร ก็ไว้ศักดิ์ศรีบ้าง อย่าไปเกี่ยวข้องบ้าง ก็ต้องทำอยู่เหมือนกัน 

แต่ที่นี้วิธีการปฏิบัติอย่างไร ก็คือต้องทำใจในใจ ภาษาก็เป็นศัพท์ ทำใจในใจ ที่ภาษาบาลีบอกว่า มนสิกโรติ เป็นคำกริยา ถ้าเป็นคำนามก็เป็น การทำใจในใจ คือ มนสิการ 

คำว่ามนสิการ เป็นรากเหง้าเป็นมูลกา ที่ 2 ในมูลสูตร 10 

เริ่มต้นข้อที่ 1 คือฉันทะคุณจะทำอะไรถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยความยินดีจริงๆเลยนะ มันทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ความยินดีเป็นตัวต้นรากที่จะเดินทาง เมื่อมีจิตยินดีฉันทะ เราจึงจะเริ่มต้นตั้งทิศของจิต เจตสิก สัญจิจจะ หรืออุทิสะ อาตมาแปลเป็นไทยว่า จิตมีทิศมุ่ง เขาแปลว่าเจาะจง หรือจะแปลว่าเจตนาก็ได้ แต่เจตนามันก็เป็นคำศัพท์ของมันเองเต็มรูปอยู่แล้ว มุ่งมั่นและมีที่ตั้ง มีที่เดินไปเลย เจตนามันเต็มรูป 

สัญจิจจะคือกำหนด สัญญะ สัญจะ มันเริ่มกำหนด ทำงานตั้งทิศมุ่งและส่งให้เกิดแรง มันก็จะเกิดแรงขึ้น เดินทางไป 

คำว่า สัญจิจจะ ที่อาตมาเอามาอธิบายในประโยค สัญจิจจะ ปานัง ชีวิตา โวโรเปตุง คือจิตมีทิศมุ่งไปทางทำร้าย โวโรเปตุง แปลว่า การทำไม่ดี การทำร้าย จนกระทั่งไปถึงการฆ่าเลย ฆ่าอะไร มุ่งที่จะทำร้าย ปานัง ชีวิตา คือชีวิตในขั้นปาณะเลย 

สัตตะ ภูตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ในดีกรีของความเป็นชีวิตที่ หยาบ กลาง ละเอียด ไปเรื่อยๆ ต้องพยายามเรียนรู้จิตในจิตอาการเจตสิกต่างๆ จิตเจตสิก รู้มันให้ได้ กำหนดรู้ตัวมัน 

สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นรูป โดยนามของเรา สัญญามันกำหนดรู้รูป แล้วมันก็เกิดรู้ๆๆ จนรู้ไปครบบริบูรณ์ก็เรียกว่า ปัญญา พัฒนาขึ้น ปรับปรุงขึ้น จะให้เกิดให้ดับ จะให้เจริญ จะให้เสื่อม คุณทำได้เต็มรูป จบกิจ จบเรื่องราว แต่ละเรื่องเป็นกิจแต่ละกิจ คุณก็สมบูรณ์เรื่อง สมบูรณ์สภาพธรรมคือธรรมะบริบูรณ์ ธรรมะบรรลุ ธรรมะสมบูรณ์แบบ คุณก็ต้องทำไปฝึกไป 

สรุปแล้วตัวศักดิ์ศรี จะใช้มันเป็นตัวกระทุ้งตัวเองก็ได้อธิบายแล้วก็พอได้ แต่จะถือว่าเป็นตัวศักดิ์ศรี ฉันสูง ฉันทำได้ ฉันเก่ง ฉันวิเศษ เป็นอัตตาเลย มันจะเป็น อัตตาเลย อย่างนั้นต้องรู้ว่าอย่างนี้ไม่ดี 

แต่ทำได้แล้ว เราก็จะต้องอย่าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรามีความสามารถ เรามีความดีที่จะมีเรี่ยวแรงเป็นของตน สามารถอยู่เหนือ สามารถหลุดพ้น สามารถที่จะไม่เป็นทาส หลุดพ้นได้สมบูรณ์แบบ ทำได้แล้วก็ต้องรู้ว่า สักแต่ว่าทำ ทำสำเร็จแล้วก็อาศัยมัน ก็เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษ 

 

พ่อครูเป็นพระอรหันต์แล้วไม่โกรธใครแม้เขาจะด่ามา

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · ชอบพ่อครูที่ตอบคำถามทุกท่านถึงจะหลายวัน แต่ในคำถามก็มีทั้งคนโง่และฉลาด พ่อครูก็ตอบหมด ถึงจะโดนด่าก็ไม่โกรธตอบ สุดยอดเลยครับท่าน.

พ่อครูว่า... คนนี้มองออก สาธุ อาตมาเป็นอย่างที่คุณว่านี่แหละ คุณชอบก็ดีแล้ว ศึกษาแล้วก็ฟังให้ดีได้ธรรมะเอาไปปฏิบัติตน คำถามมีทั้งคนโง่คนฉลาดก็จริง เราก็เผื่อแผ่เพื่อคนฉลาดเหมือนกันจะได้ประโยชน์ คนโง่เขาก็ต้องเป็นมาก่อนคนฉลาดทั้งนั้น ค่อยๆเป็นไป ก็ให้ประโยชน์กัน 

แล้วการโกรธ ไม่โกรธตอบ อาตมาเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพระอาริยะแล้ว อาตมาก็รู้อาการโกรธเป็นอย่างไร แล้วก็เลิกโกรธมานานแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติอาตมาเคยพูด อาตมานึกไม่ออกว่าอาตมาโกรธอะไร นึกไม่ออก และก็ไม่มีใครทำร้ายอาตมามากมายนอกจากถูกด่า เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งถูกด่าหนัก ผู้ที่เขาไม่เข้าใจก็ด่า 

ผู้ที่เอา SMS มาให้อาตมา เอา comment ต่างๆมานี่ ไม่ได้เอามาหมดนะ ด่านั้นมีทุกวันแต่เขาไม่ได้เอามาให้อาตมา เอามาอาตมาก็ต้องเสียเวลา ผู้ที่คัดมาก็คงคิดว่า คนที่ยังไม่มีศรัทธา ยังไม่มีความเชื่อ ยังไม่มีความเข้าใจที่จะฟัง เขาหนักขนาดนี้มันเสียเวลา อาตมาอธิบายไปก็ไม่ช่วย ไปช่วยคนที่ลึกและลำบาก มันก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ จะเสียเวลามากกว่า เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้คัดมา นานๆจะคัดมาผสมผเสให้เป็นน้ำจิ้มบ้าง 

ส่วนคนที่ตั้งใจศึกษาแสวงหาพากเพียรและรับฟัง พัฒนาเพื่อความเจริญมันมีเยอะ เราก็เอาอันนั้นให้ได้ประโยชน์ เราก็ไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เราก็สงสารเขา แต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในกาลเวลาที่เราจะเอาเวลาไปเผื่อมากเกิน ก็ได้เท่าที่มันได้ แต่ว่าก็เห็นใจนะก็พยายามอยากจะให้มีเวลา แต่อาตมาก็ไม่ได้อยากจะฝืนสังขารเกินไป ก็เอาเท่านี้ก็แล้วกัน 

 

บุญนิยมเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เจ้าหน้าที่ทำงานฟรีมากว่า 10 ปี 

_Nomapai Penparsertsith น้อมอภัย เพ็ญประเสริฐสิทธิ์ : การถ่ายทอดส่งผ่านเฟซบุ๊กแฮงค์บ่อย ควรตรวจสอบก่อนใช้งานจริง ดีมั้ยคะ

พ่อครูว่า... 1.ไม่ได้แก้ตัวนะ แต่ของที่เราใช้ มันไม่ใช่ของชั้นดี แต่เป็นของ Secondhand ไม่ใช่ของแกะกล่องใหม่เท่าไหร่ และ 2.ช่างของเราก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการจนกระทั่งศึกษาฝึกฝนเป็นผู้ชำนาญการราคาแพง ไม่ใช่ พวกเราก็ลูกๆหลานกัน ทำงานรับผิดชอบไป ทำสถานีโทรทัศน์มาได้นานเป็น 10 ปีขนาดนี้ เก่งแล้ว ใช้เงินของขยะเป็นหลัก แล้วเราไม่ได้รับบริจาคจากคนที่ไม่ใช่ชาวอโศกนะ แล้วพวกชาวอโศกจริงๆก็จนลงจนลง จนสุดท้ายก็มาเป็นคนจน 

มันก็ยังไม่ค่อยมีเงินมาหนุนกันเท่าไหร่ แต่ก็หมุนพอได้ ไอ้นี่เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่คนงง มันบอกว่ามันจน จนอะไรวะ อะไรมันก็ใหญ่ก็โต มีมากมีมาย  โอ้โห ดูสิทำสวนน้ำให้คนมาเที่ยวเล่นสบายไม่เก็บตังค์อีกด้วย เศรษฐีเขายังเก็บตังค์เลย แค่มี swimming pool สระเดียวเขายังเก็บตังค์เลย อันนี้มีสวนน้ำให้เขาเล่นฟรี ไม่เก็บตังค์ยังเลี้ยงข้าว แจกพืชผักผลไม้ให้เขาฟรีอีก อะไรวะมันพูดย้อนแย้ง คนรวยยังไม่กล้าทำ แล้วคนทำจน มันจนยังไง 

_สู่แดนธรรม... อันที่พ่อท่านทำนี้เป็นของมหาเศรษฐีทำครับเศรษฐีธรรมดาเขาไม่ทำ อันนี้ต้องระดับมหาเศรษฐีจึงจะทำได้ 

พ่อครูว่า... คำว่า เสฏฐะ เสฏโฐ คือผู้ประเสริฐ ส่วนคนร่ำรวยนั้นเป็นพวกกฏุมพี เขาไม่ยอมใช้คำว่า กฏุมพี เอาใช้คำเท่ๆคือเป็นผู้ประเสริฐ เป็นเศรษฐีมาใช้ ขี้หมานะครับ คุณเองพวกกฎุมพีเป็นพวกมีเงินทองเยอะ เป็นพวกชั้นต่ำ แต่ เศรษฐีจริงๆนั้นเขาเป็นคนจน คือเศรษฐกิจดี 

 

_ปรีชา เสนอใจ : ผมโดนโกงค่าแรงจากการสร้างหมู่บ้านเอื้ออาทรไปห้าแสนกว่าบาทครับ ตอนนี้ผมบอกตามตรงนะครับ ผมยังไม่ใว้ใจพรรคอันดับ2ที่เป็นพรรคนำจัดตั้งรัฐบาลน่ะ มีอะไรแอบแฝงอยู่ ผมมองเหมือนว่าพิธาเป็นหมาก1ตัวเท่านั้นครับ

พ่อครูว่า... อะไรถูกผิด อาตมาไม่ค่อยถือสาพวกนี้หรอกเพราะไม่ค่อยมีถูกจริงๆ เป็นพวกสับขาหลอกเท่านั้น ขออภัยอาตมาพูดตรงๆผ่าเปรี้ยงๆ ก็ดูเขาไป นี่เป็นละคร อาตมาว่าเป็นฉากที่เกือบจะจบแล้วของประเทศไทย อาตมาได้พูดมาหลายที่แล้วเรื่องนี้ว่าการเมืองของไทยมันละเอียด มันเก็บทุกเม็ดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงที่สุด นี่มันจะเม็ดสุดท้ายแล้ว จะเห็นได้ว่ากระริบกระร่อยเต็มที มันจะเม็ดสุดท้ายแล้ว ดู 

เพราะฉะนั้นก็ดูมันผ่านไป อาตมาก็ยังเดาไม่ออกรายละเอียดพวกนี้ มันเป็นยุคนี้ มันเป็นเรื่องของละครยุคนี้ เขาจะต้องเล่นแบบนี้ ถ้ายุคหนังอินเดียก็แบบหนังอินเดีย ถ้ายุคหนังจีนก็แบบหนังจีน ถ้ายุคหนังเกาหลีก็แบบเกาหลี ตอนนี้หนังอะไรฮิตอาตมาไม่ค่อยได้ดูหนังละคร 

 

_สายธาร : บารมีไม่ถึงไม่ได้เป็นหรอกนายก

พ่อครูว่า... คนนี้ตัดสินเลย คงหมายถึงคุณพิธา คนเราก็แสดงความเห็นก็ออกมาอย่างนี้ 

 

_@SaowalukApiwattananon  เสาวลักษณ์ อภิวัฒนานนท์• เพื่อไทยเป็นแกนนำ แล้วทักษิณ จะกลับบ้านเท่ห์ๆ มั้ยคะ

พ่อครูว่า... ไม่รู้ อาตมาจะไปตอบได้ไง ทักษิณจะกลับเท่ห์ๆได้อย่างไร จะกลับมาอย่างไรก็ต้องติดคุกเพราะยังมีโทษอีกตั้งหลายปีตัดสินแล้วเรียบร้อยด้วย 

_สู่แดนธรรม... ป๋าเปลว สีเงินได้เขียนวิเคราะห์ให้อ่านแล้วครับ ว่า ทักษิณวางแผนติดคุกตอนนี้ ติดไม่กี่ปีก็ได้รับอภัยโทษ 

พ่อครูว่า... เพราะว่าคงรู้แล้วว่าถ้าไม่ยอมติดคุกจริงๆ คงไม่ได้ เขาใช้ความพยายามสารพัด จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ จะใช้วิธีการเพื่อที่ให้อภัยโทษ มีอะไร สารพัดที่เขาทำ เขาทำบาปไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมใช้หนี้กรรมที่ตัวเองทำ จะเล่นตีกิน มันยิ่งเป็นวิบากบาปหนักหนาสาหัสก็ไปใหญ่ เขาทำน่าเกลียดน่าชังเยอะทักษิณนี่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย รู้ๆกันอยู่ 

 

_@lmns2818 (อ่านไม่ได้)  • กองทัพทำทำให้ชิบหายหรือเป็นพระก็อยู่ส่วนพระส่วนนั้นมันปราชิกแล้วหัดไปอ่านกฏของพระบ้างแก่ก็แก่แล้วให้เขาลากไปในทางเวรทางกรรอีกไปเป็นแพะไม่ไช่พระแล้ว

พ่อครูว่า... อย่างนี้เป็นต้น นี้คือ Comment ตัวอย่าง เขาก็เห็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็เข้าใจเขา เพราะเขาก็มี Concept ของเขาอย่างนั้น มีความเข้าใจของเขา มีทิฐิของเขาอย่างนั้น เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เขาเชื่ออย่างนั้น เขามีความคิดองค์รวมของเขาอย่างนั้นนะอย่างที่เขาเห็น เพราะฉะนั้นเขาเห็นเรานี่เขาก็บอกว่าไม่เข้าท่าอะไรเลยมีแต่แง่แต่เชิงที่มันน่าตำหนิ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเคารพ ไม่น่ารักอะไรทั้งนั้น มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ 2 อย่าง มีชอบกับไม่ชอบ ถูกต้องตามของเราหรือไม่ถูกต้องตามของเรา ใหญ่ๆมันก็มี 2 ฝั่งอย่างนี้ธรรมดา ศึกษาดีๆคุณคนนี้ 

ตั้งใจดีๆศึกษา ติดตามอย่างไร ๆ เราก็เป็นมิตรสหายกัน สัมผัสสัมพันธ์ติดตามฟังกันได้ อาตมาก็เข้าใจคุณก็เห็นใจอยู่ 

 

คนใจเป็นกลางก็สามารถเห็นว่ามีคนชังชาติชังกษัตริย์อยู่จริง

_@sakuna7 สกุณา • คนใจเป็นกลาง ไม่มีวันมองคนอื่นชังชาติชังกษัตริย์หรอกค่ะ #ตรรกะ

พ่อครูว่า... คุณพูดเอาเป็นคำสวยๆ โดยไม่คิดถึงราก ถึงองค์ประกอบของมันเยอะๆ ว่าคนที่มองคนอื่น เห็นคนอื่นว่าเป็นคนชังชาติชังกษัตริย์ คนๆนั้นเขาจะมีใจไม่เป็นกลาง แต่ถ้าเมื่อคนใจเป็น กลางแล้วจะไม่มีวันมองคนอื่น มองใครว่าเป็นคนชังชาติ ชังกษัตริย์ 

คุณพูดได้ มันเป็นการหลอกตัวเองว่า คนที่เขามีความคิดชังชาติ ชังกษัตริย์ มันมีไหม ...มี

แต่ทีนี้คุณก็ยกย่องคนใจเป็นกลางว่าเป็นคนสูงส่ง แล้วคุณก็พิพากษาเลยว่าคนใจเป็นกลางไม่มีวันมองคนอื่นว่าชังชาติ ชังกษัตริย์ อ้าวมันก็มีคนที่ชังชาติ ชังกษัตริย์อยู่จริงไหมล่ะมันก็มี และคนที่ใจเป็นกลางต้องเป็นคนใจสูง ใจประเสริฐ เข้าใจสัจธรรมชัดแล้ว เห็นคนผิดว่าไม่ผิด เขาน่ะเป็นคนชังชาติเป็นคนใจเป็นกลาง คนที่ชังชาติชังกษัตริย์ก็เป็นอย่างที่เขาเป็น แต่คนใจเป็นกลางแล้วนี่ เขาไม่ได้มีความเป็นอย่างนั้น แล้วเขาก็ไม่มีความมองผิดด้วย เขาก็มองคนชังชาติ ชังกษัตริย์มันก็ต้องเป็นความจริงที่เขาชังชาติชังกษัตริย์ เขาจะมองออก 

เพราะจริงๆแล้วคนใจเป็นกลางจริงๆจะเป็นคนที่ไม่โง่ ไม่กลัว ไม่เห็นผิด เห็นถูก ไม่กลัวเสื่อมลาภยศเสื่อมตำแหน่ง ไม่กลัวเสียหน้าหรอกคนเป็นกลาง คือคนบรรลุธรรมที่แท้จริง คนมีปัญญา ส่วนคนไม่มีปัญญา จะกลัว จะโง่ จะเห็นผิดตลอดเวลา ส่วนคนที่มีปัญญาเป็นคนใจเป็นกลางจะเป็นคนเหมือนอยู่ที่สูง มองความจริงตามความเป็นจริง ชัดและได้มาก ได้ครบ ได้ถ้วนบริบูรณ์ เป็นผู้ที่มีปัญญาปาสาโท มองเหมือนอยู่บนโดรน มองท็อปวิวสูงๆ มองลงมาจะเห็นรอบกว้างได้ทั่วได้ครบ ไม่มีอะไรบัง อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นคนที่มีพฤติกรรมเป็นกลาง 

เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ดี มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมของคนต่างๆและรู้จักดี รู้จักจัดสรร แล้วก็พอช่วยอะไรกันได้ก็ช่วยกันไปด้วยดูตัวเราก็เท่านี้ ตัวเราจะสามารถช่วยได้ไหม ช่วยได้ก็ช่วยกัน ช่วยได้เท่าไหรก็เท่านั้น 

_@user-vz6jp6nu2h (อ่านไม่ได้)   • แก่ป่านนี้ ยังมองเกมส์อะไรไม่ออก เสียดายวิตามินผัก เปลืองผัก เปลี่ยนเป็นหญ้าไปเลยดีไหมลองดู เผื่อจะดีขึ้นมาบ้าง

พ่อครูว่า... ไล่เราไปกินหญ้าเลยนะ อ้าว อย่างนี้แหละเขาแสดงความเห็นอย่างนี้ก็มีไม่น้อย 

บอกว่าเราเองมองอะไรไม่ออก อาตมาก็มีปัญญาอย่างที่อาตมามี คุณก็มีปัญญาอย่างที่คุณมี คุณก็มองออกอย่างคุณ แล้วคุณก็ตัดสินอย่างคุณ แน่นอนความเห็นที่ต่างกัน คุณก็เห็นของคุณแล้วคุณก็ยึดถือของคุณว่าคุณถูก แน่นอนอาตมาเองเห็น อาตมาก็มั่นใจว่าของอาตมาถูก มันก็มีความเห็นต่างกัน เป็นธรรมดาธรรมชาติ นานาสังวาส ศึกษากันต่อไป สัจธรรมต้องคงทน มีผลประโยชน์ต่อไปเรื่อยๆ คุณเองก็พยายามแสวงหาสัจธรรมเหมือนกันอาตมาว่า ติดตามกันดู 

อาตมาไม่รู้ว่าคุณอยู่ไหน แต่คุณรู้ว่าอาตมาอยู่ที่นี่ ติดตามได้ แต่อาตมาไม่รู้ว่าคุณอยู่ไหน ถึงแม้ว่าอาตมาจะรู้ว่าคุณอยู่ไหนก็ต้องขออภัยที่อาตมาคงจะตามไปดูคุณไม่ได้ เพราะว่าคุณไม่ได้ออกสาธารณะ ไม่ได้ออกอากาศหรือออกสื่อแบบนี้นี่ อาตมาก็ตามไปดูไม่ได้ แล้วอาตมาก็ไม่เป็นด้วย ไอ้ที่จะดูภาพหรือสื่อที่คุณตาม ก็ต้องขออภัยอาตมาทำได้เท่านี้นะ 

_@user-xu9rx5pd4q (อ่านไม่ได้)   • ใครๆเขาก็รักชาติทั่งนั้นแหละค่ะ แต่ 14 ล้านเสียงมันไม่มีประโยชน์เลยหรือ แล้ว สว.แก่แค่สองร้อยกว่า มีอำนาจมากกว่า มันมีนายทุนไงกลัวเสียอำนาจรัฐประหาร เลวเน่าะ

พ่อครูว่า... คนนี้ก็มองอย่างนี้ อาตมาก็ คือมันเหนื่อยจะไม่รับว่าเหนื่อยก็ไม่ได้ เหนื่อยจริงๆ เหนื่อยที่จะทำความเข้าใจกับคนที่เขายึดมั่นถือมั่น เขาไม่มองอะไรบ้าง เขาก็มีเจตนาดีของเขาเหมือนกันที่แสดงออกมานี่ มีเจตนาดีเหมือนกัน ก็ศึกษากัน ต่างคนต่างศึกษา 

_สู่แดนธรรม... มีสถิติย้อนหลังให้ศึกษานะครับ การเลือกตั้งหลายสมัยที่ผ่านมาในอดีต บุคคลที่ชนะเลือกตั้งแต่ไม่ได้เป็นนายกมีหลายคนมากนะครับ ตั้งแต่ปี 2500 นายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ ได้คะแนนสูงสุด แต่บุคคลที่ได้เป็นนายกคือจอมพลถนอม กิตติขจร 

ปี 2518 หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชได้ 72 ที่นั่งแต่ก็ไม่ได้เป็นนายก บุคคลที่เป็นนายกคือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช 

ปี 2522 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชได้ 88 ที่นั่ง แต่พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ได้เป็นนายก 

คนปัจจุบันนี้เขาคิดแบบคนก้มหน้ามองแต่มือถือในตัวเอง ในสิ่งที่ไม่เกินหัวเข่า ไม่เกินเท้าตัวเอง ควรมองโลกให้ครบรอบด้านด้วยนะครับ 

_ใบแพร....

พ่อครูว่า... งานที่เราทำนั้นถ้าเป็นสิ่งที่สำคัญและขาดแคลน และสำคัญเป็นสิ่งที่ควรช่วยอยู่ในสถานะที่ควรช่วย เดือดร้อนหรือจะเป็นจะตายก่อนก็ต้องให้เขาก่อน อ่อนแอกว่า สมรรถนะน้อยกว่า หรือว่าแก่แล้วมากทำไม่ไหว มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง อาตมาก็ขยายความมามากมาย สรุปแล้วก็คือเสียสละในสิ่งที่ควรกับคนที่ควร กับ กาละที่ควร แล้วจะค่อยมีปฏิภาณเข้าใจ 

ดีเข้าใจถูกแล้ว แล้วก็พากเพียร รายงานผลแล้วก็ตั้งใจของตัวเองด้วยก็ดีแล้ว 

 

หมด sms สำหรับวันนี้ 

พ่อครูว่า... มาถึงสิ่งที่อาตมาเตรียมไว้ 

 

ประชาธิปไตยจะให้คะแนนกันอย่างไร ตอน 1

ประชาธิปไตยจะให้คะแนนกันอย่างไร เอาอะไรมาชี้บ่งถึงจุดสำคัญในความเป็นประชาธิปไตยได้แท้จริง 

ก็ต้องเอา“หลักเกณฑ์”สำคัญ เป็นเครื่องตัดสิน ศาสนาพุทธก็มี“ศีลธรรม”แต่ละข้อของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็น“หลักเกณฑ์”พิจารณาตามกาละ-เทศะ-ฐานะ ที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป

“หลักเกณฑ์”ที่ยืนยัน“ความจริง”แท้ได้ ต้องเป็นหลักเกณฑ์กำจัด“กิเลส”ให้หมด“อวิชชา”ได้จริงๆ จึงจะไม่มี“ความลำเอียง”มาตัดสิน

เอาที่เป็นปัจจุบันชาติที่เกี่ยวข้องกับเรากระทบอยู่ แล้วเราจะให้ได้ประโยชน์หรือเราวางมันแล้ว มันจะเกี่ยวข้องกับเราแต่เราวางมัน แล้วมันก็จะเป็นธรรมฤทธิ์ เราวางแล้ว มันก็จะมาเกี่ยวข้อง ธรรมฤทธิ์มาก็จะดีดมันออกไปเอง ถ้าเรามีบารมี ถ้าเราไม่มีบารมีดีดมันไม่ออกหรอก อาตมาใช้ภาษาสื่อได้แบบนี้ สภาวะแบบนี้เรียกว่าธรรมฤทธิ์

ลองไล่เรียง“เกณฑ์”ต่างๆไปทีละ“ข้อ”ดูกันซิ.. อย่างนี้จะยอมรับว่า เป็น“ประชาธิปไตย”มั้ย?

1.“ประชาชน”ส่วนใหญ่ มีอิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ 

อิสระที่จะทำแต่ไม่ทำเกินที่ควรทำ แล้วก็อยู่อย่างสบาย สงบไม่ใช่อยู่นิ่งแข็งทื่อๆไม่ใช่ สงบแต่ แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว เบิกบานร่าเริง ได้ประโยชน์คุณค่าด้วย อยู่กันอย่างอบอุ่นคืออยู่กันอย่างดี ภาษาไทยอบอุ่น ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนไม่รู้ว่าอย่างไร 

อิ่มเอม ความยินดีพอใจปลื้มใจ มันพอใจอย่างเต็มๆ พอใจยังอิ่มๆพอใจอย่างสมบูรณ์ 

เกษมใส มันเบิกบานแจ่มใสร่าเริง ไม่หม่นหมอง ไม่มีมัวหมอง มันใสสว่างกระจ่าง สงบครบพร้อมหมดเลยแล้วมีใจเกื้อกูลตลอดเวลา สุดท้ายจบตัวนี้เป็นสุดยอดแห่งมันมนุษยชาติเลย ชีวิตของเราพยายามมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่เราจะเป็นผู้เสียสละ ๆๆๆ ได้มากขึ้นแต่ไม่ไปบังคับตัวเองหรอกแต่พยายามให้เกิดพัฒนาการ เป็นคนมีอะไรเสียสละไม่ใช่แค่ปากพูด ไม่ใช่แค่คุยโม้ว่าเสียสละแต่เราทำจริงๆเลย มีผลผลิต มีแรงงาน กายกรรม วจีกรรม เสียสละจนกระทั่งไม่มีอะไรจะสะสมเป็นคงคลัง มีแต่การสะพัด 

เมื่อสะพัดเป็นตัวยืนยันเศรษฐศาสตร์ที่ชัดเจน คุณมีแรงงานสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าจำเป็น สิ่งที่เหมาะสม สิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็นของสังคมของคน ในกาละนั้น ในองค์ประกอบนั้น เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าแม้แต่ราคาแพงแต่เราก็ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา เป็นสิ่งที่เราจะต้องเป็นเจ้าของเจ้าของ เราเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณอะไรยิ่งไม่คิดใหญ่ 

2. การทำงานของ“นักการเมือง” 2.1 ซื่อสัตย์ 2.2 ขยัน ทำงานเพื่อประชาชน 2.3ทำงานเพื่อประชาชน 2.4 ไม่ทำเพื่อตนเพื่อพวกตน 2.5 เป็นกลางจริง 2.6ทำงานอย่างมีปัญญาและสมรรถนะ 2.7 ปรากฏผลงาน

ทำเพื่อประชาชนทำเพื่อส่วนรวม อย่างเช่นเราไปทำงานการเมืองคนจะบอกว่าไม่สมควรแต่เราก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควร เรามั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิดสิ่งที่เสียหายเขาไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องของเขา เขาบอกว่าไม่ดีไม่ควรทำเขาเข้าใจของเขาตามประเด็นของเขามันเป็นนานาสังวาสความเห็นต่างกัน 

7 ข้อนี้อ่านในตัวตนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนักการเมืองที่มีลักษณะ 7 ประการนี้ ที่มีหลักฐานยืนยันได้ 

พวกตาบอดหูหนวกก็ใส่ความ ด้อยค่าพลเอกประยุทธ์ว่าไม่มีผลงาน ทั้งที่มันมีอยู่เต็มไปหมด แล้วเขาก็มาพูดมันไม่อายหรืออย่างไร เขามีแต่ขี้โม้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่เลย แต่นี่พลเอกประยุทธ์เขารับตำแหน่งหน้าที่มีผลงานปรากฏเลย ต่างประเทศรับรองมีหลักฐาน องค์กรนั้นองค์กรนี้รับรองต่างๆนาๆ แล้วหลักฐานที่เป็นปรากฏผลงานให้พวกคุณได้อาศัยด้วย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... พวกนี้ไม่ควรคบหามี 1.ใช้เวลาสมาคมกับพวกเป็นพิษ 2.ใช้เวลาอธิบายเหตุผลกับคนที่มีอคติต่อเรา 2 ข้อนี้เราควรหลีกเลี่ยง 

พ่อครูว่า... เป็นกลางจึงต้องเข้าข้างคนดี 

3. ผลงานมีจริงจับต้องได้ ประชาชนได้อาศัยกินใช้ดำเนินชีวิตกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข เบิกบานสราญใจจริง 

4. จิตวิญญาณของประชาชนได้รับการพัฒนา ให้เป็นอาริยชนที่เป็นโลกุตระกันจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากโลกียธรรมที่ตื้นเขิน ไม่ลดกิเลสแย่งสุขที่เป็นโลกียะ ซ้ำมิหนำมีแต่เพิ่มกิเลส 

โลกียธรรมนั้นตื้นเขินรู้ง่าย แน่นอนโลกุตรธรรมนั้นรู้ได้ยาก 

ความสุขนั้นเป็นมายาที่โง่ ความสุขหยาบๆไปหลงเรื่องเลวร้ายเรื่องเลว ความสุขตั้งแต่เป็นเจ้าโลกสร้างอาวุธฆ่าคนได้เป็นจตุมหาราช เป็นสวรรค์ชั้นที่เลวร้ายที่สุดเลย แล้วเขาก็ว่าเขาเป็นสุข เขาเป็นจอมยักษ์มาร จตุมหาราชเขาไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นคนพวกนี้มีแต่เพิ่มกิเลสโดยไม่รู้ตัวเอง 

สรุปข้อ 4 นี้จิตวิญญาณประชาชนต้องลดกิเลสและเจริญเป็นอาริยะ 

5. อาริยชนคืออริยกะ(คนเจริญ)แท้ ไม่ใช่มิลักขะ(คนเถื่อน) อริยกะแท้ คือผู้ใช้ศีลพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องวัดได้จากกายกรรมของคน-วจีกรรมของคน ซึ่งมาจาก“มโนคติ-มโนทัศน์”เป็นประธาน บัญชาการ ใจของเรานี่แหละเป็นผู้บัญชาการหรือใจของเรานี่แหละเป็นพระเจ้าของเรา

เพราะฉะนั้นศีลข้อ 1 ก็ดีข้อ 2 ก็ดีข้อ 3 ก็ดีข้อ 4 ก็ดี ศีลแปลว่าเป็นปกติ 

ศีลข้อ 1 เบื้องต้นไม่ฆ่าสัตว์ คนที่ปฏิบัติตนจนกระทั่งมีศีลแปลว่าจิตใจของตนมีทั้งปัญญาและเจโต มีความศรัทธา จิตตั้งมั่นแข็งแรงปัญญาก็ชัดเจนว่าไม่ฆ่า ไม่ฆ่าอย่างไม่ต้องฝืน ไม่ฆ่าอย่างสบาย หากไปฆ่าสิเป็นการฝืนมาก ฆ่าไม่ได้ฆ่าไม่เป็น ฆ่าไม่ลง ในที่สุดเขาจะฆ่าเรายังยอมให้เขาฆ่าเลย ไม่ฆ่าแม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นคน จะมีปัญญารู้ว่าสัตว์นี้ คนนี้สูงกว่าเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นเดรัจฉานเราก็ไม่ฆ่าแล้ว แล้วจะมาฆ่าคนได้อย่างไร 

เอาเถอะแม้คนมันจะชั่วมันจะเลว ก็ให้คนอื่นเขาฆ่าก็แล้วกัน มีคนรับผิดชอบคนที่ทนไม่ไหวต่อสิ่งเลวร้าย มีคนปรารถนาดีต่อสังคมเขาก็ลงมือ สำหรับเราไม่ต้องไปทำ พ้นจากหน้าที่นั้นแล้ว เรามีหน้าที่อื่นที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นได้ เราไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในวงกรรมวิบากนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าตีกินเอาเปรียบเขานะ แต่มันอยู่ในฐานะบารมีวาสนาบารมี มันคนละระดับ ก็ต้องปล่อยเขาไปทำ ส่วนเราก็ทำส่วนที่เราทำ 

อย่างอาตมามีวิบากถูกด่า ถูกว่า ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากมายกว่านั้นหรอก ทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว อย่างแรงที่สุดก็ถูกเขาซัดแก๊สน้ำตา นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ทำงานมา ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในแวดวงพวกเราหรือออกไปสู่วงกว้างสู่ประชาชนข้างนอกการเมืองออกไปอย่างนั้น ก็นั่นแหละก็ไม่ได้มีอะไรที่ผ่านมาแล้ว 50 กว่าปี ไม่ใช่ไปท้าทาย ไม่ใช่ไปอวดดีหรอกแต่เป็นไปตามธรรม 

ผู้มี“กรรม 3 ที่สุจริตขั้นโลกุตระ”นั้นมี“พฤติกรรม”ตาม“ศีล” ที่เกิด“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา”กันจริงเจริญขึ้นยิ่งๆ อธิ แปลว่าเจริญขึ้น 

5.1 กรรมต่างๆ ล้วนเป็น“การกระทำดี”สังคมนับถือ 

5.2 มีประสิทธิภาพช่วยเหลือผู้คนประชาชนจริง 

5.3 กรรมนั้นชี้บอกได้ว่าเป็น“ความเสียสละ”ของมวลประชาชนส่วนใหญ่กันจริงๆ บ่งชี้ว่ามวลประชาชนต่างก็ลดกิเลส“โลภ-โกรธ-หลง”กัน สูงสุดถึงขั้นมีคนลดละกิเลสเป็น“สมณะ 4 เหล่า”คละเคล้ากันอยู่ในสังคมนั้นๆได้จริงๆ 

อย่างเหตุการณ์ที่ชาติต้องการ ออกไปชุมนุมประท้วงเป็นกิจของสังคมประเทศ ถึงขั้นที่จะปล่อยให้รัฐบาลที่บริหารอยู่นี้ ทำงานต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าพากันเสื่อม พากันทุกข์ยากพากันลำบาก สรุปง่ายๆว่ารัฐบาลทรยศเป็นรัฐบาลทรราชแล้ว จะต้องไปเอาออก 

ทีนี้วิธีการที่จะไปเอาออกที่สูงที่สุดคือต้องออกไปประท้วงเป็นลักษณะของสากล คือไปแสดงออกไปบอกความจริงว่า คุณเป็นรัฐบาลที่ใช้ไม่ได้ เราเป็นมวลประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยเราก็ออกไป ใครเห็นด้วยก็มารวมกันรวมกัน เอามวลประชาชนนับหัวกันเลยเอาตัวจริงของประชาชนไม่ใช่ไปลงคะแนนเท่านั้น เอาเลยเข้ามารวมกัน ซึ่งเกิดแล้วในประเทศไทยหลายยก อาตมาอยู่ในเหตุการณ์ที่ไปชุมนุมกัน 

อาตมาว่าอาตมาก็ทำงานเป็นตัวสำคัญอยู่นะ แต่อาตมาไม่ต้องไปสำคัญตัวเองหรอก คนที่สำคัญตัวเองมีความเด่นดังทางการเมืองมีแฟนคลับมากกว่าอาตมา เขาก็มาร่วมด้วย รู้ว่าทำกันเหตุการณ์หลายครั้งที่เราออกไปประท้วง อาตมาจำได้ พูดแล้วเหมือนกับอวดตัวเองเหมือนกับรื้อฟื้น ว่าเป็นผู้ที่เป็นต้นคิดต้นทาง 

เพราะเราไปประท้วงเราเรียกการประท้วงของเราว่านีโอ protest อาตมาคิดเองคำนี้ อุตริใช้คำว่านีโอ(Neo) ไม่ใช่คำว่านิว protest ต่างกับ mob

มีผู้รู้ทางภาษาอังกฤษว่า ไม่ควรใช้คำว่า ม็อบ เพราะเป็นเรื่องเหลวไหลไม่ดี ควรใช้คำว่าโปรเทสแทน มีอีกหลายคำใช้กันได้เช่น demonstration แต่อาตมาเลือกใช้คำว่าโปรเทส อาตมาว่าอาตมาเป็นโพรเทสแทนที่แท้จริง หรือ Protestor ที่แท้จริง 

วิธีการของการเมืองที่ปฏิวัติรัฐประหารก็ตาม ก็คือใช้บทบาทอันนี้ เข้าไปรวมพลประชาชน 1. ใช้มวล 2. ใช้ความจริงไปเปิดเผยความจริงอะไรผิดอะไรถูกว่ากันออกมาให้หมด 3. ใช้ความสงบ 4. รอได้ยาวได้นานได้ทนได้ 

จนกระทั่งทำแล้วได้ผล เกิดความรุนแรงน้อยจนไม่มีความรุนแรง แน่นอนมี Error บ้าง มีความรุนแรงเล็กๆน้อยๆ มันเป็นเรื่องระดับประเทศเป็นเรื่องระดับที่ตัวหัวเรือใหญ่ของแต่ละกบฏหรือของทรราช มีฤทธิ์มีอิทธิพลแรงด้วยนะมีอำนาจมากด้วยนะ แต่เราเอามือเปล่า เอาความจริง เอาความอดทน เข้าไป เรียกด้วยศัพท์ว่าต่อสู้ เข้าไปต่อสู้ เอาความสงบไปสยบความเคลื่อนไหว 

ซึ่งอาตมาเองอาตมาภาคภูมิใจในธรรมะอันนี้ของพระพุทธเจ้ามากเลย ในการที่อาตมาได้เกิดมาเป็นคนไทยทำงานให้แก่ประเทศไทย จนกระทั่งนักรัฐศาสตร์ทุกวันนี้ของโลก ก็ยังไม่เข้าใจเพราะว่าอันนี้เป็นการเมืองระดับโลกุตระ ยังไม่มีในตำราของมหาวิทยาลัยใดในโลก ว่าไปแล้วอาตมานี่แหละเขียนตำราอันนี้ในเรื่องพวกนี้ 

อาตมาเขียนในขณะไปร่วมปฏิวัติ ที่ได้ไปผ่านการปฏิวัติมาหลายรัฐบาล อาตมาเขียนหนังสืออยู่หลายเล่มเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งอาตมาไม่ได้รวบรวม แต่มีหลายเล่ม 

ในการเป็นประชาธิปไตยที่ปฏิวัติหรือรัฐประหารด้วยประชาชน อันนี้คนเขาก็พูดแต่เขาก็ยังไม่ get เขายังไม่เข้าใจซาบซึ้ง เขายังไม่เห็นจริง ว่ามันเป็นไปได้ที่ซับซ้อนลึกซึ้งละเอียดแล้วมีจริงเป็นจริงไม่ใช่พูดแต่ภาษาปากเปล่า มีผลสำเร็จแล้วด้วยเอามาพูดเอามายืนยันอยู่นี่ นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจ 

เหมือนกันกับอาตมาพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจสาธารณโภคี ซึ่งพูดในต่างประเทศ พูดในสังคมทุนนิยม สังคมเทวนิยม สังคมโลกีย์เขาไม่รู้เรื่องหรอก เศรษฐศาสตร์โลกุตระสาธารณโภคีที่มีสังคม สาราณียธรรม 6 อย่างที่เราเป็นนี่ พูดอย่างไรก็ยังเกินภูมิที่เขาจะรู้เรื่อง สำหรับชาวทุนนิยมหรือชาวเทวนิยมชาวโลกีย์ 

เมืองไทยเป็นพุทธ มีโลกุตระแล้วโลกุตระมันเสื่อม อาตมาก็เอามาสถาปนาขึ้นมาใหม่ พูดกันอยู่ทุกวันนี้ค่อยๆพูดมาตั้งแต่ต้นทำงานมา 50 กว่าปี ค่อยๆขยายความเป็นโลกุตระ ความเป็นสาธารณโภคี 

อาตมาเริ่มต้นทำงานศาสนามาจนกระทั่งรวมหมู่รวมกลุ่ม มีสังคมเกิดสาธารณโภคีตั้งแต่เริ่มต้น ชุมชนหมู่บ้านขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่เริ่มต้นด้วยลักษณะพฤติกรรมจริงมาเลย 

ส่วนการอธิบายความค่อยๆขยายความมาทีหลัง 

ขอยืนยันได้ว่าการเมืองสาธารณโภคีไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ การเมืองที่เป็นการเมืองระดับโลกุตระที่เราพาประพฤติ เป็นตัวอย่างของโลก ไม่ได้พูดเล่นๆนะ พูดจริง เป็นความจริงด้วยยังไม่มีประเทศอื่นเป็นตัวอย่างเพราะยังไม่มีความรู้อันเป็นโลกุตระ เป็นเหตุปัจจัยเขาไปทำก็ทำไม่ได้ 

เพราะการไปทำพฤติกรรมของโลกุตระอย่างนี้ได้ มันต้องประกอบไปด้วย กาละ เทศะ ฐานะ ที่ครบพร้อม ในเมืองไทยมี กาละแล้วในเทศะหรือในเวลา กาละในขณะนั้น status quo ระหว่างขณะปัจจุบันนั้นมันมีองค์ประกอบพร้อม ในที่ตรงนี้ขณะนี้ด้วย เหตุการณ์องค์ประกอบมีอย่างนี้ด้วยและมีผู้ที่มีฐานะต่างๆ 

ตั้งแต่ประชาชน ประชาชนคนไทยนะ ถ้าไม่ใช่คนไทยฆ่ากันตายมากกว่านี้ ที่ไปประท้วงมาไม่รู้กี่ครั้ง ฆ่ากันตายมากกว่านี้แน่เลย แต่นี่มันก็แค่นั้น เรานั้นไม่ฆ่าเขาแน่ แต่พวกที่เป็นผู้ร้ายเป็นทรราชเขามาฆ่า ก็ไม่มาก มีสถิติคุณตรวจสอบได้เลย เราทำมาอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ถ้าจะมีอีกไปอีกไหม ... ไป ตอบโดยไม่คิดเลยนะ 

_สู่แดนธรรม... ผมมองว่า พ่อท่านมาบำเพ็ญในชาตินี้ พ่อท่านได้สร้างผลงานชิ้นเด่น เรียกว่าเป็นผู้มาสร้างประชาธิปไตย 

พ่อครูว่า... จะว่าไปแล้วเป็นมาสเตอร์พีซด้วยของการเมือง จะมาทำโดยที่อาตมารู้ แต่คนที่ไปร่วมกับอาตมานั้นไม่รู้หรอกว่ามันเป็น Masterpiece มันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เป็นเอกเป็นคลาสสิค เป็นการเมืองที่คลาสสิคที่สุด เขายังเข้าใจยากอยู่ แต่อาตมาค่อยๆอธิบาย พฤติกรรมจริงมันมีมาแล้ว 

ขนาดอธิบายแล้วอธิบายอีกเขายังเข้าใจไม่ได้เลยและไม่ยอมรับกันง่ายๆ เพราะฉะนั้นรัฐศาสตร์ต่างประเทศไม่ต้องพูดกันถึงเลยเขาจะไม่เข้าใจ นักรัฐศาสตร์ไทยนี้เถอะ ยิ่งเป็นนักพุทธศาสนามีธรรมะด้วย สนใจธรรมะและมีภูมิธรรม ฟังดีๆ ศึกษาดีๆเก็บข้อมูลดีๆ

จนกระทั่งเราไปตั้งหมู่บ้านสาธารณะโภคี ในขณะไปประท้วงที่สวนลุมฯเลย เป็นหลักฐานเพื่อแสดงรูปธรรมความจริงทั้งความรู้ทั้งความเป็นจริงมีอิทธิพลของลักษณะพวกนี้ มีส่วนร่วมในประชาชนคนไทยได้ช่วยกันลดกิเลสคนละมากคนละน้อยก็แล้วแต่ เขาไม่ได้ทำตามความอยากที่จะรุนแรง ที่มันไม่เข้าท่า เขาต้องมา ลด ละ หน่ายคลาย ลดความโลภโกรธหลง จนเป็นสมณะ 4 เหล่า เกิดโสดาบัน เกิดสกิทาคามี เกิดอนาคามี เกิดอรหันต์ ในพฤติการณ์นี้ที่ไปร่วมประท้วงทำงานการเมือง พาให้ลดกิเลสเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆแต่คนเข้าใจไม่ได้ เพราะคนเสื่อมจากศาสนาพุทธ เสื่อมจากโลกุตระไปเข้าใจมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติมิจฉาผล เป็นศาสนาพุทธแต่ไปเข้าใจสมณะ 4 เหล่าแบบมิจฉา แต่สมณะ 4 เหล่าที่อาตมาพาเป็นนี้มันเกิดจริงเป็นจริงแต่คนยังไม่เข้าใจยังยาก คนจะเข้าใจมาเรื่อยๆ 

ทุกวันนี้คนพยายามต่อต้าน คนจะมาล้มล้างอาตมามีน้อยลงแล้ว อย่างเช่น SMS ที่คัดมา พวกเราเห็นว่าจะเห็นใจเขา เหมือนเด็กๆ ไม่เดียงสา รู้จักหมาน้อยไหม ถ้าหมาใหญ่มา ยังไม่ได้ทำอะไรหมาน้อยมันก็กลัวเห่าบ๊องๆ เป็นอย่างนั้น อธิบายขออภัยไม่ได้ลบหลู่หรือว่าคุณเป็นหมาหรอก เอาลักษณะของหมามาอธิบายธรรมะ ขออภัย 

อาตมาก็ยังไม่เก่งมากกว่านี้พอที่จะชี้ชัดว่า นี่เป็นโสดาบันแล้วนะ สกิทาคามีแล้วนะ อนาคามีแล้วนะ อรหันต์แล้วนะ เป็นโพธิสัตว์ระดับไหนนะ อาตมาก็ยังไม่เก่งที่จะชี้ได้ ได้ขนาดนี้ก็ยังนึกว่าตัวเองแสดงออกไปเยอะแล้ว อาตมากลัวพลาดกลัวผิด มันพลาด มันผิดมันเป็นบาปของอาตมา คนอื่นไม่ได้ทำด้วย อาตมาซวยคนเดียว อวดแล้วตัวเองผิดตัวเองก็บาป ระดับใครแบ่งไปไม่ได้ อาตมารับเละอยู่คนเดียว เรื่องอะไร 

กรรมที่เกิดจากการเสียสละ ลดละโลภโกรธหลง เป็นกรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นความจริงที่เกิดจริงที่อาตมาพูด ผู้ติดตามแสวงหาความจริง แสวงหาสัจธรรมโดยเฉพาะโลกุตตระ ติดตามดีๆคุณจะเห็น 

อ้อ โสดาบัน อ้อ สกิทา อ้อ อนาคา อ้อ อรหันต์ หรือ คุณจะเก่งถึงขั้นรู้ถึงโพธิสัตว์เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 5 ระดับที่ 6 ระดับที่ 7 

เป็นอรหันต์ระดับที่ 1 ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 

อรหันต์ระดับที่ 2 ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ 

5.4 การกระทำหรือความประพฤติของคนส่วนใหญ่องค์รวมเข้าข่ายมี“วรรณะ 9” หรือมี“พุทธพจน์ 7” ที่เห็นจริงจากความเป็นจริงของมวลชนที่ประพฤติกันอยู่ เป็นปกติชีวิตของเขา ไม่ใช่แค่สำรวมท่าทีเสแสร้ง ทำให้เท่ๆอวดโชว์กันเท่านั้น แต่บรรลุธรรมจริง เป็นปกติของชีวิตสามัญ

ชาวอโศกอยู่กันอย่างมีจิต สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นปึกแผ่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นพุทธพจน์ 7 ที่มีจริงให้เห็นได้อย่างเป็นปกติชีวิตสามัญ 

5.5 สังคมมีความเป็นอยู่กันแบบ“สาราณียธรรม 6” อย่างเป็นจริงชัดแจ้งสัมผัสได้จากสังคมที่มีปรากฏการณ์กันจริงๆ อยู่ที่ไหนเอ่ย สาราณียธรรม 6 คือเครื่องชี้บ่งถึงสังคมที่มีความเจริญสูงสุด สังคมที่เป็นโลกุตระต้องมีคุณธรรมถึงขั้น สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา   

เมตตาคือตัวต้นของพรหมวิหาร 4 เมตตาคือเห็นคนเป็นทุกข์และน่าช่วยเหลือ เห็นเขาเป็นอยู่แล้วน่าเชื่อเลย 

กรุณาคือลงมือช่วยเหลือ มุทิตาคือเมื่อช่วยสำเร็จผลแล้วก็อนุโมทนา สาธุ เสร็จแล้วนะ ดีแล้วปลอดภัยได้ดีสบายแล้วช่วยเขาได้แล้วได้ผลแล้วผลดีแล้วจบแล้ว เราก็ตัดวางเลย ในความหมายของมุทิตาจิต เห็นเขาได้ดีแล้วก็ตัดไว้ เป็นอุเบกขา ปล่อยเลยไม่ต้องไปยึดว่าเราเป็นเจ้าบุญคุณ เราได้ช่วยเหลือเฟือฟาย เรามีประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ให้มันเป็นอุปกิเลสซ้อนในตัวเอง มานะอัตตา ไปอีกไม่เอา วาง เป็นอุเบกขา 

นี่คือพรหมวิหาร 4 หรืออัปปมัญญา 4 ยิ่งใหญ่มากคุณธรรมเหล่านี้ เป็นคุณธรรมครอบโลก เป็นคุณธรรมอนุเคราะห์โลกอัปปมัญญา 4 หรือพรหมวิหาร 4 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มี สาราณียธรรม 6 โดยเฉพาะนอกจากเมตตากายกรรมวจีกรรมมโนกรรมแล้ว 

ตัวที่ 4 ลาภที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามาเป็นส่วนกลางร่วมกัน ใครทำอันนั้นอันนี้ได้มีอันนั้นอันนี้ได้ก็ไม่ยึดเป็นของตน เป็นพฤติกรรมที่สูงสุดของมนุษยชาติ ทำงานฟรีเสียภาษี 100% เอาเข้าส่วนกลางที่เราอยู่ร่วม แล้วก็กินใช้อาศัยร่วมกัน ตลอดเกิดแก่เจ็บตาย มันเป็นปรากฏการณ์ซึ่งเป็นพฤติกรรมจริงที่มนุษยชาติทำได้ในชาวอโศก ที่เป็นมนุษย์อาริยะเป็น อาริยกชน นำโลกไป

มีใครเอาพุทธยูโทเปียของดร.สมบัติ จันทวงศ์ มาออกอากาศ เคยเขียนหนังสือตามหลักวิชาการ แกเป็นนักรัฐศาสตร์ แต่เสียไปแล้วล่ะ ชื่อหนังสือพุทธยูโทเปีย เราพิมพ์แจกไปเป็นแสนเล่ม

อาตมาเองบอกว่าอย่าไปลงจำนวนเล่มในหน้าเครดิต พิมพ์หลายครั้งแต่อาตมาไม่ได้ให้แก้ตัวเลข ตอนที่ถูกทางเถรสมาคมเล่นงาน อาตมาให้เอาอันนี้ออกไปพิมพ์เผยแพร่แจกให้มากๆ 

แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่พุทธโยโทเปีย มันเป็นเพียงอุดมการณ์ของโทมัส มอร์ ยังเป็นจริงไม่ได้หรอก แต่ของเรานี้เป็นจริงได้แล้วมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างจาก Thomas More ที่แกคิดไว้ แต่อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นี่เราต้องพูดไว้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อใครจะเห็นจริงหรือไม่เห็นจริงก็มาศึกษาก็แล้วกัน อาตมาเห็นเช่นนั้นก็พูดตามประสาอาตมา 

สังคมที่มีสาธารณะโภคี ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการเมือง ด้านสังคมเป็นสาธารณโภคี เพื่อมนุษย์ทั้งมวลไม่ยึดเป็นของตัวของตน 

การเมืองก็เป็นของส่วนกลาง เศรษฐศาสตร์ก็เป็นของส่วนกลางสังคมก็เป็นของส่วนกลาง ไม่มีตัวตน แต่แน่นอนว่ามันยังเหลือตัวตนตามฐานะของแต่ละบุคคล แต่รู้ทิศทางแล้วเป็นทิฏฐิสามัญญาตา รู้แล้ว ประพฤติศีลสามัญญาตา เข้าใจแล้วรู้ทิศทางแล้ว แล้วต่างคนก็ต่างประพฤติ ผสมผสานกันไปรวมกันอยู่ ตามความเห็น ทิฏฐิ ตามหลักเกณฑ์ศีลที่คุณทำได้เจริญเป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปตามลำดับ  

นี่คือ สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มี 6 ข้อของ สาราณียธรรม 6 เป็นสังคมของอาริยะสูงสุดในโลก เป็นสังคมคลาสสิคที่สุดเป็นหนึ่ง เป็นเอก 

สิ่งที่พูดนี้เป็นจริงไม่ใช่พูดลอยลมเอาแต่ปาก มีของจริงยืนยัน แม้จะเป็นแค่ชาวอโศกกลุ่มเล็กๆในโลก เหมือนจุดสว่างจุดหนึ่งในขอบฟ้ากว้าง จุดเล็กๆจุดหนึ่งในขอบฟ้ากว้างไสวสว่าง แต่คนไม่มีดวงตามองไม่เห็น เป็นดาวดวงเล็กมากในฟ้ากว้าง เป็นดาวดวงเล็กน้อยมากในขอบฟ้ากว้างแต่เป็นจริง 

_สู่แดนธรรม... สรุปจบ 


5.6 โดยเฉพาะมี“ภาวะของความเป็นสาธารณโภคี” ยืนยันความจริงได้แท้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม ครบบริบูรณ์ ยั่งยืนถาวรพิสูจน์ว่าคนมีจิตลดกิเลสสำเร็จจริง

5.7 คนที่มีจิตลดกิเลสถึงขั้นไม่มีกิเลสนั้นเป็น“ความจริง”ที่เรียนรู้ปฏิบัติทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เกิดมรรคผลกันจริงๆ จึงเจริญจาก“คนเถื่อน(มิลักขะ)” เป็น“คนเจริญ(อาริยกะ)”กัน มี“จิตสะอาดจากกิเลสแท้” และมี“ปัญญา”ที่เป็น“ความรู้ความฉลาด”แบบ“โลกุตระ”ซึ่งแตกต่างจาก“โลกียะ” คนละทิศ 

5.8“ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ” จึงประกอบไปด้วย“ผู้นำของประเทศ”และ“ประชาชน”ในประเทศนั้นๆมี“โลกุตรธรรม 37”จริง มี“อาริยชน 4 ระดับ”จริงๆ จึงเกิดพฤติการณ์ของคนของสังคมในประเทศนั้นที่มนุษย์เป็นจริงยืนยันกันอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”กระจายอยู่ทั่วประเทศประชาธิปไตยนั้นแท้ๆแน่ๆ 

5.9 เพราะทั้ง“ผู้นำประเทศ-ผู้บริหารประเทศ”ทั้ง“ประชาชนส่วนใหญ่ส่วนรวม”ต่างก็เป็นคนเจริญแบบโลกุตระ นั่นคือเป็นคนมี“ศีล”ปฏิบัติกันมาจริงจึงขัดเกลาตนทั้ง“กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม”เจริญขั้น“ปรมัตถธรรม” คือ“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”อ้างอิงความจริงได้ 

เช่น กายกรรมจะไม่“ทำร้าย” ไม่ว่า จะร้ายด้วยการฆ่าสัตว์ หรือยิ่งฆ่าคน ก็จะไม่ทำ เพราะมีปัญญา รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า คนมีค่าสูงกว่าสัตว์ ย่อมจะไม่ทำร้ายคน อย่างระมัดระวัง ยิ่งกว่าสัตว์แน่นอน ไม่บำเรอตนตามอำเภอใจ นี่คือศีลข้อที่ 1 เจริญจิตมีปัญญาสูง รู้ชัดความจริงนี้ และ“ศีล”ข้ออื่นๆอีก ตามลำดับ 

ศีลข้อที่ 2 ไม่ทุจริตต่อทุกสิ่งอย่างทั้งคน-สัตว์-พืช แม้วัตถุ “ทุจริต”นั้นก็คือ ทำร้าย ฆ่า โกง เท็จ หลอกลวง ทำลายประการต่างๆ หยาบ กลาง เล็กน้อย ละเอียด

ศีลข้อที่ 3 ยิ่งสูงถึงขั้นลึกเข้าไปถึงขั้นจิตมีการเสพ-การติดยึด ซึ่งมันเป็นความเสื่อมคือ“ทุ ต่อ จริต” นั่นก็คือต่อนิสัย-ความเป็นอยู่ที่เสื่อมที่ตกต่ำลงไปลงไป เพราะยังมีการเสพสุข-การยึดติดให้ตนไม่หลุดพ้น 

เมื่อรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทุจริต“กายกรรม” และมีปัญญารู้ไปถึงทุจริต“วจีกรรม”ก็เลิกละรสจนกระทั่งจิตปล่อยจิตวางด้วยปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงเลิกได้เป็น“การจบ-การหมด-การหยุด” ก็ว่าง ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ใจเป็นกลางๆ

จึงยิ่งเห็นความจริงของเวทนา-ของนิโรธคือความรู้สึกมันดับ มันไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข เป็นความจบของความไม่ทุกข์ไม่สุข ซึ่งมี“อาการดับ ความสุข-ความทุกข์” 

การที่“จิตไม่มีอาการสุข-อาการทุกข์”นั้นมันเป็นอย่างไร เมื่อจิตมันไม่มีอาการสุข-ทุกข์นั้นไม่ใช่มันยิ่งเฉื่อยยิ่งเฉยเมย ยิ่งใจดำ  แต่มันยิ่งปราดเปรียวแคล่วคล่องว่องไวทั้งใจ-วาจา-กาย รู้รอบยิ่ง และความอิสระเสรีสุดยอด 

ผู้หลุดพ้นจากมายาคือ“สุข-ทุกข์”ได้นี่เองที่เจ้าของจิตวิญญาณจะเห็น“ความอิสระสุดยอด”ที่ว่านี้ 

“ความอิสระสุดยอด”ชนิดปรมัตถสัจจะที่เป็นแบบโลกุตตระนี่เองที่ทำให้ความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโดยเฉพาะ“รู้จบ”การหลุดพ้นจาก“เครื่องผูก”คือ“สุข-ทุกข์”นี่เองที่มัน“ผูกจิต”คนผู้ไม่รู้สภาวะจริงของ“ความหลุดพ้นจาก สุข-ทุกข์ ที่มัน“อิสระอันวิเศษ”กันไฉน?อย่างไร? 

ผู้มี“สภาวะความหลุดพ้น-ความอิสระ”จริงในจิตวิญญาณตนเองจริงๆนี้เป็น“ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” ที่ไม่มีใคร“ทำแทนใคร”ได้ ตนต้องทำเอง ให้เกิดอาการที่หลุดพ้นจากเครื่องผูกคือสุข-ทุกข์นั้นได้เอง เป็นอิสระสุดพิเศษว่า อ๋อ!!...มันเป็นเช่นนี้เอง“ตถตา”แท้เกิดขึ้นแก่ตน 

ผู้บรรลุถึงถึง“สภาวะ”จริงเอง จึงจะรู้ในตนเองได้

คนผู้มีความอิสระเสรีภาพอันวิเศษสุดนี้ คือคนมี“เจโตวิมุติ”และ“ปัญญาวิมุติ”ทั้ง 2 ส่วนเป็น“อุภโตภาควิมุติ” 

คนผู้มี“จิตสะอาด”จาก“ความไม่รู้”หรือ“โง่” หรือ“สะอาดจากความติดยึดคือ กิเลส-อุปาทาน”ได้จริงนี้มัน“ลอยตัว”คือ“อยู่เหนืออารมณ์”ที่เราเคยถูกผูกไว้ในสิ่งนั้นๆ  เราก็สามารถปฏิบัติ“หลุดพ้น“ได้ทุกสิ่งอย่างทีเดียว 

“อารมณ์การหลุดพ้นนี้”จึงเต็มไปด้วย“กำลัง”เต็มไปด้วย“อำนาจ”ที่มันได้คืนมาจาก“ถูกผีมัดไว้-ถูกกิเลสหลอกไว้-ถูกความโง่ทำให้จมงมงายมืดบอดอยู่” จิตจึงได้กำลังได้อำนาจกลับคืนมาเต็มตัวเต็มสภาพให้แก่“จิตของเรา” 

ผู้หลุดพ้นจึงมีกำลัง-มีอำนาจไม่ใช่ยิ่งเฉยๆเฉื่อยๆ ไม่สนใจอะไร จะเอาแต่อยู่ว่างๆ ไร้ความกระตือรือร้น แต่มันยิ่งตื่นรู้แคล่วคล่องว่องไวต่างหาก ยิ่งรู้ทันโลกเห็นแจ้ง สังคมที่เขาติด-เขายึด-เขาหลงเสพ-เขายังไม่รู้ความจริงเขายังงมงายยังจมหลงอยู่  ก็จะมีใจสงสาร เพราะรู้ยิ่งในสงสาร

ก็จะรู้จักรู้แจ้งความหลุดพ้นใน“ศีลข้อ 3” และไม่ละเมิด“ศีลข้อ 2-ศีลข้อ 1”ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงโลกียะ...เป็นคนมี“โลกุตรปัญญา-โลกุตรจิต” กันอย่างเป็นจริง 

จะเป็นผู้หลุดพ้นจาก“อวิชชา 8” ได้แก่ การพ้นจากความไม่รู้“อาริยสัจ 4”และไม่รู้“ส่วนที่เป็นอดีต-ส่วนที่เป็นอนาคต-ทั้งส่วนอดีตและทั้งส่วนอนาคต-ปฏิจจสมุปบาท” 

ส่วน“วิชชา 8” คือ การรู้แจ้งอย่างพิเศษ 8 หลักสำคัญ 

1.วิปัสสนาญาณ 2.มโนมยิทธิญาณ 3.อิทธิวิธญาณ 4.โสตทิพย์ญาณ 5.เจโตปริยญาณ 6.บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8. อาสวักขยญาณ  

แต่ผู้รู้ที่“พ้นอวิชชา 8”คือ ผู้มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงส่วนอดีตและส่วนอนาคต ที่เดินทางมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเรียนรู้ได้จาก“ความจริง”คือ“เวทนา”ที่เรียนรู้ปฏิบัติด้วยทฤษฎี“เวทนา 108” ในการปฏิบัติธรรมที่มี“มหาภูตรูป 4” และ“อุปาทายรูป 24”กับ“นาม 5” ในขณะมีชีวิตก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ ที่มีความรู้สัมมาทิฏฐิใน“ธรรมนิยาม 5”

ดังนั้นจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความมี-ความไม่มี”หรือ“โลกสมุทัย-โลกนิโรธ”จึงสามารถทำ“สูญญตนิพพาน-อนิมิตนิพพาน-อัปปณิหิตินิพพาน” ให้แก่“ความเป็นโลก-ความเป็นอัตตา”สำเร็จได้ ตั้งแต่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ทีเดียว

เพราะสามารถมี“อภิสังขาร 3”ได้จริง ในความเป็น“เวทนา 108” อันเป็น“กรรมฐานหลัก”ของผู้ปฏิบัติพุทธธรรม จึงสามารถมี“อธิปไตย 3” ทำให้ความเป็น“โลก” กับความเป็น“อัตตา”ดับสิ้นสูญสลายไปจากตนได้สำเร็จในขณะมีชีวิตเป็นๆ 

เช่น“ธรรมะนิยาม 5” พิสูจน์ได้ถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ถึงการเกิดของธาตุ-การตั้งอยู่ของธาตุ-การดับไปของธาตุ ทั้งความเป็น“รูป 28” และเป็น“นาม 5” 

คนผู้ที่สามารถจัดการกับ“ตนเอง”ด้วยการแยก“รูป”แยก“นาม”ที่มีอาการของ“มหาภูตรูป 4- อุปาทายรูป 24” ได้ โดยมี“นาม 5” เป็นการศึกษาปฏิบัติก็ได้เรียนรู้“ความจริง”ของ“รูป”กับ“นาม”ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์ 

จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อาหาร 4” ทั้ง “กวฬิงการาหาร”“พึงกำหนดตัวรู้ด้วยความยินดีในกามคุณ 5 

“ผัสสาหาร”พึงกำหนดรู้ด้วย“เวทนา 3” 

“มโนสัญเจตนาหาร”พึงกำหนดรู้ใน“ตัณหา 3” 

“วิญญาณอาหาร”เพื่อกำหนดรู้ใน “นามรูป“(16/240)

สาธยาย เวทนา 3 -ตัณหา 3 -นามรูป 2 ก็คือวิญญาณที่ผู้“อวิชชา”ไม่รู้“ปฏิจจสมุปบาท” จึงวนอยู่ในโลกไปกับอวิชชา... เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป นิรันดร ไม่พ้นสุข-ทุกข์ จึง“จบกิจ”ไม่ได้ ...ก็เป็นเหยื่อของกิเลสหรือทาสของพระเจ้า หรือโง่ไปกลับอัตตาของตนไปนานเท่านาน จนกว่าจะมี“วิชชา”ที่เป็น“โลกุตระ” ทำให้“รู้จัก-รู้แจ้ง-รู้จริง-รู้จบ” ทำ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”  ให้แก่จิตวิญญาณของตนเองได้สำเร็จจริง หรือเป็น“อมตบุคคล”ผู้อนุเคราะห์โลกแท้จริง 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #31ประชาธิปไตยจะให้คะแนนกันอย่างไร ตอน 1 วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2566 ( 03:39:54 )

660728

รายละเอียด

660728 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #32 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53233.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/15Pfvnt7BHw2xQ6HoQ93UjQRQwoyLKGmW/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/11Ayb9BfpzTL6XuGjl_GzH8iz5SczVwbK/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660728--15-e27g0rr 

 

ดูวิดีโอได้ที่https://youtu.be/bqPMQ6tgKTY 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/3664051557151240/ 

 

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูออกอากาศที่ชั้น 4 เฮือนศูนย์สูญ 

เราก็มาสู่ที่จะเจรจาพาทีเรื่องราวที่ควรจะพูดกันไป บางทีเขาก็เรียกว่าธรรมะ บางทีเขาก็เรียกว่าเรื่องสังคม บางทีเขาก็เรียกว่าการเมือง บางทีก็เรียกว่าเรื่องเศรษฐกิจ บางทีเขาก็เรียกว่าเรื่อง สัมมมาปิ เรื่องปกิณกะ ว่าไป คนเรานี่มันจุกจิกดีนะ 

 

SMS วันที่ 24-27 ก.ค. 2566

 

อรหันต์จะไม่ยึดแม้แต่ร่างกายนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ลูกได้ฟังว่าพ่อครูแม้ว่าจะนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล พ่อครูก็ยังประสงค์จะเทศน์ ลูกซาบซึ้งในความกรุณาของพ่อครูมากค่ะ ฟังมาว่าการผ่าตัดครั้งนี้หมอใช้วิธีฉีดยาชา และหัวใจของพ่อครูยังทำงานนิ่งมาก ลูกขอกราบเรียนถามว่า ขณะผ่าตัดพ่อครูรู้สึกอย่างไร ยังเจ็บบ้างไหม พ่อครูคิดอะไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... อยากจะรู้ไปหมดเลยนะ ตอนที่ไปผ่าตัด เขาใช้วิธีฉีดยาชา เพราะว่าไม่ได้ผ่าตัดใหญ่อะไร ผ่าตัดแผลที่ขา คว้านเอาเนื้อไม่ดีออกไป หมอเขาเห็นว่าควรทำ เพราะว่าทิ้งไว้เดี๋ยวจะกลายเป็นมะเร็ง เอาไปตรวจดูถึงรู้ว่าเป็นมะเร็ง เขาใช้ฉีดยาชา มันก็ชาไม่รู้สึกอะไร มันไม่เจ็บไม่ปวด เขาฉีดยาชาแล้วดูเหมือนจะฉีด 2 เข็ม ฉีดยาชาเข็มแรกเขาก็ถามว่าเจ็บไหม อาตมาก็ว่าไม่เจ็บ เขาก็ขอฉีดอีกเข็มเสริม มันก็ยิ่งไม่เจ็บ

ถามว่าหัวใจพ่อครูยังทำงานนิ่งมาก หมอเขาก็ชม อาตมาก็ปกติไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขาจะผ่าเขาจะตัด หรือเราจะต้องกลัว จะวอบแวบไม่มี จิตอาตมาก็ปกติ จะผ่าก็ผ่าไป แต่เขาเอาผ้ามากั้นไม่ให้เห็น เอาฉากมากั้น ขายืดยาวไปข้างหน้า ไม่ให้อาตมาเห็นมือหมอเอามีดลงอะไรต่ออะไร แต่มันก็รู้ว่าเขากำลังทำอยู่ ก็เห็นหัวหมอ เห็นมือแขนหมอขยับๆ มันก็เดาได้ว่าผ่า ไม่ได้หลับอะไร ก็มีความรู้สึกปกติ ก็เห็นเขาผ่า ไม่เห็นเขาผ่าแต่รู้อิริยาบถส่วนอื่น ก็ทำไปทำไปจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ผ้าก๊อซห่อปิดพลาสเตอร์พันเสร็จเรียบร้อย เขาถึงเปิดฉากให้เห็นดู จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เต็มไปด้วยผ้าก๊อซหุ้มอยู่ ขาโตขนาดนี้แน่ะ 

เขาก็รู้สึกได้ ใครก็รู้สึกว่าอาตมาไม่ได้กลัวไม่ได้สะทกสะท้านอะไรก็เฉยๆเขาก็ทำงานไป คิดอะไรก็คิดบ้าง จะปรุงธรรมะธรรมโมอะไรไป ดูอะไรไปก็ธรรมดา ตามสิ่งที่มันสัมผัสข้างหน้า จะคิดอะไรก็คิด ไม่ได้จำ ตอนนั้นไม่ได้จำ แต่ก็สบายๆมันมีอะไร ผิดปกติอะไร คนเขาก็ทำงานกับแข้งกับขาของเราจะผ่าจะเฉือนก็ทำไปสิ เราก็ดูของเรา หมอเขาก็ทำของหมอไม่เกี่ยวกัน หมอเขาก็ทำหน้าที่ของหมอ แม้จะมาเกี่ยวกับขาเรา ขาก็ขาที่เราอาศัยมันเท่านั้นไม่ใช่ของของเรา มันก็ดีเขามาปรับปรุงให้ มันก็เหมือนบ้านเหมือนเรือน บ้านมันไม่ดี มันชำรุด มันผุมันพังเขาก็มาซ่อมมาแซม ก็ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร มันก็เหมือนอย่างนั้น 

ส่วนใหญ่คนจะตื่นเต้นที่คนที่ยึด อันนี้มันละเอียดใครที่ยึดเป็นเราเป็นของเราก็ไปตื่นเต้นหมด เอาล่ะพูดหยาบๆไว้แค่นี้ก็แล้วกัน ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เสร็จแล้วมันจะถูกกระทบกระเทือนจะถูกเปลี่ยนแปลงก็กลัว เอาความรู้สึกสามัญ กลัวเจ็บกลัวปวด กลัวไม่ปกติอะไรต่ออะไรก็เป็นไป อาตมาไม่ได้มีความรู้สึกพวกนั้น 

ที่พยายามขยายความให้ฟังเพื่อให้เห็นว่า จิตใจของคนเป็นอรหันต์หรือจิตใจของคนที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นเราเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ร่างกายของเรา สรีระก็ไม่ใช่สรีระของเรา ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็เฉยๆ 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง กราบขอบพระคุณ ท่านปัจฉาที่ดูแล เอาใจใส่พ่อท่านเป็นอย่างดี และคอยแจ้งข่าวของพ่อท่าน ให้พวกได้คลายความกังวลใจได้ค่ะ

พ่อครูว่า... ขอบคุณที่เป็นกังวลใจห่วงหาอาวรณ์ มีความผูกพันสัมพันธ์ ขอขอบคุณก็ดีแล้วล่ะ ไม่มีอะไรไม่น่าห่วงอะไรมากมาย มันแผลยังไม่หายดีก็กว่าเขาจะเอาผ้าเอาอะไรต่ออะไรที่พันออก อย่างที่เขานัดไว้ก็ 7 วันนี้ก็ผ่านไป 2 วัน เหลืออีก 4-5 วัน มันก็มีความรู้สึกว่ามันหายแสบ ตอนแรกๆใหม่ๆก็มีแสบ แต่ไม่มากหรอกแล้วก็ค่อยๆลดลง แต่มันยังมีเจ็บ มันคงจะเป็นความช้ำระบมที่มันเป็นแผลที่มันกำลังปรับตัว มันก็เลยรู้สึกอย่างนั้น มันมีนิดๆ มันไม่มีมาก แต่มันก็เจ็บคือมันไม่ปกติ เวลาลงน้ำหนักเวลาจะเคลื่อนตัวจะเหยียดมันก็รู้สึกว่ามันเจ็บนิดๆ แต่เราก็ไม่ได้เจตนาจะให้มันเจ็บมากก็เลยโขยกเขยกเอา 

 

ทำไมพ่อครูไม่ฟื้นฟูพรรคพลังธรรมแต่ตั้งพรรคสัมมาธิปไตยแทน

_ช่อทิพ หนูทอง  · เรียนถามพ่อครูว่า ทำไมตั้งพรรคสัมมา ทำไมไม่กลับไปฟื้นฟู พรรคพลังธรรม คะ?  เรียนถามพ่อครูว่า..เราจะป้องกันไม่ให้พวกเครื่องแบบสีเขียวมาครอบงำพรรคสัมมา เหมือนตอนตั้งพรรคพลังธรรม คะ?

พ่อครูว่า... ก็ตอบอย่างที่คุณคิดก็มีส่วน พรรคพลังธรรมนั้นไม่ใช่อาตมาเข้าไปเกี่ยวพัน หรือว่าไปมีส่วนบงการแนะนำ หรือเป็นที่ปรึกษา ห่าง พรรคพลังธรรมกับพรรคสัมมา อาตมาเป็นที่ปรึกษาพรรคพลังธรรมห่างกว่าพรรคสัมมา ชื่อเต็มๆก็พรรค สัมมาธิปไตย อันนี้อาตมาใกล้ชิดกว่า 

ถ้าไปเอาพรรคพลังธรรมมา เดี๋ยวคุณจำลองแต่ก่อนนี้เขาเคยเป็นหัวหน้าพรรคมันจะรู้สึกว่า ความรู้สึกของเขามันจะมีอยู่ อาตมาไม่อยากให้มีความรู้สึกอย่างนั้นจากคุณจำลองหรือใครๆ ก็เลยตั้งขึ้นมาให้พวกเรารู้สึกว่าอันนี้เป็นพรรคอิสระเป็นพรรคของเรา โดยไม่ได้ไปเกี่ยวพัน ไม่ได้สืบเนื่อง ไม่ได้ต่ออะไร จะต่อก็ต่อกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อกับธรรมะพระพุทธเจ้าโดยตรงเลยเจตนาอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวหรอกพรรคพลังธรรม ไม่เกี่ยวกับสีเขียวที่จะมาครอบงำวุ่นวาย พรรคพลังธรรมก็ไม่ ยิ่งพรรคสัมมาธิปไตยยิ่งไม่เกี่ยว 

 

ชีวิตคนสูงสุดจบที่การเสียสละการให้ 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงพ่อท่านจบลงได้ คือเสียสละ กราบสาธุกับท่าน ส.ฟ้าไท ส.ด่วนดี และ สม.กล้าข้ามฝัน ที่นำเอาคำสั่งสอนของพ่อท่านมาขยายมาให้พวกเรามาย่อยให้ได้ความสมบูรณ์มากขึ้น กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... เดี๋ยวค่อยมาทวนตรงนี้ จบลงได้คือเสียสละ 

ดีก็ได้ทราบความจริง พวกเราก็ได้ขยายความให้ชัดเจนขึ้น 

ที่นี้ที่อาตมาจบลงได้ที่เสียสละ อาตมาก็เคยสำทับในคำต่างๆที่อาตมาได้ร้อยเรียงถึงคุณธรรม คุณค่าหรือคุณธรรมของคุณค่าหรือคุณธรรมของมนุษยชาติ เริ่มตั้งแต่คำว่า อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ลงท้ายด้วยคุณสมบัติสุดท้าย จบลงที่การเสียสละ มันเป็นสิ่งที่จบจริงๆ 

ชีวิตทั้งชีวิตมีจิตวิญญาณควบคุมเป็นประธาน พระอรหันต์ขึ้นไปหมดตัวหมดตนหมดความยึดถือแล้ว อาตมาเอาคุณสมบัติหรือคุณธรรม ของพระอรหันต์มาพูด เพราะอาตมาเป็นพระอรหันต์ อาตมาก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นอย่างนี้พระอรหันต์ที่ไม่มีตัวตน 

ชีวิตที่เหลือของพระอรหันต์ไปมันไม่มีอะไร มีแต่ให้กับให้ มีแต่เสียสละ สรีระร่างขันธ์ที่มีจิตเป็นประธานควบคุมดูแลก็เกิดกายกรรมวจีกรรมออกมา เกี่ยวพันกับข้างนอกเขา ก็มีแต่ทำเพื่อให้เพื่อเสียสละ และพิสูจน์ความเป็นคนสูงสุด จบกิจหรือว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปแล้ว มันมีกายกรรมวจีกรรมมีแต่ทำงานเพื่อรับใช้ปวงชน รับใช้โลก มีแต่ให้โลกเขา ตัวเราไม่เอาอะไรเลย ชีวิตให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้  ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา  ใครเห็นคุณค่าก็เลี้ยงไว้ใครเขาไม่เห็นคุณค่าเขาก็ไม่เลี้ยง ปล่อยให้ตายยัง ขออภัย จิตที่มันมีตัว สัญจิจจะ มันมีจิตที่จะเดินต่อเป็นเจตภูติต่อ ที่มันจะแสดงออกไปมันบอกว่า ปล่อยให้ตายเหมือนหมาตัวหนึ่ง ไม่เลี้ยงไม่ดูไม่แลเลย 

มันพิสูจน์ว่าคนเรา เป็นคนกายกรรม วจีกรรมของเราที่จะมีพฤติอยู่ในโลกต่อไป มันมีประโยชน์ไหม มีคุณค่าต่อโลกต่อมนุษยชาติต่อสัตว์โลก ต่อดินน้ำไฟลม ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่ออะไรต่ออะไรไหม ถ้าคนมีกายกรรม วจีกรรม ที่มีประโยชน์คุณค่า โดยเฉพาะคนเขาเห็นคุณค่า เขาไม่ปล่อยให้ตายง่ายๆหรอก ต้องสอดใส่อะไรเอาไว้หรือมาต่อสายอีรุงตุงนังเราไม่เอานะ มันหนักขนาดนั้นก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้เท่าไหร่เท่านั้นก็พอ ไม่ต้องมาใส่สายอะไรไม่เอา 

ในที่สุดอาตมาจะกลายเป็นมนุษย์พืชก็ไม่ต้องใส่ท่อใส่อะไรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แม้แต่จิตมันจะดรอปไปหามนุษย์พืชแล้วไม่รู้เรื่องแล้ว เขาจะรักษาชีวิตไว้ ถ้าเป็นมนุษย์พืชแล้วไม่ต้องเสียบต้องใส่อะไรแล้ว คุณไม่บาปหรอก ปล่อยให้ตายก็ไม่บาป เพราะว่าระดับตกไปเป็น พีชนิยาม มันไม่มีเวรภัย ไม่มีบาปบุญอะไรแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนที่ไปถอดท่อจากมนุษย์พืชออก มันไม่บาปหรอก ขออภัยนะที่พูดนี้ หลายคนจะบอกว่าเขาก็นึกถึง ญาติโกโยติกา ถึงแม้จะเป็นมนุษย์พืชก็ยังเอาไว้ไม่ให้ตาย เขาก็อย่างนั้นเท่านั้นเอง ก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณของมนุษย์ 

 

สภาพยอดเยี่ยม 8 ประการของศาสนาพุทธ

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · กราบนมัสการพ่อครูสมณะสิกขมาตุทุกท่านพร้อมพี่น้อง 4 ฐานะค่ะได้รับเรียนรู้จากพ่อครูสอนดีมากเลยค่ะ ยิ่งบอกว่าพืชผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ดีมากเลยค่ะ สาธุ สาธุในกุศลกิจตลอดระยะเวลาปีที่ผ่านมายอดเยี่ยมมากที่สุดในโลกนี้ค่ะ

พ่อครูว่า... คุณรู้สึกว่าเข้าใจได้ประโยชน์เป็นคุณค่า คุณก็บอกว่าดีมาก คนที่เขาฟังไม่รู้เรื่องเขารับไม่ได้ เขาอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่อง ไม่ถูกทางของเขา เขาก็บอกว่าไม่ได้ดีมากอะไร มันพูดอะไรวะมันมาจากไหนเอาตำแหน่งมาเป็นนักบวชของพระพุทธเจ้าก็ว่าไป มันก็เป็นความเห็นของคนแต่ละคน คุณมองเห็นประโยชน์คุณก็ว่าไปอย่างนี้ 

คุณมาช่วยกันเก็บไปแจกสิ เมฆงามอยู่ที่ไหน มันโตทันคนเก็บแน่นอน ไม่มีหมดหรอก เก็บได้มุมนั้นมุมนี้เก็บไปแจกไปใส่กระท่อมปันบุญหรือไปแจกที่อื่นก็ว่าไป 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นี่แหละคือปลาย เรื่องการเสียสละ สุดท้ายก็เพิ่มพูนความเสียสละ เพิ่มพูนการเสียสละ ชีวิตมนุษย์สูงสุดก็มีแต่เสียสละและก็พยายามเสียสละให้ได้มากขึ้น เรียกว่า เพิ่มพูน ให้ได้มากขึ้นมากขึ้นไป มันก็เป็นคำจบของความสมบูรณ์ของคุณธรรมมนุษย์แล้ว 

คุณธรรมของเราก็มีจิตวิญญาณอันนี้กันก็ทำ สังคมของเราทำอันนี้อยู่ มีแต่วันๆหนึ่งก็พากันไปเสียสละ แจกจ่าย เจือจาน เกื้อกูลคนอื่นได้มากเท่าไหร่ มันก็สุขสำราญเบิกบานใจ 

นั่นแหละ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เขาคนที่ได้รับมีปฏิคาหก เราเป็นทายกได้ให้ก็สุขสำราญเบิกบานใจ มีผู้รับผู้ให้ เพราะสิ่งที่ให้นี้เขาก็ยินดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยเลวร้าย แต่เป็นสิ่งดีสิ่งวิเศษเอาไปใช้กินอยู่ได้เลี้ยงชีพได้ยังชีพได้ เป็นสิ่งที่มีค่าเป็นปัจจัยของชีวิต อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ 

อาตมาว่าอาตมาเรียบเรียงคำทั้ง 8 คำนี้ มันสมบูรณ์แบบแล้วในการที่จะทำให้มนุษยชาติมีคุณธรรมอันนี้ได้ ในพวกเราชาวอโศกที่อยู่นี้ เราจะมีความรู้สึก 8 อย่างนี้ไหม แต่ละวัน แต่ละวัน ถ้ารู้สึกว่ามีอันนี้จริงๆก็แสดงว่าอาตมาไม่ได้โมเม ไม่ได้กล่าวตู่ ไม่ได้มาขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแกอะไร มันเป็นสัจจะจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วอาตมาก็พอใจในสิ่งที่ทำงานได้เข้าเป้าของเจตนารมณ์ของธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า 

คนโลกุตระจะจบด้วย 8 ข้อ จะจบด้วยความจิตจะมีอิสระ มันบอกยาก อธิบายไม่หมด คนทั้งโลกต้องการอิสระ แต่เทวนิยมเขาไม่เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นทาสของพระเจ้า เทวนิยมที่มีพระเจ้าเป็นนายเขา ไม่อิสระตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ของพระพุทธเจ้าอิสระสมบูรณ์เลยเป็นนัตตาของตัวเอง หมดกิเลสแล้วไม่มีตัวตน ก็ไม่มีใครเป็นเจ้า หมด ถ้าไม่หมดกิเลส คุณก็มีกิเลสเป็นเจ้า กิเลสนี่แหละพระเจ้า พระเจ้านี่แหละคือ กิเลส 

ถ้าให้ชัดลงไปคือ กิเลสก็คือพระเจ้า กิเลสก็คือซาตาน ซาตานก็คือพระเจ้า พระเจ้าก็คือซาตาน แต่เขาอวิชชา เขาไม่รู้ 2 ใน 1 ไม่รู้ 1 ใน 2 ถ้ารู้ 2 ใน 1และ 1 ใน 2 อันนี้ แล้วก็อยู่เหนือความเป็น 1 เป็น 2 ชีวิตจะมีชีวิตก็มีอยู่กับความมีและไม่มีเป็น 2 และก็รู้ว่าไม่มีอย่างไร มีอย่างไรอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเรายังมีชีวิตก็มีไป มีเหตุปัจจัยของชีวิต มีกายกระทบสัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรากระทบ เราก็อยู่กับสภาพที่มีเป็นของจริง ที่มีภาวะสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา เราก็กำหนดรู้เราจะปรุงแต่งอย่างไร เราก็ปรุงแต่งกันไปตามควร สังขาร วิญญาณ เราก็ว่างๆสบายๆ ไม่สุขไม่ทุกข์สูงสุด 

ก็จริงของคุณนะ มันยอดเยี่ยมในโลกนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นสังคมใดในโลกทำได้อย่างนี้ แล้วก็มีสภาพเป็นอยู่ได้ด้วยคุณภาพ 8 ชนิดนี้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ได้อย่างนี้แล้วก็เป็นการจบพฤติกรรม พฤตินัย ใครยังเหลือ ไม่จบ มากน้อยเท่าไร ก็ทำให้จบ 

 

พ่อครูนำประท้วงรัฐบาลเลว อย่าเอาคนกิเลสหนาตัณหาจัดมาเป็นนายกฯ

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ ลูกไม่เคยคิด ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่าประเทศไทยเคยมีพ่อครูเคยนำพามวลชนออกไปประท้วงผู้นำทุจริต พ่อครูทำอย่างไรคะ ซึ่งลูกคิดว่าคนรุ่นหนุ่มสาวปัจจุบันอาจไม่เคยรู้ว่ามี นักบวชมานำพาหรือรู้แต่รู้ผิด ๆ เขาก็รับไม่ได้ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ในโทรทัศน์เราก็ออกรีรัน เอาภาพเก่าๆที่อาตมาออกไป อาตมาไม่ได้ไปแสดงตัวทำเท่ห์ทำใหญ่ทำเป็นผู้นำอะไร ไม่ใช่ แต่พวกเราชาวอโศกเรารู้ดีว่าอาตมานำ และอาตมาก็นำตั้งแต่พาพวกเราไปประท้วงตั้งแต่ออกไป แล้วก็ไปตั้งแถวอยู่ที่ถนนราชดำเนินใน แล้วก็เดินตั้งแถวนำขบวนเข้าสู่สนามหลวง เดินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คนข้างทางเขาก็มีด่าบ้างก็มี มาไหว้ก็มี แต่ดูเหมือนจะมาด่ามากกว่ามาไหว้ เพราะเขาคงไม่เคยเห็นพระมาเริ่มต้นที่จะมาทำ เขารู้ว่าจะมาตั้งหน้าตั้งตาประท้วง แล้วเราเข้าสู่สนามหลวงตั้งแต่ พ.ศ 2549 เข้าไปในเต็นท์ไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็อยู่กันไปอีกนานเลย จนกระทั่งขึ้นเวทีว่าอะไรต่ออะไรไป จนกระทั่งเราพยายามมีโทรทัศน์ แล้วก็มีเวทีเองมีโทรทัศน์เอง มันก็ก้าวหน้าพัฒนาไป 

มันก็เลยกลายเป็นว่าคนที่เขามี Concept ว่า พระไม่น่ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองขนาดนี้ เขาก็ตัดทิ้ง ว่าอาตมาไม่ใช่ภิกษุของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เขาก็ตัดทิ้ง อาตมาก็ไม่มีปัญหาสำหรับคนที่เขาเข้าใจไม่ได้ แต่อาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาทำงานนี้เป็นการเสียสละ ทำงานนี้เพื่อมวลประชาชนให้เป็นอยู่สุข และอาตมาทำไปแล้ว ผลมันก็ออกมาดี 

อาตมาไม่ต้องพูดและคนเขาก็ไม่คิด เพราะเราไม่ได้ผูก ไม่ได้ไปกำหนด ไม่ได้ไปยึดเป็นเจ้าของเจ้าของอะไร ไปทำงานทำให้ระงับพฤติการณ์ของผู้บริหาร เรียกกันสรุปว่า รัฐบาลทรราช เราก็ทำให้รัฐบาลทรราชตั้งแต่รัฐบาลทรราชทักษิณ รัฐบาลทรราชสมัคร รัฐบาลทรราชสมชาย รัฐบาลทรราชยิ่งลักษณ์ เราก็ไปประท้วง เป็นช่วงๆตั้งแต่ 2549 จนปี 2557 จนเรียบร้อย ยิ่งลักษณ์จบ แล้วพลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ ที่อาตมาบอกว่าไม่ได้เป็นเผด็จการ ไม่ได้มายึดอำนาจอะไร แต่ต้องพูดไปตามประสาโลก ภาษาสมมุติโลก ว่าผมขอยึดอำนาจ 

แล้วก็ต้องทำแบบนั้น มันต้องทำรูปธรรมให้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่รู้เรื่องกันไปอธิบายได้อย่างไรก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ” ทั้งๆที่ตอนยึดอำนาจนั้นคนรักษาการก็ไม่มีอำนาจ ขาลอยหมดแล้ว เป็นแต่เพียงเหลือแต่ร่องรอย มันเป็นสมมุติในโลกที่ยังมี 

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็บริหารประเทศ ขอยึดอำนาจก็คือบริหารประเทศขึ้นเป็นนายกตั้งแต่บัดนั้น พวกเราก็สบาย นายกตู่ พลเอกประยุทธ์ก็บริหารไป ก็เข้าตาประชาชน ก็เห็นว่ามันเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ ทำได้ดี มาจนกระทั่ง 8-9 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังทำงานเป็นนายกอยู่ ที่จริงทำงานเป็นนายกอยู่จะเรียกว่ารักษาการ นายกทำหน้าที่เต็มอยู่ เขาก็เห็นว่ามันมีเรื่องมีราวตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายเลือกตั้ง ไม่มีการได้รับเลือกตั้งได้คะแนนมากมายแล้วก็ทำท่าทีจะสรุปผลว่าจะเป็นนายก ทั้งที่ยังไม่ได้สรุปผลจริงเลยว่าเป็นนายกได้ แต่เขาอยากจะเป็น เขาก็โมเมว่าเขาเป็นแล้ว ยังไม่ได้เอารายชื่อขึ้นทูลเกล้าในหลวง อะไรต่างๆนานาก็ยังอีกตั้งไกล แล้วก็ดูท่าที มันจะได้เป็นหรือพิธาเอย เขาบอกว่าผมนี่แหละนายกคนที่ 30 อะไรอย่างนี้ จนป่านนี้ตกไปหรือยัง ตกไปแล้วด้วย เห็นไหม

นี่มันคือกิเลสของตัวคน แล้วก็หลงตัวหลงตน ไม่อยู่กับร่องกับรอย แค่นี้แสดงกิเลสออกหน้ามีแต่กิเลสออกหน้าไป คนกิเลสขนาดนี้จะมาเป็นผู้นำของประเทศ มันด่างพร้อย ไม่มีคุณสมบัติเป็นนายกเลย คนกิเลสหนาตัณหาจัดขนาดนี้ มันไม่สมควรเลย จำเอาไว้คนๆนี้ 

แล้วอาตมาไม่เชื่อว่ากิเลสเขาจะน้อยลง ถ้าเขายังเอาอีก กิเลสเขายิ่งสูงขึ้นหนาขึ้น แล้วคุณจะเอาคนที่กิเลสขนาดนี้ ขนาดที่เขามีขนาดนี้ยังแสดงออกขนาดนี้ ถ้าเขามาอีก เขายิ่งจะแรงกว่านี้อีกนะกิเลสเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอีก แล้วจะเอามาเป็นนายกรัฐมนตรีเอาคนกิเลสหนามาเป็นผู้บริหารบ้านเมือง เห็นแก่ตัวเห็นแก่พวก เห็นแก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างนี้อยู่ แต่เขาก็ทำที่ซ่อนพรางไปตามประสาเขา เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ดีไม่ดีมันจะหนักกว่าทักษิณก็ไม่รู้ได้ ให้ระวัง อาตมาก็ให้สัญญาณเอาไว้ นี่ก็พูดแต่ความจริงใจ 

สงสารนะเขาไม่น่าจะมีกิเลสขนาดนี้ แต่มันช่วยไม่ได้เขามีของเขา อาตมาก็พูดไปตามเนื้อผ้า

_Focus Tan โฟกัส แทน : วาทะสั้นๆ แต่สั่นสะเทือนหัวใจคนรักชาติ “คนที่ลืมรากเหง้าของตนเอง ทรยศมาตุภูมิ และทำชาติแตกแยก จะเจอจุดจบที่ไม่ดี“ "สี จิ้นผิง"

พ่อครูว่า... ชัดเจน อาตมาไม่ขยายความ 

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าหาที่สุดไม่ได้ แต่หาที่สุดได้คือ 0 

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน  · น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ ลูกตั้งใจน้อมฟังธรรมะทุกครั้งได้ประโยชน์พัฒนาขัดเกลาจิตวิญญาณตัวเองให้ผ่องใสใจสงบมีสมาธิมากขึ้น มีปัญญาในการอ่านจิตได้ทันที่เจอผัสสะ เช่นในเรื่องอาหาร แม้ได้กินอาหารที่ไม่สมดุลกับตัวเองแต่ต้องอาศัยกินเลี้ยงกาย ใจก็ยินดีมีสุข พิจารณาว่าผู้ปรุงก็มีจิตทำกุศล อาหารก็เป็นอุตุนิยามแล้วมันปรุงอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่คนกินนั่นเองเป็นคนปรุงต่อว่าชอบหรือชัง กินเอาประโยชน์เท่าที่ร่างกายต้องการไม่แน่นท้องเกินไป ใจเราก็เบา ร่างกายก็เบาสบาย ทำให้กินอาหารในชามนั้นได้หมดจาน ตอนแรกกิเลสมันไม่อยากกินเพราะรู้สึกไม่สมดุล แต่พอลูกได้ล้างความไม่ยินดี ให้ยินดีได้ ก็กินอาหารได้รสดี หมดจานค่ะ ตั้งจิตว่ากินมื้อเดียว ร่างกายแม้กินอาหารไม่มากแต่ก็รู้สึกอิ่มเต็มได้ถึงเช้าวันใหม่ค่ะ. กราบขอบพระคุณที่เมตตาสาธยายธรรมมะที่ให้ได้นำองค์ความรู้มาสนับสนุนการเรียนปริญาโทในการทำวิจัยได้มากค่ะ.กราบ

พ่อครูว่า... นี่เป็นผลจากเราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสาธยายคุณเพียรผ่องพุทธก็เลยได้ประโยชน์ ได้ความรู้ความเข้าใจอันนี้ไป ไปทำงานศึกษาปริญญาโทได้ เป็นการวิจัยทำปริญญาโท ธรรมะที่อาตมาพูดพวกเราได้เอาไปใช้ทำปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เยอะ หลายร้อยคนแล้ว 

อันนี้อาตมาก็ว่ามันเป็นสัจธรรม ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายมาแล้ว แล้วก็เอาไปทำวิจัย เอาไปทำ Thesis เอาไปทำประโยชน์ในการศึกษาจบปริญญาตรี โท เอก กันมาเยอะแล้ว​ ก็ดีเป็นสัจธรรม 

แสดงว่า แม้ว่าอาตมานี่จะเป็นหมาหัวเน่าในประเทศไทย ในวงการศาสนาพุทธ ที่พุทธกระแสหลักเขาตีตราให้อาตมาเลย เป็นหมาหัวเน่าของศาสนาพุทธ เป็นกบฏของศาสนาพุทธ แต่อาตมาก็ยืนยันเอาสัจธรรมนี้ประกาศ​ เขาต้านเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะปิดประตูไม่ให้อาตมาแสดงออกได้เลย พูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ แต่สุดท้ายสัจธรรมของอาตมาถูกปิดไม่ได้

แม้ที่สุดก็เอาเรื่องทางธรรมะไม่ได้อยู่แล้ว  เขาก็เอาเรื่องทางโลกมาปิดปากอาตมา ไม่ให้อาตมาจัดการเลย แต่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูกหรือกฎหมายสากล​ มันก็เป็นสัจจะมันปิดไม่ได้ นี่มันสุดทาง ปิดให้อาตมาไม่ให้แสดงธรรมที่เป็นสัจธรรมที่ควรมีในโลก​ แสดงว่าประเทศไทยยังมีผู้มีภูมิธรรม มีผู้รู้และมีกฎหมาย จะเป็นส.ส. จะเป็นผู้ดูแลกฎหมายอยู่ก็ทำกฎหมายออกมา แล้วกฎหมายเหล่านั้นก็อยู่ในความถูกต้องไปตามธรรม 

เขาใช้กฎหมายกับอาตมาไม่รู้กี่ประเด็น สุดท้ายเขาทำให้อาตมาผิด​ แต่อาตมาไม่ได้ผิด อาตมาแพ้​ เขาทำให้อาตมาผิด เขาเบี้ยว เขาเบี่ยง เขาเลี่ยง เขาหลบ พูดได้ตรงๆเลยว่าทำเท็จ เอาอาตมาผิดด้วยความเท็จ จริงๆแล้วอาตมาก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้มีเท็จ แต่เขาผิด เขาเท็จ เขาทำจนกระทั่งเขาชนะ เขาชนะสมมุติ แต่โดยปรมัตถ์แล้วเขาไม่ได้ชนะอาตมาเลย อาตมาบอกว่าอาตมาแพ้ได้ เขาจะลงโทษผิดกฎหมาย จนกระทั่ง ตราลงโทษทางกฎหมายจริงๆให้อาตมารอลงอาญา 2 ปีนะถูกตัดสินสุดท้าย ถึงศาลที่ 2 ศาลอุทธรณ์ จะเป็นศาลฎีกา ท่านทนายทองใบจะบอกว่าให้ฎีกาอีก อาตมาบอกว่าไม่เอาแล้ว เขาจะให้ผิดก็ผิดเลย จบ ไปลองมาถึง 2 ศาลแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ผิดอยู่แล้วต่ออีกก็ผิด อาตมาว่าไม่ต้องเสียเวลาหรอก เขาจะให้ผิดก็ผิดไปก็แล้วกัน แต่อาตมาไม่ได้ผิด เขาจะเอาผิดแบบสมมุติโลกก็แล้วไป แล้วอาตมาก็ได้ทำอยู่ตามธรรมะ อาตมาภาพปฏิบัติธรรม ประกาศธรรม ขยายธรรมะ อย่างทุกวันนี้ยิ่งขยายลึกซึ้งละเอียดตามความเห็นของอาตมาตั้งแต่ต้นตั้งแต่เริ่มแรก มาจนถึงทุกวันนี้อาตมาก็ยังอธิบายธรรมะตามทิฏฐิของอาตมา ตามความรู้ความเชื่อมั่นของอาตมาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันยิ่งยืนยันชัดเจน

ถ้าอาตมาไม่ถูกค้านแย้งโลกหรือว่าสังคมพุทธในโลก หรือกระแสหลักนี่แหละ เขาก็เป็นคนถูกสิ อาตมาก็เป็นคนผิดสิ ถ้าเผื่อว่าสัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆแล้วนี่ เขาผิด อาตมาถูกต่างหากอาตมาจึงแสดงธรรมที่จริงแต่เป็นหมู่น้อยที่ไม่สงสัย แน่นอนเขาเป็นหมู่ใหญ่ เพราะยุคนี้เป็นยุคพุทธศาสนาโลกุตรธรรมมันเสื่อม คนมันเสื่อมไปจากโลกุตรธรรม ตามจริง ตามสัจจะเลย ตามไตรลักษณ์ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า โลกุตรธรรมมันเสื่อม เสื่อมจนไม่มีเลยอาตมาเอาโลกุตรธรรมมาเปิดเผยตั้งแต่ต้นจนจบ จบในธรรมะทุกๆขบวน แล้วก็ยังจะว่าต่อไปอีก

อาตมาแสดงธรรมจบในตัวทุกวัน แต่คนไม่เคยรู้ว่าจบ แต่มันก็มีต่อเนื่องขยายความไปได้อีกจนหาที่สุดไม่ได้ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าที่สุดแห่งที่สุดคือหาที่สุดมิได้ แต่หาที่สุดได้คือ 0 ธรรมะของพระพุทธเจ้าหาที่สุดไม่ได้ แต่หาที่สุดได้คือ 0 ถ้าไม่เข้าใจก็งงไปก่อน 

_@kallayarachsamphao กัลยา ราชสำเภา4570  • กราบเท้า นมัสการพ่อท่านด้วยความศรัทธา เหนือเศียรเจ้าค่ะ กราบเท้านมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุ เจริญธรรมสำนึกดีญาติธรรมทุกท่านคะ น่าเสียดายที่วันที่พ่อครูเทศน์ สัญญาณ เสียง ซ่ามาก  ดังกลบเสียงพ่อท่านมากเลยค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นเสียงฝนตกที่ประเทศไทย หรือขัดข้องทางเทคนิคหรือเปล่า   แจ้งให้ทราบจากเยอรมันนีค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่รู้นะว่ามันเกิดจากอะไร ที่ถามมานี้ตอบให้คุณไม่ได้ เอาเถอะ มันก็บกพร่องไปตามธรรมดา จะไปเอาความเที่ยงแท้ตลอดกาลนานมันคงไม่ได้ มันก็คงได้ประมาณนั้น 

 

จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ

_นายปราโมทย์  ชื่นสุข . ลูกสาวของกระผมได้ฟังธรรมะของพ่อครูตามคำชักนำของกระผม เขาเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นพระอาริยะขึ้นมาบ้าง เคยขอให้กระผมอธิบายธรรมะหัวข้อจรณะ 15 ให้ฟัง แต่จนแล้วจนรอดกระผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสพูดเรื่องนี้(ตามความเข้าใจของกระผม)ให้เขาฟังเลย  ส่วนปัญหาที่เป็นสักกายะของเขาขณะนี้กระผมมองว่า เขาเป็นคนกินยาก จะกินแต่อาหารที่ชอบ ส่วนอาหารที่ไม่ชอบจะนั่งพิจารณา(มอง)เฉยๆเป็นชั่วโมง 2 ชั่วโมงก็ทำได้ แล้วก็ไม่กิน ทุกวันนี้เขาเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก กายภาพก็ทำอยู่ ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ แต่กล้ามเนื้อแขนขาไม่ค่อยจะมีแรง บางทีจะไปหาหมอ ลูกชายกระผมก็ลองให้เขาก้าวขึ้นรถด้วยตัวเอง ขาจะยกให้พ้นพื้นรถไม่ได้ จะทรุดลงกับพื้นเฉยๆเสียอย่างนั้น ก็ต้องช่วยกันช้อนขึ้นมา  สาเหตุมาจากการได้อาหารเข้าไปซ่อมแซมบำรุงรักษาร่างกายไม่เพียงพอนั่นเอง ขอพ่อครูโปรดเขาด้วยเถิดครับกระผม ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า... อาตมาจะโปรดยังไงหนอ จะบังคับเขา จะข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า กลัวมันจะไม่กินหญ้า แล้วจะไปข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าจะทำยังไง ก็พูดไปตามพอสม 

ถ้าเผื่อว่าลูกสาวคุณฟังก็ดีถ้าไม่ได้ฟังคุณก็เอาไปพูดให้ฟัง เพราะเกิดแรงบันดาลใจถามเรื่องจรณะ 15 ก็แสดงว่าเขาอยากเป็นพระอริยะจริงๆแต่ก็ดีนะ บอกว่าสนใจอยากจะฟังหัวข้อจรณะ 15 ด้วย 

ก็ขอยืนยันว่าจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นหัวใจแท้ๆของศาสนาพุทธ เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธ ในพุทธคุณ 9 มีตัวนี้เป็นตัวยืนยัน นอกนั้นเป็นการสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ในอีก 8 ข้อ เป็นฉายาชมเชย เป็นคำชมพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่ตัววิชชาจรณะสัมปันโน ข้อนี้เป็นหลักสูตรหรือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นเนื้อแท้ธรรมพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นวิชชาจรณะสัมปันโน ดูจรณะ 15 วิชชา 8 ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมมาก เสื่อมจนกระทั่งไม่มีแล้ว ในวงการศาสนาพุทธไทย ทุกวันนี้ เนื้อหาสัจธรรมอันที่ว่านี้ จรณะ 15 วิชชา 8 อาตมาพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีในวงการศาสนาพุทธตอนนี้ไม่มี มีแต่ไปเรียนเป็นดอกเตอร์ เอาบาลีเอาอะไรมาเรียนฟุ้งซ่าน เป็น โลกจินตา เป็นตรรกะ เป็นพยัญชนะ ภาษา เป็นไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ไปโน่นเลย เป็นบัญญัติ เป็นพยัญชนะ เป็นเหตุปัจจัยของความหมายเท่านั้น ไม่ได้เข้าหาเนื้อหาที่จะต้องมาสำคัญที่ศีล จะต้องมาสำคัญที่ อปัณณกปฏิปทา 3 ตัวนี้เป็นตัวยืนยันเนื้อหาศาสนาพุทธ 1 ศีล กับ อปัณณกปฏิปทา 3 

อปัณณกปฏิปทา 3 ท่านแปลกันไว้เองด้วยนะ ผู้รู้ท่านแปลทิ้งไว้ ว่า นี่คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ เป็นความไม่ผิดของศาสนาพุทธ ต้องมีอันนี้ยืนยันอยู่ในความเป็นมนุษย์ ในความเป็นชาวพุทธ จะต้องมีศีลสัมปทา ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 คือ มีหลักเกณฑ์แต่ละข้อแต่ละข้อเรียกว่าหัวข้อศีล แล้วก็ปฏิบัติ 

1. ตัวศีลเป็นหัวข้อหลัก 2. ปฏิบัติก็คือ สภาพ 3. ปฏิปทา 3 ถึงจะเป็นศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีนี่ ผิดเลย ไม่เหลือศาสนาพุทธ ถ้ามี 3 ข้อนี้ โดยมีศีลเป็นหลักอยู่ ศาสนาพุทธจึงมี ถ้าไม่มีศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ไปดูที่เถรสมาคมที่วงการศาสนาพุทธ ถ้าเขาไม่ไปเรียนรู้แต่พยัญชนะ ตรรกะ เหตุผล ตำราที่เป็น โลกจินตาบานออกไปเอาคำสอนของอาจาริยวาทบานออกไปแล้วก็เป็นผู้รู้จบด็อกเตอร์ไปเอาปริญญาเอกพุทธศาสนาบัณฑิตเอกจากเทวนิยมเข้ามาก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวเองทำไมมันขายขี้หน้าจะตายแล้วมันจะภาคภูมิใจอะไรที่คนเขาสอน คือเขาไม่มีภูมิที่จะสอนเลยเขาไม่มีโลกุตรธรรมเพราะเขาเป็นเทวนิยม 

ขนาดชาวพุทธเองยังไม่รู้แล้วจะให้เทวนิยมเข้ามาสอนศาสนาพุทธแล้วจบปริญญาเอกถือว่าสุดยอดแล้ว ขี้หมานะครับ คือมันคิดดีๆที่อาตมาพูดให้มันสุดสงสารนะ คำที่พูดไปคือคำสุดสงสาร สงสารแปลว่าอะไร สงสารแปลว่าพวกคุณไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยจมอยู่ในวัฏสงสาร เรียนไปอย่างไรคุณก็ไม่พ้นวัฏฏะสงสาร เรียนไปไม่ได้บรรลุธรรมนั่นแหละสรุปง่ายๆ คุณจะจบด็อกเตอร์มาอีกกี่ใบ คุณก็ไม่พ้นวัฏสงสาร เพราะมันไม่ได้เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าเลย 

สรุปให้ฟังเลยถ้าคุณไม่มีศีลเป็นหลักในการปฏิบัติแต่ละข้อควรปฏิบัติศีลข้อ 1 ก็ต้องปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ให้บรรลุสัจธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ถ้าคุณไม่ได้เกิดมรรคผลอันนี้เลยเป็นโมฆะหมดไม่มีอะไรเกิดในศาสนาพุทธไม่มีศาสนาพุทธ อปัณณกะนี่แหละ ไม่มีความเป็นศาสนาพุทธนั่นแหละ อันนี้คือความตัดสินว่าเป็นศาสนาพุทธหรือไม่เป็นศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย 

เพราะฉะนั้นคนเข้าใจทุกวันนี้เช่นไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มันไม่มีเลย อปัณณกปฏิปทา 3 คุณก็ได้ ฌาน แบบเดียรถีย์แบบนอกพุทธไปแล้วก็หลงกันเป็นอรหันต์เก๊ไปเยอะ ส่วนพวกที่มาศึกษาตรรกะศึกษาบัญญัติภาษา ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อะไรของคุณไป คุณก็ได้แต่หลักเกณฑ์อะไรต่อหลักเกณฑ์ก็เหตุก็ผลของหลักเกณฑ์แล้วรู้มาก เป็นโลกจินตา ไม่ได้เข้าหาเนื้อแท้ของสัจธรรม สภาวธรรมเลย ไม่ได้เข้าหา จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้แต่บัญญัติภาษา 

การเข้าหา จิต เจตสิก รูป นิพพาน เริ่มต้นจาก กาย คุณก็เข้าใจกายนี้เป็นสรีระ กายเป็นสภาพนอกของสรีระอย่างเดียว กายไม่ใช่อย่างเดียว กายต้องเป็นองค์ประชุม ยังดีนะในพจนานุกรมหรือปทานุกรมของบาลีไทยคุณยังแปลกายว่า เป็นองค์ประชุมหรือเป็นฝูงเป็นหมู่เป็นกลุ่ม มันไม่ได้หมายความถึงความเดี่ยว เอกังสะ แต่มันเป็นหมู่เป็นกลุ่ม กาย คุณก็แปลไว้ในพระไตรปิฎกยังดีอยู่ แต่คุณก็ไม่เข้าใจ 

แล้วท่านก็ชัดเจนนะในพจนานุกรมก็ว่าไว้ชัดว่า กาย แปลว่าองค์ประชุมของเจตสิก มุ่งไปหาที่จิตเลย เจตสิกคือส่วนของจิต ส่วนที่แยกเป็นรายละเอียดของจิตเป็นเจตสิก อย่างเจตสิก 3 เป็นต้น 

กายคืออะไร คือองค์ประชุมของเวทนาสัญญาสังขารอย่างนี้เป็นต้น ก็ถูกแล้ว แต่ท่านก็เข้าใจผิดไปจากพยัญชนะก็ถูกอยู่ แต่คุณต่างหากผิดไป แม้แต่พยัญชนะก็เข้าไม่ถูกต้องตามสภาวะ เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่มีเลยมีแต่ความเข้าใจผิด ความเข้าใจถูกไม่มี มันซับซ้อนอยู่นี่ เรียนรู้มากๆนึกว่าเป็นเพราะรู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ แต่ไม่เข้าท่าเลย เป็น ปทปรมบุคคล เป็นบุคคลที่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาก  ท่องจำได้มาก สาธยายได้มาก  สั่งสอนกันอยู่ก็มาก แต่ท่านไม่บรรลุอะไรเลย ไม่บรรลุธรรมเลย ไปอ่านคำแปลท่านแปลว่าเองอยู่ไหนคำแปล ปทปรมบุคคล นั่นแหละแปลกันไว้เอง 

ปทปรมบุคคล ท่านแปลไว้ว่า เป็นธรรมะโดยบท ปรมะคือยอด คือผู้ฟัง พุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย ท่านที่เป็นเปรียญ 9 ก็ดี ท่านที่เป็นดอกเตอร์ทางศาสนาพุทธก็ดี ไม่กล้าพูดของตนเองว่าตนเองบรรลุธรรมหรอก แล้วกลับมาพูดว่า ผู้ที่บรรลุธรรมบอกใครไม่ได้อีก มาพูดขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า 

อย่างน้อยที่สุดใน โลหิจสูตร พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าใครไปเข้าใจว่า โลหิจสูตร โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง 

(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358) 

 

พ่อครูว่า...หรือแม้แต่ใน อภิณหปัญจเวกขณ์ 10 ข้อที่ 10 ท่านก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส  เป็นอริยะ  คือ  อุตริมนุสสธรรมอันเราได้บรรลุแล้ว  มีอยู่หรือหนอ   ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว  จักไม่เป็นผู้เก้อในกาลภายหลัง(อุตตริมนุสสธัมมา  อลมริยญาณ  ทัสสนวิเสโส    อธิคโต  โสหัง   ปัจฉิเม กาเล   สพฺรหฺมจารีหิ   ปุฏฺโฐ   น  มังกุ  ภวิสฺสามีติ)  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 48) 

บอกได้อย่างไม่เก้อยากไม่เขินอายเลย อย่างอาตมาก็บอกได้ชัดเจนอาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ พูดถึงขนาดอาตมาเป็นธรรมิกราชเพราะอาตมาเป็นจริง ในยุคนี้อาตมาก็อธิบายไว้หมดว่ามีธรรมิกราช 2 องค์ในตามตำราว่าไว้อาตมาไม่ได้กล่าวเอง อาตมากล่าวจริงด้วยกล่าวอย่างเป็นหลักฐานเลยว่ามีธรรมิกราช 2 องค์ แต่คนก็หมั่นไส้ว่า ยกตนเทียบท่าน เอาเถอะ 

อาตมาว่าธรรมิกราชคือในหลวง ร. 9 ก็ไม่ว่าอะไรสมสัดส่วน แล้วเอ็งเป็นใคร เอ็งมายกตนเองว่าเป็นธรรมิกราช เขาก็บอกว่าเป็นกะเรี่ยกะราด ทำเป็นยกตนหลงตนว่าเป็นธรรมิกราช 

อาตมาเข้าใจ อาตมาไม่ได้โกรธเขาหรอกคนที่มองอาตมาอย่างนั้น ขออภัยพูดอีกทีก็ได้แต่สงสารเขา เขาไม่รู้หรอก อาตมาไม่อยากเปรียบเทียบว่า ลิงเห็นแหวนเห็นแก้ว หรือ ขออภัยไม่พูดต่อละ หรือพูดต่อก็ได้ หมาไม่รู้อะไรก็เห็นขี้ดีกว่าข้าว ไม่รู้ว่าพวกนี้มันเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่น่าได้ หมาจะเห็นพลอย หมามันก็ไม่รู้จักหรอกว่ามีค่ากว่าขี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องสัจจะ อาตมาเข้าใจสัจจะพวกนี้อยู่ไม่มีปัญหาอะไร 

เพราะฉะนั้นในธรรมะที่ อาตมาอธิบายอยู่นี้ บอกว่าสอนดีมาก คุณพูดเพราะคุณได้ประโยชน์จากคำสอนของอาตมา 

คำว่าได้ประโยชน์นี้ มันไม่ใช่ได้ประโยชน์ไปเป็นโลกียะ ผู้ที่ได้รับฟังคำสอนของอาตมาแล้วเอาไปปฏิบัติได้มรรคผล เขาไม่ได้ได้โลกียะคือไม่ได้เจริญด้วย ลาภ ไม่ได้เจริญด้วยยศ ไม่ได้เจริญด้วยสรรเสริญ แม้ในที่สุดไม่ได้เจริญด้วยโลกียสุข 

ความสุขลดลงตั้งแต่ความสุขจากอบายมุข คุณก็เลิกมาเฉยเลยแต่ก่อนเคยเอร็ดอร่อย เคยสนุกสนาน เคยเพลิดเพลิน เคยชื่นอกชื่นใจกับอบายมุข กระดี๊กระด๊าเป็นรสเป็นชาติจัดจ้าน เดี๋ยวนี้เฉย คุณจะเข้าใจอบายมุขแค่ไหนอย่างไรก็ตาม จนกระทั่งในโลกของ กาม คุณก็ลดลงอีก ไม่ได้เป็นสุขในกามภพ ไม่ได้เป็นสุขในรูปภพ ไม่ได้เป็นสุขในอรูปภพ 

ตรวจจิตตรวจใจตัวเองให้ดี คนพวกเราเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆ แล้วพวกเราสรุปไม่ลง สรุปไม่เป็นไม่รู้ตัวว่าเป็น 

อย่างคุณจำลองบอกว่าชาตินี้ผมอยากเป็นโสดาบัน โธ่เอ๋ย คุณจำลองเป็นโพธิสัตว์ แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวแต่พฤติกรรมเป็นโพธิสัตว์แท้ๆชัดเจน เป็นแต่เพียงว่าในรายละเอียดตัวเอง ไม่ได้รู้รายละเอียด ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ที่ไม่รู้ตัวเองในรายละเอียดของสัจธรรม ว่ามันเป็นอะไรต่ออะไรบ้างตามกำหนดภาษาบัญญัติของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เท่านั้นเอง 

แต่โดยสภาวธรรม โดยพฤติกรรม โดยความเป็นจริงของผู้นั้นผู้นั้น เป็น ที่อาตมาว่าไปนี้ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์คืออะไรเข้าใจง่ายๆหรอก อาตมาก็ไล่อธิบายมาหมดแล้ว แต่มันก็ยากอยู่นะจะเข้าใจ โพธิสัตว์โสดาบัน โพธิสัตว์สกิทา โพธิสัตว์อนาคา โพธิสัตว์อรหันต์ โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ 

ซึ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนิยตโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้พูดผิดอาตมาไม่ได้ไปหลงตัวหลงตนอะไร แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปหลอกใคร ถ้าอาตมาผิดอาตมาหลงตัวหลงตน อาตมามาหลอกใครๆ โอ้โหอาตมาจะมีบาปมหาบาปเลย 

แต่จริงๆแล้วอาตมาทำงานมา 50 กว่าปี อาตมาเห็นผลว่ามันมีความเจริญ เจริญจริงๆอาตมาพาคนมาจนสำเร็จ พาคนมาเสียสละพาคนมาลดละ พาคนมาหมดโลภโกรธหลง ลดละโลภโกรธหลง หมดโลภโกรธหลง ไปตรวจสอบตัวเองดีๆเถอะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมกล่าวหาอาตมา 

ไม่ได้ไปหลงตัวหลงตนไปนั่งหลับตาแล้วนึกว่าตัวเองเป็นอะไรต่ออะไรไปไม่ใช่ ลืมตาสัมผัสต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  สัมผัสกับเพชรนิลจินดา ธนบัตรข้าวของ ของอร่อยของน่าได้น่ามีน่าเป็นอะไรก็แต่ก่อนนี้ก็น่าได้น่ามีน่าเป็นไปหมด เขาจะหลอกเอาขี้หมาทาสีมาหลอกอยากได้ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ชัดเจนหมดแล้ว แม้แต่ของที่บอกว่าเป็นทองคำ เป็นโลหะที่ก็เป็นธรรมชาติ ที่หายากที่สุด มีค่าแพงที่สุดตามที่เขายึดกัน ก็ไม่ว่ากระไร เราก็ไม่ได้กระดี๊กระด๊าอยากได้อะไร แต่ก่อนนี้ซื้อมาเก็บก็สะสมของเอาไว้ คุณจะเอาไว้ทำไมเอาไปทำฟืนก็ยาก ทองคำ ตายแล้วเอาไปใช้เป็นฟืนเผามันไหวไหม ไม่เห็นมีใครทำ 

พอตายแล้วคนนี้รวยมีทองคำเหมือนอย่างมหาบัว สะสมทองคำเสร็จแล้วก็ไม่รู้จิต ไม่รู้ความผูกพันว่าเป็นเรา เป็นของเรา ก็นี่แหละของฉัน แล้วก็ใส่เอาไว้ให้ประเทศ อวดโชว์ ซับซ้อน เป็นความเป็นอัตภาพซ้อนอัตภาพ ซ้อนว่าเป็นของกูของประเทศ เป็นเจ้าของประเทศเลยนะ ประเทศนี้ฉันเป็นเจ้าของ หาทองคำ หาดอลลาร์มาให้ ก็ไปเรี่ยไรเอาของคนอื่นแล้วเอาประเทศเป็นตัวอ้างอิงเป็นตัวประกัน คนเขาก็เห็นสิ และเป็นพระเป็นเจ้าที่เขาอาศัยที่เป็นพระ ไปเรี่ยไรเขาก็ให้มา แล้วก็เอาไว้ในคลัง เสร็จแล้วตายแล้วมหาบัวก็นอนเฝ้าทองคำ เงินอะไรๆต่ออะไรอยู่นั่นแหละ นอนเฝ้าอยู่นั่นแหละตายไปแล้วก็เป็นเล็น เป็นหมัดอยู่นั่นแหละ 

ขออภัยที่อาตมาพูดเพื่ออธิบายสัจธรรมให้ฟังว่า คุณอย่าเข้าใจผิดในสิ่งที่มันผิดจริงๆ ไปเข้าใจของผิดจริงๆว่าเป็นของถูก มันโง่นะ มันไม่ได้ฉลาดอะไร ตื่นซะบ้าง ชาคริยาขึ้นมาบ้าง อย่าไปงมงายจนกระทั่งอยู่ในอเวจีไม่เคยโงไม่เคยตื่นขึ้นมาเลย มันก็ไปไม่รอด 

อาตมาเอาของจริง  เอามหาบัว เอาพฤติกรรมแบบมหาบัว เอาคำอะไรต่างๆมาพูดมันเป็นสัจธรรมยืนยัน มันมีหลักฐาน มันมีเหตุผลมันเป็นสัจธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ออกมาทำงานศาสนา ท่านไม่เคยไปทำอย่างมหาบัวเลย ไม่ได้ไปทำอย่างที่พระเถรสมาคมทำเลย เป็นพระพุทธเจ้านะ 

 ท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า บรรลุสูงสุดของศาสนาพุทธแล้วท่านก็ออกมาจากทรัพย์สินเงินทองยศศักดิ์อะไรต่างๆอยู่ในโลก ออกมาเลย แล้วก็มาเป็นพระที่ปฏิบัติถูกทางด้วย ไม่ได้ออกไปเป็นพระป่า ที่เป็นพระหลงนั่งหลับตาเข้าฌาน กินลม กินวาตา ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย แต่ก็ไปเข้าใจแบบเดียร์ถีย์หลงผิด จนทุกวันนี้อาตมาก็กระตุกอยู่ให้ตื่นให้ตื่นขึ้นมา อย่าไปงมงายไปนั่งหลับตานี่ก็เป็นเรื่องทำลายศาสนาพุทธอย่างหนักอยู่แล้ว มันบาปนะ 

บาปขนาดไม่รู้รูปนาม ไม่รู้วิญญาณ กลายเป็นโจรปล้นศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสยกอุทาหรณ์ว่า พระราชาเห็นว่าไอ้นี่เป็นโจร แล้วพระราชาก็เลยให้เจ้าพนักงานเอาไปฆ่าให้ตาย ไอ้โจรนี่เอาหอก100 เล่มไปฆ่าตอนเช้า แล้วก็ไม่ตาย หนังเหนียว ยืนยันหน้าด้านคงทนเหมือนกัน พระราชาเจอเจ้าพนักงานก็ถามว่าตายหรือยัง ก็บอกว่าไม่ตาย ให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่ม ตอนกลางวัน เขาก็ไม่ตาย พอมาตอนเย็นพระราชาเจอเจ้าพนักงานถามว่าตายหรือยัง ก็บอกว่า เอาไปฆ่าด้วยหอกอีก 100 เล่มตอนเย็น แล้วท่านก็ทิ้งปลายเปิดเอาไว้ให้แค่นั้นว่า ไอ้พวกนี้มันไม่ตาย 

มันเปรียบเทียบชัดที่สุดเลยว่า จะพูดยังไงให้เปลี่ยนแปลงเป็นสภาพเป็นผู้เกิด ผู้ตื่น มันกลายเป็นผู้ตาย ตายอย่างเน่าๆเหม็นๆหมักๆหมมๆด้วย นี่แหละชาวพุทธ แล้วไปหลงที่ตายเน่าๆเหม็นๆหมักๆหมมๆเป็นอาสวะหมักหมม มันยิ่งเป็นแต่กิเลสหมักหมมโง่ซ้ำโง่ซ้อนโง่หมักโง่หม่อมโง่เน่า ขออภัยอาตมาใช้ภาษาถูกต้องแล้วดีที่สุดแล้วฟังให้ดีๆเถอะ 

มันไม่ได้เป็นความถูกต้อง มันไม่ได้เป็นความเจริญอะไรเลยของศาสนา แล้วคนไม่รู้ก็หาว่าอาตมาไปว่า อาตมาเอง อาตมาเกิดมาต้องมาตำหนิสิ่งผิด แล้วก็จะยืนยันสิ่งถูก สิ่งถูกคืออาตมาพาทำถูกสิ่งผิดคือผิดกันไปเกือบหมดเลย ดีนะอาตมาไม่ว่าหมดว่าเกือบหมด อาตมาจะต้องว่าสิ่งผิดตำหนิสิ่งผิด ยกสิ่งถูกตามคำสอนของสัจธรรมของพระพุทธเจ้า จะให้อาตมาหลีกเลี่ยงสัจจะพวกนี้ไปได้ยังไง อาตมาไม่มีทาง 

เกิดมาอาตมาต้องมาเปิดเผยสัจธรรม เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีงานอื่น อาตมาเลี่ยงไม่ออก อาตมาจำเป็น จำนน จำยอม ที่จะต้องบอกถูกเป็นถูก  ผิดเป็นผิด ย้ำหัวตะปูแล้วๆๆว่าผิด อานนท์ เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด

อย่างนั้นจริงๆอาตมาทำตามคำสั่งพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แต่คนก็ไม่รู้มันไม่รู้สารพัดสารเพ ไม่รู้จนกระทั่งเห็นถูกเป็นผิด เห็นผิดเป็นถูกมันก็สุดสงสารไม่รู้จะทำยังไง เพราะฉะนั้นอาตมาจำเป็นต้องแก้ความเห็นที่ผิดนี้ให้เห็นถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ฟังธรรมะดีๆตั้งอกตั้งใจดีๆไอ้ความเชื่อเก่าๆ คุณไปยึดถือเป็นสิ่งผิดปิดไปก่อนได้ไหม ปิดเลย คุณรู้จักไหมคำว่าปิดความเชื่อ ปิดความเห็น ปิดความเชื่อถือ ปิดความรู้เก่า มาฟังอาตมาใหม่ตั้งใจใหม่เหมือนเทน้ำ ที่ท่านโบราณอาจารย์เปรียบเทียบไว้ น้ำชาเต็มถ้วยนี้เททิ้งหมดเลย มาค่อยๆรับน้ำชาใหม่ของอาตมา แล้วคุณฟังดีๆ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังดีๆค่อยๆฟังแล้วคุณจะค่อยๆเข้าใจ 

แต่ถ้าคุณไม่ปิดความรู้เก่ามานะ มีตัวแย้ง คุณไม่เข้าใจหรอก คุณจะยึดถืออันเก่าอยู่ คุณจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณต้องลืมอันเก่าเลย ฟังใหม่ ลืมทิ้งไปซะอันเก่า มาฟังจากอาตมาเริ่มต้นตั้งแต่อาตมาอธิบายศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเกิดฌาน ไม่ใช่ ต้องปฏิบัติศีลแล้วจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิคือ อปัณณกะ แปลว่า ศาสนาพุทธที่ไม่ผิด ที่ไปผิดศาสนาพุทธคือ 3 อย่างนี้ ถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ ไปหลับตาไม่เป็นคนตื่น แล้วไม่ได้พิจารณาเลย ท่านก็ยกสรุป โภชเนมัตตัญญุตา ให้รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสแล้วเกิดกิเลส 

กินอาหารตัวสำคัญนี่แหละ มันจะหลงอาหารเป็นรสอาหารติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อย่างแท้จริงเลย เมื่อคุณไม่เข้าใจแล้วคุณก็ไม่รู้อันนี้ คุณก็จมอยู่ในอันนี้ไปตลอดกาล มันก็ไม่เป็นพุทธไม่เข้า เกณฑ์ อปัณณกปฏิปทา 3 เลย เพราะฉะนั้นสัทธรรม 7 ไม่มี ไม่เกิดหรอก 

จะเกิดศรัทธาเกิด หิริโอตตัปปะ ไม่มี อาตมาก็อธิบายไม่เก่ง มันเกิดศรัทธา เกิดหิริโอตตัปปะอะไร อาตมาขออธิบายได้บ้างแล้วแต่พวกคุณมีอาตมาก็ยังเห็นว่าก็คงจะไม่เข้าใจ แล้วอาตมาก็รู้สึกว่ามันคงจะยาก ยากอยู่ มันคงจะเข้าใจยากอยู่ 

คุณละอาย คุณเกิดอาการจิตของคุณจริงๆ หิริ ละอายอะไร ยกตัวอย่างไปแล้ว ละอายว่า คุณมาตู่ผู้ถูกว่า ผิด คุณไปยึดผิดว่าคุณถูก คุณไปยึดอาจารย์ที่พาผิดมาไม่รู้ตั้งกี่รุ่นจนถึงทุกวันนี้ ค่อยๆผิดมาจนถึงทุกวันนี้มันผิดจนกระทั่งตรงข้ามจากสัจธรรมพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่ตลบแล้ว มันหมุนรอบเชิงซ้อนไปหลายตลบแล้ว คุณก็ยังหลงว่าถูกอีกนั่นแหละ ทั้งๆที่ผิดไม่รู้กี่ตลบแล้ว 

อย่างเช่นไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีศีลเลย ที่มันสรุปได้ชัดเจนว่าในศาสนาพุทธไม่มีศีลก็คือ แม้แต่ ภิกษุก็ไม่รู้จัก  จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่เป็นศีลของพระพุทธเจ้า โดยที่ไปเข้าใจว่าศีลของภิกษุนั้นคือวินัย 227 นี่ก็พูดอธิบายมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วว่าวินัยกับศีลนั้นมันต่างกัน 

วินัยมันมีโทษ มีข้อปรับโทษ แต่ศีลไม่ได้มีข้อปรับโทษ ศีลเป็นอิสรเสรีภาพ วินัยมันเป็นเรื่องของข้อบังคับ  แต่ศีลไม่ได้เป็นเรื่องของข้อบังคับ เป็นอิสระ เป็นเรื่องของปัญญาสมบูรณ์แบบ คุณพอใจปฏิบัติศีล คุณก็ปฏิบัติ คุณไม่พอใจปฏิบัติศีล คุณไม่เห็นคุณค่า คุณก็ไม่ปฏิบัติ แต่คุณไปบวช คุณมีวินัย คุณจำเป็นจะต้องทำตามวินัย ถ้าคุณไม่บวชคุณก็ไม่มีวินัย 227 ใช่ไหม คนที่ไม่บวชเขาก็ไม่ได้ถือวินัย 227 อย่างนี้เป็นต้น เขาก็ไม่เข้าใจแล้ว 

ที่จริงมันเป็นความลึกซึ้งละเอียดนะที่อาตมาอธิบาย แต่เขาก็ไม่เข้าใจหรอกที่ว่ามันมีความลึกซึ้ง เขาก็หาว่าพูดอะไรก็ไม่รู้ ใครก็รู้ 227 แล้วเขารู้จริงๆหรือเปล่า คุณได้แค่นี้คุณนึกว่าคุณมีวินัย คุณนึกว่าคุณมีศีล คุณปฏิบัติศีลที่จริงไม่ได้ปฏิบัติศีล 

แล้วปฏิบัติศีลคืออะไรคุณก็ไม่รู้ ปฏิบัติวินัยเพื่อไม่ให้มันอาบัติไม่ให้มันละเมิด คุณก็ว่าไป วินัยหนักที่สุดปาราชิก 4 คุณไม่ให้มันปาราชิกก็เลิศยอดแล้ว ก็จริง ไม่มีสังฆาทิเสสอีก 13 ก็ดี 

แต่ทุกวันนี้อาตมาพูดได้เลยว่าสังฆาทิเสสเต็มไปหมดเลย อย่าว่าแต่สังฆาทิเสสเลย ปาราชิกก็มีเยอะ โดยเฉพาะปาราชิกในข้อเงินทองกับอวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน เยอะเลย เรื่องกามก็ไม่ใช่น้อย เรื่องฆ่าคนยังมีเลยในปาราชิก 4 อยู่ในนั้นแหละเละเน่าเฟ๊ะอยู่ในนั้น ปาราชิกก็ให้มาบวชกันซูเอี๋ยกัน 

อาตมาบวชมาอาตมาก็อยู่ด้วยไม่ได้ จึงประกาศนานาสังวาส อาตมาไม่ได้มาทำเล่นไม่ได้มาทำอวดดีอวดเก่งอะไร มันเป็นไปตามสัจธรรม อาตมาก็ต้องขอมาเป็นนานาสังวาส แก้ไขไม่ได้แล้วทางโน้นอาตมาก็อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะมันหมักหมมเน่าในอยู่อย่างนั้นอาตมาก็ต้องนานาสังวาส 

แต่เสร็จแล้วคุณไม่เข้าใจเรื่องนานาสังวาส อาตมาก็ทำถูกต้องดีไม่ดีออกกฎหมายใหม่ให้อาบัติกินหัวอีก ออกกฎหมาย 2505 เอามาเล่นงานอาตมา โดยไปบัญญัติใหม่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติใหม่คือ ให้สังฆราชมีอำนาจสั่งให้ภิกษุสึกได้ พระพุทธเจ้ายังไม่สั่งสึกใครเลย ขนาดพระเทวทัต พระพุทธเจ้ายังไม่ได้สั่งให้สึกเลย แต่ให้จับเทวทัตเป็นนานาสังวาสเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปสั่งให้เทวทัตสึก แต่นี่ไปเอากฎหมายให้สั่งสึกได้ เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก 

นั่นแหละเป็นการบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เขาก็ไม่รู้ตัวอย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็พูดความจริงอันนี้ออกไปแล้ว มันจะไปแสลงหูแสลงใจของเขาขนาดไหน แต่อาตมาจำเป็นต้องเปิดเผยสิ่งที่คุณทำผิดไปแล้ว อย่าทำอีกนะ ทำไปครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แต่นี่ก็ทำซ้ำกันไม่รู้กี่ครั้ง ผิดแล้วผิดอีกๆๆๆ แล้วก็เอามาขี้ตู่อาตมาให้บาปใส่ตัวเอง 

ที่อาตมาพูดนี้ อาตมาไม่ได้ไปขี้ตู่ว่าพวกคุณบาปหรอก แต่มันเป็นสัจธรรมที่คุณบาปเอง 

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าลำเลิกเบิกประจานก็ขออภัย  แต่เป็นเรื่องสัจธรรมที่มันเกิดมาและอาตมาก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เอามาเป็น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ เอามาเปิดเผยเป็น จุตูปปาตญาณ สิ่งที่เกิดไปเป็นไปสิ่งที่จุติ 

มีคนถามต่ออันนี้ อาตมาก็อาศัย SMS คำถามพวกนี้มาเป็นประเด็น ในการอธิบายธรรมะ หรือจะเรียกว่าญัตติก็ได้ คุณจะไปเถียงว่าไม่เป็นญัตติก็ตามใจคุณเถอะไม่มีปัญหาอะไร คุณเมฆงามชมอาตมา อาตมาก็เลยชมตัวเองไปซะยาว ก็ว่าไป 

 

ติวิญญาณ กับ ปฏิสนธิวิญญาณ

_ใบแพร คําถาม คัดมาจาก หนังสือ ทางเอกภาค1หน้า 132 พารากราฟที่ 2 จึงจําเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกหัด สํารวมอินทรีย์ โดยแบบฝึกหัด ว่าด้วยวิธีทํา สติปัฏฐาน เราจะสํารวมอินทรีย์ด้วยวิธีไหนๆ ก็จะต้องใช้ สติ ต้องพากเพียรตนให้รู้ตัวทั่วพร้อม ระวังระไวใน ผัสสะ ทุกทวารให้ได้ เสมอๆ 

พ่อครูว่า... สติต้องมีตื่น ต้องมีผัสสะ ต้องมีชาคริยาต้องมีผัสสะ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติเต็มทางกาย สติเต็มทั้งวาจาสติเต็มทางใจ อธิบายซ้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว 

สติที่ไปอยู่ในใจไม่มีทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย มันเป็นสติอยู่ในภพ สติอยู่ในกะลาครอบ สติไม่เต็มร้อย มีอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่มีเต็มร้อยออกมาข้างนอก มันไม่ชาคริยา   มันไม่ตื่นไม่เป็นสติที่เป็นความตื่น มันเป็นสติที่เป็นความจมอยู่ในที่มืดเป็น สุภกิณหา ไปหลงกิณหา ในที่หลับที่ดับเป็นอาภัสรา เป็นฌานหลับตา

พ่อครูว่า.. หนีออกป่าเป็น เดียรถีย์ พระลืมตาแม้ จะต้องเป็นนกแก้วนกขุนทองก็ยังรักษาพยัญชนะไว้อยู่ ยังเป็นจับกังแบกลังทองมาไว้ให้ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รู้ว่าการแบกลังทองนี้มีทองเท่าไหร่ มีตะกั่วหุ้มมาเท่าไหร่ ผู้รู้จะเลือกเอาทองมาจากที่มันหุ้มตะกั่วออกไปเอง 

_จะต้องแยกสิ่งที่มากระทบผัสสะ (รูป) กับการรับรู้ (นาม) ของ เราให้ออก และจะไม่หลงตาม รูป อันเป็นเชื้อ พีชะ แห่งจุติวิญญาณ มาลากจูงให้เราหลงปล่อย ปฏิสนธิวิญญาณ เกิด ที่เราเป็นอันขาด 

พ่อครูว่า.. เป็นวิญญาณที่สืบต่อจากการเคลื่อนไป จุติแล้วก็เป็นการปฏิสนธิ จุติคือการเคลื่อนไป แล้วก็ปฏิสนธิต่อเนื่อง สนธิแปลว่าการต่อเนื่อง สภาวะธรรมตรงนี้ เจตภูติ เริ่มเข้าสู่ธาตุรู้ที่จะเป็นวิญญาณ เป็นรายละเอียดของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ท่านสรุปอภิธรรม 4 ประการ 

 

_ถ้า เป็นพระโสดาบันที่ยังไม่เก่ง เพียงพึ่งหัดทํา (สําหรับผู้รู้วิธีแล้วจริง คือ ผู้ เป็น โสดาปัตติมรรคบุคคล) ก็จะเผลอให้จิตเกิด ปรุงไปได้หลายตลบ ทีเดียว คือไปปรุงถึง 2 รอบ ( 2 ปริวัฏฏ์) กว่าจะห้ามได้ก็เริ่มรอบที่ โน่น รอบหนึ่งๆ ของไตรลักษณ์ก็มี 3 ตัว แต่ละตัวล้วนนับว่าชาติ ทั้งสิ้น ดังนั้น 2 รอบ ก็เป็น 5 ชาติ พอขึ้นรอบที่ 3 อีก 1 ตัว ก็เป็น 3 ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  7 ชาติ แล้วค่อยดับลง ก็เรียกว่า เป็นพระโสดาบัน ชนิด สัตตักขัตตุปรมโสดา คือ กว่าจะดับกันได้ก็ปล่อยให้จิตปรุงแต่งเกิดมาอีกทั้ง 7 ตัว หรือ 7 ชาติ แต่ถ้า 7 ชาติก็ดับไม่ได้ ให้กลายเป็น 8 เป็น 9 ไป มันก็จะเลยเป็น ปริวัฏฏ์ 3 ไป จึงถือเป็นการยังเกิดอยู่ตามธรรมดาโลก เรียกว่า ยังตัด โคตรภู ลงบ้างไม่ได้เลย จึงไม่เรียกว่าเป็น พระโสดาบัน

พ่อครูว่า.. อาตมาอธิบายจากสัจธรรม พวกคุณฟังแล้วเข้าใจอาตมาก็ไม่สูญเปล่าแต่เห็นใจพวกที่เขาไม่เข้าใจแล้วอาตมาก็เห็นอยู่ว่ามันยากที่คุณจะเข้าใจ ขออภัยไม่ได้ไปดูทุกๆท่านเขา ผู้ที่เข้าใจได้ก็อนุโมทนาสาธุผู้ไม่เข้าใจที่ได้ก็น่าสงสาร 

_ใครทําจิตให้ตัดรอบ ให้หยุดลงได้ด้วยการฝึกการทํา โดยนัยอย่าง นี้แหละ คือ การสั่งสมบารมี สร้างจิตของตนให้สู่การดับ การหยุด การไม่เกิด ถ้าใครทําความดับให้เก่งขึ้น จนสามารถทําจิตเกิดปรุงแต่ง น้อยลงๆ เป็นเพียง 2 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้างได้ หรืออย่างเก่งก็ไม่เกิด 5 ชาติ ก็เป็น พระโสดาบันชนิดที่สูงขึ้น เรียกว่า โกลังโกละ

ถ้าผู้ใดยิ่งเก่งขึ้น พอได้รับกระทบผัสสะ ก็เผลอปล่อยให้เกิดได้ตัวเดียว หรือชาติเดียว แล้วก็สามารถดับลงได้ทันที ผู้นี้เรียกว่าเหลือเชื้อ แห่ง การเกิด เพราะรับ จุติวิญญาณ อยู่เพียงครั้งเดียว ก็เรียกว่า เอกพีซี เป็นเชื้อจิตที่กําลังก้าวขึ้นสู่ความเป็น พระสกทาคามี แล้ว

ขอเรียนถามค่ะ

_คําว่า จุติวิญญาณ กับ ปฏิสนธิวิญญาณ ความหมายแตกต่างกัน ไหมคะ?

_คําว่า ชาติ หมายถึงการเกิดของจิต หรือ การเกิด ภพ ชาติ ทางร่างกายคะ?กราบขอบพระคุณที่ให้แสงสว่างทางปัญญาค่ะ

พ่อครูว่า... อธิบายผ่านมาบ้างแล้ว ก็สรุปคำนี้ก่อนถามว่าจุติวิญญาณกับปฏิสนธิวิญญาณแตกต่างกันยังไง 

จุติวิญญาณก็คือมันเคลื่อน พยัญชนะคือมันยังเป็นไปอยู่ แล้วมันก็ไม่จบ มันก็ปฏิ คือมันยังเกิดอยู่ตลอดเวลา ปฏิ คือมันยังมีการเกิดการดับ มีสอง มีสภาพทวนไปทวนมาหมุนเวียนไปมา แล้วก็ต่อเนื่องสนธิ

อาตมาแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆให้ฟังจากพระบาลี ปฏิสนธิ นี่คือวิญญาณที่ไม่จบ มันเคลื่อนไปแทนที่เคลื่อนไปแล้วจะจบ บางทีเขาแปลจุติว่าตาย มันตายได้ก็เพราะว่า เป็นพระอรหันต์ขึ้นไปก็รู้จักจิตที่เคลื่อนไป พระอรหันต์บางองค์ท่านบอกว่าท่านจะเดินไปตายก้าวที่ 7 แล้วท่านก็จุติตรงนั้นแค่นั้นดับไม่มีสนธิ ไม่มีปฏิสนธิคือจุติอยู่ตรงนั้น ตายตรงนั้น ล้มลงตรงนั้น ขาดใจตรงนั้น 

เพราะฉะนั้นจุติแตกต่างตรงที่จุติซึ่งมันยังเคลื่อนอยู่ ปฏิสนธิคือคุณรู้จักการเคลื่อนที่ต่อ หรือคุณไม่สนที่ต่อ ผู้ดับได้เป็นอรหันต์ก็ไม่ต่อผู้มีอำนาจทางจิตได้แล้ว คิดถึงตรงนี้แล้วพอ หยุดไม่ต่อก็ตัด แต่คุณตัดความคิดของคุณได้ไหมล่ะ หากว่าคุณตัดความคิดของคุณไม่ได้เลยไม่ได้เป็นโสดาบันหรอก คุณก็ไม่ได้อะไรเลย ตัดความคิดไม่ได้เลย ถ้าตัดความคิดได้บ้างไม่ได้บ้างก็ยังดีรู้จักจุติ รู้จักปฏิสนธิเข้าใจความแตกต่างระหว่างจุติกับปฏิสนธิไหม มันต่อเนื่องกันอยู่ 

 

ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึงการเกิดของอะไร

ทีนี้คำว่า ชาติ   คำว่าชาติหมายถึงการเกิดของจิตหรือการเกิดภพชาติทางร่างกาย

คำว่า กาย เอาคำว่าร่างมาใส่ ภาษาไทย มาใส่คำว่า ร่างกาย กายจะต้องมีจิตเสมอเพราะฉะนั้นการเกิดที่บอกว่า ชาติ เป็นการเกิดของจิตวิญญาณเสมอ 

ชาติ มีรากศัพท์คือชา แปลว่ารู้ เป็นธาตุรู้แล้วที่จริง ติ แปลว่า 3 คือ 1 รอบของวัฏฏะ ขาติ ก็เกิดเป็นปริวัฏฏ์แล้ว ก็แปลว่าการเกิดของภพชาติ ภพ หมายความว่ามันมีจิตอยู่ร่วม 

สิ่งที่คุณไม่มีธาตุรู้ มันไม่รู้หรอกว่าภพคืออะไร 

ภพ คือสิ่งที่มันปรากฏเป็นแดนเกิด สัมภพ ปภพหรือสัมภวะ ปภวะ คือ มีแดนเกิด มีสถานที่เกิดแล้วแล้วเกิดมันจะต้องมีธาตุรู้อยู่ 

ที่จริงดินน้ำไฟลมมันก็เกิด แต่เราไม่เรียก ชาติ มันเป็นดินน้ำไฟลมไม่มีอะไรไปรู้แล้ว พีชะ มันมีชีวะแล้วแต่มันก็ไม่รู้การเกิดการตาย 

ขนาดเป็นสัตว์เป็นคน อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย มันไม่รู้แน่ มาเป็นคนแล้วมาเป็นอาริยะเป็นชาวพุทธจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอก คุณก็ยังไม่เข้าใจเรื่องการเกิดการตาย 

เพราะฉะนั้นการเกิดจริงๆก็หมายเอาวิญญาณแท้ๆ จนกระทั่งคุณสามารถทำให้วิญญาณนี้มันดับได้ คุณจะเลิกวิญญาณได้สุดยอดเลย เป็นพระอรหันต์ เป็นต้น คุณสามารถแยกธาตุวิญญาณนี้เมื่อกายแตก ทำ กายส เภทา ปรัมมรณา คุณก็แยกธาตุจิตวิญญาณเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่ก็คือคุณจบอยู่เหนือ ทำสำเร็จ   

อาตมาอธิบายไม่ยากที่จะอธิบายให้ฟัง แต่คุณจะยากที่จะทำความเข้าใจไม่ได้   เพราะอาตมามีสภาวะจริง อาตมาอธิบายได้ไม่ยากง่าย แต่อาตมาพยายามจะใช้ภาษาไทยขยายความขยายสภาวะของมันให้ฟัง 

ภพชาติ ภพมันก็เป็นรูป  ชาติก็เป็นนาม ตัวสุดท้ายคู่สุดท้ายก็คือภพชาติ 

การเกิดของคุณมีเริ่มต้น คุณก็มีตาหูจมูกลิ้นกาย คุณหลับตาก็มีแต่รูปภพ อรูปภพเป็นข้างใน อย่างนี้เป็นต้น รูปภพ อรูปภพก็ไม่มีทวารภายนอก 5 การไปหลับตาปฏิบัติมันไม่มีภพข้างนอกที่ หยาบ ต้องรู้ก่อนต้องทำก่อน คุณจะกินทุเรียนก็เอาปากทิ่มหนามทุเรียนเข้าไปกินเลย คุณจะบ้าหรือเปล่า จะไปกินเนื้อในมัน แต่คุณไม่ได้เลาะปอกเปลือกออกให้เกลี้ยงแล้วค่อยกิน เอาหนามเอาเปลือกเอากระพี้มันออกหมดแล้ว จึงกินเนื้อของมันเนื้อทุเรียน คุณถึงจะได้กินเนื้อทุเรียนจริงๆแท้ๆ แต่คุณดันเอาปากทิ่มเข้าไปทิ่มเข้าไปเพื่อจะไปกินทุเรียน ขนาดลิงมันยังไม่กล้าทิ่มเข้าไปกินเลย มันยังฉลาด แล้วคุณจะโง่ไปกินเนื้อทุเรียน คุณก็ปากทิ่มเข้าไป ไปนั่งหลับตา แล้วก็คิดว่าได้ จะเอาปากทิ่มผ่านหนามทุเรียนเข้าไปถึงเปลือกทุเรียนเข้าถึงกระพี้ทุเรียน กว่าจะถึงเนื้อคุณจะได้กินหรือปากคุณพังหมด 

อธิบายง่ายอย่างนี้ แต่ฟังเข้าใจไหมเข้าใจง่ายนะ อาตมาว่าอาตมาอธิบายง่ายเข้าใจง่ายแล้ว 

เพราะฉะนั้นถึงน่าสงสารคนที่ไปหลับตาปฏิบัติมันเหมือนไปกินเนื้อทุเรียนโดยเอาปากทิ่มหนามทุเรียนเข้าไป จะไปกินเนื้อทุเรียนให้ได้ อาตมาว่ายกตัวอย่างถูกต้องแล้วโดยเฉพาะมันมีทุเรียน สมัยพระพุทธเจ้าสงสัยทุเรียนยังไม่เกิดมั้ง ไม่เห็นพยัญชนะบาลีมีคำว่าทุเรียนเลย 

เอาล่ะอาตมาอธิบายมามากมายจนกระทั่งถึงคำว่า ภพชาติ ชาติทางร่างกายก็ต้องมีองค์ประกอบร่างกายเป็นรูปธรรมนามธรรม เป็นคนแล้วมันก็ขยายความขึ้นไปอีก 

สำหรับวันนี้เวลาหมดไปนานแล้วชั่วโมงครึ่ง จะว่าไปเองถึง 2 ชั่วโมงมันก็อีก 11 นาทีถึงจะ 20:00 น อาตมาก็เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ มันเจ็บขาพอแล้ว ขามันไม่สบาย ก็เลยไม่ได้เจ็บคอนะเจ็บขา หยุดพูดแล้วเจ็บขา ... สำหรับวันนี้ก็เจริญธรรม อธิบายทำไมให้มันสนุกๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2566 ( 05:40:42 )

660731

รายละเอียด

660731 ถ้าไม่เรียนรู้สุขทุกข์ ก็สั่งสมบาปอยู่ทุกลมหายใจ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #33 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53234.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่              https://docs.google.com/document/d/1-LeigUFVc4zzY8sy-FPYAEO404wDR9R7/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1VjZGsj9wAAlWJtwuW1BuoR8ipDuD6Ipu/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660731-167-1----_1_1-e27it61 

 

ดูวิดีโอได้ที่https://youtu.be/3LYHWwuHDd8 

และ

https://fb.watch/m7qqrJ54-7/ 

 

โลกุตระคืออะไร สำคัญอย่างไร

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8(2) ที่บวรราชธานีอโศก 

วันนี้อาตมาคิดว่าจะดึงเอาเรื่องโลกุตระกลับมาตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม เราพูดไปได้ 2-3 ประเด็น อาตมาเจตนาจะนำเรื่องโลกุตระมาพูดขยายความให้เข้าใจกัน 

คือโลกุตรธรรมมันสูญ มันเสื่อมไปจากชาวพุทธไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672 ว่ามันจะเสื่อมไปแล้ว มันก็เสื่อมจริงๆตามคำพยากรณ์ไว้ในยุค 2,500 ปีนี้ 

อาตมาก็จะยืนยันตัวเองว่า อาตมานี่แหละเป็นผู้ที่นำเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าที่มันเสื่อมไปนั้นกลับคืนมา สถาปนาลงไปในสังคมโลกยุคนี้เลย เอาโลกุตระมาเปิดเผยมาขยาย มาสืบทอดของพระพุทธเจ้าว่า โลกุตระคืออะไร 

โลกุตระ คือ สิ่งที่ไม่ใช่โลกียะ แตกต่างไปจากโลกียะ โลกียะหมายถึงอะไร หมายถึงว่าความเป็นโลก ความเป็นโลกคืออะไร คือสิ่งที่มนุษย์ชาติเราเป็นอยู่นี้ มนุษย์ชาติเราก็เป็นอยู่อย่างธรรมดาสามัญปุถุชน อยู่ใต้อำนาจของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นทาสเลย หรือ ทาษ เป็นทาสของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยังไม่หมดกิเลส ยังไม่รู้จักกิเลสที่จะหลุดพ้นออกมาจากโลกียะ 

โลกุตระ จึงเป็นผู้หลุดพ้นออกมา จิตไม่อยู่เป็นทาสแล้ว เป็นนายเลย เป็นนาย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่คือโลกุตระ

สำคัญอย่างไร สำคัญมากสำหรับความเป็นมนุษย์ มนุษย์เราถ้าไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า 

โลกทั้งโลกนี้ มีพลเมือง 7,000 ล้านกว่า ล้วนแต่ส่วนใหญ่เกือบครบ เกือบเต็มโลก ตกอยู่ใต้อำนาจโลกียะทั้งนั้น ตกอยู่ใต้อำนาจของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์ จะต้องเอาสุข เป็นสุขนิยม จะต้องเอาสุขให้ได้ 

มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้โลกุตรธรรม จึงรู้ว่าโลกุตรธรรมไม่อยู่ใต้อำนาจโลกแล้ว อยู่เหนือโลกได้ จึงคือความสำคัญยิ่ง โลกุตระนี้อยู่เหนือโลกธรรมได้ จึงสุดยอดสำคัญ นี่คือสำคัญอย่างไร 

ผู้ที่สามารถเรียนรู้ฝึกฝนจิต เจตสิก มีปัญญา รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในเรื่องของโลกุตรธรรมนี่แหละ จึงจะสามารถอยู่เหนือโลกได้ 

อีกประเด็นหนึ่งก็คือโลกุตระมีในโลกเพราะใคร โลกุตระมีในโลกขึ้นมาได้เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาในโลก ขึ้นมาสถาปนา ขึ้นมาอธิบาย ขึ้นมานำเอาโลกุตรธรรมขึ้นมาประกาศ มันเป็นเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
โลกุตรธรรมมีนิพพาน เอามาประกาศแล้วให้คนรู้ตาม เรียนรู้แล้วไปฝึกฝน จิต เจตสิก รูป แล้วถึงขั้นนิพพานได้ วันนี้ตั้งใจจะต่อว่าโลกุตรธรรมทำให้คนเจริญแบบไหนแล้วก็จะว่ากันไปยาวเรื่อยๆ ก่อนจะต่อก็ขอแวะโอภาสปราศรัยกับ SMS 

SMS วันที่ 29-30 ก.ค. 2566

_วันชัย สหมโนธรรม : ทุกวันนี้ฟังธรรมอยู่ที่บ้านแล้วนำมาปฏิบัติ..แต่ไม่มีหมู่กลุ่มมาขัดเกลาการเจริญในธรรมนั้นยากมากแต่ก็พยายามขัดเกลา..ลดละแต่ไม่ทบทวนในธรรมนั้นเจริญยากเพราะไม่อยู่ในหมู่กลุ่ม ไม่มีคนขัดเกลากำลังคิดว่าถ้าเราไม่มีหมู่กลุ่มเจริญในธรรมยากจริงๆ ครับ.

พ่อครูว่า... ดีมาก ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ ไม่ฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้งดีมาก และจริงที่อยู่คนเดียวปฏิบัติเรียนรู้ไม่มีหมู่กลุ่มขัดเกลา ไม่มี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ทั้งหมดที่จะช่วยกันจะไม่เต็มที่ แต่มันมีเท่านั้นก็ทำเท่าที่จำเป็นก็ดีแล้ว ฟังธรรมไปก็มีความรู้ว่ามันบกพร่อง เหตุที่มันไม่สมบูรณ์มีอะไรบ้าง 

_นาง จับใจ ธนะโภค   · กราบนมัสการท่านสมณะฯ ทั้งสามท่านค่ะ รายการวาไรตี้บุญนิยมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟังธรรมได้อรรถรส - ธรรมมะเบาๆ เรียบๆ (หมัดหนัก) - ได้รู้วิธีการขัดเกลาจากอดีตเจ้าอาวาส(วัดในเมือง)

พ่อครูว่า...  ดี รายงานผลมา ขอบคุณมากผู้ที่ฟังไปและ SMS มา เพียงแต่บอกตอบว่าได้รับฟังรับทราบ  ก็ดีแล้ว มี comment มาก็ดี 

_นาคี ภูน้ำเพชร  · คารวะ ท่านจันทร์ นักกลอนธรรม_ผู้น้อมนำ บทกวี นำคำสอน _เทศน์ธรรมะ ชี้การเมือง ถูกทุกตอน_ได้บั่นทอน อำนาจชั่ว มัวอัตตา

พ่อครูว่า...  พูดเป็นกลอนเลย ใกล้ชิดท่านจันทร์ก็เลยได้ด้วย ท่านจันทร์ ท่านร่ายกลอนกวีเป็นประจำเลย ขาดไม่ได้ รู้สึกว่าท่านจะเป็นผู้บรรยายธรรมะที่เป็นนักกลอน 

_Kasem Santhong เกษม แสนทอง  · กรณีของท่านเจ้าคุณพยอมเป็นที่น่าเสียดายที่ท่านตำหนิบุคคลที่ไม่ควรตำหนิ แถมยังไปยกย่องบุคคลที่ไม่ควรยกย่อง

พ่อครูว่า...  สังคม Social เดี๋ยวนี้ก็ดี ต่างคนต่างรับฟัง กล้าแนะนำกัน ให้ความเห็นกัน อย่างที่ทำๆกันนี้ 

อะไรเป็นบรรทัดฐานที่พ่อครูใช้วัดความดี 

_Sup Laopranichon ทรัพย์ เหล่าปรานีชน : ท่าน เอาความดี วัดกับบรรทัดฐานอะไรค่ะ

พ่อครูว่า...  อาตมาพยายามทำความเข้าใจสำนวนของคุณนะ พยายามที่จะเอาอะไรมาวัดเป็นบรรทัดฐาน ความดี เอาความดีวัดกับบรรทัดฐานอะไร เรามาเข้าใจแบบไทยๆว่า บรรทัดฐานการวัดความดีนั้นเอาอะไรวัด ก็เข้าใจอย่างนี้นะ อาตมาเข้าใจอย่างนี้ 

ก็ขอตอบว่าบรรทัดฐานในการวัดความดี มันเป็นสมมุติ ความดีความชั่วเป็นสมมุติ แต่ละกลุ่มชุมชน แต่ละสังคม กลุ่มชุมชนแต่ละสังคมหมู่กลุ่ม ก็จะมีบรรทัดฐานของตัวเอง ยกตัวอย่างอย่างหยาบๆ 

ศาสนาหนึ่งก็มีบรรทัดฐานของคัมภีร์หรือคำสอนของพระศาสดาเป็นบรรทัดฐาน ย่อยลงมาแม้แต่ในศาสนาเดียวกันก็ยังมีนิกาย มีพวกที่ย่อยๆแต่ละความเห็น แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคมก็แยกแตกต่างกันไป ถือเป็นบรรทัดฐานแยกไปอีก ก็เป็นสมมุติมันไม่เที่ยงมันแล้วแต่สมมุติยึดถือ นับถือ ยอมรับกันเป็นบรรทัดฐาน 

ที่นี่ของอาตมาเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน อาตมาเอาบรรทัดฐานของตัวเอง ต่อไปนี้เลย เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานของตัวเองนี้ขอยืนยันว่า อาตมาเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ คนอื่นเขาก็จะพูดอย่างนี้เหมือนกัน เขาว่าเขาเอาความเข้าใจของพระพุทธเจ้า คนอื่นเขาก็จะพูดอย่างนี้เหมือนกันเขาว่าเขาเอาความเข้าใจของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็เอาของเก่าเหมือนกันอาตมาก็ขอบอกความจริงอย่างนี้เพราะมันแย้งกันแน่ 

เพราะความเห็นความเข้าใจที่อาตมาเอาความเห็นอาตมาเป็นบรรทัดฐานนี้ อาตมาเปิดเผยความจริงว่าอาตมาทำงานศาสนาอาตมาเอาธรรมะของอาตมามาเอง อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ แม้จะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนาด้วยกัน อาตมายืนยันอาตมาเป็นพุทธแล้วพุทธก็มีแต่เดิมด้วย  อาตมาก็เอาความเห็นของอาตมาตามที่อาตมาเข้าใจนี้มาแสดงออก ซึ่ซึ่งขัดแย้งเลยกับของส่วนใหญ่กับของที่เขายอมรับนับถือกันจนเป็นเรื่องขัดแย้งกันจนกระทั่งจะเอาอาตมาตาย 

จนสุดท้าย อาตมาก็เข้าใจของอาตมาอย่างนี้ ท่านก็เข้าใจของท่านเป็นอย่างนั้นก็เป็นนานาสังวาส แต่ว่าท่านเรียกได้ว่าความเข้าใจของอาตมาไม่เป็นพุทธแต่ของท่านเป็นพุทธ นี่คือท่านแยกนิกายโดยความเห็นของท่านความเข้าใจของท่าน 

แต่อาตมาไม่ได้ไปว่าท่านไม่เป็นพุทธ อาตมาก็ถือว่าท่านเป็นพุทธ แต่ท่านมีความเห็นต่างกันกับอาตมา นี่คือความหมายของนานาสังวาส ที่อาตมาเห็นอย่างนั้นและถืออย่างนั้น อาตมาไม่เห็นว่าท่านเป็นนิกายเพราะอาตมาไม่อยากแยก อาตมาก็ไม่เห็นว่าท่านคิดแยก ท่านก็ว่าท่านนับถือพระพุทธเจ้า อาตมาก็ว่านับถือพระพุทธเจ้า อันนี้อาตมาเชื่อจริงๆของท่านและอาตมาก็จริงใจของอาตมา อาตมานับถือพระพุทธเจ้า 

แม้ว่า แม้ว่าในทิฐิ Concept นับถือพระพุทธเจ้า อาจจะพระพุทธเจ้าคนละองค์ก็แล้วแต่ อันนู้นคือตามสมมุติ แต่สัจจะมันคือเนื้อหาของความเข้าใจ เนื้อหาของปัญญาที่แท้ ของอาตมานั้นอย่างหนึ่ง ของท่านที่แตกต่างกับอาตมานั้นอีกอย่างหนึ่ง นี่คือบรรทัดฐาน ที่ใช้ อาตมาก็ใช้อย่างนี้ด้วยความจริงใจ ทำงานนี้มาก็ยังอยู่ในบรรทัดฐานที่อาตมาเชื่อมั่นของอาตมา ทำงานมา 50 กว่าปีแล้วและก็มั่นใจอยู่ว่ายิ่งดี ยิ่งถูกต้อง ยิ่งยืนยันตามจริง 

อาตมาก็ถือบรรทัดฐานบัญญัติของพยัญชนะในพระไตรปิฎก อาตมาก็ว่ายังโชคดี ท่านสังคมหมู่ใหญ่ ท่านก็ถือพระไตรปิฎกเล่มนี้ ฉบับของพระกัสสปะ ฉบับสยามรัฐนี้ พยัญชนะอันเดียวกันแต่ความเห็นต่างกัน เท่านั้นเอง ก็ยังดีมีหลักฐานอันเดียวกันให้ยึดถือก็ต่างคนต่างเข้าใจหรือต่างคนต่างอธิบาย มันเป็นสุดท้าย 

อาตมาอธิบายอย่างอาตมา ใครฟังแล้วเห็นว่าเป็นธรรมวาทีเป็นคำพูดคำกล่าวอธิบายแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะก็เอา ใครจะเห็นว่าไม่เป็นธรรมะ เป็นอธรรม ก็ไม่เอา ก็ไปเห็นอีกอย่างหนึ่งที่ต่างจากอาตมา ก็เห็นอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นธรรมวาที ก็เห็นของอาตมาเป็นอาทมาวาที มันไม่ใช่ธรรมะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะตามที่เขาเห็น เขาเชื่อก็ต่างต่างคนต่างเห็น 

ที่นี้ถ้ามีอะไรจะไม่เห็นด้วยกันได้ อันนี้บังคับไม่ได้ มันเป็นอิสระเสรีภาพของบุคคลพระพุทธเจ้าถึงแยกให้เป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างมีความเห็นความเข้าใจต่างกันแล้วก็ต่างคนต่างทำตามที่เราเห็นเราเชื่อ นี่เป็นสุดยอดแห่งอิสรเสรีภาพ ไม่ได้บังคับใคร 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ผมประทับใจที่พ่อท่านเลือกที่ผ่าตัดแผลที่ขาที่หมอว่าอาจจะกลายเป็น cancer ได้ ที่พ่อท่านกรุณาทำเพื่อ ลูกๆ ทั้งหลายขอกราบขอบพระคุณที่เมตตาครับ และพ่อท่านได้เทศน์เรื่อง จรณะ 15 มาบ่อยอยากให้พ่อท่านอธิบายซ้ำในเรื่อง วิชชา 8 บ้างครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า… รับไว้เป็นวาระ

จะเข้าถึงโลกุตระต้องละอุปาทาน 4 

_สู่แดนธรรม  : พ่อท่านนั้นน่าเห็นใจมาก ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาสอนให้กลับมาตั้งต้นใหม่ โดยให้เข้าใจคำว่า “กาย” ให้ถูกตัวปัญหาซะก่อน  ให้รู้ความหมายที่แท้จริงของตัวปัญหาที่ถูกต้องว่าเป็นอย่างไรแล้ว  จึงจะสอนในขั้นต่อไป คือ ทำใจในใจให้ตัวปัญหานี้ให้มันพ้นไปจากสังโยชน์ คือ พ้นจากการผูกไว้ด้วยการเห็นผิด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เราเป็นอันนั้น ฯลฯ  อันเป็นการสอนปัญหา “ในระดับชั้นประถม” 

พ่อครูว่า... แม้แต่ในความเห็นของเถรสมาคมก็ยังมิจฉาทิฎฐิในเรื่องกายอยู่หรือสัมมาทิฏฐิก็ยังไม่ถ้วนรอบ ไม่บริบูรณ์เพราะคำว่ากายนี้ยิ่งใหญ่ 

_แต่ทุกวันนี้พ่อท่านต้องยอมรับเอาภาระมาสอนเบื้องต้น “ในระดับอนุบาล” กันเลยทีเดียวว่า  ถ้าคนเรายังไปเข้าใจคำว่า กาย คือสภาพวัตถุที่เป็นเพียง “รูป” คือร่างกายอันเป็นสสารเท่านั้น โดยไม่มีนามอันเป็นพลังงานเลย  แค่ชื่อว่า “กาย” คนก็ยังตีความให้ห่างไกลไปจากความหมายเดิมแล้ว 

พ่อครูว่า... อันนี้อาตมาว่าจริงที่สุด มันจึงแสดงถึงความจริงว่ามันเสื่อม คนเข้าใจกายมิจฉาทิฏฐิคือแสดงความเสื่อมเบื้องต้นเลย 

_ประสาอะไรที่ผู้เข้าใจผิดแม้แค่คำแปล จะได้ไปทำใจในใจให้ถูกต้อง  คือ ยากต่อการไปละเป้าหมายของปัญหา  / เขาเห็นผิด เข้าใจผิดตรงที่ มีทิฏฐิอันเป็นมิจฉาในเรื่อง “กายหยาบๆ ของตน”  จึงควรมาเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องต่อสภาวธรรมที่เป็นธรรมดาของเหตุปัจจัยเท่านั้น  โดยไม่เป็นของตัวตนใคร  ไม่มีอหังการในความเห็นผิด ที่ยึดเอากายมาเป็นของสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตนของฉัน 

พ่อครูว่า... คุณอธิบายไปถึงขั้นสูงสุดนะ  คนไม่ยึดถือว่ากายมาเป็นของสำคัญว่าเป็นของตน ของฉัน ไม่ใช่ของใครเลย คุณไปเอาตัวจบ ตัวปล่อยวางว่ากายไม่ใช่ของใคร 

_สู่แดนธรรม... คือ ที่ผมเขียนมา ผมก็เขียนไว้แต่พ่อท่านยังอ่านไม่ถึง ขอต่อเลยนะครับ…

คนที่พิจารณาอย่างนี้กับพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าบอกว่าเขาใช้โจทย์เดียวกัน เพียงแต่ว่า ผลของการพิจารณานั้น พระโสดาบันได้แค่เข้ากระแสไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ และ สู่สัมโพธิปรายนะ  ขอแต่เพียงมีทิฏฐิ มีความเห็นได้ถูกเขาก็จะได้อย่างนั้น ถ้าเป็นของพระอรหันต์นั้นพิจารณาในเรื่องเดียวกัน ท่านก็ได้ผลถึงถอนอาสวะได้หมด… 

_นี่คือ ลำดับขั้นตอนที่พ่อท่านต้องยอมเหนื่อยโดยถอยกลับไปสอนใหม่ ตั้งแต่ขั้นอนุบาลกันเลยครับ  ทุกวันนี้ผมก็รอคอยฟังจังหวะต่อไป ที่พ่อท่านจะเอามาสอนในขั้นประถม ว่า ต้องละความเห็นผิดในกายหยาบของตน ว่า ไม่เป็นตนของเรา เราไม่เป็นอันนั้น ชีวิตที่เราอาศัยอยู่ในขันธ์ทั้ง 5  มันเป็นแต่เพียง เหตุปัจจัย มาประกอบกันขึ้น เท่านั้น ฯลฯ

พ่อครูว่า... คำว่า กายหยาบของตน ว่า ไม่เป็นตนของเรา อย่าลืมว่าอันนี้เป็นกายหยาบนะ คำว่าชีวิตหรือขันธ์ ทั้ง 5 เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่ประกอบขึ้นเท่านั้น อันนี้เป็นความเข้าใจของผู้ที่มีวิชชาเต็ม ผู้ที่ยังไม่มีวิชชาเต็มจะไม่เข้าใจว่าขันธ์ 5 เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่ประกอบขึ้นเท่านั้น คุณอ่านภาษาเข้าใจภาษาแต่ละคำ แต่ละความเอามาต่อเป็นวลี เป็นประโยค เข้าใจได้หมด คุณเข้าใจความหมายนั้นได้ แต่ความเข้าใจของคนมันมีขั้นมีชั้น ความเข้าใจขั้นต้นขั้นตื้นๆ เผินๆ อันนี้มีเยอะ 

จะเข้าใจลึกซึ้งถึงเนื้อหา เนื้อแท้จริงๆ มันยากมากเลย เรื่องนี้นี่อาตมา ถ้าจะพูดถึง เรื่องความเข้าใจหรือความยึดถือนั้นเรียกว่าอุปาทาน มันจะชัดเจนขึ้น อุปาทาน 4 ที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ 

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262) 

กามุปาทาน ข้อที่ 1 หยาบ 

อัตวาทุปาทาน อันนี้ข้อที่ 4 มีหยาบผสมละเอียด 

ส่วนทิฏฐิ ความเข้าใจกับศีลพรต คือเรื่องความเข้าใจกับเรื่องของข้อปฏิบัติที่เอาไปทำกัน 

คนเราพยายามจะทำ อุปาทาน 4 ให้ชัดเจน ให้ตนรู้ตนเองว่ามันหนักใน กาม ทิฏฐิ ศีลพรต หรือใน อัตตวาทุปาทาน 

พ่อครูว่า... ถูกของคุณเหมือนกันที่จะต้องทำทิฏฐิให้เข้าใจก่อน แต่ทิฏฐินี้ ใครๆก็พูดกัน แต่เขาไม่รู้ความยึดถือของเขา คำว่าคำพูดมันก็พูดไปคนก็ฟัง ฟังก็เข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองยึดติดหนัก อุปาทานคือติดหนัก ติดเป็นอัตตวาทุปาทาน ติดทั้งอัตตา ติดทั้งเป็นวาทะ 

ก็แปลกันถูกอยู่ว่า อุปาทานข้อที่ 4 อัตตวาทุปาทาน คือ ยึดถือ คำพูดเป็น อัตตา วาทะคือคำพูด เป็นอัตตา แล้วเขาก็แปลถูก แต่เขาไม่ใจสภาวะธรรมที่เขาเองนั้นยึดได้แค่คำพูดเป็นอัตตาอยู่ 

เช่น ปราชญ์ทางศาสนาพุทธได้แต่วาทะ ได้แต่คำพูด จ้อยๆๆๆๆ นั่นแหละยึดได้แต่คำพูดเป็นอัตตาของเขา เขาเข้าใจ กาม แปลว่าอะไร ทิฏฐิ ศีลพรตคืออะไร เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่ศีลพรต เขาก็ปฏิบัติอย่าง สีลัพพตุปาทาน คือ ปฏิบัติศีลพรตไปตามจารีตประเพณีที่มันได้ผิดเพี้ยนสืบทอดกันมาอย่างออกนอกรีตพระพุทธเจ้าเลย เป็นของเดียรถีย์เลย มีแค่นั้นศีลพรตของเขา 

ส่วนความเห็นของเขาก็เข้าใจตามที่เขายึด อัตตา ที่เขาพูด อัตตวาทุปาทาน ตามที่เขายึด อัตตา ที่เขาพูดนี่แหละ เขาได้เท่านี้ 

ส่วน กาม เขาก็เข้าใจว่า กาม นั่นมันคือเรื่อง จริงๆแล้วก็เข้าใจอย่างตื้นมาก กามนี่ เขาเข้าใจกามตื้นๆ แค่เพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นสายศึกษาบัญยัติ อย่างเปรียญธรรม ที่เรียนทางบัญญัติเป็นพระเมืองพระบ้าน เขาก็เข้าใจ กาม เขาเข้าใจว่าคืออะไร คือไม่มีเมีย เขาก็บอกว่าเขาพูดแล้วกามุปาทาน 

พระป่าก็เหมือนกัน เข้าใจว่ากามคืออะไร ก็คือไม่มีเมีย  นี่คือพ้นแล้วกามุปาทาน 

ส่วนพระป่านั้นได้สะกดจิตตัวเองเก่ง เรื่องนี้ก็เลยมีน้อย  ส่วนเรื่องของพระบ้านนั้นเละเลย แล้วหลอกคนตะพึด ทุกวันนี้ข่าวคราวออกมาไม่กี่วันนี้มีเยอะเลย แต่ละวัด แต่ละบ้านแต่ละพระแต่ละเจ้า เอาออกมาเปิดเผยกันหยำฉ่ากันในเรื่องของเพศสัมพันธ์ เลอะเทอะ ปาราชิกเน่าเหม็น 

พูดก็พูดเถอะอาตมามัน ขออภัยขอใช้ภาษา ร่วมไม่ได้ เพราะสะอิดสะเอียน ขออภัยต้องใช้ความจริงที่บอกหัวใจจริงๆ อาตมารู้สึกอย่างนั้น อยู่ไม่ได้ มันรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก มันเลอะ ไม่ว่าจะเป็นปาราชิกข้อ 1 ข้อ 2 เรื่องผู้หญิงผู้ชายและเรื่องเงิน 

ข้อ 1 เรื่องผู้หญิงผู้ชาย

ข้อ 2 เรื่องเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เละนะ ปาราชิกกันอย่างไม่รู้เรื่องเลย ในข้อที่ 2 มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัจธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตรธรรมนั้นหมายความว่ามันมีมรรคมีผลที่แท้จริง โลกุตระคือความมีมรรคมีผล รู้จักจิต เจตสิก รูปนิพพาน อ่านจิตเจตสิกของตัวเองได้ อ่านรูปได้ แยกรูปได้ แยกรูป 28 เป็นต้น แล้วก็มีนาม 5 เป็นต้นเอามาปฏิบัติ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือมีโพธิปักขิยธรรม 37 สามารถที่จะจัดการกับจิตเจตสิกของตนเอง ลดละกิเลสได้จริงๆ มันไม่ได้เลย ไม่ว่าพระป่าหรือพระบ้าน ไม่ได้เลย ขออภัย แล้วก็ต้องไปดูถูกไปข่มเขาแต่อาตมาหลีกเลี่ยงความเป็นจริงไม่ได้จำเป็นต้องพูดความจริงนี้ 

อุปาทานทั้ง 4 นี้ อัตตวาทุปาทาน นี่คือผู้รู้นักปราชญ์ทางศาสนาพุทธทุกวันนี้ จมหนักที่สุด แล้วเขาก็รู้สึกว่าเขาเองไม่ละเมิดเรื่องเพศ เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เขาก็พ้นกามแล้ว ที่จริงไม่ใช่เลย เขาไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 เขาไม่ได้ฝึกหัดตามหลักจรณะ 15 เริ่มตั้งแต่ศีลข้อ 1 2 3 เขาไม่ได้ปฏิบัติ  เมื่อไม่ได้ปฏิบัติ สัจธรรมที่จะเกิด 1.เห็นแก่มนุษย์หรือเห็นแก่ความเป็นสัตว์โลก ตั้งแต่ข้อที่ 1 เขาไม่มีรายละเอียดเรื่องพวกนี้ 

เพราะฉะนั้นไม่มีมรรคผลในเรื่องนี้ จึงไม่เกิดการปฏิบัติกับมวลมนุษยชาติหรือกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ อย่างลึกซึ้ง เช่น พวกเรานี้ สัตว์ทั้งหลายแหล่เราลึกซึ้ง จนกระทั่งไม่กินสัตว์เป็นต้น แต่เขาดูถูกแล้วนะว่ามันจะเลอะเกินไป คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนั้น แต่ที่จริงมีชัดๆอย่างนั้นและลึกซึ้งกว่านี้ด้วยเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ซึ่งเป็นธาตุวิญญาณตั้งแต่ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกอาตมาพูดอย่างมีหลักฐานเขาไม่รู้เรื่องมันไกลห่าง 

พวกเราไม่กินเนื้อสัตว์นี่เขาก็ว่าแล้ว ที่จริงมันลึกกว่านั้น เราเอาเรื่องของใน ชีวกสูตร ท่านแยกถึงความ สัญจิจจะ แยกถึงจิต ที่มีจุดมุ่ง สัญจิจจะ อาตมาแปลว่า อาการของจิตที่มีทิศมุ่งไปแล้ว สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง จิตที่มีทิศมุ่งไปสู่การทำให้ชีวิตตกต่ำ ถ้าจิต คนที่มีสัญญา มีจิตคิดมุ่งไปสู่จะทำลาย โวโรเปตุง แปลว่าจิตมุ่งไปทางร้าย จนทำลาย จนถึงการฆ่า ฆ่าอะไร ฆ่าชีวิตของความเป็น ปาณะ 

เพราะฉะนั้น ถ้าแยก สัตตะ ปาณะ ภูตะ คือความเป็นชีวะ ชีวะในระดับ สัตตะ ชีวะในระดับ ปาณะ ชีวะในระดับ ภูตะ ถ้าสัตตะ แน่นอนคือสัตว์เต็มตัว ถ้าปาณะนี่นับเป็นส้ตว์แล้ว แต่ถ้าภูตะ ท่านยังแยกเป็น 3 เป็น มหาภูตะ อันนี้ไม่ใช่สัตว์เลย ภูตคาม เริ่มมีชีวะแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่สัตว์ เจตภูต เริ่มจะเข้าไปหาความเป็นสัตว์ความเป็น ปาณะ แต่ยังไม่ถึงสัตตะ 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชีวกสูตรว่า จิตที่มุ่งมีทิศมุ่งไปสู่ความทำลาย โวโรเปตุง หรือ มุ่งหมายไปทางร้าย กับธาตุ ธาตุในระดับ ศีลข้อที่ 1 ท่านเอา ปาณะเป็นตัวตั้ง แน่นอนฆ่าสัตตะ มันเป็นสัตว์ยิ่งกว่า ปาณะ 

เพราะฉะนั้นถ้าก่ำๆกึ่งๆ สัตว์ที่เริ่มจะเป็นเจตภูติสูงกว่าภูตคาม เขาไม่สามารถที่จะรู้รายละเอียดเหล่านี้เลยว่าเขามี โวโรเปตุง เขามีบาป พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า บาป ใน 5 ข้อนี้ที่มี สัญจิจจะเป็นบาป

มีจิตมุ่งไปสู่ข้อที่ 1 จิตเริ่ม สัญจิจจะ

ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ  

แค่มีจิตอย่างนี้ก็เป็นบาปเป็นเหมือนมากแล้วไม่ใช่บุญเลย 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

อันนี้มันบาปเห็นชัดๆแล้วแค่กล่าวชื่อก็บาป แต่ไปจับมันมาจะเป็นบาปขนาดไหน 

  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  อันนี้ลงไม้ลงมือเลย 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 

ข้อที่ 5 นี้ละเอียดสูงส่งกว่า 4 ข้อแรก เอาเนื้อสัตว์ที่ฆ่าแล้วเอาไปทำเป็นอาหารอันประณีต นำอาหารที่คุณมี สัญจิจจะ ที่ทั่วไปเขาแปลว่าเจาะจงชื่อบุคคล ถ้าบุคคลไหนถูกเจาะจงแล้วจะกินไม่ได้ แล้ว เอา 4 ข้อนั้นเอาทิ้งไปไหนจ๊ะ แล้วเอาไปทำอาหารถวาย พระพุทธเจ้า ก็บาปอย่างยิ่งแล้ว นี่ยังไม่ได้กินเองนะ นี่ยังไม่ได้กินเองนะ แค่ทำมาถวายก็เป็นบาปมากแล้วไม่ใช่บุญเลย จะไปพูดทำไมถึงกิน 

ทำไมอาตมาไปพูดถึงเรื่องกินไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่เริ่มเปิดฉากทำงานศาสนามา ก็พูดถึงเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ รณรงค์เรื่องนี้มา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ค่อยกระเตื้องขึ้นมาในเรื่องของมังสวิรัติ 

อาตมาว่าอาตมาเป็นผู้นำมังสวิรัติมาสถาปนาลงไปในวงการศาสนาพุทธอย่างเป็นรูปเป็นเรื่อง ซึ่งแต่ก่อนแต่ไรก็มีคนไม่กินเนื้อสัตว์บ้างแต่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่เป็นกิจจลักษณะเหมือนอย่างอาตมามาทำ จนกระทั่งเกิดเป็นลัทธิ จนกระทั่งข่าวหาว่าเราเป็นเจ้าลัทธิ เจ้าหน้าที่กินผักกินหญ้าอย่างนั้นเถอะ เราก็รับไม่มีปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่เป็นกินผักกินหญ้า ซึ่งเราก็กินผักเป็นส่วนใหญ่หญ้าเราก็ไม่ค่อยกินหรอก ตระกูลหญ้า เช่น หน่อไม้เราก็กินเยอะ ข้าวก็เป็นตระกูลหญ้าแล้วก็กินนะ คุณจะว่าก็ไม่เป็นไร เอาละไม่ต้องไปแก้ตัวอธิบาย จะว่าเราแก้ตัวอะไรมากมาย 

ก็ขอยืนยันว่าเรื่องสัตว์ เกี่ยวกับสัตว์จนถึงขั้นจิตวิญญาณ ที่ยังไปต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่กับความเป็นสัตว์ ความเป็นธาตุที่ต่อเนื่องเป็นชีวะและเป็น ภูตะ เป็นปาณะ เป็นสัตตะ

คุณต้องศึกษาให้ลึกซึ้งจะรู้ว่าเรื่องธาตุจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องตื้นๆ มันเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลย เป็นเรื่องลึกซึ้งถึงขั้นว่ามันเป็นบาปนะ 

ถ้าคุณไม่เรียนรู้เรื่องบาป  โดยเฉพาะเรื่องบุญ บาปคุณก็ยังไม่รู้คุณก็ทำหน้าตาเฉยเลยนะ แล้วคุณจะไปพูดทำไมมีเรื่องบุญ 

บุญ คือเครื่องชำระ เป็นการชำระ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเป็นตัวเป็นตนอะไรแต่เป็นพลังงานแล้วก็หายไป แต่เขาเข้าใจผิดไปไกลเลย อาตมาต้องเอาเรื่องบุญมาพูดอีก  

บุญ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมบัติ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องสะสมอะไร คนเป็นคนไม่ใช่ว่าจะต้องไปสร้างบุญให้มาฆ่ากิเลส ถ้าคุณไม่มีกิเลสบุญไม่มาเกี่ยวเลยในเรื่องศาสนาพุทธนี้นะรู้เรื่องนี้ ถ้าคุณไม่ใช่จิตเป็นพระอรหันต์จนเป็นผู้ไม่มีบุญเลย ไม่ต้องใช้บุญเลย บุญสะสมไม่ได้ ไม่เป็นสมบัติ เป็นปัจจุบันชาติ พัฒนาสร้างขึ้นมาให้มีรูปนาม ให้มีสภาพ 2 เป็นปฏิกิริยาเป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์ มีฤทธิ์ในการฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าแล้วตายจริงๆด้วย บุญนี้ ทำบุญสำเร็จ กิเลสก็ตาย บาป ถ้าคุณไม่คำนึงถึงบาป คุณเกิดมามีชีวิตทั้งชีวิตนี้ คุณสั่งสมบาปทุกลมหายใจเข้าออก อย่าหาว่าอาตมาพูดเกินไปนะ 

_สู่แดนธรรม... ทำไม ชาวพุทธถึงยังไม่เข้าใจโลกุตรธรรม พ่อท่านก็เลยแยกหัวข้อไว้หลายหัวข้อ 

พ่อครูว่า… อาตมาก็ขอย้ำยืนยันว่า คนถ้าไม่พยายามคำนึงถึงธรรมะ และไม่รู้จักความเป็นบาป คุณทำบาปอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก นี่ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้พูดโมเม ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านอะไร 

บาปคืออะไร บาปคือสิ่งที่มันเติมกิเลส บาปคือสิ่งที่มีกรรม คุณจะเรียกว่าอกุศลกรรมก็ตาม มันก็คือบาป มันเป็นคำใช้แทนกันได้เป็น synonym กัน คุณทำบาป คุณทำสิ่งที่ไม่เป็นกุศล คำว่าไม่เป็นกุศลมันก็ยังดีนะ มันยังเป็นโลกียะ แต่บาปมันเป็นโลกุตระ ที่จริงตัวของบาปนั้นมันเป็นเรื่องอโลกุตระคือมันเป็นเรื่องเลวร้าย มนุษย์ไม่ควรทำ แต่คุณไม่รู้ คุณทำบาปทุกลมหายใจเข้าออก 

ที่ว่าทำบาปทุกลมหายใจเข้าออกคืออะไร คือคุณไม่เข้าใจแม้แต่สภาพที่มี สัญจิจจะ สภาพที่จิตของคุณมีทิศมุ่ง ชีวิตของคุณแต่ละวันแต่ละเวลา มันจะเกี่ยวโยงไปถึงชีวิต โดยเฉพาะชีวิตที่เราถือว่าสูงสุดคือชีวิตของคน มันเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตของคนทั้งนั้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 

พระพุทธเจ้าถึงได้ตั้งหลักปฏิบัติของท่านเลย ข้อแรกข้อต้นจริงๆเลยนี่คือ สัตว์ และสัตว์ที่เต็มรูปจริงๆคือคน สัตตะ ถ้าหากอวิชชา สัตตะก็คือความโง่ 7 รอบ ถ้าเป็นวิชชา สัตตะก็เริ่มต้น และถึงขั้นเต็มรอบของสัตตะ หมายความว่าอะไร 

สัตตะที่เป็นอสัตตะ ความไม่มีความรู้เต็มรอบถึง 7 รอบ 

เช่น สัตตะ 1, ปานะ 2, ภูตะ 3, มหาภูต 4, ภูตคาม 5,เจตภูต 6, ชีวะ 7 

ถ้าจะให้ 7 เต็มรูป คือ สัตตะแล้วมีวิญญาณ วิญญาณ สัตตะ ปานะ ภูตะ มหาภูต ภูตคาม เจตภูต 7 แล้ว ฟังไป หากไม่เข้าใจก็ฟังเก็บเอาไว้ มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ 

คุณเกิดมาถ้าไม่ใส่ใจเรื่องธรรมะก็จะสั่งสมแต่บาปทุกลมหายใจเข้าออกเพราะคุณไม่รู้จักความเป็นสัตว์ คุณไม่รู้จักจิตที่มันเริ่มมีทิศมุ่งไปกระทบกระเทือนกับสัตว์ มันก็บาปสิ ฟังชัดขึ้นไหม คุณทำบาปอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเพราะคุณไม่มีความรู้ แล้วเกิดมาคนเราสั่งสมแต่บาปโดยที่เขาไม่รู้ ไม่ต้องไปพูดถึงตะวันตกที่เขามีสนามรบ ระเบิดตูมฆ่ากันไป พวกนี้จะอยู่ในนรกอเวจีมหาเดือดร้อนขนาดไหน เอาล่ะตัดทิ้งไม่พูดถึง พูดถึงเรานี่แหละ 

เพราะฉะนั้นพูดมาถึงตรงนี้อาตมานึกถึงความเป็นสังคมประเทศ ประเทศไทยนี่สุดยอดเลยศาสนาพุทธ แม้จะเสื่อม อาตมายังไม่เกิดมา ยังไม่อุบัติขึ้นมานำโลกุตระมาฟื้นฟู ประเทศไทยก็ยังไม่เลวร้ายเหมือนยังต่างประเทศ ยิ่งตอนนี้มีมวลหมู่พุทธศาสนิกชนที่อาตมานำโลกุตรธรรมขึ้นมาเปิดเผยสถาปนาลงไปแล้ว 50 ปี มันยากๆๆๆๆ โลกุตรธรรม ได้แค่นี้ อาตมาก็เอาละชื่นใจ อาตมาเห็นผลอยู่นี้ได้ 

ได้ผลตรงที่มีปรากฏการณ์ยืนยันเป็นรูปธรรม ยืนยันได้เลย เกิดทั้ง สาราณียธรรม 6 เกิดทั้ง สาธารณโภคี เป็นสังคมมีมนุษย์ที่ประพฤติจริง เป็นจริงเกิดจากพุทธพจน์ 7 เพราะจิตเจตสิกของเรามี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  ยืนยันได้อย่างชาวอโศกมี ถือว่าเป็นปึกแผ่นยิ่งกว่าสังคมพุทธกลุ่มไหนๆเลยนะ เพราะมันสัมพันธ์ด้วยสัจธรรมความจริง 

มีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น คนมาอยู่ในนี้เลี้ยงง่ายไม่ต้องยากอะไร แม้แต่ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีลูกมา 2 3 คนอยู่ในนี้เข้ามาอยู่นี้ก็เลี้ยงไม่ยาก แต่ก่อนอยู่ข้างนอกเลี้ยงยากกว่านี้ อยู่ในนี้มีผู้ช่วยเลี้ยง สบาย วิ่งไปไหนก็ไม่ต้องห่วง เห็นไหมมันเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย พัฒนาให้เจริญง่าย 

เด็กๆที่นี่ สุโปสะ มันมีสิ่งที่จะ Absorb มีสิ่งที่จะออสโมซิสเข้าไป ไม่มีสิ่งเลอะเทอะเหมือนข้างนอก มันมีแต่ข้างในไหลเวียนอยู่ในตัวของเขาซึมซับไหลเวียน มีแต่ธรรมะมีแต่โลกุตระมีแต่เรื่องที่เป็นศาสนาเป็นธรรมะอย่างนี้เป็นต้น มันเจริญ สุโปสะ

และเด็กพวกนี้ บางผู้บางคนก็มัธยัสถ์ประหยัด มักน้อย ที่จะแสดง เด็กเขาก็รู้ตัวว่าสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยแล้วนะ เด็กเขาจะรู้แล้ว มักมากเกินไป แล้วมีศีลมีธรรม มีการขัดเกลา มีศีลมีธรรม มีข้อวัตรปฏิบัติ จนกระทั่งเข้าใจว่ามาเป็นคนจน ไม่สะสม เป็นคนเจริญ เด็กที่นี่เข้าใจแล้ว แต่ข้างนอกจะไม่รู้ว่ามันเป็นคนจนคือคนเจริญ แต่เด็กที่นี่เข้าใจนะรู้ว่ามาเป็นคนจนคือคนเจริญนะ มาเป็นคนขยันนี่เจริญจริงๆแต่เขาไม่กล้า เด็กพวกเราจะเห็นได้ว่าเด็กขี้เกียจหาไม่ค่อยได้อย่างน้อยก็ต้องไปกับหมู่ เด็กจะขี้เกียจเอาแต่หลบเลี่ยงเหมือนกับทางโน้น ไปเล่นอะไรต่ออะไร ไม่มี ที่นี่แม้แต่จะเล่นเกมก็ไม่เหมือนกับเด็กข้างนอก 

พวกเราก็ไม่ได้ไปบังคับ เขาก็ชอบเหมือนกันพวกเกมกดๆ แต่พวกเราก็ค่อนข้างเข้มงวดบ้าง แต่มันก็ใช้ได้ มันก็ไม่ถึงกับเครียดอะไรเด็กๆก็ไม่ถึงกับเครียด เราก็ดูตามกาละเทศะที่จะต้องเข้มงวดขนาดไหน เราก็ดูอยู่บ้าง 

เพราะฉะนั้นสรุปด้วยความรวมองค์รวม องค์รวมของความเป็นอยู่ของชีวิต การดำเนินชีวิต อาตมาว่าเราก็ปรับ ในสังคมเราควรจะปรับขนาดไหน อย่างทุกวันนี้อนุโลมไปเยอะ แต่ก่อนนี้เคร่ง แต่ก่อนนี้คนไม่กล้าเข้าใกล้หรอก เดี๋ยวนี้ก็กล้าเข้าใกล้แล้ว ก็เข้ามาก็เข้าใจอะไรต่ออะไร ก็เลยได้ประโยชน์มากขึ้น อาตมาขยายความเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจะยาวไปแล้ว 

 

การเมืองไทยเป็นอเทวนิยมที่ไม่เหมือนประเทศใดในโลก

_พิมพ์เพชรรุ้ง…วันจันทร์ ที่ 31 กรกฎาคม 2566 น้อมกราบนมัสการพ่อครูฯ ที่เคารพรักสุดเศียรสุดเกล้า

ลูกได้รวบรวมความกล้ามาขออะไรบางอย่างกับพ่อครูนะคะ ลูกอยาก ขอให้พ่อครูกรุณารักษากายขันธ์ให้มีชีวิตอยู่ ไม่รีบจากลูกๆไปค่ะ

เหตุผลที่ลูกจะขออ้าง 1 ข้อ ก็เพราะว่า การเมืองไทยขณะนี้ มีเหตุการณ์ที่ ปรากฏเห็นได้ชัดเจน สอดคล้องตรงกับที่พ่อครูได้แสดงธรรมไว้ เรื่องประชาธิปไตยของ ไทยที่นำหน้าประเทศอื่นในโลก แต่ตอนนี้คนที่เข้าใจตามได้ ก็มีเพียงชาวอโศก และคนอีกจำนวนหนึ่งที่พอจะรู้บ้างแต่ยังไม่ชัดเจนนัก

ถ้าพ่อครูมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ลูกเชื่อว่า ไม่เพียงคนไทยเท่านั้นที่จะเข้าใจประชาธิปไตยแบบโลกุตระดีขึ้น แต่ชาวต่างชาติก็จะเข้ามาสนใจศึกษาสิ่งที่พ่อครูได้นำมาเปิดเผยมากขึ้น และประโยชน์สุขก็จะเกิดขึ้นแก่ชาวโลกอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

ลูกจึงขอน้อมกราบอาราธนาพ่อครูได้โปรดรักษาขันธ์ให้อยู่ต่อเพื่อยังประ โยชน์สุขแก่โลกจากการเผยแผ่ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ ซึ่งไม่มีใครอีกแล้วที่จะเปิดเผยได้ดีเท่ากับพ่อครู

ลูกเองจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนให้เจริญขึ้นในธรรม มอบตัวมอบตนอยู่กับพี่น้องหมู่กลุ่มชาวอโศกที่จะเป็นผู้ยืนยันความจริงแท้ของโลกุตระธรรมที่พ่อครูได้นำมาสอนและเปิดเผยต่อชาวโลกค่ะ

กราบนมัสการด้วยสุดเศียรเกล้า 

พ่อครูว่า... ประเด็นที่อาตมาว่าจะตอบก็คือ เรื่องการเมือง เรื่องต่างชาติ 

คำว่า การเมือง นี้นะ  โดยเฉพาะคำว่าที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกตอนนี้คือคำว่า ประชาธิปไตย ซึ่งมันมีหลายอย่าง การเมืองประชาธิปไตยการเมืองคอมมิวนิสต์ การเมืองสังคมนิยม การเมืองเผด็จการอะไรพวกนี้ 

เพราะฉะนั้นคำว่า การเมือง และเรียกเจาะจงลงไปว่าประชาธิปไตย มันเป็นการสร้าง Concept ไทยเป็นอเทวนิยม เป็นพุทธ มีโลกุตระ แม้จะเข้าใจโลกุตรธรรมไม่มากเพราะชาวพุทธเสื่อมไปจากโลกุตรธรรมไปเยอะแล้ว 

แต่มันเป็น Concept ที่เข้าใจประชาธิปไตยแบบนี้แหละ แบบที่มีราก มีมูล มี root ของธาตุจิต ซึ่งมันเกี่ยวกับ DNA เกี่ยวกับความรู้ความเห็น เกี่ยวกับทิฏฐิด้วย ซึ่งมันไม่เหมือนใครหรอก 

พวกที่ไปเรียนประเทศนอก ไปติดแสดประเทศนอก(ติดแสดเป็นภาษาอีสาน) ไปรับเอาอิทธิพลของประเทศนอกเข้ามา อย่างที่เป็นทุกวันนี้ ไปลากเอาความเป็นประชาธิปไตยตาม Concept ของตะวันตก ชัดๆก็คือเป็น Concept ของโลกียะ เป็น Concept ของพระเจ้า ไม่มีเชื้อของโลกุตรธรรมเลย แล้วจะพยายามเอามายัดเยียดใส่ประเทศไทยนานแล้ว ตั้งแต่โน่นแหละ 

ที่เขาจะเอาให้ได้อย่างเก่งก็คือ จะเอาพระเจ้าแผ่นดินลงไป อย่างน้อย 90 กว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่ 2475 ทำไปก็ได้ขนาดนี้ เขาทำมาเรื่อยๆ แต่ละคนแต่ละคนตายไป ถูกประหารชีวิตไป ออกนอกประเทศกันไปเยอะแยะ จนป่านนี้ยังไม่สำเร็จ และจะไม่สำเร็จ นี่คือเรื่องการเมืองของประเทศไทย 

จะสำเร็จได้ก็เพราะ คุณเปลี่ยนตัวคุณที่จะมาทำการเปลี่ยนแปลงซะ แล้วการเปลี่ยนแปลงตัวคุณไปได้ นั่นสำเร็จ อย่ามาเปลี่ยนแกนของประเทศไทย ให้กลายเป็นประชาธิปไตยแบบที่คุณคิด ให้ไม่เป็นประชาธิปไตยที่เมืองไทยได้อนุโลมแล้วว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่ก็ลงตัวดีแล้ว 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสขยายความอันนี้ไว้ว่า คือราชประชาสมาสัย หมายความว่า ทั้งราชะ ทั้งประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน 

ขยายความกันบ้างแล้วว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... คาแรคเตอร์ การเมือง การเป็นประชาธิปไตยแบบที่มี โลกุตระนั้น โดยมีพระราชาเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณมีประชาชนสมานจับมือกัน โดยมีคำศัพท์ที่เรียกว่า ราชประชาสมาสัย ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่แม้ประเทศที่เขามีกษัตริย์เป็นประมุข ก็เหมือนกับว่าเขาแยกกัน ไม่ลงมาสัมพันธ์กัน ไม่มีจิตวิญญาณสอดคล้องกัน ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 

พ่อครูว่า... คุณฟังธรรมมีอานิสงส์ 5 ประการ จริง เพราะอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ไม่นอกทาง 

ราชประชาสมาสัย เขาใช้คำว่า ขยายความ เป็นว่า ในหลวง พระเจ้าแผ่นดินราชะ ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ มวลประชาชนของประเทศก็เป็นรัฐาธิปัตย์ โดยการใช้ระบบแบบสากล เลือกผู้นำของมวลประชาชนที่เรียกว่านายก ให้มีนายกเป็นผู้นำมวลประชาชน นี่เป็นสามัญสากลที่ทำ 

แต่ทีนี้อาตมาดูแล้วเหมือนเด็กๆทำการเมือง อาตมามองเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมามองเห็นว่าพวกนักการเมือง พวกที่มีความคิดทางการเมือง อย่างอีเดียดหรือยิ่งกว่า innocent อีก ถึงขั้นอีเดียดเลยเหมือนพิธา โดยไปหลงแบบการเมืองขาเดียว คือไม่ประสีประสากันเลยกับการเมืองขาเดียว แล้วจะมาล้างกันอย่างที่เห็นๆว่าเจตนารมณ์คืออย่างไรเจตนารมณ์ของพิธา 

แล้วก็มีแนวคิดคล้ายๆกับพิธามาหลายผู้หลายคน แล้วมันไม่สำเร็จหรอก 91 ปีมาแล้ว อาตมาไม่พยากรณ์หรอก อาตมาว่า ตราบใดที่ศาสนาพุทธยังไม่หมดไป ไม่สิ้นไปในประเทศไทย คุณจะทำอย่างที่ว่านั้นไม่ได้หรอก แต่คนจะยังไม่นึกถึงหรอก 

เพราะสัจจะที่มันฝังรากลงไปในจิตวิญญาณมนุษย์ คนที่เป็นเทวนิยมเขาไม่เข้าใจ แต่ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนั้น จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นมันฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของคนไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจิตวิญญาณของมวลประชาชน 

จะเห็นได้ว่า ในประเทศอื่นเขาไม่เห็นจะมีใครเขามาสรรเสริญ ทรงพระเจริญๆอย่างเมืองไทยซึ่งมันไม่มี อาตมาไม่เห็นประเทศไหนๆเขาก็ไม่มี ประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินก็มีตั้งเยอะแยะในโลกปัจจุบันนี้ก็ยังมีตั้งเยอะ เป็นประชาธิปไตยหรือแม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เกือบหมดแล้ว ซึ่งมันไปเกิดอยู่ที่เกาหลีเหนือนู่น เกาหลีเหนือนั้นเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดิน เป็นทั้งประธานาธิบดี เป็นทั้งนายกเสร็จหมดเลย เกาหลีเหนือเหมาเข่งหมดเลย 

_สู่แดนธรรม... เขาบอกว่าเป็นได้แม้กระทั่งพระเจ้าด้วยครับ 

พ่อครูว่า... คล้ายๆกันกับที่เขมรก็ใกล้เข้ามา แต่มาในรูปที่ดูเนียนกว่า 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองต่างชาติ กับการเมืองของประเทศไทยนั้น อธิบายขอยืนยันว่า อาตมาขอยืนยันว่า การเมืองของประเทศไทยเป็นการเมืองของดูไป การเมืองของประเทศไทยจะไม่เป็นการเมืองแบบดูไบ ใช้แสลงๆมาอธิบายธรรมะ 

ดูไบคืออะไร ศาสนาดูไบ คือศาสนาที่เขาร่ำรวย ศาสนาที่เขามีทรัพยากร อันนี้เป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องที่เขามีทรัพยากรธรรมชาติ และเขาก็ได้ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติทองดำ(น้ำมัน)เยอะจริงๆ เขาจะอยู่ในหอคอยงาช้างที่ใช้เงินเป็นหลัก ทำงานอะไรก็ไม่เป็น รู้แต่ว่าจะบริหารให้อำนาจของตนเองสิ่งที่ตัวเองครองบัลลังก์อยู่นี้ดียังไงแค่นั้นเอง แล้วก็เป็นความรู้ทางด้านจิตวิญญาณ พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่าไปพูดถึงว่าจะต้องอธิบายเลยอธิบายยังไงก็ไม่ได้หรอก เพราะพูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาอยู่ในกรอบความคิดของพระเจ้าเขาเท่านั้น 

ทุกวันนี้ แม้แต่ในศาสนาคริสต์ หลายลัทธิหลายนิกายเขาบอกว่าพระเจ้าตายไปแล้ว เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่อาตมาพูดนะ ถึงอย่างนั้นเลย มันหมายความว่ามันหมดแล้ว ความเป็นพระเจ้าไม่มีกับศาสนาเทวนิยม ศาสนาเทวนิยมมีตั้งเท่าไหร่ในโลก แม้แต่ในศาสนาที่บอกว่าเป็นศาสนาอเทวนิยมก็ตาม ก็ยังมีเทวะอยู่ในนี้ตั้งเท่าไหร่ ที่หลงความเป็นเทวะ หลงที่เป็นวิญญาณล่องลอย วิญญาณที่มาพูดถึงเรื่องจัดการไม่ได้ วิญญาณที่เอามาจัดการไม่ได้เพราะไม่อยู่ในความเป็นวิญญาณจริง มันเป็นวิญญาณสัมภเวสีอยู่ในภพชาติอะไรก็ไม่รู้ ดีไม่ดีไปนั่งหลับตาให้วิญญาณเป็นสัมภเวสีเอง ทั้งๆที่ธรรมชาติมันก็ให้วิญญาณอยู่กับตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมีสัมปชัญญะเต็มร้อยควบคุม 

พระพุทธเจ้าจึงมีหลัก สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ชาคริยานุโยคะ อย่าว่าแต่เรื่องกินอาหารอะไรเลย เรื่องอื่นๆก็ต้องมีชาคริยานุโยคะ เรื่องอาหารที่สำคัญเรื่องอื่น คุณก็เป็นทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอาหาร เรื่องอะไรทั้งร้ายแรง เรื่องขี้หมาทาสีคุณก็หลงเลอะไปได้หมด แล้วคุณจะเรียนรู้อย่างไร 

ถ้า อปัณณกปฏิปทา 3 นี้ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีอย่างที่ท่านตรัสไว้ อปัณกะ ถ้าไม่มีหลัก 3 นี้ไม่ใช่พุทธ โดยเฉพาะมีหลัก 3 นี้ต้องมีศีลเป็นหัวข้อหลัก แล้วปฏิบัติ 3 อันนี้ไปตามลำดับ ในความเป็นเกี่ยวกับสัตว์ไปตั้งแต่ต้นๆ 

อาตมาพูดตรงนี้หลายทีก็ยังนึกว่าตัวเองไม่เก่งเลย ขยายความความเป็นสัตว์ให้แก่คนในยุคนี้รู้ อย่าว่าแต่สัตว์เลย ความเป็นกายก็สูญ เกือบสูญไปจนสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าไปพูดถึงบุญเลย บุญนั้นคือ พลังงานที่คุณมีสัมมาทิฏฐิสามารถสร้างพลังงานตัวนี้มากำจัดกิเลสได้ กายก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ มันจะไปเป็นบุญขี้หมาได้อย่างไร บุญแค่ขี้หมายังไม่ได้เลย แล้วจะเป็นบุญเนื้อแท้ไม่ใช่ขี้หมาได้อย่างไร อธิบายธรรมะอย่างโพธิรักษ์นะ ฟังแล้วรู้เรื่องไหม เข้าใจดีด้วยนะอาตมาว่าเข้าใจชัดขึ้น 

เพราะฉะนั้นในสัจธรรมต่างๆที่อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ พูดอะไรก็ได้ มันมีผิดอยู่ในนั้นที่จะจี้ลงไปได้หมด พูดถึงขี้หมาขี้หมูอะไรก็มีสิ่งที่ผิด พูดถึงทองคำ พูดถึงเพชรนิลจินดา พูดถึงลาภยศ ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่นเลย ยิ่งพูดถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น

ถ้าลาภก็ดี ไม่มัวเมาซับซ้อนตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองหลงลาภ อย่างมหาบัว ก็ตายไปกับดอลลาร์ ตายไปกับทองคำนะ ได้มาเท่าไหร่ใส่คบลังของประเทศชาติเอาไว้ แล้วก็ได้รับความยอมรับ จนกระทั่ง..ขอเถอะ อาตมาไม่พูดยาวกว่านี้ เพราะมันล่อแหลม ผิดกฎหมาย อาตมาก็ไม่พูดต่อ มหาบัวหลงถึงขนาดนั้น 

แล้วอาตมาก็เห็นว่า สิ่งที่มันมาฉุดศาสนาพุทธ ฉุดธรรมะของพุทธ มันได้ถึงขั้นมหาบัวมาทำอย่างนี้ อาตมาถึงบอกว่ามันยากจริงๆน้อ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... วันนี้ ขอบคุณที่คุณ พิมพ์เพชรรุ้งชงประเด็นมาให้พ่อท่าน อยู่ต่อเพื่อขยายความ ความเป็นประชาธิปไตยให้พวกเราฟัง 

พ่อครูว่า... คุณอย่าเพิ่งชมอาตมา คุณหามาชมเยอะแล้ว ต่อไปคุณจะหาคำมาชมอาตมาไม่ได้อีก ฟังอาตมาไปเรื่อยๆดีกว่านะ แล้วคุณจะรู้ว่าอาตมาคือใคร อย่าเพิ่งชม 

_สู่แดนธรรม... เมื่อก่อนพ่อท่านก็เคยบอกว่า แล้วคุณจะรู้เองว่าอาตมาคือใคร 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองนี้ เมืองไทยจะเอาไปเปรียบเทียบกับการเมืองประเทศอื่นใด มันเป็น Concept ของแต่ละหมู่ แต่ละกลุ่ม แต่ละประเทศ อาตมาสงสารคนไทย ที่ไปเข้าใจประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ประชาธิปไตยขาเก อาตมาสงสารจริงๆ ไม่รู้จะไปบอกเขาได้อย่างไร เพราะเขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ 

ยกตัวอย่างเช่น เขาเห็นว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ เป็นประชาธิปไตยที่อิสรเสรีภาพ โดยไปยกประเด็นเอาความเป็นหนึ่งเหมือนเทวนิยม ยกพระเจ้าเป็นหนึ่ง ประชาธิปไตยก็เป็นนัยยะคล้ายกัน 

เขาไปทำความเป็นหนึ่งในรูปของการเลือกตั้ง ในรูปของประธานาธิบดี เพื่อมายืนยันว่าหนึ่งอันนี้คือประชาชนนะจ๊ะ ไม่ได้มีขั้นชั้นเลยนะ บอกว่านี่คืออิสรเสรีภาพสูงสุดนะ หนึ่งนี้ไม่มีขั้นชั้นเลย คุณไปดูซิ ที่นอนเกลื่อนอยู่ข้างถนน ที่ไม่มีที่อยู่ในอเมริกา คุณไปดูสิ แล้วพวกคุณที่เป็นไฮโซทั้งลาภยศ ลาภก็ตาม ยศก็ตาม อำนาจบาตรใหญ่ก็ตาม คุณไปดูสิความแตกต่างช่องว่างระหว่างอเมริกันด้วยกันเอง คุณไปดูสิ 

ช่องว่างเขาห่างยิ่งกว่าชาวอินเดีย อินเดียนั้นระบุเลยนะว่าคุณต้องเป็นอย่างนี้แล้วก็ฟิกซ์ไว้ พราหมณ์ กษัตริย์  แพทย์   สูท เขาก็ฟิกซ์หมดแล้ว แต่อันนู้นยังไม่ฟิกซ์เลย ยังจะเลื่อนไปอีกเหยียบกันลงไปอีกได้ตั้งเท่าไหร่ 

ไปศึกษาไม่เสียหายถ้าพวกเราจะเอาความรู้เสริม เหมือนอย่างชาวอโศกให้ไปศึกษาความรู้ทางโลก ปริญญาตรี โท เอกก็ไป แต่เราไม่ได้ไปหลงใหลกับตรี โท เอก ที่จะต้องเอาขั้นตอนอันนี้ไปสัมพันธ์กับทางสังคมข้างนอกเขา เพื่อที่จะไปเอาส่วนที่ควรจะได้เหมือนอย่างโลกเขาได้จาก  พนี่ฉันเป็นปริญญาตรีโทเอกนะ ได้แล้วก็เอามาอยู่ในนี้ ก็เหมือนเดิม เหมือนกับคนที่ไม่มีปริญญาตรี โท เอกอะไร แต่มันมีความรู้ไหมมีความสัมพันธ์ไหม นี่พยายามจะให้ผู้ใหญ่บ้านจบปริญญาโท ปริญญาเอกไป 

แต่ก่อนหมู่บ้านราช ผู้ใหญ่บ้านเป็นปริญญาเอกผ่านไป 2 คนแล้วนะ ราชธานีอโศกนี้ผู้ใหญ่บ้านเป็นปริญญาเอก 2 คนผ่านไปแล้ว ใครจะเป็นปริญญาเอกที่เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 3 หรือ 4 ก็ไม่รู้นะ ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านกำลังทำปริญญาโทอยู่ 

อาตมาก็ขอสรุป เวลาก็จะหมดลง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สรุปลงตรงที่พูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้วไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า เราเกิดมาเป็นคน พระพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นคน เหมือนกันกับเราทั้งนั้น ท่านมีสมบัติ ท่านมีสมบัติพัสถาน ท่านมีอำนาจ ท่านมีความเฉลียวฉลาด จบตักศิลา 18 สาขาวิชา ทิ้งมาหมดทุกอย่างเลย มาเป็นคนอย่างขนาดเราทิ้งอย่างท่านไม่ได้ ขนาดไม่มีอะไรเท่าท่าน เท่าขี้กระผีกท่านไม่ได้ยังทิ้งมาไม่ได้เลย มันคืออะไร อาตมาพูดตรงนี้เข้าใจนะ 

เพราะฉะนั้นในโลกนี้อย่าไปเที่ยวหลงไหลได้ปลื้มกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ให้มาเรียนรู้สุขเรียนรู้ทุกข์ 

อาตมาขอสรุปลงไปสำคัญที่สุดเลยว่า ตราบใดที่คุณเข้าใจเรื่องสุขเรื่องทุกข์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าเน้นถึงเรื่องทุกข์ ให้มาเรียนรู้ทุกข์ เพราะทุกข์มันเรียนรู้ได้ง่ายกว่าสุข เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องสูงสุดเรียกว่าอริยะหรืออาริยะแล้ว จึงได้เรียกความทุกข์นี้ว่าเป็นทุกข์อริยสัจ เป็นสัจจะความจริงที่ผู้ประเสริฐเป็นอาริยะจะมาเรียนรู้ความจริงอันนี้ หัวใจศาสนาพุทธจึงอยู่ที่ทุกข์ เป็นทุกข์อริยสัจ 

ตราบใดที่ใครไม่รู้จักสุขทุกข์ และอาตมาก็สรุปแล้วว่าสุขกับทุกข์มันอันเดียวกันเป็นมายา คุณเรียนรู้ทุกข์แล้วคุณลดทุกข์ได้ คุณก็ลดสุขได้ หรือคุณลดหรือเรียนรู้สุขและคุณลดสุข มันก็เหมือนกับลดทุกข์ มันเป็นกระดาษอันเดียวกัน คุณแยกมันไม่ออกหรอก มันเป็นมายาหลอก มายามันเอาหน้าความสุขมาหลอกคุณ คุณได้ความสุขเมื่อไหร่คุณก็ได้ทุกข์ไปเป็นอันเดียวกัน 

ในขณะที่คุณเองคุณอยู่ข้างหน้า คุณโง่มากเพราะคุณเอง คุณไม่รู้ข้างหลัง ผู้ใดมารู้ข้างหลังแล้วคุณจะหายโง่ลงไป และคุณก็จะมารู้ว่า ข้างหน้านี้มันสุขหลอกกูนี่หว่า จบกันแบบวันนี้หมดเวลา 

_สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #33 ถ้าไม่เรียนรู้สุขทุกข์ ก็สั่งสมบาปอยู่ทุกลมหายใจ วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8(2) ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2566 ( 21:07:02 )

660801

รายละเอียด

660801 พ่อครูเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วันอาสาฬหบูชา ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53231.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1uT2wwmsS_Fw7gm7U9oCAQFpRbe1PVq_6/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true              

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1-0KNDYCpzM90qBcFC31lkl2PpMKdD-YF/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660801-142--_128-kbps-e27k9cb 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/kqMHK_gMY2M 

และhttps://fb.watch/m8M6cFydA6/ 

 

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วันอาสาฬหบูชา 

พ่อครูว่า... วันนี้วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ 

เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา คือวันเพ็ญเดือน 8 วันสำคัญเดือน 8 ชาวไทยเรามาค้นพบ ก็คงมีคนพูดถึงเยอะแล้วล่ะ มาค้นพบว่าเป็นวันสำคัญที่ 

1. เกิดพระสงฆ์

2. เกิดพระธรรม

3. พระพุทธเจ้ามาทำให้เกิดพระธรรม แล้วทำให้เกิดพระสงฆ์ เป็น ด้วยความรัตนะ 3 หรือแก้วสามดวง 

ประเทศอื่นเขานับเอาวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญ เดือน 6 โน่นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เองโดยชอบ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 แล้วท่านถึงได้พระราชดำเนินมาจากที่ตรัสรู้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา มาถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มาพบปัญจวัคคีย์ 5 รูปที่เคยศึกษาอยู่ร่วมกัน ท้าวความไปนิดนึง

ศึกษาอยู่ร่วมกัน ปัญจวัคคีย์เขายังเป็นเดียรถีย์อยู่เต็มที่ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็พยายาม ความระลึกรู้ยังไม่ขึ้นมาตอนแรก ท่านก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ท่านก็ปฏิบัติตามกันแบบผิดๆ เพราะว่าตอนนั้น พราหมณ์ทั้งหลายปฏิบัติผิดหมด พระพุทธเจ้า ก็ไปบำเพ็ญกันในป่า 6 ปี ร่วมกับ พราหมณ์ ทั้ง 5 

ปฏิบัติ 6 ปีนั้นเป็นการปฏิบัติผิด ปฏิบัติ 6 ปีนั้นเป็นการปฏิบัติผิด ฟังให้ดีนะคือผิดอะไร 

1. ออกป่า 

2. ปฏิบัติแบบหลับตา สะกดจิต นั่งสมาธิอย่างทุกวันนี้เลยคือความผิด ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธปฏิบัติผิดที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ นั่นแหละที่ปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่นะ ขออภัยขอแวะนิดหนึ่งว่าชาวอโศกนี้ปฏิบัติถูก จึงขัดแย้งกันกับทางสังคมหมู่ใหญ่ ที่ปฏิบัติผิด ยึดถือกันผิดๆไม่ว่าจะยึดถือกันทางความรู้แบบบัญญัติ แบบพยัญชนะศึกษา เปรียญศึกษา ภาษาศึกษา ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อะไรกันอยู่นั่น เตลิดเปิดเปิงไปรู้มากเป็นผู้รู้ ผู้คงจะเรียน เต็มหูเต็มหัวหมดแต่ไม่ได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าเป็น ปทปรมบุคคล เป็นบุคคลผู้จมอยู่ใต้โคลน ไม่ใช่ เนยยะ อุคฏิตัญญู วิปัญจิตตัญญู

เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ได้แล้วจะต้องมายืนยันว่าจะมีผู้ที่ฟังธรรมนี้ ตอนที่ท่านยังไม่บรรลุธรรมขึ้นมา อยู่กับหมู่ปัญจวัคคีย์อยู่ในป่า อิสิปตนมฤคทายวัน 

ท่านก็ระลึกได้ว่าความรู้ความเห็นของปัญจวัคคีย์ก็คงจะเหมือนที่เรายังระลึกไม่ได้นี่แหละ ที่ระลึกได้แล้วโอ้โห..มันสุดยอด จะต้องนำไปเปิดเผยดูซิ คนมันจะฟังรู้เรื่องหรือ ท่านเห็นความลึกซึ้งของโลกุตรธรรมที่ท่านเองท่านเคยบำเพ็ญมาเป็นพระพุทธเจ้า บรรลุมาแล้ว บรรลุพระสัพพัญญุตตญาณมาแล้ว อาตมาเคยเล่าท้าวความมาก่อนแล้ว 

สิ่งที่พระพุทธเจ้าเอามาเปิดเผยในยุคที่ท่านตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์นี้ หรือองค์ไหน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พอตรัสรู้ตนเองเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ท่านก็จะมีธรรมะที่จะมีเอง ที่ท่านเคยบำเพ็ญมาแล้ว ขึ้นมาเอง แล้วมันก็รู้เองว่ามันลึกซึ้ง 

แล้วไอ้ที่ก่อนนี้ที่จะรู้ เราก็รู้ว่าสิ่งที่เราไม่รู้คืออะไร คนที่รู้ว่าสิ่งที่เรารู้คือโลกุตระ มันจะรู้ว่าสิ่งที่เราเคยรู้มาก่อนว่าไม่ใช่โลกุตระคืออะไรมันจะรู้ 2 อย่างเลย รู้โลกียธรรม สูงส่งอย่างไร เราก็จะเข้าใจตามเท่าที่เรามีบารมีตามฐานะ 

ไอ้ที่เรารู้นี่เช่นพระอรหันต์ธรรมดาก็จะรู้ 2 อย่างเหมือนกัน ยิ่งเป็นโพธิสัตว์หลายระดับอย่างที่อาตมาอธิบายสาธยายมาแล้ว โพธิสัตว์ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ระดับ 4 อะไรมาจนกระทั่งถึงระดับ 6 ซึ่งเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 

โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอรหันต์ระดับ 1 อนุโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ระดับ 2 อนิยตโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 3  นิยตโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ4 มหาโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 5 ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะหรือพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ระดับ 6 

พระพุทธเจ้าได้เทศนาธรรมจักร ที่จะหมุนขึ้นไปในกัป วัตนะคือหมุน ธรรมะที่พระพุทธเจ้าเปิดเผยจะเริ่มเกิดและเริ่มหมุน สร้างธรรมะโลกุตรธรรมขึ้น เป็นศาสนาพุทธ เรียกโดยทราบว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 4 ข้อ 13 

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา

[13] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ

การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1

พ่อครูว่า... มันเป็นโทษ บาลีแปลว่า กามที่เป็นประโยชน์มาจากคำว่ากามคุณ คือ ประโยชน์ทางกาม แต่ที่จริงมันเป็น กามาทีนวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไปใน อนุปุพพิกถา 5 ว่า กามาทีนวะ ที่เสพกามขึ้นสวรรค์หอฮ่อ มันเป็นโทษ กามาทีนวะ  แต่มาหลงว่าเป็นกามคุณ 5 ทางตา หู จมูก ลิ้น  กาย สัมผัสแล้วเกิดสุขอยู่ในใจ 

การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน(อัตกิลมถะ) เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบ ด้วยประโยชน์ 1

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?

ปฏิปทาสายกลางนั้น ปฏิปทาคือข้อปฏิบัติ ได้แก่ อริยมรรค มีองค์ 8 นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดำริชอบ 1 เจรจาชอบ 1 การงานชอบ 1 เลี้ยงชีวิตชอบ 1 พยายามชอบ 1 ระลึกชอบ 1 ตั้งจิตชอบ 1

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.

[14] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรค คือ วิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ 

พ่อครูว่า... คือข้อปฏิบัติที่เป็นไปตามลำดับจากความเป็นคามินี แบบชาวบ้านแล้วจะเป็นอาริยะได้ต่อไปเป็นลำดับ  

คือ อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ 1 ... ตั้งจิตชอบ 1.

[15] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา(บาลีว่า วิชชา) แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

พ่อครูว่า... ความรู้ที่มีขึ้นมาเอง อาตมามี ตัวเองไม่ถึงพระพุทธเจ้านะ อาตมาเกิดมาชาตินี้ก็เอาความรู้เก่าอาตมา มาอธิบายซึ่งมันเป็นความขัดแย้งกับหมู่ใหญ่ อาตมาเอาสิ่งที่ถูกมาพูดมันก็ต้องขัดแย้งกับสิ่งที่มันผิดของหมู่ใหญ่ อาตมาถูกเขากระหน่ำย่ำแย่ตั้งแต่ต้นจนถึงป่านนี้ วันนี้อาตมาก็คิดว่ายังเยอะอยู่ที่ท่านยึดถือ อาตมาเห็นใจนะ อาตมาก็ไม่ได้มีปัญหาหรอก ท่านจะต้องนำพาอันนี้ไป 

ถ้าท่านไม่ว่าอาตมาก็ดีแล้ว ถ้าท่านจะส่งเสริมว่าอย่างที่โพธิรักษ์เทศน์นั่นแหละถูกต้องแล้วล่ะ ดีแล้วแหละ อย่างนี้ของเราแม้มันจะไม่เหมือน มันจะไม่ดีก็เอาตามโพธิรักษ์ก็แล้วกันโอ้โห ถ้าเท่านี้ถ้าทางเถรสมาคมกล่าว อาตมาว่าศาสนาพุทธเรา ก็เป็นศาสนาธรรมดาศาสนาไหนก็ตามผู้ใหญ่ ตามผู้รู้ที่ยอมรับนับถือกันใช่ไหม ไม่ว่าศาสนาไหนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะมาเลย อาตมาก็ไม่ได้ไปบังคับไม่ได้หรอก อาตมาไม่รอ ไม่หวัง ยืนยันสัจจะไปอย่างเดียว

ปฏิบัติสัจญาณ แล้วจะเกิดกิจญาณ แล้วเกิด กตญาณ คือสำเร็จแล้ว 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.

 

ญาณทัสสนะ มีรอบ 3 มีอาการ 12

[16] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ 4 นี้ มีรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนี้ 

พ่อครูว่า... รอบ 3 คือญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ แล้วก็มี อาการ 12 ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มี 4

ทุกข์ก็เป็นสัจจะที่คุณปฏิบัติให้เห็นทุกข์ แล้วปฏิบัติจนเห็นความทุกข์ดับไป 3 กับ 4 คูณกันเป็น 12 

ทุกข์ ทำให้จบเป็นสัจจะและเป็นกิจ แล้วเป็นกต 3

สมุทัยก็ทำให้จบรอบ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

นิโรธ ก็ทำให้จบรอบ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

มรรค ก็ทำให้จบรอบ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

ไม่ใช่เอาแต่รู้ทุกข์แล้วไม่ลงมือทำ ลงมือทำให้เกิดเรารู้มรรคผล สำเร็จด้วยสำเร็จแล้วนะ กตะ สำเร็จแล้วจริงๆต้องรู้ทั้งภายนอกภายใน รู้ทั้งความดับสนิท จบ ทั้ง สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ใน ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค 4 อย่างนี้ ต้องจบทั้ง 3 อย่าง สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ก็ครบ 12 

จึงเรียกว่าญาณ 3 อาการ 12 

ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ 4 นี้ มีรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนี้ หมดจดดีแล้วเพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่า

เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.

พ่อครูว่า... เทวดา มาร พรหม ก็คือสัตว์ เทวนิยมไม่มีปัญญารู้ว่าตัวเองเป็นมาร พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่งรู้ว่า ที่แท้เราเป็นลูกกะโล่ของมาร แล้วหลงว่าเป็นเทวดา หมายความว่ามารมาหลอกให้หลงสุข คุณก็นึกว่านี่คือสวรรค์ คือดาวดึงส์ เราต้องเสพอยู่อย่างนี้ตลอดกาล เป็นยามาให้นานให้ยาว ทุกยามทุกเวลาก็ยาว ยามก็คือเวลา ทุกอย่างทุกเวลาต้องเป็นเทวดาดาวดึงส์ทำให้ได้ 

ทำได้แล้วดุสิตแปลว่าเย็น ก็ไม่เย็นไม่พัก ติด ด้วยความหลงซับซ้อนไม่พักดุสิตก็ไม่พัก นอกจากไม่พักแล้วทำอย่างยิ่งเรียกว่านิมมานรดี เป็นชั้นที่ 5 เป็นเรื่องเก๊หมดทั้ง 6 ตั้งแต่จตุมหาราชิกา ล่า ทั้ง 4 ทิศเป็นมหาราชของโลก โลกอะไร โลกธรรม เป็นสุขโลกียธรรมได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ล่าใหญ่เลย ไม่เข้าใจในโลกธรรมไม่เข้าใจในโลกียะเป็นทาสโลกียะ เทวนิยมทั้งหลายที่เป็นศาสนาพระเจ้านั้นไม่รู้เรื่องนี้เลย อันนี้อาตมาพูดมากประเดี๋ยวเขาจะไม่ชอบใจเพราะเขาเองเขายึดมั่นถือมั่นด้วย พวกนั้นเขาไม่รู้จักการบรรลุธรรม ไม่รู้จักการละหน่ายจางคลายจากกิเลส ไม่รู้จักการโกรธไม่รู้จักการทำลายเดี๋ยวเขาจะมาทำร้าย อาตมาก็พูดมากนะที่จริง เขายังไม่รู้ภาษา สักวันหนึ่งอาตมาคงจะเจอ ตอนนี้ก็ผ่านไปก่อน 

เรื่องนี้อาตมาว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยของโลก ก็รอแต่ผู้แสวงหา 

อาตมามีบุญดีอยู่อย่างหนึ่งว่า พูดภาษาโลกๆคือบุญดี คือกุศลดี หรือบารมีดีตรงไหนคือที่อาตมาไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ถ้าหากอาตมารู้ภาษาต่างประเทศดีเหมือนพิธา เหมือนทักษิณ อาตมาจะพูดธรรมเทศน์พูดภาษาอังกฤษ พูดภาษาสากลที่เขารู้กันทั่วโลกนะ มันจะกระจายไป อาตมาตายแล้วป่านนี้ เห็นไหมว่าอาตมามีกุศลดี 

เพราะฉะนั้นการที่อาตมาไม่รู้ภาษาต่างประเทศเลย พูดแต่ภาษาไทยอยู่ในโลกให้คนไทยรู้ไปก่อน เราจะช่วยกัน ถ้าไทยรู้เป็นมวลใหญ่แล้วศาสนาอื่นศาสนาใดก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ขณะนี้ถ้าขืนชาวต่างประเทศ ชาวเทวนิยมที่เป็นศาสนาหมู่ใหญ่เป็นเทวนิยมอีกหลายศาสนา เป็นศาสนาพระเจ้าทั้งนั้น 

ขออภัยเป็นศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งนั้น มีศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าเหมือนกันแต่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างเช่นศาสนาเชน ของพระมหาวีระ เป็นพระศาสดาแก้ผ้าเข้าป่า ไม่ออกมาหาใคร ไม่กิน ไม่เอาอะไรเลยสุดโต่ง เขาก็ไม่นับถือพระเจ้าเหมือนกันแต่ว่ามันคนละขั้วกันเลยกับชาวพุทธที่เป็นมัชฌิมา แต่ของเขาสุดโต่ง

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่ตรัสรู้จะรู้ความเป็นเทวดาหรือ ขอสรุปสั้นๆว่าเทวะคือมาร คือซาตานที่พระเจ้าเขาถือว่าเป็นศัตรูใหญ่ จริงๆแล้วเป็นอันเดียวกัน ซาตานกับพระเจ้าอันเดียวกัน แต่พระเจ้าอวิชชา ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมาร แล้วก็หลงคบมาร  หลงอยู่กับมาร   หลงอะไรหลงสุข ที่จริงทุกข์ กับสุขอันเดียวกันเพราะฉะนั้นพระเจ้ากับมารอันเดียวกัน 

พรหม ผู้บริสุทธิ์จากเทวดาบริสุทธิ์จากมาร พรหมคือความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากเทวดา บริสุทธิ์จากมาร โดยเฉพาะคำว่ามารนี้คือทุกข์ คำว่าเทวดานี้คือสุข แล้วก็ไปหลงสุข มารก็หลอกว่ามันเป็นสุขแต่ที่จริงมันเป็นทุกข์ อาตมาก็อธิบายไว้หมดแล้วว่ามันอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ เขาก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด ไม่รู้ความจริง 

ขยายความสรุป เทวดานั้นอย่างหนึ่งคือความหลง มารนั้นคือความจริงของเทวดา เทวดาคือความหลงชัดๆก็คืออวิชชา หลงไม่รู้ มันโง่ มันก็ไม่รู้ที่แท้นี่เราเป็นมารแต่เราหลงมารเป็นเทวดา 

เราหลงว่าเป็นเทวดา ที่แท้มันคือมาร แล้วก็หลงว่าตัวเองเป็นเทวดายิ่งใหญ่ใหญ่ไปตามลำดับ หลงยิ่งใหญ่จนกระทั่งสุดท้าย นี่แหละจะเป็นโอษฐภัยตรงนี้ ยิ่งใหญ่สูงสุดก็เป็นเจ้าศาสนาเลย 

เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้ความเป็นพรหมที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรานี่แหละคือพรหมกาย เราคือธรรมกาย คือกายบริสุทธิ์ กายสะอาด กายหมดจด กายแทงทะลุรอบ ไม่ติดยึดในความเป็นกาย แม้ที่สุดจะมีกายหรือไม่มีกายก็รู้รอบถ้วนได้ 

เมื่ออาตมาพูดมาถึงตรงนี้แล้วพระพุทธเจ้าสรุป ข้อ 17 พระไตรปิฎกเล่ม 4

อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.

ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

[17] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้บันลือเสียงว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.

เทวดาชั้นยามา ...

เทวดาชั้นดุสิต ...

เทวดาชั้นนิมมานรดี ...

เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ...

เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว

ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

ชั่วขณะกาลครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.

ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ

ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ

พ่อครูว่า... ความจริงนั้นเดินหน้าแต่สมมติสัจจะถอยหลังได้ แต่ปรมัตถ์สัจจะเดินหน้าอย่างเดียว 

จริงๆพราหมณ์คนนี้ท่านชื่อว่าโกณฑัญญะซึ่งแปลว่าโง่ โกณฑะ แปลว่าโง่ โกณฑัญญะเมื่อได้ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่เป็นผู้ได้เกิด อัญญา

วันนี้พระพุทธเจ้าท่านได้เปล่งพระธรรม แล้วพระธรรมนี้เป็นโลกุตระ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นโลกุตระคือความสุด 2 อย่าง

กามสุขัลลิกะ กับ อัตตกิลมถะ 2 อย่างนี้มนุษย์ควรเลิก เป็นสิ่งเลวสิ่งต่ำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมา 

เพราะฉะนั้นยังไม่มีใครรู้อันนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงเอามาเปิดเผยเพราะมันทวนกระแสใจเพราะคนยังติดในกาม เข้าไปปฏิบัติธรรมก็ติดในอัตตา เป็นอัตตกิลมถะ ด้วยการทำให้ตนลำบากโดยไม่ได้มีความว่าไปเลิกอัตตา แต่ยิ่งทำให้ตัวเองมีอัตตาตกอยู่ในความลำบากหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก 

อัตตกิลมถะ บวกกับกาม ทั้ง 2 อย่าง คือเป็นเทวนิยมมากหนักเข้าไป เช่น ประเทศอเมริกา หลงทั้งกาม หลงทั้ง อัตตกิลมถะ คือ ทรมานตน ไม่รู้อัตตา ไม่รู้ตัวเอง นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แม้แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัวแต่มีคนรู้ตัวแล้ว คนเล็กๆน้อยๆรู้ตัวแล้ว มี American หนุ่มๆชื่อแตงโมมาออกโทรทัศน์ก็คงเคยเห็น ประเทศกูนะ เขาว่าของเขาไปโอ้โห เขาบอกว่ามันชิบหายหมดแล้วว่าไปเลย เขาบอกว่าประเทศไทยดีกว่า มันเป็นหนึ่งในหน่วยตัวอย่างของผู้ที่มีดวงตา มีแสงสว่าง มีญาณ มีปัญญา มีความรู้แล้ว นี่เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดๆ 

อาตมา ขออภัยอย่างยิ่งต่ออเมริกาที่มันเป็นสัจจะที่ต้องการในโลก อาตมาเมื่อกี้นี้ในวจีสังขารบอกว่าไม่น่าจะยาวถึง 500 ปี มันจะชัดเจนเลยว่าจะสลายแยกไปโดยที่อาตมาไม่มีปัญญาปฏิภาณรู้หรอกว่า จะแตกสลายแยกสลายอย่างไร แต่ว่ามันเสื่อมหนัก ขออภัยไม่รู้จะพูดยังไงแต่ต้องพูดความจริงต่อผู้ที่แสวงหาสนใจ 

อาตมาบริสุทธิ์ใจนะ ไม่ได้ไปเบ่งไปข่ม ได้แต่เผยความจริงให้รู้ อาตมามันลำบากมีวิบากตรงนี้ ที่พูดความจริงแล้วต้องทำให้คนผู้ที่ไม่ดี ผู้ที่เขาเสื่อม ผู้ที่ตกต่ำ ผู้ที่เป็นทุกข์ ผู้ที่เขาลำบากนี้ แล้วเขาก็มีอวิชชา เขาก็มีอัตตา เขาก็เลยถือตัวเขาก็เลยโกรธตอบอาตมา เขาก็เลยแก้แค้น ดีไม่ดีก็จะมาทำร้ายอาตมา อาตมาก็ต้องระมัดระวังอยู่บ้างเท่านั้นเอง เป็นโอษฐภัย ไม่มีอย่างอื่นหรอกอาตมา โอษฐภัยทำลายอาตมา

หันมาสู่สาระสัจจะชัดๆเอาคำว่าเทวดา มาร พรหม 3 คำนี้มาพูด 

เทวดานี่คือคำหลอก เทวดาตัวจริงก็คือมาร เหมือนทุกข์สุข กระดาษแผ่นเดียวกัน แต่มารเองโง่ หลงว่าเป็นเทวดา มารถ้ารู้ตัว มารจะเจริญกว่าเทวดา 

เทวดาไม่รู้ตัวง่ายเท่ามาร เพราะมาร มันอยู่กับทุกข์ แต่เทวดามันอยู่กับสุข 

เพราะฉะนั้นคนที่เห็นทุกข์ก่อนนี่แหละเป็นคนเจริญก่อน ทุกข์มันพาให้คนรู้ก่อน สุขมันไม่พาให้คนรู้ก่อนหรอก พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสอธิบายสุขอริยสัจ ท่านตรัสเป็นพยัญชนะว่า สุขัลลิกะ ความสุขนี้เป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องเก๊ ถ้าคนมีปัญญาจะรู้ว่าทุกข์ต่างหากมันจริงกว่า มันฉลาดกว่า อย่าไปโง่งมงายอยู่กับสุขทำไม แต่ทุกข์ก็สามารถเลิกได้ ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสก็คือ วิชชาจรณะสัมปันโน ให้บรรลุวิชชาจรณะ 

เพราะฉะนั้นวิชชาจรณสัมปันโน นี่แหละคือทรัพย์อันยิ่ง ปันโน แปลว่าบรรลุ ปฏิบัติให้บรรลุ ด้วย วิชชา แตกไปเป็น วิชชา 8 

ทุกวันนี้ชาวไทยมีภูมิรับได้เป็นโลกุตระอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อปฏิบัติไม่ใช่ กามสุขัลลิกะ กับ ไม่ใช่อัตตกิลมถะ  ที่เป็นสุดโต่งของข้อปฏิบัติ 2 อย่าง ข้อปฏิบัติให้บรรลุมัชฌิมา ไม่โต่งไปทั้ง กามสุขัลลิกะ กับ อัตตกิลมถะ รู้ทั้งอัตตะ ทั้งกาม กามคือ สิ่งที่ปรุงแต่งร่วมกับข้างนอก อัตตาคือสิ่งที่อยู่ภายใน

อาตมาไม่ได้พูดภาษาตามตำรา อาตมาพูดอาจจะบาดเสียบแทงสั้นลัดเรียกว่าคอนไซส์ ลัด ตัด ตรง อาตมาอาจจะพูด concise หน่อย สำหรับวันนี้ก็เป็นวันสำคัญสำหรับประเทศไทยเรียกว่า อาสาฬหบูชา ที่เรามีธรรมะพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกได้เทศน์ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ให้แก่ พราหมณ์ 5 รูป ซึ่งยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นอริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้าได้เกิดดวงตาเห็นธรรมคือโกณฑัญญะ เป็นองค์แรก แล้วต่อจากนั้นก็จะค่อยๆเป็นองค์อื่นๆต่อๆไป จึงเกิดเป็นพระสงฆ์องค์แรกในศาสนาพุทธ 

พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระพุทธแล้ว เป็นผู้มีสัพพัญญูขึ้นมาเอง แล้วก็มาเกิดพระธรรม พระสงฆ์ ครบสามเส้าไตรรัตน์ จึงเรียกว่าเป็นวันสำคัญเดือน 8 อาสาฬหะแปลว่าเดือน 8 วันเพ็ญเดือน 8 ก็เกิดสิ่งสำคัญอันนี้ขึ้นมา นี่คือสำหรับวันนี้ที่ท่านพระทั้งหลายแหล่พยายามเทศน์เรื่องนี้กันอย่างนี้ แต่อาตมาก็มาสรุปภาษาอาสาฬหบูชาเท่านั้นอาตมาเทศน์เนื้อแท้ของศาสนา เอาพระไตรปิฎก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในพระวินัย 

ติดตามฟังให้ดี อาตมาว่าประเทศไทยเราเกิดโลกุตรธรรมขึ้นมาแล้วถึงขั้นสาธารณะโภคี มีสังคม สาราณียธรรม 6 เกิดจริงเป็นจริงแล้ว โปรดติดตามหารับฟัง และเข้ามาพบ เข้ามาคบคุ้น เข้ามาศึกษาตามพิสูจน์ 

ขอพูดอีกสำคัญนิดหนึ่งว่า มาตาม มาจับผิดให้ได้ เจริญธรรม 

จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วันอาสาฬหบูชา วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2566 ( 04:43:39 )

660804

รายละเอียด

660804 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #34 ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53229.html 

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1NWcBws9M0vjQdj4U1XeEGAx6t5RON_Q8/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true               

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1K4JcfTqNkuphFI9PEqFYK5JuYXPnvtvV/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660804-e27o34p 

 

ดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/Nk1FSRF87d4 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/303765025509593/ 

 

_สู่แดนธรรม... รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม วันนี้วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำเดือน 8 คนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อยู่ในช่วงเข้าพรรษา หมู่บ้านของเราควรมีพฤติกรรมรักษาพระพุทธศาสนา มีการประพฤติปฏิบัติมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดแก่ตน แม้แต่ว่าเป็นชาวบ้านก็ไม่ได้ปล่อยตัวให้มัวเมาหลงเพลินกับกิเลส ถือว่าเป็นชาวบ้านที่รักษาพระพุทธศาสนาจริงๆ 

อดีตผมเคยประทับใจที่พ่อท่านอธิบายเรื่องทาง 2 ทาง ในธรรมจักกัปปวัตตนสูตร เรื่องความมัวเมาในกาม พวกเราไม่ค่อยสงสัย แต่อีกเรื่องคือเรื่องอัตตกิลมถะ ซึ่งท่านแปลว่า ประกอบความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ตนเป็นความลำบาก เป็นการทรมานตน แต่สำนวนพ่อท่านที่แปลไว้ว่า แม้คุณจะบริสุทธิ์ไปจากกาม คุณก็ยังเหลืออัตตาเอาไว้ให้เป็นทุกข์ ไม่สิ้นอาสวะ เพราะเวลามีการกระทบเราก็อาจจะมีการถือดี ถือตัวว่าทำไมเราทำดีแล้วต้องมาว่าเรา 

พอดีว่า ผมเองในพรรษานี้จะพยายามมีสติละพิธา คำว่าพิธา ในภาษาบาลี มีคำว่า วิธา บอกสภาวจิตว่าจองหอง มีมานะถือตัวตน ผมเองก็จะได้นำมาใส่ใจครับ

พ่อครูว่า... เรื่อง อัตตกิลมถานุโยค ก็ดี เรื่อง กามสุขัลลิกะ ก็ดี เราก็ค่อยๆอธิบายกันไป

เรามาเข้าสู่ sms

SMS วันที่ 31 ก.ค. – 2 ส.ค. 2566

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ  ลูกเคารพศรัทธาความเห็นของท่านสมณะเดินดินที่เมื่อมีเด็กน้อยมากล่าวคำว่าสลิ่มๆๆ ใส่นักบวช แทนที่จะตำหนิเด็กน้อย ท่านกลับเห็นว่าเรายังบกพร่อง ยังทำดีไม่มากพอที่จะให้เด็กน้อยเข้าใจ เรายังต้องพัฒนาให้มากยิ่งขึ้น กราบสาธุค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... คือมีเหตุการณ์พวกเรา สมณะนั่งในรถไฟฟ้าไป สวนกันกับเด็กเด็กเขาขี่จักรยานซ้อนกันมา 2 คน เขาจะไปได้รู้ได้รับจากคำบอกเล่าผู้ใหญ่ยังไงมาก็ไม่ทราบ เขาก็คงมีความรู้ว่าเราเป็นอย่างนั้น เขาก็เรียกพวกเราว่า สลิ่มๆ ยกมือ 3 นิ้ว สลิ่มๆใช่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรไปตามประสาเด็ก เขาก็สนุกกันไป เขาคิดว่ามันไม่จริงไม่จังอะไรหรอกก็เป็นเรื่องผิวเผินของเด็กๆ คงไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่ที่คุณสว่างแสงแสดงออกนี่ก็คือ ตรงที่พวกเรารับสัมผัสแล้วพวกเราก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก็เอาที่เด็กเขาว่านั้นถือว่าเป็นกรรมที่ยังไม่ยอมรับ ยังไม่ยกย่อง ยังไม่ชมเชยอะไร กลายเป็นเชิงตำหนิ ก็เลยรับเป็นการปรับปรุงกันไป เราบกพร่อง เราก็พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นก็เป็นประโยชน์ในเชิงคิด ไม่ได้เสียหายอะไร 

_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ  · กราบนมัสการพ่อครูสมณะสิกขมาตุทุกท่านพร้อมพี่น้องเพื่อนที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้เรียนรู้บทบาทหน้าที่การงาน อาชีพการงานหรือการศึกษาการเรียนรู้กับความหมายที่ถูกต้องได้ดีมากเลยค่ะ กราบขอบพระคุณท่านแสนดินดูแลพ่อครูเล่าเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ ท่านดินไทเล่าประสบการณ์ดีมากค่ะ ฟังความคิดเห็นต่างกันอย่างไรเข้ามาแชร์เรื่องราวเข้าใจมากขึ้น ท่านติกขะเล่าประสบการณ์ของบ้านเมืองชัดเจนขึ้นว่ากระแสสังคมเสียดสีผิดศีลธรรม

พ่อครูว่า... รายงานผลมาก็ขอบคุณ 

_กานต์รวี โตสัจจะวริศถิร  · เคยไปที่ราชธานีอุบล พักที่บ้านสะใภ้ใหม่ รู้สึกมีความสุขมาก แต่นั้นมาก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย สุขสงบเป็นระเบียบ ผักสดๆ อยากไปอีก แต่ยังไม่มีโอกาส ไปแต่ปฐมอโศก ดูพ่อท่านสดใสแข็งแรงอย่างกับไม่ป่วย พ่อท่านโพธิรักษ์หายไวๆ แข็งแรงสมบูรณ์นะคะ

พ่อครูว่า... ยินดีต้อนรับ มาเลยทีเดียว Welcome เมื่อไหร่ก็ได้ จะเหมาะไปที่ปฐมอโศกก็ได้ใกล้ดี แต่เอ๊ อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ป่วยอะไร อาตมาเป็นแต่เพียงมีบาดแผลที่หมอเขาผ่าตัดเจาะออกไป ก็เป็นแผลสดเท่านั้นเอง มันก็เจ็บๆ แต่ไม่ได้ป่วยอะไร 

 

คนจิตอรหันต์แม้ถูกผ่าร่างกายจิตก็ไม่หวั่นไหว

_นาง จับใจ ธนะโภค  · กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถาม ค่ะ

1. วันที่ 31กค.66 ดิฉันดูคลิปที่นพ.มนต์ชัย และพญ.กานดา ท่านกล่าวโดยสรุปย่อๆ ถึงการผ่าตัดและอาการบาดแผล(ผิวหนังพ่อครูฯ) ท่านพูดว่าช่วงผ่าตัดฯ บางอย่างยังอธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้ฯ (ชีพจรของพ่อครูฯ)

ดิฉันกล่าวย้อนเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว พ่อทางสายเลือดของดิฉัน ที่มีความโดดเด่น เช่น

- เคยเป็นนักเลง - เคยเป็นทหารเกณฑ์เสนารักษ์(ทหารหมอ) - เรียนจบนักธรรมโท

- บ่อยครั้งพ่อจะใช้ให้ดิฉันไปตามพระโพธิรักษ์มา"เหาะ"ให้พ่อดูหน่อย ถ้าพระโพธิรักษ์เป็นอรหันต์จริงต้องเหาะได้  ดิฉันเถียงพ่อว่า จิตวิญญานของพระโพธิรักษ์ต่างหากที่เหาะได้ แต่พ่อก็ยังยืนยันตัวของพระโพธิรักษ์ต้องเหาะได้

ถึงวันนี้ดิฉันเสียดายที่พ่อไม่อยู่(ตาย) มิฉะนั้น คงจะได้มารับฟังคำยืนยันจากนพ. และพญ. และการอธิบายของพ่อครูฯ ถึงระบบการทำงานของจิตช่วงผ่าตัด

2. ขอถามค่ะ ดิฉันเข้าใจถูกต้องถึงการอธิบายของหมอ พ่อครูฯ ว่า"จิตอรหันต์" เป็นดังที่พ่อครูฯ อธิบายในคลิป ใช่ไหมคะ

3. บั้นปลายชีวิตของพ่อดิฉัน ด้วยบุญ-บารมี ทำให้พ่อได้มีโอกาสมาศึกษาปฎิบัติธรรมกับหมู่กลุ่มชาวอโศก โดยเริ่มต้นอยู่ที่สันติอโศก แล้วส่งต่อมาอยู่ที่ชุมชนราชธานีอโศก อาดินดอนเป็นผู้รับช่วง หลังจากนั้นพ่อเริ่มเข้มแข็ง(จิตวิญญาน) และได้ชื่อใหม่ ว่า "เจริญบุญ" จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ไม่นานพ่อดิฉันก็ขอไปอยู่ที่ "เฮือนสุดชีวิต"(ฌาปณกิจ) ปี2551 ค่ะ ที่รายงานมาให้ทราบเพราะดิฉันภูมิใจกับหมู่กลุ่มชาวอโศกค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ทวนไปดูว่าคำอธิบายที่พูดกันกับหมออธิบาย ตอนที่ทำการผ่าตัดอาตมา เขาฉีดยาชา แต่ก็เห็นทุกอย่างทำอะไร เขาก็ผ่าอยู่ เขาก็มีเครื่องวัดชีพจร เขาก็สงสัยกันว่า อาตมาทำไมเครื่องมันไม่ได้บอกเคลื่อนที่อะไรเลย ชีพจรจะอยู่ที่ 50-60 ครั้งต่อนาที คืออาการคนที่มีตื่นเต้นตกใจกลัว ชีพจรก็จะเปลี่ยน ของอาตมาก็ไม่มีเปลี่ยน เขาก็เลยรู้สึกว่าเข้าใจ สิ่งที่จิตวิญญาณที่ได้ฝึกดีแล้ว เพราะเขาทำผ่าตัดมาเยอะ เขาเป็นหมอผ่าตัด คนผ่าตัดทุกคนก็จะกลัวและกลัวมากเลย บางทีต้องวางยาสลบ ฉีดยาชาไม่พอ 

อันนี้ประสบการณ์ของเขา คืออาตมารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของอาตมา แต่เขาจะรู้สึกเป็นเรื่องแปลกพิสดารก็แล้วแต่ขออธิบายขยายความเรื่องนี้ว่า จิตที่ได้ฝึกดีแล้ว โดยเฉพาะอาตมาก็บอกความจริงว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7  อย่างนี้ จิตก็เป็นจริง ไม่มีผลัก มีดูด จิตมันไม่ได้หวั่นกลัว  ไม่ได้วูบวาบมีผลักมีดูดอะไร มันก็ปกติ เขาจะผ่าตัดก็ผ่าตัด เจ็บอาตมาก็เจ็บ อาตมายังมีเวทนารู้สึกรับความรู้สึกได้เหมือนกับสามัญมนุษย์ มันกระแทกถูกก็ต้องเจ็บต้องปวดอะไรเป็นธรรมดา เขาฉีดยาชาแล้วอาตมาก็ไม่เจ็บก็เฉย แต่คนธรรมดา เขาจะไม่นิ่ง เพราะมันกลัว 

ปัจฉาแสนดินว่า …คนทั่วไปอะดรีนาลีนจะหลั่งทำให้หัวใจเต้นเร็วครับ

พ่อครูว่า …ใช่ 

_จรรยา ประเสริฐ  · ตบะดิฉันเข้าพรรษานี้ เอาตัวสักกายะใหญ่ของดิฉันเลยค่ะ เรื่องการวางใจกับเรื่องการเมือง ไม่โกรธ เกลียด เคียดแค้น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย การกระทำของด้อมส้ม จะทำตรงนี้ให้ได้ เป็นเวลา 10 วันก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ อีก เพราะอยู่ระหว่างดูใจตัวเอง ว่า เป็นอย่างไร เมื่อรับรู้ข่าว 2 พรรคนี้ เพื่อเป็นกุศลให้กับตัวเอง กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ดีมาก ก็เอาผัสสะต่างๆแล้วก็ดูว่าอาการจิตของเราเป็นอย่างไร เรารับรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้โดยเฉพาะเจาะจงไปที่การเมือง ก็มีความรู้สึก เจอพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจิต เรามีความไม่ชอบ มีการเกลียดเคียดแค้นอะไรบ้าง ไปยึด ไปติด ไปปรุง ไปแต่ง ไปจริงไปจังกับเขาขนาดนั้นเนาะ แสดงว่าแหม..รับผิดชอบเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องการเมืองเอาจริงเอาจังก็ดีแล้วที่ปล่อยวางได้นี่คือผลของการปฏิบัติธรรมะ ก็รับรู้ความจริงตามความเป็นจริงไป เราเองถ้าเราไปเป็นนักการเมืองเป็นตัวบทบาทเป็นตัวทำงาน อย่างพิธาอยู่กับพรรคก้าวไกลหรือไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ที่เขาดำเนินอะไรต่ออะไรกระทบกระเทือนเกี่ยวพัน เป็นผลต่อสังคมไทย คุณก็ค่อยรับผิดชอบ แต่นี้คุณก็รับรู้ความจริงแล้ว คุณก็ถือโอกาสที่เราจะสนับสนุนออกเสียงต้องไปทำอะไรตามหน้าที่ พลเมืองดี ก็ทำไปเรื่องการเมืองก็ดีแล้ว จิตใจคุณปรับได้รู้ความจริง 

 

การได้เป็นกษัตริย์นั้นมีความลึกซึ้งของกรรมวิบาก 

_ตุ๊ก อัศวิน  · พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรี..ท่านล้วนแต่มาเป็นกษัตริย์ ด้วยพระบารมีที่แต่ละองค์ท่านได้สั่งสมมา!! ร.9 ท่านคือ พลังแผ่นดิน ผู้โอบอุ้มนำมาซึ่งความผาสุขของทวยราษฎร์ ด้วยพระวิริยะบารมีโดยแท้เทียว ร.10 ท่านคือ วัชระเกล้าเจ้าอยู่หัว 'วัชระ' ดุจสายฟ้า.ดุจเพชรอันแข็ง_แกร่ง_กล้า..ยิ่งกว่านั้น 'วัชระ' เป็นอาวุธประจำกายของพระอินทร์ ผู้เป็นเทพแห่งสายฟ้า ดังนี้...แล..เจ้าค่ะ ขอทุกพระองค์_ทรงพระเจริญ..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... คุณตุ๊กอัศวินบอกว่าผู้ที่มาเป็นกษัตริย์ไม่เฉพาะราชวงศ์จักรี จะเป็นราชวงศ์ไหนก็แล้วแต่ อยู่ดีๆเกิดมาเป็นคนแล้วจะไปเป็นกษัตริย์ได้ง่ายๆเหมือนกับสมัครไปเป็นประธานาธิบดี เอาใครก็ได้ แบกถุงเงินมา หรือไปสร้างอำนาจมาก่อน แล้วก็ให้เขาเลือกไปเป็นประธานาธิบดี มันไม่ใช่ กษัตริย์มีการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระราชวงศ์ จะต้องมีบารมี เป็นเรื่องของกรรมวิบาก อยู่ดีๆอยากจะไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ จะเป็นได้ยังไง จะเป็นเรื่องเล่นๆไม่ใช่เรื่องขายหม้อข้าวหม้อแกงเล่นนะ นี่เป็นเรื่องกรรมวิบาก 

_สู่แดนธรรม... แม้แต่บางพระองค์ได้เกิดเป็นลูกของกษัตริย์แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นกษัตริย์ทุกองค์ไปนะครับ ต้องมีเฉพาะองค์ที่มีบารมีเท่านั้น 

พ่อครูว่า... เรื่องจริงที่ว่าเป็นเรื่องของกรรมวิบาก เรื่องของฐานานุฐานะต่างๆของมนุษยชาติ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นคน เกิดเป็นคนมิลักขะ เกิดเป็นคนเถื่อนๆประเภท บ้าๆบอๆ เป็นคนที่รุนแรง ไม่เข้าใจสัจธรรม ซึ่งคนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคน ทำให้ตัวเองเป็นคน มิลักขะ เป็นคนโหดร้ายรุนแรง เป็นคนโลภจัด หรือว่าโกรธจัด แค้นจัด ทั้งโลภโกรธหลง มันจัดจ้าน เขาไม่รู้

เพราะฉะนั้น คนที่มีโลภโกรธหลงจัดจ้านคือคนเถื่อน แต่โลกไม่รู้ไปยกย่องว่าเป็นคนเจริญ เป็นคนดุร้าย เป็นคนใช้อำนาจบาดใหญ่ สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ฆ่าคนได้เก่ง ฝึกฝนวิธีการฆ่าคนได้ ข่ม มนุษย์ชาวโลกชาวคณะสังคมอื่นเขาได้ แล้วคนไม่รู้ก็ต่างยอมต่างยกย่อง ตั้งติดต่อสัมพันธ์อะไรพวกนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดของความเป็นมนุษยชาติที่ลึกซึ้งซับซ้อน ศึกษากันดีๆแล้วจะได้เข้าใจ 

อย่างคนไทย อย่างพระเจ้าอยู่หัวหรือว่าอย่างประชากรก็ตามประชาชนก็ตามของไทย เป็นคนที่มีศาสนาพุทธเป็นพื้น คนไทยเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ 95% รู้จักกรรม รู้จักวิบาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ศาสนาทางตะวันตก ทางศาสนาพระเจ้า เขาไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเลย เขาไม่รู้กรรมที่ทำลงไปแล้วมันเป็นวิบากที่ทำให้เขาเกิด หมุนเวียน เกิดแล้วเกิดอีก ตกต่ำขึ้นสูง ฉลาดขี้โกงซับซ้อน เขาไม่รู้จัก เขาไม่ได้เรียน เพราะศาสดาทางเทวนิยมไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิดที่เป็นกรรมวิบากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้ว ว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่รู้ไม่ได้ง่ายๆ เดาไม่ได้ คิดเองไม่ได้ ต้องมีแนวทางที่เป็นโลกุตระจึงจะรู้เรื่องนี้อย่างดี อย่างสัมมาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นการที่จะเกิดเป็นคนเจริญ เป็นคนสูง ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ละองค์ บางองค์ จะเป็นคนโหดร้ายเป็นคนรุนแรง หรือเป็นคนจริยวัตรไม่ค่อยเหมาะสมอะไรก็ตาม ก็เป็นได้ เป็นธรรมดาจากกรรมวิบาก ซึ่งซับซ้อนมาก สามารถขึ้นไปเกิดไปเป็นราชวงศ์โดยเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่จริยวัตรไม่ดี ประพฤติไม่ดี ทำอะไรต่ออะไรไม่ดี ซึ่งเป็นค่านิยมของสากลทั่วไปเขารู้ได้ ก็เป็นได้ แต่ส่วนมากจะดี ที่มีส่วนไม่ดี มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของกรรมวิบาก เป็นอยู่ ซับซ้อนอยู่ แต่ส่วนมากจะมีบารมีถึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะดี ถ้าไม่ดีก็อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เสื่อมสูญ มีอันจะเป็นไป เป็นธรรมดา 

_Wannapha Geraedts วรรณภา เจอหราด · ไม่มีที่ไหนจะอธิบายให้ชัดเจนมีแต่ที่สันติอโศก มีที่เดียวประเทศไทย อยากให้พ่อครูอธิบายให้ฟังเรื่องทุกข์กับสุข สาธุค่ะ

_ช่อทิพ หนูทอง  · สตรีที่ไปบวชที่อื่นมาแต่งกายแบบสิกขมาตุชอบลงเนื้อหาธรรมะในข่าวบวรอโศก พ่อครูห้ามเธอเข้าบ้านราชแล้ว เรียนถามพ่อครูว่า คำสอนที่เขาเอามาลงนั้น...เชื่อถือได้ไหมคะ?....

พ่อครูว่า... ก็ใช้วิจารณญาณของตนเองดู มันไม่เสียหลายหรอกการที่เราจะได้รับฟังธรรมที่ผิดบ้าง ธรรมะที่ถูกบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่ศึกษาอยู่พอสมควรนะ เพราะฉะนั้นก็ดู รับทราบดู อ่านดู อาตมาไม่บังอาจที่จะไปตัดสินหรือระบุบังคับให้ตาม เชื่อตาม ให้คุณใช้วิจารณญาณของตัวเอง ไตร่ตรองตัดสินวินิจฉัยเอาดีๆ ก็มีส่วนดี ส่วนถูก ส่วนผิด ไปในตัวอยู่ ไม่ใช่ว่าจะบ้าๆบอๆไปทีเดียวไม่ใช่ มีส่วนดีส่วนถูกอยู่ 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในเวลาเช้าตี 5 ของทุกวัน พวกลูกๆ ชาวอโศกกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าค่ายอุโบสถศีล On-line ทาง zoom โดยความ Benevolence ของท่านแสนดินได้จัดทำขึ้นได้สอนธรรมะที่นำมาจากพ่อท่าน ได้สอนไว้และตอบปัญหาหลากหลายแก่ลูกๆ เป็นที่รื่นเริงในธรรมพร้อมทั้งท่านดินไทที่มีความเมตตากรุณาทั้งสองท่าน บางครั้งแม้ป่วยก็ยังอุตสาหะมาเข้า zoom และทำให้ลูกๆได้ลดกิเลสตัวขี้เกียจตื่นเช้าได้ดีครับ และทำให้ถือศีล 8 กันอย่างจริงจังจริงใจ ทั้งหมดนี้เป็น Benevolence ของพ่อท่านจริงๆ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

 

พ่อครูอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ได้จึงคือสยังอภิญญา

_มุก • แสดงว่า สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 น่าจะสำคัญที่สุด เพราะเป็นเครื่องรับรองประทับตรายางดีเอ็นเอแห่งพุทธโดยแท้จริง พระพุทธเจ้ากันเหนียวไว้ที่ระดับสยังอภิญญาขึ้นไป   ดังนั้นด่านสำคัญที่เป็นข้อตัดสินว่า คนที่จะเป็นพุทธบริษัทได้แท้จริงสมบูรณ์ จึงต้องถูกสะแต๊มป์ หรือ รู้จักบุคคลในข้อ 10 นี้

พ่อครูว่า... ก็จริงนะที่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าระบุไว้ว่าหมายถึงอะไรชัดเจนคมชัดดี ขอขยายความอีกนิดนึงก็แล้วกันว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใช้ภาษาว่า สยังอภิญญา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็หมายถึงว่า บอกระดับ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งแต่โสดาบันแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ถ้าพากเพียรดีๆก็เป็นสกิทาคามี  อนาคามี  อรหันต์ 

แม้อรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ ก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพิ่มไป กว่าจะได้ฉายาว่า ผู้นี้อยู่ในฐานะ สยังอภิญญา มันไม่ใช่ธรรมดา ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันไม่ใช่ขั้นสามัญธรรมดาของอาริยบุคคล อย่างน้อยๆก็ไล่ขึ้นไปตั้งแต่ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์( สยังอภิญญา ) 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

เรื่องเหล่านี้ผู้รู้อย่างอาตมาก็อธิบายได้ พูดไม่รู้อธิบายไม่ได้หรืออาจจะอ่านพยัญชนะที่ท่านบอกไว้เหมือนนกแก้วนกขุนทองได้ แต่อาตมาไม่ได้รู้แค่นกแก้วนกขุนทองธรรมดาหรือเหนือกว่านกแก้วนกขุนทองธรรมดาที่รู้ความหมาย แต่อาตมาเป็นเองด้วย เป็น สยังอภิญญาเองด้วย จึงได้พูด สังเกตเอาเถอะ หยั่งถึงความจริงให้ได้เถอะที่อาตมายืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา คุณจะมีปฏิภาณปัญญารู้แค่ไหนว่ามันจริง มีอะไรหลายๆอย่างบอกมีอะไรที่ยืนยันลักษณะที่มีความจริงได้ชัด ยิ่งเป็นสัจจะที่เป็นโลกุตรธรรมมันมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราสามารถที่จะหยั่งรู้ เข้าไปได้ถึงความเป็นจริงที่ลึกซึ้ง ศึกษาดีๆ แล้วคุณก็ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ากันเหนียวไว้จริงๆ พระกัสสปะก็เก็บมายืนยัน ที่จริงไม่เก็บไม่ได้หรอกเพราะมันสำคัญในทิฏฐิ10 

ผู้ที่จะอธิบายทิฏฐิ 10 ได้อย่างเที่ยงแท้ ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน ก็จะต้องแสตมป์ไว้ว่าเป็นขั้น สยังอภิญญา ไม่เช่นนั้นมันยังไม่สมบูรณ์แบบหรอก ในยุคนี้อาตมาก็บอกแล้วและก็เป็นความจริง ถ้าคนได้ปฏิบัติมีปัญญาดีๆ ว่าโลกุตรธรรมมันจะเสื่อมแล้วอาตมาก็อุบัติขึ้นในยุคที่มันเสื่อมนี้แล้ว ก็นำเอาโลกุตรธรรมมาเองด้วยตัวเองที่เป็น สยังอภิญญา

ความหมายของ สยังอภิญญา คือไม่ได้รับการถ่ายทอดธรรมะมาจากใคร ถ้ายังมีพระพุทธเจ้าก็ได้รับถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้า ถ้าในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าแต่มีผู้รู้ที่เป็นสัตบุรุษอยู่ก่อนแล้ว แต่อาตมาอุบัติขึ้นมาก็ได้รับจากผู้ที่เป็นสัตบุรุษ แต่อาตมาเกิดมาในยุคที่ผู้ที่เป็นสัตบุรุษที่จะมีความรู้โลกุตรธรรมก็ไม่มี นอกจากไม่มีแล้ว โลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธแล้ว 

อาตมาก็เอามากล่าวเอามายืนยัน นำคุณสมบัติหรือคุณธรรมหรือคุณวิเศษ ของความเป็นโลกุตรธรรม เอาขึ้นมาสถาปนาลงไปเอามาอธิบาย เอามายืนยัน เอามาพาปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลเป็นอาริยบุคคลได้จริง เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเป็นจริง จนเกิดชาวพุทธที่เป็นสังคมพุทธกลุ่มที่มี สาราณียธรรม 6 มีหลักธรรม พุทธพจน์ 7 วรรณะ 9 มีศีลสมาธิปัญญามีจรณะ 15 วิชชา 8 

สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้ว่ามีมรรคมีผลแท้จริง ไม่ใช่เรื่องเปล่าดาย มันเสื่อมไปมาก เป็นศาสนาพุทธที่มีแต่ชื่อมานานก่อนอาตมาจะมาเกิด มันเสื่อม มันเละ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังเละอยู่ ขออภัยเถอะอาตมาพูดความจริง ซึ่งไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนกัน ไม่ได้ไปข่มไปแบ่งกัน แต่สงสาร แต่มันเป็นวิสัยที่สุดวิสัยแล้ว ทางด้านโน้นท่านยึดติดเต็มที่แล้ว ท่านลดตัวลดตนไม่ได้ ท่านรับอาตมาไม่ได้ ท่านก็ต้องอยู่อย่างนั้น 

ทั้งๆที่ขณะนี้ 50 กว่าปี อาตมาทำงานมา เป็นกลุ่มเล็กนิดเดียวอาตมาไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลยในสังคม เกิดมา รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย ความรู้วิชาการก็ไม่ได้มีอะไรรับรองเป็นสถานะที่เป็นที่ยอมรับนับถือในสังคมอะไรเลย ไปอยู่ในโลกมายาด้วยซ้ำ โลกมายาก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้เด่น ไม่ได้ดัง ไม่ได้มีอิทธิพลอะไร ก็อยู่อย่างนั้นเหยาะๆแหยะๆ พอมีคนรู้จักบ้างนิดๆหน่อยๆเท่านั้นที่จริงมันก็คนละเรื่องกับธรรมะ แล้วมาเผยแพร่มาเป็นผู้นำธรรมะขั้นโลกุตรธรรมของศาสนาพุทธแก่นแท้ โอ้โห..เจ้าประคุณ มันจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เอาละผ่าน

 

สันติอโศกไม่ได้ทำนิกาย คนที่ว่าอโศกเป็นนิกายคือคนทำสงฆ์แตกแยก

_เล็ก วันนะ  · การที่สันติอโศกเมื่อเกิดขึ้นทีหลัง แบบนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนิกายหรือไม่ การที่ไปร่วมประชุมกับกปปส. ข้อปฏิบัติถือว่าอยู่ในกายช่วยเนื่องด้วยตามอารมณ์หรือไม่

พ่อครูว่า... คำว่า นิกาย อาตมาพูดหลายทีแล้วว่า สันติอโศกเกิดขึ้นทีหลัง โดยเฉพาะอาตมาเป็นผู้นำชาวอโศก ถ้าใครเอาคำว่านิกายมาเรียกพวกเรา ก็เท่ากับคุณเองคุณเข้าใจว่า การแยกด้วยชนิดที่ถูกต้องตามธรรมก็ดี การแยกที่ไม่ถูกต้องตามธรรมก็ดี คุณเข้าใจยังไม่ได้ 

สำหรับอาตมานั้น อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาแยกจากสงฆ์หมู่ใหญ่อย่างถูกต้องด้วยดี ไม่ได้แยกอย่างผิด เป็นบาป เป็นอนันตริย กรรม ผู้ที่แยกหมู่สงฆ์ให้เป็น 2 ฝ่าย ที่ผิดตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทำอนันตริยกรรม บาปหนักบาปหนา อาตมาเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นโดยที่อาตมาไม่ได้มีความรู้โดยบัญญัติภาษาเลย ในตอนที่อาตมาแยกออกมา 

อาตมาก็ทำการแยกเป็นนานาสังวาส ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้าจริงเลย โดยตอนนั้นอาตมายังไม่ประสีประสาในคำว่านานาสังวาสด้วย โดยเฉพาะนิกายอาตมาพอรู้เหมือนกับคุณรู้ ว่าแยกกลุ่มหมู่ และอาตมาก็ทำอย่างที่อาตมาคิดว่า อาตมาไม่ได้ทำอย่างที่คุณเข้าใจหรือว่าใครส่วนใหญ่เขาเข้าใจว่า แยกนิกายคือแยกสงฆ์เป็น 2 ฝ่าย อาตมาไม่ได้ทำอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นอาตมาทำอย่างถูกต้องตามธรรมวินัย แม้แต่สงฆ์    หมู่ใหญ่ก็เข้าใจอาตมาไม่ได้ ขอยืนยัน วันสองวันนี้เราก็ยังพูดถึงท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านก็เข้าใจเราไม่ได้ว่าเราทำนานาสังวาส เราไม่ได้ทำนิกาย ท่านจึงมาเล่นงานกับเราอย่างหนัก ซึ่งก็น่าเห็นใจท่าน เหมือนกัน เพราะท่านไม่เข้าใจท่านนึกว่าอาตมานี้ทำลักษณะแยกหมู่สงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่าย เป็นนิกาย แน่นอนท่านก็ไม่อยากให้ทำมันเป็นบาปแล้วศาสนาก็เสียหาย.. ท่านกระทำถูก 

อาตมาไม่ได้ลบหลู่ท่าน แต่อาตมาพูดความจริงว่าท่านยังไม่มีความรู้พอ ท่านถึงได้ทำอย่างนั้น เพราะอาตมาทำถูกต้องตามนานาสังวาสจริงๆ อาตมาประกาศกับหมู่สงฆ์เป็นทางการต่อหมู่สงฆ์ว่าขอแยกนะ ต่างคนต่างเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าท่านมีธรรมวินัยเอาไว้ 

ว่าหมู่น้อยขอประกาศแยกกับหมู่ใหญ่เป็นทางการเป็นกิจจลักษณะ ได้ หมู่ใหญ่เป็นความเห็นที่ 1. ถือศีลไม่ตรงกัน 2. มีความประพฤติที่ไม่เหมือนกันแล้ว มีอะไรหลายๆอย่างให้แยกเป็นนานาสังวาสได้ แล้วค่อยต่างคนต่างปฏิบัติตามธรรมวาทีของตน 

อันนี้เป็นสุดยอดแห่งสัจธรรมพระพุทธเจ้า เรื่องนานาสังวาส เป็นการให้เกิดความสงบโดยแยกฝ่าย แต่ถือว่าเป็นพวกเดียวกันเป็นสังวาสเดียวกันคือความเป็นพุทธเหมือนกัน แต่มันสุดวิสัยแล้วที่จะมาร่วมสังฆกรรมกันได้ ก็ให้ต่างคนต่างทำสังฆกรรมของแต่ละคน ศึกษากันไป ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ท่านห้ามไม่ให้ทำอธิกรณ์กันเลย แต่ทางสงฆ์หมู่ใหญ่มาทำอธิกรณ์อาตมา 

อธิกรณ์ แปลว่า การฟ้องร้อง สงฆ์หมู่ใหญ่เป็นคนฟ้องร้องอาตมานะ อาตมาไม่ได้เป็นคนฟ้องสงฆ์หมู่ใหญ่เลย แต่ทางโน้นท่านฟ้องร้อง สั่งส่งหมู่ใหญ่เอาไปฟ้องแม้กระทั่งฆราวาสให้มาเอาเรื่องอีก ท่านทำการละเมิดอาบัติของท่านไปเอง คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ ขออภัยอาตมาอธิบายสัจธรรม ไม่ได้ไปลงโทษ ไม่ไปดูถูกดูแคลนคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ แต่เป็นจริงอย่างนั้น อาตมาก็พูดความจริงที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น อธิบายความจริงที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น 

สรุปอาตมาไม่ได้ทำนิกาย อาตมารู้ดีว่าทำนิกายนั้นเป็นอนันตริยกรรม อาตมาจึงทำตามที่อาตมาประพฤติไป โดยการทำอย่างถูกต้อง ขอแยกนะ ต่างคนต่างแยกปฏิบัติ อาตมายังจำได้เลยว่าอาตมาใช้การเปรียบเทียบ อาตมาเห็นว่าหมู่ใหญ่ท่านปฏิบัติธรรมผิดธรรมวินัย อาตมาปฏิบัติร่วมด้วยไม่ได้และอาตมาเป็นพระผู้น้อย ต้องอยู่ใต้อาณัติ อาตมาทำปฏิบัติไม่ไหวก็ขอแยกการปฏิบัติก็แล้วกัน 

เหมือนมาตั้งร้านขายปาท่องโก๋ร้านเล็กๆข้างทาง ท่านเป็นบริษัทใหญ่ แต่ท่านใช้สูตร อาตมาบอกว่าเป็นสูตรของพระพุทธเจ้าผิด อาตมาทำด้วยไม่ไหวก็ขอมาแยกตั้งร้านปาท่องโก๋เล็กๆ เป็นการขอแยกด้วยดี ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปฟ้องร้องกันอีก มันเป็นคนละทิฏฐิ คนละเข้าใจ ศีลคนละแบบ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนานาสังวาส อาตมาทำถูกต้องทุกอย่าง

เรื่องของนิกายนั้น ผู้ที่ทำ ขออภัยต้องพูดความจริง ทางสงฆ์เถรสมาคมเป็นคนทำในลักษณะที่เป็นนิกายกับอาตมา ท่านก็รับกรรมวิบากของท่านไป อาตมาไม่ได้ทำ ทุกอย่างมันเกิดอยู่ที่กรรมวิบากที่จริง ไม่ได้มีใครพิพากษา อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นผู้พิพากษา ถ้าผิดอาตมาก็ยิ่งผิดซ้อน ผิดซ้ำนั้นแปลว่าทางโน้นผิดแต่อาตมาว่าอาตมาไม่ได้แยกนิกายแต่อาตมาทำนานาสังวาส อย่างนี้เป็นต้น นี่คือเรื่องของ นิกาย 

 

สันติอโศกเกิดมาทีหลังจริงแต่ไม่ได้ทำนิกาย 

ข้อที่ 2 นี้ ไปช่วยเนื่องด้วยอารมณ์หรือไม่ อาตมาก็อ่านแล้วอ่านอีกก็จะตีความยังไม่ค่อยได้ 

 

อัตตกิลมถานุโยคคือลำบากแล้วยิ่งเพิ่มอัตตา 

พ่อครูว่า... ขออธิบายเรื่อง อัตตกิลมถานุโยค มันเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้ง อัตตะแปลว่าตัวเอง กิลมถะ แปลว่าทำความลำบากให้แก่ตัวเอง แล้วก็ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดอัตตา มันมีความซับซ้อนฟังให้ดีนะ 

สมณะดินไท… ข้างนอกแปล อัตตกิลมถานุโยค หมายความว่าบำเพ็ญทุกรกิริยา 

พ่อครูว่า... ก็ได้ เป็นความหมายอันตื้นอันง่ายที่สุดแล้ว เป็นการทรมานร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดต้องอดทนแบบทุกข์ทรมานเดือดร้อน เข้าใจกันอย่างนั้นเยอะ จริงๆมันลึกซึ้งในคำว่า อัตตา มันมี โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา 

อัตตา นี่มันลึกซึ้งถึง 3 ชั้น 

กิลมถะ หมายความว่า มันเป็นการทรมานตนเอง ถ้าจะพูดกันอีกนัยยะหนึ่ง คนที่ไปหลงทางภายนอก ไม่ใช่เข้าไปภายใน หลงเข้าไปยึดติดในเรื่องภายนอก และปฏิบัติเอาเป็นเอาตาย จริงๆจังๆอยู่กับภายนอก ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

โลกียสุข ที่ไปหลงความรู้  นี่ล่ะเป็น อัตตา ชนิดที่หยาบใหญ่มาก แต่ลึกมาก หยาบใหญ่มากที่น่าจะรู้ แต่มันลึกมาก มันลึกก็เลยรู้ยาก หยั่งไม่ถึงความลึก ขนาดมันหยาบใหญ่ แต่อยู่ลึกถึงจับได้ยาก หลงไปใหญ่เลย อาตมาเห็นทุกวันนี้ หลงความรู้ ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้จะมี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นปริเฉทๆๆ ศีล สมาธิ ปัญญา

โสดาบันก็มีศีล สมาธิ ปัญญา ระดับหนึ่ง เช่น อาตมาบอกว่าถือศีล 5 นี่แหละปฏิบัติให้บรรลุธรรมถือศีล 5 คุณจะเป็นโสดาบัน คุณปฏิบัติศีล 8 ถือศีล 8 ให้บรรลุธรรม คุณจะเป็นสกิทาฯ 

ถือศีล 10 คุณปฏิบัติเถอะศีล 10 ดีๆคุณจะได้เป็นอนาคามี สูงกว่าศีล 10 ขึ้นไปก็รวมเลย  จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็แล้วแต่ ก็เป็นอรหันต์ นี่โดยบัญญัติภาษาง่ายๆ แล้วก็ทำให้ได้ แต่ผู้ที่สอน ผู้ที่รู้ ผู้ที่ปฏิบัติกัน ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แล้วไม่เอาจริงเอาจังด้วย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธถึงสูญ เลย ไม่มีศีล ศีลไม่เป็นมรรคเป็นผล 

แม้แต่ไปบวชแล้ว มันชัดเจน ยืนยันไปเลยว่า ทุกวันนี้พระมีศีลไหม ก็ไม่รู้ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 พอรู้เป็นจารีตประเพณี ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ที่เป็นเรื่องปรมัตถ์ เป็นเรื่องจริงเลย ไม่รู้ปฏิบัติไม่ถูก จารีตประเพณีถือกันมายังไงก็ถือตามจารีตประเพณี เป็นประเพณีเฉยๆ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติไปเรียนเปรียญ 9 ไปเรียนดอกเตอร์ จึงมองว่าเป็นชั้นพื้นฐาน ไม่เอามาปฏิบัติเลย ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เขาก็เลยไม่มีศีลเลย เสร็จแล้วมันก็จะเสียพระไม่มีศีลได้ยังไง ก็ไปยึดเอาวินัย 227 เป็นศีล โดยภาษาวินัยกับศีลมันคนละอย่างกันเลย ก็ไม่รู้ 

จนกระทั่งมันชัดเจนเลยว่าตกลงพระภิกษุมีศีลเท่าไหร่ 227 พูดกันหน้าตาเฉยเลย ภิกษุมีศีล 227 พูดกันหน้าตาเฉยเลย เห็นไหมว่าไม่มีศีล ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ใช่เลย วินัย วินัย 227 มันไม่ใช่ศีล มันเป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นมาทีหลัง จากการที่มีพฤติกรรมจริงของคน กรณีที่เกิดขึ้นต่างๆก็ค่อยๆตั้งพระวินัยขึ้นมา มีคนเป็นต้นเหตุแล้วถึงไปตั้งวินัย อย่างนี้เขาก็ไม่เข้าใจกัน ก็เลยสลับสับสน ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ไม่เกิดมรรคผลไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ของศาสนาพุทธ 

เพราะฉะนั้นจรณะ 15 วิชชา 8 อันเป็นพุทธคุณแท้ๆของศาสนาพุทธ จึงเสื่อมไป ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มี เพราะฉะนั้น สัทธรรม 7 ไม่มี ฌานไม่มี วิชชา 8 ไม่มี ก็เท่ากับศาสนาพุทธไม่มี วิชชาจรณะสมบัติไม่มีแล้วในศาสนาพุทธ วิชาจรณะสมบัติที่แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้า อัมพัฏฐมานพก็เลยยังยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเป็นพราหมณ์เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของวิชชาจรณะสมบัตินะ ยื้อแย่งกันอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าพวกคุณจะรู้จัก วิชชาจรณะได้อย่างไร เอาละไม่ท้าวความต่อ 

พ่อครูว่า... ชนิดหนึ่งที่ไปหลงความรู้เป็นอัตตาของตนแล้วไม่รู้จักอัตตา ก็ลดอัตตมไม่ได้ ไม่รู้จักอัตตาแล้วจะไปลดอัตตาได้อย่างไร ทั้งๆที่ โอฬาริกอัตตา แปลว่าอัตตาใหญ่ออกมาข้างนอก ไปยึดเอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แม้แต่ที่สุดยศศักดิ์ ความรู้อะไรต่างๆนานา มาเหมาอยู่ที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก็เป็นการ กิลมถะ เป็นความลำบากของชีวิต หอบไว้เยอะ หอบไว้แล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้พาปฏิบัติจนบรรลุธรรมอะไรเลย ได้แต่รู้ความหมายของบัญญัติ ของภาษา จนกลายเป็น ปทปรมบุคคล เป็นผู้ที่ เป็นบัวใต้ตม ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย แล้วท่านก็ขยายความ บัวใต้ตม ว่าเป็นผู้ที่รู้พุทธพจน์ก็มาก ท่องไว้ก็มาก ทรงจำไว้ได้ก็มาก สอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลใดเลย นี่คือ ปทปรมบุคคล ไม่บรรลุใดๆเลยในชาตินั้น รู้มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ก็ไม่ได้เข้าถึง ไม่ได้เข้าไปสัมผัส จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของความเป็นโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรมเลย แต่หลงว่าตัวเองเป็นผู้รู้ เป็นผู้ได้ เป็นผู้มี เป็นผู้สอน สาธยาย ได้รับการกราบคารวะสรรเสริญเยินยอ อันนี้แหละเป็นภัยร้ายมากเลย สรรเสริญ ลาภ สรรเสริญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงขั้น เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระอรหันต์ 

แม้ท่านเป็นอรหันต์ ถ้ายังหลงในเรื่องของโอฬาริกอัตตา ของความรู้ ถ้าด้านที่เป็นอัตตาตัวตน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้างนอก แต่ไปเกี่ยวข้องข้างในมันก็จะกลายเป็นพวกฤาษี พวกเชนไปเลย  

ทีนี้มาเรื่องข้างนอก 1.ระมัดระวังเรื่องลาภ  2.ระมัดระวังเรื่องยศ 3.ระมัดระวังเรื่องสรรเสริญ การระมัดระวังด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยการสำรวมระวังไม่ติดไม่ยึด ไม่จมกับสิ่งเหล่านั้นก็ดี  แต่ก็ดีไป ระมัดระวังเพื่อกลัวจะเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่สิ มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค ระมัดระวังว่าอย่าเสื่อม อย่าน้อยลงนะ ต้องมากขึ้นนะ.. รู้ตัวหรือเปล่า 

เพราะฉะนั้นทางเถรสมาคมทั้งหมดเลย เป็นศาสนาที่เต็มไปด้วย โลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาเลย อาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นถึงพระพุทธเจ้า ท่านเป็นใหญ่หมดเลย ถ้าจะเป็นใหญ่ทั้งด้าน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขนาดไหน ท่านก็เป็นได้ ท่านทิ้ง ถอยหลังออกมาสู่ความไม่เก็บไว้เลย 

ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ไม่เก็บไว้สักนิด ยศ ก็ไม่เก็บไว้สักนิด สรรเสริญเยินยอยกย่องอะไร ไม่เอาไว้สักนิด สุขก็ไม่เอาไว้ อันนี้ลึกซึ้ง สุดยอดของสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงต่อโลก เข้าใจยาก ผู้ที่ไม่เข้าใจก็จมอยู่ ในเถรสมาคม เป็นพระที่พอเข้าใจได้ง่ายๆตื้นๆว่าอย่าไปหลง ลาภนะ หนีเข้าป่าก็เป็นพระมักน้อยสันโดษนะ ก็เหมือนกับศาสนาเชน หลายศาสนาก็รู้เรื่อง ลาภตื้นๆ เขาก็ทิ้งมาก็ดี พวกเขาไม่ติดยึดเรื่องนี้ ไม่เอาลาภ แต่มันซับซ้อน ไม่ได้ทิ้งจริง ซับซ้อน ก็ยังยึดว่าเป็นตัวกูของกู 

อย่างอาตมายกตัวอย่างมหาบัว นี่เอา สถานะของนักบวช ไปทำเป็นว่าใหญ่ จะต้องเอามาช่วยประเทศชาติ แล้วก็บอกว่า มาๆ จะรวบรวมเอามาช่วยประเทศชาติ ก็คือเรี่ยไรจากชาวบ้านนี่แหละ เรี่ยไรในฐานะพระ แล้วอิงแอบประเทศชาติ อิงแอบสถาบัน มันก็ได้สิ เราก็นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ได้มาก็เอามาเข้าคลัง แล้วก็เป็นเล็นเป็นหมัด ตายแล้วก็ยังมาเฝ้าอีกของตัวของตน โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ยึดติดอะไร มันไม่ใช่หน้าที่ของพระที่จะไปทำอย่างนั้น แล้วบอกว่ายิ่งใหญ่ทำให้ประเทศ ก็ไม่ใช่ 

ทีนี้ อัตตกิลมถานุโยค ในเรื่องที่ไปหลงความรู้ทางโลกเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สรรเสริญมากมาย เชิดชูยกย่องบูชาเป็นยิ่งเป็นใหญ่ เป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ เป็นเอก เป็นหลักของศาสนาพุทธว่าไปโน่นเลยนะ ถึงขนาดนั้น เป็นหลักใหญ่ยิ่งของศาสนาพุทธเลยอะไรไปโน่น ซึ่งมันก็เลยยิ่งหลงเพลิดกันไปต่างๆนานา ไม่หันเข้ามาสู่สัจจะที่เป็นโลกุตระ เรียนรู้จิต เจตสิก รูป แล้วก็ทำนิพพานให้แก่ตนเองได้ 

ถ้าเผื่อว่าทำนิพพานให้แก่ตนได้ ไม่ว่าจะเข้าใจผิด เข้าใจถูกอย่างไรก็แล้วแต่ เช่น อาตมา เข้าใจนิพพานเป็นอย่างนี้ ใครก็ตามถ้าเข้าใจมีทิฏฐิเช่นเดียวกันกับอาตมา มาปฏิบัติ มันก็ต้องมาเป็นอย่างที่อาตมาเป็น ถ้านิพพาน อีกอันหนึ่งเอาง่ายๆ ต่างกันกับของอาตมา เขาเข้าใจนิพพานต่างกันกับของอาตมา แล้วเขาก็ไปปฏิบัติอย่างที่เขาเข้าใจ มันต่างกัน 

เขาก็ต้องได้นิพพานแล้วเขายืนยันไหมว่าอันนั้นเป็นนิพพาน อธิบายได้ไหมว่านิพพานคืออย่างไร อธิบายมาเป็นภาษาไทย ภาษาคนภาษาง่ายๆ ให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ไหมว่า หมายถึงจิต เจตสิก อย่างไรที่มันเป็นนิพพาน มันมีลักษณะอย่างไร อธิบายกันยังไงเด็กๆชาวบ้านสามัญถ้ามันมีสภาวะจริง มันก็พออธิบายพอรู้ได้ 

โดยเฉพาะอยู่ร่วมกัน นิพพานคือไม่มี โลภ โกรธ หลง ไม่ไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข พวกคุณอยู่ด้วยกันก็จะรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มี นี่เป็นภาษาง่ายๆแต่ผู้ยังจมอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่ได้ออกมา ไม่ได้หลุดพ้น ยังจมอยู่แท้ๆแล้วจะบอกว่าฉันเป็นผู้รู้ศาสนาพุทธ 

อย่างพระพุทธเจ้าท่านออกมา ท่านเป็นผู้รู้จริง อาตมาก็อยู่ในโลกโน้น อาตมาก็ออกมา ก็ไม่ได้ไปเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีลาภยศสรรเสริญ มีแต่ถูกด่า สำหรับผู้ที่เข้าใจจริงเท่านั้นไม่ด่า แต่ยกย่องบูชาเคารพ และบูชาเคารพอย่างยกย่องเหนือเกล้า เหนือเศียรอย่างที่เขาพูดมา เขาไม่ได้เสแสร้ง ก็เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่เขามีความรู้ในจิตลึกๆเลยว่า สิ่งนี้ใช่ หายาก ยุคนี้ยิ่งหายาก เป็นสิ่งที่จะต้องบูชาเชิดชู มันเป็นเรื่องจริง เคารพอย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างแรงกล้า เชื่อถืออย่างแรงกล้า มันเป็นสัจจะของมัน 

คำว่า แรงกล้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องโลกุตรธรรม ไม่ใช่ว่ามันไม่มีสภาวะจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่รู้จักและรู้ว่านี่เป็นสัจธรรมได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังจากสัตบุรุษ ได้ฟังแล้วละอายที่ตัวเองเข้าใจผิดมา แล้วตัวเองก็เห็นว่าเป็นพหุสัจจะก็เคารพเลยศรัทธาเชื่อถือเลย อย่างแรงกล้า อย่างติพพังเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะจริงของจิตมนุษย์ จิตจริงของมนุษย์ แต่ผู้ไม่มีนั้น ดีไม่ดีตรงกันข้ามกันอีก มันก็เป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้น อัตตกิลมถะ ที่อาตมาอธิบาย โอฬาริกอัตตา แบบใหญ่ภายนอกที่นี่ก็เข้ามาภายในจิต มโนมยอัตตา คืออันเป็นตัวเองแล้วก็ยึดเป็นอัตตาของตัวเอง อธิบายการยึด การยึด พระพุทธเจ้าท่านแจกเป็น 4 อย่าง จริงๆ 4 อย่างนี้เป็นอัตตาหมด 

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262) 

อันที่ 4 นี้ยึดทั้ง 3 อันหมดเลยเต็มรอบ อาตมาก็เคยแปลแต่ยังไม่ถึงใจตัวเองสักที มันยึดเป็นอัตตาทั้งวาทะ แค่คำพูด วาทะนี่ คำพูดที่กล่าวว่ากาม คำพูดที่กล่าวว่าทิฏฐิ คำพูดที่กล่าวว่าเป็นข้อปฏิบัติหรือศีลพรต มันได้แต่เพียงภาษาคำพูดเท่านั้น 

เช่น มหาบัว ไม่รู้จักกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ติดยึดกินหมากปากแฉะตลอดเวลา ทั้งวัน ทุกวันจนตาย ก็ไม่รู้เรื่องกามคุณ 5 นี่แหละเป็นวาทะ ได้แต่เป็นวาทะเรื่องกาม มหาบัวได้เปรียญ3หรือ 4 นะ ก็ยึดติดตัวตนเป็นอัตตาอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจ

ไปมีทิฏฐิก็เป็นทิฏฐิแบบเดียรถีย์ เข้าใจทิศทางการปฏิบัติออกไปนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นพระป่าพระเถื่อน ไม่ได้อยู่ใน จรณะ 15 วิชชา 8 อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้สำรวมสังวร โภชเนมัตตัญญุตา กินหมากไม่มีโภชเนมัตตัญญุต ก็ไม่รู้เรื่อง 

ข้อปฏิบัติที่เป็นศีลพรต ออกป่าออกเขา ออกถ้ำเลย แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตอีก ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าสอนมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 โพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 ไม่ได้รู้เรื่องเลยศีลพรต

เพราะฉะนั้นนี่คือความเป็น อัตตา เอาละ ไม่เปล่าดาย ไปหลงติดยึดเป็นความรู้ แต่ทีนี้ไม่รู้เอาจริงๆเลย อันนี้มโนมยอัตตา

ตัวเอง มโนมยะ ยึดจิตที่โง่ๆของตัวเอง มโนมยะ ยึดหมดทั้งกาม ยึดหมดทั้งทิฏฐิ ยึดหมดทั้งศีลพรต อันนี้ไม่ใช่อัตตาวาทุปาทานทีเดียว

กาม ก็ไม่รู้ก็ยึดติด อย่างมหาบัวก็ติดกาม กินหมากกินพลูก็ไม่รู้ ทิฏฐิ ก็หยุดทิฐิตัวเองแรงด้วยนะ แล้วก็ปฏิบัติศีลพรต เพราะทิฏฐิผิด ศีลพรตก็พลอยผิดไปใหญ่ วิธีปฏิบัติศีลปฏิบัติพรต ออกนอกรีตหมดอย่างนี้เป็นต้น 

อาตมายกตัวอย่างเอาบุคคลมาอ้างอิงยืนยัน เพื่อจะบอกความจริงว่ามันเป็นความจริง ไม่ใช่อาตมาพูดลอยลมไม่มีตัวใครปฏิบัติ มีคนปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ แล้วมันก็ไม่ถูกต้องจริงๆ แล้วคนก็ไปยอมรับนับถือกัน อาตมาสงสาร อยากจะให้รู้ อยากจะให้เข้าใจ ขอบอกด้วยฉีกอกให้ดูเลย ว่าอาตมาไม่ได้เกลียด ไม่ได้ชังมหาบัว ไม่ได้เกลียดได้ชังผู้ที่อาตมาตำหนิ อาตมาพูดสัจธรรมที่เป็นการตำหนิ สงสารมหาบัว แต่อาตมาต้องพูดถึงธรรมะ อาตมาไม่ได้หมายถึงบุคคล แต่บุคคลคือมหาบัวนั่นแหละ ไปปฏิบัติธรรมะผิด มันก็ออกไม่ได้ อาตมาพูดธรรมะที่มันผิดของมหาบัว กล่าวลงไปชัดๆว่ามหาบัวผิดอย่างนี้ๆ ผิด มันจริงไหมล่ะที่อาตมาพูด มันจริงด้วยตามธรรมะ แล้วก็จริงด้วยที่บุคคลผิด แล้วก็มาหลอกให้คนอื่นไปหลงผิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง มันน่าสงสารศาสนาไหม ไปเข้าใจผิด ไปนับถือบุคคลผิดมาเป็นคนถูก ไอ๊หยา มันจะไม่ได้อะไร ชีวิตนี้คนที่ใฝ่ธรรมะมีเยอะนะ ที่ศรัทธานับถือเยอะ มันยิ่งน่าสงสารตรงนี้อีก 

_สู่แดนธรรม... ท่านมีเจตนาที่จะใช้ธรรมะวาทีเป็นอาวุธ เพื่อที่จะได้ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มหาบัวเข้ามาทางธรรมใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... อาตมานี้บอกไปหลายทีแล้ว อาตมาไม่ต้องการลูกศิษย์ ไม่ได้ต้องการบริวารอะไร แต่ทำความเห็นให้ถูก ทำความจริงให้ถูก ให้ได้รับเท่านั้นเอง ก็จะบอกว่า ก็เพื่อลูกศิษย์มหาบัวนั่นก็ถูก ให้ได้ฟังสิ่งที่ดีๆ ด้วยดี ฟังด้วยดีแล้วจะได้ปัญญา ว่าเราหลงผิดมาขนาดนี้เลยหรือนี่ ซึ่งมันเป็นความจริงที่มันแสดงความเสื่อมของศาสนาพุทธว่ามันเสื่อมจริงๆ พูดกันยากจริงๆเลย  อาตมาเห็นใจตัวเองด้วย ที่ว่าจะทำยังไงหนอถึงจะฉลาดกว่านี้ ถึงจะทำให้คนเข้าใจได้ง่ายกว่านี้ ทำให้คนเข้าใจได้เร็วกว่านี้ จะทำยังไง อาตมาก็หมดภูมิ มีเท่าไหร่ก็พยายามใช้ความเก่งกล้าสามารถของตัวเองเต็มที่ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยบอกไว้นานแล้วว่า พ่อท่านไม่มีวิธีอื่นนอกจากใช้ความจริง 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็ถูกอีก ไม่รู้จะทำไง ให้เขาเข้าใจด้วยตัวเอง ให้เกิดความรู้ เกิดปฏิภาณปัญญาว่าอย่างนี้ถูกนะ ฟังมาตั้งนานแล้วแล้วเคยด่าโพธิรักษ์ มาตั้งนานแล้ว นี่แหละถึงจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้า เข้าใจว่าโพธิรักษ์ มันบ้าๆบอๆมันผิดๆ มันเลอะเทอะมันจะมาทำลายศาสนาจริงๆ พอมาเข้าใจได้ว่าตายๆๆ นี่คือเนื้อแท้แก่นแท้ 

 

พ่อครูทำงานศาสนาพุทธมา 50 กว่าปี ได้ผลดีไม่มีล้มเหลว

เข้าหาสาระ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในพระสูตร(สู่แดนธรรมว่า มหาสาโรปมสูตร) ท่านบอกว่าศาสนานี้ ผู้ที่ต้องการแก่นแต่ไม่ได้แก่น ไปหลงอยู่แต่ใบดอกผล แม้แต่ศีลที่เป็นสะเก็ดของต้นไม้ก็ไม่ได้ …

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ  เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ  ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น  เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์ 

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้  เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่  เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่  ละเลยแก่น  ละเลยกระพี้  ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น. 

มหาสาโรปมสูตร  ล.12  ข.347 

ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ 

ขออภัยเถอะเขาเป็นน้ำเน่าหมักหมมอยู่อย่างนั้นจริงๆ อาตมาทุกวันนี้มากอบกู้ศาสนาพุทธ ที่มันเสื่อมไป ไม่ได้เป็นเจ้าของนะแต่อาตมาเป็นผู้ที่มากอบกู้จริงๆ พูดกับเหมือนมันใหญ่แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้แค่นี้แหละ ได้แค่ผู้ที่มาเข้าใจแล้วก็มาเห็นดีเห็นงามแล้วก็มาปฏิบัติตามก็ได้เท่าที่ได้ แล้วอาตมาก็ยังสบายใจ และภาคภูมิใจอยู่ว่าอาตมาทำงานมา 40-50 ปีแล้ว พูดถึงความตายของตัวเองไปอยู่ ว่า คงจะไม่นานไม่ช้าก็คงจะต้องตาย แล้วก็ได้ทำงานมา 

ล้มเหลวมั้ย.. อาตมาก็ภาคภูมิใจว่าไม่ล้มเหลว เพราะ อาตมาได้ทั้งเขียน ทั้งพูด ทั้งได้พากันปฏิบัติจนกระทั่งเกิดมรรคเกิดผล เกิดบรรลุธรรมอย่างแท้จริงมาเป็นสังคม สาราณียธรรม 6 มาเกิดสังคมที่มี ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ กันจริงๆ แล้วมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหมู่ของชาวพุทธที่แท้จริง ยืนยันได้ว่านี่คือชาวพุทธที่แท้จริง เป็นชาวพุทธที่เป็นอาริยะ เป็นชาวพุทธที่มีโลกุตรธรรม จึงอยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนธรรม ลาภที่ได้โดยธรรมก็เอาเข้ากองกลาง 

เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า หมู่สงฆ์ไปบิณฑบาตได้ลาภมาโดยธรรมก็เอาไปรวมกันกับกองกลางหมดเลย เพราะตอนนั้นทำได้แต่เฉพาะในวงสงฆ์ สาธารณโภคีในสมัยพระพุทธเจ้าทำได้เฉพาะในวงสงฆ์เพราะเป็นยุคทาส ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคที่ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน มันก็เลยทำไม่ได้ในฆราวาส แต่ยุคนี้มันทำได้ในฆราวาส 

พวกเราจึงเกิดหมู่กลุ่มที่มี สาราณียธรรม 6 ได้ลาภโดยธรรม แล้วก็อยู่รวมเป็นสังคม ต่างก็มีทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ยืนยันธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่า มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ 

นี่แหละ สาราณียธรรม 6 เป็นเรื่องจริง มันถึงสาธารณโภคี ได้ มันเป็นเรื่องบรรยายได้ว่า สาธารณโภคี ออกกฏบังคับหรือเปล่า ก็เปล่า มาโดยอิสระ มาด้วยจิตสมัครใจเองเลย เห็นสมควรมาก็มา จะมาจะไปอิสระสบายทุกอย่างเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยืนยันสัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่า ตราบที่มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ 

ไม่ใช่ภาษาพระพุทธเจ้าตรัสไว้เปล่าๆ ยุคนี้ก็มีพระอรหันต์แต่เขาไม่เชื่อว่าอย่างที่ชาวอโศกเป็นนี้คืออรหันต์ สรุปง่ายๆว่าอรหันต์ชาวอโศก เขาไม่เชื่อว่าเป็นอรหันต์ ต้องอรหันต์หลับตาอย่างใสหลับตา เขาเชื่อว่าเป็นอรหันต์ อรหันต์อย่างชาวอโศกนี้เขาไม่เชื่อ ..อย่างกับลิงนี่อรหันต์ชาวอโศกด่าเขาเป็นฝ่ายอีก จะอรหันต์อะไรวะ ไม่เชื่อ 

อรหันต์ต้องไม่พูดว่าใคร ต้องนิ่งๆเฉื่อยๆเรียบๆง่ายๆ เหาะได้ด้วย เหมือนอย่างพ่อของคุณจับใจว่ามา ต้องเหาะได้สิ แต่ตอนหลังก็ดีนะพ่อของจับใจก็อุตส่าห์มาที่นี่เลยแล้วก็มาตายที่นี่ เผาที่เฮือนสุดชีวิตเลย สุดท้ายก็สำเร็จได้ธรรมะ 

ภาพที่เห็นคือผู้ที่น่าสงสารทั้งนั้น อาตมาช่วยท่านไม่ได้เลยเพราะท่านเองท่านยึดมั่นถือมั่นครูบาอาจารย์ลัทธิที่ผิดๆ แล้วอาตมาก็ไม่ใช่ว่าคนจะเข้าใจได้ง่ายๆ 

จะพูดให้ชัดจริงๆอันนี้เป็นธรรมะ อาตมาไม่ได้ดูถูกนะ พวกท่านทั้งหลายที่ว่ามานี้ ท่านอยากได้อรหันต์ อยากได้ความสูงส่ง แต่ท่านน่าสงสารมากเลยที่ท่านเกิดผิดยุค เกิดก่อนอาตมาเกิด ท่านก็เลยไม่ได้ฟังสิ่งดี ท่านได้ฟังสิ่งผิดก็เลยหลงสิ่งผิดไป ก็เลยกู่ไม่กลับ เขาก็ยืนยันประกาศพระอรหันต์ในประเทศไทย อันนี้เฉพาะ 2562 รวบรวมกันอีกเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ มีอรหันต์อะไรต่ออะไรอีก เขาก็ประกาศเป็นทางการ อาตมาก็ประกาศเหมือนกันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ใครเป็นธรรมวาที ใครเป็นอธรรมวาทีก็ต้องศึกษากันนะ 

แต่ละผู้แต่ละคนที่ใฝ่ธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ก็ต้องตั้งอกตั้งใจติดตามเสาะหาใช้ปัญญาอันดี อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านแนะไว้ ขอให้ฟังความทั้งสองอย่างทั้ง 2 ทาง อย่าฟังความแต่ทางเดียว เพราะฉะนั้นถ้าไปปิดประตู ไม่ฟังธรรมะทางเรา ทางใด ทางหนึ่งบ้าง ฟังไปทางเดียว แน่นอนคุณก็รู้ทางเดียว คุณไม่มีทางที่จะรู้ทางที่สองได้หรือคุณฟังเหมือนกันแต่คุณฟังเหมือนน้ำชาเต็มถ้วย หรือคุณปิดฝาถ้วยเลยฟังแล้ว มันจะไปเข้าอะไร น้ำเทเข้าไปยังไงก็ไม่เข้า ต้องเปิดถ้วยแล้วเทน้ำชาที่อันเก่าออกแล้วฟังความ 2 อันเปรียบเทียบกันดีๆ อาตมาพาทำนั้นมี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แต่ท่านไม่มี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายกันเลย ศีลเป็นเบื้องต้นท่านไม่เอากันแล้ว

 

ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด

อาตมาเองสบายใจมาทำงานศาสนาพุทธ พอมาทำงานศาสนาเขาก็เริ่มต้นบอกว่า เอา วงการศาสนาพุทธนี่นะ ถ้าใครจะเอาศีลให้มาเอาที่อโศก ใครจะเอาสมาธิให้ไปเอาที่ธรรมกาย ใครจะเอาปัญญาให้ไปเอาที่สวนโมกข์ ท่านพุทธทาส 

อาตมาก็สบายใจที่เริ่มต้นทำงานศาสนา อาตมาเริ่มต้นถูกแล้ว แล้วอาตมาก็มาสอนสมาธิ สอนปัญญาไปเรื่อยๆ อาตมาก็ไม่ไปแย้งไม่ไปเถียงอะไรมากมายหรอกว่าอาตมาไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าพวกอาตมาไม่มีศีลแต่พวกนั้นเป็นพวกหัวกุดเพราะศีลนั้นเป็นหัว สมาธิปัญญาของเขาไม่มีหัว แล้วมันจะไปเป็นคนเต็มคนได้ยังไง คนหัวขาด มันไม่ได้ 

ศีลนี้ยิ่งใหญ่ ศาสนาอื่นใดๆไม่มีศาสนาที่มีศีลเป็นหัว เป็นหลักการเหมือนศาสนาพระพุทธเจ้าหรอก แล้วก็มีอิทัปปัจจยตา ศีลสมาธิปัญญา ปฏิบัติการอย่างเป็น จรณะ15 วิชชา 8 มันไม่มี 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่าศาสนาอื่นใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 ศาสนานั้นไม่มีสมณะ 4 เหล่า คำว่าสมณะ 4 เหล่านี้แหละคืออาริยกะหรืออาริยบุคคล เป็นคนเจริญจริงๆ เจริญอย่างปฏิโสตัง เจริญอย่างทวนกระแสโลกีย์ ไม่ใช่เจริญอย่างโลกีย์ที่รวยด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ใช่อีกแหละ ทวนว่ามีแต่หมด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หมดจริงๆ อย่างนี้ต่างหาก นี่คือสัจธรรมที่ยาก สัจธรรมที่มันเหมือนง่ายนะ ทวนกระแส ทำไมมันจะไม่เข้าใจคำว่าทวนกระแส ก็น่าจะเข้าใจนะ ทวนกระแส 

เอาง่ายๆ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นเบื้องต้น นี่เป็นเบื้องปลาย แต่คนไปศรัทธาปัญญามากกว่ามาศรัทธาศีลเพราะมันเป็นกลายเป็นยอด เขาเอายอดไม่เอาต้น เพราะฉะนั้นพวกที่จะเอา มันต้องเอาทั้ง 3 ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หรือเป็นพวกมุดเข้าป่าเข้าถ้ำ มันก็เลยไปใหญ่เลยใหญ่ แม้แต่พระป่าหรือพระบ้านก็เชื่อว่าสมาธิต้องหลับตาฌานก็ต้องนั่งหลับตา 

อาตมาก็ขอยืนยันว่าไม่มี ศาสนาพุทธของพุทธนั้นฌานวิสัยของพุทธเป็นอจินไตย ฌานวิสัยของพุทธไม่ได้หลับตา ไม่ได้เข้าฌานออกฌาน ฌานของพุทธไม่ต้องเข้าต้องออก ได้แล้วก็ได้เลย ได้แล้วก็ได้เลย 

_สู่แดนธรรม... ออกมาแล้ว ไม่ต้องเข้าอีก 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก ศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นคำว่า ฌานวิสัย เป็นอจินไตย อธิบายได้ยาก ฌานมีมากมายในศาสนา คำว่าฌาน เป็นของเก่าของแก่ เสร็จแล้วมันผิดเพี้ยนไปไกล พระพุทธเจ้าก็ดึงกลับมาได้ยากอยู่ ยิ่งโพธิรักษ์ยิ่งจะดึงยากใหญ่ ดึงมาเป็น ฌานพุทธ

ฌานพุทธ เกิดจากการมีศีลเป็นหลักแล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติจึงจะเกิด สัทธรรม 7 แล้วเกิดฌาน และมีวิชชา ไปร่วมให้เกิดการเจริญ เกิดการพัฒนาเป็นมรรคเป็นผล 

ไม่มีไปนั่งหลับตาอะไร ไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปเต๊ะท่าอย่างโน้นอย่างนี้ ทำฌาน ทำสมาธิ ไม่ต้อง สมาธิต้องนั่ง ฌานก็ต้องนั่ง แล้วก็ต้องหลับ หลับตา ไม่ต้อง หาที่สงบหน่อยไม่ต้อง ฌาน สมาธิ ก็ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ในจรณะ 15 นี้แหละ 

ปฏิบัติจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้านี่แหละ มันเสื่อมไปไกลจนกระทั่งว่าปฏิบัติจรณะ 15 เกิดฌาน เกิดสมาธิ ใครเขาสอนกันวะ 

มีที่ไหน ดีนะว่า ยังมีในพระไตรปิฎกยังยืนยันยังเอาออกมาพูดได้ คำว่าฌาน 1 2 3 4 ยังอยู่ในจรณะ 15 ยังดีนะ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาหัวขาดเลย เขาตายจะบอกว่าเอาอะไรมาพูด ยังดีมีหลักฐานของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่งั้นหมดท่าเลย แล้วคำว่าฌาน ก็ไปอยู่ในข้อที่ 12 13 14 15 ของจรณะ 15 ไปอยู่ตอนปลายด้วย มันก็เลยยิ่งไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่ค่อยจะเชื่อว่า ฌาน มีด้วยเหรอที่เกิดจากการมามีศีล ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเกิดค่อยๆลดละกิเลสลงไป จึงจะเกิดการรู้เรียกว่าศรัทธา ถึงจะเกิดการเห็นเรียกว่าศรัทธา จึงจะเกิดการเชื่อว่า อ๋อ ปฏิบัติศีล และ อปัณณกปฏิปทา 3 ถึงจะเกิดการรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดได้ อ๋อ รู้กิเลส ลดกิเลสอย่างนี้หรือ 

แต่ก่อนไปนั่งหลับตาเอานะ ปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตา ทำสมาธิ ทำฌาน อ้อให้มาเรียนรู้ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 อย่างนี้หรือ แต่ก่อนไม่ได้เห็นอย่างนี้เลย ไม่ได้เชื่อ ไม่ได้ศรัทธาอย่างนี้เลย ศรัทธาเพราะการนั่งหลับตาเอาได้ ฌาน สมาธิวิมุตต้องมาปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละหลักการปฏิบัติใหญ่ที่ไม่ผิดอย่างนี้หรือ 

แต่ก่อนไปว่าที่โพธิรักษ์เอาแต่ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 นะ โพธิรักษ์มาสอนอย่างนี้นะแล้วไปว่าโพธิรักษ์เสียย่ำแย่เลย ตายๆๆ อาย หิริ อาย กว่าจะหิริ นี่ต้องเกิด ศรัทธาจริงๆต้องเชื่อว่าตัวเองเชื่อมาผิด ลบหลู่ผู้ที่ถูกเป็นผิด ลบหลู่ดูถูก ปรามาส บริภาษด้วย บริภาษแปลว่าด่า มันก็ละอายที่ไปว่าผู้ที่ถูก 

หรือยิ่งโอตตัปปะเกรงกลัวอย่างแรงกล้า อันนี้จึงเรียกว่าเป็น สัทธรรม ธรรมะอันดี เจริญ โอตตัปปะ 

ผู้ที่ระลึกได้ รู้ตัว เข้าใจถูกว่าตัวเองผิด หิริด้วย โอตตัปปะด้วยจึงเข้าสู่พหูสูตรหรือพาหุสัจจะ จึงเข้าสู่ว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้หรือเราเข้าใจผิดมานะ จึงได้เริ่มต้นแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เมื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเองขึ้นจึงเจริญด้วยวิริยะสติปัญญา จึงได้เพียรปฏิบัติตามทิศทางที่เข้าใจใหม่ เข้าใจถูกแล้วแต่ก่อนนี้เข้าใจผิด ก็เลยต้องมาเปลี่ยนใหม่ วิริยะใหม่ ตั้งสติใหม่ 

สติที่เขาปฏิบัติกัน เขาเอาสติไปปฏิบัติกันอยู่ในหลับตา สติให้ตื่นเต็ม ลืมตาไม่ได้รู้เรื่อง ชาคริยานุโยคะ ไม่ได้สังวร สังวรบ้างก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นปัญญามันเกิดไม่ได้เลย เพราะมันไม่มีศีล ไม่มีอปัณณกปฏิปทา 3 ปัญญาจะเกิดไม่ได้ ไปหลับตาซะอย่างเดียว ไม่กินไม่อยู่ โภชเนมัตตัญญุตา ไม่มี สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มี ตื่นก็ไม่ตื่นไม่ครบ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีสักอย่างเลย ศีลก็ไม่มี 

หัวไม่มี เรียกว่าพวกผีหัวขาด เป็นคนพิการไม่มีหัว ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่แหละคือศาสนาพุทธ 

ส่วนการจะเกิดศรัทธา เกิดหิริโอตตัปปะ เกิดพหุสัจจะ เกิดวิริยะเกิดสติ เกิดปัญญานั้น มันเป็นผลเนื่องมาจากศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 มันไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเอาเลย 

เพราะฉะนั้นหัวก็ไม่ได้ หางหรือว่า ฌาน 1 2 3 4 มันก็ไม่ได้ หัวก็ไม่ได้ หางก็ไม่ได้ ผีหัวขาด ขาก็ขาดอีก กลายเป็นผีหัวขาดทั้งหัวทั้งหาง น่าสงสารศาสนาพุทธแบบนี้ 

_สู่แดนธรรม... อาจารย์ของผมบอกว่าท่านนั่งภาวนาสมาธิแล้ว ศีล มันก็บริสุทธิ์ในตัวเองครับ พ่อท่านบอกว่าองค์ประกอบในการมีศีลต้องมีเหตุปัจจัย 

พ่อครูว่า... อาตมาได้มารื้อฟื้นเอาธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะ เอาคืนมา อาตมาก็ต้องพยายามรื้อคืนมาจริงๆ ใครจะเชื่อมันก็บังคับกันไม่ได้ ใครจะไม่เชื่อ มันก็ไปบังคับเขาไม่ได้เหมือนกัน ผู้ที่จะเชื่อก็เชื่อด้วยตัวเอง ต้องฟังด้วยตัวเอง ตัดสินด้วยตัวเอง วินิจฉัยด้วยตัวเองว่าอย่างนี้ใช่ คุณก็ต้องวินิจฉัยเอง 

แล้วยิ่งอาตมาไม่ได้ไปหว่านล้อม ไม่ได้ไปหาบริวาร ไม่ได้ไปหาโฆษณาทำพิธีการอะไรต่างๆเพื่อจะให้มาเชื่อ ให้มานับถือ ไม่ทำเด็ดขาด อาตมาไม่ทำเลย มันไม่กล้ามันอาย จะไปทำอย่างนั้น ก็พูดแต่ความจริง มันก็เลยแข็ง เขาก็เลยรู้สึกว่าไอ้นี่มันไม่เอาใจ มันไม่ปะเหลาะ มันไม่โฆษณาตัวเองเลย อาตมาพูดนี่ไม่ได้โฆษณาตัวเองนะ ที่บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาไม่ได้พูดเพื่อโฆษณาตัวเองนะ 

คนที่โฆษณาตัวเองนั้น เขาจะมีลักษณะปะเหลาะ ลักษณะประเล้าประโลม โฆษณาจะต้องมีสิ่งที่ให้เขาสนใจ อาตมาใครจะสนใจไม่สนใจก็ศีรษะใครศีรษะมัน ใครจะสนใจไม่สนใจ ใครจะไปบังคับกันได้ก็ตัวใครตัวมัน ก็ช่างใครก็ช่างใคร อาตมาไม่ได้ว่าช่างหัวใครนะ ต้องระมัดระวังภาษาคำพูดบางทีจะพูดไม่เพราะ อาตมาพูดเพราะอยู่ ก็รู้อยู่ว่าพูดไม่เพราะมันเป็นยังไงแต่ว่าอาตมาไม่พูด แต่มันแข็งมันดูตรง มันดูเปรี้ยงเปรี้ยงๆเท่านั้นเอง 

เอาล่ะอาตมาว่าจะพยายามพูดให้ถึง 20:00 น ตอนนี้มันฝนตก สำหรับวันนี้ก็ได้ว่ามาถึง 19:52 น แล้ว 

ก็ขอสรุปลงไปอีกนิดหนึ่งว่าอาตมาจะยังทำงานอยู่อีก ยังไม่ยอมตาย มีคนอนุโมทนาสาธุ แต่อย่านึกว่าอาตมาสามารถที่จะลากขันธ์ไปได้เองง่ายๆ ที่จะต้องเป็นไปตามวาจาศักดิ์ที่จะไม่ตายนะอาตมาไม่ได้เป็นคนเก่งกาจถึงขนาดนั้น อาตมาตายไปจะไม่รู้ตัวต้องระวัง ต้องฟังเพลงของนายโอ๋ ที่เขาแต่งว่า จะรอให้พ่อตายไปแล้วหรือ เพลงหรือจะรอให้พ่อสิ้น คำร้องเป็นของท่านเด่นตะวัน จะรอให้พ่อท่านตายก่อนหรือ 

อันนี้จริงนะ อาตมาก็ว่า อย่าทำเป็นเล่นไป อย่างน้อยไม่เข้ามาก็ใส่ใจฟังธรรม พยายามบ้าง แม้อาตมาเองจะอธิบายธรรมะ ที่มันสูง มันละเอียด มันลึกซึ้งขึ้นฟังยากก็ตาม แต่อาตมาจำเป็นที่จะต้องทำ ก็มีพวกเราที่ย่อยที่ทำให้เป็นระดับต้นๆระดับกลางเชื่อมโยงกันอยู่มี แม้แต่ฆราวาสด้วยกัน ก็พูดตามประสาฆราวาสด้วยกันก็มี 

แต่แน่นอนมันเป็นโลกุตรธรรมทั้งนั้นในพวกเราที่พูดกัน มันจึงยากที่จะเข้าใจ มันไม่ใช่เป็นโลกียะที่เป็นการปะเหลาะเอาลาภยศ ทุกวันนี้อาตมาสงสารศาสนาพุทธที่ทำทานกันก็มีแต่กิเลส ไปปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมก็มีแต่กิเลส ไม่ใช่ใส่ความนะ มีแต่กิเลสมีแต่เสริมกิเลส 

ยกตัวอย่างง่ายๆการทำทาน ทำทาน ก็จะต้องไม่ทำใจของเราเองให้อยากได้ ทานแปลว่าให้ แต่กลับไปเอา เขาใช้ภาษาคำว่าบุญไปเอาบุญ ซึ่งมันก็ผิดไปไกลเลยที่จริงแล้วบุญไม่ใช่ของเอา บุญนี้ต้องเอาออกจากตัว เราไม่ต้องใช้บุญ บุญนี้มันไม่มีหรอกที่จริงมันจะต้องพัฒนาขึ้นมาให้อภิสังขารขึ้นมาให้เป็น ปุญญาภิสังขาร ต้องทำใจในใจให้เป็นอาวุธที่ฆ่ากิเลสเป็นพลังงาน ฌาน เป็นพลังงานบุญ 

ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นกันแล้ว ผู้รู้ไม่มีกันแล้ว ฌานก็ไม่ได้เป็นพลังงานไฟที่จะไปเผากิเลส บุญก็ไม่ใช่พลังงานไฟที่จะไปเผากิเลส ไม่ได้เป็นเลย หรือจะเป็นอาวุธตัดคอกิเลสก็ไม่ได้เป็นเลย บุญเขาแปลแต่ว่าอยากได้อยากได้อยากได้ เห็นไหมว่า คุณศึกษาธรรมะคุณหอบเอาแต่กิเลสมาให้แก่ตัว ทั้งๆที่พยัญชนะบอกให้คุณปฏิบัติอย่างหนึ่ง คุณก็ไปเอาพยัญชนะนั้นที่ให้ปฏิบัติอย่างหนึ่งเอามาเป็นของตัวอีก ทานให้ๆ ก็ไม่ให้เอา บุญให้ละกิเลสไม่ได้เอากิเลสมา

อาตมาสุดสงสาร แต่อาตมามีหน้าที่เป็นโพธิสัตว์ถึงขั้นนี้แล้วอาตมาจึงจำเป็นต้องทำ มันต้องทำเพราะอาตมาไม่มีอะไรอื่น อาตมายืนยันตั้งแต่มีชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอดกาลมาแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงหนักหนาสาหัสอย่างไรก็สู้ ๆๆ เอา ไม่ต้องถึง 20:00 น ก็ได้ ฝนก็ตกไป อาตมาก็พยายามจะว่าไป 

_สู่แดนธรรม... มีคนอาราธนาให้พ่อท่านอายุยืนยาวต่อไปครับ 

พ่อครูว่า... อาตมาพยายามตั้งใจจริงๆ จะพยายามลากขันไปให้อายุ 100 ปีอย่างน้อย มันจะสมใจ มันจะเป็นอย่างไร อาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมาขันธ์ของอาตมาถึง 72 ปีอาตมาลากไปถึง 90 ปีนี้ก็ จริงๆนะ มันมากแล้ว เอาละพอทีสำหรับวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ก็แล้วกันเจริญธรรมทุกคน

_สู่แดนธรรม… สรุปจบ  

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #34 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำเดือน 8 คนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2566 ( 05:30:32 )

660807

รายละเอียด

660807 ที่สุดแห่งที่สุดที่จะเกื้อกูลโลกได้คือโลกุตรธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #35 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53230.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1UE6flwtt5zG2ipUEtTxHpuvAizku4ZHb/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true           

                                                                                                                

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/135k1-WkDADjspDUEO4kx_OlARZG09lHD/view?usp=sharing  

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660807-e27r5po 

 

ดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/1VgzlPPQIJw 

และ https://fb.watch/mgFZXSYnB_/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ไปเรื่อยๆเวลาไม่เคยหยุด อาตมาเคยพูดว่า พระเจ้านี่นะ ถ้าแน่จริงหยุดเวลาให้หน่อยเถอะ พระเจ้าเก่งจริงหยุดเวลาสัก 5 วินาทีก็ได้ ลองหยุดดูซิ หยุดได้ไหม ถ้าพระเจ้าสามารถหยุดเวลาได้ ไม่ให้เวลาเดินไป ยิ่งหยุดได้เป็นชั่วโมงเลย หมายความว่าโลกนี้ชะงักหมดเลยโลกหยุดหมุน เวลาไม่เคลื่อนเลย ถ้าพระเจ้าทำได้พระเจ้าก็เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งจริงเลย เอาล่ะพูดไปจะหาว่าเราไปท้าตีท้าต่อยอะไร 

นั่นมันเป็นเรื่องสัจธรรม ทางด้านโน้นเขาเข้าใจอย่างนั้นซึ่งยังเป็นเรื่องลึกลับ ยังเป็นเรื่องที่คิดว่ามันเป็นเช่นนั้น ซึ่งมันเป็นไปได้ยาก เพราะว่าเขายังมีตัวตน ก็เลยนึกว่าตัวตนนี้ยิ่งใหญ่กว่าอะไรหมด แต่แท้จริงตัวตนไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าตัวตน 

SMS วันที่ 4 – 6 ส.ค. 2566

 

_Araya Sripairoj อารยา ศรีไพโรจน์  · ฉากบัวในรายการวาไรตี้บุญนิยม ที่อยู่ด้านหลังท่านบสมณะบินบน งดงามยิ่งค่ะ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #35 ที่สุดแห่งที่สุดที่จะเกื้อกูลโลกได้คือโลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 21:09:23 )

660811

รายละเอียด

660811 ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1U4mK2-AN4cTQIhAL6B9h2JoABg-eNQ8T/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1eYLjcztBawVeZKdGLlx-klDmkKbASFuv/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660811-e280cof 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/oCYwF-6WTYY 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/154323384315185/ 

 

ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้พ่อครูได้ลงมาจากชั้นดุสิต มาสู่มนุษยชาติชั้นล่างเพราะว่าสุขภาพดีขึ้น (มาเทศน์ที่ชั้น 4) ที่นี่เรามีจัดงานวันแม่ พรุ่งนี้จะมีทำวัตรเช้าตั้งแต่ 5:00 น แล้วก็มีการใส่บาตร มีพิธีบูชาบุพการีในช่วงสาย ภาคบ่ายมีประชุมผู้ปกครอง รายการภาคค่ำมีการแสดงของเด็กนักเรียน แค่ได้ยินเสียงเด็กๆซ้อมโปงลางกัน คงมีแต่ประเทศไทยที่มีพิธีกราบแม่ เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจของผู้ที่ได้รับรู้ 

พ่อครูว่า... ทางเอเชียเรามีอยู่หลายประเทศอยู่นะที่กราบเคารพแม่ โดยเฉพาะแม่นี้ มันซาบซึ้งกว่ากัน มันจะนัวเนีย ส่วนพ่อจะไม่นัวเนียเท่าไหร่ ทางเอเชียก็คงมีอยู่บ้าง แต่ทางยุโรป ทางตะวันตกเขา เท่าที่เห็น เท่าที่รู้เขาจะกอดกัน เท่านั้น จะไม่มีวัฒนธรรมที่มีการกราบ ซึ่งมันแสดงออกถึงการคารโว เคารพนับถือซาบซึ้ง วัฒนธรรมพวกนี้มาตั้งแต่อินเดีย แต่อินเดียมันลดลง มันกระด้าง มันชินชา อินเดียจะมีเอามือไปแตะเท้า แต่ทีนี้มันนานเข้า มันชินชาก็เลยลดลง แต่ไทยเรามีสภาพอยู่ดี และก็รู้สึกว่าจะพยายามพัฒนาขึ้นส่งเสริมขึ้น เรียกว่า ชวนนิยม ชวนกันมานิยม 

สมณะฟ้าไท... เท่าที่คุยกับแม่เขา แม่ที่อยู่ข้างนอก บางคนบอกว่าลูกจบไปแล้วคนหนึ่ง อยู่บ้านไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาอยู่วัด เขาบอกว่าอยู่วัดดีแล้วเพราะที่บ้านมีน้ำกระท่อมขายเยอะมากเลย ลูกดิฉันมาอยู่ที่นี่ดีมาก ข้างนอกน่ากลัวในสังคมอันตราย เด็กๆไม่น่าอยู่ด้วยประการทั้งปวง แม่เขาบอกว่าถ้าอยู่ที่นี่เลยก็ดี ไม่ว่าอะไร 

ส่วนแม่อีกคนหนึ่งก็พาลูกมาอยู่ที่นี่เลย มีลูก 3 คน ปีที่แล้วลูกเขาจะไปเรียนข้างนอก ตอนจบ ม.3 ก็บอกว่า ไปข้างนอกแม่ก็ไม่มีตังค์เพราะว่าแม่มาทำงานฟรีอยู่ที่นี่ พ่อกับยายก็ไม่มีตังค์ให้ ก็เลยให้ลูกอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน มันจนก็เลยให้ลูกไปอยู่ที่นี่เป็นไฟท์บังคับ ลูกก็นิสัยดีขึ้น แต่ก่อนเข้ากันไม่ได้เลย เช้ามืดก็ไปทำงาน เย็นก็กลับมาหุงหาอาหาร กินข้าวเสร็จ 3 ทุ่ม ก็เข้านอน เช้าก็ไปตัวใครตัวมัน อยู่ที่นี่ก็ได้คุยกับลูกบ้างมีอะไรก็เล่าให้ฟัง เขาบอกว่าอยู่ที่นี่ทำให้ลูกเขานิสัยดี เข้ากับลูกได้ดีขึ้นสนิทสนมกัน ความจนของเขาทำให้ลูกไปไหนไม่ได้ อยู่ที่นี่ทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นด้วย สรุปว่าแม่จนดีกว่าแม่รวย แต่ก่อนดิฉันก็อยากรวย 

พ่อครูว่า... อันนี้จริงนะ พ่อแม่จนนี้ดีกว่าพ่อแม่รวย นอกจากนิสัยมันมาจากสันดานของเด็กที่ไม่ดี เป็นเชื้อเก่าของเขาแรง อันนั้นก็จริง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มีเชื้อเก่าที่มันเลวร้ายแรงมาเก่า เหตุปัจจัยองค์ประกอบในปัจจุบันธรรม มันมีฤทธิ์มากกว่า มันเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไรได้มากที่สุดในปัจจุบันนี้แหละ มันเป็นองค์ประกอบด้วยเหตุแวดล้อมต่างๆ ช่วยได้ ยิ่งอยู่ในหมู่ 

อย่างพวกเราอยู่ในหมู่คนจนกัน ต่างคนต่างไม่ฟุ้งเฟ้อ เป็นใจจริง เราเข้าใจจริงๆด้วยว่ามันไม่แปลกอะไร มาจนจริงๆ ไม่ต้องมีเงินเลย อยู่กับที่นี่ ถ้าจะใช้จำเป็น เราก็มีกองกลางเบิกเอาไปใช้ยามจำเป็น เหลือก็เอามาคืน ใช้หมดไม่พอก็ขอเบิกอีกอะไรต่ออะไรไป ซึ่งมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงใจ มันเป็นความจริงๆ เป็นความจริงจัง มันเป็นความจริงโว้ย 

สมณะฟ้าไท... อย่างพ่อครูพามาถูกแล้วพาพวกเรามาจน เพราะมันแก้ปัญหาสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่ทำให้คนต้องดี มันจะอยากเลว มันยังไปไม่ได้เลย มันต้องบังคับให้ดีให้ได้ 

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีนี้นะ พระพุทธเจ้าค้นพบมาแล้ว ในวรรณะ 9 มันชัดเจนที่สุดเลยนะ ตัว อัปปิจฉะ ที่อาตมามาแปลชัดๆว่า กล้าจน ก็คือมักน้อย ความมักน้อยเอาแต่น้อยๆ มีแต่น้อยๆ มีมากๆไม่เอา มีมากๆก็สะพัดออก เอาเท่านี้ก็พอมีน้อยๆ แล้วมีกำกับด้วยคำว่า อปจยะ ไม่สะสมเลย แล้วมันก็มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เป็น สาธารณโภคี มันก็จบ ทฤษฎีนี้จบ มีทั้งเหตุปัจจัยแวดล้อมหลักธรรมตามธรรมะพระพุทธเจ้าครบครันสมบูรณ์เลย 

แล้วมันก็พิสูจน์ได้ยืนยันได้ อย่างพวกเรามาปฏิบัติจริงยืนยัน คนที่มีจิตวิญญาณที่เข้าเกณฑ์ของธรรมะพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกคำๆๆ มันจะชัด เมื่อยิ่งมีหมู่กลุ่มที่ต่างคนต่างประพฤติกันคนละมาก คนละน้อย คนละสมบูรณ์ มีคนที่สมบูรณ์แบบกันเยอะๆเป็นตัวอย่าง มันไม่มีคำพูดที่จะอธิบายว่า นี่คือความจริงที่จริงที่สุด 

สมณะฟ้าไท... งั้นพ่อครูก็เทศน์ต่อเลยครับ 

พ่อครูว่า... เยอะนะ จะยักไว้ก่อนดีไหม ขอวันนี้วันแม่ ที่อาตมาคิดว่ามันน่าจะพูดเข้ากับ กาละเทศะของมัน มันเป็นเหตุปัจจัยทำให้เร้าใจให้คนสนใจเพิ่มขึ้น ในเรื่อง คำว่า แม่ 

เมื่อกี้นี้เกริ่นไปแล้ว หน่อยหนึ่งว่า แม่คือ ผู้ให้กำเนิด แม้แต่ในพฤติการณ์ของความเป็นจริงของแม่ เมื่อให้กำเนิดแล้วก็เพาะเลี้ยงไว้ในท้อง อุ้มท้องมา 8 เดือน 9 เดือน อุ้มมา แล้วก็คลอด ไม่ใช่ว่ามันธรรมดานะ เจ็บปวด อาตมาไม่เคยคลอดลูกแต่ก็เห็นเขาคลอด 

แต่แม่อาตมามีลูก 10 คน เสียไปแล้ว 3 ตายไป 3 ตายไปตั้งแต่เล็กๆ ตายแต่เล็กที่สุดก็คือคนสุดท้องเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย ส่วนอีก 2 คนนั้น คนหนึ่งโตแล้วอายุ 2-3 ขวบค่อยตายเป็นผู้ชาย อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง จำไม่ได้แล้วว่ากี่ขวบประมาณไม่ถึง 2 ขวบ คนหนึ่งเป็นพี่ของบัวบูชาเป็นผู้ชาย อีกคนที่เป็นผู้หญิงนี้เป็นน้องของบัวบูชา บัวบูชาเลยเป็นคนกลาง เขาเรียกว่าเป็นคนกลางผี พี่ชายตายน้องสาวตาย เป็นคนกลางผี เสียไป 3 คน ลูกของแม่ก็เหลือ 7 อาตมาเป็นพี่คนโต 

แล้วแม่อาตมาเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 42 ปี พ่อก็กินแต่เหล้า ก็เลยเป็นหน้าที่อาตมาต้องดูแลน้องๆหมด เอามาเลี้ยงตอนเข้ากรุงเทพฯอายุ 15 แล้วก็เรียนจนกระทั่งจบ อาตมายังไม่จบดีเท่าไหร่ น้องเขาก็มาแล้ว ก็ต้องค่อยๆว่ากันไป น้องผู้ชายคนโตไม่ได้เลี้ยงเขาเท่าไหร่หรอก ผู้ชายคนรองอาตมา ก็คือนายป้อม หรือนายชาติ รักพงษ์ เขาก็ไปละหกระเหินของเขาตามเรื่องตามราวกว่าจะกลับมา อยู่กับอาตมาตอนท้าย เสร็จแล้วก็ไปอยู่เอง ไปบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวในป่าองค์เดียวไป จนกระทั่งเสียชีวิต 

น้องสาวก็เลยเป็นพี่คนโตนอกจากอาตมา ยิ่งอาตมาออกมาบวชแล้วน้องสาวคนโตคือกิ่งรักก็เลยเป็นพี่คนโตดูแลกันไปช่วยกันไป แล้วพวกเราก็ช่วยเหลือตัวเองกันได้ ไม่มีปัญหาอะไรมาก 

สรุปแล้วอาตมาก็มาตามบารมี มีกุศลวิบากมา ไม่มีน้องเกเร น้อง ไม่มีใครเกเรสักคน เรียบร้อยดีทุกคน น้องชายคนโตไม่ได้เรียนมากแต่เขาฝึกฝนของเขาเอง เขาบอกว่าจะสร้างเรือรบ เขาก็จะสร้างให้ จะเอาไหมล่ะจะสร้างให้ เขาเคยพูดกับอาตมา ให้ทำอะไรทำได้หมด 

เพราะฉะนั้นเขาก็ไปอยู่ของเขา ไปเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในโน้นคนเดียว ทำหมดชาวบ้านชาวช่องอะไรให้เขาทำนู่นทำนี่คือเป็นสารพัดช่างทำได้ทุกอย่าง ทำงานช่วยเขาไป   เพราะฉะนั้นเป็นที่รักของคนอื่น เขาอยู่คนเดียวไม่มีปัญหาอะไรเลย อยู่คนเดียวแล้วประกาศตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่อวดตัวตนอะไรมากมายประกาศเล็กๆน้อยๆ 

จนทางการเขาจับไป ก็ยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้า ยืนยันกับศาล ยืนยันกับผู้พิพากษาว่าเป็นพระพุทธเจ้า ผู้พิพากษาก็บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ใครตั้งให้เป็นพระพุทธเจ้า เขาก็ตอบว่าแล้วพระพุทธเจ้าล่ะใครตั้งท่าน ผู้พิพากษาตกเก้าอี้เลย จบปล่อย ปล่อยเลย เขาก็ย้อนให้ 

เพราะแม้มาเป็นพระก็ไม่ได้ทำเสียหายอะไรและอยู่คนเดียวไม่ได้เป็นผีบุญ ไม่ได้ตั้งก๊ก ตั้งเหล่าหรือไปขัดแย้งกับหมู่ใหญ่เหมือนอาตมา ก็ไม่มีปัญหาอยู่จนรอดตอนเสียก็อายุ 80 กว่า นอกนั้นก็อยู่กันดี 

แม่เสียไปแล้ว พ่อก็ไม่ได้เลี้ยง อาตมาก็เลยกลายเป็นแม่เลี้ยงดูน้องๆ แม่คือผู้เลี้ยงดู ส่วนพ่อเป็นเป็นต้นธาตุต้นธรรม ส่วนแม่นั้นคือผู้ให้กำเนิด ถ้าบอกว่าพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นแม่ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ คนหนึ่งเป็นแม่เลี้ยง อีกคนหนึ่งเป็นแม่นม ลองทายดูสิคนไหนเป็นแม่นม คนไหนเป็นแม่เลี้ยง 

พระโมคคัลลานะเป็นแม่นม พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยงไว้สอน จริงๆโดยจริงท่านไม่ได้เป็นแม่ ท่านเป็นผู้ชาย  ท่านเป็นภิกษุ แต่ความเป็นแม่อยู่ที่ หน้าที่ พฤติกรรม ของคนนี่แหละ 

เพราะฉะนั้นความเป็นแม่ในสัมมาทิฏฐิ 10 ปิตา มาตา จึงไม่ได้หมายความว่า ตัวตนบุคคลผู้หญิงเป็นแม่ ผู้ชายเป็นพ่อ ไม่ใช่ อาตมาเคยอธิบายจนกระทั่งว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นแม่ อย่างนี้เป็นต้น หรือโพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ มรรคมีองค์ 8 เป็นแม่ อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คือธรรมะที่เราจะต้องถึงขั้นธรรมในธรรม ไม่ติดอยู่แค่ตัวตนบุคคลเราเขา 

เช่น มีโวหารที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า พระสารีบุตรนี่ ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าที่เทศน์โปรดมารดาอยู่บนดาวดึงส์ ใครเคยได้ยินบ้าง พระสารีบุตรอยู่ตีนเขาแล้วก็ได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดมารดาในดาวดึงส์ ความหมายก็คือ พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพระมารดา เทศน์ โปรดแม่ว่างั้นเถอะ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมในธรรมที่ลึกซึ้ง 

จริงๆแล้วคำว่า เทศน์โปรดมารดานั้นคือพระพุทธเจ้า ไปเทศน์ที่ไหน เทศน์เมื่อไหร่ เป็นคำสอนออกมาแล้ว พระสารีบุตรจะพยายามรับให้ได้ยิน ท่านนั่งฟังธรรมอยู่ตีนภูเขา ตั้งใจฟัง แสดงว่าจะต้องพยายามเอาสาระ แม้แต่ในภาษาชื่อของพระสารีบุตรก็คือ บุตรที่เอาสาระ คั้นเอาแก่นสาระสารีปุตโต จะต้องฟังธรรมแล้วคัดกรองคัดเฟ้น แทงทะลุเอาแก่นสาระให้ถึงแก่นให้ได้ นี่คือความหมายลึกซึ้งของ สารีปุตโต

แล้วก็ได้จากที่พระพุทธเจ้าเทศน์ การเกิดขึ้นคือการเกิดธรรมะ ไม่ใช่การเกิดของตัวตนบุคคลเราเขา เป็นการเกิดของธรรมะ การเกิดทางจิตเรียกว่า โอปปาติกโยนิ 

เพราะฉะนั้นในสัมมาทิฏฐิ 10 ลองทวนดูซิ

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) 

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง)

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 

3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) 

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  

(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)  

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) 

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) 

9.   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) 

10.  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย  อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257) 

ข้อที่ 10 มีคำที่ระบุชัดว่าผู้ที่จะเข้าใจโลกนี้โลกหน้าจะต้องเป็นขั้น สยังอภิญญา

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเองในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา  เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)   โลกยุคไหนก็ตามถ้าไม่มีคนเช่นนี้ ไม่มีสยังอภิญญา ไม่มีสัตบุรุษก็ไม่มีหลักประกัน ไม่มีสิ่งยืนยันตามคำตรัสพระพุทธเจ้าที่ว่า ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมหรือที่จะอธิบายโลกนี้โลกหน้า 

โลกนี้โลกหน้าคือ แยกโลกนี้คือโลกียะ โลกหน้าโลกใหม่ โลกที่เป็นโลกุตระ โลกอื่นโลกใหม่ โลกที่มันยังไม่เคยมี 

อย่างในเทวนิยมหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้า เขาไม่มีโลกหน้า ไม่มีโลกุตรธรรม เขามีแต่โลกียธรรม

โลกียธรรมคือธรรมะที่อยู่ในโลกที่หมุนวนอยู่ในโลกียะธรรมดา อยู่ในอะไรก็มีสุข แล้วก็มีสุขกับทุกข์ มันเป็นของคู่กัน เขาแยกกันไม่ออก เขาก็ได้แต่หาวิธีหนีสุข หนีทุกข์ มาเอาแต่เสพสุข แล้วก็มีวิธีหนีทุกข์สารพัดต่างๆนานาแต่ละศาสดาที่ค้นพบ ก็หาวิธีกันไป จนกลายเป็นถึงขั้น 

อย่างเชนหนีไม่เอาเลย จนกระทั่งไม่เอาอะไรสักอย่าง เปลือยเปล่าตัวล่อนจ้อน มีแต่ภาชนะ 1 ใบสำหรับใส่อาหารกิน ดีนะไม่เลียเอา ยังมีภาชนะ 1 อัน นอกนั้นไม่เอาอะไรเลย สุดโต่งไปจนสุดยอดเลย 

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งพวก กาม สุดโต่ง จะต้องเสพกามให้สูงสุดเลยแล้วจะบรรลุ กามจะเป็นกามทางเพศ หรือจะกามทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) จัดจ้านมันทั้งหมดเลย ให้ทะลุวังเลย พูดให้เข้าสมัย ใช้ศัพท์ให้เข้าสมัย เอากันให้ทะลุเลย ทะลุวังเลย มันก็เป็นคนสุดโต่งไปอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้านี้จึงสอนความเป็นคนดี ความพอเหมาะ ความเป็นกลางไม่โต่งไปทางไหนเลย อันนี้คือมัชฌิมา แล้วก็ปฏิปทาเป็นข้อปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นกลางๆ มัชฌิมา หรือมัชเฌนธรรม

ถึงไม่ได้หมายถึงสภาพมิจฉาทิฏฐิประเภทที่ว่า แปลคำมัชฌิมาปฏิปทา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครู กำลังอธิบายถึงความเป็นแม่ แล้วไปสู่สัมมาทิฏฐิ 10 อย่างที่เราเห็นเด็กๆกลุ่มทะลุวังเขาทำ เขาก็แสดง อัตตาเต็มที่ แล้วน่าสงสาร ว่าเขาจะกลับคืนได้ไหม คนแสดงกามเต็มที่ ก็เลยสภาวะจิต มันผิดเพี้ยนอารมณ์ มันไปทางกามจัด อัตตาจัด ก็เลยลงไม่ได้กลายเป็นคนติดควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ เด็กสมัยนี้จะเป็นอย่างนี้เยอะ 

เคยถามศิษย์เก่าที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็บอกว่ามีแต่คนบ้า จริง คนไม่ปกติ แต่เห็นอาการคนสมัยนี้แล้วรู้สึกว่ามันสุดโต่ง มันเหวี่ยงไปเต็มที่ ไม่เหมือนคนโบราณที่ไปทรมานตนไปอีกด้านหนึ่ง แต่สมัยนี้ ดูอารมณ์มันเหวี่ยงไปทางอัตตา เหวี่ยงไปทางกามน่ากลัว 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า กลาง มัชฌิมา ความเป็น กลางนี้ มันหมายถึงจิต หมายถึงเจตสิก 

เจตสิกคำนี้คือคำว่าอุเบกขา กลางๆ ที่อุเบกขา ไม่ไปข้างไหน ไม่มีข้างไหน ไม่เอาข้างไหน รู้ทั้งสองข้างแต่ไม่เสพ 2 ข้าง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในพระสูตรแรกเลยในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ไม่เอียงไปข้างไหน ไม่มี อันตา คำว่า อันตา แปลว่าสุดโต่งก็ได้ แปลว่าเริ่มต้นออกมาจากจุดกลาง อันตานิดหน่อย หรือว่าอันตาแปลว่าไปไกลข้างหนึ่งเลย ยิ่งอนันตา แปลว่าไปไกลสุดจนนับไม่ได้เลย 

 เพราะฉะนั้นที่จะทำให้จิตมันเที่ยงต่อการสัมผัสในโลก โลกมันมีทุกอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วการสัมผัสกับที่เป็นตัววัตถุเลยก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็มีเหตุปัจจัยที่สัมผัส แล้วนามธรรมของเรานี้จะเกิดสุขหรือทุกข์ อันนี้แหละยาก 

โลกที่ยังมีข้าง โลกที่ยังมีฝ่าย โลกที่ยังติดอยู่ส่วนหนึ่ง เอียงอยู่ส่วนหนึ่งส่วนใดก็แล้วแต่ เอียงไปข้างทุกข์ อัตตกิลมถานุโยค หรือเอีียงไปข้างสุข สุขัลลิกะ เพราะฉะนั้นเวทนาเราจะต้องไปในทางไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องเข้าใจว่าอารมณ์หรือความรู้สึกหรืออาการของสุขนี้คืออย่างไร ของทุกข์คืออย่างไร ซึ่งเป็นคู่แฝดเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งกระดาษสองหน้า หน้า 1 เป็นสุข หน้า 1 เป็นทุกข์ มันฉีกหรือแยกออกจากกันไม่ได้ มันต้องไปด้วยกันมาด้วยกัน 

เพราะฉะนั้นวิธีดับ ดับทุกข์ ของพระพุทธเจ้าก็คือดับสุขไปด้วยกัน แต่คน มันไม่ถนัดที่จะไปดับสุข มันดับ มันจะดับอย่างไร มันคล้ายกัน พอพ้นสุขแล้วมันก็เป็น.. พระพุทธเจ้าก็ใช้พยัญชนะว่า ปรมังสุขัง อาตมาแปลเป็นไทยว่า ยิ่งกว่าสุขซึ่งมันไม่ใช่สุข 

สุขมันยังเป็นสภาพของโลกีย์ มันเป็นคู่กับทุกข์ แต่อันนี้มันยิ่งกว่าสุข เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้สภาวะธรรมที่เป็นความจบ ที่เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์จริงก็จะแปลไม่ได้ว่า ปรมังสุขัง จะไม่แปลว่ายิ่งกว่าสุขแต่จะแปลว่าสุขอย่างยิ่ง ซึ่งต่างกันนะ 

สุขอย่างยิ่งนี้เสพเต็มที่เลย แต่ถ้ายิ่งกว่าสุขนี้มันลอยตัว มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย มันเกินกว่าสุข เป็นภาษาโลกุตระ เป็นภาษาจบอย่างนี้ เป็นต้น 

ต้องอ่าน เพราะฉะนั้นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธจึงอยู่ที่เวทนา อยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่อารมณ์ สัมผัสแล้วก็รู้ความจริงแล้วก็ทำ ทำเหตุให้ออกเรียกว่าเนกขัมมะ เหตุแห่งการเกิดทุกข์ เกิดสุข หรือเกิดกิเลสนี่แหละ หยาบ กลาง ละเอียด ตามหลักเวทนา 108 มีมโนปวิจาร 18 แบบโลกเรียกว่า เคหสิตะ 18 แบบโลกุตระอีกเป็น เนกขัมมสิตะ 18 

ซึ่งเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร 6 ทวารมันจะเกิดอารมณ์ได้ 3 อารมณ์คือสุข ทุกข์กับไม่สุขไม่ทุกข์ 

ถ้าเป็นโลกีย์แบบหนึ่ง ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นโลกีย์ เขาก็ทำได้ ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างเช่นสายนั่งหลับตาอย่างนี้เป็นต้น เขาไปดับจิต ให้ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลส กิเลสสรุปไว้ที่นิวรณ์ 5 กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา 

หยาบ ก็ กาม พยาบาท กลางก็คือ ถีนมิทธะ กับ อุทธัจจะกุกกุจจะ  ละเอียด 

ดับหมดเลยทั้ง 5 อย่างนี้นิวรณ์ 5 ดับหมดเลย เขาก็ดับแบบ อสัญญี ไม่รับรู้สึกทั้งเวทนาทั้งสัญญา มันก็ดับได้แต่ไม่ถูกตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า ไปนั่งหลับตาแล้วก็ทำได้แล้วไปกดข่ม ไปสะสมให้มันมีสภาวะที่ กดข่มไปๆๆ ก็เก่งเหมือนกัน มันก็มีประสิทธิภาพในการกดข่มได้ทน ทนได้ๆ 

แต่มันไม่ใช่การถอนเหตุ ไม่ใช่การฆ่าเหตุ มันไม่ใช่ปัญญารู้จักเหตุ แล้วตัวปัญญานี่แหละ อาตมาเคยอธิบายแล้วว่า กิเลสมันเจอปัญญา กิเลสคือตัวมาร มารเห็นปัญญา พบปัญญา เฮ้ย ปัญญารู้จักหน้าเราแล้ว มันวิ่งหนีหูตูบเลย อธิบายเป็นภาษาได้อย่างนี้ 

มารมันจะไม่สู้เพราะมารนี้เป็นมารผู้ดี ไม่ใช่มารหน้าด้าน ที่เห็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมันก็ยังไปลดเลี้ยวอยู่ เหมือนอย่างพวกการเมืองที่แสดงออกอยู่อย่างนี้น่าอาย ใครเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ยังอยู่อย่างนั้นแสดงตัว แสดงตนอยู่อย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นการรู้จักสิ่งที่สูงสุดคือรู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักหมดทุกข์ หมดทุกข์ แล้วรู้จักอย่างสัมมาทิฏฐิ 

ผู้ที่สอน ผู้ที่ได้บอก บอกทฤษฎีบอกนำพาช่วยกันให้ปฏิบัติ จนกระทั่งรู้ได้โดยปฏิบัติธรรม ลดกิเลสออกทีละระดับ หยาบ กลาง ละเอียด ไปเรื่อยๆเป็นปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตนเอง จนกิเลสมันหมดไป 

ผู้ที่นำพาอย่างนั้นได้เรียกว่า แม่ เรียกว่า มาตา เรียกว่า มารดา ผู้ให้กำเนิด ซึ่งมันเป็นเรื่องของการเกิดทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีการสมสู่ มีอะไรต่ออะไรแบบโลกแล้ว เพราะฉะนั้นมาถึงขั้นสูงก็ไม่มีแล้ว กามหยาบ สมสู่ สัมผัสแตะต้อง ไม่มีแล้ว 

อันนี้เป็นนามธรรม เป็นธรรมะอันละเอียดแล้วทำให้เกิดได้ หมดกาม รูปธรรม เบื้องต้นก็จะมี มโนมยอัตตา ข้างนอกบ้าง จนกระทั่งไปถึงข้างในจนหมดเลยข้างใน หมดอารมณ์ที่จะไปปรุงแต่ง เรียกว่า ปรุงแต่งภายในจิตเอง ฝันเอง เพ้อเองเป็นสุขเอง อะไรเอง ทุกข์เอง จนกระทั่งรู้ว่ามันโง่อยู่อย่างนี้ก็เลิก ลดความสุขความทุกข์ไป 

ด้วยภาษาเรียกว่า วิตกวิจาร คำว่า วิตกวิจาร ก็คือสภาพ 2 ที่มีการไตร่ตรอง บางทีท่านก็แปลเป็นไทยง่ายๆ วิตกวิจารณ์แปลว่าไตร่ตรองหรือ ตริตรึก หรือ ไตร่ตรอง เป็น 2 สภาพเรียกว่าทำให้ชัดเจนละเอียดลงไป วิตกวิจาร เสร็จแล้วก็จะเกิดปัญญา เกิดความรู้ยิ่ง และความรู้ยิ่งก็เป็นตัวประหารจริง ประหารกิเลสไป แล้วก็จะเป็น ฌาน 2 มีปีติ จนกระทั่งทำได้แล้วก็ชินชาจนเป็นความสงบ เป็นความสุขเป็นฌานที่ 3 เรียกว่า วูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข เป็นความสงบที่เกิดจากการลดกิเลสด้วยปัญญา ไม่ใช่การสะกดจิตที่มันไม่มีเหตุปัจจัยให้วิจัยวิจารอะไรเลย แต่สัมมาทิฏฐินี้ไม่ได้กดข่ม เห็นอยู่อย่างแจ้งๆ โจ่งๆเลย แต่ตัวกิเลสมันลดได้ มันมีตัววิปัสสนาญาณเป็นญาณที่เห็นจึงเห็นแจ้งเลยว่ามันชัดเจน มันระงับ มันลด มันหมดบทบาทไป จนไม่มีตัวตนเป็น อรูป ก็หมดอรูปอีก อย่างนี้เป็นต้น 

ภาษาเป็นตัวสื่อให้ได้รู้สภาวะแล้วปฏิบัติตามภาษานั้นจนเรารู้เองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แล้วเราก็จะรู้จบ 

 

คนที่ยังจบไม่ได้ เดี๋ยวมีคำถามค้างอยู่ แบ่งให้ SMS เค้าหน่อย 

เราก็ทำไป เดี๋ยวกำลังวังชาดีขึ้น หนุ่มขึ้นก็ขอเพิ่มเวลาได้ เขาคงไม่หวงแหน อาตมาไม่มีสตางค์เช่าสถานีก็คงไม่มีปัญหา แล้วค่อยขอกัน 

สรุปแล้วคำใหญ่ของพระพุทธเจ้าคือสิริมหามายา เป็นพยัญชนะ พยัญชนะก็สูงสุดจริงๆเลย ยอดคือเป็นมายา มันเป็นเรื่องที่ไม่จริง มายาคือของหลอก มายาคือของไม่จริง 

เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่จริงๆการเกิดมาเป็นอยู่มามีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีอะไรอยู่นี่ มันอยู่อย่างหลอกๆทั้งนั้นเลย มันไม่มีอะไรเลย แล้วมันก็หลอกมาที่สุข แล้วมันก็ไม่ขาดทุกข์ เพราะสุขกับทุกข์มันแยกกันไม่ได้ 

อันนี้แหละเขาไม่ได้มีการรู้กัน ถ้าอาตมาไม่อุบัติขึ้นมาในโลกยุคนี้ รับรองก็จะสูญหาย ไม่มีใครมาเปิดเผยหรอกว่าสุขกับทุกข์มันอันเดียวกัน ถ้าจะดับต้องดับทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งทุกข์ นั่นคืออรหันต์ 

ถ้าใครยัง จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มันทำได้แล้วเหลือน้อยกับนิด กับหมดแล้วมันหมดหรือมันเหลือ เป็นความจำสัญญามันจะหลงหลอกเราเองว่า มันยังจำได้อยู่ว่ารสสุข มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องชัดเจนว่า อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว มันสงสัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ สงสัยอยู่ทำไม ทิ้งมันไปเลย ไม่เอาเลยปฏิเสธไม่ก็จบไปแล้ว คุณยังจะมีอยู่ ถ้ามีอยู่คุณก็ยังมี จะมีน้อยอยู่เท่าไหร่ มันก็คือมีใช่ไหม จะมีไปทำไม ก็หยุดเลยขาดกัน ตัดขาดกันจบก็จบแล้ว เมื่อคุณไม่ตัดขาด หรือที่ใช้ศัพท์คำว่า เว้นขาด ตัดขาด ถ้าไม่ตัดขาด มันก็ไม่จบ เอาพยัญชนะมาสื่อสัจจะได้อย่างนี้ 

ยุคนี้อาตมาพาทำ พวกเราทำได้จนกระทั่งเกิด สาราณียธรรม 6 จนสร้างเกิดเป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 นี่ เป็นสังคมสาธารณโภคี มาอยู่กันอย่างนี้ ซึ่งเป็นตัวอย่าง 

ในเทวนิยมเขาไม่มีหรอก มีในพุทธแล้วมันก็เสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่ามันจะเสื่อมแล้วมันก็เสื่อมจริงในยุค 2500 ปี ถ้าอาตมาไม่เข้ามาสถาปนาโลกุตรธรรมลงไปอย่างนี้ ขออภัยนะ อาตมาไม่ได้อยากอวดตัวตนอะไรหรอก กำลังพูดความจริงเท่านั้น เพราะอาตมามีจริง ทำจริงแล้วก็เอามาอธิบาย เอามาให้พวกเรารู้แล้วพวกเราก็เข้าใจ แล้วก็ลดละปลดปล่อยเลิกละมา จนกระทั่งเป็นสังคมสาธารณโภคีกันอย่างที่เป็น ก็คือชุมชนชาวอโศกที่มีกระจายกันอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ ยังไม่ใหญ่ ไม่โตหรอก แต่ว่ามันสุดยอดพีระมิดแล้ว เป็นยอดพีระมิดจริงๆ มันก็ต้องเป็นไป 

อาตมาไม่ได้สงสัย ไม่ได้อยาก ได้ใหญ่ อยากมาก อยากมีอะไรแต่มันมีมากก็ดี ไปบังคับหลอกล่อเอาไม่ได้ มันเป็นไปตามจริงจะได้เท่าไหร่ก็เป็นไปตามจริง ต้องช่วยกัน อาตมาได้ พวกเราได้ก็ขยายไปมันเป็นสัจจะ มันเป็นธรรมะ มันเป็นสัจจะที่มันเป็นไป 

เพราะฉะนั้นผู้ให้กำเนิด ให้กำเนิดทำไม?..ให้กำเนิดเพราะเราต้องเกิดมาแล้วเราก็จะใช้ชีวิต ชีวิตเราจะต้องถูกใช้ไปจนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้นในการใช้ชีวิตไปจึงมีฐานที่ตั้งของการจบกิจ จบเรื่อง จบสุขทุกข์นั่นเอง 

จบสุขทุกข์นั่นแหละเป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้นท่านถึงเอาสุขกับทุกข์มาเป็นตัวตัดสิน แล้วคุณต้องอ่านอารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ของคุณให้ออก อันนี้ไม่มีใครจะไปบอกกับใครได้ คนหลงผิด มันก็ไปหลงเอง เขาก็ได้อย่างผิด 

เพราะฉะนั้นสุดท้ายจริงๆแล้วใครตัดสิน ตัวเราเองเป็นผู้ตัดสิน ถ้าเราโง่ไปเข้าใจความผิดว่าเป็นความถูก จะเหลือผิดน้อยนิดเท่าไหร่ คุณก็เป็นคุณเอง ใช่ไหม จะเหลือผิดนิดน้อยอย่างไร คุณก็เป็นคุณเอง ใครจะไปรู้กับสิ่งที่คุณรู้ การรับรู้ในธาตุรู้ของเรา มันเป็นเราเท่านั้น คนอื่นมารู้แทนกันไม่ได้ ต่อให้เป็นแฟนยังไงก็รู้แทนกันไม่ได้ มันมีเพลงหลอกว่า ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ ไม่ใช่ มันลามก มันรู้แทนกันไม่ได้ มันต้องรู้เอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ต้องรู้เอง 

เพราะฉะนั้นในโลก สรุปแล้วถ้ายังจะมีชีวิตต่อ ต้องรู้จักการเกิดแบบสิริมหามายา เรียกมันโดยศัพท์ว่ามายา มายามันมีอะไรก็เป็นโลกมายาทั้งนั้น แต่ต้องเป็นมายาที่เป็นสิริมหา ต้องเป็นทั้งสิริต้องเป็นทั้งมหา สิริแปลว่าดี มหาแปลว่าใหญ่ แปลว่ามากมาย ครบเลยทั้ง Quality และ Quantity ทั้งคุณภาพและปริมาณสมบูรณ์แบบเรียกว่าสิริมหามายา นี่แหละคือ แม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนเป็นได้ 

อาตมาเคยอธิบายให้พวกเราฟังผ่านมาแล้วหลายที ว่าผู้ที่สามารถให้กำเนิดสิทธัตถะ สิทธัตถะคืออะไรอีก สิทธัตถะเป็นลูกของสิริมหามายา เรียกโดยศัพท์ก็เรียกว่า โอรส สิทธัตถะคือผู้สำเร็จ สำเร็จอะไร สำเร็จการเลิกตัณหา เลิกความอยาก ผู้ที่สิ้นแล้วซึ่งความอยาก ผู้ที่สำเร็จแล้วซึ่งความไม่มีแล้วความอยาก หมดความอยากไปแล้ว นี่พูดภาษาง่ายๆพูดภาษาไทยๆ ไม่มีอาการ 

เราก็ต้องรู้อาการอยาก ตั้งแต่ความอยากชนิดที่โอ้โห…ต้องมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มีกาย ภายนอกเลยต้องปรุงแต่งสัมผัส สัมผัสเสียดสีแตะต้องกันคลุกคลีกันจริงๆ แล้วก็จึงเกิดรส มันก็หยาบที่สุดแล้ว

จนกระทั่งไม่มีแล้วก็มีแต่ฝันเฟื่องอยู่ใน รูปภพ ข้างนอกไม่มีแล้ว มีหิริ มีโอตตัปปะละอายไม่กล้า มันก็มีฤทธิ์ เมื่อมีหิริ มันก็ไม่เอาแต่ก็ถ้าเผลอลับๆ มันก็เอาอีกไม่ได้ จนกระทั่งคุณธรรมมันสูงขึ้นเป็นโอตตัปปะมันแรง แม้ในที่ลับก็ไม่ทำ ละอายอย่างแรงกล้า ละอายอย่างยิ่ง ไม่เกิดสิ่งนี้ไม่มีการเกิด พยัญชนะแทนสภาวธรรม มันไม่ได้ทุกข์ มันไม่ได้ลำบากในการที่จะต้องละอาย หรือเกรงกลัวต่อสิ่งที่มันจะเกิด มันง่ายสบายเบา มันไม่มีอะไรเลย ฟังเสียงมันจะต้องต่อสู้ ไม่ใช่ มันเกรงกลัวต่อบาป มันโอตตัปปะ 

เพราะฉะนั้นใน สัทธรรม 7 เป็นผู้เข้าใจ เป็นผู้รู้ มีความศรัทธาเป็นผู้รู้ว่าอาการของ หิริ เป็นเช่นไร นี่คือเครื่องบ่งบอกของความเจริญ คนที่ไม่ละอายต่อสิ่งที่ควรเลิก ควรละ ไม่ว่าจะเลิกละ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ เลิกละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มาก็ตาม ถ้าคุณไม่รู้จักละอายจนกระทั่งไม่เกรงกลัว คุณไม่มี สัทธรรมหรอก 

เพราะฉะนั้น สัทธรรม โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นแม่ กำลังให้กำเนิดให้พวกคุณได้รู้และพวกคุณไปทำเองนะ ทำคลอดเอง เกิดเองนะ จัดการกับกิเลสของคุณเอง 

เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถทำให้กิเลสมันลดละจางคลายจนกระทั่งหมดรูป หมดอรูป ได้อย่างแท้จริง แล้วเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เราดับได้ บริสุทธิ์แล้วสะอาดแล้ว ทีนี้ล่ะ มันก็เป็นคนที่จบด้วยคำว่าหมดกิจจบกิจที่จะทำต่อแล้ว มันสมบูรณ์แบบแล้วเหตุหรือกิเลสตัณหาอุปาทาน 

อุปาทานคือสภาพ static ตัณหาคือสภาพไดนามิกเป็นคู่ เพราะฉะนั้น Dynamic หรือตัณหา เราก็ล้างตัณหาจน หยาบ กลาง ละเอียด มันก็หมด หากจะไปดับที่อุปาทานซึ่งมันไม่กระดุกกระดิก ตีไม่แตก แยกไม่ออก มันดับไม่ได้หรอก มันยาก 

เพราะฉะนั้นให้ดับตัณหานี่แหละไปเรื่อยๆจนกระทั่งก็เท่ากับดับอุปาทาน ดับความติดยึด มันก็ไม่ติด ไม่ยึด มันก็ไม่เสพ ไม่เสพ ไม่ติด ไม่ยึด ไม่มีรส สัมผัสแล้วก็สามัญปกติ 

เราต้องเทียบเคียงอารมณ์ที่เราสัมผัสกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว แล้วเราไม่ได้เสพ ไม่ได้ติดนะแต่เราทำงานร่วมกันเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติต่อใครต่อใครได้ แล้วเราก็ไม่ได้ติดใจ ไม่ได้เสพ ไม่ได้สุขอะไร แต่เรารู้คุณค่าว่าอันนี้มันเกิดอะไร มันเกิดการสร้างสรรค์มันเกิดการอาศัย มันเกิดประโยชน์ เกิดอะไรขึ้นมา จนเราได้ร่วมแรงร่วมมือ ได้กระทำร่วม ได้สร้างสรรค์ร่วม เอาแต่แค่คิด มันก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมาก คิดว่าวันนี้เราได้ไปช่วยกันหรือยัง ไปช่วยแล้วก็ตอบว่าได้แต่คิด อยู่ในความคิดไปช่วยละ แล้วมันเป็นไหมนี่ 

มันเป็นกิเลสซ้อนด้วย คุณตีกินเอาอย่างนี้หรือ มันก็ต้องไปทำจริงแล้วเราก็อ่านในจิตด้วยว่าเราไม่ได้มีการยึดติดว่าเป็นเรา เป็นของเราอะไร มันก็จะเห็นความจริงว่าจิตเรานี้ไม่ได้มีตัว มีตนอะไร หยาบ กลาง ละเอียด มันก็ต้องมีตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา มีอัตตา 3 ไม่เหลือแม้กระทั่ง อรูปอัตตา อรูปไม่เหลือปล่อยวางว่างเฉย แต่สิ่งที่จริงมีเกิด 

เพราะฉะนั้นการหลงความหลอกที่เกิด ที่มี ที่เป็นนี่แหละ แล้วมันก็วางไม่ได้ ไม่ยึดว่าเป็นเรา ก็เรานั่นแหละ ดีไม่ดีเราไปสร้างเต็มมือเลย คนเดียวสร้างด้วย มันก็เป็นของเราสิ แต่จิตเราไม่ยึดว่าเป็นของเราแล้วจริงๆ คุณก็ต้องรู้ของคุณเอง จิตใจคุณปล่อย คุณวาง คุณว่าง คุณไม่มี พระพุทธเจ้าถึงใช้คำจบที่คำว่า มี หรือคำว่า ไม่มี อัตถิ หรือ นัตถิ หรือ โหติ กับ นโหติ พยัญชนะใช้ 2 คำนี้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 นี่คือจุดสำคัญจบอย่างนี้สบาย 

ธรรมะที่อธิบายไปแล้วคืออธิบายเรื่องเกิด อธิบายเรื่องดับหรืออธิบายเรื่องปล่อยวาง เรื่องหมดไม่มี เป็นสุดยอดของธรรมะแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนจะบรรลุธรรมก็ต้องมี มีความเป็นแม่ มีความไม่ยึดว่าเป็นลูก สามารถทำได้ ลูกที่ไม่ใช่เรื่องหยาบแล้ว เป็นเรื่องละเอียดเลย การได้เกิดคนที่เจริญแบบคำสอนพระพุทธเจ้า หมดความทุกข์ช่วยมนุษยชาติไป ช่วยเหลือเฟือฟายเกื้อกูลกันไป 

เพราะฉะนั้น อาตมาจบด้วยพยัญชนะที่เอามาเรียบเรียงให้สมสมัย ให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ 8 คำคือ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ 

ถ้ามีคุณธรรมทั้ง 8 ลักษณะนี้แล้ว คุณมีจริง แล้วก็อยู่กับหมู่สาราณียธรรม อยู่กับหมู่กลุ่มสาธารณะโภคี แล้วก็อยู่ไป ตายก็ช่วยกันเผา แล้วเราก็ทำงาน สมบัติของเรามีเยอะพอสมควรนะ พวกเรานี้ยังขยันน้อย ไม่ได้ว่าคุณขี้เกียจนะ ยังขยันน้อยอยู่ ไม่ช่วยกันเก็บ ช่วยกันปลูกสนุกอยู่นะแต่เก็บมันน่าจะสนุกกว่า เห็นไหมว่าสัจธรรมของคน มันไม่ได้อยากได้ แม้แต่เรามาฝึกตนแล้วได้ผลแต่เรายังยึดผลนั้นเป็นของเราอีก ความหมายของมัน ได้ผล แต่อย่ายึดผลนั้นเป็นของเรา มันเลยไม่ไปเก็บผล ทำไมมันมีความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนมันเล่นตัวเรา ก็ทำแล้วถ้าไม่ไปเก็บ มันก็แก่มันก็เน่ามันก็เสียใช่ไหม ก็ไปเก็บมากำลังดีเลยนี่ โอ้โห มีเยอะอุดมสมบูรณ์ไปช่วยกันเก็บ 

เคยถึงขั้นตั้งกองเก็บ จำได้ไหม พวกเรานี้ตั้งหัวหน้ากองเก็บแล้วก็ไปเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหารกัน ทำไมช่วยกันปลูกกันเยอะ สร้างจนกระทั่งมีลูกมีใบมีผลที่จะกินจะใช้แต่ไม่ไปเก็บมากิน เจ้าประคุณเอ๋ย 

_สู่แดนธรรม... กลัวเจ้าของสวนเขาว่าด้วย 

พ่อครูว่า... ไม่หรอก เข้าใจแล้วไม่ว่าหรอก เก็บมาแล้วก็ยังเหลือกินเหลือใช้ก็แจกพวกเราที่ยังขาดแคลน พวกเราก็พอกินพอใช้อุดมสมบูรณ์ก็เอาไปแจก เอาไปตั้งที่ศาลาปันสุข คนที่พยายามขยันไปเก็บหน่อยก็ตอนนี้ก็มีดาวเพ็ญคนเดียว ขออภัยคนอื่นมีใคร อาตมาไม่รู้ 

สมณะฟ้าไท... สม.กล้าข้ามฝันไปเก็บบ่อยครับ 

พ่อครูว่า... คนอื่นด้วยไปช่วยกันสิ อย่างหน่อไม้นี้เก็บได้ ตัดไปไม่อย่างนั้นมันจะแน่นกอไผ่หมดเลย ถ้าไม่ไปเก็บ จริงนะมันโตเร็วด้วยหน่อไม้ คุณนั่งดูได้เลย หน่อไม้ อาตมาเคยจะสังเกต มันโตขึ้นมาเห็นๆเลย นั่งดูอยู่สักชั่วโมง สองชั่วโมงจะเห็นเลยว่ามันโตขึ้นไวจริงๆหน่อไม้นี่ 

_สู่แดนธรรม... สังคมไทยที่มีคนมักน้อย กอไผ่จะกอใหญ่ครับ 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นมันโตทัน มันมีให้กินไม่ต้องห่วงเลยหน่อไม้นี่ แล้วเป็นกออยู่อย่างนั้น เราก็ไม่ได้ไปถางมันออก เดี๋ยวนี้เขาก็ถางมันหลายกอแล้ว มันแน่นอยู่มากแต่ก็ยังปลูกเสริมอีกนะ แล้วมันก็ออกของมันเหลือกิน มันก็โตไปอีกเยอะ 

สรุปแล้วพวกเรานี่อุดมสมบูรณ์ เราสำคัญในความสำคัญ ปัจจัย 4 ภายนอกนอกนั้นก็อาศัย เป็นบริขาร เล็กๆน้อยๆไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จิตก็เบา สบาย ง่าย สะดวก ก็เท่านี้แหละชีวิตก็ไป แล้วมีประโยชน์ที่เสียสละ ทำงานทำการสร้างสรรค์นั่นนี่อะไรต่ออะไร แล้วเราก็เสียสละเกื้อกูลผู้อื่นไป คุณอยากเกื้อกูลไปอีกเท่าไหร่ล่ะ ก็เกื้อกูลไปจนกระทั่งอย่างอาตมานี้ทำมาทุกขั้นแล้ว จนถึงขั้นที่ เทศนามาเป็นผู้ให้ความรู้ มาเป็นโพธิสัตว์ที่จะให้ความรู้หลักอย่างละเอียดลออ ผ่านมาจนกระทั่ง...

ใครว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรนี้ คนนั้นดูถูกอาตมา เพราะอาตมาทุกวันนี้สูงเจริญกว่าพระสารีบุตรแล้ว ใครฟังได้ก็ฟังได้ใครฟังไม่ได้จะอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากก็ตามใจ 

ถ้าเป็นความจริงอาตมาเป็นพระสารีบุตรเมื่อพ.ศ. 2500 ปี มาถึงบัดนี้อาตมาไม่ได้พัฒนาตน อาตมาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าไหมนี่             ถ้าไม่ได้เป็น อาตมาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตรจริงแล้วอาตมาก็บำเพ็ญพมาจนถึงวันนี้ อาตมาก็ต้องเหนือกว่าพระสารีบุตร ฟังแล้วจะอ้วกแตกไหม..ใช่ไหม นี่คือสัจจะ 

เพราะฉะนั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นใครจะว่า อาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิดหรือไม่ใช่พระสารีบุตรมาเกิด อาตมาไม่ได้เป็นปัญหา มันอยู่ที่สัจธรรมธรรมะ และธรรมะที่เหมาะกับยุคนี้ด้วย สื่อออกไปแล้วพวกคุณก็ฟังเข้าใจแล้วทำได้แล้วก็มีทุกอย่างรองรับ ใครเข้ามานี้อยู่แล้วคุณก็ได้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ ก็ สบม ทมด ปกต หห จจ  ปกต หห จจ มชยลล ไม่แปลพูดให้งงไปงั้น 

สรุปแล้ววันนี้ อาตมานี่แหละเกิดมาชาตินี้นี่ เป็นทั้งพ่อทั้งแม่          ในตัว เป็นผู้ให้เชื้อต้นกำเนิดโลกุตระ แล้วก็เป็นผู้ที่พยายามให้เข้าใจขยายความ ให้ขยายความจ้ำจี้จ้ำไชนี่แหละเป็นบุคลิกของแม่ พ่อนี้ก็ตบผัวะจบเลย ไม่เรื่องมาก ถ้าเรื่องมากนี่คือแม่ ไม่เรื่องมากนี่คือพอ 

เพราะฉะนั้นลักษณะพ่อก็ดี แม่ก็ดี โลกนี้ก็ดี โลกหน้าก็ดี โลกนี้คือไม่จบ อยังโลโก โลกหน้าคือรู้โลกจบ และการรู้จักที่จบ แล้วก็จัดการกับความจบให้แก่ตน สูงสุดเราไม่ได้ไปจัดการคนอื่น           เราจัดการตน จบกิจตน ทำตน/ให้จบ สุดท้ายจบในขณะที่เราทำงานทำกิจ เราก็ต้องมีกรอบของความจบ ถ้าไม่มีกรอบของความจบ อันนี้แหละ วันนี้วันแม่อย่างไรก็ ขอนิดนึง 

ท่านประยุทธ์ ปยุตโต สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านไม่รู้จุดจบท่านไม่รู้บทสรุป ความรู้ท่านมีมากเกิน เกินกว่าที่จะบรรลุอรหันต์แล้วท่านไม่รู้กรอบไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ท่านก็เลยบอกว่านี้งานมันเยอะยังทำไม่เสร็จอยู่ตลอดเวลาเลย ท่านตายไม่ลงง่ายๆหรอก แบบนี้ตาย            ไม่ลง แม้แต่ทรมานตน ขันธ์ท่านก็เป็นคนไม่แข็งแรงตั้งแต่ไหนแต่ไร มีคนช่วยเยอะใช้วิทยาศาสตร์การแพทย์ช่วยกันไป 

เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นอันนี้แล้วก็ต้อง อยากจะให้ท่านเข้าใจท่านจะได้รู้จบ เพราะว่าท่านเองท่านมีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสเยอะ โพธิรักษ์เทียบไม่ติดในเรื่องผู้ที่มาศรัทธาเลื่อมใสด้วยความเชื่อถือจริงๆ ความเชื่อถือนับถือท่านได้มากมาย เพราะฉะนั้นถ้าท่านเองท่านเข้าใจถูกจบ แล้วก็โอ้โห ถ้าเข้าใจจุดจบที่ถือว่าจบรอบแรกคืออรหัตผล หรืออรหันตะ ต้องใช้พยัญชนะตรงนี้ ก็คือรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วจะรู้ก็ต้องมีผัสสะที่แท้จริง ตั้งแต่ตัวแรกเลย เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 แล้วก็เข้าใจสภาพที่อยู่กับสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะคนนี่แหละ 

1.เข้าใจพฤติกรรมของคนให้ได้ ว่าพฤติกรรมของคนนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณคนนี้เป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณไม่รู้อรหันต์คุณจะรู้ว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ไหม ขนาดเป็นพระอรหันต์ยังไม่ได้รู้ผู้อื่นว่าเป็นอรหันต์ได้ง่ายๆเลยถ้าเป็นอรหันต์ขนาดต้นๆตื้นๆ ต้องอรหันต์ขนาดพอสมควร 

อย่างนี้แหละจึงพิสูจน์ได้เลยว่า อรหันต์ขนาดอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นอรหันต์ระดับ 4 เป็นอรหันต์ขั้น 4 โพธิสัตว์ระดับ 7 ท่านยังไม่ยอมรับว่าอาตมาเป็นอรหันต์แล้วท่านจะไปรู้อะไร 

อันนี้แหละอาตมาเสียดายมากเลย ถ้าท่านรู้แล้วท่านก็สาธยายธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ต้องยอมรับว่าเข้าใจตามอาตมาก็ได้ ขอให้เอาธรรมะที่อาตมาอธิบายไปตั้งแต่กายเป็นอย่างไรบุญเป็นอย่างไร  ท่านก็ยังเข้าใจ อาตมาเคยพูดไปหลายทีแล้วว่าท่านจะเข้าใจกายได้สัมมาทิฏฐิหรือยัง ส่วนบุญนี้ไม่สัมมาทิฏฐิแน่ สัมมาสมาธิท่านก็ยังไม่ใช่ง่ายๆ เป็นสมาธิลืมตาเป็นสมาธิฌานลืมตา เป็นสัจธรรมที่เป็นธรรมดาสามัญนี่แหละ 

ฌาน เป็นธรรมดาไม่ต้องไปนั่งเต๊ะท่า มีหลักธรรมพระพุทธเจ้าอ่านธรรมะพระพุทธเจ้าสามารถทำให้กิเลสลดได้ในขณะทำฌาน   จนกิเลสลดหมดไปเป็นรอบๆ อันนี้หมดรอบจบรอบแล้วอรหัตผลก็รู้ คุณก็อ่านสภาวะได้จบหมดมันก็รู้ได้ด้วยตนมันก็พูดได้ง่ายๆไม่ได้ยากเพราะมีของจริงเอามาพูดเป็นภาษาไทย เท่าที่เรารู้ภาษาไทย อาตมาก็พูดเป็นของจริงอย่างนี้ อาตมามีความจริงก็พูดไป แล้วพวกเราก็เข้าใจมันไม่ยาก 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าถ้าผู้ใดที่เข้าใจแล้วจะอธิบายธรรมะไม่ยาก แต่ที่จริงนั้นบอกว่าธรรมะโลกุตระมันแสนยากนะ แต่อธิบายให้ไม่ยากนี่ต่างหากคือผู้ที่ ทำให้ความเกิดเป็นสิริมหามายาเป็นแม่ได้ แล้วก็มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า ทำไมแม่ของพระพุทธเจ้าจึงได้มีอายุแค่7วันหลัง
คลอด 7 วันตาย 

_สู่แดนธรรม... เป็นผู้ที่มาส่งครับ 

พ่อครูว่า... เป็นผู้ให้กำเนิดจบเสร็จแล้วตัดเลยไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อไปว่าเป็นเราเป็นของเราอะไรหรอก ทำงานด้วยพลังงานตัวที่ 7 พลังงาน cyclic order เป็น 2 รอบ 1 2 3 ก็คือ ที่ 1 และ 4 5 6 ก็คือรอบที่ 2 เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่รู้แล้วคุณทำ 6 ทำ 7 แล้วไปถึง 9 คุณจะต้องไป 10 มันก็ไม่มีที่จบสิ 

เพราะฉะนั้นพลังงานตัว 7 จึงเป็นพลังงานที่สูงส่งพลังงานที่แรงที่สุด คุณจะต้องรู้ว่าตัว 7 นี้ทำแรงสูงสุดแล้วหลังจากนั้นคุณจะต้องเบา อาตมาเอาสภาวะธรรมของอาตมามาพูดสู่ฟัง 

เรื่องแม่ก็ขอสรุป อาตมาเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยมาถึงวันนี้แล้วมีแม่ แม่มี พ่อมี อัตถิมาตา อัตถิปิตา อัตถิ สัตตาโอปปาติกา จิตวิญญาณนั้นเป็นการเกิดทาง โอปปาติกโยนิ 

หยาบที่สุดคือ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อคุณก็ไปปฏิบัติเอาก็จะเกิดโอปปาติกสัตว์ เป็นสัตว์ทางจิตเกิดบรรลุธรรม เกิดจากสัตว์นรกเกิดจากสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาเป็นอริยบุคคลเกิดมาเป็นพระอริยะสูงจนกระทั่งเป็นอรหันต์ ก็จบรอบอรหันต์แต่ละองค์ รู้จักจบรอบ จบกิจเสร็จกิจ  ภาษาก็สื่อสภาวะอย่างนี้วนเวียนอย่างนี้ คนไปทำจริงก็สรุปได้ทั้งภาษาสรุป ได้ทั้งสภาวะ อ๋อ ใช่แล้วภาษาอย่างนี้บอกจบกิจ อรหันตผลหมดกิเลส สิ้นกิเลสแล้ว หมดดับ แม้แต่ อรูป กิเลสก็ไม่มีแล้ว คุณก็ต้องเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ก็ต้องรู้ของตัวเอง ไม่มีใครรู้แทนกันได้ ถ้าคุณรู้ผิดมันก็ผิด ก็ต้องพยายามให้มันถูกสิให้สัมมา 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าการจะปฏิบัติ การจะไปเรียนรู้ ถ้าไม่มีหมู่กลุ่มถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ มันรู้เองไม่ได้ โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี้ มันเป็นนามธรรมเหลือเกิน แล้วมันมีหลักสูตรพระพุทธเจ้าสอนไว้ครบ อาตมาก็อธิบายจนกระทั่ง อาตมาไม่เคยเมื่อย อาตมาไม่เคยเบื่อในการที่จะเขียนหนังสือ นี่อาตมารู้สึกว่า จะเขียนไปถึงไหน อาตมาเขียนหนังสือมากว่าร้อยเรื่อง นี่ เป็นเล่มๆๆ พิมพ์มาทั้งหมดไม่รู้กี่ล้านเล่มแล้ว แต่เขาไม่ค่อยอ่านกันหรอก เขาไปอ่านหนังสืออื่นกัน 

คนที่อ่านหนังสืออาตมาก็เป็นวาสนาของอาตมา เออ อุตส่าห์มาอ่านของเราบ้าง แล้วยิ่งได้รับรู้ได้เข้าใจ ได้มรรคได้ผล โอ้โหก็เป็นวาสนาของโพธิรักษ์เพิ่มขึ้น 

สมณะฟ้าไท... คนที่อ่านหนังสือพ่อครูต้องมีภูมิรองรับด้วย 

พ่อครูว่า... ก็ต้องอ่าน ต้องรับรู้ ต้องฟัง ต้องอ่าน ไม่งั้นคุณก็ต้องเป็นเองสิ คุณก็เป็นโพธิสัตว์ระดับนั้น ระดับนี้ มาเลยสิ 

สมณะฟ้าไท... เป็นไม่ได้ 

พ่อครูว่า... มันเป็นไม่ได้ถ้าไม่มีของจริงรองรับ อาตมาเสแสร้งได้อย่างไร อาตมาไปเอามาจากใคร อาตมาบอกว่าเอามาจากของตนเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ 

พระไตรปิฎก คนอ่านพระไตรปิฎกมากกว่าอาตมาเยอะแยะ พวกเราอ่านพระไตรปิฎกมากกว่าอาตมาก็หลายผู้หลายคน อาตมาไม่ได้เป็นนักอ่านเลยแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาเรียนหนังสือมาไม่เคยอ่านหนังสือ ทำการบ้านทำบ้าง ทำแล้วก็ทำไม่จบ 

อาตมาเคยเล่า ทำคณิตศาสตร์พีชคณิต ครูอาจ บัวขาวสอนอยู่โรงเรียนเบญจมมหาราช แกให้การบ้านทีละ 80 ข้อ แล้วใครมันจะไปทำทัน เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง เสร็จแล้วแกก็ตีด้วย ตีข้อละที แล้วตีไม่ไหว เพราะเด็กทำไม่เสร็จ วันนี้ก็ 30 คนนี้ก็ 20 ข้อก็ตีไม่ไหวหรอกแกก็เลยตีผ่อนส่ง อาตมารู้จักการผ่อนส่งจากครูอาจ บัวขาว โอ้โห เป็นการตีผ่อนส่ง ไอ้คนนี้ไม่ทำมา 80 ก็ไม่ทำมา 30 ข้อ ตีทีละ 10 20 แล้วจำไว้ ต๊ะไว้ก่อนวันหลังมาตีต่อ แกตีไม่หมดหรอก อันนี้ก็เล่าความจริงสู่ฟัง ทีนี้อาตมาไม่เคยโดนตีเลยทั้งที่อาตมาไม่ได้ทำการบ้าน 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านมีทริก จ้องตา

พ่อครูว่า... อาตมาไม่หลบแก มีจิตวิทยาตัวนี้ ไม่หลบ แกก็ไม่ทันตรวจไม่รู้ แกก็ไปตรวจดูคนอื่น แกก็จับได้ แกก็มีปฏิภาณไซโคโลจี้ของแก คนที่หลบๆนี่แหละคือคนไม่ทำ ตรวจทีไรก็เจอทุกที แต่อาตมาถ้าตรวจก็เจอ แต่แกไม่ได้ตรวจเพราะอาตมาสู้หน้า ไม่กลัว ไม่หลบ เป็นจิตวิทยาง่ายๆไม่ได้ยากอะไรใช่ไหม สู้ได้ นี่ก็เป็นของอาตมา ปฏิภาณอาตมารอดตัวมาได้ ไม่โดนไม้เรียว 

สรุปแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อกันและกันนี่แหละคือเป็นแม่ เป็นลูก แล้วประโยชน์อันสูงสุดก็คือโลกุตรธรรม อาตมาเกิดมาชาตินี้ก็พูดหลายทีแล้วว่า อาตมาไม่ได้เสียชาติเกิด เกิดมาแล้วก็นำธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาสถาปนาลงไปในคน ให้รับได้ พวกคุณก็มีบารมีที่จะรับฟังโลกุตระธรรมได้   เอาไปปฏิบัติได้ด้วยจึงเกิดหมู่กลุ่มชุมชน 

มันเสแสร้งไม่นานหรอก มันเสแสร้งไม่ได้ตลอดหรอก มันเสแสร้งไม่อยู่นาน แต่พวกคุณไม่ได้เสแสร้ง มันจึงอยู่ได้ แล้วก็อยู่กันไป ใครกะว่าจะให้เผาที่เฮือนสุดชีวิตบ้าง ใครกะยังงั้นบ้าง ไปเผาที่อื่นก็ได้ ไปอยู่ปฐมอโศกก็เมรุที่ปฐมอโศกได้ เรามีหลายเมรุอยู่ ที่ศรีษะอโศกก็มี ที่สีมาก็มี มีเมรุ มีอีกหลายแห่ง ยังเหลือแต่กรุงเทพฯสร้างเมรุไม่ได้ อาตมาเคยคิดจะสร้างที่ชั้นยอดดาดฟ้าของตึก จะสร้างตึกแล้วทำดาดฟ้าแล้วจะขอเทศบาลเขาทำกองฟอนเผา เขาจะอนุญาตไหม เคยคิดแต่ไม่ได้ทำ อาศัยเมรุที่อื่นไปพอได้ ถ้าไปทำก็ลงทุนมาก ตึกเราก็ไม่ได้ทำด้วยที่สันติอโศก มันก็มีตึกอาศัยอยู่ตั้งหลายตึกแล้ว ตึก 7 ชั้นกี่ชั้นอะไรบ้าง ไม่ใช่น้อย เอาล่ะก็พูดไปหลายๆอย่างแล้ว สำหรับวันแม่วันนี้ก็ขอรวบรวมประมาณนี้ก็แล้วกัน ทีนี้ก็ขอ SMS ต่อ 

ปรโตโฆษะ กับโลกวิทูแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร 

_ผู้ใฝ่หาความชัดเจน ปรโตโฆษะ กับโลกวิทูแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร 

พ่อครูว่า... อ้าวท่านอธิบายตอนนี้สอบ

สมณะฟ้าไท... ปรโตโฆษะ คือฟังสิ่งที่เขาติง เขาเตือน เขาบอกเรา หรือสิ่งที่เราไม่รู้ก็แล้วแต่ โลกวิทูคือรู้จักโลกด้วยมีส่วนร่วมกัน แล้วรู้จักโลก เดี๋ยวจะบอกสอนเขาเป็นไปหลายๆเรื่องหลายๆราว มันก็มีทั้งเหมือนกันและมีทั้งต่างกันด้วยทั้งสองอย่าง พอได้ไหมครับ โลกวิทู ก็คือรับฟังเขาด้วยและก็รู้ส่วนอื่นเพิ่มขึ้นด้วย 

พ่อครูว่า... ปรโตโฆษะ ด้วยพยัญชนะก็คืออื่น ฟังคนอื่น ฟังเสียงอื่น แค่นั้นแน่ะ ส่วน โลกวิทูนั้น รู้รอบโลก รู้กว้างรู้มาก เป็นการเอามวล เอาปริมาณเยอะ ปรโตนี่เอาเนื้อมา จากคนอื่นแล้วเอามา ปร แปลว่าอื่น โฆษะ แปลว่าเสียง ที่เขา โฆษณามา ฟังเอาเนื้อหาของเขามา ปรโตโฆษะ 

ส่วน โลกวิทูนั้น รู้โลกมากๆ รู้เยอะๆขึ้น ดูรอบโลกๆไปมากขึ้น รู้กว้างรู้ลึกรู้เยอะ โลกวิทู นี่อันหนึ่ง

 

SMS วันที่ 7, 9-10 ส.ค. 2566

 

_จรรยา ประเสริฐ  · ดิฉันสงสัยว่า คนที่อยู่ตามวัด ตามบวร ของอโศก แต่ละคนฟังธรรมพ่อแล้ว ไม่ค่อยเห็นมีใครเขียน sms มาหาพ่อ มีก็น้อยคน เป็นเพราะฟังธรรมแล้ว เข้าใจ หรือถ้าไม่เข้าใจ ก็มี สมณะ สิกขมาตุ เป็นที่ปรึกษา จนได้เข้าใจในธรรม ไม่อย่างนั้นอยู่วัดไม่ได้แน่ ที่อยู่ได้ ก็เพราะมีมรรคผลส่วนหนึ่ง คนที่ถามพ่อส่วนมาก คนฟังจากทางบ้านเป็นส่วนใหญ่ค่ะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... พวกที่วัดเขาก็ต้องฟังอยู่ทุกวัน ส่วนคนอยู่บ้านจะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง คุณเห็นมุมไหนจะเกิดประโยชน์ก็เอา 

 

อโศกคือกลุ่มคุณธรรมที่ทำประชาชนปฏิวัติได้สำเร็จ

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท สมณะด่วนดี สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ลูกได้เห็นการชุมนุมชัดขึ้นมี 2 กลุ่ม คือกลุ่มอุดมการณ์กับกลุ่มคุณธรรม กลุ่มอุดมการณ์มี นปช.กับทะลุวัง แต่ นปช. รุนแรงกว่า กลุ่มคุณธรรมคือกปปส.ที่มีชาวบุญนิยม ร่วม สุดท้ายกปปส.ชนะ เพราะเสียสละ มีสัจจญาน กิจญาน กตญาน ธรรมะชนะอธรรมค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ต้องแยกให้ออกกลุ่มอุดมการณ์กับกลุ่มคุณธรรม อาตมาเข้าใจอย่างนี้นะ อาตมาก็ถามคุณต่อไปว่าอาตมาจะเข้าใจถูกไหม 

อุดมการณ์หมายถึงสิ่งที่ยังเป็นสภาพความคิด อุดมคติอุดมการณ์ ส่วนคุณธรรมนั้นเป็นสภาพที่เป็นสภาวธรรมที่เกิดที่เป็นแล้ว ถ้าพูดอย่างเป็นพยัญชนะที่เราชอบใช้กันง่ายๆก็คือ อันหนึ่งเป็น Dynamic อีกอันหนึ่งเป็น Static คุณธรรมเป็น Static อุดมการณ์เป็น Dynamic ยังไม่สำเร็จรูป ยังไม่สำเร็จเรื่องคืออุดมการณ์ ยังทำอยู่ แต่คุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ทรงไว้แล้ว เป็นคุณ เป็นสิ่งที่ดีแล้วเกิดแล้วเป็นแล้ว 

ธรรมะชนะอธรรม อันนี้เป็นความยิ่งใหญ่ ที่พวกเราไปประท้วงก็ใช้ธรรมะ เป็นธรรมะที่เป็นคุณธรรมอันยอด ใช้ความสงบสยบความรุนแรงชนะความรุนแรงได้ ซึ่งมันชนะจริงๆ และชนะอย่างหลายรัฐบาลด้วย อันนี้อาตมาถึงบอกว่ายังยากเพราะเป็นโลกุตรธรรมที่ชาวรัฐศาสตร์ หรือนักการเมืองทั้งหลายแหล่ของโลก ยิ่งทางเทวนิยมตะวันตก ยิ่งเข้าใจยาก แม้ในคนไทยที่เป็นพุทธมีความรู้ทางธรรมะศาสนาบ้างแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ง่ายที่เป็นนักรัฐศาสตร์ที่จะเข้าใจสิ่งที่อาตมายืนยัน มันมีฟีโนมินอล และเป็นฟีโนมิน่า คือเป็นพหูพจน์เป็นปรากฏการณ์หลายทีแล้ว 

เป็นตัวอย่างขึ้นมาให้เห็นอย่างแท้จริงว่า เราได้ใช้นีโอโพเทส การประท้วงแบบใหม่ ขออภัยขอยืนยันว่าอาตมานี่แหละเป็นผู้ที่พยายามจะชี้นำชี้แนะว่าเอาอย่างนี้ เอาอย่างนี้นะ แบบนี้นะใช้อย่างนี้นะ หลายๆอย่างใช้พยัญชนะสื่อเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทย อาตมาก็จำไม่หวาดไม่ไหวแล้วใช้อะไรบ้างแต่มีโบรชัวร์อยู่ พอเอามายืนยันได้ แล้วก็มีภาพวีดีโอเก็บไว้ ถ้าพวกที่ทำรัฐศาสตร์เก็บละเอียด เขาจะเอาไปทำ Thesis เล่มใหญ่ๆเลย เรื่องดีๆเลยเป็นเรื่องของรัฐศาสตร์ 

NEO PROTEST ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราได้ใช้ ได้ประพฤติมาจริง ได้ประสบผลสำเร็จมาจริง มีหลักฐานยืนยันว่านี่เป็นประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติ เอามือเปล่าเอาความสงบจนชนะ อย่างไรเขาก็ฟังขึ้นยากเชื่อยากว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีมีดไม่มีปืน  เขาว่าต้องมีอาวุธเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิถึงจะสำเร็จทับตูมตูมเข้าไป คุณก็ตายแหงๆ 

แต่มันต้องเป็นองค์ประกอบกันทั้งคนไทย เพราะฉะนั้นมวลคนไทยมีคนดีนี่แหละเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คนไทยมีการเมืองที่สุดยอดของโลกุตรธรรม ที่เป็นประชาธิปไตย ถึงขั้นปฏิวัติหรือรัฐประหาร ด้วยธรรมะ เอาธรรมาวุธเป็นอาวุธประหาร จนกระทั่งยอมแพ้ออกไปเลย อาตมาก็ขยายความแล้ว 

ระดับที่ 1 ทักษิณก็ต้องมีทหารมาช่วยคือพลเอกสนธิ บุญยรัตน์กลิน มาทำพิธีเหมือนเอามายิง แต่ไม่ได้ยิงสักแปะหรอก จบ ส่งสมัครขึ้นมาอีก เราก็ไปประท้วงอีก ตุลาการภิวัตน์ก็ช่วยอีกตัดสิน มันก็ตลกง่ายๆแค่ไปรับเงินโฆษณาเป็นการผิดกฎหมายก็ตกกระป๋องไปอีก เอาสมชายขึ้นมาอีก โอ้โห ทีนี้เข้าทำเนียบไม่ได้เลยสมชาย พวกเรายึดกลางทำเนียบปลูกข้าวทำนาในทำเนียบเลย จบสมชายไปอีก ก็ต้องยุบสภาตกกระป๋อง ต้องเอาอภิสิทธิ์มาคั่น ยุบสภา 

ยุบสภาตั้งใหม่ทักษิณก็มีฤทธิ์เอาน้องสาวขึ้นมาอีกได้เป็นนายก โอ้โห ทีนี้โกงกันหนักเป็นแสนล้านเลย เราก็ไปไล่อีก คราวนี้แหละบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีทหารมาช่วย จะบอกว่าตุลาการภิวัตน์ก็เขาทำผิดชัดๆอยู่แล้ว หมดฤทธิ์เดชหมดอำนาจไปในทีเลย จนมีผู้รักษาการ รักษาการก็ไม่ได้เป็นจริงแล้วหลุดไปอีก อาตมาก็ไม่ได้พูดก็อยากได้เก่งเป็นรัฐศาสตร์ รักษาการก็ไม่มีอำนาจแล้ว 

จนกระทั่งพลเอกประยุทธ์เข้ามาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ ทั้งๆที่มันไม่มีอำนาจแล้ว มันขาดลอยแล้วแต่ทำเป็นรูปธรรมตามธรรมเนียมของโลก ขนาดนั้นคนก็ยังไม่เข้าใจว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ไปยึดอำนาจ ไปใช้ภาษาตามรูปแบบเท่านั้นเองว่างั้นผมขอยึดอำนาจ ก็พูดจริงไปทำจริง แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นเผด็จการ ไม่ได้ไปทำรัฐประหารเลย ไปแสดงอะไรอย่างสุภาพเรียบร้อยเป็นผู้ดีด้วย ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ…เสร็จ! 

แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ขึ้นมาเป็นนายกบริหารทันที ถ้าพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจแล้วก็ให้ประชาชนคนใดคนหนึ่งที่เป็นราษฎรขึ้นมา อันนี้มันก็จะสวยงามมากกว่า แต่อย่างว่าเราคิดไม่ออกแล้วมันก็เป็นเรื่องทันทีทันใดเป็นปัจจุบัน ในฐานะนั้นพลเอกประยุทธ์ก็เลยบริหารต่อ พวกเราก็ไม่ได้ไปประท้วงต่อเพราะทำงานเข้าตา พลเอกประยุทธ์ทำงานไป จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนตาบอดตาถั่ว บอกว่าประยุทธ์ทำประโยชน์อะไร ไม่เห็นทำอะไรขึ้นมาได้ โอ้โหเจ้าประคุณเอ๋ย ทำไมมันตาถั่วขนาดนั้น ทำอะไรต่ออะไรให้ประเทศเจริญขึ้นไปตั้งเท่าไหร่ ติดอันดับโลกขึ้นไปตั้งเท่าไหร่ ข้างนอกเขาให้สถิติ เขายอมรับว่า ไทยนี้อยู่ในฐานะอันดับนั้น อันดับนี้ขึ้นมา ประเทศเล็กๆนะประเทศไทย ไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่อะไรเลยมีแต่คุณธรรมอย่างเดียว แล้วเจริญมาได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าด้านต่างๆ เอาล่ะ ค่อยๆดูไป 

เพราะฉะนั้นพวกเราทำอันนี้ก็คอยดูต่อไปว่า นี่ตอนนี้ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย ใครจะได้เป็นนายกนะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่โอ้โหสวยงามจริงๆเลย มันใช้การค้านแย้ง เพราะประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน ต้องมีการเปรียบเทียบกัน ต้องไปตามกฎเกณฑ์ ตามมารยาทอะไรก็แล้วแต่ ใครที่ได้คะแนนสูงสุดได้สิ่งที่ควรเป็นที่สุดแล้ว มันก็จะออกมาเองเรียกว่าร่อนไปจนกระทั่งเกิดได้ตัวทองคำแท้ขึ้นมา ร่อนจนกระทั่งเศษที่ไม่ใช่ทองคำหลุดไปหมด ได้ทองคำ นี่มันก็กำลังทำหน้าที่นี้อยู่ เพราะฉะนั้นตัวไม่จริงก็ค่อยๆหลุดไปหลุดไปหลุดไป เราก็ยังไม่รู้ได้ว่าจะเป็นอย่างไร 

อาตมาขอใช้ตัวเดาของอาตมา นี่เป็นการเดานะ เดาว่ามันจะร่อนออกมา แล้วก็ร่อนเอาตัวที่ได้มาตัวหนึ่ง ขออภัยที่อาตมาใช้คำว่าตัวหนึ่ง จะได้ว่าท่านผู้หนึ่ง มาเป็นนายก ทีนี้เมื่อได้ท่านผู้นั้นมาเป็นนายกแล้วก็ทำงาน ทีนี้ผลงานของพลเอกประยุทธ์ทำไว้มันมีแล้ว ตอนนี้ล่ะใครจะมาเป็นนายกต้องคิดให้ดีนะ สถิติเขาทำไปแล้ว คุณจะไปชนะสถิติที่เป็น Best เรคคอร์ดไว้แล้ว คุณจะ Beat เรคคอร์ดนี้เขาได้ไหม 

เอ้าทีนี้คำตอบ ถ้าสมมุติว่าคนนี้เขามาเป็นนายกแล้วก็ทำงาน มัน Beat record ของท่านนายกประยุทธ์ไม่ได้ ประชาชนก็จะรู้ความจริง เหตุการณ์ต่อไปในอนาคต อาตมาเดาไม่ออก พลเอกประยุทธ์ก็วางมือ อาตมาว่าพลเอกประยุทธ์ทำนี้เป็นความจริงใจด้วย แล้วอาตมาเคยพูดว่าความบริสุทธิ์จริงใจนั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก พลเอกประยุทธ์นี้ทำไปจนกระทั่งคนดูถูกว่าพูดภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง พิธายังพูดเก่งกว่า ภาษาอังกฤษสมัยนี้จะไปยากอะไร ถือแผ่นอันหนึ่งมากดก็ได้แล้ว 

_สู่แดนธรรม... คุณตู่จตุพรเคยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาพวกไกด์มาเป็นนายกก็ได้สิ 

พ่อครูว่า... ยิ่งสมัยนี้แล้วยิ่งไม่มีปัญหาเลย ผลงานไม่ว่าทางด้านจิตวิทยา ไม่ว่าจะทางรูปธรรม มันมีชัดเจนรายละเอียด ที่ทำขึ้นมา เพราะฉะนั้นนายกประยุทธ์นี้นะ อาตมาดูแล้วอายุยังแค่ 70 กว่า ยังไม่ถึง 80 อาตมา 90 ยังแจ๋วยังไม่ถึง 70 อีกนะ มันควรจะทำงานต่อได้ ที่นี้จะไปดึงเอามาขอให้นายกประยุทธ์มา มันจะได้ไหมนี่ อาตมาเสียดายจริงๆเพราะยังมีไฟ ยังมีงานที่ตัวเองค้างไว้ 

สมณะฟ้าไท... พลเอกประยุทธ์บอกว่าจะไม่ยุ่งการเมืองแต่ก็จะทำงาน 

พ่อครูว่า... ให้ทำการเมืองก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง ท่านไม่ได้ไปแข่งขันอะไรกับนักการเมืองที่แย่งอำนาจท่านไม่แย่ง อันนี้เป็นสัจจะของประชาธิปไตยที่แท้จริง 

สมณะฟ้าไท... คุณพีระพันธ์ที่มาอยู่กับพลเอกประยุทธ์บอกว่าที่มาอยู่เพราะว่าพลเอกประยุทธ์ไม่เล่นการเมืองแต่ทำงาน 

พ่อครูว่า... ใช่ คำว่าการเมือง พวกนักรัฐศาสตร์แปลไว้ว่าเป็นการแย่งอำนาจ การเมืองคือคนได้อำนาจ คนได้อำนาจบริหารทำงาน ที่เขาจะทำ เขาขึ้นมารับตำแหน่ง เขาต้องเป็นผู้ที่ทำบริหาร เขาก็แปลตื้นๆง่ายๆอย่างนี้ไว้ 

เพราะฉะนั้นสัจจะที่มันลึกซ้อนลงไปเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ก็คือคนทำงานที่จริงยิ่งกว่าโม้ คุยบอกไปอย่างนี้ ทำงานจริงๆแล้วต้องมีความรู้ความสามารถที่รังสรรค์ ประเทศชาติพลเมืองให้เกิดความเจริญเป็นอยู่สุข อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ ได้จริงแท้นี่ต่างหากเล่า มันสุดยอด 

เพราะฉะนั้นยิ่งดูไปแล้วยิ่งเห็นว่าพลเอกประยุทธ์นี้เป็นโพธิสัตว์ที่แท้จริง จิตสะอาด จิตที่ทำแล้วบริสุทธิ์ แล้วทำงานมีฝีมือ มีความสามารถมีอะไรต่ออะไร อย่างแท้จริง 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่า สิ่งจริงที่มันเกิดจากคนและพฤติกรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... ถ้าเราติดตามการเมืองจะเห็นว่าตอนนี้ ผู้ที่จะไปเป็นรัฐบาล ยิ่งพรรคเพื่อไทยตอนนี้ไปไหนก็ถูกว่าหมด ฝ่ายส้มก็ว่าฝ่ายแดงก็ว่า ฝ่ายเหลืองก็ไม่ไว้วางใจ ก็เลยไม่รู้ว่าใครจะเอาด้วยกันแน่ แต่ยิ่งนานไปผลงานของพลเอกประยุทธ์ก็ยังโชว์ออกมา ทำให้เงินสะสมเหนือกว่าประเทศทางตะวันตกหลายประเทศ ทำงานสะสมไว้เป็นจำนวนมากแล้วก็ซื้อทองคำไว้เป็นจำนวนมาก ติดอันดับต้นๆของโลกเลย อาตมาเพิ่งรู้ว่าเขาจะมีแท่นปล่อยยานอวกาศ ส่งดาวเทียมขึ้นไปก็กำลังทำ เราก็มารู้ตามหลังต่างๆนานาหลายๆเรื่อง เพราะฉะนั้นคนที่จะมาทำตาม อาตมาว่าไม่ง่าย เพราะคนขยันทำงานขนาดนี้ไม่ธรรมดา ทำงานเต็มที่แล้วก็สร้างสรรค์ ใครจะไปเทียบเท่าได้ทำมาตั้ง 8-9 ปี ถ้าให้ทำต่อไปคงจะดีอย่างที่พ่อครูว่า แต่เขาบอกว่า พวกคนจะมาโกงมาล้มสถาบันก็ไม่เอาด้วย 

พ่อครูว่า... อาตมาว่าพลเอกประยุทธ์ถ้าได้ทำต่อไปอีกสัก 10 ปีเป็นอย่างน้อย ประเทศไทยจะเจริญ ประเทศไทยจะเจริญแบบโลกนี่แหละ แบบที่โลกๆเขานิยมเป็นสากลด้วย ซึ่งเราก็ไม่ได้น้อยหน้าน้อยตาอะไร ขึ้นสถิติขึ้นทำเนียบที่เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆใดๆ ก็ไม่ได้น้อยหน้า 

สมณะฟ้าไท... เขาบอกว่าคนที่ไปมาทั่วโลก ต่างประเทศมีถนนสู้ประเทศไทยไม่ได้เลยครับ 

พ่อครูว่า... มันเป็นความจริงที่จะยืนยัน 

_พอใจ รักดี  · ฟังธรรมจากท่านทั้งสาม ส.ฟ้าไท ส.ด่วนดี และ สม. กล้าข้ามฝัน แล้วสนุกดีค่ะ เข้ากับความรู้สึกดิฉันเลยเจ้าค่ะ สาธุค่ะ

 

นำทองคำเข้าคงคลังประเทศมีทั้งแบบโลกีย์และโลกุตระ

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร   · ประเทศไทยยุคลุงตู่ เข้าขั้นเศรษฐีโลก ถ้านับเงินเก็บเงินออมทุนสำรอง ทองคำ เราอยู่อันดับ 12 ของโลก มีหน้ามีตา ทำอะไรชาวโลกนับถือ...แต่หมอชลน่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทยบอกมีปัญหาเพราะรัฐธรรมนูญเป็นวิกฤติ ต้องทำฉบับใหม่.

พ่อครูว่า... อาตมาอยากจะแวะเรื่องทองคำจากมหาบัวที่เรี่ยไรทองคำเข้าคลังหลวง 1.ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ไปเรี่ยไร 2. ก็เอาของคนไทยเองเอามาทำอวดทำโชว์ แล้วก็บอกว่าเอาไว้นะทำเป็นคงคลังอย่าเอาออกไปอะไรพวกนี้ ซึ่งแสดงถึงความเป็นตัวเป็นตนหรือเป็นความหลงของมหาบัวหนักหนา 

แต่พลเอกประยุทธ์ก็ทำ ไม่เห็นมีอะไรออกมาแบบนั้นเลย มันต่างกันเลยคุณธรรม โลกุตรธรรมของคนทั้งสอง คนหนึ่งนี่โอ้โหกิเลสชัดๆ อีกคนหนึ่งไม่มีกิเลส มันแสดงให้เห็นชัดเจน 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าที่อาตมาเจตนาจะพูดนี้เพื่อให้ผู้ที่นั่งหลับตาทั้งหลายแหล่เขาฟังเหตุผลต่างๆนานา ข้อมูลหลักฐาน ฟังไปเถอะ บอกว่าพวกคุณไปหลงทางที่ไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่โลกุตรธรรม ไปนั่งหลับตาฝันเพ้อกัน ปึ๊งปั๋งโมเม นี่มันเป็นสัจจะความจริงที่เป็นความสว่างมีเนื้อหาเนื้อแท้ที่เป็นสาระแก่นสารจับต้องได้หมดทุกอย่าง 

ถ้าเผื่อว่าคนไทยนี้เลิก ปล่อยวาง ที่ ไปยึดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมาปฏิบัติให้เป็นสัมมาถูกต้องเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ได้อย่างแท้จริง อาตมาว่า ศาสนาพุทธเมืองไทยนี้ เจริญ เพราะว่าทุกวันนี้มีเยอะนะ จะต้องไปนั่งหลับตา ต้องไปอานาปานสติ 

อานาปานสติของพระพุทธเจ้าลืมตาเท่าที่มีลมหายใจเข้าออกไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเต๊ะท่า ตั้งกายตรง ดำรงสติคงมั่นอะไรอยู่อย่างนั้นมันไม่ใช่ นั่นเป็นพวกเดียรถีย์เขาทำ ยุคพระพุทธเจ้ามีเยอะแยะก็เลยต้องพูดกันอย่างนี้ แล้วก็เอาพวกเดียรถีย์ทำเต๊ะท่าแบบเดียรถีย์มาทำ มันไม่ใช่ มันเป็นสมถะเท่านั้น 

โลกุตระมันต่างกันตรงที่มีสัมผัสจริง มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสสัมผัสจริง ไม่ใช่ไปหลับตาและฝันเพ้อไป มีอดีต 18 อนาคต 44 มันจะได้อะไรเล่า ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้แตกๆ

_ดินงาม นาวาบุญนิยม  · เมื่อสักครู่นี้ประทับใจคำว่า ไม่ควรเสียเวลา เสียแรงงานและทุนรอน เอาเวลามาสร้างประโยชน์ดีกว่าประทับใจมากค่ะ

พ่อครูว่า... ดีมากที่ดินงามได้เห็นจุดสำคัญนี้แล้ว ก็หวังว่าคนที่เห็นตามนี้ก็จะมีด้วย 

 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 21:24:57 )

660814

รายละเอียด

660814 ชีวกสูตรคือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #36 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53228.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Pqd4THo8mv45PK4Nim5Z8RCfm2lrFa2m/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true       

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1NcIzYEPTEDj-y5MbvBcIHcatkkhp0rTV/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660814---36-e283h7m 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/agvncZAwYxc 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/683616463147766/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

นั่นคือวันเวลาที่นี้ก็มาสู่สาระที่เราจะได้พบกัน 

ชีวิตควรจะมีสาระ พูด-ทำ-คิด มีแต่สาระ ไม่เอาเวลาไปพูด ไม่เอาเวลาไปคิด ไม่เอาเวลาไปถมกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ผู้มีสาระ ผู้สำคัญในสาระก็ได้สาระ ผู้ไม่สำคัญในสาระก็ไปสำคัญในสะเปะสะปะเป็นธรรมดา ตามภูมิของแต่ละบุคคล 

 

SMS

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน  · กราบนมัสการท่านสมณะ,ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพ ข้าพเจ้าเริ่มเข้าชุมนุมตั้งแต่วันแรกที่ตั้งเวทีพันธมิตร ปี 2549ที่สนามหลวง วันต่อๆมาได้ฟังธรรมะพ่อครู และได้เข้าไปอาศัยกินอาหารมังสวิรัติเลี้ยงชีวิตตนเอง ต่อมาก็มีเพื่อนญาติธรรม มีความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นจนได้มาอาศัยรอนพักค้างร่วมกับกลุ่มชาวอโศก แล้วสบายใจ อบอุ่น มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย จนถึง ปี 2557 ค่ะปัจจุบันได้มาอาศัยใบบุญอยู่ที่บ้านราชค่ะ.

พี่น้องญาติธรรมที่ทำหน้าที่เสาหลักใช้ธรรมะปราบอธรรม

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่เราไปชุมนุม เราใช้ธรรมะปราบอธรรม ดูเหมือนรุนแรงแต่ที่จริงสุภาพเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามเย็นอบอุ่น มีทั้งเย็น มีทั้งอบอุ่นในที

_ได้สำเร็จ เป็นแบบอย่างของโลก

พ่อครูว่า...อาตมาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน พูดไม่รู้กี่ทีว่าเมืองไทยใช้โพรเทส ที่อาตมาใช้ศัพท์เรียกว่า Neo-protest เป็นการประท้วงซึ่งแต่ละประเทศเขาก็มีการประท้วงกันทั้งนั้นประท้วงจนกระทั่งฆ่ากันตายมีเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ทำอยู่ แต่เมืองไทยทำแล้วตั้งแต่พ.ศ. 2549 มาจนกระทั่ง 2557 มีผลสำเร็จที่เป็นตัวอย่าง จนทุกวันนี้พวกที่จะมาประท้วงมีหมู่คนมาประท้วง แต่ประท้วงอย่างที่มาแล้วก็โดนเรไม่เรียบร้อย ไม่สุภาพ ไม่มีปัญญา เขาเรียกด้วยภาษาว่าม็อบ ไม่ใช่โพรเทสอย่างนี้เป็นต้น มันก็ต่างกัน 

ทุกวันนี้เมืองไทยมีพวกม็อบเหลืออยู่น้อยเป็นเศษ เป็น After Shock เป็น momentum ของ After Shock มันเกิดจากหลังจากแผ่นดินไหวแล้วก็จะเกิดคลื่นตามมาเป็นความรุนแรงค่อยๆเฉื่อยเหลืออยู่ทำตามมาเท่านั้น มันไม่มีฤทธิ์แรงอะไรมากมาย ดูแล้วเหมือนหมาน้อยเห่าหมาใหญ่ แง่งๆๆๆ 

_นักรบแห่งธรรม ฝึกจิตวิญญาณขัดเกลากิเลสกับผัสสะ สนามรบการเมืองของเหล่ามารโลกียะ ให้ถอยกลับไปได้ค่ะ.

พ่อครูว่า...อันนี้แม้แต่นักรัฐศาสตร์เขาก็ยังไม่เชื่อ ว่าธรรมะชนะอธรรม เขาไม่เชื่อว่าเป็นพลังประชาชนรัฐประหารรัฐบาล เขาไม่เชื่อกันเท่าไหร่ เพราะมันยังไม่มีสวยงามเหมือนอย่างที่เมืองไทยทำมา เมืองไทยทำมา มันเป็นตัวอย่างแรก เป็น Pioneer เป็นหัวเจาะนำขบวนมาในโลก คนก็เลยรู้สึกว่าอะไรนี่ แต่เขาก็เห็นแล้วนะ เขารับซับทราบไปแล้ว แต่เขายังไม่ซาบซึ้ง ยังไม่รู้สึกว่านี่เป็นธรรมฤทธิ์ที่สามารถทำให้เกิดความสำเร็จ ที่จบลงได้อย่างสวยงามที่สุด 

 

มิลักขชน กับ อาริยกชน ต่างกันอย่างไร

_กราบขอบพระคุณความเมตตาที่ได้ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติค่ะ

ลูกกำลังศึกษาเรื่องว่า ธรรมะการเมืองโลกุตรธรรม 

พ่อครูว่า...อันนี้ก็เป็นเรื่องใหม่ ธรรมะจะเข้าไปในการเมืองและยังเป็นการเมืองโลกุตรธรรมอีกด้วย เขาจะหมุนสมองให้ทันสมัยได้อย่างไร เขาจะพยายามเพิ่มพลังความเข้าใจ เพิ่มพลังความเฉลียวฉลาดที่จะมารับรู้ ความหมายรับรู้ความจริงที่ว่านี้ มันก็คงจะต้องค่อยๆว่าไป แต่เริ่มต้นพวกเราเข้าใจแล้วก็ใช้ศัพท์ได้ แต่คนที่ยังไม่เข้าใจในสภาวะธรรมลึกซึ้ง เขาก็ได้แต่ฟังๆว่ามันอะไรกันนะ ภาษาทะแม่งๆไม่เคยได้ยิน ภาษาใหม่หูบ้างอะไรไป 

_ของผู้นำของชาวอโศก เพราะลูกมีแรงบันดาลใจคำว่าโลกุตรธรรมที่ยังมีความรู้ความเข้าใจยังน้อยอยู่ ปัญญายังไม่มากพอ แต่ลูกก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อเราตั้งใจเพิ่มอธิศีลในการลดกิเลส ทำความสบายใจให้แก่ตน มีความเพียรในการศึกษาค้นหาความจริง ก็จะได้รับอานิสงส์จากการฟังธรรมที่ได้เข้าใจชัดยิ่งขึ้นไป ศาสนาพุทธที่มีโลกุตรธรรม ธรรมะกับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นสังคมของชุมชนชาวอโศกที่สร้างโลกให้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นโมเดลของชุมชนคนที่มีความสุขจริงค่ะ

พ่อครูว่า...อันนี้บรรยายมาเป็นสัจจะความจริง คนยังไม่มีภูมิธรรม เขาเข้าใจไม่ได้ ยังมองไม่ออก เขายังเป็นมิลักขชน ยังเป็นคนที่ยังไม่มีอาริยธรรม ยังไม่มีความเฉลียวฉลาดอย่างอาริยะ เขายังมีความเฉลียวฉลาดแบบมิลักขชน 

คำ 2 คำนี้ มันลึกซึ้งมาก อาริยกะกับ มิลักขชน เป็นคำเก่าๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่ชี้ชัด ความเป็นมิลักขชน อาตมาตัวอย่างให้ฟังพวกเรานี้ถ้าอาตมาจะบอกพวกเรานะ คนอื่นเขาไม่เข้าใจหรอก อาตมาจะบอกว่าอเมริกานี้เป็นมิลักขชน ประเทศไทยเป็นอาริยชน เราก็จะเข้าใจ มองไปถึงสภาวธรรม อะไรที่มันหมายถึง อาริยะ อะไรมันหมายถึง มิลักขชน 

มิลักขชน หมายถึงคนที่ยังเถื่อนๆป่าๆ ยังไม่รู้เรื่องของสังคมคนเจริญที่แท้จริง สังคมคนเจริญที่แท้จริงคือสังคมที่มีความ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ เราพูดนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่มีแต่คำโก้ๆคำโม้ๆคุยไว้ว่า เอาอันนี้มาสอน เอาอันนี้มาแจก เอาอันนี้มาให้ในอนาคต ซึ่งมีทางเป็นไปได้หรอกที่พูดไว้จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ยังไม่รู้ แต่ของเรานี้เป็นไปได้และเป็นไปได้แล้ว ได้อาศัยแล้ว เข้าใจแล้ว เป็นจริงแล้ว มันต่างกัน 

 

ทำไมในวิโมกข์ 8 ต้องตรวจถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ ในวิญญาณฐีติ7 กิเลสตายที่อากิญจัญญายตฌาน และในวิโมกข์8ก็มีอากิญจัญญายตฌาน แต่กิเลสไม่ตายเพราะอะไร จึงทำให้ต้องมีเนวสัญญานาสัญญายตนขึ้นคะ และกิเลสไปตายที่สัญญาเวทยิตนิโรธคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...พวกเรานี้ก็ลึกซึ้งดีถามมานี้ลึกซึ้ง ฟังดีๆ 

คำว่าจบที่กิเลสตายหรือจบที่ อากิญจัญญายตนฌาน ก็หมายความว่าผู้นี้มีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีข้อสงสัยมาตั้งแต่ ฌาน 1 ใน วิญญาณฐิติ 7 คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วก็ยังเข้าใจไม่ได้ข้องใจส่วนตัว ส่วนที่สัมมาทิฏฐิ 7 แล้ววิญญาณฐิติเข้าใจหมดทั้ง 7 ว่าทำอย่างไรตามลำดับ ทีนี้ วิโมกข์ มี 8 ใน วิญญาณฐิติ 7 กับวิโมกข์ 8 ต่างกันอยู่ว่า 

ข้อ 1 2 3 4 วิญญาณฐิติ ส่วนวิโมกข์ 1 2 3 

วิญญาณฐิติ 1 2 3 4 คือ กายกับสัญญา แต่วิโมกข์​ 1 2 3 คือ อธิบายลักษณะธรรมให้ปฏิบัติ มีรูปเป็นต้นในข้อ 1 รูปีรูปานิ ปัสสติ ข้อ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิ ปัสสติ ก็บอกภายนอกภายใน สามารถศึกษาปฏิบัติฝึกฝนเข้าไปเห็นภายนอกแล้วมาเห็นตามลำดับเข้าไปสู่ภายใน จนถึงอรูปสัญญี อรูป ใช้สัญญากำหนดว่ารู้ตามไปถึงภายในได้ ก็เป็นการอธิบายการปฏิบัติ ลักษณะของคนที่จะปฏิบัติ ต้องปฏิบัติรู้จักรูป รู้จักสิ่งที่ถูกรู้ แล้วจะต้องมีนาม มีปัสสติ มีสัญญากำหนดรู้ 

ใช้สัญญากำหนดรู้ แล้วก็รู้ ก็เห็น ปัสสติ เห็นโดยการมีภายนอกด้วย พหิทาภายนอก มีรูปภายนอก จนกระทั่งเข้าไปถึงรูปภายใน อัชฌัตตัง มีรูปาวจร แล้วไปสู่อรูปาวจร ครบหมดทั้ง 3 ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ครบบริบูรณ์ นี่เป็นการบอกลักษณะของธรรมะ 

ส่วนข้อที่ 3 นั้น สุภัณเตว อธิมุตโต(โมกโข) โหติ หมายความว่าคนนี้มีจิตสำเร็จ โดยมีทิศทาง โน้มไปหรือ เข้าใจเป็นภาษาอังกฤษว่า Trend (เทรนด์) มันมี Trend มีจิตใจที่นำไป โน้มไป สู่ในทางที่เป็นสุภะ(สุภันเตวะ) แล้วมีปัญญารู้ด้วย คือมีอันเตวะ อันนั้น สิ่งที่มันควรจะเป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง โดยความหมายของธรรมะอันนี้ ข้อ 3 ให้ทราบถึงสภาวธรรมมีภูมิปัญญา ที่จะรู้ทิศทาง ที่จะนำไปสู่สุภะ ความควร ความน่าได้ น่ามี น่าเป็น เป็นผลสำเร็จ มีทั้งปัญญา มีทั้งพฤติกรรมที่สำเร็จในตัว
เพราะฉะนั้น วิโมกข์​ 3 ข้อนี้รวมแล้ว คือ มีคุณธรรม ได้แล้วจึงจะเป็นวิโมกข์ในรายละเอียดคือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ  เนวสัญญานาสัญญา จนกระทั่งถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นขั้นๆไป คือจากอากาศจากวิญญาณจนถึงมันไม่มี จนสุดท้ายถึงขั้นบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็คือสภาพที่ คนที่สัมมาทิฏฐิถ้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ รู้ว่าอันที่มันน่าสงสัย แม้แต่บางคนที่มีภูมิธรรมไม่ดี มาถึงจุดนี้ก็จะสงสัยว่ามันหมดหรือยังนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ จะว่ามันไม่มี มันก็มีเหมือนมีน้อย เคยพูดหลายทีแล้วว่าเหลือน้อยกับหมดนี้ มันอะไร มันน้อยอะไร มันหมดแล้ว 

คือความคม ความเก่งของคนบางคนยังไม่มี จึงเหลือส่วนความเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ ส่วนคนที่มีความคมชัดเป๊ะเลยก็จะจบที่อากิญจัญญายตนะ ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ignore เลย จบ ไม่มีต่อ มันจบไม่มีกิเลสเลยเมื่อไม่มีกิเลสเลย มันก็นิโรธ ไม่ต้องไปถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ มีสัญญากำหนดรู้ตลอดกาลและมีตัวจบตรงที่ อากิญจัญญายตนะ สัญญาทำงานมาตลอด สัญญาเวทยิตตัง นิโรธัง โหติ สัญญามันอ่านรู้เวทนากำจัดกิเลสไปจนนิโรธได้เลย ปัจจุบัน 

อาตมามีสภาวะเรื่องนี้จึงอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน ถ้าคนยังไม่มีภูมิจะสับสน ใครสับสนยกมือ อย่าอาย... มีบ้าง 3-4 คน ในจำนวนร้อย ดี อาตมาสอบได้ มี Error มีคนเข้าใจไม่ได้บ้าง จะโทษอาตมาคนเดียวไม่ได้ ไม่เข้าใจธรรมะต้องเพราะคุณด้วย อาตมาด้วย อาตมาอธิบายไม่เก่งตรงนี้ คุณก็เก่งเท่านั้น มันก็เลยได้เท่านี้ พูดไปเหมือนกับพูดเล่นๆแต่มันเป็นความจริงทั้งนั้น 

จะอธิบายได้ที่ถามว่ากิเลสมันไม่ตายเพราะอะไร ก็เพราะว่ามันไม่รู้ ถ้าคุณรู้มีปัญญา มันก็มีธรรมฤทธิ์ ปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์ กิเลสก็เป็นตัวมาร มันรู้ ปัญญาเห็นหน้ามันแล้วมันวิ่งจู๊ดเลย อาตมาอธิบายเป็นสภาวะได้เท่านี้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัส พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเห็นเธอแล้วมาร มารก็บอกเพื่อนเลยว่า ตถาคตเห็นเราแล้ว ก็พาพวกวิ่งหนีไปเลย 

ไม่มีความเลวร้ายรุนแรงอะไรเลย มาร ผี กิเลส ตัวร้าย กับปัญญาพระพุทธเจ้านี่ มันเป็นฤทธิ์ทำลายกันเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีความเหี้ยมโหดรุนแรงอะไรต่ออะไรเลย มันมีการแพ้ชนะกันอย่าง   ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สวยสดงดงาม คงเข้าใจแล้วนะ 

 

_ตุ๊ก อัศวิน   · ขอบพระคุณ คลิปของพ่อครู ที่ท่าน ส.เดินดิน นำเสนอเจ้าค่ะ

'..นโม_ตัด_สะ..' ชั๊วะๆๆๆ..สะบั้นกิเลส..เจ้าค่ะ ปล ประทับใจในทุกคลิปฯ ของ พ่อครู เจ้าค่ะ โดยเฉพาะ ที่มี ตัวอักษร กำกับ สำทับไปตามทุก 'โพธิรักษ์วจน' ของพ่อครู ทำให้ ซาบซึ้ง แจ่มแจ้ง ในธรรม ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งเป็นประโยชน์หลายๆต่อผู้มี 'หูทิพย์' เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณ ทีมสื่อ ทุกรูป ทุกท่าน เจ้าค่ะ You all are beautiful !!

พ่อครูว่า... อาตมาเอาคำของพระเก่าแก่ทางอีสานนี่แหละที่บอกว่านะโมตัดสา พระพุทธเจ้าบอกให้ ตัดสา เอาสำเนียงท่านนั้นมาใช้บาลีเรียกว่า ตัสสะ ไม่ได้แปลว่าตัดเสียหรอก นะโม แปลว่า นอบน้อมต่อพระองค์นั้น อาตมาว่าดีมากสำหรับการขึ้นตัวหนังสือเป็น subtitle มีทีมทำงานกันอยู่หลายคน 

 

นิมิตในภาษาบาลีมีทั้งนิมิตจริงและอุปาทาน

_จับใจ ธนะโภค  · กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถาม ค่ะ

1. เรื่องที่ดิฉันจะถามไม่ได้อวดอุตริ มีดังนี้ ช่วงเริ่มต้นการ มาปฎิบัติธรรมกับหมู่กลุ่มชาวอโศก  วันหนึ่ง ดิฉันมีสติ สัมปชัญญะเต็ม และอยู่ๆ ก็เกิดนิมิตมีภาษาบาลีไหลมา(เยอะมาก)ให้ดิฉันเห็น ดิฉันตกใจมาก จึงตั้งจิตอย่างแรงกล้า ว่า ยังไม่ขอรับรู้ภาษาบาลี เพราะยังมีสภาวะไม่มากพอที่จะใช้ภาษาบาลีมารองรับ และตั้งแต่บัดนั้น จนถึงบัดนี้ภาษาบาลีก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย ค่ะ 

พ่อครูว่า...มันก็เป็นนิมิตหรือเป็นอุปาทานได้ 

นิมิต หมายถึงสิ่งที่เป็นเครื่องหมายให้เรารู้ เราอาจจะเคยมีมาผ่านมา ผ่านมาแต่ชาติก่อนๆก็ได้ แล้วตอนนี้มันก็ขึ้นมา ไม่ใช่ได้รู้ทันที อย่างอาตมากลัวจะเก็บของเก่าไม่ทัน ค่อยๆระลึกขึ้นมาก็ใช้เวลา พระพุทธเจ้าก็เช่นกันแต่ท่านเก่งกว่าอาตมาเยอะ ท่านก็ระลึกได้เต็มทันที ส่วนอาตมานั้นทยอยมา ค่อยๆตามมา ทุกวันนี้ก็ยังทยอยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ว่ามันมีมากกว่ากัน มีได้วิจิตรพิสดาร ก็คือเยี่ยมยอดกว่ากัน มันก็ดีกว่ากัน เพราะฉะนั้นที่คุณปฏิเสธ คุณคิดว่าถ้าเกิดภาษาบาลีมาแล้วเราจะยังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ฐานะ ปฏิเสธมันก็ไม่มา จิตคุณก็ปิดประตูของคุณเอง 

2. ถึง ณ วันนี้ ดิฉันปฎิบัติธรรม พอจะงมๆ ซาวๆ ได้บ้าง(สภาวะธรรม) ขอถาม ว่า จะทำจิตอย่างไรให้เข้าใจภาษาบาลีที่มีความสำคัญกับสภาวะธรรม ค่ะ

พ่อครูว่า...ตามอาตมาไปเรื่อยๆฟังไป อาตมาก็เอาภาษาบาลีมาพูดอยู่บ่อยๆจนกระทั่งคนที่เขาไม่ชอบภาษาบาลีเลยหรือเขาฟังแล้วก็รู้สึกออกรำคาญ เขาจะไม่เอาเลย แต่คนที่เห็นว่ามันมีหลักฐาน มีสิ่งอ้างอิง มันทำให้รู้สึกว่าอย่างนี้ใช่นะ ยิ่งอ้างอิงมาเป็นภาษาบาลีหรืออ้างอิงมากมาจากพระไตรปิฎกเล่มนี้ ข้อนี้ อะไรอย่างนี้ มันมั่นใจ ยิ่งขึ้นว่า ไอ้นี่ไม่ได้พูดเอาเอง ไม่ได้โมเม มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นการอิงหลัก อิงธรรม อิงหลักฐาน อิงวินัยนี่แหละ มันมีหลักฐานอย่างนี้ มันก็เป็นที่เชื่อถือได้ดี คุณจับใจก็เจริญธรรมขึ้นไปตามลำดับ 

_บุญนิยม รองกิจ  · ผมฟังเพลง MV แม่จ๋า น้ำตาไหลคิดถึงแม่

พ่อครูว่า...อาตมาว่ามีไม่น้อยคนหรอก เขาทำ MV ทำได้ดีมาก ทำได้ดีเท่าที่เราเคยมาก มาทำคราวนี้คุณหนึ่งจักรวาล เขาทำการ Arrange ด้วย แล้วพวกเราก็เอามาประกอบภาพเป็น MV ถ่ายกัน โอ้โห..โลเคชั่นอะไรกันมากมายขนาดนั้น โอ้โห..นะ เก็บมาใส่ อุมาพรเขาร้องได้ดี อาตมาว่าทำให้คนแต่งเพลงนี้ เลยพลอยดีไปด้วยเพราะไปด้วย ดูดีไปด้วยไปหมดเลย โอ้โห..เยี่ยมนะเข้าท่าดีมากเลย ขอบคุณทุกคนที่พยายามทำ 

 

ตั้งตนบนความลำบาก ไม่ใช่ อัตตกิลมถานุโยค 

_ดาวตะวัน  • ฟังทบทวนอีกครั้งหลังจากดูรายการมาแล้ว เข้าใจอัตตกิลมถานุโยคได้มากขึ้นค่ะ ต้องพิจารณาอัตตา 3 ในตนเองให้ละเอียด ลึกซึ้ง ชัดเจนให้ยิ่งขึ้น และก็มีคำถามว่า "การตั้งตนอยู่บนความลำบาก" ถือเป็นอัตตกิลมถานุโยคหรือไม่คะ

พ่อครูว่า...ถ้าคุณว่าเป็น  อัตตกิลมถานุโยค ไม่พาเจริญ เป็นการทรมานเปล่า มันก็ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่งใช่ไหม พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ทำความเข้าใจกันให้ดีๆ แล้วก็จะได้ไม่ขัดแย้งในตัว แม้แต่ไม่ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า 

ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง เพราะฉะนั้นการตั้งต้นอยู่บนความลำบาก มีภาษาบาลีว่า ทุกรกิริยา คือการทรมานตนเองอย่างพระพุทธเจ้าอดข้าวจนกระทั่งผอม จับตรงไหนระหว่างท้องถึงกระดูกสันหลัง จับหลังถึงท้องเลยแบนแต๊ดแต๋ ถึงอย่างนั้นก็ผิด 

พระพุทธเจ้าท่านต้องผ่านทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างที่คนเขาทำ พวกชาวเดียรถีย์ที่ไม่ใช่พุทธ เป็นอย่างไรผ่านมาหมดเหมือนอาตมา ที่ผ่านมาเหมือนอย่างชาวพระป่าก็ดี เขาทำมา ปฏิบัตินั่งหลับตาเข้าป่าทำอย่างนู้นอย่างนี้ อาตมาก็ทำมาหมดนั่นแหละไม่ใช่ว่าอาตมาไม่รู้จักพฤติกรรมอย่างพระป่าที่เขาปฏิบัติกัน หลับตาแล้วก็นิ่งจน ปึ๊งแป๊ง อย่างมหาบัวอาตมาก็มีมาหมดทำมาหมด ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นอุปาทานทั้งสิ้นเลย  เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าอาตมารู้ทั้ง 2 อย่าง รู้ทั้งอย่างที่เขาพูดเขาเป็นเขาทำ อาตมาก็เป็นก็ทำมา ไสยศาสตร์อาตมาก็ไปทำมาแล้ว คำว่าไสยศาสตร์นั้น การเข้าป่า การทำอย่างนั้น หลับตาก็คือไสยศาสตร์ทั้งนั้น อาตมาทำมาหมด ซึ่งอาตมาทำได้เร็ว 

ชาตินี้อาตมาไปทำอยู่ 8 ปีไสยศาสตร์ ทั้งทำการนั่งทั้งทำอย่างอื่น แบบเดรัจฉานวิชาพวกนี้ แต่ทางพระที่เขานั่งหลับตาเขาไม่ค่อยทำเดรัจฉานวิชา เขาดี แต่พวกที่เขาไม่รู้เขาก็เล่นไปเป็นเดรัจฉานวิชาอะไรต่างๆนานา เหมือนหมอปลา พวกนี้ไป ซึ่งเขาไม่เข้าใจจิตวิญญาณ จึงไปหลงว่ามีพลังงานวิญญาณไปสิงสู่ ซึ่งมันไม่มีอะไรเป็นอุปาทานของตัวเองทั้งสิ้น มันไม่มีหรอกวิญญาณผีนั่นเทวดานี่อย่างนั้น ไม่มี ตนเองทั้งนั้นแหละ มีอุปาทานมันก็เป็น มันเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างที่เราไปยึดติดว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องมีงี้มันก็เป็นสิ มันก็ออกมาในลีลาของ กายกรรม วจีกรรมออกมา ศึกษาให้เข้าใจดีแล้วก็จะรู้ว่าอธิบายไม่ไหวหรอกเพราะคนเรามันหลากหลาย ทิฏฐิ คนละอย่างเยอะ อธิบายไม่หมด 

_เบญจวรรณ • ปชต.ที่ทำให้คนแตกแยก ไม่รู้รักสามัคคี เลิกซะที กลับมาทบทวนแล้วคิดใหม่ ทำใหม่ในรูปแบบธัมมาธิปไตย สส.ต้องผ่านการอบรมให้รู้หลักการปกครอง ฯลฯ มีชั่วโมงการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ& มีใบประกอบวิชาชีพให้กับทุกคนที่มีคุณสมบัติครบดีมั้ยคะ

พ่อครูว่า...เขาจะเลิกเสียที ไม่เลิกเสียที เราไปบังคับเขาไม่ได้ 

ดีคุณไปออกกฎหมายสิ คุณก็เป็นนักกฎหมาย แต่เราเข้าไปในสภาไม่ได้ อาตมาว่ามันอยู่ที่คุณธรรมของคน ส่วนเรื่องกฎเกณฑ์มันเป็นเรื่องรอง คนนี้สำคัญที่สุดแล้ว มันจะมีภูมิรู้เอง ความไม่เห็นแก่ตัว ความมีปฏิภาณ ความขยันหมั่นเพียร ความมีสมรรถนะความสามารถพวกนี้ มันเป็นคุณธรรมของคนทั้งนั้น 

 

สายนั่งหลับตาอย่างมหาบัวไม่มีทางสร้างสังคมสาราณียธรรม 6 ได้

_7L  • น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุ ในองค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ครับ ท่านปรามาสพระอรหันต์ ท่านระวังจะตกมหานรกอเวจีนะครับโดยไม่มีใครช่วยได้  พระเทวทัตก่อนท่านสิ้นใจท่านยังสำนึกผิด แต่ท่านต่อให้สิ้นใจไปท่านก็ไม่อาจสำนึกผิดได้ ท่านเลวยิ่งกว่าพระเทวทัตซะอีก คนที่เป็นเดียรถีย์  และอลัชชีนั้นคือลัทธิของท่านสอนคนให้เข้าใจผิดๆ สมมุติว่าท่านเดินทางลงอเวจีนรก ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาท่านเดินตามหลังเรียงแถวลงไปด้วย หัวหน้าเดินไปทางไหนลูกน้องย่อมเดินตามไปด้วย (ผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าผู้ใดคือพระอรหันต์แท้แน่นอน และก็ย่อมรู้ว่าผู้ใดคือพระอรหันต์เก๊จอมปลอมกระจอกและว่าที่สัตว์นรก) มิน่าถึงไม่ค่อยมีผู้ใดเคารพเชื่อศรัทธาเลย  (หากข้าพเจ้ากล่าวผิดข้าพเจ้าขอรับกรรมแต่เพียงผู้เดียว สาธุ สาธุ สาธุ)

พ่อครูว่า...แน่นอนคุณไม่ต้องพูดหรอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่ากรรมเป็นของของตนผู้เดียว ถ่ายทอดให้ลูกหลานไม่ได้ หรือถ่ายทอดให้พ่อให้แม่หรือให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น กรรมเป็นของของตนถูกต้อง คุณพูด คุณทำ คุณคิด คุณเห็น คุณเข้าใจ เป็นของคุณคนเดียว ก็อาตมาเข้าใจของคุณ ก็เป็นความเห็น ความเข้าใจเป็นภูมิธรรมของคุณ มันก็ต่างกันกับของอาตมา ความเห็นที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นนานาสังวาส คุณก็เห็นอย่างหนึ่ง อาตมาก็เห็นอย่างหนึ่ง คุณเห็นว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หรือทางสายมหาบัว นั่งหลับตาสมาธิ เป็นอรหันต์ คุณก็นับถือของคุณ คุณเห็นว่าอย่างนั้นเป็นธรรมวาที คุณซาบซึ้งจับใจ ก็เป็นธรรมดาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ส่วนอาตมาก็เห็นอย่างที่อาตมาพูด ซึ่งเป็นสายแบบอาตมา แล้วอาตมาก็มีหมู่กลุ่มของอาตมา คุณก็บอกพูดถูก คุณบอกว่าพวกอาตมานี้มันมีน้อยมีแค่นั้นแหละ มันก็ถูกต้อง 

อาตมามีแค่นี้ อาตมาก็บอกมาหลายทีแล้วว่าอาตมาภูมิใจ คนจะไปอยู่ยอดพีระมิดได้ มันต้องมีจำนวนน้อย ยุคนี้เป็นยุคเสื่อม คนเขาเสื่อม อาตมาถึงได้เอาโลกุตรธรรมลงไปสถาปนาใหม่ แล้วก็กอบกู้เก็บโลกุตรธรรม มีโลกุตรบุคคล มีคนมีภูมิปัญญารับรู้ได้คืนมาได้ประมาณนี้ อาตมาบอกแล้วว่าภาคภูมิใจแล้วได้ขนาดนี้ 

จนกระทั่งเกิดกลุ่มหมู่ สาราณียธรรม 6 สายพวกนั่งหลับตาไม่มีปัญญาจะรู้จักมนุษย์ที่เป็นมนุษย์มีวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  แล้วก็รวมกันอยู่เป็นกลุ่มหมู่อยู่กันอย่างมีสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา( สาธารณโภคี ) ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา     

สังคมที่สมบูรณ์แบบแล้วเกิดจริงเป็นจริง เป็นปรากฏการณ์ในมนุษยชาติ สังคมทางหลับตาเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอย่างนี้แบบของพระพุทธเจ้า นี่ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง ของเขาเกิดไม่ได้หรอกเพราะมันออกนอกรีตศาสนาพุทธ คุณก็เห็นของคุณ อาตมาก็เห็นของอาตมา อาตมาไม่ได้แปลกอะไรก็ว่าไปก็ต่างคนต่างดี 

อาตมาจะขอคุณได้ไหมนี่ว่าฟังธรรมะอาตมาบ้าง อย่าละเลยอย่าทิ้งกันนะ ฟังอาตมาบ้าง ฟังไม่มากนักก็ยังดี ขอบคุณ ถ้าฟังมากๆหน่อยก็ยิ่งขอบคุณยิ่งๆขึ้น ญาติดีกันนะ 

_4399  • พระโพธิสัตว์คือผู้ที่จะเกิด มาตรัสรู้ในอนาคตกาล พระอรหันต์คือผู้ที่จะไม่เกิด ท่านเป็นทั้งสองอย่างพร้อมกัน มันย้อนแย้งยังงัยไม่รู้น่ะ 

ท่านเป็นทั้งอรหันต์ ท่านเป็นทั้งโพธิสัตย์ ท่านเป็นทั้งธรรมิกราช ท่านเป็นทั้งอมตะบุคคล ท่านเป็นทุกอย่างพร้อมกัน ฟังแล้วน้ำตาจะไหล ท่านไปไกลแล้ว......กู่ไม่กลับแล้ว...

พ่อครูว่า...เขามาแนวเดียวกับคุณ 7L ฟังแล้วก็คงสมเพชเวทนาอาตมาสว่าทำไมทำไปได้ถึงปานนั้น คุณติดตามฟังให้ดีๆอาตมาว่าสัจธรรมของการออสโมซิสมีจริง อาตมาว่านะไม่เป็นไรหรอก สัจธรรมที่ค่อยๆซึมเข้าไปมันจะมี ขอให้ฟังติดตามฟังอาตมาไปเรื่อยๆก็แล้วกันเนาะ เป็นแฟนเพจ เป็นแฟนคลับกันนะ ก็ต่างคนต่างเห็น คนนี้ก็เห็นว่าทางโน้นดี อาตมาว่าคนมันจะโง่มาก่อนฉลาดก็ค่อยๆเป็นไป ขออภัยอาตมาพูดความจริง อาตมาไม่ได้ว่าคุณโง่นะ 

 

พ่อครูประกาศอรหันต์แล้วก็พิสูจน์ได้ด้วย

_8892  • ผู้ใดประกาศตัวตนว่าได้บรรลุอรหันต์แล้ว..แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้..ถือว่าผู้นั้นได้ปราชิกสมบูรณ์แล้วทุกประการ

พ่อครูว่า...อาตมาสามารถพิสูจน์ได้ มีคนที่รับธรรมะได้ อาตมาก็พาเขาปฏิบัติจนเป็นอรหันต์ เขาก็ได้เป็นพระอาริยบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นอรหันต์ได้ง่ายๆหรอก เขาก็จะรู้ว่าอรหันต์นี้มีจริงๆ เราจะเห็นเปรียบเทียบว่า เขากับอาตมานี้ อาตมาเป็นอรหันต์แน่ เขากับอาตมาต่างกัน แล้วมันก็มีอรหันต์ไม่รู้กี่ระดับ 

อาตมาอธิบาย อรหันต์ถึง 6 ระดับ อาตมาว่า สายอาจารย์มั่นอาจารย์เสาร์นั้นไม่มีปัญญารู้หรอก อรหันต์ 6 ระดับ ไม่มีหรอกเพราะว่าไม่เข้าใจอรหันต์ ไม่เข้าใจโพธิสัตว์  ขออภัยอีกที ไม่เข้าใจแม้แต่อรหันต์ที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ จึงได้พากันออกนอกรีต แล้วก็ไปหลงอรหันต์เก๊ ก็หลงยึดอรหันต์เก๊กันอยู่ถึงทุกวันนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สุดสงสาร อาตมาเห็นแล้วก็สงสาร สุดสงสาร เพราะเขาไม่รู้แม้แต่เวทนาในเวทนา ไม่รู้กายในกาย เพราะฉะนั้นจิตในจิตนี้เขามีแต่ฝังจิตไปสู่จิตฝัง เขาไม่ได้พิจารณา ไม่ได้แยกจิต จิตที่เขาสะกดเข้าไปในหลับตามันยิ่งดับยิ่งบอด แต่ถ้าจิตลืมตาเปิดออกมาสู่โลก มันรู้จักกว้างยิ่งสว่างยิ่งเปิด ยิ่งจะรู้จักความจริงตามความเป็นจริงไปทีละคู่ๆ 

แล้วกลายเป็นรู้ โลกวิทู เป็นการรู้เปิดโลกกว้างไปเรื่อยๆ มันเป็นคนละทิศทาง ถ้าเผื่อว่าปรารถนาธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆตั้งใจฟัง อย่างน้อยก็ตามฟังอาตมาไปเรื่อยๆ 

คุณว่าอาตมาปาราชิก อาตมาว่าคุณหมายอย่างนั้นนะ ว่าอาตมาประกาศตัวเป็นอรหันต์แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาตมาพิสูจน์ได้แต่คุณเองต่างหากไม่รู้ คุณไปเข้าใจอรหันต์เก๊เป็นอรหันต์จริง คุณไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออาตมา แล้วมีผู้พิสูจน์อาตมาอยู่ รับรองอาตมาว่าอาตมาเป็นอรหันต์จริง โดยเฉพาะคนที่อยู่กับอาตมามาด้วยกัน 40-50 ปี อยู่ด้วยกันก็ศึกษาปฏิบัติธรรมมาด้วยไม่ใช่อยู่กันเฉยๆ 

ถ้าอาตมาเก๊ ก็เขาก็ต้องรู้สิ จะโง่อะไรกันนักกันหนา ว่าอาตมาเป็นอรหันต์เก๊ เห็นว่านี่เป็นอรหันต์อะไร ยังมี ราคะ โทสะ โมหะ มันจะต้องแหลมออกมาจนได้ ก็จะรู้เอง 

_สู่แดนธรรม... ผมเองก็ขอยืนยันได้ว่าเป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์พ่อท่านได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ คุณลักษณะของพระอรหันต์ คือจะเป็นผู้ไม่มีความกระหาย พ่อท่านก็แสดงออก ให้เห็นอยู่เรื่อยๆว่า เวลากินข้าว มีแต่ความทุกข์ นี่คือธรรมดาของอรหันต์ 

พ่อครูว่า... อันนี้มันเกินกว่าที่เขาจะฟังขึ้น อันนี้มันก็ลึกซึ้ง อาตมาขยายความให้ฟังว่าทำไมมันถึงทุกข์ เพราะอาตมามันหมดอายุขัยแล้ว คนที่ยังมีอายุขัยก็เป็นธรรมชาติธรรมดา ก็จะกินอาหารตามความเหมาะสม ทีนี้เมื่อฝืนอายุขัย มันก็จะฝืนกินอาหาร มันฝืนไปมากขึ้น นี่อาตมาฝืนมาเป็นนักษัตรเกินแล้ว จาก 72 มา 84 นี่มา 90 แล้วมันก็ยิ่งฝืน มันก็ยิ่งกินยากขึ้นทุกวันเลย มันฝืนอายุขัย ฝืนขันธ์ อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็พูดให้ฟังเป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องปัจจัตตัง เป็นเรื่องของคนที่มีสภาวะนั้นจริง เสแสร้งไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งเป็นเรื่องจริง ก็ค่อยๆศึกษากันไป ใส่ใจดีแล้วล่ะ 

อาตมาว่าผู้ที่ SMS มา อาตมาขอบคุณ แล้วก็สนับสนุน ใส่ใจเถอะ ไม่ทิ้งขว้างอาตมา ฟังอาตมาบ้างก็ขอบคุณ ดี ติดตามเถอะ ค่อยๆฟังไปได้เล็กได้น้อยหรือว่ามีอะไรแย้งมา ก็ขอบคุณอีก จะได้อธิบายความขัดแย้ง ขยายความที่มีความแตกต่างกันสู่กันฟัง ตั้งใจฟัง นานาสังวาสเป็นเรื่องดี เห็นต่างกันดีๆ อย่ามาทำตัวเป็นนิกายต่อกันเลย ไม่คบหากัน อยู่คนละพวกคนละที่กัน แตกแยกกัน อย่าแตกแยกกันเลย เอาความแตกต่างอย่าแตกแยก 

_6g  •  ท่านจะสอนก็สอนตามหลักของคุณไป  แต่อย่ากล่าวหาติเตียน พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอื่นเลย

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้กล่าวหาท่าน อาตมาเอาความจริงมาพูด พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาเขาแม้แต่คุณนั่นแหละเจตนาจะให้ฟังดีๆว่ามันไม่ถูกต้อง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของคุณ คุณอย่าไปหลงงมงายมากเกินไป นับถือพ่อแม่ครูบาอาจารย์นั้นไม่ผิดหรอกมันดี แต่อย่าหลงงมงายเกินไป อาตมาอธิบายนี้ไม่ได้ไปลบหลู่ ไม่ได้ไปดูถูก แต่อาตมาแจกแจงตัวอย่างที่เป็นกัน ซึ่งมันเป็นไปผิดๆ มีของจริงอาตมาก็กล่าวถึงยืนยันเท่านั้น แล้วอาตมาก็ยกอ้างความถูกต้อง คำสอนของพระพุทธเจ้า อาตมายกอ้างความจริงมาเปรียบเทียบ มายืนยันให้ศึกษา ฟังสิ ฟังพินิจพิจารณาไปตาม แยกแยะให้ดีๆ แล้วก็จัดสรรดีๆ ทำความเข้าใจดีๆ แล้วคุณจะได้รู้จักความจริง 

อย่าฟังธรรมด้วยการผลัก ฟังธรรมด้วยการเพ่งโทษ จงฟังธรรมด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง จะได้ปัญญา ถ้าฟังธรรมด้วยการผลักหรือฟังธรรมด้วยการเพ่งโทษ มันไม่ได้ปัญญา มันไม่เข้า เพราะคุณกั้น คุณต้านไว้แล้ว ควรฟังอย่างรับมาพิจารณา ค่อยๆพิจารณาไป รับฟังไป พิจารณาไปตามเรียกว่า สุสูสัง จะเกิดปัญญา 

_6942  •  อย่าบอกนะว่าไร้ซึ่งอัตตา และอย่าบอกว่าไม่เคยเครียด ปวดตดปวดขี้หรือหิวหรือแม้แต่ผัสสะบางอย่าง (ขำาาาา

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #36 ชีวกสูตร คือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2566 ( 07:36:38 )

660818

รายละเอียด

660818 ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53227.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1gF-6L6e2GXe2--5BpwWLStcT_9XlVPEm/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1AKT-XaeOjf8tNzLBXBwQqwxNUi-GglYj/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660818-e288g91 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/qM422O85DPI 

และ https://fb.watch/mv9ZgPm2sr/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้จะให้ดูคลิปนำเรื่องก่อน เกี่ยวกับวัยรุ่นที่สนใจธรรมะ 

พ่อครูว่า... ดี ก็น่าดีใจมีเด็กๆใครที่สนใจศึกษาธรรมะก็ค่อยๆศึกษาตามกันมา ขอเริ่มต้นที่ SMS

 

ลำดับการพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 

SMS วันที่ 14-17 ส.ค. 2566

_กิ่งธรรม... น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธายิ่งค่ะ...วันก่อนฟังธรรมว่า ชาวบ้านราชไม่ค่อยถามปัญหา วันนี้จึงมีปัญหาอยากเรียนถามพ่อท่านบ้างค่ะ.....ดูเหมือนจะเป็นปัญหาแบบโลกๆที่โยงเข้ามาหาธรรมได้อยู่นะคะ...ลูกสงสัยว่าเรื่องการได้เงินมาแบบไหนที่ชอบธรรมกว่ากันค่ะ

1.เงินที่ได้จากการทำประกันชีวิตของคนในครอบครัว เช่นพ่อแม่สามี หรือลูก ที่เรารู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่นานด้วยโรคร้าย   เราก็ไปทำประกันไว้แบบสูงๆแล้วเราก็ได้เงินนั้นมาจำนวนมาก... 

2.เงินที่ได้จากบำนาญที่เราอุตส่าห์ทำงานรับราชการด้วยเงินเดือนน้อยๆเมื่อเทียบกับเอกชนเพื่อหวังบำนาญตอนเกษียณอายุ  คือสมัยก่อนเพื่อนๆไปทำงานเอกชน  ได้เงินเดือนสูงกว่าลูกมากแต่ลูกคิดว่าทำของรัฐนี่แหละดี เพราะแก่แล้วก็มีบำนาญแม้งานจะหนักมากก็สู้ทำมาจนได้บำนาญ  

3.เงินที่ได้จากการเล่นหุ้น 

4.เงินรางวัลจากการซื้อสลากออมสินของรัฐบาล  

5.เงินจากกองมรดกของบิดามารดา  เงินแบบไหนที่ได้มาโดยชอบธรรมกว่ากันคะ.กราบขออภัยนะคะที่ถามเรื่องอสรพิษ(เงิน)เพราะยังไงๆ  ลูกก็ยังจำเป็นต้องใช้เงินอยู่บ้าง  นิดๆหน่อยๆ ไม่ค่อยมากหรอกค่ะ  และลูกก็คิดว่าส่วนใหญ่พวกเราก็ยังต้องใช้เงินกันอยู่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะเพราะฐานยังไม่ถึง..ค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...ฐานไม่ถึงก็ยังดี ก็ยังดีที่มีคนเข้าใจว่า เป็นคนนี่ไม่ใช้เงินไม่ได้ แม้แต่เขาบวชเป็นพระกันแล้ว เขาบอกบวชเป็นพระทุกวันนี้ไม่ใช้เงินไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ใครที่ไหนอยู่ได้ แต่ว่าความจริงแล้วพระที่ไม่ใช่เงินอย่างพวกเรา สมณะชาวอโศกอยู่ได้ แม้แต่ สิกขมาตุ อยู่ได้หรือแม้แต่ฆราวาสของพวกเรา 

คำว่าใช้เงินก็มีความหมายของมันหลายระดับ ใช้เงินตามสมควร ที่เราออกไปข้างนอก เราก็จะต้องใช้ค่าส่วนที่มันจำเป็นที่เราต้องใช้ จริงๆเราก็จำเป็น แต่ผู้ที่ออกไปข้างนอกไม่ได้ใช้เงิน ไปข้างนอกก็ไปทำงานก็ทำแต่ไม่ได้ใช้เงินก็ได้ อย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำเอาเองที่เราทำได้ไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้ 

เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่..อยู่ที่คน ที่บุคคล ผิดที่เราจะต้องใช้เงินแล้ว เราก็ไม่พยายามที่ทำกิจที่จะต้องใช้เงิน มันสำเร็จนะ กิจที่จะต้องใช้เงิน เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง เราทำแต่กิจที่ไม่ใช้เงินเยอะไป เราอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมอโศกเรานี่ คนที่ไม่ต้องใช้เงินเลย คิดที่จะต้องใช้เงิน เราไม่ทำ เราก็ทำกิจที่อยู่กับหมู่ แม้แต่กิจที่ทำข้างนอกทำกับสังคมข้างนอก เราก็ไม่ต้องใช้เงิน งานที่เราทำ เราก็ทำได้อย่างนี้เป็นต้น 

มันเป็นเรื่องละเอียดไปศึกษาดีๆจะเห็นได้ว่า อย่างชาวอโศกเรานี่เห็นได้ว่า ไม่ต้องใช้เงินอยู่ในนี้ ถ้าใช้เงินก็ให้คนอื่นที่เขาใช้อยู่ เขาถนัดใช้ เราไม่ถนัดใช้ เรื่องที่ใช้เงินให้คนอื่นเขาแทน ทำได้ 

เพราะฉะนั้นพวกภิกษุ หรือสมณะชาวอโศกหรือ สิกขมาตุ ก็ไม่ต้องใช้ จะซื้อ จะขาย จะโน่นจะนี่ก็บอกฆราวาสที่เขามีหน้าที่ให้ไปทำ ไม่ต้องใช้ ตัวเองไม่ต้องไปซื้อไปขายไปทำอะไรเองเลยในเรื่องจะต้องพกเงินแล้วก็จ่ายเงินไม่ต้องเลย แม้แต่ฆราวาสหลายคนพวกเราก็จะรู้ได้ว่า ที่มันจำเป็นจริงๆมีน้อยมาก อยู่ในสังคมพวกเรานี้ยิ่งอุดมสมบูรณ์ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน แต่อันนี้เขาก็เห็นว่ามันจำเป็นกิเลสมันมาก ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า เพราะเครื่องล่อมันก็มาก เอ้า..ก็ผ่านไป พิสูจน์เรื่องที่ไม่ใช้เงินได้เป็นเรื่องของการจบกิจ เรื่องเศรษฐกิจที่ดี

 

กิเลสมันกลัวปัญญาอย่างไร 

_หลิน หลิน....กราบเรียนถามพ่อครูว่า กิเลสกลัวปัญญา แล้วทำอย่างไร ถึงจะมีปัญญา เช่น เรื่องอาหาร ชอบกินของหวาน เป็นต้นค่ะ

พ่อครูว่า... คำนี้จำไว้ยืนยันเลยว่าปัญญามันทำให้เข้าใจ กิเลสมันก็ไม่มีบทบาทเลย ไม่มีภาษาจะบอก จะพูดมากกว่านี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอย่างที่เคยอธิบายไป ว่า มารหรือกิเลส มันดูหน้าเราแล้ว ตถาคตรู้จักหน้าเราแล้ว มันหายไปเลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างนั้น เพราะมันเป็นนามธรรมที่มันไม่ได้ไป ฤทธิ์แรงของปัญญามันแรงจนกระทั่งไอ้กิเลสนี่รอหน้า อาตมาเคยพูดมาแล้วว่ามันรอหน้าไม่ติดเลยกับคนที่มีปัญญา 

เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ กิเลสจะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำว่ากิเลส หมายความว่าคนที่มีนะ พระอรหันต์ท่านไม่มีแล้ว กิเลส เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับโลกนี้มันไม่มีกิเลส แต่กิเลสมันก็แสดงตนอยู่กับคนที่เขามีกิเลสที่ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาก็สู้กิเลสนั้นไม่ได้ พระอรหันต์ท่านมีปัญญาสมบูรณ์แบบแล้ว กิเลสมันไม่กล้ารอหน้า แต่ไม่ใช่ว่าโลกนี้มันไม่มีกิเลส  มันก็มีอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เป็นกิเลสสำหรับคนที่เขามี คนมีกิเลส มันก็มีก็ต้องสู้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นพลังปัญญาจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วก็ต้องรู้ว่ากิเลสมันคืออาการอย่างไร 

อาการของปัญญาเป็นอย่างไร มันเป็นนามธรรมมากที่ยากที่จะรู้ แล้วทำอย่างไรจะมีปัญญา เช่น เรื่องอาหารนั่นแหละตัวดีเลยพระพุทธเจ้าถึงให้ทำเรื่องอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา เราสามารถเรียนรู้กิเลสและมีพลังปัญญาจากการกินอาหารนี่แหละได้

จนพลังปัญญามันสูงกิเลสไม่มีเลย เป็นอรหันต์ได้ด้วย โภชเนมัตตัญญุตา คือเรื่องอาหารอย่างเดียวเป็นพระอรหันต์ได้เลยขอยืนยัน กินของหวาน พิจารณากินไปมากๆ มันเป็นเบาหวานนะหรือเป็นโรคอื่นๆอีก โรคอ้วน ... ทดลองพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องโง่ของเราเองที่ไปติดอย่างโน้นอย่างนี้  

 

บอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าเป็นจริง 

_แดง สารคาม  · ดิฉันเข้าใจว่าพ่อครูคนเดียวเท่านั้นเป็นพระอรหันต์ค่ะ มีลูกของลุงคนหนึ่งเขาศรัทธาหลวงตามหาบัวมาก เขาเข้าใจว่าหลวงตาบรรลุอรหันต์แล้วค่ะ

พ่อครูว่า... แล้วคนจะเชื่อด้วย คนจะเชื่อว่ามหาบัวแม้จะสิ้นชีวิตไปแล้วก็เถอะ เขาก็เคยอาจจะพบ อาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหามหาบัวด้วย แล้วเขาก็ได้พบได้สัมผัส ได้เห็นได้รู้ว่ามีอีกคนคือโพธิรักษ์ รู้ 2 คน รู้ทั้งมหาบัวและโพธิรักษ์ 

มหาบัวก็พูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แต่ไม่กล้าพูด เป็นตรงๆแข็งๆแรงๆชัดๆอย่างไม่มี มังกุ อย่าง มหาบัว เหมือนอย่างโพธิรักษ์หลอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ มหาบัวก็ไม่กล้าพูดอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะมันไม่ใช่ มันไม่ใช่อรหันต์ มันไม่กล้าหรอก ก็พูดเป็นนัยๆให้คนอื่นเขาเข้าใจว่าเกิดเป็นชาติสุดท้าย ใช้สำนวนนี้เป็นสำคัญไม่เกิดอีกแล้ว ชาตินี้ไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็อธิบายพลความแวดล้อมต่างๆสารพัดเพื่อให้คนเข้าใจว่า เป็นคนหมดสิ้นกิเลสอะไรอย่างนี้ ซึ่งจะไม่กล้าที่จะบอก

จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่เป็นจริง พูดความจริงมันไม่ใช่เรื่องยาก มันไม่ใช่เรื่องน่าอายด้วย ที่จะบอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย และก็ไม่ใช่เรื่องอยากอวด อรหันต์ไม่มีทั้งเรื่องน่าอายและไม่มีทั้งจิตอยากอวด อรหันต์จริง เพราะฉะนั้นก็พูดเป็นปกติสามัญ แล้วก็รู้ความควรหรือความไม่ควรทั้งนั้น 

อย่างอาตมานี้ไม่ได้พูดง่ายๆ พูดมาหลายทีแล้ว อาตมาพูดว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ก่อน แต่โพธิสัตว์นี่แหละสำคัญ และก็ไม่ได้บอกว่าโพธิสัตว์ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ไม่ใช่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 4 เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

อาตมานิยตโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 7 

ส่วนอรหันต์จริงๆนั้นมี 6 ขั้น 1 อรหันต์โพธิสัตว์ 2.อนุโพธิสัตว์ 3.อนิยตโพธิสัตว์ 4.นิยตโพธิสัตว์ 5.มหาโพธิสัตว์ 6.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความเป็นอรหันต์ที่พูดกันไม่ใช่ขั้นเดียว แต่เขาไม่พูดกันหรอก แล้วอาตมาก็มีภูมิธรรมจริงๆ ไม่ใช่เอาความเพ้อเจ้อมาพูด เอาความเพ้อเจ้อมาพูดไม่ได้หรอกเรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะ แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปหลงใหล เพราะเป็นอรหันต์แล้วไม่ไปหลงผิด อรหันต์รู้จักโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องเดาสุ่ม มันเป็นเรื่องบอกความจริง จึงไล่ระดับได้มันเป็นสัจจะ จึงเอามาพูดสู่ฟังทั้งนั้น 

แล้วอาตมาก็ยืนยันไม่ได้เกลียดชังมหาบัว สงสาร โดยเฉพาะสงสารคนที่ไปหลงมหาบัวผิด ไปหลงผิดว่าเป็นอรหันต์ เป็นอาริยะ ซึ่งมันไม่ใช่ ยังหยาบ แค่เสพติดหมากพลูเป็นเรื่องหยาบต้นๆเลยเป็นสิ่งเสพติดของพื้นๆชาวบ้าน มนุษย์ง่ายๆ สิ่งเสพติดสามัญ ติดหมากพลู บุหรี่ สิ่งเสพติดอะไรต่ออะไรนี่ หยาบกว่า อาหารการกิน 

คุณติดน้ำหวาน คุณติดของหวาน มันยังลึกซึ้งกว่าไปติดหมากพลู ติดสิ่งเสพติด  ติดยาเสพติด มันต่ำมันหยาบ แค่นี้ยังไม่มีปัญญารู้เลยจะเป็นอรหันต์อรแหนอะไร มหาบัว ขออภัยอาตมาพูดเหมือนดูถูก เหมือนเหยียบย่ำ แต่อาตมาก็ต้องข่มความผิด ความเข้าใจผิด ความไม่ถูกต้อง ยกสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจธรรม พูดสัจธรรม มันต้องเป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังดีๆ แต่ยุคนี้เป็นยุคที่อาตมานำเอาโลกุตรธรรมหรือธรรมะที่สัมมาทิฏฐิ ธรรมะที่ถูกต้องเข้ามาสถาปนาลงไป เพราะศาสนามันเสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่ามันจะเสื่อม ชื่อว่าพุทธนั่นแหละมันจะเสื่อม ศาสนาพุทธนั้นเป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ โลกียะมันก็เป็นศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ใครๆเขาก็สอนโลกียะ คือการละชั่ว ประพฤติดี ใครๆก็สอน 

แม้จะมีลึกซึ้งอยู่บ้างว่าให้ละ ลาภยศสรรเสริญบ้าง เขาก็ไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูป นิพพานที่จะละลดสิ่งที่มันไม่จริงเขากดข่ม พวกเชน กดข่ม จนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรเลย มักน้อยสันโดษจริงๆเป็นต้น ซึ่งมันไม่เป็นจิตที่สมบูรณ์แบบ อย่างพวกเชนตายแล้วเวียนวนมาเกิดอีกนะ แล้วเวียนวนมาเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อีก หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็ติดเพราะมันไม่ได้รู้จักจิตเจตสิก ไม่ได้รู้จักอย่างเวทนา 108 แล้วก็เห็นชัดเจนใน มโนปวิจาร 18 

ของอย่างโลกีย์เขาเป็นเคหะสิตะ 18 แล้วก็รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันไปหลงสุขหลงทุกข์ จนกระทั่งหมดสุขหมดทุกข์แบบโลกุตระเนกขัมมสิตะ อีก 18 แล้วก็ทำจนละเอียดจนครบ ทั้งแน่ใจว่า อดีตเป็นฐานเต็ม 36 ปัจจุบันมาทุกตัว มีพลัง กิเลสทำอะไรไม่ได้

เพราะฉะนั้นจนแน่ใจว่าอนาคตอีก 36  และ 36 นี่ก็คือ มโนปวิจาร 18 มี 2 อันก็เป็น 36 ทั้ง เคหสิตะ ทั้ง เนกขัมสิตะ ก็เป็น 36 รู้ดีในเรื่องของพฤติกรรมมโนปวิจาร วิจาระ คือพฤติกรรมของมโนแบบโลกียะกับโลกุตระ อาการของมันรู้ดีหมด มันเกิดอาการทางจิตแบบไหนแบบไหน จนกระทั่งผ่านเราไปแล้วเป็นอดีต ปัจจุบันนี้ มันมาก็รู้มันหมดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนปวิจาร 18 

แล้วมันเป็นโลกียะก็รู้มันได้ ทำให้มันเป็นโลกุตระได้ อย่างชัดเจนหมดทุกอย่างเลย อาตมาว่าอาตมาอธิบายรายละเอียดของธรรมะมันละเอียดจนกระทั่งเป็นภาษาง่ายๆนะ แม้จะมีภาษาวิชาการภาษาบาลีประกอบ อาตมาก็ขยายความเป็นภาษาไทยให้ละเอียดลงไป ไม่ได้พูดบาลีโก้ๆ แต่พูดบาลีเพื่อยืนยันอ้างอิงเท่านั้นเอง 

ค่อยๆเรียนไปนะอาตมาก็ต้องพูดความจริง ว่าสายนั่งหลับตา มันผิดหมดมันไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ขนาดมีอปัณณกปฏิปทา 3 ผู้ปฏิบัติจริงจะรู้เลยว่าไม่ใช่ละกิเลสได้ง่ายๆและไปนั่งหลับตาอย่างนั้น ไม่รู้กี่ชาติแล้วไปหลงแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส เสียเวลา อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ผ่านไปก็แล้วกัน มันน่าสงสาร เสีย เวล่ำเวลา 

 

_สวน กระจอกจัง  · ครอบครัวผมปฏิบัติธรรม แบบชาว อโศก แล้วทำให้ สมาชิกในครอบครัวปลอด อบายมุข เกือบ100%เลยครับ ผมมาถูกทางแล้วครับ

พ่อครูว่า... ดี รู้ตัวชัดเจน 

 

น้ำตกให้เที่ยวฟรีทำได้ที่บ้านราช

_สว่างแสง ขวัญดาว  · กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สมณะเดินดิน สมณะดินไท สมณะแสนดิน พ่อครูคะลูกได้ฟังท่านแสนดินว่าบ้านราชใช้ไฟฟ้า เพื่อสูบน้ำแล้วเปิดน้ำตกให้คนทั่วไปมาเที่ยวฟรี ลูกว่าบ้านราชคงต้องจ่ายค่าไฟฟ้าต่อวันด้วยเงินจำนวนมาก ลูกมีข้อสงสัยว่าในทางเศรษฐศาสตร์คนเห็นผักงามแล้ว มาซื้อปุ๋ยอย่างนี้ลูกสามารถคิดได้ แต่จ่ายค่าไฟฟ้าด้วยเงินจำนวนมากเพื่อผลิตน้ำตกให้คนมาอาบน้ำ ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า บ้านราชได้อะไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ได้คนมาอาบน้ำ มันอธิบายยากอธิบายละเอียดยังไง มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยหลายอย่าง 1. ทำธรรมชาติ       2. เพื่อแสดงให้คนเห็นว่าธรรมชาติสำคัญ 3. เมื่อได้มาแล้วหรือเมื่อทำขึ้นมีสิ่งนี้ เราก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในตัว มีน้ำตกนี่ บรรยากาศของพวกที่เราอยู่มันจะไม่เหมือนป่าทึบที่มีน้ำตก แล้วก็เย็นยะเยือก แต่มันจะเย็น แต่ไม่ถึงยะเยือก จะเย็น อย่างโปร่ง เย็นอย่างได้สัดส่วน มีไอน้ำ น้ำตกเคลื่อนลมพัดนะ มันไปกระทบทำให้เกิดลมเคลื่อนอะไรพวกนี้ต่างๆนานา โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณ 

คุณพูดถูกว่าเราทำฟรี เราให้คนมาสัมผัส ไม่กี่วันก็มีเด็กมาหลายทัวร์ มีเด็กมัธยมมาเป็น 100 ชั้นประถมก็มี คือให้มันเรียบร้อยดี เขาจะได้รับประโยชน์ ที่ในจังหวัดอุบลราชธานีมันก็ไม่มีที่จะเป็นอย่างนี้ ไอ้ที่เขาทำแบบค้าขาย เขาก็ทำไปสิ นั่นแหละอีกอันหนึ่งก็บอกว่าที่อื่นเขาทำแล้วเขาทำหาเงิน ต้องเสียเงินไปเล่น แต่ของเราไม่ได้เสียเงินเสียทองอะไรเลย นี่ก็ไม่ใช่อวดอ้างนะ แค่ให้เห็นว่าพวกเราเกื้อกูลกันได้ มนุษยชาติน่ะ 

สมณะฟ้าไท... ตอนเดือนเมษายน ผมถามว่าทำไมเขาอุ้มลูก 2 เดือนมาด้วย เขาบอกว่าที่บ้านอยู่ไม่ได้ มันร้อนไปหมด เขาบอกว่าอยู่กันไม่ได้เลย มาที่นี่ตั้งแต่เช้าเลย 

พ่อครูว่า... นั่นแหละมันเป็นที่พักผ่อน มันเป็นสถานที่ที่ แดนเพลินเชิญพัก Pleasant Land please rest เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตวิญญาณเกื้อกูล อันเป็นอัชฌาสัยของโพธิสัตว์ จบด้วยอันนี้ก็แล้วกัน 

 

_Aeamaua Lee เอื้อมเอื้อ ลี  · ชื่นชมท่านแสนดินนะคะ น้อมนมัสการทุกท่าน รายการดีๆเช่นนี้มีที่ช่องนี้ช่องเดียว

พ่อครูว่า... แน่นอนขอยืนยัน

 

_Songyut Akkakoson  ทรงยุทธ อัคคโกศล · กราบนมัสการท่านสมณะและท่านสิขมาตุ พอจะอนุมานได้ไหมครับว่า ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมสายอโศก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยมีกิเลสโทสะแรง (สายโทสะ) เพราะเท่าที่ผมได้มีโอกาสคบคุ้นสหายดีมิตรดีและดูใจตนเองก็พบว่า ตนเองก็เป็นสายโทสะ ส่วนเพื่อนทางโลกคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่สายโทสะมักจะไปสนใจธรรมะสายหลับตากันครับ

พ่อครูว่า... อาตมาว่ามันไม่ใช่เครื่องชี้บ่งนะ มาสายเรานี่ จะเป็นสายโทสะ ไปนั่งหลับตาเป็นสายปัญญา อาตมาว่ามันกลับกัน สายเราเป็นสายปัญญา สายไปนั่งหลับตาเป็นสายโทสะ ก็ขนาดมหาบัวยังเขวี้ยงถาดใส่พระเลย เขาว่าอรหันต์ สายโน้นเป็นโทสะแรง ถ้ารู้ตัวไม่ทำหรอก มันขายขี้หน้า แต่ไม่รู้ตัวหรอกที่ทำนั้น กิเลสมันเป็นงานเอา 

สมณะฟ้าไท... แล้วแถมมีหลักฐานถ่ายไว้ ตายแล้วก็ยังมาเปิดเผยได้อีก 

พ่อครูว่า... เอา เป็นเรื่องจริงก็เป็นธรรมดา มันไม่ใช่เครื่องชี้บ่งอาตมาก็บอกว่าสายอโศกนี่แหละเป็นสายปัญญา ไม่ใช่สายโทสะ แต่โทสะน่าจะไปทางมหาบัวมากกว่า มันก็เป็นเรื่องของส่วนตัวของแต่ละคน 

 

สภาวะมีแต่ในพุทธที่เป็นโลกุตระเท่านั้น เทวนิยมไม่รู้สภาวะจิต

_Aik Lim สายพิน กทม.  · กราบนมัสการและกราบขอบพระคุณท่านสมณะเจ้าค่ะ โยมได้ฟังความหมายของคำว่าสภาวะ(คือ อารมณ์อาการต่างไปของจิตใจ)ดังนั้น สภาวะจึงคือเวทนา ใช่ไหมเจ้าคะ หรือสภาวะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเวทนาเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการและกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... คำว่าสภาวะแปลว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมันปรากฏทางนามธรรม โดยเฉพาะจิตเจตสิกของเรา เราอ่านอาการของจิตเจตสิกได้ อาการของจิตเจตสิกก็เป็นสภาวธรรม ที่เราสัมผัสได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็เป็นสภาวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นสภาวะ เป็นสิ่งปรากฏที่เราสัมผัสได้ 

พระเจ้าไม่ใช่สภาวธรรม เพราะพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้ใครสัมผัสได้เลย เป็นสิ่งลึกลับ เพราะฉะนั้นธรรมะของเทวนิยมไม่มีสภาวธรรม มีแต่ความคิด เป็นห้วงความคิดจินตนาการ  ไม่มีสภาวธรรมที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย 

เพราะฉะนั้นสภาวะที่ปรากฏ แม้จะเป็นนามธรรมอยู่ในแต่ละบุคคล คนนั้นต้องมี จิตเจตสิก คนที่ตายไปแล้วตัวเขาเอง มีสภาวะธรรมของคนอื่นที่ยังไม่ตายรู้ว่าอันนี้เป็นซากศพซากตาย ตัวเองหมดสภาวะ หมดการทรงไว้ซึ่งธรรม หมดการรู้ คนที่ตาย แต่เป็นสภาวะให้คนอื่นถูกรู้ เป็นตัวที่ถูกรู้เป็นรูปเป็นศพ 

เพราะฉะนั้นสภาวธรรมจึงประกอบไปด้วย 2 อย่าง พูดกันกับใครต่อใครก็แล้วแต่ คนที่พูดกันรู้เรื่องว่ามีสภาวะธรรม ก็ต้องมีสภาวะ 2 คือสิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้ ถ้าสิ่งที่ถูกรู้ แม้จะเป็นนามธรรมที่แต่ละคนพูดกันสองคน ก็พยายามตามรู้กันไป อย่างประมาณเท่านั้นเอง ส่วนเรารู้ของเรา เราก็มีการกำหนดรู้ สิ่งที่เป็นสภาวะที่เรากำหนดขึ้นในจิต มันอยู่ในห้วงจิตของเรา มีจริงหรือไม่จริง ได้ 

อย่างพระเจ้านี่ มีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ แต่ส่วนมากของเทวนิยมนั้นเขาไม่มีจริงหรอกพระเจ้า พระเจ้าของเขาจริงๆนั่นคือความรู้ของศาสดา ศาสดาของศาสนาไหน เขาก็คือพระเจ้านั่นแหละ  แต่เขาไม่รู้จักจิตเจตสิก เขาไม่รู้จักสภาวธรรม ศาสดาสายพระเจ้า ศาสนาเทวนิยม ทุกองค์เขาไม่รู้จักสภาวธรรม จิตเจตสิกรูปต่างๆ นิพพานนั้นยิ่งไม่ต้องพูดเลย เขาไม่รู้จัก 

เพราะฉะนั้นเขาจึงมีแต่ความรู้หนึ่งเดียว ครึ่งเดียว ความรู้มันไม่เต็มความรู้ มันไม่มีรูปกับนาม มันไม่มีกายกับจิต พระเจ้าไม่มีกาย แม้แต่รูปนั้นไม่ต้องพูดเลย  รูปของพระเจ้าที่จะถูกรู้นั้นไม่มี ไม่ต้องพูดเลย เป็นรูปที่จะต้องสัมผัสด้วยตา แม้แต่สัมผัสด้วยตาแล้วก็เป็นนามธรรม 

กายก็คือนามธรรม ที่ประกอบไปด้วยรูปข้างนอกที่เราสัมผัสด้วย กายคือนาม แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจกายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว (ต้องอย่างเดียวด้วยนะ ไม่มีนามร่วม) เข้าใจผิด กายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว ผิดโมฆะเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิข้อแรกของ สักกายทิฏฐิ ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของ กาย ให้ได้ ให้ถูก เมื่อเข้าใจคำว่ากายให้ได้แล้วต้องรู้จัก สักกายะของตนด้วย จึงจะเป็นผู้สัมมาทิฏฐิในเรื่องของ สักกายะ นี่ก็ยากแล้ว เดี๋ยวนี้เสื่อมกันไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ทำไม่เป็น จึงหาพระอรหันต์ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นพวกเรานี้อาตมานำโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิมา ประกาศจึงเกิดอารยะบุคคลจึงเกิด โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในชาวอโศก 

ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า ในเถรสมาคมหรือในชาวที่นั่งหลับตาไม่มีหรอก อรหันต์ มีแต่หลงผิดมีแต่อรหันต์เก๊ ขออภัยที่พูดความจริงก็ต้องขออภัยทุกที เกรงใจจริงๆนะ แต่มันจำเป็นมันจะต้องพูด มันต้องบอกความจริงกัน เกรงใจจริงๆ อาตมาไม่อยากพูดเหมือนลบหลู่เขา เหมือนไปข่มเบ่ง แต่มันเลี่ยงไม่ได้ ความจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาพูดไปพวกคุณก็คงเห็นใจ จะพูดอย่างนี้ต้องขออภัยทุกทีเกรงใจ มันเป็นเรื่องจริงไม่รู้จะทำยังไง  มันเลี่ยงไม่ออก 

_ตาเชียร ค้าบ  · พ่อครูผ่านมาทุกอย่างทั้งร้ายๆและดีจนเป็นผู้นำของชาวอโศกในขณะนี้ครับ

_1945 : เป็นกำลังใจให้ทีมงานเผยแผ่ศาสนาและสาธารณะโภคีของหลวงพ่อตลอดไปสาธุชอบฟังธรรมแนวใหม่ของหลวงพ่อ คือสอนแรงๆ ให้กิเลสหลุดออกเข้าใจง่ายทุกชนช้ันสาธุ ชอบฟังเพลงดีๆ เอ็มวีสวยๆ ของช่องบุญนิยมฯ

พ่อครูว่า... ผู้ทำ MV ก็ได้กำลังใจหน่อย มีผู้นิยมชื่นชม 

_@saowaneeburarak9038 เสาวนีย์ บุรารักษ์ : กราบนมัสการ พ่อครูค่ะ ทำงานไปฟังไป แม้แค่ตอบคำถามจากทางบ้าน ยังฟังแล้วเหมือนได้อาหารทางจิต

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 21:34:28 )

660821

รายละเอียด

660821 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53226.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1owBQWvFsZdbuI8wGAgLQu168DzWu5mN-/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true       

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1YvWgb-P-bZXh8pY9CMBLHmpC0So1YuES/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660821-e28bfn9 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/gQmmnaK1lG8 

และ https://fb.watch/mz0iERYYZ7/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้ วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

อาตมาก็ 90 มา 2 เดือนแล้ว อาตมาเกิดเดือน 7 เดือนนี้เดือน 9 มาเริ่มต้นกันที่ Sms ไปเลย 

SMS วันที่ 18-20 ส.ค. 2566

 

ปัญญามีฤทธิ์ฆ่ากิเลสอย่างไร 

_กราบนมัสการ พ่อท่านที่เคารพ ศรัทธายิ่งค่ะ และสมณและสิกขมาตุ ที่เคารพศรัทธาค่ะ และญาติธรรมบ้านราชทุกๆคน ดิฉัน เข่ง ใจแก้ว จากบ้านราชมาบ้านปาดังเบซาร์ เดือนกว่าแล้วค่ะ ดิฉันกลับมาอยู่เรียนรู้ เก็บรายละเอียดทางสภาวะจิตได้หายสงสัย ที่พ่อครูพูดว่า พี่น้องทางธรรมยิ่งกว่าพี่น้องทางสายเลือดค่ะ คร้ังนี้มา ดิฉันชัดเจนค่ะ

เพราะได้สัมผัสด้วยจิตวิญญาณ การปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะแล้วจะรู้อาการของจิตได้อย่างชัดเจนที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่ตําราเพียงอย่างเดียว ต้องอ่านอาการจิตของเรา ชอบหรือไม่ชอบ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ ถ้าดิฉันไม่มาปฏิบัติธรรมกับอโศกที่ พ่อท่านสอนให้เกิดปัญญา อ่านจิตอ่านกิเลสเป็น แล้วลดกิเลสได้จริงๆ ดิฉันคงอ่านจิตไม่เป็นแน่ ทางบ้านปาดังพี่น้องต้ังฉายาใหม่ให้เป็นเจ้าแม่กวนอิม

พ่อครูว่า... เป้าประเด็นของศาสนาพุทธอยู่ที่ความสุขความทุกข์ ให้เข้าถึงว่าความสุขความทุกข์เป็นอนัตตา คนทุกวันนี้ติดความสุขเป็นสุขนิยมเป็นโลกีย์ไม่มีทางบรรลุ ไม่มีทางนิพพาน 

ให้รู้จักหน้ากิเลส ปัญญาหรือธาตุรู้ของเราจะรู้ทุกผัสสะปัจจุบัน มันยิ่งซ้ำหน้ายิ่งรู้ชัด ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้ชัดรู้ชัด มันยิ่งซ้ำหน้า ยิ่งสัมผัส ยิ่งรู้ชัดรู้ชัด ไม่ใช่หนีต้องเห็นจริง ชัดจนกระทั่งปัญญามันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพ มีธรรมฤทธิ์สูงขึ้น ทำให้กิเลสถอยๆๆ กิเลสไม่รอหน้า กิเลสบอกว่า เฮ้ย! ปัญญามันไม่รอหน้าเราแล้ว กิเลสมันจะวิ่งหนีหูตูบเลย นี่พูดเป็นรูปธรรมให้ชัดเจนเลยนะ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ไปฆ่าไปแกง ไปทำร้ายอย่างโหดร้ายอะไรหรอก แต่มันเป็นธรรมฤทธิ์เป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องปรมัตถ์ที่ยิ่งใหญ่ อ่านแล้วเห็นเลยว่า เข่งเขาบรรลุธรรม พวกเรานี่บรรลุธรรมกันไปตามลำดับ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์

 

จิตเป็นกลางอย่างลืมตาหมดอันตาสองฝั่งกามและอัตตา

_กิ่งกาญจน์ ไชยภักดี  · น้อมกราบนมัสการท่าน อ.1ที่เคารพและศรัทธาค่ะ...วาไรตี้บุญนิยม บวรลานนาอโศก ตอน... เตรียมใจก่อนตายอย่างไรดี? เป็นหัวข้อที่ทำให้มีมรณานุสติอยู่ตลอดเวลาจริงๆค่ะ เพราะพรุ่งนี้จะตายแล้ว...ดิฉันก็จะขอทำวันนี้ให้ดีที่สุุดค่ะพยายามฝึกฝนปล่อยวางทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาตายสิ่งที่ต้องทำคือทำใจให้เป็นกลางคืออุเบกขา..ค่ะเพราะเมื่อถึงเวลานั้นจริงก็ไม่รู้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นเช่นไร..จะทำอะไรได้บ้างคงต้องทำที่ใจของเราค่ะ กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า... พวกนั่งหลับตาก็ทำใจในใจไม่ถูกทาง เรียกว่าทำไม่เป็น ทำไม่ถูก ทำเป็นแต่มันไม่ถูก แต่ทำถูกทางต้องเป็นอย่างนี้คือทำให้เป็นกลาง รู้อย่างตื่นๆอยู่ ฌาน ไม่ได้หลับตาเลย หลับตาไม่ใช่ฌานของพุทธ ของพุทธนี้ลืมตารู้ครบรู้แจ้งรู้ถ้วนเลย กว่าจะทำใจให้เป็นอุเบกขาไม่ใช่ธรรมดา มันจะต้องลดกิเลส 2 ข้างไปเรื่อยๆ กามอัตตา ๆๆ จนหมดกาม หมดอัตตา ถึงจะเป็นอุเบกขา บริสุทธิ์สะอาดจากทั้งกามทั้งอัตตา 2 ข้าง 

พยัญชนะมีทั้ง กามทั้งอัตตา มี 2 ข้างสภาวะมันก็มีจริง สภาวะที่มันไม่มี กามไม่มีอัตตาๆๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งมันหมดเป็น 0 เลยไม่มีทั้ง กามและอัตตา นี่แหละคือกลาง กลางคือ 0 ไม่มีทั้ง 2 ข้าง ไม่มี อันตา ไม่มีปลายทั้ง 2 ข้างเลย เป็นอุเบกขา อุเบกขาไม่ใช่อยู่เฉยๆเด๋อๆแต่รู้ครบถ้วน รู้เร็วแล้วมันไม่มีกิเลส 2 ข้าง ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา นี่คือความเป็นกลางอย่างอุเบกขา 

และความเป็นฌาน ฌาน นั่นแหละคือตัวปัญญา  ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาคือฌาน ฌานคือปัญญา จะรู้เร็ว รู้กามรู้อัตตาๆ ธรรมฤทธิ์ของปัญญาสูงขึ้น กามก็ลดลง อัตตาก็ลดลง จนกระทั่งเหลือคู่สุดท้าย คู่ที่เล็กละเอียดที่สุด หมด ไม่เหลือกาม ไม่เหลืออัตตาเป็นกลางคือบริสุทธิ์อุเบกขา ไม่มีทั้งตัวกาม ไม่มีทั้งตัวอัตตา 0 ไม่มี 2 นี่คือความเป็นกลาง 

เป็นอรหันต์ตายแล้วก็จบด้วยนิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เจตสิกของเราไม่เกาะตัวอีกเลย นี่คือตายอย่างสูญสลายอัตตา หรือสูญสลายจิตนิยาม 

 

ชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมถูกต้องจะลดความกลัวตายจนไม่กลัวตาย 

_จรรยา ประเสริฐ  · ดิฉันเห็นตัวอย่างการตายของท่านสิกขมาตุทองพรายแล้ว ติดตราตรึงใจ ท่านขอทำใจให้อยู่คนเดียว กำหนดจิตท่านไปเอง หลังจากฟังพ่อท่านเทศน์นำทาง ให้วางอย่างไร กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ดีไม่ดีจะบอกว่าไปแล้วนะ จะไม่กลัวความตาย จะไม่กลัวความเป็น แม้เราเองจะยังไม่บรรลุอรหันต์จะค่อยๆรู้ความจริง จะลดความกลัวตาย กลัวเป็น จะเป็นความพ้นทุกข์พ้นสุขเป็นอรหันต์แล้ว แต่ถ้าไม่เป็นอรหันต์ รู้แล้วก็รู้ว่ามันเป็นก็มี ไม่ตายแล้วก็อยู่ที่เราว่าเราจะทำจิตของเราสลายให้เป็น 0 ไปหรือจะยังเกิดอยู่ เกิดมาก็ไม่กลัวแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ไม่กลัวทุกข์กลัวสุข เพราะเราไม่ได้ติดทุกข์ติดสุขเรารู้อยู่แล้ว เราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ อาศัยเหตุปัจจัยที่มันปรุงแต่งเรียกว่าสังขารทั้งหลาย ทำงานไป อย่างอาตมาทำงานไป อยู่อาศัยสังขารไป ทุกวันนี้ก็ลากสังขารเต็มทีแล้ว 

 

ผิดศีลข้อ 3 จะได้เป็นโสดาบันไหม 

_ช่อทิพ หนูทอง  · ถ้าถือศีล 5 ไม่บริสุทธิ์เช่น ผิดศีลข้อ 3 เรียนถามพ่อครูว่า จะได้เป็นโสดาปัตติผลหรือไม่คะ?

พ่อครูว่า... ไม่ได้เป็นนะ ระวัง ไม่ได้เป็นแม้แต่โสดาบัน เพราะมันเป็นตัวยืนยันว่าตัวเองนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แค่นี้ก็ไม่ได้ โสดาบันไม่ใช่ไม่มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) สัมผัส ไม่ใช่ไม่มี คู่เมถุนเราก็มีอยู่แล้ว แล้วยังไปละเมิดผิดอีก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ 

 

ผู้บรรลุธรรมแล้ว แยกรูปแยกนาม กันอย่างไร

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ท่านสมณะเดินดิน ท่านสมณะบินบน ท่านจันทร์ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังท่านสมณะบินบน ท่านวิเคราะห์ว่า สมาชิกพรรคสีส้มเมื่อทำความผิดแล้ว ก็จะตัดสินความผิดด้วยตนเอง หากศาลตัดสินไม่ตรงกับของตน ก็ตำหนิศาลว่าศาลผิด ท่านว่าทำอย่างนี้ไม่เคารพองค์กรศาล ที่คนทั้งประเทศยอมรับ ลูกเห็นชัดว่า บรรยากาศการวิเคราะห์ของท่านดูอบอุ่น เป็นแบบผู้ใหญ่ตักเตือนเด็กด้วยความปรารถนาดี ลูกเชื่อว่าคำแนะนำตักเตือนอย่างนี้ จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้เพราะยึดหลักในความถูกต้อง และความปรารถนาดี 

...ลูกได้ดูตัวอย่างการชุมนุมประท้วงของพันธมิตรและกปปส.ที่มีพ่อครูนำคณะชาวอโศกปักหลักร่วมด้วยตั้งแต่พ.ศ.2549-2557 ลูกขอถามว่าหากให้การชุมนุมเป็น กาย แล้วให้พันธมิตรหรือกปปส.เป็น รูป ให้พ่อครูและชาวอโศกเป็น นาม จะได้ไหมคะ ขอพ่อครูแนะนำสั่งสอนลูกด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... เข้าใจถูกแล้ว การเข้าใจที่แยกรูปแยกนามได้มันเป็นความสุดยอด ในอาหาร 4 พระพุทธเจ้าก็ตรัสอาหารข้อสุดท้ายเรื่องวิญญาณ ผู้ที่สามารถเข้าใจรูปนาม แล้วก็สามารถที่จะแยกรูปแยกนาม และทำ ทำสำเร็จคือไม่สับสนปนเป ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่ง เรื่องของรูปก็คือรูป เรื่องของนามก็คือนาม และโดยเฉพาะจัดการเรื่องของนาม และมีอิทธิพลเหนือรูป นามของเราก็เป็นประธาน นามของเราก็เป็น วสวัตตีโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ก็สูงสุด 

เพราะฉะนั้นยังจิตให้เป็นไปในอำนาจจนกระทั่ง 0 ถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์ถึงขั้นเก่งสุดก็จบ นี่คือเป็นความจริง ผู้ปฏิบัติได้อย่างที่อาตมาอธิบาย เอาสภาวะของตัวเองเป็นสภาวะ วสวัตตีโก อาตมามีอำนาจเหนือจิตอย่างนั้น เอามาอธิบายขยายด้วยภาษาไทยให้ฟังด้วยสำนวนของอาตมาเองอ่านจากอาการจริงของอาตมาเอง นี่เป็นสิ่งที่จริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเรียนรู้ดีๆจะเข้าใจได้ว่า คนที่บรรลุธรรมกับคนที่ไม่บรรลุธรรมพูดนี้ มันรู้ได้เลย มันไม่ยากหรอก คนไม่รู้จะพูดสับสนวนไปวนมา คนที่บรรลุธรรมแล้วจะจี้ลงไปที่สภาพรูปนามให้เสร็จ 

เพราะฉะนั้นอาหารข้อที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณกับรูปนามนี้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบเหมือนกับโจรร้ายที่ทำลายศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้ามันไม่ตาย ฆ่าตอนกลางวันอีก 100 เล่มมันก็ไม่ตาย ตอนเย็นอีก 100 เล่มมันก็ไม่ตาย นี่คือพวกที่อวิชชา ไม่รู้รูปนามนี่แหละ ไม่รู้วิญญาณจริงนี่แหละ อวิชชาไม่รู้การปรุงแต่งของวิญญาณที่เป็นสภาพ 2 รูปนาม แล้วมันก็ไปรวมตัวเป็นอายตนะ จะรู้จริงต้องมีสัมผัสเป็นผัสสะจริง มีเวทนาจริงแล้วก็แยกแยกรูปแยกนามแยกเป็นสภาวะ 2 ได้จริง แล้วจัดการตัวจริงกับตัวเก๊ จัดการตัวเก๊ให้มันออกไปให้เหลือแต่ตัวจริงอาศัยแล้วเราจะรู้ว่า จิตวิญญาณนั้นคือธาตุที่มาอาศัยอยู่ในชีวิตเราเท่านั้น ถ้าเรารู้จบแล้วว่ามันไม่ใช่อะไร มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอะไร รู้หน้ามันแล้วก็อยู่กับมันไปอนัตตา แล้วเราก็ตาย ตายก็ทำนิพพานแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

ฟังดีๆที่อาตมาพูดคนมีปัญญาฟังดีๆจะเข้าใจว่าอาตมาพูดถึงสภาวะอย่างไรแค่ไหน จะเป็นผู้บรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรมผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาฟังจะเข้าใจ สังเกตได้จะอ่านออกว่าคนไม่บรรลุธรรมพูดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคนบรรลุธรรมมีสภาวะจริงๆพูดอย่างนี้คนไม่บรรลุธรรมพูดไม่ได้จะสับสนวุ่นวายมันจะเห็นขัดแย้งกันในตัว 

 

17 ปีผ่านไปหรือคนไทยยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้ 

_ออน ทับทิมทอง   · คดีจะหนักหรือไม่หนักก็อยู่ที่กกต.ว่าจะทำเรื่องให้หนักหรือเบา ตัวเองไม่จัดการ แต่ส่งศาล ถ้าเกิดส่งสำนวนเอกสารอ่อน ศาลก็ตัดสินยกฟ้อง คนผิดกลายเป็นไม่ผิดได้ เหมือนพวก 3 นิ้วที่ขัดขวางรถขบวนองค์พระราชินีกับพระองค์ที ทนายพวกมันทำคดีบิดเบือนทุกคำ ศาลก็ยกฟ้องเพราะทำสำนวนตอแหล

พ่อครูว่า... เรื่องจริงนะเรื่องพวกนี้อยู่ในวงการ เขาจะเข้าใจเลยวิธีการทำยังไงให้ผิดหรือให้ไม่ผิด อะไรต่ออะไรจริงๆเลย แล้วคนทั่วไปไม่ได้รู้วิชาการพวกนี้ไม่ได้เข้าใจ เขาก็อธิบายได้เพราะทำสำนวนอ่อนไป ทำสำนวนให้อ่อนหรือไม่เต็มที่ คนทั่วไปไม่ได้รู้รายละเอียดอย่างชัดเจน แล้วก็เป็นอยู่เป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่าวิธีการพวกนี้ ทักษิณก็คงกลับมาวันที่ 22 พรุ่งนี้ เพราะว่าถ้ายึดรัฐบาลได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ว่านี้พอเข้าไปก็ไปเป็นนายกไปคุมรัฐมนตรี แม้ที่สุดคุมรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอิทธิพลของสิ่งที่คนเรายังไม่หมดกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่สะอาด ไม่ตรงทีเดียว มันจะกลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขของตนเอง นี่อาตมาก็พูดตรงๆอย่างนี้เพราะฉะนั้นก็พยายามเถอะ ตัวคนใดๆที่ฟังอาตมาพูดแล้วสามารถที่จะรู้จักกิเลสเราแล้วไม่ลำเอียงจริงๆประเสริฐ คนนั้นแหละเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมที่มีมรรคมีผล 

_สู่แดนธรรม... ในมือผมมีปัญหาต่อเนื่องครับ

_ลูกเป็นแฟนด้อมของพระสยามเทวาธิราช มั่นใจว่าประเทศชาติของเราจะไม่ถูกนักการเมืองมาทำให้ป่นปี้ไปได้ แต่ข่าวทักษิณจะกลับเมืองไทยพรุ่งนี้ ทำให้ลูกหวั่นไหวค่ะ ขอกราบนมัสการให้พ่อท่านให้สัมมาทิฐิแก่ลูกด้วยค่ะ 

พ่อครูว่า... พรุ่งนี้ว่าอาตมาว่าพยากรณ์ไปทีเดียวคงไม่ดี แต่เขาพูดว่าตามความเห็นของอาตมา อาตมาเชื่อว่าทักษิณนี่เขาได้ทดสอบตัวเองมาแล้ว 17 ปี ทุกวันนี้ไม่มีใครข้ามพ้นเขา ในประเทศไทย 17 ปีเขาทดสอบแล้ว ไม่มีใครข้ามพ้นทักษิณ ยังติดในอำนาจในอิทธิพลเขาอยู่ เพราะฉะนั้นเขาก็เชื่อมั่นว่าเขากลับมาแม้เขาจะเข้าคุก เขาก็มีอิทธิพลพอ แล้วก็มีเหตุปัจจัยพอ 1.แก่แล้ว 2. มีโรคอะไรก็แล้วแต่อ้างอิงต่างๆนาๆ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาจะรอดูว่าจริงๆแล้วสุดท้าย ทักษิณกลับมาว่าจะติดคุก แต่แกก็จะเดินลอยตัวอยู่ในประเทศไทยสบายๆหรือไม่ อาตมาก็จะดูว่าประเทศไทยจะถึงขนาดนั้นไหม 

อาตมาเชื่อว่าทักษิณเขามั่นใจว่า 17 ปีคนข้ามไม่พ้นเขาแสดงว่าเขามีอิทธิพล เพราะฉะนั้นเขาเข้ามานี่ เขาก็ต้องมีอิทธิพล อย่างน้อยฟังดู พร้อมแล้วพวกแดงจะไปรับที่สนามบินเต็มพรึบเลย แล้วดูซินี่ทักษิณมา แดงจะพรึบไปรับมากกว่าไปประท้วงให้แก่พิธา คอยดูเถอะ หรือไม่ คณะที่แดงจะไปร่วมต้อนรับทักษิณจำนวนมากกว่าไปร่วมชุมนุมประท้วงติดตามพิธาหรือไม่ ก็ได้ 100-200 คน แต่ทักษิณอาตมาว่าจะมากกว่า 200 คนแน่ แล้วพวกคุณไม่ไป พวกเราพวกดูไปไม่ใช่พวกดูไบ 

 

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร · ผู้ที่เฉโกมากจะเข้าใจธรรมะโลกุตระยากครับ กราบนมัสการท่านพ่อครูโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 03:29:43 )

660825

รายละเอียด

660825 ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53225.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1oPzKCmKtGM_QyOZQxGvDpW4HOpqzu6tA/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true e 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1aHbBKs_Af3eWNdQASa3tYWziJhk8cNI2/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660825---_128-kbps-e28gv0q 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/9R2UXMe0c34 

และ https://fb.watch/mEi-arPyXN/ 


 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนที่เคยอยู่กับคนดีๆ เคยช่วยงานเราดี มีคุณความดี เราก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่า เหมือนลุงตู่ ขยันทำงานให้ประเทศมากมาย ตอนนี้คนก็รู้สึกจะขาดสิ่งที่ดีๆไป พ่อครูก็ทำสิ่งที่ดีให้พวกเรามากมาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ รวมกันทำอะไรร่วมกัน อะไรก็สำเร็จได้ง่าย ช่วยให้เราปฏิบัติธรรมได้ง่ายด้วย 

 

คนเจริญคือคนมีฌานมีปัญญา พาตัวเองสู่หมู่กลุ่มสาราณียะ

พ่อครูว่า... เจริญธรรมทุกคน พวกเรานี่เป็นคนที่เจริญจริงๆ เจริญที่ว่านี้ก็คือ รู้จักว่าชีวิต มันควรจะได้อะไร เกิดมาเป็นชีวิตคนเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์โลกที่ได้ชื่อว่ามนุสโส ถือว่าเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณที่จะทำความเจริญได้ถึงขั้น รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ทุกสิ่งทุกอย่างในสรรพสิ่ง ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเรียกว่ารู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสรรพสิ่งก็หมายความว่า สามารถรู้ทั้งอุตุนิยาม รู้ทั้งพีชนิยาม รู้ทั้งจิตนิยาม รู้ทั้งกรรมนิยาม รู้ทั้งธรรมนิยาม 

แล้วก็สามารถปฏิบัติบรรลุธรรม บริบูรณ์สุด สัมบูรณ์สุด จบสิ้นสุดได้ ถึงขั้น.. 

1. ถ้าจะเป็นคนอยู่ต่อไป จะเกิดแล้วเกิดอีก เกิดอีกเกิดแล้วกี่ชาติก็ตาม ก็จะเป็นคนหรือเป็นมนุสโส ที่ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ ถ้าบรรลุธรรมอรหันต์ขึ้นไปแล้ว จะเป็นคนที่ จิตนิยามไม่มีตกต่ำ จิตนิยามจะเที่ยงแท้ อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำ จะนิยตะ จะเที่ยงแท้ต่อความเจริญ หรือทำแต่ดี กุสลัสสูปสัมปทา ไม่ทำบาปอีกเลย จะเกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติ กี่ชาติ ก็ไม่ทำบาป จะวนเวียนเกิดยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เกิดโดยที่มีหลักประกันว่า จิตวิญญาณนี้ อัตภาพนี้ อรหันต์ผู้ที่ผ่านอรหันต์แล้ว จะเกิดเป็นโพธิสัตว์อีกกี่ชาติก็ตาม ก็ไม่มีไปทำชั่วอีกแล้ว กรรมมีแต่กุศล เพราะได้ดับเหตุคือ สร้างพลังงานบุญ มีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบแล้ว มันได้ตัดกิเลส ฆ่ากิเลส บุญนี้มีปัญญา บุญนี้ต้องมีปัญญาตั้งแต่เป็นฌาน ฌาน1 2 3 4 คือปัญญา ที่รู้จักตัวกิเลส รู้จักวิธีละกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสไปได้อย่างแท้จริง จนหมดสิ้นกิเลส รู้จัก กตญาณ ญาณที่มันจบแล้ว สูงสุดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น ผู้มีบุญจึงจะรู้จัก ฌาน ซึ่ง ฌาน เป็นภาษาของศาสนาพุทธ แต่มันนานมาแล้ว จนกระทั่งเดียรถีย์ที่เป็นศาสนาอื่นเอาไปใช้เป็นของตัวเอง ที่จริงเอาไปใช้แบบพุทธนั่นแหละแต่มันเพี้ยนไปจนกระทั่งกลับกลายวนเวียนไปสู่อย่างเก่าคือความเสื่อมไปเป็นเดียรถีย์ เป็นพวกออกนอกพุทธไป จนกระทั่ง คำว่าฌาน ก็มีอยู่แต่กลายเป็นว่า ฌาน คือการเพ่ง

เมื่อผู้ใดได้เข้าใจว่า ฌานนี่คือการเพ่ง เพ่งจิตจดจ่อ จับจุด จับอะไรไว้นิ่ง เป็นการบังคับจิตให้หยุด ผู้นี้เป็นฌานที่ผิดเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฌานของพุทธไม่ได้ไปกำหนด ไม่ได้บังคับให้จดจ่ออะไรเลย ฌานคือปัญญา ฌานคือรู้หมดเลย ไม่ได้ไปจดจ่อ อิสรเสรีภาพ ไม่ได้บังคับอะไร เป็นธาตุรู้ที่รู้แจ้ง รู้จริง รู้สว่าง รู้ครบ รู้ความจริงตามความเป็นจริงหมด 

พอเข้าใจไหมตรงนี้ มันเก่งละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขา เพราะฉะนั้น ฌานวิสัย เป็นอจินไตย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าคนจะเข้าใจรู้ซึ้งถึงฌานที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็น อจินไตย ผู้ที่ถึงขั้นเป็นจริง มีจิตเป็นฌานจริง ที่อาตมาพูดนี้เอาของตัวเองมาพูด แล้วอาตมาก็เห็นเขาหลงผิดฌานกัน น่าสงสารที่สุดเลย แล้วก็ไปหลงยึดติด ไปหลงครูบาอาจารย์ ไปหลงการเชื่อถือตามๆกันมา แล้วก็ผิดตามๆกันมา 

แล้วเราก็มาบอกใหม่ เขาก็ไม่มีปรโตโฆษะ ไม่มีการที่จะฟังเสียงสอง ฟังเสียงอื่นที่มันต่าง แล้วมันต่างแล้วมันไปยังไง มันน่าสนใจ มันน่าจะพิจารณา แล้วเขาทำแล้วมันได้ผลยังไง ถ้าติดตามดีๆจะเห็นว่า ชาวอโศกนี้ปฏิบัติตามที่อาตมานำมาสอนแบบทิฏฐิของอาตมา แบบความเห็น ความรู้ ความชัดเจน แบบอาตมา แล้วพามาเป็นแบบที่อาตมาพาเป็น พวกเราก็เกิดผล แล้วเอาไปตรวจสอบตามพระไตรปิฎก 

ตรง สาราณียธรรม 6 ไหม ซึ่งในยุคนี้แล้วมันไม่น่าจะเกิดได้ ความเป็นผลถึงขั้นสาราณียธรรม 6 เป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็อยู่กันอย่างมีลาภ มีรายได้ มีผลประโยชน์ มีอะไรสร้างกันขึ้นมาก็เอามารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน ไม่ยึดไม่แบ่ง ว่านี่เป็นของคนนั้นว่านี่เป็นของคนนี้ เป็นของส่วนกลาง แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ลาภธัมมิกา โอ้โหอาตมายิ่งพูด ยิ่งภาคภูมิใจว่าธรรมะพุทธเจ้านี้ถึงวันนี้ยังนำโลกุตรธรรมสุดยอดเยี่ยมขนาดนี้ เอามาประกาศ เอามาอธิบาย เอามาสาธยายให้ฟังกันแล้วเข้าใจ แล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งมันเกิดผล บรรลุได้ 

พวกคุณมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่คนไม่บรรลุธรรมแต่เป็นคนบรรลุธรรมทั้งนั้นแหละ อาตมาพูดความจริงไม่ใช่ไปขี้ตู่ ไม่ใช่ไปหลงเลอะเทอะอะไร ไม่ใช่หลงงมงายอะไร ไม่ใช่ แต่เป็นสัจธรรมที่สุดยอด ซึ่งมันมีคุณธรรมที่ยืนยันเอามาอ้างอิง เอามาให้ตรวจสอบ สอบจิตใจตัวเอง สอบพฤติกรรมตัวเอง สอบชีวิตตัวเอง สอบสังคมกลุ่มหมู่ตัวเอง ว่ามันตรงตามพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม 

มันก็ยังทำได้อยู่ ศาสนาพระพุทธเจ้า 2,500 กว่าปีแล้ว มันเสื่อมสุดๆ หมดเลย จนโลกุตรธรรมไม่มี ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นก็คือโลกุตรธรรม อันนี้แหละเป็นพิเศษกว่าศาสนาใดๆในโลก ศาสดาใดๆก็ไม่มีโลกุตระ นอกจากศาสนาพุทธและต้องสัมมาทิฏฐิด้วย แม้เป็นพุทธก็ต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มี อย่างที่เห็นๆกัน 

จะเป็นหมู่ใหญ่ขนาดไหน ก็ถ้าไม่เป็นก็ไม่ใช่พุทธแล้ว ขออภัยถ้าจะบอกว่าไม่ใช่พุทธก็ไม่เชิง ก็เป็นพุทธแต่เป็นพุทธเพี้ยน ไม่ใช่พุทธแท้ๆ นี่อาตมาก็ไม่ได้หมายความว่าได้ไปรังเกียจกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือว่าไปกดข่ม ดูถูกอะไรคนอื่นเขา ก็ไม่ใช่ เอาสัจธรรมมาวิจัย มาแจกวิภัช ให้ฟังว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ๆ มันแตกต่างกัน แล้วก็มาดูความแตกต่างกัน อันไหนมันควร อันไหนมันไม่ควร แล้วเราควรเอาอันไหน 

อาตมาก็ยังภาคภูมิใจกับพวกเรา ยังมีดวงตา ยังมีความเฉลียวฉลาด อาตมาเห็นแล้วสบายใจแล้วภาคภูมิใจว่า อาตมาแสดงธรรมนี้ แสดงธรรมประเภทที่ไม่ได้ไปประเล้าประโลม เอาอะไรล่อมา  เอาอะไรหลอกมา หรือบอกว่า คุณมานี่เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราไม่ได้สัญญาหรือเราไม่ได้ไปบอกเธอว่ามาที่นี่แล้วเธอจะได้อันนั้นอันนี้ ไม่ได้ไปเซ็นสัญญาอะไรกับใคร เธอมาก็มาของเธอเอง มาด้วยปัญญา มาด้วยความเฉลียวฉลาดของเธอเอง 

 

ความฉลาดที่เป็นฌาน มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น 

ลองอธิบายคำว่า ความฉลาด ดูบ้าง ความฉลาดนี่มีอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นยังไม่มีความฉลาด มีแต่ความรู้ที่เป็นโลกีย์เท่านั้น อยู่ในกรอบของโลกีย์ เป็น เฉโก เป็นหนึ่ง 

เอา ฉ   คือ 6 ของเขา ไปเป็น 1 เป็นเอก เลยเอา 2 อย่าง ของเขา 6 เอาไปรู้แค่ 1 เอก หรือเอกะ เลยกลายเป็น เฉก หรือ เฉโก พยัญชนะก็คือ ฉ ที่แปลว่า 6 เขาไม่มี 6 

เพราะคนจริงๆมี 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6  ใช่ไหม นี่เป็นสัจธรรมของคน มี 6 แต่ไปโง่ รู้อยู่อันเดียว 

หรือแม้มาลืมตา เปิดทวารทั้ง 6 ก็รู้มันอยู่แต่กรอบโลกีย์ กรอบเดียว ไม่ออกไปสู่กรอบ 6 กรอบที่จะรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขารู้แต่ใจ แล้วคำว่า กายนี่แหละ  กายคือ จิต เจตสิก 

กาย คือ จิต วิญญาณ มโน พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ เราเคยอ้างอิงจากพระไตรปิฎก _ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เล่ม 16 ข้อ 230

เขาก็น่าจะสะดุดใจนะที่ศึกษาพระไตรปิฎกกัน อ่านเจอแล้วพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกายอย่างนี้ เพราะว่าชาวพุทธไทยเข้าใจว่ากายไม่ใช่จิตแล้ว กายไม่มีจิตร่วมด้วย กายคือสรีระกาย กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น  เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจว่า กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น คนนั้นก็ไม่พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้ว ติดกระดุมเม็ดแรกของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าผิดแล้ว เม็ดแรกเลย เพราะฉะนั้นเม็ดอื่นๆผิดหมด เม็ดอื่นๆก็ยิ่งผิดบานปลายออกไปใหญ่โตเลยใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจฌาน ฌานก็ต้องประกอบไปด้วยสภาพที่มันมีนามรูป มีปัญญา ทำงานร่วมกันเป็น 2 สภาพ เทวธัมมา มี 2 ทำงานร่วมกัน อันหนึ่งคือ ธาตุวิญญาณ ธาตุรู้ อีกอย่างหนึ่งคือทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่วัตถุ ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป  ไปจนกระทั่ง  ภูตคาม พีชคาม จนกระทั่งถึงจิตนิยาม เจตภูต ไปถึงจิตในยาม ไปถึง ปาณะ ไปถึงสัตตะ ไปถึงชีวะที่มันถึงขั้นจิตนิยาม แล้วก็รู้กรรมนิยาม การกระทำ กับทุกสภาวะเลย 

โดยเฉพาะจิตนิยามนี้ ทำให้สุดท้ายศึกษาปฏิบัติจนรู้แจ้งว่า อ้อ จิตนิยามนี้คือธาตุปรุงแต่งกันอยู่ 2 เพราะฉะนั้นเราจะแยกธาตุนี้ได้อย่างไร มีปัญญารู้แจ้งรู้จริงว่าการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ทำให้มันดับไป แล้วดับอย่างถาวร  ดับอย่างแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยก็ทำได้ พอทำได้แล้ว เราก็จะชัดเจนว่า ธาตุจิตวิญญาณนี่มันเป็นธาตุคู่  แล้วมันหลงคำว่าสุขนี่แหละเป็นตัวโง่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

หลงคำว่าสุขนี่แหละ ตัวโง่ ไอ้ตัวโง่นั่นแหละตัวไม่รู้อวิชชา คือเป็นเหตุปัจจัย ตัวคู่กันกับธาตุจิต เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณที่มีตัวอวิชชาหรือตัวโง่ เป็นธาตุจิตคู่กันอยู่แยกไม่ออก ไม่รู้จักไอ้ตัวโง่มันเกาะอยู่กับตัวเรา มันเนียนอยู่ในตัวเราเลยไม่ใช่เกาะเท่านั้น มันเนียนเลย ไม่มีธาตุปัญญาที่จะไปรู้ว่าไอ้นี่มันสุขหลอก ไอ้นี่มันเป็นผีหลอก สุขนี้เป็นผีหลอก  มันไม่จริงอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ใดเลิกสุขได้ เข้าใจสุขได้ มีปัญญา ไม่สนใจแก สุขไปเลยแก ที่แท้แกคือตัวทุกข์แท้ๆเลย ให้ข้านี่มีธาตุ 2 นี้ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอยู่ในกาละ เพราะฉะนั้นผู้ที่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมดธาตุวิญญาณที่เป็นอัตภาพของพระอรหันต์ กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย 

พวกเราอาตมาอธิบายอย่างนี้เข้าใจไหม และคิดว่าทำได้หรือยัง (ได้บ้างไม่ได้บ้าง) บางคนบอกว่าได้ บางคนบอกว่าไม่ได้ มันค่อยๆพิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ ทำได้ 

เราแต่ก่อนนี้ยังเกี่ยวเกาะ มี อาลัย อาศัย เป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัยอยู่นี่ นิสยะ อาลัย อาลยะ แล้วมีอาสยะ ต้องอาศัยมัน จนกระทั่งอยู่ที่ตัวเราเลยเป็นนิสัย ไม่ใช่นิสัยเท่านั้นแต่เป็นวิสัย วิสัยนี้ก็ชักจะเอาออกจากตัวเอง สยนี้ยากแล้ว ยิ่งไปหลงเป็นอนุสัยเลย  ทีนี้หนัก 

เทวนิยมเป็นพวกอนุสัยที่เป็น สย ที่เป็น สุขนิยม เป็นทาสที่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าคุณอยู่กับผี แล้วคุณก็เป็นผี หลอกตัวเองไม่ใช่หลอกใครหรอก หลอกว่าชีวิตนี้จะต้องมีสุข แล้วก็ไปดิ้นรนอยู่นั่นแหละ ไอ้ความดิ้นรนที่จะต้องไปแสวงหาสุข จะต้องเสพสุขให้ได้ หยาบที่สุดก็ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ละเอียดไปก็ อัตตา สุข

ตั้งแต่มีกาม มีรูป มีอรูป ก็ไม่รู้จักรายละเอียดพวกนี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วก็สร้างพลังงานขึ้นมาเรียกว่า ฌาน เป็นพลังงานกองเพลิงใหญ่ หรือไฟเป็นเตโชธาตุ

เพราะฉะนั้นพวกเดียรถีย์ ไปเข้าใจผิดนั่งเข้าฌาน ออกฌาน 

ฌาน ของศาสนาพุทธไม่เข้าไม่ออก เข้าๆออกๆนั้นเป็นพวก เดียรถีย์ นึกว่าฌาน จะต้องไปอยู่ในภพแล้วทำให้เย็น ซึ่งไม่ใช่ ฌานนี่คือ พลังงานชนิดหนึ่งที่สร้างจิตเป็นพลังงานชนิดนี้แล้วมันหน้าที่อะไรมันทำหน้าที่ 2 อย่าง 

ทำหน้าที่ทั้งร้อนและอบอุ่น เย็นอย่างพอดีๆ อาศัยสุดท้าย ฌานอาศัย แต่ที่ใช้อย่างเต็มที่ก็คือใช้เผากิเลสเลย ถ้าไม่มีฌานหรือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ถ้าไม่มีความรู้ระดับปัญญาระดับฌาน สลายกิเลสไม่ได้ เผากิเลสไม่ได้ ทำลายกำจัดกิเลสไม่ได้ 

เอาพลังงานด้านที่มีธาตุรู้ เผาจนกระทั่ง พระพุทธเจ้าไม่มีภาษาจะอธิบายแล้ว กิเลสมันรู้หน้าเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตถาคตเห็นเราแล้วรู้เราแล้ว ไปๆๆไป มันหนีหูตูบเลย หนีไปไกลลิบเลย ไม่กล้ารอหน้า ไม่กล้าเข้าใกล้เลย มันมีธรรมฤทธิ์ถึงปานนั้น ก็ใช้ภาษาพูดได้อย่างนั้น ผู้ที่มีสภาวะจริงเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติจึงจะพูดได้ แล้วบรรยายเป็นภาษา อาตมาอธิบายเป็นภาษาไทย สื่อเป็นภาษาไทยง่ายๆ ไม่ใช่บาลี ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศใดๆเลย ภาษาไทยของเรานี่แหละ มาเตอร์ทัง(mother tongue) ภาษาของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาเลยใช่ไหม แล้วรู้เรื่องดีทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นฌานคือพลังงานที่มันมีประสิทธิภาพรู้จักกิเลส เพราะมันมีปัญญารู้กิเลส เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้จักกิเลส ก็ไม่มีการจะมาเผากิเลสทำลายกิเลสอะไรได้ เพราะเขาไม่มีความรู้อันนี้ความรู้ของเทวนิยมไม่มี 

มันเป็นพลังปัญญาแท้ๆเป็นความรู้พิเศษ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระเท่านั้น มันพิเศษเท่านั้นจริงๆเลยไม่ใช่ไปยกตนเองใหญ่ข่มเบ่งศาสดาอื่นๆใดๆหรอก มันเป็นจริงๆเช่นนั้น มันไม่ใช่ความรู้ของชาวเทวนิยมโลกียะที่จะมารู้ได้เลย 

โลกียะยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความรู้ที่ชื่อเรียกเป็นภาษาไทยๆว่า ความฉลาด เทวนิยมโลกียะหรือชาวตะวันตก ศาสนาพระเจ้าทั้งหลายไม่มีความฉลาด มีแต่ความรู้โลกียะ 

ฉลาด เป็นภาษาไทยที่เพี้ยนมาจากคำภาษาบาลีว่า ฉฬายตนะ มันกร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ เป็นคำว่าฉลาด เป็น ด.เด็ก รู้ความรู้ครบทวาร 6 แล้วก็จัดการกับทวารทั้ง 6 ดับความสุข ความทุกข์ได้ด้วยเวทนา 108 

เวทนาเป็นเจตสิก เป็นส่วนย่อยของความเป็นจิต แยกย่อยออกไป ธาตุรู้มันเป็นอย่างนี้ เก่งอย่างนี้ เอาไปใช้ทั้งเป็นสัญญา ทั้งเวทนา ทั้งสังขาร เจตสิก 3 แยกย่อยมา เรียนรู้จนกระทั่ง แยกเป็นเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 

พวกเราเรียน และอาตมาก็สาธยายแยกแยะให้ฟังชัดเจนด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่า อ๋อ..ความเป็นเวทนามันเป็นอย่างนี้ แล้วมันทำงานด้วยสัญญาเป็นตัวกำหนด สัญญาเป็นตัวแยกแยะออกมาจากสังขาร แล้วก็จัดการ จากสังขารมาเป็นเวทนา เวทนาเก๊ เวทนาแท้ จนกระทั่งเหลือเวทนาแท้  เวทนาเก๊ไม่มี พระอรหันต์หมดเวทนาเก๊ บุญหมด บาปหมด เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาป ปุญญปาปปริกขีโณ แล้ว 

แล้วคนก็เข้าใจไม่ได้ว่าบุญคืออะไร บุญคือเพชฌฆาต บุญคือ กิโยตินตัดคอคน คนก็คือทาสกิเลส กิโยตินตัดคอกิเลส หรือจะเรียกว่า เครื่องประหารหัวสุนัขของเปาบุ้นจิ้น ที่พูดนี้หมายความว่า ไม่ได้ไปทำร้ายอะไร จะไปทำร้ายสิ่งที่ชั่วที่ต่ำ ความหมายของกิโย ตินทำร้ายคนตัดคอคนผิด เครื่องมือฆ่า 

เพราะฉะนั้นคำว่าบุญนี้ ใครอย่าไปอยากได้ ไปอยากได้มาทำไม ให้มันทำบุญจนสำเร็จจนกระทั่งมันไม่มีในเราอีกแล้ว เป็นคนไม่มีบุญอีกแล้ว นี่เป็นคนสุดยอด เห็นไหมความผิดเพี้ยน ความเสื่อมของศาสนา เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้ว แล้วคุณก็ทำพลังงานให้เป็นฌานเป็นบุญ คุณทำไม่เป็น เพราะคุณเข้าใจผิดแล้วว่า ฌานเป็นอย่างไร  บุญเป็นอย่างไร 

ฌาน คือตัวทำลาย แต่ฌานนี้เป็นสภาพ 2 ทำลายด้วย เป็นปัญญาด้วย เป็นปัญญา เมื่อทำลายกิเลสเสร็จ กิเลสหมดแล้วบาปหมดแล้วก็กลายมาเป็นกุศลถาวร เป็นกุศลที่ไม่ตกต่ำแล้ว นิยตนะแล้ว มีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีทำชั่วอีกเลย ไม่ทำบาปอีกเลย เป็นเครื่องอาศัยของมนุษยชาติ ธาตุจิตของเรานี่แหละแล้วเราก็ทำได้ แล้วก็เป็นเครื่องอาศัย ก็อยู่ในตัวเรา  เราจะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติ เป็นธาตุจิตตัวนี้ก็ นิยตะถาวร มีแต่จะเจริญไปอีก บำเพ็ญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา บำเพ็ญสูงสุดก็เป็นพระพุทธเจ้า ปางนี้อาตมาก็ปาง 7 แล้วก็ไปเป็นปาง 8 ปาง 9 ต่อไป 

จึงเอาของจริงที่เราเองมีมาพูด มายืนยัน ไม่ได้อวด พูดของจริงใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาพูดความจริง มีสิทธิ์พูดความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่ได้มาทำเพื่อที่จะให้คนเชื่อ อาตมาทำความจริง ไม่ได้มาทำเพื่อให้คนเชื่อ แล้วก็จะได้บริวาร จะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ ส่วนมากเขาก็ด่า

เทวทัตยุคดิจิตอลมีตัวอย่างจริงในสังคมไทย

พวกคุณนี่ไม่ด่าอาตมาเพราะ พวกคุณมีดวงตารู้ว่าด่าได้ไง เป็นพ่อครูด่าได้อย่างไร ด่าท่านไม่ได้หรอก แต่คนที่เขาไม่รู้ พวกตาบอดไม่กลัวเสือ เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นเสือ ตาบอดไม่กลัวเสือ ก็เข้าไปให้เสือกินแล้วก็ตายแล้วก็เกิด แล้วก็มาให้เสือกินไป แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาถูกเสือกัดกิน คือเขาถูกความโง่กัดกิน ขออภัย เช่น ทักษิณอย่างนี้ไม่รู้ว่าความโง่คืออะไร ทุกวันนี้ก็ยังทำความโง่ไปอีก ไม่รู้ตัว ไม่ลดละเลย หลงตนแล้วก็ยังพยายามเบ่ง อภิสิทธิ์ เอาอำนาจเบ่งใหญ่ แล้วก็จะต้องให้ได้ดั่งใจ ได้ดั่งใจอยู่ตลอดกาลนาน โอ้โห.. เป็นตัวอย่างที่อาตมาเห็นแล้ว น้อ คนที่มันสุดดันทุรัง ยึดอัตตา ยึดตัวกูของกู กูจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น ทำทีเป็นว่ายอมมาให้จับ ความผิด แล้วก็จะกลับมาเบ่งเรื่อยๆ จนไม่มีขี้จะแตกแล้ว เบ่ง ไม่มีขี้จะแตก 

สมณะฟ้าไท... เขาเปรียบเทียบนักโทษการเมือง ต่างประเทศก็จะถูกจับ นักโทษการเมืองของประเทศไทยมา ตำรวจตะเบ๊ะ 

พ่อครูว่า... ซึ่งมันแสดงถึง จะบอกว่าเมืองไทยหรือคนไทยนี้ฉลาด มันฉลาดหรือมันโง่กันแน่วะ ไปเคารพทักษิณอยู่ได้นี่ อาตมาขออภัยทักษิณว่าอาตมาไม่ได้ลบหลู่หรอก แต่คุณเป็นอย่างนั้นจริงๆอาตมาก็จำเป็นต้องพูดความจริง ชี้ความจริงให้ทุกคนรู้ตัวว่า ไม่ควรไปเอาอย่างคุณเลย เกิดมาอีกกี่ชาติ อย่าไปเอาอย่าง อย่าทำอย่างทักษิณ อย่าไปหลงเงินทอง หลงในลาภยศ จมอยู่กับอำนาจบาตรใหญ่ เจ้าประคุณ มันตัวอย่างเกินกว่าที่เทวทัตทำนะนี่ เทวทัตสมัยใหม่ 

สมณะฟ้าไท...  แบบนี้ทำให้เขาหลงตัวเองมากเพราะว่า ไม่สำนึกในความชั่ว

พ่อครูว่า... ใช่ เป็นเทวทัตยุคดิจิตอล สุดยอดจริงๆเลย 

ประเดี๋ยวเอา SMS มาพูดกันหน่อย 

 

สังคมไทยหลังได้นายกฯคนที่ 30 อยู่ในภาพปรองดอง

SMS วันที่ 21-23 ส.ค. 2566

_“คนเฝ้าบ้านราช”

กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ เย็นวันนี้(24 ส.ค. 66) ท่านสมณะได้นําคลิปต่างๆ ของบรรยากาศการเมืองไทยในช่วงนี้มาให้ดู ทําให้ดิฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจ คิดถึงเพลง 2 เพลง

1. เพลง คนร้อยเล่ห์ (อย่ามาสำออย คนร้อยเลห์ หัวใจโลเลล่อหลอกไว้)

2. เพลง เงินสั่งมา ของคุณชลธี ธารทอง(เงินใช่ไหมทำให้คนรวยผิดหวัง)

ตอนนี้คนไทยก็ได้นายกคนใหม่แล้ว ฟังคําแถลงการณ์ก็ดูดี แต่พอทราบประวัติก็ยังไม่น่าไว้วางใจนัก ต้องดูไปอย่างที่พ่อครูบอก

ดิฉันรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ที่มีพรรคต่างขั้วรวมกันอยู่ (พ่อครูว่า... อันนี้ก็เป็นนิมิตรที่ดี​ จะเป็นความจริงใจหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ )ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล คงจะคานอำนาจกันได้บ้าง นับว่าเป็นภาพของความปรองดองโดยแท้ ทําให้ฉันระลึกถึง พระพุทธรูปปางสมา นัตตตา(หลวงพ่อปรองดอง) ที่พ่อครูให้สร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

พ่อครูว่า... อาตมาทำพระพุทธรูป 3 ปางแล้ว 

ปางแรกคือ ปาง ตรีลักษณ์ 

ปางที่ 2 คือ ปาง วิชิตอวิชชา องค์ยืน

ปางที่ 3 คือ ปาง นั่งประสานมือที่หน้าตัก ไม่ใช่ปางสมาธินะ เป็นปางสมานัตตตา 

อาตมาสร้างพระพุทธรูป 3 ปางในชีวิตนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ เป็นสื่อใช้อธิบาย ใช้เป็นเครื่องหมายทางรูปธรรม อันเป็นศิลปะ สื่อความหมายให้เห็น ใช้ประโยชน์ มุ่งหมายอย่างไร มีเจตนา 

ศิลปะต้องมีเจตนา ต้องมีจุดมุ่งหมาย เพราะฉะนั้นคนทำศิลปะทำอะไรออกไปเป็นรูปเขียน รูปวาดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมายเลย เจ้าตัวไม่เข้าใจเลยว่าเราเจตนาจะให้มี interest point ของมันคืออะไร ไม่รู้เรื่อง พวกนี้พวกสะเปะสะปะเรียกว่าศิลเปอะ ไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะต้องมีจุดมุ่งหมาย แล้วจุดมุ่งหมายนั้นเป็นมงคลอันอุดมเป็นโลกุตระหรือเป็นศิลปะที่แท้ เป็นไปเพื่อลดละกิเลส ละหน่ายจางคลายจากกิเลส รู้เท่าทันกิเลส จิตวิญญาณก็เจริญพัฒนา 

ศิลปะทำให้คนลดกิเลส แล้วทำให้กิเลสตายจนเป็นอรหันต์ นั่นคือศิลปะที่เป็นพลังงาน ที่คนสามารถสร้างให้คนนี้ รู้แล้วก็จัดการกับตัวร้ายคือกิเลสได้ จิตใจก็เจริญ นี่คือศิลปะที่แท้ เป็นมงคลอันอุดมที่แท้ 

_และสมมุติว่าสงฆ์หมู่ใหญ่ของไทย หันมาปรองดองกับหมู่สงฆ์ ชาวอโศกบ้าง ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยนะคะ อย่างน้อยๆ ก็แค่นำวัตรปฏิบัติของสงฆ์ชาวอโศก ไปประพฤติปฏิบัติบ้างก็ดีมากแล้ว สาธุ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะค่ะ!

ท้ายนี้ ขอความกรุณา พ่อครูอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ของไทยในช่วงนี้ด้วยค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

“คนเฝ้าบ้านราช”

พ่อครูว่า... เหตุการณ์ต่างๆของไทยช่วงนี้ก็คงหมายถึงเหตุการณ์ของสังคมไทย สังคมไทยช่วงนี้มันก็อยู่ในสภาพปรองดอง อย่างที่เรากำลังเห็น กำลังเกิดอยู่ เป็นสภาพที่เกิดในปัจจุบันเลย เป็น  status quo เลยที่กำลังเกิดในขณะนี้ นี่แหละเป็นสภาพเหตุการณ์ในเมืองไทย 

อาตมามั่นใจนะว่า เจตนาเขาดี และอาตมาก็เชื่อมั่นว่า คุณเศรษฐานี่ ไม่ได้เข้าใจพลเอกประยุทธ์ แล้วก็ไม่ได้มาเสแสร้ง ทำการปรองดองญาติดีกับพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าคุณเศรษฐานี้ก็เห็นจุดดี ที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำมา เป็นนายกผู้พี่ เขาเรียกด้วยสำนวนไทยว่าอาวุโส  ที่จริงเรียกว่าเป็นภันเต พลเอกประยุทธ์เป็นนายกผู้พี่ แล้วก็ผ่านไปแล้ว ถ่ายทอดลงมาให้แก่เศรษฐา จะรับหน้าที่เป็นนายกต่อไป 

แล้วก็ดูมันดีไปหมดตอนนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ดูดี เพราะฉะนั้นดีนี้จะเป็นดีขมหรือดีหวานก็ดูๆกันไปก่อน ดีกินยากหรือหลอกให้กินว่ามันหวาน กินได้แล้วที่จริงซัดเข้าไปมันขม จะเป็นดีอย่างไร ดีหวานหรือดีขมก็ดูกันไป ก็ดูเหตุการณ์ 

อธิบายเหตุการณ์ก็เห็นว่าดี นี่คือประชาธิปไตยเมืองไทย ขอสรุปตรงคำว่า ประชาธิปไตยเมืองไทย ให้ฟังอีกที 

ในยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์  อธิบายประชาธิปไตยไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเป็นยุคทาส แล้วก็เป็นยุคที่มนุษย์คนทั้งหลายในยุคนั้นก็ไม่รู้เรื่องว่าเขามีสิทธิ สิทธิมนุษยชนในตัวเอง อิสรเสรีภาพมันไม่มี มีไม่ได้   ยังไม่ได้มีความคิดพวกนี้เลย 

ถึงมีความคิดก็ไม่สามารถที่จะเอามาให้คนปฏิบัติเป็นอิสรเสรีภาพจริงๆ มีสิทธิเต็มที่ได้ ถึงทำได้ คุณได้คนเดียว มันก็เป็นไปไม่ได้อีก มันต้องทำได้เป็นหมู่ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงเป็นคนเดียว ที่เอาคนมาเข้ารีต เอาคนมาอยู่ในธรรมนูญของท่าน อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในหลักศีล อยู่ในหลักธรรม อยู่ในธรรมวินัยของท่าน เอามาใช้ประกาศธรรมนูญ ประกาศธรรมวินัยของท่านเลย ในทวีปอินเดีย แคว้นใหญ่อย่างแคว้นโกศล แคว้นมคธ ยอม แคว้นใหญ่ 2 แคว้นยอมเลย พระเจ้าแผ่นดิน 2 ท่าน พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศลยอม ยอมพระพุทธเจ้า ให้อิสรเสรีภาพเลย โดยที่คนของแคว้น 2 แคว้นนี้จะมาเข้ารีตพระพุทธเจ้าเอาไปเลยสนับสนุนด้วย เพราะเอาคนไปทำดี ยอม ซึ่งมันไม่ได้ง่ายๆนะ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่ด้วย แล้วท่านชัดเจนว่าเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีความด้อยอะไรเลย มีแต่ความดีความเด่นเต็มที่สุดยอด นี่เป็นความชนะที่บริบูรณ์สูงเต็มบริบูรณ์เต็มแบบเลย นี่คือสัจธรรมที่มีในโลก ในยุค 2,500 กว่าปีผ่านมา เป็นของจริงไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่เรื่องคิดฝันเหมือนอย่างคาร์ลมาร์กซ์ ไม่ใช่ 

ของพระพุทธเจ้านี้สูงกว่าคาร์ลมาร์กซ์อีก อย่างสาธารณโภคีที่เราทำ คาร์ลมาร์กซ์เสียภาษี 100% ไม่ได้อย่างพวกเราทำ พวกเราเสียภาษีเกิน 100% สุดยอดกว่าเห็นไหม แล้วเสียภาษี 100% ก็ไม่เดือดร้อนเพราะเป็นสังคมสาธารณโภคี ซึ่งตำรายุโรป ตำรารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ใดๆ ก็ทำไม่ได้ ต้องตำราพระพุทธเจ้า ต้องมาสร้างจิตวิญญาณ มาพัฒนาจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณเกิดลดความเห็นแก่ตัว  ลดตัวลดตน จนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ นี่แหละสุดยอดประชาธิปไตย ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำพวกนี้ 

พระพุทธเจ้าใช้คำว่า อธิปไตย 3 กับประโยชน์ 3  

อธิปไตย 3 มีโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  ประโยชน์ 3 มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

อายะ 3 กับ อธิปไตย 3 รวมกันเป็นภาวะ 2 เป็นธรรมะ 2 เป็นพลังงานอธิปไตยกับเป็นพลังงานสร้างประโยชน์ 

เพราะฉะนั้นพลังงานพวกเรามีพลังงาน 2 อธิปไตยกับประโยชน์ไม่มีตัวตน พลังงานก็คือพลังงานที่สร้างขึ้นในอัตตาธิปไตยของตัวเองก็ไม่เพื่อตัวเอง ไม่เห็นแก่ตัว เพื่อส่วนรวม เพื่อโลกทั้งนั้น โดยมีธรรมะเป็นตัวทรงไว้ซึ่งโลกุตรธรรม 

เพราะฉะนั้นผลที่สร้างขึ้นมา พลังงานที่สร้างอะไรขึ้นมา จึงเป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นประโยชน์เป็นความสุข เพราะฉะนั้น 2 สภาพ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขนี่แหละจึงช่วยโลก 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตย ผู้ที่เป็น ผู้ที่ทำได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งอธิปไตย 3 และ อายะ 3 จึงคือพระเจ้าที่แท้จริง พระเจ้าที่มีภูมิปัญญาด้วย ภูมิปัญญา ฉฬายตนะด้วย ช่วยมนุษยชาติอยู่อย่างเป็นสุข อยู่อย่างเป็นประโยชน์ สุดยอดยิ่งกว่าประชาธิปไตยทางตะวันตก ทางพระเจ้า ตำราประชาธิปไตยที่เขาเรียนกัน 

เพราะฉะนั้น ตำราประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ไม่มีใครอธิบายหรอก มีโพธิรักษ์อธิบายอยู่คนเดียว ยุคพระพุทธเจ้าก็มีพระสาวกที่มีความรู้ในระดับโลกุตระก็อธิบายได้ แต่ยุคนี้มีโพธิรักษ์ที่โลกุตระโผล่ขึ้นมา พวกเราก็ค่อยๆมาอธิบายตาม แจกแยกย่อยอธิบายไปเรื่อยๆ ก็เป็นผู้ที่ขยายโลกุตรธรรม ช่วยกัน 

นี่คือสัจธรรมที่ อาตมาพูดไว้นี้ ตำราไม่ได้บรรยายพวกนี้เอาไว้หรอก อาตมาไม่ได้ไปอ่านจากตำราไหน อาตมาเป็นคนการศึกษาน้อย ไม่ได้อ่านตำราอะไรเท่าไหร่เลย เอาแต่ของตัวเองมาพูด มาขยายทุกวันนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ยังไม่หมดเลย 

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ที่ทำงานของอาตมาไม่มีตำราของใครต่อใครมากมายหรอก มีบางเจ้า แต่มีพจนานุกรมเยอะที่สุด พจนานุกรมต้องใช้ภาษาของเขา แล้วเขาแปลว่าไงคำนี้ ก็ต้องเอาไปใช้ตามเขา ถ้าเราไม่เอาตามที่เขาเข้าใจหรือเขามีความหมาย มันก็สื่อกันไม่รู้เรื่อง มันก็จะต้องใช้คำที่เขาบัญญัติ คำนี้เขาบัญญัติว่าหมายความอย่างนี้หรือ เราก็ใช้คำนี้ตามเขา แล้วก็พยายามที่จะเอามาให้เข้าใจไปสู่จุดหมายที่เราต้องการด้วย บางทีเขาเข้าใจอยู่แค่โลกีย์ เอามาใช้เป็นโลกุตระให้มันสมบูรณ์ 

 

หากเราใช้เงินดิจิตอล 10,000 บาทเจ้าบาปหรือไม่ 

_ช่อทิพ หนูทอง  · เรียนถามพ่อครูว่า...ถ้าเราใช้เงินดิจิตัล 10,000 บาท เราจะบาปไหม?

พ่อครูว่า... ยังไม่ได้คิดเลย 

สู่แดนธรรม …มันไม่มีทางจะได้ใช้

พ่อครูว่า... มันเป็นความฝันที่อยู่ในสายลมกับแสงแดด มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ Impossible 

สมณะฟ้าไท... เขาบอกว่าจะทำให้ได้ภายในเดือนเมษายน 

พ่อครูว่า... เมษาหรือเมซะ ถ้าเราใช้เงินดิจิตอล 10,000 บาท เราจะบาปไหม อาตมาไม่เข้าใจทีเดียวว่าเงินดิจิตอล 10,000 บาท มันมีความหมายกว้างลึกยังไง เขาหมายถึงยังไง ใครโม้ว่าอะไรดิจิตอล 10,000 บาทคือยังไง 

_โยมว่า… เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แจก

พ่อครูว่า... แล้วจะเอาไปใช้ยังไง แจกคนละ 10,000 บาทสำหรับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป อาตมาก็ไม่ได้จับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แล้วคนไม่ถึง 16 ปีจะมาประท้วงนะ บอกว่าไม่ใช่คนหรือไงไม่ให้เขา แล้วทีคนอายุ 16 ปีขึ้นไปให้หมื่นบาท ทำไมต่ำกว่านั้นไม่ให้เขา เดี๋ยวเถอะถูกพวกนี้ไปขย้ำเอา 

_สู่แดนธรรม... นายกก็เลยคุมกระทรวงการคลังด้วย 

พ่อครูว่า... นั่นแหละคือมันคิดแล้วทำไม่ได้ คือพวกขี้โม้เอามาหลอกเขา จะให้อันนั้นอันนี้ ไปหลอกเด็กให้ทำอันนี้สิแล้วจะให้ขนมได้กิน โอ้โห พวกหลอกเด็ก 

จะบาปไหม ก็มันไม่ได้ให้เรามาใช้ จะมาบาปอะไร ถ้าคุณไปร่วมก็ร่วมบาปนะ อย่าไปร่วมมือ 

จริงๆทุกวันนี้อาตมามีชีวิตอยู่ไม่ได้ใช้เงินรัฐบาลเลย ทุกวันนี้นี่ อาตมาได้ 900 แล้วนะ อายุ 90 แล้วย่าง 90 แล้วได้ 900 บาท แต่โยมบอกว่าได้ 1,000 บาท ไม่รู้ล่ะตั้งแต่ 60 ปีมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ไม่ได้เคยไปรับสักบาท อาตมาก็อยู่สบายๆ กระดาษชำระอาตมาก็เห็นว่าเป็นกระดาษชำระธรรมดาๆไม่ได้มีอะไร 

เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็เหมือนกัน บอกว่าไอ้หนูทำอย่างนี้นะ มาเลือกเรานะแล้วเราจะได้ให้ขนม พวกลัทธิหลอกเด็ก 

_>>อดีตนายกฯ. ชื่อ ป. (คนที่อยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์) ท่านคล้ายลุงตู่มาก เช่น..เป็นทหารยศพลเอก เป็น นายกฯ.มาช่วงบ้านเมืองวิกฤต รักสถาบัน...เหมือนกัน....เรียนถามพ่อครูว่า คุณธรรมของอดีตนายกฯ.ป. เป็นโพธิสัตว์เหมือนลุงตู่ไหมคะ?

พ่อครูว่า... เป็น 

รายละเอียดของการลากขันธ์ของพ่อครูเพื่อสืบทอดศาสนา

_ >>ดิฉันไม่รู้จริงๆจึงขอเรียนถามพ่อครู ว่าการตั้งพระเป็นใหญ่สุดในประเทศ (ขอไม่เอ่ยถึงตำแหน่ง) เขาวัดคุณธรรมเช่น เป็นอรหันต์ แล้วจึงดำรงตำแหน่งใหญ่สุดนี้ได้หรือเปล่าคะ?

พ่อครูว่า... ตอบได้เลยว่าไม่ได้หรอก  อาตมาต้องอธิบาย ทางด้าน เถรสมาคมไม่ได้เข้าใจคุณธรรมแม้แต่ฌาน วิมุติ ปัญญาที่เป็นของโลกุตระ ไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะเข้าใจอรหันต์ โสดาบันก็ไม่ชัด สกิทาคามีก็ไม่ชัด เรียนมาตามพยัญชนะตามความหมายก็เรียนมา แต่ปฏิบัติจิตไม่ได้เข้าถึงฐานที่เป็นสัจธรรม สมณะ 4 เหล่า 

เป็นโสดาบันแล้วก็มาเรียนรู้เป็นลำดับ ไม่ใช่โดยปริยายแต่ต้องมีธาตุรู้ชัดแจ้งเลยว่า กามคุณ 5 คืออะไร ไม่หลงใหลกับกามคุณ 5 แล้ว การไม่หลงใหลกามคุณ 5 นี่คือรู้ทันใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วลดจริงๆ เจตนาลด ลดแล้วก็อย่างพวกเรา เจตนาลด ลดได้ 

พวกนี้เขาจะยังไม่ลด เขาจะรู้โดยปริยายเท่านั้น เหลาะแหละ ยังลดบ้างไม่ลดบ้าง เขาจะไม่อ่านไปถึงเวทนาในเวทนา ความรู้สึกในความรู้สึก เขาจะไม่รู้จักอัสสาทะ รสอร่อย รสอร่อยของรูป รสอร่อยของเสียง รสอร่อยของกลิ่น รสอร่อยของสัมผัส รสอร่อยของอัตตาเลย เขาจะไม่ละเอียดละอออย่างนั้นแล้วเขาก็จะทำไม่จริง ทำจริงมันก็จะไม่มีจริงๆเหมือนอย่างที่อาตมาพูด ทุกวันนี้รสอร่อยมันไม่มีเลย อย่างที่อาตมาก็บ่นไปแล้วก็ลากขันธ์ไป ยิ่งลากขันธ์ ทำให้ยิ่งเห็นชัดเจนว่าความจริงมันเป็นเช่นนี้ 

คือ 1. อายุขัยของอาตมามันหมดแล้ว มันฝืน มันลากขันธ์ไป มันไม่ง่ายนะ 

2. รสอร่อยมันไม่มี มันไม่มีอะไรชูรส แต่มันต้องกินไปให้ขันธ์ ต้องฝืนกิน รสไม่มี แล้วขันธ์เราก็หมดแล้วด้วย ควรตายแล้ว แต่ไม่ยอมให้มันตาย มันก็จะต้องฝืน ๆๆ เอ็งใส่เข้าไป ใส่เข้าไป ปริมาณไม่พอ เอ็งผอมด้วยนะ ไม่มีกำลังด้วยนะ เดินไม่ไหวนะ อาตมาก็กลัวจะเสียภาวะโพธิสัตว์ กลายเป็นไอ้กุ้งแห้ง เสียท่าหมดเลย ไม่ได้ ก็จะต้องให้มันสมสัดส่วน อย่างน้อยไม่พุงโลไม่อ้วน ขนาดนี้ก็ใช้ได้แล้ว 

จริงๆนะ อายุ 90 แต่ก่อนท้องแขนโตงเตง เดี๋ยวนี้มันดีขึ้นเยอะ แล้วกำลังภายในอาตมา อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ฝืนอะไรมากมาย คิดว่าแข็งแรง แต่พวกเราจะพยายามดูรูปนอก เดินเดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็ประคอง เพราะเขาเห็นตัวเลขอายุอาตมามัน 90 เขาก็เลยช่วย ที่จริงไม่ต้องช่วยอาตมา อาตมาก็ไม่ถึงกับขนาดจะต้องหกล้มเจ็ดล้มอะไรหรอก จริง ไม่ 6 ไม่ 7 หรอก อย่างมากก็ 1 ล้ม 2 ล้มเท่านั้นแหละ ไม่ถึง 6 ล้ม 7 ล้ม แน่นอนอย่างเก่งก็พลาดท่าก็อาจจะหนึ่งล้มสองล้มแต่ไม่ถึง 6 แน่นอน นี่ก็อธิบายตามปฏิภาณของอาตมานะ มันมีสัจจะความจริงนะ  1 ล้ม เป็นอย่างไร 2 ล้ม เป็นอย่างไร 3 ล้ม เป็นอย่างไร 

มันล้มถึง 2 เส้า 6 ล้มนี่ 2เส้า มันไม่ระมัดระวัง สติตก ความกำหนดรู้มันไม่ดี สติก็ไม่ดี สัญญาก็ไม่มี สถานที่ก็ไม่ชัดเจน ก็ล้มสิ ทั้งสติ ทั้งสัญญาทั้งสถานที่ ไม่กำหนด 3 อย่างนี้มันล้มแน่ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านแค่เซเท่านั้นครับ เซคือสาม

พ่อครูว่า... เซนะไม่ใช่เซะ ผู้ใดไล่หมาว่า เซะ ไล่ไก่ว่าโซ มันผู้นั้นคือลาว นี่คือนิยามของความเป็นลาว ผู้ใดไล่หมาว่า เซะ ไล่ไก่ว่าโซ มันผู้นั้นคือลาว อีสานสมัยใหม่รู้ไหม ไล่ไก่ว่า โซ ไล่หมาว่าเซะ ไล่ควายว่าฮุ่ยๆๆ

ตอบแล้วนะเรื่องโพธิสัตว์ แล้วพระเป็นใหญ่สุดในประเทศ เขาไม่ได้วัดคุณธรรมหรอก เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็วัดตามแบบโลก โดยโลกุตระจริงๆไม่เกี่ยวหรอก จะมีตำแหน่งยศศักดิ์อะไรก็ไม่รู้ ดีไม่ดีลบหลู่กันเล่นด้วยความไม่รู้มันลบหลู่แล้วมันก็ไม่รู้จริงไปลบหลู่สิ่งที่เป็นสัจจะ ไปลบหลู่พระอาริยะ ไม่ต้องถึงอรหันต์หรอก ลบหลู่พระอาริยะก็ตกต่ำแล้ว 

_DinNam Romfiy  ดินน้ำ ลมไฟ· พ่อท่านรองเท้ากับเป้ผมพร้อมแล้วเดินธุดงปักกลด พร้อมแล้วครับ

พ่อครูว่า... เอ๊..มีนัยยะแฝงนะนี่ จะเป็นธรรมะหรือเป็นการเมืองกันแน่ อ้าวผ่าน 

ทำอย่างไรจะเกิดปัญญาที่จะทำอุเบกขาเรื่องทักษิณกับไทย 

_Kru Sa ครูซะ   · ขาดปัญญาที่จะอุเบกขาเรื่องทักษิณกลับไทย ทำอย่างไรดีคะพ่อครู

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2566 ( 21:32:40 )

660828

รายละเอียด

660828 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53224.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1N8PIZC6b1I0OTnWv4woYUy_O8sqTcGwJ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true   

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/14yy3FUuN8LqCoyqUlxbSFlLUo4OKSlwi/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660828---38-e28kae5 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/UggswWbd4Gw 

และ https://fb.watch/mIfU10pJkU/ 

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ 

เรามาเริ่มกันที่ แต่ละคนเป็นคนที่พูดแสดงอะไรออกมาเป็นเหตุปัจจัยให้อาตมาได้นำมาแสดงธรรม เพราะจริงๆแล้วอาตมานี่ คุณพูด ก.ไก่ ข.ไข่อะไรออกมา อาตมาก็แสดงเป็นธรรมะได้หมด เพราะฉะนั้นเป็นเหตุปัจจัยให้พวกคุณเกี่ยวข้องมีความเข้าใจ มีความรู้สึกมีความเห็นอย่างนี้ว่า มันเป็นอย่างนี้เลยแสดงออกมา ก็นำอันนั้นมาเป็นเหตุเป็นปัจจัยก็เกี่ยวเนื่องกันไม่ใช่คนเดียว ฟังคนอื่นพูดเกี่ยวข้องกันด้วยนะ 

 

พSMS วันที่ 25 ส.ค. 2566

 

จิตที่เป็นอุตุธาตุกับจิตที่เป็นพีชธาตุต่างกันอย่างไร

_สินสมนึก · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุด มีความสงสัยจึงถามมาเพื่อแก้ไขสัญญา

จากปัญญา 8 เล่ม 2 หน้า 339 ข้อ 290 ข้อ 1 การเกิดผลเป็นอุตุธาตุ หน้า 340 บรรทัดที่ 13

อุตุธาตุนั้นมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น จากการศึกษาที่ผ่านมาตามความเข้าใจของลูก ลูกเข้าใจดังนี้

• อุตุธาตุ เป็นเพียงรูปร่าง แท่งก้อนวัตถุดินน้ำไฟลม ไม่มีสัญญา มีสังขาร

• พีชธาตุ นั้นมีรูป สัญญา สังขารเท่านั้น เพราะพีชไม่มีความอาฆาตพยาบาทแล้วจึงไม่มีเวทนาและวิญญาณ

• จิตธาตุมีครบขันธ์ 5

ลูกจึงเกิดความสงสัยเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดที่ 13 ทุกครั้งว่าช่วงกาละใดที่อุตุธาตุ มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้นเช่นเดียวกับพีชธาตุ ก็เชื่อมต่อกับจิตธาตุเหมือนกัน ก็มีแต่รูปสัญญาสังขารเหมือนกัน ..

พ่อครูช่วยขยายความ จิตที่เป็นอุตุธาตุกับจิตที่เป็นพีชธาตุ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ขออภัยต้องการแก้ไขสัญญาเก่าสร้างสัญญาใหม่ครับ

กราบขอบพระคุณด้วยพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ..สินสมนึก 20 ส.ค. 66

พ่อครูว่า...คุณซักตรงนี้มาก็ดี แต่อาตมาก็ได้เปรยได้พูดไปแล้วบ้าง ถึงเรื่องของ 1. มหาภูต 2. ภูตคาม 3. เจตภูต

เพราะฉะนั้นในภาวะที่ทุกอย่างมันจะเหลื่อมกัน มันจะค่อยๆเชื่อมกันอยู่ของพลังงานที่เป็นวัตถุ แล้วค่อยๆกลายมาเป็นพืช กลายๆมาเป็นจิต พัฒนาขึ้นมาเป็นพืช พัฒนาขึ้นมาเป็นจิต มันมีสภาวะของมันจริงๆ 

ที่บอกว่าอุตุธาตุมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น ถ้าจับความแต่ตรงนี้ อุตุนิยาม ไม่ใช่ชีวะ ไม่มีชีวะเลยใช่ไหม ทีนี้ สัญญานี่ มันเป็นชีวะเริ่มแล้ว อุตุเป็นสังขารเท่านั้น เป็นพลังงานบวกลบ ปรุงแต่งกันอยู่ มันไม่มีชีวะ ไม่มีธาตุสัญญา ไม่มีธาตุชีวะเลย แต่อาตมาไปเขียนว่า อุตุนิยาม มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น มันก็ไม่ผิด ถูกต้อง ที่คุณท้วงมา อุตุนิยาม มีสัญญาด้วยหรือ? แต่มันมีสังขารนั้น..ใช่ แต่มันไม่ได้มีสัญญา ไม่มีตัวกำหนดตัวมันเอง ถ้าพีชธาตุนั้น มีรูป สัญญา สังขาร 

ที่จริงจะว่าไปแล้วอุตุก็มีรูป ยังไม่ได้พูดถึง ละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นธรรมดาของรูป เป็นมหาภูตรูป ทุกอย่างต้องมีรูปทั้งนั้น แม้แต่ อรูป ก็เป็นรูป ทั้งๆที่มันบอกว่า อรูป ไม่ใช่รูปแต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง! มันไม่มีพยัญชนะจะพูดแล้ว 

อรูป ไม่ใช่รูป แต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง ไม่มีตัวจะพูดแล้ว 

เพราะฉะนั้น พอบอกว่าอุตุธาตุไม่มีสัญญา มีแต่สังขาร ก็พืชธาตุเท่านั้นถึงจะมีสัญญา สังขาร​ เพราะพืชไม่มีความอาฆาตพยาบาทแล้ว จึงยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นจิตนิยาม หรือยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ มันยังไม่ครบขันธ์ 5 

ลูกจึงเกิดความสงสัยเมื่ออ่านถึงบรรทัดที่ 13 ทุกครั้งว่า ช่วงกาลใดที่อุตุธาตุมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น เช่นเดียวกับพืชธาตุ ก็เชื่อมต่อไปถึงจิตธาตุเหมือนกันก็มีแต่รูป สัญญา สังขาร เหมือนกัน 

เป็นแต่เพียงยังไม่มีเวทนา ยังไมมีวิญญาณ ไม่มีสัญญา เป็นแต่เพียงสับสนว่าเดี๋ยวก็ว่าอุตุเป็นเพียงสัญญาและสังขาร เดี๋ยวก็มีเพียงแต่สังขารอย่างเดียว มันยังไง

อันนี้จริงๆแล้ว มันก็น่าจะกล่าวว่า อุตุนี่มีแต่สังขาร ไม่มีสัญญา​ มันก็น่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ทีนี้อาตมาก็คงจะพอมาพูดถึงมหาภูต แล้วก็ภูตคาม แล้วก็เจตภูต

มหาภูตนั้นแน่นอน มันเป็นอุตุ 100%

พอเป็นภูตคาม เริ่มมาเป็นชีวะแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นชีวะอย่างสมบูรณ์ ยังมีภูตคาม มีพีชคาม 

ภูตคาม ยังไม่ขยับตัวออกไปเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบของมันเท่าไหร่ มันยังเป็นรากเป็นเหง้า ยังเป็นก้อน เป็นตัว ยังไม่มีปัญจะสาขา หรือยังไม่มีส่วนอะไรที่ออกไป พอเป็นพีชคาม ก็ออกลักษณะที่เป็นพืชแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นมหาภูต ภูตคาม และเจตภูต 

เจตภูต ก็มีลักษณะของจิต เริ่มมีลักษณะของธาตุวิญญาณ ธาตุจิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในความหมายที่อาตมาได้พูดแล้ว อาตมาไม่ได้พูดเองหรอก มีอยู่ในพระไตรปิฎก มีพยัญชนะพวกนี้ อาตมาเจอพยัญชนะพวกนี้แล้วจึงเอามาพูด ซึ่งเป็น สัตตะ เป็น ปาณะ แล้วก็เป็นภูตะ เป็นชีวะ 

เพราะฉะนั้น ภูตะนี่แหละ ที่มันจะจาก ลักษณะละเอียดของวัตถุขึ้นมาหาพืชขึ้น ขึ้นมาหาจิต มหาภูตะ คือ วัตถุแท้ๆ สสารพลังงาน พอเริ่มมาเป็นภูตคาม มันจะเข้ามาหาชีวะแล้ว เมื่อกี้แถมพีชคามด้วย 

ดูเหมือนสู่แดนธรรมจะท้วงหน่อยหนึ่ง 

เจตภูตเหลื่อมมาหาจิต ก็เป็น 3 เส้า เหลื่อมมาหาจิต ส่วนย่อยที่มันเริ่มพัฒนาพลังงานตามที่จะ breed ตัวเองขึ้นมา มันก็เป็นไปตามลำดับ ทีนี้มาแยกเป็นมหาภูต ภูตคาม เจตภูต  3 อย่างก็จะง่ายขึ้น

1. สสารวัตถุแท้ 2.ภูตคาม เพิ่มมาเป็นพืชขึ้นมาแล้วจึงมาหา 3.เจตภูต เริ่มมามีอาการลักษณะธาตุของจิตเข้าไปร่วมหน่อยๆแล้วนะ เป็นต้น

ฉะนั้นการพัฒนาของชีวะต่างๆมันจึงเป็นไปละเอียดละอออย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะค่อยๆเข้าใจไป ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ บางทีมันก็ไม่มีพยัญชนะจะสื่อ เขาก็เอามาซับซ้อนวนกัน มันก็เลยทำให้เราวนไปตามพยัญชนะที่สื่อเหล่านั้นบ้าง 

อาตมายิ่งอธิบายไปนี้ยิ่งงงไหม ยิ่งวนยิ่งสับสนไหม กระจ่างขึ้นก็แล้วกัน เอาเท่านี้เดี๋ยวจะวนไปอีก 

 

พ่อครูมีปกติไม่มีความโกรธ

_คนบ้านราช …ระยะนี้มี SMS เข้ามาในรายการมาก มีทั้งชมทั้งติ บางคนก็ตำหนิอย่างหยาบคาย แต่พ่อครูก็มีอาการสงบและไม่โกรธ 

พ่อครูว่า... ที่จริงอาตมาไม่ได้โกรธจริงๆใครจะด่าจะว่า อาตมาไม่เคยโกรธให้คนด่า ไม่เคยโกรธ คนจะด่าคนจะว่า มันเป็นสัจธรรมมันเป็นสัญชาตญาณของอาตมา คนด่าเขาก็ด่าสิ เป็นคำด่าของเขาเราก็คือเรา 

แต่ก่อนอาตมาไม่รู้ละเอียด พอมาฟังคำตรัสคำสอนพระพุทธเจ้าก็เจอคำตรัสคำสอนว่า คนเขาจะด่าเรา ก็เหมือนเขาเอาสำรับอาหารนี้มาถวายเรา แล้วเราก็ไม่ได้รับสำรับอาหารนั้น มันก็ตั้งอยู่ของมัน มันก็เป็นของเขา เขาจะเอาไปหรือเขาไม่เอาไป เอากลับไปหรือไม่เอากลับไป สำรับอาหารนั้นเราไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง หรือเราไม่ได้กิน ไม่ได้ไปเป็น ไม่ได้ไปร่วมกับอันนี้เลย มันก็ตั้งของมันอยู่ของมัน เขาจะมาเอาของเขาคืนไปหรือไม่คืนไป มันก็เป็นอันนั้น ชัดเจนนะ 

คือมันรู้เขารู้เราอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นแต่เพียงว่าถ้าเขาด่าเรามา เขาว่าเรามา เราทำเป็นทิ้งเฉยๆ จริง เวทนาเราไม่มีปัญหา แต่ความจริงล่ะ เราเป็นตามที่เขาด่าไหม เราต้องเอาอันนี้แหละมาใช้ตรวจสอบตนเอง เออเว้ย..เขาด่ามาถูก เราเป็นอย่างที่เขาเป็น ถ้าไม่มีอคติเข้าข้างตัวเองเราได้ประโยชน์ แต่ถ้าเรามีอคติเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆที่เขาพูดถูก คุณก็เข้าใจผิด คุณก็ไม่ได้แก้ตัว หรือคุณเองคุณทำเฉยเมย ไม่สน จะด่าก็ด่าไป เราไม่ฟัง เราไม่เอามาคิดมาปรุงมาแต่งมาตรวจสอบอะไรแล้ว คุณก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อกันและกันในอะไรอื่นเขา มันก็อยู่โลกของคุณคนเดียว ก็ไม่ได้เรื่องอะไร 

เพราะฉะนั้นคำด่า พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า คำตำหนิกับคำชม ท่านตรัสถึง 2 อย่าง เขาด่าหยาบ ด่าแรงก็อีกเรื่องหนึ่ง คำชมไม่มีคุณค่าเลยแม้แต่ทำให้เกิดความละหน่ายจางคลายจากกิเลส ใดๆ มีแต่จะทำให้เกิดกิเลส 

ท่านถึงเรียกว่าคำชมหรือคำสรรเสริญว่าคือคำต่ำทราม คำสรรเสริญยกย่องชมเชยก็คือคำต่ำ โอ้โห..ลึกซึ้งไหม ฟังแล้วเราก็ยิ่งเข้าใจว่าจริงนะ คนเรามันหลงระเริงไปกับคำสรรเสริญยกย่อง แล้วมันไม่ได้ดีได้ดิบอะไรเลย 

เอาล่ะ เราดีจริงตามคำชมก็แล้วไป ถ้าเราไม่ได้ดีจริงตามคำชมเราก็บ้าไป ไม่ได้เรื่องอะไร คำชมเท่ากับตัวเขาเองช่วยตรวจสอบให้เรา เขาบอกอันนี้มา เราก็ตรวจสอบว่าจริงไหม เขาชมมากเกิน 

อย่างอาตมาพวกคุณชม อะไร กราบคารวะอย่างสูงส่งยิ่งยอดอะไรว่ามา บูชาอย่างยิ่งอะไรมา เคารพอย่างสูงส่งยิ่งอะไรอย่างนี้นะ เราฟังแล้วเป็นคำชมยอดเยี่ยมเลยนะ แล้วอาตมาก็มาตรวจดูความจริง ว่าเราควรจะต้องปล่อยให้เขาพูดอย่างนี้ไหม อาตมาเคยพูดไปแล้ว ก็มาเห็นว่ามันเป็นความจริงนะ อาตมาไม่ได้มีตัวตน ไม่ได้เห็นแก่ตัวตนอะไร เขาชมจริงอย่างนี้ จริงอย่างไร อาตมาก็ดูออกว่ามันจริงตาม กาละ เทศะ ฐานะ กาละนี้ อาตมาก็ว่าอาตมาเป็นคนที่ไม่มีใครสูงเท่า กาละนี้ไม่มีใครจะรู้เรื่องโลกุตรธรรมสูงเท่าอาตมา อาตมาก็สูงยิ่งจริงในยุคนี้ ตาม กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาก็อยู่ในฐานะที่สูงยิ่งตามกาละนี้ 

แน่นอน มันมีความแตกต่าง เทศะต่างๆ หรือมันเคลื่อนย้ายไปไม่เที่ยงแล้วตาม กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาก็ว่าเป็นความจริงก็ต้องให้เขายืนยันความจริง เพื่อที่จะประกาศความจริงลงไปว่า ไอ้ที่คุณเข้าใจมันไม่เหมือนกับที่อาตมาเป็น มันแตกต่างกัน 

มาเรียนรู้ความแตกต่างว่า ที่คุณยึดนั้น อาตมาก็คน คุณก็คน อาตมาเป็นอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ คุณก็ทำอย่างคุณทำ ทีนี้อาตมาโชคดีมากที่ยังมีพระไตรปิฎก อาตมาก็ยืนยันพระไตรปิฎกสาธยาย อธิบาย จริง..คุณก็อธิบาย คุณก็สาธยายพระไตรปิฎก คำเดียวกันคุณก็อธิบายอย่างของคุณ อาตมาก็อธิบายอย่างของอาตมาอีกซะด้วย แล้วก็ยังแตกต่างกันอีก 

แล้วทีนี้ก็ต้องเจาะลงไปถึงเนื้อแท้เลยว่า แล้วจริงๆของคุณน่ะ คุณเป็นได้หรือเป็นไม่ได้ด้วย 1.  2. ที่อาตมาพูดนี้ว่าเป็นได้หรือเป็นไม่ได้อีกด้วยเหมือนกัน โลกุตระของเราบอกว่ามันเป็นคนจนอย่างนี้เป็นต้น มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นผู้ที่มีความสุข มาเป็นคนมีสาราณียธรรม 6 มามีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น 

มาเป็นสังคมคนมีศีลอย่างนี้เป็นต้น มันตรงตามพระไตรปิฎกไหม อาตมาก็จบตรงนี้ คุณก็ยึดถือพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันอยู่เหมือนกันอยู่ พยัญชนะตัวเดียวกัน อาตมาก็นำมาขยายความทุกอย่างว่าพระพุทธเจ้าสอน คุณก็มองพระพุทธเจ้าสอนให้ไปรวย ให้มีลาภยศ แบกลาภยศกันอยู่ เป็นสงฆ์คณะใหญ เราก็บอกว่าสงฆ์คณะเราไม่เห็นอย่างนั้นหรอก เราทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วเราก็มาเป็นของเรา เราว่าเราจบ เราตรงกับพระพุทธเจ้านะ เขาว่าของเขาตรงกับของพระพุทธเจ้าก็เรื่องของเขา แล้วเราไม่มีปัญหา ส่วนเขาจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาก็เรื่องของเขา

เราก็จบอยู่ที่ตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่าง ความเข้าใจของคุณก็เป็นอย่างหนึ่ง ความเข้าใจของเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างเชื่อธรรมวาทีของตนเอง คุณก็มีธรรมวาทีของคุณ คุณก็ดำเนินไป ศึกษาไป ปฏิบัติประพฤติไป คุณก็ได้ตามของคุณ เราก็ได้ตามของเรา มันก็จบอยู่ที่ตรงนี้..นานาสังวาส นี่คือสัจจะที่อาตมาได้พยายามอธิบาย พยายามที่จะสอน 

_อีกทั้งยังคงมีความเบิกบานพ่อครูก็ยังมีความสงบ บางคนมาด่าหยาบๆคายๆ แต่พ่อครูก็ยังมีอาการสงบไม่โกรธ อีกทั้งยังมีความเบิกบาน ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย 

พ่อครูว่า... อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาอยากให้พวกคุณสังเกตหรือคนข้างนอกเขาสังเกตไม่ได้หรอกเขาไม่รู้ละเอียดพอ อาตมาไม่เคยมีความเครียด ไม่เคยมีความที่มันจะไปในทางลบ ในทางอาการเศร้า อาการโศก อาการหมอง อาการอะไร มีแต่เบิกบานร่าเริง สังเกตไหม 

อาตมาไม่มีความเศร้าความหมอง อาตมาอโศกะจริงๆ อโศกะแท้ๆ ไม่มี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ..ไม่มี..หมด นี่เป็นการแสดงสัจธรรมความจริงและอาตมาก็บอกความจริงกับพวกคุณ ถ้าอาตมาไม่เป็นจริง ก็เป็นปาราชิกของอาตมา แต่อาตมาเป็นจริง มีความเบิกบาน ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย 

เรื่องเผยแพร่ศาสนานี้ มันย่อท้อได้ยังไง ยุคนี้มันยากหรือง่าย สุดแสนยากเลย มันเข็นเขาขึ้นครก คงรู้นะเข็นเขาขึ้นครก มันยากกว่าเข็นครกขึ้นเขาขนาดไหน มันเข็นเขาขึ้นครกจริงๆเลย แต่อาตมาก็ต้องทำเพราะว่ามันไม่มีทางเลี่ยง ก็ต้องทำ 

_ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย 

พ่อครูว่า... ทั้งๆที่เขาจะเอาตาย แต่อาตมาเป็นแมว 9 ชีวิต ไม่ยอมตาย เขาจะไม่ให้แสดงธรรมเลย แต่สุดท้าย..หมดแล้วทางโน้นไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาทำให้อาตมาไม่แสดงธรรม เขาเองเขาทำของเขาเอง จนกระทั่งมีการตัดสินทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม มันพิพากษาเรียบร้อยหมดเลย แล้วอาตมามาทำงานนี้ 

_ด้วยความไม่โกรธ 

พ่อครูว่า... ดี อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาไม่โกรธด้วย 

_เป็นคุณสมบัติข้อ 1 ของพระอรหันต์ ก่อนออกบวชพ่อครูมีรายได้เดือนละ 20,000 บาทมากกว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีอีก พ่อครูก็ทิ้ง ลาภ นั้นๆมาอย่างไม่แย่แสแสดงความไม่โลภของพ่อครู มีคำตำหนิหรือพ่อครูก็ไม่ได้ดีใจหรือทุกข์ร้อนอะไร แสดงว่าพ่อครูอยู่เหนือโลกธรรมอย่างแท้จริง 

พ่อครูสามารถสอนให้ชาวอโศกถือศีล 5 ละอบายมุข มากินอาหารมังสวิรัติได้ทั้งชุมชน 

พ่อครูว่า... นี่ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ มากินมังสวิรัติได้ทั้งหมู่บ้าน ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนกินมังสวิรัติหมดทุกหมู่บ้าน 

_แสดงว่าคำสอนของพ่อครูถูกตรง จึงทำให้คนละลดกิเลสได้จริง หัวข้อธรรมบางอย่าง เช่น เวทนา 108 หรือเรื่องศีลพ่อครูก็สามารถอธิบายได้ชัดเจน แต่ดิฉันยังไม่ได้ยินครูบาอาจารย์สำนักไหนที่อธิบายเรื่องนี้ 

พ่อครูว่า... อันนี้จริงที่สุด จริง 

_แม้แต่ศิษย์สายหลวงปู่มั่นก็ตาม

พ่อครูว่า... แน่นอนสายหลวงปู่มั่นไม่มีปัญญาจะอธิบายหรอก เพราะว่าไม่เอาเรื่องบัญญัติ เรื่องตำรา เรื่องการศึกษาทางพยัญชนะพวกนี้เลยเอาแต่นั่งหลับตา อย่างง่ายๆตื้นๆหลับไป หลับไป อย่าให้จิตออกจากตัว แล้วก็จะบรรลุทุกอย่าง เหมาเข่งไว้ในนั้นหมดเลย 

ส่วนพวกสายที่เขาศึกษาบัญญัติ ศึกษาพยัญชนะ ศึกษาภาษาหลักการอะไรต่างๆพวกนี้สิ เขาก็อธิบาย แต่เขาไม่ได้อธิบายอย่างอาตมา 

อย่างเวทนา 108 นี้ก็มีในพระไตรปิฎก มีหลักฐาน ก็ตรัสไว้พระพุทธเจ้าแบ่งแยกไว้บ้าง ตรัสไว้แต่ไม่ได้ขยายละเอียดนะเอามาแจกแจงกับพวกเรา เวทนา 2 เป็นอย่างนี้ เวทนา 3 เป็นอย่างนี้ ท่านตรัสเอาไว้สั้นๆ เวทนา 5 เป็นอย่างนี้ เวทนา 18 เป็นอย่างนี้ เคหสิตะ เป็นอย่างนี้ เนกขัมสิตะ เป็นอย่างนี้ เวทนา 36 อันรวมทั้ง เนกขัมสิตะ เคหสิตะ ปัจจุบันเป็นอย่างนี้นะ อดีตเป็นอย่างนี้ อนาคตเป็นอย่างนี้นะ รวมหมดเลยขยายให้เห็น ว่า อวิชชา 8 

ก็มี 1 2 3 4 คือ อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค 

5.คือส่วนอดีต 6. คือส่วนอนาคต 7. ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต 8. เป็นปฏิจจสมุปบาท นี่คืออวิชชา 8 

อาตมาก็อธิบายขยายความหมดทุกอย่าง แม้แต่ว่า เอาทำไม 5 คือส่วนอดีตอนาคตคือส่วนที่ 6 แล้วทำไมมาย้ำซ้ำอีก ทั้งอดีตและอนาคตอีกเป็นอันที่ 7 ก็พูดมาแล้ว แล้วมันต่างกันอย่างไรถึงมาอยู่ที่นี่ ก็มันต่างกัน มันมี 2 อย่างอยู่ในนี้ แล้ว 2 อย่างเป็นยังไง 

ก็คือส่วนอดีต มันก็คือส่วนอดีต มันไม่เท่ากัน มันไม่ใช่ 0 ส่วนอนาคตมันก็ไม่เท่ากัน มันไม่ใช่ 0 ส่วนอนาคตก็จะเป็นไม่ 0 ได้ ส่วนอดีตก็เป็นไม่ 0 ได้ ผ่านปัจจุบันมาก็มีอดีตแถมเข้าไปเรื่อยใช่ไหม 

อนาคตยังไม่มาแต่มันก็ต้องมีอนาคต มันยังไม่ถึงปัจจุบัน มันก็เป็นอนาคต พอถึงส่วนอนาคตมันก็ยังไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของสูญ มันยังมีอนาคตอยู่ เอาอนาคตมาสู่ปัจจุบันมันก็เป็นปัจจุบันแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไป 

แต่ทั้งส่วนทั้งอดีตและอนาคตมัน 0 แล้วทั้งคู่ มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว อดีตก็เป็นสูญ อนาคตมันก็เป็นสูญ เพราะฉะนั้นทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตนี้ ท่านไม่ได้ขยายความไว้แต่อาตมาขยายความว่ามันต่างกันอย่างไร เมื่อมันสูญทั้งคู่ก็ไม่เหมือนทั้งส่วนอดีตไม่เหมือนทั้งส่วนอนาคตสิ ท่านถึงกล่าวว่าเป็นอีกอันหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น ชัดเจนไหม 

แล้วจากนั้นก็เป็นปฏิจจสมุปบาท อาตมาก็อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว แล้วการอธิบายนัยยะต่างๆที่ละเอียดละออพวกนี้ไม่อยู่ในตำราที่ขยายความ ที่เขาอ่านกันในอรรถกถาจารย์ อาตมาไม่เคยอ่านอรรถกถาจารย์เลย และไม่สนใจด้วย อย่างของพระพุทธโฆษาจารย์ คัมภีร์วิสุทธิมรรคที่เขาถือกัน เขานับถือเป็นตำราหลักเลยนะ อาตมาก็ไม่ได้เคยอ่าน มีแต่เขายกมาก็อ่านตามที่เขายกมาหรือว่าท่านพุทธโฆษาจารย์ว่าไว้อย่างนี้เหรอ ก็จึงได้เห็นว่าพุทธโฆษาจารย์ยังไม่บริบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ ยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังมีเทวนิยมอะไรต่ออะไรอีกตั้งเยอะแยะ อาตมาก็เข้าใจก็เห็นเป็นไปตามภูมิของท่าน 

แล้วอาตมาก็อธิบายของอาตมา แม้แต่แค่เรื่องศีล อาตมาก็อธิบายอย่างของอาตมา 

_พ่อครูอธิบายได้ชัดเจน ดิฉันยังไม่ได้เคยฟังสำนักอื่นอธิบายอย่างนี้ แต่สายอาจารย์มั่น 

พ่อครูว่า... ขออภัย เขาไม่มีภูมิอย่างอาตมาจะอธิบายได้อย่างไร อย่าว่าแต่สายอาจารย์มั่นเลยแม้แต่สายท่านมหาประยุทธ์ก็ยังไม่ได้อธิบายอย่างอาตมา

_แม้แต่พ่อครูก็สะอาดบริสุทธิ์เรื่องผู้หญิง เรื่องเงินๆทองๆอีกด้วย 

พ่อครูว่า... อันนี้เรื่องตื้นๆหยาบๆ  เรื่องผู้หญิงก็ตาม เรื่องเงินๆทองๆอะไรก็ตาม เป็นเรื่องตื้นๆหยาบๆ และก็เป็นเรื่องหลักที่จะเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ตรวจสอบแล้ว เรื่องเงินกับเรื่องผู้หญิงนี่นะ ต้องใช้ระยะเวลาด้วย ก็เอามาใช้เป็นเครื่องตรวจสอบได้ 

_แค่นี้ก็น่าเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพ่อครูเป็นพระอรหันต์ได้แล้วค่ะ พระเทวทัตไม่ได้มีความเคารพศรัทธาพระพุทธเจ้าเลย แต่พ่อครูเทิดทูนบูชาพระพุทธเจ้ายิ่งนัก แล้วพ่อครูจะเป็นเทวทัตได้อย่างไรล่ะคะ 

พ่อครูว่า... แค่นี้ก็เป็นประเด็น อาตมาเคารพพระพุทธเจ้ามากมายบูชายกย่องพระพุทธเจ้าอย่างกับอะไรดี อาตมาจะไปเป็นพระเทวทัตได้อย่างไร ทำไมคุณไปขี้ตู่ไปว่าคน ทั้งๆที่ประเด็นเล็กๆแค่นั้นก็ชัดๆอยู่แล้ว คนหนึ่งตำหนิลบหลู่พระพุทธเจ้า อีกคนหนึ่งเทิดทูนพระพุทธเจ้า แล้วมันจะเป็นคนเดียวกันได้ยังไง เขาหาว่าอาตมาเป็นพระเทวทัต คนที่ตู่อาตมานี้เขาผิดหรือถูก โง่หรือฉลาด 

_พวกเราไม่ได้ศรัทธาพ่อครูอย่างงมงายไร้เหตุผล แต่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่าใครกล่าวคำที่เป็นธรรมวาทีแท้หรือเทียม คิดไปคิดมาพ่อครูก็เทศน์โปรดศิษย์ท่านหลวงตามหาบัวมานานแล้ว แต่ไม่มีใครเกิดปัญญาหลุดมาได้สักคน ทำไมพ่อครูจึงยังไม่หยุดค่ะ 

พ่อครูว่า... ก็อาตมาก็ทำตามพระพุทธเจ้าไง แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้า กลางวันอีก 100 เล่ม เย็นอีก 100 เล่ม มันก็ไม่ตาย ไม่แทงมันก็ยิ่งไม่ตาย ไม่สะดุดอะไรเลย ไม่มีใครช่วยเลย ช่วยเขาหน่อยเถอะ มันไม่ตายก็รู้ว่ามันแทงไม่ตาย แต่ก็อย่าใจดำเลย หอกอาตมาทุกวันนี้ 100 เล่มเหลืออยู่ไม่กี่เล่มแล้ว ทำไม่ทัน  ทำหอกใหม่ขึ้นมาแทงไม่ค่อยทัน เพราะท่านหนังเหนียวกว่าการแทงของอาตมา หนังเหนียวเกินกว่าอาตมาจะทำหอกได้เร็วทันความเหนียวของคุณ ความเหนียวของคุณเร็วกว่าอาตมาเหลือเกิน 

นี่อธิบายสภาวะเข้าใจไหม ความเหนียวของคุณมันหนาเหนียวกว่าการกระทำหอกของอาตมาที่แทงคุณยังไม่ทันเลย นี่ก็พูดความจริงนะ 

 

ปางนี้พ่อครูมากอบกู้ศาสนาคือมาเก็บกวาดศาสนา

_นานมาแล้วได้อ่านหนังสือเป็นหนังสือรายเดือนที่พวกเราเขียนจำไม่ได้ว่าชื่อคอลัมน์อะไร แต่จำเนื้อหาได้ไม่ลืมเลย คือมีพระรูปหนึ่ง เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาลหรือนิกายเซน 

พระองค์นี้ท่านได้ทำความเพียรด้วยการกวาดใบไม้ไป พิจารณาไป จนท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ กลับเข้ามายุคนี้มีพระนิยตโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ได้แสดงกายธรรมนี้ให้ลูกๆได้เห็น 

มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ท่านเขียนมานานแล้ว ชื่อหนังสือแสงสูญ ชื่อเล่มว่า ปุ้งเต้าเส้าสิ้ว มีภาพปกนักศึกษาใส่เสื้อครุยปริญญา จับไม้กวาดทางมะพร้าวทำความสะอาด และลูกๆจะได้เห็นภาพของท่านหลายๆท่า เห็นกันจนคุ้นตา มีอยู่ในหนังสือบ้าง  ในปฏิทินบ้าง หรือแม้แต่หุ่นขี้ผึ้งก็ปั้นรูปลักษณะจับไม้กวาด พ่อจับไม้กวาดใช้ไม้กวาด พ่อแสดงกายกรรมนี้เพื่อจะสื่อสอนให้ลูกๆเข้าใจอะไรหรือคะ 

พ่อครูว่า... ก็ จะขยายความเยอะก็ได้นะแต่เอาล่ะขยายความนิดหน่อย 1.สื่อความให้เห็นว่าอาตมาเองนี้ เกิดมาชาตินี้ต้องมากวาดทำความสะอาด นี่ก็ง่ายๆ เพราะมันสกปรกจริงๆ ศาสนาพุทธทุกวันนี้มันสกปรก ก็ต้องกวาด นี่คือความหมายง่ายๆตื้นๆ 

2. อาตมาไม่ได้เป็นคนสูงคนส่งอะไร อาตมาก็คือคนกวาด  ปัดกวาดธรรมดานี่เอง ก็มาทำความสะอาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนสูงคนส่งอะไร และก็มาเป็นงาน คำว่าอาตมามาเป็นผู้กอบกู้ธรรมะ ฟังแล้วเป็นคำสูงมากเลย แต่ก็คืออาตมาเป็นผู้มากวาดทำความสะอาด ฟังชัดไหม 

อาตมามาทำงานสูงเหลือเกิน มากอบกู้ศาสนา มากอบกู้ธรรมะโลกุตรธรรม ก็พูดไปมากแล้ว ก็นัยยะเดียวกันกับอาตมามาทำความสะอาด เพราะเขาเอาของสกปรกเลอะเทอะใส่เข้าไปในศาสนา อาตมาก็ต้องมาทำความสะอาด แม้แต่ในบัญญัติภาษา ที่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่กระเตื้อง ไม่น่าจะกระเตื้อง 

เช่น คำว่า บุญ อาตมาก็อธิบายว่าเขาเข้าใจยังไม่ได้ บุญ เขาเข้าใจเป็น กุศล 

คำว่า กาย คำว่า กายนี้เป็นเบื้องต้นเลย ง่ายกว่าบุญอีก เขาก็ยังเข้าใจผิดอยู่ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นยิ่งคำว่า “กาย” เป็นคำต้นจะต้องรู้ก่อนเลย ถ้าไม่รู้คำว่า “กาย”ก่อนเลยนี่นะ เขาปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธยังไม่สัมมาทิฏฐิ “กาย”คำแรกยังไม่สัมมาทิฏฐิ เขาไม่ได้เลย ไปไม่ได้เลย ศาสนาพระพุทธเจ้า 

เพราะกายนั้นมันเป็นลักษณะ 2 กายไม่มีลักษณะ 1 กายมี 2 เสมอถ้ามีกาย ถ้าไม่มีกายก็เป็น 0 ถ้ามีกายก็ต้องเป็น 2 ถ้าไม่มีกายก็เป็น 0 

เพราะฉะนั้น พืชมันไม่มีกาย กายมันต้องมีจิต ต้องมีเวทนา มีมโน แต่พืชมันไม่มี จึงไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ 

ถ้าสัจธรรมเท่านี้เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว เขาจะไปปฏิบัติได้ยังไง จะทำจิตของตัวเองให้ไม่เป็นกาย แล้วก็ไม่มีกาย แล้วการทำได้นี้ไม่ใช่หมายความว่าคุณเองยังต้องไม่มีกาย คุณทำได้แล้วคุณยังต้องอาศัยกาย จนกระทั่งสุดท้าย กายสเภทา กายนั้นยังต้องแตกเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม..เลย ปรัมมรณา สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน มันจึงจะไม่มีกายอีกเลย นิรันดร ไม่มีสภาพ 2 อีกเลย 

ฟังชัดเจนขึ้นไหม ลึกซึ้งไหม เขาเข้าใจอย่างนี้ได้ที่ไหน เมื่อเขาเข้าใจไม่ได้ ศาสนาพุทธก็คือเสื่อมแน่นอนจากความเข้าใจผิด ความเข้าใจพยัญชนะสำคัญๆ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า บุญ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า สมาธิ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า ฌาน 

วันนี้ตั้งใจจะอธิบายเรื่องของฌานต่ออีก 

 

กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · กราบนมัสการพ่อครู สมณะฟ้าไท สมณะด่วนดี สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังท่านฟ้าไทท่านกล่าวได้ชัดเจนว่า หากเราเห็นกิเลสในตัวเรานี้เหมือนโรคร้าย เราก็จะเพียรพยายามเอากิเลสออกให้ได้ แต่หลายครั้งที่ลูกยังเป็นเพื่อนรักกับกิเลสอยู่ ลูกขออนุญาตถามในส่วนที่พ่อครูว่า ในศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐาน ลูกฟังมาหลายครั้งแล้วยังไม่เข้าใจค่ะ แล้วทำไม สัญญา สังขาร ตัณหาฯลฯ ไม่เป็นกรรมฐานบ้างคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...กรรมฐานแปลว่าอะไร กรรมฐานแปลว่า ที่ตั้งของการปฏิบัติ ของกระทำ ของการประพฤติ  เพราะฉะนั้น ที่ตั้งของการประพฤตินี้อาตมาบอกว่าเวทนานี้เป็นที่ตั้งของการประพฤติ ไม่ใช่อาตมาเป็นคนกล่าว แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาไม่มี ก็ไม่มีที่ตั้งหรือไม่มีที่..ท่านใช้ศัพท์คำว่าฐาน ไม่มีฐานะที่จะพึงปฏิบัติได้ 

เพราะฉะนั้นฐานที่ตั้งแห่งการประพฤติ หรือเรียกเต็มคำว่ากรรมฐาน มันก็ต้องคือเวทนา 

ทีนี้เวทนานี่มันเป็นนามธรรม มันไม่ใช่รูปธรรม เพราะฉะนั้นความหลงผิดของศาสนา ตั้งแต่พระพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรค ไปเอาเขาใช้คำว่า กสิณ กสิณก็คือกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของเขา แล้วก็ไปเก็บกสิณมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย แต่เอามารวมเอง 

จริง จะต้องใช้บ้างในสิ่งที่เป็นสมถะ สมถะคือใช้จิตไปกำหนด ให้หยุด ให้นิ่ง อยู่กับสิ่งที่เรากำหนด เช่น กสิณ 10 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่อันนั้น จ้องจิตอยู่กับอันนั้น เราต้องการจะสงบด้วยสมถะเราก็ต้องเข้าใจ เราจะสงบด้วยปัสสัทธิ 

สมถะก็แปลว่า สงบ ความสงบ 2 อย่างปัสสัทธิก็เป็นความสงบ แต่มันเป็นความสงบ 2 อย่าง ปัสสัทธิมันเป็นโลกุตระ สมถะมันเป็นโลกียะ 

สมถะก็ทำง่ายๆเอาจิตไปจดจ่อไว้ เทวนิยมหรือเดียรถีย์เขาก็ทำ แต่ว่าจะทำให้เป็นปัสสัทธิให้เป็นความสงบที่มันไม่ใช่เอาจิตไปจดจ่อแต่เป็นจิตรู้แจ้ง กว้างหมดเลยแต่กิเลสมันไม่มีมากวนเลย จิตมันก็ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว สะอาดบริสุทธิ์ รู้แจ้ง รู้จบ รู้ทั่ว รู้ทั่ว รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงอยู่ในตัวมันเองหมดเลย มันไม่ใช่บื้อๆทื่อๆ มันคนละความหมาย คนละทิศเลย นี่คือความสงบ 2 อย่าง นี่ก็ไม่ใช่อธิบายได้ง่ายๆ 

ปัญญาข้อที่ 3 ได้รู้จักความสงบ 2 อย่าง ถ้าเข้าใจความสงบ 2 อย่าง ปัสสัทธิกับสมถะ จะปฏิบัติธรรมได้ดีมากเลย แต่คนยังเข้าใจอันนี้ไม่ได้ บรรลุไม่ได้หรอก จะไม่ง่ายที่เขาจะเข้าใจ ได้แต่พูดๆ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าปัญญา 8 เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ต้องเอามาศึกษาต้องเอามาขยายความ ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ที่เขายกย่องในเรื่องศาสนาพุทธก็ไม่เคยลงลึกไปถึงพวกนี้ อย่าว่าแต่พวกนี้เลยคำว่า “กาย” คำว่า “บุญ” คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ฌาน” เขาก็รู้กันทั่วคำพวกนี้ เขาก็ยังไม่ได้เข้าไปเป็นสัมมาทิฏฐิอะไร 

เพราะฉะนั้น อาตมาก็จำเป็นต้องมากอบกู้อย่างที่ว่านี้ แสดงความจริงที่ว่าอาตมากอบกู้นั้นคืออะไร ก็คือทำความจริงนี้ให้ปรากฏ อธิบาย สาธยาย พาให้ปฏิบัติ เกิดผลจริง คุณก็จะเป็นคนที่รับรองยืนยันว่าอาตมาพูดนี้ถูกต้อง เขาทำได้ คุณทำได้ คุณถูกต้อง 

คุณทำได้ คุณก็รู้เป็นปัจจัตตัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของอิสระเสรีภาพด้วย ของใครของมัน แล้วถ้าคุณยอมรับ คุณก็มาเอง มาได้อันนี้แล้วคุณก็เห็นจริง แล้วก็เอาชีวิตมาศึกษาธรรมะนี้ 

อาตมาเองสบายใจ ภูมิใจ ยังอบอุ่นใจที่ว่า อาตมาจะมาแสดงธรรมทีไร พวกคุณก็มานั่งอยู่ไม่ได้น้อย เป็น 10 เป็น 100 ทุกวัน ไม่ใช่มีเล็กๆน้อยๆ 5 คน 10 คนอะไรก็ไม่ใช่ นอกจากจะไปในสถานที่ที่มันไปในดงทางโน้น พวกเราก็ไม่ค่อยมี มันก็จะมีน้อยแน่ 

หรือว่าไปบรรยายแล้วแม้แต่ทางโน้น อาตมาก็บรรยายธรรม ไม่เคยเห็นว่าอาตมาบรรยายธรรมแล้วมีคนมาฟังน้อย เสร็จแล้วก็ยิ่งน้อยลงไปน้อยลงไปแสดงธรรมก็ยิ่งหายไปๆ เหลือน้อยนิดลง มีแต่เพิ่มขึ้น ตอนแรกเริ่มมีน้อย พออธิบายไป มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอจบแล้วมีจำนวนมากขึ้น อาตมามีแต่เห็นอย่างนั้นทุกที แม้จะไปอธิบายในที่ข้างนอก ในที่นี้แน่นอนก็ยังไม่ค่อยออกไปเท่าไหร่  นอกจากจะมีเหตุปัจจัยพิเศษอะไร 

น้อย เพราะพวกเราที่มานี่ อาตมาไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปล่อหลอก ไม่ได้ไปอ่อยอะไรให้มา คุณมาด้วยความอยากจะมารับ เพราะฉะนั้นคุณจะบังคับตัวเอง คุณจะเห็นดีเห็นงามที่จะต้องฟังทำให้จบ ไม่งั้นอาตมาจะเทศน์ชั่วโมง 1-2 ชั่วโมง คุณก็ว่าต้องฟังให้จบ มันเป็นเรื่องของคุณทั้งนั้นไม่ได้บังคับ 

คุณค่าของคนที่เต็มใจมาฟัง แค่นี้อาตมาพอใจแล้ว ไปอ่อย ไปหว่านล้อม ไปโกย ไปหาเรื่องเอาปริมาณมวลมาเฉยๆนั้น มันไม่ได้เกิดจากสัจจะเลย อาตมาไม่ได้นิยมกระทำแบบนั้นเลย ไม่ชอบที่จะทำแบบนั้น นี่ก็เป็นนัยยะละเอียดของสิ่งที่มีทั้งเจตนารมณ์ มีทั้งการประพฤติการกระทำ อาตมามีเจตนารมณ์อย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ก็พูดไป 

 

เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก

_Kensupakit เคน ศุภกิจ :  พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี ถูกตัดสินจำคุก ก็ถูกกล้อนผม แม้มีอาการป่วยหนัก ก็รักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ปวดไหล่ขวา และมีอาการเรื้อรังจากการ ทำการผ่าตัดบอลลูนหัวใจมา 3 เส้น ยังอยู่เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นสิทธิพิเศษ นอนร่วมกับผู้ต้องขังอื่น ไม่มีห้องพิเศษ

พ่อครูว่า... ก็ไม่ได้ไปเปรียบเทียบกับใครนะ แต่คุณว่ามันมีนัยแฝงไหม ว่าไปเปรียบเทียบกับใคร มีนัยแฝง ไปเปรียบเทียบกับทักษิณ ที่เป็นเหตุการณ์เกิดในปัจจุบันนี้

อาตมาไม่ไปวิจารณ์หรอกทักษิณ  ขออภัย อาตมาพูดตรงๆว่ามันหาที่เลวอะไรไม่ได้จากเขาอีกแล้ว  มันครบสมบูรณ์แบบแล้ว อาตมาหาที่เลวอีกจากเขาไม่ได้เลย มันครบสมบูรณ์แบบแล้ว จริงๆนะอาตมาพูดจริง โอ้โห! 

อาตมาว่าเทวทัตในยุคนั้นก็ว่าร้ายแล้วนะ แต่นี่ซับซ้อน ยุคดิจิตอลจริงๆ เทวทัตยุคดิจิตอล 

แล้วเห็นอัตตาของคุณทักษิณนี่ เจ้าพระคุณเอ๋ย! ความที่จะเป็นตัวกูยิ่งใหญ่ ตัวกูจะเอาตามใจกู แค่ไปเข้าคุก จะต้องกล้อนผม จะต้องไปแต่งเครื่องแบบของชาวคุก เท่านี้คุณทักษิณก็ลดไม่ได้ ตายดิ้นแน่ คุณคิดเถอะว่าคนอย่างนี้นี่มันจะเป็นยังไง 

เพราะฉะนั้นก็เลย โอ้โห…อาตมาเคยพูดมาก่อนแล้วว่าคุณทักษิณเข้ามานี่นะ เขาจะเป็นคนแก่ เขาจะเป็นคนป่วย เขาจะเป็นคนอะไรต่างๆนานาที่จะต้องให้คนอื่นให้อภิสิทธิ์แก่เขา ก็จริงไหม เป็นเรื่องจริง เพราะความเห็นแก่ตัวของคนเนี่ย มันพูดได้หมดเลย 

ก่อนจะมานี่ชกกระสอบทราย กระโดดเต้นอะไรได้ พอมาแล้วนับโรคไม่ถ้วน แล้วก็ว่าแก่แย่แล้ว คือมันเป็นพรีเทนเดอร์ที่..จนสุดจะกล่าว 

อาตมาว่าในโลกมีตัวอย่างที่เหมือนเทวทัต เป็นประโยชน์ตรงที่ว่า เป็นตัวอย่างอันเลวทรามให้แก่โลกยุคพระพุทธเจ้า โลกยุคนี้ก็ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่พูดต่อ 

_Thiwakon Chumcheed ทิวากร ชุมจืด : 25 ส.ค.66 ที่สวนป่านาบุญ 1  พวกเราร่วมฟังธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิจากพ่อครู สิบกว่าชีวิตครับ ภาพเสียงชัดครับ

_ไม้หอม บุญสุภาพ • ดูTV.บุญนิยมแล้ว วันต่อมาดูทบทวน Youtube

พ่อครูว่า... ก็ดี ขยันดูไป 

_เบิกฟ้า หาพุทธแท้  · ระบบเงินดิจิทัลที่จะแจกคนละหนึ่งหมื่นบาทนั้น ถ้าเขาทำสำเร็จ...คอยดูนะครับ...ผลกระทบที่ตามมาจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจของประเทศ แล้วเมื่อนั้นคงสนุกแน่ๆ...ยิ่งกว่าแช่แป้ง

พ่อครูว่า... จริง ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์จบปริญญาโท ดูเหมือนจะจบปริญญาโท 2 ใบนะคุณเศรษฐา ก็ว่าไปเถอะเรื่องเหตุการณ์ของโลกของสังคมประเทศ 

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร : คุณเศรษฐา นายกฯคนใหม่ อดีตคือผู้บริหาร อสังหาริมทรัพย์ มหาชน ยุคลุงตู่ มีกำไรมากทุกปี ครับ

พ่อครูว่า... ก็เป็นที่รู้กันอยู่ เขาก็เป็นนักทำมาหากินที่เฉลียวฉลาดร่ำรวยก็เป็นคนรวยคนหนึ่ง นี่ยังไม่เปิดทรัพย์สินนะว่ามีเท่าไหร่ 

 

คุณทักษิณมีข้อดีอะไรให้เอาเป็นแบบอย่างได้บ้าง 

_Portchara Thongom พชร ทองอ้ม : กราบเรียนถามพ่อท่านถ้าจะยกตัวอย่างเรื่องความดี คุณทักษิณมีข้อดีอะไรที่น่าเอาแบบอย่างครับ กราบขอบพระคุณครับ

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ฉลาดพอเลยที่จะหาความดีของคุณทักษิณมาให้คุณ อาตมานึกออกอันนึง เขาเป็นคนรักครอบครัว ใช่ไหม หรือจะพูดให้ลึกให้ชัดก็คือ เขาเป็นคนเห็นแก่ครอบครัว จริงๆมันก็เลวคือเห็นแก่ครอบครัวเป็นหนักหนาสาหัส คนอื่นชิบหายตายโหงช่าง ครอบครัวกูได้ร่ำได้รวยได้มากอย่างเดียว 

มองในแง่ตื้นๆก็เหมือนความดี รักครอบครัว ก็เห็นเท่านี้ จริงๆอาตมาเห็นเท่านี้ทักษิณ แล้วความรักครอบครัวของเขานี่นะ มาขยายตัวออกไปว่า เขาเหมือนรักพรรคพวก จนพรรคพวกหลงรักเขา เพราะเขาแสดงออกว่าเขารักพรรคพวก จนพรรคพวกหลงรักเขา ขอใช้คำว่า หลงรักเขา ไม่ขยายความต่อ เลยมีพวก มีหมู่ มีคณะไม่ใช่น้อย 

เพราะเขาเป็นผู้จบด็อกเตอร์มาทางอาชญวิทยา  มีเหลี่ยมคูทำให้คนยอมรับนับถือ โดยเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเป็นเครื่องล่อ แล้วก็ขี้เหนียวอีกต่างหาก ล่อ โดยไม่ได้ให้นะ แค่ได้ล่อแล้วคนก็ติดเบ็ดมาจริง แล้วเขาก็ไม่ได้ให้ใคร สุดท้ายพรรคพวกที่ทำช่วยเขาก็ไปติดคุก เขาก็ซื้อเครื่องบินส่วนตัวขี่ร่อนไปทั่วโลก แม้แต่ที่สุดจะติดคุกก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องติดหรือไม่ติดทุกวันนี้ นี่ก็น่าสงสารประเทศไทยอย่างมากเลย 

อาตมาว่าจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวก็ได้ ถ้าเผื่อว่าข้าราชการให้อภิสิทธิ์แก่ทักษิณงวดนี้ อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวก็ได้ ตอนนี้ก็เริ่มก่อหวอดประท้วงการให้อภิสิทธิ์แก่ทักษิณนี่ ก็ดูเถอะ แล้วมันยังเนื่องเกี่ยวกับเศรษฐา ซึ่งไม่ได้ขาดจากทักษิณเท่าไหร่ 

เพราะฉะนั้นถ้าเกิดการประท้วงคราวนี้ คุณเศรษฐาจะขาหักขาเป๋ไหม อาตมาก็มองเห็นอย่างนั้นอยู่ไรๆ ก็ไม่ขยายความ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไปเพ่งโทษ

ขอสรุปไว้ที่ว่า ถ้าคุณทักษิณดันทุรังจะใช้อภิสิทธิ์มากเกินไป จะกระทบมาถึงคุณเศรษฐาแน่ ก็ให้ไว้แค่นี้ 

 

พิจารณาอย่างไรให้ชนะกิเลส

_นางจับใจ ธนะโภค : กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนรายงานการทำหน้าที่จัดการกับกิเลสโทสะที่เป็นตัวสำคัญทำให้บรรยากาศทั้งตัวเอง และคนรอบข้างปั่นป่วนไม่สงบ ดังนี้ ค่ะ

1. โจทย์ (ลูก หลาน) เป็นผัสสะ

2. ช่วงที่ทำงาน(สัมมาอาชีพ) กับลูก หรือ หลาน สิ่งที่ทำให้เกิดโทสะมากสุดก็ตอนที่โจทย์(ลูก หลาน) ลืมบ่อยๆ ทำงานไม่ได้ตามที่กำหนด ดิฉันก็จะเกิดโทสะ(หวื่อ) บางครั้งก็แพ้ บางครั้งก็ชนะ(กิเลส)  กราบขอคำแนะนำจากพ่อครูฯ ทำอย่างไรจะชนะกิเลสโทสะ มากกว่าแพ้ คะ

พ่อครูว่า... คุณก็รู้สิว่าไปแพ้กิเลสมันดีนักเหรอ ก็ชนะมันให้ได้สิ มันอยู่ที่ตัวคุณจะมาถามอาตมาได้ไง ก็รู้สิว่ากิเลสมันไม่ดี โทสะมันไม่ดี คุณก็ต้องสร้างความเห็น สร้างความรู้ สร้างความฉลาด สร้างปัญญาให้มันมีธรรมฤทธิ์อย่างที่อาตมาอธิบายธรรมะไปแล้ว 

ปัญญามันเป็นพลังงานทางจิตที่มันมีสิ่งที่เป็นธรรมฤทธิ์ กิเลสมันเห็นหน้าปัญญาแล้วมันไม่รอหน้า ก็พูดไปซ้ำๆซากๆ โอ๊ย..ปัญญามาแล้ว กิเลสมันวิ่งหนีหูตูบเลย พูดเป็นพยัญชนะ เป็นภาษาให้ฟังได้แค่นี้ คุณต้องสร้างความเห็นจริงว่า เฮ้ย..โทสะมันจะอยู่กับเราทำไม เกิดอาการเมื่อไหร่โทสะ คุณก็ต้องพยายามเข้าใจว่า อารมณ์หรือว่าเวทนา ถึงได้บอกว่าอยู่ที่เวทนาเป็นกรรมฐานเป็นที่ตั้งของการปฏิบัติ คุณก็รู้เวทนาในเวทนา ให้ได้ว่า ให้เวทนามันคือความรู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นเวทนาแท้ ไอ้ที่มันเป็นโทสะ มันเป็นเวทนาเก๊ แล้วคุณจะให้เวทนาเก๊นี้อยู่เป็นเพื่อนกับเวทนาจริงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่จ๊ะ 

อาการของจิตที่มันโกรธ เสียใจ น้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจ มันเป็นอาการของตัวเองทั้งนั้นเลย คุณหัดฝึกมันจริงๆเลยว่า คุณรู้สึกตัวให้ได้ ถ้าไปโกรธแล้วมันไม่ดี เราจะทำใจในใจอย่างไร ทำเวทนาในเวทนาอย่างไร อย่าไปมีอาการนี้ คุณก็เอาสัญญากำหนด อาการ ลิงค นิมิต อาการไม่โกรธ อาการใจว่างๆ ใจกลางๆ  อาการใจดีๆหรืออาการใจไม่โกรธ นี่คือพยัญชนะ อาการใจดีคุณเป็นไหมล่ะ ใจว่างๆใจดีๆไม่ต้องโกรธนี่ มันเคยเป็นไหม ก็ทำอย่างนั้นนะ 

ให้มันเป็นอาการไม่ดีแล้วคุณก็ไม่ชอบ แล้วคนก็ทำสิ่งที่ตัวเองที่คุณไม่ชอบก็ถือว่าดีไหม หรือว่าการใจมันไม่ดีแล้ว ไปทำมันทำไม โง่ อวิชชา ก็เท่านั้นเอง ใจของคุณ คุณจะน้อย คุณจะเสีย คุณจะทุกข์ คุณจะยาก คุณจะดีหรือคุณจะไม่ดี คุณทำเองทั้งนั้น 

รู้มันให้ได้ว่ามันไม่ดีแล้วก็อย่าไปทำมันสิ รู้ให้ถูกต้องก็แล้วกันอย่างนี้ อย่าไปเห็นสุขเป็นทุกข์ อย่าไปวิปลาส เห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน เห็นความไม่เที่ยงว่าเป็นความเที่ยงอะไรพวกนี้ อย่าไปวิปลาสก็แล้วกัน ไปเห็นสุขเป็นทุกข์ ไปเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็นว่า เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น คุณก็ต้องรู้ว่ามันเป็นวิปลาส 4 ให้ชัด เอา อธิบายเอาหลักวิชามาพูดหมดแล้ว 


ประหยัดกับขี้เหนียวต่างกันอย่างไร

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · เรียนถามพ่อท่าน ระหว่างคนประหยัดกับคนขี้เหนียว อันเดียวกันใหมครับ

พ่อครูว่า... ขี้เหนียวเป็นศัพท์ภาษาไทย คนประหยัดนี่เป็นภาษากึ่งๆ กึ่งๆภาษามาจากไม่รู้ว่าภาษาลึกๆของบาลี ของสันสกฤต ก็เป็นอย่างไร มาจากคำว่ามัธยัสถ์จะไปเป็นประหยัดได้ยังไง 

ถ้าจะพูดตามความเห็นของอาตมา ขี้เหนียวมันเป็นคนขี้ตืดจริงๆ ขี้ไม่ให้หมากิน มันหวงแหน มันขี้ตืด มันขี้เห็นแก่ตัว ขี้เห็นแก่ของตัวเอง 

แต่ประหยัดนี่มันคือคนไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เป็นคนมัธยัสถ์เป็นคนรู้จักใช้ รู้จักจ่าย ด้วยการระวังอย่าให้มันเฟ้อ อย่าให้มันเกิน อย่าให้มันมากไป จ่ายแต่พอให้มันน้อยๆหน่อย พอเหลือไว้บ้าง แต่ขี้เหนียวนี่ไม่ให้ใครเลย อธิบายโดยสภาวะธรรมก็ได้แค่นี้เอง 

_สู่แดนธรรม... นึกถึงโศลกที่พ่อท่านตั้งไว้ คนขี้เหนียวนี้น่าจะเทียบไม่ได้กับโศลกของพ่อท่าน ถ้าคนขี้เหนียวนี้เขาจะประหยัดสุดแต่ไม่ได้ประโยชน์สูง พ่อท่านเลยให้โศลกว่า “ประโยชน์สูงประหยัดสุด” นี่ถึงจะเข้าข่ายครับ 

พ่อครูว่า... เก่งมาก อาตมาก็ว่าไปแล้วก็ลืมเลือนไป อธิบายด้วยพยัญชนะภาษา ถ้าไปอย่างท่านจันทร์ ท่านเพาะพุทธก็จะบอกว่าโอโห้…คมบาดเลย “ประโยชน์สูงประหยัดสุด” โอ้โห..คมบาดเลย ถ้าชมอย่างท่านจันทร์ เป็นเพลงอาริยะหมายเลข 1 

 

ฟังเสียงด่าอย่างไรให้เกิดปัญญาไม่ใช่แค่สมถะ

_Somprasong Supavit สมประสงค์ ศุภวิทย์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ  ขออนุญาตสนทนาธรรมครับ  มีคนด่าเราด้วยภาษาต่างชาติ  เราไม่โกรธ  เพราะเราไม่รู้ภาษา หรือเราได้ยินแค่คลื่นเสียง  เกิด ดับ  กระแสปฏิจจสมุปบาทเกิดไม่สมบูรณ์  ถ้าเราฝึกฟังเสียงภาษาไทย  ให้ได้ยินแค่คลื่นเสียง เกิด ดับ  บ่อยๆ  จะเห็นโสตวิญญาณเกิด ดับ  ทำให้เข้าถึงความจริงเหนือสมมุติ หรือโลกุตรธรรม ได้ไหมครับ?

พ่อครูว่า...  ไม่ได้..มันไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง 1. มันโง่เขาด่าก็หน้าด้านเฉยไม่รู้เรื่อง นอกจากโง่แล้วยัง โด้ยังด้านด้วย เฉยไม่รู้ไม่ชี้ 

มันก็เหมือนคนด่าหมาที่มันเดินมาตัวหนึ่ง หมามันจะไปรู้เรื่องไหม มันก็เดินของมันเฉย เป็นคนอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่องหรอก มันต้องฟังว่าเขาด่าเรื่องอะไร เขามีความหมายอะไร 

1.อาตมาเคยอธิบายแล้ว ถ้าด่าสาดเสียเทเสีย เขาด่าไปปากเปราะไปเฉยๆ ไม่ได้อะไรหรอก ด่าตามประสานิสัยสัญชาตญาณคนขี้ด่า ก็ด่าอย่างทิ้งๆขว้างๆสาดเสียเทเสีย ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไร ด่าด้วยอารมณ์บำเรอความโกรธ แล้วก็ด่าสาดเสียเทเสีย ก็เลยไม่รู้ว่าเราเป็นจริงตามที่เขาด่าหรือเปล่า เขาไม่ได้กำหนด ไม่ได้มาเปรียบเทียบ ไม่ได้กำหนดเนื้อหาอะไรอย่างนั้นเลย 

ทีนี้เขาก็ด่าเราอย่างมีการกำหนดรู้เนื้อหา แล้วเขาก็ด่าอย่างนี้ว่ามันดีอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรอย่างนี้ เอออย่างนี้สิ เราก็นำพา เอาคำด่านั้นมาพิจารณาว่า เราเป็นอย่างที่เขาว่า ที่เขาตำหนิอะไรต่ออะไรหรือไม่ ถ้าเป็นก็ขอบคุณเขา ถ้าเราไม่ได้เป็นก็แล้วไป คนนี้เขาไม่รู้ความจริงว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาด่าผิด ด้วยความไม่ฉลาดหรือความโง่ก็อยู่ที่เขา 

เป็นอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัส เขาด่าเราเหมือนเอาสำรับกับข้าวมาตั้งไว้ เราก็พิจารณาแล้วเราจะกินหรือไม่กินควรหรือไม่ควรก็ไม่เห็นจะต้องกิน อันนี้ไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็ตั้งไว้อย่างนั้น เขาจะมาเอาคืนไปหรือไม่มาเอาคืนไปก็เรื่องของเขา อธิบายผ่านไปแล้ว 

_สู่แดนธรรม... ปัญหาของคุณ สมประสงค์เขาถาม 2 ชั้นนะครับ เขาถามว่า ถ้าเราจะฝึกฟังแต่เสียงภาษาไทย พิจารณาแค่เกิดดับ จะถือว่าเป็นสมถะหรือไม่ 

พ่อครูว่า... มันเป็นแต่เพียงสมถะ มันเกิดดับๆ มันก็ได้อย่างหนึ่ง อย่างแค่สมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนา มันไม่รู้เรื่อง ที่อธิบายไปแล้ว ว่าเขาด่าอะไร เขาด่าสาดเสียเทเสีย ไม่สาดเสียเทเสีย มีความหมาย เขาด่าอย่างนั้นถูกตัวเราหรือไม่ เป็นอย่างที่เขาว่าเขาด่าหรือไม่ก็พูดไปแล้ว ก็ถ้าไปทำสมถะอย่างนั้นคุณก็ทิ้งไป แต่คุณไม่ได้เจริญอะไร ก็เหมือนไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้เจริญอะไร คุณปัดทิ้งไปเฉยๆ ผ่านกาลเวลาคุณก็ตายไปไม่ได้อะไร ตายไปชาติหนึ่ง ไม่ได้พัฒนาอะไรเลย พวกนั่งหลับตาสะกดจิต แค่นี้แหละไม่ได้อะไร 

ดีไม่ดี คุณไปหลงผิดว่า 1.อันนั้นคือการได้มรรคได้ผลไปเป็นอรหันต์เก๊ 2. คุณไม่ได้มาศึกษาหาความเป็นจริงที่มันสัมผัสต่างๆที่เป็นวิปัสสนาญาณ อย่างเกิดความเป็นจริงเลย มันมีเหตุคือกิเลส มีความโกรธใหญ่ โกรธน้อย มีความโลภใหญ่ โลภน้อย มีความรักใหญ่รักน้อย อะไรเป็นกิเลสพวกนี้ ราคะ โทสะ โมหะ คุณไม่ได้มาทำพวกนี้ เลยเสียเวลาสูญเปล่า 

ดีไม่ดีไม่ได้พิจารณาแล้วมันก็สะสมใส่ตัวเอง โดยไม่รู้แม้แต่เรื่องของการสัมผัสข้างนอก 

1. ลาภ ยศ สรรเสริญ คุณก็ไม่ได้เข้าใจ คุณก็ต้องได้ต้องมีต้องเป็นไป ดีไม่ดีซ้อนอย่างมหาบัวนี่ไม่ได้ลาภ แต่ก็เป็นเล็นเฝ้าทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ ที่เรี่ยไรมาด้วย

ที่อาตมาเคยพูดตอนนี้มหาบัวไม่ได้เกิดเป็นคน ไปเกิดเป็นเล็นไปเฝ้ากองทองคำดอลล่าร์ วันนี้คงไม่ใช่ของมหาบัวที่เดียว พลเอกประยุทธ์ก็หาทองคำเข้าคลังอยู่เยอะก็ไปหลงขี้ตู่เป็นเล็นเฝ้า

ขออภัยนะที่อาตมาอธิบายธรรมะที่ลึกซึ้งคือ ไม่รู้ตัวเลยนี่ก็คือสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็ได้รับคำสรรเสริญเยินยอไปทั่วประเทศ ลาภยศ ก็ได้หลงสรรเสริญ หลงติดอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้นก็ความหลงใหญ่ถึงขั้นว่า ประเทศนี้..ข้านะเป็นผู้อุ้มชูไว้ ถ้าไม่มีข้าซะอย่างป่านนี้ประเทศไทยล่มจมไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เขาไม่รู้ตัวเพราะฉะนั้นลาภ ยศ สรรเสริญไม่รู้ตัว 

รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แค่กินหมากกินพลูเป็นสิ่งเสพติด ไม่ต้องไปพูดอย่างอื่น เราไม่รู้ว่าติดรสชาติอะไรอีกบ้างก็ไม่รู้ แต่กินหมากปากเปรอะอยู่จนตาย แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นสิ่งเสพติดที่จะต้องให้ลด ละ เลิก 

ที่อาตมาพูดให้มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนก็ขอให้พวกท่านทั้งหลายที่สนใจในธรรมะ แล้วก็ไปหลงยึดมั่นถือมั่นคำสอนหรือว่าสิ่งที่ยังไม่ใช่ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนอกทาง 

อาตมาสงสารศาสนาพุทธมากตรงที่ว่า มันไม่ใช่โลกุตระ มันออกนอกรีตนอกทางเป็นเดียรถีย์ ไปไกลจนกระทั่งมันเสื่อมหนัก นี่อาตมากอบกู้ได้พวกคุณมาเท่านี้ นอกนั้นฟังไม่รู้เรื่อง 

แล้วก็ไปเชื่อเถรสมาคมที่มาว่าอาตมาว่าเป็นพวกนอกรีต จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเกรงใจเถรสมาคม จะมาชมโพธิรักษ์ จะมายอมรับโพธิรักษ์ก็ไม่กล้า เพราะสู้อำนาจเถรสมาคมไม่ได้ คุณก็ยังตกอยู่อำนาจมารอยู่นั่นเอง 

คนใดที่ยังหลงเถรสมาคมไม่มาเห็นชัดว่า ต้องส่งเสริมคนที่ควรส่งเสริม ยกคนที่ควรควรยก ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ไม่ได้อยู่ในร่องรอยตามพระพุทธเจ้าสอน ตามสัจจะพระพุทธเจ้าเลย 

สัจจะพวกนี้ มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาดีๆ 

เพราะฉะนั้นอาตมาได้พยายามเอาธรรมะพระพุทธเจ้า มากอบกู้ขึ้นมาได้ขนาดนี้ แม้แต่มีมวลแค่นี้อาตมาก็ว่า มันยืนยันได้จนอาตมาได้สรุปไปหมดแล้วว่า ชาตินี้อาตมาได้ทำถึงขั้นมีสาธารณโภคี เกิดสังคมสาธารณโภคี สุดยอดแล้ว และพวกเราก็มาชัดเจนในเรื่อง วรรณะ 9 มาเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มาเป็นคนมักน้อย ไม่ได้ไปเที่ยวได้อยากได้โลภโมโทสันอีก เป็นคนมีใจพอ  เป็นคนสันโดษ เป็นคนมาปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง สัลเลขะ หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ ธูตะ เดินขึ้นไปเป็นลำดับ จนมีอาการน่าเลื่อมใส ผู้รู้เห็นแล้วก็น่าเลื่อมใสและก็ไม่สะสม อปจยะ วิริยารัมภะ ผู้สูงสุด 

แต่ก่อนนี้เรารู้สึกตัวว่าเราขี้เกียจมาก เดี๋ยวนี้เราดีขึ้นบ้างขยันขึ้นบ้างแต่ก่อนนี้เราขี้เกียจจริงๆนะ แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่กับหมู่นี้ยังพอขยันขึ้นบ้าง จะขี้เกียจอย่างแต่ก่อนก็ไม่แล้วก็เจริญขึ้นบ้าง หลายคนจะเห็นว่าเราเจริญขึ้นผิดตา จากคนขี้เกียจมาเป็นคนขยันอย่างนี้เป็นต้น 

เราก็จะชัดเจนตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเอามาตรวจสอบได้เลยว่ามันถูกต้องตามคำสอนตามพระอนุสาสนีไหม 

 

เกิดหิริจนถึงโอตตัปปะในสัทธรรม 7

_พอ : เป็นนามที่พ่อท่านตั้งให้ค่ะ กราบนมัสการพ่อท่านที่ลูกศรัทธาอย่างแรงกล้า  

พ่อครูว่า... พวกเรามีความศรัธาอย่างแรงกล้า ในจรณะ 15 ทำ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วก็เกิดสัทธรรม 7 คุณศรัทธาก็คือคุณเชื่อ คุณเห็น คุณเข้าใจ คุณรู้สูงขึ้นสูงขึ้นเป็นพหูสูต พหูสุตก็คือสัจจะที่ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น คุณจะมีพหูสูตคุณจะมีสัจจะที่เจริญขึ้น คุณจะยิ่งรู้ยิ่งเจริญยิ่งศรัทธาสมบูรณ์ขึ้น มีความเฉลียวฉลาดขึ้น ก็เพราะคุณมี หิริ จนตัว หิรินี้มันเป็นโอตตัปปะ เป็นความละอาย มันเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเรื่องความละอาย 

ละอาย ที่เราทำสิ่งนี้ไป 1. เป็นเรื่อง หยาบ แต่ก่อนนี้เราไม่เคยเข้าใจ นึกว่าโลกมันนิยมชมชอบ แล้วเราก็ไปเป็นดารา ไปเป็นตัวแสดงอันนี้ เช่น ได้เป็นนักแสดง เป็นดารานี่แหละ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังหลงดารากันอยู่ เป็นนักกีฬาชั้นเอก มันเป็นอบายมุข อาตมาก็อธิบายมาหมดแล้ว เขาไม่รู้หรอก 

เพราะฉะนั้นโลกที่ยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ยังเป็นเรื่องของ มิลักขะ เป็นเรื่องของคนเถื่อน ส่งเสริมการแสดง ส่งเสริมท่าทางลีลาฟ้อนรำยั่วยวนอะไรต่างๆ ส่งเสริมการเอาแพ้เอาชนะกีฬาอะไรต่างๆ 

มาเป็นคนยอมแพ้นี้ไกลเหลือเกินนานเหลือเกิน ไม่ใช่ไปเอาเป็นคนชนะคะคานเขาให้ได้ ส่งเสริมให้ชนะ แล้วบอกว่ามีน้ำใจนักกีฬานะ ชนะแล้วก็อย่าไปข่มเขาเบ่งเขา ปัดโธ่เอ๋ย.. อย่าไปพูดเสียให้เหม็นขี้ฟันเลย ชนะเขาแล้วมันไม่ข่มเขามันไม่มีหรอก มาแพ้เขาสิ คุณจะไม่ข่มเขา ขนาดแพ้แล้วยังจะเอามาข่มเลยอย่างคุณทักษิณนี่ เขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ยอมเข้ามานี่ก็แพ้แล้ว แล้วก็ยังจะมีอภิสิทธิ์จะไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น เห็นความซับซ้อนของความดึงดันดื้อด้านแห่งอัตตาตัวตนกิเลสใหญ่ของเขาไหม อย่างที่ทักษิณเขาประพฤติ นี่ก็ขออภัยยกตัวอย่างของคนจริง มันเป็นเรื่องจริง 

 

สติปัฏฐาน 4 อย่างไรให้ถึงวิมุติ

_พอ (ต่อ)...ลูกได้ฝึกปฏิบัติตามพ่อท่านสอน เน้นสติปัฏฐานค่ะ  

พ่อครูว่า.สติปัฏฐาน 4 เป็นต้นรากแห่งโลกุตระ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระ 37 รวมกับ โลกุตระอีก 9 ก็เป็นโลกุตตระ 46 

โลกุตตระ 9 คือ ทุกข์สมุทัย  นิโรธ  มรรคแล้วก็นิพพาน 

คำสอนของพระพุทธเจ้าเน้นสติปัฏฐาน 4 แล้วคุณปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นกันเลย พิจารณากายในกายตัวที่ 1 คำว่า กาย คุณก็โมฆะแล้ว มิจฉาทิฏฐิคำว่ากาย ถ้ามีกายในกายมันมีกายนอกไหม มี

ฉะนั้นกายมันต้องมี 2 มีกายนอกกายใน ถ้าคุณเข้าใจกายนอกอย่างเดียวคือ กาย ในไม่มีกาย ใน ไม่เกี่ยวกับจิต มโน วิญญาณ คุณก็มิจฉาทิฏฐิถาวรแล้ว มิจฉาทิฏฐินิรันดรแล้ว ก็จบเห่เลยกระดุมเม็ดแรกผิด

เพราะฉะนั้นกายจะต้องมีสองแล้วก็พิจารณากายในกาย การพิจารณากายในกายในเข้าไปมันก็จะไปถึงเวทนา กายในกาย คือตัวกลางของกายนอกกายใน คือตัวต้นของเวทนา 

เวทนานอกเวทนาก็คือตัวกายในกาย กายนอกกายใน เวทนานอกเวทนาใน มันก็มีเวทนานอกคือกายใน มันก็เป็นอิทัปปัจจยตาเชื่อมต่อกันไป แล้วก็ไปหาจิต เป็นจิตในจิต 

กายก็จิต เวทนาก็จิต แล้วจิตต่างๆก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียนรู้ภาวะ 2 เจโตปริยญาณ 16 ราคะก็มี วีตราคะ โทสะก็มีวีตโทสะ ก็มี 2 ทั้งนั้น 8 คู่ เจโตปริยญาณ 16 

คุณก็เรียนตั้งแต่หัวมันก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ 3คู่นี้ก็เป็น 6 แล้วทำได้ก็เป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ ตามตระกูลของตน..สายเจโตหรือปัญญา สังขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นก้อน วิกขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นกระจาย
ทำเก็บรายละเอียดของมันให้ได้ 

ให้มันดีขึ้นเจริญขึ้นก็เป็น มหัคตะ ทำไม่ได้เจริญ ไม่ได้ผล ไม่ได้มาก ไม่ได้ชัดเจน ความเจริญไม่ได้ ก็ อมหัคตะ ก็ต้องทำให้มันเป็น มหัคตะให้ได้

ทำได้ก็เจริญขึ้นเรื่อยๆเป็น สอุตระ อาตมาไม่ต้องจำพยัญชนะพวกนี้หรอก จำได้เองเพราะมีสภาวะ ไล่ไม่ผิดไม่สลับสับสนด้วย สอัตระ เป็นจิตเจริญแล้วแต่เจริญกว่านี้อีกต้องเป็น อนุตรจิต ถึงจะสูงสุด 

อตุตรจิต สูงสุดด้วยจบด้วย สมาหิตังหรืออสมาหิตัง ได้หรือยังตั้งมั่นหรือยัง มันหลุดพ้นจากกิเลสหรือยัง ตรวจสอบอีก 2 คู่ก็คือ วิมุติ อวิมุติ 

นี่คือ เจโตปริยญาณ 16 อาตมาพูดไปนี้เป็นสภาวะธรรมทั้งนั้นพยัญชนะมันก็จำได้เข้าใจแล้วก็ท่องง่าย จะเป็นบาลีก็ยังจำได้ 

เพราะฉะนั้น 16 อย่างอาตมาไม่ต้องท่องบาลี ตัวนี้ตัวนี้ทั้งๆที่มันจำยาก จำได้หมด ตั้ง 16 ตัวนะบาลี ใครจำได้บ้าง 

 

_พอ(ต่อ) เมื่อวาน 27 สค.มีเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นรอยต่อแห่งการปฏิบัติได้เจอของจริงได้ใช้ สังกัปปะ 7 แบบประจันหน้าระหว่าง กุศล และ อกุศล สู้กันอย่างหนุกตื่นเต้นมากค่ะ  คือ ลูกได้ทำการเกษตรที่เคยเขียนถวายพ่อท่านแล้วนั้น เกษตรอินทรีย์ของลูกก็ต้องต่อสู้กับธรรมชาติมากมาย และ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่งได้นำออกแจกอยู่เนืองๆ จนได้สมญานามใหม่จากชาวบ้านที่กล่าวขานถึงโคกหนองนาของลูกว่า #สวนปันสุข 

เมื่อวานลูกก็ไปรดน้ำตามปกติ แต่พลันก็เห็นภาพต้นข้าวโพดที่กำลังงอกงามพร้อมให้ผลเหลือแต่ตอ จิตตกวูบ น้ำตาพาลจะไหล หัวใจเต้นแรง เกิดปฏิฆสัมผัสโส อกุศลจิตมาเป็นแถว อัปนา พยัปนา ถึงวจีสังขารา ก็เกิดปรุงคำด่ามากมาย ว่าด่าแบบใดจะสุภาพสุด ๆ รู้สึกว่าชีพจรน่าจะเกินร้อย ความร้อนขึ้น มือเริ่มสั่น 

วัวกินข้าวโพดไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ คือ เหลือแค่นิดเดียวไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ก็บอบช้ำทั้งหมด ก็พูดกับเขาตามที่สังกัปปะไว้ อธิบายจนเขาเห็นความบกพร่องรับปากว่าจะดูแลให้ดี แถมลูกก็ได้พวกที่เข้าใจเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น เนื่องจากคุยเสร็จก็พาเขาชมพืชที่ปลูกบนดินดานแต่ได้ผลมีผลผลิตได้แจกจ่าย ทำให้เขารู้สึกทึ่งมาก และ ได้อธิบายเสริมเรื่องการปลูกป่าซึ่งเขาก็เห็นผลในการสร้างบ้านและทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ แต่เขายังไม่ได้ใส่ สุดท้ายเขาขอให้ทำไม้พายด้วยเศษไม้สักให้เขาสัก 1 อัน พอดีลูกทำไว้แล้วก็เลยให้เขาไป จบสวยมากค่ะ ธรรมฝ่ายกุศลชนะค่ะ แต่ ไมเกรนยังคงอยู่ไม่ถึงกับต้องใช้ยา แต่ก็คงต้องปวดหัวอีกสักพัก

ข้าวโพดที่ถูกทำลายค่ะ ผลผลิตที่นำมาปันสุขค่ะ

   พ่อครูว่า... วจีสังขารเป็นคำพูดที่อยู่ในจิต ที่ปรุงแต่งแล้วยังไม่ออกมาเป็นคำพูดเป็นวาจา เป็นอธิวจนสัมผัสโส สภาวะปฏิฆสัมผัสโส มันเกิดอยู่แต่ในจิต แต่ถ้ายังไม่มีคำพูด ไม่รู้ภาษาจะเรียก มันก็ยังไม่พูดออกมาได้ เช่น คำว่า เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือพยัญชนะบอกปฏิฆสัมผัสโสหรือสภาวะในจิต แต่นี่ มีวจีสังขาร มีคำพูดในจิตเป็นภาษาแล้วแต่ยังไม่ออกมา เป็นวจีกรรมนะ 

ดีแล้วล่ะค่อยๆรักษาไมเกรน บรรยายธรรมะเอากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แม้แต่บุคคล เขาเอาวัวมากินข้าวโพดตัวเองหมดแล้ว เสร็จแล้วต่อว่าต่อขานจนกระทั่งอธิบายไปมา เห็นไหมได้ผลนะ อาตมาทำงานได้ผล ถ้าคนมีอย่างนี้ในสังคม เรียบร้อยเลย ไม่มีอะไรจะทะเลาะฆ่าแกงกันเหมือนอย่างข่าวคราว ดูข่าวไทยรัฐบ้าง ดูข่าวอัมรินทร์บ้าง มีแต่ฆ่าแกงกันวันต่อวัน มโนสาเร่จริงๆ ข่าวธรรมะดีๆที่เป็นโลกุตธรรมไม่เคยแลเลย มีแต่ข่าวอะไรอย่างนั้น มันก็ซ้ำซาก รถชน ฆ่าแกงกัน โกงกัน ข่าวยังงั้นมีทุกวันเลย ไม่พัฒนา ไม่เอาข่าวที่มันเจริญ ที่มันจะพัฒนามนุษยชาติ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

_สู่แดนธรรม... เท่าที่เคยเห็นพ่อท่านตอบปัญหา  ไม่เคยเห็นพ่อท่านใช้ให้ไปในทางการกดข่ม แต่ให้ใช้ปัญญา เคยมีเด็กพวกเรา ประมาณ 7 ขวบ ชอบเดินตามสมณะไปบ่อยๆ มีคนถามว่าอยากบวชไหม เขาก็ว่าอยากบวช อยากเป็นเหมือนท่านสมณะเดินดิน เพราะว่าได้กินขนมได้กินอาหารก่อนใครเลยครับ 

 

ทำใจในใจอย่างไรให้เกิดฌานที่ไม่สมถะกดข่ม

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วย สุดเศียรสุดเกล้าครับ ผมได้ฟังธรรมจากพ่อท่านเรื่องฌานในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค 66 ฟังแล้วก็เห็นว่าฌาน ต้องมีปัญญาประกอบด้วย จึงเป็นฌานที่สมบูรณ์ ฌานเป็นตัวเผากิเลสโดยใช้สติ และความรู้สึกเป็นตัวพิจารณาด้วยศีลและอปัณณกปฏิปทา 3 โดยใช้ตัวอย่างกวฬิงการาหาร เมื่อสัมผัสที่ลิ้นมันเป็นรสชาติเช่นนี้มีรสเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ดกรอบนุ่มนิ่มก็อ่านอาการที่จิตว่า รสชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็วางเฉย ก็กินเพื่อเอาประโยชน์จากมันเท่านั้น เพื่อเลี้ยงขันธ์เพื่อสร้างความดีต่อไปในการเผากิเลสโดยใช้ไฟฌาน คือต้องวิปัสนาให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง  เมื่อรู้จักกิเลสโดยการเผาเช่นนี้ในทุกเรื่องที่เป็นสิ่งไม่ดีต่อจิตและกายเรา และปัญญาเป็นไฟกองใหญ่ที่เกิดจากความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พ่อท่านนำมาถ่ายทอดสอนก็พอรู้ได้ด้วยตนครับโดยเรียนรู้จากจรณะ 15 และวิชชา 8 ของพระพุทธเจ้า ขอน้อมกราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านเป็นอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... ถ้าวางเฉยไปเฉยๆมันก็เป็นสมถะ แต่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาต่อว่า แยกแยะ รสจริง รสเก๊ พิจารณา อ่านอาการเวทนาเก๊ เช่น มันสุข มันชอบ มันอร่อย จนมันไม่มีแล้วจนกระทั่งกินอาหารมันก็ไม่อร่อยอย่างที่อาตมายกตัวอย่างตัวเอง มันไม่อร่อยอย่างทุกวันนี้ก็รู้จักแต่ธาตุแท้ รสหรือกลิ่นของมันก็เป็นอย่างของมัน แต่รสอร่อยมันไม่มีแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาไม่ประสงค์ที่จะกินอาหารแล้ว เพราะอาตมาฝืนขันธ์ ฝืนอายุขัย ลาก ถูลู่ถูกัง อายุขัยไปเรื่อยๆ สรีระสังขารมันไม่ได้ต้องการอาหารแล้ว แต่อาตมาก็ต้องพยายามใส่ให้มัน มันจึงฝืน แต่ก็ต้องฝืน ต้องกินให้ได้ปริมาณพอสมควร ไม่เช่นนั้นไม่ได้เพียงพอ ตอนนี้น้ำหนักของอาตมาขึ้นเป็น 53.6 แล้ว จะเป็น 54 กก. แล้ว แต่ก่อนนี้ 49-50 แต่เดี๋ยวนี้ 53 ถึง 54 เนื้อตัวเป่งเลย ลำข้อลำแขน มีเนื้อหนัง มีไขมัน มีพุงขึ้นมาตุ่ยๆหน่อยแล้ว สักวันไล่ทันบิ๊กป้อมแน่นอน 

ดีมาก เข้าหาจรณะ15 วิชชา 8 มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆที่พวกเราได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจเอาไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผล อาตมาขอยืนยันว่าพวกเราเป็นพวกที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีมรรคมีผล ทางด้านเถรสมาคมพระป่าที่เป็นพระปฏิบัตินั้นมันได้มรรคผลเหมือนกัน แต่เป็นมิจฉาผลเพราะเป็นมิจฉามรรค มันไม่ได้เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้า ก็น่าสงสารจริงๆไม่รู้จะกู้กลับอย่างไร เขารักศาสนา เขาอยากไปนิพพาน จริงๆ อาตมาเห็นจริงเลย หลายคนก็ตายไปกับชีวิต บวชไปตั้งแต่เป็นเณรจนกระทั่งตาย บางคนก็บวชเป็นพระจนกระทั่งอายุยืนยาว 80 ถึง 90 หลายคนอายุ 100 ก็ตาย 

แต่มันน่าสงสารที่เขาไม่สัมมาทิฏฐิและไปหลงผิดได้มิจฉาผล มิจฉามรรค ได้ผลเหมือนกันแต่เป็นมิจฉามรรค มันก็ได้ผลของมัน แล้วก็ไปหลงมิจฉาผล มาเป็นอริยะเก๊ เป็นอรหันต์เก๊กัน มันต้องแก้กลับ มันต้องพยายามช่วยเหลือเฟือฟายความผิดพลาดพวกนี้ พูดยากจริงๆ อาตมาเกิดมาชาตินี้ นี่กำลังเขียนหนังสือ “เกิดมาชาตินี้” ยังสรุปไม่จบเลย แต่เขียนเรื่อง “ประชาธิปไตย” เสร็จแล้ว จบแล้ว เอาไป Edit เอาไปทำต่อแล้วได้ 

ตอนนี้มาเขียนเกิดมาชาตินี้ จะให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้แต่จะไม่ให้ยาว พูดถึงว่าเกิดมาในชาตินี้จะต้องทำอะไรที่มันฝืนโลกเขา จำเป็นจำใจ จำต้อง จำนน มันต้องทำอย่างนี้ จำยอมที่จะต้องทำอย่างนี้ ต้องแสดงอย่างนี้ เป็นสัจจะที่จะต้องว่าไป 

อาตมาก็ฝากเอาไว้ว่าจะต้องอธิบาย “ฌาน”นี้แหละ ให้เข้าใจให้ดีๆ ว่า “ฌาน” มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องไปสร้างวิธีการ ต้องเข้าต้องออก เข้าฌานออกฌาน..ไม่มี “ฌาน” คือ พลังงานที่เป็นธรรมฤทธิ์ ที่สามารถมีปัญญา ฌานคือปัญญา มันรู้ความจริงแล้วมันก็มีธรรมฤทธิ์สูงขึ้นๆตามลำดับ ฌาน 1 2 3 4 

ฌาน 1 คือสภาพ 2 ที่คุณจะต้องรู้ความเป็น 2 ที่เรียกด้วยภาษาว่าวิตกวิจาร ก็ตาม บางทีท่านก็แปลว่า ไตร่และตรอง หรือตริและตรอง ก็เป็นพยัญชนะของสภาพ 2 อัน คือ 1.เจโตกับ 2.ปัญญา อันหนึ่งเป็น Static อันหนึ่งเป็น Dynamic สภาพ 2 นั่นแหละคือวิตกวิจารคุณก็ต้องรู้ความจริง 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องวิตกเห็นแล้วว่ามันไม่ดี และ เมื่อมันไม่ดีมันมีตัวพฤตินัย พฤติกรรมของมันออกมาเป็นจาระ วิจาระ ก็รู้ พฤตินัย นี้มันมีอะไรแทรกอยู่เป็นตัวเหตุก็คือกิเลส อ่านกิเลสได้ ไม่ใช่ไปดับสมถะไปกดหมดทั้ง 2 ตัว ให้รู้มันมีตัวการ มันมีตัวมาร มันมีตัวผี แทรกอยู่ในนั้น เอาเฉพาะกิเลสนี่แหละออก 

ปัญญาให้รู้ตัวกิเลส ปัญญามีพลังธรรมฤทธิ์สูงขึ้นเท่าไร กิเลสมันไม่รอหน้า ถ้าเจอกิเลสตัวจริงเลยนะไม่ใช่กิเลสตัวแฝงตัวปลอม กิเลสตัวที่มันอาศัยอื่นๆแต่เป็นกิเลสตัวจริงๆของมันเลย มันเจอตัวปัญญาแล้วมันวิ่งหูตูบเลย อย่างที่อธิบายด้วยพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าอธิบาย โอ้…ตถาคตเห็นเราแล้ว รู้เราแล้ว มันก็หนีไป หายไป มันจะไม่รอหน้าเลย อธิบายด้วยพยัญชนะได้แค่นี้ มันมีฤทธิ์ข่มกันอย่างนั้นจริงๆ ปราบกันอย่างนั้นจริงๆ นี่คือลักษณะของฌาน คือปัญญาอย่างนี้แหละ ลักษณะของฌานมีธรรมฤทธิ์ที่ไม่ใช่ไปนั่งหรี่นั่งหลับแต่เห็นชัดเจน จนกระทั่งแยกกิเลสได้ละเอียดเลยนะ กิเลสกับปัญญาเจอกัน กิเลสมันจะวิ่งหนีหูตูบเลย นี่อธิบายถึงลักษณะสภาวธรรมได้แค่นี้ เป็นความจบ ไม่รุนแรง แต่ชนะอย่างสงบ ชนะอย่างสง่า ชนะอย่างสุภาพ ปัญญาปราบกิเลส แต่พูดให้มันดูรุนแรง ฟังกันไป ประหารฆ่าอะไรก็แล้วแต่​ แต่ความจริงมันเป็นธรรมฤทธิ์อย่างนี้ มันเป็นเรื่องผู้ดีที่สุดเลย​​ สัจธรรมของพระพุทธเจ้า

จบ  

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 22:08:21 )

660830

รายละเอียด

660830 เป๊งพรึ่บ ถนนปันสุข ปลุกจิตโพธิสัตว์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53223.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1RPO0-Fskv4urefpgtI-3ea3qWUF4G0uy/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1GdzfH4PWltScmD7HL_C15Sstsoz_mIOo/view?usp=sharing

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660830-108-1-e28n6fb 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/A6bPAm_OuIQ 

https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1783881702047012/ และ

มีซับ https://youtu.be/K4wkRbQS1p8

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีเหตุขัดข้องเรื่องเทคนิคเสียง ต้องขออภัยผู้ชมด้วย วันที่ 9 กันยายน 2566 จะมีการจัดมินิคอนเสิร์ต เพื่อประชาสัมพันธ์งาน คอนเสิร์ต 90 ปี บูชาครูรัก รักพงษ์ จะจัดมินิคอนเสิร์ตที่สันติอโศก เป็นความตั้งใจที่จะผลักดันเพลงของพ่อครูให้ร่วมสมัยกับสังคมยุคนี้ 

Timeline ของชาวอโศกก็จะมีงานต่อเนื่องไป วันที่ 13 ตุลาคม ก็เข้าเทศกาลกินเจ ชาวบ้านราชเตรียมตัวฟิตซ้อมร่างกายให้แข็งแรง ปลายเดือนจะมีวันออกพรรษา 30 ตุลาคม 

ต้นเดือนพฤศจิกายนเข้าสู่งานมหาปวารณา ปลายเดือนธันวาคมเข้าสู่งานเพื่อฟ้าดิน อยู่บ้านราชฯก็มีกุศลให้พวกเราทำอย่างสมบูรณ์เลย ข่าวล่าสุดทางอำเภอมีโครงการจะทำถนนไปบ้านคำกลางมาจัดให้เป็นถนนปันสุข เป็นถนนตัวอย่างของอำเภอ พร้อมเมื่อไรทางนายกเทศมนตรีก็จะประสานกับเราอีกทีหนึ่ง เป็นกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับทางราชการ เป็นข่าวดีๆที่จะเกิดขึ้นกับหมู่บ้านของเรา 

เป็นความเมตตาของพ่อครู ที่จะมาเทศน์จากเดิม 2 วันต่อสัปดาห์ ทาง FC บอกว่าห่างมากไป เลยต่อรองให้เป็น 3 วันต่อสัปดาห์แต่ให้วันละชั่วโมงครึ่ง แต่เบรคพ่อครูจะอยู่หรือเปล่าก็คอยดูกัน 

 

การฝืนขันธ์อยู่ต่อไปของพ่อครูเพื่ออะไร

พ่อครูว่า... ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็จอดไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็เคยพูดเปรยๆไปบ่อยๆหลายทีแล้วว่า อาตมาตอนนี้มันฝืนขันธ์จริงๆ 

1. กินอาหารก็ไม่ได้อยากกินเลย ไม่มีความอยาก ไม่อยากจริงๆ มันหายไปเลยความอยาก กินอาหารก็กิน เพราะว่ามันจะต้องเอาอาหารมาใส่ร่างกายเท่านั้น ให้เรื่องอร่อยไม่ต้องไปพูดหรอก มันหายไปนานแล้ว เดี๋ยวนี้มันเกินกว่าที่จะไม่อร่อยเท่านั้น มันกลายเป็นโอ้โห มันเห็นทุกข์ในการที่จะต้องกิน แล้วก็ทุกข์ในเวลากิน 

มันเป็นสัจจะ เห็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปอย่างแท้จริง นั่นก็เรื่องที่จะต้องเติมน้ำมัน เติมอาหาร เติมธาตุให้มัน 

2. อายุขัยของอาตมามันหมด แล้วก็พยายามจะลากอายุขัยไป เจตนาก็เพื่อ 1.ทำงาน 2.เพื่อพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่ามันจะลากไปได้ หยั่งดูว่ามันเป็นประโยชน์อยู่ไหม ลากไปถ้ามันติดเตียงหายใจพะงาบๆไม่มีประโยชน์อะไรได้หรือเป็นภาระคนอื่น มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่อยู่ไปก็พอทำได้ กำลังวังชาก็ไม่ใช่ว่าจนกระทั่งมันลำบากลำบนเกินไป อาตมานี่เทศน์นี่น่ะ มันมี อภิปโมทยังจิตตัง กว่าการกินเยอะ ให้มาเทศน์ เออ มันมี Appreciate กว่า ยังชื่นใจ พอใจ ยินดีกว่า กว่าจะให้กิน 

แต่ก็อาตมาก็พูดตลอดเวลาว่าอายุขัยของอาตมามันประมาณ 72 ปี นี่ก็ต่ออายุขัยมาเกินไปได้ถึงขั้นหลายนักษัตร 1 นักษัตรมี 12 ปี 72 + 12 ปีเป็น 84 ปี และก็เกิน 84 มาแล้วจนถึง 90 ถ้าไปอีก 1 นักษัตรก็เป็น 96 ปี 

กว่าจะถึง 96 ก็รู้สึกว่าลากขันธ์จริงๆเลย จะถึงหรือไม่ถึงก็ยังไม่รู้เลย ตั้งใจว่าจะอยู่ให้ถึง100 ตั้งใจอยู่ให้ถึง 100 ก็เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้านั่นแหละ ว่าธรรมะพระพุทธเจ้ามีอิทธิบาทที่จะสามารถที่จะอายุ เกินกว่า กัปป์ ได้ 

คำว่า กัปป์ มันคือรอบของแต่ละอย่าง แต่ละกำหนด ชั่วโมงหนึ่งก็รอบของ 60 นาที วันหนึ่งก็รอบของ 24 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ เป็น กัปป์ๆ 100 ปี แล้วแต่จะกำหนด 

พุทธกัปป์ของพุทธศาสนาอย่างศาสนาของพระสมณโคดมมีพุทธกัปป์ของท่าน 5,000 ปี อย่างนี้เป็นต้น 

ก็ต่ออายุขัย อายุกัปป์กันไปก็เป็นการพิสูจน์สัจธรรม เกิดมาเป็นคนแล้วเราบริหารจิตแล้วจิตนี่แหละสามารถจะทำให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ จนกระทั่งถึงขั้น อมตบุคคล คือ พระอรหันต์ที่วิมุติแล้ว ก็สามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายได้ 

กำหนดการเกิดการตาย นี่ก็..ที่ยังไม่เก่งจริงๆก็คือ เป็นพระอรหันต์ที่ยังไม่เก่ง ก็กำหนดว่าเราตาย กายแตกตาย หลังตายเราไม่เกิดอีก เราแยกธาตุของเราเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ หรือจะเกิดอีกตายแล้วยังไม่ ยังมีนิมิต ยังตั้งจิตต่อ ไม่สุญญตนิพพาน ตั้งจิตเกิดต่อไปได้อีก 

แค่นี้แหละเถรวาทหรือว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยจะเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ เท่านั้น ทุกรูป ไม่มีเกิดอีก นั่นก็คือเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ เป็นความเห็นอุจเฉททิฏฐิทำให้ศาสนาพุทธด้วนไป 

ลองคิดดูถ้าผู้ใดจบอรหันต์ทุกองค์แล้วตายกายแตกต้อง 0 เท่านั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าจะสั้นลงครึ่งหนึ่งเลย ไม่มีใครมาสืบทอดไม่มีใครต่อ เพราะว่าจบอรหันต์แล้วก็ตาย สูญ จบ พุทธกัปของศาสนาแต่ละองค์ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ ถูกตัดลงไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง หมดเลย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่จริงความคิดเช่นนี้จะว่าไปแล้วเป็นบาปมหันต์เลย ไปหั่นศาสนาพระพุทธเจ้าลงไป อย่าไปคิดเชียว อย่าไปคิดเช่นนั้น คนเข้าใจยังไม่ถูกต้อง ยังมิจฉาทิฏฐิซับซ้อน อาตมาก็นำมาขยายความมาเปิดเผยบอกว่าอย่าไปคิดผิด คิดผิดแล้วมันก็พาเสื่อม 

ที่อาตมารู้ความจริงพวกนี้เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่ต่ออายุขัย เป็นผู้ที่รู้จักกันเกิดการตาย เป็นอมตะมาจนกระทั่งเข้าใจอมตะว่ามันเป็นเช่นนี้เอง จะเกิดก็ได้ จะตายก็ได้ และก็หมายถึงอะไรเกิด อะไรตาย เกิดอย่างไร ตายอย่างไร

พระอรหันต์ที่เก่งจริงๆถึงขนาดขั้น ตายอย่างกำหนดเลย จะตายวันนั้นวันนี้ บางองค์บอกเดินไปก้าวที่ 7 ตายตรงนั้น มีนะอย่างนี้เป็นต้น อย่างอาตมายังไม่สามารถจะกำหนดได้ถึงขนาดนั้นแน่นอน นี่เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องของความสามารถ ความวิเศษของจิต 

เข้าสู่ SMS จะเป็นไกด์ในการขยายธรรมะไปเรื่อยๆ ความเห็นของแต่ละคนที่ SMS มา 

 

สวดสัพพีหลังใส่บาตรนี้เป็นเรื่องเนื้องอกของศาสนาพุทธ

_โยมที่สันติ ...กราบนมัสการค่ะ เมื่อวาน ตอนทานข้าว หม่องแซ่บ คุยกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เค้าบอก พระที่นี่แปลก ตอนเราใส่บาตรแล้ว ก็รับบาตรเฉยๆ ไม่เห็นสวดสัพพีฯ ให้เลย.... อิ๊มเลยยิ้มเฉยๆ ขอเรียนถาม ถ้าได้เจออีก ควรตอบไงดีค่ะ เพื่อให้คนข้างนอกเข้าใจมากขึ้น

พ่อครูว่า… ก็ค่อยๆตอบ ในการตอบผิดแปลกไม่เหมือนเขานี่มันคงจะเข้าใจยาก และก็จะยึดถือกัน เดี๋ยวก็จะทะเลาะกัน เถียงกัน ก็ค่อยๆบอกเขาว่า จริงๆที่นี่ก็พยายามเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นประเพณีจารีตที่ว่า พระไปบิณฑบาตแล้ว เขาใส่บาตรแล้วต้องสวดสัพพีให้ มันไม่มีหรอก ในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่มี ในระบบจารีตประเพณีของศาสนาพุทธก็ไม่มี 

แต่คนไทย ที่จริงที่อื่นเขาก็ไม่มี มีแต่ในเมืองไทยนี่แหละ การสวดสัพพีติโย นี่คล้ายๆกับการพูดปะเหลาะเอาใจเขา แล้วก็เรียกคำนี้ว่าเป็นการให้พร เอาของให้ไปทำทานแล้ว ก็ให้พรตอบว่ารวยๆนะอยู่เย็นเป็นสุขนะอะไรอย่างนี้ บางทีก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ก็เลยไปหาคำพระพุทธเจ้า ก็เลยได้ประโยคแรก วรรคแรก 

ยถา วริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนติ สังกัปปา…

จนจบวรรคนี้ พอขึ้นสัพพีติโยมันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นของแต่งขึ้นใหม่เอามาต่อท้าย เป็นการแต่งขึ้นมา เป็นคำแต่งต่อท้าย เป็นการพูดปะเหลาะเอาใจโยม ซึ่งทางเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย 

คนที่จะมาทำทาน เขามีจิตยินดีทำทาน นึกว่าต้องเลี้ยงหรือว่าพยายามให้อาหารแก่พระ เพราะว่าพระท่านไม่มีเงินมีทองซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ จะต้องทำงานคือปฏิบัติธรรมแล้ว สอนธรรมะพระพุทธเจ้ามันคนละหน้าที่ โยมก็ต้องดูแลเลี้ยงพระไว้ ให้อาหารต่างๆนาๆแล้วพระก็สะสมไม่ได้ 

อาหารนี่ พระบิณฑบาตมาได้ฉันเสร็จแล้ว ต้องคว่ำบาตรล้างทิ้งสะสมเก็บไม่ได้นะ เก็บเป็นอาบัติ สะสมอาหารการกิน ข้าวสารอาหารแห้งนี่เป็นการนอกรีตหมดเลย ผิดพระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ 

สรุปก็คือสวดสัพพีนี้เป็นเรื่องเนื้องอกของศาสนาพุทธ สรุปอย่างนั้น 

 

ทำทานไม่ปรารถนาอะไรเลยนี่ถูกต้อง

_ติ๋ม ยินดี ...ขอถามค่ะ ถ้าเราทำทาน 1 บาท แล้วเราปรารถนาขอให้ได้นิพพาน กับการทำทาน 1 บาทแล้วเราไม่ปรารถนาอะไรเลย อะไรคือความถูกต้องคะ คือเวลาเราทำกุศล ทำอะไรเนี่ย ขอให้นิพพานสักชาติหนึ่ง แล้วก็ไม่ปรารถนาอะไรเลย ทำแล้วก็ทิ้งไป แล้วอันไหนมันได้คะ

พ่อครูว่า…ไม่ปรารถนาอะไรเลยเป็นความถูกต้อง หากปรารถนานิพพาน เอาใหญ่เลยนะ เอาละจิตคุณมีเจตนาอยากจะได้นิพพานก็ดีแล้ว คุณต้องเข้าใจว่า ปฏิบัติเหตุอย่างไรถึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เกิดผล ทำให้เกิดผลที่จะไปสู่นิพพาน คุณต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปปรารถนา คุณทำเหตุให้เต็ม ผลเกิดเอง เรียนเหตุนั้นให้สำคัญ เรื่องผลจะเกิดตามเหตุที่มันเต็มถูกต้อง แล้วก็เต็มเหตุที่ถูกต้องเต็ม ผลก็ไม่ต้องพูดถึงมัน เกิดผลคือสิ่งที่ทำเหตุให้ถูกต้อง ไม่เต็มก็ไปเรื่อยๆเติมเหตุไปตามลำดับ 

คุณทำทิ้งไปนั่นดีแล้ว ไม่ปรารถนานั่นดีแล้ว ทำให้ถูกเลย ทำให้ถูกต้อง ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ทำให้ถูกต้อง ทำให้เต็มได้ก็ได้ผลโดยไม่ต้องห่วงอะไร 

_อุ๋ม รอยใบไม้... เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอุ๋มได้ฟังท่านด่วนดีเล่าเรื่องที่ได้ทำใจกับผัสสะค่ะ และรู้สึกชื่นชมว่าท่านทำใจปล่อยวางได้ดีมากค่ะ

เรื่องที่มีโยมถวายรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยมให้ท่านได้เอาไว้ใช้งาน แล้วมีคนยืมไปใช้  และเอารถไปให้คนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตท่านด่วนดีเลยค่ะ พ่อครูคิดว่ากรณีนี้เป็นการถือวิสาสะ “ศีลด่างพร้อย”หรือเป็นการ “ผิดศีลข้อ2” คะ  จะตัดสินจากการกระทำ หรือเจตนาคะ

ท่านด่วนดีทำใจได้แล้ว แต่ผู้ฟังยังทำใจไม่ได้ค่ะ ขอให้นำรถมาคืนท่านด้วยนะคะ

พ่อครูว่า…ถ้าทั้งเจตนาแล้วก็ทั้งทำตามเจตนาด้วยก็ผิดเต็มทั้งคู่เลย แต่นี่หวงแหนแทนท่านด่วนดี ขอร้องแทนเลย ใครเอาไปรู้นะท่านด่วนดีไม่ได้ถือสา แต่ยิ่งไม่ได้ถือสา ไม่ได้คิด มันยิ่งบาปสูง บาปราคาแพงด้วยนะ ก็ดู แต่ โอ้โห.. ใจถึงขนาดมาขโมยมอเตอร์ไซค์พระได้ด้วย 

 

สรภัญญะคือออกเสียงไม่มีทำนอง และศีลนำไปสู่นิพพานอย่างไร

_ซึ้งซื่อ วิเชียร น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ แม้แต่คำว่าสุดเศียรสุดเกล้า ทำไมจะยกให้พ่อท่านไม่ได้ อย่างคำยกย่องว่าพ่อท่านสองประโยคนี้ ผมก็ยกให้พ่อท่านได้ครับ เพราะว่าพ่อท่านได้กรุณาสอนให้ผมได้ปฏิบัติศีลได้อย่างเข้าใจถึงจิตโดยสีเลนะสุคะติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา สีเลนะนิพพุติงยันติ ตัสมาสีลังวิโสทะเย แค่นี้ก็เลิศยอดแล้วและยังทำให้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ ทางโอปปาติกโยนิ ตัวอย่างแค่สองสิ่งนี้ก็สุดยอดแล้วสมควรยิ่งที่จะยกให้พ่อท่านเป็นได้แล้วครับ ขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…หากอ่านด้วยเสียงอันยาวใส่ทำนองด้วยเป็นอาบัตินะ คำว่าสรภัญญะ เขาไปตีความว่าใส่ทำนองได้นิดหน่อย ก็พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราไม่ได้อนุญาตทั้งการลากเสียงอันยาวและการใส่ทำนอง นั่นคือวินัยข้อที่ 20 ข้อ 21 บอกว่าเราอนุญาตให้ สรภัญญะ คือ สรคือ สระ ส่วน ภัญญะคือคำกล่าว ตามเสียงพยัญชนะ 

พยัญชนะเสียงสั้น รัสสรระ เช่น อะ อิ อุ ส่วนโอ เสียงยาว ฑีฆะสระ ส่งตามเสียงสั้นยาว รัสสะ และฑีฆะ และตรงตามคำกล่าว คำกล่าวอย่างไร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต ก็ตรงตามคำอย่างนั้น แล้วท่านให้ไม่ต้องไปดัดจริตใส่เสียงอย่างนั้นอย่างนี้ให้มันเหมือนบาลี ไม่ ให้ใส่เสียงตามชาติไหนก็ตามเสียงพื้นของชาตินั้นออกไป อย่างชาติไทยออกเสียงภาษาอังกฤษว่า where are you going ชาติลาวกับไทยก็ออกเสียงต่างกัน what is your name ก็ใส่เสียงตามพื้นถิ่น

ซึ้งซื่อ วิเชียร เขาก็บอกว่า สอนเรื่องศีลไปจนถึงนิพพานได้ ประโยคที่พูดเมื่อกี้ ศีล ทำให้สู่สุคติ ไม่ใช่แปลว่าสู่ความสุข สุคติงยันติ คือ ศีลพาไปสู่ทางเจริญ ทางดี สีเลนโภสัมปทา ศีลเป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้เกิดความเจริญ โภคะ สีเลน นิพพุติงยันตะ ศีลนำไปสู่นิพพาน 

เดี๋ยวนี้ก็ไปนั่งหลับตาทำสมาธิบอกว่าเอาแต่ศีลจะไปสู่นิพพานอย่างไร มันก็ค้านแย่งจากคำสอนพระพุทธเจ้า พวกเพี้ยนแล้วก็มาว่าคนที่ทำถูก ศีลนี่แหละจะพาไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสมาธิ นอกรีต นั่งหลับตาให้ตาบอดไปเลยก็ไม่มีทางบรรลุนิพพาน ก็ไปนั่งกัน 

ก็ขอย้ำเรื่องนั่งหลับตานี้เลิกได้เลย มันปิดประตูทุกอย่างเลย มันไม่มีกาย มันไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องลัทธินอกรีตจริงๆเลยเรื่องหลับตา แล้วเขาเชื่อกันจริงๆว่านี่เป็นสัจจะ เป็นนิพพาน อรหันต์นี่พวกนั่งหลับตาทั้งนั้น มันเสื่อมหนักจริงๆศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่รู้จะพูดยังไง พูดไปจนกระทั่งหมด แล้วก็พูดทวนพูดย้ำอยู่นี่น่ารำคาญด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องพูด เพราะว่าเป็นสัจจะ ต้องเตือนกันบอกกัน 

การเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเป็น โอปปาติกโยนิ  (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 2 เหตุปัจจัยนี้ก็เป็นสุดยอดแห่งสิ่งประเสริฐ คนเข้าใจอย่างคุณซึ้งซื่อ วิเชียร เข้าใจก็เข้าใจ คนที่ยังไม่เข้าใจก็ค่อยๆศึกษากันไปก็จะค่อยๆเข้าใจกันไป  มันก็บังคับความเข้าใจกันไม่ได้ คนไม่เข้าใจบังคับกันยังไงก็ไม่ได้ ดีไม่ดีจะเข้าใจผิดด้วย พยายามให้เข้าใจถูกกันก็ไม่ใช่ง่ายๆอยู่แล้ว 


_เรื่องรางวัล Moral Award

ในระยะหลายเดือนผ่านมานี้ มีชาวอโศกหลายท่าน ได้รับการติดต่อให้รับรางวัล Moral award ซึ่งมีภาพถ่ายในการรับรางวัลในโลกออนไลน์กัน จึงเกิดข้อสงสัยว่า องค์กรที่ให้รางวัลมีที่มาที่ไปเช่นไร

ทีมงานบุญนิยมทีวี ได้ตรวจสอบพบว่า Moral Award อันนี้เป็นรางวัลจากมหาวิทยาลัย“INTERNATIONAL UNIVERSITY OF MORALITY” หรือ “IUM” ซึ่งเคยมีข่าวใน นสพ.ผู้จัดการออนไลน์เมื่อ 16 ส.ค. 2560 ว่า .....สุดคุ้ม!!จ่ายแค่ 17,500 บาท ได้ “ปริญญาโท-เอก” พร้อมลายเซ็นต์ “2 เจ้าคุณธงชัย” มาประดับฝาบ้านโปรโมชั่นพิเศษ IUM มหา’ลัยห้องแถว สำหรับผู้เรียนหลักสูตรภาษาไทย พบโยง“นพดล ก้อนคำ” แห่ง ม.สันติภาพโลก

รางวัล Moral Award นี้ แม้ชาวอโศกที่ได้ไปรับรางวัล จะไม่ได้เสียค่ารางวัลเหมือนการรับปริญญา แต่หากไปรับรางวัลก็จะเป็นการส่งเสริม หรือเอาชื่อของชาวอโศกที่ได้ทำความดีเพื่อสังคม ไปเป็นเครดิตแก่มหาวิทยาลัยเพื่อล่อให้ประชาชนที่อยากได้ปริญญาโดยไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยไปเสียเงินให้แก่องค์กรนี้ 

ความไม่ชอบมาพากลของ “INTERNATIONAL UNIVERSITY OF MORALITY” หรือ “IUM” ที่ระบุพิกัดอยู่ในมลรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เปิดทำการสอนแบบออนไลน์ ในหลักสูตร “พุทธพาณิชย์” ทั้ง “บริหารธุรกิจและสาธารณะคุณธรรม - การบริหารการศึกษาคุณธรรม” เรื่อยไปถึงหลักสูตร “การบริหารวัดและศาสนสถานคุณธรรม” .. ตรวจสอบเบื้องต้น IUM ที่ว่า มีการจดทะเบียนทำ “ธุรกิจสถาบันการศึกษา” อย่างถูกต้อง โดยคณะกรรมการอุดมศึกษาแห่งมลรัฐฟลอริด้า แม้จะมีสำนักงานเป็น “ห้องเเบ่งเช่า” ในตึกสำนักงานให้เช่าเล็กๆ ก็ตาม .. แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่มีหลักฐานว่าได้รับการรับรองคุณวุฒิจากหน่วยงานรับรองมาตรฐานการศึกษา ซึ่งของประเทศไทย ก็เป็น สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา (สกอ.) .. เมื่อหลักสูตรไม่ผ่านการรับรองคุณวุฒิ ปริญญาจะเอก จะโท จะตรี ก็เอาไปยืนยันใช้สมัครงานไม่ได้ เอาไว้โชว์แบบโก้ๆ เท่านั้น จนถูกมองว่าเป็น “ปริญญาเถื่อน”

และยังพบชื่อ ดร.นพดล ก้อนคำ เป็นตัวเเทน IUM เเห่งประเทศไทย .. นพดล ก้อนคำ แห่งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่เคยตกเป็นข่าวว่าถูก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกทลายพิธีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของ ม.สันติภาพโลก ที่โรงแรมดังย่านนนทบุรี เมื่อไม่กี่ปีก่อน ..

มีการระบุไว้ในเวบไซต์ สำหรับราคา “ปริญญาบัตรกิติมศักดิ์” .. ปริญญาโท หรือปริญญาเอก เรียนเพียง 10 วิชาๆ ละ 100 ดอลล่าร์ยูเอส หรือ 35,000 บาทเท่านั้น ทราบว่ามีญาติธรรมชาวอโศกไปรับปริญญามาแล้วแม้จะต้องเสียเงินก็ตาม และญาติธรรมยังได้ไปเป็นทีมงานของมหาวิทยาลัยนี้เพื่อทำการเฟ้นหาชาวอโศกที่มีชื่อเสียงมารับรางวัล Moral Award นี้ จึงเป็นเหตุที่มาของในช่วงนี้มีชาวอโศกไปรับรางวัลนี้กันหลายคนด้วยกัน 

พ่อครูว่า…อาตมาอาย ปัดโธ่เอ๋ย! นี่แหละความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากได้สักอยากได้ยศอย่างนี้ ก็เป็นเหยื่อของคนขี้หลอกแล้วก็หลอกไป คนที่ยังไม่ทันเขา ถูกเขาหลอกไม่ทันเขาก็เสียท่า 

กราบนิมนต์พ่อครูให้ปัญญาแก่ลูกๆชาวอโศกในเรื่องควรหรือไม่ที่จะไปรับรางวัลจากมหาวิทยาลัยนี้ 

พ่อครูว่า…ใครว่าควรไหม? ทุกคนเห็นว่าไม่ควร เป็นเรื่องของหมู่ชาวอโศก ความเห็นของหมู่ ไม่ใช่ความเห็นของอาตมาไปตัดสินเท่านั้น อาตมาก็เห็นด้วยกับหมู่เหมือนกันว่ามันไม่ควร พวกเราจะให้ความรู้อย่างไรก็พูดไปแล้วบอกไปแล้ว พูดไปจนถึงประโยคสุดท้ายนี้แล้วใครจะเข้าใจอย่างไร เข้าใจว่าควรหรือไม่ควร รับไปแล้วทำไปแล้ว มันก็ขายขี้หน้าไปแล้ว ก็ทำไปแล้ว ก็เอายางลบๆซะ ไม่ใช่ Liquid ก็ได้ ลบไป 

........................................................................

และอีกเรื่องที่จะรบกวนพ่อครูช่วยประกาศเตือนลูกๆชาวอโศกคือ เมื่อไม่กี่วันผ่านมา เพจกองทัพธรรม FP ของชาวอโศกได้ถูกแฮกไปแล้ว แฮกเกอร์ได้เอาไปลงคลิปและภาพอนาจาร โดยที่ Admin ของเพจไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ และมิจฉาชีพอาจเอาข้อมูลของชาวอโศกไปหลอกชาวอโศกให้เสียเงินให้เขาได้ จึงต้องระมัดระวังการใช้สื่อโซเชียลให้มากขึ้นด้วย

พ่อครูว่า…พวกที่นักใช้สื่อฟังไว้ 

 

_ช่วงนี้มีการชื่นชมลุงตู่กันมากขึ้น ขอยกตัวอย่างเช่น

(ไม่ได้ระบุชื่อ)กล่าวว่า "..เป็นนายกรัฐมนตรี คนสุดท้ายในรัชกาลที่ 9

และเป็นนายกรัฐมนตรี คนแรกในรัชกาลที่ 10.."

ช่วงผลัดแผ่นดิน  เปลี่ยนรัชสมัยเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด

โชคดีของแผ่นดินที่ ณ.ขณะนั้นพล.อ ประยุทธ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทหารเอกองค์ราชา ทหารเสือราชินี ผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุด เป็นผู้นำที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดที่จะนำพาประเทศชาติและประชาชนผ่านวิกฤติ ให้อยู่รอดและปลอดภัย ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดหลายอย่าง ต้องแก้ปัญหา และเผชิญความกดดันจากวิกฤติต่างๆ มากมาย 

ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อเตรียมพร้อมไว้ในอนาคต

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกด้าน ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง

ตลอดระยะเวลา 9 ปีในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศไทย "นายกลุงตู่"ทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำให้ประเทศด้วยความจริงใจอย่างดีที่สุดแล้ว

พ่อครูว่า... เอาคำว่าลุงไปเรียกนายกนี่น่าจะเป็นคนแรกนะ คนแรกและคนเดียว เรียกแบบเป็นญาติ เป็นมิตร เป็นเพื่อนกันเลย ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเลยเป็นเรื่องความจริง เดี๋ยวจะได้ขยายความจริง 

_โชคดีของแผ่นดินไทยที่"คนดี"ได้ปกครองบ้านเมือง 

ผ่านมาถึงวันนี้..ถึงวาระต้องเปลี่ยนผ่านผู้บริหารประเทศตามระบอบการเมือง

ลองคิดย้อนไป..ก็คิดไม่ออกว่า ถ้าไม่ใช่ "นายกลุงตู่" ประเทศเราจะเป็นอย่างไร จะผ่านมาได้อย่างทุกวันนี้หรือไม่

คงไม่มีคำพูดใดที่จะแทนความรู้สึกในใจได้ทั้งหมด 

"..ขอบพระคุณนายกลุงตู่จากใจจริง และจะระลึกถึงคุณความดีที่ลุงตู่ทุ่มเทเพื่อชาติ สถาบันและพวกเราคนไทยทุกคนค่ะ.."

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เป๊งพรึ่บ ถนนปันสุข ปลุกจิตโพธิสัตว์ วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2566 ( 17:05:13 )

660901

รายละเอียด

660901 บทพิสูจน์สัจจะของโลกุตรธรรม ที่ครบครันทั้งรูปทั้งนาม พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53222.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1IPcTtPWRhrwpYl1QmB6zKwCaoDZsF314/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1FS3-daJ3YyoFvEkStuDIMYvypIsdv6IM/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660901-e28pvg9 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XYrt-KATwD4 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/288647967199746/ 

มีซับ https://youtu.be/kMvb_9t-yCs

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้บรรยากาศในเมืองไทยเราจะเห็นปรากฏการณ์คนชั่วกับคนดี คนชั่วจากไปคนก็สาปแช่ง คนดีจากไปมีคนร้องไห้ มีคนคิดถึงมีคนเชิดชูบูชา คนเคารพ เปรียบเทียบตอนนี้คุณทักษิณกับนายกลุงตู่ อีกคนหนึ่งก็ขออภัยโทษให้แก่ตัวเอง ได้รับการอภัยโทษให้เหลือติดคุกปีเดียว จาก 8 ปีเหลือปีเดียว ยังมีคดีอื่นอีกเยอะ 

แต่ถ้าเราดูภาพของลุงตู่ พวกที่ทำงานด้วยจะบอกว่าเป็นหัวหน้า เป็นเจ้านายหรือเป็นผู้นำที่ดี ทำงานแล้วก็ให้เกียรติคนทำงานดูแลเอาใจใส่ดี ลุงเปลว สีเงิน บอกว่าเขาไม่รู้เลยว่าคนทำงานในทำเนียบมีตั้ง 600 คน ออกมาอำลาลุงตู่ 

ประชาชนก็ใจหายกัน ตอนลุงตู่อยู่ก็ปลอดภัยดีแต่ตอนนี้คนอื่นมาก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยเหมือนเดิมไหม สมัยพระพุทธเจ้าก็มีพระเทวทัต คนเชื่อพระเทวทัตก็มี พระพุทธเจ้าก็ให้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะตามคืนมา ขนาดมาบวชกับพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็ยังไปกันเลย คนมันเก่งที่จะหลอกคนให้เชื่อได้ พวกเราศึกษากับพ่อครู ไม่รู้บางคนจะเห็นว่าคนอื่นเคร่งก็เลยตามไปไหม พระเทวทัตเคร่งเพราะอยากได้ลาภยศสรรเสริญ 

 

SMS วันที่ 28-31 ส.ค. 2566

_อารี อภิรักษากร  · ขอบคุณลุงตู่ทำเพื่อแผ่นดิน ทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ... สาธุ

พ่อครูว่า... นี่ก็แสดงความจริงใจออกมา คือมันจะปรากฏผลของความจริงตามความเป็นจริง แล้วคนไทยนี่ ส่วนใหญ่ทั้งหมด มีสัมมาทิฏฐิกัน และก็รู้จักความจริงเป็นความจริง ความไม่จริง ความปลอมแปลง ความเลอะเทอะอะไรต่างๆนาๆ โดยเฉพาะความเห็นแก่ตัว การเบ่งตัวตนเบ่งตัวเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเบ่งตัวเอง เบ่งยิ่งใหญ่ จิตเขาต่ำเขาผิด แต่เขาก็บอกว่าไม่ผิด แม้ผิดเขาก็บอกว่าไม่ผิด ผิดเขาก็บอกว่าไม่มีปัญหา ทุกคนก็ต้องยอมเขา เขาถึงจะผิดอย่างไร จะชั่วจะเลวต่ำขนาดไหน จะสามารถทำให้คนอื่นเห็นว่า เขาอยู่เหนือ เหนืออะไรทั้งหมดเลย ซึ่งมันเป็นการ ใช้สำนวนง่ายๆว่าเบ่งขี้แตกจริงๆเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดภาษาอะไรแล้ว ก็สำเร็จผลด้วย แล้วเขาก็นึกว่าการเบ่งขี้แตกนี้ กูสุดยอดแล้ว ก็ว่าไป 

_นุ่น ธรรมกุล : น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ฟังธรรมะพ่อครู เเล้วได้ความรู้มากๆ คอยเตือนคอยย้ำ ฟังเข้าใจง่าย เเต่ปฏิบัติลึกละเอียดยังได้ไม่หมดง่ายๆค่ะ เเต่หยาบๆพื้นๆได้บ้างเเล้ว ค่อยๆพัฒนาปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะ ฟังทางไกลจากอินเดียค่ะ

พ่อครูว่า... ดีมาก อนุโมทนาสาธุที่สามารถฟังธรรมและปฏิบัติธรรมได้มรรคผล ได้สิ่งที่เป็นจริง ตรวจดีๆ ตัวเองอย่าหลงผิดนึกว่าตัวเองได้แต่มันไม่ใช่ หรือมันไปได้ผิดๆหรือมันไม่ได้ถูก มันจะเสียหาย คนนี้อยู่อินเดีย 

 

ปฏิบัติธรรมแบบมีวิญญาณฐิติจึงมีมรรคผล

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกเห็นภาพญาติธรรมชาวบ้านราช แจกผักที่ถนนปันสุขและเห็นชาวบ้านมารับแจกแล้ว ลูกรู้สึกประทับใจมากค่ะ พ่อครูสอนให้ลูกลดละกิเลสตนเอง และเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นนึกถึงผู้อื่นเสมอๆ ลูกอยู่บ้านก็มีสวนกสิกรรมน้อยๆ ปลูกผักมะเขือกินเองและได้แจกเพื่อนบ้านทุกวันค่ะ ส่วนมากจะแจกเพื่อนบ้านมากกว่ากินเองค่ะ ลูกได้ฝึกเดินตามพ่อครู ผลที่ได้คือลูกคลายทุกข์ได้ หายจากโรคซึมเศร้า เมื่อได้ให้คนอื่นแล้วจิตใจเบาสบายค่ะ 

ลูกขอถามในวิญญาณฐีติ 7 ข้อ 3 ความว่า กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน ข้อที่ว่า กายอย่างเดียวกันเป็นอย่างไรคะ และสัญญาต่างกันเป็นอย่างไรคะ ลูกได้ฟังพ่อครูว่า เป็นแนวปฏิบัติของสำนักธรรมกาย ลูกก็ยังโง่ไม่เข้าใจค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน คือคำว่ากายนี่ มันหมายถึงภาวะ 2 คำว่า “กาย” นี่คือสภาพ 2 มีสภาพภายนอกกับภายใน ไม่แยกกัน และแยกกันไม่ได้ด้วย ฟังดีๆนะกายนี่

สัมมาทิฏฐิคำว่า “กาย” ก็คือต้องเข้าใจว่ากาย มันคือสภาพ 2 คือภายนอกและภายในไม่แยกกัน เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมจะต้องมีกาย จะต้องมีกาย และก็จะต้องมีใจไปด้วยตลอดเวลา เรียกว่าปฏิบัติธรรมแบบวิญญาณฐิติ จึงจะเกิดมรรคเกิดผล จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้สมบูรณ์แบบ 

เช่น วิญญาณฐิติ 7 ก็จะรู้ความจริงของทุกอย่าง ตั้งแต่วิญญาณฐิติ 1 อะไรต่างๆความเห็นต่างกันเราก็รู้ตามเขาว่ามันต่างกัน 

อันที่ 2 สมมุติไปว่าเป็นปฐมฌานคือความไม่มีนิวรณ์ 5 เรียกว่ามันเป็นกายต่างกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน คือการกำหนดหมายสัญญา กำหนดหมายว่า จะไม่มีนิวรณ์ 5 เขาก็ทำได้อย่างเดียวกัน 

แต่มิจฉาทิฏฐิเขาก็ได้ เขาได้นะเขาได้ปฐมฌาน ไม่มีนิวรณ์ 5 เขาทำให้ไม่มี แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 ประเภทสะกดไว้ข่มไว้เฉยๆ เพราะฉะนั้นกายภายนอกเขาได้แต่ภายในหลับตาสะกดจิตไว้ ภายใน เหมือนดูเหมือนได้ แต่มันไม่จริงมันหลอก เพราะมันเป็น อสัญญีสัตว์ 

จริงๆมันเป็นแค่ อสัญญีสัตว์ หรืออย่างเก่งก็เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะฉะนั้นฌาน 1 2 3 4 เขาผิดหมดยิ่งไปเป็นอรูปฌาน ผิดหมด ทั้งอรูปฌาน แถม อสัญญีสัตว์ อีกตัวหนึ่งเลยกลายเป็น 9 นี่พวกหลับตาปฏิบัติจะได้ความเป็นสัตว์ทั้งหมดทั้ง 9 เลย อย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวค่อยอธิบายกันละเอียดๆอีกทีหนึ่ง 

_ยายเพ็ญ  · เมื่อมาเจอพ่อท่านและได้มาศึกษาธรรมะกับพ่อท่าน แล้วก็เริ่มมีสติรู้จักทุกข์และพยายามออกจากทุกข์ จนได้พาตัวเองมาอยู่กับหมู่กลุ่มได้ปีกว่าๆ แล้วเจ้าค่ะ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มแล้ว ก็มาเจอความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ก็เกือบไปไม่รอดเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ก็พยายามมีสติระลึกอยู่เสมอว่า เรามาช่วยงานพ่อท่าน อย่างอื่นเป็นเรื่องธรรมดาของคน คนก็เป็นอย่างนี้ไม่มีแปลก ก็มีโลภ มีโกรธ มีหลงอยู่เป็นธรรมดา แต่ดิฉันได้ตั้งตบะก่อนเข้ามาว่า จะไม่เรื่องมากในการกิน และจะไม่คิดร้ายทำร้ายใครด้วยคำพูดและการกระทำเจ้าค่ะ สุดท้ายดิฉันจึงอยู่รอดปลอดภัย ก่อนเข้ามาอยู่กับหมู่กลุ่มได้ฟังธรรมจากพ่อท่านยี่สิบกว่าปีเจ้าค่ะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บทพิสูจน์สัจจะของโลกุตรธรรม ที่ครบครันทั้งรูปทั้งนาม วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กันยายน 2566 ( 08:42:08 )

660904

รายละเอียด

660904 ฌานปัญญาของคนเจริญจริงคือทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #39 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53518.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/104dHJzNC-k7lBzmjT79xAUgEwYSzb2iC/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true   

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/18pWPaRwDJCO2QeJ_2rQWR276GdCLcb-s/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660904-167-e28t47a 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/qY0L8nPG6kQ 

  และ https://fb.watch/mRsSLSw51I/ 

มีซับ https://youtu.be/4N00iKr5u4U 

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก แหม มีน้ำมูกนิดๆ ฝนก็ตกแฉะๆ อากาศก็ชื้นๆ เอาละ 

เริ่มต้นเอา SMS มาว่ากันไป อธิบายธรรมะไปกับ SMS นี่แหละ หมด SMS แล้วค่อยว่ากันต่อ อาตมาอธิบายเรื่องฌาน จะขยายความเรื่องฌานเพราะว่าฌานเป็นเรื่องอจินไตย เรื่องฌานวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่ฌานของเดียรถีย์ ไม่ใช่ฌานของพวกเทวนิยม พวกออกนอกรีต ที่ไปนั่งหลับตา ทำฌาน เข้าฌาน ออกฌานอะไรกัน นั่นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ซึ่งพูดไปแล้วมันเหมือนคนมาจากไหนมาพูดกันนี่ ชาวพุทธกระแสหลัก อาจารย์ใหญ่ ปราชญ์ทางศาสนาพุทธ ทั้งหลายทั้งนั้นในประเทศไทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... รายการเทศนาพ่อครู ก็จะให้ปัญญาแก่ลูกๆ ที่มักจะเข้าใจ มีทิฐิในการปฏิบัติธรรมไปอีกทางหนึ่งเขาก็มักจะบอกว่าพ่อท่านมาจากไหน จริงๆแล้วพ่อท่านมาจากศรีสะเกษ

 

ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่คนต่างหากที่เสื่อมไปจากศาสนาพุทธ 

พ่อครูว่า...  มาจากศรีสะเกษที่ไหน มาจากกรุงเทพฯ ไปอยู่กรุงเทพฯโดน จริง ตกฟากที่ศรีสะเกษแต่รกรากอาตมาอยู่ที่อุบลราชธานีนี่แหละ ต้นตระกูลก็คือท้าวคำผงนี่แหละ 

อาตมาพูดขึ้นมาเหตุผลก็ง่ายๆไม่ได้ยากอะไร ที่อาตมานำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาพูดขึ้นมา มันไม่เหมือนกับที่เขามีอยู่ก็ถูกแล้ว ที่เขามีอยู่นั้นมันเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธไง มันผิด ศาสนาพุทธเสื่อมนั่นมันคือคน คือชาวพุทธเองเสื่อมไปจากความรู้ที่ถูกต้อง ผิดเพี้ยนไปจากความรู้ที่ถูกต้อง ของพระพุทธเจ้า นั่นคือความเสื่อม เสื่อมหรือไม่เสื่อมคืออะไร คืออย่างนี้แหละ มันผิดจริงๆ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเอามาพูดขึ้นมันจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ผิดมันก็ไม่มีอะไร อันนี้มันผิด สิ่งที่พูดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งก็คือถูกนั่นเอง ถ้าอันนี้ผิด อันนั้นก็ต้องถูกสิ ไอ้ที่ผิดแล้วก็มีผิดไปอีกผิดไปอีกมันก็เป็นกันแล้ว ก็สรุปแล้วมันผิดไปกันหมด มันถึงเสื่อม ผิดแล้ว ผิดอีก ๆ นั่นคือความเสื่อม ผิด 1 ครั้ง 2 ครั้ง 1 ระดับ 2 ระดับผิดไปอีก ผิดจนไม่รู้กี่ระดับ พอมีความต่างพูดขึ้น มันก็ไม่เหมือนเลย ถ้าผิดนี้มันยังต่อเชื้อกันนะ มันลึกขึ้นมันมากขึ้น ผิดนี่มันต่อเชื้อ ถูกมันคนละอย่างใช่ไหม ผิดกับถูกก็ต้องคนละอย่าง มันผิดแล้ว ผิดลงไปอีก ผิดไปอย่างนั้นอีก มันก็ต่อเชื้อกัน แต่ไอ้นี่ถูกมันก็คนละเชื้อเลย คนละทางคนละอย่าง 

เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่ว่าพิสูจน์ความจริงกันว่า อธิบายถูก เข้าใจถูก หรืออธิบายผิด เข้าใจผิดแล้วก็อธิบายผิด ก็นำไปปฏิบัติ ปฏิบัติถ้าผิด อธิบายผิดปฏิบัติผิด ผลก็ผิด 

อาตมากล้าพูดว่าผิดจนกระทั่งไปนึกว่าได้มรรคได้ผล ก็ได้ ได้มรรคได้ผล ทำดีแล้วมีผลแห่งการกระทำ ทำชั่วก็เป็นผลทำชั่ว ทำดีผลของความดีก็เกิด ทำถูก ผลของความถูกต้องก็เกิด ทำผิด ผลของความผิดก็เกิด มันก็เป็นธรรมดา เหมือนกับทักษิณเขาทำผิด ผลของการทำผิดมันก็เกิดๆๆ แต่มันวิปริต 

ผิด ก็ยังดิ้นรน ไม่ยอมรับโทษจากผิดไปเรื่อยๆ อย่างทักษิณเขาทำ ก็เห็นอยู่ชัดๆง่ายๆ ไม่ได้ยากเย็นอะไร เรื่องง่ายๆ ก็ยิ่งเห็นชัดเจนในความเป็นจริง 

 

SMS วันที่ 1-2 ก.ย. 2566

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม    กราบนมัสการพ่อครู ด้วยเศียรเกล้าฯ  กราบขอ พิจารณาตามสมควรค่ะ

       คุณลักษณะ "โพธิสัตว์" ของ "ลุงตู่"         

       สืบเนื่องจาก พ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวอโศก ผู้เป็น "สยังอภิญญา" ผู้เป็น "พระนิยตะโพธิสัตว์"และกำลังก้าวสู่ "มหาโพธิสัตว์" ได้กรุณายกย่อง "ลุงตู่"ว่าเป็นผู้มีคุณธรรม ในระดับ "โพธิสัตว์" ดังนั้นจึงเป็นการจุดประกายความสนใจ ให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ความเป็น "โพธิสัตว์" ของ "ลุงตู่"จากปรากฏการณ์จริง ที่ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ได้รับรู้ จึงกราบขอโอกาส สรุปคุณลักษณะ ของความเป็น "โพธิสัตว์" ของ "ลุงตู่"แบบ"จริงใจตามภูมิ" ได้ 10 ประการดังนี้

1.มีจิตแห่งพรหม คือ มีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง

2.มีความมุ่งมั่น ช่วยเหลือ มวลประชา ทุกหมู่เหล่า ให้มีความเป็นอยู่อย่างผาสุข อย่าแรงกล้า

3.เป็นผู้ที่"ตั้งตน บนความลำบาก" ซึ่งเป็นวิถีของโพธิสัตว์ อย่างชัดเจน ต.ย.บ่อยครั้ง ที่"ลุงตู่" ปรากฏ "ดวงตาหมีแพนด้า" เป็นต้น

4.มีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ไม่ปรากฏ พฤติกรรมการกิน สูบ ดื่ม เสพ และอลังการ

5.มีความรัก เทิดทูน สิ่งที่"ควร"อย่างยิ่ง คือสถาบันหลัก "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" ยิ่งชีพ

6.ไม่มีจิต มุ่งร้าย หรือ พยาบาท ต่อศัตรู ผู้ประสงค์ร้าย ด้วยจิต ที่"ให้อภัย"อยู่เสมอ

พ่อครูว่า…อันนี้เป็นคุณลักษณะที่ดีของคน อาตมาเองรู้สึกดีที่ไม่ได้รู้สึกหรือคิดมุ่งร้ายต่อใคร ยิ่งเห็นคนที่มุ่งร้ายต่อเรา อาการร้ายมันยิ่งเห็นชัดเจนว่ามันไม่ดี ใครทำออกมามันเป็นอาการทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่เราสามารถจะรับรู้ได้ มันก็เลยเห็นว่ามันเป็นอาการที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียด มันเป็นอาการที่ไม่ดี ไม่งามของความเป็นมนุษย์เลย คนที่มุ่งร้าย คนที่คิด คนที่พยาบาทต่อศัตรู ประสงค์ร้ายกับใครก็ตามอาการนั้น นี่คืออาตมาเห็น อาตมาจึงรู้สึกว่าดีที่เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเรามีความรู้ในแบบนี้

_7.มีภูมิธรรม ในระดับ "โลกุตระ" ด้วยพฤติกรรมที่อยู่เหนือ"โลกธรรม" ไม่เป็นทาสของลาภยศสรรเสริญ ซื่อสัตย์สุจริต และพัฒนา "กายวิญญัติ" "วจีวิญญัติ" เจริญขึ้นเป็นลำดับ

พ่อครูว่า…อันนี้ยิ่งเห็นชัดเจน แรกๆเราเห็นลักษณะที่มันไม่เจริญเหมือนโลกๆ เหมือนกับมีกิเลสแสดงออกมา ก็ปรับตัวไปเรื่อยๆขึ้นมา จนกระทั่ง โอ้โห.. จนตอนออกไปนี่ อาตมาว่าจริงๆเลยนี่นายกตู่ ตั้งแต่มีนายกมา 29 คนแล้ว ไม่มีใครเหมือน บอกแล้วว่าไม่มีใครเหมือน แล้วเวลายิ่งจบจะวางมือจากหน้าที่ โอ้โห.. คนอาลัยอาวรณ์ คนแสดงออกถึงความรักเคารพเชิดชู ซึ่งมันไม่เคยมีใน 29 นายก นี่เป็นเหมือนคนที่มีพฤติกรรมสังคมที่เกิดเป็นผลสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจน เหนือกว่าใครๆ 

_8.เป็นผู้ที่มี "ศิลปะโลกุตระ" ต.ย. การประพันธ์เพลง ที่มีสาระ เพื่อชาติบ้านเมือง อย่างไพเราะ  สร้างบรรยากาศความรื่นรมย์ ด้วยอารมณ์ขัน เป็นต้น

9.เป็นที่รัก เคารพและศรัทธา ของผู้ร่วมงาน และ ผู้ใต้บังคับบัญชา ต.ย.กรณีของ" ท่านพีระพันธ์  " ที่อยู่เคียงข้าง ทำงานร่วมกับ "ลุงตู่"จนถึงวินาทีสุดท้าย เป็นต้น ข้อสังเกตที่น่าประทับใจ เด็กๆ เยาวชน "กรี๊ด!"คุณลุงของเขาท่านนี้

10.มีผลงาน และการยกย่อง ว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ดีที่สุดของประเทศ เป็นที่ประจักษ์ แก่ชนในชาติ และสากล เป็นเกียรติประวัติ ที่น่าภาคภูมิใจ ของพี่น้องคนไทยในชาติ และทั่วโลก

     ขอถือโอกาสนี้ กราบขอบพระคุณ "ลุงตู่" อย่างสูงสุดค่ะ

      กราบขอบพระคุณ พ่อครู อย่างสุดเศียรเกล้าฯค่ะ

              ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม

            จ.ที่ 4 กันยายน 2566  5.52 น.

_@namchai7339 น้ำใจ •

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #39 ฌานปัญญาของคนเจริญจริงคือทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 18:47:15 )

660906

รายละเอียด

660906 พ่อครูลากรูปขันธ์ต่อมา ให้ลูกๆเกิดปัญญากำจัดมารผู้มีบาป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53521.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่   https://docs.google.com/document/d/1o2WGqPKniIY9zUNKqI_A9Y0M75VIe-kH/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1WNJLmrPgqL5bPIZdyj3lyfKnEYjftJl9/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660906-108--_-e2900bb 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/DS08fef8-Ks 

และ https://fb.watch/mU5D3spPLR/ 

มีซับ https://youtu.be/tPV7xG7w25s

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันพุธที่ 6 กันยายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

ตอนนี้เราก็ได้รัฐบาลใหม่ ได้นายกคนใหม่ แต่ไม่รู้จะได้อะไรใหม่ๆหรือไม่ ก็ดูกันอีกที เขาก็ทวงถามว่าค่ารถไฟฟ้า 20 บาททำได้หรือเปล่า ค่าน้ำมันค่าไฟฟ้าจะลดลง ก็ดูไป ส่วนพวกเราชาวอโศกก็จะมีการเตรียมงานเทศกาลกินเจ อีก 8 วัน เด็กนักเรียนก็จะปิดเทอม ผู้ใหญ่ก็มาช่วยกันเตรียมงานเทศกาลกินเจ ที่จะเริ่ม 15 ตุลาคมนี้ 

SMS วันที่ 4 ก.ย. 2566

 

การพูดแทรก การแสดงทิฏฐิความเห็นไม่ใช่กิเลสเสมอไป 

_พวธ.ไพรน้ำเพชร . น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้เป็นสยังอภิญญา ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ 

วันนี้ระหว่างเข้าสนทนาธรรมกับหมู่กลุ่ม รร ของหนู ลูกได้ฟังคุรุกิ๊ฟให้ลองไปแกะกิเลสการชอบพูดแทรกคนอื่น จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นใหญ่ได้ / เรื่องใหญ่ก็จะยิ่งใหญ่มาก  ลูกได้เห็นกิเลสหลายตัวดังนี้ค่ะ 

1. กิเลสตัวใจร้อน / โลภ อภิชชาวิสมโลภะ เป็นอาการกิเลสที่ดิ้นรน เพ่งพุ่ง ในการเคลื่อน เพื่อจะออกเป็นวาจา ตามที่เจ้านาย คือ อุปาทานข้างในยึดในความเห็นตนเองว่าถูกและดีกว่าของผู้อื่นนั้นผิดหรือแย่กว่า 

พ่อครูว่า…มีวิเคราะห์วิจัยออก ที่จริงมันก็ไม่ผิดนะ ที่เราวิจัยอย่างนั้นเพื่อให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร มันก็ไม่ผิด ถูกแล้วที่จริงมีธัมมวิจัย เรียกว่าธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็วิเคราะห์วิจัย 

แต่ว่าเมื่อจิตของเราเกิดการธัมมวิจัยแล้ว ตอนนี้เราจะพูดแทรกพูดแซงออกมา ในวาระนี้ ควรไหม? อันนี้ต่างหาก มันควรไหมตอนนี้ ถ้าเห็นควร เออ ตอนนี้แทรกตอนนี้หรือพูดออกมาตอนนี้แหละควร จะได้ประโยชน์สูง จะได้ประโยชน์ดีมากอันนี้ตรงนี้ ให้สำคัญตรงนี้กัน 

_ แท้ที่จริง ความเห็นเป็นเพียงความเห็น แต่เราเข้าไปข้องอยู่ จะยึดแพ้ ยึดชนะ จึงออกอาการใจร้อนออกมา เป็นอุปกิเลสซ้อน สลายอุปาทาน  ทิฏฐุปาทาน / ในอุปาทาน 4 

พ่อครูว่า…ก็ตรวจสอบสิ่งที่เรายึดเราติด อุปาทาน 4 มี กามุปาทาน สีลพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตตวาทุปาทาน พวกเราจะไปยึดติดอยู่ที่ อัตตวาทุปาทานเยอะ ได้ความรู้แล้วก็เป็นวาทะยึดอยู่ที่ตัวเราเป็น อัตตา แล้วก็เป็นวาทะ เป็นบัญญัติเป็นภาษาเป็นความรู้ แม้รู้แล้วมีภาษาประกอบด้วยก็อยากจะกล่าววาทะนั้นออกมา อันนี้แหละ อัตตวาทุปาทาน ก็สลายอุปาทานของตัวเองก็ดี 

การสลายก็คือ การได้เห็นว่า เราเห็นอย่างนี้หรือเรามีวาทะอย่างนี้ เรื่อง กามุปาทาน ของตนไม่เป็นไร อ่านออกแล้วก็สลายไปเร็วได้ยิ่งดี หรือแม้แต่ ทิฏฐิของตนเอง มันก็เป็นของตนเองเห็นว่าเป็นทิฐิตัวเอง แต่มันควบอยู่กับ อัตตวาทุปาทานนี่ ควบความเห็นของตน แล้วก็ยึดเป็นของตน อัตตา แล้วก็จะพูดเป็นวาทะออกมา มันเป็นวาจากรรมพวกนี้ นั่นแหละก็ต้องรู้ว่า การเกี่ยวข้องที่อาตมาพูดขยายภาษาขยายความสู่ฟัง เราก็ดูว่าสภาวะธรรมมันคือตรงไหนบ้างแล้วเราจะจัดการกับมัน 

_คลายความยึดถือในความคิด / ความเห็น / ของตนเอง  เพราะแม้ความเห็นเราเองก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้ ตามชุดข้อมูลที่ได้รับในแต่ละเวลา

พ่อครูว่า…มันไม่เที่ยงเมื่อเวลาผ่านไป มีองค์ประกอบใหม่ มันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้ เป็นต้น 

_เราเองยังเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นก็เช่นกัน การที่เขามีความคิดเช่นนั้น เพราะเขามีชุดข้อมูลเช่นนั้นในคลังสัญญา จึงแสดงออกมาตามนั้น เราจึงควรรับฟังว่า ความคิดเขาเป็นเช่นไรเพื่อที่จะได้ช่วยปรับทิฏฐิเขาได้ หากโอกาสอำนวย และหากทิฏฐิเราผิด เราก็สามารถรับฟังและเอาประโยชน์จากความเห็น คำพูดเขาได้เช่นกัน   เป็นอาการจิตที่มีความชัง จึงบังความจริง ทำให้มองไม่เห็นความจริง 

พ่อครูว่า…ไม่ใช่ว่าจะให้เขาฟังแต่เรา ความเห็นของเรา ถ้าเราฟังเขาเราก็ได้ฟังความเป็นของเขา มันก็จะมีประโยชน์ 

_หากเมื่อสลายมิจฉาทิฏฐิจุดนี้แล้ว เราจะรู้ว่า โกรธ / ในทุกขนาด ตั้งแต่ เล็ก / กลาง / ใหญ่ เป็นความโง่   แต่อัตตาคือความจริง 

2.  อยากแสดงความเห็นตัวเอง เป็นอัตตา / มานะ 

พ่อครูว่า…มันก็ไม่เชิงนะ อยากแสดงความเห็นตัวเอง มันก็ไม่ใช่กิเลส จะเรียกว่าเป็นกิเลสถ้ามันเองมันมากไป แต่ถ้ามันพอดี มันไม่ถือว่าเป็นกิเลสอัตตามานะ มันเป็นความมุ่งดี หมายดี..มานะ เป็นความปรารถนาดีก็เป็นของเรา เพราะฉะนั้นถ้ามันสมเหมาะสมควรในกาละโอกาสที่ควร มันก็เป็นประโยชน์ มันก็ไม่ถือว่าเป็นกิเลส แต่มองเป็นกิเลสไว้ก็ดี ระมัดระวัง

_เห็นว่าความคิดเห็นเพื่อน ไม่ถูก / ของเราถูก เค้าผิด 

พ่อครูว่า…อันนี้แหละอย่าเพิ่งไป แต่ที่จริงคนเรามีความเห็นอย่างที่เราเห็นแล้วแสดงออกอย่างนี้ มันก็ต้องมีแนวโน้มว่าของเราถูกแล้วล่ะ ใช่ไหม เราจะแสดงออกไป ย่อมไม่แสดงความเห็น เก๊ๆผิดๆออกไปหรือว่ามันผิดก็แสดงออกไปอย่างผิดๆนี่แหละจะทำไม อย่างนั้นมันนิสัยเสียแล้ว..จะประชดประชัน แสดงความเลวออกมาดื้อๆ มันจะวิปลาสหรือเปล่า ก็ต้องแสดงความเห็นที่เราคิดว่าถูกทั้งนั้นแหละ 

_ สลายสุข ที่ผู้อื่นเห็นตามความคิดตนเอง ก็จะไม่ทุกข์เมื่อผู้อื่นเห็นต่างจากความคิดตนเอง 

พ่อครูว่า…เป็นการศึกษาตัวเองแสดงออกไปแล้วมันยึดเป็นความสุขก็จะได้สลายความสุข มันจะได้ไม่ทุกข์เมื่อคนอื่นเห็นต่าง 

3. อยากได้ความเข้าใจจากผู้อื่น สลายสุข ที่คนอื่นเข้าใจเรา  เราก็จะไม่ทุกข์เมื่อเขาไม่เข้าใจ เพราะสุขนั้นเป็นสุขหลอก สุขลวง สุขไม่เที่ยง สุขไม่มีจริง เป็นสุขที่เป็นทุกข์ เป็นสุขตอแหล  หันมาเอาสุขแท้คือสุขจากการที่ไม่ทุกข์ดีกว่า 

พ่อครูว่า…ใช้ภาษามาดี ทำให้ได้ก็แล้วกัน อย่างที่อธิบายมาละเอียดดี 

4. อยากอวดว่าตัวเองรู้ดีกว่า เป็นอุปกิเลส หลายตัว ค่ะ เช่น ถัมภะ หัวดื้อ ไม่ยอมรับผิด / ไม่ยอมรับฟังความคิดผู้อื่น จนต้องดิ้นรนจนต้องพูดแทรกผู้อื่น มักขะ/ปลาสะ ยกตนข่มท่าน เห็นว่า ตัวเองสูงกว่าคนอื่น ความเห็นตนเองดีกว่าความเห็นคนอื่น จึงดูหมิ่นความเห็นผู้อื่น 

มีมายา เป็นลักษณะ อาการกิเลส ที่ไม่ยอมเสียหน้า มีมานะ - อติมานะ ดูหมิ่น ดูแคลน ความคิด / คำพูด / การกระทำ ผู้อื่นจึงบดบังความจริง 

สรุป ล้วนเป็นอาการกิเลสที่น่าเกลียด ทำให้เราเป็นคนไม่ดี ไม่สามารถเอาประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆได้หากเราหลง มีอาการเหล่านี้ในจิต เราก็ประมาท กับกิเลส 

เมื่อเห็นแจ้งตามนี้ ก็สลายความคิดกิเลส ที่จะคิดพูดแทรก หรือ แสดงความเห็นของตน โดยการตั้งศีล ลดการพูดลง  ไม่พูดแทรกผู้อื่น  และฟังผู้อื่นพูดให้จบก่อน ค่ะ หลังจากการพิจารณาประกอบเรื่องแรงเหนี่ยวนำแล้ว ก็จะยิ่งเห็นความร้ายแรงของการพูดแทรก และ ไม่ฟังผู้อื่นให้จบก่อนค่ะ 

ลูกน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์  พ่อครูผู้เป็นสยังอภิญญา ผู้ให้สัมมาทิฏฐิ ที่ได้เมตตานำคำสอนที่แท้จริงนี้มาประกาศให้ลูกที่ยังวนเวียนอยู่ในทุกข์นี้ได้พอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ และได้ก้าวเดินตามแสงสว่างนั้นได้  ทำให้ความทุกข์ที่ฝังแน่นในใจนั้น หายไปเป็นส่วนใหญ่ และ จางคลายลงอย่างมาก ลูกขอบพระคุณมากๆต่อท่านอาจารย์หมอเขียว ผู้ปลุกลูกให้ตื่นทางจิตวิญญาณ  และ ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านสมณะทุกรูป ท่านสิกขมาตุทุกรูป และ ท่านคุรุทุกท่านที่คอยให้สัมมาทิฏฐิแก่ลูกมาโดยตลอด ลูกจะตั้งใจ ศึกษา และพากเพียรฝึกฝนเต็มความสามารถตลอดชีวิตนี้ค่ะ 

พวธ.ไพรน้ำเพชร /  ผาสุก - อินโดนีเซีย  5 กันยายน 2566

—————————————

พ่อครูว่า…ดี ศึกษาไป การศึกษาของคนแต่ละคนแต่ละคน อย่างที่รายงานผลของตัวเองขึ้นมานี่แหละ แม้ว่ายังทำไม่ได้ทีเดียว แต่มีความเข้าใจการแยกแยะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะธรรมะต่างๆ โดยเฉพาะแยกไปในสิ่งนี้ถูก สิ่งที่ผิด สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร สิ่งนี้เป็นกิเลส สิ่งนี้ไม่เป็นกิเลสหรอก มันเป็นแค่ความเห็น มันเป็นแค่ทิฎฐิ ทิฎฐิความเห็นถูกดีด้วย มันเป็นๆแค่ทิฎฐิ บางทีมันอาจจะถูกบางทีมันอาจจะผิด ก็ค่อยๆเข้าใจใช้สภาวะ ขออภัยใช้พยัญชนะสื่อสภาวะต่างๆออกมาสู่กันฟัง ก็ใช้อาศัยการแสดงอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้พยัญชนะ สื่อให้คนรับฟังรับรู้แล้วก็ได้ประโยชน์กันมา 

 

พ่อครูท้อไหมในการต่ออายุขัย

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูคะ ลูกได้เห็นพ่อครูประนมมือกล่าวคำขอขมาด้วยความอ่อนน้อมต่อพระมหาปยุต

ลูกรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ลูกขอกราบเรียนถามว่าโลก ณ.วันที่เป็นอย่างนี้ พ่อครูท้อไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…ใครว่าอาตมาท้อไหมเอ่ย ...ไม่ อาตมาไม่ท้อหรอกไม่มีท้อเลย ไม่เคยท้อสักครั้ง มีแต่มันฮึด มันแย่แล้วตอนนี้ก็เคยบอก มันไม่อยากกินอาหารแล้ว อาการของคนไม่อยากกินอาหารนี่ เป็นยังไงก็คงรู้ 

1.มันป่วยไม่สบายไม่อยากกินอาหาร 

2. ไม่ใช่มันป่วยไม่สบายหรอก แต่มันไม่อยากกินอาหารแล้ว มันอยากจะปล่อยวาง เลิกชีวิต มันเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นมันก็เป็นลักษณะ มันไม่อยากจะรับเข้าไปแล้วอาหาร ไม่ใช่ว่าอาตมากินอาหารนี่ไม่อร่อยแล้ว อาตมาเป็นมานานแล้ว ไอ้กินอาหารไม่อร่อย กินอาหารตามรสชาติจริงของมันเลย อาตมาก็ได้บรรลุธรรมอันนี้ กินอาหารไม่อร่อยนี่คือการบรรลุธรรม ก็กินตามธรรมชาติของอาหาร 

อันนี้เปรี้ยว อันนี้หวาน อันนี้ก็รสจืดๆรสธรรมดา  อันนี้รสขม รสเผ็ดอะไรก็รู้ตามเป็นจริง แต่อร่อยไม่มี อย่างนี้เป็นการบรรลุธรรมบรรลุมานานแล้ว แต่ทีนี้เมื่อมันไม่อยากกินอาหาร อยากจะปล่อยวาง อยากจะเลิกขันธ์ สรีระมันจะบอก สรีระมันไม่อยากให้เรากิน 1. มันป่วยอวัยวะเจ้าการมันไม่รับ 2. องค์รวมของชีวิตมันไม่อยากรับแล้ว 

แต่ทีนี้อย่างอาตมานี่มันไม่ได้อยู่ในกรณี ผ่านกรณีที่ 1 ผ่านกรณีที่ 2 ก็ไม่ใช่ กรณีที่ 3 คือ มันฝืนขันธ์ ขันธ์มันแย่แล้ว ขันธ์ของอาตมาฝืนอายุขัยมาได้ถึง 72 ไปถึง 90 ฝืนมา 18 ปีแล้ว ลากขขันธ์ไปยังไม่ยอมตาย อาตมาถึงบอกว่าอายุขัยมันแค่ 72 ปี แต่มันลากขันธ์มาจนฝืนมาก อันนี้แหละมันหนัก อันนี้แหละลำบาก อาตมาพยายามตั้งเกณฑ์ตั้งเป้าไว้ว่าจะอยู่ให้ได้สัก 120 ถึงวันนี้นี่ลองทายซิว่าอาตมาจะฝืนไปถึง 120 ไหม ...(ลูกๆว่าเกิน..ใจถึง) ใจถึงแล้วจะเอากายไปถึงไหม จะเอากายไปถึง 120 ไหม 

อาตมาเห็นท่าแล้วว่ามันคงยากแสนยากจะไปถึง 120 คงเป็นไปไม่ได้ นี่โยมภิญญา ไปเสียที่จังหวัดแพร่ เป็นคนจังหวัดแพร่ อายุ 102 ปี ย่าง 103 อ้าว ก็เป็นไปตามที่มันเป็นไปได้ 

_สู่แดนธรรม... ไม้ร่มอยากถามอะไรครับ

_ไม้ร่ม… ที่พ่อท่านบอกว่าอายุ 72 ปีหมดอายุขัยแล้วอันนี้พ่อท่านทราบได้อย่างไรครับ 

พ่อครูว่า... เป็น อจินไตย ถามว่า ทราบได้อย่างไรว่าอายุขัยมัน 72 มันเป็น อจินไตย มันตอบไม่ได้หรอกอธิบายยาก มันเป็นความรู้เฉพาะตน มันเป็นเรื่องของส่วนตน รู้ได้อย่างไร ถึงรู้ก็ไม่บอกหรอก ประเดี๋ยวคุณเอาไปใช้ 

_ไม้ร่ม..ผมเองมีคุรุท่านหนึ่งบอกว่าผมหมดอายุตอน 72 ปีเหมือนกันและผมก็เกือบหมดอายุจริงๆ แต่ผมไม่มี อจินไตย ที่จะรู้อายุนะครับ จะเท็จจริงโกหกอย่างไรผมไม่ทราบ 

พ่อครูว่า... ก็ ไม่ตายก็ไม่เป็นไรนี่ 72 ไม่ตายก็ไปเรื่อยๆ คุณก็เท่าไหร่แล้วตอนนี้ตอนนี้ 82 

_ไม้ร่มว่า... 28 ครับ เกิด 16 มิถุนายน 2484 

พ่อครูว่า... ทำไม จะห่างอาตมาตั้ง 7 ปี 

_สู่แดนธรรม... เลยถามพ่อท่านต่อว่าพระอรหันต์ที่ท่านพยายามต่ออายุสังขาร 

พ่อครูว่า... พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ไม่อยากต่ออายุหรอก 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านมีผู้ที่เป็นตัวอย่างให้พ่อท่านได้ศึกษาไหมครับ 

พ่อครูว่า... ก็มีสิ พระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆ ไม่ได้เกิดมาน้อยๆชาติแต่เกิดมาเป็นไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ก็พบกัน รู้จักคนนั้นคนนี้ ตัวอย่างเยอะไป เยอะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของสัจธรรมด้านเรื่องนี้ เรื่องศาสนาพุทธอันนี้ยิ่งใหญ่ ศาสนาเทวนิยมเขาไม่มีสิทธิ์รู้เลยเรื่องเกิดเรื่องตายเรื่องเกิด เรื่องตายเกิด ก็ได้ตายแล้วไม่เกิดก็ได้ 

_สู่แดนธรรม... มีหลักฐานพระพุทธเจ้ายืนยันว่าถ้าหากใช้อิทธิบาท แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวอย่างจากบุคคล หาไม่ได้จากหลักฐาน 

พ่อครูว่า... ก็นี่ไง ตัวจริงเป็นๆ หลักฐานมี ท่านไม่พูดกัน ไม่ใช่อะไร พระไตรปิฎกเล่มของพระมหากัสสปะไม่เอาเรื่องราวของพระโพธิสัตว์มา ถ้าไปเอาของมหายานจะมีเยอะแยะ ความคิดพวกนี้โพธิสัตว์คุยกันเรื่องนี้ แต่ของเรา เป็นยอดเถรวาท กัสสปะนี้ยอดอรหันต์ ยอดเถรวาท ไม่เอาเรื่องของโพธิสัตว์มาพูดเลย เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกจะไปมีเรื่องราวลักษณะพวกโพธิสัตว์อะไร แม้จะมีลักษณะโพธิสัตว์ คนที่รู้จักก็จะรู้ แต่คนไม่รู้จัก มันก็คือธรรมะที่เอามาใช้ในเชิงของอรหันต์เท่านั้นเอง 

_เพชรรัตน์ แรงค์ · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ... เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาลูกเคยกราบนมัสการบอกกับพ่อครูในคอมเมนต์ว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่.. อีกสองเดือนจะขอมาอยู่ที่บ้านราชฯ... วันนี้มาถึงบ้านราชแล้ว.. พักที่เฮือนบวร.. ลูกรู้สึกขอบคุณพ่อครูทุกครั้งที่ได้มาพัก... เป็นที่พักที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ.. แม้จะนอนกรนไม่สะดวกเหมือนที่บ้าน..55 (ลูกน้อมระลึกถึงข้อธรรมในเรื่องของการได้สำรวมอินทรีย์) กราบขอบพระคุณพ่อครูสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…สำรวมอินทรีย์ถึงขั้นไม่กรนได้นี่เก่ง สำรวมได้นะการกรน อาตมาถ้าไม่ปล่อยให้กรนก็ไม่กรน แต่ถ้าปล่อยให้นอนมันก็กรนได้ ไม่ให้กรนมันก็ไม่กรน 

 

กระแสหลักรู้จักโพธิรักษ์ แต่เขาไม่รู้จักโพธิรักษ์

_แดง สารคาม  · อนุโมทนากับญาติธรรมที่อยู่ในบ้านราชได้  ผู้มีบุญกุศลมากจึงได้อยู่และอยู่ได้ค่ะ คนที่หมู่บ้านดิฉันไม่รู้จักพ่อครูเลยสักคนเลยค่ะ

พ่อครูว่า…แดงเขากลับไปเลี้ยงแม่ตอนนี้ น่าจะใช้คำว่าอนุโมทนากับญาติธรรมที่ได้มาอยู่บ้านราช ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาไม่รู้จักอาตมา อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี ออกโทรทัศน์มาก็ไม่น้อย โทรทัศน์เขาก็มี โทรศัพท์มือถือเขาก็มี แต่เขาไม่รู้จัก คนรู้จักก็ขยิบมือเดียว มันก็เป็นธรรมชาติ 

ถึงแม้ว่าคนเขาจะผ่าน ผ่านนะ เขาก็ไม่สัญญากำหนดว่าคนนี้เคยผ่านตา ยิ่งไม่ฟังธรรมเลย เขาก็ยิ่งไม่รู้จัก อาจจะผ่านตาเขาแต่เขาไม่รู้จัก ไม่กำหนดสัญญา เขาไม่สะดุดเลย ไม่มีสัญญากำหนดรู้ไม่สะดุดเลย ผ่านๆๆ มันก็ไม่บันทึกไว้เลยในสัญญา ผ่านไปเฉยๆมันก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก มันไม่แปลกหรอก มันแสดงถึงความจริงที่ว่า อาตมาเป็นตัวผู้ที่นำโลกุตรธรรมมาในยุคนี้ เป็นผู้นำโลกุตรธรรมขึ้นมาสืบทอดของพระพุทธเจ้า นี่ก็พูดความจริง บอกความจริง มาทำงานศาสนาที่แท้จริง 

ขนาดกระแสหลักคุณคิดดูสิ เขารู้จักโพธิรักษ์ แต่เขาไม่รู้จักโพธิรักษ์ เป็นปราชญ์ทางศาสนากระแสหลักด้วย เขารู้ว่าโพธิรักษ์แต่เขาไม่รู้จักโพธิรักษ์ โพธิรักษ์บอกว่าโพธิรักษ์ เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้นำโลกุตรธรรม นำธรรมะที่ถูกต้องมาแสดงธรรมะ แล้วมันไปค้านแย้งกับเขา เขาก็เพ่งเลยบอกว่าไอ้คนนี้ไม่ใช่พุทธ ใช่ไหมง่ายๆ อย่าไปรู้จัก รู้จักเรา ตรงกันข้ามถ้ารู้จักเราแล้วหนี คือมารผู้มีบาป ใครรู้จักเรา ตถาคตเห็นเราแล้ว ตถาคตรู้จักเราแล้วมารรีบวิ่งหนีเลย รีบหายไป 

_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า  · พ่อครูครับทำไมพระทั่วไปเอาแต่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสังคม แต่สังคมเสื่อม พระกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว..หรือพระอยู่เหนือปัญหาของโยม..หรือพระเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว..ถ้าประเทศไทยลดวัดไปครึ่งหนึ่ง. เศรษฐกิจจะดีกว่านี้.ผิดถูกขออภัยครับ

พ่อครูว่า…ก็เขาไม่ใช่พระจริง เขาก็ต้องเอาอะไรจากสังคม วัดทุกวันนี้เป็นสถานที่ของคนออกมาทำหากิน แล้วก็มาสร้างวัดเป็นดินแดนของตัวเอง ได้เป็นเจ้าอาวาสวัด แล้วก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เลี้ยงชีวิตไป พูดแล้วน่าเกลี๊ยดน่าเกลียด แต่เป็นจริงไหม เป็นจริง 

มันเสื่อมจริงๆ ที่จริงไม่ใช่ศาสนาเสื่อม แต่ชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนา เสื่อมไปจากธรรมะพระพุทธเจ้า เสื่อมไปมากจริงๆ มันเสื่อมจนกระทั่งไปเอาเรื่องของเดียรถีย์ผิดเพี้ยนเป็นไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชาไปสร้างเป็นพิธีกรรม สร้างไอ้นู่นไอ้นี่เต็มไปหมด ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนี้เลย มีแต่เรื่อง เนื้องอกศาสนา 

_ตุ๊ก อัศวิน · กราบขอโอกาส..เจ้าค่ะ

เมื่อวันที่ 31/8/2566 ได้โอกาสเป็นหนึ่งใน สมาชิก ด้อม'ลุงตู่ ที่พร้อมใจกันแห่แหนไปแสดงความรักและความอาลัย ที่ ลุงตู่ หมดวาระ...จำจากตำแหน่งหน้าที่ นายกรัฐมนตรี#29 อย่างสง่า ผ่าเผย ในบรรยากาศที่น่าประทับใจฝุดๆ เจ้าค่ะ สมดังว่า..'ตำแหน่งอยู่ไม่นาน. แต่ ตำนานจักอยู่นานนนนเท่านานนน' (Not long in position...But the legend lives forever.)

ขอโอกาสนี้_/\_ขอบพระคุณ ลุงตู่ ที่ท่าน ทุ่มเท กรำงานมาอย่าง เต็มสูบ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) และ ซื่อสัตย์ !!

สมณะฟ้าไท... เราจะเห็นคุณตุ๊กอัศวินไป ให้กำลังใจลุงตู่ตอนออกจากทำเนียบ ตอนนี้ลุงตู่ก็ได้พักผ่อนให้เศรษฐารับผิดชอบต่อ 

พ่อครูว่า... ก็เป็นธรรมดางานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ลุงตู่ก็มีวาระของลุงตู่ ทำขนาดนี้ก็ไม่น้อยแล้ว เป็นนายกตั้ง 9 ปีไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ ดูเหมือน 9 ปีนี้จะทำลายสถิติ ไม่มีใครเป็นนายกถึง 9 ปี พลเอกเปรมก็ 8 ปี แต่ท่านออกเอง ถ้าท่านจะอยู่ต่อก็อยู่ได้แต่ท่านก็บอกว่าพอแล้ว 

_สร้าง โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures) ต่างๆ เช่น เส้นทางคมนาคม..เชื่อมโยงดุจใยแมงมุม โยงไปทั่วใน กทม ส่วนใน ตจว ก็เชื่อมโยงถึง ต่างประเทศ เจียวหนา..อีกทั้งสนับสนุน พลังสะอาด (Clean Energy) โดยเฉพาะ พลังแสงอาทิตย์ เพื่อสิ่งแวดล้อมของไทย และ ของโลก !! ทำให้ ประเทศไทย น่าอยู่ เป็น ประเทศที่ชาวโลก Vote ให้เป็น ประเทศที่น่ามาเที่ยวที่สุด. ของโลก!! Wow..Amazing Thailand!! ช่างน่าปลื้มใจในวิสัยทัศน์ ของลุงตู่ ยิ่งนัก!!ต่อแต่นี้..ลุงตู่ จะได้พักผ่อน เพื่อ สั่งสม พละกำลัง ทั้งกาย/ใจ !!ท่านจักได้โคจรมารับภาระนี้ต่อไปในภายภาคหน้า..!!"ขิงยิ่งแก่..ยิ่งเผ็ด เจ้าค่ะ"

กราบขอบพระคุณที่ให้โอกาสเจ้าค่ะ

_ดาวแดนบุญ รุ่งไร่โคก  · โทนี่เป็นอดีตนายกคนเดียวของไทย ที่ไม่รู้เรื่องกรรมและอัตตาตัวตนของเขา โทนี่ใจมืดบอดเห็นแก่ตัวและคิดว่าเขาได้อย่างเดียว เข้ากรงขังแบบง่ายพร้อมหลักฐานชัดเจนตราประทับไว้เป็นประวัติศาสตร์ ใช่ไหมค่ะ

พ่อครูว่า…ถูกทั้งนั้น ยังถูกหนักกว่านี้อีก ยังไม่หมด

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร : สิ่งสำคัญที่สุด คือ ทักษิณควรไปติดคุกให้ชัดเจน ขอนำบทความมาให้อ่านครับ จากคุณ ปราชญ์ สามสี ผมไม่ได้อยู่โลกสวยหรอกนะครับ ผมคือคนที่ทักษิณ แจ้งความหมิ่นประมาท... ในขณะคนบางคน นอนกระดิกตีนอยู่กับบ้าน.ผมคือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ทักษิณอย่างชัดเจนทั้งเรื่องคดีหมิ่น คดีอื่นๆ แต่ อะไรที่ ต้องรู้จักอภัย ก็ต้องอภัยให้เป็น เขาได้รับพระราชทานอภัยโทษจากในหลวงแล้ว จะเอาแต่ใจไปสั่งให้ในหลวงถอนคำพูดได้อย่างไร??

มันไม่ใช่เรื่องที่คนเราจะโกรธจนจะฆ่ากันไปข้าง ขนาด ร.6 ยังอภัยโทษคนที่ ลอบสังหารพระองค์เลย จะมาบ่นบอกว่า ทักษิณติดคุกน้อยไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องกรณี คุณสนธิ ติดคุก 80 กว่าปี ได้รับอภัยโทษเหลือ เพียง 2 ปี 11 เดือน ก็ไม่ใช่ปัญหา

คดี คอมมิวนิสต์ที่เข้าป่า ก็ให้ อภัยโทษ ด้วยมาตรา 66/23 กลายเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ความยุติธรรม ไม่ใช่การทำโทษทุกคนเท่าๆกัน ..แต่คือการทำให้คนสำนึก แปลเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นคนที่ปลอดภัย...ไม่ให้คนเหล่านี้มีอำนาจก่อความวุ่นวายได้อีก ชัยชนะบนซากปรักหักพังไม่ใช่เหตุที่ควรเป็น

_วรัช นาวาบุญ  · พ่อครูครับ ทางทีวีช่อง 119 เปิดดูไม่ได้ครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…อาตมาก็ได้แต่อ่านไปไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะอาตมาไม่มีปัญญาที่จะช่วย คุณเปิดดูไม่ได้อาตมาก็ไม่รู้จะไปช่วยยังไง 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... ทนายเขาบอกว่าทักษิณป่วยหนัก เราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง เราก็ฟังเขาไว้ 

พ่อครูว่า... ไม่มีปัญหา ป่วยหนักเดี๋ยวเขาก็ตายก็เห็นเองแหละ จะเท็จจะจริงก็ไม่มีปัญหา เขาป่วยหนักไปเดี๋ยวเขาก็ตายก็มันก็จริง 

สมณะฟ้าไท... แต่คนที่เขาไม่ชอบทักษิณ เขาก็เอาลงในติ๊กต๊อก บอกว่าชยันโตโพธิมูเล...สวดส่งเลย คนไม่รู้จะพูดยังไงก็เอาพระสวดหน้าศพเอาภาพมาใส่ให้เลย เป็นการระบายอารมณ์ 

พ่อครูว่า... ชยันโตได้ไง ต้อง อกุสลาธัมมาต่างหาก แหม ไม่เคยสวดก็เลยผิด ไม่เหมือนพระทางโน้นเขาก็สวด เขาก็รู้ คุณไม่เคยสวด คุณไม่เคยพาสวดก็สับสน 

_สู่แดนธรรม... ท่านไปสวดให้พรกับ 

สมณะฟ้าไท... พ่อครูให้สวดยถาสัพพีกันไว้ 

พ่อครูว่า... ยะถาสัพพีคือการให้พร กุสลาธัมมา คือส่งสการ

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านว่าจะขยายความเรื่องมารไม่สู้หน้า 

จากพระไตรปิฎกเล่ม 15 เริ่มตั้งแต่ข้อ 416 

มารสังยุต ปฐมวรรคที่ 1 ตโปกรรมสูตรที่ 1

อาตมานำพระไตรปิฎกอันนี้มาอ่านมายืนยันมา ใช้เป็นตัวหลักฐานอธิบายในมุมที่ ได้พูดผ่านไปแล้ว ว่า ปัญญานี่ เมื่อเป็นตัวปฏิบัติการเป็นปัญญา เป็นตัวปัญญาเองเสร็จแล้วนี่ มารเห็นหน้าปัญญา มันจะกลัวเลย มันมีธรรมฤทธิ์ ที่อาตมาใช้คำนี้ ปัญญามันมีธรรมฤทธิ์ในตัว 

มันก็คือกิเลส มันก็คือความชั่ว ความชั่วเจอปัญญา เจอตัวจริงของความรู้ทัน มันจะหายไปมันจะหนีไปเลย มันจะชนะ มันเป็นธรรมฤทธิ์ มันจะชนะ อันนี้เป็นสัจจะที่ยืนยันความจริงของความเป็นปัญญาหรือยืนยันความจริงของสัจจะ สัจจะหรือปัญญามันอันเดียวกัน มันก็เป็นตัวถูก เป็นตัวจริง ผู้มีปัญญารู้ถูกรู้จริง ก็เป็นผู้ชนะ 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

พ่อครูเปรยว่าน่าจะหยุดการเทศน์เพราะรูปขันธ์ไม่อำนวย

เอ๊.. วันนี้คันคอจริงๆ 

ที่จริงอาตมาอยากจะเปรยว่า คง น่าจะหยุดแสดงธรรม น่าจะเลิกเทศน์ได้แล้ว มันรู้สึกว่ามันฝืน อาการมันหนักขึ้น เพิ่มขึ้น มันไม่น่าจะเพิ่มการเทศน์มากขึ้น มันน่าจะลดลง อันนี้ก็เป็นไปตามจริง ซึ่งฝืนใจอาตมา เจตนาของอาตมาเองอยากจะเทศน์มากๆ ใครๆก็คงจะรู้คงพอเข้าใจอยู่ แต่ความจริงของสังขารมันไม่ให้แล้ว 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน… พ่อท่านเหลือวันละชั่วโมงก็ได้ 

พ่อครูว่า... แต่เวลาเทศน์แล้วเบรคมันไม่มี มันไป แล้วใครก็ไม่ค่อยกล้าช่วยเบรค อาตมาจะเบรคก็ต้องเบรคเองนะ 

สมณะฟ้าไท... เขาเกรงใจพ่อครู แต่เบรคไม่อยู่ครับ 

พ่อครูว่า... เออ เอาละ ตามควรก็แล้วกัน มันพอเป็นไปอยู่ ยังไม่ตายก็ไปได้ อาตมามารู้สึกอย่างหนึ่งสังขารจะแย่อย่างไร สำหรับผู้ที่จะเรียกว่า มีสิทธิ์พิเศษ เรียกโก้ๆว่า มีอภิสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือมัน มันสามารถทำได้ อาตมานี่มันแย่มากกว่าที่ควร แต่อาตมาก็ฝืนได้เก่ง ฝืนได้ดีกว่าที่ควร 

_สู่แดนธรรม... เรียกว่าวิสังขารได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... วิสังขารก็ได้ อ่านพระไตรปิฎก ฟังภาษาเพราะๆของพระไตรปิฎกบ้าง อาตมาเอามารสังยุตมาประกอบการอธิบาย 

มารผู้มีบาปหายไปเพราะปัญญาของพุทธ

พระไตรปิฎกเล่ม 15 เริ่มตั้งแต่ข้อ 416 

มารสังยุต ปฐมวรรคที่ 1 

ตโปกรรมสูตรที่ 1

[416] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงประทับพักผ่อนอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งพระทัยอย่างนี้ว่า โอ เราเป็นผู้พ้นจากทุกกรกิริยานั้นแล้ว โอ สาธุ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากทุกกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น โอ สาธุ เราเป็นสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณแล้ว ฯ

พ่อครูว่า... การรู้ตัวว่าเราได้พ้น ทุกรกิริยา เป็นคำที่บอกเรื่องกิริยา ทุกระ คือ ทุ กับ การ คือ ไปบำเพ็ญกิริยาแบบอุกฉกรรจ์ที่ต้องทรมานอะไรอย่างนั้นท่านพ้นมาแล้ว ได้รู้ และแค่นี้ก็ถือว่าเราเป็นโพธิสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณแล้ว แต่ท่านเป็นผู้บรรลุโพธิญาณ ท่านตรัสได้ว่าท่านบรรลุโพธิญาณ แต่คนธรรมดาทั่วไปยังไม่ถึงขั้นโพธิ ยังไม่รู้ความตรัสรู้ในระดับที่ควรจะเป็น ที่จริงโพธิสัตว์หรือโพธิ ก็ควรจะนับตั้งแต่อรหันต์ จบอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ เป็นโพธิญาณ 

อาตมาอธิบายโพธิสัตว์ตั้งแต่โสดาบัน เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขั้นที่ 1 อาริยธรรม สกิทาคามีเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 อนาคามีเป็นโพธิสัตว์ระดับ 3 อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 นี่เป็นโพธิสัตว์ 4 ระดับแล้ว 

กว่าจะถือว่าเป็นผู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่าสัพพัญญู ก็ไปอีกไกลเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์ถึงขั้นที่ 6 หรือเป็นโพธิสัตว์ขั้นที่ 9 ต่อไป เป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์เป็นระดับ 8 พระพุทธเจ้าเป็นระดับ 9 ตามสัจจะของมัน ตามหลักสังขยาเลขเลย พวกนี้เป็นสัจจะ 

ในการอธิบายโพธิสัตว์ก็ดี อธิบายอรหันต์ก็ดี ระดับของอรหันต์ระดับของโพธิสัตว์นี่ เราจะมีคนมาอธิบายอย่างนี้สู่กันฟัง ไม่ใช่เรื่องสามัญ เป็นเรื่องวิสามัญ เป็นเรื่องที่จะต้องมีคนที่มีความรู้อย่างอาตมามีความรู้ ก็ถึงจะมาอธิบายได้ ไม่เช่นนั้นพูดเลอะๆ     เทอะๆไปไม่ได้หรอก พูดไปประเดี๋ยวเถอะเละ ถ้าไม่จริงก็เละ​ มันไม่ใช่เรื่องเล่น มันเป็นเรื่องละเอียดลออสูงส่งมาก 

แค่โพธิสัตว์กับอรหันต์แตกต่างกันอย่างไร มันใช่ง่ายที่ไหนที่จะพูด ยิ่งเมืองไทยเถรวาทไม่รู้เรื่องโพธิสัตว์เลย นี่ยิ่งไม่มีใครรู้เรื่องโพธิสัตว์ อาตมาเอามาพูดนี่มันถึงยุคที่จะต้องพูด เพราะถ้าไม่พูดแล้วโลกุตรธรรมก็ไม่สมบูรณ์ พูดแต่อรหันต์นี่โลกุตรธรรมไม่สมบูรณ์หรอก

ที่จริงอรหันต์ก็ต้องเป็นโลกุตรธรรม แต่มันเสื่อมจนกระทั่งไม่รู้ว่ามาเป็นอรหันต์ โลกุตรธรรมก็ไม่รู้เรื่อง ไม่พูดกันเลยโลกุตระ ที่ต้องเป็นอุตระ เป็นธรรมะที่เหนือชั้นกว่าโลกีย์ก็ไม่รู้เรื่อง แยกโลกียะกับโลกุตระไม่ออก 

อย่างคนในโลก เป็นเทวนิยมกันทั้งนั้น นอกจากศาสนาพุทธ ศาสนาเทวนิยมทั้งหมดเป็นโลกีย์ทั้งนั้น มีโลกุตระคือศาสนาพุทธศาสนาเดียว คิดดูสิคน 7 พันล้าน มีชาวไทย 95% ประมาณ 50 ถึง 60 ล้าน ที่ถือศาสนาพุทธ แล้วถือศาสนาพุทธที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวเลยอีก 70 ล้านนี่ สัก 69 ล้าน ถือศาสนาพุทธให้มากๆ 69 ล้านเป็นศาสนาพุทธ จะรู้เรื่องโลกุตรธรรมอยู่ รู้จริงๆจะถึง 900,000 ไหม ไม่ถึง ไม่น่าจะถึง 900,000 ก็ไม่น่าจะถึง 

รู้จริงๆอยากพวกเราก็ได้แล้ว 9,000 ตีขลุมเอานะ รู้โลกุตระจริงๆ 9,000  มาบรรลุได้จริงๆสักประมาณ 900 มาบรรลุเป็นอาริยะถือว่ามีประมาณสัก 900 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 9,000 บรรลุธรรมของชาวอโศกก็ตาม จะถึงหรือเปล่า นับปุโลปุเลว่า โสดาบันบื้อๆหน่อย ก็อาจจะถึง 

อ้าว อ่านต่อ 

[417] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้ทราบความปริวิตกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยจิต จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้นเสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์เสียแล้ว ฯ

พ่อครูว่า...ที่จริงปริวิตกของท่าน หรือคุยกับเทวดา ก็เป็นการวิเคราะห์วิจัย 

[418] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

เรารู้แล้วว่า ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ให้ไม่ ดุจไม้แจว

หรือไม้ถ่อ ไม่อำนวยประโยชน์บนบก ฉะนั้น (เรา) จึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้ เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว 

พ่อครูว่า... ฟังให้ดี ถ้าอ่านพระไตรปิฎกให้แตก ตบะต่างๆที่ยืนเดินนั่งนอนต่างๆ เป็นเรื่องนอกรีต เป็นเรื่องไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ต้องมาสู่การศึกษา 3 จะเจริญ เจริญมรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา 

ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ฯ

พ่อครูว่า... อันนี้ซ้อน มารเป็นผู้กระทำซึ่งที่สุด เหมือนอย่างมหาบัวบอก เราทำที่สุดในชาตินี้แล้วจะไม่เกิดอีกชาติต่อไป ไอ้ที่เข้าใจผิดๆนั้นพระพุทธเจ้ากำจัดเลย มันเป็นมาร มันเป็นความผิดเป็นความเข้าใจผิด ความโง่ มันซ้อนเห็นไหม ตัวมารนี่แหละตัวเข้าใจผิดเป็นอย่างนี้ เรากำจัดได้เสร็จแล้ว กำจัดความโง่ ความหลงผิดหลงตัวอะไรพวกนี้ คือครบเลย พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ก็คือรู้เท่าทันมารด้วยปัญญาด้วยพระสัพพัญญู 

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ

พ่อครูว่า... มาร พอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้จักหมดว่า มารไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่ถูกต้องสักอย่าง พระผู้มีพระภาครู้จักตับไตไส้พุงหัวใจมันสมองของมารหมดเลย  จะเป็นกิเลส จะเป็นมาร จะเป็นความโง่ จะเป็นอะไรทั้งหมด เป็นตัวเลวตัวร้ายอะไรทั้งนั้น เจอความรู้ เจอความเข้าใจ  เจอความเห็น อันยิ่ง ที่เป็นสภาวะธรรมโดยเกิดขึ้นมาแทน ขึ้นมาเผชิญกันเลยกับไอ้สิ่งที่ไม่ถูกไม่ดีเป็นมาร ไอ้ที่ถูกที่ดีที่เป็นสุดยอดแห่งปัญญาเผชิญมันไป 

ไอ้ที่มีนั้นหลีกหนีไป มันเป็นธรรมฤทธิ์ที่ใช้ภาษาที่ไม่มีภาษายิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว หมายความว่ามันเด็ดขาดเลย ไอ้ตัวนี้ต้องหนี ถ้าปัญญาขึ้นมา มารตาย กิเลสตาย สรุปเข้าง่ายๆตื้นๆสั้นๆ ปัญญาเกิดกิเลสตาย ทำปัญญาให้เกิดเถอะกิเลสตาย ปัญญาพอเจอกิเลสปั๊บ ของเราเองนะเจอกัน มันเป็นของตัวเองทั้งคู่ มารก็ตัวเอง ปัญญาก็ตัวเอง กิเลสก็ของตัวเอง ปัญญาก็ของตัวเอง ปัญญาตัวนี้แหละคือบุญ คือเพชฌฆาตมือเด็ดขาด ที่อาตมาขยายความมา เป็นเพชฌฆาตที่เก่งยิ่งกว่าฌาน 

อาตมาเคยกล่าวพาดพิงถึงว่า ปัญญา มาร พอเห็นหน้ากันแล้วนี่ มารนี่วิ่งหนีหูตูบ พูดผ่านพูดอธิบายมาหลายทีแล้ว ก็เอาพระไตรปิฎกเล่มนี้มาขยายความ ตามภาษาของพระไตรปิฎก ภาษาอาตมาอธิบายเองหมดแล้ว แล้วจะมีรายละเอียดไปอีก อธิบายนัยยะต่างๆไปอีกและอีกหลายบท หลายสูตรมากเลย ในมารสังยุต แล้วก็สรุปตรงที่ว่า

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ

พ่อครูว่า... สรุปอย่างนี้ทุกสูตรทุกบทเลย แสดงถึงว่า ต้องมา สร้างปัญญา สร้างพลังงานจิตให้มันเกิดพลังปัญญา ให้เกิดปัญญาให้ได้ พอเกิดปัญญาแล้วก็ นี่คืออาวุธใหญ่ ที่จัดการการตรัสรู้ จัดการการบรรลุธรรม ปัญญานี่

เพราะฉะนั้นความรู้ที่ใช้ภาษาเรียกว่าปัญญา จึงไม่ใช่ความรู้ของเทวนิยม  ไม่ใช่ความรู้ของโลก ของโลกีย์อะไรทั่วไป เทวนิยมไม่มีปัญญามีแต่ เฉโก อาตมาก็ขยายความ มีแต่ เฉกะ เฉโก ไม่มีความรู้ทางปัญญา แต่ความรู้ทุกวันนี้ เขาไม่รู้เรื่องแล้วก็สับสน เอาปัญญาไปใช้แทนหมดไม่มีใคร เฉโก ที่หมายถึงความฉลาดนะ เขาไม่เอาด้วยมาว่ากู เฉโก นะ รู้เสียด้วยว่า เฉโก เป็นความฉลาดไม่ดี แม้แต่พจนานุกรมเขาก็แปลไว้ว่า เฉโก คือฉลาดแกมโกง ฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยม ฉลาดชั่ว ก็ไม่มีใครอยากได้ แต่ความเป็นจริงเขายังเป็นคนที่ยังไม่มีภูมิปัญญาเลย ไม่มีภูมิที่จะเป็นปัญญา ไม่มีอัญญธาตุ อาตมาก็อธิบายมาหมดแล้ว 

ยิ่งคำว่า อัญญะ แล้วอาตมาใช้คำว่าธาตุเติมเข้าไปเป็นธาตุจิต เป็นเจตสิก อัญญธาตุ และเป็นตัวลึกละเอียด จะไม่มีใครมาอธิบายได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้สัจจะความจริง ที่จะรู้จักว่า อัญญธาตุ ที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเป็นปุคลาธิษฐานว่า โกณทัญญะ เกิด อัญญธาตุ ตัวนี้ขึ้นมาจนกระทั่งสามารถรับรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือโลกุตรธรรมได้แล้ว 

อัญญธาตุ ไม่ได้หมายความว่ามีหนึ่งหน่วยเท่านั้นแล้วก็รับรู้ได้หมด ไม่ใช่ อัญญธาตุ จะเริ่มสะสมมา 1 หน่วย 2 หน่วย 5 หน่วย 10 หน่วย 20 หน่วย จนกระทั่งถึงขั้น 50 หน่วยได้ครึ่งหนึ่ง เกิน 50 หน่วยขึ้นไปจึงจะพอชื่อว่าเป็นผู้ที่ พอจะรับกันได้แล้ว พอจะรู้เรื่องแล้ว พอจะพูดกันไปได้แล้ว จนไปถึงขั้น 75 ส่วน 75 หน่วย ที่เข้าขั้น นิยตะ 

เพราะฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โกณฑัญญะรู้ได้แล้ว อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ แสดงว่า โกณฑัญญะนี้สามารถมี อัญญธาตุ เลย 75 หน่วยไปแล้ว อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ

เพราะฉะนั้นจึงฟังธรรมะ ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตรอะไรต่อไป สูตรต่างๆ ได้เข้าใจ ไม่กี่สูตรก็บรรลุอรหันต์แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นก็อีกนาน เพราะฉะนั้นโลกุตระไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คำว่า อัญญะ ที่แปลว่าอื่น พยายามมาใช้ภาษาไทยคือ มันเป็นตัวอื่นที่แตกต่าง แล้วอื่น คำนี้มันไม่ใช่มีแต่อยู่ในโลกีย์ โลกียะทั้งหมดเท่าไหร่จะมีเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ แต่ไอ้ตัวนี้มันแตกต่างจากโลกียะทั้งหมดเลย อื่น อันนี้ 

ฉะนั้นชาวโลกีย์ทั้งหลายแหล่ กว่าจะมีธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระไปอย่างที่อาตมาแจกให้ละเอียดฟังให้ดี อัญญธาตุ ตั้งแต่ 10 หน่วย 20 หน่วย 50 หน่วย มันยังไม่กระเตื้องหรอก 60-70 จึงจะกระเตื้อง 75 ถึงจะเรียนรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้ แล้วก็เรียนได้ด้วยดีไปเรื่อยๆ 

อย่างพวกคุณมี อัญญธาตุ เกิน หลายผู้หลายคนอาจจะยังไม่เกิน 75 ไป มันก็เรียนรู้ไปได้เรื่อยๆ สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สุดที่สูงไป 100  ก็เป็นเรื่องละเอียดแล้วตรงนี้ จาก 75 ไปถึง 100 เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดซับซ้อนไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพูดขยายความเป็นภาษาไทย ขยายจากหลักฐานคำพุทธเจ้า แม้จะเป็นบาลีบ้างเอามาไปเป็นไทยในพระไตรปิฎก อาตมาเอามาขยายความเป็นภาษาง่ายๆให้พวกเราเข้าใจ เป็นการหงายของที่คว่ำ แสดงของที่ลึกให้ตื้นขึ้นมาให้ฟัง แล้วพวกเราเข้าใจสภาวะพวกนี้ได้จึงปฏิบัติได้ 

ถ้าไม่งั้นปฏิบัติกันไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่มีมรรคไม่มีผล เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่ได้ แต่อาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาขยายความให้พวกเราปฏิบัติได้มาถึงขั้นนี้ มาเป็นพระ อาริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆ 

แล้วพวกเราที่บำเพ็ญบารมีมาก็เป็นโพธิสัตว์กันจริงๆด้วย แต่ละคนแต่ละองค์ เป็นโพธิสัตว์อยู่ในพวกเรา อาตมาก็ไม่อยากไม่เก่งในการขยายว่าองค์นี้ได้ระดับนี้ระดับนี้ ไม่เก่งขนาดที่จะไประบุถึงขนาดนั้น อาตมาก็ไม่อยากจะทำเพราะผิดพลาดมันเป็นบาป เป็นกรรมที่ทำแล้วเป็นอันทำ พูดเป็นเล่นไป 

เพราะฉะนั้นจงฟังดีเถอะอาตมาจะเป็นคนระมัดระวังการพูดก็ดีการกระทำก็ดี ระวังไม่ให้มันผิด มันผิดมันเป็นการกระทำ พูดก็ตามกระทำทางกายแม้แต่คิด คิดผิด คิดไม่เข้าท่า มันก็เป็นของตัวเองทั้งนั้นก็ยังดี พูดออกไปแล้วคนอื่นรับฟังเป็นคนที่ 2 3 4 มันก็เป็นผลที่หนักขึ้นเสียขึ้นไม่ดี อาตมาก็ต้อง อันนี้แหละสังวรระวัง เพราะอาตมารู้จักกรรมแล้วก็เชื่อกรรมเชื่อวิบาก เชื่ออย่างระมัดระวัง เชื่ออย่างสังวรจริงๆไม่ทำเป็นเล่นเพราะกรรมเป็นอันทำ คุณเข้าใจไหม คำว่ากรรมเป็นอันทำ มันลึกซึ้งนะ คนที่ไม่กลัวกรรมไม่กลัววิบากอย่างทักษิณนี่น่าสงสาร ไม่รู้จะ ... นี่ยังเป็นๆ ถ้าแกตายแล้ว กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก ทักษิณเอ๊ย..

สมณะฟ้าไท... แกถึงกลัวตาย 

พ่อครูว่า... กว่าจะได้พ้นนรกที่แกต้องไปตกอีก กว่าจะได้มาเกิดเป็นคนนี้อีกนาน ขออภัยทักษิณที่อาตมาเอามาพูดถึงเพื่อเอามาเป็นตัวอย่าง นานๆจะมีตัวอย่างที่แย่ๆมาให้ดูเป็นตัวอย่างสักทีหนึ่ง อย่าไปเอาอย่างเป็นอันขาด 

มันซับซ้อนนะที่เขาทำซับซ้อนที่เขาหลง นึกว่าเป็นเรื่องประเสริฐ นี่ดีนะ เขาสำนึกขึ้นมาจิ๊ดหนึ่ง ไอ้การสำนึกของเขานี้มันเป็นอาชญวิทยาชนิดหนึ่ง เขาสำนึกให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าเขาสำนึก แต่ถ้าจริงเขาชนะ เขาไม่ได้สำนึกจริง มันซับซ้อนอย่างนี้ 

อาตมาจึงเห็นว่าถ้าเขาสำนึกจริง เขาจะยอม ลดราวาศอกไม่มานั่งหาเหลี่ยมมุม ไม่ใช้อาชญวิทยาซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างที่เขาทำ ขณะนี้นี่ใครรู้บ้างไหมว่าทักษิณอยู่ที่ไหน สมีธัมมชโยยังพอรู้ว่ายังอยู่ในธรรมกาย แต่ตอนนี้ใครรู้บ้างว่าทักษิณเก่งกว่าธัมมชโย 

สมณะฟ้าไท... มีเห็นภาพหลุดว่าอุ้มหลาน 

พ่อครูว่า... ได้อุ้มหลานด้วย เขาไปอุ้มที่ในโรงพยาบาล อยู่ในบ้านเลย โอ้โห เห็นไหม เหรอ ไอ๊หยา โอ้โห หลานคือเด็กเพิ่งเกิดใหม่นะ จะเป็นคนไหนก็เด็กเกิดใหม่ทั้งนั้น หลานคือลูกที่เกิดใหม่ จะคนไหนก็เกิดใหม่ทั้งนั้น แล้วอุ้มอยู่ในบ้านด้วย แล้วทักษิณไปอยู่ในบ้านได้ยังไง แล้วอุ้มหลานก็เป็นหลักฐานยืนยันที่เป็นปัจจุบันธรรม เฮ้ยประเทศไทย ขนาดนี้เลยหรือ ข้าราชการเอ๋ย

_สู่แดนธรรม... ในยุคนี้เขาบอกว่าอย่าเพิ่งไปเชื่อสื่อมากครับ 

พ่อครูว่า... มันไม่น่าจะเป็นถึงขั้นนั้น มันน่าจะเป็นจริงนะ แต่เขาก็จะน่ารู้นะว่าเขาไปทำอย่างนั้นก็น่าจะประจานตัวเขาเอง คือเขาจะรู้สึกว่าไม่ประจานหรอก เขาจะรู้สึกว่าแสดงว่าข้าก็ทำได้ขนาดนี้ นี่ลองฟังการวิจัยทักษิณของอาตมาบ้าง คนอื่นเขาวิจัยทักษิณบ้าง 

สมณะฟ้าไท... แม้แต่ทนายก็บอกว่าป่วยหนัก จะมีคนเชื่อสักกี่คน 

พ่อครูว่า... ก็พูดไป อธิบายเอาธรรมะ เอาตัวอย่างที่มันไม่น่าเอาอย่างมายกประกอบ เพื่อที่จะให้เห็นความจริง ว่าคนเรามันทำได้ที่เป็นไปได้ถึงขนาดอย่างนี้ๆ  อะไรอย่างนี้ ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 6 นาทีนี้ก็ ขอสรุปในเรื่องที่ควรสรุป 

คนที่ได้จิตนิยามเกิดขึ้นมาเป็นสัตว์ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ถือว่าเป็นสัตว์แล้ว พัฒนาสัตว์เซลล์เดียวไปอีกล้านๆๆๆปี กว่าจะมาได้ เป็นจิตนิยาม ผ่านอะไรต่ออะไรขึ้นมาจนกว่าจะเป็นจิตนิยาม ไม่ใช่เรื่องสามัญ ขออภัย สัตว์นั้นเป็นจิตนิยามแล้ว กว่าจะได้เป็นมนุษย์ มนุสโส เป็นผู้ที่มีใจสูง ท่านแปลไว้แบบนั้น 

เพราะฉะนั้นคำว่า ใจสูง คำนี้  มนุษย์สามารถเป็นได้ถึงพระอาริยะสามารถเป็นได้ถึงพระอรหันต์ เป็นได้ถึงที่สุดเป็นพระพุทธเจ้า เป็นมนุสโส เป็นผู้ที่มีธาตุจิตถึงขั้น มนะ มโน 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถมีธาตุ มโน มนะ ได้แล้ว พึงรู้ตัวเถิดว่า ยิ่งผู้ที่มีมโน มนะ มีความเฉลียวฉลาดมาฟังโลกุตรธรรมรู้เรื่อง มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา อย่างพวกคุณนี่ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนที่ได้รับความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 

อาตมาก็ไม่เชื่อว่าอาตมาจะเก่ง เทศน์โดยที่ว่าพวกคุณไม่มีภูมิโลกุตระแล้วได้มารับธรรมะได้ อาตมาไม่เชื่อว่าอาตมาจะเก่งอย่างนั้น มันเป็นที่พวกคุณมีบารมี มีธาตุรู้ที่จะรับรู้โลกุตรธรรมได้ไม่รู้เท่าไหร่แหละ จะว่าโกณฑัญญะเป็นผู้มี อัญญธาตุ รู้เกิน 75 ขึ้นไป พวกคุณก็เป็นพวกเดียวกันที่มีธาตุรู้เกิน 75 ขึ้นไป จึงมาฟังธรรมะโลกุตระได้ขนาดนี้ แต่บารมีอาจจะไม่สูงเท่าโกณฑัญญะ แต่ก็รับฟังไปได้เรื่อยๆ ยิ่งยุคนี้นี่มันแค่อาตมา ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับใครต่อใครอยู่ แม้แต่พราหมณ์ทั้ง 5 พระพุทธเจ้าก็สอนผู้ที่มีบารมีต่างๆ อย่างพวกคุณก็ในฐานของอาตมา บารมีแค่อาตมา อาตมาก็ยังไม่ใช่มหาโพธิสัตว์ซะด้วย แค่นิยตโพธิสัตว์แค่นั้นด้วย 

แต่พวกคุณก็มาฟังรู้เรื่อง มาฟังเข้าใจ มาเห็นเป็นความสำคัญ ในชีวิต แล้วก็มาพยายามเอา พากเพียรเอา ทั้งๆที่พวกเรานี่โลกุตรธรรมนี้มันไม่ได้เป็นไปเพื่อโลกียะ ไม่ได้เป็นไปเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณเอาความเป็นอโศกไปโชว์ในซุปเปอร์มาร์เก็ต คนเขาจะรู้สึกว่า โอ้โห แหม ยกมือไหว้เป็นทิว ใช่ไหม หรือ เขาจะไล่หรือเขาจะมอง ว่า อะไร? เขาจะเห็นว่าเป็นตัวอะไรมาเดินอยู่นี้ด้วยซ้ำไป 

เดี๋ยวนี้คนอโศกนี่ไม่ค่อยสังวรระวังตัวที่คนเขาจะมองอะไร คือมันชินชาซะแล้ว ไปอย่างมันเป็นชาวอโศกนี่ละวะ เดินลุยเข้าไปในดงชาวไฮโซเขาอะไรอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นมันจะเห็นความต่างเลย จะเห็นความต่างที่ชัดเจน แต่คนเขาก็รู้จักขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อก่อนแล้วยิ่ง โอ้โห.. มันยิ่งไกลห่างเลย พูดไปพูดมาปิดตัวเลขเวลาแล้วหรือ…พอ งั้น

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูลากรูปขันธ์ต่อมาให้ลูกๆเกิดปัญญากำจัดมารผู้มีบาป วันพุธที่ 6 กันยายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2566 ( 08:58:44 )

660911

รายละเอียด

660911 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #40 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53528.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Vprx8mIb-bH1hiKKLujP8mGnvjWCwBCR/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true   

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1L-dy1N0uwMmOIIZ7ZSt_HAZdkKRXE7Xv/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660911-e2967se 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XnpI_sfRYIM 

  และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1510274259747415/ 

มีซับ 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ September  ที่บวรราชธานีอโศก วัน Black September เป็นวันที่เครื่องบินบินชนตึกเวิลด์เทรด คนอเมริกันต้องนึกถึงวัน Black September ก็ประวัติศาสตร์ของใครของมัน ทีนี่ก็มาของเรา 

SMS 6 - 7 กันยายน 

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น อกาลิโก นำหน้าโลกียะเสมอ

_อ๋อย เอื้อมพร. กราบนมัสการค่ะ วันนี้ตอนฟังเทศน์ พอได้ยินพ่อครูปรารภว่าจะหยุดเทศน์เพราะกายขันธ์ น้ำตาเอ่อเลยค่ะ 

พ่อครูว่า...คงไม่ใช่น้ำตาเอ่อเพราะซาบซึ้งใจเนาะ 

_ถอดหัวใจเห็นความเมตตาของพ่อที่ต้องทน เพื่อลูกๆๆ 

สาธุ พระคุณของพ่อครู ลูกจะตอบแทนอย่างไรก็ไม่เท่าเทียม ขอก้มลงกราบแทบเท้าพ่อ ลูกจะพยายามปฏิบัติธรรมต่อไป และต่อไปค่ะ หากพ่อครูจะหยุดเทศน์เพื่อถนอมกายขันธ์ ลูกก็ขออนุโมทนาค่ะ เพื่อให้พ่อครูอยู่ดูความเจริญของชาวอโศก พ่อครูได้เทศน์ไว้มากมายแล้ว พวกเราฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ทุกวันนี้ลูกยังฟังธรรมที่พ่อครูเคยเทศน์ไว้เมื่อ 30 - 40 ปีก่อน ยังไม่ล้าสมัยเลย อกาลิโกจริงๆ  กราบมาด้วยความเคารพอย่างที่สุดค่ะ

พ่อครูว่า...พูดถึงอกาลิโกก่อน อกาลิโกแปลว่า ไม่ล้าสมัย แปลง่ายๆ อกาลิโก ทุกกาละ ธรรมะพระพุทธเจ้าทันสมัยใหม่เสมอไม่มีล้าสมัย เพราะอะไร? เพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้านำหน้าไม่เคยมีใครทัน นำหน้าไม่เคยมีใครทัน โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีโลกียะใดที่จะไปขับไล่เดินทางไปทันเลย ตลอดกาลนาน ไม่มี ยุคไหนสมัยไหนเมื่อไหร่ก็ไม่มีทัน โลกียะไม่มีทางเดินทางทัน ในโลกุตรธรรมมันมีโลกียะสมบูรณ์แบบครบถ้วน เช่น โลกียะก็ว่าเขาไป ทำดี ไม่ทำชั่ว โลกุตระก็มีเช่นเดียวกัน ในโลกสมมุติ 

เช่น ชาติๆหนึ่งเขามีสมมุติในชาติเขาว่าอย่างนี้ดีอย่างนี้ชั่ว แม้แต่กฎหมายก็คนละชาติก็ต่างกันอย่างนี้ดีอย่างนี้ชั่ว เหมือนกันหมดทั้งประเทศ เหมือนกันหมดทั้งลัทธิในชุมชนนั้นๆ เขาก็ยึดถือกันอย่างนั้น 

พระพุทธเจ้าเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ไอ้ดีๆชั่วๆอย่างชาติแต่ละชาติ มีในยุคหนึ่งๆ ไม่ถึงพันชาติ ไม่ถึงพันประเทศ แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่ถึงพันชาติพันประเทศ ขณะนี้ในโลกมีประมาณ 200 ประเทศใช่ไหม เอาละ ให้ประเทศหนึ่งมี 5 ภาษา ภาษาเขาก็สื่อสภาวะ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าสู่สภาวะ จะภาษาอะไรก็แล้วแต่ ดีมันก็คือดี อาจจะพูดกันคนละภาษา เพราะฉะนั้นถ้าภาษานี้ ชาตินี้ เผ่านี้ เขาใช้ภาษาอย่างนี้ว่าไอ้นี่ดี มันก็แบ่งเป็น 2 นัยยะคือ ดีกับชั่ว เพราะฉะนั้นความหมายดี ไม่ชั่ว มี 2 นัยเสมอ สรุปลงมาที่ เทวะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เทวะสมบูรณ์แบบ จบ ชัดหรือยัง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เทวะ 2 สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น 2 ของดีและชั่ว จบแล้ว แล้วทีนี้ก็มา 2 ของโลกียะกับโลกุตระ 

อันนี้แหละโลกียะไม่มีความรู้ในโลกุตระ แต่โลกุตระมีความรู้ทั้งโลกียะและโลกุตระ พูดไปแล้วเหมือนไปยกตนข่มโลกียะ แต่ที่พูดไปแล้วไม่ได้ไปยกตนข่มท่าน แต่เป็นเรื่องของสัจจะความจริง มันเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายบอกความจริงกันไป 

โลกยุคนี้มันใกล้กลียุค มันเสื่อมต่ำแย่แล้ว มันฆ่าแกงกัน โอ้โห แล้วมันก็ไม่รู้สึกรู้สาแล้ว อาตมาเองอาตมาพูดถึงเรื่องของชีวะ ธาตุจิต ลงไปถึงขั้น สัตตะ ปานะ ภูต ชีวะ แล้วก็แยกเป็น 7 

แยกเป็น สัตตะ ปาณะ ภูตะ 

ภูตะก็แยกเป็น 3 ในภูตะ เป็นธาตุรู้ขั้นเริ่มคือ เจตสิก ธาตุรู้ขั้นเจตสิกในธาตุจิตในยามเริ่มมาเป็น ภูตคาม มันเป็นธาตุรู้ที่ยังไม่เป็นสัตว์ เป็นธาตุรู้แค่พืช พืชก็แบ่งเป็น 2 คือ ภูตคามกับพีชคาม ภูตคามก็  static ส่วนพีชคามก็ dynamic

ภูตคามเป็นราก พืชหัว พีชคามเป็นราก เป็นกิ่ง เป็นใบ

มาเป็นภูตคามพีชคามแล้วมาเป็นเจตภูติ เริ่มมาเข้ามาเหลื่อม overlab มาหาธาตุจิตนิยาม ธาตุสัตว์

จากปาณะถึงเจริญมาเป็นเจตสิก มาเป็น เจตสิก แล้วมาเป็นสัตตะ

รวมแล้วก็เป็นจิตนิยาม 

รายละเอียดพวกนี้อาตมาอธิบายนี้อธิบายจากสภาวะ ที่อาตมามี แล้วก็พยายามอธิบายเป็นพยัญชนะ แล้วอาตมาก็เข้าใจพยัญชนะคำบาลีต่างๆเข้าใจอย่างแบบของอาตมา ซึ่งท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านก็ พูดเสียดๆ กระแนะกระแหนอาตมาอยู่ว่า ท่านโพธิรักษ์ท่านว่าท่านรู้ได้ด้วยญาณ ไม่ได้อาศัยภาษา อย่างที่อื่นเขาเรียนกัน 

ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ที่เขาเรียนกันเป็นตำราสากล 

จริง อาตมาไม่ได้เรียนอย่างนั้นจริง  แต่อาตมาเข้าถึงความเป็นสภาวะแท้ แล้วก็มาอาศัยภาษา ส่วนผู้ที่อาศัยภาษาเหตุผลของภาษานั้น มันก็เจริญแต่ภาษา มันเจริญออกนอกกรอบเขาไม่รู้ 

เพราะฉะนั้นถึงวาระความเสื่อม ภาษาเป็นภาษาสวย เป็นภาษาวิจิตร ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณียสูตร กลองอานกะหรือตะโพนอานกะ เป็นภาษาที่สมัยใหม่เขาร้อยเรียงไว้สวยแต่มันไม่ใช่ของแท้ มันไม่ใช่ของเดิม ของกลองอานกะหรือตะโพนอานกะ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านหมาย 

มันจึงเกิดความเสื่อมเพราะไปยืนยันผิดกับพยัญชนะผิด ภาษามันก็ต้องผิด ยืนยันจากพยัญชนะผิด เขาอาจจะอธิบาย คำว่า กาย เป็นต้น ง่ายๆ โดยเพี้ยนผิดไปหมดเลยว่า กายคือภายนอก อย่างเดียว มิจฉาทิฏฐิแล้ว เข้ารกเข้าป่าเลย

หรือเขาไปอธิบายเรื่องของฌาน โอ้โห ฌาน ไปใหญ่เลย ฌานเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ไม่รู้หรอกไม่มีใครเห็นของใคร แล้วต่างคนต่างก็บอกว่าตรงกันพูดกันรู้เรื่อง เข้าใจกันต่างก็สมมุติไป เอารูปเป็นอย่างไร เอากายเป็นอย่างไร กายปั้นเอง กายเก๊ๆ กายไม่มีภายนอก ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย  เพราะพวกหลับตาเขาไม่ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นตัวกำหนดหมายด้วยเลย เขาก็ปั้นรูปอะไรก็ได้ใช่ไหม แล้วเขาก็มาพูดอธิบายให้เข้าใจมุมเหลี่ยมกัน สมมุติกันไปเหมือน Star Wars เห็นไหมล่ะตัวละครของเขา เขาปั้นรูปนั้นรูปนี้สารพัดใช่ไหม 

คุณว่าจริงไหมใน star wars ใครดูหนังเรื่อง Star Wars กันบ้าง อาตมาก็ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่แต่ก็พอดูผ่านๆก็เห็นตัวละคร หู เหมือนท่านด่วนดีนี่ก็มี ชื่ออะไร เจได ปากอย่างโน้นหูอย่างนี้ เขาก็ปั้นไปแขนขาก็ทำไป มันเป็นรูปธรรมที่คล้ายกันกับนามธรรม แล้วแต่นามธรรม มันทำได้สารพัดพิลึกกว่านี้ที่ไปปั้นมา 

เขาก็บอกว่านี่แหละอธิบายคนที่มีพยัญชนะหรือมีโวหาร อธิบายสภาพรูปธรรมนามธรรม มันวิจิตรประหลาดพิเศษอะไรต่ออะไรไป คุณภาพของหู คุณภาพของจมูก ของตาเบี้ยวๆ มี 3 ตาบ้างอะไรบ้างอธิบายวิจิตรกันไป คนก็เพ้อไปตามฝันเฟื่อง 

มันก็ยิ่งออก ยิ่งอธิบาย ยิ่งมีอะไรตกแต่งปรุงแต่ง มันก็ยิ่งออกนอกนอก นอกสัจธรรมไปใหญ่ ทั้งๆที่สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้จะต้องสรุปเข้ามาให้ได้ ไปหา 1 ไปหา 0 นี่มันก็บานเป็นโลกจินตา เป็นโลกแห่งความคิด โลกจินตา ไป บานทะโร่ไปหาที่สุดไม่ได้ นี่ละพอ ก็จบตรงนั้น

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดหาที่สุด หาเรื่อง หาฐาน หากรอบของความจบ กรอบของความพอดีของความจบหาไม่ได้ก็ ไปไม่ออก ไม่มีทางบรรลุ 

อาตมาเทศน์ไว้มากแล้วฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ คนที่ฟังธรรม ฟังเทศน์ไม่เบื่อ คือธรรมะที่เป็นโลกุตระ เป็นธรรมรส เป็นวิมุตติรส 

พระอรหันต์ก็ฟังไม่มีเบื่อ บรรลุอรหันต์แล้วก็ไม่มีเบื่อ เพราะถ้าว่าอรหันต์แล้วนะ มันยังไม่จบง่ายๆ อรหันต์มีตั้ง 6 ขั้นที่อาตมาขยายความมา มีตั้ง 6 ขั้น 

ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เพ้อเจ้อนะ เพราะอาตมานี้ขั้น 7 ซึ่งขั้น 7 นี้นับโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มีถึง 9 ขั้น 

1 2 3 4 แล้วบวกอรหันต์อีก 6 ขั้น ก็เป็น 9 ขั้น ถ้า 10 ท่านก็หายไปเลยหมดความเป็นพุทธะพระพุทธเจ้าก็จบที่ขั้นที่ 9 เป็นขั้นที่ 9 ของโพธิสัตว์ ถ้าพ้นโพธิสัตว์ไปแล้วก็เป็นทางศาสนาพราหมณ์เขาเรียกกัลกิริยาวตาร คือเป็น 0 

ถ้าจะหมายความ กัลกิริยาวตาร ก็หมายความการอวตารจะเป็นอวตารอะไรไปก็ได้ บางคนก็ไปเข้าใจเอาตรงโน้น อ้าว เดี๋ยวจะมากเกินไปเอาล่ะพอแล้ว เราไม่ต้องไปคำนึงอย่างพราหมณ์ ที่เขาแถมมามันก็เป็นการรู้เพิ่มเราก็ไม่ได้ใช้อะไรอย่างนี้เป็นต้นมันก็เฟ้อเปล่าๆ 

ความเจริญของชาวอโศก อาตมาต้องรับรอง อาตมาต้องกอบกู้ อาตมาต้องนำพา เพื่อให้ความจริงของพุทธที่เป็นโลกุตระนั้น สืบทอดต่อเนื่องไปจนครบ 5,000 ปี 

อันนี้เป็นสัจจะ ผู้ไม่จริงไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีอะไรมาพูดอธิบายอย่างอาตมา อาตมาอธิบายธรรมะไม่ได้อธิบายอย่างภาษาฟังแล้วก็ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างต่อเนื่องกัน ที่จริงคำอธิบายธรรมะของอาตมาต่อเนื่องกันได้หมด ทุกเรื่องทุกอันเอามาเชื่อมโยงกันได้ บางอันก็ใกล้กัน บางอันก็ไกลกัน บางอันใกล้กันมาก แต่อธิบายได้หมด 

มันเป็นสัจจะที่ การเกิดมาเป็นคนชีวิตที่ได้ร่างกาย จิตวิญญาณ หรือจิตนิยามเป็นสัตว์ที่เรียกว่า คน ในภาษาไทย ส่วนภาษาบาลีเรียกว่า มนุสโส เป็นภาษาสันสกฤตก็คือ มนุษยะ 

ก็เป็นผู้ที่จะผันตัวเองให้เจริญสูงสุดได้ที่สุดจึงเรียกว่าที่สุด ถ้าไม่สามารถผันให้ตัวเองสูงสุดได้ก็ผันให้ตัวเอง..ขออยู่ในร่างมนุษย์นี้ต่อไปให้ต่ำสุดไป จนกระทั่งต่ำกว่าเดรัจฉาน ต่ำกว่าสัตว์นรก ต่ำกว่าสัตว์ชั้นต่ำ มหาอเวจีไหนๆก็ได้ เฉพาะจิตวิญญาณก็ทำให้ต่ำ ไม่มีกำหนดต่ำอย่างหาที่สุดไม่ได้เหมือนกัน เลวร้ายอย่างหาที่สุดในความต่ำ เขาก็เป็นไปได้ จิตของเขาเป็น อย่างคนในยุคนี้ปางนี้สมัยเดียวกัน คุณก็นึกเอาเองก็แล้วกัน คนที่เขาเป็นอย่างนั้นได้

พูดให้ชัดอีกเอาตัวบุคคลมาอธิบาย คุณว่าธัมมชโยจะรู้ไหมว่าตัวเองกำลังหลอกคนอื่น ทักษิณจะรู้ไหมว่าตัวเองนั้นหลอกคน มหาบัวจะรู้ไหมว่าหลอกคน กินหมากนี่ว่ามันเป็นกิเลสหรือไม่เป็นกิเลส เราก็เชื่อไม่ไหวนะว่าท่านไม่รู้ เราก็ให้เกียรติท่าน ท่านเป็นผู้ฉลาดผู้รู้ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่ชัดที่สุดและก็จริง ผู้ที่โกหกทั้งๆที่รู้ ตนก็รู้ว่าคำนี้เป็นคำโกหก  แล้วก็โกหกมันออกไป โกหกผู้อื่นทั้งๆที่รู้ว่าตนเองโกหก ไม่แก้กลับ ยังดันทุรังโกหกต่อไปให้คนอื่นเข้าใจผิดอย่างนั้น คนนี้เลวหาที่สุดไม่ได้ เสื่อมหาที่สุดไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้น น่ากลัวสัจธรรมนี่ ฟังสัจธรรมดีๆ ที่อาตมาหมาย 

_ธรรมธารทิพย์ มาลิณี  น้อมกราบนมัสการพ่อครูฯด้วยเคารพยิ่ง ได้ยินพ่อครูฯเปรย ควรลดการเทศน์ เห็นด้วยอย่างยิ่งเพื่อพักกล่องเสียงบ้าง เจ้าค่ะ

_ตุ๊ก อัศวิน . ได้สดับตรับฟังที่ พ่อครู ปรารภถึงสภาวะแห่ง 'สังขารขันธ์' ของท่าน ที่ต้องเพิ่มอินทรีย์พละอย่างสูงยิ่ง..เพื่อให้เกิดพละกำลัง 'เหนี่ยว..ดึง..รั้ง..ฉุด..กระชาก..ลาก..ถู' ให้เกิดการเคลื่อนกายย้ายจุด..มาบรรยายธรรม@เฮือน 0-0 แห่งนี้ ซึ่งเห็นตระหนักยิ่งนัก..ในเมตตาธรรม และ ความกรุณา ของพ่อครู ที่มีต่อ ลูกๆ..ช่างน่าซาบซึ้งในจิตวิญญาณยิ่ง เจ้าค่ะ ขอนิมนต์พ่อครู..โปรดพิจารณาดำเนินการที่ท่านเห็นควร..ไปตามเหตุ ไปตามปัจจัย เพื่อยัง ประโยชน์ตน!! ประโยชน์ท่าน!! ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาท..เจ้าค่ะ

สมัยที่เริ่มรู้จัก ชาวอโศกใหม่ๆ..ขอสารภาพว่า ประทับใจในวัตรปฏิบัติของชาวอโศกยิ่งนัก..ในเรื่อง 'เมื่อใดที่ชาวอโศกมีข้อสงสัย ?' ใคร่ถามแทรก จะนอบน้อม..ด้วยการพนมมือ และ เปล่งวาจาว่า 'ขอโอกาส..เจ้าค่ะ/ครับ' ซึ่งเป็นกิริยางดงาม..น่ารัก น่าเอ็นดู น่าประทับใจ เจ้าค่ะ ทุกวันนี้..ได้แอบขอลอกเลียนแบบน้อมมาปฏิบัติ..มั่งจิ!!

กราบ_/\_ขอบพระคุณ..ที่ท่านไม่สงวน ลิขสิทธิ์ ชิมิ เจ้าคะ

พ่อครูว่า…อาตมาก็คำนึงอยู่ “ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน”เป็นเพลงอาริยะหมายเลข 1 เลยที่อาตมาตั้ง เพลงอาริยะมี 10 หมายเลข 

หมายเลข 1 คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงประหยัดสุด 

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน . น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกขอโอกาสเรียนถามว่า หลวงปู่รู้สึกได้รับอันตรายจากอุปกรณ์อิเล็กซ์ทรอนิกบ้างหรือเปล่าค่ะ และมีวิธีการป้องกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในห้องทำงานอย่างไรบ้างค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ (ลูกมีโน๊ตบุ๊กตัวเดียวยังรู้สึกร้อนถ้าทำงานเกิน 1ช.ม)

พ่อครูว่า…ก็ไม่ได้รู้สึกนะ ก็น่าจะมีแต่มันเป็นเรื่องละเอียดลึก เล็ก ไม่ได้มีเครื่องป้องกันอะไรมาก เขามีปิรามิดเครื่องน้อยๆตั้งอยู่ เป็นหินสีน้ำเงินตั้งอยู่หน้าโต๊ะ เขาว่าปิรามิดมันช่วยได้ก็ทำช่วยกันไป ระมัดระวังกันเอาเอง มันมีความทนได้เหมือนกันสำหรับคนที่ฝึกตน ฝึกฝน ทนได้มันไม่เป็นพิษเป็นภัยเท่าไร คนที่เปราะบาง ไม่ทนแล้วก็ตั้งใจไม่ทน มันก็ทนไม่ได้ มันก็รับไม่ได้ก็เป็นจริงเหมือนกัน ก็แล้วแต่ว่าใครจะพยายามบำเพ็ญ 

 

 เห็นความต่างของ 1 และ 0 ได้เมื่อใด แล้ว ก็ไปอยู่ที่ 0 จบ

_พลังเพ็ญ คำด้วง . ช่วงเข้าพรรษา นี้ ลูกตั้งใจอ่านหนังสือปัญญา 8 ทั้ง 2 เล่มที่พ่อครูได้เขียน อ่านจบแล้วก็อ่านทวนใหม่ ทำความเข้าใจนำมาสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ดำเนินอยู่เท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเรื่อง สุข-ทุกข์ จะทำยังไงให้หมดสุขหมดทุกข์ตามลำดับ พ่อครูได้เขียนไว้ชัดเจนค่ะ สามารถเกิดผลกับจิตลูกได้ หมดสุขหมดทุกข์ได้เป็นเรื่องๆได้ตามลำดับไปลูกจะพากเพียรปฏิบัติต่อไป กราบนิมนต์พ่อครูเทศน์สดเหลืออาทิตย์ละ1วันค่ะ เพื่อถนอมกายขันธ์พ่อครูค่ะ (กราบขอบพระคุณค่ะ)

พ่อครูว่า...สรุปยอดของศาสนาพุทธคือสุขทุกข์ ถ้าคุณเข้าใจสุขทุกข์เป็นอาการ เป็นความรู้สึกมี อาการ ลิงค นิมิต แตกต่างกัน ลิงคะคือแตกต่างกัน จับอาการหรือนิมิตของมันได้ นิมิตคือ static ส่วน อาการคือ dynamic คุณจับอาการทั้งสภาพอาการนิ่งและอาการเคลื่อนไหว ละเอียดเท่าไหร่ๆ ก็สามารถเข้าใจได้ รู้ได้จริงๆแล้วคุณก็จะสามารถเห็นว่ามันลงตัวแล้วเป็น 1 หรือเป็น 0 

0 ก็คือไม่มีไปเลย 1 ก็คือไม่มีการปรุงแต่งแล้ว  แม้คุณจะไปยืนอยู่ฐานสุข 1 มันก็เป็นสุขหนึ่งเดียวแต่มันก็ไม่หมดเชื้อ 

เพราะฉะนั้นจับคู่ 1 กับ 0 เข้า ก็จะเห็นความแตกต่าง หรือ ลิงคะของมัน ซึ่งมันละเอียดมากแล้ว 0 กับ 1 ละเอียดมากแล้ว มันจะจบแล้ว คู่สุดท้ายแล้ว คุณเห็นความละเอียดแล้วคุณก็ทำเป็น 0ได้ เห็นความต่าง คุณเกิด เห็นความต่างของ 1 และ 0 ได้เมื่อใด แล้ว ก็ไปอยู่ที่ 0 จบ ใช้พยัญชนะอธิบายได้เท่านี้ เอ้า ผ่าน 

 

หากจะตายพ่อครูคงตายตอนนอนหลับ 

_จรรยา ประเสริฐ . โสดาบัน ของลูก ถือศีล 5 ให้ได้ หยาบ กลาง ละเอียด ให้ทาน (เสียสละทั้งกำลังทรัพย์ที่มี โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ) ทำกุศล ให้ถึงพร้อม เท่าที่ตา กาย ใจ เราได้เห็น ทั้งหยาบ กลาง ละเอียดค่ะ ไม่มีคำพูดใด ๆ นอกจากกราบนมัสการพ่อ ลูกจะลด ละ กิเลส ให้มาก ถึงมากที่สุด เพื่อให้ได้มรรค ได้ผล เป็นโสดาบันค่ะ เพื่อตอบแทนพระคุณที่พ่อได้จ่ายพลังงานออกมา กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า… ศีลข้อ 1 2 3 ศีลข้อที่ 4 เป็นวาจา ศีลข้อที่ 5 เป็นจิต 

จิต ก็เป็นตัวประธาน วาจาเป็นตัวขยายผล ก็เป็น Static กับ Dynamic จิตก็เป็น Static วาจา ก็เป็น Dynamic เห็นไหมก็เป็นคู่ 

ฉะนั้นฐานจริงก็เป็น 3 กับ 4 ศีลข้อที่ 1 2 3 ก็ค่อยๆฟังไป มันยังมีนัยยะละเอียดที่อาตมาจะอธิบายอีกไม่น้อย อธิบายไปถ้าอายุ 120 ก็อธิบายได้อีกยาว ทำเป็นชื่นใจจะอยู่ไปถึงอายุ 120 ซึ่งอาตมาทุกวันนี้ ไม่รอไม่หวัง แต่เราทำ 120 นี่ ไม่รอไม่หวัง เราทำไปเรื่อยๆ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

อาตมายังรู้สึกเลยว่า อาตมาคงจะตายไม่รู้ตัวหรอก มีแต่พยายามจะเป็นจะเป็นๆ จะไม่ตาย พยายามจะเป็นเป็นๆๆจะไม่ตาย จะไม่ตาย แต่พอมันตายนี่มันก็คืออยู่ในภาวะที่อาตมาต้องพักผ่อน อาตมาต้องดร็อปตัวเองหรือต้องดับตัวเองใช่ไหม..พักผ่อน มันคงจะอาศัยช่วงนั้นแหละไปเลย เท่าที่อธิบายนี้พอเข้าใจใช่ไหม มันเป็นสัจจะอย่างหนึ่ง มันสุดวิสัย มันสุดฝืนแล้วมันก็ไปเอง 

_สู่แดนธรรม... ไม่ได้ตั้งใจว่าจะตายนะครับ 

พ่อครูว่า... ตั้งใจจะต่อ แต่มันต้องตายก็ต้องตาย ก็เอา แล้วแต่ ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาเข้าใจ พวกเราก็คงเข้าใจแล้ว ไปกลัวอะไรเกิดตาย ก็สำคัญคุณชัดตัวเองไหมล่ะทุกวันนี้ คุณพอมีกุศล มีภาคสิ่งดีมากพอได้อาศัย เกิดชาติหน้า ชาติหน้าไม่ตกต่ำกว่าชาตินี้แน่นอน โดยเฉพาะนี่อย่าให้มันไปเป็นเดรัจฉาน อย่าให้มันไปเป็นสัตว์นรกอะไรเกิดมาชาติหน้า ก็จะต้องได้เป็นมนุษย์ 

และมนุษย์ก็คงจะไม่ตกต่ำอะไรมากนะ เพราะเราก็เก็บสภาวะวิบาก สัมภาระวิบากที่เราสะสมเป็นสัมภาระวิบาก ก็ทำจริงไป มันมีจริงเป็นจริงก็ได้จริง มันไม่ถึงขีดถึงเกณฑ์ของสัจจะ คุณจะไปเอามาจากไหนล่ะ ไปซื้อจากห้างขายยานี้ขายไหม ห้างนั้นน่ะ Supermarket หรือห้างอะไร ศูนย์การค้าใหญ่โตมโหฬาร มันก็ไม่มีขาย มันก็จะต้องทำ กรรมใครกรรมมัน วิบากใครวิบากมัน 

 

ทาน ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาก

_ถือศีล 5 (พ่อครูว่า... หากจะอธิบาย อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  ก็ไปได้เรื่อยๆขยายไป)ให้ได้ หยาบ กลาง ละเอียด ให้ทาน (เสียสละทั้งกำลังทรัพย์ที่มี โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ) 

พ่อครูว่า... พวกเราศึกษาทานที่ไม่รับสิ่งตอบแทนวัตถุก็ไม่รับแล้ว วาจาก็ไม่พูดรับ จิตก็ไม่รับจริงๆสละออกไปศูนย์เลย ส่วนอานิสงส์มันจะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง มันก็ย้อนกลับมานะ แล้วเราก็ต้องเข้าใจสัจจะว่าไม่ต้องอยากได้ มันได้มาก็สะพัดออกอีก มันก็จะเพิ่มไปอีกเป็นผลสูงเพิ่ม แล้วมันก็จะสะพัดย้อนกลับมาหาเราอีก โดยคุณจะต้องปฏิเสธไม่อยากได้ ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณทำออกอย่างเดียวเลย ทำออกอย่างเดียว ไม่ต้องทำเข้า เข้ามันจะมีของมันเองโดย Action reaction มี 2 สภาวะ 

เพราะฉะนั้นเราทำแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายที่เข้าใจสิ่งที่เป็นฐานที่ตั้งหรือฐานที่ดีอย่างเดียว 

เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เราต้องอ่านอาการของเราเอง คุณก็ต้องรู้ว่า อันนี้เราถืออย่างหนึ่งซึ่งมันไม่ตรงกัน คุณไปติดยึด ผูกพันกับอะไรต่ออะไรมันไม่เท่ากัน ใช่ไหม บางคนติดมะเขือ บางคนติดกล้วย บางคนติดสะตอ ทุกวันนี้พูดตรงๆ อาตมากินสะตอไม่ค่อยได้แล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นว่าแต่ก่อนเราก็กินพอสมควรทั้งเหม็นทั้งขม สะตอ เหม็นไหม ทั้งเหม็น ทั้งขม..โอย กินสะตอแล้ว เทียบกับเม็ดกระถิน มันคล้ายกัน โอ้โห แต่มันอ่อนกว่ากันเยอะเลย เม็ดสะตอกับเม็ดกระถิน ก็เป็นลักษณะของคนใต้เขาถนัดอย่างจัดจ้านหน่อย อีสานนี่ถึงจะจัดอย่างไรก็สู้ใต้ไม่ได้ ยิ่งภาคกลางแล้วก็ยิ่งไม่จัดเท่า ภาคกลางไปจัดจ้านทางฟรุ้งฟริ้ง โอ้ย ภาคกลางจัดจ้านทางฟรุ้งฟริ้ง 

 

มีฉันทะ มีโยสิโสมนสิการ มีผัสสะ ก็เป็นพระโสดาบัน

_ทำกุศล ให้ถึงพร้อม เท่าที่ตา กาย ใจ เราได้เห็น ทั้งหยาบ กลาง ละเอียดค่ะ ไม่มีคำพูดใด ๆ นอกจากกราบนมัสการพ่อ ลูกจะลด ละ กิเลส ให้มาก ถึงมากที่สุด เพื่อให้ได้มรรค ได้ผล เป็นโสดาบันค่ะ เพื่อตอบแทนพระคุณที่พ่อได้จ่ายพลังงานออกมา กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ฐานโสดาบันนี่มันไม่ใช่ฐานที่ใหญ่ที่โตอะไรเลย มันมีเนื้อแท้ของจิต 1. ยินดี ตามมูลสูตรข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ทำใจในใจเป็นมนสิการ  3.มีสัมมาทิฏฐิ ต้องรู้ว่าตัวเองต้องผัสสะ เป็นมูลสูตรข้อที่ 3 ต้องมีผัสสะในการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีผัสสะปฏิบัติธรรม 

เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีฐานข้อที่ 1 2 3 นี้เป็นโสดาบันแล้ว ต่อจากนั้นคุณก็ปฏิบัติให้เพิ่มโสดาคุณ มากขึ้นด้วย มันก็จะเติมเวทนาให้เจริญขึ้นๆๆ เวทนาขึ้นได้ขีดหนึ่ง ก็เป็นสมาธิ 

สมาธิยิ่งแข็งแรงเป็นอินทรีย์ เป็นพละได้เท่าไหร่ สติปัญญาก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ วิมุติ ก็เป็นผลตามมา 

เมื่อคุณถึงขั้นวิมุติ คุณก็เป็นอรหันต์ทุกคน เป็นอมตะบุคคล เป็นวิมุติจบแล้ว จบกิจ จิตหมดกิเลสวิมุตหลุดพ้นหมดกิเลส คุณก็เป็นอมตะบุคคล เพราะฉะนั้นคุณจะเกิดหรือคุณจะดับคุณก็ทำได้เอง 

วิธีดับสูงสุดก็ดับอย่างเป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ถือว่าจบกิจแล้วเบื้องต้น อรหันต์เบื้องต้นต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

เพราะฉะนั้นคุณตาย..สุดท้ายคุณก็ตายด้วย นิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน จิตสูญไม่เกาะนิมิตใด ไม่ตั้งจิตใหม่อีกเลย..สูญ ธาตุจิตก็แยกไปหมด สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลม นี่ก็อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็รู้สภาวะ 

เราก็นึกถึงขณะเป็นๆไอ้ที่เราแต่ก่อนนี้เคยวนเวียนไป อย่างผู้หญิงนี้มีเยอะ อบายมุขฉัน โอ้โห เฟอะฟะต่างๆใช่ไหม อบายมุขแต่ก่อนนี้เลอะเทอะเยอะแยะผู้หญิง โอ้โห..แต่ก่อนนี้เราหลงมันว่าเลิศเลอ แต่เดี๋ยวนี้เห็นแล้วโธ่ เราไปติดไปยึดมันมาได้ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่แล้ว 

ถ้าเราไม่แล้ว เราปล่อยวาง เราไม่ยินดีแล้ว คุณอย่าไปยินร้ายกับคนที่เขาติดอยู่ อันนี้เป็นภาวะซ้อน มันน่าสงสารเขา เราอย่าไปยินร้ายกับเขา ถ้าบอกเขาได้ปรารถนาดีกับเขา ก็บอกเขาบ้าง ช่วยเขาด้วย ไม่ใช่ไปยินร้าย แล้วก็ชิงชังผลักไสกัน..ไม่ใช่ ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขา ต้องรู้ว่าเราเองเราก็เคยเป็นอย่างนั้นมา ตอนนี้นี่เราไม่เป็น 

ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นอย่างนั้นมา ก็จะเข้าใจมันเกินกว่าที่เราเป็นนะ เกินกว่าที่เราเคยเป็นเคยมี เขาทนได้ยังไงนะ น่าสงสารไอ้อย่างนี้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเราเคยเป็นมาแล้ว เราก็ไปเหยียดหยาม ฉันยังทิ้งมาได้เลยมันก็ไม่ดี ลักษณะของจิต 

พ่อครูว่า…โสดาบันมันไม่มากไม่มาย ศีล 5 คุณได้สมบูรณ์แบบ ศีล 5 ยังไม่ละเอียดอะไรมากมายหรอก ยังหยาบ คุณก็ไม่เป็นแล้ว หรือเมื่อกี้ก็บอกแล้ว 3 อย่าง อะไรบ้างล่ะ 

มีจิตยินดี แล้วก็ทำใจในใจได้ แล้วมีผัสสะ 

อย่างนี้มันเป็น อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่ผิด คุณปฏิบัติมีความยินดี แล้วก็ทำใจในใจ พวกนั่งหลับตา เขาก็ทำใจในใจของเขา เราลืมตาปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย หลับตาเขาไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย มูลสูตรเขาแค่นี้เขาได้แค่ยินดีกับมนสิการ ผัสสะ ไม่มีแล้วพวกหลับตา 

เพราะฉะนั้นก็โมฆะไปเลย มูลสูตรอีก 8 ข้อ..ไม่มี ผัสสะ เวทนา เมื่อไม่มีผัสสะ เวทนาก็ไม่มี สติสัมปชัญญะ ปัญญาเขาก็อยู่ในภพในชาติหมด เพราะฉะนั้นวิมุติ อมตะ อะไรนี่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องฝันถึงเลยใช่ไหม อาตมาไม่ได้ไปว่าเขานะ ไม่ได้ไปลงโทษเขานะ น่าสงสารที่เขาเองมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหมมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสาร 

สรุปตรงนี้แล้วตีหัวตะปูย้ำ นั่งหลับตานั้น เข้าใจว่ามันมีอานิสงส์ แต่มันไม่ใช่หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุอาริยธรรม บรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่ มันมีอานิสงส์ช่วยอุปการะ ก็เคยอธิบายแล้ว 

1.พักผ่อน 2. ทบทวนธรรม 3. ทำเตวิชโช 4. เอาไปเล่นฤทธิ์เล่นเดช บ้าๆบอๆ อันที่ 4 ทิ้งไปเลย 3 อันแรกเวียนใช้อยู่พักผ่อนทบทวนทำแล้วก็เตวิชโช 3 อย่างนี้หลับตาเป็นอุปการะมาก อาตมาก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ 

พัก ทบทวนธรรรม เตวิชโช ทุกวันนี้อาตมาก็ยังใช้ เป็นอุปการะมาก ไม่ใช้เป็นเรื่องเล่นฤทธิ์เดชอะไรต่างๆ ไม่ทำ ไม่ได้ก็ไม่เคยสงสัย เคยมีฤทธิ์เดชพวกนี้ เคยมีเคยเล่น เล่นมานิดหน่อยก็ชัดแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว มันไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ในเรื่องฤทธิ์เดช ฟื้นขึ้นมาได้บ้างนิดๆหน่อยๆก็รู้แล้วว่า..ไม่ใช่ อาตมาเล่นไสยศาสตร์ 8 ปี กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ มันต้องสะสมพลังงานนะฤทธิ์เดชพวกนี้ พลังงานไม่พร้อมไม่ได้ พลังงานทางจิต แล้วเสื่อมง่ายด้วย ไม่เที่ยง บางครั้งบางคราวก็พลาด เพราะฉะนั้นตายไปด้วยความอวดดีทางฤทธิ์เดชนี้เยอะ 

ก็ตามตำนานมีว่าฤาษีเหาะได้ เหาะผ่านสระอโนดาตของพระราชา เห็นนางสนมทั้งหลายแหล่โป๊เปลือยกันกามขึ้นก็ตกปุ๊บเลย ทีนี้เดินเหาะไม่ได้เลย ต้องเดินกลับ ใครเคยได้ยินไหมตำนานนี้ มันเป็นจริงมันเป็นเรื่องจริง 

_ดวงรัตน์ แท่นแก้ว. น้อมกราบพ่อครูที่ให้สัจจะธรรมจนได้เป็นญาติธรรมค่ะ  น้อมกราบนักบวชทุกรูปทุกนามทุกฐานะคะ    เพราะได้เจอพ่อครูนักบวชที่นี่จึงลดละกิเลสได้เยอะมากๆๆคะ   ขออนุโมทนาบุญในกุศลผลบุญของสมณะทุกๆท่านคะ      สาธุๆๆๆคะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

พ่อครูว่า... มาเลย มาให้ได้นะ 

 

พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ที่มีปฏิสัมภิทาญาณ

_สู่แดนธรรม... ตั้งแต่ผมได้รู้จักชาวอโศก ครั้งแรกๆ ผม จะชอบรายการที่พ่อท่านตอบปัญหา ชอบเทปที่พ่อท่านตอบปัญหา ทำไมพ่อท่านตอบปัญหาได้เร็วไวแท้ 

พ่อครูว่า... ใช่ อาตมาเป็นสมณะที่มีปฏิสัมภิทาญาณ ที่แสดงออกมานี้ อาตมาพูดเหมือนคนหน้าไม่อาย..แหมคุยตัวเอง มันเป็นสัจจะมันไม่ได้อาย มันไม่มี มังกุ ไม่ได้เก้อเขิน มันง่ายๆมันเป็นความจริงโดยที่เราไม่มีอะไรต้าน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องที่ โต้ต้านอะไรเลย มันไปเต็มที่ สะอาดใจ มันเป็นหนึ่งเดียว 

มันเป็นเรื่องที่อาตมาได้นำมาพูดมาบอกจนกระทั่งทุกวันนี้ เขียนหนังสือเกิดมาชาตินี้ สารภาพมุมนี้ไม่รู้คนจะเข้าใจได้แค่ไหน คนอาจจะหาว่าอาตมาแก้ตัวก็ได้ ถ้าอ่านหนังสือเล่มนั้นเสร็จ แต่แท้จริงมันเป็นการเปิดเผยสุดแล้วจำเป็นที่สุดที่อาตมาต้องพูดเช่นนี้ แล้วก็บอกเช่นนี้ แล้วก็อาศัยขยายความที่ละเอียดลึกแถมไป เพราะฉะนั้นใครอ่านหนังสือเล่มนี้จะมีความลึกละเอียดแถมไป แล้วก็จะบอกสัจจะความจริงว่าอาตมาจำเป็นชาตินี้ ต้องพูดถึงขนาดนี้ 

ซึ่งเขาถือว่า ผู้ที่สูงหรือผู้ที่ดีแล้วย่อมไม่พูด ย่อมไม่อวดตัวเช่นนี้ แต่อาตมามันต้องอวดตัวเช่นนี้ มันแย้งย้อนแย้งกับสัจจะของโลกที่เขายึดถือผิด ไม่ผิดของเขาหรอกเพราะเขาฐานเขาอย่างนั้น แต่อาตมานั้นเป็นอีกฐานหนึ่ง มันคนละมาตรฐานกัน มันไม่ได้มาตรฐานเดียวกัน มันก็เลยเข้าใจยาก 

คุณคนนี้คงเข้าใจอนุโมทนาบุญ คงจะยังเข้าใจคำว่าบุญกับกุศล ผลบุญกับกุศลก็คงจะยังไม่ชัดทีเดียวนะเท่าที่อาตมารู้สึกว่า จากการฟังภาษาแค่นี้ไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ ฟังอาตมาสรุปผลจากภาษาแค่นี้ที่คุณพูดพยัญชนะ ว่าอนุโมทนาบุญในกุศลผลบุญ อาตมาคิดว่ายังปนๆกันอยู่นะ กุศลกับบุญ ยังแยกไม่ชัดถ้าคุณชัดเจนจะไม่พูดปนกันอย่างนี้ 

ถ้าไปพูดอย่างนี้กับคนทั่วไป เขาจะเข้าใจว่าบุญกับกุศลเป็นอันเดียวกัน เมื่อคุณมาพูดกับคนที่เข้าใจแล้วจะเห็นว่าเขาจะเห็นว่าคุณแยกบุญกับกุศลไม่ได้นะนี่ มันจะเป็นอย่างนั้น 

 

_Sudavan Tantikul สุดาวรรณ ตันติกุล . ❤❤

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #40 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 กันยายน 2566 ( 06:54:06 )

660913

รายละเอียด

660913 ฌานวิสัย คืออจินไตย 4 ที่พ่อครูมีในตน พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53531.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1FxgizMcs8uqcVAlE9QwPy1i8vqiYkDGG/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true   

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1b-1GKe7UQVd2KTaqYglII1bjVmLDdAID/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660913-108---4-_-e29918q 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/1dP5zs0519c 

และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1387113891869948/ 

มีซับ 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 13 กันยายน 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้บรรยากาศบ้านราชฯ ก็กำลังคึกคัก เพราะเรากำลังจะได้รับต้อนรับแขกคนสำคัญของเราคือน้องน้ำ กำลังจะมาเยี่ยมเยียน วันนี้พ่อครูอาจจะแสดงธรรมไม่ได้ครบคอร์ส เพราะหลังการเทศน์จะมีการประชุมวางแผนเตรียมต้อนรับ น้องน้ำ เราจะพยายามขนของตอนแห้งๆ ตอนที่น้ำยังไม่มามากหนัก เราทำอย่างเซฟตี้เลย ไม่ต้องสงสัยว่าจะท่วมหรือไม่ท่วม เราย้ายไปที่ชั้น 2 เฮือนบวรเลย วันนี้เราก็หน่วยพยาบาลโฮ่งปัวไปไว้ที่ชั้น 2 เรียบร้อยแล้ว 

น้ำมาแต่ละทีเป็นเครื่องเช็คเครื่องตรวจสอบพวกเรา ใครมีทรัพย์สมบัติมากก็จัดทุกข์ทรมานมาก จะไม่ได้ทุกข์ทรมานเฉพาะเจ้าของ แต่ทำให้ท่านมือมั่นทุกข์ทรมานด้วย 

พ่อครูว่า... เราก็ไล่ไปตาม SMS ชั่วโมงนึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องจ้อยๆ ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมงก็ยังได้ เพราะกำลังมันยังดี 

 SMS  วันจันทร์ที่ 11  รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม . 10 อันดับเพลงโลกุตระที่โดนใจไพเราะ ของ "ครูรัก รักพงษ์"ในทรรศนะของ ลูกคนนี้ 

10.ผกาดั่งนารี 9.คนโลกเก่า คนโลกใหม่  8.สมรรถนะ  7.ป่ากาม 6.กองทัพพุทธธรรม  5.แม่จ๋า 4.อีกหนึ่งฟากฟ้า อีกฟากฟ้าหนึ่ง 3.ขันติต้องไม่จาง (พ่อครูว่า…เขาชื่อว่า แสงธรรมต้องทอบวร) 2.ก่อนสิ้นแสงตะวัน 1.บูรณะภาพ

ขอกราบขอบพระคุณ ครูรัก รักพงษ์ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์สำหรับศิลปะโลกุตระนี้ ด้วยสุดเศียรเกล้าฯ ค่ะ 

พ่อครู เล่าความหลังได้อย่างมี “อภิปปโมทยัง จิตตัง”  ลูกๆ ก็คงจะรื่นรมย์กันทั่วหน้า เช่นเดียวกับลูกคนนี้ค่ะ กราบขอได้กรุณาเล่าสู่แบบนี้เรื่อย ๆ นะเจ้าคะ

พ่อครูว่า…ถ้าเผื่อว่าอาตมาแก่จริงก็คงจะต้องพูดเรื่องเก่าๆ ก็คงจะดูไป พวกเราชาวดูไป 

_โกสุม นาวา . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ ฟังธรรมวันนี้เวลาที่พ่อพูดถึงอดีตที่ผ่านมา ลูกรู้สึกว่า พ่อครูมีพลังและมีความสุข ลูกๆไม่ได้ฟังธรรมะก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ จะได้เป็นการให้พ่อครูได้พักและผ่อนคลายเจ้าค่ะกราบนมัสการเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ก็เป็นความเห็นหนึ่ง

 

ความตั้งใจแต่เด็กของพ่อครูที่จะทำให้ได้

_ใจธรรม สิทธินาวิน . ฟังประวัติพ่อครูสนุกมากค่ะ ชอบค่ะ ได้ดูรูปเก่า ๆ ได้บรรยากาศมากเลยค่ะ

พ่อครูว่า…รูปแรกซ้ายมือชุดขาว ตอนเรียนโรงเรียนเพาะช่าง ภาพที่ 2 ก็เป็นโรงเรียนเพาะช่างกำลังไหว้ครูกัน พระวิษณุ ส่วนภาพที่ 3 ภาพนี้ต้องเล่าเพราะเกี่ยวถึงเพลง กระจุกที่กำลังยืนอยู่ทั้งหมดคือนักร้องที่ร้องกัน ไม่มีอาตมายืนอยู่ในตรงนี้  แต่อาตมาอยู่ในที่นี้ นี่เป็นที่สถานีวิทยุรักษาดินแดน นักร้องเป็นเมียพี่ล้วน คือพี่สะอาด นิลอร่าม ข้างหลังนี่ก็บุญส่ง นี่ก็เป็นเรื่องเก่าที่แต่ก่อน ก็อยู่กับวงการพวกนี้ร้องเพลง 

อาตมานี่ชอบ เรียงคำไว้เลยนะ ตั้งแต่เด็ก เราเกิดมาชาตินี้จะต้องเป็นให้ได้ทั้งหมดเลยคือ 1. ร้อง แสดง แต่ง เรื่อง เพลง วาด พากย์ ถ่าย 

คือ 1.จะต้องเป็นนักร้อง 2. จะต้องเป็นนักแสดง 3. จะต้องเป็นนักแต่ง และแต่งจะร้ต้องแต่งทั้งเรื่อง ทั้งเพลง ทั้งเป็นนักวาด ทั้งวาดภาพ ทั้งถ่ายภาพ เรียงไว้เลยตั้งแต่เด็ก ร้อง แสดง แต่ง เรื่องเพลงวาด พากย์ ถ่าย แต่ก่อนเขามีหนังก็เคยเป็นนักพากย์ แต่ไม่มาก แม้แต่ในโทรทัศน์ก็ได้พากย์ เขาให้ไปพากย์แต่หนังการ์ตูน หนังดีๆเขาก็ไปพากย์กับพระเอกนางเอก เราก็ว่าเราแน่เหมือนกันนะแต่ก็ไม่ได้ ทั้งๆที่เราชีวิตเป็นฆราวาสแต่ก่อนอยู่โทรทัศน์ก็ทำมาก่อนด้วย 

อยู่กับนักพากย์ชั้น 1 ของประเทศเลยนะ คือ เพ็ญ ปัญญาพล กับเมียแก ศรี ปัญญาพล พากย์หนัง ยึดโรงหนัง เท็กซัส ฉายหนังแขก แก้พากย์คู่ผัวเมีย คู่เดียวนี่แหละจนกระทั่งตายเลย พากย์จนแก่จนตาย พากย์หนังอินเดีย หนังเท็กซัสโรงหนัง เท็กซัสเป็นที่รู้กันเลยฉายหนังอินเดีย ถนนหน้าโรงหนังเท็กซัส ขายข้าวแกงกะหรี่ เสร็จแล้วก็มีร้านขายน้ำหวาน เขาจะหั่นแตงโม น้ำหวานใส่โหลแก้ว แล้วหั่นแตงโมสุกเป็นชิ้นๆ เป็นลูกเต๋าใส่น้ำหวาน เดี๋ยวนี้สภาพเก่าๆหายไปหมดแล้วไม่เหลือพวกนี้เลย ประวัติศาสตร์พวกนี้ 

พูดถึงฉากนี้อยากจะเล่านิดนึง ฉากนี้คือฉากเวที แล้วอาตมาก็จัดการแสดงฉากที่เห็นคือฉากสุโขทัย เจดีย์สุโขทัย เป็น operetta ซึ่งไม่ใช่ Opera คือ Operetta นี้ มันต่างกันกับ Musical play ถ้า Musical play ก็คือละครเพลง แสดงและอาจจะมีร้องเพลงด้วย มีบทพูด มีภาษาพูดแทรกเข้าไปแล้วก็มีเป็นเรื่องราว 

แต่ Opera หรือ operata และ operetta ก็คือ Opera น้อยๆ Opera ก็คือของฝรั่งเขา ใหญ่เลย คือเป็นการร้องเพลงกันทั้งเรื่องเลย เช่นเรื่องโรมิโอ - จูเลียต ก็ร้องกันทั้งพระเอกนางเอก ตัวประกอบทุกคนร้องอย่างไม่มีคำพูดเลย ส่วน Operetta ก็ร้องเหมือนกันทั้งเรื่อง แต่เป็นเรื่องที่เล็กกว่าสั้นกว่า อาตมาทำ Operetta แค่ 20 กว่านาที แสดงตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนเพาะช่างอยู่ ทำเรื่องนี้แล้วก็ออกแสดงงานศิลปหัตถกรรม แสดงแล้วอาจารย์สมโรจน์ เป็นผู้ดำเนินการ งานศิลปหัตถกรรม เขาก็อยากได้เรื่องนี้อีก ชอบมากให้ไปแสดงซ้ำอีก ก็เลยไปแสดงซ้ำ แต่นักแสดงชุดใหม่ อาตมาก็ต้องไปซ้อมเป็นเดือนนะ ทั้งร้องทั้งออกท่าทาง อาตมาก็เป็นคนดีไซน์ อาตมาเป็นคนหัดฝึกหัดแสดง ให้มันซิงโครไนซ์กันให้มันเข้ากันได้ ก็ได้ทำสิ่งเหล่านี้มาถ้าอาตมาอยู่ทางฆราวาสอาจจะสร้าง Opera นะ ให้คนไทยร้อง Opera เลย 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ . ชอบฟังพ่อครูเล่าเรื่องเก่า ๆ ครับ และอยากให้เด็กรุ่นใหม่ร้องเพลง “แม่มูล”

พ่อครูว่า…เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนชื่อเพลงเป็นเพลงแม่จ๋าแล้ว มันร้องค่อนข้างยากอยู่ ถ้าจะให้ร้องเพราะต้องมีความสามารถหน่อยเพลงนี้ อุมาพรร้องได้ดีทีเดียว เสียงต้นฉบับที่ร้องพอได้คือเกศินี เป็นนักร้องขวัญดาว อาตมาคัดขึ้นมาร้อง เสียงแกค่อนข้างจะแข็งหน่อย ใช้คำใช้อะไรออกมามันก็แข็งอยู่บ้าง มันไม่เหมือนอุมาพรร้องออกมาได้ดี ถ้อยคำอะไรเสียงที่ออกมา Vibration ก็ดีพอสมควร ส่วนเกศินี vibration จะมากกว่าหน่อย แต่อุมาพรนี้ได้พอดีๆ ร้องได้ดีมาก vibration คือเสียงลูกคอ  

ฟังลูกทุ่งชายที่ลูกคอมากก็คือมนต์สิทธิ์ คำสร้อย ลูกคอเขาจะกี่ชั้นก็ได้ ยิ่งสุนทราภรณ์แล้วก็โฉมเอยโฉมงาม เพลงแกร้องไม่มีลูกคอเลย สุนทราภรณ์ 

 

ปฏิสัมภิทาญาณของพ่อครูเป็นเช่นไร

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า พ่อครูเป็นสมณะผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ คืออย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…ปฏิสัมภิทาญาณ หมายความว่า มีญาณปัญญามาก มีญาณปัญญายิ่ง มีญาณปัญญาอันยิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย  อัตถปฏิสัมภิทา ธรรมะปฏิสัมภิทา นิรุตติปะฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา 

1. สุกขวิปัสสโก (ผู้เห็นแจ้งโดยปัญญาเพรียวๆ) 

2. เตวิชโช (ผู้ใช้วิชชา 3) 

3. ฉฬภิญโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 ฝ่ายเจโตสมถะ)  

4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ทั้ง 4 ได้แก่... 

อัตถปฏิสัมภิทา ฉลาดในเนื้อแท้แห่งสัจจะ-เป้าหมาย   

ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในสภาวธรรมต่างๆ ทั้งหมด 

นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในการมีภาษาบอกกล่าว 

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฉลาดในเชาวน์ไหวพริบ 

(จากคัมภีร์วิสุทธิมรรค) 

ประกอบด้วย 4 อย่าง 1. คือในความรู้มีความรู้ยิ่งมีความรู้อันยิ่งมีปัญญาอันยิ่ง มันพร้อมไปด้วย 1) เนื้อแท้ เนื้อหาสาระ 2) พร้อมไปด้วยธรรมะ 3) พร้อมไปด้วยภาษา นิรุตติ ภาษาพยัญชนะต่างๆมีมากพอ 4) ปฏิภาณ ไหวพริบ เป็นความเฉลียวฉลาดอยู่ในนั้น ทั้ง 4 ประการ อาตมาก็พอมีสิ่งนี้อยู่ 

ผู้ที่มีความรู้ก็สามารถรู้ได้ เป็นผู้ที่จัดอยู่ในพวกยอดของผู้รู้  ซึ่งมีเกจิหรือพระอรรถกถาจารย์ท่านเรียงเอาไว้ เป็น 4 ชั้น 

อรหันต์ที่เป็นอรหันต์ไม่มีอะไรเลยคือสุขวิปัสสโก มีแต่วิปัสสนาญาณอย่างเดียวแล้วก็รู้แจ้งบรรลุ 

ส่วนอีกคนหนึ่งมีเตวิชโช ก็ถือว่าเตวิชโชนี้สูงกว่าสุขวิปัสสโก อาตมานั้นถ้าจะว่าจริงๆน่าจะเอาสุขวิปัสสโกสูงกว่าเตวิชโช พวกเตวิชโชเป็นพวกสมถะ ส่วนสุขวิปัสสโกเป็นพวกวิปัสสนาไม่ใช่สมถะ 

ขั้นที่ 3 คือฉฬภิญโญคือมีอภิญญา 6 

ส่วนขั้นที่ 4 คือปฏิสัมภิทัปปัตโต คือมีพวกปฏิสัมภิทาญาณ  อัตถปฏิสัมภิทา ธรรมะปฏิสัมภิทา นิรุตติปะฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา  

 _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ . มนุษย์หูเทียมคุ้นชินการฟังธรรมะพ่อครูโดยการอ่านปากมาแต่เอ็ฟเอ็มทีวี จนถึงบุญนิยมตั้งแต่กู้ชาติ 48 ในนาม 3 สาว สกก.ปฝ.ฉช. มาต่อมวลมหาปชช.57 ถึงปีล่าสุด 66 ช่วงที่เครื่องช่วยฟังเสียไปกับการชุมนุมบ้าง อุบัติเหตุบ้าง  เหตุสุดวิสัยบ้าง  คุ้นกับน้ำเสียงพ่อครูเทศนาธรรมมาสิบๆปี แม้อยู่ในโลกเงียบ  กราบอนุโมทนาธรรมพ่อครู สาธุ

พ่อครูว่า…เก่งนะเขาอ่านมือก็ว่ายากแล้ว แต่อ่านปากรู้ได้ด้วยละเอียดนะ อ่านปากแล้วก็รู้ว่าพูดอะไร เขาถนัดย่อคนนี้ อาตมาก็ถนัดงงเหมือนกัน สนใจธรรมะก็ดีแล้วคนนี้เขาก็เป็นศิลปินเหมือนกันหากินทางวาดรูป 

_จนแท้ บุญคุ้มมาจน. กราบคารวะพ่อครู รัตภูมิ สงขลาภาพเสียงชัดเจนครับ

พ่อครูว่า…ตอบรับทางเทคนิคมา 

_ชาญณรงค์ จินดาธรรม . ท่านผู้ใดผู้ทรงคชาธาร ทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ผู้มีอัชฌาสัยอันทนไม่ได้ต่อความกรุณา ข้าพเจ้าขอกราบคารวะด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ด้วยอัษฎางคประดิษฐ์ แทบเท้าพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าองค์นั้น ด้วยความรักอย่างยิ่ง ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งครับ

พ่อครูว่า…ไม่รู้ผู้ใดผู้ทรงคชาธาร ทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด พวกเราว่า พ่อขุนรามคำแหง

วันอังคารที่ 12 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวน

_จิ แก้วประดิษฐ์ . หนูโชคดีมากค่ะท่าน ได้เจอผัสสะทุกวันแล้วก็ได้อ่านผัสสะทุกวันสนุกทุกวันค่ะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า…ดีมาก ฟังธรรมะเข้าใจ แล้วก็รู้ว่า ผัสสะนี่แหละเป็นตัวสำคัญของการปฏิบัติธรรม อย่างพวกนั่งหลับตาอาตมาบอกว่าให้เลิกเถอะ มันไม่มีอปัณณกปฏิปทา 3 มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ จะทำยังไงเขาจะได้รู้สึกรู้สา ว่าเอ๊.. จริงหรือ น่าจะสะดุดใจบ้าง ตรวจสอบดีๆ อ่านพระไตรปิฎกให้แตกๆ อ่านดีๆ ตั้งแต่พระสูตรแรก ก็อ่านไปเถอะพระสูตรเดียวก็ได้ พรหมชาลสูตร อ่านดีๆเถอะ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติและมันก็โมฆะในศาสนาพุทธเท่านี้แหละ จุดเท่านี้แหละ ถ้าอ่านเข้าใจก็จะรู้สึกสะดุ้งเฮือกเลยนะ โอ้โห..ไปหลงงมงายหลับตาปฏิบัติอยู่ได้ เป็นลูกศิษย์เดียรถีย์ ลูกศิษย์ชาวนอกพุทธกัน จนกระทั่งเดี๋ยวนี้นี่มันเสื่อมมาตั้งหลายร้อยปีแล้วแล้วก็ไปโง่เง่าเสื่อมกันมาเรื่อยๆ มันก็เป็นจริงนะ ก็ไม่อยากให้เสื่อมก็บอกกัน ผู้ฟังด้วยดีได้ปัญญา ฟังดีๆพิจารณาดีๆแล้วก็ตรวจสอบดีๆ 

 

ปุถุชนกับพระอาริยะทำใจในใจต่างกันอย่างไร

_ศศิกาญจน์ เพียรเริงพุทธ . น้อมกราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง ได้ฟังการเเสดงธรรมเเล้วทำให้เข้าใจความยินดี การทำใจในใจ มากยิ่งขึ้นค่ะ ตั้งเเต่เข้ามาศึกษาธรรมะสายอโศกยิ่งเข้าใจชัดเจน และมีความตั้งใจว่าจะตั้งใจฝึกฝนพากเพียรในการศึกษาธรรมะเเละนำความรู้ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้อยู่เหนือทั้งทุกข์เเละสุขค่ะ..

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฌานวิสัย คืออจินไตย 4 ที่พ่อครูมีในตน วันพุธที่ 13 กันยายน 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2566 ( 21:13:54 )

660915

รายละเอียด

660915 ทิฏฐธรรมนิพพานที่สัมมาจึงจะพาบรรลุ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53538.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1rE-pXex8-aui8L06678frb_WHkZFqBBy/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1N7j3QmulMMNrhbXYUgxvBnzsRxzfTPcS/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660915-108-_-e29c2nj

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/623726763277835 

และ https://youtu.be/kdrd7SEoSQ8

มีซับ 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้พูดถึงชาวอุบลราชธานีก็จะกังวลกันเรื่องน้ำท่วม ก็ไม่ต้องกังวลหรอกท่วมแน่ๆ แต่ชาวไทยเราก็เป็นห่วงเรื่องเงินดิจิตอลของรัฐบาลที่จะแจก ออกมาแล้วเศรษฐกิจจะตกต่ำ เป็นการใช้เงินดิจิตอลของพรรคเพื่อไทยโดยตรง เป็นปัญหาซับซ้อนมากมาย ใช้เงินเป็น 5 แสนล้าน เขาเป็นห่วงว่าจะล่มจมเหมือนจำนำข้าว และยังจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ทำให้เห็นว่านักการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกตรงจริงไหม 

 

คุณทักษิณน่าสงสารที่ยังโง่ไม่ยอมแพ้

พ่อครูว่า... มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกถ้าเผื่อว่าความจริง มันไม่เป็นสัจจะ ความจริงมันไม่ซื่อสัตย์ มันแก้ไม่ได้ 

ที่ไปโทษทหารมาบริหารเป็นเผด็จการ ประชาชนเต็มขั้นมา บริหาร จึงจะเป็นประชาธิปไตย จึงจะบริสุทธิ์สะอาดซื่อสัตย์ คุณรับรองได้ไงว่าทหารที่มาบริหาร กับประชาชนมาบริหารนั้นไม่ซื่อสัตย์เท่ากัน ทหารก็ซื่อสัตย์ได้ ประชาชนเต็มขั้นก็ซื่อสัตย์ได้ มันอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นทหาร ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นประชาชนเท่านั้น 

ทหารก็ประชาชน ประชาชนก็ประชาชน เพราะฉะนั้นความหมายที่ตรงนั้นไม่ได้อยู่ที่การเป็นทหาร ไปนิยามไปกำหนดว่าถ้าเป็นทหารบริหารนั้นไม่ดี ถ้าประชาชนไปบริหารนั้นจึงจะดี มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ประชาชนบริหารถึงจะดี ก็ไปติดยึดอยู่แค่คำว่า ประชาธิปไตยคือประชาชน แต่ที่จริงทหารก็คือประชาชน มันไม่ได้อยู่ที่ว่าประชาชน คำว่าประชาชน คุณก็ไปกำหนดคำว่าประชาชนมาหลอกคน ทหารก็คือประชาชน ประชาชนก็คือประชาชน ไม่ใช่ไปบอกว่าประชาชนถึงจะเป็นประชาชน ทหารไม่ใช่ประชาชน ก็โง่ต่อไปละกัน 

มันอยู่ที่ว่าผู้ที่บริหารนั้นได้ตำแหน่งหน้าที่ทำงานจะเป็นคนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ เป็นคนมีสมรรถนะ เป็นคนมีความสามารถ ไม่มีตัวตน ไม่ได้มีกิเลส และทำเพื่อประชาชนจริงๆ มันอยู่ที่ตรงนี้ พิสูจน์ยืนยันกัน 

พูดมาตรงนี้แล้วจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณกับพลเอกประยุทธ์นี่ ต้องพูดให้เต็มขั้น นักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ กับพลเอกประยุทธ์ มันชัดๆเจนๆอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นพฤติกรรมของเขาอยู่เลย ยังไม่ยอมเลย ทุกวันนี้ก็ยังลับๆล่อๆลึกๆลับๆ ทำเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทำเป็นเล่นไปนะ ขณะนี้ที่เขาทำนี่ มันมีนัยยะสำคัญ มีเชิงของการขัดพระบรมราชโองการหรือเปล่า ขณะนี้เขาประพฤติอยู่นี่ 

คือจริงๆตรงๆเขาต้องติดคุก 1 ปีตามพระบรมราชโองการ เขาทำอยู่หรือเปล่า เขาทำหรือยัง หรือเขาก็ทำพฤติกรรมไปแค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปกล้อนผม ต้องเข้าคุก แล้วคนที่อนุโลมยอมยืดหยุ่นหย่อนยานไปตามความต้องการของทักษิณนั่นแหละ ระวังไว้เถอะ มาตรา 157 ก็ดี นายตั้มก็ยังไม่ยอมอยู่ตอนนี้ทนายตั้ม และก็เดี๋ยวก็จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไบแอสทักษิณ อาตมาไม่ได้ไบแอสกับทักษิณหรอก อาตมาก็ยังเห็นว่าทักษิณยังเป็นผู้ที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่พฤติกรรมนั้นต้องทักท้วง อาตมามีหน้าที่จะต้องทักท้วงให้เขาทำดี 

ถ้าทักษิณ ได้ยินแล้ว อาจจะบอกว่าพูดทักท้วงเป็นโพธิรักษ์เชียวนะ หรือว่าเป็นแค่นั้น เป็นแค่ไม่มีอะไรก็แล้วแต่เขา 

 

SMS คราวก่อนก็ยังค้างอยู่ 

เพราะลิงลมอมข้าวพองพระโพธิสัตว์จึงยังฉันเนื้อสัตว์

_อี๊ด (จากไลน์)... ขอกราบ​ถามพ่อ​ครู​โพธิสัตว์​สูงกว่าอรหันต์​แต่โพธิสัตว์​ที่พ่อครูรับรองบางท่านยังทานเนื้อสัตว์ ​เมื่ออรหันต์​ต้องเว้นขาดจากเนื้อสัตว์​มิเช่นนั้น​คนทานเนื้อสัตว์​ยังได้แค่โสดาบัน​แล้วจะข้ามขั้นไปโพธิสัตว์​อย่างไรคะ กราบนมัสการ​มาด้วยความเคารพ​อย่างสูง​คะ

พ่อครูว่า... การที่จะเข้าใจถึงเรื่องสภาพความซับซ้อน การหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส อาตมาก็เคยอธิบายมาแล้วในเรื่องความซับซ้อนที่มันสูงซ้อนขึ้นไป แล้วมันก็มีสิ่งที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง มีสิ่งที่กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์นี่ มันจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของโลก มันครอบงำ 1. และ 2. วิบากของผู้นั้นๆ วิบากของอาตมาก็ดี วิบากของพระพุทธเจ้าเองก็ดี วิบากของใครก็แล้วแต่ ในหลวงก็ตาม แต่ละคนก็ต้องมีอยู่ในตัวเอง 

ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมี ลิงลมอมข้าวพอง คุณทำไมไม่ไปท้วงพระพุทธเจ้า อ้าวพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ทำไมแต่งงานมีลูกอยู่ล่ะ มันก็งงอีกล่ะใช่ไหม พระพุทธเจ้าแท้ๆเกิดมาเป็นพระอรหันต์หลายชาติแล้ว ชาตินั้นก็เป็นชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแท้ๆทำไมยังเกิดไป แต่งงานมีลูกอะไรต่ออะไรอีก ได้ยังไง เอาเถอะในชาติพระพุทธเจ้าสมณโคดมหรือว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านจะไม่เคยเสวยเนื้อสัตว์ เพราะท่านเป็นฮินดูชั้นสูง แต่คนเขาก็โมเมหาว่าท่านฉันเนื้อสัตว์ ที่จริงท่านไม่ได้เคยฉันเนื้อสัตว์ ตั้งแต่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เพราะท่านเป็นฮินดูชั้นสูง ของอินเดียฮินดูชั้นสูงไม่ได้ทานเนื้อสัตว์กันหรอก 

ซึ่งมันมีหลักฐานยืนยันแม้แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เลย ถึงได้บอกให้พระพุทธเจ้าออกกฎเลย บังคับให้สงฆ์ทุกรูปไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันมังสวิรัติให้หมด พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราไม่ออกกฎหรอก เพราะว่าไม่ต้องไปบังคับ ให้เขาเกิดภูมิปัญญา เพราะหมู่ใหญ่ก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว มีบางส่วนเท่านั้นบกพร่อง เป็นส่วน Error ที่ยังอยากฉันเนื้อสัตว์ในยุคพระพุทธเจ้าก็ยังมีสงฆ์ที่ยังอยากฉันเนื้อสัตว์ พระเทวทัตก็ทำเป็นอวดเคร่ง ที่จริงแล้วความเคร่งก็คือคนที่ไม่ต้องใช้กฎทำได้โดยอิสรเสรีภาพนั่นคือสิ่งที่เป็นอิสระสมบูรณ์กว่า พระพุทธเจ้าท่านมีภูมิปัญญามากกว่าพระเทวทัต 

หรือแม้แต่มีอยู่ใน สีหสูตร พวกอเจลกะ นอกพุทธ เขาก็ยังไปตะโกน เมื่อสีหเสนาบดี นิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันที่วังของเขา เป็นเสนาบดีมีอำนาจใหญ่ อาราธนาพระพุทธเจ้าไปฉันอาหารที่คฤหาสน์ของเขา พระพุทธเจ้าก็เสด็จไป เสร็จแล้วพวก อเจลกะ ก็อยากจะดิสเครดิตพระพุทธเจ้าก็มาประกาศ ป่าวประกาศ

เจ้าข้าเอ๋ย ร้องตะโกน ประกาศไป เจ้าข้าเอ๋ยสมณะโคดมฉันเนื้อสัตว์แล้วนะเจ้าข้าเอ๋ย ทั้งๆที่รู้ เพราะว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปฉัน สีหเสนาบดี ได้สั่งลูกน้องให้ไปซื้อเนื้อสัตว์ ที่ตลาดมาทำอาหารเอาไว้เพื่อรองรับถวายพระพุทธเจ้าในวันรุ่งขึ้น เขาก็เป็นอเจลกะ สีหเสนาบดี เขายังนอกรีตไม่ใช่พุทธแท้ แต่เขาก็ยังศรัทธาพระพุทธเจ้าก็เลยทำไป เขาก็ทำอาหารเนื้อสัตว์เตรียมอาหารเนื้อสัตว์ไว้ นั่นแหละเป็นประเด็นที่พวก อเจลกะ ตะโกนโหวกเหวก

เจ้าข้าเอ๋ย สมณะโคดมฉันเนื้อสัตว์ เจ้าข้าเอ๊ย..ทั้งๆที่รู้ สีหเสนาบดีทำอาหารถวายให้พระพุทธเจ้าก็ยังฉัน เขาก็ตะโกนโหวกเหวกอยู่นอก

ประเด็นนี้อาตมาเคยจับไปตั้งประเด็นให้สังเกตดีๆ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ ฟังให้ดีนะ ถ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ รับนิมนต์ไปฉันที่ สีหเสนาบดีนิมนต์ไป ถ้าพระพุทธเจ้าไปในนั้นฉันเนื้อสัตว์ ก็มันจะไปประหลาดอะไรเพราะท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ จะบ้าหรือไปประกาศให้ชาวบ้านเขารู้ทำไม เพื่อจะเป็นการ ดิสเครดิต ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าท่านต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์สิใช่ไหม จึงเป็นประเด็นไปร้องตะโกนดิสเครดิตพระพุทธเจ้าได้ว่า เจ้าข้าเอ๋ย พระสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์แล้ว 

จริงมีเหตุการณ์องค์ประกอบว่าเอาเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าจริง แต่ อเจลกะ ไม่ได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าฉันหรือไม่ฉัน และไม่ได้มีคำบอกว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ในที่นั้น ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เขาก็ตีความตรงนี้ว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ 

ก็ประเด็นนี้อาตมาก็จับประเด็นลึกให้เห็นว่า จะว่าเป็นประเด็นตื้นก็ตื้นไม่ใช่ลึกหรอก ก็ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ อเจลกะ  ไปตะโกนโหวกเหวกจะได้คะแนนยังไง ก็เพราะท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ จะร้องทำไม ใครเขาก็รู้อยู่แล้ว ก็แสดงว่าท่านไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์สิเขารู้กันอยู่ทั่วไปว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ อเจลกะ ได้ฟ้องประชาชนว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ 

ก็ทำไม มีข้าว ฉันแต่ข้าวก็ได้ เขาจะมาถวายอะไรก็ฉันเป็นมังสวิรัติก็ได้ ข้าวเปล่าข้าวกับผักกับพืชข้าวกับอาหารอื่นก็เป็นมังสวิรัติแล้ว ข้าวกับถั่วกับงาก็ได้แล้ว ยิ่งของแขก มีแต่ถั่วกับงา แม้แต่ทำแกงถั่วเขาก็ใส่เกลือ ไม่ได้ใส่น้ำปลาน้ำปู อะไรอย่างนี้เป็นต้นเยอะแยะ อ้าวผ่าน นี่ใกล้ๆจะถึงงานมังสวิรัติแล้วก็ตีปลาหน้าไซหน่อย 

สรุปของคุณอี๊ดที่บอกว่า โพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ทำไมยังฉันเนื้อ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ยังไปทานเนื้อสัตว์มาก่อน เอาเถอะยกไว้พระพุทธเจ้าท่านเป็นฮินดู ชั้นสูง ท่านไม่ทานเนื้อสัตว์มาตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งอะไรก็เรื่องของท่าน แต่อาตมาไม่ได้อยู่ในสังคมอย่างนั้นก็ทานเนื้อสัตว์มาก่อน ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์สิ แล้วคุณจะเอาอันนั้นเป็นเรื่องตัดสินทั้งนั้นแหละ เอาภูมิธรรมอาตมาแสดงธรรมมา 50 กว่าปีแล้ว เนื้อหาธรรมะต่างๆสิ คุณพอจะมีภูมิรู้ได้ไหมว่าธรรมะที่อาตมาแสดงมา 50 กว่าปีนี้เป็นโลกุตรธรรมอย่างไร ซึ่งมันเป็นการยืนยันด้วยว่า 

ถ้าไม่มีอาตมาอุบัติขึ้นมา เกิดขึ้นมา สังคมกระแสหลัก ศาสนากระแสหลัก พุทธกระแสหลักแม้ทุกวันนี้ก็ตาม เขาก็ยังจะเป็นโลกียะเขาจะไม่มีโลกุตระเกิดขึ้นมาได้ ก็มีชาวอโศกนี่ มีภูมิปัญญามีดวงตาเข้าใจธรรมะแล้วก็มา ปฏิบัติ โลกุตรธรรมฝึกฝนจนเป็นรูปเป็นร่างจนกลายเป็นชาวอโศก มีสังคมถึงขั้น สาธารณโภคี เอาหลักธรรมข้อไหนข้อไหนตั้งแต่ วิชชา จรณสัมปันโนเข้าไปไล่ ศีลสมาธิปัญญาหลักธรรมต่างๆตรวจสอบดูสิ ตรวจสอบชาวอโศก ตรงตามพระอนุสาสนีไหม อาตมาไม่ได้ท้าทายข่มเบ่งหรอกพูดให้ฟังให้เข้าใจสัจจะดีๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปงมงายอะไรเกินกัน พยายามลืมตาขึ้นดู ขออภัยอาตมาวิจารณ์ไม่ได้ว่าคุณหลับตานะ พูดให้ถึงคนที่ยึดติดหนักๆ 

 

หากพ่อครูตายแล้วจะกลัยมาเกิดที่ใด

_ทวีสิน จงรักวงศ์....กราบนมัสการพ่อท่านอย่างสูงยิ่ง กราบท่านสมณะ กราบสิกขมาตุ และญาติธรรมชาวอโศกทุกท่าน ผมเคยอ่านพบว่าท่าน “ดาไลลามะ” ที่มรณะแล้วจะไปเกิดที่ใด จึงนึกถึงพ่อท่านว่าเมื่อถึงกาลละสังขารแล้วจะไปจุติแห่งหนใด ควรมิควรแล้วแต่พ่อท่านจะโปรดครับ

พ่อครูว่า... อาตมายังไม่รู้ว่าอาตมาจะไปเกิดที่ไหน  อาจจะไปเกิดอเมริกาก็ได้ ยังไม่รู้เลยว่าจะไปเกิดที่ไหน ก็อธิบายให้ฟังบ้างพอสมควร 

ผู้ที่ทำเหตุ สร้างเหตุไว้ แม้แต่เหตุที่เราระลึกถึงกัน เหตุที่สัมพันธ์กัน เหตุที่ผูกพันกัน มันก็เป็นเหตุที่จะไปเป็นเช่น  ถ้ามันมีเพียงพอ มันก็เป็นไป ระลึกถึงกันผูกพันกันมากกับคนชั่วก็ไปกับคนชั่ว ดีเป็นบัณฑิตก็ไปอยู่กับบัณฑิต คนพาลผูกพันกันก็ไปกับคนพาล   เนื้อแท้มันไปหากัน น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมันโดยสัจจะ ถ้ามีเนื้อแท้ของสัจจะนั้นเพียงพอ วิบากของคุณไม่มากจนดึงพรากไปได้ ถ้าเผื่อว่าคนเขาพยายามสร้างสัจจะให้มันมากคุณคิดว่าเกิน 50% แต่วิบากของคุณมีมากก็ดึงไปได้ แต่ถ้าวิบากไม่มากนักก็50-60เปอร์เซ็นต์น่าจะเข้าไปกับกลุ่มได้ เข้าที่ควรจะไป ตามที่เราเจตนาที่ประสงค์ก็ไป มันก็ได้ตามนั้น ถ้าเหตุเพียงพอกับวิบากของคุณไม่หนักพอกรรมวิบากจะมาค้านแย้งเอาไว้ 

สรุปแล้วก็ต้องทำเหตุให้ถ้วน ทำเหตุให้มากให้ถูกต้องให้ดีที่สุดให้มากพอ แล้วมันไม่มีอะไรต่างกันได้ ทำเหตุให้สมบูรณ์พอ 

เพราะฉะนั้นการไปนึกถึงผลไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงผล แค่รู้ผลว่าเป้าหมายจะเป็นอย่างไรแต่ไม่ต้องไปเสียพลังงานแคลอรี่ไปต้องการจะบรรลุผลไหมทำเหตุให้เต็มทำเหตุให้แข็งแรงครบถ้วนบริบูรณ์ให้ดี แล้วมันจะเป็นไปตามลำดับแท้จริงของสัจจะ ขอต่อไปเท่านี้ก็แล้วกัน 

สรุปอีกทีหนึ่ง อาตมาก็ไม่รู้ว่าอาตมาจะไปเกิดที่ใด แต่แน่ใจว่าอาตมาเกิดในกลุ่มหมู่พวกเรานี่แหละ หรือพวกเราก็มาเกิดร่วมกับอาตมา 

สมณะฟ้าไท... เราเทียบอย่างนี้ได้ไหมครับว่าภาวะที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้ขณะเป็นๆเราก็ไม่ได้อยากจะไปเลย ตอนนี้ เราก็ไม่อยากจะไปเราทำกรรมร่วมกับที่นี่ ยังไม่หนีไปไหนเลย 

พ่อครูว่า... เราไปได้อิสระเสรีด้วยเราก็ยังไม่ไปเลย นี่ทั้งๆที่เรารู้อยู่ คุณพวกคุณนี่จะไปไหนก็ไปสิไปๆ  พวกคุณก็ไม่ไปเองอิสระเสรีภาพแล้วคุณก็มีคุณภาพพอที่จะอยู่ได้ด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร 

_สู่แดนธรรม... ญาติธรรม พวกเราบางคนวางแผนไว้เลยว่า จะมาขอตายอยู่ที่ บ้านราช เพื่อเขาจะได้เกิดไวๆ ตายตรงนี้ก็เกิดตรงนี้แหละไม่ต้องเดินทางไปเกิดที่ไหน 

พ่อครูว่า... ก็ดี ก็ถูกแล้ว คนเขาชัดเจนก็เป็นแบบนี้คิดแบบนี้เชื่อแบบนี้ 

_Danille Sabatier... เพลงเก่ามีครูบาอาจารย์ ฟังแล้วมีความหมาย สื่อความรู้สึกบอกไม่ถูกค่ะ สรุปดีมาก ๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

พ่อครูว่า... คนนี้ชื่อก็ไม่ใช่ไทยเลยแต่มาชอบเพลงไทย ตอนนี้อาตมาก็มีคนช่วยทำให้เพลงนี้เป็นสื่อนำพา เพราะมันเป็นสากล เรื่องเพลงการมันเป็นสากล เป็นศิลปะสากล มันไม่เข้าข้างชาตินั้นชาตินี้ มันเอาทำนอง แม้คำร้องจะเป็นภาษาที่ยังเข้าใจกันไม่ได้ แต่ทำนองมันจะจูงนำ มันเป็นสากล ก็ค่อยๆเป็นไป แล้วก็มีผู้ทำสมัยใหม่มีฝีมือ มีน้ำใจ ที่จะเห็น เห็นประโยชน์ด้วย อาตมาว่าเขาคงมีภูมิปัญญารู้ว่าเพลงพ่อท่านเป็นเพลงที่ไม่เหมือนเพลงใครๆอยู่เยอะนะ ไม่เหมือนหลายๆอย่างทั้งเชิงภาษากวี ทั้งเนื้อหา 

เนื้อหานี่แหละอาตมาว่า เขาจะเข้าใจชัดเจน ส่วนเรื่องทำนองนั้นก็อาตมาก็ว่ามันก็พิเศษอยู่เหมือนกัน มันอาจจะยากนิดนึงทำนองเพลงของอาตมา แต่มันจะเป็นเขาเรียกว่าอะไรนะ เป็นอมตะ เป็นเพลงอมตะอะไรพวกนี้ เป็น อม ตะ จะอยู่นาน 

 

SMS วันที่ 13-14 ก.ย. 2566

 

ทิฏฐธรรมนิพพานที่สัมมาจึงจะพาบรรลุ

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน  · กราบนมัสการพ่อครู,สมณะ, สิกขมาตุ ด้วยความเคารพค่ะ ที่ชุมชนบ้านราชธานีอโศก ได้มาอยู่แล้ว น่าอยู่มากค่ะ อยู่ในหมู่ทำให้เราได้เห็นอัตตาตัวตนของเรา ได้ลดกิเลสในปัจจุบัน 

พ่อครูว่า... เอออันนี้ต้องขยายความนิดนึง อยู่ในหมู่ชาวอโศกทำไมเห็นอัตตาตัวตนขึ้นมาได้อยู่ข้างนอกทำไมไม่เห็น เดี๋ยวขยายความให้ฟังนิดนึง 

อยู่ที่นี่มันมีการชี้ มันมีการท้วง มันมีการบอกว่านี่กิเลสนะ นี่เป็นอัตตานะ นี่เป็นมานะ อันนี้กิเลสกามนะ อันนี้กิเลสโกรธนะอะไรอย่างนี้ มันก็ได้รู้ เพราะว่าพวกเรานี่มีการบอกอธิบายกัน พยายามที่จะให้ความรู้กัน เตือนกัน ก็ได้ลดกิเลส ในปัจจุบันที่มันเกิดปั๊บ เพื่อนพวกเราที่รู้ว่าเป็นอย่างนี้นะก็ได้บอก ก็ได้รับกิเลสในปัจจุบัน 

และปัจจุบันนี้แหละคือกิเลสที่จะต้องลด ไปหลับตาปฏิบัติไม่มีปัจจุบันนั้นมันไม่ได้ทำให้กิเลสลด มันมีแต่การเพ้อคิดอยู่ในสัญญา สัญญาเป็นอดีต 18 เป็นอนาคต 44 ฟังพระพุทธเจ้าตรัสให้ดีๆทำความเข้าใจให้ดีๆ หลับตานี้ไม่มีปัจจุบันชาติ 

ในพรหมชาลสูตร อธิบายไว้ในปัจจุบันชาติว่า นิพพานจะต้องมี 5 ต้องมีกาม ต้องมีฌาน 4 รวมเป็น 5

ฌานพระพุทธเจ้าต้องลืมตามีผัสสะเป็น กาม ก็ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย กามต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฌาน 4 ก็ต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นปัจจุบันที่มีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลสกามในตรงนี้ ลดกิเลสได้ก็เป็นฌานที่ 1 เดี๋ยวนี้ ลดกิเลสได้เป็นฌานที่ 2 เดี๋ยวนี้ก็หลัดๆมีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่ได้หลับตาอยู่ตรงไหน ไม่ได้อยู่ในภวังค์ตรงไหนเลยเป็นทิฏฐธรรมเป็นปัจจุบันชาติ เป็นปัจจุบันอย่างนี้หลัดๆ

ตาก็ลืม สัมผัสก็รู้ เวทนาก็เกิด แยกกิเลสได้ อ๋อเห็นกิเลสอยู่ ปัจจุบัน หลัดๆ ไม่ใช่ไปนึกเอาสัญญาว่า ไอ้นี่เราเคยมีกิเลส อนาคตเราน่าจะมีกิเลส​ มันไม่ใช่แบบนั้นมันเป็นการฝันเพ้อเป็นนิรมานกายที่ปั้นเอามันไม่มีกายจริง มันไม่มีภายนอกสัมผัสจริง มันไม่ใช่กาย กายนั้นมันขาดไปแล้วกายมันไม่มีภายนอก
กายต้องมีภายนอกภายใน  อธิบายจนกระทั่งคอจะแตกก็ไม่รู้จักสักที 

ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ทิฏฐธรรม คือปัจจุบันชาติ ทิฐิคือความเห็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นในทิฏฐิ 62 ความเห็นของคุณมันเป็นทิฏฐธรรมนิพพานที่ถูกต้องทั้ง 5 ไหมล่ะ 

คือมีความเห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพาน (ภาวะกิเลสสิ้นเกลี้ยง) นิพพาน คือภาวะกิเลสสิ้นเกลี้ยงในปัจจุบัน โดยยังไม่ได้สัมผัสนิพพานที่ถูกต้องแท้จริงซึ่งมีพร้อมทั้งสัมผัสภายนอกสัมผัสกายภายนอกและสัมผัสกายใน เป็นธรรมะอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยมูลเหตุ 5 อย่าง 

ก็เห็นว่าอัตตานี้อิ่มเอิบ พรั่งพร้อม เพลิดเพลินด้วยกามคุณ 5 แล้วคุณก็ไปหลงว่ากามคุณ 5 คืออย่างนี้ พอได้เสพสุขที่สุขที่สุดเสพกามสุขที่สุดก็เลยคิดว่าไอ้นี้เป็นนิพพาน พระนิพพานคือความสุขที่สุขปรมังสุขังอะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็น่าพอใจเป็นนิพพาน คนก็เข้าใจอย่างนั้นได้ 

เอาละถึงแม้ว่าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไปเข้าใจ ฌาน 

ฌาน 1 เป็นนิพพาน ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 เป็นนิพพาน ซึ่งถ้ามิจฉาทิฏฐิมันก็คือฌานอย่างมิจฉา กามก็มิจฉา

ถ้าของพระพุทธเจ้านั้นกามไม่มีหรอกนิพพาน ฌาน 1  2  3  4 ที่ผิดๆก็ไม่มีนิพพาน ต้องเป็นฌาน 1 2 3 4 ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้อาจจะเข้าใจยากอยู่บ้าง กาม ก็คงจะเข้าใจง่าย ก็ ขออธิบายแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ไม่งั้นจะอธิบายอันนี้ต่อไปอีก 3 วัน 3 คืนก็ได้ เอ้าผ่าน

 

คนมีสภาวะวรรณะ 9 เข้าสู่ชุมชนสาราณียธรรม 

_ได้ฟังธรรมะพ่อครู เข้าใจชัด และรายการย่อยธรรมะแต่ละวัน ทั้งบรรยากาศสด และฟังย้อนหลังตามเวลาที่จัดสรรได้ วันละเล็กวันละน้อยก็รู้สึกยินดีที่ปฏิบัติได้ เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง หมู่ช่วยขัดเกลา ญาติธรรมมีเมตตานอบน้อมลดอัตตา ไหว้ผู้ที่อายุน้อยกว่าได้  ไม่ถือสาผู้มาใหม่  เป็นแบบอย่างให้ลูกหลานซาบซึ้งความเมตตาจากผู้ใหญ่ การปฏิบัติธรรมมีค่ายิ่งกว่าคำสอน(โศลกธรรมพ่อครู) ญาติมีน้ำใจดูแลลูกหลานผู้มาใหม่ด้วยความเอ็นดู อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณของตนเองด้วยความอบอุ่นค่ะ ..กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านค่ะ.

พ่อครูว่า …จริง มันเป็นสังคมที่เป็น สาราณียธรรม 6 เป็นสังคมที่มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม จริงๆสัมผัสได้ อาตมาว่าคนหยาบก็ยังสัมผัสได้ เข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มพวกเรามีความเมตตาต่อกัน

ความเมตตาของชุมชนชาวโศกตั้งแต่เกิดมา 50 ปี ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทที่แรงๆร้ายๆอะไรเลย เป็นชุมชนมา อโศกเป็นชุมชนมา 50 ปี อาตมาว่าจนกระทั่งตั้งแต่เริ่มต้นมีชุมชน ชุมชนแรก 

ชุมชนแรกก็คือ ศาลี ศีรษะ สันติฯ แล้วจึงมาซื้อที่ปฐมอโศกถือว่าเป็นชุมชนแรกที่พร้อมสรรพ มีทั้งสถานที่ที่ครอบครอง 60-70 ไร่ ที่สันติอโศกก็มีแค่นั้น แม้แต่ที่ ศาลี ศีรษะ ตอนนั้นก็ไปอาศัยป่าช้าเขาเสร็จแล้วเขาก็มาไล่ออกจากป่าช้า ไม่ว่าที่ศาลีหรือศีรษะ เค้าก็มายึดป่าช้าคืน เราก็ต้องซื้อที่ต่อไปก็เป็นของเรา อย่างนี้เป็นต้น 

ตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันนี้เรามีสาธารณโภคีโดยอาตมาไม่ได้มีเจตนาจะให้มันเป็น แต่มันเป็นโดยสัจธรรมของมันเอง เมื่อเรามาปฏิบัติถูกต้องแล้วมันก็เป็นสัจจะของมัน เป็นโลกุตรธรรม มันมีเหตุปัจจัยที่จิตมันเป็น วรรณะ 9 จิตมันเป็นพุทธพจน์ 7 มีคุณธรรมพุทธพจน์ 7 มีคุณธรรมของจิตวรรณะ 9 จริงๆ พอมันมารวมกันมันก็เป็นสัจจะ มันก็มารวมตัวกันมีคุณธรรมที่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า สัจจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนั้นตรงกัน ทั้งหมด ถ้าปฏิบัติถูกเหตุปัจจัย มันก็ต้องเป็นอย่างที่มันเป็นสัจจะ เหตุปัจจัยที่เป็นสัจจะ 

ถ้าเหตุมันตรงกับสัจจะ ปัจจัยที่ตรงกับสัจจะ ผลออกมามันก็ต้องเป็นสัจจะใช่ไหม มันจะไปเป็นอื่นไปได้ยังไง มันเป็นสัจจะอย่างนั้นอย่างแท้จริง 

คุณธรรมวรรณะ 9 พูดเป็นภาษาไทยง่ายๆว่าเป็นคนเลี้ยงง่าย คุณก็ต้องมาพิสูจน์ยืนยันทำความรู้ว่า คนเลี้ยงง่ายกับคนเลี้ยงยากมันเป็นยังไง คนเลี้ยงยาก กินก็ยาก นอนก็ยาก ไปก็ยาก มาก็ยาก นั่งยากนอนยาก อะไรก็ยากๆไปหมด แหม มันไม่เหมือนกันอย่างชัดเจนก็จะรู้ สุภระ

บำรุงง่ายก็หมายความว่าไม่ใช่การประเมินนะ บำรุงคือทำให้เจริญ ไม่ใช่บำเรอนะ สุโปสะ ทำให้พัฒนา ทำให้เจริญอย่างไม่ได้ดื้อด้านดึงดันอะไรมากมาย แล้วก็เป็นคนเคี่ยวเข็ญลำบากอะไรเลย ก็เจริญได้ไม่ช้า เป็นไปได้พอสมควร เร็ว บำรุงง่ายทำให้เจริญได้ง่าย 

มักน้อยหรือ คำว่า มักน้อยคือ มีน้อยๆ ชอบมีน้อยๆ มักนี่คือชอบ มักเจ้าเด้ขาเป๋ลืมเบิ่ง มักเจ้าแล้วขาแป้วจึงเห็น

มัก แปลว่า ชอบหรือรักก็ได้ เราชอบด้วยความจน มักน้อยชอบในความมีน้อยไม่เอามากๆ น้อยจนกระทั่งถึงศูนย์สูงสุดแล้ว น้อยอะไรก็ไม่มีเท่าศูนย์หรอก ติดลบเป็นหนี้นั้นไม่ถือว่าดีนะถือว่าเป็นหนี้ มันติดลบไม่ดี มันต้องเป็นศูนย์นี่มันสูงสุดแล้ว เป็นคนกล้าจน

เขาแปลตามเดิมว่าแปลว่า มักน้อย จากบาลีว่า อัปปิจฉะ แต่อาตมามาแปลว่า กล้าจน เป็นคนมากล้าจน มันชัดเจนนะอาตมาว่า มันรู้ๆทั้งรู้ว่านี่มันจนดียังไง จนนี่สบายยังไง สูงส่งประเสริฐยังไง มันเข้าใจเลย มันมีปัญญาพอ 

สำทับไปอีกว่า สันโดษหรือ สันตุฏฐิ มีใจพอ ตอนนี้ก็ลึกซึ้งมันพอ น้อยเท่าไหร่ก็พอ จนที่สุดเป็นศูนย์ก็พอ แล้วคนอยู่ได้เรอะเป็นศูนย์ก็พออยู่ได้ไหม อยู่ได้เป็นศูนย์ก็พอ ก็มันมีเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีใจเกื้อกูลเพิ่มพูนการเสียสละอีกอย่างเต็มที่อยู่แล้ว มันเป็นคุณธรรมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่ได้ขัดแย้งมันจะจริง 

เพราะฉะนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเอาคำนี้มาใช้เป็นศัพท์ที่ไม่แรงไม่จัดจ้านเหมือนอาตมาใช้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มักน้อยหรือกล้าจน ท่านก็ใช้คำว่า พอเพียง พอ ทั้งอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ กล้าจนและใจพอ ท่านเอาไปใช้เป็นคำว่า พอเพียงเป็นไปตามลำดับ เป็นพระปรีชาของในหลวง ความเฉลียวฉลาดของพระองค์ ก็ใช้พยัญชนะอย่างนี้ 

เสร็จแล้วเป็นคนมีความขัดเกลา คือยังมีสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์สิ่งที่เรายังบกพร่องยังเหลืออยู่ ต้องขัดออกๆ กายกรรมที่ยังไม่ดียังไม่สมบูรณ์วจีกรรมที่ยังไม่ดีไม่สมบูรณ์ จิตของเรากิเลสของเรามันยังมีเหลือ ยังไม่สมบูรณ์มันยังไม่จบ ก็ขัดเกลาออก คนยังมีสิ่งที่ต้องขัดเกลา เมื่อขัดเกลาสมบูรณ์แบบแล้วไม่ต้องมีอะไรต้องขัดเกลาอีก มันก็ต้องจบ มันยังไม่จบก็ขัดเกลาที่เหลือเศษ ก็ตรวจแล้ว ขัดเกลาแล้วขัดเกลาอีก

กำจัดกิเลสข้อที่ 6 ธูตะ มาเป็นภาษาไทยคือคำว่า ธุดงค์ เขาเข้าใจคำว่า ธุดงค์คือการบุกป่าบุกดง นี่ก็คือความเสื่อมหนัก ศาสนาพุทธไม่ออกป่าไม่ออกดงอะไร แต่อยู่กับสังคมสมบูรณ์แบบมีผัสสะเต็มรูป อยู่กับสังคมไปตามลำดับ เราขีดไหนขั้นไหนของเราไปสัมผัสๆได้ละกิเลสได้เป็นระดับๆไป เป็นขั้นๆตอนๆไป ไม่ใช่หนี แต่เผชิญ ศาสนาพุทธนี่เผชิญเพราะฉะนั้นจะสูงขึ้น ธรรมะที่ได้แล้วจะเป็นธรรมะที่เคร่ง แต่ผู้ที่บรรลุในธรรมะที่เคร่งนั้นเป็นผู้ที่สบายไม่เคร่ง แต่คนอื่นเห็นแล้วจะรู้สึกว่าตายๆๆเคร่งอย่างนี้ไม่ไหว เช่น มาเป็นคนกินมื้อเดียวเคร่งตาย แต่พวกคุณกินมื้อเดียวได้สบายแล้วไม่เห็นจะเคร่งอะไรเลย มันก็เป็นปกติสามัญกินมื้อเดียวสบาย 

ไม่ใช้เงิน เคร่งไหม ของเขาเคร่งนะ เป็นคนที่ทนไม่ได้แต่คนที่ทำได้แล้วนั้นไม่เคร่งอะไรเลย ไม่เห็นจะตึงเครียดอะไรมันก็เป็นธรรมดาไม่ต้องใช้เงิน กินมื้อเดียวก็ตาม เป็นต้น 

นี่คือความสิริมหามายา คำเดียวกันแต่เข้าใจมุมเหลี่ยมของสัจธรรม อันไหนถูกต้อง อันไหนมันเป็นหน้า อันไหนที่เป็นหน้าที่ถูกต้อง เป็นสิริมหามายา ก็ต้องเข้าใจให้ถูก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้แล้วก็มีอาการทางกายวาจาใจน่าเลื่อมใส ผู้รู้เห็น ผู้รู้สัมผัสแล้ว โอ้โห น่าเลื่อมใสเป็นอาการทางกายก็ดี อาการทางวาจาก็ดีอาการทางใจก็ดีน่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ  เป็นผู้มีปัญญารู้เห็นว่าอย่างนี้น่าเคารพ นับถือ เลื่อมใส 

ข้อที่ 8 เป็นเครื่องชี้เลยว่าไม่สะสม อปจยะ เป็นคนไม่สะสม เป็นถึงฐานศูนย์เลย ก็ไม่สะสม แล้วยิ่งมีวัฒนธรรม มีประเพณีจารีตสาธารณโภคี มีกองกลางเบิกกินเบิกใช้ ไปสะสมทำไมให้หนัก ถ้าจะว่าไปแล้วมีบาทนึงก็หนัก 5 บาทก็ยิ่ง 10 บาทนี้ยิ่งหนักกว่าตายๆๆ 100 บาทก็หนักไปอีก ไปเที่ยวเก็บไว้ เขาก็ไปใส่เซฟฝากแบงค์ไว้ตามระบบของมนุษยชาติง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าทุกอย่างมันลงตัวยืนยันพิสูจน์สิ่งที่เป็นจริงเกิดจริงเป็นจริงแล้วอย่างชาวอโศกมาเกิดในยุคนี้ เป็นการปฏิบัติโลกุตรธรรมที่อาตมาภาคภูมิใจมาก ที่เอาธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราพิสูจน์ปฏิบัติได้เป็นจริง 

เป็นจริงแล้วมันก็เกิดคุณธรรมที่อาตมาคิดได้ว่ามันเป็นจริงๆนะ 8 คำนี้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ 

จบด้วยปลายเปิดที่เป็นผู้ที่เพิ่มพูนความเสียสละให้ได้มากๆในชีวิตเพราะเราอยู่ก็สบายแล้ว สงบอบอุ่นแล้ว ไม่ต้องขยายความแล้วว่ามีอยู่มีกินอุดมสมบูรณ์ถึงได้เสียสละแจกจ่ายเจือจาน จิตใจก็เกื้อกูลอยู่ตลอดเวลา แม้ผู้ที่เขามาทำโทษทำภัยกับเรา เราก็ไม่ได้ติดใจถือสาถือโทษถือโกรธอะไรเลย ก็ยังมีใจเกื้อกูลปรารถนาหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ มีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้เขาจะร้ายกับเรา เราก็คิดว่าน่าสงสารจริงๆเขาไม่รู้ ไปโกรธคนไม่รู้นี่มันโง่กว่าคนไม่รู้นะ เราไปโกรธคนที่ไม่รู้นี่มันโง่กว่าคนไม่รู้ ก็เขาไม่รู้นะไปโกรธเขาได้ยังไง มันโง่ ไปโกรธทำไม คุณโกรธคนโง่นี่คุณโง่กว่าคนโง่ คุณโกรธกว่าคนบ้า คุณบ้ากว่าคนบ้า คุณไปโกรธคนเมา คุณเมากว่าคนเมาอีก ใช่มั้ย

 ไปโกรธคนโง่ ไปโกรธคนบ้า ไปโกรธคนเมา คุณเมากว่าเขาเมา  คุณก็ไปโกรธคนเมา ก็เขาเมาเขาไม่รู้จักเรื่องอะไร ก็เขาบ้าไปโกรธเขาได้ยังไง คนบ้ากว่าเขาหรือไปมากกว่าเขาได้ไง ก็อาการอย่างนี้คุณจะเอาหรือ แล้วคุณไปทำให้ยิ่งกว่าเขา อ้าวแล้วกัน มันจะเป็นยังไง อ้าวต่อ

 

ปฏิบัติธรรมเริ่มต้นให้เน้นปฏิบัติที่ศีลจนเป็นบุญ

_ช่อทิพ หนูทอง  · กราบเรียนถามพ่อครูว่า งานเพื่อฟ้าดินสิ้นปี 66 นี้ จะมีการสอบ วบบบ. อีกไหมคะ? และใช้หนังสือเล่มไหน ในการสอบคะ? 

ชาตินี้ปฏิบัติธรรมได้ไม่สูงนัก เรียนถามพ่อครูว่า จะคิดหรือปฏิบัติธรรมเน้นจุดไหน เพื่อจะได้เกิดมาปฏิบัติธรรมกับพ่อครูอีกในภพต่อๆไปค่ะ?

พ่อครูว่า …เลิกสอบมานานแล้ว เอาน่า เรื่องสอบมันก็ดีอยู่ แต่ตอนนี้มีภาระมากกว่านั้นแล้ว คนที่อยู่ในเกณฑ์ที่ว่า ไม่ต้องให้มา สอบมาแข่งขันไม่ต้องมาแจก เข็มทอง เข็มทองคำอะไรต่ออะไรไปเหมือนอย่างที่นั่นแหละ เดี๋ยวนี้ก็คืนมาเกือบหมดแล้วเข็มทองคำ อาตมาก็ยังไม่ได้ไปหลอมอะไรเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ก่อน ก็ไม่ได้ทำแล้ว ก็ไม่ต้องตอบว่าใช้หนังสือเล่มไหน 

มาปฏิบัติจริงเลย ระวังอย่าถล่มตนเองเกินความจริง เราได้แล้วก็ไม่รู้ว่าเราได้ เราได้แล้วก็ไปถล่มตัวเองเกินไป มันผิดสัจจะ เราได้เท่านี้ก็พยายามรู้ให้ชัดว่าเราได้เท่านี้ มันเกินไปเรายังไม่ได้ แต่อันนี้น้อยไปเราก็ไปหลงตนว่าน้อยไปมันก็ผิด มันเป็นมานะ เป็นอติมานะ ตรวจสอบดีๆ 

ปฏิบัติธรรมให้เน้นศีลแล้วก็เข้าใจศีลให้สัมมาทิฏฐิ ว่าศีล นั่นมันไม่ใช่แค่การกับวาจาอย่างที่มันเสื่อมไปแล้ว ท่านทั้งหลายอธิบายกันว่าศีลปฏิบัติได้ผลช่วยได้แค่กายกับวาจา ส่วนจิตนั้น ไปนั่งสมาธิเอา นี่ท่านก็มิจฉาทิฏฐิกันไปอย่างนั้น 

ไม่ใช่ คำสอนพระพุทธเจ้าศีลนั่นแหละจะทำให้เกิดเป็น 1 จิตเป็นอวิปฏิสาร.. ในกิมัตถิยสูตร สูตรที่อธิบายว่าศีลปฏิบัติแล้วจะบรรลุอรหันต์ไปตามลำดับ ปฏิบัติศีลนี้ไม่ใช่แค่ได้แค่กายวาจ การบรรลุอรหันต์มันต้องที่จิตนะไม่ใช่แค่กายกับวาจา กายกับวาจาแค่นั้นมันไม่ได้พาบรรลุธรรมมันต้องจิต 

เพราะฉะนั้นถ้าทำให้ข้อที่ 1 เลย จิตจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อวิปฏิสาร แล้วจะมีจิตยินดีเบิกบานยินดี ปามุชชะ แล้วจิตถึงจะเต็มอิ่มใจ เพราะจิตมีความสงบระงับมีปัสสัทธิ กิเลสมันสงบ มันสงบจากกิเลส กิเลสมันสงบไปจากจิตมันไม่มีแล้ว 

สุข ก็เป็นวูปสโมสุข คือเป็นสุขอีกชนิดหนึ่ง มันมีความสุข 2 อย่างคือสุขโลกียะกับสุขโลกุตระ ความสุขโลกุตระคือสุขสงบเพราะกิเลสมันดับไปทีละลำดับทีละลำดับ แล้วก็จิตสงบจิตที่สะอาดจากกิเลสนั่นแหละมันตกผลึกลงมาเป็นสมาธิ 

คำของพระพุทธเจ้าใน เจโตปริยญาณ 16 สมาธิ ท่านใช้คำว่า สมาหิโต ท่านไม่ใช้คำว่า เจโตสมาธิ ท่านใช้คำว่า สมาหิโต นี่ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจทั้งพยัญชนะและสภาวะให้สำคัญ 

จิตมันทำให้สะอาดจาก ปุญญาภิสังขารคือ สังขารอย่างยิ่งอภิสังขารคือปรุงแต่งจัดการกับจิตเรา มนสิการทำใจในใจของเรา จนจิตมันเกิดพลังงานบุญ บุญคือการชำระกิเลส 

พลังงานที่เรียกด้วยพยัญชนะว่า บุญนี่แหละ มันชำระกิเลสออกได้เป็น ปุญญาภิสังขาร จนกระทั่งหมดกิเลสเกลี้ยง ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว อปุญญะ เป็น อปุญญาภิสังขาร 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องใช้บุญอีกแล้วก็หมายความว่าสะอาดหมดจดแข็งแรงเริ่มตั้งมั่น เริ่มแข็งแรงเป็นสมาหิโต

แล้วจิตที่เป็นสมาหิโต มันสะสมตกผลึกตั้งมั่นเป็น อเนญชา ๆ ๆยิ่งตกผลึกตั้งมั่นเป็นความไม่หวั่นไหว เป็น อเนญชาภิสังขาร

เพราะฉะนั้นคำว่า อปุญญาภิสังขาร อปุญญะ คำว่า ไม่เป็นบุญคำนี้จึงไม่วนไปเป็นบาป เพราะฉะนั้นคนที่ไปอธิบายว่า อปุญญะ ก็หมายความว่าไม่ใช่บุญก็คือบาป คนนี้ยังวนเวียนยังไม่เข้าใจเรื่อง เอกังสะ

คำว่าบุญเป็นเอกังสะ หมายความว่าโดยส่วนเดียว one way Traffic ตรงไปท่าเดียวไม่มีโค้งไม่มีงอ ไม่มีการกลับมาเป็น 2 เป็นหนึ่งอย่างเดียวบุญนี้ 

ฉะนั้นเป็นคนที่เข้าใจสภาวธรรมไม่ได้ อปุญญะ แปลว่าเป็นบาปอยู่เหมือนอย่างกับท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์นี่ ท่านก็ยังแปลอยู่ในหนังสือพจนานุกรมประมวลศัพท์ของท่าน ท่านก็ยังแปล อปุญญาว่า บาป

สังขารทั้ง 3 อภิสังขาร 1 2 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นโลกุตระ เป็นสังขารที่เป็นโลกุตระไม่มีโลกิยะไม่วนเวียนอีกแล้ว 

โลกุตระไม่วนเวียน ไม่วนกลับไปกลับมา เป็นหนึ่งแล้วก็เป็นศูนย์ โลกุตระ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้สภาวธรรม อาตมาจึงรู้ว่า อ๋อ ท่านมหาประยุทธ์นี่ท่านยังไม่รู้แม้กระทั่งคำว่า บุญ ยังมิจฉาทิฐิแม้แต่คำว่าบุญ และศาสนาพุทธมันเสื่อมไปจากคำว่า บุญ เสื่อมไปตั้งแต่คำว่ากาย ที่อาตมาได้แก้ไข ได้นำมาอธิบาย นำมาพาปฏิบัติจนกระทั่งพวกเราสัมมาทิฐิกันแล้วก็ได้มรรคได้ผลมา  มันเสื่อมมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

อาตมาก็ย้ำยืนยัน จะมาเขียนหนังสือเกิดมาชาตินี้ก็เพราะว่ามันจำนน จำเป็น จำยอม จำใจ จำต้องจริงๆที่ต้องประกาศที่ต้องพูดความจริงเพื่อยืนยันย้ำแล้วย้ำอีก เขาก็อาจจะบอกว่ามันอวดตัวอวดตนทำไม ก็ไม่ใช่อวดตัวอวดตนก็พูดอีก เป็นการบอกย้ำความจริง มันไม่มีคำอื่น มันไม่มีสภาพอื่นที่จะพูด ให้ผิดเพี้ยนไปจากหนึ่งเดียวที่อาตมาเป็น มันไม่ได้มีความเพี้ยนความเป็น 2 สัจจะมันมีหนึ่งเดียวจริงๆ ก็ทำตามจริงอย่างนี้แหละ ผู้ที่จะเข้าใจได้ก็เข้าใจได้ คนที่เข้าใจไม่ได้ อาตมาก็ไม่รู้จะไปว่ายังไง 

สมณะฟ้าไท... ถ้าพ่อครูไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ 

พ่อครูว่า... ไม่รู้ง่ายๆมันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งอาตมามาพูด สัจจะลึกซึ้ง พวกเราจะเจริญคือ เราควรจะรับธรรมของศาสนามันยังไม่สูญสิ้น อาตมามากอบกู้ขึ้น มันจะเจริญไปอีก แม้อาตมาตายไปแล้ว แล้วอาตมาก็ยังไม่มีวิบากที่จะได้มาเกิดต่อ เพราะได้สร้างได้ทำที่อาตมารับผิดชอบว่าจะต้องมาต่อสืบทอดสืบเชื้อ ธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าสมณโคดม อันนี้ก็พูดมาย้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว  ก็ต้องทำจริงแล้วก็ทำมาแล้วมีหลักฐานแล้วอาตมาพูดคือมีหลักฐาน 

เพราะฉะนั้นคนที่ติดตามก็ไม่มีปัญหา ยืนยันอ้างอิงได้ทั้งตัวตนบุคคลความประพฤติทางกายวาจาใจที่พวกเราได้ผล ได้มรรคได้ผลแล้วอาตมาจะต้องทำงานนี้ 

 

แผนที่การเดินทางในครึ่งหลังพุทธกาลนี้

เปิด แผ่นนี้มาก็ดี ตามแผนที่แผนผังการเดินทาง 

อาตมาเกิดมาชาตินี้อายุ 36 ปี แล้วก็ทำงานอีก 36 ปีเป็น 72 ปี ก็บูรณาการบูรณะภาพธรรมะโลกุตตรธรรมขึ้นไปได้พอสมควร เส้นของแพทเทิร์นนี้มันก็สูงขึ้นไป ทำไปตอนนี้ยังไม่ถึง 108 ปี ตอนนี้อายุ 90 ปียังไม่ถึง 108 ก็ได้ขึ้นมาอีกประมาณหนึ่ง อาตมาจะต้องทำให้เกินให้เป็นที่เผื่อพอว่า มันจะต้องมีพลังงานของโลกุตระ 

แม้อาตมาไม่เกิด โลกุตรธรรมก็จะมีพลังงานที่ตกอยู่ในมวลชาวพุทธ ชาวพุทธก็คือชาวอโศกเรานี่แหละ จะต้องมีพลังงานที่จะช่วยกัน สืบสานพัฒนาขึ้นไปได้อีกจนถึง 150 ปี อยู่ที่ยอดสูงสุด 150 หรือ 151 

151 เป็นตัวเลข อจินไตย ที่มันเกิดตอนนี้ยังไม่พูดถึง ถึง 144 ปีก็ครบนักษัตรทั้งหมด แถมอีก 7 ปีไปถึง 151 ปี อีก 7 ปีเป็นของแถมนี่แหละเป็นพลังงาน ที่มันเป็นโมเมนตั้มที่จะสูงขึ้นไปได้อีก แม้ไม่ทำอะไรมันก็ขึ้นไปได้ เพราะพลังงานสุดท้ายเป็นแรงเฉื่อยของมัน   มันจะสูงขึ้นไปถึงสุดยอดตามรูปของสามเหลี่ยม 

แล้วจากนั้นแล้วมันถึงจะเสื่อม เสื่อมยาวไปจนกระทั่งถึง 2,000 กว่าปี ตอนนี้มัน 500 กว่าปีแล้ว 566 แล้วก็ไม่ถึง 2,500ดี อีก 2,400 กว่าปี  ก็เอาตัวเล็กกลมๆที่ 2,500 อีก 2,500 ปี ศาสนานี้ก็จะหมดเชื้อของโลกุตระสิ้นเกลี้ยงเลย 

นี่ก็ทำไว้นานแล้ว สามเหลี่ยม Pattern นี้ก็ทำไว้นานแล้วผู้ที่เข้าใจเรื่องพวกนี้บ้าง พูดแล้วก็คงพอช่วยความเข้าใจได้ดีได้ง่ายขึ้น 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังจะต้องเผื่อพอไว้ อาจจะเกิดมาอีกในชาตินี้ในกัปป์ของศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าองค์นี้ หรือไม่เกิดมาก็ยังไม่แน่ก็ดูก่อน ก็พยายามที่จะลากสังขาร ทำงานเพื่อสืบสาน เพื่อปลูกฝังกันต่อไป ให้มันเกิดน้ำหนักขึ้นไปให้ได้มากๆที่สุดเท่าที่จะมากได้ 

อาตมาทำงานตั้งแต่ 2513 นักษัตร 1 ก็ 36 ปี เป็น พ.ศ. 2549 ปี ถ้าต่อไปอีกเป็นนักษัตรที่ 2 ก็จะเป็น 2585 ก็คืออีก 19 ปี อาตมาทุกวันนี้มันไม่ไหว มันกินอาหารก็พยายามจริงๆกว่าจะกินมันเมื่อยมันทุกข์ ก็พยายามฝืนกินให้มันได้ปริมาณที่จะกิน 

1. อาหารมันก็กินไม่ค่อยลงไปแล้ว เพราะรสอร่อยอาตมาน้ำมันหมดไป มันเป็นธรรมชาติที่ว่าคนหมดรสอร่อยมันเป็นอย่างนี้แหละ แต่หมดรสอร่อยแล้วนี่นะ ถ้าเผื่อว่ามันไม่ลากสังขารมันก็ไม่ฝืนขนาดนี้ แต่อาตมาลากสังขารก็พอเข้าใจไหมลากสังขาร มันต้องฝืนกินให้มันได้ 

มันจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ สรีระอวัยวะที่มันจะต้องสังเคราะห์ทำเนื้อทำหนัง นี่อาตมาน้ำหนัก 53 กว่าจะ 54 แล้วนะ อาตมายังไม่ค่อยอ้วนมากตั้งแต่หนุ่มมาผ่านมานี่ น้ำหนัก 54 นี้นานช้า นอกนั้นมีแต่ 49-50 ก็เก่ง ตอนนี้มันก็เพิ่มขึ้นมาเพราะความพยายามของอาตมาเติมอาหารให้เข้าไป มันก็เลยขึ้นมามีเนื้อมีหนังพอสมควร ก็พยายามดู 

มันเป็นอิทธิบาทของพระพุทธเจ้าที่ได้สอนเรามา ลำบากไม่ใช่ไม่ลำบากเหนื่อย เข็นพลังงานสู้ กินก็สู้ นอนก็สู้ โอ๊ ทำงานก็ยังทำอยู่ล่ะทุกวันนี้ก็ทำน้อยลงไปพอสมควรเยอะแล้ว แต่ก็ดีมีผู้รับผิดชอบช่วยก็ขอบคุณทุกคนที่ช่วยสืบสานกันคนละไม้คนละมือ อันนู้นอันนี้อันนั้น 

อาตมาก็ดีทางแมคคานิคก็ดี อาตมาไม่เก่ง แต่ก็ได้อาศัยพวกเราช่วยกันคนละไม้คนละมือช่วยกันจำ ช่วยกันโน้ต มันก็พอเป็นไป 

_สู่แดนธรรม... ผมมองว่า พ่อท่านใช้ธรรมะอิทธิบาทเป็นปาฏิหาริย์ เป็นการยืนยันว่า พ่อท่านใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่อื่นเขาไม่ทำกัน 

พ่อครูว่า... ใช่ที่อื่นเขาใช้แบบอื่น หรือว่าธรรมะพระพุทธเจ้าหรือที่เขาบอกว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ยกอันนั้นมาโชว์ แต่มันไม่ใช่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ อาตมาเป็นโลกุตระ เขาก็ไม่ใช่โลกุตระเขาจะมาทำได้ไง มันไม่ใช่ทำง่ายๆ ถ้าจะว่าก็แล้วมันก็ยิ่งกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าอาเทสนาปาฏิหาริย์ มันเป็นอิทธิบาทมันเหนือชั้นกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อเทสนาปาฏิหาริย์ แต่มันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์จริงๆ 

_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ ผมได้ข่าวว่าพ่อครูเทศน์วันก่อนมีอาการไอ 3 ครั้ง ถ้าเกิดคนโลกๆที่ได้ยินแบบนี้คงจะเอาเลขไปตีหวย แต่ก็ไม่รู้ว่าไอมากหรือไอน้อยเพราะแหล่งข่าวไม่ได้บอกครับ ถ้าไอน้อยถึงไม่มากเขาก็จะตี 30-32 ถ้าไอกลางๆก็ 33-36 ถ้าไอมากถึงมากๆก็เลข 37-39 แล้วไอเช้า กลางวัน เย็น เขาคงจะตีเลข 333 

ที่กล่าวมานี้คือผมอยากจะบอกว่าเฟสเก่าผมเข้าไม่ได้ มาแจ้งว่าผมยังติดตามฟังพ่อครูและสมณะ สิกมาตุ ตลอดครับ สุดท้ายนี้ขอให้พ่อครูสุขภาพแข็งแรงอยู่กับลูกๆไปอีกนานๆครับ กราบขอบพระคุณครับ จาก คอยใครคนเดิม

พ่อครูว่า …ขอบคุณ 

_มานี ลี  · รับชมที่ไต้หวันภาพชัดเสียงชัดเจนค่ะ

พ่อครูว่า …อ้าวดีมาก ตอบรับทางเทคนิค 

_เพชรรัตน์ แรงค์ :  กราบนมัสการพ่อครูค่ะ  ต้องขอบคุณเทคโนโลยียุคนี้ที่ทำให้สามารถฟังพ่อครูได้ทุกที่และสามารถสนทนากับพ่อฯผ่าน sms ได้ ลูกได้ฟังพ่อฯเทศน์เรื่องพีชะนิยาม.. ซึ่งไม่เคยได้ยินที่ไหน เมื่อก่อนเวลามีคนถามเรื่องผม... มักจะรำคาญ.. ไม่ว่าเราจะตัดผม.. ผมสั้น.. ผมยาว.. โกนผม.. คนก็มักจะยุ่งกับหัวเรา_โกนผมทำไม.. ไม่ใช่นักบวช ลูกก็ได้แต่คิดในใจว่า.. เอ๊า.. แล้วทีคนเป็นมะเร็ง.. ผมร่วงหมดหัวยังได้เลย..ไม่เห็นต้องเป็นนักบวช (ขำๆค่ะคิดเองก็ขำเองด้วยค่ะ)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทิฏฐธรรมนิพพานที่สัมมาจึงจะพาบรรลุ วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กันยายน 2566 ( 05:19:09 )

660918

รายละเอียด

660918 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #41 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53541.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QPdK-gAZx6hitiu_Lfzxx-8Tv2cBYMmi/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true  

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/12rgEOlqpjJkNqhTodT2458NQGSKFMuWV/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660918-e29f73k 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/9K3tUANKSKU 

  และ https://fb.watch/n7W58TKcrL/ 

มีซับ 

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ กระต่าย ที่บวรราชธานีอโศก 

 

คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ

แต่ละวันแต่ละวันพวกเรานี่ ใส่ใจสนใจธรรมะกัน ฟังธรรมะกันทุกวัน มันเป็นคนเจริญ เรียกว่าเป็นคนเจริญ ฟังธรรมะกันทุกวัน เป็นคนรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต เพราะชีวิตเราเกิดมานี่ เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารอยู่ในโลก หมุนเวียนอยู่อย่างโง่ๆเง่าๆอวิชชา วนเวียนไปเกิดแล้วก็ไปตามยถากรรม ไม่มีหลักเกณฑ์ในการที่จะทำให้ชีวิตนี้มันเดินทางไปสู่ความเจริญ 

คำว่า “เจริญ” คำนี้คือ มันสามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันสามารถเข้าไปอ่านรู้สภาวะจิต สภาวะที่เป็นจิต แยกได้เป็นเจตสิก สามารถที่จะมีญาณหยั่งรู้ กำหนดรู้ สัญญากำหนดรู้ รู้ อาการ ลิงค นิมิต ตามคำสอนของพุทธเจ้า แล้วก็มีคนเอามาขยายความอธิบาย อุเทศ  ขยายความอย่างที่อาตมาอธิบายเป็นอุเทศ

แล้วสามารถจับ อาการ ลิงค นิมิต อาการอย่างนั้นอย่างนี้กำหนดเครื่องหมายได้ แต่ละคนก็กำหนดอาการอย่างนี้หมายว่ากำหนดเอง ของเราเองว่าอย่างนี้เป็นอาการอย่างไร

อย่างเช่น อาการโกรธ อาการโลภ อาการกำลังเกิด อาการรักอาการชัง อาการเกิดโกรธน้อยๆ โกรธอย่างกลาง โกรธอย่างแรงอะไรอย่างนี้ มันสามารถรู้อาการเหล่านั้นที่มันเกิดในขณะที่มันเกิดหลัดๆ มีนาม มีจิตยังรู้ จับสภาวะพวกนั้นได้ ไม่ใช่มีแต่ภาษาข้างนอกที่รู้แต่พยัญชนะแต่ความหมายแต่บัญญัติ 

แต่มันสามารถที่จะรู้อาการของจิต เกิดจริงๆสัมผัสรู้ สัมผัสแล้วก็เกิดญาณรู้เข้าใจ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็มีวิธีที่จะกำหนดรู้ เพื่อที่จะให้มันมีประสิทธิภาพของปัญญา ประสิทธิภาพเป็นฌาน สามารถที่จะ 

ฌาน นี่คือพลังงานไฟ ไม่ใช่พลังงานที่จะไปได้เพ่งเจาะอะไรเข้าไป แต่เป็นพลังงานที่รู้และไม่รู้และเผา รู้แยกกิเลสออกได้แล้วเผากิเลสเลย ฝึกไปตั้งแต่ฌานที่ 1 2 3 4 คนที่ทำฌาน 4 ได้เก่ง ก็เผาได้ พลั๊วะเลย สำเร็จฌานที่ 1 2 3  ก็คือ ทำพลังงานชนิดได้สำเร็จ เรียกว่า เกิดความสามารถที่ใช้พยัญชนะแทนสภาวะว่า บุญ

บุญ ไม่มีการสั่งสม บุญไม่มีเกิดอยู่ที่ไหนๆ บุญเกิดอยู่ในปัจจุบันธรรมที่เกิดจากพลังงานจิต ที่สามารถสร้างฌานวิสัย แบบพุทธได้ 

ฌาน เขาก็มิจฉาทิฏฐิกันง่าย แต่จะทำฌานให้เกิดแบบพุทธ นี้มันยาก จะให้เกิดพลังงานที่มันเป็นพลังงานมีประสิทธิภาพ มีสภาพ 2 เสมอคือ 

1.รู้ความจริงตามความเป็นจริง 

2.รู้แล้วมีฤทธิ์ สามารถทำให้กิเลสมัน ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ระดับไปได้จนเป็นประสิทธิภาพสูงสุด 

พยัญชนะหรือภาษาที่พยายามอธิบายก็ได้แค่นี้อย่างนี้ 

 

ลองมาเอา SMS แล้วก็ไล่ไปจะได้มีเหตุปัจจัยที่เราข้องใจเอาเป็นประเด็น เอาเป็นเหตุในการอธิบายธรรมะไปเรื่อยๆ 

SMS วันที่ 15-17 ก.ย. 2566

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะเดินดิน ท่านดินไท ท่านแสนดินด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอเสลภูมิค่ะ ปีนี้ลูกทำนาเจออุปสรรคมากตั้งแต่เริ่มทำนา ปีนี้ลูกเริ่มลงนาหว่านข้าวหลังจากลูกกลับจากงานอโศกรำลึกค่ะ ช่วงเดือนมิถุนายน หว่านข้าวก็เจอฝนมาตลอดจนเม็ดข้าวเน่าขึ้นไม่ได้ ต่อมาเดือนกรกฎาคมก็เจอฝนแล้งค่ะ และเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา มีฝนพายุมาฝนตกหนักทั้งคืนที่นาลูกน้ำท่วมล้นคันนามิดยอดข้าว ลูกได้ปฏิบัติตามคำสอนของพ่อครูว่า เราต้องแก้ไขปัญหาที่เป็นปัจจุบันเสมอๆ ลูกบอกตัวเองเสมอว่าเรามาถูกทางแล้ว แม้ว่าการทำนาปีนี้จะลงทุนซ่อมแซมมาก ลูกก็ไม่ทุกข์ใจค่ะ หากเป็นแต่ก่อนลูกจะทุกข์ใจมาก ลูกได้มาปฏิบัติตามพ่อครูแล้วทำให้แก้ไขเหตุการณ์และเข้าใจตนเองค่ะ ลูกซาบซึ้งในคำสอนพ่อครูมาก คำสอนพ่อครูทำให้ลูกผ่านปัญหาและอุปสรรคมาได้อย่างไม่ทุกข์ใจ ลูกขอส่งกำลังใจมาทางพี่น้องบ้านราชขอให้สู้ๆนะคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า... ซาบซึ้งก็ต้องยกให้พระพุทธเจ้า อาตมานำมาถ่ายทอด เขารู้ว่าจะน้ำท่วม เราสู้อยู่แล้ว เพราะว่าเราจะมาอยู่ที่นี่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นที่น้ำท่วม เป็นที่ที่ใครเขาไม่เอา จนกระทั่งเรามาอยู่จนที่ดินมันราคาแพง แล้วก็ซื้อที่ดินเพิ่มมันก็ขึ้นราคาเอาราคาเอา ไอ้เราก็อยากได้ แพงเท่าไหร่ก็จะซื้อ จนกระทั่งราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ดินที่ไม่มีราคา มันราคาขึ้นเท่ากับราคาข้างบนที่เขาซื้อกัน ก็เอา เราก็เป็นคนอย่างนี้แหละ 

 

คนทำนาคือคนเลี้ยงโลก

วิธีทำนานี้อาตมาก็ขอคารวะ ว่าเป็นผู้ที่เลี้ยงโลกไว้ ทำนาก็ดีทำสวนทำไร่ก็ดี เราถือว่าข้าวมันเป็นอาหารหลัก ถือว่าเป็นหนึ่ง พืชพันธุ์ธัญญาหารก็เป็นหนึ่ง กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่กินข้าวก็ได้ แต่ข้าวเป็นหนึ่ง ที่คนยอมรับกันทั่วโลก เป็นแป้งที่คนยอมรับนำหน้า ทำขึ้นมาแล้วเลี้ยงโลกได้ 

แล้วทำไมก็เคยอธิบายว่าคนจะเก่งอย่างไรไปทำอาวุธมาฆ่าคน กับคนที่ทำอาหารให้คนกินมีอายุ อีกคนหนึ่งทำอาวุธเพื่อที่จะฆ่าอายุของคน มันคนละโลกกันเลย มันเป็นงานที่คนละขั้ว เป็นขั้วนรกกับขั้วสวรรค์ แล้วเขาก็ไม่รู้นะ สร้างอาวุธ หลงในอำนาจบาตรใหญ่ แล้วก็ไม่เข้าใจชีวิตชีวะ สัตว์คนมันไม่รู้ว่าความมันจะพัฒนามาเป็นชีวะ (เสียงลำโพงดังรบกวน) 

_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ  · การสละของที่ไม่ใช้ ได้ฝึกทำอยู่เป็นประจำ รู้สึกเบาสบายขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเราได้เห็นผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ จากสิ่งที่เราได้สละไป ก็ทำให้หัวใจแช่มชื่นขึ้นมาทันตา เห็นเด็กๆ ที่บ้านก็ทำเช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้บ้านโล่งขึ้นเยอะ มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำความสะอาดก็ง่าย ใจก็เบา มีผลทำให้สละในเรื่องอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ เป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นด้วย เพื่อนบ้านเห็นก็ทำตามเจ้าค่ะท่าน

พ่อครูว่า... ดีจัง สร้างวิธีพวกนี้ไป 

_ใจธรรม สิทธินาวิน  · กราบเรียนพ่อครู ดิฉันอยากได้พจนานุกรมศัพท์ธรรมะ แบบที่พ่อครูอธิบาย เพราะฟังพ่อครูอธิบายธรรมะแล้วเข้าใจ เห็นด้วยกับที่พ่อครูอธิบายค่ะ หลายคำที่พ่อครูอธิบายแล้วเข้าใจ๊ เข้าใจค่ะ แต่ถ้าฟังจากที่พระองค์อื่นเทศน์ หลายอย่างไม่เข้าใจ บางทีนึกว่าไม่เป็นเหตุเป็นผล ตรรกะไม่น่าจะใช่ แต่ของพ่อครูคือใช่เลยค่ะ อย่างเช่นคำอธิบายเรื่องบุญบาป เรื่องการเอามือลูบคลำพระอาทิตย์ ที่พ่อครูอธิบายเป็นต้น ถ้ามีพจนานุกรมฉบับสมณะโพธิรักษ์ รวบรวมไว้ ต้องขอมีไว้สักเล่มแน่ ๆ ค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า... มีคนทำหนังสืออภิธานศัพท์อโศกที่พิมพ์ออกไป เล่มหนาปึก ลองหาดู ถามดู ก็ยังเอาวางแจกทิ้งเอาไว้ ก็ไม่ค่อยมีใครหยิบเลย ติดต่อที่คุณมิ่งหมาย ที่บ้านราชนี่แหละ ได้ ติดต่อที่ท่านฟ้าไทก็ได้ สม.ผาแก้วก็แจกกันอยู่ มาวางที่บวร

 _จรรยา ประเสริฐ  · วันนี้มารายงานการปฏิบัติธรรมของดิฉัน หลังจากได้ไปพบ คุณแม่ (แม่น้ำที่ดิฉันชอบนักหนา) ดิฉันไปสันติอโศก ไปฟังธรรมในรอบ 4 หรือ 5 ปี ที่ผ่านมา หลังจากไปรักษาอาการป่วย จนหายดีแล้ว เมื่อไปเดินดู มีกิจกรรมหมอเขียว มีกิจกรรมศีล 8 พบอาโอ๋ รู้สึกว่าดีใจ และขอขอบพระคุณเธอ ที่เธอได้ช่วยดิฉัน ในการให้ข้อคิดดี ๆ ระหว่างดิฉันป่วย ดิฉันซาบซึ้งใจ ในการพูดคุยกับพี่น้องอโศกด้วยกัน มีอาจันทร์แรม แม่ชีเมฆฟ้า หรือเมฆธรรมนี่แหละ ท่านเคยเป็นแม่ชีที่ปฐมอโศก ที่ดิฉันเคยรู้จัก พบท่านแล้ว ดีใจมาก ท่านเมตตาดิฉันเสมอมา ขอบพระคุณค่ะ และพบเพื่อน ๆ ชาว ชมร. เพื่อน ๆ ชาวแด่ชีวิต เพื่อน ๆ พลังบุญ อาเรืองรุ่ง พลังบุญ ทั้งหมดดิฉัน มีความรู้สึกอบอุ่น อยู่ถึงเย็น แทบไม่อยากกลับบ้านตัวเองเลย ได้พบกิเลส ตัวเอง คือ การที่อยู่คนเดียว บางครั้งเราคิดผิด คิดว่าเราถูก เราดี พอไปพบผัสสะที่วัด พบตัวเองว่า เราไม่ชอบเสียงดัง เพราะเคยอยู่ตัวคนเดียว ตามใจตัวเองมา ได้ฟังธรรมตามใจชอบ ที่เรากดดูได้ ในเฟสบุญนิยม ในยูทูบ เปรียบเทียบกับการฟังธรรมสด ๆ จากสิกขมาตุแล้ว มีบรรยากาศ ผิดกันเลยค่ะ กับการฟังธรรมอยู่คนเดียว การฟังธรรมอยู่คนเดียว เป็นการเลือกทางสุดท้าย ที่เราเลือกไม่ได้แล้ว ดิฉันตั้งใจ จะไปฟังธรรม พบหมู่มิตรดีอีกบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณที่ดีของดิฉันตลอดไปค่ะ กราบสาธุมาด้วยหัวใจ

พ่อครูว่า... ดี ค่อยๆเข้าใจความรู้ลึกซึ้ง ค่อยๆเข้าใจความเจริญไปตามลำดับ 

_สุรัติ ประเสริฐผล : ตั้งแต่ลูกเกิดมา ตั้งแต่เล็ก ก็เห็นว่า เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่ต้องเอาชีวิตผู้อื่นมาต่อชีวิตเรา ไม่เป็นธรรมเลยครับ แต่หาทางออกไม่ได้ จนเมื่อ พ.ศ. 2534 พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรมแนวอโศก เอาคำสอนพ่อท่าน ไปโปรดลูก  ลูกจึงหาทางออกได้ แต่ยังสงสัยในตัวพ่อท่านอยู่  เข้าไปพิสูจน์ พ่อท่าน ท่านสมณะ  ท่านสิกขมาตุ และ หมู่กลุ่มญาติธรรมอีก 2 ปี จึงหมดสงสัย แต่วิบาก เข้าไปวัดไม่ได้ แต่พ่อท่านก็ยังโปรดถึงบ้าน ลูกจึงติดตามคำสอนของพ่อท่าน และท่าน สมณะ มาตลอดครับ  ขอน้อมกราบขอบพระคุณครับ

พ่อครูว่า... ดี ก็เอาไปพิจารณาปฏิบัติให้เจริญๆ 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ  · เพลงพ่อครูอยากให้ทำเป็นแบบคาราโอเกะ นักดนตรีจะได้เอาไปบรรเลง และนักร้องทั่วไปจะได้ร้องบ้างครับ

พ่อครูว่า... ดี ใครจะทำก็ทำ คุณก็ทำเอาเองได้เลยสิ เดี๋ยวนี้ทำเอาไม่ยาก 

 

สภาวะเป็นเอกพยัญชนะเป็นรอง

_บุญช่วย : อจินไตย แปลว่าอะไรหรือคะ  ถ้าหนูแปลเอง อะคือไม่ จินคือจินตนาการ ไตยะคือไต คือ 3  ยะคืออาริยะ รวมกันคือ ไม่สามารถที่จะจินตนาการของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของพระอาริยะได้เลย สรุปคือบุคคลธรรมดาไม่สามารถล่วงรู้ได้เจ้าค่ะ ผิดประการใด ขอน้อมผิดแต่เพียงผู้เดียวนะคะ

พ่อครูว่า... แยกกันอย่างนี้  ใครๆกันเหมือนนัยยะที่ท่านมหาประยุทธ์ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์เล่นงานอาตมาแต่แรกๆ ว่ามาแยกพยัญชนะแบบนี้ มันไม่เข้ากับหลักไวยากรณ์อะไรต่ออะไร ท่านซัดอาตมาน่าดู ก็ตามประสาพวกเราลูกทุ่งลูกทุ่ง 

คุณจะเข้าใจสรุปแล้ว คุณเข้าใจอย่างงั้น คุณจะแยกศัพท์อย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาถือว่าเสร็จแล้วมันก็เข้าไปสู่สภาวะที่ถูกต้องก็ใช้ได้ จะไปมัวแต่ติดอยู่เรื่องพยัญชนะ ไม่ถูกพยัญชนะเพราะฉะนั้นตีทิ้งเลย สภาวะไม่ต้องให้ถูกแล้วก็ไปเลย 

แต่แม้ว่าจะแยกพยัญชนะผิดยังไงแต่ถ้าตีเข้าไปหาสภาวะถูกแล้วเราก็ปฏิบัติจริงเป้าหมายสภาวะนั้นได้ อาตมาถือว่าอันนั้นใช้ได้ดีกว่าไปหลงอยู่แต่พยัญชนะ แม้แต่อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ ท่านก็ยึดถือพยัญชนะมากจนกระทั่งไม่พยายามที่จะเข้าใจสภาวะให้ได้ ว่า อ๋อ สภาวะถูกแล้วก็เอาเถอะพยัญชนะเป็นเรื่องรอง สภาวะเป็นเรื่องเอก ก็เอาเถอะ ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ว่าไป 

อจินไตยที่คุณแปลโดยสรุปผล ถูกแล้วล่ะคือมันไม่รู้เรื่อง มันได้แต่คิดพยัญชนะ คิดตรรกะอะไรไป แต่มันไม่เข้าไปสู่สภาวะ เช่น มันไม่รู้เข้าไปสู่สภาวะของกรรมวิบากก็ดี สภาวะของฌานก็ดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

หรือ แม้แต่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นความคิด โลกจินตา คือจินตะ จินตนาการเป็นเพียงความคิด มันไม่รู้มันก็ไปกันใหญ่ 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในวันที่ 15 – 17  ก.ย. 66  ผมไปเข้าค่ายอุโบสถศีล on site ที่สันติอโศกครั้งที่ 180 เพราะอยู่บ้านได้เรียนปริยัติทางหน้าจอต่างๆ เลยต้องไปเรียนปฏิบัติ ปฏิเวธให้เข้าถึงจิตที่แท้โดยเอาตัวไปลงอย่างจริงจังเพื่อบำเพ็ญธรรมให้ตนเองเจริญครับ ขอกราบขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

 

จบกิจคืออหันต์สู่ยอดความรู้ของพุทธสุดที่พระพุทธเจ้า

พ่อครูว่า... ผู้ที่เห็นว่าชีวิตนี้มันต้องเอาเรื่องของธรรมะ ถ้าไม่เอาเรื่องธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตระแม้แต่ธรรมะที่เป็นโลกียะก็ตาม มันก็พาเจริญได้อยู่ในชีวิต ในโลกียะมันก็พาเจริญในชีวิตสามัญก็เป็นไปได้ 

แต่ยิ่งเป็นโลกุตระแล้ว มันเจริญถึงขั้นรู้แจ้ง รู้จบ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ อันนี้มันเป็นสุดยอดของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบความจริง รู้จบคืออะไร จบคือจบเรื่องจิตวิญญาณ จบว่าจะทำจิตวิญญาณนี้ให้เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดี รู้จักอาการของจิตที่เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นกิเลส แล้วไม่ทำอีกเลย ล้างกิเลสได้ไม่ทำชั่วอีกเลย ไม่ทำบาปอีกเลย ทำแต่ดี 

เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำ ทำแต่ดี อย่างเที่ยงแท้ถาวร ทำได้อย่างนิยตะ เที่ยงแท้เลย นี่เป็นประเด็น 

เพราะฉะนั้นคนที่จบอรหันต์แล้ว 

1. จะทำแต่ดี จะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติกี่ชาติก็กรรมมีแต่กรรมกุศล ไม่มีกรรมบาป ไม่มีกรรมอกุศลเลย นี่เป็นหลักประกันของชีวิตหรือจิตวิญญาณ 

2.สามารถที่จะรู้แจ้ง รู้จริง รู้จบจิตวิญญาณ แยกธาตุจิตวิญญาณ เมื่อตายกายแตก กายัสเภทา ปรัมมรณา หลังกายแตกแล้วไม่มีจิตวิญญาณเราเหลืออีก สลายเป็นดินน้ำไฟลม หมดอัตตภาพของเราเลย นี่เป็นความตรัสรู้สุดยอดแล้วในเรื่องของจิตวิญญาณในเรื่องของชีวะ 

สัตว์เดรัจฉานมันก็ค่อยๆขึ้นมา จนกระทั่งมันก็พัฒนาก็จะมาเป็นคน ชีวะเริ่มต้นตั้งแต่พอมาเป็น ปาณะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าไปทำให้เขาตกร่วง พยัญชนะคำว่า ปาณะ มันมีสภาวะของธาตุจิตวิญญาณสะสมมา ที่อาตมาไล่อธิบายมาตามที่พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้ในพระไตรปิฎก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ตั้งแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูต รวมตัวกันมาเป็น ภูตคาม มาเป็นพีชคาม แล้วมาเป็นเจตภูต จนกระทั่งมาเป็น ปาณะ แล้วค่อยเจริญมาเป็นสัตตะ มาเป็นจิตนิยาม เป็นวิวัฒนาการของพลังงาน ตั้งแต่ยังไม่เป็นชีวะ จนมาเป็นชีวะ ตั้งแต่ระดับพีชนิยาม แล้วมาถึงขั้นจิตนิยาม  นี่เป็นความรู้สุดยอดในประดาคน ที่สามารถจะหยั่งรู้สภาวะที่เยี่ยมยอดได้ นี่เป็นความเยี่ยมยอดของพลังงานจิตนิยามพลังงานจิตเจตสิกต่างๆ 

มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ศาสดาเทวนิยมไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็จัดการให้ แม้แต่ทำให้จิตทำดี ไม่ตกต่ำอีกเลยก็ไม่ได้ จะเวียนวน สูงแล้วต่ำ ต่ำแล้วสูง หรือเรียกว่า นรก-สวรรค์ สวรรค์-นรกอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าเขาทำไม่ได้ 

แต่ของพระพุทธเจ้ารับรองทำได้จริง จนสูงไปถึงขั้น รู้เหตุปัจจัยที่จะทำให้จิตอยากดีอย่างถาวรแล้วทำแต่ดี กรรมดีถาวรแล้วเพราะฉะนั้นจะเกิดอีกกี่ชาติอีกกี่ชาติก็ไม่เป็นภัยเป็นพิษ นี่เป็นหลักประกัน

นอกจากนั้นจะทำให้ชีวิตตัวเอง

1.ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ที่เป็นโลกุตระ ดีชั่วนั้นเป็นโลกียะ ไม่สุขไม่สุขนี้มันเป็นเรื่องของโลกุตระ พระพุทธเจ้าทำได้ นอกจากไม่ทำชั่วทำแต่ดีก็ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยอะไรอีกเลยจะเกิดมาอีกมีแต่พัฒนาตนเองให้มีแต่สูงขึ้นๆ ให้รู้จักสภาวะของมนุษย์มีอีกหลายขั้นเป็นโพธิสัตว์อีกหลายขั้น ที่อาตมาไล่ให้ฟัง จนสูงสุดแล้วเป็นขั้นพระพุทธเจ้าที่สุดแล้ว ธรรมที่คนจะรู้ไม่มีอะไรใครเทียบท่านได้อีกเลย ไม่มีใครจะเทียบเท่าเทียบทันแล้ว ก็จบ 

เป็นอรหันต์ก็สูงแล้วมันมีขั้นที่สูงขึ้นไปอีก จะไปรู้ผู้อื่นแบบอื่นๆที่จะปรุงแต่งแบบอื่นอีกนอกจากตัวเราเองทำเราเองได้แล้ว คนอื่นๆเราก็ช่วยได้อีกไปตามลำดับๆ อย่างนี้เป็นต้น 

จนกระทั่งขนาดที่พระพุทธเจ้าว่า เอาละ ขนาดนี้ช่วยคนได้ไม่ใช่น้อยแล้วล่ะ แต่ก็ช่วยเทวนิยมเขาที่มีมากกว่า ไม่ได้หมดทุกวันนี้ เพราะมันยาก มันเป็นนามธรรมยากมาก ก็สุดวิสัยแล้ว ทำได้อย่างสุดวิสัย มันก็เกิดมาตามยุคตามกาละ 

ยุคที่คนดี คนพอสอนได้มากก็จะมีคนบรรลุได้มาก ยุคที่มันเข้าไปสู่ยุคที่กิเลสมันยังจัดจ้าน อย่างพวกเรายุคนี้ใกล้กลียุคเข้าไปยิ่งแยกเข้าไปทุกทีแหละ เพราะฉะนั้นโลกุตระจะเจริญน้อยลงจนกระทั่งโลกุตระหยั่งลงไม่ได้ มนุษย์เสื่อมมากหนักจนกระทั่งรับไม่ไหวแล้ว รับโลกุตระไม่ได้แล้ว มันก็จบ โลกุตระก็หยุดพัก แต่โลกียะนั้นมันไม่หยุดพักหรอก มันก็มีแต่จัดจ้านเลวร้ายไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว คนไม่รู้ก็ไปหลงโลกียะคือหลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลงสุขหลงทุกข์ หลงสุขจะไม่เอาทุกข์แต่มันก็ต้องได้เพราะมันไม่รู้ ก็ไปวนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วก็สมมุติกัน แต่ละแห่งไม่เหมือนกันทีเดียว คล้ายกันบ้างเหมือนกันบ้าง มันก็ไม่เป๊ะเหมือนกันหมดหรอก แต่มันก็มีส่วนคล้ายกันมากได้ ก็แก้ไขกัน มันแก้ไม่จบ 

แต่ของพระพุทธเจ้าแก้จบ จึงมีคำว่า กตํ กรณียํ มีคำว่าจบกิจ โดยเหตุปัจจัยแต่ละกรอบแต่ละกรอบ 

กรอบที่สมบูรณ์แบบจบกิจก็ถือว่าอรหันต์ ไม่ลึกลับ รหะ คือลึกลับ อรหะคือไม่ลึกลับ อรหันต์ อีก อันตะแปลว่าที่สุด คือหมดความลึกลับเป็นที่สุด นี่เป็นจุดไขความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ทรงค้นพบสิ่งประเสริฐสุดอันนี้เอามาเปิดเผย
เพราะฉะนั้นคนถ้าเผื่อว่าได้มาเรียนรู้ธรรมะโลกุตรธรรมแล้ว ทำตนให้เป็นอาริยะจนเป็นอรหันต์ได้ ปล่อยได้เลยทีนี้ ปล่อยอัตตาของผู้นี้ ปล่อยชีวะของผู้นี้ ปล่อยจิตนิยามของผู้นี้ จะสมัครใจเป็นอิสระเสรี จะอยู่ก็สุดยอดเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษย์ จะไม่อยู่ก็เลิกเลยสลายตัวเองได้เลย มันจบแท้ๆตรงนี้ 

จบแท้ๆตรงที่สลายจิตวิญญาณได้ แต่ศาสดาเทวนิยมไม่มีทางที่จะรู้สิ่งนี้จึงจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าก็อยู่นิรันดรอีก สลายไม่ได้ อยู่นิรันดร แล้วก็ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย ไปจบอยู่ที่ที่ลึกลับ มันไม่เป็น  อรหะ มันไม่เป็นว่าไม่ลึกลับแล้ว มันก็ลึกลับอยู่อย่างนั้น เป็นพระเจ้า เป็นพลังงานที่ครอบ ก็เข้าใจว่าเป็นพลังงานนี่แหละเป็นเจ้าของทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล เป็นผู้สร้างทุกอย่างเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็เข้าใจกันอย่างนั้น 

พระพุทธเจ้าจึงมาพิสูจน์ ด้วยความตรัสรู้ของพระองค์ มาพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ เรานี่แหละเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเอง เราสามารถทำลายมันมีเหตุความโง่ มีเหตุทำให้มันไม่เข้าใจ มันอวิชชา มันไม่รู้ความจริง จนกระทั่งเข้ามารู้ความจริง ว่ามันเป็นเรื่องของธาตุ 2 รูปกับนาม เข้ามาจับคู่ปรุงแต่งกันอยู่ จนกระทั่งสามารถแยกแยะได้ว่า อ้อ ลักษณะปรุงแต่งกันอยู่มันมีตั้งแต่พลังงานกับพลังงาน สสารกับพลังงาน จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับพืช จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับจิตนิยาม นักวิทยาศาสตร์เอกทางจิตวิญญาณของมนุษย์คือพระพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะเข้าใจเหตุปัจจัยว่ามันไปปรุงแต่งกันโดยอะไร 

คนหลงสุขหลงทุกข์ อารมณ์ อาการ อาการอารมณ์หรือความรู้สึกสุข ซึ่งมันหลอกอยู่ในโลกให้คนติด ผู้ไม่รู้อย่างเช่นพระเจ้าหรืออย่างสายเทวะนิยมเขาก็ติดสุข เขาไม่รู้ เขาไม่ได้เรียนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ มันเป็นความปรุงแต่ง แล้วไปหลงยึดติดเรียกว่า อุปาทาน ไปหลงอยู่ว่าไอ้อย่างนี่เป็นของน่าได้น่าเป็น แล้วปรุงได้ก็หลงยึดติดอยู่อย่างนี้ 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็จึงเลิกยึดถืออันนี้ได้ ก็แยกธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย แยกจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ก็จบ 

เพราะฉะนั้น สัตว์หรือเริ่มต้นตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่เริ่มต้นเป็นพืชมาแล้วมันก็จะพัฒนามาเป็นสัตว์ มันไม่หยุดหรอก กว่าจะพัฒนามาเป็นสัตว์ ที่จริงมันมีรายละเอียดมากมาย พระพุทธเจ้าก็ไล่ไว้ แต่อาตมาไม่ได้ไปเอารายละเอียดมาไล่ไม่ไหว ไล่ไปก็พอเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เรามาทำของเราให้จบ จบแล้วทีนี้คุณจะอยู่คุณจะเลิกก็ได้ 

ที่มันเป็นความละเอียดละออแต่ละระดับนั้น เราไปรับผิดชอบไม่ไหว แล้วไปบอกมันก็ไม่รู้เรื่องด้วย กว่ามันจะมีจิตวิญญาณหรือ มีจิตนิยามที่มาศึกษารู้อย่างพวกเรา พวกเรารู้แล้วก็สามารถจัดการทำลายความโง่ของตัวเอง จนกระทั่งสลายไปได้สลายความยึดติด จนกระทั่งเป็นอรหันต์จนกระทั่งเลิกไปได้เลย 

มันเป็นสุดยอดแห่งความรู้แล้ว เพราะฉะนั้นจะไปศึกษาวิชาอะไรอยู่ในโลก ยุคพระพุทธเจ้ามี 18 วิชา มีมหาวิทยาลัยเรียกว่าตักกสิลา มีวิชาอยู่ในตักศิลาที่เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่อยู่ในยุคโน้น มี 18 คณะ 18 แผนก ท่านเรียนจบหมดเลย เกียรตินิยมมาหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีมหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัย มีไม่รู้กี่แผนก เดี๋ยวนี้มากกว่า 18 แล้วมั้ง วิชาของเขาแตกแขนงออกไป เช่น วิชาชงเหล้าก็มี จบปริญญานะ วิชาชงเหล้า ว่ากันไป วิชาทำไอ้โน่น ทำไอ้นี่สารพัด เป็นวิชาทั้งนั้น แล้วก็เรียนเลี้ยงชีพ 

เลี้ยงชีพก็คือวนเวียนอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่อย่างนั้น ละเอียดแยกเข้าไปปรุงอยู่ในมุมนั้นมุมนี้ บานทะโร่โท่ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีจบ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาสอนในเรื่องที่รู้ว่าหลงมาแล้ว แล้วเลิกละออกไป แล้วก็รู้จบ ก็จบเลย มันเป็นวิชาการที่ล้างความหลงลาภ ยศ สรรเสริญ หลงความสุข นั่นแหละที่เป็นเหตุ จนกระทั่งท่านตรัสรู้ว่าสุขกับทุกข์เป็นเรื่องอันเดียวกัน เป็นความยึดติดสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว เทวะที่มันหลอกเป็นหนึ่ง ที่แท้มันอันเดียวกัน เป็นมายาหลอกที่สุด เป็นมายา ที่แท้พวกคุณมารู้แล้วก็เป็นสิริมหามายา จะให้เกิดยังไงก็ได้ไม่ให้เกิดก็ได้ และรับรองว่าถ้าจะเกิดอีก ก็ไม่มีความเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ มีแต่ประโยชน์ 

อย่างอาตมารู้สิ่งเหล่านี้เพราะอาตมาผ่านอรหันต์มาหลายขั้นที่แยกแยะให้ฟัง มีกี่ขั้น 6 ขั้น อรหันต์ 6 ขั้น แยกให้ฟัง 

อรหันต์ขั้น 1 ก็รู้จักจบแล้วเลิกได้ ขั้นที่ 2 ก็มีความรู้รอบ มีกรอบเพิ่มขึ้นไปอีก ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5 ขั้นที่ 6  6 ก็เป็นพระพุทธเจ้า สุดแล้ว  

ก็ไล่ให้ฟังตั้งแต่อรหันต์ที่ทำตัวเองได้แล้วก็รู้ผู้อื่น รู้ไปตามลำดับ กรอบแรกเป็นอนุโพธิสัตว์หรืออรหันต์ขั้น 2 ก็รู้ไปกรอบ 1 

เสร็จแล้วพยายามรู้ไปอีกอนิยตะ ต่อไปอีกเป็นกรอบที่ 2 3 4 5 ไป จนกว่าจะรู้เข้าไปถึงขีดว่า อ๋อ.. คนที่สามารถพัฒนาตนเองเป็นผู้ที่จะรู้ในเรื่องของโลก เรื่องของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์ 

รู้จักที่เป็นสารพัดวิชา มันก็ทำเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เท่านั้น ในเทวนิยมทั้งหลายไม่มีออกจากนี้ เพราะฉะนั้นท่านก็ประมวลมาประมาณนี้แหละ ประมาณให้รู้ว่า 

ไอ้ที่มันยังทำให้หลงจนกระทั่งแม้ที่สุดมาหลงตัวเอง หลงตัวเองว่าจะรู้ มันรู้ไม่มีขีดจบหรอก ท่านก็กำหนดเอาไว้ถึงขีด เอาสังขยาเลขมาแยก 1 2 3 4 ถือว่าเป็นขั้นละเอียดแล้ว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

จากอรหันต์มาก็ต่อไปอีกเป็นขั้น 5 ขั้น 6 ขั้น 7 เออ.. อีก สามเส้า คือ 567 ก็รู้แล้วว่าในโลกมันมีความเฉลียวฉลาด มันมีความรู้โลก เป็นโลกวิทู 

พอมาถึงขั้น 7 ก็จะรู้ว่า อ๋อ ไม่มีปัญหาหรอก 567 ก็เข้าเขตที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะรู้สิ่งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ที่เท่าที่โลกมันจะมี เพราะฉะนั้นพอถึงขั้น 7  เป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 อรหันต์ขั้นที่ 4 มันก็มีต่อไปได้อีกอย่างเก่งอีก 3 รอบหรือ 2 รอบ 7 8 9 สุดแล้วตามหลัก 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ก็ถือว่าเต็มขีดแล้ว ในสามเส้า 123 456 789 แล้วมันก็เป็นสามเส้าอีก มันก็ซับซ้อนไปอีก ในระดับ 7 8 9 เป็นภาวะที่รู้ความซับซ้อนของพวกนี้มากขึ้นมากขึ้น เป็นนัยยะที่ซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อนๆๆๆ จนเป็นผู้รู้ลำดับ ความเป็นลำดับของพระพุทธเจ้า ท่านถึงตรัสว่ามันเป็นเรื่องที่สุดน่าอัศจรรย์ในความเป็นลำดับ ลำดับที่มันซับซ้อนแล้วก็สับสนเลย คนที่ไม่มีภูมิพอแยกไม่ออก 

เพราะฉะนั้นขั้นที่ 7 8 9 เป็นการรู้ความซับซ้อน เป็นขั้นที่ว่ามันสุดแล้วเป็นเส้าที่ 3 แล้ว 1 2 3 456 ได้ 7 8 9 สูงสุดแล้ว แบ่งเป็น 3 กรอบ 

อาตมาก็เริ่มเส้าที่สุดท้ายไปถึงพระพุทธเจ้า นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า 

นี่เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ทางโลกียะ เรื่องของวัตถุ มันก็ได้อย่างไม่มีจบแล้วก็หลงยิ่งใหญ่ด้วยนะ ทุกวันนี้ไปเอาพลังงานทางวัตถุ เอาไปทำลายกัน หลงความพิสดารของมัน เอามาทำอะไรต่ออะไร เหาะเหินเดินน้ำดำดินก็ได้ แต่ก็เอามาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ แต่ก็หลงไปอีก 

นี่จะไปสร้างโลกใหม่อยู่ในอวกาศ แล้วก็ไปเป็นมนุษย์เจ้าของแผ่นดิน เจ้าของพื้นที่ ซึ่งมันก็คิดไปบ้าๆบอๆ มันทำไม่ได้หรอก แต่เขาก็คิดฝันเพ้อไป มันไม่มีที่จบ คิดแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งคิด เขาคิดกันมาบ้าๆบอๆแต่ไหนแต่ไร มันไม่รู้จักกรอบเป็นความเป็นไปได้ ไม่รู้จักกรอบแห่งความเป็นไปไม่ได้ ไม่รู้ มันก็คิดในกรอบที่มันเป็นไปไม่ได้นึกว่ามันเป็นไปได้ก็ทำ ถ้ามาทำสิ่งที่เป็นไปได้จะได้เยอะเหมือนกัน แล้วมันก็คิดต่อไปอีกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งที่มันเป็นไปได้ก็ไม่หยุดคิดกัน 

เพราะฉะนั้นก็คิดฟุ้งเฟ้อฟุ้งซ่านที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่รู้ตัวมันคิดไป แต่เสร็จแล้วจนกระทั่งชีวิตตาย คนอื่นบางทีบางอย่างก็ไม่ได้บันทึกไว้ก็หายไป ที่บันทึกไว้ก็เอามาบ้ากันต่อ 

มันไม่รู้ที่เจริญสุดและไม่รู้จักที่จบสุด ของพระพุทธเจ้านี้รู้ที่เจริญสุด เจริญอย่างไร เจริญก็คือรู้จักชีวะ แล้วก็ทำให้ชีวะนี่ทำแต่ดีไม่ทำชั่ว แล้วก็สอนอีก รู้ว่าชีวะนี่โง่อะไรอีก โง่ไปหลงสุข สุขทุกข์ก็คือความหลอกทั้งนั้น แล้วก็หลง รู้ว่าหมดแล้วสุขทุกข์ แล้วรู้ความจริงว่ามันจบหมดเลยทีนี้เลิกได้ ไอ้ธาตุรู้ตัวนี้เป็นจิตนิยาม ธาตุรู้ตัวนี้ เลิกเป็นจิตวิญญาณได้ 

ไอ้ที่มันกลับมาเกิดเป็นจิตวิญญาณ มันพัฒนามาเป็นเรื่องธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไร นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็พัฒนาไปจนเป็นจิตนิยาม กว่าจะมาเป็นสัตว์เซลล์เดียว กว่าจะมาเป็นสัตว์ล้านเซลล์มันก็พัฒนามาเต็ม มันต้องมีน้ำประกอบ เพราะฉะนั้นมันจะอยู่ในน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเจริญขึ้นมามันก็ขึ้นบก ขึ้นบกไม่พอมันก็ขึ้นฟ้าบินไปเลย มีอยู่แค่นั้น 

เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาอย่างไรๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้ารู้หมด แล้วก็ไม่ไปเสียเวลากับที่เขายังไม่รู้ ก็มาเรียนรู้สิ่งที่มันควรจะรู้ มีเวลา พวกเราอายุแค่ร้อย ในยุคที่คนอายุมากๆๆๆ มันก็โง่มามากแล้วแต่มันจะฉลาดขึ้นมาเรื่อยๆ ฉลาดความจริงขึ้นมาเรื่อยๆ ในยุคที่โง่มากๆมากๆ กว่าที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักองค์ 80,000 ปี 70,000 ปีกว่าจะได้ออก คุณอยากจะไปเกิด 80,000 ปีไหมจะได้ค้นพบพระพุทธเจ้าและรู้ทางออกจะได้ลดอายุลงมา โชคดีแล้วที่มาเกิดนี่ ไม่ต้อง 80,000 ปีหรอก 100 ปีก็ยากแล้ว 

แล้วเรามีความรู้สำคัญในจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทฤษฎีเอกไว้แล้ว มันก็สุดยอดแล้ว ที่พระสมณะโคดมตรัสรู้ในยุคนี้ แม้มันจะผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วก็ตาม ก็สามารถพิสูจน์ได้ ความจริงนี้พิสูจน์ได้ แต่มันก็เรื้อ มันก็เพี้ยนไป น่าสงสาร หมู่ที่ไม่รู้มีอีกเยอะ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้อย่างพวกเราไม่ใช่เพิ่งรู้ พวกเรานี่สั่งสมความรู้มาอย่างนี้มันไม่ใช่ฟลุ้คๆ  มันมีบารมีสั่งสมมาอยู่แล้ว เหมือน อัญญธาตุ เป็นธาตุที่เป็นโลกุตระ 

อาตมาอธิบายให้ฟังแล้วว่า ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระนี้มันหมายความว่า มันจะเริ่มรู้ รู้ทันทีเลยว่าโลกุตระ มันสะสมมา 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จนกว่าจะมาถึง 50 หน่วย มันถึงจะเป็นขีดที่พอพูดกันรู้เรื่องกับผู้รู้ กับคนที่เป็นโลกุตระกับพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นคนที่กว่าจะพูดกันรู้เรื่องถึงเรื่องโลกุตรธรรม หรือพูดกับพระพุทธเจ้า หรือพูดกับคนอย่างพวกเราเข้าใจ มันต้องสะสมหน่วย อัญญธาตุมา กว่าจะรู้ได้เกิน 50  55   60 มาก็ค่อยพูดกันรู้เรื่องบ้าง จนกว่าจะ 70 75 ถึงจะโอ้โห.. ทีนี้พูดโลกุตระรู้เรื่องกันดีๆจริงๆจากนั้นเลยสามารถจะพูดถึงเรื่อง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้

เพราะฉะนั้นมันถึงห่างไกลมากเลยกับคนทางโลกมากเลยที่จะมารู้อันนี้ได้ง่ายๆ คน 7 พันล้านในโลกทุกวันนี้ ฉลาดกันแล้วยุคนี้ แต่ขั้นฉลาดเถอะ ก็ยังสามารถที่จะรู้โลกุตระได้ แม้แต่ในศาสนาพุทธเอง ก็รู้โลกุตระได้กระหย่อมเดียวอย่างพวกชาวอโศก นอกนั้นเขาก็พวกอรหันต์เก๊ อรหันต์อะไรจมอยู่แต่ในภพน่าสงสาร พยายามช่วยเตือนบอกเขา บอกว่าหยุดเถอะที่มันหลงใหลทางโน้น ไม่ว่าจะนั่งหลับตาหรือลืมตา ไปศึกษาสารพัดความรู้ไม่รู้จักพอ เรียนรู้มันจะไปจบที่ไหนความรู้ในโลก อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ ท่านยังไม่พอสิ่งที่น่าจะเรียนรู้มันมีอีกเยอะก็ถูกสิ คุณก็ต้องรู้จักกรอบแห่งความหยุดบ้าง 

อันนี้แหละน่าสงสารท่าน ท่านก็จะต้องเป็นไป แล้วท่านก็ไม่เชื่อด้วยว่าที่อาตมาพูดจริง เพราะท่านยังไม่มีภูมิ ถ้าท่านมีภูมิเมื่อไร ความรู้ของท่านจะตีกรอบเข้าไป จะมาสรุปได้ง่าย ที่อาตมาพูดนี้หมายถึงยอมรับโพธิรักษ์ซะ แล้วมาหาโพธิรักษ์ตีกรอบให้ ให้ลดละไปตามลำดับท่านจะบรรลุเร็วเลย เพราะท่านรู้ครบทุกอย่าง รู้มากเกิน ไอ้ที่มาก็ไม่เอาให้ตีกรอบมาตามลำดับ แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นตัวอย่างของโลก เหมือนยุคพระพุทธเจ้าก็มีตัวอย่าง พระเทวทัตมีแล้ว พวกฉัพพัคคีย์ก็เป็นอย่างนั้นเป็นตัวแซมๆอยู่อย่างนั้น 

 

ภาษากวีกับภาษาทั่วไปต่างกันอย่างไร

อาตมาเคยหลงในเรื่องกวีการ มันไพเราะมันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของ การเรียบเรียง การเล่นภาษาชั้นสูง อาตมาในยุคนี้ก็ไม่เอาถึงฉันทลักษณ์ เอาแค่โคลงสี่สุภาพ โคลงสี่สุภาพก็มีแผนมีผัง แล้วอาตมาก็ว่าดีมากแล้ว อาตมาก็เลยมาทำโคลงสี่สุภาพ เป็นกวีขั้นหลัก แต่งมาจนกระทั่งเห็นว่า ภาษาที่จะเป็นภาษากวี 

ทุกวันนี้ก็เห็นที่เขาแต่งก็เป็นเพียงกลอนไม่เป็นภาษากวี ก็เป็นแต่เพียงให้มันสัมผัสต่อกันไปได้เรื่อยๆ ร่าย แล้วก็มาเป็นกลอน กลอน 2 กลอน 3 กลอน 4 กลอน 8 เป็นหลักเกณฑ์ แล้วก็มาเป็นโคลง โคลง4 โคลง5 จนกระทั่งมาเป็นฉันทลักษณ์ 

อาตมาถนัดเรื่องโคลง จนกระทั่งแต่งโคลง เรื่องกลอนนะไม่มีปัญหาหรอกง่าย แต่เรื่องโคลงยากกว่า โคลงมีระบุให้ใช้เอกโทเป็นหลัก หรือใช้ รัสสระหรือทีฆสระ ความรู้เรื่องพยัญชนะบ้าง 

ส่วนฉันทลักษณ์นั้น ทีฆสระ รัสสระหนักมาก มีครุลหุอีก หนักเข้าไปอีก ยุคนี้ก็เลยไม่ค่อยเฟื่อง เฟื่องอย่างเก่งก็มีร่ายมีกลอนมีโคลงบ้าง 

อาตมาริอาจเรื่อง ฉันทลักษณ์โคลงกลอนพวกนี้มา ตั้งแต่อายุ 12 เรียนอยู่ม.2  ม.2 สมัยก่อนนะ สมัยนี้น่าจะประมาณ ป.6 เรียนกลอน ครูคนแรกคือครูทา ศรีจันทร์ เริ่มอยู่ที่พิบูลฯนี่แหละ โรงเรียนวัดกลาง อาตมาเรียนอยู่ 2 ปี  ม.3 2 ปี เรียนกลอน แล้วก็เรียนโคลง จนกระทั่งเข้าอกเข้าใจเรียบเรียงอะไรได้ ก็มาแต่งล้อเลียน อาตมาแต่งล้อเลียน 

ว่าคนแต่งโคลงแต่งกลอน ไม่รู้จักภาษากวี ฟังแล้วก็เออ ไม่รู้นะอาตมาก็จะไปข่มเขาบ้างว่า มันไม่เป็นภาษากวี มันก็ไม่ได้เอาภาษาคำกวีมาใช้มาเรียบเรียง คือเป็นภาษาที่เลือก แล้วก็ไม่ใช่ภาษาที่จะเอามาใช้บรรยายพื้นๆ แต่เป็นภาษาที่จะบรรยายเรื่องที่จะลึกซึ้งซับซ้อนบ้าง 

เพราะฉะนั้น ภาษาที่จะมาแต่งโคลงแต่งกลอนแล้วก็จะเป็นภาษาไปธรรมดาๆง่ายๆเหมือนกับภาษาร้อยแก้วนี้มันก็ ให้มันสัมผัสกันก็เท่านั้น ก็เป็นภาษาง่ายๆสัมผัส อาตมาก็เลยมาพยายามที่จะทำให้เขาเข้าใจก็เลยลองแต่ง เพื่อที่จะให้รู้บ้าง 

อย่างภาษาที่จะเปรียบเทียบกันว่า มันจะมีภาษาที่เป็นโคลงหรือเป็นกวีหรือไม่เป็นโคลง ภาษาที่เป็นกวี เช่น 

เพลินสวนชมช่วงเช้า ชนสาย

กายเหนื่อยในใจฉาย ชื่นชื้น

ดอมดื่มดอกไม้หลาย พันธุ์รื่น รมเยศ

หนาวผ่านกาลกลับฟื้น แมกไม้บานไสว

ฟังแล้วก็รู้สึกไพเราะไหม เป็นภาษาที่เอามาร้อยเรียงแล้วก็เป็นภาษากวี 

ทีนี้ความหมายเหมือนกันนี่แหละ แต่ภาษามันไม่เป็นคำกวีอาตมาก็แต่งให้ดู ลองฟังดู จะอ่านอันนี้แล้วก็มาเทียบให้ฟัง 

เดินดูสวนแต่เช้า จนสาย

มันก็เมื่อยชิบหาย ปวดแข้ง

ไม้ดอกมากเหลือหลาย สวยสด งดงาม

นี่ก็ใกล้หน้าแล้ง ดอกไม้เริ่มบาน

เนื้อความเดียวกันเลยกับบทเมื่อกี้นี้ใช่ไหม ฟังแล้วจับความได้ใช่ไหม แต่อันนึงมันมีภาษามันดูกวี 

ทีนี้อ่านควบกันดู 

เดินดูสวนแต่เช้า จนสาย ก็เป็นภาษาธรรมดา 

มันก็เมื่อยชิบหาย ปวดแข้ง

ไม้ดอกมากเหลือหลาย สวยสด งดงาม

นี่ก็ใกล้หน้าแล้ง ดอกไม้เริ่มบาน

มันเป็นภาษาธรรมดาแต่ถูกนะเป็นผังของโคลงสี่สุภาพไม่ผิดเอกโทไม่ผิด ถูกต้องตามแผนผังของโคลงสี่สุภาพ 

ทีนี้มาฟังอีกอัน 

เพลินสวนชมช่วงเช้า ชนสาย

กายเหนื่อยในใจฉาย ชื่นชื้น

ดอมดื่มดอกไม้หลาย พันธุ์รื่น รมเยศ

หนาวผ่านกาลกลับฟื้น แมกไม้บานไสว

เนื้อความความหมายเหมือนกันหมด แต่เป็นภาษาที่ต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น 

ทีนี้อาตมาก็แต่งเป็นภาษาที่ไม่เป็นกวีมาอีกหลายอัน 

 

โคลงเคลง (กวีที่ไม่เป็นภาษากวี)

ของมากมาช่วยบ้าง เถอะนะ

กว่าจะแล้วคงจะ รุ่งเช้า

อย่าเถลไถลล่ะ เดี๋ยวไม่ เสร็จนะ

เล่นอะไรอยู่เล่า(เหล้า) รีบเข้าไวไว

21 พ.ย. 47 (เชื่อไหมว่านี่ก็ โคลงสี่สุภาพ)

มันก็เป็นภาษาธรรมดาแต่ไม่ผิดจากแผนผังโคลงสี่สุภาพนะแผนผังถูกต้อง เอก 7 โท 4 สัมผัสถูกต้องตามแผนผังบัญญัติหมดเลย 

อีกอัน

ตื่นนอนแล้วอาบน้ำ แต่งตัว

เร็วอย่าเล่นอย่ามัว ชักช้า

ไปที่โต๊ะในครัว         เอากล่อง ข้าวมา

ไวหน่อยรถติดน่า(หน้า) ไม่งั้นมันสาย

มันก็เป็นกลอนเป็นโคลงมั้ย ถึงบอกว่าไอ้คำว่ากลอน คำว่าโคลง คำว่าฉันทลักษณ์ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆตื้นๆพื้นๆที่จะทำกันเล่นๆง่ายๆ ซึ่งอาตมาพูดแล้วเหมือนไปข่มที่เขาแต่งกันต่างๆ แต่มันก็มีลักษณะจริงของมันอยู่อย่างนี้ 

อาตมามาแต่งเพลง ก็มาแต่งกลอนตั้งแต่อายุ 11 อายุ 14 ถึงมาเริ่มแต่งเพลง แต่งเป็นเพลงใส่ทำนองอายุ 14 แต่งกวีกาลมาตั้งแต่อายุ 11 อายุ 14 จึงใส่ทำนอง 

แรกๆแต่งเพลงนี้ อาตมาเล่นกวีมาเป็นภาษากวีมันยากจนกระทั่งเป็นฉันทลักษณ์ก็เล่นมา พอมาแต่งเพลงมันก็เลยติดในศัพท์แสง คำที่ยาก เพราะฉะนั้นเพลงแรกๆที่อาตมาจะแต่งนี่เป็นเพลงโลกุตระ 

มันก็เลยฟังแล้ว โอ้โห ยาก เช่น เพลง ตะวันทอฟ้า หรือเพลงแสงธรรมต้องทอบวร 

 เพลง แสงธรรมต้องทอบวร

• เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ

คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า

ความคิดเคยเฉยเชือนก็เตือนตามมา

แม้เพียรเพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนวแล้วเล่า

ฟังแล้วก็ต้องมาแปลกันอีกไม่รู้เท่าไร อย่างนี้เป็นต้น เนื้อเพลงอะไรอื่นๆอีกออกมา ก็เลยคิดว่าไม่ไหว คนฟังไม่ไหว มันเหมือนอ่านคำกวีพวกนี้ ก็ได้พิจารณา แต่เพลงมันฟังผ่านหูก็ยาก 

ก็เลยต้องมาแก้ตัวเองปรับตัวเอง กว่าจะมาแต่งเพลงธรรมดา ที่จะเป็นภาษาพอฟังกันได้ แต่เราก็รู้จักคำ รู้จักความ รู้จักใช้ภาษา ศัพท์แสงก็น้อยลง แต่สัมผัสยังมีอยู่ดีอยู่ ในความหมายก็ไม่มีปัญหา กว่าจะมาปรับเข้ามาได้ มาเป็นเพลงสมัยนี้หลัดๆก็พอฟังได้ ค่อยยังชั่ว 

เพราะฉะนั้นเพลงรุ่นแรกๆที่แต่งศัพท์แสงมีเยอะยาก ยิ่งมันเป็นโลกุตรธรรมด้วย เป็นเพลงที่สอนเรื่องละหน่ายคลายอะไร มันก็ยิ่งยากใหญ่ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีปัญหา อาตมาไม่สงสัยว่าทำไมเพลงอาตมาถึงไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนกับเพลงทางโลกเขา เพราะว่าทางโลกเขารับไม่ได้ และเขาก็ไม่รับด้วยโลกุตระ เขาจะเอาแต่โลกีย์ เขาก็จะเอาแต่เพลงรักๆใคร่ๆ เพลงโลกีย์ ดีไม่ดีเพลงลามกด้วย อาตมาก็ทำไม่ไป ก็ได้แต่อย่างที่พอได้ ประมาณนี้อย่างนี้ 

เรื่องกวีกาลหรือเรื่องพวกนี้นี่ มันเป็นศิลปะ เป็นวรรณกรรมที่ เมืองไทยเรานี่ยังดีมากเลย สืบสานมาจาก จริงๆของอินเดียเขานั่นแหละ สืบสานมาจากอินเดีย แล้วก็มาเป็นแบบไทยๆ ก็มา Apply บ้าง เป็นแบบไทยๆ เราเป็นไทยก็เลยซาบซึ้ง 

อาตมาก็ว่ามันชวนให้ติด อาตมาเคยอธิบายพวกนี้ บอกว่ามาบวชนี่ ติดเรื่องเพลงเป็นอันสุดท้าย แต่เสร็จแล้วก็ชักคิดได้ เพลงมันก็ต้องใช้จึงเอาเพลงกลับมา ตอนแรกออกมาบวชก็คิดว่าจะไม่เอาแล้วเรื่องนี้ ทิ้ง อะไรต่ออะไรทิ้งหมดแล้ว จนกระทั่งต้องมารื้อฟื้น จนกระทั่งจะเขียนโน้ตไม่เป็นแล้ว เพราะมันลืม เขียนโน้ตไม่ค่อยคล่องไม่ค่อยเป็นแล้ว แต่พอฟื้นขึ้นมามันก็ไม่มีปัญหาอะไรมันก็พอได้ จนกระทั่งเอามาใช้ในวงการศาสนา 

ผู้ที่เขาถือเขาเคร่งเขาก็ว่า พระอะไรเอาเพลงมาร้อง ยุคนี้สมัยนี้ถ้าเราไม่มี connection ไม่มี relative ไม่มีตัวเชื่อมต่อกันจริงๆ มันก็ไม่ได้ มันจำเป็น 

คิดดูสิ อาตมาทำมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ค่อยๆกระเตื้องขึ้นมานิดนึงแล้ว จนมีข้างนอกเริ่มมาสัมผัส เริ่มมารับได้แล้วก็เป็นไป แล้วทีนี้เพลงที่เป็นโลกๆของอาตมามันน้อย ก็ค่อยๆเอามา เพลงผู้แพ้ เพลงผู้ครองรักก็พอได้ เพลงธารสวาท เพลงแม่จ๋า นี่ทำมาแล้ว 4 เพลงใช่ไหม 

ต่อไปเป็นเพลงผกาดั่งนารี ค่อยๆมาเรื่อยๆ โอ้โห กว่าจะมีผู้ที่ Popular ทางโลกีย์เขาหน้อ แล้วก็มาเชื่อมทางเรา มีแฟนนานุแฟนเยอะ มันก็จะค่อยๆได้ ค่อยๆดึงเอาอันนี้ไป ถ้าเขาทำไปได้ที่เขาเรียบเรียงกันไว้ 20-30 เพลง จนกระทั่งเตรียมเป็นคอนเสิร์ตปีหน้า ก็คงจะได้แพร่หลายเพิ่มเติมขึ้นไปพอสมควร 

 

ฌานโลกีย์กับฌานของพุทธต่างกันคนละขั้ว

เข้าสู่เนื้อหาต่อ ที่พูดต่อๆไว้คือเรื่อง ฌาน เป็นเรื่องที่ยากมาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ฌานเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คนจะเข้าใจฌาน เพราะมันใช้คำว่าฌานเดียวกัน โลกียะหรือโลกๆ เดียรถีย์เขาก็ใช้คำว่า ฌาน แต่มันคนละเรื่องกันเลย มันคนละเรื่องกัน 

ที่พระพุทธเจ้าจำนนที่ต้องใช้คำว่า ฌานด้วย ก็เพราะว่าเป็นของเก่ามาแต่ไหนแต่ไร จะไปใช้คำอื่นซะเขาก็จะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องนี้มันก็ตัดทิ้ง เพราะฉะนั้นท่านก็เลยต้องใช้คำว่าฌานเหมือนกันกับที่เขาใช้ เขาจะได้ไม่ตัดทิ้ง แต่กว่าเขาจะรู้ได้ ยากมาก 

อาตมาอธิบายมาบ้างแล้วว่า ฌานของพระพุทธเจ้ามันเป็นโลกุตระ มันเป็น อจินไตย เพราะฉะนั้นจะมาเดาไม่ได้ ผู้จะรู้อาการของฌานแบบพุทธจริงๆ มันต้องมีสภาวะ เข้าใจแล้วก็เริ่มมีสภาวะ ถ้าไม่เริ่มมีสภาวะ จะไม่เข้าใจว่านี่เป็นฌาน 

สภาวะนั้นก็คือทำพลังงานจิต ฌาน นี่ก็คือปัญญา ต้องมีความรู้ในขั้นปัญญา หรือญาณหรือวิชชา เป็นความรู้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน 

ปัญญาเป็นโลกุตระ ฌานก็ต้องเป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนที่เขาไปเข้าใจอยู่แต่ในกรอบของฌานโลกีย์ มันไม่ได้เป็นโลกุตระ มันก็ไม่มีวันที่จะมีปัญญา เพราะปัญญามันเป็นฌานแบบโลกุตระ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็นฌานที่ไม่เป็นโลกุตระ มันก็ได้แค่ เฉโก 

เฉโก กับ ปัญญา แตกต่างกัน เฉโก ไม่รู้จักกิเลส ไม่มี อัญญธาตุ ไม่มีธาตุที่จะรู้จักกิเลส 

กิเลสคืออะไร กิเลสก็คือ จิตเก๊ ไม่ใช่จิตเดิม ไม่ใช่จิตแท้ จิตเก๊ ไม่ใช่ธาตุรู้บริสุทธิ์ ธาตุรู้ที่ถูกมารมาครอบงำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนาแน่น กิเลสครอบงำ
เพราะฉะนั้นชาวเทวนิยมแท้ๆ 100% ที่นับถือพระเจ้ายากที่จะมาเรียนรู้ศาสนาพุทธ ที่จะมาเรียนรู้โลกุตระ ยาก ต้องค่อยๆสะสม อัญญธาตุมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิน 50% มาถึง 75% จึงจะค่อยพูดรู้เรื่อง 

ถ้ายังไม่ถึง อัญญธาตุ ไม่ถึง75% เขาจะไม่เกิดความฉันทะ ไม่เกิดยินดี ถ้ายังไม่ฉันทะ ความวิริยะ อินทรีย์พละ ศรัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์  ปัญญินทรีย์ไม่เกิด

พลังงานที่จะเติมให้เกิดศรัทธา วิริยะ จึงต้องเพียรจริงๆ แล้วจึงจะมีสติ ฌานของพุทธ ลืมตา มีสติเต็มทั้งทางด้านกายกรรม สติเต็มทั้งทางด้านวจีกรรม สติเต็มทั้งมโนกรรมจึงจะเป็นฌานของพุทธได้ ต้องมีอายตนะ 6 

ไปหลับตานั้นไม่มีฌานของพุทธมีแต่ฌานฤาษี ไม่มีวันจะเป็นพุทธได้เลยพวกหลับตา เพราะฉะนั้นหลับตานั้นอย่าว่าจะไปเป็นอรหันต์เลย แค่ฌานมันก็ไม่เป็น สมาธิ มันก็ไม่เป็น ไม่เป็น มันเป็นของฤาษี ของโลกียะ ของเฉโกอยู่ หลับตานั้นเลิกมาได้แล้ว 

มาเรียนรู้จรณะ 15 ฌาน เกิดจากจรณะ 15 หลักสำคัญที่สุดของฌานคือจะต้องมี 4 ตัวเป็นหลัก 

ตัวที่ 1 คือศีล ตัวที่ 2 คือ รวมแล้ว 3 คือ อปัณณกปฏิปทา 3

อันที่ 4 นี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นฌานของพุทธ ถ้าไม่มีอันที่ 4 นี้ไม่มีวันเป็นฌานของพุทธ โดยเฉพาะ อปัณณกปฏิปทา 3 จะต้องมาทำในขณะตื่นๆ ในขณะกินข้าว คุณไปหลับตาไม่ได้กินข้าวอะไรหรอก สัมผัสทั้ง 5 ทั้ง 6 ไม่มี มันก็จะไม่รู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่จริง 

รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่จริง แล้วก็จะต้องมาเลิกจริงๆ กิเลสเกิดในขณะที่สัมผัสจริง ไม่มีสัมผัสจริง กิเลสมีแต่ความจำ กิเลสไอ้ตัวที่ไม่มีปัจจุบันชาติ ไม่มีขณะที่สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีอาโลก มีจักขุ มีปัญญา ญาณ  วิชชา  อาโลก แสงสว่าง มันไม่จริง มันไม่เป็นทิฏฐธรรม ไม่เป็นปัจจุบันชาติ 

อาตมาต้องอาศัยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าอธิบาย มันก็คิดว่ามันก็ไม่ยาก แต่ทำไมมันไม่ง่าย มันก็ง่ายๆ แต่ทำไมเข้าใจยากกันจังเลย อาตมาจะอธิบายออกไปจากนี้ก็ไม่ได้ มันก็ต้องอธิบายในสภาวะของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ จะพูดเลอะเทอะออกไปยิ่งเลอะยิ่งไม่รู้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นคำว่าฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่าเป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่จะรู้ยาก 

อาตมาพูดได้เลยนะว่า ฌาน ในศาสนาพุทธยุคนี้ ที่ไปนั่งหลับตา จนกระทั่งแม้แต่พวกที่เรียนเปรียญ 9 เรีดร. เขายังเชื่อว่าฌานต้องหลับตา ต้องเข้าๆออกๆ เข้าฌาน ออกฌาน ซึ่งไม่มีหรอกศาสนาพุทธไม่เข้าไม่ออกฌาน 

ฌานลืมตาแล้วสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นปัจจุบันธรรม มีแสงสว่าง ตาก็ทำงาน หูก็ได้ยินเสียง ตื่นๆ เป็น ชาคริยา เป็นชาคระ ตื่น ไม่ใช่ไปหลับ 

แค่หลับตาก็ไม่ใช่แล้ว ยิ่งไปหลับทำให้สติเข้าไปอยู่ในภพเลย ยิ่งผิดไปหมดเลย ตื่นออกมาให้ครบ เข้าไปอยู่ในภพก็ไม่ได้ หลับตาก็ไม่เอา ลืมตารู้ให้มันเห็น ไปหลับตาทำไม หลับตาแล้วปิดหู ปิดอะไรเข้าไปอยู่ในภพ ไม่เอา ไม่ใช่ฌานของพุทธ ฌานของพุทธต้องลืมตา ต้องเปิดหู ต้องเปิดจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสรู้เต็มที่ ตื่นเต็ม มีสติเต็มร้อย มีสติเต็ม มีการตื่นรู้เต็มร้อย 

แล้วมีสำรวมอินทรีย์ 6 อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ 6 ตื่นรู้ แล้วก็รู้ทุกอย่างเลย แม้กระทั่งสำคัญที่กินนี่แหละ มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่มันหลอกชัดง่ายหมดเลย ครบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อยู่ในการกินนี่แหละ 

รูปน่ากิน กลิ่นน่ากิน รสน่ากิน เสียงไม่มีรส แต่กินมันมีรสที่ลิ้น เสียงมันก็สัมผัสที่หู ตาก็สัมผัสแสง สัมผัสรูป กลิ่นก็สัมผัสเข้าไปในข้างใน แต่มันไม่ครบเหมือนกับลิ้น ยิ่งกายภายนอกเลย แต่กายต้องมีธาตุรู้นะ กายต้องมีจิตภายใจ

เพราะฉะนั้นความรู้ของศาสนาพุทธ แม้แต่คำว่า กาย ซึ่งจะต้องมี 2 เสมอแยกเป็น 1 ไม่ได้ อันนี้ก็เพี้ยน อันนี้ก็มิจฉาทิฎฐิกัน เพราะฉะนั้นสังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ต้องรู้จักกาย สภาพ 2 เดี๋ยวนี้ก็ไปเข้าใจเป็นหนึ่ง กายคือเอาแต่ภายนอกไปเลย อย่างนี้เป็นต้น เขาสัมผัสไม่ออก แยกกายแยกจิตไม่ได้ ก็แยกธรรมนิยาม 5 ไม่ได้ 

พระอรหันต์จะรู้กายและทำใจในใจให้ไม่มีกาย แต่มันก็ยาก ยากตรงที่ว่ามันไม่มีกาย แต่กายนี้มันก็ยังมี นี่แหละมันยากตรงนี้ แต่ทำใจให้รู้ว่า เพราะฉะนั้นกายจริงๆคือสภาพ 2 ที่ปรุงแต่งกัน คืออาการอย่างไร ท่านก็สอนธรรมนิยาม 5 

ว่าอย่างเช่นอุตุมันก็ไม่ใช่กาย เพราะยังไม่มีจิตเลย พอ มันเป็น พีชะ เป็นชีวะแล้ว แต่มันก็ไม่มีจิต ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นจิต เป็นธาตุรู้แค่ พีชธาตุ นี่แหละยาก 

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์แยกธาตุอุตุไม่ได้ แยกธาตุ พีชะไม่ได้ แล้วทำจิตให้เป็น อุตุเป็นพีชะไม่ได้ ไม่ได้ตรัสรู้หรอก เป็นอรหันต์ไม่ได้ พอทำจิตเป็นพืชได้ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ แต่เป็นชีวะ นี่แหละมันยากมากอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าผู้ที่หลับตาปฏิบัติหลงงมงายและก็หลงว่าเป็นอรหันต์นั้นน่าสงสาร มันไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ ไม่มีทางหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีทางที่จะรู้แม้กระทั่งกามคุณ 5 เพราะฉะนั้นที่ไปนับถือมหาบัวกินหมากปากเปรอะ รูปรสกินเสียงแค่นี้ เสพติดกินไม่ขาดปาก ก็ยังไม่รู้กัน ตัวเองก็ไม่รู้ 

ที่จริงอาตมาไม่เชื่อนะ ว่ามหาบัวไม่รู้ว่าตัวเองติด แต่ว่ามันติดมันจะไปบอกว่าตัวเองติด เป็นกิเลสอยู่ก็ไม่ได้ ก็เลยโกหก จะมาพูดตรงๆเลย บอกคนอื่นว่ามันไม่ติดเป็นธาตุขันธ์ ไม่เกี่ยวกับกิเลส ไม่เกี่ยวกับความอยากไม่อยาก 

_สู่แดนธรรม... ท่านบอกว่า ท่านปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่สมมุติ แม้แต่ธาตุขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นแต่เพียงธาตุขันธ์ปรุงแต่ง ไม่เกี่ยวกับความเป็นนิพพานในจิตของท่าน ท่านยืนยันอย่างนี้เลยนะครับ 

พ่อครูว่า... ก็บางทีอธิบายให้ดูว่ามันใช่ยังไงคนอื่นก็ไม่รู้ มันอยู่ที่ภูมิปัญญาของคนที่จะเข้าใจได้ ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มันยากนะ จะไปบอก มันก็ตัวใครตัวมัน 

เพราะฉะนั้นคนจะรู้ว่า แค่ว่าหลับตาเป็นฌานหรือลืมตาเป็นฌานก็ไม่ง่ายแล้ว ยิ่งจะมาให้รู้จริงๆว่าฌานของพระพุทธเจ้าจริงๆเป็นอย่างไร แม้แต่บอกว่าฌานไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก มันจะเป็นฌานยังไง เขาก็คิดว่ามันต้องเข้าฌาน มันเป็นหนึ่ง แล้วลืมตาจะเป็นหนึ่งได้อย่างไร หูก็รับเสียง จมูกก็รับกลิ่น ดีไม่ดีกินอาหารก็เป็นฌาน เขาจะบอกว่ากินอาหารเป็นฌานได้ยังไง ฌานต้องหลับตา จะกินอาหารได้ยังไง 

เพราะฉะนั้น อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละเป็นการทำฌาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่สามารถรู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจที่อาตมาพูดนี้ เขาก็จะยึดอยู่อย่างนั้น เขาจะว่าอาตมาว่าโอ้โห.. ดูถูกดูแคลนอาตมามาก เพราะเขาผิด เขาเชื่อผิดๆ จนกว่าเขาจะเกิด รู้ เห็นจริง ว่า 

โอ้โห.. อย่างโพธิรักษ์นี่เหรอพูดถูก ตายๆๆๆ เมื่อเขารู้เมื่อไรแล้วเมื่อนั้น ความเชื่อจะเกิดขึ้น ศรัทธาจะเกิดขึ้นในสัทธรรม 7 เมื่อเขารู้เมื่อนั้น เขาจะเกิดหิริ ละอาย ตายๆๆๆๆ อย่างโพธิรักษ์พูดไม่ถูกแล้วเราเข้าใจเดิมนั้นมันไม่ใช่ แล้วเคยไปดูถูกดูแคลนข่มสารพัดสารเพด้วย ก็ต้องรู้สึกละอาย ต้องสำนึก ต้องรู้สึก ต้องละอาย พระพุทธเจ้าใช้คำว่า ละอายอย่างแรงกล้าด้วย 

_สู่แดนธรรม... ติพพัง หิโรตัปปัง

พ่อครูว่า... หิริโอตตัปปะ กว่าคนที่นั่งหลับตาจะยอมรับอาตมาอย่างมีจิตเห็นจริงเลย ยอมเชื่อว่า อ๋อ อย่างโพธิรักษ์ถูกแล้วล่ะ ที่เราเข้าใจมันผิด จะเกิดสำนึก เกิดละอาย ซึ่งกว่าจะเข้าใจกันได้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า ละอาย แล้วละอายอย่างแรงกล้า เป็นโอตตัปปะ 

หิริโอตตัปปะนี่คือละอายอย่างแรงกล้า นั่นแหละคือคุณละอายได้เต็มที่ รู้ตัวเต็มที่ ถอดถอนตัวเองเต็มที่แล้ว จึงจะได้ปฏิบัติธรรมได้ เริ่มต้นปฏิบัติธรรมเข้าท่าเข้าทาง เกิดพหูสูต เกิดความรู้ที่เป็นพหูสูต และเป็นความรู้ที่ถูกต้องได้จริง 

แล้วทีนี้คุณถึงจะรู้เพราะมี 4 คำนี้ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต อ้อ..ถูกต้องอย่างนี้เหรอ แล้วก็ได้มีตัวอย่างที่เป็นพหูสูตรมากขึ้นๆ พหู คือมาก จนกระทั่งเห็นก็จึงจะเกิดพลังงานเสริม วิริยะ สติ ปัญญา อีกเป็นกระบวนการใหญ่ เพียรอย่างถูกต้อง 

สติก็จะเต็มที่อย่างถูกต้อง ฌาน ต้องมีสติเต็มทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ ถ้าไม่งั้นคุณก็จะงมงาย ฌาน ก็คือสติมีแต่อยู่ในใจ กายก็ไม่รู้เรื่อง วาจาก็ไม่มีสติ กายก็ไม่มีสติ เหมือนคุณทำแต่แค่ใจ สติของคุณไม่เต็มหรอก ปัญญาก็ไม่มีสิทธิ์เกิด ไม่เกิด 

ปัญญาจะต้องเกิดในขณะลืมตา ปัญญาจะต้องเกิดในขณะ 1. สัมผัส 2. มีธรรมวิจัย 3.มีมัคคังคะ ปฏิบัติเต็มที่กับมรรคมีองค์ 8 

ต้องปฏิบัติทั้งกัมมันตะ อาชีวะ วาจา กัมมันตะ ไปหลับตาการงานไม่มี วาจาไม่มีพูดไม่มี ทำไม่มี มีแต่จิตคิดอย่างเดียว ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ก็ปิดประตูบรรลุธรรมไปเลย 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม # 41 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2566 ( 20:24:32 )

660920

รายละเอียด

660920 ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53543.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1467DuNjgAOFmv6sQy1eawdi-DszI_WW_/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/18cptqGXOBnLkTkm4Xu64O8Ll1ti442o9/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660920-108----1_128-kbps-e29i75k 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/5PYpdGfXONM 

และ https://fb.watch/nayRklW-mM/ 

มีซับ https://youtu.be/6RvKKqA2APM 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

ปีนี้เป็นปีพิเศษ ศิษย์เก่าทุกๆสถาบันสัมมาสิกขา จะนัดมารวมตัวกัน ในงานชื่อว่าศิษย์เก่าบูชาพ่อ รวมตัวกันที่ บ้านราช ในวันที่ 9 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2566 จะรวมตัวกันมาให้ได้มากที่สุด เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ศิษย์เก่าที่จากไปนานจะได้มารวมตัวกัน หลายคนก็มีลูกมีทายาทมาสืบทอด 

ช่วงนี้ทั้งนายกและรองประธานสภาเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องเนื้อหาในการประชุม เขาจะสนใจกันแต่เรื่องทำไมใช้งบประมาณเดินทางมากขนาดนั้น เปรียบเทียบกับตอนลุงตู่ไปดูงาน ทั้งค่าใช้จ่ายซึ่งต่างกันมาก จำนวนคนไปดูงานก็ต่างกันเยอะ มีอะไรไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ลุงตู่เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำ เพราะมีค่าใช้จ่ายเยอะในการจอดในการเดินทาง 

ข่าวใหญ่อีกอันนึงมีประชาชนร้องเรียนว่า เขาถูกไล่ล่าจากกรรมการพรรคก้าวไกล มีคุณเจี๊ยบ อมรรัตน์ แสดงความเห็นทางการเมือง เอาข้อมูลส่วนตัวของคุณปีใหม่ ไปลง Facebook เพื่อให้คนที่เห็นด้วยไปไล่ล่า เพราะว่าคุณปีใหม่แสดงความเห็น แย้งกับคุณเจี๊ยบ อมรรัตน์ โดยไม่ได้กล่าวออกชื่อไปแต่อย่างใด เหมือนเป็นการไล่ล่าแม่มด ซึ่งคนไทยพร้อมเฮโลไปตามกระแส 

มีคนเอาหนังสือ “มาเหนือเมฆ” มาให้พวกเราอ่านกันด้วย

 

จะลดอุปาทานต้องปฏิบัติตามจรณะ 15

พ่อครูว่า... เราไปกันบนพื้นดินไม่เหินเดินเมฆอะไรไปกับพื้นดินแถวนี้แหละ 

มีเรื่องของ คนที่มีความเชื่อมีอุปาทาน ความยึดติดในนามธรรม นามธรรมเป็นสิ่งที่ซ้อน นามธรรมคือจิตของเรานี่ ไปประหวัดถึง ไปคิดเอาเองเป็นนิรมานกาย เป็นกายที่เนรมิตเอง จะเป็นอะไรก็ตามแต่สมมุติชื่อสารพัด จะเป็นผี เป็นสาง เป็นเทวดา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นจตุคามรามเทพ เป็นครูกายแก้วอะไร มันเป็นเรื่องนิรมิตเอาเอง แล้วก็หลงว่ามีอำนาจ มีฤทธิ์ มีเดช มีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ศัพท์เรียกว่าอุปาทาน คือการยึดถือ ติดยึด ตรึงติดตั้ง 

สมมุติว่ามันมี มันมีฤทธิ์แรงอย่างนั้น มีอิทธิพลอย่างนี้ เก่งอย่างโน้น เก่งอย่างนี้อะไรต่างๆนาๆ เขาก็เชื่อกันไป ตั้งแต่เชื่อ เชื่อแม่น้ำ เชื่อทะเล เชื่อภูเขา เชื่อต้นไม้ เชื่อจอมปลวก กราบเคารพบูชา คนไทยทุกวันนี้ก็ยังกราบเคารพบูชาอะไรพิสดาร แปลกๆก็เชื่อว่ามันมีฤทธิ์มีเดช กราบต้นกล้วย กราบต้นมะพร้าว กราบต้นหญ้า กราบต้นนั่นต้นนี่ที่มันออกผิดประหลาดมาหน่อยก็กราบไปหมด  อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

มันเป็นความไม่มีปัญญา ไม่รู้จัก และมันเป็นการตะกละตะกลาม มันเป็นการยึดถือคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะประทาน มันเป็นเรื่องเทวนิยม 100% สิ่งเหล่านั้นจะมีอำนาจมีฤทธิ์จะประทานโชค ประธานลาภ ประธานอะไรต่ออะไรให้เราได้ดังประสงค์ ตามที่เราอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นเทวนิยม มันเป็นเรื่องของโลกธรรม  ธรรมดาๆ นี่เอง 

สำคัญที่สุดคือจิตมันอยากได้ ยังมีความไม่พอ มันอยากได้ อยากได้อะไรก็แล้วแต่ อยากได้เงินได้ทอง อยากได้ลาภได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุข อยากได้ของงามๆ อยากได้ของอร่อย อยากได้ของไพเราะ อยากได้อะไรมาบำเรอเสพสมกิเลสของตนเอง เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่รู้ความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านั้นทั้งหลายเป็นมายาสุขทุกข์ 

สรุปลงตรงสุขต้องทุกข์ ไม่ได้ก็ทุกข์ดิ้นรนอยากได้ ได้มาก็เสพเป็นสุขแค่นั้นเอง ถ้าหมดสุขหมดทุกข์ หมดเสพสมสุขสม หมดบำรุงบำเรอกิเลส หมดอยากแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย จบ เป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงว่ามันเป็นเรื่องหลอก เรื่องความสุขรวมลงที่ความสุข คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่เราไปหลงปั้นขึ้นมา หลอกตัวเองเป็นผีหลอก เป็นมายา ให้มันมีตัวตน มันก็มี 

ถ้าเราเรียนรู้จริงๆแล้วค่อยๆลดไปทีละขั้นทีละขั้นตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา แต่ละสิ่งตั้งแต่หยาบกลางละเอียดไปจนกระทั่ง หมด ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงว่าไม่มีเลย จบกิจเป็นอรหันต์ สวรรค์ทั้งหมด มันไม่มีสวรรค์ เป็นของปลอม สวรรค์ไม่มี นรกมันก็ไม่มี ถ้าไม่มีสวรรค์ นรกก็ไม่มี ไม่มีสวรรค์จะขึ้นก็ไม่มีนรกจะตก อยู่ที่เดิมที่กลางๆ ถ้ามีสวรรค์นรกก็มี สวรรค์สูงนรกก็ยิ่งต่ำ สวรรค์สูงขึ้นนรกก็ยิ่งต่ำลงไป เป็นธรรมดาๆเป็นคู่กัน 

เพราะฉะนั้นไม่ศึกษาไม่เรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วไล่เรียงเลิกไปทีละขั้นทีละขั้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 เลิกแค่นัยยะของศีลข้อ 1 2 3 นี่จะครบมิติ ของความติดยึดกันบริบูรณ์แล้ว นอกนั้นมันก็จะเป็นส่วนขยายออกไปเท่านั้นเอง จาก 3 เส้า เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 จับคู่กัน สามเส้า จนเป็น 9 ไปขยายออกไปอีกเป็น 11 ก็ไปหา 20 อย่างนี้เป็นต้น ไปอีก ซ้อนเป็นการยกกำลังซับซ้อนไปอีก 

อาตมาก็ตั้งใจอยู่ว่าจะอธิบายเรื่องของจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ให้ฟังให้ฟังให้ละเอียดๆดี แต่ค่อยๆไปเถอะเดี๋ยวอาตมาก็ถึงจนได้ 

ก็มาขอโอภาปราศรัยกับ SMS 

 

SMS วันที่ 18-19 ก.ย. 2566

 

_ประไพ ยาสาร : การตั้งตบะช่วงเข้าพรรษาเป็นการพิสูจน์ตนเอง พิจารณาทบทวนทุกวันแล้วจิตเราจะเข้มแข็งขึ้น กราบสาธุเจ้า

พ่อครูว่า…ตั้งตบะ ตั้งว่าเราจะทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา เข้าพรรษาแล้วก็ปฏิบัติตามตบะที่เราตั้ง ก็จะได้พิสูจน์ตนเอง ทบทวนทุกวัน ก็แล้วแต่ ตั้งตบะอะไรล่ะ จะเลิกอันนั้น จะไม่ใช้อันนี้ จะไม่กินอันโน้น หรือจะเอาเข้ามาเยอะๆ ตบะอะไร ควรจะเอาออกนะ ตั้งตบะเอาออก ก็ลองดู ไม่มีรายละเอียดอะไรมาก อาตมาก็รับทราบเท่านั้น 

ก็เป็นการฝึกจิตชนิดหนึ่ง ตามภาษาที่บอกมาก็คงจะตั้งเพื่อที่จะลดละ เลิกละ ก็ลองดู 

 

หลวงปู่คงไม่อยู่ค้ำฟ้าสักวันต้องจากพวกเราไป 

_นาง จับใจ ธนะโภค :  กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถามและรายงานการจัดการกิเลส ดังนี้ ค่ะ

ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ดิฉันนั่งทำงานอยู่กับหลาน(ลูกของแนน) อยู่ๆ หลานก็บอกกับดิฉัน ว่า ยายครับหลวงปู่(พ่อครูสมณะโพธิรักษ์) "จะละสังขาร" แล้วนะ แล้วยายจะทำยังไง ดิฉันจึงหยุดทบทวนสักครู่ จึงตอบหลานไปว่า ก็ยังมีสมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมชาวอโศก ที่หลวงปู่สอนไว้ทำงานศาสนาแทนหลวงปู่ไงลูก ดิฉันตอบหลานแบบนี้ได้ไหมคะ น้อมกราบขอบพระคุณมาด้วยความเคารพอย่างสูง

พ่อครูว่า…หลานเขาว่าได้หรือไม่ล่ะ มันก็ได้แล้ว ถ้าจะถามว่าดีหรือไม่ถูกหรือไม่ก็ควรจะทำอย่างนี้ ถ้าถามว่าได้หรือไม่ได้คุณก็ทำไปแล้ว ถ้าจะถามว่าถูกหรือเปล่าดีไหมคะอะไรอย่างนั้น ไม่ถามก็ไม่เป็นไรอาตมาก็ตอบก็แล้วกันว่าดีไหมคะถูกไหมคะ 

ก็ดีแล้วล่ะถูกแล้วล่ะ หลวงปู่จะอยู่ค้ำฟ้าได้อย่างไรก็ต้องตายสักวันจนได้ เอาล่ะเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรก็ดูๆกันไปอาตมาก็ได้แต่พยายามอยู่เพื่อที่จะยังพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า ว่าการฝึกฝืนการพยายามใช้อิทธิบาท ยินดีในความเป็นอยู่เรียกว่าฉันทะ แล้วก็วิริยะพยายามที่จะทำตนเองให้มีเหตุปัจจัยให้มันทรงอยู่ให้ได้ ไม่ว่ารูป ไม่ว่านามช่วยมันทุกอย่าง วิริยะ มีจิตตะ จิตมันก็มีพลัง จิตมันก็รวมมีกำลังมีจิตเป็นประธานขึ้นมา ยังไม่ตายยังไม่ตายยังไม่ตาย รวมแล้วเป็นวิมังสะ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็เป็นแก่นเป็นแกน เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นองค์ประกอบที่มันได้มรรคได้ผล ช่วยชูให้ชีวิตมันยาวยืนไปอยู่ทุกวันนี้ ก็พอเป็นไป 

เป็นแต่เพียงว่าไอ้เจ้าเหตุปัจจัยที่มันไอหนัก แล้วมันมีอะไรต่ออะไรหลายๆอย่างอาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษมันออกมาแล้ว มันไอแล้วมันก็จะต้อง โอ้โห รสชาติมันแหม คุณเอ๋ย ไม่รู้ว่ารสอะไร ทั้งที่อาตมามันไม่มีรสอร่อยแล้ว รสพวกนี้มันขื่นมันขมมัน ต้องการจะขับออกมันไม่ต้องการจะมีอยู่ในสรีระเราต้องไอแรง มันเป็นอะไรก็แหม อาตมาก็เรียกมันว่ามันเป็นโรควิบาก จนหมอก็ไม่มีทางที่จะแก้ไข เพราะว่าเหตุปัจจัยมันผ่าตัดไม่ได้ ก็ให้มันอยู่ไปอย่างนั้นแล้วมันก็ทำงานของมัน อายุมันก็โตวันโตคืน มันก็ทำงานหนักขึ้นทุกที มันก็ไม่หนักกว่านี้ก็ยังดีแล้ว อาตมาก็นึกแต่ว่าดีนะมันยังไม่หนักมันก็ได้แค่นี้เอาแค่นี้ก็ยังดี ยังพอทน 

อาตมานึกถึงคนอื่นๆที่เขามีวิบากหนักกว่าอาตมาเยอะน่าสงสาร อาตมาแค่นี้มันไม่กระไรเท่าไหร่หรอก ก็นึกว่ามันยังดีอยู่กว่าคนซึ่งหนักหนากว่าเราก็เห็นๆอยู่เขาทรมานก็เราเยอะ เราก็อย่างนี้ก็เอาวิบากแค่นี้ก็ไม่ไปท้อแท้อะไร 

 

ศึกษา อาการ ของนาม และรูป 28

_Aik Lim อิ๊ก ลิ้ม : น้อมกราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุด้วยควาเคารพและศรัทธายิ่งเจ้าค่ะ โยมกราบขอโอกาสเรียนถามว่า

1. "อาการ" ที่เป็นสภาพของรูปนาม คือ เป็นอาการที่เกิดจากปฏิกิริยาร่วมกันของรูปนาม ใช่ไหมเจ้าคะ หรือ"อาการ"เป็นของรูปหรือนามอย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกอาการได้เจ้าคะ

2. โยมเข้าใจว่า "รูป" อย่างเดียวโดดๆไม่น่ามีอาการ โยมเข้าใจถูกต้องไหมเจ้าคะ  น้อมกราบนมัสการและกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ใช่รูปนามเป็นสภาวะ 2 รูปคือสิ่งที่เป็นอีกอันหนึ่งจะต้องคู่กัน เป็นสิ่งที่ให้เรารู้มัน มันจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ 2 นามธรรมคือตัวรู้ของคุณ เพราะฉะนั้น 2 อันนี้มันจะต้องมาสัมผัสกัน ถ้าไม่มีอะไรสัมผัส มีแต่นามคือความคิดของคุณ คุณไม่ได้เปิดตาไม่ได้รับเสียง ไม่ได้รับกลิ่นไม่ได้รับรสแตะลิ้น ไม่ได้มีกายสัมผัสภายนอก มีแต่ในใจ มันมีนามแต่หนึ่งเดียว 

อันนี้แหละอาตมาอธิบายแล้วอธิบายอีก อธิบายแล้วอธิบายอีกว่ามีแต่นามอย่างเดียวคิดอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ของตน มันไม่ใช่ความจริง อธิบายมานานมามากแล้ว คนก็ยังไม่ชัดเจนในตรงนี้ 

ว่ากายต้องมีภายนอก 5 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตากระทบรูปเอออย่างนี้เป็นคู่ สิ่งที่เกิดเป็นความจริง หูกระทบเสียง สิ่งที่เกิดอย่างนี้เป็นความจริง จมูกกระทบกลิ่นอย่างนี้เป็นความจริง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง อย่างนี้เป็นความจริง 

แต่ถ้าไม่มีกาย 5 ทวารภายนอก โผฏฐัพพะ กายสัมผัสและเกิดความรับรู้ มีสัมผัสแต่ในภายในโดยไม่เกี่ยวข้องกับภายนอกเลย อันนี้ไม่ใช่ความจริง ความจริงอันนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร มันเป็นแต่เพียงสัญญาในสัญญา มันไม่มีปัญญาเลย ปัญญาต้องมีภายนอกด้วยอีก 

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตรข้อ 258 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดว่า ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ จะเกิดได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์และที่สำคัญต้องมี มัคคังคะ คือมีองค์แห่งมรรคทั้งหมดองค์แห่งมรรคทั้งหมดคือมรรคมีองค์ 8 คุณต้องมีทั้งหมดเลย ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิไปยังสัมมาสมาธิ มีครบ 

ตัวที่ยืนยันที่ว่าต้องอยู่ในชีวิตธรรมดา คือต้องมีสัมมาสัมปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นชีวิตธรรมดาสามัญ ไม่ใช่คุณไปนั่งหลับตาไม่ได้ทำงานอาชีวะอะไร ไม่ได้มีกัมมันตะอะไร ไม่ใช่ อาจจะมีกัมมันตะอยู่ที่คุณทำใจในใจของคุณอย่างเดียว ไม่มีอาชีพการงานอะไร ไม่ได้สร้างสรรค์อะไร ไม่ได้มีกายกรรม วจีกรรมไม่มี ไม่ใช่ ต้องมี 

เพราะฉะนั้นปัญญาไม่เกิด ปัญญินทรีย์ไม่มี ปัญญาผลหรือปัญญาพละไม่มี คุณวิจัยก็วิจัยแต่เพียงในภายใน วิจัยข้างในภายในจิตอย่างเดียวไม่มีข้างนอกผสมเลย อาตมาถึงสรุปว่า การหลับตาปฏิบัติมันโมฆะด้วยประการฉะนี้ มันจะไม่เกิดปัญญาตัวจริง มันจะไม่เกิดความจริงที่จริง ไม่มีปัจจุบันชาติ ไม่มีกามภพ ไม่มีกามาวจร 

คนที่ปฏิบัติ ฌาน ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า มีปัญญารู้จักกิเลส แล้วก็เผากิเลสได้ ก็ต้องมีตั้งแต่มี กามาวจร มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แล้วคุณก็ล้างกิเลสไปแต่ละเรื่องแต่ละเรื่อง ตามศีลเป็นหลักก็ได้ ศีลข้อ 1 2 3 แล้วคุณก็ลดกิเลสไปตั้งแต่ข้างนอกคือ กาม 

กิเลสข้างนอกมันลดมันดับ ไม่เกิดอีกเลย สัมผัสอย่างไรก็ไม่เกิดอีกเลยอยู่เหนือ อุตระ ก็เหลือข้างในกิเลสข้างใน ปรุงแต่งอยู่เป็นภวังค์ เป็นภวภพ เป็นรูปภพอรูปภพ คุณเข้าไปล้างมันอีก ในขณะที่คุณสัมผัสอยู่ข้างนอก ตากระทบรูปอยู่อย่างนี้ ข้างนอกคุณไม่มีหรอกปฏิกิริยาข้างนอกคุณไม่มีเลย เรื่องราวที่จะเกิดกามจากปัจจัยไหนก็หมดแล้วหมดกามภพแล้ว หมดจากสกิทาคามี ไปอยู่อนาคามีข้างในมันอยู่ข้างในแล้ว

ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้หลับตา ก็มีการกระทบสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) วัตถุทุกอย่างกระแทกกระทุ้งกระเทือนอยู่แต่ข้างนอกคุณไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่ปรุงแต่งร่วมเลย ไม่มีสังขารภายนอก กายสังขารไม่มี แต่ข้างในรูปสังขารคุณมี ก็ล้างอาการข้างใน ในขณะปฏิบัตินี่แหละมันถึงเป็นความจริง เป็นปัจจุบันชาติ 

ไม่ใช่ไปคิดเอา ไอ้ที่เอาแต่คิดนี่แหละ มันเป็นได้คือ เป็นอดีต 18 เป็นอนาคต 44 ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาท่านเรียกเต็มๆว่า เจโตสมาธิ ผู้ทำเจโตสมาธินี่คือพวกหลับตาทำ ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดทั้ง 62 แล้วพระพุทธเจ้าก็สรุปแล้วว่ามีเท่านี้ อดีตอนาคตมีเท่านี้ 

แหม มีผู้สรุปมา ในพรหมชาลสูตร เขาใช้นามแฝงของเขาว่า ทำมาด้วยใจ ใต้ร่มโพธิ์ เขียนส่งมาให้อาตมาตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2566 หลายหน้าเหมือนกัน อาตมาจะอ่านให้ฟังตอนนี้ก็ยังเกรงใจ SMS อยู่ ก็ขอ SMS ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวจะอธิบาย ดีเหมือนกันเรื่องนี้ก็เจตนาจะอธิบาย 

ตอบคำถาม อาการคือลีลาของมัน กิริยาของมัน อาการของมันกิริยา กิริยาของรูป กิริยาของนาม อาการที่มันไม่นิ่ง อาการนิ่งก็เรียกว่าอาการได้ อาการอยู่นิ่งๆ คุณก็รู้ เออ นี่มันเคลื่ออนที่แล้ว มันเคลื่อนที่เป็นอาการอย่างนี้แล้ว เกิดมันเกี่ยวข้องกับอันอื่นสัมผัสเป็น 2 3 4 ปรุงแต่งเป็นเรื่องอีก คุณก็ต้องรู้อาการที่มันเกิดปรุงแต่งกันขึ้น จากนิ่งๆ 1 ขึ้นเป็น 2 ขึ้นเป็น 3 4 5 อาการเหล่านั้นเป็นนามธรรมทั้งสิ้น แล้วคุณก็ต้องรู้สิ่งที่มันเกิดอาการนั้น มันก็ถูกรู้เป็นรูป อาการที่มันเกิดให้เราสัมผัสเอานามธรรมเป็นตัวสัมผัสรู้ ไอ้รู้นั้นเป็นนาม เป็นสัญญากำหนดรู้ ไอ้ที่ถูกรู้นั้นเป็นรูป ต้องมีอย่างนี้ มันมีแต่รูปมันไม่มีนามไปแตะไปเกี่ยวข้องเลย ไปศึกษาอะไรมันไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันก็อยู่ของมัน เมื่อเราไปเกี่ยวข้องกับมันเมื่อไหร่เราก็รับรู้แล้วก็เรียนรู้กับมันได้ 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ได้สัมผัสเลยไม่เกี่ยวข้องเลย คุณจะไปเอามันมาทำไม ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ดาวมันวิ่งของมันอยู่โน่นเป็นล้านๆปี แล้วเราก็ไม่เคยเกี่ยวข้อง แล้วก็ไปเอามันมาวิจัยอย่างโน้นอย่างนี้ไปเกี่ยวไปข้องกับมันมันมีผลส่งต่อเราอย่างนู้นอย่างนี้ ก็ดีอยู่ ก็รู้ว่าเราก็มีปฏิกิริยาต่อกัน มันมีประโยชน์หรือมีโทษอะไร ก็ดี แต่ว่าเราจะไปยุ่งอะไรกับมันมาก ชีวิตจริงๆเราก็อยู่ตรงนี้ จะนานเท่าไหร่ ดาวมันอยู่นานกว่าเราหลายล้านปี ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่เป็นทุกข์เป็นสุขอะไร ดาวไม่เป็นทุกข์เป็นสุข แต่ตัวคนนี่แหละเป็นทุกข์เป็นสุข 

แล้วตัวคนนี้แหละจะต้องรู้นิพพานให้ได้ หมดสุขหมดทุกข์แล้วคุณจะอยู่หรือไม่อยู่ มีจิตนิยามมีชีวะ คุณเลิกได้เป็นอรหันต์คุณมีภูมิทำถึงขั้นอรหัตผล คุณก็เลิกไปเลย มันมีที่จบสำหรับธรรมะพระพุทธเจ้า แต่คนที่ไม่รู้จักกรอบของความจบ ก็ไม่มีการจบกิจ จบทำ จบการกระทำ จบงาน 

ฉะนั้นย่อลงมาถึงขั้น อาการ ลิงค นิมิต นี่แหละเป็น 3 สภาพที่คุณจะต้องรู้สรุปลงเป็นนามธรรมที่ละเอียดที่สุดแล้ว  คืออาการกับนิมิต

อาการก็เป็นสิ่งที่รู้ บางเบาหรือเป็น Dynamic อาการมันจะต้องเคลื่อน ส่วนนิมิตนั้นมันไม่เคลื่อน มันเป็น Static เป็นตัวคู่กัน มันต่างกันอย่างที่มันมีนัยยะต่าง และมันไปต่างกับอะไรอื่นๆ  มันก็ไปต่างกับอันอื่นอีก คุณก็รู้ไปเรียนรู้ไป อย่างนี้เรียกว่ารู้จักอาการ 

รูปคือสิ่งที่เป็น Static  นิมิต ถ้าอาการมันจะเคลื่อน นิมิตมันก็เคลื่อนนิ่งๆ รวมแล้วมันเป็นรูปนี้ เป็นตัวนี้ รูปอย่างเดียวมันไม่มีอาการก็ได้ แต่มันก็คืออันนั้นอันเดียวกันกับอาการนั่นแหละ นิมิตตัวนี้ มันมีอยู่ในมัน ถ้าคุณไม่ละเอียดพอ เช่น ก้อนหินก้อนนี้(ยกก้อนหิน) คุณนึกว่าตัวมันเองมีอาการเคลื่อนไหวไหม คุณเดา คุณไม่เห็นไม่รู้ว่ามันมีอาการเคลื่อนยังไงหรอกแต่มันก็เคลื่อนเพราะมันก็ไม่นิ่งแน่นอน มันเสื่อมไปเป็นธรรมดาของมันหรือมันจะปรุงเนื้อตัวของมันขึ้นมาก็ไม่รู้นะ สักวันหนึ่งมันจะโตกว่านี้ไหมมันโตก็มีหินต่างๆมันก็มีพลังงานในตัวของมัน เป็นหินที่โตขึ้นไปได้
เรื่องรูปเรื่องนามสูงสุดแล้วย่อเข้าไป คุณก็เอาเรื่องรูปนามที่ใกล้ตัวที่เกิดทุกข์ให้มาเรียนรู้ไม่ต้องไปรู้รายละเอียด โดยไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย จนกระทั่งไปถึงดวงดาวพระอาทิตย์มันเปลือง มันไกลตัวเกินไปสรุปมาให้ถูกสรุปเข้าเป้า 

_สู่แดนธรรม... เรื่องรูปที่จะศึกษาให้ถึงนิพพานนั้นจะต้องเป็นรูปที่อย่างที่พ่อท่านให้ความเห็นว่ามันคือกาย รูป ที่ไม่มีอาการเลยมันไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าจะพิจารณาว่ารู้รูปไม่เที่ยงนั้นจะต้องมีนามไปสัมพันธ์ด้วย 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นรูปที่เรียน เราแค่รู้รูปอื่นที่มันไม่กระดิกหรือมันไม่เกี่ยวกับเราเลย มีมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลมที่ท่านย่อว่าอย่างสรุปหยาบที่สุดหรือครบที่สุดแล้วดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป 4 นอกนั้นเป็นอุปาทายรูปอีก 24 ให้เรียนรู้รูป 24 นี้ อาตมาก็ยังอธิบายอยู่ตอนนี้ยังไม่ได้โอกาสไม่ได้ฤกษ์งามยามดีที่จะอธิบาย เคยอธิบายไปแล้วในอุปาทายรูป 24 

ถ้ารู้อุปปาทายรูป24 ครบเข้าใจแม้คุณจะท่องไม่ได้แต่คุณเข้าใจมันหมดด้วยกระบวนการ โดยลีลาเกี่ยวข้องสัมผัสมันหมดแล้วคุณท่องไม่ได้คุณจำภาษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณรู้กระบวนการกายในกายเป็นอยู่ในอุปาทายรูปที่ 24 ตั้งแต่ มหาภูตรูป 4 

อุปาทายรูป 24

ก. ปสาทรูป 5

จักขุ (ตา) 

โสตะ (หู) 

ฆานะ (จมูก) 

ชิวหา (ลิ้น) 

กายา (กาย)

ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4

รูปะ (รูป) 

สัททะ (เสียง) 

คันธะ (กลิ่น) 

รสะ (รส)

โผฏฐัพพะ (สัมผัส) 

พ่อครูว่า... กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน 5 คู่ก็เลยเหลือเป็น 9 

ค. ภาวรูป 2

10. อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ) 

11. ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช) 

ต้องรู้ภาวะ 2 นี้ให้ดี รวมแล้วมันเป็นรูปที่อยู่ในเรียกว่ารวมๆว่า หทยรูป รูปทางนามธรรม รูปทางใจ มี 3 เส้า ห ท ย ไม่ขอลงถึงพยัญชนะ ห จริง ท แข็งแรง แกล้วกล้า มีฤทธิ์มีแรงทั้งหมด  พยัญชนะตัวแรกของเศษวรรค รวม 3 อันนี้เป็นพลังงานที่เรียกว่าจิตวิญญาณ เรียกว่าหทัย มันไม่ได้มีที่ไหนในร่างกาย แต่มันเกิดเป็นองค์รวมสัมผัสปรุงแต่งเป็นเรื่องราวขึ้นมาตรงไหน ตรงนั้นคือ หทย ตรงนั้นมันไม่ได้อยู่กับพี่มันไม่ได้อยู่จำเพาะไม่ยึดที่ จากหทยรูปก็เป็นชีวิตรูป

ง. หทยรูป1 = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป ได้ดับพลังงานแห่งชีวิต 

จ. ชีวิตรูป1 = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส  รูปที่มันมีชีวิตพลังงานที่มันมีชีวิตินทรีย์ เป็นพลังงานของชีวิตอยู่นะมันไม่ ถ้าพลังงานชีวิตปรับตัวลงมาเป็นพืชมันก็เจริญเป็นแค่ พีชนิยาม ให้มันเป็นอุตุมันก็กลายเป็น มหาภูตรูป ไม่เป็นชีวะแต่เป็นพลังงานของดินน้ำไฟลม นี่เราก็จะต้องเข้าใจอาการจริงของมัน สภาวะจริงของมัน ตั้งแต่มหาภูตรูปหรืออุตุนิยาม จนพีชะ มนุษย์พืช จนจิตวิญญาณจิตนิยาม อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเรียนรู้อันนี้แล้ว ท่านให้เรียนรู้ตรงจุดสำคัญคือ อาหารรูป 

ฉ. อาหารรูป1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นคำข้าว กินเข้าไปเคี้ยวเข้าปาก ถ้าอาหารภายนอกไม่เคี้ยวเข้าปากไม่ครบลิ้น ไอ้ลิ้นนี่แหละตัวร้าย เรียนรู้ตัวลิ้น ได้ มันจะรู้รูปรสกลิ่นสิ่งสัมผัสที่ติดยึดมันสำคัญมาก ก็เราจะรู้ได้จาก กวฬิงการาหาร อาหารคำข้าวที่เคี้ยวกินเข้าไปเคี้ยวกลืนเข้าไปสัมผัสกับลิ้น หมากพลู ก็ลิ้น ก็สำคัญ แล้วคุณไม่ได้กินกลืนเข้าไปด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่อาหารจริงด้วยซ้ำไป หมากพลูไม่ได้กินกลืนแต่คุณติดรสแท้ๆเลยรูปรสกินสิ่งสัมผัสของมันจริงๆเลย คุณไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่ได้รู้ว่ามันเป็นกิเลสเหมือนสายมหาบัวติดกินหมากกันปากแดง เพราะไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็พยายามบอกกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่า ออกอากาศอยู่ทุกวันก็อยากให้ดูนะ 

อาตมาพยายามอดทนฝืนที่จะจ่ายเงินค่าดาวเทียม เพื่อให้ท่านทั้งหลายสะดวก ได้ดู ได้รู้ ได้เห็น แหม นี่มันก็จะสุดทนแล้ว อีกหน่อยก็ไม่เอาละ ก็เอาแต่สื่ออื่นไม่ต้องสื่อดาวเทียมที่มันค่าใช้จ่ายสูง เดือนละ 4 แสนกว่าบาท 5แสนบาท แล้วก็อุปกรณ์อีกหลายอย่าง เอาแต่เครื่องมือเดี๋ยวนี้เขามีอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเป็นถึงขนาด อันนู้นก็เหลือแหล่แล้ว ตอนนี้ก็ยังเอา ก็สงสาร ก็ให้ประโยชน์แก่พวกนี้แหละ เขาจะได้รับบ้างหรืออาตมาเห็นแก่คนแก่ เหมือนอาตมาใช้ไม่เป็นไอ้ตัวพวกนี้ ก็เลยต้องอาศัยเปิดดู เอารีโมทกดไปมายังพอทำเนา อยู่ในมือถือกดไม่ได้ไม่รู้เรื่อง ไปนั่งจำรหัสมันอีก อาตมาก็เลยไม่ไหว ก็ไม่เคยใช้ อาตมาทำไม่เป็น ทำเขียนหนังสือได้นี่ก็เก่งแล้วทุกวันนี้ 

ช. ปริเฉทรูป1 = 15.อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง 

ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ  17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ 

ฌ. วิการรูป = 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญญา 

ญ. ลักขณรูป 4 = 21.อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป  

22.สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง 

23.ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม 

24.อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ 

 

สภาวะของปัญญา ฌาน และบุญ

_วิเชียร จิระเวชบวรกิจ : กราบนมัสการท่านครับ ปัญญา ฌานและบุญก็คือ อุณหธาตุ ที่ใช้เผากิเลสได้เช่นเดียวกันได้ไหมครับ

พ่อครูว่า…ได้ จะบอกว่าปัญญาเผากิเลสไม่ได้ เพราะปัญญาคือฌาน ฌานคือปัญญา มันเป็นสิริมหามายา มันเป็นคู่ คู่ที่ทำงานด้วยกัน เมื่อทำงานสำเร็จเราเรียกว่า บุญ เผากิเลสสำเร็จเรียกว่าบุญ

เพราะฉะนั้นองค์รวมของมัน ปัญญา ฌาน และบุญไม่แยกกัน 3 เส้า ฌานคือ เริ่มทำงานขึ้นมาให้พลังงานทางจิตมันมีพลังงานที่จะมีฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์ที่มันมีความรู้มีปัญญาในตัวของมัน และมันก็มีฤทธิ์ฤทธิ์นั่นก็คือธรรมฤทธิ์ของปัญญา เผากิเลสได้

มันคือตัววิชชาคือฌานคือปัญญาคือความรู้ ความรู้เข้าไปไล่ตัวโง่ กิเลสคือโง่ ปัญญา หรือฌาน ที่มีปัญญาในตัวหรือเรียกเต็มรูปว่าวิชชา มันคือตัวฉลาด ฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่ฉลาด เฉโก 

ฉลาดมันมีฤทธิ์เข้าไปไล่โง่ ย่อเข้ามาหาภาษาไทย ฉลาดกับโง่ ถ้าฉลาดมาโง่หนี ถ้าโง่อยู่ฉลาดไม่มี ถ้าโง่มันมีความอ่อนแรงก็ฉลาดก็มาเพิ่ม ถ้าโง่มันอ่อนแรงมากฉลาดก็เข้ามามาก ถ้าฉลาดมันอ่อนแรงโง่ก็เข้ามา ฉลาดอ่อนแรงมากโง่ก็เข้ามามาก โง่เข้ามาเต็มรูปฉลาดมีไหม ไม่มี มันก็หมดไป นี่ก็ใช้สื่อภาษาคำพูด อธิบายสภาวะมันเป็นอย่างนี้ คุณก็ไปดูสภาวะตัวเองสิ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยบอกว่าคนเราย่อมฉลาดเท่าที่มีความโง่ 

พ่อครูว่า... ใช่ อาตมาก็สรุปว่าคนเราก็ฉลาดเท่าที่เราโง่ และโง่เท่าที่เราฉลาด อันนี้ก็พูดมานานแล้ว ตรงนี้ก็ขอผ่าน 

ปัญญา คือภาษาชื่อรวม แยกออกมาจากฌานเท่านั้น ส่วนบุญนั่นคือผลสำเร็จของการทำลาย 

ปุญญะ ท่านผู้รู้เดิมคือท่านธรรมปาละท่านแปลไว้ว่าปุญญะ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ พยัญชนะบาลี 

ปุญญะ แปลว่าเรื่องการชำระ หรือ ปุนนะ กำจัดกิเลสออกจากสันดาน สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ จนจิตสะอาด 3 คำนี้อธิบายลักษณะของความสำเร็จของบุญ มันต้องมีการชำระจากสันดาน ปุนนะ หรือปุญญะ หรือปุนาติ มันเป็นการทำลาย ปุนาติ ทำลาย ทำลาย กิเลสเลือก กิเลสคัด กิเลสออกมาจากสันดาน แล้วทำให้กิเลสมันตายจนสะอาดหมดจด วิโสเทติ นี่ ได้ความมาจากคำว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ 

บุญ คือ การชำระสันดาน ชำระกิเลสในสันดาน ชำระสันดานก็ได้สรุปรวม แต่ตัวจริงก็คือกิเลสในสันดาน 

สันดาน มาจากรากศัพท์คำว่า สันตะ สันตานัง สันตะ ความสงบนี่ก็ต้องอธิบายไปถึงพยัญชนะอีก เอาล่ะไม่อธิบายต่อ 

ทำให้เกิดความสงบ ถ้ามันไม่สงบ มันยืดยาดออกมา มันก็มีตัวอะไรขึ้นมา มันก็กลายเป็นตัว ไม่ สันติ สันตะ จนกระทั่งยืดยาวเป็น สันตานัง เป็นสันดาน

นี่อาตมาอธิบายเป็นสภาวธรรม ไม่ได้อยู่ใน ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ตามที่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านยึดถือนักหนา ถ้าผิดไปจากโครงสร้างของ ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  แล้วถือว่ามันไม่ถูกต้อง อาตมาก็บอกว่าอาตมาเลิกแล้วเรื่องอย่างนั้น มันทำให้หลงในพยัญชนะ หลงในภาษา หลงการปรุงแต่งทางตรรกะ เราเข้าหาสภาวะ จัดการสภาวะ เรื่องอย่างนั้นอาตมาก็เคยหลง แต่เลิกแล้วเดี๋ยวนี้มาสรุปลงเป็นฉันทลักษณ์ 

ฉันทลักษณ์ก็คือ รวบรวมเอาพยัญชนะสรุปรวมเป็นสั้นๆสั้นๆ มีการไพเราะ มีแผนผังอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาอธิบาย ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อาตมาเหลือแต่ฉันทลักษณ์ เอาอาศัยใช้ 3 ตัวนี้อาตมาเบื่อเต็มทีแล้ว แต่ท่านมหาประยุทธ์ท่านยังเห็นความสำคัญ ท่านยังไม่เบื่อ ท่านยังไม่สรุปรวมลงไปหาเนื้อหา ก็ว่าไป ท่านจะฟังอาตมาพูด ท่านจะเห็นยังไงเข้าใจยังไงก็ไม่รู้ล่ะ อาตมาก็มีความปรารถนาดี อย่างเดียว

เพราะอาตมาเชื่อมั่นว่า ขออภัยนะ ขออภัยท่านประยุทธ์ด้วย อาตมาเชื่อมั่นว่าอาตมาบรรลุธรรม ไม่มีกิเลส แต่อาตมาเชื่อจริงๆอีกว่า ท่านยังไม่บรรลุธรรม ท่านยังมีกิเลสอยู่ นี่อาตมาเห็นอย่างนี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบคนเดียว อาตมาเห็นอย่างนั้น อาตมาก็เลยปรารถนาดีอยากให้ท่านหมด เพราะท่านมีประโยชน์ ถ้าท่านบรรลุ ถ้าท่านเป็นคนที่รู้ถูกต้องอีก โอ้โห..ลูกศิษย์ท่านเยอะนะ แล้วมีพลังอิทธิพลอยู่ในประเทศอยู่ในศาสนาด้วย มันเป็นประโยชน์ไหมล่ะ เป็น 

เห็นไหมอาตมาไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้อยากให้ท่านโง่อยู่อย่างเก่า ขออภัย อยากให้ท่านฉลาดท่านเกิดรอบรู้ ฉฬายตนะ เข้าใจสภาวะกิเลสและลดละให้ได้ รู้จักรายละเอียดของสัจธรรมของมันที่มันปรุงแต่งกันอยู่ แหม มันก็อย่างว่ามันสุดวิสัยจริงๆเลย  มันก็ได้แค่นี้ เอา ไป ต่อๆไป ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ  เมื่อวานฟังพ่อครูพูดเรื่อง แต่งกาพย์ โคลง กลอน และเพลงที่แต่งแรกๆ ฟังยาก ฟังแล้วต้องมาแปลอีก ฟังยากต้องมาแก้ให้ฟังง่าย แต่ผมฟังเพลง “มาเถอะมา” ของวงฆราวาสที่พี่แป้งร้อง ผมฟังครั้งแรกก็ร้องติดปากง่ายเลยครับ เพลงพ่อครูแรกๆ นี่จำยากจริงๆครับ แต่เพลง “มาเถอะมา” ร้องง่ายจำง่ายมากครับ และก็ตรงกับชีวิตจริงชาวโศกมากครับ ใครได้ฟังจะมองภาพชีวิตชาวอโศกง่ายๆ เลยครับ ที่บอกมาทั้งหมดนี้อยากจะบอกว่า อยากให้เปิดเพลง “มาเถอะมา” บ่อยๆ ครับ หรือไปเล่นในคอนเสิร์ตเพลงพ่อครูด้วยก็จะดีมากครับ ขอมาแสดงความเห็นเท่านี้ครับ ขอให้พ่อครูแข็งแรงๆ ครับ

พ่อครูว่า…เหมือนเพลงนี้ไม่ได้บรรจุลงในคอนเสิร์ต เอาเถอะน่า เราถือว่าเรายังไม่มีวาสนา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... เพลงสู่แดนธรรม ค่อนข้างจะยาว เป็นเพลงเชิญชวนคนใหม่ๆมาดูบ้านเราว่ามีอะไรบ้าง ฟังแล้วเข้าใจง่าย แต่เพลงพ่อครูนี้ภาษาต้องตีความยาก เพลง คนใดใครดลข้นใจไร้จนระอาฯ เพลงตะวันทอฟ้า หรือ ขันติต้องไม่จาง  

พ่อครูว่า…เพลงแสงธรรมต้องทอบวร ยังเข้าใจได้ง่ายกว่าตะวันทอฟ้า 

 

ทำไมพ่อครูอายุมากแล้วต้องนอนมากด้วย

_ช่อทิพ หนูทอง :  หนังสือศัพท์อภิธานอโศก ตัวหนังสือเล็กมาก สมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรม ใส่แว่นตาแล้ว ยังมองไม่เห็นเลย เรียนถามพ่อครูว่า จะมีการทำหนังสือส่งเสียงของเล่มนี้ไหมคะ?

พ่อครูว่า…ก็ซื้อแว่นขยายอันนึงสิ ก็ไม่รู้จะทำหนังสือส่งเสียงหรือไม่ อาตมาขออภัยเถอะ อาตมาพูดความจริงว่าอาตมาไม่ได้ตรวจทาน หนังสืออภิธานศัพท์นี้ไม่ได้ตรวจทาน อาตมาถือว่าไปคัดมาจากที่อาตมาพูดไว้ๆ คัดมา ก็คิดว่าไม่มีผิดอะไรมากมาย แต่มันอาจจะไม่สมบูรณ์ ก็เลยไม่ได้ตรวจทาน มันไม่มีเวลาก็เป็นการแก้ตัวพูดว่าไม่มีเวลา เวลานอนมันมากทุกวันนี้ ต้องไปนอนมาก 

เคยเล่าแล้วเรื่องนี้คืออาตมานอนมาก อาตมาเคยมองพ่อของท่านซาบซึ้ง สิริเตโช ที่ห้องภาพสุวรรณ อาตมามาเจอตอนบ่ายก็นอนหลับปุ๋ยหลายชั่วโมง ตอนนั้นพ่อของท่านก็คง 80 กว่า ก็นอน ตอนนั้นเราก็เคร่งไม่นอนกลางวันเลย ตอนนั้นยังหนุ่มแน่น จนมาถึงอายุตัวเอง 80 บ้าง โอ้โห มันต้องอาศัยพักผ่อน มันต้องให้มันนะ ต้องพักต้องเพียรอย่างนี้เอง เราต้องมานอนมากไม่ใช่เล่น ตอนอายุ 80 ปี ถึงได้เข้าใจ เรานี่ก็ไม่รู้จักสังขารนะ ก็ไปเพ่งโทษเขาตอนโน้น นี่แหละสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ว่าเราก็เกิดอัตตามานะ ไปดูถูกดูแคลนคนอื่นเขา ไปรู้สึกว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเอาแต่นอน ที่แท้มองเหตุปัจจัยของมันเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็ถึงวาระอย่างนั้น 

เพราะงั้นทุกวันนี้อาตมา แม้แต่ผู้อยู่ใกล้ต้องบังคับให้นอนด้วยนะ วันๆหนึ่งต้องนอนกลางวัน นอนน้อยก็ว่าทำไมรีบตื่น นอนไม่ครบเกณฑ์ของเขา เขาก็ว่าเอา คนดูแลกันหลายคน ทั้งพยาบาล ทั้งปัจฉาช่วยกัน ก็ขอบคุณนะแต่ละคนแต่ละคนช่วย อาตมาก็พอเป็นพอไปว่ากันไป นี่คือชีวิตจริงๆมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ต่อมาอันนี้ก็คงจะต้องอธิบายกันพอสม 

 

หมดนิวรณ์ 5 ได้ทั้งตอนตื่นตอนหลับก็คืออรหันต์

_มีญาติธรรมท่านหนึ่ง ได้เขียนเล่าสภาวธรรมที่เกิด ในขณะทั้งนั่งหลับตาและลืมตาทำการงานอยู่ จิตก็ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้

พ่อครูว่า…อันไหนทำง่ายกว่ากัน นั่งหลับตาไม่มีนิวรณ์กับลืมตาทำงานทำการอยู่ อันไหนทำง่ายกว่ากัน ... หลับตาทำง่ายกว่า นั่นก็คือความคิดของคน ถ้าคนที่ฝึกมาตามจรณะ 15 วิชชา 8 ลืมตาทำงานนี่แล้วไม่มีนิวรณ์ ง๊ายง่าย ไปหลับตาให้ไม่มีนิวรณ์นั้นยาก เพราะสัญญามันเล่นงาน สัญญามันขึ้นมาเล่นงาน สัญญานี้มันฟุ้งไปในอดีตในอนาคตโดยเฉพาะอดีตมันเล่นงาน เคยมีอย่างนู้นอย่างนี้ก็เผลอเพลินไปเลย 

ถ้าทำงานก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน มันไม่มีนิวรณ์ง่ายนิวรณ์ไม่เกิดง่าย นี่มันสลับกัน คนที่ยังไม่ได้ขั้นนี้ก็จะต้องนั่งก่อน นั่งแล้วก็ค่อยมาทำงานตื่น ตื่นได้เก่งแล้วไม่ได้นั่ง ถ้าเรื้อ อาตมาเคยนั่งได้ง่าย เดี๋ยวนี้มาทำงานอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นไปนั่งอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ให้มันอยู่นิ่ง มันนิ่งยากกว่า ถ้าเผื่อว่าไปเป็นอย่างนั้นแล้ว ฟุ้งคิดไป ถ้าไม่กำราบให้หยุดให้หลับ   มันไม่หลับมันจะคิดไป ปรุงไปเพราะมันเบา ไปได้นาน บางทีไปทั้งคืนแล้วไม่ต้องหลับต้องนอน ก็ยุ่ง 

1. ขณะนั่งสมาธิหลับตา แล้วก็ยังรับรู้ลมหายใจ รับรู้เสียงที่กระทบหู รับรู้ร่างกายตนเองว่ามีความปวดเมื่อยหรือไม่อย่างไร และเมื่อรู้สึกเมื่อยอยากขยับขา แต่ก็วางใจมันไป สักพักอาการเมื่อยก็หายไปเอง ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเมื่อเอาจิตไปคิดปรุงเรื่องธรรมะข้อนิวรณ์ทั้ง 5 อันประกอบด้วย กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา..พบว่าจิตตนเองไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อเลย

2. และเมื่อลองสังเกตตัวเองตอนทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ตอนขับรถ ก็พบว่าขณะที่ขับรถ เราก็ถือพวงมาลัยรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก ใส่เกียร์ ตามปกติ แล้วเราก็สังเกตว่านิวรณ์ 5 เราก็ไม่มีเช่นกันในขณะลืมตาขับรถอยู่ รู้สึกว่าสังเกตเช่นนี้จิตเราก็ตื่นรู้ดี มีปีติ มีสุข จิตเป็นหนึ่งอยู่ตลอดการทำงานนั้น ทั้งสองแบบ มีทั้งหลับตาและลืมตาปฏิบัติจิต ก็ไม่มีนิวรณ์ 5  อย่างนี้ถือว่าเป็นการทำฌานแบบพุทธใช่หรือไม่ กราบนิมนต์พ่อครูช่วยให้สัมมาทิฏฐิด้วย...

พ่อครูว่า…ใช่ คุณทำเป็นทั้งสองแล้ว คุณก็ใช้ทั้งสองอย่าง จบ ทำให้ไม่มีนิวรณ์ทั้งสองขณะ ขณะหลับตากับขณะลืมตา ก็ไม่มีนิวรณ์ทั้งคู่ ได้อย่างเด็ดขาด คุณเป็นอรหันต์นะ ชักง่ายแล้วนะนี่ 

_สู่แดนธรรม... ผมว่ามันต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีเหตุปัจจัยรบกวนให้เกิดกิเลสกาม อย่างนั้นจึงจะแน่ใจได้ 

พ่อครูว่า... ถูกต้อง อย่างที่แป้งพูด คือจะต้องมามีการสัมผัสนี่แหละ ไอ้การที่จะไปหลับตาอยู่มันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอก คุณหลับตา คุณก็ไม่กระดุกกระดิกกายวาจา กายวาจาคุณก็สงบแล้วมีแต่ใจของคุณบ้าอยู่อย่างเดียว ถ้าคุณสงบได้คุณก็ไม่บ้าของคุณ แต่กายวาจามันไม่ได้ไปทำอะไรเลย แต่ขณะที่มันตื่นมีกายวาจานั่นแหละมันเป็นพิษเป็นภัยต่อคนอื่นได้ หรือเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ คุณก็มาทำอันนี้ให้มันเรียบร้อย 

ถ้าคุณทำได้ทั้งกาย วาจา ใจ คล่องแคล่วทุกอย่าง ไม่มีนิวรณ์ทั้งในตอนตื่นทั้งในตอนหลับ OK 

_สู่แดนธรรม... มีรายละเอียดอีกครับ แม้จะลืมตาอยู่ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ได้อยู่ต่อหน้าเหตุปัจจัยของกิเลสให้มันเกิด จริงๆแล้วมันต้องอยู่ในสถานการณ์ที่กิเลสควรจะเกิดแล้วเราสู้สังวรไว้จึงจะเรียกว่าได้ทำฌาน อย่างการขับรถ มันก็ไม่ได้เจอกับอาหาร ไม่ได้เจอ กาม ไม่ได้สิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส 

พ่อครูว่า... ก็ถูก มันไม่ได้เป็นของจริง มันไม่ได้ครบทุกอย่าง โดยเฉพาะกามทั้ง 5 ทวารภายนอก คุณจะต้องได้ปฏิบัติ ได้กระทำว่าคุณจะต้องมีการฝึกฝน มีการรู้จริงๆ จึงจะเกิดพลังปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาพละ น่าจะมีอิทธิฤทธิ์ ธรรมฤทธิ์ ของพลังปัญญาจัดการกับกิเลสมันจะฉลาด แล้วมันก็จะไล่ความโง่ออกไปหมด อย่างที่สรุปออกไปเมื่อกี้ ฉลาดมาโง่หาย โง่มาฉลาดหาย 

ฉลาดก็คือ ฉฬายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายทำงาน 6 คู่ ใจอีก ตากระทบรูป หู
กระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน 

ทีนี้เวลาที่เหลือนี่ อาตมาว่าจะใช้เวลานี้อ่าน พรหมชาลสูตรของคุณทำมาด้วยใจ ใต้ร่มโพธิ์ ที่จริงสรุปมาดีมากเลย อาตมาว่ามันชัดเจนดีมากเลย ใช้เวลาสักรายการหนึ่งแต่เหลืออีก 34 นาทีน่าจะได้ 

 

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร เป็นสูตรที่ว่าด้วยความคิดความเห็น วาทะของคน เกิดจากอะไร อะไรคือที่ตั้งของทิฏฐินั้น มีที่มาที่ไปแบบไหน นำพาชีวิตเราให้ดำเนินไปอย่างไร ความคิดความเห็นหรือวาทะ เอามาเป็นคำพูดของคนเกิดจากอะไร 

ทำให้เราได้รู้ว่า อะไรคือศัตรูตัวร้ายกาจของเรา แล้วเราจะมีกลยุทธ์ กลอุบายอย่างไรในการต่อสู้อย่างไรให้รอดพ้นออกมาได้อย่างมีอิสระเสรี ยิ่งกว่าเอกราชทั้งปวง 

พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงพระสูตรนี้ว่าคือ ตำราพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยม เป็นพระสูตรแรกในพระไตรปิฎกเล่มที่ 9 คือเล่มที่เริ่มพระสูตร 

เมื่อปุถุชนจะกล่าวชมตถาคต ชมได้เล็กน้อยเพียงเรื่องศีลเท่านั้น (ปุถุชนไม่มีปัญญามากพอที่จะรับรู้ความรู้ลึกซึ้งละเอียดลออ พอจะรับรู้ได้เรื่องความดีของศีลเท่านั้น) 

เรื่องของศีลก็จะมี  จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ นี่คือ รากฐานของศาสนาพุทธ

เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธภิกษุทั้งหลายไม่มีแล้วเรื่องศีลนี่ ไม่ได้ใส่ความเป็นเรื่องจริง ไม่มีความรู้ไม่เอาถ่านกับเรื่องศีล ไปมีวินัย 227 เพราะฉะนั้นไปถามภิกษุเถอะ..ภิกษุท่านถือศีลเท่าไหร่ ท่านจะตอบว่าอย่างไรก็ตอบว่า 227 ข้อ เขาเอาวินัยมาตอบ นี่คือหลักฐานชัดเจนยืนยันว่า ภิกษุทุกวันนี้เสื่อมถึงขั้น ไม่มีศีลของพระพุทธเจ้า แต่เขายังมีวินัย ถ้าวินัยปาราชิก 4 เขายังดีอยู่ สังฆาทิเสส 13 เขายังดีอยู่ก็ยังพอทำเนา แต่เดี๋ยวนี้เละหมดเลย ปาราชิก 4 ก็เละ สังฆาทิเสส 13 ก็เละ ไม่ต้องไปพูดถึงปาจิตตีย์ อาบัติอื่น ที่อ่อนแรงกว่านั้น โอ้โห ถือว่ากันว่าเป็นเรื่องปกติ ถือเป็นเรื่องละเมิดได้ปกติ 

หรือไปมีเอาสิ่งที่มันผิดในเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นข้อห้ามในมหาศีล   เขาไม่รู้เรื่องเลยเอามาใส่ไปหมดเต็มไปหมดเลย เป็นพิธีการเป็นระบบระเบียบอย่างโน้นอย่างนี้ นั่นแหละแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่แตกฉานในเรื่องของคำความของพระพุทธเจ้าอธิบาย ในมหาศีล เดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด 

เดรัจฉานคืออะไร ได้รับฉันคือมันขวางทางนิพพาน เดรัจฉานวิชาก็คือความรู้ที่มันขวางทางนิพพาน กถาคือคำพูดที่ขวางทางนิพพานกลายเป็นคำพูดก็ขวางทางนิพพาน คำบรรยายก็ขวางทางนิพพาน คำอธิบายธรรมะก็ขวางทางนิพพาน เป็นเดรัจฉานกถาไปหมด การรู้การปฏิบัติประพฤติทุกอย่างเป็นเดรัจฉานวิชาหมดแล้วไม่มีทางไปนิพพานเลย 

เพราะฉะนั้นมหาศีลของเขามีเต็มไปหมด ขวางทางนิพพาน พิธีการต่างๆไสยศาสตร์ต่างๆ เต็มไปหมด นี่คือความเสื่อมที่น่าสงสารมาก อาตมาถึงต้องลาออกมาจากเถรสมาคม เพราะมันสุดจะแก้ ไปแก้ไม่ได้เลย แตะตรงไหนก็เละไปหมดเลย สร้างใหม่ดีกว่า อาตมาจะต้องลาตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ลาออกอย่างถูกต้องต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ที่วัดหนองกระทุ่ม อาตมาก็ประกาศลาออกมาตั้งแต่ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 เสร็จแล้วก็ออกมาเป็นนานาสังวาสตั้งแต่บัดโน้น 

วันร้ายคืนร้าย พ.ศ.2532 มหาประยุทธ์ก็เขียนหนังสือขึ้นมา 3 เล่มซัดอาตมา พวกคณะสงฆ์ก็ซัดเล่นงานอาตมาไป โอ้โห ลากกันจนต้องขึ้นศาล ให้ฆราวาสมาตัดสินอะไรต่ออะไรเละ ผิดธรรมวินัยอะไรกันไป เอาละพอ อาตมาก็ไม่กล่าวต่อ นี่ก็คือเรื่องวิบากของอาตมามันเป็นจริง ที่อาตมาต้องทำงาน อาตมาก็ไม่ได้ท้อแท้แต่เหนื่อยจังเลย แต่ก็เป็นไปได้ ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริงฺ  เป็นไปได้จนถึงวันนี้ 

ต่อของคุณทำมาด้วยใจ... เรื่องของศีลก็จะมี จุลศีล 10 ข้อ มัชฌิมศีล 26 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ  ธรรมะอย่างอื่นที่มีความลึกซึ้ง สงบประณีต ละเอียดคาดคะเนเอาไม่ได้เป็นเรื่องของบัณฑิต คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง สงบปานใดประณีตอย่างไรละเอียดถึงขั้นนิพพาน คาดคะเนเอาไม่ได้ อตักกาวจรา รู้ได้เฉพาะบัณฑิตแท้ ไม่ใช่บัณฑิตที่ไปสอบมาจากตำราอาจารย์ให้คะแนนมาเป็นบัณฑิตสอบไม่ใช่ แต่เป็นบัณฑิตที่เกิดจากสภาวะจริง บัณฑิตอย่างอาตมาเกิดจากสภาวะจริง อาตมาไม่ได้ไปสอบ ไม่มีใครมาให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ก็ไม่มี ปริญญาตรีแม้แต่สักใบก็ไม่มี อย่าไปว่าปริญญาเอกเลย แม้แต่ปริญญาจัตวาก็ยังไม่มี 

อย่างท่านประยุทธ์นี้มีปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากทั้งในและต่างประเทศเยอะแยะ ปริญญากิตติมศักดิ์จากศาสนาพุทธนอกประเทศก็ให้ในประเทศก็ให้ เขาก็เข้าใจเห็นว่ามีค่ามีราคาละเอียดลออก็ดีแล้วเริ่มต้น 

ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้ง นี้เป็นเหตุให้กล่าวชม ตถาคตพูดถูกต้องตามความเป็นจริงโดยชอบเพราะฉะนั้นจะชมก็ชมตรงปัญญาไม่ใช่ชมที่ศีลเท่านั้น ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทำให้แจ้งด้วยพระองค์เอง มันยิ่งกว่าศีลสรุปตรงนี้ 

ธรรมเหล่านั้นคือทิฏฐิ 62 ประกอบด้วยอดีต 18 อนาคต 44 ซึ่งเป็นดังดุจตาข่ายปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้ ติดอยู่ในตาข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมงผู้ชำนาญ ใช้แหตาถี่ ทอดลงหนองน้ำเล็กๆ แทบจะติดไข่ปลาเลยนะ บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำนี้ทั้งหมดถูกครอบเอาไว้ มันก็ตกอยู่ในข่ายนั้น ผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้ ติดอยู่ในแหนี้ นี่แหละคือพวกติดอยู่ในโลกียะ 

พระพุทธองค์รู้ชัด ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ และการเกิดขึ้นของทิฏฐินั้น ว่ามีมูลเหตุมาจากอะไร จะมีวิธีทำให้ความเกิดนั้น มันดับด้วยกลวิธีอย่างไร ซึ่งการเกิดทิฏฐิ 62 นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด (เป็นคุกขังสัตว์ ที่แข็งแกร่งที่สุด )

เมื่อพุทธะเกิด อริยสัจ 4 จึงถูกเปิดเผย อริยบุคคล 4 จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ มาดูกันว่าพราหมณ์ต่างๆในยุคพระพุทธองค์นั้นก็คือพระต่างๆในสมัยนี้นี่แหละ พราหมณ์ต่างๆคือผู้เสื่อมจากจรณะ 15 วิชชา 8 นั่นเอง พราหมณ์ก็คือพระ พระก็คือพราหมณ์ในศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์มันสลับกันไปสลับกันมา พราหมณ์เสื่อมพุทธขึ้น พุทธเสื่อมพราหมณ์ก็ขึ้น วนกันไปอย่างนั้นเป็นภาวะ 2 

มาดูกันว่าพระพุทธองค์มีวิธีแก้ไขอย่างไร เราทำตามได้ไหม การสรรเสริญคุณจะถูกต้องมากน้อย ตามที่เราปฏิบัติได้เข้าถึงได้ เกิดจริงที่เรามากขึ้นมากขึ้นไปตามลำดับ 

มาเริ่มต้นที่ อดีต 18 

ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18

[27] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ.

สัสสตทิฏฐิ 4

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

ปุพเพนิวาสานุสสติ

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ

นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

สัสสตทิฏฐิ 4

[28] 2. อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? 

[29] 3. อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมี

ทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

[30] 4. อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน

จบภาณวารที่หนึ่ง.

เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4

[31] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง จึงบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง ไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

5. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง

เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น

ที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้

เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง.

[32] 6. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา

[33] 7. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกันจึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์

ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

[34] 8. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิดกล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่าจักษุก็ดี โสตะก็ดีฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายก็ดี นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผันเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยงยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

จากข้อ 1 ถึงข้อ 3 จากการระลึกชาติได้ แล้วไปเห็น มหาพรหมเป็นพระพรหมเที่ยงเพราะระลึกไปแล้ว ยังเห็นอยู่ที่เดิมมีความดูระลึกไปได้แค่นั้น อาศัยขันธ์ระลึกได้แค่นั้น(ต่อจากนั้นระลึกไม่ได้ ) ส่วนตัวเองเป็นพวกตรงกันข้ามน้าเล็กไม่ได้จึงบอกว่าตัวเองไม่เที่ยงจึงบัญญัติว่าบางอย่างเครื่องบางอย่างไม่เที่ยง 

พ่อครูว่า... พอพูดถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ว่า พระเจ้ามีบัลลังก์เที่ยงจนพวกที่วนเกิดวนตายไม่เที่ยงแล้วไปอยู่กับพระเจ้าที่เที่ยง พระเจ้าเที่ยงอยู่กับที่ไม่เกิดไม่ตายไม่ไปไม่มาก็เป็นสมมุติชนิดหนึ่ง สมมุติว่าเป็นผู้เป็นใหญ่เป็นผู้บัญชาเป็นผู้เกิดเป็นผู้ให้เกิดเป็นผู้สร้างทุกอย่าง ถ้าคุณยังเป็นทาสยังเป็นผู้ไปเชื่อพระเจ้าว่าเป็นผู้ใหญ่เป็นใหญ่และก็เที่ยงอยู่อย่างนี้คุณจะเที่ยงตลอดกาลนานไหม คุณเที่ยงตามพระเจ้าไง เชื่อตามพระเจ้าว่าเที่ยง คุณก็จะต้องมีทิฏฐิหรือลัทธิว่าเที่ยงตามพระเจ้าและคุณก็ไม่แปลไปเป็นอื่นไม่ได้คุณสูญไม่ได้ แต่คุณต้องวนเวียน พระเจ้าอยู่กับที่ แต่คุณนั่นแหละวนเวียน หมาหอบแดด พระเจ้าเล่นไม่ต้องเป็นหมาหอบแดดด้วย อยู่อย่างนี้ ก็เลยอยากเป็นพระเจ้าบ้างแล้วจะเป็นได้ไหม ไม่ได้ จะเป็นผู้เที่ยงอย่างนี้และเป็นผู้เที่ยงอย่างมีอยู่นะ ไม่ใช่เที่ยงสูญหายนะ ได้ อาฬารดาบส หรือ อุทกดาบส เป็นต้น 

ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มี แต่เขาเชื่อว่ามี สรุปลงไปที่คำว่ามีและคำว่าไม่มี ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า โลกนิโรธกับคำว่าโลกสมุทัย ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 

 

อันตานันติกทิฏฐิ 4

[35] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้นอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ.

9. (4) บรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

[36] 10. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์พวกที่พูดว่า โลกนี้มีที่สุดกลมโดยรอบนั้นเท็จโลกนี้ไม่มีที่สุด  หาที่สุดรอบมิได้ (มีฤทธิ์ทางใจสูงกว่าข้อแรก) ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้วปรารภแล้วมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

พ่อครูว่า... ก็แสดงว่ามันมีโลกอันหนึ่งที่คุณหาที่สุดไม่ได้ กับโลกที่มันไปไกลมันโค้ง.0001แล้วก็ไปอย่างมีองศาของ กว่าจะมาจบตรงนี้อีกกี่ล้านล้านปีกว่าจะมาชนตรงนี้ มันหาไม่ได้นี่พูดให้มันชัดๆ ส่วนจิตคุณจะมีฤทธิ์ตามหามันอีกเท่าไหร่ก็แล้วแต่แต่คุณก็ตามหามันไม่สุด สรุปก็คือหาที่สุดไม่ได้ประเภทที่มีที่สุด กลับหาที่สุดไม่ได้กับประเภทที่หาที่สุดไม่ได้  

[37] 11. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 บรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่าโลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิตย่อมมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้

ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า

โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

[38] 12. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิญาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ สมณพราหมณ์พวก ที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ ทั้งสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุดนั้นเท็จ โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ จะบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ สมณพราหมณ์พวกนั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติ

 

อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4

[39] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีทิฏฐิ ดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์

ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ?

13. (1) ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล คำพยากรณ์นั้นของเราจะพึงเป็นคำเท็จ คำเท็จของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การกล่าวเท็จเพราะเกลียดการกล่าวเท็จ เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[40] 14. (2) อนึ่งในฐานะที่ 2 ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศลนี้เป็นอกุศล ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจในข้อนั้น พึงมีแก่เราข้อที่มีความพอใจ ความติดใจหรือความเคืองใจ ความขัดใจนั้น จะพึงเป็นอุปาทานของเรา

อุปาทานของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่อุปาทาน

เพราะเกลียดอุปาทาน เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[41] 15. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล

ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะเป็นดุจคนแม่นธนูมีอยู่แลแม้ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวทำลายทิฏฐิด้วยปัญญา เขาจะพึงซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนเราในข้อนั้น เราไม่อาจโต้ตอบเขาได้ การที่โต้ตอบเขาไม่ได้นั้น จะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เราความเดือดร้อนของเรานั้น จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การซักถาม เพราะเกลียดแต่การซักถาม เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[42] 16. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 เป็นคนเขลา งมงาย เพราะเขลา เพราะงมงาย เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ 

สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 21 กันยายน 2566 ( 10:58:26 )

660922

รายละเอียด

660922 สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53545.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ej1kzUuk3qcTS5h_CauSKcLqCD6Myu04/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1HKjKMNC4mW_27POxJTxyyqatjFy2ia27/view?usp=sharing  

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1100906457559574 

และ มีซับ 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

ตอนนี้เหตุการณ์ของสังคมของโลกหรือสังคมการเมืองของไทยก็ตาม ตอนที่ลุงตู่จะขึ้นมาเราก็เห็นความเลวร้ายของนักการเมืองคอรัปชั่นต่างๆ นานา เยอะแยะมากมาย คนเราต้องไล่เปิดเปิงไป 4-5 รัฐบาล พอลุงตู่มา 9 ปี ก็เกิดสิ่งที่ดีเยอะแยะมากมาย มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดีมากทำให้นักการเมืองดิ้นไม่ออก อย่างเช่นโครงการแลนด์บริดจ์ กระทรวงคมนาคมจะตัดออก ใช้งบประมาณ ประมาณ 500,000 ล้าน เขาจะเอามาใช้กับเงินดิจิตอล ประชาชนก็ไม่ยอมต่อต้านกันในโซเชียล เขาบอกว่าฝ่ายค้านโซเชียลชนะ เป็นข้อเปรียบเทียบสิ่งดีเกิดขึ้น ตอนนี้ก็มีสิ่งไม่ดีมาเปรียบเทียบ ทำให้คนเห็นความดีของลุงตู่ แค่การไปต่างประเทศ ลุงตู่นั่งเครื่องบินไม่เหมาลำ รับประทานอาหารข้าวกล่อง บางคนคิดถึงลุงตู่แล้วน้ำตาไหลเลย แต่เศรษฐา เขาพยายามทำกินข้าวผัดกระเพรา แต่เหมาการเดินทางไปเท่าไหร่ การเดินจากที่พักไปที่ประชุมนั้น ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหน่วยรักษาความปลอดภัย เขาต้องมีเส้นทางที่กำหนด หากออกนอกเส้นทางจะลำบาก 

ข่าวช่อง Top News พอออกทีวีดิจิตอล 18 ก็ Rating สูงลิ่ว 

คำผกา เขาโวยวายว่า Rating เขาตก ไปโวยวายก็มีคนบอกว่าเขาไปดูช่อง Top News เพราะรายงานตรงความจริง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง ดู Top News ทำให้เห็นว่าสัจธรรมไม่มีช่องเดียวคนก็มาเชื่อถือ 

 

ปฏิบัติจรณะ 15 ต้องอยู่ในชีวิตประจำวัน

พ่อครูว่า... เราก็ศึกษาธรรมะด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการประพฤติ ชีวิต อาตมาว่าก็ไม่มีอะไรดีไปกว่า ชีวิตเราจะไปตกอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ จะไปตกอยู่ในสังคมไหนก็ตาม คุณก็ได้ปฏิบัติธรรม โดยมีหลักปฏิบัติของเราชัดเจน มีศีล มีอปัณณกปฏิปทา 3 เป็นต้น 

พาปฏิบัติ เกิดสัทธรรม 7 ไป เกิดฌานไป ในชีวิตประจำวันที่ไหนๆๆๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติให้เกิดฌาน ให้เกิดสั่งสมจิตวิญญาณ เป็นสมาหิโต เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดเข้าใจสัมมาทิฏฐิแล้วมีจรณะ 15 วิชชชา 8 ปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปเข้าไปออก ไม่ต้องไปจัดสถานที่ ไปเต๊ะท่านั่งตัวตรงดำรงสติคงมั่นอะไร ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย 

ปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ครบแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรวมเอาไว้ตรงนี้สมบูรณ์แบบ สรุปไว้เต็มที่แล้ว ขยายออกไปได้เป็นธรรมะทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศไว้ก็คือ ออกจากพุทธคุณ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เอง ซึ่งพวกเราก็ชัดเจน มีศีลเป็นหัวข้อหลัก มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ผิดพุทธ อยู่ประจำตัว สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สำรวมตา  หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผู้ตื่นอยู่ จะกินจะใช้อะไร โภชนะ โภชเน ข้อปฏิบัติธรรมจากการกินการใช้นี่แหละในชีวิต รู้จักกิเลสตัดกิเลส กิเลสลดจนเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็น อรหันต์ แล้วสูงกว่าอรหันต์ขึ้นไปอีก จะเป็นอรหันต์ลำดับที่ 2 3 4 5 ก็แล้วแต่ใครบรรลุแล้ว เราจะเข้าใจ ว่า อ้อ! บรรลุคือสามารถที่จะจบกิจ จะตายลงเมื่อใด กายแตกตายแล้ว เราก็ตายอย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายด้วยนิพพาน 3 เราก็หมดอัตภาพ จิตวิญญาณ จิตนิยามของเราก็สลายแยกธาตุไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปจบ เลิกเลย เลิกเป็นอวสาน รอบ ปริโยสาน อย่างรอบถ้วน อันเป็นที่ ถูกต้องดีงาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ที่อาตมาเอาพยัญชนะพูดไปแล้วพวกเราก็ตรวจสอบ ตามความเป็นจริงว่าเราฟังแล้วเข้าใจคำนั้นคำนี้แล้ว สภาวธรรมตรงตามแต่ละคำแต่ละคำ ที่อาตมาพูดไป มีสภาวะเป็นคู่ จากพยัญชนะนั้น ก็มีสภาวะเราทำได้หรือไม่ สมบูรณ์แบบหรือไม่ สมบูรณ์แบบ เราก็สามารถบรรลุธรรมแน่นอน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

ตอนนี้ก็มาเข้าสู่ SMS ก่อน 

วันพุธที่ 20 ก.ย. พุทธศาสนาตามภูมิ

 

_N N .  ดิฉันเคยเขียนกลอนเมื่ออายุประมาณอายุ 20 ปี จากความรู้สึกเหมือนคนอกหักว่า

ถ้าหากฉันนั้นคือคนที่เธอรัก    เธอคงไม่ชักช้าคืนหาฉัน        

แต่นี่เธอหมางเมินลืมคืนวัน    แล้วให้ฉันเชื่ออย่างไรเธอรักจริง                                   

เธอคงมีคนอื่นอยู่แนบชิด       จึงเบือนบิดความสัจเผื่อเลือกหญิง                         

สารพัดแสร้งทำคนหลงชิง      หวังได้อิงเทวดาแท้ซาตาน

กราบเรียนถามพ่อท่านว่า กลอนของดิฉันเป็นกลอนประตูใช่ไหมคะ? เมื่อวันจันทร์ฟังพ่อท่านวิจารณ์เรื่องโคลงกลอน สนุกและขำมากค่ะ กราบเท้าขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า…ใช่ มันก็เป็นเชิงนั่นแหละ มันยังไม่ชัดเจนในภาษากวี หรือว่าสัมผัสถูกแล้ว มันจะมีสัมผัสนอกจากจะสัมผัสพยัญชนะ มันจะยังสัมผัสเสียง สัมผัสสำเนียง สัมผัสรับ สัมผัสส่ง เป็นสำเนียงสัมผัสรับ สัมผัสส่ง มันไพเราะนะ มีขึ้นมีลง ถ้ากลอนดีๆ คนที่เขาขับเสภา หรือขับทำนองใส่กลอน มันก็จะร้องได้ไพเราะ คำมันมีวรรณยุกต์เสียงอยู่ในที แต่ถ้าเป็นกลอนประตู คนร้องจะลำบากมากเลย ก็เป็นเรื่องของคน ก็มีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์อะไรก็ว่ากันไป 

_Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องอยากจะเล่า และมีคำถามค่ะ เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับดิฉัน) แต่ตอนนี้ติดเรื่องกินจุบจิบ ติดกินของหวาน ติดจนรู้สึกมันพอกหนามากๆๆๆๆ ก็พยายามจะฟังธรรมเพื่อให้มีสำนึกขึ้นมาบ้าง วันก่อนก็อยากกินของหวานอีก อดไม่ได้ก็เลยซื้อทุกอย่างที่อยากกิน (พฤติกรรมมันจะวนๆ ไปอย่างนี้) ครั้งล่าสุดเลยลองใช้วิธีนี้ค่ะ คือซื้อของหวานมาเลย พอตอนกินเคี้ยวช้าๆ ได้รับรู้ถึงความหวาน ใจก็นึกว่าสงสัยเราคงติดรสหวาน ทุกคำที่เคี้ยว พอเคี้ยวเสร็จคายออกมาใส่ชาม ก็ทำแบบนี้จนหมด แล้วก็ตั้งทิ้งไว้ นานๆ ไปมองทีนึง ก็เห็นว่ามันเหมือนอ้วก ก็ถามใจตัวเองว่า อยากกินอีกไหม (ทั้งๆที่มันคือของที่เราอยากกินนะ) ใจมันไม่อยากกินแล้ว เพราะรูปมันเหมือนอ้วก มันไม่สวยน่ากินเหมือนตอนแรก คำถามเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาก็เคยพูดถึงเรื่องอย่างนี้ กินแล้วคายออกมาดูพอทิ้งไว้พักหนึ่ง ก็ใส่เข้าไปแล้วก็คายออกมาดูเรื่อยๆ เราก็จะเห็นว่ามันก็ บางอันที่เวลากินมีอะไรต่ออะไรผสมผเสเข้าไป มันจะออกมาเหมือนขี้ หลายๆอย่างเมื่อเคี้ยวปนกัน เป็นขี้แหลกๆ เหลวๆ 

  1. ลูกทำแบบนี้ เพื่อให้ใจมันคลายจากการติดกิน ลูกใช้วิธีนี้ถูกไหมคะ?

พ่อครูว่า…ก็ได้ แล้วก็พิจารณาด้วย พยายามนึกถึงว่ามันเกิดการเข้าใจ มันเกิดปัญญา มันเกิดการเข้าใจ มันเข้าใจ มันเห็นความจริงชัดเจนว่าอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เป็นอย่างนี้ โดยเฉพาะบำเรอกิเลส รู้ว่ากิเลสที่มันอยากหรือมันอร่อยมันเป็นตัวข้างเคียง มันเป็นตัวที่มันยังมีตัวข้างเคียง เราเห็นให้ชัดๆ 

   2. ผู้ที่อยู่ในชุมชน อยู่ใกล้ๆ พ่อ แต่ทำตนเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง   

       กับคนที่อยู่ข้างนอก แต่ตั้งใจปฏิบัติ ถือศีลเคร่งครัด (ตาม  

      แนวทางอโศก) พ่อว่าอันไหนจะดีกว่ากันคะ?

พ่อครูว่า…เอ๊..ใครหนอ? เปรียบเทียบคนที่อยู่ข้างในนี้แล้วทำตัวเหมือนทัพพีไม่รับรู้รสแกง เปรียบเทียบกับคนข้างนอก ที่เขารู้รสแกงตั้งใจปฏิบัติ อยู่ข้างนอก 

คำว่า “เคร่ง” คำนี้หมายความว่า ปฏิบัติแบบอโศก ไม่ใช่เคร่งแบบเคร่งจารีตประเพณี แต่ถือศีลแล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 ยังไงดีกว่า ก็อย่างแบบอโศกนั้นดีกว่า 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา . 

อันน้ำท่วมรวมความรักสามัคคี   ราชธานีชี้วิกฤตนิมิตหมาย  

ความไม่เที่ยงเพียงยอมรับกลับสบาย  ช่วงท้าทายคลายหรือเครียดเกลียดหรือกลัว  

พ่อครูสอนให้อ่อนน้อมพร้อมฝึกฝน   ล้างตัวตนคนจะงามละความชั่ว  

แม้น้ำท่วมจิตมีธรรมประจำตัว    ดุจดอกบัวพ้นน้ำเร่งทำดี

พ่อครูว่า…ชักไม่ใช่กลอนประตูแล้วนะ ก็ไม่ต้องแปล 

_วาส ทองจันทร์ . ผมก็เป็นคน ใกล้จะเป็นโลกเงียบเช่นกัน ลำบากมากเดี๋ยวนี้ ก็ใช้วิธีต่อเครื่องขยายมาไว้ใกล้ๆ จึงพอได้ยินครับ

พ่อครูว่า…โลกเงียบหมายความว่าหูมันจะบอดแล้ว อาตมาอายุย่าง 89 - 90 หูก็ยังพอใช้ คนอายุมากแล้วต้องพูดดังๆ ต้องพูดใกล้ๆแต่อาตมาก็ยังพอเป็นพอไป ยังไม่ถึงขั้นนั้น แล้วแต่สรีระใคร สรีระมัน จะว่าวิบากดี - ไม่ดี ก็ของใครของคนนั้น แก้ไม่ได้ก็รับมันไป 

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูคะวันที่ 6 สิงหาคม 2518 เป็นวันที่พ่อครูและสงฆ์ชาวอโศก ลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ไทย ไปอยู่ในปกติของพระธรรมวินัยใช่ไหมคะ และต่อมา พ.ศ.2532 พ่อครูกลับถูกคณะสงฆ์ไทย ฟ้องร้องคดีขึ้นสู่ศาลให้ศาลตัดสินตามกฎหมาย แต่ไม่ใช่ตัดสินตามธรรมวินัยใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…ลาออกมา 2518 ก็อยู่กันอย่างผาสุกดี แต่พอ 2532 ท่านสมเด็จมหาประยุทธ์ก็คึกอะไรขึ้นมาไม่รู้  เขียนหนังสือว่า เราออกนอกรีตนอกทาง อย่างโน้นอย่างนี้ มาทำให้สงฆ์ไม่ลงรอยกัน ทั้งๆที่มันไม่ได้ผิดเลยตามพระธรรมวินัย ก็เป็นความจริงว่าเมื่อศีลไม่เสมอกัน ศีลเข้าใจต่างกัน ปฏิบัติก็ต่างกัน อุเทศ การขยายความอธิบายธรรมะต่างกัน เช่น คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ฌาน” คำว่า “บุญ” ก็ขยายความกันคนละอย่าง คำเดียวกัน แต่แปลไปคนละอย่าง ขยายคนละอย่าง อันนี้เป็นต้น มันแยกกันอย่างนี้ แล้วมันห้ามไม่ได้ ก็ให้ประกาศนานาสังวาส ไม่ประกาศ มันก็เป็นโดยธรรม แต่ถ้าประกาศก็เป็นชัดเจน เราก็ได้ทำ เราก็ได้ประกาศ 

แต่ท่านประยุทธ์ท่านไม่รู้  ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านไม่รู้ความจริง ขอยืนยันว่าท่านไม่รู้ความจริง ถ้าท่านรู้ความจริง จะไม่กล้าทำ เพราะท่านเป็นคนรักธรรมะ ท่านมหาประยุทธ์ ท่านพุทธโฆษาจารย์นี่ ท่านเป็นคนรักธรรมะ ถ้าท่านรู้ ท่านเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย ท่านจะไม่ทำ แต่ท่านไม่รู้ ก็เลยน่าสงสาร ไม่รู้จะทำไง ก็เลยมาเล่นงานเรา เราก็พยายามพูดไปเถอะ อธิบายยังไง ท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะท่านได้ทำไปแล้ว ท่านได้แย้งว่า มันไม่ถูกต้อง ท่านก็ต้องทำอยู่ อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสอัตตามานะ มันยอมไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่าให้เราผิดให้ได้ ก็เลยเป็นเรื่องยาวมา นี่แหละคือสัจจะ ที่มันไม่มีการสำนึก ไม่มีการเข้าใจสัจจะและก็ยอมให้กิเลสมันกินตัว กิเลสมันยิ่งถล่ม กิเลสมันยิ่งครอบงำ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่

แล้วก็ขึ้นเอาไปฟ้องฆราวาส ให้ฆราวาสตัดสินอีก ท่านก็ยืนยันว่าอาตมาไม่เป็นพระ ก็ให้ฆราวาสเขาตัดสิน ซึ่งมันเป็นการผิดพระธรรมวินัย แล้วมันก็ทำไม่ได้ด้วย 

_ช่อทิพ หนูทอง . ดิฉันป่วยหลายโรค ฟังพ่อครูตอบคำถามญาติธรรมประจำ ได้ปัญญา จิตสงบ ปล่อยวาง นอนหลับสบาย ตื่นเช้าขึ้นมาความดันโลหิตที่เคยสูงปริ๊ด ทั้งๆ ที่กินยาประจำ ความดันลดลงฮวบเลยค่ะ เรียนถามพ่อครูว่าอาการแบบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาสนีปาฏิหาริย์หรือไม่คะ?

พ่อครูว่า…บางคนเป็นวันละโรค แต่คนนี้เป็นหลายโรค ทักษิณก็เป็นหลายโรคน่าสงสาร แน่นอนเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ตามเป็นจริงที่คุณว่าก็ใช่แน่นอน ดี

 

วันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. ภาคทบทวน

_แก้วตะวัน พวงบุบผา . 

อ้างดูงานแต่ผลาญเงินไม่เขินขวย  ไทยร่ำรวยเพราะฝีมือคนซื่อสัตย์  

แต่ถึงยุคคนพาลสันดานชัด    ความวิบัติจึงเบิกบานเพราะพาลชน  

เป็นเวรกรรม อันใด หนอไทยนี้  นายกดีมีให้เห็นเป็นมรรคผล 

แต่คนไทยไยติดกับหลงเล่ห์กล  ไปเชื่อคนไม่ทำงานผลาญเงินทอง 

กบเลือกนายนั้นหนาน่าวิตก   เลือกได้นกกระสาน่าสยอง 

ยอมละทิ้งขอนไม้ไม่ไตร่ตรอง   เก้าปีทองมองว่านานรำคาญใจ 

จึงเลือกคนไม่ดีมีอำนาจ    ชาญฉลาดแต่หลงเลวทำเหลวไหล 

อยากให้ลุงอย่าไปลับกลับไวไว  เราคนไทยไม่ลืมเลือนรักเหมือนเดิม

พ่อครูว่า…ชักเป็นกวีขึ้นมาได้ความดีทีเดียว 

_จรรยา ประเสริฐ . ฟังท่านเทศน์แล้ว สู้กับการกินค่ะ ขณะนี้กินข้าวกล้อง กับซีอิ๊ว ผสมน้ำมันงา น้ำมะนาว กระเทียมสด กระเทียมดอง แอปเปิ้ล อินทผาลัม ลำใยอบแห้ง ได้ถ้วยใหญ่ เอามาผสมคลุกเคล้า กินกับผักต้มสุก เท่านี้กินมาได้ 3 ถึง 4 วัน เพื่อลดความอร่อย แต่ทำไมยังอร่อยอยู่  กินไปคำแรก อุ๊ยอร่อย ถามตัวเอง ไม่ปรุงมาก ยังอร่อย ไม่เห็นทุกข์ แล้วจะถอนออกยังไง??? ตักคำใหม่ ถ้าจิตบอกอร่อย (อารมณ์เคหสิตะ) เราจะห้ามมัน และทำใจให้เห็นทุกข์สุข ดูดผลัก สู้ไปกินไป ดูใจตัวเองไป จะสู้เพื่อให้ได้อารมณ์เนกขัมมะ ปรากฎว่า เห็นตัวเอง เราติดเรื่องกาม คือการกิน เป็นอย่างมาก จะสู้ต่อไปค่ะ ไม่ถามอะไรค่ะ นอกจากเห็นการสู้กับกิเลส แบบกดข่ม เพื่อให้ชนะ (แล้วเราก็ได้ตัวใหญ่ ถ้าชนะมันได้) เราต้องสู้อย่างไม่กดข่ม สู้อย่างรู้ตามจริง สู้อย่างสบายๆ จะได้เมื่อไร ยังไม่รู้เลยค่ะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า…ก็เลือกมาทีละอย่าง คุณกินทีละคู่หรือเปล่า อ้าว..ไม่ถามอาตมาก็ค้างสิ ว่าจะอธิบายอยู่ เข้าใจรู้ว่าจะสู้อย่างไม่กดข่ม 

เอ้าอธิบายตรงนี้ อธิบายตัวกิน ตัวโภชเนมัตตัญญุตาตัวที่กินอาหารนี่แหละ มันเป็นข้อปฏิบัติที่เยี่ยมยอดแล้ว เอาตัวนี้ตัวเดียวก็ปฏิบัติบรรลุอรหันต์ได้ 

การกิน ด้วยคำข้าวที่เรากินนี้ เมื่อเราเอาคำข้าวเข้าปากกิน เรามีสติสัมปชัญญะ แล้วก็กำหนดรู้ด้วยสัญญากำหนด กำหนดรู้ตั้งแต่มันแตะนำเข้าไปในปาก เรามีอาการจิตมันชอบมันชัง ตั้งแต่เอาเข้าปาก อาหารอันนี้บางอย่างชอบ บางอย่างไม่ชอบ หรือกลางๆ ไม่มีชอบ - ชัง แต่ดูแล้วก่อนจะเอาไปกินว่ามันเป็นอาหารชนิดหนึ่ง มันจะมีธาตุนั้น ธาตุนี้ ที่มันเป็นธาตุควรกินเราก็ต้องกิน ธาตุที่มันควรกิน ก็เอาเข้ามา 

เข้าไปแล้วก็แตะลิ้น แตะรส เราก็พิจารณาอีก แตะรส แล้วตรงนี้แหละ แตะรสแล้วเราก็รู้รสของมัน แยกให้ออกว่ารสจริงๆ ของอันนี้นี่ เราก็จะพอรู้ เช่น รสมะนาว มันก็หวาน รสเกลือมันก็เปรี้ยว อะไรอย่างนี้ ...อ้าวผิดหรือ เราก็ต้องรู้ความจริงว่า อ๋อ.. มันไม่ใช่นี่ รสมะนาวมันก็ต้องเปรี้ยว รสเกลือมันก็ต้องเค็ม รสน้ำตาลมันก็ต้องหวาน ตามความจริงของมัน นั่นคือรสแท้ๆ 

แล้วแยกให้ออกเชียวว่า รสหวาน หรือรสเปรี้ยว หรือรสเค็ม เราแตะเข้าไปแล้วชอบ แหม..หวานดี กำลังพอเหมาะ แหม..เค็มดีกำลังพอเหมาะ เปรี้ยวดีกำลังพอเหมาะ เผ็ดดีกำลังพอเหมาะ หรือว่าถ้าเผ็ดกว่านี้ได้ยิ่งดี ก็อ่านรู้ นั่นแหละตัวที่บ่งว่ามัน 

นอกจากรสจริง มันมีรสเก๊ รสหลอก รสปลอม รสชอบไม่ชอบ รสชื่นใจ ไม่ชื่นใจ นั่นแหละคืออร่อยหรือไม่อร่อย กิเลสตัวนี้แหละ ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วเรียบร้อย ลด ละ เลิกรสอร่อยได้แล้ว ก็จะรู้แต่ความจริง รสตามจริง ไม่มีหรอกรสอร่อย ไม่มี 

เพราะฉะนั้นจะกินไม่ตะกละตะกลาม จะกินไม่เร็ว จะกินไป ยิ่งหัดใหม่ฝึกหัด ก็จะยิ่งกินช้า เมื่อเราเองเราไม่ให้เกิดรสอร่อยหรือว่าเรารู้ว่าเราจะมีรสอร่อย ก็รู้มันว่ามันมีกิเลสนะ ก็ให้เกิดพลังรู้ด้วยว่าปัญญา เรียกว่าเข้าใจ เห็นว่าธาตุมันมีตัวรู้ ที่เก่งเป็นธรรมฤทธิ์ ให้มันมีฤทธิ์ มีฤทธิ์ที่จะสามารถไม่ให้กิเลสอร่อย ไม่ให้กิเลสมันตะกละ หรือผลัก ดูดหรือผลัก ต้องอ่านอาการซ้อนๆพวกนี้ ละเอียดลออหน่อย จะรู้ 

คนปฏิบัติการกินนี่แหละสำคัญ เป็นอรหันต์ได้ตรงการกิน เป็นหลัก อย่างอื่นก็นัยะเดียวกัน แต่มันคนละรส รสทางตาก็เป็นรูป รสทางหูก็เป็นเสียง รสทางจมูกก็เป็นกลิ่น แต่รสทางลิ้นนี่ โอ้โห!ทำไมมันซับซาบหลายอย่างเหลือเกิน เรียนรู้แล้วจะเกิดปัญญาฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ฉลาดก็คือ ฉฬายตนะ ทางทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) มันก็จะชัดเจนขึ้นชัดเจนขึ้น มันจะเข้าใจยิ่ง เห็นจริงๆ ขึ้น 

แล้วก็จะเกิดการเข้าใจ อาการที่มันไปดูดดึงหรือผลักอะไรก็จะลดลงๆๆ อาการที่มันผลักหรือดูดลดลงๆๆ นั่นแหละคือเราเจริญทางธรรม ปัญญามันมีธรรมฤทธิ์ ที่ทำให้กิเลสมันไม่ไปหลงปรุงแต่งแล้วก็ชอบหรือไม่ชอบ ผลักหรือดูด เป็นกามหรือเป็นปฏิฆะ มันลดลงๆเป็นอิฎฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ 

นี่คือเป้าหมายเรียกว่าทำที่เวทนา เป้าหมายในการปฏิบัติธรรม คนที่ไปหลับตาปฏิบัติไม่รู้เรื่องอะไร นั่นแหละเป็นโมฆะ ไปหลับตาปฏิบัติ มันไม่ใช่พุทธศาสนา อาตมาก็ต้องย้ำหัวตะปู สัจจะพวกนี้อยู่ตลอดเวลา 

ปฏิบัติธรรมต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีลเป็นหลัก ศีล ข้อที่ 2 เกี่ยวกับการสัมผัสก็จะเกิดกาม เกิดปฏิฆะเหมือนกัน 2. ปฏิบัติต่อข้าวของไม่ว่าวัตถุหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่มันมีวิญญาณที่จะมาเกิด มันก็จะเกิดทุจริตหรือสุจริตกัน ก็เรียนรู้อันนี้อีก ในแง่เชิงทุจริตสุจริตเกิดจากความโกรธ ความโลภ ลดลง 

ศีลข้อ 3 เรียนรู้ละเอียด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) เป็นอารมณ์ เป็นเวทนา ตัวนี้แหละเป็นตัวรวมที่จะไปสู่ความเป็นสุขเป็นทุกข์ ศาสนาพุทธเรียนรู้ความสุข-ความทุกข์สมบูรณ์แบบ เมื่อเรียนรู้ความสุข-ความทุกข์สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ 

ไม่สุขไม่ทุกข์มี 2 แบบ วิธีของฤาษีเดียรถีย์ เขาก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ คือสะกดจิต หลับ ดับ ดับสัญญา อสัญญี เขาก็ไม่รู้สึกไม่รู้ทุกข์ ไอ้อย่างนั้นมันไม่ถูกต้องของพุทธ มันไม่เลิก ก็จะไปเป็น อสัญญีสัตว์ 

เพราะฉะนั้นปฏิบัติ ฌาน 1 2 3 4 ในสัตตาวาส 9 ก็เป็นฌานที่ผิด แต่ถ้าปฏิบัติฌานที่ถูกเป็นฌาน 1 2 3 4 ที่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ มันก็จะไม่เกิด อสัญญีสัตว์ กิเลสมันก็จะหมดที่ ฌาน 4 

และกิเลสในระดับละเอียด อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ มันก็จะไม่ต้องปฏิบัติ อากาศก็รู้ว่าอากาศวิญญาณก็รู้ว่าวิญญาณ ไม่มีแล้วกิเลส อากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่งก็ไม่มี ก็จะรู้ความจริงทั้ง 3 สภาพ 

เพราะฉะนั้น สภาพของอากาศ อากาสานัญจายตนะ หรือ สภาพวิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ ที่เหลือของวิญญาณฐิติ 3 ข้อหลัง 4 ข้อแรกก็ ตรงกันกับ สัตตาวาส 4 แต่ สัตตาวาส 4 เป็นมิจฉาทิฏฐิ วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิก็เป็นฌาน 1 2 3 4 

เพราะฉะนั้น พอปฏิบัติธรรมเป็นวิญญาณฐิติที่ชัดเจน สัมมาทิฏฐิครบ ตรวจสอบสภาพ ใช้สัญญากำหนดรู้ความเป็นจริง ที่เป็นอยู่ภายนอกภายในเป็นกาย สะอาดหมดจดหมด ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีวิปลาส คุณก็บรรลุสูงสุดบริบูรณ์ หมดความเป็นสัตว์ เลิกความเป็นสัตว์

ธรรมะเหล่านี้เป็นของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้มันเสื่อม มันไม่พูดกัน อะไรก็ไม่รู้ เรียนความรู้ทางเปรียญก็ดี  ทางวิชาการก็ดี  จบปริญญาตรี โท เอก ทางพุทธศาสนาก็ดี ก็ไม่ได้เข้าหากรรมฐาน มาหาตัวปฏิบัติพวกนี้ ต้องพูดสิ่งเหล่านี้กันให้มากๆ  เขาไม่พูด กลับไปพูดภายนอกเรื่องสังคม เรื่องรอบรู้สารพัด อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา เรื่องโลก โลกายตศาสตร์ ความรู้ของโลกๆ มากไปเรื่องนั้น มันก็เลยไม่ได้มรรคได้ผล ไม่เข้าเป้าอะไร 

 

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 2

อาตมาเอาของคุณ ทำมาด้วยใจใต้ร่มโพธิ์ อ่านมาได้หน่อยหนึ่งแล้วหลายหน้า ซึ่งได้วิเคราะห์วิจัย พรหมชาลสูตร จนมาถึงข้อ 4 รอฟังผ่านไปถ้าไม่ถึงภูมิก็ผ่านไป 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4)

13. เกรงว่าจะพูดปด //จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่ 

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 ไม่รู้ชัดว่านี่กุศลหรืออกุศล ถ้าพยากรณ์ชำนาญการโต้ ถ้าหากมีบัณฑิตผู้เข้าใจวาทะ โต้เหมือนกับลูกธนู เราก็จะตอบโต้ไม่ได้ ก็เลยพูดปฏิเสธ 

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามเขาอย่างนั้น จึงมีความเห็นดิ้นได้ ไม่ตายตัว 

ทั้งหมด 4 ประการเป็นความเห็นแบบปลาไหลใส่สเก็ตทาจารบีวิ่งบนลานน้ำแข็งลื่นและไม่หกล้มด้วยนะ 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) มี 2 อย่าง เห็นว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ 

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์  พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ ได้จุติ(เคลื่อน)เข้ามา หรือเคลื่อนออกไป จุติ เพื่อออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดออกจากสัญญา พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้นดับเป็น อสัญญีสัตว์ ได้แล้ว 

พ่อครูว่า…คุณก็จุติใหม่ก็เคลื่อน ออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดของสัญญา สัญญาคุณไม่ดับหรอก ไม่หมดหรอก แต่คุณดับสัญญาแต่มันก็มีสัญญาอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นสัญญาเมื่อบรรลุเจโตสมาธิ เมื่อจิตมันตั้งมั่น สะกดแน่แน่นเข้าไปแล้ว สัญญาตามระลึกความเกิดแห่งสัญญา สัญญาก็จะทำงานตามระลึกถึงความเกิดของสัญญา มันเป็นความจำ  มันเป็นความกำหนดรู้ นี่คือหน้าที่ของสัญญามันทำได้ 

เพราะฉะนั้นมันมีความจำใช่ไหม อีกเยอะแยะเลยที่มันจะไปกำหนดรู้ได้อีก จึงกล่าวว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว เพราะ อสัญญีสัตว์ ดับไปไม่มีความรับรู้ แต่สัญญามันก็มีอยู่มันก็ปรุงแต่งขึ้นมาว่า โอ๊ ไม่มีนี่ อสัญญีสัตว์ โลกก็ไม่มี อัตตาก็ไม่มี 

แต่เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าก่อนนี้ก็ไม่มี ก็เดา แต่ตอนนี้เราก็ไม่มี (ระลึกตามสัญญาลงไปแล้วไม่เจออะไร ไม่มีสัญญาใดๆ เป็น อสัญญี คือความดับดำมืด ระลึกได้ เท่าที่สามารถจะตามกำลังของจิต ต่อจากนั้นไประลึกไม่ได้ เหมือน อาฬารดาบสก็ดี อุทกดาบส ก็ดี ทำหยุดได้แล้ว คือนั่งหลับตาสะกดจิต สุดท้ายมันจะไปจบ อสัญญีสัตว์ ทั้งนั้น เช่น สัตตาวาส 9 

ฌาน 1 2 3 4 เป็นมิจฉาฌาน พอไปถึงขั้นดับ อสัญญีสัตว์ เขาก็หลงว่า อสัญญีสัตว์ เป็นนิโรธดับความรู้ ดับความนึกคิดตามจำ มันกลายเป็นไม่ปรุงแต่ง แต่สัญญามันยังมีอยู่มันก็ทำงานพิเศษ 

เพราะฉะนั้น อรูปฌานอีก 4 ของ สัตตาวาส 9 จาก อสัญญีสัตว์ ก็ไปอีก 4 อย่างรวมเป็น 9 อันนี้จะมี อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ แล้ว วันนี้จะมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นตัวโง่ที่สุด อันนี้จะใช่ก็ไม่ใช่ จะไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะรู้ก็ไม่รู้ จะไม่รู้ก็ไม่รู้อันนี้มันเคลิ้มๆ สารพัด สัญญาทำงานสารพัดก็คือ เนวสัญญา สัญญากำหนดไปได้สารพัดเละเทะ แต่ไม่รู้เรื่องสักอย่าง พวกนี้เป็นพวก โง่สำมะปี๋ โง่มะลำมะลอย โง่ทั่วทิศทั่วแดน โง่สมบูรณ์แบบ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เป็น สัตตาวาส ข้อที่ 9

เพราะฉะนั้นพวกระลึกได้อย่างนี้ก็นึกว่ามันเกิดอย่างลอยๆ แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีเห็นไหมมันก็ยังมีตัวตน(เมื่อหมดพลังกดข่ม สัญญาที่ดับไม่ถูกวิธี ) เมื่อรู้ตัว ก็คลี่คลายขยายตัว เกิดมีขึ้นเพราะไม่ได้น้อมไป เพื่อเป็นผู้สงบแล้ว (ไม่ได้ ทำสมถะต่อเนื่อง หมดฤทธิ์การกดข่ม ) 

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี เป็นนักตรึกนักค้นคิดอันนี้แหละเป็นพวกฟุ้งซ่าน แสดงปฏิภาณตามที่ตรึกได้ พวกสญชัยเวลัฏฐบุตร แล้วมีทิฏฐิบัญญัติว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ 

อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก (อนาคตอีก 44)

พ่อครูว่า…อาตมาว่าใครที่สนใจส่วนตัว ก็ไปอ่านจากพระไตรปิฎกนะ แล้วก็ทำความเข้าใจเท่าที่ทำได้ สงสัยก็มาถามเอาแต่ละคนก็แล้วกัน 

เพราะว่า ถ้าอธิบายไปอีก อ่านไปอีก จะเข้าใจยาก อาตมาก็อธิบายไม่ง่าย ยากเหมือนกัน ต้องพยายามที่จะอธิบาย ก็จะเสียเวลาไปมาก เพราะมันเกินฐานปฏิบัติจริงของพวกเรา ผู้ที่จะรู้ทิฏฐิทั้งหมดครบ 62 อดีต 18 อนาคต 44 ก็พระอรหันต์ที่เป็นพระพุทธเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์ระดับที่ 6 

ขนาดอาตมาอรหันต์ลำดับที่ 4 ยังไม่ถึงอรหันต์ลำดับที่ 6 ไม่สับสนนะ อรหันต์ระดับที่ 1 2 3 4 5 6 ไม่สับสนนะ ดีแล้วพวกเราเรียนรู้ชัดเจนกำหนดบัญญัติ กำหนดสภาวะ แม้เราจะยังไม่ถึงแต่เราก็เข้าใจแล้วว่า อ๋อ มันมีขั้นชั้น เพราะฉะนั้น กล่าวคำว่าอรหันต์ มันจึงมีการหมุนรอบเชิงซ้อน 

ก็มีกับไม่มี เป็นหรือไม่เป็น กลับไปกลับมา อรหันต์แล้วทำไมจะต้องมามีเมีย ต้องมาแต่งงาน เป็นโพธิสัตว์ระดับสูงแล้ว จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าชาติที่เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องแต่งงานมีเมียมีลูกอีกเล่า นี่มันก็งงใช่ไหมก็สับสน เป็นไปได้ยังไง 

เป็นไปแล้วก็ต้องไม่มีสิ แต่เป็นได้สำหรับบางองค์ อย่างอาตมานี่เคยพูด ว่าอาตมาจะพยายามบำเพ็ญตน ให้ปางสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีการแต่งงาน จะไม่มีเมีย ไม่มีพวกนี้ ตั้งจิตไว้อย่างนั้นเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ปางสุดท้าย มันทำให้คนงง แต่ที่จริงที่มีเมียนั้นสูงกว่า ที่ไม่มีเมียนะ สูงกว่า ไม่มีเมียนี่มันง่าย มีเมียแล้ว ไปมีเมียแล้วก็มีเหตุปัจจัย ที่จะต้องบริหารเนี่ย ยากกว่าที่ไม่มีเมีย ไม่มีเมียนี่บริหารง่าย คนเดียว มีเมียนี่ เราคนเดียวบริหารตนเองก็ยังไม่ง่าย แล้วไปเอาอีกคนมาเป็นคู่ชีวิตบริหาร เอาเถอะ ใครไม่รู้ก็มีก็แล้วกัน 

อ้าว อาตมาก็ขอผ่านอันนี้ไว้ อนาคต 44 นี้มันก็จะเยอะแยะไม่ใช่น้อยๆ  ก็ขอผ่านไปก็แล้วกัน 

นี่เขาก็วิจัยอะไรมาอีกแผ่นหนึ่ง ที่เป็นความคิดไปมากๆ เข้ามันจะกลายเป็น โลกยตศาสตร์ จะเป็น โลกจินตามากนะ 

 

สามเส้าของวงวนโลกและธรรม

_เมื่อได้ยินว่าพ่อท่านจะเทศน์เรื่อง 7899 ทำให้นึกถึงพลังงาน 

ในมหาจักรวาลนี้เวิ้งว้าง ว่างเปล่าด้วยอากาศ ด้วยพลังงาน ด้วยอุณหภูมิ เมื่ออณูบางเบาเกิดขึ้น 1 อณู เวลาผ่านไปนานมากนับเป็นกัปๆ ก็เกาะตัวกันแน่นหนาขึ้น จนนับเป็น 1 ได้ ด้วยองค์ประกอบของธาตุลม ธาตุไฟ (อุณหธาตุ) เป็นเหตุให้เคลื่อนออกจากจุดเริ่มต้นในแนวระนาบ ก็เกิดจุดที่ 2 เคลื่อนกลับไปกลับมา ด้วยความไม่เที่ยง จากเส้นตรงก็เบี่ยงไปเกิดองศา ออกมานิดหน่อยก็เกิดจุดที่ 3 ครบ 1 รอบวงกลม cyclic  เป็นวงรีก่อน 

พอนานเข้าก็รอบจัดขึ้น มากขึ้น กลมเป็นวงกลม 1 2 3 วงกลม 1 2 3 นี่ ถ้ามี 1 2 3 มันจะเป็นวง พอได้ 3 เส้า 3 อณูก็จะเป็นวงกลม 1 อณู 

1 อณูก็เคลื่อนตัวจากจุดเริ่มต้น เป็นอิสระในตัวเอง ออกไปเป็นแนวตรง เข้าไปสู่ศูนย์ตัวใหม่ คือเกิดจุดที่ 2 อย่างที่มันเกิดจุดที่ 1 มา เป็นจุดที่ 2 แล้วมันก็จะเวียนกลับไปอีก ไปเติมเต็มอีกรอบ ก็กลับมาอีกเกิดเป็น 3 พอเกิด 3 มีองศานิดหน่อยก็เป็นวงรี ขึ้นมา 

รอบมากขึ้น วงรีก็จะเป็นวงกลมมากขึ้น นานเข้าก็เป็นวงกลม มันมีหลายๆ อณูขึ้นมา หลายๆ เส้า หลายๆ cyclic มันก็จะเกิดต่อกันเป็นวงกลมขึ้นมา จาก 3 เป็น 4 จาก 4 เป็น 6 จาก 6 เป็น 9 ก็จะเกิดเป็นวงกลม 

จากธาตุลม + ธาตุไฟอุณหภูมิ ก็เกิด 3 เกิดเป็นของเหลว ลมกับไฟแล้วก็เกิดเป็นน้ำ แล้วก็เกิดเป็นของแข็งคือดิน เกิดเป็นพลังงาน 1 หน่วยขึ้นมา 1 2 3 วิ่งวนรอบ 1 เป็นวงกลมอยู่ 

เป็นความรู้ละเอียดลออ ที่เมื่อศึกษาธรรมะแล้ว จะเข้าใจไปเอง แล้วมันก็ไม่มีมรรคมีผล ไม่ได้เกิดอะไรกับตัวเราหรอก มันรู้ไปอีกเพิ่มเติมเป็นความรู้ ที่มันรู้ความจริง ในความเป็นจริงละเอียดลออเพิ่มขึ้นเท่านั้น อย่าไปหลงเก่ง ถ้าไปหลงเก่งกับมัน ก็จะเสียเวลา เอาเวลานั้นแทนที่จะไปใช้เวลากับสิ่งนั้นเอามารู้ตัวจบ เราเป็นอรหันต์จริง เป็นโพธิสัตว์ก็ทำงานกับมนุษย์ต่อไป สิ่งเดียวนี้เราก็จะรู้อยู่นั่นแหละ มันจะรู้ละเอียดขึ้นไปอีก โดยไม่ต้องไปอธิบาย 

คนอื่นที่เรียนจบอรหันต์ก็จะรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เอง มันจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ไปนั่งเข้าใจความหมาย ของที่มีพยัญชนะ แล้วก็มีสภาวะปรุงแต่งเพิ่มขึ้นไป มันก็จะเกิดความรู้เหมือนกัน แต่เป็นความรู้ที่เกินจะใช้ แต่มันเป็นความรู้เป็นโลกยศาสตร์ โลกจินตา ความรู้ที่มันปรุงแต่งกันขึ้นมา จนเป็นสภาพเป็น cyclic เยอะแยะ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก นี่ก็จะไปเสียเวลากับมันเยอะแยะเลย 

อันนี้เขาเขียนจากรวบรวมจากที่พ่อครูสอนไว้ ต่างกรรม ต่างวาระ 

พ่อครูว่า…ขยายมาก็เยอะ มาสรุปตรงที่ว่า มันถ้าเกิดไตรลักษณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็สามเส้านั่นแหละสุดท้ายพระพุทธเจ้าก็สรุปให้ อย่างสุดสมบูรณ์ รู้ความสมบูรณ์ด้วยแล้วก็ไม่ต้องไปขยายอีก 

นี่ก็พูดถึงผู้ที่ร่วมโอภาปราศรัยกับผู้ที่ร่วมศึกษา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่ม หรือไม่มีอะไรหยุด เพราะฉะนั้น ควรจะหยุดในสิ่งที่พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มก็ได้ แล้วมาศึกษาสิ่งที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและกัน 

 

สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ

ในสังคมของชาวอโศกเรานี่ อาตมาบอกได้ พูดได้ว่า พวกเราปฏิบัติศีล เกิดผลที่สัมมาทิฏฐิ จึงเกิดจิตที่เป็นสัทธรรม 7 หรือมันเกิด “ฌาน” 

“ฌาน” นี้ไม่ต้องไปคำนึงมาก มันจะเป็นสภาวธรรมที่เกิดจากจิต แล้วมันก็ทำปฏิกิริยาการรู้ ฌานจะมีปัญญา รู้กิเลสแล้วมันก็จะเผากิเลส มันเป็นผลของการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นศีล อปัณณกปฏิปทา สัมผัสเถอะ แล้วมันจะเกิด สัทธานุสารี เกิดพหูสูตคือ ผลของศรัทธากับหิริโอตตัปปะ 

หิริ คือละอาย โอตตัปปะ คือพลังที่ละอายแรง มันแรงจนกลัวเลย ไม่เอาแล้ว ไม่เอาอะไร ไม่เอาตัวที่เกิดแล้วรู้ มีปัญญามาเติมให้ตัวศรัทธา 

 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ซึ่งมันจะเกิดเพิ่มเติมขึ้นจาก วิริยะ สติปัญญา อีก 3 ตัวท้ายของสัทธรรม 7 วิริยะ สติ ปัญญา มันจะเพียรแล้วมันก็จะเพิ่มสติ แล้วมันก็จะได้ปัญญา แล้วมันก็จะเพียร มันจะเพิ่มสติแล้วได้ปัญญา มันก็จะเพียรวิริยะและเพิ่มสติ เป็นธาตุรู้ที่ตื่นรู้ชัดเจนขึ้นอีก เป็นความจริง เป็นปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง ขึ้นเรื่อยๆ 

ศรัทธาที่มีองค์ 3 นี้ วิริยะ สติ ปัญญา ศรัทธานั้นก็เจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้น เพราะเราละอายที่แต่ก่อนเรายึดสิ่งที่อวิชชา สิ่งที่เรายึดผิดๆ สิ่งที่เราโง่ มันจะรู้ตัวโง่ของเราเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วอายตัวเอง ปัดโธ่เอ๊ย! เรา ทำไมโง่ไม่เสร็จสักทีอย่างนี้วะ มันจะละอายเมื่อมันเห็นความโง่อันนี้ จนถึงขั้นละอายอย่างแรงกล้า หรือ กลัวเลย เฮ้ย!ไม่เอาแล้ว 

ไอ้คำว่า โอตตัปปะ กลัวนี่แหละคือธรรมฤทธิ์ของปัญญา ธรรมฤทธิ์ของธาตุรู้ ที่เป็นธรรมฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เจอกับหน้าโง่ที่อาตมาอธิบายเป็นภาษาธรรมดาๆ มาหลายครั้ง พอปัญญา เกิดขึ้นจริง ไอ้ตัวโง่เจอปัญญา มันจะไปเลย หนีหูตูบเลย ใช่ไหม เราพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้วมันมีธรรมฤทธิ์ มีสัจจะอย่างนั้น 

ปัญญาเกิดไอ้โง่หาย มันเป็นตัวจริงหรือเปล่า เป็นปัญญาตัวจริงหรือเปล่า ถ้าปัญญาตัวจริงเกิด ไอ้โง่มันอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้  สัจจะมีหนึ่งเดียว มันไม่อยู่เป็น 2 หรอก โง่กับปัญญา มันอยู่เป็น 2 ก็คือยังไม่จบ ยังไม่ใช่สัจจะ ยังไม่สมบูรณ์แบบ 

นี่คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ คุณชัดเจน คุณเกิดศรัทธา สัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ สูงสมบูรณ์แบบขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วสั่งสมเป็นพหูสูตเป็นผู้รู้ยิ่ง รู้จริงขึ้นไปมากๆ พหูสูต ก็รู้สัจจะยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น

สัทธรรม 7 จึงเป็น กระบวนการ เป็น process ของ จิต เจตสิกมันทำงานทั้งหมด 

เพราะฉะนั้น ความเป็นฌาน สรุปง่ายๆ “ฌาน” ก็คือ ธาตุรู้และเผา เพราะฉะนั้น มันรู้ก็คือตัวปัญญา มันเผาก็คือกิเลสมันวิ่งหนีหูตูบ หายวับไปกับตา ถูกเผาก็ได้ ใช้โวหารภาษา ฌาน

มันคือผลของการปฏิบัติธรรมที่สัมมาทิฏฐิถูกต้อง ไม่ต้องไปประดิษฐ์อยากได้ฌาน ก็ไปเข้าฌาน ออกฌานมา แล้วออกทำไมเมื่อได้แล้วฌาน เข้าฌาน เมื่อเข้าไปได้แล้วใช่ไหมและออกมาทำไมฌานได้ฌานแล้วออกมาทำไม ไอ้โง่! ก็เข้าไปในฌานและออกมาจากฌานทำไม ก็ฌานมันดีแล้ว จิตเป็นฌานก็ดีแล้ว จิตเป็นปัญญา แล้วฌานนี่ คือเผากิเลส ฌานสมบูรณ์แบบ ก็คือเผากิเลสเกลี้ยงเลย ตายไม่ฟื้น 

แล้วพลังงานฌานนั่นแหละเป็นธาตุอาศัย เป็นปกติสามัญของจิต จิตเป็นฌาน เอามาใช้เมื่อไหร่ จะใช้เป็นฌาน 1 ก็คือการจะต้องพิจารณาให้ครบ พิจารณาได้แล้วก็รู้ว่าสิ่งไหนที่เรากำลังพิจารณาได้ก็เกิดปิติ แล้วก็เกิดพอ แล้วก็เป็นสุขลดลงจากปิติ สุขสงบ ลดแล้วก็สะอาดเป็น เอกัคคตา หรือ ก็เลิกแล้วอุเบกขาก็จบ ทำให้เกิดบริสุทธิ์ของสิ่งที่จะต้องทำ ทำความบริสุทธิ์ได้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

นี่อาตมาเอาสภาวะต่างๆ มาอธิบาย พวกเรานี่เรียนรู้อภิธรรม เรียนรู้สัจจะที่อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ภาษาไทย ซึ่งผู้ที่จะเป็นนักรู้บาลีเอามาแปลที่อาตมาอธิบายภาษาไทย เอาไปแปลเป็นบาลีคืนไปอีกคงยากไม่ใช่เล่น เพราะว่านี้เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้สอนด้วยภาษาพื้นของแต่ละคน นี่แหละภาษาไทย อาตมาก็อธิบายด้วยภาษาพื้นของพวกเราที่เป็นคนไทย ด้วยพยัญชนะด้วยสำนวนภาษาที่ออกมาเป็นคำความ ที่สื่อสภาวะเข้าไปหาสภาวะ แล้วพวกเราก็ฟังเข้าใจ เข้าใจแล้วปฏิบัติได้ตามนั้นก็จบแล้วนี่ มันเป็นมรรคเป็นผลที่ได้ความ แล้วก็ดีแล้ว 

 

ส่วนหนึ่งในผลงานพ่อครูสู่นาวาบุญนิยม

อาตมาก็ทำงานมาจนถึงวันนี้ ก็เห็นผลงานของตนเอง ก็กำลังจะสรุปผลงานของตัวเอง เกิดมาชาตินี้ นี่กำลังเขียนหนังสือเกิดมาชาตินี้ เขียนว่าจะไม่มาก นี่ปาเข้าไปตั้ง เกือบ 200 หน้าแล้ว แต่ถึงแน่แหละ 200 หน้า ยิ่งยังไม่ได้เอาตารางงานที่ได้ทำมารวบรวม เกิดชาตินี้ทำอะไรบ้าง 

งานเขียนเป็นต้น  อาตมาเขียนหนังสือมาเป็นร้อยๆ เรื่องแล้ว ไม่นึกว่าตัวเองจะเขียนได้ขนาดนี้ ทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ ไม่ต้องไปนับบทความ ถ้าไปนับบทความก็เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น นับไปเป็นเล่มๆ เป็นร้อยๆ เล่ม หลายร้อยเล่ม พิมพ์ออกมารวมแล้ว เป็นหลายล้าน เขียนออกมาชาตินี้ แล้วพิมพ์ออกไปกระจายออกไป แต่คนอ่านน้อย เพราะว่าคนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาไม่สนุก มันไม่มีธรรมรส มันไม่มีวิมุติรสพอ 

คนที่อ่านธรรมะอาตมาเขียนนี่ แล้วเกิดธรรมรสนั้น จงรู้ตัวเถิดว่า คุณมีภูมิธรรมทางโลกุตรธรรม เพราะธรรมะของอาตมาเป็นโลกุตรธรรม คนที่ไม่รู้เรื่องเป็นโลกุตรธรรม มันก็ไม่รู้เรื่อง ก็ไปโทษเขาไม่ได้ เพราะว่าเขายังไม่มีภูมิถึง มันเรื่องจริง 

มันเป็นเรื่องจริง จนอาตมาพูดมาหมดแล้ว ว่าทุกวันนี้ศาสนาพระพุทธเจ้าที่มีโลกุตรธรรมนี่แหละ เป็นความวิเศษ เป็นความพิเศษของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีศาสดาใดในโลก มีหนึ่งเดียวพระพุทธเจ้าไม่มีศาสดาใดในโลกที่มีโลกุตรธรรม มีพระพุทธเจ้า นอกนั้นก็โลกียะ เป็นเทวนิยมอยู่ทั้งหมด มีศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิ) เพราะแม้แต่คนไทยชาวพุทธก็ยังไม่เป็นโลกุตรธรรมยังไม่เป็นพุทธหรอก มีพวกเรานี่แหละ 

จึงมาพิสูจน์ พิสูจน์ผล เกิดผล เกิดเป็นสังคม สาราณียธรรม 6 อันนี้เป็นจุดอ้างอิง ยืนยันได้ว่า นี่คือผลสำเร็จของศาสนาพระพุทธเจ้า ก็ต้องเข้าใจจริงๆ เลยว่า คุณธรรม สาราณียธรรม 6 มีอะไร 

มีเมตตากายกรรม ก็ต้องรู้อาการเมตตาของคน ดูได้ทางกายกรรม เมตตากันหรือเปล่า เมตตากันคืออะไร? อ๋อ.. อยู่กันอย่างเมตตา 

เมตตาวจีกรรม ก็มาจากมโนกรรม เกิดขึ้นมาจริง มีพฤติกรรมจริง มีอาการทางกาย ทางวาจา มาจากมโนเป็นประธานมา ออกมาเป็นพฤติการณ์มนุษย์ แล้วมาอยู่รวมกัน 

เพราะจิตมีพุทธพจน์ 7 จิตมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ มีจิตระลึกถึงกัน สัมพันธ์กันดี รักกันเคารพกัน รู้ภูมิธรรม รู้จักผู้สูงผู้ต่ำ ผู้มีผู้ไม่มี ผู้เจริญ ผู้ยังไม่เจริญ ด้วยสัจจะ ด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่ไปตั้งศักดิ์ฐานะให้ ก็รู้กันตามความเป็นจริง แล้วจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน อวิวาทะ สามัคคียะ อยู่กันอย่างพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นปึกแผ่น เอกีภาวะ  

นี่พวกเราเป็นปึกแผ่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับกษัตริย์ลิจฉวีแคว้นวัชชีว่า ทำอย่างนี้จะไม่มีอะไรตีแตก คือธรรมะอปริหานิยธรรมทั้ง 7 

1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ 

2. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิก  และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่ หมู่จะต้องทำ 

3. จักไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ 

จักไม่เพิกถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ แล้วจักประพฤติมั่นในสิกขาบทตามที่พระองค์   ทรงบัญญัติไว้ 

4. สักการะเคารพนับถือบูชาท่านผู้เป็นเถระ  ผู้เป็น..รัตตัญญู  ผู้บวชมานานเป็นสังฆบิดร  เป็นสังฆปริณายก  และจักสำคัญถ้อยคำแห่งท่านเหล่านั้นว่า  เป็นถ้อยคำอันตนพึงเชื่อฟัง 

5. ไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหาที่เกิดขึ้นแล้ว  อันเป็นเหตุให้เกิดเป็นภพต่อไป 

6. จักพอใจอยู่ในเสนาสนะป่า (ป่า คือ สภาพความสงบ สงัดจากกิเลส) 

7. จักเข้าไปตั้งความระลึกถึงเฉพาะตนไว้ว่า..

ไฉนหนอ  เพื่อนพรหมจรรย์ ผู้มีศีลเป็นที่รัก  ที่ยังไม่มา..ขอจงมา    และที่มาแล้วพึงอยู่เป็นสุข 

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 21) 

 

พ่อครูว่า... คำว่า ยินดีในเสนาสนะป่า นี่แหละคำนี้เขาเอาเป็นคำไปใช้ยินดีในป่า อาตมาบอกว่า อาตมายินดีในเสนาสนะป่า แต่อาตมาไม่ไปบุกป่า แต่จิตอาตมายินดีในเสนาสนะป่า อาตมาจึงยืนยันและก็ทำจริง ทำไมสร้างป่าขึ้นในเมืองในกรุงเทพฯ ก็สร้างในที่ไหนๆ ก็สร้างทุกแห่ง ยิ่งบ้านราชฯนี้ อย่าว่าแต่สร้างป่าเลย สร้างภูเขาเลย สร้างลำธารแม่น้ำด้วย เท่าที่ทำได้ นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เราพูดเล่น ที่ไหนๆ ของชาวอโศกเราก็สร้างกัน อาตมาไม่อยู่ เขาก็เข้าใจ เขาก็ทำกัน ทำธรรมชาติ สร้างธรรมชาติ 

เพราะเราต้องเข้าใจ เราอยู่กับธรรมชาติ แล้วธรรมชาติมันสูญเสียไปจนกระทั่ง มันไม่เป็นธรรมชาติของคน ที่จะอยู่อย่างดี อยู่อย่างสมบูรณ์ มีการหมุนเวียน  มีการสังเคราะห์ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศมี  ไอน้ำพวกนี้ มันไม่เป็นธรรมชาติที่เป็น cyclic order ที่เป็นความหมุนเวียนที่เป็นระบบระเบียบขึ้นมา มันไม่เป็น 

อาตมาพาทำถึงเป็นอยู่สุข แล้วคนเขาจะไม่รู้สึกง่ายๆ แต่คนที่มีเซ้นส์ เขาก็จะรู้สึกว่า บ้านราชฯมีอากาศดีจัง ตื้นๆ ง่ายๆ อากาศดีจังก็ดี เราทำให้มีสิ่งที่หมุนเวียนอยู่พร้อม ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ได้สัดส่วนที่ดีๆ 

เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ มันเหมือนกับเรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ แต่มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่นะ อาตมาถึงบอกว่า ทำมาแต่ละแห่งๆ ที่ในดงคอนกรีต เมืองกรุงเทพฯก็ไปทำ ทำได้แค่นั้น ห่างออกมาหน่อย ปฐมอโศก มานครปฐม ก็ทำ ห่างออกไปอีกเป็นศาลีอโศก เป็นโคราชไปที่ไหนๆ เป็นชุมชนชาวอโศกก็ทำ กระจายออกไป ตามที่เราเข้าใจกัน ที่อาตมาพาทำ 

เกิดสภาพทั้งสิ่งแวดล้อม เป็นบรรยากาศที่อาตมาว่า ไม่สมบูรณ์แบบ ก็บริบูรณ์แบบล่ะ ช่วยกันทำ ซึ่งก็มีผู้ช่วยทำ อย่างเหน็ดๆ เหนื่อยๆ 

ถ้าใช้เงินจ้างทำจริงๆ แล้ว อาตมาไม่รู้จะขนเงินที่ไหนมาจ้าง พวกเราทำด้วยจิตวิญญาณ ด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มันเกินกว่า 

กรุงเทพฯมีคลองก็น้ำเน่า นี่พยายามจะปรับปรุงขึ้น ก็พอใช้ได้ แต่มันไม่ใสสะอาด เหมือนน้ำในบ้านราชฯ ใช่ไหม ไม่เหมือนเลย ก็ทำไม่ได้ เพราะว่ามันยากกว่า มันทำไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น คนจะค่อยๆเข้าใจว่า อ้อ..งานที่เราไปสร้าง สร้างอะไรก็แล้วแต่ สร้างแบบโลกๆ สร้างหอคอยใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมอะไรต่างๆ นานา พิลึกพิลืออะไรเกิดขึ้นมา อาตมาไม่ยี่เจ้ย เฮ้ยเท่าไหร่ How many เลย ใช้ภาษาต่างชาติหลายภาษา  How many ยี่เจ้ย เฮ้ยเท่าไหร่ อาตมาไม่ How many  ไม่ยี่เจ้ยเลย

เรามาทำสิ่งที่เหมือนมันเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูแปลก แต่ที่จริงไม่แปลกหรอกมันเป็นสัจจะ สร้างที่อยู่ที่กิน สร้างสัปปายะ เป็นเสนาสนะสัปปายะ แล้วเราก็มีคนที่เหมาะสม เป็นบุคคลสัปปายะอยู่ ถ้าไม่ใช่คนอย่างพวกคุณอยู่นี่ เละ มันก็จะเป็น สัปปาเละ ใช่ไหม ไม่รู้ค่า แต่พวกเรารู้ค่า ก็ทำกันขึ้นมาคนละไม้คนละมือ อะไรไม่ควรก็ปรามกัน อะไรที่ควรก็ส่งเสริมช่วยกันทำขึ้นมา 

ที่นี่เป็นที่น้ำท่วม หินไม่มีสักก้อน แต่เดิมเป็นที่น้ำท่วมมีแต่ขี้โคลน ขี้เลน มีไม้พุ่มไม้อุ่มอะไรอยู่ เละ ยิ่งหน้าฝนนี่ถ้าเผื่อว่าสมัยที่ยังไม่เป็นบ้านราชฯ เข้ามาไม่ได้หรอกอย่างนี้ เละๆ เทะๆ แต่นี่เป็นที่ๆ น่าอยู่  มีน้ำไหลใสสะอาด มีอากาศหมุนเวียนต่างๆ นานา 

ซึ่งพวกเราเข้าใจ ช่วยอาตมาทำมา ก็ขอบคุณจริงๆ เลย ให้เข้าใจ เข้าใจก็ช่วยกันทำมา ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกกันเท่าไหร่หรอก ในเมืองอุบลฯ นี่ เราเรียกง่ายๆ กันว่าที่นี่คือ สวนน้ำ ต่อไปในอนาคต คนที่มาอุบลฯ จะมาเที่ยวสวนน้ำ 

 ถ้าเราเก็บเงิน ถ้าเราโฆษณาอะไรต่ออะไรออกไป คนจะมามากกว่านี่แต่นี่เราไม่โฆษณา มันเลยเหมือนของไม่มีค่า นอกจากไม่โฆษณาแล้วฟรีด้วย เพราะฉะนั้น คนที่โง่ๆ ทั้งหลายแหล่ ก็จะบอกว่านี่ของไม่มีค่า คนที่โง่ๆ ทั้งหลายแหล่ พูดดังๆ ก็จะเห็นว่าเป็นของไม่มีค่า แต่คนที่ฉลาด บอก โอ้โห! 

อาตมาทำที่นี่เคยพูดไปว่า ที่นี่เป็นรีสอร์ท สุดยอดนะ ใครจะมาพักผ่อนที่รีสอร์ทนี้ เชิญ ฟรีด้วย ไม่รู้ค่า มีที่พัก รีสอร์ท ที่พักที่นี่ มีที่ให้พักเลย เรือนเรือรามจักร อย่างนี้เป็นต้น เรือนเรือ เชิญพักเลย เป็นที่รับแขก 

เรือโคกใต้ดินเสร็จ จะอลังการ มีหนุมาน มีหางใหญ่ อาตมายังเกรงว่ามันจะกระเดื่อง มีหนุมานตัวใหญ่ ควรจะมีแท่นตั้งและเชื่อมไว้กับเรือ ซึ่งเป็นงานใหญ่ ตอนนี้ก็ให้เขาทำคานที่จะอยู่ตั้งให้ได้ที่ สูงขึ้นมาเมตรกว่าๆ ก็ประมาณพอดี เพื่อที่จะให้ปั้นเป็นพื้นรองรับ แล้วเราจะไปปั้นคลื่นครอบ ตรงนี้อีก ถ้ามีปัญญาวาสนาจะทำได้ค่อยทำ เป็นคลื่นแบบ Idealistic ครอบเป็นหล่อโลหะทองเหลือง โอ้โห ไม่ใช่งานเล็กนะ เป็นงานใหญ่มากกว่าจะได้ ก็ค่อยๆว่ากัน ถ้าไม่ได้ก็เอาแค่เห็นไปวางก็ใช้ได้แล้ว 

แล้วก็จะมีหนุมานมีหางเรียบร้อย กว่าจะเสร็จก็คงอีกหลายปี คงไม่ถึง 10 ปีมั้ง ก็รอดูก็แล้วกัน อย่าเพิ่งรีบตายกัน เราก็ทำไปตามประสาเรา ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องต้องลงทุน ต้องเปลืองผลาญอะไร แต่เป็นเรื่อง Idealistic ของมนุษยชาติ เป็นเรื่องประดิดประดอย ไอเดียตามความคิดความเห็นทำไป ใครจะบอกว่าฟุ่มเฟือย ใครจะบอกว่าสร้างไปทำไม ก็ไม่มีปัญหาอะไร  ก็คุณไม่สร้าง คุณก็ไม่สร้างสิ แต่เราสร้าง เรื่องของคุณก็เรื่องของคุณ เรื่องของเรา ก็เรื่องของเรา เราเข้าใจ ไอ้ที่คุณพูดเราเข้าใจทั้งนั้น แต่เราก็ทำโดยที่ เราไม่ได้เป็นหนี้ ที่อาตมาทำอยู่นี่ ไม่ได้ไปเป็นหนี้ ไม่ได้ไปขูดรีด ไม่ได้ไปเรี่ยไร ทำเท่าที่มันเป็นไปได้ มีผู้เห็นดีเห็นงามร่วมด้วยเลยทำ ทำอย่างนั้นมาตลอด ไม่ได้ไปเรี่ยไร ไม่ได้ไปขูดรีด  ไม่ได้ไปหว่านล้อมอะไรมา ก็พูดให้เข้าใจ  เข้าใจเห็นดีด้วยก็ช่วย ไม่เข้าใจก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณก็อยู่เฉยๆ ได้ อยู่ทำร่วมได้ก็ร่วม อะไรคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่ร่วม คนที่เห็นด้วยเขาก็ร่วม ก็พอเป็นไป

ซึ่งมันก็เป็นไป มันก็ต้องมีที่จบของมัน รามจักรก็จบได้ เจิ้นเทิ่น ก็เสร็จ จบแล้ว อะไรต่างๆ พวกนี้ มันมีตัวไหนๆ ทำอยู่อย่างพอสมควร ก็จบของมัน เรือโคกใต้ดินจบก็จบ ไม่มีปัญหา จบแล้วก็จบ ยังไม่จบ ก็ทำไปให้มันจบ ให้เรียบร้อย

อาตมาที่ยังงงๆ ตัวเองอยู่ว่า ทำไมเกิดมาชาตินี้ เราจะต้องมาสะสมเรือ ศาสนาคริสต์ เขาก็มีเรือของเขา มีเรือโนอาห์และให้สัตว์เข้าไปได้อย่างละคู่ๆ เพื่อที่จะรอด เป็นอจินไตยชนิดหนึ่ง นอกจากมีเรือแล้วเกิดนาวาบุญนิยมมาก่อนนะ เป็นนามสกุล เป็นตระกูลเลย นาวาบุญนิยม นี่มันเป็น อจินไตย ที่อาตมาจะไม่พยายามไปนึกถึงมันมากมาย มันเป็นสัจจะหนึ่งเดียวขึ้นมาในโลก ไม่ว่าจะเป็นเทวนิยม   อเทวนิยมมันก็มารวมจุดที่ถ้าเข้าใจสัจจะ แล้วแต่คนจะใช้ แล้วใช้มันยังไง นาวา อย่างเรือโนอาห์เขาก็ใช้ของเขาไป ของเรานาวาบุญนิยม เราก็ใช้อย่างนาวาบุญนิยมของเรา แล้วก็เกิดนาวาบุญนิยม 

เรายังไงๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว สำนวน เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว นี่ตอนนี้ก็น้ำกำลังขึ้น ก็ไม่รู้ว่าปีนี้ มันจะท่วมอะไรท่าไหร่ เราก็คอยดูกัน มันก็มีอะไรให้พวกเราทำ สนุกไปตามประสาพวกเรา ซึ่งก็ไม่ได้ไปเดือดร้อนอะไรคนอื่น ที่จริงเราช่วยคนอื่นเสียด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้ว เราไม่ได้ไปรบกวนรัฐบาล เราไม่ได้รบกวนข้างเคียงอะไร เราก็เป็นอยู่ของเรา มีอยู่มีกิน สิ่งที่จะทำอะไรต่ออะไร 

แม้แต่น้ำดื่มเขาก็ยังมาเอาที่เรากันนะ นี่มีคนเอารถมารอ เอาน้ำดื่ม ที่อื่นเขาก็มีน้ำ น้ำวารินชำราบ แต่เขาก็เห็นว่าที่นี่มันดีตรงที่ว่า นอกจากจะน้ำดีมาแล้ว ต่อท่อมาตรงแล้ว จากน้ำแร่เลย เราก็ยังมีเครื่องกรองใส่แทงค์เอาไว้ให้ เขาก็มาเปิดเอาแกลลอนมาเปิดใส่สบาย ก็ดีเราไม่ได้หวงแหนอะไร เพราะว่าน้ำเราก็ได้ฟรี แล้วก็มาเข้าเครื่องกรอง ก็ได้อยู่ได้กินได้อาศัยไป ไม่ได้หวงแหน 

อาตมาว่าชีวิตอาตมาพาพวกเราทำอย่างไม่หวงแหน เรารู้สึกไหมว่า จิตที่ไม่หวงแหน มันเกิดจริงเป็นจริง มันไม่หวงแหน มันยินดีด้วยซ้ำไป ที่จะได้เผื่อแผ่ ใช่ไหม ยินดีที่จะได้เผื่อแผ่ เรามีอะไรเผื่อแผ่ได้ก็เผื่อแผ่ ไม่มีแล้วก็คือไม่มี มีเอาไปกินเผื่อแผ่ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2566 ( 20:59:28 )

660925

รายละเอียด

660925 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #42 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53549.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1TGTHL3QgqQeKB4sFkSj06nscegzWUqkq/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true  

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1HKjKMNC4mW_27POxJTxyyqatjFy2ia27/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660925-167-1--3--3-e29ogcu 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nh8JG6wETf/ 

  และ https://youtu.be/S8S3kmj2JY4 

มีซับ 

 

เพราะโลกุตตรธรรมเป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องพยายามเผยแพร่ให้ได้มากทุกทาง 

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

ทีนี้เราก็มาสู่การฟังธรรม พวกเรานี้เจริญเป็นคนเจริญ รู้จักสาระในสาระ รู้จักความสำคัญในความสำคัญ ที่ถูกต้อง การได้ฟังธรรม โดยเฉพาะเป็นธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนหาอาหารอันประเสริฐ ไม่มีอะไรมาเท่าเทียมที่เราได้ เราเป็นผู้รู้ เราก็รับเอาไป ผู้ที่ไม่รู้เขาก็เฉยเมย ไม่รู้สารู้สีอะไร ไม่ประสีประสาอะไร ทั้งๆ ที่เราส่งออกไปกระจายทางโทรทัศน์ พยายามจะให้ไปทางโทรทัศน์ เป็นทั้งพวกแบบส่งทาง Media ต่างๆ เดี๋ยวนี้เยอะแยะ รับได้ทางอินเตอร์เน็ต ทางอะไรต่ออะไรมากมาย ไม่ต้องไปเอาทางดาวเทียมก็ได้เยอะแยะมากมาย 

แต่เราก็พยายามให้มีดาวเทียมด้วยมันจะได้กว้างทั้งโลก หมุนรอบโลกเลย เราก็พยายามให้มันไปถึง ยอมเสียค่าดาวเทียมอยู่เดือนละหลายแสน ก็ต้องเอา เพื่อมนุษยชาติ ได้มากได้น้อยไม่มีปัญหาหรอก ได้น้อยแม้คนหนึ่ง 2 คน 5 คน 10 คนก็ถือว่าได้ ถือว่าประเสริฐ ราคามันเทียบกันไม่ได้เลย โลกุตรธรรม 

พยายามจะเรียกว่ายัดเยียด เราก็ยัดเยียด พยายาม แต่เราก็ไม่ไปแดกดันอะไรเขา ยัดเยียดแดกดัน เราก็กระจายออกไปธรรมชาติ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่จะใช้ปัญญาเต็มใจรับเอา ไม่รับเอาก็ของใครของมันจริงๆ 

 

มาเริ่มต้นที่ SMS :

_จาก ซึ้งซื่อ วิเชียร ครับ ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ เรื่องของฌาน โดยใช้จากอาหาร โดยสัมผัสที่ลิ้นของเราเอง 

พ่อครูว่า… การกินอาหารเป็นพฤติกรรมสามัญของมนุษยชาติ บางคนกิน 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง บางคนกินนับครั้งไม่ถ้วน พวกกินนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องไปพูดถึงเขาหรอกเพราะเขายังไม่สนใจ ขนาดคนที่ตั้งใจจะลดละน้อยครั้งน้อยมื้อลงมาแล้วพยายามพิจารณารายละเอียดยังมีอีกเยอะ

_เรื่องอาหารประจำวัน เรากินอาหารเพื่อเลี้ยงขันธ์ ด้วยการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ให้เกิดโทษ ระหว่างกินก็อ่านเวทนาว่าตัวอร่อยมันไม่มีจริง แต่ก็รู้รสว่ามีเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ก็คือรสแท้ที่รับรู้ได้ด้วยลิ้น กินเพื่อทำประโยชน์ นี่คือการใช้ปัญญาเพื่อทำฌาน

พ่อครูว่า… ถูกต้อง ทำฌานไม่ใช่เรื่องพิลึกพิลือไปนั่งหลับตาเข้าไปเป็นหนึ่ง เขาก็อาศัยคำว่าความเป็นหนึ่ง แต่มันเป็นหนึ่งชนิดแบบของเขามันผิด ค่อยๆ ศึกษาไป พูดมามากแล้ว 

_ลด ละ กิเลสต่อไป ไม่ต้องไปติดรส วางใจให้เป็นกลาง ไม่สุข ไม่ทุกข์ครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

 พ่อครูว่า… ดี..พยายามทำไปให้ละเอียดๆ มันมีความหลงผิดแทรกๆแซงๆ อยู่ไม่น้อยนะ พยายามศึกษาให้ละเอียดลออไปตามขั้นตามตอน แล้วเราจะรู้ว่า..โอ้โห แม้แต่ทางที่ถูกต้องนี้ยังมีมารหลอกให้หลงทางอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เหมือนกัน 

 

อยู่ช่วยทางบ้านหรือมาวัดดีถ้าจะเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ

_กราบนมัสการ พ่อท่านที่เคารพสูงยิ่งค่ะ และกราบสมณะ และสิกขมาตุ และญาติธรรมทุกคนค่ะ  ดิฉันเข่ง ใจแก้ว จะมาเล่า

สภาวจิตที่มาอยู่นอกวัด

จากบ้านราช มีอาการจิตไม่เหมือนอยู่บ้านราชธานี ตื่นเช้าขึ้นก็ได้ทำกิจวัตรฟังธรรมกับหมู่คนมีศีล มีธรรม ต่างคนต่างสำรวมกรรมของตัวเอง เป็นคนมีวรรณะ 9 อยู่ด้วยกันแล้วอบอุ่นค่ะ ดิฉันตั้งใจจะมาช่วยให้พี่น้อง ลูกหลานเห็นสัจธรรมที่แท้จริงของอโศกบ้าง ครั้งนี้มาอยู่นานหน่อย แต่พออยู่ ดูแล้วจะช่วยคนทางโลกีย์นั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะคนทางโลกบูชาเงินทองเป็นพระเจ้า ส่วนคนโลกุตระ บูชาธรรมเป็นที่พี่ง ตื่นเช้ามาก็พูดเรื่อง เงินๆ ทองๆ แต่พวกเราตื่นขึ้นมาก็ไปฟังธรรมให้ลดละกิเลสมาเป็นคนจน คนทางโลกกับคนทางธรรม พูดไปคนละทางค่ะ  ดิฉันที่มาครั้งนี้มาศึกษาฝึกช่วยญาติใกล้ตัวก่อน ฝึกมาเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ ค่ะ แต่แล้วพอเจอผัสสะไปแตะกิเลสสิ่งที่เขารักเข้า เขาก็โต้ตอบกลับ ถ้าดิฉันไม่อดทนและแล้วต้องให้อภัยเพิ่มเมตตาขึ้น ดิฉันท้อแน่ๆ ดิฉันว่าทำงานกับวัตถุ มันไม่ยากเท่ากับทำงานช่วยคนนั้นแสนจะยากๆ มากๆ ค่ะ ดิฉันเข้าใจชัดเจนพระโพธิสัตว์ใหญ่ พระโพธิสัตว์เล็กก็ต้องถูกด่า ถูกว่า เพราะให้คนลดละกิเลส ไปช่วยเขา แต่คนเขาคิดว่าไปว่าเขาด่าเขาค่ะ 

กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า...ตอนนี้ก็ คุณเข่งนี่เขาก็ได้ไปมีประสบการณ์ ประสบการณ์จริง ก็อยากจะช่วยพี่ช่วยน้องนะ พี่น้องแท้ๆเขา..สายโลหิต พี่น้องเขาก็เรียกร้องให้ไปบ้าง ฐานะของพี่น้องเขาก็เป็นเศรษฐีร้านทอง ที่ปาดังเบซาร์ เป็นเศรษฐีร้านทองมานานปีเลยนะ อายุของเข่งเขาก็ 70 กว่าแล้ว พี่เขาทั้งนั้น คิดดูสิอายุเท่าไหร่ พี่เขาก็ตั้งเท่าไหร่ ลูกหลานเขาต่างก็อยู่ที่นั่น เขาก็อยู่กับโลกีย์อย่างเต็มรูป เขาก็พยายามฝึกฝนตัวเขา ฝึกเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ อย่างที่ว่า 

ตื่นเช้ามาเขาบูชาแต่เงินแต่ทอง ที่นี่ตื่นเช้ามาก็ฟังธรรม เงินทองไม่ได้แยแส ไม่ได้คำนึงอะไร ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  เรื่องบุญก็ศึกษาเอาของใครของมัน มันก็สบายพวกเรานี่นะ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บรรลุธรรมไปตามวรรณะ 9 หรือว่าพุทธพจน์ 7 แท้ๆ จริงๆ ของเรามันก็จริง พิสูจน์อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันตรง มันจริง มันมีมรรคผลจริงไหม ก็ว่ากันไป 

นี่ก็เป็นการรายงานผลที่มีประสบการณ์ของคนพวกเรานี่แหละยังแข็งแรง ยังจะสู้อยู่ จะช่วยพี่น้องตามที่หวัง เมื่อไหร่มันหมดหวังหรือว่า โอ้โห.. หรือว่า พอแล้ว พอแล้ว หวังได้แค่นี้ก็เอาแล้ว เมื่อยแล้วไม่ไหวแล้วก็มา ถ้าเผื่อว่ายังสู้กันอยู่ จะอยู่สู้กัน อยู่ช่วยพี่ช่วยน้องอยู่ก็เอา ลองดูเป็นโพธิสัตว์ในหมู่นั้น 

ที่จริงการช่วยพี่ ช่วยน้อง ช่วยยากเพราะว่าถือว่าเป็นพี่เป็นน้องมันสนิทสนม ยิ่งเป็นพี่ด้วย..โอ้โห..ไม่ง่ายหรอก ช่วยพี่หรือว่าช่วยพ่อช่วยแม่ด้วย..ยาก มาช่วยเพื่อนๆ หรือผู้ที่เคารพนับถือเราเป็นผู้พี่ผู้พ่อผู้แม่อะไรอย่างนี้ ยังจะมีมรรคมีผล มีประโยชน์ ก็ไม่เป็นไร จะได้ทั้งสองด้านกุศลอย่างที่เข่งเขาทำก็ได้  มาฝึกอย่างที่พวกเราอยู่กันที่นี่ก็ได้ ก็ว่าไป ที่นี่ก็ยังกว้างกว่า ที่พี่น้องก็อยู่แคบใช่ไหม ก็ได้อยู่กับพี่กับน้องก็ไม่ได้ หมายความว่าจะพูดอยู่กับแต่พี่แต่น้อง จะพูดจาปราศรัยคบหากันอยู่แต่พี่แต่น้อง ก็ต้องมีเพื่อนฝูงมิตรสหายคนอื่นอยู่บ้าง ก็มีคนที่นั่น อาจจะมีคนสนใจกว่าพี่น้องก็ได้อยู่ จะทำงานอยู่อย่างนั้นก็ได้ แต่ไหวไหมล่ะคนเดียว คนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็มา ไม่มีปัญหาหรอกที่นี่ 

 

รูปกลับเป็นนาม และนามกลับเป็นรูปได้ เช่นใด

_พลัธ รัตนวัชรินทร์ . กราบนมัสการพ่อท่าน รบกวนท่านพ่อ ยกตัวอย่าง “รูปกลายเป็นนาม” ให้ผมเห็นได้ชัดไปหน่อยครับ ขอบคุณครับ

พ่อครูว่า… ฟังดีๆ รูปกลายเป็นนามนี่ อาตมาอธิบายตั้งแต่เขียนหนังสือธรรมะเล่มแรก คือหนังสือที่ชื่อว่า “คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก” หนังสือธรรมะที่บรรจงเขียนเป็นเล่มแรกในชีวิต เป็นธรรมะเล่มแรก แล้วก็อธิบายขยายความประเด็นนี้ คนสงสัยและติดขัดและถึงขั้นไม่เชื่อ ก็รูปก็รูป นามก็นาม คนมันก็จะยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น รูปจะกลายเป็นนามนามและนามจะกลายเป็นรูป แล้วจะไปยังไง มันจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ไง กลับกลอกหรือเปล่า สับสนหรือเปล่า มันเป็นสัจจะ 

ฟังอาตมาจะอธิบายสรุปให้ฟังง่ายๆ 

รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ หิน นี่มันเป็นรูป มันถูกเราคือใช้จิต ใช้วิญญาณ ใช้นามธรรมของเรา ตัวรู้ ธาตุรู้ของเรามาสัมผัสมัน มันก็เป็นรูป จิตเราก็เป็นนาม 

ทีนี้มันลึกซึ้งขึ้น ไอ้นี่มันเป็นรูปภายนอก ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันกระทบของภายนอก ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ภายนอก นั่นก็เป็นขั้นหยาบ ขั้นแรก  ขั้นต้น มันไม่มีปัญหา ก็คงเข้าใจได้ อธิบายไปแล้ว และก็คงเข้าใจกันได้ไม่ยากอะไร

ทีนี้เรียกภาษาว่า รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ อีกแหละ ทีนี้นามธรรมของเราที่มันรู้ เช่น มันรู้หินก้อนนี้แหละ นามธรรมที่ไปรู้หินตัวนี้ เสร็จแล้วเราก็ไปกระทบนามธรรมของเราข้างใน แล้วเราก็อ่านนามธรรมข้างในของเรา อ๋อ.. นามธรรมของเรามันมารู้ตัวนี้ เราก็รู้แล้วตัวนี้มันเป็นรูป รูปยังไงมันก็คืออย่างนั้น ใครที่ตาไม่เพี้ยนไม่บอดไม่เบี้ยวอะไรก็เห็นตรงกันหมด รูปก็เห็นตรงกันหมด 

แต่นามธรรมของเรารับรู้นี่ เราเรียกกันนี้ว่า จิต เป็นนามธรรมคือจิตกระทบรู้  แล้วจิตของเรานี่แหละ แยกย่อยเป็นเจตสิก เป็นเวทนาเจตสิก เป็นต้น มันมีเวทนา สัญญา สังขารก็ตาม 

เวทนา คือความรู้สึกเลย ความรู้สึกมันรู้สึก แล้วความรู้สึกมันปรุงแต่งวับเลย ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ มี 3 นัย ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆกลางๆ 

กลางๆ ประเภทบื้อๆ การปฏิบัติหลับตาก็เรียกว่าเป็นกิเลสเหมือนกัน แต่ยังไม่ต้องอธิบาย อ่านชอบหรือไม่ชอบก่อน 

ไอ้ชอบหรือไม่ชอบนี่แหละ เราจะต้องวิจัยตัวนี้ แยกให้ออก เวทนาในเวทนา ศัพท์ของภาษาวิชาการ เวทนา คือความรู้สึก คือธาตุรับรู้สึก รู้สึกว่าสวยหรือไม่สวย  ชอบหรือไม่ชอบ คืออาการเวทนาของเรา ชอบก็เป็นสุข ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ ไม่ชอบก็ผลัก ชอบก็ดูด ถ้าไปหลับตาเอาไม่ใช่ของจริง 

ไม่ว่าจะเป็นพวกหลับตาเข้าป่าหรืออยู่ในเมือง เขาอยากได้นิพพาน อาตมาก็สุดสงสาร อยากจะให้มีปัญญาแต่ก็ไปบังคับเขาไม่ได้พยายามจะเน้นขยาย อธิบายและก็ยืนยัน เชิญให้มาพิสูจน์เข้ามาสิลองดูแต่เพราะไปถูกครอบงำ ....

ตามอาณิสูตร ว่ามันจะเสื่อมแล้วมันก็ถึงยุคเสื่อมจริงๆ ในอนาคต นี่คือยุคเสื่อม เสื่อมให้เห็น เห็นจนไม่มีโลกุตรธรรม อาตมาอธิบายมาหมดแล้วยืนยัน โลกุตรธรรมไม่มี อาตมาต้องบังอาจประกาศตัวเองว่า อาตมานี่แหละนำโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในยุคนี้ มาเป็นผู้กอบกู้ศาสนาพุทธ จนสำเร็จ
สำเร็จอย่างไร สำเร็จจนมีผู้รับรู้รับเข้าใจ แล้วมาปฏิบัติตามแล้วก็บรรลุมรรคผลเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง ตามที่อาตมายืนยันว่ามีอรหันต์จริงในชาวอโศก มีโพธิสัตว์ด้วย ขยายความโพธิสัตว์และอรหันต์มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันยังไง ก็พูดไปแล้ว หลายรอบหลายที ละเอียดลออพอไม่ใช่น้อยแล้ว จนกระทั่งป่านนี้แล้วอายุ 90 ย่างแล้ว มันก็ชะลอความตายอยู่ตอนนี้ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะตายจะหยุด จะลองพยายามดันทุรัง  ขออภัย ดันสุรัง ไม่ใช่ดันทุรัง แต่ดันสุรัง อาตมาไม่ได้ดัน ทุ นะ ทุ มันไม่ดี แต่ดัน สุ พยายามดัน 

คือพยายามฝืน พยายามที่จะทำ ต่อให้มันได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นการช่วยธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ เป็นการช่วยมนุษยชาติจริงๆ จังๆ นี่แหละ แล้วเราก็จะมีทักษะจะมีความชำนาญ มีอะไรต่ออะไรเจริญขึ้นด้วย ก็ไม่ได้มีความเสียหายอะไรเลยมีแต่เรื่องดี แม้อาตมาจะถูกด่า ถูกว่า ถูกตำหนิอะไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาก็ชัดเจนก็เข้าใจอยู่ว่า คนไม่รู้เขาก็ต้องด่า ไม่รู้ประสีประสาเหมือนอย่างเด็กๆ 

เด็กๆ ไม่รู้สีรู้สาอะไรเราก็ทำดีให้เขาหวังดีทำให้เขา ดีไม่ดีเขาก็มาทุบมาตีเรา มาว่ามาด่าเราเอาด้วยซ้ำ เด็กๆ มันก็จริงๆ ของเขา เขาไม่รู้เรื่อง คือไม่เดียงสา เขาไม่รู้ไปโกรธเขาไม่ได้ 

ไม่เดียงสานี่ก็คือยังอ่อนยังเยาว์หรือยังโง่ ยังด้อยยังน้อยเขาเข้าใจไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ไปโกรธใครๆ ในโลก อย่าว่าแต่เขาไม่เดียงสา แม้แต่เป็นศัตรูจะมาฆ่าเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขา ที่อาตมาพูดนี้เป็นการพูดด้วยสัจจะ 

แม้คนจะมาฆ่าเราก็ไม่ไปโกรธเพราะเขาไม่รู้ จะไปโกรธได้ยังไง ไปโกรธคนโง่ คนบ้า คนเมา แค่ 3 อย่างนี้ก็เหลือแหล่แล้ว  คนโง่  คนบ้า  คนเมาไปโกรธเขาได้ยังไง เขาไม่รู้จริงๆ เขาไม่มีสติสตังค์ สติเขาไม่เต็ม ความรู้เขาไม่พอ มันไปโกรธเขาไม่ได้ อันนี้เป็นสัจจะที่รู้จริงๆ แล้วอาตมาว่า 

หรือเรารู้แล้วว่าอาการโกรธนี้จะไปทำขึ้นใส่จิตเราแม้น้อย..ทำขึ้นไปทำไม ทำขึ้นไปก็กรรมเป็นอันทำ คนโง่อยู่ก็ทำ เพราะฉะนั้นการทำใจในใจมนสิการ จึงเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมแท้ๆ เป็นมูล ในต้นเค้าธรรมะข้อที่ 2 เลย มีความยินดีเป็นฉันทะข้อที่ 1 มีการปฏิบัติกระทำใจในใจ มนสิการ เป็นข้อที่ 2 มนสิการ ข้อที่ 3 มีผัสสะ 

สำคัญมากเลยแค่ 3 ข้อนี้ ไม่ยินดี ไม่มีฉันทะปฏิบัติธรรมโลกุตระไม่ได้ ยินดีน้อยๆ ก็ยังไม่พอ ต้องยินดีเกิน 50% ที่จริงต้องเกิน 75% ขึ้นไปแล้วจะปฏิบัติธรรมได้อย่างดีมาก แต่เราบังคับไม่ได้ความยินดีของคน เขาไม่ยินดีแล้วจะทำยังไง มันต้องเกิดจริงในจิตฉันทะคือเป็นตัวแรกของมูลสูตร 10 เลย เห็นไหมสำคัญมาก 

ต่อมาก็ต้องทำใจในใจเป็น อาตมาใช้คำว่า ทำใจในใจเป็น ทำใจในใจถูกต้อง ทำใจในใจตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วพวกนี้จะเกิดที่แดนเกิดหรือ สัมภวะหรือปภวะ 

ถ้าไม่มีผัสสะก็เลิก ไปหลับตา ปิดตา หู จมูก ลิ้น กายก็โมฆะเลย มันก็จะต้องย้ำปากเปียกปากแฉะเรื่องนี้อีก เอาล่ะ เรื่องมูลสูตรพอ 

ต้องมีผัสสะจึงจะปฏิบัติเวทนา 108 

เมื่อกี้สรุปหรือยังเรื่องรูปนาม 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเพิ่งอธิบายนามเป็นรูปครับ 

พ่อครูว่า... รูปก็คือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อมันถูกรู้ภายนอก อันนี้มันไม่กลับไปเป็นนามได้หรอก วัตถุข้างนอกมันไม่สามารถเป็นนามได้ แม้แต่คน เขาก็มีนามในตัวของเขา เราหยั่งรู้จิตของคนข้างนอก..มันก็เป็นรูป เราหยั่งรู้จิตของคนอื่นมันไม่ง่ายหรอก แต่มันก็สามารถรู้ได้ คุณรู้ได้ในจิตของคนอื่น เราไปรู้จิตของคนอื่น จิตของคนอื่นก็ชื่อว่ารูปที่เราเป็นนาม ธาตุรู้ของเราไปรู้ว่าอันนั้นเป็นรูป จิตของเขานะ 

ทีนี้จิตของเรา จิตที่เกี่ยวกับวัตถุภายนอกนี้ เราเรียกว่า กามภพ เราก็เรียนรู้กิเลสที่กามนี้ให้ได้ แล้วเราก็กำจัดกามกิเลสนี้ให้ได้ รูปนี้เราก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีชอบ ไม่มีชังกับมันแล้ว..เป็นอนาคามีภูมิขึ้นไป 

ทีนี้ก็เหลือรูป รูปราคะ อรูปราคะ ข้างในต่อไป เราก็ไปรู้รูป รูปราคะนั่นแหละ มันเป็นนาม แต่เราจะต้องมีปัญญาญานหยั่งรู้ รูปราคะ เขาเรียกว่ารูปอยู่นั่นแหละ รูป รูปราคะ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยญาณปัญญา โดยวิปัสสนาญาณของเราอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น รูปราคะ ก็กลายมาเป็นรูปที่มันคือนาม มันเป็นรูปราคะ มันไม่ใช่กามราคะข้างนอกนี่แล้วทางทวาร 5 แต่มันเป็นทวารจิต เป็นรูปราคะเป็นต้น

อรูปราคะ ก็ละเอียดขึ้นไปอีก ก็เหมือนกันนั่นแหละ พ้นรูปราคะได้ คุณหมดกิเลสรูปราคะได้ คุณจึงจะไปถึงขั้น อรูปราคะ มันเป็นขั้นตอนอย่างนี้ 

และในขณะที่คุณมี รูปราคะ ไม่ได้หมายความว่าคุณหลับตานะ คุณก็ลืมตาเรื่องเก่านี่แหละ เช่น ไอ้หินลูกนี้ คุณพ้นแล้วกามราคะ ไม่มีรักมีชัง ไม่มีผลักมีดูด เฉยๆ แต่ รูปราคะ คุณยังมีน้อยๆ ผลักดูดที่คุณจับรูปได้ชัด จึงเรียกว่า รูปราคะ จับรูปของจิตในจิต 

ข้างนอกนี่คุณเองเฉยแล้ว ได้ไม่ได้ ถ้าเป็นประโยชน์จะได้ก็เอา ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทุกข์ได้สุขอะไรกับไอ้สิ่งข้างนอก แต่ อารมณ์หรืออาการข้างในจิตของเรา รูปราคะของเรา มันยังมีอยู่ 

เพราะฉะนั้น รูปกลายเป็นนามก็อย่างนี้ รูปข้างนอกหมดไปแล้ว เหลือเป็นรูปข้างในที่เรารู้มันได้ มันก็เป็นรูป รูปกลายเป็นนาม นามมันกลายเป็นรูป มันก็รู้ซ้อนขึ้น ที่ถูกรู้เรียกว่า รูป ความรู้สึกเรียกว่านาม ที่ถูกรู้หรือที่เรารู้สัญญา เวทนา สัญญาก็คือตัวกำหนดรู้ เวทนาก็คือความรู้สึก ตัวรู้สึกเอง อันนั้นเป็นนาม ที่ถูกรู้ 

เพราะฉะนั้น เวทนาที่เป็นของแท้ กับ เวทนาที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ของแท้กับสุข ทุกข์ ต่างกันใช่ไหม เวทนารู้อันนี้หินกลมๆ อันนี้คือหินกลมๆ ของแท้ ชอบหรือไม่ชอบ เป็นของเก๊ หรือเป็นตัวที่จะถูกรู้อาการชอบหรือไม่ชอบ ไอ้ของเก๊นี้ 

ที่ถูกรู้เพราะมันเป็นนาม แต่ มันถูกรู้เข้า มันเป็นรูป มันถูกญานปัญญาตั้งแต่สัญญากำหนดรู้ จนกระทั่งถึงความฉลาดปัญญาว่า อ๋อ.. ไอ้นี่คือผี มาร เอง  ไอ้นี่ตัวเก๊ ตัวปลอมไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงมันก็คือของจริงเท่านี้ แขก ฝรั่ง จีน ไทย เขมร กระทบรู้สึกเดียวกันหมด แปลภาษาจะต่างกันเท่านั้น ภาษาต่างกันไปแต่ความรู้สึกเดียวกันตรงกันหมด เวทนาตรงกันหมด 

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวเก๊ อาการเก๊กับอาการของแท้ได้ เราทำของเก๊ด้วยปัญญานี่ เฮ้ย! เอ็งเก๊ อาตมาอธิบายมาแล้ว ปัญญามีธรรมฤทธิ์ ไอ้ตัวโง่..มันเจอกับปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์ก็บอกว่า..เฮ้ย! ปัญญาเห็นหน้าเราแล้ว รู้จักเราแล้ว มันวิ่งตูดแป้น อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ในมารสังยุต มารวิ่งหนีไป จะใช้คำว่า ตถาคตเห็นเราแล้ว มารวิ่งหนีมารก็หายไป หรือไง มารหายวับไปเลย นี่แหละคือตัวปัญญา ตถาคตคือปัญญา เห็นไอ้สิ่งที่มันเป็นของเก๊ มันเป็นตัวหลอก มันหายไปเลย 

นี่อธิบายเป็นภาษาไทย อธิบายเป็นสภาวะ ขยายโดยภาษาที่อาตมาใช้ ไม่ใช่ภาษาตามพระไตรปิฎกคำต่อคำเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้น รูปกลายเป็นนาม นามกลายเป็นรูปนั้นก็คือเป็นเรื่องของ ภาวะสภาวธรรมที่มันกลับไปกลับมาได้ แต่ตัวญานปัญญาตัวธาตุรู้ที่รู้ชัดรู้เจนนี่แหละ ที่อาตมาอธิบายความไม่คงที่เหมือนกลับไปกลับมา เดี๋ยวนามเป็นรูป เดี๋ยวรูปเป็นนาม ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก มีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี อะไรสลับกันอยู่นี่มันเป็นพยัญชนะที่แทนสภาวะ ที่ต้องศึกษาดีๆ แล้วเราจะเข้าใจว่า อ๋อ เมื่อไหร่มันเป็นตัวจริง เมื่อไหร่มันเป็นตัวเก๊ 

เพราะฉะนั้น จิตผู้ใดที่สามารถจับความเกิด ความดับ หรือความเก๊ ความจริงนี้ได้ 2 สภาวะ จิตนั่นแหละ เรารู้ทันมายา เรียกด้วยศัพท์ว่า “สิริมหามายา” รู้ทันมายา 

คำว่าเป็นมายาคือ สัจจะชนิดที่ครองโลกคือความหลอก มายาคือความหลอก เป็นสัจจะครองโลกถือว่าเป็นความหลอกที่เป็นความจริงที่เก๊ ความจริงครองโลก 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ความจริง จริงๆ แล้ว มันคือสิ่งที่กลับไปกลับมาอยู่ 2 อัน เพราะฉะนั้นยึดมั่นถือมั่นมันไม่ได้ เมื่อใดมันมีประโยชน์ก็ใช้มัน เมื่อใดมันไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องไปใช้มัน แม้มันมีประโยชน์ใช้มันก็อย่าไปเชื่อมันอีก มันจะหลอกเราอีกได้ กลับกลอกได้อีก ก็แค่อาศัย อย่าไปสั่งสมลงใส่จิตให้เป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัย ขยายความ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย มาหลายทีแล้ว สยะ 

ตั้งแต่ อาสยะ นิสยะ วิสยะ และก็อนุสยะ วันนี้ไม่ลงรายละเอียดอันนี้ ไปค้นหาอ่าน ฟังก็ได้ เดี๋ยวนี้เขามีเสียงอะไรกันเยอะ 

สรุปแล้ว ตัวอย่างรูปกลายเป็นนาม หรือนามกลายเป็นรูป พอเข้าใจไหม คุณพลัธ นี่ ยกตัวอย่างให้ฟัง 

เพราะฉะนั้น คนที่มาเข้าใจธรรมะอย่างที่ว่านี้ มันเป็นอัตตาอนัตตา มันเป็นตัวสิริมหามายาหรือเป็นมายา เรามีปัญญาญาณที่จะรู้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่เราจะอาศัย ถือว่าความจริงก็เป็นความจริงลำลอง เป็นความจริงที่เราใช้อาศัย บางอย่างอาศัยนาน บางอย่างอาศัยชั่วคราว อาศัยสั้น อาศัยยาวไปเป็นธรรมชาติธรรมดาตลอดกาล เอ้า..ศึกษาดีๆ ผู้ที่เริ่มมาศึกษาอาตมาก็ยินดีต้อนรับ เริ่มเข้าใจ ผู้ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าก็อนุโมทนาสาธุ ยินดีด้วยอย่างมาก 

_นพดล ทองโคตร สร้างชุมชน บนเทือกเขา ให้มีป่าอุดมสมบูรณ์ มีสาธารณโภคีแบบบ้านราชได้มั้ยขอรับพ่อครู คล้ายๆ ชนเผ่าหรรษา แต่มีโลกุตระ มีศีลบังเกิดในสังคม อย่างแจ้งชัด

พ่อครูว่า…ในเมืองก็สร้างได้ไปทำทำไมบนเทือกเขา บนเทือกเขาก็คนน้อย ไม่มากหรอกคน ไปทำบนเทือกเขาทำไม ไปทำก็ทำได้ ข้างล่างก็มีงานเยอะแยะให้ทำ ทำได้แต่ว่าจะไปทำทำไม มันมีผลน้อย เรามาทำอยู่ที่นี่ ผลมีมากมีใหญ่เยอะแยะ อย่างภูเขาอาตมาก็สร้างขึ้น มีเขาน้อยๆ ก็สร้างธรรมชาติก็จะพากันสร้าง แต่ที่อยู่อาศัยก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเขาขึ้นให้เมื่อยทำไม เอาละก็เป็นความคิด เป็นความเห็นของคนนพดล 

 

ตำรวจทหารต้องฆ่าโจรจะมีวิบากไหม

_ช่อทิพ หนูทอง . ตำรวจที่ ไม่ทุจริต ต้องฆ่าโจรเมื่อจำเป็น เรียนถามพ่อครูว่า

1. เขาต้องรับวิบากจากการผิดศีลข้อ 1 หรือไม่

พ่อครูว่า…ตอบ รับ มีกรรมมีวิบาก เดี๋ยวอธิบายได้ ขยายต่อไป 

2.ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังโปรดทุกคนให้เป็นอรหันต์ไม่ได้ ถ้าไม่ปราบโจรรุนแรง คนดีจะถูกทำร้ายเรื่อยไป ถ้ากลัววิบากจากผิดศีลข้อ 1 สังคมจะสงบสุขได้อย่างไรคะ?

พ่อครูว่า…ก็จริงของคุณอีก ตำรวจต้องฆ่าคน เป็นวิบากของตำรวจ แต่ผลดีเป็นกุศล กุศลคือผลดี ผลดีของตำรวจคือช่วยสังคม  ให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยการปราบคนร้าย ปราบคนทุจริต มันก็มีกุศล กุศลมีทั้งดีทั้งชั่วคู่กัน ดี-ชั่วคู่กันนี้ แตกต่างจากสุขกับทุกข์ สุข-ทุกข์เป็นโลกุตระ ดีชั่วเป็นโลกียะ โลกียะเป็นสิ่งอาศัย สุข-ทุกข์เป็นของไม่ต้องอาศัยเลย พระอรหันต์ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ ไม่ต้องไปอาศัยสุขทุกข์ จิตกลางๆ แล้วก็จบกิจเลย 

เพราะฉะนั้น ตรงสุข-ทุกข์นี้ จึงเป็นโลกุตระยิ่งยอดที่บรรลุได้แล้ว จบกิจ จบทุกอย่างเลยในการที่จะจัดการกับจิตวิญญาณหรืออัตตา 

เพราะคนมันโง่กับสุขนี่แหละ จึงเรียกว่า สุขนิยม เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้โลกุตระนี้จึงติดสุข สุขมากสุขน้อยอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่รู้แจ้งรู้จริงรู้จบจริงๆ แล้วล่ะก็ มันไม่หยุดหรอก มันไม่เกิดปัญญาทะลุโลกเลย มันจะต้องมาศึกษา ถ้าศึกษาสุข-ทุกข์แล้ว ล้างสุข-ทุกข์ออกไปจากจิตได้เลย นี่แหละคือตัวจบสำคัญ ที่เราจะสลายกิเลส แล้วก็สลายอัตตา สลายจิตนิยามจิตวิญญาณของเราเป็นดินน้ำไฟลม ไม่ต้องมาเกิดวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้อีกเลยได้ 

หรือคุณจะเกิดอยู่ก็เกิดได้ แต่ปัญญาญาณที่มันรู้แล้วว่า ดีชั่วคืออะไร ไม่ทำชั่วเลย สัพพะปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสะลัสสูปสัมปะทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) ทำแต่ดีเป็นสัจจะของศาสนาพุทธ ที่ทำดีเที่ยง เกิดอีกกี่ชาติก็ทำแต่ดีไม่ทำชั่วอีกแล้ว แต่โลกียะนั้นจะเกิดวนเวียนแล้วทำดี-ทำชั่วสลับกันไป โง่แล้วก็ฉลาดอย่างโลกีย์ไม่เที่ยง เป็นสมบัติผลัดกันชม ดีแล้วก็ชั่ว ชั่วแล้วมาดี ไม่เที่ยงแท้ ไม่มีปัญญาญานรู้จักชัดเจนในเรื่องดีแท้เป็นอย่างไร ชั่วแท้เป็นอย่างไร ​ซึ่งเป็นสมมุติ กลับไปกลับมาตามสังคมแต่ละกลุ่ม แล้วแต่กาละ เทศะ ฐานะ ของแต่ละกลุ่ม สมมุติไม่เท่ากัน สมมุติไม่เหมือนกัน 

อันนั้นก็เรียนรู้ได้ แล้วทำดีตามสมมุติของโลกเขา ก็คือรู้โลก รู้อัตตา รู้ชัดเจนครบ จึงไม่สับสน ยืนยันเป็นคนมีหลักประกันว่า เกิดอีกกี่ชาติก็มีแต่ดี ส่วนสุข-ทุกข์นั้น คุณบรรลุธรรม บรรลุอรหันต์แล้วดับสุขดับทุกข์ได้แล้ว คุณจะอยู่ช่วยโลกเขา จะอยู่สอนคนอื่น จะอยู่ช่วยคนอื่นให้รับรู้ตาม จะทำประโยชน์ หรือบำเพ็ญธรรมให้มันเจริญขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะมีขั้น มีตอน อย่างที่อาตมาก็ขยายไปหมดแล้ว โพธิสัตว์กี่ชั้น อรหันต์กี่ชั้น ก็ขยายความไว้มากมายแล้ว 

เพราะฉะนั้น คุณจะอยู่ ทำประโยชน์อยู่ ก็ทำไป แม้แต่ที่สุดไปถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้า อาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าแต่รู้พิมพ์เขียว รู้แผนที่ไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นสิทธิของอาตมา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สร้างศาสนาขึ้นมาในโลก 1 ครั้งแล้วก็พอแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย..ไม่มี.. เพราะรู้ความจริงแล้วว่า ท่านก็ผ่านโพธิสัตว์มา สอนคนมา รื้อขนสัตว์มาเหน็ดเหนื่อย  เหนื่อย 

อย่างอาตมานี่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เหนื่อย ถ้าอาตมาไม่ตั้งปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้านะ อาตมาก็ปรินิพพานไปแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปแล้ว แต่นี่อาตมาก็ 

1.เป็นภาระที่ต้องต่อภพต่อศาสนาพระพุทธเจ้าไปให้ถึง 5,000 ปี 

2. อาตมาก็ตั้งปณิธานไปเป็นพระพุทธเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น อาตมาจึงจำนนอยู่ ทุกวันนี้พยายามพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก การฝืนสังขารขันธ์ ฝืนการลากสังขาร ที่พูดหลายทีแล้ว พยายาม..เป็นได้พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ ผู้ที่จะให้อายุยืนยาวกว่ากัป ก็ทำได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเกินสามัญของมนุษย์ธรรมดาที่จะรู้ได้ ทำได้ เป็นได้ ก็มาพิสูจน์สิ คนที่อยากจะรู้ว่าโลกุตระนี้ เป็นธรรมะที่เหนือโลกียะอย่างไร เชิญมาพิสูจน์นะ 

ต่อของคุณช่อทิพย์อีกว่า คนที่ยังวนอยู่ในวงวัฏฏะ ต้องไปเป็นทหาร เป็นตำรวจอยู่ ต้องฆ่าโจร เขาได้กุศล แต่ไม่รับวิบากไม่ได้ มีวิบาก เพราะฉะนั้น คุณยังชอบอาชีพ คุณยังอยู่ในกรรมวิบากในภารกิจที่คุณเป็นจริงอย่างนั้น..คุณต้องทำ 

เพราะฉะนั้น ผู้รู้แล้วไม่ไปเป็น ไม่ไปเป็นตำรวจ ไม่ไปเป็นทหาร รู้ตั้งแต่ไม่ไปเป็นชาวประมง ไม่ไปเป็นชาวปศุสัตว์ที่ต้องฆ่าสัตว์ ต้องฆ่าปลา..ไม่ไปเป็น ไม่ไปทำอาชีพอย่างนั้น เพราะเรารู้กรรม รู้วิบาก ผู้ที่รู้กรรมรู้วิบากแล้ว จะรู้ว่า งานอื่นเบากว่า การฆ่าสัตว์ ฆ่าปลานั้นหนักกว่า ปลูกผักปลูกพืชไม่มีบาป ไม่มีกรรม ไม่มีวิบากอะไร มันยากกว่ากัน ไอ้อย่างนู้น..มันยาก ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างอาตมาไม่ลงรายละเอียด 

เพราะฉะนั้น สรุปตรงที่ว่า มีประโยชน์ไหม ตำรวจทหารมีประโยชน์ ยิ่งอยู่ในสังคมของคนร้ายๆ เลวๆ ตำรวจทหารยิ่งมีประโยชน์มาก เพราะฉะนั้นสังคมที่ร้ายเลวลดลง ตำรวจทหารก็มีความจำเป็นน้อยลง จนสุดท้ายไม่ต้องมีตำรวจ ทหาร ก็คือสังคมที่ ไม่มีคนที่จำเป็นจะต้องใช้ตำรวจทหารแล้ว ร้ายเลวร้ายแรงไม่มี..เป็นสังคมเจริญ อย่างสังคมชาวอโศกไม่ต้องมีตำรวจทหาร ก็มีนะตำรวจเขาให้ตำแหน่งมา แต่เราไม่ได้รับ ตำรวจเราก็อย่างนั้น ไม่รู้จะทำหน้าที่อะไร ตำรวจจริงมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่อะไร นอกจากมาเป็นจราจร มาอะไรนิดหน่อย มันไม่มีความจำเป็น มันก็ต้องเลิก 

อาตมาเคยเทศน์ว่า ถ้าประเทศใด สามารถที่จะทำตนเป็นกลางแล้วก็ประกาศต่อโลกเลย ว่าเราเป็นกลาง เราไม่รบราฆ่าฟันใคร ใครรุกรานเรา เราก็ไม่รุกราน แต่เราอยู่อย่างกลาง และทำประโยชน์ให้ผู้อื่น เพราะฉะนั้นคุณที่ทำประโยชน์ ที่ทำให้แก่ผู้อื่นอยู่ แล้วเราก็มีประโยชน์ที่จริงโดยเฉพาะ 1. ประโยชน์อาหาร  2. ประโยชน์ความช่วยเหลือเกื้อกูล 

ประโยชน์อาหารกับประโยชน์ความช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอยู่อย่างแท้จริง 2 อันนี้แหละยิ่งใหญ่ที่สุดเลย จนทุกวันนี้ถึงโลกจะเสื่อมลงมาก โลกโลกียะมันใกล้กลียุคมันเสื่อมแล้วก็ตาม เขาก็จะยังรู้อยู่ว่า สังคมหรือประเทศใดที่มีคุณค่าประโยชน์ทางอาหารและความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจอยู่ อาตมาใช้คำว่าช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจคือช่วยเหลืออย่างไม่ต้องการอะไรตอบแทน ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจ 

สังคมนั้นเป็นความเจริญ เป็นสังคมสูงส่ง เป็นสังคมที่มีค่า อย่างน้อยก็สร้างอาหารให้คนอื่นเขาพึ่งพา ไม่ต้องไปพึ่งพาหรอกอาวุธ เราพึ่งอาหารนี้เป็นหลัก เราก็พึ่งแต่ความช่วยเหลือนี้เป็นหลัก จะช่วยเหลืออะไร โดยเฉพาะแม้แต่ช่วยเหลือด้านความเจ็บป่วย ด้านความบกพร่องลำบากลำบนอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นสัจจะที่พิสูจน์ได้ 

เพราะฉะนั้น ในเมืองไทยนี้ก็ตาม ยังมีพวกที่ต้องการอำนาจ ต้องการเบ่ง ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันก็จะไม่หมดไปง่ายๆ หรอก แต่มันก็น้อยลงๆ คนประชากรส่วนใหญ่เข้าใจด้วยว่า อย่างนี้เป็นพวกที่ไม่แสวงอำนาจ ไม่แสวงการยิ่งใหญ่ ซึ่งเห็นๆ อยู่นี่ ขออภัยที่อยากจะยกตัวอย่างของจริง คนจริง มันจะได้เข้าใจง่ายๆ อย่างคณะทักษิณ คณะก้าวไกล นี่ยังหลงแบบโลกียะแบบเทวนิยมเข้ามา ยาก.. เพราะฉะนั้นจะเกิดในเมืองไทยนี่มันก็เหลือเชื้ออยู่เท่านั้นเอง แต่ยาก 

แล้วอาตมาก็เห็นว่า เมืองไทยมีตัวอย่างอันสุดเลวร้าย แล้วก็ยังมีฤทธิ์มีเดชอยู่ แต่มันไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอำนาจครอบงำประเทศไทยได้ อาตมาขอพูดโดยมั่นใจของตัวเองเลย ไม่ได้หรอก ยอมเสียเถอะ แต่เขายอมไม่ได้ เพราะกิเลสของเขาจริงๆ กิเลสมันหนา มันแน่น มันหนัก มันแน่น มันยอมไม่ได้ อย่างที่เห็นนี่ ดิ้นจนสุดดิ้นเลยนะ ดิ้นจนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาก็เห็นเลยรู้สึกว่าเขาไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเนาะ

_สู่แดนธรรม... เขาคงเชื่อว่าเขามีเงินมากใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ด้วย เงินกับอำนาจเขาเชื่อว่าคนนับถือเขา มันก็น่า... อาตมามี อจินไตย อันนึง… นายกคนปัจจุบันของไทยชื่อ เศรษฐา คำว่า เศรษฐะ เศรษโฐแปลว่าเจริญ แต่มันเจริญจริงหรือเจริญปลอม ในเมื่อเขายกย่องทักษิณอยู่ มันซ้อน เห็นให้สัมภาษณ์กับคนอื่นอยู่ ซึ่งมันก็ทำไงได้เพราะมันเป็นสัจจะที่มันเป็นของจริงที่เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็น ในเมืองไทยเป็นตัวอย่างอันสุดยอดเลย สุดยอดจริงๆ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ นายกที่แท้จริง คนดีที่แท้จริง คนเจริญที่แท้จริงหรือเศรษฐาที่แท้จริงคือ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช่ไหม เป็นเศรษฐาที่แท้จริง แต่เศรษฐาตัวปลอมกำลังมาแสดงตน ฟังเข้าใจไหม มีตัวอย่างให้เห็นประชาชนก็ได้รู้ เศรษฐาเขาก็ซื่ออย่างจริงใจ แต่เขายังจมอยู่ในเงินอยู่ในอำนาจ ถูกครอบงำด้วยเงินและอำนาจทั้งนั้น และงานที่เขาจะทำจะเป็นเศรษฐกิจอะไร ก็เป็นเรื่องแบบโลกียะทั้งนั้น มันไม่ได้เข้าโลกุตระ ไม่เหมือนพลเอกประยุทธ์ 

เพราะฉะนั้นเราเอาประโยชน์ ผลงานและประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติที่ได้กินได้อาศัย นั่นเป็นหลัก ไม่ใช่เอาปริมาณมวลของจำนวนเงิน จำนวนอำนาจ ปริมาณ แต่เอาคุณภาพของสิ่งที่มนุษย์ต้องใช้อาศัยแท้จริง เป็นปัจจัยที่สำคัญ เป็นหลักตัดสิน สรุปแล้วผู้ที่ยังจะต้องมีวิบากเป็นตำรวจเป็นทหารนั้นน่ะซ้อน ยกตัวอย่าง อาตมาไม่รู้ประวัติของพลเอกประยุทธ์ ว่าได้ไปรบราในสนามรบใดหรือไม่ ...รบกับเวียดนาม ก็ต้องมีวิบาก 

เพราะฉะนั้น มันก็ยังเป็นเศษส่วนของตัวอย่างที่จะต้องมีวิบากซ้อนอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อย่าง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ไปรบไปราอะไรกับใคร ท่านไม่มีวิบากใดเลย อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่รัชกาลที่ 10 ก็ไม่ได้รบรา นี่ก็เป็นสิ่งที่ซ้อนอยู่ในความเป็นประเทศไทย ท่านเป็นทหารนะ ที่จริงก็เป็นจอมพล เป็นจอมทัพเหนือกว่าพลเอกทั้งหมด เดี๋ยวนี้ไม่มีตำแหน่งจอมพลแล้ว ท่านเป็นจอมทัพ เหนือกว่าพลเอกทุกเหล่า ทหาร 3- 4 เหล่า 

เพราะฉะนั้น ในความซ้อนของความจริงเหล่านี้ ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง ขออภัยที่จะต้องพูดความจริงอีกทีหนึ่งว่าอาตมาผ่านสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ชาติก่อนๆ ผ่านมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นี้ อาตมาผ่านมาหมดแล้วทั้งนั้นแหละ มาชาตินี้นี่เป็น นิยตโพธิสัตว์ที่จะขึ้นไปเป็นมหาโพธิสัตว์และเป็นพระพุทธเจ้ามันรอบสุดท้ายแล้ว ที่จะมาเคยอธิบายว่าเป็นผู้ที่สอบจะขึ้นไปเป็นตำแหน่งพระพุทธเจ้าได้แล้ว 3 ตำแหน่งสุดท้าย 7 8 9 จาก 5 6 ยังไม่ได้ อนิยตะ ยังไม่แน่นอน จะมาเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ อนิยตะ ยังไม่เที่ยงอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น ในความซับซ้อนที่เมืองไทยแล้วก็มีความรู้ มีศาสตร์ มีพุทธศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอย่างนี้ มันเป็นความรู้และเป็นศาสตร์ที่โลกในประเทศอื่นใดๆ เขายังไม่มี แม้จะมีประเทศที่เป็นเมืองพุทธ พลเมืองของเขาก็เป็นพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ ในประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศพม่า ประเทศเขมร ก็มีพุทธไม่ใช่น้อย ประเทศญวน ประเทศลาว ลาวก็มีน้อยแล้ว ไปเป็นคอมมิวนิสต์ก็หนัก แล้วแม้ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่นเขาก็มีศาสนาพุทธ ประเทศลังกาก็ตาม ก็ไม่สู้ประเทศไทย อาตมากล้าพูดได้ด้วยว่า ประเทศเหล่านั้นยังไม่มีโลกุตระ มีโลกุตระอยู่ในประเทศไทยนี้ประเทศเดียวขณะนี้ ใกล้กลียุคนี้มีอยู่ประเทศเดียว 

และแม้จะมีอยู่ประเทศเดียวก็ยังมีจำนวนปริมาณ มากใช่ไหม โลกุตระในเมืองไทยนี้ยังมีจำนวนมากใช่ไหม ไม่ใช่ มีน้อย ก็มีอยู่แค่นี้เองกระจิบได้แค่นี้น้อย นี่ก็ยืนยันสัจจะว่า มันเป็นความเสื่อมใกล้กลียุค มันเป็นยุคที่มันยากแล้วในโลกุตระ แต่มันยังเหลือความจริงยืนยันพิสูจน์อยู่ในโลก อาตมาอธิบายไปนี่ ไม่รู้ว่าคุณช่อทิพย์ จะได้ปลดความสงสัยหรือยัง 

ผู้ที่รู้จริงแล้วก็ต้องเลิกมา ผู้ยังไม่พ้นก็มีส่วนวิบาก แม้แต่อาตมาก็ยังมีส่วนวิบาก ชาตินี้ไม่ใช่อาตมาไม่เคยฆ่าสัตว์ อาตมาฆ่าปู ฆ่าปลา ไปจับปู จับปลาที่แม่น้ำมูล แก่งสะพือนี่ แต่ก่อนอาตมาเด็กอำเภอพิบูล ลงตกปลากันมาก็ไม่ใช่น้อย ช้อนปลาแก้วมาทีละ โอ้โห! บางที ทีละร้อย ทีละพัน ทีละหมื่นตัว อะไรอย่างนี้เป็นต้น จับกุ้งมันมาทีละเป็นหมื่นๆ หรือไปคอยตกทีละตัว ไปคอยจับทีละตัวก็ว่าไป 

ซึ่งมันก็เป็นเศษวิบากของแต่ละคนๆ เมื่อรู้ตัวแล้วก็เลิก มันค่อยๆ เจริญในคน มันค่อยๆ พัฒนาไปเป็นอาริยะที่เจริญขึ้น เจริญขึ้น  เอ้าผ่านคุณช่อทิพย์ วิบากเหล่านี้มันก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททัสสา ซับซ้อน 

 

ยุคนี้ก็ต้องมีคู่เทียบธรรมะกับอธรรม

_Boonyakorn Pattanasattaporn บุญญากร พัฒนสัทธาพร . ขัดจริยธรรมหรือเปล่า เอาคนที่ติดคุกเพราะโกงบ้านกินเมือง มาเป็นประธานที่ปรึกษานายก ที่สำคัญนายกเป็นนายกของประเทศไทยนะไม่ใช่นายกของพรรคเพื่อไทย จะทำอะไรต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ที่สำคัญทักษิณผ่าตัดจริงมั้ย ป่วยหนักจริงมั้ย นอนโรงพยาบาลจริงมั้ย นี่คนไทยไม่มีใครรู้ รัฐบาลนี้ไม่โปร่งใสนะ แถมทำให้ประชาชนมองว่า ทักษิณมีอภิสิทธิ์เหนือคนไทยทุกคน มันดูไม่ยุติธรรมในสายตาคนไทย นายกควรจะจัดการเรื่องนี้มากกว่าจะเอาคนแบบนี้มาเป็นประธานที่ปรึกษา

พ่อครูว่า…นี่ก็เป็นตัวอย่างว่าเมืองไทยยังตกอยู่ในอิทธิพลความเลวร้ายอย่างนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่ก็ไม่ได้สำนึกเลย ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่เห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นนี่นะ มันก็ได้แต่มันเขี้ยวอยู่เท่านั้น ทำไมคาราคาซังอย่างนั้นอยู่ได้ ป่วยหนักจริงไม๊ นอนรพ.จริงไม๊

นี่คนไทยทุกวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ เหมือนอย่างธัมมชโย มันมีทางธรรม ก็คือธัมมชโย ทางโลกก็คือทักษิณ นี่ก็เป็นอจินไตยที่ชัดเจนตัวอย่างก็มีตัวจริง เหมือนอย่างในยุคพระพุทธเจ้าต้องมีเทวทัตอะไรอย่างนี้ มันของแน่ๆ ไม่งั้นมันไม่ยืนยันความจริงนะ หรือในยุคนี้ต้องมีโพธิรักษ์อะไรอย่างนี้ เขายังไม่รู้หรอก แต่พวกคุณรู้แล้ว ยังไงๆ พวกคุณก็รู้แล้ว แต่คนที่ยังไม่รู้ยังไงๆ เขาก็ยังไม่รู้ คนค่อยๆ รู้มาจะค่อยๆ  รู้ 

มันจะยืนยันอยู่ว่า พวกเราจะล้มเหลวไหม หรือเขาจะเปลี่ยนแปลงมาไหม เขาเปลี่ยนแปลงมา ก็เรื่องของเขา ถ้าเราแน่นอน เที่ยงแท้ ยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ยั่งยืนเที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล มันไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไร มันของจริง นี่เป็นคำยืนยันของพระพุทธเจ้า เป็นพระบาลีที่อาตมามาใช้ตลอดเวลา 

ก็เห็นอยู่ว่ารัฐบาลนี้ยังไม่โปร่งใส ยังมีอะไรคลุมๆ เครือๆ ที่ไม่เปิดเผย ทำไมเป็นอย่างนี้กันได้ยังไง มันไม่น่าจะขัดข้อง มันไม่น่าจะคลุมเครืออึมครึมอะไรอยู่อย่างนี้ได้ไง 

พูดชัดเจนยิ่งกว่านายก คนนี้ มองได้ชัดเจนยิ่งกว่านายก เอ้าผ่าน..นี่ก็ดูไป เพราะพวกเราเป็นพวกดูไป เราไม่ใช่พวกดูไบ เราก็ไปอย่างนี้แหละ เขาก็อุตส่าห์ไม่เป็นคนดูไบแล้ว จะมาเป็นคนไทย แต่คนไทยก็ยังเป็นคนไถอยู่ ยังไม่เป็นคนไทย ตอนนี้ก็ไถๆ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปรองดอง อะลุ่มอล่วยกันครับ 

พ่อครูว่า... นั่นก็เป็นด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ถึงขั้นแรงขนาด ก็เอาเถอะก็ค่อยๆ ดูไป 

 

อาทิตย์ที่ 24 ก.ย. ภาคทบทวน

_ช่อทิพ หนูทอง . พระสูตรต่างๆ ที่พ่อครูและภิกษุทั่วไปนำมาสอน เช่น พระธรรมจักร คิรีมานนท์ พระพุทธเจ้าทรงตั้งชื่อเอง หรือพระอื่นตั้งชื่อเองคะ?

พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตั้งก็มี พระอื่นตั้งก็มี มีทั้ง 2 อย่าง อาตมาไม่สามารถจะระบุไปได้ทั้งหมด ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้พระพุทธเจ้าตั้ง คิริมานนทสูตร ดูเหมือนจะไม่ได้เรียกแต่มีพระที่ชื่อคิริมานนท์ พระสาวกก็มาเรียกว่าเป็นเรื่องของคิริมานนทสูตร อย่างนี้เป็นต้น ก็มีทั้งที่พระพุทธเจ้าตั้งและก็คนอื่นตั้งชื่อ ก็ไปเอาสำคัญอะไรนักหนา เอาน่าอย่าพยายามจะเจาะเข้าไปเจาะ จะต้องพระพุทธเจ้าอย่างเดียว เหมือนท่านคึกฤทธิ์หน่อยเลยนะ ท่านคึกฤทธิ์ได้แต่เอาพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่พุทธพจน์ไม่เอาเลย ก็เรื่องของท่าน

_จรรยา ประเสริฐ . กราบนมัสการ เข้าใจแล้วค่ะ ว่าเรารวมเอาของที่ชอบ แล้วมาทำลายรูป (เพราะพื้นฐานของดิฉัน ชอบกินแกง กะทิ ทุกอย่างที่เป็นกะทิ) ต่อไปจะเอาของที่ไม่ชอบมารวม ดูซิว่าจะยังอร่อยอยู่ไหม???? กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า… ลองทำเลย เอาล่ะอันนี้ไม่ต้องอธิบายความมาก กำลังลองปฏิบัติ ลองไปทดลองจริง ของใครของมัน ไปอ่านหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าว นั่นแหละอาตมาพูดเรื่องนี้ไว้เยอะหนังสือเรื่อง เจริญชีพด้วยการก้าว ในเล่มนี้อธิบายไว้เยอะหนังสือเก่าๆ ไม่ได้พิมพ์เพิ่มแต่มีเยอะ 

_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม  กราบนมัสการพ่อครู ด้วยสุดเศียรเกล้าฯ

สืบเนื่องจากหนังสือ "อภิธานศัพท์" ของ "ชาวอโศก" มีขนาดเล่ม และจำนวนหน้า ที่โตและหนามาก เนื่องจากเป็นการรวบรวมคำเทศน์ของพ่อครู อย่างละเอียด ทุกคำความและร้อยเรียงตามหมวดธรรม ตามกรอบของเวลาที่ได้กำหนดโดยคณะผู้จัดทำ  ซึ่งได้ทำสำเร็จ แล้วเป็นเล่มแรก ดังแจ้ง ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อการค้นหาศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏใน หนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะเป็นศัพท์ที่พ่อครูเป็นผู้ขยาย ให้นิยาม โดยมีรากศัพท์มาจากพระไตรปิฎก ต.ย. เช่น คำว่า กาย บุญ ฌาน และสมาธิ เป็นต้น  ให้มีนัยยะความหมายที่ถูกต้องถูกตรง อย่างสัมมาทิฏฐิ อันเป็นส่วนสำคัญของการฟื้นฟู และกอบกู้พระพุทธศาสนา ที่มีคำสอนผิดเพี้ยนไปในปัจจุบัน การสกัดคัดกรองนิยามดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรทำอย่างยิ่ง 

จึงใคร่ขอกราบเรียนเสนอให้ได้มีการรวบรวมคำศัพท์ต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบของคำความที่กระชับ กระชับเนื้อหา ให้สั้น เข้าใจง่าย โดยมีนัยยะที่สำคัญและถูกต้องถูกตรงเป็นแกน ผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ความจริงในด้านนี้เป็นสำคัญ 

กราบขอโอกาสอีกครั้งค่ะ ที่จะขอกราบเรียนเสนอท่านสมณะซาบซึ้ง ศิริเตโช และท่านปัจฉาสมณะแสนดิน ได้กรุณาร่วมจัดทำ เป็นปิตุบูชาแก่พ่อครู เพื่อให้ชาวอโศก และผู้แสวงหา ได้มี "คู่มือศัพท์อโศก" ฉบับกะทัดรัด ดังเช่น หนังสือ "ธรรมพุทธสุดลึก" ที่สะดวกใช้ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยมีหนังสือ "อภิธานศัพท์" ฉบับเต็ม เป็นฐานข้อมูลค่ะ กราบเรียนเสนอมา ให้พ่อครู ได้กรุณา พิจารณาตามสมควรค่ะ กราบขอบพระคุณด้วยสุดเศียรเกล้าฯ  

ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม  อา. 24 ก.ย. 2566    05.48 น.

พ่อครูว่า…ก็ได้ยินกันถ้วนทั่วไป ผู้ใดจะเห็นด้วยเห็นดี มันเป็นประโยชน์มากเหมือนกันนะ ถ้าใครจะเอาด้วย ก็คิดอ่านกัน รวบรวมกันทำก็แล้วกันจะเป็นประโยชน์ ถ้าผู้ใดเห็นควรก็เอา ลงมือ มีคนพอรู้ร่วมมือกันได้อยู่หลายคน ก็เสนอแนะมาก็ได้แล้วนี่ 2 รูปนี้ก็ได้มาและคนอื่นก็ว่ากันไป 

 

ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3

_บ้านเล็กเมืองน้อย

กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพรักยิ่ง

ความก้าวร้าว  หยาบคาย  ละเมิดสิทธิผู้อื่น

ความโกหก  เสแสร้ง  หลงสีหิวแสง  ego สูง

ความไร้สำนึก  ใจดำ  ขาดความรับผิดชอบ

ความไร้คุณธรรม  แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้  เหล่านี้เป็นอาการซ้ำซาก ของ โรคไซโคพาธ (Psychopath) ( พ่อครูว่า แปลง่ายๆ ว่าโรคจิตนั่นแหละ) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และกำลังลุกลามในสังคมไทยปัจจุบัน

_ความสามานย์ต่อเนื่องไม่หยุดของระบบทุนนิยม  ได้สุมวิกฤติทางเศรษฐกิจรอบแล้วรอบเล่า ปั่นการเมืองฉ้อฉล ให้ยิ่งยอกย้อน ป่วนรากฐานสังคมจนบอบช้ำ สะสมเกินขีดจำกัดของคนรุ่นก่อนๆ จะแบกรับไหว

...... ผลกระทบอันเลวร้าย จึงส่งต่อถึงลูกหลาน ทำให้เป็น “โรคไซโคพาธ” ในปัจจุบัน 

ความแตกแยกในครอบครัว  การถูกเลี้ยงดูแบบละเลย เพิกเฉย  การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก  การศึกษาที่ขาดจิตวิญญาณ  การที่ต้องเติบโตมาในสภาพสังคมที่โหดร้าย ฯลฯ...   ล้วนเป็นสาเหตุของโรค

เมื่อผลไม้พิษสุกงอม ในสภาพสังคมที่แร้นแค้น...สิ้นหวัง    ผู้คนจึงถูกใช้เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ ที่สะดวกซื้อราคาถูก 

เหมาะเจาะกับการเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พิษเอาไว้ (จากการส่งออกประชาธิปไตย) ...ด้วยกลยุทธ ปลุกปั่น-แบ่งแยก-ล้มล้าง-เปลี่ยนแปลง...ของชาติมหาอำนาจตะวันตก เจ้าลัทธิทุนนิยมสามานย์ ที่ยังคงล่าอาณานิคม กวาดต้อนบริวารอย่างแข็งขัน โดยปั่นการเลือกตั้ง เปลี่ยนตัวผู้นำ ให้หุ่นเชิดตะวันตกได้เข้าสู่อำนาจ... เพื่อ ครอบครองโลก โดยไม่ปกครอง (ครอบงำ บงการ)...

พ่อครูว่า…คำว่า ส่งออกประชาธิปไตย ประชาธิปไตยกลายเป็นสินค้าส่งออกของประเทศ ที่มั่นใจว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย เช่นประเทศไทย ส่งออกแล้วก็มีผู้นำเข้า เพราะไปศึกษาประชาธิปไตยจากอเมริกามา เป็นต้น จากตะวันตก สรุปง่ายๆ จากเทวนิยม 

อาตมาขอยืนยันว่าประชาธิปไตยเทวนิยม เป็นประชาธิปไตยไม่บริบูรณ์เป็นประชาธิปไตยขาเป๋ เป็นประชาธิปไตยขาหัก จากเทวนิยมนี่แหละ แม้แต่เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยก็ตาม ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเพราะเขายังไม่มีโลกุตรธรรม  

คำว่าโลกุตรธรรมนี้ลึกซึ้งที่สุด ที่อาตมามีชีวิตทำงานมา 53 ปีย่าง ขยายความคำว่า โลกุตรธรรม ยังไม่ได้มากพอ มันยากจริงๆ มันเป็น อจินไตยจริงๆ คาดคิดคะเนไม่ได้ง่ายๆ มันสวนกระแสหรือมันทวนกระแสกับโลกุตรธรรม มันคนละเรื่อง 

ไม่ว่าจะเป็น ถ้าเศรษฐศาสตร์หมายเอาเรื่องคำว่า ทรัพย์สิน รัฐศาสตร์ก็หมายถึงเรื่องอำนาจ เพราะฉะนั้นในโลกียะ รัฐศาสตร์เขาก็จะต้องเป็นเจ้าอำนาจ เศรษฐศาสตร์เขาก็จะต้องเป็นเจ้าทรัพย์สินใช่ไหม ง่ายๆ แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้น 

แต่โลกุตระนั้น ไม่เป็นเจ้าอำนาจและไม่เป็นเจ้าทรัพย์สิน ไม่ติดยึดในอำนาจ ไม่ติดยึดในทรัพย์สิน แต่รู้ว่าเป็นสิ่งอาศัย แล้วอาศัยอย่างที่มันเกิดมีที่เป็นประชาธิปไตยจริง เช่น อำนาจ ก็ประชาชนเขาเป็นผู้ให้ เราไม่รับ หรือเราเองเราจะไม่ได้ยึดถือ ไม่ใช่จะบอกว่าไม่รับแต่เขาให้เอง นี่คือประชาธิปไตย 

ทรัพย์สินก็ตาม เราไม่เอา เราไม่สะสม แต่มีได้ ให้ได้ เขาให้ ให้ ให้ แต่เราไม่ต้องแบกต้องหาม อำนาจก็ตาม ทรัพย์สินก็ตาม เราไม่ต้องไปสะสม เราไม่ต้องไปแบกหาม แต่เรามีเราได้เองโดยสัจธรรม เป็นสัจธรรมโลกุตระที่มันมี มันมีอยู่ที่ในประชาชนจึงเรียกว่าประชาธิปไตย ประชาชนเต็มใจจะให้อำนาจ ประชาชนเต็มใจจะให้ทรัพย์สิน เพราะเขาเชื่อว่า ผู้นี้เป็นผู้ที่ใช้ทรัพย์สินเป็น เป็นผู้ใช้อำนาจเป็น ใช้แล้วเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือว่าเป็นทรัพย์สินใช้แล้วเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ไม่ได้เป็นประโยชน์มาเพื่อเข้าหาตัว นี่คือประชาธิปไตย ไม่มีตัวตน 

 ไม่มีตัวตนไม่เพื่อตัวเอง ไม่เพื่อพรรคพวก ไม่เพื่อหมู่กลุ่ม อย่างทักษิณนี่เพื่อตัวเองสุดยอด เพื่อลูกหลานสุดยอด เพื่อตระกูลสุดยอด เพื่อพรรคพวกสุดยอด ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่าง เพราะมันเป็นจริง เขาเป็นอย่างนั้น เป็นตัวอย่างที่เป็นตัวอย่างให้เห็น ชัดๆ อยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย แต่เขาขี้ตู่ว่าเป็นประชาธิปไตยจริงๆ 

ขออภัยที่ต้องบอกว่า ประชาธิปไตยต้องมาดูแบบอย่างของชาวอโศก เป็นประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นผู้ให้ ให้ทั้งอำนาจเท่าที่มีก็แค่นี้แหละ แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์ ให้ทั้งทรัพย์สินก็แค่นี้แหละ แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์ พอกิน พอใช้ พอเป็นไป ไม่ไปตะกละตะกลามไม่ได้อยากได้ แต่คุณให้เองนะ เขาจะให้เราเอง เราไม่ต้องไปเรียกร้อง เราไม่ต้องไปใช้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ต้องไปใช้วิธีการเพื่อกอบโกยมา  ไม่ต้อง เป็นความบริสุทธิ์ที่เขาเห็นว่า 

เพราะฉะนั้น อำนาจกับทรัพย์สิน 2 อย่างนี่แหละ ในสังคมมนุษยชาติ จะเรียกว่า ประชาธิปไตย ก็อยู่ใน 2 อย่างนี้แหละเป็นเครื่องชี้บ่ง โดยที่เราไม่เอา เราไม่สะสม แต่เรามีโดยประชาชนเป็นเจ้าของ ประชาชนก็พร้อมที่จะให้ ต้องการเอามาทำประโยชน์เมื่อใด ทั้งอำนาจและทรัพย์สิน เขาให้มาเมื่อนั้น แล้วเราก็ใช้เมื่อนั้น ถ้าไม่ใช้ เราก็ให้ประชาชนเอาไปใช้อำนาจเท่าที่จะใช้เฉพาะตน ทรัพย์สินเฉพาะตน ก็จะใช้อาศัยไป ต้องการรวมมาเป็นหนึ่งเมื่อไหร่มา 

นี่เป็นนัยยะสำคัญที่อาตมาขยายความ ความเป็นประชาธิปไตยในวันนี้ ลึกซึ้งได้พอสมควร เพราะฉะนั้น ผู้ที่ศึกษาทางรัฐศาสตร์มาศึกษาประชาธิปไตยอะไรมา ก็ศึกษามาจากเทวนิยมจากตะวันตก จากแดนที่ยังไม่มีโลกุตรธรรม มันก็เป็นประชาธิปไตยแบบเขา 

แต่ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าก็อีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาตมาก็ได้อธิบายผ่านมาแล้วว่า ในยุคของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย แต่มีอธิปไตยที่เกิดจากโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตยและผนวกกับประโยชน์ เรียกว่าอายะ 3 ที่เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

พหุชนะ คือมวลประชาชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ขยับจากมวลประชาชนมาเป็นโลกโลกานุกัมปายะ อายะ 3 คือประโยชน์ คุณค่าที่เอาไปใช้อาศัยในชีวิต เป็นประโยชน์อย่างมาก เป็นสุข พหุชนสุขายะ สำคัญที่สุดคือรับใช้โลก โลกานุกัมปายะ อาตมาแปลว่ารับใช้โลก อนุเคราะห์โลก เกื้อกูลโลก ช่วยเหลือโลกอยู่ 

มีปรากฏการณ์ มีพฤติการณ์ มีความเป็นจริงในคำกล่าวภาษาเหล่านี้ไหมล่ะ มีสภาวะจริงไหมล่ะ แม้ในกลุ่มมวลชนหรือมวลประชาชนกลุ่มน้อย ไม่ต้องเรียก พหุชนะเรียกว่าอนุชนะก็ตาม เป็น กลุ่มน้อยอย่างในชาวอโศก มีไหมล่ะความจริงพวกนี้ อายะ 3 มีไหมอธิปไตย 3 มีไหม  อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ  ธรรมาธิปไตย  

โลกาธิปไตย คือ รู้โลก อัตตาธิปไตยคือรู้อัตตา และเราก็มีธรรมะในอธิปไตยเหล่านี้ ไม่ใช้อำนาจในโลก ไม่ใช้อำนาจในอัตตา แต่ชาวประชาชนเขาจะให้อำนาจ ชาวโลกก็จะให้อำนาจ 

อัตตาตัวตน ก็ต้องใช้อำนาจ อย่างเหมาะสม ตามที่ควร ซึ่งมันซับซ้อนกันว่า การใช้อัตตาที่เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ อำนาจเป็นภาษา เป็นแรง เป็นพลัง เพราะฉะนั้นอำนาจที่ อัตตาหรือตัวคนจะใช้ เป็นอำนาจทางปัญญา เป็นอำนาจทางความเฉลียวฉลาด ฉฬายตนะ แสดงพลังหรืออำนาจ ออกไปทางปัญญา ออกไปทางอายตนะความรอบรู้  ให้คนได้รับความรู้ ให้คนได้รับปัญญา ให้คนได้รับรู้อายตนะ ให้คนได้รับรู้ตัวความเป็นอายตนะ ความปรุงแต่งของสภาพ 2 ที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วได้ใช้ได้อาศัย สังขารขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นรูปเป็นนาม ให้คนได้ใช้อาศัย นั่นเป็นเรื่องสภาวธรรมทั้งสิ้นเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญา มีความรู้และมีการกระทำได้ ดังที่อาตมาใช้ภาษากล่าวสิ่งต่างๆ พวกนี้ไป ผู้มีจริงรู้จริงทำจริงมันก็เกิดผลจริงในสังคมมนุษยชาติ อย่างอาตมาทำ อาตมาพาพวกเราทำ สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องไปเที่ยวขี้ตู่เอาจากใคร ว่าเราจะได้ ไปได้ แล้วต้องมาตอบแทนบุญคุณเรา ไม่ต้อง 

คนที่มีภูมิปัญญารู้จักความจริง รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงในความจริงที่มันจริงๆ อย่างที่อาตมากล่าวผ่านมา สรุปง่ายๆ คนที่เขารู้ความจริงเขาจะรู้เอง และมันยาก แต่เขารู้ได้ รู้ความจริงได้ ไม่มากก็ไม่เป็นไร ขอให้เป็นความจริง น้อยก็เอา น้อยนิดนึงไม่ต้องมาก ไม่ใช่ไม่ต้องมากหรอก มากก็ดีแต่มันได้เท่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ทำแค่นี้ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นในสัจจะต่างๆ ของคุณที่เขียนมานี้ แล้วสุดท้ายเขียนมานี่ก็ ไม่ได้ลงชื่อ...ของบ้านเล็กเมืองน้อย สำนวนเขา ก็ค่อยๆมาขยายความต่อ ก็ดูมีอะไรดีๆ หลายอย่างที่จะได้เอามาขยายนี่อ่านของเขาไปหน้าเดียว เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันสำหรับวันนี้ อาตมาถนอมสุขภาพนิดหน่อย ไม่อยากจะดันสุรังต่อไป ดันสุรังต่อไปก็พอได้อยู่แต่ว่า พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกันจบแค่นี้.. เจริญธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2566 ( 20:30:37 )

660927

รายละเอียด

660927 จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53554.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1FJFN9p6esRfMQSvTyaKj979CG5Zt4_X8/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1DB2wXgZzRkzIu5iK5Qug9LwtCE1dtNgu/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660927-108-1---e29rk85 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1027322601914457 

และ https://youtu.be/w69jTnBQYmY 

มีซับ 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้บรรยากาศข่าวสังคม ตอนยุคกำนันนก ดูบิ๊กโจ๊กเขาลุยให้เห็นว่าตำรวจตกเป็นทาสของกำนันนกไม่ใช่น้อย เราดูบิ๊กโจ๊กเป็นวีรบุรุษไม่นาน ตอนนี้บิ๊กโจ๊กกลายเป็นจำเลยไปในตัวแล้ว สํานวนไทยชอบพูดว่าเละเป็นโจ๊ก อาจจะไม่เละก็ได้ เขาก็แฉกันไปแฉกันมา 

พ่อครูก็พูดให้พวกเราฟังว่า ตอนนี้เรามีนายกฯ ชื่อ เศรษฐา แปลว่าความเจริญ ความเจริญก็มีทั้งความเจริญจริงและความเจริญปลอม ความเจริญจริงคือ ความเจริญที่สังคมมีความเป็นอยู่กันโดยไม่ได้แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ได้หลงในสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าสังคมที่มีความเจริญปลอมก็จะหลงเงิน หลงอำนาจ หลงลาภ ยศ ถ้าเจริญจริงก็ไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่คิดถึงประโยชน์สุข คิดถึงงานเพื่อประชาชนเป็นหลัก 

ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดฟ้า เปิดดิน  เปิดนรก เปิดสวรรค์ ให้เราเห็นอะไรต่างๆได้ชัดเจน อันนี้ดูเหมือนจริงแต่ก็ไม่จริงอีกแล้ว วันนี้บิ๊กโจ๊กให้สัมภาษณ์ ที่เป็นสำนวนว่า ผมไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ถ้าผมทุบหม้อข้าวตัวเองจะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั่นแหละ  ตอนนี้เขาถูกแฉเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน เขาบอกว่าเขาเองทำงานสืบสวนมาตลอด และเขารู้ว่าเส้นทางการเงินของใครต่อใครมีข้อมูลมากมาย แต่ไม่อยากจะทำเพราะกลัวน้องๆ เขาจะลำบากกัน พวกพิธีกรก็บอกว่าบิ๊กโจ๊กเอาเลย มีอะไรก็เปิดให้หมดแน่จริง 

ทำให้เห็นว่า ใหญ่แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อยู่กับความเจริญจอมปลอมๆ สุดท้ายฟังแล้วก็แยกไม่ออก เอาตำรวจเก่าๆอย่างพลตำรวจเอกเสรีมาสัมภาษณ์ ก็เหมือนกับล้างแค้นกันไปกันมา ประชาชนเลยไม่รู้จะเอาอะไรเป็นที่พึ่งเป็นหลักได้เลย มีแต่แฉกันไปกันมา 

ทำให้เห็นว่าสังคมที่ดูเหมือนเจริญ แต่ไม่ได้เจริญจริง ดูเหมือนมีลาภ มียศ มีอะไรยิ่งใหญ่มากๆ แต่ก็ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ความเจริญที่แท้จริง เพราะว่าเบื้องหลังความเจริญเหล่านี้ มีการต่อสู้ การไล่ล่า การชิงไหวชิงพริบ 

เราดูสังคมตำรวจกับทหาร ทหารนี่มีกำลังมากกว่า  ตำรวจจะใหญ่กว่าทหารไม่ได้ แต่ดูทหารนิ่งกว่า และดูเป็นหลักให้กับบ้านเมืองได้มากกว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นความแตกต่างคือในสังคมทหารจะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงไล่ล่า คุณเปลว สีเงินบอกว่า เสือไม่กินเนื้อเสือด้วยกัน แต่วงการตำรวจที่ไล่ล่าหาเงินบ่อนเบี้ย ต้องหาเงินส่งให้เจ้านายกันทั้งนั้น สังคมอย่างนี้จะเห็นได้ว่า เป็นสังคมที่ไม่สามารถสงบได้ ช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ ทำให้ได้เห็นที่พ่อครูพูดเอาไว้ชัดเจนว่า สังคมที่เจริญคือสังคมที่ไม่ได้ไปแย่ง ลาภ แย่งยศ เป็นสังคมที่คิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก 

ซึ่งในวันที่ 13 ตุลาคมที่จะมาถึงนี้ รัฐบาลจะประกาศให้เป็น วันนวมินทรมหาราช พวกเราก็เห็นความสำคัญ ซึ่งวันนี้จะติดกับงานเทศกาลกินเจ ก็จะเปิดขายอาหารเจ จากวันนี้ต่อไปถึงเทศกาลเจเลย 

 

อาหารจากเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญเลยในชีวกสูตร

พ่อครูว่า... จะเป็นอาหารเจได้ก็ต้องมีพืช พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีพืชเป็นวัตถุดิบ เนื้อสัตว์เราไม่เกี่ยว เป็นพืช แม้แต่น้ำเค็ม น้ำหวาน   อะไรก็จากพืชทั้งนั้น เค็มก็ไม่มีน้ำเค็มจากบูดู น้ำเค็มจากปลาแดกก็ไม่มี ถ้าปลาแดกของเราก็ปลาแดกถั่ว น้ำเค็มจากปลาแดกถั่ว 

คือเราเป็นพวกมังสวิรัติ หรือว่าเจบริสุทธิ์ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เห็นๆ กันนี่ ลองกองมาจากศีรษะอโศก, กล้วยคาเวนดิชมาจาก สวนทำกิน ของพวกเรามี “สวนทำกิน” “สวนไม่ทำ..ไม่ได้กิน” ก็มี “สวนทำกินจึงจะได้กินก็มี” พวกเราตั้งชื่อกันหลายสวนมาก นอกนั้นก็มีชื่อสวนอีกเยอะแยะ ส่วนมันเทศนี้จาก “สวน 204” 

ก็มีอย่างนี้แหละ เรามีพืชพันธุ์ธัญญาหารกิน อาตมาว่า ทำให้มันเป็นที่ปรากฏให้ได้ว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ มันจะเป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จะเป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ ใครจะสร้างอาวุธให้เก่งกาจสามารถพิเศษเลิศล้ำมีอำนาจทำลาย ได้ยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ให้เขาทำไป มันเป็นเรื่องของกรรมบาป 

อาตมาไม่ได้พูดเล่นหรอก อาตมาพูดจริง มันเป็นกรรมอกุศลกรรมบาปที่เขาทำสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อประหารชีวิต เพื่อทำลายชีวิต แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ฆ่าโดยตรง แต่เป็นผู้สร้างมาก็เหลือใช้แล้ว คนสร้างอาวุธเพื่อประหารคน เพื่อมาทำลาย มันก็ใช่แล้วบาป ไม่บาปไม่มี การสร้างอาวุธมาประหารคน..ไม่บาปไม่มี เพราะความบาป ความเกิดอกุศล มันเกิดจากเจตนา มโนสัญเจตนา ตั้งแต่ตัวเจตนาที่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าบาปและบุญนี่ จะเกิดบุญเป็นอันมาก ส่วนมากเป็นบาป ท่านก็อธิบายใน ชีวกสูตร ชัดเจนว่าบาปไม่ใช่บุญเลยเป็นอันมาก ก็คือบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ใน 5 ประการ ชีวกสูตร พูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ยากที่คนจะเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นการอธิบายถึงขั้น เจตภูต ถึงขั้นปาณะ ถึงขั้นชีวะในระดับเจตภูตในระดับปาณะ ยังไม่ถึงขั้นสัตตะ ในมโนสัญเจตนา มันละเอียดลออไปถึงขนาดนั้น 

มันจะเพียงจิตเริ่มต้นที่มีแนวโน้มไปในทางที่ โวโรเปตุง หรืออารัมภติ เป็นไปในทางมุ่งร้าย ที่มันมีกระแสว่าจะไปมุ่งร้ายเริ่มต้นแล้ว อย่างชีวกสูตร 5 ข้อ

ชีวกสูตร  1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา  โวโรเปตา) ไปเอาสัตว์นั้นมาก็มี     สัญจิจจะหรืออุทิสสะ มีจิตมุ่งหมาย เจาะจงไปในตัวเหมือนกัน เจาะจงว่าสัตว์ และเมื่อกล่าวชื่อสัตว์ เช่น เอาไก่ตัวนั้น เอาไอ้โต้งตัวนั้น เอาหมูตัวขาวนั้นอะไรอย่างนี้ พอลงไปปั๊บนี่มันบาป เป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยทันที ยิ่งคนไปจับมันมา ข้อ 2  

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส เป็นการพัฒนาการของจิต เป็นความฉิบหายของจิตหนักขึ้น จับตัวมา ผูกมา มัดมา สัตว์ได้รับทุกข์ สัตว์เป็นทุกข์แล้ว ถูกจับตัวมา แค่พูดยังไม่ได้ไปจับมันมา มันก็ยังไม่ทุกข์หรอกสัตว์ แต่เมื่อมันถูกจับ มันก็ทุกข์แล้ว เสร็จแล้วข้อที่ 3 จงฆ่าสัตว์นี้   

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”   ไม่บาปให้มันรู้ไปสิอันนี้ “พูดสั่ง” นี้บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญแล้ว ฟังให้ละเอียดซ้ำซากให้ดีว่า การไปแตะกับสัตว์นี้ อย่าไปพูดถึงกิน แค่กล่าวชื่อสัตว์ เจตนาจิตไม่ดี คนไปจับมานี่บาปเป็นกระพรวนร่วมกันบาปแล้ว สั่งฆ่า ฆ่าสัตว์ตายในข้อที่ 4 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส มันก็เห็นน้ำหนักของความเลวร้าย ความร้ายกาจของกรรมกิริยาของคน ข้อ 5 นี้มันเหมือนไม่ใหญ่แต่มันใหญ่ที่สุด 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)ชีวกสูตร  ล.13 ข.60 

แล้วก็แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ที่คุณฆ่ามานี่แหละ เอาไปทำอาหาร ทำเป็นอาหารอย่างดี อย่างเอร็ดอร่อย ปรุงแต่งชั้นเลิศ นำมาถวาย ภิกษุหรือพระพุทธเจ้า ข้อ 5 นี่แหละ นี่แหละเรียกว่าเจาะจง​

1. เจาะจงฆ่า สัตว์ตายเพราะความเจาะจง ไม่ใช่ไปเจาะจงบุคคล บุคคลนั้นไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าเจาะจงชื่อใครบุคคลใด บุคคลนั้นกินไม่ได้ นอกนั้นเขาไม่ได้เจาะจงชื่อกินได้หมด นี่พวกเจาะร่องให้ตัวเอง เจาะรูให้ตัวเอง เขาไม่ได้ระบุชื่อตัวเราเท่านั้น สัตว์นั้นตายด้วยการถูกฆ่าก็ไม่ถือว่าบาป กินได้หมด นี่พวกนี้เลี่ยงบาลี บาปเข้าตัว ไปช่วยกันโกหกหรือโกหกอย่างไม่รู้ ก็ยังบาปน้อยกว่าโกหกทั้งๆที่รู้นี่ จะบาปตั้งเท่าไหร่  

เพราะฉะนั้น ข้อ 5 นี้เอาแต่แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายเพื่อให้พระพุทธเจ้าหรือภิกษุ ทั้งหลายนี้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์ ยินดีอาหารเนื้อสัตว์แค่นั้นน่ะ ยังไม่ทันได้กินหรอก ถ้ารับมากินเลยนี้ไม่ต้องพูดหรอก กรรมกิริยาจะหนาหนักตั้งเท่าไหร่ 

ยินดีในเนื้อสัตว์นะที่รับมา เนื้อสัตว์ชั้นดีหรือ โอ้โห! น่าจะอร่อยนะ โอ้โห! ไปใหญ่เลย แค่นี้ก็บาปที่เป็น อกัปปิยะ อันไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเลย โดยเฉพาะข้อ 5 กำกับเลยไม่ควรกระทำ 

ข้อ 1, 2, 3, 4 ก็ไม่ควรจะทำ มันชัดๆ อยู่แล้ว แม้แต่แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ไปถวายพระพุทธเจ้านี่ ก็บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย อาตมาไม่ได้เลี่ยง ไม่ได้เบี้ยวบาลี ไม่ได้พูดเลี่ยงนะ คุณดูรายละเอียดว่าความละเอียดลออ 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนี้ มีนัยสำคัญละเอียดลึกซึ้งขนาดไหน คิดให้ดีเถอะ 

อาตมาก็ได้แต่พูดด้วยความเจตนาดี ไม่อยากให้คนมีวิบากบาป มากินพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ มันก็ดี อยู่ได้ อายุยืนด้วย กินเนื้อสัตว์นั้นมันไม่ได้อายุยืน กินมากก็ยิ่งกินเนื้อสัตว์มาก ไม่มีพืชกินก็ยิ่งอายุสั้น เช่น พวกขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เขาไม่มีพืชจะกินเท่าไหร่ มีแต่เนื้อสัตว์ เนื้อปลาเป็นใหญ่แล้ว นอกนั้นก็เนื้อหมี จะมีสัตว์อะไรบ้างที่โน่น มีเพนกวิน สิงโตทะเล มันก็น้อย เห็นแต่หมีขาวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากก็กินปลา 

ก็มีสถิติอยู่แล้วว่าพวกชาวขั้วโลกเหนือนี้อายุสูงสุด 40 ค่าเฉลี่ยประมาณ 25 อายุ 25 ปีตาย สูงสุด 40 เขาก็มีสถิติ มีการตรวจสอบอะไรต่ออะไรกันมาแล้ว พวกนี้หลักฐานในการยืนยัน 

พวกหรรษากินพืชเป็นหลัก อายุยืนเลย 100 พวกนี้พวกอยู่บ้าน อิ๊กลู่บ้านน้ำแข็ง จริงๆตัวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก แต่เสื้อผ้าหน้าแพรหุ้มตัวไว้ เพราะมันหนาว มันก็กินเนื้อกวาง กินเนื้ออะไรที่เขาเลี้ยง ดีไม่ดีเนื้อหมา ที่ใช้ลากรถอะไรอยู่ นี่พวกนี้หลักฐานยืนยันซึ่งพวกเราเลือกได้ 

พวกหรรษาหรือฮันซ่า แตกต่างจากพวกเผ่าเอสกิโม อายุสั้นอายุยืนกว่ากัน แค่อายุสั้นอายุยืนก็เหลือแหล่แล้วในมนุษยชาติ ใครอยากจะอายุสั้นล่ะ อยากอายุยืนๆกันทั้งนั้นแหละ ใครก็ปรารถนาอายุยาวยืนกัน 

ก็ยังไม่ทันถึงวันงานเจเลย อาตมาก็เริ่มต้นเอาก่อนแล้วเพิ่งจะปลายกันยายน เทศกาลกินเจเริ่ม 14-15 ตุลาคม กลางเดือนตุลาคมโน้น 

ขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน 

 

วันที่ 25 กันยายน 2566 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม

_Jaitham Sittinawin… ใจธรรม สิทธินาวิน . ดิฉันเห็นด้วยกับคุณใบฟ้า เรื่องทำหนังสืออภิธานศัพท์อโศก เป็นคู่มือศัพท์เล่มเล็กแบบธรรมพุทธสุดลึกค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ลองฝากฟังกันไว้ ใครที่คิดจะรวมหัวรวมตัวกันทำ มันก็เป็นประโยชน์ ใครจะคิดอยากจะทำก็ทำ อาตมาก็ไม่มีเชิงจะไป มีออกความคิดความเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ใช้บังคับ แล้วแต่ใครจะมีน้ำใจหรือมีกำลังที่จะช่วยทำกัน ผู้ที่ทำกันอยู่แล้วก็ทำๆ กันอยู่บ้างแล้วก็ไปร่วมมือกัน หลายผู้หลายคนทำ ช่วยๆ กันได้มันก็ดี 

 

ความยากหลายชั้นตอนในการทำงานรื้นขนสัตว์ของพ่อครู

_ดิฉันได้รับหนังสือ “อภิธานศัพท์อโศก” แล้วค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครู คณะผู้ร่วมทำทุกท่านทุกคน และขอขอบคุณคุณวิบูลย์ พีรพัฒนโภคิน ซึ่งได้ฟังเทศน์พ่อครู ก็ได้นำหนังสืออภิธานศัพท์อโศกมามอบให้ดิฉัน เล่มใหญ่มาก เนื้อหาดีมาก ดีใจมากค่ะ ขอเล่าเกี่ยวกับหนังสือนิดนึงนะคะ หนังสือนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจเยอะค่ะ เช่น 50 ปี สิ่งที่ยากของสมณะโพธิรักษ์ ดิฉันอ่านหัวข้อนี้แล้วรู้สึกว่างานของพระโพธิสัตว์นี่ยากมากๆ ค่ะ งานยากอย่างนี้คนธรรมดาทำไม่ได้แน่ๆ ค่ะ 50 ปี สิ่งที่ยากของสมณะโพธิรักษ์ 

พ่อครูว่า... เฉกะ หรือ เฉโก มาจาก ฉ กับ เอก ฉ คือ 6 เอกนี่คือ 1 ทีนี่คนเข้าใจผิด คนมิจฉาทิฏฐิไปเอา 6 รวบเป็น 1 เฉกะหรือ เฉโก ไปรวบ 6 เป็น 1 แยก 6 ไม่ออก แยกความรู้ แจกวิภัตติเป็น 6 ไม่เป็น ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีความรู้ในโลกุตรธรรม ไม่มีความรู้แบบปัญญาก็เลย ได้แต่ เฉกะหรือ เฉโก อยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน

เทวนิยมไม่มีความรู้โลกุตรธรรมมีความรู้แต่ เฉโก อย่างนี้ อาตมาไม่ได้ไปหาความไม่ได้ไปหาเรื่องเทวนิยมหรือ เฉโก หรืออย่างที่เขาเป็นเช่นนั้นของเขาจริง ตามพยัญชนะก็ระบุทุกอย่าง มีทั้งตำนาน มีทั้งประวัติ มีทั้งพฤติกรรม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนปัญญานั้น มันมารู้รายละเอียดหมดเลย แยกออกมาเป็น ฉฬายตนะ จึงใช้คำว่า ฉลาด มันกร่อนมาจากคำ ฉฬายตนะ มาเป็นภาษาไทยคือคำว่าฉลาด 

อาตมาไม่ได้โมเม มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนฉลาดก็คือปัญญา ถ้าคนเฉโกอยู่มันไม่ใช่ฉลาด คนเฉโก คนมีความรู้แบบนั้นไปทิ้งหมดเลย 6 ไปรวบเป็น 1 

1. ตามอะไรก็ตามพระศาสดาหรือตามพระเจ้าของเขา ระบุว่าอย่างไร คัมภีร์ว่าอย่างไร ระบุไว้อย่างไร อย่าไปแยกเป็น 2 ไปกระจายขยายความอีกต่างหาก ไม่ขึ้นกับ กาละ เทศะ ฐานะ ต้องเป็นของพระเจ้าหนึ่งเดียวตลอดกาลนาน เปลี่ยนแปลงออกจากตรงนั้น จะกาละไหน เทศะไหน ฐานะไหน เมื่อใด มีองค์ประกอบแตกต่างเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่เกี่ยว ต้องหนึ่งเดียวอยู่ตลอดกาลนาน โด่เด่ อยู่หนึ่งเดียวตลอด ไม่ขึ้นกับกาล ไม่ขั้นกับกาละ ไม่ขึ้นกับเทศะ ไม่ขึ้นกับสถานที่ องค์ประกอบอะไรไม่ขึ้น ไม่ขึ้นกับบุคคล ไม่ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณที่จะหลากหลายเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง..ไม่ขึ้น  เป็นอย่างเก่า ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียว ตามคัมภีร์อย่าไปเปลี่ยน อย่าไปแก้ อย่าไปทำผิดเพี้ยนเป็นอันขาดอย่างนั้นเลย ก็น่าสงสาร น่าสงสาร 

เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกอย่างไม่เที่ยง คำว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง นี้สุดยอดลึกซึ้ง เอ้า.. ผ่านไปก่อน เดี๋ยวจะขยายความเพิ่มเติมอีก 

_คือมีสิ่งที่ยากเป็นไปตามลำดับ คืออยากให้คนมีปัญญาโลกุตระสามารถมองเข้าหาตนเอง เห็นกิเลสตัวเองแล้ว ได้ลดกิเลสในตัวเองได้ถูก 

พ่อครูว่า... เพราะไม่เห็นกิเลสตัวเองอย่างถูกตัวถูกตนของกิเลส มันจึงลดกิเลสไม่ถูกต้อง อ่านให้ออก อย่าไปขี้ตู่ อย่าไปเอาจิตของตัวเองร่วมด้วยมา ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโภชงค์อย่างละเอียดลออ วิจัยธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม วิจัยให้ดีๆ เมื่อได้กิเลสก็ฆ่าแต่กิเลส ปัญญาที่มันรู้แท้ๆ นี่แหละ ธาตุรู้ที่มันรู้เป็นปัญญาอันยิ่ง พอกิเลสมันเห็นหน้าปัญญา อย่างที่อธิบายแล้วในมารสังยุต 

พอมันเจอหน้า สรุปง่ายๆ ก็คือ ตัวโง่มันเจอตัวฉลาด หรือตัวโง่มันเจอตัวปัญญา ตัวโง่มันถอย คุณคิดได้ เข้าใจได้ ไอ้โง่มันเจอกับปัญญา คุณจะเอาปัญญาหรือคุณจะเอาโง่ คุณก็เอาปัญญา ไอ้โง่ก็ถอย ไม่มีใครหรอก สามัญสำนึกธรรมดา โง่มันไม่สู้ปัญญา มันเจอปัญญามันวิ่งหนีทันที หายวับไป มันเป็นธรรมชาติเป็นธรรมฤทธิ์อาตมาใช้คำว่า ธรรมฤทธิ์  มันเป็นพลังงานที่เหนือชั้นกว่ากันอย่างชัดเจน 

เพราะโง่มันเจอหน้าปัญญามันถอย มันจะไปสู้ได้อย่างไร โง่มันก็ต้องรู้ตัว ก็มีแต่ไอ้ดันทุรังจริงๆ โง่แล้วก็ไม่ยอมรับว่าโง่ เช่น ทักษิณ เป็นต้น ไม่ยอมรับว่าตัวโง่เลย ถ้ายอมรับว่าตัวโง่บ้าง จะเจริญทันที 

คนที่รับว่าตัวเองโง่ รู้ว่าเออ เราโง่ก็โง่จริงๆ จริงขนาดไหน เขาก็ยังหลงว่ามันไม่จริง ไม่ได้โง่ไม่ได้ผิด ไม่ได้ด้อยอะไร ฉันต้องถูกฉันต้องจริง นี่เห็นชัดเจนเลยตัวอย่างเห็นไหม ที่เป็นตัวอย่าง แล้วก็หาทาง ยิ่งโง่ซ้อนโง่ซ้อนโง่ลึกซึ้งซับซ้อน ได้พลังงานว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ ตัวเองเก่ง ตัวเองไม่มีการแพ้ มีแต่ชนะๆๆๆ โอ้โห! มันซับซ้อน..เฮ้อ! 

ไม่มีตัวอย่างอันใดที่จะเห็นชัดเจนเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทย ประเทศอื่นจะมีอย่างนี้ขนาดนี้ไหมหนอไม่เท่าทักษิณ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ต้องอ่านให้เต็มด้วยเขาให้ถูก ตามพระราชกิจจานุเบกษาบันทึกไว้หมดแล้ว นักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร โอ้โห.. นาย ก็ยังไม่ได้เป็นอย่าว่าเป็นถึงดอกเตอร์เลย นายก็ไม่ได้เป็น พันโทก็ไม่ได้เป็น แต่ได้ article ใหม่ว่า เป็นนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร

นี่เขาก็ไม่พยายามสำนึก ไอ้คำว่า สำนึก นี้อีกคำ ถ้าใครมีสำนึก สำนึกในความไม่ดีของตนเองได้ชัดเจน คนนี้จะเจริญๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย สำนึกเพราะว่าจะต้องเป็นความจริงว่าเรานึกถึงอันนี้แล้ว โอ้โห! นี่เราผิดนะ อันนี้อาตมาก็นึกถึงมีคนหนึ่งเป็นดอกเตอร์เหมือนกัน อาตมาตั้งชื่อให้เขาว่า “สำนึก” เขาก็ซัดอาตมาเลยว่า ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อผมว่า “สำนึก” โอ้โห! อาตมาก็เลยเปิดก่อนเลยคนนี้ ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อให้ผมว่า สำนึก ก็เลยเอาเถอะ อาตมาก็เลยก็จริงๆ แล้วชื่อของเขาก็คือไม่สำนึกนั่นแหละ ชื่อของเขาก็คือมีไม่สำนึก มันก็จริงๆ นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพบอยู่ 

_ปัญญานี้ก็ไม่ง่าย…ยาก… ข้อต่อมาก็ยากยิ่งขึ้น คือการเลื่อนมาเป็นผู้แพ้ 

พ่อครูว่า... โอ้โห อันนี้ก็เป็นอจินไตยมากเลย ทำไมเพลงผู้แพ้ดังตั้งแต่อาตมายังเด็ก ยังหนุ่ม อายุ 20-21 แต่งเพลงนี้ดังเลย สนั่นหวั่นไหว มันก็ยาก เพราะฉะนั้น ในที่สุดแห่งที่สุดเป็นผู้แพ้นี่แหละคือผู้ชนะทั้งโลก 

_เดินบนเส้นความเป็นผู้แพ้มากกว่าจะเอาชนะคะคาน และข้อ 1 ข้อ 2 ก็เดินไปด้วยกัน เมื่อตัวตนเล็กลงน้อยลง ก็จะดำเนินไปเส้นทางผู้แพ้ คนที่ไม่มีตัวตนจะทำตัวให้แพ้ก็ได้ ชนะก็ได้ เป็นผู้ผิดก็ได้ ผู้ถูกก็ได้ 

พ่อครูว่า... เขาจะว่าเราเป็นผู้ผิดก็ได้ แต่จริงๆ เราต้องยืนยันตัวเองว่าเราไม่เป็นผู้ผิด แต่เป็นผู้แพ้ได้ เขาจะว่าเราผิดก็ได้ แต่เราจะต้องยืนหยัดยืนยันในความถูก 

_ยากกว่านั้นอีกคือ การมาเป็นคนจน มารักชีวิต ความเป็นคนจน ทิ้งความร่ำรวย ความมั่งมี ออกมาสู่เส้นทางของความจน ก็มีแต่พวกชาวอโศกที่ฟังกันรู้เรื่อง 

พ่อครูว่า... เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ พูดภาษาอะไร ตัวเราเป็นคนจนอุดมสมบูรณ์ไหม เหลือเฟือเลย เหลือเฟือ จ๊กม๊ก เลยนี่ มีตัวตลกคนหนึ่งเขาอยู่คณะจ๊กมก ชื่อเหลือเฟือ พวกเราเหลือเฟือจริงๆ มารักชีวิตความเป็นคนจน แต่ก็อย่าไปชังคนรวย อย่าไปอคติกับคนรวยเขา เพราะเราไม่ใช่แค่ฟังกันรู้เรื่องเท่านั้นนะ เอาตัวมาลงให้ลงตัวเลย เอาตัวมาลง นี่สำนวนของท่านเพาะพุทธ เอาตัวมาลงให้ลงตัวเลย..ใช่ไหม ไม่ใช่แต่ฟังรู้เรื่องเท่านั้น มาเป็นคนจนจริงๆ เลย 

_แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการทำงาน 50 ปี 

พ่อครูว่า... มองเห็นความยากของอาตมานี่ชัดเนาะ เป็นชั้นๆๆๆ  

_คือ ให้พวกเทวนิยม ไม่ติดสุข-ติดทุกข์

พ่อครูว่า... ถูกไหม..ถูก สุดยอด ขอขยายความตรงนี้ 

สุข-ทุกข์ นี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุดแห่งสัจธรรมพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติจิต โดยเฉพาะอ่านเวทนาเป็น แล้วก็ทำเวทนาหรือความรู้สึกให้หมดสุขหมดทุกข์ 

เวทนามี 3 ในเวทนา 108 นั่นแหละ แต่เวทนาหลัก 1.สุข 2. ทุกข์ 3.ไม่สุขไม่ทุกข์ 

ไม่สุขไม่ทุกข์แบ่งเป็น 2   1.เป็นของโลกีย์เขาก็ทำได้แต่มันยังมิจฉาทิฏฐิ ต้องสัมมาทิฏฐิ ไม่สุขไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถเข้าใจได้อย่างที่อาตมาอธิบายไปว่าสุข-ทุกข์เป็นจอมมายามันไปรวบ 2 มาเป็น 1 มันหลอกนะ มันหลอกแล้วหลอกหน้าเดียวให้หลงหน้าสุข โดยหน้าหลังที่เป็นทุกข์นี้มันไม่บอก หรือไม่รู้เขาไม่รู้ เขาก็เลยมี 2 สุขทุกข์ สลับสับวนอยู่ในชีวิต อยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่หมดไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะดับต้องดับทั้ง 2 ทั้งสุขทั้งทุกข์ ดับไปเลย เหลือ 0 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับเวทนาสุข-ทุกข์ได้หมดแล้วเป็น 0 ตัวเหตุแห่งความสุขทุกข์เพราะกิเลส เพราะกิเลสหมดแล้วเป็น 0 จริงๆ คุณก็กลับมาอาศัยชีวะเป็น 1 ฟังให้ดีนะมากลับอาศัยชีวะ มากลับอาศัยจิตนิยาม เฉพาะจิตนิยามที่มีพลังงาน อธิปไตยอันวิเศษ อำนาจอยู่เหนือ อุตระ อยู่เหนือ อาศัยอยู่กับความเป็นชีวะเท่านั้นเอง 

ไม่ได้สั่งสมให้เจตสิกต่างๆ สั่งสมเป็นนิสัย สั่งสมเป็นวิสัย สั่งสมเป็นอนุสัย..ไม่ อาศัยเท่านั้น เพื่อทำงานหรือเพื่อยังชีพไปเฉยๆ เช่น พระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ตรัสรู้อรหันต์ อรหัตตผลแล้ว ก็ทำไปไม่ต่อภพภูมิเป็นโพธิสัตว์ ก็ตายด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายไปด้วยนิพพาน 3 ก็สูญเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม แยกธาตุไปเลย นั่นคือสำหรับพระอรหันต์ที่ไม่ต่อภพภูมิจริงๆ เลย 

เป็นพระอรหันต์ที่ต่อภพภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นไปอีก ทำความรู้เพิ่มขึ้นไปอีก อย่างที่ได้อธิบายโพธิสัตว์กี่ชั้น อรหันต์กี่ชั้น อาตมาก็อธิบายไปแล้ว ก็พอแค่นี้ก่อน ไม่ขอขยายความต่อตรงนี้ นี่คือสัจธรรมสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 

ทีนี้สุข-ทุกข์ตรงนี้ ผู้ที่บรรลุตรงนี้ได้แล้ว จิตวิญญาณจะรู้จักหมดเลย เป็นอนัตตา มันจะรู้จักความไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ อยู่ที่จิตเราจะมีเจตนา ยึดหรือไม่ยึดไว้ ถ้ายึดไว้นี่ ศัพท์เขาเรียกว่า สมาทาน สมะ + อาทาน ฉวยไว้ ส่วนผู้ที่อวิชชาจะยึดอย่างอุปาทาน ไม่ใช่สมาทาน ยึดอย่างอุปาทาน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความเป็นจริง ยังไม่บรรลุ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุแล้ว จะยึดอย่างสมาทาน อาศัยอย่างมีปัญญา สงบแล้ว ตัดแล้ว สมะแล้ว เสมอแล้ว สงบแล้ว มีปัญญาชัดเจน  เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถจบตรงนี้เรียกว่า จบกิจ เป็นอรหันต์จบกิจ 

1. อรหันต์นี้จะเป็นผู้ที่เที่ยงแท้ชนิดที่หนึ่ง คือ จะเป็นคนไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี ถ้ายังอยู่ต่อ จะอยู่อีกกี่ชาติก็ตาม จะทำแต่ดี นี้เป็นโลกียะ ไม่ทำชั่วอีกเลย เพราะฉะนั้นจิตจะมีแต่กุศล ไม่มีอกุศล บาปไม่มี อกุศลไม่มีแล้วบุญก็ไม่ต้องทำแล้ว เพราะเป็นอรหันต์แล้วจะไม่ต้องทำบุญอีก เพราะบุญคือความตัดกิเลสสิ้นอาสวะขั้นเรียกว่าอรหันต์ 

เพราะฉะนั้นกิเลสหมดแล้ว เกิดอีกกี่ชาติอาสวะดับหมดแล้ว ได้แล้ว เที่ยงแท้แล้ว เลือกได้เลย ขึ้นเป็นโพธิสัตว์ต่อมาก็ไม่มีกิเลสเกิดอีก โพธิสัตว์ในระดับต่อ ระดับโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ขึ้นมาก็ไม่ต้องแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องประกันว่าคนผู้นี้ จะยังมีชีวิตเกิดต่ออีกกี่ชาติจะไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี 

2. เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว หมดสุขหมดทุกข์แล้วก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดอีกกี่ชาติก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำแต่ประโยชน์ 

3. นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอนัตตา จิตวิญญาณ รู้จักเลยว่าการปล่อย สลาย ตายด้วยนิพพาน 3 ตายด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายจิตว่าง วาง สูญ ไม่ตั้งนิมิต ไม่ยึดนิมิตใด ไม่ตั้งจิตที่จะเกิดต่ออีกเลย ตาย พลังงานจิตนิยามก็สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปหมดเลย สำเร็จได้เลย 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นหลักประกันทุกอย่างเลย เป็นอมตบุคคล การมีจิตนิยาม เกิดแล้ว วนแล้ววนเล่าเป็นโลกียะ ทางเทวนิยมจึงมีทุกข์ มีสุข มีชั่ว มีดี มีอะไรต่ออะไร วนเวียน สมบัติผลัดกันชมอยู่นั่นแหละตลอดกาลนาน ไม่มีจบสิ้น แก้แค้นกันไป  ดึงกันมา แก้แค้นกันไป ดึงกันมา ตั้งแต่เบาไปจนกระทั่งถึงหนัก ถึงยาก ถึงทรมานทรกรรมยังไงก็ทำไป​ 

อาตมาเองไม่พยากรณ์ แต่จะขอบอกว่า ทักษิณเขายังอยู่ในภาวะที่เขาได้ เสวยภพที่ไม่เป็นทุกข์เกินไปไม่เป็นนรกเกินไป เขานึกว่าสวรรค์ มันกำลังมายา มันหลอกว่าเป็นสวรรค์กับเขา เขาได้ชนะทุกอย่างเหมือนเขานึกว่าขึ้นสวรรค์เสมอ เขายิ่งชนะ เขามีอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็นึกว่าเป็นสวรรค์แก่เขาตลอด  มันซับซ้อนไปอีกแล้วว่าคุณยิ่งโง่ซับซ้อน โง่ยกกำลัง โอ้โห! ยกกำลัง 100 ยกกำลัง 1,000 ขึ้นเรื่อยๆ พูดไหวไหม 1,000 ยกกำลัง 1,000 ขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่ตัวเองโดยความฉลาดของเขา ใช่ไหม โดยความมหาอภิมหาฉลาดของเขา นี้เป็นอย่างนี้ ฉลาดเฉโก 

ขออภัยนะ ที่อาตมาต้องยืมพฤติกรรมของคุณทักษิณมาขยายความทางสัจธรรม มันเป็นตัวอย่างที่หยิบมาเห็นๆ พวกเรารับรู้ระลึกได้เช่น อาตมาอธิบายถึงกรรมกิริยาที่เขาละเอียดลออในการที่จะเอาชนะคะคาน ที่ไม่ยอมแพ้ ที่เขาได้เปรียบ ได้เปรียบ ได้เปรียบ อาตมาหยิบมาพูดไม่ไหว ใช่ไหม เขาทำมากเกินละเอียดซับซ้อน สมกับที่เป็น ด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา บิ๊กโจ๊กนี่ไม่ติดเลย บิ๊กโจ๊กนี่ยังไกลห่างมาก เขาแค่พันโทนะนี่ เขาแค่พันตำรวจโท พลตำรวจเอกอย่างบิ๊กโจ๊กสู้ไม่ได้ความฉลาด เฉโก สู้ไม่ได้ ไม่ได้เทียบครึ่งหนึ่ง นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะออกหัวออกก้อยอย่างไรสำหรับบิ๊กโจ๊ก 

นี่ก็ขออาศัยสิ่งที่มีจริงในสังคมเอามาอธิบายธรรมะ ขอบคุณทุกคนที่อาตมากล่าวนามพาดพิงถึง ขอบคุณจริงๆ ด้วยใจจริง คุณเป็นตัวอย่างให้อาตมาเอามาอาศัยสอนธรรมะ คุณได้กุศลนะ 

ได้กุศลตรงที่อาตมาเอาคุณมาใช้เป็นตัวอย่างขยายความให้คนอื่นเขาได้รู้จักสัจธรรม แต่แน่นอนคุณอาจจะถือสา ถ้าคุณถือสาคุณก็พยาบาทอาตมา ลูกหลานของคุณทักษิณก็คงแค้นอาตมา โกรธอาตมาไม่ใช่น้อย ซึ่งมันก็ซวยของเขา เขายิ่งโกรธ เขายิ่งอาฆาตอาตมา เขายิ่งซวย นี่เป็นสัจจะ เขาจะฟังออกไหม เขาจะรู้เรื่องไหม ถึงรู้เรื่องเขาจะทำได้ไหม ให้จิตไม่อาฆาตพยาบาท ไม่โกรธ แต่อาตมายอม ยอมให้วิบากมันเกิด เพื่อจะได้ประโยชน์จากผู้ที่ได้รับฟังสัจธรรม อาตมาเห็นว่า อันนี้ราคาแพงกว่า ราคาของธรรมะแพงกว่า อาตมาก็ยอมเอาตัวเองเป็นผู้ที่ขาดทุน พวกคุณได้กำไรมากขึ้นอาตมาก็ต้องยอมใช่ไหม นี่อาตมาไม่ได้พูดเอาดีใส่ตัวนะ สัจจะมันเป็นอย่างนั้น..ใช่ไหม    เอ้านี่ขยายความลึกซึ้งขึ้นไปแล้ว 

สรุปตรงที่ว่า 1.เมื่อผู้ใดปฏิบัติธรรมพ้นสุขพ้นทุกข์ได้จริง..จบเลยจบทุกอย่าง ทั้งเป็นคนเกิดอีกก็ทำดี 2. ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 3. คนจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือคุณจะเกิดอีกก็ได้ มาทำประโยชน์อีกเท่าไรก็ได้ มันจบแล้วนี่ ในการจะเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม เรากำหนดได้เองด้วย ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมากำหนด เรานี่แหละกำหนดเองด้วย เราเป็นตัวของตัวเองกำหนดได้หมดเลย เราจะเอาอะไรยังไงได้หมด 

แต่ถ้าคุณตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะกลับมาเกิดอีกไม่ได้นะ ตัดสินให้ดีๆตรงนั้นน่ะ แล้วคุณจะรู้เองว่าคุณจะตัดสินหรือไม่ตัดสิน ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์คุณก็เอียงไปทางตัดสินเป็นอรหันต์ คุณก็ไปสิ แต่ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์จะเข้าใจ มีปัญญาเข้าใจว่าจะต้องต่อก็ต้องต่อ อาตมานี่เป็นโพธิสัตว์มาหลายชาติได้หรือไม่ได้ก็ขั้น 7 แล้วถึงขั้นมีความรู้อันนี้เอามาพูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้ไปพูดเล่นๆ ไม่ได้ไปพูดให้มันผิด พูดถูกทุกอย่าง ขอยืนยัน เป็นความถูก 

ต่อมา คุณใจธรรมบอกว่า 

_ล้างความยึดติดในสุข-ทุกข์ให้หมดไป ล้างเทวนิยม หมดสวรรค์ คิดว่าในศาสนาพุทธที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ คิดว่ายากยิ่งขึ้นไปอีก

พ่อครูว่า... ไม่ต้องเอาสวรรค์เลย หมดสวรรค์แม้แต่ชาวพุทธก็ยังยาก 

_งานโพธิกิจที่ทำมามีแต่เรื่องยากทั้งนั้นเลยที่จะพาผู้คนพ้นได้ ทางศาสนาเทวนิยมบอกว่าพาคนลงเรือโนอาห์แต่ของศาสนาพุทธก็พาขึ้น นาวาบุญนิยม มาล้างความสุข-ความทุกข์ให้หมดไป

ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า…คุณใจธรรมก็เข้าใจ ขยายความไปต่อก็ได้แต่เอาล่ะพอก่อนเอาแค่นี้ก็แล้วกัน 

_Bongkot Harnrob บงกช หาญรบ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ดิฉันรับฟังที่ชัยภูมิชัดเจนดีค่ะ แปลกใจว่าทำไมบางคนจึงยังคิดจะพึ่งความคิดทักษิณในการบริหารประเทศ ก็เขาเป็นนักโทษที่หนีคดีในเรื่องต่างๆ ที่ทำชาติเสียหายมากมายหลายคดี ที่เขาทำเพื่อประโยชน์ตระกูลเขามายาวนานแล้ว และยังรับโทษอยู่ ยังจะพึ่งสมองขี้โกงเขาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกหรือ ?

รัฐบาลนี้ควรพึ่งความคิดอดีตนายกฯลุงตู่ ขอคำแนะนำปรึกษาท่าน เคารพอ่อนน้อมเหมือนวันแรกที่เข้าไปพบท่านจะดีกว่าไหม? ประเทศไทยคงจะมีความปรองดองเจริญรุ่งเรืองยาวนานไปอีกแน่นอน กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า…นี่ก็คุณเข้าใจแต่คนที่ไม่เข้าใจจะบังคับให้เข้าใจได้ยังไง คนโง่ก็โง่ที่ตัวเองฉลาด คนที่ฉลาดก็ฉลาดเท่าที่ตัวเองโง่ นี่ก็สรุปแล้วอาตมาไม่มีภาษาอีกที่จะสรุปมากกว่านี้ มันบังคับกันไม่ได้ ก็ตามยถากรรม ที่พูดมานี้ถูกต้องหมด ออกความเห็นมานี้ถูกต้องหมด อาตมาจะไม่ขยายความต่อเดี๋ยวจะไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย 

_ภัทรมน ทองม แม่น้องแป้ง . กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ที่ทะเลธรรมติดโปสเตอร์ใช้คำว่า!! “พุทธจวน!!” แต่ที่อื่นเขาใช้คำว่า!! “พุทธวจน!!” ไม่ทราบว่าต่างกันอย่างไรคะ    (สงสัยมานานแล้วค่ะ)

พ่อครูว่า…ก็ต่างกันตรงพิมพ์ผิดกัน เขียนผิดกัน คนหนึ่งเขียนว่าพุทธจวน ต้องอ่านว่า จะวะนะหรือจวน อีกอันอ่านว่า พุทธ วะ จะ นะ

ก็ต้องเอาคำว่า พุทธวจน จะเอาคำว่า พุทธจวน คงไม่ได้ ให้ไปแก้ซะ เอาละดี คนเราช่วยกันดู เห็นผิดก็แก้ไขให้มันถูก มันผิดคนที่พอรู้ว่าผิด มีปฏิภาณ รู้ว่าอันนี้ผิดไปก็อย่าติดใจถือสากันมากนัก ผิดได้คนเราผิดได้ คนเราจะเจริญได้ก็เพราะรู้ว่าเราผิดนั่นแหละ แล้วก็แก้ไขให้มันถูกไป 


ควรสนใจช่วยพ่อครูทำงานดีกว่าไปสนใจมนุษย์ต่างดาว UFO

_Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ สอบปัญหาว่า ในจักรวาลอันแสนกว้างใหญ่นี้ มีโลกใบนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่  นั่นอาจเป็นไปได้ว่า  ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในจักรวาลนี้ก็อาจมีมนุษย์อยู่ใช่ไหมคะ?

พ่อครูว่า…ใครคิดว่าไง ในจักรวาลอีกเป็นล้านๆ โลกล้านๆ ดวง จะมีไหม..มี  เราเดาได้ ไม่ผิดหรอก เพราะทุกอย่างมันก็อยู่ในธรรมชาติพวกนี้ ดาวดวงไหนที่มีเหตุปัจจัยถึงขั้นมีน้ำ มีชีวะ บางดวงก็ยังไม่ถึงขั้นมีมนุษย์ คือชีวะที่มันถึงขั้นจิตนิยาม ถึงขั้นเป็นสัตว์โลกชนิดที่เรียกว่า มนุษย์ จึงมีการเดากันว่า มนุษย์ในโลกพระอังคารนั้นจะเป็นตัวเหมือนที่เขาเคยเขียนกันแขนยาวๆ ขาลีบๆ แล้วก็มีหัวโตๆ เขาว่าคนพวกนั้นคงจะฉลาด เขาก็เลยเขียนหัวโตๆ สมองโตๆ แขนขาลีบๆ ตามจินตนาการของเขา ไม่รู้..เราก็ไม่รู้ อาตมาก็บอกได้ตรงๆว่าอาตมาไม่รู้แต่ก็พอเดา พอคาดได้อย่างที่คาดๆกัน 

ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องไปนึก เราไม่จำเป็นจะต้องไปนึกให้เสียสมอง เสียพลังงานอะไรเลย ก็เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม มนุษย์จะเป็นมนุษย์ในดวงดาวดวงไหนก็ตาม กรรมยิ่งใหญ่กว่าก็อด กรรมนี่แหละ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ จบแล้ว 

กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  สัตว์โลกเกิดมาตาม กรรม ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นี่เป็นความรู้ของพุทธเจ้าที่สุดจบสุดยอดแล้ว เราศึกษาดีๆ แล้วจะเห็นจะจบ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปคิดต่อ คุณจะอยู่ต่อ คุณก็ไปโลกอื่นไม่ได้ ไปโลกอื่นคุณก็ทำอะไรไม่ได้ 

เพราะโลกลูกที่จะมีดวงดาว ดวงไหนที่จะมีมนุษย์อย่างที่พอจะพูดกันได้ โดยเขากำลังสงสัยว่าจะมี UFO จะมีจานบิน จากโลกลูกดวงต่างๆ ที่มันมีความฉลาดจนกระทั่ง สร้างพาหนะ เหาะจากโลกโน้นมาลงที่นี่ได้ จนป่านนี้ก็ยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตายว่า ยังมีจานบินจริงหรือเปล่า ได้แต่เดาว่ามันมี UFO UFO​ ว่ากันไปเรื่อย นานแล้วนะใช่ไหม เดากันอย่างนี้งงหรือว่าใช่แล้วมันนานแล้ว UFO นี่ อย่าไปคิดเลย มันนอกความคิด มันเกินความคิด มันจะมีมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เราก็ทำหน้าที่ จะอยู่มีชีวิตก็ทำสิ่งที่ดีแก่กันและกันไป

มนุษย์ต่างดาวมา UFO มา เราก็ทำสิ่งที่ดีให้เขาได้ ก็ทำสิ ทำไม่ได้พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทำยังไง ก็ปล่อยให้คนที่เขาอยากจะสัมผัสสัมพันธ์กัน อยากจะสังสรรค์กันเขาก็ว่ากันไป เราไม่ต้องไปทำ แบ่งกัน เขาสนใจ เราไม่ต้องเอาอย่างนั้น เอาแต่แค่พวกเราก็เหลืองานแล้ว งานที่พวกเราจะทำเป็นโพธิสัตว์จะช่วยกันอีกนี่ มาทำแบ่งช่วยอาตมาบ้างสิ…โอ้ยเยอะแยะเลย… อาตมาถ้าไม่มีข้อผูกพันก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว นี่มีข้อผูกพันกับพระพุทธเจ้าสมณะโคดม และอาตมาก็จะต้องมีวิบากของอาตมาเอง ตั้งจิตว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้ได้ด้วย นี่คือข้อผูกพัน สิ่งที่อาตมาทำไว้เองที่จะต้องทำเท่านั้นเอง ก็ยังไม่ท้อแท้ โดยเฉพาะที่รับปากจากพระพุทธเจ้ามาโดยตรง ว่าจะต้องมากอบกู้ต่อศาสนาพุทธนี่ให้ไปถึง 5,000 ปี ตามของพระพุทธเจ้า

เพราะถ้าอาตมาไม่ต่อนี้ไม่ถึงนะ มาถึงวันนี้มันเสื่อมจริงๆ แล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาก​​ 2,500 ปี ถ้าอาตมาไม่อุบัติขึ้นมานี่ จะมีโลกุตระต่อไหม..ไม่มี อยู่ที่ลังกา พม่า ลาว เป็นพุทธทั้งนั้นไม่มีหรือ ทำไม คุณไปรู้ได้ยังไงไม่มี?  คุณไปสอบทานมาแล้วหรือ ลังกา พม่า ที่ไหนที่เมืองลาว ญี่ปุ่น จีน อะไร ผู้ที่ไปก็ลองสอบทานดูว่ามีโลกุตรภูมิตรงไหน มีภูมิไปสอบเขาไหมล่ะ ถ้าไม่มีภูมิไปสอบเขาก็ไม่ได้

Pattern อันนี้ที่ขึ้นมาให้เห็นอาตมาก็มีมาตั้งนานแล้ว ก็ทำความเข้าใจทุกอย่างที่ทำ Pattern อันนี้เอาไว้ ว่าศาสนาพุทธจะต้องครบ 5,000 ปี จะต้องมีพลังงานสร้าง ตั้งแต่ 36 ปี 72 ปี 108 ปี 144 ปี 151 ปี  ถ้าอาตมาทำได้ถึงขั้นพีคสุดถึงยอดของสามเหลี่ยมนี้ได้  อาตมาก็ไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะอาตมาถ้าจะเกิดก็มีประเด็นเดียว ประเด็นที่รับผิดชอบ ถ้าถึง 5,000 ปี อาตมาก็เสร็จอันนั้น ก็เหลือแต่อาตมาจะไปเป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ที่ปณิธานของตัวเองจะเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนงานรับว่าจะต่อพุทธศาสนานี้ให้มีเนื้อโลกุตระไปถึงหมด 5,000 ปีของพระพุทธเจ้า ถ้าอาตมาทำสำเร็จ อาตมาก็จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็เรื่องของอาตมาอาตมาอาจจะรีไทร์ (retire) กลางทางก็ได้ แต่ยังไงๆมันก็ใกล้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จากนี้ไปปั๊บ ถ้าอาตมาเป็นไปอีกก็เริ่มๆเข้าไปหามหาโพธิสัตว์เรื่อยๆแล้ว ก็เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นเอง โอย..อาตมา ทำมาหนักหนาสาหัสอยู่ตั้งนาน จะถึงอยู่แล้วรอมร่อจะไม่เอาก็กระไรอยู่หนอ 

_สู่แดนธรรม... มีท่านปัจฉาสมณะช่วยตอบให้พ่อท่านว่า ที่ประเทศอื่นไม่มีโลกุตรธรรมนั้น ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ลัทธิใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 ลัทธินั้นไม่มีอาริยะ 

พ่อครูว่า... ถูกต้องอีก เขาอธิบายไม่ได้หรอก ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เขาก็อธิบายไม่ค่อยถูก มรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 หรือโพธิปักขิยธรรม 37 ขยายความไม่ได้อย่างที่อาตมาขยายความใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็ไม่เข้าใจรอบ ไม่เข้าใจถ้วน ไม่เข้าใจสมบูรณ์แบบ มันก็ปฏิบัติได้ยาก 

แต่อาตมาว่า อาตมาขยายสมบูรณ์แบบแล้วนะพูดมาหมด พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง พูดแต่ถูกต้อง พูดแต่ดีๆ ดีๆ แต่ที่จริงมันเป็นการยืนยัน มันเป็นการอธิบายสัจธรรม เกิดความยินดีแล้วเขาจะได้ปัญญารู้ด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง ถ้าใครเพ่งโทษก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่เพ่งโทษฟังด้วยดีจะได้ปัญญาจริงๆ เอ้า..ผ่านอันนี้ก่อน

 

วิโมกข์กับวิมุติต่างกันอย่างไร 

_ลูกดิน . ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะ วิโมกข์ & วิมุตติ หลุดพ้นต่างกันมั้ยคะ

พ่อครูว่า…เอ้อ..เอาละเอียดลออขึ้นไป เอาพยัญชนะมาค่อยๆขยายความกัน วิโมกข์กับวิมุติ 2 คำนี้ วิโมกข์กับวิมุตใช้แทนกันได้สำหรับนัยยะที่ยังไม่ละเอียดพอ ถ้านัยยะที่ละเอียดขึ้นไปแล้ว มันก็มีนัยสำคัญที่ต่าง 

วิโมกข์นั่นคือ ภาวะที่ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น วิโมกข์ 8 เป็นต้น วิโมกข์ 8 สัมผัสด้วยกาย..ใช่ไหม วิโมกข์ 8 เป็นต้น เป็นตัวหลัก บ่งชี้ว่าให้ปฏิบัติตามนี้ มี 8 หลัก 8 ข้อนี่แหละ แล้วก็จะบรรลุธรรมอย่างนี้เป็นต้น เป็นหลักปฏิบัติ

ส่วนวิมุตินั้นหลุดพ้นแล้ว วิโมกข์นั้นเป็นตัวปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ส่วนวิมุตินั้นคือหลุดพ้นแล้ว เช่น วิมุติ 3 สุญญตวิมุติ อนิมิตวิมุติ อปนิหิตวิมุติ อย่างนี้เป็นต้น เอาสั้นๆแค่นี้ก็พอ ไม่อย่างนั้นจะฟั่นเฝืออีก วนไปวนมา ก็ต่างกันอย่างนั้นอย่างนี้นัยยะละเอียด 

แต่นัยยะพูดที่ยังไม่มีภูมิละเอียดถึงขนาดนี้ก็ใช้แทนกันก่อน วิโมกข์ วิมุติ อย่าไปถึงขั้นปฏิบัติ ข้อปฏิบัติเพื่อจะให้หลุดพ้นยังไม่ถึง แล้วจะไปพูดถึงวิมุติทำไม วิโมกข์ก็ยังไม่ถึง เอาให้ถึงวิโมกข์ก่อน 

 

คนโง่ก็จะกินอาหารประดุจกินเนื้อบุตรอยู่นั่นเอง

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ใน “ปุตตมังสสูตร”ที่ว่าพ่อแม่ร่วมมือฆ่าลูกเพื่อกินเนื้อลูก แล้วยังทำเนื้อเค็มไว้กินมื้อหน้า แล้วยังบ่นรำพันว่า “ลูกรักฉันหายไปไหน” ตัวของลูกเองเป็นแม่ลูกสอง ฟังเรื่องนี้ทีไรมันทุกข์ในหัวใจทุกครั้ง พ่อครูคะทำไมจิตคนเป็นได้ขนาดนี้คะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี้จริงๆ เลย จิตใจของคนมันโง่ มันลืม มันเลือน ก็ฆ่าด้วยมือ ฆ่าลูกตัวเองด้วยมือ แล้วก็ทำเป็นเนื้อเค็มเอาไว้ พกเอาไว้กินเพื่อจะเดินทางไปสู่นิพพานว่างั้นเถอะ ไปในทางทุรกันดาร ไปเรื่อย ก็ยังไม่รู้ทิศรู้ทางนะ ไปอยู่ในทางกันดาร ยังไม่รู้ทางจะไปจริงๆ เลย เสร็จแล้วก็จะไปๆ จนกระทั่งไป โอ้โห! อุทาหรณ์พระพุทธเจ้านี้สุดลึกซึ้งที่สุด ครบบริบูรณ์จริงๆ เลยว่าคนมันโง่ได้ระดับจริงๆ คนมันโง่มันโง่จริงๆ นะ ขออภัยอย่างทักษิณนี้เขาไม่รู้จะฉลาดขึ้นมาบ้างหรือยัง มันคิดไม่ออกเลยอะไรนิดอะไรหน่อย 

แม้แต่ โถ..คุณจะไปอภิสิทธิ์ทำไม ไปเอาอภิสิทธิ์ คุณนึกว่าคุณได้ แต่ที่แท้คุณยิ่งฉิบหาย คุณยิ่งเติมสิ่งที่โง่หนักเข้าไปอีก คุณยิ่งเติมนรกให้ตัวเองซ้ำเข้าไปอีกเป็นวิบากซ้ำซ้อนเข้าไปอีก แล้วก็นึกว่าฉันได้เสวยสวรรค์ สวรรค์นั่นแหละนรกสวรรค์ยิ่งซ้อนเท่าไหร่ลึกเท่าไหร่นึกว่าสวรรค์สูง สวรรค์เก่งหลงสวรรค์ว่า ชั้นวิเศษเท่าไหร่ มันยิ่งเป็นนรกที่.. ฟังดีๆ นะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พูดแล้วก็น่าสงสารจริงๆ อีกด้วยซ้ำไป อาตมาก็ได้แต่พูดสัจธรรมนี้ไปจะพอไปถึงเขา มีใครขยายอธิบายให้ฟังบ้าง พอจะแง้มใจออกมาได้สักน้อยไหมนี่ นะเอา 

เพราะฉะนั้นคุณสว่างแสง ก็มีลูกคงจะสะท้อนใจพอเห็นสูตรนี้แล้ว ว่างๆ มาพูดทวนอีกในอาหาร 4 โดยเฉพาะอาหารที่ข้อแรกกินแล้วก็หลงในกาม จนกินเนื้อลูก ฆ่าลูกกินอะไรนี่ โอ้โห! สุดยอด 

_Palatt Rattanawachirin พลัฏฐ์ รัตนวชิรินทร์ 

พ่อครูว่า... ชื่ออ่านยาก อาตมาเป็นนักตั้งชื่อ แต่ต่างกับคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก เขาก็เป็นนักตั้งชื่อเหมือนกันนะ ตั้งชื่อให้คนมาเยอะเหมือนกันนะ แต่ตั้งเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตเยอะทั้งนั้นเลย แบบนี้ อ่านแล้วก็ต้องมาแปล ต้องมาอ่านยังไงก็ยังยาก ส่วนอาตมานั้นเห็นคุณค่า ภาษาไทยเรามีเยอะ มีคุณค่า จะมาตั้งชื่อให้พวกเรา แต่ละคนๆได้ชื่อไปเพราะๆ กันทั้งนั้นเลย ใช่ไหม ไม่ต้องกล่าวถึงใครเดี๋ยวจะว่าลำเอียง กล่าวชื่อใครก็เพราะทั้งนั้น ทั้งคำเดียวไปจนกระทั่งไม่รู้กี่คำ 3 พยางค์ 4 พยางค์ แต่พยายามไม่ให้เกิน 4 พยางค์ ก็จะยาวก็ยังมีบางคนบางชื่อ แต่ก็ยังใช้ได้เยอะ ตั้งไปก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เป็นหมื่นแล้ว จะเป็นถึงแสนหรือเปล่าไม่รู้ที่อาตมาตั้ง 

_สู่แดนธรรม... ที่ผมชอบที่สุดก็คือ พ่อท่านตั้งชื่อให้ตามสถานะของเขา เช่น บางคนเขาเกิดในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พ่อท่านตั้งชื่อว่า คืนฟ้านวล น้องสาวเขาก็ชื่อ ชวนฟ้าชม 

พ่อครูว่า... มันมีนัยสำคัญลึกซึ้งบางคนก็มี อจินไตย มี คืนฟ้าเพ็ญ ก็มี เอาละ ตัวที่ถูกรู้คือรูป และตัวรู้คือนาม เขาจะให้อธิบายตัวที่ถูกรู้กลายเป็นรูปอย่างไร 

 

นามเป็นรูป รูปเป็นนาม เจโตปริยญาณ 16

_ตัวอย่างยังไม่ชัดกรุณาอธิบายตัวที่ถูกรู้ กลายเป็นตัวรู้อย่างไรครับ เช่น จิตที่ท่านพ่อยกตัวอย่างในคนคืออะไร ที่คิดถึงการพรอดรักกับคนรักแล้วเป็นตัวถูกรู้ โดยธรรมารมณ์จะกลายเป็นตัวรู้อีกทีอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

พ่อครูว่า... ไม่ต้องใช้ศัพท์พวกนั้น เดี๋ยวอธิบายง่ายๆ 

รูปกับนาม มันจะเป็นคู่ ที่ตัวถูกรู้กับตัวผู้รู้เป็นคู่กันแยกไม่ออก มันต้องทำงานร่วมกันไปตลอด เพราะฉะนั้นมันจะเริ่มต้นจาก รูป ที่เป็นอื่นไม่ใช่เรา แล้วเราก็ไปเกี่ยวข้องเข้า เกี่ยวข้องสัมผัส อย่างน้อยที่ยังไม่สัมผัสมันไม่เกี่ยวกับเรา ต้องสัมผัส พอสัมผัสก็จะเกิดตัวที่ถูกรู้ขึ้นเป็นรูป แล้วก็ตัวเราผู้รู้อีกอันหนึ่งเป็นนาม

เมื่อยังไม่ได้ศึกษาธรรมะตัวนาม ตัวถูกรู้นี่ก็จะมีชอบหรือชัง ผลักหรือดูด มันก็จะเกิด 2 เหมือนกัน โลภหรือโกรธอะไรพวกนี้ มันเป็นผลักหรือดูด 2 อันเสมอ เราก็มารู้จิตของเราว่ามันเกิด 2 เราไปยึดอย่างหนึ่ง..ชอบ หรือไปยึดไม่ชอบ มันเป็นสภาพคู่ ชอบ-ไม่ชอบ 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันมาเกิดอาการว่าชอบ-ไม่ชอบนี้ มันเป็นเวทนา ตัวที่อยู่ข้างนอกที่เราสัมผัสแล้ว ก็เรียกว่า กาย สิ่งที่นอกตัวเราสัมผัสกับภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสเข้าก็เกิด จิต เจตสิกของเราข้างในอีกตัวหนึ่งเกิดรู้ 

แต่เรายังไม่รู้แยกกิเลสไม่ออก มันก็ปรุงเป็นชอบหรือไม่ชอบชอบหรือชังทันที มันก็ปรุง ไอ้ตัวไม่ชอบหรือชอบนี่แหละที่ปรุงปั๊บ มันเป็นนาม..ใช่ไหม เป็นเวทนา ทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาหรือไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้สัมผัสแล้วก็เฉยๆ ไม่ชอบก็ได้ ชอบก็ได้ ไม่มีทั้งชอบไม่มีทั้งไม่ชอบก็เฉยๆ ก็ได้ก็เยอะแยะ สัมผัสแล้วก็เฉยๆ ชอบก็ไม่ไม่ชอบก็ไม่เยอะใช่ไหม ชอบก็ไม่ชอบมันเยอะกว่าเฉยๆ คุณจะทำไง หยิบอะไรขึ้นมาก็ชอบก็ชังมันก็เมื่อยตายเลย วันๆ หนึ่งสัมผัสกับอีกตั้งเท่าไหร่กี่ล้านๆ อย่าง วันๆ หนึ่งสัมผัสเป็นล้านๆ อย่างนะ นอกจากคุณจะเบลอๆ เมาๆ ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าคุณสังเกตุสังเกตสัมผัสแล้วเรา โอ้โห!! คุณนับเป็นวินาทีไหมมันเร็วกว่าวินาที ใช่ไหมสัมผัสนี้ จิตมันเร็วกว่าวินาที คูณไปสิ วันหนึ่งอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ไม่ต้องนับกลางคืนก็ได้เท่าไหร่ มันไม่ไหว เอ้าต่อ

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณไปเข้าใจไอ้รูปกับนามตั้งแต่หยาบข้างนอกแล้ว พอเข้ามาข้างใน มันเป็นนาม คุณก็วิเคราะห์วิจัยอันนี้ด้วยความวิเคราะห์วิจัย กายในกาย ให้ไปถึงเวทนา วิเคราะห์วิจัยคำว่ากายในกายมันก็คือเวทนา ตัวกายในกายที่ยังไม่วิเคราะห์วิจัยมันก็ยังร่วมปนๆเป็นสังขารธรรม ทุกข์สุขอยู่ หรือชอบชังอยู่ คุณก็มาดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง ตัวนี้เป็นนามใช่ไหม ชอบชัง ไม่ชอบไม่ชัง มันเป็นเวทนาเป็นนามใช่ไหม คุณก็สัมผัสตรงนาม 

พอคุณสัมผัสลงไปตรงนี้ปั๊บ อาการนี้เป็นเวทนา ไม่ใช่กายตัวนั้นแล้ว มันเอาแต่เฉพาะนามข้างในแล้ว แต่สัมผัสๆ จริงมันไม่ได้ขาดกันกับข้างนอกอยู่ แต่เราไม่เอาไม่เกี่ยว เรามาเพ่งที่นาม แล้วคุณก็วิจัยนามให้ออก มันเป็นของจริงกับของเก๊ เวทนาเก๊ ขอใช้ศัพท์นี้ 

เวทนาคืออารมณ์จริง หรือตัวรู้แท้กับตัวรู้เก๊ รู้เก๊ นี่มันเป็นกิเลสปรุงแต่งผสม เป็นเวทนา ก็มาแยกตัวนี้ให้ได้อีก 

เพราะฉะนั้น ตัวที่มันถูกรู้ตัวนี้ก็กลายเป็นรูป ตัวคุณมาวิจัยอีกทีหนึ่งนี่ก็เป็นตัววิจัย วิจัย วิตก วิจาร  ธัมมวิจัยสัมโภชงค์อีกทีหนึ่งเป็นเจตสิกร่วม เจตสิกของคุณไปทำงานเป็นธัมมวิจัยสัมโภชงค์ทำงานเป็นวิจัย มันก็เป็นนาม ไอ้ตัวจิตเจตสิกที่เป็นเวทนา ที่มันทุกข์สุขหรือมันผลักดูดอยู่นี่ ก็กลายเป็นรูป ใช่ไหม ไม่สับสนใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณวิจัยตัวนี้ คุณจะต้องมีความรู้ใน เจโตปริยญาณ 16 คือจิตในจิต 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  

3 คู่ คุณก็ทำต่อไปอีก วิจัยแล้ว คุณก็รู้ว่ามันมีกิเลสร่วม คุณต้องลดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ให้ได้  คุณก็ทำต่อไป มันได้หรือไม่ได้ มันก็อยู่ที่ฐาน 2 คือฐานเจโตกับฐานสายพุทธิ สาย Static กับสาย Dynamic 

7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สาย Static เป็นก้อนตีไม่แตก  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) Dynamic

คุณก็รู้อาการว่าคุณก็ต้องทำแล้วคุณทำยังไม่สำเร็จ มันยังเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ อยู่ตามตระกูลจิตของคุณ คุณก็ต้องแยกให้ออก ทำให้มันรู้เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น วิจัยเอากิเลสออกให้ได้ ยังไม่ได้ ก็เป็น อมหัคตะ 

มหะคือมาก อัคคะคือเลิศยอด ทำได้ก็ มหัคคตจิต

 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  ทำได้จิตก็เจริญขึ้นเรียกว่าเป็น 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  ดีแบบอุตระ ดีแบบเหนือโลกียะแล้ว จับกิเลสลดกิเลสได้ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่จบ 

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 

คุณทำต่อไปจนกระทั่งแยกได้ว่า อ้อ..จบจริงๆแล้ว วิมุติจริงๆ จนกระทั่งสั่งสมวิมุติ เช่น อภิสังขาร 3 มี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร 

ปุญญาภิสังขาร คุณทำจนกำจัดกิเลสได้เด็ดขาดแล้วเป็น อปุญญาภิสังขาร แล้วไม่ต้องใช้ปุญญะแล้ว 

ฉะนั้นจิตที่พ้นจาก ปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องทำบุญอีก คุณก็อภิสังขารต่อไปอีก   มันก็มีแต่กุศล มีแต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้น มีแต่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เจริญต่อไปเรื่อยๆ คุณก็ทำต่อไปอีก 

ปริสุทธาก็คือสะอาด มันก็สะอาดยิ่งขึ้น ปริโยทาตา แล้วก็สั่งสมลงไปในจิตตัวเองเรียกว่า จิตมุทุภูตธาตุ มุทุภูตธาตุ จิตที่สั่งสมคุณสมบัติอันวิเศษของจิตที่เจริญ แล้วมันก็เจริญขึ้น ก็ไปทำงานเป็น กัมมัญญา ทำงานก็เจริญสูงขึ้นไปอีกเรื่อย เหมาะควรแก่การงานมีความเฉลียวฉลาดมีความสามารถมีสมรรถนะสูงไปเรื่อยๆ เป็น กัมมัญญา งานมีแต่ถูกต้องไม่บกพร่องไปเรื่อยๆ แต่ทำงานยังไง จิตก็ประภัสสร ไม่มีหมอง ไม่มีหม่น ไม่มีลดคุณภาพ มีแต่แสงสว่างเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นประภัสสร นี่คือคุณสมบัติ 5 ประการของ โลกุตรจิต เรียกว่าอุเบกขา 5 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก (ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690) อาตมาก็เอามาใช้อธิบายธรรมะมานานแล้ว มาก นี่เป็นความเจริญของความจบ ทีนี้พอคุณไม่ต้องใช้ อปุญญะ ก็ทำให้เจริญเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

จิตของคุณก็ตกผลึกเป็น อเนญชา สั่งสมความตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิโต เป็นคู่สุดท้าย จิตตั้งมั่นเป็นสมาหิตะ และทบทวนอีก 2 คู่สุดท้าย

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)   

ตรวจสอบทุกอย่างจนหมดถึงขั้น อากิญจัญญายตนะ ตรวจสอบทุกอย่างไม่มีอะไรขาดหกตกหล่นบกพร่อง ไม่มีอะไรไม่สมบูรณ์ สมบูรณ์สุดแล้ว axiom แล้ว จบแล้วไม่ต้องพิสูจน์อีก ซตพ.จบด้วยวิมุติ หลุดพ้นเด็ดขาดแล้วจิตก็ตั้งมั่น 

จิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า สมาหิโตหรือสมาหิตะ ไม่ใช่คำว่า สมาธิ  เท่านั้นเป็นความจริงของจิต สมาหิตะ โดยพยัญชนะ ความจริงที่มันเกิด สมะ กับ หิตะ ยอดเยี่ยมแล้ว ไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว ซตพ.แล้ว axiom แล้ว ไม่ต้องพิสูจน์อีก..จบ 

เพราะฉะนั้น จิตที่สั่งสมตกผลึกเป็น อเนญชาๆ ด้วยความบริสุทธิ์สะอาด ด้วยอุเบกขา 5 นี่แหละ  สั่งสมลงเป็นอเนญชาภิสังขาร ชนิดที่ไม่ต้องมีบุญอีกแล้ว มีแต่จิตสะอาดเป็นอุเบกขา อุเบกขาสั่งสมตกผลึกลง ตกผลึกลง ก็ยิ่งตกผลึกเป็น สมาหิตะ ไม่มีที่สิ้นสุด อัปปมัญญาไปเลย มันยิ่งเจริญไปยอดเยี่ยมไม่มีที่สิ้นสุดเลย เห็นไหม อธิบายขยายความไปจากคุณ พลัฏ ถามถึงเรื่องของ รูปกับนาม มันแปลกลับไปกลับมาอย่างไร เข้าใจแล้วนะ มันก็หมุนไปหมุนมาอย่างที่ว่านี้

หมด sms แล้ว เหลือเวลาอีก 11 นาที 

สมณะเดินดิน... พ่อครูพูดถึงคุณทักษิณที่เขาได้เปรียบ พอจะได้ประโยชน์อะไรมากขึ้น ผมนึกถึงคุณรักเกียรติ สุขธนะ ตอนที่เขาหนีคดีต้องทุกข์ทรมาน คิดอยากจะฆ่าตัวตายตั้งหลายครั้ง แต่คุณทักษิณนั่งเครื่องบินเจ็ทไปไหนมาไหนสุขสบาย แต่คนทุกข์ทรมานนี้ สุดท้ายหนีไม่รอดถูกจับได้ แกบอกว่าแกโล่งเลย ชีวิตนี้ไม่ต้องหนีอีกแล้ว แล้วก็ยอมติดคุก ใช้เวลาส่วนนี้อ่านหนังสือธรรมะ จนออกมา คนก็ยกย่องว่าเกิดความสำนึก ชีวิตเราก็จบจริงๆเลย ชีวิตอย่างนี้เหมือนกับได้ๆๆๆ แต่ต้องเบ่ง ต้องใหญ่ ต้องให้คนยอม ไม่รู้จะจบตรงไหน คิดว่าถ้ามีมือปราบก็ลงได้สักวัน แต่คนเหมือนเขายากลำบากแต่เขาเกิดดวงตาเห็นธรรมง่ายกว่า แล้วโลกก็ยอมรับด้วยสิ่งที่เขาผิดพลาดมา กลับออกมาแล้วเป็นผู้บรรยายเรื่องการโกงได้อีก 

_สู่แดนธรรม... ตอนที่พ่อท่าน พูดถึงทักษิณผมยังรู้สึกว่าทักษิณยังไม่ได้ซาบซึ้งในบทสวดชักบังสุกุลนะครับ ที่มาของเรื่องนี้คือเทวดาตนหนึ่ง เขาอยู่ในความสุขในสวนนันทวัน เขาประกาศว่าถ้าเทวดาตัวไหนไม่รู้จักความสุขนันทวันถือว่าไม่รู้จักความสุข เพราะเขาเป็นอย่างทักษิณนี่แหละ แล้วก็มีเทวดาอีกตัวหนึ่งมาขัดคอว่า ท่านเทวดาผู้โง่เขลาเอ๋ยทำไมพูดอย่างนั้น เทวดาวิสุทธิเทพท่านกล่าวไว้ว่า อนิจจาสัพเพสังขารา สังขารไม่เที่ยงมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปความระงับสังขารได้นั่นแหละเป็นสุข ก็คือเตสังวูปะสะโมสุโข 

ความสุขที่พ่อท่านสอนคือ ความสุขที่ระงับจากความสุข 

พ่อครูว่า... ความสุขที่ระงับจากความสุขนั่นแหละ ไม่มีความสุข พูดภาษาไทยมันก็มีอย่างนั้น ก็ได้เติมความรู้กันเพิ่มเติมขึ้นไปอีกไม่ใช่น้อยวันนี้ 

ก็มาพูดถึง เมื่อกี้เราพูดธรรมะลึกซึ้งซับซ้อนไม่ใช่น้อยก็มาพาดพิงถึงปัจจุบันธรรมเรื่องของการบริหารประเทศ เรื่องของคน นี่ก็ต้องขอบคุณคนที่ให้พาดพิงถึง เราพูดพาดพิงถึงนี่เราเห็นใจเราเข้าใจแต่สงสารได้แต่สงสาร สงสารจริงๆเห็นว่าท่านยังหลงอยู่ในวัฏสงสารในเรื่องที่สงสาร ท่านก็หลงในวัฏสงสาร ยังจะอยู่ในสงสารอีกนานคือวนเวียนอยู่ในวัฏฏะนี้ ยังไม่พ้นหรอก ไม่ใช่ดูถูก มันเป็นอย่างนั้น 

นี้ก็มีคนที่เขียนวิเคราะห์วิจัย เรื่องของพฤติกรรมสังคมเรื่องการเมืองมา พฤติกรรมของคุณเศรษฐานี่แหละ แจกเงินหมื่น 

แจกเงินหมื่น & ระฆังปลุกให้ตื่นจากฟรีดแมน! | ชิดตะวัน ชนะกุล

By ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล | เศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 27 ก.ย. 2566 เวลา 13:35 น.331

แจกเงินหมื่น & ระฆังปลุกให้ตื่นจากฟรีดแมน! | ชิดตะวัน ชนะกุล

“ไปทานข้าวกัน ผมเลี้ยง” หากมีหนุ่มหล่อยื่นข้อเสนอพาไปทานอาหารกลางวันบนเรือยอร์ชในทะเลแคริบเบียน เชื่อว่าสาวน้อยสาวใหญ่จำนวนไม่น้อยคงยินดีตอบรับโดยไม่ลังเล ทำไมล่ะ “ของฟรีดีๆ แบบนี้ ใครจะไม่เอา!?”

หากทว่า วาทะสำคัญโดย มิลตัน ฟรีดแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลที่ว่า “There is No Such Thing as a Free Lunch." หมายถึง อาหารฟรีๆ ไม่มีอยู่จริง ก็ยังถูกต้องเสมอ สำนวนดังกล่าวสื่อถึงความจริงที่ว่าทุกสิ่งย่อมมีราคา และไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีอย่างแท้จริง หากชายผู้นี้เลือกที่จะนำเงินไปเปย์อาหารกลางวันสาว เขาย่อมสูญเสียโอกาสที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อสินค้าและบริการหรือทำประโยชน์อย่างอื่น 

เช่นเดียวกัน การที่รัฐบาลใหม่มีนโยบายเติมเงินในกระเป๋าดิจิทัลให้ประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท ใช้จ่าย รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 600,000 ล้านบาท ย่อมเกิดเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสในการนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นและเหมาะสม

อาทิ โครงการซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ โครงการอาหารกลางวันเด็ก โครงการสวัสดิการเพื่อทหารชั้นผู้น้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการคลังในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมาชี้ชัดว่า รัฐบาลไทยมีการใช้งบประมาณเกินตัว นั่นคือ มีความไม่สมดุลระหว่างการใช้จ่ายและการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เรียกทางวิชาการว่า การขาดดุลงบประมาณ

(พ่อท่านอ่านข้ามไปหนึ่งหน้ากระมังครับ)

เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่า มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายจำนวน 3,185,000 ล้านบาท ในขณะรายได้ที่จัดเก็บได้เป็นเงินเพียง 2,490,000 ล้านบาท จึงต้องมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 695,000 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นองค์ประกอบสำคัญของหนี้สาธารณะ 

แม้คณะทำงานนโยบายแจกเงินดิจิทัลหัวละหมื่นจะชี้แจงว่า เงินที่จะนำมาใช้ในโครงการมาจากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นจากการออกนโยบาย ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่รัฐจะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้นถึงเกือบ 600,000 ล้านบาท

แหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการจึงหนีไม่พ้นการก่อหนี้ผ่านหลากหลายวิธี ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศต้องทะยานสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

การพุ่งสูงขึ้นของหนี้สาธารณะหมายถึงค่าเสียโอกาสของการใช้งบประมาณ ในวันข้างหน้าแทนที่รัฐบาลจะสามารถนำรายได้จากการจัดเก็บภาษีไปใช้จ่ายสำหรับการพัฒนาประเทศ แต่กลับต้องนำไปใช้หนี้ดอกเบี้ยซึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเงินเกินตัวของรัฐในเรื่องที่ไม่เหมาะสม

_นั่นคือ ความสบายของประชาชนแต่ละคนในการได้เงินไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆ แบบฟรีๆ ถึง 1 หมื่นบาทในปี 2567 ย่อมเกิดเป็นข้อจำกัดในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อประโยชน์ของประชาชนในอนาคต 

นอกจากนี้ เมื่อการก่อหนี้เพื่อมาใช้จ่ายเป็นการผลักภาระด้านภาษีจากปัจจุบันไปยังอนาคต การใช้จ่ายของรัฐที่เกิดขึ้นจึงควรถูกนำไปใช้ในโครงการที่เป็นไปเพื่อการลงทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว

อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการศึกษา สำหรับโครงการนี้ ในขณะที่คนอายุ 16 ปี ขึ้นไป ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน จะติดยาหรือจะเป็นผู้มีอิทธิพล ก็ต่างได้ประโยชน์จากเงินหมื่นบาทที่สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอย

เด็กรุ่นใหม่ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการแม้แต่น้อย กลับต้องร่วมแบกรับภาระหนี้ประเทศ ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อเป็นงบประมาณจ่ายคืนหนี้ดอกเบี้ยในโครงการที่เป็นไปเพื่อการจับจ่ายใช้สอยของคนในยุคนี้

นโยบายหัวละหมื่นจึงเปรียบดั่งอาหารกลางวันหรูบนเรือยอร์ชที่ชายหนุ่มไปกู้มาเพื่อเปย์สาว ทั้งสองคนมีความสุขรักกันอย่างดูดดื่ม แต่อนิจจา อีกไม่กี่ปีข้างหน้า สาวคนนี้ที่หลงไปกับหนุ่มสายกู้ พร้อมลูกสาวลูกชายวัยน่ารัก ต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส

 

การได้เปรียบคือหนี้โดยสัจธรรม

การใช้หนี้ดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลที่เกิดจากการกู้ ทำให้ครอบครัวเกิดความขัดสน มีรายได้ไม่เพียงพอที่จะจัดหาการศึกษาที่ดีให้ลูก...นั่นคือ น้ำผึ้งริมทะเลของพ่อและแม่ในวันนั้น กลับกลายเป็นยาพิษที่บั่นทอนอนาคตของลูกในวันนี้...เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี...ดังฟรีดแมน..ปรมาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์...ได้สั่นระฆังเตือนไว้...

พ่อครูว่า... .ในโลกมันซับซ้อน มีหนี้ซ้อนหนี้ หนี้ซ้อนหนี้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะมีหนี้เสียหายไปกับสายลมทิ้งไป ขนาดที่มันจะหายไปกับสายลม มันก็ยังมีหนี้ที่ยังบันทึก ยังไม่หาย ยังไม่เลือนไปกับสายลมอีกไม่ใช่น้อย ที่จะวนเวียนวนเวียนต่อไปอีก ในโลกียะจะมีหนี้พอกหางหมูทับทวีอย่างนี้ไม่มีวันจบ ในโลกทุนนิยมขอบอกไว้เลยทุกประเทศ โลกียะ มีประเทศที่จะมีโลกุตระและกลุ่มหมู่ของคนโลกุตระเท่านั้นที่จะไม่มีหนี้พอกหางหมูทับทวี บริสุทธิ์ที่สุด นอกนั้นไม่บริสุทธิ์ 

เพราะคนรวมกันในมวลคน มีตะกละมากตะกละน้อยกันทั้งนั้นยังมีกิเลสกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนทุกคนที่ตะกละและมีกิเลสนี้จะเป็นคนที่ทำตนเองได้เปรียบหรือทำตนเองเสียเปรียบ ก็ต้องทำตัวเองได้เปรียบ ตอบดังๆ ได้เปรียบ 

การได้เปรียบ คือ หนี้โดยสัจธรรม การเสียเปรียบคือการเสียสละไม่ใช่หนี้ การเสียเปรียบคือการเสียสละออกไป ไม่มีหนี้ติดกลับมา 

ง่ายๆ ใครคิดไม่ออกเอาหัวฟาดภูเขาเลย เพราะฉะนั้นเราก็ปลอดภัยไม่มีหนี้ โดยลึกซึ้งโดยหยาบตื้นลึกซึ้งไม่มีทั้งนั้น เห็นไหมนัยยะสำคัญของสภาพที่เกิดเรียกว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน เพราะฉะนั้นชาวอโศกที่มีสาธารณโภคีเพราะพวกคุณจิตสูญ จิตไม่สะสม จิตไม่ต้องการเอาเปรียบ จิตไม่ต้องการอยากได้ มีแต่มาเสียสละเสียสละเสียสละตั้งแต่วันคุณรู้ และตัดสินได้ประพฤติอย่างนี้เป็นกรรมของคุณจริงๆตลอดไปเลย ปัญญาที่มันรู้ว่าคนเรานี้ ถ้ายืนอยู่ตรงนี้ยืนอยู่ตรงที่ไม่เอาเปรียบมีแต่สละมีแต่สละ 

เป็นคน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ปลายเปิดตัวนี้ตลอดกาลนาน ไม่มีวันเป็นหนี้ มีแต่เป็นประโยชน์ตลอดกาลนาน 

เวลามันก็หมดลง อยากจะพูดต่อไปอีกอยู่ แต่มันก็จะ 2ทุ่มนะนี่อีก 7 นาที เอา ให้ท่านเดินดินพูดสัก 7 นาทีก็ได้เอ้า

สมณะเดินดิน... เมื่อเร็วๆนี้เรามีประชุมสหกรณ์ มีเจ้าหน้าที่ใหม่เพิ่งย้ายเข้ามา ประชุม เราก็เสนอว่าที่นี่ไม่มีหนี้นะ เขาก็ชื่นชม สหกรณ์อื่นเขาต้องมีหนี้กัน แต่ที่นี่ไม่มีหนี้อะไรเลย เป็นกฎเหล็กของบุญนิยมที่พวกเราไม่ได้ทำอย่างโลก 

พ่อครูว่า... ชุมชนที่ไม่มีหนี้เกิดได้ยังไง 

สมณะเดินดิน... เป็นสิ่งที่เขาชื่นชมว่าพวกเราพึ่งพาตัวเองได้ เวลาโหวตกัน เป็นเอกีภาวะมากเลย ยกมือพรึ่บๆ ก็เลยต้องอธิบาย ว่าที่นี่ไม่มีคนมาแย่งผลประโยชน์กัน มีแต่จิตอาสา อะไรที่เป็นสิ่งดีงาม เราก็เห็นสอดคล้องกัน ก็จะได้โปร่งใสว่ายกมือเหมือนกันตลอด แต่สังคมข้างนอก เมื่อเช้าเพิ่งได้ฟังของอเมริกา ประธานาธิบดีของเขา มีพวกที่ Strike พนักงานคนทำรถยนต์พวกแรงงาน ปรากฏว่า โจ ไบเดน รีบมาเลย มาสนับสนุนการ Strike ครั้งนี้ เขาบอกว่าเป็นครั้งแรกประธานาธิบดีทำไมมาสนับสนุนพวก Strike แต่ที่มาสนับสนุนเพราะว่าเขาจะเอาคะแนนเสียงให้พวกนี้เลือกเขา ตอนนี้เขาซาวด์เสียงก็ยังแพ้โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ ก็เลยมาหาเสียงจากคนงานที่ Strike พวกนี้ 

เพราะฉะนั้นที่แจกเงินหมื่นก็ทำเพื่อจะได้เสียง ไม่ได้ทำเพื่อจะสร้างประเทศให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงอะไรยังไง 

นักการเมืองทุกคนก็ทำเพื่อได้แต่คะแนนเสียง เทียบกับสังคมพวกเราที่ไม่ได้แย่งคะแนนเสียง ไม่ได้มุ่งหาเสียง มันสงบสุข เป็นความเจริญ แต่คนไม่เข้าใจอย่างลุงตู่ ลุงตู่ก็ไม่รู้วิธีหาเสียง ไม่รู้จักวิธีเอาเงินมาแจกจ่าย แต่คนโง่ๆอย่างลุงตู่ทำให้ประเทศมีเงินสำรอง มีทองคำสำรองมากในโลก ทักษิณทำให้ประเทศวอดวายยับเยินคนก็ยังเห็นว่าอย่างนั้นคือความเจริญ 

สรุปแล้วอย่างที่พ่อครูบอกว่า เครื่องชี้วัดความเจริญหรือความเสื่อมคือสังคมที่เต็มไปด้วยการแย่งลาภ แย่งยศก็คือสังคมแห่งความเสื่อม สังคมที่อยู่กันอย่างไม่ได้แย่งลาภยศสรรเสริญคือสังคมแห่งความเจริญ วันนี้ก็ต้องขอกราบขอบคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ เจริญธรรมพวกเราทุกคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2566 ( 20:48:24 )

660929

รายละเอียด

660929 จุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือพ้นสุขพ้นทุกข์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53556.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/185F3AjkftUPhM02iB8p5-wedc20Je-be/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1thyuznxyD7meyzkR0mcqJFXwgFUVf040/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660929-108-e29umjq 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nmqdkDWS_s/ 

และ https://youtu.be/VRQgezIO4AU 

มีซับ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ วันไหว้พระจันทร์ ที่บวรราชธานีอโศก ทำไมต้องไหว้พระจันทร์ ทำไมไม่ไหว้พระอาทิตย์ 

ตอนนี้เราเรียกว่า น้ำขึ้น-น้ำลงปลงเสียเถิด จะขึ้นจะมากจะน้อยก็ดูกันไป เขาบอกว่ามันจะขึ้นอีก 1 เมตรถ้าฝนไม่ตกเพิ่มมากกว่านี้อีก ตอนปี 65 ก็บอกว่าขึ้นไม่มากหรอก แต่เดี๋ยวก็ขึ้นสูงลิ่วเลย ไม่แน่นอน เราเตรียมเก็บของไว้ก่อนดีที่สุดไม่ประมาทแหละดีที่สุด เพื่อเราจะได้ฝึกฝนตัวเองให้เตรียมพร้อมไว้เสมอ รับได้ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มาน้อยก็สบาย มามากก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไรพึ่งพาตัวเองได้ เราเป็นชุมชนที่พึ่งพาตัวเองได้และพร้อมเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้เช่นกัน 

ซึ่งมนุษย์โลกุตระเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่พ่อครูนำธรรมะพระพุทธเจ้ามาสร้างให้เราเป็นมนุษย์พันธ์ุพิเศษ คือเป็นมนุษย์ที่พึ่งพาตัวเองได้และให้คนอื่นพึ่งได้ด้วย แม้ลำบากกว่าเพื่อนแต่ก็ช่วยเหลือคนที่ลำบากน้อยก็ได้เช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ปกติคนที่ลำบากจะเรียกร้องการช่วยเหลือจากคนอื่น แต่นี่ลำบากแต่คิดถึงคนอื่นเขาจะลำบากกว่าเรามากไหม เราจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง จิตใจเป็นจิตใจที่มหัศจรรย์เหนือโลก ทุกอย่างเปลี่ยนแปรผันไปได้ธรรมดา พ่อครูบอกว่าในโลกนี้ทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นธรรมดา 

เหมือนอย่างการเมือง เราอยู่กับลุงตู่มา 9 ปีก็สุขสบายดี ปีนี้ได้นายกคนใหม่ชื่อ เศรษฐา โอ้โห เรื่องมันเยอะดีนะ ทุกวันนี้เรื่องราวเยอะแยะมากมาย สิ่งไม่ดีเลวร้ายในสังคมเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย เราก็ได้ทำใจในใจกับคนที่เขาทำบาป ก็ต้องเห็นใจเขาด้วย 

มันก็เหมือนกับสมัยก่อน 2,500 กว่าปีก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา โลกก็สว่างไสวขึ้นแล้วเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็เสื่อมลงเสื่อมลง จนมา 2,500 ปี ก็มีโพธิสัตว์คือพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาช่วยมนุษยชาติอีกครั้ง ให้พระพุทธศาสนา ให้ฟื้นคืนมาได้อีกครั้งและสืบทอดไปถึง 5,000 ปี พ่อครูก็พากเพียรทำศาสนานี้ให้ถึง 5,000 ปีให้จงได้

พ่อครูว่า... เราก็เอา SMS มาเป็นไกด์ในที่จะได้สาธยายธรรมะต่างๆไป 

 

SMS วันที่ 27-28 กันยายน 2566

จากไลน์ : 

_กราบนมัสการพ่อครูด้วยความรักเคารพบูชาสูงสุด ครับ

ลูกขอรายงาน ผลการปฏิบัติธรรมไปตามลำดับตามฐานะของตน ลูกได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพ่อครูมาโดยตลอด ปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37, อปัณณกปฏิปทา 3 ได้บรรลุธรรมตามลำดับ โดยเฉพาะเรื่องคนคู่  ลูกได้ลดความจัดจ้านของคนคู่ลงตามลำดับ จนปัจจุบันนี้ลูกได้บรรลุเรื่องการเสพเมถุนของคนคู่  หยุดความวนได้ จบกิจเรื่องของการเสพกามแบบหยาบๆ ได้อย่างสนิท จนมั่นใจตนเองจากนี้ไปจนตลอดชีวิต ก็จะไม่เสพกามเมถุนเรื่องของคนคู่  พอเลิกเสพกามได้ ชีวิตครอบครัวมีความสงบอย่างมากครับ ในอนาคต ลูกกับภรรยาได้ตกลงกันว่า จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านราช   ตอนนี้ก็ขอปฏิบัติธรรมตามพ่อครูได้นำพา อยู่ข้างๆ วัดก่อนครับ 

ในวันที่ 2 ตุลาคม 2566 นี้ ลูกจะมีอายุครบ 44 ปีเต็ม  ลูกจะรบกวน ขอให้พ่อครูตั้งชื่อตัวให้ลูกด้วยครับ 

พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆ ตั้ง ตั้งตอนนี้สดๆ คงคิดไม่ออกหรอก มันไม่เก่งขนาดนั้น 

 

ความเห็นต่างกันทำให้เกิดความแตกฉานอย่างไร

_นพ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ผมน็อป(หินเหล็ก) มีเรื่องอยากถามพ่อครู เมื่อเราต้องคุยกับคน คนที่ทิฏฐิทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องศาสนาไม่ตรงกันกับเรา เราจะต้องทำตัวอย่างไรให้อยู่กับเขาให้ได้ เพราะบางทีเขาก็แสดงความคิดแบบสุดโต่งจนเราก็ต้องแสดงความคิดของเราบ้างในอีกมุม ปัญหาก็คือเรารับฟังเขา แต่เขาเลือกไม่อยากรับฟังเรา จะทำอย่างไรให้เราทั้งคู่มีทิฏฐิที่สามัญญตาครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…ก็เป็นธรรมดาความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่เห็นเป็นไร โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ที่ถามมามันยุ่งยากมากมายหรือยังไง มันไม่สนุกนักก็คุยกันน้อยลง พอสนุกขึ้นบ้างก็คุยกันมากขึ้นก็น่าจะเท่านั้นก็พอจะได้ 

ที่จริงก็มีการโอภาปราศรัยกัน มีการคิด มีการแสดงความคิดเห็นกัน มันทำให้เกิดความฉลาดขึ้นนะ มันทำให้เห็นแง่เชิงที่มีความหลากหลายแตกต่างขึ้น ถ้าเผื่อว่าไม่มีความแตกต่างอะไรเกิดขึ้นมา ที่เราจะเรียกว่า ฉลาด หรือเรียกว่าหลากหลายขึ้นมา มันก็เท่าเดิม ยิ่งลืมไปด้วย ไอ้ที่มันเคยรู้แตกต่างกันก็ลืมลงๆ แล้วมันจะยังไง 

ผู้ที่ตรัสรู้หรือผู้ที่จบกิจไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่โง่ลง จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ รู้น้อยลงๆ มันไม่ใช่ รู้ได้หลากหลาย แต่มันรู้ความหลากหลายนั้น มันมีความแตกต่างกัน ความหลากหลายมีนัยยะที่แตกต่างกันละเอียดลออๆๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็คือมีความรู้แตกฉาน ละเอียด แล้วก็มีมาก ความคิดของคนมันหลากหลายอย่างนี้เนาะ เออ คิดอย่างนี้ก็ได้ คิดขนาดนี้ก็ได้ เราก็จะได้รู้เท่านั้นเอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก 

 

ความลึกซึ้งของญาติปริวัตตังปหายะ 

_ต้อย น้อมนบ(คอลัมน์ 15 นาทีฯ)  : ขอกราบเรียนถามพ่อท่านดังนี้ คำว่า ญาติปริวัตตังปหายะ มีความหมายอย่างไร แค่ไหนและทำไม ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นเราต้องตัดญาติปริวัตตังคะ

พ่อครูว่า…มันมีขั้นตอน การตัด ญาติปริวัตตัง

ญาติปริวัตตัง ท่านแปลว่า การตัดรอบ หรือว่า ปหายะ แปลว่า การทำลาย ตัดทำลาย ในเรื่องการที่จะไปเกี่ยวเกาะ ปริวัติ ไปเกี่ยวเกาะกับญาติ เรื่องของญาติ เราจะต้องมีความรับผิดชอบ โดยจะต้องมีการเกี่ยวข้องกัน จะต้องมีอะไรต่ออะไรพวกนี้..ตัด 

โดยปรมัตถ์ เอาปรมัตถ์เสียก่อน ก็คือการตัดการที่จะสืบสานสืบสาวที่จะมีญาติต่อไป การที่จะตัดความมีญาติต่อไปนั่นก็คือ อย่าไปมีลูก ถ้ามีลูกแล้วก็จะต้องมีหลาน มีเหลน มีโหลน มีหล่อนอะไรไปอีกมันก็จะเป็นญาติ เกิดบานตะโก้ไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น การตัดไม่ทำอันนี้นี่ มันก็คือเราก็จะต้องไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีลูกก็คือไม่เกี่ยวข้องกับเมถุน ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นคนคู่ มีอะไรพวกนี้นี่แหละ ในนัยสำคัญของมัน นี่คือปรมัตถ์ 

ทีนี้เรื่องของสมมุติ “ญาติ” ก็ต้องเกี่ยวข้องกันด้วยการต้องเลี้ยงดูกัน ต้องช่วยเหลือกัน จะต้องมีกรรมกิริยาทางกายวาจา โดยมีใจเป็นประธาน นับญาติ นับความเป็นจริง ญาติทางสายเลือด ญาติทางไม่ใช่สายเลือด แต่นับเนื่องกันเป็นผู้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกัน

คำว่า “ญาติ” นี่คือการ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ อาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  การแก่ การเจ็บ การตาย เมื่อมาเป็นญาติกันก็คือ เกิดร่วมกันแล้วก็จะร่วมกันอาศัยช่วยเหลือกัน อยู่กินกัน การอยู่ การกิน การทำงานทำการ การอาศัยช่วยเหลือ ทั้งวัตถุ ทั้งแรงงาน ทั้งกิจการ ทั้งอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ก็ช่วยกันไปอย่างนั้น ที่เรียกว่า “ญาติ” 

ทีนี้ในนัยยะของ ความลึกซึ้งอีกก็คือ ตัดงาน ตัดญาติ ที่จะเป็นงานที่เราจะต้องไปรับผิดชอบร่วมกันอันนั้นอันนี้น้อยลงๆ การตัดคำนี้ลึกซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าการตัดโดย เป็นเรื่องของสมมุติอย่างเดียว เราตัดเรื่องสมมุติ แต่เรากลับจะเชื่อมโยงทางปรมัตถ์ 

เราตัดเรื่อง สมมุติ คืออะไร เราตัดเรื่องสมมุติก็คือ เราไม่รับผิดชอบในเรื่องการเงิน การทอง การเป็นวัตถุข้าวของ การที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลหามา ต่างคนต่างช่วยกันอะไรพวกนี้ เราไม่รับผิดชอบเราไม่เกี่ยวข้อง เราไม่ถือว่าเป็นหน้าที่ ไม่ถือว่าเป็นงาน ที่เราจะต้องทำ ตามสมมุติ ตัดน้อยลงๆๆ 

แต่ เราจะเชื่อมโยงทางกรรม ทางการกระทำ ช่วยเหลือ ช่วยเหลือทางวัตถุน้อยลง แต่ช่วยเหลือทางจิตวิญญาณ ทางความเกื้อกูลทางจิตวิญญาณ ช่วยเหลือแรงงานไม่ใช่วัตถุ ถ้าอยู่ในฐานะไม่มีความรู้ทางธรรมมากมาย ก็ช่วยเหลือทางแรงงาน มีความรู้ทางธรรมะก็เติมเข้าไปอีก ช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปทางธรรมะ แม้จะเป็นธรรมะโลกีย์ก็เอา ยิ่งธรรมะทางโลกุตระด้วย ก็ช่วยกันไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น การตัดญาติทางสมมุติทางโลกีย์ เราก็ลดลง ไม่รับผิดชอบในเรื่องของวัตถุลงไปเรื่อยๆ แต่ทางธรรมเราเนี่ย โดยเฉพาะทางโลกุตระด้วย จะต้องช่วยกันอย่างยิ่งขึ้นๆๆๆๆ ให้ได้รับ แล้วก็ไปด้วยกัน เป็นญาติธรรมไปจนกระทั่งตลอดเลย 

อย่างพวกเรานี่ เสร็จแล้วมาเป็นญาติกัน จนกระทั่งมาอยู่ร่วมกันมาสร้างสรร ทำการทำงาน ช่วยเหลือเกื้อกูลมีชีวิตดำเนินไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนตายจากกัน มันเป็นเรื่องละเอียดลออ มันไม่ต้องไปนับญาติทางสายเลือดเลย โลกุตระมันลึกซึ้ง.. เห็นไหม 

ดีไม่ดี รู้สึกไหมว่าเราสัมพันธ์เกี่ยวข้องสนิทกับญาติทางธรรมทางปรมัตถ์เป็นโลกุตระนี้ ยิ่งกว่าสายเลือด ใช่ไหม พอลึกซึ้งขึ้นจริงๆ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลย แต่เราก็รู้ว่าทางสายเลือดหรือว่าทางสมมุตินี่ เอาเถอะ ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้ตัดทิ้ง เราก็ช่วยเหลือตามควร เท่าที่จะช่วยได้ 

แต่ถ้าเผื่อว่าเรานึกถึงพฤติกรรมทางธรรม เขาเอง ถ้าเผื่อว่าไปช่วยเหลือแล้วเขาก็.. ถ้าช่วยทางวัตถุ เขาก็จะยิ่งจะไม่ดี เพราะเขาก็ช่วยตัวเขาเองได้ดีแล้ว พออยู่พอกิน ถ้าไปช่วยเขาอีก เขาก็จะโลภ โดยที่เราจะไปช่วยนี่ เราจะไม่เอาเปรียบ เราก็จะไปเติมให้เขาได้เพิ่มได้กำไร ได้เปรียบ ได้จำนวนมากขึ้น เขาก็ยิ่งตะกละๆๆ เราก็ไม่ต้องช่วยมาก ให้เขารู้สึกเหน็ด รู้สึกเหนื่อย รู้สึกทุกข์ รู้สึกลำบากบ้าง 

ถ้าเราสามารถมีธรรมะบอกเขา ให้เอาเปรียบเอารัดลดลงบ้าง แม้คุณจะทำงานขยันหมั่นเพียรมากขึ้น  ก็ลดที่จะไปเอารายได้แลกเปลี่ยน ไปเอาเปรียบหรือว่าไปเอาที่จะได้เปรียบคนอื่น หัดเสียสละให้มากขึ้น 

ซึ่งเรื่องที่อาตมาพูดนี้พวกเราเข้าใจไม่ยากอะไรหรอก แล้วก็ทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คำว่า “ญาติปริวัตตัง” มันทั้งทำลาย มันทั้งเหลือความเป็นญาติ ที่สุดท้ายเป็นญาติธรรม ที่อาตมาอธิบายไปแล้ว นี่ก็เป็นคำสรุป “ญาติปริวัตตัง” คำนี้เท่านั้น นี่ถามว่าอย่างไร.. อธิบายไปแล้ว แค่ไหน..ขนาดนี้ก็ไม่น้อยแล้วนะ 

ทำไม..ก็ต้องรู้สิว่าจะทำไม ถ้าไม่รู้ก็ทำไม่ถูก ทำไม่เป็น ถ้าเรารู้แล้วเราก็จะทำถูก ทำเป็น มันก็เป็นประโยชน์ทั้งตนและท่าน แล้วเราก็รู้ทำการช่วยเหลือกันอย่างนี้แล้วก็ตัด ตัดไป เหลือ ทำขนาดเท่าที่ควรไปที่จะให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ดีที่สุด มันไม่ใช่เรื่องตื้นๆ จะพูดไปแล้วอาตมาอธิบายมา เอ้า..ผ่าน

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท ท่านด่วนดี และสิกขมาตุ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกกราบขออนุญาตรายงานการปฏิบัติของแม่ค่ะ 

มีผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน มาถามแม่ว่าปฏิบัติธรรมอย่างไร แม่ตอบว่า "แม่บ่ดั่ยเฮ็ดหยังหลายแม่ถือศีล 5 ละอบายมุข รักษา กาย วาจา ใจ ส่ำนี่หละ" แล้วผู้หญิงคนนั้นก็บอกแม่ว่า ตัวเขาสวดมนต์หลายบท(เขาบอกแม่แต่แม่จำไม่ได้ว่าบทอะไรบ้าง) ภาวนานั่งหลับตาทำสมาธิทุกคืน แล้วเขาย้อนถามแม่ว่า แม่ได้สวดมนต์ได้นั่งสมาธิไหม 

แม่ตอบว่า" แม่บ่ดั่ยสวดอิหยังหลายดอก การสวดมนต์บ่จำเป็นเท่ากับเฮาปฏิบัติเอา แล้วการสวดมนต์ถ้าบ่ฮู้ความหมายมันกะคือนกแก้วนกขุนทอง แล้วนั่งสมาธิแม่กะนั่งให้จิตสงบ ให้นอนหลับซือๆ ดอก" 

พอแม่พูดจบ เขาก็ไม่พูดไม่ถามต่อเดินกลับบ้านเลยค่ะ แต่เขายังเลี้ยงตั๊กแตน ยังคั่วตั๊กแตนกินและขาย ขุดจิ๊บโป่ม (พ่อครูว่า คือจิ้งหรีดตัวใหญ่ๆ) เล่นหวยอยู่ค่ะ 

จบเรื่องของแม่ค่ะ ในพรรษาลูกตั้งตบะไม่กินขนมหวานทุกชนิด ลูกก็พยายามอดทนสำรวมระวังเสมอๆ ค่ะ พ่อครูคะ แต่เมื่อลูกตำน้ำพริกกะปิ(เจ) น้ำพริกของลูกจะหวานมากค่ะ แล้วเวลาลูกกินลูกรู้สึกชื่นใจด้วยค่ะ ขอพ่อครูว่ากล่าวสั่งสอนลูกด้วยค่ะ 

พ่อครูว่า…จะไปว่ายังไง มันติดแล้วก็จะได้เสพสมใจที่ตัวเองชอบหวาน อาตมาเคยพูดแล้วเรื่องนี้ อาตมาเป็นคนอีสานน้ำพริกไม่เคยใส่หวานอะไร ไปกรุงเทพฯ น้ำพริกเขาก็ใส่หวาน ใส่น้ำตาลอาตมาก็งง เฮ้ย..น้ำพริกทำไมต้องใส่น้ำตาลด้วย งง จนกระทั่งอยู่ไปก็รู้ว่ารสนิยมมันต่างกัน ต่างถิ่น ต่างภาค ภาคกลางก็เป็นอย่างนั้น ภาคอีสานเขาไม่นิยมใส่น้ำตาลในน้ำพริก เดี๋ยวนี้อีสานก็ล่อกันเละแล้ว 

 

คนไทยลืมง่ายมีเมตตา กรณีคุณทักษิณ แต่พ่อครูต้องย้ำเตือน

_ลูกแปลกใจว่านายทักษิณได้ทุจริต สร้างความเดือนร้อนให้คนไทยอย่างมาก มาถึงวันนี้คนไทยนิ่งๆ กับการกลับมาของทักษิณ พ่อครูคะเป็นเพราะทักษิณมีสิ่งดี หรือคนไทยลืมง่ายคะ มึนกับโลกีย์ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า... งง มึนงง งงกับโลกีย์ จริงๆ คนไทยเป็นคนที่ไม่ค่อยจะ จะว่าลืมง่ายก็ลืมง่าย จะว่ามีเมตตาก็ได้ หรือว่าไม่ค่อยเอาเรื่องอะไรกันเท่าไหร่ นานๆ ไปก็.. เอา 

เพราะอะไร เพราะคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน เข้าใจเรื่องกรรมเป็นของตัวของตน มันไม่มีปัญหา ใครทำกรรมใดก็เป็นของตน ชั่วดีตามสัจจะเลย มันก็ของใครของมันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใครจะไปจัดการ ใครจะไปทำอะไร กรรมมันก็จัดการอยู่แล้ว เราไปจัดการ ดีไม่ดีก็สร้างวิบาก ดีไม่ดีก็ทะเลาะวิวาท ในขณะปัจจุบันนี้ช่วยเหลือเขาไม่ได้ง่ายๆ แล้วทักษิณนี่ 

เพราะฉะนั้น คนไทยก็เห็นไหม..โอ้โห!! ขนาดนี้ มันเท่ากับเข็นเขาขึ้นครก ไปช่วยทักษิณนี้ยิ่งกว่าเข็นเขาขึ้นครก ไปช่วยทำอะไร เพราะฉะนั้น พวกคนไทยก็มีปฏิภาณปัญญาพวกนี้อยู่บ้าง ก็เลยว่าอย่าเอา..ไปทำอะไรล่ะ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร มันไม่กระเตื้อง 

คืออาตมาภาษาไทยว่าเหลือเข็นนี่มันไม่พอ มันสุดเหลือเข็นแล้ว ต้องปล่อยให้เขาดิ่งลงนรกไป อย่างไรก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้เรื่องนรกสวรรค์ ความดีความชั่วอะไร เขาไม่รู้ 

มันซับซ้อนนะ เขานึกว่าเขาได้สวรรค์แต่เขาได้นรก แล้วเขาก็มีสวรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็ทำเหมือนเขาได้เปรียบได้ชนะ เป็นสวรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็คือ นรกที่มันสูงเท่าไหร่ สวรรค์สูงเท่าไหร่  นรกก็ต่ำลึกเท่านั้น นี่เป็นสัจจะ อาตมาก็เคยอธิบายไปแล้วเรื่องนี้ 

เพราะฉะนั้น เขาทำด้วยจิตที่ ไม่มีปฏิภาณปัญญารู้ในเรื่องกรรมเรื่องวิบากอะไรพวกนี้เลย นี่อาตมาก็ ยุคพระพุทธเจ้ามีพระเทวทัต แสดงความ อาตมาว่า โอ้โห! เทวทัตเทียบทักษิณไม่ได้ พอนะ เทวทัตนี่เทียบทักษิณไม่ได้จริงๆ ทักษิณนี้ทำได้เก่งกว่าเทวทัต ในความสร้างนรกได้ลึกให้แก่ตัวเอง ก็ได้แต่สงสาร ก็สุดสงสาร มันช่วยไม่ได้จริงๆ อาตมาไม่มีทาง ไม่มีปัญญาที่จะไปช่วยแล้ว แล้วอาตมาก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครช่วยเขาได้ จนกว่าเขาจะเป็นพวกคางคก เลือดหัวไม่ตกยางไม่ออกเขาก็ไม่รู้สึก จนกว่าเขาจะรู้สึกว่า 

1. ตัวเขาไม่รู้สึก 2. กรรมวิบากยังไม่มาออกผลให้แก่เขา กรรมวิบากนี่ก็พูดยากเหมือนกัน จะมาออกผลให้เมื่อไหร่ มันก็ไม่มีใครไปบันดลบันดาลได้ เขายังมีอำนาจทางโลกียะมากมาย เขาก็ดันไม่ให้วิบากมาเล่นงานเขาได้ เขาก็ยังทด มันก็เป็นกรรมวิบากทดเพิ่มขึ้น กรรมวิบากทดไปแล้วมากมายที่มันเป็นจริง จำนวนเท่าไร เมื่อใดเมื่อนั้น แต่ตอนนี้กรรมวิบากยังไม่ออกผลเท่านั้นเอง เอาละ อธิบายแค่นี้ก็แล้วกัน 

_จรรยา ประเสริฐ : พ่อท่านพูดถึงทักษิณ ว่าโง่ๆๆ และโง่ คิดหรือไม่คะว่าเขา จะโกรธ หรือคิดกับเรายังไง????? 

พ่อครูว่า... อาตมาจำเป็น จำนน จำยอม จำต้อง พูดสัจธรรม เขาจะโกรธมันคงคงเป็นแน่ เขาได้ยินได้ฟังว่ามาด่ากู  มาด่ากูอะไรเนาะ 

อาตมาไม่ได้ด่า อาตมาไม่ได้พูดหยาบ การด่านี่คือการพูดหยาบ แต่การพูดความดีความชั่ว ความถูก ความผิดนี่มันเป็นสัจธรรม แยกให้ออก คำด่าคำหยาบ กับคำจริง ที่ยิ่งถูก ยิ่งพูดถูกความจริงมันยิ่งแรง เพราะฉะนั้นคุณก็ไปเอาความหมายที่ว่ามันแรงไปกระทบเขาแรงๆ นี่มันคือคำด่า กระทบเขาแรงๆ นี่คือคำหยาบ มันไม่ใช่ 

มันเป็นความจริงต่างหาก มันมีคนจริงรองรับ อาตมาก็ยิ่งพูดจริง เพราะมันมีคนจริงปฏิบัติจริง พวกคุณฟังแล้วก็จริงๆ น้ำมันกระทบคนจริงไม่กลัวเขาด่า อาตมาเองนี่มันไม่มีหรอกความกลัว ความกลัวที่จะไปเปิดเผยความจริง ยิ่งไม่มีใหญ่ 

เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์จะต้องเปิดเผยความจริงให้แก่คนจริงที่เขาโง่จริง เขาผิดจริง เขาทำชั่วจริงให้เขารู้ตัว มันเป็นความเมตตาของอาตมาต่างหาก ใช่ไหม และอาตมาก็ต้องลงทุน คุณบอกว่าไม่กลัวเขาโกรธเหรอ ถ้ากลัวแล้วอาตมาจะได้ช่วยเขายังไง ถ้ากลัวอาตมาก็ต้องไม่บอกเขา อาตมาก็เห็นแก่ตัวสิ อาตมากลัวเขาจะมาว่าอาตมา แค่นี้ก็ไม่ได้หรือ เขาจะว่าอาตมายังไงก็ว่า จะด่ายังไงก็ด่า อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ 

เพราะฉะนั้นสัจธรรมอันนี้ยากที่จะอธิบายให้ฟัง..อธิบายได้เท่านี้ 

_เขาอาจจะไม่แคร์เลยก็ได้ค่ะ 

พ่อครูว่า... อาตมาก็เชื่ออย่างคุณเขาคงไม่แคร์

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สมณะฟ้าไท... พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ทุกองค์ก็ต้องเสียสละแก่มนุษยชาติยกตัวอย่างออกรบปราบศัตรู เพื่อประชาชนมีความผาสุข แต่นี่ต้องว่าต้องตำหนิ คนอื่นไม่กล้าตำหนิไม่กล้าว่า อย่างว่าหลวงตามหาบัวบารมีไม่ถึงไม่สามารถบอกได้แต่พ่อครูสามารถบอกได้ ให้ศาสนาพุทธเคลื่อนไปถึง 5,000 ปี ถ้าพ่อครูไม่กรุยทางไว้เหลือแต่พวกเราก็ทำไม่ได้ไปไม่รอด เป็นความเสียสละของท่านเอง เป็นบารมีโพธิสัตว์อาศัยความเมตตาของโพธิสัตว์เจ้า

พ่อครูว่า... ที่ท่านฟ้าไทว่า ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้หรอก มีอาตมานี่กล้า มีคนอื่นเขากล้าพูด แต่เขาไม่กล้าพูดแรงๆ เหมือนอย่างอาตมา เขาพูดอยู่ไม่น้อยคนที่กล้าพูด ไม่ใช่ไม่มีคนกล้า เขากล้าพูด แต่ก็คิดว่าพวกเราคงฟังออก ไม่มีใครกล้าพูดแรงขนาดอาตมาหรอก 

อาตมาพูดธรรมะ มันมีเหตุมีผล มีหลักฐาน มีความจริง ใช่ไหม คนที่เข้าใจเห็นว่าอาตมาพูดนี่แรง. คนอื่นเขาไม่เข้าใจธรรมะละเอียดเหมือนอาตมา เขาก็พูดไม่แรงเท่าไหร่ น้ำเสียงเขาอาจจะแรงแต่ธรรมะเขาไม่แรง ธรรมะเขาไม่เข้าใจ ซับซ้อนเหมือนอาตมาเข้าใจมันต่างกันอยู่ตรงนี้ 

_จรรยา ประเสริฐ (ต่อ):เพราะเขามีทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ ที่คนอย่างเรา (โลกุตระ) ไม่มีเท่าเขา เขาลอยลำไปแล้วค่ะ 

พ่อครูว่า... เป็นจริง เขาก็เชื่ออย่างนั้น เพราะโลกนี้มันมี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขามีมากมาย อาตมาไม่มี เขาเหมือนพวกนั่งเครื่องบิน อาตมาเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เขานั่งเครื่องบินของเขาสบายอยู่ลอยลำ อยู่ข้างบน เขาก็ก้มมองเห็นเราเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เออ.. หมาเอ๋ย เขาก็คงจะสงสารขนาดนั้น 

แต่อาตมาพูดเรื่องประโยชน์ อย่างที่บอกว่าเขาก็คงไม่รู้สึกรู้สาอาตมาพูดอย่างไร เขาจะโกรธเอาด้วย คนอื่นที่จะฟังแล้วได้ธรรมะ เรียกว่า ตีงูให้กากิน ที่อาตมาทำ ไม่ได้หวังประโยชน์จากตัวเขา แต่หวังประโยชน์จากมวลมนุษยชาติ ใช่ไหม ประโยชน์เกิดตรงนั้น 

ยิ่งมันมีตัวจริง คนจริง ของจริง พฤติกรรมจริง ที่พวกคนต่างๆก็ได้รู้ได้เห็นได้สัมผัส อาตมาพูดแล้วก็ อ๋อ.. เรื่องของ ความจริงพฤติกรรมจริง และพูดออกไปนี่นะมันรู้ง่าย ถ้าไม่มีคนจริง พฤติกรรมจริงพูดไปเป็นตำราพยัญชนะภาษาเฉยๆ มันรู้ยากใช่ไหม นี่มันดีแล้วมันมีคนจริง ปฏิบัติตามสิ่งที่อาตมาพูดไปก็ได้ของจริง มาศึกษามันก็ง่าย อาตมาก็ใช้โอกาสนี้ อธิบายเป็นธรรมะใช่ไหม เป็นของง่ายเป็นของมีเหตุปัจจัยดีแล้ว ครบแล้ว 

เขาจะไปเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาจะเอามีทุกอย่างแต่เรามาไม่มีทุกอย่าง คนละทาง เราก็ไม่ได้แย่งเขา แน่นอนเขาก็ไม่มาเอาอย่างเรา มันแน่นอนเดินคนละทางอยู่แล้ว 

_ยากส์ส์ส์ส์ ที่เขาจะเข้าใจได้ ถ้าเขาเข้าใจ คงจะไม่ทำอย่างที่ปัจจุบันเขาเป็นอยู่ขณะนี้ (หน้าไม่บาง) ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ พวกคุณจะทำไมฉันล่ะะะะะ จริงหรือไม่คะ???? (พ่อครูว่า..จริง)
ที่ดิฉันเขียนอย่างนี้ เพราะว่า วันนี้ดิฉันไปสันติฯ มา ไปหาแม่กรุณา หาป้าหมู (เพราะนัดกับอางามใจ เดี๋ยวนี้เธอเป็นอารามิกาแล้ว เธอเจริญทางด้านจริยธรรมกว่าทักษิณเป็นไหนๆ เปรียบเทียบอย่างนี้ดิฉันชัดแจ้ง ระหว่างสวรรค์ที่ทักษิณมี กับคุณธรรมโลกุตระที่อารามิกาเธอมี) ยิ่งดูแม่กรุณา กับป้าหมู แม้จะป่วย ทำงานฟรีไม่ไหวแล้ว ชีวิตท่านยังมีคุณค่า น่าศึกษามากกว่านายทักษิณ อีกกระมังคะ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบคนวัดช่วยงานฟรี ชีวิตอยู่พื้นฐานโลกุตระอันดับต้น คือโสดาบันค่ะ ดิฉันเห็นอางามใจรับภาระดูแลเอาใจใส่  ดิฉันบอกว่าไหว้เธอได้อย่างสนิทใจกว่า ไหว้นายทักษิณค่ะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า…คนที่มีดวงตา มีปัญญา มีความเข้าใจก็ชัดเจนในสัจธรรมอย่างนี้แหละ อาตมาก็สบายใจหรือว่าดีใจที่ เออ...ธรรมะที่อาตมาแสดงไปนี่ คนพวกเราผู้ที่ได้รับก็เข้าใจ ได้สัจธรรมหรือได้ธรรมะอันนี้ๆ อยู่ โดยแยกออก แล้วก็พยายามแยก ไม่ให้อาตมาไปทำอะไรๆ กับทักษิณตามที่คุณแนะนำมา ดี แสดงว่าเข้าใจสัจธรรมที่ซับซ้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

_ธรรมธารทิพย์ มาลิณี : กราบนมัสการค่ะ จะคิดว่าท่านพีระพันธ์คือปราชญ์ในหมู่เปรตได้มั้ยคะ

พ่อครูว่า…เออ..ช่างถามเนาะ รู้จักไหม พีระพันธ์คือใคร หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและรองนายกฯ ก็ได้ ตามที่พูดมาธรรมดา 

 

พ่อครูตั้งจิตโพธิสัตว์กับพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ขอเรียนถามว่าผู้ตั้งจิตกับพระพุทธเจ้าพระโคดมเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าของพ่อครู จะเจอโจทย์เร็ว แรง พลิกผันชีวิตจากที่เราทำดีมาแล้วตลอดชีวิต ให้พลิกคว่ำตีลังกากับเหตุการณ์หนักๆ ที่ต้องเผชิญให้เราไม่ทันตั้งตัว เสียชื่อเสียง เป็นแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบจิตใจขณะปัจจุบัน เราจะอยู่อย่างไม่มีตัวตน สลายอัตตา ได้หรือไม่ เราจะแพ้หรือจะข้ามพ้นไปได้มากน้อยเพียงไร สิ่งที่ได้รับเกี่ยวกับวิบากกรรมเก่าด้วยหรือเปล่าค่ะ 

พ่อครูว่า…อาตมาตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ไม่ใช่ตั้งจิตกับพระสมณโคดมเท่านั้น อาตมาตั้งจิตโพธิสัตว์นี้มาหลายพระพุทธเจ้าหลายพระองค์แล้ว ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้าสมณโคดมเพียงพระองค์เดียว ตั้งมาจนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้แล้ว ไม่ได้เจอพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เจอมามากมาย เพราะฉะนั้น มาถึงพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ตาม เราเกิดร่วมขึ้นมา เราก็จะต้องเข้าไปทำงานด้วย เพื่อสืบสาน เพื่อรับความรู้ต่อ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติจะไปเอายังไงอ่ะ มีพระพุทธเจ้าอยู่ พระองค์ไม่เอาจากพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเกิดแล้วไม่เอาจากพระพุทธเจ้า จะเอาจากใคร เป็นโชคดีของเราแล้วที่ได้เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้าใช่ไหมเราก็ต้องไปเอาจากพระพุทธเจ้า หรือมีโพธิสัตว์คนที่เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้า ไม่เอาจากโพธิสัตว์ เขาก็ไม่มีปัญญารู้เหมือนกับพระพุทธเจ้าเกิดอุบัติขึ้นมาทั้งพระองค์ คนไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อย่างพวกนอกรีตเยอะแยะ เขาก็ไม่เอา เขาก็ไม่รับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปของเขา มันก็ธรรมดา 

ต่อมาที่บอกว่าเจอโจทย์ให้เร็วแรงพลิกผันชีวิต ก็ถูกอย่างที่คุณพูดอาตมาเจอด่านทดสอบจิตใจ เราจะอยู่อย่างไม่มีตัวตน ได้หรือไม่ถูกสลายอัตตาก็ใช่ มันเป็นโจทย์ให้แก่เรา ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ได้รับเกี่ยวกับวิบากกรรมเก่าด้วย ก็ใช่ ก็แสดงว่าเข้าใจ 

 

พระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะอุบัติหลังพุทธันดร

_นพพล จรัสวิกรัยกุล : พระอรหันต์จะดับสูญก็ได้หรือไม่ดับสูญก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าต้องดับสูญเท่านั้น(ปรินิพพานเป็นปริโยสาน)  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องแสดงบทสำเร็จอันนี้ ถ้าพ่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้อง “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” นะสิครับพ่อ ถ้าพ่อท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องรอจนกว่าศาสนาเก่าเสื่อมหายไป จึงจะสามารถก่อตั้งศาสนาใหม่ขึ้นมาได้ โดยเป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ? เพราะถ้าคนทั่วไปยังจำคำสอนศาสนาเก่าได้  การกำเนิดคำสอนใหม่ขึ้นมา(ซึ่งก็จะเหมือนกับคำสอนศาสนาเดิม) (พ่อครูว่า..ถูกต้อง) ก็น่าจะทำไม่ได้ใช่ไหมครับพ่อท่าน การเสื่อมของศาสนาเก่า จึงเป็นประโยชน์ให้กำเนิดศาสนาใหม่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่สิครับพ่อท่าน

พ่อครูว่า…ใช่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วต้อง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เคยพูดแล้วไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหน ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย ไม่มี เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วต้องปรินิพพานเป็นปริโยสานทุกพระองค์ ไม่มีพระพุทธเจ้า 2 สมัย คุณเอาความคิดของคุณไปคิดว่าได้ตำแหน่งยอดเยี่ยมขนาดนี้ ฉันเป็นต่อไปอีกก็จะได้ทำไม ไม่อยู่ไปนิรันดร แล้วจะมีใครมาเป็นพระพุทธเจ้าแทนอีกล่ะคุณเล่นสงวนยึดตำแหน่งพระพุทธเจ้า แล้วคุณก็สูงสุดแล้วคุณก็ยึดไว้ตลอดนิรันดรนิรันดร์กาลอยู่องค์เดียว ก็เลยไม่รู้จักจบจักสิ้น ไปหลงยึดอยู่อย่างนั้นได้ยังไง 

สมณะฟ้าไท... คนเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น 

พ่อครูว่า... คนอื่นก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าสักที เพราะคุณสูงส่งไม่มีใครแย่งได้แล้ว คนตายแล้วต้องมาเป็นพระพุทธเจ้าอีกก็แล้วกัน กันท่า​คนอื่นหมดเลย นี่ก็คิดง่ายๆ ชัดๆ ใช่ไหม 

แต่ที่จริงแล้ว โห.. เป็นพระอรหันต์นั้น ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปไม่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า เพราะรู้แล้วว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้น ผู้ที่จะมาเป็นต่อเป็นโพธิสัตว์นั้นมันทุกข์อีก แต่ว่าทุกข์มันซับซ้อน ท่านไม่มีทุกข์ แต่ท่านต้องมีทุกข์...ทุกอย่างพระโพธิสัตว์เท่านั้นเอง ระดับต้นๆ ก็ทุกข์ พระโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นอีกก็ทุกข์น้อยลงอีก แต่ไอ้มากน้อยเหล่านี้คุณจะไปคาดคิดอย่างโลกีย์ไม่ได้แล้ว มันเป็นโลกุตรธรรมแล้ว มันเป็น ทรถ ของพระอรหันต์ขึ้นไป มันเป็นวิบากกรรมที่มันกลับกันแล้วมันยากแล้ว เป็นอจินไตย อย่าพูดต่อเลย

ก็ถูกสิ พระพุทธเจ้าองค์ไหนจะเกิดก็เมื่อศาสนาพุทธเสื่อมไปหมดแล้ว ก็ไม่ใช่น้อยด้วย นานแล้วด้วย  แล้วพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ก็จะมาอุบัติขึ้นมาใหม่อีก พระพุทธเจ้าไม่มีอุบัติขึ้นมา 2 องค์ในขณะที่ศาสนาพุทธขององค์ก่อนยังไม่หมดสิ้นไป ยังไม่สิ้นเชื้อ แล้วพระพุทธเจ้าต้องมาเกิดขึ้นอีก ไม่มี พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็ต่อเมื่อศาสนาพุทธมันหมดสิ้นเกลี้ยงไปแล้ว แล้วก็ต้องมีชั่วระยะพุทธันดร ไม่มีศาสนาพุทธชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงจะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นมาใหม่ ตามเหมาะตามควร จะห่างมากห่างน้อยแล้วแต่ที่พูดมาก็ถูกต้อง ทำไม่ได้ถ้าศาสนาเก่ายังไม่หมดไป จะเกิดพระพุทธเจ้าซ้อนขึ้นมาไม่ได้ ทำไม่ได้ ถูกแล้ว มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น 

 

ศีลทำให้เกิดความเป็นอรหันต์ไปตามลำดับ

_Krathin Sukdee กระถิน สุขดี : น้อมกราบพ่อครูค่ะ  ลูกขอตั้งตบะกับพ่อครู เรื่อง ไม่กินจุบจิบ และไม่กินของหวาน ลูกมีคำถามค่ะ การปฏิบัติศีลจะทำให้ถึงซึ่งพระอรหันต์ตามลำดับ แล้วเราควรจะเริ่มปฏิบัติศีลตามลำดับอย่างไรคะ

พ่อครูว่า… ในกิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 ผู้ที่ปฏิบัติศีลจึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ ผู้ไม่ได้ปฏิบัติศีลไปนั่งหลับตาสมาธิโดยหลับตาไม่นั่งไม่มีศีล การไปนั่งหลับตาไม่มีศีลไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นมันปิดประตูที่จะบรรลุอรหันต์ไปตามลำดับ มันปิด สูตรนี้อ่านดีๆ ให้แตกฉาน ให้เข้าใจให้ได้ ถ้าเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่า ไอ้หยา.. ไปนั่งหลับตาเป็นพวกโง่เง่าเต่าตุ่น ปิดประตู 

เพราะหลับตาแล้วไม่มีศีล ไม่ได้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วก็จะเกิดสัทธรรม 7 ฌานจะเกิดจากการลืมตาปฏิบัติศีลกับ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วไปเข้าใจฌานแค่หลับตาเข้าฌานออกฌาน นั่นมันเป็นฌานของพวกเดียรถีย์ ฌานนอกพุทธ แล้วก็งมงายอยู่อย่างนั้นพูดเตือนเท่าไหร่ก็เฉย แทงด้วยปากหอกมาจนกระทั่งหอกอาตมาหักเสียจนไม่รู้เท่าไหร่ เช้า 100 เล่ม กลางวัน 100 เล่ม เย็น 100 เล่ม แทงไปเถิด หอกอาตมาจนทำหอกไม่หวาดไม่ไหว แต่ก็ไม่รู้จะทำไง จำเป็นต้องแทงอยู่อย่างนี้เผื่อคนอื่นที่หนังไม่เหนียวเท่า เขาก็จะพอรู้บ้าง 

ฝึกปฏิบัติศีลจะทำให้เกิดความเป็นอรหันต์ไปตามลำดับ อันนี้จริงที่สุด ว่าจะมาตั้งใจอธิบายอันนี้อยู่เพราะปฏิบัติศีลจะทำให้เกิดความเป็นอรหันต์ไปตามลำดับตามจรณะ 15 วิชชา 8 ตามธรรมะทุกอย่างของพระพุทธเจ้า 

แต่ความเสื่อมของคนของชาวพุทธเสื่อมไปจากความเป็นพุทธเสื่อมจริงๆ  มันไม่เข้าใจไม่เห็นความสำคัญในเรื่องศีล อาตมาตั้งใจอยู่ว่าจะอธิบายให้ละเอียด แต่มันไม่ง่าย มันยากอยู่เหมือนกัน ที่จะค่อยๆ อธิบายให้เห็นจริงเห็นจัง 

อย่างพวกเรานี้ พวกคุณไม่รู้สึก แต่พวกคุณได้รับแล้ว ไม่รู้สึกคำนี้ ไม่ใช่ดูถูกพวกคุณหรอก คุณไม่รู้ละเอียดลึกซึ้งเท่าอาตมาเท่านั้นเอง คุณก็พอรู้บ้าง แต่คุณไม่รู้ลึกซึ้งละเอียด เท่าอาตมาว่าพวกคุณนี้ได้ดิบได้ดีมาเพราะศีล แล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลมาตามลำดับ ได้บรรลุอาริยธรรมมาตามลำดับเพราะศีล 

เรามาอยู่ในสังคมชาวอโศกนี้ปฏิบัติศีลไหม ทุกคนปฏิบัติศีลทั้งนั้น น้อยมากก็แล้วแต่ ผู้ใดปฏิบัติโดยมี อปัณณกปฏิปทา 3 ดี มันก็ได้ผลใช่ไหม ได้มรรคได้ผลดีใช่ไหม สำคัญนะ อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ 

 

เป็นพระอรหันต์แล้วไม่ยุ่งกับเรื่อง ลาภสักการะสรรเสริญ 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในองค์แห่งพระอรหันตขีณาสพซึ่งปฏิบัติโอวาทปาฏิโมกข์ 3 ได้แล้วดับสิ้นกิเลสนอกกิเลสในได้แล้ว ทำไมยังต้องเกรงกลัวต่อโลกธรรม 8 อีก ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่าลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นสิ่งอันตรายอันแสบเผ็ดสำหรับท่านองค์พระอรหันต์ด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่าน อย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าก็ได้รับคำถามนี้ย้อนมาเหมือนกัน มีพระสาวกถามว่า ทำไมพระอรหันต์ มีลาภสักการะสรรเสริญ ต้องเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดของพระอรหันต์อีก พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ในสูตรนี้พยัญชนะเขาตรัสไว้ว่า เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดต่อ สุขวิหารธรรม 

เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจว่า สุขวิหารธรรม แปลว่าอะไร สุขะ แปลว่า ว่าง วิหารธรรม แปลว่า เครื่องอยู่, สำเร็จอิริยาบถอยู่ 

เพราะฉะนั้น คุณจะสำเร็จอิริยาบถอยู่ด้วยความว่าง มันไม่ว่างถ้าคุณไปยุ่งกับลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะต่างๆ แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว พอเข้าใจไหม? คุณจะไปยุ่งกับมันทำไม เป็นพระอรหันต์แล้วอย่าไปยุ่งกับมัน ลาภ สักการะ ไปแบกเทิ่งๆ ทำไม พูดให้กระเทือนไปถึงเถรสมาคม นี่ยังแบกลาภ สักการะ สรรเสริญ ลาภ ยศ สรรเสริญ เจ้าคุณชั้นนั้นชั้นนี้ อะไรต่างๆ นานา ยศ สรรเสริญ อยู่นั่นน่ะ 

อาตมาเคยพูดอันนี้ไม่รู้กี่ที พระพุทธเจ้าพอรู้ตัวพระองค์ออกมาหมดเลย ท่านมีลาภ สักการะ สรรเสริญ เยอะแยะเลยโลกีย์ ใหญ่กว่าเถรสมาคมด้วย ท่านออกมาเลย มาเดินพระบาทเปล่า นุ่งผ้าบังสุกุล ซึ่งยุคโน้นเขาถือจัดเลยนะ คนมาทำอย่างนี้ มาโกนหัวเขาก็หาว่ามันเป็นอะไรยุคนั้น เด็ดเดี่ยวไหม นี่แหละเด็ดเดี่ยว แต่นี่เถรสมาคมไม่มีเด็ดเดี่ยวเลย ถูกครอบงำตกอยู่ใต้อำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ อยู่อย่างนั้น ออกมาไม่ได้ ออกมาอย่างโพธิรักษ์สิ แค่นี้ยุคนี้อย่างโพธิรักษ์ออกมาไม่ได้เข้าไปเลย 

อาตมาถ้าอยู่ทางโลก อาตมาทำงานธรรมะมาอย่างนี้ อาตมาจะได้ตำแหน่งยศศักดิ์ไหม? ได้ อาตมากลัวจะได้ตำแหน่งยศศักดิ์รีบออกมาเลย ฝีมือรู้ธรรมะขนาดอาตมานี้ มันจะไม่ได้ยศศักดิ์ ถ้าอยู่ทางโน้นไม่ได้ได้ยังไง ใช่ไหม 

เหมือนกันพระพุทธเจ้านั้นอยู่ ถ้าท่านอยู่ต่อเป็นจอมจักรพรรดิอะไรต่ออะไรอีกอย่างที่ว่า ถ้าท่านอยู่ต่อก็จะได้เป็นมหาจอมจักรพรรดิไปแล้ว แต่ท่านไม่เอา ไม่ได้แยแสเลย แหมเข้าใจยากเหมือนกันนะ ตอบไปแล้วนะ โอวาทปาฏิโมกข์

 

 _กิ่งธรรม . น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธายิ่ง   

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ส.ค.นี้(ผ่านมา 1 เดือนกับ 7 วันแล้วค่ะ)ลูกและกลุ่มสาธารณสุขบ้านราช  ได้มีโอกาสพบปะต้อนรับคุณหมอมนต์ชัย  ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์และคณะพยาบาลที่ติดตามมาดูแผลพ่อท่าน รู้สึกประทับใจในความเอาใจใส่ของคุณหมอมากค่ะ ท่านเป็นคนอัธยาศัยไมตรีดีมาก อารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสให้ความรู้และอธิบายเรื่องการรักษาดีมาก และผลการรักษาก็ดีมากด้วย นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้บริหารแบบนักพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่ารพ.จะมีอายุครบ 88 ปี เป็นตัวเลขที่เป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้หมายถึงความยั่งยืนยาวนาน ท่านอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดียั่งยืนยาวนานประมาณนี้ นับว่าเป็นนักพัฒนาที่มีวิสัยทัศน์มาก ท่านผอ.มีภารกิจมาก หลังจากที่มาดูแผลพ่อท่านเสร็จก็ต้องนั่งเครื่องต่อเพื่อเข้าประชุมที่กระทรวงในวันรุ่งขึ้น  และก็รู้สึกประทับใจในพ่อท่านด้วยค่ะ พ่อท่านแสดงการเป็นผู้ป่วยที่ดีมากค่ะ ขณะที่คุณหมอทำแผลให้พ่อท่านนิ่งมากและมีใบหน้ายิ้มเล็กน้อยไม่แสดงอาการกลัวหรือกังวลใดๆ  คุณหมอก็รู้สึกสบายใจ...นอกจากนั้นคุณหมอก็สนใจในเพลงของพ่อท่านมาก โดยเฉพาะเพลงชื่นรัก  และเพลงประกอบในหนังเรื่องโทน  วันนั้นลูกรู้สึกว่าได้อยู่ในบรรยกาศที่อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใสมากค่ะ ได้เข้าใจในคำว่าบุญบารมีมากขึ้นค่ะ ถ้าเราเป็นผู้สร้างบารมีไว้มากก็จะมีผู้ร่วมบารมีกัน มาดูแลเกื้อกูลกันตามบารมีนั้นๆก็ตามจริงที่เรามี ลูกก็แค่จะสื่อสารบรรยากาศนี้และความประทับใจแบ่งปันให้ญาติธรรมท่านอื่นได้รับทราบด้วยค่ะ และลูกอยากจะเสริมอีกเล็กน้อยว่า...ไม่อยากให้พวกเราที่หลายคนปฏิเสธแพทย์แผนปัจจุบัน  ปฏิเสธการผ่าตัด หรือยาแผนปัจจุบันมากนัก ก็เป็นที่ประจักษ์หลายครั้งหลายคราแล้วว่าเขาทำได้ผลดีจริง..รักษาให้อาการดีขึ้นหรือหายได้..ถ้าปฏิเสธก็ทำให้เสียโอกาสรับการรักษาที่ถูกควร แต่คงไม่มีการรักษาใดๆที่ให้ผล100% ดั่งใจคิดได้ค่ะ   

ลูกอยากจะเล่าเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเรื่องเมื่อวานนี้.(28กย...) ลูกๆกลุ่มสาธารณสุขบุญนิยม.....ได้ไปเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับรพ.สรรพสิทธิประสงค์อีกครั้ง ด้วยการเอาลองกองไร้สารพิษจากศีรษะอโศกไปฝากผอ.รพ.และเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานของรพ.ด้วยสำนึกในบุญคุณที่ทางรพ.ให้การดูแลพ่อท่านเป็นอย่างดี ท่านผอ.ยังบอกว่าจะหาเวลามาเยี่ยมพ่อท่านอีก  และยังพูดถึงว่าอยากจะมาเรียนรู้เรื่องโคกหนองนาโมเดลด้วยค่ะ  ไปเจอท่านและเหล่าเจ้าหน้าที่หลายท่านที่มาร่วมกันทำพิธีวันธงชาติด้วย ลูกอดคิดต่อไม่ได้ว่า เราเป็นสถานการศึกษาแต่ก่อนลูกเป็นเด็กร้องเพลงเคารพธงชาติและฟังคุณครูอบรมหน้าเสาธง ลูกเคยเป็นคนชักธงชาติขึ้นสู่เสาธงด้วย แต่รร.ของเราลูกไม่เห็นมีการให้เด็กชักธงขึ้นเสาและร้องเพลงชาติร่วมกันทุกวันเลย หรือมีแต่ลูกไม่รู้ก็ไม่ทราบนะคะ  แค่ลูกไม่เคยเห็นเหมือนตอนที่ลูกเป็นเด็ก ลูกว่าเป็นการฝึกฝนวินัยและความรักชาติดีค่ะ  วันนี้ลูกยาวไปหน่อยค่ะ   กราบนมัสการด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ.

พ่อครูว่า... ก็ดี ผู้ที่ดูแลที่เห็นว่าควรจะฟื้นฟู มีการให้นักเรียนไปยืนตั้งแถวเคารพธงชาติ อาตมาก็เหมือนกันในชีวิตเป็นนักเรียนก็เข้าแถวเคารพธงชาติ มาตั้งแต่เด็กจนโตนั่นแหละ จนกระทั่งมาเข้าชั้นสูงแล้ว ถึงค่อยไม่ได้ไปเคารพ เขาให้เคารพแต่เด็กๆ มั้ง 

กรักตรงเตือนว่า... โรงเรียนเราเคารพตั้งแต่เช้ามืดตอน 5:45 น. 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... เสาธงเราก็เคลื่อนย้ายได้ด้วย ที่อื่นๆ เสาธงอยู่กับที่ แต่เสาธงเราเคลื่อนย้ายได้ เพราะโรงเรียนเราน้ำท่วมก็ย้ายไปได้ทั่ว เด็กๆเราทำกิจกรรมตั้งแต่เช้ามืด เคารพธงชาติ  จากนั้นกินข้าวต้มแล้วไปทำงาน 


 

ประชาธิปไตยโลกุตระที่ Absolute Ultimate เจริญสุด

พ่อครูว่า... พูดถึงเรื่องธรรมะมาพอสมควร มาพาดพิงถึงเรื่องโลกๆ เขาบ้าง อาตมาเอาของบ้านเล็กเมืองน้อยเขา มาอ่านไปทีหนึ่งแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24-25 กันยายน 2566 อ่านไปได้หน้า 2 หน้า

_บ้านเล็กเมืองน้อย

กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพรักยิ่ง

ความก้าวร้าว  หยาบคาย  ละเมิดสิทธิผู้อื่น

ความโกหก  เสแสร้ง  หลงสีหิวแสง  ego สูง

ความไร้สำนึก  ใจดำ  ขาดความรับผิดชอบ

ความไร้คุณธรรม  แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้  เหล่านี้เป็นอาการซ้ำซาก ของ โรคไซโคพาธ (Psychopaths)  ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และกำลังลุกลามในสังคมไทยปัจจุบัน

ความสามานย์ต่อเนื่องไม่หยุดของระบบทุนนิยม  ได้สุมวิกฤติทางเศรษฐกิจรอบแล้วรอบเล่า ปั่นการเมืองฉ้อฉล ให้ยิ่งยอกย้อน ป่วนรากฐานสังคมจนบอบช้ำ สะสมเกินขีดจำกัดของคนรุ่นก่อนๆ จะแบกรับไหว

...... ผลกระทบอันเลวร้ายจึงส่งต่อถึงลูกหลาน ทำให้เป็น “โรคไซโคพาธ” ในปัจจุบัน 

ความแตกแยกในครอบครัว  การถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย  การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก  การศึกษาที่ขาดจิตวิญญาณ  การที่ต้องเติบโตมาในสภาพสังคมที่โหดร้าย ฯลฯ...   ล้วนเป็นสาเหตุของโรค

เมื่อผลไม้พิษสุกงอมในสภาพสังคมที่แร้นแค้น...สิ้นหวัง    ผู้คนจึงถูกใช้เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ ที่สะดวกซื้อราคาถูก 

เหมาะเจาะกับการเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พิษเอาไว้ (จากการส่งออกประชาธิปไตย) 

พ่อครูว่า... ประชาธิปไตยของเทวนิยม มันก็เป็นทฤษฎีเป็น Concept ของประชาธิปไตยแบบเทวนิยม ซึ่งเขาคิดไม่ออกหรอกว่าประชาธิปไตยแบบโลกุตระเป็นยังไง 

อาตมาก็เคยยืนยันว่าประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้น สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตยในยุคท่าน แต่มันมีสภาวะไหม..มี สภาวะประชาธิปไตยมีแต่สมัยพระพุทธเจ้าแต่มันพูดไม่ได้อธิบายไม่ออก แต่พระพุทธเจ้าท่านมีทฤษฎีอยู่ พาปฏิบัติธรรมมีทฤษฎีมีหลักการสำเร็จผลนั้นด้วย 

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้นคนจะเป็นสังคมที่ สาราณียธรรม 6 ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามันจะมีผลสำเร็จเป็นสังคมมนุษย์ สาราณียธรรม 6 มีคุณธรรมมีพุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 อาตมาก็เคยอธิบายมาแล้ว ในยุคโน้นคำว่า อธิปไตย ประชาธิปไตยก็มีคำว่า อธิปไตย คำรวมของประชาธิปไตยมันไม่มี แต่คำว่าประชา มวลประชามันมี คือพยัญชนะบาลีว่า พหุชน

คำว่าอธิปไตยมันมีอยู่ที่ อธิปไตย 3 พหุชนะหรือโลก มันอยู่ที่อายะ 3 อาตมาก็อธิบายหมดไปหมดแล้วคนที่ฟังธรรมะไม่ค่อยเข้าใจนักหรือว่าฟังไม่ทัน แม้จะเรียนจบด็อกเตอร์ทางรัฐศาสตร์มาก็ตาม ฟังที่อาตมาอธิบายนี้เข้าใจยากอยู่ 

คำว่า ประชาธิปไตยไม่มี แต่ความเป็นอธิปไตยต่อมวลประชาชนมีประโยชน์โภคผลเป็นอายะนั้นมีแล้ว ก็คือ อธิปไตย 3 กับอายะ 3 นี้แหละ นี่แหละเป็นประชาธิปไตยของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของเทวนิยม 

เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยเทวนิยมนั้น ไม่เกิดผลอย่าง Absolute หรือว่า Ultimate เหมือนกับของศาสนาพุทธ ไม่มี ผลที่มันสวยงามสูงสุดเป็น Absolute หรือว่าเป็น Ultimate ไม่มี ของประชาธิปไตยโลกียะ 

ยิ่งไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียว อย่างที่เขานิยมชมชอบกันอย่างสหรัฐฯพาทำ ยิ่งเหลวเละใหญ่เลย แหลกลาญ เดี๋ยวก็แหลกหมดคอยดูสิ สังคม มันยิ่งกลายเป็นระบบระบอบที่ทำให้สังคมโหดเหี้ยม สังคมที่กิเลสโลภ เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวจัดจ้าน อย่างที่เป็นนี้ อ่านให้ออกสิ อ่านให้ออก เบ่งอำนาจบาตรใหญ่กันไป ข่มเหงกันไป ทารุณโหดร้ายกันไป 

สังคมที่มีคุณธรรม สังเกตได้ง่ายๆ เป็นสังคมที่จะไม่นิยมการสร้างอาวุธ สังคมที่ไร้คุณธรรม เป็นสังคมที่สร้างอาวุธ 

สร้างเก่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย นั่นแหละคือสังคมที่เสื่อม สังคมที่ตกต่ำ อำมหิตโหดร้าย อาวุธไปสร้างขึ้นมาฆ่าคนง่ายๆ แค่นี้เข้าใจไม่ได้ ทำไมจะต้องสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคน ศีลข้อ 1 วางทัณฑะ วางศาสตรา ไม่ฆ่าคน วางอาวุธวางศาสตรา ไม่ฆ่าคน วางหมดไม่มีก็วาง ไม่มีเลยก็ไม่ต้องสร้าง ก็ไม่ต้องวาง วางเลยอาวุธ ไม่มีอาวุธ ไม่มีศาสตรา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ มันลึกซึ้งสุดๆ เลย 

เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าถึงจิตที่บอกว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่นี่นะ ไม่ได้ง่ายๆ เลย ไม่ง่ายเลย ศีลข้อ 1 เท่านั้น ไม่ต้องไปเอาศีลข้อมากข้อมายอะไรเลย 

คนที่มีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แล้วไม่ฆ่าไม่ทำร้ายอะไรใคร เอาแต่แค่ชาวอโศกเรานี่ประพฤติ พวกเรานอกจากไม่ฆ่าไม่ทำลาย ไม่ทำร้ายแล้ว มีจิตเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ คิดดูสิเราอยู่ที่นี่ ผู้ที่แวดล้อม อยู่ในหมู่บ้านอื่นๆ ต่อ หมู่บ้านราชธานีแล้วก็มี

หมู่บ้านอื่นๆ รอบๆ ล้อมพวกเราอยู่ เขาไม่ค่อยรู้จักพวกเรานะ แต่เขารู้จักพวกเรา คือจริงๆ เขาไม่ได้มาคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไม่รู้จักพวกเราหรอก ไม่ค่อยเข้ามาใช่ไหม แต่เขารู้จักพวกเราได้ลึกซึ้ง 

เอาอย่างกุดระงุมนี่สัมพันธ์กันมาก เราเดินออกไปเห็นไหม อย่างกับรู้จักกันทั้งนั้น ดีไม่ดีก็ยกมือไหว้ได้ ธรรมดาชาวบ้านเขาไม่ยกมือไหว้กันมากมายนะ แต่พวกเราเขายกมือไหว้เรา โดยเฉพาะพระอโศก สมณะอโศกไหว้กัน ยกเว้นบ้านคำกลางเขาเป็นคริสต์ เขาก็ไม่ไหว้ละ แต่ท่ากกเสียวห่างกว่า กุดระงุมน้อยหน่อย ก็ไม่ค่อยจะไหว้อะไรเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ 

ที่รู้ดีก็คือนี่เขาก็รู้แล้วว่ามีกระท่อมปันสุข ถึงเวลาปั๊บก็มา อะไรอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ที่ติดหลักการ หลักวิชาของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างนี้ แล้วพวกเราก็ยิ่งทำไป มันจะค่อยๆ กว้างขวางขึ้น 

ที่นี้อย่างชาวอโศกเราก็ทำเต็มที่ ของเราไป อย่างไรเราก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว ก็อยู่เป็นสุข อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ รู้สึกไหมว่าที่อาตมาพูดนี้หรือว่าตั้งคำพวกนี้ขึ้นมา เราเพิ่มพูนการเสียสละ ตัวปลายเปิด รู้สึกไหมว่าเรามีลักษณะอย่างนั้นจริงๆ พยายามเพิ่มพูนการเสียสละ แต่มันก็เสียสละได้สูงสุดแล้ว ก็เพราะพวกเรามีแค่นี้  ก็มากก็มายหมุนเวียนเสียสละกันอยู่นี้ 

ถ้าคนในโลกหรือในสังคมใด มีคุณลักษณะแบบที่เราเป็นกันนี่ คุณคิดดูซิว่าสังคมจะเป็นยังไง อาตมาเคยพูดนะว่า อาตมาเกิดมาชาตินี้แล้วเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาพูดมาเปิดเผย มาอธิบาย มาทำให้เข้าใจกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

ดีที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือ พ้นสุข-พ้นทุกข์

สงสัยอาตมาคงจะต้องหยุดสอนหยุดบรรยายแล้ว คงจะเหลือแต่เขียนหนังสือ เพราะรู้สึกว่ามันอาการมันหนักขึ้น มันฝืนนะ แล้ววิบากของอาตมาก็หนักขึ้น รักษาไม่ได้แล้วก็อาการหนักขึ้นมาก ยืดอายุขันธ์ด้วย อะไรด้วย ก็เอา ดันสุรังไป จะไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็ว่าไป 

อาตมาเคยสรุปว่าเราเกิดมาเป็นคน ประเด็นหลักที่สุดพระพุทธเจ้าท่านสรุปผลหรือว่าสรุปเป้า สรุปเป้าแล้วก็จบที่เป้านี้ จบเป็นมรรคผลของเป้านี้คือคุณจะต้องพ้นสุข-พ้นทุกข์ นี่เป็นจุดที่ยิ่งใหญ่เลิศยอด เคยอธิบายมาบ้างแล้ว เป็นจุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุด 

คนที่หมดการเสพสุขก็คือพ้นทุกข์ ไม่เสพแล้วสุข ไม่มีสุขแล้ว ไม่เสพสุขอีกแล้ว คนนั้นก็คือพ้นทุกข์ เพราะสุข-ทุกข์ มันหนึ่งเดียวกันเลย เป็นแต่เพียงว่าเหมือนกระดาษคนละหน้า แต่อันเดียวกัน แยกไม่ออก ฉีกไม่ออก อันหนึ่งหมดก็หมดไปด้วยกัน อันหนึ่งมีก็ต้องมีด้วยกัน 

ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่สุด จิตวิญญาณของคนติดอยู่ตรงนี้ติดอยู่ตรงสุข เข้าใจไม่ได้เลยจึงต้องไปเสพสุข เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดปัญญาญาณรู้จักสุข-จักทุกข์แล้ว แล้วก็ทำให้หมดสุข-หมดทุกข์ได้ มันเท่ากับหมดเลย..จบ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กตํ กรณียํ มันจบกิจ มันจบจริงๆ เลย อาตมาก็เคยอธิบายมาบ้างแล้ว 

1.เป็นคน ถ้าจะเกิดอยู่ คุณก็มีแต่ทำความดี ไม่ทำความชั่วอีกเลย คุณจะเกิดอีกกี่ชาติๆๆ มีหลักประกัน ถ้าจบกิจนี้แล้ว 

หนึ่งเป็นคนมีหลักประกันเด็ดขาด ถ้าคุณจะเกิด จะอีกกี่ชาติก็ไม่ทำชั่วอีกแล้ว ทำแต่ดี ทำแต่กุศลอย่างเดียว เป็นโลกียะนี่แหละ ตลอดกาลนานจะอยู่ไปเท่าไหร่ๆ 

2. ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เมื่อบรรลุอรหันต์ อรหัตผลเสร็จ แล้วคุณจะเกิดอีกเท่าไหร่ๆ ก็เกิดได้ ก็มีแต่ทำดีเพราะหลักประกันมีอยู่แล้ว แค่นี้ก็เคยอธิบายซ้อน 

ผู้บรรลุอรหันต์แล้วทำไมเกิดมายังมีสุข-มีทุกข์..ใช่ เพราะถูกโลกโลกีย์ครอบงำ เป็นลิงลมอมข้าวพอง พอคุณรู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็สลัดออกง่ายดายไม่ยากอะไร ตามบารมีของแต่ละท่าน อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ยังเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ตั้ง 36 ปี พระพุทธเจ้าก็เป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ตั้ง 35 ปี ขนาดออกมาจากทางโลกแล้วตอนอายุ 29 ก็ยังจมอยู่ในทางวิบากอีก 6 ปี..อะไรอย่างนี้ 

สรุปแล้วก็คือ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ 

3. นี่สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด จะอยู่ก็ได้ จะไม่อยู่ก็ได้ จะเกิดก็ได้ จะไม่เกิดก็ได้ จะตายก็ได้ แล้วไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย ไม่ทำชั่วด้วย หรือสุดเลย แยกธาตุจิตวิญญาณสลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลยได้ อะไรจะยิ่งใหญ่เท่านี้ 

ศาสนาเทวนิยมตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร อมตะ จิตวิญญาณไม่มีสูญ แต่ของพระพุทธเจ้าสูญ ตีหน้าแงพระเจ้าเลย

เพราะฉะนั้นชาวพุทธตายแล้วปรินิพพานได้ เป็นพระอรหันต์ได้ พระเจ้าเด๋อเลย เฮ้ย! ทำไมไม่มาเกิดที่ข้าวะ พระเจ้า ทำไมตายแล้วไม่มา พระเจ้า เฮ้ย! วิญญาณนี้ไปไหน เฮ้ย! สุวรรณ สุวรรณกลายเป็นสุวานเลย ไม่รู้คือโง่ไง ไปถามสุวรรณ สุวรรณกลายเป็นสุวานเลย ตอบไม่ได้เลย  ถ้าสุวรรณก็ต้องฉลาด แต่ตอบไม่ได้เลย หายไปเลย

อันนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของจิตวิญญาณใครเลย ตนเองเท่านั้นเป็นเจ้าของจิตวิญญาณตนเอง พิสูจน์ได้ว่าตนเองปฏิบัติแล้ว บรรลุแล้ว ทำตัวเองให้สูญหายไปจากจักรวาลหรือสูญหายไปจากกาลหรือกาละนี้ได้เลย สูญหายไปจากวัฏสงสารเลย ไม่เหลือ ความเป็นจิตวิญญาณเอก นี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด ตรงนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเราฟังแล้วเข้าใจได้..ใช่ไหม  ยิ่งใหญ่ที่สุด 

ทีนี้หลายผู้หลายคนก็คิดง่ายๆ คนที่ยังหลงอยู่ว่า โลกนี้มันยังมีสุขให้เสพนี่ ก็ยังอาลัยอาวรณ์สุข เขาก็บอกว่าจะตายไปทำไม จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปทำไม มันมีสุขรออยู่ข้างหน้ายังอาลัยอาวรณ์สุข มันก็จะนึกอย่างนี้ 

แต่ทางศาสนาพุทธนี่ อจินไตย ที่ท่านตรัสเอาไว้ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป สุขมันไม่มีหรอก สุขมันมีแต่ตัวมายาหลอก ตัวจริง จริงๆ นั้นเรียกว่า อาริยสัจ คือทุกข์ สุขนั้นมันเป็น อัลลิกะ สุขมันเป็นเท็จ สุขมันโกหก พยัญชนะบาลีก็คือ สุขขัลลิกะ กับ ทุกข์นั้นเป็นทุกข์อาริยสัจ 

มันไม่มีอะไรเหลือแล้วสำหรับการเกิดมาเป็นคน อาตมาก็เคยอธิบายว่า เริ่มต้นตั้งแต่จิตวิญญาณหรือว่าอุบัติ เซลล์เป็นเซลล์จิตนิยามเซลล์เดียวก็ตาม คุณจะไปหาได้ที่ไหน ใต้ทะเลลึก หมื่นโยชน์หลายหมื่นโยชน์  เซลล์เดียวนี่อย่างนี้ไปหาที่ไหน ใครสามารถจะไปค้นหาได้ที่ไหน เสร็จแล้วก็สั่งสมเซลล์มาเป็นล้านๆ เซลล์ กว่าจะพัฒนาขึ้นมาเป็นสัตว์ที่มีเซลล์ต่างๆ ขึ้นมาเต็ม อยู่ในน้ำก่อน ขึ้นมา บนบกนี่เป็นเซลล์ชั้นสูงแล้ว เซลล์อยู่ในน้ำนั้น เป็นเซลล์ชั้นต่ำ 

เพราะฉะนั้น เซลล์ที่เกิดมา พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อาตมาเคยขยายความโดยอาศัยพยัญชนะบาลี ว่าเริ่มต้นเมื่อมีเซลล์นี่ มันเริ่มจะเป็นชีวะ พระพุทธเจ้าให้อย่าไปทำลาย อย่าไปทำลายเขา มันเกิดมาเป็นชีวะแล้ว ถึงขั้นปาณะ อย่าทำให้ตกร่วง ไม่ใช่ฆ่าสัตว์นะ  มันละเอียดกว่าฆ่าสัตว์ ปราณหรือปาณะ ยังไม่ได้นับเป็นสัตว์เต็มที่เลย ยังไม่เป็นสัตตะ เป็นแค่ ปาณะ อย่าไปทำลายเขา เขาเกิดมาแล้วเขาก็จะต้องพัฒนาไปตามวิบากของเขา เราอย่าไปเกี่ยวกับวิบากเขาได้ กำลังสนุกเลย สัตต ปาณะ ฯ 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือพ้นสุขพ้นทุกข์ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ วันไหว้พระจันทร์ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2566 ( 07:20:22 )

661002

รายละเอียด

661002 คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #43 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53559.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1aF6In5BxHW6qpTuOPi10eRIPeK9CLmEq/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1z15-VmwOtXEgLbk2V7ufEwX9fzSayb1y/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661002-167-1-_128-kbps-e2a289n 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/B8lbK_0S2RQ 

  และ (มีซับ) https://fb.watch/nqnmyAZtRQ/ 

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราก็มาเริ่มฟังธรรมกัน ฝนอย่าเพิ่งตกเลยเน้อ เสียงมันรบกวนไม่ใช่อะไรหรอก เราไม่รั่วหรอก ไม่รั่วในนี้ถ้าไม่มีลมแรงสาด ถ้าลมแรงสาดจริงๆเข้า 2 ข้าง ใช้คันยูมากั้นกัน รู้จักคันยูไหม ร่ม ภาษาอีสานเขาเรียกว่า คันยู ทางเหนือเรียกว่า จ้อง เอามากั้นมันก็สู้ลมไม่ได้ หลู่ไปหลู่มาอีกซัดหน้าเราได้ สนุกมันมีคราวหนึ่งพายุฤดูฝน 

มาเข้าเริ่มต้นจาก SMS 

 

ในอาหารอ่านกามแล้วก็ยังมีมานะให้อ่าน

เขียนรายงานสภาวะตัวเองเรื่องคำข้าวเพื่อโยงเข้าสู่คำถาม 

_น้อมกราบนมัสการพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ผู้ให้กำเนิดทางจิตวิญญาณ ด้วยความเคารพสูงสุด เขียนรายงานสภาวะในตนเองเรื่อง“อาหารคำข้าว”เพื่อโยงไปสู่คำถามค่ะ ขั้นที่ 1.เลิกกินอาหารที่เป็นโทษ อาหารที่เป็นโทษ นอกจากจะเป็นเหตุให้ร่างกายเจ็บป่วยแล้ว ยังเป็นการสะสมโรคทางใจอีกด้วย เพราะอาหารที่เป็นโทษส่วนใหญ่ จะคู่กันมากับเครื่องปรุงแต่งในรูป รส กลิ่น สัมผัส ที่ยั่วย้อมให้เกิดความอร่อย 

พ่อครูว่า…การปรุงแต่งมันก็ไม่นอกเหนือจากเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม มีสัมผัสแล้วทั้งกรอบก็ดี สัมผัสแล้วร้อนหรือเย็น บางทีก็ต้องเย็นๆ ถึงจะดีอย่างนี้ อย่างนี้ต้องร้อนถึงจะอร่อย มันก็ต้องปรุงแต่งไปอย่างนั้น เพราะงั้นถ้าจะพูดอย่างนี้แล้วต้องกินอาหารรสจืดๆ แล้วก็จะต้องคงที่ มันก็สุดโต่งเกินไป จนเคร่งเกิน จินตนาการไปไกล ให้มันดูละเอียดลออ ดูให้มันสูงส่ง 

_การสั่งสมความรู้สึกอร่อยในทุกมื้ออาหาร แม้จะทีละเล็กทีละน้อยนั่นก็คือ การเพิ่มวงรอบความวนในสังสารวัฏที่ซ้อนลึก หรืออีกนัยยะหนึ่ง คือการส่งท่อน้ำเลี้ยงไปเป็นเสบียงอาหารให้กิเลสได้เติบโต

พ่อครูว่า…พูดอย่างนี้อันนี้น่ะถูก แต่ว่าไอ้เรื่องรูปรสกินเสียงต่างๆ นั้นมันก็คือตัวของธาตุแท้ของมัน ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน ธาตุหอม ธาตุเหม็นของมัน ธาตุนุ่ม ธาตุกรอบ ธาตุร้อน ธาตุเย็นอะไรพวกนี้ มันก็เป็นคุณสมบัติของแต่ละอย่างของมัน เพราะฉะนั้น เราก็รู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริง ฟังตรงนี้

เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า อ๋อ มันเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับให้มันไม่เอาอย่างร้อนไม่เอา อย่างหวานไม่เอา อย่างเค็มไม่เอาอย่างเปรี้ยว ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันไปกำหนดอย่างนั้นไม่ได้ ยอดเลยสุดโต่งมาก ชีวิตจะคับแคบเหมือนพวกเชน พวกเชนศาสนาเชนไม่ไหว 

เราจะต้องรู้ว่าอันนี้เป็นอันนี้อ้าว..มันเค็ม มันเค็มมันหอม มันหอมมันกรอบ มันกรอบมันหวาน มันหวานมันร้อน มันร้อนมันเย็น มันเย็น ธาตุของมันเป็นอย่างนี้ แล้วระหว่างที่ใจของเราพิจารณาตรงที่ว่า อันนี้มันเป็นประโยชน์ เออนี่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ ในร่างกายเอามาใช้ได้ ดี 

ไม่ใช่ไปพิจารณาจน ไปดับเกลือไม่ให้มันเค็ม หรือไม่ต้องกินเกลือ ไอ้พวกนี้เราจะกลายเป็นพวกที่จะเลี้ยงยาก ไอ้นั่นมาให้กินก็ไม่ได้ ไอ้นี่มาให้กินก็ไม่ได้ ไอ้นี่มากินก็ไม่ได้ มันจะคับแคบ มันน้อยไปหมด 

 _เรื่องการกิน...ตอนอายุประมาณ 9 ขวบ ก็พิจารณาแล้วเลิกกินสิ่งที่เป็นโทษ เช่น น้ำอัดลม ลูกชิ้น ขนมกรุบกรอบ ฯลฯ จนไม่กินจุบกินจิบเป็นปกตินิสัย 

พ่อครูว่า…พวกนี้เราก็รู้ว่ามันสิ่งที่ปรุงปลอมปนเปมา 

_ต่อมาเมื่ออายุ 27 ปี มองเห็นตาของปลาทูที่กำาลังจะต้มให้หมาก็เกิดดวงตาเห็นธรรมในตน จึงเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันนั้นมา ต่อมาในปีเดียวกันก็พบลุงไม้ร่ม แล้วพากันมากินอาหารซาคาฮารีที่พระพุทธองค์ทรงฉัน 

พ่อครูว่า…ไม่เคยพบนะว่าพระพุทธเจ้าทรงฉันอาหารซาคาฮารี ซาคาฮารีก็มีข้อกำจัดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นนี้ นอกนั้นจะไม่ฉันเกินกว่าซาคาฮารี ถ้างั้นอาตมาก็ว่าผิด เพราะไม่เคยพบว่าระบุว่าพระพุทธเจ้านั้นฉันซาคาฮารี นอกจากซาคาฮารีไม่ฉัน ไม่เคยเห็น 

_ที่ไม่มีของปรุงแต่งรส กลิ่น สี เช่น น้าตาลทราย ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยวฯลฯ ให้เกิดเวทนาหลอก

พ่อครูว่า…น้ำตาลมันก็หวาน ซีอิ้วมันก็เค็ม เต้าเจี้ยวมันก็มีรสมีกลิ่นของมันอย่างนั้น 

_และอาหารอื่นที่มีส่วนผสมของสิ่งเหล่านี้ก็เลิกได้ทั้งยวงโดยปริยายแบบไม่ฝืน ทำได้จนเป็นปกติชีวิต...ไม่วนกลับ จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ที่ตาในได้เห็นความอร่อยเกิดขึ้นในจิตของตัวเอง จนรู้สึกว่ากำลังหลอกตัวเองให้เห็นว่าความอร่อยกำลังพาผิดทิศผิดทาง...พอเห็นความจริงในปัจจุบันนั้นได้ ใจก็คลายความยึดติดรส พ่อครูว่า…ใจคลายความติดรสนี้ดี แต่อย่าไปกำหนดไม่ให้มีรส รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่การกำหนดว่าไปเอาไม่เอาอันนั้นไม่เอาอันนี้ จะกลายเป็นคนเลี้ยงยากกลายเป็นยึดติด 

_เลิกกินของมีโทษทุกอย่างได้อัตโนมัติ การใช้ปัญญาพิจารณาเห็นโทษในลักษณะนี้ สาหรับตัวเองได้ผลดีพอสมควร รู้สึกจิตมีกำลัง มีความเด็ดขาด และที่สาคัญได้ผลของการมีสุขภาพดีไม่มีโรคภัยควบคู่กันไปด้วยค่ะ

พ่อครูว่า…ก็ดูดีก็เอาสังเกตไป 

_ขั้นที่ 2.แยกแยะว่ากินเพื่ออาศัยหรือกินเพื่อเสพในอาหารที่มีแต่ประโยชน์ การวิจัยรอบนี้ ทำได้เมื่อเกิดความตื่นรู้จริง จนจิตมีความสามารถที่จะรู้ทัน รู้ชัดถึงเจตนา อาการและพลังงานในปัจจุบันนั้นว่า มีความชอบความชัง พ่อครูว่า…อันนี้ดี ให้รู้ว่าอันนี้มีความดูดหรืออาการผลัก 

_หรือรู้สึกเฉยๆ หรือไม่อย่างไรแบบละเอียดๆ อีก อาการผลักนั้นรู้สึกได้ง่ายกว่า อาการฝ่ายดูดนี้แนบเนียนมาก พ่อครูว่า…จริง 

_คือมาในรูปของความพอใจ,ติดใจ ฯลฯ แล้วต้องแยกความเข้มข้นของอาการนั้นให้ออกอีกด้วยว่า พลังงานนั้น แรง มาก น้อย นิด บางเบา แผ่วเบา ฯลฯ แค่ไหน จิตละเอียดแววไว เพราะฝึกมาดีแล้วเท่านั้น ที่จะแยกความต่างหรือความเป็น 2 ในวงรอบนี้ได้ เหตุคือความขยันตื่นรู้เพื่อพิจารณาให้ถ้วนรอบในรูป รส กลิ่น เสียงเมื่อได้สัมผัสกับคำข้าว ที่ควรเอาใจใส่พิจารณาจริงๆ ชนิดกัดไม่ยอมปล่อย จึงจะเกิดผลสำเร็จได้จริงตามลำดับ...กำลังทำในขั้นนี้ให้ครบให้จบอยู่ค่ะ 

พ่อครูว่า…ระวังมันจะเลยเถิด ระวังมันจะสุดโต่ง มันจะคับแคบเฉพาะสำหรับตัวเองเกินไป เราจะกลายเป็นคนเลี้ยงยาก ลำบาก

คำถาม การใช้ปัจจัย 4 ที่มีอาหารเป็นหนึ่งตามอัตภาพ โดยเน้นหลักประโยชน์สูงประหยัดสุด เพื่อการเจริญอาหาร เจริญธรรม และเจริญปัญญาเป็นที่สุด คือการบริโภคสู่ความจบปัจจัย4 เพื่ออาศัยไม่ใช่เพื่อเสพรสใช่ไหมคะ? สุดเศียรสุดเกล้ากราบขอบพระคุณค่ะ 

รุ้งเริงธรรม ธรรมชาติอโศก 

2 ตุลาคม 2566 

พ่อครูว่า…ถูกต้องอยู่ มีส่วนถูกต้องอยู่ อย่าให้มันเลยเถิด อย่าให้มันเกินไป อันนี้ก็ละเอียดนะ ก็ต้องศึกษาดีๆ 

_* ปล. พร้อมกันนี้ลุงไม้ร่มฝากร่วมมากราบพ่อท่านว่า... เจริญอาหาร เจริญธรรม เจริญปัญญา สุดเศียรสุดเกล้า ขอนอบน้อมนะโมโพธิรักษ์ กราบขอบพระคุณพ่อท่านพระโพธิสัตว์ผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ สู่ความ “อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ” ...สู่พระนิพพาน...ทุกชาติไป 

ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

พ่อครูว่า…ก็รับทราบดี ตั้งใจดีๆ ศึกษาดีๆ มันมีอะไรที่มันจะรู้สึกว่ามันมีอะไรเขื่องๆ อยู่ในใจของตนอยู่บ้าง อย่าไปคิด รู้สึกว่าเราจะมีอะไร เขื่องๆ ที่เรารู้นะรู้ยิ่งรู้จริงรู้ละเอียดลอออกว่าใครๆ อยู่นะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าเราจะสร้างความเขื่องใส่จิตตนเอง มันจะสะสมเป็นอนุสัย เป็นกิเลสระวังตรงนี้ สร้างความเขื่อง ซึ่งดูแล้วมันก็เป็นกิเลสชนิด ชนิดหนึ่ง เป็นมานะ อติมานะ ก็พยายามระวังบ้าง 

พวกเราศึกษาธรรมะแล้ว จะมีนัยยะละเอียดลออพวกนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ และความละเอียดลออ บางทีมันก็ละเอียดเกิน โต่งเรียกว่าสุดโต่ง มันเกินความพอดี มันเกินความพอเหมาะ ปโหติ เกินความพอเหมาะพอดี มันก็เลยเกิดลักษณะพวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังบ้าง 

 

SMS วันที่ 29-30 กันยายน 2566

_เล็ก ดินเพ็ญไพร : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ

  จากครั้งล่าสุดที่พ่อครูเทศน์ และได้พูดว่า อาจจะต้องงดเทศน์ แล้วไปเขียนหนังสือเป็นงานหลัก ลูกได้ยินก็รู้สึกจิตแกว่งนิดๆ ไม่ได้แกว่งเพราะพ่อครูจะงดเทศน์ แต่แกว่งเพราะอะไรก็บอกไม่ถูกเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าตื้นตันในความเมตตาที่มีต่อลูกๆ ในวัยเข้า 90 ปี พ่อครูยังต้องทำกายขันธ์ให้ดำรงอยู่เพื่อเผยแผ่ธรรมะ แก่ผู้ที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ผู้ที่รู้บ้างก็ได้ต่อยอดตามพ่อไปอีก จะหาใครมาเปรียบได้ในความเมตตาที่ไม่มีประมาณแบบนี้ ยิ่งทำให้ตัวลูกเองรู้สึกว่าเราจะต้องไม่นิ่งนอนใจ จะหยำแหยะ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ มีโอกาสทองขนาดนี้แล้ว ลูกไม่คิดกินลูกท้อเลย

พ่อครูจะงดเทศน์, จะเทศน์ครั้งละ 1 ชม. หรือจะเทศน์ 2 ชม. ลูกไม่มีปัญหาเลย พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตามพ่อครูเจ้าค่ะ (..) สู้ๆ พ่อครูสู้ๆ พ่อครูไว้ลาย (พระโพธิสัตว์) พ่อครูสู้แค่อยากพอ สู้ๆ ….จบ….กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ยุให้สู้นะ 

 

คนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง

_อนันต์ ศิรินุพงศ์ : คนโกหกมีสื่อมาก เป็นเรื่องยากของความจริง

พ่อครูว่า…เออ พูดแค่นี้เนาะ คนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง อาตมาฟังแล้วก็เข้าใจ เออ คนโกหกนี่ ทีนี้ ยุคนี้มันมีสื่อมาก คนโกหกยุคนี้มันมีสื่อมาก เพราะฉะนั้นมันก็ใช้สื่อนี่เพิ่มความโกหกของตัวเองด้วยอะไรต่างๆ นานา ในวิธีต่างๆ นานา ก็เป็นเรื่องยากของความจริงก็ถูก ถูก มันเป็นภัยชนิดหนึ่งของสังคมโลก โลกทั้งโลกเลยนะไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ประเทศไทยก็เจอหนักเรื่องสื่อนี่ สื่อที่โอ้โห 

ยกตัวอย่างอย่างพิธานี่ สายพิธา ลิ้มฯ เขาแซ่ลิ้ม เป็นผู้ที่รู้จักสิ่งที่ได้เปรียบโดยการทำสื่อ เขาเป็นผู้ที่รู้มุมนี้ดีมาก แล้วเขาก็ใช้อันนี้มาตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ ได้มวลที่เชื่อเขา เดี๋ยวนี้เขาก็ได้มากคนยังเชื่อเขาอีกเยอะ ยังเชื่อเขาอีกเยอะด้วยการใช้สื่อ 

เพราะฉะนั้นความจริงที่จะปรากฏได้ก็จึงยากที่จะออกมา เขาขยันและสร้างมวลช่วยกันอีก ขยันแล้วก็สร้างมวลช่วยกันทำอันนี้ มันเลยเป็นน้ำหนัก เป็นน้ำหนักที่ทำให้เขาได้ประโยชน์จากอันนี้ เขาเห็นคุณค่าของอันนี้มากเลย นี่เป็นเรื่องของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อาตมานี่ขออภัย ความจำชักไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันไม่น่าจะจำไม่ได้หรอกนะ มันก็เป็นบ้าง 

พิธาเขามองมุมนี้ และได้ประโยชน์จากมุมนี้ เฉกเช่น ทักษิณ ทักษิณได้มุมมากกว่าหลายมุมกว่าพิธา พิธาได้มุมเด่น แต่ทักษิณได้มุมหลายอย่าง เขาจึงเอามุมที่เขาเห็นว่าประชาชนถูกครอบงำ เขาครอบงำประชาชนได้ด้วยอย่างนี้อย่างนี้ นัยยะนี้ มุมนี้ แง่นี้ เขาก็ใช้มาตลอด อาตมาก็ไม่เก่งที่จะระบุลงไปแต่เห็นรู้อยู่ว่าทักษิณนี่มีความสามารถมาก ในการใช้สื่อด้วย เงินทองด้วย อำนาจตำแหน่งยศศักดิ์ด้วย กรรมวิธีในการบริหารด้วย อะไรพวกนี้ โอ้โห 

เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า ทักษิณนี่ครอบครองอำนาจ มีอิทธิพลในการบริหารประเทศไทย ทั้งๆที่เขาเป็นนักโทษ ที่ต้องออกไปอยู่นอกประเทศตั้ง 10 กว่าปี ก็ยังใช้อำนาจอิทธิพล ใช้คนของตัวเองให้คนของตัวเองในประเทศไทยบริหาร ตั้งแต่นายกสมัคร นายกสมชาย นายกยิ่งลักษณ์ นี่ก็กำลังจะเอานายก ตอนนี้เอานายกเศรษฐาขึ้น แล้วก็ต่อคิวไว้ ต่อจากนั้นก็คงจะเป็นอุ๊งอิ๊ง อย่างนี้เป็นต้น 

เขาใช้ได้ผลอยู่ อาตมามองในแนวลึกเห็นว่าประเทศไทยนี้มีตัวอย่างอันละเอียดลออ ละเอียดลออของเชิงกล วิธีการของการเมือง ที่ทักษิณเขาจะใช้ อื้อหือ สุดยอดแห่งการจบด็อกเตอร์

ทางอาชญวิทยามาจริงเลย จุ๊ๆๆ ยอดจริงๆ 

ถ้าว่าแล้วอาตมาเองอาตมาไม่ได้ไปลงโทษตัวเขานะ ว่าตามเนื้อผ้า ว่าตามสัจจะ เขาเกิดมาเป็นตัวอย่างที่จะทำให้เห็นทั้งแง่เชิงของสิ่งที่มันไม่ดีไม่งามนี่ได้ละเอียดซับซ้อนมาก จนทุกวันนี้คนก็ยังเชื่อถือเขา แม้แต่นายกปัจจุบันนี้ก็ยังยกย่องเชิดชู อย่างที่เห็นๆชัดเจน ก็ยังยกย่องเชิดชูกัน 

ที่เขาพูดชัดๆ อันหนึ่งก็คือ ที่นายกเศรษฐาเขาพูดว่า ทักษิณนี้เหนือชั้นกว่าพลเอกประยุทธ์ ทำผลงานให้แก่ประเทศอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็พูดไป เปลว สีเงินได้ยินเข้าหมั่นไส้ก็เลยซัดเข้าไปเต็มคอลัมน์เลย เมื่อวานนี้หรือไง ซัดเข้าเต็มคอลัมน์เลย มีถุยด้วยนะ ถุยที่เศรษฐาพูดมา แล้วก็ค่อยร่ายละเอียด สอนไปทีละเรื่อง อ้างอิงหลักฐานวันเวลาเรื่องราวอันนั้นอันนี้ แม้แต่แค่เรื่องของสนามบินสุวรรณภูมิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันก็ดีนะมีคนรู้เท่ารู้ทันอะไรต่ออะไรพวกนี้ แล้วก็มาบอกความจริงกันยืนยันอะไรต่ออะไรกัน ขนาดนั้นคนก็ยังไม่ค่อยที่จะเชื่อไม่ค่อยจะเห็นด้วย ไม่ค่อยจะฟังไม่เข้าใจอะไร สื่อสารทุกวันนี้มันดีมีหลายมาก หลายมุม หลายเจ้า แล้วก็ยังไม่ปฏิเสธอะไรดูๆ หมดทุกมุม แม้แต่มุมหมอปลา อาตมาก็ดู เขาก็ไปกันใหญ่ Insert มาคอลัมน์ 30 กันยายน มันไม่ใช่เมื่อวาน 

ทักษิณทูนหัวของเศรษฐา วันที่ 30 กันยายนไม่ใช่วันที่ 1 วันที่ 1 วันอาทิตย์เขาวรรคเว้นไม่ได้เขียน ธรรมดาเขาเว้นวันอาทิตย์ วันนี้วันจันทร์เขียนเรื่องอะไร มันเย็นแล้ววันจันทร์จะหมดวันแล้ว เขาเขียนเรื่องอะไรอาตมาก็ไม่ได้จำ ดูเหมือนอ่านผ่านไปแล้ว เอาละผ่านไปก่อน ของเปลว 

สรุปคนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง อาตมาก็ขยายความแล้วนะอย่างพิธาเป็นต้น ใช้สื่อมากทักษิณก็ใช้ก็เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข ทำความจริง 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบนมัสการ ท่านสมณะค่ะ ขณะนี้กำลังติดตามรายการอยู่ค่ะ และขอขอบคุณสื่อของบ้านราชที่เสนอข่าว น้องน้ำที่เข้ามาเยี่ยมบ้านราช แต่พวกเราก็ไม่ทุกข์และเตรียมตัวพร้อมเป็นปรกติแล้ว สาธุค่ะ

พ่อครูว่า…ก็ให้กำลังใจมา ขอบคุณ 

 

พ่อครูตั้งชื่อตัวให้ได้แต่ไม่ตั้งชื่อสกุลให้คน

_Kasem Santhong เกษม แสนทอง : จากที่มีญาติธรรมมาขอชื่อกับพ่อครู และระบุว่า ขอชื่อตัว คือ ชื่อมี 2 ชนิด คือ "ชื่อตัว" กับ "ชื่อสกุล" ครับ

พ่อครูว่า…อาตมาก็ตอบตรงนี้เลยว่า ชื่อสกุล ชื่อนามสกุลนี้อาตมาไม่ตั้งให้ใคร อาตมาตั้งไว้แล้ว เปรยๆ ปรายๆ จำไม่ได้แม่นทีเดียวว่า เช่นว่า อโศกตระกูล อาตมาตั้งหรือพวกเราบัญญัติยังไง ซึ่งก็มีเกล็ดดินเป็นเจ้าของต้นตระกูล นาวาบุญนิยม ก็มีท่านน่านฟ้า เป็นเจ้าของต้นตระกูล อย่างนี้เป็นต้น ส่วน ชาวหินฟ้าคือคุณประโยชน์ ซึ่งตายไปแล้ว ตอนนี้นามสกุลชาวหินฟ้าก็ขออนุญาตจากคุณประโยชน์ไม่ได้แล้วเพราะว่าตายไปแล้ว ก็จะเหลือสืบทอดกันทางสายเลือด หรือลูกเลี้ยงคนที่มีนามสกุลชาวหินฟ้า ลูกเลี้ยงก็สามารถใช้นามสกุลชาวหินฟ้าร่วมได้ ลูกเลี้ยงที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายเขา 

อาตมาไม่ตั้งชื่อนามสกุลให้ใคร ไม่งั้นอาตมาเป็นภาระ ตั้งชื่อเท่านั้นอาตมาก็จะแย่อยู่แล้วทุกวันนี้ ตั้งไปหลายหมื่นชื่อแล้วจะเป็นแสนชื่อหรือยังก็ไม่รู้ ตั้งเสียจนสมุดบันทึก แต่ก่อนบันทึกใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ทำแล้วบันทึกแต่ในสมุดบ้าง เล่มนั้นเล่มนี้แล้วก็ไม่รู้เล่มที่บันทึกไว้หายไปไหนบ้าง เอาละอันนี้อาตมามีอยู่ ชื่อตัว อาตมาก็ตั้งให้ไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว

 

วันพระสำคัญอย่างไร เราควรทำสิ่งไหนกัน

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ขอให้พ่อท่านช่วยกรุณาอธิบายวันพระที่อยู่ในทุกครั้งของปัจจุบันเป็นการกำหนดขององค์พระพุทธเจ้าหรือไม่ และวันพระมีความสำคัญอย่างไรแค่ไหนครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…เช่น วันพระน้อย 8ค่ำ วันพระใหญ่ วันพระใหญ่ก็ 15 ค่ำเป็นวันพระ ทุกครั้งในปัจจุบัน เป็นการกำหนดของพระพุทธเจ้า 8 ค่ำ 15 ค่ำ 

วันพระก็เป็นวันที่เรากำหนด พยายามทำความสำคัญในความสำคัญมันลงไป มันเวียนวนมาถึง 8 ค่ำแล้วนะ เวียนวนมาถึง 15 ค่ำแล้วนะ เป็นการกำหนดบัญญัติ เพื่อให้เรานี่รู้สึกว่า เอ๊.. เราเองควรเห็นทำความสำคัญกับความสำคัญให้ยิ่งขึ้น เพื่อปลุกเร้าให้เอาใจใส่กับธรรมะยิ่งขึ้น วันพระใช้สำนวนภาษาไทยเรียกว่า วันพระ ก็คือวันที่จะต้องเอาใจใส่กับธรรมะ หรือพระพุทธเจ้า เอาใจใส่เรื่องของพระพุทธเจ้า คำสอนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น ให้ความสำคัญสำหรับวัน อย่างน้อยก็เตือนเหมือนกับศาสนาอิสลามเขาละหมาดระลึกถึงพระเจ้า วันหนึ่ง 4 ครั้งอะไรอย่างนี้ คนไทยเราก็ไหว้พระ ก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะไรก็ว่า หรือกราบพระก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นอกจากพวกมิจฉาทิฏฐิ กราบพระแล้วก็อ้อนวอนขอให้ท่านบันดาลนู่นนี่อะไรให้ 

ก็ระลึกถึงผู้ที่มีพระคุณ ไม่เสื่อมคลาย ระลึกถึงด้วยใจจริง ถ้ายิ่งระลึกถึงการปฏิบัติหรือระลึกถึงเนื้อธรรมะ ทฤษฎีที่เราจะปฏิบัติธรรมะ ในปัจจุบันนี้ ขณะนี้ เราทำอะไรแค่ไหน ได้ผลหรือไม่ อะไรพวกนี้ มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสาระสัจจะของมันยิ่งๆ ขึ้น 

เพราะฉะนั้นใส่ใจในเนื้อหาสาระ สรุปแล้ว วันพระคือวันที่ บัญญัติกำหนดเพื่อที่จะให้เรารู้ความสำคัญในความสำคัญ ที่เราควรจะต้องสนใจในเรื่องของธรรมะยิ่งขึ้นๆ 

_สู่แดนธรรม... เขากำหนดอย่างนี้ครับ เขาเรียกว่าวันธรรมสวนะ 

พ่อครูว่า... นั่นแค่ฟัง ถ้าเราฟังเฉยๆก็แค่ฟัง ยิ่งฟังแล้วยินดีด้วยปฏิบัติธรรมนั่นแหละสำคัญกว่าฟังเฉยๆ ใช่ไหม? 

 

ขยายความปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร 

_พิมพ์เพชรรุ้ง...กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ....ก่อนที่จะมาพบพ่อครูและชาวอโศก ดิฉันได้อาศัยพระสูตร ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร นี้เป็นเสียงเพลงทำสมถะกรรมฐานให้จิตสงบ แต่ยังไม่เคยเข้าใจ

ตอนนี้ได้มาฟังอีกพอจะเข้าใจขึ้นบ้าง จึงอยากขอกราบนิมนต์พ่อครูได้อธิบายเพิ่มเติมในในส่วนนี้ของพระสูตรค่ะ

 

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผู้ทรงคุณอันประเสริฐ

พระผู้เป็นมหาสัตว์ได้กล่าวตอบพระสารีบุตรว่า

ท่านสารีบุตร! หากกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง

ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้

เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาให้เกิดญาณหยั่งเห็นขันธ์ 5

เป็นสภาวะแห่งความหมายอันเป็นศูนย์

ท่านสารีบุตร! รูปนี้มีความหมายเป็นศูนย์ ความเป็นศูนย์นั้นแลปรากฏเป็นรูป

ความเป็นรูปมีค่าไม่ต่างจากความเป็นศูนย์

และความเป็นศูนย์ก็มีความหมายไม่ต่างจากความเป็นรูป

รูปเป็นเช่นไร ศูนย์ก็เป็นเช่นนั้น

ศูนย์มีความหมายอย่างไร รูปก็มีความหมายอย่างนั้น

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นแล

ท่านสารีบุตร! สังขตธรรมทั้งปวงมีลักษณะเป็นศูนย์

คือ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่พร่อง ไม่เต็ม

ท่านสารีบุตร ! เพราะเป็นเช่นนี้แล

ในศูนยตาวิหารธรรมจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ

พ่อครูว่า... ใครฟังอ่านผ่านไปแล้วนี่ ฟังแล้วพอเข้าใจบ้าง ยกมือ อาจจะ 10 ตรีบั้งหนึ่ง สิบโท 2 บั้ง สิบเอก 3 บั้งถ้า 4 บั้งนี้เป็นจ่า เข้าใจหลายบั้ง

มันก็คงพอเข้าใจได้สำหรับพวกเรา สรุปแล้วก็คือว่าทุกอย่างไม่มี ไม่มีคืออะไร..สูญ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แม้แต่รูปที่ถูกรู้อยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็เป็นศูนย์ 

พระสารีบุตร กับพระอวโลกิเตศวรท่านพูดกัน คุณคือใคร จะมาพูดระดับนี้กันเหมือนอย่างพระสารีบุตรกับพระอวโลกิเตศวร เห็นไหม 

เพราะฉะนั้นเราก็ฟัง เรามาเข้าใจก็ดีแล้ว เข้าใจนั้นเป็นการเข้าใจด้วยความเข้าใจ ด้วยความเข้าใจเฉยๆ มันยังไม่ใช่สภาวะที่สูงสุด ที่ท่านพูดนี้เป็นสภาวะที่สูงสุดในระดับ สุดระดับของท่าน ซึ่งท่านจะพูดอย่างไร ท่านก็เข้าใจกันได้โดยทั้งสมมุติและปรมัตถ์ทั้งสภาวะ แต่สำหรับเรานั้นก็เอาให้เป็นศูนย์เท่าที่เป็นศูนย์ 

เราต้องเข้าใจคำว่าเป็นศูนย์หรือคำว่าไม่มีคืออะไร คำว่าเป็นศูนย์หรือคำว่าไม่มีเป็นไวพจน์กันว่า 0 ก็คือไม่มี ไม่มีก็คือ 0 ว่างๆ เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เป็นไวพจน์กันหมด เป็น synonym กัน ก็ฟังแล้วก็ระลึกถึงสภาวะ 

คำว่า “ไม่มี” หรือคำว่า “ว่าง” แม้แต่ใช้คำว่า “หลุดพ้น” ก็ได้ แต่คำว่า ไม่มี ว่าง หลุดพ้น ไม่ได้หมายความว่าเราพรากจาก อันนี้เป็นนัยสำคัญ คำว่า ไม่มี ดับสนิท หลุดพ้น แล้วดับความรับรู้ ดับสัญญา ดับเวทนา ดับความรับรู้อะไรไปเลย อันนี้โมฆะ โมฆะความไม่มีแบบนี้ ไม่อยู่ในความหมายสำคัญของพุทธ 

ความหมายสำคัญของพุทธนั้นหมายความว่า ไม่เกาะเกี่ยว อยู่เหนือ สิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตอนนี้ไม่มีอิทธิพลต่อเราเลย เรารู้มัน รู้สิ่งนั้นตามความเป็นจริงของมัน..จบ 

รู้ความเป็นจริงของมันแล้วก็มองลึกถึงไปว่า แล้วไอ้ที่เป็นความจริงนี้ ที่มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นประโยชน์กับเราไหม เราจะต้องใช้มันเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่ หรือเราจะให้ประโยชน์กับมันได้ไหม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นสัตว์เป็นอะไร แต่ถ้ามันเป็นวัตถุ มันเป็นพืช ก็ให้อะไรมันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็มีแต่ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไหม เป็นประโยชน์กับเราหรือไม่ ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ต้องเอา ไม่รับนั่นก็คือศูนย์ไม่รับ แต่มันก็มีของมันอยู่ในโลก คนอื่นเขาอาจจะเป็นประโยชน์ แต่ของเราไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ต้อง คนอื่นเขาต้องคนอื่นเขาเหมาะสมของเขา มันถูกกับธาตุของเขา ถูกกับสังขารของเขาเขาต้องใช้อันนั้นปรุงแต่ง  แต่ของเราไม่ใช่ เราก็ไม่ต้องใช้ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นในนัยยะของเราที่จะมองอะไรต่างๆ พวกนี้ มันมีนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีกเยอะทีเดียว ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับๆ ศึกษาไปตามลำดับลำดา แล้วก็ค่อยเข้าใจไปเรื่อยๆ ตามขั้นตามตอน 

รู้ความเป็นจริงในตัวเรากับปัจจุบันธรรมนี้ เราเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วเรายังตกเป็นทาสมัน เราก็ทำอันนี้แหละให้มันหลุดพ้น ไอ้ที่มันหลุดพ้นได้แล้วไม่มีปัญหา มันมีอยู่ในโลกอยู่ในสังคม บางทีเราก็สัมผัสมัน เราห่างมันมา มันก็ห่างไกลๆ บางอย่างบางสิ่งเราก็ไม่ต้องไปใกล้มันหรอก มันอยู่ไกลๆ โน่น ทุกวันนี้อยู่ในโทรทัศน์ อยู่ในเครื่องพวกนี้มันมีเยอะแยะ แล้วมันไม่รู้เรื่องกับเรา เราก็ดูนี่ หรือเราเห็นอยู่นี่ เราไม่ได้ไปสัมผัสกับมันจริงๆ มันก็ผ่านให้เราได้ ได้ศึกษาเป็นเหตุปัจจัย เราได้กำไรนะ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราสัมผัสศึกษาอยู่นี่ เราก็อ่านจิตเราว่าเราเองยังเกี่ยวเกาะ ยังมีผูกพัน ยังมีอาลัยอาวรณ์ ยังมีรสมีชาติ เป็นอัสสาทะอยู่หรือไม่ ถ้าไม่แล้วก็เออ 

 

ละอบายมุข ละกาม ละโลกธรรม จึงมารวมกันทำสาธารณโภคี

อย่างทุกวันนี้นี่มันถ่ายทอดแข่งขันเอเชียนเกมส์ ก็เปิดกันดูก็มีโทรทัศน์หลายช่อง ก็ดูเขาแข่งขันกัน ก็ส่งไป ไทยก็ส่งแข่งไปกับเขาชนะบ้าง ไม่ชนะบ้าง เราก็ดู คนนั้นมันเก่งอย่างนี้ คนนี้เก่งอย่างโน้น คนนั้นทำลายสถิติ แล้วก็ดูอย่างนี้ความจริงตามความเป็นจริง เขาก็ว่ากันไปเราก็ดู 

เราเองเราไม่ได้อยู่ในวงการนั้นแล้ว เราไม่ไปใช้แรงงาน เวลาทุนรอนที่จะไปทำกับสิ่งนั้นแล้ว เพราะว่าเราเห็นว่า จริงๆ อาตมาก็เคยพูดว่ามันเป็นอบายมุข เรื่องการแข่งขันกีฬา การละเล่น ภาษาบาลีท่านเรียกว่า กีฬา แปลว่าการละเล่น ไม่ใช่การละจริง มันเป็นอบายมุข ละครละเม็ง เป็นต้น การละเล่น เป็นต้น กีฬาหรือการละเล่น ละเม็งละคร มันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเรื่องครอบงำมอมเมาด้วย มันก็จัดจ้านไปอย่างหนึ่ง ผูกดึงมนุษย์ให้ติดยึดอยู่อย่างหนึ่ง ใช้เวลา แรงงาน ทุนรอนกับมันไปทั้งชาติ เยอะ พวกที่ไปหลงกีฬา หลงการละเล่น หรือหลงละเม็งละครก็อยู่กับมันไป เลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยอันนั้นไป ก็จมงมงายอยู่กับมันนั่นแหละ ถ้าไม่ศึกษาแล้วก็ติดอยู่กับมัน 

ขนาดหลุดพ้นมา หลุดพ้นออกมาจากไอ้พวกนี้ ละเม็งละคร กีฬาการละเล่นพวกนี้ได้ สาระที่เราจะเอาเวลา แรงงาน ทุนรอน ที่เราจะใช้เอามาทำงานกับมัน มันมีตั้งเยอะตั้งแยะมากมาย สาระตั้งแต่ระดับโลกีย์ จนกระทั่งถึงระดับโลกุตระ 

สาระระดับโลกีย์ก็คือใช้อาศัยยังขันธ์ไป ยังการเป็นอยู่ให้ชีวิตเราตั้งอยู่ได้ เป็นโลกียะ 

ส่วนเรื่องโลกุตระนั้นเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จิตนิยาม ซึ่งไม่ใช่มาบำเรอ ไม่ได้มาบำเรอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ได้บำเรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ได้บำเรอ เราก็ค่อยๆรู้ว่าเรายังเหลืออะไรบ้าง เรายังติดลาภ ติดยศ ติดสรรเสริญ หรือสุขเพราะได้ลาภ สุขเพราะได้ยศ สุขเพราะได้สรรเสริญ อันนั้นหยาบกว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กายภายนอก อันนี้ละเอียดกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญนั้น หยาบกว่า 

เพราะฉะนั้นคนยังติดลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่จะเห็นได้ว่าพวกเรานี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็มีระดับ ลาภหยาบกว่าเพื่อน ยศก็เด่นลงมาสรรเสริญก็ละเอียดกว่าเพื่อน สุขก็มีสุขจากลาภ สุขจากยศ สุขจากสรรเสริญซ้อนไปอีก 

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าอย่าง ลาภ นี่ง่ายขึ้นมาแล้ว ยศก็ง่าย รองลงมา สรรเสริญยังมีอยู่บ้าง ละเอียดขึ้นไปอีก แต่สรรเสริญก็หมดแล้ว จะถูกตำหนิ ถูกว่าถูกตำหนิหรือถูกสรรเสริญยกย่อง เราก็เข้าใจ เอามาเป็นประโยชน์มาศึกษา จริงไหม เขาสรรเสริญเรานี้จริงไหม ตำหนิเรา เขาตำหนิเรา จริงไหม ต้องเอาเนื้อแท้ของคำตำหนิ หมายถึงอะไร คำสรรเสริญหมายถึงอะไร เอาเนื้อแท้ จริงไหม 

อย่างอาตมาถูกตำหนิ อาตมาก็ดูว่าเออเขาตำหนิผิด-ถูกอย่างไร วันนี้หยิบหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาอ่านทวนดู มีอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ที่ต่อสู้ เผชิญ ไม่ต่อสู้อะไรกัน ไม่รบราฆ่าฟันแต่เผชิญเป็นกรรมวิบาก กับฝ่ายที่มาเห็นต่างกับเรา 

ก็ยิ่งเห็นละเอียดลออลงไปว่าเออเนาะ อาตมาเกิดมาชาตินี้มาทำงาน ก็มาเพื่อที่จะจัดการเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ผิด นำสิ่งที่ถูกเข้ามาใส่ไปแทน เพราะศาสนาพุทธมันเสื่อม ขออภัย ไม่ใช่ศาสนาพุทธเสื่อม ชาวพุทธ ชาวพุทธคนชาวพุทธนี่มันเสื่อม ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เสื่อมก็คือไม่มีโลกุตระ เข้าใจโลกุตรธรรมผิด ที่จริงไม่เข้าใจโลกุตระด้วยซ้ำ มันเสื่อมจนกระทั่งโลกุตระหายไป 

ก็มี มันมีในพยัญชนะ ในพระไตรปิฎก แต่น้อย ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ คำว่าโลกุตระ น้อย ในมหายานเขาจะมีมากกว่า เพราะว่า เป็นของฉบับพระกัสสปะ พระมหากัสสปะนี้เป็น เจโต เป็นสายศรัทธา ไม่ใช่ปัญญา ก็เลยยิ่งแคบ ในเรื่องของโลกุตระ จึงน้อย 

อาตมาเป็นสายปัญญา ตรงกันข้ามกับพระมหากัสสปะคนละขั้วกัน คนหนึ่งขั้วบวก คนหนึ่งขั้วลบเลย ทีนี้พระพุทธเจ้าคือปัญญาโดยแท้ คือโลกุตระเต็มรูป อาตมาเป็นสายตรงจากพระพุทธเจ้าด้วย แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พูดไปแล้ว ใครจะหมั่นไส้ ใครจะไม่เชื่อก็ขออภัยอาตมาพูดความจริง อาตมาอายุขัยก็ชักแย่แล้วก็ขอพูดหมดๆ ชัดๆ มันจะยังไงก็..ที่จริงอาตมาพูดง่าย แต่ก็ต้องระวังเท่านั้นเอง เพราะคนมันจะไปทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้มากๆ มันก็ทิ้งเลย มันก็เสียหาย ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้น แต่ก็หลายอย่างก็ยาก อาตมาก็ต้องประมาณ ลำบาก 

สรุปแล้วในชาตินี้ เกิดมาปางนี้ โอ้โห! เจ้าประคุณเอ๋ย มันหมดจริงๆ โลกุตระมันไม่มีเหลือเชื้อเลย อาตมาต้องมาทำค่อยๆ ดูไป ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ค่อยๆ หยั่งลงมาเป็นลำดับๆๆ จนมาถึงวันนี้ทำงานมา 50 กว่าปี ก็พอใจอยู่ ได้มาขนาดนี้ สามารถที่จะฟังรู้เรื่องเข้าใจจนกระทั่งปฏิบัติได้ กอบกู้ขึ้นมา จนสำเร็จผลเป็นสังคม สาราณียธรรม 6 และมี สาธารณโภคี สำเร็จ เป็นรูปธรรม เป็นปึกแผ่นด้วย 

เป็นรูปธรรมเป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ต้นเลยที่รวมคนเข้ามาเป็นชุมชน ตั้งชุมชนขึ้นมา ก็ สาธารณโภคี มาตั้งแต่ชุมชนแรกจนถึงบัดนี้ ถ้าเราจะนับว่าชุมชนที่เราตั้ง เอาล่ะ ยังไม่รวมตั้งแต่มันเกิดศีรษะอโศก ศาลีอโศกและมารวมเป็นชุมชนสันติอโศกก็ยังไม่นับเป็นต้นราก ไปนับเอาปฐมอโศกเป็นที่ 1 ก็ได้ เป็นชุมชนแรกชื่อว่า ปฐม ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกที่เป็น สาธารณโภคี เกิดพ.ศ. 2527 ก็กี่ปีแล้วล่ะ 39 ปี ยังไม่ถึง 40 ดี ก็ 39 ปีมา 

พวกคุณคิดจะออกไปจากสาธารณโภคีไหม? ...ไม่ เสียงดังๆ ทำเป็นเสียงดัง คำพูดพูดแล้วเป็นนายตัวเองนะ ระวัง ไม่ แต่หายไปไหนหว่าคนนี้ ไม่เคยเห็นหน้า ยังอยู่ในชุมชนหรือเปล่า ก็ไปๆมาๆ ไปนานกว่ามา นานๆมาที ไอ้พวกนี้เป็นความจริงทั้งนั้น ลักษณะจริงของมันตามเป็นจริง ก็พูดไป เอาละ ไม่ต้องต่อ

สรุปแล้วอาตมาทำงานโลกุตรธรรม ได้สถาปนาโลกุตรธรรมลงไปในสังคมมนุษย์ใช้ชาติในยุคนี้ที่คนชาวพุทธได้เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมจริงๆ แล้วอาตมาก็ทำได้สำเร็จมีคนจริง ซึ่งไม่ใช่เกิดเฉพาะรูปธรรม เป็นรูปโก้ๆเฉยๆ ไม่ใช่ อาตมาว่าเข้าถึงจิตเจตสิก เข้าถึงปรมัตถ์ เข้าถึงธาตุแท้ของฐานรากของจิต ว่าเรามีมูลกาแท้ มีความยินดี มีฉันทะจริงๆ แล้วก็มาปฏิบัติจนเกิดมนสิการเป็นโยนิโส เกิดปฏิบัติจนถ่องแท้ โยนิโส ถ่องแท้แยบคายเข้าไปถึงที่เกิด เข้าไปเปลี่ยนแปลงจิตที่ต้นรากของโอปปาติกโยนิ ต้นรากของจิต โดยแยกกิเลสออก แล้วก็สร้างปัญญาสร้างฌาน ฌาน ที่เป็นโลกุตระ สลายละลาย เผากิเลสถึงฌาน 4 เป็นบุญ มันก็กิเลสก็ดับไปหมดไปจริง 

ที่พูดพยัญชนะพวกนี้ สภาวะ พวกเราฟังแล้วก็นึกตาม ว่า สภาวะมันมีไหมที่อาตมาพูดไป “บุญ” คือการกำจัดกิเลสเรียบร้อยแล้วสำเร็จแล้วคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย ตัดหัวแล้วเด็ดขาดตายสนิทแน่ ไม่มีทางฟื้น นี่เป็นสัจจะ เป็นอย่างนั้น 

เราก็ดูซิว่ากิเลสของเราที่มันตายไม่ฟื้น เราก็จะรู้จริงๆเลยว่า กิเลสหยาบคืออะไรที่เราเลิกละไปก่อนมาถึงวันนี้ มีกี่อย่างกี่อัน จนกระทั่งมาเป็นอย่างนี้ได้ เป็นรูปธรรมรวมกันสมบูรณ์แบบ อาตมาถึงบอกว่าสังคมชาวอโศกนี้มันเป็นสังคมที่ในระดับอนาคามีขึ้นไป มันไม่ใช่เป็นสังคมที่โสดาบันเท่านั้น ไม่ใช่ สกิทาคามีเท่านั้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นอนาคามีขึ้นไป คือหมดกามทางรูปธรรมข้างนอกชัดๆ มันเป็นรูปภพ อรูปภพในๆข้างใน 

เพราะฉะนั้นในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจะเห็นได้ว่ามันไม่จี๋จ๋าแล้วพวกเรา เข้ามาอย่างไรก็ไม่ ใครยังมีนิดๆหน่อยๆ รอยๆไรๆ แต่มันไม่กล้าทำออกมาข้างนอก..จี๋จ๋าแล้ว นั่นคือมันเข้าไปในเกณฑ์ของอนาคามี อนาคามี แปลว่า ไม่กลับ ไม่เวียนกลับ ไม่กลับมาอีกแล้ว ยิ่งไปถึงอรหัตผลก็ไม่ต้องอธิบายต่อ อรหัตผลก็ยิ่งเป็นเรื่องจริง มันก็สุดจบ ไม่ลึกลับ เป็นที่สุด อรหะ กับ อันตะแปลว่าที่สุด อรหะแปลว่าไม่ลึกลับแล้ว จบกิจ สว่างชัด บริบูรณ์ สัมบูรณ์ 

 

ความพากเพียรอยู่ต่อและลักษณะการตายที่พ่อครูกำหนดไว้

แต่อาตมาทำงานมาถึงขนาดนี้ เนื้อหาของโลกุตระขนาดนี้ มันจะมีเป็นหัวเชื้อที่จะต่อไปอีก 2,000 กว่าปี กว่าจะหมดพุทธกัปของสมณโคดม มันหัวเชื้อนี้จะมีพอไปถึงไหม อันนี้แหละอาตมาต้องเผื่อพอ เข้าใจไหมคำว่า “เผื่อพอ” ต้องทำให้เผื่อพอ ต้องทำให้มันจนมั่นใจจนแน่ชัด เผื่อไว้เลยว่าถึงแน่ 

เพราะฉะนั้นในอนาคตข้างหน้า ถ้าอาตมารีบตายลงตอนนี้ ซึ่งขันธ์มันก็แย่แล้วจริงๆแล้วด้วย อาตมาว่าขันธ์มันฝืน ขันธ​์มันลากมาจริงๆแล้ว ที่อธิบายมาบ่อยๆแล้ว ตอนหลังๆนี้ยิ่งอธิบายบ่อยพูดถึงบ่อย แต่เพราะความจำเป็น จำนน จำต้อง จำใจ ที่จะต้องต่อเนื่อง สืบทอด ต่อยอดไป 

ถ้าอาตมาตาย อันนี้มันไม่พอแน่ เนื้อหาของมัน เนื้อหาโลกุตระไม่พอ เชื้อนี้ไม่พอไปถึง 2,000 กว่าปีที่จะไปถึง 5,000 ไม่พอนะอาตมาก็ต้องมาเกิดอีก กว่าอาตมาจะโต พอที่จะพูดธรรมะคนเชื่อ อาตมาก็ไม่รู้ได้ว่าอาตมาเกิดมาอีก มันก็จะต้องมีวัยเด็กวัยอะไรมาแล้วก็มีฤทธิ์มีอำนาจพอ จนกระทั่งพวกคุณเห็น แล้วก็เชื่อว่านี่แหละพระโพธิสัตว์พ่อท่านมาเกิดอะไรต่ออะไร แล้วจะเชื่อมันก็ไม่ง่ายใช่ไหม มันไม่ง่าย มันก็จะเสียเวลา 

ถ้าอาตมายังอยู่นี่มันง่ายกว่าไหม  มันชัดเจนอยู่แล้ว มันเชื่อไม่มีปัญหา ถ้าไปเกิดมาอีกจะปัญหา จะเกิดความเชื่อความต่อเนื่อง มันก็ไม่ต่อเนื่องไม่สมูท มันก็กระฉึกกระฉัก มันก็จะมีความลังเลไม่เข้าท่า 

เพราะฉะนั้นก็ไม่คิดอยากจะทำอันนั้นก็ต้องพยายามทำอันนี้ต่อถูๆไถๆไป จนกว่าจะสิ้นฤทธิ์เองของมัน เพราะฉะนั้นอาตมานี่มานึกถึงตัวเองแล้วว่า เอ๊..อาตมาคงไม่ได้ตายประเภทที่เรียกว่า ค่อยๆผ่อน ค่อยๆผ่อนตาย มันคงจะต้องตายแบบ ตายคาสนามรบ หรือตายประเภทที่เรียกว่านอนคืนนี้แล้ว พอรุ่งเช้าไม่ตื่นแล้ว มันสุดฤทธิ์แล้วพักผ่อน แล้วพักไปเลย ตายหายไปเลย มันคงจะตาย 2 ประเภท นี่ตายตอนบรรยายธรรมะอย่างหมันเขี้ยว ง่อก ตายตรงนี้ไปเลย 

หรือไปนอนหลับพักไปเลยไม่ตื่นรุ่งเช้าขึ้นมา เอ๊.. พ่อท่านทำไมไม่ตื่นสักทีไปดูอีกที ผู้ที่รู้แล้วก็อ้าว นี้เรียบร้อยแล้วนี่ ตายแล้วนี่ อาจจะเป็นอย่างนั้น 

แต่อาตมาก็เห็นว่า การพากเพียรที่จะเติมพลังงาน พลังงานทดพลังงานปฏิภาคทวี Coefficient มันได้อยู่ มันมีอยู่ มีผล ก็พยายามไม่ให้มันโอเวอร์โหลด ไม่ให้มันเกินเลย ถ้าเลยมันจะเสื่อมต้องทำให้พอดีแล้วมันจะเกิดพัฒนา ปฏิภาคทวีไปเรื่อยๆ ก็ศึกษาพวกนี้แล้วก็ทำตนเองจริง 

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้อาตมาจึงนอนมาก พักมาก แล้วก็ลดงานอื่นเยอะ เหลือแต่เขียนกับเทศน์ นอกนั้นไม่อะไรเลย ไม่เอาใจใส่เลยวันนี้ขี้หรือยัง จะอะไรหรือยังต่างๆนานาไม่เอาใจใส่ ไม่จำ ไม่ใช้พลังงานไปเสียเวลากับมันเลย ให้ทุกคนช่วยจำ ช่วยดูแล ว่า เดี๋ยวมันไม่ดีมันไม่เหมาะ วันนี้ยังไม่ขี้นะ อะไรว่าไป ยังไม่ขี้ มันยังไม่ปวด เสร็จแล้วเราก็ไปดูว่า เฮ้ย ขี้นะ สักประเดี๋ยวมันก็จะขี้ ไอ้พวกนี้มันอยู่ที่จิตจริงๆ จิตมันเป็นไปมันก็ทำได้ แต่โดยธรรมชาติอัตโนมัติมันลึกซึ้งจริงๆเลย มันสังขารสังเคราะห์ปรุงแต่งกันอยู่ต่างๆ โอ้โห มันละเอียดลออจริงๆ 

เพราะฉะนั้นเราก็ศึกษาพวกนี้ไปด้วย จนสามารถที่จะเข้าไปร่วม ไปร่วมจัดการกับธรรมชาติพวกนั้นได้เก่งขึ้นเก่งขึ้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้จริงๆ นั่นคือความพากเพียรที่อาตมาเล่าให้ฟัง พวกเราก็ฟังประดับ เป็นการประดับความรู้ เป็นการฟังประดับความรู้ไป 

เออ อาตมาเอาของบ้านเล็กเมืองน้อยเขามาอ่านยังไม่จบสักทีนึง 3-4 หน้า ของบ้านเล็กเมืองน้อยเขาเขียนเรื่องไซโคพาธ ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 25 โน่น (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

_สู่แดนธรรม... นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำสักนิดครับ ผมเองก็ได้เข้ามารับรู้การทำงานศาสนาของพ่อท่าน ในปีที่หมู่บ้านปฐมอโศกกำลังขึ้นมาฉลองเลย มันเป็นปลายปี 2527 ผมมาพบครั้งแรกก็ อื้อหือ มันเกิดภาพที่ประทับใจมากว่า ทุกคนทำไมเท่าเทียมกันหมด เราดูไม่ออกเลยว่า คนที่เจริญธรรมเขาก่อนเป็นชาวนาหรือเป็นนายทหาร มีลักษณะเท่าเทียมกัน ทำให้นึกถึงว่าผู้นำทำมาได้อย่างไร ผมก็เลยติดตามมาตลอด เลยปักหลักในใจเอาไว้ว่า ถ้าผมเรียนจบแล้วจะมาขออยู่กับชาวอโศกนี่แหละ 

แต่พอผมมาอยู่จริงๆปีแรกๆชักจะทนไม่ไหว อยู่ได้ 5 ปีแล้วผมก็กราบขอลาพ่อท่านไปเป็นแบบคนโลกๆดีกว่า ไปไม่นานก็ถูกธรรมะดึงกลับอีก เป็นอยู่ 2 ครั้งนะครับ ได้รับความเจริญมาจนถึงบัดนี้ก็เพราะพ่อท่านมีคุณสมบัติที่เป็นหัวเชื้อ ที่เอาโลกุตระมาหยั่งลงแล้วเชื้อก็ตกมาถึงผมด้วย ผมก็ขอกราบขอบคุณพ่อท่านเป็นอันมากครับ 

พ่อครูว่า... มิเป็นไร มิได้ 

 

คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร

คุณบ้านเล็กเมืองน้อยเขาเท้าความถึงว่า ความก้าวร้าว  หยาบคาย  ละเมิดสิทธิผู้อื่น

ความโกหก  เสแสร้ง  หลงสีหิวแสง  ego สูง

ความไร้สำนึก  ใจดำ  ขาดความรับผิดชอบ

ความไร้คุณธรรม  แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้  เหล่านี้เป็นอาการซ้ำซาก ของ โรคไซโคพาธ (Psychopaths) พ่อครูว่า... เรียกง่ายๆว่าโรคจิต ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และกำลังลุกลามในสังคมไทยปัจจุบัน

ความสามานย์ต่อเนื่องไม่หยุดของระบบทุนนิยม  ได้สุมวิกฤติทางเศรษฐกิจรอบแล้วรอบเล่า ปั่นการเมืองฉ้อฉล ให้ยิ่งยอกย้อน ป่วนรากฐานสังคมจนบอบช้ำ สะสมเกินขีดจำกัดของคนรุ่นก่อนๆจะแบกรับไหว

...... ผลกระทบอันเลวร้ายจึงส่งต่อถึงลูกหลาน ทำให้เป็น           “โรคไซโคพาธ” ในปัจจุบัน 

ความแตกแยกในครอบครัว  การถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย  การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก  การศึกษาที่ขาดจิตวิญญาณ  การที่ต้องเติบโตมาในสภาพสังคมที่โหดร้าย ฯลฯ...   ล้วนเป็นสาเหตุของโรค

เมื่อผลไม้พิษสุกงอมในสภาพสังคมที่แร้นแค้น...สิ้นหวัง    ผู้คนยังถูกใช้เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ ที่สะดวกซื้อราคาถูก 

เหมาะเจาะกับการเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พิษเอาไว้ (จากการส่งออกประชาธิปไตย) 

พ่อครูว่า...การส่งออกประชาธิปไตยตรงนี้คือประชาธิปไตยขาเดียวบ้าง ประชาธิปไตยเก๊ๆบ้าง แต่ละประเทศต่างส่งออกให้คนนับถือความเป็นระบอบระบบปกครองบริหารที่เรียกมันว่าประชาธิปไตยของตนของตน ของประเทศตนเพื่อที่จะไปล่าบริวารประเทศอื่นๆ หรือไปแพร่ลัทธิ ไปแพร่ประชาธิปไตย เป็นสินค้าส่งออกของตัวเองกับประเทศอื่นๆต่างๆ เพื่อจะได้บริวารเพิ่มขึ้น มันเป็นวิธีการหาบริวารทั้งนั้น 

จะว่าไปแล้วพุทธของเรา ศาสนาพุทธของเราหรือชาวอโศก ของเราก็เป็นประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า อาตมาพาทำนี่ก็แพร่ไปที่จะเพื่อให้คนอื่นเขาได้เหมือนกัน ให้คนอื่นเขาเห็นเขารู้ แต่ว่าเราไม่ใช้ประเภทยัดเยียด ประเภทหว่านล้อม แต่เราใช้ประเภทที่ให้คนอื่นเขาเห็นความจริงเอง เข้าใจเอง อิสรเสรีภาพ มาสัมผัสแล้ว อ๋อ.. อันนี้น่าสนใจน่าสนใจ เอออันนี้ใช่ๆ แล้วเขาจะมาโดยบริสุทธิ์เอง เราจะได้คนเหล่านั้นมาจากความจริงของเขา พาตัวเขามา ไม่ใช่เราไปดูดเอาเขามา ไม่ใช่เราไปหว่านล้อมเขามาหรือไปใช้อำนาจพิเศษมอมเมาครอบงำอะไร ไม่ใช่ เราไม่ต้องการ อาตมาไม่ต้องการคนที่ยังไม่มีปัญญาพอที่รู้ความจริงเข้ามา 

ถ้าคนที่ไม่มีปัญญาจริง ถูกหว่านล้อม ถูกล่อ ถูกซื้ออะไรมาก็แล้วแต่ ก็มา ป่วน อย่างนี้เรายากที่จะต่อภพภูมิให้อีก ขนาดที่ไม่หว่านล้อมยังไม่ง่ายใช่ไหม  ให้เจริญด้วยสัจจะของมันนี่เป็นฐานต่อฐานต่อฐานขึ้นไปมันยังยากเลย ความซับซ้อนของสัจธรรมถึงขนาดนั้น โฆษณา อาตมาไม่ได้ไปแข่งดีแข่งเด่นไปแย่งประชาชน  ไม่ ทุกคนมาเอ  อิสรเสรีภาพด้วยภูมิปัญญาและต้องการให้คุณเห็นด้วยภูมิปัญญาจริงของแต่ละคน เข้ามา 

เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนที่จะมามีวรรณะ 9 พวกเรานี่เข้ามาจึงเป็นคนมีน้ำหนักพอเป็น The Classic เป็นคนมีคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เพราะถูกคัดเลือกมามีวรรณะ 9 เข้ามาก็ไม่ยาก เป็นอยู่ก็เลี้ยงไป สุภระ ง่าย แต่สอนการช่วยเหลือการพัฒนาต่อไปก็ สุโปสะ เจริญง่าย พัฒนาง่าย แล้วก็เข้าถึงความมักน้อยหรือกล้าจนได้ง่าย จนได้ง่าย ไม่ยาก 

เพราะว่ามันชัดเจน มันมีฐาน คนที่จะมาเห็นความจนดีกว่าความรวยนี่ มันหักเลยนะ มันหักมุมใช่ไหม มันทวนกระแสคนละเรื่องเลย ธรรมชาติธรรมดาคนก็ต้องให้ความสำคัญกับความรวย ต้องการความมักมาก แต่จะมามักน้อย มาเอาความจนนี่ กล้าที่จะมาเป็นคนจน มันเป็นจุดแบ่งหรือจุดหัก จุดหักเหที่ยิ่งใหญ่ เป็นจุดหักเหที่ยิ่งใหญ่ 

เสแสร้งมา คุณเสแสร้งไม่ได้นาน เสแสร้งเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ไม่นานถ้าเชื้อแท้คุณไม่จริง มาประเดี๋ยวเดียวคุณก็ออกไป เพราะฉะนั้นเราได้เชื้อแท้มา พอมารู้จักน้อย รู้จักจน มันก็จะถึงขั้นพอ ใจพอสันโดษ สันตุฏฐิ มันพอ น้อยนี่มันพอ น้อยลงไปอีกได้ไหม น้อยลงไปอีกก็พอ แต่ก่อนนี้อาตมาเคยอธิบาย แต่ก่อนเคยใช้เดือนละหมื่น สมัยก่อนอธิบายยกตัวอย่าง ต่อมาเราลดลงมาเหลือสัก 8,000 เออได้พอแฮะ ลดลงมาอีกไอ้ที่มันไม่จำเป็น ที่มันฟุ้งเฟ้อกลสุรุ่ยสุร่ายก็ลดลงมาอีก 8,000 บาทก็พอ ลดลงมาเหลือ 5,000 เหลือ 5,000 บาทก็พอ 

หนักเข้าเหลือ 3,000 2,000 ก็พอ 1,000 บาทก็พอเออ 500 ก็พอ หนักเข้า 200 และ 0 บาทก็พอ อยู่กับหมู่กลุ่มได้ช่วยกันสร้างสรรค์ที่มาเข้าใจใหญ่เลย อย่างนี้แล้วด้วย ทำไมอยู่ได้ ทำไมมีเหลือเฟือที่จะเผื่อแผ่เขา คนจนแท้ๆ และก็ไม่ไปเอาแบบก้าวหน้าอย่างมากเหมือนกับทางโลกเขาทำอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัส ไม่เอาก้าวหน้าอย่างมาก อย่างโลกีย์เขาเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นมันมีแต่ถอยหลังแล้วถอยหลังมันมีแต่น่ากลัว พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ เจโต ท่าน ก็ตรัสอย่างนั้นสั้นๆ คนก็ไม่เข้าใจอีกก็มาอธิบาย อธิบายแล้วเขาก็ถามอีก มันก็ไม่ง่ายจริงๆ 

เพราะฉะนั้นความเป็นจริงที่เป็นโลกุตรธรรมที่เรากำลังพยายามที่จะให้คนได้ ไม่ได้ยัดเยียด ไม่ได้หว่านล้อม เสนอสัจธรรม เสนอความจริงออกไป ให้คนสนใจให้คนสัมผัส เห็นจริงแล้วก็พอใจที่จะเอาตาม 

คิดดูซิ คนที่จบด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ คนที่จบด็อกเตอร์ทางบริหาร เยอะแยะ ข้าราชบริพารในหลวงรัชกาลที่ 9  ไม่มีกระเตื้องอะไรกันเท่าไหร่ นักเศรษฐศาสตร์ นักบริหารอะไรก็แล้วแต่ ยังรับลูกของในหลวง ร.9 คงเข้าใจนะคำว่า รับลูก รับลูกต่อยังไม่ค่อยได้กัน เราก็ไปบังคับกันไม่ได้ ่บอกแล้วอาตมาไม่หว่านล้อม ไม่ไปเที่ยวได้หาทางบังคับให้คนเข้าใจ หรือล่อให้คนเข้าใจ แต่จะให้เห็นจริงแล้วเกิดความเข้าใจ ให้เกิดปฏิภาณปัญญาว่า โอ้โห.. อย่างนี้เป็นสัจจะที่น่าสนใจนะ ให้เขาเกิดอาการอย่างนี้ ให้เขาเกิดสภาพอย่างนี้เอง แล้วเขาจะมาได้ 

โดยเฉพาะยิ่งเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ มีฐานะทางสังคม ที่เป็นที่ยอมรับนับถือ อย่างอาตมาเกิดมาชาตินี้มันไม่มีฐานะทางสังคมเลย ไม่มีใครจะเชื่อน้ำมนต์ เพราะว่าอาตมาไม่มีฐานะทางสังคมอะไรก็ไม่มี รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แล้วความรู้อะไรทางโลกก็ไม่มี ไม่มีอะไรรับรองมาเลย แม้แต่รางวัลกิตติมศักดิ์  ปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ยังไม่ได้เลย อย่าไปพูดถึงปริญญาเอกเลย ไม่ได้นะ ปริญญาตรี    อาตมายังไม่ได้ถึงปริญญาตรี ชาตินี้ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี เรียนจบแค่ปวส. ยังไม่ได้ ไม่ได้รับปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ก็ยังไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงปริญญาเอก

แต่อาตมาไม่ได้ไปกังวลไม่ได้ไปน้อยใจไม่ได้ไปท้อ กลับยิ่งเห็นความจริงเลยว่า เราต้องทำงานหนักเนาะ ยิ่งเห็นความจริง คนเขายังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่ค่อยรู้จักสัจจะที่เราพยายามเสนอนี่ 

เพราะฉะนั้นการส่งออกประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพยายามจะขยายความว่าไม่ง่ายเลย ยังเขียนยังไม่จบ นี่เพิ่งจะจบ จบวันที่ 1 วันที่ 2  นี้แหละ หนังสือเรื่องเกิดมาชาตินี้ หนังสือเล่มนี้จะแจกในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 แต่คงจะพิมพ์ออกมาก่อนให้พวกเราอ่านก่อน แต่แจกเป็นทางการ 9 มิถุนายน 2567  ก็นี่แหละหนังสือ เกิดมาชาตินี้เขียนจบไปแล้วเพิ่งจบไป แล้วค่อยไปทำหนา 200 กว่าหน้า ก็ไม่น้อยนะ ก็ไม่มากเท่าไหร่หรอก 200 กว่าหน้า คิดว่าอาตมาจะนำเอามาอ่านขยายความให้พวกเราฟังก่อน ล่อเป็นออเดิร์ฟหน่อย ให้น้ำลายไหล 

_...การส่งออกประชาธิปไตย ด้วยกลยุทธ ปลุกปั่น-แบ่งแยก-ล้มล้าง-เปลี่ยนแปลง...ของชาติมหาอำนาจตะวันตก เจ้าลัทธิทุนนิยมสามานย์ ที่ยังคงล่าอาณานิคม กวาดต้อนบริวารอย่างแข็งขัน โดยปั่นการเลือกตั้งเปลี่ยนตัวผู้นำ ให้หุ่นเชิดตะวันตกได้เข้าสู่อำนาจ... เพื่อ ครอบครองโลก โดยไม่ปกครอง (ครอบงำ บงการ)

พ่อครูว่า... เลือกตั้งเปลี่ยนตัวผู้นำก็อย่างที่ทักษิณเขาทำ ตอนนี้ก็เกิดเห็นแล้วว่ามันไม่จริงหรอก พวกเดียวกัน ประชาธิปไตยทักษิณกับประชาธิปไตยพิธา ชักแย่แล้วตอนนี้ เห็นไหม ประชาธิปไตยของทักษิณกับของพิธา ดูง่ายๆเศรษฐากับพิธา ชักแย่ๆกันแล้ว เขาก็อาศัยมวลอาศัยอิทธิพลของตะวันตก 

เขาซ้อนลึก บริหารโดยไม่บริหาร ปกครองโดยไม่ปกครอง เขาก็จะพยายามทำอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วมันมีอะไรอยู่อันนึงก็คือว่า ในเรื่องของทุนทุกวันนี้ เขาว่าเป็นทุนที่ครอบงำโลกอยู่ตอนนี้ เป็นทุนของพวกยิว ได้ยินกันไหม ดูออกกันไหม ซ้อนลึกอยู่ไม่ค่อยรู้ตัวกัน เป็นทุนอำนาจทุนของพวกยิว อย่างนี้เป็นต้น ไอ้นี่เราพูดถึงประชาธิปไตยลัทธิบริหาร ไอ้นั่นเรื่องทุน ซึ่งมันก็ไม่แยกกันเท่าไหร่มันก็อาศัยกัน ที่จะล่ามวลชนเหมือนกัน 

_ทุกวันนี้....เพียงส่งข่าวสารทาง social media ต่อตรงถึงลูกหลาน“ไซโคพาธ” ให้รับข้อมูลด้านเดียวกัน เชื่อแบบเดียวกันด้วย อัลกอริ..ทึ่ม !    แล้ว....เชื้อ“ไซโคพาธ” ก็จะทำงาน

...ใส่อารมณ์ ทั้งLike .. ทั้งShare ..เม้าท์ ..เม้นท์.. จนเกิด viral โดยไม่เช็คความถูกต้อง ข้อจริงเท็จของข้อมูล หรือแหล่งที่มา และพร้อม bully พาทัวร์ลง ผู้มีความเห็นต่าง..... บีบคั้นความคิดเห็นของสังคม ให้จำต้องอนุโลม ไปตามทิศทางที่ถูกกำหนด

ในช่วงกลางยุค 90    นักจิตวิทยา Joseph  Overton รองประธาน Michigan Mackinac Center ศูนย์นโยบายสาธารณะที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา อธิบายว่า ....

คนเรามี “ขอบเขตของความเห็นที่รับได้”พ่อครูว่า... มันก็คือเหมือนกับคนเราโง่เท่าที่เราฉลาด เราฉลาดเท่าที่เราโง่นั่นแหละ เสมือนช่องหน้าต่างหรือ window   ถ้าเลยขอบ window นี้แล้ว ก็จะยอมรับไม่ได้

แต่เมื่อได้ยินได้ฟัง “เรื่องเล่า” ที่ “สุดโต่ง” บ่อยๆ ถึงแม้ในช่วงแรกจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม ...แต่ในที่สุดก็จะถือว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติไป และเริ่มมองว่าไม่ได้มีความ “สุดโต่ง” เหมือนที่รู้สึกแต่แรก 

ทฤษฎี “Overton window” (หน้าต่างของโอเวอร์ตัน)  หรือ หน้าต่างแห่ง “วาทกรรม” จึงถูกพัฒนาเป็น “เทคนิคการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม” ให้ยอมรับต่อประเด็นสุดโต่ง คาดไม่ถึง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “เรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด” 

โดยใช้ความแม่นยำของ digital  คำนวนแบบจำลองในทุกๆมิติ สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของมวลชนได้ล่วงหน้า.... เพื่อจะได้ค่อยๆเลื่อน กรอบหน้าต่างแห่งวาทกรรมออกไปอย่างช้าๆ  ให้ครอบคลุม“เรื่องต้องห้าม”เหล่านั้น โดยที่จิตสำนึกของมนุษย์มิอาจสังเกตได้

ในขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆ เหยาะสิ่งปรุงแต่งลงไปทีละนิด... นำเสนอ “narrative” (เรื่องเล่า) โดยการบิดเบือนข้อมูล .....ใช้ “วาทกรรม” ที่ส่งผลต่อจิตใจ

และเพื่อให้เนียน ....ขั้นตอนนี้จะเปิดโอกาสให้มีการออกความเห็น ถกเถียงกัน กระตุ้นให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และไม่เห็นด้วย            ทั้งในสื่อกระแสหลัก และโลก social... ให้ผู้คนรู้สึกว่าตนมีอิสระทางความคิด !

ในขณะที่ ระบบจะคาดการณ์ล่วงหน้า และเพิ่มขีดจำกัดไปตลอด ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วง... ล่อลวงให้ สาธารณชน หลอกลวงตนเอง ให้คน หวาดกลัว  กระทั่ง......ยอมละทิ้งความเชื่อเดิมของตน...จนเกิดความคาดหวัง ต่อสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่า จะยอมรับเป็น   “แนวคิด” ได้

...เพราะยังดีกว่าความน่ากลัวในจินตนาการ ที่ถูกปลุกเร้า-ปรุงแต่ง...ให้ข้ออ้าง มาเป็นเหตุผลซะเอง

เมื่อเวลาผ่านไป “แนวคิด” ที่ไม่เคยคิดจะยอมรับ ถูกส่งเสริมอย่างบ้าคลั่ง …สถิติถูกนำมาใช้ …เซเลบ/อินฟลู ทั้งหลาย พากันแสดงตัวให้เห็นว่าอยู่ในกระแส ....จน กระบวนการคิดถูกแทนที่ด้วยการเลียนแบบ !!!กระแสสังคมจึงเปลี่ยนจาก “รับไม่ได้เลย”....  กลายเป็น   “...ก็....พอรับได้...”……

พ่อครูว่า... เรื่องเหล่านี้อาตมาว่าคล้ายๆกันกับที่เราเองต้องการให้เขามารับพวกเราได้ แต่เราไม่ได้ใช้วิธีการหลอกล่อ แต่ให้คุณเองเป็นผู้ที่รู้ เป็นผู้ที่เห็น เป็นผู้ที่เข้าใจ แล้วตัดสินใจที่จะเชื่อปัญญาตนเอง คุณตัดสินใจเชื่อปัญญาตนเอง อ๋อ.. เราเข้ามาของเราเองอิสระ ไม่มีอะไรล่อหลอก ไม่มีอะไรมาบังคับ ไม่มีอะไรหนุนหลังอะไรเลย 

_แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วยอยู่ แต่เท่ากับว่ามวลชนเลิกต่อ

ต้านเรื่องนั้นๆไปแล้ว และยอมจำนนต่อสิ่งที่จะถูกนำเสนอ ในท้ายที่สุด....  

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นอย่าไปเที่ยวได้หยุดการต่อต้านอย่างง่ายๆนะกับสิ่งที่ควรจะต่อต้าน 

_ความเห็นชอบของสังคมจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นไป ตามที่ต้องการอย่างแนบเนียน โดยมวลชนไม่รู้ตัวว่าถูกชี้นำด้วยเจตนา และบงการด้วยเล่ห์เพทุบาย อย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ..ในทางการเมืองจะถึงขั้นทำโพล ขึ้นมารองรับ เพื่อออกเป็นกฎหมาย บังคับใช้ในที่สุด

เล่ห์เพทุบายที่หล่อเลี้ยงความกลัว-ต่อเติมความหวัง(อันหลอกลวง) จึงถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกมิติทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะปลุกปั่นการเมืองในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย (ควบคุมการเลือกตั้ง บงการความเสรี)

นักเลือกตั้ง...จึงเป็นเพียงพนักงานบริษัท ที่ถูกปั้นให้เป็นนักแสดงส่งเข้าประกวดเพื่อชิงตำแหน่งขวัญใจมวลชน“ไซโคพาธ” โดยใช้หน้าต่าง Overton เลื่อนกรอบไปมา ปลุกปั่นโลกโซเชียล            บีบคั้นสังคมให้จำนนต่อความสามานย์ เพราะกลัวความชั่วช้า .....           ที่คิดว่าร้ายกว่า ....

“ไซโคพาธ” + “Overton window”   จึงคือ“อาวุธชีวภาพ” สำหรับทุนสามานย์ตะวันตก ใช้ยึดอำนาจเปลี่ยนตัวผู้นำ ควบรวมบริษัท ...เพื่อเป็น “เจ้าโลก”

การปลุกปั่น ล้างสมอง จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป !

กระแสแห่แหนแดดดี๊พิธา ไปจนถึง...ปรากฏการณ์กายแก้ว ก็ใช้เทคนิคเดียวกัน ....ไม่ว่าจะ แก้ไข หรือ ยกเลิก ม.112... จะสลายขั้ว หรือ สลับข้าง voteนายกฯ ... จะกลับมา “แสร้งติดคุก” หรือกลับมา “เรืองอำนาจ” ...จะอ้างตนเป็นประชาธิปไตย หรือ ถูกใส่ร้ายเป็นเผด็จการ... สุดท้ายแล้วก็สัตว์ในคอก(คูหาเลือกตั้ง)เดียวกัน 

จะหน้าเก่า หน้าใหม่  ล้วนตอแหลการเมือง ...แหลไปแหลมา แย้มเจตนาจะเขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่ทั้งฉบับ....  กรอบหน้าต่าง Overton เลื่อนไปมาอยู่ตลอด เพื่อเช็คอารมณ์มวลชน ตรวจสอบปฏิกิริยาสังคม

ดังนั้นห้ามเผลอ ห้ามเหวอเด็ดขาด  ...เพราะมี  “เอกราชของชาติบ้านเมือง”  เป็นเดิมพัน

“สติ” เป็น “อธิปไตย” ….. “ปัญญา” เป็น “อุตระ” 

...นะพี่น้องเอ๊ย.ย.ย... !!!

พ่อครูว่า... สติเป็นอธิปไตยนี่ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ในมูลสูตรเลย ปัญญาเป็นอุตระนี่ของพระพุทธเจ้าชัดเจน 

มันก็เป็นการพัฒนานะ จะว่าไป มันเป็นพัฒนาการของสังคมมนุษยชาติ ที่พูดกันอธิบายและที่กำลังประพฤติกันอยู่ จะว่าต่อสู้กันก็ตาม มันก็เป็นเรื่องของพัฒนาการของมนุษยชาติ นี่พัฒนาการไป ใครรู้เท่าทันก็ได้ดี หรือมีปัญญาเหนือ มีความรู้ความเข้าใจที่เหนือกว่ามันก็ไม่มีปัญหา คนที่ไม่มีปัญญาเหนือ ถูกครอบงำก็เป็นบริวารตรงเป็นการหาบริวารกันได้เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายมันเรื่องยาก แต่ยาก อาตมาก็ยังเห็นว่าพวกเราเป็นไปได้อยู่ ยากก็ยังเป็นไปได้ แม้น้อยแม้กลุ่มเล็ก แต่มีอิทธิพลนะ 

1. สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยั่งยืน ตีไม่แตก 2. เราก็พยายามพัฒนาตัวเรา ไม่ได้ไปครอบงำคนอื่น แต่ให้คนอื่นเห็นพัฒนาการของเรา แต่ละคนสร้างคุณสมบัติ สร้างคุณธรรม สร้างสิ่งที่มันเจริญให้ได้ขึ้นมาขึ้นมามันก็รวมเป็นรูปธรรมเป็นมวลใช่ไหม จนคนอื่นสามารถเห็นได้ ที่อาตมาใช้สำนวนว่า ทำจนคนตาบอดเห็นได้ ทำจนคนตาบอดเห็นได้ เราพยายามทำให้ไปถึงขนาดนั้นล่ะ 

เพราะมันเห็นยาก เห็นยากจริงๆ แต่มันต้องให้เห็น เพราะมันของดีจริงๆ มันไม่ใช่ของหลอก 

ผู้ที่ได้แล้วที่เราทำอยู่นี่ เราสร้างอิสรเสรีภาพนะ เราไม่ไปครอบงำ เราไม่ไปล่อลวง เราไม่ไปพยายามหาเสียง หรือว่าทำให้เขามาเห็นด้วยวิธีหว่านล้อมอะไรต่างๆ ให้เขาเกิดปัญญาญาณของเขาเองจริงๆ มาเห็นแล้วมาเอา มันจึงมีอิสรสรีภาพ 

คนเหล่านี้เข้ามาโดยอิสรเสรีภาพของเขานี่แหละ มันจึงเป็นปัญญาของเขานำเขาเข้ามา เพียงพอ จึงต่อไปมาร่วมทำต่อไปมันก็ง่ายมันก็สบาย มันไม่ยาก อิสระ สบาย ไม่เกิดเรื่องก็สงบ เพราะมานี่มันมาของแท้ มาก็มาร่วมมาผสมผสาน มาช่วยกันทำ มันก็เรียบร้อย มันไม่เกิดเรื่องราวอะไร มันก็สบาย อิสระ สบาย  สงบก็ยิ่งอบอุ่น 

อบอุ่นคือ มีพลังงาน ถ้าเย็นมันก็เกาะตัวลงไป ถ้าอบอุ่นขึ้นมามันมีพลังงานร้อนขึ้นมา  มันก็เกิดพัฒนาการ สงบ อบอุ่น อิ่มเอม ก็สร้างประโยชน์ ชื่นใจอิ่มเอมใจ สร้างสรรค์มีการก้าวหน้าพัฒนาขึ้นไป 

อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส เกษมคือความสมบูรณ์แบบ เขมัง เป็นตัวสุดท้ายของมงคล 38 เขมัง ตัวปลายสุด เป็นตัวสุดท้ายเลย จุดสุดยอดของมงคล มงคลทั้งปวง มงคล 38 ตัวสุดท้ายของมงคลคือ   เขมัง จบสุดเลย สูงสุด สุดยอด แล้วก็ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ 

เกษมใส มันมีแต่รุ่งเรืองเกษมใส ใสสว่าง รุ่งเรืองไป จบด้วยความหมายอันสำคัญ เป็นปลายเปิด คือ เพิ่มพูนการเสียสละ นี่คือ สุดยอดของมนุษย์ มนุษย์ที่มีแต่ความเสียสละไม่มีตัวตน มีสมรรถนะ มีความสามารถ มีจิตใจ มีน้ำใจที่จะเสียสละ ที่จะให้ ให้แก่ผู้อื่นได้สละให้แก่ผู้อื่นได้ ให้สิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐสุดของเราที่จะมีให้        ไม่หวงแหน อยากให้ได้เหมือนเรา หรือยิ่งกว่าเรายิ่งดี ถ้าคุณทำได้ ให้ไปแล้วคุณเอาไปทำได้ดีกว่าเราอีกยิ่งประเสริฐ ไม่ได้ไปริษยาเลย ขอให้มันถูกต้องสัจธรรมก็แล้วกัน นี่คือสุดยอดแห่งสุดยอดจริงๆ 

สิ่งที่อาตมายิ่งพูด ยิ่งอธิบาย แล้วก็มีผู้เสริมผู้ที่เข้าใจ ไม่ใช่อาตมาโดดเดี่ยวพูดไปแล้วไม่มีใครรู้เรื่องด้วย รับลูกไม่ได้เลย พวกคุณพอเข้าใจไหม…(พวกเราตอบ…เข้าใจ)... ดี อาตมาไม่อยู่โดดเดี่ยว พูดไปไม่รู้เรื่องใครก็ไม่รู้ แต่ว่าดีครับนาย ๆๆ แต่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกไม่ใช่ อาตมาไม่ต้องการนะ คนอย่างนั้นไม่ต้องการ แบบดีครับนาย ดีครับนาย แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แบบนั้นก็แย่ 

ไม้ร่มบอกว่า...จริงๆแล้วประชาธิปไตยเรามาแปลผิดเอง คนไทยแปลผิดเอง เพราะว่า ประชาธิปไตยเขียนว่า Thief ทีฟ แปลว่าขโมยหรือโจร ของเราไม่มีประชาธิปไตยมีแต่ราชาธิปไตยกับธัมมาธิปไตยแบบพ่อกับแม่ 

พ่อครูว่า... ปนไปเรื่อย นั่นก็เป็นความเห็นของคุณ ถ้าเผื่อว่าจะอธิบายแปลคำใดๆไปสู่สาระ มันเป็นสาระที่ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร        ถ้าแปลมันได้สาระที่มันดีจริง มันเข้าเรื่องเข้าราวก็ไม่มีปัญหา เหมือนกับที่พระท่านสอน นะโมตัสสะ แล้วก็บอกว่า ตัดสาๆ ภาษาอีสาน นะโมตัสสะก็ไป ตัดสา ก็ใช้ได้ จะแสลงไป แต่ว่า มันเข้าเรื่อง มันถูกตัวสาระที่แท้จริงเป็นประโยชน์ ก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไร มันก็ควรจะทำ 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังมีเรี่ยวมีแรง ยังพอเป็นไป ก็พยายามสงวนท่าทีอยู่นะ เอ๊ อาตมาพูดมานี่ไอหรือยัง (ไอแล้ว 1 ทียาวๆ )  แต่ตอนนี้มันยังไม่ไอก็พอเป็นไปได้ เอาเถอะจะหยุดตอนนี้ก็ได้หรือจะต่อไปถึง 20:00 น ก็ได้ ก็พูดไป 

พวกเรา อาตมาว่า คุณอ่านใจตัวเองของแต่ละคน ชีวิตเป็นของคุณเองใช่ไหม คุณมาอยู่ขณะนี้อายุมาก หนุ่มๆสาวๆอายุ 20-30 น้อย นี่พวกเรา ใครอายุ 20 บ้างยกมือ มีอยู่ 2-3 คนเอง คนเป็นร้อยหลายร้อย นอกนั้นโอ้โห แก่แล้วทั้งนั้นเลย เลย 30 ไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นจะต้องเอาให้ดีๆนะ เลย 30 ไปแล้วนี่มันถึง 40 นี่ เขาถือว่าชักจะไม่ค่อยจะ ถ้า 40 นี่ถือว่ามันกึ่งหนึ่งของ 80 แล้วนะ             ค่าเฉลี่ยคนประมาณ 80 ปีใช่ไหม ค่าเฉลี่ยอย่างสูง เลย 80 ปีไปนี้ก็น้อยแล้วอย่าไปพูดถึง 100 เลย เพราะฉะนั้น 40 ปีนี่ครึ่งหนึ่งของอายุขัยที่เราจะพัฒนาการ 

เพราะฉะนั้นอย่าประมาทพวกเรา พวกเราจะมีสิ่งพิเศษอยู่มัน ไม่เหมือนสามัญคนทั่วไปเขาอยู่ มันเป็นของพิเศษ มันมีลักษณะพิเศษ มันมีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งมันจะว่าสูงก็สูงกว่าคนสามัญธรรมดาโลกๆ 

เพราะอะไร มันมีเหตุมีผลของมัน พวกเรานี่ไม่ได้เอาพลังงานไปฟุ่มเฟือย ไปวุ่นวาย ไปปนอยู่กับไอ้เรื่องโลกๆ โลกๆนี่มันเป็น        โรคด้วยนะ ฟังเข้าใจไหม โลกๆนี่มันเป็นโรคด้วยนะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้ไปทำอย่างโลกๆเขาเป็น ไอ้โรคๆมันก็ไม่มีเพราะฉะนั้นมันจึงแข็งแรงกว่าปกติอยู่ นี่เป็นสัจจะอธิบายง่ายๆไม่ใช่เป็นเรื่องไม่มีเหตุไม่มีผล มันมีเหตุมีผลของมันแท้จริง 

เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะ อาตมาถึงบอกว่าพวกเราชาวอโศกนี่ต่อไปในอนาคตจะเป็นคนที่มีอายุยืนเหมือนชาวหรรษา จะเป็นคนอายุยืนต่อไปในอนาคตแล้ว อยากจะเห็นคนอายุ 100 อายุยาวยืนให้มาดูที่ชาวอโศก เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นหลังๆที่เกิดมาเขาจะอายุยาวกว่านี้ ถ้าเขาไม่ออกไปจากวงสายสิญจน์ของชาวอโศก เด็กๆรุ่นหลัง ถ้าเขายังอยู่ในสายศีลของชาวอโศก เขาจะอายุยืน  เขาจะรักษาเขาจะเป็นลูกหม้อ เขาจะเป็นตัวต่อเชื้อ ตัวที่เสริมสานขึ้นไปอย่างแท้จริง 

อาตมาว่านี้ อาตมาพูดนี้โมเมไหมที่อธิบายไป โมเมไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคนเราจะมีปฏิภาณปัญญารู้ค่า ว่าคุณค่าของอันนี้ว่าจริงหรือเปล่า ใช่ไหม จะรู้คุณค่าจริง 

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำจริง ชาวหรรษานี่เขาเป็นโดยธรรมชาติ เขาไม่ได้มีความรู้ทางพระพุทธเจ้าตรงๆเหมือนอย่างพวกเรา เขาเป็นโดยธรรมชาติของเขา มันก็เข้าล็อคเดียวกันกับที่พวกเรา พาเป็นไม่หลงโลก ไม่เอาโรคจากชาวโลกๆมา เขาก็อายุยืนแค่นี้ ก็พิสูจน์ยืนยันสัจจะแล้ว 

เพราะฉะนั้นยิ่งพวกเราก็เข้าใจชัดเจน รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง      ยาวเพราะฉะนั้นมันจะต้องอายุยาวยืนกว่าชาวหรรษาด้วย นอกจากพวกคุณนี่แต่ละคนมีวิบากมา เพราะฉะนั้นจะมีวิบากตัดรอนบ้าง ก็ไม่ต้องเสียใจหรอกแต่ละคน มีวิบากตัดรอนบ้างก็อาจจะไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ เราเติม เราได้เติมนะ ยังไงๆคุณก็ได้เติม 

  1. เราปิดประตูที่จะเอาเชื้อโรคจากทางโลกีย์เข้ามา 

  2. เราเข้ามาอยู่ในนี้เพื่อเติมเชื้อของโลกุตระ เติมเชื้อของ

สัจธรรมขึ้นไปขึ้นไป คุณปิดจริงหรือเปล่า คุณไม่ไปรับจริงหรือเปล่า คุณไม่ไปรับทางโน้นแต่ก็มารับทางนี้ มันก็ต้องได้ทางนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะ มันเป็นเรื่องจริง มันจะออกนอกความจริงไปได้ยังไง มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ 

คนชาวโลกโลกีย์ไม่ได้รู้ง่ายๆ เลยอย่างพวกเรา แต่ก็ดี ถ้าเขารู้แล้วเขาเฮโลเข้ามาเยอะเลยพวกเรา คนเห่อ คนเห่อนี่แย่เลยนะ จะมาปล้นนะ เขาก็จะมาเอาโดยที่ว่ามันไม่ได้เรื่องเลยเขาจะมาเอาโดยที่เขาไม่ได้มีคุณธรรมเขาไม่ได้มีฐานรองรับอะไร จะมาปล้นเอาดื้อๆมันพังเลยนะ พวกเราก็ตาย เพราะฉะนั้นสัจจะอันนี้มันไม่เป็นหรอก เพราะพวกเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้หว่านล้อม คนเข้ามาต้องมีภูมิธรรมจริงเข้ามา มันจึงเป็นการคัดเลือก นี่มันเป็นสัจจะคัดเลือกโดยธรรม คนเข้ามาที่นี่ถึงเป็นคนที่จริง โดยคุณเองรับรองตัวคุณเอง ตัวคุณเองเป็นคนตัดสินและเลือกเอง เป็นตัวปัญญาพามา เป็นปัญญาแท้ๆ พามา ไม่ใช่ถูกครอบงำเหมือนอย่างที่พิธาเขาทำ ทักษิณเขาทำ อย่างทางตะวันตกอเมริกา ทำกันอยู่อย่างโลกๆเขาทำ เราไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย เราไม่ได้อยากได้คนอย่างที่พิธีกรรม วิธีอย่างโลกๆ เขาทำ แล้วเขาก็ได้คนเหล่านั้นไป เราไม่ได้อยากได้คนอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นวิธีที่คนจะมาหาเราจึงคนละวิธีกันเลย ไม่ได้ขัดแย้งกัน ด้วยวิธีของเขาก็อย่างหนึ่ง วิธีของเราก็อย่างหนึ่ง ไม่ขัดแย้งกันด้วย ว่าจริงๆแล้ว พลเมืองคนละกลุ่ม พวกเรากับทางโน้นพลเมืองคนละกลุ่ม คนละฐานความคิด คนละฐานความเข้าใจ คนละฐานความเชื่อถือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เวลาเหลืออีก 3 วินาทีพูดไปพูดมาก็จะถึง 20:00 น พูดปุ๊บจบก็ถึง 20:00 น แล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน เจริญธรรมทุกคน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #43 คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ตุลาคม 2566 ( 21:17:46 )

661004

รายละเอียด

661004 จบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch  พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53572.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/13sda4Syv-FN44BbLTd1qFGkWj3-XqWHW/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1fyw8v75QJNN9y43EWp-CsHQWLXEy33M1/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661004-108--Animal-Right-Watch-e2a57uo 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nt05cJljKO/ 

และ https://youtu.be/f8ckM6np4uE 

มีซับ 

สมณะเดินดิน...วันนี้วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 วันแรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวในเมืองที่น่าจะเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเเหมือนกัน พราะว่าเกิดเหตุการณ์สลด ที่มีเด็กแค่อายุ 14 เอาปืนไปกราดยิงในห้างใหญ่ของประเทศไทย ทำให้คนต่างชาติต้องเสียชีวิต มีคนจีน คนพม่า คนไทยก็บาดเจ็บ 4-5 คน 

ที่สรุปกันก็คือเด็กอายุ 14 มีปืนมีอาวุธ และไปใช้กราดยิง เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญ นายกบอกว่าต้องไปพบกับสถานทูตจีนเลย เพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศเหมือนกัน ทำให้คนที่เขามาท่องเที่ยวต้องบาดเจ็บเสียชีวิต และไปเจอทูตพม่า ว่าประเทศไทยเราเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ 

เขาพยายามหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แต่อันหนึ่งที่สื่อต่างประเทศกล่าวว่าประเทศไทยมีอาวุธมากที่สุดในอาเซียน ปืนนะ ในคน 100 คน จะมีคนพกปืนทั้งถูกกฎหมายและปืนเถื่อนประมาณ 10 กระบอกใน 100 คน เทียบกับประชากรในมาเลเซีย 100 คนมีปืนไม่ถึง 1 กระบอกเลย แต่ไทยมี 10 กระบอก ทั้งปืนถูกกฎหมายและปืนเถื่อน นี่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่อาวุธปืนในเมืองไทยมีมากที่สุดในเอเชีย

แต่ไทยเทียบกับอเมริกาไม่ได้เลย อเมริกาปีหนึ่ง มี 365 วัน มีเหตุการณ์กราดยิงมากกว่า 365 วันอีก ถ้าเอาเหตุการณ์ที่เกิดครั้งแล้วครั้งเล่ามารวมกัน ก่อนหน้านี้ 4-5 วัน ก็มีพวกวัยรุ่นไม่พอใจคำพิพากษาของศาล  100 กว่าคน พากันใส่หน้ากาก บุกไปปล้นร้านไอโฟน เอาไปหมดเกลี้ยงเลย และเป็นปล้นห้างอีก คุณลมเปลี่ยนทิศบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจนห้างต้องปิดตัวไป เพราะทั้งตัวห้างและตัวลูกค้าไม่เกิดความปลอดภัย ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ คุณลมเปลี่ยนทิศก็ให้ข้อสรุปว่า  ไม่น่าเชื่อว่าอเมริกาทุกวันนี้ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ห้างร้านไม่สามารถที่จะขายสินค้าได้ตามปกติ จากการปล้นสะดมจากผู้คนที่ยากจน Homeless คนไม่มีบ้านพักอาศัย ความเดือดร้อนก็มากขึ้นๆ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่มีปืนมากที่สุด เหตุการณ์กราดยิงจะเป็นเรื่องปกติของสังคมอเมริกา แต่ของเราเจอครั้งใหญ่ๆ แค่ทหารคลั่ง แล้วตำรวจแค้นอีกที คนตายไป 20 กว่าคน ปีนี้แค่เด็ก เกิดเหตุอย่างนี้สังคมเราก็สะเทือนมากพอสมควร ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ เป็นผลมาจากปาณาติบาตที่คนไม่ได้สำนึก ที่พ่อครูพยายามจะเน้นให้เห็นว่า การสร้างอาวุธเป็นความโหดร้ายอำมหิต แสดงถึงความป่าเถื่อนของมนุษยชาติ แต่เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ นี่ก็เป็นเรื่องที่มีคนถามเหมือนกันว่าประเทศไทยจะลดการมีปืนการครอบครองปืนได้อย่างไร ได้จุดประกายขึ้นมาในเรื่องนี้ 

คิดว่าในสังคมเราบอกได้เลยหมู่บ้านเราไม่มีใครพกปืน เป็นหมู่บ้านที่ปลอดจากอาวุธในสังคมเจริญ ไม่ต้องมีอาวุธเอาไว้ทำร้ายใครเลย วันนี้เราคงจะได้มาฟังสัจจะโลกุตระจากพ่อครูกันต่อ 

_สู่แดนธรรม... ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูล ปืนที่ใช้ก่อเหตุ ไม่ใช่เป็นปืนจริง เป็นปืนที่หาซื้อได้ง่าย เรียกว่า Blank Gun เอาไปดัดแปลง และเป็นเด็กที่เป็นโรคจิตด้วย มีคนให้ข้อมูลมา

สมณะเดินดิน... เป็นปืนเทียมแต่มีขายในโซเชียล สั่งซื้อมาและเอามาดัดแปลงได้ ยิงแล้วก็ตาย ใช้แทนปืนจริงได้ ยิงก็ตายจริงๆ บาดเจ็บสาหัสกันจริงๆ ปืนปลอมแต่ยิงตายจริง จะเรียกว่าอะไรล่ะ มีขายทั่วไปใครสั่งซื้อก็ได้ นิมนต์พ่อครูครับ

พ่อครูว่า... ก็ค่อยๆ เป็นไป คือชีวิตของเรานี่โดยเฉพาะอาตมาพยายามที่จะเอาความรู้ ที่เป็นความรู้สุดยอดคลาสสิคที่สุดละ เป็นความรู้ของมนุษยชาติที่ดีที่สุด ได้มาจากพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ตรัสรู้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... วันนี้พวกเราคงต้องตั้งใจฟังพ่อครู เมื่อเช้า ก็เรียนถามพ่อครูว่าพร้อมหรือเปล่า พ่อครูตั้งใจว่าเมื่อคืนมีเทวดามาอาราธนา วันนี้น่าจะลงมาเทศน์ จะมีลมพายุฝนตกยังไงพ่อครูก็ตั้งใจจะมาเทศนาในวันนี้ 

พ่อครูว่า... ตั้งใจจริงๆ แต่แหมสังขารมันจะเอื้ออำนวยแค่ไหน เอ้านี่ เตรียมมาเป็นปึ๊งเลย เดี๋ยวจะพูดพาดพิงถึงเรื่องจิตวิญญาณมันโหดเหี้ยม มันมีเหตุมีที่มาอะไรต่ออะไร  เอ้า เอา SMS ก่อน SMS ก็ไม่ใช่น้อยวันที่ 2 วันที่ 3 

 

SMS วันที่ 2-3 ตุลาคม 2566

_เชวง กิจจะบรรณ์ . อาจารย์ไม้ร่มคิดว่าจะเป็นอายุจิตเนาะ

พ่อครูว่า…ว่าไป 

_ประไพ ยาสาร . ปริญญาทางโลกีย์ไม่ได้ช่วยคนให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงเกิดโรค “ไซโคพาธ” แผ่ขยายไปทั่วโลก สู้ปริญญา(ปัญญา)ทางโลกุตระ ที่พ่อท่านนำมาสอนลูกหลานชาวอโศก ที่เป็นอาวุธทางปัญญาฝัง “ชิป” ให้แก่พวกเรา เป็นสุดยอดปริญญาของมนุษย์ค่ะ

พ่อครูว่า…จริง อันนี้ก็ต้องพูดว่ามันเป็นความจริง อาตมามั่นใจว่านี่เป็นความจริงที่จริงที่สุด เดี๋ยวจะได้พูดกันอีกต่อเนื่องยาวเรื่อง อาวุธๆ นี้ อะไรนะ “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” พวกเราจำได้พูดกันไป ฝากฟ้าฝากลมไปทั่วโลก ใครจะแปลเป็นภาษาอะไรของเขาให้เข้าใจไหม เราพูดเป็นภาษาไทยของเราแค่นี้แหละ แล้วมันจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นหรอก มันจะสะสมสิ่งที่เลวร้ายลงไปทุกวินาที มันก็ตกผลึกเป็นความเลวร้ายลามกอำมหิตอะไรไปจริง มันจะออกผลไปเรื่อยๆ คอยดูเถอะ 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม . กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ได้ฟังพ่อท่านเทศน์ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา พ่อท่านเปรยเรื่อง “ขันธ์” แล้วใจหาย กราบนิมนต์พ่อท่านอยู่ไปนานๆ เพื่อฟื้นฟูศาสนา ที่มันเริ่มจะย่อยยับไปเรื่อยๆ ทั้งการเมือง การศาสนา ในปัจจุบันช่างทำให้พ่อท่านต้องกระตุกอย่างแรง ให้พ่อได้ยกตัวอย่างได้เห็น ซึ่งไม่มีใครเตือนพิธาและทักษิณได้เหมือนพ่อเลย ที่ผ่านมาของจริงทั้งนั้น ถ้าเขาได้ฟังที่พ่อเตือน อาจจะกระเทือนใจเขาบ้างไม่มากก็น้อย กราบสาธุคะ

พ่อครูว่า…อาตมาว่า อาตมาไม่หวังนะว่าเขาจะฟัง ฟังที่อาตมาพูด จะมีใครเอาให้เขาฟังไหม แล้วเขาจะแยแส เขาจะฟังไป จะสะดุดจะกระเทือนอะไรบ้างไหม อาตมาไม่คิดว่าเขาไม่โกรธแค้น เขาไม่โกรธเคือง เขาฟังก็คงจะมีคนเอาให้ฟัง จะให้ขวนขวายฟังก็คงจะไม่ แต่คงจะมีคนเสนอให้บ้าง แค่เขาไม่แยแสหรือว่าไม่รุนแรง ไม่พยายามมุ่งกระบอกปืนมาสู่หัวใจอาตมานี่ก็..ก็ดีนักหนาแล้ว ก็ไม่รู้นะ อาจจะ..เอาละไม่พูดต่อ ก็ดีก็ต้องทำๆ ไป อาตมาก็ทำด้วยใจบริสุทธิ์พยายามทำในสิ่งที่ดีให้แก่มนุษยชาติ 

_บุญสูง สาดา . ในจอผมมองเห็นควันเป็น “เอฟเฟกต์”ครับ หรือ ที่บ้านราชมีควันไหมครับ?

พ่อครูว่า…เครื่องคุณเสียแน่ เครื่องคุณเสีย (โยมว่า ควันจากแอร์) .. อ้าว 

_Palatt Rattanawachirin (พลัฏฐ์ รัตนวชิรินทร์) . ไม่ได้ยินพ่อครู มีแต่เสียงเพลง คอยมีเพลงแทรกเป็นระยะตลอดเลยครับ

พ่อครูว่า… ไปยังไงมายังไง เครื่องคุณพิการหรือเปล่า เราก็ไม่ได้ใส่อะไรมากมายหรือมีของวิทยุแทรกออกมา ดูให้ดี เช็คหน่อยทางเทคนิค 

 

อภิปโมทยังจิตตัง คือจิตที่ปฏิบัติไว้ดีแล้ว

_ตุ๊ก อัศวิน . Wow..wwww..!!อภิปโมทยังจิตตัง..ยิ่งนักเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…จิต อภิปโมทยังจิตตัง เป็นจิตที่ได้ปฏิบัติหรือว่าได้ทำไว้ดีแล้ว อย่างอาตมานี่มีจิต อภิปโมทยังจิตตัง อยู่ในตัวเองตลอดเวลา เบิกบานร่าเริง ไม่เคยมีเศร้า มีหมอง อโศกะ ไม่มีเศร้าหมองมีแต่เบิกบาน ร่าเริง สบายชื่นใจ เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง คนด่าคนว่า คนอะไรเราก็ไม่ได้ไปในทางลบ ไปในทางถือสา ติดใจ โกรธเคือง หงุดหงิด..ไม่มี มีแต่ อภิปโมทยังจิตตัง นี่เป็นลักษณะจริง ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้ทับถม ไม่ได้ไปลบหลู่ใคร แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตที่ปฏิบัติไว้ดีแล้วมันเป็นอย่างนั้น มันจะไม่ได้เป็นทุกข์ให้แก่ตัวเอง 

_ ได้เห็นพ่อครู on stage ณ กาละนี้ เจ้าค่ะ!! ท่านเคยปรารภว่า ถึงเวลาจะ “สะต๊อป_ปุ” การปรารภธรรม!! เนื่องด้วยสุขภาพไม่ให้ความร่วมมือ..เจ้าค่ะ ขอขอบพระคุณ_/\_ที่พ่อครูเมตตา..ให้ลูกๆ ได้ “ทัสสนานุตริยะ” และ “สวนานุตตริยะ” นับเป็น “ลาภานุตตริยะ” ของพวกเราแล้วหนอ!!...กราบสาาาธุๆๆ...เจ้าค่ะ…

พ่อครูว่า…ดี 

 

เจโตปริยญาณ 16 ทำไมไม่จบที่ อนุตฺตรํจิตตํ 

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ในเจโตปริยญาณ 16 เมื่อจิตพัฒนามาถึง “อนุตตรังจิตตัง” ลูกเข้าใจว่าจิตล้างกิเลสหมดแล้ว จิตก็น่าจะมีแต่ “สมาหิตังจิตตัง กับ วิมุตตังจิตตัง” แล้วทำไมจึงมี “อสมาหิตังจิตตัง กับ อวิมุตตังจิตตัง” ขึ้นมาอีกคะ สภาวะเป็นอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า…อาตมาก็เคยอธิบายหลายทีแล้วนะเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดแห่งการตรวจสอบ อนุตฺตรํจิตตํ มีคู่ สอุตฺรํจิตตํ จิตที่ดี เจริญ พัฒนามาดีๆๆ แต่เราจะรู้ว่าจิตของเรายังมีดีกว่านี้อยู่ ดีกว่านี้ยังมีอีก โบราณอาจารย์ท่านก็แปล สอุตฺรํจิตตํ ท่านก็แปลว่าดีแล้ว อาตมายังเคยชม จิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกระทั่งไปถึงดีที่สุด อนุตฺตรํจิตตํ อย่างที่คุณสว่างแสง ถามมา ถึง อนุตฺตรํจิตตํ 

ทำไมต้องมีอีก 2 คู่ ที่มีอีกนี่ก็เพราะว่า แม้เราจะรู้สึก แม้เรารู้สึกแม้ว่าเราจะเห็นจริงเชื่อมั่นแล้ว ว่าเรานี่หมดแล้ว เรายังมีชีวิต เรายังตรวจสอบได้ เรายังมีสัมผัสเป็นปัจจัย เรายังได้รับกระทบกระทุ้งกระแทกกระเทือน พระพุทธเจ้าเตือนไว้ถึงขนาดว่า ลาภสักการะ สรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระขีณาสพ แม้แต่พระอรหันต์ 

คนก็สงสัยอีกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่างๆ จึงเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดต่อพระอรหันต์ ก็นัยยะคล้ายกัน คือ อย่ประมาท มันมีเหตุปัจจัยที่สามารถทำให้เกิด มันไม่เที่ยง จิตมันไม่ นิยตะ เที่ยง มันหวั่นไหวได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้ามีตลอด 

อภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารมี 3 อย่างนี้ รวมสภาวะไว้หมด 

ปุญญาภิสังขาร คือ การสร้างพลังงานให้มันเกิดบุญนี้แหละฆ่ากิเลส ให้ฆ่ากิเลสให้จบให้หมด อาตมาขยายความไปละเอียดแล้วว่า “บุญ” นี่เป็นพลังงานกำจัดกิเลสอย่างเดียว มันไม่มีหน้าที่อื่นเลย แล้วมันก็ไม่สะสมอะไรอยู่ที่ไหน ซึ่งมันเป็น อจินไตย มันเป็นเรื่องไม่ใช่ดูเล่นๆ ได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีสภาวะจริงแล้วได้ผ่านการพิสูจน์ 

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านการศึกษาเรียนรู้พิสูจน์สภาวะเหล่านี้มาจริง จึงมาถึงยุคนี้แล้ว โอ้โห ศาสนาพุทธมันเสื่อมจริงๆโลกุตรธรรม เข้าใจ “บุญ” ไม่ได้ ไปเข้าใจ “บุญ” ว่าเป็นกุศลก็เลยซวย ศาสนาพุทธเลยไม่มีมรรคผลจริง ไม่มีพระอาริยะอรหันต์จริง ก็พูดไปหมดแล้วพูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้ไปพูดดูถูกดูแคลน ไม่ได้ไปยกตนข่มท่าน พูดสภาวะจริงยืนยันอ้างอิง แม้แต่ที่สุดมีบุคคลมาพิสูจน์ตาม ยังมีของจริงยืนยันก็ยืนยันทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็ให้ตรวจเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ นี่ก็เป็นอีกหมวดหนึ่ง หมวดสุดท้ายเป็นวิมุติแล้ว ทำไมต้องมีวิมุตติญาณทัสสนะ ต่างกันหรือ ต่าง คุณได้จบวิมุติแล้วก็น่าจะจบแล้วก็ยังวิมุตติญาณทัสสนะอีก นั่นคือให้ตรวจสอบเสมอ ทุกอย่างไม่เที่ยง อนิจจัง แม้เราจะมีนิยตะ ซึ่งอาตมาก็ขยายความ เดี๋ยวอธิบายจะมีขยายความนิจจังกับนิยตะจะมีความต่างอย่างมีนัยสำคัญก็ค่อยๆฟัง 

แม้จะมีนิยตะแล้ว ก็ไม่ให้ประมาท พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระอรหันต์จริง ไม่เสื่อมไปจากคุณธรรม แต่เสื่อมต่อสุขวิหารธรรม ซึ่งแยกฐานจิตที่เป็นอรหันต์ไม่เสื่อมไม่เปลี่ยนแปลง นิยตะแน่ แต่ในปัจจุบันชาติปัจจุบันธรรม เหตุปัจจัยลาภสักการะสรรเสริญนี่แหละ คุณจะได้รับได้อะไร มันจะยุ่ง กับความเป็น สุขวิหาร ความเป็นอยู่ที่สงบ สุขะ คือ ว่าง สงบ มันจะไม่สงบ ลาภสักการะสรรเสริญ จะทำให้เราไม่สงบ แปลสุขะนี้ให้ดีๆเป็น ปรมังสุขัง มันจะไม่ปรมังสุขัง มันจะรบกวนวิหารธรรม ปัจจุบันวิหารได้อยู่สบาย มันจะไม่สบาย มันจะหนักหนาสาหัส ถ้าเผื่อว่าไปหลงมัวเมากับมัน ไปหลงว่า แหมเราจะได้หอบหามอะไรอีก คนเรามันก็จะเข้ามา พรั่งพรูเข้ามา ทับถมเข้ามา ก็จะลำบากแก่ตนเกินไป จะว่าเป็นเรื่องของการไม่มีกะใจก็ไม่ใช่ มีกะใจ แต่ก็ควรจะมีจำกัดมีขีดจำกัด ซึ่งเป็นความระมัดระวังของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

อาตมายังหลงในสักการะสรรเสริญหรือเปล่า สังขารมันยอบแยบแย่ขนาดนี้ ที่จริงอาตมานอนพัก 3 ชั่วโมงตอนบ่ายก่อนมาลุกมานี่อาตมา ไม่ได้ทำอะไรหรอก นอนมา แล้วก็ลุกมาบรรยาย 

อาตมาไม่ได้ประมาทนะ พยายามอยู่ ไม่ได้มาทำงานอย่างสมบุกสมบัน ทำเป็นอวดดีไม่ ที่จริงไม่ได้ขี้เกียจ ขยันเกิน อาตมาก็ไม่ได้ขยันเกิน ขี้เกียจก็ไม่มี ก็คิดว่าพอเหมาะพอดี พอสม 

เพราะเราไม่ได้ขึ้นต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอะไรนี่    เราทำงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของโลกียะ ไม่ไปกังวลได้หรือไม่ได้ จะเสื่อม ไม่ได้กังวลเสื่อมหรือไม่เสื่อม ไม่กังวลไม่มี ไม่ได้ขึ้นกับโลกียธรรมเลย อาตมา ทำงานตามเหตุปัจจัยที่คิดว่าเหมาะสม แต่อย่างว่า แหละอาตมายอมรับเลยว่า พูดไปแล้วพวกคุณก็ฟังแล้วไม่ค่อยสนุก คืออาตมาฝืนขันธ์ ฝืนอายุขัย ก็พูดไปไม่รู้กี่ที นั่นมันเรื่องจริง มันเรื่องจริง 

อาตมาก็ต้องดูจริงๆ ว่า เอ๊.. มันจะไปขัดแย้งกันในตัวหรือเปล่า เช่น รูปขันธ์ของอาตมา อาตมาอายุ 90 รูปขันธ์มันไม่ได้ไปเหมือนคนอายุ 90 นะ อาตมาว่านะ นี่อาตมาหลงตนหรือเปล่า อาตมาว่าไม่ได้หลงตน อาตมาว่าอาตมาอายุ 90 ย่างมาแล้ว เนื้อหนังมังสาส่วนต่างๆ นานา มันก็ไม่ใช่นะ กระดูกกระเดี้ยวเอ็น เอ็น Elasticity ต่างๆนานา เอ๊..มันก็จะเต้นจะดีดให้มันเกินวัยก็ทำได้อยู่ แต่มันจะน่าเกลียดเท่านั้นเองมันไม่ได้เต้นอะไร ดี

อันนี้อาตมาเห็นผลของธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นการใช้ อิทธิบาท พยายามบูรณะ 8 อ. ทุกอย่าง 8 อ.พยายามจริงๆ เลย ไอ้ตัวขี้เกียจที่สุดก็คงจะเป็นออกกำลังกาย อาตมาว่าใน 8 อ. ตัวที่ขี้เกียจที่สุดก็คงจะเป็นตัวออกกำลังกาย นอกนั้นก็ไม่กระไรใน 8 อ. ก็ไม่ได้บกพร่อง อาตมาว่าอาตมาออกกำลังกายอยู่ก็ไม่ได้บกพร่องอะไร ก็พอเป็นไป เอาล่ะ นี่ก็พูดที่ตัวเองมากละ วรรคไปอันอื่นต่อ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

ปฏิบัติศีลจะนำไปสู่อรหันต์โดยลำดับ

_กระถิน . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ  ดิฉันยังรอฟังพ่อครูอธิบายเรื่องปฏิบัติศีลไปตามลำดับอย่างไร  เพื่อไปถึงอรหันต์เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…แหม เรื่องนี้อาตมาก็จริงๆ ด้วย ก็เคยเปรยแล้วก็อยากอธิบายรายละเอียดให้ดีๆ ละเอียด ศีลไปถึงอรหันต์เลย          ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน กิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 24 มีอยู่สองสูตรเลย ข้อ 1 กับข้อ 208 ศีล ปฏิบัติศีลจะนำไปสู่อรหันต์โดยลำดับจะพาไป กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปริปูเรนตีติฯ 

ศีล จะทำให้เกิดเอาอรหัตผล อรหัตตายะ ปริปูเรนตีติ เต็ม ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ อันนี้จริงเลยแล้วท่านก็ขยายความถึงสภาพจิต 10 หลัก 10 ตัว 

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) 

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 

6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) 

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) 

9. วิราคะ (คลายกิเลส) 

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208) 

อ้าว ขอฝากไว้ก่อนโอฬาร จะอธิบายให้ดีๆ มันต้องใช้เวลาละเอียดลออ วันนี้อาตมาไม่ได้เตรียมจะพูดเรื่องนี้ นี่ SMS ก็ยังไม่หมดเลย ขอฝากไว้ก่อนกระถินนะ 

 

เปิดเสียงสวดมนต์ธรรมะให้คนใกล้ตายฟังจะมีผลดีไหม 

_ช่อทิพ หนูทอง . ได้ยินพระโดยทั่วไปสอน และมีการเผยแพร่มาก โดยเฉพาะตามโรงพยาบาลว่า “คนป่วยหนักที่กำลังจะตาย ให้เปิดเสียงสวดมนต์ให้ฟัง เพื่อให้จิตยึดพระรัตนตรัย ตายไปวิญญาณจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี” เรียนถามพ่อครูว่า “ถ้าคนป่วยนั้นทำชั่วมาตลอด ก่อนตายนึกถึงพระ ก็ไปสู่ภพที่ดีได้ แล้วบาปที่ทำมาทั้งชีวิต ไม่ส่งผลต่อวิญญาณเขาเลยหรือคะ?

พ่อครูว่า…คำถามง่ายๆ แต่ชัดเจนมาก จะเป็นการประเล้าประโลมใจของผู้ที่จะตายแล้วก็เลยพยายามจะให้กำลังใจ ให้จิตมันไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พยายามจะประเล้าประโลมใจให้สงบ เอาเถอะ มันก็ได้ผล 

อันนี้นี่อาตมาไปถามด็อกเตอร์มโน เป็นผู้ที่ทำงานที่จะ ทำงานกับคนที่ก่อนตาย ด็อกเตอร์มโน เลาหวณิช เป็นคนทำงานนี้ทีเดียวน่าจะง่ายกว่า เขาเรียนทางธรรมะมาเยอะด้วยด็อกเตอร์มโน มันน่าจะได้ความรู้เยอะนะ 

จริงๆ แล้วมันแก้กรรมไม่ได้หรอก กรรมวิบากมันมีเท่าไหร่มันจะหลอกหลอนอย่างไรก็ อาจจะมีจิตไปยึด ต้องใช้คำว่ายึด ยึด ก็ยึดได้ในภาวะที่อะไรไม่ดีกว่านี้แล้วก็ยึดอันนี้ แต่ยึดแล้วพอมันเปลี่ยนภพ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป มันไม่คงเดิมคงที่อะไรหรอก แต่เขาก็ใช้ให้มันผ่านไปในชั่วปัจจุบันธรรมนั้น 

กรรมสุจริต กรรมส่งผลจริง ชั่วก็ชั่ว ดีก็ดี เพราะงั้นหลอกล่อได้เหมือนอย่างกับคนที่ยังหลอกล่อ คนทุกวันนี้กลบเกลื่อนแม้กระทั่งตัวเอง มันทุกข์จะตายชัก ก็นึกว่าตัวเองไม่ทุกข์ ไม่รู้จักสภาวะที่เดือดร้อนจริงๆ ซึ่งมันเป็นความซับซ้อนของความเดือดร้อน มันมีจริง มันจะใช้อำนาจของเงิน อำนาจทรัพย์สฤงคาร อำนาจของอำนาจ อำนาจของมวลบริวารแวดล้อม หรืออำนาจของอิทธิพลใดๆก็แล้วแต่ที่สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะชะลอให้ตัวเองไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นตามกรรมวิบาก ไม่รับ ไม่ยอมรับกรรมวิบากของตัวเอง 

คุณชะลอไปได้ก็ยิ่งชะลอ มันยิ่งออกดอกเบี้ย มันยิ่งชะลอนั่นแหละยิ่งชะลอหนัก ดอกเบี้ยก็ยิ่งทบต้นขึ้นไป นี่เป็นกรรมวิบาก ไม่ใช่อาตมาขู่แต่เป็นเรื่องที่จริง เหมือนกับหลักการของมนุษยชาติ ดอกเบี้ยทบต้น มันจริงนะ ก็ขออธิบายขยายความเท่านี้พอ

_ภิญญา สว่างแสง . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะสิริเตโช ท่านสมณะลานศีล และสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ เรื่องกินทำยากมากค่ะ ยิ่งฟังท่านสมณะและสิกขมาตุเทศน์ ยิ่งเห็นกิเลสตัวเองชัดมากค่ะ ท่านสมณะบอกว่า อาหารรสจืด รสเผ็ด รสหวานนั้นไม่ใช่กิเลสตัวที่เป็นกิเลสของเรา คือจิตที่ไปชอบรสจืด รสเผ็ด รสหวานต่างหาก กราบขอบพระคุณท่านสมณะที่ให้สัมมาทิฏฐิค่ะ ลูกพยายามล้างกิเลสตัวชอบรส(หวาน)ให้ได้ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…รายละเอียดสิ่งเหล่านี้ มันเป็นอุปาทาน อาตมาจะขยายความลักษณะที่ละเอียดให้ฟังในที่เตรียมไว้แล้วนี่ ขอผลัดไว้ก่อน มันมีพยัญชนะอยู่ 3 ตัว ละเอียดมาก ตัวหนึ่งคือ อุปาทิ ตัวหนึ่งคืออุปาทาน ตัวหนึ่งคือ อุปาทยติ 

อุปาทิ นี่มันเป็น ปุริสภาวะ อุปาทานนี่เป็น นปุงสกลิงค์ อุปาทยติเป็นกิริยา 

เพราะฉะนั้นสภาพต่างๆ กิริยา กับสภาพที่เป็น ปุริสภาวะ กับสภาพที่ไม่มีสภาวะ นปุงสกลิงค์ มันจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญละเอียด เดี๋ยวถึงวาระ อาตมาเตรียมไว้อยู่ จะอธิบายให้ฟังละเอียดๆ ฟังดีๆ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ที่ไม่ใช่ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีทางที่จะมาแยกแยะละเอียดลออได้ขนาดนี้ และอาตมาถ้าไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 สายปัญญาโดยตรง อาตมานี้เป็นสายปัญญาโดยตรง สายปฏิสัมภิทาญาณ จึงสามารถที่จะรู้สภาวะและพยัญชนะเหล่านี้ว่ามันหมายถึง อย่างนี้ๆ เอามาแจกแจงได้อย่างถูกสภาวะ เอาล่ะฝากไว้ก่อนโอฬารเหมือนกัน 

_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย . กราบนมัสการค่ะ จิตที่มีความยึดมั่นถือมั่น คือเป็นอัตตาตัวตน ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ใช่ไหมคะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า… จิตที่ยึดมั่นถือมั่นนี่แหละคืออุปาทาน เป็นลักษณะหนึ่งของอุปาทาน ใช่ ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ เมื่อกี้ก็บอกแล้วค่อยๆเข้าใจ 

_ใจแก้ว อโศกตระกูล . กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุค่ะ ดิฉันเข่ง ใจแก้ว ฟังอยู่ที่ปาดังเบชาร์

พ่อครูว่า…รายงานมาว่าตัวเองยังอยู่โน่น ก็รู้ ไม่ได้อยู่ที่บ้านราช ก็ไม่ได้หนีไปไหน บอกนะว่าไม่ได้หนีไปเที่ยวนะ อยู่ปาดัง               เบซาร์ แล้วเขาก็รายงานอะไรต่ออะไรมา ในจดหมายก็มีเอามาอ่านให้ฟังแล้ว 

_กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่งครับ

กระผม แรงผัก เบ้าทอง ขอรายงานตัวเพิ่งเข้ามาอยู่บ้านราชฯเต็มตัว เมื่อประมาณวันที่ 10 สิงหาคม 2566 นี้เองครับ เคยอยู่ม.อุบลกับญาติธรรม ถือว่าเป็นครั้งที่ 1 พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

ครั้งที่ 2 มาอยู่สวนใสหม่วน กับคุณพ่อไม้ผล ทุติยัมปิพุทธัง  ทุติยัมปิธัมมัง ทุติยัมปิสังฆัง ครั้งที่ 3 ก็มาอยู่ที่วัดบ้านราชฯ เป็นตติยัมปิพุทธัง
ตติยัมปิธัมมัง ตติยัมปิสังฆัง มาได้ธรรมะ รู้ธรรมะที่มาอยู่
บ้านราชฯนี้เองครับ ก็คงจะเป็นเพราะว่าได้รับฟังธรรมบ่อยๆ โดยเฉพาะรายการย่อยธรรมะ จากท่านสมณะท่านสิกขมาตุทุกรูปทุกองค์ครับ มีความศรัทธายิ่งครับ

และอีกเรื่องครับ กระผมได้รับข้อมูลจากญาติธรรมที่อยู่บ้านราชฯว่า ในเรื่องทำงานไปและก็อยู่ไป ตอนเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อเรามีการเจ็บป่วยขึ้นตัวใครตัวมัน สุดท้ายแล้วก็กลับไปตายกับญาติพี่น้องทางสายเลือด ข้อมูลนี้ไม่เป็นจริงครับ กระผมสำรวจตรวจสอบได้ว่า คงเป็นเพราะว่า ตอนที่เราสุขภาพดี อินทรีย์พละภาวะแข็งแรง ปฏิบัติตนเป็นคนไม่เอาภาระ ไม่ค่อยช่วยงานหมู่กลุ่ม ไม่สร้างบารมีคุณความดีให้กับตัวเอง กระผมกลับมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 มาทำความดี มาทำกสิกรรม มาฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นหลัก มาอยู่กับวัด เชื่อฟังหมู่กลุ่ม ตราบใดยังมีอินทรีย์พละแข็งแรงสุขภาพดี จะพยายามขยันขวนขวาย สร้างบารมีคุณงามความดีให้กับตัวเองด้วยครับ 

กระผมขอพูดกับญาติธรรมทุกๆ คนด้วยว่า ผู้ที่ยังไม่มาก็ขอให้มาเถอะครับ มาพิสูจน์สัจจะ ถึงเวลาวาระสุดท้ายแล้วครับ พ่อท่านฯ ท่านเป็นปู่เรา ส่วนท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ นาค ปะ เป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เรา สำหรับกระผมแรงผัก มีความมั่นใจในศรัทธา เป็นสัมมาทิฏฐิแน่นอนครับ มีอะไรขาดตกบกพร่อง กราบนมัสการพ่อท่านฯเพิ่มเติมสติปัญญา ช่วยบอกพวกลูกๆ ด้วยครับ 

กราบนมัสการด้วยความศรัทธาบูชายิ่งครับ

2 ตุลาคม 2566

พ่อครูว่า…ละเอียดลออดี เห็นนัยยะอย่างที่แรงผักเขาเห็น มันก็ดี มันก็ชัดดี อาตมาก็เคยเทศน์เรื่องนี้ อยู่กันอย่างหมาหัวเน่า อยู่กันอย่างไม่เป็นคนที่ใครต่อใครเขาก็ไม่ได้ชื่นชม เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าใครมานั่งนอนเอาเปรียบเพื่อน มาเกาะเหมือนปลิง เคยเทศน์ไว้หมดแล้ว มากน้อยก็ตามจริง อยู่ที่กรรมของเราเองทำทั้งนั้น ก็ไม่ได้บังคับให้ฝืนนะ มันเจ็บมันป่วยมันแก่แล้ว ก็ควรจะพักอะไรต่ออะไรต่างๆ ตามสมควร พวกเราก็รู้ทั้งนั้น ก็เห็นว่าควรไม่ควรขนาดไหนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนแก่มันก็มีเหตุปัจจัย คนหนุ่มสาวมีเหตุปัจจัยที่จะต้องพัก ก็ต้องให้เขาพัก เขาก็ไม่ว่าอะไร แม้แต่เด็กเขาจะต้องพักก็ให้พัก ควรขยันก็ควร อายุมากแล้วควรจะพักมากกว่าที่จะทำ มันก็มีขนาดมีประมาณของมัน คนเราก็พอจะเข้าใจโดยปริยาย โดยสามัญสำนึก มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร 

_น้อมกราบนมัสการพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ

ดิฉันมารู้จักบุญนิยมทีวีเมื่อปี 60 นี้เองโดยที่ไม่มีใครแนะนำเลยค่ะ ค้นคว้าด้วยตัวเอง ดูไปคิดไปไม่เหมือนพระข้างนอกเทศน์สอนเลยค่ะ โดยเฉพาะวัดพระธรรมกายที่ดิฉันคิดว่า มันใช่แล้ว เข้าวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาจนถึงปี 60 ไม่ฆ่าสัตว์อีกเลย กินแต่ของที่เขาทำขายที่สำเร็จแล้ว พอมารู้พ่อท่านเทศน์ เลยไม่กินเนื้อสัตว์อีกเลยจนถึงทุกวันนี้ กินเจ ทำอาหารเจแจกชาวบ้านด้วย  ในช่วงโควิดปี 62 ชาวบ้านติดโควิด เลยได้แจกอาหารเจพร้อมกับน้ำยาต้ม 7 นางฟ้าสูตรของอาจารย์ยักษ์ จนชาวบ้านว่าดิฉันเป็นคนบ้าแจกของ ทั้งที่เป็นคนจนติดดิน พอญาติมาบอกให้ฟังก็ยังไม่ท้อ มีความคิดที่จะบริจาคที่ดิน 8 ไร่ให้กับชาวอโศกอีกด้วย พอได้เบอร์ท่านดินไทก็ได้คุยกับท่าน ท่านเลยให้เบอร์ญาติธรรมดอยรายปลายฟ้า ไม่ลงตัวสักที เลยขออนุญาตเอาคำพูดท่านจันทร์ "ในเมื่อมันไม่ลงตัวเลยเอาตัวมาลง " ดิฉันได้เข้ามาบ้านราชฯแล้วมีความปิติกับญาติธรรมที่มีน้ำใจ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่คนเดียว ซาบซึ้งมากๆเจ้าค่ะ 

ขอให้พ่อท่านแข็งแรงอยู่กับลูกๆ ไปนานแสนนานด้วยเทอญ น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... ถ้าไม่เขียนมาก็คงไม่รู้ว่ามีคนใหม่ๆ มาอยู่กับพวกเราพอสมควรเลย เป็นประโยชน์เป็นกำลังใจให้แก่พวกเรา ขออนุโมทนาด้วย อย่างพ่อแรงผัก พอตัดสินใจปุ๊บ ลูกมาเยี่ยมก็บอกให้ลูกขายที่  ที่ตัวเองดูแลขายที่แล้วให้มาอยู่วัดเลย ลูกชายลูกสะใภ้ ก็เห็นด้วยก็เลยยิ่งมีปีติมากขึ้นกว่าเก่าอีก 

พ่อครูว่า... ก็เอา ไม่มีปัญหาอะไร จะบริจาคจะให้จะขายอะไรก็ว่าไป มีเหมือนกัน พวกมาเป็นชาวอโศกนี่ เสร็จแล้วอยู่ไปอยู่มามีที่ดินยกให้ชาวอโศก วันดีคืนดีขอคืน คืนไปแล้วไม่พอแล้วมันก็มาอยู่ในที่ที่ แหม! มาอยู่ในกลางไข่แดงของชาวอโศกอีก ก็เลยต้องขอซื้อคืน ขอซื้อคืนโขกราคา มากกว่าที่ควรจะเป็นอีกตั้งหลายเท่าเลย ที่แค่ 40 ตารางวา ต้องซื้อกันถึงขั้นตั้งหลายสิบล้าน คนเรานี่จิตใจนะ เราก็จำต้องซื้อ ก็ให้เขาไปเถอะ เศษกระดาษ เราก็ถือว่าจำเป็น เหตุจำเป็นไม่งั้นก็ไม่แล้ว มันไม่ดีก็เลยซื้อ นี่ก็เล่าด้วยเห็นว่าจิตใจมีต่างๆ นานา สารพัด 

 

ศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมคือเช่นไร

เหลืออีก 43 นาที อาตมาจะพูดถึงเรื่องโลกียะ โลกุตระ พูดถึงเรื่องศิลปะ เคยพูดมาหลายทีแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ศิลปะในภาษาบาลีว่าคือ สิปปัง ภาษาสันสกฤตก็คือ ศิลปะภาษาบาลีก็คือ สิปปัง เป็นมงคลอันอุดม คนก็แปลกันยาก เอตัมมังคลมุตตมัง 

อาตมาเท้าความ เอาเพลงที่อาตมาแต่งเป็นตัวอ้างอิง อ้างอิงมันมีทั้งนั้น มีทั้งคำร้อง มีทั้งเมโลดี้  มีทั้งทำนอง มีทั้งนัยสำคัญที่ใส่เข้าไปในลักษณะต้องกลมกลืนกัน ไปด้วยกันได้ ทั้งทำนองและเนื้อร้องความหมายของคำ ไอ้ความหมายของคำนี้แหละสำคัญมาก สำคัญมากความหมายของคำ จะเป็นศิลปะที่มันจะฟังแล้ว ทำให้เกิดจิตเข้าใจ แล้วก็เปลี่ยนแปลง จนชัดเจน เชื่อมั่น มีอิทธิพล มีพลัง ทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้ จากที่ไม่ควรจะเป็น มาเป็นอย่างที่ควรเจริญขึ้น เจริญขึ้น 

เพลงอาตมานี่มันเป็นโลกุตระซะมาก เพลงไม่เป็นโลกุตระ เป็นโลกียะ อาตมาก็พยายามเก็บ พยายามลืม พยายามทิ้ง ไม่ไปฟื้นตัวมันขึ้นมา ไม่ไปส่งเสริม ใครจะมานำฟื้นขึ้นมาอาตมาก็ไม่ส่งเสริม มันก็เลยค่อยๆ หายไป อาตมาก็แต่งไม่มากเท่าไหร่หรอก เพลงโลกียะ ไม่ว่าจะเป็นโลกียะไปกับเขา แต่ก็ไม่เคยแต่งไปถึงขั้นลามก ก็เป็นแต่เพลงราคะ 

อาตมาแบ่งเพลงเป็น 1.ลามก 2.ราคะ 3.สาระ 4.ธรรมะ 5.โลกุตระ เป็นขีดขั้นของคุณภาพคุณธรรมของมัน แบ่งเป็น 5 แบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมาบวชแล้วก็ยังนึกว่า เราจะมาแต่งเพลงหรือไม่ แต่เอาไปเอามามันนึกได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ศาสนาต่างๆ ตั้งแต่เทวนิยม แม้แต่พุทธเองก็ยังอาศัยสวดทำนองอะไรอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้ทำเป็นเล่นไปนะ วงการเถรสมาคมเล่นร็อคเล่นแร็พ อะไรต่ออะไร โอ้โห!! เก่งกว่าฆราวาสเขาอีก โอ้โห!! อาตมาเห็นแล้วก็ แหม...อาตมาก็เคยอธิบายผ่านไปแล้ว ไม่ขออธิบายวันนี้ คนโลกียะทั่วไปจะไม่รู้สึกซาบซึ้ง ไม่ชื่นชอบกัน

ในความเป็น“ศิลปะ”ที่ให้ประโยชน์ต่อมวลมนุษย์นั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ “โลกียะ”กับ“โลกุตระ”

“ศิลปะ”ที่เป็น“โลกียะ”นั้น มันเป็นงานที่มีแต่บำเรออารมณ์     เข้าใจคำว่าบำเรออารมณ์ไหม ไป งมงาย     ไม่ได้ทำให้“กิเลส”ลด ละ หน่ายคลายเลยแต่อย่างใด จะเป็นศิลปะแขนงไหนก็แล้วแต่ ศิลปะแต่เดิมมี 5 สาขา เดี๋ยวนี้แตกแขนงไปไม่รู้กี่เท่าไหร่ เท่าไหร่เลย  แม้แต่ศิลปะการชงเหล้าเขาก็ถือว่าเป็นศิลปะ ศิลปะการค้าขายได้เปรียบมากๆ อะไรก็เรียกเป็นศิลปะเป็นแทคติกเป็นวิธีการที่ได้เปรียบ ก็เป็นกิเลสทั้งนั้นไปเรียกศิลปะไม่ได้ ที่จริงศิลปะต้องเป็นการลด ละกิเลส นี่มันเป็นการปลอมแปลงความหมายของพระพุทธเจ้า ท่านก็กำกับนะว่าศิลปะอันเป็นโลกุตระเป็นมงคลอันอุดม อุดมหรืออุตระ ถ้าศิลปะโลกๆ มีแต่มอมเมาๆ กันกันเข้าไป เละเทะเลอะเทอะ

ยกตัวอย่าง ภาพดอกทานตะวันเหี่ยวๆของแวนก๊อกกับเก้าอี้ ขายกันหลายพันล้านก็อธิบายว่ามันทำให้เกิดธรรมะอะไรก็อธิบายพอสมควร แต่มันก็ไม่ลึกซึ้งเท่าโลกุตระ บางทีเขาก็เรียกว่าแวนโก๊ะแวนก๊อก เป็นภาษาชาวฝรั่งเศส ตัดหูตัวเอง แกสติไม่เต็มเท่าไหร่ แต่เป็นคนที่นำแบบแปลกๆ มา จึงทำให้เกิดเป็นผู้นำแบบแปลกเป็นทีแปลกๆ แล้ว เขาก็ออกข่าวกันให้อย่างนี้มันจะไปแปลกอะไรจริงๆ มันไม่ได้แปลกอะไร แต่เขาพยายามครอบงำทางความคิดให้เชื่ออย่างนี้ราคาตั้งไม่รู้กี่ล้านนะของแวนก๊อก 

“ศิลปะ”ที่เป็น“โลกียะ”นั้น มันเป็นงานที่มีแต่บำเรออารมณ์  ไม่ได้ทำให้“กิเลส”ลด ละ หน่ายคลายเลยแต่อย่างใด  ซ้ำมิหนำมีแต่เพิ่มพูนให้“กิเลส”มากขึ้นหนาขึ้น จัดจ้านยิ่งขึ้นทั้งราคะ โทสะ โมหะ

ประโยชน์ที่ได้จาก “ศิลปะ” โลกียะ จึงเป็นสิ่งพาให้จมงมงายในโลกียะ วนเวียน “เป็นสุข-เป็นทุกข์” ไปนิรันดร  

“ศิลปะ” ที่เป็น“โลกุตระ” นั้น สุดยอดแห่งประโยชน์ ซึ่งชาวโลกียะเทฺวนิยมทั้งหลายยังไม่สามารถหยั่งเข้าไปรู้ถึงความลึกล้ำใน“มิติ”แห่ง“นัยสำคัญ”ของมันได้ง่ายๆ 

 

จบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch

อาตมาแบ่ง “งาน” ทั้งหลายออกเป็น 5 ประเภท

(1) งานลามก  (2) งานราคะ  (3) งานสาระ (4) งานธรรมะ  (5) งานโลกุตระ

อาตมาเคยสาธยายอธิบายถึง “งาน 5 ขั้น” นี้มามากมายหลายครั้งแล้ว  ครั้งนี้จะขอพูดเฉพาะงานลามก

“งานลามก” จกกะเปรตเลวแรงร้ายสุดของมนุษย์ ที่เป็น “มิจฉาวณิชชา” พระพุทธเจ้าก็ตรัสแบ่งไว้ 5 อย่าง 

“งานลามก” จกกะเปรตเลวทรามต่ำช้าที่สุดนี้ ถ้าใครยิ่งทำเป็น  “อาชีพ” เรียกด้วยศัพท์ว่า “มิจฉาวณิชชา” หมายความว่า                   “งานค้าขายที่เป็นบาป ลามก ตลอดชีพ”  

(1) งานลามก ที่เป็นงาน “มิจฉาวณิชชา” เลวแรงร้ายสุดของมนุษย์สร้างบาปอกุศลหยาบต่ำยิ่ง เพราะเป็น “งานทำให้คนกิเลสหนาหนักจัดจ้าน” “สาหัส หรือเป็นงานทำร้ายทำลาย” มนุษย์ งานทำร้ายทำลาย “โลก” ก่อ “กรรมวิบาก” แก้แค้นกันและกันตลอดไป ไม่มีจบสิ้นลงได้ นี่คืองานลามกที่จะเอามาแฉ เอามาฉีกหน้าวันนี้ 

เช่น งานสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคนให้เอาไปฆ่าสัตว์กันในโลก เหตุการณ์ในวันนี้ที่เด็ก อายุ14 ยิงกราด ก็เกิดจากการสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคนนี่แหละ แล้วเอาไปซื้อขายกัน มันคือการซื้อขายเครื่องมือฆ่าคนฆ่าสัตว์แท้ๆ ฟังความนี้ให้เข้าไปถึงจิตให้ดีๆ อาวุธอะไร อาวุธเอาไปใช้ฆ่าคนฆ่าสัตว์ ฟังเท่านี้มันควรจะจุก แต่เขาไม่รู้สึกรู้สา ขายกันหน้าตาเฉย อวดอ้างราคาฤทธิเดชกัน ฆ่าตายได้เป็นเบือ ระเบิดปรมาณูหนักขนาดทิ้งลูกเดียวนี่ ตายกันทั้งเมืองทั้งประเทศเลย ให้มันฤทธิ์แรงถึงขนาดนั้น แล้วก็ตั้งราคากัน สร้างอำนาจแบ่งอำนาจกันเต็มที่ 

ความคิดที่เป็นแนวโน้มแบบนี้มันยังเป็นคน มิลักขชน เป็นคนป่าเถื่อนเป็นคนหยาบช้า เป็นคนไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ความเป็นชีวิตของสัตว์โลก หรือความเป็นชีวิตของมนุษย์หรือคน ชีวะที่กว่าจะพัฒนาตั้งแต่เซลล์เดียวจนกว่าจะเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด แล้วดันเอาไปสร้างอาวุธฆ่าคนซ้ำอีก ฆ่าให้มีฤทธิ์แรงร้ายด้วยแล้วยังไม่พอ ขายกันราคาแพงๆ อีก คุณคิดให้ดีเถอะว่า มันเป็นคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ จัดจ้านขนาดไหน แนวคิดอย่างนี้ คุณคิดให้เข้าใจ คนชนิดนี้มีไหมในโลก มี แล้วจะถือว่าเจริญหรือเสื่อม ..เสื่อม

ถือว่าเจริญหรือเสื่อม (เสื่อม) โลกเขาถือว่าเจริญ แบ่งให้ชัด  แต่ทางโลกุตรธรรมถือว่าเสื่อม เห็นไหมนี่มันแยกกันชัดเจนอย่างนี้ เห็นมั้ย เป็นแบบสิริมหามายา หรือเป็นมายาสำหรับคนที่ยึดมั่นถือมั่นไปในทางเสื่อม คนสัตว์หรือ “ชีวิต” ต้องตายลงเพราะอาวุธฆ่าที่ คนผู้คิดสร้างขึ้นมานี้เอง คนคิดและสร้างขึ้นจึงมีบาปหนักหนาสาหัสร้ายสุดติดตัวไปอย่างยิ่งสำหรับผู้สร้างอาวุธฆ่าคนฆ่าสัตว์ มันเป็น “มิจฉาวณิชชา”ที่ร้ายแรงเลวสุด ข้อที่ 1 ใน 5 ประเภท งานสร้างอาวุธขึ้นมาใช้ทำให้คนตาย ให้เป็นคนอำมหิตโหดเหี้ยม ยึดติดอาวุธมาฆ่ากัน มีกรรมวิบากอาฆาตกันไม่จบสิ้น

ใครสร้างอยู่เมื่อใด ก็บาป “ไม่มีจบอยู่” เมื่อนั้น ไม่ใช่คุณสมบัติเรียกว่าโทษสมบัติ นี้คือ “งานลามก”จกกะเปรต ที่คนคนใดทำอยู่ ก็คือ “มิจฉาวณิชชา” หรือ “อาชีพที่เป็นบาปตลอดชีวิต” ข้อแรก ที่เป็นบาปอกุศลต่ำสุดใน 5 ข้อ เท่าเทียมกัน 5 อย่าง แต่สร้างอาวุธ สัตถวณิชชา เป็นข้อที่ 1 นำขบวน ก็มีนัยสำคัญว่า ถึงแม้จะเท่าเทียมกันแต่มันก็นำขบวนนะ หัวหน้าเลวร้ายที่สุดนำขบวน 

เพราะฉะนั้น“งานลามก” จกกะเปรตที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด ที่คนใดทำอยู่คือ “อาชีพที่เป็นบาปตลอดชีวิต” มิจฉาวณิชชาประกอบด้วย 5 อย่างคือ 

1. การค้าขายอาวุธ   (สัตถวณิชชา) 

2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) 

3. การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) 

4. การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา) 

5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา) 

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177) 

นี่คือ 5 สิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีผิดเพี้ยนยังคงใช้ได้อยู่ 

ข้อต่อมา ได้แก่งานซื้อขายสัตว์เป็น หรือสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง 

สัตว์แต่ละตัวมันเป็น “เจ้าของชีวิต” เท่าเทียมกันกับ “คน” ฟังให้ดีนะตรงนี้

ชีวิตที่เป็นสัตว์ จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ตาม หรือ ล้านๆ เซลล์ มันก็คือชีวิต มันก็คือเจ้าของชีวิตมันมีสิทธิในความเป็นเจ้าของชีวิตไหม ...มี เท่าเทียมกันกับคนเช่นกัน นี่นักสิทธิมนุษยชนฟังโพธิรักษ์ เพราะฉะนั้นชีวิตเจ้าของชีวิต เท่าเทียมกันกับสัตว์ทุกตัว 

เช่นกัน มันไม่ใช่ “ทาส” มันมี “สิทธิ์” ในชีวิตของมัน มีอิสระในชีวิตของมัน คนถือ“สิทธิ์” อะไรไปจับเอาสัตว์ที่มี “ชีวิต” อยู่นั้นมาเป็นของตน แล้วขาย “ชีวิตสัตว์” นั้นเป็น “สินค้า” ให้คนนำไปฆ่า ไปซื้อไปขาย หรือไปเป็นเจ้าของ ไปใช้แรงงาน ไปทรมาน ไปใช้ให้มันไข่มากินมาขาย ให้มันขี้มากินมาขาย เช่น ขี้ไก่ไง ดีไม่ดีกินขี้ไก่หรือเปล่าไม่รู้ ให้มันออกลูกมาเพื่อตน ใช้มันเลี้ยงชีวิตตนต่อไป ตามที่โลกพาทำ พาเป็นกัน หรือริดรอนอิสระของมัน ใครทำก็ตาม เป็นการเอาตนไปสร้างวิบากพัวพันกับสัตว์นั้นแท้ๆ ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ควรจะปลดปล่อยตัวเองจากสัตว์ทุกตัว ไม่ควรอย่างยิ่ง

ล้วนเป็น “กรรม” ที่มี “วิบาก” อัน “บาป” อยู่ทั้งสิ้น ซึ่งความเป็น“บาป” เกี่ยวกับ “สัตว์” นี้ พระพุทธเจ้าตรัส “บาป 5 ขั้น” ตรัสไว้ชัดเจนมากใน “ชีวกสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60) 

เริ่มตั้งแต่ “จิต” ที่มี “ทิศมุ่ง(สัญจิจจะ)” ไปสู่ “ความเกี่ยวเกาะ”กับสัตว์ใดๆ คือ เริ่ม “กล่าวชื่อสัตว์” ตามข้อ 1 ของ “บาป 5 ขั้น” นั้น ก็บาปแล้วเป็นอันมาก แค่จิตมี สัญจิจจะหรือมีอุทฺทิสฺส อุทฺทิสฺสะจริงๆ แล้ว มีนัยยะหยาบแรงมากกว่า สัญจิจจะ ที่มีความเริ่มต้นตั้งแต่สัญญา อุทฺทิสฺสมีจิตมุ่ง หรือท่านแปลว่า เจาะจงใจมุ่งไปมีเป้านำ 

เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มมีจิต มีเจตนามีจิตมุ่งไปสู่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง สัตว์ธรรมชาติมันก็อยู่ของมันไป คุณก็อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารคุณก็อยู่ได้แล้ว คุณจะต้องไปเกี่ยวอะไรกับสัตว์ของมัน จะเกี่ยวก็คือรู้ว่าเป็นสัตว์ร่วมโลก เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตามที่คุณท่องก็ได้แล้วสิ คุณก็ปลง แต่นี่ไม่ มันมีจิต อารภนฺติหรือโวโรเปตุงหรือโวโรเปติ มันมีนัยยะ เริ่มแฝงร้ายอยู่ในนั้น เริ่มแฝงร้ายนิดหนึ่งก็จิตไม่ดี จิตจะไปเกี่ยวข้องกับความอิสรเสรีภาพของสัตว์ 

แค่กล่าวชื่อ บาปแล้วเป็นอันมากข้อที่ 1 ฟังให้ละเอียดๆ เกือบจะถึงงานเจแล้ว พิจารณาคำตรัสให้ดีๆ ว่า “บาปทั้ง 5” นั้น มันไม่ได้ “บาป” กันตรงที่ “ฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต” นี่เขาก็เบี้ยวบาลีกันไป เขาเบี้ยวมาลีว่าถ้าไปเจาะจงบุคคล โดยเฉพาะเจาะจงพระพุทธเจ้า เจาะจงสาวก เจาะจงภิกษุ เพิ่งจะ มันจะมีในข้อที่ 5 เขาก็เลยหยิบข้อ นี้มากลบเกลื่อนเขาอื่นหมดว่า เจาะจงพระตถาคตหรือสาวกตถาคต อีก 4 ข้อนั้น ก็ตีกินไม่เจาะจง เห็นไหมว่าเหลี่ยมคูของคน​ เรียนรู้อาชญวิทยานี้ให้ดีๆ ท่านกำลังจะจบด็อกเตอร์ทั้งหลาย เหลี่ยมคู มันเป็นอย่างนี้แหละ เบี้ยวบาลีไป  

ฆ่าสัตว์ เขาเบี้ยวบาลีว่าบาป 5 นั้นมันได้บาปที่เจาะจงสาวกหรือตถาคต  หรือว่าเจาะจงให้คนๆ ใด แม้ไม่ใช่ภิกษุหรือพระพุทธเจ้า แต่เจาะจงคนๆ ใดก็ตาม เขาหมายอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอาตมาก็พยายามอธิบาย การเจาะจงบุคคลนั้นมันไม่ได้เป็นการเจาะจงบุคคลอย่างนั้น แต่มันบาปตรงที่เริ่มไปเกี่ยวข้องกับชีวิตสัตว์ ฟังดีๆ ตั้งใจดีๆ ที่อาตมากำลังอธิบาย

สัญจิจจะหรืออุทฺทิสฺส มันเป็นความเจาะจงที่ เจาะจงภิกษุและตถาคตก็ใช่ด้วย แต่เจาะจงเริ่มต้นตั้งแต่กล่าวชื่อสัตว์ ไปจนกระทั่งถึงฆ่าสัตว์ 4 ข้อนั้นคุณเอาไปทิ้งที่ไหน 4 ข้อนี้บาปหรือเปล่า บาปเป็นอันมากทั้ง 4 ข้อใช่ไหม? เห็นไหมพวกเบี้ยวบาลี มันบาปตั้งแต่กล่าวชื่อสัตว์แล้ว มีโวโรเปตุงหรืออารภนฺติ จิตไม่ดีกับสัตว์ เริ่มจิตที่มันมุ่งไม่ดีกับสัตว์ 

หรือเจาะจงให้แก่คนๆ ใดเท่านั้น มันไม่ได้อยู่ที่ “การเจาะจงบุคคล” แต่มัน “บาป” ตรงที่เริ่มไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของ “สัตว์” หรือชัดๆ ก็คือ ไปสร้าง “วิบาก” กับสัตว์แค่กล่าวชื่อ “สัตว์” ก็เริ่ม “บาป”ตั้งแต่ข้อที่ 1 แล้ว ..ชัดมั้ย?   

สัตว์ทุกตัว ล้วนมีกรรมมีวิบากเป็นของตน หรือเป็น “เจ้าของตนเอง” เช่นเดียวกันกับคนทุกคน เราไม่ไปเอา “คน” มาเป็นทาส หรือไม่เอา “คน” มาเป็นสินค้า ไม่เอา “คน” มาเป็นสมบัติของเรา หรือไม่กินเนื้อคนฉันใด เราก็ควรจะทำกับสัตว์ทุกตัว ดุจเดียวกัน เพราะสัตว์ก็มี “สิทธิ์” ในชีวิตของมันเท่ากันกับคน ที่ถือ “สิทธิ์” ในชีวิตของคนเหมือนกัน 
วันนี้อาตมาอธิบายถึงเรื่องนัยยะของกรรมวิบากที่เป็นอจินไตยข้อหนึ่งในอจินไตย 4 กรรมวิบาก เป็นข้อ 1 มาขยายความให้ฟังละเอียดๆ ไปตามลำดับ เห็นไหม พวกเรานี้รอดมาได้แล้ว อาตมาอาศัยพวกคุณ เป็นตัวประกันอธิบายให้คนเขาฟัง เขาเข้าใจ ถ้าไม่มีพวกคุณเป็นตัวประกัน ปฏิบัติไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ทำไม่ได้ เป็นตัวประกัน อธิบายกับคน เขาก็จะบอกว่าใครทำได้อย่างที่ว่าบ้าง พวกคุณเป็นตัวประกันให้อาตมา ขอบคุณ ถ้าไม่มี อธิบายไม่ได้ อ้างอิงไม่ได้ แต่นี่มันได้ 

เพราะฉะนั้น เขาอาจจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เราเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่สุดวิสัย แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ดีด้วย นี่คือเราจะเข้าใจเรื่องสิทธิ เพราะฉะนั้น พวกองค์กรสิทธิมนุษยชน Human Right Watch มาฟังโพธิรักษ์พูดบ้าง แค่สิทธิมนุษยชาติยังหยาบจะตาย นี่คือสิทธิสัตว์ทั้งปวง อย่าไปละเมิดสิทธิของสัตว์มันเลยมันบาป จะกระดิกหูไหมนี่..ชาวเทวนิยม จะกระดิกหูมั้ย..ว่ามันบาป เขาจะรู้ไหมว่าบาปคืออะไร มันเป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นสิ่งจริงของมนุษยชาติที่อยู่ในวัฏสงสาร เทวนิยมเขาไม่ได้เรียนรู้ก็น่าสงสารอยู่แต่ก็ พุทธนี่แหละควรจะฟังเข้าใจดีๆ ชาวพุทธก็ยังล่อเนื้อสัตว์ปากเปรอะกันอยู่เลยเต็ม 

นี้คือ “สิทธิสัตว์ทั้งปวง” อย่าไป “สิทธิ” ของสัตว์มันเลย มัน“บาป” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส “บาป” จริง 

ขึ้นชื่อว่า “สัตว์” ทุกชนิดทุกตัวมันยัง “อวิชชา” คือยัง “โง่” อยู่ทั้งนั้น คนผู้ที่ไม่มี “ความรู้” ขั้น “ปัญญา” ที่จะทำตนให้ “หลุดพ้นไปจากกรรมวิบาก” อันต้องเกี่ยวเกาะกันเป็น “ปฏิสัมพันธ์(relation ถึง continuum)” กันเด็ดขาดไปได้หรอก เพราะฉะนั้นเมื่อไปเชื่อมไปต่อ ไปในทางร้าย ฆ่ากัน แกงกันเอาไปเป็นสมบัติขายใส่ตัวเอง ได้เปรียบใส่อัตตาตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าไปเกี่ยวเกาะแบบนี้ มันก็ไม่มีขาด ไม่มีหลุดพ้นเป็นเวรานุเวรกันหรอก 

จนกว่าจะมี “ความรู้” ที่ “สัมมาทิฏฐิ” แบบพุทธอันเป็นโลกุตระ แล้วก็ต้องปฏิบัติตนให้ “สัมมาปฏิบัติ” กระทั่งมี “สัมมาปฏิเวธ” บรรลุอรหันต์สามารถ “ทำกาล (กาลกิริยา)” ได้ด้วยตนเองตามที่ตนประสงค์เป็นที่สุดได้สำเร็จจริง  ศาสนาพุทธ “จบกิจ” สูงสุดด้วยการ“ทำกาละ” 

คนผู้ที่ “ทำกาล” ได้จริงอย่างวิเศษสุดนั้นคือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบความเป็น “ชีวิต” ดีสุดสัมบูรณ์ ที่สามารถจัดการกับตนเองในการ“ทำกาละ” หรือทำ “การตาย-การเป็น” ได้อย่าง บริบูรณ์สัมบูรณ์จริงๆ แท้ๆ นั่นคือ จะ “ทำการตาย” ให้แก่ตนได้ชนิดที่ครบทุก “มิติ” แห่งความเป็น “ชีวิต” หรือ “จิตวิญญาณ” กับ “กาล”

อรหันต์สามารถ “ทำกาล(กาลกิริยา)” ที่ “จบกิจ(กตัง กรณียัง)” ครบทุก “กิจ” ได้แล้ว ทั้งที่ “มี” หรือ “ไม่มี” ใน “กาล” 

นั่นคือ “กิจ” ที่เป็น “สมมุติสัจจะ” จบ ก็ทำได้ หรือ “กิจ” ที่เป็น“ปรมัตถสัจจะ” จบ ก็ทำได้ จบได้ทั้งสองอย่าง จบได้ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ อาตมาใช้คำว่าสมมุติสัจจะก็ดี บางทีก็ใช้คำว่าสมมุติธรรม หรือปรมัตถสัจจะ บางทีก็ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม มันต่างกัน ก็ต่างกันตรงธรรมกับสัจจะ ถ้าธรรมนั้นหมายถึงความทรงอยู่ ทรงไว้ มีอยู่ มีไว้ ถ้าสัจจะ ก็หมายความว่า ชี้บ่งว่ามันจริง สัจจะ

เพราะฉะนั้นสมมุติสัจจะ หรือปรมัตถสัจจะจริง มันชี้บ่งถึงความจริงกับความไม่จริง ในความทรงไว้หรือไม่ทรงไว้ ถ้าลงท้ายด้วยธรรมะก็คือความทรงไว้ความมีอยู่ ถ้าลงท้ายด้วยสัจจะก็คือจริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มันมีนัยสำคัญอยู่ 

“กิจ” ที่ทำกรรมตาม “สมมุติสัจจะ” จบนั้น สามารถทำกรรมที่เป็น “กุศลธรรม” แต่ถ่ายเดียวและยั่งยืนตลอดไป ทว่ายังมี “กิเลส” ในใจอยู่ ก็ทำได้ คนที่ยังมีกิเลสอยู่นี่ ทำจิตที่เป็นกุศล อย่างพวกคุณนี่ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ ยังมีกิเลส คุณทำกุศลได้อยู่ ไม่เห็นเป็นไรใช่ไหม? เราทำกุศลได้ทั้งๆ ที่เป็นกิเลสยังมีกิเลส 

หมายความว่า “การกระทำ” ของเราทุกกรรม ไม่เป็น “อกุศล” แล้ว ตาม “สมมุติสัจจะ” แต่ยังมี “บาป” เฉพาะในใจตนอยู่ เพราะตนยังมี “กิเลส” ซึ่งเป็น “ปรมัตถสัจจะ” 

อาตมาต้องแยก เพราะตามสมมุติแต่ละหมู่แต่ละกลุ่ม ก็ต่างกัน กลุ่มนี้ถืออันนี้ว่าถูกต้อง ดีไม่ดีออกกฎหมายบอกเลยว่าอย่างนี้ถูกต้อง กลุ่มอื่นก็ของเขาสมมติกันยึดถือกันตามจารีตประเพณี ตามที่ยึดถืออยู่ก็ตาม หรือออกกฎหมายเลยมันก็ไม่เกี่ยวกัน ของใครของมัน ประเทศนั้นจะเอากฎหมายของประเทศนี้ไปวิเคราะห์ไม่ได้..ตีกันตายพอดีเลย ใครจะตัดสินล่ะ ก็กฎหมายของใครก็เป็นเรื่องของใคร ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นอย่าไปละลาบละล้วงกัน 

การกระทำที่เป็น “กุศล” คือ กรรมที่ “ดี” ตามสมมุติของสังคมของโลกแล้ว แต่ “กิเลส” ในใจตน ยังมีอยู่ เพราะกรรมที่เป็น “บาป” คือ กรรมที่ “มี” กิเลส ตาม “ปรมัตถธรรม” เราต้อง “ฆ่ากิเลส” ด้วยการทำพลังงานจิตให้เป็น

“ฌาน” คือ เป็นไฟที่เผากิเลสจนถึงขั้น “บุญ” ได้แท้ ฌานที่ 4 จึงเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้ายที่ชื่อว่า “บุญ” ฌาน 1 2 3 ยังไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเพชฌฆาตที่ชื่อว่า “บุญ” ตัวที่ 4 ทำแล้วเสร็จหายไปกับฌาน 4 เหลือแต่ฌาน 1 2 3 4 ให้ผู้ที่มีปัญญาใช้งาน และฌาน 4 ที่ใช้งานไม่ใช่ฌานที่จะใช้ฆ่า แต่ในฌาน 4 ก็เป็นพลังงานจิตที่ทำการฆ่าจิตฆ่ากิเลส อกุศลจิตหรือจิตที่เป็นบาปฆ่าได้อย่างจริง

เพราะฉะนั้นกรรมที่มีกิเลสทำกุศลได้ เอากุศลมาทำได้ แต่บาป ก็ต้องเอาบุญมาฆ่าบาป หรือจะเรียกว่าฆ่าอกุศลด้วย เพราะอกุศลเป็นสมมุติเท่านั้น บาปนี่เป็นปรมัตถ์ ฆ่าบาปหรือฆ่ากิเลส ก็ต้องเอา “บุญ” มาฆ่า เอาพลังงานที่เป็น “บุญ” มาฆ่า เอาพลังงานกุศลมาฆ่าไม่ถาวร ได้เหมือนกัน แต่ไม่ถาวร นี่เป็นนัยยะที่ชัดละเอียดลออฟังดีๆ 

กรรมที่เป็นบาป คือ กรรมที่มีกิเลส คุณฟังชัดๆ คุณทำกุศลด้วยจิตมีกิเลส คุณก็ทำได้ แต่จิตคุณมี “บุญ” หรือทำพลังงาน “บุญ”จัดการกับกิเลสจบ คุณทำอกุศลก็ไม่ได้ คุณทำบาปก็ไม่ได้ ฟังเข้าใจชัดเจนขึ้นไหม? มันมีนัยยะลึกซึ้งละเอียดพวกนี้ลองฟังดีๆ ทำความเข้าใจต่อสภาวธรรมพวกนี้ให้ได้ 

ผู้ “สิ้นบุญ-สิ้นบาป”แล้ว ศัพท์คือ“ปุญญปาปปริกฺขีโณ”ก็ไม่ต้องทำ“บุญ” อีกแล้ว คนผู้นี้ก็เป็น “อรหันต์”

ดังนั้น คนผู้ใดจะทำกรรมใดไม่เป็น “บาป” ก็คือ ทำกรรมนั้น“ไม่มี”กิเลสได้สำเร็จเด็ดขาดแล้ว คนผู้นี้ก็ไม่ต้องทำ“บุญ”อีกแล้วต่อไป ภาษาว่า“อปุญญ”

กรณะ กรณังหรือกิจของผู้ที่ฆ่าบาปได้ สุดท้ายแล้วกรรมที่เหลือก็มีแต่กุศลไม่มีแล้ว “บุญ”เพราะ“บุญ”เสร็จกิจไปแล้ว พยายามจะอธิบายคำว่าจบกิจ เห็นไรๆหรือยังว่า นี่คือการจบกิจ 

“บุญ”ทำหน้าที่ฆ่าบาปจบ บุญก็จบด้วยถ้า“บุญ”ไม่มีทางจบ มันก็ไม่จบกิจ 

เราต้องรู้ว่า“บุญ”เป็นพลังงาน เอกังสะหรือเอกังเสนะ มันเป็น One Way Traffic มันเป็นความตรงถ่ายเดียว ไม่มีความโค้ง ทำงานหน้าเดียว ตรงอย่างเดียว แม้แต่ .001องศาเดียวก็ไม่มี ฆ่าเสร็จหายไปเลย เป็น เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงหายไปเลย เป็นพลังงานที่เป็นศูนย์ไปเลย มันไม่เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นมันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษขยายความนิดหน่อย 

เอาละคำว่า “ปุญญะ” แล้วมาเป็น “อปุญญะ” มันเป็นการพิสูจน์คนที่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าหรือโลกุตรธรรมชัดไหม ถ้าเข้าใจตรงนี้ไม่ชัด แน่นอน ทำ “บุญ” ก็ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ คำว่า “บุญ” นี่ มันเป็นการบอกสภาวะ บอกกำลังสร้างพลังงาน ที่มาจัดการกับกิเลสเป็นสภาวธรรม คุณเข้าใจผิด คุณก็สร้างสภาวธรรมไม่ถูก เป็นพยัญชนะ คุณก็หมายความไปคนละอย่าง เพราะฉะนั้นเข้าใจ “บุญ” ไม่ได้ จึงพลอยให้เข้าใจคำว่า “ปุญญ” หรือ “อปุญญะ” ผิดเหมือนกัน ก็ไปแปล “อปุญญะ” ว่าบาปอีก ก็เลยไม่รู้แล้ว 

ก็ อปุญญาภิสังขาร คือ คนที่อภิสังขารไม่เป็นบาป-ไม่เป็นบุญอีกแล้ว ปุญญปาปปริกขีโณ ไม่มีทั้งบาป-ทั้งบุญ แต่เขาไม่ได้พูด 

อปุญญปาปะ ก็มีแต่ อปุญญาภิสังขาร ก็เลยทำให้คนเข้าใจไม่ได้ไม่มีสภาวธรรม เป็นมิจฉาทิฐิก็เลยเข้าใจไม่ได้ มันก็เลยไม่มีทางสำเร็จ บรรลุธรรมไม่ได้ แสดงว่าไม่ได้บรรลุ มันเป็นจุดสำคัญจริงๆ สำหรับการจบกิจการทำงานบรรลุธรรม ในชาตินั้นๆ 

เพราะฉะนั้นในอภิสังขารข้อที่ 3 จึง คุณมีอภิสังขารข้อที่ 2 ตลอด อปุญญาภิสังขาร ๆๆ สิ่งที่ตกผลึกลงเป็น อเนญชา เป็นอภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร จึงเป็นกิจที่ไม่มีบุญ-ไม่มีบาปทั้งนั้น ที่ตกผลึกลงเป็น สมาหิโต ตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรง มันจึงเป็นคุณสมบัติหรือเป็นคุณธรรมที่แตกต่างกับโลกียะ เป็นความตั้งมั่นของจิตที่สูงสุดบริสุทธิ์เสร็จเด็ดขาด เห็นไหม แล้วมันถึงค่อยสะสมๆ ตกผลึกเป็นสมาหิโต

คำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าใช้ศัพท์คำว่า สมาหิโต ซึ่งเป็นตัวคู่สุดท้ายของ เจโตปริยญาณ 16 คือ สมาหิตะกับอสมาหิตะ วิมุติกับอวิมุติ ที่คนท้วงว่า อนุตระแล้วทำไมไม่จบ มีต่อ เป็นการตรวจสอบ  Static กับ Dynamic สมาหิตะ เป็น Static ส่วนวิมุตเป็นการตรวจความรู้หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น เทวะคู่สุดท้าย ละเอียดลออปานนั้น ธรรมะพระพุทธเจ้า 

เอาไว้แค่นี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นต่อ เพราะฉะนั้น “อปุญญ” จึงไม่ใช่“ความวน” ที่จะกลับไปเป็น “บาป”อีกแล้ว คำว่า“อปุญญ” นี้เป็น“โลกุตรภูมิ”อย่าสับสน นี่เป็นการอธิบายสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าในวันนี้ 

พ่อครูว่า... คุณเจาะจงฆ่า ตั้งแต่จิตมีสัญจิจจะ สั่งฆ่าบาปอีก ผูกคอมาลงมือฆ่าก็บาปอีก ข้อที่ 5 ทำเป็นอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าอีก บอกว่าเป็นอาหารที่ปรุงมาอย่างประณีตยอดเยี่ยม สัตว์นี้เป็นเนื้อหมีดำนะคะ 

สมณะเดินดิน... วันนี้พ่อครูประกาศ Animal Right Watch เป็นโพธิสัตว์ประกาศสิทธิของสัตว์ทั้งปวง วันนี้จะเข้ากับเทศกาลกินเจมาก เพราะการกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุให้ถูกฆ่า เราลดการกินเนื้อสัตว์ได้มากเท่าไหร่ ก็ทำให้สัตว์มีชีวิตอยู่ได้ ฝากถึงบวรต่างๆ เป็นโอกาสรณรงค์ค่านิยมตรงนี้ ซึ่งพ่อครูให้เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 เลยนะ ที่เคยเงียบเหงาอยากให้ชักธงตรงนี้ มาพร้อมเพรียงทำให้ดูครึกครื้นอบอุ่น 

สรุปจบ 


ชีวกสูตร  1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา  โวโรเปตา) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส   3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch  วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 วันแรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ตุลาคม 2566 ( 12:51:47 )

661006

รายละเอียด

661006 จรณะ 15 วิชชา 8 โดยพิสดารลึกซึ้งบริบูรณ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53574.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/154AJsGCOnLs6CQZF0-lKWnAli4ixb3b2/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1JCP5BgMGKmLeSaJR9rlldp8dqHzrJFu5/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661006--15--8-e2a885i 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nvETrPJUJO/ 

และ https://youtu.be/haVZvOz6iQc 

มีซับ 

 

สมณะฟ้าไท…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถ้าเราดูข่าวคราวของประเทศที่เขานิยมผลิตอาวุธ มีโรงงานผลิตอาวุธเก่ง อย่างอเมริกาเป็นต้น เทียบกับประเทศอินเดียที่นิยมทางศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่เก่งทางเทคโนโลยี ไม่เก่งทางแข่งขันกีฬา ดูเหมือนเป็นประเทศล้าหลัง แต่ตอนนี้ที่อเมริกาจะมีการปล้น คนติดยาเสพติดเหมือนซอมบี้ตัวงอไปงอมา มีภัยพิบัติไฟไหม้รุนแรง น้ำท่วม ไม่มีเงินช่วยเหลือประชาชน จะต่างกับอินเดียมีน้ำท่วมอย่างอื่นไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร  จะมีโรงทานที่เราเห็นออกมาจากคลิปหลายๆ อัน คนก็รออาหารตักให้กิน ไม่แย่งไม่ชิงกัน ดูแล้วก็อยู่กันอย่างผาสุก แต่อเมริกาอยู่กันเหมือนกับดงโจร อยู่ท่ามกลางกลียุคลักษณะนั้น ไม่น่าอยู่ด้วยประการทั้งปวง 

ในประเทศไทยเราอีก 9 วันจะถึงเทศกาลกินเจ ดูปีนี้เหมือนจะเงียบๆ แต่เราน่าจะทำให้คึกคัก เพราะคนได้มากินอาหารมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ 10 วันก็ยังดี อย่างน้อยคนก็ไม่ฆ่าสัตว์ คนไม่กินเนื้อสัตว์อยู่ในศีลธรรม โลกก็จะสงบสุข ประเทศชาติก็สงบขึ้น ถ้าประเทศใดมีคนกินเจทั้งประเทศ ประเทศจะสงบเหมือนอินเดีย ที่กินมังสวิรัติเกือบทั้งประเทศ ประเทศไทยน่าจะเป็นอย่างนั้นได้สมกับเป็น

บุญญาวุธหมายเลข 1 ที่พ่อครูได้กล่าวไว้ เพราะว่าเราไม่ไปแข่งขันสร้างอาวุธเทคโนโลยีอะไร แต่เราหันมาสร้างอาหารเพื่อให้มนุษยชาติได้อยู่รอดปลอดภัยถือว่าดีที่สุดแล้ว เราก็มาฟังพ่อครูกันต่อว่าจะทำอย่างไรให้โลกสงบสุขมากยิ่งขึ้น 

พ่อครูสอนอาชีพที่เป็นมิจฉาวณิชชา ที่เป็นอาชีพลามกจกเปรตฟังแล้วเราไม่น่าไปทำ ไม่น่าเข้าใกล้อย่างยิ่ง 

พ่อครูว่า... ก็คงจะไปว่ากันต่ออย่างที่ท่านฟ้าไทเกริ่นมาแล้วก็ดีช่วยต่อ มีโอกาสก็ต่อได้เรื่องเกี่ยวกับไปวิจารณ์สังคมโลกีย์ ที่เขาไม่รู้จริงๆ เขาอวิชชาจริงๆ ก็เป็นไปตามสัจธรรม จะเห็นผลช้าหน่อยก็เถอะ ขอเริ่มต้นจาก SMS ก่อน 

 

SMS วันที่ 4 - 5 ตุลาคม 2566

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในยุคนี้สังคมไทย คนในสังคมเลว เพราะคนไม่ปฏิบัติธรรมตามศาสนาของตนอย่างจริงจัง ในคนส่วนใหญ่ของประเทศสังคมจึงเลวร้ายขึ้นทุกวัน แต่ปัจจุบันชาวอโศกได้จัดค่ายขึ้นหลายค่ายในแต่ละเดือน เพื่อชวนคนมาปฏิบัติธรรมของพุทธอย่างจริงจังจริงใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อท่านเห็นว่าผลรับจะเป็นเช่นไรครับผม ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…ก็จะเป็นอย่างไรล่ะ พวกเรามีภูมิธรรม มีสัมมาทิฏฐิ มีความถูกต้อง ดีแล้ว แล้วก็ช่วยกันเผยแพร่ ช่วยกันสาธยาย ช่วยกันนำมาพากันปฏิบัติ มาประพฤติกันจริงๆ จังๆ มันก็ดีช่วยกันเถอะทำกันขึ้นมา ให้มากๆ มันก็เป็นผลแน่นอน เพราะว่าพวกเราได้เริ่มต้นสัมมาทิฏฐิ พากัน..แล้วก็ทำให้สัมมาปฏิบัติ เมื่อสัมมาปฏิบัติก็จะเกิดสัมมาปฏิเวธกันจริง 

เหตุมันดี เหตุมันถูกต้อง ผลมันก็จะถูกต้อง ต้องพยายามระมัดระวังให้ดี ทบทวน ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ให้มันได้ของจริง ถ้าได้ของจริงแล้ว มันก็ไม่ออกไปจากของจริงหรอก 

 

_ตุ๊ก อัศวิน . ขอโอกาสเจ้าค่ะ!! ฟังว่า..มีผู้นำวาทะนี้ “สัจจะ” ไปขยายว่า “สัจจะ มี หนึ่งเดียว” !?! ครั้นได้ฟังพ่อครูปรารภธรรม ลงลึกในเรื่อง “สัจจะ”..!! จึงขอโอกาสสรุปว่า ปรมัติสัจจะเท่านั้น จึ่งจักกล่าวได้ว่า "สัจจะ มี หนึ่งเดียว”!! ส่วนสมมุติสัจจะนั้น..มีได้หลากหลาย!! ดังนั้น “สัจจะ มี หนึ่งเดียว” จึงต้องเป็นปรมัติสัจจะ only!! กราบขอบพระคุณในสัมมาทิฎฐิจากพ่อครู..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…จริง ถูกต้อง สัจจะจะมีหนึ่งเดียว ไม่แย้งไม่เถียงกันตรงกันก็คือสัจจะที่เป็นปรมัตถ์ เป็นปรมัตถธรรม เป็นโลกุตระ ถึงจะเป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเผื่อว่าเป็นโลกียะ เป็นสมมุติสัจจะทั่วไปเขาโลกๆ เขาก็ว่าสัจจะของเขาเป็นหนึ่งทั้งนั้น ศาสดาทุกองค์ก็ว่าของตัวเองเป็นหนึ่งทั้งนั้น แต่เขามีหลากหลายมากมาย แย้งกันแตกต่างกันมีเยอะแยะ ก็เป็นจริง เอาดีอย่างนี้แหละค่อยๆ เก็บรายละเอียดเข้าไป ชัดๆ คมๆ แม่นๆ เข้าไป 

 

โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่ ในฉฬายตนะ

_จรรยาพร ชมสวรรค์ . ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง พ่อช่วยอธิบายคำว่า “โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่” ด้วยค่ะ ลูกยังไม่ชัดเจน เพราะลูกยังฉลาดน้อยอยู่ค่ะ ขอให้พ่อครูมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะเจ้าคะ

พ่อครูว่า…ขอบคุณ 

โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่ ก็หมายความว่า คนเรานี่ มันมี 2 ลักษณะ ลักษณะโง่กับลักษณะฉลาด คุณจะเข้าใจความโง่ความฉลาดแค่ไหนล่ะ มันก็มี ความโง่คือหมายความว่ามันจะขึ้นต้นโง่แล้วก็โง่ต่อๆ ไปอีก จะยาวนานหรือมากหนักเท่าไหร่ มันก็คือลักษณะนั้นแหละ เราเรียกว่า โง่ 

ฉลาด เราจะฉลาดแค่ไหน มันก็ฉลาดน้อยหนึ่ง ฉลาดมากขึ้นฉลาดมาก มันก็เป็นลักษณะของ 2 อย่าง ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน โง่กับฉลาดที่ตรงกันข้ามกัน 

ขอขยายความนิดหนึ่งว่า “โง่” ในโลกีย์เขาก็เรียก ว่ามีฉลาด มีโง่ ในโลกุตระก็มีฉลาด มีโง่ มันก็ต่างกัน ฉลาดโง่ของโลกีย์ เขาใช้ภาษาคำว่า “ฉลาด”กับ “โง่”เหมือนกัน ภาษาไทยนี่ไทยเราเอามาใช้ ฉลาดกับโง่เหมือนกัน ภาษาอื่นจะเป็นภาษาอังกฤษภาษาอะไรเขาก็มีคำว่าฉลาดของเขา ซึ่งมันจะไม่เหมือนกับภาษาไทย ภาษาไทยนี่จะอธิบายได้ลึกซึ้ง เพราะมันจะมีคำว่าฉลาดของไทยนี่แหละ ซึ่งมันกร่อนมาจากคำว่า “ฉฬายตนะ” ซึ่งทางด้านภาษาอื่นเขาไม่มี นอกจากบาลีเท่านั้น บาลี สันสกฤตอะไรเขาก็มี 

ฉฬายตนะ หรือ ฉ ตัวนี้มันแปลว่า 6 มันเป็นตัวกำกับเลยว่าความฉลาดจะต้องมี 6 แต่เขาเอาไปทำเป็นฉลาด ทั้งๆ ที่เป็น 6 เขาก็เอาเป็นความฉลาด 1 ที่เรียกว่า เฉกะ คือ ฉ กับ เอกะ ก็บอกว่าเฮ้ย! 6 กลายเป็น 1 เห็นไหมว่าทั้งๆ ที่มันมี 6 แต่เขาก็เอาไปเป็น 1

จริงๆ แล้วมันก็คือเป็นภาษาของศาสนาพุทธนั่นแหละบาลี ซึ่งบอกว่าคุณเอา 6 เขาไปทำเป็น 1 เอา ฉฬายตะ ไปหดเป็น ฉ และเอก ก็เป็นเฉกหรือเฉกะ เฉโก มันก็ผิด มันก็เป็นฉลาดของคุณนั่นแหละ พยายามเอาคำว่า “ฉลาด”ขยายความมันเป็นความรู้ก็แล้วกัน เป็นความรู้ที่จะมากจะน้อยอะไรยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้นเขาเรียกว่าความฉลาดอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า มีต้นเหตุความฉลาดของคุณ 1 หรือทวารเดียว หน่วยเดียว แนวเดียว ทางเดียว 

แต่ของพุทธนั้นฉลาด 6 ทาง 6 แนว เกิดจาก 6 จุด อย่างนี้เป็นต้น จึงจะเรียกว่า เป็นความจริงครบ 

เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละมันจึงยืนยันความจริงที่บอกพูดกันไม่รู้เท่าไหร่แล้วว่า พวกหลับตานี้มันมีแต่ภพเดียว หลับตามันอยู่แต่ข้างในภพภวังค์จิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย อีก 5 ทิ้งเลย มันไม่ได้มาเรียนรู้มันไม่ได้มารู้จักอย่างถูกต้อง ละเอียดถูกต้อง มันก็กลายเป็น 1 ก็ไปเหมือนกันกับพวกที่เขามีความรู้แบบเฉกะ มันไม่ใช่ความรู้แบบ ฉฬายตนะหรือฉลาด ที่มันกร่อนมาเป็นภาษาไทยว่าฉลาด

อาตมาไม่ได้โมเมนะ มันเรื่องจริง มันมาอย่างนั้น ไม่ได้มาโมเม ฉลาดมาจาก ฉฬายตนะ นักวิชาการจะแย้งก็แล้วแต่ แต่ใครเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เอาไปใช้ก็แล้วกัน ใครไม่เอา..อาตมาก็บังคับไม่ได้ ไม่ได้ไปมีสิทธิ์ที่จะไปหวงห้าม

เพราะฉะนั้น ความรู้หรือความฉลาดนัยสำคัญที่มันมีนัยสำคัญที่แตกต่างกัน อาตมาก็ขอขยายความไว้เท่านี้  

เพราะฉะนั้น คุณโง่หรือมีความฉลาดหรือมีความรู้มากมายหลากหลายมากมายก็เท่าที่คุณมี คุณจะโง่ ใช้ศัพท์ว่าโง่หรือมันไม่รู้ แล้วมันก็ไม่มารู้ รู้เท่าไหร่ มันก็มากเท่าที่เรารู้หรือมันก็โง่เท่าที่เรารู้ฉลาดเท่าที่เรารู้ หรือมันฉลาดเท่าที่เราโง่ ก็เหมือนกันแหละที่จริงบอก 2 ขั้วเท่านั้นเอง บอก 2 ขั้ว ภาษา 2 ขั้ว คุณมีตรงนี้กับเท่านี้นี่แหละคุณมีเท่านี้ จากหัวมาหาง จากหางมาหัว จากต้นมาปลาย โง่แต่ฉลาดเท่านี้ หรือคุณฉลาดเท่านี้มาถึงตรงนี้ ฉลาดมาถึงโง่เท่านี้เท่าที่คุณมีมันก็เท่านี้แหละ ไม่ว่าคุณจะฉลาด โง่ก็เท่าที่คุณฉลาดหรือคุณจะฉลาด เท่าที่คุณโง่มันก็เท่ากัน 

_สู่แดนธรรม... ถ้าสมมุติว่าความเต็มเปี่ยมของมันร้อยหนึ่งเพราะมีความโง่อยู่ 25 เท่ากับว่าเราฉลาด 75 ได้ไหมครับ เพราะเราฉลาดได้ไม่ถึง 100 มีความโง่คาอยู่

_ดุลเพชรว่า... เขาอาจจะกลับเอาเลข 6 กลับหัวกลายเป็นเลข 1 ครับ 

พ่อครูว่า... เลข 1 ของไทยมันกลมๆ ของฝรั่งมันไม่กลม

_สู่แดนธรรม... ถ้าฉลาดเต็มที่ 75 ก็หมายความว่าเราโง่อยู่ 25 ได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ได้อธิบายอย่างนี้ก็ได้ แต่อาตมาว่าอธิบายอย่างนี้มันครบ คุณมีความฉลาด เท่าที่คุณโง่ หรือคุณมีความโง่ เท่าที่คุณฉลาด มันรวมลักษณะเต็มๆ ของคุณ โง่และฉลาดของคุณเต็มหน่วยมันจะมีเท่านี้ แต่คุณไปพูดของคุณอย่างนั้น มันเท่ากับไปแบ่งความฉลาดมันไม่เท่ากันแล้ว แต่นี่โง่กับฉลาดนี่เท่ากันนะ โง่เท่าที่คุณมีฉลาด คุณฉลาดเท่าที่คุณโง่ แต่คุณไปแยกอย่างนั้น คุณแยกโง่กับฉลาดไม่เท่ากันแล้ว ถ้าเผื่อว่าโง่ 50 ฉลาด 50 เออ อันนี้คุณโง่กับฉลาดเท่ากัน ถ้าจะอธิบายอย่างคุณ 

มันต้องอธิบายว่าอย่างงั้น มันก็ขยายความอะไรไม่ออกเลย​ แล้วอะไรจะต่อไปยังไง มันไปไม่ออก 

_สู่แดนธรรม... ผมนึกว่า คนเราความฉลาดไม่เท่ากันเพราะมีความโง่คาไว้อยู่

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ อันนี้เราไม่ได้เทียบใคร เทียบกับความฉลาดของเรา โง่ของเราเท่านั้น เราไม่ได้ไปเทียบกับใครนี่อันนี้ 

_สู่แดนธรรม... ถ้าเราไม่เหลือความโง่ซักหน่อย แสดงว่าเราก็ฉลาดเต็มที่ใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... มันก็ฉลาดเปรียบเทียบกับใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน มันเยอะไป

จะใช้ภาษาว่าเราโง่เท่าที่เราฉลาด ก็คือจากต้นเป็นปลาย ถ้าเราฉลาดเท่าที่เราโง่ก็คือบอกปลายกับต้น เท่านั้นเอง 

 

สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก ของ เจโตปริยญาณ 16 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ . พ่อครูกำลังสอนสภาวะต่าง ๆ ของจิต? จิตที่เรียนรู้ทุกอาการโลกียสุข-ทุกข์? ที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ซึมเศร้า ดีขึ้น-เลวลง? ในกายคือจิตที่รอบรู้ด้วยธรรมเจโตปริยญาณ ขัดจิต เกลาใจ เข้าถึงเจโตวิมุติ หลุดพ้นทุกข์-สุข โลกียธรรมทั้งมวลสาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จรณะ 15 วิชชา 8 โดยพิสดารลึกซึ้งบริบูรณ์ วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ตุลาคม 2566 ( 05:21:22 )

661009

รายละเอียด

661009 ฌานวิสัยเป็นอจินไตยที่เกิดได้ด้วยจรณะ 15 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #44 ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53582.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1S7nyJEK380GaBvEjByJBRhGMc0ych9Xu/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                     

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1XK792SN9eE-wnEUEwZ7Rb2rQEkR5gMXR/view?usp=sharing 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661009-167-1--15-e2abipd 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nzB_DDYBKc/ 

  และ https://youtu.be/VKxc82ugA3E 

(มีซับ)  https://youtu.be/CEBg0lHP3Rc

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2566 แรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้ก็จะเลยไปเป็นแรม 11 ค่ำแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ 10 มันไปเรื่อยๆ จะมีอะไรเหลืมกันไปเรื่อยๆ ปีเถาะ 

ปีกระต่าย 

มาเริ่มกันที่ ที่เมื่อกี้นี้ ไปดูโทรทัศน์บุญนิยมเรามาเมื่อกี้นี้ มีสาวตาบอดมาร้องเพลง มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว แต่เธอตาบอด แต่เธอเห็นพระเจ้าอยู่หัว คนตาดีนึกว่าตนตาดี นึกว่าตนเฉลียวฉลาด ที่จริงคุณไม่มีความฉลาด คุณมีแต่เฉกะ ไม่มีความฉลาด คุณมีแต่ เฉกะที่ยิ่งใหญ่ หลงว่าตัวเองเฉกะ เฉกะนี้ภาษาบาลีแปลว่าความเฉลียวฉลาด จริงๆ ใช้พยัญชนะว่าฉลาดก็ไม่ถูก เข้าใจว่า เฉพะ คือหลงตนว่ามีความรู้ เป็นคำกลางๆ ความรู้ 

คำว่า ฉลาดกับ เฉกะ ต่างกัน มันแยกกันไปคนละขั้วเลย เฉกะคือความรู้ ที่เป็นความรู้ชนิดหนึ่งที่ชาวเทวนิยมเป็น ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ จะไม่มีความรู้เป็น ฉฬายตนะ หรือฉลาด

ฉลาดในภาษาไทยเป็นคำกร่อนมาจาก ฉฬายตนะ จาก ต.เต่า มาเป็น ด.เด็ก ยตนะ มันกร่อนหายไป เหลือแต่ ด.เด็ก หรือฉลาดตัวเดียว ถ้าสะกด ฉ ฉิ่ง ล.ลิง สระอา ต.เต่า ก็อ่านฉลาดเหมือนกัน  สะกด ดงเด็ก มันยิ่งฉลาดแท้ๆ เลย สะกดเป็นไทยเลย ภาษาบาลีเขาไม่มี ด.เด็ก 

นัยสำคัญที่อาตมาแยกพวกนี้ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรอก แต่คนเขาก็ฟังแล้วก็เผินๆ เขาเข้าใจไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญ เขาภูมิยังไม่ถึง ยังไม่ฉลาดนั้นแหละ ยังไม่เฉลียวฉลาดเพียงพอที่จะรู้ว่านี่เป็นความสำคัญในความสำคัญ 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้สนใจ ยังไม่มีความฉันทะยินดีในคำสอนที่อาตมาสาธยายอธิบายอยู่ ยังไม่เห็นความสำคัญ ชัดๆ ก็คือยังไม่เห็นความวิเศษที่มันถูกต้องยิ่งยอด เขาจะยังไม่เห็น เขาจะดูถูกดูแคลนอาตมาอยู่ ยิ่งเขาไปศึกษาในสำนักที่มีอาจารย์ใหญ่ๆ เป็นที่ยอมรับทั้งยูเนสโก ยอมรับทั้งสหประชาชาติ ยอมรับทั้งของเทวนิยมที่ใหญ่ๆ องค์กรยิ่งใหญ่ของโลก อะไรพวกนี้ แม้แต่ Nobel Prize อะไรพวกต่างๆ ของ Noble ด้วยนะ

Noble เป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า สำคัญยิ่งยอด Nobel Prize รางวัลชั้นยอดเขายกให้โนเบล Nobel เป็นชื่อคน เป็น มิสเตอร์โนเบลที่ค้ากระสุน ระเบิด จนรวยเละเลย ค้าพวกกระสุนระเบิด ดินปืน พวกนี้ จนกระทั่งเป็นเศรษฐีใหญ่ มีกองทุนมากมาย แล้วก็เอาไปลงทุนเอาไว้ จนกระทั่งออกดอกออกผล ทุกวันนี้ยังแจกเป็นรางวัลทั่วโลกกันอยู่ ยังไม่จบเลย รวยมหาศาล 

คุณสู่แดนธรรม ส่วนมากเขาจะให้รางวัลสันติภาพ 

พ่อครูว่า .. เขาจะมองสันติภาพแบบโนเบล มองสันติภาพแบบรางวัลโนเบิ้ลของโนเบล ขององค์กรนี้เขา ซึ่งเป็นความรู้ทางเทวนิยม เขาจะยังไม่รู้สันติภาพแบบพุทธ สันติภาพแบบของศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยม ที่มีปัญญาและมีความสงบ มีความไม่เบียดเบียนอันสมบูรณ์แบบ มันชัดนะทางโน้นทำเครื่องระเบิดเบียดเบียนสัตว์ในโลก แต่ของพุทธนี่ ไม่เลย ไม่มีมิจฉาวณิชชาในเรื่องนี้เลย ไม่มีการค้าการขาย ไม่มีการสร้างสิ่งเหล่านี้มาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่เลย อันนี้เป็นนัยสำคัญที่ลึกซึ้งมาก  ที่พูดนี้ อาตมาไม่ได้นัดแนะกันนะ กับผู้ที่ insert ภาพ (แทรกภาพขึ้นจอ เป็นภาพ นายโนเบล กับรางวัลโนเบิล) 

เขาเป็นพ่อค้าความตาย รางวัลสันติภาพ Alfred Nobel เขาเป็นเจ้าของกองทุนนี้เลย เกิดที่สวีเดน เสียชีวิตที่อิตาลี เท้าความไป คนที่มีความรู้พวกนี้เก่งกว่าอาตมา อาตมา ปฏิภาณความรู้พวกนี้ ความรู้รอบตัวพวกนี้  ความรู้รอบตัวพวกนี้ อาตมาขอยอมรับว่า อาตมามีความรู้รอบตัวอื่นๆ ใดๆ น้อย ไม่ใช่น้อยมากนะ แต่น้อยๆ นิดๆ ไม่ใช่น้อยมาก น้อยนิดๆ เลย อาตมาขอยอมรับอย่างเดียวว่า อาตมามีความรู้ทางด้านโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ขอยืนยัน ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ว่าอาตมามีอันนี้มากที่สุดในยุคนี้ ของพระพุทธเจ้า อาตมาพูดความจริงนะอันนี้ จำนนที่ต้องพูดความจริง จำนน จำเป็น จำต้อง จำใจ ที่ต้องพูดคำนี้ 

เพราะว่าอายุอาตมาก็ใกล้ 90 แล้ว คนที่ใกล้ตายจะพูดความจริงทั้งนั้น ไม่มีอะไรตลบตะแลงหรอก

เพราะฉะนั้นในยุคนี้จึงเป็นยุคที่มันต้องมีความรู้ ที่เป็นโลกุตรธรรมเพิ่มขึ้น เพราะมันเกิด ที่มันเกิด อีกแหละต้องพูดความจริงอีกแหละ จำนน จำเป็น จำต้อง จำใจ จำยอม ที่จะต้องพูดความจริง ว่าอาตมาเกิดมายุคนี้ และอาตมาก็เป็นผู้นำเอาโลกุตรธรรมขึ้นมาประกาศในยุคนี้ อาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีความรู้ของตนเองแล้ว เป็นอภิญญาของตนเองแล้ว เป็นความรู้ยิ่งของพระพุทธเจ้าในตนเองแล้ว เกิดมาก็เอามาด้วย ไม่มีครูบาอาจารย์อื่น เพราะครูบาอาจารย์อื่นไม่มีแล้วที่มีโลกุตรธรรม มันเสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาณิสูตร ในพระไตรปิฎก ล.16 ช้อ 672 

คนที่ศึกษาติดตามก็อ้างอิงที่พระพุทธเจ้าสอน เรื่องที่จะต้องมีหลักมีฐานมีที่อ้างที่อิง อาตมาก็พยายามมีที่อ้างที่อิงอยู่เสมอ ก็ศึกษากันดีๆ อาตมาก็ยังเห็นว่ามันเกิดความจริงขึ้นแล้วในประเทศไทย ในมนุษย์พุทธศาสนิกชนคนไทยจำนวนหนึ่ง แม้จะน้อย ก็เป็นเรื่องของสัจจะที่เกิดแล้วเกิดเลย มั่นคงยั่งยืนด้วย ขอยืนยัน เป็นปึกแผ่นแน่นอน เป็นเอกีภาวะ แล้วมันก็จะขยายผลไป ซึ่งมันยาก มันไม่เร็วนักหรอก แต่มันจะต้องขยาย เพราะมันจำนนแล้ว มันใกล้กลียุคแล้ว มันจะต้องขยาย อัตราการก้าวหน้าที่มันจะขยายไปได้มากในอัตราข้างหน้า ตอนนี้ยังน้อย อัตราการก้าวหน้ายัง .0001, .0002, .0005 มันจะถึงหรือเปล่า มันยังขยายอัตราการก้าวหน้ามันยังน้อยมาก แต่มันก็จะก้าวหน้าไป อัตราการก้าวหน้าจะมีปฏิภาคทวีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ 

อาตมาเชื่อว่า อาตมาตายไปแล้วนั่นแหละ อาตมาคงอยู่ไม่นานเกินกว่า..คนก็พยายามดันไปให้ถึงอายุ 151 ถ้าอาตมาจะดันสุรัง ตอนนี้ 90 ย่าง โอ้โห ก็ต้องปาเข้าไปอีก 60 กว่าปี เฮ่อะ อาตมาทำงานศาสนามา 53 ปี แฮ่กๆ แล้ว หอบแฮกๆ แล้ว จะอยู่อีก 60 กว่าปีนี้ มัน แหม Impossible นะ 

เอา SMS ก่อน 

 

SMS วันที่ 6-8 ตุลาคม 2566

ความเจริญก้าวหน้าของการนำเสนอเพลงพ่อครูโลกุตระ

_Ps Chomsree พีเอส ชมศรี : ชมจากรายการนับถอยหลัง คอนเสิร์ต 90 ปีพ่อครูแล้ว เห็นความสุดยอดในการทำดนตรีของคุณหนึ่งจักรวาล สาธุๆๆ ครับ

พ่อครูว่า…ดี..เห็นความเจริญ คือคนเราก็แสดงประสิทธิภาพของตัวเองขึ้นมา มันมีช่องโชว์ มีโอกาส มีอะไรต่ออะไรที่เป็นเหตุปัจจัยนะ ก็มันเป็นไปได้จริงๆ ก็มาร่วมรวมกัน มันไม่ใช่แต่คุณหนึ่งจักรวาลคนเดียว คุณหนึ่งจักรวาลยังประกอบไปด้วยคนที่สีไวโอลินคนที่มาร่วมร้องเพลง คนที่มาร่วมทำอะไรอย่างอื่นอีก เหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง มันช่วยกันขึ้นมา แต่แน่นอนมันมีตัวเด่น 

เช่น อาตมาเป็นต้น มันมีพวกคุณ มันมีท่านเดินดิน มีท่านแสนดิน มีใครต่อใคร มีท่านบินบน มีท่านเพาะพุทธ และอีกเยอะแยะแม้แต่ สิกขมาตุ แม้แต่ฆราวาสก็มีความรู้ทางโลกุตระช่วยกัน รวมกันขึ้นมา มันก็เป็นมวลของโลกุตรธรรม แสดงปรากฏการณ์เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริง มันก็เกิด นี่ขยายความให้เห็นถึงสภาพของสัจธรรม 

เพราะฉะนั้นคุณหนึ่งจักรวาลก็เป็นนัยยะอย่างนี้ ซึ่งมันก็มีจุดสำคัญตรงเรื่องว่า 

คุณหนึ่งจักรวาลนี้เริ่มมีจุดสำคัญที่จับ interest Point ของเนื้อโลกุตรธรรมได้บ้างแล้ว เพลงหรือดนตรีการหรืองานที่อาตมาทำมามันไม่ใช่เพิ่งเกิด ใช่ไหม มันเกิดมาก่อนอาตมาจะมาบวชอีก ก่อน 50 กว่าปี แต่มันเพิ่งจะมารู้สึกว่ามันจะมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดแพร่ หรือว่ามีคนข้างนอกเขา แต่ก่อนก็มีแต่ของพวกเราดันสุรังกันอยู่ คณะดนตรีก็มีแต่วงฆราวาส วงเดียวเล่น คณะอื่นเขาไม่เอาไปเล่นนะ  เล่นอยู่แต่ในของชาวอโศก ข้างนอกเขาไม่ค่อยเอาไปเล่น นี่ก็เริ่มขยายแล้วนะ มีคนชักมองเห็นแล้วก็เอาออกไป มันเริ่มแล้ว 

เหมือนกับหนูอะไรที่ร้องเพลง มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว คนตาบอดชักเห็นได้แล้ว คนตาบอดชักเห็นได้แล้ว นี่เป็นนัยสำคัญที่อาตมาพูดนะ คุณเข้าใจสัจธรรมมุมนี้ให้ดีๆ อาตมาเคยพูดถึงพยัญชนะตัวนี้ด้วยว่า จะทำ จนคนตาบอดเห็นได้ เกิดแล้ว มีนิมิตคนตาบอดเห็นได้ขึ้นมาแล้ว ใครจะเห็นจุดสำคัญของพระเจ้าอยู่หัว แต่คนที่ตาดีทั้งหลายแหล่นี่บอดกันหมด ไปเป็นคนตาบอดมามองเห็นพระเจ้าอยู่หัว มันคืออะไร..เห็นไหม 

จบเรื่องนี้ไว้แค่นี้ก่อน นี่ก็ทิ้งนัยสำคัญไว้ให้ติดตาม เรื่องของคอนเสิร์ตก็ว่ากันไป รู้สึกว่าใช้เวลาทำงานกันยาวยืดเป็นปีเลยนะ ซึ่งเป็นนิมิตหมายให้เห็นว่า โอ้โฮ คนตั้งใจนะ มีคนตั้งใจร่วมมือร่วมไม้ด้วย 

 

_งามใบตอง นิลมณี : เพลงเก็บรัก เพลงโปรดสมัยวัยรุ่นค่ะ ชอบเสียงคุณศรีไศล สุชาติวุฒิ มากค่ะ

พ่อครูว่า…ดี ค่อยๆติดตามไป กำลังมาร่วมกันเพื่อที่จะร่วมสมัยกันขยายผล 

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : น่าจะมีบันทึกเพลงรัก รักพงษ์โดยศิลปินเพลงเวอร์ชั่นใหม่ลงแฟลชไดรฟ์ขายต่อแฟนเพลงสัจจะชีวิตพ่อท่านฯบ้าง อย่างที่ธรรมทัศน์เคยนำแฟลซไดร์ฟเพลงพ่อท่านฯมาขายงานบุญอโศกพร้อมเครื่องเล่นเพลงขนาดมินิฯที่พวกเราเคยสนับสนุนมาทุกงานบุญอโศกฯ อยากได้เพลงเวอร์ชั่นใหม่ จริงๆ ฟังทีไรผ่อนจิตคลายใจหายเครียดหมดหมองหม่นสิ้นทุกข์โศกทุกทีฯขอบคุณ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #44 ฌานวิสัยเป็นอจินไตยที่เกิดได้ด้วยจรณะ 15 วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2566 ( 07:55:43 )

661011

รายละเอียด

661011 จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยฌานของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก 

https://www.boonniyom.net/53584.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1JDPYcelIqjlymOZhejC3JYZlao0JkAYI/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1UfxeGo5ipwqjwlKWYRGs52n7SLNAiT0W/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661011-108-1--3----_1_1-e2aeft9 

 

ดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/fRKN1paO4pE 

และ  https://fb.watch/nCeLik-d-7/ 

มีซับ https://youtu.be/THEyHL6daNQ

 

สมณะเดินดิน...วันนี้วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 โรงแรม 12 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วัน เมื่อถึงวันที่ 13 ซึ่งยังไม่ใช่วันเข้าเทศกาลกินเจที่เดียวแต่ถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีของเราที่จะนำร่อง วันนี้เรียกว่าวันนวมินทรมหาราช แปลว่าวันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนมีวันหยุดแค่วันที่ 5 ธันวาคม ตอนนี้มีวันที่ 13 ตุลาคมถือว่าเป็นวันสำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง วันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายที่เขาแปล 

คิดว่าที่ต่างๆของพวกเราก็คงจะได้ถือฤกษ์เปิดโรงบุญ และต่อด้วยงานเจติดต่อกันไปเลย วันที่ 13 ถือว่าเป็นวันนำร่องก่อน 

ปีนี้พ่อครูก็ได้เปิดประเด็นเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่สังคมเขาโหดร้ายรุนแรงกัน เขาเรียกร้องกันว่าเป็นการฆ่ากันเกินเลยความเป็นมนุษย์หรือเปล่า คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนกันหรือเปล่าที่เข่นฆ่ากันอย่างอำมหิตโหดร้าย มนุษย์ไม่น่าจะถึงขนาดนี้ ก็พยายามเรียกร้องกัน ในการที่มีการรบราฆ่าฟันกัน ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น 

พ่อครูก็เปิดประเด็นขึ้นว่า สิ่งที่พวกเราควรคิดคำนึงนอกจาก Human Right Watch แล้ว ยังมี Animal Right Watch 

พ่อครูว่า... Human มีองค์กรไป Watch แต่สัตว์มันไม่มีใครไป Watch 

สมณะเดินดิน...Animal ก็มีเฉพาะ Dog พวกสมาคมรักหมา มีการเฝ้าระวังไม่ให้ใครไปทำร้ายหมา เคยดูข่าวว่ามีคนไปตีหมาตายมีกล้องบันทึกเอาไว้ เพราะว่าหมาไปกัดคนในหมู่บ้าน แต่ต่อมาเขาก็ถูกแจ้งจับ เพราะไปทารุณกรรมต่อหมา มีกฎหมายห้ามทำทารุณกรรมต่อหมา แต่มันมีเฉพาะเฝ้าระวัง Dog แต่สัตว์อื่นๆไม่มีการเฝ้าระวังเลย นอกจากไม่เฝ้าระวังแล้วยังทำทารุณแบบสดๆ 

อาตมาเคยดูคนคนๆหนึ่งเขากินโชว์ จนมี FC กลายเป็นยูทูปเบอร์ มีวิธีกินทำให้ดูอร่อย ไปหาของแปลกๆมากิน เป็นต้นว่ากินส้มตำก็มีปูตัวเล็กๆไต่ยั้วเยี้ยบนถาดส้มตำ กินส้มตำคำหนึ่งกินปูคำหนึ่งทำท่าอร่อยใหญ่เลย เขาไม่กลัวพยาธิใบไม้ในปอด เคยมีเด็กวัยรุ่นพยาธิเต็มไปหมด หมอก็บอกว่าน่าจะกินปูนี่แหละ 

พ่อครูว่า... ผู้ใหญ่กินพ่อปูแม่ปูเลย 

สมณะเดินดิน... คิดว่าในเทศกาลกินเจปีนี้ พวกเราน่าจะให้ความตื่นตัวแล้วก็ให้ความสำคัญในสังคมที่นับวันๆยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงเข่นฆ่ากันอย่างน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น ทำอย่างไรเราถึงจะเพิ่มค่านิยมของเมตตาธรรมให้มันเกิดขึ้นในสังคม อาตมาว่าคนที่มากินเจ ถ้าดูบุคคลที่จะมารับเข้าใจโลกุตรธรรม คิดว่าคนที่กินเจน่าจะเป็นประชากรกลุ่มแรกที่เข้าใจโลกุตระได้ กลุ่มอื่นน่าจะยาก เคยไปงานศพเพื่อนของพ่อครู ภรรยากับลูกชายเขาสนิทกับพวกเรามากออกมาต้อนรับอย่างดี แต่ก็เหมือนคุยเป็นพิธีเท่านั้นเอง แล้วก็ไป แต่คนที่นั่งคุยตลอดในงานคือลูกเขย ทั้งที่ไม่เคยสนิทกัน แต่ว่าลูกเขยเป็นสมาชิกของชมรมมังสวิรัติ(ชมร.)

ภรรยากับลูกชายแม้จะสนิทกับเราแต่ก็ไม่รู้จะพูดคุยต่อกันอย่างไร แต่ลูกเขยเคยกินอาหารที่ชมรมมังสวิรัติเป็นประจำ เป็นวิญญาณที่ต่อเชื่อมกันได้ ในมนุษย์ก็จะมีช่องว่างระหว่างพวกเรากับคนทั่วไปเหมือนกัน คือมันเหมือนกับคนละสปีชีส์ คนละเผ่าพันธุ์ พวกเราน่าจะให้ความสำคัญ ออกมาชูธงบุญญาวุธหมายเลข 1 ทำให้มันอบอุ่น อย่างน้อยในแต่ละชุมชนที่เงียบเหงาก็น่าจะได้ออกมารวมพลังกัน ปลุก ทำให้บรรยากาศคึกคัก ขึ้นมาบ้าง 

ได้ฟังที่ท่านลือคมอยู่ที่ศาลีอโศก เคยไปอยู่ที่ศาลีอโศก คนรอบข้างไม่รู้จะมาสัมพันธ์อย่างไรกับเราเพราะเขาเรียกพวกเราว่า พวกป่าช้า ไม่มีวิญญาณจะมาเชื่อมกับเราได้เลย เขาก็ปล่อยให้เราอยู่อย่างนั้น 20-30 ปี แต่พอท่านเปิดอาศัยงานเจ จัดให้กินฟรีเลย ทีนี้มากันคึกคักเลย แล้วก็พวกญาติธรรมเขาบอกว่าไม่ค่อยอยากมาขาย แต่ถ้าตั้งโรงบุญเขาพร้อมจะมาทันทีเลย 

วิญญาณสัมพันธ์กับคนภายนอกมันก็เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับบุญญาวุธหมายเลข 1 เราก็จะกลายเป็นพวกป่าช้ากันไปอีกตลอดกาลนาน 

พ่อครูว่า... มาเปิดฉากกับ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 9-10 ตุลาคม 2566

_ศรีนวล อินปล้อง . น้อมกราบท่านพ่อครู สมณะ สิกขมาตุและญาติธรรมค่ะสาธุ ลูกติดตามทีวีบุญนิยมทางยูทูบและเฟชบุ๊ก ฟังซ้ำหลายครั้ง ชอบและปฏิบัติตาม และติดตามหมอเขียวด้วยค่ะ จนสามีบอก มีช่องรึ ลูกชายก็ชอบฟังและดูแล้วเราก็มาแลกเปลี่ยนกันค่ะ คุยกันปรึกษากันทุกวันเลยค่ะ สุโขทัยค่ะสาธุ

จะอ่านรู้เวทนา สัญญา สังขาร ต้องปฏิบัติฌานลืมตา

_แหวว แหวว . กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ขอเรียนถามค่ะว่า ช่วงระหว่าง จิตเกิดเวทนาสัญญา พอสังขารเสร็จ พึ่งมารู้ตัว จะสังเกตรู้ได้อย่างไรคะ ว่าสัญญาแล้ว กำลังจะข้ามมาสังขาร ตามจิตไม่ทันค่ะพ่อ

พ่อครูว่า…หัดอ่านอย่างนี้แหละ รู้หน้าที่ของมันก่อน คำว่า  

“เวทนา”มีหน้าที่อะไร มีอาการอย่างไร อาการของมันจะบอกหน้าที่ 

อาการของเวทนา คือ อาการรับรู้สึก รับรู้สึก สัมผัสและรับรู้สึก ถ้าไม่มีสัมผัส มันไม่มีเวทนา มันไม่รับรู้สึก มันจะมีแต่สัญญาเลย ถ้าไม่มีสัมผัสข้างนอกมีแต่สัญญา 

สัญญาคือ การกำหนดรู้กับความจำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีสัมผัสข้างนอก สัญญามันก็ทำงานรู้ มันก็รู้ได้จากของเก่าหรืออดีตความจำ หรือคิดใหม่ฟุ้งซ่านไปเองอนาคตที่ยังไม่เคยมี มันยังไม่เคยเป็น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีผัสสะ ไม่มีปัจจุบันธรรม ตากระทบรูป หู กระทบเสียงพวกนี้ จึงเป็นโมฆะในการปฏิบัติธรรมเพราะมันไม่ได้เป็นแปลงสิ่งที่กำลังเกิดจริง มันไปงมอยู่กับอดีตกับอนาคตซึ่งมันไม่มีของจริง อดีตกับอนาคตไม่มีของจริง ของจริงคือปัจจุบันการปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติที่กำหนดสัมผัสและเกิดอาการนี่เป็นของจริง 

เรียนรู้ของจริงว่ามันเกิดปรุงแต่งกันอย่างไร มีกิเลส วิจัยวิจารกันอย่างไร จึงจะกำจัดตัวจริง มีของจริงก็ได้กำจัดตัวจริง แต่เมื่อไม่มีตัวจริง ไม่มีปัจจุบันธรรม มันก็มีแต่ของก๊ มีแเต่ของอดีตกับอนาคต เพราะฉะนั้นการไปหลับตาปฏิบัติธรรมจึงโมฆะ มันไม่มี มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เลยในพระไตรปิฎกพระสูตรเล่มแรกเลย พรหมชาลสูตร มิจฉาทิฏฐิ 64 อย่าไปทำเลย แต่เขาเข้าใจไม่ได้เพราะชาวพุทธนั้นเสื่อม เสื่อมจนจำไม่ได้ว่าของพระพุทธเจ้าคืออย่างไรก็เลยมิจฉาหลงตามอาจารย์รุ่นก่อนๆ มิจฉาทิฏฐิอยู่จนทุกวันนี้ 

อาตมาก็ปลุกแล้วปลุกอีก เตือนแล้วเตือนอีก ยืนยันแล้วอ้างอิงอธิบายพามาปฏิบัติ เพื่อยืนยันของจริงเพื่อให้เทียบเคียงเลยว่าอะไรมันจะถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ ไม่เขาก็ยังไม่กระดิกหู ไม่กระเตื้องอะไรเลยก็น่าสงสาร 

เราเรียนรู้ก็เรียนรู้ที่เวทนา  สัญญา  สังขาร นี่เป็นเจตสิก 3 ของวิญญาณที่เป็นธาตุรู้องค์รวม มีรูปด้วยคือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเวทนาสามารถที่เรามีสัญญากำหนดรู้ หรือมันกำหนดรู้แล้ว สัญญานี่แหละใช้กำหนดรู้ กำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร 

สังขารคือการปรุงแต่ง พอเวทนากระทบปั๊บ  มันก็ปรุงแต่งด้วย ยิ่งมีกิเลสร่วมอยู่ด้วยกับจิต มันมีบทบาทจริงเลย มันมีอยู่ในเรา  มันจะปรุงแต่งปุ๊บเลย มันจะสังขารทันที เราจึงต้องอ่านเวทนาที่มันสังขาร 

โดยตัวสัญญาเป็นตัวทำงาน กำหนดรู้ตัวนี้ จึงจะกำหนดรู้ที่มีสัมผัสและมีของจริงหรือความจริง เป็นปัจจุบันธรรม ถ้าไปหลับตามันไม่มีของจริง ไปทำยังไงก็แก้ไขไม่ได้ เพราะมันไม่มีของจริง มันมีแต่ในอดีตอนาคต ไม่รู้ว่าเราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง นี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อธิบายสู่ฟังว่า หลับตานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปเอาอย่างเดียรถีย์ทำไม มาลืมตาปฏิบัติธรรมตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่ 

ตั้งแต่ศีลแต่ละข้อเดี๋ยวก็จะได้อธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ ตั้งใจอธิบายต่ออยู่ คนก็ยังอยากจะฟัง ค่อยๆว่าไป 

ทีนี้ที่ถามมาก็ต้องศึกษาไป แล้วรู้หน้าที่มันให้ชัด แล้วจะรู้ว่าอะไรมันก่อนมันหลังอาการมันยังไง ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆ มันเป็นอภิธรรมจริงๆ มันเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่ใช่รู้ง่ายๆ ขออภัยไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยแต่เป็นวิสัยของอาริยะ เป็นวิสัยของคนเจริญที่แท้จริงจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคลไม่รู้ความจริง จะรู้ผิดๆ ต้องมาศึกษาจริงๆ 

 

_ใบยอม กันธะ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ธรรมะที่พ่อครูนำมาสอนลูก ๆ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นสุดยอดแห่งการสอน และลูกได้ฟัง แล้วนำมาปฏิบัติ ซึ่งลูกทำได้ระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นข้อสำรวมอินทรีย์ ข้อนี้ลูกยังทำไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ละความพยายามจะฝึกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสำเร็จ รายงานมาให้ทราบค่ะ ด้วยความเคารพพ่อครูสุดหัวใจ

พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็ว่ายุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายจรณะ 15 วิชชา8 มากเท่าอาตมาหรอก เอาจริงเอาจังด้วย สอนอย่างเอาจริงเอาจังด้วย เพราะจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติที่เป็นของพระพุทธเจ้า เรียกเต็มๆว่า จรณะ วิชชาจรณะสมบัติ เป็นสาระแท้ เป็นทรัพย์จริงของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่อยู่ในร่องรอยของจรณะ 15 วิชชา 8 จึงไม่ได้อยู่ในกองสมบัติพระพุทธเจ้า อยู่นอกกองสมบัติ พวกนี้พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า พวกไม่อยู่ในสมบัติของพระพุทธเจ้า พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า ไม่มีมรดก ไม่ได้รับมรดกแท้ เพราะมรดกของพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติเป็นสุดยอด 

ดี ทำไปแต่ละระดับ การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถูกแล้ว เอ้า..ดีมาก ตรงนี้ไม่ผิดเป้าแล้ว

 

จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ...

แสร้งอ้างว่าประชาธิปไตย    เหล่าคนไทยหลงคารมชมเศรษฐี 

ว่าแจกเงินหนึ่งหมื่นชื่นชีวี    แม้เขามีเล่ห์กลไม่สนใจ 

เราจะทำอย่างไรไทยตื่นรู้     กราบพ่อครูช่วยชี้ทางสว่างให้ 

สร้างปัญญาให้ปวงชนพ้นเภทภัย  ศิวิไลซ์ไทยยืนยงไม่หลงกล

พ่อครูว่า…อาตมาก็พากเพียรอยู่ พยายามอยู่ ที่พยายามเตือนสติ พยายามบอกให้เห็นเล่ห์กลต่างๆในการแจก เอาเงินของรัฐบาลมาแจกด้วยเอาเงินของส่วนกลางมาแจกประชาชน ไม่ใช่เงินตัวเอง แล้วก็หาเสียงให้แก่ตัวเอง อันนี้เป็นวิธีการ เป็นกลยุทธของนักการเมือง ที่เมื่อได้ตำแหน่งหน้าที่ใช้พวกนี้ได้เขาก็จะทำ ทำกันมาตลอดเวลาไม่รู้กี่ยุคกี่ยุค กี่สมัยก็เป็นอย่างนี้กันมา 

ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ก็บอกว่า หากรัฐบาลใหม่แจกเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet จะต้องใช้งบสูงกว่า 5 แสนล้านบาท ต้องกู้เงินก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม มิฉะนั้นต้องเก็บภาษีเพิ่ม 

พ่อครูว่า... ที่จริงมันน่าจะเอาเงินของนายกเองรวยจะตายมีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน เขาตระกูลแสนสิริ ไม่รู้นะน่าจะถึงแสนล้านหรือเปล่าแต่หมื่นล้านน่าจะถึง พวกเศรษฐีใหญ่ เอ้า ก็ฟังไป ดูพฤติกรรมคนไป 

กว่าคนจะมารู้ธรรมะเป็นโลกุตระ หรืออาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นมาก่อน ท่านเป็นผู้ที่มีสมบัติพัสถาน มีเวียงมีวัง สุดท้ายท่านก็พอรู้ตัวแล้วท่านไม่เอาเลย โยนทิ้ง ไม่เอาไม่รับผิดชอบ ไม่เอาเป็นสมบัติตนเลย ออกมาเลย มาทำงานสอนให้คนมาเป็นอย่างที่ท่านเป็นทันที 

มันเป็นสุดยอดแห่งความเป็นมนุษย์ จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ มันต้องได้คุณธรรมอันนี้ ถ้าได้คุณธรรมอันนี้แล้วมันมีหลักประกันที่อาตมาไล่เรียงอธิบายให้ฟังแล้ว 

ตั้งแต่กิจ กิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 พยายามกำหนดหัวข้อหลักเกณฑ์ต่างๆเอามาขยายความให้พวกเราฟังเห็นความสำคัญ 

กิจข้อที่ 1 ทำดี ละชั่วประพฤติดี ซึ่งโลกทั้งหลายแหล่ ศาสนาทุกศาสนาเขาสอน สอนเรื่องนี้และเรื่องนี้เท่านั้น ในศาสนาทุกศาสนา สอนเรื่องทำดีอย่าทำชั่ว และเขาสอนแล้วก็ทำดีกันพอได้ตามที่เขาพยายามสอนกัน อบรมฝึกฝนให้เป็นคนทำดีอย่าทำชั่ว แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน จึงไม่มีนิยตะ จึงไม่เที่ยง ได้แต่แค่นิจจัง นิจจจังนี่คือเที่ยงเหมือนกัน แต่เที่ยงชั่วครั้งชั่วคราวแล้ววนกลับ ไม่เหมือนนิยตะ นิยตะนี่คือเที่ยงไม่มีวนกลับ นี่คือต่างกันระหว่างของโลกีย์เทวนิยมกับโลกุตระของพระพุทธเจ้า 

ของพระพุทธเจ้าประพฤติกิจทำดี ไม่ทำชั่ว ละชั่ว เที่ยงนิยตะ ได้แล้วได้เลยไม่วนไปช่วยอีกเกิดชาติหน้าเกิดชาติต่อๆไปก็ไม่ชั่วอย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นกิจที่ 1 

กิจที่ 2 เรียนรู้สุขทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์นี้เทวนิยมไม่มีไม่รู้เรื่องเลย มีศาสนาพุทธเท่านั้นรู้และเรียนสำเร็จ ล้างสุขทุกข์ออกจากจิตเป็นอรหันต์ เป็นคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นกิจสำคัญ เพราะฉะนั้นจบกิจนี้ก็ถือว่าจบแล้วหน้าที่ของคน ที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น

กิจที่ 3 ลึกซึ้งขึ้นไป เรียนรู้กาละ กาลเวลา อยู่ในกาลเวลา เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะปรินิพพานได้แล้วชาติใด แต่ยังไม่ทำกาละ เพราะฉะนั้นการทำกาละ เขาแปลว่าตาย คนทำกาละนี่คือคนตาย ทำกาละคือ ทำไม่ให้กาละมันต่อ ตัดตัวเองออกจากกาละ แยกธาตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไป ก็ไม่มีตนอยู่ในกาละ กาละมันมีอยู่ตลอดกาลนาน ตราบใดที่มีวัฏจักร มีมหาจักรวาล ยังมีโลก ยังมีสัตว์โลก แม้ไม่มีสัตว์โลก โลกมันก็มีและมันก็เคลื่อนเป็นกาละของมันอยู่ แต่สัตว์ๆมันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เวลากับกาละ แต่คนนี้แหละมารู้จักรับความเดินทางเวลากาละ มากำหนดพวกนี้รู้กัน 

เพราะฉะนั้นตัวกิจที่ 3 นี้จึงเป็นกิจที่สูงสุด ในกิจ 3 กิจ ที่อาตมาแยกมาอธิบายให้ฟัง ชัดๆ ง่ายๆ 

พวกเราชาวอโศกสามารถรู้จักกาละและพ้นกาละ สามารถศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้จบกิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 มาได้ เป็นจริงอาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ขี้ตู่ แต่ที่อื่นเขาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้เรื่องแล้ว มันเสื่อมจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ศาสนาพุทธจะมาเรียนรู้โลกุตระได้ โลกียะเขาก็ไม่รู้ที่เรื่อง เขาก็หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จารีตประเพณีอะไร เละเทะเละเทะกันไปอยู่อย่างนั้น 

_ชาญณรงค์ จินดาธรรม . น้อมกราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่าน ผู้มีเหล่าอกุศลธรรมอันให้เศร้าหมอง นำให้เกิดในภพใหม่ อันท่านนั้นรู้แจ้งแล้ว (เวทคู) 

พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาเป็นเวทคู รู้แจ้งแล้วไม่เกิดในภพใหม่ คำว่าไม่เกิดในภพใหม่ไม่ได้หมายความว่า พอผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว ภพใหม่คือชาติต่อไป มันเป็นภพที่เป็นภพ สัมปรายิกภพ ที่วิเศษขึ้นไปอีก เป็นภพที่เราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจความเป็นภพแล้ว เป็นภพที่เราอยู่เหนือภพ เพื่อที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นการติดอยู่ในภพได้ต่อๆไป มาทำงานต่อ อันนี้แหละมันลึกซึ้งซับซ้อนไม่ค่อยรู้กัน 

_อันท่านล้างเสียแล้ว (นหาตกะ) อันท่านให้หลับไปแล้ว (โสตติยะ) อันท่านกำจัดเสียแล้ว (อรหันตะ) ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรักอย่างยิ่ง ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งครับ

พ่อครูว่า…สำหรับผู้รู้ พวกไม่รู้เขาก็ว่าอาตมา เขาด่าด้วยนะบริภาษด้วย บริภาษแปลว่าด่า บริภาษเอาด้วย ไม่ใช่ว่าแค่ไม่รับอาตมา แถมบริภาษเสียอีก 

 

_ศรินทร์ ทองธรรมชาติ . ร่วมกันชมที่มหาสารคามชัดเจนดีค่ะ กราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะและท่านสิกขมาตุทุกรูปด้วยความเคารพยิ่งคะ อนุโมทนาสาธุค่ะ ชอบมากได้รับสัมมาทิฏฐิทุกๆๆ ครั้งที่รับชมค่ะ อยากให้เพลงมาร์ช “ประเทศคือชีวิต” MV ที่ชาวอโศกร้อง ออกแสดงคอนเสิร์ต 90 ปีพ่อครูด้วยนะคะ

พ่อครูว่า…ดูเหมือนเพลงนี้จะไม่มี ก็เป็นการเสนอความเห็น 

 

ความเป็นมาของหมู่บ้านราชธานีอโศก

_เสียง อิสระ . กราบนมัสการครับพ่อท่าน ผมเห็นพ่อท่านกล่าวถึงภาษาของบทกวี ทำให้ผมนึกถึงย้อนไปเมื่อประมาณ ปี 2539 ผมจึงได้ลองแต่งกลอน กาพย์ฉบัง 16 และเพลงมาร์ช ขึ้นมา โดยอาศัยการสังเกตเพลงของพ่อท่านหลาย ๆ เพลง ที่มีการต่อคำแบบแปลก ๆ ซึ่งต่างจากเนื้อเพลงทั่วไป ผมไม่รู้ว่าเนื้อกาพย์กลอนจะเข้าข่ายกวีหรือเปล่าครับ 

เนื้อกาพย์มีว่า  แสงระวี สุรียาตร์ พรรณราย ทาบทามกำจาย 

ทหัยชื่นมื่น ครื้นเครง แลมูลพู้นรดา อ่าเอง เอื้อนเสียงเพียงเพลง บรรเลงลำค่ำลง จงใจทวีพลบ คบคอน ฟอนไฟ ระยุค ล้ำ กร้ำกราย มาดหมายชายเมียง เวียงพง โอ้โพธิสัตว์จ้าว เนาณรงค์ ราชธานีดาวดง ก่อกงธงธรรม ส่ำเมือง 

โดยเนื้อหาแปลว่า แสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้าช่างเปล่งประกายสวยงามมากชวนให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส ครั้นยามเย็น แม่มูลก็ยังคงความงดงาม ให้ครื้มใจ จึ่งร้องเพลงออกมาด้วยมีความสุขมาจากใจ ค่ำแล้ว จึงจุดฟืนไฟ เพื่อให้ความสว่าง กาลเวลา และความมืดคืบคลานเข้ามา ทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นทั้งสภาพที่อยู่อาศัยและเป็นป่า ณ.ที่นี้เป็นดินแดนของพระโพธิสัตว์ โดยมีกลุ่มดาวเป็นผู้บุกเบิกในยุคแรก จากนั้นจึงเริ่มมีมวลกลุ่มมามากขึ้น และร่วมกันก่อร่างสร้างเมือง จนเป็นราชธานีของการเผยแพร่ศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ กราบนมัสการพ่อท่านครับ

พ่อครูว่า…ดี พอแปลออกมาก็ฟังดูดี แต่ละคนมีความรู้มีความชำนาญมีความสามารถในภาษา ในอะไรหลายๆอย่าง นี่เขาพูดพาดพิงไปถึง 7 ดาวผู้บุกเบิกราชธานีอโศกตอนแรกๆ ในยุคแรก เดี๋ยวนี้เหลืออยู่เห็นหน้าอยู่กี่ดาว มีดาวเพ็ญ ดาวนา ดาวพร ดาวเย็นก็ไม่รู้ไปรวยอยู่ที่ไหน ดินดาวอยู่ ดาวดินไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่แล้ว นี่เขาดาวผู้หญิง นี่ก็ตำนานชาวอโศก บุกเบิกจนกลายเป็นราชธานีอโศกทุกวันนี้ 

จริงๆแล้วอาตมาว่าอาตมาประสบผลสำเร็จนะ หมู่บ้านนี้นี่ อาตมาว่าอาตมาเป็นผู้นำพาเกิดหมู่บ้านขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งในตำบลในอำเภอวาริน เป็นหมู่บ้านไม่เล็กนะ หมู่บ้านมีตั้ง 400-500 หลังคาเรือนไม่เล็ก มีตั้ง 2 3 เฟสหมู่บ้าน กลางหมู่กลางก็คือเฟสหลวง เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 มีตั้งหลายเฟส รวมกันอยู่ มีวัฒนธรรม มีการสร้างบ้านแปลงเมือง หลายๆอย่างที่พวกเราอยู่ 

โดยเฉพาะคนที่มาอยู่ในที่นี้ เป็นสัปปายะ สถานที่เราก็ทำให้เป็นสัปปายะ สัปปายะคือ ที่เจริญ ที่สบาย สถานที่ก็สัปปายะ บุคคลอันนี้สิยืนยันชัดเจน บุคคลสัปปายะ บุคคลเจริญ อยู่กันอย่างสลาย นี่มาอยู่กันอย่างเมตตากายกรรม  เมตตาวจีกรรม  เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างสาธารณโภคี มีทิฎฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ตรงตามสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ยืนยันว่าพวกเราประสบผลสำเร็จปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ได้จริง อันนี้เป็นการยืนยันเลย ก็เป็นอยู่กันไป 

แม้จะอายุเราทำได้ไม่กี่ปี ที่นี่เริ่มปี 2537 ดาวทั้งหลายมาปักลง  อาตมาอายุ 60 ปีพอดี ปักหลักลงที่นี่ มาถึงปีนี้ 66 พ.ศ 2566 

สมณะเดินดิน... ปีหน้า 2567 ก็ครบ 30 ปีราชธานีอโศก 

พ่อครูว่า... ปีหน้าครบ 30 ปี ฉลองกันดีไหมปีหน้า ฉลองไม่ใช่ถองนะ อาตมา 90 พอดี 2567 บ้านราชก็ 30 ปี น่าฉลองเนาะ 30 ฉลอง เอาละผ่านไป ก็เป็นไป คนเราก็มีความคิดจะฟุ้งซ่านก็ได้ จะเรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ก็ได้ 

 

จิตอรหันต์สายปัญญาจะปรุงแต่งได้แม้ในยามหลับ

_บัวดาว พรมเลิศ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพบูชาสุดเศียรเกล้า ลูกอโศกทั้งหลายน้อมกราบ ขออาราธนาพ่อครูอยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ ลูกหลานเหลนโหลน ได้เห็นหลวงปู่ นั่งยิ้มก็เป็นขวัญกำลังจิตวิญญาณแล้ว เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาแน่นอน ถ้าอาตมาอยู่ อาตมาไม่หน้าบึ้งหรอก อาตมายิ้ม ทุกคนจะเห็นได้ว่าอาตมาเป็นคนมีสีหน้าบึ้งบูดอะไรไม่เคย มีแต่ยิ้ม หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยซ้ำไป ยิ้มแย้ม ซึ่งมันก็ไม่รู้จะไปบูดทำไมโง่ๆ หน้าบูดมันจะดียังไง หรืออาตมาเคยพูดว่า ไอ้ใจเรานี่นะ ใจจะเศร้าก็เราโง่เอง ใจจะน้อยเราก็โง่เอง ใจจะเสียเราก็โง่เอง ใจจะเสียเรียกว่าเสียใจ ใจจะน้อยเรียกว่าน้อยใจ เว้าใจแหว่งใจ เราเป็นเองหมด อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว เราเป็นเจ้าของใจ ทำไมมันโง่ได้โง่ดี ทำใจของตัวเองทำให้มันไม่อยู่สุข ให้มันไม่สุขสำราญเบิกบานใจ แล้วทำให้จิตใจตัวเองเศร้าสร้อยเหงาหงอยหรือเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นโน่นเป็นนี่ เอ๊ ก็พูดไป ที่จริงมันไม่ง่าย 

มันต้องอยู่เหนือและเข้าใจมีพลังพลังฤทธิ์ของปัญญาที่รู้ความจริง ใจเรานี่เราฝึกมาดีแล้วมันก็เป็นได้ (มีเสียงประกาศ)

_สู่แดนธรรม... ผมอยากถามว่า ถ้าจิตของคนที่ไม่มีกิเลสแล้วอยู่เฉยๆไม่คิดอะไร มันก็แจ่มใสของมันเองใช่ไหมครับ ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ธรรมดาๆของมัน มันก็แจ่มใสอยู่เป็นธรรมชาติใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ แจ่มใส แต่ธาตุจิตมันไม่ใช่ธาตุที่อยู่นิ่งๆ มันเป็นธาตุเคลื่อนไหว นอกจากจะหยุดมันจริงๆ ถ้าไม่ฝึกกำหนดนะ สายปัญญาที่ไม่ได้กำหนดหยุดเลย มันไม่หยุดหรอก แต่มันไม่ปรุงชั่ว มันไม่ปรุงเป็นอกุศล มันไม่ปรุงเป็นบาป ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะทำงานมีแต่อภิสังขาร  มีแต่ปรุงไปในทางเจริญ สร้างสรรค์มีสิ่งที่ดีงาม 

เพราะมันเป็นธาตุทำงาน มันทำงานถ้ายิ่งเป็นปัญญา สายปัญญาไม่ได้ฝึกหยุดไม่ได้ฝึกพัก นอนหลับมันก็ปรุง แต่มันปรุงเป็นธรรมะ คนหมดกิเลสแล้วมันก็ไม่มีกิเลสไปปรุงแน่นอน แต่มันตรงจะเรียกปรุงนั้นว่าเป็นฝัน จะเรียกการปรุงนั้นว่าเป็นนิมิต มันก็เป็นนิมิตเป็นฝัน 

ซึ่งเขาไม่เข้าใจ ทางโลกบอกว่าพระอรหันต์จะไม่ฝัน สายหลับตาเขาไม่รู้ เขาดับสัญญา เขาก็ดับไม่รู้เรื่อง ตื่นเช้ามาให้ฝันเขาก็ถือว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์ อย่างนั้นยิ่งยืนยันเลยว่าคุณไม่ใช่อรหันต์ นอกจากคุณจะฝึกไม่ให้มันคิดมันนึก 

แม้ไม่คิดไม่นึก นอนหลับ สายปัญญาไม่ได้ฝึกดับ ไม่ทำงาน อสัญญี เจตสิกของตัวเองสัญญาไม่มากำหนดรู้จิตตัวเองเลย มันก็จะถ้ามันไม่ได้ฝึก ไม่ฝึกมันหยุดเลย ไม่ได้ฝึกให้มันหยุด มันก็จะรู้ว่าตัวเองปรุง ใส 

นอกจากเวลาจะพัก หยุดจริงๆเลย มันเมื่อย หรือมันเพลีย หรือมันอยากจะหยุด ถ้าไม่งั้นอยู่ได้ทั้งคืนไม่กินพลังงานเท่าไหร่หรอก ก็จะปรุงธรรมะไปอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า คุยกับเทวดา นั่นแหละ 

พระพุทธเจ้านี่คุยกับเทวดา ตอนกลางคืนท่านพักแค่ 4 ชั่วโมง 12 ชั่วโมงกลางคืน  ท่านก็พักแค่ 4 ชั่วโมง นอกนั้นก็คุยกับเทวดาแล้วไม่ได้กินแรงอะไร ฝึก ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้วมันก็เป็นธรรมชาติ นี่ก็อธิบายตามที่อาตมามีความจริงอธิบายได้เท่านี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบ ส่วนใครเขาเป็นอะไรอย่างไรจะแย้งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะคนเรามีฐานแห่งความรู้ความจริงที่ไม่เหมือนกัน ว่ากันไปต่างกันไป ของใครของมัน พูดความจริงของแต่ละคนของตัวเองออกมาบ้างคุณก็ฟัง หรือไม่ก็เดาๆด้นๆเอาเรื่องเดาๆด้นๆยังไม่รู้จริงด้วยเอามาพูด ไอ้นี่ก็เยอะ 

 

ทำอย่างไรจะถึงเป้าหมายได้เร็วในการปฏิบัติธรรม

_กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ อุปมาว่า ในทะเลอันเวิ้งว้าง และยาวไกลจนมองหาที่เริ่มต้น และที่สิ้นสุดไม่พบ ได้มีชายผู้หนึ่งบอกว่า 

เราเคยผ่านทางสายนี้มาแล้ว เราจักบอกทางแก่เจ้า เราทำได้เพียงบอก แต่เจ้าต้องเป็นคนเดินเอง เราเดินแทนเจ้ามิได้ และในทะเลแห่งนั้น บางคนเดินข้ามได้ง่าย บางคนเดินข้ามได้ยาก ยังคงหลงวนอยู่ใน กิน กาม เกียรติ หลงอยู่ชาติแล้ว ชาติเล่า คนทั้งสองประเภทนี้ ไปถึงเป้าหมายช้าเร็วต่างกัน (เป้าหมาย ในที่นี้ หมายถึง พ้นทุกข์ ไม่กลับมาวนซ้ำๆ เช่น บางคนยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็กลับไปกินอยู่อย่างนั้น เลิกไม่ได้สักที รู้ทั้งรู้ว่าเบียดเบียนชีวิตเขา บางคนเลิกทีเดียวได้เลย)  คำถามมีว่า

1. คนสองประเภทมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ถึงเป้าหมาย ช้า เร็ว ต่างกัน 

2. แล้วทำอย่างไร ถึงจะไปให้ถึงเป้าหมาย ได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า  กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ตอบข้อ 2 ก่อน ว่าทำอย่างไรจึงจะไปให้ถึงเป้าหมายได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า ฟังดีๆนะ มาฟังโพธิรักษ์ ทำอย่างไร 

ฟังสัตบุรุษ ฟังผู้สัมมาทิฏฐิ หาผู้สัมมาทิฏฐิให้ได้ ถ้ามีพระพุทธเจ้าก็แน่นอน ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็คือผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ต้องรู้จริงสัมมาทิฏฐิจริง 

ทีนี้คน 2 ประเภทมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ถึงเป้าหมายช้าเร็วต่างกันก็คือโง่มากโง่น้อยต่างกันนั่นเอง รู้ช้าเร็วต่างกัน ใช่ไหม จบแล้วตอบชัดๆ 

 

ทำไมคนยังยึดหลับตาปฏิบัติทั้งที่ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ลูกขอกราบเรียนถามว่า การปฏิบัติธรรมแบบที่นั่งหลับตาของทุกวันนี้เป็นไปในแบบเดียวกันกับท่านอาฬารดาบส กับท่านอุทกดาบสพาปฏิบัติใช่ไหมคะ 

พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้วซึ่งพระพุทธเจ้าไปเจอก็รู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เรื่องใช่ทางในตำนานก็รู้กันอยู่ แต่ทำไมถึงไม่ฉลาดยังโง่ ก็ไปทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านไปพบแล้วก็ไม่เอา ก็ยังเก่งก็นั่งหลับตาก็ได้ฌาน 7 ฌาน 8 แบบเดียรถีย์ แบบฤาษี ฌาน 7 ฌาน 8 ไม่ใช่ฌาน 7 ฌาน 8 แบบพระพุทธเจ้าเขาก็ไปทำ ก็เรียนกันนะแต่ไม่รู้แล้วจะให้ตอบว่ายังไง ถ้าไม่ตอบว่ายังโง่กันอยู่ ใช่ไหม นี่ใช้ภาษาตรงๆง่ายๆชัดๆว่ายังเป็นทางที่โง่อยู่ อาตมาก็ไปโทษเขาก็ไม่ได้เพราะเขาโง่จริงก็โง่อยู่ ก็บอกว่าโง่อยู่ได้ก็มันโง่ มันจะอยู่ได้ไงก็โง่ก็อยู่ได้วะ อยู่ได้แต่คนฉลาดหรือไง ไม่ให้โง่อยู่ได้ไง คนโง่มันมากกว่าคนฉลาดด้วยซ้ำ 

_ที่ลูกถามอย่างนี้เพราะลูกเห็นว่าปรกติชาวพุทธ ทราบดีว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช แล้วไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์ทั้งสองแล้วไม่บรรลุธรรม แล้วทำไมวันนี้จึงกลับไปปฏิบัติธรรมแบบที่ไม่พาบรรลุธรรมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…นี่ส่อถึงความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ว่าชาวพุทธจะเสื่อมโลกุตรธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเสื่อมก็ไปหลงนอกรีตนอกทางอย่างฤาษีเดียรถีย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส ไปนั่งหลับตาฌาน 7 ฌาน 8 อยู่นั่นแหละ ไม่ใช่ฌานที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ฌานแบบนี้ ที่ต้องแยกให้ออกให้ชัดๆเลยว่ามันมีฌาน 2 แบบ ฌานอย่างฤาษีเดียรถีย์แล้วก็เขาหลงอยู่กับฌานแบบฤาษีเดียรถีย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส อยู่นั่นแหละ 

_สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วคุณสว่างแสงพูดผิดนะครับ จริงๆแล้วเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุกับอาจารย์ทั้งสองสุดยอดด้วยกันทั้งสองครับ แต่เขาบอกว่าไม่ได้บรรลุ

พ่อครูว่า... ไม่ได้บรรลุสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้นทำได้ด้วยไม่ใช่เรียกว่าบรรลุ ยังไม่บรรลุก็ได้ มันก็สำเร็จด้วยบรรลุก็คือสำเร็จเข้าถึงความเป็นอย่างนั้นก็เป็นได้ ไอ้อย่างผิดอย่างนั้นแต่ท่านไม่ได้เอา 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยตอบไว้นานแล้วว่ามันมีอจินไตยอย่างหนึ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมอยู่ด้วยกับอาจารย์ เพราะว่าท่านเคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อนแล้ว 

พ่อครูว่า... ทั้งนั้นแหละอย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ขั้นนี้อาตมาก็รู้แล้ว อาตมาก็ทำมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า พวกเขามาพูดว่าอาตมาไม่รู้เขา โธ่เอ๋ย อาตมาพูดตั้งไม่รู้เท่าไหร่ อาตมาไปทำอยู่ตั้ง 8 ปี ก็นั่งหลับตา อาตมาก็ทำนักหนา ทำไมอาตมาจะไม่รู้ ก่อนๆก็รู้มาแล้วชาตินี้ก็ไปทำอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องไปอีกเหมือนกัน แต่ก็รู้แล้ว เพื่อที่จะพิสูจน์ยืนยันว่าไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ ไม่ใช่เหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่ได้ทำเลยแล้วก็มาพูดเอา ไม่ใช่ ยืนยัน 

ทีนี้ที่จะถามมาทำไมถึงไปทำ เพราะรู้ว่ามันไม่ถูก อาฬารดาบส อุทกดาบส จะให้ว่ายังไงต้องพูดซ้ำว่ามันโง่มันไม่รู้อยู่ ทั้งที่มันชัดๆแล้วก็ยังไม่ชัด มันก็ต้องเป็นอย่างที่เขาเป็น นี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง พูดไปเขาจะฟังอาตมาหรือเปล่า หรือฟังแล้วก็ผ่านหู..ช่างเถอะ เขาเห็นว่าเสียงของเขาแน่นอน ครูบาอาจารย์ของเขามีพวกเยอะ โพธิรักษ์มีใครพวกนิดเดียว ของเขาเอาพวกมากเขาก็เป็นพวกสญชัยเวลัฎฐบุตร จะมาเอาพระสมณโคดมก็ไปๆๆ สารีบุตร โมคคัลลาไปเอาพระสมณโคดม เราจะเอาหมู่ใหญ่เขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ 

 

มรรคผลของพุทธเกิดได้แม้ในการรู้จักใช้เสื้อผ้า

_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย . กราบนมัสการค่ะ โยมอยู่ที่บ้าน ได้อานิสงส์จากการทบทวนธรรม ได้ฝึกปฏิบัติศีล ตั้งใจลดกิเลสในเรื่องของเสื้อผ้า เพราะได้เห็นทุกข์จากการมีมาก คือมันเป็นภาระ ตั้งใจจะไม่ซื้ออีกเลย และได้ปฏิบัติ 3 ปี ผ่านมาแล้วด้วยดี จะตั้งใจทำให้ต่อเนื่องตลอดไป กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า…อย่างนี้แหละเป็นมรรคผล เพราะฉะนั้นคนไม่มีหลักเกณฑ์ประกอบเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ที่จะใช้ยืนยันวัดเรื่องราว อันนี้ไม่มีศีลอย่างนี้เป็นต้น มันก็ไม่รู้ว่าเราเองปฏิบัติอะไร ปฏิบัติได้ผลอะไร อย่างนี้แหละได้ผล ได้เห็นทุกข์ในการมีเสื้อมากยิ่งเป็นอริยสัจเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าโธ่เอ๋ย เสื้อผ้าพอมาเป็นนักบวชแล้วมีชุดเดียวหรือ 2 ชุดอย่างมาก ก็รู้แล้วว่ามันมีมากไปทำไม มันเป็นสัจจะ พวกที่ชอบอยู่ แบกขนอะไรต่ออะไร หอบไปมากเท่าไหร่ก็ชอบ แต่คนที่เขาไม่มีจริง รู้จริงแล้วจะไปหอบไปหามมันทำไม มันเป็นภาระมากมาย 

ดี..นี่เป็นมรรคผล มรรคผลไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาแล้วได้ฌานแต่นี่แหละคือฌานลืมตามีปัญญาชัดเจนรู้จักการ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส การเลิกการละที่แท้จริง นี่แหละชัดเจน 

 

ตอนป่วยอรหันต์จะกินอาหารได้เป็นปกติไหม

_เอื้ออภัย . ขอเรียนถามพ่อครูค่ะ 

1.พ่อครูเวลาป่วยฉันอาหาร ได้เป็นปกติมั้ยคะ

พ่อครูว่า…ทุกวันนี้นี่อาตมาป่วยหรือไม่ป่วย อาตมาก็ฉันอาหารเป็นปกติ เป็นปกติที่มันยาก ฉันอาหารไม่ง่าย ฉันอาหารที่ไรผู้ที่อยู่ดูแล ผู้ที่ช่วยกันจัดอาหารทำอะไรอยู่ จะบอกว่าปัจจเวกขณ์และ อาตมาบ่น บอกว่าปัจจเวกขณ์แล้ว เฮ้อ มันเมื่อยก่อนแล้วต้องมาทนกิน 

อาตมาพูดเรื่องนี้มาแล้ว อาตมาไม่ได้แกล้งเป็น อาตมาเป็นจริงๆ เหตุที่เป็นนั่นน่ะก็บอกแล้วหลายอย่าง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ที่หลักที่สำคัญที่สุดที่พูดกันง่ายก็คือมันฝืนอายุขัยของขันธ์ ที่จริงอาตมาควรตายแล้ว นี่มันฝืนมันก็พยายามลากอายุขัย ฝืนมาเป็นสิบๆปีแล้ว มันก็ต้องยาก อาหารก็กินไปตามธรรมชาติหรือแม้แต่สัญชาติญาณก็กินไปเพื่อให้ยังขันธ์ไว้ 

2 มันก็ไม่ได้อยากจะยังขันธ์อะไรมาก แต่ตั้งใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีปณิธานตั้งใจไว้ที่จะอยู่ต่อไป ป่านนี้อาตมาก็ไม่อยู่ dead สะมอเร่ไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นการกินอาหาร 

อันที่ 3 มันไม่ได้กินเพราะว่าติด ไม่ได้มีรสชาติที่ว่าติด แต่มันมีรสชาติจริงของมันเองเท่านั้นเอง รสชาติของที่เรากิน อะไรมันรสอร่อยของแท้ มะนาวก็เปรี้ยว น้ำตาลก็หวานอะไรอย่างนี้ มันเป็นของมัน ไอ้เผ็ดมันกินไม่ได้แล้วด้วย เกลือก็เค็ม มันเป็นธรรมชาติของมันก็รู้ เอามาปนปรุงกันไปก็รู้ เป็นรสชาติที่แท้จริงของมัน แต่ไม่ได้มีรสของกิเลสรสอร่อย อันนี้ก็อธิบายเป็นธรรมะให้พวกเราได้รู้ว่า 

ลงท้ายสุดท้ายมันก็จะเป็นแค่นี้ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าคนที่ไม่ต้องมาฝืนขันธ์เหมือนอย่างอาตมา คุณก็เป็นอรหันต์แล้วก็กินไปตามธรรมชาติ รู้รส ก็เป็นธรรมดาไม่ฝืนขันธ์ก็ไม่หนัก ถ้ามาฝืนอายุขัยอย่างอาตมามันก็จะเป็นอย่างอาตมา 

2.คนป่วยจะไม่อยากกินอาหารที่ชอบที่อร่อย กินได้หน่อยก็ไม่อยากกิน แต่หายป่วยก็กินได้อร่อยปกติค่ะ

พ่อครูว่า…อันนี้มันก็เป็นไปได้ เพราะประสาทคนป่วยมันจะไม่เหมือนเดิม มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะแปรปรวนอะไรต่ออะไร ไปเป็นไปได้ 

3.คนป่วยไปหาหมอ หมอให้กินไข่เพราะขาดสารอาหาร เขาต้องทำตามหมอสั่งมั้ยคะ ถ้าเขาเป็นนักมังฯค่ะ

พ่อครูว่า…ก็อยู่ที่คุณ คุณจะกินหรือไม่กินก็ได้ ถ้าคุณจะเอาธาตุวิตามินจากไข่ เราจะกินจากพืชเรามีความรู้ทางโภชนาการจะไม่กินไข่ก็ได้ หรือจะกิน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร สำหรับคนป่วย คนป่วยท่านก็มีวินัย ศีล แม้แต่ให้กินเนื้อสัตว์ ท่านก็ยังอนุญาตเลย จำเป็น เนื้อสัตว์ที่จำเป็นจะต้องกินก็กินได้คนป่วย อย่าว่าแต่กินไข่เลย คนแปลเขาก็แปลเพื่อที่จะเข้าปากด้วย สำนวนที่แปลก็เลยเข้าใจยาก ที่จริงคนป่วยเขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้หรือที่จริงไม่ป่วยก็ไม่กินเนื้อสัตว์ 

หรือพระพุทธเจ้าท่านว่าเผื่อไว้คนทั่วๆไปที่กินเนื้อ กินไข่ กินอะไรเป็นคำสอนให้มันครบ ท่านก็ว่าไป สรุปแล้วก็อนุโลมปฏิโลมไปตามควร ถ้าเขาเป็นนักมังสวิรัติก็อนุโลมไปตามควร 

 

ผู้บริหารประเทศไทยไม่ควรไปส่งเสริมสงคราม

_ช่อทิพ หนูทอง . อิสราเอลประกาศสงครามแล้ว....อยู่ไกลจากไทยก็จริงแต่อาจลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ กราบเรียนถามพ่อครูว่า ชาวอโศกควรจะดำเนินชีวิตในช่วงที่โลกเกิดสงครามลุกลามนี้อย่างไรคะ?

พ่อครูว่า…ก็ดูเขาไปเท่านั้นเอง จะไปรบอะไรกับเขา เราไม่รบไม่ราอะไรกับเขาหรอก อาตมาเคยออกความเห็นแล้วว่า ผู้ที่บริหารควรพยายามทำให้ประเทศเราเป็นกลาง อย่าไปร่วมในสงคมสงครามกับเขา มันไม่ได้อะไรมาเลย เราไม่ได้ต้องการจะไปแย่งอำนาจ เราไม่ได้ต้องการจะไปแย่งสมบัติ อำนาจก็ไม่ได้ต้องการจะแย่ง สมบัติก็ไม่ต้อง ไทยพึ่งตัวเองได้อยู่แล้วทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลย 

จริงๆประเทศพวกนั้นที่มีสงครามอยู่ พวกชาวตะวันออกกลาง เขาก็รวยนะ เขาพึ่งตัวเองแต่มันหลงอำนาจ จริงๆแล้วเขาก็รวยเขาก็มีสมบัติพัสถาน มีน้ำมงน้ำมัน มีอะไรต่ออะไร โอ้โห รวย เพราะมันเป็นดินแดนที่เขารวย มันเป็นธรรมชาติที่เขารวย เขาก็น่าจะพอ แต่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ให้มันเดือดร้อนแล้วก็ตายกันเป็นเบือ ดูสิ ฆ่าแกงกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นขึ้นไปแล้ว 

_สู่แดนธรรม... มีคนวิจารณ์ว่านายกผิดพลาดครับ ตรงที่ไปแสดงความเห็นไม่เป็นกลาง ไปเข้าข้าง

พ่อครูว่า... นั่นน่ะ ก็พูดไปแล้ว อาตมาก็เปรยไปว่ามันไม่ควร เราควรจะละเว้น มันก็เป็นธรรมชาติของนายกที่มีภูมิธรรมท่านนายกเศรษฐา ก็เอาก็เป็นตัวอย่างศึกษาไปก็เห็น หลายๆอย่างยกคุณเศรษฐา มาบริหารนี่ก็โดน แม้แต่ข้าราชการ ราชการธรรมดาเขาก็คือผู้ที่อยู่ในการบริหารของนายกเหมือนกัน แต่ท้วงนายกเองนะ นี่ก็เป็นสัจจะของประเทศไทยของชาวไทย ที่กล้าทำ ท้วงติงกันในสิ่งที่ควรท้วงติง นี่แหละคือประชาธิปไตย ดี มันแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้ 

 

ผู้ที่เข้าใจว่าฌานต้องมีออก-มีเข้า ผู้นั้นออกนอกเป้าศาสนาพุทธ

_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ

ในเทศกาลอาหารเจใกล้จะมาถึง บุญญาวุธหมายเลข 1 ของพ่อท่านและชาวอโศก คืออาหารมังสวิรัติเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติให้สงบสุข ร่มเย็นทั้งกายใจ ปีนี้ชาวอโศกได้ตื่นตัวคึกคักกันมาก และผู้คนในสังคมก็ตื่นตัวกันมากครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมกราบขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…เอาสัมมาทิฏฐิอะไรอีกล่ะ ก็ขอให้เติมภูมิเติมความลึกซึ้งละเอียดลอออะไรขึ้นไปจากธรรมะที่เคยพูดนั่นแหละความหมายที่พูดนี่ อ้าว ก็เติมก็ได้ 

เรื่องอาหาร การกินหรือคำข้าวนี่ มันเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งของศาสนาพระพุทธเจ้า ซึ่งอาตมาเคยถูกพันตำรวจโทอนันต์  เสนาขันธ์ บอกว่ามาปฏิบัติธรรมอะไรพูดถึงแต่เรื่องกินๆๆ ไม่ไปนั่งธรรมะ ไม่ไปปฏิบัติภาวนาอะไร เอาแต่พูดถึงเรื่องกินๆๆ นี่คือสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลให้เห็นว่าเขาไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเลย ไปหลงผิดนั่งหลับตา ภาวนาของเขาคือการปฏิบัติให้เกิดผล แล้วเขาก็มิจฉาทิฏฐิไปเอาภาวนาคือนั่งหลับตา 

นี่แหละเรากำลังภาวนาตามจรณะ 15 ปฏิบัติให้เกิดผลสัมมาทิฏฐิตรงกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ความเสื่อมมันเสื่อมกันมากแล้ว คนเข้าใจอย่างพันตำรวจโทอนันต์   เสนาขันธ์  เยอะมากมาย แม้แต่พวกที่ไปเรียนเปรียญ 9 เรียนด็อกเตอร์ทางบัญญัติพยัญชนะออกมาจบออกมาก็ยังเชื่อว่า จะบรรลุธรรมต้องนั่งหลับตาฌาน ต้องนั่งหลับตา ทำสมาธิต้องหลับตา นิโรธจะได้ด้วยตอนหลับตา 

โอ้โหมันมิจฉาทิฏฐิอย่างโมฆะไม่รู้จะพูดยังไง 

_สู่แดนธรรม... แม้แต่จะได้ปัญญาต้องได้ในขณะหลับตาด้วยเขาว่าอย่างนั้นนะครับ 

พ่อครูว่า... ปัญญาก็ได้จากการหลับตา หลับตาถึงฌานแล้วจึงจะเกิดปัญญา นี่เขาตีกินว่า ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน หลับตาได้เป็นฌานแล้วจึงจะได้ปัญญา เขาก็เอาพยัญชนะมาตีกิน ซึ่งไม่มีปัญญาในหลับตา..ไม่มี มหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258 ไปอ่านดีๆเถอะ  ปัญญาเกิดได้ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิและมีองค์แห่งมรรคทั้ง 8 

องค์แห่งมรรคทั้ง 8 มีทำงานอาชีพ มีการกระทำการงานทุกอย่าง มีกัมมันตะ มีขณะพูดขณะคิดอยู่ แต่นี่มันมีที่ไหน ทำอาชีพขี้หมา ทำอะไรก็ไม่ทำพูดอะไรก็ไม่พูด นั่งจมอยู่ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เลย แค่นี้เขาก็รู้ไม่ได้ 

อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องพูด พูดอยู่นี่ พูดให้รู้ ซึ่งมันยากนะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องฌานวิสัย มันเป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องคิดนึกเอาไม่ได้ ทุกวันนี้อาตมาก็เชื่อว่า เถรสมาคมเนี่ย พูดไปก็เหมือนจะไปดูถูกเขาหมด ฌานยังไม่กระเตื้องเลยว่า ฌานของศาสนาพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆคือยังไง ยัง เพราะมันไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ มันอจินไตยจริงๆ 

ฌาน เอ้า ทีนี้มาเข้าสู่สัจธรรมเลย ที่ตั้งใจอธิบาย 

จิตจะเกิดฌาน คุณต้องมีศีลเป็นตัวต้น ฌาน เช่นศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์และคนซึ่งเป็นชีวจิตนิยาม ศีลข้อ 1 

ศีลข้อ 2 วัตถุกับ พีชะ ซึ่งไม่ใช่จิตนิยาม เป็นพีชนิยามสูงสุด พีชนิยามกับอุตุนิยาม 

ศีลข้อ 3 นี่แหละเป็นตัวที่จะต้องมี มีการสัมผัส มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เกิดเวทนา แล้วศึกษาเนื้อหาแท้ของกิเลส จากอาการที่มันจะเกิดสุขเกิดทุกข์ ตรงนี้ศีล 3 ข้อนี่ เป็นปฏิสัมพัทธ์กัน เกี่ยวข้องกัน 

เพราะฉะนั้นศีล 5 จึงคือศีล 3 ข้อนี้เป็นหลัก ศีลข้อ 4 นั้นเป็นวาจา ศีลข้อ 5 เป็นเรื่องของจิต รวมจิตมาปฏิบัติแล้วจิตก็เจริญเป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน  ศีลข้อ 5 ก็ปฏิบัติ 3 ข้อนี้ 

เพราะฉะนั้นคุณไม่มี 3 ข้อนี้แล้ว คุณไม่ได้ปฏิบัติหลัก ศีลกับ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งเป็นจรณะข้อที่ 1 กับ 2 3 4  4ข้อนี้ คุณไม่มีศาสนาพุทธ 

ซึ่ง อปัณณกปฏิปทา 3 ก็แปลชัดๆอยู่แล้วว่า ไม่ผิดจากพุทธ ถ้าผิดจาก 3 ข้อนี้..ไม่มี ผิดไปเป็นออกนอก 3 ข้อนี้..ไม่มี จะปฏิบัตินั่งหลับตามันไม่มีสักข้อใน 3  มันออกนอกพุทธไปเข้าป่าเข้ารก แล้วเขาก็เข้าป่าเข้ารกจริงๆ ไปลงเหวลงห้วย ไปไหนก็ไม่รู้ ตกเขาตกห้วยตายไปหมดแล้ว มันไม่ได้บรรลุธรรมอะไร อาตมาพูดชัดๆพูดแรง พูดให้เห็น ไม่ได้พูดอย่างโกรธเคืองโกรธแค้นหรือว่าชิงชังอะไร แต่พูดอย่างสงสาร กระทุ้งกระแทกให้กระเทือนให้ฉุกคิด พูดกันมานานก็นานแล้ว ย้ำซ้ำซากอยู่ในบทเก่า 

เพราะฉะนั้น ฌานที่เกิดจริงของพระพุทธเจ้า เกิดจากจรณะ 15 ถ้าคุณไม่มี 4ข้อ ศีลเป็นหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 คุณจะไม่เกิดสัทธรรม 7 ทั้งขบวนเลย สัทธรรม 7 คุณจะไม่เกิดเลย 

คือศรัทธาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเชื่อที่มีปัญญาร่วม..ไม่มี คุณก็ศรัทธาตามที่คุณมิจฉาทิฏฐิ เป็นศรัทธาแบบหลงผิดอยู่ของคุณอย่างเก่า แล้วคุณจะไม่เคยนึกละอายเลยว่าที่คุณมายึดผิดๆของตัวเอง หลงทางผิด ไปว่าผู้ที่ท่านถูก มาท้วงเอาว่าผิด รู้สึกตัวสำนึกตัวเองว่าโง่นะกูเอ๋ย ไปหลงงมงายอยู่กับไอ้ผิดจนได้ ก็ละอายตัวเองหรือละอายผู้ที่ท่านท้วง ละอายตัวที่เราไม่รู้จักสัจจะ ดีไม่ดีไปว่าสัจจะ ไปดูถูกดูแคลนสัจจะ ไปข่มสัจจะ ไปตีทิ้งสัจจะ มันละอายทำไมเราถึงได้โง่มานาน โง่เง่าสัจจะ 

ทั้งๆที่เราเองต้องการสัจจะ แต่ไปเห็นสัจจะเป็นอสัจจะ แล้วไปงมงายอยู่กับไอ้ที่เป็นอสัจจะตัวจริงเอง นี่แหละมันจะมีตัวละอายจริงๆ ถ้าคุณยังไม่เกิดจิตละอายนี่คุณยังไม่เป็นสัทธรรม ยังไม่เกิด   เจริญจริงๆเลยเรียกว่า ธรรมะอันดี สัจธรรมอันดี คุณไม่มี 

ยิ่งคุณเกิดปัญญามากคุณจะมีโอตตัปปะ ปัญญามันมากความรู้มันชัดเจนยิ่งกว่าหิริ ทิ้งทันทีวางทันทีไม่เอาแล้วโอตตัปปะ 

เพราะฉะนั้นคุณพ้น ศรัทธาคุณเกิดปัญญา คุณเกิดหิริโอตัปปะคุณก็ต้องปฏิบัติจริง คุณก็ต้องเข้าหาหลักธรรมที่ถูก คุณก็จะได้ตามจรณะ 15 วิชชา 8 หรือ 4 ข้อต้น ศีล กับ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อ นั่นคือหลักธรรมตัวจริง คุณก็จะหันเข้าหาด้วยวิริยะ สติ ปัญญา ในอีก 3 ข้อของสัทธรรม 7 ด้วยความเพียร ด้วยตั้งใจ มีสติเต็ม ปัญญาพากเพียรให้เกิด วิริยะ สติ ปัญญา 

องค์ธรรมทั้ง อปัณณกปฏิปทา 3 ทั้งศีล และ สัทธรรม 7 รวมตัวกันนี่แหละ  สังเคราะห์เป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมา เป็นฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ซึ่งมีวิชชา 8 เป็นตัวกำกับช่วย วิชชาคือความรู้ คือปัญญา คือญาณ รู้ๆๆรู้เป็นยาดำ ช่วยให้เจริญขึ้นมาครบครัน จึงเกิดเป็นวิชชา 9 

อาตมาเคยดึงเอาฌานทั้ง 4 ไปรวมในวิชชา รวมเป็นวิชชา 9 ซึ่งก็อุตริอธิบายเอง เพื่อที่จะให้เกิดเป็นการอธิบายอย่างพิสดาร พวกนั้นคนเขาเข้าใจอยู่ซึ่งอาตมาไม่ได้ไปบัญญัติไปทำลายธรรมะพระพุทธเจ้า วิชชา 8 อาตมาก็ยืนยันอยู่ แต่แถมอุปการะให้ เป็นฌาน

เพราะฉะนั้นคำว่าฌานจึงคือปัญญา ฌาน ไม่ใช่อาการไปหลับตา ฌาน ไม่ใช่เรื่องอยู่ในภวังค์ ต้องเข้าภวังค์ออกภวังค์ เพราะฉะนั้น ใครพูดคำว่า เข้าฌาน ออกฌาน คนนี้นอกรีต เพราะฌานของพระพุทธเจ้าไม่มีเข้าไม่มีออก ก็ฟังกันยากเหมือนกัน มีอยู่ 2 สูตร 

คือสูตรของพระสารีบุตรกับสูตรภิกษุณีธรรมทินนา พูดเรื่องฌานไม่มีเข้าไม่มีออกหรอก มันก็ไม่ง่ายแต่อาตมาก็ว่ามันน่าจะง่าย เขาก็พูดกันง่ายๆว่า เข้าคือเข้าไปอยู่ในภพ เข้าไปอยู่ในภวังค์ เพราะฉะนั้น ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปเข้าอยู่ในภวังค์ การเข้าไปอยู่ในภวังค์นั่นแหละยิ่งไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า มันกลับกันคนละเรื่อง ทวนกระแส การยิ่งเข้าไปในภวังค์นั่นแหละยิ่งไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ต้องลืมตามีชีวิตสามัญ มีชีวิตปกติ 

ปฏิบัติศีลแล้ว อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 แล้วจะเกิดฌาน จะมีการปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร มีปุญญาภิสังขารรู้จักกิเลสลดลงไปเรื่อยๆนั่นแหละ จนเป็นฌานที่ 4 ก็เป็นบุญ บุญลงมือเมื่อไหร่ นี่แหละเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ตัวฟันขาด ตัวตัดสิน ตัวฆ่าเด็ดขาด ถ้าบุญลงมือเมื่อไหร่ล่ะก็เพชฌฆาตมือสุดท้าย อธิบายไปเป็นรูปธรรมหมดแล้ว 

_สู่แดนธรรม... ถ้าจะนับว่ามีเข้ามีออก ผมก็จำได้ว่าพ่อท่านก็เคยอธิบายแต่ว่ามีเข้าอย่างถูกต้องแล้วออกอย่างถูกต้องอยู่เหมือนกันครับ คือ เข้าฌาน 1 เจริญแล้วออกจากฌานที่ 1 เจริญเข้าสู่ฌานที่ 2 อย่างนี้พอได้ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้เข้า มันเป็นการเดินทางของจิต เจตสิก วิตกวิจาร คือการรู้สภาพ 2 2 นั่นแหละคือรูปกับนาม สังเคราะห์สังขารกัน แล้วก็จัดการให้กิเลสเราลดลง พอกิเลสเราลดลงได้มันก็มีปิติเป็นอุปกิเลสเกิดเป็นฌานที่ 2 มันเป็นวิวัฒนาการของจิต มันไม่ได้เข้าได้ออกอะไร เจริญไปเรื่อยๆ มันก็มีปิติที่มันทำได้ถูกต้อง แล้วก็ไอ้ผลที่ได้มันก็เป็นความสงบ เป็นสุข เป็นวูปสโมสุข เป็นสุขสงบที่จิตสงบลง ยิ่งแจ่มใส สุขก็ยิ่งว่าง ยิ่งเบิกบาน ยิ่งเปิดเผย กิเลสหมดเป็นอุเบกขาหรือว่าเป็น เอกัคคตา เป็นฌานที่ 4 ก็สะสม เอกัคคตา จิตก็ยิ่งบริบูรณ์สมบูรณ์ เอก อัคคะ เป็นหนึ่ง เป็นเลิศ เป็นยอดขึ้นมา 

ก็คือจิตมันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเรียกว่าอุเบกขา ซึ่งมีองค์ธรรม ปริสุทธา แปลว่าบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส ปริโยทาตา บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แล้วสะสมลงเป็นจิตสมบูรณ์ คือมุทุภูตธาตุ เป็นจิตที่ปฏิบัติสำเร็จรวมตัวอยู่ที่นี่ เสร็จแล้วก็เป็น กัมมัญญา ปภัสสรา จิตนี้พอไปทำงาน ไปทำงานที่ไม่มีกิเลสเป็นทำงานที่เจริญ เขาก็แปลกัมมัญญา ว่าเป็นการงานที่เหมาะควร ที่ดีที่เหมาะที่ควร ที่ไม่มีโทษ จะอย่างไรจิตก็ประภัสสร นี่ก็เป็นองค์ธรรม 5 ประการของ อุเบกขา  

เพราะฉะนั้นคนที่มีสภาวะสัมมาทิฏฐิเรียนรู้ตามที่อาตมาอธิบาย ไปหมดแล้ว พวกคุณก็ อ๋อ.. ใช่ๆๆๆๆอย่างนี้ ใช่แล้ว อ๋อ.. หอฮ่อๆ 

 

_11 ตุลาคม 66 ใบแพร .  วันหนึ่งได้ไปช่วยเก็บผักที่สวนไวพลัง ชีวิตคนเราในแต่ละวันก็ต้อง ทำงาน ทำแล้วก็ผ่านไป จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ว่าทำอะไรบ้าง นอกจากว่าทำแล้วเกิดความประทับใจ เกิดความตื่นเต้น หรือเกิดอะไรแปลกๆ ที่ทำให้เราจำไม่ลืมอย่างเช่น วันที่ไปเก็บผักที่สวนไวพลัง เห็นอาการจิตของตัวเองแบบนี้ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก คือเกิด เวทนา แทบไม่อยากทน (จนมีคนรู้เอามาแซวว่า อ่อนแอ) 

พอได้มารู้รายละเอียดภายหลังว่า การไปเก็บผักฤดูฝนต้องมีเกราะป้องกัน เช่น ใส่หมวกที่มีตาข่ายกันยุงได้ ใส่เสื้อหนาๆ หรือ 2 ชั้น และพก 5 พลังติดตัว 

วันที่ไปเก็บผักอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน พอเข้าสวนก็เจอยุงเหมือนฝูงผึ้ง มันเจาะ ทั้ง หู หัว ตัวตนคันไปหมด ไม่มีสมาธิในการทำงานเลย 

พ่อครูว่า…อาตมาเคยเล่าว่าตัวเองอยู่ที่วัดอโศการาม มันมีป่าแสม ทำการนั่งสมาธิ ยุงทะเลมันมากัด เราก็ทำสมาธิหลับตา มันก็กัดเต็มไปหมดเลย เราไม่รู้สึกข้างนอกหรอก ออกมา เจ้าประคุณเอ๋ยเป็นผื่นแดงเลยทีนี้ก็คัน พอตื่นออกมามันคัน โอ้โห แดงเป็นปื้นเลย นี่ก็เคยเล่า ยุงทะเล 

_เก็บไปด้วยฝนก็ตกไปด้วย แต่เมื่อรู้สึกตกนานและแรงขึ้น ก็ยอมฝน หาที่มุงบังก็ไม่มี มีต้นไม้ใหญ่ ก็มุดเข้าไปหลบฝน จิตก็จิตนาการไปเรื่อย นึกเห็นภาพไก่เวลาฝนตกมันจะยืนหลบฝนใต้ต้นไม้ ยืนหงอย หัวตกขนหลู่นึกถึงตัวเอง ยืนหลบฝนเหมือนไก่เลย 

จินตนาการไปอีก ในสวนก็รกมาก เวลาเก็บผักต้นสูงๆ ก็เเหงนหน้าหายอดผัก ผักสีเขียวๆ งูเขียวชอบมาอยู่ หาไม่ดีก็จะไปจับเอางู เท้าก็ไม่ได้มองเลย ถ้ามีงูคงเหยียบงูแน่ๆ (ผู้ที่เก็บประจำบอก ต่อแตน มีหมด) มดก็เยอะ ข้างบนก็ยุงกัด ข้างล่างก็มดกัด ฝนก็ตกเปียกหมด รู้สึกเกิดเวทนา มองหาทีมงานเห็นแต่ละคนก็ก้มหน้าเก็บผักกันอยู่ สู้ไม่ถอย ทำงานเป็นทีมก็ดีแบบนี้นี่เอง ดึงกันไป ภาวะแบบนี้ถ้าทำคนเดียวเลิกไปนานแล้ว 

จริงๆ การเก็บผักก็ไม่หนักเหมือนขุดหินขุดดิน แต่หนักตรงที่ต้องรับผิดชอบ ต้องพยายามเก็บให้ได้ปริมาณมากๆ เพราะครอบครัวเราใหญ่ และไม่ใช่งานหน้าเดียว ต้องหาผักหลายๆ อย่างเพื่อที่จะมาปรุงเป็นอาหาร 

พ่อครูว่า…นี่ก็เป็นความสำนึกของพวกเรา ทำงานกันเพื่อหมู่เพื่อกลุ่มไม่ได้เงินทอง ไม่ได้รับคำชมเชยสรรเสริญด้วยบางที นี่แหละเป็นการรู้หน้าที่ รู้ความรับผิดชอบ รู้กิจที่ควรทำ 

_ทีมงานเก็บผักที่ไปเก็บเป็นประจำ เขาเป็นเหมือนหน่วย ซิว แนวหน้า บุกตะลุย ผจญภัย เหมือนอย่างที่เล่า เพราะถ้าไม่มีทีมเก็บผัก ก็คงไม่มีอาหารอัน โอชะ ให้พี่ๆ น้องๆ ได้ทานกัน ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบ ง่าย ยาก หนัก เบา แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เราจะไม่แตกต่างกัน คือ จิตสำนึก 

พ่อครูว่า…แต่ก่อนก็เคยบอกพวกเรา ปลูกก็ปลูกมากแล้วแต่ช่วยกันเก็บ ปลูกกันขึ้นมาดีแล้วแต่เราต้องไปเก็บมากินทุกวันผักมันขึ้นมาให้เราเก็บอยู่แล้ว ปลูกไปแล้วก็ไม่ได้ทำซ้ำซากนะแต่ว่าการเก็บต้องทำซ้ำซาก ไม่ใช่น้อยด้วยพวกเราหมู่ใหญ่ซึ่งเป็นงานสำคัญนี่ก็เคยพูดกัน มีการตั้งกองเก็บมีหัวหน้ากอง เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่ากองหรือไม่กองแต่ก็คงดีขึ้นคงมีจิตสำนึก 

_บทพิจารณาอาหารที่เราท่องกันทุกวันก่อนรับประทานอาหารว่า กินข้าวเคี้ยวทุกคำ เราจดจำกินเพื่อชาติ อย่ากินอย่างเป็นทาส เหงื่อทุกหยาดของชาวนา (ของทุกคนที่อุทิศแรงกาย) จงกินเพื่อเป็นไท กินด้วยใจที่รู้ค่า บรรพบุรุษสร้างสืบมา ร่วมรักษาคุณความดี ขยันงาน การสร้างสรรค์ มีสัมพันธ์ ฉันน้องพี่ สมัครสมานสามัคคี อุทิศพลีเพื่อ....แล้วแต่ใครจะพลีเพื่ออะไร? 

แต่ก่อนได้ยินพ่อเทศน์บ่อยว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนพระภิกษุที่บวชมาในธรรมวินัยนี้ ฉันอาหารที่เขาศรัทธา แต่ไม่ปรารภความเพียร ก็เหมือนกินก้อนเหล็กแดงเผาไฟ 

หรือที่พ่อสอนเราว่า จงกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน หรือ ไม่กินอย่างเป็นทาส ไม่กินอย่างเป็นหนี้ 

พ่อสอนเน้นย้ำอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าเราหลุดพ้นจากเรื่อง กิน ไม่ติดยึดในเรื่องอาหาร เราก็เข้าถึงความเป็นอรหันต์ได้ 

เทศกาลเจที่จะถึงนี้ จะได้เข้าสนาม รบ กันแล้ว ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ 

ขอกราบค่ะ

พ่อครูว่า…อ้าวแล้วกัน ไปด้วยกันมาด้วยกันสิ จะตัวใครตัวมันได้ไง พูดอย่างนี้มันปลีกเดี่ยวมากไป เอาเวลาหมดแล้วหรือ วันนี้เอาละ 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ




 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยฌานของพุทธ วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 โรงแรม 12 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2566 ( 21:16:18 )

661011

รายละเอียด

661011 จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยฌานของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก 

https://www.boonniyom.net/53584.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1JDPYcelIqjlymOZhejC3JYZlao0JkAYI/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1UfxeGo5ipwqjwlKWYRGs52n7SLNAiT0W/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661011-108-1--3----_1_1-e2aeft9 

 

ดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/fRKN1paO4pE 

และ  https://fb.watch/nCeLik-d-7/ 

มีซับ https://youtu.be/THEyHL6daNQ 

 

สมณะเดินดิน...วันนี้วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

อีกไม่กี่วัน เมื่อถึงวันที่ 13 ซึ่งยังไม่ใช่วันเข้าเทศกาลกินเจทีเดียวนะ แต่ถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีของเราที่จะนำร่อง วันนี้เรียกว่า วันนวมินทรมหาราช แปลว่าวันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนเดิมมีวันหยุดแค่วันที่ 5 ธันวาคม ตอนนี้มีวันที่ 13 ตุลาคมถือว่าเป็นวันสำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง วันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายที่เขาแปล 

คิดว่าที่ต่างๆของพวกเราก็คงจะได้ถือฤกษ์เปิดโรงบุญ และต่อด้วยงานเจติดต่อกันไปเลย วันที่ 13 ถือว่าเป็นวันนำร่องก่อน 

ปีนี้พ่อครูก็ได้เปิดประเด็นเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่สังคมเขาโหดร้ายรุนแรงกัน เขาเรียกร้องกันว่าเป็นการฆ่ากันเกินเลยความเป็นมนุษย์หรือเปล่า คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนกันหรือเปล่าที่เข่นฆ่ากันอย่างอำมหิตโหดร้าย มนุษย์ไม่น่าจะถึงขนาดนี้ ก็พยายามเรียกร้องกัน ในการที่มีการรบราฆ่าฟันกัน ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น 

พ่อครูก็เปิดประเด็นขึ้นว่า สิ่งที่พวกเราควรคิดคำนึงนอกจาก Human Right Watch แล้ว ยังมี Animal Right Watch 

พ่อครูว่า... Human มีองค์กรไป Watch แต่สัตว์มันไม่มีใครไป Watch 

สมณะเดินดิน…Watch แปลว่าดู หมายถึงเฝ้าระวัง Animal ก็มี Watch เหมือนกัน แต่มีเฉพาะ Dog คือ Dog Watch พวกสมาคมรักหมา เขาจะมีการเฝ้าระวังไม่ให้ใครไปทำร้ายหมา เคยดูข่าวว่า มีคนไปตีหมาตาย มีกล้องบันทึกเอาไว้ เพราะว่าหมาไปกัดน้องสาวเขา ไปกัดคนในหมู่บ้าน และเขาออกมาเล่าอย่างภาคภูมิใจใจว่าเขาปกป้องชีวิตคน แต่ต่อมาหลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขาก็ถูกแจ้งจับ เพราะไปทารุณกรรมต่อหมา อันนี้ก็ซวยไปเลยเพราะคิดว่าตนเองทำหน้าที่พลเมืองดี แต่เพราะมีกฎหมายห้ามทำทารุณกรรมต่อหมา แต่ว่ามันมี Watch เฉพาะ Dog เท่านั้น คอยเฝ้าระวังไม่ให้หมาถูกทำร้าย  แต่สัตว์อื่นๆ ไม่ได้มีการเฝ้าระวังเลย นอกจากไม่เฝ้าระวังแล้วยังทำทารุณแบบสดๆ 

อาตมาเคยดูคนคนๆหนึ่งเขากินโชว์ จนมี FC กลายเป็นยูทูปเปอร์ มีวิธีกินทำให้ดูอร่อย ไปหาของแปลกๆมากิน เป็นต้นว่ากินส้มตำก็มีปูตัวเล็กๆไต่ยั้วเยี้ยบนถาดส้มตำ กินส้มตำคำหนึ่งกินปูคำหนึ่ง ทำท่าอร่อยใหญ่เลย เขาไม่กลัวพยาธิใบไม้ในปอด เคยมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งมีพยาธิใบไม้ขึ้นเต็มปอดเลย หมอก็พยายามหาสาเหตุและก็บอกว่า น่าจะกินปูนี่แหละ คนละคนกันนะกับผู้ใหญ่ที่เป็นยูทูปเปอร์ 

พ่อครูว่า... ผู้ใหญ่ กินพ่อปูแม่ปูเลย 

สมณะเดินดิน... คิดว่าในเทศกาลกินเจปีนี้ พวกเราน่าจะให้ความตื่นตัวแล้วก็ให้ความสำคัญในสังคมที่นับวันๆยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงเข่นฆ่ากันอย่างน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น ทำอย่างไรเราถึงจะเพิ่มค่านิยมของเมตตาธรรมให้มันเกิดขึ้นในสังคม 

อาตมาว่าคนที่มากินเจ ถ้าดูบุคคลที่จะมารับเข้าใจโลกุตรธรรม คิดว่าคนที่กินเจน่าจะเป็นประชากรกลุ่มแรกที่จะเข้าใจโลกุตระได้ กลุ่มอื่นที่ไม่กินเจนี้ คิดว่าน่าจะยาก 

เคยไปงานศพเพื่อนของพ่อครู ภรรยากับลูกชายเขาสนิทกับพวกเรามาก ออกมาต้อนรับอย่างดี แต่ก็เหมือนคุยเป็นพิธีเท่านั้นเอง แล้วก็ไป แต่คนที่นั่งคุยตลอดในงานคือลูกเขย ทั้งที่ไม่เคยสนิทกัน แต่ว่าลูกเขยเป็นสมาชิกของชมรมมังสวิรัติ(ชมร.) เห็นได้เลยว่า ภรรยากับลูกชายของผู้เสียชีวิตนี้ แม้จะสนิทกับเรา แต่ก็ไม่รู้จะพูดคุย จะต่อกันอย่างไร มันไม่มีอะไรต่อ แต่ลูกเขยที่แม้ไม่สนิทกันนะ เขาเคยไปกินอาหารที่ชมรมมังสวิรัติเป็นประจำ เป็นวิญญาณที่ต่อเชื่อมกันได้ เพราะฉะนั้น ในมนุษย์ก็จะมีช่องว่างระหว่างพวกเรากับคนทั่วไปเหมือนกัน คือมันเหมือนกับคนละสปีชีส์ คนละเผ่าพันธุ์  แม้แต่ญาติอาตมา รู้จักกันอย่างไร เจอหน้ากัน มันเหมือนไม่รู้จะคุยกันอย่างไง แต่ว่าคนที่เขามีความสัมพันธ์ทางวิญญาณ มีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้บ้าง มันมีเรื่องวิญญาณที่มันจะเชื่อมกันได้ 

พวกเราน่าจะให้ความสำคัญ ออกมารวมพลังชูธงบุญญาวุธหมายเลข 1 ทำให้มันดูอบอุ่น อย่างน้อยในแต่ละชุมชนของเราที่เงียบเหงา ต่างคนต่างอยู่กันนี้ ก็น่าจะได้ออกมารวมพลังกัน ปลุก ทำให้บรรยากาศคึกคัก ทำให้บรรยากาศที่เงียบเหงานี้ดีขึ้นมาบ้าง 

อาตมาได้ฟังที่ท่านลือคม อยู่ที่ศาลีอโศก เคยไปอยู่ที่ศาลีอโศก คนรอบข้างเขาไม่รู้จะมาสัมพันธ์อย่างไรกับเรา เขาเรียกพวกเราว่า พวกป่าช้า ความรู้สึกของเขา มันไม่มีวิญญาณที่จะมาเชื่อมกับเราได้เลย เขาก็ปล่อยให้เราอยู่อย่างนั้น 20-30 ปี แต่พอท่านเปิดอาศัยงานเจ จัดให้กินฟรีเลย ทีนี้มากันคึกคักเลย แล้วก็พวกญาติธรรมเขาบอกว่า ไม่อยากมาขายนะ แต่ถ้าตั้งโรงบุญเขาพร้อมจะมาทันทีเลย โอ้ ที่นั้นเขาแข็งแรงมากเลยนะ ถ้าให้มาขาย ไม่มีใครจะมา แต่ถ้าให้มาแจกนี้ พร้อมที่จะมาแจกได้ นั้นก็เป็นบรรยากาศของศาลีอโศก ที่รู้สึกว่า พวกป่าช้าเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา ถ้าไม่มีงานเจคงอยู่กันเป็นพวกป่าช้าไปอีกยาวนานเลย 

นี้ก็ทำให้เห็นว่า วิญญาณที่จะสัมพันธ์กับคนภายนอก มันก็เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับบุญญาวุธหมายเลข 1 เราก็จะกลายเป็นพวกป่าช้ากันไปอย่างนี้อีกตลอดกาลนาน 

 

พ่อครูว่า... มาเปิดฉากกับ SMS ก่อน 

SMS วันที่ 9-10 ตุลาคม 2566

_ศรีนวล อินปล้อง . น้อมกราบท่านพ่อครู สมณะ สิกขมาตุและญาติธรรมค่ะ  ลูกติดตามทีวีบุญนิยมทางยูทูบและเฟชบุ๊ก ฟังซ้ำหลายครั้ง ชอบและปฏิบัติตาม และติดตามหมอเขียวด้วยค่ะ จนสามีบอก มีช่องรึ ลูกชายก็ชอบฟังและดูแล้วเราก็มาแลกเปลี่ยนกันค่ะ คุยกันปรึกษากันทุกวันเลยค่ะ สุโขทัยค่ะ 

พ่อครูว่า สาธุ “ฟังซ้ำหลายครั้ง ชอบและปฏิบัติตาม” ดี ชอบและปฏิบัติตาม อันนี้ดี  

 

จะอ่านรู้เวทนา สัญญา สังขาร ต้องปฏิบัติฌานลืมตา

_แหวว แหวว . กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ขอเรียนถามค่ะว่า ช่วงระหว่าง จิตเกิดเวทนาสัญญา พอสังขารเสร็จ พึ่งมารู้ตัว จะสังเกตรู้ได้อย่างไรคะ ว่าสัญญาแล้ว กำลังจะข้ามมาสังขาร ตามจิตไม่ทันค่ะพ่อ

พ่อครูว่า…หัดอ่านอย่างนี้แหละ รู้หน้าที่ของมันก่อน 

คำว่า “เวทนา” นี้ มีหน้าที่อะไร มีอาการอย่างไร อาการของมันนั้นแหละบอกหน้าที่ อาการของเวทนาคืออาการรับรู้สึก สัมผัสแล้วรับรู้สึก ถ้าไม่มีสัมผัสมันไม่มีเวทนา ไม่รับรู้สึก มันจะมีแต่สัญญาเลย 

ถ้าไม่มีผัสสะสัมผัสข้างนอก ก็มีแต่สัญญา สัญญาคือการกำหนดรู้กับความจำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีสัมผัสข้างนอก สัญญามันก็ทำงานรู้ มันก็รู้ได้จากของเก่าหรืออดีตความจำ หรือคิดใหม่ ฟุ้งซ่านไปเอง อนาคตที่ยังไม่เคยมี ยังไม่เคยเป็น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีผัสสะ ไม่มีปัจจุบันธรรม ตากระทบรูป หู กระทบเสียงพวกนี้ จึงเป็นโมฆะในการปฏิบัติธรรม เพราะมันไม่ได้เป็นแปลงสิ่งที่กำลังเกิดจริง มันไปงมอยู่กับอดีต-กับอนาคต ซึ่งมันไม่ใช่ของจริง อดีตกับอนาคตไม่ใช่ของจริง ของจริงคือปัจจุบันการปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติที่กำหนดสัมผัสและเกิดอาการขึ้นมา นี่เป็นของจริง 

เรียนรู้ของจริงนี้ว่า ปัจจุบันนี้เราเกิดปรุงแต่งกันอย่างไร มีกิเลส วิจัยวิจาร อะไรๆ อีก ตามกรรมวิธีที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นี้  จึงจะกำจัดตัวจริง มีของจริงก็ได้กำจัดตัวจริง แต่เมื่อไม่มีตัวจริง ไม่มีปัจจุบันธรรม มันก็มีแต่ของก๊ มีแเต่ของอดีตกับอนาคต 

เพราะฉะนั้นการไปหลับตาปฏิบัติธรรมจึงโมฆะ มันไม่มีของจริง มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เลยในพระไตรปิฎกพระสูตรเล่มแรกเลย พรหมชาลสูตร มันมิจฉาทิฏฐิ 62 อย่างนี้อย่าไปทำ แต่เขาเข้าใจไม่ได้ อ่านพระไตรปิฎกก็ไม่แตก ก็เพราะความเสื่อมของพุทธศาสนิกชนยุคนี้ เสื่อมจนจับไม่ได้ว่าสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าคืออะไร มิจฉาทิฏฐิคืออะไร ก็เลยไปมิจฉาหลงผิดไปตามอาจารย์รุ่นก่อนๆ มิจฉาทิฏฐิอยู่จนทุกวันนี้ 

อาตมาก็ปลุกแล้วปลุกอีก เตือนแล้วเตือนอีก ยืนยันแล้ว อ้างอิงแล้ว อธิบายแล้ว พานำมาปฏิบัติ เพื่อยืนยันของจริงเพื่อให้เทียบเคียงเลยว่าอะไรมันจะถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ ไม่เลย เขาก็ยังไม่กระดิกหู ไม่กระเตื้องอะไรเลย ก็น่าสงสาร 

เราเรียนรู้ก็เรียนรู้ที่เวทนา  สัญญา  สังขาร นี่เป็นเจตสิก 3 ของวิญญาณ วิญญาณที่เป็นธาตุรู้องค์รวม มีรูปด้วย รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเวทนา มันสามารถรู้ก็ที่เรามีสัญญากำหนดรู้ หรือมันกำหนดรู้แล้ว สัญญานี่แหละใช้กำหนดรู้ กำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร 

สังขารคือการปรุงแต่ง พอเวทนากระทบปั๊บ! มันก็ปรุงแต่งด้วย ยิ่งมีกิเลสร่วมอยู่ด้วยกับจิต มันมีบทบาทจริงเลย มันมีอยู่ในเรา มันจะปรุงแต่งปุ๊บเลย มันจะสังขารทันทีเลย เราจึงต้องอ่านเวทนาที่มันสังขาร โดยตัวสัญญาเป็นตัวทำงานกำหนดรู้ตัวนี้ สัญญากำหนดรู้ตัวนี้จึงจะกำหนดรู้ที่มีสัมผัสและมีของจริงหรือความจริงเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าไปหลับตามันไม่มีของจริง ไปทำยังไงก็แก้ไขไม่ได้ เพราะมันไม่มีของจริง มันมีอยู่ในอดีต-ในอนาคต ไม่รู้ว่าเราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง 

นี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อธิบายสู่ฟังว่า หลับตานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นของเดียรถีย์ ไปเอาอย่างเดียรถีย์ทำไม มาลืมตาปฏิบัติธรรมตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่ 

ตั้งแต่ศีลแต่ละข้อ เดี๋ยวก็จะได้อธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ ตั้งใจอธิบายต่ออยู่ คนก็ยังอยากจะฟัง ค่อยๆว่าไป 

ทีนี้ที่ถามมานั้น ก็ต้องศึกษาไป แล้วรู้หน้าที่มันให้ชัด แล้วจะรู้ว่า เมื่อไรมันก่อน-มันหลัง-อาการมันยังไง ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆ มันเป็นอภิธรรมจริงๆ มันเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่ใช่รู้ง่ายๆ ขออภัยไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย แต่เป็นวิสัยของอาริยะ เป็นวิสัยของคนเจริญที่แท้จริงจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคลไม่รู้ความจริงหรอก จะรู้ผิดๆ ต้องมาศึกษาจริงๆ 

_ใบยอม กันธะ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ธรรมะที่พ่อครูนำมาสอนลูก ๆ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นสุดยอดแห่งการสอน และลูกได้ฟัง แล้วนำมาปฏิบัติ ซึ่งลูกทำได้ระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นข้อสำรวมอินทรีย์ ข้อนี้ลูกยังทำไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ละความพยายามจะฝึกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสำเร็จ รายงานมาให้ทราบค่ะ ด้วยความเคารพพ่อครูสุดหัวใจ

พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็ว่ายุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายจรณะ 15 วิชชา8 มากเท่าอาตมาหรอก เอาจริงเอาจังด้วย สอนอย่างเอาจริงเอาจังด้วย เพราะ 

จรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติที่เป็นของพระพุทธเจ้า เรียกเต็มๆว่า จรณะ วิชชาจรณะสมบัติ เป็นสาระแท้ เป็นทรัพย์จริงของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่อยู่ในร่องรอยของจรณะ 15 วิชชา 8 จึงไม่ได้อยู่ในกองสมบัติพระพุทธเจ้า อยู่นอกกองสมบัติ พวกนี้พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า พวกไม่อยู่ในสมบัติของพระพุทธเจ้า พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า ไม่มีมรดก นอกตระกูลไม่ได้รับมรดกแท้ เพราะมรดกของพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติเป็นสุดยอด 

“ลูกได้ฟัง แล้วนำมาปฏิบัติ ซึ่งลูกทำได้ระดับหนึ่ง” เอา ดี เข้าไปเรื่อยๆ เป็นแต่ละระดับ 

การสำรวมอินทรีย์นี้เป็นต้นทางเลย การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถูกแล้ว เอ้า..ดีมาก ตรงนี้ไม่ผิดเป้าแล้ว นี้แหละคือเป้าปฏิบัติ 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ...

แสร้งอ้างว่าประชาธิปไตย    เหล่าคนไทยหลงคารมชมเศรษฐี 

ว่าแจกเงินหนึ่งหมื่นชื่นชีวี    แม้เขามีเล่ห์กลไม่สนใจ 

เราจะทำอย่างไรไทยตื่นรู้     กราบพ่อครูช่วยชี้ทางสว่างให้ 

สร้างปัญญาให้ปวงชนพ้นเภทภัย  ศิวิไลซ์ไทยยืนยงไม่หลงกล

พ่อครูว่า…อาตมาก็พากเพียรอยู่ พยายามอยู่ ที่พยายามเตือนสติ พยายามบอกให้เห็นเล่ห์กลต่างๆ ในการแจก เอาเงินของรัฐบาลมาแจกด้วย เอาเงินของส่วนกลางของประชาชนมาแจก ไม่ใช่เงินตัวเอง แล้วก็หาเสียงให้แก่ตัวเอง อันนี้เป็นวิธีการ เป็นกลยุทธของนักการเมือง ที่เมื่อได้ตำแหน่งหน้าที่ใช้พวกนี้ได้เขาก็จะทำ ทำกันมาตลอดเวลาไม่รู้กี่ยุคกี่ยุค กี่สมัยก็เป็นอย่างนี้กันมา 

(insert ภาพบนจอ) 

นี้ เขาก็เอาอันนี้ insert มาบอกว่า  รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ บอกว่า (พ่อครูอ่านที่หน้าจอ)

หากรัฐบาลใหม่แจกเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet จะต้องใช้งบสูงกว่า 5 แสนล้านบาท ต้องกู้เงินก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม มิฉะนั้นต้องเก็บภาษีเพิ่ม 

พ่อครูว่า... ที่จริงมันน่าจะเอาเงินของนายกเองนะ รวยจะตาย มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน เขาตระกูลแสนสิริ ไม่รู้นะน่าจะถึงแสนล้านหรือเปล่า แต่หมื่นล้านน่าจะถึง เศรษฐีใหญ่ เอ้า ก็ฟังไป ดูพฤติกรรมคนไป 

 

จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 

กว่าคนจะมารู้ธรรมะเป็นโลกุตระ หรืออาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นมาก่อน ท่านเป็นผู้ที่มีสมบัติพัสถาน มีเวียงมีวัง สุดท้าย ท่านก็ พอรู้ตัวแล้วท่านไม่เอาเลย โยนทิ้ง ไม่เอาไม่รับผิดชอบ ไม่เอาเป็นสมบัติตนเลย ออกมาเลย มาทำงานสอนให้คนมาเป็นอย่างที่ท่านเป็นทันที 

มันเป็นสุดยอดแห่งความเป็นมนุษย์ จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ มันต้องได้คุณธรรมอันนี้ ถ้าได้คุณธรรมอันนี้แล้วมันมีหลักประกันที่อาตมาไล่เรียงอธิบายให้ฟังแล้ว 

ตั้งแต่กิจ กิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 พยายามกำหนดหัวข้อหลักเกณฑ์ต่างๆ เอามาขยายความให้พวกเราฟังเห็นความสำคัญ 

 

กิจข้อที่ 1 ทำดี ละชั่ว-ประพฤติดี 

ซึ่งโลกทั้งหลายแหล่ ศาสนาทุกศาสนาเขาสอน สอนเรื่องนี้และเรื่องนี้เท่านั้น ในศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องทำดี-อย่าทำชั่ว และเขาสอนแล้วก็ทำดีกันพอได้ตามที่เขาพยายามสอนกัน อบรมฝึกฝนให้เป็นคนทำดีอย่าทำชั่ว แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน จึงไม่มีนิยตะ จึงไม่เที่ยง ได้แต่แค่นิจจัง นิจจังนี่คือเที่ยงเหมือนกัน แต่เที่ยงชั่วครั้งชั่วคราวแล้ววนกลับ ไม่เหมือนนิยตะ นิยตะนี่คือเที่ยงไม่มีวนกลับ นี่คือต่างกันระหว่างของโลกีย์เทวนิยมกับโลกุตระของพระพุทธเจ้า 

ของพระพุทธเจ้าประพฤติกิจทำดี ไม่ทำชั่ว ละชั่ว เที่ยงนิยตะ ได้แล้วได้เลย ไม่วนไปชั่วอีก เกิดชาติหน้าเกิดชาติต่อๆไปก็ไม่ชั่ว อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นกิจที่ 1 

 

กิจที่ 2 เรียนรู้สุขทุกข์ 

เรียนรู้สุขทุกข์นี้เทวนิยมไม่มีเลย ไม่รู้เรื่องเลย มีศาสนาพุทธเท่านั้นรู้และเรียนสำเร็จ ล้างสุขทุกข์ออกจากจิตเป็นอรหันต์ เป็นคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นกิจสำคัญ เพราะฉะนั้นจบกิจนี้ก็ถือว่าจบแล้วหน้าที่ของคน ที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น

 

กิจที่ 3 เรียนรู้กาละ

กิจที่ 3 ลึกซึ้งขึ้นไป เรียนรู้กาละ กาลเวลา อยู่ในกาลเวลา เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ในชาติใดก็ทำได้แล้ว แต่ไม่ ยังไม่ทำกาละ 

การทำกาละ เขาแปลว่าตาย คนทำกาละนี่คือคนตาย ทำกาละคือ ทำไม่ให้กาละมันต่อ ตัดตัวเองออกจากกาละ แยกธาตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไป ก็ไม่มีตนอยู่ในกาละ 

กาละมันมีอยู่ตลอดกาลนาน ตราบใดที่มีวัฏจักร มีมหาจักรวาล ยังมีโลก ยังมีสัตว์โลก แม้ไม่มีสัตว์โลก โลกมันก็มีและมันก็เคลื่อนเป็นกาละของมันอยู่ แต่สัตว์มันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกเวลากับกาละ แต่คนนี้แหละมารู้จักรับความเดินทางเวลากาละ มากำหนดพวกนี้รู้กัน 

เพราะฉะนั้นตัวกิจที่ 3 นี้จึงเป็นกิจที่สูงสุด ในกิจ 3 กิจ ที่อาตมาแยกมาอธิบายให้ฟัง ชัดๆ ง่ายๆ 

พวกเราชาวอโศกสามารถรู้จักกาละและพ้นกาละ สามารถศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้จบกิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 มาได้ เป็นจริง อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ขี้ตู่ แต่ที่อื่นเขาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้เรื่องแล้ว มันเสื่อมจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ศาสนาพุทธนี้เป็นโลกุตระ จะมาเรียนรู้อย่างที่เราพูดไปในกิจต่างๆ นั้นเป็นโลกุตระ โลกียะเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็หลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จารีตประเพณี อะไรๆ กันไป เละเทะเละเทะกันไปอยู่อย่างนั้น 

_ชาญณรงค์ จินดาธรรม . น้อมกราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่าน ผู้มีเหล่าอกุศลธรรมอันให้เศร้าหมอง นำให้เกิดในภพใหม่ อันท่านนั้นรู้แจ้งแล้ว (เวทคู).....(ยังมีต่อ) 

พ่อครูว่า…”นำให้เกิดในภพใหม่ “ อาตมาพาล้างภพอยู่นะ 

“อันท่านนั้นรู้แจ้งแล้ว (เวทคู)” ใช่ อาตมาเป็น”เวทคู” คือเป็นผู้รู้แจ้งภพแล้ว ไม่เกิดในภพใหม่แล้ว 

คำว่า “ไม่เกิดในภพใหม่” ไม่ได้หมายความว่า พอผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว ภพใหม่คือชาติต่อไป มันเป็นภพที่เป็นภพ “สัมปรายิกภพ” ที่วิเศษขึ้นไปอีก เป็นภพที่เราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจความเป็นภพแล้ว เป็นภพที่เราอยู่เหนือภพ เพื่อที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นการติดอยู่ในภพได้ต่อๆไป มาทำงานต่อ อันนี้แหละมันลึกซึ้งซับซ้อนไม่ค่อยรู้กัน 

_อันท่านล้างเสียแล้ว (นหาตกะ) อันท่านให้หลับไปแล้ว (โสตติยะ) อันท่านกำจัดเสียแล้ว (อรหันตะ) ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรักอย่างยิ่ง ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งครับ

พ่อครูว่า…”อันท่านล้างเสียแล้ว (นหาตกะ)” ถูกต้อง อาตมาล้างภพแล้ว 

“อันท่านให้หลับไปแล้ว (โสตติยะ)” โสตติยะ หรือสวัสดีนี้แหละ โสตถีนี่แหละ อันหลับไปแล้ว 

สำหรับผู้รู้ ส่วนผู้ไม่รู้เขาก็ว่าอาตมา อย่าแต่ว่าธรรมดาด้วยนะ  เขาบริภาษด้วย บริภาษแปลว่าด่า บริภาษเอาด้วย ไม่ใช่ว่าแค่ไม่รับอาตมา แถมบริภาษเสียอีก 

 

_ศรินทร์ ทองธรรมชาติ . ร่วมกันชมที่มหาสารคามชัดเจนดีค่ะ กราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะและท่านสิกขมาตุทุกรูปด้วยความเคารพยิ่งคะ อนุโมทนาสาธุค่ะ ชอบมากได้รับสัมมาทิฏฐิทุกๆๆ ครั้งที่รับชมค่ะ อยากให้เพลงมาร์ช “ประเทศคือชีวิต” MV ที่ชาวอโศกร้อง ออกแสดงคอนเสิร์ต 90 ปีพ่อครูด้วยนะคะ

พ่อครูว่า…เอา ก็บอกไปพวกที่เขาจัดกันอยู่ฟัง เขาทำให้ได้ก็ทำ เขาจัดแล้วนะ รู้สึกว่าเขาเตรียมเพลงไว้แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงมาร์ช ดูเหมือนเพลงนี้จะไม่มี เอา นี้ก็เป็นการเสนอความเห็น 

 

ความเป็นมาของหมู่บ้านราชธานีอโศก

_เสียง อิสระ . กราบนมัสการครับพ่อท่าน ผมเห็นพ่อท่านกล่าวถึงภาษาของบทกวี ทำให้ผมนึกถึงย้อนไปเมื่อประมาณ ปี 2539 ผมจึงได้ลองแต่งกลอน กาพย์ฉบัง 16 และเพลงมาร์ช ขึ้นมา โดยอาศัยการสังเกตเพลงของพ่อท่านหลาย ๆ เพลง ที่มีการต่อคำแบบแปลก ๆ ซึ่งต่างจากเนื้อเพลงทั่วไป ผมไม่รู้ว่าเนื้อกาพย์กลอนจะเข้าข่ายกวีหรือเปล่าครับ 

เนื้อกาพย์มีว่า  แสงระวี สุรียาตร์ พรรณราย ทาบทามกำจาย 
ทหัยชื่นมื่น ครื้นเครง แลมูลพู้นรดา อ่าเอง เอื้อนเสียงเพียงเพลง บรรเลงลำค่ำลง จงใจทวีพลบ คบคอน ฟอนไฟ ระยุค ล้ำ กร้ำกราย มาดหมายชายเมียง เวียงพง โอ้โพธิสัตว์จ้าว เนาณรงค์ ราชธานีดาวดง ก่อกงธงธรรม ส่ำเมือง  

(พ่อครูว่า โอ๊ย! ต้องแปลกันด้วยนะ นี่ใช้ภาษาทั้งโบราณ ภาษาเก่า ภาษาอะไรๆ หลายภาษา ..โอ้! ดี มีแปลมาให้ฟัง)

โดยเนื้อหาแปลว่า แสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้าช่างเปล่งประกายสวยงามมากชวนให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส ครั้นยามเย็น แม่มูลก็ยังคงความงดงาม ให้ครื้มใจ จึ่งร้องเพลงออกมาด้วยมีความสุขมาจากใจ ค่ำแล้ว จึงจุดฟืนไฟ เพื่อให้ความสว่าง กาลเวลา และความมืดคืบคลานเข้ามา ทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นทั้งสภาพที่อยู่อาศัยและเป็นป่า ณ.ที่นี้เป็นดินแดนของพระโพธิสัตว์ โดยมีกลุ่มดาวเป็นผู้บุกเบิกในยุคแรก จากนั้นจึงเริ่มมีมวลกลุ่มมามากขึ้น และร่วมกันก่อร่างสร้างเมือง จนเป็นราชธานีของการเผยแพร่ศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ กราบนมัสการพ่อท่านครับ

พ่อครูว่า…ดี พอแปลออกมาก็ฟังดูดี เอา แต่ละคนมีความรู้มีความชำนาญมีความสามารถในภาษา ในอะไรหลายๆอย่าง 

นี่เขาพูดพาดพิงไปถึงกลุ่ม 7 ดาวผู้บุกเบิกราชธานีอโศก ตอนแรกๆ ในยุคแรก เดี๋ยวนี้เหลืออยู่เห็นหน้าอยู่กี่ดาว มีดาวเพ็ญ ดาวนา ดาวพร ดาวเย็นก็ไม่รู้ไปรวยอยู่ที่ไหน ดินดาวอยู่ ดาวดินไปไหนก็ไม่รู้ ดาวดินไม่ใช่แล้ว  นี่เขาดาวผู้หญิง นี่ก็ตำนานชาวอโศก บุกเบิกจนกลายเป็นราชธานีอโศกทุกวันนี้ 

จริงๆแล้วอาตมาว่า อาตมาประสบผลสำเร็จนะ หมู่บ้านนี้นี่ อาตมาว่าอาตมาเป็นผู้นำพาเกิดหมู่บ้านขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งในตำบลในอำเภอวาริน เป็นหมู่บ้านไม่เล็กนะ หมู่บ้านมีตั้ง 400-500 หลังคาเรือน ไม่เล็ก มีตั้ง 2-3 เฟสหมู่บ้าน กลางหมู่กลางก็คือเฟสหลวง เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 มีตั้งหลายเฟส รวมกันอยู่ มีวัฒนธรรม มีการสร้างบ้านแปลงเมือง หลายๆอย่างที่พวกเราอยู่ 

โดยเฉพาะคนที่มาอยู่ในที่นี้ เป็นสัปปายะ สถานที่เราก็ทำให้เป็นสัปปายะ สัปปายะคือ ที่เจริญ ที่สบาย สถานที่ก็สัปปายะ บุคคลอันนี้สิยืนยันชัดเจน บุคคลสัปปายะ บุคคลเจริญ อยู่กันอย่างสบาย นี่มาอยู่กันอย่างเมตตากายกรรม  เมตตาวจีกรรม  เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างสาธารณโภคี มีทิฎฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ตรงตามสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ยืนยันว่าพวกเราประสบผลสำเร็จ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ได้จริง อันนี้เป็นการยืนยันเลย ก็เป็นอยู่กันไป 

แม้จะอายุ เราทำได้ไม่กี่ปี ที่นี่เริ่มปี 2537 นั้นแหละดาวทั้งหลายมาปักลง  อาตมาอายุ 60 ปีพอดี ปักหลักลงที่นี่ มาถึงปีนี้ 66 พ.ศ 2566 

สมณะเดินดิน... ปีหน้า 2567 ก็ครบ 30 ปีราชธานีอโศก 

พ่อครูว่า... ปีหน้าครบ 30 ปี ฉลองกันดีไหมปีหน้า ฉลองไม่ใช่ถองนะ อาตมา 90 พอดี 2567 บ้านราชก็ 30 ปี น่าฉลองเนาะ 30 ฉลอง เอาละผ่านไป ก็เป็นไป คนเราก็มีความคิดจะเรียกว่าฟุ้งซ่านก็ได้ จะเรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ก็ได้ 

 

จิตอรหันต์สายปัญญาจะปรุงแต่งได้แม้ในยามหลับ

_บัวดาว พรมเลิศ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพบูชาสุดเศียรเกล้า ลูกอโศกทั้งหลายน้อมกราบ ขออาราธนาพ่อครูอยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ ลูกหลานเหลนโหลน ได้เห็นหลวงปู่ นั่งยิ้มก็เป็นขวัญกำลังจิตวิญญาณแล้ว เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาแน่นอน ถ้าอาตมาอยู่ อาตมาไม่นั่งบึ้งหรอก อาตมายิ้ม ทุกคนจะเห็นได้ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนมีสีหน้าบึ้งบูดอะไร ไม่เคย มีแต่ยิ้ม หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยซ้ำไป ยิ้มแย้ม ซึ่งมันก็ไม่รู้จะไปบูดทำไม โง่ๆ หน้าบูดมันจะดียังไง หรืออาตมาเคยพูดว่า 

ไอ้ใจเรานี่นะ ใจจะเศร้าก็เราโง่เอง ใจจะน้อยเราก็โง่เอง ใจจะเสียเราก็โง่เอง ใจจะเสียเรียกว่าเสียใจ ใจจะน้อยเรียกว่าน้อยใจ เว้าใจแหว่งใจ เราเป็นเองหมด อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว 

เราเป็นเจ้าของใจ ทำไมมันโง่ได้โง่ดี ทำใจของตัวเองทำให้มันไม่อยู่สุข ให้มันไม่สุขสำราญเบิกบานใจ ไปทำให้จิตใจตัวเองเศร้าสร้อยเหงาหงอยหรือเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นโน่นเป็นนี่ เอ๊ ก็พูดไป ที่จริงมันไม่ง่าย 

มันต้องอยู่เหนือและเข้าใจ มีพลังพลังฤทธิ์ของปัญญาที่รู้ความจริง ใจเรานี่เราฝึกมาดีแล้วมันก็เป็นได้ (มีเสียงประกาศ)

_สู่แดนธรรม... ผมอยากถามว่า ถ้าจิตของคนที่ไม่มีกิเลสแล้วอยู่เฉยๆไม่คิดอะไร มันก็แจ่มใสของมันเองใช่ไหมครับ ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ธรรมดาๆของมัน มันก็แจ่มใสอยู่เป็นธรรมชาติใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ แจ่มใสอยู่เป็นธรรมชาติ แต่ธาตุจิตมันไม่ใช่ธาตุที่อยู่นิ่งๆ มันเป็นธาตุเคลื่อนไหว นอกจากเวลาจะหยุดมันจริงๆ ก็กำหนดมัน ถ้าฝึกกำหนดนะ 

สายปัญญาที่ไม่ได้กำหนดหยุดเลยนี้ มันไม่หยุดหรอก แต่มันไม่ปรุงชั่ว มันไม่ปรุงเป็นอกุศล มันไม่ปรุงเป็นบาป ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว สายจิตไม่หยุดนี้ก็จะทำงานมีแต่อภิสังขาร  มีแต่ปรุงไปในทางเจริญ สร้างสรรค์มีสิ่งที่ดีงาม 

เพราะมันเป็นธาตุทำงาน มันทำงาน ถ้ายิ่งเป็นปัญญา สายปัญญาไม่ได้ฝึกหยุดไม่ได้ฝึกพัก นอนหลับมันก็ปรุง แต่มันปรุงเป็นธรรมะ คนหมดกิเลสแล้วมันก็ไม่มีกิเลสไปปรุงตอนนอนหลับ แต่มันปรุง จะเรียกปรุงนั้นว่าเป็นฝัน จะเรียกการปรุงนั้นว่าเป็นนิมิต มันก็เป็นนิมิตเป็นฝัน 

ซึ่งเขาไม่เข้าใจ ทางโลกเขาบอกว่าพระอรหันต์จะไม่ฝัน สายหลับตานี้ เขานอนแล้วเขาไม่รู้ตัว เขาดับสัญญา เขาก็หลับดับไม่รู้เรื่อง ตื่นเช้ามาไม่ฝัน เขาก็ถือว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์ อย่างนั้นยิ่งยืนยันเลยว่าคุณไม่ใช่อรหันต์ นอกจากคุณจะฝึกไม่ให้มันคิดมันนึก 

แม้ไม่คิดไม่นึก นอนหลับ สายปัญญาไม่ได้ฝึกดับให้ไม่ทำงาน อสัญญี เจตสิกของตัวเองสัญญาไม่มากำหนดรู้จิตตัวเองเลย มันก็จะถ้ามันไม่ได้ฝึก ไม่ฝึกมันหยุดเลย ไม่ได้ฝึกให้มันหยุด มันก็จะรู้ว่าตัวเองปรุง ใส 

นอกจากเวลาจะพัก หยุดจริงๆเลย มันเมื่อย หรือมันเพลีย หรือมันอยากจะหยุด ถ้าไม่งั้นอยู่ได้ทั้งคืนไม่กินพลังงานเท่าไหร่หรอก ก็จะปรุงธรรมะไปอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า คุยกับเทวดา นั่นแหละ 

พระพุทธเจ้านี่คุยกับเทวดาทั้งคืน ท่านพักผ่อนแค่ 4 ชั่วโมง ช่วงกลางคืน 12 ชั่วโมง ท่านก็พักแค่ 4 ชั่วโมง นอกนั้นก็คุยกับเทวดา แล้วไม่ได้กินแรงอะไร ฝึก ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้วมันก็เป็นธรรมชาติ 

นี่ก็อธิบายตามที่อาตมามีความจริงอธิบายได้เท่านี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบ ส่วนใครเขาเป็นอะไรอย่างไรจะแย้งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะคนเรามีฐานแห่งความรู้-ฐานแห่งความจริงที่ไม่เหมือนกัน ว่ากันไป ของใครของมัน พูดความจริงของแต่ละคนของตัวเองออกมาสู่กันฟัง หรือไม่ก็เดาๆด้นๆ เอาเรื่องเดาๆด้นๆยังไม่รู้จริงด้วยเอามาพูด ไอ้นี่ก็เยอะ 

 

ทำอย่างไรจะถึงเป้าหมายได้เร็วในการปฏิบัติธรรม

_กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ อุปมาว่า ในทะเลอันเวิ้งว้าง และยาวไกลจนมองหาที่เริ่มต้น และที่สิ้นสุดไม่พบ ได้มีชายผู้หนึ่งบอกว่า 

เราเคยผ่านทางสายนี้มาแล้ว เราจักบอกทางแก่เจ้า เราทำได้เพียงบอก แต่เจ้าต้องเป็นคนเดินเอง เราเดินแทนเจ้ามิได้ และในทะเลแห่งนั้น บางคนเดินข้ามได้ง่าย บางคนเดินข้ามได้ยาก ยังคงหลงวนอยู่ใน กิน กาม เกียรติ หลงอยู่ชาติแล้ว ชาติเล่า คนทั้งสองประเภทนี้ ไปถึงเป้าหมายช้าเร็วต่างกัน (เป้าหมาย ในที่นี้ หมายถึง พ้นทุกข์ ไม่กลับมาวนซ้ำๆ เช่น บางคนยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็กลับไปกินอยู่อย่างนั้น เลิกไม่ได้สักที รู้ทั้งรู้ว่าเบียดเบียนชีวิตเขา บางคนเลิกทีเดียวได้เลย)  คำถามมีว่า

1. คนสองประเภทมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ถึงเป้าหมาย ช้า เร็ว ต่างกัน 

2. แล้วทำอย่างไร ถึงจะไปให้ถึงเป้าหมาย ได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า  กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ตอบข้อ 2 ก่อน ว่าทำอย่างไรจึงจะไปให้ถึงเป้าหมายได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า ฟังดีๆนะ มาฟังโพธิรักษ์ ทำอย่างไร 

ฟังสัตบุรุษ ฟังผู้สัมมาทิฏฐิ หาผู้สัมมาทิฏฐิให้ได้ ถ้ามีพระพุทธเจ้าก็แน่นอน ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ต้องผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ที่ีเป็นสัตบุรุษ ต้องรู้จริงสัมมาทิฏฐิจริง นี้คือทำอย่างไร จะได้เร็ว 

ทีนี้ข้อที่ 2 มีคน 2 ประเภท มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ถึงเป้าหมายช้าเร็วต่างกัน ก็คือ โง่มาก-โง่น้อยต่างกันนั่นเอง รู้ช้าเร็วต่างกัน ใช่ไหม จบแล้ว ตอบชัดๆ 

 

ทำไมคนยังยึดหลับตาปฏิบัติทั้งที่ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ลูกขอกราบเรียนถามว่า การปฏิบัติธรรมแบบที่นั่งหลับตาของทุกวันนี้เป็นไปในแบบเดียวกันกับท่านอาฬารดาบส กับท่านอุทกดาบสพาปฏิบัติใช่ไหมคะ …(ยังมีต่อ)

พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าไปเจอเข้า ก็บอกว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องใช่ทาง ก็รู้กันอยู้ ก็เรียนกันอยู่ ประวัติตำนานอันนี้พวกนี้ก็รู้กันอยู่ แต่ทำไมถึงไม่ฉลาด ยังโง่ ก็ไปทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านไปพบแล้วก็ไม่เอา อย่างเก่งนั่งหลับตาก็ได้ฌาน 7 ฌาน 8 แบบเดียรถีย์ แบบฤาษี ฌาน 7 ฌาน 8 ไม่ใช่ฌาน 7 ฌาน 8 ของพระพุทธเจ้า เขาก็ไปทำ ก็เรียนกันนะแต่ไม่รู้ แล้วจะให้ตอบว่ายังไง ถ้าไม่ตอบว่ายังโง่กันอยู่ ใช่ไหม นี่ใช้ภาษาตรงๆง่ายๆชัดๆว่า ยังพากันโง่อยู่ อาตมาก็ไปโทษเขาก็ไม่ได้เพราะเขาโง่จริง เขาก็ต้องโง่อยู่ ไปบอกว่า โง่อยู่ได้ อ้าว! ก็มันโง่อ่ะ แล้วมันไม่โง่อยู่ได้ยังไง มันก็อยู่ได้สิ โง่ก็อยู่ได้วะ อยู่ได้แต่คนฉลาดหรือไง ไม่ให้เขาโง่อยู่ได้ไง คนโง่มันมากกว่าคนฉลาดด้วยซ้ำ 

_ที่ลูกถามอย่างนี้เพราะลูกเห็นว่าปรกติชาวพุทธ ทราบดีว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช แล้วไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์ทั้งสองแล้วไม่บรรลุธรรม แล้วทำไมวันนี้จึงกลับไปปฏิบัติธรรมแบบที่ไม่พาบรรลุธรรมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…นี่ส่อถึงความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ว่าชาวพุทธจะเสื่อมโลกุตรธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเสื่อม ก็ไปหลงนอกรีตนอกทางอย่างฤาษีเดียรถีย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส ไปนั่งหลับตาฌาน 7 ฌาน 8 อยู่นั่นแหละ ไม่ใช่ฌานที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ฌานอันนี้ ที่ต้องแยกให้ออกให้ชัดๆเลยว่า มันมีฌาน 2 แบบ ฌานอย่างฤาษีเดียรถีย์แล้วก็เขาหลงอยู่กับฌานแบบฤาษีเดียรถีย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส อยู่นั่นแหละ 

_สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วคุณสว่างแสงพูดผิดนะครับ จริงๆแล้วเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุกับอาจารย์ทั้งสองสุดยอดด้วยกันทั้งสองครับ แต่เขาบอกว่าไม่ได้บรรลุ

พ่อครูว่า... ไม่ได้บรรลุสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้นทำได้ด้วยไม่ใช่เรียกว่าบรรลุ หรือจะเรียกว่าบรรลุก็ได้ บรรลุก็คือสำเร็จเข้าถึงความเป็นอย่างนั้น  ก็เป็นได้ ไอ้อย่างผิดอย่างนั้น แต่ท่านไม่ได้เอานี่ 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยตอบไว้นานแล้วว่ามันมีอจินไตยอย่างหนึ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมอยู่ด้วยกับอาจารย์ เพราะว่าท่านเคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อนแล้ว 

พ่อครูว่า... อ้อ! แน่ ทั้งนั้นแหละ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย อาตมาก็รู้แล้ว อาตมาแค่เป็นโพธิสัตว์ขั้นนี้ อาตมาก็ผ่านมา ก็รู้แล้ว  อาตมาก็ทำมาทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า พวกเขามาพูดว่าอาตมาไม่รู้เขา โธ่เอ๋ย อาตมาพูดตั้งไม่รู้เท่าไหร่ อาตมาไปทำอยู่ตั้ง 8 ปี ก็นั่งหลับตา อาตมาก็ทำนักหนา ทำไมอาตมาจะไม่รู้ ก่อนๆ ก็รู้มาแล้วชาตินี้ก็ไปทำอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องไปอีกเหมือนกัน แต่ก็รู้แล้ว เพื่อที่จะพิสูจน์ยืนยันว่า ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ ไม่ใช่เหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่ได้ทำเลยแล้วก็มาพูดเอา ไม่ใช่ ยืนยัน 

ทีนี้ที่ถามมา ทำไมเขาถึงไปทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ถูก อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส แล้วจะให้ว่ายังไง ก็ต้องพูดซ้ำ ก็มันโง่ มันไม่รู้อยู่  ทั้งที่มันชัดๆแล้วก็ยังไม่ชัด มันก็ต้องเป็นอยู่อย่างที่เขาเป็น นี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง พูดไปนี้ เขาจะฟังอาตมาหรือเปล่า หรือฟังแล้วก็ผ่านหู..ช่างเถอะ เขาเห็นว่าอย่างนี้ของเขาได้แน่นอนแล้ว ครูบาอาจารย์ของเขามีพวกเยอะ โพธิรักษ์มีใครพวกนิดเดียว ของเขาเอาพวกมากเขาก็เป็นพวกสญชัยเวลัฎฐบุตร จะมาเอาพระสมณโคดมก็ไปๆๆ สารีบุตร โมคคัลลาไปเอาพระสมณโคดม เราจะเอาหมู่ใหญ่เขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ 

 

มรรคผลของพุทธเกิดได้แม้ในการรู้จักใช้เสื้อผ้า

_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย . กราบนมัสการค่ะ โยมอยู่ที่บ้าน ได้อานิสงส์จากการทบทวนธรรม ได้ฝึกปฏิบัติศีล ตั้งใจลดกิเลสในเรื่องของเสื้อผ้า เพราะได้เห็นทุกข์จากการมีมาก คือมันเป็นภาระ ตั้งใจจะไม่ซื้ออีกเลย และได้ปฏิบัติ 3 ปี ผ่านมาแล้วด้วยดี จะตั้งใจทำให้ต่อเนื่องตลอดไป กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า…นี้ก็ดี ปฏิบัติที่ลดเสื้อผ้านี้อยู่ในศีลข้อที่ 2 แล้วก็ไปพันในศีลข้อที่ 3 ด้วย 

 อย่างนี้แหละเป็นมรรคผล เพราะฉะนั้นคนไม่มีหลักเกณฑ์ประกอบเปรียบเทียบ  หลักเกณฑ์ที่จะใช้ยืนยันวัดเรื่องราว อันนี้ไม่มีศีลอย่างนี้เป็นต้น มันก็ไม่รู้ว่าเราเองปฏิบัติอะไร ปฏิบัติได้ผลอะไร อย่างนี้แหละได้ผล เพราะได้เห็นทุกข์ในการมีมาก นี้ยิ่งเป็นอริยสัจเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า โธ่เอ๋ย เสื้อผ้าพอมาเป็นนักบวชแล้วมีชุดเดียว หรือ 2 ชุดอย่างมาก ก็รู้แล้วว่าถ้ามันมีมากแบกหาม  มันเป็นสัจจะ พวกที่ชอบอยู่ แบกขนอะไรต่ออะไร หอบไปหามไปอะไรต่ออะไร มากเท่าไหร่ก็ชอบ แต่คนที่เขามีจริงแล้ว-รู้จริงแล้วจะไปหอบไปหามมันทำไม มันเป็นภาระมากมาย 

ดี..นี่เป็นมรรคผล มรรคผลไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาแล้วก็เป็นฌานอะไร แต่นี่แหละคือฌาน ฌานลืมตามีปัญญาชัดเจน รู้จักการ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส การเลิกการละที่แท้จริง นี่แหละชัดเจน 

 

ตอนป่วยอรหันต์จะกินอาหารได้เป็นปกติไหม

_เอื้ออภัย . ขอเรียนถามพ่อครูค่ะ 

1.พ่อครูเวลาป่วยฉันอาหาร ได้เป็นปกติมั้ยคะ

พ่อครูว่า…ทุกวันนี้นี่อาตมาป่วยหรือไม่ป่วย อาตมาก็ฉันอาหารเป็นปกติ เป็นปกติที่มันยาก ฉันอาหารไม่ง่าย ฉันอาหารที่ไรผู้ที่อยู่ดูแล ผู้ที่ช่วยกันจัดอาหารทำอะไรอยู่ จะบอกว่าปัจจเวกขณ์ อาตมาบ่น บอกว่าปัจจเวกขณ์แล้ว เฮ้อ มันเมื่อยก่อนแล้วต้องมาทนกิน 

อาตมาพูดเรื่องนี้มาแล้ว อาตมาไม่ได้แกล้งเป็น อาตมาเป็นจริงๆ เหตุที่เป็นนั่นน่ะก็บอกแล้วหลายอย่าง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ที่หลักที่สำคัญที่สุดที่พูดกันง่ายก็คือมันฝืนอายุขัยของขันธ์ ที่จริงอาตมาควรตายแล้ว นี่มันฝืน มันก็พยายามลากอายุขัย ฝืนมาเป็นสิบๆปีแล้ว มันก็ต้องยาก อาหารก็กินไปตามธรรมชาติหรือแม้แต่สัญชาติญาณก็กินไปเพื่อให้ยังขันธ์ไว้ 

2 มันก็ไม่ได้อยากจะยังขันธ์อะไรมาก แต่ตั้งใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีปณิธานตั้งใจไว้ที่จะอยู่ต่อไป ป่านนี้อาตมาก็ไม่อยู่ dead สะมอเร่ไปแล้ว 

อันที่ 3 มันไม่ได้กินเพราะว่าติด ไม่ได้มีรสชาติที่จะติด แต่มันมีรสชาติจริงของมันเท่านั้นเอง รสชาติของที่เรากิน อะไรมันรสอร่อยของแท้ มะนาวก็เปรี้ยว น้ำตาลก็หวาน อะไรอย่างนี้ มันเป็นของมัน ไอ้เผ็ดมันกินไม่ได้แล้วด้วย เกลือก็เค็ม มันเป็นธรรมชาติของมัน ก็รู้ เอามาปนปรุงกันไปก็รู้ เป็นรสชาติที่แท้จริงของมัน แต่ไม่ได้มีรสของกิเลสรสอร่อย อันนี้ก็อธิบายเป็นธรรมะให้พวกเราได้รู้ว่า 

ลงท้ายสุดท้ายมันก็จะเป็นแค่นี้ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าคนที่ไม่ต้องมาฝืนขันธ์เหมือนอย่างอาตมา คุณเป็นอรหันต์แล้วก็กินไปตามธรรมชาติ รู้รส ก็เป็นธรรมดา ไม่ฝืนขันธ์ก็ไม่หนัก ถ้ามาฝืนอายุขัยอย่างอาตมามันก็จะเป็นอย่างอาตมา 

2.คนป่วยจะไม่อยากกินอาหารที่ชอบที่อร่อย กินได้หน่อยก็ไม่อยากกิน แต่หายป่วยก็กินได้อร่อยปกติค่ะ

พ่อครูว่า…อันนี้มันก็เป็นไปได้ เพราะประสาทคนป่วยมันจะไม่เหมือนเดิม มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะแปรปรวนอะไรต่ออะไร ไปเป็นไปได้ 

3.คนป่วยไปหาหมอ หมอให้กินไข่เพราะขาดสารอาหาร เขาต้องทำตามหมอสั่งมั้ยคะ ถ้าเขาเป็นนักมังฯค่ะ

พ่อครูว่า…ก็อยู่ที่คุณ คุณจะกินหรือไม่กินก็ได้ ถ้าคุณจะเอาธาตุวิตามินจากไข่ เราจะกินจากพืชเรามีความรู้ทางโภชนาการจะไม่กินไข่ก็ได้ หรือจะกิน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร สำหรับคนป่วย คนป่วยท่านก็มีวินัย ศีล ก็ให้กินได้ แม้แต่ให้กินเนื้อสัตว์ ท่านก็ยังอนุญาตเลย จำเป็น เนื้อสัตว์ที่จำเป็นจะต้องกินก็กินได้คนป่วย อย่าว่าแต่กินไข่เลย กินเนื้อสัตว์ก็มี มีอยู่ในินัย คนแปลเขาก็แปลเพื่อที่จะเข้าปากด้วย สำนวนที่แปลก็เลยเข้าใจยาก ที่จริงคนป่วยเขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้หรือที่จริงไม่ป่วยก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ทีนี้ไปแปลอย่างนั้นน่ะ  พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องว่าไปหมดให้ละเอียด เผื่อ เผื่อคนทั่วๆไปที่เขากินเนื้อ กินไข่ กินอะไร เป็นคำสอนให้มันครบ ท่านก็ว่าไป สรุปแล้วก็อนุโลมปฏิโลมไปตามควร ถ้าเขาเป็นนักมังสวิรัติก็อนุโลมไปตามควร 

 

ผู้บริหารประเทศไทยไม่ควรไปส่งเสริมสงคราม

_ช่อทิพ หนูทอง . อิสราเอลประกาศสงครามแล้ว....อยู่ไกลจากไทยก็จริงแต่อาจลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ กราบเรียนถามพ่อครูว่า ชาวอโศกควรจะดำเนินชีวิตในช่วงที่โลกเกิดสงครามลุกลามนี้อย่างไรคะ?

พ่อครูว่า…ก็ดูเขาไปเท่านั้นเอง จะไปรบอะไรกับเขา เราไม่รบไม่ราอะไรกับเขาหรอก 

อาตมาเคยออกความเห็นแล้วว่า ผู้ที่บริหารควรพยายามทำให้ประเทศเราเป็นกลาง อย่าไปร่วมในสงคมสงครามกับเขา มันไม่ได้อะไรมาเลย เราไม่ได้ต้องการจะไปแย่งอำนาจ เราไม่ได้ต้องการจะไปแย่งสมบัติ อำนาจก็ไม่ได้ต้องการจะแย่ง สมบัติก็ไม่ต้อง ไทยพึ่งตัวเองได้อยู่แล้วทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลย 

จริงๆประเทศพวกนั้นที่มีสงครามอยู่ พวกชาวตะวันออกกลาง เขาก็รวยนะ เขาพึ่งตัวเอง แต่มันหลงอำนาจ จริงๆแล้วเขาก็รวย เขาก็มีสมบัติพัสถาน มีน้ำมงน้ำมัน มีอะไรต่ออะไร โอ้โห รวย เพราะมันเป็นดินแดนที่เขารวย มันเป็นธรรมชาติที่เขารวย เขาก็น่าจะพอ แต่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ให้มันเดือดร้อนแล้วก็ตายกันเป็นเบือ ดูสิ ฆ่าแกงกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นขึ้นไปแล้ว 

_สู่แดนธรรม... มีคนวิจารณ์ว่านายกผิดพลาดครับ ตรงที่ไปแสดงความเห็นไม่เป็นกลาง ไปเข้าข้าง

พ่อครูว่า... นั่นน่ะ ก็พูดไปแล้ว อาตมาก็เปรยไปนี้แหละ บอกว่า ไม่ควร เราควรจะละเว้น มันก็เป็นธรรมชาติของนายกที่มีภูมิธรรมท่านนายกเศรษฐา ก็เอาก็เป็นตัวอย่างศึกษาไปก็เห็น หลายๆ อย่างยกคุณเศรษฐามาบริหารนี่ก็โดน แม้แต่ข้าราชการ ราชการธรรมดาข้าราชการก็คือผู้ที่อยู่ในการบริหารของนายกเหมือนกัน แต่ท้วงนายกเองนะ นี่ก็เป็นสัจจะของประเทศไทยของชาวไทย ที่กล้าทำ ท้วงติงกันในสิ่งที่ควรท้วงติงถึงจะเป็นนายก็ตาม นี่แหละคือประชาธิปไตย ดี มันแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้ 

 

ผู้ที่เข้าใจว่าฌานต้องมีออก-มีเข้า ผู้นั้นออกนอกเป้าศาสนาพุทธ

_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ

ในเทศกาลอาหารเจใกล้จะมาถึง บุญญาวุธหมายเลข 1 ของพ่อท่านและชาวอโศก คืออาหารมังสวิรัติเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติให้สงบสุข ร่มเย็นทั้งกายใจ ปีนี้ชาวอโศกได้ตื่นตัวคึกคักกันมาก และผู้คนในสังคมก็ตื่นตัวกันมากครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมกราบขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ

พ่อครูว่า…เอาสัมมาทิฏฐิอะไรอีกล่ะ ก็ขอให้เติมภูมิ เติมความลึกซึ้งละเอียดลอออะไรขึ้นไปจากธรรมะที่เคยพูดนั่นแหละความหมายที่พูดนี่ อ้าว ก็เติมก็ได้ 

เรื่องอาหาร การกินหรือคำข้าวนี่ มันเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งของศาสนาพระพุทธเจ้า ซึ่งอาตมาเคยถูกพันตำรวจโทอนันต์  เสนาขันธ์ บอกว่ามาปฏิบัติธรรมอะไรพูดถึงแต่เรื่องกินๆๆ ไม่ไปนั่งธรรมะ ไม่ไปปฏิบัติภาวนาอะไร เอาแต่พูดถึงเรื่องกินๆๆ นี่คือสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลให้เห็นว่าเขาไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเลย ไปหลงผิดนั่งหลับตา ภาวนาของเขาคือการปฏิบัติให้เกิดผล แล้วเขาก็มิจฉาทิฏฐิไปเอาภาวนาคือนั่งหลับตา 

นี่แหละเรากำลังภาวนาตามจรณะ 15 ปฏิบัติให้เกิดผลสัมมาทิฏฐิตรงกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ความเสื่อมมันเสื่อมกันมากแล้ว คนเข้าใจอย่างพันตำรวจโทอนันต์   เสนาขันธ์  เยอะมากมาย แม้แต่พวกที่ไปเรียนเปรียญ 9 เรียนด็อกเตอร์ทางบัญญัติพยัญชนะออกมาจบออกมาก็ยังเชื่อว่า จะบรรลุธรรมต้องนั่งหลับตา ฌานต้องนั่งหลับตา ทำสมาธิต้องหลับตา นิโรธจะได้ด้วยตอนหลับตา 

โอ้โห มันมิจฉาทิฏฐิอย่างโมฆะไม่รู้จะพูดยังไง 

_สู่แดนธรรม... แม้แต่จะได้ปัญญาต้องได้ในขณะหลับตาด้วยเขาว่าอย่างนั้นนะครับ 

พ่อครูว่า... ปัญญาก็ได้จากการหลับตา หลับตาถึงฌานแล้วจึงจะเกิดปัญญา นี่เขาตีกินว่า ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน เมื่อหลับตานี้เป็นฌาน จิตเป็นฌานแล้วจึงจะได้ปัญญา เขาก็เอาพยัญชนะมาตีกินไปเหมือนกัน 

ไม่มี ปัญญาในหลับตาไม่มี มหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258 ไปอ่านดีๆเถอะ  ปัญญา ปัญญาญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเกิดได้ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิและมีองค์แห่งมรรคทั้ง 8 

องค์แห่งมรรคทั้ง 8 มีทำงานอาชีพ มีการกระทำการงานทุกอย่าง มีกัมมันตะ มีขณะพูดขณะคิดอยู่ 

แต่นี่มันมีที่ไหน ทำอาชีพขี้หมา นั่งนิ่งพูดอะไรก็ไม่พูด ทำอะไร ก็ไม่ทำ มีแต่นั่งจมอยู่ ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เลย แค่นี้เขาก็รู้ไม่ได้ 

อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องพูด พูดอยู่นี่ พูดให้รู้จริงๆ ซึ่งมันยากนะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องฌานวิสัย มันเป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องคิดนึกเอาไม่ได้ ทุกวันนี้อาตมาก็เชื่อว่า เถรสมาคมเนี่ย พูดไปก็จะ ดูถูกเขาหมดเลยนะ ฌานยังไม่กระเตื้องหรอก ว่า ฌานของศาสนาพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆคือยังไง ยัง เพราะมันไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ มันอจินไตยจริงๆ 

ฌาน เอ้า ทีนี้มาเข้าสู่สัจธรรมเลย ที่ตั้งใจอธิบาย 

จิตจะเกิดฌาน ต้องมีศีลเป็นตัวต้น 

ฌาน เช่นศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์และคน ซึ่งเป็นชีวจิตนิยาม ศีลข้อ 1 นี้

ศีลข้อ 2 วัตถุกับพีชะ ซึ่งไม่ใช่จิตนิยาม เป็นพีชนิยามสูงสุด พีชนิยามกับอุตุนิยาม 

ศีลข้อ 3 นี่แหละเป็นตัวที่จะต้องมี มีการสัมผัส มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เกิดเวทนา แล้วศึกษาเนื้อหาแท้ของกิเลส จากอาการที่มันจะเกิดสุขเกิดทุกข์ 

ตรงนี้ศีล 3 ข้อนี่ เป็นปฏิสัมพัทธ์กัน เกี่ยวข้องกัน 

เพราะฉะนั้นศีล 5 จึงคือศีล 3 ข้อนี้เป็นหลัก ศีลข้อ 4 นั้นเป็นวาจา ศีลข้อ 5 เป็นเรื่องของจิต รวมจิตมาปฏิบัติแล้วจิตก็เจริญเป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน  ศีลข้อ 5 ก็ปฏิบัติ 3 ข้อนี้ 

เพราะฉะนั้นคุณไม่มี 3 ข้อนี้แล้ว คุณไม่ได้ปฏิบัติหลัก ศีลกับ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งเป็นจรณะข้อที่ 1 กับ 2 3 4  สี่ข้อนี้ คุณไม่มีศาสนาพุทธ 

 

จรณะ 15

1. สังวรศีล (ถึงพร้อมด้วยศีล)

อปัณณกปฏิปทา 3 

2. สํารวมอินทรีย์ 

(การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทวาร : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สุจริต) 

3. โภชเนมัตตัญญตา 

(ความรู้จักประมาณในสัดส่วน ทั้งอาหารกาย, อาหารอารมณ์, อาหารวิญญาณ ในการบริโภค-อุปโภค) 

4. ชาคริยานุโยคะ (การหมั่นตื่นออกจากกิเลสโลกีย์ - ทําความเพียรตื่นอยู่)

อปัณณกปฏิปทา 3 ก็แปลชัดๆอยู่แล้วว่า “ไม่ผิด”จากพุทธ ถ้าผิดจาก 3 ข้อนี้..ไม่มี ผิดไปเป็นออกนอก 3 ข้อนี้..ไม่มี ไปปฏิบัตินั่งหลับตามันไม่มีสักข้อใน 3  มันออกนอกพุทธไปเข้าป่าเข้ารก แล้วเขาก็เข้าป่าเข้ารกจริงๆ ไปลงเหวลงห้วย ไปไหนก็ไม่รู้ ตกเขาตกห้วยตายไปหมดแหละ มันไม่ได้บรรลุธรรมอะไร อาตมาพูดชัดๆพูดแรง พูดให้เห็น ไม่ได้พูดอย่างโกรธเคืองโกรธแค้นหรือว่าชิงชังอะไร แต่พูดอย่างสงสาร กระทุ้งกระแทกให้กระเทือนให้ฉุกคิด พูดกันมานานก็นานแล้ว ย้ำซ้ำซากอยู่ในบทเก่า 

เพราะฉะนั้น ฌานที่เกิดจริงของพระพุทธเจ้า เกิดจากจรณะ 15
(แต่)ถ้าคุณไม่มี 4 ข้อ ศีลเป็นหลัก(#1) อปัณณกปฏิปทา 3(#2-#4) คุณจะไม่เกิดสัทธรรม 7 (#5-#11)ทั้งขบวนเลย  สัทธรรม 7 คุณจะไม่เกิดเลย 

สัทธรรม 7 

5. ศรัทธา (ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ)

6. หิริ (ละอายต่อบาป ละอายต่อการทําทุจริตกายวาจาใจ) 

7. โอตตัปปะ (สะดุ้งกลัวบาป กลัวต่อการทําทุจริตกายวาจาใจ) 

8. พหูสูต (ฟังธรรมรู้ธรรมมาก แทงตลอดในพหูสูต) 

9. วิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร ไม่หยุดยั้ง อารัทธวิริโย) 

10. สติ (สติอันเป็นอาริยะ ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ มีสติเป็นอธิปไตยให้แก่ตนเอง) 

11. ปัญญา (รู้แจ้งชําแรกกิเลสได้ มีปัญญาเป็นอุตระ จิตเหนืออำนาจโลกีย์)

สัทธรรม 7 คุณจะไม่เกิดเลย 

คือศรัทธาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเชื่อที่มีปัญญาร่วม..ไม่มี คุณก็ศรัทธาตามที่คุณมิจฉาทิฏฐิ ศรัทธาแบบหลงผิดอยู่ของคุณอย่างเก่า 

แล้วคุณจะไม่เคยนึกละอาย(หิริ)เลยว่าที่คุณมายึดผิดๆของตัวเองนี้ หลงทางผิด ไปว่าผู้ที่ท่านถูก มาท้วงเอาว่าผิดต่างๆ รู้สึกตัวสำนึกตัวเองว่าโง่นะกูเอ๋ย ไปหลงงมงายอยู่กับไอ้ผิดก็ได้ ก็ละอายตัวเองหรือละอายผู้ที่ท่านท้วง ละอายตัวที่เราไม่รู้จักสัจจะ ดีไม่ดีไปว่าสัจจะ ไปดูถูกดูแคลนสัจจะ ไปข่มสัจจะ ไปตีทิ้งสัจจะ มันละอาย ทำไมเราถึงได้โง่มานาน โง่เง่าสัจจะ 

ทั้งๆ ที่เราเองต้องการสัจจะ แต่ไปเห็นสัจจะเป็นอสัจจะ แล้วไปงมงายอยู่กับไอ้ที่ตัวเองเป็นอสัจจะ ตัวจริงเอง นี่แหละมันจะมีตัวละอายจริงๆ 

ถ้าคุณยังไม่เกิด(หิริ)จิตละอาย นี่คุณยังไม่เป็นสัทธรรม ยังไม่เกิด   เจริญด้วยธรรมะ เรียกว่า ธรรมะอันดี สัจธรรมอันดี คุณจะไม่มี 

ยิ่งคุณเกิดปัญญามาก คุณจะโอตตัปปะ(สะดุ้งกลัว) ปัญญามันมากความรู้มันชัดเจนยิ่งกว่าหิริ ทิ้งทันที วางทันที ไม่เอาแล้ว โอตตัปปะ 

เพราะฉะนั้นคุณพ้น ศรัทธาคุณเกิดปัญญา ศรัทธาคุณรู้ความจริง เกิดหิริ เกิดโอตัปปะ คุณก็ต้องปฏิบัติธรรม คุณก็ต้องเข้าหาหลักธรรมที่ถูก คุณก็จะได้หลักตามจรณะ 15 วิชชา 8 หรือ 4 ข้อต้น ศีล กับ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อ นั่นคือหลักปฏิบัติธรรมตัวจริง คุณก็จะหันเข้าหาด้วยวิริยะ สติ ปัญญา ในอีก 3 ข้อของสัทธรรม 7 ด้วยความเพียร ด้วยตั้งใจ มีสติเต็ม ปัญญาพากเพียรให้เกิด วิริยะ สติ ปัญญา 

องค์ธรรม ทั้งศีล ทั้งอปัณณกปฏิปทา 3 และ สัทธรรม 7 รวมตัวกันนี่แหละ  สังเคราะห์เป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมา เกิดฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ซึ่งมีวิชชา 8 เป็นตัวกำกับช่วย วิชชาคือความรู้ คือปัญญา คือญาณ รู้ ร่วมรู้เป็นยาดำ ช่วยให้เจริญขึ้นมาครบครัน จึงเกิดเป็นวิชชา 8

อาตมาเคยดึงเอาฌานทั้ง 4 เป็นวิชชาข้อหนึ่ง และก็อธิบายอยู่ช่วงหนึ่งว่า วิชชา มี 9  รวมฌานอีกหนึ่งเป็นวิชชา 9 ซึ่งก็อุตริอธิบายเอง เพื่อที่จะให้เกิดเป็นการอธิบายอย่างพิสดาร ช่วงนั้นคนก็เข้าใจอยู่ ซึ่งอาตมาไม่ได้ไปบัญญัติไปทำลายธรรมะพระพุทธเจ้า วิชชา 8 อาตมาก็ยืนยันอยู่ แต่แถมอุปการะให้ เป็นฌาน

เพราะฉะนั้นคำว่า ฌานจึงคือปัญญา ฌาน ไม่ใช่อาการไปหลับตา ฌานไม่ใช่เรื่องอยู่ในภวังค์ ต้องเข้าภวังค์-ออกภวังค์ เพราะฉะนั้น ใครพูดคำว่า เข้าฌาน ออกฌาน คนนี้นอกรีต เพราะฌานของพระพุทธเจ้าไม่มีเข้าไม่มีออก ก็ฟังกันยากเหมือนกัน มีอยู่ 2 สูตร 

เรื่องฌานไม่มีเข้าไม่มีออก 

มีอยู่ 2 สูตร คือ สูตรของพระสารีบุตร กับสูตรภิกษุณีธรรมทินนา พูดเรื่องฌานไม่มีเข้าไม่มีออกหรอก มันก็ไม่ง่ายนะแต่อาตมาก็ว่ามันน่าจะง่าย เขาก็พูดกันง่ายๆว่า เข้าคือเข้าไปอยู่ในภพ เข้าไปอยู่ในภวังค์ เพราะฉะนั้น ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปเข้าอยู่ในภวังค์ การเข้าไปอยู่ในภวังค์นั่นแหละยิ่งไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า มันกลับกันคนละเรื่อง ทวนกระแส การที่ไปนั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์นั้นแหละยิ่งไม่ใช่ ยิ่งเข้าไปในภวังค์นั่นแหละยิ่งไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า 

ต้องลืมตา มีชีวิตสามัญ มีชีวิตปกติ ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิดสัทธรรม 7 แล้วจะมีตัวฌานเกิดไป  มันจะสังขาร-ปรุงแต่งกันเป็นอภิสังขาร มีปุญญาภิสังขาร-รู้จักกิเลสแล้วก็กิเลสลดๆๆ กิเลสลดลงไปเรื่อยๆ นั่นแหละคือฌาน มันเผากิเลสลงไปเรื่อยๆ  ด้วยฌาน 1, 2, 3 จนเป็นฌานที่ 4 ก็เป็นบุญ บุญนี่เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ตัวฟันขาด ตัวตัดสิน ตัวฆ่าเด็ดขาด ถ้าบุญลงมือเมื่อไหร่ล่ะก็เพชฌฆาตมือสุดท้าย อธิบายไปเป็นรูปธรรมหมดแล้ว 

_สู่แดนธรรม... ถ้าจะนับว่ามีเข้ามีออก ผมก็จำได้ว่าพ่อท่านก็เคยอธิบายแต่ว่ามีเข้าอย่างถูกต้องแล้วออกอย่างถูกต้องอยู่เหมือนกันครับ คือ เข้าฌาน 1 เจริญแล้วออกจากฌานที่ 1 เจริญเข้าสู่ฌานที่ 2 อย่างนี้พอได้ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้เข้าหรอก มันเดินทาง เป็นพัฒนาการของจิต เจตสิก วิตกวิจาร คือการรู้สภาพ 2  ของ 2 นั่นแหละ รูปกับนาม 2  สังเคราะห์สังขารกัน แล้วก็จัดการให้กิเลสเราลดลง พอกิเลสมันลดลงได้มันก็มีปิติ เป็นอุปกิเลสเกิดในฌานที่ 2 มันเป็นวิวัฒนาการของจิต มันไม่ได้เข้าได้ออกอะไร เจริญไปเรื่อยๆ มันก็มีปิติที่มันทำได้ถูกต้องมันได้ผล แล้วก็ไอ้ผลที่ได้มันก็เป็นสงบ เป็นสุข เป็นวูปสโมสุข เป็นสุขสงบลง จิตสงบลง ยิ่งแจ่มใส สุขก็ยิ่งว่าง ยิ่งเบิกบาน ยิ่งเปิดเผย กิเลสหมดเป็นอุเบกขาหรือว่าเป็น เอกัคคตา เป็นฌานที่ 4 ก็สะสม เอกัคคตา จิตที่บริบูรณ์สมบูรณ์ เอก อัคคะ เป็นหนึ่ง เป็นเลิศ เป็นยอดขึ้นมา 

ก็คือจิตมันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเรียกว่าอุเบกขา ซึ่งมีองค์ธรรม ปริสุทธา แปลว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส ปริโยทาตา บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แล้วสะสมลงเป็นจิตสมบูรณ์ คือมุทุธาตุ มุทุภูตธาตุ เป็นจิตที่ปฏิบัติสำเร็จรวมตัวอยู่ที่นี่ เสร็จแล้วก็เป็น กัมมัญญา ปภัสสรา จิตนี้ไปทำงานขึ้นมาก็เป็นงานอันดี เพราะเป็นงานไม่มีกิเลส เป็นงานมีพลัง เป็นทำงานที่เจริญ เขาก็แปลกัมมัญญา ว่าเป็นการงานที่เหมาะควร ที่ดีที่เหมาะที่ควร ที่ไม่มีสิ่งไม่ดีแล้ว และจะทำงานอย่างไรจิตก็ประภัสสรอยู่ นี่คือ องค์ธรรม 5 ของอุเบกขา  

ก็อธิบายสภาวะพวกนี้ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่มีสภาวะสัมมาทิฏฐิเรียนรู้ตามที่อาตมาอธิบาย พวกคุณก็ “เออ.. ใช่ๆๆๆๆอย่างนี้ ใช่แล้ว อ๋อฮ่อ ๆ ใช่แล้ว” 

_11 ตุลาคม 66 ใบแพร  วันหนึ่งได้ไปช่วยเก็บผักที่สวนไวพลัง ชีวิตคนเราในแต่ละวันก็ต้องทำงาน ทำแล้วก็ผ่านไป จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ว่าทำอะไรบ้าง นอกจากว่าทำแล้วเกิดความประทับใจ เกิดความตื่นเต้น หรือเกิดอะไรแปลกๆ ที่ทำให้เราจำไม่ลืม อย่างเช่น วันที่ไปเก็บผักที่สวนไวพลัง เห็นอาการจิตของตัวเองแบบนี้ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก คือเกิด เวทนา แทบไม่อยากทน (จนมีคนรู้เอามาแซวว่าอ่อนแอ) 

พอได้มารู้รายละเอียดภายหลังว่า การไปเก็บผักฤดูฝนต้องมีเกราะป้องกัน เช่น ใส่หมวกที่มีตาข่ายกันยุงได้ ใส่เสื้อหนาๆ หรือ 2 ชั้น และพก 5 พลังติดตัว (5 พลังคือยากันยุงของพวกเรา)

วันที่ไปเก็บผักอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน พอเข้าสวนก็เจอยุงเหมือนฝูงผึ้ง มันเจาะ ทั้ง หู หัว ตัวตนคันไปหมด ไม่มีสมาธิในการทำงานเลย  _(มีต่อ)_

พ่อครูว่า…อาตมาเคยเล่าว่าตัวเองอยู่ริมทะเล ที่วัดอโศการาม มันมีป่าแสม นั่งสมาธิ ยุงทะเลมันมากัด เราก็เข้าภวังค์ทำสมาธิหลับตานี้แหละ มันก็กัดเต็มไปหมดเลย เราไม่รู้สึกข้างนอกหรอก ออกมา เจ้าประคุณเอ๋ยเป็นผื่นแดง เลยทีนี้ก็คัน พอตื่นออกมามันคัน โอ้โห แดงเป็นปื้นเลย นี่ก็เคยเล่า ยุงทะเล 

_เก็บไปด้วยฝนก็ตกไปด้วย แต่เมื่อรู้สึกตกนานและแรงขึ้น ก็ยอมฝน หาที่มุงบังก็ไม่มี มีต้นไม้ใหญ่ ก็มุดเข้าไปหลบฝน จิตก็จิตนาการไปเรื่อย นึกเห็นภาพไก่เวลาฝนตกมันจะยืนหลบฝนใต้ต้นไม้ ยืนหงอย หัวตกขนหลู่ นึกถึงตัวเองยืนหลบฝนเหมือนไก่เลย 

จินตนาการไปอีก ในสวนก็รกมาก เวลาเก็บผักต้นสูงๆ ก็เเหงนหน้าหายอดผัก ผักสีเขียวๆ งูเขียวชอบมาอยู่ หาไม่ดีก็จะไปจับเอางู เท้าก็ไม่ได้มองเลย ถ้ามีงูคงเหยียบงูแน่ๆ (ผู้ที่เก็บประจำบอก ต่อแตน มีหมด) มดก็เยอะ ข้างบนก็ยุงกัด ข้างล่างก็มดกัด ฝนก็ตกเปียกหมด รู้สึกเกิดเวทนา มองหาทีมงานเห็นแต่ละคนก็ก้มหน้าเก็บผักกันอยู่ สู้ไม่ถอย ทำงานเป็นทีมก็ดีแบบนี้นี่เอง ดึงกันไป ภาวะแบบนี้ถ้าทำคนเดียวเลิกไปนานแล้ว 

จริงๆ การเก็บผักก็ไม่หนักเหมือนขุดหินขุดดิน แต่หนักตรงที่ต้องรับผิดชอบ ต้องพยายามเก็บให้ได้ปริมาณมากๆ เพราะครอบครัวเราใหญ่ และไม่ใช่งานหน้าเดียว ต้องหาผักหลายๆ อย่างเพื่อที่จะมาปรุงเป็นอาหาร  

พ่อครูว่า…นี่ก็เป็นความสำนึกของพวกเรา ทำงานกันเพื่อหมู่เพื่อกลุ่ม ไม่ได้เงินทอง ไม่ได้รับคำชมเชยสรรเสริญด้วยบางที นี่แหละเป็นการรู้หน้าที่ รู้ความรับผิดชอบ รู้กิจที่ควรทำ 

_ทีมงานเก็บผักที่ไปเก็บเป็นประจำ เขาเป็นเหมือนหน่วยซิิว(SEAL) แนวหน้า บุกตะลุย ผจญภัยเหมือนอย่างที่เล่า เพราะถ้าไม่มีทีมเก็บผัก ก็คงไม่มีอาหารอันโอชะให้พี่ๆน้องๆได้ทานกัน ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบ ง่าย ยาก หนัก เบา แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เราจะไม่แตกต่างกัน คือ จิตสำนึก 

พ่อครูว่า…ดีมาก จิตสำนึก อาตมาเคยพบอกพวกเรานี้ ไอ้ปลูกก็ขยันไปปลูกกันนะ แต่เวลาไปเก็บมากินนี้ อันนี้ก็เคยพูดกันหลายทีนะ ให้ช่วยไปเก็บกันมั่ง เพราะเรากินทุกวัน ไอ้ปลูกนั้นมันก็ขึ้นไปแล้ว แต่เราต้องไปเก็บมากินทุกวัน ผักมันขึ้นมาให้เราอยู่แล้ว ปลูกแล้วมันก็แล้ว แล้วมันก็เป็นได้ก็ดี ก็ไม่ต้องทำซ้ำซากนะ แต่ว่าการเก็บต้องทำซ้ำซาก ต้องทำทุกวัน กินทุกวัน ไม่ใช่น้อยๆ แต่ละวัน ด้วยพวกเราหมู่ใหญ่ ซึ่งเป็นงานสำคัญนะ นี่ก็เคยพูดกัน มีการตั้งกองเก็บ มีหัวหน้ากองมีอะไรต่ออะไร  เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่า นี่จะพอหรือไม่พอ แต่ก็คงดีขึ้นนะ ก็เป็นจิตสำนึก 

_บทพิจารณาอาหารที่เราท่องกันทุกวันก่อนรับประทานอาหารว่า กินข้าวเคี้ยวทุกคำ เราจดจำกินเพื่อชาติ อย่ากินอย่างเป็นทาส เหงื่อทุกหยาดของชาวนา (ของทุกคนที่อุทิศแรงกาย) จงกินเพื่อเป็นไท กินด้วยใจที่รู้ค่า บรรพบุรุษสร้างสืบมา ร่วมรักษาคุณความดี ขยันงาน การสร้างสรรค์ มีสัมพันธ์ ฉันน้องพี่ สมัครสมานสามัคคี อุทิศพลีเพื่อ...แล้วแต่ใครจะพลีเพื่ออะไร? 

แต่ก่อนได้ยินพ่อเทศน์บ่อยว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนพระภิกษุที่บวชมาในธรรมวินัยนี้ ฉันอาหารที่เขาศรัทธา แต่ไม่ปรารภความเพียรก็เหมือนกินก้อนเหล็กแดงเผาไฟ 

หรือที่พ่อสอนเราว่า จงกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน หรือไม่กินอย่างเป็นทาส ไม่กินอย่างเป็นหนี้ 

พ่อสอนเน้นย้ำอยู่บ่อยๆว่า ถ้าเราหลุดพ้นจากเรื่องกิน ไม่ติดยึดในเรื่องอาหาร เราก็เข้าถึงความเป็นอรหันต์ได้ เทศกาลเจที่จะถึงนี้ จะได้เข้าสนามรบกันแล้ว ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ 

ขอกราบค่ะ

พ่อครูว่า…อ้าวแล้วกัน ไปด้วยกันมาด้วยกันสิ อย่าตัวใครตัวมัน จะได้ไง พูดอย่างนี้มันปลีกเดี่ยวมากไปนะ เอ้าเวลาหมดแล้วหรือ วันนี้เอาละ ให้ท่านเดินดินสรุป 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ




 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิจบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยฌานของพุทธ วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 30 ตุลาคม 2566 ( 12:48:36 )

661013

รายละเอียด

661013 สำนึกรู้ เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53587.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1SAn9cdxRVedXX9eAL9FUjlHxpVtkiHuv/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1q5XYvdiDANrDjm81-TJS7h_QrgsNiCIS/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661013-108-1-----_1_1-e2ahg8g 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/267660479015247 

และ https://youtu.be/EW6_ydZRLOQ 

มีซับ https://youtu.be/BmaPzq-F93Q 

 

สมณะฟ้าไท…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันนวมินทรมหาราชเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตมาแล้ว 7 ปี ท่านได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมหาศาลอันประมาณมิได้ ทำให้ประชาชนไทยอยู่อย่างผาสุก จะมีอุทกภัย จะมีเศรษฐกิจวิกฤตอะไรคนไทยดำเนินชีวิตตาม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้มีเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะอยู่ได้ 

ในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านก็ทรงต่อยอด ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ไม่เดือดร้อน เราดูที่ฉนวนกาซ่า กลุ่มฮามาส พอถูกอิสราเอลตัดไฟตัดน้ำก็ตายเลย ไปไม่เป็นเลย แถมโดนยิงถล่มอีกต่างหาก พึ่งตัวเองไม่ได้เลย ประชาชนต้องหนีอย่างเดียว เพราะไม่มีกินไม่มีใช้ ชีวิตก็ไปไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยจากสิ่งภายนอก แต่ของเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้พวกเราพึ่งตัวเองได้ คนไทยอย่างไรก็อยู่รอดได้ 

พ่อครูก็ดำเนินนโยบายตาม ให้พวกเราสร้างอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เขาจะผลิตอาวุธ เราก็สร้างอาหารนี่แหละ คนเราก็ต้องกิน ไม่กินก็ตาย ไม่มีเสื้อผ้าไม่มีบ้านยังไม่มีปัญหาเท่ากับการไม่ได้กิน ซึ่งมันเป็นความจำเป็นที่สุดแล้ว พ่อครูก็พาปฏิบัติธรรมว่าเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้พวกเราปฏิบัติ ให้เรื่องการกินเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต พระอรหันต์ก็ต้องฉันอาหาร พระโพธิสัตว์ก็ต้องฉันอาหาร พระพุทธเจ้าก็ต้องฉันอาหาร 

พ่อครูว่า... คนไม่ติดอาหารก็ต้องฉันอาหาร ต้องฉัน คุณไม่ติดแต่ก็ต้องกิน 

สมณะฟ้าไท... อย่างคนไทยที่ไปทำงานอิสราเอลก็ไปช่วยสร้างอาหาร จนอิสราเอลมีสินค้าการเกษตรส่งออกเลย นายจ้างบางคนก็ใจดีมาก พาลูกน้องคนไทยหลีกภัยสงครามไป ช่วยเหลืออย่างดี ชมคนไทยบอกว่าไม่กลับแล้วอยู่ที่นี่นี่แหละเพราะนายจ้างใจดีดูแลเขาดี แล้วแต่วิบากบางคนก็เจอคนดี บางคนก็เจอคนไม่ดี อิสราเอลเขาก็ยังต้องสร้างอาหาร ชาวอโศกอยู่ได้เพราะสร้างอาหาร เราสร้างอาหารไม่ได้เราก็ป่วย เพราะสารพิษมันเต็มไปหมด แม้แต่เกษตรกรแค่มีแผลแล้วไปขุดมัน สารเคมีเข้าไปในร่างกายก็ตายได้เลย ในน้ำก็มีสารเคมีไม่เหมือนก่อนที่น้ำสะอาด ชาวบ้านชาวช่องใช้สารเคมีใช้ยาฆ่าหญ้ายาฆ่าแมลง 

ชาวสวนบอกว่า ไอ้ที่ฉีดยาอย่าไปกินไปใช้ของเรามีไอ้ที่ไม่ฉีดยาให้คุณ เขาก็เลยบอกว่าแล้วคุณที่ใช้ยาเคมีคุณไม่มีอันตรายหรือ แต่ก่อนพ่อครูบอกว่า 3 อาชีพกู้ชาติจะไปกู้อย่างไร กสิกรรมธรรมชาติจะไปกู้ชาติได้อย่าง เดี๋ยวนี้ก็ชักจะเป็นจริงตามพ่อครูว่า เจอศิษย์เก่าที่มาเผาศพยายเอื้อธรรม บอกว่าไม่อยากให้เด็กเกิดมาเลยในยุคปัจจุบันนี้ เพราะเกิดมาแล้วมีแต่ภัยอันตราย 

เราก็ต้องหันมาอยู่กับพ่อครูอยู่กับชาวอโศก ที่ท่านได้สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีไว้ให้เราแล้ว คนน่าจะฮือฮามา แต่ถ้ามามากเราก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ค่อยๆมา 

 

พ่อครูว่า... วันนวมินทรมหาราช ก็มีนักกวีเขาเขียนมา 

อิทธิบาทนั้น  สำคัญไฉน

    ธรรมิกราชแท้           คือใคร

ทรงชีพอยู่หนใด               บ่ฮู้

สิเชื่อพจน์ของไผ              เด้พุท-ธชนเอย

ใช่วนวาสีผู้                      หลบลี้สังคมหรือ

      มรรคแท้พิสูจน์ได้       ด้วยผล

จรณะสิบห้าชน                  อโศกใช้

สัลเลขะจิตจน                   วิสุทธิ์

ยังวิชชาแปดให้                 เกิดแล้วบ่เห็นหรือ

สรรพางค์ทรุดเสื่อมซ้ำ  ทุพพล

รั้งกิจผู้รื้อขน                     สัตว์ข้าม

ห้วงโอฆะวังวน                  วัฏฏ-สังสารเฮย

อายะยิ่งใหญ่ห้าม               หิตะแล้วจักเกิดหรือ

    อิทธิบาทยังชีพให้      เลยขัย

มโหสถวิเศษใด                 จักสู้

กำสรวลอัสสุไหล               อนัตถะ

เขือจักแย้งขยมผู้               ยึดถ้อยสัตถาหรือ

    โลกเชษฐ์ฝากพลิกฟื้น   โลกุตร์

คฤธรราชชาญยุทธ์              เลิศด้วย

ปรมัตถธรรมสุด                  วิศิษฐ์

มัจจุราชจักให้ม้วย            ก่อนร้อยยี่สิบหรือ

       บุญนิยมแผ่กว้าง     ทรงศรัย

โพธิกิจเกริกไกร              ทั่วหล้า

โพธิสัตว์สนองไข             นิคาหก

อมฤตธรรมถ้า                  ชนกสิ้นจักเหลือหรือ

ศานุตรสยังจิตให้     โสภณ

คีตกดั่งเวทย์มนต์             วิเศษไซร้

ร็อคมิวสิคเปื้อนปน            กักขฬะ

โคลงกาพย์ร้อยเรียงไว้       เก็บเมี้ยนกระนั้นหรือ

 

อโศก   สัมปวังโก

 

พ่อครูว่า... รู้สึกว่าจะฟังแล้วมันคงจะไม่รู้เรื่องกันทั้งนั้น ใช้ศัพท์แสงกันมากจริงๆ ก็ขยายความนิดนึง 

ประโยชน์โพดผลสิ่งที่ควรเป็นควรมีสิ่งดีอันจะเป็นกำไรเป็นรายได้เป็นสิ่งที่ควรมีควรเป็นควรได้มันจะเกิด ต้องพากเพียรมีอิทธิบาทพยายามใช้ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาแล้ว พยายามที่จะต่ออายุให้มันเลยอายุขัย ไม่ว่าจะเป็นยาวิเศษไหนก็ไม่สู้มีอิทธิบาท ต้องต่อสู้ถ้าต่อสู้ไม่ได้ก็กำสรวลน้ำตาไหล ก็พินาศไป ก็ชิบหายไปหมด 

เขือ ขยม คือ คน 2 คน คุณกับเรา ยึดถ้อยสัตถาคือยึดถ้อยคำพระพุทธเจ้า โลกเชษฐ์คือพระพุทธเจ้า ส่วน คฤธรราชคือพญาแร้ง 

เป็นวรรณกรรมโครงการร้อยเรียงเป็นเพลงอย่างหนึ่งเหมือนกัน เอาไปไหน เอาไปซุกไปเมี่ยนไว้ไสคือเอาไปทิ้งที่ไหนหมด เอาไปเซืองไว่ไส เก็บไปไหนหมด เอาไปซ่อนไว้ไหนหมด 

13 ตุลา เดือนเด่นฟ้าอำลาสยาม 

ตุลาคม ห้าเก้า ชาวสยาม ล้วนทรงความวิปโยค สุดโศกศัลย์

สิ้นองค์เดือน - เด่นฟ้า จอมราชันย์  เหลือตะวัน - ทับฟ้า ภราดร

คฤธรราช วิศรุต ผู้สุดภักดิ์ บริรักษ์ ศาสตร์ไท้ ใช้คําสอน

ความพอเพียง นำพา พลากร  สร้างบวร นิวาส ผู้ขาดทุน

ผลกําไร อาริยะ มหาศาล อภิบาล ทานมัย ใช้ค้ำหนุน

ธรรมิก - สังคม นิยมบุญ         สืบสกุล โลกนาถ สร้างชาติไทย

เกิดโลกุต-ตระ เศรษฐศาสตร์ ปลดเปลื้องทาส ความรวย ด้วยวิสัย 

แบบคนจน ทรงความ มีน้ำใจ  จนร่มเย็น เป็นไทย ไร้ตัวตน

 สามอาชีพ กู้ชาติ ยังศาสน์ให้ ศิวิไลซ์ เลิศล้ำ สัมฤทธิ์ผล

เกิดกองทัพ รับใช้ ประชาชน สร้างกุศล ด้วยจิต ผู้คิดพลี

ขอยอกร ก้มศิระอภิวาท มหาราช ชาติเชื้อ ชินสีห์

ศิรกราน ปกเกล้า เจ้าชีวี องค์ภูมี ภัทร นวมินทร์

 

อโศก สัมปวังโก 13 ต.ค. 2566

 

พ่อครูว่า... เอาละ ผ่านกวีการของอโศกสัมปสังโก ยากอยู่ เขาใช้ศัพท์แสงเยอะคนนี้ เราก็พอถูไถไขความสู่กันฟัง 

 

SMS วันที่ 11-12 ตุลาคม 2566

 

รสแท้ของอาหารไม่ใช่การขึ้นลงของจิตมีอุปาทานในสัญญา

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งยอดอ่อนใบเหลียง กินสดมีรสชาติเหมือนไข่ต้มเลยค่ะ ทดลองกินแล้วที่สวนไวพลังค่ะ, อโวคาโดสุกก็มีรสชาติเหมือนไข่, ดอกฟักทองสดก็เหมือนไข่ต้มด้วยเช่นกัน, กินหัวปลี “กล้วยนวลภูผา” ต้มลวกก็มีรสชาติเหมือนเนื้อไก่ กินโรยเกลือกับข้าว รสชาติดีมาก เช่นกัน จิตก็พิจารณา เป็นเพราะสัญญาเดิม หรือเป็นเพราะรสชาติธรรมชาติแท้ๆ ของอาหารบางอย่างคะ เรื่องการกินอาหารที่บ้านราช กินง่ายมาก มีให้เลือกหลากหลาย กราบขอบพระคุณดินแดนสัปปายะทุกๆ ที่ค่ะ

พ่อครูว่า…อันนี้ภาษาพวกเราพูดกันอธิบายมามาก เป็นเพราะสัญญาเดิมเรา เป็นภาษาธรรมะ เราก็รู้ว่าสัญญาคืออะไรเจตสิกเรา มันเป็นของเดิมสัญญาเก่า มันเป็นเพราะอันนี้ก็คือดีแล้ว มันขึ้นมาเล่นงาน มันอยู่ในสัญญาเก่า พอสัมผัสอะไรขึ้นมาก็เอาแล้ว สัญญาเก่าก็ขึ้นมา สัญญาเก่าที่มันยังติดอยู่มีกิเลสอยู่ในสัญญา มันก็เอาอีกแล้ว นี่ของเคยชอบ ของเคยอร่อยอย่างนี้นะ 

พวกเราปฏิบัติธรรมก็พวกนี้แหละเป็นพฤติกรรม พยัญชนะนี่ก็อาตมาก็สาธยายความหมาย ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่องแล้วก็หลับไป  นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม จรณะ 15 วิชชา 8 โดยเฉพาะ นี่คือ อปัณณกปฏิปทา 3 แท้ๆเลย 

รสชาติแท้ของอาหารมันก็ของอาหารสิ แต่เพราะคุณขึ้นๆลงๆไอ้นี่มันก็อร่อยเหมือนไอ้นี่ มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติของอาหาร อาหารมันก็เป็นธรรมชาติของมันเป็น คุณต่างหากเล่ายังดีดๆดิ้นๆ กระดุ๊ก กระดิ๊ก.. กิเลสคุณทั้งนั้น ของอาหารมันก็เป็นของมันเอง ของอะไรมันก็เป็นของมันอยู่ 

ที่นี่เขาเรียกว่ายิ่งกว่าเหลาอีก ดินแดนสัปปายะทุกๆที่สบายพวกเราก็เป็นเช่นนี้ 

 

_ศรีนวล อินปล้อง . น้อมกราบท่านพ่อครูสมณะ สิกขมาตุและญาติธรรมค่ะ ลูกลด ละ เลิก กิเลสได้เยอะเลย ได้แล้วได้เลย ลูกเคยนั่งหลับตาเดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว ลดอะไรไม่ได้ซักอย่าง ลูกจะหงายของที่คว่ำ ทำทางโลกุตระทางนี้ทางเดียวค่ะ สาธุ ทำมา 4 ปี แล้วค่ะ ลูกขอหนังสือปัญญา 8 กับท่านฟ้าไทได้มา 2 เล่ม เลยอ่านแล้ว 150 กว่าหน้า แล้วค่ะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า…สาธุ อนุโมทนา จริงนะ ให้มันจริงนะ อย่าไปหลงผิดหลงใหลละเมอ  นึกว่าเราลดกิเลสได้ ตรวจสอบให้ดีๆ แต่พอรู้ตัวนี้ก็คงพอเข้าใจ ได้แล้วได้เลยอีก แต่ก่อนอาตมาก็เคยนั่งหลับตามาทั้งนั้น เพราะว่ามันหลอกมาก่อนมันครอบงำเรา ทุกวันนี้เป็นความผิดความเสื่อม ทุกวันนี้นั่งหลับตาเป็นความผิดความเสื่อม มันครอบครองศาสนาพุทธไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องไปผ่านด่านพวกนั้นมาก่อนทั้งนั้นล่ะ 

พอมาแล้วก็ได้รู้ว่านั่งหลับตา มาลดอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง นั่งหลับตา ไม่รู้จักลด จักละ อะไรหรอก พอมาปฏิบัติจึงรู้ว่านั่งหลับตาไม่เคยลดละได้แบบนี้  เอาเลย มันมีอะไรคว่ำอยู่หงายขึ้นมาให้หมด 4 ปีแล้วก็เห็นผลบ้างแล้ว อ่านหลายๆเที่ยว 

 

การพูดข่มคนด้วยยศศักดิ์เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมต้องงดเว้น

_ช่อทิพ หนูทอง . ตอนเป็นวัยรุ่น เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งหนึ่งที่อยู่ในวัดแถวบางลำภู กทม. เขาสอนทั้งพระและฆราวาส คำสอนเบื้องต้น ฟังดูก็รู้ว่า..ทำได้..แต่พอเขาสอนขั้นสูงขึ้น ก็รู้ว่า..ทำไม่ได้..พอดิฉันซักถามมาก ๆ เข้า อนุศาสนาจารย์เขาตอบไม่ได้ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า..คุณเป็นใคร ผมนักธรรมเอกนะ...ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเลิกไปเรียน ไม่ได้โกรธ แต่รู้ว่ามีแต่ทฤษฎีที่คนสอนเองก็ทำไม่ได้ แต่คำสอนพ่อครูฟังแล้วทำได้จริงค่ะ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรมที่พ่อครูก็เมตตามาตอบคำถาม ทำให้เข้าใจวิธีปฏิบัติในชีวิตจริง พ่อครูเทศน์ชั่วโมงครึ่งทั้งที่ท่านอาพาธ ดิฉันสงสารพ่อครูมาก ถ้าท่านหายดีเมื่อไร นิมนต์เทศน์สองชั่วโมงนะคะ

พ่อครูว่า…พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าคุณโสภณ คณาภรณ์ มหาระแบบพี่ชายของจตุพร พรหมพันธุ์ แต่ก่อนนี้ก็ซัดอาตมา บอกว่าโพธิรักษ์เป็นใคร รู้ไหมว่าอาตมาเป็นใคร อาตมาน่ะเปรียญ 6 นะ เป็นเจ้าคุณ โพธิรักษ์เป็นใคร อันนี้เรื่องจริงเลย เอ๊..ทำไมคนพูดอย่างนั้นได้นะ อาตมาก็นึกไม่ออกว่าพูดไปข่มคนอื่นเขา บอกว่าตัวเองเป็นใครไม่มีปัญหาหรอก แต่บอกแล้วไปข่มเขา เออ เอาตำแหน่งยศศักดิ์ฐานะอะไรต่างๆไปข่มเขา 

_สู่แดนธรรม... ท่านว่าโพธิรักษ์เป็นพระมีอะไร 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ ไม่ใช่บอกว่ามีอะไร แต่เขาบอกว่าเขามีเหนือกว่าทั้งนั้น เปรียญก็ตั้ง 6 โพธิรักษ์มีเปรียญอะไร เขาเป็นเจ้าคุณ โพธิรักษ์เป็นอะไร เดี๋ยวนี้ยังมีนิดหน่อยได้เป็นพ่อครู แต่พระครูไม่เคยเป็น 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านก็เลยคุยกับพวกเราเองว่า ท่านจะรู้ไหมว่าอาตมาไม่มีอะไร นี่เป็นคำลึกซึ้งครับ 

พ่อครูว่า... เรามาถามไถ่พูดถึงคนนั้น คนนี้ เขาหาว่าทำไมเราไม่แสดงธรรม อาตมาก็งง งง งง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครู เมื่อกี้เขาบอกสงสารใช่ไหม แต่ว่า ก็บอกว่าพ่อครูหายเมื่อไหร่ให้แสดงธรรม 2 ชั่วโมง ถ้าบอกว่าพ่อครูเลิกแก่เมื่อไหร่ก็จะเทศน์ 2 ชั่วโมงเมื่อนั้น แล้วเลิกแก่ได้ไหม ...ไม่ได้ แก่แล้วแก่เลยนะ แก่แล้วไม่มีใครเลิกแก่ได้ 

 พ่อครูว่า... อาตมาถึงไม่ยอมแก่ เพราะเดี๋ยวแก่แล้วแก่เลย เลยไม่ยอมแก่ 

_สู่แดนธรรม... ตะกี้ถึงคำว่าเมื่อไหร่ที่พ่อท่านจะเทศน์ซักที 

พ่อครูว่า... คนเขาว่าเมื่อไหร่พ่อท่านจะเทศน์ซักที แต่ก่อนนี้ใหม่ๆเหมือนกันเราก็พูดไปอย่างนี้บรรยาย แล้วคนที่มานั่งฟังบอกว่าเมื่อไหร่จะเทศน์สักทีล่ะเจ้าคะ ไอ้เราก็ เอ๊.. เราก็ไม่ได้สวดมนต์จะบอกว่าเราไม่เทศน์ได้อย่างไร เราก็บรรยายอยู่แล้วบอกว่าเราไม่เทศน์ เขาเข้าใจว่าเทศน์นี้จะต้อง ว่า ต่อไปนี้อาตมาภาพจะได้แสดงพระธรรมเทศนา ต้องมีทำนองมีอะไรไปมีลีลาอย่างนี้เขาถือว่าเป็นการเทศน์ แต่การพูดภาษาธรรมดา สำเนียงคนต่อคนฟังกันนี่เขาบอกว่าไม่ใช่เทศน์ เทศน์ต้องใช้อย่างนั้น 

นี่คือสัญญากำหนดหมาย เขายึดถือว่า ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ต้องก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ต้องใส่พวกพริกป่น น้ำตาล น้ำส้ม อะไรอย่างนี้ ถ้าไม่งั้นอย่ามาเรียกว่าต้มยำ ยังไม่เรียกว่าเทศน์ ยังไม่ครบเครื่อง 

นี่เหมือนคุยก่อนเทศน์ซะนานไม่เทศน์สักที สัญญามนุษย์ก็กำหนดไปได้เรื่อยๆ 

หากอาตมากลับไปเทศน์ 2 ชั่วโมงได้อีกทีก็ดี แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เทศน์เลย 2 ชั่วโมงเท่าไหร่หรอก ชั่วโมงครึ่งก็ไม่ค่อยได้เทศน์เท่าไหร่ส่วนมากก็เลยชั่วโมงครึ่ง เบรกไม่ค่อยดีพอเครื่องติดแล้วเบรกไม่ค่อยอยู่ ยิ่งพระพุทธเจ้าเข้าทรงแล้วด้วย..โอ้โห! 

 

สภาพลิงลมอมข้าวพองของโพธิสัตว์ก็ต้องรับวิบากด้วย

_เสียง อิสระ . กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอกราบเรียนสอบถามพ่อท่านว่า ทำไมผู้ที่บรรลุอรหันต์ในชาติก่อนแล้ว เมื่อมาเกิดในชาติใหม่ ในชาติต่อมาก่อนสภาวะบรรลุอรหันต์จะเกิด จึงต้องอยู่ในสภาพ ลิงลม อมข้าวพอง ก่อนครับ จะเป็นการต้องชดใช้วิบากเก่าหรือเปล่าครับ และก่อนสภาวะบรรลุอรหันต์จะเกิด หากมีการสร้างกรรมใหม่ กรรมนั้นจะมีผล ต้องชดใช้วิบากใหม่ไหมครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…คำถามคำถามนี้ เป็นคำถามที่พยายามจะล้วงความรู้ในกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าเป็นอจินไตย มันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจ ก็ขออธิบายบ้าง 

ที่จริงอาตมาเข้าใจดีและจะพยายามอธิบายให้ฟัง 

ประเด็นที่ถามนี่ก็คือ กรรมวิบากในชาติของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วในชาติก่อน มาเกิดชาติใหม่ พอมาชาตินี้เหมือนยังไม่มีความบรรลุ เหมือนยังไม่มีความบรรลุอรหันต์ยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง ยังไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ จะต้องมาเป็นอันนี้จะต้องมาเป็นลิงลมอมข้าวพอง ก่อน ในชาติต่อมาๆ หมด

แม้แต่พระพุทธเจ้า ในชาติที่เป็นสิทธัตถะนั่นแหละ ท่านก็มี ลิงลมอมข้าวพองของท่าน เช่น ก็ยังไปอยู่ทางโลก ยังไปแต่งงานมีลูก หรือแม้แต่ไปทางธรรมะก็ยังไปออกป่าอีก 6 ปี อย่างนี้เป็นต้น          ก็คือสภาพที่มันยังไม่ใช่ภาวะที่บรรลุธรรม ไม่ใช่ภาวะที่สมบูรณ์แบบของชีวิตจริง ที่ท่านได้มาแล้วแต่ชาติปางก่อน 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ได้มาปฏิบัติธรรมอะไร เพราะว่าท่านถ้วน ท่านเต็มแล้ว เป็นแต่เพียงว่าชาติที่ท่านเกิดมานั้นท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อประกาศศาสนา ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร เพราะทุกอย่างท่านเต็มมาแล้ว เต็มมาแล้ว เป็นโพธิสัตว์ ผ่านขั้น 8 มาเป็นขั้น 9 เต็มมาแล้ว เหมือนอย่างที่อาตมาเคยอธิบายให้ฟังว่า 

พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ใหญ่บางองค์ บำเพ็ญไปถึงขั้น 9 มีสัมมาสัมโพธิญาณเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญได้แล้ว แต่ท่านไม่ปรากฏตัว ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปส่วนตัว ไม่มีใครรู้ด้วย เพราะท่านไม่ได้ประกาศ แล้วก็ไม่มีใครที่สูงกว่าท่าน ที่จะมารู้ท่านอีก จึงไม่มีใครรู้ท่าน แล้วท่านก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไป ไม่น้อย 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผู้ใดประกาศต่อโลก จึงเป็น จึงปรากฏเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา ส่วนผู้ที่ไม่ได้ประกาศตนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเยอะ เพราะจริงๆแล้ว คนพื้นๆ คนปุถุชนก็จะคิดว่าก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้ตำแหน่งแล้วทำไมไม่ประกาศเล่า เสียดายของตายชัก คุณก็จะไปคิดอย่างคุณ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีเลย คุณจะไปคิดเรื่องยศศักดิ์เป็นเรื่องน่าติดใจจะต้อง แหม จะต้องยืนยันว่าข้าพระพุทธเจ้านะจ๊ะ คุณว่าท่านมีไหม ท่านก็ไม่มีไม่เหมือนกับที่คุณคิด นี่คุณไปคิดแทน 

เป็นแต่เพียงท่านพิสูจน์เพื่อที่จะรู้ของท่านเองเท่านั้นเอง ส่วนท่านจะทำหน้าที่ ท่านจะทำอย่างนั้นก็เรื่องของท่าน ไอ้นี่เป็นเรื่องเกินคิด อจินไตย เป็นเรื่องสุด 

อาตมามาชาตินี้มาประกาศโพธิสัตว์ 9 ระดับ ประกาศอรหันต์อีก 6 ระดับ ไม่มีใครพูดหรอก ไม่มีใครมาแยกแยะ ไม่มีใครมาอธิบายพวกนี้ แล้วเรื่องเหล่านี้อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องพูดพล่อยพูดเล่นพูดผิดความจริง ขอยืนยันว่าไม่ผิดความจริง แต่ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ของอาตมาที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่สามารถรู้ในความเป็นระดับ ความเป็นระดับ ลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องมาพูดอะไร แต่คนที่พอรับได้ก็จะเห็นว่า รู้ได้ขนาดนี้เชียวหรือ น่าอัศจรรย์นะ..ใช่ไหม เป็นเรื่อง..โอ้โห!มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนขนาดนี้เชียวหรือ ใช่ไหม จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนเรา ฉะนั้นคนที่เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ยอมรับเขาก็รับไม่ได้ ส่วนพวกคนมีภูมิปัญญาพอรับได้คุณก็รู้ อาตมาไม่ได้ดูถูกพวกคุณนะ พวกคุณไม่ได้ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อย่างว่าแต่พอรู้พอเข้าใจได้ ใช่มั้ย ไม่ใช่เรื่องพูดสับสนไปมา ที่จริงรู้ละเอียดลออเอาขึ้นดีด้วย ไม่ใช่สับสน ก็ศึกษาไปแล้วก็จะรู้ 

สมณะฟ้าไท... เขาถามประเด็นว่า คนที่เป็นโพธิสัตว์ ตอนที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง จะมีผลวิบากต่อการดำเนินชีวิตตัวเองไหม 

พ่อครูว่า... เป็นสิ เป็นทั้งตนเองต้องรับวิบาก แล้วก็จะต้องทำให้ดีๆกับวิบากที่ตนทำ รับมือดีๆ มันมีมาคุณก็ต้องประพฤติให้ดีๆ อย่าให้มันเป็นอกุศล อย่าให้เป็นวิบากที่มันซับซ้อนที่เราจะต้องเป็นวิบากไม่ดีเป็นอกุศลไปอีก มันก็ให้ผลแก่เราใช่ไหม ถ้ามันเป็นกุศลก็ให้ผลแก่เรา แต่ไม่ใช่ว่าเราติดกุศลแต่ควรทำให้เป็นกุศล ไม่ควรทำให้เป็นอกุศล..ใช่ไหม  มันเป็นสัจจะ 

กุศล อกุศลนี่มันเป็นโลกีย์ ถ้าบาปกับบุญ มันเป็นโลกุตระ อันนี้ก็แยกให้ฟังเยอะ 

คำว่า บาปกับอกุศล กุศลเป็นสมบัติ บาปเป็นวิบัติ เพราะฉะนั้นถ้ามีบุญ บุญก็จะเป็นพลังงานจิตที่กำจัดบาปไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมันหมด มันก็จะหมดทั้งบุญและบาป ปุญญปาปปริกขีโณ             ก็สิ้นไปทั้งหมด บุญบาป 

เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดอกุศลแล้ว ผู้ที่หมดอกุศลแล้ว ผู้ที่หมดบาปด้วย เอาอย่างนี้ก่อน ผู้หมดบาปคือหมดกิเลส เอามาพูดก่อน ที่จริงผู้หมดบาปมันก่อนอกุศลไม่ได้ อกุศลต้องหมดก่อน 

ทีนี้พูดให้ฟังว่า ถ้าผู้ที่หมดบาปแล้ว อกุศลไม่ต้องพูดเลย เพราะท่านหมดไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดยังมีบาป ทำกุศลได้อยู่ ผู้มีบาปนี่ยังทำกุศลได้อยู่ 

บาปนี่คือกิเลส ผู้ที่กิเลสยังมีอยู่ ก็ยังทำดีได้ ทำกุศลได้ ผู้ยังมีกิเลสอยู่อย่างพวกคุณยังไม่หมดกิเลสทีเดียว ก็ยังทำกุศลได้ใช่ไหม แต่ผู้หมดกิเลสหมดบาปแล้ว ไม่มีจะไปทำอกุศลนั้นแน่นอนอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น ทุกกรรม ที่ผู้หมดบาปแล้ว สัพพปาปัสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) จะไม่ทำแล้วอกุศล ไม่มี เพราะฉะนั้น กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) กรรมทุกกรรมของผู้ที่หมดบาปหมดกิเลสไม่มีอกุศล กรรมทุกกรรมเป็นกุศลทั้งนั้น นี่คือนัยยะอันละเอียดที่แปลโอวาทปาฏิโมกข์ 3 

พลังฤทธิ์ของโลกีย์ เกิดมายังไงคุณไม่เดียงสาก็ต้องถูกอำนาจของโลกีย์ครอบงำ พาไป จะเก่งขนาดไหน อย่างพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้น อาตมาก็ยังอยู่ในสงสารอยู่ทางโลกตั้ง 36 ปี ออกป่าไปอีกเหมือนกัน แต่ไม่นานไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีวิบากของท่านก็ว่ากันไป​ อาตมาอยากจะไปว่าพระพุทธเจ้ากัสสปะทำไม ท่านก็วิบากของท่าน​ไป

 

ต้องสำนึกรู้ จะเกิดมีความละอายในการเผากิเลส

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกตั้งจิตว่า 12 ต.ค.นี้จะเดินทางไปช่วยงานเทศกาลเจที่บ้านราช อุบลราชธานีค่ะ ในจรณะ 15 ตรงหัวข้อสัทธรรม 7 ลูกซาบซึ้งอย่างมากกับคำว่า "สำนึก" เพราะคำๆ นี้ "สำนึกๆๆ" ที่นำไปสู่การเผากิเลสใช่ไหมคะพ่อครู น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…ดีมากเลย ดีมาก คำนี้คุณฟังออกและเข้าใจ อาตมาซ้ำทับลงไปแล้วชัดเจน เพราะคำๆนี้ สำนึก สำนึก สำนึก ที่นำไปสู่การเผากิเลสก็ถูกต้อง ถ้าคุณไม่สำนึก คุณจะไม่เกิดศรัทธา คุณไม่ละอายต่อสิ่งที่คุณผ่านมาว่า เรานึกว่าอันนี้ถูกต้องอันนี้ดีแต่มันสำนึกก็รู้ว่าไอ้หยา ไอ้นี่มันผิด นี่มันยึดถือ นี่มันยังเป็นกิเลสยังเป็นอุปกิเลส ก็แล้วแต่คุณสำนึกอย่างนี้ขึ้นมา 

ไปยึดไปเข้าใจผิดก็ละอายตัวเอง เช่น คนเข้าใจว่าอาตมานี่เป็นเทวทัต เป็นคนผิด พอรู้เข้าก็ไอ้หยา..ไม่ใช่ แท้จริงเป็นผู้ถูก ไม่ใช่เทวทัตเลย เป็นสัตบุรุษอีกต่างหาก คนที่รู้สึกจริง เกิดภูมิปัญญา เกิดปฏิภาณอย่างนั้นจริงขึ้นมา เขาจะสำนึกละอายจริงๆ 

เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีภูมิปัญญารู้ เขาจะไม่สำนึก เขาจะไม่ละอาย นี่เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกสำหรับผู้ที่ผิด สำหรับผู้ที่ถูกก็แน่นอนเข้าใจถูก ก็ต้องรู้ว่าสัตบุรุษถูถูกตัวถูกตน ก็จะไม่ผิด ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าผิด 

ทีนี้จะยังไงมันก็มีอีก 2 อย่างคือเจ้าตัวที่เข้าใจเอง กับผู้ที่เราว่าท่านผิด จริงๆแล้วคุณถูกหรือคุณผิด คนที่คุณเข้าใจว่าผิด นั่นถูกหรือผิด จริงๆแล้วใครกันแน่ถูก ใครกันแน่ผิด เพราะมันขัดแย้งอยู่ในตัวของคุณ 

ส่วนคนที่ไม่ขัดแย้งเข้าใจถูก ผู้ที่ดี ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ถูก เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ก็รับรองเคารพนับถือ หรือคุณเป็นผู้ถูกคุณก็ต้องเข้าใจคนถูกสิ คุณเป็นผู้รู้คุณเป็นผู้ถูกก็ต้องเข้าใจผู้ที่ถูกสิ           คุณจะเข้าใจผู้ที่ถูก เป็นคนที่ผิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังขัดแย้งอยู่ ผู้หนึ่งถูก คุณต้องผิดแน่ 

ผู้ยังมีความเข้าใจผิดเข้าใจไม่ได้ ไม่จบในตัว คุณนั่นแหละ ผู้ที่ไม่จบในตัวนั่นแหละ ยังมีขัดแย้งอยู่ แต่อาตมาไม่ขัดแย้ง อาตมารู้ว่าผู้ผิดคือผู้ผิด ผู้ถูกคืออาตมา แล้วอาตมาจะไปขัดแย้งทำไม เพราะผู้ผิดคือผู้ผิด อาตมาผู้ถูก อาตมาไม่ขัดแย้ง ที่ไม่ขัดแย้งไม่ใช่ว่าเราไปข่มไว้ เป็นผู้อยู่สูงกว่า แต่เรารู้ว่าท่านมีภูมิแค่ไหน ท่านมีความรู้อะไรออกมา เรารู้ได้ว่าท่านมีผิด เพราะรู้ว่าท่านผิดอยู่ 

ผู้ถูกจะรู้ความผิดในผู้ผิด ส่วนผู้ผิดนั้นไปเข้าใจความรู้ของผู้ถูกไม่ได้ เพราะยังหลงความผิดของตัวเองอยู่ ยังโง่อยู่ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้ความถูกของผู้ถูก เพราะคุณยังโง่อยู่ 

ชัดขึ้นไหม แค่พูดแค่นี้ถ้าไม่มีสภาวะจะเมานะ ถ้าไม่มีสภาวะจริงคุณจะมาแยกแยะอย่างนี้ให้ฟัง ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริงรับรองคุณเมาตกใต้ถุนเองเลย 

 

_Udon Kholangklang อุดร ขอล่างกลาง . กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ชาวอโศก ท่านสมณะพูดถูก ผมชอบพูดความจริง เขาพูดแบบโลกตัวตน ผมพูดตาม ตา หู จมูก ลิ้น ร่างสรีระสัมผัส เอาใจสัมผัส มีสติอยู่กับกายตามจริง เขาตามตัวตนเลยพูดน้อย สาธุ 

พ่อครูว่า…คุณพูดมาใช้ศัพท์เรียงมาสั้นๆ สั้นๆเหลือเกิน อาตมาต้องแปล พูดไทยต้องแปลไทย ก็แสดงว่าพอเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องไป ก็น่าสงสารผู้ที่เขายังไม่เข้าใจ ก็ช่วยกันไป 

 

กลียุคหลังความตายคือจิตรับวิบากทุกข์

_siripan suntreerat ศิริพันธ์ สุนทรีรัตน์ . โลกหลังความตาย ยังมีกลียุคไหมคะ

พ่อครูว่า… อาตมาชักจะไม่มีภูมิจะตอบคุณแล้วนี่ ถามเรื่องโลกหลังความตายที่จะมีกลียุคหรือไม่ 

มีสำหรับคนที่มีวิบากบาปเยอะๆ เพราะคุณตายไปหลังความตายคุณก็ต้องมีกลียุคของคุณแน่เลย คุณต้องสู้กับนรกผีเปรต ผีนรก ที่คุณสร้างวิบากบาปไว้ คุณต้องมีกลียุคของคุณเลย นี่ตอบอย่างพอเข้าใจได้ใช่ไหม คุณต้องมีแน่นอนเลย 

เพราะจริงๆมันเป็นเรื่องจิต จิตของใครทำกรรมอะไรไว้ วิบากอะไรไว้ มันไม่หนีคุณหรอก มันเล่นงานคุณแน่ เพราะฉะนั้นคุณจะใช้ศัพท์คำว่ากลียุคเป็นเรื่องของโลก วิบากของคุณนี่ มันต่อสู้กับไอ้เรื่องนรกจกเปรต อะไรต่ออะไรที่ทุกข์ร้อนเหมือนกับอยู่ในกลียุคของคุณ มันเป็นแน่ 

อธิบายความแล้วนะว่า..มี กลียุคหลังความตาย คือลักษณะของจิตที่คุณจะต้องเผชิญกับวิบากทุกข์ วิบากบาป วิบากอกุศล ที่คุณสร้างไว้ 

 

ปฏิบัติธรรมต้องมีมาตรวัดของจิตคือ เจโตปริยญาณ 16 

_Kanpai ST SC แก่นไพร . กราบนมัสการพ่อครูค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะสิกขมาตุด้วยความเคารพ ฟังพ่อครูบ่อย แต่ไม่ถึงจิต เอาคำสอนมาใช้ไม่ได้ เพราะปัญญาเรายังไม่ถึงใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า…พยายามทำความเข้าใจอาตมาก็ฟังเข้าใจที่คุณพูดก็น่าเห็นใจ เพราะอาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดคำสอนนี่มันเป็นโลกุตรธรรม มันไม่ง่ายนัก ก็พยายาม อาตมาก็เข้าใจให้คุณรู้ตัว ฟังบ่อยอยู่แต่ว่าไม่ถึงจิต 

คำพูดของคุณนี่ คุณบอกว่าคุณเข้าใจคำสอนอาตมา ฟังเข้าใจ แต่ไม่ถึงจิต อันนี้เป็นความรู้ของคุณแล้ว เพราะฉะนั้นพยายามศึกษาเรียนรู้เลยว่า เมื่อคุณเองมีปัญญาและปฏิภาณปัญญาสัญญากำหนดอ่านถึงจิตในจิต โดยเฉพาะจิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 ไปถึงจิตในจิต รู้จักอาการของจิต แล้วก็แยกอาการของจิตได้ 

เจโตปริยญาณ 16  สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วคุณฟังธรรมได้แล้วคุณสามารถทำ อปัณณกปฏิปทา 3 มีวิธีข้อปฏิบัติ พอทำให้กิเลสลดได้ คุณก็จะรู้ว่าอ๋อ..เราพอจะทำให้กิเลสลดได้ ในปัจจุบันมันลดลงบ้าง มันลดให้เห็น อ่านอาการจิตให้เห็นอย่างนี้ ก็เห็น สราคะ มาเป็น วีตราคะ หรือเห็นโกรธ สโทสะ คุณก็เห็นมันลดโทสะได้ วีตโทสะ เออ คุณเห็นจิตในจิต อ่านจิตในจิตอย่างนี้แหละ ได้ พอไปถึง พิจารณากายในกายเวทนาในพัฒนาจิตในจิต พอไปถึงจิตในจิตมันจะมีสูตรของ เจโตปริยญาณ 16 จะรู้จิตตัวเอง ลดราคะ โทสะ โมหะ ได้

หรือมันยังไม่ได้ มันได้แต่มันก็ยัง สังขิตฺตํจิตตํ หรือ วิกขิตฺตํจิตตํ ตามตระกูลของคุณ ได้อยู่แต่มันยังไม่ดี ทำอยู่ก็ยังไม่กระจัดกระจาย สังขิตฺตํจิตตํ ถ้า วิกขิตฺตํจิตตํ กระจัดกระจาย จับไม่ติด มันคนละแบบ พอรู้ตัวเองว่า ยังจับเนื้อ จับหนัง จับสัจจะยังไม่ได้รายละเอียด สรุปง่ายๆ สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ไม่ได้

คุณก็ศึกษาให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมหัคคต ทำไม่ได้ก็อมหัคคตะ ทำให้ได้จนมันเป็น มหัคคตะ ขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ไป เรียกว่าเป็น สอุตรังจิตตัง มันดีขึ้นเรื่อยๆแต่เราจะรู้จิตของเราเองว่า ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง นี่ก็คือเป็นมาตรวัดของการปฏิบัติธรรม 

ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายมาถึง 12 ตัวแล้ว อนุตตรังจิตตัง คุณมีหวังเป็นอรหันต์ ปฏิบัติไปเถอะ ถ้าคุณทำแล้วก็รู้จิตตัวเองไปถึงขนาดจิตดีแล้วนะนี่ สอุตรังจิตตัง ยังไม่ อนุตตรังจิตตัง ยังไม่สูงสุดก็ทำต่อจนกว่ามันจะบริบูรณ์ เป็นสมาหิตะ เป็นวิมุติ หรือสมาหิตังจิตตัง คือตั้งมั่นเป็นสายเจโตสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์ จิตสะอาด ตั้งมั่น แข็งแรง สมบูรณ์ หลุดพ้นด้วยปัญญาและเจโต เป็นอุภโตภาควิมุติ 

นี่แหละคือ มาตรวัดเจโตปริยญาณ 16 คุณอาจจะไม่รู้รายละเอียดเหมือนอย่างที่อาตมาพูด เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นพยัญชนะไว้ให้เป็นพระสูตรเลย ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ อาตมานี่สายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรงก็เลยเข้าใจหมด อธิบายให้ฟังโดยละเอียดๆได้ 

ผู้ที่มีอยู่ มีความรู้ ญาณปัญญา เจโตปริยญาณ 16 ได้ แต่จับมาแยกแยะเป็นชิ้นๆๆๆ เหมือนอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ แต่เข้าใจอยู่ถูกตัวของแต่ละตัว แต่ละตัวอยู่เหมือนกัน ก็ได้ แล้วเยอะด้วย ที่จะรู้อย่างอาตมาน้อย ที่จะแยกแยะได้ชัดเจนอย่างนี้ น้อย 

นี่อาตมาไม่ได้คุยตัวเองนะ อาตมาไม่ได้โม้ไม่ได้หลงตัวเองอาตมาพูดสัจจะให้ฟัง ว่าให้ศึกษาดีๆ แล้วจะรู้อย่างที่อาตมารู้กัน 

 

_Sudavan Tantikul สุดาวรรณ ตันติกุล .

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้ เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2566 ( 21:22:17 )

661013

รายละเอียด

661013 สำนึกรู้ เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก

https://www.boonniyom.net/53587.html

 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1SAn9cdxRVedXX9eAL9FUjlHxpVtkiHuv/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true 

                                                                                                                                  

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1q5XYvdiDANrDjm81-TJS7h_QrgsNiCIS/view?usp=sharing 

 

และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661013-108-1-----_1_1-e2ahg8g 

 

ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/267660479015247 

และ https://youtu.be/EW6_ydZRLOQ 

มีซับ https://youtu.be/BmaPzq-F93Q 

 

สมณะฟ้าไท…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

วันนี้เป็นวันนวมินทรมหาราช เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตมาแล้ว 7 ปี ท่านได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมหาศาลอันประมาณมิได้ ทำให้ประชาชนไทยอยู่อย่างผาสุก จะมีอุทกภัย จะมีเศรษฐกิจวิกฤตอะไรคนไทยดำเนินชีวิตตาม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้มีเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะอยู่ได้ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านก็ทรงต่อยอด ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ไม่เดือดร้อน 

เราดูที่ฉนวนกาซ่า กลุ่มฮามาส พอถูกอิสราเอลตัดไฟตัดน้ำก็ตายเลย ไปไม่เป็นเลย แถมโดนยิงถล่มอีกต่างหาก พึ่งตัวเองไม่ได้เลย ประชาชนต้องหนีอย่างเดียว เพราะไม่มีกินไม่มีใช้ ชีวิตก็ไปไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยจากสิ่งภายนอก แต่ของเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้พวกเราพึ่งตัวเองได้ คนไทยอย่างไรก็อยู่รอดได้ 

พ่อครูก็ดำเนินนโยบายตาม ให้พวกเราสร้างอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เขาจะผลิตอาวุธ เราก็สร้างอาหารนี่แหละ คนเราก็ต้องกิน ไม่กินก็ตาย ไม่มีเสื้อผ้าไม่มีบ้านยังไม่มีปัญหาเท่ากับการไม่ได้กิน ซึ่งมันเป็นความจำเป็นที่สุดแล้ว 

พ่อครูก็พาปฏิบัติธรรมว่าเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้พวกเราปฏิบัติ ให้เรื่องการกินเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต พระอรหันต์ก็ต้องฉันอาหาร พระโพธิสัตว์ก็ต้องฉันอาหาร พระพุทธเจ้าก็ต้องฉันอาหาร 

พ่อครูว่า... คนไม่ติดอาหารก็ต้องฉันอาหาร ก็ต้องฉัน คุณไม่ติดยังไงก็ต้องกิน 

สมณะฟ้าไท... อย่างคนไทยที่ไปทำงานที่อิสราเอล ก็ไปช่วยสร้างอาหาร จนอิสราเอลมีสินค้าการเกษตรส่งออกเลย  นายจ้างบางรายก็ใจดีมาก เขาอยู่ใกล้พื้นที่ฉนวนกาซา 10 ก.ม. พาลูกน้องคนไทยหลีกภัยสงครามไปห่างออกไป 100 กว่า ก.ม. เลย  ช่วยเหลือดูแลอย่างดี มีป้ายเขียนภาษาไทยด้วยนะ ยินดีต้อนรับ อยู่กันด้วยความสุก เรารักพวกคุณ อะไรอย่างนี้ ดูแลอย่างดีจนคนไทยบางคนบอกว่า ไม่กลับแล้ว อยู่ที่นี่แหละ เพราะนายจ้างใจดีดูแลเขาดี ไอ้ที่ไม่ดีก็มี ที่ดีก็มี แล้วแต่วิบาก บางคนก็เจอคนดี บางคนก็เจอคนไม่ดี 

ต้องสร้างอาหาร อิสราเอลเขาก็ยังต้องสร้างอาหาร มันมีอย่างอื่น แต่ต้องกินนะ ไม่กินมันเป็นไปไม่ได้ ชาวอโศกอยู่ได้เพราะสร้างอาหาร เราลองไม่สร้างอาหาร เราก็ป่วยกัน เพราะอาหารสารพิษมันเต็มไปหมด ทุกอย่างมันปนเปื้อนด้วยสารพิษเต็มไปหมดทุดอย่าง แม้แต่เกษตรกรนะ เขาบอก แค่มีแผล ทุกครั้งที่ฝนตกแล้วไปขุดมัน สารเคมีเข้าไปในร่างกายก็ตายได้เลย สารเคมีมันเข้าไปทางแผลก็ตายได้เลย  อาตมา น้ำในปัจจุบัน อาตมาเดินเข้าไป น้ำก็กัด(เท้า)เร็วมากเลย พอลงปั๊บ อาตมารู้สึกได้เลยว่ามันเล่นงานแล้ว รู้สึกว่ามันมีสารเคมี มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะฉนั้นเราต้องระมัดระวัง ชาวบ้านเขาใช้กันเยอะ ฉีดพ่นสารเคมีต่าง ๆ นานา ฉีดยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง 

มีคนเขาเล่าว่า สวนที่อยู่ใกล้กันนะ เขาเอารถเข้าไปจอดในสวน  เจ้าของสวนที่ติดกันบอก นี้ฉันฉีดไว้เฉพาะที่ฉันจะดูแลนะ  ไอ้ที่รถคุณจอดฉันไม่ฉีดนะ ก็กลัวพวกคุณได้รับอันตราย  คนที่เอารถเข้าไปจอดถาม แล้วคุณไม่กลัวอันตรายรึ ฉีดยาฆ่าหญ้าอยู่นั้น ที่เป็นอยู่ บอก เออ จริงเว้ย! 

ที่พ่อครูพาเราทำกสิกรรมไร้สารพิษขึ้นมาอย่างนี้ สร้างปุ๋ยเอง เอาขยะมาทำเอง มันเป็นเรื่องที่แต่ก่อนเราก็คิดไม่ออกนะ พ่อครูบอกว่า 3 อาชีพกู้ชาติ จะไปกู้อย่างไร ไปทำปลูกผัก ปลูกหญ้า ไปทำขยะ กสิกรรมธรรมชาติจะไปกู้ชาติได้อย่าง เดี๋ยวนี้เราเห็นแล้วว่า เออ จริงเว้ย คนมันไม่มีจะกินมากขึ้น แล้วก็ป่วยกันสารพัด 

ศิษย์เก่าที่มาเผาศพยายเอื้อธรรม เมื่อวานนี้ เขามีลูกคนหนึ่ง ถามเขาว่า ลูกคนเดียวพอเหรอ เขาตอบ ท่านครับ ผมไม่อยากพาเขามาทุกข์ทรมานกับคนสมัยนี้ครับ มันน่ากลัวมาก เขาเป็นทนายความ ซึ่งมันก็อยู่ยากไง  

พวกเรา พ่อครูพามาสร้างสังคม สาราณิยธรรม 6 เป็นสาธารณโภคีที่อยู่ด้วยกันนี้ จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งโลกเขายังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ถ้าเขารู้แล้วมานี้ เขาฮือกันเข้ามาอย่างพ่อครูว่านะ ก็ย่ำแย่กันนะ เรารับไม่ไหว 

พ่อครูว่า แค่คนไทยยังไม่รู้เลย พูดทำไมคนทั้งโลก เทวนิยม คนไทยชาวพุทธแท้ๆ ยังไม่เคยรับรู้เลย 

ถ้าฮือฮา ก็ต้องหันมาอยู่กับพ่อครูอยู่กับชาวอโศก ที่ท่านได้สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีไว้ให้เราแล้ว คนน่าจะฮือฮามา แต่ถ้ามามากเราก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ค่อยๆมา 

พ่อครูว่า... วันนวมินทรมหาราช ก็มีนักกวีเขาเขียนมา 

อิทธิบาทนั้น  สำคัญไฉน

    ธรรมิกราชแท้           คือใคร

ทรงชีพอยู่หนใด               บ่ฮู้

สิเชื่อพจน์ของไผ              เด้พุท-ธชนเอย

ใช่วนวาสีผู้                      หลบลี้สังคมหรือ

      มรรคแท้พิสูจน์ได้       ด้วยผล

จรณะสิบห้าชน                  อโศกใช้

สัลเลขะจิตจน                   วิสุทธิ์

ยังวิชชาแปดให้                 เกิดแล้วบ่เห็นหรือ

สรรพางค์ทรุดเสื่อมซ้ำ  ทุพพล

รั้งกิจผู้รื้อขน                     สัตว์ข้าม

ห้วงโอฆะวังวน                  วัฏฏ-สังสารเฮย

อายะยิ่งใหญ่ห้าม               หิตะแล้วจักเกิดหรือ

    อิทธิบาทยังชีพให้      เลยขัย

มโหสถวิเศษใด                 จักสู้

กำสรวลอัสสุไหล               อนัตถะ

เขือจักแย้งขยมผู้               ยึดถ้อยสัตถาหรือ

    โลกเชษฐ์ฝากพลิกฟื้น   โลกุตร์

คฤธรราชชาญยุทธ์              เลิศด้วย

ปรมัตถธรรมสุด                  วิศิษฐ์

มัจจุราชจักให้ม้วย            ก่อนร้อยยี่สิบหรือ

       บุญนิยมแผ่กว้าง     ทรงศรัย

โพธิกิจเกริกไกร              ทั่วหล้า

โพธิสัตว์สนองไข             นิคาหก

อมฤตธรรมถ้า                  ชนกสิ้นจักเหลือหรือ

ศานุตรสยังจิตให้     โสภณ

คีตกดั่งเวทย์มนต์             วิเศษไซร้

ร็อคมิวสิคเปื้อนปน            กักขฬะ

โคลงกาพย์ร้อยเรียงไว้       เก็บเมี้ยนกระนั้นหรือ

 

อโศก   สัมปวังโก

 

พ่อครูว่า... รู้สึกว่าจะฟังแล้วมันคงจะไม่รู้เรื่องกันทั้งนั้น ใช้ศัพท์แสงกันมากจริงๆ ก็ขยายความนิดนึง 

ประโยชน์โพดผลสิ่งที่ควรเป็นควรมีสิ่งดีอันจะเป็นกำไรเป็นรายได้เป็นสิ่งที่ควรมีควรเป็นควรได้มันจะเกิด ต้องพากเพียรมีอิทธิบาทพยายามใช้ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาแล้ว พยายามที่จะต่ออายุให้มันเลยอายุขัย ไม่ว่าจะเป็นยาวิเศษไหนก็ไม่สู้มีอิทธิบาท ต้องต่อสู้ถ้าต่อสู้ไม่ได้ก็กำสรวลน้ำตาไหล ก็พินาศไป ก็ชิบหายไปหมด 

เขือ ขยม คือ คน 2 คน คุณกับเรา ยึดถ้อยสัตถาคือยึดถ้อยคำพระพุทธเจ้า โลกเชษฐ์คือพระพุทธเจ้า ส่วน คฤธรราชคือพญาแร้ง 

เป็นวรรณกรรมโครงการร้อยเรียงเป็นเพลงอย่างหนึ่งเหมือนกัน เอาไปไหน เอาไปซุกไปเมี่ยนไว้ไสคือเอาไปทิ้งที่ไหนหมด เอาไปเซืองไว่ไส เก็บไปไหนหมด เอาไปซ่อนไว้ไหนหมด 

13 ตุลา เดือนเด่นฟ้าอำลาสยาม 

ตุลาคม ห้าเก้า ชาวสยาม ล้วนทรงความวิปโยค สุดโศกศัลย์

สิ้นองค์เดือน - เด่นฟ้า จอมราชันย์  เหลือตะวัน - ทับฟ้า ภราดร

คฤธรราช วิศรุต ผู้สุดภักดิ์ บริรักษ์ ศาสตร์ไท้ ใช้คําสอน

ความพอเพียง นำพา พลากร  สร้างบวร นิวาส ผู้ขาดทุน

ผลกําไร อาริยะ มหาศาล อภิบาล ทานมัย ใช้ค้ำหนุน

ธรรมิก - สังคม นิยมบุญ  สืบสกุล โลกนาถ สร้างชาติไทย

เกิดโลกุต-ตระ เศรษฐศาสตร์ ปลดเปลื้องทาส ความรวย ด้วยวิสัย 

แบบคนจน ทรงความ มีน้ำใจ  จนร่มเย็น เป็นไทย ไร้ตัวตน

สามอาชีพ กู้ชาติ ยังศาสน์ให้ ศิวิไลซ์ เลิศล้ำ สัมฤทธิ์ผล

เกิดกองทัพ รับใช้ ประชาชน สร้างกุศล ด้วยจิต ผู้คิดพลี

ขอยอกร ก้มศิระอภิวาท มหาราช ชาติเชื้อ ชินสีห์

ศิรกราน ปกเกล้า เจ้าชีวี องค์ภูมี ภัทร นวมินทร์

 

อโศก สัมปวังโก 13 ต.ค. 2566

 

พ่อครูว่า... เอาละ ผ่านกวีการของอโศกสัมปสังโก ยากอยู่ เขาใช้ศัพท์แสงเยอะคนนี้ เราก็พอถูไถไขความสู่กันฟัง 

 

SMS วันที่ 11-12 ตุลาคม 2566

 

รสแท้ของอาหารไม่ใช่การขึ้นลงของจิตมีอุปาทานในสัญญา

_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งยอดอ่อนใบเหลียง กินสดมีรสชาติเหมือนไข่ต้มเลยค่ะ ทดลองกินแล้วที่สวนไวพลังค่ะ, อโวคาโดสุกก็มีรสชาติเหมือนไข่, ดอกฟักทองสดก็เหมือนไข่ต้มด้วยเช่นกัน, กินหัวปลี “กล้วยนวลภูผา” ต้มลวกก็มีรสชาติเหมือนเนื้อไก่ กินโรยเกลือกับข้าว รสชาติดีมาก เช่นกัน จิตก็พิจารณา เป็นเพราะสัญญาเดิม หรือเป็นเพราะรสชาติธรรมชาติแท้ๆ ของอาหารบางอย่างคะ เรื่องการกินอาหารที่บ้านราช กินง่ายมาก มีให้เลือกหลากหลาย กราบขอบพระคุณดินแดนสัปปายะทุกๆ ที่ค่ะ

พ่อครูว่า…อันนี้ภาษาพวกเราพูดกันอธิบายมามาก เป็นเพราะสัญญาเดิมเรา เป็นภาษาธรรมะ เราก็รู้ว่าสัญญาคืออะไรเจตสิกเรา มันเป็นของเดิมสัญญาเก่า มันเป็นเพราะอันนี้ก็คือดีแล้ว มันขึ้นมาเล่นงาน มันอยู่ในสัญญาเก่า พอสัมผัสอะไรขึ้นมาก็เอาแล้ว สัญญาเก่าก็ขึ้นมา สัญญาเก่าที่มันยังติดอยู่มีกิเลสอยู่ในสัญญา มันก็เอาอีกแล้ว นี่ของเคยชอบ ของเคยอร่อยอย่างนี้นะ 

พวกเราปฏิบัติธรรมก็พวกนี้แหละเป็นพฤติกรรม พยัญชนะนี่ก็อาตมาก็สาธยายความหมาย ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่องแล้วก็หลับไป  นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม จรณะ 15 วิชชา 8 โดยเฉพาะ นี่คือ อปัณณกปฏิปทา 3 แท้ๆเลย 

รสชาติแท้ของอาหารมันก็ของอาหารสิ แต่เพราะคุณขึ้นๆลงๆไอ้นี่มันก็อร่อยเหมือนไอ้นี่ มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติของอาหาร อาหารมันก็เป็นธรรมชาติของมันเป็น คุณต่างหากเล่ายังดีดๆดิ้นๆ กระดุ๊ก กระดิ๊ก.. กิเลสคุณทั้งนั้น ของอาหารมันก็เป็นของมันเอง ของอะไรมันก็เป็นของมันอยู่ 

ที่นี่เขาเรียกว่ายิ่งกว่าเหลาอีก ดินแดนสัปปายะทุกๆที่สบายพวกเราก็เป็นเช่นนี้ 

_ศรีนวล อินปล้อง . น้อมกราบท่านพ่อครูสมณะ สิกขมาตุและญาติธรรมค่ะ ลูกลด ละ เลิก กิเลสได้เยอะเลย ได้แล้วได้เลย ลูกเคยนั่งหลับตาเดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว ลดอะไรไม่ได้ซักอย่าง ลูกจะหงายของที่คว่ำ ทำทางโลกุตระทางนี้ทางเดียวค่ะ สาธุ ทำมา 4 ปี แล้วค่ะ ลูกขอหนังสือปัญญา 8 กับท่านฟ้าไทได้มา 2 เล่ม เลยอ่านแล้ว 150 กว่าหน้า แล้วค่ะ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า…สาธุ อนุโมทนา จริงนะ ให้มันจริงนะ อย่าไปหลงผิดหลงใหลละเมอ  นึกว่าเราลดกิเลสได้ ตรวจสอบให้ดีๆ แต่พอรู้ตัวนี้ก็คงพอเข้าใจ ได้แล้วได้เลยอีก แต่ก่อนอาตมาก็เคยนั่งหลับตามาทั้งนั้น เพราะว่ามันหลอกมาก่อนมันครอบงำเรา ทุกวันนี้เป็นความผิดความเสื่อม ทุกวันนี้นั่งหลับตาเป็นความผิดความเสื่อม มันครอบครองศาสนาพุทธไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องไปผ่านด่านพวกนั้นมาก่อนทั้งนั้นล่ะ 

พอมาแล้วก็ได้รู้ว่านั่งหลับตา มาลดอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง นั่งหลับตา ไม่รู้จักลด จักละ อะไรหรอก พอมาปฏิบัติจึงรู้ว่านั่งหลับตาไม่เคยลดละได้แบบนี้  เอาเลย มันมีอะไรคว่ำอยู่หงายขึ้นมาให้หมด 4 ปีแล้วก็เห็นผลบ้างแล้ว อ่านหลายๆเที่ยว 

 

การพูดข่มคนด้วยยศศักดิ์เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมต้องงดเว้น

_ช่อทิพ หนูทอง . ตอนเป็นวัยรุ่น เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งหนึ่งที่อยู่ในวัดแถวบางลำภู กทม. เขาสอนทั้งพระและฆราวาส คำสอนเบื้องต้น ฟังดูก็รู้ว่า..ทำได้..แต่พอเขาสอนขั้นสูงขึ้น ก็รู้ว่า..ทำไม่ได้..พอดิฉันซักถามมาก ๆ เข้า อนุศาสนาจารย์เขาตอบไม่ได้ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า..คุณเป็นใคร ผมนักธรรมเอกนะ...ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเลิกไปเรียน ไม่ได้โกรธ แต่รู้ว่ามีแต่ทฤษฎีที่คนสอนเองก็ทำไม่ได้ แต่คำสอนพ่อครูฟังแล้วทำได้จริงค่ะ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรมที่พ่อครูก็เมตตามาตอบคำถาม ทำให้เข้าใจวิธีปฏิบัติในชีวิตจริง พ่อครูเทศน์ชั่วโมงครึ่งทั้งที่ท่านอาพาธ ดิฉันสงสารพ่อครูมาก ถ้าท่านหายดีเมื่อไร นิมนต์เทศน์สองชั่วโมงนะคะ

พ่อครูว่า…พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าคุณโสภณ คณาภรณ์ มหาระแบบพี่ชายของจตุพร พรหมพันธุ์ แต่ก่อนนี้ก็ซัดอาตมา บอกว่าโพธิรักษ์เป็นใคร รู้ไหมว่าอาตมาเป็นใคร อาตมาน่ะเปรียญ 6 นะ เป็นเจ้าคุณ โพธิรักษ์เป็นใคร อันนี้เรื่องจริงเลย เอ๊..ทำไมคนพูดอย่างนั้นได้นะ อาตมาก็นึกไม่ออกว่าพูดไปข่มคนอื่นเขา บอกว่าตัวเองเป็นใครไม่มีปัญหาหรอก แต่บอกแล้วไปข่มเขา เออ เอาตำแหน่งยศศักดิ์ฐานะอะไรต่างๆไปข่มเขา 

_สู่แดนธรรม... ท่านว่าโพธิรักษ์เป็นพระมีอะไร 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ ไม่ใช่บอกว่ามีอะไร แต่เขาบอกว่าเขามีเหนือกว่าทั้งนั้น เปรียญก็ตั้ง 6 โพธิรักษ์มีเปรียญอะไร เขาเป็นเจ้าคุณ โพธิรักษ์เป็นอะไร เดี๋ยวนี้ยังมีนิดหน่อยได้เป็นพ่อครู แต่พระครูไม่เคยเป็น 

_สู่แดนธรรม... พ่อท่านก็เลยคุยกับพวกเราเองว่า ท่านจะรู้ไหมว่าอาตมาไม่มีอะไร นี่เป็นคำลึกซึ้งครับ 

พ่อครูว่า... เรามาถามไถ่พูดถึงคนนั้น คนนี้ เขาหาว่าทำไมเราไม่แสดงธรรม อาตมาก็งง งง งง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครู เมื่อกี้เขาบอกสงสารใช่ไหม แต่ว่า ก็บอกว่าพ่อครูหายเมื่อไหร่ให้แสดงธรรม 2 ชั่วโมง ถ้าบอกว่าพ่อครูเลิกแก่เมื่อไหร่ก็จะเทศน์ 2 ชั่วโมงเมื่อนั้น แล้วเลิกแก่ได้ไหม ...ไม่ได้ แก่แล้วแก่เลยนะ แก่แล้วไม่มีใครเลิกแก่ได้ 

 พ่อครูว่า... อาตมาถึงไม่ยอมแก่ เพราะเดี๋ยวแก่แล้วแก่เลย เลยไม่ยอมแก่ 

_สู่แดนธรรม... ตะกี้ถึงคำว่าเมื่อไหร่ที่พ่อท่านจะเทศน์ซักที 

พ่อครูว่า... คนเขาว่าเมื่อไหร่พ่อท่านจะเทศน์ซักที แต่ก่อนนี้ใหม่ๆเหมือนกันเราก็พูดไปอย่างนี้บรรยาย แล้วคนที่มานั่งฟังบอกว่าเมื่อไหร่จะเทศน์สักทีล่ะเจ้าคะ ไอ้เราก็ เอ๊.. เราก็ไม่ได้สวดมนต์จะบอกว่าเราไม่เทศน์ได้อย่างไร เราก็บรรยายอยู่แล้วบอกว่าเราไม่เทศน์ เขาเข้าใจว่าเทศน์นี้จะต้อง ว่า ต่อไปนี้อาตมาภาพจะได้แสดงพระธรรมเทศนา ต้องมีทำนองมีอะไรไปมีลีลาอย่างนี้เขาถือว่าเป็นการเทศน์ แต่การพูดภาษาธรรมดา สำเนียงคนต่อคนฟังกันนี่เขาบอกว่าไม่ใช่เทศน์ เทศน์ต้องใช้อย่างนั้น 

นี่คือสัญญากำหนดหมาย เขายึดถือว่า ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ต้องก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ต้องใส่พวกพริกป่น น้ำตาล น้ำส้ม อะไรอย่างนี้ ถ้าไม่งั้นอย่ามาเรียกว่าต้มยำ ยังไม่เรียกว่าเทศน์ ยังไม่ครบเครื่อง 

นี่เหมือนคุยก่อนเทศน์ซะนานไม่เทศน์สักที สัญญามนุษย์ก็กำหนดไปได้เรื่อยๆ 

หากอาตมากลับไปเทศน์ 2 ชั่วโมงได้อีกทีก็ดี แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เทศน์เลย 2 ชั่วโมงเท่าไหร่หรอก ชั่วโมงครึ่งก็ไม่ค่อยได้เทศน์เท่าไหร่ส่วนมากก็เลยชั่วโมงครึ่ง เบรกไม่ค่อยดีพอเครื่องติดแล้วเบรกไม่ค่อยอยู่ ยิ่งพระพุทธเจ้าเข้าทรงแล้วด้วย..โอ้โห! 

 

สภาพลิงลมอมข้าวพองของโพธิสัตว์ก็ต้องรับวิบากด้วย

_เสียง อิสระ . กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอกราบเรียนสอบถามพ่อท่านว่า ทำไมผู้ที่บรรลุอรหันต์ในชาติก่อนแล้ว เมื่อมาเกิดในชาติใหม่ ในชาติต่อมาก่อนสภาวะบรรลุอรหันต์จะเกิด จึงต้องอยู่ในสภาพ ลิงลม อมข้าวพอง ก่อนครับ จะเป็นการต้องชดใช้วิบากเก่าหรือเปล่าครับ และก่อนสภาวะบรรลุอรหันต์จะเกิด หากมีการสร้างกรรมใหม่ กรรมนั้นจะมีผล ต้องชดใช้วิบากใหม่ไหมครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…คำถามคำถามนี้ เป็นคำถามที่พยายามจะล้วงความรู้ในกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าเป็นอจินไตย มันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจ ก็ขออธิบายบ้าง 

ที่จริงอาตมาเข้าใจดีและจะพยายามอธิบายให้ฟัง 

ประเด็นที่ถามนี่ก็คือ กรรมวิบากในชาติของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วในชาติก่อน มาเกิดชาติใหม่ พอมาชาตินี้เหมือนยังไม่มีความบรรลุ เหมือนยังไม่มีความบรรลุอรหันต์ยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง ยังไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ จะต้องมาเป็นอันนี้จะต้องมาเป็นลิงลมอมข้าวพองก่อนในชาติต่อมาๆ หมด

แม้แต่พระพุทธเจ้า ในชาติที่เป็นสิทธัตถะนั่นแหละ ท่านก็มีลิงลมอมข้าวพองของท่าน เช่น ก็ยังไปอยู่ทางโลก ยังไปแต่งงานมีลูก หรือแม้แต่ไปทางธรรมะก็ยังไปออกป่าอีก 6 ปี อย่างนี้เป็นต้น ก็คือสภาพที่มันยังไม่ใช่ภาวะที่บรรลุธรรม ไม่ใช่ภาวะที่สมบูรณ์แบบของชีวิตจริง ที่ท่านได้มาแล้วแต่ชาติปางก่อน 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ได้มาปฏิบัติธรรมอะไร เพราะว่าท่านถ้วน ท่านเต็มแล้ว เป็นแต่เพียงว่าชาติที่ท่านเกิดมานั้นท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อประกาศศาสนา ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร เพราะทุกอย่างท่านเต็มมาแล้ว เต็มมาแล้ว เป็นโพธิสัตว์ ผ่านขั้น 8 มาเป็นขั้น 9 เต็มมาแล้ว เหมือนอย่างที่อาตมาเคยอธิบายให้ฟังว่า 

พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ใหญ่บางองค์ บำเพ็ญไปถึงขั้น 9 มีสัมมาสัมโพธิญาณเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญได้แล้ว แต่ท่านไม่ปรากฏตัว ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปส่วนตัว ไม่มีใครรู้ด้วย เพราะท่านไม่ได้ประกาศ แล้วก็ไม่มีใครที่สูงกว่าท่าน ที่จะมารู้ท่านอีก จึงไม่มีใครรู้ท่าน แล้วท่านก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปไม่น้อย 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผู้ใดประกาศต่อโลก จึงเป็น จึงปรากฏเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา ส่วนผู้ที่ไม่ได้ประกาศตนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเยอะ เพราะจริงๆแล้ว คนพื้นๆ คนปุถุชนก็จะคิดว่าก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้ตำแหน่งแล้วทำไมไม่ประกาศเล่า เสียดายของตายชัก คุณก็จะไปคิดอย่างคุณ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีเลย คุณจะไปคิดเรื่องยศศักดิ์เป็นเรื่องน่าติดใจจะต้อง แหม จะต้องยืนยันว่าข้าพระพุทธเจ้านะจ๊ะ คุณว่าท่านมีไหม ท่านก็ไม่มีไม่เหมือนกับที่คุณคิด นี่คุณไปคิดแทน 

เป็นแต่เพียงท่านพิสูจน์เพื่อที่จะรู้ของท่านเองเท่านั้นเอง ส่วนท่านจะทำหน้าที่ ท่านจะทำอย่างนั้นก็เรื่องของท่าน ไอ้นี่เป็นเรื่องเกินคิด อจินไตย เป็นเรื่องสุด 

อาตมามาชาตินี้มาประกาศโพธิสัตว์ 9 ระดับ ประกาศอรหันต์อีก 6 ระดับ ไม่มีใครพูดหรอก ไม่มีใครมาแยกแยะ ไม่มีใครมาอธิบายพวกนี้ แล้วเรื่องเหล่านี้อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องพูดพล่อยพูดเล่นพูดผิดความจริง ขอยืนยันว่าไม่ผิดความจริง แต่ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ของอาตมาที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่สามารถรู้ในความเป็นระดับ ความเป็นระดับ ลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องมาพูดอะไร แต่คนที่พอรับได้ก็จะเห็นว่า รู้ได้ขนาดนี้เชียวหรือ น่าอัศจรรย์นะ..ใช่ไหม เป็นเรื่อง..โอ้โห!มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนขนาดนี้เชียวหรือ ใช่ไหม จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนเรา ฉะนั้นคนที่เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ยอมรับเขาก็รับไม่ได้ ส่วนพวกคนมีภูมิปัญญาพอรับได้คุณก็รู้ อาตมาไม่ได้ดูถูกพวกคุณนะ พวกคุณไม่ได้ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อย่างว่าแต่พอรู้พอเข้าใจได้ ใช่มั้ย ไม่ใช่เรื่องพูดสับสนไปมา ที่จริงรู้ละเอียดลออเอาขึ้นดีด้วย ไม่ใช่สับสน ก็ศึกษาไปแล้วก็จะรู้ 

สมณะฟ้าไท... เขาถามประเด็นว่า คนที่เป็นโพธิสัตว์ ตอนที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง จะมีผลวิบากต่อการดำเนินชีวิตตัวเองไหม 

พ่อครูว่า... เป็นสิ เป็นทั้งตนเองต้องรับวิบาก แล้วก็จะต้องทำให้ดีๆกับวิบากที่ตนทำ รับมือดีๆ มันมีมาคุณก็ต้องประพฤติให้ดีๆ อย่าให้มันเป็นอกุศล อย่าให้เป็นวิบากที่มันซับซ้อนที่เราจะต้องเป็นวิบากไม่ดีเป็นอกุศลไปอีก มันก็ให้ผลแก่เราใช่ไหม ถ้ามันเป็นกุศลก็ให้ผลแก่เรา แต่ไม่ใช่ว่าเราติดกุศลแต่ควรทำให้เป็นกุศล ไม่ควรทำให้เป็นอกุศล..ใช่ไหม  มันเป็นสัจจะ 

กุศล อกุศลนี่มันเป็นโลกีย์ ถ้าบาปกับบุญ มันเป็นโลกุตระ อันนี้ก็แยกให้ฟังเยอะ 

คำว่า บาปกับอกุศล กุศลเป็นสมบัติ บาปเป็นวิบัติ เพราะฉะนั้นถ้ามีบุญ บุญก็จะเป็นพลังงานจิตที่กำจัดบาปไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมันหมด มันก็จะหมดทั้งบุญและบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ก็สิ้นไปทั้งหมด บุญบาป 

เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดอกุศลแล้ว ผู้ที่หมดอกุศลแล้ว ผู้ที่หมดบาปด้วย เอาอย่างนี้ก่อน ผู้หมดบาปคือหมดกิเลส เอามาพูดก่อน ที่จริงผู้หมดบาปมันก่อนอกุศลไม่ได้ อกุศลต้องหมดก่อน 

ทีนี้พูดให้ฟังว่า ถ้าผู้ที่หมดบาปแล้ว อกุศลไม่ต้องพูดเลย เพราะท่านหมดไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดยังมีบาป ทำกุศลได้อยู่ ผู้มีบาปนี่ยังทำกุศลได้อยู่ 

บาปนี่คือกิเลส ผู้ที่กิเลสยังมีอยู่ ก็ยังทำดีได้ ทำกุศลได้ ผู้ยังมีกิเลสอยู่อย่างพวกคุณยังไม่หมดกิเลสทีเดียว ก็ยังทำกุศลได้ใช่ไหม แต่ผู้หมดกิเลสหมดบาปแล้ว ไม่มีจะไปทำอกุศลนั้นแน่นอนอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น ทุกกรรม ที่ผู้หมดบาปแล้ว สัพพปาปัสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) จะไม่ทำแล้วอกุศล ไม่มี เพราะฉะนั้น กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) กรรมทุกกรรมของผู้ที่หมดบาปหมดกิเลสไม่มีอกุศล กรรมทุกกรรมเป็นกุศลทั้งนั้น นี่คือนัยยะอันละเอียดที่แปลโอวาทปาฏิโมกข์ 3 

พลังฤทธิ์ของโลกีย์ เกิดมายังไงคุณไม่เดียงสาก็ต้องถูกอำนาจของโลกีย์ครอบงำ พาไป จะเก่งขนาดไหน อย่างพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้น อาตมาก็ยังอยู่ในสงสารอยู่ทางโลกตั้ง 36 ปี ออกป่าไปอีกเหมือนกัน แต่ไม่นานไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีวิบากของท่านก็ว่ากันไป​ อาตมาอยากจะไปว่าพระพุทธเจ้ากัสสปะทำไม ท่านก็วิบากของท่าน​ไป

 

ต้องสำนึกรู้ จะเกิดมีความละอายในการเผากิเลส

_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกตั้งจิตว่า 12 ต.ค.นี้จะเดินทางไปช่วยงานเทศกาลเจที่บ้านราช อุบลราชธานีค่ะ ในจรณะ 15 ตรงหัวข้อสัทธรรม 7 ลูกซาบซึ้งอย่างมากกับคำว่า "สำนึก" เพราะคำๆ นี้ "สำนึกๆๆ" ที่นำไปสู่การเผากิเลสใช่ไหมคะพ่อครู น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า…ดีมากเลย ดีมาก คำนี้คุณฟังออกและเข้าใจ อาตมาซ้ำทับลงไปแล้วชัดเจน เพราะคำๆนี้ สำนึก สำนึก สำนึก ที่นำไปสู่การเผากิเลสก็ถูกต้อง ถ้าคุณไม่สำนึก คุณจะไม่เกิดศรัทธา คุณไม่ละอายต่อสิ่งที่คุณผ่านมาว่า เรานึกว่าอันนี้ถูกต้องอันนี้ดีแต่มันสำนึกก็รู้ว่าไอ้หยา ไอ้นี่มันผิด นี่มันยึดถือ นี่มันยังเป็นกิเลสยังเป็นอุปกิเลส ก็แล้วแต่คุณสำนึกอย่างนี้ขึ้นมา 

ไปยึดไปเข้าใจผิดก็ละอายตัวเอง เช่น คนเข้าใจว่าอาตมานี่เป็นเทวทัต เป็นคนผิด พอรู้เข้าก็ไอ้หยา..ไม่ใช่ แท้จริงเป็นผู้ถูก ไม่ใช่เทวทัตเลย เป็นสัตบุรุษอีกต่างหาก คนที่รู้สึกจริง เกิดภูมิปัญญา เกิดปฏิภาณอย่างนั้นจริงขึ้นมา เขาจะสำนึกละอายจริงๆ 

เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีภูมิปัญญารู้ เขาจะไม่สำนึก เขาจะไม่ละอาย นี่เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกสำหรับผู้ที่ผิด สำหรับผู้ที่ถูกก็แน่นอนเข้าใจถูก ก็ต้องรู้ว่าสัตบุรุษถูถูกตัวถูกตน ก็จะไม่ผิด ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าผิด 

ทีนี้จะยังไงมันก็มีอีก 2 อย่างคือเจ้าตัวที่เข้าใจเอง กับผู้ที่เราว่าท่านผิด จริงๆแล้วคุณถูกหรือคุณผิด คนที่คุณเข้าใจว่าผิด นั่นถูกหรือผิด จริงๆแล้วใครกันแน่ถูก ใครกันแน่ผิด เพราะมันขัดแย้งอยู่ในตัวของคุณ 

ส่วนคนที่ไม่ขัดแย้งเข้าใจถูก ผู้ที่ดี ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ถูก เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ก็รับรองเคารพนับถือ หรือคุณเป็นผู้ถูกคุณก็ต้องเข้าใจคนถูกสิ คุณเป็นผู้รู้คุณเป็นผู้ถูกก็ต้องเข้าใจผู้ที่ถูกสิ           คุณจะเข้าใจผู้ที่ถูก เป็นคนที่ผิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังขัดแย้งอยู่ ผู้หนึ่งถูก คุณต้องผิดแน่ 

ผู้ยังมีความเข้าใจผิดเข้าใจไม่ได้ ไม่จบในตัว คุณนั่นแหละ ผู้ที่ไม่จบในตัวนั่นแหละ ยังมีขัดแย้งอยู่ แต่อาตมาไม่ขัดแย้ง อาตมารู้ว่าผู้ผิดคือผู้ผิด ผู้ถูกคืออาตมา แล้วอาตมาจะไปขัดแย้งทำไม เพราะผู้ผิดคือผู้ผิด อาตมาผู้ถูก อาตมาไม่ขัดแย้ง ที่ไม่ขัดแย้งไม่ใช่ว่าเราไปข่มไว้ เป็นผู้อยู่สูงกว่า แต่เรารู้ว่าท่านมีภูมิแค่ไหน ท่านมีความรู้อะไรออกมา เรารู้ได้ว่าท่านมีผิด เพราะรู้ว่าท่านผิดอยู่ 

ผู้ถูกจะรู้ความผิดในผู้ผิด ส่วนผู้ผิดนั้นไปเข้าใจความรู้ของผู้ถูกไม่ได้ เพราะยังหลงความผิดของตัวเองอยู่ ยังโง่อยู่ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้ความถูกของผู้ถูก เพราะคุณยังโง่อยู่ 

ชัดขึ้นไหม แค่พูดแค่นี้ถ้าไม่มีสภาวะจะเมานะ ถ้าไม่มีสภาวะจริงคุณจะมาแยกแยะอย่างนี้ให้ฟัง ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริงรับรองคุณเมาตกใต้ถุนเองเลย 

_Udon Kholangklang อุดร ขอล่างกลาง . กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ชาวอโศก ท่านสมณะพูดถูก ผมชอบพูดความจริง เขาพูดแบบโลกตัวตน ผมพูดตาม ตา หู จมูก ลิ้น ร่างสรีระสัมผัส เอาใจสัมผัส มีสติอยู่กับกายตามจริง เขาตามตัวตนเลยพูดน้อย สาธุ 

พ่อครูว่า…คุณพูดมาใช้ศัพท์เรียงมาสั้นๆ สั้นเหลือเกิน อาตมาต้องแปล พูดไทยต้องแปลไทย ก็แสดงว่าพอเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องไป ก็น่าสงสารผู้ที่เขายังไม่เข้าใจ ก็ช่วยกันไป 

 

กลียุคหลังความตายคือจิตรับวิบากทุกข์

_siripan suntreerat ศิริพันธ์ สุนทรีรัตน์ . โลกหลังความตาย ยังมีกลียุคไหมคะ

พ่อครูว่า… อาตมาชักจะไม่มีภูมิจะตอบคุณแล้วนี่ ถามเรื่องโลกหลังความตายที่จะมีกลียุคหรือไม่ 

มีสำหรับคนที่มีวิบากบาปเยอะๆ เพราะคุณตายไปหลังความตายคุณก็ต้องมีกลียุคของคุณแน่เลย คุณต้องสู้กับนรกผีเปรต ผีนรก ที่คุณสร้างวิบากบาปไว้ คุณต้องมีกลียุคของคุณเลย นี่ตอบอย่างพอเข้าใจได้ใช่ไหม คุณต้องมีแน่นอนเลย 

เพราะจริงๆมันเป็นเรื่องจิต จิตของใครทำกรรมอะไรไว้ วิบากอะไรไว้ มันไม่หนีคุณหรอก มันเล่นงานคุณแน่ เพราะฉะนั้นคุณจะใช้ศัพท์คำว่ากลียุคเป็นเรื่องของโลก วิบากของคุณนี่ มันต่อสู้กับไอ้เรื่องนรกจกเปรต อะไรต่ออะไรที่ทุกข์ร้อนเหมือนกับอยู่ในกลียุคของคุณ มันเป็นแน่ 

อธิบายความแล้วนะว่า..มี กลียุคหลังความตาย คือลักษณะของจิตที่คุณจะต้องเผชิญกับวิบากทุกข์ วิบากบาป วิบากอกุศล ที่คุณสร้างไว้ 

 

ปฏิบัติธรรมต้องมีมาตรวัดของจิตคือ เจโตปริยญาณ 16 

_Kanpai ST SC แก่นไพร . กราบนมัสการพ่อครูค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะสิกขมาตุด้วยความเคารพ ฟังพ่อครูบ่อย แต่ไม่ถึงจิต เอาคำสอนมาใช้ไม่ได้ เพราะปัญญาเรายังไม่ถึงใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า…พยายามทำความเข้าใจอาตมาก็ฟังเข้าใจที่คุณพูดก็น่าเห็นใจ เพราะอาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดคำสอนนี่มันเป็นโลกุตรธรรม มันไม่ง่ายนัก ก็พยายาม อาตมาก็เข้าใจให้คุณรู้ตัว ฟังบ่อยอยู่แต่ว่าไม่ถึงจิต 

คำพูดของคุณนี่ คุณบอกว่าคุณเข้าใจคำสอนอาตมา ฟังเข้าใจ แต่ไม่ถึงจิต อันนี้เป็นความรู้ของคุณแล้ว เพราะฉะนั้นพยายามศึกษาเรียนรู้เลยว่า เมื่อคุณเองมีปัญญาและปฏิภาณปัญญาสัญญากำหนดอ่านถึงจิตในจิต โดยเฉพาะจิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 ไปถึงจิตในจิต รู้จักอาการของจิต แล้วก็แยกอาการของจิตได้ 

เจโตปริยญาณ 16  สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วคุณฟังธรรมได้แล้วคุณสามารถทำ อปัณณกปฏิปทา 3 มีวิธีข้อปฏิบัติ พอทำให้กิเลสลดได้ คุณก็จะรู้ว่าอ๋อ..เราพอจะทำให้กิเลสลดได้ ในปัจจุบันมันลดลงบ้าง มันลดให้เห็น อ่านอาการจิตให้เห็นอย่างนี้ ก็เห็น สราคะ มาเป็น วีตราคะ หรือเห็นโกรธ สโทสะ คุณก็เห็นมันลดโทสะได้ วีตโทสะ เออ คุณเห็นจิตในจิต อ่านจิตในจิตอย่างนี้แหละ ได้ พอไปถึง พิจารณากายในกายเวทนาในพัฒนาจิตในจิต พอไปถึงจิตในจิตมันจะมีสูตรของ เจโตปริยญาณ 16 จะรู้จิตตัวเอง ลดราคะ โทสะ โมหะ ได้

หรือมันยังไม่ได้ มันได้แต่มันก็ยัง สังขิตฺตํจิตตํ หรือ วิกขิตฺตํจิตตํ ตามตระกูลของคุณ ได้อยู่แต่มันยังไม่ดี ทำอยู่ก็ยังไม่กระจัดกระจาย สังขิตฺตํจิตตํ ถ้า วิกขิตฺตํจิตตํ กระจัดกระจาย จับไม่ติด มันคนละแบบ พอรู้ตัวเองว่า ยังจับเนื้อ จับหนัง จับสัจจะยังไม่ได้รายละเอียด สรุปง่ายๆ สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ไม่ได้

คุณก็ศึกษาให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมหัคคต ทำไม่ได้ก็อมหัคคตะ ทำให้ได้จนมันเป็น มหัคคตะ ขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ไป เรียกว่าเป็น สอุตรังจิตตัง มันดีขึ้นเรื่อยๆแต่เราจะรู้จิตของเราเองว่า ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง นี่ก็คือเป็นมาตรวัดของการปฏิบัติธรรม 

ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายมาถึง 12 ตัวแล้ว อนุตตรังจิตตัง คุณมีหวังเป็นอรหันต์ ปฏิบัติไปเถอะ ถ้าคุณทำแล้วก็รู้จิตตัวเองไปถึงขนาดจิตดีแล้วนะนี่ สอุตรังจิตตัง ยังไม่ อนุตตรังจิตตัง ยังไม่สูงสุดก็ทำต่อจนกว่ามันจะบริบูรณ์ เป็นสมาหิตะ เป็นวิมุติ หรือสมาหิตังจิตตัง คือตั้งมั่นเป็นสายเจโตสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์ จิตสะอาด ตั้งมั่น แข็งแรง สมบูรณ์ หลุดพ้นด้วยปัญญาและเจโต เป็นอุภโตภาควิมุติ 

นี่แหละคือ มาตรวัดเจโตปริยญาณ 16 คุณอาจจะไม่รู้รายละเอียดเหมือนอย่างที่อาตมาพูด เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นพยัญชนะไว้ให้เป็นพระสูตรเลย ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ อาตมานี่สายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรงก็เลยเข้าใจหมด อธิบายให้ฟังโดยละเอียดๆได้ 

ผู้ที่มีอยู่ มีความรู้ ญาณปัญญา เจโตปริยญาณ 16 ได้ แต่จับมาแยกแยะเป็นชิ้นๆๆๆ เหมือนอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ แต่เข้าใจอยู่ถูกตัวของแต่ละตัว แต่ละตัวอยู่เหมือนกัน ก็ได้ แล้วเยอะด้วย ที่จะรู้อย่างอาตมาน้อย ที่จะแยกแยะได้ชัดเจนอย่างนี้ น้อย 

นี่อาตมาไม่ได้คุยตัวเองนะ อาตมาไม่ได้โม้ไม่ได้หลงตัวเองอาตมาพูดสัจจะให้ฟัง ว่าให้ศึกษาดีๆ แล้วจะรู้อย่างที่อาตมารู้กัน 

 

_Sudavan Tantikul สุดาวรรณ ตันติกุล .

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้ เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 30 ตุลาคม 2566 ( 12:31:25 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์