@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ความรู้เรื่องโพธิสัตว์ 9 ระดับ!

รายละเอียด

“โพธิสัตว์”นั้น มีลำดับตั้งแต่“โพธิสัตว์ระดับ 1”ถึงขั้นสูงสุดเป็น“ระดับ 9”อันเป็นขั้นสูงสุดคือ ขั้น“สัมมาสัมโพธิญาณ” ได้แก่

1. โสดาบันโพธิสัตว์  2.สกิทาคามีโพธิสัตว์  3.อนาคามี

โพธิสัตว์  4.อรหันต์โพธิสัตว์  5.อนุโพธิสัตว์  6.อนิยตโพธิสัตว์ 

7.นิยตโพธิสัตว์  8.มหาโพธิสัตว์  9.อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 

คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสูงสุด

ซึ่งมีผู้อยากเป็น“โพธิสัตว์” แต่“มิจฉาทิฏฐิ” ไม่รู้จักรู้แจ้งว่า จะทำ“กาย”อย่างไร? จะทำ“จิต”อย่างไร? จึงจะมีคุณวิเศษพัฒนาขึ้นเป็น“โพธิสัตว์”ได้ 

เพราะไม่รู้เบื้องต้นจะทำอย่างไร? จะขึ้นต้นกันตรงไหน? ขั้นกลาง-ขั้นปลาย จะมีอย่างไร? ไม่รู้จักเลย 

ได้แต่“อยากเป็น” แล้วก็มั่วประพฤติไปเองไป ไม่มีหลักเกณฑ์ตามสัจธรรม

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 417 หน้า 302


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 13:09:55 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:23:28 )

ความรู้แบบเฉโก

รายละเอียด

ความรู้ที่ชื่อ“เฉโก”ยังอยู่ในกรอบจำกัดของความเป็นโลกียะเท่านั้น ยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กิเลส” ก็เนื่องจากยังยึดเสพหลงติด“สุข”อยู่สนิทใจ ยังไม่ฉุกคิดเลยว่า “สุข”มันจะเป็น“มายา”ตัวร้ายที่ตนหลงเป็น“ทาส”มัน

โลกโลกียะโลกเทวนิยมยังเป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปทั้งนั้น ทาสอะไร ทาสสุขแล้วเขาก็ถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:51:02 )

ความรู้แบบโลกียะไม่มีจบ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการเมืองที่เขาแก้กันอยู่ทุกวันนี้โดยระบบโดยความรู้แบบโลกียะ ไม่มีจบ ไม่มีจบกิจ ไม่มีจบ มีแต่แก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้แก้แก้ ไม่สำเร็จ 

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ไปเรียนรู้ตามความรู้แบบโลกียะหรือแบบศาสดาเทวนิยม ทุกพระองค์เลย มันเป็นความรู้แบบปุถุชนทั่วไปโลกียะสามัญ เป็นแบบความรู้อย่างนั้น วนอยู่ในกรอบโลกียะทั้งโลก มีความรู้มีความฉลาดเฉลียวและก็ประสบความสำเร็จได้ความสำเร็จ ก็อยู่ในกรอบของโลกียะ 

แม้แต่ชาวพุทธแท้ๆทุกวันนี้ที่เสื่อมไปจากความรู้ความจริง ของพระพุทธเจ้า ไปได้แค่โลกียธรรมอยู่ทุกวันนี้ อย่างพุทธกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนใหญ่กระแสหลัก ก่อนที่อาตมาจะเกิดมาในยุคนี้ มาทำงานด้านนี้ เอาโลกุตตรธรรมมาประกาศมาขยายความ มายืนยัน ชาวพุทธแท้ๆเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ทำตำราพวกนี้ด้วย ตำราที่เป็นความรู้ที่มันผิดเพี้ยนไปแล้วของเขา มันเข้าไปอยู่ในโลกียะหมดเลย 

ที่มา ที่ไป

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 16:38:15 )

ความรู้แบบโลกุตระ เป็นความรู้ของโลก 2 แบบ 

รายละเอียด

ว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มีความรู้ความฉลาดแบบปัญญา ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแค่แบบ เฉโก เท่านั้น เป็นความรู้ความฉลาดที่ รู้ทั้งแบบโลกียะและมีความรู้แบบโลกุตระด้วย เป็นความรู้ของโลก 2 แบบ 

ความรู้อย่างที่เป็นตัวตนกับความรู้ที่ออกจากตัวตนหรือละตัวตนไม่มีตัวตน จนเป็นอนัตตาได้ นี่เป็นความรู้สุดพิเศษของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้และค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผย เอามาสอนเอามาแนะนำให้คนเรียนรู้และปฏิบัติตาม จนกระทั่งเรียบร้อย สามารถที่จะรับช่วงถ่ายทอด และในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธก็ยังมีเชื้อ แม้มันจะเสื่อม โลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากสังคมศาสนาพุทธ แม้แต่ในเมืองไทย เสื่อมไปมาก อาตมาก็พูดหลายทีแล้วว่าเสื่อมจนหมดไม่เหลือโลกุตรธรรม อาตมาจึงต้องเอาโลกุตรธรรมเข้ามาสถาปนาลงไปในโลกยุคนี้ ในพุทธศาสนา ก็ได้ขึ้นมาจริง มีปรากฏการณ์ มีมวลมนุษยชาติรับฟังได้ ปฏิบัติตามได้มรรคได้ผลก็มาเป็นคนโลกุตระ เป็นอาริยบุคคลที่แท้จริง แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าอริยบุคคลจริง เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ในกลุ่มชาวอโศกมีจริง ไม่ใช่พระอาริยะเก๊ 

ส่วนพวกที่นั่งหลับตาเข้าป่าที่มิจฉาทิฏฐิกันเต็มมากมายที่มันเสื่อมแล้วนั่นคือเก๊ ขออภัยที่พูดความจริง ชี้ชัดความจริงลงไปให้รู้ความจริง ไม่ได้หลงใหลตัวเอง ไม่ได้คุยตัวเองอะไร ไม่ได้อวดอ้างอะไร แต่พูดความจริงของสัจธรรมสู่ฟัง 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #21ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 13:27:20 )

ความรู้แบบโลกๆ ไม่มีจบ รู้มากจนสรุปไม่ลง 

รายละเอียด

อุทกดาบส ปัญญาก็ไปเป็นตรรกศาสตร์ ไปเป็นความปรุงแต่งความคิดเป็นโลกจินตา เป็นสายมหายาน ที่โอ้โห ความคิดแตกหน่อต่อไปไกล รู้มากมาย แล้วมันไม่มีที่จบหรอกเรียกว่าโลกจินตา เป็นความรู้แบบโลกๆ ไม่มีจบ เป็นความรู้ปากกรวยออกนอกโลกไปหาจักรวาล ไม่มีที่ไปหาไม่มีที่จบ น่าสงสารที่สุด ขออภัยวันนี้ต้องกล่าวพาดพิงถึง อย่างท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเป็นภันเตบวชก่อนอาตมา อายุน้อยกว่าอาตมา 4-5 ปี แต่บวชก่อนก็ต้องไหว้ท่าน 

แล้วท่านก็มีความรู้มากเป็นผู้รู้ เป็นเลินเน็ตแมน (Learned man)  เป็นผู้ศึกษามาก รู้มากท่องจำพุทธพจน์ได้มาก สอน สาธยายอยู่ก็มาก รู้มากท่องจำได้มาก สาธยายอยู่มากสอนมาก แต่ ท่านไม่ได้บรรลุธรรม ขออภัยที่กล่าวความจริงนี้ ไม่บรรลุในชาตินี้ เข้าหลักเกณฑ์เป็น ปทปรมบุคคล ไม่ใช่ไม่รู้นะ แต่รู้มากจนสรุปไม่ลงหาจุดสำคัญ เริ่มตั้งแต่รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิหรือยัง จับความเป็น สักกะ สักกายะของตน ตั้งแต่เริ่มต้นเลย เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 ได้ดีหรือยัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 13:19:56 )

ความรู้แปลกใหม่ของวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์

รายละเอียด

ความรู้ที่แปลกใหม่สามารถออกจากโลกียะหลุดพ้นจากโลกโลกียะได้มีอำนาจพิเศษ หลุดออกจากแรงดึงดูดของโลกที่อยากได้ หรือ เป็นตัวที่มีพลังงานพิเศษของตัวเองสามารถหลุดพ้นด้วยปัญญา คนที่คิดออกจากโลกโลกนี้เดินทางไปสู่ข้างนอกโลก สามารถหลุดออกจากแรงดึงดูด ออกไปจากนี้อีกมีแรงเหวี่ยงออกไป ไปหาดาวดวงอื่นได้ ความรู้วิทยาศาสตร์เขาก็ทำได้ แต่ก็มีแรงเหวี่ยงที่มีพระอาทิตย์มีดวงดาวมากกว่านี้จะออกจากแรงเหวี่ยงหมู่นั้นอีกก็ยาก พวกนักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ คิดไปเถอะ พวกนี้อีกนาน 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 11:11:33 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:52:12 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:45:53 )

ความรู้แหลมลึกยังรู้ได้

รายละเอียด

เหมือนกับความรู้ความรู้ที่แหลมลึกมากเท่าไหร่คุณมีโสตทิพย์มาก คุณก็ยังรู้ความแหลมลึกนั้นได้เท่าที่คุณมีบารมี บารมีคุณมีมากคุณก็มีความรู้ที่แหลมลึกเข้าไปรู้อันนั้นเท่าที่คุณมีอำนาจ มีฤทธิ์ มีความสามารถ มีเจโตปริยญาณ สามารถที่จะเข้าไปรู้ได้เท่าที่คุณมีจริง เรียกว่าโสตทิพย์ไม่ใช่ว่าโสตทิพย์ คือเป็นหูที่ไปรู้ว่าหมามันพูดกัน นกมันพูดกัน เราก็รู้ภาษาหมารู้ภาษานกรู้ภาษาคน หรือว่าไปได้ยินเสียงที่ไกลมากที่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน เสียงนี้คนอื่นไม่ได้ยินแต่หมามันได้ยิน เราก็เก่งเท่าหมาสามารถรู้เสียงนั้นได้ดีเหมือนกัน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ไปเอาความหมายอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:47:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:54:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:46:17 )

ความรู้โลกจินตาไม่ต้องเสียเวลากับมัน

รายละเอียด

ก็เป็นแสงสีในท้องฟ้าเรียกว่ารุ้ง ก็บอกว่ารุ้งกินน้ำก็ชัดหน่อย เขาเรียกกันนะ ก็คืออันนี้ ภาษาไทยคำว่ารุ้งก็มีอันนี้ไม่เห็นมีอย่างอื่นมันก็มีอยู่ 7 สี จะถามว่า รุ้งมีความหมายในทางธรรมอย่างไร รุ้งนั้นมี 7 สี สีทั้ง 7 นี้ผู้ที่เรียนศิลปะมาก็จะรู้ดี มีสเปกตรัม แสงมันสะท้อนไปในปริซึมออกมาเป็น 7 สี ผู้เรียนเรื่องศิลปะก็จะไล่เรียงสีไป ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เอามาผสมสี จากแม่สีคือ เหลือง น้ำเงิน แดง ก็จะได้ 7 สี แล้วยังมีเฉดต่างๆแยกไปอีกเยอะ แม่สี 7 สีเป็นรุ้ง ก็แสดงถึงความหลากหลายเอาสีเป็นตัวตั้งในการรู้ เพราะฉะนั้นในอากาศในแสง คุณเอาสี 7 สี เขียนใส่แบบ หมุนรวมกันเลย เสร็จแล้วคุณหมุนให้เร็วเลยนะมันจะกลายเป็นสีขาว จะไม่เห็นสีอะไรเลยจะเป็นสีขาวหมดเลย หายไปหมดไม่เห็นสีอะไร เรื่องโลกจินตา อยากรู้มากก็จะรู้ไปเรื่อยๆไปอีกนานไม่จบ เอานิพพานดีกว่า อย่าไปเอาโลกจินตาเลย ไปอยากรู้อะไรเล็กอะไรน้อยอีกมาก อาตมาก็ไม่เก่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:30:23 )

ความรู้โลกียะไม่พาพ้นสุขทุกข์ ความรู้โลกุตระพาพ้นสุขทุกข์

รายละเอียด

เจริญธรรมทั่วไปทุกๆแห่งที่สบหน้ากันขณะนี้ ใครเปิดดูตามเครื่องเทคโนโลยี เปิดขึ้นมาดูช่องถูกก็เจอหน้ากัน สบหน้ากันก็โอภาปราศรัยกันในรายการ สำมะปี๋ซี่วิต โสเหล่โลกุตระออนไลน์จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ คุยไปคุยมาเราก็จะมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าถึงอาริยสัจ 4 ทำยังไงถึงจะดับทุกข์นั้นได้ ศาสนาพุทธนี่คือหัวใจศาสนาพุทธ ตรงนี้แหละ ซึ่งก็รู้กันอยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทำไมพระพุทธเจ้ามีความรู้มากมาย ท่านศึกษาความรู้อะไรก็ศึกษามาหมด ในโลกนี้ท่านจะศึกษาความรู้อะไร ในยุคนั้นสำนักตักสิลามีความรู้ทุกอย่างในทางโลกอยู่ในนั้น ถือว่าเป็นอะคาเดมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมี 18 สาขาวิชา ท่านศึกษาหมด จบหมดได้เกียรตินิยมหมดทุกวิชา ได้มาครบ แต่สุดท้ายท่านก็มาเอาวิชาของท่านซึ่งไม่มีในตักศิลา ในตักศิลาไม่มีวิชานี้ ท่านก็เรียนวิชาในตักกะศิลาทั้งหมดจนครบหมด เป็นความรู้ของชาวโลกเขา อย่างไม่น้อยหน้าไม่ตกหล่น ส่วนอาตมาความรู้ทางโลกไม่มีปริญญาสักใบ ของพระพุทธเจ้ามี 18 ใบเกียรตินิยมอีกต่างหาก แต่ท่านก็มาเอาวิชาของท่านคือวิชาโลกุตระทำไม อาตมาพูดตรงนี้ คนที่มีปฏิภาณปัญญาน่าจะฉุกคิด ว่าทำไมชีวิตของท่านทั้งชีวิต เรียนจบแล้วก็ไม่เอา มาทำงานในวิชาของท่านโลกุตระตลอดพระชนม์ชีพจนปรินิพพาน ท่านก็สิ้นพระชนม์ดับขันธ์ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว มันสำคัญยิ่ง นี่แหละอาตมาเล่นตรงนี้ คนฟังแล้วน่าจะสะดุดใจคิด เราแสวงหาอะไร พระพุทธเจ้าท่านก็แสวงหาเหมือนเรามาก่อน จนชีวิตชาติสุดท้ายของท่าน ท่านแสวงหามาได้หมดแล้วท่านก็มาเลือกเอาอันนี้ ทำงานนี้หรืออยู่กับงานนี้ งานสอนธรรมะโลกุตระ ที่อาตมาต้องเน้นคำว่าโลกุตระเพราะเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ทุกพระองค์ อย่างความรู้ทางโลกีย์ ความรู้ความเก่งความรู้ยอดเยี่ยมอัจฉริยะทั้งเป็นโลกีย์ เทวนิยม สูงสุดก็ได้เป็นศาสดาศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ท่านเป็นได้มาทั้งนั้นแต่ท่านไม่เอาท่านมาเอาทางนี้ท่านมาเอาโลกุตรธรรม พูดไปแล้วมันจะยกตนข่มท่านแต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่พูดแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก อาตมารู้อย่างนี้ทำอย่างนี้ในชาตินี้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน เป็นลิงลมอมข้าวพองมา 36 ปี รู้เองว่าเราไปหลงโลก วุ่นวายอยู่กับโลกีย์ดีชั่ว ไม่มาเอาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:12:20 )

ความรู้โลกุตรธรรมวนเวียนในภัทรกัป

รายละเอียด

ขยายกว้างอีกนิดหนึ่ง ความรู้โลกุตรธรรมนี้ วนเวียน ในภัทรกัป หมายความว่ากัปนี้ ที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระสมณโคดมเป็นองค์ที่ 4 แล้วจะมีพระศรีอาริยเมตไตรยมาอุบัติขึ้นเป็นองค์ที่ 5 ซึ่งไม่ใช่อาตมานะ ขอบอกไว้ก่อนอย่ามาเล็งผิด อย่ามาเข้าใจผิด นี่บอกความจริงเดี๋ยวจะมาตู่กันไม่ได้เรื่อง พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่ใช่อาตมา เพราะอาตมายังไต่ภูมิระดับ 7 ระดับ 8 ไปอีก ผู้ที่ท่านเข้าคิวอยู่แล้วมีอยู่แล้ว แล้วอย่ามาถามนะว่าองค์ไหน เข้าคิวอยู่แล้วนี่ องค์ไหนเป็นเรื่อง อจินไตย มาถามพูดไปก็ไม่รู้จักหรอก มีคนเดา ในเถรวาทเดาว่า เป็นพระอชิตะ บางคนก็บอกว่าพระกัสสปะซึ่งก็ไม่ใช่ทั้งคู่ ไม่ใช่ทั้งพระอชิตะ หรือพระกัสสปะที่เขาเดาไว้ เอาที่อาตมารู้ตามตำนาน ก็ขอไขความว่า มันไม่ใช่ เป็นการเดาทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าโลกุตระนี้ มันมีพยัญชนะเป็นไวพจน์ก็คือปัญญา ญาณ วิชชา และ ปัญญา ญาณ วิชชา ก็คือความรู้โลกุตระทั้งนั้น แต่เขาเอาคำว่า ญาณก็ตาม ปัญญาก็ตาม แม้แต่วิชชา ก็เอาไปเรียกเฉโก เอาไปเรียกโลกียะ คือความขี้ตู่ รู้ว่าเป็นสิ่งสูงสิ่งประเสริฐ ก็เลยลากจูงของสูงมาเป็นของยังไม่สูง มันก็เป็นบาปของตนเอง แต่เขาทำด้วยความไม่รู้ก็เป็นเรื่องบาป บางคนรู้เจตนาจะดึงลงมาก็เป็นบาปยิ่งกว่า 

ปัญญา ญาณ วิชชา มันมีนิยาม ระบุชัดเจนลงไปเลยว่า มันเป็นความรู้ความฉลาดชนิดโลกุตระ หรือความรู้ความฉลาดชนิดที่มีนิพพานเป็นที่สุด แม้ที่สุดก็คือ นิพพาน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 17:02:07 )

ความรู้โลกุตระจะคิดขึ้นเองหรือสร้างเองไม่ได้เลยเป็นอันขาด

รายละเอียด

เพราะ“โลกุตรธรรม”นี้เป็น“ธรรมะ” ที่ใครๆในโลกจะขบคิดค้นคิดเอาด้วยการผกผัน ด้วยเหตุผลหรือด้วยตรรกะไม่ได้เลย 

นอกจากคุณจะเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฎฐิ คุณจำได้แม่นดีแต่คุณเองยังทำไม่ได้ คนคนนี้ซื่อสัตย์ก็จะไม่ปฏิเสธว่าทำไม่ได้ เพียงแต่รู้นะแต่บอกนะ แต่ถ้าตนเองหลงว่าตนเองรู้และตนเองได้ก็ผิดสิ ไปโกหกไปหลงว่าตัวเองได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้มันหลงมันผิด เพราะฉะนั้นคำภาษามันก็ยืนยันว่าหลง ตอนนี้ไม่หลงมันจริง คนจริงที่ไม่มีหลงแล้วก็จะบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เป็นคนซื่อตรง 

เนื่องจาก“โลกุตรธรรม”นี้ คนผู้ใดจะเริ่มได้เริ่มมีขึ้นมา ตนก็ต้องเริ่มได้ยินได้ฟังมาจาก“ผู้อื่น”ทั้งนั้น 

จะ“คิดขึ้นมารู้เอง” หรือสร้าง“ความรู้โลกุตระ”นี้เองไม่ได้เลยเป็นอันขาด

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 08:56:57 )

ความรู้โลกุตระต้องได้รับจากใคร

รายละเอียด

ต้องมาศึกษากับอาตมา เพราะปัญญาที่จะเกิดได้ในปัญญา 8 ด้านพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะเกิดปัญญารู้เองนั้นต้องได้รับฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า 1 และ 2 ได้ฟังจากสัตบุรุษหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิแล้ว รู้เองไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระธรรมคนที่รู้เองได้คือคนที่มีแล้วเป็น สยังอภิญญา เป็นอย่างน้อย 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:32:15 )

ความรู้โลกุตระนั้นเป็นความรู้ที่ครอบโลกียะ

รายละเอียด

ความรู้ที่อาตมาพยายามแยก พยายามแบ่งว่าความรู้โลกียะก็อย่างหนึ่ง ความรู้โลกุตระนั้นเป็นความรู้ที่ครอบโลกียะ แล้วก็มีความพิเศษขึ้นมาเรียกว่ามี อัญญธาตุ มีอัญญา จนกระทั่งเป็นปัญญา เป็นความรู้ความฉลาดโลกุตระที่เต็มรูป 

ที่จะรู้รอบเลยว่า โลกก็ตามอัตตาก็ตาม ชีวิตที่เกิดมาเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก คืออะไร จะอยู่กับโลก อย่างสมบูรณ์แบบ มี อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ จะอยู่อย่างไรถึงจะเกิดอยู่ได้อย่างดีมีสภาพทั้ง 7 คำนี้ 

อิสระ พวกคุณมีอิสระไหม มีความสบายไหม สงบไหม อบอุ่นไหม อิ่มเอมอีก เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ .... อรหันต์ทั้งนั้นเลย 

นี่อาตมาขยายภาษาอันนี้ เป็นคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษของอรหันต์นะ เอาล่ะก็มีอรหันต์น้อย อรหันต์กลาง อรหันต์ใหญ่ ไปตามลำดับ 

อย่างน้อยพวกคุณก็เข้าใจเป็นโลกุตระ เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระเข้ามาแล้ว แต่สภาวะจริงๆทางจิตของคุณ จะเป็นขั้นไหน 

ขั้นโสดาบัน อาตมาเคยพูดย้ำพูดซ้ำหลายทีแล้วว่าในสังคมชาวอโศกเป็นสังคม อนาคาริกะ อนาคามีขึ้นไป ซึ่งมันแบ่งขีดกันสำคัญ 

โสดาบัน สกิทา คุณยังยุ่งกับเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ อย่างหยาบๆอยู่ 

พอมาอนาคามีแล้ว เมื่อกี้ก็ถามไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ลาภยศสรรเสริญก็ไม่เอา อยู่ในนี้ แต่มันลึกซึ้งในสรรเสริญ เยินยอ ยกย่อง มันก็มีละเอียด นัยยละเอียด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 20:43:05 )

ความรู้โลกุตระรู้เองไม่ได้ ยกเว้นโพธิสัตว์ระดับ 7!

รายละเอียด

ผู้จะมี“ความรู้”แบบ“โลกุตรธรรม”นั้น ผู้ที่เป็นปุถุชนคนใด หรือ

เป็นคนในโลก“เทฺวนิยม”อยู่ จะไม่สามารถ“รู้เอง” หรือจะเกิด“ความ

รู้โลกุตรธรรม”ขึ้นมาในตนเองไม่ได้  จนกว่าจะได้บำเพ็ญบารมีถึง

ขั้น“โพธิสัตว์ระดับ 7”ขึ้นไป 

เมื่อเกิดขึ้นมาในโลกยุคใด ก็สามารถมี“ความรู้โลกุตระ”

เป็น“สัมมาทิฏฐิ”ได้“เอง”เป็นผู้สืบทอดศาสนาพุทธ

ผู้ไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาถึงขั้น“นิยตโพธิสัตว์”อันเป็น“โพธิสัตว์

ระดับ 7”จริง จะไม่สามารถเกิด“ความรู้โลกุตระ”ขึ้นได้“เอง(สยัง)

เป็นอันขาด “ต้องได้ยินได้ฟังโลกุตรธรรม”จากสัตบุรุษหรือจาก

ผู้อยู่ในฐานครูที่สัมมาทิฏฐิ จึงจะ“รู้แจ้งโลกุตระ”  

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นใครก็ตาม ตนเองจะรู้“เอง”ไม่ได้ 

คำว่า “เอง”ที่บาลีว่า “สยัง”นี้ เป็น“สภาวะ”ที่ทรงคุณธรรม

อันวิเศษยิ่งล้ำ(อุตตริมนุสสธรรม) นั่นคือ มันถึงขั้นเป็น“ความจริง”

และ“ความรู้”ที่ผู้นั้นต้องบรรลุผลนั้น“เอง”มาแล้ว 

“มี”ในตน“เอง”มาแล้ว ที่ภาษาว่า “ปุพเพกตปุญญตา”

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 485 หน้า 360


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2564 ( 15:00:20 )

ความรู้โลกุตระในยุคนี้พ่อครูเป็นผู้ยืนยันเอง

รายละเอียด

3) “ความรู้”โลกุตระในยุคนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันเอง

และ“ความรู้ความเห็น”ที่อาตมาแสดงออกไปนี้ 

เป็น“ความรู้เฉพาะของอาตมาเอง” อาตมาได้มาแต่ของเก่า พิสูจน์ยืนยัน มันไม่เหมือนกับของที่เขามีกันอยู่ในจอมยุทธซึ่งเขาก็มีจอมยุทธหลายสำนักเหมือนอย่างในหนังจีน สำนักไหนที่ยิ่งใหญ่เขาว่า สำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม รู้จักสำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม ไม่ใช่สำนักเสี้ยวลิ้มยี่นะ นี่แหละ อาตมาเป็นเจ้าสำนัก เป็นจอมยุทธอยู่ในนี้ 

เขาก็มีไม่รู้กี่คณะ คณะมหาบัว คณะเถรสมาคมและอาจารย์อีกตั้งไม่รู้กี่ เยอะแยะ มีลูกศิษย์ลูกหา มีเคล็ดวิชาของเขาต่างๆนานา ต่างคนต่างใช้เคล็ดวิชาของตัวเองสอนลูกศิษย์แล้วก็เอามาอาละวาดกันอยู่ในสังคม 

แต่ดีที่ศาสนาพุทธไม่ทะเลาะกันถึงขั้นเป็นสงคราม อย่างนี้ก็อวดดี เถียงไปเถียงมา ของข้าดีกว่า ปฏิโกสนา ว่ากันแรงๆ มันเป็นธรรมชาติมีเท่านั้น 

ที่อาตมาได้มาจากพระพุทธเจ้า อันไม่ใช่แบบ“โลกียะเทฺวนิยม”ที่ชาวโลกซึ่งยังถูก“เทฺว”ครอบงำเล่นเล่ห์หลอกอยู่มากมายในโลก

เพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ภาวะของเทฺว”

ซึ่ง“ความรู้”ภาวะของเทฺวนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเอง ความเป็น“เทฺว”นั้นต้องรู้“ด้วยตัวเอง”จึงจะแท้และต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย“ความรู้”ที่เป็น“ปัญญา”อันเข้าขั้น“โลกุตระ”จึงจะ“รู้จบ-ทำจบ”ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566  ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:31:12 )

ความรู้ในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

ที่อาตมาพูดนี้อาตมาพูดจาก อาตมามีความรู้ในฐานะเป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์มีความรู้อะไร โพธิสัตว์มีความรู้เรื่องมนุษย์กับความเป็นสังคม เป็นความรู้ตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีความรู้อะไร มีความรู้ในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ เต็มรูปนาม เต็มกาย ทั้งกายทั้งจิต ทั้งรูปทั้งนาม ในความเป็นคนกับความเป็นสังคม ไม่เก่งสร้างปืน สร้างระเบิด สร้างอะไรต่ออะไรที่เป็นเทคโนโลยีทางวัตถุ แต่เก่งทาง พืชพันธุ์ธัญญาหาร หรือสำคัญที่สุดอย่างพระพุทธเจ้า สำคัญที่สุดคือเก่งทั้งเรื่องมนุษย์กับความเป็นสังคม แล้วก็มาทำให้คนเข้าใจว่าควรมีชีวิตแต่ละคนอย่างไร 

1 คนเข้าใจแล้ว 2 คนเข้าใจอีก 3 คนเข้าใจ 2 คน 3 คน 5 คน 10 คน 100 คน 1000 คน ก็รวมกันขึ้นเป็นสังคม ที่มีความเข้าใจอันเดียวกันสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีข้อปฏิบัติประพฤติ อย่างเดียวกันหรือแถวเดียวกันแนวเดียวกัน สัมมา ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มันก็เจริญไปไม่มีที่สิ้นสุด 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 11:45:50 )

ความร่ำรวยของมนุษยชาติไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้การเจริญของเศรษฐกิจ

รายละเอียด

เมืองไทย ท้าให้นักสถิตินักเศรษฐกิจไปตรวจสอบเลย มีช่องว่างคนจนคนรวยของอเมริกากับของไทย ใครจะมีช่องว่างมากกว่ากัน ทางรัฐบาลก็ทำ เมืองไทยก็ทำตามบริบทของเมืองไทย แล้วจัดสัดส่วนแล้วให้คะแนนดีมาก การบริหารประเทศด้วยการทำให้ความมีอยู่เป็นอยู่ของทรัพย์สินเงินทองข้าวของเครื่องกินเครื่องใช้เฉลี่ยกันอย่างทั่วถึงระหว่างความจนคนรวย สิ่งที่อาจจะมีคนขี้โลภรวยร่ำรวยอยู่อย่างที่ไม่เผื่อแผ่ ก็ให้เขาโง่ไป รวยไป ไปเรื่อยๆ เป็นคนไม่เจริญ แม้แต่ชื่อเจริญ ยิ่งโง่เอาความรวยมา ไม่ว่าจะเป็นเจริญโภคภัณฑ์ หรือว่าเจริญน้ำเหล้า ก็แล้วแต่ ยิ่งโง่ ยิ่งทำให้ตัวเองไม่ดี ตัวเองควรจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุด แต่กลับเป็นไม่เจริญเป็นคนขี้โลภกอบโกยเอาเปรียบเอารัด  แล้วทำให้การสะพัดขัดข้อง เพราะตัวเองเอาไปกักตุนไว้ แล้วก็ขี้โลภซับซ้อนเอาออกมาเป็นระบบทุนนิยมเพื่อจะกอบโกยให้ตัวเองได้เพิ่มขึ้นอีก แล้วทำเป็นว่าสะพัดเพื่อให้คนมีงานทำ แต่คุณต่างหากกินแรงมนุษย์พวกนั้นเอาส่วนเกินไปได้เปรียบไปมากกว่ามาก ทับทวีไปจนรวยๆๆๆๆ ความร่ำรวยของมนุษยชาติ ความร่ำรวยของสังคมไม่ได้เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความเจริญของเศรษฐกิจ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่โง่เง่า 

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม บ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 12:40:39 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:56:28 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:46:51 )

ความร่ำรวยคือความขยันและสมรรถนะของเรา

รายละเอียด

อาตมาเคยสรุปว่าความร่ำรวยคือความขยันและสมรรถนะของเรา นี่คือความร่ำรวยที่โจรปล้นไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คือคนที่มีความรู้ความสามารถกับความขยัน เป็นทรัพย์ที่กินไม่หมดใช้ไม่หมด เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25  ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 15:19:09 )

ความร่ำรวยที่แท้จริงคืออะไร

รายละเอียด

หลวงปู่พยายามอธิบายเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ตามในหลวงร.9 ก็ตรงกันอธิบายตรงกันว่า คนเราต้องมาเป็นคนจน ให้ประชากรไม่ต้องหลงไปรวย

หลวงปู่เคยบอกเคยพูดมา ว่าแท้จริงความร่ำรวยคืออะไร ความร่ำรวยคือ สมรรถนะ ความสามารถ กับความขยัน เป็นภาษาและพฤติกรรม ใครสร้างสรรได้ดีได้เก่ง ขยันทำก็เกิดผลผลิตตามมา มีปัญญารู้อะไรควรสร้างก็สร้างให้คนได้กินใช้ มันก็รวย หากขายได้เงินโก่งราคาก็ได้มาก ของเราดีด้วย จำเป็นด้วย ต้องกินต้องใช้ คนก็ต้องมาซื้อหาไป ตามอัตราโลกก็ร่ำรวย เอาสะสมกอบโกยก็ร่ำรวย แต่ความซับซ้อนของคนเจริญถึงจะได้มากก็เอาไม่มาก หากเอาไม่มากก็พอกินพอใช้ ได้แล้วไม่สะสมด้วย ไม่กักตุน สะพัดออกไป เพราะเรามั่นใจในสมรรถนะประจำตัวเรา  กับความขยัน ลงมือเมื่อไหร่ก็เป็นผลผลิต จึงไม่ต้องกักตุน แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว มีอยู่เป็นสังคมที่เห็นร่วมกันสัมมาทิฏฐิ เสมอสมานกัน เอกีภาวะ ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา สอดคล้องกันก็ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจว่าอะไรควรผลิตก็ทำร่วมกัน กินใช้เท่าคนๆหนึ่ง เราผลิตได้มากก็สะพัดได้มาก ยิ่งเป็นประ
โยชน์ต่อสังคมมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไทยในช่วงใกล้เลือกตั้ง 2561


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 16:34:04 )

ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานของดินน้ำลมไฟ

รายละเอียด

ถ้าเข้าใจรายละเอียดของมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม ก็รู้กันอยู่แล้ว เป็นวัตถุเป็นสสาร ซึ่งเขาก็เรียนรู้กันเก่ง ทุกวันนี้ใช้พลังงานของวัตถุ มาเป็นความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นพลังงานของดินน้ำลมไฟทั้งนั้นเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า วันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 19:17:18 )

ความรู้การแยกรายละเอียดที่ต่างกันของความมี ไม่มีเป็นอภิภูต้องระดับ 8 ขึ้น

รายละเอียด

มาก มันมีเล็กๆน้อยๆ นี่มันมาก ละเอียดนี้ แต่มีต่างกันไปเรื่อยๆ  แต่กว่าคุณจะรู้คู่ของความละเอียดที่มันมีมากระดับ นี่แหละ ยาก กว่าจะเป็น อภิภู  นี่กว่า อาตมาจะเข้าใจอภิภู นี้ไม่ใช่เรื่องเล่น อภิภู ระดับ 8 อาตมาถึงระดับ 7 แต่ก็พอมีภูมิรู้ จึงพอรู้ตัวเองบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้อาตมาขึ้นระดับ 8 ไปตามลำดับ แต่ยังพูดไม่ได้ว่า  เป็น อภิภูผู้ยิ่งใหญ่ พูดได้แต่ว่าขึ้นระดับ 8 แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กันยายน 2565 ( 14:11:23 )

ความรู้ผิดถูก เพิ่มขึ้นเป็นสิริมหามายาจนกว่าจิตของคุณจะได้เป็นสิทธัตถะ

รายละเอียด

คนที่ฟังเข้าใจไหมล่ะ ถ้าฟังแล้วพัฒนาขึ้นก็เจริญ จะเป็นคานธีก็ดี ไอสไตน์ก็ดี คุณชวนก็ดี ก็คุณเข้าใจเพิ่มขึ้น สัจจะมันเพิ่มขึ้นสัจจะมันเจริญขึ้นจริงๆ เข้าใจสัจจะได้ถูกตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็มี 2 อันเท่านั้น ถูกหรือผิด อันนี้มันยังถูกต่อมาก็ผิด แล้วผิด ก็จะกลับมาถูก  มันเป็น 2 ตัวนี้แหละ ผิดกับถูก กลับไปกลับมา เรียกว่าสิริมหามายา จนกระทั่งเป็นตัวถูกที่เที่ยงแท้ ยืนยาวยิ่งใหญ่ ทั้งดีที่สุด สิริ ดี มหาก็มาก ดีที่สุดมากขึ้นเรื่อยๆเป็น สิริมหามายา 

มายา เหมือนความกลับกลอก เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ว่าไม่มีเหมือนคนเล่นกล คุณจะเข้าใจได้ อาตมาหยิบคำว่า มายา สิริมหามายา มาอธิบายว่า มนุษย์มันมีธาตุตัวนี้ จะเรียกว่าธาตุโกหกหรือธาตุรู้ตัวนี้สลับซับซ้อนกันอยู่นี้ จนกว่าคุณจะเป็นสิริมหามายา เพราะคุณได้กำเนิดจิตของคุณเป็นสิทธัตถะ 

สิทธัตถะคือ แต่ก่อนก็ยังอยากเป็นอย่างโลก แต่เดี๋ยวนี้หมดอยากเป็นอย่างโลกแล้ว มีความอยากอันสำเร็จแล้ว อาจจะเป็นสำนวนธรรมะโลกุตระหน่อย มีความอยากอันสำเร็จแล้ว มันสำเร็จจริงๆเป็นสภาวะ ไม่ใช่พูดแค่พยัญชนะ ก็เลยเป็นสิทธัตถะจริง 

คำว่าสิทธัตถะ ก็ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา ที่เป็นเจ้าชายเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินและได้มาเป็นพระพุทธเจ้า มันไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา แต่มันหมายถึงธรรมะ เป็นใครก็ได้ ในตัวคุณเป็นสิริมหามายาก็ได้ เป็นสิทธัตถะก็ได้ อีกแหละ งงไหม ...ไม่งง ทำไมเก่งจัง ลูกใครหว่า ทำไมเก่งจังเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 11:25:29 )

ความรู้รอบถ้วนกำจัดกิเลส ปัญญากับสัญญาต้องทำงานคู่กัน

รายละเอียด

กาย มี ภายนอกกระทบแล้วมีกิเลส จัดการกิเลส จิตในจิตนี่แหละ สราคะ สโทสะ
สโมหะ ทำให้ลดลงๆ ละจางคลายไปหาความไม่มีเรียกว่า วีตะ 

ทำสำเร็จ ทำได้แต่ละเรื่องแต่ละส่วนๆ ได้จนกระทั่ง หยาบลดลง กามก็ลดลง ราคะ ลดลง เหลืออรูปราคะ ในแต่ละเกณฑ์ หยาบ กลาง ละเอียด มันก็มีรายละเอียดของมัน เราก็รู้มันด้วยปัญญา รู้ชัดเจนๆ ด้วยกัน ปัญญากับสัญญาทำงานคู่กัน สัญญากำหนดรู้ ปัญญาเป็นตัวรู้ตัวจบ รู้จนกระทั่งจบก็ได้ ไปเรื่อยๆ ตรวจสอบไปด้วย ซึ่งเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของการตรวจสอบตัวเอง แม้จะมานั่งเตวิชโช ตรวจสอบตัวเองมันก็เป็นกิจจะลักษณะ แต่โดยปกติมันก็ตรวจสอบของมันเองอยู่เหมือนกัน แต่มันละเอียดกว่า แต่มันทำงานเป็นอัตโนมัติของมันเหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติถูก มีผัสสะ มี มนสิการอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว นาม 5 ก็มาเรียนรู้ เวทนา สัญญา กับเจตนา ผัสสะ มนสิการ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2565 ( 13:18:29 )

ความรู้สูงสุดของพระพุทธเจ้า รู้อะไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศนำมา ควรศึกษาและปฏิบัติตามให้สำเร็จด้วย แล้วไม่ใช่สำเร็จเปล่า สูงสุดของพระพุทธเจ้านั้นรู้ความจบของทุกอย่าง ที่เป็นโลกุตรธรรม รู้ความตรัสรู้ นิพพาน 

คำว่า นิพพาน เขาก็ไม่เข้าใจแล้ว นิพพานนั้นคือรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วสามารถทำจิตเจตสิกนี้ โดยการรู้จักจิตเจตสิกจริงคือความเป็นรูปของจิตเจตสิก ธาตุรู้ที่เป็นจิตเจตสิก แล้วก็มีตัวปัญญามีตัวสัญญา กำหนดรู้จิตเจตสิกของตัวเอง แยกจิตเจตสิก เอากิเลสออกจากจิตเจตสิก แล้วก็ประหารกิเลส ในจิตเจตสิกสำเร็จ 

จนกระทั่งเกิดจิตบริสุทธิ์แท้ๆ พระพุทธเจ้าพิสูจน์ จิตแท้ๆนั้นเป็นอนัตตา จิตแท้ๆนั้นไม่เป็นตัวตน จิตแท้ๆนั้นไม่ใช่อะไรของใคร มีแต่เจตสิกที่มีเจตนาว่า เมื่อบรรลุอรหันต์แล้ว จิตอรหันต์เป็นอย่างไร จิตอรหันต์นั้นจะไม่ยึดจิตเป็นเราหรือของเรา ได้ทั้งนั้น ไม่ยึดเลยปล่อยเลิก เมื่อตายก็ตายอย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปรียบเทียบนายกฯ พลเอกประยุทธ์กับคุณทักษิณ วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2565 ( 11:45:35 )

ความรู้เรื่องกายแยกให้รู้ได้อย่างแจ่มแจ้งด้วยวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9

รายละเอียด

อากาสานัญจายตนะ ของสัตตาวาส 9 กับของวิญญาณฐีติ 7 คนละโลกเลย 

อากาสานัญจายตนะของวิญญาณฐิติ 7 นั้นคือความถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ 

วิญญาณ เลอะเทอะ เป็นอะไรไม่รู้ อากาสานัญจายตนะ ก็เป็นอะไรไม่รู้ อากิญจัญญายตนะ ก็เลยยิ่งกลายเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่แล้วเมื่อไหร่มันจะใช่ มันไม่รู้เรื่องเลยเลอะเทอะไปตลอดกาลนาน คือเรื่องคำว่า กาย กายทั้งเบื้องต้นและที่สุด ทั้งหมดเลยในการเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความเป็น 2 คือ เทวะ ก็คือ กาย มีรูปกับนาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ

วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2565 ( 12:54:41 )

ความรู้แบบพุทธที่เป็นโลกกุตรธรรม=อภิญญา,สยังอภิญญา

รายละเอียด

เสร็จแล้วเมื่อจิตวิญญาณของตัวเองตื่นเต็มเป็นตัวเองเต็มที่แล้ว สัจจะตัวเองที่เคยปฏิบัติมาได้แล้วเป็นของตัวเองแล้ว สยังอภิญญา เป็นของตัวเองเป็นอภิญญาหรือความรู้แบบพุทธ โลกุตรธรรม มันได้แล้วมันก็จะขึ้นมาเป็นตัวเอง แล้วเราก็จะมีชีวิตที่รู้ดีเลยว่า ไอ้ความที่ไม่มีโลภโกรธหลง มันเป็นความประเสริฐอย่างไร เป็นคนประเสริฐ คนไม่รู้ ดีไม่ดีเขาจะหาว่าบ้าด้วย แต่คนที่รู้เขาจะยกเครื่องบูชาเคารพ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2566 ( 12:53:11 )

ความลงตัวของธรรมะ ต่ออายุได้

รายละเอียด

คือ ในเรื่องของความจนนี้  อาตมาเห็นแล้ว่ามันยากเย็นแสนเข็นจริงๆ  ก็เลยต้องตายไม่ลง จะตายแล้ว ก็กลับมาเกิดเร็วก็ตาม  กว่าจะโต  กว่าจะมาบรรยายธรรมะ จะบรรยายธรรมมาตั้งแต่ 7 ขวบ  คนเขาไม่ฟังหรอก  อย่างโมสาร์ทอายุ 7 ขวบเขาเล่นดนตรี  คนที่ฟังรู้เรื่องเขาก็ฟังได้  แต่ว่าเด็ก  7 ขวบอธิบายคำว่าโลกุตระ มันจะฟังกันรู้เรื่องเหรอ  เขาจะเชื่อหรือว่าเด็ก 7 ขวบมาอธิบายโลกุตระ  มันไม่ได้  ก็ยังเห็นว่ามันไม่ได้หรอก  ยังไงก็ทู่ซี้ไปก่อนไม่ยอมตาย  และเราทู่ซี้  โดยไม่ใช่ไม่มีเหตุปัจจัย  แต่ต้องอย่างถูกธรรม  และมีเหตุปัจจัย  ถ้าไม่อย่างนั้นตายก่อนแน่ก็เท่ากับ  ที่สุดทำ  คำว่าทู่ซี้ก็เป็นภาษาเท่านั้น  เราต้องทำให้ลงตัวกับธรรมะว่าจะต้องต่ออายุได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:46:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:01:24 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:47:25 )

ความละอาย เป็นสัจธรรมที่ต้องมีจริงในมนุษย์ทุกคน

รายละเอียด

มันลึกซึ้งจริงๆ แค่ความละอาย เป็นสัจธรรมที่ต้องมีจริงในมนุษย์ทุกคน ยกตัวอย่างเช่น ขออภัยวันนี้ ขออภัยต่อท่านประยุทธ์ปยุตโต ท่านประยุทธ์ ปยุตโตดูถูกดูแคลนไม่ใช่ทำเล่นด้วย เอาจริงๆจนอาตมาติดคุกด้วย แต่เขาขอให้อยู่นอกคุก 2 ปีรอลงอาญา 2 ปี เอาขนาดนั้นเลย ท่านประยุทธ์นี้เอาอาตมาขนาดนั้น และท่านไม่เคยรู้หรอก เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าท่านจะรู้สึกละอายหรือยัง อาตมาก็ยังเชื่อว่าท่านยังไม่ละอาย หากท่านละอายคงจะมี signal มา ถ้าเกิดความละอายบ้าง ก็จะได้ อัญญธาตุ อาตมาสาธยายไปแต่ท่านไม่ถึงขีดที่จะรู้สึกสำนึกสำเหนียกว่า เราได้ไปดูถูกดูแคลนท่านโพธิรักษ์ ตายๆๆๆ ท่านจะรู้สึกละอาย 

เพราะฉะนั้นการจะเกิดความละอายนี่คือ เทวธรรม คือธรรมะความเจริญ แต่ถ้าไม่เกิดอันนี้คือยังไม่เจริญ ท่านประยุทธ์ไม่ได้เกิดความละอายที่ได้มาดูถูกดูแคลนสมณะโพธิรักษ์ ยังไม่สำนึกเมื่อใด ไม่มีละอายเมื่อใด มันจะเกิดจริงในจิต ละอาย หิริโอตตัปปะ อย่างแรงกล้าด้วย เพราะดูถูกอย่างแรง ข่ม ดูถูกอาตมามาก เพราะว่าจะรู้สึกแรงสำหรับคนที่เข้าใจสัจธรรม แต่อาตมาว่า ท่านก็คงจะยากอยู่ที่จะรู้สึก หรือท่านจะรู้สึกแล้ว หากท่านรู้สึกแล้วอาตมาขออนุโมทนา น่าจะมีสัญญาณมาบอกบ้าง signal มาบอก แต่นี่ไม่มีสัญญาณมาบอกว่าท่านรู้สึก อาตมากับท่านเคยสัมพันธ์ติดต่อกัน คือ เมื่อท่านด่าอาตมา เขียนหนังสือตำหนิอาตมามาอย่างนี้ อาตมาก็เขียนจดหมายขอบคุณท่านไป ท่านก็เงียบ ไม่มีตอบ เขียนด่าต่อ เขียนว่าต่ออีก 3 เล่มหนังสือ 

อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็พยายามญาติดีกับท่าน จนครั้งหนึ่งท่านไม่สบาย อาตมาเขียนจดหมายแสดงความเห็นใจ ว่าท่านไม่สบายก็ขอให้หายวันหายคืนตามประสาโลกๆเขานั่นแหละ เพื่อทำความสมานเสมอ เขียนจดหมายอันนี้ไป ท่านก็ส่งหนังสือของท่าน 2 เล่มมาให้อาตมา หนังสือพจนานุกรมของท่านสำคัญ อาตมาก็ยังได้อาศัย ใช้ 2 เล่มนั้น ส่งมาให้ โดยเขียน ด้วยสาราณียธรรมต่อท่านโพธิรักษ์ ระลึกถึง สาราณียธรรม นี่ก็เล่าเรื่องที่ผ่านมาจริง มีปรากฏการณ์จริง พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม แล้วก็มีอีกเล่มหนึ่ง พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับประมวลศัพท์ ท่านเก่งพยัญชนะ แต่ท่านไม่เก่งสภาวะ นี่ขออภัยที่พูดความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์  วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ปีขาล


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 12:57:06 )

ความละอายเกรงกลัวในปัญญาสูตรข้อ 1

รายละเอียด

อาตมาตอนนี้กำลังอธิบายปัญญาอยู่  ปัญญานี่ก็ยากไม่ใช่เล่น กว่าจะรู้จักธาตุรู้ที่มันสามารถไปเป็นปัญญาเป็นของโลกุตระเป็นของพระพุทธเจ้า แต่เขาไปตีกินเอาพยัญชนะไปแปลงสารเป็นภาษาโลกีย์ กลายเป็นฉลาดเฉโกเละเทะ อาตมาก็ยากในการที่จะฟื้นโลกุตรธรรม ให้มาเข้าร่อง เข้ารอย เข้าหลักเกณฑ์ตามพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 

ผู้มีปฏิภาณปัญญา ที่จะรับความรู้ที่อาตมาขยายความให้รู้จึงเป็นผู้ที่มีบารมี ถึงแม้ว่าไม่เคยมีบารมีมาแล้ว แต่เริ่มมาตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ฟังด้วยดี ไม่มีอคติ ไม่มีการต่อต้าน นอกจากไม่ต่อต้านแล้ว ยังเคารพเกรงกลัว นับถืออย่างเกรงกลัว แล้วยังละอายอย่างเกรงกลัว คำว่าละอายอย่างเกรงกลัว อาตมาก็อธิบาย ไม่ง่าย 

เพิ่งรู้สึกตัวว่าเราผิดๆๆมากๆ แล้วเผลอไปทำน่าอายเอาไว้เยอะ ดูน่าเกลียดมาก ผู้มีสำนึก มีปฏิภาณปัญญา เข้าใจอย่างนี้ จะถือธูปเทียนแพมา ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ลูกช้างเถอะ ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า มีความรักเลยนะ เพราะว่า ไม่ได้หมายความว่า เกรงกลัวอย่างขยาดไม่เข้าใกล้ แต่รักเคารพนับถือ ยกย่องเชิดชูอย่างแรงกล้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:18:45 )

ความลับและความอั้นตู้ของศาสนาเทวนิยม

รายละเอียด

ความลับของชาวเทวนิยมคือจริงๆแล้วคำสอนต่างๆ เป็นของพระศาสดาองค์ที่เป็นศาสดา ไม่ว่าจะเป็นพระเยซู พระมูฮัมหมัด เป็นศาสดา คำสอนที่ว่านั้น ก็เป็นของพระเยซูเองสั่งสมบารมีมาไม่รู้กี่ชาติ คำสอนของพระมูฮัมหมัดก็เป็นคำสอนของพระมูฮัมหมัดเองที่ได้อบรมสั่งสอนมาไม่รู้กี่ชาติ แต่ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้ความเกิดความดับ เขาไม่รู้เรื่องของกรรมวิบาก เขาไม่รู้เรื่องวัฏสงสาร เขาไม่รู้ เขามีความรู้สั้นๆ เขาก็รู้แต่ว่าคนเกิดมาชาติหนึ่งตายปุ๊บก็ไปอยู่กับพระเจ้าแล้วแต่พระเจ้าจะให้อยู่สวรรค์หรือลงนรก เขามีความรู้สั้นๆอยู่แค่วงวัฏฏะความเกิดความดับ การตายของชีวิตเพียงชาติเดียว นี่คือความอั้นตู้ คือความรู้ที่อยู่ในกะลาครอบอย่างแท้จริง ไม่ออกไปจากนั้นก็รู้อยู่แค่นั้นในชาตินั้น เพราะพระศาสดาเองก็มีอวิชชาในตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาได้ไม่รู้กี่ชาติแล้วสั่งสมความรู้จนเรามีความรู้ในขั้นที่มีบารมีเป็นพระศาสดาของศาสนาหนึ่ง ที่เป็นเทวนิยมได้ เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วก็เสื่อมเพราะมันไม่เที่ยงมันไม่รู้จักเหตุแห่งความเสื่อม เขาก็จะวนเวียนไปอีกหน่อยก็จะเหลิงแล้วเสื่อม เขาจะไม่รู้จักเรื่องของ กาม และอัตตา ศาสดาบางองค์ไม่รู้จักเรื่องของกาม ก็เขาจะปล่อยให้ศาสดามีการมีเมียหลายคนได้ อะไรต่างๆนานา เขายังไม่รู้ชัด

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 10:32:49 )

ความลำดับของการปฏิบัติลดกิเลส

รายละเอียด

ถ้าปฏิบัติ ก็จะต้องมีเครื่องอาศัยให้ปฏิบัติตั้งแต่การลดละ กามฉันทะ จะมีกามให้ลดละต้องมีผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็จะมีเวทนา แล้วก็ให้เรียนรู้เจตนา ในเวทนา เจตนามีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัวนี้แหละเป็นเป้าหมายสำคัญของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ให้ล้างตัณหาจนหมดตัวตน กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดภพ จะเรียนรู้ได้ต้องรู้นามรูป ในวิญญาณ วิญญาณคือองค์รวมธาตุรู้ทั้งหมด คนเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเหมือนกับกินเนื้อบุตรตัวเองหน้าตาเฉย แล้วก็ยังจะไปดีไปสู่ที่สูงที่สุด ไปหานิพพานเลย แต่ก็วนอยู่ในทางไกลกันดาร วนเวียนไม่เคยรู้หนทางที่แท้จริงเลย หลงในกาม กินเนื้อลูกแล้วหลงทาง ไม่รู้จักว่าเริ่มต้นตัวเองต้องรู้จัก กาม ดับกามก่อนต้องมีผัสสะ จะมีเวทนาแล้วเจาะตัณหาในเวทนา โดยต้องมีความรู้ในนามรูปสิ่งที่ถูกรู้คือรูป ประธานคือจิตที่เป็นนามจะไปรู้รูปได้ แต่เขาไม่ได้ศึกษาแบบนี้ จึงไม่มีความรู้ ในอาหารอีกสูตรคืออวิชชาสูตรก็บอกว่าไม่รู้จักเครื่องที่จะทำให้รู้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:18:24 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 16:00:53 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:47:43 )

ความลำบากที่ไม่รู้จักกามไม่รู้อัตตา

รายละเอียด

กามนั้นคุณไม่ได้เห็นเป็นโทษ กามาทีนวะ 5 ก็เลยอยู่กับกาม ถูกกามกินตัว หลงไปในอัตตาก็ถูกอัตตากินตัว อัตตาจะบงการ ให้ทำอะไรก็ได้ เกินกว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกามคุณ 5 นอกนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด โยนให้อัตตาหมด ต้องการนอกเหนือจาก ตาหู จมูก ลิ้น กาย เป็นอัตตาหมด จะทำให้ได้ดั่งใจต้องการหรือไม่ต้องการ ต้องการทำลายปล่อยก็คือจิต ต้องการได้มาเป็นตนเป็นของตนก็คือจิต ก็เลยเป็นความลําบากที่ไม่รู้จัก กาม ไม่รู้อัตตา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:03:03 )

ความลำเอียงคืออะไรมีไหมใครบ้างที่ลำเอียง

รายละเอียด

มันลำเอียงอะไร ลำเอียงอย่างไหน ลำเอียงเรื่อง ลาภ ลำเอียงเรื่องยศ คำว่าลำเอียงมันลึกซึ้งนะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ฉลาดพอแล้วลำเอียง ลำเอียงหลอกตัวเองลำเอียงทางนามธรรม ลำเอียงโดยที่ไม่เข้าใจ (พ้นอคติ 4 ดูภาคผนวก) โอ้โห ลองยกตัวอย่างสักอัน ลำเอียงประเภทอย่างมหาบัว ขออภัยที่เป็นตัวอย่าง ขอบคุณมหาบัวที่มาเป็นตัวอย่างให้อาตมาเอามาทำประโยชน์ในการเป็นตัวอย่าง 

ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่า ตัวเองยิ่งใหญ่ เพราะตัวเองได้เรี่ยไรหาเงินเข้าคงคลัง เอาทองคำเข้าคงคลัง อย่างนี้เป็นต้น ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ตัวเองมีประสิทธิภาพมาก สามารถช่วยประเทศชาติได้ แล้วก็กรึ่มจนกระทั่งหลงใหลว่า เราทำอย่างนี้ได้คือบารมีของพระอรหันต์ บารมีที่จะส่งเสริมให้เป็นพระอรหันต์ 

ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องน่าอาย ไปเรี่ยไรก็ไม่ใช่กิจสงฆ์ เอาประเทศไปเป็นเครื่องล่อ เหมือนอย่างพิธา(นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) บอกว่าจะให้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ล่อ ก็ตื้นๆธรรมดา บอกว่า เลือกนะ จะให้เงินเท่านั้นเท่านี้ ล่อเหมือนกัน บอกว่าจะเอามาเพื่อกอบกู้ประเทศนะ ก็เหมือนกัน อ้างอิงว่าจะเอามาทำประโยชน์ ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ อย่างพิธานี่มันผิวเผินเกิน หลอกให้แก่ตัวบุคคลเลย เอาละคุณจะได้เงินรายได้เท่านั้นเท่านี้ เช่น ขึ้นค่าแรงขั้นตำเป็น 450 บาท เงินคนแก่ได้ 3,000 บาท หลายอย่างเขาก็พูดไป อันนั้นมันผิวเผินตื้นๆ 

นี่ก็เหมือนกัน อ้างอิง ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ว่าตัวเองมีประสิทธิภาพ ทั้งๆที่ตัวเองอาศัยทั้งนั้น อาศัยประเทศชาติมาเป็นตัวประกัน อาศัยทางสถาบัน อาศัยอะไรๆ แล้วก็อาศัยคราบนักบวช แล้วก็ไปทำผิด ไม่ใช่กิจสงฆ์ไปเรี่ยไรอีก ซึ่งไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเลย ไม่รู้สักอย่าง และหลายอย่างที่ว่า เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นที่ไม่เข้าใจไปหลงผิด อาตมาก็เป็นภาระจะต้องมากอบกู้อธิบายความจริง ไม่ได้ชังมหาบัว จริงๆอาตมาว่าลึกๆมหาบัวก็หลงตน เข้าใจผิด แม้แต่ที่สุดที่บอกว่าตัวเองจะตายแล้วไม่เกิด อาตมาก็เชื่อว่า มหาบัวรู้อยู่พอสมควร แต่จะต้องบอกให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ได้บอกว่าหลอกนะ บอกให้คนอื่นเชื่อว่าตายแล้วไม่เกิดในชาตินี้ ไม่กล้าใช้คำว่าบรรลุอรหันต์แล้ว 

จริงๆแล้ว ความจริงผู้เป็นอรหันต์แล้วตายแล้วจะเกิดอีกก็ได้ เป็นอรหันต์ตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ แต่มหาบัวไม่มีปัญญารู้หรอกว่าอรหันต์จริงๆนั้นตายแล้วเป็นอมตบุคคล ผู้ผ่านวิมุติแล้วตามมูลสูตร 10 บรรลุวิมุติ ผ่านวิมุตมาก็เป็นอมตะ (มูลสูตร 10 ดูภาคผนวก)อมตบุคคลคือตายก็ได้ เกิดก็ได้ เกิดมาต่อภพภูมิเป็นอรหันต์ อันที่ 1 ก็เป็นอรหันต์อันที่ 2 เป็นอนุโพธิสัตว์ จะต่ออีกก็เป็น อนิยตโพธิสัตว์ต่อไปอีกได้ ที่อาตมาหยิบมาให้ฟังหมดแล้ว แต่มหาบัวยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ไม่เข้าใจอะไรหรอก ที่บอกว่า อรหันต์ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย จะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ เป็นผู้ที่ครบภาวะ 2 เป็นผู้ที่ครบสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นเขาเข้าใจไม่ถูก อย่างศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นศาสนาพุทธที่มันเอียงโต่ง โต่งไปข้างหนึ่งเดียวไม่มี 2 

เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ากายก็ไปเข้าใจว่าเป็นแต่เรื่องรูปธรรมอย่างเดียว อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงมิจฉาทิฏฐิไปทั้งหมดเลยเพราะเข้าใจกายยังไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งๆที่ในพจนานุกรมบาลีนั้น ก็ยังแปลว่า เป็นองค์ประชุม แปลว่ากอง แปลว่าฝูง แปลว่าหมู่ ในพจนานุกรมก็ยังบันทึกไว้ มันไม่ใช่ของเดี่ยว มันเป็นองค์ประชุมกรอบ เป็นองค์ประกอบ องค์ประชุมเจตสิก 3 อย่างนี้เป็นต้น กายต้องมีนอก-มีใน มี 2 อย่าง ถ้าเข้าใจกายไม่สัมมาทิฏฐิไปไม่รอด แล้วก็เข้าใจกายไม่ได้กัน แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ยังไม่พ้นมิจฉาทิฐิ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาก็พูดความจริงนะ วิจัยหรือว่า ตำหนิสิ่งที่ผิด แล้วก็บอกความถูกต้องให้ฟัง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2566 ( 13:30:28 )

ความลึกซึ้งของการสืบสันตติวงศ์

รายละเอียด

อาตมายังนับถือประธานาธิบดีองค์ที่ 1 ของอเมริกา คือ จอร์จ วอชิงตัน เป็นทหารนำรบ อเมริกายึดประเทศจากอินเดียนแดงแล้วก็มารบกันเอง นานจนกระทั่งสุดท้าย จอร์จ วอชิงตัน เป็นผู้นำกองทัพชนะ เสร็จแล้วเขาก็จะให้ขึ้นครองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่จอร์จ วอชิงตันไม่เอา ก็ไม่ได้ ก็เลยเอา แต่ไม่เป็นกษัตริย์ ขอเป็นประธานาธิบดี คือมันเข้าใจผิด จอร์จ วอชิงตัน ซ้อนลึกอยู่ที่ จอร์จ วอชิงตัน ว่าไม่เอา แบบกษัตริย์หรือในหลวง คือมันยังยากที่จะเข้าใจว่า ในหลวงกับประธานาธิบดี เขาก็เข้าใจประธานาธิบดีมาจากประชาชน มีความเสมอภาคกันทุกคน ไม่เป็นการสืบสันตติวงศ์มา อย่างอังกฤษเก่าแก่มาจนถึงทุกวันนี้ เขาถือว่าอย่างนั้นมันเอาเปรียบ เขาก็จะเอาอันนี้ นี่คือความจริงซึ่งเขาไม่ลึกซึ้งพอว่า การสืบสันตติวงศ์มีกฎมณเฑียรบาล มีการฝึกหัดอบรม ประยูรญาติมาตลอดหมดเลย ลูกหลานเหลน ต้องฝึกฝนเพื่อที่จะเป็นผู้ที่ปกครองบริหารมีทศพิธราชธรรม จะต้องศึกษาอยู่กับประชาชนอย่างไม่ต้องไปข่มประชาชน ไม่เอาเปรียบประชาชน เสียสละให้ประชาชน

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 20:42:33 )

ความลึกซึ้งของญาติปริวัตตังปหายะ

รายละเอียด

มันมีขั้นตอน การตัด ญาติปริวัตตัง

ญาติปริวัตตัง ท่านแปลว่า การตัดรอบ หรือว่า ปหายะ แปลว่า การทำลาย ตัดทำลายในเรื่องการที่จะไปเกี่ยวเกาะ ปริวัติ ไปเกี่ยวเกาะกับญาติ เรื่องของญาติ เชื่อมโยงที่เราจะต้องมีความรับผิดชอบ โดยจะต้องมีการเกี่ยวข้องกัน จะต้องมีอะไรต่ออะไรพวกนี้..ตัด 

โดยปรมัตถ์ เอาปรมัตถ์เสียก่อน ก็คือการตัดการที่จะสืบสานสืบสาวที่จะมีญาติต่อไป การที่จะตัดความมีญาติต่อไปนั่นก็คือ อย่าไปมีลูก ถ้ามีลูกแล้วก็จะต้องมีหลาน มีเหลน มีโหลน มีหล่อนอะไรไปอีกมันก็จะเป็นญาติ เกิดบานตะโก้ไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น การตัดไม่ทำอันนี้นี่ มันก็คือเราก็จะต้องไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีลูกก็คือไม่เกี่ยวข้องกับเมถุน ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นคนคู่ มีอะไรพวกนี้นี่แหละ ในนัยสำคัญของมัน นี่คือปรมัตถ์ 

ทีนี้เรื่องของสมมุติ “ญาติ” ก็ต้องเกี่ยวข้องกันด้วยการต้องเลี้ยงดูกัน ต้องช่วยเหลือกัน จะต้องมีกรรมกิริยาทางกายวาจา โดยมีใจเป็นประธาน นับญาติ นับความเป็นจริง ญาติทางสายเลือด ญาติทางไม่ใช่สายเลือด แต่นับเนื่องกันเป็นผู้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกัน

คำว่า “ญาติ” นี่คือการ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ อาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  การแก่ การเจ็บ การตาย เมื่อมาเป็นญาติกันก็คือ เกิดร่วมกันแล้วก็จะร่วมกันอาศัยช่วยเหลือกัน อยู่กินกัน การอยู่ การกิน การทำงานทำการ การอาศัยช่วยเหลือ ทั้งวัตถุ ทั้งแรงงาน ทั้งกิจการ ทั้งอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ก็ช่วยกันไปอย่างนั้น ที่เรียกว่า “ญาติ” 

ทีนี้ในนัยยะของ ความลึกซึ้งอีกก็คือ ตัดงาน ตัดญาติ ตัดงานที่จะเป็นงานที่เราจะต้องไปรับผิดชอบร่วมกับอันนั้นอันนี้ให้น้อยลงๆ การตัดคำนี้ลึกซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าการตัดโดยเป็นเรื่องของสมมุติอย่างเดียว เราตัดเรื่องสมมุติ แต่เรากลับจะเชื่อมโยงทางปรมัตถ์ 

เราตัดเรื่องสมมุติ คืออะไร เราตัดเรื่องสมมุติก็คือ เราไม่รับผิดชอบในเรื่องการเงินการทอง การเป็นวัตถุข้าวของ การที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลหามา ต่างคนต่างช่วยกันอะไรพวกนี้ เราไม่รับผิดชอบ เราไม่เกี่ยวข้อง เราไม่ถือว่าเป็นหน้าที่ ไม่ถือว่าเป็นงาน ที่เราจะต้องทำ ตามสมมุติ ตัดน้อยลงๆๆ 

แต่เราจะเชื่อมโยงทางกรรม ทางการกระทำ ช่วยเหลือ ช่วยเหลือทางวัตถุน้อยลง แต่ช่วยเหลือทางจิตวิญญาณ ด้วยการเกื้อกูลทางจิตวิญญาณ ช่วยเหลือแรงงานไม่ใช่วัตถุ ถ้าอยู่ในฐานะไม่มีความรู้ทางธรรมมากมาย ก็ช่วยเหลือทางแรงงาน มีความรู้ทางธรรมะก็เติมเข้าไปอีก ช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปทางธรรมะ แม้จะเป็นธรรมะโลกีย์ก็เอา ยิ่งธรรมะทางโลกุตระด้วย ก็ช่วยกันไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น การตัดญาติทางสมมุติทางโลกีย์ เราก็ลดลง ไม่รับผิดชอบในเรื่องของวัตถุลงไปเรื่อยๆ แต่ทางธรรมเราเนี่ย โดยเฉพาะทางโลกุตระด้วย จะต้องช่วยกันอย่างยิ่งขึ้นๆๆๆๆ ให้ได้รับ แล้วก็ไปด้วยกัน เป็นญาติธรรมไปจนกระทั่งตลอดเลย 

อย่างพวกเรานี่ เสร็จแล้วมาเป็นญาติกัน จนกระทั่งมาอยู่ร่วมกันมาสร้างสรร ทำการทำงาน ช่วยเหลือเกื้อกูลมีชีวิตดำเนินไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนตายจากกัน มันเป็นเรื่องละเอียดลออ มันไม่ต้องไปนับญาติทางสายเลือดเลย โลกุตระมันลึกซึ้ง.. เห็นไหม 

ดีไม่ดี รู้สึกไหมว่าเราสัมพันธ์เกี่ยวข้องสนิทกับญาติทางธรรมทางปรมัตถ์เป็นโลกุตระนี้ ยิ่งกว่าสายเลือด ใช่ไหม พอลึกซึ้งขึ้นจริงๆ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลย แต่เราก็รู้ว่าทางสายเลือดหรือว่าทางสมมุตินี่ เอาเถอะ ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้ตัดทิ้ง เราก็ช่วยเหลือตามควร เท่าที่จะช่วยได้ 

แต่ถ้าเผื่อว่าเรานึกถึงพฤติกรรมทางธรรม เขาเองถ้าเผื่อว่าไปช่วยเหลือแล้วเขาก็.. ถ้าช่วยทางวัตถุ เขาก็จะยิ่งจะไม่ดี เพราะเขาก็ช่วยตัวเขาเองได้ดีแล้ว พออยู่พอกิน ถ้าไปช่วยเขาอีก เขาก็จะโลภ โดยที่เราจะไปช่วยนี่มันก็ยิ่ง เราก็ไม่ใช่จะเอาเปรียบใช่ไหม เพราะเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว  แต่เราก็จะไปเติมให้เขาได้เพิ่มได้กำไร ได้เปรียบ ได้จำนวนมากขึ้น เขาก็ยิ่งตะกละๆๆ เราก็ไม่ต้องช่วยมาก ให้เขารู้สึกเหน็ด รู้สึกเหนื่อย รู้สึกทุกข์ รู้สึกลำบากบ้าง 

ถ้าเราสามารถมีธรรมะบอกเขา งานที่ไปเอาเปรียบเอารัด ให้ลดลงบ้าง แม้คุณจะทำงานขยันหมั่นเพียรมากขึ้น  ก็ลดที่จะไปเอารายได้แลกเปลี่ยน ไปเอาเปรียบหรือไปเอาที่จะได้เปรียบคนอื่น หัดเสียสละให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องที่อาตมาพูดนี้พวกเราเข้าใจไม่ยากอะไรหรอก แล้วก็ทำอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น คำว่า “ญาติปริวัตตัง” มันทั้งทำลาย มันทั้งเหลือความเป็นญาติ ที่สุดท้ายเป็นญาติธรรม ที่อาตมาอธิบายไปแล้ว นี่ก็เป็นคำสรุป “ญาติปริวัตตัง” คำนี้เท่านั้น 

นี่ถามว่า อย่างไร แค่ไหน อธิบายไปแล้ว ขนาดนี้ก็ไม่น้อยแล้วนะ ทำไม..ก็ต้องรู้สิว่าจะทำไม ถ้าไม่รู้ก็ทำไม่ถูก ทำไม่เป็น ถ้าเรารู้แล้วเราก็จะทำถูก ทำเป็น มันก็เป็นประโยชน์ทั้งตนและท่าน แล้วเราก็รู้ทำการช่วยเหลือกันอย่างนี้แล้วก็ตัด ตัดไป เหลือ ทำขนาดเท่าที่ควรไปที่จะให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ดีที่สุด มันไม่ใช่เรื่องตื้นๆ ถ้าจะพูด ดังที่พูดไปแล้วอาตมาอธิบายมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือพ้นสุขพ้นทุกข์ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 11:42:23 )

ความลึกซึ้งของภาษาพ่อภาษาแม่

รายละเอียด

คนสามารถที่จะใช้ภาษาคำพูดสื่อสภาวะได้ครบที่สุด มากที่สุด รู้กันได้ละเอียดที่สุดจนกระทั่งถึงปรมัตถ์ต่างๆ แล้วก็ศึกษาจนถึงปรมัตถ์ มีที่จบ พระพุทธเจ้าก็ใช้ภาษา ท่านจึงส่งเสริมภาษาที่เป็น mother tongue ภาษาพ่อภาษาแม่ ภาษาของชาติตัวเอง ให้ใช้อย่างนั้น ไม่ต้องไปดัดจริตใช้ภาษาอื่นเท่าไหร่ เช่น ไทยก็ใช้ภาษาไทยเพราะมันซาบซึ้งดี เป็นภาษารากเหง้า นอกจากมันไม่พอก็ไปอาศัยบาลี สันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาจีนบ้าง แถมเท่านั้น ที่มันไม่พอ สื่ออันนี้แถมไป เราจะเข้าใจได้เพิ่มขึ้น 

ถ้าไม่จำเป็น เขาเข้าใจดีแล้วภาษาไทยก็เอาแต่ภาษาไทย ที่เขาจะเข้าใจดีแล้วสื่อได้ นอกจากว่าภาษาไทยก็ไม่พอ ต้องใช้ภาษาอื่นช่วยไปอีก สื่อช่วยไปอีก จริงๆภาษาไทยมีไม่มากนะ สื่อไปนี้ไม่มากพอ 

ภาษาอื่นเขามีมากกว่าภาษาไทยเยอะ ขณะนี้ ภาษาไทยก็พัฒนา เอาภาษาอื่นมาใช้อีกเป็นภาษาไทย แปลงรูปเป็นภาษาไทยเท่าไหร่แล้วก็ยังไม่ค่อยพอ ต้องใช้ภาษาอื่นอยู่บ้าง ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องใช้อะไรกันไป 

สันตาปทุกข์กับปกิณกทุกข์ต่างกันอย่างไร ?

สันตาปทุกข์ คือทุกข์ที่มันเผาไหม้ ทุกข์ที่มันร้ายแรง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 19:38:55 )

ความลึกซึ้งของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

รายละเอียด

เจริญจนกระทั่งเป็นจิตเจริญสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณเท่าพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นความเจริญ ไม่ต้องไปห่วงทางการเจริญของจิต ไม่ใช่ไปดับไปหยุดมันไม่ให้ทำงาน เหมือนกับสายที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอา สะกดจิตเอา โอ้โห..น่าสงสารสายหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะความเสื่อมในศาสนาพุทธเมืองไทยมันเสื่อมไปจนกระทั่งไปหลงยึดครูบาอาจารย์ที่ไปสอนนั่งหลับตาสะกดจิตแบบเดียรถีย์นอกรีต ได้ภูมิธรรมแบบโลกียะมันไม่ข้ามเขตมาโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นคนที่จะมีจิตข้ามเขตมาสู่โลกุตระนี้ โอ้โห..กว่าจะมีธาตุรู้ที่มีโลกุตรธาตุ เป็น อัญญธาตุ สั่งสมมา จะต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยใน 100  คือครึ่งหนึ่งของความเป็นอัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ค่อยๆสั่งสม ต้องเลย 50 ขึ้นไปถึงจะแสดงออกให้ผู้ที่สามารถหยั่งรู้ อย่างพระพุทธเจ้าหยั่งรู้ อย่างหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะเป็นต้น ในพราหมณ์ 5 รูป ที่มาเรียนรู้กับท่าน 5 รูปแรก 

พอพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะก็บอกว่า อัญญาสิ วตโพ โกณทัญโญ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นการรู้นี่แหละเรียกว่า อัญญา ถ้าอัญญะแปลว่าอื่น แปลว่าธาตุโลกุตระเป็นธาตุตั้งแต่เริ่มต้นเลย จนกระทั่งสั่งสม สะสม 1 หน่วย 2 หน่วยจนเลย 50 หน่วย 60 หน่วยจนแสดงออก ช่วยตนเองได้ ผู้อื่นที่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างพระพุทธเจ้าจะรู้ว่านี่มีจิตอัญญธาตุแล้ว 

หรือผู้ที่สั่งสม ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะสั่งสมอัญญธาตุทุกคน กว่าจะมี อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ศึกษาโลกุตระไปเลยได้ต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยขึ้นไป ถึงจะถือว่ามันเข้ากระแส เข้าเขตที่จะเป็นผู้...ถ้าจะบอกว่า 50 ยังไม่ถือว่าเที่ยง เสื่อมได้นะ แต่ถ้าเผื่อว่าไปถึง 75 แล้วจะถึงขั้นนิยตะ เที่ยง ที่จะเจริญเข้าไปพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างน้อยเป็นอรหันต์ได้ อย่างสูงขึ้นไปจะเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ 

นี่คือนัยยะ ความลึกซึ้งของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบแล้วเอามาประกาศในโลก เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ค่อยๆศึกษากันไป พวกเราชาวอโศกนี่แหละ จะวางรากฐานของความรู้โลกุตรธรรมไป เพราะมันเสื่อมมาตั้ง 2,500 ปี มันเสื่อม แล้วอาตมาได้เกิดมาในยุคนี้ มาเป็นผู้เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในโลก ใหม่ เพราะมันเสื่อมไปแล้วถ้าอาตมาไม่ขึ้นมา มันจะหายไปเลย อาตมารับผิดชอบอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องมา มันมีกาละของมัน มันมีวาระเวลาที่อาตมาจะต้องออกมาทำงาน ทำมา 50 กว่าปีแล้วก็ยังทำต่ออยู่ ศึกษาต่อๆกันไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2566 ( 18:19:40 )

ความลึกซึ้งของสามอาชีพกู้ชาติ 

รายละเอียด

อาตมาอยากจะขยายเรื่อง 3 อาชีพกู้ชาติขึ้นไปอีก พวกคุณชมเชยอาตมาว่ามีวิสัยทัศน์นำ 3 อาชีพกู้ชาติมาพูดไว้นานแล้ว ตั้งแต่พ.ศ 2532 หรือก่อนนั้น มัน 30-40 ปีมาแล้ว ว่าทำไม กสิกรรมจะเอามากู้ชาติเขาก็ไม่ค่อยเชื่อ ปุ๋ยสะอาดจะเอามากู้ชาติมันก็ไม่น่าเชื่อ ถ้าจะบอกว่าเอาทองคำมากู้ชาติ เอาเพชรนิลจินดามากู้ชาติ หรือว่าเอาคอมพิวเตอร์เอาอะไรมากู้ชาติเขาก็พอฟังขึ้น แต่บอกว่าเอากสิกรรม เอาปุ๋ย มากู้ชาติ ยิ่งมีอีกคำหนึ่งว่าขยะ จะเอาขยะมากู้ชาติ... โพธิรักษ์เอ๋ย เอาอะไรมาพูด แรกๆคนก็จะฟังอย่างนั้น เราก็พยายามใช้ภาษา อาตมาใช้ภาษาอย่างเกรงใจมากสมัยแรกๆ  

กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะเอ๋ย 

จนกระทั่งพัฒนาขยะขึ้นมาให้เป็นขยะที่เป็นประโยชน์ พัฒนาหมุนเวียนขยะค่อยๆขยายแล้วก็แสดงความจริงเลย พัฒนาขยะ ขยะมันอยู่ในวงวัฏฏะของสามเส้า กสิกรรม ปุ๋ยและขยะ นี่ก็เป็นสามเส้าของไซคลิกออเดอร์ ที่สำคัญมาก ซึ่งคนยังเข้าใจไม่ชัดหรอกทุกวันนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:19:04 )

ความลึกซึ้งในอจินไตยเป็นอย่างไร

รายละเอียด

อย่าให้พูดถึงอจินไตยเลย คุณจะต้องมีฐานรู้ความลึกซึ้งเองและคุณจะไม่ถาม คุณจะรู้ว่า ให้คนมาอธิบายอจินไตยนี้ มันไม่ฉลาด คนไหนมาเซ้าซี้ให้อธิบายอจินไตยคือพวกโง่ เพราะอจินไตยนี้ เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้มันต้องมีฐานรู้ของตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่า ขนาดดูแล้วจะอธิบายให้คนอื่นยังไม่ง่ายเลย แล้วไปขนาดเรานะ เรารู้แล้วมีแล้วในอจินไตยอันนี้ เราเป็นแล้วมีแล้วเรายังอธิบายให้คนอื่นรู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะไปบังคับให้คนอื่นไปอธิบายให้คนอื่นๆอีก เราเรียกร้องไปมากหรือเปล่า ก็จะมีปฏิภาณรู้ว่าเขาจะเข้าซอยเข้าใจเอง

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:26:38 )

ความลึกซึ้งในเรื่องความสงบของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลยในเรื่องความสงบของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เป็นโลกุตรธรรม ยิ่งสงบยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว ยิ่งสงบ ไม่ใช่ความเฉื่อยไม่ใช่ความช้า แต่ยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว เหมือนพระสารีบุตรนี้ยิ่งกว่าลิง ได้รับความสรรเสริญยกย่องด้วยจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ 

คนที่ท้วงอาตมา เป็นพระอรหันต์อะไร ทำไมไม่มีความสงบ สงบอะไรยิ่งกว่าลิง ก็น้อยไป อาตมายังลิงน้อย พระสารีบุตรลิงใหญ่กว่าอาตมา อาตมายังเป็นลิงเกรงใจ ในยุคพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ลิงไม่ต้องเกรงใจ พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ แก้แทนให้ได้เลย เรื่องนี้คนเข้าใจได้ยาก 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 11:08:48 )

ความลึกลับ

รายละเอียด

คือ ความไม่สามารถหยั่งรู้เข้าไปถึง หรือ “ความลึกลับที่อยู่ลึก” จนกระทั่งทำ “ความรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรม” ทั้งหลาย อันมีทั้งอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ภายนอก ภายใน ทั้งกรรมนิยาม ทั้งธรรมนิยาม ด้วยธรรม 2 ซึ่งสามารถ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ด้วย “รูป” กับ “นาม” ไม่ได้

หนังสืออ้างอิง

“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 212


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 15:40:59 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:51:39 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:48:10 )

ความลึกลับในศาสนาเทวนิยมเกิดได้อย่างไร พระเจ้ามีตัวตนจริงหรือไม่

รายละเอียด

พระเจ้าเอง เป็นเจ้าของความรู้ และเป็นสิ่งลึกลับ พระศาสดามีความรู้ และไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ว่าความรู้นี้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จนได้เป็นพระศาสดา มีคนมายอมรับนับถือในความจริงอันนี้ ก็เพราะไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รู้ตัวเอง ไม่ได้เรียนรู้ที่ไปที่มาของความรู้เป็นไปมาอย่างไร 

แต่สุดท้ายรู้เหมือนกันว่า ความรู้ที่เรารู้นี้ของพระศาสดาแต่ละองค์ ความรู้ที่เรารู้นี่มันยิ่งใหญ่สุดยอด ไม่มีที่สุดเลย ไม่มีที่ไหนเทียบเท่าแล้ว ก็สงสัยว่า เอ๊ะ! อันตัวเรานี้ จะสามารถรู้ความรู้นี้หรือ มันไม่น่าจะเป็นของเรา มันเป็นความรู้ของใครน้อ! ก็ไม่กล้าที่จะบอกว่า เป็นความรู้ของตน ก็เลยเหมาว่า เป็นความรู้ของผู้ที่ให้เรามา ก็ถือว่าเป็นพระบิดา แล้วเราได้มาก็ถือว่าเป็นผู้ที่เป็นพระบุตร เป็นผู้ถ่ายทอดจากของพระบิดา

ก็เข้าใจกัน เชื่อกันอย่างนั้น แล้วก็เอามาเผยแพร่ เอามาประกาศให้คนอื่นปฏิบัติตาม ก็เป็นศาสนา จริงๆ ศาสนาเทวนิยมก็เป็นศาสนาที่รักดี ชังชั่ว ไม่ประพฤติชั่วประพฤติแต่ดี ดีจริงๆเท่าที่ศาสดาสามารถจะรู้ และพระศาสดาแต่ละองค์จะสามารถรู้ตามแนวทางของแต่ละพระองค์ จึงมีแนวคิดต่างกัน มีศาสดาหลายองค์มากมาย ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ตั้งศาสนาไม่ได้ แต่เขาประกาศไปว่าใหญ่ อะไรต่างๆนานาสารพัด 

ก็จึงมีเยอะ นึกว่านิยมศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่มีฤทธิ์มีอำนาจ มีความรู้ความฉลาดต่างๆนานา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:43:39 )

ความล้มเหลวของการศึกษาทั้งโลก คือไม่มี บวร บ้าน วัด โรงเรียน

รายละเอียด

อาตมาฟังรายงานแล้วยิ่งซาบซึ้งใจในธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมานำมาสอน เป็นการเรียนแบบพุทธ ซึ่งมีบวร การเรียนแบบพุทธที่มีความเป็นบ้าน วัด โรงเรียน ไม่ได้แยกบ้าน ไม่ได้แยกวัด ไม่ได้แยกโรงเรียน ซึ่งเขาไม่ทำอย่างนี้กันมา การศึกษาเขานำมาจากทางตะวันตก ระบบแบบตะวันตก แยกโรงเรียนอยู่ในกล่อง แล้วก็แยกวัดหรือธรรมะต่างหาก 

เพราะฉะนั้น โรงเรียนของเขาก็คือเรียนในกล่อง เพราะฉะนั้นอยู่ในกล่องนี่มันห่างจากบ้าน มันไม่ได้เป็นบ้าน มันไม่รู้เรื่องของบ้าน ธรรมะก็ไม่ได้เรียน ก็เลยแยกบ้าน แยกวัด แยกโรงเรียน หรือแยกบ้าน แยกธรรมะ แยกโรงเรียน ก็ไปเรียนแต่ เรียนๆๆๆ อยู่ในกล่อง ขาดจากความเป็นสังคมหรือบ้าน ขาดจากความเป็นธรรมะอันเป็นคุณธรรมประจำมนุษย์ นี่คือความล้มเหลวของการศึกษาของโลก ลึกซึ้งนะอันนี้มันกินลึก 

เลยเอาแต่ปริญญา เอาแต่ประกาศนียบัตร เอาแต่จากไอ้ที่จะได้ในกล่องเท่านั้น สังคมไม่รู้ ธรรมะไม่รู้ เอาแต่กล่องได้ใบ เป็นด็อกเตอร์ เป็นปริญญาตรีโทเอกหรือ Post Doctor อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ปูนบำเหน็จกันเอาอันนั้นแหละเป็นเครื่องชี้บ่งว่า นี่คือคนเจริญ 

นี่คือความล้มเหลวของสังคมทั้งโลก เพราะการศึกษาผิด การศึกษาขาด แยกบ้าน วัด โรงเรียน นี่เป็นความเห็นของอาตมานะ 

ทีนี้พวกเราชาวอโศกนั้น ชื่อว่าได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติกัน มีอปัณณกปฏิปทา 3 น้อยหรือมากพวกเราก็มี ที่พูดมารายงานมา เด็กๆเล็กๆก็คงเกิดความรู้สึกจากสำรวมอินทรีย์ 6 แล้วก็ทั้งทำงาน ทั้งกินทั้งใช้เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งหมดเลย โภชเนมัตตัญญุตา มันเป็นชีวิตทั้งหมด แล้วก็ตื่นรู้ ชาคริยานุโยคะ แล้วปฏิบัติธรรมกันนี่ 

จรณะ 15 สัทธรรม 7 เป็นเครื่องชี้บ่ง ว่า คุณมีความเป็นจริง ของจิตของปฏิภาณปัญญาหรือไม่ ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญาอยู่ในจิต คุณจะเกิดเจริญศรัทธา ถ้าคุณมีปัญญาปฏิภาณอยู่ในจิต คุณจะเจริญศรัทธา ที่เป็นตัวที่ 1 ของสัทธรรม 7 

สัทธรรม 7 ตัวศรัทธาเป็นตัวต้น ตัวปัญญาเป็นตัวปลาย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดศรัทธานี่ มีแต่ศรัทธาก็คือมีแต่ความซื่อบื้อ แต่ถ้ามีปัญญาเข้ามาร่วมในศรัทธาก็จะเกิดปฏิภาณไหวพริบ จะรู้ตนรู้โลก การเริ่มรู้โลก การเริ่มรู้ตนว่า ปัดโธ่เอ๋ย ตนเองขายขี้เท่อ ขี้เท่อที่ขายคืออะไร คือกิเลส แสดงกิเลสออก แสดงกิเลสโลภ แสดงกิเลสรักหรือโลภ แสดงกิเลสชัง แสดงกิเลสผลักหรือดูด ยิ่งเหมือนเราเองเป็นนักรู้ รู้ว่าเออ ผลักคนนี้

เหมือนอย่างอาตมานี่ถูกท่านปราชญ์ทั้งหลายแหล่เขาผลัก ผลักอย่างแรงเลย ผู้ที่รู้สึกตัวสำนึกว่าตายๆๆ เราไปแสดงขี้เท่อผลักหรือดูดต่อผู้ที่เขาถูกต้อง จะมีหิริ จะมีโอตตัปปะ ลึกซึ้งนะ 

ธรรมะไม่ได้อยู่ในสัตว์ ธรรมะไม่ได้อยู่ในดินน้ำไฟลม ธรรมะไม่ได้อยู่ในพืช ธรรมะอยู่ในคน เพราะฉะนั้นเมื่อไปเพ่งคนผู้ใดที่มีพฤติกรรม แล้วไปมองพฤติกรรมของเขาว่าผิด หรือดูถูกว่าต่ำต้อย จะทำลายด้วย ผู้ที่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงนี้ จะรู้สึกไหม ถ้าเกิดปฏิภาณปัญญารู้ว่า โอ้โห!! ตัวเองผิดจะรู้สึกไหม นี่แหละหิริจะเกิด สัจจะอันนี้เกิดจริง คนนี้จะเจริญ ถ้าสัจจะอันนี้ไม่เกิดจริงคนนี้ไม่มีวันเจริญ 

เพราะเขาจะไม่รู้ว่าตนเองมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น คนที่รู้ว่าตัวเองผิดคนนั้นกำลังเจริญ แต่ก็แล้วแต่ คนที่รู้ว่าตัวเองผิด คนนั้นกำลังเจริญ จนกระทั่งแก้ไขที่ผิด ยอมรับความผิด แล้วเราก็ไม่ทำอีกแล้ว เราก็รู้จริง แล้วเราก็รู้ผู้อื่นว่าท่านไม่ได้ผิด เราก็ไม่ได้ผิด เราไม่ได้ทำผิด และจะเคารพที่ท่านทำถูก แต่ก่อนนี้เรานึกว่าท่านผิด ทั้งๆที่เรานั่นแหละผิด จนเราต้องมาทำตนเองเลิกผิด ก็เหมือนกับที่ท่านถูก เมื่อนั้นคนนี้จะเคารพผู้ที่เคยเข้าใจผิด ฟังทันมั้ย นี่คือสัจจะที่วันนี้สาธยายสู่ฟัง อันนึง

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #49 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 15:34:27 )

ความล้มเหลวของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

เล็บที่ยาวออกจากประสาทเนื้อแล้วก็ตัดออกได้เป็นพีชะ ไม่ใช่กาย กายต้องมีจิต แต่นี่ไม่มีจิตแล้ว กายขาดจิตไม่ได้ ต้องมีธาตุรู้ร่วมกันเสมอศาสนาพุทธทุกวันนี้เข้าใจว่า กายคือวัตถุ คือร่าง ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่จิต เวลาพิจารณา กายวิเวกเขาก็ไปทำให้ ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว หรือเอากายออกไปป่าเขาถ้ำ ป่าช้าป่าชัฏ ในคุหัฏฐกสูตร ซึ่งมันผิดทางไปเลยโมฆะไปเลยมันไม่ถูก นี่คือการเข้าใจคำว่ากายก็ไม่ได้ ผิดมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว จะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมข้อต่อไป ก็ไม่ถูก เขาหลบเข้าป่าเขาถ้ำ กายก็ต้องมีกามฉันทะกามคุณ5 เขาก็ไม่รู้เลยเป็นโมฆะตั้งแต่ข้อที่ 1 ข้อต่อไปที่จะมีสัมผัสจะไปได้อย่างไร เขาไม่เอาเขาไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เจตนาไม่ให้เกิด นี่คือความล้มเหลวของศาสนาพุทธทุกวันนี้ ก็เตือนสติ สายหลับตาฟังอาตมาบ้าง สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา8 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2563 ( 13:43:34 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:57:37 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:48:30 )

ความวน 2 อย่าง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกที่วนเวียนอยู่อย่างนี้เรียกว่าทั้งโลกและความเป็นอัตตาของตนเองไม่รู้จักอัตตา มันมีความวนระหว่าง 2 อย่าง 1 ความเคลื่อน 2 ความเป็นตัวกู อัตตา static กับ dynamic 2 อย่าง ผู้ใดที่มันมีโลกแคบๆ วนอยู่ในโลกแคบๆ คนนี้ก็ไม่เรื่องมากเราเกี่ยวข้องอยู่แค่นี้ คนอื่นเราตัดหมดแล้ว แคบเข้ามาเท่าไหร่คุณก็สบายเท่านั้น 

ทีนี้ คนที่แคบ อยู่ในที่แคบด้วยกันไม่ต้องวนออกไม่ต้องไปหาโลกมาก ไม่ต้องเวียนวนอะไรต่ออะไรที่จะต้องเป็นเรื่องเป็นราว เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นอะไรมาก คุณก็วนเข้ามาอยู่ในหมู่ด้วยกัน คุณก็มีคนชนิดเดียวกัน คนที่วนในที่แคบด้วยกัน มันก็มีมวลแน่น ไม่ต้องไปมีอะไรอื่น ก็ไม่ชักไม่ดึง ไม่ไปเกี่ยวเกาะเอาอันนอกมา ก็อยู่ในหมู่นี้ก็สบาย เป็นหมู่ที่เป็นเอกภาพ เป็นหมู่ที่มีสามัคคี เป็นหมู่ที่ไม่วิวาทกัน เป็นหมู่ที่มีแต่การเกื้อกูลกัน สงเคราะห์กันเคารพกัน รักกัน ระลึกถึงกัน หรือสุดท้ายตายจากกัน สมบูรณ์แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:26:55 )

ความวนของศาสดาเทวนิยม

รายละเอียด

ศาสดาแต่ละองค์ที่เป็นศาสดาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าศาสดานั้นเกิดชาติต่อๆไปไม่ได้ ยังจะเกิดชาติต่อๆไปได้ แล้วจะตกต่ำลงไปเป็นคนต่ำ ศาสดานี่แหละเป็นคนต่ำ เป็นสัตว์นรกได้อีก สูงขึ้นอีกก็ได้ แล้วก็วนลงต่ำขึ้นสูงวนไปต่ำอยู่อย่างนั้นแหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:47:31 )

ความวนเวียนเป็นเช่นไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรได้คือ โลกุตรธรรม แต่ส่วนใหญ่จมอยู่กับอะไร จมอยู่กับโลกธรรม ติดสุข จมอยู่กับความสุข ไม่เรียนรู้ทุกข์ ไม่ระแวงระไวเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุแห่งทุกข์ ไม่คิดอ่านจะมาฆ่าความทุกข์หรือฆ่าเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ไปดับต้นเหตุแห่งสิ่งที่พาวนเวียน ไม่ดับเหตุแห่งสิ่งที่พาวนเวียน 

คำว่า ความวนเวียน นี่แหละ ภาษาบาลีว่า “โลก” โลกกลม หมุนวน วนเวียนนี่แหละ วัฏฏะ แล้ววนเวียนที่ไม่มีโลกุตรธรรมนั้น ไม่เที่ยง สูงแล้วก็ลงต่ำได้ ต่ำแล้วก็ขึ้นสูง สูงแล้วก็ลงต่ำ วนเวียนมานับชาติเลย จนกว่าจะมาเข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า จึงจะทำให้สูงแล้วไม่ลงต่ำ แม้แต่สมมุติสัจจะแม้แต่ความดีก็ไม่ตกต่ำ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา อวินิปาตธรรม จนถึงนิยตะ เที่ยง จนถึงสัมโพธิปรายนะ มีแต่สูงสู่สุดถ่ายเดี่ยว 

เพราะฉะนั้นคุณธรรมต่างๆพวกนี้เป็นโลกุตระที่เป็นสิ่งที่คนควรได้ แล้วก็เห็นคู่เทียบว่าส่วนใหญ่แล้วยังจมอยู่กับสิ่งที่เป็นโลกียะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯคนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565  แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 16:24:35 )

ความวนแบบใหม่ของพระพุทธเจ้าที่มีที่จบ

รายละเอียด

เกิดมาเป็นชีวิตนี้ การได้ฟังธรรมะ โดยเฉพาะได้ฟังธรรมะที่อยู่ในขั้นโลกุตระ อยู่ในขั้นที่เป็นของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ 

ธรรมะของโลกีย์ เป็นโลกีย์ เป็นธรรมะที่เดินทางเดียว ธรรมดาๆ ทุกคนชิน เดินทางเดียวกับโลกหมุน โลกหมุนซ้ายไปขวา เป็นธรรมดาธรรมชาติแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าใครก็ตามเกิดมาก็พบกับไอ้การเดินทางที่มันจะต้องเดินทางหมุนวน และหมุนวนอยู่ทิศนี้แหละ ทุกอย่าง วัสดุ จักรวาล เรียกว่าดาวทุกดวงหรือเศษอะไรต่ออะไรที่มันอยู่ในวงโคจรของธรรมชาติ มันก็วนอยู่ในทิศที่เรียกว่าทิศเดียวนั้นแหละ เรียกว่าโลกีย์ หมุนรอบวนอยู่อย่างนั้นไปตลอดกาลนานนิรันดร 

มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา กลับทวนกระแสหมุนวนกลับ ย้อนกลับได้ จนกระทั่ง มันหมุนวนอย่างนี้ ของท่านก็หมุนวนกลับมาคนละทิศกัน จนกระทั่งมาสุดที่ อันนี้ก็หมุนไป อันนั้นก็หมุนไปทางนี้ ดูมืออาตมาทำ ดูแล้วก็คงจะดูไม่ค่อยออก แต่ก็คงจะเข้าใจ มันก็หมุนวนจนกระทั่งขาดกันเลย หายขาดออกจากกัน ที่เรียกว่าหลุดพ้น หรือเรียกว่า ไม่มีแล้ว หลุดพ้นหนีจาก ดับความวนแบบนั้น 

ทีนี้ความวนแบบใหม่ของพระพุทธเจ้า มันวนอย่างมีที่สูญ มีที่สุด มีที่จบ เรียกว่า กตกรณียะ เป็นพลังงานที่กระทำงานถึงขั้น จบ กตะ แล้ว เสร็จ ไม่ต้องทำอีก เลิกเลย อันนี้เป็นจุดสูงสุด เดี๋ยวจะได้สาธยายกันต่อในเรื่องนี้อย่างสำมะคัญ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #45 Soft power โลกุตระของพ่อครู นำสู่การพ้นคนโลกเก่า วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:07:45 )

ความวนไป

รายละเอียด

การวนอยู่ใน “วงวน” ของ 1 - 2 - 3 จึงไม่มีจบ

ฟังแล้วฟังง่ายๆนะ แต่โอ้โห!... จริงไหม?... ลืม 0 ไป ก็จะเกิดแต่ความมี 1 - 2 - 3 ไปเรื่อยๆจึงไม่มีจบ นี่ล่ะ ง่ายๆ เอาตัวเลขมาขยายธรรมะให้ฟัง
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ “ความวนไป” นี่แหละ วนไปเรื่อยๆ ใน ความ “มีอยู่” หรือ “ความเกิด” หรือ “ความไม่รู้การย้อนกลับ” หรือ “ความย้อนแย้ง” ทั้งๆที่ตัวเองก็มีสภาวะย้อนแย้งนั่นแหละตีกันฆ่ากัน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 20:23:54 )

ความวิจิตรพิสดาร ความลุ่มลึกของ“กาย”ที่สรุปมาถึง 23 ข้อ น่าจะเข้าใจได้ในทุกแง่มุม!

รายละเอียด

“กาย”จึงสำคัญมากมายยิ่งกว่ายิ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงตราวินัยแบบแผน

ให้อุปัชฌาย์สอนการ“แยกกาย-แยกจิต”ให้แก่สัทธิวิหาริกก่อนอื่นใดกันเลย 

จึงจะปฏิบัติบรรลุนิพพาน บรรลุ“ธรรมนิยาม 5”ได้ 

จึงจะบรรลุสุญญตาได้ 

จึงจะบรรลุอริยสัจ 4 บริบูรณ์ 

จึงจะ“พ้นทุกข์-พ้นสุข”เป็น“อเทฺว” 

กำจัด“วิญญาณ”ของตนให้สูญหายไปจากมหาจักรวาล สูญหาย

ไปจาก“กาล”สำเร็จสัมบูรณ์สุด

การศึกษาศาสนาพุทธจึงจะต้องมาเรียนรู้“กาย”จนกระทั่ง“พ้นสักกายทิฏฐิ” 

จึงจะปฏิบัติพิจารณา“กายในกาย”เริ่มต้นความเป็น

“โพธิปักขิยธรรม 37”อันเป็นการเรียนรู้“โลกุตรธรรม”ข้อที่ 1 ได้

จึงจะสามารถปฏิบัติ“ทำใจในใจ”ของตนให้บรรลุธรรมแบบพุทธ

ถึงขั้นกำจัด“อาสวะหมดสิ้นแล้วในจิต”ได้ 

แยกกาย-แยกจิตตนเป็น“อุตุธาตุ”ไปได้จริง จึงจะถึงขั้นทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”สำเร็จ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 465 หน้า 346


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2564 ( 09:15:24 )

ความวิปลาส

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนในโลกโลกียะยิ่งเห็นแล้วโอ้โห มันมีแต่กระหน่ำย่ำยีตนเองหลงสุขแต่ได้ทุกข์ หลงทุกข์แต่ได้สุข เป็นความวิปลาสเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นตัวตน เห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น อย่างนี้เป็นต้น เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง มันก็จะชัดเจนไปหมดเลยพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ 

แต่ก่อนก็เคยเป็นอย่างนี้มาทั้งนั้นไม่เว้นว่าใครเลย จนกว่าจะรู้ตัวว่าเดี๋ยวนี้เราไม่เอาแล้ว เป็นคนวิปลาสเดี๋ยวเขาเอาไปเข้าโรงพยาบาลนะ เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ว่าเป็นสุขเห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตนเห็นความไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น(งาม) เห็นความไม่งามว่างาม ซึ่งแปลว่างาม มันไกลมันยากไป แต่เขาบอกว่าง่าย อาตมาว่ายาก 

เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น อสุภะ ความไม่น่าได้ก็อสุภะ ไปเห็นว่าเป็นความน่าได้ ก็สุภะ ก็เลยเป็นสิ่งอย่างนั้นจริง 

ทุกคนเข้าใจสภาวะแล้วก็รู้ว่าเราก็เคยวิปลาสอย่างนี้มา เดี๋ยวนี้เข้าใจถูกต้องแล้ว อ๋อ…เข้าใจว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ก็จะไปทำให้มันเที่ยง ให้มันเป็นความยาวนานยามา ให้มันสิงสถิตอยู่ที่ดุสิตเลยแล้วก็สร้างเนรมิตเป็น ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์วิมาน เพ้อๆ เป็นสวรรค์หลอกสวรรค์เพ้อ 

เป็นคนไม่วิปลาสแม้แต่สวรรค์ก็ไม่มี นรกก็ไม่มี คุณยังไปติดสวรรค์ คุณก็มีนรกเป็นภาวะคู่ ไม่แยกกันหรอก มันยังอวิชชา 

ถ้าคุณมีวิชชาแล้วคุณก็จะรู้สภาวะคู่คือดับไปทีละคู่ ๆๆๆ เดี๋ยวก็หมดเลยสภาวะคู่ เราอยู่เหนือมันหมด แล้วเรารู้จักสภาวะคู่ที่มันมีอยู่ตามสัจจะ ตามธรรมะที่มันเป็น มันมี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 14:22:40 )

ความวิปลาส 4 ของคน

รายละเอียด

พวกหลับตาไม่มีผัสสะ สัญญาเป็นตัวกำหนดเขาก็กำหนดแต่ภพภายใน เจตนาเขาก็แยกออก ว่าเป็นกามตัณหา ภวตัณหา แต่แยกไม่ได้สมบูรณ์ เพราะไม่มีผัสสะ  ผัสสะแล้วจึงเกิดกาม เรียกกามคุณหรือกามโทษ มี 5 มันเป็นโทษ แต่คุณไปหลงโทษว่าเป็นคุณ ไปหลงความเป็นภัยเป็นโทษเสียหายว่าคือคุณ อย่างนี้ต่างหากคือความวิปลาส ของคนไปหลงสุขเป็นทุกข์ ไปหลงอสุภะเป็นสุภะ ไปหลงความไม่เที่ยงว่าเที่ยง ไปหลงความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน ในวิปลาส 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 11:22:03 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:58:38 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:48:50 )

ความวิปลาสหรือความหลงผิด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในความไม่รู้ความวิปลาสต่างๆพวกนี้ เราจะต้องเข้าใจ เราจะต้องศึกษาไปเรื่อยๆๆ ตอบประเด็น ตายแล้วก็ไปตามวิบากที่เป็นภูมิของแต่ละคน คนที่เป็นนรกอย่างที่อาตมาพูดไปแล้ว 2 คนที่นึกว่าไปสวรรค์ แน่นอนทุกคนตายแล้วเขาก็เข้าใจว่าสวรรค์นรกมีทั้งคู่ แต่เขาดับสวรรค์ดับนรกไม่เป็น เขาก็ต้องติดอยู่ในนั้นไม่นรกก็สวรรค์ แต่เขาต้องอยากได้สวรรค์ ความอยากได้มันเป็นไปตามอยากไม่ได้หรอก แต่มันจะเป็นไปตามวิบากกรรมของตัวเองที่สะสมคุณก็ต้องไปตกนรก คุณอยากได้แล้วคุณก็หลงว่าคุณตกนรก แต่คุณนึกว่าเป็นสวรรค์ด้วยนะ คนอย่างนี้นานนะ เขาตกนรก แต่เขาหลงว่าเป็นสวรรค์นี่นานนะ มันหลง คุณก็อยู่อย่างนั้น คนที่อยู่ในสภาวะนรก คุณไม่รู้ว่าคุณเองยิ่งแย่ตรงที่ว่า ที่อยู่ในนรก ตกนรกอยู่นั้น แต่คุณหลงว่าเป็นสวรรค์ มันเป็นความหลงผิดใช่ไหม ความหลงผิด นึกว่าผิดหรือถูกนึกว่าถูกคือผิด นึกว่านรกคือสวรรค์ นึกว่าสวรรค์คือนรก คุณก็นึกว่านรกเป็นสวรรค์ คุณก็สั่งสมใส่จิตเข้าไปว่าสบายเป็นสวรรค์สวรรค์สวรรค์แต่คุณได้นรกนรกนรกนรก เข้าใจไหม ศึกษาให้ดีแล้วจะค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีสภาวะในตนจริงแล้วคุณก็จะรู้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 12:43:17 )

ความว่าง

รายละเอียด

คือ "สุญญตา" ซึ่งเป็นความตรัสรู้พระพุทธเจ้านี้จึงไม่ใช่ "ตรรกะ" ที่เป็นแค่การขบคิดกันไป หรือตามจินตนาการอย่างนั้นอย่างนี้ ที่คาดที่ปั้นความเวิ้งๆว้างๆว่า "ว่าง" ซึ่งเป็นตรรกะลมๆแล้งๆ เป็นการขบคิด เป็นการปั้นตัวปั้นตน ปั้น "ภพว่าง" ขึ้นในจิต

แต่ "ความว่าง" นี้คือ "ความว่างจากกิเลส" ตัวนั้นๆซึ่งเป็น "ตัวเหตุ"

หนังสืออ้างอิง

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 147


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:05:16 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:53:37 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:49:13 )

ความว่าง ไม่ใช่ว่างเวิ้งว้างไปหมด

รายละเอียด

“... เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า  ในญาณนี้ไม่มีความกระวนกระวาย(ทรถา) ชนิดที่อาศัยกามาสวะ  ชนิดที่อาศัยภวาสวะ  และชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ  มีไม่ว่างอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย (ทรถา)  คือความเกิดแห่งอายตนะ6(ที่)อาศัยกายนี้เอง  เพราะชีวิตเป็นปัจจัย. ด้วยอาการนี้แหละ  เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น  ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย   และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่  ว่า มี ...”

 

ที่มา ที่ไป

จูฬสุญญตสูตร เล่ม 14  ข้อ 333- 341 , ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

 


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 12:38:48 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:04:42 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:50:00 )

ความว่างเปล่าของขันธ์ 5

รายละเอียด

รูป อุปมาดั่ง ระลอกคลื่น ที่เกิดในแม่น้ำคงคา พิจารณารูปโดยแยบคายแล้วย่อมเป็นของว่างเปล่า

เวทนา อุปมาดั่ง ฟองน้ำ ในเวลาที่ฝนตกหนัก พิจารณารูปโดยแยบคายแล้วย่อมเป็นของว่างเปล่า

สัญญา อุปมาดั่ง พยับแดด ในเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน พิจารณารูปโดยแยบคายแล้วย่อมเป็นของว่างเปล่า

สังขาร อุปมาดั่ง หยวกกล้วย ที่หาแก่นมิได้ พิจารณารูปโดยแยบคายแล้วย่อมเป็นของว่างเปล่า

วิญญาณ อุปมาดั่ง มายากล ของนักเล่นกล พิจารณารูปโดยแยบคายแล้วย่อมเป็นของว่างเปล่า

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 17  "เผณปิณฑสูตร"  ข้อ 142

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก หน้า 72-73


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 23:01:34 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:54:30 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:50:29 )

ความศรัทธา

รายละเอียด

คือ มีตั้งแต่ความเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น ต้องถึงขั้นเชื่อฟังแล้วปฏิบัติตาม จะปฏิบัติตามและบรรลุผลจนกระทั่งถึงความเชื่อมั่นตามถึงขนาดจิตมี หิริ ละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่จะต้องไปสัมผัสไปเสพติดอีกจะละอาย หิริ ก็เป็นกำลังที่มีความรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าผู้คนก็ละอายไม่กล้าทำแต่ขนาดหิรินี้ลับหลังทำ ไม่มีใครเห็น กำลังของความละอายถ้าสูงขึ้นจนกระทั่งเป็นโอตตัปปะ สิ่งไม่ดีเราไม่รู้แล้วสักทีไม่รู้จะจบแล้วก็ต้องเลิกตัดขาดไม่ทำ มันจะกลัวมันจะเข้าใจไปซ้ำไปเติมไปวนเวียนอยู่ทำไม ต้องตัดขาดให้มันขาดจนกระทั่งมีภูมิธรรมซ้อนเข้าไปสัมผัสได้ก็ไม่เกิดปฏิกิริยา มันมาสัมผัสกับเราก็ไม่เกิดปฏิกิริยา ต้องไปเที่ยง ต้องทำการเว้นขาดตัดก่อนจึงจะอนุโลมทีหลังมีสภาพเป็นลำดับน่าอัศจรรย์ ต้องทำตามลำดับอย่างนี้  เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมผัส แล้วก็สะสม พหูสูต ละอาย กลัว มาสัมผัสอย่างไรก็ไม่เอา สัมผัสแรงก็ไม่เอา การที่เราไม่เอาก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างปัญญาก็จะเสริมหนุนขึ้นเรื่อยๆ มันจะเจริญด้วยเราไม่เอาเราก็ขาดอยู่ๆ ถ้าเราไปเอามันก็ไม่ขาด หากไปมีต่อมันก็ไม่ขาดหากเราขาดมันก็ไม่ต่อ ขาดมากเข้าจนกระทั่งเห็นด้วยปัญญาว่ามันก็ไม่ตายมันไม่ตายมันไม่มีมันก็สบายเบาดีด้วย ไม่ต้องวุ่นวายไปนั่งสั่งสอนอะไรอีกเยอะสะอาดบริสุทธิ์จิตก็สว่างสะอาดก็จะเกิดปัญญาอีกเยอะแยะความเฉลียวฉลาดจะมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้คนเก่งขึ้นเป็นพหูสูตมากขึ้น เจริญขึ้นเป็นผู้ที่เจริญพหูสูตเจริญขึ้นด้วยความจริง เมื่อเห็นอย่างนี้ก็พากเพียรต่อด้วยวิริยะสติปัญญา

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:28:31 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:05:20 )

ความศรัทธา 3 ระดับ

รายละเอียด

1.  ความเชื่อถือ  รู้แต่ไม่ปฏิบัติตาม

2.  เชื่อฟัง  รู้แล้วทำตาม

3.  เชื่อมั่น  ปฏิบัติตามแล้วเห็นผล  แก่ตนเอง

         ความศรัทธา คือ มีตั้งแต่ความเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น ต้องถึงขั้นเชื่อฟังแล้วปฏิบัติตาม จะปฏิบัติตามและบรรลุผลจนกระทั่งถึงความเชื่อมั่นตามถึงขนาดจิตมี หิริ ละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่จะต้องไปสัมผัสไปเสพติดอีกจะละอาย หิริ ก็เป็นกำลังที่มีความรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าผู้คนก็ละอายไม่กล้าทำแต่ขนาดหิรินี้ลับหลังทำ ไม่มีใครเห็น กำลังของความละอายถ้าสูงขึ้นจนกระทั่งเป็นโอตตัปปะ สิ่งไม่ดีเราไม่รู้แล้วสักทีไม่รู้จะจบแล้วก็ต้องเลิกตัดขาดไม่ทำ มันจะกลัวมันจะเข้าใจไปซ้ำไปเติมไปวนเวียนอยู่ทำไม ต้องตัดขาดให้มันขาดจนกระทั่งมีภูมิธรรมซ้อนเข้าไปสัมผัสได้ก็ไม่เกิดปฏิกิริยา มันมาสัมผัสกับเราก็ไม่เกิดปฏิกิริยา ต้องไปเที่ยง ต้องทำการเว้นขาดตัดก่อนจึงจะอนุโลมทีหลังมีสภาพเป็นลำดับน่าอัศจรรย์ ต้องทำตามลำดับอย่างนี้  เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมผัส แล้วก็สะสม พหูสูต ละอาย กลัว มาสัมผัสอย่างไรก็ไม่เอา สัมผัสแรงก็ไม่เอา การที่เราไม่เอาก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างปัญญาก็จะเสริมหนุนขึ้นเรื่อยๆ มันจะเจริญด้วยเราไม่เอาเราก็ขาดอยู่ๆ ถ้าเราไปเอามันก็ไม่ขาด หากไปมีต่อมันก็ไม่ขาดหากเราขาดมันก็ไม่ต่อ ขาดมากเข้าจนกระทั่งเห็นด้วยปัญญาว่ามันก็ไม่ตายมันไม่ตายมันไม่มีมันก็สบายเบาดีด้วย ไม่ต้องวุ่นวายไปนั่งสั่งสอนอะไรอีกเยอะสะอาดบริสุทธิ์จิตก็สว่างสะอาดก็จะเกิดปัญญาอีกเยอะแยะความเฉลียวฉลาดจะมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้คนเก่งขึ้นเป็นพหูสูตมากขึ้น เจริญขึ้นเป็นผู้ที่เจริญพหูสูตเจริญขึ้นด้วยความจริง เมื่อเห็นอย่างนี้ก็พากเพียรต่อด้วยวิริยะสติปัญญา

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2562 ( 17:26:19 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:07:25 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:07:53 )

ความศรัทธา 3 ระดับ

รายละเอียด

ก็ศึกษาปฏิบัติธรรมมาให้ได้จริง อาตมาว่าอย่างนี้มันเป็นความถูกต้องความดี ใครยังไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย ก็เป็นธรรมดาคนเหล่านี้ยังไม่เกิดศรัทธา เกิดความเชื่อถือยังไม่เห็นด้วยก็ยังไม่ตาม แต่ถ้ามันเกิดศรัทธาแล้วเป็นตัวต้น เกิดความเห็นด้วยเข้าใจแล้วก็ตามรู้ เริ่มต้นตั้งแต่ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น อาตมาขยายความออกเป็น 3 สเต็ป  เชื่อถือ แล้วมาเชื่อฟัง คือ ปฏิบัติตาม เมื่อปฏิบัติตามจนได้ผลเป็นของตัวเองได้เห็นผลชัดเจนมั่นใจได้ คนนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ เชื่อมั่น อัปปนา แน่วแน่ , พยัปปนา แนบแน่น , เจตโส อภินิโรปนา ปักมั่น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 11:50:04 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:59:44 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:53:04 )

ความศรัทธาของอาตมาดูได้จากคำกล่าวปฏิญาณในงานอโศกรำลึก!

รายละเอียด

ดังนั้น เมื่ออาตมาได้พบหลักฐานยืนยันกันชัดเจนยิ่ง อาตมาจึง

น้อมรับภาระสุดแสนยิ่งใหญ่นี้ ด้วยความเคารพเทิดทูนสุดเศียรสุดเกล้า

ดังบท“สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ” ที่ชาวอโศกใช้

กล่าวปฏิญาณในงาน“อโศกรำลึก”ของชาวอโศกทำพิธีบูชาทุกครั้ง 

ซึ่งอาตมาได้กล่าวเทิดทูนด้วยคำจริงจากใจในพิธี“บูชาพระบรมสารีริกธาตุ”

ทุกครั้งของงาน“อโศกรำลึก”ที่เราชาวอโศกจัดกันเป็นงานประเพณีประจำปี

ในวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี

เมื่อทุกคนกราบ 3 ครั้งเสร็จแล้ว ก็จะเปล่งกล่าว

“นโมตัสสะภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”พร้อมกันเสียก่อน 

แล้วจากนั้นอาตมาผู้เดียวจึงจะกล่าวบูชา โดยอาตมาเป็นผู้กล่าวนำไปก่อน

คำบูชานั้นก็มีว่า ดังนี้

“ อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ  

วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร 

ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภควาติ

ขอนอบยอบหมอบกราบคารวะ 

ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้  

เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาทของสมเด็จพ่อ 

ผู้เป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า 

พระผู้มี“พระคุณ” ดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง 

เหล่าข้าน้อยทั้งหลายขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้

ณ กาลศุภสมัย 9 มิถุนายนนี้ 

เหล่าข้าน้อยทั้งหลายขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ 

ณ บัดนี้ว่า (ต่อจากนี้ จึงจะให้ทุกคนเปล่งกล่าวตามพร้อมกัน) 

   ...เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้

ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า

จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน

ขอได้โปรดรับปณิธานนี้

ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลาย

เถิดเทอญ.” 

แล้วก็กราบคารวะ 3 ครั้ง เป็นอันจบพิธี

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 514 หน้า 382


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 11:51:30 )

ความสงบ

รายละเอียด

ความสงบ คือ สมถะ วิเวก ปัสสัทธิ

ความสงบ เราทำอย่างเป็นผลสำเร็จ ทำให้เกิดความสงบได้ เราทำรถติดก็ขออภัยกันไปแล้ว ก็มีช่องทางให้รถไปได้อยู่ ตำรวจก็เข้าใจอนุโลมอยู่ ก็ติดขัดบ้าง แต่พวกเราไม่ได้ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ แต่มีคนทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟคือคนโง่คนชั่ว เราไปทำเพื่อให้คนโง่คนชั่วหยุดทำชั่ว แต่เขาก็ยิ่งทำความชั่วให้ปรากฏ ตามประสาคนชั่ว เราไม่ได้อยากให้ทำ แต่เขาก็ไปทำตามประสาที่มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสังคมที่มันมีอย่างนี้ 

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 09:47:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:08:46 )

ความสงบ 2 อย่าง

รายละเอียด

ผู้ที่จะพอรู้ได้ต้องได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า จากผู้รู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ จากสัตบุรุษ แล้วต้องมาศึกษาทบทวนไต่ถามซักถามแล้วถามอีก จนกระทั่งรู้แล้วเอาไปปฏิบัติมีศีลมี อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 จนกระทั่งเกิด ฌาน เจริญเป็นโลกุตระธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ จึงจะสามารถรู้ความสงบ 2 อย่าง เป็นปัญญาข้อที่ 3 

ความรู้ความสงบ 2 อย่างเป็นเครื่องตัดสินว่า คนจะรู้ถึงความสงบ จะพูดถึงความสงบ จะเรียกสันติภาพ ก็แล้วแต่ กว่าจะรู้ความสงบ 2 อย่าง ความสงบทางโลกียะนั้นเป็นโลกีย์ ไม่เที่ยงแท้ มันสงบเพราะกดข่ม ทำลืม หาวิธีการเลี่ยงความรุนแรงเลี่ยงเรื่องความทุกข์ เรื่องความลำบาก กลบเกลื่อนไปบ้าง ดีไม่ดีเอา อำนาจบาตรใหญ่บังคับให้คนอื่นเขาเป็นไปตามใจเรา เช่น อย่างที่มีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ไบเดนก็ตาม หรือ จะเป็นปูตินก็ตาม ขออภัยที่ยกตัวอย่างตัวจริง ใช้อำนาจบาตรใหญ่

จีนเขาก็พอมี เขาไม่ได้เบ่งนะ กำลังนำทางธรรม ในประเทศต่างๆ มีคุณธรรมมีหน่วยกิตของ อัญญธาตุ บ้างแล้ว ซึ่งทางจีนประชาชนเป็นพุทธไม่ใช่น้อย จนกระทั่งมีคอมมิวนิสต์ก็กลบศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามไป โดยเป็นศาสนาคอมมิวนิสต์ไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41 คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2565 ( 14:29:38 )

ความสงบ 2 อย่าง

รายละเอียด

สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออก ที่อาตมาพยายามขยายความอยู่นี่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 1 ปัญญาข้อที่ 2 ฟังแล้วฟังอีกเข้ามาไถ่ถามฟังความรู้เพิ่มอีก จึงจะเข้าใจ มีความรู้เป็นปัญญาข้อที่ 3 คือจะรู้ความสงบ 2 อย่าง ในปัญญา 8 

เพราะฉะนั้น ประเด็นแยกของศาสนาพุทธโลกุตระกับโลกียะ คือ ตรงที่มีความสงบ 2 อย่างนี้แหละเป็นตัวแยก เพราะฉะนั้น ความสงบของมิจฉาทิฏฐิคือสงบซื่อบื้อ อย่างที่พูดไปแล้ว  แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้น ตัวเหตุมันสงบ ตัวกิเลสมันสงบ มันหยุด เป็นตัวพลังมาขับดันกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อิสระ คล่องแคล่ว ว่องไว เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ว่องไว

เหมือนอย่างโพธิรักษ์ เขาว่าสงบอย่างไร อย่างกับลิง ก็นี่แหละสงบ คุณสิโดน โดนลูกดีดของโพธิรักษ์ สงบ คนโดนลูกดีดเข้าก็ร้องเอ๋งๆบ้าง ในฐานะที่เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นสังวาสเดียวกัน เป็นพุทธเหมือนกัน ก็ว่าให้บ้าง โดนดีดพอเข้าใจความสงบแบบโลกุตระไหม มันไม่ใช่สงบแบบพาซื่อโดยไม่มีบทบาท ไม่มีกายกรรม ไม่มีวจีกรรมอะไรขึ้นมาทำอะไร ไม่ใช่ แต่มันกลับทำเก่ง ทำอย่างปราดเปรียวว่องไว แคล่วคล่อง มีพลังสร้างสรร ไม่มีโทษ วิเศษไหม เป็นพลังงานสร้างสรร ไม่ใช่เป็นพลังงานที่มีโทษ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:26:37 )

ความสงบ 2 อย่าง คือ

รายละเอียด

ข้อที่ 1 ได้พบพระพุทธเจ้าเลย หรือผู้ที่เป็นสัตบุรุษสัมมาทิฏฐิ แล้วต้องพากเพียรฟัง ไม่ใช่พบครั้งเดียว แล้วก็ไม่พบอีกเลย ไม่ใช่ แต่พวกคุณพบกี่ครั้งแล้ว ไม่มีตัวเลขนับเลย กว่าจะเข้าใจ ความสงบ 2 อย่าง ดูง่าย เพราะ ความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบแบบมิจฉาทิฏฐิ กับ ความสงบที่สัมมาทิฏฐิ ทีนี้ความสงบสองอย่างนี่แหละ

คนที่มิจฉาทิฏฐิจะเข้าใจความสงบโดยไป กดข่มกิเลสไว้ ไม่ได้เรียนรู้กิเลสจริง ไม่ได้สร้างพลังงานให้เกิดเป็นปัญญา หรือเป็นบุญ เป็นฌาน ล้าง เป็นพลังงานที่เหนือกว่าพลังงานกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสตาย กิเลสจางคลายดับสนิทได้ เป็นพลังงานทางจิต เป็นพลังงานทำลาย พลังงาน ราคะก็เป็นพลังงาน โทสะโมหะ ก็เป็นพลังงานของกิเลส ไม่ใช่ของจิตจริง แต่พลังงานของจิตจริงคือพลังงานปัญญา 

ผู้ที่สร้างปัญญาหรือพลังงานที่ไปฆ่ากิเลสได้ พลังงานเป็นฌานไป เรื่อยเรื่อยตามลำดับ ตั้งแต่ 1 2 3 4 ฆ่ากิเลสไปตามลำดับจนตาย ส่วนบุญเป็นเพชฌฆาตมือที่ 4 หรือ 5 ฆ่าเป็นมือสุดท้ายเลย ฆ่ามาๆ ตายมาเรื่อยๆ ตายแล้วตายอีกฆ่า จนตายสนิทไม่ฟื้นอีก แล้วจบที่ เพชฌฆาตมือสุดท้าย คือบุญ

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 11:16:53 )

ความสงบ 2 อย่างคืออะไร

รายละเอียด

ความสงบ 2 อย่างคืออะไร ความสงบอย่างที่เป็นโลกุตระนั้น คือสงบที่กิเลสตัววุ่นวาย ตัวกวน ตัวผีร้าย ตัวผีห่าซาตาน ตัวนี้มันตายเกลี้ยงไปไม่เกิดอีกเลย ตายอย่างไม่ผุดไม่เกิด ตายหายไปเลยจากจิตวิญญาณอันสะอาด นี่เป็นความสงบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2566 ( 17:33:22 )

ความสงบ 2 อย่างจากกิเลสสงบ

รายละเอียด

คำว่า กิเลสสงบนี่แหละ มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ผู้ที่ไม่รู้ก็ไปเอาร่างกาย ไปเอาตัวข้างนอกสงบ ไม่ได้เอาที่จิต แล้วจิตก็ไม่ใช่จิตที่สงบ แต่คือจิตหยุด จิตนิ่ง จิตแข็งทื่ออีกแหละ 

จิตสงบ คือ กิเลสมันตาย จิตสงบ แต่จิตยิ่งคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา

ความสงบ 2 อย่างคือกายสงบ จิตสงบ แต่ท่านไม่ได้ขยายความไว้เลย ท่านไม่ได้ขยายความกายสงบ จิตสงบคืออย่างไร อาตมาก็ต้องมาขยายความให้ฟังว่า

กายสงบ ไม่ใช่แค่อิริยาบถมันสงบ มันช้ามันนิ่งมันหยุด เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลีมาล องคุลีมาลก็บอกว่าพระรูปนี้พูดปดต่อหน้าต่อตา เดิน ยังบอกว่าหยุด เดินไปแล้วบอกว่า เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด เราวิ่งตามอยู่นี่ พระพูดปด หยุดอย่างไร เราวิ่งตามยังไม่ทันเลย ...พระพุทธเจ้าตรัสเท่านั้น ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่ความคิดขององคุลีมาล แต่เป็นความคิดพวกคุณที่ยังไม่รู้ทัน 

องคุลีมาลท่านก็มีความคิด พระองค์นี้พูดมีนัยฝังลึกไว้ชอบกล ท่านบอกเราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ก็ท่านเดินแต่ท่านบอกหยุด แล้วหยุดอะไร? ประเด็นนี้ขึ้นมาที่หัว องคุลีมาล เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ขึ้นที่ปฏิภาณขององคุลีมาลคงจะมีอะไรซับซ้อน ท่านพูดอย่างนี้คงไม่ได้โกหก มันต้องมีอะไรหยุดแน่นอน มันไม่ใช่การเคลื่อนไหว การเดิน การวิ่งการทำอย่างโพธิรักษ์ทำตอนนี้ อะไรวะ เป็นพระอรหันต์อย่างไรอย่างกับลิง 

ก็พระอรหันต์ก็คือลิงดีๆนี่เอง นั่นแหละเร็วกว่าลิงเพราะว่าจิตมันเร็วกว่าลิง จิตผู้ที่คล่องแคล่วแล้ว มุทุธาตุ ปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว มันรอบตัวเลยไม่มีติดมีขัด แล้วมันก็เข้าใจว่าจะต้องแสดงให้เหมาะสมอย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 

วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 20:50:37 )

ความสงบ 2 อย่างในปัญญา 8

รายละเอียด

เหมือนมาว่าอาตมาอย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็จะบอกความจริงว่าอาตมาบรรลุธรรม อาตมาเป็นอรหันต์ พ้นอรหันต์ไปแล้วด้วย ซึ่งอาตมาพูดอย่างสบายใจนะ พูดอย่างไม่ได้เคอะเขิน พูดอย่างไม่ได้อวดดี ไม่ได้ขี้โม้ ไม่ได้หยิ่งผยอง พูดตามสัจจะง่ายๆธรรมดาให้ฟัง เพราะอาตมาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นใครจะมาเห็นดีเห็นด้วยหรือใครจะมายกย่องชมเชย เห็นว่า อาตมาพูดว่าอาตมาเป็นอรหันต์ คนก็เลยเหรอๆๆ อาตมาไม่ตื่นเต้นหรอก เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาพูดอย่างนี้คนจะสงสัยพาซื่อว่าเป็นอรหันต์ด้วยหรือ ด้วยความซื่อนะมีไม่เท่าไหร่ มีแต่จะบอกว่า ปัดโธ่ ไม่เชื่อหรอก ขี้โม้จังเลย โลกนี้ไม่มีหรอกอรหันต์ก็ไปโน่นเลย 

และเขาจะเข้าใจอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์จริง ใน Concept ในความคิดองค์รวมของเขาที่เขาว่า มีภาพอรหันต์ในใจของเขาอยู่แล้ว ว่าอย่างโพธิรักษ์ไม่เข้าข่ายเป็นอรหันต์เลย อรหันต์อะไรวะดิ้นอย่างกับลิง พูดอย่างกับลิง อยู่อย่างนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่เป็นอรหันต์นี่ยิ่งเป็นคนที่มี กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เป็นคนที่ ปราดเปรียว แคล่วคล่องว่องไว ไม่เป็นคนเฉื่อยคนอืดอะไรเลยเป็นคนที่สะอาดสว่างกระจ่าง เร็วไว พร้อม ซึ่งเขาถูกล้างสมองไปทางเข้าใจผิดว่า คนที่เป็นอาริยะเป็นอรหันต์จะต้องเป็นคนเงียบๆสงบๆ แล้วคำว่า สงบ ของเขาคือความเฉยๆไม่เคลื่อนไหว อยู่นิ่งๆ 

ซึ่งมันเข้าใจไม่ได้ เขาไม่มีปัญญาข้อที่ 3 ปัญญาข้อที่ 3 คือรู้จักความสงบ 2 อย่าง ความสงบคำนี้พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์บาลี วูปสมะ หมายถึง ความสงบ ท่านใช้คำนี้ 2 อย่าง อย่างหนึ่ง สงบอย่างสมถะ อย่างหนึ่ง สงบอย่างปัสสัทธิ สมถะ คือ การกดข่มจิต หรือ วิกขัมภนะ ข่มจิต นี่นั่งหลับตาสะกดจิตแล้วก็ข่มหรือทำแค่รู้นิ่งเฉย เป็นสมถะสงบลืมตา กับสะกดจิตไปเลยสมถะหลับตา เขาก็ทำได้ นั่นเป็นแบบหนึ่ง 

ส่วนสงบของพระพุทธเจ้านั้นคือเรียนรู้เหตุที่มันไม่สงบ เหตุที่มันยังเป็นทาส เหตุที่มันยังไม่อิสรเสรีคือกิเลส แล้วเรียนรู้กิเลส ล้างกิเลส กำจัดออกจากกิเลสให้ได้ กำจัดกิเลสออกได้หมด จิตยิ่ง แคล่วคล่องว่องไว กายกรรม วจีกรรม เหมือนโพธิรักษ์ ซึ่งตอนนี้ช้ากว่าสมัยหนุ่มๆแล้วนะ มันอย่างนั้นจริงๆ คือคนที่คล่องแคล่วว่องไว คือคนที่มีภูมิปัญญา มีความกระจ่างใส แววไว ปราดเปรียวทุกอย่าง ไม่ใช่เป็นคนหนืด เป็นคนถ่วงอะไรถ่วงไว้และพยายามดึงไว้ ถ่วงตัวเองไว้ ไม่ใช่ มันคนละเรื่องเลย นี่เป็นความคิดองค์รวมของคนที่เข้าใจผิดๆมิจฉาทิฐิ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566  แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 11:23:40 )

ความสงบ 2 อย่างในปัญญา 8 ประการ

รายละเอียด

เข้ามาหาคำว่า สงบ 2 แบบ สงบแบบฤาษี สงบแบบเดียรถีย์ สงบแบบโโลกียะ ที่ไม่ใช่แบบของพุทธ เขาก็สงบได้ โดยไม่ใช่การรู้จักกิเลสละเอียดเหมือนเจโตปริยญาณ 16 แล้วคุณก็ฆ่ากิเลสจนหมด ฆ่ากิเลสมาเป็นลำดับก็มีจิตที่สงบเป็นลำดับ ซึ่งเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น มาเล่นตีขลุม เอาเข่งมาแล้วเหยียบเข่งให้แบนไปเลย ไม่ได้ถอดออกไปทำลายทีละชิ้นๆ จนกระทั่งเข่งหมดชิ้นที่จะให้ทำลายแล้ว ขอยืมคำว่าเข่งมาใช้อธิบายธรรมะหน่อย ซึ่งมันไม่เป็นอย่างนั้น 

ความสงบ 2 อย่าง ความสงบของพระพุทธเจ้าจึงมีทุกชิ้นทุกอัน ที่เป็นเหตุแห่งความไม่ดี อกุศลจิต เป็นเหตุที่พาให้เสื่อมเป็นบาป ดับหมดเลย สิ้นบาป สิ้นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม หมด อย่างถูกตัวถูกตน เป็นลำดับๆๆๆ ลำดับลำดา จริงๆ เรียนดีๆ ทำความเข้าใจดีๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 07:34:06 )

ความสงบ 2 อย่างในปัญญาข้อที่ 3

รายละเอียด

พวกเรามาได้ความสงบ สงบคำนี้ เอาปัญญาข้อที่ 3 มาพูด 

ปัญญาข้อที่ 1 ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า 

ปัญญาข้อที่ 2 ต้องเข้าไปทำความบริบูรณ์ เข้าไปถามไถ่ ซักถามเข้าพบคบคุ้น เพิ่มขึ้นๆ จึงจะมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจได้ดี ลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่ง อ๋อ..  ความสงบ 2 อย่าง จนทำความสงบ 2 อย่างได้ 

ปัญญาข้อที่ 3 เธอฟังธรรมนั้นแล้วย่อมนำความสงบ 2 อย่างคือ ความสงบกาย สงบจิตให้ถึงพร้อม คนที่ฟังแล้วอย่างพวก เดียรถีย์ พวกโลกีย์ไม่เป็นโลกุตระ ก็นึกว่าทำความสงบข้อที่ 3 นี้ได้ 1. ความสงบกาย 2. ความสงบจิต สงบกายของเขาก็คือ ไม่กระดุกกระดิกทางร่างกายภายนอก ไม่เคลื่อนไหวทางกายวิญญัตภายนอกนิ่ง บื้อ ซื่อ กายไม่กระกระดุกดิก จิตมันก็ยังดิ้นอยู่ จิตมันฟุ้งซ่าน ไม่สงบ คุณก็ทำให้จิตมันไม่ดิ้นไม่กระดุกกระดิก นั่นคือถือว่าจิตสงบ แต่ความจริงแล้วโอ้โห มันซับซ้อนลึกซึ้งวนรอบเชิงซ้อนที่ยากจะเข้าใจ กายสงบ ของพระพุทธเจ้าจะมี กายปาคุญญตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:13:26 )

ความสงบ 2 แบบที่เป็นหลัก

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ วันนี้ อาตมาตั้งใจอธิบายถึงเรื่องของความสงบ 2 แบบ เรื่องนี้มันลึกซึ้งสำคัญยิ่ง ที่ชาวพุทธต้องศึกษาให้ละเอียดๆ  กำหนดหมาย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำขยายความ ที่อาตมาพูดคืออุเทส ทั้งนั้น ฟังอุเทสของอาตมาให้ดีๆ

อุเทส ก็ขยายไปเรื่อยๆ ถ้านิเทส ก็คือเทศน์เป็นส่วนๆครั้งคราว เป็นตอนๆ อุเทสก็ติดต่อไปเรื่อยๆ อาตมาก็อธิบายเรื่อง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

ลิงค คือความแตกต่างของ 2 สภาวะ โดยย่นย่อ เอาคำว่า เทวะคือภาวะ 2 มาใช้เป็นตัวกลางอธิบายทุกอย่าง เพราะทุกอย่างสรุปลงที่ เทวะ คือสภาพ 2 และมีความแตกต่างตั้งแต่คู่แรก คู่หยาบที่สุด จนกระทั่งค่อยๆละเอียดซับซ้อนขึ้น มากคู่มากมายเป็นล้านๆๆคู่ เกิดจากภาวะของเทวะทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นความสงบ 2 อย่าง ก็คือความสงบอย่างโลกุตระ กับความสงบอย่างโลกียะ มี 2 แบบเท่านี้ ที่เป็นหลัก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 05:18:55 )

ความสงบ 2 แบบสมถะกับปัสสัทธิ

รายละเอียด

ถูกต้องเพราะในวิปัสสนามีสมถะด้วยแต่สมถะไม่กดข่ม แต่มันคือความสงบแบบปัสสัทธิ สมถะก็สงบแต่กดข่มแต่สงบปัสสัทธิคือกิเลสเลิกมารบกวนเรา เลิกมีบทบาทกับเราหายไปๆก็สงบ จิตเราก็ยิ่งสะอาดจริงมีอิสระมีพลัง ดูกิเลสมันยอมแพ้นะ ใช้ศัพท์ที่ดุเดือดว่าเราฆ่ากิเลส แต่เราไม่ได้ทำให้มันเลือดตกยางออกหรอก กิเลส แต่ให้มันแพ้ด้วยความจริงมันจำนนว่า เอ็งโง่ เอ็งทำร้ายเองทำไม่ดีเองไปจากข้า จนกิเลสมันฉลาดมันรู้ตัวว่าไม่อยู่ด้วยแล้วคนละพวกกับมัน กิเลสมันก็เลยค่อยจากไป เพราะมันรู้ว่าคนละพวก แต่มันก็ไม่ฉลาดอีกแหละเพราะมันฉลาดไม่เป็นหรอก กิเลส แต่มันรู้ว่าไม่ใช่พวกมัน มันอยู่ไม่ได้เพราะที่นี่ไม่ร่วมมือกับมัน ใช้ความจริง ใช้โวหารภาษาพูดให้เขารู้ตัว ให้กิเลสรู้ตัว ให้กิเลสมันมีชีวิตที่มันรู้ตัว คนนี้ไม่เอาแล้ว กูแน่โว้ย นอกจากไม่เอาแล้วทุบหัวกูด้วย กูโนดีกว่า กูไม่เอา แสดงว่า โน NO และมันก็ Know ด้วย มันมีสองโนนะ ก็โนสองโนเป็นธรรมะสอง ใช้ศิลปะวิธีการให้เขาเข้าใจ ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้สำเร็จอันนี้แหละสุดยอดเลย สมถะนั้นกับปัสสัทธิต่างกัน แปลเป็นไทยว่าสงบทั้งคู่ สมถะนั้นมีเชิงไม่งาม เกิดจากการกดข่มแต่ปัสสัทธิเกิดจากวิปัสสนา ใช่แล้ว คนเราต้องใช้กดข่มช่วยเป็นธรรมดา มีใครปล่อยแสดงออกมาเต็มที่ล่ะ ไม่มีใครหรอกมันต้องกดข่มบ้างมากน้อยต่างกัน มันมีความละอาย จนกระทั่งความละอายคุณมากขึ้นมันก็ค่อยๆหายไปจนหมด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 12:04:24 )

ความสงบ สยบความรุนแรง

รายละเอียด

พูดไปแล้วขออภัยที่จะดูเหมือนยกย่องตัวเอง เอาดีเข้าตัว ที่อาตมาต้องไปทำงานที่เขาเรียกว่าการเมือง เข้าไปอยู่ในสนามที่เขาประท้วงไล่รัฐบาล อาตมาเป็นผู้นำชาวอโศกก็ไป แล้วก็มีประชาชนเขาก็เห็นว่าอาตมาเป็นสมณะ เขาก็จะมีความเห็นว่าพระมาทำอย่างนี้ได้หรือเปล่าหรือบางคนอาจจะเห็นเขาทำก็ดูดี มันมีหลากหลายคนเห็น ก็ได้ไปทำจริง ได้พากันไปไล่ 4-5 รัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณสมัครสมชายแม้แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ สิ่งเหล่านี้มีหลักฐานอยู่ พูดไปแล้วก็คงจะเข้าใจกันยาก ตรงที่ว่าเอาความสงบสยบความรุนแรง หมายความว่าเอาความสงบนี้ไปปราบความรุนแรง มีความสงบความจริงไม่มีอาวุธเข้าไปสู้กับคนที่เขามีอาวุธเขามีความรุนแรง แล้วทำให้อาวุธที่เขาจะมีอาวุธนั้นทำไม่ได้ทำรุนแรงไม่ได้ ความสงบนั้นชนะความจริงชนะอาวุธร้าย ซึ่งคนฟังแล้วก็จะรู้สึกว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เขางง เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้มันไม่น่าเชื่อ Incredible มันไม่น่าเชื่อมันเป็นไปได้อย่างไร ว่า เอากับสงบเอาความรุนแรงไปสู้กับมีดกับปืนกับลูกระเบิด กับอำนาจเขามีพร้อม ลูกน้องเขาก็มีพร้อม สั่งการระเบิดเราได้ คุณฝันเฟื่องไปหรือเปล่า แต่มันเป็นไปได้ และประเทศไทยเป็นไปแล้ว ที่อาตมาอยากจะขอย้ำว่า ที่เกิดเหตุการณ์ถึง 4-5 รัฐบาล เป็นการประท้วงหรือใช้คำว่าประท้วง Neo protest เป็นการประท้วงแบบที่ยังไม่เคยมีในโลก คนของพวกเรามีตาย มีถูกเขาทำร้ายไปบ้างแต่ก็เป็นจำนวนน้อยมาก ที่เป็นไปได้นั้นเพราะเป็นเรื่องของคุณความดีของประเทศไทยเป็นสยามเทวาธิราชที่มีโลกุตระเป็นรากเหง้าตั้งแต่เริ่มต้นมา ตั้งแต่ยุคสุโขทัย มา สิ่งเหล่านี้แหละค่อยๆพัฒนาการจนกระทั่งทุกวันนี้เป็นสมัยใหม่ ที่จะมีคุณธรรมที่เรียกเป็นภาษาศัพท์ร่วมไปทั่วโลกว่า การเมือง มันจึงเป็นผลงานของผู้ที่ดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลหรือบริหารปกครอง กับมวลประชาชน เรียกรวมโดยศัพท์ ก็ใช้ศัพท์โดยรัชกาลที่ 9 ทรงเรียกว่าราชประชาสมาสัย คือมีทั้ง ราชะ มีทั้งประชา สมาสัย คืออาศัยซึ่งกันและกัน ราชะกับประชา อาศัยซึ่งกันและกันเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นประชาชนคนไทยก็มีรากฐานอนุสัยหรือจิตส่วนลึกนั้นมีเชื้อของโลกุตรธรรม ที่อาตมาเคยบอกแล้วว่าเหมือนกับที่พุทธเจ้าบอกว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ โกณฑัญญะมีธาตุรู้โลกุตระ อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ใหม่แล้วนะเกิดขึ้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 11:02:20 )

ความสงบกายสงบจิต

รายละเอียด

พูดอธิบายอย่างหนึ่งเขาจะบอกว่า ความสงบกายคือ หยุดกายกรรม ก็อย่าก้าวขาจะนอนก็นอนจริงๆ จะนั่งก็นั่งนิ่งๆ  หายใจก็เพียงแผ่วเบา  คือเอาวัตถุให้นั่ง  แล้วจิตหยุด  คือหยุดคิด หยุดนึก หยุดปรุงแต่ง  ไม่ให้อาการของจิต ไม่มีอาการ นี่คือพวกพาซื่ออธิบายกัน  ฟังแล้วก็น่าสงสารเหมือนกับการนำสัตว์มาฝึกให้เชื่อง  สัตว์มันก็จะไม่รู้จักกิเลส  แล้วก็จะลดกิเลสทำให้มันตาย มันดับไม่ได้  แต่ถ้าทำให้กิเลสทำให้มันตาย  มันดับกายก็สงบ  แต่กายสงบจิต  สงบนั้นไม่ใช่จับให้มันอยู่นิ่งๆ  ไม่คิด ไม่นึก  แต่ว่าสามารถมีจิตใจ ที่คิดนึกได้  มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์  วิจัย  วิจาร  แยกแยะเทวะอเทวะได้  กายในกาย  ก็  2  เวทนาในเวทนา ก็  2 จิตในจิต  ก็ 2  ธรรมในธรรม ก็ 2  ต้องทำ 2  ให้เหลือ 1 ทำสิ่งที่ไม่แท้ให้เหลือแต่สิ่งที่แท้จริงทุกอย่าง  นี่คือธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้  ไม่ใช่พาซื่อว่า  สงบ  คือ ให้หยุดนิ่งๆ  ไม่ขยับอะไร  ภายนอกก็นิ่ง  ภายในก็คือจิตนิ่ง  ของพระพุทธเจ้านั้นกิเลสนิ่ง  กิเลสยิ่งตาย  กิเลสยิ่งไม่มี  จะยิ่งเร็ว  กายยิ่งคล่อง  นี่แหละพระอรหันต์  ยิ่งคล่องแคล่ว  ว่องไววาจาคล่องแคล่ว  ปราดเปรียว  จิตใจก็ว่าง  กายปาคุญญตา  จิตปาคุญญตา  จิต เจตสิก  เวทนา  สัญญา สังขาร  ยิ่งจะคล่องแคล่ว  ของพระพุทธเจ้ายิ่งนิ่ง  ยิ่งแคล่วคล่อง  มันมี  2 ใน  1  กิเลสตาย  ความคล่องของจิตใจยิ่งนิ่ง  ยิ่งเร็ว  นี่คือ สภาพสิริมหามายา เป็น  2 ใน  1    เหมือนนักมายากล  ที่เป็น  สิริมหามายา    ความรู้ทุกอย่างสรุปที่ความเป็น  2  หรือความเป็นเทวะ  และอธิบายจะได้หมดจบทุกอย่าง โลกนี้มีเทวะ  2 สภาวะ 2 มันเป็นบวก หรือ ลบ   แล้วคุณก็ควบคุมมันได้  ควบคุมบวกและลบ หรือให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ  แล้วจะให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สูงสุด  2  นี่แหละคือสภาพทุกอย่างทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ  ทุกวันนี้คนทั้งโลกควบคุมปรมาณู ควบคุม   นิวเคลียร์ เอาบวกลบมารวมกัน ทำระเบิดปรมาณู จุดระเบิดเมื่อไหร่ ก็ทำงานตามที่มีแรงประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนกับวิญญาณมีแรง  มี วัสวัตตี  มีอำนาจ  พลังงาน สูงสุด  เพราะคนจัดการ บวกลบของจิต  รูปนามของจิตได้  สามารถจะให้มีแรงสูงสุดเท่าที่คุณมีบารมีได้ อาตมาเป็นเจ้าของ ปรมาณูทางจิต  แล้วก็ทิ้งระเบิดไปไม่รู้กี่ลูกแล้ว  มันไม่ตาย  พวกนี้หนังเหนียว ไม่ตาย

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2562 ( 19:56:52 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:13:42 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:54:22 )

ความสงบของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เป็นความสงบที่ร้อนแรง เป็นความสงบที่ไวเร็ว เป็นความสงบที่เร็วยิ่งกว่าลูกข่างกินน้ำจั้นหรือลูกข่างนอนวัน เร็วไว จนกระทั่งนิ่งจึงเรียกว่าสงบ อย่างนั้นจริงๆ ความสงบของพระพุทธเจ้าที่คนไม่รู้ได้เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ

สันตา ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 34

วิถีอาริยธรรม บ้านราช จรณะวิชชาที่พาเป็นคนจนอยู่เหนือคนรวย วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 04 พฤศจิกายน 2562 ( 19:51:15 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:16:37 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:55:10 )

ความสงบของพระพุทธเจ้าเป็นความสงบจากกิเลส

รายละเอียด

อานา อาปานะ แปลว่า ลมหายใจเข้าออก มันมีนัยลึกซึ้งซับซ้อนมาก ตอนพระพุทธเจ้าในยุคนั้นคนเขาก็นั่งหลับตาทำสมาธิ เอาจิตตามลมหายใจเข้าออก สะกดจิตเข้าไปให้นิ่งเอาอะไรเป็นกสิณก็ได้ มันเป็นวิธีการของโลกีย์ธรรมดาสามัญปกติที่มีตลอดโลกแตก ที่ไม่หายสาบสูญไปจากโลกเป็นสามัญโลกที่ไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เจอเขาปฏิบัติอย่างนี้เต็มป่า ทำให้จิตสงบด้วยวิธีอย่างนี้ทั้งนั้น ทีนี้จิตสงบของพระพุทธเจ้านั้น สงบตรงที่กิเลสตัวเหตุสำคัญมันตายสนิทเลย ในจิต ตายอย่างไม่มีการกลับมาทำให้เดือดร้อน ทำให้ไม่สงบอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ก็หมดไป สงบ แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไรฟังให้ดี เป็นความสงบจากกิเลส สงบจากตัวเหตุที่เป็นโทษ แต่ไม่ได้ทำให้ กายกรรม  วจีกรรม มโนกรรม สงบอย่างที่คุณหมายถึง ที่บอกว่าเป็นหนึ่งเดียว สงบคือนิ่งแข็งทุกอย่าง ร่างกายไม่กระดุกกระดิก พูดก็ไม่พูด จิตใจก็ไม่คิดนึกอะไร อันนั้นแหละเป็นการทำอย่างฤาษีง่ายๆ แต่สงบของพระพุทธเจ้านั้น ให้ไปอ่านที่ จูฬสุญญตสูตร มหาสุญญตสูตร ท่านบอกชัดเลยว่า สูญจากอะไร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 12:52:17 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:03:20 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:56:37 )

ความสงบของพุทธสุดลึกซึ้งอย่างไร

รายละเอียด

ของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง), ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก), ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก), สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่), ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น), อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้), นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน), ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ความสงบของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง แล้วมีอำนาจมีอิทธิพล เราใช้ความสงบสยบความรุนแรง เอาไปปฏิวัติเอาไปรัฐประหารรัฐบาลที่เลวร้าย เราได้ทำมาจริง ได้ไปพาประชาชนร่วมกัน ประชาชนเข้ามาร่วมกันโดยเข้าใจ แล้วเราก็เป็นผู้ที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นตัวหลักๆ พาทำ แล้วทำได้สำเร็จผ่านมาแล้วแต่คนยังไม่เข้าใจหรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:02:48 )

ความสงบของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

มีพระสูตรหนึ่งบอกว่าอาจารย์เธอสอนอย่างไร เขาก็บอกว่าอาจารย์สอนให้ปิดหูปิดตาปิดจมูกไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่างนั้นก็เหมือนกับการทำตาให้บอดสิ แต่สงบของศาสนาพุทธคือสงบจากกิเลส แล้วจิตมันก็สงบ จิตจริงยิ่งคล่องแคล่ว มีกายปาคุญญตา จิตยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ทำงานได้เก่ง มีกายกัมมัญญตา ธรรมะด้วยปัญญา ด้วยฉลาด ยิ่งทำงานได้เก่ง ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ยิ่งหยุดนิ่งแข็ง ไม่คิด พูดทีไรก็นึกถึงอาจารย์บูรพาที่สอนคนละขั้วกับอาตมาแล้วมันทำลายศาสนาพุทธเพราะมันผิด อาตมายืนยันว่าอาตมาพูดถูกอาจารย์บูรพาพูดผิด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:55:48 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:15:20 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:57:34 )

ความสงบของแบบโลกุตระ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความสงบของแบบโลกุตระ จึงไม่ใช่ความสงบแบบหยุดการเคลื่อนไหว กายก็ไม่เคลื่อนไหว กายวิญญัติ คือไม่เคลื่อน วจีวิญญัติ ไม่ต้องพูด มโนนั้นหยุดคิดเลย เป็นอสัญญีสัตว์ เป็นความสงบแบบเดียรถีย์ เข้าใจความสงบแบบมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นความสงบ 2 อย่างของปัญญา ข้อที่ 3 เป็นโลกุตระนี้ มันจึงไม่ใช่ความสงบ แต่แค่มันไม่กระดุกกระดิก ไม่ขยับเขยื้อนทางกาย ไม่ขยับเขยื้อนทางวาจา..ไม่ใช่.. มันยิ่งขยับเขยื้อน แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว จิตยิ่งผ่องใส ยิ่งสะอาด มันไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆตื้นๆ แต่มันลึกซึ้งอย่างนี้ 

แล้วมีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติ ต่อสังคม(พหุชน) มวลมนุษย์ประชาชนทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ก็ต้องเจริญรัฐศาสตร์ก็ต้องเจริญ เมื่อมันเป็นสัมมาทิฏฐิแบบนี้เพราะเข้าใจกายเข้าใจจิต จิตมันชัดเจนแบบนี้เป็น จิตปาคุญญตา เป็น จิตปัสสัทธิ เป็นจิตสงบจากกิเลส มันยิ่งแคล่วคล่อง มันไม่มีอะไรหนืดๆเลย หนืดๆเหนียวๆชาๆเชื่องๆไม่มี ยิ่งแคล่วคล่องเร็วไว ทันโอกาสทันเวลา มันจึงช่วยสังคมได้มาก ได้คุณภาพประสิทธิภาพสูงส่งด้วย 

นี่เป็นวิชาการหรือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า  เป็นรัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่เข้าใจกาย เข้าใจจิต จนกระทั่งหมดความเห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตน ไม่ใช่มีแค่โวหาร ไม่ใช่ภาษาพูด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:44:12 )

ความสงบทางกาย 2 อย่าง

รายละเอียด

สงบทางกาย มันดิ้นกับไม่ดิ้น เขาเอาแค่นั้น  มันนิ่งไม่นิ่งของกาย นี่คือความสงบที่พาซื่อ สงบจริงๆของกายนั่นคือกิเลส กิเลสหยาบ กายคือกิเลสหยาบ กายคือกิเลสทางภายนอก หยาบคือภายนอก จริงๆ กายก็ต้องมีภายใน 

กายในกายคือภายในจิต แต่กายภายนอกต้องอยู่ข้างนอกก่อน ผู้ที่ผิดลำดับไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นปิดประตูนิพพานเลย อาตมาจึงต้องกระแทกกระทุ้งที่นั่งหลับตานี้ไปอีกนานถ้าหากพวกที่นั่งหลับตานี้ตื่น ชาคริยา ว่า เราไปนั่งหลับตา ก็มาลืมตาสิ แค่หลับตากับลืมตา 2 อย่างง่าย ท่านก็ยังไม่ยอมลืมตา ถ้ามาลืมตาก็ชาคริยา ไม่เช่นนั้นท่านก็จะนิทราหรือไสยาแน่นอน ท่านก็อยู่อย่างนั้นแหละ 

แค่นี้มันก็ยากแสนยากจริงๆ สำหรับโพธิรักษ์ ไขความเข็นคน ไขความก็ไม่เข้าใจซักที เข็นคนก็ไม่กระดิกซักที 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 11:46:43 )

ความสงบที่คล่องแคล่วหมดทั้งกายทั้งจิต

รายละเอียด

ความสงบที่กล่าวนี้ไม่ใช่นิ่งไปหมดทั้งกายและใจ แต่นี่จะมีความคล่องแคล่วว่องไวมีกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เป็นความเห็นที่ตรงกันข้ามกันอีกซึ่งยากมากเลย ยังดีที่ยังมีพยัญชนะของพระพุทธเจ้ามายืนยัน เวทนา สัญญา สังขาร รูป ก็คล่องแคล่วหมดทั้งกายทั้งจิต วิญญาณก็คล่องแคล่ว ไม่หนืดเฉื่อย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมืองไทยเป็นเมืองของพระพุทธเจ้า-โลกุตรธรรมจะช่วยโลกได้ 

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2564 ( 19:59:40 )

ความสงบที่พระพุทธเจ้าหมาย

รายละเอียด

แต่คำว่าสงบภายใน หรือคำว่าสงบที่พระพุทธเจ้าหมาย เช่น ปัญญา ข้อที่ 3 ในปัญญาข้อที่ 3 บอกว่า 

“ข้อที่ 3 เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ”

ประเด็นอยู่ที่ความสงบกาย สงบจิต ผู้ที่ไม่เข้าใจคำว่ากายก็จะคิดว่ากายสงบคือภายนอกไม่กระดุกกระดิกเลย ปัสสัมภยังกายสังขารัง คือ การทำความสงบให้แก่กาย กายสังขาร เป็นการปรุงแต่งสังขารทางกายแล้วทำความสงบ ในอานาปานสติ ก็มี ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกาย โลกีย์เขาเข้าใจแค่ว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกายภายนอกไม่เคลื่อนไหว ซึ่งอันนั้นไม่จริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 12:00:53 )

ความสงบที่เสถียร 

รายละเอียด

จิต จะทำให้เกิดเป็นความพิเศษ มุทุทั้ง Static และ Dynamic ทั้งตัวนิ่งและตัวเร็ว ไฟฟ้าในตัวก็มีทั้ง กระแสและแรงเคลื่อน 2 ตัวทำงานฉันใด สภาพ 2 มันมีอยู่ในสภาพที่มันมีพลังงาน ถ้ามันไม่มีพลังงานอะไรแล้ว มันกลายเป็น Static แข็งเน่า แข็งนิ่ง แต่ ก็อยู่ได้ด้วยพลังงานที่มันสะกดไว้ หมดพลังงานสะกดคลายแล้ว มันก็กลับมาดิ้นใหม่อีก มันไม่เสถียรหรอก มันต้องใช้ปัญญาล้างเหตุของพระพุทธเจ้านี่ จึงจะเกิดความสงบที่เสถียร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:31:48 )

ความสงบที่เสถียร 

รายละเอียด

จิต จะทำให้เกิดเป็นความพิเศษ มุทุทั้ง Static และ Dynamic ทั้งตัวนิ่งและตัวเร็ว ไฟฟ้าในตัวก็มีทั้ง กระแสและแรงเคลื่อน 2 ตัวทำงานฉันใด สภาพ 2 มันมีอยู่ในสภาพที่มันมีพลังงาน ถ้ามันไม่มีพลังงานอะไรแล้ว มันกลายเป็น Static แข็งเน่า แข็งนิ่ง แต่ ก็อยู่ได้ด้วยพลังงานที่มันสะกดไว้ หมดพลังงานสะกดคลายแล้ว มันก็กลับมาดิ้นใหม่อีก มันไม่เสถียรหรอก มันต้องใช้ปัญญาล้างเหตุของพระพุทธเจ้านี่ จึงจะเกิดความสงบที่เสถียร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:31:48 )

ความสงบมีอำนาจมีฤทธิ์แรงอย่างไร

รายละเอียด

หรือแม้แต่ความสงบมีอำนาจมีฤทธิ์แรงอย่างไรจะไปสู้กับคนมีมีดมีปืนมีอำนาจ บางทีมีทหารอยู่ในมือด้วย ทำอย่างไร มือเปล่าไล่ออกไปได้อย่างไร เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่สูงจิตวิญญาณที่เจริญแล้วก็รวมตัวกันเป็นประชาธิปไตยเป็นพลังงานอธิปไตยของประชาชนที่เป็นมวลอย่างแข็งแรงเด็ดเดี่ยวเลย แข็งแรงหนึ่งเดียว เอกีภาวะ โดยไม่ต้องมีความรุนแรงความโกรธเคืองไม่ต้องมีความร้ายแรงอะไรในจิตเลย มีความปรารถนาดีด้วยกันว่าให้เลิกสิ่งที่ไม่ดีงาม เขาไม่อนุญาตเขาไม่ยอมให้คุณมาทำอีกเพราะว่าสังคมมันเสียหาย ให้เลิกเถอะ คุณยังไม่เลิกเขาก็ยังไม่ให้มา หรือว่ามีคนอื่นทำได้ดีกว่าก็ให้คนอื่นมาทำ 

ทุกวันนี้เลยเป็นว่ามีคนอื่นทำได้ดีกว่าเขาก็เข้ามาไม่ได้ ทั้งที่เขามีทั้งภายนอกภายใน พยายามจะดึงกันเข้ามา พยายามจะโยงใยสนับสนุนกันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ก็เห็นว่า อาตมาพูดความจริงนะว่าก็ดูท่าทีโรยราอ่อนแรงไปพอสมควรแล้วล่ะแต่ก็ยังยอมแพ้ไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:56:56 )

ความสงบสยบความรุนแรง

รายละเอียด

แต่จากนั้นมา เป็นบทเรียนที่ไทยเราสามารถรู้แล้ว มาถึงยุคทักษิณเกิดรุนแรง ทรยศต่อประเทศรุนแรงยิ่งกว่าจอมพลถนอม จอมพลประภาส แต่ไทยเราสงบ สุภาพ ยิ่งกว่ายุคก่อน เพราะบทเรียนก็ดีและการพัฒนาของคนไทยก็ดี เจริญขึ้น จึงเกิดการปราบทักษิณโดยใช้ความสงบสยบความรุนแรง อย่างพวกเราได้ออกไปร่วมทำ ใช้เวลากันหลายช่วง เราออกไปชุมนุมประท้วงกันหลายช่วง ตั้งแต่ พศ. 2549 ถึง 2557 หลายครั้งหลายช่วง 

ทักษิณและนอมินีมา ตั้งแต่ปี 2549 จนถึง 2557 หลังจาก 2557 มาแล้ว เรียบร้อยก็เหลือแต่พวกที่เป็นเศษเสี้ยวเศษสวะ หมาเห่าหมาหอนบ๊องแบ๊งๆ อยู่อย่างนี้ ตัวสำคัญก็เห่าอยู่ในประเทศไม่ได้ ก็ไปเห่าอยู่ข้างนอกประเทศ ไม่น้อยนะที่ไปเห่าอยู่ข้างนอก ไม่ใช่คุณทักษิณคนเดียว อยู่ข้างนอก ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่ถือว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพล ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 11:21:25 )

ความสงบสยบความรุนแรงอย่างแท้จริง

รายละเอียด

คือรูปแบบกับจิตวิญญาณกับพฤติกรรมที่ลึกซึ้งซับซ้อนนี้ มันแยกกันไม่ออก มันแยกกันยากมากเลย มันเป็น dialectic หรือเป็นสิริมหามายาอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจยาก อาตมาจะขออธิบายแยกให้ฟังชัดๆว่า 

พฤติการณ์ของประชาชนคนไทย เข้ามายึดอำนาจ เข้ามาประท้วง แต่ว่าประชาชนคนไทยใช้คำว่ามายึดอำนาจจากรัฐบาลที่เขาบริหารอยู่นั้นก็ใช่ แต่ไม่มีตัวบุคคลคนหนึ่งคนใด แม้แต่ในยุคนั้น มีพลเอกปรีชา มีรูปแบบแสดงตัวโด่เด่ๆ จนกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนรถ 6 ล้อประกาศ ปลัดกระทรวง มารายงานตัวด่วน เขาไม่มีมาสักคน เขาก็เห็นว่ามันตลกอะไร ที่จริงมันต้องทำอย่างนั้นตามรูปแบบ เพราะว่าพลเอกปรีชาก็เป็นพลเอก เป็นทหาร เรียนเรื่องการปกครองเรียนเรื่องกฎหมายวิธีการก็รู้อยู่แล้ว มันก็เลยดูตลกๆ 

เราก็เลยพากันไปยื่นฎีกา อย่างที่พูดไปแล้ว ไม่รู้เรื่องก็เอามาคืนอีก เราก็มานั่งประท้วงต่ออีก ตอนไปยื่นฎีกานั้น สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เราเอาใส่รถไปด้วย ประชาชนก็ตามไป จำได้ไหม เราก็ออกไป ปั้นขึ้นเป็นองค์แรกเลยนะ หล่อเป็นองค์แรกเลย แล้วก็ขึ้นไปอยู่บนเวทีที่เราไปร่วมชุมนุมประท้วงปฏิวัติตรงนั้นเลย จนกระทั่งตำรวจเห็นแสงออกมาจากมือ ซึ่งเป็นเรื่องอธิบายกันยาก เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องศึกษาและเรียบเรียงกันไปอย่างดี เป็นเรื่อง อจินไตย ซับซ้อน เหตุการณ์ต่างๆนานา คนเก็บรายละเอียดดีๆขึ้นมา วีดีโอก็พอมีถ่าย มีหลายมุมเก็บไว้ หลายคนไม่เอาถ่าน ก็เลยไม่ได้รายละเอียด แต่มีคนพยายามรวบรวมอยู่ ก็ค่อยๆทยอยออกมาในพวกเรา มีไปเรื่อยๆอยู่เพิ่มเติมไป 

ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ในเมืองไทย เกิดขึ้นจากในเมืองไทยประเทศไทย เป็นตัวอย่างของโลก อาตมาขอยืนยันว่าเป็นตัวอย่างของโลก ใช้ทั้งเวลายาวนาน ใช้ทั้งความอุตสาหะวิริยะ เป็นความสงบสยบความรุนแรงอย่างแท้จริง แล้วก็ชนะกันด้วยความจริงต่อความจริง คนผิดต้องแพ้ คนถูกต้องต้องชนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันสำเร็จไปด้วยดีที่สุด ที่จะเป็นตัวอย่างแห่งประวัติศาสตร์ ไปอีกยาวนาน .. เป็นตัวอย่างของประวัติศาสตร์ไปอีกยาวนาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมพุทธศาสนาตามภูมิ  Neo Protest ประชาชนปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 12:45:54 )

ความสงบหยุดแต่ความจริงไม่หยุด

รายละเอียด

แต่คนที่หมั่นไส้ไม่ชอบ อาตมามีอจินไตยรู้อยู่ว่า ทำไมอาตมาต้องมีบุคลิกเช่นนี้ ทำไมทำไปแล้วพวกที่มีความรู้ทางศาสนาที่ไม่สอดคล้องกับอาตมา ก็ต้านค้านแย้งมันมาก มากตั้งแต่ระดับกระแสหลักของสังคมผู้ที่ได้รับยกย่องเชิดชู จนกระทั่งถึงมวลข้างล่าง มันเยอะเหลือเกินกระทั่งแรงมาก จนถึงหัวยอดทั้งหมด เขาก็เห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอาตมาขัดแย้งทวนกระแส มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาที่จะต้องต้าน เหมือนข้าศึกไปในตัว แต่อาตมาไม่ได้รบกับใคร อาตมาใช้ความสงบ กับความจริงไม่ได้รบกับใคร ใครจะทำอย่างไรมาอาตมาก็เอาความสงบกับความจริง สงบมันก็หยุด แต่ความจริงมันไม่หยุด แน่นอนเป็นเรื่องสัจจะธรรมดา ผู้ที่รู้สาระ ย่อมรู้สาระ ย่อมขวนขวายเอาสาระนั้นๆ ผู้ที่ไม่รู้สาระเป็นสาระ ย่อมไม่ขวนขวายเอาสาระนั้น ก็เป็นเรื่องจริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:38:03 )

ความสงบอันวิเศษ พิเศษที่ชาวอโศกเราเป็นเรามี

รายละเอียด

อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว ได้ผลตามที่เกิดจริงเป็นจริง มีโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เกิดจริงๆดังที่ชาวอโศกเป็นกัน เช่น มาเป็นคนจน มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นคนขยัน มาเป็นคนทำงานรับใช้ประชาชน มาแสดงความไม่เห็นแก่ตัวที่มีจริง ใจจริงมีจริงๆ นี่อย่างนี้เป็นต้น ยังมีอีกเป็นกลาง เป็นปลายอีกนะ ที่พูดนี้แค่ต้นๆนะ แล้วก็ทำกันไปเรื่อยๆ ยืนยันความเป็นการเมืองที่เป็นโลกุตระ พากันสร้างประชาธิปไตยที่เป็นแบบพุทธ สร้างขึ้นมาให้แก่โลกเห็นแจ้งรู้จริงกันขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งมันรู้ตามได้ยากเห็นตามได้ยาก ลึกซึ้ง มีความสงบอันวิเศษพิเศษจริงๆ 

แม้แต่คำว่าความสงบอันวิเศษพิเศษที่ชาวอโศกเราเป็นเรามี ก็มีในตัวจริง หรือพูดถึงในประเทศไทยมี ประเทศไทยมีความสงบอันมีความขัดแย้งกันพอเหมาะ นี่ยังมีเห่าบ๊องๆๆหมาน้อยเห่าอยู่ มันเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่มีความขัดแย้งในที่ใดๆที่นั้นน้ำเน่าที่นั้นมีแต่จะเน่าสูญสลายเสียหาย เพราะฉะนั้นความเจริญต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ เกิดปฏิกิริยาที่ได้สัดส่วนให้เกิดความเจริญ ซึ่งมันรู้ตามได้ยาก ลึกซึ้ง มีความสงบอันพิเศษ พิเศษจริงๆเพราะเป็นความประณีตสุขุมสุดๆที่จะรู้ตามได้ ไม่ใช่แค่เรื่องตรรกศาสตร์ อตักกาวจรา แต่เป็นเรื่องของกรรมวิบากที่มีอจินไตยที่มีฌานวิสัยที่สุดวิเศษ ของพระพุทธเจ้า เป็น อจินไตยนี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2566 ( 20:13:07 )

ความสงบเป็นนิพพานอย่างยิ่ง

รายละเอียด

ความสงบอย่างโลกียะ อาตมาจะไม่ขยายความ เพราะว่ามันมีมากมายเหลือเกินซึ่งเป็นความสงบแบบโลกีย์ แต่ละเจ้า แต่ละอย่าง แต่ละอะไรต่ออะไร ความสงบเป็นนิพพานอย่างยิ่ง ความสงบเป็นความสุขอย่างยิ่ง อะไรก็แล้วแต่ แค่ความสงบเป็นนิพพานอย่างยิ่ง หรือความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง อธิบายพยัญชนะไปก็เยอะแยะของโลกีย์ ยังไม่มีความรู้ใหม่ ความรู้อื่น ที่มันไม่อยู่ในกรอบของโลกียะเลย มันออกนอกกรอบของโลกียะ คนละดาว ดาวคนละดวงแล้ว 

คนรู้มาเก่า เทวนิยม 100% คือพวกที่ไม่ใช่อยู่ทางสายเอเชีย เป็นพวกทางตะวันตกหรือ อยู่ตะวันออกกลาง ตะวันออกกลางขอยกไว้ หนักแน่นหนา เทวนิยม ยิ่งกว่าทางตะวันตก ทางยุโรป สรุปง่ายๆ 

เทวนิยม พระเยซูคริสต์ ยังค่อยยังชั่ว แต่เทวนิยมทางอิสลาม อาตมาจะไม่ละลาบละล้วงไปถึงเทวนิยมอิสลาม จะพาดพิงจับมาเทียบเคียงอธิบายในระดับของศาสนาคริสต์ของพระเยซูเท่านั้น เพราะทางอิสลามอย่าเพิ่งแตะ แตะเป็นเรื่อง ขอยกไว้ ท่านจะใหญ่ ท่านจะอะไร ก็ต้องยกให้หมด ที่พูดนี้ก็ขอบอกเอาไว้แล้วนะ อาตมาไม่ได้พาดพิงถึงอิสลามนะ อาตมาจะพาดพิงถึงแค่ศาสนาคริสต์

คนสายวัดป่า พูดถึงหลวงปู่แสงเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมายาวนานและเป็น 70 ปี แต่หมอปลา ก็มีความเชื่อปัจจุบันที่ว่าเขามีหลายคลิปส่อให้เห็นว่าเป็นความไม่ถูกต้องในศาสนาที่เขาอยากเอามาเปิด ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าคนจะเลือกเชื่อเอาตรงไหน จะเอาให้เชื่อที่ปัจจุบันที่เกิดขึ้น หรือเชื่อที่ทำมายาวนาน 

สายหลับตาอยู่ในกะลาครอบอยู่ในโลกแค่ของตัวเอง คิดเอาเอง พวกนี้มีนรก เขาหลงว่านรกเป็นสวรรค์ด้วย อยู่คนเดียวแล้วปั้นสวรรค์เป็นนิรมานกายเอง คนที่เก่งสามารถเนรมิตนิรมาณกายขึ้นมา เนรมิตได้ เป็นของตนเองซ้อน อยู่ทั้งนั้นเลย ซึ่งอาตมาก็พยายามอธิบายไปเรื่อยๆซึ่งไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 05:30:15 )

ความสงบแบบของพุทธเจ้าเมื่อกิเลสดับ

รายละเอียด

พวกมิจฉาทิฐิยังไม่เข้าใจความสงบแบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งกิเลสมันดับแล้วมันจะยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียวเป็น กายปาคุญญตา จิตก็ยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียวทั้งนั้นเลย นี่คือความสงบของพระพุทธเจ้า คนที่ไม่เข้าใจก็จะเดาว่าสงบต้องอยู่เฉยๆอย่าไปเร็วแรงไว อยู่เฉยๆมันก็ยิ่งสงบใหญ่เลยก็บื้อๆซื่อๆเป็นอย่างนั้น เธอเห็นไหมว่าเป็นสภาวะสิริมหามายา คนไม่มีสภาวะ ไม่มีปัญญารู้ความจริงอันนี้อยู่  ยากเดาไม่ออกหรอก แต่คนที่พอเข้าใจอย่างนี้หรือ ต้องมาสร้างของตนเองจริงๆถึงจะรู้ อ๋อ.. ตัวนี้อย่างนี้เองหรือ นี่คือสามารถพ้น โลกียะ มาเป็นโลกุตระอย่างนี้ จะเห็นว่าโอ้โห อย่างนี้หรือ อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ เป็นอย่างนี้หรือที่ไม่เหมือนกับที่เคยเข้าใจมาทั้งหมด มันแปลกใหม่อย่างนี้หรือ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:24:03 )

ความสงบแบบปัสสัทธิต่างจากแบบสมถะ

รายละเอียด

ท่านที่เชื่อเช่นนี้ก็จะโยนิโสมนสิการตามนี้ก็ไม่ได้มรรคผล ท่านทำใจในใจอย่างท่าน ท่านก็เชื่อแม้การนั่งหลับตาปฏิบัติ หรือไม่นั่งหลับตาปฏิบัติแต่ลืมตาแบบสมถะ การที่จะลืมตาปฏิบัติแบบวิปัสสนาไม่ใช่เรื่องตื้นๆเรื่องง่ายๆ 

ผู้จะปฏิบัติลืมตาได้แล้วต้องรู้ต้องเห็น มีปัสสนา มีวิปัสสนา ตาต้องเห็นรูป หูต้องได้ยินเสียง ไม่ใช่แค่สมถะ แต่ก็พูดกันอยู่ต้องมีสมถะเข้าช่วย 

คำว่าสมถะเป็นความสงบที่เป็นการสงบแบบสะกดจิต แต่ความสงบของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปัสสัทธิ เป็นความเก่งทางปัสสะ ไม่ใช่สงบอย่างสมถะ แต่เป็นสงบอย่างปัสสัทธิ พยัญชนะก็ยืนยันอยู่แล้ว ต้องเห็นๆ สงบอย่างมีดวงตาเปิด มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดรับรู้มีความรู้สึกที่เต็ม แล้วรู้จักกิเลส อ่านกิเลสที่เกิด แล้วดับแต่กิเลส ดับอย่างวิปัสสนา ดับชนิดที่ต้องเห็นรอบรู้ครบรอบเต็มด้วย ถึงจะเห็นกิเลสจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:12:25 )

ความสงบแบบพุทธ กับแบบที่ไม่ใช่พุทธมันคนละผลสำเร็จกันเลย

รายละเอียด

“ความสงบ 2 ชนิด” แบบพุทธ กับแบบที่ไม่ใช่พุทธ มันคนละ“ผลสำเร็จ”กันเลย

ผู้ทำได้ สามารถทำหลับตาดับไม่มีนิวรณ์ 5ได้ ลืมตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ทำได้ทั้ง 2 อย่าง ผู้นี้ก็รู้ทั้ง 2 สภาพเป็นเทวะ หลับตาแล้วจะมาลืมตารู้นี้ไม่ง่ายจะพารู้ด้วยไม่ง่าย แต่ผู้ที่สัมมาทิฏฐิลืมตาปฏิบัตินี้ หลับตาไม่ให้มีนิวรณ์ 5 นั้น โอ้ย มันไม่ยากอะไรหรอก ตามันไม่ได้กระทบรูป หูไม่ได้กระทบเสียง มันง่ายกว่าคุณ คุณไม่ได้ฝึก เพราะคุณเอาแต่สะกดจิตหลับตาเฉยๆ คุณไม่ได้ฝึกตากระทบรูปแล้วอย่าให้มีกิเลสนะทำให้กิเลสลดคุณก็ไม่ได้ทำ หูกระทบเสียงคุณก็ไม่ได้ทำ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ได้ทำ ก็งมงายอยู่อย่างนั้น 

ทวาร 5 ยังมีกามอยู่ เหมือนมหาบัวเคี้ยวหมาก แชะๆอยู่ ก็ยังเฉยแล้วหลงว่าตัวเองไม่มีนิวรณ์ เป็นอรหันต์ นู่นไปนู่น ไปไกลลิบเลย 

นึกว่าไม่มีนิวรณ์แล้วก็ทำให้ ภพ ภวตัณหาวิภวตัณหาดับ ก็เป็นอรหันต์ใช่ไหม ก็หลงงมงายดับ ที่จริงตัวเองดับสัญญา เป็น อสัญญีสัตตายตนะ 

นี่คือความหลงผิดต่างๆ จนกระทั่งหลายแขนงที่พระพุทธเจ้าท่านแจกมา อาตมาก็หยิบมาขยายความให้ฟัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 10:24:51 )

ความสงบแบบโลกียะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความสงบอีกอันหนึ่ง นอกจากที่คนเข้าใจว่า ความสงบต้องหยุดกายวิญญัติ หยุดวจีวิญญัติ หรือแม้แต่มโนก็ทำให้คิดช้าๆ เชื่องช้า หยุดคิด หยุดทำไม่คล่องแคล่วว่องไว ให้เซื่องๆ หยุดๆ นิ่งๆ ดับได้เลย แล้วหลงว่าเป็นนิโรธ ไปอย่างนั้นเลย ความสงบแบบโลกียะที่เขาเข้าใจกันเป็นความเข้าใจที่มิจฉาทิฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 11:05:53 )

ความสงบโลกียะ

รายละเอียด

สงบ โลกียะ ตื้นที่สุดก็คือ หยุดการเคลื่อนไหว ภายนอก กายวิญญัติสงบ ก็แสดงว่าภายนอก แขนขาเนื้อตัว หูตาจมูกลิ้นไม่ขยับอะไร นิ่งไปดื้อๆทื่อๆ ถือว่าสงบ คู่นี้ได้ตายลงไปแล้วอย่างสงบ ตายสนิทแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ออก นี่คือสงบภายนอก ก็เข้าใจได้ไม่ยากอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 11:51:34 )

ความสงบในระดับประเทศ

รายละเอียด

อาตมาไม่อยากพูดว่า อาตมาดูอยู่แล้วก็ควบคุมอยู่ ที่พูดไปนี้ไม่ได้ความอยากแต่อาตมาประพฤติจริงทำจริงอยู่ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาไม่ได้โด่เด่ แสดงตัวอยากเด่น อยากดังอะไรหรอก มันก็ไม่มีอะไร แม้แต่ในหลักฐานก็ไม่ได้โด่เด่ แต่มีบ้าง เขาจะหาว่าองค์นี้มาวุ่นวายมาอะไรประท้วงอะไรกันเล็กๆน้อยๆ แต่เขาก็ตู่ ก็ว่าเอา เพราะเขามีความถือสา พวกที่ถือสาแรงๆก็มี 

เพราะฉะนั้น ในประเด็นของความสงบอย่างเดียวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ในยุคของท่าน ท่านผ่านอะไรมาหมด จนกระทั่งถึงพ.ศ. 2559 ที่ท่านจะสิ้นพระชนม์ มันก็ผ่านความสงบ ปราบทักษิณมาเรียบร้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2557 แต่ท่านรู้ก่อนนั้น รู้ก่อนปี 2557 อีก แล้วท่านก็รู้แล้วว่า ขนาดที่มันยังมีอะไรต่ออะไรบ้าง ในทักษิณนี่แหละ มันเป็นตัวกวนอยู่ในเมืองไทย แต่ไม่ได้ไปถึงประเทศอื่นประเทศอื่นไม่มี เมืองไทยไม่ได้ก่อวิวาทกับประเทศอื่นไหน เป็นความสงบแล้วในระดับประเทศ กับประเทศ มันก็มีอยู่ข้างในนี่แหละ ตัวอย่างก็คือทักษิณตัวลำบาก ตัวกวน นอกนั้นคนอื่นๆก็จะมาพยายามจะมาทำแต่มันก็ไม่ใหญ่ ไม่บ้าบอเท่าทักษิณ 

อย่างพวกที่จะขึ้นมาปฏิวัติมาเป็นนายก ก็ไม่มีใครคิดจะเป็นประธานาธิบดี จะล้มล้างอะไร ใช่ไหม ก็มีนี่แหละ ทำไมทักษิณมีคนใส่ความว่าเขาจะมาล้มล้างสถาบัน แต่ทักษิณแน่นอนเขาก็ไม่รับหรอก แต่มีคนว่าเขาจะมาล้มล้างสถาบัน ก็เท่ากับล้มล้างสถาบันนะ จะทำตนเองเป็นประธานาธิบดีให้ได้ หรือดีไม่ดีก็จะตั้งวงศ์ เป็นวงศ์ชินวัตร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:24:18 )

ความสงบไทย จีน อินเดีย ต่างกันเช่นไร

รายละเอียด

ทุกวันนี้ประเทศไทยถือว่า สงบมาก สงบกว่าประเทศใดๆ ดูเหมือนประเทศจีนเขาจะเป็นสุข แต่ประเทศจีนไม่สุขสงบเท่าประเทศไทย ประเทศจีน สุขเขายังแย่งชิงเขายังแย่งลาภ พยายามแสวงหา ลาภมากกว่าประเทศไทย 

ผู้ไม่แสวงหาลาภมี 2 อย่าง

1.เป็นผู้หลุดพ้นก็พักการแสวงหาในการแย่ง 

2.เป็นผู้พัก มันสู้ไม่ได้ก็ต้องพักซึ่งไม่ใช่คนหลุดพ้นนะ 

พัก ด้วยการหยุดตัวเอง มันแย่งไม่ได้ มันจำนนก็เอาเท่านั้นเท่านี้แต่อยากได้อยู่ก็ตามมันได้เท่านี้ ลักษณะอย่างนี้ ของอินเดียนี้เขามีมาก ลักษณะที่จนแล้วก็จำนนแล้วก็อยู่อย่างนี้ คนอินเดียก็มีคนรวยน้อยคนแต่จนนี้มีมาก แต่ก็สงบ ไม่ก่อเรื่องราววุ่นวาย เหมือนประเทศเล็กๆ อินเดียมีตั้งพันกว่าล้านเขาก็อยู่กันได้ไม่วุ่นวาย นี่นัยยะละเอียดๆพวกนี้อาตมาค่อยๆอธิบาย ซึ่งมันไม่ง่าย มันซับซ้อนหลายชั้นมาก ค่อยๆขยายไปพอเข้าใจได้ 

ส่วนจีนนั้น เขาเสพ เขากิน เขาใช้มากกว่าอินเดีย อินเดียกินน้อยใช้น้อยเพราะจำนน ส่วนจีนพลเมืองพอๆกันเพราะตอนนี้เขารวยสถานะเขาดีโดยเฉลี่ยทั่วไป ก็เลยดูตามประสาโลกว่าเศรษฐกิจของจีนเขาดีจังเลย เศรษฐกิจอินเดียมีคนจนมาก คนอดอยากมาก อะไรมาก ทีนี้มาดูไทย ไทยเป็นโลกุตระที่เข้าใจ เต็มใจมาจน มุ่งมาจนด้วยปัญญา เต็มใจตั้งใจมาจนด้วยปัญญา จนได้สำเร็จ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ คนจนที่เสียสละ คนจนที่สร้างสรร อุดมสมบูรณ์ ดูบนโต๊ะนี้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารโชว์ทุกวัน เผือกหัวเบ้อเร่อ  ทั้งเผือกทั้งมันอาตมาก็กิน เป็นของไร้สารพิษที่พวกเราปลูก สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ ที่บวรราชธานีอโศกวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2566 ( 11:01:09 )

ความสงัดของอัญญเดียรถีรย์

รายละเอียด

1.สงัดจากกิเลสเพราะจีวร

2.สงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต

3.สงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:54:15 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:18:45 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:58:02 )

ความสดชื่นของสมณะโพธิรักษ์ด้วยวัย 85 ปี

รายละเอียด

อาตมาสดชื่นตลอดเวลา  ไม่มีเวลาเว้นวรรคสัก 1 วินาทีที่จะมีความโศก  เขาบอกมาว่าขอให้พลานามัยอาตมาสดชื่น  ถ้าพูดถึงสุขภาพ  พลานามัยของร่างกายก็ย่าง  86  ได้แล้ว จะให้สดชื่นเหมือน  20-30ได้อย่างไร ก็ยังไม่สดชื่นเป็นธรรมดาท่านที่ได้แล้ว  อาตมาก็ว่ามันสดชื่นสำหรับคนวัย  85 แล้ว  อาตมาว่าองค์รวมอาตมาสดพอได้อยู่นะ สดเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน  อาตมาว่าดูได้ สัมผัสได้ว่าอาตมาสดกว่าอยู่  ขอบคุณที่จะพยายามให้อาตมาสุขภาพดี

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27  พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 14:46:26 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:19:59 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:58:46 )

ความสบายแบบยอดมหาอบายโดยใช้อำนาจเงินที่ทุจริตโกงมา

รายละเอียด

เป็นเรื่องที่กลบเกลื่อนให้เขาโง่ต่อว่าไม่มีหรอก อะไรเป็นตัวกูของกูมันไม่มี มันไม่ใช่ของเขาหรอก ไอ้ที่ไม่ใช่ของเขาก็ไม่ใช่สุจริตด้วย เป็นทุจริตโกงมาแท้ๆเลย ตัวเองก็รู้ ใครๆก็รู้ แต่เพราะอำนาจเงินของโลก เขาใช้อำนาจเงินของโลก ออกไปทางต่างชาติ คนทั้งโลกกลัวอำนาจเงินทั้งนั้น เขาอยู่ได้ด้วยอำนาจเงิน โดยคนโง่ทั้งหลายของโลกทั้งหลายที่ต้องตกเป็นทาสเงิน ซื้อมอนเตเนโกร ให้เปลี่ยนสัญชาติ ตอนนี้เขาชื่อโทนาฟ เขาสะแลงจากชื่อโทนี่ แต่เป็นโทนาฟ เป็นยาแก้น้ำกัดเท้าแสบๆ เขาเปลี่ยนสัญชาติไป แต่ก็ใช้เงินที่โกงไปจากไทย เอาไปแปลงเป็นเงินต่างชาติเสีย ไปฝากไว้ในแบงค์อื่น ถอนมาเป็นเงินอื่นใช้โดยอัตโนมัติของโลกเขา ก็สบายไป สบายแบบนี้มันยอดมหาอบาย ยอดนรกหมกไหม้ อาตมาพูดสัจธรรมไม่ได้ถล่มทลายเขา แต่อาศัยสิ่งที่จริงเขาทำเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายธรรมะได้ชัดเจน ก็ขออาศัยอันนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 12:12:15 )

ความสบายและความลำบาก

รายละเอียด

เมื่อเราอยู่ตามสบาย  (ยถา สุขัง  โข  เม  วิหรโต)   อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง  กุศลธรรมย่อมเสื่อม  แต่เมื่อเราเริ่มตั้งตนเพื่อความลำบาก  (ทุกขายะ  ปนะ   เม  อัตตานัง   ปทหโต) อกุศลธรรมย่อมเสื่อม  กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 09:47:26 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์