@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ความยิ่งใหญ่ของคนใจพอ

รายละเอียด

ความเป็นคนใจพอเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากในโลก เราพอแล้วแต่เรามีสมรรถนะที่สูงเราก็สร้างสรรได้เกินที่เราใช้เผื่อแผ่ให้แก่สังคมสังคมก็ได้ประโยชน์นี่เป็นนัยยะของสังคมเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งซับซ้อน อยากให้ดอกเตอร์หรือ Post Doctor ทางเศรษฐศาสตร์มาทำวิจัย เมื่อไหร่จะมีมาสัก 5 คน 10 คน มานั่งฟังโพธิรักษ์อธิบายเศรษฐศาสตร์ประเทศไทยจะไปได้อย่างเจริญรุ่งเรืองดีมหาศาลเลย

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2562 ( 16:34:23 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 17:13:56 )

ความยิ่งใหญ่ของคำว่า สัตบุรุษ

รายละเอียด

สัตบุรุษ คำนี้ยิ่งใหญ่ ภาษาบาลี สัตตะ แปลว่า 7 

บุรุษที่ใช้คำว่า สัตตะ ที่แปลว่า 7 มันลึกซึ้งมาก เป็นรอบ สังขยาเลข

ระดับพลังงานที่กำลังจะดำเนินไปอีก เส้าใหญ่ ที่จะก้าวหน้าเป็น 8 เป็น 9 และคุมอีก 2 เส้า ถ้าเกิด 3  3  3ออกไปอีก ก็จะขยายนัยออกไปอีก มีตัวคุมตัวนำ เป็นตัวที่ 7 เสมอ อยู่ที่ 7 พลังงานยิ่งใหญ่มากในระบอบของ 1 2 3 / 4 5 6 / 7 8 9 และ 10

ตัวที่ 7 จึงเป็นตัวที่มีปฏิกิริยายิ่งใหญ่มากทำให้เกิดปฏิภาคทวีขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทางสสารพลังงานเขาก็ใช้อยู่แต่ทางนามธรรมก็ใช้เช่นกัน 

จิตนิยามอเวไนยสัตว์ธรรมดา ก็ไม่สามารถเรียนรู้ความลึกซึ้งซับซ้อนอันนี้ได้ ต้องเป็นขั้นเวไนยสัตว์จึงสามารถเรียนรู้ได้ เพราะนี่เป็นพลังงานระดับจิตนิยาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 20:57:20 )

ความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธอยู่ที่ใด

รายละเอียด

สามารถมีความลึกซึ้งไปถึงว่า รู้จักจิต รู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพานแล้วแยกกิเลสออกจากจิตได้ทำลายกิเลสได้ เป็นความโง่ที่ยอมให้กิเลสเกิดขึ้นในจิต จนกระทั่งเป็นผู้มีฤทธิ์สูงสุดไม่ให้กิเลสเข้ามาในจิตได้เลย จิตใจก็ปราศจากกิเลส พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากกิเลสถาวรในจิตใจ กิเลสเข้าไม่ได้แม้จะกระทบสัมผัสอยู่ในโลกที่เขาสร้างกิเลสอยู่ทุกวันๆ มหาศาลไม่มีหยุดหย่อน คนโง่ที่เป็นปุถุชนก็สร้างกิเลสตลอดเวลา แต่จะสร้างอย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็อยู่ในโลกนี้ อยู่ที่กิเลสไม่สามารถที่จะระคายเคือง ไม่สามารถที่จะเข้าไปแตะต้องเข้ามาหาตัวเขาได้เลย นี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:49:45 )

ความยึดถือก็ต้องยึดถือวิภวตัณหา

รายละเอียด

ขณะพระพุทธเจ้าตรัส ท่านตายหรือเป็น ความไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวจบ อุปาทายติ ใช้คำว่าอาศัย …ก็นึกถึงหนังสือที่เขียนอยู่คือ หนังสือ คนจนที่มีแบบ ตอนนี้เขียนหมดแล้ว ก็ตรวจสอบอยู่ การพิมพ์เดี๋ยวนี้จะน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะมาทางเทคโนโลยีดิจิตอลเยอะ คำสอนของพระพุทธเจ้า เอาตัวลึกๆมาพูด จะเห็นอย่างนี้ทั้งนั้น สรุปแล้วเรามาพูดถึงอุปาทาน ความยึดถือ กับความยึดมั่นถือมั่น ความยึดถือก็ต้องยึดถืออยู่บ้าง จะไม่ถืออะไรเลย คุณก็กระร่องกระแร่งไปตามยถากรรมเป็นอุกกาบาต แล้วแต่พลังงานอะไรจะให้เป็นไป สะเปะสะปะ เป็นลูกอุกกาบาต ที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย แม้แต่ดาวดวงน้อยดวงหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่มันจะได้สูญสลาย ไม่ได้สูญสลายง่ายเลย พลังงานเหล่านั้นมันก็เป็นเศษสวะเป็นเศษฝุ่น ที่เป็นอย่างนั้น มันจะมีแกนของอุกกาบาตตัวเองแค่ไหน ถ้าพลังงานนั้นถูกเตะไปมาก็ฟ่ามไปมาหลวมไปมา แต่ถ้าแน่นก็เพิ่มพลังงานอุกกาบาต เกิดจากเหตุปัจจัยที่ตัวเองไม่มีจิตเป็นประธาน อุตุนิยามไม่มีจิตเป็นประธาน มีแต่แรงข้างนอกมากระทำ ฟิสิกส์มีแรงภายนอกกระทำเป็นหลัก แรงดึงดูดก็เป็นแกนตนเองแต่สู้แรงภายนอกไม่ได้ เมื่อมาเป็นตัวเอง มีแกน มีพีชนิยามก็เริ่มมีแกนตัวเองอยู่ระหว่าง อุตุนิยามกับจิตนิยาม พีชะนี้จะเอียงไปทางไหนก็ไม่ได้ มีแต่จะสะสมพลังงาน ถ้ามี 4 5 6 ก็ต้องถึงขั้น 7 จึงเป็นนิยตะ เป็นชีวะที่จะขึ้นมาเป็นจิต ถ้ายังไม่เป็น 7 เป็น 4 3 ก็ได้ออกมาได้ 5 แล้วมา 6 ก็ไม่แน่ไม่เที่ยงสามารถถูกทำลายได้ง่าย แต่ก็แข็งแรงขึ้นมา แต่ถ้าเป็น 7 สามารถรักษาขึ้นไปเป็นจิตนิยามได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 23 มกราคม 2564 ( 12:07:49 )

ความยึดมั่นตายตัวในคำสั่งของพระเจ้า คือการถูกบังคับให้เทฺวมี1เดียว!

รายละเอียด

ดังนั้น คนผู้ได้ปฏิบัติไปตามทิฏฐิของ“พระเจ้า”แล้ว และ

ยึด“เหตุ”ตามคำสั่งของพระเจ้าเกิด“ผล”นั้น

แล้วคุณก็ยึดมั่นถือมั่น“ผล”ของคุณนั้นว่าจริงหนึ่งเดียว

ต้องเป็นเช่นนี้ 

ตามคำตอบตายตัวที่พระเจ้าระบุไว้เท่านั้น 

แม้ว่าจะมี“องค์ประกอบ”ใดอื่น ในคนละกาละ คนละเทศะ

คนละฐานะ แปลกเปลี่ยนไปแค่ไหน ก็ตาม 

ก็จะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากที่“พระเจ้า”กำหนดไว้แล้ว

ตายตัวเป็นเด็ดขาด 

ยึดมั่นถือมั่นยืนหยัดตายตัวตามคำสั่ง“พระเจ้า” 

ไม่ขึ้นต่ออะไรทั้งสิ้น

นี่คือ “เทฺว”ถูกบังคับให้เป็น“1”

โดดเดี่ยวที่สุด ไม่มี 2 จึงไม่มีอะไรอื่นด้วยเลย

ก็คือ “อวิชชา”สมบูรณ์แบบ

หมดสิทธิ์ที่จะมี “การรู้” ขึ้นมาได้ “โง่”ก็เป็น 1 เที่ยง

“อวิชชา” จึง “เที่ยง” แล้วสนิทแน่นอนจริงๆ

  ทั้งๆที่“เทฺว”คือ “2” ทั้ง“พยัญชนะ” ทั้ง“สภาวะ”แท้ๆ

มันก็เป็น“วิสัย”ที่สุดวิสัยแล้วสำหรับผู้เชื่อเช่นนี้ 

ยึด“เหตุ”นี้ ก็ย่อมได้“ผล”นี้ เป็นธรรมดา มันก็ต่างคนต่าง

เป็นต่างมีต่างได้

ก็คงต้อง“จบ”กันเท่านี้ ตามที่“ผู้สุดวิสัย”ยึดมั่นแท้กันแล้ว

“หลงผิดสนิท”ว่า ในโลกแห่ง“เทฺวนิยม”แท้ๆก็ยึดว่า

“เทฺว”นั้นเป็น“1”เท่านั้น 

“เทฺว”เป็น“2”ไม่ได้เป็นอันขาด ตลอดกาลนาน

ชาว“เทฺวนิยม”หรือลัทธิ“พระเจ้า”เขาก็“สุดวิสัย”กันแค่นี้

ก็เอาที่คนผู้ยัง“ไม่สุดวิสัย”แล้วกัน ถ้าสนใจก็เชิญศึกษา

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 166 หน้า 146


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 11:26:52 )

ความยึดมั่นถือมั่นกับธรมะ 2 ในโลก

รายละเอียด

คนหนึ่งมามองอันนี้เรียกว่ากล้วยนะ อีกคนหนึ่งบอกว่า กล้าย อีกคนหนึ่งว่ากล้วย แต่อันนี้มันอันเดียวกันนะ แต่ 2 คนนี้มันหาเรื่องกันแล้ว เอาพยัญชนะมาคนนึงบอกว่ากล้วยคนนึงบอกว่า กล้าย ถ้ามันไม่ลงกันสุดท้ายมันก็ฆ่ากัน เถียงกัน ถ้าหากอีกคนหนึ่งบอกว่า กล้ายก็กล้ายนะ ก็จบเหมือนกัน อาตมานี่ฉลาด แพ้ก็แพ้วะ แพ้ทำไงต่อ ก็ติดคุก ติดก็ติด แล้วเขาอนุโลมรอลงอาญาสองปีก็รอ จะให้คนมาควบคุมความประพฤติ จะมาก็มา คนมาควบคุมไม่กี่วันไม่กี่ปีก็ไม่มาอีกแล้ว หายไปเลยตั้งแต่บัดนั้น มาแค่ทีสองทีบันทึกรายงาน คนบันทึกรายงานก็บันทึกแล้วว่า ท่านทำดีแล้ว เรายังไม่ดีเท่าเลย มันก็บาดเสียดหัวใจตัวเอง คือ สัจจะมันเกิดขึ้นมาจริงแล้วทั้งนั้นเลย ศึกษาให้ดีเถอะ อาตมาศึกษามาแม้เป็นแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 มีความรู้ความจริงที่มาแสดงต่อโลก ผู้คนรู้เข้าใจว่ามีความต่างมีทฤษฎี ผู้ที่เอาตามยังไม่ได้ไม่เห็นด้วยก็ขัดแย้ง ก็ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะฉะนั้นเราเอาอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านสรุปแล้วเราทำตามอย่างท่านได้แค่นี้ ก็ยังเกิดความสงบเกิดความอบอุ่นเกิดความยินดีเป็นไป อาตมาก็เห็นว่ามนุษย์ยุคนี้ได้ใฝ่หาสัจธรรมอันนี้ เขาไปใฝ่หาจะทำอีกแบบมานานแล้วมันเดือดร้อนมากแล้วตอนนี้ก็ไม่เอา มาเอาแบบนี้มันมี 2 ทิศทางเป็นธรรมะ 2 ในโลก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:21:41 )

ความยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นสุข

รายละเอียด

พยัญชนะที่จะบอกสุขหรือทุกข์ อาการที่เรียกว่าสุข สุขที่มันสบายที่สุดเราเรียกว่า ความว่าง สุข นี้ ข คือความว่าง สุ คือดี ว่างนี่แหละดีที่สุด มันมีรสโลกีย์อย่างไรก็สู้ความว่างไม่ได้ ถ้าเรายังชอบใจอร่อยในอารมณ์สุขโลกียรส คุณยังชอบอยู่ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ไม่ยอมปล่อยยอมเลิกก็ต้องมีทุกข์ คุณไม่มีไม่ได้ มันต้องมี จนคุณมีบ้างไม่มีบ้างก็ได้ ก็ยังยึดนะ จนเห็นด้วยปัญญาเฉลียวฉลาด ไม่มีเลยก็ยิ่งดีกว่า ความฉลาดมันมี ถ้าไม่มีนี้ดีกว่ามีนะ แม้จะมีบ้างไม่มีบ้างก็สมบัติผลัดกันชม ดีไม่ดีไปนึกถึงมันก็ทุกข์ หากไม่ต้องมีว่ายึดในเราเลยก็เหนือกว่ายึด แม้ยึดไม่มั่น ยึดมั่นถือมั่นนี้แย่กว่า ยึดไม่มั่นก็ยิ่งดี แต่ไม่ยึดนี้ มีมาก็ได้แต่ไม่มีก็ไม่โหยหา

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:11:21 )

ความยึดเกี่ยวกับ ตัวตน

รายละเอียด

ความยึดเกี่ยวกับ“ตัวตน”นั้น มีพยัญชนะที่ใช้กันคือ สก, สว, สย

ส เริ่มพยัญชนะตัวนี้ เริ่มมีความเป็น“ตน” 

สกะ คือ “ของตน”ที่หยาบใหญ่ถึงขั้นประกอบด้วย “กาย” เป็น“สักกาย” อันมี“รูปธรรม”หรือถึงขั้นมี“วัตถุธรรม”ที่เกี่ยวเกาะภายนอกกันทีเดียว สวะ คือ “อาสวะ” ก็เป็น“ของตน”แน่ แต่หมายถึง“นามธรรม”หรือเข้าไปหมายเอา“จิต”ภายในที่ยึดเกาะเกี่ยวทั้ง“ภายนอก”ทั้ง“ภายใน”ติดยึดอยูเป็น“กิเลส”ทั้งหยาบทั้งกลางทั้งปลาย 

ส่วน“สยะ”นี้เป็น“ของตน”ที่เน้น“ภายใน”ถึงขั้นเป็น“ของตนเอง”ถึงขั้นเป็น“เอง”กันเลย ตั้งแต่ตนเองได้ “อาสัย” ไปจนถึงขั้น“นิสัย” แล้วก็ขั้น“วิสัย” ที่สุดลึกถึงขั้นอยู่ใน“อนุสัย” จึงไม่ใช่เน้นหยาบอยู่ภายนอกแล้ว แต่ลึกเข้าไปสู่ภายใน ที่เป็น“นามธรรม”ถึงก้นบึ้งของจิตทีเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ งานอโศกรำลึก 2566 ธัมมิกราชประกาศโลกุตรธรรม สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
 


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2566 ( 11:22:53 )

ความรวย

รายละเอียด

เป็นอวิชชา คิดจะหาเงินรวยเพื่อช่วยคนอื่น แต่ศาสนาพุทธไม่คิดอย่างนั้นคนจะรวยก็รวยไป คนจะทำรวยก็เรื่องของเขา มีคนที่รวยตามสุจริตตามบารมีกับคนรวยโดยที่ทุจริต ที่ไม่ใช่บารมีแต่เป็นสันดาน เป็นคนรวยตามสันดาน มันก็มี 2 อย่างใหญ่ๆสำหรับคนรวย ทีนี้ถ้าคนที่มีภูมิปัญญาโดยเฉพาะภูมิปัญญาโลกุตรธรรมและภูมิปัญญาของชาวพุทธแล้วจะไม่ทำตนเป็นคนรวย ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าเป็นคนมีปัญญา ถ้าจะรวยก็รวยได้ แต่ท่านไม่ไปเป็นคนรวย พระสาวกต่างๆหลายท่านหลายองค์มีปัญญา แล้วท่านก็ไม่ไปรวย ท่านทิ้งความรวยมา ไม่ว่าจะเป็นสาวกชายสาวกหญิงเยอะแยะ  การไปรวยนั้นคิดผิด เพราะคนไปรวยนี้แม้คุณจะสุจริตคุณก็ต้องเอาเปรียบมา ได้เปรียบมาจากสังคมแล้วก็กักตุน การเอามากักตุนไว้มาก โลกก็ขาดแคลนต้องแย่งชิงกัน เมื่อมีคนตั้งตนเป็นคนรวย 2คน 3คน 4คน คนอื่นก็ต้องยิ่งขาดแคลนยิ่งแย่ใหญ่เลยอย่างที่เป็นอยู่ในทุกยุคสมัยเป็นอย่างนี้ คนรวยได้แม้สุจริตก็เป็นอวิชชา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66  วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 18:53:43 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:34:54 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 15:50:22 )

ความรวย

รายละเอียด

คือการสะสมวัตถุสมบัติเงินทองอะไรก็แล้วแต่ให้มากๆแล้วไม่สะพัดออกไปสู่คนอื่น มันเป็นความเห็นแก่ตัวมันเป็นความทำให้คนอื่นลำบากยากแค้นต้องแย่งชิงกันมันเป็นการทำความทุกข์ให้แก่โลกแก่สังคมมนุษยชาติ คนกอบโกยทรัพย์สินเงินทองให้แก่ตัวเองมากๆนี้ อาตมาเคยอธิบาย คนที่รวยที่สุด จะมีบริษัทของตัวเอง ผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นเจ้าของบริษัทจะจ่ายทุนหรือจ่ายทรัพย์สินของตัวเองให้แก่ลูกน้องผู้ที่มาทำงานเป็นระดับชั้นไป แล้วตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ที่สุดเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินเลย ให้คนที่เป็นลูกน้องแจกจ่ายกันเป็นชั้นระดับอย่างเหมาะสมควรที่จะได้ คนยิ่งระดับล่าง ระดับกรรมกร ระดับที่ต้องใช้เงินทองมาใช้ทั้งการขนส่งลงทุน ทำวัตถุดิบ พวกนี้ต้องมีเงิน ให้พวกนี้มีเงินสมฐานะสมรรถนะ ความขยันของเขาก็ต้องมีเงินทองข้าวของวัตถุหมุนเวียนได้สัดส่วน นี่คือสัจจะที่จริงแล้ว คนที่เป็นฐานกรรมกรจะต้องมีเงินทองมาก จะใช้ว่าเป็นคนรวยมันไม่ดีเดี๋ยวจะสับสน จะต้องมีเงินทองมีทรัพย์วัตถุมากเพื่อที่จะเอามาใช้ทำงาน ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัทไม่ต้องมีเงินทองเลย สะพัดออกไปให้มากเลย นี่คือสัจจะของเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ พูดแล้วคนเขาก็หูหักเขาฟังแล้วบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก จริง เป็นไปไม่ได้ในความคิด แต่อาตมาทำได้เกินกว่านั้น เอาของพระพุทธเจ้ามาทำเป็นสาธารณโภคี มาดูชุมชนชาวอโศกสาธารณโภคี คนขยันที่สุดทำงานได้ดีมีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถ แต่ทำแล้วเอาเข้ากองกลางไม่มีสมบัติของตัวเองเลยเป็น 0 นี่แหละคือเศรษฐีใหญ่ เศรษฐศาสตร์ หรือเสฏฐบุคคล เป็นเศรษฐีแท้ คนที่มีทรัพย์สินเงินทองมากจดทะเบียนเป็นของตัวเองมีกฎเกณฑ์กฎหมายใครแย่งชิงไม่ได้ คนพวกนี้คือ พวกคนจนกระจอกคนจนไม่รู้จักจบ คนพวกนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2563 ( 11:28:06 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:53:13 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 15:58:49 )

ความรวยแก้ปัญหาเศรษฐกิจในโลกไม่ได้ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพูดเรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจ ความรวยแก้ปัญหาเศรษฐกิจในโลกไม่ได้ ความจนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เด็ดขาดแท้ จบกิจ คนผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนจน เพราะฉะนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า คนที่ไม่หมดปัญหาเศรษฐกิจนั้นคือคนไปรวย หรือคนรวย 

คนรวยไม่มีหมดปัญหาเศรษฐกิจ คนจนเท่านั้น คนที่พอเพียง จนแล้วก็พอ มีใจพอ ก็จึงมีฐานที่สงบ ฐานที่หยุด ฐานที่อาศัยได้ ผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจคือคนจน ที่ได้เรียนรู้ และปฏิบัติ ปฏิบัติตนเองจนบรรลุอาริยธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มีวรรณะ 9 ต้องอาศัยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าก่อน มีวรรณะ 9 ในโลก แล้วในโลกปัจจุบันนี้ก็มีชาวอโศก คนจริง ชาวอโศกนี่คนแท้ๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ คนจริง ชาวอโศก ที่พิสูจน์ความจริงนี้สำเร็จ จริงๆ มีคนจริง มีสังคมจริง มีปรากฏการณ์จริง ยืนยัน ให้ใครๆในโลกนี้มาพิสูจน์ มาตรวจสอบความเป็นไปได้จริงนี้กันได้เลย 

แล้วคนผู้นี้คือชาวพุทธที่เป็นคนไทยนี่แหละ อยู่ในประเทศไทย ผู้ที่ปฏิบัติแก้ปัญหาเศรษฐกิจตก เป็นความลงตัวของคำว่า ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐศาสตร์ก็ดี หรือจะสรุปลงไปที่สังคมมนุษย์ก็ดี เป็นความลงตัว เป็นความจบ เป็นความสมบูรณ์แบบ อยู่ที่ตรงนี้ แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนั้นยังมองไม่เห็น ยังอ่านความจริงนี้ไม่ออก อ่านไม่ได้ อ่านไม่รู้ ทั้งๆที่มีของจริงอยู่นี่ อ่านไม่ออก อ่านไม่ได้ เขามาอ่านอโศก อ่านไม่ออก อ่านไม่รู้ อะไรของมันวะ อะไรอย่างนี้ ก็เพราะว่าความรู้ความฉลาดของเขา มันเป็นความรู้ความฉลาดแบบ เฉโก เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกีย์ เขามีแต่ปริญญา เฉโก หรือปริญญาโลกีย์เขาไม่มีปัญญาโลกุตระ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 07:34:41 )

ความรัก

รายละเอียด

รัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก เท่าไหร่ก็ทุกข์เท่านั้น ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย จะทำอย่างไร ต้องศึกษาธรรมะพุทธเจ้าให้เป็นคนโสดให้ได้ มันไม่ใช่ความสุขหรอกเป็นความสุขที่หลอก ถ้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าการแต่งงานการมีคู่ดี พระพุทธเจ้าจะต้องเลิกจากการมีคู่หรือเปล่า พระภิกษุหรือแม้แต่ภิกษุณีแม้แต่ผู้หญิงจะเลิกจากคู่มาบวชได้ไหม แม้คำสอนก็ยืนยันไว้ทั้งหมดแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่า ท่านไม่ได้พูดแรงเท่านั้นเอง แต่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านทรงความรู้ที่สูงสุด พูดสิ่งใดเป็นจริงหมด ความรักเป็นทุกข์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66 วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:17:56 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 16:01:32 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:10:34 )

ความรัก

รายละเอียด

ผีมารมันหลอกอยู่ ตราบใดที่ผีหลอกอยู่ เราก็จะหลงความทุกข์ เก็บเป็นความสุข  ตราบใดที่คนเห็นแจ้งหรือว่า  ความทุกข์มันแสดงจริงมากกว่าสุข คุณก็จะรู้สึก ตอนนี้ก็ให้ถูกผีหลอกไปก่อนสักวันหนึ่ง เธอจะนึกถึงฉัน และแล้ววันนั้น เธอต้องร้องไห้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562                            


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 20:22:11 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:36:58 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:32:29 )

ความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

ความรัก 10 มิติ 
1. กามนิยม (เมถุนนิยม) 
2. พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ) 
3. ญาตินิยม (โคตรนิยม) 
4. สังคมนิยม (ชุมชนนิยม) 
5. ชาตินิยม (รัฐนิยม) 
6. สากลนิยม (จักรวาลฯ) 
7. เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) . 
8. อาริยนิยม (อเทวนิยม) 
9. นิพพานนิยม (อรหันตฯ) 
10. พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม) 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
พ่อท่านบรรยายไว้ที่มหาลัยเชียงใหม่


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2562 ( 12:15:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:38:53 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:33:50 )

ความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

1.  กามนิยม(เมถุนนิยม)                      

2. พันธุนิยม(ปิตปุตตาฯ)

3.  ญาตินิยม  (โคตรนิยม)                   

4.  สังคมนิย   (ชุมชนนิยม)

5. ชาตินิยม (รัฐนิยม)

6.  สากลนิยม (จักรวาลฯ)

7. เทวนิยม(ปรมาตมันฯ)    คนจะเข้าใจความรักมิติที่ 7  เป็นต้นไปแยกแยะออกต้องเป็นศาสนาพุทธ  อเทวนิยม  จะรู้จักอาตมัน  ปรมาตมัน

8. อาริยนิยม (อเทวนิยม)  เป็นอมตบุคคลรู้สภาพคู่มีก็ได้  ไม่มีก็ได้  สำหรับตัวเราเอง

9. นิพพานนิยม (อรหันต์)

10. พุทธภูมินิยม (หรือโพธิสัตว์ภูมินิยม)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 

สมณะโพธิรักษ์ ได้บรรยายไว้ที่ มหาลัยเชียงใหม่


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:02:07 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:40:19 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:34:33 )

ความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

ให้ความรักแก่คนทั้งโลกนี้เป็นจิตของอาตมา ตามที่เขียนเอาไว้ว่าคนเรามันมีกรอบขอบเขตของจิตที่มีทั้งความรู้ มีทั้งความไม่รู้ แล้วก็ทำให้ตัวเองเกิด เป็นความรู้ที่ไม่ดี มันเลวร้ายมันทำให้เกิดบั่นทอน และก็ยังทำให้เกิดความรักที่แคบแค่เริ่มตั้งแต่มิติที่ 1 ดังที่ได้เขียนมาแล้วตั้งแต่กามนิยม จนกระทั่งจบถึงโพธิสัตวภูมินิยมทีเดียว หรือพุทธนิยมสูงสุด 

จริงๆแล้วที่เขียนความรัก 10 มิติ ออกมาก็เคยพูดถึง เมื่อตอนไปเทศน์ไปบรรยายธรรมะอยู่ที่เชียงใหม่ ก็ขึ้นมาเอง ไม่ได้ไปร่างไม่ได้ไปคิดว่ามันจะมีอะไรขึ้นมาขณะเดินทางไป เสร็จแล้วทั้ง 10 ความรักมันก็เรียงร้อยออกมาเลย ก็เลยเทศน์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วก็ไปเทศน์ต่อที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่ 2 ครั้ง เขาก็นำคำเทศน์นั้นมาเขียนพิมพ์เป็นหนังสือความรัก 10 มิติ 

มีฉบับที่เอาคำพูดคำเทศน์ของอาตมาโดยตรง 2 ครั้งติดต่อกันไว้ เป็นความรัก 10 มิติขึ้นมา จนอาตมาได้มาพยายามสรุปเรียบเรียงอีกทีเป็นเล่มความรัก10 มิติฉบับเรียบเรียงก็สั้นขึ้น กระทัดรัดขึ้น มันก็เป็นการเรียบเรียงเข้าแก่นเข้าเนื้อไม่มีสิ่งที่เยิ่นเย้อวน ตัดออกไปบ้างก็ชัดเจนขึ้นมาหน่อย ก็เป็นหนังสือที่เอาไว้ศึกษาให้พวกเราได้ศึกษาตั้งแต่มัธยม 1-6 ก็บอกแล้วในพวกเรา สัมมาสิกขาก็ให้ศึกษากัน ครูก็ต้องพยายามรู้ด้วยแล้วก็เข้าใจแล้วก็อธิบายเพราะมันเป็นความจริงที่มนุษย์มี และพึงเอามาสอนกันแนะนำกันให้เป็นให้มี มีความรักที่วิเศษประเสริฐเลิศยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2566 ( 13:02:43 )

ความรัก 10 มิติพ่อครูเขียนเองไม่มีใครพูดไว้

รายละเอียด

ความรัก 10 มิติอาตมาเขียนเองด้วยแล้วก็ใช้ได้ ไม่มีใครพูดไว้หรอก เพราะอาตมาต้องชื่อรัก แล้วต้องมาเขียนอันนี้ อาตมาชื่อรัก มาก่อนที่จะมาบรรยายเขียนความรัก 10 มิติ อาตมาเปลี่ยนชื่อจาก มงคล มาเป็น รัก ก่อนจะมาบวชปี 2517 อาตมาบรรยายเรื่องความรัก 10 มิตินี้ไว้ 2 กัณฑ์ก็เอามารวมเล่ม เป็นสองแบบ พิมพ์มาหลายสิบรอบแล้ว 
 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:15:09 )

ความรัก เปมัง ในปัญญา 8 ข้อที่ 2 เป็นแบบใด

รายละเอียด

หิริ มันละอาย โอตตัปปะ มันกลัว หิโรตัปปัง คือทั้งกลัว ทั้งละอาย อยู่ในตัวเลย ติพพัง อย่างแรงกล้า จึงเกิดความดูดดึงหรือเกิดความรัก เปมัง คนนี้ควรรัก แต่ไม่ใช่ความรักอย่างโลกีย์ มิติที่ 1 หรือ 2 แต่เป็นมิติที่ 7 ขึ้นไป อย่างน้อยรักอย่างพระเจ้า ยิ่ง มิติที่ 8 เป็นพุทธก็ยิ่งเป็นความรักที่ละตัวตน ละความนิรันดร ละความติดยึด ที่เป็นโลกีย์ เทวนิยม มาเป็นโลกุตระ มาเป็นอเทวนิยม เสร็จแล้วก็คารโว เคารพนับถืออย่างยิ่ง เข้าไปไต่ถามไปสอบถามตามกาลอันควร ไม่ใช่ไปจู้จี้จุกจิกอะไรกันมากมาย ต้องตามพอสมควร ตามที่เป็นไปด้วยดี ไม่เป็นการรบกวน มันถือเป็นบาปด้วย ถ้ารบกวน ใช่ไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 20:42:06 )

ความรักที่ดีครบทั้ง 10 มิติอย่างดี

รายละเอียด

เริ่มต้นใน พุทธพจน์ 7 ระลึกถึงกัน สาราณียะ รักกัน เป็นความรักอย่างดีนะของ 10 มิติ เป็นความรักที่ดีครบทั้ง 10 มิติอย่างดี แม้แต่เป็นอย่างที่ 1 เรื่องของคนคู่ก็อย่างดี 

เรื่องของพ่อแม่ลูกก็อย่างดี เรื่องของญาติโกโหติกาบริวารที่สูงขึ้นไป เป็นมิติที่ 3 ญาตินิยมก็อย่างดี เพิ่มจากมิตรสหายขึ้นไปก็เป็นสังคมนิยมก็อย่างดี จนกระทั่งถึงระดับชาตินิยมก็อย่างดี ยิ่งเป็นไปถึงต่างประเทศสากลนิยมก็อย่างดี เข้ามาหาจิตเทวนิยมก็อย่างดี อาริยนิยม นิพพานนิยม พุทธนิยมสุดท้าย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่อาตมาวิเคราะห์วิจัยแล้วก็แยกหมายอะไรพวกนี้ ในอนาคตจะมีคนตามมาดู แล้วก็เอาไปใช้งาน ทุกวันนี้ก็มีคนหยิบไปใช้ประกอบบ้าง แต่ก็ยังไม่มาก เพราะอาตมาเป็นหมาหัวเน่าในประเทศไทยที่เถรสมาคมเขาตีตราเอาไว้แล้ว ตีตราเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนไม่ถูกต้อง ทำอะไรก็ไม่ถูกต้อง คนก็เลยต้องเชื่อเถรสมาคมเขา อันนี้แหละมันเป็นวิบากของประเทศที่อาตมาก็สุดสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ ก็พยายามเสนอว่า อาตมาทำนี่มันเป็นของดีนะ ไม่ใช่ของเน่า ของเสียอย่างที่เขาเข้าใจตีทิ้งอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิโดยพ่อครู GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 15:17:15 )

ความรักมิติที่ 1

รายละเอียด

ถ้าจะอธิบายให้สลับซับซ้อนหลายชั้น พลีรักไว้เทิดบูชา มันเป็นสุดยอด ซับซ้อน แม้ที่สุดจะเป็นความรักโลกีย์ หนุ่มสาว ผู้หญิงผู้ชายก็ตาม เป็นความรักที่อาตมาจัดอยู่ในมิติที่ 1 ต่ำที่สุดแล้วก็ตาม มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในโลกมี ถ้าเป็นความรักที่ดีบริสุทธิ์ ก็รักทางกามนี่แหละ รักทางที่จะต้องต่อเผ่าต่อพันธุ์ของมนุษย์โลกก็จะต้องมีกาม ก็จะต้องสืบพันธุ์ แค่นี้ก็ตาม ถ้าเป็นความรักที่ดีต่อกัน แล้วก็ทำหน้าที่ตัวเองในมนุษย์ชาติ ในสัตว์โลก ต่อเผ่าต่อพันธุ์มีลูกมีเต้าก็อบรมเลี้ยงดูให้ดี เป็นพลเมืองดีขึ้นไปให้แก่ประเทศชาติ มันก็ประเสริฐระดับที่ 1 

 

ที่มา ที่ไป

ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:55:26 )

ความรักมิติที่ 2 ที่ตรงกันข้ามกัน

รายละเอียด

ใช่ จิตเป็นประธานเรียกเป็นภาษาสากลว่าความรัก อย่างเทวนิยมเขาบอกว่าเขารักทุกสรรพสิ่ง แล้วความรักของเขายังมีตัวตนที่ใหญ่ไปกับความรักด้วย เทวนิยม มีความใหญ่ของตัวเองไปกับความรักครอบงำให้คนอื่น เป็นเชิงทาส ตรงกันข้ามกันกับของพระพุทธเจ้าที่ถอดตัวถอดตน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:16:57 )

ความรักมิติใดที่เริ่มเป็นประชาธิปไตย

รายละเอียด

ไม่สูงถึงขนาดนั้นหรอก ในมิติที่ 7 ก็เริ่มแล้ว ถ้ามิติที่ 8 ก็แข็งแรง ถ้ามิติที่ 7 ก็เริ่ม  เป็นประชาธิปไตยเป็นผู้ที่มีลักษณะความรักมิติที่ 7 นี้คือ เป็นเทวนิยม ในปรมาตมัน เทวนิยมนี้เขาก็มีความรู้ เขาก็มีความจริงของเขาอยู่เหมือนกันว่า เขารักมวลชนหมดทั้งหมดเลย แต่เขารักนี้เขายังเป็นตัว อยู่นะ เขารักมวลชนหมดเลย แต่เขาเป็นคนช่วยเขาเป็นคนยิ่งใหญ่ แล้วเขายอมช่วยๆๆ ผู้อื่นหมดเลย แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่ง อยู่เลย พวกประชาธิปไตยของนักปรัชญา เพลโต โสเครติส เป็นประชาธิปไตยแบบ เทวนิยมแบบแนวระนาบ ยังไม่เกิดหมุนรอบ และก็ไม่รู้จักซ้ายขวา ยังแค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยเทวนิยมหรือประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยของศาสนาที่ยังไม่เป็นพุทธ ยังไม่เป็นอารยะนิยม ก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ตรงนั้น ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในประชาธิปไตยขาเดียว ที่จริงน่าจะเรียกว่าประชาธิปไตยตาเดียว กับประชาธิปไตย 2 ตา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 15:57:40 )

ความรักระดับ7 ขึ้นไปไม่เป็นกิเลส

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่าเป็นความรักระดับที่ 7 ขึ้นไปรักอย่างที่รู้จักสาระ รักในความดีงาม เทิดทูนเชิดชูในคุณค่าคุณธรรม อย่างนี้ไม่เป็นกิเลส ตอบแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวอธิบายไปหลายมิติจะยุ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2563 ( 10:40:05 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:53:47 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:37:13 )

ความรักระดับที่ 7

รายละเอียด

คือหมายถึง เข้าใจถึงจักรวาล  เข้าใจถึงอัตตา ว่า ตัวเราไม่ได้เป็นเจ้าของ  ทุกคนควรจะได้เสมอกัน  ความเสมอกันแท้จริงไม่มีหรอก  ทุกคนควรจะได้รับให้อยู่ให้เป็น   ให้ยังชีพพอเหมาะ =  สมตามลำดับ  สมณะโพธิรักษ์เคยแย้ง  ปรัชญาของฝรั่งเศส มีความเสมอภาค ท่านว่าความเสมอภาคมันไม่มีหรอก  ฝรั่งเศสมี เสรีภาพ  เสมอภาพ  ภราดรภาพ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:45:47 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:42:59 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:37:37 )

ความรักระดับที่ 7

รายละเอียด

ก็เข้าใจถึงจักรวาล เข้าใจถึงอัตตา ว่า ตัวเราไม่ได้เป็นเจ้าของ ทุกคนควรจะได้เสมอกัน ความเสมอกันแท้จริงไม่มีหรอก ทุกคนควรจะได้รับ ให้อยู่ให้เป็นให้ยังชีพพอเหมาะสมตามลำดับ การที่อาตมาเคยแย้ง ปรัชญาของฝรั่งเศสมีความเสมอภาค อาตมาว่าความเสมอภาคมันไม่มีหรอก ฝรั่งเศสมี เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 10:18:51 )

ความรักศาสนา เทิดทูนศาสนา รักธรรมะ

รายละเอียด

คือ สมณะโพธิรักษ์ท่านรักศาสนาเทิดทูนชาติศาสนาและเทิดทูนธรรมะแล้วจะให้ท่านไม่ว่าผู้มาปู้ยี่ปู้ยำศาสนา ธรรมะได้อย่างไร เขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็คือความอวิชาความโง่ของเขา ท่านก็จะต้องว่าต้องด่า ชาตินี้ท่านเกิดมาเมื่อรู้ตัวแล้วอายุ 36 อยู่ทางโลก ลิงลมอมข้าวพอง ทำงานอยู่ทางโลกหาลาภยศสรรเสริญให้แก่ตัวเองจนอายุ 36  เมื่อรู้ตัวแล้วก็รีบมาทำงานนี้ มาใช้ชีวิตกับสิ่งที่ควรจะใช้ไปเสียเวลาทางโลก 36 ปีเพราะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อรู้ความแล้วก็ไม่ไปเสียเวลาอีก กว่าจะบรรลุนิติภาวะก็เสียเวลาไปอีกตั้ง 16 ปี จนถึงอายุ 36 ปี ท่านมาทำงานศาสนายังตัดปล่อยทางโลกทิ้งอะไรที่เป็นทางโลกก็มอบให้ สละให้แก่คนอื่นแล้วไม่คิดจะหันหลังกลับจนมาถึงบัดนี้ อย่างมั่นใจด้วยไม่มีความคิดมาแทรกแซงให้ท่านหวั่นไหวมาทางนี้ทางเดียวแท้จริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:08:04 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:44:16 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:37:59 )

ความรักโลกุตระ

รายละเอียด

เรื่องรัก ยังมีประโยชน์บ้างเป็นการเกื้อกูลช่วยเหลือเป็นการคบหากันมีประโยชน์แก่กันและกัน ในเรื่องรักมีความซับซ้อนที่สำคัญมาก ประโยชน์ที่เราจะทำประโยชน์เราจะรักหรือไม่รักเป็นภาษาสื่อ แต่เราเองเป็นผู้ที่มีความปรารถนาดี มีเจตนามีความมุ่งหมายที่จะทำประโยชน์ให้แก่เขา ให้ได้รับความเรียบร้อยให้ได้รับความเจริญให้ได้รับความสุข จะเรียกว่าสุขก็ตามก่อนเป็นความสุขที่มันควรจะเป็นสุข ไม่ใช่ความสุขที่ประคบประหงมหมักหมมไปด้วยกิเลสเป็นสุขที่จัดจ้าน แต่เป็นโลกุตระเป็นความสุขสงบเป็นความสุขที่ลดกิเลสได้เป็นลำดับ จนกระทั่งไม่มีกิเลสเลยเป็นความสุขสงบที่เป็นอุเบกขาเลย ที่พูดไปนี้เป็นภาษาที่พูดไปไม่มากเท่าไหร่ แต่มีความละเอียดไปเรื่อยๆให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจตามตั้งใจศึกษาเอาจริงคนที่มีปฏิภาณปัญญาเห็นจริงรู้ว่าอย่างนี้แหละดีควรไปสู่จุดสูงสุดที่พระพุทธเจ้านำพา ถ้าเป็นผู้เชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าท่านให้เป็นคนแบบนี้เป็นพระอาริยะเป็นคนโลกุตระยอดที่สุดแล้ว ศึกษาให้ดีและทำไปตามฐานะของเราที่ควรจะทำปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมไปได้เรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:08:33 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:50:13 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:38:22 )

ความรู้ ความจริง หลักสูตรที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้

รายละเอียด

คือเป็นคนวรรณะ  9 เลี้ยงง่าย (สภระ) บำรุงง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย(สุโปสะ)  มักน้อย  กล้าจน  (อัปปิจฉะ) ใจพอ  สันโดษ(สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)  เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ  (ธูตะ ธุดงค์)  มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสมไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้ามวรรณะ  9  ขยันเสมอ  ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 15:06:43 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:42:20 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:38:46 )

ความรู้ 3 ชนิดตรงกัน

รายละเอียด

อาตมาพูดยืนยัน ก็จับอาตมาได้ จับได้ตรงไหน พระไตรปิฎกก็ยังมี คุณเปิดพระไตรปิฎกมายืนยันกับอาตมาเลย พระสูตรไหนประโยคไหนที่อาตมาพูดไปอ้างอิงแล้วมันไม่ตรงก็มาวิเคราะห์วิจารณ์กัน เอามาวิจัยกัน 

1. ถือว่า ความรู้ของตัวเอง

2. ความรู้นั้นก็เป็นของพระพุทธเจ้าตรงกัน

3. ยืนยันได้ด้วยหลักฐานที่มีอยู่ในโลกหรือบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเป็นต้น

โชคยังดีพระไตรปิฎกยังเหลือ มันก็มีเท่านี้แหละ อีกอันหนึ่งเมื่อมีความรู้ จนกระทั่งความรู้ของตนตรงกับของพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน ความรู้ของอาตมาความรู้ของพระพุทธเจ้า 3 ความรู้ที่มีบันทึกในพระไตรปิฎกเอามายืนยันตรงกันตรงกัน แล้วไอ้ที่ยืนยันลงกันตรงกันนี่ ถ้าในยุคที่อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าและยังมีประชาชนยังมีคนฟังรู้เรื่อง ฟังเข้าใจ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติได้ก็เกิดผล เกิดผลแก้วเกิดบุคคลจริง ที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริงเมื่อจริงแล้วก็มายืนยันร่วมกันน้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน ก็เกิดเป็นชุมชน เกิดเป็นชุมชนก็ตรวจสอบตามพระไตรปิฎกสิ อาตมาก็ตรวจสอบว่าชาวอโศกนี้ยืนยันได้ ตรวจอย่างน้อยเอาหลักสาราณียธรรม 6 มาตรวจ เอาหลักธรรมวรรณะ 9 มาตรวจสอบก็ได้ หรือจะเอารายละเอียดอื่นๆที่จะขยายความไปตามเนื้อหาสาระธรรมะมาตรวจสอบก็ได้ แต่ที่อาตมายืนยันสาราณียธรรม 6 ก็คือ จะมีคนที่มาอยู่รวมกันนั้นอยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เกิดได้จริง แม้แต่วรรณะ 9 ก็เอามายืนยัน เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2563 ( 11:24:55 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:55:50 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:39:23 )

ความรู้ กับ ความจริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในระบบที่เกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือเป็นประชาธิปไตย จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเขตการระบอบหรือการบริหาร ก็ขึ้นอยู่กับธรรมะ ขึ้นอยู่กับความรู้ กับความจริง ที่มีธาตุรู้ จะเรียกว่าปัญญาก็ได้ เป็นประธาน มีนามธรรมคือธาตุรู้ ปัญญาเป็นประธานสิ่งทั้งปวง 

เมืองไทยเรามีสัจธรรมพวกนี้ แล้วคนก็ไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยไทยตะวันตกไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็พอรู้มีปฏิภาณบ้าง เมืองไทยทุกวันนี้ที่อาตมาพูดไม่ใช่พูดเล่น ว่าเป็นประชาธิปไตยรวมกันเป็นประเทศ ที่มีความเป็นอยู่ของสังคมลงตัว อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อย่างแท้จริงเลย 

ก็คนที่ศึกษาจริงๆ พยายามศึกษาทำตามไป จะได้รู้สิ่งที่เราทำ และอาตมาย้ำสำทับว่า อย่างนี้อย่างนี้ถูกต้อง แล้วก็ยืนยันว่า ประเทศไทย สังคมไทย เป็นสังคมที่บริบูรณ์ด้วยวิธีการบริหารปกครองแล้ว กว่าประเทศใดๆ ไม่ว่าที่เขาจะยกเป็นใหญ่ขณะนี้ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาหลงประเทศไทยและยกประเทศไทย ข่มประเทศอื่นเขา มันก็ต้องเอาแค่นี้ก็แล้วกัน ยกมามากแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 12:48:05 )

ความรู้ ความฉลาด ความจริง โง่ซวย รวยเด่น เป็นกลาง

รายละเอียด

พูดถึงสิ่งที่ตั้งใจจะขยายความ อธิบายไปแล้ว 1 ครั้งในวันที่ 13 มิถุนายน 2565เรื่องความรู้ ความฉลาด ความจริง ซึ่งเป็นความรู้ขั้นปุถุชน ขั้นกัลยาณชน และขั้นอาริยชน เป็น 3 ขั้น

ส่วน สังคมก็เข้าใจความเป็นโลกีย์ เป็นสังคมวงกว้างไปถึงเทวนิยม จากโลกีย์ สูงขึ้นมาอีกขั้นเขาก็เรียกว่าเป็นอารยะ เช่น เป็นประเทศอารยะ เขาบอกว่าเมืองไทยไม่ใช่เป็นประเทศอาริยะ เป็นประเทศอารยะ เป็นประเทศด้อยความเจริญ ต้องอย่างพวกประเทศที่สร้างอาวุธเก่งๆกดขี่คนอื่นเก่งๆ ยกตัวเองให้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าโลก บอกว่านี่คือผู้เจริญเป็นอารยะ ยิ่งอาริยชน โลกุตระนั้น มืดมิดสนิทสนม

ที่อธิบายไปแล้วโดยแยกภาษาเอามาสื่อสภาวะ พอปุถุชน พวกโลกีย์ซึ่งอยู่ในภพของความโง่ซวย เมื่อขยับไปเป็นกัลยาณชน แย่งอารยธรรม แย่งสิ่งที่เป็นความเจริญแบบโลกีย์ เขาก็รวยเขาก็เด่น โง่ซวย รวยเด่น ส่วนโลกุตรธรรมนั้นเป็นกลางซึ่งเป็นสภาพที่รู้แจ้งเป็น อนุปคัมมะ รู้ทั้ง 2 สภาพของโลกโลกียะ หรือแม้แต่อารยะที่เขาหลงกัน ก็ไม่ได้ไปหลงทั้งอารยะ ทั้งกัลยาณธรรมอะไร ที่เขาทำแต่ดีไม่ทำชั่ว แต่เขาไม่รู้สุขทุกข์ เขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องโลกุตรธรรมพวกนี้ 

นี่คือคนในโลกขณะนี้มี 7 พันกว่าล้าน ไปศึกษาแค่ดี-ชั่ว แค่เทวนิยม แม้แต่ในชาวพุทธเมืองไทยก็ไม่ได้มาศึกษาโลกุตรธรรม มีกระหย่อมเดียวที่ได้มาศึกษาโลกุตรธรรมแล้ว ได้   อาริยธรรม ได้โลกุตรธรรมเท่านี้เอง ได้แล้วก็ สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล สบายมากธรรมดา ปกติ หายห่วง จริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 12:43:28 )

ความรู้ ความฉลาด ความจริง 

รายละเอียด

 

อาตมาตั้งภาษาไว้ 3 คำคือ ความรู้ ความฉลาด ความจริง ความรู้ก็คือความรู้ ทีนี้รู้ขั้นฉลาด ก็คงเข้าใจกัน คำว่ารู้ที่สูงขึ้นจากความรู้ธรรมดา เป็นความฉลาด คนมีธาตุรู้ก็รู้กันทั่วไปทั้งนั้น แต่คนที่จะถือว่าเป็นคนฉลาด (ภาษาไทย) ซึ่งเป็นภาษาที่กร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ แปลว่า อายตนะ 6 (ฉฬ แปลว่า 6) คือ มีผัสสะจะเกิดสภาพ 2 จากตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัสภายนอก กายและใจ กับใจอีกเป็นอายตนะ 6 ก็จะเกิดรู้ขึ้นมา เกิดรู้ขึ้นมาแล้วสามารถเข้าใจในเรื่องอายตนะ ฉฬายตนะ เรื่อง อภิภายตนะ ขึ้นไปเป็นต้น 

ความรู้เรื่องอายตนะ 2 ที่เกิดจากผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ล้าง ตัณหาอุปาทานออกไป ก็จะเกิดความเจริญฉลาด ที่เกิดจากกระบวนการของอายตนะ 6 ซึ่งมันเกิดปฏิกิริยา แบบโลกๆขึ้นมา ได้ศึกษาตามบรรลุธรรมขึ้นไปตามความรู้ความฉลาดรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นอายตนะของมนุษย์ เจริญพัฒนาขึ้นไปเป็นความรู้ระดับไปสู่ความจริง 

ความรู้ความฉลาดความจริง 3 คำนี้ ความจริงคือเป็นสิ่งที่แท้เป็นสิ่งที่จริงเป็นสิ่งที่จบ เป็นสิ่งที่หมดคำอธิบาย เป็น Axiom เป็นคำสุดท้ายที่เป็นความจริงที่ยืนยันสุดท้ายแล้ว ตามภูมิหรือตามสิทธิ ของคนที่เกิดความเข้าใจ คนที่มีความรู้ความฉลาดจนถึงความจริงที่สูงสุด Axiom มันไม่มีอะไรจะขยายขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว เช่น เทวนิยมเขาเข้าใจว่าพระเจ้าเป็น Axiom ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว คำสอนของพระเจ้าหรือความเป็นพระเจ้าก็ตาม เที่ยงแท้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว 

ทีนี้ศาสนาพุทธนั้นอธิบายซ้อนขึ้นไปว่า ความจริงที่เป็นพระเจ้านั้น คือคน ความรู้ความฉลาดจะเกิดกับ อุตุธาตุเกิดกับดินน้ำไฟลมไม่ได้ หรือแม้แต่จะเป็นพืชกับ พีชะ ก็จะสามารถมารู้ความจริงก็ไม่ได้อีก ขนาดความรู้ของจิตนิยาม ความรู้ของธาตุรู้ขั้นจิตนิยาม เป็นมนุษย์ ยังมีขีดขั้น รู้อย่างโง่ๆ รู้อย่างทำบาปอกุศลอีกเยอะมีมากมายในมนุษย์ จนกระทั่งมาทำดีได้ ก็ดีไปตามลำดับของโลกียธรรม 

กว่าจะเป็นมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณ หรือมีความรู้ ความฉลาด ความจริง เข้าขั้นโลกุตรธรรมนั้น เป็นคนที่ต่างโลกต่างดาวกับเขา ข้ามขั้นไปอันนี้แหละสุดยอดแห่งความลึกซึ้ง ความรู้ ความฉลาด ความจริง ของผู้ที่ถึงขั้นโลกุตรธรรม เลยขีดของโลกียธรรม 

เพราะฉะนั้นขั้น ความรู้ ความฉลาด ความจริงนั้น 

ความรู้มีได้ในคนทุกคนเรียกว่าปุถุชน เขามีความรู้สามัญของเขาไป จนกระทั่งมีความฉลาด ความฉลาดของคนที่รู้ยิ่งกว่าความรู้ปุถุชนทั่วไป ก็จะเป็นกัลยาณชน เป็นคนดี ยืนยันความดี แต่ความดีนั้นยังอยู่ในเขตของโลกียธรรม ถึงเรียกว่ากัลยาณชน เป็นคนจริง มีความดีขึ้นไปเรื่อยๆ เลิกกรรมชั่วทำกรรมดี แต่ยังอยู่ในกรอบความวนอยู่ในโลกียะ ยังไม่ออกมาจาก วงวน cyclic order โลกียะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2565 ( 13:21:40 )

ความรู้-ความฉลาดแบบโลกียะกับโลกุตระ

รายละเอียด

เป็นต้นว่า “ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกียะนั้นเป็นความรู้-ความฉลาดที่ใช้ภาษาว่า“เฉโกหรือเฉกะ[ถ้า“เฉกา”ก็เป็นพหูพจน์]”ส่วน“ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกุตระนั้นเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่พระพุทธเจ้าใช้ภาษาว่า “ปัญญา-ญาณ-วิชชา”

“ความรู้-ความฉลาด”ของโลกียะ หรือของชาว“เทฺวนิยม”นั้นจะเกิดจาก“สมาธิ”ที่ “หลับตา”ปฏิบัติ ชัดเจนมั้ยว่า ไม่มี“จักษุ” และไม่มี“อาโลก” เพราะ“เทฺวนิยม”ยืนยันว่า “สมาธิ” คือ “ความที่จิตเป็นหนึ่งขณะสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภายในที่ตนหลับตาปฏิบัติ”

เมื่อจิตเป็น“สมาธิ”ดีได้ที่แล้ว ก็จะมี “ความรู้-ความฉลาด”โผล่ผั้วะขึ้นมาเอง [ไม่มีเหตุ-ไม่มีปัจจัย ไม่มีที่ไปที่มา ของเหตุของปัจจัยเลย] ซ้ำกลับยืนยันว่า “ปัญญา”หรือ“ความรู้-ความฉลาด”แบบเทฺวนิยมนั้นจะเกิดได้ ต้อง“หลับตาได้สมาธิ”ขั้นลึก “ปัญญา”จึงจะเกิด เพราะยึดมั่นถือมั่นว่า“สมาธิ”คือภาวะจิตที่สะกดเข้าไปใน“ภพ”ภายในคือภวังค์ของตน จึงจะเรียกว่า “สมาธิ” แล้วจึงจะเกิด“ปัญญา”ในภายในขณะที่มี“สมาธิหลับตา”นั้นได้ เห็นมั้ยว่า มันคนละทิศคนละทางกันเลยกับการมี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”  ก็ยืนยันได้อยู่ชัดๆอย่างนี้

“จักษุ” หมายถึง ลืมตา มีดวงตาเปิดๆ ไม่ใช่ไปเอาแต่“หลับตา” มีดวงตาปิดๆ

“อาโลก” หมายถึง “โลกสว่าง”ที่มีแสงพระอาทิตย์สาดส่องมาถึงได้ เรา“ลืมตา”

เห็นแจ้งโลกที่มีแสงสว่าง ซึ่งไม่ใช่“หลับตา” อยู่กับ“โลกมืด” หรือ“โลกที่ตาหลับลงไปไม่เห็นแสงพระอาทิตย์”กันแล้ว หรือโลกที่เราเองไม่รับแสงอาทิตย์แล้ว หรือเราเองไม่เปิดตารับแสงอาทิตย์เอง

“ความรู้-ความฉลาด”ของพุทธที่เป็นโลกุตระเป็น“อเทฺวนิยม” กับของ“เทฺวนิยม”      ซึ่งแม้แต่ชาวพุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ตาม จึงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญอยู่มากมาย

สำหรับชาว“เทฺวนิยม”ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ไม่ได้นั้น ไม่ชื่อว่ามี“จักษุ” ไม่เข้าเกณฑ์ที่เป็น“อาโลก” ดังที่ได้สาธยายมา ..ชัดนะ!

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชธานีอโศก
 


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:14:24 )

ความรู้กับไม่รู้ของเทวะกับอเทวะ

รายละเอียด

ก็เช่น เทวะกับอเทวะ เทวะรู้แต่เทวะของตัว แต่ไม่รู้อเทวะ รู้โลกีย์แต่ไม่รู้โลกุตระ ก็วนอยู่รู้กับไม่รู้ มีความรู้กับไม่รู้เป็นธรรมะ 2

ไม่รู้ที่เป็นเทวนิยมคือไม่รู้เท่ากับพระเจ้า คือหัวหน้าใหญ่ รู้ของอเทวนิยม คือรู้ของโลกีย์ทั้งหมด คือดีกับชั่ว แล้วดีกับชั่ว โลกียะไม่เที่ยง วนอยู่อย่างนั้นเป็นสมบัติผลัดกันชมหลงไปแล้วก็แพ้วิบาก ยังอยากได้ดีที่สุดยั่งยืนที่สุด  แต่มันยั่งยืนเที่ยงแท้ไม่ได้ เพราะมันไม่เป็นโลกุตระ มันยั่งยืนไม่ได้ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันอนัตตา เพราะไม่จบที่อนัตตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เจโตปริยญาณ 16 และ ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:51:21 )

ความรู้ของคนกับเรื่องร่างกายชีวิต

รายละเอียด

คือร่างกายชีวิตนั้นไม่ได้อาศัยอะไรมากหรอก  นอกจากจิตใจมันโง่ ไอ้โน่นก็ไม่พอ  ไอ้นี่ก็จะกินหรูกินหรา  กินใหญ่โต  กินศักดิ์ศรี  กินมาก  กินผลาญ  กินพร่า   นี่ด่าเพราะๆนะ  ยังไม่หมดคำด่านะ  แต่ด่าหยาบ  ไม่กล้าพูดหรอก  พวกเราเข้าใจทั้งสภาวะและเข้าใจทั้งภาษาสื่อ  ก็ทำให้เกิดสภาวะ คือ  พฤติกรรมจริง  ความแท้จริงเนื้อแท้กว่าพยัญชนะ พยัญชนะเป็นเพียงคำที่สื่อสารออกมา  คนมีการสื่อสารได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน  แล้วก็ใชักันมาเป็นล้านปี เฉพาะช่วงยุค  อาจมีวิวัฒนาการการปรุงแต่ง  เกิดความผิดเพี้ยนไปมัน ก็มีแล้ว  ก็ปรุงขึ้นมาใหม่ สรุปคือ  คนที่จะยังชีพไป ตัวเราคนเดียว  ครอบครัวเรา หมู่กลุ่ม  มิตรสหายจนกระทั้งเป็นสังคม  แม้กระทั่งเป็นสังคมโลก  ทุกวันนี้  เขาก็มีใจกันแล้วว่า ทำอย่างไร ให้คนทั้งสังคมโลก จริงมันไม่มีอะไรที่เหมือนกันทีเดียวหรอก  อยู่กันคนละซีกโลก  บรรยากาศอะไรต่ออะไร ก็ไม่เหมือนกัน   ดินน้ำไฟลม มันก็ต่างกัน  จะทำอย่างไรเราจะมีใจที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  แทนที่จะมารบรา ฆ่าฟัน เบ่งข่ม กดขี่กัน คือ   อยู่กันอย่างที่ชาวอโศกเราอยู่กัน  อยู่กันยังมีจิตใจ  มีปัญญามีความเข้าใจ  สงบ เรียบร้อย  ง่าย  งาม อบอุ่น  เผื่อแผ่เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเจือจานเลี้ยงดูกันไป  อาตมาไม่ได้พูดเกินจริง  สังคมเรามันเรียบร้อยงดงาม อบอุ่นมาก  ลึกๆ  เขาก็แสวงหา แต่เขาไม่เคยพบไม่เคยเจอ มันก็ยังงง ๆ  ว่าอันนี้จะใช่หรือเปล่า   แต่คนที่มีปฏิภาณมีภูมิรู้  ก็จะเห็นว่าใช่   บางคนบอกว่าใช่เลย  พอสัมผัสแรก  First  impression   ก็บอกว่าใช่เลย   บางคนเขามีลึก  จริงๆ  ก็ว่าใช่เลย  แต่ไม่ค่อยมาอยู่เท่าไหร่  จะขอเวลาอีกไม่นาน  เหมือนลุงตู่แล้วนานคำนี้  กี่ปีกี่ชาติ  ขอเวลาไม่นานสัก 5 ชาติ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 11:22:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:48:26 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:40:39 )

ความรู้ของคนที่ไม่เข้าใจสัจธรรม

รายละเอียด

อาตมาไม่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้ของเขา (ส.ฟ้าไทว่า เขาว่าเรานะ) เขาว่าที่เราไปทำงานการเมืองเป็นบาป ที่เราออกไปประท้วงต่อต้านจนรัฐบาลล้มละลายไป 3-4 รัฐบาลเขาถือว่าเป็นบาป ความรู้ของคนที่ไม่เข้าใจสัจธรรมเข้าใจไม่ถึง ว่าการเมืองที่เราไปทำไปประท้วงรัฐบาลอย่างนั้น คนทั่วไปก็เข้าใจอย่างนั้น เรื่องเกี่ยวกับการเมืองคือเกี่ยวกับการบริหารประเทศผู้บริหารประเทศแล้วเราก็ไปไล่ผู้บริหารประเทศในยุคนั้นที่บริหารไม่ดี เราก็ไปไล่ออกจนสำเร็จไปไม่รู้กี่รัฐบาลแล้ว เป็นคนดีเป็นกุศลแท้ๆเลย เจริญมาจนถึงทุกวันนี้แต่คนไม่เข้าใจก็จะคิดว่าเราไปทำบาปมันมองไม่ออก ยิ่งคนเข้าใจเรื่องศาสนาสับสน ก็ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ก็ยังดีที่นึกว่าเรายังมีส่วนดี แต่เรื่องดีคืออะไรก็ยังนึกไม่ออก แต่เรื่องการเมืองที่เราไปทำมาเยอะ ทำมาตั้ง 5 รัฐบาล นี่ก็เป็นความรู้ของแต่ละคนที่จะเข้าใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องก็ว่ากันไป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2563 ( 09:25:08 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:56:41 )

ความรู้ของชาวเทฺวนิยมมีแต่เฉโก แถมมาตีกิน มาตีสนิทกับ“ปัญญา”ของชาวพุทธเสียนี่!

รายละเอียด

คนปุถุชนหรือชาว“เทฺวนิยม” ความรู้จึงมีแต่“เฉโก” ยัง

ไม่สามารถมีความรู้ที่เป็น“ปัญญา” 

คำว่า“ปัญญา”เป็นพยัญชนะกำหนดสภาวะของ“ความรู้

ความฉลาด”ขั้นโลกุตระ ที่มีนัยสำคัญแตกต่าง“เฉโก”คนละขั้ว 

แต่ภาษาคำว่า“ปัญญา”ทุกวันนี้ มันได้เพี้ยนผิดไปจาก

ความหมายแท้ๆเดิมๆของพระพุทธเจ้า มันได้กลายไปมีความ

หมายอย่างเดียวกันหรือเหมือน“เฉโก”ไปสนิทสนมกลมเกลียว

กันเรียบร้อยโรงเรียน“มิจฉาทิฏฐิ”แล้ว

แม้คำว่า “กาย”ก็ตาม คำว่า“บุญ”ก็ตาม คำว่า“ฌาน”ก็ตาม

คำว่า“สมาธิ” ฯลฯ ทั้งนั้นๆเกือบทั้งหมดล้วน“มิจฉาทิฏฐิ”

มันได้ผิดเพี้ยนไปจากความถูกต้องของพระพุทธเจ้าเกือบ

ไม่เหลือแล้ว และได้หลงยึดมั่นถือมั่น“ความผิด”เป็น“ความถูก”กัน

จนสนิทแน่น ยากสุดแสนยากยิ่งที่จะเปลี่ยนความเห็นหรือเปลี่ยน

ความยึดมั่นที่ได้หลงยึดกันสุดแน่นแล้วนี้ในทุกวันนี้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 245 หน้า 199


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 12:51:23 )

ความรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้จบกิจบรรลุรู้หมดอย่างไร

รายละเอียด

ความรู้ของพระพุทธเจ้าพ้นความทุกข์ ดับทุกข์ดับสุขได้ เป็นความรู้ที่หมดทั้งโลกหมดทั้งอัตตา รู้หมดเลยทั้งจิตวิญญาณและอัตตาหรืออาตมัน ปรมาตมัน ทางนามและรูป รู้หมด ไม่ใช่ตีขลุม แต่เป็นเรื่องจริงรู้หมด ท่านจึงเรียกว่า จบกิจ บรรลุรู้หมดเลย รู้ว่าสังขารมันปรุงแต่งด้วยอะไรและวิธีแยกสังขารก็คือฆ่ากิเลส ตัวเหตุใหญ่ ฆ่ากิเลสหมด ตัวหยาบกลางละเอียด สิ้นเกลี้ยง ตัวเหตุที่มาปรุงแต่งเป็นอย่างไร และสามารถทำให้จิตสะอาดยั่งยืนถาวร อยู่เหนือ 

ก็จะรู้ว่าการอยู่เหนือความเป็นโลก กับ สังขาร มันเป็นอย่างนี้เอง มันพ้นความทุกข์ความสุข มันมีจิตที่ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ไม่มีอะไรมาล้มล้างเราเที่ยงแท้แน่นอน  นิจจัง(เที่ยงแท้), ธุวัง (ถาวร), สัสตัง(ยืนนาน), อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน), อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้), อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณจะรู้ได้ด้วยตนเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 16:23:43 )

ความรู้ของพระเจ้าหรือพระบิดาคือความรู้ของตัวเอง

รายละเอียด

จริงๆ พระบิดาก็คือตัวเอง ความรู้ของตัวเอง ความจริงของตัวเอง สั่งสมมาเป็นสัมภาระวิบากจนกระทั่งได้มาเป็นศาสดาทางเทวนิยม องค์ใดองค์หนึ่ง จนสร้างศาสนาได้ ก็เป็นศาสดา เพราะฉะนั้นศาสดาที่เก่งถึงขีด ก็สร้างศาสนาของตัวเองได้ในโลก ศาสนาคริสต์ศาสนาใหญ่หลายศาสนามากมายเลย ศาสนาของเทวนิยมมีมาก 

ศาสนาที่เกิดหลังสุด คือศาสนามอร์มอน เป็นสิทธิมนุษยชนรุ่นสุดท้าย แต่ก็ยังไม่ถึงกับมีกลุ่มหมู่หรือมีศาสดาตัวจริงเลย ใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของรู้จริงรู้ยอดอะไรไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าเขาเข้าใจและรวมกันเป็นกลุ่มหมู่ มันก็เลยไม่เป็นโล้เป็นพาย 

ส่วนศาสนาบาไฮมีพระบาฮาอุลลา พระบาฮาอุลลามีความรู้เช่นนี้คือจะรวมศาสนาทุกศาสนามารวมกันหมด โดยคิดใหญ่มาก ว่าตัวเองจะได้เป็นศาสดาของศาสนาทุกศาสนา แม้แต่ศาสนาพุทธก็จะเอา ญาติดีกับทุกศาสนาหมดเลย แล้วก็ยกย่องศาสดาของแต่ละศาสนาหมดเลย แต่พระบาฮาอุลลาจะต้องใหญ่กว่าทุกศาสดา เป็นความคิดใหญ่ ก็ไม่สำเร็จก็ได้ขนาดนั้นเดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่นะ ยังมีคนเชื่อยังมีคนเข้าใจอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:35:09 )

ความรู้ของพระเจ้าเป็นความรู้ที่ยังไม่รู้ของผู้อวิชชา

รายละเอียด

มันเป็นความรู้ที่ยังไม่รู้ของผู้อวิชชา หรือผู้ไม่รู้ เขาก็เลยเละกันหมดแล้วก็ไปเชื่อว่า มีผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของความรู้ เจ้าของความเป็น เจ้าของทุกอย่าง เป็นเจ้าของทุกอย่างเลย แม้แต่มนุษย์ทุกคน ก็เป็นของพระเจ้าที่พระเจ้าจะให้เป็นอะไร ต้องเป็นตามพระเจ้าเท่านั้น เพราะความไม่รู้ ความแยกแยะอะไรต่ออะไรไม่ได้ จึงจะต้องอาศัยคำสอน 

ที่จริงพระเจ้าก็ดี พระศาสดานั่นแหละคือพระเจ้า เป็นตัวเอง แต่พระศาสดาเทวนิยมไม่รู้แม้กระทั่งตัวเอง ไม่รู้กรรม ไม่รู้กิริยา ไม่รู้ความเป็นศาสดาได้เพราะอะไร รู้แต่ว่ามีพระบิดา มีพลังพิเศษยิ่งใหญ่ ให้มาเป็นผู้ประกาศเรียกว่าประกาศก หรือ prophet เป็นผู้มาประกาศความรู้ความจริงของพระเจ้าหรือพระบิดา ตัวผู้ประกาศก็เรียกว่าพระบุตร เป็นลูกของพระบิดา แล้วพระบิดามาจากไหนก็ไม่รู้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:31:09 )

ความรู้ของพระเจ้าเป็นอย่างไร

รายละเอียด

แต่ศาสนาพุทธนั้นมีจบมีเลิก ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย อัตภาพใดสามารถถึงที่สุดได้แล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นต้นไป สลายธาตุตัวเองได้หมดเลย รากเหง้าของธาตุคือ H กับ O เป็นน้ำ ความรู้นี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรียบร้อยหมด อาตมาก็เอามาขยายความให้ไปพิสูจน์ตามรู้ พัฒนาไปจนเราสามารถสลายสิ่งที่เป็นตัวเราของเราได้ทั้งหมด แม้จะสมบูรณ์เป็นอรหันต์แล้วจะสลายได้เมื่อไหร่ก็ได้ หากยังไม่สลายจะกตัญญูกตเวทีต่อศาสนา เอาความรู้มาเป็นประโยชน์ต่อก็ได้ ก็ทำไป แต่ถ้าเผื่อว่าคุณพอแล้ว เลิกแล้ว คุณจะแยกสลายอัตภาพของคุณก็ได้ก็จบ ศาสนาพุทธสรุปแล้วมันมีที่จบ หมดสงสัย พระเจ้าเราก็ไม่สงสัย สิ่งที่เรามั่นใจว่าสลายอัตภาพเราได้หมดเราก็ไม่สงสัย ทำได้สูงสุดเลย ใครจะมาบอกว่าไม่จริง มันก็อยู่ที่ตัวเอง จริงหรือไม่จริง ถ้าเราสามารถสลายได้จริง ก็จริง สลายได้ไม่จริงก็หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น ถ้าหากสลายตัวเองได้จริงมันก็จริง ไม่มีปัญหาอะไร ก็จบ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:57:32 )

ความรู้ของพระเจ้าไม่มีตรงกัน แต่ความรู้อรหันต์นั้นตรงกันเป็นหนึ่งเดียว 

รายละเอียด

ความรู้ของพระเจ้าไม่มีตรงกัน แต่ความรู้อรหันต์นั้นตรงกันเป็นหนึ่งเดียว คุณสนิทสนมกับพระเจ้าดีหรือไง เอา ฝากหน่อย พระเจ้า ฝากคนอยู่ด้วยหน่อย อย่างนั้นเหรอ ที่จริงมันมีความหมาย คำว่าพระเจ้านี้ก็คือความรู้ พระเจ้านี่คือความรู้ ความรู้ความจริง ที่คนนี่แหละ รู้จัก รู้จักความรู้ความจริงนั้น เช่น ศาสดาเทวนิยม ศาสดาสายพระเจ้า เขามีความรู้ความจริง ผ่านกรรมวิบาก ได้สะสมความรู้ความจริงของตัวเองมาด้วยสายศรัทธาในสายเทวนิยม จนกระทั่งมาได้มากที่สุด มากพอที่จะสาธยายความรู้ความจริงที่ตนเองได้ตนเองมีมา แล้วมีสมาชิก มีบริวาร มีคนมายอมรับ ยกให้เป็นศาสดา ก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งในความรู้ความจริงที่เขามี 

ซึ่งความรู้ความจริงที่เขามีของศาสดาเทวนิยม แต่ละองค์แต่ละองค์นั้นไม่ตรงกันทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงแข่งดีแข่งเด่นกันอยู่เยอะ เทวนิยมมากศาสนา ไม่เหมือนศาสนาพุทธ ที่มีความรู้ความจริงหนึ่งเดียว ตรงกันหมดเลยในสายของพระพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ แน่นอนไม่ตรง ก็แล้วไป เพราะไม่มีสิทธิ์จะไปรู้ตรงกันเป็นหนึ่งเดียวได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 14:03:41 )

ความรู้ของศาสดาแต่ละองค์เป็นความรู้ของตัวเอง

รายละเอียด

ที่จริงความรู้ของพระศาสดาแต่ละองค์ เป็นความรู้ของตัวเองที่ได้ศึกษามาแต่ละชาติแต่ละชาติ แต่เขาไม่รู้ตัวเองไม่รู้อัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาได้ขนาดนี้ มาประกาศให้คนอื่นยอมรับ คนอื่นเขาก็รับ ว่าจริงเป็นความรู้ขนาดนี้ เป็นโลกียะที่เข้าท่า คนที่มีฐานะขนาดนั้นก็รับขนาดนั้น เป็นบริวารของศาสดานั้นไป ศาสดาของเทวนิยมจึงมีหลากหลายมากมาย ทุกวันนี้ก็ไม่รู้มีกี่ศาสนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 10:38:37 )

ความรู้ของสุดยอดแห่งมนุษย์คือพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เราได้จิตนิยามมาเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และสามารถมีความรู้อันนี้ทำให้จิตอัตภาพของเรานี้ สูญสลาย เป็นอุตุนิยามไป เป็นดินน้ำไฟลมไป เป็นความรู้ของสุดยอดแห่งมนุษย์คือพระพุทธเจ้า ท่านจะเป็นผู้รู้วิธีการ ค้นพบวิธีการ ค้นพบความจริงนี้ ในความเป็นคนที่มีความรู้สูงสุดแล้วสุดแห่งที่สุด ก็คือสามารถจะอยู่ ทำจิตวิญญาณให้มีอำนาจแล้วก็จะยังมีชีวิตกำหนดจิตวิญญาณของตนเองให้อยู่ไปอย่างเป็นผู้ที่ดี ไม่มีใครตำหนิได้โดยเฉพาะผู้รู้ไม่ตำหนิเด็ดขาด เป็นผู้ที่มีแต่คุณงามความดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 09:32:53 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:57:21 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:41:36 )

ความรู้ของโลกีย์มีแค่ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ

รายละเอียด

จนกว่าจะรู้ว่า มันมีกรรมกิริยาในปัจจุบัน เราเกิดมามีร่างมีกายเป็นเหตุปัจจัย มีทุกอย่างมีปัญจสาขา มีการกระทำ มีจิตวิญญาณ มีตัวประธานแล้ว เกิดกรรมกิริยาอะไรขึ้นมาเรียนรู้ว่ากรรมกิริยามันไม่ดีไม่ทำ ดีก็ทำ ก็เลยเกิดกรรมดีกรรมชั่วได้กรรมดีมากขึ้น ศาสดาทั้งหลายที่เป็นโลกียะก็เรียนรู้แต่กรรมดีกรรมชั่ว ก็ได้แต่สั่งสมดีหยั่งลง สั่งสมจนได้เป็นศาสดาเป็นคนดีที่สุด เป็นที่ยอมรับของแต่ละชาติ ศาสดาองค์ใดสั่งสมมาก็ได้แค่นี้ ความรู้ของโลกีย์ มีแค่นี้ มี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ แค่นี้ ไม่มีความรู้ที่จะออกนอกกรอบนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:36:08 )

ความรู้ขั้นที่ 5

รายละเอียด

ขอขยายความเจโตปริยญาณ16 คนที่ไม่เคยได้ฟังอาจจะสงสัย ของดีบอกหน่อยได้ไหม เจโตปริยญาณ 16 เป็นวิชชา 8 ที่เป็นความรู้ขั้นที่ 5 ใน 16 มีอะไรบ้าง 1. ราคะ  2. โทสะ  3. โมหะ  

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 13:44:18 )

ความรู้ขั้นปัญญา

รายละเอียด

“ความรู้ขั้นปัญญา”ที่เป็น“โลกุตระ” อัญญธาตุ ยังไม่ถึงขีดจะเรียกปัญญาไม่ได้  จึงแยก“บุญ”แยก“ทาน” หรือแยก“บุญ”แยก“กุศล” เป็น
“โลกียะ”และ“โลกุตระ”ยังไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ถูกต้องแท้
 จะพอแยกได้ ก็แค่“กุศล”กับ“อกุศล”เท่านั้น

จนกว่าจะมี“ความรู้เข้ากระแส“โลกุตระ”จึงจะมี ความรู้ขั้น“ปัญญา”สามารถทำจิตของตนให้เป็น“ชาติ”ที่เข้าสู่“นิพพัตติ”ได้  ไม่เช่นนั้นก็จะมีแค่การเกิดที่วนอยู่แต่ในกรอบ“โอกกันติ”ที่ยังเป็น“ชาติ”ของ“โลกียธรรม”ดังเดิม  มันจะแยกมาเป็น นิพพัตติหรือวนเป็นโอกกันติอย่างเดิม ต้องมี อัญญธาตุ เพียงพอจึงข้ามขีดโลกุตรภูมิได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 20:06:53 )

ความรู้ความฉลาดที่ต่างกันของโลกียะหรือเทวนิยมกับโลกุตระหรืออเทวนิยม

รายละเอียด

โลกุตระรู้โลกียะด้วย แต่โลกียะไม่บังอาจไปรู้โลกุตระได้ เป็นความรู้เดียวไม่เป็นความรู้ 2 แต่โลกุตระเป็นความรู้ 2 นี่แหละคือความเป็นมนุษย์ 

คนที่เป็นอิสระ ทางเทวนิยมเป็นศาสดาเขาก็ว่าเขารู้เต็มที่ ทำให้คนเชื่อถือได้จนคนยอมรับว่าเขาเป็นผู้ที่รู้ที่สุด เป็นที่หนึ่งก็มีอิสระสูงสุด เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้รู้สุดยอดของกลุ่มหมู่คณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนากลุ่มไหนมีศาสดาเป็นเอกทั้งนั้น ศาสดาเป็นหัวยอดของคนกลุ่มนั้น คนกลุ่มที่ยอมรับนับถือก็ยกให้เป็นหนึ่ง 

แม้โลกุตระก็เช่นเดียวกัน ยกยอดให้พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง แต่ที่นี้ในรายละเอียดของความรู้ของพระศาสดา ศาสดาของเทวนิยม ศาสดาของ
อเทวนิยมหรือของศาสนาพุทธ จะมีนัยยะความรู้ความฉลาดต่างกัน 

โลกียะหรือเทวนิยมไม่สามารถมีความรู้ที่ต่างเป็นอันอื่นจากที่โลกีย์มีที่ศาสดามี นั่นแหละอัตตาเขา ส่วนโลกุตระนั้นรู้ทั้งของที่ศาสดาโลกีย์นั้นมี คือดีที่สุดของคนหรือชั่วที่สุดของคนรู้ความดีความชั่ว แต่โลกีย์จะไม่รู้เรื่องสุขที่สุดทุกข์ที่สุด ว่าคืออะไร เพราะสุขที่สุดทุกข์ที่สุดนั่นคือมาร คือมายา คือนักเล่นกลตัวเก่ง ที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังหลงนักเล่นกลอยู่คือความสุข ยังเป็นส่วนหนึ่งของมาร พระเจ้ายังเป็นส่วนหนึ่งของมารคือยังยึดสุขอย่างเป็นสุขนิยม แต่พระพุทธเจ้านั้นหมดเลยสุขก็ไม่เหลือค่ามันเลย ตัดยอดเรือนของมารที่สร้างขึ้นมาในโลก มหาจักรวาลนี้ ล้างบางของมารหมดเลย ไม่เหลือที่อาศัยแม้แต่เรือน อย่าว่าแต่ตัวตนเลย เรือนที่อาศัยของมันหมด ตัวตนของมารก็หมด ไม่มีอะไรเกิดอยู่ในมหาจักรวาลเอกภพนี้เลย หมดสิ้นมาร หมดสิ้นสุขสิ้นทุกข์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 11:25:12 )

ความรู้ความสามารถทางโลกของพ่อครู

รายละเอียด

ความรู้ความสามารถอื่นใดที่อาตมาอยู่ทางโลกทำมา เช่นเป็นโฆษก อยู่ทางโลกก็เป็นโฆษก ได้รายได้เยอะนะ เดือนนึงได้หลายตังค์ เพื่อนรุ่นเดียวจบมาหาตังค์สู้อาตมาไม่ได้ บางคนไปจบด็อกเตอร์บ้าง แต่อาตมาจบ ม.8 เหมือนกับเพื่อนเขาไปต่อเหลือ อาตมาก็ตก ม. 8 ต่อ ตกเพื่อให้รู้ว่าตกหลายปีด้วย ให้แน่ว่าคนนี้หน้านี้ แค่ ม.8 ก็ตก ไปตกมันเสียหลายปีเลย ก็ไม่ได้มาแค่ ม.8 แต่ออกมาทำงานมีความรู้ความสามารถเท่าที่เขามีไปเรียนต่อมาทางศิลปะบ้าง ก็ทำงานได้รับยศสรรเสริญ มีรถยนต์ส่วนตัว เพื่อนเขารับราชการมีรถราชการ แต่ของอาตมามีรถส่วนตัวติดแอร์เป็นคันแรกของประเทศเลย Ford corsair คันแรก เริ่มมีแอร์มันต้องเอามาประกอบเองนะ เป็นรถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย แล้วไดนาโมมันไม่ค่อยพอ มันปั่นไฟไม่ค่อยทัน ยิ่งไปขับในกรุงเทพฯ ไฟมันไม่พอ ตายไปเข็นกลางตลาด บ่อยเลยรถติดแอร์ รถใหม่ๆนะ รถที่เขาเอามาสาธิตเลย รถ Ford corsair รุ่นสาธิตเลย อาตมาซื้อคันนี้ เท่เสียไม่มี!…..ไม่เท่ได้อย่างไร ไปเข็นรถกลางตลาด อาตมาเป็นดารานะ รถชบาบานก็เป็นรถคันแรก ราคา 5,000 บาท เคยขับไปชนอะไรมาหลายครั้ง เพราะว่าเบรคมันไม่ค่อยดี เขาว่าเป็นโชคดี แต่ที่จริงมันเป็นเคราะห์ดีนะ

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 13:39:47 )

ความรู้ความหลงของมหาบัว

รายละเอียด

คนที่หลงเงินทองคนที่หลงธนบัตรซับซ้อน มหาบัวหลงว่า เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ หลงเงินหลงทองเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ก็เอาชีวิตเอาค่าของตัวเองเอาความดีของตัวเอง ที่ประชาชนจะยอมรับตัวเองออกไปประกาศขาย เอ้าใครจะมา โดยยกการอ้างเอาประเทศเป็นประกัน ให้มาช่วยประเทศชาติมาบริจาค มีทองเท่าไหร่มีเงินมาเท่าไหร่มาบริจาค แล้วก็พูดใช้โวหารภาษาให้เห็นคุณค่าว่าช่วยประเทศชาติ ใครก็ฟังได้ฟังขึ้น ได้มาช่วยก็ดี หาข้อมูลหลักฐานว่าประเทศชาติต้องการเงินทองต้องการหลักทรัพย์พวกนี้มาไว้ช่วยประเทศชาตินะ มีโวหารคารมพูด คนก็ฟังก็เข้าใจ แล้วคนศรัทธาเลื่อมใสก็นึกว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เขาก็เอามาให้โดยบอกเขาว่าได้บุญได้บุญ เขาก็อยากได้บุญสิ เขาก็เอาทองเอาธนบัตรมาบริจาคได้ใหญ่โตมโหฬาร ช่วยชาติ นี่คือเป็นความรู้และความหลงของมหาบัว ชีวิตแทนที่จะไปหมกมุ่นเรื่องนี้ แล้วยังไปยุให้คนหลงติดเงินทอง กับตัวเองปลูกฝังและตัวเองก็หลงและเป็นตัวอย่างให้แก่คนได้หลง คนก็หลงว่าเป็นคนมีบารมีมาก สามารถเนรมิตให้คนออกมาช่วยประเทศชาติได้ และหลอกว่าได้บุญ ที่จริงทำทาน 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:32:45 )

ความรู้คืออะไร

รายละเอียด

ความรู้คือสิ่งที่ตอบไม่ได้หมด ความรู้ที่สูงสุดคือความรู้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เรียนมาตามพระพุทธเจ้านั้น ก็ยังเอามาอธิบายให้คนรู้ได้จริงที่รู้มาจากพระพุทธเจ้านั้นก็ยังทำได้ไม่เกินครึ่งเลย อาจเกินครึ่ง ก็ได้ความหยาบ ความง่ายอะไรขึ้นมาก่อน ความลึกซึ้งละเอียดลออยังมีอีกเยอะ ความรู้คือสิ่งที่เรารู้แล้วเอามาทำประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นประโยชน์ ไม่เสีย ไม่ชั่ว มีแต่ดี นั่นคือ ความรู้ที่ควรจะต้องรู้และควรจำและควรเอาไปใช้ ถ้าหากเป็นความรู้ที่เสียไม่ดีทำให้ชั่วก็ไม่เอา ไม่เรียกว่าความรู้ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็นโลกีย์ถ้ามันดีมันมีประโยชน์ จนถึงขั้นความรู้เป็นโลกุตระ นั่นแหละเป็นความรู้ที่ประเสริฐ เมื่อเป็นโลกุตระนั้นจะย้อนแย้งกับโลกีย์ มันจะเลิกจากโลกียะแล้วจะมีประโยชน์ไปตามลำดับ จนกระทั่งกับเป็นประโยชน์ที่ลึกซึ้งเป็นประโยชน์ที่มนุษย์ควรเป็น เช่น มนุษย์เห็นว่าคนเราควรสวย เมื่อมาเป็นโลกุตระแล้วเราก็บอกว่าสวยนี้เป็นความตื้นมาก ก็ลดลงๆ เอาคุณค่าของพฤติกรรมดีกว่า คนรวย รวยเป็นโทษมหาศาลเป็นหนี้เป็นภัยเยอะ เราก็ลดความรวยลงจนกระทั่งจนได้มาก หลวงปู่อธิบายยืนยันความรู้ที่ดีที่เป็นแล้วเราก็มารู้มาเป็น คนของเราจึงมีความรู้แล้วรู้ว่าอะไรดีมาก่อนทำก่อน แล้วก็ทำได้จนกระทั่งค่อยๆอนุโลม เราทำความอนุโลมให้แก่โลก เราก็ค่อยๆยืดหยุ่นให้แก่โลก ให้ทำดีให้มากๆแล้วค่อยอนุโลม ทำดีได้มากๆขึ้นอีกแล้วค่อยอนุโลม แต่หากแต่อนุโลมแล้วเสียท่า หากเราดียังไม่ได้แล้วไปอนุโลมก็จะเสียท่าได้พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องทำคุณอันสมควรให้กับตัวเองก่อนแล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ต้องทำคุณอันสมควรนี้ได้ให้พอเพียงก่อน แล้วสอนคนอื่นไปทำกับคนอื่น ไปพาคนอื่นทำ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:59:55 )

ความรู้จริงตามความเป็นจริงที่เป็นการเกิด กับที่เป็นความดับ

รายละเอียด

คำว่า รู้ความจริงซึ่งความดับ ภาษามันก็พอเข้าใจกัน อะไรดับ กิเลสดับ กิเลสเป็นเหตุให้โง่ กิเลสเป็นเหตุให้ไม่รู้จักดับ กิเลสนี้ดับไม่เป็น ดับตนเองไม่เป็น สายเทวนิยม ไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้จักการเกิดของจิตเจตสิกรูปต่างๆจนกระทั่งถึงขั้นนิพพาน 

นั่นคือไม่รู้ที่พระพุทธเจ้าขยายละเอียดไปถึง ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทต่างๆ ตั้งแต่สังขารวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ก็ยังเกิดวนเวียนในชาติต่างๆ ตลอดไม่รู้จักจบ ดับชาติดับการเกิด ชาติคือการเกิด ดับไม่ได้ ดับเหตุ ที่มันพาเกิด คือกิเลสแท้ๆ ภาษาว่ากิเลสนี้แยกเป็น ตัณหา อุปาทานได้อีก โลภ โกรธ หลงได้อีก เยอะแยะ เป็นกาม เป็นอัตตาต่างๆ ก็ทั้งนั้น เป็นเหตุ เมื่อเรียนรู้โดยทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้จบสิ้นแล้ว แล้วเอาตัวเองมาศึกษาปฏิบัติ พิสูจน์ ตั้งแต่ โลกวงวน เกิดดับๆ วงวนไป สัมผัสเกี่ยวข้อง ไปสัมผัสเสพรส อ่านจากการเสพรส อ่านจากการติดยึดรส รสชอบ รสพอใจ รสพึงใจ คือรสสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:09:18 )

ความรู้ชนิดอื่นแตกต่างจากความรู้โลกียะ

รายละเอียด

อัญญ นี้ เมื่อพระสมณโคดมเทศน์กัณฑ์แรกก็เกิด อัญญธาตุ คือ ธาตุจิตที่เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง เป็นจิตตัวอื่นที่ไม่เคยเกิดมาในโลกีย์ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามทั้ง 5 รูปเมื่อได้ฟังด้วยกันมีอัญญาโกณฑัญญะที่เป็นพราหมณ์รูปแรกที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าจบ จิตก็เกิดรู้เลยเป็นจิตดวงใหม่ที่เรียกว่าอัญญธาตุ เป็นธาตุตัวเกิดขึ้นมาตัวแรกคืออัญญะ เมื่อรู้เพิ่มขึ้นคืออัญญา เป็นความรู้และไม่ใช่ความรู้ที่เป็น เฉโกหรือเฉกะ อัญญา คือ ความรู้ของโลกุตระ ที่เป็นความรู้ชนิดอื่นที่แตกต่างจากความรู้โลกียะ ถ้าเป็นบุคคลก็เป็นโสดาบันบุคคลขึ้นไปเป็นโลกุตระ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:11:40 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:51:31 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:42:11 )

ความรู้ทวนกระแส

รายละเอียด

ถ้าในโลกที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาจะมีความรู้แต่โลกียะเป็นธรรมดาธรรมชาติ มียุคที่ไม่มีโลกุตระ ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็จะมีความรู้แต่ทางโลกียะ ซึ่งความรู้ของทางโลกียะจะมีความรู้อยู่ในกรอบแค่ความรู้ดีรู้ชั่ว แล้วปฏิบัติตนให้เป็นคนดีอย่าเป็นคนชั่ว เขามุ่งมั่นและเขาก็ปฏิบัติอย่างนั้นสำเร็จตามสมมุติสัจจะของเขา 

โลกียะยังเป็นสมมุติสัจจะ ยังไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ สมมุติแปลว่ารู้กันทั้งหมด ปรมัตถสัจจะนี้เป็นความรู้ที่ใหม่ เกินกว่าสมมุติที่เขาโลกียะจะสมมุติกัน มันเป็นความรู้ที่ ปฏิโสตัง เป็นความรู้ทวนกระแสโลกียะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 1วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 16:15:10 )

ความรู้ทั้งหลายแหล่ พระพุทธเจ้าเห็นสำคัญวิชาเดียวคือวิชาโลกุตระ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงสุดยอดแล้วจบแล้ว ความรู้ในประเด็นความรู้ที่อาตมาสรุปแล้วสรุปอีกไม่รู้กี่ทีแล้ว ว่าความรู้ทั้งหลายแหล่นั้น มีความรู้สารพัดแง่ สารพัดประเด็น สารพัดแยกไปเป็นวิชาต่างๆ เยอะแยะ 

พระพุทธเจ้าก็เห็นสำคัญวิชาเดียว เป็นวิชาที่เป็นโลกุตระ รู้จักโลก รู้ทันโลกอยู่เหนือโลก จบแล้วคุณจะเกิดอีกไม่เกิดอีกก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น สลายอัตตา สภาพเป็นอนัตตา เป็นดินน้ำไฟลมได้เลย จบแล้ว คุณจะอยู่จนกระทั่งเป็นคนสุดยอด เป็นพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ก็เชิญไม่มีปัญหาอะไร อย่างอาตมาตั้งใจจะอยู่ อาตมาก็ทำ ฝนก็ขู่ให้อาตมาหยุด จ้างอาตมาก็ไม่หยุด ตกไปเถอะ อาตมาทนฟังเสียงฝนได้ (ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 13:14:19 )

ความรู้ทางการเมืองแบบพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ส่วนมากนักเศรษฐศาสตร์ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็คือจบมาจากต่างประเทศ ไม่ได้จบมาจากมหาวิทยาลัยโลกุตระพูดชัดๆก็คือจบมาจากมหาวิทยาลัยชาวอโศกซึ่งก็ยังไม่มี มีแต่ชาวอโศกนี่แหละที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจมีความรู้ทางการเมืองแบบพระพุทธเจ้า จึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จ อาตมาพูดหลายทีแล้วว่า พวกเราชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้ปัญหาการเมือง เสร็จจบกิจ เชิญให้มาตรวจสอบ เอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้มาตรวจสอบได้ว่าจริงไหม ซึ่งมันเป็นของยาก แต่เป็นของที่น่าได้ โอปนยิโก เป็นของสูงเป็นของยากเป็นของน่าได้ ต้องเอื้อมเอาให้ได้แล้วเราก็เอาได้แล้วเอื้อมได้แล้ว นี่ตรงตามพระพุทธเจ้า สวากขาตธรรม เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ก็ถูกต้องชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 12:37:54 )

ความรู้ทางรัฐศาสตร์ของพ่อครูจบจากประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ความรู้ทางรัฐศาสตร์ของอาตมา กับความรู้ของนักรัฐศาสตร์ ที่ส่วนมากก็จบมาจากเทวนิยมไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่ของอาตมา ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ เป็นประชาธิปไตยที่ Absolute เลย Ultimate เลย สุดยอดแล้ว ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วซึ่งเป็น Axium เลย อันนี้จบไม่มีความเปลี่ยนแปลงได้แล้ว อันนี้เป็นความจริงที่เป็น Axium เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วเป็นแต่ของแท้ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่เมืองไทย เกิดพฤติกรรมจริง ทำรัฐประหารรัฐบาลออกไปจริงๆนี้ แล้วก็มีพลเอกประยุทธ์เป็นตัวละครอยู่ในเรื่อง ตอนนี้กำลังดำเนินไปเพราะมันอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า คสช.ในขณะนั้น จะต้องเดินเรื่องไปตามความจริง คนไม่รู้ก็เหมือนมีมายาหลอกตัวเองซับซ้อนอยู่ ก็เข้าใจไม่ได้อยู่นั่นแหละ เพราะเขาไม่รู้รายละเอียดว่าด้านไหนที่เป็นหงายมาให้ทำงาน ด้านไหนที่กลบไว้ ด้านไหนที่เปิดมา ซึ่งผู้ที่ไม่ชัดเจนก็มองไม่ออก มันเหมือนความสลับซับซ้อนที่เป็นสิริมหามายา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 18:10:35 )

ความรู้ทางโลกุตระ เรียกว่าปัญญา!

รายละเอียด

“ความรู้”นี้จึงเป็น“อัญญ”คือ ผู้ที่มี“ธรรมะ”อย่าง“อื่น”ที่แตกต่างไปจาก“โลกียธรรม” คนละแบบจริงๆ คนละ“รส” คนละความ“ยินดี” เป็น“ความรู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย เรียกความรู้นี้ว่า“ปัญญา”(อันก็คือ อัญญะ แล้วก็มากขึ้นเป็นพหูพจน์คือ“อัญญา” แล้วจึงเจริญเป็น“ขั้น“ปัญญา”คือความรู้ใหม่ที่เป็นความรู้แบบโลกุตระ)

“ปัญญา”จึงเป็น“ความรู้”ที่ชาวโลกีย์ยังไม่เคยมีกันเลย 

ชาว“โลกีย์”ยังไม่มี“นิยม” เพราะยังไม่“รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 44 หน้า 69


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 12:31:36 )

ความรู้ที่จบที่สุด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสรุปรวมแล้วพระพุทธเจ้าเป็นคนเหมือนกันกับทุกคน แล้วท่านเกิดแล้วตายตายแล้วเกิด แสวงหาความรู้ แสวงหาประโยชน์ในสิ่งที่วนเวียน อยู่ใน กรรมกับกาละ จนรู้สูงสุดเลยว่า ถ้าจะอยู่ก็เป็นมนุษย์แสนประเสริฐ แสนดีที่สุด เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษเลย และไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ตามแต่สมัครใจ หรือจะ สลายตัวเป็นศูนย์เลย ไม่มีตัวเองอีกแล้วในจักรวาล ในกาละอีกเลยก็ได้ด้วย จึงเป็นความรู้ที่จบที่สุด จบกิจ ไม่มีอะไรที่จะรู้อีกแล้วในมหาจักรวาล

เพราะฉะนั้นสลายตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมแล้วไม่ต้องเป็นธาตุรู้ เป็นสสารวัตถุไป นี่สุดยอดแล้ว ในความเป็นมนุษย์ในความเป็นจิตวิญญาณ ในความเป็นพระเจ้า ความเป็นอัตตา ถ้ารู้ตามที่อาตมาพูดนี้ก็รู้จบแล้ว 

 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 12:50:02 )

ความรู้ที่ตีไม่แตกแยกไม่ออกของเทวนิยม

รายละเอียด

ศาสดาของเทวนิยมนั้นไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าเทวนิยมนั้นคือความรู้ที่ตีไม่แตก แต่พระพุทธเจ้านั้นเป็นศาสนาที่รู้ความที่ตีไม่แตก และก็มีความรู้ทั้งการตีแตก แล้วก็อยู่ที่ตัวเรา 

ตัวเรานี่แหละเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ เป็นเจ้าของอัตภาพ เป็นเจ้าของเทวดา เป็นเจ้าของพระเจ้าที่จะให้พระเจ้าในตัวเรานี้ อยู่หรือไม่อยู่ เลิกหรือไม่เลิก ทำอัตภาพของตัวเรานี่แหละให้มีอยู่หรือไม่มีอยู่ อย่างเทวนิยม พระศาสดาของเทวนิยมไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองคือพระเจ้า หมายความว่า ไม่รู้ว่าความรู้ความจริงทั้งหลายแหล่ที่ตัวเองมีนี้คือของตัวเอง ไม่ใช่ของพระเจ้ามีไว้ก่อน เราก็เลยเป็นพระบุตรไปรับของพระเจ้ามานั้น ไม่ใช่ นี่คือความไม่รู้ของพระเจ้า และความไม่รู้ของพระศาสดาทางพระเจ้า ไม่รู้อัตตานั่นเอง เพราะไม่ได้เรียน ไม่ได้วิจัยแยกแยะ แล้วแถมห้ามแยกแยะอีก ก็เลยจบอยู่ตรงนั้นนิรันดร จบอยู่ตรงที่ แยกไม่เป็น แยกไม่เป็นก็เลยมีอยู่เท่านั้น ตายตลอดกาลนาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:18:55 )

ความรู้ที่น่าศึกษายิ่ง

รายละเอียด

ความเห็นของหมอ หมอมาหายใจแทนอาตมาเมื่อไหร่เล่า หมอเล่นหายใจแทนอาตมาเมื่อไหร่ อาตมามันไม่ไหว ปัดโธ่ โอ้โห! ลมหายใจของอาตมา มันไม่ไหวแล้วจริงๆ จริงๆแล้วลมหายใจมันใช่นามธรรม นามธรรมมันซ้อนอยู่ในลมหายใจอีกที จะทำยังไง นั่นแหละศึกษาไปเอาความจริง เห็นความจริง อันนี้อาตมาว่ามันก็เป็นความรู้ที่น่าศึกษายิ่งเหมือนกัน โอ้โห! 

ความสูงสุดแห่งสิ่งที่ขาดสุด ที่เป็นลมหายใจ ก็มีพยัญชนะที่เรียกว่าอานา อาปานะ แล้วก็มีประธาน ประธานที่รับรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกของเราเอง เป็น cyclic order 3 เส้า มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกแล้วก็ประธาน เราเองเราเป็นประธาน สูดหายใจเข้าไม่มีออก สูดออกไม่มีเข้าก็เอวัง ก็จบ สรีระนี้ก็หมดไป มันก็ไม่มีพลังงานต่อ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 48 วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2567 ( 19:47:16 )

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นปัญญายิ่งใหญ่ที่สุด

รายละเอียด

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ รู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้เรื่องของพระเจ้า รู้เรื่องของจิตวิญญาณ รู้เรื่องของอัตตา รู้เรื่องของชีวธาตุที่เป็นธาตุรู้ 

ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นภาษาเรียกว่า ปัญญายิ่งใหญ่ที่สุด คนทุกวันนี้เขาก็พูดถึงปัญญาความรู้ปัญญา เฉโกไม่ใช้แล้ว เอาคำว่าปัญญาไปใช้แทนความรู้ ความฉลาดทั้งหลายแหล่ ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผู้ที่จะมีสัมมาทิฎฐิมีปัญญาได้ไม่ใช่เรื่องสามัญ มันเป็นเรื่องที่วิสามัญอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นตลอดล้านชาติที่พระพุทธเจ้าแสวงหาความรู้ ให้เป็นปัญญาหรือญาณหรือวิชชา แล้วก็ไปรู้ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ดับสูญสลายเลยได้ รู้ต้นทาง ต้นธาตุ ต้นธรรม ของธาตุจิตนิยาม แล้วก็ทำจิตนิยามให้สูญ ดับธาตุดับกรรม อันนี้เป็นความยิ่งใหญ่ซึ่งผู้รู้เป็นพระพุทธเจ้าท่านตรัสใช้ภาษาอยู่ว่า ความมีกับความไม่มี 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่รู้แล้ว จึงเป็นสิ่งที่เลิศ ที่สุดยอดที่สุด ที่มนุษย์จะพึงเป็นพึงได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่รู้แล้วเป็นโพธิสัตว์ก็รู้ตัวแล้ว ไม่ไปทำงานอื่น เหมือนอย่างอาตมาตอนที่ไม่รู้ตัวเป็นลิงลมอมข้าวพองก็หลงโลกไป พอรู้ตัวแล้ว ไม่เอา เลิกหมด อาตมาจึงรู้พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างที่เราเป็นนั่นเอง เราเองเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้ามา พอมาถึงตรงนี้แล้วไม่มีอะไร เกิดมาเป็นมนุษย์โลก ก็หลงกับความไม่รู้ แล้วก็หลงอยู่กับความมีความไม่มี ยังงมงายกับความมีความไม่มี นัตถิกับอัตถิ โหติกับนโหติ พยัญชนะก็บอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2565 ( 14:21:27 )

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นจริงและจบที่สุด

รายละเอียด

ก็จริงอาตมาก็ต้องเอาคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบและเอามาประกาศ อาตมาก็ช่วยพระพุทธเจ้าเผยแพร่สืบทอดต่อไป เพราะยุคกาลนี้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นแล้ว มีแต่พระโพธิสัตว์อย่างอาตมานี่แหละจะมาสืบทอดไป เป็นหน้าที่ จนกว่าศาสนาจะครบ 5,000 ปี ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ก็ยังเหลืออีก 2,000 กว่าปีก็ต้องพยายามช่วยกันไป เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องหน้าที่ เป็นเรื่องมนุษยชาติที่จะรู้จักสิทธิหน้าที่ของตน ที่ได้มีมา 

พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นคนเหมือนกัน เหมือนกับเราทุกๆคน แต่พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลานับล้านๆชาติ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย เป็นล้านๆชาติ บางยุคกัป อายุยาวตั้งหลายพันปี หลายหมื่นปีกว่าจะตาย ก็ผ่านมาจนไม่รู้มันยาวไกลมากมายเท่าไร

เพราะฉะนั้นเป็นโพธิสัตว์โดยเฉพาะยิ่งเป็นพระพุทธเจ้า พอรู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทำงานอย่างอื่น พอรู้ตัวเมื่อไหร่ไม่ไปทำงานอย่างอื่น ทำงานนี้มาตลอด เป็นโพธิสัตว์มาจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า 

เรื่องความรู้ในโลกเยอะแยะ ไม่รู้กี่แขนง กี่อย่าง กี่อัน ทั้งนั้นๆ เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะต้องไปรู้จักความรู้พวกนั้นมา แต่ละชาติๆ ก็ต้องไปรู้ตามโลกเขาด้วย ตามระดับของพระโพธิสัตว์ ที่จะพึงรู้ ตามความรู้อะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์ควรรู้กันก็ไปรู้กับเขา โพธิสัตว์ต้องรู้ ไม่ใช่ไปพูดโดยที่ตัวเองไม่รู้ รู้มาแล้ว ผ่านมาแล้ว แล้วเอามาพูด แล้วก็พยายามบอกให้รู้ว่ามันไร้สาระ สาระที่แท้คือวิมุติ ตามมูลสูตร มีวิมุติเป็นแก่น อมตะเป็นที่หยั่งลง เป็นต้น 

ผู้ที่เข้าใจรู้จักสภาวะ อย่างอาตมาเห็นมูลสูตรแล้ว ก็รู้ว่าเป็นหมวดธรรมที่ยืนยันมาตั้งแต่ต้น มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอำนาจใหญ่ มีปัญญาเป็นอุตตระ เป็นความเหนือ มีวิมุติเป็นแก่น มีอมตะเป็นการหยั่งลงของมนุษยชาติ จบที่เป็นอมตบุคคล เมื่อเป็นอมตบุคคลแล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็แล้วแต่ท่าน อมตะหมายความว่าจะตายหรือจะเกิดก็ได้ เรื่องของท่าน ตายอย่างชนิดที่เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วเลิกเลย เลิกจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมด จบสิ้น จิตนิยามอันนั้น ได้ถึงที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 18:54:11 )

ความรู้ที่ยิ่งใหญ่คือทุกอย่างเป็นทุกข์หมด

รายละเอียด

อาตมายังหวังอยู่ว่าสัจธรรมพระพุทธเจ้าจะแพร่หลายกว้างไกลไปอีก จริงๆทุกวันนี้มันทุกข์กันมาก แล้วที่พยายามแสวงหาอยู่ก็มี อยากได้ พวกที่ยังหลงโลกอยู่ก็แล้วไปแต่เขาก็ทุกข์หนัก สักวันหนึ่งเขาก็ต้องหาทางออก ให้พ้นทุกข์อย่างที่มีทฤษฎีสำคัญที่สุดคือทฤษฎีอันนี้ของพระพุทธเจ้า มันต้องเป็นโครงสร้างเดียวกันที่ซับซ้อนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเล่าว่า ท่านได้ถูกครอบงำมอมเมาจนกระทั่งไม่รู้จักความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่รู้ว่ามีในโลก เมื่อท่านได้รู้แล้วคนเราต้องแก่มันเป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ อันนี้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่มันเป็นทุกข์ เห็นความเกิดก็เป็นทุกข์ เห็นความเจ็บก็เป็นทุกข์ เห็นความแก่ก็เป็นทุกข์ เห็นความตายก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นทุกข์หมด ชาติปิทุกขาชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:12:04 )

ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ให้เรียนรู้ธรรมะ 2

รายละเอียด

ในโลกจะมีอย่างนั้นมี 2 ขั้วใหญ่ ขั้วหนึ่งดีกว่าหนึ่งก็ต้องเสียขั้วหนึ่ง เป็นสัจจะ อีกขั้วหนึ่งก็เป็นอสัจจะ เป็นสภาวะธรรมะ 2 อาตมาว่าพระพุทธเจ้าสรุปความรู้ที่ยิ่งใหญ่ให้เรียนรู้ธรรมะ 2 เทวธัมมา โดยเรียนรู้ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า แล้วท่านปฏิบัติเรียนรู้จุดสำคัญที่ว่า มนุษย์เรียนรู้เรื่องเวทนา 2 

ความแตกต่างของเวทนา 2 มันมีทั้ง อัตตา มันมีทั้งโลกมันจะรู้โลกอย่างโลกวิทู จะรู้ อัตตา อย่างบริบูรณ์ที่สุดแล้ว จบความรู้ในเรื่องโลกเกี่ยวกับความรู้ในเรื่องอัตตา เป็นธรรมดาโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:32:51 )

ความรู้ที่รู้แล้วก็หมดปัญหา

รายละเอียด

ใช่ เป็นเรื่องควบคุมจิต กับอบรมจิต หรือฝึกฝนจิต ฝึกฝนเรียนรู้ แล้วก็เกิดปัญญาอันยิ่งบริบูรณ์ ปัญญาอันยิ่ง คำนี้ มันเป็นความรู้ที่รู้แล้วก็หมดปัญหา รู้อย่างหมดสงสัยหมดข้องใจ หมดปัญหา หมดความข้องสงสัย หมดความไม่กระจ่าง หรือว่ายังเหลือเศษ ความไม่รู้ หมดเลย หมด ไม่มีเหลือเศษความไม่รู้ นี่คือความจบ หรือว่าปัญญาอันยิ่ง ในความหมาย มันเป็นธาตุรู้ หรือว่าความรู้ความฉลาดที่รู้อย่างไม่มีความเป็น 2 แล้ว รู้อย่างความเป็นหนึ่งเดียว ใครจะมีอะไรมาเป็น 2 ทำความเข้าใจให้ได้หมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 11:20:42 )

ความรู้ที่หมดปัญหา

รายละเอียด

ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ เกิดความรู้แล้วเอามาสอนแก่มวลมนุษยชาติ จึงเป็นความรู้ที่หมดปัญหา มีแต่ปัญญาอันยิ่ง เป็นความรู้รอบที่จะแก้ไขทั้งปัญหาในตนและปัญหาในสิ่งที่เราสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย

จากโลกที่เราสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่เรียกว่าโลก โลกน้อยๆ จากจักรวาลน้อย จนกระทั่งถึงจักรวาลกว้างขึ้นกว้างขึ้น เราก็สามารถที่จะช่วยกัน นำพากันช่วยสังคม 

ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสนาของคนกับศาสนาของสังคม เมื่อแก้ปัญหาคน แก้ปัญหาสังคมสำเร็จ จะต้องการอะไรอีกในโลก นอกจากคนโง่จะต้องการอำนาจบาตรใหญ่ จะต้องการทรัพย์ศฤงคาร จะต้องการเกียรติยศ จะต้องการสรรเสริญเยินยอ แม้ในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าสุข ซึ่งเป็นอารมณ์มายา อารมณ์เสพก็ล้างได้หมดสิ้น ไม่ต้องมีอารมณ์สุขหรืออารมณ์เสพ ที่เรียกว่าสุข 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สุดยอดว่าสุขกับทุกข์เป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน เป็นคู่ที่แยกกันไม่ได้ มันหลอกคุณว่าสุข แต่แท้จริงมันคือตัวทุกข์ ตัวแท้ คุณเป็นอาริยะ คุณเป็นผู้ประเสริฐ คุณเป็นผู้ฉลาดจริง คุณจึงจะรู้จัก ปัดโธ่เอ๋ย…ไอ้นี้เอาสุขมาหลอก 

สุขกับทุกข์ พยัญชนะเรียกสภาวะเป็นสภาวะ 2 ที่หลอกเป็นนักเล่นกล เป็นมายากลที่ไวเหลือเกินมันหลอกกัน จนคนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าสุขกับทุกข์มันเป็นตัวปลอมทั้งคู่เลย มันมี 2 ด้านมันก็หลอกต้องฆ่ามันทั้งหมดเลย จนเป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 14:17:01 )

ความรู้ที่เข้าใจจิตที่เป็นผีแท้

รายละเอียด

ส่วนพุทธประเทศไทยที่มีโลกุตระอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ได้มีความคิดเหมือนนักบริหารแต่ละประเทศเลย เพราะอันนี้เป็นโลกุตรธรรมอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัส ตรัสอย่างโลกุตรธรรมจริงๆ เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์ที่แท้จริง 

ความรู้ที่ว่านี่แหละเป็นคนที่เข้าใจจิตที่เป็นผีแท้ กลับเป็นผีปลอม ผีปลอมเป็นอะไร ปลอมเป็นเทวดา ปลอมเป็นผู้ที่มีสุข ซึ่งสุขมันก็คือทุกข์ ทุกข์มันก็คือสุข โดยไม่รู้มายา ไม่รู้ความเป็นสุขทุกข์ที่เป็นมายา ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ มันทำให้คนอยู่ในภพความโง่เป็นผีหนัก คนที่หลงเอาทั้งสุขและทุกข์ด้วยก็ยิ่งเป็นผีหนัก เป็นผีใหญ่เลย ผีโง่เอาแต่สุข มันก็โง่แล้ว หรือแม้ผีโง่เอาแต่ทุกข์ พวกซาดิสม์และพวกมาโซคิสม์ (ตัวเองเจ็บแล้วชอบ) นี่พวกนี้กลับจากพวกสุขนิยม เป็นพวกทุกข์นิยม หรือพวกทุกรกิริยาทั้งหลาย อย่างในพวกอินเดียทุกวันนี้ก็ยังมี ทรมานตนเอง นอนบนตะปู ยืนเขย่งขาเดียว สารพัดที่เขาจะทำ เอาหัวลงดินตีนชี้ฟ้า เขาก็ทำไปสารพัด พวกทุกข์นิยม ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ความโง่หรือความเป็นผีในตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:02:36 )

ความรู้ที่เปิดเผยการเกิดจิตวิญญาณเป็นโลกุตระบุคคล

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจะเข้าใจจะรู้โลกนี้ ก็ยังไม่รู้ โลกหน้าก็ไม่รู้จักโลกหน้า ยิ่งโลกหน้าเป็นโลกโลกุตระแยกเป็นโลกกัลยาณชน โลกของอาริยชน เข้าใจพฤติกรรมของเรา เป็นพฤติกรรมของกัลยาณชนเป็นคนดีหรือยัง เป็นพฤติกรรมที่เป็นโลกุตระ ได้หรือยัง ก็ต้องรู้ต้องเข้าใจแล้วก็ทำ แล้วมาบอกสอนผู้อื่นให้ทำตามได้ อาตมาสอนให้ผู้อื่นทำตามได้จนมีผล มีคนเอาชีวิตมาอยู่อย่างนี้เลยอยู่รอด อาตมารู้จัก มาตา ปิตา รู้จักแม่รู้จักพอ แม่คือศีล พ่อคือปัญญา เอาพ่อและแม่มาช่วยกันเอาศีลกับปัญญามาช่วยกันให้เกิดจิตใจที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ จิตของพวกเราก็เป็นสัตว์โอปปาติกะ เกิดใหม่เกิดเป็นกัลยาณชนเกิดเป็นโลกุตระบุคคลได้ เกิดในตัวเรานั่นเอง เป็นการอุบัติเกิดที่จริง ได้สำเร็จ นี่คือความรู้ความสามารถที่แจกแจงเปิดเผยให้คนรู้เข้าใจตามปฏิบัติตามมีมรรคผลตาม สิ่งนั้นก็บริบูรณ์สมบูรณ์ อย่างอาตมารู้ตั้งแต่ทินนังจนถึงสัตว์โอปปาติกะอย่างที่ได้กล่าวอธิบาย พวกเราพอปฏิบัติได้บ้างแล้วใช่ไหม ….อาตมาไม่ได้ขี้ตู่นะ ทำไมยืนยัน? ทำได้ มั่นใจว่าทำได้ ศาสนาพุทธก็ยังเหลือเชื้อยืนยันเป็นความจริงอยู่ได้ อาตมาได้นำเอาธรรมะพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกต่างๆมาไขความไป พวกเราเกิดปัญญา อาตมาเอาศีลสมาธิปัญญามาอธิบาย ว่าศีลคืออย่างนี้ พวกเรามีศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ยกอธิศีล ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเราก็ชัดเจนขึ้นมีหลักปฏิบัติที่จับต้องได้ สอนกันมาจนกระทั่งเคยชินกันว่า อย่าฆ่าสัตว์ แต่มันไม่สะดุดไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สะดุด แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้กินเนื้อสัตว์ก็สะดุดใจขึ้นมันเป็น อธิศีล พอสูงขึ้นละเอียดขึ้นก็จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น ปฏิบัติ อธิจิตได้เพิ่มขึ้นก็จะมี อธิปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2563 ( 11:58:55 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:49:44 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:42:43 )

ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เชื่อได้ด้วยตนเอง 

รายละเอียด

เรามาทำที่ปัจจุบัน กระทบสัมผัสแล้วกิเลสมันเกิดอาการ เราก็รู้ว่ามันมีกิเลสก็แยกกิเลสเป็น 2 ขั้วใหญ่เป็นผลักเป็นดูด หรือเป็นรักเป็นโกรธ ก็ทำลายมันตั้งแต่หยาบ ให้มันลดลงจนเป็นพระอาริยะ เป็นอรหันต์กันได้ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

คนในโลกกำลังตามหาตามค้น พากเพียรที่จะรู้จักทฤษฎีอันนี้ ซึ่งมีองค์เดียวในยุคกัป ใน 5,000 ปีนี้ ก็มีพระพุทธเจ้าสมณโคดมองค์เดียว อาตมาก็มาสืบทอดอันนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เอาไปพิสูจน์แล้วคุณจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง อาตมาอธิบายไว้ ทำตามให้ดีคุณจะรู้เองด้วยตัวคุณเองว่า จริงหนอ จับกิเลสเอากิเลสออกได้ตั้งแต่หยาบมา คุณจะรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องไปบังคับให้เชื่ออาตมาเลย ทุกๆ คนเชื่อตัวเอง ไม่ได้มาเชื่ออาตมาหรอก อาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอนให้พวกคุณเข้าใจ พวกคุณไปทำ คุณก็เชื่อในสิ่งที่คุณทำได้เอง ไม่ได้เชื่ออาตมา แล้วไม่จำเป็นต้องเชื่ออาตมา ให้เชื่อในผลในจิตของคุณเองที่ทำได้ที่เป็นปรมัตถธรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 21:01:39 )

ความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

“ความรู้”ที่เราต้องรู้ให้“สัมมาทิฏฐิ”จึงจะสามารถมี“ปัญญา”รู้ได้ว่า เมื่อใดใน“เวทนา”หรือ“ความรู้สึก”ของเราจะเป็น“กาย”และเป็น“จิต”หรือไม่เป็น“กาย”แล้ว แต่มี“จิต”เป็น“ชีวะ”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเต็มสภาพอยู่ ทว่าเรารู้ว่า เมื่อใดมีความเป็น“กาย” เมื่อใดไม่มีความเป็น“กาย”

ความเป็น“กาย”จึงสำคัญมากที่จะทำให้เรา“พ้นความรู้สึกสุข-ทุกข์”หรือยัง“ไม่พ้นความรู้สึกสุข-ทุกข์”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:28:22 )

ความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

“ความรู้”ที่“สัมมาทิฏฐิ”แบบพุทธอันเป็นโลกุตระ แล้วก็ต้องปฏิบัติตนให้“สัมมาปฏิบัติ” กระทั่งมี“สัมมาปฏิเวธ” บรรลุอรหันต์สามารถ“ทำกาล (กาลกิริยา)”ได้ด้วยตนเองตามที่ตนประสงค์เป็นที่สุดได้สำเร็จจริง  ศาสนาพุทธ“จบกิจ”สูงสุดด้วยการ          “ทำกาละ” 

คนผู้ที่“ทำกาล”ได้จริงอย่างวิเศษสุดนั้น คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง           รู้จบความเป็น“ชีวิต”ดีสุดสัมบูรณ์ ที่สามารถจัดการกับตนเองในการ“ทำกาละ”หรือทำ“การตาย-การเป็น”ได้อย่าง บริบูรณ์สัมบูรณ์จริงๆแท้ๆ 

นั่นคือ จะ“ทำการตาย”ให้แก่ตนได้ชนิดที่ครบทุก “มิติ”แห่งความเป็น“ชีวิต”หรือ“จิตวิญญาณ”กับ“กาล”

อรหันต์สามารถ“ทำกาล(กาลกิริยา)”ที่“จบกิจ(กตัง กรณียัง)”ครบทุก“กิจ”ได้แล้ว ทั้งที่“มี”หรือ“ไม่มี”ใน“กาล” 

นั่นคือ “กิจ”ที่เป็น“สมมุติสัจจะ”จบ ก็ทำได้ หรือ “กิจ”ที่เป็น“ปรมัตถสัจจะ”จบ ก็ทำได้ จบได้ทั้งสองอย่าง จบได้ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ อาตมาใช้คำว่าสมมุติสัจจะก็ดี บางทีก็ใช้คำว่าสมมุติทำ เหลือปรมัตถสัจจะ บางทีก็ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม มันต่างกัน ก็ต่างกันตรงธรรมกับสัจจะ ถ้าธรรมนั้นหมายถึงความทรงอยู่ทรงไว้ มีอยู่ มีไว้ ถ้าสัจจะ ก็หมายความว่า ชี้บ่งว่ามันจริง สัจจะ

เพราะฉะนั้นสมมุติสัจจะ หรือปรมัตถสัจจะจริง มันชี้บ่งถึงความจริงกับความไม่จริง ในความทรงไว้หรือไม่ทรงไว้ ถ้าลงท้ายด้วยธรรมะก็คือความทรงไว้ความมีอยู่ ถ้าลงท้ายด้วยสัจจะก็คือจริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องมันมีนัยยะสำคัญอยู่ 

“กิจ”ที่ทำกรรมตาม“สมมุติสัจจะ”จบนั้น สามารถทำกรรมที่เป็น“กุศลธรรม”แต่ถ่ายเดียวและยั่งยืนตลอดไป ทว่ายังมี“กิเลส”ในใจอยู่ ก็ทำได้ คนที่ยังมีกิเลสอยู่นี่ ทำจิตที่เป็นกุศล อย่างพวกคุณนี่ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ ยังมีกิเลส คุณทำกุศลได้อยู่ ไม่เห็นเป็นไรใช่ไหม เราทำกุศลได้ทั้งๆ ที่เป็นกิเลสยังมีกิเลสได้ 

หมายความว่า “การกระทำ”ของเราทุกกรรม ไม่เป็น“อกุศล”แล้วตาม“สมมุติสัจจะ” แต่ยังมี“บาป”เฉพาะในใจตนอยู่ เพราะตนยังมี“กิเลส” ซึ่งเป็น“ปรมัตถสัจจะ” 

อาตมาต้องแยก เพราะตามสมมุติแต่ละหมู่แต่ละกลุ่มก็ต่างกัน กลุ่มนี้ถืออันนี้ว่าถูกต้อง ดีไม่ดีออกกฎหมายบอกเลยว่าอย่างนี้ถูกต้อง กลุ่มอื่นก็ของเขาสมมุติกัน ยึดถือกันตามจารีตประเพณีตามที่ยึดถืออยู่ก็ตาม หรือออกกฎหมายเลยมันก็ไม่เกี่ยวกัน ของใครของมัน ประเทศนั้นจะเอากฎหมายของประเทศนี้ไปวิเคราะห์ไม่ได้ตีกันตายพอดีเลย ใครจะตัดสินล่ะ ก็กฎหมายของใครก็เป็นเรื่องของใคร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าไปแล้วละลาบละล้วงกัน 

การกระทำที่เป็น“กุศล”คือ กรรมที่“ดี”ตามสมมุติของสังคมของโลกแล้ว แต่“กิเลส”ในใจตน ยังมีอยู่

เพราะกรรมที่เป็น“บาป”คือ กรรมที่“มี”กิเลส ตาม “ปรมัตถธรรม” เราต้อง“ฆ่ากิเลส”ด้วยการทำพลังงานจิตให้เป็น“ฌาน”คือ เป็นไฟที่เผากิลสจนถึงขั้น“บุญ”ได้แท้ ฌานที่ 4 จึงเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้ายที่ชื่อว่าบุญ ฌาน 1 2 3 ยังไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเพชฌฆาตที่ชื่อว่าบุญตัวที่ 4 ทำแล้วเสร็จหายไปกับฌาน 4 เหลือแต่ฌาน 1 2 3 4 ให้ผู้ที่มีปัญญาใช้งาน และฌาน 4 ที่ใช้งานไม่ใช่ฌานที่จะใช้ฆ่า แต่ในฌาน 4 ก็เป็นพลังงานจิตที่ทำการฆ่าจิตฆ่ากิเลส อกุศลจิตหรือจิตที่เป็นบาปฆ่าได้อย่างจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องจบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2567 ( 15:20:51 )

ความรู้ที่เรียกว่าโลกุตระ

รายละเอียด

ความรู้ที่อาตมาพูดนี้มันก็ซับซ้อน มันเป็นความรู้ที่เรียกว่าโลกุตระ ที่ต่างจากความวนที่อยู่ในโลกียะ ที่เป็นเทวนิยมที่ไม่มีความรู้ที่เป็นปัญญาหรือเป็นความรู้อีกอันนึงต่างหาก ที่มันรู้แจ้งเห็นจริงความเป็นโลกีย์เต็ม จนกระทั่งสามารถสลายโลกียะออกไป กระจายออกไปจนไม่เหลือ รู้จักสัตว์โลกที่อยู่ในโลกีย์นั้นว่ามันมีอวิชชาอย่างไร มันหมดอวิชาแล้ว รู้หมดเลย อ้อ..มันมารวมกันอยู่อย่างนี้เอง มันปรุงแต่งกันอยู่อย่างนี้เอง ถ้าเราเลิกปรุงแต่งมัน มันก็แยกตัวไป นี่พูดด้วยภาษาง่ายๆ แต่รู้สภาวะอย่างนี้ยาก รู้แล้วก็เอามาทำได้ อย่างอาตมาพูดแล้วก็ทำได้ ที่พูดนี้เหมือนอวดตัวอวดตนน่าหมั่นไส้ แต่ไม่ใช่ ก็ทำได้อย่างไรก็มาพูดอย่างนี้ให้ฟัง 

อาตมาไม่มีกิเลสแล้ว พูดตามสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นก็บอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อวดตน พระพุทธเจ้าถ้าจะว่าอวดท่านอวดยิ่งกว่าอาตมา แต่ท่านว่าท่านไม่อวด เหมือนกับอาตมา จริงใจเอาความจริงมาขยายความมาประกาศ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:14:37 )

ความรู้ที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

อาตมายังจะ ขยายความรู้ เขียนก็ดี เทศน์ก็ดี พูดก็ดีอยู่ ทำไปต่ออยู่เรื่อยๆคนจนที่มีแบบ นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง มีความหนา 512 หน้า อาตมาเอามาอ่านทวนจบไปแล้ว ดูแล้วก็ชัดเจน แต่ก็ยังเขียนปัญญา 8 อีก หนังสือคนจะบรรลุธรรมได้อย่างไรก็รวบรวมมาได้หลายเล่มแล้ว ปัญญา 8 ก็จะออกมาเรื่อยๆ 

ที่ยังเขียนสาธยายอยู่เหล่านี้ อาตมาได้ความรู้เป็นความรู้ที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า ที่เป็นคนในโลกเหมือนกับคนทุกคนของโลก ของทุกศาสนา มีขันธ์ 5 เหมือนกันหมด แต่พระพุทธเจ้าทรงสะสมความรู้ สะสมความจริง ชาติแล้วชาติเล่าๆ จนกระทั่งได้เจอ อัญญธาตุ จนกระทั่งเจอธาตุโลกุตรธรรม แล้วก็มี อัญญธาตุ คือมันต่างจากโลกีย์เขา 

ธาตุ ของปุถุชน ธาตุของเทวนิยมคือธาตุแบบโลกีย์กันหมดมีหนึ่งเดียว พระพุทธเจ้ามารู้อีก 1 คือ ธาตุโลกุตระ โลกุตรธาตุที่เป็น อัญญธาตุ ธาตุแรกแล้วท่านก็สะสมธาตุใหม่ ที่ไม่ใช่เจริญแบบโลกียะเท่านั้น แต่มันเจริญอย่างมีตัวจบ ครบสมบูรณ์เลยทั้ง 2 ส่วน 3 ส่วนและ 1 ส่วน สุดท้ายเป็น 0 ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2566 ( 16:02:30 )

ความรู้ที่ไม่มีกิเลสจึงจะเรียกว่าปัญญา

รายละเอียด

ปัญญา คำว่า เฉโก เป็นความรู้ความฉลาด แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่ประดาโลกียชน ปุถุชนเขามีกัน แต่เขาไม่เข้าใจกันแล้ว เอาเฉโกมาเรียกว่าเป็นความรู้เขาก็จะงง เขาจะรู้ว่า เฉโก เป็นความรู้ขี้โกง ความรู้ที่มีกิเลสปนอยู่ 

ความรู้ที่ไม่มีกิเลสจึงจะเรียกว่าปัญญา อย่างน้อยที่สุด ความรู้ที่คุณพยายามไม่ให้มีกิเลสเข้าไปร่วมได้ ความรู้ตอนนั้นอันนั้น ความรู้ที่คุณแสดงออกไปนั้น ทางกาย ทางวาจา ที่ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงเข้าด้วย อันนั้นจึงจะเรียกว่าความรู้ที่เป็นปัญญา 

ขณะใดที่คุณแสดงความรู้ออกไปแล้วมีกิเลสร่วมไปนั้น ไม่ใช่ปัญญาสักตัว มันยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์จากกิเลส อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:26:19 )

ความรู้ประจักษ์แจ้งในการปฏิบัติ จะได้ 5 อัศจรรย์ คือพลังยิ่งใหญ่!

รายละเอียด

“ความรู้-ความจริง”ของพระพุทธเจ้าจึงเป็น“ความกระจ่างแจ่มแจ้ง”ที่เป็น“สวากขาตธรรม 5”ได้แก่“สันทิฏฐิโก-อกาลิโก-เอหิปัสสิโก-โอปนยิโก-ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” พิสูจน์ได้ใน“คน”เป็นๆ ที่มีชีวิต“ร่างกาย-จิตใจ”(ภาวะ 2 หรือเทฺว)อย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง จึงไม่ใช่“สิ่งลึกลับสูงสุดยิ่งใหญ่”ที่สัมผัสไม่ได้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 329 หน้า 246


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:18:45 )

ความรู้ประชาธิปไตยแบบของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

 ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ในเอกภพไม่ใช่แค่ในโลกนะ ท่านเองพาผู้มาอยู่ในธรรมนูญของท่านมีหลักเกณฑ์คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านตั้งมาสามกฎเกณฑ์นี้ตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้พระไม่ถือศีลกันแล้ว แต่ไปถือเอาพระวินัย 227 ข้ออย่างเดียว มีแต่สมณะชาวอโศกเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ จุลศีลมันเป็นศีลที่แต่ละคนนำมาปฏิบัติให้แก่ประโยชน์ของตนเอง ส่วนมหาศีลอันเป็นประโยชน์ของศาสนา จึงเป็นศีลที่ใหญ่ของศาสนา ต้องละเว้น ในมหาศีล ละเว้นหมดแล้วศาสนาจะยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ผุดผ่องมีคุณค่าสูงส่ง แต่ทุกวันนี้ไม่ละเว้นกันส่วนใหญ่จะเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นไสยศาสตร์กันทั้งนั้น 

ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธกระแสหลักเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา ไสยศาสตร์ ตามที่ท่านห้ามไว้ในมหาศีลมันก็เลยหมดถ้ามีความเสื่อม  เสื่อมจนอาตมาอยู่ร่วมด้วยไม่ได้ ไม่ได้เสื่อมแค่มหาศีลแต่เสื่อมไปถึงจุลศีล มัชฌิมศีล มันก็เลยลำบากเช่นปาราชิก 4 ในวงการศาสนาพุทธปาราชิกในเรื่องเงินทองมีเยอะมาก แล้วมันทำศาสนาไม่บริสุทธิ์ศาสนาไม่ยืนนาน ในชาวอโศกที่พระภิกษุก็ดีแม้แต่สิกขมาตุ เรื่องเงินทองไม่ได้สะสมเงินทอง ทำมาได้ 30-40 ปี มันไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรที่ทำไม่ได้เลยมันเป็นเรื่องวิเศษด้วยซ้ำ 

หากปาราชิกก็มีสภาพเป็นสมี ก็หนักกว่าพรหมทัณฑ์ที่ให้อยู่ในนี้ได้แต่ไม่สั่งสอนเป็นการลงโทษที่หนักแล้ว แต่สมีนั้นตัดจากศาสนาเลย 1 ชาติ ไม่เอื้อให้ฟังธรรมะเลย แม้เข้ามาในรัศมีที่ฟังธรรมได้ก็ต้องให้ออกไปหยุดเทศน์จนกว่าเขาจะออกไปเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เลย แถมเอาให้ไปเป็นมัคทายกด้วย มันจะไปเข็ดได้อย่างไรอย่างนี้ คลุกคลีเน่าเหม็นกันอยู่อย่างนี้ เพราะถ้ายืนยันด้วยพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ทุกวันนี้ถึงไม่อ่านหมดก็พอได้ ขนาดรวบรวมธรรมพุทธสุดลึก เอาบทไหนมาก็พอได้ ตั้งแต่หมวด 1 ถึงหมวด108 

ก็ยังนึกอยู่ว่า จะเอามาอธิบายตั้งแต่หมวดที่ 1 ธรรมะเป็นที่หนึ่ง ใจเป็นประธาน ศีลเป็นเยี่ยมในโลก สีลังโลเกอนุตตรัง

สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่ได้มีสอง ซึ่งในอีกอันหนึ่งบอกในจูฬวิยูหสูตร สัจจะมีหนึ่งเดียวอย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ที่มา ที่ไป

620821_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 15:43:26 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:51:56 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:43:18 )

ความรู้ย้อนแย้งของศาสดาเทวนิยม 

รายละเอียด

ส่วนศาสดานั้น ที่จริงเขาเป็นได้แต่เขาไม่อยากเป็น ศาสดานั้นสงวนสิทธิ์ไว้แล้วว่าใครอย่ามาเป็นศาสดา ต้องเป็นลูกพระเจ้าเท่านั้น ปิดกั้นเลย ตัดสินผู้อื่น บอกว่าพระเจ้าส่งมา พระบิดาส่งมา จะเป็นเองไม่ได้ต้องมีพระบิดาส่งมา 

เพราะฉะนั้นความรู้ของพระศาสดา มันกลับกัน กลับกันคืออะไร ความรู้ความเป็น ความเป็นศาสดานั้นแย่งกันไม่ได้ แต่แย่งกันมากมายเลย แยกศาสนาไปไม่รู้กี่ศาสนาของเทวนิยม เห็นไหมมันเป็นมายา มันหลอกตัวเองยังไม่รู้ ศาสดาของเทวนิยมนี้ ศาสดาบอกว่าแย่งกันไม่ได้ ศาสดาที่จะประกาศศาสนาต้องเป็นพระบุตรเท่านั้น พระเจ้าส่งมา แย่งกันไม่ได้ แต่เขาก็แย่งกันระเนระนาด ก็เลยมีเยอะเลยศาสนาเทวนิยม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 19:12:47 )

ความรู้รวมยอดที่อาตมามี

รายละเอียด

ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ชาวอโศกทุกวันนี้มีเป็นผู้อยู่กับโลกทำประโยชน์ให้แก่โลกอย่างมาก อาตมาพาเราประพฤติ พาชาวอโศกมาตั้งแต่ทำงานศาสนามาเรื่อยๆ แม้จะไปประท้วงรัฐบาลก็มี ทำทางด้านเศรษฐกิจสังคม ศาสนา การสื่อสาร พาณิชย์ ทำด้านอะไรก็แล้วแต่อยู่ในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้รวมยอดที่อาตมามีทั้งนั้น แล้วความรู้รวมยอดที่อาตมามีเป็นความรู้ระดับโลกุตระ การศึกษาก็โลกุตระ พาณิชย์โลกุตระ การสื่อสารโลกุตระ เป็นโลกุตระทั้งนั้น แปลง่ายๆ โลกุตระ คือ การรู้จักทุกกรรม กาย วาจา มโน แต่ละกรรมนั้น เรารู้ว่ามีกิเลสหรือไม่ ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมแล้วได้พยายามลดละกิเลสได้ นั่นคือผู้กำลังศึกษาเป็นเสขบุคคล ส่วนผู้อเสขบุคคลก็รู้กรรมกิริยาตลอดเวลาอย่างไม่มีกิเลสแล้ว หรือว่าเป็นพระอนาคามีเป็นต้น ก็จะรู้ว่ากิเลสทางกามเราไม่มีแล้ว มันจะมีเหลือเล็กๆน้อยๆ มีพลังใจจิตเรา มีรูปภพ อรูปภพ มันมีฤทธิ์มีอำนาจที่จะไปแหยมทางกายกรรม วจีกรรม หากเป็นอนาคามีที่ยังไม่แข็งแรงก็ต้องระมัดระวัง จนกว่าจะเป็นอนาคามีที่แข็งแรงก็แทบจะไม่ออกข้างนอกเลย เป็นอนาคามีที่สมบูรณ์จะไม่ออกข้างนอกเลยไม่ว่าจะเป็น ภัยทางกาม ภัยทางโทสะ ไม่มี มันเป็นคุณสมบัติของมนุษยชาติที่แท้จริง จะมีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมไม่เป็นโทษภัยกับใคร แล้วมีแต่ประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติต่อโลก มันเป็นการศึกษาที่ สอน ยิงเปรี้ยง ไปสู่จุดสำคัญของมนุษยชาติ มนุษยชาติแต่ละคนศึกษาอย่างนี้แล้วทำตนลดละไป 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2563 ( 10:08:54 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:58:39 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:43:37 )

ความรู้ระดับพระเจ้าเป็นอย่างไร

รายละเอียด

จึงเกิดความรู้ระดับพระเจ้า เป็นผู้สร้างที่เป็นทุกอย่าง แต่เสร็จแล้วก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความเรียบร้อยทั้งหมดเลยได้ สู้กับซาตานไม่ได้ ตลอดกาลนาน สู้กันรบกันตลอดกาลและนานไม่มีวันจบ พระเจ้ากับซาตานรบกันไม่มีวันจบ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:55:40 )

ความรู้ระดับสยังอภิญญา

รายละเอียด

อันนี้อาตมาก็พูดหลายที ถึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 นี่เอง แล้วอาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา เกิดมาในยุคนี้ไม่มีครูบาอาจารย์มีความรู้ได้ด้วยตัวเองเป็นความรู้ระดับ สยังอภิญญา ไม่ใช่ความรู้ระดับสยัมภู 

สยังอภิญญา ก็มีความรู้ของตนจริงๆ อาตมาพูดไปนี้ผู้ติดตามจะได้ติดตามศึกษาว่าจริงนะไม่มีใครมาพูดมีแต่อาตมาเอามาพูด ซึ่งเป็นโลกุตระด้วยและเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ด้วย มนุษยชาติปฏิบัติตามได้เป็นได้ด้วย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:25:37 )

ความรู้ละเอียดเรื่องบุญไม่ง่าย 

รายละเอียด

ขนาดพวกคุณนะฟังเรื่องนี้มาถึงพันถึงแสนครั้งหรือไม่นะ อาจจะถึงหรือกว่าแล้วก็ได้ ใช่ไหม เห็นไหมว่ามันไม่ง่าย คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ไม่ง่ายที่จะเห็นตามรู้ตาม มันสงบเนียนลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้นมากเลย สุขุมประณีตละเอียด เดาไม่ได้ อตักกาวจรา คาดคะเนเอาไม่ได้ต้องเจอสภาพเอง มันละเอียด นิปุณา อาตมาไม่รู้จะแปลภาษาไทยว่าอะไร มันละเอียดขั้นนิพพาน ไม่รู้จะใช้พยัญชนะอะไรมาสื่อ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:09:26 )

ความรู้วิธีการแยกกาย แยกจิต

รายละเอียด

มารย่อมล่อให้หลงทางได้ตลอดเวลา คำว่าสงบจึงเป็นเรื่องที่เป็นเป้าหมาย ของศาสนามีกายสงบจิตสงบ ผู้ที่เข้าใจการแยกกายแยกจิต ผู้ที่มาบวชเริ่มต้นต้องทำการแยกให้ออก แยกให้ออกว่าอะไรคือกาย อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นกาย อะไรคือสิ่งที่เป็นชีวะแต่ไม่ใช่กายอยู่ในตัวเรา ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ คุณก็ทำจิตให้เป็น พีชะ ไม่ได้ พีชะ คือยังมีส่วนที่อยู่ในตัวเราแต่ไม่ใช่กาย ส่วนในชีวะของเรา จิตเป็นชีวะของเราแน่ แล้ว เราจะต้องทำจิตนี้แหละให้ไม่ใช่กายแต่อยู่ในชีวะของเรา เพราะกายที่ไม่ใช่กายนั่นคือพีชะพีชะคือชีวะที่ไม่รู้กาย ไม่รู้สุขทุกข์ ไม่รู้บาปบุญ​ ทำบาปทำบุญไม่เป็น พระอรหันต์ทำบาปทำบุญไม่เป็นแล้ว ขออภัยเหมือนอย่างอาตมา ทำบาปมันเป็นอย่างไรนะ บุญมันเป็นอย่างไร ทำไม่เป็นแล้ว มันลืมแล้ว แต่ก็รู้อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป สัพพปาปัสสอกรณัง ทำอย่างไรๆ ก็เป็นแต่กุศล ไม่เป็นบุญด้วย เพราะว่าบุญได้เลิกแล้วหายไปแล้ว บุญคือพลังงานที่สร้างเกิดขึ้นมาในปัจจุบันเท่านั้น พลังงานนี้มันมีหน้าที่กำจัดกิเลสเสร็จ บุญก็หมดไปด้วย เสร็จหน้าที่แล้วไม่มีบุญอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2563 ( 14:53:51 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:52:36 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:43:54 )

ความรู้สึกจนเพราะไม่รู้จักพอเป็นความไม่มีปัญญา

รายละเอียด

แต่ถามประเด็นที่ว่า ความรู้สึกจน คนเราจะมีความรู้สึกจนเราก็ต้องมีปัญญาอย่างชาวอโศก ก็มีความรู้นี้จนกระทั่งไม่สะสมทรัพย์สิน เราก็พอใจสบายชีวิตมีความใจพอมีความอุดมสมบูรณ์กินอยู่หลับนอนสบาย ไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์อะไร เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่กับหมู่กลุ่มไป พอกินพอใช้วงเวียนแล้วไม่มักมาก โลกจะมอมเมาให้อยากได้อยากมีอยากเป็นเราก็ไม่เป็นอย่างเขา อยู่ในหมู่กลุ่มกินใช้อยู่ในนี้ หลายคนจะรู้สึกว่าตัวเองตะกละ ตะกละในหมู่นี้ ไม่ใช่ข้างนอก เพื่อนฝูงไม่ได้เอามา แต่เราสะสมกอบโกยไว้ ไม่ถามหรอก ว่าใคร ของใครของมัน เตือนให้รู้ตัวระวัง จิตขี้โลภ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวยังมีอยู่คุณไม่เชื่อหรือว่าที่นี่มีส่วนกลางโดยที่คุณไม่ต้องสะสมเลยก็อยู่ได้คุณไม่เชื่อถือหรือ ที่นี่มีกินมีใช้พออยู่ เสื้อผ้าหน้าแพรกับส่วนกลางอยู่ได้ตลอดกาล ตายแล้วเกิดมาอีกก็อยู่ได้จะอีกกี่ชาติก็อยู่ได้ อโศกมีแก่นมีแกนอันนี้แล้วจะอยู่ไปอีกนาน หลายร้อยหลายพันปีอย่างน้อยก็คงจะ 2,000 ปีจะมาประมาณไว้นะ อาตมาจะทำอันนี้ แม้ว่าไม่ถึงอาตมาต้องทำเนื้อหาให้ถึง เพราะว่าจะมารับผิดชอบศาสนาพุทธเจ้าให้ไปถึง 5,000 ปี ลบจาก 2561

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:24:56 )

ความรู้สึกร่วมที่มีเป็นสามัญปกติธรรมดาของคนทุกคนคืออย่างไร

รายละเอียด

ในคนในโลกสามัญ จะมี ความรู้ความสามารถความฉลาดที่เขามีกันแค่ว่า จะมีชีวิตสุขสบาย เพราะมีเงินทองข้าวของกินใช้มีมาก เป็นสุขสมใจ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน ประเทศไหน เป็นความรู้สึกร่วม ที่มีเป็นสามัญปกติธรรมดาของคนทุกคน 

ทีนี้ ผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่จะมีความรู้ความสามารถ มีความรู้ความฉลาดจนถึงขั้นเป็นศาสดาก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความฉลาดที่เหนือ กว่าคนธรรมดา จนกระทั่งคนยกย่องให้เป็นอาจารย์ใหญ่เป็นศาสดาแต่ละลัทธิศาสนา  

และศาสนาทุกองค์ของเทวนิยมสอนให้คนเป็นคนดีอย่าให้เป็นคนชั่ว ผู้ที่สอนได้ สอนให้คนเป็นคนดีได้เป็นคนไม่ชั่วได้ แล้วความดีหรือความชั่วก็ตามแต่ละสังคม แต่ละกลุ่มหมู่ แต่ละประเทศสมมุติกันขึ้น อาจจะตรงกันบ้างในหมู่นั้นหมู่นี้ จนกระทั่งถึงหมู่ใหญ่ อาจจะแตกต่างกันน้อยบ้างมากบ้าง ที่สมมุติว่าเป็นความดี สมมุติว่าเป็นความไม่ดี แล้วเขาก็ประพฤติกันตามนั้น

ที่จริงเขามีชีวิตกัน แสวงหาความสุขหนีทุกข์อยู่นะ แต่เขาเผลอเขาเผิน เขาไม่ระแวงว่าจริงๆแล้วเขาแสวงหาสุข ไม่ปรารถนาทุกข์ มากกว่าความดีความชั่วเหมือนกัน คนทั่วไป 

ทีนี้สุข สุขอะไร สุขเพราะมี ลาภ ทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง ข้าวของ เพชรนิลจินดา มีร่ำรวยขึ้นอันดับทำเนียบ เชิดชูกันอยู่ทั่วโลกเลย ฟอร์ปรายงานทุกปี สำรวจกันทุกปี ถ้าอยู่ใน top ten มีจำนวนเท่าไหร่รายงานกันทุกปี ใครได้ขึ้นก็หน้าบาน ใครระดับตกละก็ต้องแก้ตัวให้ขึ้นไป จนตาย ก็งมงายอยู่กับสิ่งเหล่านี้

หรือแม้แต่ ตำแหน่ง ยศศักดิ์ สรรเสริญ ก็ปูนตำแหน่งยศศักดิ์กัน อย่างเกาหลีเหนือใช้ปูนบำเหน็จ ตำแหน่งยศศักดิ์เป็นเรื่องหลัก ยกย่องกัน ปรบมือ ใครได้เหรียญที เชิดชู ปรบมือกัน มันเป็นจิตวิทยา เป็นอุปาทาน เขาต้องใช้อย่างนี้เกาหลีเหนือ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 19:23:39 )

ความรู้สึกสุขและทุกข์

รายละเอียด

“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”นี้แหละคือ “อาการของจิต”หรือ“ความรู้สึก”ที่สำคัญที่สุดของชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และได้นำมาให้คนศึกษา พากเพียรทำ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น“ชีวะ”เหมือนกันกับ“พืช”ที่มีคุณสมบัติ “ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ให้ได้ ดั่งที่ชีวะ“พืช”มันเป็น

ซึ่ง“พืช”ก็เป็น“ชีวะ”  “คน”ก็เป็น“ชีวะ”

คนนั้น“จิตนิยาม”ถือว่าสูงกว่า“พืช”นะ!

แต่ทำไม..จึงโง่กว่าพืช “มีสุข-มีทุกข์”ล่ะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:58:19 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:53:16 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:44:19 )

ความรู้สึกอบอุ่นสังคมอบอุ่น

รายละเอียด

ความรู้สึกพวกนี้ เป็นความรู้สึกของคน ไม่ได้สัมผัสและกระทบได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วรู้สึกอบอุ่น อากาศจะเย็นหนาวเพราะตอนนี้หน้าหนาว หรืออากาศอาจจะร้อนอู้ แต่ก็อบอุ่น มันเป็นสำนวนภาษาไทยมันรู้ดีนะเข้าใจ ความรู้สึกอบอุ่นสังคมอบอุ่น มันเป็นสำนวนบอกลักษณะ ของมนุษยชาติ ของสังคม องค์ประกอบ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯคนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 11:36:25 )

ความรู้สึกเดียวกันเมื่อสัมผัสแต่ยึดต่างกัน

รายละเอียด

เช่นว่า อันนี้เขียว แหม..ลูกมะเขือเทศนี้มันงามผ่องใส สีสวยน่ากัด อร่อย เอ้า อร่อยก็อร่อย แต่แท้ ๆ มะเขือเทศมันก็มีกลิ่นมีรส มันมีสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนั้น สัมผัสแล้วมันก็ทุกคนสัมผัสเดียวกัน ถ้าจะว่าแล้วความรู้สึกเดียวกันหมด แต่ยึดต่างกัน ไอ้เรียกต่างกันยิ่งมากมาย แต่สัมผัสแล้ว มันก็อันเดียวกัน ก็สัมผัสอันนั้นกับธาตุจิตที่สัมผัส จิตของใครก็รู้สึกอย่างนั้น ตรงกันหมดแหละ แต่ไม่รู้จักตรงกัน เราก็รู้ว่าไม่ตรงกัน จะไปยึดให้คนมันยึดตรงกันมันไม่ได้หรอก มันจะต่างกันนิดนึง ต่างกันมาก ต่างกันจนกระทั่ง อันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ อันนี้อร่อยไม่อร่อยเลย มันก็เรื่องของคนต่างคนต่างยึดถือ ก็เป็นอันว่า อันนี้เราก็ไปจัดการอะไรไม่ได้ใครไปยึดถืออะไรก็แล้วแต่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ ดีชั่วเป็นสมมุติ สุขทุกข์เป็นปรมัตถ์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 15:47:08 )

ความรู้สึกและความคิดของพ่อครูต่อนักเรียนสัมมาสิกขายุคนี้

รายละเอียด

หลวงปู่รักนักเรียนสัมมาสิกาทุกคนมากไหม... 

..ไม่ตอบดีกว่ามั้ง ถ้าหลวงปู่ไม่รักพวกนักเรียนสัมมาสิกขามาก หลวงปู่ก็เลิกโรงเรียนสัมมาสิกขาไปแล้ว 

นี่ก็พยายามให้ทำมา มันกี่ปีแล้วนะ สร้างปฐมอโศก 2527 ยุคแรกๆ กศน. 

คิดอย่างที่ พวกเราเป็น พวกเราเป็นอย่างไรหลวงปู่ก็คิดอย่างนั้น นักเรียนสัมมาสิกขา จะไปคิดอย่างไร ความคิดคือความรู้ ความคิดคือความมีเหตุมีผล มีเหตุมีปัจจัยของมัน ถ้าคิดไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย คุณก็คิดฟุ้งซ่าน คุณก็คิดลอยๆ แต่นี่คุณกำหนดโจทย์ให้แล้วว่า คิดกับนักเรียนสัมมาสิกขาเป็นอย่างไร 

เด็กสัมมาสิกขาทุกวันนี้นี่ เข้าใจเรื่องสัมมาสิกขา เข้าใจเรื่องสัมมาอาริยมรรค เข้าใจสัมมาเป็นโลกุตระดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเรายังไม่รู้สึกเพราะว่ามันเป็นเรื่องของชั้นความเชื่อแบบ สัทธินทรีย์ก่อน ปัญญินทรีย์ ก็จะตามมาทีหลัง เป็นกำลังของความเชื่อตามหลักถ้าปัญญาก็จะชัดเจนตามหลังไปเรื่อยๆ มันมีมากขึ้น มันมีดีขึ้นเรื่อยๆ 

มีความคิดอย่างนี้ เป็นความเจริญ ความคิดเจริญ ก็จะต้องพยายามประกอบด้วยจิตใจแต่ละคน ทั้งเราทั้งเขาให้ดีขึ้นๆ ไม่ว่าเราหรือของน้องใหม่ คุณเห็นก็ดีแล้ว ก็ไม่ผิด พูดไม่ผิด เพราะว่าโลกมันเสื่อมไปทุกที โลกียะมันจัดจ้านไปเรื่อยๆก็จริง ที่พูดก็ไม่เลว 

แต่ว่า ถ้าไม่มีพวกเรา ที่พยายามทำ จริงๆแล้วอัตราการก้าวหน้าของความเป็นโลกีย์ความเสื่อม มันจะน้อยกว่าความเจริญของโลกุตระไหม ความก้าวหน้าความเจริญของโลกียะของความเสื่อม มันจะน้อยกว่าความเจริญของโลกุตระไหม ...ไม่น้อย มันต้องมากกว่าแน่ มันต้องไม่น้อย

เพราะฉะนั้นโลกุตระถึงอย่างไร มันก็จะต้องยาก ฝืน อย่างที่คุณรู้สึก เพราะอัตราจำนวนมันมีมากไปก่อน แล้วก็มีคนที่เอาง่ายๆ คนที่สอนโลกุตรธรรมในศาสนาพุทธด้วยมีอยู่ในกลุ่มอโศก นอกนั้นแม้แต่พุทธยังไม่ใช่โลกุตระเลย แล้วเทวนิยมจะไปเข้าใจโลกุตระอะไร มันไม่รู้กี่ต่อเลย  .0001 กับ 99999 เทียบกันตามนั้นเลยไม่ใช่จุด 0.1 กับ .99 

แต่โลกุตระมันมีอำนาจ มีความเข้มข้น มีฤทธิ์ในตัวมันเอง จึงไม่ถูกกลืน โลกุตระของชาวอโศกไม่ใช่ไม่มีอัตราการก้าวหน้า มันมีก้าวหน้าอยู่เหมือนกันแต่มันไม่ได้ดั่งใจ เพราะโดยสัจธรรมแล้ว มันไม่ได้หรอก แม้พระพุทธเจ้าทั้งองค์ ท่านก็ทำได้จำนวนหนึ่ง หรือในอินเดียเองก็เถอะ ก็เป็นฤาษีกันเต็มอยู่ในชาวอินเดีย  ท่านก็ได้จำนวนหนึ่ง ศาสนาฮินดู  ศาสนาอิสลามในอินเดียท่านก็ช่วยไม่ได้ ท่านก็ช่วยได้จำนวนนึง

ยิ่งในยุคนี้มันเสื่อมกว่าในยุคพระพุทธเจ้าอีกเท่าไหร่ ได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:42:19 )

ความรู้สุดยอดวิทยาศาสตร์ในมหาจักรวาล

รายละเอียด

ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นคนแล้วสนใจ คนที่ไปหลงแต่ความสุขก็มี แต่ถ้าคนสำนึกได้ก็มาเรียนรู้ธรรมะเถิด แต่หากไม่รู้ก็วนเวียนไม่รู้จบ จะรู้จบก็ต้องมาศึกษาธรรมะของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ก็สามารถเลือกได้จะอยู่ต่อหรือจะสลายอัตภาพเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมไม่เหลือแม้แต่ชีวะเลยก็ได้ สุดยอดแห่งความรู้สุดยอดวิทยาศาสตร์ใดๆในมหาจักรวาล 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:35:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:54:11 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:44:41 )

ความรู้สู่โลกุตระ ต้องได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

ฉลาดมาจาก ฉฬายตนะ ธรรมดาคนสามัญก็มีอายตนะ 6 หากคนไม่พิการ ก็สามารถรับสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย จิตรับรู้ความรู้สึก หรือมี เวทนาสัญญาสังขารในสิ่งเหล่านี้ คนๆ นั้นมีอายตนะ มีฉฬายตนะ ทั้ง 6 แล้ว ยิ่งเป็นคนที่ใฝ่ธรรมศึกษาธรรมเป็นกัลยาณธรรมขึ้นมา ก็เป็นความรู้ขั้นฉลาดขั้นโลกีย์เป็นกัลยาณชน ขั้นอารยะ ที่โลกเขาเป็นกัน ก็จะยังอยู่ในโลกียะ ก็จะทั้งรวยทั้งเด่น แต่คนที่ไม่เอาถ่านอยู่ในนรกก็เป็นคนโง่ซวย คนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาก็เป็นความรวยเด่น เป็นโลกียะ เป็นความเจริญทางวัฒนธรรมทางความประพฤติที่ยอมรับนับถือเป็นสมมติสัจจะซึ่งมันไม่เที่ยง คนดีคนเด่นของโลก เขาก็นับถือกันไป 

เช่น คนรวยที่สุจริตดี คนเด่น สามารถมีความรู้ความเก่งแล้วแต่ ก็ดีก็เก่งก็สามารถแล้วดีอย่างเก่งด้วยนะ แต่ยังไม่รู้ ยังไม่เก่งเรื่องของโลกุตรธรรม ยังไม่มีความรู้จะออกมาสู่โลกุตระ ก็ยังมาถึงความเป็นโลกุตระยังไม่ได้ ต้องมาพบ ต้องมีปัญญาข้อที่ 1 ต้องได้ฟังจากพระโอษฐ์จากสัตบุรุษจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ ได้ยินได้ฟังมาก ไม่ใช่บอกว่าพระเจ้าส่งความรู้มาให้ เป็นพระบุตร ไม่ใช่ ตัวต่อตัวได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ในโลกมนุษย์เป็นคนเป็นเป็น ผู้บอกเป็นพระจริงนะเป็นพระพุทธเจ้าตัวเป็นๆ บอกคนก็เป็นคนเป็นๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งลึกลับแบบพระเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าขั้นพุทธะ ที่มีความรู้ความจริงสุดยอดอันนี้ มีคนจริง 

จะไปสมมุติว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ คนที่อยู่ในถ้ำเทวนิยมนับถือพระเจ้า ถ้ามีความรู้ว่าความรู้ของคนต้องมีครบ 6 ทวาร ไม่ใช่สมมติอยู่ในจินตนาการ ไม่ใช่ ลึกลับอยู่อย่างนั้น ขอพูดซ้ำอีกว่าพระศาสดาของเทวนิยม เอาความรู้มาเปิดเผยจนกระทั่งเป็นศาสนาของตนเอง ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ศาสนาใหญ่ๆ ก็มี 2 - 3 ศาสนาในโลกขณะนี้ แล้วก็มีศาสนาย่อยไปอีกเล็กน้อย พยายามจะเป็นเจ้าลัทธิต่างๆ 

ความรู้ที่เอามาเปิดเผยนั้น ไม่ใช่ความรู้ของพระเจ้า แต่เป็นความรู้ของพระศาสดาเอง ที่ได้สั่งสมมาเป็นกรรมวิบากของตนเอง สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ แต่อยู่ในกรอบของโลกียะ ก็ได้เป็นคนที่มีความรู้ไปตามประสาของตัวเอง แล้วออกมาประกาศ ประกาศศาสนาขึ้นมาจนได้ ประกาศจนกระทั่งมีคนมายอมรับนับถือ มีมวลปริมาณมากพอ ซึ่งมันรู้ไม่ยากเท่าไหร่หรอกสำหรับโลกียะ โลกุตระนั้นรู้ได้ยากกว่ามาก อย่างคนละสัดส่วนเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2565 ( 14:26:55 )

ความรู้หรือธาตุรู้อย่างวิชชาที่รู้ลึก รู้ละเอียด โดยการสัมผัสรู้ เป็นการรู้อย่างไร

รายละเอียด

ดี ฟังดีๆตรงนี้ ความรู้หรือธาตุรู้ ธรรมดาคนมีธาตุรู้เรียกว่า ความรู้ สัมผัสก็รู้ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำงานกระทบสัมผัส มันก็จะรู้ แล้วรู้อันนั้นเรียกว่า ธาตุรู้ทั่วไป ทุกคนมี ถ้าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กายไม่เสีย ประสาทไม่เสีย มีการกระทบก็รู้สิ่งจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ธาตุรู้ ทีนี้รู้อย่างวิชชาเป็นอย่างไรไม่ใช่รู้สามัญ เป็นโลกุตระ ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นธาตุรู้ที่เป็นความรู้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น รู้จิตเจตสิก แล้วรู้จิต แยกจิตเป็นเจตสิกรายละเอียดต่างๆออก เช่น เวทนาก็แยกเวทนาได้ สัญญาก็แยกสัญญาได้ เวทนาก็มีหลายเจตสิกที่ทำงาน ซึ่งเราแยกกันตามที่พระพุทธเจ้าสอนกันมาถึง 108  สัญญาที่จริงมีมากกว่า 10 แต่เคยเรียนกัน สัญญา10  เป็นต้น เป็นสัญญา 2 สัญญา 3 สัญญา 4 อะไรซึ่งมีนัยยะต่างๆ กัน

สังขารนี่เยอะเลย ปรุงแต่งกัน สังขารภายนอก ภายใน สังขารโลก สังขารทางกาย ทางจิตเป็นกายสังขาร จิตสังขารอะไรเยอะแยะ  

วิญญาณก็คือองค์รวม เป็นธาตุรู้ เป็นองค์รวมที่เป็นเจตสิกทั้งหลายแหล่ เวทนาก็ตาม สัญญาก็ตาม สังขารก็ตามมากมาย ก็ชื่อรวมว่า วิญญาณ ใครจะมาเรียนรู้วิญญาณ แยกเป็นรูปเป็นนาม เป็นสภาพ 2  ศึกษาตามจริง รูปกับนาม ทีละคู่ ทีละคู่

ตั้งแต่มันรวมกันเป็นอายตนะ เป็น 2 สภาพ รวมกันเป็นตัวตน มันเป็น 1 2ใน1 1ใน2 อายตนะ เสร็จแล้วเราก็สามารถแยกเป็นรูปเป็นนามได้ ศึกษาได้ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นมีผัสสะแล้วมันก็เกิดเวทนา มันก็คือสังขารนั่นแหละ เวทนาปรุงแต่งขึ้นมา แล้วเราก็รู้รายละเอียดของเจตสิก เวทนาเจตสิกตัวต้น แยกเวทนาออกจนรู้ตัวตน ตัวจริง ตัวปลอม มันก็เหมือนเจตสิกเป็นพลังงานทางจิต จริงๆก็คือตัวอวิชชา เป็นตัวโง่ของเราเอง มันทำให้เราหลงไปตามนั้น  ความไม่รู้ ได้ยินมา  กิระดั่งได้ยินมาคือกิเลส กิระ กิละ หรือเอสะ นึกว่ามีจริง

เสร็จแล้วก็หลงไปตามกัน จนมาได้ยินได้ฟังของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ลบล้างหมดเลยว่า มันไม่มีอะไร  จริงๆแล้วมันคือการทำงานของตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส 

จิตก็เป็นธาตุรู้ร่วมกันกับตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็รู้ความจริงตามนั้น มันรู้จริงๆในขณะปัจจุบันกระทบแล้ว พอรู้ปั๊บมันก็หายไป ไม่มีอะไรเลย อนัตตา แต่มันมีสัญญาความจำของเรา พอกระทบแล้วจำได้ แล้วเราก็ยึด ยิ่งไปหลงอุปาทานตามที่คนเขาว่า อย่างนี้แหละเป็นของน่าได้ น่ามี น่าเป็น ยิ่งยึดใหญ่เลย หรือของนี้ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น ไม่เอา หนักเข้าไม่เอา ถึงขั้นเฮ้ยอย่ามาใกล้นะ ผลักแรงโกรธ มีอยู่กับตัวเราที่สัมผัส ไม่ยอมจะจัดการทำลาย มันก็เป็นพลังงานโง่ที่ทำงานหนักขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจบแล้วเนี่ย เป็นอรหันต์หรือยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์ มันจะชัดเจนเลย อย่างอาตมาพูดไปขยายละเอียดไปได้เรื่อยๆ มันเป็นอัปปมัญญาหรือเป็นสิ่งที่หาประมาณมิได้เลย ปรุงแต่งกันอย่างละเอียดมากมาย อาตมาถ้าอายุสัก 200 ปีอาตมาก็ขยายความไปได้อีก จะตามฟังไหม…ตาม

ถ้า 200 ปีก็อีกร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง ยาวนานไปอีก 100 กว่าปีเอง

อาตมายังมั่นใจว่า ชาวอโศกเราจะอายุยืน ตามดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ละคนก็ตามดูของตัวเองนั่นแหละ ใครตายก่อนก็ไม่ได้ดูต่อ ใครอยู่ต่อก็ได้ดูต่อ เดี๋ยวอธิบายความรู้เรื่องผีให้มากขึ้น

เพราะฉะนั้นวิชชาของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 19:51:45 )

ความรู้หรือวิชาของพระเจ้าต่างจากของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

อันนี้ยอมรับจริงๆว่าเป็นความรู้ที่ดีเป็นสิ่งที่ดีถูกต้องหมด ดีอย่างถูกต้องหมดอะไรก็ถูกต้องหมดอย่าไปทำชั่ว ละชั่วประพฤติดีทำแต่ดี สอนกันให้เชื่อ เชื่อคำสอน จนกระทั่งศาสดาเองก็ไม่รู้เป็นของตนบอกว่าเป็นของพระเจ้าเป็นของพระบิดา อย่าไปแก้ไขอย่าไปวิจัยวิจารณ์ให้เชื่อและทำตาม จึงกลายเป็นความรู้หรือว่าเป็นวิชาชนิดหนึ่ง แบบนั้นไม่เหมือนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านั้นรู้จักทุกอย่างว่าเป็นองค์ประกอบที่ไม่เที่ยง เกิดตามฐานะบุคคล องค์ประกอบ กาละ ฐานะ เทศะต่างๆ ไม่ตรงกันทีเดียวอันนี้เป็นนัยยะละเอียดที่สุดเลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:24:28 )

ความรู้อนุปคัมมะต่างกับอภิภู 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเขาก็มีความรู้เท่าที่เขารู้ และไม่รู้ ที่เขาไม่รู้เพราะเขารู้เท่านั้น รู้เท่าที่เขารู้ แล้วต่อจากนั้นเขาไม่รู้ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นรู้ครบถ้วนทั้งความมีครบหมดเลย และรู้ทั้งความไม่มีครบหมดอีก รู้ตั้งแต่บรรลุเป็น อนุปคัมมะ เริ่มต้นเป็นอภิภู ก็จะเริ่มต้นมี อนุปคัมมะ รู้สิ่งที่มีและไม่มี และมีพลังงานความรู้สูงกว่าความมีและความไม่มี แต่ไม่หลงผิดว่า ความมีก็ต้องไปยึดติดความไม่มีก็ต้องไปยึดติด มีความรู้อันนี้แหละ ไม่เข้าไปยึดติด แต่ต้องอาศัยกันและกันก็อาศัยในขณะมีชีวะ รู้ตั้งแต่ก่อนเป็น อนุปคัมมะ ก่อนอภิภู 

ตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ก็เริ่มรู้แล้ว พระอรหันต์ระดับ 1 คือพระอรหันต์ที่มีอาริยธรรมขั้นที่ 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็เริ่มรู้จบแล้วว่า อัตตาเป็นอย่างนี้เอง แท้ๆมันอนัตตา ไม่มีตัวตนจริงหรอก แยกธาตุอนัตตาเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ถ้าตายแล้วก็เลิก ทำได้แล้วไม่สงสัย เป็นผู้ที่รู้จักการแยกธาตุให้เป็นอนัตตา หรือเป็นดินน้ำไฟลมได้ 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 21:14:48 )

ความรู้เฉโกคืออย่างไร

รายละเอียด

เข้าเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ศาสนาพุทธไม่มีอะไรนอกไปจากการศึกษาสาม นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ปฏิบัติธรรมก็ออกนอกรีต สมาธิก็คนละเรื่อง ศีลก็ไม่มี ปัญญานั้นไม่ต้องพูดเลย มันมีแต่ความรู้ เฉโก ความรู้ที่มันไม่ใช่ เป็นสารัตถะ ที่เป็นธรรมะ สารัตถธรรม มันไร้สารัตถะไร้อัตถะไร้สาระ มันไร้คือไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง

ที่มา ที่ไป

เทศน์ ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:04:27 )

ความรู้เดิมที่ได้ตรัสรู้มาแล้วเกิดในวันเพ็ญเดือน 6

รายละเอียด

ท่านต้องไปทำทุกรกิริยาตั้ง 6 ปี หนักหนาสาหัสลำบากลำบนขนาดไหนท่านทำชนะเขาหมดเก่งกว่าเขาหมด แต่ก็ไม่ได้หลุดพ้นอะไรท่านก็เข้าใจแล้วไม่ทำต่อ อัตตกิลมถานุโยคแบบนี้ท่านไม่ทำต่อ ท่านก็มาหาทางของท่าน มันก็ยังไม่ขึ้นมาในภูมิธรรมเดิมของท่าน จนกระทั่งวันเพ็ญเดือน 6 นั่งทำจิตสงบแบบที่ฤาษีเขาทำ จิตมันก็สงบ ความรู้เดิมคือสัญญาเก่าของเก่า ที่จริงท่านได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วในชาตินี้ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยในร่างของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อออกบวชก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมแบบสัมมาทิฏฐิแต่ปฏิบัติธรรมแบบมิจฉาทิฏฐิมันก็ไม่ได้บรรลุ 

แต่พอท่านมารำลึกถึงตัวเองว่าเราทำอะไรมาบ้างบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกแปลว่าอะไรคือความเกิด ความดับ ความตาย ก็อ๋อ เกิดเป็นอย่างนี้ดับเป็นอย่างนี้ สองคำนี้เทวะสองคำ เกิดกับดับ อ๋อ.. เกิด เพราะว่ามีอวิชชา เพราะว่าความไม่รู้ เป็นเหตุต้นตอของปฏิจจสมุปบาท 

อ๋อ.. อย่างนี้เอง จนกระทั่งความรู้เดิมที่ท่านได้ตรัสรู้เดิมมาแล้ว ขึ้นมาจนกระทั่งจบที่ ชาติ การเกิด ถ้าเราดับเหตุแห่งการเกิดก็ดับไปถึงอวิชชาสมบูรณ์แบบ จบเกม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 16:29:50 )

ความรู้เทวนิยมต่างจากของพระพุทธเจ้าอย่างไร

รายละเอียด

ความรู้ในศาสนาเทวนิยมจึงเป็นความรู้ที่ ไม่ค่อยขยายความ เหตุและผลมากนัก พระเจ้า ตรัสคำอะไรไว้ ทำความเข้าใจคำนั้นแหละให้ตรงตามที่พระเจ้าบอกไว้ ทำตามนั้น แล้วจบๆๆ ความรู้เทวนิยมจึงเป็นความรู้ที่ถูกตีกรอบ แต่ความรู้ของศาสนาพระพุทธเจ้านั้น กลับเป็นอิทัปปัจจยตา เป็นปัจยการ เป็นความรู้ที่ต่อเนื่อง เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้จึงเป็นเหตุนี้เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งนี้ …ไป ต่อเนื่องไปยาวๆ แต่รู้ที่จบ คือจบด้วยรอบสั้นก็ได้ รอบยาวก็ได้ ได้ทุกรอบ มากรอบ สามารถจบในตัวและขยายได้ จึงเป็นความรู้อนันตัง เป็นความรู้ที่นับไม่ถ้วน 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 09:49:13 )

ความรู้เรื่องกายสำหรับเด็ก 

รายละเอียด

ตอบ กายคืออะไร ... มีคนช่วยตอบให้ว่า กายคือทั้งข้างนอกและข้างใน = ไม่ดื้อ บอก ดช.เพื่อฟ้าดินนะ รู้จักไหมว่าอะไรคือข้างนอก อะไรคือข้างใน และก็สรุปแล้ว ทำให้ไม่ดื้อทั้งกายและใจ 

ถ้าข้างนอกดื้อ ใจข้างในก็รับเอาความดื้อ พฤติกรรมการแสดงออกข้างนอกก็จะดื้อด้วย นี่คือมีผู้ช่วยอธิบาย กายคืออย่างนี้ เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ดช.เพื่อฟ้าดิน ปะเวจูเนียร์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 14:33:23 )

ความรู้เรื่องศาสนาพุทธเรื่องโพธิสัตว์ในเมืองไทย 

รายละเอียด

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ในวันที่ 3 มิถุนายนอาตมาจะประกาศตนเองอีก อย่างสำคัญขั้นหนึ่งคอยฟัง เป็นการประกาศอีกขั้นหนึ่ง 

อาตมามาทำงานศาสนาอาตมาประกาศตนเองว่าเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งการประกาศนั้นในท่ามกลางเมืองไทยศาสนาพุทธในไทย เป็นแบบหีนยาน ไม่รู้เรื่องโพธิสัตว์เลย แล้วเห็นว่าโพธิสัตว์เป็นเรื่องไร้สาระโพธิสัตว์เป็นคนไม่บรรลุธรรม เขาเข้าใจกันอย่างนั้นเลย โพธิสัตว์คือยังไม่บรรลุธรรม ยังไม่ตรัสรู้ยังแสวงหาธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่คือเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ว่างั้นเถอะ ยังไม่มีขั้นตอนไม่มีลำดับ นี่คือความรู้เรื่องศาสนาพุทธเรื่องโพธิสัตว์ในเมืองไทย ทั้งๆที่เมืองไทยยืนยันตนเองว่าเป็นเถรวาทแต่เปล่า เมืองไทยเป็นคน อาจาริยวาทเท่านั้น มีความรู้แค่อาจาริยวาทไม่ใช่เถรวาท 

เถรวาทะกับอาจาริยวาทะ เถรวาท หมายความว่าผู้ที่เป็นพระเถระเกิดในยุคเดียวกันกับพระพุทธเจ้า พระเถระ เป็นพระชั้นติด เกิดร่วมยุคพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำตรัสจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระเถระ คนที่เอาคำสอนต่อมาจากพระเถระอีกเรียกว่าอรรถกถาจารย์เรียกว่าอาจาริยวาท เป็นระดับอาจารย์ไม่ใช่ระดับเถระ 

เพราะฉะนั้นคำว่า พระเถระกับคำว่าพระอาจารย์มันต่างกันไกลลิบเลย พระไตรปิฎกบันทึกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเป็นคนในรุ่นพระพุทธเจ้าได้ฟังจากพระโอษฐ์ ได้อยู่ในรุ่นพระพุทธเจ้าเป็นเถรวาทะทั้งนั้น หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว คำสอนของพระเถระสอนออกมาอีก ขั้นตอนมาจากพระเถระ หรือผู้ที่ยังรับถ่ายทอดออกมาจากพระเถระ เกิดในยุคพระพุทธเจ้าแล้วก็สืบทอดมาอีก อย่างอาตมาเป็นต้นมาเกิดในยุคนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าอาตมาเป็นเถระ จะมีอาจารย์ที่เรียกว่า อาจาริยวาทะ รุ่นที่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้า 

เอาให้ชัดๆ รุ่นที่เพี้ยนไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว จะเพี้ยนไปเรื่อยๆๆๆๆ จนกระทั่งเพี้ยน มันมีออกนอกกรอบ ไปยืนยันสิ่งที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ 

เช่น ในวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์บันทึกไว้ แล้วก็เอามาถือเป็นพระคัมภีร์สำคัญในพุทธศาสนาเมืองไทย ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนวิสุทธิมรรคไม่ได้เป็นพระเถระ ที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้า ต่างกับอาตมา ไม่ต้องเอาอะไรหรอกแค่อธิบายนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ยังอธิบายไม่ออกเลย แล้วก็อธิบายความไปอื่น จนมีอาจารย์รุ่นหลังอธิบายนอกทางไปอีกออกไปเลย จะไม่เข้าแกนของธรรมนิยาม 5 เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม ถ้าเข้าใจธรรมนิยาม 5 นี้ไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิไม่มีทางบรรลุธรรม บรรลุอรหันต์ไม่มีทาง อาจจะบรรลุได้บ้างแต่ไม่เที่ยง ยังได้เล็กๆน้อยๆวนเวียนหมุนไปหมุนมาเที่ยงบ้างไม่เที่ยงบ้าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:32:37 )

ความรู้เรื่องสัมประสิทธิ์ 

รายละเอียด

ความรู้เรื่องสัมประสิทธิ์  คือความรู้ที่สมณะโพธิรักษ์รู้เป็นความรู้เรื่องสัมประสิทธิ์ตามสูตร ซึ่งก็เป็นสูตรจากไอน์สไตน์เดิม  ที่เขาอธิบายได้หมดต้องมีฤทธิ์ถึงคุณธรรมของคนได้ด้วย  ไม่ใช่ใช้ได้แต่ทางวัตถุ  แต่จิตวิญญาณเลวก็เอาไปทำสงครามกันอยู่ จนถึงทุกวันนี้ก็เอาของไอน์สไตน์ไปสร้างอยู่ แทนที่จะเอาไปทำพลังงานเพื่อสันติจะเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสังคมมนุษยชาติ  เราเอาไปประท้วง  เอาสันติเป็นอาวุธ สันติ  อหิงสา ซื่อสัตย์  บริสุทธิ์  คมลึก  แม่นประเด็น  ทุกคนก็ใช้ภูมิปัญญาทำ  มันจะทำได้ถูกบ้างไม่ถูกบ้างแต่ก็มีประสิทธิภาพเผด็จศึก  ชนะด้วยความรู้  ความจริง  มันเป็นการปราบด้วยสัจจะ  เป็นภาวะซ้อนไม่รุนแรง  เอาความจริงเป็นอาวุธ  คนที่ไม่มีความจริง ก็จะสู้พลังงานความจริงจากผู้รู้ต่างๆ ที่เอามายืนยันก็ต้องจำนน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:57:03 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 02:54:47 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 16:45:31 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์