@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

กถาวัตถุเป็นไฉน

รายละเอียด

คำว่า กถาวัตถุนี่ แปลว่าพูดกันธรรมดา คนที่พูดกันธรรมดา อาการพูดของคนธรรมดาเป็นไปเพื่อ 

 กถาวัตถุ 10 .(เรื่องที่ควรกล่าวชักชวน) 

1. อัปปิจฉกถา (เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน)  

2. สันตุฏฐิกถา (เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ)   

3. ปวิเวกกถา (เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส)  

4. อสังสัคคกถา (เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส) 

5. วิริยารัมภกถา (เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร) 

6. สีลกถา (เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล)         

7. สมาธิกถา (เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ) 

8. ปัญญากถา (เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา)  

9. วิมุติกถา (เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส)   

10. วิมุตติญาณทัสสนกถา (เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส)  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 69)

นี่คือเรื่องที่พูดกันที่จะกล่าวกัน จะพูดกันก็อยู่ในนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:42:08 )

กม

รายละเอียด

ลักษณะความสืบต่อ

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 39


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:53:49 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:20:36 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:03:07 )

กรณ

รายละเอียด

การกระทำ

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 361


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:54:27 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:25:32 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:14 )

กรณะ

รายละเอียด

กิจ , การกระทำ  ความประพฤติที่เป็นไปอยู่แต่ด้านนอก เป็นไปได้เฉพาะรูป(วัตถุ) ไม่หยั่งถึงนาม(จิตใจอันเป็นญาณ) เลยเป็นไปกับโลกอันมีเปลือก อันมีแต่โลกียะกับอามิส

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอกภาค 1 หน้า 57


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:55:14 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:21:47 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:04:12 )

กรณีปาราชิกและนานาสังวาสในชาวอโศก

รายละเอียด

กรณีสมณะหินกลั่นต้องปาราชิก

เมื่ออดีตสมณะหินกลั่น ได้แยกตัวออกจากหมู่คณะของชาวอโศกแล้ว  ก็ได้นำเอาเครื่องมือมากชิ้น (ราคาหลายหมื่นบาท) อันเป็นสมบัติส่วนกลางของชุมชน ไปเป็นของตนด้วย โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ซึ่งกรรมการชุมชน เป็นผู้ดูแลอยู่

ต่อมา ส่วนกลางได้ให้ผู้ร่วมงานประสานขอ เครื่องมือเหล่านั้นคืน  ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะคืนให้ แถมหาเรื่องหาราวว่ากล่าวกรรมการต่างๆ นานา จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย  จนสุดท้ายเมื่อได้รับแจ้งว่าจะถูกพิจารณาโทษความผิดขั้น ปาราชิก จึงยอมคืนของมาให้ส่วนหนึ่ง มูลค่าประมาณ 2 แสนบาท

คณะเอาภาระสงฆ์ของชาวอโศก (คภส.) ได้นำเรื่องนี้ เข้าที่ประชุมพิจารณากันหลายครั้ง  รวมทั้งได้ฟังความเห็น จากอดีตสมณะหินกลั่น โดยตรงอีกด้วย  แล้วจึงได้ตัดสิน ตามวินัยบัญญัติว่า

_" ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์ (สิ่งของ) ที่เจ้าของมิได้ให้  ต้องอาบัติปาราชิก (ความผิดหนักขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุ)  ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ

   1. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีผู้ครอบครองอยู่ (เป็นเจ้าของ)

    2.สำคัญว่า เป็นทรัพย์(สิ่งของ) ที่มีผู้ครอบครองอยู่

   3. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีค่าราคาตั้งแต่ 5 มาสก (ปัจจุบัน ตีราคาประมาณ 500 บาท) ขึ้นไป

     4. มีไถยจิต (มีจิตนำเอาของนั้นไป เยี่ยงอย่างขโมย คือกระทำโดยที่เจ้าของไม่ได้ให้)

     5. ภิกษุได้เอาของนั้นไปแล้ว (คือภิกษุได้ทำให้ทรัพย์สิ่งของนั้น เคลื่อนที่ไปแล้ว ย่อมต้องอาบัติปาราชิก)

นั่นคือ สมณะหินกลั่น ได้กระทำความผิดหนัก ถึงขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุแล้ว นั่นคือสิ่งที่ได้ เหมือนกับผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาให้เป็นที่รับรู้กันชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่อมพะนำหรือจะมาประจาน แต่เป็นเรื่องต้องบอกความจริงต่อสังคมที่ประชุม หมู่กลุ่มให้รับทราบความจริงนี้เพราะนี่คือความมหัศจรรย์ของมหาสมุทรข้อที่ 3 คือมหาสมุทรย่อมไม่เกลื่อนด้วยซากศพ คลื่นย่อมซัดซากศพขึ้นสู่ฝั่งโดยพลัน นี่เป็นความมหัศจรรย์เป็นจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 10:45:38 )

กรณีศึกษาผลเสียจากการไปเล่นไสยศาสตร์

รายละเอียด

อันนี้อาตมาถูกรถเก๋งใหญ่ รถโอเปิ้ล แคปปิตัน ยาวใหญ่ อาตมาก็ขับมอเตอร์ไซค์ดั๊กลาส หม้อน้ำมันใหญ่ เหมือนพวกฮาเล่ย์รุ่นเดียวกัน นั่งทำงานอยู่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ราชดำเนิน ติดกับ สนามหลวง ขับมอเตอร์ไซค์ออกมา แล้วรถเก๋งคั้นนั้นก็มาชน อาตมากระเด็นลอยไปข้างบน สามล้อจอดอยู่ข้างทางเห็นเหตุการณ์ เขาก็มาเล่า โอ้โห พี่ลอยขึ้นไป ดีนะที่รถมันก็วิ่งผ่านไปถ้ารถมันวิ่งช้ากว่านี้ไปทับตายเลยนะ เพราะพี่ลอยรถมันก็ผ่านไปแล้ว พี่ก็ตกไปที่หลังรถ กระเด็นไปทางด้านข้าง ซึ่งตอนถูกชนขาของอาตมาอัดข้างหม้อน้ำมันที่เป็นเหล็ก เสร็จแล้วเพื่อนลงมา หามส่งโรงพยาบาลตำรวจ มันบวมเต่งเลย ถอดกางเกงก็ถอดไม่ออก ต้องตัด เอากรรไกรตัดขากางเกง ดูสิ เป็นไง ไม่มีรอยแตก (ตอนนั้นเล่นไสยศาสตร์หนังเหนียวไม่มีแตก ) หมอตรวจแล้วก็ไม่มีแตกไม่มีอะไร เขาก็ไม่ได้ดูอะไรมากกว่านั้นก็เอามารักษา รักษาอยู่หลายเดือนกว่าจะหาย ก็ไปเอ็กซเรย์ดูว่ากระดูกมันร้าวมันแตก ส่วนเนื้อมันไม่มีแผลภายนอก เลือดไม่ออกสักหยด แต่ช้ำเขียวแดงดำ เสร็จแล้วเนื้อตรงนี้ทุกวันนี้ก็ยังบุ๋มบุ๋มลงไปเลย มันจะเป็นพังผืดแห้ง 

เป็นกรณีศึกษาถ้าไปเล่นไสยศาสตร์ มันก็จะเสียหายเพราะว่าข้างในมันเสียหายเราไม่เห็น แต่ถ้าเราเห็นแผลมันก็จะรักษาได้ง่ายกว่า 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:21:33 )

กรณีศึกษาอาหาร 4 จับวิญญาณ จับรูป-นาม!

รายละเอียด

พระพุทธเจ้า ทรงหาตัวอย่างชนิดชัดๆเจนๆใกล้ตัวที่สุดมา

ใช้อธิบายขยาย“ความจริง”ให้เรียนรู้ จะได้เห็นกันง่ายๆ ที่จับต้อง“วิญญาณ”กันได้ด้วยตัวเอง อวัยวะของตัวเองแท้ๆ 

เช่น มี“อาหาร 4”ข้อนี้ เป็น“เหตุ” ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความ

เป็น“วิญญาณ”ได้ด้วยการมี“รูป-นาม” มีภาวะ“2”ให้ศึกษา 

นี่คือ ตัวอย่างที่จะพิสูจน์ความเป็น“วิญญาณ”ได้ด้วยความ

เป็น“คน”  จึงสามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในปัจจัยซึ่งกันและกันของ

ความเป็น“เทฺว”ทั้งหลาย คือ “อัตตา-อาตมัน-ปรมาตมัน”หรือ

“วิญญาณ”แท้ๆได้ ว่า“วิญญาณ”นั้นเป็นแบบนี้ๆเอง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 239 หน้า 196


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 19:28:50 )

กรณีศึกษา“ผม”เป็น“อุตุ”อย่างไร?

รายละเอียด

เพราะมันขาด“ชีวะ”จาก“ร่าง”จากตัวตนไปแล้ว คนละส่วนไปแล้ว 

มันขาดจากกันเด็ดขาด มันแยกกันอยู่ชัดๆ ว่า ไม่ใช่ส่วนที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตร่างกายของเราแล้ว 

ก็เห็นได้โต้งๆ ว่า เป็น“อุตุ”   

ว่า ส่วนที่ขาดจากกันเด็ดขาดที่ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่แล้วนั้น ส่วนนี้ก็คือ ไม่ใช่“กาย 

ขาดความเป็น“กาย”ไปเด็ดขาดแล้ว 

เป็น“อุตุ”ไปแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธที่สามารถทำ“จิตในจิต” ให้“อกุศลจิต”อันคือ ส่วนที่เป็น“กิเลสในจิต(สราคะหรือสโทสะหรือสโมหะ)”นี้แหละ

“ไม่ให้เป็นกาย-ขาดความเป็นกาย” เป็น“อุตุ”ที่ยังอยู่ใน“จิต”ของเราได้สำเร็จ 

หรือจะให้ละเอียดลงไปอีกก็คือถึง“เวทนาในเวทนา(ก็คือจิตในจิตหรือเวทนาเจตสิก)” จัดการ(อภิสังขาร)ทำกิเลสในจิตของตนให้ตายไปเป็น“อุตุ”

หรือจะพิจารณาจากขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี ก็พิจารณาได้ ก็นัยะเยี่ยงเดียวกัน 

ต่างก็ใช้เรียนรู้การแยก“กาย” แยก“จิต”ได้เช่นเดียวกันจาก“อาการที่มีภายนอก”ทั้ง 5 นั้น

แต่ขณะนี้ เราใช้ความเป็น“ผม”เป็นตัวอย่างในการอธิบาย 

เท่าที่เคยอธิบายมา อาตมามักจะใช้“เล็บ”เป็นอุปกรณ์อธิบาย แต่คราวนี้ขอใช้“ผม”ลองดู คงไม่สับสนนะ 

ทีนี้ถ้า“ผม”ส่วนที่ยังไม่ขาดออกไปจากที่มันติดอยู่กับ “ร่างกาย”ของเราล่ะ 

ก็กำหนดให้รู้ว่า“ผม”ส่วนไหน? ตรงไหน? ที่มันไม่ใช่“กาย”ของเราแล้ว

และ“ผม”ส่วนไหนที่มันยังนับว่า“เป็น“กาย”ของเราอยู่

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 430 หน้า 312


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 18:52:04 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:37:27 )

กรณีใดที่พระพุทธเจ้าห้ามพูดว่าเป็นอรหันต์

รายละเอียด

แล้ว อ.ขวัญดีก็เคยถามมา อาตมาก็เคยบอกว่าใช่

มีที่ไหนที่พระพุทธเจ้าห้ามพูดว่าเป็นอรหันต์ ซึ่งคนที่ไม่มีจริงในตนนั้นพระพุทธเจ้าท่านห้ามบอก แน่นอน ถึงเป็นปาราชิกเลย ถ้าไปอวดตัวว่าเป็นอรหันต์โดยที่ตัวเองไม่มีจริงเป็นพระปาราชิกได้นะตามพระวินัย นี่ยิ่งใหญ่เลย อันนี้ห้ามแน่นอน หรือมีอีกนัยยะหนึ่ง อย่าไปบอกคุณธรรมที่คนรู้ไม่ได้ คือบอกความรู้ ที่เกินจากภูมิของผู้ที่ฟังที่ควรรู้เรียกว่า อนุปสัมบัน คือผู้มีฐานที่ยังไม่ถึงที่จะฟังได้ เราก็ไม่ควรบอก อย่างนี้มันมีรายละเอียด อย่าเพิ่งไปบอก ถ้าบอกผิดฐาน พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ ไม่ใช่เป็นปาราชิก เพราะว่ามีคุณธรรมนั้นในตน แต่บอกผิดฐานะ กาละอันควร โดยเฉพาะบุคคลที่เป็น อนุปสัมบัน คำว่าอนุปสัมบันก็แปลต่างกัน ทางโน้นแปลว่า เป็นภิกษุสงฆ์ผู้คนห่มจีวร ก็ให้บอกได้ แต่ที่จริง ไม่มีภูมิพอจะรู้ได้พูดบอกไปก็เละเทะ แม้จะบวชได้รูปร่างนุ่งห่มจีวรก็ตาม ซึ่งมันต้องเอาตามฐานะแท้ของฐานของจิตวิญญาณ เป็นอุปสัมบัน มีภูมิถึงขีดที่ควรจะรู้ แต่ถ้าไม่มีภูมิจะรู้ได้ก็เละเทะ แถมได้พยัญชนะภาษาไปต่อเติมอีกเละเทะเสียผล ตีกลับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:49:35 )

กรรม

รายละเอียด

คือ ความเป็น ความมีสูงสุด ในสัตว์ทุกตัว

หนังสืออ้างอิง

"คนจน"ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 186


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 14:48:37 )

เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2563 ( 13:41:37 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:11:41 )

กรรม

รายละเอียด

คือ กำเนิด เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นทายาท เป็นของของตน เราเป็นผู้รับมรดกกรรมของเราเอง ทำชั่วก็ต้องรับ ทำดีก็ต้องรับ แบ่งปันให้ใครๆก็ไม่ได้ การแบ่งบุญ การแบ่งส่วนกุศล เป็นเรื่องที่ทำกันผิดๆอยู่ในศาสนาพุทธ เหลวไหล ไม่จริง ขัดแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

หนังสืออ้างอิง

"สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4" "โพธิรักษ์"..."โพธิกิจ"หน้า 113


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 15:34:52 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:45 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:06:36 )

กรรม

รายละเอียด

การกระทำของแต่ละคนซึ่งมี กายกรรม – วจีกรรม – มโนกรรม

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 05:02:06 )

กรรม

รายละเอียด

กรรม  คือ  เป็นสภาพสภาวะที่เคลื่อนไหว  กรรมก็สั่งสมเป็นธรรมะเป็นแกน การกระทำของตนเองเป็นกรรมที่สุดยอด ตัวเองเป็นเจ้าของตัวตั้งอัตภาพของแต่ละคน กรรม ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาเป็นเจ้าของกรรมของเรา

1. การกระทำที่ได้ทำมาแล้วเรื่อย ๆ มากมายก่ายกอง สั่งสมไว้จากน้อย ค่อยเพิ่มขึ้นจนเป็นความเคยชิน 

2. การงานที่สักแต่ว่า...การงานที่เป็นการยังกุศลให้ถึงพร้อม

3. การงาน การกระทำ

4. การกระทำของแต่ละคน 

5. ทำการงาน 

6. บทบาท หรืออาการแห่งกิริยาของคนซึ่งเรียกเป็นภาษาไทยว่า การกระทำของคนอันมีได้เพียง 3 อย่างได้แก กายกรรม – วจีกรรม – มโนกรรม 

คำอธิบาย

คือ  ศาสนาพุทธเรียนรู้ กรรมจริงๆ  เมื่อเรามีพฤติเกิดเมื่อใด  ก็เป็นกรรมของเราทำแล้วลบทิ้งไม่ได้  แบ่งใครก็ไม่ได้  คำว่า กรรมเป็นของๆ ตน มี 5 ข้อ

1.     กัมมัสสโกมหิ  (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)

2.    กัมมทายาโท  (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3.    กัมมโยนิ  (มีกรรมเป็นแดนเกิด – หรือพากำเนิด)

4.    กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์,  พันธุ์เทพ, พันธุ์มาร)

5.    กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)   

(รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562)

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 273 ,จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 215 ,จากหนังสือทางเอกภาค 2 หน้า 622 ,ภาค 3 หน้า 169 ,จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 164

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 229 ,จากกำไร-ขาดทุนแท้ของอาริยชน / เราคิดอะไร ฉ.267 ,พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 581


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 06:40:57 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:22:19 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:10:04 )

กรรม

รายละเอียด

คือ อาการที่เกิดในตัวตน ทั้งกาย วาจา แม้แต่ใจ ที่มีอาการจริง มีจริงที่ใคร ก็ของคนนั้น

หนังสืออ้างอิง

"สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4" "โพธิรักษ์"..."โพธิกิจ" หน้า 464


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:15 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:50 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:13:03 )

กรรม

รายละเอียด

“กรรม”นั้นคือ“การกระทำ”ที่คนแต่ละคนมี “เป็น
ของตนเอง” คนทุกคนที่“กระทำ”อะไรตั้งแต่ทาง“กาย”และ
ทาง“วาจา” โดยเฉพาะทาง“ใจ” ที่เป็น“กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม” ทำแล้วก็สะสมเป็น“วิบาก”ตกเป็นมรดกของตน

“กายกรรม”นั้น ไม่ใช่“การกระทำตนฝึกฝนตนให้มีกำลัง”แค่ทำให้“ร่างหรือสรีระ”แข็งแรงเท่านั้น แต่หมายถึงการปฏิบัติตนฝึกฝนตนให้มี“กาย”มี“จิต”ที่ลดละกิเลสออกไปจนกระทั่ง“กิเลส”หมดสิ้น ครบครันทั้ง“กิจ” ทั้ง“กาล” ทั้ง“กรรม”จนบริบูรณ์หมดสิ้น“อวิชชาสวะ8” 


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:17:24 )

กรรม

รายละเอียด

“กรรม”นั้นคือ “การกระทำ”ที่คนแต่ละคนมี“เป็น
ของตนเอง” คนทุกคนที่“กระทำ”อะไรตั้งแต่ทาง“กาย”และ
ทาง“วาจา” โดยเฉพาะทาง“ใจ” ที่เป็น“กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม” ทำแล้วก็สะสมเป็น“วิบาก”ตกเป็นมรดกของตน

      “กายกรรม”นั้น ไม่ใช่“การกระทำตนฝึกฝนตนให้มีกำลัง”แค่ทำให้“ร่างหรือสรีระ”แข็งแรงเท่านั้น แต่หมายถึงการปฏิบัติตนฝึกฝนตนให้มี“กาย”มี“จิต”ที่ลดละกิเลสออกไปจินกระทั่ง“กิเลส”หมดสิ้น ครบครันทั้ง“กิจ” ทั้ง“กาล” ทั้ง“กรรม”จนบริบูรณ์หมดสิ้น“อวิชชาสวะ8” 

      ส่วนการทำตนให้มีกำลังนั้นบาลีคือ “กายถามะ” หรือ“กายพละ” แต่“กายกรรม”นี้พิเศษวิเศษกว่านั้น 

      เพราะชาวพุทธทุกวันนี้“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า “กาย” ไปจริงๆ เสื่อมกันไปหนักมาก จึงเข้าใจความหมายคำว่า “กาย”ผิดสารสัจจะไป จนเละเทะ เลอะเทอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 20:14:44 )

กรรม 12

รายละเอียด

คือการกระทำดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม  ย่อมมีผล

1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลปัจจุบันชาตินี้)

2. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติหน้า)

3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติถัด ๆ ไป)

4. อโหสิกรรม (กรรมที่เลิกแล้วต่อกัน  เลิกให้ผล)

5. ชนกกรรม (กรรมส่งผลให้เกิด)

6. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมที่ค้ำจุนชีวิต)

7. อุปปีฬกกรรม (กรรมที่กดขี่บีบคั้นชีวิต)

8. อุปฆาตกกรรม (กรรมที่ตัดรอนผลกรรมอื่น)

9. ครุกรรม [(กรรมหนัก)  คือ ทางกุศลเป็นมหัคคตกรรม (ได้ฌานสูง)   ทางอกุศลเป็นอนันตริยกรรม (บาปหนา)]

10. พหุลกรรม (กรรมที่ทำบ่อย ๆ จนชิน)

11. อาสันนกรรม (กรรมที่ทำในเวลาใกล้ตาย)

12. กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ  ไม่เจตนา)

ที่มา ที่ไป

อรรถกถาแปลเล่ม 69 “กรรมกถา” หน้า 420-421

หนังสืออ้างอิง

หนังสือธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 21:39:42 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 14:33:08 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:14:41 )

กรรม 12

รายละเอียด

คือการกระทําดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ย่อมมีผล

1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม(กรรมให้ผลปัจจุบันชาตินี้)

2. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติหน้า)

3. อปราปริยเวทนียกรรม(กรรมให้ผลในชาติถัดๆไป)

4. อโหสิกรรม (กรรมที่เลิกแล้วต่อกัน เลิกให้ผล)

5. ชนกกรรม (กรรมส่งผลให้เกิด)

6. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมที่ค้ำจุนชีวิต)

7. อุปปีฬกกรรม (กรรมที่กดขี่บีบคั้นชีวิต)

8. อุปฆาตกกรรม (กรรมที่ตัดรอนผลกรรมอื่น)

9. ครุกกรรม (กรรมหนัก คือทางกุศลเป็นมหัคคตกรรม = ได้ฌานสูง

ทางอกุศลเป็นอนันตริยกรรม = บาปหนา)

10. พหุลกรรม (กรรมที่ทําบ่อยๆจนชิน)

11, อาสันนกรรม (กรรมที่ทําในเวลาใกล้ตาย)

12.กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทํา ไม่เจตนา)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,อรรถกถาแปลเล่ม 69 “กรรมกถา” หน้า 420-421


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 09:10:48 )

กรรม 5

รายละเอียด

กรรม (การกระทำ) เป็นเหตุแยกแยะคนให้ดีและเลว

1.  กัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของตน , มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน

2.  กัมมทายาโท กรรมเป็นทายาท , มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน

3.  กัมมโยนิ  กรรมเป็นกำเนิด , มีกรรมเป็นแดนเกิดหรือพากำเนิด

4.  กัมมพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ , มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ, พันธุ์มาร

5.  กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย , มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 14  "จูฬกัมมวิภังคสูตร" ข้อ 581, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 21:12:53 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:52:21 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:16:08 )

กรรม 5

รายละเอียด

ได้แก่  กัมมัสสกะ กัมมทายาท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรณะ

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1  หน้า 417


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 15:46:44 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:04 )

กรรม 5

รายละเอียด

กรรม (การกระทํา) เป็นเหตุแยกแยะคนให้ดีและเลว

1. กรรมเป็นของตน (กัมมัสโกมหิ)

2. กรรมเป็นทายาท (กัมมทายาโท)

3. กรรมเป็นกําเนิด (กัมมโยนิ)

4. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ (กัมมพันธุ)

5. กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย (กัมมปฏิสรโณ)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 14 “จูฬกัมมวิภังคสูตร” ข้อ 581


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 18:42:31 )

กรรม 5 ทำอย่างไรเป็นอย่างนั้น

รายละเอียด

ผู้ชัดเจนในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็อ้อ กรรมเป็นของของเรา เราทำดีชั่ว ผิดถูก โลกียะหรือโลกุตระ เราทำอย่างไรเป็นอย่างนั้น กรรมเป็นอันทำ ไมมีใครไปเบี้ยวไปบิด ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ขาดไม่หกตกหล่น ไม่ระเหิดระเหย กรรมเป็นของของเรา เราต้องรับมรดกของเรา 

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)  

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน) 

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)  

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)  

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)  

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 05:17:44 )

กรรม กับ God

รายละเอียด

เกี่ยวข้องกันสูงสุดคือเกี่ยวข้องกันด้วยกรรม ศาสนา 2 ชนิดในโลกคือ ศาสนาเทวนิยมกับ อเทวนิยมมีต่างกันอยู่สำคัญที่สุดก็คือ กรรม กับ God ต่างกัน อ่านอย่างภาษาไทยๆว่า กอด กรรมกับกอด

คำว่ากอด ในภาษาไทยนั้นชัดเจน กอดคือโอบแน่น กอดอย่าปล่อยเลย นี่คือเทวนิยม กอดไว้ไม่มีปล่อยหรอก ไม่มีกระจายไม่มีแยก แยกไม่ได้ กอด อยู่นั่นแหละ แยกไม่ได้เลย แยกออกจากกันไม่ได้ ไม่แยก ไม่มีความรู้ในการแยกแยะ ไม่มีการกระจายลักษณะต่างๆออกไปให้ชัดเจน ทั้งหมด จนกระทั่ง อย่างพระพุทธเจ้าสามารถแยกออกไปจนกระทั่งสามารถแยกละเอียดเลย โอ้โห ที่จริงมันไม่มีอะไรเลยมันเป็นการรวมตัวของเหตุปัจจัยเท่านั้นเองเป็นการรวมกันสังขารกันอยู่แล้วมารวมกันเป็นวิญญาณ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 20:33:00 )

กรรม กับ กาละ

รายละเอียด

เมื่อกิเลสหมดจริงๆแล้ว เหลือแต่จิตเจตสิกต่างๆ ผู้รู้จะรู้ว่าจิตเจตสิกนี้อาศัยการเกิดตามหลักปฏิจจสมุปบาท มันไม่ได้มีอะไรเป็นอยู่จริง เป็นแต่อาศัยลำลองอยู่เท่านั้น เราก็อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม อยู่กันอย่างเดินไปตามกาละสุดท้ายก็เหลือ กรรม กับ กาละ of continuum สูงสุดเลย ใช้สูตรเดียวกับไอน์สไตน์ Space and time of continuum ของเราใช้ กรรม and time of continuum  เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันที่อันนั้นเป็นรูปธรรม แต่ของเราเป็นนามธรรม เชิญให้มาพิสูจน์ได้ หยิบมาดูสัมผัสความจริงมันเป็นจริง 

พวกเราได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้านี้มาพัฒนา มาอบรมตน ศึกษาฝึกฝน จนกระทั่งสามารถเกิดความจริงได้ จนเกิดภูมิปัญญา ก็เข้าหาตำราพระพุทธเจ้าก่อนเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 05:27:02 )

กรรม กับ ธรรมะ

รายละเอียด

กรรม คือตัวปฏิบัติ ตัวกระทำ คือพฤติ อย่างสำคัญที่คุณจะทำ ทำให้สำเร็จตามที่คุณรู้ ธรรมะคือตัวรู้และตัวทรงสภาพไว้  “มี” กับ “รู้” ความจริงกับความรู้ ความจริงภาษาใช้ก็ถือว่าเป็นความมี มีตัวตนและมีสภาพ สลายตัวตนหรือสลายสภาพ ให้ไม่มี ให้ไม่มีตัวตน ไม่มีสภาพนั้นอีก 

ธรรมะคือ จะให้อยู่ หรือจะให้แยก เทวธัมมะ มันเป็นสภาพ 2 ก็ต้องเรียก เทวธัมมา ก็ต้องรู้จักแยกและรู้จักรวม ตราบที่เรายังอาศัยมันรวมอยู่ ก็อาศัยมันอย่างสักแต่ว่ามี สักแต่ว่าอาศัย พลังงาน ส กับ ย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:24:51 )

กรรม คือ God

รายละเอียด

เข้าสู่ประเด็นเลย กรรมนี่คือGod ผู้รู้จัก สุกตทุกฎานังผลังวิปาโก เข้าใจว่า กรรมดีกรรมชั่วเป็นผลเป็นวิบากที่เราทำเอง เราก็เกิดวนชาติแล้วชาติเล่าไม่รู้กี่ชาติ ก็เพราะ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรม กรรมพาเกิด พาเป็น สั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์และอาศัยกรรมนี่แหละเป็นนิยายบุพเพสันนิวาส อยู่ล้านๆๆๆๆ เรื่อง

พระเจ้าคือกรรม เป็นพระเจ้าที่เรารู้จักกัน กรรมเป็นของตนรู้จักกัน อ้อ Good Morning My God ก็เจอกันอยู่ สวัสดี เฉยๆ ไม่ได้ไปดูถูก หรือตีตัวเสมอ ก็เจอกันอยู่ สวัสดีกันอยู่ แล้วก็รู้จักกันกับพระเจ้าของอาตมา แต่พวกที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันพูดกันไม่รู้เรื่อง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 12:51:40 )

กรรม 5

รายละเอียด

คานธีเอาสัตย์ นี้ไปใช้ เรียกว่า สัตยาเคราะห์ 

เรื่องกรรม 

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)  

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน) 

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)  

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)  

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)  

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 15:25:15 )

กรรมกรศาสนาหรือจับกังแบกลังทอง คือปทปรมบุคคล

รายละเอียด

“ปทปรมบุคคล”คือ บุคคลผู้รู้ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าก็มาก แล้วท่อง ทรงจำไว้ได้อยู่ก็มาก เอาไปสอนเขาก็มาก ได้รับลาภยศสักการะสรรเสริญ แต่ไม่บรรลุธรรม ได้แต่เป็นจับกัง แบกลังทองมาให้เขา แล้วได้ค่าจ้างนิดหน่อยไม่เคยได้ทองนั้นเลย ได้แต่แบกลังให้เขาเป็นจับกัง เป็นกรรมกรศาสนา เป็นกรรมกรที่รับใช้ศาสนาจริงก็ได้ แต่เป็นกรรมกรจับกังคนแบกของแบกศาสนาไว้เฉยๆ แบกไว้ให้คนอื่นแต่ตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ลิ้มรสธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ปทปรมบุคคล 

ไม่ใช่ผู้ไม่รู้นะ แต่เป็นผู้รู้มากเลย สอนคนอื่นให้บรรลุอรหันต์ได้ด้วย ปทปรมะสอนคนอื่นให้บรรลุอรหันต์ด้วยเพราะเขามีปฏิภาณดี แต่ตัวเองสิ ปทปรมบุคคล ผู้ที่ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวอยู่ก็มาก จดจำทรงจำไว้อยู่ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย ตัวเองไม่รู้จักมรรคผล มีแต่มิจฉามรรค มิจฉาผล ถูกหลอกด้วยคนขี้หลอกว่าเขาเหาะได้หลอกเอาก็ไปหลงพวกเขาได้ เก๊ๆ เป็นอุปาทานสร้างนิรมาณกาย เป็นสัมโภคกายต่างคนต่างตาบอดด้วยอทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของกันและกัน เอามายืนยันเปิดหูตาจมูกลิ้นกายสัมผัสด้วยกันไม่ได้ ที่จะว่าสัมผัสอันนี้แล้วเกิดกิเลสได้นะ อ่านจิตตัวเองนะ  ลดละกิเลสด้วยไตรลักษณ์อย่างนี้ ก็ไม่ได้สอนอย่างชัดเจนอย่างนี้เลย ให้เอาแต่นั่งสะกดจิตหลับตา สาธยายอย่างที่อาตมาสาธยายให้ฟังนี้ละเอียดลออไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:29:21 )

กรรมกับ God หรือกอด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสรุปลงไปสูงสุดแล้ว ในความรู้ของมนุษย์ก็มีกรรมกับ God เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยคือ กรรมกับ กอด กอดแน่นเลย เป็นตัวกูของกู ทั้ง God ทั้งกอดทั้งกด เป็นของตัวของตน

แต่พระพุทธเจ้าอธิบายขยายความ จะกอดจะกดอย่างไรๆ คุณก็ยึดไปเป็นอีกล้านปีก็ยึดเป็นของตัวของตน แค่คนอื่นเขาแย่งเขาเปลี่ยนแปลงในฐานะบุคคลที่อยู่ในสังคม คุณยังเอาฐานะไว้ไม่อยู่เลย ชาตินี้ คุณมีฐานะ เป็นคนสูง ชาติต่อไปคุณอยากสูงอย่างนี้ก็อาจไม่ได้ ลดลงไป ต่างคนต่างแย่งเป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยง ไม่มีใครสะสมสมบัติไว้เป็นของตัวของตนได้ ตลอดกาลนานกี่ชาติไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ยึดเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตนไว้ตลอดกาลนานไม่ได้ ยึดไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 13:39:11 )

กรรมกับกาละ of Continuum ถ้าโง่ก็เป็นกรรมกับกายก็เป็นกามคืออะไร 

รายละเอียด

สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ คำว่าความจริงนี้มันยิ่งใหญ่ อะไรมันจริงที่สุด เมื่อกี้นี้ทิ้งคำว่า “กรรม” กับ “กาละ” ไว้ อาตมาเคยพูดแล้วว่า “กรรม” กับ “กาละ” นี่แหละคือ space and time “กรรม” กับ “กาละ ไอสไตน์ก็ค้นพบ Space and time of Continuum เขาค้นพบว่า space คือทุกสภาพ และทุกอย่างที่บรรจุอยู่ในอวกาศคือ Space กับการเคลื่อนไปเรียกว่ากาละ Time การเคลื่อนไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง สรุปลงมาได้มีเท่านั้นเองจริงๆ ของไอสไตน์ยังไม่เข้าถึงวิญญาณยังไม่เข้าถึงจิต ยังไม่เข้าถึงนามธรรม เป็นวัตถุธรรม space and time of continuum 

continuum คือการเชื่อมต่อปรุงแต่งเป็นปัจจุบันธรรม เรียกว่าสันตติ หรือว่าต่อไป เกิดดับอยู่ ไม่แยกจากกันนี่แหละเรียกว่า continuum ทำกรรมกิริยาของเหตุปัจจัย 2 อย่าง นี่แหละอยู่ตลอดเวลา ทีนี้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ไม่ใช่มีแค่ space and time of continuum แต่เป็น “กรรม” กับ “กาละ” of continuum มี 2 อย่าง “กรรม” กับ “กาละ” กรรมนั้น มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง กรรมแล้วก็กาย ถ้าโง่ก็กรรมกับกายก็เป็นกาม 

กรรมนี้ประกอบด้วยกายกับจิต จิต เป็นตัวประธาน ทำกับกายภายนอก โง่ก็เป็นกาม หมดโง่ ไม่มีโง่ หมดกาม มีปัญญา มีพลังปัญญาเพียงพอ ที่เห็นว่า กามก็เป็นอาการของอารมณ์ อาการของความรู้สึก ที่เราไปยึดติดปรุงแต่งกันไว้แล้วก็จำไว้เป็นอุปาทานว่าเป็นสุข ที่จริงมันเป็นกิริยาเท่านั้น กิริยาของสิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกัน แล้วก็เกิดสภาพอีกสภาพหนึ่ง ที่เรียกด้วยศัพท์ว่า สังขารปรุงแต่ง ถ้าไม่มีกิเลสกาม กิเลสพยาบาท ปรุงแต่งร่วมด้วยเลย คุณทำ กรรม รายละเอียดของกาม ปฏิฆะะ จนเหลือเศษธุลีของ อุธัจจะ ถีนมิทธะ หมดแล้วไม่เป็นก้อนหรือกระจายเลย เต็มสภาพชัดเจนเต็มที่แล้ว คุณก็เข้าสู่ความเป็น 0 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 14:24:22 )

กรรมกับกาละอันลึกซึ้ง

รายละเอียด

กาลัญญุตา ในยุคนี้ขณะนี้ แม้แต่ในวินาทีนี้ ก็ต้องใช้กาลเวลายุคสมัย ในขณะที่เป็นกาละกับกรรม อันนี้ลึกซึ้ง จะทำในกาละนี้สองกาละ อาตมาย่นย่อว่าทุกอย่างมีกรรมกับกาละ

ไอน์สไตน์ค้นพบทางด้านวัตถุ space and time of Continuum อาตมาสรุปของอาตมาคือ กาละกับกรรม time and Karma of Continuum กาละกับกรรม of Continuum

Space and Time  Space คือความว่างหรือทั้งหมดทั้งมวลหรือเทหะวัตถุแท่งทึบอย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่สัมผัสติดSpace สัมผัสยังไม่ได้เลยคุณก็ไม่รู้จะไปทางมืดก็ตามหรือทางสว่างก็ตาม คุณสัมผัสไม่ได้ก็ไม่ชื่อว่า Space 

and Time ก็คือการเคลื่อนอยู่ตลอดของเอกภพของจักรวาลของทุกอย่างที่เคลื่อนอยู่ ส่วนของศาสนาทางจิตวิญญาณเอากิริยาหรือกรรมของสัตว์โลกของใครของมัน ซึ่งพูดได้กับเวไนยสัตว์กับอาริยบุคคล ก็รู้เรื่องดี ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องกันได้ กรรมกับกาละ นอกกาละไม่มีอะไร สุดท้ายที่เขาใช้ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าผู้ทำกาละ กลางๆ นะ ทำให้มันมีหรือทำให้ไม่มี ผู้ใดดับกาละได้ผู้นั้นจบเลย กรรมก็หาย นิรันดรก็หาย ความมีก็หาย ความไม่มีก็หาย กาละนี่ทำกาละ ความหมายคำว่าทำกาละนี้ยิ่งใหญ่มาก สูงสุด

อาตมาจึงสรุปลงได้ว่า ที่เราจะใช้ทั้งหมดก็คือกรรมกับกาละที่จะอยู่ในปัจจุบัน ละเอียดที่สุด ความละเอียดของจุด continuum เป็นปัจจุบันที่ละเอียดที่สุด และยังมีการเชื่อมต่อ Continuing หรือ Continuum เป็นปัจจุบันที่มีความเชื่อมต่ออยู่ อย่างสั้นอย่างเล็กอย่างละเอียดมากที่สุด อาตมาก็ได้พยายามอธิบายขยายความโดยใช้พยัญชนะเทียบเคียงของไอน์สไตน์ Space and Time ก็คงเคยได้ยินเคยได้ศึกษามา ใช้เป็น Continuum เป็นปัจจุบันธรรม ที่ละเอียดเล็กที่สุด เร็วที่สุด สั้นที่สุด ของอาตมานี่กรรมกับกาละ ถ้าขยายความไปอีก ของเรามีกรรมกับกาละ

ของทางด้านวิญญาณของเขามี God กับ กาละ แต่ God ของชาวเทวนิยมนั้นมีนิรันดร ของเราไม่มีนิรันดร ของเรามีแต่กรรม ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยธรรมะ 2 กรรมไม่มี กรรมต้องมีธรรมะ 2 ต้องมี 1. ประธาน 2. Object ถ้าไม่มีประธานทำอะไรไม่ได้ นิวเคลียสอันหนึ่ง มีตัว I เป็นประธาน  S กับ H คือ บวกกับลบ นิวเคลียสอันหนึ่งมีบวกกับลบแล้วก็มีพลังงาน ถ้ายังไม่เป็นชีวะมันก็เป็นของมันในตัวของมัน เป็นพลังงานระดับอุตุนิยามก็ตาม แม้เป็นพลังงานระดับพีชะก็ตาม มันก็จะ I S H

เป็นจิตนิยามก็ยิ่งมี I ที่ควบคุม S กับ H สัมพันธ์กับอะไรอีกกว้างขึ้นลึกขึ้นเยอะเลย   พีชนิยามมี ISH เป็นสามเส้าเหมือนกัน ส่วนอุตุนั้นสิ่งแวดล้อมข้างนอกเป็นประธานด้วยซ้ำไป มันไม่รู้ตัวมันเอง อันอื่นจะทำให้มันเป็นก้อน เป็นน้ำ เป็นอากาศ เป็นอะไร เป็นฤทธิ์แรงจนกระทั่งเป็นอุกาบาต จะมีพลังงานอื่นอันอื่นผลักดันหรือดึงดูดมันไปสู่แรงดึงดูดของ Galaxy ของจักรวาล มันก็จะต้องไปเป็นส่วนที่เป็นมวลของสิ่งอื่นๆ ก็ซ้อนๆๆอย่างนี้มากมาย ตั้งแต่อุตุนิยาม มาเป็นพีชนิยาม มาเป็นจิตนิยาม แล้วจะต้องมาศึกษากรรม กรรมนิยาม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความสมานฉันท์ 7 แบบ วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 15:03:47 )

กรรมกับธรรมะ เป็นสภาพ 2

รายละเอียด

กรรมกับธรรมะ เป็นสภาพ 2 คือ Static กับ Dynamic โดย กรรมนิยามเป็น Dynamic ส่วนธรรมนิยามเป็น Static ธรรมเป็นตัวทรงไว้ กรรมเป็นตัว Dynamic ตัวที่เคลื่อน กรรมเป็นตัวลบ(-) ส่วนธรรมะเป็นตัวบวก(+)  เมื่อเข้าใจ 2 สภาพตรงนี้ ก็ 2 ลักษณะนั่นแหละ ตั้งแต่ความเป็นอุตุ เป็นพีช ก็มีกรรมกับธรรมะ แต่มันไม่รู้จักอุตุมันไม่รู้เรื่อง พีชมันก็ไม่รู้เรื่อง แม้ว่ามันเป็นชีวะแล้ว แล้วมันก็ใช้พลังงานชีวะด้วยนะ พืชมันใช้พลังงานดูดพลังงานผลักด้วยนะ ผลักคือมันไม่เอา มันไม่เป็นพิษภัยต่ออันอื่น ผลักคือมันไม่เอา อันไหนเอามันก็เอาเพราะเป็นประโยชน์ต่อมันเอง มันเป็น it เป็นตัวมันเอง มันมีสัญญากำหนดแล้วก็มาปรุงแต่ง เป็นตัวเจ้าของ เป็นประธาน มีสัญญากับสังขาร สัญญาว่าธาตุนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ไม่เอาไม่เกี่ยวก็ปล่อยเขาไป ดีไม่ดี มันมาเบียดเบียนก็ต้องจำนน แต่เขาไม่เคยเบียดเบียนใคร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:24:11 )

กรรมกับเทวนิยม

รายละเอียด

กรรมนี้เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้ เพราะเกิดชาติเดียวแล้วก็ตายไปอยู่กับพระเจ้า จนนิรันดรมีการเกิดและตายชาติเดียว ก็มีศาสนาบางศาสนาที่มีการเวียนวนตายเกิดเหมือนกัน อธิบายได้ ตามที่พระพุทธเจ้าแบ่งเอาไว้ พูดอีกตามอดีต 18 อนาคต 44  แต่ถ้าไม่สามารถรู้จุดสูงสุดนั้น ก็คือ สามารถที่จะรู้ธาตุนิยามของสิ่งที่มีอยู่ในโลก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ  วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:12:35 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:24:31 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:18:20 )

กรรมการ Nobel Prize และแมกไซไซยังไม่เข้าใจงานของพ่อครูด้วยเหตุใด

รายละเอียด

ยากมาก แม้แต่กรรมการใน Nobel Prize ก็จะยังคิดไม่ออกหรอกว่า อ๋อ เศรษฐกิจขณะนี้ หรือแม้แต่สันติภาพเขาก็ยังมองไม่ออก อาตมาสร้างสันติภาพอย่างที่แมนเฮเขาเห็น ว่าใช่ แล้วก็ให้รางวัลมาแล้ว หรือว่ารางวัลแมกไซไซก็ตาม Nobel prize ก็ตาม เขาจะยังเข้าใจไม่ได้หรอก มองไม่ออก มองไม่ได้หรอก ไม่ใช่ดูถูกเขานะ ถ้าเขามองออกเห็นได้จริงแล้วนะ เขาต้องให้รางวัลอาตมา ต้องรู้ว่าคนคนนี้ประเสริฐจริงๆ ควรจะได้รับรางวัลอุดหนุนส่งเสริม ก็เป็นเรื่องจริง 

อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดอะไร ไม่ได้รางวัล nobel prize ไม่ได้รางวัลแมกไซไซ  ที่จริงแล้วจะต้องมีคนเสนอขึ้นไป ไม่ใช่อยู่ดีๆเขาก็จะมาให้ ไม่ว่าจะเป็น Noble Price หรือแมกไซไซ แมนเฮ ก็เหมือนกัน แมนเฮ ก็มีคนเกาหลีที่มาเมืองไทยเขามาเห็นจริงในพวกเรา เขาก็เลยนำเสนอขึ้นไป แล้วเขาก็รู้ว่าอาตมาเป็นผู้นำอยู่ในส่วนนี้ เข้าไปคลุกคลีอยู่ที่ศีรษะอโศกเขาก็รู้จักก็อันเดียวกัน เขาก็รู้ว่าวัฒนธรรมแบบนี้ ก็เลยเสนอองค์กรแมนเฮ เขาก็เห็นตามเห็นจริงเพราะว่าตั้งหลายปีเขาจึงให้รางวัล อย่างนี้เป็นต้น

จะบอกว่าอาตมายินดีไหมก็ไม่ได้ยินร้ายอะไรเขามาให้รางวัล ไม่ได้ยินร้ายยินชั่วอะไรเขามาให้สิ่งที่ดีก็ถูกต้องแล้ว ที่จริงอาตมาควรยิ่งกว่านั้น ไม่อยากพูดตรงนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาทำตามภูมิปัญญาที่อาตมาเห็นว่าควรทำ พูดไปแล้วยืนยันอีกว่าอาตมาทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่คนยังเข้าใจความมหัศจรรย์นี้ยังไม่ได้ แล้วเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ หยั่งรู้จิตวิญญาณ ไม่ใช่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25  ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 14:31:56 )

กรรมการ Nobel ถ้าเขาเข้าใจโลกุตระจริงๆเขาต้องให้รางวัลอาตมา

รายละเอียด

 อ๋อ มีพวกเกาหลี แมนเฮ ให้รางวัลมา ให้มาตั้ง 100 ล้านวอน ให้ใบ ประกาศนียบัตรมาด้วย ใบรับรองแล้วก็ให้เงินมาตั้ง 100 ล้านวอน เป็นเงินไทย 2 ล้าน 6 เท่านั้นเอง ภาพถ้วยกำยานอันนี้ เป็นของอีกวัดหนึ่งที่เขาร่วมด้วย สนับสนุนด้วยก็ให้มา ไม่ใช่มูลนิธิแมนเฮ เหมือนพวก รางวัลแมกไซไซ รางวัล Nobel แต่อันนี้มันไม่ใหญ่ คนก็บอกว่าโพธิรักษ์จะได้ Nobel เขาบอกว่าโพธิรักษ์จะได้โนเบล ไม่ได้หรอก เพราะทางโน้นเขาเป็นเทวนิยมจะมาให้รางวัลโพธิรักษ์ได้อย่างไร เราก็เข้าใจเหตุปัจจัย 

ถ้าเผื่อว่ากรรมการ Nobel เขาเข้าใจโลกุตระจริงๆเขาต้องให้อาตมา มันมีความจริงหลักฐานแต่เขาจะเข้าใจเขาเห็นไหม พูดไปเหมือนเรา อยากได้ทั้งๆที่เราไม่อยากได้ ได้ก็ได้ไม่ได้ก็เฉยๆอาตมาไม่มีปัญหาอะไรนะ อาตมาอยู่ไปก็ ทำงานไปจะได้สรรเสริญ จะได้ตำหนิ ยกย่อง ไม่มีปัญหาอะไรในการตำหนิหรือยกย่อง ยกย่องก็รู้ว่าเขายกย่อง ตำหนิก็รู้ว่าเขาตำหนิ เราก็พิจารณาจากความจริงเท่าที่แยกได้ ถึงความจริงที่อาตมาเชื่อมั่นว่าอันนี้เป็นความจริงหรืออย่างนี้ไม่ใช่ความจริงอันนี้เป็นองค์ ประกอบ ไม่ใช่ความจริงที่แท้ 

ความจริงที่มายกย่องยกยอ หรือความจริงมาเห็นจริง อาตมาก็เห็นก็เข้าใจ ความจริงที่มายกย่องยกยอเฉยๆไม่รู้จริงหรอกก็รู้ความจริงที่เขาเห็นความจริง แล้วเขาก็ยก ยกเพราะเขาเห็นความจริง เราก็รู้ ก็เท่านั้นเอง เพราะคนที่เห็นอาตมาจริง แล้วก็ยกย่องความจริงนี้ มันก็เป็นของคุณ คุณไม่เห็น คุณทำป้อยออาตมาเฉยๆ ก็ของคุณ คุณไม่เห็นความจริงของอาตมาเลย คุณก็ตำหนิมันก็ เรื่องของคุณอีกเหมือนกัน อาตมาก็รู้ว่าของคุณก็เป็นของคุณ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา อาตมามีที่จบ จบตรงไหน จบตรงไม่มีตัวตน นี่ไม่ใช่ภาษานะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 14:50:26 )

กรรมการของ Noble Prize เขาจะรู้เรื่องสัจธรรมเป็นพุทธศาสนาเท่าใด

รายละเอียด

เพราะว่าคนที่ควรจะได้ Nobel Prize ในประเทศไทย ในทางธรรมะ โดยในทางพุทธธรรม เป็นต้น พูดให้ชัดก็คือ กรรมการของ Noble Prize เขาจะรู้เรื่องสัจธรรมเป็นพุทธศาสนาเท่าใด เขาเป็นพวกชาวเทวนิยมที่เป็นกรรมการของ Nobel Prize แล้วเขาจะมารู้จักพุทธนิยมได้อย่างไร นั่นแหละในอนาคตมันก็จะยืนยันผลงาน รับรองว่าอีก 100 ปีเขาจะให้แน่ ถ้าอาตมาทำงานไปอีก 100 ปี ได้ ถ้าอาตมาทำงานไปอีก 100 ปี ตาสว่างแน่เลยกรรมการ Noble Prize จริง แหม มันจะอย่างไร 

อาตมาว่าไม่ ไม่ปีที่ 100 ก็ปีที่ 99 หรือปีที่ 98 จะเห็น ปีที่ 97 เขาก็น่าจะเห็น ถ้าถึง 100 ปี จะอยู่ให้ได้ถึง 100 ปี เพื่อที่จะยืนยันความจริงนี้ แต่เอาเถอะถึงแม้ว่าอาตมาจะตายไปก่อน สัจธรรมอันนี้จะรู้ในอนาคต ก่อนกลียุค นี่เป็นคำพยากรณ์ จะแม่นหรือไม่แม่น ติดตามไปอย่าเพิ่งตายแล้วจะเห็นเลยที่อาตมาพยากรณ์ไว้ นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพูดในวันนี้ พูดในวันนี้ก็มีอะไรแปลกๆใหม่ๆ เยอะเหมือนกันเนาะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2566 ( 13:00:35 )

กรรมกิริยาของพระอรหันต์มีแต่กุศล

รายละเอียด

สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ผู้ที่ทำให้บุญเกิดสำเร็จ กำจัดบาปจนหมด ก็เป็นสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บาปไม่ทำอีกแล้วไม่เกิดอีกแล้ว คนนี้ก็ไม่ต้องมีบุญอีกแล้ว ฉะนั้นกรรมที่เหลือของคนนี้ คนที่มีสัพพปาปัสสอกรณัง คนนี้ไม่มีบาปแล้วทำกรรมกิริยาอย่างไรๆ ก็ไม่มีบาปเลย กรรมกิริยาของคนคนนี้จึงมีแต่กุศล บุญ ผู้ไปแปล ว่าละชั่วประพฤติดี ได้คะแนน 0 ไข่นกกระจอกเทศ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 09:50:00 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 07:27:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:19:43 )

กรรมก็จำแนกสัตว์และกรรมเป็นของของตน

รายละเอียด

แล้วกรรมก็จำแนกสัตว์ กัมมังสัตเตวิภัชชติ ก็จำแนกเราให้เป็นไปตามแต่ละวิบาก แล้วกัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของของตน อันนี้ลึกซึ้งสุดยอดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเป็นของเราหรอก ทุกอย่างเป็นเรื่องเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นเท่านั้น อาศัยกันอยู่ ไม่มีอะไรเป็นของของเรา แต่ท่านก็บอกว่ากรรมเป็นของของเรา เห็นไหมภาวะภาษาสิริมหามายา บอกว่าไม่ใช่ของเราแต่เป็นของเรา เราก็ต้องกำหนดรู้ว่าอะไรที่เราใช้คำว่าเป็นของเราอยู่ อะไรคือไม่ใช่ของเราแท้ แล้วก็ขึ้นกับกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 05:15:45 )

กรรมของคนรวยเป็นลูกหนี้มากกว่าเจ้าหนี้

รายละเอียด

จะจนได้จิตต้องพอก่อน คนอยู่ในโลกทุกวันนี้รวยเป็นอันดับโลก จิตใจไม่เคยพอ มีแต่เสริมเพิ่มเข้าไปอีก เอาออกด้วยเป็นทานแล้วก็เพิ่มเติมขึ้นไปอีก ให้ได้ขึ้นมามากกว่าเก่าอย่างนี้เป็นต้น เขาก็เป็นสุขหรือสนุกอยู่จนกว่าชีวิตจะตาย สรุปแล้วเขาเป็นหนี้มากกว่าที่เขาจะเป็นเจ้าหนี้ เขาได้มามากกว่าที่เขาให้คนอื่น เขาจะกลายเป็นหนี้มากกว่าเจ้าหนี้ เขาเป็นลูกหนี้มากกว่าเจ้าหนี้ เพราะเขาเอาหรือเขาได้มากกว่า แม้จะสุจริตก็ตาม ยิ่งทุจริตก็ยิ่งหนัก ทุจริตมีหลายระดับ เอาแบบฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาสำนวนนี้เป็นต้น ที่จริงมันมากกว่า ระเบิดนิวเคลียร์ใส่ประเทศนี้ เอาประเทศมันมาทั้งประเทศ มนุษย์มันมีความคิดอย่างนี้อยู่ แต่ตอนนี้ความรู้อันนี้ก็จะยันกันไว้บ้าง ยังไม่กล้าจะเอาระเบิดปรมาณูไปทิ้ง แต่ก็ยังมีทำเขาบ้าง แต่คนมันดูแล้วก็เลยบอกกันว่าอย่านะมันไม่ดี ตอนนี้นี่ยาก ในโลกทุกวันนี้ ไปเอาระเบิดไปทิ้งใครรับรองว่าใครทิ้งเข้าไปสิ ถูกบอยคอตระดับโลกเลย แต่เขาก็ซุกซ่อนระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ไว้ เพราะความขี้กลัวเลยต้องสะสม แล้วก็โกหกชาวบ้านชาวช่องว่าไม่มี ก็เป็นกรรมของแต่ละคนค่อยๆทำ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:23:13 )

กรรมคือพระเจ้าตัวจริง 

รายละเอียด

คนเราแต่ละคน อาตมาเห็นจริงที่สุดเลยว่า คนเรานี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ แล้วอาตมาก็สรุปแล้วว่า กรรมนี่แหละคือ GOD คือพระเจ้าจริงๆ กรรมคือพระเจ้าตัวจริง 

กรรมของเราเอง เราฝึกฝนเรียนรู้การปฏิบัติกรรม ทำกรรมของเราจนกระทั่งสามารถที่จะทำกรรม จนบรรลุอรหันต์ จนบรรลุธรรมะโลกุตรธรรมขั้นอรหันต์ แล้วก็ทำตนเองอีก จะอยู่หรือจะไม่อยู่เป็นอมตบุคคล เป็นคนระดับที่ 9 ในมูลสูตร 10 เป็นอมตบุคคล เป็นคนมีวิมุติแล้วก็เป็นอมตบุคคล 

เป็นอมตบุคคลก็คือ บุคคลที่จะตายก็ได้จะเกิดก็ได้ จัดการเองได้เลย ตายหลังจากการตายแล้วเรียกด้วยภาษาวิชาการว่า กายัสเภทา ร่างแตก ปรัมมรณา หลังจากนั้นไปจะให้เป็นอะไรทำได้เอง จะให้เกิดอีกเวียนวนมาเกิดอีกก็ได้ อันนี้แหละในเถรวาทในทางพุทธศาสนาประเทศไทย เขาเป็นอุจเฉทิฏฐิ อรหันต์ตายแล้วต้อง 0 อรหันต์ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ เมื่ออาตมามาพูดว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้ยืนยันหลักฐานว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ต่อเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์เลย อาตมาเป็นผู้ที่ขยายความเรื่องโพธิสัตว์และก็ขอยืนยันว่าเป็นโพธิสัตว์เนื้อแท้ถูกต้องตรง 

มหายานทางด้านโน้นเขาทางญี่ปุ่น ทางจีนอะไรที่เขามีมหายาน ไม่ใช่เถรวาททีเดียวเขาก็มีโพธิสัตว์ แต่โพธิสัตว์เขาก็เลอะเทอะอีกบานปลายเป็นโพธิสัตว์นิรันดร โพธิสัตว์มีอัตตา อะไรก็ไม่รู้เละเทะไปหมด  มันไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 20:52:25 )

กรรมคือวิชชา หรืออวิชชา คือการกระทำของอะไร

รายละเอียด

ตั้งแต่สังขารอุตุ ดินน้ำไฟลม จนเป็นชีวะ พืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จนเกิดจิตนิยามมีทั้งเวทนาและวิญญาณ มีกรรมวิบากด้วย พีชนิยามหรือพืชไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก เพราะมันไม่ยึดติด ไม่จับตัวเป็นอัตตา แต่จิตนิยามเป็นอัตตาแล้ว ก็เป็นกรรม เป็นวิบาก 

ตัวกรรม ตัววิบาก นี่แหละ คือตัววิชชา กรรมคือวิชชา กรรมคืออวิชชา แต่เขาแยกไม่ออก กรรมคืออะไร?.. กรรมคือ การกระทำนั่นแหละ แปลกันมาแต่ไหนแต่ไร การกระทำของอะไร?.. การกระทำของวิญญาณ หรือธาตุ 2 ตัว เป็นต้น แล้วก็เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5  ปรุงแต่งกันเป็นเหตุปัจจัยยืดยาวมากมาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:08:18 )

กรรมคือสัจจะที่สัมผัสได้ ส่วน God คือสิ่งที่สัมผัสไม่ได้

รายละเอียด

รู้กรรมวิบากรู้ว่าเราสั่งสมมาอย่างไร คนรู้กรรมนั้นยิ่งกว่ารู้ God กรรมคือสัจจะที่สัมผัสได้ ส่วนGod คือสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ แล้วอะไรจริงกว่ากัน สิ่งที่สัมผัสได้นี่จริงกว่า สิ่งที่สัมผัสไม่ได้ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ลึกลับ แล้วมันจะไปจริงเท่าสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายได้เหมือนกันทุกคน สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ อันนี้เป็นสีสันสีขาวสีไม่ขาวสีแดงสีดำอย่างนี้ ทุกคนก็ตรงกัน แต่อาจจะใช้ภาษากันคนละภาษาเท่านั้น ไทยบอกว่าแดงฝรั่งบอกว่าred ก็เท่านั้นเอง ต่างกัน หรือจะใช้คำอื่นอีกเยอะแยะ มันเป็นเฉทของสีอีกเยอะแยะไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 19:04:23 )

กรรมฐาน

รายละเอียด

หลักปฏิบัติที่ถูกต้องตามฐานแห่งตนโดยแท้จริง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละกิเลส สู่ความหลุดพ้นจากกิเลสตัวนั้น ตามฐานของตนเอง กรรมฐานเบื้องต้นของผู้ปฏิบัติธรรม คือการถือ ศีล 5 ละอบายมุข และการอ่านรู้เวทนาของตนด้วย

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 05:05:20 )

กรรมฐาน

รายละเอียด

1. การกระทำตามตำแหน่งของตน หรือระดับของตน

2. กระทำถูกต้องตามฐานะแห่งตนโดยแท้ โดยจริง

3. สภาพฐานะของจิตหรือภูมิซึ่งจะได้ประพฤติ กระทำกับตน

4. ฐานสำหรับการประกอบกรรม ประกอบการกระทำ เพื่อขัดเกลา เพื่อละกิเลสบางอย่าง บางประการสู่ความหมดหรือพ้นอิทธิพลชองกิเลสตัวนั้น ๆ ที่ตนเอง  ของตนเอง ด้วยตนเอง

5. อะไรก็ได้ที่เรายึดเอาสิ่งนั้น อย่างนั้น องค์ประกอบนั้น ๆ วิธีนั้นมาเป็นหลักยึดในการกระทำ เรากำลังจะเจริญเจโตสมถะ หรือภวังคฌาน เราก็ยึดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่งมาเป็นหลักยึดในการกระทำ

6. ข้อกำหนดประมาณเอาตามที่ตนตั้งจิต กำหนดเอาเท่าที่จะปฏิบัติพอเหมาะกับตน

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 30 ,จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 227 ,จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 376 ,จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 419 ,จากคนคืออะไร? หน้า 314 ,หนังสือยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 103


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 08:21:09 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:22:12 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:21:41 )

กรรมฐาน

รายละเอียด

คือ เวทนา 108 เมื่อหลงผิด "กรรมฐาน" หรือยึด "ฐาน" ที่ปฏิบัติอย่างมิจฉาทิฏฐิ ไปหลงยึดเอา "ฐาน" ที่ปฏิบัติแบบ "สมถภาวนา" การบรรลุ "ผล"ที่เป็นความว่างจากกิเลส จึงกลายเป็นไปได้เอา "ภพแห่งความว่าง" แทน

หนังสืออ้างอิง

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 146


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:54:22 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:14:25 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:22:51 )

กรรมฐาน

รายละเอียด

 แปลว่า ที่ตั้งของการกระทำ , ฐานปฏิบัติ กรรมฐานของพระพุทธเจ้ามีอันเดียว คือเวทนา 

ที่มา ที่ไป

 630302


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 20:36:55 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:25:31 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:23:57 )

กรรมฐาน

รายละเอียด

ตอบ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ของชาวอโศก ถามธรรมะกัน คำถามของเขาแต่ละคำ กรรมฐาน แปลว่า ที่ตั้งของการกระทำ แปลด้วยพยัญชนะ กรรมแปลว่าการกระทำ กรรมฐานของพระพุทธเจ้ามีอันเดียว คือเวทนา คนที่ออกนอกรีตก็ไปทำกรรมฐานตามพวกเดียรถีย์มีกรรมฐาน ดิน น้ำ ไฟ ลม กรรมฐาน 40 มีอะไรต่างๆนานา คือสิ่งที่ให้จิตไปจดจ่อ จดจ้อง เป็นเครื่องให้จิตถูกสะกดไว้ เหมือนกับนักสะกดจิตสะกดจิตคนก็ต้องให้เขามีที่เกาะ จิตใจไปเกาะอยู่ตรงนั้น  เช่นให้เพ่งนิ้วอย่าให้ดิ้น ให้มันนิ่งๆๆๆ คุณก็จะต่อสู้ให้มันอยู่นิ่งก็จะทำตามจิตของเขาก็จะจดจ่อให้มันนิ่ง ก็เรียกว่าเป็นสมถะ ซึ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธ กสิณ 40 นั้นไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:35:56 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 07:24:33 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:21:18 )

กรรมฐาน 40 เป็นของเดียรถีย์

รายละเอียด

ในวิโมกข์ข้อแรก ต้องมีรูปและต้องมีผู้รู้รูป รูปีรูปานิปัสสติ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางบรรลุพระอรหันต์ได้ สติปัฏฐาน 4 ต้องมีกายตั้งแต่เริ่มต้นเลย เมื่อไม่รู้กาย กายคือจิต มโน วิญญาณวิญญาณก็ต้องแยกด้วยนามรูป ในปฏิจจสมุปบาท นามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ เมื่อไม่มีวิญญาณก็ไม่มีเวทนา การปฏิบัติจริงๆของพระพุทธเจ้า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60แล้วไปเอากรรมฐานกสิณ 40 ที่เป็นของเดียรถีย์ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค มันเป็นสมถะหมดไม่เป็นวิปัสสนา ไม่มีการเห็น มีแต่การหลับตา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 13:51:01 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:39:38 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:09:37 )

กรรมฐาน 5

รายละเอียด

ที่ภิกษุบวชใหม่ท่านก็ให้อุปัชฌาย์สอนกรรมฐาน 5 ให้ จะพิจารณาแยกกายแยกจิตจากผมก็ได้จากขนก็ได้  จากเล็บก็ได้ จากฟันก็ได้ จากหนังก็ได้ มันเป็นภายนอก เป็นอาการ 32 ภายนอก แล้วแต่ถนัด แต่อาตมาถนัดอธิบายเล็บ จะแยกที่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ได้ แต่เล็บเห็นได้ง่ายแยกว่า เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่มันเป็นจิต หากแยกไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นทุกข์กายที่เป็นพีชธาตุ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เป็นชีวะเท่านั้น บางทีก็ไม่เรียกว่ากายของพีชะ โดยพยัญชนะว่ามีกาย แต่มันมีที่ติดกับตัวเราเหมือนเป็นกาย แต่ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีเวทนา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:40:03 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:28 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:37:37 )

กรรมฐานของการปฏิบัติ

รายละเอียด

คือหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง มีอารมณ์ หรือ เวทนา เป็นตัวกรรมฐาน จะเกิดผลปฏิสัมพันธ์เป็นจิต  เจตสิก รูป นิพพาน  ซ้อนเป็น ธรรม 2  ธรรมะ 3  ในเวทนา 108 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ  วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:41:28 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:27:38 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:39:11 )

กรรมฐานของชาวอโศก

รายละเอียด

เขาถามว่าชาวอโศกมีกรรมฐานอย่างไร ก็บอกว่ากิน อยู่ หลับ นอน อาจารย์ต่างๆก็งงเขาไม่ทราบไม่รู้ เพราะว่าเขาได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธแล้ว ไปนั่งหลับตานั่นคือความเสื่อมสนิทสมบูรณ์แบบ  ไม่ใช่ศีลสนิทหรือซื่อสนิทนะ นี่เขาเสื่อมสนิท ไม่ได้แกล้งพูดนะ ไปนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ 100% พูดแล้วพูดอีกจนกระทั่งไม่มีใครเห็นอย่างนี้ว่าเป็นตัวสำคัญ จะพอรู้ก็ไม่กล้าพูดเพราะไม่มีความเข้าใจชัดเจน อาตมามีความเข้าใจชัดเจนและมีความเข้าใจในหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งในวิชชาจรณะที่เป็นพุทธคุณ 9  ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย นี่ก็เป็นการยืนยันแข็งขันแรงมาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 19:01:51 )

กรรมฐานของชาวอโศกต่างจากพระะสงฆ์อื่นๆอย่างไร

รายละเอียด

กรรมฐานที่เอามาไม่ใช่อาตมากำหนดกรรมฐานแต่เป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้เลยว่าไม่ใช่ฐานแห่งการปฏิบัติ ฐานแห่งการกระทำถ้าไม่มีเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาพุทธ มีเวทนาเท่านั้นเป็นกรรมฐาน เป็นฐานของการปฏิบัติ 

ที่นี้กรรมฐานของพระสงฆ์รูปอื่นๆ พระสงฆ์ใหญ่ๆที่เขาเป็นนักปฏิบัติเลยมีกรรมฐาน ก็จะไปยึดถือเอา ป่าเป็นกรรมฐาน ได้ออกป่าเป็นกรรมฐานโดย เดินลุยป่าดงเป็นกรรมฐาน ซึ่งออกไปเป็นเดียรถีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาจึงจะรู้ตัว เขาจึงจะเข้าใจว่าทำไมไม่เข้าใจอย่างนี้ได้ 2,500 กว่าปีออกไปนอกรีต 180 องศาเลยจากความเป็นพุทธ ออกจากจรณะ 15 วิชชา 8 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้ อาหาร ให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:40:06 )

กรรมฐานของพระบวชใหม่คืออะไร

รายละเอียด

จะกำหนดอย่างไรก็ต้องเรียนรู้สัญญา แล้วกำหนดให้รู้กาย คำว่า กาย คำนี้ เมื่อมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอน แม้แต่อุปัชฌาย์บวชพระ ต้องแยกกายแยกจิตให้ถูก ถ้าเข้าใจกาย จิตไม่ถูก สภาวะเมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่เป็นจิต เมื่อไหร่จิตไม่เป็นกาย ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่รู้จัก

อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่ได้นิพพาน เมื่อบวชใหม่อุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐานตัวนี้ คือแยกกายแยกจิตให้ได้ ผู้ใดที่บวชมาแล้วเข้าใจ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ไม่ได้ก็ไม่ต้องให้บวชหรอกเพราะไม่มีทางไปนิพพานได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้สอนกันอย่างถูกต้อง 

ไปสอนเป็นไตรลักษณ์ไปสอนเป็นปฏิกูลอะไรไปหมด ซึ่งมันเสื่อมไม่เข้าท่าแล้ว ถ้าคุณไม่เข้าใจกายไม่เข้าใจจิต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:16:50 )

กรรมฐานของพระภิกษุ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าทรงให้“พระอุปัชฌาย์”เมื่อบวช“สัทธิ

วิหาริก”เสร็จเป็นภิกษุขึ้นมาแล้ว ก็ให้“อุปัชฌาย์”สอน“มูลกรรมฐาน 5”คือ “ผมหรือขนหรือเล็บหรือฟันหรือหนัง” อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น ใช้เรียนรู้การแยก“กาย”แยก“จิต”

โดยเฉพาะแยก“เวทนาในเวทนา” ละเอียดถึง“เวทนา 108”

      ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ภาวะที่ไม่มีกาย”นั้นคือ เรา“ไม่มีเวทนา”หรือไม่มี“ความรู้สึกสุข-ทุกข์”ตามจุดหมายสำคัญยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ

      เพราะสามารถเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติกระทั่งบรรลุตาม “ธรรมนิยาม 5”ที่เป็น“ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” 

      นั่นคือ เป็น“ผู้พ้นทุกขอาริยสัจ” โดย“ทำจิตในจิต” ของตนให้อยู่ในภาวะ“พีชนิยาม”คือ อยู่ในภาวะ“พืช”ได้ขณะที่มี“ชีวะ”อยู่ มี“กาย”ภายนอก“สัมผัส”สัมพันกับโลกภายนอกอยู่ปกติสามัญ แต่ไม่มี“เวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์” 

      ดังนั้น ภาวะนี้ก็คือ ผู้มีจิต“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ที่“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งมันไม่ใช่“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ที่“มิจฉาทิฏฐิ”ตามวิธีแบบเดียรถีย์ คือ ไปหลง“หลับตา”ปฏิบัติกันงมงายอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:31:40 )

กรรมฐานของพุทธคือเวทนา

รายละเอียด

คำว่าฌานนี้ไม่เข้าไม่ออก เรียนรู้จิตในจิต จิตในจิตจะเป็นฌานได้ คุณต้องมีการกระทบสัมผัสต่างๆของจมูกลิ้นกายกระทบแล้วมันจะเกิดเวทนา มีอารมณ์มีความรู้สึกแล้วให้เรียนรู้ตรงนี้ ศาสนาพุทธไม่ต้องไปนอกที่นอกทางตรงไหน เป็นกรรมฐาน พื้นฐานที่จะต้องจัดการ จะบรรลุก็ตรงนี้ ตรงที่เวทนา ให้สมบูรณ์แบบ คือเวทนานี้มันเป็นสุขเป็นทุกข์ ศาสนาพุทธง่ายและสั้น หากว่ารู้ที่มันแล้ว เรียนรู้อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ เรียกว่าอริยสัจ คนไปหลงความสุขว่าเป็นความทุกข์ นี่คือความวิปริต เห็นของไม่น่าได้ไม่น่าเป็นมาเป็นของน่าได้น่าเป็น เห็นของไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นของไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน นี่คือวิปริต 4 ศาสนาพุทธทุกวันนี้ครบวิปริต 4 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:49:40 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:06:11 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:41:35 )

กรรมฐานของพุทธคือเวทนา 108 ที่เป็นทิฏฐธรรม

รายละเอียด

 นี่แหละการปฏิบัติธรรม เรียนธรรมะ เรียนอ่านจิตเจตสิกของเรา อ่านอาการ มีอาการอย่างนี้ๆ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตา แล้วไม่รู้เห็นไม่รู้เรื่องอะไร นั่งหลับตามันไม่มีความจริง มันไม่มีทิฏฐธรรม มันไม่เป็นปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้นไอ้กิเลสเกิด มันเป็นกิเลสเก๊ กิเลสสัญญา อยู่ในความนึกคิดขึ้นมา คิดขึ้นมาของเก่า หรือคิดใหม่ ที่เรียกว่าอดีตหรืออนาคต คิดเก่าหรือคิดใหม่ มันไม่มีปัจจุบัน 

คุณไปละกิเลส มันไม่มีให้ละ อดีตมันก็ไม่มีของจริง  อนาคตมันก็ไม่มีของจริง แล้วคุณจะไปละของเก๊อยู่อย่างนั้น ลมๆแล้งๆ ไปนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าก็ตรัสสูตรแรกในพรหมชาลสูตร มิจฉาทิฏฐิไปนั่งหลับตานี่แหละ แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก มันก็จะมีแต่อดีต 18 อนาคต 44 มันไม่มีทิฏฐธรรม ไม่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ทิฏฐิที่ไม่มีทิฏฐธรรม มันทำนิพพานไม่ได้ มันต้องมีทิฏฐธรรมจึงจะทำได้ ตั้งแต่กามแล้วก็ฌาน 1, 2, 3, 4 เรียกว่าทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ประการในทิฏฐิ 62 อันท้ายเลยในทิฏฐิ 62  

ต้องมีทิฏฐธรรม คือมีเหตุปัจจัย มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีอะไรต่ออะไรเกิดจริง จึงจะเกิดขณะนี้ กิเลสมันก็เกิดคือกิเลสจริงๆ แต่ไปนั่งคิดนึกเอา ก็คือกิเลสที่นึกขึ้นมาเป็นของเก่ากับของสมมุติขึ้นมาใหม่ อนาคตอาจจะเป็นที่เคยคิดแล้ว แต่ก็ไปคิดฟุ้งอยู่ มันไม่เคยได้ ไม่เคยผ่านขันธ์ มันถึงเรียกว่าระลึกถึงขันธ์ แล้วก็ติดตามเรื่องราวในขันธ์ที่เราเคยระลึก เป็นอดีตก็ผ่านไปแล้ว ซึ่งก็ละเอียดลออ เรื่องทิฏฐิ 62 อาตมาก็ยังไม่บังอาจจะเอามาอธิบายได้ละเอียดลออเท่าไหร่ ก็เอาไว้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บทพิสูจน์สัจจะของโลกุตรธรรม ที่ครบครันทั้งรูปทั้งนาม วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2566 ( 14:06:35 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

กรรมฐานของศาสนาพุทธ คือ จะต้องใช้เวทนาแล้วเอาสัญญาเป็นตัวกำหนดหมายอย่างนี้  มีผัสสะให้เกิดเวทนาให้ปฏิบัติได้   เมื่อเกิดแล้วก็ทำใจในใจ  ทำตรงนี้แหละธรรมทั้งสองเหล่านี้  รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง (เทว ธมฺมา  ทฺวเยน  เวทนาย เอกสโมสรณา  ภวนฺติฯ) พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60  ทำเวทนาให้เป็น 1 ให้เป็น  ให้ได้นี่แหละ คือ กรรมฐานของศาสนาพุทธ  อย่าไปเข้าใจกสิณแบบกรรมฐานสมถะแบบเดียรถีย์ ผิด บาปนะ  เอาของที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ อ่านในพรหมชาลสูตรให้แตกสิว่า  ต้องมีเวทนา ไม่อย่างนั้นไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ  วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 13:16:04 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:54:49 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:54:09 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

กรรมฐานของศาสนาพุทธ คือ เวทนาไม่ใช่สมถะ  ลืมตาปฏิบัติจะเกิดอารมณ์แล้วจับอารมณ์ จับเวทนามาเรียน ท่านแยกเป็นเวทนา  108

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่  2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 13:46:12 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:10:50 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:55:44 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

กรรมฐานของศาสนาพุทธ  คือ  เวทนา 108  ทำให้เกิดเนกขัมมะได้ออกจากกามออกจากกิเลส จนกระทั่งหมดกามหมดอัตตา  ล้างอัตตาได้ด้วยความไม่ประมาท

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 09:34:48 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:18 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:46:04 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ผู้ที่รู้จักเวทนาในเวทนาและทำจิตตัวเอง ทำเวทนาตัวเองที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ กรรมฐานนี้กรรมฐานเดียว กรรมฐานอื่นเป็นของนอกรีตหมด เรียนรู้ทำเวทนาในเวทนา พระพุทธเจ้าตรัสเวทนาไว้ 108 ถ้าทำถูกต้องตามเวทนา 108 เป็นอรหันต์ เป็นเด็ดขาดเป็นแน่นอน ถ้ารู้จักสภาวะแล้วทำอย่างถูกต้องกระบวนการทำเวทนาในเวทนานี้เป็นอรหันต์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 06 มีนาคม 2564 ( 11:17:45 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา

รายละเอียด

กรรมฐานแปลว่าอะไร กรรมฐานแปลว่า ที่ตั้งของการปฏิบัติ ของการกระทำ ของการประพฤติ  เพราะฉะนั้น ที่ตั้งของการประพฤตินี้อาตมาบอกว่าเวทนานี้เป็นที่ตั้งของการประพฤติ ไม่ใช่อาตมาเป็นคนกล่าว แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาไม่มี ก็ไม่มีที่ตั้งหรือไม่มีที่..ท่านใช้ศัพท์คำว่าฐาน ไม่มีฐานะที่จะพึงปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นฐานที่ตั้งแห่งการประพฤติ หรือเรียกเต็มคำว่ากรรมฐาน มันก็ต้องคือเวทนา ทีนี้เวทนานี่มันเป็นนามธรรม มันไม่ใช่รูปธรรม เพราะฉะนั้นความหลงผิดของศาสนา ตั้งแต่พระพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรคนั้นมาเลย  เขาใช้คำว่า กสิณ กสิณก็คือกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของเขา แล้วก็ไปเก็บกสิณมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย แต่เอามารวมเอง 

จริง จะต้องใช้บ้างในสิ่งที่จะทำสมถะ สมถะคือใช้จิตไปกำหนด ให้หยุด ให้นิ่ง อยู่กับสิ่งที่เรากำหนด เช่น กสิณ 10 มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอื่นๆ อีก เอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่อันนั้น จ้องจิตอยู่กับอันนั้น เราต้องการจะสงบด้วยสมถะ เราก็ต้องเข้าใจ แต่เราควรจะสงบด้วยปัสสัทธิ สมถะก็แปลว่า สงบ ความสงบ 2 อย่างปัสสัทธิก็เป็นความสงบ แต่มันเป็นความสงบคนละอย่าง ปัสสัทธิมันเป็นโลกุตระ สมถะมันเป็นโลกียะ สมถะก็ทำง่ายๆ สะกดจิตไว้ เอาจิตไปจดจ่อไว้ เทวนิยมหรือเดียรถีย์เขาก็ทำ แต่ว่าจะทำให้เป็นปัสสัทธิให้เป็นความสงบที่มันไม่ใช่เอาจิตไปจดจ่อแต่เป็นจิตรู้แจ้ง กว้างหมดเลยและกิเลสมันไม่มีมากวนเลย จิตมันก็ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว สะอาดบริสุทธิ์ รู้แจ้ง รู้จบ รู้จริง รู้ทั่ว รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงอยู่ในตัวมันเองหมดเลย มันไม่ใช่บื้อๆทื่อๆ กลายเป็นยิ่งมืด ไม่ใช่ มันคนละความหมาย คนละทิศเลย นี่คือความสงบ 2 อย่าง นี่ก็ไม่ใช่อธิบายได้ง่ายๆ 

ปัญญาข้อที่ 3 (ปัญญาสูตร พตปฎ ล.23 ข้อ 92) ได้รู้จักความสงบ 2 อย่าง ถ้าเข้าใจความสงบ 2 อย่างและรู้วิธีปฏิบัติ เข้าใจทั้งปัสสัทธิกับสมถะต่างกัน เข้าใจอย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิพอเลยนะ จะปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมไปได้แน่  แต่คนที่ยังเข้าใจอันนี้ไม่ได้บรรลุไม่ได้หรอกไม่ง่ายที่เขาจะเข้าใจ ได้แต่พูดๆ แลัวก็ไม่ได้มาพูดถึงแล้วเดี๋ยวนี้ปัญญา 8 และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ต้องเอามาศึกษา ต้องเอามาขยายความ ไม่ว่าจะเป็นทุกปราชญ์ที่คนยกย่องในเรื่องศาสนาพุทธ ก็ไม่เคยลงลึกไปถึงพวกนี้ อย่าว่าแต่พวกนี้เลย คำว่า “กาย” คำว่า “บุญ” คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ฌาน” เขาก็รู้กันทั่วคำพวกนี้ แต่เขาก็ยังไม่ได้เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิอะไร 

เพราะฉะนั้น อาตมาก็จำเป็นต้องมากอบกู้อย่างที่ว่านี้ แสดงความจริงที่ว่าอาตมากอบกู้นั้นคืออะไร ก็คือทำความจริงนี้ให้ปรากฏ อธิบาย สาธยาย พาให้ปฏิบัติ เกิดผลจริง คุณก็จะเป็นคนที่รับรองยืนยันว่าอาตมาพูดนี้ถูกต้อง เราทำได้ คุณทำได้ คุณถูกต้อง คุณทำได้ คุณก็รู้เป็นปัจจัตตัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของอิสระเสรีภาพด้วย ของใครของมัน แล้วก็ยอมรับ คุณก็มาเอง มาได้อันนี้แล้วคุณก็เห็นจริง แล้วก็เอาชีวิตมาศึกษาธรรมะนี้ 

อาตมาเองสบายใจ ภูมิใจ ยังอบอุ่นใจที่ว่า อาตมาจะมาแสดงธรรมทีไร พวกคุณก็มานั่งอยู่ไม่ได้น้อย เป็น 10 เป็น 100 ทุกวัน ไม่ใช่มีเล็กๆน้อยๆ 5 คน 10 คน ก็ไม่ใช่ นอกจากจะไปในสถานที่ที่มันไปในดงทางโน้น พวกเราก็ไม่ค่อยมี มันก็จะมีน้อยแน่ หรือว่าไปบรรยายแล้วแม้จะทางโน้นนะ อาตมาก็บรรยายธรรม ไม่เคยเห็นว่าอาตมาบรรยายธรรมแล้วมีคนมาฟังน้อย เสร็จแล้วก็ยิ่งร่อยหรอน้อยลงไป แสดงธรรมก็ยิ่งหายไปๆ เหลือน้อยนิดลง มีแต่เพิ่มขึ้น ตอนแรกเริ่มมีน้อย พออธิบายไป มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอจบแล้วมีจำนวนมากขึ้น อาตมามีแต่เห็นอย่างนั้นทุกที แม้จะไปอธิบายในที่ข้างนอก ในที่นี้แน่นอนก็ยังไม่ค่อยออกไปเท่าไหร่  นอกจากจะมีเหตุปัจจัยพิเศษอะไร

น้อย เพราะพวกเราที่มานี่ อาตมาไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปล่อหลอก ไม่ได้ไปอ่อยอะไรให้มา คุณมาด้วยความอยากจะมารับฟัง เพราะฉะนั้นคุณจะบังคับตัวเอง คุณจะเห็นดีเห็นงามที่จะต้องฟังธรรมให้จบ แม้อาตมาจะเทศน์ชั่วโมง 1-2 ชั่วโมง คุณก็เห็นว่าต้องฟังให้จบ มันเป็นเรื่องของคุณทั้งนั้นไม่ได้บังคับ คุณค่าของคนที่เต็มใจมาฟัง แค่นี้อาตมาพอใจแล้ว ไปอ่อย ไปหว่านล้อม ไปโกย ไปหาเรื่องเอาปริมาณมวลมาเฉยๆนั้น มันไม่ได้เกิดจากสัจจะเลย อาตมาไม่ได้นิยมกระทำแบบนั้นเลย ไม่ชอบที่จะทำแบบนั้น นี่ก็เป็นนัยยะละเอียดของสิ่งที่มีทั้งเจตนารมณ์ มีทั้งการประพฤติการกระทำ อาตมามีเจตนารมณ์อย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ก็พูดไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2566 ( 20:49:13 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธนั้นคือ เวทนา

รายละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ครบหมดเลยแบ่งสัดส่วนแบ่งหยาบกลางละเอียด ให้คุณได้เรียนรู้

การเรียนรู้ มันได้เพี้ยนไปไกล จนกระทั่งไม่รู้กรรมฐาน กรรมฐานของศาสนาพุทธนั้นคือ เวทนา มีอันเดียว แต่ถูกเข้าใจผิด แล้วก็หลงยึดผิด กลายเป็นศาสนาเทวนิยมออกนอกรีต เป็นศาสนาสะกดจิตไม่รู้จักจิต ก็เลยกลายเป็น ไม่ได้เรื่องได้ราว หมดท่าเลย กรรมฐานก็กลายเป็นกสิณ คืออะไรที่คุณใช้เป็นจุดสะกดจิตจดจ่อ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ความเป็นกลางคือหมดสิ้นอันตา


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:14:16 )

กรรมฐานของศาสนาพุทธเรียกว่าการแยกแยกจิต

รายละเอียด

กรรมฐานของผู้นั้นมีเวทนา อ่านอาการความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา แล้วก็จัดการกับความรู้สึกนี้ให้ได้ ท่านก็แจกเวทนาออกเป็น108 คือ กรรมฐานของศาสนาพุทธ เรียกว่าการแยกกายแยกจิต แยกแล้วก็ทำให้เกิดการแยกออกแล้วก็ทำให้มันตาย ตายจากอวิชชามาเป็นวิชชา แต่ก่อนนี้ไม่รู้ พอมารู้ มันก็จะเกิดความตายของกิเลสเรียกว่า มีนิโรธ กรรมฐาน คือ ฐานปฏิบัติ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตรท่านได้ตรัสไว้ชัดเลย หากว่าไม่มีสัมผัสไม่มีเวทนาเกิด ก็ไม่มีฐานที่ได้ปฏิบัติ ถ้าผู้ใดไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนาก็ไม่มีเวทนาที่เป็นฐานที่ตั้งในการกระทำในการประพฤติในการปฏิบัติ ไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:38:15 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 07:25:31 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:58:48 )

กรรมฐานของเดียรถีย์

รายละเอียด

กรรมฐานของเดียรถีย์  คือ นั่งหลับตาจะลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้  ในพระไตรปิฎกไม่มีคำสอนให้ไปมีกรรมฐานพุทโธในคัมภีร์วิสุทธิมรรคมีกรรมฐาน 40 แต่ไม่มีพุทโธ  ยิ่งยุบหนอพองหนอก็ของไทยนี่แหละ หรือกึ่งกลางใจ  เหนือสะดือ 2 นิ้ว  ของไทยโมเมเอาหมดแล้วแต่อาจารย์ไหนบัญญัติขึ้น เป็นเรื่องสมถะทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่  2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 13:46:43 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:32:35 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:01:18 )

กรรมฐานชาวพุทธต้องมี“สัมผัส”เป็นปัจจัยเพื่ออ่าน“เวทนา”ผิดจากนี้ก็ตัวใครตัวมัน!

รายละเอียด

“ฐาน”ปฏิบัติก็คือ“เวทนา” 

ซึ่งต้องมี“สัมผัส”ก็จะเกิด“เวทนา”

เป็น“หทัยรูป”ให้เรียนรู้ปฏิบัติจัดการ 

ถ้าไม่มี“สัมผัส”เป็น“ปัจจัย”จนเกิด“เวทนา” 

การปฏิบัติธรรมของพุทธก็จะไม่มี“กรรมฐาน”

หรือไม่มี“ฐาน”ที่จะ“กระทำการปฏิบัติธรรม”ถูกตรงสัมมาทิฏฐิ

แน่นอน

ดังนั้น “การหลับตา”ปฏิบัติ ซึ่งไม่มี“ผัสสะ”หรือ“สัมผัส”

ของตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็ไม่มี“เวทนา”ให้ปฏิบัติ 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่มี“ผัสสะ”ไม่มี“เวทนา”มาปฏิบัติ

นั้น จัดอยู่ในคนจำพวก “ผู้ไม่รู้ไม่เห็น(อชานตัง อปัสสตัง) ” 

ผู้ไม่มี“ฐาน”ที่จะปฏิบัติของศาสนาพุทธ เพราะ“กรรมฐาน”

ของศาสนาพุทธคือ “เวทนา”โดยเฉพาะ

ไม่ใช่“กสิณ”ทั้งหลาย หรือ“กสิณ 40”ที่หลงผิดกันเด็ดขาด

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 169 หน้า 149


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 11:58:51 )

กรรมฐานนอกรีต 

รายละเอียด

กรรมฐานนอกรีต  คือ  กรรมฐาน 40  ซึ่งเป็นกรรมฐานนอกรีตของศาสนาพุทธที่อรรถกถาจารย์ได้เติมขึ้นไป อย่าว่าแต่ 40 อย่างเลย  จะเป็น 100 ก็ได้  เอาอะไรก็ได้มาเป็นกรรมฐานเป็นเครื่องจดจ่อ  พวกสะกดจิตเพ่งแบบนี้  สมถะ  เหมือนกับเพ่ง   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม  หรือ  พุทโธ  แต่ในกสิน 40  ไม่มีคำว่าพุทโธ  ก็เป็นบัญญัติเท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:13:38 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:43:33 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:05:21 )

กรรมฐานแท้ของศาสนาพุทธ 

รายละเอียด

จิตที่สามารถทำจิตของตนเองนี่แหละให้รู้สึก ให้มีความรู้และมีความรู้สึก ความรู้คือปัญญา สัญญากำหนดรู้อาการเมื่อมีกระทบสัมผัส แล้วเกิดสภาวะมีเวทนาหรือไม่มีเวทนา หรือมีเวทนาแล้วมีความรู้สึกสุขทุกข์ มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ในเวทนานั้นเอง นี่แหละ ตรงนี้แหละคือกรรมฐานแท้ของศาสนาพุทธ 

พวกที่ไปเรียนรู้ตามกรรมฐาาน หรือว่าใช้กสิณ 40 แล้วก็จ้องสะกดจิตทั้งนั้นแหละ เป็นเครื่องประกอบ เป็นวิธีสะกดจิตโดยอาศัยดินน้ำไฟลม อาศัยอะไรต่างๆนานา กสิณ 40 อาตมาไม่ได้จำทั้งหมด เป็นเครื่องที่จะจดจ่อเหมือนนักสะกดจิต ให้เอาจิตไปจดจ่อไว้ที่อันนั้นๆ มันเป็นสมถะ เป็นเรื่องนอกรีต ไม่ใช่เรื่องของพุทธเลย แล้วเขาก็เอามาเรียนกันมากมาย ผู้เข้าใจไม่ได้ก็ทำตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพุทธโกศาจารย์ก็เก็บมาได้ 40 ข้อ แล้วก็มาเรียนกัน เหมือนพระป่าทั้งหลายแหล่ที่เรียนกันเป็นเรื่องนอกรีตหมด พระป่า ขออภัยอาตมาที่พูดนี้ พูดความจริง ไม่ได้ไปว่าใคร แต่อาตมาพูดสัจธรรม ความเห็น แสดงความเห็นออกต่อธรรมะ ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก วิจัยวิจารณ์ธรรมะ ไม่ได้ไปเจตนาจะไปละลาบละล้วงคน แต่คนที่ปฏิบัติผิด มันก็ต้องเกี่ยวพันกัน เพราะเขาปฏิบัติ มันก็ต้องถึงคนๆนั้น 

เพราะฉะนั้นฟังธรรมะก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในคนมาก เราจะเคารพนับถือก็จริงอยู่ แต่เราฟังธรรมเอาเนื้อธรรมะเข้าไปให้ดีๆ แล้วเราก็จะได้เข้าใจธรรมะในธรรมะอย่างชัดเจน 

ฟังอีกทีหนึ่ง เล็บของคุณ เล็บที่คุณยังติดอยู่กับประสาท คุณกระทบกระแทกเข้าไปหรือเอามีดบาดเข้าไปถึงเล็บที่มีประสาท คุณก็จะเจ็บ นั่นคือความรู้สึก คือเวทนาที่เป็นเวทนาแท้คือเจ็บ เจ็บตัวนั้นคือจิตนิยาม เป็นเวทนาที่รู้สึกตามความเป็นจริง 

ถ้าคุณเจ็บแล้ว  คุณก็รู้ความเจ็บด้วยความไม่ชอบหรือชอบ ไม่มี นั่นคือคุณรู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่างพระอรหันต์รู้ความเจ็บ แต่ท่านไม่ได้มีความชอบความชัง ไม่มีผลัก ไม่มีดูด เออ! มันเจ็บ ไม่สมควรจะอยู่กับความเจ็บ มันเป็นอาการของทุกกิริยา ก็อย่าไปให้มันเจ็บ ก็หนีออกมาจากอาการเจ็บนั้น เช่น ไฟนี้ ไปจับมันร้อน ทำให้ผิวหนังร้อน ก็อย่าไปจับมัน 

ไม่ใช่พระอรหันต์ที่บอกว่า จับไฟแล้วก็ไม่รู้สึก จับไฟแล้วก็ไม่ไหม้ อย่างนั้นไม่เกี่ยวกับอรหันต์เลย เป็นเรื่องอุปาทานชนิดหนึ่ง เป็นได้นะสำหรับคนที่ฝึกดีๆ จับไฟแล้วมันไม่ไหม้ ฝึกได้ เป็นสมถะที่เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ อะไรก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของพลังงานทางจิต ไม่ใช่ว่ามันไม่มี อาตมาเคยเล่นมาด้วยพวกนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 11:15:09 )

กรรมฐานแท้อยู่ที่เวทนา

รายละเอียด

ใช่ สำคัญตรงนี้แหละ ขอแทรกตรงนี้เลยเป็นการตอบ ผู้ที่จะทำจิตให้อุเบกขา แปลว่าความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา บริสุทธิ์อะไรบริสุทธิ์จากกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสที่เป็นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ ให้ปฏิบัติฐาน กรรมฐานแท้อยู่ที่เวทนาที่ความรู้สึก ตรงนั้นแหละ กรรมฐานมันจะมีทุกข์มีสุข มีกิเลส ไม่มีกิเลส อยู่ที่ตัวเวทนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 11:11:01 )

กรรมดีกรรมชั่วกับกรรมที่กลางๆ

รายละเอียด

ในกรรมต่างๆ อธิบาย 12 กรรมก็เป็นพยัญชนะ เขาแบ่งเป็นหมวดๆ หมวดละ 4 เราก็สรุปสั้นๆว่ากรรมดีกรรมชั่วกับกรรมที่กลางๆ 1. กรรมที่ทำ แล้ว อัพยากฤต ไม่รู้ว่าดีหรือชั่วไม่เข้าใจก็ไม่รู้จึงต้องพยายามรู้ในกรรม ว่ากรรมอย่างไรดี อย่างไรชั่ว เรียกว่าผู้พ้น อัพยากฤต ผู้พ้นอัพยากฤตแล้ว รู้ว่ากรรมอะไรดี กรรมอะไรชั่วจนกระทั่ง ทำกรรมที่ไม่มีอะไรดีอะไรชั่ว คือผู้ที่สูงสุดในปรมัตถ์ เป็นกรรมที่ไม่มีดีไม่มีชั่ว ผู้นั้นทำกรรมอะไรก็ไม่มีความชั่วแล้วกรรมนั้นของผู้นั้นจึงมีแต่ดี แต่ทำกรรมดีแล้วผู้นั้นก็ไม่ยึดกรรมดีนั้นเป็นของเราเป็นตัวเราทำกรรมแล้วจบ ไม่มีสาเปกโข ทำกรรมแต่ดีแล้วไม่ยึดกรรมนั้นเป็นเราเป็นของเรา นี่คือจบสูงสุด เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นองค์ธรรม 5 ของอุเบกขา เข้าใจกันดีกรรมชั่วแล้วกรรมที่กลางๆเท่านั้น นอกนั้นก็อธิบายเป็นภาษา ที่จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสกรรม 12 ที่เป็นของอรรถกถาจารย์ทั้งนั้น เป็นการเรียนในศาสนาฮินดูศาสนาที่เป็นพระเวทย์ฟุ่มเฟือย เราก็ศึกษาในศาสนาพุทธไม่ทำกรรมชั่วทำแต่กรรมดีและไม่ติดกรรมดี ล้างกิเลสออกให้หมดคุณก็จะมีแต่ทำดีไม่ทำชั่วเลยชีวิตก็จบเป็นพระอรหันต์ก็จบ

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:21:41 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:45:22 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:13:56 )

กรรมต่างกัน

รายละเอียด

คือ การกระทำทางพิธีกรรม พฤติกรรม กิจกรรม ปฏิปทา ที่ทำต่างๆนานาต่างกัน ไม่เหมือนกัน

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า.373


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 11:50:16 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:56 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:16:16 )

กรรมที่ทำแล้วมีผล

รายละเอียด

คนทั้งโลกเขาก็หลอกว่ามันจะเจริญแบบโลกียะ แต่เราก็บอกว่าโลกียะมันไม่ได้เจริญ มันเสื่อมมันเบียดเบียน มันไม่จบกิจ มันไม่สุดยอด  มันยังจะต้องหมุนเวียน สมบัติผลัดกันชม กรรมวิบาก แก้แค้นกันไป แก้แค้นกันมาเหมือนหนังจีนไม่มีจบ ชาติแล้วชาติเล่า ๆ เป็นกรรมวิบากซับซ้อน 

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้แค่คนชาติชาติเดียว กรรมที่ทำแล้วมันมีผล มีผลที่ผู้ที่ทำชั่ว ผู้ที่ทำเป็นหนี้ คุณจะต้องใช้หนี้ คุณจะต้องรับทุกข์ คุณจะต้องหนักหนาสาหัส แต่ผู้ที่พ้นแล้ว ไม่ต้องใช้หนี้ ไม่ต้องไปทำชั่ว ทำแต่ประเสริฐ ทำแต่ดีงาม ทำแต่ผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น ๆๆ แล้วก็ชวนกันมาทำผลประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ตัวเรากินน้อยใช้น้อยมีวรรณะ 9 เป็นคนสบายเลี้ยงง่าย เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) วรรณะ 9 ชัดๆเลยตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:02:47 )

กรรมที่ส่งผลในชาตินี้อย่างพิสูจน์ได้

รายละเอียด

ก็จะไปยากอะไร กรรมในชาตินี้คุณลองพิสูจน์ดูก็ได้นะ คุณเกิดการเขม่นคนนี้ขึ้นมา เกลียด ชังน้ำหน้าขึ้นมา คุณก็คิดแล้วคุณก็ลงมือทำ ตีหัวมันเลย เกลียดชังมัน ดีไม่ดีให้มันตายเลย เสร็จแล้วตายเสร็จ คุณก็ทำผิด ตำรวจเข้ามาจับ จับแล้วก็พิพากษา คุณทำร้ายเขาผิดกฎหมายคุณก็เข้าคุก นี่ไงล่ะกระบวนการบวกลบคูณหารของกรรมกิริยาที่คุณทำ เป็นไงเข้าคุก ไม่เชื่อลองสิ บวกลบคูณหารให้ฟังแล้ว  มันมีหลายอย่างนะเกิดความไม่ชอบใจเกิดความคิดจนกระทั่งลงมือทำตามความไม่ชอบใจ ทำเสร็จแล้วเป็นผลสำเร็จด้วยนะ อาจจะดีใจด้วยคุณอาจจะดีใจเป็นผลสำเร็จ ตีหัวแตกหรือตาย ดีใจด้วย เสร็จแล้วคุณก็จะต้องถูกจับและคุณก็จะต้องเข้าคุกหรือไม่ คุณก็จะต้องหนีออกนอกประเทศไปหัวซุกหัวซุน เหมือนอย่างกับคนที่หนีคดีอย่างนั้นน่ะ ก็ลองดูสิบวกลบคูณหารในกระบวนการง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:39:13 )

กรรมที่เป็นบาปคนทำบาปไม่มีบาปไม่มี

รายละเอียด

อาตมาก็ไม่อยากจะไปพูดความจริงต่อไปหรอก ก็ขอฝากคืนไปก็แล้วกัน จะบาปหรือไม่บาปก็พยายามคิดดูให้ดี จะต้องศึกษาให้ดีว่าถ้าทำอย่างนี้ คุณทำแล้วจะบาปไหม คนอื่นชัดเจนว่าถ้าเราทำอย่างนี้จะบาปไหมก็เข้าใจด้วยตัวเองได้ บาปมันไม่เข้าข้างว่าชื่อนี้คนคนนี้มันไม่เข้าข้างใครนะบาป คนคนนี้ทำบาปแล้วไม่บาปเพราะว่าเป็นคนคนนี้ก็ไม่ใช่ คนไหนถ้าทำบาป มันคือบาปก็ต้องบาป ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมที่เป็นบาป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องมีบาปนอกจากคนที่ทำแล้วไม่มีบาปก็จะไม่มี พระอรหันต์ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีบาปทั้งปวงแล้ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง มีความชัดเจนเข้าใจเพียงพอที่จะรู้กรรมกิริยา กายวาจาใจ ที่เป็นบาป ต้องมีความรู้และมีพลังพอที่จะไม่ให้บาปนั้นขึ้นมาได้ ต้องตัดสินถึงขั้นเป็นพระอรหันต์จึงจะมีพลังจิตที่เพียงพอที่จะสู้อำนาจกระทบกระเทือนกระทบกระแทกที่จะมาชวนให้ทำบาปจากข้างนอก อำนาจของข้างนอก จากคนทั้งหลายนี่แหละเป็นสำคัญ แล้วก็สร้างทั้งวัตถุทั้งพฤติกรรม ทั้งตัวตนเอง ชวนกัน เพื่อที่จะให้เราไปทำบาปตามที่เขาต้องการนั้น เราไม่ทำ พระอรหันต์จะไม่ทำ ตายดีกว่าที่จะทำบาปนั้นอย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาพิสูจน์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ยืนยันถูกต้องตามแนวเดียวกัน เพื่อเอามาสร้างคน ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เอามาสร้างคนให้เป็นไปตามทฤษฎีที่ท่านมีสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้ามีมาแล้วไม่รู้กี่ล้านองค์ นับไม่ถ้วน คนจะไปตามว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใครก็ตามไม่เจอ แต่เท่าที่ตรวจสอบระลึกไปได้ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันหมด มีทฤษฎีการศึกษาความเป็นมนุษยชาติอันเดียวกันหมด ไม่มีอันอื่น ไม่มีอะไรที่สูงสุด เป็นทฤษฎีสูงสุดอันหนึ่งอันเดียว 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของของตน วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 19:38:29 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:49:11 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:20:14 )

กรรมที่เป็นบุญ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าเป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองไม่มีกรรมวิบากครอง เมื่อไม่มีกรรมก็ไม่มีวิบาก แม้มีกรรมแล้วแต่ไม่มีวิบาก ที่จริงลึกซึ้งกว่านั้นมันไม่ได้หรอกมันมี มีกรรมนั้น แต่กรรมไม่มีกิเลสไม่มีอกุศลไม่มีบาป กรรมนั้นก็มีผลเป็นกุศล ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราก็ได้อาศัยกุศลนั้น นี่ละเอียด ซ้อนไปอีก แต่ไม่มีบาปแล้วไม่มีบุญแล้ว กรรมที่บุญทำหน้าที่เสร็จจบ บุญทำหน้าที่อะไร ฆ่าบาป ฆ่าอกุศล เรียกแทนกัน อกุศลกับบาปเรียกแทนก็ตามแต่ที่จริง

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 11:02:33 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:53:06 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:22:12 )

กรรมที่แท้จริงและสำคัญคือกรรมปัจจุบัน

รายละเอียด

กรรมในอดีตชาติส่งผลในปัจจุบันเป็นอย่างไร  อันนี้ตอบสั้นๆง่ายๆว่าทุกคนนี้เกิดมาจาก กรรมอดีตเป็นตัวหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่ากรรมในอดีตนั้นจะเป็นตัวที่เที่ยงแท้แน่นอน กรรมอดีต มาถึงปัจจุบันเปลี่ยนแปลงได้ แล้วมันต้องเปลี่ยนแปลงเพราะจะมีกรรมใหม่เข้าไปผสม กรรมในอดีตจะไม่คงที่แต่มันก็เป็นตัวตั้ง ทำแล้วมันจะต้องเป็นตัวจริงว่ากรรมเป็นอันทำ กรรมที่ทำไปแล้วจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทำแล้วถ้ามันชั่วก็คือชั่ว ถ้ามันดีก็คือดีแล้วมันจะออกผลชั่วออกผลดี ให้แก่ตัวเอง ไม่เบี้ยว กรรมซื่อสัตย์กรรมตรงกรรมจริง แล้วจะให้ผลในปัจจุบันนี้แหละ ในอดีตมันก็แล้วไปแล้ว ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ผลที่จะได้รับก็ต้องรับในปัจจุบันนี้แหละ จะรู้สึกในปัจจุบัน อดีตมันก็ผ่านไปแล้ว นอกจากคนโง่ก็จะหลงเอาอดีตมาระลึกแล้วก็เป็นเหมือนจริงจังอยู่กับอดีต ทั้งที่มันผ่านไปไหนต่อไหนแล้ว หรือมันยังไม่มาเลยอยู่ในอนาคต อยากให้เป็นก็ระลึกปั้นเอาละเมอเพ้อพกไป นั่นคือคนไม่รู้จักความจริง ความจริงคือปัจจุบัน อันนี้แหละสำคัญกรรมปัจจุบัน ต้องพยายามรู้จักปัจจุบันแล้วก็ทำกรรมที่ปัจจุบันให้เป็นสิ่งที่ดี แล้วมันจะดีเอง อดีตมันก็จะเป็นผลสั่งสมให้ดีไป อนาคตมาเมื่อไหร่ก็ตามแต่เราก็ทำให้ดีในปัจจุบันนี้และเข้าใจคำว่าดีให้ดีก็แล้วกัน มันเป็นเรื่องของกรรมเรื่องของสิ่งที่ในอัตภาพเราต้องทำอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:19:08 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:41:38 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:23:59 )

กรรมที่ไม่มีบาปไม่มีบุญมีแต่กุศล

รายละเอียด

ที่นี้ผู้ที่เจริญยิ่งกว่านั้นอีก นอกจากทำกรรมไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญแล้ว ทำกรรมให้เป็นกุศล ทำกรรมให้มันดียิ่งๆขึ้น สามารถจัดการกับจิตตัวเองได้ จนจิตตัวเอง ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมเลย เป็นอรหันต์ เมื่อจิตไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมเลย จิตก็สะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นกรรมก็จะมีแต่กรรมที่ไม่มีบาปไม่มีบุญด้วย เพราะว่าบุญคือพลังงานที่ฆ่ากิเลส เมื่อฆ่ากิเลสเสร็จก็ไม่มีบุญอยู่ที่ไหนอีก ซึ่งต่างจากกุศลที่เป็นคุณงามความดีที่ไม่เป็นโลกุตรธรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:18:21 )

กรรมที่ไม่เจตนาไม่เป็นบาปแต่เป็นอกุศลตามที่ยกตัวอย่าง

รายละเอียด

การไม่มีเจตนา ไม่ถือว่าบาปทีเดียว ไม่เป็นกรรม พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ากรรมที่ไม่มีเจตนาไม่เป็นบาป แต่ก็เป็นอกุศล ตามที่ยกตัวอย่าง ก็ไปทำเขาตาย แม้แต่กฎหมายอาญาก็ยังยากที่จะตัดสินพวกนี้ เพราะเอาจิตมาตัดสินด้วยไม่ได้ 

เทวนิยมหรือโลกีย์ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์ ไม่เรียนรู้ว่าสุขทุกข์เป็นมายา แล้วต้องเลิกความสุขความทุกข์ โลกีย์เทวนิยม ไม่เรียนรู้ที่จะให้หมดความสุขความทุกข์ เป็นสุขนิยม เรื่องอาหาร ให้มาเห็นเลยว่ามันเป็นหนึ่งในโลก ไม่มีอะไรเท่าหรอก เพราะถ้าเข้าใจว่าสัตว์โลกต้องกินอาหาร คนบรรลุแล้วก็ต้องกินอาหาร เป็น พระพุทธเจ้า ก็ต้องกินอาหาร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2565 ( 13:16:27 )

กรรมทุกกรรมของผู้มีวสวัตตีจะไม่มีอกุศลกรรม

รายละเอียด

ทำให้จิตอุตุได้ก็สบายแล้ว แต่จิตของเราเป็นจิตเสียแล้ว จะเลิกได้เพราะพลังงานจิตเป็นพลังงานสุดยอดของสัตว์โลก สามารถที่จะมี วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะให้เกิดจะให้ตาย จะให้มีกรรมอย่างไร อกุศลกรรมไม่ทำเลยเพราะ จิตไม่มีตัวปลอมไม่มีกิเลสในจิตแล้ว 

เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมที่ทำจึงไม่มีเลยที่จะเป็นอกุศลเป็นบาป ไม่มี บาปนั้นไม่มี เพราะว่าบุญมันฆ่าบาปหมดแล้ว บุญคู่กับบาป กุศลกับอกุศลคู่กัน จริงๆบาปมันก็หมดแล้วกับบุญเลย แต่ที่จริงคนมันติดคำว่าบาปหนักกว่าอกุศล ถ้าบอกว่าบาปนี้หนักกว่าคนมันกลัวกว่ากุศลคนก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าบอกว่าบาปลงนรก แต่ถ้าบอกว่าอกุศลก็ไม่เกี่ยวกับนรก ที่จริงแล้วมันก็เกี่ยวกับนรกด้วยนั่นแหละ 

เพราะฉะนั้นเข้าใจภาษาเป็นสื่อในการรู้จักเป็นสภาวะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 13:09:08 )

กรรมนั้นพาเราเกิดเราไป

รายละเอียด

สรุปแล้ว ในชีวิตของมนุษย์รู้จักกรรมและกาละ มี continuing ถ่ายทอดไปได้ กรรมอย่างไร กาละนั้นเป็นของโลกมีตลอดแต่ละวินาทีเคลื่อนไปและกรรมนี่แหละ คือ สิ่งที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ ต้องเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทมรดกกรรมของตนเอง กรรมนั้นพาเราเกิดเราไป กัมมโยนิ กรรมนี่แหละ มีเชื้อมีพันธุ์มีเผ่าอยู่ในตัวกรรม เชื้อพันธุ์เผ่า เป็น DNA ของกรรม ไม่ใช่ DNA ของสรีระ เป็นยีนส์ของวิญญาณ ไม่ใช่ยีนส์ของสรีระ ของ body ไม่ใช่ เป็นของจิตวิญญาณ ไม่ได้ถ่ายทอดกันได้ทางร่างพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย..ไม่ใช่ แต่เป็นของตนเอง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ตลอดจนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบแล้ว... 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:17:48 )

กรรมนั้นเจริญด้วยความพยายามแท้จริง

รายละเอียด

ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก 50 กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญานาค” นอนเฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้ากันอยู่ ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนอวิชชานั้นมีมาก แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะกรรมนั้นเจริญด้วยความพยายามแท้จริง จะท้อถอยหยุดทำกรรมไม่ได้ โดยเฉพาะกรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 21:03:08 )

กรรมนั้นเป็นของโลก อย่างไร

รายละเอียด

ได้ เป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วจะรีไทร์ตัวเองไปก็ได้ แต่เป็นผู้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว จะรีไทร์ก็เป็นส่วนตัวของคุณ เหมือนพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รีไทร์ตัวเองไป ไม่ประกาศศาสนาของตัวเองไปในโลก 

พ่อครูว่าตนแต่มันเป็นของสมมติโลก เป็นความจริงอยู่แล้วกรรมเป็นอันทำ เพราะฉะนั้น กรรมใดที่เป็นพระอาริยะทำ พระอรหันต์ทำ กรรมใดที่พระโพธิสัตว์ทำ กรรมนั้นก็เป็นของโลก ถ้าหากยึดถือว่ากรรมนั้นเป็นของเรา เราก็จะไม่กล้าทิ้ง กรรมนี้เป็นของดีด้วยเป็นอาริยธรรมเป็นอาริยคุณด้วย ของดีนั้นยิ่งกว่าเพชรกว่าทอง ใครจะไปทิ้ง ขนาดทองเท่าหนวดกุ้งยังทิ้งไม่ลงเลย แต่นี่ยิ่งกว่าทองเท่าหัวจะทิ้งได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2565 ( 12:41:56 )

กรรมนิยาม

รายละเอียด

กรรมนิยาม  คือ  กรรมเป็นตัวพาเกิดพาเป็นสูงสุด  ของแต่ละอัตภาพหรืออาตมันหรืออัตตาในภาษาบาลี  ควบคุมเองเพราะฉะนั้นก็จะจัดการกับกรรม

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 06:40:08 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:57:51 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:24:59 )

กรรมนิยาม

รายละเอียด

กรรมนิยามเป็นตัวปฏิกิริยาเป็นตัวแปรตัวเคลื่อนที่ทำให้เปลี่ยนแปลง กรรมเป็นตัวกระทำเป็นตัวปฏิกิริยาเป็น activities ที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไป 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 10:14:26 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:21:16 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:26:03 )

กรรมนิยาม

รายละเอียด

กรรมนิยาม เป็นแรงเคลื่อนธรรมนิยามเป็นกระแสธรรมนิยาม เป็น Static กรรมนิยามเป็น Dynamic เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์เขาก็ใช้งานกันอยู่แล้ว ก็เอามาใช้งานว่า เมื่อทำแค่พีชะ พลังงานบวกลบนี่แหละทำแค่พีชะ มันไม่มีภัยไม่มีโทษไม่มีวิบาก ไม่มีบาปไม่มีบุญปลอดภัย 

ฐานพลังงานระดับนี้ จิตนิยามรู้และทำได้ จึงอาศัยกรรมกิริยา โดยกำหนดกรรมกิริยาของตนว่าทำประมาณพีชะ อย่าไปก่อให้เกิดกับใครอีก คนผู้นี้จึงไม่สร้างวิบากที่ไประรานใคร เบียดเบียนใคร ทำโทษทำภัยกับใคร จิตนิยามที่ได้รับการฝึกฝนอบรมดีมาอยู่ในฐานของ พีชะดีแล้ว จึงเป็นคนลดภัยลดโทษหรือปลอดภัย ไม่มีภัยต่อใคร 

เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีภัยต่อใคร มีแต่ประโยชน์ให้แก่ทั้งสัตว์ ทั้งแผ่นดิน เป็นปุ๋ยให้แผ่นดินเองด้วยนะ ทั้งสัตว์ คน มนุษย์ เป็นแต่ประโยชน์อย่างเดียวเลย พืชนี่ยิ่งใหญ่มากเลยเป็นประโยชน์ในโลก เป็นเครื่องอาศัยที่พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็นหนึ่งในโลก พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้เป็นหนึ่งในโลก แต่คนก็พยายามไปแยกว่าเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์อากาศ กินกันไปหมด ซึ่งเป็นวิบาก คนไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาพ 2 ของกฎหลักเกณฑ์กับพฤติกรรมจริง

วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 กันยายน 2565 ( 15:06:24 )

กรรมนี่แหละคือ God

รายละเอียด

นี่ก็คือคุณประโยชน์ที่ได้ จากการมาคบคุ้นกับชาวอโศก ได้มาศึกษาธรรมะแบบชาวอโศก ชีวิตก็รู้สึกว่าดีขึ้น คำว่า ดีขึ้นดีขึ้นนี่แหละ เรามาพูดกันถึงอะไรดี กรรม กรรมที่เรารู้จักว่า คือการกระทำ กรรมนี่ อาตมาอธิบายและพูดมาแล้วว่า กรรมนี่แหละคือ God กรรมนี่แหละคือพระเจ้า 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ ตรัสรู้เรื่องกรรม 1. กรรมเป็นของของตน 2. กรรมเป็นมรดกของตัวเราเอง เราต้องเป็นทายาทของมรดกกรรมที่เราทำ กรรมไม่ใช่ DNA

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 14:31:12 )

กรรมปัจจุบัน

รายละเอียด

ยังไม่ถึงคำว่า ธรรมนิยาม กำลังจะเข้าสู่กรรมวิบาก ก็คือกรรมนิยาม การกระทำหรือกรรมปัจจุบัน ปัจจุบันมีกรรมกิริยาคือการกระทำของคน กรรมเป็นอันทำ อันนี้ลึกซึ้งมากเลย คุณเริ่มคิดนิดนึง แล้วคุณว่าคุณไม่ทำไม่ได้ เป็นหน่วยกิตสะสมลงไปในฮาร์ดดิสก์ของคุณแล้ว ยังไม่สำเร็จ จนกว่าจะรวมหน่วยกิตนี้อย่างน้อย 3 เส้า เริ่มต้นแล้ว พอเป็น 4 ก็อาละวาดพอเป็น 5 ก็ยึดมั่นถือมั่น จับกลุ่มเป็น 2 เส้า ที่นี้ถ้าเป็น 7 ก็อาละวาดหนัก ถ้าไปในเชิงดี 7 คุณก็เป็นอาละวาดดี ถ้าคุณเป็นชั่ว 7 คุณก็อาละวาดชั่ว ยิ่งเป็นหมู่กลุ่มแล้ว ขยายตัวเป็น 8 เป็น 9 เป็นพรรคเป็นพวก เป็นหมู่เป็นกลุ่มทับทวี เป็นปฏิภาคทวีขึ้นไปเรื่อยๆยิ่งระเบิดเถิดเทิง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 11:22:27 )

กรรมพันธุ์ พาเราเป็นอย่างนั้น

รายละเอียด

มันเป็นนามธรรมมาก เพราะฉะนั้นมันต้องมาศึกษาดีๆแล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้ของเรา ญาณหยั่งรู้ของเราจะมีมากหรือมีน้อย เราก็พอจะค่อยๆเกิดจริง ญาณหยั่งรู้ มันจะไปซื้อเอาตามร้านขายยา ตามห้าง Supermarket ห้างใหญ่ๆมันไม่มี มันต้องสร้างสั่งสมเป็นกัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรมตนเอง มันจะมีเหตุปัจจัยต่อเนื่องมาจนสั่งสมเป็นตัวรากเหง้า เป็นตัวนำเป็นตัวพาเกิดเรียกว่า กรรมพันธุ์ พาเราเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของเรา เป็นเผ่าพันธุ์โลกุตระเป็นต้น มันก็จะมาเกิดอยู่ในเผ่าพันธุ์โลกุตระ มันไม่ไปเกิดอยู่ในดงโลกียะ มันอยู่กับเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก 

1.วิบากพามา 2.คุณจะแสวงหาเอง ก็จะมาอยู่กับหมู่โลกุตระจนได้แหละ นอกจากวิบากคุณหนักแล้ว คุณไม่ได้พากเพียรมาก มันก็อาจจะนาน แต่ถ้าพากเพียรด้วย วิบากไม่มาก คุณก็เข้ามาง่าย น้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน เป็นสัจจะ ไม่ใช่เรื่องปลอมแปลงหรือมาขี้ตั๋วเอา ดัดจริตเอา มันไม่ใช่ เป็นสัจจะ หมู่กลุ่มของชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มชาวโลกุตระ เป็นหมู่กลุ่มของสัจธรรมชนิดจริง แล้วอยู่กันได้จนกระทั่ง อาตมาว่า คนมันเสื่อมจากธรรมะพระพุทธเจ้าเยอะจริงๆ จนเขามองไม่เห็น ทั้งๆที่อาตมา ว่าเราเป็นกลุ่มโลกุตระที่ชัดเจนมาก มีถึงขั้นสาธารณะโภคี สาราณียธรรม 6 แล้วมีพฤติกรรมเนื้อหา สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  แม้แต่วรรณะ  ก็มีจริงๆเลย

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:36:38 )

กรรมพันธุ์กับสรีรพันธุ์ กรรมวิบากกับการพลัดพราก

รายละเอียด

ประเด็นก็คือ ยังรู้สึกว่าตัวเองยังหนักในเรื่องความผูกพัน อยู่กับอโศกมา 15 ปี อโศกก็สอนพาให้เกิดปัญญา เกิดภูมิปัญญาให้รู้จัก ให้รู้จักการปล่อยวาง ซึ่งเป็นความตรงกันข้ามกับความผูกพัน ที่นี้ของคุณพอใจเพ็ญนี้ผูกพันกับบุคคล หวาดหวั่นกับการพลัดพราก เมื่อผูกพันกับบุคคลก็หวาดหวั่นกับการพลัดพรากจากบุคคล ยังหมายถึงบุคคลเท่านั้น ก็ลองขยายความหมาย หรือว่าความเป็นอย่างที่ควร ความควรควรจะเป็นอย่างไร 

คนเราเกิดมาอาศัยกัน อาศัยกันแม้แต่เริ่มอาศัยกันอย่างเป็นสายเลือด พ่อแม่ลูกกัน ปู่ย่าตายาย เป็นสายเลือด ก็เป็นอย่างหนึ่ง วิบากกรรมในเรื่องของสายเลือดก็เป็นจริง จะเกิดมาเป็นสายเลือดเดียวกัน เป็นพ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตาทวด อะไรกัน มันก็เป็นจริงอย่างหนึ่ง 

ผูกพันกับบุคคลที่ไม่ใช่สายเลือด แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังติดพัน หรือยังติดยึดผูกพันอยู่กับตัวตนบุคคลเลย จนกระทั่งแม้กระทั่งสายเลือด เท่ๆ หน่อยก็คือติดต่อกันทาง DNA หรือทางยีนส์ เป็นต้น เชื่อมต่อทางสรีระ ถ่ายทอดทางสรีระ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติกันทางสายเลือด ญาติกันทางสรีระ ทางสรีรพันธุ์ ไม่ใช่พันธุกรรมนะ 

อาตมาเคยขยายความค้านแย้งอันนี้ สรีรพันธุ์ มันเป็นการผูกต่อเชื่อมโยงกันทางสรีระ ทาง DNA ทางวัตถุ ทางรูปธรรม 

แต่ทางนามธรรมนั้น เป็นพันธุ์ที่มันเกิดจากทางกรรม เป็นกรรมพันธุ์ เพราะฉะนั้นกรรมพันธุ์นี่มันผูกพันทางกรรม มันไม่ใช่ผูกทางสรีระ แต่คนไปหมายเอาว่าผูกพันกัน หรือว่ากรรมที่เป็นวิบากแก่กันและกันถ่ายทอดอะไรกันแต่ในทางของสรีระ 

สรีระมันก็หมายถึงดินน้ำไฟลม หน้าตา สีสัน ผิวพรรณ รูปร่างอะไรก็แล้วแต่มันคล้ายกัน มันก็เรื่องของสรีระ คนผิวดำถ่ายทอดออกมาเป็นคนผิวดำ คนรูปร่างใหญ่ รูปร่างสูง ลูกเต้าถ่ายทอดกันมาก็รูปร่างใหญ่สูง คนที่เป็นคนเตี้ยคนเล็กถ่ายทอดออกมาก็เป็นคนเตี้ยคนเล็ก มันก็เป็นสรีระทั้งนั้น 

ส่วนด้านจิตวิญญาณนั้น ไม่มีกรรมพันธุ์ทางจิตวิญญาณที่จะไปถ่ายทอดกันได้ กรรมพันธุ์ กรรมเป็นการกระทำ พันธุ์ของใครก็พันธุ์ของมัน เผ่าพันธุ์ของกรรมของตัวเอง ไม่ขึ้นกับพ่อแม่ ไม่ขึ้นกับปู่ย่าตาทวด ไม่ขึ้นอยู่กับถ่ายทอดกรรมพันธุ์ มันถ่ายทอดพันธุ์ของเรา กรรมของเรา พันธุ์ของเราเท่านั้น อันนี้ลึกซึ้งมาก คนจะไม่เข้าใจง่ายๆ ลึกซึ้งมาก ที่คนจะเข้าใจได้ง่าย มันยากที่จะเข้าใจ 

กรรมพันธุ์ กรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม มรดกกรรมของตนทั้งนั้น คุณจะไปแบ่งมรดกกรรมให้คนนั้นคนนี้ไม่ได้ เช่น อาตมาก็ขยายความไม่รู้กี่ทีแล้ว คุณไปตีหัวเขาโป้ง บาป สมมุติตีราคาว่า 1 โป้ง ไปตีเขานี่ร้อยหน่วย เสร็จแล้วคุณก็บอกว่าแบ่งเอาบาป ได้มา 100 คุณเอาไปสัก 50 คุณเอาไปสัก 80 เราเอาไว้แค่ 20 ได้ไหม ไม่ได้ กรรมวิบากแบ่งกันได้ยังไง เขาไม่ได้กระทำ แต่คุณจะไปให้เขารับวิบากกรรมที่เขาไม่ได้กระทำไปจากคุณ นี่มันก็ชัดๆ ง่ายๆ อย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นกรรม คุณทำทางกายกรรม คนอื่นเขาไม่ได้ทำด้วยคุณไปแบ่งให้ใครไม่ได้ วจีกรรมก็ตามคุณเป็นคนทำ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม คุณทำแล้ว แล้วคุณจะไปแบ่งให้คนอื่น แบ่งได้ยังไง 

แม้แต่คุณคิดของคุณ ยิ่งคุณคิดมันก็ยิ่งเป็นความติดของคุณ คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำไป วจีกรรมคนอื่นยังพอได้ยินด้วย กายกรรมคนอื่นพอเห็นด้วย แต่ความคิดคนอื่น ไม่ได้รู้กับคุณด้วย ใครจะไปแบ่งไปรับไปอะไรกับคุณได้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็จะลึกซึ้ง อธิบายไปก็จะลึกซึ้งไปอีก 

สรุปตรงที่ประเด็นว่า จะทำอย่างไรจะคลายความผูกพัน อาตมาอธิบายขยายความลึกซึ้งของกรรมให้เห็นว่า ทุกคนเป็นทายาทของกรรม เพราะฉะนั้นของใครก็ของใคร 

คุณห่วงหมายความว่า คุณจะช่วยเขา คุณก็ช่วยได้แต่เปลือกๆ ช่วยได้แต่ผิวๆ เผินๆ ภายนอกนะ ช่วยได้แต่ภายนอก ถ้าลึกเข้าไปถึงภายในแล้ว กรรมใครวิบากใคร ก็เป็นของๆตน

เพราะฉะนั้นคนใดก็แล้วแต่ แม้แต่จะมาเกิดร่วมสายเลือดกับเรา กรรมก็เป็นของ ของพ่อของแม่ ของพ่อก็เป็นของพ่อ ของแม่ก็เป็นของแม่ ของปู่ของทวด ของย่า ของตา ของยาย ของลูก ของหลาน ของเหลน ไม่ได้ถ่ายทอดจากของเรา ลูกเราก็ไม่ได้เป็นกรรมที่ถ่ายทอดจากของเรา อันนี้แหละคนเข้าใจง่าย คนเข้าใจตื้นเกิน ว่ารับถ่ายทอดจากพ่อแม่ทำไว้ ลูกก็เลยต้องรับกรรมต่อ ไม่ ถ้ากรรมที่จริงแล้วกรรมวิบากที่เป็นปรมัตถธรรมที่แท้จริงแล้ว มันไม่ มันของใครของมัน 

อันนี้เป็นอจินไตย กรรมวิบากนี้ไม่ใช่แค่คิดเท่านั้น ต้องเข้าใจจนกระทั่งคุณจะมีสภาวะจริงของตนแล้วคุณจะรู้ว่า อ๋อ อันนี้เราโทษพ่อ-แม่ โทษปู่ย่า-ตาทวดโทษอะไรใครเขาไม่ได้ คุณเป็นของคุณเอง คุณมีของคุณเอง 

อาตมา ในความคิดตอนนี้ มันอยากจะไปขยายความปัจจุบันธรรม พูดชัดๆ ง่ายๆ มันขยายความไปถึงปัจจุบันธรรม ของคุณอุ๊งอิ๊ง ว่า คุณอุ๊งอิ๊งนี่มันมาจากกรรมพันธุ์ของพ่อ หรือที่ขณะนี้ที่เขาทำอยู่นี้มันไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ มันเป็นกรรมพันธุ์ของอุ๊งอิ๊งเอง อยากจะเป็นนายกฯ ก็ขนาดลูกชายของทักษิณเขายังไม่อยากเป็นนายกฯ เลย   อุ๊งอิ๊งเองเป็นผู้หญิงแท้ๆ เป็นน้องคนสุดท้องด้วย ก็อยากเป็นเอง มันกรรมของใคร กรรมของพ่อหรือ กรรมของพี่หรือ ของเชื้อสายหรือ ก็เชื้อสายที่ควรนั้นโอ๊คก็ควรจะหนักกว่าอุ๊งอิ๊งนะ เป็นพี่คนโตด้วย เป็นผู้ชาย ด้วยแต่เขาไม่เอา เธอเองต่างหากเธอจะเอา อุ๊งอิ๊ง เอ๊ย ชัดเจนไหมว่ากรรมพันธุ์ของใครของมัน มันไม่ใช่ของพ่อ 

ใช่ พ่อสนับสนุน ส่งเสริมเพราะเขารักในสายเลือด เขารักในตระกูล เขายึดติดในสิ่งนั้น แล้วเขาก็ทรมานทรกรรมกับลูก ส่งเสริมมาให้ลูกรับ อาตมานี่เกิดชาตินี้โชคดีจังเลย ที่ไม่ได้มาเป็นนายกฯ โอ้โห!! เกิดมาโชคดีไม่ได้เป็นนายกฯ ไม่ได้เป็นสังฆราช ทำไมเฮงจริงๆเลย ไม่ได้เป็นคนรวย โอ้โห!! โชคดีทั้งนั้น  เกิดมาชาตินี้ ไม่ได้เป็นนายก ไม่ได้เป็นสังฆราช ไม่ได้เป็นคนรวย โอ้โห!! 

ไม่ได้เป็นแม้แต่เจ้าอาวาส ทำไมโชคดีขนาดนี้จังเลย เจ้าอาวาสยังไม่ได้เป็นเลย ไม่ได้เป็นนักธรรมตรี นักธรรมจัตวายังไม่ได้เลย มันเป็นธรรมะที่ทวนกระแสที่เข้าใจกันยากมากเลย 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #45 Soft power โลกุตระของพ่อครู นำสู่การพ้นคนโลกเก่า วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:02:24 )

กรรมพันธุ์ทางจิต

รายละเอียด

กรรมพันธุ์ที่เป็นรูปธรรมทางโลกุตระไม่มี กรรมเป็นการกระทำเป็นกิริยาไม่มีแท่งก้อนอะไรไม่มีสรีระ กรรม เช่นคุณตีหัวคน เป็นกิริยา กรรม ทำเสร็จแล้วก็หายไปไม่มีแท่งก้อน แล้วคุณจะมาให้เป็นแท่งก้อนเป็นสรีระจับตัวแล้วมาแบ่งกันมันไม่ได้ มันเป็นกรรมกิริยา กิริยาของใครของคนนั้น คุณเป็นคนทำเองก็เป็นของคนนั้น คุณตีหัวเขา อีกคนหนึ่งไม่ตีแล้วคุณก็บอกว่าเอาบาปของเราไปครึ่งหนึ่งมันได้อย่างไร กรรมพันธุ์มันแบ่งไม่ได้ สรีรพันธุ์มันแบ่งได้ เป็นตัวแท่งก้อนบุคคลเราเขาก็แบ่งได้ทีนี้ จิต เป็นพลังงานจิตที่ไม่เป็นก้อนแท่งอะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:18:46 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:06:13 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:28:31 )

กรรมพันธุ์ไม่ใช่สรีรพันธุ์ หรือ DNA

รายละเอียด

คำว่ากรรมพันธุ์ ก็คงต้องพูดไปอีกนาน กรรมพันธุ์เป็นภาษาบาลี แปลมาแล้วไปเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ แปลว่าการสืบทอดทาง DNA ทางสรีระ คือเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุต่างๆ สรีระ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มันปรุงแต่งกันเป็นชีวะหรือเป็น พีชะ ปรุงแต่งเผ่าพันธุ์ทางร่างกาย 

ทางวิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้กันดีก็สืบพันธุ์ต่อพ่อพันธุ์ได้ มีลูกหลานเหลนโหลน มีเชื้อของปู่ย่าตาทวดถ่ายทอดกันมา ลูกหลานเหลนโหลน ก็ยังมีมา แต่คำว่ากรรมพันธุ์ กรรมที่เกิดจากกรรมคือการกระทำ มันสืบทอดไปให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด ทวดของทวดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ มันเป็นของของตน กัมมัสกะ เป็นของตนเท่านั้น ตนเป็นทายาทของกรรมตัวเองแต่เพียงผู้เดียว กรรมแบ่งให้ใครไม่ได้ ไม่แบ่งเป็นมรดก กรรมเป็นมรดกให้คนอื่นๆใดๆไม่ได้ เป็นมรดกของเราเท่านั้นเอง ตายแล้วคุณก็รับของตัวเอง เกิดมาอีกก็รับของตัวเอง คนอื่นๆแบ่งเอาไปไม่ได้ แย่งเอาไปไม่ได้ให้กันก็ไม่ได้ มันไม่ง่าย เพราะไปเปรียบเทียบกับวัตถุ แต่มันเป็นนามธรรมที่สุดยอดเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เราก็รู้ตามแล้วมาประพฤติเองจึงเห็นเองรู้เองรู้ได้จริงของตัวเองว่าเป็นเช่นนี้ 

สรุปแล้วกรรมพันธุ์นี้ ไม่ใช่สรีระพันธุ์ ถ้าจะใช้ทางดีเอ็นเอทางวัตถุก็ต้องใช้คำว่าสรีระพันธุ์ ใช้คำว่ากรรมพันธุ์ไม่ได้ ยกตัวอย่างคนตีหัวเขาด้วยไม้หน้า 3 หัวเขาก็แตก คุณเป็นคนทำ แล้วคุณก็บอกว่า เอากรรมที่อาตมาตีหัวคุณนี้แบ่งไปครึ่งนึง คุณไม่ได้ทำนะแต่อาตมาทำเขาเจ็บ แล้วก็ไปยัดเยียดให้คนอื่น ยกความผิดให้คนอื่นครึ่งหนึ่ง มันจะได้ไหม ไม่ได้ นี่เรื่องง่ายๆนะ กรรม คือ การกระทำมันแบ่งไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายกายพุทธศาสนาตามภูมิบ้านราช วันพุธที่ 23 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2563 ( 15:21:01 )

กรรมพันธุ์ไม่ใช่สรีระพันธุ์หรือDNA

รายละเอียด

คำว่ากรรมพันธุ์ ก็คงต้องพูดไปอีกนาน กรรมพันธุ์เป็นภาษาบาลี แปลมาแล้วไปเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ แปลว่าการสืบทอดทาง DNA ทางสรีระ คือเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุต่างๆ สรีระ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มันปรุงแต่งกันเป็นชีวะหรือเป็น พีชะ ปรุงแต่งเผ่าพันธุ์ทางร่างกาย ทางวิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้กันดีก็สืบพันธุ์ต่อพ่อพันธุ์ได้ มีลูกหลานเหลนโหลน มีเชื้อของปู่ย่าตาทวดถ่ายทอดกันมา ลูกหลานเหลนโหลน ก็ยังมีมา แต่คำว่ากรรมพันธุ์ กรรมที่เกิดจากกรรมคือการกระทำ มันสืบทอดไปให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด ทวดของทวดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ มันเป็นของของตน กัมมัสกะ เป็นของตนเท่านั้น ตนเป็นทายาทของกรรมตัวเองแต่เพียงผู้เดียว กรรมแบ่งให้ใครไม่ได้ ไม่แบ่งเป็นมรดก กรรมเป็นมรดกให้คนอื่นๆใดๆไม่ได้ เป็นมรดกของเราเท่านั้นเอง ตายแล้วคุณก็รับของตัวเอง เกิดมาอีกก็รับของตัวเอง คนอื่นๆแบ่งเอาไปไม่ได้ แย่งเอาไปไม่ได้ให้กันก็ไม่ได้ มันไม่ง่าย เพราะไปเปรียบเทียบกับวัตถุ แต่มันเป็นนามธรรมที่สุดยอดเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เราก็รู้ตามแล้วมาประพฤติเองจึงเห็นเองรู้เองรู้ได้จริงของตัวเองว่าเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วกรรมพันธุ์นี้ ไม่ใช่สรีระพันธุ์ ถ้าจะใช้ทางดีเอ็นเอทางวัตถุก็ต้องใช้คำว่าสรีระพันธุ์ ใช้คำว่ากรรมพันธุ์ไม่ได้ ยกตัวอย่างคนตีหัวเขาด้วยไม้หน้า 3 หัวเขาก็แตก คุณเป็นคนทำ แล้วคุณก็บอกว่า เอากรรมที่อาตมาตีหัวคุณนี้แบ่งไปครึ่งนึง คุณไม่ได้ทำนะแต่อาตมาทำเขาเจ็บ แล้วก็ไปยัดเยียดให้คนอื่น ยกความผิดให้คนอื่นครึ่งหนึ่ง มันจะได้ไหม ไม่ได้ นี่เรื่องง่ายๆนะ กรรม คือ การกระทำมันแบ่งไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 กันายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 11:04:09 )

กรรมพันธุ์ไม่ใช่สืบทอดแค่ทาง DNA

รายละเอียด

“กรรมพันธุ์”ไม่ใช่สืบทอดแค่ทาง DNA แต่กรรมนี้สืบสายทางวิญญาณเป็นของของตน จะไปยืนยันว่าเป็นของพระเจ้าเป็นลูกพระเจ้าไม่ใช่ เป็นของเราเอง เดี่ยวๆเป็นของเราเราเป็นผู้กำหนดกรรมนี้ 

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)  

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน) 

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)  

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)  

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)  

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 20:50:58 )

กรรมพาเกิดพาเป็น เรียกกัมมโยนิ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ อ๋อ.. ที่จริงแล้วมันมีเหตุที่ทำให้กรรมพาเกิดพาเป็น
กัมมโยนิ กรรมมันพาเกิดพาเป็น ที่จริงมันมีเหตุที่เราจะทำดี ให้ดีๆๆ แล้วให้ดีนี้คงทน ให้ดีนี้ไม่ตกต่ำอีก ให้ทำดีไม่หลงเหลิง ไม่เผลอตัวได้เก่าลืมใหม่ ได้ใหม่ลืมเก่า ไม่เผลออย่างนั้น จนกระทั่งสามารถที่จะชัดเจนได้ว่า อ๋อ ทำดีให้ถาวรได้ ไม่ทำชั่วเลย ไม่ทำบาปเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สังขารกับการเวียนว่ายตายเกิด


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 14:47:14 )

กรรมมีอิทธิพลต่ออัตภาพของเราทั้งสิ้น

รายละเอียด

สรุปแล้วกรรมเป็นของๆตน กัมมัสกตา ใครทำเป็นของคนนั้น พ่อแม่ทำก็แบ่งให้ลูกไม่ได้ ลูกทำก็ยกให้พ่อแม่ไม่ได้ ไม่มีพินัยกรรมใดยกให้ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าละเอียดลออขนาดนี้ กรรมจึงสำคัญมาก ทุกอย่างไม่ใช่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สั่งให้เราทำเราเองต้องรับผิดชอบกรรมของเราเองทุกเม็ด หยาบกลางละเอียด บรรจุซองเท่าละอองธุลีอย่างไร แล้วไม่ระเหิดระเหยด้วย ไม่ขาดหกตกหล่น เป็นของเราทั้งสิ้น กรรมมีอิทธิพลต่ออัตภาพของเราทั้งสิ้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:09:49 )

กรรมมีเจตนาเป็นที่ตั้งของวิบากที่จะรับ

รายละเอียด

วิบากไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดเองแต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ากรรมที่ไม่มีเจตนาไม่เป็นกรรมไม่มีวิบาก จริงๆ มันเป็นกรรมเป็นวิบากเหมือนกัน แต่เป็นกรรมเป็นวิบากข้างเดียว คุณไปเหยียบมดตายคุณไม่เจตนาแต่มดมันอาฆาตคุณไหม มันเดรัจฉานมันก็อาฆาต มันตบมือข้างเดียว แม้จะตบมาหาเราเราก็ยอมเขา เพราะเราไม่รู้ เราไม่มีเจตนา 

แต่จริงๆแล้วมันจะห่างกัน สัตว์ที่ยังเป็นสัตว์เซลล์เดียวไม่เท่าไหร่ ไม่เป็นสัตว์ชั้นสูงกว่าวิบากมันจะมาสัมผัสกันนั้นมันนานมาก จนกระทั่งผู้ที่สูงแล้วบรรลุอรหันต์แล้วก็จะหายไปแล้วสัตว์เหล่านี้ก็จะค่อยๆเจริญเข้ามาหาเพราะฉะนั้นมันจะไม่มาทันกัน 

เพราะฉะนั้นพวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยจริงๆมันจำเป็น คนที่ทำกสิกรรม สัตว์เล็กสัตว์น้อยมันอยู่ในดิน สัตว์ที่ยังมีเซลล์จำนวนไม่มาก และเป็นสัตว์ที่ยังไม่เจริญเท่าไหร่ มันยังไล่ไม่ทันอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปกังวลมาก ไม่อย่างนั้นมันจะโอ้โฮ.. ถี่ลอดตาช้างห่างลอดตาเล็น มันจะทำอะไรไม่ได้สักที แต่เราไม่ประมาท เราไม่มีเจตนาจริงๆระมัดระวัง สุดวิสัยก็แล้วไป จบ ไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นกรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 14:07:13 )

กรรมยิ่งกว่า God

รายละเอียด

ลึกซึ้งกว่านี้คือกรรมวิบาก เรื่องของ อจินไตย กรรมวิบาก ยังยากที่คนจะเข้าใจในโลก แต่เป็นเรื่องจริง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  

กรรมเป็นเรื่องจริงหมด กรรมเป็นอันทำ กรรมยิ่งกว่า God เพราะทุกคนเป็น God ของตัวเอง นี่คือของพระพุทธเจ้าทุกคนเป็น God ทุกคนเป็นเจ้าของกรรม กรรมก็คือ God แล้วมาหลอมรวมกัน เป็น God เบ้อเร่อเลย เรียกว่า God กลุ่มยิ่งใหญ่ จะบอกว่า God เป็นพระเจ้าเป็นผู้สร้าง นี่แหละ แล้วไม่ได้สร้างสิ่งเลวสร้าง แต่สิ่งที่ดี อาวุธนิดนึงก็ไม่ทำ ไม่เสียเวลาไปทำ ทำมีดก็ทำแค่เอามาใช้งาน ไม่ทำดาบ อย่างนี้เป็นต้น พูดไปแล้วก็จะไม่จบ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบคุณตู่-จตุพร และทนายนกเขา ดำเนินรายการโดย คุณสุชัย เจริญมุขยนันท์ วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 21:14:30 )

กรรมยิ่งใหญ่กว่า God อย่างไร

รายละเอียด

กรรม ถ้าจะพูดกับชาวพุทธด้วยกันก็คือ กรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่า God ภาวะกรรมเป็นการกระทำของมนุษยชาติ ส่วน God นั้นไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือไม่อย่างไร แต่ก็ฝากคำสอนมากับประกาศ มาขยายความให้มนุษยชาติ เท่าที่ประกาศหรือพระบุตรนั้นมีความรู้หรือขยายได้ จริงๆแล้วพระบุตรนั่นแหละคือพระเจ้าเอง แต่พระบุตรไม่รู้ว่า ไอ้ ความรู้นี่คืออะไร

ความรู้นี่ก็คือสัญญาความจำความรู้ของตัวเอง แต่เมื่อเขาไม่รู้ไม่แน่ใจ ตัวเองรู้ขนาดนี้เชียวหรือ เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรไม่สามารถเชื่อตัวเองได้อย่างเด็ดขาดแน่แท้ ในตัวพระบุตร และพระเจ้าก็อยู่ที่ไหนไม่รู้สมมุติเป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่ทุกคนรู้ว่ามีอันใดอันหนึ่ง แล้วก็สร้างเอง พวกที่มีทัศนวิสัยตรงกันก็พูดกันรู้เรื่องว่าเป็นอย่างนี้หรือ รวมกันใหญ่เลยก็เลยกลายเป็นอุปาทานหมู่ รู้ร่วมกันตรงกันแต่เป็นของสมมติที่ต่างคนต่างไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้นะเห็นความจริงนี้ได้เลย ความเป็นกายที่มี นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นด้วยกัน ต่างคนต่างสร้างเป็นนิรมาณกาย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่อาตมากำลังขยายความ ขออภัยหลายคนมาฟังนี้คงไม่รู้เรื่องที่อาตมาพูดนี้ แต่อาตมาบอกบัญญัติตอนนี้อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง เป็นของเดิมที่ท่านได้อธิบายมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:08:09 )

กรรมยิ่งใหญ่กว่า God อย่างไร

รายละเอียด

กรรมชั่วกรรมผิด แม้มีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย มันจะเล็กจะน้อยละเอียดอย่างไรที่เป็นของผิดของชั่วอย่าทำเสียเลยเพราะเป็นอันทำ ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ จะบอกว่าไม่ทำก็ไม่ได้ ยิ่งใหญ่นะเรื่องกรรมนี้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่า God เพราะว่า God ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลยยังไม่เห็นไม่รู้อยู่ที่ไหน ทางศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้าเขาก็ยังไม่เคยเห็นพระเจ้า พระเจ้าทิ้งคำสอนเอาไว้แล้วให้ ปกาศก เอาคำสอนพระเจ้ามาอธิบาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 19:00:17 )

กรรมยิ่งใหญ่ที่สุด

รายละเอียด

กรรมยิ่งใหญ่ที่สุด กรรมยิ่งกว่าก๊อด กรรมยิ่งกว่าพระเจ้า กรรมมีสภาพเป็นปฏิกิริยาที่มีจริงในตัวบุคคลที่ยังไม่ตาย ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ตายเป็นที่สุดแห่งที่สุด แยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไป กรรมเป็นเจ้าแห่งชีวิตของตนของตน ไม่มีใครมาเป็นเจ้าแห่งชีวิตของตนของตน นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชนะมารอย่างไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพาหุงฯ 8 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:20:16 )

กรรมวิบัติ 4 อย่าง

รายละเอียด

1. วัตถุวิบัติ เช่น การให้อุปสมบทแก่คนมีอายุหย่อน 20 ปี

2. สีมาวิบัติ เช่น สีมาเล็กหรือใหญ่เกินไป

3. ปริสวิบัติ เช่น องค์ประชุมไม่ครบหรือมีภิกษุอื่นอยู่ในสีมา

4. กรรมวาจาวิบัติ เช่น ความไม่ถูกต้องแห่งญัตติหรือสวดญัตติบกพร่อง

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า.351-352


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 11:42:35 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:00 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:30:41 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์