คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
คือ การได้ให้แก่ผู้อื่น คือ ความดีงามจริงๆ “ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา” แท้ๆ จึงเต็มใจ “เสีย” เต็มใจ “สละ” เต็มใจ “ให้” แก่ผู้อื่น เต็มใจ “ขาดทุน” ให้แก่ผู้อื่น อย่างสมบูรณ์ ด้วย “ฉลาดปัญญา” ของคนผู้นั้นๆ
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 69
เวลาบันทึก 08 พฤศจิกายน 2562 ( 15:53:00 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:28:26 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:39:17 )
รายละเอียด
คือการสลายกิเลสไม่ได้กดข่ม แต่ทำด้วยปัญญา รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่มีตัวตนหรอก ถ้าเราได้มีปัญญา ของเรามีธาตุ ของความฉลาด มันตรงกับไตรลักษณ์ กิเลสมันเบามันจะหายไปไว แม้จะปะทะกับเราก็ไม่ได้ทำให้เราหวั่นไหว เคลื่อนแต่อย่างใด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:21:35 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:42:15 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:33:18 )
รายละเอียด
คือ พระพุทธเจ้าสามารถทำให้จิตลดลงมาเป็นพีชะ ทำให้เป็นอุตุได้ สุดท้ายสลายจิตตนเองให้เป็นอุตุได้เลย ไม่มารวมปรุงแต่งเป็นพีชะหรือจิตได้อีกเลยจึงสูญ สูญความเป็นตัวตน จิตนิยามของอัตภาพใดๆ ได้ นี่คือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า สมณโพธิรักษ์ยังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้า รู้แล้วก็ทำให้เป็นโพธิสัตว์ระดับๆ ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ก็ยังรู้ได้ด้วยตนเอง ในชาตินี้ที่พูดมานี้ถ้าไม่มีสมณโพธิรักษ์ ไม่มีใครเอามาพูดหรอกในยุคนี้ เพราะไม่อาจหาได้ตำรา นิยาม 5 ไม่มีในพระไตรปิฎกแต่มีในอรรถกถาจารย์ ท่านเห็นก็รู้ว่านี่เป็นของพระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่นอน
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายราย การสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71 30 กันยายน พ.ศ. 2562
เวลาบันทึก 03 ตุลาคม 2562 ( 17:24:38 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:47:26 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:33:53 )
รายละเอียด
ธาตุรู้ของคน มันไม่มีความรู้ถึงขั้นจะสลายตัวตนได้ จะไม่มีอันนี้มันทำไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลกที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง หายตัวได้สูญไปได้จริงๆ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียว ในระดับจิต พวกมหาภูตรูป มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นทั้งนั้น เป็นธรรมดาธรรมชาติของมหาจักรวาล มันแย่ก็ตรงที่เป็นชีวระดับมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก ไม่ร้ายแรงอะไรมาก แต่มนุษย์นี่โอ้โห เลวร้ายหาอะไรเทียบไม่ได้แล้ว แต่ดีสุดก็ดีไม่มีอะไรเทียบได้เหมือนกัน นี่คือสุดเลวสุดดีอยู่ที่มนุษย์
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:08:13 )
รายละเอียด
ขอซ้ำอีก การสวด สังวัธยายต่างๆมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น
1. ภิกษุในยุคโน้นต้องท่องจำไว้มันไม่มีบันทึกโทรทัศน์ ไม่มีบันทึกวีดีโอ ไม่มีบันทึกหลักฐานพวกนี้เลย เป็นตัวหนังสือไม่ได้บันทึก ต้องอาศัยท่องจำอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมาท่องจำกันเอาไว้ เวลาจะมาท่องก็ท่องกันในภิกษุเองเท่านั้น อย่าไปท่อง ตั้งแต่ 2 คนพร้อมกันให้ฆราวาสได้ยิน ท่านกันไว้ พระพุทธเจ้าท่านกันไว้ ว่าเป็นวินัยอาบัตินะอย่าไปทำ เพราะถ้าท่องตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เท่านี้มันก็ไม่ได้แล้วเพราะฉะนั้น 3 ไม่ได้ 4 ไม่ได้ ยิ่งจะไปสวดกันเป็นแสนคนยิ่งผิดกันไปใหญ่ ห้ามไว้แล้ว สวดคนเดียวได้เรียกว่าสวดสังคายนา
เช่น เอาพระวินัย เอาพระธรรมก็ตาม เอาธรรมบทก็ตามมาสวดขึ้นคนเดียว แล้วภิกษุคนอื่นเขาฟัง เรียกว่าเป็นสังฆกรรม ไม่ได้เป็นการสวดให้ฆราวาส ฟังนะ สวดตรวจธรรมวินัย เช่น 15 วันสวดที สวดแล้วภิกษุคนอื่นก็นั่งฟังต่างคนต่างจำไว้ ถ้ามันผิดจากของเรา เราก็ท้วงว่ามันผิด ก็เกิดการวิจารณ์วิจัยในหมู่ ใครผิดกันแน่ คนสวดผิดหรือคนท้วงผิด ถ้าคนท้วงผิดก็จะได้แก้เสีย ถ้าคนสวดผิดก็จะได้แก้เหมือนกันว่าคนท้วงถูก เป็นการรักษาความถูกต้องของพระธรรมพระพุทธเจ้าไว้หรือวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ไม่ให้ผิดเพี้ยนไป
เรียกว่า สวดสังคายนา ไม่ได้ให้ฆราวาสได้ยิน แม้แต่สวดสังคีติก็ไม่ได้ให้ฆราวาสได้ยิน อย่างที่อาตมายืนยันพระวินัยว่า อย่าไปสวด 2 คนให้ อนุปสัมบัน ให้คนอื่นได้ยิน ท่านกันไว้เป็นอาบัติ อย่าทำ ไม่ให้ทำเพราะถ้าทำแล้วมันจะบานปลายอย่างนี้สวดเป็น 2 คน 5 คน 8 คนเป็นหมู่เป็นพันเป็นหมื่น เขาก็ถือว่าได้กุศลซึ่งมันผิด แล้วมันจะไปติดการสวด แล้วเอาการสวดนี้ไปสวดเล่นนึกว่ายิ่งใหญ่ไปหากิน อย่างที่ธรรมกายทำ อย่างที่เถรสมาคมที่ไปติดงานสวดนั้น หลงการสวดกัน ที่จริงแล้วยุคนี้ไม่ต้องสวดแล้ว กดปึ๊บ มันก็ได้มาหมด จะท่องจำได้ก็ท่องเอาสิ ท่องไม่ได้ก็กดดู ไม่เสียเวลาอะไรน่ะ ไม่ต้องเสียแคลอรี่ไปท่องด้วย แต่ท่องได้มันก็ดีแต่มันก็ต้องเสียเวลากันไม่ใช่เล่น ถ้าท่องได้ก็เอา แต่มันก็เสียเวลาทำมาหากินจะตายไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2566 ( 12:35:11 )
รายละเอียด
(สระ คือ เสียงสั้นยาว ภัญญะคือคำพูด สรภัยญะ คือสวดตามเสียงพยัญชนะสั้นหรือยาวก็สวดตามนั้น นะโม ตัด สะ เป็นต้น มีข้อห้าม ในพระวินัย ข้อ 20 ห้ามทำนอง และเสียงลากยาว ส่วนข้อ 21 ให้อนุญาตสรภัญญะ) ทำนองคือคำเอื้อนยาวก็ขัดกับข้อ 20 ห้ามยืดกว่านั้น ยิ่งใสทำนองก็ผิด ข้อ 21ก็อนุญาตสรภัญญะ
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562
หนังสืออ้างอิง
มาตาสูตร เล่ม 23
เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 20:08:59 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:33 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:46:38 )
รายละเอียด
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นเป้าหมายนี้เลย สวดมนต์คือเรื่องของจะได้กุศล ได้เป็นอะไรที่เขาจะได้ที่เขาจะได้ไป เป็นสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ จะเอาไปกินในชาติหน้า ออกนอกรีต เสื่อมจากที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดเลย ไม่เกิดประโยชน์ตามที่ควรจะเป็นตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์
ชาวอโศกเราไม่เอาธรรมบทมาสวดให้เป็นการผิดพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นพวกนั้นก็เลยบอกว่าชาวอโศกนั้นสวดมนต์ไม่เป็นหรอก โพชฌงค์ 7 มันก็สวดไม่ได้ ยอดพระไตรปิฎกมันก็สวดไม่ได้ ก็คือเราไม่สวดอย่างนั้น แต่เราเรียน สามารถอธิบาย เอามาสาธยาย เอามาศึกษา ไม่ใช่ว่าเราไม่เรียน แต่เราเรียนทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ตามด้วย ไม่ใช่ไปสวดเอาเฉยๆสวดเล่น สวดโก้ๆเก๋ๆ หรือไปหลงว่าเป็นสิ่งที่ได้ เป็นภพเป็นชาติ ไม่ใช่
เพราะฉะนั้น การสวดทุกวันนี้จึงทำให้ศาสนาเสื่อม ไม่ใช่ทำให้ศาสนาดีขึ้นหรือว่าเป็นการรักษาศาสนา เขาพูดผิด จากผลที่เกิดจริง กลายเป็นเรื่อง หนักเข้า 1. สวดมีการลากเสียงอันยาว 2. มีการใส่ทำนอง 3. สวดเป็นหมู่ เป็นนักร้องหมู่ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งวิชาการเขาขับร้องเรียกควายเออร์ choir แต่เขากลับจะไปสวดกันเป็นแสนรูป เป็น choir หมู่ใหญ่ ยากที่เขาจะเข้าใจ
ทุกวันนี้มันสุดจะห้ามแล้วไม่มีทางห้าม ไม่มีหยุดหรอก เราก็เลยต้องว่าไปติติงเขาบ้าง จะไปห้ามเขาก็ไม่ได้ แต่เราก็ทำสิ่งที่ถูกต้องยืนยันเอาไว้รักษาความถูกต้องเอาไว้ และยืนยันพูดว่าอย่างนี้ถูกอย่างนั้นผิด เราก็ได้แต่พูดอย่างนี้ เขาก็หาว่าท่านเก่ง หมู่ใหญ่ไม่เห็นจะทำอย่างนี้ ก็เขาทำผิดกัน เรายืนยันว่า เราทำเอาเนื้อหา ไม่ได้เอาใหญ่เอาเล็ก เอาสิ่งที่มันถูกต้อง ถ่องแท้จริงๆ นี่คือเรื่องของสวดมนต์พูดยาวหน่อย ก็ไม่รู้จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็แล้วแต่ พูดให้สำนึก ถ้าเขาเข้าใจก็เลิกบ้าง หยุดบ้างเพราๆบ้าง อย่าไปเสียเวลา เสียแรงงานกับเรื่องไม่เข้าเรื่องเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 12:55:19 )
รายละเอียด
การสวดพร้อมกันเป็นหมู่ เป็นร้อย เป็นพันคนก็ได้ต่อหน้าธารกำนัล คำประนามคาถาคนแต่งขึ้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นคำแต่งขึ้นของใครก็ตามที่สามารถแต่ง เช่น พาหุง 8 มหากาฯ ภวตุสัพฯ เป็นคำประณามคาถา คุณจะสวดพร้อมกันกี่คนก็ได้ แต่อย่าสวดให้ลากเสียงอันยาว อย่าให้ใส่ทำนองเท่านั้น นี่คือนัยสำคัญซ้อน แต่นี่ผิดหมด ทั้งอย่าว่าแต่ลากเสียงยาว แต่ใส่ทำนองโหยหวนด้วย แล้วเอาไปสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไปต่อหน้าประชาชน อันนี้ก็ผิดปาจิตตีย์ในมุสาวาทวรรค แต่นี่ไม่ปลง สวดแล้วนึกว่าดีหลงว่าดีด้วย แต่มันผิดอาบัติ ในปาติโมกข์
ในวินัยปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20 จะสวดลากเสียงยาวและใส่ทำนอง ข้อ 21 เราอนุญาตสรภัญญะ แล้วก็ไปบอกว่าสรภัญญะนี้เป็นการใส่ทำนองมีทำนองเล็กน้อยก็ได้ไปอนุโลมเอง ก็ขอใช้พยัญชนะว่า พระพุทธเจ้าสุดจะรำคาญ ก็เลยบอกว่า ข้อ 21 เราอนุญาตให้สรภัญญะ
ให้ไปทำความเข้าใจในพระวินัยให้ดี ท่านห้ามสวดด้วยเสียงอันยาว ห้ามใส่ทำนอง และห้ามสวดธรรมบทพร้อมกันสองคนต่อหน้าประชาชน ให้สวดได้แต่สรภัญญะ คำเสียงสั้นหรือยาวก็ต้องตามพยัญชนะ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่11 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:14:31 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:57:46 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:34:21 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:18:46 )
รายละเอียด
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ที่เสื่อมลงถึงขั้นที่ว่าหากไม่มีสวดมนต์ที่อาบัตินี้ พวกพระทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้
1.สวดมนต์ไม่เป็นสรภัญญะที่ถูกต้อง
2.สวดลากเสียงอันยาว
3.สวดใส่ทำนอง
4.เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้า มาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 องค์ขึ้นไปต่อหน้าฆราวาส
5.เอามาสวดหากินกันทุกวิถีทาง ทั้งในระดับพิธีของประชาชนทั่วไปจนถึงรัฐพิธี
มันเป็นการลดค่าคำสอนพระพุทธเจ้ามาให้เป็นการร้องเพลงสนุกสนานเล่นๆหรือมาร้องหากิน กระทำตนเหมือนวณิพกเหมือนคณิกา ที่รับรายได้จากการสวดการร้องเพลง...พระไปทำหน้าที่แย่งพวกวณิพกแย่งคณิกาหากิน ไม่อยากพูดเลย มันน่าเศร้า
หนังสืออ้างอิง
การสวดมนต์ของพระพุทธศาสนา หน้า 41,50
เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 12:57:24 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:29:49 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:42:07 )
รายละเอียด
ถึงแม้ว่าจะยังสวดมนต์อยู่ ก็เหลือแค่สวดมนต์ที่ชาวอโศกใช้
มนต์ที่ใช้สวดท่อง ประจำอะไรนี่ มันก็มีบทแค่ สำคัญของชาวอโศกใช้ก็มีอิติปิโส มีปณามคาถา พาหุง มหากา เท่านั้นแหละ อาตมาเก็บมาโดยไม่ผิดธรรมวินัย มาสวด จะสวดกับหมู่พร้อมกันก็ไม่ผิดธรรมวินัย พร้อมกันเป็นคำปณามคาถา ไม่ใช่เอาธรรมบท ไปเอายอดพระไตรปิฎกอะไรต่ออะไรมาสวดมาท่อง อย่างนี้มันผิด เอามาสวดเป็นหมู่อย่างนี้มันผิดธรรมวินัย เดี๋ยวนี้ทางเถรสมาคมหรือทางหมู่ใหญ่เขาไม่รู้เรื่องแล้ว เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเขาทำอาบัติ
เพราะนี้ อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติกันตลอดเวลาแค่สวดมนต์เรื่องเดียวนี่ก็เป็นความเสื่อม เป็นการสวดมนต์ที่อาบัติได้ อาบัติอยู่ทุกคำสวด ที่ผิดที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ จนกลายเป็นพิธีการ เป็นรัฐพิธี เป็นอะไรต่ออะไรไป หนัก! มันเสื่อมจนไม่เหลือร่องรอย มันเสื่อมจนเลิกยังไงก็เลิกไม่ได้ เลิกไม่ได้ ขอยืนยันนะว่าเลิกไม่ได้ มีแต่จะเสื่อมไปสู่ที่สุดที่ต่ำอย่างเดียว ไม่ใช่ขึ้นสู่ที่สูงนะ แต่เสื่อมไปสู่ที่สุดที่ต่ำอย่างเดียว ไม่มีทาง แก้ไขไม่ได้
แก้ไขได้เฉพาะบุคคลที่เห็นแล้วก็รู้ว่าเออค่อย ค่อยเลิกมา อย่างนี้อย่างคุณซึ้งซื่อค่อยๆเข้าใจ ค่อยๆหลุดมา อย่างนี้เป็นต้น นะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือก้อนแห่งสัมมาทิฏฐิที่คนต้องมีฉันทะมาเอา วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 19:24:04 )
รายละเอียด
การสวดมนต์ที่เป็นการทำลายศาสนา เอาอย่างย่อ ในพระวินัยของพระพุทธเจ้าข้อที่ 21 เรื่อง มุสาวาทวรรค เรื่องการสวด การพูดนี่แหละ อันสุดท้ายเลยท่านว่า เราอนุญาต สรภัญญะ ท่านก็ไปตีความเลี่ยงบาลีว่า สรภัญญะ มีทำนองก็ได้ และข้อ 20 บอกว่า อย่าลากเสียงยาว ผิดนะข้อนี้ ห้าม ส่วนสรภัญญะ ท่านไม่ห้าม ท่านห้ามในข้อ 20 ว่า 1.อย่าใส่ทำนอง 2. อย่าลากเสียงยาว ลากเสียงยาว คือ มันเกินกว่าเสียงสระ เช่น อะ ก็ไม่ใช่อะะะะะ ไม่ได้ หรือ อา...ก็ออกเสียง อาาาาาาาา ไปสองวัน ไม่ได้ อา ก็อา ไม่ต้องลากยาว รัสสระก็สั้น ก็ออกเสียงสั้นก็จบ ทีฆสระก็เสียงยาว ก็ไม่ต้องยาวมาก แต่ก็ห้ามมีทำนอง
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 10:05:48 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 09:07:36 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:39:26 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:35:14 )
รายละเอียด
ขอสำทับตรงนี้ การสวดนี่ หยุดเสียเถิดท่านทั้งหลายจะสวดอ้อนวอนร้อยจบสวดธรรมบทล้านจบ เอาคนมาล้านคน ก็หยุดเถิด ศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือเพียงแค่การสวด การสวดเหลือเพียงการทำมาหากินเท่านั้น หากเอาการสวดออกไป ก็ไม่เหลือเลยศาสนาพุทธ นี่ก็กำลังรออ่านหนังสือของท่านพุทธโฆษาจารย์ การสวดมนต์มีประโยชน์สองอย่าง คือ การสวดสังฆีติกับการสวดสังคายนา แต่ก่อนไม่มีการบันทึกอะไรนอกจากใช้ท่องจำ เป็นการสวดเฉพาะภิกษุที่ต้องรักษาบทมนต์ไว้เป็นหมู่เลยจะได้จำพร้อมกัน สวดเป็นหมู่ไม่เป็นไร ไม่ได้ไปสวดหากิน สวดก็สวดบทอาขยาน เพื่อรักษาบทมนต์ไว้ มีนัยสำคัญว่าอย่าเอาธรรมบทคำสอนของพระพุทธเจ้า (ไม่ใช่ประณามคาถาที่เป็นบทที่แต่งขึ้นเอง มหากาฯ พาหุง 8 เจ็ดตำนาน 12 ตำนาน ที่เป็นประณามคาถา สวดเป็นหมู่ได้ไม่อาบัติ) แต่หากเอาธรรมบทไปสวดตั้งแต่สองคนขึ้นไปต่อหน้าฆราวาส อนุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อย่าไปทำ ต้องป้องกันเอาไว้ ถ้าไปสวดอย่างนี้จะเหมือนศาสนาอื่น แล้วไปใช้เป็นเครื่องมือหากิน ถ้าไม่สวดมนต์ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่รู้จะทำอะไร ยิ่งไปสวดใส่ทำนอง ใส่เสียงลากยาวก็ผิดวินัยหมด ใส่ทำนองจะมีเมโลดี้ลีลา แต่เสียงสั้นยาวก็เป็นเสียงธรรมดา แต่หากประกอบทำนองก็อีกอย่างหนึ่ง ในคำพูดมีรัสสระ ก็เสียงสั้นก็อะ อิ อุ เสียงยาวก็อา อี อู ไม่ต้องลากเป็นอาาาาาา อีๆๆๆ ก็ไม่ลากเสียงยาว และอย่าใส่ทำนอง พระพุทธเจ้าว่า เราอนุญาตสรภัญญะ ก็ไปเบี้ยวบาลีว่า สรภัญญะให้ใส่ทำนองก็ได้ ก็ค้านกับข้อห้ามข้างต้นที่ห้ามลากเสียงยวและไม่ให้ใส่ทำนอง ก็เป็นดนตรี เพลงไปเลย เรื่องสวดนี้ละเอียดลึกซึ้งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ศาสนาพุทธเหลือเนื้อแท้หรือไม่อีกการสวดคือ สังคายนา คือการสวดเพื่อตรวจสอบ สวดคนเดียว แล้วผู้อื่นที่รู้ด้วยกันก็นั่งฟัง หากฟังแล้วเห็นว่าสวดผิดก็ท้วงกัน ท้วงแล้วคนสวดคนเดียวนั้นผิดหรือว่าคนที่ท้วงผิด การสวดของพระพุทธเจ้ามีสองอย่างนี้เท่านั้น นอกนั้นเป็นการสวดทำให้ศาสนาเสียหาย
ที่มา ที่ไป
รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 10:31:01 )
รายละเอียด
ผู้กระทำการสวดหากินเช่นนี้ มีทางไป 2 ทางคือ
1.มโนปโทสิกะ เป็นเรื่องคลั่ง เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสร้างวิมาน เป็นเรื่องลึกลับ
2.ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นเรื่องไพเราะเพราะพริ้ง หวานยวนใจ เป็นกามรส สนุกสนาน
ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงจมงมงายอยู่แค่ "สวดมนต์" เท่านี้เองเป็นจารีตหลัก ทีนี้ ก็มาแข่งกันสิ ใครจะสวดได้ทน สวดได้มาก ได้นานข้ามวันข้ามคืน ใครจะสวดได้แปลก ใครจะสวดได้ไพเราะ ได้พิลึกกึกกือ
หนังสืออ้างอิง
การสวดมนต์ของพระพุทธศาสนา หน้า 43-44
เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 15:18:36 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:30:37 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:48:11 )
รายละเอียด
โพชฌงค์ 7 นั้นเป็นปัญญาที่แท้จริง แต่ถ้าไปสวดโพชฌงค์ 7 แล้วหายปวดนั้นมันเป็นศรัทธาเป็นเจโต แล้วกดข่มไปด้วยบทการสวด กดข่มไปด้วยพลังงานการสะกดจิต สมถะ ที่ไปจดจ่ออยู่ที่การสวด เลยนึกว่าบทสวดมีฤทธิ์มีอำนาจ ทำให้หายเจ็บหายปวด มันก็บรรเทาด้วยอุปาทานชนิดหนึ่ง อุปาทานที่มันไม่เจ็บไม่ปวด คนที่แทงทะลุ กินเจภูเก็ต ไม่เจ็บไม่ปวด เขาก็จะต้องมาเข้าทรงก่อนคือสะกดจิต สั่งตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วเขาก็แทงทะลุ ที่เขาเล่นกัน พวกภูเก็ตเขาทำกันเต็มๆต่างๆนานา เลือดไหลโทรมก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันเป็นได้ อาตมาก็ทำมานักทางด้านสะกดจิต เล่นหนังเหนียวฟันไม่เข้า กรีดกัน แต่ไม่เข้า เหนียวกระทั่งเอามีดมาเฉือนก็ไม่เข้า แต่แรงๆก็เป็นเส้น เลือดซิบๆเหมือนกัน มีดคมๆ มีดจะลองฟันกันจะต้องเอามาโกนขนก่อนนะ โกนร่วงเลย กรีดอย่างมากก็เลือดซิบ เก่ง หนังเหนียวทน เล่นไสยศาสตร์อาตมาเล่นอยู่ 8 ปี
เรื่องไสยศาสตร์ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ เอาตัวเองไปทดลองไปเล่น ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำ สะกดจิตแล้วพิสูจน์ ถึงได้รู้ว่า วิทยาศาสตร์นี้รู้กระจ่างแต่ตื้น ไสยศาสตร์นั้นมืดแต่ลึก มันก็ 2 ทิศ พุทธศาสตร์สว่างหมดเลย ไม่มีจากลึกมาตื้น จากมืดมาสว่างหมดเลย การสวดโพชฌงค์ 7 จึงเป็นเจโต เป็นการอาศัยบทสวดกดข่มระงับความเจ็บปวดได้ อย่างเจ้าคุณนรฯ เจโตแท้เลย ซึ่งมันก็ยากที่จะฟื้น ที่จะมารู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ก็ไปตามวิบากใครวิบากมัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 11:44:06 )
รายละเอียด
มีลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มาตลอดจริงๆ คนที่สอนสูง โดยไม่มีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง คนที่สอนสูญ โดยไม่มีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง คนนั้นสูงขาลอย สูญเพ้อๆ สูญฟุ้งซ่าน สอนสูงสอนสูญที่เป็นจริงไม่ได้
คนที่มีปฏิภาณปัญญาแล้วจะรู้ว่า ถ้าคุณไม่มีที่ตั้งเป็นพื้นฐานอย่างแข็งแรง คุณจะสูงไปอย่างไรก็สูงไปไม่ได้มาก สูงไปไม่ได้จริง ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง
เข้าใจสัจจะที่พูด ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้งให้ได้ คนไม่มีศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้ง แล้วก็ไม่มีลำดับ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีพื้นฐานนี้ ขาลอย พวกเพ้อพก พวกจินตนาการ อยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ เป็นศาสนาที่ไร้ความจริง ศาสนาที่ไม่มีเนื้อความจริงเลย เป็นแต่ความคิด เป็นแต่ความฝัน เป็นแต่ความฟุ้งซ่านตรรกะทั้งนั้นเลย
เปรียบเทียบทางโลกแบบนั้น ง่ายๆ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างนี้เป็นต้นอย่างที่ว่าแล้ว ยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีลำดับ ก็พูดถึงเมื่อกี้แล้วว่า ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่มีพื้นฐานเป็นที่ตั้งอย่างแข็งแรง คุณจะเจริญขึ้นไปให้สูงอย่างไรๆ ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเพ้อพก พวกขาลอยทั้งนั้น วันหนึ่งก็ล้มคว่ำ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรมของศีลข้อ 1 วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:51:09 )
รายละเอียด
การสอนทรมานคนอื่น คือ ไม่จำเป็นต้องให้ศรัทธาเสียก่อนแล้วจึงสอน ในพุทธกาลบางคนเป็นเจ้าสำนัก เป็นเจ้าทิฐิ หัวดื้อรั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนแบบทรมานก่อน คือ ต้อนจนเขาจนมุม หมดปฏิภาณก้มหน้าซบเซาและคนเหล่านั้น ก็จึงคลายจากความยึดถือทิฏฐิ การทรมานสอนคนอื่นมีประโยชน์ทรงทรมาน ฝึกพระองค์ก่อนแล้วทรงแสดงธรรมเพื่อทรมานฝึกสอนผู้อื่น (ตามบารมี คนบารมีน้อยก็ฝืนมาก คนบารมีมากก็ฝืนน้อย) พระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 402 ทรงฝึกพระองค์แล้วย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอารยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:01:55 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:00:27 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 12:55:38 )
รายละเอียด
ในพระไตรปิฎกในคำสอนพระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งพระอรหันต์เป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ เหล่านี้ไม่มี นั่นเป็นความคิดของพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือจะเอามาจากที่อื่นก็ตาม ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า
เขามีว่า
1. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)
2. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา 3 — one with the Threefold Knowledge)
3. ฉฬภิญฺโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 — one with the Sixfold Superknowledge)
4. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having attained the Analytic Insights)
ในสุกขวิปัสสโก เขาว่า เป็นผู้ที่มีอภิญญา ไม่มีความเก่งจะเป็นฤทธิ์เดช อาเทสนาปาฏิหาริย์อะไรก็ไม่มี มีแต่ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แบบ สุกขวิปัสสโก
หรือ ยิ่งเป็นความเฉลียวฉลาด ปฏิสัมภิทับปัตโต ยิ่งไม่มีใหญ่เลย แต่ที่จริงสุกขวิปัสสโกนี่ เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบแคล่วคล่องว่องไว ขออภัย เหมือนโพธิรักษ์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:37:54 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:51:39 )
รายละเอียด
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น บัญญัติที่ท่านสอนมาในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นองค์ประกอบที่มันจะเกิดการกระทบสัมผัส จึงไม่เหมือนกัน มีความต่าง เพราะฉะนั้นในยุคนี้ ผู้รู้ก็จะต้องสอนให้สมสมัย อย่างอาตมานี้ สอนให้สมสมัย รู้จักกิเลสได้ง่าย รู้จักกิเลสได้ดี ถูกต้องจริงตามสมัย หากว่าพูดแต่เรื่องโบราณ ในยุคนี้ มันมีอะไรเพิ่มเติมต่างๆ นานา มันไม่ร่วมสมัยเลย คุณก็จะรู้จักกิเลสได้ยาก รู้ไม่ครบหรอก แต่อาตมานี่ โอ้โหทันสมัย สมสมัย ใหม่เสมอ ร่วมสมัย กิเลสระดับดาวเทียม กิเลสในระดับเทคโนโลยีสมัยใหม่ กิเลสในระดับทางเศรษฐกิจ ก็ตาม ทางการเมืองก็ตาม สมัยนี้การเมืองของพระพุทธเจ้า กับการเมืองในยุคนี้ มันเหมือนกันที่ไหน อาตมาพูดร่วมสมัยการเมืองตอนนี้ได้เลย แล้วหาว่า อาตมาเล่นการเมือง เล่นที่ไหน ทำจริงๆ ไม่ได้วุ่น แต่ทำให้เขาดี ทำให้สงบ ไปแสดงออก ไปช่วยงานการเมือง ไม่ได้ยุ่ง จุ่น แต่ทำให้สงบ ทำให้เรียบร้อย ทำให้ดี ทำมาแล้ว อย่าหาว่ามาทวงบุญคุณนะ อาตมาพูดความจริง ยืนยันเท่านั้น ไม่ได้ทวงบุญคุณอะไร แต่คุณรัูจัก อาตมา ทำความจริงนั้นให้แก่ประเทศชาติมาแล้ว พาพวกเราไปทำ แล้วทำย่างทีเรียกว่า คนอื่นตามได้ยาก อย่างฮ่องกง ก็ทำได้ไม่เหมือน ประท้วงกันก็ทำเละเทะ แต่ของพวกเราทำอย่างเรียบร้อย จนกระทั้งเรียบร้อยแล้วพวกเราถึงได้ถอนทัพ แล้วกลับมาสู่สถานที่ของเรา นายกฯ ตู่ ก็รับช่วงมาตั้งแต่บัดโน้น เราก็ถอยทัพมา
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:26:35 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:03:22 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:35:54 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:36:59 )
รายละเอียด
ผู้มาสอบก็ได้ประโยชน์จะได้ตรวจสอบความรู้ของตัวเอง ได้หรือไม่ได้ท่านก็จะบอก ผู้ใส่ใจศึกษาอบรมแท้จริงก็ทำเช่นนี้ แม้ในสมัยพุทธเจ้าท่านก็สอบกันก็ทบทวนกันพยายามบอกแจ้งกัน ถามไถ่แล้วบอกแจ้งกัน เป็นวิธีการอีกชนิดหนึ่ง ทุกวันนี้มีวิธีการมากมายก่ายกองเป็นการตรวจสอบ นอกจากวิธีการตรวจสอบแล้วยังมีวิธีการโกงที่ซับซ้อนมหาศาล
ที่มา ที่ไป
วิถีอาริยธรรม บ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 08:18:28 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:05:52 )
รายละเอียด
พ่อครูว่า…สวัสดีปีใหม่แล้ว วันนี้วันที่ 2 เดือนมกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนอื่นขอประกาศบอกให้ผู้ที่อยู่ทางบ้านทราบก่อน เย็นวันนี้วันที่ 2 มกราคม 2564 เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. จะมีการสอบวิชาการ ว.บบบ. ครั้งที่ 8 สำหรับญาติธรรมแต่ละบวร ให้ลงชื่อสอบกับ สมณะ สิกขมาตุแต่ละบวร สำหรับญาติธรรมในชุมชน อาวาสถาน หรือทางบ้าน ก็สามารถร่วมสอบได้ ต่างประเทศยังได้เลย อยู่ที่เอสกิโมก็สอบได้ ในวันและเวลาเดียวกัน โดยรับข้อสอบทางไลน์ หรือ เฟซบุ๊กบุญนิยมทีวี และร่วมฟังเฉลย ในเย็นวันที่ 3 มกราคม 2564 เวลา 18.00 น. ถึง 19.30 น. ก็เป็นอันเสร็จ ทางบุญนิยมทีวี
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 07:21:51 )
รายละเอียด
ไม่มีอะไรก็ให้เอาที่มือให้เพ่งที่มือ เพ่งให้ดีๆ มือเราจะแนบกันนิ่ง อย่าให้มันแยกกันนะ เอาดีๆ ดึงไว้ อย่าให้มันแยกนะ คนที่สู้ไม่ได้ก็แยกออก ก็จะสู้ดึง เขาสนใจ สุดท้ายจิตถูกสะกด ถูกครอบงำ ถูกสะกดจิต ดิ่งเข้าไปอยู่ในภพ แล้วถูกสั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย คือหมายความว่าครอบงำจิตให้จิตอยู่ในอำนาจคนสะกดจิต ก็สั่งให้มีอุปาทาน เมื่อลืมตาออกมา ให้ไม่เห็นอะไรอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะไม่เห็น ลืมตาแล้วก็บอกว่ามีเสืออยู่ 1 ตัวระวังดีๆนะ เมื่อให้สัญญาณให้ลืมตา มาแตะตัวหรือมีรหัสให้ตื่น ก็เจอเสือก็จะวิ่ง ต้องรีบจับตัวไว้ แล้วปลุกให้ตื่นบอกว่าไม่มีหรอก เสือ เช่น สะกดไว้แล้วก็บอกว่า จะเอาเหล็กเผาไฟนาบแขนนะ ระวังนะ แล้วก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาแตะที่แขน ปรากฏว่ามีแดงเป็นทางไม้บรรทัดแตะ ไหม้เลย นี่คืออุปาทานขนาดนั้น จิตที่มันเชื่ออะไรเป็นได้อย่างนั้น ทางแพทย์ศาสตร์เขาก็สอนกันเป็นโรค Psychosis หรือ Neurosis เป็นโรคประสาท ตัวเองไม่เป็นหรอก ไม่ป่วยแล้วให้ป่วยเป็นโรคอะไรก็ได้เรียกว่า ไซโคซิส ดีไม่ดีไม่เป็นมะเร็งก็จะเป็นมะเร็งเอาได้ บอกว่าตัวเองเป็นๆ บางคนนี่ทำตัวเองเป็น เพื่อที่จะเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่อรองผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมียเป็นผัวต่อรองกัน หรือคู่รักต่อรองกัน จนกระทั่งเป็น เป็นโรค โรคชนิดนี้เรียกว่า นิวโรซิส (neurosis)
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:41:53 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:07:59 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:36:26 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 12:45:33 )
รายละเอียด
คือแม้แต่การสัมผัสกับคน คนนี้มีกิเลสรัก หรือชังก็ตามสภาวะ เป็นวิบากเก่า หรือวิบากใหม่ก็ตาม สัมผัสแล้ว เราจะคบกันได้ไหม กิเลสเก่า กิเลสใหม่ ก็ไม่ติดใจ ต่างคนต่างวิบากใคร วิบากมันช่วยเหลือกัน อย่างอาตมา ก็ตำหนิเขา ก็เป็นการช่วยเหลือนะ อาตมาตำหนิธัมมชโย ตำหนิมหาบัว แม้มหาบัวจะสิ้นแล้ว แต่ผู้ยึดตามแนวมหาบัวมีเยอะ ก็เลยหยิบมาให้รู้อย่างนี้มันผิด ก็ใช้คำตำหนิให้เกิดความรู้ เพราะมันเสียเวลา เติมน้ำหนัก ของมิจฉาผล
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:24:20 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:12:05 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:30:33 )
รายละเอียด
การสัมผัสกิเลสที่มันเกิดขึ้นมา คือ เมื่อกระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะต้องรีบวิจัย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือเรียกว่า วิตกวิจาร พอมีจิตเริ่มตักกะ ก็วิตก วิจาร วิตก แปลว่า ไตร่ตรอง ตรวจสอบจิตของเรา แยกกิเลสให้ได้ ดูวิธีปัสสนาญาณ ให้จิตใจมีฤทธิ์ อิทธิวิชญาณมีอำนาจฤทธิ์แรง ทำให้กิเลสลดได้มีความสำเร็จทางใจ มีฤทธิ์ทางใจ คือ สามารถทำให้กิเลสลดได้ นี่คือ ศาสนาพุทธทำให้มากมายหลากหลาย คือ อิทธิวิธญาณ ถ้าเราไม่เรียนรู้กรรม มันก็จะสะสมกิเลสไป เราก็จะรับทายาทของกรรม กัมมทายาโทมันก็จะสะสมเป็นมรดกกรรม ถ้าเผื่อว่าเรามีกิเลสไปอีก ก็สะสมเป็นมรดก คุณก็จะรับมรดกของตัวเอง แล้วก็สั่งสมกิเลสด้วยอวิชชามันก็เป็นทายาท แล้วกรรมที่เป็นอดีตก็สั่งสมใส่ในสันดาน มันก็จะพาเราเกิดเราเป็น กรรมนี่แหละพาเราเกิดเราเป็น ไม่ใช่ God พาเราเกิดพาเราเป็น
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:49:58 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:13:54 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:35:05 )
รายละเอียด
ถูกต้องแล้ว เพราะแม้สัญญาที่คิดไปนี้ มันจะสั่งสมความเป็นอุปาทาน สั่งสมความยึดใส่โดยไม่รู้ตัว เติมได้ในขณะที่คิด อดีตก็ตาม อานาคตก็ตาม ประเดี๋ยวก็เวียนมาถึงอดีตที่แสนชื่นใจหนอ ประทับใจไหมล่ะ นี่เห็นไหม มันเป็นอาการของจิตอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น บางทีคิดถึงเรื่องไม่ชอบใจ ทะเลาะกัน โกรธกัน พอเวียนมาคิดถึงอดีตเรื่องนี้ มันก็แค้นขึ้นมาในใจอีก ดีไม่ดีลุกขึ้นจะไปฆ่าเขาเลย บ้าเอาเลยยังงั้นก็ได้ อย่างนี้ก็มีนะอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมนี่ขอสรุป ตีหัวย้ำตะปูอีกไม่รู้กี่ร้อยทีว่า ลืมตามาปฏิบัติ อย่าไปหลับตาปฏิบัติเลย หลับตาปฏิบัติไม่มีผลที่จะลดละกิเลส แต่ซวยตรงที่มันจะเสริมน้ำหนักของอุปาทาน เสริมน้ำหนักกิเลสใส่เข้าไปด้วยซ้ำ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 16:04:45 )
รายละเอียด
คือการพูดถึงคนตายแล้วก็เกิดมา อย่างเช่นโมสาร์ท ตอนอายุ 5 ขวบก็แต่เพลง คลาสสิกแล้ว 7 ขวบ ก็คุมวงออเคสตรา เป็นของเก่าเขา สมณะโพธิรักษ์พูดกับสุทิน เทศารักษ์ นักไวโอลินที่มีชื่อในเมืองไทย คบหากันในวงการเพลงกับสมณะโพธิรักษ์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่ 2 ที่ Arrange เพลงผู้แพ้ สุทิน เทศารักษ์ เขาถามท่านว่า ตายแล้วเกิดชาติหน้าที่เล่นดนตรีมันจะติดไปด้วยไหม ท่านมาปฏิบัติธรรมแล้ว เขารู้แล้วว่าท่านปฏิบัติธรรม สรุปว่า การสั่งสมบารมี บารมีโลกีย์ก็ได้ บารมีโลกุตระก็ได้ อย่างท่านทิ้งทางโลกมา จะเป็นเดรัจฉาน วิชาไสยศาสตร์ ก็เคยผ่านมาแล้ว ทิ้งไปแล้ว มาเอาโลกุตระเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐ สิ่งที่วิเศษ เอาอันนี้ดีกว่า
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 11:30:45 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:19 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:51:09 )
รายละเอียด
ถ้าหากพระโพธิสัตว์ไม่เห็นใจแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่อาตมาเห็นใจ โดยตั้งจิตว่าจะพยายามพากเพียร ถ้าเราพากเพียรขึ้นก็จะสะสมบารมีขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า ก็เอาเถอะคนเราเกิดมาเป็นคนนั้นสูงสุดได้สูงสุดเท่าพระพุทธเจ้า จะเสียชาติเกิด เราเกิดมาในชาตินี้เราเป็นคนให้ถึงสูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้าให้ได้ อยากเป็นกันไหม แล้วตั้งจิตกันไหม
เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว ถ้าคนที่ได้ภูมิอรหันต์แล้ว คือคนที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลย แยกธาตุไปเป็นอุตุนิยาม ไม่เป็นจิตนิยามได้แล้ว แต่ยังไม่แยกจะทำต่อ นี่คือโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทไม่รู้เรื่อง เขาตีทิ้งเป็นปุถุชนแล้วเอาโพธิไปใส่ไว้ตรงไหน โพธิคือความตรัสรู้ โพธิสัตว์ก็คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงจึงรู้ลำดับนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7จึงได้รู้ลำดับดีพอสมควร แล้วลำดับที่อาตมาจะต้องไปอีกจึงรู้ล่วงหน้าพอสมควร
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:06:11 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:20:06 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 12:58:23 )
รายละเอียด
เรื่องความเกิดความเป็นความตายการสั่งสมสัมภาระวิบาก อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านอะไรมามากก็พอรู้ พัฒนาการของสัมภาระวิบากของการเกิดมาเป็นชีวิต มันนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่ง อย่างอาตมาทุกวันนี้ก็ยิ่งเห็นว่า มันทรมานจริงๆ การเป็นคน คือมันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
แต่ดีที่เรามีภูมิปัญญาตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร สุดเบื่อจริงๆเลยชีวิต คิดอาจจะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยเดี๋ยวนี้ แต่อาตมามีสัมภาระวิบากที่ได้ตั้งปณิธานจิตไว้แล้ว จึงไม่ได้จะเป็นอย่างที่พูดเสียทีเดียว มันก็จะมีพัฒนาการ ยังมีความยินดี ยังมีความพอใจที่จะมุ่งมาดปรารถนาดำเนินชีวิตให้ดำเนินไปยิ่งๆขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออายุศาสนาด้วย ต่อภพภูมิตนเองด้วย เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติด้วย เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แม้มันจะเหน็ดเหนื่อยมันจะน่าเบื่อ มันจะทรมานทรกรรมอย่างไร เราก็วาง ก็รู้ความจริงพวกนั้นหมดเราก็วาง ดำเนินไป ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นทำกิจที่เราตั้งปณิธานไว้ต่อไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบบริหารประเทศที่โลกมีกัน 9 แบบ วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2564 ( 05:13:27 )
รายละเอียด
ขอพูดประเด็นนี้ก่อน ก็ท้าวความว่าตลอดเวลา พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์แม้อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นมนุษย์เป็นคนเหมือนกันกับทุกๆคน เสร็จแล้วก็มาเห็นจุดสำคัญของโลกุตรธรรม เริ่มจุดประกายโลกุตรธรรม เป็นอัญญธาตุ ก็สะสม อัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นที่แตกต่างจากโลกียธาตุ เป็นโลกุตรธาตุ จนมี อัญญธาตุ 50 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก็จะมีรังสีออกมาให้เห็นเหมือนกับอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของมนุษย์คนแรกที่รับรู้โลกุตรธรรม แสดงออกความจริง จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า โอ้! อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ รู้แล้วนะ รู้อะไร รู้สิ่งที่เป็น อัญญธาตุ อัญญาคือความรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นความรู้โลกุตระที่เป็นอื่นจากโลกียะ อัญญะ แปลว่า อื่น จากอันที่มันมีอยู่แล้ว ก็คือโลกุตรธรรม
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะได้ โอ้! โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ในบรรดาพราหมณ์ 5 รูป โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่มกว่าเพื่อน ได้รู้ขึ้นมา โอ้ เสร็จแล้ว เริ่มรู้โลกุตรธรรม ท่านก็เริ่มสอนความรู้โลกุตรธรรมไปตามลำดับ ท้าวความถึงว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ เมื่อท่านเองท่านได้รับกระแสของโลกุตระ หรือ อัญญธาตุ ขึ้นมา ท่านก็ติดตามศึกษา พยายามติดตามศึกษา เรียนรู้ฝึกฝนตาม ซึ่งมันกว่าจะได้พบเกิดสภาพพวกนี้ขึ้นมา นับกาละไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติ ในการเกิดวนเวียนของมนุษยชาติ แต่ละคนแต่ละคนไม่รู้กี่ล้านๆชาติ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ล้านๆชาติ จึงได้มาพบสิ่งนี้ แล้วก็ค่อยๆจุติ สั่งสม อัญญธาตุ จนกระทั่งมีมากพอที่จะทำให้พระพุทธเจ้า หยั่งรู้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม หยั่งรู้อัญญธาตุในจิตของโกณฑัญญะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 09:24:00 )
รายละเอียด
คือการสัมผัสเครื่องอุปโภค บริโภค สัมผัสกับสัตว์อะไร มันจะเกิดกิเลสอย่างไร ก็เรียนรู้ เข้าใจ เป็นผู้ตื่นรู้ให้ทันกิเลส แล้วฆ่ากิเลส ด้วยความศรัทธา ความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อ ปฏิบัติไป ก็จะเกิดความละอาย เกรง กลัว ต่อบาป หิริ โอตตัปปะ จนได้เป็นพหูสูต ทำให้กิเลสลดลงไปได้มาก จนสามารถเป็นพหูสูต เป็นผู้ได้ธรรมะ ลดกิเลสลงไป จนสามารถรู้จักธรรมะ มีสัจธรรมในตัวเอง ก็จะเป็นผู้ที่นำพาคนอื่นต่อไปได้เรียกว่าเป็นพหุ หรือ เป็นสารถี ที่จะนำพาผู้อื่นต่อไปได้
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 13:47:23 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:23:58 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:37:03 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 17:22:59 )
รายละเอียด
การสำรวมใจ คือ ต้องสำรวมจากนอกไปถึงใน ถึงรูป อรูป พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องการปฏิบัติอันเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ ต้องเป็นลำดับ อย่างหยาบยังไม่ได้เลยยังไม่รู้ความสูญจากหยาบแท้ๆ แล้วจะมาสูญระดับอรหันต์
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอารยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่1 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:08:53 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:27:28 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:01:59 )
รายละเอียด
ภาวนา ที่เป็นการสำเร็จผล อะไรล่ะสำเร็จ ก็คือทำทานให้สำเร็จ ปฏิบัติศีลหรือทำศีลนี้ให้สำเร็จ ฟังดีๆนะ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาเป็นผลของทาน ภาวนาเป็นผลของศีล ทีนี้ผู้ที่เข้าใจผิดมิจฉาทิฏฐิไปหลับตา สะกดจิตเข้าไป หลับตาหลับตา ศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ ทานก็ไม่ได้ปฏิบัติ แล้วมันจะมีวันเกิดผลไหม?.. หมด.. หมดสิทธิ์เลย เพราะไปนั่งหลับตานี้ ทานก็ไม่ได้ไปปฏิบัติจริง ศีลก็ไม่ได้มาปฏิบัติจริง เพราะฉะนั้นคือปิดประตูเลย
มันก็ไม่ได้ทำเหตุเลย ปฏิบัติศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ เขานั่งหลับตาสะกดจิต เพราะฉะนั้นฟังดีๆเถิดท่านทั้งหลายที่นั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ หยุดได้เลย มันผิด ต้องมาศึกษาจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ หรืออย่างน้อยก็มาฟังโพธิรักษ์อธิบายเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณก็ไปจบที่ อาฬารดาบส อุทกดาบส แน่นอน คุณก็ไม่ได้เป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่เป็นลูกอาฬารดาบส เป็นลูก อุทกดาบส เพราะฉะนั้นจะต้องมาเรียนทาน เรียนศีลให้สัมมาทิฏฐิ มาทำความเข้าใจทานกับศีลให้สัมมาทิฏฐิ ที่บอกว่าอาตมาพูดว่า ทำทานกัน ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติศีลก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิในชาวพุทธทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงไม่บรรลุธรรม เพราะในคำสอนพระพุทธเจ้าก็มี ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันผิดไปทั้งทาน ทั้งศีลแล้วคุณจะเอาผลที่ไหนมา มันผิดตั้งแต่กลัดกระดุมเม็ดแรกอย่างที่พูดแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก
เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:41:20 )
รายละเอียด
และ ตัวเองจะเป็นได้ จะแยกธาตุจิตนิยามของตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมได้ แต่ยังไม่แยก ตายแล้วก็กลับมาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า หรือสืบทอดธรรมะอันยิ่งใหญ่โลกุตระนี้ต่อไปอีก ให้มันยืนยาวที่สุดเท่าที่มันสมควรจะอยู่ ของพระสมณโคดมควรอยู่เท่านี้ ของสมณะโกนาคมโนควรอยู่เท่านี้ ของสมณะกัสสปะจะอยู่เท่านี้ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็สมกับความเป็นจริงที่ต้องเป็นจริงอย่างนั้น จะนานเท่าใดอย่างไร ก็ตามสัจจะที่มี ท่านได้ระบุไว้หมดแล้ว
เหมือนกับที่ทางเทวนิยมเชื่อว่า ทุกอย่างพระเจ้าบันดาล ตีกรอบไว้หมดแล้ว สั่งการจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าจัดการไว้หมดแล้ว อย่าทำให้พระเจ้าท่านโกรธก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นท่านเปลี่ยนแปลงให้ไปลงนรก เพราะฉะนั้นก็เอาใจพระเจ้าไว้ดีๆ ก็อย่างนี้ทั้งนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:25:24 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:11:28 )
รายละเอียด
ได้ เอาคำว่า อำนาจมาขยายความ เป็นการสืบทอดอำนาจ และอำนาจนี้เป็นธรรมาธิปไตย ไม่ใช่เป็นอำนาจที่มีอัตตา อำนาจที่เห็นแก่ตัว แต่เป็นอำนาจของธรรมาธิปไตย คำว่าอธิปไตยแปลว่าอำนาจ เป็นอำนาจโดยธรรม เป็นอำนาจที่เป็นธรรมะประเสริฐสูงส่ง โดยความเป็นจริงนะ ไม่ใช่เอาพูดแต่เพียงภาษา เท่านั้น แต่เป็นพฤติกรรมจริง จิตวิญญาณมีภูมิปัญญาจริง มีคุณธรรมคุณวิเศษที่เป็น โลกุตรธรรม ถึงขั้นไม่มีตัวตน ถึงขั้นรับใช้ประชาชน ถึงขั้นซื่อสัตย์ ถึงขั้นมีสมรรถนะ ความสามารถในการที่จะทำงานให้กับประชาชน นี่เป็นเนื้อแท้ของประชาธิปไตย
ถ้ามีคุณสมบัตินี้ สังคมนั้นดี สังคมนั้นสงบ สังคมนั้นอยู่เย็นเป็นสุข แน่นอน อย่างเมืองไทยเรานี่สูงสุด อาตมาพูดนี้น่าหมั่นไส้ ในโลกมีตั้ง 200 กว่าประเทศ มีบางประเทศเขายกให้ประเทศไทย อยู่ในระดับ top ten เหมือนกันนะ เป็นประชาธิปไตย หรือว่าที่มีความเจริญ เป็นประเทศเล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็กนัก เล็กกว่านี้ยังมีอีกเยอะ เขาก็จัดอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 กันยายน 2565 ( 14:01:07 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:18:26 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 12:58:50 )
รายละเอียด
คือเรามีทั้งความหมายของพยัญชนะที่สื่อให้คนอื่นได้รู้ร่วม กับความเป็นไปได้จริง ตามสภาพพยัญชนะตัวหนังสือ สื่อ ความหมายเอาไว้ พวกเราก็อามาปฏิบัติให้ได้จริงในรายละเอียดที่มีตัวอย่าง 3 ภาพ 5ภาพ 7 ภาพ อย่างที่ว่าไว้ เราทำให้ได้จริง ตามนั้นแล้ว จะยืนยันกับสังคมโลก โลกเขาก็ทำ เขาก็จะได้เราก็จะได ของเราเข้าลึกถึงจิตวิญญาณมากว่า ยกตัวอย่างเช่น พวกเรามาเป็นคนจน มาเป็นสาธารณโภคี นำหน้าเขาไปลิ่วแล้ ชาวโลกเขายังไม่ได้แม้แต่ความเห็นว่า แต่คะคน มาลดตัวตนมาเป็นคนจน มีน้อยลงๆ ต่างประเทศมีคนบางคน ทำตัวเองให้จน ประธานาธิบดีจน ประธานาธิบดี อุรุกรัย คนก็ชื่นชมกัน แต่คนที่ 2 ที่ 3ที่เป็นประธานาธิบดี จนเหมือนอุรุกวัย ไม่เห็นมีเลย มันไม่ง่าย แต่ที่นี้ ซับซ้อน อย่างประเทศไทย ในหลวงรัฐกาลที่ 9 ท่านเป็นคนจน แต่มันมีระบบของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สมณะโพธิรักษ์ ท่านก็อธิบายไม่เก่ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความเป็นโพธิสัตว์ที่ลึกซึ้ง สมณะโพธิรักษ์ เข้าใจ แต่ท่านจำนนที่ต้องเป็นเช่นนั้น มันต้องมีขั้นระดับ มีสมมุติสัจจะ มีปรมัตถสัจจะซ้อนในนี้ที่ยากอธิบาย
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:50:13 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:31:29 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:04:13 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 10:21:52 )
รายละเอียด
คนเราก็ใช้อาศัยภาษานี้สื่อ สัตว์เดรัจฉานมันมีภาษาเหมือนกันแต่ภาษามันน้อยไม่เหมือนคน มันก็ส่งเสียงกัน รู้กันนิดๆ หน่อยๆ ที่มันรู้ อย่างนั้นอย่างนี้มันก็รู้กันมันก็เข้าใจกันตามประสา
ประสา คำนี้ก็คือภาษานั่นแหละมันกร่อนและเพี้ยนมาจากคำว่าภาษา ตามประสา ตามที่สื่อภาษา แล้วก็รู้ตามสิ่งที่สื่อตามประสา ตามภาษา ตามประสา แล้วเราก็เข้าใจกันได้
อาตมาเกิดมาชาตินี้ได้ภาษาที่จะสื่อมาเป็นภาษาไทยกับภาษาอีสาน อย่างเก่งนะได้ตั้ง 2 ภาษา ลาวที่อีสานพูด เหมือนกับที่ประเทศลาวพูดจริงๆ อาจจะมีบางคำที่ไม่เหมือนกันสำเนียงไม่เหมือนกันนิดหน่อย นอกนั้นก็สื่อเหมือนกันหมด เพราะดินแดนเดียวกันแบ่งเขตกันไปแบ่งเขตกันมา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า ส่งท้ายปีเก่า งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
สวดอภิธรรมส่งท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 11:30:25 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมะนี้ ถ้าไม่ได้กับตัวเองจริงๆโดยเฉพาะโลกุตรธรรม คุณไม่ถึงที่สุดหรอกว่า 1 หรือ อัตตา แล้วทำให้ไม่มีอัตตา ทำให้หมดตัวตน ทำให้สูญไปเลย มันเป็นอย่างไร คุณก็ได้แต่พูดไป ตรรกะไป ซึ่งมันต้องมีสภาวะรองรับและคุณก็ทำได้จริงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นอบายมุขที่อยู่ในโลก แต่ก่อนนี้เราติด สิ่งที่ไม่ติดเราก็นึกไม่ออกหรอกแล้วไปติดอะไรคุณก็จะรู้ว่า อ้อ.. อันนี้เนาะ
จนคุณทำได้ คุณไม่ติดยึดเลย กลาง ถาวร ยั่งยืนด้วย มันก็มีอยู่ในโลกแต่เราสูญอย่างอัตโนมัติ อย่างสบาย ไม่เป็นภาระไม่ต้องไปอะไรเลย มีก็เห็น เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส อยู่กับเขาได้ เราก็ไม่มีปัญหาอะไร จะใช้จะสอย จะทำเป็นร่วมด้วยอันที่เป็นประโยชน์ ถ้าร่วมด้วยในสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ก็ร่วมด้วยได้ ซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้เป็นคนฉุด ไม่ได้เป็นคนถ่วง แต่เป็นคนที่มีประโยชน์กับโลกไปตลอดทุกอณู ไม่ทำลายแล้วแถมเป็นประโยชน์ไปในตัวไปตลอดเวลาเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 17:45:13 )
รายละเอียด
คือเห็นการมีพฤติกรรม เห็นแล้ว คนมันโง่ พวกที่รวยๆ เสื้อเขาแขวนไว้ตีราคา 200 ขายไม่ออกสักที เขาก็เลยเก็บไว้นานพอสมควร แต่ออกมาตั้งใหม่ ติดราคา 2,000 ขายได้ภายในเวลาไม่ช้านานเลย อาตมาว่าจริงๆ นะ อันนี้เป็น ตัวอย่าง อันอื่นมันมีแบบนี้มันก็ทำกันไป คือ ประหลาด คนเรานี่โง่ โดยที่หลงว่าตัวเองฉลาด โง่ แล้วหลงว่าตัวเป็นคนชั้นสูง
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 14:58:57 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:35:05 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:06:13 )
รายละเอียด
ไปหลงผิดว่าพระอรหันต์เป็นพวกนั่งหลับตาปฏิบัติอีก ของพระพุทธเจ้าจะบรรลุธรรมต้องลืมตามี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จากการนั่งหลับตาไม่มี แต่ไปหลงว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านนั่งแล้วจะหลับตาหรือลืมตาก็ไม่มีใครรู้ได้ ท่านไม่ต้องนั่งหลับตาก็ระลึกได้ แต่ผู้ที่ยังไม่เก่งก็ต้องไปนั่งหลับตานึก ท่านก็ระลึกของท่านได้ทันที ไม่ต้องหลับตาหรอก ท่านเพียงแต่ระลึกถึงอดีต ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เตวิชโช ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมแต่เป็นการตรวจสอบ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 19:54:03 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:38:32 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:37:40 )
รายละเอียด
การหลงอัตตา คือ หลงสร้างภพชาติ อรูปอัตตา ยิ่งใหญ่หนัก มานะ อติมานะ
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 05:15:31 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:40:51 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:35:35 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:40:23 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:08:13 )
รายละเอียด
แต่ก่อน Jim Thompson กับผ้าไหมไทย มาปักหลัก ก็รวยไปจนตายแล้ว ไหมไทย เมืองนอกตาโต อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพอ คุณไปหลอกชาวต่างประเทศก็ตาม ก็ไม่ใช่ชาติของเรา แต่เขาไม่ใช่คนหรืออย่างไร เขาไม่เป็นทุกข์ร้อนหรืออย่างไร ไปหลอกเขาทำไม ข้อสำคัญคุณไม่รู้จักกรรม คุณไปหลอกนั้นเป็นบาปอกุศลกินหัว กินจิตวิญญาณเลย เป็นมะเร็งทางจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ สะสมก้อนมะเร็งไปเรื่อยๆ โตขึ้นโตขึ้น มันก็ระเบิดเป็นพิษขึ้นมามีแรงระเบิด เป็นมะเร็งไม่รู้กี่เท่าไหร่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นสัจจะที่เขาไม่รู้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 21:23:13 )
รายละเอียด
เป็นการตื่นอยู่ในภพ เป็นการมีโลกอยู่ในกะลาครอบ จะฉลาดอยู่ในโลกกะลาครอบ แต่กับคนที่มีโลกวิทู รู้โลกกว้าง รู้มากมาย ผู้ใดรู้มากกว่ากัน
คือ การหลงโลกในกะลาครอบว่ามันเกิดปัญญารู้มากมาย แล้วก็ไม่มีทางรู้ว่าปัญญาที่รู้นั้น มันเป็นเพียงสัญญาเท่านั้น จากความจำของตัวเอง และตัวเองก็ไม่ได้รู้อะไรใหม่เลย ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร นั่งหลับตาทำเจโตสมาธิที่เขาทำกันอยู่ มันจะมีอยู่แต่อดีต 18 หรือ ฟุ้งซ่านไปในอนาคต 44 มีเท่านั้นไม่มากกว่านั้นแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัจจุบัน ไม่มีทางเป็นอรหันต์
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:19:22 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:43:17 )
รายละเอียด
การ“หลับตา”ปฏิบัติจะไม่มี“เครื่องอาศัย”หรือ
ไม่มี“อาหาร 4”ให้ผู้ปฏิบัติเรียนรู้ได้
จึงหมดสิทธิ์จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“วิญญาณ”หรือ
ในความเป็น“เทฺว”ได้อย่างถูกต้องบริบูรณ์สัมบูรณ์
เพราะไม่ได้เรียนรู้ด้วย“นามรูป”ที่ครบ“กาย”
จึงไม่มี“วิญญาณาหาร”ให้เรียนรู้ เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติใน
ขณะที่มี“อปัณณกธรรม 3”
ซึ่งมีทั้ง“การสำรวมอินทรีย์ 6” มีทั้ง“โภชเนมัตตัญญุตา” มี
ทั้ง“ชาคริยานุโยคะ”
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 180 หน้า 156
เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2564 ( 19:08:24 )
รายละเอียด
การหลับตาปฏิบัติ คือ การมีแต่ความคิดสังขารอยู่ภายใน แล้วปรุงอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยวด้วยเป็นนิรมานกาย เป็นกายที่ไม่มีตัวตน เนรมิตขึ้นคนเดียวของใครของมัน อย่าไปยึดติดของตนเอง สัญญายนิจจานิ สมมุติขึ้นมาของตนเอง แล้วตัวเองก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงแท้เป็นหนึ่งเดียว ความซับซ้อนละเอียดพวกนี้ สมณะโพธิรักษ์เอามาแยกแจกให้พวกเราได้ศึกษาแล้วก็พิสูจน์ มันจะซ้อนเป็นภาวะสอง ละเอียดไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงเร็วจับไม่ทัน ถ้าหากจับไม่ทันมันก็จับได้ผิดตัว ผิดพลาดเสียหายไปแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง หากจับถูกจะทันกัน รู้สมมุติตรงกันก็จะพูดกันรู้เรื่องพูดกันได้ทำอะไรได้เจริญได้มีพลัง
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:43:01 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:26 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:36:32 )
รายละเอียด
“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปกติธรรมดาของโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้ ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ความมีกับความไม่มี” แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่“มี”หรือสิ่งที่“ไม่มี” เป็น“ภาวะ 2” แต่อาตมาเป็น“อนุปคัมมะ” เป็นผู้มัชฌิมา คือเป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่า“พญานาค”มันก็มีสำหรับคนผู้“มี” และมัน“ไม่มี”สำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะเป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” ชื่อว่า “พุทธ” จึงไม่ต้องใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติหรอก
แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)”เทียบ“ฐานปีรามิด” นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มัน ก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 14:41:27 )
รายละเอียด
ปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สำรวมอินทรีย์ เมื่อสัมผัสตาหูจมูก ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสมันไม่เป็นปัจจุบันที่แท้ มันไม่แท้คุณก็อยู่ในภพของสัญญา มันทิ้งไปตั้ง 5 เหลืออีกหนึ่งเดียว ความจริงของคุณมีหนึ่งเดียว ความจริงอีก 5 คุณไม่รู้เรื่องเลยแล้วมันหยาบใหญ่หนักร้ายแรงกว่าในจิตของคุณ คุณก็ทำไปอย่างนั้น แต่ว่าอาสวะบางอย่างอาจจะหมดได้ แต่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย พระพุทธเจ้าไม่รับรอง แม้ได้กายสักขีก็ตาม ยิ่ง ชาคริยานุโยคะ ท่านใช้ศัพท์คำนี้ ชา มาจาก ชาคริ หรือ ชาคระ คระ นี้เป็น Dynamic ชา นี้เป็น Static เป็นธาตุรู้, คระ แปลว่าดำเนินไป มีทั้ง Dynamic และ Static ชาคระ ต้องตื่นเต็มทั้ง 2 อย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หากว่าคุณตื่นแต่มโนกรรม แต่กายคุณไม่รู้เรื่องไม่ได้ศึกษา วจีก็ไม่ได้ศึกษา มีอะไรมาร่วมมีกิเลสมาร่วมไหมมีอะไรเกี่ยวข้องที่เป็นวิบากกรรมคุณก็ไม่รู้เลย เพราะไม่ได้ศึกษาเลย แล้วจะไปตีตัวเองว่าบรรลุแล้วได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการหลับตาปฏิบัติจึงโมฆะเด็ดขาดเลย ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม อาสวะบางอย่างคุณอาจจะดับได้ ถ้ามีครบทุกรูปนามที่เป็นรูปที่อยู่ในภพ เพราะคุณหลับตามีแต่รูปที่อยู่ในจิตเท่านั้น รูปจิต อรูปจิต คนอื่นก็ไม่รับรองกับคุณด้วยมีแต่ สัญญยนิจจานิ คุณกำหนดเองหมด คนอื่นสัญญาร่วมกันคุณไม่ได้ สัญญาของคุณเป็นสัญญาอยู่ในใจคนเดียว คุณไม่ได้มาสัญญากับข้างนอกเขาเลย พอเข้าใจไหมภาษานี้ ไม่มีสัญญากับคนอื่นเท่าไหร่ก็มีแต่สัญญาคุณคนเดียว อย่างนี้จะไปอ้างอิงกับใครก็ได้ แต่ถ้าคนมาอยู่ร่วมกับภายนอกมีคนรับรองคุณได้เซ็นสัญญาร่วมกับคน 1 คน 2 คนร้อยพันคนมันจะเป็นความจริงยิ่งกว่าหรือไม่มันก็เป็นความจริงยิ่งกว่า อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นคำว่า ตื่น ชาคริยา หรือ ชาคระ ชาครี มันเป็นความมีสติเต็มทางกายกรรมวจีกรรม มโนกรรม ถ้าคุณมีสติเต็มแต่มโนกรรม คุณจะไม่รู้เรื่องกายกรรมวจีกรรม สติสัมปชัญญะข้อบกพร่องจะไปเอาความรู้ความชัดเจนความบรรลุความละเอียดลอออันนั้นจากนั้นได้จากที่ไหนกัน
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:37:10 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:08:32 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:14:47 )
รายละเอียด
“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดจากโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปกติธรรมดาของโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้ ไม่มีอื่นหรอก สรุปแล้วมี 2 ขั้ว “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันให้ได้ให้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43)
อาตมาทำ pattern ของการเดินทางของการสืบสานโลกุตระไว้ 500 ปีจะ peak สูงสุดแล้วก็จะไม่สูงไปกว่านั้นแล้ว อยู่สุดยอด แล้วจากนั้นจะค่อยๆเสื่อมเป็นโมเมนตั้ม ลงไปอีกนาน กว่าจะจบก็ไปอีก 2500 ปี ก็ค่อยๆเสื่อมผิดเพี้ยนเหลือน้อยลง โลกุตระเละเทะไปเรื่อยๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2565 ( 14:15:05 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:22:43 )
รายละเอียด
สรุปว่าไปหลับตาปฏิบัติ แล้วก็หลงว่าบรรลุธรรมอย่างสายหลวงตามหาบัว เป็นต้น จึงเป็นเรื่องโมฆะ เป็นเรื่องที่ทำลายศาสนาพุทธอย่างร้ายแรง ยิ่งกว่าโจร ปล้นศาสนาอยู่ พระพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนอย่างกับพระราชารู้ จับโจรปล้นสมบัติได้ พระราชาก็บอกให้เจ้าหน้าที่เอาโจรไปฆ่า แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้า โจรก็มานั่งหลับตาโชว์แล้วก็มาประกาศหลับตาอยู่นั่นแหละ ไม่ตาย พระราชาก็ถามตั้งแต่กลางวันว่าตายหรือยังไอ้โจรนะ ก็ตอบได้เลยว่า มันยังนั่งหลับตาโชว์อยู่เลยจ้า พะยะค่ะ พระราชาก็บอกว่า ไปแทงให้ตายอีกด้วยหอก 100 เล่ม ไอ้พวกโจรปล้นศาสนาหลับตาอยู่ เข้าไปแทงอีก 100 เล่ม เสร็จแล้ว เจอตอนเย็น พระราชาก็ถามว่า ตายหรือยัง ไอ้โจรหลับตาปล้นศาสนานั่นน่ะ มันยังอยู่เลยพระเจ้าค่ะ ไปฆ่ามันอีกด้วยหอก 100 เล่ม เจ้าหน้าที่ก็เอาไปฆ่าอีก แล้วก็ยังหลับตาอยู่อีกก็เปิดปลายเอาไว้ว่าไม่ตรัสต่อ ปลายเปิดเอาไว้ จนวันนี้ มีหลับตาอยู่ไหม ก็ยังหลับตาอยู่อีก เอาหอกอีกกี่ 100 เล่มไปแทง ก็ยังหลับตาอยู่นั่นแหละ เห็นไหม ก็ยังมีโจรปล้นศาสนาอยู่อย่างนี้แหละ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2565 ( 12:50:32 )
รายละเอียด
มีอุปการะหลับตานั้นมี ทำได้กับสัมมาทิฏฐิ โดยชัดเจนว่า
1. ทำเพื่อพักผ่อน
2. ทำเพื่อศึกษา จิต เจตสิก ในภพภูมิของสัญญา หลับตามีแต่อดีตกับอนาคต จะศึกษาสภาวะอาการที่อยู่ในสัญญา ซึ่งไม่ใช่ของจริง ของจริงต้องมีสัมผัสปัจจุบัน อดีต อนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน
3. ทำเตวิชโช คือ การตรวจสอบลงบัญชี บุพเพนิวาสานุสติญาณ – จุตูปปาตญาณ – อาสวักขยญาณ ผู้ที่ทำ
เตวิชโชคุณต้องปฏิบัติให้ได้ก่อนแล้วจึงไปลงบัญชี ดังนั้น เตวิชโชนั้นสำหรับผู้ที่ทำได้แล้ว
4. ทำเอาไปเล่นฤทธิ์เดชเป็นอาเทสนาปฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ อย่างนี้ของพุทธตีทิ้ง ไม่สนใจ ผู้สนใจ คือคน
นอกรีตศาสนาพุทธ พุทธะคือ ผู้ตื่น ไม่ใช่ไสยะคือผู้หลับ
หนังสืออ้างอิง
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:21:50 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:45 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:16:38 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:19:18 )
รายละเอียด
“หลับตา”นั้น ไม่มีการรับรู้จาก“ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย” มันไม่มี“สำรวมอินทรีย์ 6” มันมีแต่สำรวมอยู่แค่“อินทรีย์ 1 คือ“ใจ”เท่านั้น มันก็“รู้”ได้แค่“วน”อยู่ในกรอบของ“ใจตนเองภายใน”เท่านั้น มันไม่มี“โลกภายนอก”อันเป็น“พหิทธา (ภายนอก)”ที่จะต้องมีคู่กันทั้ง “ภายใน (อัชฌัตตัง)”และทั้ง“ภายนอก (พหิทธา)”ครบ 2 จึงจะเป็น“กาย” “ความรู้”ย่อมรู้แคบๆอยู่เฉพาะ“ตนเอง” ไม่รู้ร่วมกับผู้อื่นผู้ใด“การหลับตา”แล้ว“คิดไปได้ต่างๆนานาสารพัด”มันก็คือ“ของตนเอง”คนเดียวเดี่ยวๆอยู่ใน“ตน”ที่ไม่มี“โลกภายนอก”แท้ๆ ชัดมั้ย?
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 420 ข้อที่ 570
เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 14:42:57 )
รายละเอียด
การหลับตาไม่ใช่ทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้าเลย มันเป็นอุปการะ เราก็ใช้การนั่งหลับตาเป็นการศึกษาการพักผ่อน ใช้เตวิชโช ศึกษาเรียนรู้ภายใน ภาวะที่นิ่งคุณก็พิจารณาอะไรได้สะดวกและง่ายได้เยอะแยะมากกว่า หรือเป็นการตรวจสอบ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 09:41:46 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:01:36 )
รายละเอียด
การหลับตาไม่มีอะไรพวกนี้สักอย่าง ไม่มีเลย ได้แต่สร้างภพชาติ เหมือนพวกนักศิลปินเพ้อเจ้อ ขีดเขียน บอกว่ายอดเยี่ยม ไม่รู้มันเป็นอะไร แล้วพวกนี้คือพวกหาเทคนิคในการที่จะเอาเหตุปัจจัยที่จะเอามาผสมกันได้แล้วก็ทำให้แปลกๆ แล้วสมมุติว่านี่แหละคือศิลปะของข้างานของข้านี่แหละคือศิลปะ ใครดูแล้วอ่านออกอันนั้นน่ะเก่ง ใครดูไม่เก่งก็บอกว่าหัวไม่ถึงเท่านั้นเอง ทุกวันนี้เห็นพวกปั้นยังมีดินน้ำลมไฟให้สัมผัส แต่พวกสีนี้ก็สัมผัสได้น้อยกว่า อาตมาเห็นศิลปินใหญ่ที่งานเขาเอาเข้าพิพิธภัณฑ์พันล้าน พูดแล้วเมื่อยจริงๆ ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้ อาหาร ให้บรรลุถึง อรหันต์
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:15:05 )
รายละเอียด
การหลุดพ้นข้างนอก คือ เป็นการหลุดพ้นไม่ได้หลับตา พ้นแล้วก็ลืมตา ถูกกระทุ้งกระแทกแต่อาการหยาบภายนอกไม่มี มีแต่อาการภายใน มีหิริโอตตัปปะมากพอ จะเกรงกลัวต่อ กิริยาน่าเกลียดน่าชัง จะมีปฏิภาณปัญญาว่า อย่างนี้ไม่ทำ ไม่เอาจะมีปฏิภาณปัญญา ไม่ทำอาการหยาบคาย จิตมันไม่มีแรงพอที่จะอดไม่ได้ไปทำภายนอก มันสำรวมได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก หมดภายนอกเหลือแต่ภายในไม่ยาก
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอารยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:11:16 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:52:12 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:18:47 )
รายละเอียด
อบายเป็นสิ่งที่ใหญ่สำหรับคนบางคน แต่ก็เป็นสิ่งที่เล็กนิดเดียวเรื่องจ้อยมากเลย แต่คุณไปตกเป็นทาสมันใหญ่ บังคับคุณเบ้งเลย แต่คนที่พ้นแล้วว่าเรื่องขี้ผงไปลุ่มหลงอยู่ได้ หยาบจะตายชัก มันจัดจ้านในทางโลก เหลวเละในทางโลก แต่มันใหญ่สำหรับคุณเหลือเกินคุณต้องยอมมันเป็นทาสมัน สัตว์นรกตัวนี้ สัตว์นรกที่ต่ำที่สุด แต่สำหรับคุณนั้นมันใหญ่จนคุณเป็นทาสมัน ไม่ยอมกระดิกออกเลย บูชาเคารพ ความชั่วนี้ อย่างมโหฬารเลยเป็นใหญ่เบ้งเลยแต่คนอื่น โธ่เอ๋ย ชั่วขนาดนั้นยังไม่รู้ตัวหยาบต่ำขนาดนั้นยังไม่รู้ตัว
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:09:30 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:56:49 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:20:37 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:16:56 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:37:39 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:23:07 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 10:58:18 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:41:17 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:24:01 )
รายละเอียด
ไม่ได้เข้าไปหาศาสนา ที่ท่านอธิบาย เป็นเหตุผลเฉยๆ เป็นตรรกะ เป็นสมถะ เอาตรรกะมาเป็นสมถะ มาเป็นเครื่องมือในการที่เราจะระงับก็ระงับได้ ระงับด้วยเหตุผล ระงับชั่วคราว ไม่ได้เป็นการวิจัยเข้าไปแล้วก็ปฏิบัติ เพื่อละลด เป็นสมถะลืมตา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูสนทนาธรรมกับปัจฉา เวทนา 108 ย่อความให้ง่าย วันที่ 10 ตุลาคม 2561
ในสวนดาว ถอดความ
เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:09:35 )
รายละเอียด
แต่เขาอธิบายกันไปเลอะเทอะคำว่า สันตุฏฐิ สันโดษ แปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ อาตมาก็เคยอธิบายหลายทีแล้ว ก็ไปถามคุณเจริญที่ร่ำรวยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเจริญโภคภัณฑ์ หรือเจริญ สิริ เขาก็พึงพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ แสดงว่าเขาก็สันโดษ คุณเจริญ ธนินท์ หรือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เขาก็พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ นี้ไปแปลภาษาไทยเละไปหมดเลย ซึ่งมันต้องแปลว่า ใจรู้จักพอ ใจมีขีดจำกัดที่จะต้องพอ แล้วเข้ามาหาน้อย มาหา อัปปิจฉะ ด้วย ไม่ใช่ไปมีมากๆๆ เท่าไรแล้วพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มันจะรู้จักพอได้อย่างไร อย่างนั้น เป็นการแปลคนละเจตนารมณ์ ออกนอกลู่นอกทาง อย่างนี้ที่เป็นการเบี้ยวบาลีของพระพุทธเจ้า
สันโดษ ก็ดี จึงรู้ความจริงและเป็นคนขัดเกลาตนเอง ขัดเกลาที่มันเป็นเลือดของโลกียะเป็นเเรื่องของคนปุถุชน คนโลกๆ ชัดเกลา เรียนรู้เข้าใจชัดเจนเลยว่าเดินทางโลกุตระเป็นเช่นนี้ ถ้าจะปล่อยตัวเป็นโลกียะก็เป็นเช่นนั้น จมอยู่กับโลกีย์ ไม่งอกไม่เงย
ต้องขัดเอากิเลสที่เหลือออกจนกว่าจะหมด จนกว่าจะเป็นอรหันต์ ต้อง สัลเลขะ ธูตะ ตามหลักเกณฑ์ข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ที่จะเคร่งครัดไปเรื่อยๆ ทำได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามหลักเกณฑ์ที่เคร่งครัด ผู้ที่ทำได้ตามลำดับ มันเป็น ศีลเคร่งหรือข้อปฏิบัติที่เคร่งขึ้น คนอื่นปฏิบัติไม่ง่าย แต่ผู้ที่ทำได้แล้วไม่ยาก ผู้ที่เคร่งนั่นแหละ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไปเรื่อยๆ เรียกว่า ธูตะ
ซึ่งมันเป็นสังคม เป็นพฤติการณ์ของมนุษยชาติ ที่มันจบนะ นอกจาก ปาสาทิกะ แล้วก็มีอปจยะ มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ต้องสะสมอะไรเลย ใช้ส่วนกลาง ใช้สาธารณโภคี ไม่ต้องไปสะสมอะไร สบาย ไม่ต้องแบกต้องหาม ไม่ต้องมานั่งคิดบัญชี เรื่องบัญชีที่จะต้องคิดตามธรรมตามสัจจะ ก็ให้ผู้ที่ต้องทำบัญชีเขาทำได้ ก็ต้องทำบ้าง ไม่ทำมันก็ไม่รู้ไปมาอย่างไรมันมีหรือไม่มี มีอยู่หรือไม่มีอยู่ มันก็ต้องศึกษา
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าทุกอย่างลงตัวตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไม่ต้องสะสม เสร็จแล้วมาเป็นคน เป็นคนมีวรรณะ ข้อสุดท้าย ข้อที่ 9 วิริยารัมภะ ทุกคนขวนขวาย ตั้งใจพากเพียร มีชีวิตรู้ว่าขี้เกียจเป็นอบาย ซึ่งมันก็ไม่มีขี้เกียจแล้ว พวกชาวอโศกอยู่ในนี้ ขี้เกียจมันน่าละอายจริงๆอยู่ในนี้ใครที่ขี้เกียจ ตัวเองรู้สึกตัวได้ก็จะละอาย จึงเป็นภูมิธรรมที่แท้จริง
เป็นคนที่ วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ถึงจะมีเลือดขี้เกียจ เป็นคนขี้เกียจหนักหนามาอย่างไร มาอยู่ที่นี่มันก็ต้องขี้เกียจไม่ได้ มันก็ต้องละอาย ละอายอย่างแรงกล้า เพราะมาอยู่ในหมู่นี้ เราจะเป็นคนหมาหัวเน่าอยู่ในนี้ มาขี้เกียจให้เห็นกันขึ้นขนอย่างนี้ เพื่อนก็ว่าเอาแย่อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งมันเป็นพลังองค์รวมของหมู่กลุ่ม ที่ให้คุณขยันอยู่เสมอ พยายาม ท่านประยุทธ์ท่านแปลว่าระดมความเพียร วิริยารัมภะ ระดมความเพียร ก็ใช่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรมของศีลข้อ 1 ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้ วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:45:29 )
รายละเอียด
วัฒนธรรมที่ส่ง ยะถาสัพพี กรวดน้ำส่งให้คนนั้นคนนี้ มีคนมาแย้งว่า พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ซึ่งพระพุทธเจ้ายังไม่อยากจะขัดใจ เพราะพระเจ้าพิมพิสารตอนนั้น ท่านจะไปขัดขืนอะไรได้มากมาย บอกว่าอุทิศให้เปรต ท่านก็อนุโลมให้ แต่ท่านก็ไม่ได้ร่วมมือไม่ได้ส่งเสริม เพราะท่านค้านไม่ได้ต้องอนุโลมตาม หลายอย่างในพระวินัยท่านต้องให้ยอมตามเช่น ยกให้พระเจ้าแผ่นดินอนุโลมให้ ตอนนั้นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ต้องยอม ไม่ยอมไม่ได้หรอกไม่ยอมไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่ว่ากลัวตาย แต่มันเป็นยุคกาลองค์ประกอบสมัย บริบทนั้นต้องเป็นตามนั้นอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 18:58:40 )
รายละเอียด
ถ้าตนบรรลุแล้ว ในศาสนาพุทธมีสภาพอนุโลมปฏิโลม คนศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วหมดตัวหมดตนไม่ใช่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน แต่จะยิ่งเห็นแก่ผู้อื่นตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็เห็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สกิทาคามีก็หมดตัวตนไปเรื่อยๆเห็นแก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆ อนาคามีก็ยิ่งหมดตัวตนในโลกที่หยาบแล้ว เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นมาก พระอนาคามีจะทำงานเยอะ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:07:03 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:58:51 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:25:20 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 09:37:20 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:42:30 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:26:34 )
รายละเอียด
ก็นึกว่าเป็นการประนีประนอม เหมือนอย่างอาตมายอมแพ้เถรสมาคม เป็นการประนีประนอม ไม่ไปต่อต้านเกิดความสงบ ก็อยู่อย่างยอมแพ้ ทั้งๆที่เรารู้ว่าเราไม่ได้ผิด แต่เราก็ยอมเป็นผู้แพ้ แล้วเราก็รู้ว่าผิด ผิดไม่ใช่เรา เราก็ไม่ได้ไปทำ ถึงแม้ว่าเราจะแพ้เราก็ไม่ไปทำอย่างที่เขา อันที่เขาถือว่าเราผิดแต่เขาถูก แต่ให้เราไปทำอย่างเขานี้ เราก็ไม่ได้ไปทำ เราก็ทำอย่างของเราอย่างที่อาตมาเป็นอยู่นี้ ที่ทำอยู่นี้กับเถรสมาคมเราก็ทำของเราอย่างนี้ ก็เกิดผล อย่างนี้
จนทุกวันนี้อาตมาว่า ผลที่อาตมาพาทำมันพิสูจน์ เถรสมาคมเขาก็ว่าไม่ได้ อาตมาพาทำ อาตมายืนยันทั้งคนที่ทำได้ ยืนยันทั้งตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า แม้คุณจะอธิบายของคุณอย่างโน้น คุณก็ได้ผลอย่างโน้น
เราอธิบายอย่างนี้ก็ได้ผลอย่างนี้ คนที่มีปฏิภาณก็เทียบกันสิ ของอย่างนี้กับของอย่างโน้นอะไรจะเป็นทองแท้ อะไรจะเป็นทองเทียม หรือไม่ใช่ทองมากกว่ากัน คนตัดสินก็คือตัวเองทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ไว้ในนานาสังวาส ให้ฟังความทั้งสองข้าง แล้วก็พิจารณาหรือตรวจสอบ หรือจะปฏิบัติตามดูทั้งสองข้างก็ได้ สุดท้ายคุณก็ตัดสินอันไหนว่าเป็นธรรมวาที เป็นคำสอนที่อันนี้แหละถูกก็เลือกเอาสิ คุณเป็นผู้ตัดสิน
ซึ่งจริงๆก็ลางเนื้อชอบลางยา เราจะไปบังคับเขาไม่ได้ เขาอาจจะบอกว่าอย่างโน้นถูกอย่างโน้นอร่อยกว่าเขาก็ไปอันโน้น อย่างนี้ถูกคนที่ตัดสินอย่างนี้ถูกเขาก็มาเอาอย่างนี้ สุดท้ายนานาสังวาสไม่ทะเลาะกันต่างคนต่างชอบที่ชอบ ของใครของมัน ว่างั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 16:46:00 )
รายละเอียด
ต้องประมาณตามควร สรุปแล้ว อภิปโมทยังจิตตัง คือจิตเบิกบานร่าเริงเสมอ ไม่มีโศกเศร้า ค่อนข้างจะมากนิดหน่อย เพราะว่า โดยบริบทของยุคสมัย
ยุคสมัยนี้ มันทุกข์มาก มันเครียดเยอะ เราก็มีอันนี้ให้มากหน่อย เผื่อเขา เผื่อแผ่ โลกมันทุกข์มาก หรือโลกมันไม่เบิกบาน เราก็แจกเบิกบานให้มากหน่อย แสดงว่า คุณคนที่พูดมานี่รู้จักความจริง อ้อพ่อท่าน มีความจริง พูดอย่างนี้เป็นความจริงทำอย่างนี้เป็นความจริง แสดงว่า คนที่พูดก็ต้องรู้ว่าความจริงคืออะไร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2565 ( 18:25:06 )
รายละเอียด
คนมีทิศทางพอ แม้กระทั่งจะมีก็อนุโลมไปตามเขาเหมือนกับเล่นกับเด็กๆไป อย่างตอนนี้เราก็ไม่มีเวลาเล่นกับเจ้าดีดี ก็เลยตัดไป เขาก็เลยไปที่อื่น เราก็รู้กาละเทศะว่าจะทำแค่ไหน จะมีแค่ไหน ที่จะเอาประโยชน์ได้ เป็นประโยชน์ 1 จริง 2 เป็นประโยชน์ 3 เป็นไปได้ เราก็ทำสิ่งนั้นลงไป ให้เกิดให้มีให้เป็นขึ้น ถ้าไม่ทำมันก็ไม่มีขึ้น เราสามารถทำได้ตามกาละเทศะฐานะที่ควรทำ ก็อยู่ไปอย่างนี้สบายๆ ทำอย่างสัปปายะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:59:38 )
รายละเอียด
คือ ความรู้แท้ กระทบ ผัสสะอันนี้ เขียว มันก็เขียว แต่คนที่มีกิเลส ก็จะมีความชอบ หรือไม่ชอบ สุข หรือทุกข์ แต่ถ้าไม่ ไม่มีกิเลสกันก็เขียวตรงกันหมด เรียกพยัญชนะ บอกลักษณะว่าเรียกว่า เขียว คุณรู้ว่า มันเขียว แต่คุณต้องรู้ว่ามันชอบหรือไม่ชอบ อาการจิตที่มันชอบ หรือไม่ชอบ มันสุขหรือว่ามันทุกข์ ถ้ากลางๆ ก็มีกลางๆ สองอย่างอีก กลางๆ แบบ เคหสิตะเฉยบื้อ ไม่คิดอะไร ก็ไม่ได้เกิด ปฏิภาณ ปัญญาว่า คนเขาถืออย่างไร คุณเคยถืออย่างไร สักวันคุณจะถือไหม ชอบหรือไม่ชอบ คุณก็ไม่ได้ศึกษามันว่าอย่างนี้เราได้ ไม่สุข ไม่ทุกข์ กับมัน หรือยัง เช่นคนนี้ถือสมถะ หรือ ถือปัญญา หากไปกันแกนไหน คนกลุ่มไหน เราก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง หากว่าเขาเลือกสีแดง เราก็ต้องคุยเรื่องสีแดง จะได้คุยกับเขาได้ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตามตาม อนุโลมกับเขาได้ ออกจากเขาเราก็ไม่เอาได้มันก็อยู่ที่เรา ไม่ทะเลาะกันนี่คือการรักษาความสงบอยู่ในโลก
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:01:20 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:04:42 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:27:19 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 13:51:01 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:43:24 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:28:29 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:14:47 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:45:00 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:35:02 )
รายละเอียด
ทีนี้มาวิเคราะห์ที่พระพุทธเจ้าตรัส 5 ประการในการอยู่ป่า มีประการเดียวเท่านั้น ที่เป็นเรื่องสมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจให้ละเอียดอย่างปัญญาด้วย อีก 4 ข้อเป็นพวกที่วิปริต พวกที่โง่งมงาย ข้อแรกเป็นผู้ที่เขลาก็คือผู้โง่งมงาย มีเยอะ ไม่เข้าใจถึงเหตุปัจจัย ที่ยืนยันว่าไม่เข้าใจชัดเจนก็คือ โง่งมงาย ไปอยู่ป่าแล้วหลับตาสะกดจิตอีก นี่มันส่อแสดงให้เห็นถึงความงมงายที่ชัดเจน ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็น ชาคริยานุโยคะ ทำให้ตื่นไม่ใช่ไปทำให้หลับ ไม่ใช่ไปทำให้อยู่ในภพ แต่ทำให้เปิดภพ เปิดสว่างรู้เท่าทันความจริงทุกอย่างครบทั้งนอกใน รายละเอียดทุกอย่าง
เริ่มตั้งแต่กายที่เป็นสภาวะ 2 ทั้งนอกทั้งใน ไปปิดแต่ภาวะนอกคือจะต้องร่วมสัมผัสภายนอก ยังไม่แยกกันภายนอกภายในเรียกว่า กาย เข้าใจไม่ได้ กายต้องมีภายนอกภายใน กายมีแต่ภายนอกไม่ได้ มีแต่ภายในก็ไม่ได้ ไม่มีกาย มีแต่ภายในไม่มีกาย มีแต่ภายนอกไม่มีจิตก็ไม่ได้ ความรู้ในเรื่องกายคำแรกของสังโยชน์ 10 สักกายทิฏฐิ เสื่อมชัด ในศาสนาพุทธยุคนี้ เพราะยังเข้าใจกายว่าเป็นภายนอกเท่านั้น แล้วก็แถมเวลาจะปฏิบัติธรรมจะเข้าถึงการอ่านกิเลสจริงๆ ผ่าเข้าไปดูแต่เพียงข้างในอีก หลับตาเข้าไปอยู่ข้างในอีกทิ้งกายข้างนอกอีก
ในอาณาปานสติสูตร ก็ไม่ได้ให้ขาดภายนอก ต้องมีลมหายใจ สุดท้ายแล้วนะจะเป็นภายนอกอยู่แต่เอาความรู้สึกมาสัมผัสอยู่ภายนอก ถ้าคุณทิ้งความรู้สึกกับลมหายใจภายนอกเข้าไปข้างใน โมฆะเลย ไม่มีอานาหรืออาปาณะ อานา อาปาณะ ลมหายใจเข้าลมหายใจออก คุณตัดลมหายใจออก หรือคุณมีแต่ลมหายใจเข้า ไม่มีลมหายใจออก จริง มันมีลมหายใจเข้าออก แต่มันออกแล้วความรู้สึกของคุณก็ไม่เกี่ยวกับลมหายใจเข้าออกด้วยในพวกนั่งหลับตา เข้าไปอยู่ในภพเลย คุณเป็นคนพิการแล้ว คุณเป็นคนไม่มีลมหายใจเข้า ไม่มีลมหายใจออก พิการแล้ว อานาไม่มี อาปาณะไม่มี จะอันไหนเป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ได้
ปาณะ เอาไปแปลว่า เป็นลมหายใจเลยนะ เป็นชีวิตหรือเป็นสัตว์เป็นลมหายใจ ปาณะ ในพจนานุกรมบาลีก็มีคนแปลไว้อย่างนี้ด้วย ซึ่งมันก็ถูก มันไม่ผิดหรอกมันถูก แต่นี่ ไม่มีอะไรลมหายใจมีแต่ลมหายใจอยู่ข้างใน ที่จริงมันมีลมหายใจข้างนอกแต่คุณไม่มีความรู้สึกกับลมหายใจมัน มันเบา แล้วคุณก็ไม่ได้เอาสัญญามากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย เอาสัญญาไปเจาะกับเกาะอยู่ในภพ นิ่งหรือไม่รู้อะไรข้างนอกเลย อย่าให้รู้ อย่าหายใจออกนอกตัว เขาปฏิบัติกันอย่างนั้น อาจารย์ใหญ่เขาก็บอก อย่าเอาจิตออกนอกตัว อาตมาอยู่วัดอโศการามเขาสอนกันอย่างนั้น อย่าให้จิตออกนอกตัว นั่งหลับตา ไม่ให้ตากระทบรูป หูกระทบเสียงหรือกระทบก็ไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สอนให้ตาบอดหูหนวกกันอย่างนั้นหรือ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันผิดพลาดไปพวกนี้ถึงบอกว่า เป็นการไปอยู่ป่าอย่างโง่งมงาย มันไม่ฉลาดพอเลยที่จะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น แม้แต่ข้อที่ 1 หนีไปอยู่ป่าเพราะโง่งมงายขนาดนี้ มันจะไปพัฒนาเป็นอาริยะ เป็นอรหันต์อะไรได้
ข้อ 2 ไปอยู่ป่าแล้วจะได้รับความนิยมชมชอบว่าเป็นพระปฏิบัติเป็นพระกรรมฐาน เป็นพระธุดงค์ เป็นพระปฏิบัตินั่นแหละ ถ้าพระปฏิบัติไม่ได้ออกป่า มันงมงาย ไม่ได้ออกป่า เขาว่าไม่ได้ปฏิบัติ ก็มีความปรารถนาเข้าใจว่าจะไปเป็นพระปฏิบัติต้องออกป่า เขาจะได้นับถือ นี่เป็นความคิดลามก นี่ข้อที่ 2 ผู้ปฏิบัติความปรารถนาลามก อันความปรารถนา ครอบงำ เป็นความปรารถนาลามก ที่จริงก็คือมิจฉาสังกัปปะ เป็นความปรารถนาที่อวิชชา คำว่าลามกแปลมาจากอวิชชา มันผิด มันเป็นความปรารถนาที่ผิด ไปอยู่ป่า ฟังไว้หน่อยพวกสายหลับตา ทั้งที่ข้อ 1 คุณก็ใช่ ข้อ 2 คุณก็ใช่
ข้อ 3 วิกลจริต หรือมีจิตฟุ้งซ่าน คือไม่ปกติแล้วทั้งวิกลจริต ทั้งฟุ้งซ่าน ไม่ปกติแล้ว มันวิปลาสทางจิตแล้ว วิปลาส 3 มีอะไรบ้าง ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ถ้าหากจิตวิปลาสต้องส่งโรงพยาบาล แก้ทางประสาท ถ้าสัญญากำหนดหมายวิปลาสก็ผิดในการกำหนดหมาย ถ้าไปถึงทิฏฐิวิปลาสมันก็หนักกว่าสัญญาวิปลาส ยิ่งถ้าจิตวิปลาส ต้องไปเข้าโรงพยาบาลรักษา วิปลาส 3 ฉะนั้น พวกจิตวิกลจริตหรือฟุ้งซ่าน ก็เห็นความอยู่ป่าเป็นเรื่องมันก็ออกไปไม่เข้าเรื่องเข้าราวอะไร
ข้อ 4 เพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงถือการอยู่ป่า นึกว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ มันมีคำเหมือนกันนะ มีคำพาดพิงว่า การอยู่ป่า ชอบความสงบนี้ดีก็ถือว่าเป็นคำสรรเสริญของพระพุทธเจ้า แต่จริงๆแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าในจรณะ 15 ชัดๆอยู่แล้ว ในความรู้ เป็นวิชชา มันไม่ใช่หนี มันต้องเผชิญ ต้องตื่นรู้ ต้องมีศีลเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นความสำคัญในศีลข้อที่ 1 คุณต้องอยู่กับคน สรุปให้ชัดๆเลย อยู่กับสัตว์โดยเฉพาะสัตว์คนนี่แหละ เป็นตัวการที่คุณจะปฏิบัติธรรม เป็นตัวเหตุปัจจัยที่คุณจะใช้ปฏิบัติธรรม อยู่กับคนนี้แหละ สารพัดแง่เชิงที่จะต้องได้ปฏิบัติธรรมละเอียดลออ สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีกลเม็ดอะไรมากมายให้เราต้องรักต้องชังขนาดเท่าคน คนด้วยกันนี่แหละกิเลสมันสมบูรณ์แบบอยู่ที่นี่
เพราะฉะนั้นศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติเกี่ยวกับสัตว์ แต่ท่านเรียกสัตว์ อาตมาก็ขยายความไปถึง ปาณะ แล้วท่านก็ตรัส ปาณะเป็นหลัก ปาณาติปาตะอย่าทำให้ชีวิตตกร่วงเสียหายลงไป หลุดร่วงลงไป ปาณะ เป็นธาตุจิต เป็นธาตุรับรู้ที่อย่าให้ขาดปาณะ ไปจากอารมณ์ ไปจากจิต ซึ่งมันเป็นความลึกซึ้งมาก อาตมาก็พยายามอธิบาย
ในชีวกสูตร 5 ขอขยายความเพิ่มเติม สุดลึกซึ้งแล้ว มันขยายความถึงขั้น สัญจิจจะหรืออุทิสะ จิตที่มีทิศมุ่ง จิตที่มันมีทิศจะไปให้ถึงตรงนั้นตรงนี้ อาตมาเอาสภาวธรรมมาอธิบาย เขาไปแปลหยาบๆว่า อุทิศ สัญจิจจะ มันมีที่หมาย การกำหนดรู้คือ สัญญาตัวทำงาน สัญจิจจะ สัญญานี้เกิดมีทิศมุ่งหมาย เริ่มตั้งแต่ เจตภูติตัวแรก ไม่ใช่มหาภูติ ไม่ใช่ภูตคาม ละเอียดขึ้นมาเป็นปาณะ สัตว์ที่เริ่มต้น ตนเองต้องมีความรู้ถึงเจตภูติ ที่มันจะรู้จัก เจตภูติคือเริ่มรู้จัก เจตะ เริ่มรู้จักอะไร เริ่มรู้จักความเป็นสัตว์ คือ ปาณะ
สัตตะ มันรู้ได้ง่ายเลย สัตตะคือ 7 ถ้าบอกว่า ปาณะ จะเรียกว่าหนึ่งก็ได้ จะเรียกว่าหาที่สุดมิได้ ก็ได้ เริ่มเป็นชีวะในระดับชีวะแบบนี้ ขั้นเจตะหรือขั้นปาณะ หรือ สัตว์ขึ้นไป ไม่ใช่แค่ ภูตคามหรือมหาภูต ด้วยซ้ำ ที่จริงรู้หมด มหาภูตก็รู้ภูตคามก็รู้ ไม่ใช่รู้แค่ภาษาแปลนะ คุณก็ได้แต่ตามพจนานุกรม คุณจำไม่ได้ตามพจนานุกรม คุณก็พูดไม่ออก แต่อาตมาไม่ได้พูดตามพจนานุกรมเท่านั้น อาตมาขยายความตามประสาของอาตมาที่รู้สภาวะจริง มันก็ละเอียดรู้รอบรู้ละเอียดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ได้ ใน อปัณณกสูตร เล่ม 13
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2566 ( 12:58:31 )
รายละเอียด
คือ เมื่อทำการวบรวมสรุปแล้วมาเรียกว่า การเมือง ตอนนี้การเมืองของฮ่องกง สเปน เลบานอน ชิลี ประท้วงกันทั้งนั้น มีความตุ้บตั้บๆ เมืองไทยมันอยู่รอด พวกเรานี่แหละเป็นดาวประท้วง ประสบผลสำเร็จมาแล้ว รัฐบาลที่ไม่ใช่รัฐบาลกระจอกนะ รัฐบาลที่เฮี้ยนเลยนะ เฮี้ยนขนาดไหน ขนาดเอาตัวเป็นๆ เอาไม่อยู่ หนีออกไปก็ยังสังการได้ ตั้งนอมินีขึ้นมาอีก นอมินีคนที่ 1 พวกเราก็ประท้วงอย่างสันติอหิงสา สงบ ไร้อาวุธ โอ้โห ฝีมือ ไม่ใช้อาวุธ ใช้มือเปล่า ใช้ความจริง ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ หมดๆ นอมินีตั้งมาใหม่อีก เขาตั้งคนนอก สมัครเป็นคนนอกตระกูล ตั้งมาก็แพ้ ก็เลยตั้งลูกเขยในตระกูลเป็นคุณสมชาย ตั้งขึ้นมาอีก ก็แพ้อีกก็เลยเอาสายเลือดในตระกูลเลย เอาน้องสาวมาเลยตั้งขึ้นมาอีก ยังเหลือแต่ลูกเท่านั้น จะตั้งได้หรือไม่ได้ ใครว่าจะตั้งได้ไหม.... ไม่ได้นี่เดามั้ง ? สเปน เลบานอน ชิลี ยังประท้วงกัน ตอนนี้ไม่ได้นัดหมายกัน ก็ยังไม่ค่อยสงบเรียบร้อย แล้ววิธีการประท้วง ก็ไม่เหมือนเรา ไม่มีฝีมือเท่าพวกเรา พวกเราประท้วงได้สวยสด งดงาม เรียบร้อย ราบรื่น อาตมาเบ็ดเสร็จ แล้วนะ
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:21:08 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:50 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:31:13 )
รายละเอียด
คือ การอยู่ร่วมกัน จริตปฏิภาณ ผู้นี้เข้าใจไม่ได้ในเชิงนี้ ก็ต้องพูดแบบนี้ คนนี้ต้องพูดให้ฟังแบบไม่นิ่ง เท่านี้แหละก็เลือกให้เหมาะสมกับผู้ที่มีจริตแบบไหน ยึดถือแบบไหน ถ้าเขายึดถืออีกแบบหนึ่ง เราก็ต้องตีให้แตกเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้าเขายึดถืออีกแบบหนึ่ง ก็ต้องตีให้แตกเป็นอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้คลี่คลายให้เห็นความต่าง แล้วก็จะรู้ความต่าง แล้วก็เอาความต่างนี้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งอย่างสงบ อย่างมีประโยชน์ ไม่ทะเลาะกัน ไม่มีสิ่งเสียหาย มีแต่อยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์คุณค่า สงบ สบาย อบอุ่น เหมือนอย่าง ชาวอโศก นี่ไง จับพวกเซียนๆ เฮี้ยนๆ มาอยู่รวมกันแล้ว ก็ต้องอยู่ร่วมกันอย่างยิ่งนะ ถ้าไม่นิ่ง ก็ต้องเคาะกบาล แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องถูกเคาะกบาลหรอก แต่เข้าใจว่าอย่างที่นี่เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ คนที่ยังดื้อด้าน ดึงดันอยู่ พูดอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด ดื้อด้าน ไม่ค่อยเข้าใจ เข้าใจก็ยังละเมิดอยู่ ก็จะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 13:51:30 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:10:26 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:32:20 )
รายละเอียด
อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีนี้ย่างเข้า 54 ปีมาเรื่อยๆ ได้ผลเท่านี้นี่อาตมาก็พอใจแล้ว ถ้าได้มาอีกก็แน่นอน ถ้าได้เพิ่มอีกมากๆ แต่อย่าไปคิดว่ามันจะได้ อาตมาไม่เคยหวังอันนั้นเลย แค่อาตมาได้ขนาดนี้อาตมาบอกแล้วว่าอาตมานอนตายตาหลับแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:16:13 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 14:00:57 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:38:27 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:33:07 )
รายละเอียด
คือ การแสดงสิ่งจริงที่ตนมี การอวดตนหากมีกิเลสไม่ดี แต่หากอวดตนโดยไม่มีกิเลสอย่างสมณะโพธิรักษ์นี้ดี คนไม่กล้าอวดเพราะไม่มีของจริง อันนี้ก็เป็นธรรมดา แต่ท่านมีของจริง สมณะโพธิรักษ์มีสมบัติสิ่งต่อสู้คือความจริง ใครมาสู้กับท่านก็สู้ด้วยความจริงที่มีทั้งหมด หากหมดความจริงที่มีแล้วก็จบ สู้ด้วยความจริงทั้งนั้นเลย ยังไม่เคยต่อสู้ด้วยความไม่จริง ท่านมีคนเข้าใจแต่ความจริง พูดทุกอย่างอธิบายทุกอันยืนยันได้ คนไม่อ้างพระไตรปิฎก ไม่อ้างพระศาสดาก็คือ พระพุทธเจ้า เป็นเจ้าของธรรมะโพธิ มีคนมาเรียบเรียงเป็นพระไตรปิฎก ท่องจำกันมา แต่เดี๋ยวนี้มีทั้งอักษรและคำพูด
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 15:58:53 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:49 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:37:35 )
รายละเอียด
อายุ ขวรรณะ สุขะ โภคะ พละ คนจะอวยพรไม่ใช่มีแค่อายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่มีโภคะด้วย
แต่ว่าโภคะนี้ เรียกว่าทรัพย์ แต่ว่า ทรัพย์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ หมายเอาโลกียทรัพย์ แต่หมายเอาอาริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ยิ่ง เป็นทรัพย์ที่เจริญ ก็อวยพรกันไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:19:43 )
รายละเอียด
ถ้าไม่พัฒนา เข้าไปใน สุทธาวาส 5 เราไม่เข้าไปอยู่ในสุทธาวาส 5 จะทำปัจจุบันนี้แหละ พระพุทธเจ้าสมณโคดมแม้แต่อาตมาก็ตามสายปัญญา จะไม่เป็นอนาคามีแบบตายแล้วจมอยู่ใน อันตราปรินิพพายี ตามยถากรรมมันจะเสื่อมมันจะพัฒนาอะไรของมันก็เป็นไปตามยถากรรม หรือว่าคุณจะพยายามมากขึ้น อุปหัจจปรินิพพายี เอาใจใส่ฝึกหัดมาก็จะเรียนรู้ทำจิตของเรา มันก็มีความเป็นได้ ก็พยายามที่จะลดละกิเลส ให้มันเป็นไปเองอยู่ในภพชาติ มันก็มีคุณลักษณะของจิตละเอียด มันก็จะเป็นลักษณะของคน อันตรา อุปหัจจะ หรือคุณไม่แค่พากเพียรเท่านั้นแต่เอาใจใส่เลย ใช้ความเพียรประกอบ สสังขารเลย ตั้งใจประกอบให้มันเป็น ปุญญาภิสังขาร กระทำด้วยมีพลังงานที่สร้างพลังงานบุญ ปุญญะ พลังงานที่กำจัดกิเลสได้ ทำให้กิเลสถูกล้างไปได้ด้วยสามารถด้วยปัญญาอันยิ่งก็ยิ่งดี หรือ เก่งกว่านั้นไม่ต้องไปทำอะไรมัน มันก็มีคุณสมบัติสูงแล้ว โดยไม่ต้องใช้ปรุงแต่งอะไรเลย อภิสังขาร เก่งเป็นตัวของมันเองเลยไม่ต้องทำอะไรให้มันมากนักมันก็เก่งยิ่งขึ้น กว่า สสังขาร หรือยิ่งกว่านั้นอุฏฐังโสโต มันใหญ่กว่าอนาคามี 4 อย่างแรกเป็นความสูงที่ไม่เป็นน้องใครเลย เป็นพระอนาคามีที่สูงสุด ก็จะเป็นผู้ปรินิพพานไวที่สุดเร็วที่สุด ก็เป็นคุณสมบัติของจิตเจตสิกต่างๆที่ได้ฝึกฝนมา พระพุทธเจ้าก็เอานัยยะความจริงที่ละเอียดมาแจกแจงแยกแยะ ด้วยพยัญชนะ ผู้ที่เข้าใจจะรู้ว่าเราอยู่ในฐานไหนสภาวะไหนขนาดไหน
ผู้ที่รู้ความเป็นจริงพวกนี้ แม้เราจะรู้ว่าเราเป็นแบบ อนาคามี 5 อย่างนี้ จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่คน ก็เป็นจริงตามแบบแต่ละคนเป็น ตามภูมิของแต่ละคน ถ้าเราสามารถเอามาใช้ปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปเสียเวลา พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญา ไม่เสียเวลาตายแล้วเกิดเลย หากตายแล้วก็จมในภพภูมิตามภูมิปัญญาแต่ละฐาน ลักษณะแบบไหน ไม่ต้อง พวกปัญญาธิกะ สายปัญญาอย่างอาตมานี้ไม่เอาไปแช่อยู่ รีบๆทำไม่เสียเวลามาก รีบให้เป็นอรหันต์ ขนาดรีบๆก็ยังยากเลย แล้วถ้าไม่รีบจะขนาดไหน มันก็จะช้า
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราชฯ วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:50:54 )
เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:43:54 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:13:21 )
รายละเอียด
การไปนั่งสมาธิอยู่ในป่าอย่างมิจฉาฯก็นั่งได้นาน แต่ถ้าแบบพุทธ จะต้องอยู่ป่าก็อยู่ได้หากจำเป็น ถ้าหากโควิดทำให้เราต้องไปอยู่ป่าสัก 5 ปี สบายเลย ขุดมันขุดเผือก บูรณะป่า เสริมต้นไม้ให้กินใบกินหน่วยกินผลได้ อะไรที่ไม่เข้าท่าเป็นพิษภัยก็เอาออก เราก็ทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์มากขึ้นสิ 5 ปีรับรอง เราเป็นคนมีความรู้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็สบายพวกเราไม่ได้ทำลายป่า มีแต่รักษาให้ดี อะไรที่ไม่ดีก็เอาออก อะไรที่เจริญก็เอาไว้ แม้แต่ไม้ที่ไม่ใช่เอาไว้แต่กิน ไม้ที่จะทำให้เกิดความเป็นป่า เป็นองค์ประกอบของป่า เราก็เอาไว้ เราไม่ใช่จะเอาแต่สิ่งที่กินเท่านั้น ยิ่งเป็นชีวกโกมาภัจจ์ บอกว่า ต้นไม้ทุกต้นเป็นยาหมดเลย ไปตัดมันทำไม ก็จะยิ่งอาศัยใหญ่เลย อย่างคุณแตงไท(แพทย์แผนไทย) ชื่อตั้งใหม่ ชื่อ..นายได้คิด ก็ไม่ตัดเลย สรุป การออกป่า อยู่ป่า หนีไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นมิจฉาทิฏฐิ โมฆะ เข้ามาศึกษาฌานสมาธิจรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้าเถอะ นั่นเป็นพุทธคุณ 9 ของศาสนาพุทธ หรือมาศึกษามรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 หรือว่าศึกษาโพธิปักขิยธรรมให้ชัดเจน อาตมาก็ขยายความไปให้รู้ว่า มันไม่ตรงกับที่คุณเข้าใจไปนั่งหลับตาหนีเข้าป่า มันไม่ใช่
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 10:27:39 )
รายละเอียด
สรุปแล้วศาสนาพุทธสอนมาตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ท่านเป็นคนไม่เหมือนอาตมา พระพุทธเจ้า อาตมาตีทิ้งหักล้าง แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ไปลบหลู่ ไม่ตีทิ้งใคร แต่ท่านให้ปัญญา ท่านให้สิทธิเสรีภาพคนจะเชื่อ แท้จริงอ่านดูดีๆ มันผิด แบบนั้นไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธให้ถูก ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระภิกษุจะไม่ออกป่าเลยตั้งใจปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ตั้งใจปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรมให้สมบูรณ์แบบศีลสมาธิปัญญาให้ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นลำดับ บรรลุธรรมเป็นลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จบเลย แต่มันวนกลับ มันเสื่อมจนถือเอาผิดเป็นถูก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 10:55:53 )
รายละเอียด
การเจตนา หรือการทำโดยมุ่งหมายให้เกิดส่วนแห่งบุญที่จะให้ผลแก่-ขันธ์
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 438
เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:04:30 )
เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:40:01 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:38:48 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีไม่กินอาหาร แม้คุณจะส่งอาหารไปให้ ทำทานแล้วมาเรียกผิดเพี้ยนไปว่าเป็นการอุทิศส่วนบุญ เอาไปให้ผู้ตาย มันเป็นฝันลมๆแล้งๆ เป็นความเพ้อ ซึ่งมันไม่มีทางไปได้ เช่น เอากระท้อนปุยฝ้ายกำลังออก คนก็ชอบ บอกว่าปู่ย่าตายายที่เคยชอบก็ตายไป ก็ทำการอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ซึ่งไม่มีทางไปถึงได้หรอก แม้แต่อาหารก็ไปอยู่ในท้องของพระที่ฉันเข้าไป ซึ่งเอาไปให้คนตายไม่ได้หรอก มันจะเหลือส่วนไหนไปให้ เขาก็บอกว่าเป็นนามธรรม เป็นทิพย์ แล้วเป็นทิพย์อย่างไร มันก็ไม่ใช่ของจริงนะสิ ส่งกระท้อนไป มันก็ไม่ใช่กระท้อนแท้ๆ เป็นกระท้อนทิพย์อย่างไร ก็เนื้อกระท้อน หนังกระท้อน มันก็ไม่ไป มันไม่มีไป มันไปไม่ได้ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามันไม่ไป มันจะไปได้อย่างไร อย่างนี้มันเป็นรูปธรรมได้ อย่างนั้นมันเป็นนามธรรม มันก็มีแต่ความคิดปั้นรูปไป เป็นนิรมาณกายเข้าใจตามๆกันไปเป็นสัมโภคกาย ที่จริงแล้วเป็นอทิสมานกาย ไม่มีใครรู้ใครเห็นความจริงด้วยเลย แต่ความจริงที่อาตมาเอามาอธิบาย มั่นใจว่าเขาอธิบายผิด แก้ไขความผิดแก่ผู้หลงผิดด้วย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 18:55:25 )
รายละเอียด
ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“สถาปนา”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100 กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2565 ( 20:38:46 )
รายละเอียด
จะพิสูจน์ได้เราต้องมีญาณอ่านจิตของเรา เรียกว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต อ่านในจิตของเราก็คือในกาย กายคือมีภายนอกอยู่ด้วยร่วมกับจิตของเรา ภายนอกก็ดูไม่ยากตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ภายในต้องมีญาณหยั่งรู้ เรียกว่า กายในกาย กายในกายหยาบไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกและเวทนา แต่ไม่ขาดจากกายรับรู้ภายนอกนะ เรียกว่ากายกับจิต ดูเวทนาก็รู้ถึงความรู้สึก ในความรู้สึกก็เป็นจิตนี่แหละ จิตที่โง่ก็มีกิเลส จิตอวิชชา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 05:14:45 )
รายละเอียด
ก็พอได้เป็นสมถะที่จริงใจ ของพระพุทธเจ้าต้องสัมผัสกับภายนอกด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องยากเบื้องต้น เพราะฉะนั้นจะรู้ใจในใจของเรา จับใจตัวเองไม่ติดเลย ก็นั่งหลับตาจับอาการใจให้ได้ แล้วก็มาลืมตาให้รู้อาการใจ อาการชอบใจอาการดีใจ อาการชัง อาการสุข ทุกข์ ไปดูดดึงกับอันนั้นอันนี้ ก็ค่อยเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต ส่วนอุเทสคือที่อาตมาอธิบายไปนี้ ลิงค คือเพศคืออาการที่แตกต่างกัน แล้วเราก็จับเครื่องหมายคือนิมิตไว้ เครื่องหมายนี้ต้องหมายรู้เอาเอง ที่พูดนี้ทำมือประกอบให้เข้าใจ คุณก็ต้องไปอ่านอาการ อาการจิตเราเกิดอย่างนี้ อาการรัก อาการโกรธ อาการทุกข์ อาการสุข อาการชอบไม่ชอบ มันแรงมากแรงน้อย แล้วทำให้มันไม่แรง เบาในสิ่งไม่ดี ทำเองจะรู้เป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ของตน ของคนอื่นดูอย่างไรก็ไม่ชัดเจน ไม่เห็นไม่ได้ ต้องรู้ของตน เป็นอาการในจิตใจของตนเอง จิตใจอยู่ในร่างของตนเองในคูหาสยังนี้ กายยาววาหนาคืบกว้างศอกนี้ ติดตามรับฟังดีๆได้มาพบศาสนา มาพบพวกเราก็ดีแล้ว
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:43:40 )
เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:41:44 )
เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:40:09 )
รายละเอียด
การอ้อนวอนจะต้องเอาใจพระเจ้าปะเหลาะพระเจ้าระลึกถึงพระเจ้า จริงๆลึกซึ้งก็คือว่าระลึกถึงพระเจ้าระลึกถึงอะไรก็คือระลึกถึงคำสอนของพระเจ้า แล้วเอาคำสอนมาปฏิบัติให้ เอามาปฏิบัติให้สูงสุดคือเป็นผู้ที่สุขอย่างไม่ทุกข์เลย
แต่ความจริงแล้วความสุขที่ไม่ทุกข์เลยนั้นไม่มี พระเจ้าก็ไม่รู้ว่าความสุขมันไม่มี ความทุกข์ไม่มี เท่ากับพระเจ้าไม่รู้ว่าในตัวพระเจ้าเองนั้นมีซาตาน พระเจ้าไม่รู้ ซาตานก็คือในตัวเอง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 14:47:51 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 09:40:16 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:39:44 )
เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:37:19 )
รายละเอียด
ไม่ใช่สัตว์ที่มีตัวตนร่างกายคลอดออกจากท้องแม่ ที่หมายถึงชลาพุชโยนิ
หรือไม่ใช่สัตว์ที่เกิด 2 ครั้ง(ทวิชาติ)เป็นไข่ก่อน แล้วค่อย
มาฟักตัวตนเป็นรูปร่างอีกที ที่หมายถึงอัณฑชโยนิ แม้แต่การเกิดของสัตว์เล็กจุลินทรีย์
แบ่งตัวแตกตัวเกิด ที่หมายถึงสังเสทชโยนิ ก็ไม่ใช่ แต่เป็นการเกิดของนามธรรม
คือจิต คือวิญญาณ ที่หมายถึงโอปปาติกโยนิ ซึ่งเกิดโดยกรรมของตัวเอง
มีเหตุมีปัจจัย เกี่ยวข้องโยงใย มีที่ไปที่มา สามารถสืบสาวถึง ที่ไปที่มาได้
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 85 หน้า 95
เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 18:57:38 )
รายละเอียด
ทุกคนต้องตายต้องเกิด แต่ศาสนาพุทธนั้นสอนถึงความเกิดความตายที่สามารถที่จะรู้ว่า มันเป็นสามัญธรรมดา คุณก็พูดมามันเป็นธรรมดาต้องเกิดต้องตาย แต่ผู้ที่ไม่รู้การเกิดการตายเหมือนอย่างสายเทวะนิยมไม่รู้ แล้วก็ไปเชื่อทางนั้น
ที่นี้ทางสายเจโตสายพระเจ้า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้มากกว่านี้ เขาก็จบแต่ว่ามันก็ยังเป็นอัตตาหรือยังเป็นอัตภาพ ไม่มีหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีการหมดอัตตา เขาก็จะไปจมอยู่อย่างนั้นเพราะเขาไม่มีความรู้ต่อ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 13:51:29 )
รายละเอียด
ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าทำได้สำเร็จ พวกคุณได้รับมรรคผลจึงได้อยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างสบาย คุณมาทุกคนอย่างอิสรเสรีภาพ. อาตมาไม่ไปหลอกลวง ไม่ได้ประเล้าประโลม ไม่ได้ปะเหลาะ พูดสัจธรรมแข็งๆด้วย พวกคุณก็เข้าใจ รับฟังได้แล้วเห็นดี จึงมาปฏิบัติศีลตามหลักปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งก็คือกิน อยู่หลับนอน อปัณณกปฏิปทา 3 แปลง่ายๆว่า กินอยู่หลับนอน คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วก็ได้มรรคผล ได้ธรรมะเจริญ เป็นความเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา เพราะจิตคุณได้รู้จักกิเลส จิตของคุณมีปัญญารู้จักกิเลส และทำให้ปัญญามีพลัง ปัญญามีอินทรีย์ มีพลัง มีฤทธิ์ กำจัดกิเลสไปได้ เพราะทำให้พลังจิตของคุณเป็นกำลัง เป็นกำลังปัญญาขึ้นมา เป็นอินทรีย์ของปัญญา เป็นพละกำลังของปัญญา มันจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทำให้กิเลสลดลงๆๆๆได้ นั่นคือการเกิด ฌาน
ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตดับไม่รับรู้ ฌาน ที่มีความตื่นยิ่งมีปัญญามีความรู้ที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมันทำกิเลสลดลงไปจิตใจก็ยิ่งกระจ่างใสประภัสสร. ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้คือคุณลักษณะของฌานศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วทำให้เป็น อสัญญีสัตว์ ให้จิตมันไม่กำหนดแล้วรู้ ให้จิต มันไม่มีความรู้สึก เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สัญญาก็เป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาดับ ไม่รับรู้สึกอะไร เป็นพรหมลูกฟัก เป็นเหมือนก้อนดินก้อนหินอะไรอย่างนี้ แต่ที่จริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันก็สงบระงับลงไปเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้แต่ความชิบหายแล้วหนอที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าไปทำผิดอย่างนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 พฤษภาคม 2566 ( 11:32:24 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name