@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

สภาพสิ้นความเสพ

รายละเอียด

ผู้หมดโลภะอย่างละเอียด สูญสุด

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 311


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:49:50 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:08 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:53:04 )

สภาพหมดความอยาก

รายละเอียด

ผู้หมดโทสะอย่างละเอียด สูญสุด

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 311


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:50:33 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:40 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:53:45 )

สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน

รายละเอียด

ในความซับซ้อนนี่แหละ อาตมาใช้ภาษาว่า สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่อาตมาแปลมาจากภาษาบาลีว่า คัมภีราวภาโส เป็นแสงสว่างที่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของความลึกซึ้ง หรือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏิ กลับไปกลับมา ทวนไปทวนมาของสวรรค์ ปฏินิสัคคะ ซึ่งไม่ใช่สวรรค์จริง นี่แปลอย่างโพธิรักษ์ แปลเข้าสู่สภาวะเลย ไม่ได้แปลเข้าหาไวยากรณ์แบบเขาที่มี ไวยากรณะ วากยสัมพันธ์...เป็น อิตติวุตกะ เลย 

คือคนโง่จะไม่รู้เรื่อง หลงสวรรค์เป็น นิสสัคคะ ปฏิ ก็เป็นทวน จะไปหลงมันทำไม ก็ย้อนทวนออกมา ผู้ไม่รู้ก็ทวนเข้า ผู้รู้ก็ทวนออก อนุโลม ปฏิโลม ปฏิคือทวนออก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 19:29:52 )

สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของธรรมะที่เจริญขึ้น

รายละเอียด

ปริวัฏฏ์  คือ ความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 ที่หมุนรอบเป็นไปตามลำดับ

พลวัต  คือ รู้แจ้งเห็นจริงในสภาพไหว เคลื่อน  ตามกฎเกณฑ์คำสอน (สวากขาตธรรม) ของพระพุทธเจ้า

ปริวัตร  คือ  รู้แจ้งเห็นจริงที่เปลี่ยนแปลงมีผลทับซ้อน ให้มีมรรค-มีผล ที่เจริญขึ้นรอบแล้วรอบเล่า

ปฏิสัมพัทธ์  คือ  รู้แจ้งเห็นจริงโดยอาศัยเงื่อนไขหนึ่ง แล้วจะเปลี่ยนแปลงได้ภาวะซ้อนแซม  ให้ได้ผลที่สูงขึ้น-สูงสุด 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2562 ( 21:51:46 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:12 )

สภาพอภิปโมทยังจิตตังของพ่อครู

รายละเอียด

สังเกตได้ไหมว่า อาตมา มีสติ อารมณ์เบิกบานร่าเริงเป็น อภิปโมทยังจิตตังสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้แล้วจะพยายามปฏิบัติ จะต้องสงบระงับกิเลสให้ได้ ทำให้กิเลสหมด แล้วทำจิตให้อยู่ในสภาพ อภิปโมทยังจิตตัง เป็นจิตที่เบิกบานร่าเริงอยู่ เป็นจิตพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเสมอจนเป็นอาเนญชาถาวร

ฐานอาศัยจิตอาตมานี้ จิตชั้นใน มันเบิกบานร่าเริงเป็นอุเบกขา เพราะสร้างอาเนญชาไว้เยอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำอย่างไรที่จะมีอารมณ์ปัจจุบันตลอดเวลา


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:08:17 )

สภาพอัตตาและอนัตตาเป็นอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาเจอก็รู้ได้ทันที ในสุริยเปยยาลสูตรก็มี เข้าใจรู้ในอัตตา การปฏิบัติให้เกิดสภาพอนัตตา โอฬาริกอัตตาก็หมดไป เหลือมโนมยอัตตา อัตตาสำเร็จในจิตก็ทำให้หมดไปอีกเหลืออรูปอัตตา ก็ทำให้หมดแล้วเป็นอนัตตา ความเป็นอัตตาขั้น อรูปก็ไม่เหลือในเรา แต่ไม่ใช่ไม่รู้ รู้รูป รู้อรูป รู้ครบ ตราบที่ยังเป็นคน ยังมีธาตุรู้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน  มีอายตนะ อายตนะของคน มี 6 ก็รู้จักอายตนะทั้งหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ธันวาคม 2564 ( 20:51:12 )

สภาพอุตุ

รายละเอียด

          สภาพอุตุ คือ จิตจริงๆสภาพอุตุคือสภาพหลุดพ้น ปล่อยวางแล้วอุเบกขา ตอบว่าใช่ ใช่เลย คือจิตคนที่ทำให้สภาพของธาตุจิตเราเป็นอุตุธาตุ คือดินน้ำไฟลม ไม่ใช่ชีวะก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จิตคือธาตุรู้ พอแตกเป็นดินน้ำไฟลมมันก็ศูนย์ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ ถ้าจิตนิยามเป็นอุตุได้ หรือแค่พีชะ จิตมีสภาพอุตุ พีชะได้ในจิต จิตก็เลยเป็นจิตที่เก่ง ทำให้จิตใจตัวเองอยู่ในอำนาจได้ วสวัตตีโก เมื่อได้แล้วซึ่งสามารถควบคุม การควบคุมธรรมะให้เป็น กัมมนิยะ เป็นธรรมะอันประเสริฐ ธรรมะขั้นอรหันต์ขั้นนิพพาน พ้นทุกข์พ้นสุขได้ เลิกความสุขความทุกข์ โลกต่ำอบายเราก็หลุดพ้นได้ ยืนยันได้ ใครเข้าใจไหม รู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นเหล่านี้ได้จากโลกของกาม ปรุงแต่งเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้าน แต่ก่อนนี้ติดในรูปสวย รสอร่อย ติดของหอมของเหม็น ติดในอะไรต่างๆแต่ก่อนนี้ เราลดลงได้ไหม

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 10:20:50 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:21 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:55:27 )

สภาพอุตุ คือ สภาพหลุดพ้น

รายละเอียด

ปล่อยวางแล้วอุเบกขา ตอบว่าใช่ ใช่เลย คือจิตคนที่ทำให้สภาพของ ธาตุจิตเราเป็นอุตุธาตุ คือดินน้ำไฟลม ไม่ใช่ชีวะก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 14:49:02 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:47 )

สภาพเป็นวิบากเกี่ยวเนื่องกันกับสัตว์

รายละเอียด

อธิบายในกรอบนี้เขาก็เลยบอกว่าในนี้ไม่มีอธิบายว่าไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เขาก็เลยกินเนื้อสัตว์กัน หากเราเข้าใจสภาพเป็นวิบากเกี่ยวเนื่องกันกับสัตว์ มันเป็นวิบากเกี่ยวเนื่องเป็นอจินไตยเป็นเรื่องยาก กรรมวิบากเป็นเรื่องยากจะเข้าใจ แต่ว่าอาตมารู้ในกรรมวิบาก เข้าใจว่ามันเกี่ยวเนื่องต่อกัน มันสืบต่อเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันลึก จองเวรจองกรรม มีวิบากกันเยอะ อาตมาก็ว่า ถ้าเราเป็นไปได้ในชีวิตของเรา เราจะยังชีพของเราอยู่ แต่เราไม่ต้องให้มันมีเกี่ยวข้อง ไม่ให้เกิดวิบาก ไม่เกิดพันธกิจที่สัตว์มันจะถือเป็นพันธกิจของมัน เอาเนื้อมันไปกินทำให้วิญญาณของมันไม่มีร่างอาศัย มันก็ถือนะ ดีไม่ดี ฆ่ามันตายเอามันมากิน เป็นยักษ์มารแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:32:05 )

สภาวจิต พื้นฐานมีลักษณะอย่างไร

รายละเอียด

สภาวจิต พื้นฐานมีลักษณะอย่างไร จิต พื้นฐานของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันพัฒนามาจากพลังงาน พีชะ อุตุ แล้วพัฒนามาเป็นจิตนิยาม เมื่อเริ่มเป็นจิตนิยาม เป็นลักษณะที่รู้ ใช้คำกลางก่อน แล้วรู้ถึงกรรมถึงวิบาก แต่รู้ว่าชีวิตนี้มันจะมีสิ่งที่ต่อเนื่องสิ่งที่ทดแทนสิ่งที่แก้กันไปกันมา ที่เรียกว่าวิบาก จิตนิยามเป็นธาตรู้ของอัตภาพ ที่จะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เกิดมาเป็นจิตนิยามตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็เริ่มแล้ว เริ่มจะมีวิบาก เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว มันไม่มีความรู้อะไรเลย มันเห็นแก่ตัวมันเองเต็มที่ เพราะฉะนั้นมันจึงเบียดเบียนผู้อื่นเยอะ เพราะฉะนั้นสัตว์เซลล์เดียว อย่างโควิด มันไม่รู้เรื่องหรอกมันก็เจอใครก็กินดะ อะไรที่มันกินได้ก็กินดะ ถ้ามันกินเหล็กได้คงจะกินแต่มันกินเหล็กไม่ได้มันกินได้แต่เซลล์ เขาบอกว่ามันเข้าไปจับอยู่ในเซลล์ของสัตว์อื่นได้แล้วนะไม่ใช่มีอยู่แต่ในคน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 10:45:48 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:13:16 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:57:18 )

สภาวทุกข์

รายละเอียด

ทุกข์เพราะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 79


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:52:09 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:35 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:57:54 )

สภาวธรรม โพธิสัตว์

รายละเอียด

นับความเป็นผู้มี“โพธิ”ว่า“โพธิสัตว์”ก็คือมีคุณธรรมโลกุตระซึ่งมีเฉพาะในศาสนาพุทธเท่านั้นในโลก สภาวธรรม“โพธิสัตว์”จึงมีมากกว่า“อรหันต์”ผู้เริ่มมี“โพธิ”กว่าจะนับเป็น“อรหันต์”ก็ต้องมี“โพธิ” กันถึง 4 ขั้น จึงจะเริ่มนับเป็น“อรหันต์”ได้เป็นขั้นที่ 1 ความเป็น“อรหันต์”มีน้อยกว่าความเป็น“โพธิสัตว์” ด้วยประการฉะนี้ คนผู้เริ่มมี“คุณวิเศษ”อันเป็น“อนุโพธิสัตว์”ขึ้นในจิตก็คือเข้าสู่กระแส“โพธิสัตว์”ที่จะต่อไปสู่“พระพุทธเจ้า”

แล้ว“โพธิสัตว์”ก็จะเจริญความรู้“โพธิธรรม”ขึ้นไปจากภูมิ“โสดาบัน”คือ“ผู้เข้ากระแส”เจริญขึ้นๆตามลำดับ“โพธิสัตว์”ระดับ 4 จบรอบนี้ก็นับเป็น“อรหันต์”ผู้จบ“อรหันต์”คือ ผู้สามารถจะ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” สลาย“จิตนิยาม“หรือ“อัตตา”ของตนให้หมดสิ้นไปไม่เหลืออยู่ในวัฏฏสงสารหรือใน“กาล”กันอีกแล้ว โดยทำ“จิตนิยาม”ของตนให้สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ส่วน“โพธิสัตว์”ที่จบกิจเป็น“อรหันต์”ได้แล้ว จะยัง
ไม่ยอม“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ก็เพิ่มภูมิ”ต่อไปอีก ก็เป็นผู้มี“โพธิธรรม”สูงกว่า“อรหันต์”รอบต้นขึ้นไปอีกเป็นลำดับๆ

แล้ว“โพธิสัตว์”ที่จบ“อรหันต์”ขั้นต้นได้แล้ว ก็บำเพ็ญต่อเป็น“อรหันต์”ขั้นสูงขึ้นเรียกว่า “อนุโพธิสัตว์”และมี“อรหันต์”ขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”สูงยิ่งต่อไปอีกเป็น“โพธิสัตว์”ระดับที่ 6 ซึ่งยังมีโพธิธรรม”ไม่เพียงพอที่จะยืนยันมั่นคงได้ว่า “เที่ยงแท้” ต่อการจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกว่าจะมี“โพธิธรรม”สูงขึ้นสู่ขั้นที่ 7 เป็นผู้“เที่ยงแท้แน่นอน”แล้วที่มี“โพธิธรรม”สูงถึงขั้นเข้า“กระแส”ของความจะเป็น“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2566 ( 11:09:11 )

สภาวธรรมของ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

รายละเอียด

คนนี้มีศีลระดับนึงแล้ว มีสติ สัมปชัญญะ สัตว์ตั้งแต่สัตว์เล็กจนถึงสัตว์ใหญ่ไม่ฆ่า นอกจากไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังกรุณา ยังเอ็นดู เอาภาษาของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เอามาอธิบายเป็นสภาวธรรมให้เห็นชัดๆ 

กรุณาคือลงมาช่วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 4 คำนี้ 

1. เมตตาคือ อยากให้เขาได้ดี อยากให้เขาเจริญ ปรารถนาให้เขาเจริญ ประสงค์ให้เขาเจริญ 

2. กรุณาลงมาช่วยเลย ทำ กรณะ แปลว่าทำ กรุณาก็ทำเลย ลงมือช่วยให้เขาเจริญตามที่เราอยาก ตามที่เมตตา กรุณาก็ช่วยทำให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเจริญ ให้เขาอย่าเดือดร้อนอะไรก็แล้วแต่ ทำได้ ช่วยเขาได้ กรุณาทำได้เลยเป็นผลสำเร็จ พอเสร็จแล้วก็เป็นมุทิตา 

3. มุทิตา หมายความว่า สาธุ ดีแล้ว คุณพ้นความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นไปด้วยดี  เป็นไปตามควรจะเป็นได้แล้ว เราก็ปล่อยวาง มุทิตา สาธุ ดีแล้ว ไม่ยึดติด เมื่อสาธุดีแล้วก็ได้ก็ปล่อย แล้วก็ไม่ยึดติดว่า เรามีบุญคุณ เราได้ทำให้เขาสบายทำให้เขาเจริญ ก็เป็นบุญคุณชนิดหนึ่ง ไม่เอา วาง อุเบกขา 

4. อุเบกขาจิตสะอาดบริสุทธิ์ไม่เอาอะไรตอบแทน ไม่คิดอะไรตอบแทน ส่วนตัวคนที่ช่วยไปแล้วเขาจะกตัญญูกตเวที เขาจะมาตอบแทนบุญคุณอย่างไรที่ควรจะตอบแทนก็เรื่องของเขา มันเป็นคุณธรรม เป็นคุณวิเศษของเขา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งดี แต่เราไม่เรียกร้องเราไม่ต้องการ แต่เขามาทำก็ดี มันก็เป็นตัวอย่างของโลก ซับซ้อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 05:10:19 )

สภาวธรรมของการยึดอำนาจกับการสืบทอดอำนาจ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการยึดอำนาจกับการสืบทอดอำนาจ มันมีสภาวะธรรม พลเอกประยุทธ์เหมือนกับยึดอำนาจ เพราะใช้ภาษาบอกว่าผมขอยึดอำนาจ แต่ที่จริงไปสืบทอดอำนาจจากประชาชนที่ได้ปฏิวัติรัฐประหารเสร็จหมดแล้วตั้งแต่มา 3-4 รัฐบาล เมื่อรัฐบาลสุดท้ายพลเอกประยุทธ์ถึงมารับ มือแรก ทักษิณก็ไม่มารับ ยังไม่อยู่ในยุคของพลเอกประยุทธ์ยังเป็นยุคของพลเอกสนธิบุญยรัตกลิน ก็มาทำแทน เสร็จแล้วก็ไม่อธิบายต่อละ ต่อมาก็เป็นสมัคร เขาก็ว่าประชาชนไม่ได้ปฏิวัติเพราะว่าสมัครถูกกฎหมายตัดสินให้ออกจากนายก ก็จะไม่ขออธิบายลงไปในรายละเอียด ก็ถูกสิต้องมีเหตุการณ์ร่วมกัน แต่อำนาจจริงนั่นคือประชาชนปฏิวัติ จนกระทั่งสุดท้าย แล้วก็ต้องมีเหตุใดเหตุหนึ่งนั่นแหละ สมัครก็ต้องเลิกไป เมื่อถึงยุคของสมชายก็ต้องถูกปฏิวัติ เป็นนายกที่ไม่ได้เข้าทำเนียบเลยตลอดกาลเป็นนายก ก็ออกไปอีก พลเอกประยุทธ์ก็ยังไม่ออกมา อภิสิทธิ์ ก่อน อภิสิทธิ์ยุบสภาก็มีการเลือกตั้งใหม่ เสาไฟฟ้ายิ่งลักษณ์ก็ลงสมัครได้รับเลือกตั้งอีก เก่งจริงๆนะ เอายิ่งลักษณ์มาชุบตัวได้เป็นนายกเป็นผู้หญิงคนแรกในประเทศไทยที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เราก็ไปประชาชนปฏิวัติอีกได้สำเร็จอีก เรียบร้อย จนสุดท้าย พลเอกประยุทธ์จึงมาบอกว่าผมขอยึดอำนาจ อาตมาก็เคยพูดพวกเราก็คงเคยได้ยิน แหมทำไมถึงช้านานจังเลยกว่าจะออกมา งั้นแสดงว่าประชาชนปฏิวัติไม่ได้เพื่อตัวเองไม่ได้มีประชาชนคนใดไปรับตำแหน่ง ทั้งๆที่ในคณะประชาชนนั้น มีผู้ที่จะเป็นไปได้ อย่างเช่นพลตรีจำลอง พลเอกปรีชาหรือใครต่อใครหลายคน ก็อยู่ในฐานะที่จะไปเป็นผู้รับตำแหน่งนายกได้เพราะเป็นทหารรุ่นก่อนพลเอกประยุทธ์ แต่ก็ไม่มีใครรับไม่มีใครไปเอา ยิ่งแสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของประชาชนปฏิวัติ ประชาชนรัฐประหาร ไม่รับตำแหน่งอะไรเพื่อตัวเองเลยในคนในคณะ พลเอกประยุทธ์เข้ามารับตำแหน่งในฐานะที่มีหน้าที่ดูแล เป็นเรื่องลงตัวทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:01:15 )

สภาวธรรมของจิตอุเบกขาพวกฤาษีเดียรถีย์

รายละเอียด

เขาก็แปลว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง อ่อน ควรแก่การงาน ผ่องแผ้ว ก็แปลไว้อย่างนั้น ในพระไตรปิฎก เราก็เอามาขยายความ บริสุทธิ์ ปริสุทธาก็ทับศัพท์ ปริโยทาตา ก็ผุดผ่อง มันสะอาดสูงขึ้นไปอีก มุทุ ก็แปลว่า อ่อน เขาไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรก็แปลว่าอ่อน กัมมัญญา ก็แปล ควรแก่การงาน ปภัสรา ก็แปลว่าผ่องแผ้ว

อาตมาเข้าใจสภาวธรรมทั้ง 5 ก็เอามาขยายความ จิตของผู้ที่มีอุเบกขา ของพวกที่เป็นฤาษีเดียรถีย์ก็ไม่ต้องทำงานอะไร ไม่มีบวกไม่มีลบ อยู่กลางๆเฉยๆ ไม่บวกไม่ลบเฉยๆ นั่นก็คือ จะลืมตาหรือหลับตาก็ตาม เขาก็จะมีความเข้าใจอยู่ประมาณนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน3 วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 11:11:00 )

สภาวธรรมของสังขารเป็นเทวะอย่างไร

รายละเอียด

อวิชชา เพราะมีอวิชชา จึงมีคู่ขึ้นมาก็เป็นสังขาร แล้วคนไม่เข้าใจสภาวธรรมของสังขารเป็นอย่างไร เขาไม่รู้ ไม่รู้จักเทวะ คุณเอาเทวะมาติดกันเป็น 1 แล้วห้ามแยกด้วยนะ เทวนิยม โดยเฉพาะเทวะองค์ใหญ่สุดคือพระเจ้า เทวะธาตุ 2 องค์ใหญ่สุด ไม่มีใครเท่าเทียมแล้วคือพระเจ้า ก็ห้ามวิจัยวิจารณ์ ห้ามไปแตะต้อง เพราะเป็นหนึ่ง คุณไม่มีสิทธิ์ไปกระจายหนึ่งนี้ได้เลย แล้วห้ามด้วย มันก็เลยไม่รู้ แล้วพระเจ้าเทวะที่จะแยกเป็น 2 คืออะไร เขาก็ว่า ไม่ ต้องเป็น 1 แยกเป็น 2 ไม่ได้ต้องเป็น 1 ต้องเชื่ออย่างเดียว ทำตามอย่างเดียว ที่สุดแล้ว ไม่เชื่อก็ออกไป เชื่อก็ต้องทำตามแค่นั้นอย่างเดียว เป็นศาสนาบังคับบงการ สั่งอย่างเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:31:40 )

สภาวธรรมของสัทธรรม 7 อย่างฉายหนังช้า

รายละเอียด

ผู้ที่อธิบายไปแล้วคนฟังก็ทำให้เราเกิดรู้จักกิเลสตัวเอง นี่ก็คือตัวประโยชน์แท้ ของโลกุตระด้วย พูดอธิบายไปแล้ว สอนไปแล้วทำให้ เกิดรู้จักกิเลสตัวเองอ่านกิเลสตัวเองออก เมื่อกิเลสจริงคือเกิดในขณะปัจจุบัน กระทบสัมผัส ปั๊บ กิเลส มันก็เกิดมาพร้อมกับสังขาร คุณก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นกิเลส คุณจะมีปฏิภาณปัญญาฉลาดมาก หรือน้อยแล้วแต่ รู้ว่าอันนี้เป็นกิเลสของเรา ในขณะที่สัมผัสเกิด นั่นแหละเป็นตัวเป้าหลัก เป้าหมายหลัก ที่ให้คนฟังธรรมแล้วเอาไปใช้จริง 

เมื่อสัมผัสจริง กิเลสจริง คุณมีไหวพริบแล้วรู้จักกิเลสจริง แล้วคุณก็จะต้องฝึกสร้างบุญ สร้างปัญญา หรือสร้างฌาน สร้างพลังงานทางจิตนั่นแหละ ให้มันลดละกิเลสนั้นได้ เพราะฉะนั้นคนจะมีอาการลดกิเลสได้ ฟังประเด็นนี้ดีๆ เมื่อสัมผัสแล้วเห็นกิเลสตัวเองแล้ว กิเลสจะลดได้นั้น เกิด ท่านเรียกว่าเกิดสัทธรรม 7 คือ กิเลสลดได้ 

1. ศรัทธา ถ้าหากศรัทธาที่เกิดจากสัทธรรม 7 จะมีปัญญาร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นศรัทธาที่ปัญญายังไม่เข้าไปร่วมมาก ก็จะเริ่มรู้น้อยๆ ศรัทธายังไม่มีปัญญาเข้าไปร่วมมาก จะเริ่มรู้น้อยๆ พอเริ่มรู้น้อยๆนี้จะไม่รู้สึกถึงขั้น หิริ จะไม่รู้สึกมีน้ำหนักถึงขั้นอาย อายอะไรอายที่ศรัทธานี้คือ เป็นหลักที่เห็นจริง เชื่อจริง แต่เชื่อจริง ในความที่ยังไม่มีปฏิภาณปัญญามาก ก็เชื่ออย่างผิดๆ ก็จะไม่กระทบแล้ว ถ้าเมื่อกระทบแล้ว คุณรู้ว่าคุณผิด คุณรู้ว่าคุณไม่ถูกหรือคุณรู้ว่าคุณ ชัดๆคือ รู้เป็นตัวกิเลสของเราเกิด ตัวผิด ตัวไม่ควร เป็นลักษณะสภาวธรรมชนิดหนึ่ง ตัวผิด ตัวไม่ถูก ตัวไม่ควร ตัวกิเลส 

พอคุณเห็นกิเลสตัวนี้แล้ว คุณจะรู้สึกละอายที่ตัวเองมีกิเลส ตัวเองมีความผิด ตัวเองมีความไม่ถูก อาการอาย มันจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่แสดงกิเลสออกแล้วก็รู้ตัวว่า เรานี่ มีแต่แสดงกิเลสออก เช่น คนมีปฏิภาณปัญญา รู้เลย แต่ก่อนนี้เราแสดงออกอย่างนี้ แสดงความไม่ควร แสดงความไม่ดี แสดงความโลภ แสดงราคะ แสดงความโกรธ พอรู้ว่าอาการอย่างนี้แต่ก่อนเราก็เคยทำ พอรู้ว่าตัวทำไม่ดีอาการนี้ไม่ควร โลภก็ไม่ควร ราคะก็ไม่ควร หรือแสดงกาม อาการโกรธ มันจะสำนึก เราเกิดละอาย อย่างนั้นจึงเรียกว่า เทวธรรมนั่นคือคุณเริ่มเจริญแล้ว อายต่อสิ่งที่เรารู้ว่าอันนี้ไม่ควรเป็นของเราแสดงออก 

โอตตัปปะ อายแรงกว่า หิริ เกรงกลัวต่ออันนี้เลย เกรงกลัวต่อที่ตัวเองทำไม่ดี ทำสิ่งที่น่าอาย น้ำหนักของการละอาย เกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อสิ่งไม่ดีมันสูงขึ้น เมื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัญญาคุณกระทบบ่อยๆ วิริยะ สติ ปัญญา ซึ่งเป็นสัทธรรมอีก 3 ตัวท้าย พหูสูตรตัวกลางคือคนที่เจริญ คนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมา มันเป็นตัวบอกสถานะของคุณ ว่าคุณจะเป็นพหูสูตรเจริญ เป็นอาริยะขึ้นก็เพราะคุณรู้จักกิเลส ละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีของตนเอง จนถึง  หิริ โอตตัปปะ แล้วคุณจะรู้ตัวว่าอย่างนี้ต้องลด คุณจะลดไปในตัว

น้ำหนักของสติปัญญา ปัญญามันจะบอกเลย ปัญญามันจะมีธรรมฤทธิ์ ให้เราเจริญซักทีเถอะพ่อคุณเอ๋ย ผู้หญิงก็บอกว่าแม่คุณเอ๋ย บอกตัวเองทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราไม่เจริญ คุณก็จะมีสติ คุณก็จะมีวิริยะ เป็นอินทรีย์ เป็นพละ สัทธินทรีย์ คือศรัทธาเกิดแล้ว วิริยะเก็เกิด สติก็เกิด สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ก็จะเกิด มีอินทรีย์ 5 พละ 5 ก็จะเกิด เมื่อเกิดแล้วคุณก็สั่งสมการลดกิเลส จิตสะอาดก็ตกผลึกๆๆ เป็นการตั้งมั่นของจิต เป็น สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ซึ่งเป็นตัวยาดำทั้ง 5 นี้ มันก็จะยิ่งเจริญเป็น ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ไปตามลำดับๆๆ 

นี่คือลีลาของธรรมะที่อาตมาเอาสภาวะธรรมอันละเอียดๆ มาชี้ให้เห็น เหมือนเป็นรูปธรรม เหมือนกับฉายหนังช้า ฟังเข้าใจดีไหม นั่นแหละ ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญาดีๆจะเห็นความจริงด้วยสัทธรรม 7 ของพระพุทธเจ้า อย่างไปฉายหนังช้าให้ตัวเองดูเลย มันเป็นอย่างนั้นสภาวธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:21:18 )

สภาวธรรมที่เกิดตามธรรมะพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

อาตมาตั้งคำเหล่านี้มาเรียกสภาวธรรมที่มันเกิดมาตามธรรมะพระพุทธเจ้า เมื่อเกิดสภาวะต่างๆอย่างที่อาตมาบัญญัติเป็นภาษา กำกับสภาวธรรมที่เป็นจริงขึ้นมานี้ เพื่อยืนยันว่าอย่างนี้สอดคล้องกับธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาบัญญัติคำที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัตินะ นี่แหละคือสภาวธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไม่ใช่แค่บัญญัติเท่านั้น แต่มีทั้งคู่เลย มีทั้งบัญญัติและสภาวธรรมอันเป็นจริง แต่สภาวธรรมมันไม่มีคนรู้กัน อาตมามีความรู้จึงเอาภาษาสมัยนี้ยุคนี้มาใช้ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ เป็นภาษาสมัยนี้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ สื่อสารกันรู้เรื่อง ผู้ใดที่มีสภาวธรรมตรงตามนี้ก็ชัดเจนใช้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 12:36:26 )

สภาวธรรมเวทนา 108 ของพระอรหันต์

รายละเอียด

ให้อาตมาไปอธิบายคุณลักษณะของอรหันต์ของผู้อื่น อาตมาก็อธิบายความเป็นอรหันต์ของอาตมานั่นแหละ ถ้าเผื่อมีความเป็นอรหันต์ของผู้อื่นที่ตรงกับอาตมานั่นแหละของท่านดินดีหรือผุสดี

ความเป็นอรหันต์นั้น คือ ผู้นั้นรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมือนกับใช้กำปั้นทุบดิน ก็ต้องรู้จิตเจตสิกตัวเอง แยกแยะจิตเจตสิกตัวเอง และเรียนแยกจิตเจตสิก ย่อยมาเป็นเจตสิก จิตนี่แหละต้องย่อยมาเป็นเจตสิก และโดยเฉพาะเจตสิกที่จะพาให้บรรลุนิพพานนั้นอยู่ที่เวทนา 

ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่เรียนรู้เวทนาได้ อ่านเวทนาออก แล้วก็ปฏิบัติทำเวทนา 108 ได้ แยก มโนปวิจาร 18 ออก โดยรู้ไม่ยากว่า เวทนามันทุกข์สุขและไม่สุขไม่ทุกข์ 

หรือเวทนามันมีทุกข์ แล้วก็สุข หมดทุกข์สุขที่มันหยาบแล้วก็เป็นโสมนัส โทมนัส จนเป็นอันที่ 5 อุเบกขา เพราะฉะนั้นพลังงานหรือดีกรีของทุกข์สุขหมดไประดับโน้น เบาบางลงโสมนัส โทมนัสก็รู้ทำออกหมดจนหมดทุกข์หมดสุข ก็เป็นอุเบกขา เพราะ พระพุทธเจ้าไม่ใช่อุเบกขาเพราะสะกดจิต แต่อุเบกขาเพราะจิตสะอาดจากกิเลส 

จิตสะอาดจากกิเลสก็เป็นจิตกลางว่างเปล่า แล้วก็ทำแล้วก็แข็งแรงถาวรด้วย โดยปฏิบัติ มโนปวิจาร 18 เคหสิตะ 18 เนกขัมมะ 18 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีก 6 แล้วตาก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หูก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ลิ้นกายใจก็เช่นกัน 

แล้วมันก็เป็นอย่างโลกียะคือ เคหสิตะ เพราะมันหลงสุขหลงทุกข์ เทวนิยมไม่ต้องพูดเลยเขาไม่มีทางหมด แม้แต่ชาวพุทธที่แยก มโนปวิจาร 18 ของเวทนาของตนไม่ได้ สัมผัสแล้วก็แยกเวทนาไม่ออกแล้วก็ไม่รู้จักว่าการทำออกคือเนกขัมมะ ก็ 18 ตัวเหมือนกันคือทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ ทุกข์สุข ไม่สุขไม่ทุกข์ 

แต่อันนี้เป็นโลกุตระเอากิเลสออก จิตก็ใสสะอาดขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ จนสุดท้าย กิเลสสะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยเนกขัมมะ

ซึ่งในเวทนา 108 อันนี้จาก 18 กับ 18 เป็น 36 พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติตรวจสอบกาละ 3 อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 ซึ่งอธิบายผ่านมาเมื่อกี้นี้ ผ่านมา ปัจจุบันเป็นตัวยืนยันความจริง ปัจจุบันถึงจะเป็นความจริง ถ้าไม่มีผัสสะไม่มี ทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติหรือปัจจุบันกาล ขณะที่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง มันเป็นเรื่องอดีตเป็นเรื่องอนาคต เป็นเรื่องจิตอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์ 

ขณะที่ตาคุณไม่กระทบสัมผัสข้างนอก คุณหลับตา มันจะมีความจริงตรงไหน กิเลสมันไม่ได้เกิดใน มันไม่ใช่กิเลสแท้แต่เป็นกิเลสสมมุติ กิเลสสัญญาไอ้กิเลสที่จำได้ไปคิดนั้นมันกิเลสจำได้ คิดในอนาคตคุณก็ปั้นกิเลสเข้าไปสิ คุณจะปั้นยังไงก็ได้กิเลสในอนาคตมันก็ฟุ้งซ่านไปได้สารพัด มันไม่มีกิเลสจริงนี่ 

เพราะฉะนั้น คนหลับตาปฏิบัตินั้น โมฆะจากศาสนาพุทธ มันไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์กันหรอก เพราะฉะนั้นเสื่อมชัดเจนศาสนาพุทธในเมืองไทย ไปนึกว่าพวกหลับตาปฏิบัตินั่นแหละคืออรหันต์อย่างนี้เป็นต้น แล้วมาเจอโพธิรักษ์เข้า บอกปัดโธ่! ไอ้อย่างนี้มันจะไปเป็นอรหันต์ได้ยังไง โอ้โห..พูดจ้อยๆ ดีไม่ดีก็ไปเที่ยวได้ด่าเขา ว่าเขาไปหมด ก็ไม่ให้ว่าอย่างไร เขาพากันงมงายไปถึงขนาดนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง มันก็ต้องตำหนิ ก็ต้องว่า จะให้ไปชมได้อย่างไรมันผิด อาตมาไปชมคนผิด มันก็ไม่ถูกแล้ว มันก็แสดงถึงความโง่ของตัวเองแล้ว อาตมาไม่โง่พอจะไปชมคนผิดหรอก ชมคนถูก ก็ชมไปชมมาชมตัวเอง ชมพวกตัวเอง เพราะพวกเราถูกใช่ไหม ไอ้นั่นไม่ถูกจะให้ไปชม มันก็ไม่ใช่ ไปชมยังไงล่ะมันผิด นี่อาตมาก็พูดภาษาไทยนะ ฟังเข้าใจไหม ยวนไหม ไม่ได้ยวนย่าหรืออะไรพูดสัจจะพูดให้ฟัง 

ปฏิบัติเองแล้วคุณจะรู้เองว่า  อ๋อ..กิเลสมันเป็นเช่นนี้ กิเลสหยาบเป็นเช่นนี้ กิเลสละเอียดเป็นเช่นนี้ แล้วก็จะได้เข้าใจ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 19:39:44 )

สภาวะ

รายละเอียด

พร้อมไปด้วยความเกิดผล ความปรากฏที่เราหมายให้ดีนั้นมีพร้อม มี-พร้อมผล หรือผลมีพร้อม มีผลเกิดพร้อม

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 488


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 12:52:50 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:12 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:58:37 )

สภาวะ 10 เป็นรากแท้ๆของจิตวิญญาณ

รายละเอียด

คำว่า ราก หากว่าใครเข้าใจมูลสูตร 10 เข้าใจสภาวธรรมในมูลสูตร 10 ดี ตั้งแต่ฉันทะ ความยินดีเป็นมูล มนสิการ เป็นเหตุเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ มีวิมุติเป็นแก่น มีอมตะเป็นที่หยั่งลงโอคทา และมี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอวสานแท้

ถ้าเข้าใจสภาวะ 10 นี้ เป็นรากแท้ๆของจิตวิญญาณ มีความเป็นวิมุติอยู่ตรงนี้ มีความรู้มีปัญญามีทั้งหมดเลยอยู่ในนี้เลย เป็นความจริงของจิตวิญญาณ ศาสนาพุทธนี้รู้ครบ จบแล้ว รู้ความมีความไม่มี ที่จะให้จิตวิญญาณมันมีหรือไม่มี จะเลิก แยกตัวเอง ดับจิตวิญญาณ ดับจิตนิยามของตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมได้หมด ไม่มีความสืบต่อ เลิกเกิด เลิกเป็น เลิกมี ดับชาติกับ ดับภพไปหมดได้ แต่ศาสนาเทวนิยมไม่มีดับชาติดับภพ อยู่แต่กับพระเจ้านิรันดร แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้จักลึกลับ พระเจ้าคือจินตนาการ พระเจ้าคือนิรมาณกาย ตามศาสดาของเทวนิยมแล้วแข่งดีแข่งเด่นกันด้วย เขาบอกว่าเขาเป็นหนึ่ง ศาสนาไหนก็บอกว่าของเขาเป็นหนึ่ง แต่ของศาสนาพุทธไม่ไปแย่งกับใคร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก แรม


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 12:45:34 )

สภาวะ 2

รายละเอียด

สภาวะ 2 เป็นอายตนะ รับรู้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเป็นคู่ๆ คุณก็ต้องพิจารณาทั้งที่ขณะตากระทบรูปคือ กาย มีอายตนะ หูกระทบเสียงคือ กายมีอายตนะ จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส สัมผัสภายนอก เป็นต้น แล้วก็เรียนรู้แยก 2 แยก 1 ทำให้เป็น 2 เป็น 1 

2 กับ 1 คือเทวะคือคู่ และ 1 กับ 0 ก็เป็นคู่เหมือนกัน เทวะอีกคู่หนึ่ง ซึ่งศาสนาพุทธมี 0 แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จัก 0 มีแต่นิรันดรอยู่กับพระเจ้านิรันดรพระเจ้าไม่มีตาย ไม่มีเป็นอยู่ค้างฟ้าตลอดนิรันดร ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาคิดเอาแต่ปฏิบัติไม่ได้ไม่จริงมันก็ได้แต่เพ้อพกไป เพราะมันไม่เข้าใจ แต่ของพุทธนั้นจบเลย จัดการจิตวิญญาณให้อยู่หรือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายไปเลิกเลยเป็นดินน้ำไฟลม ถึงจะจบกิจ

เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ จบกิจแล้วจะอยู่ต่อจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทุกองค์ก็จะเป็นสมัยเดียวไม่มีใครเป็นสมัยสอง เป็นสมัยหนึ่งขึ้นทำเนียบว่าได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก นอกจากจะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นิพพานแล้ว ก็มีสัมมาสัมโพธิญาณที่จะบรรลุพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านไม่ประกาศ ไม่เปิดตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าไม่สอนศาสนา แล้วท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเงียบๆจึงไม่มีชื่อในทำเนียบพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีภูมิสัมมาสัมพุทธญาณเท่ากับพระพุทธเจ้านั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน 

อาตมาอยู่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะรู้ความหมายที่มี อนาคตังสญาณ รู้ไปตามลำดับพอสมควรจะต้องเรียนไปตามลำดับก็พัฒนาไปปฏิบัติตนให้เป็นเช่นนั้นไป อยากให้เปรียบเทียบ สภาวะของความเป็นพรหมกับสภาวะความเป็นอรหันต์  มันก็เปรียบเทียบแล้ว ไม่งั้นก็หลงไปกับพยัญชนะ สมมุติไปโน่นนั่นนี่ละเอียดลออมากเรื่อง มันก็จะยาวยืดสับสนเละเทะ มากเรื่องไปไม่รู้จักจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบ ญาติธรรมสันติอโศก วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2566 ( 11:56:19 )

สภาวะ 2 ตัวแรกที่สุดนั้นพยัญชนะว่า กาย

รายละเอียด

ทีนี้ก็อธิบายรายละเอียดของเนื้อหาสภาวะ ธรรมะโลกุตระก็จะต้องมีเนื้อหาของความรู้ เริ่มต้นความรู้สภาวะ 2 

สภาวะ 2 ตัวแรกที่สุดนั้นพยัญชนะว่า กาย

กายนอกกาย หรือกายในกาย เพราะกาย มันมีทั้งนอกทั้งใน มี 2 ถ้ากายมีแต่นอกเฉยๆ ไม่มีใน ไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วย ถูกต้องไหม ?....ไม่ กาย มีแต่สรีระข้างนอกมีแต่ศพ สรีระเขาแปลว่า ศพ แปลว่า ร่างเฉยๆบอดี้ Body  มีในพจนานุกรมเขาเขียนไว้อย่างนั้นเลย อาตมาเปิดดูพจนานุกรมเล่มหนึ่ง เขาเขียนไว้ สรีระหรือ (Body) หมายถึงศพ ร่างเฉยๆไม่มีจิตวิญญาณเกี่ยวเนื่องด้วยเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2566 ( 12:54:30 )

สภาวะ 2 ที่มีในโลกคือความมีกับความไม่มี

รายละเอียด

สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ภาวะ 2”ได้แก่“ความมีกับความ ไม่มี” เช่น ยุคนี้มี“พญานาค”ที่เป็น“ผู้หลับตาปฏิบัติ”นั้น“มี”กันอยู่จำนวนมาก ส่วนผู้ที่เป็น“อาริยบุคคล”คน“ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ”ลืมตาปฏิบัตินั้น จะว่า “ไม่มี”ก็เกือบจะ“ไม่มี” ปานนั้นจริงๆในยุค“กึ่งุพุทธกาล”ที่เสื่อมมากหนักนี้ 

ซึ่งมัน“ไม่มีโลกุตระ”นั่นเองสำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะยังไม่เป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” จึงยังไม่ชื่อว่า “พุทธ” เนื่องจากยัง หลงผิดใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2565 ( 14:18:46 )

สภาวะ 2 อย่าง จะต้องอยู่ด้วยกันstatic กับ Dynamic

รายละเอียด

ส่วนผู้ที่ยังมีทิฐิเดียวกัน มีความเห็นมีสมมุติมีเป้าหมายมีวัฒนธรรมเดียวกัน มันก็ยิ่งง่ายคือสบาย อย่างพวกเรามีทิฏฐิสามัญญตา แล้วก็มีหลักเกณฑ์ของศีลสามัญญตา ก็ตรงกันหมด เราก็ประพฤติ ใครยังทำไม่ได้ก็พากเพียรไป ใครที่ประพฤติได้แล้วก็สบายไป ก็อยู่รวมกันเป็นหมู่กลุ่มที่มีพลังงาน มีพฤติกรรมที่เป็นอย่างเดียวกัน มีกำลังของทางด้านความตั้งมั่น static เป็นทั้งกำลังของการเคลื่อนไหวได้เร็วไวปราดเปรียว โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยทั้งความปราดเปรียวทั้งความตั้งมั่นคงแข็งแรง เรียกว่าสภาวะ 2 อย่าง จะต้องอยู่ด้วยกัน สภาวะ 2 อย่าง ทางวัตถุนักวิทยาศาสตร์โลกเขาก็ค้นพบ เรียกด้วยภาษาอังกฤษคำว่าเป็น static กับ Dynamic มันก็มีได้ทั้งคู่ รวมกัน ไม่ขัดแย้งกัน ไปได้ด้วยกันอย่างดี อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 09:39:39 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:18:52 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 14:59:33 )

สภาวะ 2 เป็นเรื่องของคนที่ต้องมีความมีกับความไม่มี 

รายละเอียด

มันอยู่ที่ความมีกับความไม่มี เขาจะไม่มีความไม่มีเขาจะมีแต่ความมี แล้วก็แข่งกันมี เขาจะไม่รู้จักความไม่มี เขารู้เหมือนกันว่าสิ่งไม่มีคือสิ่งที่เขาต้องการอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงโอกาสเขาก็ยังไม่แย่ง ถ้าถึงโอกาสเมื่อไหร่ เขาจะแย่ง เป็นเช่นนั้น เขาเห็นว่าอันนี้ข้าจะแย่งขี้หมูขี้หมาก็จะแย่ง เป็นเช่นนั้น 

ความไม่มีนั้น เขายังไม่ได้ศึกษา เขาจะไม่ต้องการความไม่มี เขาจะต้องการแต่คำว่า มี และมีให้มาก มีอำนาจด้วย เพราะฉะนั้น ลักษณะขอยกตัวอย่างอย่างสำคัญ อย่างเช่น ปูตินกับสีจิ้นผิง ขออภัยที่ยกมาเป็น specimen ปูตินยังยึดมั่นในความเป็นตัวตน ยึดมั่นในความใหญ่ แต่เขาใหญ่ได้ในที่เขาใหญ่ ใหญ่ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ใหญ่ด้วยอำนาจอาวุธ ด้วยอำนาจวัตถุรุนแรงอะไรก็แล้วแต่ 

แต่ทางด้านสีจิ้นผิง คิดได้แล้วเกิดความฉลาดด้วยปัญญามากกว่าแล้ว มีวุฒิภาวะขึ้นมา มากกว่าทางปูติน เขาก็จะใช้ความรุนแรงลดลง ใช้พระคุณมากกว่าพระเดช ใช้ความเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเจือจานแบ่งแจก ช่วยเหลือเสียสละ แนวโน้มมาทางนี้ 

ทีนี้ สีจิ้นผิงมีประชาชนเยอะ และเป็นสายปฏิภาณปัญญา สายฉลาด ไม่ใช่สาย เจโต เปรียบเทียบกับอินเดีย พลเมืองจีนกับอินเดียไล่เลี่ยกัน แต่อินเดียคือ เจโตศรัทธาเต็มรูป จีนคือสายปัญญาหรือความฉลาดเต็มรูป ก็เป็นภาวะ 2 ที่แสดงให้เห็นอยู่ในโลก มีทั้งมวลและปริมาณมีทั้งคุณภาพโดยลักษณะ 2 ประการ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 11:51:02 )

สภาวะ 5

รายละเอียด

สภาวะ 5 คือ สภาวะที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือนิยาม5 เรียกว่า ธรรมชาติ 5 หรือนิยาม 5 พระพุทธเจ้าสามารถค้นพบตรัสรู้นี้ ประมาณเหนือชั้น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เขาเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ ทางฟิสิกส์ ทางไบโอโลจี แม้ทางจิตวิญญาณ เขาก็เรียน เป็นเทวศาสตร์ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะความเป็นสภาวะ 5 ประการได้คือ

1. เป็นธรรมชาติของโลกที่เป็นวัตถุแท้ๆ ดิน น้ำ ไฟ ลม

2. สภาวะอีกอย่างเป็นชีวะแล้วแต่เป็นในระดับพืช

3. จิต

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 เดือนกันยายน 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 14:15:35 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:00:42 )

สภาวะ 5 อย่างที่เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ชีวกสูตร สภาวะ 5 อย่างที่เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย มันเป็นพฤติกรรมที่ละเอียดมากเลย เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่ได้ลงมือเองนะ เป็นคนที่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำทั้งนั้นเลย 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา  อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:32:49 )

สภาวะ Space and Time of Continuum เทียบการตรัสรู้

รายละเอียด

ยิ่งบอกว่า ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ ยิ่งเข้าใจยากใหญ่เลย เพราะหน้าที่ของไอน์สไตน์ แยกแยะให้รู้สภาวะ 2 สุดท้ายจะเรียกว่า ตรัสรู้ก็ได้ ของโพธิสัตว์ เรียกว่า แจ่มแจ้งของไอน์สไตน์ก็คือ Space and Time of Continuum คือ 3 เส้าของรูปนาม แต่เป็นทางวัตถุ สสาร 

ได้เป็นสเปซ คือ ความว่างกับกาลเวลา คือแรงเคลื่อนกับสภาวะ Static กับ Dynamic คือ continuum คือการปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องสังเคราะห์สังขารกันกับ 2 สิ่งนี้ เหมือนกับอาตมาบอกว่า นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นโพธิสัตว์ ก็พูดไปแล้วก็บอกไปแล้ว เคยพูดไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ตุลาคม 2565 ( 18:40:13 )

สภาวะกับประสบการณ์ต่างกันอย่างไร 

รายละเอียด

ประสบการณ์คือกิริยา สภาวะคือนาม 

ประสบการณ์คือ กำลังมีเหตุการณ์ กำลังเจอเหตุการณ์นั้นๆกัน อาจจะเป็นการผ่านไป ถ้าผ่านไปก็คือประสบการณ์ที่ผ่านไป เสร็จจากประสบการณ์ก็เป็นสภาวะ 

สภาวะคือ ภาวะที่มันปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ปรากฏอยู่ยังไม่ได้อธิบายคำว่าสิ่งที่ปรากฏ จึงเป็นการกระทำ เป็นอะไรต่ออะไรหรือยัง ต่างกันละเอียดขึ้นไปก็คือ ตัวหนึ่งนิ่ง ตัวหนึ่งเคลื่อนไหว สุดท้ายเป็น 2 สภาพคือ static กับ Dynamic ก็นี่แหละเป็นสภาพสูงสุดรูปนามก็จะมีตัวหนึ่งนิ่ง ตัวหนึ่งเคลื่อนไหว เอาไปใช้กับอะไรต่ออะไรได้ทั้งหมด 

สรุปแล้วสภาวะอย่างไรอย่างไรก็เป็นสภาวะ static เป็นตัวนิ่ง ปรากฏการณ์ก็ต้องเคลื่อนกว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 13:34:21 )

สภาวะกับพยัญชนะ

รายละเอียด

อาตมาเองมีสภาวะล้นเหลือ พยัญชนะไม่ค่อยเป็นเลย ทุกวันนี้ก็เรียนรู้เพื่อเอาพยัญชนะมาเป็นฉลากยาแปะเนื้อยาที่อาตมามีเยอะ เพราะว่าเนื้อยาสาระสภาวะมันยาก ต้องอาศัยพยัญชนะอาศัยชื่อมัน จึงต้องติดตามชื่อมัน อาตมาจึงถูกเล่นงานแต่ก่อนเรื่องพยัญชนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็คิดว่าดีกว่าแต่ก่อนไม่น้อย แต่ก็ต้องพยายามต่อไปพยัญชนะเกิดมาทีหลัง สภาวะเกิดมาก่อน ทีนี้พอศาสนาเกิดมาแล้ว พยัญชนะก็มีมาก่อนสภาวะก็มาทีหลัง อาตมามีสภาวะก่อนแล้วพยัญชนะทีหลัง สังคมก็ต้องศึกษาจากพยัญชนะแล้วจึงได้สภาวะ คนที่เขามั่นใจว่าเขาเอาสภาวะ เขาไม่ศึกษาพยัญชนะเช่นสายนั่งหลับตา เพราะปิดตาเสียแล้ว นั่งหลับตาอย่างเดียว พวกนี้ปิดประตูที่จะสัมมาทิฏฐิ สัมมาที่เป็นทิฏฐิตัวต้นของมรรคมีองค์ 8 ก็มีไม่ได้ นั่งหลับตาปิดประตูเลย เอามาพูดชัดเจนไม่ได้ใส่ร้าย ไม่ได้ใส่ความ แต่พูดความจริง เอาแต่นั่งหลับตา ไม่เชื่อว่าการเรียนพยัญชนะภาษาพระพุทธเจ้าแล้วให้พยัญชนะไปหาสภาวะให้ได้ คุณก็เอาแต่สภาวะ ซึ่งเป็นสภาวะที่ผิดมาแต่เดิม เป็นสภาวะที่ยังไม่เกิดปัญญา ตั้งแต่ข้อที่ 1 ในปัญญา 8 ที่ต้องคบหาสัตบุรุษ ฟังธรรมก็ไม่มี เอาแต่เดาเอาปฏิบัติเอา ไม่เกิดอัญญธาตุ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2563 ( 13:09:09 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:02:54 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:01:30 )

สภาวะกับภาษาบัญญัติเป็นธรรมะ 2 ที่ต้องใช้ให้ถูกวาระ

รายละเอียด

ก็มีวิธีการบริหารต่อไปจนมาถึงวันนี้ 4 ปีแล้ว ครบเทอมของการบริหาร พระพุทธเจ้าก็รู้ประชาธิปไตย แต่ท่านพูดว่า ประชาชนมีอำนาจเหนือกว่าไม่ได้เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่รู้จักสภาวะกับภาษาบัญญัติเป็นธรรมะ 2 ใช้ให้ถูกเวลาถูกวาระ คนที่รู้แต่ภาษามีเยอะแต่ไม่เข้าถึงสภาวะมีเยอะมาก ยิ่งจะเป็นสภาวะขั้นปรมัตถ์ก็ยิ่งยาก ก็ใช้กันอยู่แต่บัญญัติพยัญชนะ คนที่เข้าใจได้แค่บัญญัติพยัญชนะ นึกว่าตนเองเข้าใจสภาวะ ที่จริงแล้วก็เข้าใจบ้างนิดๆหน่อย เถียงกันอยู่ทุกวันนี้ยืนยันกันอยู่ทุกวันนี้มีเยอะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:13:17 )

สภาวะกับภาษาเหตุใดจึงย้อนแย้งกันได้

รายละเอียด

อาตมาขยายความโดยเอาสภาวะเป็นที่ตั้ง แต่ทั่วไปนั้นเอาพยัญชนะเอาภาษาเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง เขาไม่เข้าถึงสภาวะมันจึงได้ย้อนแย้งกัน เช่น พูดไป มันจะวน เพราะภาษามันไม่ถึงสภาวะ สภาวะพอพูดวนแล้วสูงขึ้น ภาษามันมีเท่าที่วน

ยกตัวอย่าง ความดีความชั่ว มันก็จะวนเวียนอยู่ที่ความดีความชั่ว ดีชั่วดีชั่ว เสร็จแล้วเขาก็จะเห็นว่าดีชั่วอยู่ฐานเดิม แต่ของพระพุทธเจ้านี้ จะรู้ดีรู้ชั่วแล้ว ลดความชั่ว มีความดีสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความสุขความทุกข์ เรียนรู้สุขหรือทุกข์แล้วเราก็ละความสุขความทุกข์ ละความสุขความทุกข์ ๆๆๆ จนสูงสุด หมดเลย แต่ดีชั่วนี้ ไม่ได้หมายความว่าดีชั่วนี้สูงขึ้นแล้วก็หมดดีหมดชั่ว ไม่ใช่ ชั่วหมด แต่ดีมีแต่มากขึ้นๆๆๆ มันเป็นอย่างนั้นซ้อน ดีก็มากขึ้น ชั่วหมดไปเลย จะดีจะชั่วมันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ต้องหมดความชั่วแล้วจึงทำแต่ดี นี่คือ สัพพปาปัสสะอะกะระณัง พุทธสุภาษิตสัมปทา หมดกรรมทำชั่วหมดบาปแล้ว เหลือแต่ดี หมดบาปแล้วก็หมดบุญ ซึ่งเขาก็จะไม่เข้าใจคำว่าหมดบาปหมดบุญ เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เขาว่าหมดบุญคือตาย ที่จริงตายนั่นคือกิเลสตาย เขาก็คงเคยได้ยินสืบทอดเก่าๆมาว่าบุญคือกิเลสตาย แต่มันก็ไม่ชัดเจน ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้วเพราะว่าบุญมีหน้าที่กำจัดกิเลส เมื่อกิเลสหมดแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญอีก กิเลสไม่เกิดอีก 

หรือแม้แต่กิเลสบางเรื่อง หมดกิเลสบางเรื่อง ก็ยังไม่หมด เรื่องไหนหมดบุญก็ไม่ต้องใช้เรื่องนั้นอีก ในแต่ละกิเลสแต่ละตัว นัยละเอียดมันมี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 14:46:06 )

สภาวะกับภาษาเหตุใดจึงย้อนแย้งกันได้

รายละเอียด

อาตมาขยายความโดยเอาสภาวะเป็นที่ตั้ง แต่ทั่วไปนั้นเอาพยัญชนะเอาภาษาเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง เขาไม่เข้าถึงสภาวะมันจึงได้ย้อนแย้งกัน เช่น พูดไป มันจะวน เพราะภาษามันไม่ถึงสภาวะ สภาวะพอพูดวนแล้วสูงขึ้น ภาษามันมีเท่าที่วน

ยกตัวอย่าง ความดีความชั่ว มันก็จะวนเวียนอยู่ที่ความดีความชั่ว ดีชั่วดีชั่ว เสร็จแล้วเขาก็จะเห็นว่าดีชั่วอยู่ฐานเดิม แต่ของพระพุทธเจ้านี้ จะรู้ดีรู้ชั่วแล้ว ลดความชั่ว มีความดีสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความสุขความทุกข์ เรียนรู้สุขหรือทุกข์แล้วเราก็ละความสุขความทุกข์ ละความสุขความทุกข์ ๆๆๆ จนสูงสุด หมดเลย แต่ดีชั่วนี้ ไม่ได้หมายความว่าดีชั่วนี้สูงขึ้นแล้วก็หมดดีหมดชั่ว ไม่ใช่ ชั่วหมด แต่ดีมีแต่มากขึ้นๆๆๆ มันเป็นอย่างนั้นซ้อน ดีก็มากขึ้น ชั่วหมดไปเลย จะดีจะชั่วมันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ต้องหมดความชั่วแล้วจึงทำแต่ดี นี่คือ สัพพปาปัสสะอะกะระณัง พุทธสุภาษิตสัมปทา หมดกรรมทำชั่วหมดบาปแล้ว เหลือแต่ดี หมดบาปแล้วก็หมดบุญ ซึ่งเขาก็จะไม่เข้าใจคำว่าหมดบาปหมดบุญ เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เขาว่าหมดบุญคือตาย ที่จริงตายนั่นคือกิเลสตาย เขาก็คงเคยได้ยินสืบทอดเก่าๆมาว่าบุญคือกิเลสตาย แต่มันก็ไม่ชัดเจน ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้วเพราะว่าบุญมีหน้าที่กำจัดกิเลส เมื่อกิเลสหมดแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญอีก กิเลสไม่เกิดอีก 

หรือแม้แต่กิเลสบางเรื่อง หมดกิเลสบางเรื่อง ก็ยังไม่หมด เรื่องไหนหมดบุญก็ไม่ต้องใช้เรื่องนั้นอีก ในแต่ละกิเลสแต่ละตัว นัยละเอียดมันมี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 17:09:01 )

สภาวะการบรรลุอรหันต์

รายละเอียด

อาตมาอธิบายมาเรื่อยว่าการบรรลุอรหันต์ คือการไม่มีสุขไม่ทุกข์นี่แหละ พื้นฐานของพระอรหันต์ทำจิตให้ไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละคือการใกล้นิพพาน คุณได้ความไม่สุขไม่ทุกข์และปฏิบัติให้จิตของคุณไม่สุขไม่ทุกข์เมื่อคุณสัมผัสเหตุ แต่ก่อนคุณสัมผัสเหตุนี้แล้วมันทุกข์ สัมผัสเหตุนี้แล้วมันสุข ได้เสพก็จะสุข สุขก็จะหลุดไป คุณก็ทุกข์ที่มันจะพรากไปห่างจากไป รายละเอียดมีอีกมาก คุณก็จะอ่านจิตคุณได้ว่าทุกอย่างต้องพรากจากกัน แต่คุณจะไม่ให้พรากให้มีอย่างนี้เป็นยามะ ยาวะ ต่อเนื่องไม่ขาดสูญไม่พรากจากกัน ซึ่งมันเป็นไม่ได้ มันจะต้องพรากจากกัน อาตมานั้น ไม่เอายาวนาน อาตมาเอาแค่ปัจจุบันนิดเดียวก็จบ จากนั้นมันจะจากก็จากมาพร้อมอยู่ที่จุดเล็กในปัจจุบันหมดแล้วก็จบ ไม่ต้องเอาก็สบาย แต่ถ้ามีอยู่มันก็จะยาวๆๆๆ เห็นไหม อาตมาไม่ต้องยาวๆๆ ยะ ร ล ว ส พลังงานตัว ย นี้สั้น ไม่ต้องยามะ หรือยาวะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:26:42 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:15:39 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:02:41 )

สภาวะการย้อนไปย้อนมา

รายละเอียด

พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ยังยึดอยู่ ทั้งที่ท่านไม่ยึดแล้ว แต่ท่านก็มาแสดงความยึดอยู่ อาตมาพยายาม มันก็ต้องย้อนไปย้อนมาต่ำแล้วก็สูง สูงแล้วก็ต่ำ ก็บอกแล้ว ว่าโลกยุคนี้ ความรู้ทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะโลกุตระ มันสูญหาย มันต่ำ อาตมาก็ต้องมาเริ่มตั้งแต่ต่ำ ใช่ไหม มันเสื่อมสูญก็ต้องเริ่มต้นต่ำ เหมือนมาเริ่มต้น 1 ใหม่ แล้วก็ 2 3 4 5 ออกไป 

คนที่เขายังไม่สูงคิดไม่สูง ก็ว่าจะต้องเอาลงต่ำทำไมสูงแล้ว ด้วยเขาไม่รู้จักอนุโลมปฏิโลม โดยกาละก็แล้วแต่ ความเป็นจริงก็แล้วแต่ มันไม่เที่ยง มันไม่ได้อยู่คงที่ ที่ว่ามันจริงจะต้องอยู่เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาลนาน ซึ่งไม่ใช่ มันไม่ตายตัว มันจะเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเลยในความเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งอธิบายอย่างไรก็ยาก ปัจจุบันที่เล็กที่สุดนั่นแหละ คือความจริงที่เป็นได้อยู่น้อยที่สุด  เลยจากวินาทีแห่งเศษเสี้ยวแห่งวินาทีแล้ว เปลี่ยนไปหมด ต่างกันไปหมด พยายามใช้ภาษา มันไม่มีอัตราที่เขาตั้งมาไว้ ใช้ภาษามาชี้สภาวะอธิบายให้ฟัง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 13:13:30 )

สภาวะของการปฏิบัติศีล

รายละเอียด

พยัญชนะสีลัพพตุปาทาน หรือสีลัพพตปรามาส มันเป็นสภาวะที่ว่า คุณอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่ใช่ว่าถือศีลก็ถือศีลไปอย่างนั้น บอกว่าพอถึงธรรมะมันจะขึ้นเอง ไม่มีรายละเอียด ไม่มีปฏิสัมพันธ์ของสารธรรมต่างๆ  คุณต้องรู้ภาษาคำอื่นบ้าง คุณฟังแล้วไม่รู้เรื่อง จะได้อย่างไร มันเกี่ยวกันอย่างไรก็ต้องรู้บ้าง เพราะฉะนั้นหากพาซื่ออย่างที่ว่านี้ ศีลไม่ต้องไปรู้อะไร มีศีลให้แข็งแรง มีศีลให้เต็ม จะไวกว่าพวกที่รู้ว่างั้นอีก ตกลงอาตมาไม่อธิบายต่อแล้ว ก็ขอสรุปไว้ว่าคุณมีแต่ตรรกะได้แต่ภาษา นี่ชัดที่สุดแล้ว คุณไม่มีสภาวะเลย แม้แต่สภาวะรู้ก็ไม่มี  คุณถือว่าศีลเต็ม แล้วอะไรอย่างอื่นตามมาหมด ยึดมั่นถือมั่นในศีล *(ควรอธิบายเพิ่ม)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:02:40 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:05:19 )

สภาวะของจิต

รายละเอียด

มีอาการมีสภาวะในจิตเรา ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสให้ท่องพยัญชนะได้เฉยๆ แต่เราเรียนรู้แล้วเราก็มีสภาวะ เราทำแล้วเราก็พอรู้พอเข้าใจ เห็นจริงมันมีสภาวะละเอียด ที่พูดนี้ละเอียดลออ เป็นอภิธรรมรูปต่างๆมันมีอยู่จริง สัมผัสพยัญชนะคืออะไรแล้วสภาวะคืออะไร มุทุตา ลหุตา กัมมัญญตาคืออะไร กายวิญญัติ วจีวิญญัติ รวมเป็น 5 วิการรูป เราก็ทำได้สำเร็จ จิตเราก็สามารถที่จะมี วสวัตตี มีอำนาจในทางจิต มีลักษณะรูป อีก 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา จะให้เกิด อุปจยะ เราก็ให้เกิดอย่างไม่มีกิเลส หรือเราจะไม่ให้เกิดหยุดการสันตติไม่ต่อไป เราก็สามารถควบคุมได้มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือจิตควบคุมจิตได้สัมผัสอะไร จิตกับเราจะให้มันเกิดก็ได้ไม่ให้มันเกิดก็ได้ควบคุมได้ ถ้าอวิชชา สัมผัสแล้วมันเกิดเลยคุณควบคุมไม่ได้ กิเลสกามกิเลสพยาบาท มันเกิด ปุ๊บๆๆ เลย ควบคุมไม่ได้

1. สัมผัสวัตถุข้างหน้าให้เกิดรู้ ถ้าเราไม่ใช้ ปสาทรูป โคจรรูป แต่ก็ไม่ใช้สติสัมปชัญญะ ไม่ใช้ปัญญากำหนดรู้ตามสัมผัสมันก็เฉยๆ เงียบๆอยู่ในจิต คนสะกดจิต แสงกระทบวัตถุเข้าตาแต่มันไม่เห็นอันนี้หรอก มันไปอยู่กับจิตปรุงแต่งเรื่องอะไรไม่รู้  เพ้อไปกับวิมานอะไร เอามือมาอย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่อง แสดงว่าสัมปชัญญะ ไม่อยู่กับสายตา แต่คนที่ปฏิบัติธรรมก็อยู่กับสิ่งที่เป็นปสาทะ โคจระ สัมผัสอันนี้ก็รู้ว่ามันมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส เป็นภาวะรูป 2 ก็จัดการกิเลสเสียถ้ามี จัดการแล้วคุณก็ดูจนควบคุมได้จนกระทั่งไม่มีกิเลส อยู่เหนือ จะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด ถ้าไม่ให้เกิดจิตของเราก็จะค่อยๆเสื่อมไปชรตา เราก็หยุดเลย ไปเลย มันก็จะสลาย อย่างเป็นพระอนาคามีเป็นต้นไป ปล่อยไปกิเลสก็สลายไปตามเวลา อันตระ อุปหัจจะ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:50:09 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:07 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:05:30 )

สภาวะของจิต

รายละเอียด

เพราะมารู้ว่าจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ ที่มันมีสุขมีทุกข์ มีเวทนาสุขทุกข์ เจาะเข้าไปถึงจิตวิญญาณมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วเรียนรู้อย่างละเอียดด้วยนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ กับรูป 28 ในปัจจุบันนี้ ด้วยการกระทบสัมผัสเป็นตัวรู้ มีปสาทรูป โคจรรูป เกิดอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ล้างอิตถีภาวะให้เหลือแต่ปุริสภาวะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:33:21 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:39 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:09:27 )

สภาวะของนาคข้อ 8,9 ผู้ทำลายศาสนา

รายละเอียด

8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย

9. ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายยังอยู่

(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 21:09:55 )

สภาวะของนาคข้อที่ 10 ชาวพุทธที่ยังไม่เห็นพญานาคเพราะอวิชชา

รายละเอียด

10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่  เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง 

นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 21:42:08 )

สภาวะของนาคข้อที่ 4 รักศรัทธาศาสนาพุทธแต่ยังหลับตาปฎิบัติ

รายละเอียด

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาต 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ 

ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:42:51 )

สภาวะของนาคข้อที่ 5,6,7

รายละเอียด

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก  

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:45:36 )

สภาวะของนิพพาน

รายละเอียด

คนที่เข้าไปถึงสภาวะของนิพพาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่มีจิตสะอาดจากกิเลสเป็น ปริสุทธา แล้วจะมีปริโยทาตา แล้วจิตจะมีสภาวะ 2 มุทุภูตธาตุ จะได้มากได้ดีได้แนบเนียนเก่งทั้งสองสภาพสะสมจึงสามารถทำกรรมได้ดี เหมาะควร ไม่มีผิดพลาด ทุกกรรมทำได้เหมาะสม จึงเป็นกรรมที่ไม่มีโทษเลยรับรอง รับรองด้วยคุณสมบัติพิเศษ ไม่มีใครรับรองต้องของคุณวิเศษเอง ของผู้นั้นเอง เจ้าของเองรับรองเป็นจริง ซื่อสัตย์จริงใจทำได้ เป็นจริงอย่างนั้นเรียกว่ากัมมัญญา จะทำกรรมอีก เจอกับโจทย์อีกเท่าไหร่ก็ไม่มีเพลี่ยง ไม่มีพล้ำ ไม่มีเสียหลัก ไม่มีเสียท่า ผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดกาลนาน ประภัสสร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:10:28 )

สภาวะของนิพพาน 7

รายละเอียด

จิตของผู้บรรลุอมตะนิพพานแล้ว จึงเป็นสภาวะจิตที่กิเลสทั้งปวงสิ้นเกลี้ยงแล้ว คือ

1. นัตถิ อุปมา ไม่มีอะไรเปรียบได้, ไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ

2. อสังหิรัง ไม่มีอะไรหักล้างได้, ไม่มีอะไรๆ จะมาเอากลับคืนไปได้

3. อสังกุปปัง ไม่กลับกำเริบ ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

4. นิจจัง นิพพานเที่ยงแท้แล้วไม่เปลี่ยนแปลง

5. ธุวัง ยั่งยืน, ถาวร, คงที่ ไม่มีเสื่อมอีก

6. สัสสตัง  ตลอดกาล, ยั่งยืนตลอดกาล ไม่กลับกลอก

7. อวิปริณามธัมมัง  ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา, ไม่แปรปรวนเป็นอื่นอีก

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 30 "โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส" ข้อ 659, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 06 กรกฎาคม 2562 ( 08:41:55 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:03:35 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:10:12 )

สภาวะของนิพพาน 7

รายละเอียด

เป็นสภาวะจิตที่กิเลสทั้งปวงสิ้นเกลี้ยงแล้ว คือ

1. ไม่มีอะไรเปรียบได้ (นัตถิ อุปมา)

2. ไม่มีอะไรหักล้างได้ (อสังหิรัง)

3. ไม่กําเริบ (อสังกุปปัง)

4. เที่ยง (นิจจัง)

5. ยั่งยืน (ธุวัง)

6. ตลอดกาล (สัสสตัง)

7. ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา(อวิปริณามธัมมัง)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 30 “โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส” ข้อ 659


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 20:56:14 )

สภาวะของปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเข้าใจสภาวะของปฏิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติ มีสภาวะรองรับเลย สังขารปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาแล้วมันก็มีวิญญาณอยู่ในตัวคุณ ต้องเรียนรู้จักนามรูป มันสัมผัสกันแล้วมันเป็นอายตนะ คุณก็แยกอายตนะไม่ได้ มันเป็นองค์รวมอายตนะ เป็นองค์รวมที่สัมผัสกันแล้วมันก็คือสังขารนั่นแหละ ปรุงแต่งกัน ก็เป็นสภาพที่มันเป็นอะไร เป็นเทวดา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:29:57 )

สภาวะของปฏิสัมภิทาและอภิญญา 6

รายละเอียด

พวกท่านเหล่านี้ไม่มีอักขระสู้อาตมาไม่ได้ สภาวะก็ผิดเพี้ยน อาจารย์มั่นก็ดี มหาบัวก็ดี สายหลับตาเพี้ยนทั้งนั้น อาตมาสอนให้ทำอย่างไรพวกคุณเข้าใจไหม เอามาทำไหม ...ทำ สำเร็จไปตามลำดับ 

สภาวธรรม ตัวตนบุคคลเราเขาที่เขามี เป็นการออกนอกสัจจะไปเลยเป็นโลกียะเป็นเทวนิยม เป็นพวกทิพย์ทั้งหลายแหล่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:33:28 )

สภาวะของปัญญา ฌาน และบุญ

รายละเอียด

จะบอกว่าปัญญาเผากิเลสก็ได้ เพราะปัญญาคือฌาน ฌานคือปัญญา มันเป็นสิริมหามายา มันเป็นคู่ คู่ที่ทำงานด้วยกัน เมื่อทำงานสำเร็จเราเรียกว่า บุญ เผากิเลสสำเร็จเรียกว่าบุญ เพราะฉะนั้นองค์รวมของมัน ปัญญา ฌาน และบุญ นี้ไม่แยกกัน 3 เส้า ฌานคือเริ่มทำงานขึ้นมา ให้พลังงานทางจิต มันมีพลังงานที่จะมีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ที่มันมีความรู้มีปัญญาในตัวของมัน และมันก็มีฤทธิ์ ฤทธิ์นั่นก็คือธรรมฤทธิ์ของปัญญา เผากิเลสได้ (สำเร็จเรียกว่าบุญ)

มันคือตัววิชชา คือฌาน คือปัญญา คือความรู้ ความรู้เข้าไปไล่ตัวโง่ กิเลสคือโง่ ปัญญาหรือฌานที่มีปัญญาในตัว หรือเรียกเต็มรูปว่าวิชชา มันคือตัวฉลาด ฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่ฉลาดเฉโกนั้น ฉลาดมันมีฤทธิ์เข้าไปไล่โง่ ย่อเข้ามาหาภาษาไทย ฉลาดกับโง่ ถ้าฉลาดมา โง่หนี ถ้าโง่อยู่ ฉลาดไม่มี ถ้าโง่มันมีความอ่อนแรงก็ฉลาดก็มาเพิ่ม ถ้าโง่มันอ่อนแรงมาก ฉลาดก็เข้ามามาก ถ้าฉลาดมันอ่อนแรง โง่ก็เข้ามา ฉลาดอ่อนแรงมาก โง่ก็เข้ามามาก โง่เข้ามาเต็มรูป ฉลาดมีไหม? ไม่มี มันก็หมดไป นี่ก็ใช้สื่อภาษาคำพูด อธิบายสภาวะมันเป็นอย่างนี้ คุณก็ไปดูสภาวะตัวเองสิ 

ใช่ อาตมาสรุป คนเราก็มีฉลาดเท่าที่เราโง่ หรือโง่เท่าที่เราฉลาด อันนี้ก็พูดมานานแล้ว ตรงนี้ก็ขอผ่าน ปัญญา คือภาษาชื่อรวม แยกออกมาจากฌานเท่านั้น ส่วนบุญนั่นคือผลสำเร็จของการทำลาย ปุญญะ ท่านผู้รู้เดิม ตั้งแต่ท่านธรรมปาละท่านแปลไว้ว่า ปุญญะ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ พยัญชนะบาลี ปุญญะ เป็นเรื่องการชำระ  ปุนนะ หรือปุนาติ เผาฆ่ากำจัด  กำจัดกิเลสออกจากสันดาน สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ จนจิตสะอาด คำ 3 คำนี้อธิบายลักษณะของความสำเร็จของบุญ มันต้องมีการชำระจากสันดาน  ปุนนะ ปุญญะ คือปุนาติ มันเป็นการทำลาย ปุนาติ ทำลาย ทำลาย ทำลายกิเลส เลือกกิเลส คัดกิเลสออกมาจากสันดาน แล้วทำให้กิเลสมันตาย จนสะอาดหมดจด วิโสเทติ นี่ขยายความมาจากคำว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ 

บุญ คือ การชำระสันดาน ชำระกิเลสในสันดาน ชำระสันดานก็ได้ สรุปรวม แต่ตัวจริงก็คือกิเลสในสันดาน สันดาน มาจากรากศัพท์คำว่า สันตะ สันตานัง สันดานนี้ สันตะ ความสงบ นี่ก็ต้องอธิบายไปถึงพยัญชนะอีก เอาล่ะไม่อธิบายต่อ ทำให้เกิดความสงบ ถ้ามันไม่สงบ มันยืดยาดออกมา มันก็มีตัวอะไรขึ้นมา เริ่มต้นขึ้นมาเรื่อย มันก็กลายเป็นตัว ไม่สันติ สันตะ-สันติ  มันไม่สันติแล้ว จนกระทั่งยืดยาวเป็น สันตานัง เป็นสันดาน

นี่อาตมาอธิบายเป็นสภาวธรรม ไม่ได้อยู่ใน ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ตามที่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านยึดถือนักหนา ถ้าผิดไปจากโครงสร้างของไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์แล้วถือว่ามันไม่ถูกต้อง อาตมาก็บอกว่าอาตมาเลิกแล้วเรื่องอย่างนั้น มันทำให้หลงในพยัญชนะ หลงในภาษา หลงการปรุงแต่งทางตรรกะ เราเข้าหาสภาวะ จัดการสภาวะ เรื่องอย่างนั้นอาตมาก็เคยหลง แต่เลิกแล้ว เดี๋ยวนี้มาสรุปลงเป็นฉันทลักษณ์ ฉันทลักษณ์ก็คือ รวบรวมเอาพยัญชนะมาสรุปรวมเป็นสั้นๆ มีภาษาไพเราะ มีแผนผังอะไรอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาอธิบาย ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  อาตมาเหลือแต่ฉันทลักษณ์ ไม่อาศัยใช้ แต่ 3 ตัวนั้นอาตมาเบื่อเต็มทีแล้ว แต่ท่านมหาประยุทธ์ท่านยังเห็นความสำคัญ ท่านยังไม่เบื่อ ท่านยังไม่สรุปรวมลงไปหาเนื้อหา ก็ว่าไป ท่านจะฟังอาตมาพูด ท่านจะเห็นยังไงเข้าใจยังไงก็ไม่รู้ล่ะ อาตมาก็มีความปรารถนาดี อย่างเดียว

เพราะอาตมาเชื่อมั่นว่า ขออภัยนะ ขออภัยท่านประยุทธ์ด้วย อาตมาเชื่อมั่นว่าอาตมาบรรลุธรรม ไม่มีกิเลส แต่อาตมาเชื่อจริงๆอีกว่า ท่านยังไม่บรรลุธรรม ท่านยังมีกิเลสอยู่ นี่อาตมาเห็นอย่างนี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบคนเดียว อาตมาเห็นอย่างนั้น อาตมาก็เลยปรารถนาดีอยากให้ท่านหมด เพราะท่านมีประโยชน์ ถ้าท่านบรรลุ ถ้าท่านเป็นคนที่รู้ถูกต้องอีก โอ้โห..ลูกศิษย์ท่านเยอะนะ แล้วมีพลังอิทธิพลอยู่ในประเทศอยู่ในศาสนาด้วย มันเป็นประโยชน์ไหมล่ะ เห็นไหม อาตมาไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้อยากให้ท่าน ขออภัย โง่อยู่อย่างเก่า อยากให้ท่านฉลาด ให้ท่านเกิดรอบรู้ ฉฬายตนะ เข้าใจสภาวะกิเลสและลดละให้ได้ รู้จักรายละเอียดของสัจธรรมของมันที่มันปรุงแต่งกันอยู่หมดนี้ แหม มันก็อย่างว่า มันสุดวิสัยจริงๆเลย มันก็ได้แค่นี้ เอา ไปต่อต่อไป ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2566 ( 12:16:39 )

สภาวะของรูป 28

รายละเอียด

สภาวะของรูป 28  คือ  เจตสิกต่างๆ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม  และอุปาทายรูป 24 มี ตา หู จมูก  ลิ้น กาย ใจ  รูป รส กลิ่น  เสียง สัมผัส อีก 10  แล้วหักเป็น 9 ถือว่า กายกับ โผฏฐัพพะ มันซ้ำซ้อนกัน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่  2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 12:49:01 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:09:34 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:10:44 )

สภาวะของวรรณะกษัตริย์กับวรรณะพราหมณ์

รายละเอียด

ที่หลวงตาแด่ธรรมแสดงความเข้าใจอันนี้มาก็ถูก พยัญชนะที่บอกว่า กษัตริย์กับพราหมณ์ มันเป็นสภาวะ 2 ในมหาจักรวาล ที่ อัมพัฏฐะถกกับ พระพุทธเจ้า ว่า พราหมณ์ เป็นผู้รู้ กษัตริย์เป็นคฤหัสถ์ ก็เถียงกันไป อัมพัฏฐะถือว่าตัวเองเป็น พราหมณ์ เป็นผู้รู้ แต่ความซับซ้อนในความเป็นโลก อัมพัฏฐะก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความเป็นโลก โลกคือ มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั่นหละโลก กษัตริย์ คือ ผู้มีอำนาจ ที่สามารถ จะเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งได้คือกษัตริย์เสพสุข ถือว่าเป็นฆราวาสได้อำนาจของโลกมาก 

พราหมณ์ มหาศาล เป็นนักบวช ควรทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ก็โง่ สุดท้ายก็แข่งกัน เป็น พราหมณ์มหาศาล เอาเปรียบโลกด้วย กษัตริย์ถือว่า เป็นอำนาจบาตรใหญ่ แต่นักบวชหรือ พราหมณ์ ถือว่า เป็นผู้หลอกเขา ให้เขาเอามาให้ ไม่เอาอำนาจไปข่มแต่หลอกเขา ให้เขาเอามาให้แล้วก็กอบโกยเข้ามาในยุคนี้เรียกว่า พระมหาศาล รวยเสพสุขด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีมากเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีความรู้ไม่มีญาณปัญญาที่จะเลิกละอะไรเลย พระพุทธเจ้าเกิดมาในฐานะคฤหัสถ์หรือ กษัตริย์ มีความรู้ที่เป็นสัจธรรมแล้ว ถึงขั้นโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบด้วย เป็นพระพุทธเจ้า ท่านอาศัยสภาวะคฤหัสถ์มาเกิด เพื่อให้รู้ว่ากษัตริย์สุดยอดนั้น ได้เป็นสุดยอดแห่งกษัตริย์ได้เป็นสุดยอดแห่งพราหมณ์ 

แต่ อัมพัฏฐะ ไม่รู้ตัวเองหรอกว่าไม่ได้อะไร หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รู้ภาษา จรณะสมบัติวิชชาสมบัติ รู้แต่เป็นพยัญชนะ แต่ไม่ได้มีสภาวะจริง แต่ พระพุทธเจ้าท่านมีความจริงที่เป็นสภาวะจริงของสิ่งที่ไม่ต้องไปยึดติดสิ่งเหล่านี้แล้ว ยิ่งกว่าเป็นคฤหัสถ์ ยิ่งกว่าเป็นกษัตริย์ แต่อัมพัฏฐะยังไกลมากเลย หลงในพราหมณ์มหาศาลเ หมือนพราหมณ์มหาศาลในยุคนี้ ไม่ได้ศึกษาให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เห็นยังแบก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลกียสุข ที่ตนเอง ยังไม่รู้ว่าตัวเองเสพสุขในสิ่งที่ตัวเองแบก อาตมาก็พูดตำหนิ ข่มไป สำหรับผู้ที่ไม่รู้ ผู้ที่รู้แล้วก็ไม่ได้ถูกอาตมาว่าหรอกเขาหลุดพ้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ถูกอาตมาว่า อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ก็เทศน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานี่แหละ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 13:15:21 )

สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน

รายละเอียด

สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน พุทธคุณ 9 มีข้อเดียวที่คนอื่นทำได้ คือ วิชชาจรณะ สัมปันโน แล้วทำไปจะได้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ แต่ต้องทำไปตามลำดับ นอกนั้น เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย 

1. อรหํ เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแพงสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น

2. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง

3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ

4. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา

5. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตว์โลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้

6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า

7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

8. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลใน

สิ่งใด ๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย

9. ภควา ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช 2/08/2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:08:44 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:11:11 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:11:56 )

สภาวะของสบายกับเพลิดเพลินและมันฉิบหาย

รายละเอียด

แน่นอนสบาย ไม่ได้เพลิดเพลินจัดจ้านอะไร เพลิดเพลิน ก็มีรสจัดกว่าสบาย ส่วนมันฉิบหายนี่ อย่างอุพเพงคาปีติ ปีติแรงๆ ชาวโลกก็ต้องการจะได้ความแรง เผ็ดมากๆ มีเยอะๆ หรูๆหราๆใหญ่ๆ ไปทางมหัปปิจฉะ ไปทางมากๆ ก็จะไปอย่างนั้น มากๆจนไม่หมดสักทีผู้รู้ก็จะค่อยลดน้อยลง จนกระทั่งใจมันพอเรียกว่าสันโดษ คำนี้ยิ่งใหญ่มาก แค่นี้ก็เหลือพอสนุกแล้วเหลือพอเพลิดเพลินแล้ว รู้แล้วล่ะ มันเท่านั้นก็รู้ แม้ไม่เคยมัน อย่างคุณที่บอกว่า มันชิบหายมันเป็นพลังงานสูงจัดจ้าน เราก็เข้าใจแล้วรู้แล้วว่า สนุกกับเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยโลกียรสมันรู้แล้ว หยาบเท่าไหร่ก็รู้แล้ว มันยิ่งหยาบยิ่งแย่ ทางโลกีย์ แต่เราไม่เอาไปทิศทางนั้นเราหยุด เราจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:58:09 )

สภาวะของสักกะ สวะ สยะ

รายละเอียด

แต่ถ้าสักกะ เป็นตัวที่ทำได้ เป็นผู้รู้ ทำให้เหนือเป็น สว สย มันก็จะเล็กลงอีก จากสักกะเหลือ สว ก็เล็กลงมา จนเหลือ สย ก็จะเหลือเล็กใหญ่เลย เล็กสุดท้ายเรียก อนุสยะ หรืออนุสัย

ถ้าเผื่อว่าตัวที่ยังอาศัยอยู่ ก็เรียกว่า ตัวที่ยังมียังไม่เก่งเท่าไหร่ ยังอาศัย มันยัง หม่นๆอยู่นะ อาศัย อาสยะ 

พอเก่งขึ้นไปอีกก็เป็น สว หรือหยาบไปเป็น สวะ

สยะ นี่ตัวเล็กสุด สว ตัวกลาง สก ตัวใหญ่ของสามเส้า สก สว สย 

ผู้ใดชัดเจนในตัวพวกนี้ได้ ในสภาวะของสักกะ สวะ สยะ คุณก็สามารถที่จะทำให้พลังงานเหล่านั้นลงมาเล็กลงมาเรื่อยๆ จนมาอาศัยเล็กที่สุด อาศัยเล็กที่สุดคืออาศัย สยะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 21:13:15 )

สภาวะของอาศัย นิสัย วิสัย 

รายละเอียด

เมื่ออาศัยสยะแล้ว คุณสามารถอนุโลมให้ใช้งานใหญ่ เรียกว่า อาสยะ แล้วใช้งานดีขึ้นเก่งขึ้นเรียกว่า นิสยะ

อาศัย ก็เพิ่งจะสยะ เล็กๆ พอนิสัยก็แน่นกว่าอาศัย จากนิสัย ก็สูงไปเป็น วิสัย 

เพราะฉะนั้น ฌานที่จะเป็นฌานนิสัย ก็แค่นั้น ยิ่งฌานอาศัยก็ยิ่งเบาบาง

ในคำว่าฌานอาศัย พระอรหันต์ใช้ฌานอาศัยทำงาน เป็นพลังงาน ฌาน เป็นปัญญา ต้องอาศัยฌานทำงาน หรืออาศัยปัญญาทำงาน ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน ถ้าไม่มีฌานก็ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาก็ไม่มีฌาน (ฌานของพุทธ)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 21:15:49 )

สภาวะคนปรินิพพานคือ

รายละเอียด

อาตมาเอานิยาม 5 มาประกอบ พวกคุณจะเข้าใจเลยว่า คนปรินิพพานเป็นอย่างนี้เอง แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้หมด แยกได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ ก็เรียนไปโสดาบันก็รู้จักโลกอบาย จิตคุณหยั่งลงในโลกอบายอยู่เรื่อย ก็มาล้างโลกอบาย เราแยกธาตุนั้นได้มันเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ มันไม่มีจิตที่จะไปยินดียินร้ายอะไรกับมันเลย จิดมันบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญ ปภัสสรา ทั้งโลกมันก็มีอบายมุขจัดจ้านอยู่เช่นเดิมเราก็อยู่กับโลกไม่ได้หนีไปไหน อย่างโลกอบายมุขจัดจ้านทุกวันนี้คือโลกของนักการเมือง ทำตัวเองเหมือนเป็นผู้ดีผู้รู้ผู้มีเกียรติ แต่เป็นตัวเลวร้ายทำให้สังคมประเทศชาติย่ำแย่เลย เมืองไทยเป็นขนาดนี้ เราก็ว่าร้ายแล้ว ต่างประเทศยิ่งร้ายกว่านี้ เมืองไทยเรารู้ คนไทยมีศาสนาพุทธ รู้สัจธรรม อาตมาเห็นแล้วก็น่าสังเวชใจ อย่างธนาธร เขาจะบ้าไปถึงไหน เขาไม่มีศาสนา มีแต่ตัวเอง อัตตาเต็มบ้องเลย เขาว่าจะลงสู่ประชาชน ไม่เอาสภา เขาจะบ้าอย่างนั้น ก็จะไม่ได้อะไรเขาจะแสดงความโง่และบ้าอยู่อย่างนั้น ปราชญ์จะเห็นเขา คนมืดด้วยอัตตาจะไม่รู้ตัวเอง คนที่มีทิฐิเดียวกันเช่นปิยบุตรหรือคุณช่อ ในพรรคของเขา จะไปด้วยกัน ในโลกสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หลุมดำ เขาไม่รู้ความดำของเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่กับอะไร คนอื่นเขาก็เห็น แต่เขาจะมืดไม่รู้เห็นอะไร ขออภัยที่ยกตัวอย่างธนาธร ยิ่งทักษิณยิ่งตาบอดตาใส เขานึกว่าเขาตาใส แต่เขามืดบอดในหลุมดำเบอร์มิวด้า แล้วก็มีคนหลงเดินทางไปหาเขา นึกว่าทักษิณนี้จะยิ่งใหญ่ เป็นไปได้ต้องอย่างทักษิณ งมงายจนอาตมาก็เห็นแล้ว แม้สุดารัตน์ลง ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเลย มันคืออะไรตกต่ำจนถึงขนาด ประชาชนเขาไม่เอาคุณ เขาก็ยังไม่รู้เรื่อง 

อาหาร 1 คือปฏิจจสมุปบาท

อาหาร 2 คืออวิชชาสูตร

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 20:18:42 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:14:07 )

สภาวะความพอเพียง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนเราจะต้องรู้จักความพอเพียง ชีวิตของเรานั้นมีความขยันหมั่นเพียรและมีความรู้ความสามารถ เรามีความขยันทำได้มากหลายอย่างและเราก็แลกเปลี่ยนกัน เราทำงานก็แบ่งปันกัน งานที่สร้างของอยู่ของกินโดยตรง งานที่เป็นด้านอื่นใดๆก็ตามที่เป็นความจำเป็นของสังคม ความจำเป็นของชีวิตที่จะต้องอาศัยใช้สอย อยู่ไหนตัวเองอาศัยใช้สอยมีชีวิตสังคมก็ใช้สอยในชีวิตด้วย ไม่ใช่งานที่เป็นอบายมุข ไม่ใช่งานที่ฟุ้งเฟ้อ มอมเมา มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นของชีวิต มันเป็นงานที่ต้องอาศัยใช้สอยในชีวิตและเราก็ทำงานนั้น มีราคา มีอัตราการแลกเปลี่ยนที่คุ้มตัวเรา คุ้มกินคุ้มใช้ แล้วก็มีส่วนเหลือส่วนตัวด้วย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 10:39:03 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:17:04 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:14:18 )

สภาวะความรวยอยู่ในสมรรถนะความขยัน

รายละเอียด

คุณเห็นว่าเรารวย แต่สภาวะจริงนั้นเราจน แต่เรามีอยู่มีกินมีใช้ สภาวะความรวยอยู่ที่ไหน ความรวยคือ ที่สมรรถนะกับความขยัน นี่คือความรวยกินไม่หมด ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ความรวยคือสมรรถนะ คือความรู้ความสามารถ กับความขยัน คนที่มีความรู้ความสามารถกับความขยันอยู่ในตัว มันจะพอกินพอใช้ เกินกินเกินใช้ ยิ่งเป็นสาธารณโภคีมาอยู่รวมกันแล้ว แต่ละคนก็เฉลี่ยส่วนได้ที่ตัวเองสร้างเข้ากองกลาง แต่ละคนจะมีสมรรถนะกับความขยัน เป็นทรัพย์ยิ่งใหญ่ที่มากเกินตัว ตัวเองกินตัวเองใช้เหลือ จากความขยันกับสมรรถนะของเราแต่ละคน ด้วยสุจริตธรรม ขยันสร้างสรร สิ่งที่สุจริตธรรม มันจะเหลือกิน เมื่อเหลือเมื่อเกินแล้วเราก็ไม่เก็บกักกอบโกยเป็นของๆตน ไม่ต้องพูดเลยว่าจะต้องเอาไปออกดอกออกผลแบบทุนนิยม เราไม่ทำหรอก มันเลวมันชั่ว แม้เกินแล้วเราก็เอาเข้าส่วนกลางเพื่อจะช่วยกันจัดการด้วยระบบเศรษฐกิจ ด้วยระบบกระจายส่วนได้ส่วนเกินนี้ เผื่อแผ่ไปสู่คนอื่นที่ขาดแคลน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:59:35 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:17:53 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:15:22 )

สภาวะความรู้สำนึกตัว

รายละเอียด

สัมปชัญญะ   =  ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้

สัมปชานะ   =  รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่

สัมปาเทติ      =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ   =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ      =  การสังเคราะห์กันอย่างเปลื้องจิต 

สัมปฏิสังขา   =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  สว่างเรืองรอง, (ปัชชลิตะ=เรืองรองแล้ว)

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)

สัมปฏิเวธะ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น

ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก

ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก

ที่มา ที่ไป


ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 15:42:24 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:14:29 )

สภาวะความเป็นพุทธเกิดจากการปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาที่นำสภาวะความเป็นพุทธมายืนยันอธิบายมาประกาศให้คนได้รับฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจ จนกระทั่งมีความศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็มาปฏิบัติ 

ในสัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา คุณปฏิบัติธรรมแล้ว คุณจะเกิดจรณะ 15 อุปกรณ์​ในกระบวนการจรณะ 15 

ในกระบวนการของจรณะ 15 คือใช้ ศีล แล้วปฏิบัติ อปันกธรรม 3 ถ้าไม่ได้ทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำแบบศาสนาพุทธ ไม่ได้ธรรมะแบบพุทธ แต่ได้เป็นธรรมะแบบนอกรีต ถ้าเข้าใจนะ
อปันนกธรรม 3 นี่คือ ตัวที่ยืนยัน บ่งบอกเลยว่า ถ้าไม่มีพฤติกรรมการปฏิบัติ 3 อย่างนี้ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ในอปัณณกธรรม  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 15:04:09 )

สภาวะความเป็นพุทธเกิดจากการปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาที่นำสภาวะความเป็นพุทธมายืนยันอธิบายมาประกาศให้คนได้รับฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจ จนกระทั่งมีความศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็มาปฏิบัติ 

ในสัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา คุณปฏิบัติธรรมแล้ว คุณจะเกิดจรณะ 15 อุปกรณ์​ในกระบวนการจรณะ 15 

ในกระบวนการของจรณะ 15 คือใช้ ศีล แล้วปฏิบัติ อปันกธรรม 3 ถ้าไม่ได้ทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำแบบศาสนาพุทธ ไม่ได้ธรรมะแบบพุทธ แต่ได้เป็นธรรมะแบบนอกรีต ถ้าเข้าใจนะ
อปันนกธรรม 3 นี่คือ ตัวที่ยืนยัน บ่งบอกเลยว่า ถ้าไม่มีพฤติกรรมการปฏิบัติ 3 อย่างนี้ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ในอปัณณกธรรม  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 17:04:26 )

สภาวะจริง

รายละเอียด

ผู้ที่จะสามารถรู้พยัญชนะมาอ่านสภาวะ และเขียนพยัญชนะด้วยของตัวเองไม่ได้ไปลอกใครมา คนนั้นมีสภาวะจริง แต่คนที่ไปจำพยัญชนะบัญญัติอะไรมาเสร็จแล้วก็มาขบคิด ว่าพยัญชนะอันนี้ จริงๆมันคือตัวไวพจน์พยัญชนะที่มันคล้ายกันมันเป็นsynซินโนนีม มันสามารถแทนกันได้ ก็เลยนึกว่ามันเป็นตัวเดียวกัน บางคนมันเป็นไวยพจน์กันอย่างหยาบนะ แต่มันก็เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้ หรือรู้รายละเอียดลงไปว่ามันไม่ใช่ตัวเดียวกันมันมีแง่มีเชิง มีมุม มีมิติ มีนัยยะอะไรที่ต่างกันอยู่นิดหน่อย ก็ทำให้มันอยากขัดแย้งกันทำให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้า 2 มันก็มีอันนึงใช่อันนึงไม่ใช่ ก็ต้องเอาอันไม่ใช่มาทำให้ใช่ ให้ลงให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด ที่เป็นจุดหมายสูงสุดให้ได้ จนกระทั่งสมบูรณ์ที่สุด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:42:49 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:19:48 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:17:09 )

สภาวะจริงยืนยันตรงกัน

รายละเอียด

ที่อาตมาพูดนี้ พูดจากสภาวะธรรมที่อาตมามีเอง เอามาขยายความยืนยันว่ามีลักษณะอย่างนี้ ถ้าคุณอยากจะรู้อย่างนี้ก็ปฏิบัติเข้า อาตมาก็บอกวิธีปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาเมื่อคุณปฏิบัติแล้วได้อย่างที่อาตมาพูด คุณได้เองเป็นปัจจัตตังก็จะรู้เองว่า อ๋อ มันตรงกัน ของคุณก็เป็นของคุณ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา แต่มันจะตรงกันเราพูดกันสื่อสารกันก็จะรู้ 2 คนก็ตรงกัน 3 คนก็ตรงกัน 5 คนร้อยคนพันคนแสนคนก็เป็นความจริงตรงกัน อันนี้เป็นความจริงยืนยันได้ โดยเฉพาะของจริงที่มันหมดความสุขความทุกข์เป็นของจริงที่มีในโลก ของจริงที่มันสบายกว่า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:12:17 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:18:31 )

เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2563 ( 15:18:00 )

สภาวะจริงยืนยันตรงกัน

รายละเอียด

ที่อาตมาพูดนี้ พูดจากสภาวะธรรมที่อาตมามีเอง เอามาขยายความยืนยันว่ามีลักษณะอย่างนี้ ถ้าคุณอยากจะรู้อย่างนี้ก็ปฏิบัติเข้า อาตมาก็บอกวิธีปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาเมื่อคุณปฏิบัติแล้วได้อย่างที่อาตมาพูด คุณได้เองเป็นปัจจัตตังก็จะรู้เองว่า อ๋อ มันตรงกัน ของคุณก็เป็นของคุณ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา แต่มันจะตรงกันเราพูดกันสื่อสารกันก็จะรู้ 2 คนก็ตรงกัน 3 คนก็ตรงกัน 5 คนร้อยคนพันคนแสนคนก็เป็นความจริงตรงกัน อันนี้เป็นความจริงยืนยันได้ โดยเฉพาะของจริงที่มันหมดความสุขความทุกข์เป็นของจริงที่มีในโลก ของจริงที่มันสบายกว่า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:12:17 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:20:21 )

สภาวะจิตสภาวะธรรมคือรูปนาม 

รายละเอียด

ศาสนาพุทธทำตรงนี้เป็น ทำตรงนี้ได้จริง ทำ 2 ให้เป็น 1, ทำ 1 ให้เป็น 0 อย่างที่อธิบายไปทีละคู่ เทวะ แปลว่า 2 ถึงรู้สภาวะจิตสภาวะธรรมคือรูปนาม 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ สภาวะที่ถูกรู้ 

นาม คือ จิตตัวธาตุรู้ของเรา จนกระทั่งมันเป็นปัญญาอันยิ่งเป็นตัวรู้ รู้ว่า อ๋อ อย่างนี้แล้วรู้รายละเอียดหมดเลย จะรู้รายละเอียดหมดคือรู้เวทนาตัวสำคัญ สุดยอดคือสุข-ทุกข์ เมื่อดับสุขดับทุกข์ เทวะ 2 ก็หมดไปด้วยเวทนาสุขเวทนาทุกข์หมดไป 2 หายไปก็กลายเป็นหนึ่งเป็น 0 ทุกอย่าง 0 หมดเลย นี่ไม่ใช่พูดภาษาเอาเล่นๆ มันเรื่องจริงเลยนะ ทำได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ เรื่องจริงพิสูจน์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:45:51 )

สภาวะจิตสมาธิ

รายละเอียด

อุเบกขาองค์ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มุทุภูตธาตุเร็วไวรู้เร็ว ทำจิตให้สะอาดก็เร็วไว มีปฏิภาณปัญญารู้ด้วย จิตมุทุภูตธาตุจึงทำกัมมัญญา ทำกรรมการงานได้เก่ง การงานที่เหมาะควร การงานที่มีคุณสมบัติสูงสุดด้วยภูมิปัญญา แล้วทำกรรมกิริยาออกมา แล้วจิตเก่งสุดยอดปภัสสรผ่องใสสะอาดตลอด ไม่เศร้าหมอง ไม่โศกไม่ซึม เป็นจิตสะอาดเรื่อยๆ นี่คือจิตสมาธิ ซึ่งไม่ได้เป็นง่ายๆ การไปหลับตาสมาธินั้นมันไม่ถูกวิธี ซึ่งสมาธิพุทธต้องสมบูรณ์ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วดับอาสวะได้เป็นปริสุทธา จึงมีจิตสะอาดสะสม จนเรียกว่าจิตตั้งมั่นแข็งแรง เป็นตัวเพชร ใสสะอาดสว่าง เรียกว่าจิตสมาธิ การจะได้สมาธิ จึงไม่ใช่ของตื้นๆ พูดกันเล่นๆว่าเป็นสมาธิอย่างนั้นมันเป็นเรื่องหลอก เป็นการสะกดจิตให้สงบเหมือนพวกฤาษีทำกัน ทำจิตให้สงบแบบสะกดจิตให้ได้นานๆมันเป็นการกดข่มมันไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งละเอียดรอบสมบูรณ์แบบเหนือชั้นกว่าเยอะ ชัดเจนขึ้นนะคำว่าสมาธิ เชื่อไหมว่าอาตมาเป็นผู้ที่มีสมาธิแล้วเอามาสอนพวกเราให้มีสมาธิตามได้ ถ้าเชื่อก็ฝึกจิตสมาธิตามมาเรื่อยๆคุณจะได้หยุดฝุ่นฟุ้ง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:59:41 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:19:04 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:01:03 )

สภาวะจุดจบของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

พอหมดรูป อรูปแล้วเหลือเศษธุลีละออง เศษเล็กเศษน้อยของอาสวะ จะเป็นอุทธัจจะ มานะ อติมานะ ตามอุปกิเลส คุณก็อ่านอาการพวกนี้ ก็รู้ว่าเราหมดหยาบเหลือแต่ละเอียด จนหมด แม้แต่ที่สุดหมด ไม่มีมานะ อุทธัจจะ อวิชชา มีแต่สัญญาเวทยิตนิโรธังโหติ สัญญากำหนดรู้ไปทุกอย่างแม้แต่เวทนาจนสำเร็จ รู้จักความรู้สึกแล้วรู้จักความรู้สึกต่างๆที่เป็นเวทยิตนิโรธ ก็รู้แล้ว เอาเวทนาเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าสอนศาสนาพุทธด้วยมีกรรมฐานเป็นเวทนาสูงสุดอยู่ตรงนี้ เป็นตัวที่จะไปยึดมั่นความสุขความทุกข์ เมื่อเราได้ล้างความสุขความทุกข์หมด ไม่มีความสุขความทุกข์ได้นั่นแหละคือจุดจบของศาสนาพุทธ เข้าใจผิดอย่างไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้มีกฐิน 40 นั้นไม่ใช่ อ่านเวทนา ลืมตาปฏิบัติกับเวทนาท่านก็กระจายออกเป็นร้อยแปด โดยเฉพาะแยกเป็นเนกขัมมะกับเคหสิตะ อาตมาก็อธิบายอยู่ตรงนี้จนทำให้จิตใจเป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จนจิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิสมบูรณ์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:33:32 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:19:32 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:01:42 )

สภาวะจุดหัวใจศาสนา

รายละเอียด

ถ้าไม่ปฏิบัติถูกคำสอนตามพระอนุสาสนีอย่างจริงแท้สมบูรณ์แบบ ผัสสะไม่มี เป็นต้น เวทนาไม่เกิด 

เพราะฉะนั้น การทำให้เวทนารวมลงเป็นหนึ่ง ก็จับทีละคู่ ๆ ทฺวเยน โดยเฉพาะจับที่เวทนา ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60  อาตมาจำได้

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 

พระบาลีนี้อาตมาก็จำได้ด้วย เพราะมันเป็นตัวสำคัญ สภาวะจุดหัวใจศาสนาเลยตรงนี้ 

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ 2 ทฺวเยน นะ แยกวิภัตติออกมา แยกให้เห็นว่ามันเป็น 2 นะ “เวทนา 2” ใน-นอก หรือ เก๊กับแท้ แท้คืออย่างไร เก๊คืออย่างไร มีเหตุผสม รู้เหตุคือกิเลส จับแยกกิเลสได้ กิเลสมันเป็นมาร เป็นมายา เป็นเรื่องเก๊ เห็นความจริงคือปัญญา ความรู้จริง 

ปัญญาคือความรู้จริงความจริง ไอ้ของเก๊เจอของจริง ของเก๊วิ่งหนีตูดแป้นเลย ไม่รอหน้าอยู่หรอก นี่ก็พูดอธิบายมา อธิบายด้วยภาษาอันนี้ แต่คุณปฏิบัติจริงคุณเข้าใจสภาวะตรงกับภาษาที่อาตมาพูด คุณจะรู้ของจริงด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตังเลย 

ปัญญาเจอกับไอ้ผีมารหรือกิเลสนี่ มันไม่รอหน้าอยู่หรอก กิเลสหรือมารมันเจอหน้าปัญญาเข้าแล้ว มันวิ่งหูตูบ หนีอย่างไม่คิดชีวิตเลย นี่สัจจะมันเป็นเช่นนั้น ถ้ามันไม่จริงมันก็ไม่เกิดอย่างที่อาตมาว่า ถ้ามันจริงมันจะเกิดอย่างที่อาตมาว่า 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดรู้สัจจะจริง กระทำเวทนาได้ชัด มันจึงเป็นจิตสะอาด มีเวทนาแท้เป็นจิตสะอาดตกผลึกลง เป็นจิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ เป็นอุเบกขา เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่แหละจิตแข็งแรง (พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690 ธาตุวิภังคสูตร)

ต้องสะสมตามระบบ เบื้องต้น-ท่ามกลาง-บั้นปลาย ไปทีละเปาะๆ แต่นี่ไม่มีขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ อย่างน่าอัศจรรย์ ในอัศจรรย์ 8 อย่าง 

ธรรมวินัยน่าอัศจรรย์ 8

ข้อที่ 1. ธรรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ

กระทำไปตามลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่บรรลุอรหัตตผลโดยตรง เสมือนมหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว

ข้อที่ 2 …….…

(มหาสมทรน่าอัศรรย์ 8  : พตปฎ. เล่ม 23 "ปหาราทสูดร" ข้อ 109)

มันเป็นลำดับราบลุ่มยิ่งกว่าฝั่งทะเล ไม่ใช่วกไปวกมา สลับไปสลับมาอะไรเวียนหัว ไม่ใช่ มันเรียบร้อยไปแล้วก็ได้ไปเลย เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ไปเลย ไม่มีเข้าไม่มีออกหรอก ไม่มีการวกไปวกมา วกไปวกมาไม่มี มีแต่ได้ไปแล้วก็ได้ไปเลย เรียบราบยิ่งกว่ากระจกหรือฝั่งทะเล หรือหาดทรายที่น้ำซัด วาบลงมา มันเรียบ ทรายเรียบ หาดสะอาด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คณะสงฆ์เมืองไทย ใครได้ดอกไม้พลาสติก ใครได้มูลสูตร 10 วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 19:21:24 )

สภาวะฌาน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถรู้กิเลส สามารถทำให้กิเลสลดลงไปเรื่อยๆได้ นี่แหละคือสภาวะฌาน เริ่มต้นลดก็ฌาน 1 ลดได้มากขึ้นจนกระทั่งดีใจมีปิติ ลดได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งมีปิติปัสสัทธิหรือยิ่งสงบลงไป มันไม่ใช่ดีใจแบบได้รับบำรุงบำเรอกิเลส แต่มันดีใจ ปิติใจ เพราะเราเจริญทางอาริยะ เจริญทางโลกุตระ เพราะฉะนั้นก็จะเสริมสร้างให้เกิดทั้งสัทธรรม 7 และฌาน 4 

ซึ่งฌานไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ฌานไม่มีเข้าไม่มีออก ฌานจะเกิดในปัจจุบันธรรมไปตามลำดับ ฌานไม่มีไปนั่งเข้าฌานออกฌาน ไม่มี ฌานเป็นอจินไตย กว่าจะรู้ความเป็นฌาน ไม่ง่าย ไม่มีคนสัมมาทิฏฐิอธิบายไม่มีทางเข้าใจฌานเลย อาตมาอธิบายไปยังรู้สึกว่าไม่เก่งอธิบายเลย แต่พวกคุณพอเข้าใจไหม พวกคุณพอรู้เรื่องไหม เด็กๆพอรู้เรื่องไหม ก็น่าเห็นใจ คนไม่รู้เรื่องมาฟังอาตมาจะบอกว่าอาตมาพูดอะไรไม่รู้ ก็จะไปรู้ได้อย่างไรเพราะคุณไม่รู้ คนที่ฟังธรรมะแล้วมีธรรมรส เรียกว่าสนุกในธรรมะ ก็ดี ก็เจริญธรรมแน่นอน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:23:10 )

สภาวะฌานวิสัย

รายละเอียด

เอาคร่าวๆจากหยาบๆ ไปหาละเอียด ฌาน คือไฟ คือ พลังงานชนิดหนึ่ง ฌานมีหน้าที่เผากิเลส 

ฌาน นี้ ตรงๆเลยในพจนานุกรมไทย-บาลี เขาเกือบทิ้งกันแล้ว เขาก็ยังแปลว่า ไฟ แปลว่า เพลิง แต่เขาก็นำหน้าด้วยการเพ่ง แปลว่า เพ่ง แปลว่าทำให้เป็นหนึ่งตามอะไรของเขาไปตามความเข้าใจของเขา เขาก็เขียนลงไปในพจนานุกรม แปลอย่างนี้ตามที่เขาเข้าใจซึ่งได้ผิดเพี้ยนไปไกลแล้ว 

จริงๆแล้วคำว่า เพ่ง มันก็เป็นคำกลางๆ เช่น ถ้าเพ่งจดจ่อจดจ้องก็เพ่งหนักๆ เพ่งรู้ เพ่งเห็น เพ่งเผา อาตมาเคยอธิบายว่า เพ่งเผา เพ่งให้รู้ หรือจับอันนั้นให้มั่น แล้วเรียนรู้ว่าอันนั้นมันเป็นกิเลส 

อย่าให้มันไปเอาเนื้อจิตหรือเนื้อเจตสิก เอาแต่เนื้อเฉพาะกิเลส มันเป็นพลังงานที่อยู่ด้วยกัน กิเลสกับจิตนี้ มันเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ต้องแยกให้ออก อาการกิเลสกับอาการจิตที่สะอาด อาการจิตแท้ๆ กับจิตเก๊ หรือกิเลส เพราะฉะนั้น ฌานก็จะเผาของเก๊  ส่วนวิสัยนั่นคือ ตัวเรา สย คือตัวเรา ตัวเราที่เก่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:13:44 )

สภาวะดุสิตอย่างเป็นรูปธรรม

รายละเอียด

นี้พวกเรา อาตมาก็สบายใจ สอนไปแล้วพวกเรารับรายละเอียด รู้จักโลกีย์ รู้จักโลกุตระ กล่าวได้ถูกสภาวะ แยกแยะโลกียะ โลกุตระได้ เอา! ฟัง(คำว่า) ดุสิต อย่างเป็นรูปธรรม (รากศัพท์)สิตะ แปลว่าเย็น แปลว่าเป็นพื้นที่สงบเย็น สบายแล้ว ผู้ที่สงบเย็นสบายแล้วไม่ร้อน คำว่าไม่ร้อนเป็นอาการทางธรรม อาการร้อนทางธรรมคือร้อนรน ร้อนเร่า ร้อนอะไรก็แล้วแต่ อาการทางธรรมที่ไปในทางกุศลหรือทางสมบูรณ์แบบ จะเป็นทางเย็น ดุสิตะ (ดุสิต : สวรรค์ 6)

อาตมา เข้าใจพยัญชนะบาลีตามประสาอาตมา คำว่า ตุ เป็นภาษาไทยก็คือ ดุ ดุสิตนี่ ตุ คำนี้ สระ อะ อิ อุ  3 เส้าที่เป็น รัสสระ สระสั้น เสียงสั้น อะ อิ อุ ก็เป็น ตะ ตา ติ ตี ตุ ตู เป็น อะ อิ อุ สั้น เป็น Cyclic order ของพลังงานที่สั้นเล็กที่สุด อาศัยเป็น Dynamic สิตะ เป็น Static แล้วก็ไปสงบ การสงบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการสงบที่เย็นใจ ใจเย็น ใจไม่มีพลังร้อนเลย แต่พฤติกรรมของสภาวธรรมนั้นแคล่วคล่องเป็น ปาคุญญตา ทั้ง กายปาคุญญตา และ จิตปาคุญญตา เป็นองค์รวมทั้งกายและจิตที่แคล่วคล่องว่องไว เป็นผู้ที่เย็นสงบ ตุสิตา สงบ 

สงบ แต่พลังงานนั้นเย็น แต่การเคลื่อนไหวกลับแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว มีพลังงาน สร้างสรรเยอะ นี่คือสภาพรูปธรรมของคนเช่น โพธิรักษ์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เห็นไหมรูปธรรม เย็น อาตมาใจเย็น รื่นเริง ร่าเริง เบิกบาน มี อภิปโมทยังจิตตัง ประจำ อภิปโมทยังจิตตัง คือ จิตที่ร่าเริงเบิกบานตลอด ไม่มีเลย โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ เหล่านี้ไม่มี ไม่มีตั้งแต่เศร้า โสกะ แล้วมีพิรี้พิไร ไม่มี โทมนัส อุปายาสะ เศษๆเหลือๆ ไม่มี เย็นใจ เป็นอภิปโมทยังจิตตัง เป็น ปัสสัมภยังจิตตัง (ปัสสังภยัง จิตตสังขารัง ระงับจิตสังขาร) จิตให้สงบ แต่สงบแล้วมันเป็น อภิปโมทยังจิตตัง จิตเบิกบานร่าเริงเย็นสบาย ไม่มีโศก จะมีพลังงาน ดูเหมือนใหญ่ เยอะ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไม่มีร้อนเลย ฟังเป็นรูปธรรมชัดไหม ซึ้งซื่อ วิเชียร 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส  วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 12:17:46 )

สภาวะตัวอย่างของฌาน 1 2 3 4

รายละเอียด

ในเคหสิตะจะมีโสมนัสก่อนแล้วโทมนัสทีหลัง ถ้าเนกขัมสิตะ จะโทมนัสก่อนแล้วโสมนัสทีหลัง 

ถูกต้องแล้วทำฌานเป็น ไปนั่งหลับตานั้นไม่มีหรอกฌานของพระพุทธเจ้าแบบนี้ ฌานได้จากการกินหัวไชเท้า เห็นไหม ฟังไว้เถอะถ้าคุณนั่งหลับตาสมาธิ ฌานสมาธิทั้งหลายแหล่ โมฆบุรุษทั้งหลายเอ๋ย นี่มาฟังสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 มา 

เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายฌาน 2 3 4 ต่อไป ฌาน 1 อธิบายมาถูกต้อง เข้าใจหมดแล้วนะ 

โอ้โห ดีจังเลย ฌาน 1 นั่นแหละที่คุณอธิบายมาทั้งหมดคือวิตกวิจารณ์ของฌาน 1 ทั้งหมด 

ทีนี้ วิตกวิจารก็คือพลังงานที่มันเกิดทางจิต ที่มันสังเคราะห์สังขารกัน มี ปุญญาภิสังขาร จนกระทั่งทำให้กิเลสมันลด ในปัจจุบันนั้นก็ตาม คุณทำได้ นี่แหละเป็นสัจจะที่จะต้องปฏิบัติในปัจจุบันนี่แหละ กิเลสลดได้ ไม่ดูดไม่ผลัก คุณทำได้ 

เมื่อคุณสามารถทำให้กิเลสมันลดได้จริง แน่นอนตอนแรกมันฝืนมันก็โทมนัส มันฝืน พอทำได้แล้วมันจะโสมนัส พอทำได้ดียิ่งขึ้น ตัวโสมนัสนั้นพอปฏิบัติได้ทำได้มากขึ้น ชำนาญขึ้น ดีขึ้น โสมนัสมันก็เจริญขึ้นมากกว่าโทมนัส เนกขัมมะก็จะมีโสมนัสเจริญขึ้นกลบโทมนัสไปได้เรื่อยๆ ถ้าไม่หยุดโสมนัส โสมนัสก็จะกลายเป็นปิติ ดีใจมากขึ้นๆๆ ดึงไม่อยู่ระวังจะ เพลิด แล้วจะพาให้หลง เหลิงหลงเป็นอัตตาไปอีกได้ 

นี่คือเรื่องของจิต กิเลสมันร้ายกาจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงให้เดินฌาน 2 ปีติ ปิติก็อย่าไปหลง มันถูกสัจจะก็จะเป็นอย่างนี้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ส่วนมากไอ้ที่มันไม่ประสีประสาเพราะมันเคยมา เมื่อปฏิบัติธรรมมากี่ปาง คุณมีบารมีมากน้อยก็แล้วแต่ ถ้ายิ่งมีบารมีมากมันก็จะไม่เกิดมาก ยิ่งปฏิบัติถูกทาง พอปฏิบัติถูกทางเราเคยไปแล้วมันก็จะระงับง่าย ก็ปิติ 

เพราะฉะนั้นถ้ายังมีปิติก็ยังเป็นอุปกิเลสก็คือจิตมันฟู มันยินดีมันกลายเป็นสุข ก็ลดลงให้สงบเรียกว่า สุข เป็นฌาน  

ฌาน 3 มันก็จะสงบลง สงบลงเป็นวูปสโมสุข เป็นสุขที่จิตสงบลง ไม่ใช่สะกดจิตด้วย สงบไม่ใช่สงบด้วยการสมถะ สะกดจิต แต่สงบเพราะปัญญา สงบเพราะรู้กิเลส กิเลสมันแพ้ปัญญา กิเลสมันก็ลดลง ปัญญา มันก็มีธรรมฤทธิ์ชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นฌานที่ 4 สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่คือฌานพระพุทธเจ้า เป็นอจินไตย เป็นฌานวิสัยที่เห็นแจ้งรู้ๆ ชัดเจน ทาง ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก 

ที่เราพูดนี้มันเป็นรสทางลิ้นมากหน่อย ทางจมูกลิ้นกายเหมือนกันหมด ทุกอย่างที่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่อธิบายทางลิ้นมันจะครบได้เยอะ เป็นรสทางลิ้นจะครบ เห็นกิเลสได้ง่ายได้เยอะกว่า ตัวนี้ 

ผู้ที่ปฏิบัติฌานจึงไม่ใช่เป็นคนที่ทำสติอยู่ในภพอยู่ในภวังค์หรือไม่มีสติทางกายวาจา ไม่มีการรู้โลกรู้อัตตาไม่ใช่ ต้องมีโลกมีอัตตา มีภายนอกมีภายใน ทำงานเป็นกายกับจิต ทำงานเป็นกายเป็นจิต 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะต้องมีกาย คำนี้ก็พูดแล้วพูดอีก อธิบายแล้วอธิบายอีก กายนี่ มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ 

ผู้ที่สามารถปฏิบัติแล้วไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็นกายคือไม่มีภายนอก เป็นต้น ไปหลับตาไปมีแต่ภายใน พวกนี้ก็โมฆะ 

หรือพวกที่มีแต่ภายใน มีแต่ความลึกลับอยู่ในจิต มีจินตนาการเป็นต้น ไม่มีกายภายนอก ผู้นี้ก็โมฆะ ไปอยู่แต่ในจิตไม่มีกายภายนอกโมฆะไปหลับตา 

ผู้ที่ลืมตาแต่ไม่มีกายภายนอก ลืมตาไม่มีกายภายนอกเป็นยังไง คือเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นความรู้ สิ่งที่เป็นสภาวธรรมทั้งหมดนั้น อยู่ที่ความรู้และความเป็น ความรู้และความเป็นที่สูงสุดนั้นคือความรู้ความเป็นของพระศาสดาสอนไว้

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 49 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 15:44:29 )

สภาวะที่คนเข้าใจผิด

รายละเอียด

มัชฌิมา แปลว่าสภาวะกลาง ปฏิปทา คือวิธีปฏิบัติหรือทางปฏิบัติ แต่เขาไปแปลคำว่าทางรวมกับกลางนี้ ก็เลยแปลแบบนี้ไม่มีผลในการปฏิบัติ เอาผลไปแปลเป็นทาง ก็เลยได้แต่เดินในทาง เดินมาก็เดินไป จนกระทั่งเดินไปแล้วฆ่าลูกกิน แล้วก็เดินไปไม่ถึงนิพพาน เพราะเขาตีทิ้งผลไปแล้ว สองอย่าง ผลกับ มรรค เขาตีทิ้งเอาผลไปเป็นมรรค ก็เลยเดินวนวนมา ได้แต่บัญญัติว่าทางสายกลางๆ เดินวนไป ปวดหัวก็พัก แล้วเดินไปเดินมา ก็เลยไม่บรรลุผลสุดยอด เขาตีไม่แตกสุขทุกข์กลายเป็นเทวนิยม นี่คือ สภาวะที่คนเข้าใจผิด ทางสาย แล้วเอาคำว่า กลาง ไปรวม เลยกลายเป็นทางสายกลาง ก็เป็นสภาวะว่า ทางนี้มันมีหลายสายก็เลยเดินไปทางสายที่อยู่กลางนี่แหละ แล้วทางสายกลางอธิบายอย่างไรก็คืออย่าให้เคร่งเกินไปอย่าให้หย่อนเกินไป เหมือนพิณ 3 สาย สายที่ตึงสายที่หย่อนก็ไม่เอาก็เดินในทางที่เป็นสายกลาง เพราะเอากลางแบบนี้ กลางเลยกลายเป็นอันเดียวกับทาง คุณเอาสองที่เป็นเทวะมาเป็นอันเดียวแล้วอย่าตีแตกอย่าได้แยก เลยได้แต่บัญญัติ สภาวะไม่มี แล้วเข้าใจบัญญัติเป็นสภาวะก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ได้ปฏิบัติสภาวะตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย นี่คือไปติดบัญญัติ เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก เรียนเปรียญ 9 ด็อกเตอร์​คนละหลายใบทางศาสนา แล้วก็ได้ความรู้ทางภาษาไปเลี้ยงชีวิต ลาภยศสรรเสริญ นี่ก็คือคนที่พระพุทธเจ้าสรุปว่าคือ ปทปรมะ คือบุคคลที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้มากทรงจำไว้ก็มาก สอนเขาอยู่ก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมสักชาติ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 20:10:20 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:54:22 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:02:44 )

สภาวะที่จะเกิดเป็นวิมุติ

รายละเอียด

พูดให้มันหมดเรื่องมูลสูตร 10 พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ โอ้! อาตมาเจอธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ละสูตรๆ นี้มันซาบซึ้ง มันเห็น อย่างมูลสูตร 10 นี่มันรากเหง้าจริงๆ เลย ยิ่งใหญ่ 

ฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิปไตย (เจโต) มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นสาระ (แก่น) มีอมตะเป็นที่หยั่งลง จากอมตะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน

สมาธิเป็นประมุข เป็นหัวหน้าใหญ่ สติ ท่านไม่รู้จะแปลว่าอะไร อธิปไตย ท่านก็แปลว่าใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง อุตตระเป็นยิ่งนะ 

สติเป็นอธิปไตย เป็นพลังทางเจโต ถ้าปัญญาก็เป็นพลังทางอุตตระ นะ แล้วก็วิมุติเป็นแก่น เป็นแก่นอยู่เท่าที่ตรงนี้ 

เพราะฉะนั้น วิมุติเป็นแก่น ต้องมีสภาวะถึง 5 6 7 อย่างนี้มา จึงจะมีวิมุติ เกิดเป็นวิมุติ แต่ว่าไอ้นี่วิมุติไปนั่งหลับตา มันจะมีแต่มุดกับมุด มันไม่มีทางจะเป็นวิมุติอะไรได้ 

พอวิมุติแล้วถึงจะจบเป็นอมตบุคคล อมตบุคคลที่จะตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของจิตนิยาม เป็นเจ้าของอัตภาพ เป็นเจ้าของทุกอย่างเลย นี่แหละคือพระเจ้าแท้ อมตะบุคคลคือพระเจ้าแท้ ตามเทวนิยมเขาถือ แต่ทางของพระพุทธเจ้านี้ไม่ลึกลับ คนที่เป็นพระอรหันต์ก็คือพระเจ้าทุกองค์ ที่สามารถที่จะบัญชาการจิตวิญญาณของตัวเอง จะเกิดจะดับ จะต่อภพต่อภูมิมาเป็นพระพุทธเจ้าที่สูงสุดแล้วในความเป็นมนุษยชาติ ก็ได้ ไม่สูงสุดจะปรินิพพานเป็นโพธิสัตว์ระดับใดก็แล้วแต่

เพราะฉะนั้น สามารถจบอมตะกับนิพพาน นั้นเป็น 2 ข้อสุดท้ายที่เริ่มต้นเป็นอรหันต์ก็รู้แล้ว ทำได้แล้ว เป็นอมตะได้ เป็นนิพพานได้

เพราะฉะนั้นเป็นอรหันต์ขึ้นต้น ขั้นที่ 1 คุณจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไปได้ หรือจะต่อ เพราะเป็นอมตะบุคคล จะต่อไปเป็นอรหันต์ขั้นที่ 2 เป็นอรหันต์อนุโพธิสัตว์อีก ก็ได้ จบอนุโพธิสัตว์จะต่อไปอีกเป็นอนิยตโพธิสัตว์อีก เป็นอรหันต์อนิยตะโพธิสัตว์ก็ได้ จะต่อไปอีกเป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์นิยตโพธิสัตว์ก็ได้ หรือจะต่อเป็นอรหันต์มหาโพธิสัตว์ก็ได้ สุดท้ายเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดท้ายเลยก็ได้ ก็มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์อย่างนี้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 16:06:22 )

สภาวะที่ต้องอาศัย

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถรู้ความจริงพวกนี้เป็นรูปธรรม จนกระทั่งเป็นนามธรรม แล้วทำนามธรรมให้เป็น 0 ได้จริงๆ แล้วก็อาศัยว่า จบแล้ว รู้จักความ 0  กับความ 1 กับสิ่งที่จะอาศัยไป 2 เราก็ไม่มีปัญหาเราก็ทำไป อย่างสุขกับทุกข์มันก็เป็น 2 เราก็ทำเป็น 1 ได้ สุขก็ไม่ใช่ ความทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็คือสภาวะที่คุณอาศัยนี่แหละ คุณจะแบ่งอารมณ์คือเวทนาของเราก็เป็นไม่ทุกข์ ไม่สุข  กลางๆ คุณอ่านตรงนี้ จิตทำกลางๆกับเมื่อคุณสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่คุณไปติดยึด หยาบๆ ทุกวันนี้คุณสัมผัสสิ่งเหล่านั้นคุณก็เฉยๆกลางๆ จนกระทั่งใกล้ชีวิตของคุณ สิ่งที่คุณกินคุณใช้ โดยเฉพาะสิ่งที่กินและสิ่งที่สัมผัสอยู่ จะเป็นเครื่องใช้ ก็ไม่ได้เกิดดูดหวงแหนอะไร จะราคาแพงเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา 

จนกระทั่งของกิน คุณก็ไม่ดูดไม่ผลัก แล้วมันยิ่งอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องแย่งกัน มันอุดมสมบูรณ์ เหลือเฟือด้วย คุณก็อาศัยมันไปกินๆอยู่ๆจนกระทั่งคุณตาย กลางๆเฉยๆ ชีวิตมันสมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย นอกจากสมบูรณ์ที่มันมีแล้ว ยังสมบูรณ์เอื้อเฟื้อเจือจานเกื้อกูลช่วยเหลือ คนที่ทำไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำงานไม่ได้ นอนแอ้งแม้งอยู่ก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ช่วยกันจนกว่าคุณจะหมดลมหายใจหรือคุณจะหยุดหายใจ คุณยังไม่หยุดหายใจคุณก็จะอยู่อย่างนั้นจะนอนนิ่งอยู่ ในที่สุดถ้าเป็นมนุษย์พืชแล้วเราไม่ต่อท่อให้กันนะที่นี่ ไม่หรอก ต่อท่อไปต่อข้างนอกนู่นแล้วไปจ่ายเงินค่าต่อท่อข้างนอกเอง ที่นี่เราไม่ส่งหรอกต่อท่อ อยู่ที่นี่ได้ถ้านอนกินนอนอยู่ที่นี่ เอาใส่ให้ ที่นี่ แล้วพวกเราจะรู้เอง พวกเรามีภูมิธรรมพอ ไม่เอาต่อท่อไม่เอา ตายกับต่อท่อ ถ้าไม่ต่อท่อเข้าไปนี่ตายนะเราก็ไม่ต่อ กินได้ก็กิน กินไม่ได้นับวันกินไม่ได้ ถ้าอยากจะรักษาไว้ก็ไปกิน มันกินไม่ลง ก็ตาย วันใดวันหนึ่ง ไม่ยากอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ.เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 14:10:07 )

สภาวะที่เกิดเป็นปัญญาตามองค์ 6

รายละเอียด

สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วจะเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เพราะปฏิบัติ มัคคังคะ ปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิเป็นองค์ 6 แห่งปัญญา มีทั้งการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิแล้วก็ปฏิบัติในมรรคมีองค์ 8 มีศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาก็จะเกิดตามลำดับอย่างนี้ โดยเฉพาะมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์และมีสัมมาทิฏฐิ ก็จะสั่งสมปฏิบัติไป ปัญญาหรือว่าความรู้ ธาตุรู้ที่เกิดก็เจริญขึ้นเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละไปตามลำดับ ตามกระบวนการ 6 นี่คือสภาวะที่เกิดเป็นปัญญา ปัญญาที่เกิดนี้ไปตามลำดับของศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา ปัญญาที่เกิดนี้ก็เกิดไปตามลำดับของ ศีล เป็นตัวกำหนด สมาธิ ก็เกิดจากศีล เป็นตัวกำหนด นี่คือศาสนาพุทธ แต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ ไปนั่งหลับตาสมาธิไม่ได้อยู่ในกระบวนการเหล่านี้ เลยนอกรีตของศาสนาพุทธ จึงไม่ได้มีมรรคผลของศาสนาพุทธ เพราะมันผิดปฏิบัติผิด เข้าใจผิดแล้วก็ไปเชื่อผิดผิดออกนอกรีตนอกทางหมด ไม่เป็นโพชฌงค์ ไม่เป็นมรรค 8 ไม่มีองค์ธรรม 6 อย่างที่ว่านี้ เพราะไม่เป็นไปตามธรรมะพระพุทธเจ้าสอน

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:26:18 )

สภาวะที่เกิดในจิต

รายละเอียด

บางคนก็พูดจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่สภาวะจริงไม่มี รูป คำหลังนี้ละเอียดกว่าจิตเจตสิก คือรูปในจิตแล้ว แต่ว่าเพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “สภาวะ” เช่น ที่พูดกันว่า รูปธรรม-นามธรรม ก็ดี จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ก็ดี ขันธ์ 5 (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) ก็ดี รูป 28 (มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24) ก็ดี นาม 5 (เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ) ก็ดี อีกมากมายนับไม่ถ้วน     

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีที่จะเรียนรู้ได้ครบทั้งหมด โดยวิธีเรียนและปฏิบัติสุดยอด เมื่อยังไม่ได้หมดก็ได้ไปตามลำดับ สำเร็จผลไปตามลำดับ พ้นทุกขสัจไปตามลำดับ หรือบรรลุอาริยบุคคลไปตามลำดับ นั่นคือ เรียนรู้ด้วย“ธรรมะ 2”ที่เรียกว่า เทฺว ธัมมา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:04:31 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:15:42 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:03:26 )

สภาวะที่เป็นปฏิฆสัมผัสโสกับอธิวจนสัมผัสโส

รายละเอียด

ภาษากับสภาวะนี้สลับไปมาก หากคุณแยกสภาวะได้ สภาวะที่เป็นปฏิฆสัมผัสโสกับอธิวจนสัมผัสโส ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60

ปฏิ คือ Action Reaction มีการกระทบสัมผัสก็เกิด ปฏิฆสัมผัสโส แต่ยังไม่มีชื่อเรียกก็ได้ หรือมีชื่อเรียกก็ได้ ถ้ามีชื่อเรียกก็เป็น อธิวจนสัมผัสโส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู (สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือ อธรรม มิใช่ ธรรมะ


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:16:12 )

สภาวะธรรม

รายละเอียด

อาตมาแสดงธรรมไม่ได้เอาแต่ภาษาของอภิธรรมมา อย่างพวกจิต 89 พวกนี้ เขาบรรยายกันแต่ไม่เข้าถึงสภาวะ หากเข้าถึงสภาวะก็น่าจะบรรลุอรหันต์กันไปนานแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:23:06 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:15 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:03:46 )

สภาวะธรรม

รายละเอียด

หากวิญญาณไม่หยั่งลง ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา นามรูปก็จะขาดความสืบต่อลงทันที แต่ละคำนี้หากไม่ศึกษา ไม่รู้จักสภาวะธรรมเลยมันก็จะไม่สนุก มันก็จะเลื่อนเปื้อนไปจะเมาเอา แต่ผู้ที่ศึกษาให้ดี จะเข้าใจเลย อาตมาอธิบายไปไม่เสียผล ผู้ฟังเข้าใจ แต่หากอธิบายแล้วผู้ฟังไม่เข้าใจเลย มันเหมือนเทศน์ให้ต้นเสาฟังก็ไม่เข้าท่า นี่ยังดีมีคนฟังรู้เรื่อง คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:07:27 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:06 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:04:15 )

สภาวะธรรมของจิตอุเบกขานัยยะลึกซึ้ง

รายละเอียด

แต่แท้จริงแล้วนัยยะลึกซึ้งของอุเบกขา ต้องรู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จิตของเรา ปราศจากกิเลสอย่างละเอียด หมดกิเลส จิตบริสุทธิ์แล้ว เราจะเข้าใจว่าจิตเราบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเท่าใดก็ปฏิบัติอีก ปริโยทาตา ให้มันสะอาดกว่านั้นขึ้นไปอีก ความสะอาดจะมีให้เห็นได้ว่า สะอาดประมาณนี้เรานึกว่าเราสะอาดแล้วนะ เราบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแล้วนะ แต่จริงๆแล้วมันทำได้เนียนลึกยิ่งกว่านั้นอีก 

มุทุ ที่แปลว่า อ่อน ก็ไม่รู้จะแปลอย่างไรภาษาบาลี แต่ มันมีสภาวะธาตุของจิต มุทุภูตธาตุ มันทั้งดัดง่าย ไว เร็ว ปรับตัวของมันได้ดี เนียนลึก บางเบา ละเอียด เป็นความไม่มีอะไรที่ยิ่งๆขึ้น เพราะฉะนั้นจิตที่บริบูรณ์ จิตที่ยิ่งประเสริฐ จิตยิ่ง เป็นอาริยะสูงสุด ขึ้นไปเรื่อยๆ จึงเป็นจิตที่ มุทุนี่แหละเป็นองค์รวมของทั้งจิตทั้งกาย ด้านศรัทธาด้านปัญญา มันหมดไปๆ ก็เป็น มุทุภูตธาตุ ที่เจริญมากยิ่งขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน3 วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 11:13:25 )

สภาวะธรรมของมูลสูตร 10

รายละเอียด

สำคัญเลยฉันทะเป็นข้อต้น เป็นมูลกา ถ้าคุณไม่มีฉันทะจะปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผลถึงที่สุดได้ มันต้องฝืนต้องทนไปก็ไม่ได้เรื่อง หากมีฉันทะมีความยินดีมีความรักมีความปรารถนา มีมนสิการเป็นแดนเกิด ตัวนี้ก็สำคัญ สำคัญยิ่งๆ มนสิการ แปลว่าการทำใจในใจแต่เขาไม่ค่อยจะอธิบายกัน ไปแปลว่า โยนิโส มันคือการแปลว่าการทำใจในใจเป็นหลักแต่เขาไปหลงในความรู้ โยนิโส เป็นความรู้ความเห็นความเข้าใจให้ละเอียดลออถ่องแท้ ให้แยบคายคุณจะทำใจในใจถ้าไม่ละเอียดแยบคายถ่องแท้นั้นก็จะทำใจในใจผิด มนสิการจะทำใจในใจได้นี้ จึงเป็นผู้ที่จะแก้ไขการปฏิบัติธรรมหรือการปฏิบัติชีวิต คุณจะต้องมนสิการให้เป็น ทำใจในใจเป็นและต้องทำให้โยนิโสมนสิการด้วยให้ถ่องแท้ให้ถูกต้อง ให้ลงไปถึงที่เกิดเหตุจึงเรียกว่า แดนเกิด ที่เกิด ที่เกิดตรงไหนก็ตรงที่ หทยรูป ตรงที่จิตของคุณจะต้องแก้ต้องปรับปรุงตรงนั้น มันมีอะไรตรงนั้นจะต้องแก้ แก้อะไร คือแก้กิเลส จิตจริงๆมันอนัตตา มันไม่เป็นตัวตนหรอก ผู้บรรลุอนัตตาแล้วผู้ที่หมดกิเลสแล้ว หากไม่ตั้งจิตต่อจะตายอย่าง สุญญตานิพาน อนิมิตนิพาน อปนิหิตนิพพานก็สูญเลย ไม่มีตัวตนหรอก คนจะทำได้ต้องทำกิเลสให้ดับไป ทำได้แล้วก็ไม่มีตัวตน ตายอย่างนิพพาน 3 คุณก็สูญเลยแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ผู้ที่ศึกษาปฏิบัติแล้วทำปรินิพพานได้ ก็จะรู้ว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดอยู่ที่การมนสิการแดนเกิดอยู่ตรงนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่อาตมายังตั้งอปณิหิตะ จะเป็นโพธิสัตว์ต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ยังไม่ท้อแท้ แม้ว่ามันจะเหนื่อยยาก ก็จะเอาน่ะ ผัสสะ เป็นเหตุ สมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกอย่างที่จะเกิด คุณจะเกิดความเจริญในจิตเกิดการบรรลุธรรม จะเกิดการก้าวหน้าในการบรรลุธรรม คุณจะต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย คุณไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยก็เข้าป่าไปเลย เรียกว่าสุญโญเลย มันไม่เกิดประโยชน์อะไร อาตมาก็พูดให้ชัดเจนและแรงเหมือนทิ่มแทงด้วยหอก นี่ดีนะ ไม่เทศน์เช้ากลางวันเย็น เพราะฉะนั้นในการทำใจในใจเป็นมีผัสสะเป็นเหตุ ถ้าไม่มีผัสสะก็สุญโย ไม่เกิดการบรรลุผลอะไรในศาสนาพุทธ จะต้องลืมตามีสัมผัสที่ 6 ทวาร สู่แดนธรรมเพื่อนๆว่าอย่างไร สู่แดนธรรมว่า…เขาก็ยังเขื่อของเขาอยู่เข้าใจแบบนั้นเขาอยู่เขาให้ผมหาที่สัปปายะให้เขาด้วย พ่อครูว่า…เข้าป่าบักนัดสิมีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ปฏิบัติแล้วมีผัสสะเป็นเหตุให้ปฏิบัติในการเกิดเวทนา แล้วเวทนา เป็นที่ประชุมลง เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงปฏิบัติกันที่เวทนาในเวทนา ทำ 2 ให้เป็น 1 จะต้องเรียนรู้ เทฺว ธมฺมา  เรียนรู้ธรรมะสอง เข้าใจเทวะให้ได้ เทวะแปลว่าสอง ศาสนาเทวนิยมไม่ได้ตีแตกคำว่าเทวะที่แปลว่า 2 มีรูปนามในกาย แล้วแยกแยะรูปนามเรียนรู้วิญญาณเข้าใจให้หมดแตกวิญญาณไป เรียนรู้เจตสิกต่างๆโดยเฉพาะไปที่เวทนาเจตสิกและรู้จุดสำคัญตรงที่ว่า จะตายเหรือเกิด จะสุขหรือทุกข์ดับความสุขดับความทุกข์ทำลายอัตภาพอยู่ที่เวทนานี้ทั้งนั้น ประชุมลงตรงนี้ ผู้ใดที่ทำได้ตรงนี้เสร็จเรียบร้อยก็จะสั่งสมลงเป็นสมาธิเป็นประมุข เป็นนายใหญ่ เป็นหัวหน้า ทำได้สำเร็จเป็นฌานเป็นสมาธิก็ตรงนี้จบที่สมาธิ จากนั้นคือการขยายความเสริม มีสติเป็นอำนาจใหญ่มีปัญญาอยู่เหนือมีวิมุติเป็นผลสำเร็จเป็นสาระแก่นสารได้สำเร็จ คนคนนี้ หยั่งลงสู่อมตะ ผลของภาวนาเราถึงที่แล้วก็เป็นอมตบุคคล คือ ผู้ที่จะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ สั่งเกิดสั่งตายได้ในตัวเอง สั่งสูญเหลือหรือไม่สูญก็ได้ สุดท้ายก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะสูญเลยหรือเหลือก็ตามทำได้ นี่คือมูลสูตร 10 ตามที่อาตมามีภูมิมาขยายความ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:04:03 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:08 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:06:50 )

สภาวะธรรมที่รู้ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

อันนี้มีคนท้วงว่า เมื่ออาตมาประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ เขาก็ว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ ซึ่งเราก็ต้องรู้สิ กว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ก็ต้องรู้ จิต เจตสิก รูป นิพพานของตัวเองรู้ว่าอาการของจิตเป็นอย่างไร เจตสิกเป็นอย่างไร รูป คือสิ่งที่ถูกรู้  นาม คือสิ่งที่เข้าไปรู้ เราก็ต้องมีนามเข้าไปรู้สิ่งที่ถูกก็รู้ รู้จิตรู้เจตสิก เช่น รู้เจตสิกต่างๆตั้งแต่เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีกายต้องมีอะไรซ้อนในกาย กายนอกกายใน เป็นต้น หรือว่า กาย ที่เป็นกายสังขาร จิตสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ มันอยู่อย่างไรซ้อนกันเป็นลักษณะ 2 หรือเวทนา เวทนานี้เป็นความรู้สึกที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงส่วนอีกเวทนาหนึ่ง เวทนาเก๊ปลอม เราก็อ่านตัวจริงได้ แล้วก็รู้ว่ากิเลสมันพาให้ติดในเวทนาเก๊ ปลอม ก็แยกกิเลสออกจากจิตได้ ฆ่ากิเลสได้จางคลายได้ ทำซ้ำ จนมันดับสนิทไม่เหลือ รู้อาการลิงค นิมิต อุเทส จริงๆ อาตมารู้รายละเอียดพวกนี้แล้วก็ดับกิเลสได้หมดจนกิเลสไม่มีในจิตของอาตมา อาตมาก็รู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อาตมาเป็นโสดาบันก็หมดกิเลสโลกหยาบ กาม คือสิ่งที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เราก็สามารถแยกแยะล้างกิเลสได้ หมดกามก็เป็นอนาคามี ล้างรูปราคะอรูปราคะต่ออีก พยัญชนะว่าอย่างนี้สภาวะคืออะไร เรารู้อาการจิตเราเป็นอย่างไร เราหมดกิเลสก็บอกไปว่าเราเป็นอรหันต์ อธิบายตามสภาวะจริงไม่ได้อธิบายตามพระไตรปิฏก แต่เขาตั้งไว้แล้วว่า ในยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ยิ่งเป็นบุคลิกอย่างอาตมาเขายิ่งไม่เชื่อใจเลย ไม่อยู่ในสเปคที่เขาตั้งไว้เลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2563 ( 15:06:17 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:40 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:08:01 )

สภาวะธรรมทุกลมหายใจเข้า ออกตามรู้กิเลส

รายละเอียด

ถึง 4 ตัวสุดท้าย คือ 1. ตามรู้ความเป็นอนิจจัง เรียกว่าอนิจจานุปัสสี ตามรู้ความจาง คลาย ของกิเลสว่าทุกลมหายใจเข้าออกคุณได้ปฏิบัติธรรมและทำให้กิเลสมันจางคลายหรือเปล่า ทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงแต่คุณทำให้กิเลสจางคลาย ได้ไหม จนกิเลสของคุณจางคลายแล้วก็รู้สึกว่ามันเจริญนะ ปฏินิสสัคคานุปัสสี ปฏิ แปลว่าทวนไปทวนมา นิสสัคคะ แปลว่าไม่มีสวรรค์ ปฏิบัติจนเห็นว่าเราลดความเป็นสวรรค์ได้ ไม่ติดสวรรค์ไม่หลงสวรรค์ ทำให้คลายความติดยึดในสวรรค์หรือในความสุขนั่นแหละ  ความสุขกับความทุกข์แยกกันไม่ได้ หมดทุกข์หมดสุขคือจิตอุเบกขาเป็นฐานอรหันต์  ก็ทำทวน ปฏินิสสัคคะชัดเจน ในการตามเห็นความดับกิเลสได้นิโรธานุปัสสี อ่านสภาวะธรรมจากทุกลมหายใจเข้าออก ให้มีธัมมวิจัยรู้ลักษณะที่มีความต่างของสภาวะคู่เช่นจากลมหายใจเข้าออกสั้นยาวเข้าออก ให้เข้าใจ ลิงค ความแตกต่างแล้วก็เลือกเอาสิ่งที่มีอะไรแอบแฝง ซึ่งเป็นความไม่จริงออกจากความจริง มีความถูกต้องกับไม่ถูกต้องแฝงมา  โดยเฉพาะความมีกิเลสกับความไม่มีกิเลส เราก็ทำให้มันได้สิ่งที่ควรได้ มีกิเลสกับไม่มีกิเลสควรทำให้ได้อย่างไหน…อย่าตอบ เดี๋ยวจะสอบตก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2563 ( 15:22:35 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:10 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:08:42 )

สภาวะนาคข้อ 1,2

รายละเอียด

ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู๋ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 20:16:10 )

สภาวะบุญของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คือพลังงานเผากิเลสได้ เผาได้ก็เรียกว่าบุญ เผากิเลสดับได้ก็เรียกบุญ แต่บุญก็หมดไปในปัจจุบันนั้น ต้องสร้างพลังงานฌาน แล้วเผากิเลสดับได้ก็เรียกบุญ พอชำระกิเลสได้ บุญก็หมดไปด้วย อรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปทุกองค์ ปุญญปาปปริกขีโณ ทุกวันนี้เขาแสวงหาบุญ แต่ไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศลเป็นเครื่องอาศัยในชีวิตเป็นความดี ถ้าจะว่าจริงๆบุญไม่ใช้ความดี แต่เป็นผีร้าย เป็นเพชฌฆาต ต้องสร้างพลังงานฌานเผากิเลสเป็นบุญ บุญทำงานสำเร็จเสร็จ บุญก็ไม่มีแล้วหมดไปเลยหายไปเลย พยัญชนะแต่ละคำสื่อสภาวะของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าทำบุญแล้วไปหาพ่อแม่นั้นไม่มีหรอก แม้แต่การทำกุศลเป็นความดีงามทำแล้วก็ส่งไปให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วไม่ได้หรอกใครทำกรรมคนนั้นก็ได้ กัมมัสกตา ที่พูดว่าเอาของไปทานให้พ่อให้แม่ จะทานแก่ภิกษุหรือคน ทานแล้วคุณก็ได้ความดีเป็นกุศลเป็นเครื่องอาศัยของคุณเป็นสมบัติ แต่บุญนั้นเป็นวิบัติ มันไม่ใช่สมบัติเลยมันไม่ได้สะสมอะไรหรอกบุญ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:45:55 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:43 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:13:32 )

สภาวะผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร

รายละเอียด

คุณเดชาอาจจะเชื่อว่ามีคนบรรลุธรรม แต่เขาจะไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างอาตมาจะบรรลุธรรม Concept ของคุณเดชาจะมองว่าผู้บรรลุธรรมจะไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างลิง ว่องไวอย่างนี้ ไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องสุภาพเย็นๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจตรงกันข้ามและผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านี่ อย่างพระสารีบุตรนี้ยิ่งกว่าลิง เพราะมันแววไว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา นี่เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า 

กายปาคุญญตา หมายถึง ทั้งภายนอกและภายในคล่องแคล่ว โดยมีเจตสิก 3 มีเวทนา สัญญา สังขาร เป็นหมวดธรรมที่คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว ยิ่งบรรลุยิ่งคล่องยิ่งไว ทั้งกายทั้งจิต เพราะจิตเป็นประธาน กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มีพยัญชนะในบาลีไว้หมดแล้ว ไม่ได้คิดเอง แต่เขายังเข้าใจไม่รอบปฏิบัติยังไม่ถึงได้เขาอาจจะเรียนรู้พยัญชนะแต่เข้าไม่ถึงสภาวะ ไม่มีความจริง เพราะฉะนั้นเยอะส่วนใหญ่เรียนกันเป็นเปรียญ 9 ดร.ทางพุทธศาสนา พยัญชนะมีเยอะแต่ไม่รู้จักสภาวะ พูดไปแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก 

เพราะฉะนั้นแน่นอน คุณเดชามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ ว่าน้ำหน้าอย่างอาตมาจะบรรลุพระอรหันต์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบการปกครองของมนุษย์ ที่สุดยอด วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 11:48:37 )

สภาวะพลังงานตัวกลางที่สุดคือพืช

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถทำจิตนิยามของตนเอง ทำนี่แหละ กรรมนี่แหละแปลว่ากระทำ สังขารหรืออภิสังขาร จัดการพลังงาน จัดการการปรุงแต่งพลังงาน 2 ของเราให้มาเป็นระดับพืชได้ คุณก็หมดทุกข์หมดสุข หมดบาปหมดบุญ หมดวิบาก หมดชอบหมดชัง อโหสิหมด ไม่มีอะไรที่จะเป็นพิษภัยอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ตรัสรู้อย่างพระพุทธเจ้า สภาวะพลังงานตัวกลางที่สุดคือพีชะ จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ยุคนี้อย่าง สู่แดนธรรมพูดนี้ก็ไม่ผิดหรอก มีแต่อาตมาที่อธิบายอย่างนี้ เพราะอาตมารู้ ขออภัย แม้แต่ท่านประยุทธ์ก็ไม่ได้อธิบายอย่างนี้ ไม่ใช่ไปดูถูกท่าน แต่ท่านยังไม่ได้รู้ถูกต้องทิศทางของธรรมนิยาม 5 อย่างนี้หรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:29:13 )

สภาวะมีแต่ในพุทธที่เป็นโลกุตระเท่านั้น เทวนิยมไม่รู้สภาวะจิต

รายละเอียด

คำว่า สภาวะ แปลว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมันปรากฏทางนามธรรม โดยเฉพาะจิตเจตสิกของเรา เราอ่านอาการของจิตเจตสิกได้ อาการของจิตเจตสิกก็เป็นสภาวธรรม ที่เราสัมผัสได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็เป็นสภาวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นสภาวะ เป็นสิ่งปรากฏที่เราสัมผัสได้ พระเจ้าไม่ใช่สภาวธรรม เพราะพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้ใครสัมผัสได้เลย เป็นสิ่งลึกลับ เพราะฉะนั้นธรรมะของเทวนิยมไม่มีสภาวธรรม มีแต่ความคิด ห้วงความคิดจินตนาการ  ไม่มีสภาวธรรมที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้นสภาวะที่ปรากฏ แม้จะเป็นนามธรรมอยู่ในแต่ละบุคคล คนนั้นต้องมี จิตเจตสิก 

คนที่ตายไปแล้ว ตัวเขาเองเป็นสภาวที่ให้คนอื่นที่มีนามธรรมที่มีจิตยังไม่ตายรู้ว่าอันนี้เป็นซากศพซากตาย ตัวเองคนที่ตายหมดสภาวะ หมดการทรงไว้ซึ่งธรรม หมดการรู้ คนที่ตาย แต่เป็นสภาวะให้คนอื่นรู้ เป็นตัวที่ถูกรู้เป็นรูปเป็นศพ เพราะฉะนั้นสภาวธรรมจึงประกอบไปด้วย 2 อย่าง พูดกันกับใครต่อใครก็แล้วแต่ คนที่พูดกันรู้เรื่องว่ามีสภาวธรรม ก็ต้องมีสภาวะ 2 คือสิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้ ถ้าสิ่งที่ถูกรู้ แม้จะเป็นนามธรรมที่แต่ละคนพูดกันสองคน ก็พยายามตามรู้กันไป อย่างประมาณเท่านั้นเอง ส่วนเรารู้ของเรา เราก็มีการกำหนดรู้ สิ่งที่เป็นสภาวะที่เรากำหนดขึ้นในจิต มันอยู่ในห้วงจิตของเรา มีจริงหรือไม่จริง ได้ 

อย่างพระเจ้านี่ มีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ แต่ส่วนมากของเทวนิยมนั้นเขาไม่มีจริงหรอกพระเจ้า พระเจ้าของเขาจริงๆนั่นคือความรู้ของศาสดา ศาสดาของศาสนาไหน เขาก็คือพระเจ้านั่นแหละ แต่เขาไม่รู้จักจิตเจตสิก เขาไม่รู้จักสภาวธรรม ศาสดาสายพระเจ้า ศาสนาเทวนิยม ทุกองค์เขาไม่รู้จักสภาวธรรม จิตเจตสิกรูปต่างๆ นิพพานนั้นยิ่งไม่ต้องพูดเลย เขาไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นเขาจึงมีแต่ความรู้หนึ่งเดียว ครึ่งเดียว ความรู้มันไม่เต็มความรู้ มันไม่มีรูปกับนาม มันไม่มีกายกับจิต พระเจ้าไม่มีกาย แม้แต่รูปนั้นไม่ต้องพูดเลย  รูปของพระเจ้าที่จะถูกรู้นั้นไม่มี ไม่ต้องพูดเลย เป็นรูปที่จะต้องสัมผัสด้วยตา แม้แต่สัมผัสด้วยตาแล้วก็เป็นนามธรรม 

 กายก็คือนามธรรม ที่ประกอบไปด้วยรูปข้างนอกที่เราสัมผัสได้ กายคือนาม แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจกายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว (ต้องอย่างเดียวด้วยนะ ไม่มีนามร่วม) เข้าใจผิด กายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว ผิดโมฆะเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิข้อแรกของสักกายทิฏฐิ ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของกาย ให้ได้ ให้ถูก เมื่อเข้าใจคำว่ากายให้ได้แล้ว ต้องรู้จักสักกายะของตนด้วย จึงจะเป็นผู้สัมมาทิฏฐิในเรื่องของ สักกายะ แค่นี่ก็ยากแล้ว เดี๋ยวนี้เสื่อมกันไม่ค่อยเข้าใจแล้วทำไม่เป็น จึงหาอรหันต์ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ อาตมานำโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิมาประกาศ จึงเกิดอาริยบุคคล จึงเกิดโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในชาวอโศก ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า ในเถรสมาคมหรือในชาวที่นั่งหลับตาไม่มีหรอกอรหันต์ มีแต่หลงผิด มีแต่อรหันต์เก๊ ขออภัยที่พูดความจริงก็ต้องขออภัยทุกที เกรงใจจริงๆนะ แต่มันจำเป็นมันจะต้องพูด มันต้องบอกความจริงกัน เกรงใจจริงๆ อาตมาไม่อยากพูดเหมือนลบหลู่เขา เหมือนไปข่มเบ่ง แต่มันเลี่ยงไม่ได้ ความจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาพูดไปพวกคุณก็คงเห็นใจอาตมานะ จะพูดอย่างนี้ต้องขออภัยทุกทีเกรงใจ มันเป็นเรื่องจริง ไม่รู้จะทำยังไง มันเลี่ยงไม่ออก 

 

 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2566 ( 17:34:13 )

สภาวะยึดมั่นถือมั่น

รายละเอียด

อุปาทาน คือ หลงติดความยึดมั่นถือมั่นความยึดติดเป็นรูป หลงติดเป็นนามหากคุณเข้าใจอาการสภาวะของความยึดมั่นถือมั่น สภาวะของความหลงติด เป็นอย่างไร? สภาวะยึดมั่นถือมั่น คือ อภินิเวสายะ และความติดยึด เกี่ยวข้องอยู่ ข้องอยู่ เรียกว่า คุหัฏฐะ ความข้องอยู่ ข้องอยู่ในถ้ำ  แต่นี่ไม่ได้ข้องในถ้ำ แต่เป็นการข้องในตัวตน ทั้งนั้นน่ะคุณติดอะไรอยู่ก็ข้องอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองหรือว่าแม้แต่จะเป็น ฝี ที่เจ็บปวด หรือวัวไม่มีหนัง ก็ติดอยู่ ด้วยความไม่รู้ประสีประสาว่ามันทุกข์หนัก ทุกขณะวินาที มันทุกข์อยู่ตลอดแต่คุณก็ไม่รู้ว่าทุกข์ แสบเผ็ดอยู่กับอะไรคุณก็ไม่รู้ มีเจตนาจะอยู่ตรงนี้ มีผู้มีกำลังแข็งแรงดึงขึ้นไปคุณก็จะจมอยู่กับอเวจีอันนี้ให้ได้ เป็นวัวที่ไม่มีหนังอยู่ตรงนี้ให้ได้ สุดท้ายคุณก็เป็นไอ้โจรที่ฆ่าศาสนาอยู่ พระราชา ก็บอกว่าเอาไปฆ่าเสีย เพราะถ้าขืนให้อยู่จะสร้างบาปเป็นภัย มีเหตุปัจจัยจะต้องฆ่าศาสนาอยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:03:37 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:58 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:14:18 )

สภาวะรับรองธรรมะ

รายละเอียด

อาตมาสอนธรรมะอาตมารื่นเริงในธรรม อาตมาสนุกนะอาตมาไม่ได้อดทนอะไร แต่สรีระ มันต้องฝืน ตรงนี้มันมีสภาวะ 2 ย้อนแย้งอยู่ในตัว สรีระคือรูปธรรม ส่วนจิตวิญญาณคือนามธรรม นามธรรมมันลื่นไหล มันไม่ติดขัด มันไม่ทุกข์ร้อน มันเบิกบานร่าเริงด้วยซ้ำไป แต่ว่ารูปธรรมมันหนืดๆอยู่ เอาแค่นี้ก็แล้วกัน อธิบายไป แปลว่าคุณมีสภาวะรับรองธรรมะอาตมา สะอาดบริสุทธิ์มาได้เป็นลำดับ 

จะมีคนที่ปฏิบัติธรรมและเกิดปฏิภาณปัญญา ชาญฉลาดแบบนี้ แบบคุณเพชรรัตน์ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของการงานที่ไม่เอาลาภแลกลาภคือทำงานฟรี ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เห็นประเด็นมันไหม ก็จริงทุกอย่างในมุมเหลี่ยมของมัน มันไม่ต้องไปต่อรองราคา ทำให้เขาเลย แล้วก็เป็นประโยชน์กับเขา มันจะเข้าใจรายละเอียดของมัน นัยยะมุมเหลี่ยมที่ละเอียดขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:27:59 )

สภาวะรายละเอียดองค์คุณ 5 ของอุเบกขา

รายละเอียด

อาตมาก็ไม่รู้ภาษาบาลี อาตมารู้สภาวะก็มีภาษาไทยเรียก ก็แปลเป็นภาษาไทยเรียกกันอย่างนี้ บริสุทธิ์จากกิเลสคืออย่างไร ปริโยทาตา อาตมาแปลเองหมดเลยนะพวกนี้ ท่านแปลไว้ว่า 

ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ ปริโยทาตาคือผุดผ่อง มุทุคืออ่อน กัมมัญญตาคือ เหมาะควรแก่การงาน ปภัสสราคือ ผ่องแผ้ว 

แต่อาตมาอธิบายสภาวะรายละเอียด ปริสุทธาคือ หมดกิเลสจิตบริสุทธิ์แล้วกระทบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ กับสัตว์กับคนกับของกับพืชก็บริสุทธิ์สะอาดยิ่งขึ้นอีก มันมีความละเอียดได้มากมายหลายอย่างที่เราไปติดยึดอีกไม่รู้กี่อย่าง กระทบแล้วก็จะรู้ว่าเราสะอาดได้มากขึ้นบริสุทธิ์ได้มากขึ้น ถึงจะรวมลงเป็น มุทุภูตธาตุของเรา จิตของเรารวมเป็นภาวะ 2 ที่ทำให้เป็นหนึ่งได้ทำให้เป็น 0 ได้เรื่อยๆ พวกคุณฟังอาตมาภาษาพวกนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกอธิบาย หรอก  อาตมาอธิบายขยายความเองรู้เรื่องไหม แต่เขาบอกว่าโพธิรักษ์พูดเอาเอง ก็พูดเอาเองสิอาตมาเป็น สยังอภิญญา แต่พูดกับพวกคุณที่เป็นพุทธศาสนิกชนในยุคนี้ สื่อภาษาไทยที่เป็นภาษาถิ่นรู้เรื่องเข้าใจได้และรู้จักตัวตนของกิเลสด้วย กิเลสจากสัตว์กิเลสจากของกิเลสจากพืชกิเลสทางตาหูจมูกลิ้นกายรู้ไหม เอาออกได้ไหม ….ได้ก็ได้สิไม่ได้ถามว่าหมดหรือยัง ถามว่าได้ไหม...ได้ หรือว่าไม่หมดก็ดีแล้วไม่หลงใหลตัวเอง ก็เอาให้หมดเลยจะได้เป็นอรหันต์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้ อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:45:23 )

สภาวะลิงลมอมข้าวพอง

รายละเอียด

อาตมาออกบวช 2513 อาตมาเกิดแล้ว อยู่ทางโลก ลิงลมอมข้าวพองอยู่ 36 ปี ไปใช้ชีวิตเหมือนคนเมา อยู่กับโลกีย์เขา สติสัมปชัญญะตัวตนที่รู้ตัวเต็มยังไม่ออกมา ยังไม่ขึ้น ก็ถูกโลกครอบงำ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็ถูกโลกเขามอมเมาเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่เหมือนกันถึง 29 ปี อยู่ในทางฆราวาสเลย ออกบวชอีก 6 ปี ก็ยังถูกครอบงำทางธรรมะ ลิงลมอมข้าวพองอีก 6 ปี อาตมาก็มีนัยคล้ายกัน อยู่ทางโลก 36 ปี ออกมาบวชก็ถูกครอบงำทางธรรมะแบบโลกีย์เขาบ้างก็ยังไม่ชัด ไม่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ก็ค่อยฟื้นของตัวเองมา แต่ก็ยังไม่แม่น แม้บัดนี้ก็ยังระลึกของเดิมของตนเองมาได้อยู่ มีแต่ของเก่าและก็ไม่ได้มีของใหม่ อาตมาไม่ต้องเอาของใหม่ ก็มีของเก่าที่นำมาจากพระพุทธเจ้าดึงออกมา พวกเราก็ได้โลกุตระทั้งหมดเท่าที่จะดึงออกมาได้ตอนนี้ยังดึงออกมาไม่หมด ทุกวันนี้ก็ดึงออกมาผ่อนส่งให้พวกคุณไปได้เรื่อยๆ แล้วก็ยังมีอีกมากที่ยังเห็นว่ามีรายละเอียดต่างๆ เพราะในพระไตรปิฎกต่างๆมากมายหลายพระสูตร ก็มานั่งทำความเข้าใจ แต่ละสูตรๆ ต้องทบทวนฟื้นทำความเข้าใจให้ได้ จึงจะเอามาอธิบายเอามาสื่อให้พวกเราฟังได้ชัดเจน ขนาดนั้นก็ยังไม่ชัดเลย ไม่เก่ง สื่อออกไปก็ไม่ค่อยชัด ทั้งที่อาตมาดูความสมบูรณ์ของสภาวะแล้วแต่จะสื่อออกมาให้เป็นพยัญชนะนั้นยาก ใช้ภาษาไทยและต้องอาศัยภาษาบาลี ภาษาบาลีอาตมาก็ยังฟื้นความรู้มาได้พอสมควร รู้พยัญชนะบาลี ก ข ค ฆ ง และอื่นๆ ก็อาศัยพวกนี้เป็นหลัก ที่จะเป็นตัวตัดสินหรือว่าเป็นความรู้ถึงรากเหง้าของสัจธรรมก็ต้องอาศัยพวกนี้ นอกนั้นก็อาศัยตามพระไตรปิฎก อาศัยสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามายืนยันให้ถูก ส่วนที่ไม่ถูกเป็นของอรรถกถาจารย์อาตมาก็ต้องทำความเห็นแย้ง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา  วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 16:30:04 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:09 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:16:08 )

สภาวะลิงลมอมข้าวพองมีในคนระดับใดได้บ้าง

รายละเอียด

ดี อันนี้ดี ถามดี ตอบ ลิงลมอมข้าวพอง ปุถุชนคนทั่วไปนี่ยังเป็น ลิงลมที่มัวเมาโลกียะอยู่ ปุถุชนคนทั่วไปยังเป็นคนที่มัวเมาอยู่ในโลกียะอยู่ตลอดไป ยังไม่ได้โลกุตรภูมิเลย

เพราะฉะนั้น แม้แค่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เอาแค่ โสดาฯกับสกิทาฯก่อน ยังมีภูมิโลกุตระเข้ากระแสมา ยังไม่ถึงขั้นนิยตะ โสดาฯ สกิทาฯ ยังไม่ถึงขั้นนิยตะ ที่จะสูงขึ้นไปสู่ที่สุดที่สูง ไม่มีอะไรขีดคั่น ยังหมุนเวียนลงต่ำขึ้นสูงอีกเยอะ แต่ไม่ตกออกจากกระแสที่จะเป็นอาริยะเท่านั้น โสดาฯ สกิทาฯ แต่จะซับซ้อน ตกต่ำตกสูงๆ อีกเยอะกว่าจะถึงขั้นที่ 3 นิยตะ 

องค์คุณส่วนเกิดของพระโสดาบัน 8 ประการ….

(ข)  ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ) 4 ส่วน 

5. โสตาปันนะ (เข้าถึงกระแสโลกุตรธรรม )

6. อวินิปาตธัมโม  (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)

7. นิยตะ (เป็นผู้เที่ยง)

8. สัมโพธิปรายนะ (จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า)

(พตปฎ. 19 ข้อ 1475)

เราจักเป็นผู้ไม่ถอยหลัง จักเป็นผู้มีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ฯ  อนิวตฺติ ภวิสฺสามิ พฺรหฺมจริยปรายโนติ ฯ  (พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 478)

โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงขั้นที่ 3 นิยตะ แล้วไปถึงขั้นที่ 4 สัมโพธิปรายนะ ก็ยังต้องวนซับซ้อนอยู่อีกเยอะเป็น อวินิปาตธรรม เป็นแต่เพียงไม่ตกออกจากกระแส  ถ้ามีโลกุตรธรรมจริง แต่ถ้าไม่มีโลกุตรธรรมจริงก็จะหลุดออกจากกระแส กระแสโลกุตรธรรม ก็ไปนรกสวรรค์วนเวียนอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ พวกที่ได้เข้ากระแสแล้วชาติจะสั้นลง การเกิดการตายในชาติของที่เราจะมีจิตนิยามจะสั้นลงๆ 

เพราะว่าคนที่เป็นแค่ โสดาฯหรือสกิทาฯ ยังไม่มีนิยตะ ก็จะไม่มีภูมิ ยังไม่มีปัญญาที่จะรู้เทวภูมิหรือธรรมะ 2 เจโตกับปัญญา เป็น 2 ที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ยิ่งสายเจโตก็ยิ่งจะยากและช้ากว่าปัญญา จะรู้รายละเอียดพวกนี้ได้น้อยกว่า เพราะฉะนั้น จะเป็นวิมุติ จนกระทั่งถึงวิมุตติญาณทัสนะ หรือวิมุตติธรรม ที่เป็นวิชาธรรมะของพระพุทธเจ้าอีก นาน จะช้าจะนานกว่า 

ทีนี้คำว่า ลิงลมอมข้าวพอง ประเด็นที่คุณสินพุทธถามมาว่าฆราวาสเป็นได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ ลิงลมอมข้าวพอง ไม่ได้เพราะว่าคุณไม่มีกรอบ ไม่มีรอบของการที่จะหลุดพ้นอะไรเลย คุณยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไป บางคนก็ยังหนักหน้าอยู่กับการแย่งลาภ แย่งยศ เห็นว่าเป็นความสุข เป็นลาภเป็นยศ หรือสูงขึ้นไป ลาภหยาบๆ ไม่แล้ว ยศก็ไม่ค่อยแล้ว ก็จะหลงสรรเสริญหลงสุขไปอีก 

แต่คนที่ยังติดยศ แบกยศอยู่ อะไรต่ออะไรอยู่ อาจจะลาภลดบ้างแล้ว แต่ยังอีกนาน แค่ยศก็ได้บ้าง ลาภก็ได้บ้าง แต่ไม่เที่ยง เพราะว่าขั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข  4 อย่างนี้ มันก็เป็นกรอบๆ ลาภ ยศ ก็เป็นกรอบหนึ่ง ยังเป็นเรื่องที่ต่ำกว่า ส่วนสรรเสริญและสุขก็อีกกรอบหนึ่ง มันเป็นเรื่องนามธรรม สูงขึ้นไปอีก อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นคนที่ยังแบกยศเบิ้มๆ อยู่นี้ ยาก ยังจะวนเวียนวกวนอยู่นี้ ก็ยังอีกนาน ดูเหมือนจะไม่มีลาภแต่ซับซ้อน ที่อาตามาเคยอธิบายซ้อนให้เห็นนี้ ว่า อย่างมหาบัว ดูเหมือนไม่ติดในลาภ แต่ไม่รู้จิตของตนเอง มีรูปาวจร อรูปาวจร หรือมี รูปจิต อรูปจิต ที่หยาบหนักกว่ากาม ฟังให้ดีนะ มันซับซ้อนหนาหนักกว่ากาม ที่อาตมาอธิบายเรื่องมหาบัว ทุกวันนี้ไม่ใช่ลงโทษ ไม่ใช่ใส่ความนะ ยังเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้า นี่อธิบายเป็นรูปธรรมให้ฟัง คือยังเป็นจิตเดรัจฉาน ยังเป็นจิตตกต่ำ ยังนึกเป็นตัวกูของกูๆอยู่ ไม่ไปผุดไปเกิดหรอก ยังเฝ้าสมบัติอันไม่มีแล้ว ป่านนี้ไอ้ทองคำดอลล่าร์อะไรที่ไปเรี่ยไรไว้ 

1. การเรี่ยไรไม่ใช่กิจสงฆ์ แต่มหาบัวกลับทำกันเฉย

2. เอาสถาบัน ทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องประกอบของตนเองไปโฆษณาเรี่ยไร ให้แก่ประเทศชาติอะไรต่างๆนานา 

1.ไม่รู้จักกิจของสงฆ์ เที่ยวได้เรี่ยไร 

2. ไม่รู้จักสภาพของสิ่งที่ไปดึงลงมาต่ำ เอามาเป็นเครื่องมือของตน เพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็อ้างว่ามาช่วยชาติ ซ้อนอีก เอาชาติเป็นตัวประกัน 

เห็นไหมความซับซ้อนของพฤติกรรมของมหาบัวที่ทำ ขออภัยนะนี่อธิบายธรรมะนะ  อาตมาสงสารนะ พูดตรงๆ ก็พูดจริงมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว สงสารไม่อยากให้คนเป็นอย่างท่าน อย่างที่มหาบัวทำแล้วประพฤติเป็นตัวอย่าง หรือแม้แต่อย่างทักษิณ อย่างมหาบัวนี้ มันมีความซับซ้อนที่เป็นนรกอเวจี โอ้โห! อาตมาพูดแล้วก็รู้สึกสะท้านใจ ที่คนไม่รู้นี่มันน่าสงสารจริงๆ เพราะฉะนั้นก็พยายามอธิบายให้ฟัง

เพราะฉะนั้นคนไม่รู้ก็ตกเป็นเหยื่อ แล้วก็ไปด้วยกันแบบนี้ มันน่าสงสารอีก ไม่ใช่แค่คนเดียวไม่พอแล้วก็มาทำให้คนอีกจำนวนมาก โพธิรักษ์นี่มีผู้ที่เข้าใจด้วย มีผู้ที่มาตามจำนวนเล็กน้อย แต่อย่างมหาบัวนี้ โอ้โห! มันโง่ไปด้วยกัน ขออภัยนะนี่ไม่ได้ไปด่าไปว่า ไม่ได้ไปกดไปข่ม แต่มันโง่ มันไม่รู้ ไปด้วยกัน ทำกันไปอย่าง โอ้โห! ไม่เดียงสาเลย 

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่สุดสงสาร อาตมาก็ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรเรียก สุดสงสาร สุดสาครแล้ว สุดสินสมุทร สุดสาคร สุดสงสารจริงๆ 

อันนี้ตอบประเด็นแล้วนะว่า ลิงลมอมข้าวพอง ปุถุชนยังเป็นไม่ได้ เพราะ ปุถุชนยังไม่รู้จักกรอบของความหลับ ความตื่น ความหายเมาจากโลกีย์ แค่ลาภ แค่ยศ แค่สรรเสริญ ​ยิ่งสุขยิ่งลึก เพราะฉะนั้นแม้หยาบๆแค่ลาภ แค่ยศ ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปหายเมาได้อย่างไร ลิงลมอมข้าวพอง หมายความว่า เมา มัวเมา หลงใหลเลอะเทอะอยู่ 

ฉะนั้นคนที่จะมีสภาพ ลิงลมอมข้าวพอง มันมีความหมายนัยสำคัญ เป็นแต่เพียงความหลงเมาไปกับโลกที่มันหลอกอยู่ แต่ผู้ที่มีภูมิธรรมสูงแล้ว ไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของโลกีย์นี้แล้ว จะไม่ไปจมด้วย จะไม่ตกไป เมาไปแล้วก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ เช่นนี้ไม่ จะมีวิบากตามบารมี คนที่ยังมีบารมีน้อยก็อาจจะไปหลงนาน หลงหนักๆหน่อย แต่ก็ฟื้นตัวได้ แต่คนที่ไม่มีบารมี หลงไปแล้วไม่ใช่ฟื้นตัวได้ ไปเลยๆ หนักไปเลย จมไปเลย หนักไปเลย น่ากลัว 

เพราะฉะนั้นคำว่า ลิงลมอมข้าวพอง จึงเป็นผู้ที่มีตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป และก็ยังไม่เที่ยง ไปสกิทาคามีก็ยังดีขึ้น ต้องนิยตะ ต้องอนาคามีขึ้นไปจึงจะค่อยยังชั่ว ถ้าสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็ยิ่งจะไม่มีมากแล้วเป็น ลิงลมอมข้าวพอง ยังระเดี๋ยวประด๋าว 

ไม่ง่าย ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีลิงลมอมข้าวพอง โพธิรักษ์ก็จะต้องมีลิงลมอมข้าวพอง อธิบายยืนยันความเป็นจริงมาให้ฟังแล้ว ของพระพุทธเจ้าก็ยังมีตำนาน ของโพธิรักษ์ก็มี 

เพราะฉะนั้นคนที่ยิ่งไม่มีบารมี น่ากลัวไหม อ้าว อย่าไปสร้างเข้า อย่าไปหลงเลย โลกียะ

_ไม้ร่มว่า... ระดับพระโพธิสัตว์ เรียกว่า ลิงลมอมข้าวพอง ถ้าเป็นระดับพระพุทธเจ้า ผมจะเรียกว่า การแสดงแสนยานุภาพจะได้ไหมครับ 

ได้ จะใช้ศัพท์เด่นๆ โก้ๆ ใหญ่ๆ ยังไงก็ได้ เพราะว่าจริงอยู่แล้วสำหรับพระพุทธเจ้า คุณจะใช้แสนยานุภาพ จะใช้ศัพท์โก้ๆเท่ห์ๆเท่าไหร่สุดยอดก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเราถือว่าพระพุทธเจ้านี้สูงสุดแล้ว ใครทำได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ใครจะเป็นคนตัดสินล่ะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ต่ำที่สุด พุทธเจ้าที่ได้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่สูงที่สุด พระพุทธเจ้าจะไปพูดทำไม ก็พระพุทธเจ้าองค์ที่ต่ำที่สุดมันก็สูงกว่าคนที่ไล่ไม่ติดอยู่แล้ว จะพูดไปทำไม พูดไปคนเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็ตัดไป เป็นเรื่องของบารมีของแต่ละคนแต่ละองค์นะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง ควรเพิ่มพลังพากเพียร วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 06:36:57 )

สภาวะสัจจะย้อนสภาพ dialectic กับอายุขัยของพ่อครู

รายละเอียด

แม้พยัญชนะก็ชัดเจนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการพิสูจน์สัจธรรม พิสูจน์เข้าไปเถอะ อย่ารีบตายนะ ใครยังไม่อยากรีบตาย ยกมือซิ ... คนที่ไม่อยากรีบตาย อยากจะช้าๆตาย นานๆไปไม่ต้องตายไว เราก็สอนไว้หมดแล้ว 8 อ.จนถึงนามธรรม อยู่กับหมู่ก็แบ่งเบากันทั้งนั้นเลย

มันเป็นภาวะ dialectic คือ มันมาคำนึงถึงขันธ์ตัวเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้า บอกกับพระอานนท์ว่าเราไม่ไหวแล้ว รูปขันธ์เหมือนเกวียนเก่า คร่ำคร่าคำว่า เก่าของท่านนี้ แน่นอนแสดงว่าเสีย พระพุทธเจ้าหมด มันไม่เต็มที่ ที่จะใช้งานได้ อย่างประสิทธิภาพสูงแล้วถือว่าเก่า แต่ถ้าผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก เก่ามากๆ จะแย่แล้ว เขาก็ถือว่า ต้องใหม่ แต่ผู้ร่ำรวยมาก เก่าเท่านี้ เขาถือว่าเก่ามากแล้ว ทั้งๆที่มันไม่เก่าเลย  ต้องเหมาะสมกับท่าน ท่านจะต้องสดใหม่อยู่ประมาณนี้ ถ้าไม่สดใหม่ประมาณนี้ถือว่าเก่า 

อย่างอาตมานี่ ถือว่าเก่า ก็พยายามจะให้มันใหม่ พยายามๆไป แต่ละคนก็ เช้าขึ้นมาเจอกันเชียร์ ตอนนี้พ่อท่านหน้าใสดีจัง หน้าชมพูดีจัง แต่วันนี้หน้าซีด ไม่ค่อยกล้าทักเท่าไหร่ เฉยๆไว้ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่อยากให้เสียกำลังใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 14:00:14 )

สภาวะสำคัญกว่าพยัญชนะ

รายละเอียด

ที่เป็นอยู่ได้ตอนนี้เพราะว่าคุณจับเอาแก่นของอาตมาได้ พยัญชนะบางทีก็สับสนไปมาไม่ตรงเสียทีเดียว จะเห็นได้ว่าแต่ก่อนโน้นกับเดี๋ยวนี้อาตมากลับไปกลับมาหลายชั้น ก็เจตนาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองหรอกเพราะว่าอาตมาถือว่าสภาวะนั้นสำคัญกว่าพยัญชนะสภาวะนั้นเที่ยงแท้ตรงจริงกว่าพยัญชนะ อาตมาเป็นสิริมหามายาอย่างไรก็ไม่มีปัญหาแต่ก่อนพูดอีกอย่างตอนนี้ทำไมพูดอีกอย่าง ซึ่งมันก็ยังไม่เรียบร้อยอาตมาก็ต้องพูดอย่างนี้แหละ ส่วนใครจะถือสาว่าอย่างนี้ไม่น่านับถือก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครเอาแก่นว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาข้อมูลใหม่ที่ดีกว่าก็เอาใหม่ คนเชื่ออย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ก็อยู่กับอาตมาไปรอด แต่เขายึดมั่นถือมั่นว่าพูดแล้วต้องพูดอย่างนั้นเลยแก้ไขไม่ได้ก็แล้วแต่ ก็จะอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน มันก็เป็นคนละลักษณะ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2563 ( 13:39:05 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:22:16 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:17:27 )

สภาวะหนึ่ง

รายละเอียด

ศาสดาทุก ๆ องค์มิได้มีความแตกต่างกันเลย คงสอนไปสู่จุดเดียวกัน มีเนื้อหาสำคัญที่เป็นจุดยอดเช่นเดียวกัน คือไปสู่ที่สุด คือพระเจ้าทุกศาสนา อันได้แก่ความมีชีวิตนิรันดร์ หรือความเป็นชีวิตอันยิ่งใหญ่นั่นเอง

หนังสืออ้างอิง

(จากคนคืออะไร? หน้า 430)


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 13:12:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:33 )

สภาวะหลุดพ้นจากพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามี

รายละเอียด

กามาทีนวะ กามโทษขั้นต่ำ เพราะฉะนั้นหลุดได้ จากพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามี หลุดพ้นวีติกมกิเลส ที่ล่วงพ้นมาได้ โสดาบันที่หลุดพ้นอันนี้ขึ้นมาได้เป็นสกิทาคามีจึงรู้จักกิเลส กามโทษ โสดาบันจึงรู้จักกิเลส กามโทษ รู้จักกิเลสอันต่อไปที่เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่คุณจะต้องทำต่อไป วิติกกมกิเลส คือ กิเลสที่ทำหลุดพ้นออกมา จากอันนั้น ได้แล้ว โสดาบันจึงนับว่าเป็นผู้ที่มี ปริยุฏฐานกิเลสในปัญญาข้อที่ 1 ของโสดาบัน รู้ว่าตัวเองหลุดพ้นมาจากกิเลสนั้นได้จึงเรียกว่าเป็นปัญญา ปัญญาจึงไม่ใช่ความรู้ ทิฏฐิ ที่เริ่มเข้าใจแต่ว่าเป็นผู้ที่มีผลสำเร็จ เป็นธาตุรู้ที่มีผลสำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 22 เมษายน 2563 ( 14:03:19 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:21:11 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:16:48 )

สภาวะอนาคามี

รายละเอียด

แต่พวกเราก็มาได้ นี่แหละก็มาติดขั้นตอน บางคนก็ติดขั้นตอน พอหลุดขั้นตอนมาจนเป็นอนาคามี ไม่มีกามไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานเป็นของตัวเอง เข้าใจแล้วรู้ว่าตัวเองเป็นพระอนาคามี กามชัดๆที่จะต้องมีอาการ เสพทางเรื่องเพศคู่ เรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ได้จัดจ้านอะไร มันก็เฉยๆแล้วในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นน่าอร่อยน่าสนุกน่าไพเราะ มันก็เข้าใจในสมมุติ เราได้แต่เรารู้สึกเฉยๆ เราก็หมดภาระ ทางด้านนอก เหลือแต่ด้านใน ตามฐานเป็นรูป อรูป คุณก็อ่านทำลายนั้นให้หมด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธท่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:32:19 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 04:22:43 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 07:18:05 )

สภาวะอรหันต์แบบลืมตา

รายละเอียด

ก็ดี จับอารมณ์ อารมณ์เบิกบานนะคุณบอกแล้ว เบิกบานสดชื่น ไม่รัก ไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่โลภ มันเป็นจิตที่ ไม่มี 2 ไม่มีสภาพ 2 มันไม่สุข ไม่ทุกข์  ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่รักไม่ชัง มันก็สบายกลางๆ จิตเป็นกลางๆ คุณก็พูดถูกมาทั้งนั้น 

แบบนี้แหละคือสภาพจิตของพระอรหันต์ ก็มีแต่ทำได้แบบใด ก็ทำแบบฤาษีอย่างหนึ่ง กับทำแบบพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง 

ทำแบบฤาษีก็พยายามสะกดจิตให้มันไม่คิดไม่นึก แล้วก็พยายามระมัดระวังอย่าให้มันไปมี 2 สภาพ มีซ้ายมีขวา ให้มันอยู่กลางๆ เท่าที่เขาจะทำได้ในวิธีการนั่งหลับตา แล้วเขาก็ทำก็ตาม เขาจะรู้สึกว่ามันคือความรู้สึกที่เฉยกลางๆ เรียกด้วยศัพท์ว่า อุเบกขา แล้วเขาก็อธิบายแทรกเข้าไปอยู่ที่ฌาน 4 ของเขาอะไรอย่างนี้ ว่านี่เป็นอารมณ์ของฌาน 4 อุเบกขา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีหนึ่งไม่มีสอง กลางๆ ถ้ามีสติรู้อยู่ถือว่าเป็นวิปัสสนา ถ้าดับไปเลยไม่ทุกข์ไม่สุข ดับปี๋ไปเลยเขาถือว่าเป็นสมถะ ดีไม่ดีก็ว่าเป็นนิโรธ ถ้าทางหลับตาเขาจะเลยเถิดไปทางหลับตา ดับสนิทเป็นนิโรธ แต่ถ้ากลางๆเขาก็ไม่เรียกว่าเป็นนิโรธ เพราะยังมีตัวรู้อยู่ยังไม่ดับ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 49 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 15:27:00 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์