@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้เหมือนต้นไม้ที่มีแต่ดอกใบผล กิ่งก้านสาขางดงาม ไม่มีแม้แต่แค่สะเก็ดคือศีล ได้แค่วินัย 227 ฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่า สมาธิที่เป็นเปลือก ไม่เป็นสมาธิ เป็นสมาธิเก๊สมาธิสะกดจิต ซึ่งสมาธินั้นไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆสำหรับสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า 

ยิ่งปัญญา ไกลลิบเลย เพราะฉะนั้น วิมุติที่เป็นแก่นสาระของแท้ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มีทางที่จะเป็นได้ อย่างที่เห็นๆกันไม่ได้ไปใส่ความ เขาเถรสมาคมก็อยู่กับใบดอกผลกิ่งก้านงามชมชื่นอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไชโยโห่หิ้วกันอยู่นั่นแหละ มาชำเลืองดูว่า อโศกมันทำได้จริงหรือเปล่า มันพูดตรงๆบรรยายถูกต้องยืนยันตามธรรมะพระพุทธเจ้าตรงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:41:05 )

ความเสื่อมของศาสนาพุทธเสื่อมไป 2 ทิศอย่างไร 

รายละเอียด

อาตมาอธิบายถึงเรื่องความเสื่อมของศาสนาพุทธ เสื่อมไป 2 ทิศ ทิศที่มันไม่รู้ มันโง่ ก็คือทิศไปหาพญานาค ใช้พยัญชนะภาษา เปรียบเทียบเป็นงูใหญ่ งู ต้องใช้ภาษาอะไรใหญ่ๆ ยกให้เป็นพญานาค ระดับพญาเลย ภาษาโบราณ พญา ภาษาสมัยใหม่ก็ตั้งยศให้เป็นระดับ พระยา อย่างนี้เป็นต้น เจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยา ไปโน่นเลย

พวกที่หลงในความรู้ เหินหาว บินบนสูงไม่ติดดินเลย ก็คือพญาครุฑ เรามีสมณะ 2 องค์ องค์หนึ่งเดินดิน องค์หนึ่งบินบน เตือนสติตัวเอง ระวังนะ บินบน กับมุดลงดิน ระวังอย่าไปมุดลงดิน ถ้าไม่มีหมู่ก็ลงดินไปแล้ว โดยจริตนิสัยไม่ต้องห่วงหรอก 

อาตมาได้พยายามขยายความพญานาค ส่วนพญาครุฑนั้นยังไม่ขยาย ยังไม่รู้ว่าจะขยายหรือไม่ขยาย แต่ก็บอกให้ทราบว่าคนละขั้วกัน พญาครุฑเป็นพวกเหินหาวเหินฟ้า พวกไม่ลงดินเลย หัวสูง บินสูงขึ้นไป รู้มาก อยู่เหนือคน อะไรต่างๆนานา คนอื่นร่วมด้วยไม่ได้เพราะว่าเขาสูงจนคนอื่นเกาะไม่ติด รับซับซาบไม่ได้ พูดไปมันก็ฟ่ามๆหลวมๆ กว้างๆใหญ่ๆมโหฬารๆ  ไม่มีขั้นตอนให้คนไต่ตามได้

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:11:57 )

ความเสื่อมที่เป็นจริงในยุค 2,500 กว่าปีนี้ตามอาณีสูตร 

รายละเอียด

แต่เพราะความเสื่อมที่เป็นจริงในยุค 2,500 กว่าปีนี้ ศาสนาพุทธ คนชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า อย่างเกือบจะไม่เหลือเชื้อเลย เกือบ ที่จริงอาตมาน่าจะบอกว่า ไม่เหลือเชื้อเลย อาตมาเป็นผู้มานำเอาโลกุตรธรรมสถาปนาลงไปในยุคนี้ ที่จริงมันหมดสูญไปแล้วจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่อาตมาคุยใหญ่โตอะไรหรอก แต่อาตมาพูดสัจจะ พูดความจริงสู่ฟัง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสพยากรณ์ไว้แล้วใน อาณิสูตร 

ว่า กลองอานกะ ยุคต่อมา โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไป เขาจะไปเชื่อคำสอนของคนรุ่นใหม่ ที่ค้านแย้งกับที่อาตมาพูดนี้ ซึ่งคนทุกวันนี้ก็ยังเชื่อคำสอนของคนรุ่นใหม่อยู่ อาตมาพูดนี้เป็นโลกุตระแท้ คนเชื่อน้อย คนที่มีปฏิภาณปัญญา คนที่มีบารมีจริงๆ จึงมาฟังธรรมะอาตมารู้เรื่อง คนไม่มีบารมีฟังธรรมะอาตมาไม่ซาบซึ้งหรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 19:36:14 )

ความเสื่อมสูงสุดในสังคมที่เจริญสูงสุดคืออะไร

รายละเอียด

ถึงอย่างนั้นความเจริญของสังคมทุกวันนี้ มันเจริญสูงสุด จึงมีความเสื่อมสูงสุดด้วย

ความเสื่อมสูงสุดคือ ร้ายเลวแรง แต่แฝงไปด้วยความหลอก

ขณะนี้ ความเป็นจริง ในเรื่องของ ความแรงที่สุดที่จะทำร้ายกัน เป็นพลังงานทำร้ายหรือเรียกว่า พลังงานที่เรียกว่า ระเบิดปรมาณู ระเบิดนิวเคลียร์ หรือระเบิดไฮโดรเจน เป็นเรื่องเล็กละเอียดเข้าไป แต่ระเบิดแรงมาก จึงเป็นภาวะซับซ้อน ขณะนี้ พลังงานที่สร้างสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอาวุธฆ่าคน ระเบิดพวกนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าสัตว์ หรือทำประโยชน์อะไรอย่างอื่น แต่ได้สร้างมาฆ่าคนโดยตรง คนที่สร้างมาจึงเป็นบาปอย่างมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 11:21:37 )

ความเสื่อมเนื่องจากตำราสากล

รายละเอียด

ที่เขาเรียนกัน ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ที่เขาเรียนกันเป็นตำราสากล 

จริง อาตมาไม่ได้เรียนอย่างนั้นจริง  แต่อาตมาเข้าถึงตัวความเป็นสภาวะแท้ แล้วก็มาอาศัยภาษา ส่วนผู้ที่อาศัยภาษาเหตุผลของภาษานั้น มันก็เจริญแต่ภาษา มันเจริญออกนอกกรอบ เขาไม่รู้ 

เพราะฉะนั้นถึงวาระความเสื่อม ภาษาเป็นภาษาสวย เป็นภาษาวิจิตร ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณีสูตร (พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 672-673) กลองอานกะหรือตะโพนอานกะ เป็นภาษาสวยที่อาจารย์เขาร้อยเรียงไว้วิจิตร แต่มันเป็นของใหม่ มันไม่ใช่ของแท้ มันไม่ใช่ของเดิม ของกลองอานกะหรือตะโพนอานกะ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านหมาย 

มันจึงเกิดความเสื่อมเพราะไปยืนยันผิดกับพยัญชนะผิด ภาษามันก็ต้องผิด ยืนยันจากพยัญชนะผิด เขาอาจจะอธิบาย คำว่า กาย เป็นต้น ง่ายๆ โดยเพี้ยนผิดไปหมดเลยว่า กายคือภายนอกอย่างเดียว มิจฉาทิฏฐิแล้ว เข้ารกเข้าป่าเลย

หรือเขาไปอธิบายเรื่องของฌาน โอ้โห ฌาน ไปใหญ่เลยนะ ฌานเป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ไม่รู้กันหรอกไม่มีใครเห็นของใคร แล้วต่างคนต่างก็พูดไป แล้วต่างคนก็บอกว่า เออ ตรงกัน พูดรู้เรื่องกัน เข้าใจกัน ต่างก็สมมุติไป เอารูปเป็นอย่างไร เอากายเป็นอย่างไรที่ในการสมมติ กายพิเศษนะ กายปั้นเอง กายเก๊ๆ กายไม่มีภายนอกจริง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีจริง เพราะพวกหลับตาเขาไม่ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นตัวกำหนดหมายด้วยเลย เขาก็ปั้นรูป ปั้นอะไรก็ได้ใช่ไหมล่ะ แล้วเขาก็มาพูดอธิบายให้เข้าใจมุมเหลี่ยมกัน สมมุติกันไป เหมือน Star Wars เห็นไหมล่ะตัวละครของเขา เขาปั้นรูปนั้นรูปนี้สารพัดใช่ไหม 

คุณว่าจริงไหมใน star wars ใครดูหนังเรื่อง Star Wars กันบ้าง อาตมาก็ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ แต่ก็พอดูผ่านๆ ก็เห็นตัวละคร หู เหมือนท่านด่วนดีนี่ก็มี ชื่ออะไร เจได ปากอย่างโน้นหูอย่างนี้ เขาก็ปั้นไป แขนขาก็ทำไปสารพัด มันเป็นรูปธรรมที่คล้ายกันกับนามธรรม แล้วนามธรรม มันทำได้สารพัดพิลึกกว่านี้ที่ไปปั้นมา 

เขาก็บอกว่านี่แหละอธิบายคนที่มีพยัญชนะหรือมีโวหาร อธิบายสภาพรูปธรรมนามธรรม มันวิจิตรประหลาดพิเศษอะไรต่ออะไรไป คุณภาพของหู คุณภาพของจมูก ของตาเบี้ยวๆ มี 3 ตาบ้างอะไรบ้างอธิบายวิจิตรกันไป คนก็เพ้อไปตามฝันเฟื่อง 

มันก็ยิ่งออก ยิ่งอธิบาย ยิ่งมีอะไรตกแต่งปรุงแต่งเข้ามา มันก็ยิ่งออกนอก นอกสัจธรรมไปใหญ่ ทั้งๆที่สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้จะต้องสรุปเข้ามาให้ได้ ไปหา 1 ไปหา 0 นี่มันกลับบานเป็นโลกจินตา เป็นโลกแห่งความคิด โลกจินตา ไป บานทะโร่ไปหาที่สุดไม่ได้  

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดหาที่สุด หาเรื่อง หาฐาน หากรอบของความจบ กรอบของความพอดีของความจบ หาไม่ได้ก็ไปไม่ออก ไม่มีทางบรรลุ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 14:57:10 )

ความเสื่อมในยุคพระพุทธเจ้าคือออกป่า

รายละเอียด

อย่างพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม ตอนออกบวชก็ออกบวชตามโลกเขา มีประเพณีนิยมที่มันเป็นความเสื่อมแล้ว เป็นจารีตประเพณีนิยมคือออกป่า ท่านก็ออกป่าตามเขา เขาพาทำทุกรกิริยาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พุทธเลย บำเพ็ญความลำบากลำบน ทรมานตัวเองต่างๆ จนกระทั่งจะตายไม่ตายแหล่ อดข้าวอดน้ำจนกระทั่งจับข้างหน้าถึงข้างหลัง หน้าท้องถึงหลังเลย ก็มีตำนานเล่าไว้ เสร็จแล้วก็ได้มาฟื้นถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้ว่า แบบนั้นมันไม่ใช่ก็กลับมา มาเป็นปกติ ของพระพุทธเจ้าเป็นคนปกติสามัญ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:06:35 )

ความเหลื่อมล้ำของกิเลสคน

รายละเอียด

คือปัญหา การประท้วง ของฮ่องกง  สเปน  เลบานอน ชิลี  แท้จริงแล้ว  สมณะโพธิรักษ์บอกว่า แท้จริงแล้ว  ไม่ใช่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจ  สังคม  แต่ความเหลื่อมล้ำนั้นเกิดจากความเหลื่อมล้ำของกิเลสคน  มันมีมากน้อยกว่ากัน  เข้าไปหาความมากจัดๆ  ค่อนไปทางมากจัดๆ    ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า   นรชนผู้ข้องอยู่ในถ้ำ  กิเลสมากปิดบังไว้ แล้วก็ยั้งอยู่  คุณไม่ไปไหน ใช้คำว่า  ยั้ง  จะเข้าใจได้มากกว่า  คำว่า   ตั้งอยู่ แล้วแถม  จมอยู่ในความหลงอีก  กิเลสมาก ปิดบังไว้เลยมันแก้ไม่ขึ้น  มันเป็นรากฐานอันเดียวกัน  แต่จริงๆ  แล้ว มันหนักกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเยอะ  แต่คำตรัสของท่าน  ลงท้ายด้วยคำว่า  เพราะกาม  มันเป็นของไม่ง่าย  มีนรชนจะละได้ก่อน  มันไม่ง่ายเลย สำหรับคนทั่วไป

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:22:59 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:35:11 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:25:38 )

ความเห็นของsms มีทั้งชอบใจและไม่ชอบใจ

รายละเอียด

ก็มาดูความเห็นของsms มีทั้งแสดงชอบใจและไม่ชอบใจ แต่ที่ไม่ชอบใจหยาบคายมากเราก็ไม่อาจเอามาอ่านออกได้ เขาก็แสดงออกสะใจตนตามกิเลสเขา สะใจกิเลสโกรธก็ได้แสดงออกให้หยาบคายรุนแรงก็แสดงออกให้เห็นว่าคนๆนี้ยากจะแก้ไข ตกต่ำหนักรุนแรง แสดงออกถึงจิตเขา มันทำให้แสดงคำพูดกิริยากายออกมาอย่างนั้น

อาตมาไม่สามารถแสดงธรรมกับสิ่งที่คนเขาไม่รับฟัง หรือสิ่งที่คนเขารับฟังแล้วไม่เกิดความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พูดง่ายๆ แสดงธรรมกับต้นเสาต้นไม้หัวตอ อาตมาแสดงไม่เป็นและไม่คิดว่าจะต้องไปแสดงอย่างนั้น จะต้องแสดงกับผู้ที่มีภาวะตอบรับ แม้จะตอบรับกันอย่างแรง ที่มันตอบรับกันอย่างแรงเพราะอะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:32:13 )

ความเห็นของคน อวิชชา

รายละเอียด

 ก็เป็นความเห็นของคุณมองอาตมาว่า ถ้าจะคิดถือศีลธรรม ก็ควรจะงดเว้นเลยเลิกอย่าไปยุ่งกับการเมืองเขา ไม่ควรจะวิจารณ์การเมือง ถ้าวิจารณ์แสดงว่าคนคนนั้นเสือกเรื่องการเมือง ใช้ศัพท์อย่างนี้เลย แล้วก็พูดโดยแสดงความจริงใจของเขา ว่าเขาเองมองอาตมาเป็นแต่เพียงคนหัวโล้นเฉยๆ ก็จริงอาตมาเป็นคนหัวโล้นไม่มีผมเหมือนกับคุณ เพราะอาตมาใช้คำแทนตัวว่าอาตมา ไม่ใช้คำแทนตัวว่าผมเหมือนกับคุณหรอก ไม่ได้ใช้ศัพท์แทนตัวมาเลยก็ไม่เป็นไร ก็เป็นความเห็นของคนที่เห็นจริง อาตมาว่าคุณคนนี้ก็คงจริงใจ เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆก็บอกตรงๆกล้าด้วย กล้าที่จะพูดตรงๆตามความเห็นของตัวเองความรู้สึกของตัวเองก็ดี แสดงความกล้าออกมาตามจริงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ก็ขอบคุณ 

ดูอาตมาต่อไปก็แล้วกันอย่าเพิ่งชังอาตมา พยายามฟังไปเรื่อยๆ ที่คุณเข้าใจนั้นก็เก็บไว้ก่อน ฟังอาตมาแล้วเทียบเคียงไป แล้วมาศึกษาอาตมาให้มากขึ้นกว่านี้ มากขึ้นกว่าคุณรับฟังอาตมาพูดเท่านั้น เข้ามาแวดวง ที่พวกอาตมาอยู่กันแล้วอยู่ปฏิบัติ ที่มีทั้งคนตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่คนเฒ่าอยู่รวมกันเป็นกลุ่มชุมชน มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรมของสังคมอยู่กันอย่างไร เป็นอย่างไร อาตมาก็ขอเชิญคุณตุลย์นะ มาศึกษาฝึกฝนดู สังเกตการณ์ อย่าเพิ่งตัดสินใจเร็ว เดี๋ยวมันจะผิด คุณจะเสียประโยชน์ของคุณเอง 

เกิดมาเป็นคนไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษาธรรมะหรอกศึกษาธรรมะที่ดี ที่ถูกต้องถ่องแท้อย่างดีทีเดียว ซึ่งมันก็ซับซ้อนลึกซึ้งอยู่นะตั้งใจศึกษาดีๆ ก็ขอให้คุณได้เกิดปัญญา เกิดเห็นมีดวงตาเห็นความจริงให้ได้นะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 16:33:49 )

ความเห็นของผู้มีสัมมาทิฏฐิ พิสูจน์ไป 

รายละเอียด

คุณชุมพลก็พูดตรงๆเหมือนกันบอกว่าไม่น่าทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม ก็คงจะมองอาตมาเคารพนับถืออาตมาอยู่คงเชื่อถือดีอยู่ก็เลยแสดงออกค้านแย้งกับคุณตุลย์ไปบ้าง ก็เป็นการแย้งกันธรรมดาธรรมชาติการจะเห็นต่างกันก็แย้งกัน เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ดูกันให้ละเอียดลึกซึ้งติดตามกันให้นานๆ ขอบคุณที่พยายามช่วยกันแนะนำกันด้วยความเข้าใจที่จะเห็นว่า การแย้งมันก็เป็นประโยชน์ ถ้าเข้าใจดีๆแล้วก็ศึกษาดีๆเป็นประโยชน์ เราจะได้เลือกเป็นพิสูจน์ พิสูจน์ให้ถึงที่สุดกันเลยแล้วก็จะรู้ว่าอะไรจริง อะไรแท้ 

การพิสูจน์ถึงความจริงแท้คือ เอาตัวเองมาศึกษาพิสูจน์แล้วทำความเข้าใจให้ละเอียด ฟังแล้วฟังอีกตามสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสแล้วจะรู้ว่ามันมีนัยยะละเอียด ทางกายก็ดี ทางวจีก็ดี ทางมโนก็ดี แล้วคุณจะค่อยๆรู้เห็นความจริงแล้วก็ปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามเกิดผลจริงตามกันเลย มันจะลงตัวกัน มันจะชัดเจน มันจะเห็นจริงเลย ว่าแท้จริงเราเองยังเข้าไม่ถึง เมื่อเข้าถึงแล้วเราถึงเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ท่านให้พิสูจน์ทั้ง 2 ด้านเลยนะ ทางด้านที่ตัวเองพิสูจน์ก็พิสูจน์ไป อีกด้านหนึ่งก็พิสูจน์ไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 16:37:24 )

ความเห็นของพ่อครูเรื่องการใช้โซล่าเซลล์แทนไฟฟ้า

รายละเอียด

อาตมาเอง ก็ไม่เก่งเอง ก็อาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถช่วยกันเถอะ นำไปอย่างน้อยที่สุด ราชธานีอโศกมีแผงโซล่าเซลล์ไม่ใช่น้อย และยังเติมได้อีก ที่อาคารบวร มีพื้นที่ ถ้าทำได้ช่วยได้ ขณะนี้ค่าไฟฟ้าเอง ราชธานีอโศก ยังจ่ายเดือนละหลายแสนอยู่เลย อาตมาจำตัวเลขไม่ได้ (ส.ถักบุญว่า...เดือนละ 250,000 น้ำมันเดือนละ 540,000) ทำอะไรกันนัก รถวิ่งกันเองอีก เฉพาะ พลังงานน้ำมันกับไฟฟ้า 790,000 บาท เกือบ 800,000 บาท

มาชื่นใจกับอย่างนี้ดีกว่า มะเขือเทศ ฟักทองจากคุณเปี่ยมคุณ มะละกอจากสวนบ้านราชฯ กะหล่ำปลีจากสวนเพื่อฟ้าดิน มะเขือม่วงจากสวนปู่เถา กล้วยน้ำว้าลูกเบิ้มๆสองเครือ สวนลานเบิ่งฟ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 19:31:23 )

ความเห็นของสมณะโพธิรักษ์ เรื่องสมถะ และฌาน ของอาจารย์บูรพา ผดุงไทย

รายละเอียด

จากหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ท์บลอยด์ ฉบับวันที่  17 –23  พย  62 หัวข้อของคอลัมน์สมาธิชาวบ้าน  สมณะโพธิรักษ์ว่าจิตใจอ่อนแอ การกระทบ  สัมผัส เขาไม่แข็งแรงเลยพวกเขาไปหลง ยึดว่าการติดยึดนั่นน่ะ แข็งแรงเกาะติดกับความนิ่งให้แข็งแรง  ไปจมอยู่กับสมถะ จมอยู่กับ  Static  ที่เดียว   เขาคิดว่าการปฏิบัติได้ภาวนา คือการเกิดผลต่อจิตให้มันติดยึด เขาเข้า เข้าใจไม่ได้ 

       จากคอลัมน์ต่อ :  หากเราสูญเสียสภาวะนี้ไปแล้วปล่อยให้ความคิดเข้มาแทรก ใจมันก็จะหงุดหงิด ฟุ้งซ่านได้ง่ายเพราะว่าจิตที่สูญเสียความว่างความสว่าง สมณะโพธรักษ์ว่า มันอยู่ความมืด ไม่ใช่สวาวงหรอก  การสะกดจิตมันเป็นสว่างปลอม  เนรมิต อาภัสรา  ว่างอย่างกับสาย   ธัมมชโย เป็นสายอาภัสราอย่างสาย  อ.มั่น ก็ คล้ายกับ อาจารย์บูรพาเป็นแบบสุภกิณหาไม่เห็นว่าความมือ  ความดำนี้น่าได้ น่ามี น่าเป็น ใน สัตตาวาส9  พวกนี้  วิปลาส

       จากคอลัมน์ต่อ: เป็นความเดิมแท้นี้ไป จิตมันจะเปราะบางง่าย คุมสติไม่อยู่ ต่อให้ฝึกสติมาดี แค่ไหน  แต่ไม่มีกำลังจิตรักษาสภาวะนั้นไว้ พอกลับไปใช้ชีวิตปกติ ก็กลับไปขาดสติย้ำคิด ย้ำทำอยู่ดี  การฝึกจิตให้บริสุทธิ์ จึงสำคัญมาก  สมณะโพธิรักษ์ว่า ฝึกจิตไม่ให้กระทบสัมผัสแล้ว มันจะมีความแข็งแรงของจิตใจตั้งมั่น ในการถูกกระทบ กระเทือนได้อย่างไร  แต่การฝึกให้จิตกระทบสัมผัสแล้ว สะอาดได้มันก็จะมีจิตที่ตั้งมั่นแข็งแรงได้อย่างแท้จริง  นี่ไม่ได้ฝึกสัมผัสเลยมันก็จะอ่อนแอตลอดกาล

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 17:48:21 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:04 )

ความเห็นคนละอย่าง

รายละเอียด

สรุปว่า ความรู้ของคุณกับความรู้ของอาตมามันยังไม่ลงกันคุณก็เข้าใจตามนั้นนะของคุณมันไม่ตรงกันเท่านั้น ความเห็นของคุณกับความเห็นของอาตมามันคนละอย่าง แต่อาตมาไม่ได้พูดว่าของอาตมาสูงกว่าคุณนะ มันคนละอย่างกัน ก็จบอันนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:18:58 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:39:40 )

ความเห็นต่อการปฏิบัติของครูบาบุญชุ่ม

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้ติดตามข่าวครูบาบุญชุ่มเท่าไหร่แต่ก็เคยผ่านตา เพราะจะมาถือว่าการบำเพ็ญจากครูบาบุญชุ่มเป็นมิจฉาทิฐิ ขออภัยที่พูดตรง เป็นมิจฉาทิฏฐิคือยังเป็นลูกศิษย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส คือไปนั่งสะกดจิตหลับตาเป็นพระป่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่มันเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ แล้วคนไทยก็ยังนับถือความเสื่อมอันนี้กันอยู่เยอะ มันก็ยังแก้ไขมาได้ อาตมาพยายามนำพาให้สัมมาทิฏฐิให้เจริญขึ้นมาได้บ้าง ไม่มากเลย 

ยังมีผู้ยังไปหลงจมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ อยู่ในเรื่องของลัทธิ ที่มันเป็นลัทธินอกรีต นั่งหลับตาสมาธิออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ มันเป็นลัทธิของพระป่า ศาสนาพุทธไม่มีพระป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพระบ้านเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาแห่งมวลมนุษยชาติไม่ใช่ศาสนาคนเถื่อน ไม่ใช่ มิลักขชน แต่เป็น อาริยกชน เป็นคนอาริยะ ไม่ใช่คน มิลักขะ 

ขออภัยที่พูดนี้ไม่ใช่ข่มหรือทำความแตกแยก แต่พูดเพื่อแจกแจงสัจธรรมให้ฟัง ว่ามันมีลักษณะแตกต่างกันอย่างนี้

มันเป็นการไม่ตรงทาง  มันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า มันไปหลงในความเก่งแบบนั้น มันก็ช่วยคนแต่มันไม่ไปนิพพาน มันเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน แต่คนจะเข้าใจง่ายเพราะเห็นเป็นรูปธรรม แต่อาตมาพูดไปเป็นนามธรรมอันลึกซึ้ง เข้าใจยากแต่มันก็เป็นไปตามสัจจะ มันก็ค่อยๆไป  ไปเร่งรัดมันก็ยาก ความลึกซึ้งก็ต้องเป็นไปตามสัจธรรม อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ตามคำสอนพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้าให้ได้ อันนี้เป็นสัจธรรมที่ควรสนใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ มันยากนะเพราะมันเป็นนามธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) จริงๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:37:10 )

ความเห็นต่าง

รายละเอียด

มันก็เป็นธรรมชาติความเห็นต่างของคน มีไม่ขัดคอ แล้วเราก็รับฟังรับรู้ ความเห็นของคุณเป็นอย่างนั้นความเห็นของคุณกับความเห็นของเราเป็นคนละอย่าง เราก็ได้รับรู้ ของคุณอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้เชียวหรือ เราก็ยิ่งรู้ของคุณ ก็ยิ่งรับฟังความเห็นต่างได้อย่างดีเยี่ยม มันยิ่งต่างกันไปมากเท่าไหร่ๆ มันก็ยิ่งจะรู้ว่า อ๋อ..คุณเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งดี เราไม่ได้ขาดทุนอะไร มีปัญญา ใจกว้าง ใฝ่รู้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #45 Soft power โลกุตระของพ่อครู นำสู่การพ้นคนโลกเก่า วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:54:21 )

ความเห็นต่างกัน จบตรงนี้

รายละเอียด

อยากหาอยู่นะ มันได้แค่นี้ อาตมาก็เก่งแค่นี้ มาช่วยอาตมาหน่อยสิ ตอนนี้เขาแสดงภูมิเลย อาตมาว่าไม่ผิดหรอกเพราะพวกเรายังอยู่ในโลกอยู่ ยังไม่ได้ออกไปนอกโลก คุณไปอยู่นอกโลก คุณก็ไม่ต้องสนทนาเรื่องโลกก็คงจะได้ พูดกับดาวคนละดวงไป อาตมาจำเป็น อาตมาอยู่ในโลกอยู่ก็สนทนาทางโลก ใช่ผิด เพราะคุณนึกว่าเป็นความเห็นของคุณ คุณนึกว่าคุณ.. อาตมาเป็นคนอยู่ในโลก อาตมาสนทนาเรื่องโลกก็หาว่าอาตมาผิด คุณต่างหากเข้าใจผิด คุณอยู่ในโลก คุณไม่สนทนาทางโลก แต่คุณไปสนทนาทางต่างดาว ทางดาวอังคาร ดาวจันทร์อะไร พวกนี้ไม่ใช่โลกๆนี้ มันอย่างไร คุณต่างหากคิดผิด คุณอยู่ทั้งโลกต้องสนทนาทางโลก โดยเฉพาะคุณเป็นคนไทย ต้องสนทนาภาษาไทย อยู่ในโลกต้องสนทนาภาษาคน จะไปสนทนาภาษาลิง ภาษาหมาไม่ได้อยู่ในโลก คุณต้องภาษาคน มันเป็นธรรมดาอยู่ในโลก มันต้องเป็นอย่างนี้แหละบอกว่าผิด อาตมาก็บอกว่า คุณต้องพิจารณาตัวเองว่า คุณผิดหรืออาตมาผิด 

อาตมาเอง อาตมาก็เข้าใจว่า คุณเองคุณเข้าใจอย่างของคุณ อาตมาก็เข้าใจอย่างของอาตมา มันเป็นนานาสังวาสมันต่างกัน มันเป็นพุทธร่วมกันเหมือนกัน แต่ว่าความเห็นต่างกันมันก็จบตรงนี้ คุณก็เห็นอย่างหนึ่ง อาตมาก็เห็นอย่างหนึ่ง ตกลงนะ คุณเห็นอย่างของคุณ อาตมาไม่มีปัญหา อาตมาเห็นอย่างอาตมา อาตมาเข้าใจคุณได้ อาตมาไม่แปลก แต่คุณเห็นอาตมาแปลก คุณพยายามทำความเข้าใจอาตมาก็แล้วกัน จนหมดความแปลกก็จะไม่มีปัญหา 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565  แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 12:15:03 )

ความเห็นต่างกันทำให้เกิดความแตกฉานอย่างไร

รายละเอียด

คุยกันเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันก็เป็นธรรมดาความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่มีอะไรแปลก โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ไม่มีปัญหาอะไร ที่ถามมานี้มันยุ่งยากมากมายหรือยังไง มันไม่สนุกนักก็คุยกันน้อยลง พอสนุกบ้างก็คุยกันมากขึ้น ก็น่าจะเท่านั้นก็พอจะได้ 

ที่จริงก็มีการโอภาปราศรัยกัน มีการคิด มีการแสดงความคิดเห็นกัน มันทำให้เกิดความฉลาดขึ้นนะ มันทำให้เห็นแง่เชิงที่มีความหลากหลายแตกต่างขึ้น ถ้าเผื่อว่าไม่มีความแตกต่างอะไรเกิดขึ้นมา ที่เราจะเรียกว่า ฉลาด หรือเรียกว่าหลากหลายขึ้นมา มันก็เท่าเดิม ยิ่งลืมไปด้วย ไอ้ที่มันเคยรู้แตกต่างกันก็ลืมลงๆ แล้วมันจะยังไง 

ผู้ที่ตรัสรู้หรือผู้ที่จบกิจนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่โง่ลง จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ รู้น้อยลงๆ มันไม่ใช่ มันรู้ได้หลากหลาย แต่มันเข้าใจ มันรู้ความหลากหลายนั้น มันมีความแตกต่างกัน ความหลากหลายก็มีนัยยะที่แตกต่างกันละเอียดลออๆๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็คือมีความรู้แตกฉาน ละเอียด แล้วก็มีมาก รู้ว่าความคิดของคนมันหลากหลายอย่างนี้เนาะ เออ คิดอย่างนี้ก็ได้ คิดขนาดนี้ก็ได้ นะเราก็จะได้รู้นั้นเอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือพ้นสุขพ้นทุกข์ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 11:40:20 )

ความเห็นต่างขั้นด่าหยาบจาก SMS

รายละเอียด

เขาตั้งชื่อด้วยเจตนาจะมาด่าเราเมื่อเราอ่านชื่อเขา ครั้งอาตมาก็ไอ้โง่เป็นหมาตัวหนึ่ง พวกคนก็ไอ้โง่เป็นหมาตัวหนึ่ง ขบวนการนี้เลยเป็นกระบวนการเป็นไอ้โง่ที่เอาแต่กราบหมาทั้งนั้นเลย เขาฉลาดจริงๆ ที่จริงก็ดีนะมีคนที่ไม่ชอบหน้าเราเท่าไหร่แต่เขาก็ฟังและติดตามดูกันไป ทนไม่ได้เขาก็แสดงออกมา การแสดงออกมาที่คุณส่งมาก็ขอบคุณ ส่งมาอีกก็ได้ เราไม่ได้รังเกียจหรอกส่งมาอีกก็ได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 19:37:23 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:02:13 )

ความเห็นต่างมากหรือน้อยอยู่ด้วยกันได้

รายละเอียด

หนูคนนี้พยายามทำให้เกิดสิ่งดีขึ้น อาตมาก็อ่านตามที่เขียนมา ก็พอจะเข้าใจดีอยู่ แต่ว่า สื่อเป็นภาษาออกมามันตะกุกตะกักหน่อย สรุปคืออาตมาว่าเข้าใจดีแล้วล่ะพยายามต่อไปเถอะอย่างที่หนูเข้าใจนี่แหละ มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่เรียบร้อย ติดติดขัดขัด ทำไปแล้วเราจะรู้ ความเห็นต่างกันมากก็อยู่ด้วยกันได้ ความเห็นต่างกันน้อยก็อยู่ด้วยกันได้ มันอยู่ที่เรา เรารู้จักอนุโลมเราจะไปติดใจมากหรือว่าคนนี้ต่างจากเราก็ไม่เป็นเพื่อนกันเลยคบกันไม่ได้ อย่าคิดอย่างนั้นแม้จะต่างกันกับเราคนละขั้วตรงกันข้ามกันเลยก็อยู่ด้วยกันได้เขาคิดอย่างนั้นเขายึดถืออย่างนั้นก็ต่างกัน นานาสังวาสไป เขาต่างแล้วก็เข้าใจเขา เพราะเขาต้องยึดตามที่เขาว่าถูกต้อง ส่วนเราก็ทำตามของเราไป ต่างคนต่างทำ ก็อยู่รวมกันไม่ต้องทะเลาะกันเพราะเขาเห็นว่าอย่างนั้นมันถูก เขาถืออย่างนั้นจริงๆ เขาเชื่อมั่นว่าดี เราไม่ต้องไปบอกว่าเขายึดชั่วว่าชั่ว เรายึดดีว่าดี ไม่ต้องไปพูดอย่างนั้นก็ได้ เขาก็ต้องยึดของเขาว่าของเขาดี เราก็ต้องคิดของเราว่าของดี แต่มันก็ต้องต่างคนละขั้ว แต่เราก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาว่าเขายังเข้าใจอย่างนั้นเชื่ออย่างนั้นอยู่ เราบังคับกันไม่ได้ ห้ามกันไม่ได้ แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างยึดถือของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านใช้คำสรุปตรงนี้ว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรา มันคนละอย่าง ก็จบ  

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 11:35:04 )

ความเห็นต่างเกี่ยวกับนายกประยุทธดีของพ่อครูกับ ส.ศิวรักษ์

รายละเอียด

ก็ไม่มีปัญหาคนเราต่างความเห็นความคิดและความคิดมันก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้ การไม่เที่ยงนี้ไม่เที่ยงทั้งที่มันไม่เที่ยง หมายความว่าคนนั้น คือคนนั้นไม่มีความชัดเจนว่าอะไรถูกแน่ ด้วยการเกิดปัญญา เป็นวิมุตติญาณทัสสนะอย่างแท้จริงแล้ว ความคิดของผู้นั้นยังจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แม้ผู้สัมมาทิฏฐิแล้วก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกันเพราะความคิดนี้เรายังไม่เที่ยง ยังไม่เต็ม ยังไม่เป็นวิมุตติญาณทัสสนะก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ 

แต่ความคิดของคนที่ไม่มีทิศทางสัมมาทิฏฐิก็จะผิดบ้างถูกบ้าง สลับไปสลับมานาน เพราะฉะนั้นการทำสัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อนอื่น แล้วก็เร่งปฏิบัติ ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติคือ หลักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า อปันกปฏิปทา 3 นี่แหละคือปฏิบัติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:22:18 )

ความเห็นต่างเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้มันมีเป็นธรรมดา

รายละเอียด

 ก็มันเป็นธรรมดาธรรมชาติความเห็นต่าง พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ทั้งพระองค์ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเห็นต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองยังมีพระชนม์ชีพอยู่นะในยุคพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ในประวัติในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะ เห็นต่างและรวนอยู่และป่วนอยู่ ตั้งแต่พระเทวทัต พวกฉัพพัคคีย์ หรืออะไรต่างๆนานาอยู่ในนั้น ก็มาป่วนก็มารวนอะไรอยู่ 

มีพระพุทธเจ้าทั้งองค์ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ แล้วอาตมาเป็นใครจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าที่จะห้ามได้ จะไม่ให้มีได้ มันห้ามไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็ดูที่ตัวเรา เห็นคนอื่นที่เขาเห็นแตกต่างกันไปหากว่าพอสนิทกัน พอที่จะคิดว่า เตือนเขาให้สติเขาบ้างได้ ก็ให้บ้าง ถ้าเห็นว่ามันสุดวิสัย มันเหนือวิสัยที่จะไปเอาไม้สั้นไปรันขี้เปล่าๆก็ไม่เข้าท่าอะไร ก็ต้องปล่อยให้เป็นไป เพราะไปห้ามไม่ได้หรอกในความรู้ความเห็น สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่นานาสังวาส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2566 ( 12:59:56 )

ความเห็นที่ขัดแย้งกันก็ต่างคนต่างเห็นเป็นนานาสังวาสกัน

รายละเอียด

สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมากเลยคนนี้ สาธุ ก็ไปตามที่ชอบที่ชอบ ความเห็นที่ขัดแย้งกันก็ต่างคนต่างเห็น คุณก็เห็นอย่างนึงอาตมาก็เห็นอีกอย่างนึงก็ไม่แย้ง คุณยังเห็นอย่างนี้ก็ถือว่าแรง จะบอกว่าผิด คุณก็ไม่ยอมรับ เราก็ผิด คุณก็เห็นแบบของคุณอย่างแรง อาตมาเอาน้ำไปขวางเรือของอาตมาจะคว่ำเปล่า อาตมาก็เสียดายเรือ ก็เป็นนานาสังวาสกัน คุณเห็นอันโน้นว่าเป็นธรรมวาทีอาตมาเห็นอันนี้ว่าเป็นธรรมวาที ก็อยู่กันอย่างสงบต่อกันและกัน ไม่คิดจะไปให้เขามาเชื่ออย่างเรา ไม่บังอาจ ยอมรับว่าไม่บังอาจจะโน้มน้าวให้คุณปัญญานี้ด้วย ขออนุโมทนาขอให้คุณได้เกิดปัญญาจริงๆเถิด  สมชื่อของคุณปัญญา คล้ายกมล ปัญญานี้ยังไม่เป็นจริงมันแค่คล้ายเท่านั้นเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 10:28:55 )

ความเห็นที่ต่างกัน ต่างคนต่างเห็น

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า กรรมเป็นของ ของตนผู้เดียว ถ่ายทอดให้ลูกหลานไม่ได้ หรือถ่ายทอดให้พ่อให้แม่หรือให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น กรรมเป็นของของตน ถูกต้อง คุณพูด คุณทำ คุณคิด คุณเห็น คุณเข้าใจ เป็นของคุณคนเดียว ก็อาตมาเข้าใจของคุณ 7L นี้ ก็เป็นความเห็น ความเข้าใจเป็นภูมิธรรมของคุณ มันก็ต่างกันกับของอาตมา ความเห็นที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นนานาสังวาส คุณก็เห็นอย่างหนึ่ง อาตมาก็เห็นอย่างหนึ่ง คุณเห็นว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หรือทางสายมหาบัว นั่งหลับตาสมาธิ เป็นการบรรลุอรหันต์ ไปในสายอรหันต์ คุณก็นับถือของคุณ คุณเห็นว่าอย่างนั้นเป็นธรรมวาที คุณซาบซึ้งจับใจ ก็เป็นธรรมดาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ผิดหรอก ส่วนอาตมาก็เห็นอย่างที่อาตมาพูด ซึ่งเป็นสายแบบอาตมา แล้วอาตมาก็มีหมู่กลุ่มของอาตมา คุณก็บอกพูดถูก คุณบอกว่าพวกอาตมานี้มันมีน้อยมีแค่นั้นแหละ มันก็ถูกต้อง 

อาตมามีแค่นี้ อาตมาก็บอกมาหลายทีแล้วว่า อาตมาภูมิใจ คนจะไปอยู่ยอดพีระมิดได้ มันต้องมีจำนวนน้อย ยุคนี้ อาตามาเคยพูดไปหมดแล้ว ถ้าคุณเข้าใจมีปฏิภาณพอ ว่ายุคนี้เป็นยุคเสื่อม คนเขาเสื่อม อาตมาถึงได้เอาโลกุตรธรรมลงไปสถาปนาใหม่ แล้วก็กอบกู้เก็บโลกุตรธรรม มีโลกุตรบุคคล มีคนมีภูมิปัญญารับรู้ได้ คืนมาได้ประมาณนี้ อาตมาบอกแล้วว่าภาคภูมิใจแล้วได้ขนาดนี้ 

จนกระทั่งเกิดกลุ่มหมู่ สาราณียธรรม 6 สายพวกนั่งหลับตาไม่มีปัญญาจะรู้จักมนุษย์ที่เป็นมนุษย์มีวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  แล้วก็รวมกันอยู่เป็นกลุ่มหมู่อยู่กันอย่างมีสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา( สาธารณโภคี ) ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา     

มนุษย์มีวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 แล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหมู่ เป็นชุมชนที่อยู่กันอย่างมีสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม และก็อยู่กันอย่าง มีลาภธัมมิกา ลาภที่ได้มาโดยธรรม แล้วก็เอามาเข้าส่วนกลาง เป็นสาธารณโภคี แล้วต่างคนต่างพัฒนาศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ของแต่ละคนพัฒนาไป เป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบแล้ว เกิดจริง เป็นจริง มีปรากฏการณ์จริงในมนุษยชาติที่เป็นจริงอยู่นี้ แต่สังคมทางหลับตาเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอย่างนี้แบบของพระพุทธเจ้า นี่ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง ของเขาเกิดไม่ได้หรอกเพราะมันออกนอกรีตศาสนาพุทธ คุณก็เห็นของคุณ อาตมาก็เห็นของอาตมา อาตมาไม่ได้แปลกอะไร ก็ว่าไป ก็ต่างคนต่างเห็น 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #36 ชีวกสูตรคือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กันยายน 2566 ( 16:05:44 )

ความเห็นพ่อครูต่อการตัดสินคดี พธม.ยึดสนามบิน

รายละเอียด

ก็ดี ตัดสินออกมาอย่างนี้ได้ก็ดี ผู้ที่ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อมวลชนประเทศชาติ และก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตยเป็นเรื่องของมวลประชาชนจริงๆ จริงใจด้วย ทำเสร็จแล้วก็ยังได้รับโทษรับไปดีไม่ดีได้รับข้อหาถึงขั้นกบฏ มันจะทำให้ประชาชนหมดกำลังใจ โดยเอาข้อกฎหมาย พาซื่อกับคำว่ากฎหมาย ซึ่งมันซับซ้อนอยู่ว่า กฎหมาย อย่าไปทำผิดกฎหมาย ตามที่เป็นกบฏคือไปล้มล้างรัฐบาล คำว่าใครที่ไปล้มล้างรัฐบาล จบอยู่แค่นี้…กบฏทุกคน ถ้าไม่มีการอธิบายนอกบริบทนี้ออกไป ถ้าจบความหมายของกฎหมายอยู่ที่บริบทนี้หรือ Concept นี้เท่านั้น เป็นกบฏหมด 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือประเทศชาติด้วยพลังงานของประชาธิปไตย หรือพลังงานของมวลประชาชนจริงๆนี่ และถูกต้องด้วย ถ้าจะบอกว่าให้พูดถูกต้องตามนัยยะกฎหมาย ถูกต้องตามสัจจะด้วยไม่ใช่ยึดแต่กฎหมาย 

ถูกต้องตามสัจจะคืออะไร คือรัฐบาลนั้นควรจะต้องถูกประชาชนไล่ออกจริงๆ เพราะรัฐบาลนั้นไม่สมควรจะด้วยการโกงทุจริตหรือไม่มีความสามารถหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ ไม่สมควรที่จะบริหารต่อไป และมวลประชาชนมีความเห็นร่วมกัน เป็นความเห็นร่วมที่พร้อมเพรียงจนกระทั่งถึงขั้นออกไปประท้วงเป็นมวลชน 

เสร็จแล้ว หัวหน้าผู้ที่จะไปชุมนุมประท้วงก็ดี ก็ต้องมีประชาชน มวลประชาชน และก็มีหัวหน้าเป็นผู้นำกระบวนไปด้วย แล้วก็จะไปเอาผิดที่หัวหน้า แน่นอนไปเอาผิดมวลประชาชนทั้งหมดเข้าคุกไม่ไหวหรอก มันมาก เป็นล้านๆคนไปเอาเข้าคุกไหนล่ะ เขาก็ต้องเอาอยู่ที่หัวหน้า ดูที่ว่าหัวหน้านั้นเป็นตัวการ ว่างั้นเถอะ ถ้าไม่มีหัวหน้าประชาชนก็คงทำเองไม่ได้อะไรอย่างนี้ ก็เป็นเหตุเป็นผลของเขาก็ว่ากันมาแต่ไหนแต่ไร 

สรุปแล้วก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการตัดสินล่าสุดนี่สวยงาม ถูกตามหลักประชาธิปไตยที่ดีทีเดียว นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สู่แดนธรรมได้หยิบขึ้นมาพูดในวันนี้ โอกาสนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 วันพุธที่ 17 มกราคม 2567 ที่ บวร ราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 19:57:05 )

ความเห็นพ่อครูต่อคำชี้แจงของนายกฯประยุทธ์กรณีดำรงตำแหน่ง 8 ปี

รายละเอียด

อันนี้ผู้ที่มีภูมิปัญญาพอสมควร ก็เป็นที่รับรู้กันอยู่ เป็นที่เข้าใจ เป็นที่รับรู้ว่านายกตู่นี้ทำงานเพื่อประชาชน อย่างจริงจังเหน็ดเหนื่อย แต่แล้วก็มีคนที่เขาจะแย่งชิงอำนาจ ผู้จะมาแย่งชิงอำนาจนั้นก็เห็นอยู่ว่า มีตัวหลักๆ ก็คืออำนาจเก่า อำนาจใหม่ของประชาชนคนไทย เข้าใจ แล้วพอยอมรับพลเอกประยุทธ์ ยิ่งกว่า เอาให้ชัดๆไม่ต้องไปอ้อมค้อม ยิ่งกว่าอำนาจบาทใหญ่ของทักษิณชินวัตร นี่แหละเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเขาก็มีคณะ แม้จะมีนักการเมืองมีส.ส.อะไรของเขา มีพลังอำนาจต่างๆ ประชากรในประเทศที่ยังศรัทธาเลื่อมใสเขาอยู่ ทั้งๆที่เขาโกงให้เห็น ถูกพิพากษาลงโทษไปตั้งไม่รู้กี่คดีแล้วหนีไปด้วย ไม่กล้าเลย เป็นคนไม่กล้า ภาษาไทยเขาเรียกคนไม่กล้าว่าหน้าตัวเมียนะแต่อาตมาไม่พูดหรอก ไม่ได้พูดนะ อ้างเฉยๆอาตมาไม่ได้พูดเอง เขาว่า ก็พูดตามเขาไป 

เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาก็ยังไม่รู้ความอ่อนแอของทักษิณ ไม่รู้ความไม่กล้าของคุณทักษิณ ไม่รู้ความโกง เขาโกงทุจริตจริงๆ ขี้โลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว อาศัยผู้อื่น ช่วยตนเองเพื่อจะโลภโมโทสันกอบโกย ที่พูดนี้ อาตมาขอยืนยันว่าพูดด้วยเหตุที่เป็นความจริง เขาทำไปแล้วเป็นตัวอย่างเป็นปรากฏการณ์ของโลกในยุคนี้ เหมือนเทวทัต ถ้าพระเทวทัตรู้ตัวก็จะไม่ทำ ทักษิณก็เหมือนกันถ้าเขารู้ตัวจะไม่ทำ เพราะเขาทำเหมือนเทวทัต 

เพราะฉะนั้นอำนาจที่เป็นอยู่ขณะนี้ พลเอกประยุทธ์ ได้ต้าน อำนาจไม่ใช่เล่นนะจนป่านนี้ พลเอกประยุทธ์ เป็นทหารตั้งแต่ดูแล คสช. ยังไม่ได้ออกมาเป็นนายกฯ ก็ต้านทักษิณมาเรื่อยๆอยู่ จนกระทั่งออกมาแล้วได้รับหน้าที่ มาเป็นนายกฯต่อมาจน 8 ปี ก็ทำให้มันเกิดการพัฒนาขึ้นมา เห็นผลตั้งมากมายยืนยันชัดแจ้ง แต่คนที่พยายามใช้สื่อสารสมัยใหม่ กลบเกลื่อน แล้วเร่งลงทุนกันอย่างจริงจัง โปรโมท ก็เลยทำให้คนที่ไม่ขยันเท่าคนที่โปรโมทตัวเอง พวกเขาโปรโมทตัวเองเยอะ แล้วทักษิณก็ใช้เงินกับพวกนี้ ให้พวกนี้ได้รับเบี้ยบ้ายรายทางช่วยเขาอยู่ ก็จะมีบ้างคนที่ไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆเขาเป็นบริวารกันอันนี้เป็น อจินไตย เป็นสาวกบริวารมาอย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ไปถึงชาติหน้าเลย มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของคน ก็จะมีมุมอย่างนั้น เทวทัตก็มีหมู่กลุ่มฉันใดทักษิณก็ต้องมีกลุ่มฉันนั้นเหมือนกันธรรมดา เพราะฉะนั้นจะให้คนฉลาดทั้งหมดไม่ได้ คนโง่ก็ยังมี แต่มันก็มีส่วนน้อยในเมืองไทย คนไทย 

เพราะคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนเป็นโลกุตระรู้ดี เพราะฉะนั้นจะมีส่วนใหญ่ส่วนมากแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ มีน้อยเขาก็สู้ เขาก็หลอกคนว่าเป็นหมู่ใหญ่ หมู่ใหญ่ที่ไหนล่ะ ชุมนุมครั้งสุดท้ายมีไม่รู้เป็นร้อยคน แล้วบอกว่าใหญ่ เขาจะกล้าอีกไหม ก็คงจะลองอีกเพื่อจะให้รู้ว่ามันไม่ไหวจริงๆนะ แต่ก็เปลี่ยนทิศเปลี่ยนค่ายที่จะไม่อยู่กับทักษิณมาทางนี้มากขึ้นแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:25:58 )

ความเห็นพ่อครูเรื่องการเมือง

รายละเอียด

เอาอย่างนี้ เรื่องการเมืองก่อน เรื่องการเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาตมาจะต้องคุย จะต้องพูดจะต้องสาธยายอะไรอีกเยอะเลย เรื่องการเมืองนี้อาตมา เข้าใจการเมืองดีด้วย เข้าใจการเมือง 2 ชนิด 

การเมืองชนิดที่ 1 คือการเมืองแบบโลกๆ ทั่วไป แบบคนโลกีย์ทั่วไป ที่เขามุ่งอยู่ที่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ความเป็นใหญ่ เป็นเจ้าโลก นี่คือการเมืองแบบโลกีย์สามัญ 

ส่วนการเมืองอีกแบบหนึ่งนั้น เป็นการเมืองโลกุตระ การเมืองนี้มีอยู่ในประเทศไทยประเทศเดียวในโลกขณะนี้ อาตมาขอใช้คำนี้ก่อน 

ที่จริงก็เริ่มจะมีเพิ่มขึ้นแล้ว การเมืองชนิดที่จะมีความเป็นไปได้ หรือว่าความเริ่มต้นจากโลกียะ ขยับออกมาจากกรอบของโลกียะ ที่มันไม่ออกนอกกรอบได้เลย เป็นcyclic อยู่อย่างนั้นมานานแสนนานแล้ว โลก 2,500 ปีนี้ พระพุทธเจ้าตอนนี้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไป 2,500 ปีผ่านมาแล้ว อาตมามาทำงาน 50 กว่าปีมานี้ มันเป็น อจินไตย ที่เกิดในโลกในสังคม  

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 พ่อครูพบ ดร.สุริยะใส กตะศิลา วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2565 ( 18:44:31 )

ความเห็นว่าอรหันต์ตายแล้วสูญเป็นบาปกว่าอนันตริยกรรม

รายละเอียด

ตั้งจิตว่าจะไม่เชื่อเลยนี่มันเป็นการปิดจิต อาตมาขออย่าคิดตั้งจิตอย่างนั้นเลยมันไม่ดี 

แค่นี้อาตมาก็ว่า คุณพูดค้านแย้งในตัวเอง คุณบอกว่า อาตมาสมณะโพธิรักษ์พูดว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาก่อนที่จะออกบวช คุณบอกว่าโพธิรักษ์ไปพูดอย่างนี้ ถือว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธเจ้า อาตมาว่า อาตมาพูดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อนออกบวช แล้วคุณบอกว่าอาตมาไปลบหลู่ ที่จริงอาตมาชมเชยพระพุทธเจ้าต่างหาก ไปลบหลู่ตรงไหน อาตมายกย่องต่างหาก 

คุณคิดดีๆอาตมาว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อน ก่อนมาบวช ก่อนที่จะออกมาเป็นพระพุทธเจ้า หมายความว่าตรัสรู้มาตั้งแต่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะว่างั้นเถอะ คือก่อนออกมาบวช แล้วบอกว่าอาตมาพูดผิด ค่อยๆอธิบายกันไป มันก็มีพยัญชนะและสภาวธรรม มันจะแย้งกันมันจะขัดแย้งกันเป็นสิริมหามายา ใครก่อนใครหลังกันแน่ ถ้าคนที่ยังสับสนก็จะบอกว่า เอ้า!ตรัสรู้มันก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้ได้อย่างไร คุณก็เอาแต่เฉพาะรูปร่างของพยัญชนะหรือว่าของตัวตนบุคคล เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นฆราวาสแล้วจะตรัสรู้ได้อย่างไร ต้องมาเป็นพระพุทธเจ้าสิ ถึงจะเป็นคนตรัสรู้แล้ว อะไรอย่างนี้ นี่เกริ่นไว้ตรงนี้ก่อน

เขาว่าโพธิรักษ์จะแต่งเติมคำสอน อาตมาว่า อาตมาไม่บังอาจแต่งเติมคำสอนพระพุทธเจ้าหรอก

คุณมั่นใจว่าคุณถูกต้องเข้าใจถูก อาตมาพูดไปนี้มาบิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า เอ้าฟัง อาตมาว่าอาตมาไม่ได้บิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า หรอก

พูดแล้วย้ำอีกขยายความมามากแล้ว ถ้ามันของตื้นๆธรรมะพระพุทธเจ้าหรือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าของมนุษยโลก โลกทั้งโลกไม่ว่าจะกี่ยุคกาล ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครที่จะมีความรู้เท่านี้อีกแล้วในมหาจักรวาล..ว่างั้นเลย

เพราะฉะนั้นคำสอนที่อาตมาบอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปเกิดอีก ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านั้น คุณก็ติดแต่บัญญัติแล้วคุณก็มีความคิดอย่างที่คุณสู่แดนธรรมได้พูดผ่านไปก่อน ว่า ผู้ที่เข้าใจว่าพระอรหันต์ตายแล้วต้องไม่เกิด ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วไปเกิดอีก บอกว่าไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ตายแล้วต้องไม่เกิด นี่เป็นความเห็นนี่แหละเป็นความเห็นที่ อาตมาถือว่ายิ่งใหญ่กว่าบาปอนันตริยกรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้มันเป็นบาปอนันตริยกรรม 

อนันตริยกรรมเป็นบาปที่ยาวนานหนักหนา ถ้าไปปักใจว่าการเกิดของพระอรหันต์ อรหันต์เกิดมามีชีวิต คือ เป็นคนยังไม่บรรลุอรหันต์ พอมาปฏิบัติธรรมและบรรลุอรหันต์ คนที่บรรลุอรหันต์ปุ๊บทุกคนตายลงไป ก็ต้องสูญหมด ไม่มีใครที่จะเป็นพระอรหันต์ตายแล้วเกิดต่อได้อีกเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น ศาสนาพุทธจะด้วน ศาสนาพุทธจะสั้น จะถูกคนที่มีความคิดอย่างนี้ทำลายศาสนาพุทธลงยิ่งกว่าครึ่งของศาสนาแต่ละกัปๆ 

เช่นศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะมีอายุถึง 5,000 ปี ถ้าคุณมีความคิดอย่างนี้ หรือต้องพระอรหันต์เก๊ถึงจะคิดอย่างนี้ คิดว่าอรหันต์ตายแล้วแล้วก็เป็นความจริงตามที่เขาคิดว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ พระอรหันต์ก็ไม่มีใครมาสืบทอด ไม่มีอะไรมาบรรยายต่อ คนเป็นอรหันต์แล้วเสร็จอายุจะเท่าไหร่กันล่ะ 100 ปี 200 ปี 500 ปี ไม่ถึงหรอกยิ่งยุคนี้อายุยิ่งสั้นลงๆ อายุศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถูกคนที่เข้าใจอย่างนี้ทำลาย ไม่ถึงเต็มกัป ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ 

แต่ความจริงมันเป็นเช่นนั้นไม่ได้ เป็นอย่างที่คุณคิดไม่ได้ คุณคิดเป็นความคิดวิตถาร เป็นความคิดมิจฉาทิฏฐิ ผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ความคิดอย่างที่คุณพูด เพราะความเป็นจริงธรรมะของพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นมันต้องสืบทอดไปตามสัจจะ อย่างของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 5,000 ปี แต่จะต้องมีอย่างอาตมามาสืบทอด ไม่ว่าอาตมาตายแล้วถ้าเผื่อว่าธรรมะดียังไม่มีคุณภาพปริมาณเพียงพอ อาตมาเกิดมาสืบต่ออีก และมีโพธิสัตว์อื่นมาช่วยกันอีกนี่เป็นสัจจะ 

การเวียนเกิดเวียนตายเป็นความตรัสรู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ เชิญคุณติดตามและทำความเข้าใจรายละเอียดให้ดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:00:20 )

ความเห็นเรื่องวัดรับบริจาคเงินไถ่ชีวิตโคแม่ลูกอ่อน

รายละเอียด

ทีนี้ก็ว่าไปแต่ละประเด็น 1. เอาแต่บริจาคเงิน บางวัดนะ วัดนั้นเป็นการทำงานเรื่องนี้ รับบริจาคเงินนะ แล้วมาไถ่ชีวิตโคแม่ลูกอ่อน วัดที่พูดนี้คงหมายถึงพระในวัด คงไม่ได้ไปหมายถึงฆราวาสที่จัดการเรื่องเงินเรื่องทองอยู่ในวัดนั้น รับบริจาค คงไม่ใช่ฆราวาสในวัดนั้นรับบริจาคแล้วไปไถ่ชีวิตโค คงเป็นพระเป็นภิกษุรับบริจาค แล้วก็เอาเงินไปไถ่ชีวิตโคแม่ลูกอ่อน 

ก็ตอบก่อนว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปวุ่นวายจัดการเรื่องอย่างนั้น ฆราวาสเขาจะทำเขาจะอะไรก็สอนเขาไป ก็เท่านั้นเอง จะทำอย่างไรๆ ที่ควรก็อธิบายไป บอกเขาทำ ไม่ใช่เราจะไปรับหน้าที่รับบริจาคเงินแล้วก็เอามาไถ่ชีวิตโค 

หรือแม้แต่จะไปบริจาคเงินทั่วประเทศ แล้วก็เอามาเข้าคงคลังเหมือนมหาบัวที่ทำมาแล้ว ก็ดูดี๊ดี ดูเหมือนว่ามันเป็นความดีเลย มันไม่เหมือนละ ว่าเป็นความดีเลยก็ได้ ในโลกียะเขาเข้าใจกัน แต่มันไม่ใช่ธุรกิจ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะไปเที่ยวรับผิดชอบประเทศชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือผู้สถาปนาโลกุตระปัญญา ล้างอวิชชาในยุคนี้ วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 17:17:02 )

ความเห็นแก่ตัวกับความมีเมตตา

รายละเอียด

มันแยกกันได้ในรายละเอียด ถ้าจะบอกว่าความเจริญของคนจริงๆ เมตตามีมากไม่มีประมาณมากขึ้นได้แล้วก็กรุณาลงมือช่วย ในพรหมวิหาร 4 มีนัยยะคนละอย่าง ไม่ใช่ว่าแยกไม่ออกระหว่างเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา อธิบายวนเวียน เมตตาอยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณา อยากให้เขามีสุขแล้วมันเป็นอย่างไรก็อธิบายไม่ออก มุทิตาก็อธิบายไม่ออก เขาอธิบายว่ามุทิตาคือ ยินดีที่เขามีความสุขก็ว่ากันไป สุดท้ายแล้วเฉยๆเป็นอย่างไร อุเบกขา ก็ไม่รู้ เขาขยายความละเอียดพวกนี้ไม่ออก แยกแยะไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 09:35:37 )

ความเห็นแก่ตัวกับมีเมตตา

รายละเอียด

มันแยกกันได้ในรายละเอียด ถ้าจะบอกว่าความเจริญของคนจริงๆ เมตตามีมาก ไม่มีประมาณมากขึ้นได้แล้ว ก็กรุณาลงมือช่วยในพรหมวิหาร 4 มีนัยยะคนละอย่าง  ไม่ใช่ว่าแยกไม่ออกระหว่างเมตตา  กรุณา มุทิตา อุเบกขา  อธิบายวนเวียน เมตตาอยากให้เขาพ้นทุกข์   กรุณา  อยากให้เขามีสุขแล้วมันเป็นอย่างไร  ก็อธิบายไม่ออก มุทิตา  ก็อธิบายไม่ออก  เขาอธิบายว่า  มุทิตา คือ ยินดีที่เขามีความสุข   ก็ว่ากันไป สุดท้ายแล้ว  เฉยๆ  เป็นอย่างไร  อุเบกขา ก็ไม่รู้  เขาขยายความละเอียดพวกนี้ไม่ออกแยกแยะไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 12:55:54 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:04:57 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:28:21 )

ความเห็นแจ้งเป็นสัจธรรมโลกุตระ

รายละเอียด

แต่เขาไม่คิดว่ามันเป็นญาณปัญญา เป็นความเห็นแจ้งเป็นสัจธรรมโลกุตรธรรมที่เขาเข้าใจได้ยากเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ มันเป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ความฉลาดความรู้แบบเฉกะหรือเฉโก เป็นปัญญาธาตุรู้ความฉลาดชนิดใหม่ที่ไม่ใช่โลกีย์ที่เขาเป็นมาเป็นล้านชาติแล้ว ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวมาจนกระทั่งเป็นมนุษย์ เป็นความรู้โลกียที่ไม่ได้ออกจากกรอบเดิม ก็เป็นธรรมดาของมนุษยชาติ ออกมาได้แล้วก็จบ ใครจะว่าเราโง่งมงายก็ไม่มีปัญหาปัญญามันเห็นชัด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 13:45:23 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:40:18 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:28:42 )

ความเห็นแบบโลกุตระ

รายละเอียด

เขาไปเรียนจบด็อกเตอร์มาจากต่างประเทศเป็นพวกเทวนิยมทั้งนั้น น่าจะจบมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาในเมืองไทยที่ประสาทปริญญาพุทธศาสนาหรือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ขออภัยเถอะที่ต้องพูดความจริง ก็ยังไม่ได้เข้าใจโลกุตรธรรมอย่างสมบูรณ์แบบอะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เศรษฐกิจ ที่จะรายงานตัวเลข GDP แบบพุทธได้ อาตมาลองแสลนดู

ที่พูดต่อไปนี้มันเกี่ยวพันทางเทวนิยมเยอะ ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า คำว่า “พระเจ้า”นั้น เราไม่ได้หมายถึง GOD ที่ชาวเทฺวนิยมเคารพนับถือ กันอย่างสูงยิ่ง สำหรับ GOD หรือ“พระเจ้า”ของชาวเทฺวนิยมทั้งหลายที่บูชาเคารพนับถือนั้น เราก็ให้ความเคารพอยู่เช่นกัน เพราะ GOD อันหมายถึง“วิญญาณ”หรือ “พระเจ้า”หรือ“พระศาสดา”ที่ทรงคุณงามความดีแท้กันทุกพระองค์ เราย่อมเคารพพระผู้มีคุณธรรมอันสูงส่งไม่ว่าจะเป็นชาติเชื้อใดแน่นอน    

แต่“พระเจ้า”ในที่นี้ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึง เรื่อง“เงินๆทองๆ” ที่เป็น  “วัตถุ”แท้ๆ ซึ่งคนไปหลงงมงายวุ่นวายเอาเป็นเอาตายอยู่ที่“เงินๆทองๆ”กัน โดยนับถือเงินทองเป็น GOD ยิ่งชีวิต

และความรู้ความเห็นที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ไม่ใช่แบบโลกียะที่อาตมามีน้อยนิดจริงๆ ซึ่งเป็นความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นแบบโลกุตระ จึงแน่นอนว่า มันย่อมผิดเพี้ยนไปจากผู้รู้เศรษฐศาสตร์ผู้มีครู มีอาจารย์ มีตำราเรียนมากันแน่ยิ่งกว่าแน่   

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 17:40:23 )

ความเอื้ออาทรต่อผู้ที่เป็นทุกข์

รายละเอียด

และปรากฏการณ์ทำนองนี้...ก็อุบัติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากกรณี “หมูป่าอะคาเดมี” ที่ไม่ว่าจะมีรายละเอียด ความเป็นมา มีแง่มุมให้ต้องถกเถียง วิพากษ์ วิจารณ์ กันในแบบไหน แนวไหนก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่อาจกลบกระแสแห่งความรู้สึกห่วงใย เมตตา สงสาร ความเอื้ออาทรต่อผู้ที่เป็นทุกข์ เป็นร้อน ผู้ที่เจียนเป็น เจียนตาย อันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ไม่ว่าชาวไทย หรือชาวโลก ต่างถูกดึงดูดให้เข้ามามีส่วนร่วม จน “ทีมหมูป่าอะคาเดมี” ดังระเบิดซะยิ่งกว่าทีมใดๆ ต่อทีมใด ในฟุตบอลโลกคราวนี้เอาเลยก็ว่าได้...

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชธานีอโศก หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:12:53 )

ความแตกต่าง การนั่งสมาธิกับการทำสมาธิ

รายละเอียด

 คือ สมาธิที่ใช้พยัญชนะว่า นั่งสมาธิ  คือ คุณนั่งทำสมถะ ไม่ใช่ทำสมาธิ ทำให้จิต ไม่คิด นึก เฉย นิ่ง  แต่สมาธิของพุทธเจ้า นั้นจิตใจจะยิ่งเร็วไว  ฐานจิต  Static  ก็สงบนิ่ง  ยิ่งนิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งเร็วเท่านั้นเป็นลูกข่างนอนวันหรือ ลูกข่างกินน้ำจัน ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ  4 ข้อ คือ

1.       ได้พักผ่อน แบบสงบจิต  มีอุปการะมาก

2.       ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.       เอื้อให้ปฏิบัติ เตวิชโช (ทบทวน ) ได้อย่างดี

4.       สร้างพลังทางจิต  ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ทางพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่ นิโรธ  วิมุติ  วิโมกข์  นิพพาน)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 13:45:19 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:17 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:30:16 )

ความแตกต่าง อนุสาสนีกับอาญา

รายละเอียด

คำสั่ง กับ คำสอน สองคำนี้เป็นภาษาไทย ภาษาบาลีว่า อนุสาสนี กับ อาญาอาญาคือคำสั่ง command ส่วน อนุสาสนี เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่ อาชญา แต่ใช้คำสอน พระพุทธอนุสาสนี เราก็ค่อยๆพัฒนา อาตมาเคยพูดประกาศตนเองว่า อาตมารู้จักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ เพราะประชาธิปไตยของอาตมาคือประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ที่เกิดตั้งแต่ยุคของพระพุทธเจ้ามาแล้ว ในสังคมพระพุทธเจ้ามีธรรมนูญคือศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรมม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม2563


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:31:58 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:30:38 )

ความแตกต่างของกายสักขีและปัญญาวิมุตติ

รายละเอียด

กายสักขีต้องสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย แต่ปัญญาวิมุติ ก็ย่อมสูงกว่ากายสักขี จะไปบอกว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่ได้ แต่ต้องแปลว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อันนี้แปลดีกว่า เพราะว่าทำมาตั้งแต่เริ่มทิฏฐิปัตตะก็มีสัมผัสวิโมกข์ ด้วยกายแล้ว เพราะสัมมาทิฏฐิ ส่วนศรัทธาวิมุติไม่ชัดเจนว่าต้องสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย เพราะเชิงปัญญาไม่ชัดเจน จึงช้าไม่รอบถ้วนเท่าสายปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 13:23:20 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 11:54:53 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:30:59 )

ความแตกต่างของกิเลสกับตัณหา

รายละเอียด

กิเลสหรือตัณหาก็เป็นพยัญชนะที่กำหนดมาให้รู้ลักษณะ มันมีบริบทของมัน กิเลสเป็นบริบทกว้างรวมกันไปหมดเป็น Common noun กิเลสคือสิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นความไม่ดีงาม ความเป็นโทษภัยทั้งหลายแหล่ของจิต ตัวอกุศลจิตทั้งหมดรวมเรียกว่า กิเลส กิเลสเล็กน้อยกิเลสใหญ่ กิเลสละเอียดต่างๆ ส่วนตัณหา คือความอยาก แล้วตัณหานี้จะต้องมีผัสสะเป็นเวทนา แล้วเวทนานี้แหละ ถ้าไม่มีเวทนานี้จะแยกหรือว่าเรียนเอาสภาวะจริงมาแยกหาตัณหาที่มันทำให้เกิดเวทนาเก๊ เวทนาชั่วไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:20:31 )

ความแตกต่างของความละเอียดของความเป็น 2,8 ขึ้น

รายละเอียด

ว่า คนสามารถมีธาตุรู้หรือปัญญาญาณที่ละเอียดลออ สุดท้ายรู้อะไร รู้ความแตกต่าง ระหว่าง 2 สุดยอดเลย คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 14:11:49 )

ความแตกต่างของพระพุทธเจ้ากับ สมณะโพธิรักษ์การทำงานศาสนา

รายละเอียด

คือพระพุทธเจ้าทำงานอายุ 80 ปี สมณะโพธิรักษ์  อายุ 72 ปี  แต่ใช้ สัมประสิทธิ์อยู่ต่อ  ท่านกล่าวว่า อาตมาลดงานที่ใช้แรงลงการบริหารหมู่กลุ่ม ก็วางลง  ไม่ได้ ไปช่วยคิดอะไรแล้วให้คณะสงฆ์  กรรมการส่วนกลางดูแลบริหารกันไป อาตมาทำน้อยลงอยู่แล้วไม่ได้  Overload   อาตมาก็เจียมตน    ดีไม่ดี แม้แต่สังขารร่างกายของอาตมาพยายามที่จะให้มันมีอาการ 32 ที่ดี   แต่มันก็เสื่อมไป เคยอธิบายมามากแล้ว  ขันธ์อาตมา แค่  72 แต่นี่ก็ไปอีกนักษัตรจะให้ถึง 96 มันมีพลังงานสัมประสิทธิ์ที่ติดตามมาสร้างได้ มันก็ก้าวหน้าได้  เป็นไปได้อยู่ทุกวันนี้  แต่ดีไม่ถึงใจ  แต่ดีอยู่ ก้าวหน้าใช้ได้   ถ้าไปอีกหนึ่งนักษัตร ไปถึง 96 จะรู้ว่า สัมประสิทธิ์ที่ทำงานไป  มีอัตราการก้าวหน้า มีคุณภาพที่ดี น่าดูที่เดียว ถ้ามันไม่เป็นอัตราก้าวหน้าทับทวีก็ต้องพัฒนา แต่ถ้าไปได้อีกนักษัตรเป็น 108 อาตมาก็จะรู้ว่าถูกแล้ว ถ้ามันดี มีปฏิภาคทวี  หรือว่าไม่ 108 กระเสือกกระสนเต็มที่  ก็จะรู้ว่าคงไม่นาน คงไป แต่ถ้า 108 แข็งแรงดี ก็จะรู้ว่า 120 สบายเลย  ถ้าทำได้ 120 แน่นอน 132 ถึง 144 ได้แน่นอนหากมีสัมประสิทธิ์ที่ดี ก็ทำได้พอ  90  ยัง  fresh  up   ก็ฉลองกันเลย   หากเราพากเพียรอยู่เกิดจากทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นพลังงานทางจิต   ยิ่งใหญ่ลึกซึ้ง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:25:12 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:00:32 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:31:54 )

ความแตกต่างของอาสวะ กับ อนุสัย

รายละเอียด

ฌาน กับ บุญ นั้นมีนัยสำคัญที่ต่างกัน ต่างกันตรงที่ว่า คำว่าบุญนั้นมีหน้าที่เป็นพลังงานฌานนั่นแหละ แต่พลังงานฌานที่รู้ว่าหน้าที่ของพลังงานบุญนั้น คือพลังงานในจุดที่มันกำจัดกิเลส ฆ่ากิเลส หมดสิ้นอาสวะ บุญนี่คือ ปัญญามีในบุญด้วย ที่รู้จักอาสวะ แล้วก็กำจัดอาสวะสิ้นได้ 

เมื่อกำจัดอาสวะสิ้นได้แล้ว ก็จบคำว่า บุญ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สูงกว่าบุญ ตรงนี้ฟังต่อไปดี ๆ นะ ปัญญาที่สูงกว่าบุญคือปัญญาที่ไม่มีบุญแล้ว คนที่ไม่มีบุญแล้วคืออรหันต์ขึ้นไป ใช่ไหม? (เสียงโยมทั้งหลายตอบพร้อมกัน)ใช่ เพราะฉะนั้นปัญญาที่มันสูงกว่าอรหันต์ขึ้นไป นี่แหละปัญญาไม่มีบุญ ฟังต่อตรงนี้เอาไว้ 

ปัญญาที่ไม่ต้องใช้บุญแล้ว เป็นความรู้ที่เกินกว่าบุญแล้ว บุญมีหน้าที่แค่ตัดกิเลสอาสวะเท่านั้น จบสิ้น เพราะฉะนั้น จิตที่เหลือ จากหมดอาสวะสิ้นแล้ว คือจิตอนุสัย 

ความแตกต่างจากอาสวะ กับ อนุสัย จึงแตกต่างกันตรงนี้ ตรงที่อนุสัยนั้น อาสวะยังไม่หมด ก็คืออนุสัยยังมีด้วยแน่ 

แต่ผู้ที่ทำอาสวะสิ้นแล้ว ผู้นี้ยังเหลืออนุสัย อาศัย เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์จะรู้จักอนุสัย รู้จักอาสวะ สามารถแยกอนุสัยกับอาสวะได้ ผู้จบอาสวะแล้วก็จบกิจในการที่จะทำลายจิตนิยามได้หมด แล้วจะเกิดอีกจะเสริมสร้างความรู้ต่อไปอีก เพิ่มโพธิสัตวภูมิไปอีกก็เชิญสิ คุณจะไปเป็นอนุโพธิสัตว์แล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะต่อไปเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะไปต่ออีก  หรือเอาแค่นี้ได้หมดทุกขั้น เป็นมหาโพธิสัตว์ก็ไม่เอาแล้วเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เอา เอาแค่มหาโพธิสัตว์ แล้วคุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าคุณได้ถึงนิยตโพธิสัตว์แล้วนี่ มันเข้ามหาวิทยาลัยที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ แล้วคุณจะไม่เอาหรือ จะหนักหนาสาหัสเท่าไหร่ก็สู้หน่อยน่ะ  มันก็อาจจะใช้เวลาหน่อย ขยันดีๆตั้งใจดีๆมันก็ไม่ใช้เวลาหลายร้อยกัปเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าใช้ปัญญาไม่ดีก็หลายร้อยกัปหน่อย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:59:33 )

ความแตกต่างของอุตุ พีช จิต

รายละเอียด

เป็นธาตุของพลังงาน พลังงานระดับอุตุซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่มีชีวะเลยเป็นพลังงานทางฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ในโลกวิทยาศาสตร์เขาก็ใช้พลังงานฟิสิกส์ เคมีเขาก็ไม่เรียกพลังงาน เขาก็เรียนรู้แล้วก็ใช้กัน เขาก็เริ่มเรียนรู้เรื่องงานที่ขึ้นมาเป็นพืช แม้แต่สัตว์ก็พยายามเรียนแต่มันไม่ไปถึงไหนสำหรับทางวิทยาศาสตร์ยังแยกแยะความละเอียดไม่ออก แยกความต่างของพืชกับอุตุ แยกความต่างของพืชหรืออุตุนี้กับจิต 3 สภาพนี้ยาก ถ้าคนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่สามารถแยกธาตุของพลังงานจิตพลังงานทั้งหมด แล้วก็ทำให้พลังงานจิตมันเป็นอุตุ มีลักษณะมีสภาพเป็นอุตุ เช่น ผู้ที่เป็นโสดาบันรู้จักจิตของตัวเองที่ติดยึดในอบายมุขในโลกหยาบๆต่ำ จนสามารถศึกษาและทำจิตตัวเองให้กิเลสหมดทำให้กิเลสตาย กิเลสตายจากจิตของคุณเป็นอุตุไป ไม่เป็นพลังงานทางจิตอีกแล้ว พลังงานกิเลสคุณก็ตายไป 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 22 เมษายน 2563 ( 13:57:16 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:08:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:32:15 )

ความแตกต่างที่เทวนิยมควรศึกษา

รายละเอียด

เราก็เรียนตามเรียนรู้ได้ตามเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา จนกระทั่งเป็นสยัมภูเป็นพระพุทธเจ้ามีความรู้สูงสุดที่ใครก็ไล่ไม่ทัน แต่เขาไม่รู้ครบความจริงสมบูรณ์แบบ แต่อันนี้รู้ความจริงสมบูรณ์แบบ นี่คือความแตกต่าง พูดไปแล้วก็เกรงใจพวกเทวนิยม เกรงใจที่เราพูดจริงสิ่งเหนือกว่าเทวนิยมที่เขาเป็นไม่ได้ เลยเหมือน ข่ม ดูถูกดูแคลน อาตมาขออภัย ไม่มีเจตนาเช่นนั้น มีแต่สงสารว่าน่าจะมาศึกษาอย่างนี้ทำอย่างนี้ ถ้ามาศึกษาเสียแล้วจะได้รู้ความจริงว่าอย่างนั้นเราก็รู้ เพราะว่าผู้เรียนรู้จริงๆจะได้รู้ว่าสิ่งที่มีในโลกจนกระทั่งรู้หมดอย่างที่ทางด้านเทวนิยม รู้ด้วยทั้ง 2 อย่างเรียกว่าเทวะ

แต่อีกอย่างที่เทวะไม่มี คือ “อเทวะ” ก็คือสิ่งที่มันทวนกระแสกันมันย้อนแย้งกัน เป็นศาสนาที่รู้จักความจริงว่า จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร เป็นอนัตตา มันไม่มีความจริงๆที่จะนิรันดรหรอกพระเจ้านิรันดรไม่มี มีแต่เหตุปัจจัยที่ว่าของคู่ที่ปรุงแต่งกันอยู่ เข้าใจเหตุแห่งการปรุงแต่งแล้วแยกออกจากกันได้ ธาตุจิตก็หายไป สลายเป็นธาตุที่อยู่ในมหาจักรวาลดินน้ำไฟลมแล้วก็ปรุงแต่งมาเป็น พืช เป็นจิต แล้วก็ไปก่อกรรม แล้วสั่งสมเป็นธรรมะ นี่คือ “ธรรมนิยาม 5” ผู้ที่รู้ครบแล้วแยกได้จริงๆ คืออรหันต์แยกได้จบจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:00:18 )

ความแตกต่างบาปแล้วอกุศล

รายละเอียด

คำว่า “บาป” หมายถึง จิตที่มีกิเลส คำว่า “อกุศล” หมายความว่า กรรมกิริยา เป็นไปในทางโลกีย์เป็นสมมติ ส่วนคำว่าบาป ใครทำบาปคือสะสมกิเลส หากใครทำไม่ดีใครเห็นก็รู้ แต่บาปคนไม่ค่อยรู้รายละเอียดของจิต คนไม่ค่อยรู้ แต่อกุศลเป็นเรื่องรู้ง่ายคนรู้กันได้ง่าย บางทีไม่เหมือนกับความยึดถือของโลกด้วยซ้ำไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:42:31 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:03:20 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:32:35 )

ความแตกต่างพระพุทธเจ้ากับพระเจ้า

รายละเอียด

พระเจ้ากับพระพุทธเจ้านั้นแตกต่างกันอย่างยิ่ง

“พระเจ้า”นั้น“ลึกลับ”แต่“พระพุทธเจ้า”นั้น“เปิดเผย”ยิ่ง

“พระพุทธเจ้า”กับ“พระเจ้า” จึงแตกต่างกันหันทิศไปคนละทาง มีทิศเดินทางไปต่างกันถึง 180 องศา มุ่งไปตรงกันข้ามทีเดียว หรือหมุนได้ต่างกันชนิด 360 องศาชนิดที่เป็น“คนละโลก”จึงมองไม่เห็นกันเลย เพราะทั้งในกว้าง ทั้งในความไกล ทั้งในความมาก ทั้งในความลึกลับ ทั้ง“ความลึก” และ“ความลับ” ทั้งใน“ความมืดดำ”ทั้งใน“ความเวิ้งว้าง”

ส่วน“พระพุทธเจ้า”นั้นสัมผัส“ความจริง”ได้ทุกแง่ทุกเหลี่ยมทุกซอกทุกมุม ทุกนอกทุกใน ทุกหยาบทุกละเอียด ทุกมิติ ทุกนัยะ ทุกประเด็น ทุกโลก ฯลฯ นิรันดร 

“พระเจ้า”นั้น สัมผัส“ความจริง”ไม่ได้ด้วย“ภาวะ 2” หรือในความเป็น“เทฺว” เพราะทั้ง“ลึก”ทั้ง“ลับ” ทั้ง“มืดดำ” ทั้ง “เวิ้งว้าง”ควาญหาไม่เจอ“เนื้อตัว”ส่วนใดของ“พระเจ้า”ได้เลย 

  “พระพุทธเจ้า”เป็น“เนื้อหนังมีชีวะ”ทั้งเห็นทั้งได้สัมผัสแตะต้องสรีระที่มี“กาย”กับ“จิต”อันเป็น“2 ใน 1”และ“1 ใน 2”ของ“เทฺว”ได้ในความเป็น“คน”ของโลกในกาละ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 19:32:48 )

ความแตกต่างระหว่าง พระอวโลกิเตศวร กับ พระเจ้า

รายละเอียด

พระอวโลกิเตศวร เป็นชื่อฉายาโพธิสัตว์ใหญ่ที่อยู่ยาวนาน ยาวนานจนกระทั่งท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยาวนานที่สุด จะไม่ปรินิพพานไปก่อน จนกว่าจะช่วยคนให้เป็นพระอรหันต์ให้หมดโลกท่านจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นปณิธาน แต่พระเจ้าไม่มีที่จบหรอก วนในกะลาครอบในความรู้เก่า ซึ่งเขาไปไหนต่อไหนตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่เขาก็จมอยู่ในอันเก่าไม่มีองค์ประกอบใหม่ แม้แต่สัปปุริสธรรม 7 ก็ไม่มี เป็นคำสอนตายตัวอย่างไรอย่างนั้น ยุคไหนก็ยุคนั้นอย่างนั้น พันปี 2021 ปีมาแล้ว ก็สูตรเดียวกัน ไม่มีอนุโลมปฏิโลมไปตามกาละเทศะฐานะ ก็ว่าไป คนที่มีความรู้ความเห็นแค่ไหนเขาก็เป็นแค่นั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:17:09 )

ความแตกต่างระหว่าง มานะกับอัตตา

รายละเอียด

อัตตา คือ ตัวตน  มานะ  คือจิตถือดี ยึดดี  มุ่งหมาย ทำดี ก็มีความอุตสาหะ มานะ พอได้ดีแล้ว ยึดดี ก็คือ มานะแล้วยึดยิ่งไปอีกเป็นอติมานะ  ต่อจากนั้นคือ ปมาทะ  คือ อุปกิเลสตัวปลาย  จากมานะ อติมานะ เป็น มาทะ แล้วก็  ปมาทะ มีถือดี  ยึดดี  ยึดมั่นถือมั่น ก็มัวเมา คือ มทะ สุราเมรยมัชชะ  มท ปมาทะ  ตัว มทะ คือ เมาละเอียดตัวท้าย  พอเมาแล้วประมาท  กินเหล้า  เมาก็ประมาท แม้เมาใน ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  ก็ประมาท พอมีมากหน่อย ก็ประมาทแล้ว  ฉันรวยก็ประมาทได้  ฉันยอดดารา ฉันเก่ง  ก็ประมาทได้  มานะ  คือ ส่วนหนึ่งของอัตตา  ล้างมานะ  อติมานะ  มทะ  ปมาทะ  ก็หมดอัตตา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต  ปฐมอโศก วันจันทร์  18  พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 18:47:52 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:05:30 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:32:59 )

ความแตกต่างระหว่าง รูป อรูป

รายละเอียด

หรือเรียกว่า  กาม  กามต้องสัมผัสทั้งภายนอก  ตา หู จมูก  ลิ้น กาย ทั้ง 5 ทวาร แล้วกามเป็นภายนอก อย่างรู้  คุณต้องเหนือกามก่อน คุณต้องมีจิตวิญญาณที่อยู่เหนือ  กามรูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสก่อน ที่เหลือจึงจะเรียกว่า รูปภพ  ฉะนั้นคุณยังลืมตา  มีหู สัมผัส กามคุณ 5 ความแตกต่างระหว่าง รูป อรูป อยู่แต่คุณก็สบายเหมือนมันได้ก่อน  คุณก็ทำใน  รูปภพ  อรูปภพ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 12:09:07 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:08:48 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:33:25 )

ความแตกต่างระหว่าง"อาสวะ"กับอนุสัย

รายละเอียด

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงไม่มีสิทธิ์ เพราะละเลย“อาสวะ”ขั้นต้น

อันคือ “กาย”ที่มีกิเลส“กาม”เป็นกิเลสขั้นต้น “อาสวะ”ขั้นต้น

ที่จะต้องจัดการเป็น“ขั้นต้น” คือ “อาสวะ”ก่อน แล้วจึงจะจัดการ

กับกิเลสขั้น“อนุสัย”กันต่อไปได้ อย่างสัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ-

สัมมาปฏิเวธ

กิเลสขั้น “อาสว”นั้นเป็นกิเลสมีขั้นตอน กำจัดไปตามลำดับ

“สังโยชน์ 10”

ได้แก่ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3.สีลัพพตปรามาส 4.กามฉันทะ

5.พยาบาท 6.รูปราคะ 7.อรูปราคะ 8.มานะ 9.อุทธัจจะ

10.อวิชชา (พตปฎ.เล่ม 11 ข้อ 284,285)

ส่วน“อนุสัย”นั้นเป็นกิเลสมีขั้นตอนกำจัดไปตามลำดับ“อนุสัย 7”

ได้แก่ 1.กามราคะ 2.ปฏิฆะ 3.ทิฏฐิ 4.วิจิกิจฉา 5.มานะ

6.ภวราคะ 7.อวิชชา (พตปฎ.เล่ม 23 ข้อ 12)

“อาสวะ”กับ“อนุสัย”หมายถึง “ตัวตน”หรือ“กาย”ที่แตกต่างกัน

ซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างมีนัยสำคัญกันคนละขั้น

ความเป็น“ตัวตน”นั้น ขั้น“สก”คือขั้นหยาบใหญ่

ใช้พยัญชนะ“ส+ก”

ซึ่ง“ก”นี้เป็นอักษรตัวแรกของพยัญชนะวรรค 33 ตัวทีเดียว

สำหรับ“ส+ว”นั้น “ว”นี้เป็นพยัญชนะอวรรคตัวที่ 4 ของ

“อวรรค”หรือ“เศษวรรค”

ส่วน“ส+ย”นั้น“ย”เป็นพยัญชนะอวรรคตัวที่ 1 ของ“เศษวรรค”

เชียวนะ! ซึ่งสื่อว่ามันเริ่ม“ก่อรูป”ขึ้นมาแล้วนะ!

ถ้ามัน“ก่อรูป”ขึ้นมาอีกถึง“เศษวรรค”ตัวที่ 4 คือ “ส+ว”

นั้นมันก็เป็น“รูปใหญ่”ขึ้นกว่า“ส+ย”ขึ้นมาถึง 4 ขั้น

แต่มันก็ยังไม่หยาบใหญ่ถึงขั้น“ส+ก”หรือ“สก”ซึ่งเป็น

“ตัวตน”ที่ประกอบขึ้นด้วยอักษรตัวแรกของพยัญชนะ 33 ตัว คือ

“ก”ทีเดียว

ดังนั้น“สก”จึงเป็นตัวตนที่หยาบใหญ่เต็มตัว

“สว”ก็เป็นตัวตนหยาบขั้นกลางที่ต้องกำจัดไม่ให้เหลือ “ตัวตน”

จนสิ้นอาสวะ

ส่วน“สย”นั้น ถ้ามี“สยัง อภิญญา”ในตนแล้วก็ยิ่งเลย

“อรหันต์”ไปหา“สยัมภู”ไง!

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ จึงไม่ได้เริ่มต้นอย่าง“สัมมาทิฏฐิ” 

ก็จะไม่มีพยานหลักฐานยืนยันกันได้เลยว่า สามารถกำจัด

“อาสวะ”แม้แค่บางอย่าง ให้สิ้นไปได้ เป็น“กายสักขี” เพราะ

“ไม่มีปัญญารู้”ทั้ง“กาย”ทั้ง“อาสวะ”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 459 หน้า 336


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 08:51:34 )

ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนประท้วงที่เรียกว่า MOB กับ protest

รายละเอียด

ม็อบแปลว่าหมู่กลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อก่อความวุ่นวาย แต่ถ้าหมู่กลุ่มที่รวมตัวต่อต้าน หรือประท้วงความไม่ดีนั้นเรียกว่า protest ม็อบ คือ กลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อสร้างความวุ่นวาย บ้าคลั่ง แต่ทีนี้ เขาเอาไปตั้งชื่อไม้ถูพื้นว่า ม็อบ เป็นยี่ห้อมันหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นม็อบที่มาสร้างความวุ่นวายมันยิ่งกว่าไม้ถูพื้นอีกแย่ยิ่งกว่า 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 13:01:06 )

ความแตกต่างระหว่างกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อาจาระและโคจระ

รายละเอียด

วิญญัติ แปลว่าการเคลื่อนไป การเคลื่อนทั้งภายนอกภายใน มีภายในเป็นประธาน แล้วมีการเคลื่อนทางกาย เช่นกายกรรม มี นัจจะ ท่าทาง คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง วาทิตะ คำพูดภาษาเอามาประกอบ วจีวิญญัติ ลดลง มีแต่สุ้มเสียง สำเนียงและภาษา ต่างกับกายที่รวมเอาองค์ประกอบทั้งหมด กายวาจาอาจาระ ระบุลงไปถึงลักษณะการประพฤติ โคจระคืออารมณ์ต่างๆ ที่ควรเป็น ควรเปลี่ยน ควรดำเนินไป เรียกโคจระ คือเข้าไปหาภายใน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:12:27 )

ความแตกต่างระหว่างความตื่นรู้แบบชาคริยานุโยคะกับตื่นรู้ตัวทั่วพร้อมแบบสติสัมโพชฌงค์

รายละเอียด

ความตื่นรู้แบบชาคริยานุโยคะ อันนี้เป็นการฝึกแบบพระพุทธเจ้า และกับความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อมแบบ สติสัมโพชฌงค์ ใช้พยัญชนะคุณจะรู้ตัวแบบชาคริยะ  มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม  คุณก็จะต้องรู้พร้อมทั้งภายนอกทั้งภายในทั้งตื่นๆ คุณจะหลับแล้วไม่ค่อยรู้  คุณจะไปรู้ตัวทั่วๆไม่ได้  คุณก็ได้แต่ ไม่รู้อะไรเลยทั่วพร้อมใช่ไหม ก็คุณหลับนะ คุณต้องตื่นมารู้ตัวทั่วพร้อม การตื่นนี่ คำว่าสติ สติมันจะต้องมีพร้อมทั้งความตื่น เช่น สติ ลืมตาขึ้นมาดูโลก รับจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก นี่เรียกว่า สติเต็มร้อย คุณไม่มีสติภายนอก คุณตัดไปอยู่แต่ภายใน มีแต่รูป อรูปในภพ คุณก็จะง่ายขึ้น แต่คุณจะไปรับรู้สัมผัสภายนอกได้ไม่เก่งเพราะคุณไม่ได้ฝึก  คุณได้แต่หลับเข้าไปภายใน  สติสัมโพชฌงค์  โพชฌงค์แปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้  องค์แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต้องตื่นเต็มตัว เป็นสติรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างอื่นๆ  ครบทั้งข้างนอกและข้างใน ต้องตื่นมารับครบทั้งข้างนอก และข้างใน  สติแบบชาคริยานุโยค กับสติสัมโพชฌงค์  ผลสำเร็จของสองอย่างนี้อันเดียวกัน แตกต่างกันแต่เพียงว่า พยัญชนะบอกว่า อันนี้ตื่นให้ฝึกเพียร  อนุโยคะ แปลว่าเพียร ส่วนความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อม แบบ สติสัมโพชฌงค์ ในสติสัมโพชฌงค์นั้นเป็นตัวจบ  สติสัมโพชฌงค์เป็นตัวที่ 1 ของโพชฌงค์7 อุเบกขาเป็นตัวที่ 7  ของโพชฌงค์7

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2562 ( 19:38:16 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:13:38 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:31:36 )

ความแตกต่างระหว่างปณิธิกับอธิษฐาน

รายละเอียด

การตั้งใจนี่ท่านเรียกว่า ปณิธิ  แปลว่าการตั้งใจ คือการตั้งลงไปแล้ว  มันมีการเชื่อมต่อ  ผู้ที่จะตายปรินิพพานแล้ว  คนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว  ตายไม่ตั้งจิตต่อ ก็จบ  ตายแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานแยกธาตุเป็นอุตุธาตุไปเลย  ส่วนพวกตั้งจิตต่อ คำว่า อธิษฐานนั้นใช้กันทั่วไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562                           


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 20:19:17 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:20:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:32:17 )

ความแตกต่างระหว่างปณิธิกับอธิษฐาน

รายละเอียด

คือการตั้งใจนี่ท่านเรียกว่า ปณิธิ  แปลว่าการตั้งใจ คือการตั้งลงไปแล้ว  มันมีการเชื่อมต่อ  ผู้ที่จะตายปรินิพพานแล้ว  คนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว  ตายไม่ตั้งจิตต่อ  ก็จบ  ตายแล้ว  ปรินิพพานเป็นปริโยสานแยกธาตุเป็นอุตุธาตุไปเลย  ส่วนพวกตั้งจิตต่อ คำว่า อธิษฐานนั้นใช้กันทั่วไป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 79 วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:11:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:53 )

ความแตกต่างระหว่างปัญญาวิมุติกับกายสักขี

รายละเอียด

คือปัญญาวิมุตินั้น ท่านบอกว่า นเหวโข  ตัว น. คือเหว คือความจริงโข คือผ่านไปแล้ว ท่านก็ไปแปลว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย กาย ซึ่ง น. เหวโข  พยัญชนะบาลี  ตัวนี้แหละที่บอกว่า  ปัญญาวิมุติ  ท่านไปแปล  น เหวโข  บอกว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8  ด้วยกาย คนก็เลยสับสน  อาตมาอธิบายว่า  ท่านบรรลุแล้ว  อาสวะสิ้นแล้วเป็นหลักฐาน  จึงเรียกว่า  ขั้นนี้เป็นพระอรหันต์  เพาะฉะนั้น ในอุภโตภาควิมุติเป็นพระอรหันต์ขันธ์ที่6 เป็นปัญญาวิมุติก็นับว่าเป็นพระอรหันต์ ส่วนกายสักขี  ไม่นับว่าเป็นพระอรหันต์  เขาอะไรยืนยันท่านบอกว่า อาสวะบางอย่างเท่านั้นหมดสิ้นไป  บางอย่างก็มีส่วนเป็นกายสัมผัส แต่ท่านไม่เก่งที่สุดในนี้จึงต้องสัมผัส  ว่าให้มาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 12:36:15 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:25:31 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:36:20 )

ความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาเทวนิยม

รายละเอียด

ศาสนาพุทธรู้จักความเป็นเทวะ  รู้จักธรรม 2ตีแตกแยกแยะธรรมะ2 ได้ และทำให้เป็นหนึ่งได้ ทำให้เป็น 0ได้  นี่คือความสามารถของศาสนาพุทธ  ศาสนาเทวนิยม  ตีแตก แยกเทวะไม่ออก ทำความสุข ความทุกข์ให้หมดไปไม่ได้ แล้วหลงจมอยู่ในความสุข  จึงเป็นพวกสุขนิยม แล้วไม่ได้เรียนรู้กรรมวิบาก ไม่ได้เรียนรู้ การเกิดแล้วเกิดอีกตามกรรมวิบากที่ไม่ได้จบลงง่าย ๆ  เกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก มีชาติ มีภพ ไม่ใช่ตายไปแล้วในชาติเดียวไปอยู่กับพระเจ้า ศาสนาที่สอนตายไปแล้วเกิดอยู่กับพระเจ้าไม่ได้สอนเรื่องเกิดแล้วตายแล้วเกิด  จึงได้สอนว่าวิญญาณไม่อยู่กับพระเจ้านิรันดรหลังจากตายแล้ว คนนี้จึงไม่รู้จักกันเกิดชาติแล้วชาติเล่ามีภพมีชาติอีก  โดยมีกรรมเป็นตัวพาเป็นไป  เพราะว่ากรรมเป็นของตน  กัมมัสโกมหิ กัมมาทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมจำแนกสัตว์  กันมังสัตเตวิภัชติ  กัมมนาวัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ใช่สัตว์โลกต้องเป็นไปตาม God

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:36:42 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:30:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:37:33 )

ความแตกต่างระหว่างอิสสากับอิจฉา

รายละเอียด

คุณไปอิสสาเขา  คุณก็คืออยากจะไปเลวอย่างเขา แม้คนรวยที่ดี สุจริตเราก็ไม่ต้องไป อิสสาเขา พูดภาษาอีสาน อิสสา คำนี้ถูกความหมาย แต่ อิจฉา คำนี้บาลี แปลว่าความปรารถนา ความต้องการธรรมดา ไม่ได้แปลว่าริษยา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:14:39 )

ความแตกต่างระหว่างโมหะกับอวิชชา

รายละเอียด

โมหะคือสับสน เลอะเทอะ วุ่นวาย อวิชชา คือไม่รู้เรื่อง  โง่สมบูรณ์แบบ  โมหะบางทีอวดรู้ด้วยนะแต่เลอะเทอะ เหมือนคนบ้าพูดเหมือนคนรู้ แต่ปนเปเละเทะ จับเป้าไม่ได้ ไม่เที่ยง หลงเลอะ ส่วนอวิชชานั้นโง่  อย่าไปแปลมาก จะเลอะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:12:24 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:34:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:38:26 )

ความแตกต่างศาสนาอเทวนิยมกับเทวนิยม

รายละเอียด

อาศัยคำว่าสุขมาใช้ แต่สุขที่จะทำให้คนโลกีย์พัฒนาเป็นสุขชั้นดี ที่สุดที่โลกียะเขาจะมีดีอย่างไรก็อย่างนั้น เช่นดีอย่างเป็นคนมีคุณธรรมมีธรรมะสูงเป็นพระพรหมมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่มีความโหดร้ายรุนแรง ไม่มีความบีบคั้น อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะซ้อนลึก โลกียะมีเงื่อนไขอยู่ว่าโลกียะมีความรู้สูงที่จะให้เกิดสุข แต่ไม่รู้จัก จิตสมบูรณ์แบบ และทำลายหรือทำให้จิตแยกกัน เป็นตัวทำลาย สามารถรู้จักเจตสิกต่างๆแล้วเข้าใจพลังงานเจตสิกทำให้เป็นชีวะสุดยอดหรือจะมาสู่ความเป็นสภาวะของธาตุที่มีในโลก อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุได้ อย่างแท้จริง แล้วแยกธาตุของจิตตัวเองได้ เมื่อเวลาตายลง เป็นที่สุดปรินิพพานเป็นปริโยสาน สามารถทำจิตในจิตมนสิการ แตกสลายเป็นอุตุนิยาม หมดตัวตนจะมาจับตัวเป็นอัตภาพได้อีกเลย เพราะมีความรู้ในอัตตา สามารถทำให้อาตมันสลายเป็นอุตุได้ ศาสนาเทวนิยมสลายจิตนิยามของตัวเองให้เป็นอุตุธาตุไม่ได้ มันเป็นจิตวิญญาณนิรันดร ตีไม่แตก แล้วก็จะไปรวมกับพระเจ้า พระเจ้าไม่มีความรู้ที่จะแยกจิตได้ แต่สามารถเป็นจิตวิญญาณที่ดีที่สุดเป็นธาตุที่ดีที่สุดในความมีที่อยู่ที่นิรันดร ถือว่ามนุษยชาติมีอย่างพระเจ้าไม่ได้ก็เป็นได้ มนุษยชาติไม่สามารถมีจิตอย่างพระเจ้า เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใคร เขายกไว้ว่าพระเจ้าเป็นจินตนาการ Imagine อย่างสุดยอด แล้วสิ่งที่ยืนยันว่ามีพระเจ้าคือมีคำสอนของพระเจ้า คำสอนของศาสนาอิสลามคือพระเจ้าองค์นั้น เรียกว่าพระอัลเลาะห์ ส่วนทางด้านคริสต์เรียกว่า God ทางด้านศาสนาฮินดู กับพราหมณ์ ก็ปนกันอยู่ แต่ทางด้านตะวันออกกลาง เขาก็จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง อิสลามเขาไม่ใช่ตะะวันออกกลางนะ ไม่ได้เรียกพระเจ้าเป็นพระอัลเลาะห์ แต่เรียกว่าพระยะโฮวา แล้วก็ยังมีอีกเยอะ อาตมาไม่เก่งที่จะรวบรวมพยัญชนะต่างๆพวกนี้มา ซึ่งมีความแตกต่างกันตามความเห็นตามความรู้ ศาสดาของเทวนิยมทุกองค์ก็คือพระเจ้าของแต่ละองค์ ไม่เหมือนกัน จริงๆก็คือตัวพระศาสดานั้นเองนั่นแหละ เป็นความรู้ของพระศาสดานั้นเองนั่นแหละ แต่พระศาสดาของแต่ละศาสนานั้น ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักความเป็นอาตมันของตัวเอง แต่ศาสนาพุทธนั้นรู้จักอาตมันของตัวเอง รู้จักอัตตาตัวเองสูงสุด จนกระทั่งอยากให้มีได้นิรันดรก็ได้ จะให้สลายอัตภาพหรือ อัตตา ของตัวเองก็ได้ นี่คือศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่พูดเชิงข่มศาสนาเทวนิยมก็ขออภัย พูดโดยที่มีสภาวะอย่างนั้น หากมาศึกษาเอาจิตตนเองมาศึกษา แล้วจะรู้ว่าจิตเราสามารถรู้ได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 21:32:48 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:36:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:40:34 )

ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก

รายละเอียด

จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องของความแตกแยก อาตมาชี้ความถูกความผิด อันนี้เป็นเรื่องสัจธรรมไม่ใช่เรื่องแตกแยกแต่เป็นเรื่องแตกต่าง การแตกต่างก็เป็นเรื่องธรรมะ การชี้ถูกชี้ผิดก็เป็นสัจธรรมเป็นธรรมะยิ่งกว่าการชี้ความแตกต่าง การบอกความแตกต่างของเพียงแต่ให้รู้ว่ามันมี 2 อย่างแตกต่าง แล้วความแตกต่างนี่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 11:34:26 )

ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก

รายละเอียด

อาตมาพยายามอธิบาย“ความแตกต่าง” ไม่ได้ทำความแตกแยกให้เกิดแก่ใครดอกนะ!    

หากผู้ใดรู้สึกว่า เป็นการก่อความแตกแยกก็ดี เป็นการยกอันนั้นข่มอันนี้ก็ตาม ขอให้ทำความเข้าใจให้เป็นกลางๆเถิด ว่านี้คือ“ความจริง” ที่คนยึดถือกันในโลก ที่เป็นจริง ปฏิเสธไม่ได้ 

ก็อยู่แต่ว่าใครจะยอมรับนับถือ เชื่อถือ“โลกียะ”หรือ“โลกุตระ” อย่างใด-แบบใด”เท่านั้น 

ซึ่งเป็น“สิทธิ”อันสัมบูรณ์ของแต่ละคน เป็น“ความอิสระ”ของแต่ละคนจริงๆ

พ่อครูว่า…เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ยึดสอง เห็นความจริงที่อาตมาพูดนี่เป็นหนึ่งเดียว คนนั้นก็มีความเห็นตรงกับอาตมา แม้ฟังคำสาธยายของอาตมาเข้าใจก็จะตรงกันเป็นหนึ่งเดียวตลอดเลย แม้คำภาษาอาจจะยังไม่เข้าใจอยู่ เป็นแต่เพียงติดขัดว่าภาษานี้เราไม่เข้าใจ แต่เขาจะไม่ขัดแย้ง จะทำความรู้กับภาษานั้นแล้วจะรู้ว่าทัศนะนี้หมายถึงมิตินี้หมายถึงนัยยะอย่างนี้มุมเหลี่ยมนี้ 

แม้แต่ชาวพุทธ ก็ฟัง อันนี้โลกีย์อันนี้โลกุตระ แม้จะเห็น 2 อย่างแล้ว แต่ถ้าแต่ละคนยังไม่เป็นพระอรหันต์ตรงกัน คุณก็ยังแย้งกัน จะแย้งกันด้วยสาระสภาวธรรมหรือจะแย้งกันด้วยพยัญชนะก็ตาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 19:26:51 )

ความแปร

รายละเอียด

ความไม่เที่ยง

หนังสืออ้างอิง

วิถีพุทธ หน้า 111


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 06:49:46 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:46:19 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:41:02 )

ความแรงที่ไม่ใช่ความโกรธ

รายละเอียด

เคยมีคนบอกว่ายังมีอารมณ์โกรธอยู่นะ ที่จริงไม่ใช่ ไม่ได้มีความโกรธอะไร แต่ต้องการให้แรง เขามันหนังเหนียว หอกร้อยเล่มแทงไม่เข้า ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วก็ยังนิ่งอยู่อย่างนั้นนึกว่าตายแล้ว นิ่ง ไปดูอีกที อ้อ ยังไม่ตาย พระราชามาถามว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตายก็เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มอีก ก็นึกว่าตายเพราะ  แน่นิ่งจริงๆเลย สะกดจิตตัวเองเอาไว้หลอกเขา เราก็นึกว่าตายแล้ว ไปดู ก็ยังไม่ตายอีก พระราชาก็บอกว่าเอาหอกอีก 100 เล่มไปแทง เป็น 300 เล่มแล้ว ไปแทงอีก ไปดู มันก็นิ่ง แต่พอผ่านไปแอบดูมันยังดุ๊กดิ๊กอยู่ เอากล้องไปส่องดู กล้องวงจรปิดจับดู เอ็งยังดิ้นได้อยู่ยังไม่ตาย พระราชามาถามอีก ก็ทูลพระราชาอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็เอาหอกไปอีก 100 เล่ม ขนไปอีกกี่ร้อยเล่มมันก็ไม่กระดิก เหมือนอย่างที่ท่านหลับตาทั้งหลายแหล่เป็นอยู่ อาตมาหมดไปหลายพันหลายหมื่นเล่มแล้ว ไม่รู้จะไปหาหอกมาจากไหนอีก สุดท้ายจึงต้องจำนนอยู่ที่ว่าทำหาหอกอะไรวะ ภาษาไทย จะไปทำหาหอกอะไร หอกเท่าไหร่ก็เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ ไอ้คนนั้นมันด้านกว่าหอก ใช้อีกกี่ล้านๆหอกก็ไม่กระเทือนหยุดซะเถอะ มันจะถึงขนาดนั้นไหมไม่น่าจะมีใครถึงขนาดนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 08:53:57 )

ความแรงหยาบไม่น่ากลัวเท่าความละเอียดเลวร้ายที่สุด

รายละเอียด

คนที่หยาบที่สุด เลวร้ายที่สุด นี่ละเอียดมากที่สุดจนคนอื่นไม่รู้ความละเอียดลึกซึ้ง ตามไม่ทัน อันนี้น่ากลัวกว่าหยาบที่เห็นเนื้อหยาบแรงๆหยาบๆ ความแรงหยาบนั้นไม่น่ากลัวเท่าความละเอียดเลวร้ายที่สุดมันไม่รู้ทันเลยนะรู้ไม่ได้ โอ้ กว่าจะรู้ตัวก็ตายก่อนไม่รู้กี่ชาติแล้วทุกคนคนนี้หลอกทุกคนคนนี้ตีกินกินตับกินไส้กลายเป็นบริวารเขามาไม่รู้กี่ชาติ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีบริวารของพวกมารร้ายพวกนี้อยู่ นี่ ยังเป็นบริวารยังหลงอยู่ยังไม่ลืมตาเลย ทั้งๆที่มันน่าจะรู้ตัวแล้ว ก็ยังงมงายอยู่อย่างนั้น เอาล่ะพอ ไม่ต้องขยายความหมาย อบายมุขเลวร้ายซับซ้อนพวกนี้ อาตมาอธิบายพอเป็นตัวอย่างไว้เท่านั้นลงรายละเอียดไม่ไหว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:46:28 )

ความโกรธแม้น้อยเท่าไหร่อย่าให้มีเลยในจิตใจ 

รายละเอียด

อาตมาไม่มีตัวตนจริงๆ รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ อาตมาพูดมาตั้งนานเมื่อถามสิ่งที่ไม่รู้ก็ตอบง่ายๆไม่ยากเลย ถามอันที่มันไม่รู้ ก็ง่ายสิ ก็บอกไม่รู้ก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องเสียหน้าเลย ไม่เห็นต้องจะเสียศักดิ์ศรีเลย เป็นธรรมดา ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ คุณคนนี้จับประเด็นนี้ได้ อาตมาหยุดโกรธแล้ว อารมณ์โกรธในจิต อาตมาไม่เคยมีโกรธ ถ้ารู้อย่างหยาบกลางละเอียด ขนาดเล็กบรรจุซองละอองธุลีเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้ารู้ว่าเป็นตระกูลโกรธ เอามันออกไปจากจิตใจ อย่าให้มันเหลือเลยอย่างหยาบ อย่างน้อยเล็กบรรจุซองละอองธุลีก็เอาออกไป ถ้ามันยังอยู่ในตระกูลนี้ เอามันออกไปเลยไม่มีประโยชน์อะไร นี่ก็เคยเป็นโศลกที่อาตมาให้ไว้แล้วอาตมาก็ปฏิบัติมาจริง จิตที่ไม่มีความโกรธนั้นมันสบาย จะบอกว่ามีความโลภ ความโลภที่จะทำงาน ความโลภที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ความโลภที่จะเสียสละรับใช้มนุษยชาติมันก็ดี นี่ก็ใช้ภาษาธรรมดาธรรมดา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 14:13:21 )

ความโง่ของสังคมที่ไปหลงให้ค่า

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น สรุปอีกทีหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าเกิดเป็นคนเหมือนเรา แล้วท่านก็ศึกษาวิชาของโลกทั้งหมด ท่านก็ไม่เอา ไม่มีวิชาอะไรที่ควรค่าที่จะมาเสียเวลา เสียแรงงาน ลงทุนลงรอนให้ เวลาทุกคนมีเท่ากัน แรงงานของใครของมัน แรงงานทางความรู้ แรงงานทางร่างกาย ทุนรอนก็มีทุกคน เอามาทุ่มโถมเอามาเสียสละให้แก่ธรรมะสัจธรรม ประเสริฐสุด อย่าเอาเวลา อย่าเอาแรงงาน อย่าเอาทุนรอนไปเสียกับไอ้โลกีย์ แม้จะไปเต้นๆดีดๆอาตมาเห็นแล้ว คนไม่เข้าใจกับอบายมุข การละเล่นกีฬาบันเทิงเริงรมย์ ราคาแพง แข่งกีฬาดาราราคาแพง การละเล่นการแสดงก็แพง นั่นมันส่อให้เห็นถึงความโง่ของสังคมที่ไปหลงให้ค่า แล้วก็ไปเอามาเป็นตัวอย่างของสังคม มันซับซ้อน 

อินเดียมีความรู้นี้ซับซ้อน จะไม่โชว์ในเรื่องอบายมุขพวกนี้ ลึกซึ้งอยู่ในจิตวิญญาณ จะรู้คุณค่า แต่ประเทศอื่นๆที่หลงอย่างตะวันตก อเมริกา โอ้โห เป็นเจ้าเลย จะต้องเป็นดารานำทางการกีฬา ดารานำทาง ดาราต่างๆนานาราคาแพง ค่าตัวสูงอะไรต่างๆนานา มันยิ่งจมลงไปใน นรกขิฑฑาปโทสิกะ นรกแห่งการหลงร่าเริง รื่นเริง ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นโทษ มันเป็นอวิชชา เป็นความไม่เข้าใจว่า เราไปหลงสิ่งเหล่านี้ 

พูดไปอาตมาเป็นตัวอย่าง ชาตินี้ เศษเสี้ยวของอารมณ์บันเทิงเริงรมย์ยังติดตัวมาที่อาตมาถึงชาตินี้ อาตมายังไปเป็นฆราวาสยังไปหลงเล่น ดนตรีการบันเทิง ยังเสียเวลากับอันนั้นอยู่เลย แต่อาตมาก็ประยุกต์มาเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เพลงการก็เอามาเป็นประโยชน์ซะ ก็พอได้ เพราะว่าต้องเข้าใจโลกแล้วอนุโลมเขา ยุคนี้พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ให้เขาเลิก เขาเลิกไม่ได้ เมื่อเลิกไม่ได้เราก็อนุโลม แล้วก็ทำให้มันได้ค่าได้คุณไปด้วย ก็ได้เท่านี้ สูงสุดก็เท่านี้ ทุกวันนี้อาตมาทำอะไรต่ออะไรมาพวกนี้เขาจะเข้าใจ แล้วก็ยังทำต่อไปอยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2566 ( 19:38:11 )

ความโง่จึงหลงสร้างลัทธินายทุน!

รายละเอียด

ผู้ยังโง่ ยังอวิชชาอยู่ ก็จะสร้างลัทธิ“นายทุน”ขึ้นให้แก่

โลกแก่สังคมให้ทุกข์ยาก ลำบาก ซึ่งคือ ผู้ก่อบาปอยู่ในโลก

“ทุน”คือ กองผลผลิต หรือกองสมบัติที่สะสมไว้มากๆ แล้ว

ยึดไว้เป็น“ของตน” 

แล้วใช้“ทุน”ให้เป็น“นาย”ข่มผู้อื่น 

ยิ่งได้มากเกินเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ในสังคมเลวร้าย

มากเท่านั้น

ยิ่งคนผู้ยิ่งมีวิธีที่ยอดเยี่ยมเชิงกลชาญฉลาด(เฉโก)ซับซ้อนที่ทำให้เขาผู้นั้นยิ่งมี“กองทุนที่เป็นของตน(ไม่ใช่ของส่วนกลาง)”ยิ่งมากขึ้นๆทับทวี 

คนผู้นี้คือ “นายทุน”ตัวแท้ คือ “ผู้ร้าย”ตัวจริง  

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 98 หน้า 103


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 20:28:34 )

ความโง่ที่ยอมเกิด-ยอมมี

รายละเอียด

ถ้าคนสามารถเรียนรู้จนกระทั่งมีปัญญารู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความโง่ที่ยอมเกิด - ยอมมี - ยอมร่วมมือกับภาวะ 2 ผสมพันธุ์กันอยู่ ภาวะ 2 ที่ผสมพันธุ์กันอยู่ ไม่ยอมหยุดสืบพันธุ์ - ต่อเผ่าต่อพันธุ์ความโง่ - ความเน่ากันไม่รู้จบความเป็น “2” ลดลงหรือเล็ก เป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ไปให้จริง ความเป็น “2” ก็ไม่มีวันจบ ยิ่งการสืบพันธุ์ก็ยังหลงว่าสุข มันก็คืออวิชชากันไม่จบแน่นอน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 20:57:25 )

ความโง่อันดักดานที่สุด

รายละเอียด

เวทนาคือความรู้สึก รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญาคือตัวกำหนด เป็นเจตสิกที่มันไปกำหนดอันนั้นอันนี้กำหนดรู้แล้วมันก็จำไว้แล้วมันก็มี 2 มันกำหนดรู้แล้วมันก็จำไว้ ส่วนสังขารนั้น มันปรุงแต่งกันเละเทะอยู่เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่อวิชชาไม่รู้จักสังขาร มันปรุงกันเละไม่รู้เรื่อง แยกกันไม่ออกเลย พวกเรานี้พอแยกออกบ้าง แต่ก็ยังแยกไม่ชัด เพราะฉะนั้นเมื่อมีวิชชาก็จะเข้าใจสังขาร เข้าใจวิญญาณ มันรู้ตัวแล้วเจตสิก 3 ก็คือวิญญาณ แยกออกเป็นรูปเป็นนาม เป็นนามรูป 

เสร็จแล้วก็สามารถที่ เมื่อมันมาปรุงแต่งกันเข้ามาเป็นอายตนะ มันก็ชักจะมันปนๆกันแล้ว มันชักแยกไม่ออก คุณก็เลยไม่รู้ว่า ในตัวตนของ อายตนะนี่ ที่มันรวมกันเป็นหนึ่งนี้ ระหว่างนามรูป ระหว่างกายกับจิต หรือวัตถุกับจิต มันรวมเป็นหนึ่งแล้ว แยกไม่ออก คุณก็ทำอะไรมันไม่ได้ ก็ให้มันเป็นพลัง เป็นอำนาจครอบงำเรา ก็กลายเป็นความไม่รู้ของสังขารที่อวิชชา ให้เราตกเป็นทาสสังขาร  ทาสอวิชชา ทาสอายตนะหรือทาสวิญญาณ เพราะแยกนามรูปไม่ออก ถ้าแยกเป็น 2 ได้ รู้จักความเป็น 2 ตัวสำคัญคือสุขทุกข์ แยกออกว่าสุขทุกข์ ชอบใจก็สุข ไม่ชอบใจทุกข์ นี่แหละคือความโง่อันดักดานที่สุด ชอบใจไม่ชอบใจ 

เพราะฉะนั้นถ้าเหตุปัจจัยมันได้เท่านี้ก็คือเท่านี้ มันสังขารกันเท่านี้ หรือเป็นอายตนะเท่านี้ปรุงแต่งเป็นอายตนะเท่านี้มันก็คือสังขารปรุงแต่ง ถ้าอายตนะก็ละเอียด สังขารก็หยาบ คุณเข้าใจรู้ทันว่านี่คือรูปนามปรุงแต่งกันอยู่ แยกออก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566  ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 12:09:10 )

ความใจดำของพระเจ้า

รายละเอียด

คือ คนทุกข์เจ็บป่วยพระเจ้าอะไรใจดำ  แล้วมาแกล้งมนุษย์  ก็ไหนว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคน  บันดาลได้ทุกอย่างทำไมไม่บันดาลให้เขาดี  ทำไมมาให้เขาชั่ว ก็เลี่ยงไปว่าเขาชั่วแต่ที่ดีก็เอาเข้าตัว

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 16:31:49 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:38:31 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:41:45 )

ความใจดีของผู้บริหาร

รายละเอียด

ทีนี้มันก็ซับซ้อนอยู่ตรงที่ว่า ความใจดีของผู้บริหาร ใจดีตรงไหน? ใจดีตรงที่ว่า สงสารเด็ก คนฉลาดแกมโกงก็ไม่ออกมาทำเอง มันเอาเด็กมานำหน้าเห็นไหมความซับซ้อน มันเอาเด็กมานำหน้า รัฐบาลก็ไม่อยากจะไปทำเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวการ เด็กมันไม่ใช่ตัวการเด็กมันคือหุ่นเชิด เพราะฉะนั้นเด็กทุกวันนี้ที่บอกว่าเขาเต้นอยู่คือโง่ยังไม่เสร็จเสียที ทำไมถึงโง่หนักหนาให้เขาชักใย แล้วเขานึกว่าเขาเป็นตัวเขานะ เขานึกว่าเป็นเด็กฉลาดกว่าผู้ใหญ่ พวกที่อยู่เบื้องหลังไม่ออกมาปล่อยให้เด็กติดคุกไป แล้วก็จะติดคุกกันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น คือมันโง่ไม่เสร็จ อาตมาก็ถึงว่าทำไมหนอเด็กๆยิ่งเรียนยิ่งโง่ยิ่งโตยิ่งเซ่อ แล้วก็หลงว่าตัวเองมีความรู้นะแล้วออกมาเสนอหน้า พวกที่บ้าด้วยกันก็เชียร์กันใหญ่ หลงคำเชียร์ นี่คือโลกธรรมแท้ๆคือกันเชียร์กันป้อยอกัน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 14:01:34 )

ความไม่พอใจในโลกมนุษย์

รายละเอียด

วันเวลาของโลก  ที่บัญญัติกันอย่างนี้  ซึ่งโลกเองนั้นไม่รู้หรอก  มันหมุนไปตามวงโคจรถ้ายังไม่แตกสลายไป  เขาบอกว่า  จีนประสบผลสำเร็จในการทดลอง  นำยานลงจอดบนดาวอังคาร ที่จริงแล้วยังไม่ได้ไป  เป็นแต่เพียงการทดลอง ที่จริงก็ยังอยู่บนดาวโลก ยังไม่ได้ไปดาวอังคาร  เขาสำเร็จกับการทดลอง  เขาจะไปดาวอังคาร  อยู่ในโลกนี้มันไม่พออยู่หรืออย่างไร  ผู้ที่เป็นกระฎุมพี  คนร่ำรวย  มีที่ดินเยอะแยะ  เป็นของตัวเองในโลกใบนี้  คนไม่มีที่ดินก็อยากมีที่ดิน  พยายามหาที่ดินโดยที่เขาหลงตน  แต่ตอนตายไป  ก็ใช้ที่แค่นิดเดียวถม ตายแล้วก็ได้ใช้เท่านั้น  แต่ก็ไม่พอใจ  โลกนี้ยังไม่พอ  ก็จะไปเหยียบ  เข้าไปจองที่พักอยู่เจ้าเดียว  แต่ไม่มีใครออกโฉนดให้  เพราะไม่มีใครแย่ง  จะไปดาวอังคารอีก ไกลกว่าดวงจันทร์

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 16:48:22 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:40:52 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:42:39 )

ความไม่มี

รายละเอียด

ไม่ได้ไม่มีตั้งแต่โลกอบาย มาโลกกาม ต่อไปอีก ซึ่งเราก็มีได้ แต่ไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราอาศัยใช้ทำประโยชน์เท่านั้นเอง ตายไปแล้วเราไม่ได้ยึดถือมันก็สลายไปได้ พลังงานจิตของเราไม่ดูดไม่ผลัก เป็นอุเบกขา แล้วรู้สภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกันเป็น 2 เป็น 5 เป็นร้อยเป็นแสนเป็นล้านก็รู้ แต่ว่าจิตของเราทำได้ ของเราสักแต่ว่ารู้ แล้วเราก็ไม่ดูดไม่ผลักกับเขา เราจะอนุโลมร่วม ทำทีเป็นกับเขาไปเท่านั้นได้ แล้วเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำได้ เราไม่ทำก็วาง ปล่อย แต่เราร่วมกับเขาได้เหนียวแน่น แล้วเราก็วางได้ นี่เป็นความสามารถของจิต ผู้ใดมีตั้งแต่สิ่งที่หยาบต่ำสุดก็คืออบาย มันมีอยู่ในโลกแต่เราก็ไม่ดูดไม่ผลัก มันมาก็รู้ว่ามันมีมาคนที่เขาติด เราก็เห็นเขารู้ว่าเขาหลงอยู่กับอันนั้น ถ้าจิตเราไปลบหลู่เขา แต่ดูความจริงว่าจิตใจเขาต่ำแต่เราไม่ต้องไปข่มเขา หากข่มจิตเราก็เบ่งข่ม หากจิตไม่เบ่งข่ม เราก็น่าช่วยให้จิตเขาสูงกว่านั้น เป็นความซับซ้อนของจิตที่มีความปรารถนาอย่างนั้นจริง 

อาตมาพูดถึงทักษิณธัมมชโยหรือมหาบัว จริงๆ อาตมาอยากให้เขาเข้าใจอยากให้เขาดีอยากให้เขาเจริญขึ้นมาอย่างแท้จริง ถ้าเขาเป็นคนดีขึ้นมาเขามีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัวเขาเยอะ เมื่อมาเป็นสัมมาทิฐิเอาความสัมมาทิฏฐิมาใช้ให้ฉลาดมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อโลก แต่นี่เขาไม่ปล่อยวางก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เอาก็พยายาม เห็นว่า มันน่าปลดตัวตน คำว่าตัวตนคำเดียว แต่เขาไม่ได้ศึกษาหัดล้างตัวตน ตัวตนระดับอบาย ระดับกามจนหมด เหลือรูปภพอรูปภพก็ล้างอีก เป็นสภาวะจริงเลยคุณจะมีความรู้ความจริงพวกนี้แล้วก็หัดทำออกเนกขัมมะ มันก็จะหมดลงได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:27:37 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:45:25 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:06:38 )

ความไม่มี และ ความมี

รายละเอียด

ความไม่มี และ ความมี  คือ ศาสนาพุทธต้องทำให้ไม่มีเป็นที่สุด  แต่มีเพราะยังไม่ตายยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน  หากปรินิพพานเป็นปริโยสาน  พระอรหันต์ก็สามารถมีความรู้ความสามารถแยกแยะจิตนิยามให้สลายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือน พวงมะม่วง  ถูกตัดออกจากขั้วลงมาแตกกระจาย  ไม่มีกายให้เห็น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในปริเฉทรองสุดท้ายของพรหมชาลสูตร  ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต  เปรียบเหมือนพวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว  ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ย่อมติดขั้วไป  ดูกรภิกษุทั้งหลาย! กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ยังดำรงอยู่  เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่  เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว  เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 12:25:22 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:49:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:45:36 )

ความไม่มี 

รายละเอียด

ความไม่มี  คือ โลกนิโรธ  ศึกษาถึงสภาวะของความมี หรือ ไม่มีแล้ว คุณเรียนรู้ จะทำความไม่มีในสิ่งที่ไม่ควรมี  ไม่ใช่ไม่มีจิต  แต่มีจิตที่ผ่องใส  มีปัญญายิ่งด้วย  ให้เรียนรู้ถึงอาการ อกุศล หยาบ  กลาง ละเอียด  ที่ไปยึดถือ  ล้างหมดเลยจบ    หัวใจของศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้ จบ สำคัญมากที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:30:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:19 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:46:14 )

ความไม่มีกับความมี

รายละเอียด

คำว่า ความ ไม่มี กับ มี ในพระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มี แต่คนผู้ไปสำคัญมั่นหมายในสรรพสิ่ง สัพเพธัมมา ว่าเป็นอัตตา หลงว่ามีตัวตน ยกตัวอย่างอาจารย์มั่น ยังยึดถือว่ามี แล้วอยู่ในภพของอาจารย์มั่น พูดกับอาตมาคนละภพ เพราะภพของ อาจารย์มั่นเป็นภพภายใน เป็นสัมภเวสีอเทวนิยมรู้จักเทวนิยมแล้วสลายเทวะด้วย แต่สายมีเทวะ ไม่ชัดเจนก็จะใช่หรือไม่ใช่มีหรือไม่มีก็ได้ ยังไม่ชัด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:56:30 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:53:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:47:02 )

ความไม่มีชีวะ

รายละเอียด

ความไม่มีชีวะ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมตัวเป็นพลังงาน สสาร เป็นดวงอาทิตย์ เป็นภูเขาไฟ เป็นน้ำทะเล เป็นหนอง เป็นคลอง เป็นน้ำฝน เป็นลมสลาตัน ลมใหญ่ ลมน้อย พลังงานความร้อน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่9 เดือนกันยายน2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 14:16:29 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:55:49 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:47:30 )

ความไม่มีตัวตน

รายละเอียด

พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภูมิเท่าพระพุทธเจ้า แต่ประเด็นที่มันต่างกันตรงนี้เท่านั้น ทำการสอนมาทำงานมาตลอด เป็นแต่เพียงชาติสุดท้ายเท่านั้น ชาติสุดท้ายชาติเดียว ที่ท่านไม่ประกาศศาสนาพุทธ พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นจึงยิ่งไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเหนือกว่าคือ 0 ยิ่งกว่า สิริมหามายา เข้าใจกันใหม่ สูญกว่าเพราะคนรู้จักน้อยกว่า ท่านไม่ได้ประกาศให้คนรู้จักในชาติสุดท้าย แต่ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานก่อน เห็นความซับซ้อนสลับไปมาไหม ตกลงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ประกาศศาสนาใครสูงกว่าใคร …ไม่มีตัวตนยิ่งกว่า วันนี้ขยายความพุทธภูมิถึงขนาดนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 09:23:12 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:42:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:48:06 )

ความไม่มีตัวตนเป็นไฉน

รายละเอียด

ความไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมี แต่ตัวตนที่แท้มันไม่ใช่ตัวตน ในขณะที่เราเป็นๆอยู่นี้เรามีรูปนามขันธ์ 5 ฟังดีๆนะละเอียดลึกซึ้ง เรามี “รูปนามขันธ์ 5” เรามีตัวตน แต่ไอ้ที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆที่บอกว่าอนัตตา แล้วไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเลย ไม่นานหรอก อยู่ไม่นานอยู่กับเราไม่นานหรอก เปลี่ยนไปเร็วในทุกขณะ คือ กิเลส คือตัณหา อุปาทาน ตัวนั้นแหละคือตัวอนิจจัง เป็นเหตุแห่งทุกข์ ตัวนี้แหละตัว “รูปนามขันธ์ 5” 

ที่มา ที่ไป

 เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 07:40:42 )

ความไม่มีภพ 2 อย่าง

รายละเอียด

วิภวตัณหาตัวนี้ ที่ยังเข้าใจกันได้ 2 อย่างน้อย 2 นัยใหญ่ๆ 

1. ความไม่มีภพอย่างซื่อบื้อ

2. ความไม่มีภพอย่างวิเศษ 

วิ อย่างไม่มีภพ แล้วคุณไปคิดอะไรต่อ  ภพชาติตัวตนไม่มีแล้วก็ปิดประตูจะไปต่ออะไรอีกเลยก็จบ คนที่ซื่อบื้อ ไม่คิดชัดเจน ไม่รู้ว่าตัณหา ไม่รู้ว่าปัญญา ไม่รู้ว่า ภว คืออะไร คุณยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ คุณยังมีภพมีชาติอยู่ โดยอาศัย โดยวิสัย โดยนิสัย โดยอนุสัย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 11:36:51 )

ความไม่มีอย่างยิ่ง

รายละเอียด

ยิ่งกว่านั้น ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้  ทำให้หายไปได้เป็นสูญ เรามีชีวิตอาศัยมันอยู่ 1 จะเรียกว่าสุขก็ได้ แต่ขอยืมภาษาคำว่าสุขมาใช้เท่านั้น เป็นยิ่งกว่าสุข แต่ไม่ใช่ความสุขอย่างยิ่ง เช่นที่บอกว่าอร่อยก็ต้องอร่อยกว่านี้อีกรสเผ็ดก็ต้องเผ็ดกว่านี้อีก แต่นี่ไม่ใช่มันหายไปเลยยิ่งกว่าสุขที่เผ็ดอย่างยิ่ง อร่อยอย่างยิ่ง เค็มอย่างยิ่ง หวานอย่างยิ่ง ร้อนอย่างยิ่ง ก็แล้วแต่ใครจะมีมิติไหนที่ไปชอบเอร็ดอร่อย ก็เป็นความมีตัวตนแจ้งก่อนทั้งนั้น แต่ของเรานั้นเป็นความไม่มีอย่างยิ่ง แต่อันนั้นมันเป็นความมีอย่างยิ่ง ของพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างยิ่ง สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่า ว่างนั้นแหละดี ๆ ส่วนคำว่า ทุก ข คือ ทุ กับอักขะ อักขะแปลว่าก้อนแก่นแกน ทุก็คือไม่ดี ทุๆๆ ยิ่งขึ้นไม่ใช่สุ มันไม่ดี เป็นแก่นแกนที่จับตัวยึดตีไม่แตกคือก้อนทุกข์ แต่สุข หายไปจากก้อนแก่นแกนหายไปจากความมี สูญไปเลยว่าง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:31:21 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:49:30 )

ความไม่มีอะไรอยู่

รายละเอียด

สัญลักษณ์แห่งความดับ ความหยุด ความสงบ ความเย็น ความไม่เหลืออะไร และความไม่มีอะไร

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 418


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 06:52:37 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:46:55 )

ความไม่มีอะไรเลยคือความรู้สุด

รายละเอียด

ถ้าผู้ที่มีความรู้สุด ก็คือความไม่มีอะไรเลย ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มี 0 = Infinity 

0 = หาประมาณไม่ได้ หาที่สุดไม่ได้ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 22:36:35 )

ความไม่มีเราไม่เป็นเรา

รายละเอียด

เมื่อมารู้แล้วจนสามารถเรียนรู้จริงๆ เรียนรู้ได้ว่า ธาตุรู้ต่างๆแม้แต่ที่สุด ถ้าเผื่อว่ามันไม่ไปยึดถืออะไรเป็นเราเป็นของเราตั้งแต่แรก มันจะไม่รวมจิตเลย ตายไปมันก็ไม่เหลือเรา ไม่เป็นเรา มันแยกกันไปหมดเลย พระพุทธเจ้าจึงเห็นว่าความไม่มีเราไม่เป็นเรานี้ ตายแล้วมันไม่รวมกันไม่จับตัวรวมกัน ท่านจึงสามารถที่จะแยกแยะให้รู้ตั้งแต่สิ่งที่เป็นวัตถุ แล้วก็สิ่งที่เป็นนามธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:02:18 )

ความไม่รู้ หรืออวิชชา 8

รายละเอียด

 ซึ่งในความไม่รู้ อวิชชา 8 นี้ อวิชชา 8 จะมี

1. ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2. ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ) 

3. ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ)  

4. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)   

5. ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง 

6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง 

         7. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) 

         8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา) 

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 15:16:42 )

ความไม่รู้ของคนในยุคนี้คล้ายๆกันกับยุคโบราณ

รายละเอียด

ตามสมัยโบราณ พ่อเป็นพราหมณ์ ลูกเป็นพราหมณ์ ตระกูลหลานเหลนนั้นก็เป็นพราหมณ์ แม้แต่กษัตริย์เขาก็ถือว่าเป็นฆราวาส ในอัมพัฏฐสูตรว่าไว้ อัมพัฏฐมานพ ถือว่าตนเป็นพราหมณ์ สมณโคดมอย่ามาทำเป็นแอ๊ค ท่านมาจากกษัตริย์ต้องไหว้พราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จะไหว้คนที่มีคุณธรรมมีธรรมะควรจะไหว้ หากว่ามีแต่ภาษาบัญญัติมีแต่ศักดินาติดอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เลย 

แล้วพระพุทธเจ้าก็ไล่จนกระทั่งอัมพัฏฐะตกเก้าอี้เลย ตัวเองไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 สักนิดเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านมีท่านยืนยันได้ อัมพัฏฐะก็แพ้ นั่งซบเซาคอตก และไม่ทำ อวดดีอีก แพ้แล้วยังทำกร่าง กลับไปถึงสำนักตนเอง อาจารย์ก็เลยเตะให้ แปลภาษาพระไตรปิฎกว่าไว้เลยนะ อาตมาไม่ได้พูดเลยเถิด

มันก็แปลเพราะๆ ที่จริงเตะเลย อาจารย์ให้ไปดูพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุยหาเร้นอยู่ในฝักหรือเปล่า แต่ไปทำเสียชื่อสำนักหมดก็เลยเตะให้ ขายหน้าอาจารย์หมด 

ขยายความให้รู้ว่าความไม่รู้ของคนในยุคนี้คล้ายๆกัน แล้วพวกที่ถือว่าตัวเองเป็นพระมหาศาล เหมือนพราหมณ์มหาศาล ก็มีหลายชั้น ชั้นที่มีลาภยศสรรเสริญข้าวของเงินทอง ไปเป็นพระป่าก็เป็นไปในทางติดภพชาติติดวิมาน Magical ลึกลับ สร้าง นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2564 ( 22:03:30 )

ความไม่รู้ของท่านประยุทธ์ประยุตโต

รายละเอียด

ฉันเดียวกันกับท่านประยุทธ์ อ้างอิง ในหนังสือของท่านว่า เราพูดว่าต้องเป็นอรหันต์ก่อนจึงจะชื่อว่าโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มีโพธิ เป็นผู้ที่มีความตรัสรู้ อรหันต์คือผลของการปฏิบัติที่ทำให้ไม่ลึกลับ อาตมาแปล อรหะ ว่าไม่ลึกลับ ท่านก็บอกว่าอาตมาแปลไม่ถูกไวยากรณ์ หาว่าพูดเอาเอง อาตมาก็ว่าใช่อาตมาพูดด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้ก็ยังยืนยัน อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับในสัจธรรม อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ เต็ม อันตะ แปลว่า สมบูรณ์​เต็ม ท่านประยุทธ์ท่านก็อ้างอิงโดยท่านไม่รู้ ชั้น ขออภัยที่ต้องพูดถึงท่านด้วยความเคารพท่าน เพราะท่านเป็นภันเตอาตมา ดีนะ ที่พวกคุณยกย่องให้อาตมาเป็นพ่อครู แต่ดีไม่ได้เรียกเป็นพระครู แต่มี ของทางโน้นเขามีตำแหน่งพระครูนะ แต่อาตมาไม่ได้เป็นแม้แต่พระครูที่เป็นระดับต้นเลย ทีนี้ ท่านประยุทธ์ท่านเข้าใจว่า คือ เถรวาท ไม่เข้าใจความเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านก็ไปอ้างอิงพระสุเมธดาบส เป็นโพธิสัตว์ ท่านก็บอกว่า ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าท่านเป็นโพธิสัตว์ ที่นี้ โพธิสัตว์สุเมธดาบสนั้นอยู่ในชั้นไหน อยู่ในโพธิสัตว์ระดับไหน ขอยืนยันว่า ท่านประยุทธ์ท่านไม่รู้หรอก ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 และไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 เท่าอาตมาด้วย ท่านเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 สุเมธดาบส อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่รู้ ท่านก็เข้าใจว่าโพธิสัตว์ยังเป็นปุถุชน ยังเป็นผู้ที่เพ่งเพียรเพื่อจะบรรลุอรหันต์ แต่นั่นท่านไม่เข้าใจว่านั้นเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่พระอรหันต์ อย่างเช่น อรหัตผลของพระโสดาบัน จะเรียกว่าอรหันต์ของโสดาบันก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 09:56:30 )

ความไม่รู้ของพระเจ้าในศาสนาเทวนิยม

รายละเอียด

พระเจ้ารู้อะไรแล้วมีเท่านี้ก็ตามนั้นเลยกี่ปีกี่เดือน ไม่ว่าพระเจ้าของศาสนาไหน ศาสนาคริสต์ก็แค่ 2,000 กว่าปี ศาสนาอื่นก็เท่าไหร่ ศาสนาเก่ากว่าศาสนาคริสต์ที่เป็นเทวนิยมมีอีกเยอะ ก็นับกันไป จะเป็นศาสนาของเทวนิยมเก่า มาตั้งแต่ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ทันสมัย เข้ากับยุคกาลอะไรไม่ได้เลย รวมแล้ว มันเป็นความไม่รู้ ไม่รู้กาละเทศะฐานะ ไม่รู้สิ่งที่เคลื่อนไปมันไม่คงที่ไม่คงเดิม ทั้งตัวตนก็ไม่คงเดิม ทั้งสถานที่ก็ไม่คงเดิม แล้วอยู่ในองค์ประกอบที่มันจะปรุงแต่งกันขึ้นเป็นอะไร อยู่ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันมีฤทธิ์มีอำนาจมันมีลักษณะ มันมีความเป็นตัวตนอย่างนั้น มุมนี้ มิตินั้นมิตินี้ นัยยะนั้นนัยยะนี้ ก็เป็นอย่างเก่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นก็เลยล้าสมัยมากเข้ากับอะไรต่ออะไรไม่ได้เลย นี่ก็ขยายความ ตัวเลขที่เขาใช้ คนฉลาดก็เลยกำหนดภาษา 1 2 3  4 5 6 7  8 9 10 จะเพิ่มไปอีกก็เป็นสภาพปรุงแต่งซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 15:37:48 )

ความไม่รู้ของเทฺวะที่ยังโง่หรืออวิชชา

รายละเอียด

หลงไปว่า ถ้าทำแต่ภายในนี่แหละแล้วมันจะจัดการจบได้หมด ซึ่งผิดถนัดเลยหลงตนเองว่า“ยิ่งใหญ่”ตนเป็นประธานใหญ่ แต่ตีแตกแยกแยะ“ตัวเอง”ไม่ได้ ว่า “ยิ่งใหญ่”นั้นยิ่งใหญ่เพราะอะไร? ไฉน?มี“พลังงาน”อะไร?บ้าง? ทำงานปรุงแต่งหรือ“สังขาร”กันอยู่อย่างไร?

ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ที่ตนเป็นอยู่ ไม่ได้ฉะนี้นี่เองคือ ความไม่รู้ของ“เทฺว”ที่ยัง“โง่”หรืออวิชชาหรือยังไม่รู้จัก“เทฺว”จริงๆซึ่งตัวประธานนี่แหละจะฉลาด รู้ว่า ต้องจัดการแบ่งย่อย“พลังภายนอก ”เอาทีละส่วนทีละขั้น ทำให้สะอาดจากกิเลสไปตามลำดับ จึงจะได้“ความฉลาด”ตัวแท้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งจิตที่ไม่สะอาดและทั้งจิตที่สะอาดแท้ แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชธานีอโศก
 


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:29:53 )

ความไม่รู้ของโลกีย์กับความรู้สูงสุดของโลกุตระ

รายละเอียด

ในโลกีย์ มันก็มีแต่ตัวตนทำอะไรเพื่อตัวตนเข้าหาตัวตน ส่วนโลกุตระนั้น ความรู้สูงสุดนั้น ท่านรู้แล้วว่าทุกอย่างมันไม่จริงไม่มีตัวตนหรอก แต่เราไปหลงยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวตนของเรา เราก็เลยมาทำเพื่อตัวตน เห็นแก่ตัวตนกันหนักจัด เพราะความไม่รู้ 

แล้วคนไม่รู้มีเยอะในโลก ในมวลพลเมืองพลโลกทั้งโลก ไม่รู้ในความละเอียดลอออันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้เอามาเผยแพร่เอามาประกาศให้แก่โลก ผู้มีบารมีจึงได้มาศึกษาเล่าเรียนแล้วก็รู้ รู้ตั้งแต่พยัญชนะบัญญัติทฤษฎีต่างๆความหมาย จากความหมายก็เอามาฝึกฝนมาเรียนรู้ปฏิบัติให้มันเกิดสัมพันธ์กัน สัมผัสกัน เกี่ยวข้องกันทำเรื่องทำประโยชน์อะไรที่มันเป็นโทษเป็นภัยก็ทำให้มันสิ้นไป

เป็นประโยชน์ ก็คือทำลายสิ่งที่มันไม่ดีออกไปจนกระทั่งมันดี กิเลสที่มันเป็นนามธรรมเล็กกว่ารูปละเอียดกว่ารูปดิ้นอยู่ ไม่นิ่งเหมือนรูปด้วย มันจึงยากที่จะจับตัวแต่ก็สามารถจับได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 17:11:29 )

ความไม่รู้จึงไม่รู้จัก“สังขาร”เพราะไม่เริ่มต้นที่“กาย”!

รายละเอียด

คนที่“หลับตา”ปฏิบัติ จึงเป็นคนที่“อวิชชา”แท้ๆที่เป็นคน เริ่มต้นก็ขึ้นต้นด้วย“ความไม่รู้” จึงหมดสิทธิ์ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตั้งแต่“สังขาร”อันเป็นปัจจัยที่เกิดจาก“อวิชชา”ซึ่งต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สังขาร”ต่างๆ ตั้งแต่“กายสังขาร-วจีสังขาร-มโนสังขาร”อันเป็นขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลายของ“สังขาร”ที่เป็นลำดับ“ต้น-กลาง-ปลาย”สามัญแท้ๆ ก็“ไม่รู้”กันจริงๆอยู่อย่างนี้เพราะไม่เริ่มต้นกันที่“กาย” เห็นความเป็น“กาย”สำคัญขึ้นบ้างไหม ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงจัดเป็น“สังโยชน์ข้อที่ 1”คือ “สักกายทิฏฐิ”ที่จะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันเป็น“ขั้นต้น”หรือต้องได้รับการเรียนรู้“การแยกกาย-แยกจิต” ว่า เมื่อใด“จิตเรา”ไม่ใช่“กาย”หรือไม่มี“กาย”แล้ว“เวทนา”จึงไม่มีแล้ว 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 464-465 ข้อที่ 646


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2565 ( 14:15:58 )

ความไม่รู้ที่เรียกอัตตาธิปไตย

รายละเอียด

นี่คือ ความยังไม่มีความรู้ยิ่งใน“อัตตาธิปไตย” 

ซึ่งหมายถึงความไม่มีพลังปัญญา-ไม่มีพลังจิตที่มี“ประสิทธิภาพ”

หรือไม่มี“อำนาจ”เพียงพอที่จะเข้าไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“อัตตา-อาตมัน”ได้เลย 

ยิ่ง“ปรมาตมัน”ก็ยิ่งหมดสิทธิ์ ปิดประตูที่จะรู้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 24 หน้า 57


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 14:47:26 )

ความไม่รู้ที่เรียกอัตตาธิปไตย

รายละเอียด

นี่คือ ความยังไม่มีความรู้ยิ่งใน“อัตตาธิปไตย” 

ซึ่งหมายถึงความไม่มีพลังปัญญา-ไม่มีพลังจิตที่มี“ประสิทธิภาพ”

หรือไม่มี“อำนาจ”เพียงพอที่จะเข้าไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“อัตตา-อาตมัน”ได้เลย 

ยิ่ง“ปรมาตมัน”ก็ยิ่งหมดสิทธิ์ ปิดประตูที่จะรู้

ผู้ที่เป็นเทวนิยมหรือพระเจ้ายังไม่มีความรู้ที่ถึงขั้นอัตตาธิปไตย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:47:03 )

ความไม่รู้ที่เรียกโลกาธิปไตย

รายละเอียด

และทั้งยังไม่มีความรู้ยิ่งใน“โลกาธิปไตย” 

ซึ่งหมายถึง ความไม่มีพลังปัญญา(อุตตร)-ไม่มีพลังจิต(อธิปไตย) 

อันเป็น“ภาวะ 2”ที่มี“ประสิทธิภาพ”หรือมี“อำนาจ”เพียงพอที่จะเข้าไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“โลก-ความวน-ความปรุงแต่งกันอยู่

อันมีภายนอก-ภายใน”ที่เรียกว่า“สังขารโลก”ได้ด้วย“ปัญญาอันยิ่ง”จริงๆ 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 25 หน้า 57


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 14:51:50 )

ความไม่รู้ทุกข์ ซาตานของศาสนาเทวนิยม

รายละเอียด

ไม่มีเวทนาเพราะไปเรียนรู้แบบหลับตา ไม่รู้อาการความสุขความทุกข์ เป็นเจ้าเรือนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเจ้าแห่งสุขนิยม แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่าสุขนิยมคืออะไร ความสุขคืออะไรอยู่กับความสุขนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าแท้จริงความสุขก็คือมายา แล้วมันคือคู่ของความทุกข์แยกกันไม่ออกอีก เป็นเทวะ เสร็จแล้วไม่รู้ก็ยกให้เทวะยิ่งใหญ่ พระเจ้าสร้างความสุขเป็นแดนสุขาวดีเป็นแดนสวรรค์ ไม่อยากจะลงนรกแต่ไม่รู้จักนรกแยกนรกไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนรู้ซาตาน แต่เขาก็มีซาตานอยู่ในศาสนา แต่เขาไม่รู้จักซาตาน ไม่ได้ศึกษาซาตานเลย แต่ไม่รู้จักซาตานเลย นี่คือศาสนาเทวนิยม รู้ว่ามีนะ รู้ว่าเป็นคู่อาฆาตของพระเจ้าเลย แต่ไม่ศึกษา การศึกษาก็ละเอียดไปทางศึกษาแต่ความสุข 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:27:12 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:01:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:50:06 )

ความไม่รู้มายากลที่ตัวเองเป็น

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นที่อาตมาพยายามใช้พยัญชนะบอกโลกียธรรมนั้น มีความรู้รอบ มีความรู้อยู่ในกรอบของเฉโกเท่านั้น ซึ่งมีความรู้อยู่แค่ดีคืออะไร ชั่วคืออะไร ตามสมมุติ แต่เขาจะไม่รู้จักอารมณ์หรือความรู้สึกที่เสพสุข เสพทุกข์ เขาไม่รู้ แต่เขาจะหลงสุข เสพย์สุข อารมณ์สุข สุขตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่มีอำนาจบาตรใหญ่ มีอาวุธฆ่าคนได้ชนะเป็นเจ้าโลก เขาสุขของเขานะ เขาสมอารมณ์ที่เขาเป็นเอก เป็นเจ้าโลก เป็นหนึ่ง ซึ่งมันไม่น่ายินดี ไม่น่ายินชอบอะไรเลย ที่เป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักวิบาก เขาก็จะทำอยู่อย่างนั้น ทางเฉโก โลกียะ เขาไม่มีความรู้ที่จะแยกออกนอกกรอบวงวน cyclic order เขาจะไม่ฉลาดออกไปรู้ สิ่งที่คุณกลับไปหลงจมอยู่ในวงวนของโลกีย์ มีดีมีชั่ว แล้วก็หลงสุขเป็นสุขนิยมอยู่อย่างนั้น ไม่มีงอกเงยหรอก คุณก็จะจมอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน อีกกี่ล้านๆชาติ คุณก็จมอยู่ในนั้นเท่านั้น เป็นคนดีตามสมมุติ แล้วสมมุติก็ไม่เที่ยงไม่ตรงกันด้วย แล้วก็วิ่งหาความสุขเสพ ความรู้ที่จะออกจากกรอบ โลกียะได้สำเร็จนั้น ความรู้ชนิดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านใช้บัญญัติว่าเป็นปัญญา แต่มันสับสนไปหมดแล้วคนเอาไปปู้ปู้ย้ำใช้เป็น เฉโก ปนกัน จนเขาไม่ใช้คำว่า เฉโกแล้ว เขาฉลาดแบบโลกีย์นะ แต่เขาก็นึกว่าเขาเป็นปัญญา   ความรู้ 2 อย่าง เขารู้อย่างเดียวคือ เฉโก แต่เขาหลงว่า เฉโก คือปัญญา ซับซ้อนตัวเองรู้ดีเป็นชั่วๆเป็นดี เฉโกมันชั่ว แต่เขานึกว่าเป็นปัญญา เขานึกว่า เฉโก คือดี สับสนอยู่อย่างนี้ 

นี่คือความไม่รู้มายากลที่ตัวเองเป็นอย่างนั้น ตัวเองไม่มีความจริงไม่มาเรียนรู้ความจริงให้ชัดแล้วก็แม่น แม่นว่าอะไรดีแท้ อะไรดีเก๊ อะไรดีเทียม อะไรถูกต้องเป็นความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 14:57:26 )

ความไม่รู้รักสามัคคี แก้ด้วยความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

ก็ใช้ทั้ง 10 ข้อ ใครอยู่ที่ฐานไหนก็พัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นในส่วนตน อาตมาเอารูป 28 มาสอน เพราะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้นักปฏิบัติธรรมไม่เอารูป 28 มาเรียนกัน รูป 28 กับ นาม 5 ต้องเข้าใจความหมายของรูปนาม ในปุตตมังสสูตร อาหาร4

1.กวฬิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . (ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ241-244) ผู้ไม่รู้รูปนามคือเหมือนกับพระราชาเอานักโทษไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล็ม เช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย พวกที่ไม่รู้จักนามรูป คือพวกนั่งหลับตาเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหลับตา เป็นคนที่ไม่รู้จักวิญญาณไม่มีนามรูป ไม่เข้าใจความเป็นนามรูป ไม่รู้รูป 28 นาม 5 ไม่ได้เอามาพูดถึง ไม่ได้เอามาปฏิบัติเลย แม้ว่ามีในพระไตรปิฎก คนที่ศึกษาพยัญชนะก็คงจะผ่านตาบ้างแต่ก็คงจะมีน้อยคน แต่ก็ไม่มีคนเอาภาระไปเรียนรู้ คุณก็เหมือนกับโจรที่พระราชาให้เอาไปฆ่า หมายความว่าโจรคือคนทำลายศาสนา ให้เอาไปฆ่าทิ้งเสีย เพราะมันเป็นโทษร้ายแรง แต่ดันฆ่าไม่ตาย ก็เลยมายึดหัวหาดของศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ ซวยอภิมหาบรมซวย นี่คือสัจจะความจริงทุกวันนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 8 มกราคม 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม16ข้อ 241-244


เวลาบันทึก 20 มกราคม 2563 ( 17:50:13 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:10:52 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:51:17 )

ความไม่รู้“อัตตา

รายละเอียด

อัตตาที่ตนเองยังยึดมั่นถือมั่นอยู่แท้ ยังแยกไม่ออก ตีไม่แตก ซึ่งคนเราสามารถกำจัดความยึดมั่นถือมั่นใน“อัตตา”นี้ได้จริงๆ และกำจัด“อัตตา 3”ในจิตได้หมดสิ้น(โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) ไม่เหลือเป็นเราเป็นของเราสิ้นสนิท จึงเจริญสูงสุดแห่งที่สุดได้แท้ แต่กลับ“หลงผิด”ซ้ำอีกว่า “เทฺว”นี้ยิ่งใหญ่สุดๆเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดจึงยึดมั่นถือมั่นแน่น ยิ่งว่า สูงสุดแล้ว ตีไม่แตกแล้ว แยกไม่ได้แล้ว ยอมแค่นี้แล้ว ที่แท้ก็แค่ยังเป็น“โลกียภูมิ”อยู่

ไม่เชื่อว่า ตีแตก-แยกแยะ(distinguish) “ธรรมะ2 (เทฺว)นี้ได้ ไม่เชื่อว่า ใน“ธรรมะ2”

ของความเป็น“เทฺว”นั้นจะยังมี“ความเป็นจิตวิญญาณ”ที่สามารถ“รู้ยิ่งเห็นจริง”ในความเลิศประเสริฐยอดที่“เทฺว”นั้นยังมีภาวะเป็น“อัตตา(อาตมัน)”ให้ศึกษาและจัดการ(อภิสังขาร)”

ด้วยปัญญาให้เป็น“ธรรมะ 1”หรือ“0”ได้อีก

ชาว“เทฺวนิยม”ผู้ยังไม่ยอมศึกษาค้นคว้าเรื่อง“จิตวิญญาณ”ต่อไปอีกแล้ว ชนิดที่ยึดมั่นถือมั่น“เทฺว”แน่น ตีไม่แตก-แยกไม่ออก ไปนิรันดร ก็มีคนที่เป็นอยู่จริง ก็เห็นกันได้ทั่วไป ดังที่เป็นกัน ยืนยันอยู่มากมายในโลก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:39:40 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:11:43 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 02:52:00 )

ความไม่ลึกลับของพระอรหันต์เป็นเช่นไร 

รายละเอียด

ก็ง่ายๆ มันไม่ลึกลับก็หมายความว่ามันแจ้งจางปาง มันเปิดเผยเต็มที่ มันไม่ลึก มันไม่ลับอะไรเลย มันเปิดเผย มันโป๊สนิท มันเปิดเผยกระจะกระจ่าง ไม่มีอะไรปิด อะไรบัง มันไม่มีอะไรพราง มันไม่มีอะไรหลบ มันไม่มีอะไรเลี่ยง มันก็ชัดๆ ง่ายๆ อย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นยิ่งหลบมันก็ยิ่งลึก มันยิ่งเลี่ยง มันก็ยิ่งลับ ยิ่งลับก็ยิ่งหลบ ยิ่งหลบก็ยิ่งลับ ยิ่งลับก็ยิ่งลึก อ้าว! ก็จะไปทำทำไม เปิดเผยเลย เพราะฉะนั้นคนที่เปิดเผยความจริงอย่างกล้าหาญ เปิดเผยความจริงอย่างเต็มใจ เปิดเผยความจริงอย่างภาคภูมิ เพราะมันเป็นความสะอาด มันเป็นความซื่อสัตย์ มันเป็นความบริสุทธิ์ มันเป็นความเป็นประโยชน์ มันเป็นความดีที่ดีอย่างไม่มีที่ติไปเรื่อยๆ เลย แล้วมันจะไปบังอยู่ทำไม ไปปิดทำไม ไปซ่อนเอาไว้ ที่ซ่อนอยู่ ที่บังอยู่เพราะ 1.มีเล่ห์ 2. มีโง่ โง่เพราะมันลึกมันไม่รู้ 2 มันมีเล่ห์ มันก็เลยทำลับๆ ล่อๆ ไว้ มันก็เท่านั้นเอง นี่ใช้ภาษาไทยสื่อสภาวะให้ฟัง 

สรุปแล้วที่คุณถามว่าความไม่ลึกลับนี่ อรหันต์ไม่มีความลึกลับ พระอรหันต์คือสิ่งที่สมบูรณ์แบบแล้วเปิดเผยได้หมด ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอำพรางอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันยังอำพรางที่ปิดบังกันอยู่นี้ ส่วนใหญ่จริงๆ มันคือสิ่งไม่ดี ถ้าสิ่งที่ดีจริงแล้วจะไปปิดไปบังไปอำพรางทำไม เหมือนอย่างอาตมาเปิดเผยจนกระทั่งหาว่า มันไม่ตรงกับของที่เขาเป็น เขามี มันขัดแย้ง เขาก็เลยหาว่าเป็นคนที่ไม่มีมารยาทบ้าง ไม่รู้จักยักไว้ อย่าเพิ่งไปเปิดหมดหรืออะไร 

อาตมาว่า โอ้โห..มันคนละความเข้าใจ อาตมากลับเข้าใจว่ามันจะไปปิด ไปบัง ไปหลบ ไปเลี่ยง ไปลับ ไปลึก เอาไว้ทำไม เอามาให้ตื้น พระพุทธเจ้าก็สอน ให้หงายของที่คว่ำ ชักของลึกให้ตื้น  ทำความมืดให้มันสว่างให้หมด อย่างนี้ต่างหากเล่า ลูกพระพุทธเจ้า จะไปทำตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าทำไม ทำตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้ามันก็ผิดไปหมดสิ คุณซึ้งซื่อ ก็คงพอเข้าใจแล้ว ไม่ต้องไปคิดมาก คิดลึกอะไรเกินมันก็ง่ายๆ ไม่ลับไม่ลึกอะไรนั่นแหละ คือสมบูรณ์แบบเปิดเผย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #45 Soft power โลกุตระของพ่อครู นำสู่การพ้นคนโลกเก่า วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:40:09 )

ความไม่วนกับความวน 

รายละเอียด

มันก็ปรุงแต่งไปหา 0 ปรุงแต่งไปหาความหมดจบไม่มีไง แล้วก็รู้ในความไม่มีในขณะที่คุณยังมีชีวิต ความรู้ทั้งมีและไม่มีเป็นความรู้ที่อาศัย เพราะฉะนั้น คุณรู้เหตุที่เป็นสมุทัยของความอยู่อาศัย มันวนอยู่ กับ ดับเหตุ โลกนิโรธไม่ต้องวนแล้ว

ความไม่วนกับความวน 

ความวนหรือการหมุนเวียน อันคือโลก โลกขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ที่คุณมีภูมิ มีปัญญา คนแต่ละคนมีปัญญารู้ เช่น เราวนเช้า ตื่นมา แล้วก็ดำเนินไปวัน ค่ำ แล้วก็วนไปหากลางคืน ไม่รู้อะไร นอนฟุ้ง จะฝันอะไรก็ว่ากันไป คนที่ไปหัดฝึกสมถะ นอนหลับไม่ฝันเลย รุ่งเช้ามาก็ตื่นมารู้ พอกลางคืนก็หลับไม่ฝันเลย ก็ฝึกเอา ไม่ให้มีสัญญาเข้ามาทำงาน ดับ กดสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์เก่ง ก็เอา คนทำได้ก็ทำ แต่สายปัญญาไม่ค่อยได้หรอก แต่สายเจโต สายศรัทธาเขาก็ทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:25:01 )

ความไม่สุขไม่ทุกข์ยิ่งใหญ่กว่าความสุขพิสูจน์ด้วยความจริง 10 ประการ

รายละเอียด

ว่าตรงๆ คุณก็สบายแล้วคุณก็เป็นลูกพระพุทธเจ้า แล้วมันดีไหมล่ะ เป็นสุขไหมล่ะ ดีคือโลกีย์ก็ใช่ สุขคือ โลกุตระก็ใช่ จะบอกว่าโลกุตระคือไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละ มันยิ่งใหญ่กว่าสุข ปรมังสุขัง มันยิ่งกว่าภาษาเรียกว่า สุข คือ มันไม่สุขไม่ทุกข์ ปรมังสุขัง มันยิ่งใหญ่กว่า ภาษาที่เรียกว่าสุข คุณรู้จักอารมณ์นั้นจริงไหมล่ะ แล้วคุณก็ทำได้จริง คนเขาว่าไม่จริง คนเขาว่าคุณไม่รู้ ก็ Let It Be เราเองเรามีอยู่แล้ว เขาจะว่าก็อยู่ที่เขาว่า ก็ช่างสิของคุณ ของเรา 

อย่างอาตมาบอกอาตมาเป็นอรหันต์ เขาบอกว่าเป็นอรหันต์อย่างไรวะ ก็เป็นอย่างที่ว่าอธิบายให้ฟังหมด เขาไม่เข้าใจ (เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง) เสียงฟ้าฝน มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ เราก็อยู่กับมัน มันก็จะเป็นไปตามวิบากของมันไปเอง เราเลี่ยงไม่ได้ถ้าถึงวิบาก ฟ้าผ่า วัวตาย 4 คนตาย 2 คน คนนั้นก็รับวิบากไป เขาก็ไม่ได้อยากได้นะ แต่พระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องเลยเดินอยู่ในโรงกระเดื่อง ฟ้าผ่าอยู่ใกล้ๆ คนตาย 2 วัวตาย 4 พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้ยินเสียง นี่ก็เป็นตำนาน เป็นประวัติศาสตร์ ในพระไตรปิฎก 

“อาตมานิยามความจริงไว้ 10 ประการ ในหนังสือสรรค่าสร้างคน (หน้า 90)

1. เป็นความดี 

2. มีความถูกต้อง  

3. มีคุณค่าเป็นประโยชน์ 

4. ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ 

5. ต้องเป็นไปได้จริง 

6. รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสูงที่สุดถึงขั้น อนัตตา, สุญญตา หรือนิพพานอย่างแจ้งใจ 

7. เข้าถึงความจริงนั้น  หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว  อย่างเต็มใจ 

8. ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับ ต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว - ที่มีแล้วนั้น 

9. ได้แล้วไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)

       10. ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)”

ในชาวอโศกสิ่งเหล่านี้พวกเรานี้มีไหม มีสิ่งที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ไหม แล้วสิ่งนี้แปรปรวนเป็นอื่นอีกไหม ผู้ที่ฉลาดเป็นปราชญ์แท้ก็จะยอมรับว่าอันนี้เป็นความจริง 

ขณะนี้ชาวอโศกทำความจริงนี้ปรากฏในโลก แต่พอจะมีปราชญ์เป็นผู้รู้ที่ไม่มีอคติ พอจะมองเห็นอันนี้จริง จนกระทั่งเคยได้ยินแว่วๆมาว่า มีคนทางเถรสมาคม บอกว่าศาสนาพุทธมันมีจริงอยู่ที่ชาวอโศกเท่านั้นแหละ มี แว่วๆ ศาสนาพระพุทธเจ้าที่เขามีจริงทำจริง ได้จริงมีแต่พวกชาวอโศกนั่นแหละ เขาพูดทั้งๆที่เขาอยู่ในหมู่เถรสมาคมทางโน้น แต่เขา มาไม่ได้เขารู้แล้วแต่เขาเข้ามาไม่ได้ แต่เขาไม่มีอคติ เห็นความจริง คนนี้โอกาสข้างหน้าก็ได้ เป็นปราชญ์จริงเป็นผู้ที่รู้จริง แล้วมันเป็นไปได้ไหม ลึกซึ้งไหม ยิ่งใหญ่ไหม ...ยิ่งใหญ่ขี้หมาอะไร 0 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 14:38:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์