@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

การกําหนดรูปนาม 4

รายละเอียด

กําหนดรู้รูปนามได้ด้วย....

1. อาการ (รู้สภาพของรูปนาม)

2. ลิงคะหรือเพศ (รู้ลักษณะแตกต่างของรูปนาม)

3. นิมิต (รู้เครื่องหมายชี้เฉพาะของรูปนาม)

4. อุเทส (รู้ข้ออธิบายขยายความรูปและนาม)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 10 “มหานิทานสูตร” ข้อ 60


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 19:39:45 )

การขยายผลโลกุตระธรรม

รายละเอียด

 คือ สมณะโพธิรักษ์เห็นว่า โลกุตรธรรมขยายผลอย่างน้อยในหลวงรัชกาลที่9  เป็นการรับจากในหลวงรัชกาลที่9  ถ้ากษัตริย์ คิงจิกมี่เริ่มมีอัญญธาตุ  เริ่มรู้โลกุตระเหมือนอัญญาโกณฑัญญะ  จะมองไม่เห็นดีเห็นงามกับอันนี้ก็เลยไม่ใช่ว่าเป็นประเทศจนอยู่แล้ว ก็เลยจนต่อไป ไม่ใช่!  แต่เขามีปัญญาเฉลียวฉลาดรู้ความจริงอันนี้  จนกระทั่งกล้าไปประกาศ  นายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้  กล้าไปยืนยันกับสหประชาชาติ  ประกาศกลางที่ประชุมผู้นำโลก  ประกาศว่าจะยินดีเอาความจน  แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจผิดว่า ความจนแล้วจะไม่ดูแลสุขภาพ  สุขภาพก็สำคัญ  เขายืนยันเอาเรื่องสุขภาพ  พูดถึงสุขภาพตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็บอก GNH คือ Health  เขาไม่ได้หมายถึง Happiness อย่างเดียว  เป็นสุขภาพมวลรวมคราวนี้เขาจึงยืนยันว่า รัฐบาลจะรับผิดชอบเรื่องสุขภาพ  ทุกประเทศถ้ามีหลักประกันรับผิดชอบเรื่องสุขภาพ  รัฐบาลช่วยเหลือมากขึ้นเท่าไหร่  ก็จะเป็นสิ่งที่ดี  มันเป็นทุกข์อริยสัจ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 16:29:27 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:45:24 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:10:38 )

การขยายอายุขัยของสมณะโพธิรักษ์

รายละเอียด

อาตมาพยายามขยายอายุขัยด้วยพลังสัมประสิทธิ์ มีสูตรคือ

แทนค่าสูตรในสมการ E = C(mc2 +A) ดังนี้

m = ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

A = นาม 5 (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

c = ความเร็วของจิต คือ มุทุธาตุ ในคุณสมบัติของ อุเบกขา 5

C = ค่าสัมประสิทธิ์

 

ตัว A คือ Abstract ที่แต่ละคนสร้างได้ในนามธรรมของตัวเอง ก็จะเพิ่มตัว mc2 เป็นชุดๆ บวกไปสี่ชุดห้าชุด จนยกกำลังได้ ก็ได้mc2 ยกกำลังได้ สูตรของอาตมาก็คือ E=C(mc2+A) สูตรของไอน์สไตน์ E=mc

ตัว C คือ Coefficient แล้วตัวที่จะพัฒนา

mc2 คือตัวที่บวก A นี้ไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่อาตมาต้องทำต่อ

ค่า A ผู้ที่ศึกษาตามก็ชัดเจนขึ้น มันบวกเข้าไปในสมการอย่างไร

A = mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 ...บวกไปก็เป็น x หรือคูณ คูณมากๆก็เอาไปยกกำลัง เป็นวิธีทางคณิตศาสตร์ให้สรุปได้เข้าใจสั้น ไม่ต้องเขียนให้ยาว

เราบวก mc2 ประมาณหนึ่ง A เป็นตัวแทน บวกกันได้ระดับหนึ่งก็เป็นคูณ และเป็นยกกำลัง เช่น เป็น 9 อันก็เป็น 3 ยกกำลัง 2

A จะพัฒนาเป็น C ได้อย่างไร ก็เพราะว่ามันคูณมากๆและเป็นยกกำลัง หากจะเอา mc2 คูณกันมาก ก็ทดไปเป็น C หากใครจะทำให้เป็นสูตรที่ละเอียดกว่านี้ได้

มุทุภูตธาตุคือภาวะสิริมหามายา คือพลังงานจิตที่มีอำนาจ

อาตมาไม่มีโศกเศร้าอะไรในใจ สุขสำราญเบิกบานใจไม่ได้เป็นโลกีย์อยู่ในวงอันพอเหมาะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 18:20:21 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:49:10 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:12:52 )

การขออ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

รายละเอียด

ขออ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคนดีให้เข้มแข็งมีกำลังใจกับสิ่งที่มันถูกกระทบอยู่กับบุคคลชั่วร้ายและเราก็ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคนดีแล้วจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยก็ขอยืนยันว่าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะขออธิษฐานอย่างไรจะกลับไปไหว้อ้อนวอนอย่างไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ช่วยหรอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องพระเจ้าที่เราไม่เห็นว่ามีอำนาจอย่างไรสิ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอย่างไรเป็นพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบจะมาช่วยกันได้อย่างไร

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:50:07 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:16 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:13:26 )

การขัดแย้ง

รายละเอียด

การขัดแย้ง  คือ  โลกต้องมีผู้ขัดแย้งเป็นธรรมดา ประชาธิปไตยต้องมีความขัดแย้งที่พอเหมาะ หากไม่มีผู้ขัดแย้งเลยคนจะเหลิงหลง  แต่ยิ่งมีผู้ขัดแย้งก็จะต้องพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นอะไรที่เราผิด  เราก็ต้องแก้ไขจึงจะได้ปรับปรุงพัฒนามากยิ่งขึ้น

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 06:27:44 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:51:12 )

การขึ้นทำเนียบพระพุทธเจ้าในโลก

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คือขึ้นทำเนียบพระพุทธเจ้า ในโลก ให้มนุษย์ได้รู้ร่วมว่าท่านเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ 1 สมัย แล้วคนจะไปดันทุรังว่า ทำไมท่านต้องอยู่สมัยเดียว ทำไมไม่อยู่ต่อ เพราะท่านเป็นประโยชน์ ก็ขนาดเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังไม่ประกาศเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย เพราะมันเมื่อยมันเหนื่อย ไม่ประกาศว่าเราก็เกิดมาในยุคนี้ในกาละนี้ เราก็เป็นหนึ่งเหมือนกันนะ ในมหาจักรวาลก็หมุนเป็นการเคลื่อนที่ไปหมด นั่นคือ “กาละ” เราก็เป็นชีวะอันหนึ่ง เป็นอัตภาพจนกระทั่งพัฒนาตัวเองเจริญไปเป็นสุดยอดมนุษย์ เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมไป นี่คือวิธีการของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 09:37:39 )

การข้ามเขตจากอุตุมาเป็นพีชะ

รายละเอียด

คือ จากอุตุนิยามมาเป็นพีชะนิยาม ตามธรรมชาติมันก็ทำได้แต่ยาวนาน  แต่ถ้าจากพีชะไปเป็นจิตได้ ด้วยรู้และทำได้  ถ้าไม่รู้ก็เป็นเองได้แต่นานวนเวียนยาวนาน จนกว่าจะเต็มรูปอัดอั้นไม่ไหว  ก็แตกออกมาเป็นพีชะ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายราย การสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71   30 กันยายน พ.ศ.2562


เวลาบันทึก 03 ตุลาคม 2562 ( 17:23:35 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:53:48 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:14:14 )

การคบคุ้นกัน

รายละเอียด

รู้จักเวทนาของตน ก็ทำให้กิเลสของตนเองเบาบางและลดได้ เมื่อลดได้แล้วก็เป็นคนไม่มีกิเลส เจ้าตัวเขาก็ บางทียังไม่ค่อยรู้ตัวเลย อย่าว่าแต่ใครเลยพระสารีบุตรเองยังไม่รู้เลย ไม่ใช่พระสารีบุตรไม่รู้ตัว พระสารีบุตรไม่รู้กิเลสของลูกศิษย์ กระนั้นต้องคบคุ้นกัน ถ้าไม่คบคุ้นกันก็รู้ไม่ได้ 

ขนาดพระสารีบุตรยังมีหลักฐานว่าลูกศิษย์ของท่านบรรลุอรหันต์แล้วพระสารีบุตรยังไม่ทราบเลย เพื่อนภิกษุก็เลยบอกว่าอาจารย์ ท่านองค์นี้ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว มีอยู่พระสูตรหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ง่าย ขนาดพระสารีบุตรนี้ยังเป็นได้ จะให้อาตมาไปชี้บ่งทีเดียวได้ยังไง แต่มันพอรู้ได้ คบคุ้นกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าอาศัยความคบคุ้นกันจะเข้าใจ รู้ว่าคนนี้มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:58:04 )

การคบสัตตบุรุษที่บริบูรณ์เป็นอย่างไรในยุคนี้

รายละเอียด

คบสัตตบุรุษนี้ คุณก็จะต้องเจอสัตตบุรุษจริง นี่เป็นเงื่อนไขหลักเลย ถ้าคุณไปเจอสัตตบุรุษปลอม ไปคบกับอสัตตบุรุษ สัตตบุรุษเก๊หรือสัตตบุรุษปลอม ก็แน่นอน คนหลงตัวหลงตนว่าเป็นสัตตบุรุษก็มี สัตตบุรุษ แปลว่าอะไร สัตต แปลว่าเจ็ด บุรุษเจ็ด

สัตตบุรุษ แปลเอาอรรถ แปลเอาเนื้อหาว่า เป็นผู้ที่บรรลุธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิแล้ว รองจากพระพุทธเจ้า ที่มีความจริงที่เที่ยงแท้ เป็นโพธิสัตว์ก็นับตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไป สัตตะ แปลว่า 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไป เป็นสัตตะ มีสยังอภิญญา มีความรู้จริงเป็นของตนเอง ข้ามชาติมา เป็นของตนเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ 

อย่างอาตมานี่ ยืนยันว่าในชาตินี้ อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ พูดไปแล้วเขาจะหาว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือ ไม่ใช่ ไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เคยหลงเลอะ ไม่เคยบ้า เป็นสัตตบุรุษระดับ 7 ระดับ 8 ก็ยังไม่ได้เป็น เดี๋ยวนี้ก็พูดอยู่ว่าอาตมาชักจะมีภูมิระดับ 8 ขึ้นมาบ้างแล้ว พูดอย่างนั้นด้วยซ้ำไป ไม่ได้หลงเลอะ ไม่ได้อยากใหญ่อยากโตอะไรเลย จริงหรือไม่จริงก็ฟังไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 12:26:49 )

การคบหาบัญฑิตที่เป็นสัตบุรุษให้บริบูรณ์ย่อมเกิดปัญญา

รายละเอียด

อาตมาก็สาธยายตามภูมิที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พอรู้ตำรา พอจะรู้บทเรียนนี้ ซึ่งอาตมาก็ยังไม่ถึงมหาโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า หรือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ถึงเท่านั้นเอง ก็สาธยายสู่ฟังตามความรู้ที่ตัวเองยังไม่ถึง แต่มีตำราแล้ว มีแผนที่แล้ว เอามาพูดสู่ฟัง นำหน้าที่ตัวเองก็ยังเป็นไม่ได้ แต่มั่นใจว่าไม่ผิด เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นไป เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ถูกต้องหมด เป็นแต่เพียงธรรมะที่เป็นจริงของเรายังเดินทางมาไม่ถึงเท่านั้นเอง 

ซึ่งอาตมาพูดไปนี้ เท่าที่อาตมาพูดได้ จะรู้ได้ว่า อาตมาเอาสิ่งที่เขายังไม่ได้รู้มาพูดขึ้นมาให้รู้ ส่วนคนที่มีอัตตามานะ ปฏิเสธอาตมาเพราะเขามิจฉาทิฏฐิ เขาเข้าใจไม่ได้หรือเขามีอวิชชา ยังไม่รู้โลกุตรธรรมที่แท้ ซึ่งอาตมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ช่วยผู้ที่พอมีดวงตา พอจะฟังรู้เรื่องรู้ได้ ก็มา เพราะอาตมาไปยัดเยียดไปบังคับไม่ได้หรอก ก็บรรยายสิ่งที่เป็นสัจธรรมไปเท่านั้น ผู้ที่แสวงหาแล้วก็มีสัมมาทิฏฐิพอ ไม่มีอวิชชาไม่มีอัตตาหนักหนาสาหัสนัก ก็ตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ปัญญา 8 

เพราะอาตมาเป็นสัตบุรุษ ในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า มีสัตบุรุษก็คืออาตมา ก็ประกาศไปตรงๆ ใครฟังแล้วผู้ที่มีปฏิภาณจริงก็จะรู้ได้ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษจริงหรือเปล่า ก็บังคับกันไม่ได้ พูดไม่เชื่อ พูดไม่เข้าใจว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษก็เป็นจริงไม่มีปัญหา คนที่เชื่อ บอกว่าพบแล้วสัตบุรุษ ก็มา ถึงไม่มาเขาก็เอาอยู่ในฐานะที่เขาจะอยู่ได้ แต่เขาก็จะเห็นว่า อันนี้ใช่แล้วเขาก็ยอมรับอยู่ เขาก็เอาไป ก็ตามแต่บุคคล 

บุคคลที่เห็นจริงแล้วว่าอันนี้เป็นสัตบุรุษจริง แม้ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า แต่มีสัตบุรุษที่แท้จริงแล้วก็สุดยอดแล้ว ที่จะต้องคบหาบัณฑิตที่เป็นสัตบุรุษ แล้วมาคบให้บริบูรณ์ อยู่อย่างนั้น ไม่มีมาใกล้ชิด ไม่ฟังกันเลย แต่พวกเราก็ฟังกันเยอะทุกวัน ยังไม่ค่อยพอเลยเห็นไหม 

เพราะฉะนั้นจะฟังให้บริบูรณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ฟังแค่ทีสองทีจะบอกว่าบริบูรณ์แล้ว อย่างงั้นก็เก่งเกิน ซึ่งมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก 

เพราะฉะนั้นในปัญญา 8 ปัญญาข้อที่ 1 ฟัง ได้ยินจากพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์เลย หรือในยุคนี้ไม่มี ก็ฟังธรรมจากสัตบุรุษ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้สัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 20:00:48 )

การคำนวณเวลาของพ่อครูว่าจะต้องมาเกิดอีกหรือไม่เพื่อให้โลกุตระไปได้ถึง 2,000 กว่าปี

รายละเอียด

หมายความว่า จากอาตมาเกิดมา 36 ปีเป็นฆราวาส หลังจากนั้น มาบวช อยู่มาจนถึงอายุ 88 ก็จะต่อไปอีกเป็น 100 ปี 200 ปี 300 ปี 400 ปี 500 ปี โลกุตระจะขึ้นตามกราฟ จะค่อยๆ พีคขึ้นไป 500 ปีจะถึงพีคสูงสุด แล้วก็จะเสื่อม ตอนนี้ขึ้น พอถึง 500 ปี อาตมาก็คงต้องมาเกิดอีก ดูท่าทีแล้วเกิดมาแค่อายุ 100-200 นี้ ยังเอาเนื้อของโลกุตระมา สถาปนาลงไปในมนุษยชาติ ดูท่าทีแล้วยังไม่พอ จะต้องมาเติมเสริมต่อยอดขึ้นไปอีก

แม้ปางนี้ชาตินี้ อายุไปถึง 133 ปี มันก็คงจะต้องเกิดมาต่อยอดอีกชาติ จึงจะต่อยอดมีพลังของโลกุตระ ขึ้นไปเองถึงพีคสุด จะเกิดพลังสูงขึ้นโดยที่อาตมายังไม่ต้องเกิด แต่ประชาชนชาวพุทธจะรับช่วงโลกุตรธรรมขึ้นไปได้ จะมีมวลปริมาณทั้งบุคคลทั้งเนื้อปรมัตถธรรม สภาวธรรมที่เป็นไปได้ มันจะมีมากพอที่จะนำพาโลกุตรธรรมไปสู่จุดพีคสูงสุด แล้วจึงจะหมดความสูงขึ้นไปได้อีก แล้วมีแต่จะลงต่ำ แรงเฉื่อยหรือชรตาจะเกิดแล้วไม่มีฟื้นมาดีขึ้น มีแต่จะเสื่อมไป จนสุดท้ายจบ 5,000 ปี หรือ จากนี้ไปอีก 2,000 กว่าปีก็สิ้นสุด ไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธ 

แม้จะมีศาสนาพุทธ โลกุตรธรรม ก็ไม่ไปถึง 5,000 ปี อย่างมากสุดนี่แหละ ที่อาตมาเกิดมาจนกระทั่งถึง 500 ปีโลกุตรธรรมจะเจริญขึ้นไปอีก แม้อาตมาตายแล้วไม่มาเกิดอีก โลกุตระจะมีคนรับต่อช่วงไปถึงจุดพีคสูงสุด จากนั้นแล้วมีแต่จะเสื่อมไป นี่คือ 500 ปี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565  ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 05:23:07 )

การค้นพบตัวเองคือการปฏิบัติธรรมรูู้กิเลสลดกิเลสใช่ไหม

รายละเอียด

ใช่แน่นอนที่สุด คำว่าเทวะคือสอง แต่ตีไม่ออกแยกไม่ได้ ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีรูป นาม คือสิ่งที่ถูกรู้กับตัวรู้ แต่เทวนิยมตีไม่แตก undistinquish ถ้า distinquish คือตีแตกแยกออก เทวนิยมตีสภาวะสองไม่แตกเลยอยู่อย่างนั้นนึกว่าเป็นหนึ่ง แต่อเทวนิยมคือไม่เอาแบบสองนั้น แยกแยะตีแตกได้แยกเป็นเจตสิก แยกเวทนาที่มีฐาน เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดมาเป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ แบบโลกียะแบบโลกุตระ แยกได้ทำได้ ในมโนปวิจาร 18 ทำให้โลกียะเป็นโลกุตระ เนกขัมมะได้ คือหัวใจศาสนาพุทธที่ตีแตกแยกเวทนาออกได้ชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คู่หูของสุขกับทุกข์ วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 17:28:37 )

การค้นพบยาอายุวัฒนะช่วยยืดอายุขัย

รายละเอียด

สมณะโพธิรักษ์อยู่เพื่อยืนยันว่า  อาตมาได้สร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ ในประเด็นที่อาตมาหมายถึงพลังงานที่จะช่วยยืดอายุขัย  ต่อจากที่มันควรจะตายแล้ว ก็ยังไม่ยอมตาย ทำให้อายุยืนยาวพัฒนาต่อไปได้ อันนี้เป็นการค้นพบ  นี่แหละคือยาอายุวัฒนะที่จิ๋นซีฮ่องเต้อยากได้ ส่งคนไปหานะ  จิ๋นซีแกยิ่งใหญ่  ตีแคว้นต่างๆได้มากเลย  ก็เลยจะต้องไม่ตาย  หายาอายุวัฒนะ  แหม ไม่มาพบเราก่อน ยืดให้ได้นะ  ถ้าศึกษามาเป็นอาริยยุคคลได้ คนก็ไม่ค่อยเชื่อ อาตมาอายุตาย 72 ปี  ตอนนี้เลยมาได้เป็น  85ไป 86แล้วนะ  แล้วจะต่อไปอีก  ถ้าอาตมาไม่มีสัมประสิทธิ์ยืดอายุมาได้ ก็จะดูงอกแงกอ่อนแอ  แต่นี่ไม่ใช่ ถ้ายืดอายุไปถึง 96  อีกประมาณ 10 ปี  อาตมาก็ยังอยู่อย่างนี้  เป็นการยืนยันว่า  มียาอายุวัฒนะจริงๆ นะ  ถ้าหากอาตมาถึง 96  คนจะเชื่อเลยว่าสัมประสิทธิ์คือยาอายุวัฒนาของอาตมา คนจะเข้าใจ  แล้วเขาจะเชื่อถือด้วยว่าทำได้จริงๆ  ถ้าอายุ 96ก็ยัง Active   กระปรี้กระเป่า  ยังStrong  Stretch  up  รับรองว่า คนจะยอมได้ ทางแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังพยายามคิดหาพวกสเต็มเซลฯ ในอนาคตก็มาบวก  ทางรูปได้ด้วย  บวกกับนามธรรมได้ด้วยอายุก็จะ200 ปีขั้นต่ำ คำว่าสัมประสิทธิ์นี่ พูดจริง ไม่ได้พูดเล่น  ศึกษาดูให้ดี

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:04:27 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 13:58:39 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:16:58 )

การค้าบุญนิยม ไม่เป็นหนี้

รายละเอียด

แม้เราจะขายช้าๆน้อยๆอย่างนี้แต่เราไม่มีดอกเบี้ย แล้วเราก็เป็นคนมีคุณธรรมสมบูรณ์แบบเป็นคนไม่มีหนี้ มีสมรรถนะความรู้ความสามารถขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างสรร พออยู่พอกินเกินอยู่เกินกินเหลือ ปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิตเรามีเหลือเราทำให้มากให้เกินและเอาไปแจกหรือขายถูกด้วย ตลอดเวลาเราทำ 4 หลักนี้

1. ไม่เป็นหนี้

2. พึ่งพาตัวเองรอด

3. ทำให้มากให้เกินที่กินใช้

4. มีเหลือเอาไปแจกจ่ายหรือขายถูก 

ไม่มีหนี้ แต่ระบบสินเชื่อนี้เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ใครที่คิดระบบนี้ขึ้นมาป่านนี้ตกนรกหมกไหม้ยังไม่ได้ผุดได้เกิด เป็นวิธีการความโลภ คิดวิธีการซับซ้อนด้วยสินเชื่อ ลึกซึ้งซับซ้อน อธิบายรายละเอียดทั้งหมดยังไม่เก่ง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 12:47:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:00:12 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:17:45 )

การฆ่าตัวเองเป็นบาปที่สุด

รายละเอียด

ถามไปทำไมโดยเฉพาะถามการฆ่าตัวตาย ตอบ ฆ่าตัวตายบาปกว่า ต่างกันอย่างไร อันนี้ไม่เห็นจะต้องถามเลย ฆ่าตัวเองตายกับไปฆ่าสัตว์ฆ่าคนอื่นตาย มันก็เป็นบาปทั้งนั้น การฆ่าตัวเองเป็นบาปที่สุดเพราะอะไร เพราะต้องอำมหิตที่สุด การฆ่าจึงต้องมีความทุกข์มากที่ทนไม่ไหวคุณก็ไม่รู้ตัว ก็ฆ่าตัวตาย หรือว่าจะฆ่าตัวเองคุณต้องใช้ความพยายามมากนะ มันถึงบาปมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:31:59 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:23:56 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:18:20 )

การฆ่านั้นฆ่าได้แต่กิเลส

รายละเอียด

ฆ่าตัวตายบาปกว่า เพราะอำมหิตมากกว่า สรุปแล้ว การฆ่านั้นจะฆ่าได้อย่างเดียวคือการฆ่ากิเลส อย่าไปฆ่าอย่างอื่น ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เป็นฆ่าอย่างอื่นหรอก ใครจะเลวจะชั่วใครจะไม่ดีสิ่งใดจะมีพิษภัยขนาดไหนมันก็เป็นยถากรรม เป็นวิบากของเขา มันก็เป็นเรื่องของเขา เราหลีกเว้นให้เป็น หลีกเว้นสัตว์พิษ คนเกเรคนมีพิษภัยก็ต้องห่าง ไม่ต้องไปทำอะไรเขา เขาก็จะไปตามวิบากของเขา กรรมจำแนกของเขาเอง

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:34:01 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:24:58 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:19:01 )

การฆ่าพระพุทธศาสนาด้วยเจตนาที่แสนดี

รายละเอียด

(ฉบับปรับความใหม่)

MSHTINENT

ยานที่แผนที่

ท่ามกลางความหมุนวนของกระแสโลกีย์ ผู้ที่ยึดมั่นในศาสนาต่างก็รัก ศรัทธา ที่จะนําเอาคําสอนมาเป็นที่พึ่งของจิตใจ แม้จะปฏิบัติไม่ได้มาก

ผู้นําทางศาสนาที่ยังกระทําตนยังไม่เป็นที่น่าเลื่อมใส นําพาไปสู่แต่ความ ลุ่มหลง งมงาย มีแต่จะทําร้ายทําลายจิตวิญญาณของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว อาศัยแต่เพียงคารมคมคาย เอาสวรรค์มาอ้าง เอานรกมา สุดท้ายก็คือผลประโยชน์ที่จะเอามาใส่คนและพวกพ้องทั้งสิ้น

ผู้รักศาสนาควรกระทําตนมักน้อย สันโดษ และมีพลังสร้างสรรให้แก่สังคม ช่วยเหลือเจือจาน ให้ความรัก ความเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า เป็นสัตว์ใหญ่ที่ช่วยสัตว์เล็ก เป็นปลาใหญ่ที่ช่วยปลาเล็ก1


ปณีsาน

ข้าพเจ้าจะโกรธไม่ได้เป็นอันขาด

เมื่อข้าพเจ้าทํางาน “เพื่อศาสนา-เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์”

เพราะถ้าข้าพเจ้าโกรธ นั่นแสดงว่า ข้าพเจ้าทํางาน“เพื่อตัวตน” และแสดงว่า ข้าพเจ้ามีกิเลสมากเต็มที

ไม่เหมาะสมจะทํางานเพื่อศาสนาเลย ไม่มีอะไรมากไปกว่า“การทํางาน” ของข้าพเจ้า

ตามกาละ เทศะ ฐานะ เมื่อข้าพเจ้าได้ใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการ อย่างไม่ประมาทเป็นที่สุดแล้ว

“งาน” ก็คือ “งาน”

“PRA”

16 ก.พ. 2521


คํานํา

คนไทยเราเชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์มานานเนกาเล ที่จริงก็ ไม่เฉพาะแต่คนไทย ความเชื่อดั้งเดิมของคนทุกชาติทุกภาษาก็คือ อํานาจเหนือธรรมชาติ และเหนือความสามารถที่มนุษย์จะควบคุมได้

แต่ศาสนาพุทธปฏิเสธอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา ปาฏิหาริย์อย่างเด็ดขาด เพราะปาฏิหาริย์ทั้งสองอย่างนั้นไม่อาจ นําพาคนให้พ้นทุกข์ได้ ทั้งกลับพาให้ผู้คนจมอยู่ในโมหจริต ไม่คิด พึ่งตนเองตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา

อย่างเช่นคนที่เชื่ออํานาจของเครื่องรางของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย ก็เฝ้าแต่บนบานศาลกล่าว ติดสินบนเทพเจ้าที่ตนนับถือ แทนที่จะพัฒนาตนเองให้มีความสามารถและสติปัญญาที่จะทํา สิ่งต่างๆที่ต้องการนั้น ให้เป็นผลได้ด้วยตนเอง

คนที่เชื่อการพยากรณ์ ก็พากันทรงเจ้าเข้าผี ทํานายโชคชะตา มองดูอดีต ติดตามอนาคต เฝ้าหาเหตุที่เป็นมาจากอดีต หรือไม่ก็ ฝันเพ้อถึงอนาคต แทนที่จะเพ่งมองปัจจุบันที่กําลังเป็นไปและมี โอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนา

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ส่งเสริมสนับสนุนปาฏิหาริย์สองอย่างนี้ ด้วยคิดว่าเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เหมือนอย่างเหตุการณ์ ตามเรื่องเล่าในหนังสือเล่มนี้ คุณกําลังฆ่าพระพุทธศาสนาด้วยเจตนา ที่แสนดี ในหนังสือเล่มนี้ PRA ได้อธิบายให้เห็นความเข้าใจผิดพลาด

3


เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ และชี้แจงให้เห็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้า ทรงยกย่อง คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นปาฏิหาริย์ที่คุณก็มีได้ เป็นได้

แม้เหตุการณ์ในหนังสือจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว แต่ ความเข้าใจของพุทธศาสนิกชนเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์ ก็ยังคง ไม่ต่างจากเดิมมากนัก กลุ่มสุดฝั่งฝันจึงจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นอีก ครั้งหนึ่ง โดย PRA ได้กรุณาแก้ไขต้นฉบับปรับความให้คลุมนัย สมบูรณ์ทั้งกว้างและลึก เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ สืบอายุพระพุทธศาสนาให้ยาวนาน เป็นแสงสว่างแก่โลกต่อเนื่องไป

* ผู้จัดทํา

4


สารบัญ

เรื่องที่ 1

ปาฏิหาริย์หรือมายา

15

ข้อพิสูจน์ตามพุทธวิชชา เข้าใจโอปปาติกะอย่างพุทธ............ ตาทิพย์ตามทิฏฐิของพุทธ...................................... ปาฏิหาริย์ 3.................................. อุตริมนุสสธรรมที่ควรแสดง................................... สัมมาสมาธิ : อุตริมนุสสธรรมของพุทธ

.........

นิพพานแท้ หรือ นิพพานเทียม...

55

สมาธิที่เหนือมนุษย์

៦២ บุคคล 4 ประเภท สมถะและวิปัสสนา ทางสายกลางอันเป็นไปเพื่อความเจริญ.............55

5


 


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 16:45:13 )

การฆ่าสัตว์

รายละเอียด

ในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะสัตว์เซลล์เดียวหรือกี่เซลล์ก็ตามจะไม่ฆ่า จะฆ่าก็แต่พืช เพราะมันยังไม่มีกรรมไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 16:51:30 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:01:01 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:19:29 )

การฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ฆ่าพระอรหันต์ จะมีผลวิบากต่างกัน

รายละเอียด

แม้แต่การไม่ฆ่าสัตว์เป็นเบื้องต้นเลยของพรหมจรรย์ เป็นเบื้องต้นของศาสนาพระพุทธเจ้า เราไม่ฆ่าสัตว์ก็ทั้งนั้น ถ้าเรามีจิตใจว่าฆ่าสัตว์เลวร้าย เราจะไม่ฆ่าคน เพราะว่าคนมีค่ามากกว่าสัตว์เดรัจฉาน และคนนี้แหละ จะเป็นวิบาก ซับซ้อนอีกหมุนรอบเชิงซ้อน คุณฆ่าสัตว์ สัตว์มันก็จะต้องจองเวรตอบคุณแน่นอน คุณฆ่าสัตว์มันก็โกรธ มันก็รักชีวิตของมัน มันก็ต้องผูกพัน มันก็ต้องพยาบาทแน่นอน 

คนที่ยิ่งไม่พยาบาท ยิ่งสูงขึ้นเป็นอาริยบุคคลไม่พยาบาท กลับเป็นวิบากที่หนักยิ่งกว่าซับซ้อนไปอีก ยิ่งไปฆ่าพระอรหันต์ อนันตริยกรรม คุณจะต้องใช้หนี้วิบากอีกนับไม่ถ้วนเลยอนันตริยกรรม อนันตัง เป็นกรรมที่นับไม่ไหว คุณจะต้องใช้หนี้กรรมอีกไม่รู้กี่ชาติ เหตุปัจจัยมันคำนวณยาก แต่มันนับไม่ถ้วนแล้วจะไหวหรือ ชีวิตคุณจะเกิดตายอีกเท่าไหร่ แล้วเป็นบาปเป็นนรกอีกด้วย ไม่รู้กี่นับชาติไม่ถ้วน คุณจะไปทำหาอะไร เป็นกรรมวิบากที่เป็นนรก นับชาติไม่ถ้วน เอาไหม ตกนรกนับชาติไม่ถ้วนอยู่นั่น วนเวียนอยู่นั่น เอามั้ย แค่ภาษาฟังให้ดีมันเป็นสัจจะ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการขู่ หรือพูดเล่นๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ที่พระเจ้า พระเจ้าสั่งได้หมด จะให้ดีหรือชั่วก็อยู่ที่พระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเดียว อันนั้นเป็นโลกียะ ไม่จริงหรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 11:16:30 )

การฆ่าสัตว์ถวายพระพุทธเจ้าและสาวก 

รายละเอียด

บาปมากการฆ่าสัตว์ถวายพระพุทธเจ้าและสาวก  คือ บาปตั้งแต่สัตว์นั้นถูกนำตัวมาทีเดียวไม่เพียงแต่ผู้ฆ่าหรือผู้สั่งให้ฆ่าจะเกิดบาปเท่ากัน  แม้สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่าก็เกิดบาปคือ  เกิดอกุศลจิตคิดกลัวภัย กลัวตาย ได้รับทุกข์โทมนัสมาก ทั้งในเวลาที่ถูกนำตัวมาและในเวลาที่ถูกฆ่า และด้วยอกุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  อาจทำให้สัตว์นั้นไปเกิดในอบายได้อีกด้วย  นับว่าน่าสงสารมาก เพราะฉะนั้นอย่าฆ่าเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเลย  ไม่ว่าฆ่าเล่น ฆ่าเอามากิน หรือฆ่าเพื่อทำบุญ  เพราะแทนที่จะได้บุญกลับได้บาปมากทีเดียว  ชีวิตใครใครก็รัก  เรารักตัวกลัวตาย กลัวถูกฆ่าอย่างไร สัตว์ทั้งหลายก็รักตัวกลัวตาย  กลัวถูกฆ่าอย่างนั้นเหมือนกัน

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอารยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:36:38 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:02:10 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:20:17 )

การฆ่าสัตว์เจาะจงพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

การฆ่าสัตว์เจาะจงพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้า คือ ในชีวกสูตรผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้าผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 5 ประการ คือ

    1.  ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่าท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมาดังนี้ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

    2.  สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์โทมนัสชื่อว่าประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

    3.  ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่าท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

    4.  สัตว์นั้นเมื่อเขากำลังฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัสชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

    5.  ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกับปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอารยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:35:50 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:03:26 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:21:39 )

การฆ่าสัตว์เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลยตามชีวกสูตร

รายละเอียด

อาตมาเคยย้ำเรื่องความรู้แม้แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ตามชีวกสูตรที่กล่าวถึงการกระทำที่เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย เริ่มกล่าวชื่อสัตว์ก็มีเจตนาแล้ว เริ่มต้นจุดบาป ต่อจากนั้นจะเห็นเจตนาชัดในข้อที่ 2 ไปจับมันมาลากคอมันมา ก็ให้คนไปจับมันมา 

ข้อที่ 3 ฆ่ามันเสีย บาปหนักเข้าไปอีก แม้ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ แต่ตัวเองเป็นคนดำริเป็นคนพูดคนบอกให้ฆ่ามันเสีย คนก็ฆ่ามัน 

ข้อที่ 4 สัตว์มันก็ตายเพราะถูกฆ่ามันก็ทุกข์โทมนัสบาปเข้าไปอีก ข้อที่ 5 ยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังเอาเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยคน ซึ่งไม่ใช่ที่บอกว่าระบุฆ่าเพื่อคนนั้นคนนี้ แต่ระบุว่าสัตว์นั้นถูกคนฆ่า ไม่ใช่สัตว์ที่สัตว์มันกินแล้วเหลือเดน อย่างนั้นเป็นปวัตตมังสะ นี่โดยตรงเลยไม่ต้องไปเลี่ยงบาลี ไม่ใช่ระบุชื่อนั้นชื่อนี้คนนั้นกินไม่ได้นอกนั้นกินได้หมดเลยจ้า นี่มันขี้โกงเบี้ยวบาลีเพื่อจะกินเนื้อสัตว์ คนที่แปลบาลีอย่างนี้ คนนี้ที่แปลคนแรกบาปตกนรก คนที่เอาไปขยายผลจากคำสอนผิดอีก 

ยิ่งเอาไปถวายพระพุทธเจ้า ถวายสาวกพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธเจ้าและสาวกยินดีในการกินเนื้อสัตว์ ว่าเป็นของควรกินนะจ๊ะ จะบ้าหรือ บอกว่าเนื้อสัตว์เป็นของควรกินที่จริงมันเป็น อกัปปิยะ ไม่ใช่ของควรกิน ก็มีคำกำกับอยู่แล้ว ก็ไม่แตกฉานในคำสอนของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นจึงมีความติดยึดความหลงความโง่ ความไม่รู้จริงๆ เขาก็หาทางแย้งหาทางเถียงไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 18:54:49 )

การงดเว้นอาหารที่ชอบ 

รายละเอียด

การงดเว้นอาหารที่ชอบ  คือ ทำให้ตัวเราเองเป็นเหตุปัจจัย  เราเลือกอาหารที่เราชอบได้เราก็กินอย่างอื่นแทน  อย่างที่ชอบอะไรก็แล้วแต่ สามารถกินอันอื่นแทนได้ก็ลองดู  อย่างนี้ก็ต้องกดข่ม  แต่ต้องระวังรู้ด้วยปัญญา เรากินเอาสารอาหารที่ใช้ในชีวิต

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่  2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 14:03:02 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:04:22 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:22:32 )

การจบชีวิตไปก่อนวัยอันควรของผู้บรรลุธรรมเพราะลืมนึกถึงความตายใช่หรือไม่

รายละเอียด

ตอบไม่ได้ อาตมาไม่รู้อันนี้ ไปเอาของคนอื่นของใครมาคิดทำไม แล้วคุณก็คิดก็คิดไม่ออก คำตอบก็ไม่น่าจะหาได้จากใคร อาตมาก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าจริงๆแล้วมันเป็นได้ทั้ง 1. ความประมาท ความไม่ประมาท ถ้าประมาทแน่นอนก็ต้องรับผลอย่างนั้นไป ก็ถูกต้อง แต่ไม่ได้ประมาทหรอก มันมีเหมือนกัน คือวิบากของคนนั้นต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาก็พูดให้ครบ 1. ประมาท 2. เป็นวิบาก ซึ่งห้ามอย่างไรมันก็ไม่อยู่ เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ วิบากของท่านแรงมาก จนกระทั่งท่านมีฤทธิ์ ถึงขั้นคนฆ่าท่านก็ฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ กี่ครั้งเขาก็ฆ่าท่านก็ถูกฆ่า จนสุดท้ายท่านก็ระลึกว่า ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ท่านก็เห็นในอนันตริยกรรมของท่านก็เลยยอมตาย เพื่อใช้หนี้บาป ต้องยอมตาย ท่านเอาชนะได้นะ แต่ไม่ได้ ต้องยอมแพ้ เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้ง อจินไตย ต้องค่อยๆศึกษาไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 19:28:24 )

การจองเวรจองกรรมของสัตว์เดรัจฉาน

รายละเอียด

เราเลิกกัน วิบากเกี่ยวกับสัตว์ จะลึกซึ้งจนกระทั่งจองเวรจองกรรมกัน เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่สัตว์มันไม่รู้ แต่มันมีสัญญา มันทำงาน มันจองเวรจองกรรมอะไรต่ออะไรต่างๆนานา สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนเป็นล้านๆๆเซลล์ มันจองเวรจองกรรมทั้งนั้น มันรักมันชัง มันผูกโกรธ ผูกรัก สัตว์ไปล่อให้มันรักมันก็รัก ไปทำให้มันชังมันก็ชัง

ผูกโกรธ ผูกรัก ผู้ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่ผูกโกรธ ผูกรัก อยู่กันอย่างอภัย อโหสิ ไม่ติดผูกพันกันต่อไป จึงเป็นเรื่องสุดสูงส่ง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นสัตว์ก็คือ เราก็รู้สัตว์ก็มีชีวิตของเขา ไปตามวิบาก วิบากของเขามีหนักมีเบามียากมีลำบากมีง่าย มันก็เป็นของของตน ของเขา กัมมัสโกมหิ ไม่มีใครมาทดแทนทำแทนเสแสร้งไปได้ เป็นของของตน จะลึกซึ้งว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตยซึ่งไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 29 อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 13:40:32 )

การจะกำจัดกิเลสได้เป็นฌานวิสัย ไม่ใช่เรื่องสามัญ

รายละเอียด

ความรู้ความจริงความหมายที่สำคัญอย่างนี้ จึงไม่ใช่เรื่องพูดเล่น เดาไม่ได้ ผู้ไม่มีภูมิไม่รู้ได้ การจะกำจัดกิเลสได้เป็นฌานวิสัย ไม่ใช่เรื่องสามัญ ผู้ไม่เข้าใจฌานวิสัยไม่ถูกก็ปฏิบัติฌานแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะไปปฏิบัติฌานแบบได้โลกียะเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:30:22 )

การจะปรินิพพาน ณ.จุดใดด้วยฐานจิตตรงไหนเป็นอจินไตย

รายละเอียด

เป็นอจินไตย การจะปรินิพพานด้วยจุดใดๆด้วยฐานจิตตรงไหนๆไม่ใช่เรื่องสามัญ พระอนุรุทธะก็ดูตามจิตพระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน พระอนุรุทธะตรวจได้ 

ฌาน รูปฌาน อรูปฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกับของเดียรถีย์ 

โลกียฌาน 1-4 ก็มีอารมณ์ฌานของโลกียะ แค่การหลับตากับลืมตาก็ต่างกันแล้ว 

ของหลับตาเป็น นิรมาณกาย ที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เป็นรูปเป็นนามแบบของเขา กายอย่างหนึ่งสัญญาอย่างหนึ่ง ต่างกันกับสัญญาของชาวโลกุตระ กายที่ได้ก็ต่างกัน สัญญาก็ต่างกัน ที่เป็นโลกุตระจะไม่เหมือนกับที่เป็นโลกียะแบบหลับตา 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กรกฎาคม 2564 ( 10:57:05 )

การจะปิดทองลูกนิมิต เป็นบาปทำลายศาสนาพุทธ

รายละเอียด

คือการปิดทองลูกนิมิตนี่มันเป็นกลยุทธ์ของวิธีหาตังค์ ของพระอาบัติ หรือพระนอกรีต ภิกษุของศาสนาพุทธนี่ มาสร้างลูกนิมิต แล้วก็มาทำเป็นลูกกลมๆ แล้วก็ให้คนเอาทองมาปิด ไม่ใช่เอาทองมาปิดเท่านั้นนะ หาวิธีมาให้เกิดการเอาเงินมาทำทาน บริจาคให้พระให้วัด เป็นวิธีโง่ๆ เป็นวิธีอวิชชา เป็นวิธีบาปของพระที่ไปทำอย่างนั้นกัน 

พระที่ให้มาปิดทองลูกนิมิตนี้บาปกินหัวทั้งนั้น อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ พูดความจริงแต่เขาฟังไม่เป็น เขาก็บอกว่าทำตามๆกันมา ก็ทำตามกันมาแล้วมันชั่วจะทำต่อไปทำไมเล่า มันบาป อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมาพูดถูกต้อง มันบาปจริงๆ ทำลายศาสนาพระพุทธเจ้าเสียไม่มีดี ไอ้นิมิตนี้มันไม่ใช่เป็นลูก ทำนิมิตที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ เป็นเครื่องหมายที่จะกำหนดเขตวัด เขตโบสถ์ ให้ภิกษุเข้าใจว่า เขตนั้นถึงเขตนี้ จุดนั้นถึงจุดนี้ ท่านเรียกว่าทำนิมิต    

เดี๋ยวนี้ก็เพี้ยน เอาภาษามาแปลงเป็นเรื่องหลอกชาวบ้านให้เอาเงินเอาทองมาบริจาค มันเป็นความชั่วเป็นความโง่ที่ทำแล้วก็บาปกินหัว กรรมเป็นอันทำ อาตมาไม่ได้พูดไปลงโทษเขา แต่มันเป็นกรรมวิบากของเขาที่มันทำบาปกรรม มันทำร้ายศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นมันเสื่อมไปจนกระทั่งผิดเพี้ยนที่ทำกันอยู่นั้น พากันบาปและไม่ใช่บาปคนเดียวด้วย ไปชวนกันบาป ศาสนาพุทธพังทลายเพราะคนที่เข้าใจผิด คนมิจฉาทิฏฐิพวกนี้ มันก็เสียหายหมดเลย 

อาตมาก็พูด พูดเป็นการเตือนสติเขา อาตมาไม่ได้ทำจริงทำจังอะไรหรอก พูดบ่อยๆก็ลูกนี้เป็นลูกนิมิต เรามีหินก้อนหนึ่งยกขึ้นสูง เทินเอาไว้ ไม้ร่มเขาไปจัดหินจัดดินจัดภูเขา อาตมาเห็นลูกหินอันนี้ก็เลยพูดขึ้นมา เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ควรพูดเพื่อจะอาศัยความหมายนี้ อธิบายสัจธรรม อย่างที่อธิบายนี้นำมา อาตมาพูดไปก็มีคนติดใจ มีคนมาถาม จะได้อธิบายอย่างที่ว่า มันเป็นวิธีการของอาตมาที่จะได้เอามาอธิบายสัจธรรม 

นี่ที่เห็นนี้ ที่ราชธานีอโศกจะเห็นรูปนี้ อาตมาก็เลยเอาตรงนี้เป็นเรื่องสำหรับอาศัยอธิบายเลย ให้เขาทาสีทองเลย นี่เขากำลังทำ นั่นแหละมันก็เชิญอยู่ตรงนั้น ใครมาเห็นก็สะดุดตาพวกเขานี้สะดุดเลยมองเห็น ภูเฮา ฮวมกันส่าง เขาเรียกภูเขาแต่เราจะเรียก ภูเฮา เขาจะทาสีพื้น 3 ชั้น ชั้นแรกชั้นที่ 1. ลงสีเหลือง ชั้นที่ 2. ลงสีขาว 3. พ่นสีทอง สามชั้น ลูกนิมิตลูกเดียวจ่ายไปหลายตังค์ จ่ายเองไม่ได้ไปเรียกร้องประชาชนให้มาจ่าย ไม่ได้ไปหว่านล้อมหลอกเอาเงินเอาทองจากประชาชน ไม่ได้เป็นเครื่องหมายหลอกประชาชน แต่ทำต้องลงทุนเองเพื่อจะได้อธิบายสัจธรรม คนชาวพุทธนี่แหละให้รู้ว่าอย่าไปถูกหลอก ล้วงตับกินไส้ล้วงกระเป๋าเรา โง่ทำลายศาสนาอีกต่างหาก ได้บาปกันไปอีกต่างหาก ขออภัยนะนี่พูดความจริง อย่าไปหลงพระโง่ๆ ขี้หลอก 

คือบางทีไม่ได้เจตนาจะโง่หรอก แต่มันโง่จริงๆ แล้วก็เอาตามๆกันมา โง่ตามๆกันมา ถ่ายทอดความโง่ตามกันมา ทำไมโง่ไม่เสร็จสักที  ก็ทำเป็นนิมิตหมายทำเป็นเครื่องหมายให้รู้ เพราะอาตมาไม่ได้โง่ อาตมาไม่ได้ทำผิดนะ แต่มาทำเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเขาทำผิดอย่างนี้ อย่างนี้นี่เป็นลักษณะทำให้รู้ว่าคนมาทำอย่างนี้ เป็นจุดหมายเครื่องหมายเพื่อจะได้อธิบายว่าอย่างนี้แหละทำโง่ๆ 

ก็จะให้คนไปโง่ปิดต่อทำไมล่ะ ก็คนมันทำแบบนี้มันโง่ แต่อาตมามันเหนือความโง่ ไม่ได้โง่ แต่ทำเพื่อจะสอนคนโง่ ใช่ เพราะอาตมาเหนือความโง่ ไม่ได้โง่ อาตมาทำสอน อาตมาทำได้ อาตมาไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ทำชั่ว ไม่ได้ทำโง่ จะบ้าหรือ คิดอย่างนั้นได้อย่างไร ใช่ เลิกคนหนึ่ง คนอื่นเขาจะได้เลิกด้วย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์ วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 12:49:12 )

การจะยอมหรือยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน

รายละเอียด

มีส่วน คุณพูดก็ยังข้าม ความเป็นโพธิสัตว์ ป็นพระอรหันต์แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน อันนั้นต่างหากเวลาอีกนับตั้งเท่าไหร่ เมื่อถึงท่านเป็นพระพุทธเจ้าและทุกพระองค์ อาตมาก็เหมือนกัน ปาง 7 ​ไล่ไปปาง 8 ต้องเข็นไปอีก ถ้าอาตมาเป็นปาง 7 แล้วจะขึ้นปาง 8 หรือไม่ก็ตาม หากอาตมาแน่ใจว่าศาสนาพุทธนี้จะไปได้ถึง 5,000 ปี อาตมาก็จะไม่เกิดมาอีก ไม่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบศาสนาพระสมณโคดมแล้วเพราะมันถึงแล้ว แต่นี่มันยังไม่ถึง 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:24:14 )

การจะเกิดในแดนอาริยะ

รายละเอียด

จะมาเกิดในแดนอาริยะ ศิวิไลซ์อยู่ไหนคุณก็จะต้องมีวาสนาบารมีพอ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นกามนิต ที่แม้ว่า อาตมาบอกเราเป็นโพธิสัตว์เราเป็นผู้รู้คุณก็จะแลบลิ้นใส่ ตีทิ้ง แต่ถ้าคนที่มีภูมิก็จะรับฟัง ก็ได้เข้าไปซึมเข้าไปบ้าง แต่ช้า แต่ถ้าบอกว่าน่าสนใจ ที่จริงก็พูดดีเหมือนกันเนาะ จะลดอคติ ลดชังอาตมา แม้ไม่ดูดก็ลดผลักก็ยังดี เมื่อเหตุปัจจัยมากพอ จนกระทั่งสุดท้ายเข้าใจ จนมีอาริยธรรมอาริยภูมิในจิตมากพอ จนกว่าจะยอมรับเห็นไหมว่าไม่ใช่ง่ายๆกว่าสัมภเวสีจะตื่นกว่าจะมีภูมิที่รับได้

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 พ่อครูบวชมาย่าง 50 ปี มีผลอะไร 1 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 15:33:15 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:05:37 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:23:06 )

การจะให้สมณะโพธิรักษ์รับรองคุณธรรมให้

รายละเอียด

คือถ้าอาตมาไปรับรองให้เลย  Approve ให้เลยว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์  แต่พวกคุณไม่เห็นด้วยร่วมเลย  คนอย่างนี้หรือเป็นอรหันต์ ไม่เชื่อไม่เห็นจะเข้าท่าเลย  อาตมาก็แหม หนักนะ รับรองแบกคนนี้คนเดียวเลย  ให้เพื่อนแบกช่วยดีกว่า อาตมาถึงไม่ได้ไปรับรองง่าย ๆ  ต้องให้คนอื่นๆ  เห็นร่วมด้วยกัน  ถ้าไปบอกคนเดียว แบกคนเดียวก็ตายยิ่งคนนั้นมีอะไรหยาบๆ  อยู่ไม่ลงรอย เป็นคนสุภาพเรียบทั้งร้อย ถ้าจะเรียบแค่สองสามแต่ก็กิเลสหมด  แต่มีพฤติกรรมกระโดก กระเดก อย่างกายกรรม  วาจา   หรือแม้แต่จิต บางที่ จิตเขาก็คะนอง  แสดงออกจิตคะนอง  ซึ่งในยุคพระพุทธเจ้า มีคนที่หยาบ คนไม่เชื่อว่าเป็น พระอรหันต์ ต้องให้พระพุทธเจ้ารับรอง  ซึ่งจะเชื่อก็มีอย่างนี้เป็นต้น  มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเป็น เก่งจริงๆ  ได้ง่ายๆ  การรับรองเหล่านี้จึงต้องระวังอย่างยิ่ง มันไม่ใช่ของเล่น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 01 ธันวาคม 2562 ( 14:36:36 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:08:09 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:23:46 )

การจัดการกับจิต จิตเป็นประธาน

รายละเอียด

แต่ละคนก็เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ทั้งนั้นแหละ  จะรู้สึกอย่างไร  และจะปฏิบัติอย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรจะปฏิบัติ  มันก็จะมีการปฏิบัติตามที่ตัวเองรู้สึก และก็จัดการปฏิบัติออกมาตั้งแต่จิตจนถึงวาจา  จนถึงกายทั้งนั้น เพราะจิตเป็นประธาน ต้องปฏิบัติได้เรียนรู้จิต  จัดการกับจิตจนกระทั่งสามารถที่จะมีอำนาจ  ยังจิตเป็นในอำนาจได้  วสวัตตีหมายความว่าเราสามารถที่จะควบคุมจิตใจเราได้ ให้จิตของเราประพฤติ  กระทำ  หรือแม้แต่จะให้ออกมาทางกาย  ทางวาจา ก็คือจิตเป็นตัวประธานทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  25  พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 19:42:46 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:40 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:24:50 )

การจัดการที่เป็นอภิสังขาร

รายละเอียด

ก็มารู้จักการจัดการเป็นอภิสังขาร จัดการเรียนรู้สังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีเหตุแห่งทุกข์ ก็เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ เรียนรู้วิธี จะทำให้เหตุแห่งทุกข์มันดับ แล้วก็ทำได้จนดับ ก็รู้แจ้ง เพราะกิเลสมันดับก็รู้แจ้งตัวจิต ตัววิญญาณ ตัวธาตุรู้ที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ให้รู้ความจริงเลยเพราะหมดความมืดมน หมดความหม่นหมอง หมดไม่มีอะไรมาบัง มีแต่ความทะลุทะลวง รู้หมดเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนมีแก้วไพฑูรย์ มองดูเห็นมีอะไรชัดเจนในนั้นหมดเลย จิตวิญญาณคือแก้วไพฑูรย์ที่ใส แล้วมีอะไรผสมผสานอยู่ข้างใน มีไส้สีแดงสีเหลืองสีอะไรต่างๆอยู่ข้างในก็รู้จัก ก็ถอดไส้ออกเหลือแต่แก้วไพฑูรย์ใสได้ เพราะรู้จักเห็นแจ้งหมดเลย ชัดเจนหมดเลย ก็เอามาเทียบเป็นภาษา เป็นพยัญชนะ เป็นรูปธรรมให้รู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:08:31 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 10

รายละเอียด

10) ผู้มี“ปัญญา”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆก็จะมี“วิธี”ที่จะทำ มี“เจตนา” มี“อุดมคติ” มี“เชิงชั้นของการคิด” มาใช้“จัดการ”ตน ที่จะอยู่ใน“เศรษฐกิจ”ที่ตนก็ร่วมทำ“เศรษฐกิจ”นั้นให้เป็นไปตาม“อุดมคติ-เจตนา”ที่ตนเองเห็นควร เห็นว่าเหมาะสม สำเร็จ“จบกิจ”ที่เป็น“เศรษฐกิจ”นั้นๆ“ยุติ”ได้แน่นอน

ดังที่มีคนจริงที่ได้รับรู้“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“ปัญญา”มาจากพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง หรือจากสัตตบุรุษผู้สัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า แล้วนำมาปฏิบัติบรรลุผลได้ตาม และประกาศให้“คนอื่นๆในโลก”รู้ตามอีกที ในสังคมโลกก็สามารถมีคนผู้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จ“จบกิจ”กันจริงพิสูจน์ได้แท้ มีปรากฏการณ์ยืนยันอยู่ แม้ในโลกปัจจุบัน ยุคพ.ศ 2500 นี้เป็นวิทยาศาสตร์แท้ ไม่ใช่แแค่ตรรกะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:16:48 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 11

รายละเอียด

11) ซึ่งถ้าคำนึงถึง“วิธีทำ”ก็ดี “เจตนา”ก็ดี “อุดมคติ”ก็ดี “เชิงชั้นของการคิด”ก็ดี โดยเฉพาะจับเอา“ความรู้สึกหรือ“อารมณ์(เวทนา)”ของคนที่มีต่อความเป็น“เศรษฐกิจ”นี้แหละ มาตรวจละเอียดตามความมีจริงเป็นจริงกันแล้ว ก็จะได้“ค่าของเศรษฐกิจ”  ที่เป็น“คุณธรรม”แค่แบบปุถุชนคน“โลกียะ”เท่านั้น อันยังมีแต่ความรู้“เฉโก”อย่างเดียวที่วัด“ค่าความเจริญเศรษฐกิจ”กันตรงที่เอา“ลาภยศสรรเสริญสุข” เป็นเครื่องชี้บ่งว่า “เศรษฐกิจดี” นี่คือ เจริญแบบ“โลกียะ”

ซึ่งชาวโลกียะนับถือกันว่า “เศรษฐกิจดี”ตาม“ทฤษฎีหรือทิฏฐิ”ที่ชาวโลกโลกียะทั่วไปของปุถุชนเทฺวนิยมเขายึดถือกัน ซึ่งล้วนใช้   “ค่าของความเจริญแบบมิลักขชน” คนยังที่ยังจมงมงายอยู่ใน “โลกียะ”เป็นเครื่องวัดอยู่ทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:21:33 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 12

รายละเอียด

12) แต่นั่นไม่ใช่ผู้เจริญแบบ“โลกุตระ”ที่นับเป็น“อาริยกะ(ผู้เจริญ)” คือ ผู้มีจิตเป็น“อาริยคุณ”ที่รับประกันได้ว่า “จิต“เป็น“ผู้เข้ากระแสโลกุตระ(โสตาปันนะ)” เป็น“ผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา(อวินิปาตธรรม)  เป็นผู้เที่ยงแล้วในเส้นทางโลกุตระ(นิยตะ) เป็นผู้จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า(สัมโพธิปรายนะ) 

สังคมของผู้เข้าสู่โลกุตตระนั้นจะไม่ขัดแตก ไม่ขัดแยกกัน แต่จะขัดแย้งกันอย่างพอเหมาะจะขัดเกลากัน เราจะรู้ว่าเราควรเป็นคนที่ขัดเกลาตนเอง คนอื่นเขาสูงกว่า ก็จะมีความเป็น ธูตะ มีการปฏิบัติที่สูงขึ้นเลื่อนฐานขึ้นไป มีธรรมะที่สูงขึ้นตามลำดับเรียกว่า ธูตะ เอาหลักเกณฑ์มาวัด มาจับ มาอ่าน จะเป็นองค์ธรรมที่เห็นว่าคนนี้เจริญขึ้น จะมีดวงตาจะมีเหตุผลจะมีหลักฐานจะมีความจริงที่สามารถที่จะยืนยันความจริงนี้ได้ตามลักษณะของอริยบุคคลแต่ละขั้นแต่ละระดับแต่ละคน เป็นฐานเจริญตาม ฐานานุฐานะ ไปตามลำดับ 

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องพระโสดาบันที่มีคุณลักษณะ 4 ขั้นตามที่ว่าไว้เบื้องต้น ตามพระไตรปิฎก เล่ม 19 ข้อ 1574 จึงจะเป็นผู้อยู่กับสังคมที่มี“เศรษฐกิจ”แม้มันจะอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็มี“ปัญญา”ที่จะอยู่กับสภาพนั้นๆชนิดที่“ไม่ทุกข์-ไม่เดือดร้อน-ไม่ตกนรก”ตามฐานานุฐานะของความเป็นอาริยบุคคลแต่ละคนนั้นๆ ซึ่งคนผู้“จิตยังไม่มีอาริยคุณ”เป็น“จิตเข้ากระแสโลกุตระ(โสตาปันนะ)”นั้น ยังรับประกันไม่ได้ว่า จะ“เที่ยงแท้(นิยตะ)”ต่อการไม่ตกต่ำไปสู่นรกเด็ดขาด แม้จะเป็น“คนร่ำรวยล้นฟ้า”ปานใด ก็ไม่พ้นตกนรกไปได้หรอก!

เพราะนรกนั้นคือแดนของ“อาริยกะ(ผู้เจริญ)”ที่มี“ปัญญา” แต่สวรรค์นั้นคือ แดนของ“มิลักขะ(ผู้ยังเถื่อนถ่อย)” ที่ยังมีแต่“เฉโก” ยังพ้น“ความโง่(อวิชชา)”ไม่ได้     ถ้าคนผู้ใด“จิต”ไม่เจริญ“เข้ากระแสโสดาบัน”ขึ้นไป ก็แน่นอนว่า คนผู้นั้นยังจะต้องตกต่ำ คือ ต้อง“ตกนรก”อยู่ ยังจะหนักหน้าไปกับ“ทุกข์ร้าย” คนผู้นี้ยังไม่“พ้นนรก”ไปได้ แม้จะเป็นคน“ร่ำรวย” มีอำนาจล้นฟ้าเป็น“เจ้าโลก”ก็ตาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:23:30 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 13

รายละเอียด

13) จนกว่า“จิต”ของคนผู้ใด จะมี“การเกิด(โยนิ)เข้ากระแสโลกุตระ” จึงจะรับประกันคนผู้นี้ได้ “ไม่ว่าจะตาย-จะเกิดอีกกี่ชาติ” คนผู้นี้ก็ไม่ตกต่ำ นั่นคือ“ไม่ตกนรก”และ“ไม่ทำบาป”อีกแล้ว อย่าง“เที่ยงแท้(นิยตะ)”ไปตามลำดับ เพราะ“จิต”มี“อาริยคุณ”ที่เป็น“โลกุตระ”แท้ได้จริง เที่ยงแท้ ยั่งยืน ตามฐานานุฐานะแห่งความเป็น“อาริยบุคคล”นั้นๆ ตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป 

จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คนจะเข้าใจลำดับโพธิสัตว์ อาตมาไล่เรียงลำดับโพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีโพธิไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่ใช่สัตว์ที่ตั้งใจจะเป็นโพธิสัตว์ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้แต่ตั้งใจแต่ไม่รู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่ได้ดูรายละเอียดของจิตเจตสิกเลยคนนั้นก็ไม่ได้เรื่อง ต้องรู้อาการของจิตละเอียดขึ้นไปมีรูปนามมีนามรูป มีจิตที่รู้สภาวะธรรม อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของสภาวะธรรมจริงๆจึงจะเป็นผู้ที่สูงขึ้น พ้นจากความเป็น มิลักขชน ไปสู่ความเป็น อาริยกชน

ความเป็น มิลักขชน ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเถื่อนคนป่าอย่างทางแอฟริกาใช้หอกใช้หลาวใช้แหลนอย่างนั้นไม่ใช่ แต่อาจจะเป็นคนที่สร้างเครื่องเทคโนโลยีสร้างระเบิดปรมาณูได้อย่างเก่งเหมือนอย่างอเมริกาอย่างนี้เป็นต้น แต่คุณธรรมจริงๆเขายังเป็น มิลักขชน อยู่ คุณธรรมเขายังไม่เจริญ ยังไม่กระดิกเลยในศีลข้อที่ 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:26:55 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 8

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความรู้ในเรื่องแม้แค่เศรษฐกิจ  

8) นอกจาก“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์และสังคมไม่“สงบสุข”กันเท่านั้น ถ้า“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์ก็ดี สังคมก็ดี “สงบอบอุ่น”กันจริงละก็ ท่านก็จัดการกับเรื่องขี้ปะติ๋วแค่“เศรษฐกิจ”นี้ ไม่ให้มันต้องเป็นภาระหนักยุ่งยากให้แก่มนุษย์ที่ต้องสรรหา“วิธี” ตาม“เจตนา” ตามที่มี“อุดมคติ” ตามที่มี“เชิงคิด”ของมนุษย์นำมาใช้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอย่างไม่เคย “จบกิจ”กันลงได้นี้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกันแล้วๆเล่าๆให้แก่คนในโลก “เศรษฐกิจ”ไม่“จบกิจ”เป็นที่“ยุติ”ในมนุษย์ในสังคมในประเทศกันดอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:10:00 )

การจัดการเศรษฐกิจแบบพุทธ ข้อ 9

รายละเอียด

9) ที่แท้นั้น “พระเจ้า”หรือ“พระศาสดา”ของศาสนาเทฺวนิยมเองนั่นเองไม่มี“ปัญญา”ที่จะให้“คน”หรือมนุษย์จัดการ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันที่“จิตตนเอง” และของสังคมเสร็จสำเร็จ“จบกิจ”ของแต่ละคนลงจน“พ้นทุกข์”ได้ซึ่งไม่ขึ้นกับ“ความรวย”หรือ“ความจน”เป็นสำคัญเลย แม้จะ“จน” ด้วยซ้ำ แต่คนผู้มี“ปัญญา”ที่เป็น“อาริยชน”โดยเฉพาะเป็น“อรหันต์”หลายๆคนเป็นหลักในสังคมนั้นๆ ก็จะอยู่กับ“ความไม่เที่ยงของเศรษฐกิจ”ได้ดียิ่ง ไม่มีอรหันต์รวยในสังคมหรอก 

เพราะมี“ปัญญา”และมี“จิตวิญญาณ”ที่เป็น“คนชั้นหนึ่ง-คนชั้นเอก(Classic)”ตาม“วรรณะ 9”ของพระพุทธเจ้าได้จริงเจริญถึงขั้นเกิดหมู่กลุ่มชุมชนสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นในประเทศนั้นๆยืนยันความจริงนี้ ซึ่งในโลกยุคปัจจุบันนี้มีชุมชนสังคม“สาราณียธรรม 6”และมีคน “วรรณะ 9”เกิดขึ้นได้จริงๆนะ! เพราะมี“ปัญญา”โลกุตระของพระพุทธเจ้า 

“เศรษฐกิจ”จึงเป็น“ปัญหา”ให้คนที่ไม่มี“ปัญญา”ต้องแก้ให้แก่ตน ให้แก่สังคมของตน แก่ประเทศของตนกันอยู่ไม่มี“จบกิจ”ลงได้อยู่ยั่งยืนตลอดกาล ดังที่โลกหรือสังคมหรือคนที่ไม่มี“ปัญญา”ก็แก้ปัญหากันไม่จบ ถ้าสังคมหรือประเทศใดไม่มีคนมี“ปัญญา” มีกันแต่“เฉโก”ตามที่ชาวเทฺวนิยมโลกียะมีกันเท่านั้น ก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “จิต เจตสิก รูป นิพพาน” มันก็ไม่มีวันจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ถึงขั้น“จบกิจ”อยู่กันอย่าง“สงบสุข”ได้แน่ๆ

จะเป็นได้กัน ก็แค่“เชื่อมั่น”กันเหลือเกินว่า ทำให้“คนรวย”กันขึ้นมาในสังคมให้มากๆนั่นแหละ จะเป็น“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเด็ดขาด  มันก็ยิ่ง“ขัดแย้ง-สวนทาง”กันหนักหน้าสาหัสสากรรจ์กันไปใหญ่ ซึ่งมัน“เป็นไปไม่ได้เลย”ตามแนวคิด-ความเชื่อมั่นที่ว่านี้

  ถ้าคนในกลุ่มของคุณมีความเที่ยงแท้ เช่นมี 100 ล้านคนแล้วคนทั้งหมดรวยหมดเลย แล้วคุณจะรักษาคนทั้งหมดให้รวยร้อยล้านอยู่เที่ยงนิรันดรได้ไหม ไม่ได้หรอก อยู่ในสังคมไม่มีทางเป็นไปได้เลย อาจจะได้ชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งตาม Concept ของคุณจะต้องรวยนะคนจนไม่ได้ แต่ถ้าคนมี Concept มีความคิดองค์รวมว่า คนมาจนแม้ที่สุดถึงขั้นเป็น 0 อย่างพวกเรา ไม่สงสัยเลยว่าถ้าหากพวกเราจะไม่มีเงินเลยสักบาทคุณอยู่ในนี้ได้ไหม… ได้ เป็นสุขดีไหม สงบ อิ่มเอม เกษมใส จะทำการช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ คุณเอาอะไรมาตอบ ... เอาความจริงมาตอบ ความจริงคืออะไรเชิญคนทั้งโลกมาพิสูจน์ Axiom เป็นความจริงสุดยอดแห่งการพิสูจน์แล้วไม่ต้องพิสูจน์ไปอีกเกินคนนี้แล้วนี่คือ Axiom มาเลยมาตรวจสอบพิสูจน์ความจริงอันนี้ได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนดีต้องเมตตาคนเลวและต้องไปด้วยกันได้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:13:48 )

การจัดงานศพแบบบุญนิยม

รายละเอียด

ก็พูดมาเองตอบเอง ก็สบาย ได้ประโยชน์พอเพียงเรียบง่ายประหยัด ก็ขอขยายความนิดนึงว่า คนตายแล้ว แล้วยังติดในพิธีกรรม ในอะไร มันเป็นเรื่องของโลกโลกีย์ทั้งนั้น เป็นเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สักการะ ความยกย่อง เอาเท่ เอาเก๋ เอายิ่งใหญ่ เอาแบบโลกีย์ทั้งนั้น ถ้าเข้าใจแล้ว โดยหมู่อย่างชาวอโศกเราเป็นผู้ที่เข้าใจแล้วไม่ได้ไปติดยึด ตายแล้ว ร่างกายก็เป็นซากศพ เมื่อร่างกายเป็นซากศพ มันก็คืออุตุนิยาม แม้แต่พีชะ มันก็ไม่เป็นแล้ว 

นอกจากคุณจะไปหลงผิด ตายแล้วก็ยังเอาศพมาใส่ในโลงแก้วเอาไว้  เล็บก็ยาวออก ผมก็ยาวออก ใช่  มันมีพลังงานแล้วไปติดยึดไม่ปล่อยอัตตาตัวเอง ตายไม่รู้ตาย เป็นไม่รู้เป็น ตายแล้วก็ไม่รู้จักทิ้งร่าง เข้าใจผิดมีมิจฉาทิฏฐิว่า ติดยึดในตัวกูของกู อวิชชา ก็เลยยิ่งเคารพศพที่ไม่เน่า แห้งลงแห้งลง จริง ตามเหตุปัจจัยมันสังเคราะห์ในตัว มันน้อยลงๆ มันก็เหี่ยวลงไป มันก็ไม่เน่าเพราะมันสังเคราะห์ แต่มันก็เจริญออกไปได้ เล็บก็ยาวออก ผมก็ยาวออก เนื้อหนังมันก็ค่อยๆทรุดเสื่อม มันยังไม่เน่าไปทีเดียว แต่มันค่อยๆแห้งมันก็ไม่เป็นไร มันก็เป็นไปตามสัจจะ ที่วัตถุมันสังเคราะห์กัน มันเป็นเรื่องของอุตุแล้ว มีพลังงานเหลือนิดหน่อย พลังงานก็ไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นคนไม่เข้าใจไปกราบเคารพบูชาว่า ตายแล้วไม่เน่านี้สุดยอด นั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิจะบอกให้ 

เมื่อตายจริงแล้ว ก็ไปฝังไปเผากัน ข้อสำคัญว่า ตายจริงหรือเปล่า ถ้าตายจริงแล้วก็เอาไปฝังไปเผากัน เท่านั้นเอง ซึ่งทางการแพทย์ หรือคนไม่ได้เก่งกาจอะไรก็สามารถที่จะรู้ได้ พอรู้ได้เพราะฉะนั้นการจัดการศพทุกวันนี้มันเป็นพิธีกรรม ทั้งอัตตามานะ   ยศชั้น สรรเสริญ ทั้งการติดยึดด้วยความไม่รู้ เป็นเราเป็นของเรา เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วจิตวิญญาณมันจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ตายแล้วไม่ไปผุดไปเกิด อะไรก็แล้วแต่ ว่าไป อาตมาขอเอาไว้ตรงนี้ก่อน ไม่ขออธิบายยาวความ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศกขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2566 ( 13:18:12 )

การจัดตั้งพรรคสัมมาธิปไตยจะเป็นการตัดคะแนนสนับสนุนลุงตู่ให้อยู่ต่อหรือไม่

รายละเอียด

 ก็เราเองมันคนกลุ่มน้อย คนยังไม่ค่อยจะเข้าใจ เราก็จำเป็นจะต้องบอกกล่าว จะใช้ศัพท์โลกๆเขาบอกว่าเป็นเรื่องบอกบุญกันหน่อย ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ได้ครบแล้วมันก็ทำไปทำไม ทำแล้วก็ไม่สำเร็จ ทำแล้วสูญเปล่า เมื่อเราไม่ได้เราก็เลยยอมจำนน มันไม่สำเร็จมันก็สูญเปล่าเฉยๆ ทำแล้วก็เพื่อประโยชน์ 

เพราะว่าเรื่องพวกนี้ แม้แต่แค่จะหาสมาชิกมันก็ไม่ค่อยง่ายแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่คิดว่า มันคงจะต้องแบกต้องหามกันไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ต้องอุตสาหะ วิริยะ กันหนักหนาพอสมควรทีเดียว ก็ทำดู ไปไม่รอดจริงๆก็เลิก ก็ลองทำดู ไปได้ก็เป็นประโยชน์ คิดว่าอย่างนั้นนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566  ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2566 ( 12:14:23 )

การจับได้อาการกิเลสในตน

รายละเอียด

เป็นกายกลิ คือตัวโทษภัย ตัวเลวจับออกไปได้มันเป็นนามธรรมไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง แต่คนรู้อาการ ลิงค นิมิตตามที่สมณะโพธิรักษ์อธิบายอุเทส คุณจับอ่านออกได้เอง กำหนดหมายนิมิตเอง อาการโกรธกับโลภต่างกันนะ มีลิงคะ อาการทุกข์กับสุขต่างกันนะ โลภ โกรธ ก็เป็นคนละตระกูล

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:08:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:23 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:25:52 )

การจำจรณะ 15 วิชชา 8 แต่ละข้อ

รายละเอียด

ทวนอีกที พยายามจำจรณะ 15 วิชชา 8 พยายามจำให้ได้ แต่ละข้อๆ ศีล แบ่งเป็น ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ถ้าไปจำลุยเลยนะ 15 กับ 8 รวมแล้วเละเลย ไม่เรียงจะจำยาก หากจัดหมวดหมู่แล้วเข้าใจด้วยจะจำง่าย ศีล เป็นข้อกำหนดตั้งต้น หากปฏิบัติศีลข้อ 1 ก็ต้องปฏิบัติด้วย อปัณณกธรรม 3 แล้วเกิด ศรัทธา หิริ โอตัปปะ หิริโอตตัปปะพหูสูต  วิริยะ  สติ  ปัญญา ในสัทธรรม 7 มี วิริยะ สติ ปัญญา แต่ไม่มีสมาธิ ต่างจาก อินทรีย์ 5 คำว่าหิริกับโอตตัปปะ มันละอายต่อสิ่งที่จะละเมิด มันไม่ได้ศึกษาแล้วยังหลงผิดไปยินดี แย่งลาภยศสรรเสริญสุข ยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ยินดีแล้วเอาไปโชว์อวดเบ่งกันใน ลาภยศสรรเสริญ มันนึกว่าเจริญนึกว่าดี แต่เมื่อมารู้สึกตัวแล้ว หิริ ละอาย ใครเคยเป็นไหม แต่ก่อนเราไม่ละอายตอนนี้รู้สึกละอายเราไปทำแบบคนโลกีย์ๆ จะบอกว่าโลกุตระเป็นเชิงข่ม เหมือนดูถูกโลกีย์ มันก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่ความจริงมันเป็นสัจธรรม เราก็ไม่รู้อวิชชา ก็ไปตกหลงอยู่ในสภาพที่ต้องไปศรัทธายินดี สะสม ชื่นใจ สั่งสมไปชาติแล้วชาติเล่า เราไม่เคยได้ลดละ ใช่ไหม จะเป็นอย่างนั้นมาทุกคนกว่าจะสำนึกว่านี่เราแย่งมาเท่าไหร่เราไปเสวยเสพมาเท่าไหร่ เรานึกว่าน่าได้  น่ามี  น่าเป็น ได้มาก็ชื่นใจมาเท่าไหร่สะดุดใจ ใครจะสะดุดตรงไหนในมิติใดบ้าง ก็ชัดเจน ไม่สงสัย ธรรมดาธรรมชาติมันก็มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ธรรมดาธรรมชาติมันก็มีลาภยศสรรเสริญสุขโลกีย์ มันก็มีเป็นตามสามัญ ถ้าเราเอง เราเป็นผู้ทำงานสร้างสรร ผลมันก็เกิดเป็นลาภ ลาภปฏิลาโภ เป็นสิ่งที่ได้มาเป็นลาภที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา มันก็เกิดเมื่อขยันสร้างด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ไปทุจริตมันก็เกิด นี่เราปลูกอินทผาลัม ก็ได้ลูก เขาบอกรุ่นแรกจะฝาดหน่อย ปีต่อไปจะโตและหวานผู้ที่ทำอะไรออกมามันก็มีผลได้เป็น ลาภธัมมิกา เราก็รู้ว่ามันได้มากมันได้ดีมีคุณสมบัติดีอะไรก็แล้วแต่ มีทั้งปริมาณและคุณค่ามันดีก็มุทิตาจิต มันไม่ดีมันบกพร่องมันไม่เจริญทั้งคุณภาพและปริมาณ เราก็แก้ไขปรับปรุงให้มันดีทั้งคุณภาพและปริมาณเพราะเป็นสิ่งที่ควรสร้างควรเป็น เราก็ทำไปก็ไม่ต้องฟูใจ ถ้าไม่มีอุปกิเลส ยินดีติดยึด หากไม่ได้สิ่งเหล่านี้แล้วก็ทุกข์ มันก็มีแต่จิตใจที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ขนาดเราเรียนมามันก็ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ต้องการ เราทำลาภธัมมิกา ทำแล้วเอาเข้าส่วนกลาง เรายังมีจิตเป็นเราเป็นของเรา ยังมีอุปกิเลสต่างๆให้เราได้ศึกษาอย่างนี้เป็นต้นในหมู่เราชาวอโศกอย่างหยาบที่ไปแย่งชิงอย่างทุจริตไม่ได้ทำแล้วไมได้แย่งชิงกับโลก แต่ก่อนเราไม่พอ ได้ท่าก็จะมีช่องใช้แทคติกนิดหน่อยได้เพิ่มใช้ความเฉลียวฉลาดแทกติกซับซ้อนได้เพิ่มแต่ที่จริงหยาบขึ้นนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว จนกระทั่งฐาน 0 ไม่มีก็พอ เพราะเราอยู่กับส่วนกลาง เราได้มาก็เอาเข้าส่วนกลางมีน้อยก็เอาเข้าน้อย เราเจ็บป่วยอายุมากแล้วก้ไม่ไหว ก็เลี้ยงดูกันเผื่อแผ่กันช่วยเหลือกัน มันเป็นสังคมที่สุดยอด พูดแล้วพูดอีกไม่รู้กี่ที อาตมาภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติจนเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคี   อาตมาภูมิใจมันเป็นสิ่งที่ทำได้  ไม่มีประเทศไหนศาสนาไหนในโลกทำได้  พูดถึงขนาดนั้น จริง และที่อาตมาพาทำมาได้ มันไม่ใช่มีสังคมชุมชนหมู่บ้านหมู่เดียว อันเดียวคนอื่นไม่ได้ไม่ใช่มันก็มีอีกเยอะแยะในชุมชนชาวอโศกในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่สาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ให้แก่ส่วนกลาง เศรษฐศาสตร์ก็เป็นบุญนิยมรัฐศาสตร์ก็เป็นบุญนิยม บริหารกันง่ายๆ เมื่อไม่มีตัวกูของกูไม่มีความติดยึดในโลกกีย์มากแล้ว การบริหารปกครองดูแล ก็ง่ายวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) แค่นี้ก็พอแล้ว จนตายก็ไม่ต้องห่วง เป็นแต่เพียงว่าเราอย่าแย่ ไม่ทำอะไรเลยกินๆนอนๆหลบเลี่ยงก็จะซวย เรากลายเป็นตัวทากตัวปลิง ตัวเล็น ตัวหมัด ที่มาเกาะอยู่ดูดเลือด ถ้าเราอยู่ด้วย เพื่อนฝูงทำงาน ในญาณข้อ 5 โสดาบัน หมือนวัวแม่ลูกอ่อน เล็มหญ้าไปเลี้ยงลูกไป ปฏิบัติธรรมไปช่วยงานหมู่ไป

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 10:32:09 )

การจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟเป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ

รายละเอียด

การจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟเป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ แต่เดี๋ยวนี้มีเต็มไปหมดทุกวันถ้าวันไหนไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟถือว่าไม่ใช่ที่ของศาสนา อย่างอโศกนี่ มีพระพุทธรูปแล้วไม่มีที่จุดธูปเทียนบูชา เขาก็เลยเดินผ่านไปมาไม่กราบ เป็นพระองค์เบ้อเร่อ บางคนที่จะยกมือไหว้ น้อย นอกนั้นก็เดินดู ไม่มีธูปเทียนบูชาให้จุด ก็เลยบอกว่ามันเหมือนพระ เหมือนพระพุทธรูปแต่ถ้าไม่มีจุกกลางหัวแหลม นอกนั้นก็เหมือนนะ หูยาวๆ นั่งดูเหมือนพระพุทธรูปเหมือนกัน คนที่ถูกครอบงำความคิดแล้วก็เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว แทนที่ใครไปมาแม้แต่คนข้างนอกมาเป็นช่างอะไรในนี้ ไม่เคยกราบไม่เคยเคารพ พวกเราก็ไม่เคยกราบเคารพให้เขาเห็นด้วย พวกเรารู้ว่าเวลาที่ควรกราบ พวกทิเบตก็กราบจังกราบเกิน เกรงใจอยู่นะ แต่ไม่ปราบก็หลงงมงายกัน การไปหลงออกป่าพอทำเนา ดันผ่าเอาสิญจนยัญ อัคคียัญมาใช้เสริมไปอีก นี่ไม่ได้ออกป่านะ เป็นแต่เพียงว่าเมื่อหาผลไม้กินไม่ได้เลยสร้างเรือนไฟล่อคน ดึงคนข้างป่านั้นแหละ ผู้ใดผ่านมา เหมือนเป็นนักบวชผ่านมา ที่นี่ก็จะรับมาเลย แล้วมาทำพิธีบูชาไฟบูชาน้ำอะไรพวกนี้ไป ครบเครื่อง ทั้งหรูหรายิ่งใหญ่ เหมือนกับธรรมกายนี้ แล้วก็นั่งสวดมนต์กันเป็นล้านเที่ยว ปรุงแต่งกันทำไป แม้แต่เศษสะเก็ดของศาสนายังไม่มีเลย ได้แต่ดอกใบ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:10:07 )

การชนะใจตัวเองด้วยวิธีการข่มใจกับการทำปัญญา

รายละเอียด

ตอบยากเนาะ ตอบง่ายๆก็แล้วกันว่าปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ สักวันก็คงจะชนะใจตัวเอง การชนะใจตัวเองนี่ก็คือ แพ้ตัวเองซะให้ได้ หรือถ้าคุณเองบอกว่าการชนะใจตัวเองคือการเอาชนะกิเลสไม่ได้สักที ก็เลยไม่ใช่ว่ายอมแพ้กิเลส ยังงั้นก็ไม่ใช่เหมือนกัน ก็พากเพียรไป ที่พูดว่าไม่ชนะ คงหมายถึงไม่ชนะกิเลส รู้ว่าจะต้องเลิกละหลุดพ้นไม่เป็นทาสมันให้ได้แต่ไม่ชนะสักที ..ก็ขอเอาใจช่วย พากเพียรไปมีวิธีด้วยวิธีการ ข่มใจ กับการทำปัญญา ที่คุณไปแพ้ไปเสียถ้าคุณไปแพ้อะไรมัน มันชนะคุณมันคืออะไร มันคือกาม หรือมันคือ อัตตา จะกามก็ตาม จะอัตตาก็ตาม มันเป็นเรื่องไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่ นิจจัง ไม่ใช่อัตตา มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันก็เป็นตัวทุกข์ พิจารณาอย่างนี้ให้จริงเลยว่ามันไม่อยู่กับเราตลอดเวลาหรอก มันมาเป็นบางเวลามันไม่เที่ยงหรอก จริงๆแล้วมันหายไปได้ มันลดไปได้ คุณลดลงไปได้บ้างมั้ยล่ะ.. นั่นแหละมันไม่ใช่ตัวตนส่วนหนึ่งแล้ว ลดได้อีกๆ นั่นคือมันไม่ใช่ตัวตนจริง จนกระทั่งมีสักครั้งไหมว่า มันก็เฉยๆนะ มันไม่ได้เป็นอะไร เหมือนเราไม่มีอะไร มันจิตว่างเปล่าๆ จะว่าชนะก็ไม่ใช่ จะไม่ชนะก็ไม่ใช่ มันกลางๆ นั่นแหละอ่านให้ดีๆ แล้วพยายามทำความเข้าใจว่าชนะด้วยปัญญาด้วยความรู้ เห็นความเป็นอนัตตาความไม่มีตัวตนของมัน มันใช้กลางๆ มันมีธาตุรู้ที่รู้อะไรก็รู้อันนั้นความจริงตามความเป็นจริง ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงผู้ชายก็เป็นผู้ชาย มันไม่มีที่จะต้องชอบใจ ดีใจ มันไม่สุขไม่ทุกข์ พยายามใช้พยัญชนะมาอธิบายสภาวะต่างๆ อธิบายประมาณนี้ก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 09:57:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:12:34 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:43:53 )

การชำระกิเลสเรียกว่าเกิดผลบุญ ไม่ใช่ว่าจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน!

รายละเอียด

กล่าวคือ ผู้ใดทำกรรมใด กรรมนั้นทำให้จิตเกิดบุญ ผู้นั้นมีผลบุญ ผลบุญคือ กิเลสถูกชำระ

จะเรียกว่าเกิดผลบุญหรือมีผลบุญก็ได้ แต่ไม่ใช่ได้อะไรที่เป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข 

ไม่มีทั้ง รูปทั้งนามใดๆเกิดต่อเลย จิตว่างเปล่าผลบุญนั้นคือ กิเลสเสื่อมถึงที่สุด ผลกิเลสาสวะสิ้นสูญ ไปจากจิต เท่านี้เท่านั้นคือบุญ แล้วก็จบกิจ-จบเรื่องของบุญ ผู้ปฏิบัติมีผลบุญสำเร็จเสร็จลงนั้น จากนั้นไม่มีอะไรเกิดต่ออีก ไม่มีภาวะใดเหลือต่อจากการปฏิบัติที่สำเร็จ การทำบุญมีผลนั้น ไม่ว่าวัตถุธรรมหรือนามธรรมใดๆจะอุปจยะ(เริ่มมีความเกิด)ต่อจากเมื่อทำบุญเสร็จสิ้นหน้าที่บริบูรณ์แล้ว จึงชื่อว่า ไม่มีภพ-ชาติใดๆในจิตและในโลกในวัฏฏสงสาร นั่นคือ ไม่มีการได้อะไรจากการทำบุญที่มีผลสำเร็จเต็มบุญ ถ้าผู้นั้นสัมมาทิฏฐิ แต่จะเสียกิเลสไปจากจิตตนเท่านั้นถ่ายเดียว ในจิตจะเป็นสูญคือว่างเปล่าจากกิเลสลงไป จิตจะสะอาดขึ้นต่างหาก

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 82 หน้า 92


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 05:22:30 )

การชำระอธิกรณ์ พ่อครูต้องยอมหมู่ใหญ่

รายละเอียด

แล้วจากวันนั้น ตอนแรกท่านก็ยอมรับกันดีนะ ไม่มีเรื่องอะไร เราก็ดำเนินของเราไปได้หมู่กลุ่มของเราก็โตขึ้น มีมากขึ้นๆ วันร้ายคืนร้าย ไม่รู้ไปกินปูนไปกินยาผิดมาจากไหน ไปกินยาผิดจากไหนไม่รู้ บอกว่าไม่ได้ ขออภัยท่านประยุทธ์ ปยุตโต นี่แหละเป็นหลัก บอกว่า ต้องชำระอธิกรณ์ ซึ่งหมู่ใหญ่ ก็เข้าใจอย่างหมู่ใหญ่ เราจะไปอยู่รอดอะไร เราก็ต้องยอม …

ตอนมีเรื่องครั้งแรก เข้าไปในวัดหนองกระทุ่ม ไม่มีที่พักหรอก โบสถ์ยังไม่มีหลังคาฝนมันก็จะตก เข้าพรรษา เราก็อธิษฐานพรรษาที่แดนอโศกแล้ว ก็ต้องไปอธิษฐานพรรษาที่วัดหนองกระทุ่ม เราก็อยู่ไม่ได้ หลังคาโบสถ์ก็ไม่มี หน้าฝนด้วย เราก็ว่าไม่เอา พวกเราก็ปรึกษากันว่าแข็งข้อ ไม่เอา กลับไปอยู่แดนอโศกอย่างเก่า นี่ก็บอกว่า ถ้าท่านจะมีอะไรมาหาอาตมา โดยตรง ประกาศไว้ อุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองกระทุ่มเป็นหลวงอา ก็เป็นอุปัชฌาย์มหานิกายของอาตมา ตอนนั้นท่านก็ไม่สบายอยู่แล้วก็เลยบอกว่าอย่าไปรบกวนท่านให้มาหาอาตมาเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร วันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2564 ( 18:54:38 )

การชี้ขุมทรัพย์

รายละเอียด

มีคนท้วงติงมีคนบอกสิ่งที่ผิดสิ่งที่ไม่ดีของเราเป็นขุมทรัพย์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:45:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:36 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:43:13 )

การชี้บ่งถึงว่าโลกุตรธรรมนี้ยาก

รายละเอียด

ก็คิดอยู่ว่าจะจบ 9:30 น ก็ดี พวกเราก็ยังมีจำนวนแต่ลดลงนะ คนมาเรียน ทั้งๆที่มาเรียนฟรี คนก็ดีขึ้นนะ ปฏิเสธไม่ได้ แต่ทำไมสังคมข้างนอกคนที่เป็นพ่อแม่พอรู้ไม่ยอมให้มาเรียน ไม่ยอมส่งลูกให้มาเรียน นี่ เป็นการชี้บ่งถึงว่าโลกุตรธรรมนี้ยาก ให้ฟรี ก็ไม่เอา ต้องดิ้นรนไปเสียเงินเสียทอง อธิบายจริงๆก็บอกว่าดี แต่พ่อแม่บางคนก็บอกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างโน้น ก็ต้องไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะยังหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็ต้องทำ 

แต่ถ้าพ่อแม่ที่เข้าใจแล้วหรือว่าเด็กตัวนักเรียนเอง พ่อแม่ก็เข้าใจอยากให้อยู่ด้วย หรือบางทีพ่อแม่เข้าใจแต่เด็กไม่เข้าใจก็พยายาม พ่อแม่ก็พยายามใช้สิทธิของความเป็นพ่อแม่บังคับมาหรือผู้ที่เข้าใจบ้างให้มาเอาอันนี้ ก็ได้บ้าง 

คนที่พูดอย่างไรมันก็ไม่เอาเข้ามามันก็เกเรด้วย ก็ต้องเอาออกกัน เขาจะเอาออกกันเองหรือเราเอาออกก็แล้วแต่เกเรอย่างนั้นก็ว่ากันไป ก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ 

ในโลกในสังคมก็ช่วยกันอยู่ไปอย่างนี้แหละ เกื้อกูลกัน ทำงานช่วยมนุษยชาติอย่างหลวงปู่ทำงานช่วยมนุษยชาติมาตั้งแต่รู้ตัวอายุ 36 ปี ก็มาทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติให้แก่สังคมประเทศชาติ ให้เป็นคนที่เจริญแบบพระพุทธเจ้า ให้เป็นโลกุตระเลย หลวงปู่พยายามช่วย ช่วยประเทศชาติ ไม่ได้รับเงินเดือน ช่วยฟรี ช่วยอย่างเต็มใจ ถูกตำหนิด้วย ถูกด่าด้วย แต่เข้าใจเขา 

ไม่ใช่คนหน้าด้าน แต่เป็นคนรู้ว่า เขาไม่รู้เขาก็ต้องด่าอย่างหยาบคายด้วย ไม่ได้โกรธได้เคืองอะไร แต่ก็ไม่ใช่หน้าด้าน ด่าแล้วก็ยังหน้าด้านทำอยู่อีก ก็พวกคุณทำอะไรไม่ดีอยู่ เราจะทำดี ซึ่งเรามั่นใจ บริสุทธิ์ใจ ว่ามันดีจริงๆไม่ใช่ดีปลอมๆ ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ไม่มีอคติอะไรมากมาย ก็จะยอมรับว่าสิ่งที่อาตมาทำนี้ มันเป็นสิ่งดี 

เพราะฉะนั้นผู้รู้ไม่ต้านเขาทำไม่ได้อย่างนี้ด้วย กิเลสเขายังมีเขายังเกินเขาก็ มีมานะอัตตา เขาก็ต่อต้านแต่เขาไม่รู้ตัว 1.เขาไม่รู้จริงๆเขาก็ต้าน 2. เขารู้แล้วล่ะว่าดี แต่เขาไม่ให้ทำก็เพราะว่าไม่ต้องการให้เราเด่นเกิน ก็เป็นสัจจะเป็นมานะอัตตาของเขาเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาเห็นว่าดี ควรสนับสนุนก็ควรมาช่วยกันสนับสนุน ผู้ไม่สนับสนุนก็เรื่องของเขา ไม่มีปัญหา เราก็ทำงานของเราได้อยู่ 

เพราะว่าเราทำแล้ว จุดจบของมันเราไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีให้แก่มนุษยชาติ สังคม จุดจบของมัน มันจบจริงๆเขาไม่รู้ว่าดี ก็เกรงใจเขาจริงๆ คนไม่รู้ก็ตรวจสอบมันไม่ดีอะไรบ้าง อาตมาว่ามันดีสมบูรณ์แบบกว่า 

ขนาดพวกเรามานั่งฟังอยู่อย่างนี้เป็นชั่วโมงสงบเงียบได้ ไม่มีภาวะต่อต้านอะไรมากมาย ลองถามดูซิดูใจจริงๆดูพวกเรา 

คิดว่าที่มานั่งฟังหลวงปู่พูดอยู่นี้ พูดวนๆซ้ำๆซากๆ มันมีประโยชน์ไหมใครว่ามีประโยชน์ยกมือ ... ก็เข้าใจกัน 

เพราะฉะนั้นอันนี้แหละไม่มีปัญหา จะเสียเวลากับสิ่งนี้เท่าใดก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นสิ่งที่จบเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กันจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:33:04 )

การชุมนุมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

รายละเอียด

อาตมาว่าปล่อยไปตามธรรมชาติใครเห็นว่าควรจะออกไปก็ออกไป ยังไม่ถึงขั้นจะต้องอย่างรุนแรงเต็มที่ อาตมาพูดไปก็เหมือนจะไปประมาทหน้าพวกที่ออกมาเยิ้ว เยิ้ว อยู่ตอนนี้ อาตมาว่า มันก็ สุวานเห่าใบตองแห้ง มันก็ไม่ไกลนักหนาหรอก เขาก็ต้องทำเพราะความตกค้างของอารมณ์เขาเป็นคนอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:24:15 )

การช่วยคนดีให้เข้มแข็ง

รายละเอียด

คนดีจะเข้มแข็ง เราต้องเข้มแข็งของเราเอง เราต้องบอกคนที่เขาอ่อนแอจะให้เขาเข้มแข็งคุณก็บอกเขาไป ถ้าคุณบอกไม่ได้คุณก็แนะนำเขาไปหาผู้ที่มีความรู้มาหา สมณะ สิกขมาตุ ผู้ใหญ่ที่ช่วยได้แนะนำว่าอย่างไรจะเข้มแข็งสู้ได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:50:55 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:24:48 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:25:56 )

การช่วยคนต้องประมาณตนให้ดีๆ ไม่ควรเสียประโยชน์

รายละเอียด

ดีไม่ดี ถ้าไม่ประมาณตน เหมือนกับลงไปช่วยคนตกน้ำ ไม่ประมาณตนก็ตายกันไปทั้งคู่เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องประมาณตนให้ดีๆ ไม่เสียประโยชน์ ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่อยากตาย   แต่ไม่ควรเสียประโยชน์ เราเป็นคนช่วยคนนะ ยิ่งเราเป็นคนช่วยคนไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนในการช่วยนั่นแหละ ยิ่งวิเศษ ยังไม่ควรตายง่ายๆหรอกคนคนนี้ เพราะมีจิตเป็นสาธารณะมีจิตเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่จิตเห็นแก่ตัว บำเรอจิตตนเอง เอาแต่ใจ ทำอะไรก็เพื่อตัวเองมา โดยปัญญา มีปฏิภาณรู้ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 22 ยุคนี้สมาธิชาวอโศกเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 21:18:34 )

การช่วยคนที่มีคนนับถือมาก แต่หลงผิดให้เขารู้ตัว และกลับตัว

รายละเอียด

ซึ่งอาตมาก็ได้แต่สงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจเขารู้ พูดด้วยเมตตา อธิบายด้วยเมตตา แล้วก็ต้องบอกว่าที่คุณเข้าใจผิด มันผิด จะให้ไปยกย่องสิ่งที่ผิดว่าถูกว่าดีแล้วทำไปเถอะ มันไม่ได้ มันต้องข่มมันต้องให้รู้ตัวว่ารีบเลิก ไอ้นั่นมันผิด สัจจะมันต้องทำอย่างนั้นจะให้อาตมาทำอย่างไรมันเลี่ยงไม่ได้ ไปเลี่ยงความจริงไม่ได้ จะบอกว่าไปด่าไปว่าเขาทำไม ก็เราเมตตาเขาน่ะ ถ้าไม่เมตตาก็ปล่อยสิ ก็บอยคอร์ดไป ไม่เอาเรื่อง คุณจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่างหัวคุณเถอะ มันเป็นคนใจดำ คนที่ยิ่งมีคนนับถือ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเค้าก็หลงผิดมันยิ่งต้องช่วยเขา ให้เขาได้รู้ตัวแล้วก็กลับตัว แล้วมามีสัมมาทิฏฐิ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะทำบาป แล้วพาคนทำบาปๆๆ ไปอีก แล้วจะไม่ให้อาตมาสงสารได้อย่างไร นึกออกไหม อาตมาไม่ได้ไปทับถมคนที่เขาผิดนะ แต่เห็นใจคนที่ผิด ทำไมถึงดักดานอยู่กับความโง่ต่อไปหนอ เห็นใจเหลือเกิน สงสารเหลือเกิน พูดแล้วมันก็น่าหมั่นไส้เนาะ อาตมายืนอยู่ในฐานความจริงเท่านั้น ไม่ได้มีอื่น ไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้หลอกล่อลวง มีแต่ความจริงตรงๆ มันก็ได้ไปอย่างนี้ แล้วมันยากจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 14:31:17 )

การช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่กำลังได้รับวิบากมี 2 ระดับ 

รายละเอียด

จริงในระดับหนึ่ง แต่ไม่จริงในระดับหนึ่ง 

จริงในระดับหนึ่งคือในระดับของคนที่มีความรู้โลกุตระยังไม่ได้เลย มีแต่ความรู้ยึดตัวตน  เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน 

เช่น สัตว์เดรัจฉานมันเห็นแก่ตัว ใครไปแย่ง ที่อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว เช่น งูมันจะกินเขียด คุณก็ โอ้โห เป็นคนที่มีจิตวิญญาณ มีธรรมะสูงแล้วนะ งูนี่มันรังแกเขียดได้ยังไง มากินเขียด มันเป็นบาปนะ อันนี้ก็เคยยกตัวอย่างมาหลายทีแล้ว ก็ตีงูตาย เอาเขียดออกจากปากงู นี่แหละมันไปละลาบละล้วงวิบากกรรมของเขา งูมันก็ต้องกินเขียดเป็นอาหาร มันกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ที่มันกินได้เป็นอาหาร มันกินสัตว์ งูเป็นสัตว์กินสัตว์ แล้วคุณก็จะไปแย่งอาหารมันออกจากปาก คุณก็ต้องไปหัดให้งูมันไปกินเจสิ.. คุณทำได้ไหมล่ะ ก็ต้องมาฝึกงูให้มันกินเจ ซึ่งพวกเลี้ยงงูทั้งหลายแหล่เขาก็ไม่มีใครเลี้ยงงูด้วยการกินเจ ก็ต้องเอาสัตว์เป็นหรือสัตว์ตาย ตามใจเขาเถอะ เราไม่พูดไปยาวเพราะเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้ มันผิดมันไปทำอย่างนั้นไม่ได้ 

ทีนี้อีกพวกหนึ่งคือพวกที่มีความรู้แล้ว อันนี้ไปละลาบละล้วงวิบากเขาไม่ได้ ว่าไปมันก็ไปอยู่ในระดับของเดรัจฉาน ทีนี้คนนี้แหละที่ยังเป็นเดรัจฉานอยู่ก็นัยยะเดียวกันกับสัตว์ที่เป็นเดรัจฉานที่ยังติดตัวตนตัวกูของกู ไปแย่งเขียดจากปากงู งูก็จองเวรจองกรรม ก็ต้องใช่ แต่คนอีกระดับหนึ่งพอเข้าใจแล้วว่า ไอ้นี่อย่าไปรังแกกัน นี่มันชีวิต มันเป็นสัตว์เหมือนกันอย่างนี้ เป็นต้น เราก็เตือนกันช่วยกันให้เขาอย่าไปสร้างวิบากอีก คนที่มีภูมิธรรมระดับนี้ช่วยกันได้ เตือนกันได้ บอกกันได้ 

แต่ถ้าไปเตือนกันบอกกันเหมือนคนที่ไม่มีภูมิความรู้ เหมือนกับเดรัจฉาน ขออภัยต้องยกตัวอย่าง อย่างชาวตะวันตก ชาวตะวันออกกลาง ชาวเทวนิยม ที่เขาไม่ได้ซาบซึ้งถึงเรื่องของกรรมวิบาก อาจจะฆ่ากันไปฆ่ากันมา เขาก็ไม่กลัววิบากกรรมที่จะย้อนไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็จะเหมือนกับงูว่ามาฆ่าข้า กินเขียดข้า ข้าจะกัดแก แกมาแย่งเขียดจากข้า อาฆาต ข้าจะกัดแกตาย เขาก็จะอาฆาตมาดร้ายให้เรา ยิ่งเป็นคนที่มีความอาฆาตมาดร้ายซับซ้อนจัดจ้านกว่าเดรัจฉานอีก เดรัจฉานมันแรงเท่านั้น ความจัดจ้าน มันจองเวรจองกรรมแรง แต่มันไม่ซับซ้อนลึกซึ้งเหมือนคน คนมันฆ่ากันได้อย่างเลือดเย็น เป็นต้น มันมีกลเม็ดอะไรอีกเยอะอันนี้ก็ละเอียดลออ ก็ไม่ขอขยายความต่อ 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของกรรมวิบากจึงเป็นเรื่อง อจินไตย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากมาย อธิบายกันไม่หวาดไม่ไหว 

นี่ก็ถามว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาจะมาเล่นงานเราไหม คำว่า       “เจ้ากรรมนายเวร”ก็คือ ระหว่างคู่ของผู้ที่ทำวิบากแก่กันและกัน เรารู้เรา เราก็เลิก เพราะฉะนั้นก็เหลือเขาไม่รู้  เขาปรบมือข้างเดียว ก็ไม่มีอะไรนาน ไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าเขาก็รู้ด้วยและเราก็ให้เขารู้ด้วย ก็ต่างคนต่างรู้ อย่าไปสร้างกรรมสร้างวิบากกัน เป็นคู่กรรมคู่วิบากกันไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่หมด โดยเฉพาะตั้งแต่การฆ่ากัน หรือแม้แต่การรักกันก็ตาม 

มาเป็นผู้ที่เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ เป็นผู้ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน อย่างนี้สูงส่งกว่าที่จะไปทั้งรักทั้งชัง มันก็อยู่ที่แค่ สุรพล  สมบัติเจริญ เท่านั้นเอง 16 ปีแห่งความหลัง เท่านั้น ทั้งรักทั้งชัง ไม่รู้จักจบจักสิ้น จะได้เรื่องอะไร ฉะนั้นก็เลิกเสียพยายามเรียนรู้สภาพพวกนี้ที่มันลึกซึ้ง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง ควรเพิ่มพลังพากเพียร วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 06:24:19 )

การช่วยเหลือผู้อื่น

รายละเอียด

น้ำใจที่เห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นกำลังหุ้นขึ้นอย่างไม่เตี้ยอุ้มค่อม ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อน อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:07:40 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:22:27 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:44:33 )

การช่วยเหลือสัตว์คือช่วยให้เขาอยู่ตามวิบากของเขา

รายละเอียด

เอาเขามาเลี้ยงดูก็เป็นการช่วยเหลือนิดนึง ที่จริงแล้วผู้รู้แล้วไม่ต้องเอาอะไรมาเลี้ยง ช่วยเขาให้อยู่ไปตามวิบากของเขาให้อยู่อย่างสบาย เรามีอาหารเหลือให้เขากินก็เท่านั้นเอง ช่วยเหลือตามควร ไม่ต้องไปประคบประหงมเป็นวิบากร่วมกันไปอีกมันจะไม่มีจุดจบ เขาจะไม่เข้าใจเรื่องวิบาก คนที่เขาเลี้ยงสัตว์แล้วจะมีอะไรอย่างนี้ ถ้าคนเข้าใจเรื่องวิบากแล้วก็จะไม่ต่อ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:42:17 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 05:10:25 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:45:08 )

การซาบซึ้งในกุศลธรรม น้ำตาไหลเป็นปีติแรง

รายละเอียด

เรื่องอ่อนไหวง่าย น้ำตาไหลง่าย มันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าจะให้พูดมุมดีของมัน เป็นคนที่ซาบซึ้งในสิ่งที่ดีงาม น้ำตาไหล มันกว่าจะหมดจริงๆ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่ง่าย การซาบซึ้งในกุศลธรรม เป็นเรื่องของปีติ น้ำตาไหล เป็นปีติแรง เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกให้เข้าใจว่า มันน่ายินดีก็ยินดี มันก็ค่อยๆเบาๆไป ไม่ถึงกับต้องตื่นเต้นเกินไปให้มันเป็นปิติแรง ทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวทางกายทางวจี ทางสรีระส่วนนั้นส่วนนี้ไม่ปกตินะ จนกระทั่งเป็นอุเพงคาปีติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:39:21 )

การซึมซับธรรมะในเด็ก

รายละเอียด

เด็ก ลูกของเราหรือหลานของเราตัวเล็กที่มากับเรา เรามาฟังธรรมแล้วเด็กมันก็วิ่งเจี๊ยวจ๊าว พวกเราก็ปรามกันไปตามประสา อาตมาก็บอกว่าเด็กมันฟังไม่รู้เรื่องแต่มันได้ซึมซับ โดยบัญญัติโดยภาษาโดยอะไรก็แล้วแต่ มันก็ซึมซับเข้าไป ถึงขั้นออสโมซิส มันซึมลึกเข้าไป มันไม่เสียหลายหรอก เพราะฉะนั้นอาตมาถึงไม่ค่อยจะไปต้านว่า อย่าเอาเด็กเข้ามา ไม่เคยไปห้าม นอกจากมันจะซนมากก็พยายามบอกกันพวกเราก็รู้ ก็พยายามไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ค่อยดี อย่างนี้เป็นต้น 

ก็อย่างที่ค่อยๆเป็นมา ค่อยๆรู้ว่าเราควรจะประพฤติอย่างไรปฏิบัติอย่างไร ก็แม้แต่กับเด็กเล็ก เด็กโต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:18:01 )

การฑูตมีเพื่อช่วยเหลือประเทศอื่น

รายละเอียด

แต่นี่จะต้องเอาจากประเทศอื่น export จากคนอื่น ถ้าคุณมีแต่จะ import จากประเทศอื่นมา การมีการฑูต ถ้าจะไปเอาจากคนอื่นเขา อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาอะไรที่จะเอาจากประเทศอื่นเขา เอาทรัพย์สินทรัพยากรโดยหาวิธีการล้วงตับกินไส้ประเทศไหนๆ ฑูตอย่างนี้มันเป็น ขี้ทูด ที่จริงแล้วการฑูตจะต้องไปเพื่อช่วยเหลือประเทศอื่นเขา จึงเป็นฑูตที่จะออกไปเพื่อช่วยคนอื่นเขา ไม่ใช่ไปเอาจากคนอื่นเขามา อย่างนั้นมันคิดไม่ดี คิดไปเอาเปรียบจากคนอื่นมันไม่ดี ต้องคิดให้ดี

ถ้าเรามีไม่พอจะให้ก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปมีฑูตอะไรหรอก ถ้าเราไม่มีอะไรจะติดต่อไปให้เขา ไปติดต่อเพื่อจะให้ จะบอกว่าเพื่อสัมพันธ์ เราติดต่อประเทศนั้นประเทศนี้ก็ไปช่วยกันใช่ไหม ช่วยแล้วช่วยอะไร ก็ช่วยในสิ่งที่จะต้องช่วย ช่วยอะไรได้ มีอะไรก็ช่วยเขา คุณก็ไปมีการทูตกับประเทศนั้น แต่ถ้ายังไม่มีอะไรที่จะได้ แต่เป็นฑูตเพื่อจะเอาอะไรจากประเทศอื่นเขาก็อย่าไปทำเลย การฑูตแบบเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จะไปเอาของคนอื่นมา คิดใหม่ได้ไหม นี่เป็นแนวคิดของอาตมา จะค้านแย้ง กับความรู้แบบเดิมอย่างไรก็ช่าง นี่เป็นความคิดอาตมา อาตมาจะสร้างคนให้มีความคิดเช่นนี้ concept แบบนี้ มีกระบวนทัศน์แบบนี้ ไม่คิดหรอกแบบโน้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 13:55:12 )

การดับ

รายละเอียด

การดับ "สัญญา" กับ "อสัญญีสัตว์" ต่างกันหรือไม่

ใช่ สภาวะมันเหมือนกัน มันต่างกันตรงที่ อันหนึ่ง คุณว่าดับสัญญาคุณดับนามธรรม แต่ อสัญญีสัตว์ มันเป็นรูปธรรม อสัญญี แปลว่าผู้ดับสัญญา ไม่มีสัญญา เพราะฉะนั้นการไม่ให้มีสัญญาก็คือ ดับอาการของสัญญา ไม่ให้มันเกิดอาการ ไม่ให้มันทำงาน 

1. ไม่ให้มันทำงาน 

2. ไม่ให้มันมี ไม่ให้มันเหลืออยู่ในจิต

เพราะฉะนั้นสัญญาที่มันวิปลาส ก็ต้องเปลี่ยนให้หมด อย่าไปเอาสัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส สัญญาวิปลาส ในวิปลาส 3

เมื่อจิต ทิฏฐิ สัญญา ของคุณวิปลาส คุณก็จะมี วิปลาส 4 ต่อ คือ 

1) ไปเห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง แล้วคุณก็จะปฏิบัติให้เป็นความเที่ยงให้ได้ 

2) ไปเห็นความทุกข์เป็นความสุข นี่วิปลาสแท้ๆ

3) ไปเห็นว่าสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน 

4) ไปเห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น คุณก็ไปเห็นว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น สุภะ แปลว่างาม มันไม่งามคุณก็ไปเห็นว่า มันงาม มันไม่น่าได้ คุณเข้าไปเห็นว่ามันน่าได้

สรุปที่ถามมา การดับสัญญา คือกิริยา อสัญญีสตว์คือ ตัวสัตว์ เป็นรูป การดับสัญญาเป็นนาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ตุลาคม 2565 ( 18:53:06 )

การดำริ

รายละเอียด

การกระทำในใจ

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า415

 


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 14:58:29 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:36:58 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:04:03 )

การดำเนินชีวิตของคนศาสนาเชน

รายละเอียด

ศาสนาเชนนั้น สุดโต่งไปไกลลิบ ทั้งสัสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ ไม่มีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดโต่งไปทางความไม่มี ไม่มีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย 

เพราะฉะนั้นในชีวิตของชาวศาสนาเชน จึงจะไม่อินังขังขอบกับอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าวัตถุไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าสัตว์ทั้งหลาย แต่รู้ว่าสัตว์มีวิบาก เพราะฉะนั้นก็จะไม่สร้างวิบาก จะไม่ทำร้ายสัตว์ใดๆเลย สัตว์ขนาดใหญ่ ขนาดเล็กที่สุดแค่ไหน ก็ไม่พยายามเบียดเบียนทำร้าย อย่างเด็ดขาด 

เพราะฉะนั้น เชนจะต้องรักษาสภาพความสุดโต่งนั้นไว้ จะต้องปล่อยวางหมด ไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไรไม่ติดไม่คิดอะไรทั้งนั้นเลย มีชีวิตอยู่ก็กินๆอยู่ๆ กินให้น้อยที่สุด อยู่ให้หยุด อยู่ให้ไม่ต้องมีอะไรที่สุดเลย หนีเข้าป่า ไม่พบกับใคร มีอะไรก็กินไป นอกจากจะมีความจำเป็นต้องมาหาผู้คนที่จะต้องหาอะไรไปกินไปใช้ที่แต่ละผู้แต่ละคนต้องการก็มาหาไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:11:29 )

การดูจิตเกิดดับเป็นดวงๆในศาสนาพุทธสัมมาทิฏฐิหรือไม่ 

รายละเอียด

การดูจิตเกิดดับเป็นดวงๆในศาสนาพุทธสัมมาทิฏฐิหรือไม่ 

ไอ้ที่ไปพูดถึงขั้นว่าให้ตามดูจิตมันเกิดมันดับมันโอเวอร์ พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักอาการต่างๆที่มันแยกเป็นเจตสิก แล้วมันก็มีเหตุคือกิเลส มันก็เลยต้องเกิดอยู่ ทำเหตุคือกิเลสออกได้ มันก็ดับ นี่คือเห็นเกิดเห็นดับ 

แต่นี่ดูมันเกิดมันดับเป็นดวงๆ จนท่านพุทธทาส เรียกว่าอภิธรรมเม็ดมะขามเป็นดวงๆมันเป็นไปไม่ได้ มันโอเวอร์ ซึ่งไม่รู้ว่าอาจารย์คนไหนสอนไว้ เลยยึดถือกันไว้ผิดๆ ให้เรียนรู้ดีๆ ปัญญา 8 ข้อที่ 8 เอามาอ่านก็ได้

“8.อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่ารูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ... สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ”

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปดูจิตมันเกิดมันดับเป็นดวงอย่างนั้น จะเก่งอะไรกันนักหนาดูอย่างไรจิตเกิดดับ แล้วมันจะไปรู้อะไรในจิตเกิดดับ ก็เดากันทั้งนั้น มันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย มันแสดงความเก่งเกินไปอาตมาว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2565 ( 15:24:48 )

การดูแล สุขภาพ ด้วยหลัก 8 อ.

รายละเอียด

คือ  มี อิทธิบาท  อาหาร ออกกำลังกาย  อากาศ อารมณ์ เอนกาย  เอาพิษออก  อาชีพ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:59:38 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:32:43 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:45:34 )

การตรวจทาง LAB ไม่อาจใช้กับ Supra standard

รายละเอียด

ก็ตอบได้ว่า ใช่ อาตมาเคยพูดเรื่องนี้ว่า Standard ของอาตมามันไม่ใช่ Standard ของคนสามัญปกติทั่วไป ของอาตมามันมีอะไรที่พิเศษอย่างที่คุณว่า Supra standard จะเอา Standard ของคนทั่วไปมาวัดมันก็อาจจะไม่ตรงทีเดียว อาตมาไม่อยากหักหาญ ก็ให้ยืนยันพิสูจน์ดูความเป็นจริงกันไปก็คงจะค่อยๆเข้าใจ คลี่คลายออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วความพิเศษของอาตมาหรือ Standard  หรือSupra standard มันเดาไม่ได้คนทั่วไปก็เป็น Standard สามัญ เป็นสากลเฉลี่ยแล้วค่าเฉลี่ยเขาศึกษากันมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปี มันก็ใช้ได้ แต่ที่นี้คนโลกุตระของอาตมามันไม่ใช่คนสามัญทั่วไป โดยเฉพาะโลกุตระของอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มันไม่ใช่ระดับ 4 ระดับอรหันต์ ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:00:41 )

การตรวจสอบความชอบใจไม่ชอบใจจากการกระทบผัสสะ

รายละเอียด

มีการกระทบและดูแลเราว่าเป็นอย่างไร มีความชอบใจหรือไม่ชอบใจ แม้แต่คุณเกิดอาการอื่นๆ เราก็ได้ปฏิบัติได้ฝึกวางใจ มันวางใจได้สนิทมันรู้สึกเฉยๆนอกจากวางใจแล้วยังรู้สึกสงสารเขาเมตตาเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนเช่นนี้ เป็นอาการจิตที่คนแต่ละคนตรวจสอบตามที่อาตมาพูดไปนี้ได้ว่าเรามีไหม 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 19:39:20 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:24:38 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:46:06 )

การตรวจสอบจากการบรรลุธรรมขั้นสกิทาคามีไปหาอนาคามี

รายละเอียด

ถ้าเป็นขั้นสกิทาคามีไปหาอนาคามี เหลือเล็กๆน้อยๆขั้นรูป อรูป ก็ลดลง เราจะมีภูมิรู้ว่ากามภพที่มีทั้งรูปธรรม นามธรรม เป็นสภาพที่คุณยังเสพรสต้องสัมผัสต้องเกี่ยวข้องอยู่ไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันขาดไปเลย หายไปเลย ก็เฉยๆไม่นึกถึงด้วย ถึงแม้เรานึกถึงขึ้นมาก็ไม่เกิดรสอะไรขึ้นมาเลย มันซ้อนขึ้นไปอีกคุณก็จะมีความรู้ ปฏิภาณปัญญาที่ลึกซึ้งละเอียด ตรวจสอบลึกซ้อนเข้าไปอีก จนที่สุดถึงขั้น อรูปก็ไม่มี สูญไปหมดเลย มีแต่อาการเฉย อาการว่าง อากาสานัญจายตนะ เหมือนอากาศว่าง ไม่กระดุกกระดิกอะไรอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1 วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กรกฎาคม 2564 ( 10:46:41 )

การตรวจสอบทักขิเณยยบุคคลทั้ง 7

รายละเอียด

คือในส่วนอรูปฌาน 4 เป็นการตรวจสอบ ตรวจสอบสมบูรณ์จบที่ฌาน 4 ส่วนอรูปฌานก็เป็นการตรวจสอบ เหมือนเพชรมีอะไรมาเคลือบให้หม่นก็เช็ดออก เหมือนอรูปฌาน 4 ท่านไม่ประมาท ให้สมบูรณ์แบบใสสะอาด จึงเรียกสัญญาเวทยิตนิโรธ แปลว่าใช้สัญญาเคล้าเคลียแทงทะลุรอบ ปฏิเวธ ด้วยการปฏิบัติปัจจุบัน 36 สั่งสมอดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคตก็ย่อมต้องบริสุทธิ์ตลอดกาล จะต้องรู้ต้องเข้าใจว่าจะปฏิบัติทุกปัจจุบันให้กิเลส 0 ได้คุณต้องสั่งสมอันนี้ซึ่งมีกระบวนการของสิ่งที่จะปฏิบัติตั้งแต่ เวทนา 108 ต้องเข้าใจเวทนา 36 ปฏิบัติเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ต่างกันกับเคหสิตอุเบกขาเวทนา พวกนั่งหลับตาปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ ได้แค่ เคหสิตอุเบกขาเวทนา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 13:25:25 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:27:00 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:46:50 )

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งหลับตา

รายละเอียด

ทีนี้พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้นั้นท่านได้มีมาก่อนแล้ว ส่วนคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไปนั่งให้ตาย เกิดแล้วเกิดอีกกี่ชาติก็นั่งๆๆๆ ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ แม้แต่พระโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ จนเป็นพระพุทธเจ้าอีกก็ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญบารมีอะไรพวกนี้ได้เลย คุณนั่งให้ตายอย่างไรก็มีแต่โลกียธรรม ของพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งหลับตาด้วย ท่านลืมตา ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือวิชาจะระณะสัมปันโน ซึ่งไม่มีข้อไหนให้นั่งหลับตา โดยเฉพาะอปัณณกธรรม 3 แล้วกำชับเลยว่า ถ้าไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ต้องมีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด 

1.ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล..

2.อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์ 

3.โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา  

4.ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น 

5.ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 

6.หิริ (ละอายต่อบาป) .  

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 

8. พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต .   

9. วิริยะ ปรารภความเพียร

10. สติ อันเป็นอาริยะ ..

11. ปัญญา   . .

12. ปฐมฌาน . 

13. ทุติยฌาน 

14. ตติยฌาน

15. จตุตถฌาน 

หากไม่มีการกระทบสัมผัส 6 ก็ไม่ได้ เพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้าคุณไปนั่งหลับตาเป็นเรื่องนอกรีต เมื่อไหร่จะตายเหมือนพวกนักโทษที่ถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่ม ตายซะทีตายจากความดื้อด้านดึงดัน ควรจะฟังและยอมรับ นั่นแหละคือตายได้ ตอนนี้ไม่ยอมรับเลยกูจะทำอย่างนี้ทำไม กูก็จะอยู่ของกูอย่างนี้ ฆ่ากู กูก็ไม่เชื่อ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎกเล่ม 13 ข้อ 34


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 10:23:55 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:31:09 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:48:17 )

การตรัสสอนตามลำดับของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

การตรัสสอนตามลำดับของพระพุทธเจ้า  คือ ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไปตามลำดับ  อย่างที่ควรเรียงลำดับมาจนกระทั่งละเอียดแล้ว  ก็จะมีความซับซ้อนหมุนหยาบสู่ละเอียดจากละเอียดสู่หยาบ  ที่พูดนี้สองชั้นเท่านั้น  แต่ที่จริงแล้วลึกซึ้งซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 12:51:07 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:22 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:49:01 )

การตลาดแบบโลกุตระคือเช่นไร

รายละเอียด

คำว่าการตลาด หมายความว่า ยุคพระพุทธเจ้ามันไม่มีตลาด ยุคนี้ เราก็ต้องเข้ากับสมัย สมัยนี้มันมีตลาด ประชาชนทั้งหมด ทั้งเราไม่ได้สงวนสิทธิ์ว่า โลกุตระนั้นจะเผยแพร่ให้แต่ชาวโลกุตระจำนวนเดียว จำนวนหนึ่ง เท่านั้น เราต้องให้เผยแพร่ เท่าที่ผู้ที่ควรจะได้ มีความจำเป็นและเหมาะสมที่ควรจะได้ก็ต้องให้กระจายไปด้วยกัน เป็นภาษาคำว่าตลาด การตลาด เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรม แม้ว่าจะเป็นโลกุตระ แต่ก็ต้องได้ไปจากชาวโลกที่นั่นแหละ จึงจะเป็นผู้รับสินค้าต่อมาเป็นลำดับๆๆ ชาวโลกุตระก็ได้โลกุตระ แต่ก็จะเป็นคนโลกีย์นั่นแหละจะเป็นมวลเป็นผู้ที่รับจากผู้ที่มีแล้ว แบ่งไป หรือจำหน่ายให้แจกให้ พยายามยื่นให้แก่ใครที่รับได้เขาก็จะรับ จึงจะเพิ่มมวล ไม่ใช่อยู่แค่จำกัดขอบเขตแล้วก็ไม่เพิ่มอีกไม่ใช่ มันต้องเพิ่มสิมันต้องแพร่ขยายไป นี่คือสัจจะมันต้องเป็นเช่นนั้น ก็เรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ แต่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีภาษาว่าการตลาด สมัยใหม่นั้นมี เราก็ต้องทันสมัย 

คำว่าบริวารมันเป็นโวหารที่ซับซ้อนลึกซึ้ง โลกียะเขาต้องการมวลเป็นหลัก ปริมาณเป็นหลัก แต่ของเราเอาคุณภาพเอาเนื้อหาสาระเป็นหลักซึ่งมันต่างกัน ซึ่งมันก็เป็น 2 สภาวะเรียกว่า เทวะ เพราะฉะนั้นถ้าเราจัดสรรมันให้เหมาะสมกับ กาละเทศะฐานะ 

กาละ ทุกวันนี้ เป็นกาละที่เปิด ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า สถานที่ก็เป็นสถานที่ไม่ใช่สถานที่อยู่ในอินเดียเท่านั้น มันกระจายออกมาจนถึงประเทศไทย เพราะฉะนั้นแต่ละฐานะบุคคล คนจะไปดูถูก หรือจะไปจำกัดบุคคลแต่ละบุคคลเท่านั้นไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์ เป็นแต่เพียงว่า แต่ละคนผู้ใดล่ะ เขาจะสามารถรับได้ มีภูมิธรรม มีบารมี มีความสามารถรับได้ก็ต้องให้โอกาสเขา จึงเรียกว่า เป็นการตลาด เป็นคำศัพท์สมัยใหม่ 

สู่แดนธรรม.. แล้ว สินค้าของพ่อท่าน รู้สึกว่าไม่ใช่สินค้าแบบ mass นะครับ

พ่อครูว่า... มันก็ต้องไป จำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างไรไม่ใช่เป็นจำนวนส่วนใหญ่ มันก็เป็นส่วนน้อยอยู่ดี ถึงอย่างไรอย่างไรก็เป็นส่วนใหญ่ไปแทนที่ โลกียะไม่ได้หรอก เพราะโลกุตระเป็นยอดพีระมิด เป็นส่วนไปหายอดพีระมิด ไม่ใช่ส่วนไปหาฐานพีระมิด เป็นสัจจะที่มันต้องจบ ถ้าเข้าใจมันก็จบ ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่จบ 

สู่แดนธรรม... สินค้าที่เป็น mass ของพ่อท่านไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ เช่น สอนให้คนมาเสียสละ มาลดละความโลภ คนจะต้องหันมาจน หันมาพัฒนาประเทศชาติด้วยกันมาจน ใครจะไปอยากได้ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องอยากได้ คนที่อยากได้จะต้องเป็นคนที่มีภูมิปัญญา ผู้มีภูมิปัญญาจึงมีปรารถนาอยากได้ ว่า อันนี้เป็นสิ่งที่ควรจะอยากได้เรียกว่าเป็นสัญญาที่ไม่วิปลาส ผู้ที่มีสัญญาสัมมาทิฏฐิ สัญญาถูกต้องไม่วิปลาส กำหนดถูกว่า อ๋อ! อันนี้เป็นสิ่งควรได้ คนนั้นมีสัญญาได้อย่างนี้ก็เพราะคนคนนั้นอยู่ในฐานะของจิต ที่จะพัฒนาทิฏฐิ พัฒนาความรู้ความเห็นความเข้าใจขึ้นมาเห็นอันนี้ได้ ก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมานั่นเอง 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่วิปลาสทั้ง 3 ทั้ง สัญญา ทิฏฐิ และจิต ก็ก้าวหน้าพัฒนาได้ ส่วนผู้ที่ยังวิปลาสถาวร จิตก็วิปลาส สัญญาก็วิปลาส ทิฏฐิก็วิปลาส คนเหล่านั้นจึงมีวิปลาส 4 

จะเห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน เห็นอสุภะ เป็นสุภะ เห็นความไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น มันก็เป็นความลงตัวตามพระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วทุกวันนี้ คนก็วิปลาสโดยไม่นึกว่าตัวเองวิปลาส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:14:03 )

การตอบโต้ของพ่อครู

รายละเอียด

เรื่องการตอบการโต้ มันเป็นเรื่องเจริญ แม้แต่ที่สุดมันเป็นเรื่องของสงครามก็มีความเจริญ แต่คนที่อวิชชาทำสงครามเพื่อที่จะข่มคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กับคนที่จะต้องทำสงครามเพื่อที่จะให้คนอื่นได้รับความรู้ ได้รับความเข้าใจและทำให้สังคมมนุษยชาติมวลมนุษยชาติส่วนใหญ่ ได้รับผลที่ถูกต้องได้รับประโยชน์ที่ดีทำเพื่อสังคมมวลมนุษยชาติ ถ้าไม่ทำ ปล่อยให้ โดยเฉพาะพวกที่รุกราน พวกที่อวิชชา ทำแต่ฝ่ายเดียวเขาก็จะหลงตัว เขาก็จะยึดมั่นถือมั่นมันก็ยิ่งจะรุนแรง มันก็ยิ่งจะนานแสนนานเข้าไปอีก เราก็ต้านเขาบ้าง แต่ต้านโดยที่จะต้องดูตัวเอง เรามีอำนาจไปต้านเขาไหม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:01:40 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:33:19 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:50:05 )

การตัด

รายละเอียด

การตัด คือ ทำให้ขาด ทำให้สูญ ก็เว้นขาด ไม่ว่าจะ 0 (ศูนย์) ด้วยการฆ่าจองจำ ที่หยาบไปอีกไม่มี

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:07:29 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:34:34 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:50:49 )

การตัด CURVE บุคคล 7 ในการเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

คือในการตัดสินต้องเอา พล ความว่า อาสวะ สิ้นหรือไม่สิ้น  หากอาสวะสิ้น ก็แสดงว่าเป็นผล  ถ้าหากอาสวะบางอย่างก็อย่างหนึ่ง อาสวะสิ้นหมด ก็อย่างหนึ่ง จึงจะกำหนดได้ว่าในบุคคล 7 ว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์ กายสักขีลงไปไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์  กายสักขี  คนผู้นี้มีสักขีพยาน  เพราะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  ส่วนที่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  อาสวะหลายอย่างที่คุณยังไม่หมด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 13:15:41 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:36:01 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:52:03 )

การตัดกิเลสเหมือนตัดผม ตัดเล็บ ถูขี้ไคลได้ไหม

รายละเอียด

ได้ เหมือน คำว่าตัดผม ตัดเล็บ ถูขี้ไคล เรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่ถ้าเข้าใจนัยยะสำคัญของมัน เล็บก็ตัดได้ไม่มีเวทนา  ผมก็ตัดได้ไม่มีเวทนา ถูขี้ไคลออกก็ถูได้ ฟันก็กรอออกได้ กรอที่ยังไม่ถึงเส้นประสาทไม่มีเวทนา นี่เป็นนัยยะสำคัญของศาสนาพุทธ แยกกายแยกจิต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:25:47 )

การตัดสินต้องฟังความสองข้างเสมอ

รายละเอียด

ไม่มีปัญหาก็เข้าใจเขาก็เข้าใจว่ามันต้องต่างกันสรุปได้ว่าคุณ bebe phone กับเรา ความเห็นไม่ตรงกันเข้าใจกันคนละอย่างพระพุทธเจ้าก็จบตรงนี้เป็นนานาสังวาสเป็นวินัย ข้อที่ 2 สำนักนั้น แน่นอนเพราะมันต่างกันชัด ธรรมะยิ่งใหญ่ ให้อิสรเสรีภาพกับทุกคน คุณก็มีอิสรเสรีภาพจะคิดจะศึกษาไม่มีบังคับกันต่างคนต่างศึกษา ทีนี้จะตัดสินอย่างไร 

การตัดสิน จะมีสำนักสองสำนัก ผู้ใดสนใจสำนักไหนก็ไปอยู่กับสำนักนั้น แต่อย่าทิ้งอีกสำนัก ต้องฟังความสองข้างเสมอ คุณฟังไปดีๆด้วยใจ ไม่มีอคติ ฟังให้ดี ต้องฟังสองข้างเสมอ ฟังด้วยดี แล้วเอาไปปฏิบัติ แล้วก็ตรวจสอบของพระพุทธเจ้าเสมอ แล้วคุณก็จะได้เข้าใจได้เห็นว่าอันไหนควรเป็นอย่างไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:44:16 )

การตั้งจิตหรืออธิษฐานแบบเทวนิยมเป็นอย่างไร

รายละเอียด

ถามอันนี้ อาตมาก็ใช้เป็นตัวปุจฉา วิสัชนาให้ฟัง เราจะบอกว่าอธิษฐาน ตั้งจิตแบบนั้น อธิษฐาน แปลว่า การตั้งจิต อย่างคุณคนนี้ที่ว่ามา มันเป็นความปรารถนาเป็นเจตนาของผู้ที่ตั้งจิตนั้น ทีนี้ การตั้งจิตเพื่อตัวเอง หรือตั้งจิตเพื่อผู้อื่น หรือตั้งจิตเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ฟังก็คงเข้าใจดีนะ ว่าตั้งจิต จะอธิษฐาน เพื่อตัวเองและนัยเพื่อตัวเองคืออย่างไร เพื่อตัวเองจะได้รวยในลาภยศสรรเสริญสุข และรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาด้วยโลกีย์ หรือให้เจริญ ด้วยการลดกิเลส ลดละหน่ายคลาย มันมีนัยที่เป็นคู่เสมอ ที่บอกได้ว่า การตั้งจิตอธิษฐานนั้นๆ เป็นการตั้งจิตเพื่อประโยชน์ตนเองหรือเพื่อผู้อื่น หรือเป็นความรู้ที่แสดงถึงภูมิของผู้นั้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นคุณถามมาว่าเป็นแบบเทวะหรือเปล่า ประเด็นคำว่าเทวะ ก็คงหมายถึงเทวนิยมกับอเทวนิยม มันก็มีนัยยะสำคัญ ถ้าเป็นการทำการตั้งจิตแบบเทวนิยม ก็จะเป็นการตั้งจิตแล้วขออ้อนวอน ให้พระเจ้าช่วย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล ขอให้พลังงานลึกลับ พลังงานศักดิ์สิทธิ์พิเศษมาช่วยอย่างนี้ อย่างนั้นก็เป็นอธิษฐานตั้งจิตแบบเทวนิยม ซึ่งศาสนาพุทธ เห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องเปล่าดาย แสดงถึงความไม่ฉลาดของคน ที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันสูญเปล่า ทำให้เราหลงผิดว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีภพชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันไม่มีหรอกสิ่งเหล่านี้ มีแต่กรรม การกระทำของเรา ของศาสนาพุทธเลย ที่บอกว่ากรรมกับ God ของศาสนาเทวนิยม แต่ว่าศาสนาพุทธนั้นไม่พึ่งGod มีแต่พึ่งกรรม ชาวพุทธเองก็ตามที่หลงติดในเรื่องของเทวะ อธิษฐานอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เป็นจริง  เขาเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 11:01:19 )

การตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆ

รายละเอียด

เมื่อตอนยังไม่เป็นอรหันต์ก็ยังไม่ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ แต่เมื่อถึงอรหันต์แล้วมันก็จะรู้สึกว่าน่าจะต่อนะ น้อยคนที่จะไม่ต่อ  ลจนกว่าจะไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ขึ้นไป ก็รู้สึกว่ามันจะเมื่อยนะ กว่าจะขึ้นระดับ 7 นี้ อื้อหือไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ระดับ 5 ระดับ 6 ต้องสู้หนัก ส่วนมากจะรีไทร์ในระดับ 6 ระดับ 7 นี่แหละ 

ระดับ 6 จะทำงานเป็นรูปธรรมมาก ระดับ 7 จะทำงานทางนามธรรมมาก ทางนามธรรมนี้จะนาน ระดับ 7 กว่าจะขึ้นระดับ 8 ถ้าระดับ 8 ก็แสดงผล โชว์ผล ระดับ 7 นี่ โควิดขึ้นคอ ไม่ใช่หืดหรือมะเร็งขึ้นคอนะ  นามธรรมนั้นคนเห็นยากกว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:39:52 )

การตั้งตบะ

รายละเอียด

การตั้งตบะให้เป็นรูปธรรมก็ได้นามธรรมก็ได้แต่ท่านสมณะที่ให้ตรวจสอบ คือหากตั้งเป็นนามธรรมมันก็ตรวจสอบไม่ได้ แต่ถ้าตั้งรูปธรรมก็ตรวจสอบกันได้ แต่ถ้านามธรรมมันยากก็เป็นส่วนตัว

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 10:55:45 )

การตั้งตบะ

รายละเอียด

ตบะ อาตมาแนะนำไม่ได้ทั้งหมดหรอกก็แนะนำได้ตรวจสอบเท่าที่จะเหมาะสมกับเรา เราจะตั้งตบะอย่างนี้แล้วจะได้พ้นจากการปฏิบัตินี้ อย่างไรเราก็จะต้องมีความรู้ ไม่ใช่ใครเขาตั้งตบะอะไรเราก็ดูท่าที เก๋ดี จะตั้งตามเขามันไม่เหมาะสมกับตัวเองตัวเองไม่มีความจำเป็นจะต้องไปปฏิบัติตบะอย่างนั้นเพื่อจะได้ผลอีก ดีไม่ดีมันจะเกินมันจะ Over สำหรับตัวเอง ต้องตรวจสอบเหตุและผล การตั้งตบะเป็นเหตุ ทำอย่างนี้มันจะเกิดผลอะไร เราต้องมีความเข้าใจไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวก็ตายพอดี ดูคณะแพทย์รู้อิริยาบถอาตมามากว่าคนที่อยู่ที่บ้านราชฯ เป็นเรื่องปรารถนาดีแก่กันและกัน จะได้เห็นน้ำใจ เป็นคนมีการช่วยเหลือเกื้อกูล มีความรู้ความเข้าใจจะช่วยเหลืออะไร อะไรควรช่วยกันอย่างยิ่ง เป็นเรื่องสุดวิเศษ

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 10:26:12 )

การตั้งหลักทำสิ่งที่ถูกใหม่

รายละเอียด

เหมือนกับที่พระเจ้าพิมพิสารจะทำการกรวดน้ำ พระพุทธเจ้าจะไปห้ามอย่างไร เพราะท่านไปยึดถืออย่างนั้น จะไปห้ามได้อย่างไร มันแก้ไม่ได้หรอก ท่านก็สอนเรื่องใหม่ให้รู้ซะ ผู้ที่รู้แล้วเขาก็จะลดลง อย่างอาตมาจะไปห้ามราชพิธีได้อย่างไร มันเป็นเรื่องล้มล้างไม่ได้หรอก ต้องรู้ความจริงอันนี้ แต่ต้องพูดเพราะว่ามันเป็นความผิดก็ต้องพูดว่ามันผิด มันถูกก็ต้องพูดว่ามันถูก จะไปล้มล้างได้ยังไง ก็มีแต่มาตั้งหลักทำสิ่งที่ถูกใหม่ ก็ได้เท่านี้แหละ เท่าที่ได้  ใครอยากจะมาร่วมมาทำของพระพุทธเจ้าให้บริสุทธิ์ก็มา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:54:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 05:11:56 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:52:42 )

การตายของพระอรหันต์

รายละเอียด

การตายของพระอรหันต์ คือ พระอรหันต์ทุกองค์ตายแล้วจะต้องทำจิตให้เป็นอุตุธาตุ จะเห็นว่า พระอนุรุธอ่านจิตพระพุทธเจ้าตอนตายอยู่ที่ฌานที่4 ต้องทำจิตให้เป็นอุตุนิยาม จุดสลายได้ แต่หากทำจิตเป็นพีชนิยามได้  ก็จะมาเกิดอีกแต่จะนานมาก  ต้องตามลำดับจึงน่าอัศจรรย์  อรหันต์เกิดมาจึงมีลิงลมอมข้าวพอง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก  วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 ตุลาคม 2562 ( 12:38:47 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:37:39 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:53:24 )

การตายที่สมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เพราะไม่รู้จักการตาย แต่พระพุทธเจ้าทำให้เกิดตายได้อย่างสมบูรณ์ รู้จักวิธีทำกิเลสออกให้หมดจนจบ จึงรู้ว่าจิตจริงๆนั้นไม่มีตัวตนไม่เป็นของเราของเขาไม่ใช่ มันเป็นองค์ประกอบกันอยู่เฉยๆอาศัยกันอยู่เท่านั้น แต่เพราะว่าคุณมีอุปาทาน มียางเหนียว มีตัณหา คุณจึงยึดไว้ ถ้าหากไม่มีอุปาทานไม่ยึดมันก็ไม่มีตัณหาเกิด ดับตัณหา ดับอุปาทานสิ้นเกลี้ยง ธาตุนั้นก็แยกกันหมดได้ เป็นดินน้ำไฟลม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 17:55:24 )

การตายสักวันหนึ่งเราต้องเจอ

รายละเอียด

ดี ธรรมะช่วยได้ ก็ดีแล้ว หมู่นี้รู้สึกว่า พวกเราจะพูดถึงการเกิด การตายเยอะเหมือนกันนะ ก็เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องจริงไม่ได้ประมาท เป็นเรื่องไม่ประมาท พูดถึงการเกิด การตาย แน่นอนมันต้องเจอกับเราสักวันหนึ่ง ไม่เราเอง ก็คนข้างเคียงหรือเพื่อนฝูงหรือใครก็แล้วแต่ อยู่ห่างไกลก็ตามก็ได้ข่าวเพื่อนตายก็มี ตอนนี้เพื่อนรุ่นๆอาตมาจะย่างอายุเลข 9 แล้ว เขาถือว่าคนแก่นะ แก่จริงหรือ อาตมาไม่เห็นแก่เลย เขาถือว่า คนแก่แล้ว 

ก็จะพูดถึงการตายก็เหลือไม่เท่าไหร่ รุ่นๆอาตมา สมบัติก็ยังไม่ถึง 88 สมบัติอ่อนกว่าอาตมา 4-5 ปี สุเทพเกิดปีเดียวกัน สุเทพ วงศ์กำแหงไปก่อนแล้ว แต่เจ้าน้อย สุรพล โทณะวณิก ไม่รู้หรอก ก็มันเกิดวันเดือนอะไรปีอะไร เขาบอกว่า เขาอายุมากเท่านั้นเท่านี้ เขาก็ตีตัวสูงอยู่เรื่อย แต่เขาไม่รู้หรอกว่าจริงๆวันเกิด เขาไม่รู้หรอก ไม่รู้ว่าทะเบียนจะใส่ปีอะไร แต่จริงๆไม่ตรงกับวันเกิดเขาหรอก เจ้านี่เขากำพร้า มันจรจัด ก็ไม่รู้เรื่องว่าเกิดวันอะไร เดือนอะไร เห็นได้ข่าวว่าตอนนี้ก็อยู่ติดเตียง 

ก็ระลึกถึงคนที่สนิทๆกัน ใครต่อใคร เจ้าน้อยสุรพล เก่งนะ เขาเป็นคนเก่ง มี Talent ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหา แต่ก็ได้อะไรๆมา จนกระทั่งได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ตอนนั้นทำให้กับแมกกาซีน เขียนหนังสือให้เขา ใช้นามปากกา เมฆพันวลี นามปากกาเดิมของเขา ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ ก็อยู่ไป เราก็ระลึกถึงกัน ผู้ที่รู้จักกันที่ยังอยู่ก็ระลึกถึง คนตายไปแล้วก็ตาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565  แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 11:51:55 )

การตายเป็นธรรมดาของมนุษย์

รายละเอียด

อาตมาก็เคยวิจารณ์ไปนิดหนึ่งแล้วว่า โรคนี้ทำให้เกิด nervous ทำให้เกิดโรคประสาทไปทั่วโลกเป็น psychosis เป็นโรคทางจิตที่มีมากเกินไป 1.มันมี Social Media ที่มีการสื่อสารถึงกันหมดเลย ก็เลยยิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูม 2.โรคกลัวตายมากหนัก โดยไม่เข้าใจในเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีมรณสัญญา ไม่ชัดเจนในมรณสัญญา ว่า การตายนี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ เราไม่ประมาทนี้ดี แต่ก็อย่าไปตื่นตระหนกจนเกินการณ์เกินไปมากนัก เป็นแฟชั่นที่กลายเป็นไปทั่วโลก มันเป็นเหยื่อของพวกนายทุนตอนนี้ก็ไม่ต้องทำการขายอะไรมาก ขายหน้ากากนี่แหละมีการขี้โกงด้วยมีเรื่องของการเมืองด้วย แม้แต่เรื่องผ้าปิดปากนี่ก็เลยยุ่งกันใหญ่กลายเป็นเรื่องอิทัปจยตา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:51:49 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:26:38 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:54:13 )

การตายไม่มีปัญหาเลย

รายละเอียด

ใช่ ยอมให้เขาฆ่า ดีกว่าไปฆ่าเขา ถ้าเราเข้าใจกรรมวิบากแล้ว เราไปฆ่าเขา ไม่อโหสิ ไม่จบ แต่เราเลิกฆ่าใคร ใครจะฆ่าเราก็ฆ่าไป สักวันหนึ่งเราก็หลุดพ้น ไม่มีใครมาฆ่าเราอีก หลุดพ้นเลย ลอยตัว พลังของความไม่มีตัวตน พลังของความรู้จักการเกิดการตายมันไม่มีปัญหา ตายแล้วก็เกิด ยิ่งเกิดเจริญ เกิดเจริญ ตายโดยไม่มีโลภโกรธหลง ตายโดยไม่มีตัวตนสุดยอด การตายไม่มีปัญหาเลย เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต เป็นคนแล้วรู้จักดีศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วรู้จักตายก็ตาย ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนเรื่องปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้จบแล้ว เป็นอมตบุคคลหรือเป็นพระอรหันต์ เป็นอนุปคัมมะ รู้ว่าตายแล้วเลิกเลย ทำตนปรินิพพานปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามของเราเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ดังที่ได้อธิบายมาจนครบหมดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์  วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565  ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 มกราคม 2566 ( 12:11:13 )

การตำหนิ

รายละเอียด

การตำหนิ นี้ตำหนิด้วยใจอุตสาหะวิริยะพากเพียรมีเมตตาทำเพื่อให้เลิกออกมา ต้องตีแล้วตีอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีกตามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะว่าทำให้คำสอนพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนอย่างไม่แก้ไขอีก  จึงต้องพูดตำหนิอยู่นั่นแหละ ไม่ได้แก้ไขกันเลยมันหนักหนา จึงต้องทำเป็นความจำเป็นและความสำคัญที่ต้องทำตามความเป็นจริงตามเหตุผลตามสิ่งที่ควรทำ ต้องตำหนิ โดยเฉพาะเรื่องหลับตานี้ทำลายศาสนาพุทธไปมากแล้วขอยืนยัน ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธตั้งแต่พระสูตรเล่มที่ 1 ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร ก็ตีทิ้งหลับตา เพราะมีแค่อดีต 18 อนาคต 44 ต้องไปทำที่ทิฏฐธรรม

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 10:17:52 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:43:57 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:25:39 )

การตำหนิ

รายละเอียด

อโศกนี้ยินดีให้ตำหนิได้เลย ถ้าไม่ตำหนินี้สิว่าเลย คุณเดาผิดที่ว่าชาวอโศกจะไม่พอใจ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเราจะตำหนิแล้วตำหนิอีก

อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่ 

อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด

อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

(พุทธพจน์จาก พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 356)

แต่คุณฟังมาก็เพื่อทำนาคนอื่นไม่ได้ทำนาตนเอง พลังงานไปดูกิเลสตนเองก็เลยไม่พอ

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 16:13:37 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 05:12:35 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:27:13 )

การตำหนิ หรือ ด่า

รายละเอียด

คือ ด่าคือด้วยกิเลส ด่าออกไปด้วยความไม่ชอบใจออกไปอย่างที่มีกิเลส คือด่าแท้ๆ แต่คำด่าที่เป็นการตำหนิผู้ที่ควรถูกตำหนิเขามีความบกพร่อง เขามีความผิดแล้วก็เลยถูกตำหนินี้ กระแทกเข้าไปกระทบตัวผู้ไม่ดีให้เขารู้สึกตัว มันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ พ่อแม่ด่าลูกหรือตำหนิลูก ถ้ามันแรงหยาบหน่อยก็เรียกว่าด่า ถ้ามันไม่แรงก็เรียกว่าแค่ตำหนิ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:02:24 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:42 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:55:05 )

การตำหนิกับการด่าต่างกัน

รายละเอียด

อาตมาทำ ปฏิกโกสนาตลอดมา แต่ไม่ทำอักโกสะ แต่อาตมากล่าวตำหนิ แต่ถ้ากล่าวตำหนิอย่างมีกิเลส หรือแม้จะกล่าวเรียบๆเพราะๆก็ตาม แต่มีกิเลสก็ไปร่วมนั่นคือการด่า การตำหนิกับการด่าต่างกัน การติเตียนมีกุศลจิตได้ด้วย  นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ชมคนที่ควรชม 

อย่างเช่นอาตมาจะตำหนิชาวพุทธเมืองไทย ที่ปฏิบัติผิดอาตมาก็ตำหนิ ศาสนาอื่นเขาไม่เหมือน ถ้าจะพูดมิจฉาทิฏฐิศาสนาอื่นก็ต้องมิจฉาทิฏฐิจากศาสนาพุทธไปตั้งเยอะ อาตมาก็ไม่เห็นจะไปตั้งหน้าตั้งตาตำหนิ อาตมาก็ตำหนิในพวกเดียวกันหมู่เดียวกันเห็นว่าเป็นสังวาสเดียวกัน เป็นพุทธศาสนาร่วมกัน แม้จะเป็นนานาสังวาส ก็ให้ปฏิกโกสนาเต็มที่ แต่อย่าให้ถึง อักโกสะ หรือ อธิกรณ์​ อย่าถึงขั้นฟ้องร้องกันจะเป็นอาบัติ แต่ถ้าเถรสมาคมมาฟ้องร้องอาตมานั้นเป็นอาบัติ จะเป็นฝ่ายน้อยฟ้องฝ่ายใหญ่หรือว่าฝ่ายใหญ่ฟ้องฝ่ายน้อยก็เป็นอาบัติ นี่คือพระวินัย ที่พูดไปไม่ได้หมายความว่าทำเท่ห์ แต่เถรสมาคมนั้นบื้อกับธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอีกเยอะ พูดไปไม่ได้หมายความว่าไม่เคารพ แต่พูดด้วยความเคารพที่เป็นองค์กรหลักของประเทศไทย อาตมาก็ต้องเคารพด้วยสมมติสัจจะเป็นธรรมดา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 19:18:42 )

การตำหนิคือการเพิ่มผงชูรสให้เรายิ่งต้องพิสูจน์ความจริง

รายละเอียด

แพ้ยอม นี้เป็นใจของโพธิสัตว์จริงๆ นี้ก็ไม่มีปัญหา แพ้ได้ ยอมได้ โพธิสัตว์นี้ แพ้ก็แพ้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้เสียหน้าเสียตา ใครจะบอกเสียหน้า เสียศักดิ์เสียศรีอะไร ก็ไม่มีปัญหา แพ้ก็แพ้สิ แม้เราถูกต้องด้วยซ้ำไป เราไม่ได้เป็นผู้ผิดเลย แต่เราถูกตัดสินให้เป็นผู้แพ้ ด้วยความรวมของหมู่สังคมก็ตาม ด้วยผู้มีอำนาจตัดสินให้เราแพ้ก็ตาม อาตมาเจอมาแล้วนะ ได้รับผลอันนี้แล้ว ก็แพ้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราท้อถอยในเรื่องที่จะทำสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เป็นธรรมะดีงาม หรือทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติอยู่ ไม่ได้ลด กลับยิ่งทำให้เป็นการเพิ่ม 

ใช้สำนวนโลกๆ ว่า เพิ่มผงชูรส ยิ่งทำให้เหมือนเพิ่มผงชูรสให้เรานี่ ให้เรายิ่งต้องพิสูจน์ความจริง แม้เราจะแพ้ แต่เราไม่ได้เป็นผู้ผิด ทำให้เป็นกระจกเงาซ้อนให้เห็นไปอีกว่า ผู้ผิดที่มาจัดการกับเรานั่นต่างหาก ที่ควรจะรู้ตัว ควรจะเห็นตัวเอง ควรจะรู้ตัวเอง ควรจะจัดการกับตัวเอง ไม่ใช่มาเล่นงานเรา ท่านผิดนะ อันนี้อาตมาเป็นจริงเลยในชีวิตชาตินี้ในเรื่องนี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้แล้วก็มา จะเรียกว่าอะไร มันไม่ใช่แค่ตำหนิ อาตมาไม่ใช่แค่ถูกตำหนิ แค่ถูกปราบปรามเลย ถูกจัดการเลย เพราะฉะนั้นยิ่งมาทำถึงขั้นจัดการปราบปรามเลย น้ำหนักของกรรมวิบาก มันจะมากขนาดไหน นี่เป็นสัจจะ ไม่ใช่ไปขู่ อาตมาว่าไม่ได้ไปขู่ ไปข่ม ไปว่าให้ท่านกลัวหรือใครกลัวก็แล้วแต่ ไม่ใช่ นี่คืออธิบายสัจจะความจริงเป็นเช่นนั้น 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ  ครั้งที่ 41 วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:53:23 )

การตำหนิที่เป็นกุศล

รายละเอียด

การตำหนิที่เป็นกุศล  คือ เรื่องการตำหนิเป็นเรื่องที่มีในมนุษยชาติ  สำคัญอยู่ที่จิตใจมีอคติมีอกุศลหรือไม่  ถ้าหากมีการตำหนิติเตียน  ด้วยจิตไม่มีอกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่เบียดเบียน  แต่จิตเจตนาตำหนิติเตียนด้วยจิตบริสุทธิ์  แสดงความเห็น  หากภาษาที่ใช้แรงหยาบก็ต้องใช้  บางทีคนก็ไปแปลว่า ด่าว่า ก็เป็นไปตามลักษณะแสดงออกอยู่ที่คนไม่ติดใจ  คนที่ติดใจ  ว่าใครติใครไม่ได้  คนนั้นเป็นคนมีอัตตา  พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าการตำหนินั้น  ถ้าหากตำหนิด้วยจิตบริสุทธิ์ไม่มีปัญหาอะไร  ตำหนิผิดก็ได้คนที่ไม่รู้  ตำหนิถูกก็ได้ ถ้าหากว่า ตำหนิผิดก็เป็นประโยชน์ การตำหนิที่ถูกก็เป็นประโยชน์ไม่มีปัญหาอะไร  ข้อสำคัญการตำหนินั้นคนที่ได้รับการตำหนิมีอัตตา หากมีอัตตาก็ต่อต้านย้อนแย้งไม่ให้ทำ  แต่คนไม่มีอัตตาแล้วตำหนิไปเลย สมณะโพธิรักษ์ไม่เคยกลัวการตำหนิ  เขาตำหนิผิดเราก็แก้บอกไปว่าไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า  แต่เราเป็นอย่างไรเราก็บอก  ซึ่งเขาไม่อยากให้พูดด้วยซ้ำ  อย่างว่าเป็นอรหันต์เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2562 ( 16:44:03 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:48:01 )

การตำหนินั้นพาให้เจริญ

รายละเอียด

วันจันทร์เดือน 7 ขึ้น 11 ค่ำวันที่ 1 มิถุนายน  รู้สึกว่ารายการสำมะปี๋นี่ปัญหาก็ลดลงๆ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจมากขึ้นปัญหาลดลง สักวันหนึ่งก็น่าจะหยุดได้ เพราะทุกคนเข้าใจรอบถ้วนหมดปัญหาแล้ว อาตมาไม่เคยใส่ยาเบื่อ คุณจะฟังอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อหรอก แต่ขาดไม่ได้นี่ชักจะติดแล้ว ไม่หยุด จะทำไง อาตมาก็ไม่หยุดที่จะพูดถึงเรื่องไม่ดีของคน อาตมาเข้าใจ อาตมามีความรู้ที่ถูกต้องด้วยว่า อาตมาว่าความผิดของคนตำหนิความผิดของคนมันเป็นสิ่งที่ดีงาม พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าความชมนี้ทำให้ซวย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็คำสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นส่วนน้อย ต่ำช้า นิดหน่อย ลามก สกปรก ต่ำต้อย จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้น เป็นของน้อย มุมดีนิดหน่อย กว่าจะหามาได้สักมุม แล้วจะเอาอะไรกันนักกันหนา มีความดีนิดหน่อยเท่านั้น แต่สิ่งที่มันไม่ดีมันทำลาย ต้องรีบ เหมือนกับคนที่มีไฟร้อนไหม้อยู่บนหัว ต้องรีบจัดการดับไฟบนหัวให้เสร็จ อย่างนั้นต่างหาก เพราะฉะนั้นพยายามที่จะตำหนิ อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปกลัวคนตำหนิ การตำหนินั้นพาให้เจริญ เพราะฉะนั้นโชคดีแล้วที่ธรรมกายถูกตำหนิและได้รับคำตำหนิ เพราะตนเองนั้น น่าจะต้องถูกตำหนิอย่างแรงอย่างมากด้วย แล้วก็มีคนตำหนิให้นั้นเป็นกุศลอย่างยิ่งแล้ว ไม่ใช่เรื่องไม่ดีเลย อย่ามองสิ่งที่มันดีๆๆ แล้วไปมองว่าเป็นเรื่องย่อยเรื่องเสีย ขอเตือนคุณ 9309 ให้คุณมองให้ดีพิจารณาให้ดี ขออภัยที่พูดไปนี้พูดความจริง อย่าหาว่าอาตมาบังอาจสอนพูดเลย เป็นเรื่องดี 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 10:10:05 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 05:16:10 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:55:54 )

การตำหนินี่แหละจะพาเจริญ

รายละเอียด

ยกย่อง ผู้รู้จะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ไม่มีหยุดด้วยคำตำหนิ แต่สรรเสริญ ไม่เพียงพอให้ลดละหนายคลาย มีแต่การตำหนินี่แหละจะพาเจริญ เพราะการตำหนิเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญยกย่อง ส่วนการชมเชยสรรเสริญเป็นการน่าตำหนิไม่ใช่ยกย่อง มันกลับกันอย่างนี้สัจธรรม ทุกวันนี้ไปสงสัยจะทำคนละขั้วเอาหัวไปหางเอาหางกลายเป็นหัวไปหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:37:22 )

การตำหนิสิ่งที่ผิดมันเป็นสัจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

รายละเอียด

ที่เขาไม่ว่าเพราะเขาไม่มีปัญญาจะว่า หรือไม่มีความรู้จะว่าหรือแม้แต่ มีความรู้สึกว่าแต่เขาไม่กล้าจะว่าเพราะเขาไม่มีความรักในสัจธรรม อาตมารักในสัจธรรมที่ต้องว่าคนอื่นก็เพราะว่า สัจธรรมนี้เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า คุณก็ถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้าแต่คุณไปอธิบายผิด คนพากันไปปฏิบัติผิดอาตมาก็ว่ามันไม่ดี ไม่ดีต่อคนไม่ดีต่อศาสนาไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า อาตมาก็ต้องมาแก้ไข ว่ามันผิดนะอย่างนั้นมันไม่ดี ไม่ดีต่อคุณเองไม่ดีต่อศาสนาไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า เพราะมันผิด อาตมาก็ต้องมาแก้ไข เพราะฉะนั้นการตำหนิสิ่งที่ผิด มันเป็นสัจจะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องตำหนิ เพราะเมื่อยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ธรรมะหรือว่าจากพระไตรปิฎกอันเดียวกัน เป็นหลักเกณฑ์ข้อนี้ข้อนี้ข้อนั้นเดียวกัน แต่คุณเข้าใจผิดไปอีกอย่างหนึ่งเราเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งแล้วบอกว่าอันนั้นผิดก็ต้องขัดแย้งยืนยันกันใครจะอธิบายได้ หรือใครจะอธิบายแล้วมีผู้ที่เห็นดีด้วยมาปฏิบัติด้วยได้ผลด้วยมีหลักฐานยืนยัน ก็เอาสิ่งอย่างนี้แหละมาเป็นองค์ประกอบทั้งหมด ซึ่งอาตมาก็มั่นใจในอันนี้ มีทั้งความรู้มีทั้งการสาธยายมีทั้งหลักฐานอ้างอิง มีทั้งผู้นำไปปฏิบัติแล้วบรรลุผลนั้นๆ ถ้ายิ่งสุดไปกว่านั้น บรรลุแล้วจิตของคุณเป็นอย่างไรบ้างรู้แล้วคือได้แล้วสบายแล้วไม่ต้องไปปฏิบัติอีก เป็นอย่างนี้ไปจนตาย สิ่งที่บรรลุนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ต้องใช้เวลาพิสูจน์ อาตมาถึงจะอยู่ในชีวิตอยู่นานๆเพื่อพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ จะดูซิว่าสิ่งเหล่านี้อาตมาเห็นพวกคุณ ก็แค่ 40-50 ปีเอง มันจะจริงหรือ ก็อยากจะอยู่ต่อไปอีกขออีก 40-50 ปี ถ้าพวกคุณยังยืนยันไปอีก 40-50 ปีก็มั่นใจจะได้อีก ถ้ายิ่งอยู่ต่อไปอีกก็จะยิ่งมั่นใจไปกว่านั้นอีกใช่ไหม เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเป็นเรื่องที่ยาก เป็นไปได้ยากยืนยันศึกษาพิสูจน์กันไม่ใช่ง่ายๆ แต่มันก็เป็นได้ แล้วสิ่งที่เป็นได้แล้วนี้ไม่ทุกข์ มันไม่ลำบาก มันเบาสบายซึ่งมันเป็นโลกุตระ มันเป็นสิริมหามายา โสตะ ทวนกระแสกัน เราอยู่อย่างสบายแต่คุณเห็นว่าไม่สบายมันตรงกันข้ามกันจริงๆ แล้วในความสบายของเรามันไม่ไปเบียดเบียนใคร มันไม่เป็นภาระใคร แล้วมันเอื้อเฟื้อเจือจานต่อกันกับคนอื่นอีกด้วย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 17:15:54 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:00:28 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:45:53 )

การตำหนิอย่างแรง

รายละเอียด

คือ เป็นจิตที่ไม่หวังร้ายเลย  แต่ต้องการให้เขาได้ดีต้องการให้เขาแก้ไขสิ่งที่ชั่ว  อยากจะให้เขาเกิด อัญญธาตุ  พูดตอกแรงจนไปจุดชนวน สันดาปทำได้แรงถึงที่ Critical point จุดชวาล  จุดเปลี่ยนสถานะจากของแข็ง  เป็นของเหลว  เป็นก๊าซจากความร้อนไปเป็นเปลวจากความเย็นเป็นความเดือดเป็นจุดเปลี่ยนแปลง เสร็จแล้วมีความเอ็นดู  มีน้ำใจ  เป็นคนรักใคร่ยินดี  มีความกรุณา  ความเอ็นดูนี้ละเอียดกว่าเมตตาลึกลงไป เมตตาก็เชิงหนึ่ง  เป็นผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่  ความเอ็นดูนี้ผู้ใหญ่ต่อเด็ก มีความกรุณา คือ การกระทำ  ลงมือช่วยเลย  หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 13:54:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:17 )

การตำหนิเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องดีมาก

รายละเอียด

การตำหนิเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องดีมากอาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้อยู่กับการตำหนิคนอื่นเขา แล้วเขาก็ต้องมีอาตมา อาตมาก็เข้าใจอย่างที่พูดไปแล้วอาตมาไม่เคยโทสะไม่เคยโกรธเคือง ในเรื่องที่คนมาตำหนิ เรื่องคนมาด่า ตำหนิแรงหยาบคือด่า ด่าอย่างมีความโกรธ อย่างสาดเสียเทเสียตำหนิทิ้งขว้าง เพื่อที่จะย่ำยีเขาเท่านั้นอันนี้ก็จะมี ก็แล้วไป เราก็ดูว่า คนนี้เขาเข้าใจไม่ได้เลยเขาแรงตอนนี้อย่างสาดเสียเทเสียแสดงว่า อันนี้ทีหลังก็ระมัดระวังคนนี้เพราะว่ามันไม่เป็นประโยชน์ทำให้เขาโกรธแรงจนหน้ามืด ไม่ได้ยั้งคิด สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โทสะขึ้นแรงมันไม่ดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:59:30 )

การติดภพที่ลดลงมาอยู่กับเขาแต่เข้าใจเขา

รายละเอียด

 การไปติดภพคนนั้นคนนี้กับคนอื่นเขาร่วมอยู่ภายนอก ยังเป็นการติดภพ ถ้ามันติดไปเลยเถิดไปไกลจากคนอื่นเลยมันก็อาการหนัก แต่นี่หากเราติดภพลดภพ เช่น ลดอบายมุข ก็ลดภพชาติลดลงมาๆ แต่การไปร่วมกับข้างนอกเขาแล้วเราก็ลดลงได้ เห็นเหมือนอย่างเขารู้เหมือนอย่างเขา แต่ในเวทนาในจิตของเรามันไม่มีความรู้สึกอร่อย ไม่มีความรู้สึกที่จะต้องยินดีอะไรเลยกับเขา รู้ เขาสมมุติว่าอย่างนี้สนุกอย่างนี้ไพเราะอย่างนี้อร่อย เป็นที่เพลิดเพลิน อะไรก็เข้าใจ มันเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่ไปเพลินไม่มีอารมณ์อย่างเขา ไม่ไปติดยึด เราวางได้ ก็คือ เข้าใจเขาคือเขาเราคือเรา เข้าใจเขาเข้าใจเรา เราก็รู้ว่าเขาติดอยู่ เราไม่ได้เกลียดชังเขาก็เข้าใจว่าเขาก็ยังติดอยู่ หากว่าเราสามารถมีโอกาสให้เขาเลิกติดเลิกรสอร่อยอย่างที่เราทำได้ ถ้าสามารถโปรดเขาได้ก็ทำ ถ้าไม่สามารถเรารู้ว่าอย่างนี้อยู่ในฐานะที่เราจะช่วยเขาไม่ได้ เราก็ทำในสิ่งที่เราจะสามารถช่วยคนอื่นได้เราทำในสิ่งที่ทำได้อีกเยอะแยะอยู่ในสังคม หยาบ กลาง ละเอียด อยู่ใกล้ อยู่ไกลกันมีเยอะแยะไปก็ค่อยๆทำ  

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 09:53:39 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 05:17:28 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:56:54 )

การติดรสสุขเป็นกรรมวิบากเป็นภพชาติที่สละไม่ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่จบ คุณก็จะมีกรรมวิบาก โพธิสัตว์จะรู้กรรมวิบากดีเป็นสัมภารวิบากให้ศึกษาไป อีกกี่ภพอีกกี่ชาติจนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่จะรู้ยิ่งกว่านี้แล้วในมหาจักรวาล ในมนุษย์ ในสัตว์ทั้งหลายในความเป็นชีวะทั้งอุตุทั้งพีชะ ทั้งจิต ด้วยกรรมด้วยธรรมะ 

มันจะหมุนเวียนเกิดอยู่จากธรรมชาติที่คุณจะปฏิบัติด้วยกรรม จะอยู่หรือสลายไปด้วยกรรม นี่คือสูงสุดแห่งสูงสุด เพราะฉะนั้นเรื่องติดรสเป็นสุขอยู่นี่ ยิ่งใหญ่มากเลยแต่คนไม่รู้ คำว่า รส คำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ลิ้น อย่างเดียวนะ รูปก็รส กลิ่นก็รส เสียงก็รส รสทั้งน้้นแหละ เห็นทางตาก็รส สัมผัสทางกาย รส มันเป็นรสชาติ 

แล้วไม่รู้จักรสชาติพวกนี้ว่ามันคือ เวทนา อ้างต่อไปอีก จนเรียนรู้ว่าเหตุที่ทำให้โง่เง่าเวียนวน หากเราเป็นอรหันต์แล้วจะมีหลักประกัน จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นของจิตวิญญาณ มาเรียนรู้อาหารมังสวิรัติ โภชเนมัตตัญญุตานี่แหละจะรู้จักทั้งผัสสะทั้งเจตนา ทั้งวิญญาณ อาหาร 4 แล้วสลายวิญญาณไป ถ้ารู้เป็นวิชชาหมดแล้ว สลายภพสลายชาติจบเลย มันเป็นการเรียนรู้เรื่องกินอาหารนี่แหละ ฟังอาตมาอธิบายไปเรื่อยๆแล้วจะเกิดความเข้าใจจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 ตุลาคม 2565 ( 10:35:36 )

การติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของอาจารย์สายหลับตา

รายละเอียด

อันนี้ก็จริงๆ คนที่เขากินด้วยการติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้นก็สุขสำราญจริงๆ อย่างเช่นมหาบัวเคี้ยวหมากทั้งวันก็สุขสำราญโดยไม่ได้รู้ว่าตัวเองติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างแกะไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ไม่ประสีประสาเหมือนอย่างเด็กๆ แล้วก็แค่นี้ โต้งๆเห็นชัดอยู่อย่างนี้ก็ยังเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ออกอยู่ว่า มหาบัว โถ!..โสดาบันยังไม่ได้เลย แล้วจะเป็นอรหันต์ยังไง มันก็น่าสงสาร งมงายกันไปหลงอรหันต์เก๊กัน ขออภัยที่ต้องพูดความจริงที่พูดไปไม่ได้ไปข่ม ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนอะไรหรอก แต่เป็นความจริงอธิบายธรรมะวิชาการความที่เป็นสัจจะ สู่ผู้ติดตามฟังศึกษา ต้องการศึกษาจริงๆ จะได้เรียนรู้ความจริงจะได้รู้ จะได้ไม่หลงงมงายจมอยู่กับสิ่งที่มันไม่ใช่ ไปหลงอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์จริง ไปหลงผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ แม้แต่แค่ตื้นๆ ติดอยู่แค่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยังไม่ได้  

ขออธิบายธรรมะเพิ่มเติม มหาบัวมีความเข้าใจ เรื่องกามคุณ เข้าใจแค่ว่าไม่มีผัวไม่มีเมีย ตัวเองก็นึกว่าตัวเองบรรลุแล้ว เพราะตัวเองไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีคู่ ก็นึกว่าตัวเองบรรลุเรื่องกามแล้ว จากนั้นไม่รู้เรื่องเลย ติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เต็มบ้องจนตาย ไม่ได้สูงไปกว่านั้นเลย 

เข้าใจกามก็ไม่ครบ นึกว่ากามแค่ไม่มีคู่ผัวเมีย และตัวเองก็ไม่มี นึกว่าตัวเองบรรลุกาม บรรลุในรูปภพ อรูปภพแล้วเพราะนั่งสมาธิ เข้าไปดับกิเลสภายในก็นึกว่าดับ ภวตัณหา กามตัณหา ไม่รู้แล้วไม่มีเมีย ไปถึงรูปภพอรูปภพ ก็แค่นั่งหลับได้สะกดจิตให้ดับบรรลุอรหันต์ตายเป็นตาย ดับเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติ แล้วก็หลงว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ ดับกิเลสรูปภพ ตัณหาทางรูป อรูปได้หมดแล้วด้วยการสะกด ไม่ได้เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เลย 

มันยังไกลห่างความเป็นพุทธมหาศาล ฉะนั้นความเสื่อมของศาสนาพุทธที่ไปหลงเข้าใจอย่างนั้นว่าคือทางปฏิบัติ ไปยึดเดียรถีย์ปฏิปทา มันก็เป็นความเสื่อมชัดเจนในศาสนาพุทธทุกวันนี้

อาตมาพูดไปด้วยความสงสาร ท่านที่หลับตาทั้งหลายแหล่อยู่เต็มไปหมด หรือแม้แต่จะมาศึกษาทางปริยัติ จบมหาวิทยาลัย ปริญญาเอกอะไรก็ตาม จบเปรียญ 9 ประโยค ก็ยังเชื่อว่านั่งหลับตาอยู่นั่นแหละ ว่าเป็นทางที่จะบรรลุธรรมซึ่งก็น่าสงสารทั้งพระป่าและพระบ้านที่ยังเข้าใจมิจฉาทิฏฐิ นี่ก็พูดความจริง ใครจะฟังแล้วชัดเจนแล้วก็จะเลิกละเสียเวลา มาศึกษาที่อาตมานำพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้ามาสาธยายกันตลอดเวลา พยายามศึกษาดีๆ อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้มาอวดดิบอวดดี ไม่ได้อวดตัวอวดตนอะไร มาพูดสัจธรรม มาบอกสัจธรรม แล้วก็นำธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เอามาสถาปนาลงไปให้ได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2565 ( 09:19:34 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์