คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
คุณไปจดลิขสิทธิ์ของคุณไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณไปนิยามของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่บอกมา อาตมาว่า อาตมาไม่เอาเหมือนคุณหรอกของอาตมาหรือของอโศกไม่เหมือนของคุณหรอก ที่พูดอย่างนี้ก็ชัดเจนว่าของคุณกับของอโศกไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันไม่ขัดแย้งกันแล้ว คุณเข้าใจอโศกไม่ได้ แต่อโศกก็เข้าใจคุณได้ว่าคุณนิยามของคุณไว้เหมือนกัน ส่วนนิยามของอาตมา อาตมานิยามเองไม่ต้องให้ใครมานิยามให้
อาตมาพยายามอธิบายคำว่าประชาธิปไตยที่เป็นความหมายของพระพุทธเจ้าอย่างไรก็คือคำว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อประโยชน์ของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
สภาวะความหมาย 3 อย่างนี้หมายถึงประชาธิปไตยเต็มตัวแล้วโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย แต่เป็นการรับใช้ประชาชน พหุชนคือมวลประชาชน ทำประโยชน์ให้แก่มวลประชาชน ทำให้มวลประชาชนมีสุข
โลกานุกัมปายะ ช่วยเหลือรับใช้โลก อย่าว่าแต่ประชาชนเลย แต่รวมทั้งวัตถุและมนุษย์รวมทั้งหมดเรียกว่าโลก หากเอาพหุชนะคือเอาที่ประชาชน โลกานุกัมปายะ เอาทั้งประชาชน ส้มโอ มะละกอ กล้วย รวมทั้งดินน้ำลมไฟหมดพระพุทธเจ้าเข้าใจหมดทั้งอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม โดยจัดการกรรม ให้เป็นธรรมะ
ธรรมนิยามนี้รวมไว้หมดแล้วทั้งมหาเอกภพ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561ที่บ้านราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ความเห็นต่างช่วยสร้างปัญญา
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:57:49 )
รายละเอียด
1. อุตุนิยาม เป็นส่วนของรูป
2. พีชะนิยาม เป็นส่วนของ รูป สัญญา สังขาร
3. จิตนิยาม เป็นส่วนของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
4. กรรมนิยาม เป็นส่วนที่เกิดจาก จิต พีชะ และอุตุ ทำให้เกิดการสังขารและกระทำออกมาทางกาย วาจา และใจ สั่งสมลงเป็นวิบาก
5. ธรรมนิยาม เป็นธาตุรู้ ธาตุปัญญา
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 18 กันยายน 2562 ( 17:23:23 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:15:16 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:21:26 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:20:48 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:59:05 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจที่พวกเราทำอยู่นี้เป็นคนใช้น้อย แต่สร้างได้มาก สะพัดได้มาก คงคลังก็เอาไว้น้อย ไม่สะสมคงคลังมากไม่นิยม สะพัดได้มีคงคลังที่พอเหมาะ ตามฐานานุฐานะ เราจะให้ประโยชน์แก่คนอื่นเพราะมีปัญญารู้จริงๆว่า ถ้าเรากักตุนไว้มากๆ คนอื่นก็ขาดแคลนใช่ไหม ตามหลักเศรษฐกิจ ของที่มีจำนวนจำกัดในประชาชนแบ่งแจกกันให้ได้ใช้สอยเสมอภาคกันทั่วถึง นี่คือนิยามภาษาคำว่าเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐกิจของสังคมมนุษยชาติ เท่านี้แหละ เศรษฐศาสตร์ นิยามสั้นๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 17:31:11 )
รายละเอียด
อาตมาเขียนเรื่องพระเจ้า บรรยายจิตเจตสิกรูปนิพพานทั้งหลายเหล่านี้ ความรู้ธรรมะเหล่านี้ ก็ วิจารณ์พระเจ้า แล้วก็พยายามทำให้คนเข้าใจ อาตมาระมัดระวังมากพวกสายที่บูชาพระเจ้ายกย่องพระเจ้า เขาจะหาว่าเราไปข่มพระเจ้าไปทำลายพระเจ้าเขามันก็เลี่ยงไม่ค่อยได้ สักวันหนึ่งคงเจอคดีนี้ เขาคงมายิงใส่สักวัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงมันเลี่ยงไม่ได้ เราต้องพูดความจริง
เป็นเรื่องยากที่กว่าจะรู้ว่าเราเป็นอัตตา ที่จริงมันเป็นสังขารปรุงแต่งมันเป็นอนัตตาทั้งนั้น เราไปหลงยึดถือปรุงแต่ง จนกลายเป็นเรื่องตัวกูของกู เป็นเรื่องแย่งชิงอยู่ในโลกนี้ เป็นตัวละครบุพเพสันนิวาส ไม่ใช่แค่ 2 แต่เป็น 3 4 5 6 เป็นล้านภาคแล้ว ไม่รู้กี่ล้านภาคแล้ว แต่มันก็จริงมันจะเกิดวนเวียนไปอยู่อย่างนั้นเป็นนิยายของโลก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่องของวิบากทั้งสิ้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 12:49:25 )
รายละเอียด
อาตมาเกิดมาก็อยากเป็นนักประพันธ์เขียนให้มันพิสดารแปลกๆกันเยอะ แต่เขียนแล้วมันเป็นเชิงคุณธรรม เขียนแล้วคนไม่เข้าใจ มันเป็นโลกุตรธรรม มันเป็นนิยายโลกุตรธรรม คนก็เข้าใจไม่ได้ส่งไปที่ไหนเขาก็ไม่ค่อยลง ลงบ้างก็ไม่มากแต่เขียนจังเลย ดีไม่ดีส่งประกวดแล้วมันจะได้รางวัลอะไรเพราะกรรมการเขาไม่มีปัญญาจะรู้โลกุตรธรรม มันก็สมน้ำหน้าอยากได้รางวัลจะไปได้อย่างไร เขียนไปให้เขาไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่ได้เขียนอย่างโลกๆ เขียนอย่างไรเขียนอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:43:10 )
รายละเอียด
ไม่
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 236
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:09:52 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:27:35 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:58:45 )
รายละเอียด
ภายในสิ่งที่ถูกรู้กับธาตุรู้เป็นนิรมาณกาย กำหนดเองอยู่ในอดีต กับอนาคตในภพภวังค์ ไม่ได้ออกมาอยู่ข้างนอกที่เป็น กามภพเป็นองค์รวม รูปภพ อรูปภพ ของคุณ แต่ละคนก็ นิรมาณกายเอาเองสร้างขึ้นมา แล้วเอามายืนยันกับคนอื่น ขณะที่มีอยู่นั้น ก็ยืนยันกับคนอื่นไม่ได้ แต่เขาบอกกันว่า ส่งให้คนอื่นที่รับได้ตรงกัน ก็มีที่เล่นฤทธิ์เดชตรงกัน
นิรมาณกาย คือ การที่สร้างขึ้นมาเอง จริงหรือไม่จริง ก็ไม่รู้ แต่คุณมีได้ ยิ่งหลงว่าเป็นจริง ก็สร้างจริง เช่น รสอร่อย คุณดื่มน้ำอันนี้มีรสหวาน มัน เค็ม อร่อย จังเลย รสหวาน มัน เค็ม ก็เป็นธาตุแท้ หวานอย่างนี้ ขนาดนี้ก็เป็นรสแท้ของมัน แต่อร่อยนี่ไม่ใช่ตัวแท้ มันไม่ใช่เวทนาแท้ เวทนาแท้ คือ หวานอย่างนั้น ๆ คนอื่น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ร้อยพันหมื่นแสน มาแตะรับรสดู ก็จะได้รสเดียวกัน หากประสาทปกติ ก็ได้รับรสอันนี้เท่ากันเหมือนกันหมด มันคือของแท้ แต่คนที่ชอบ ไม่ชอบ อร่อย และไม่อร่อย อันนี้ต่างหาก ที่เป็นรสเก๊ มันรสไม่จริง นี่คือความละเอียดเพราะฉะนั้นจะยืนยันก็ต้องมีคนรับรองกันว่า มาแตะด้วยกันรสนี้ ชิมดู ตรงกัน จึงถือว่าอันนี้เป็นสัจจะ มีปัจจุบัน คนอื่นร่วมรับรู้ สัมผัสได้ด้วย แต่หากคุณสัมผัสอยู่คนเดียว แต่ละคน สัมผัสอยู่คนเดียว แล้วเอามาพูดกัน ต่างคนก็เป็น สัมโภคกาย แต่ต่างคนต่างมีนิรมาณกายทั้งหมด เป็นอาทิสมานกาย คือไม่ได้เห็นด้วยกันเลย แต่หากว่าสัมผัสภายนอกร่วมกันก็สัมผัสเดียวกันหมด แต่ภายในจิตของคุณ ต่างคนต่างปั้น คุณก็บอกอร่อย ไม่อร่อย รวมกัน เป็นอย่างไร คุณก็พูดกันไป แต่ต่างคน ต่างไม่เห็นของแท้ที่สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็น ปัจจุบันสัมผัสไม่มีนี่แหละ คือความเป็นปัจจุบันที่เป็นทิฏฐิกาละที่ต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก แสงสว่างทุกคนมีการสัมผัสทวารทั้ง5 เหมือนกัน ข้างนอกมี5 ทวาร จักขุ โสต ฌาน ชิวหา โผฎฐัพพะ
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 19:40:44 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:24:15 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:58:26 )
รายละเอียด
ได้โดยง่ายในที่มืด คือมิจฉาฌาน แต่นี่ ได้โดยง่ายในที่สว่าง คนอื่นก็รับได้ แต่อันนั้นในที่ลับ เป็น อทิสมาณกาย คุณเห็นในที่ลี้ลับมาแล้วมาพูด เหมือนตาบอดสอดตาเห็น ตาบอดชวนกันสองคน สามคน ร้อยคน บอกว่า ท้องฟ้าสวยจริงๆนะ สีฟ้าด้วยนะ เออๆๆ ตาบอดสอดตาเห็น ที่จริงแล้วมันไม่เห็นหรอก แต่มันเห็นร่วมกันเป็นอุปาทานหมู่ แล้วมันมีจริงในโลกนี้ อุปาทานหมู่ มีเยอะไป ตาบอดแต่กำเนิดแล้วมาชมท้องฟ้าสวย แล้วก็บอกว่าสวยไหม สวย มะเหงกเขกหัวเอา มันไม่มีก็บอกว่ามันมี คือ อทิสมาณกาย ไม่เห็นหรอก แต่อุปาทานหมู่ สัมโภคกาย ต่างคนต่างเนรมิตขึ้นมาเองทั้งนั้น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย นี่คือ กาย 3 ที่มีในพวกหลับตา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กันยายน 2565 ( 14:13:54 )
รายละเอียด
นิรมาณกายคือ เนรมิตเอาเอง ของใครของมันไม่ตรงกันนะ แต่มันละเอียดนึกว่าเหมือนเหมือนกัน จริงๆแล้วมันต่างกันนะ แต่เขาไม่มีความละเอียดที่จะไปรู้ว่ามันต่างกัน เขาก็เลยนึกว่าเหมือนกันได้แต่โครงสร้างเหมือนๆกัน ก็เรียกว่าบริโภคร่วมกันเป็นสัมโภคกาย เขาถือว่าตรงกัน แต่ที่จริงมันมีนัยยะละเอียดต่างกันอีกเยอะ แล้วความไม่รู้อันนี้มันเกิดจาก อทิสมานกาย คือ องค์ประกอบกาย รูปนาม ต่างคนต่างมีของตัวเอง ไม่มีใครเห็นของใคร เหมือนคนตาบอด แล้วก็มาชวนกันดูท้องฟ้าสวย แล้วก็ต่างคนต่างชมท้องฟ้าสวยตรงกันไปหมดเลยนะ แต่ต่างคนต่างตาบอดด้วยกันทั้งหมด คนตาบอดไม่เห็นท้องฟ้าหรอก แต่เขาก็บอกว่าเจอท้องฟ้าสวย บอกว่าท้องฟ้าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ ต่างคนต่างชม แต่ละคนก็บอกว่าจริงด้วยนะ ท้องฟ้าสีอะไรก็สมมุติกันไปก็ตรงกันหมด เออออห่อหมกกันหมด คนตาบอด พากันไปดูท้องฟ้า แล้วก็ไปสัมโภคกายร่วมกัน บอกว่าสวยเหมือนกัน จะเรียกว่าตาบอดสอดตาเห็น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 ณ ราชธานีอโศก วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 20:14:13 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นในหลักเกณฑ์จรณะ 15 สี่ข้อแรกนี้เขาไม่มี ไม่ได้ปฏิบัติรู้สีรู้สา ไม่ได้คำนึง นั่งหลับตาไป มีศรัทธาและเขาก็นึกว่ามีหิริโอตตัปปะก็ไม่ใช่ หิริ อย่างไร อาย โอตตัปปะอย่างไร เกรงกลัวอย่างไร พหูสูตเป็นอย่างไร นั่งหลับตา มีแต่หยุดรู้ รู้ฟุ้งซ่าน เป็นนิรมาณกายเป็นกายเก๊กายหลอก สร้างกายขึ้นมาใหม่ ซึ่งแต่ละคนๆ เป็นกายของตนเองสร้าง สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น ต่างคนต่างของใครของมันอยู่ในภพ หลับตาอยู่ในสัมภเวสีของตนเอง เป็นนรกเป็นสวรรค์ เป็นดีเป็นชั่วเป็นอะไรก็แล้วแต่ ไปเป็นเรื่อง ไปเป็นนิยาย หรือเป็นโลกจินตา คิดเอาเองเต็มโลกเลย ต่างคนต่างหลับตาของใครของมัน แล้วทำมาพูดกันตรงกัน เรียกว่าสัมโภคกาย เรียกว่าอุปาทานหมู่ มาทำเป็นพูดตรงกันๆ มันไม่ตรงก็พยายามจะให้ตรงกันให้ได้ ใช่ๆๆ ก็มันนามธรรม เสร็จแล้วมันก็ไม่ถูกต้องสักอย่าง มันไม่เห็นจากของใครๆ เป็นอทิสะ คือไม่เห็น ต่างคนต่างเห็นของแต่ละคนของใครของมัน เท่านั้นเอง แต่เอามาโมเมพูด เป็นอุปาทาน สัมโภคกาย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 19:29:31 )
รายละเอียด
เช่น คนนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม วิญญาณก็เป็นสัมภเวสี ซึ่งเป็นศัพท์พยัญชนะวิชาการ คือ วิญญาณที่อยู่ในภวังค์อยู่ในภพ อยู่ที่ไหนก็ได้แล้วตนเองก็ทำตนเองเข้าไปอยู่ในภวังค์ แล้วก็ไปเล่นกับวิญญาณนั้น ซึ่งวิญญาณสัมภเวสีนั้นไม่ใช่วิญญาณแท้ เขาก็ไปเล่นกับตัวนี้แหละ เรียกว่า อุปาทาน เรียกอีกศัพท์ อีกหลายอย่างเช่น นิรมาณกาย ในกาย 3 ซึ่งก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น ร่วมรู้ด้วยกันเยอะ นั่งหลับตาเข้าใจร่วมกันเป็นสัมโภคกาย ซึ่งเป็นศัพท์วิชาการ แล้วก็ต่างคนต่างไม่มีใครเห็นของใครก็ของใคร อยู่ในภพก็เห็นของตัวเองเท่านั้น ของคนอื่นไม่มีใครเห็นของคนอื่นด้วยกันหรอก อทิสมาณกาย อทิสะ แปลว่าไม่เห็น ไม่มีใครเห็นของคนอื่นหรอก เดาสุ่มว่าตรงกันเรียกว่าสัมโภคกาย มันไม่มีจริงเลย คือ นิรมาณกาย จิตนิรมิตกายขึ้นมาสร้างขึ้นมาเอง
จะเป็นเทวดาหรือว่าสัตว์นรกหรือว่าเป็นตัวจริง เป็นธาตุรู้ที่ไปหลงว่าเป็นความจริงเช่นมนุษย์ คือจิตเราเอง เขาหลงว่าจิตเราเองด้วยนะ จิตเราเองก็จริง เป็นสัญญา เป็นการกำหนดขึ้นมา เสร็จแล้วกำหนดรู้ไปต่างๆเรียกว่าสัญญากำหนดไป ทั่วทีปทั่วแดน กำหนดเนรมิตสร้างขึ้นมา ฟุ้งซ่านไป ก็คิดว่าได้สารพัด เอาสาระไม่ได้ ไม่เป็นสาระแต่เอามาเป็นสาระก็ได้ ไปยึดที่ไม่เป็นสาระมาเป็นสาระอีก มันก็เลยยิ่งเละใหญ่ เละตุ้มเป๊ะเลย ไม่ใช่ตะลุ่มตุ้มม้ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:59:30 )
รายละเอียด
ก็ว่าจะไม่พาดพิงถึงคำอธิบายนั้น พญาครุฑพญานาค ธัมมชโยนี่แหละคือพญาครุฑที่แท้ ทำเป็นบินสูง เป็นสัตว์ในตำนาน เป็นนิรมาณกายชนิดหนึ่งคือเป็นสิ่งที่ สมมุติขึ้น ตัวเองสมมุติขึ้นอันหนึ่งเอง ในสาระของเขา
เอาชื่อ ชื่อเดิมพญาครุฑเขามี ภาษาพญาครุฑพญานาคเป็นชื่อเดิม แล้วเขาก็มาสวมเรื่องแต่งเรื่อง เขาเป็นนักอ่านตัวสำคัญ ธัมมชโยเป็นนักอ่าน นักศึกษาค้นคว้าและก็จำเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็เอามายำเส็งเข้าไป เอามาตกแต่งเข้าไป เป็นนิยายพิลึกพิลั่นของเขา เขามีความสามารถในเรื่องนี้มาก เป็นนักปรุงแต่ง เป็นนักสร้างสรรค์ เป็นนักอะไรต่ออะไรจริงๆเลยจนกระทั่ง มันเป็นเรื่องยิ่งกว่าเรื่อง Star Wars ยิ่งกว่าเรื่อง Harry Potter คนโง่มีมากในโลก อย่าง Harry Potter เป็นต้น คนก็ชอบสนุก แต่ไม่ได้สาระอะไรขึ้นมาเลย ตั้งแต่ Harry Potter ดังจนถึงบัดนี้ยังไม่เห็นแก่นแท้สาระอะไรเลย ที่เกิดจากผลของ Harry Potter เลย
Star Wars ก็พยายามอีกอย่างหนึ่ง เพ้อเจ้อออกไปนอกโลก ไปสร้างสถานี ไปสร้างสถานที่ แล้วก็ไปเจอมนุษย์ต่างดาวแปลกประหลาดต่างๆนานา ฝันเพ้อไป แทนที่จะเอาพลังงานเหล่านั้นมาสร้างสิ่งจริงที่ตัวเองสัมพันธ์ เกี่ยวข้องอยู่ในโลกช่วยกัน จะทำอย่างไรอยู่ในโลกนี้อย่างสงบอบอุ่นสบายดี เป็นสังคมมนุษย์โลกที่ดีมาก ยืดอายุโลก ช่วยทำให้โลกไม่มีสิ่งเป็นพิษภัยเป็นโทษ เกิดขึ้นจากพลังงานหรือวัตถุของโลก ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้ทำมากหรอก แต่สัตว์มนุษย์นี่แหละมันทำอะไรต่ออะไร โอ้โห สารพัดที่มันทำให้เกิดความเป็นพิษเป็นภัยให้แก่โลก ก็ต้องเอาแรงงานทุนรอนมาใช้ในทางนี้ มันเป็นการทำลายซับซ้อนที่ไม่น่าจะทำ แต่ก็ห้ามไม่ได้หรอกเขาเป็นอย่างนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะอันสูงสุดของมนุษยชาติ 7 ประการ วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 มกราคม 2566 ( 12:39:15 )
รายละเอียด
คือ การปั้นลมๆแล้งๆขึ้นมาเป็นตัวเอาเอง คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิตอุปทานของตนเอง
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม1 หน้า294
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 13:31:15 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:30:21 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:57:47 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 08:58:39 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:21:09 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:57:20 )
รายละเอียด
นิรมาณกาย กายคือรูปนาม ก็เอามาสังขารปรุงแต่งเป็นวิมาน เนรมิตขึ้นมาเองเป็นนิรมาณกาย ซึ่งหมายถึงจิต นิร คือไม่มี มาณ คือจิต กายที่คุณทำในจิต ทำจิตของคุณขึ้นมา ซึ่งมันเป็นของไม่มีจริงๆ นิระไม่มี มาณคือจิต จิตของคุณสร้างขึ้นมาเป็น อุปาทานจิต สร้างเอง เป็นสังขารรูป
แล้วนิรมาณกายนี่แหละคุณก็มีพวก พวกตาบอดหูหนวกพากันไปดูหนังใบ้ ไปพิจารณาเองว่าคนตาบอดหูหนวก ไปดูหนังใบ้มันโมฆะทั้งคู่ทั้งคนตาบอดและหูหนวก หนังใบ้ หนังไม่มีเสียงคนตาบอดก็มองไม่เห็น คนหูหนวกเสียงก็ไม่มีอีก 2 คนนี้ไปดูชวนกันไปดูหนัง หนังใบ้ด้วย คนตาบอดมองไม่เห็นภาพ คนหูหนวกเห็นภาพแต่ไม่ได้ยินเสียง แล้วมันจะได้เรื่องอย่างไรมันก็เดาไปต่างๆนานา มันไม่ใช่ภาษาใบ้นะแต่มันก็รู้ลีลาอาจจะรู้บ้าง คนตาดีแต่หูหนวกอาจเห็น แต่คนตาบอดซึ่งเป็นคนที่หมดท่า เช่น
คนตาบอดมาแต่กำเนิด ปิดประตูที่จะให้มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีทางไม่มีทางรู้ปัจจุบันธรรม ไม่มีทางรู้รอบในยุคนี้เลย มีแต่สัญญาที่เดา ซึ่งโลกในยุคนี้ไม่ใช่โลกในยุคก่อนเราเดาไม่ได้ต้องเป็นของจริงสัมผัสได้โดยมีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสจริง เพราะฉะนั้นความจริงจึงต้องมีปัจจุบันธรรมมีสิ่งสัมผัสภายนอก ถ้าไม่มีสิ่งสัมผัสภายนอกไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสในปัจจุบันพระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นของจริง ปฏิบัติโดยไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่นับว่าเป็นของจริง
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 22:05:25 )
รายละเอียด
นิรมาณคือ เนรมิตเอาเอง เป็นกายที่เนรมิตเอาเองในภพของจิตตัวเอง สร้างขึ้นมาเอง เป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาของตัวเอง แต่ละคนที่คบหากันเป็นการสะกดจิตแล้วก็ยึดติดในสมมุติกัน ใครเป็นผู้ที่สะกดจิต คนนั้นก็จะเป็นเจ้าแห่งความจริง ทุกคนก็จะอุปาทานตามกันไปหมด แล้วอุปาทานคนนั้นก็จะเป็นอุปาทานของแต่ละคนๆๆ เป็นอทิสมานกายทั้งนั้น แต่เขาก็รับสมอ้างกันว่า ใช่ๆๆๆ
คำว่าใช่ๆๆ นี่คือ เพ้อเจ้อเพ้อพกกันไปเท่านั้นเอง เพราะมันไม่มีอะไรที่จะมาเป็นเครื่องยืนยันแต่ว่ามันเหมือนกัน มันคนละคน คนละตัว คนละสมมุติตามแต่ละคนสมมุติ แต่สมมุติว่ามันเหมือนกันนะจ๊ะ มันสิ่งเดียวกันนะจ๊ะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 14:16:12 )
รายละเอียด
ไม่มีกามกิเลส
หนังสืออ้างอิง
ค้าบุญคือบาป หน้า 238
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:10:34 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:28:06 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:56:57 )
รายละเอียด
นิรมานกาย คือ อาการตัวตนคุณเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เลย เห็นรูปนามที่คนสมมุติขึ้น คิดเป็นตรรกะตัวตนที่ไม่มีตัวตน “มาณ คือ จิต” “นิร คือ ไม่มี” มันไม่มีตัวจริงแต่คุณมี คุณไม่มีรูปนาม มีแต่หนึ่ง คือ ไม่มีตัวตนแต่นั่นแหละคุณมี
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 ตุลาคม2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 09:35:44 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:31:53 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:56:42 )
รายละเอียด
คือ การปั้นขึ้นมาเอง ซึ่งมีแต่นามภายในเป็นแบบภิกษุสาติ มีวิญญาณล่องลอย (ปุตตมังสสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 241 – 244) ท่าน (พระพุทธเจ้า) ถึงว่าภิกษุสาติแล้วเทวนิยมจะเป็นเช่นนั้นหมด เช่น อาจารย์มั่น อาจารย์ชา บอกว่ามีวิญญาณเทวดาจากเยอรมันมา คือ มีตัวตนแบบนี้เหมือนภิกษุสาติ พระพุทธเจ้าท่านบริภาษให้เลยว่าใครสอนเธอแบบนี้ ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนอย่างนี้ก็เลยให้พระสารีบุตรเอาไปอบรมเสีย เรียนรู้ผัสสะ จะรู้เวทนาเป็นนาม5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ขาดไม่ได้ในเจตนามี 3 คือ กาม รูป อรูป นี่คือเจตนา 3 กิเลสในระดับกามคุณหมดแล้ว คุณเหลือ รูป อรูป ก็ไปเรียนรู้กิเลสที่เหลือที่เป็นรูปอยู่ในจิต รูปาวจร คำว่า วจร ถ้ามีการสัมผัสมีความเป็นไป หากไปเรียนรู้แต่ในจิต ไม่มีกามาวจรไม่มีจิตออกมาจรรู้ภายนอก อันนี้ผิดเลย มีกามาวจร แต่เหนือกิเลสแล้วเป็นอานาคามี เหลือรูปาวจร อรูปาวจร ภายนอกไม่มีแล้วแต่ข้างในยังเหลืออยู่ ก็ล้างอีกให้เป็นสุขุมรูป จนไม่มีอาการ ไม่มีวิญญัติ ไม่มีกิริยาของจิตเหลือเลย เฉย กลาง ว่าง สูญ หากไม่เรียนรู้อาหาร4 ผัสสะต้องรู้ยิ่งไม่รู้เจตนาเลยมันเป็นกามเจตนาแรกไม่รู้ไม่ได้ศึกษาจะได้อย่างไร ยิ่งไปนั่งหลับตาไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีกามคุณ5 ไม่มีไม่ได้เรียนรู้ตามลำดับของพระพุทธเจ้าเลย การหลับตา ไม่มีกายสักขี ภายนอกเป็นพยานหลักฐาน ไม่มีสักสักขีเลยปฏิบัติธรรมแบบนี้ไม่ได้ คุณต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณจะมีกายสักขีต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย กายในบุคคล 9 อีก
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 16:09:04 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:35:32 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:56:20 )
รายละเอียด
กายที่ยังมีองค์รวมหรือองค์ประกอบของความเป็นคนพร้อมร่างกายและกิริยากายและใจดำเนินตามหน้าที่คนที่ทำกรรมการงานปกติ แต่ใจในใจไม่มีกามกิเลสเกิดในนั้นอีกแล้ว
หนังสืออ้างอิง
ค้าบุญคือบาป หน้า 238
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:11:33 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:28:41 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:55:50 )
รายละเอียด
คือ อารมณ์ ความคิดที่ปั้นขึ้นมาเอง
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม2562
เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 15:53:06 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:32:49 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:55:31 )
รายละเอียด
คือ มันไม่มีของจริง ไม่มีรูปนามจริงที่จะยืนยันกันได้เป็นนิรมานกาย
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่18พฤศจิกายน2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 13:50:50 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:18:40 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:23:31 )
รายละเอียด
คือ หมายความว่า เป็น“กาย”ที่ตนเอง เนรมิตขึ้นในใจเองคนเดียว คนใดก็ของคนนั้นเท่านั้น
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า382
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 15:19:59 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:37:00 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:55:13 )
รายละเอียด
นิรมานกาย คือ การปรุงแต่งอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยวด้วย เป็นกายที่ไม่มีตัวตน เนรมิตขึ้นคนเดียวของใครของมัน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:43:41 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:38:36 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:24:21 )
รายละเอียด
นิรมานกาย คือ ไม่มีจริง ปั้นเอาเอง แล้วก็บริโภคร่วมกันเป็นสัมโภคกายในอาทิสมานกาย คือ ไม่มีจริงหรอกเป็นแต่ของตนเองเท่านั้น คนอื่นสัมผัสของคนอื่นไม่ได้ เพราะต่างคนต่างไม่เห็นของใคร อาทิสมาณกาย คุณเห็นของคุณคนเดียว สัญญายนิจจานิ ซึ่งเป็นเรื่องมิจฉาทิฏฐิ แต่สัญญายนิจจานิที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นของพระพุทธเจ้าใน “จูฬวิยูหสูตร ข้อ 419”
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:45:46 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:40:04 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:54:51 )
รายละเอียด
1. ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยการสร้าง ทำ ผลิต ประกอบขึ้นมาจากเหตุ จากสภาวะที่มีอาการ มีเครื่องหมายรู้ของจริงนั้น ๆ ได้
2. ทำ , สร้าง
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 269
ค้าบุญคือบาป หน้า 239
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:12:36 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:29:25 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:54:24 )
รายละเอียด
จิตที่เร่าร้อนเพราะตกถลำลึก จมอยู่ในอบายและโลกีย์ทั้งหลาย
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 235
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:13:40 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:30:48 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:54:02 )
รายละเอียด
1. สัตว์นรก , สัตว์นรกในร่างของคน
2. ดิ้นรนกระสันอยาก
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 415,430
ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 260
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:14:27 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:31:37 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:24:52 )
รายละเอียด
นิระ ก็คือ มันไม่มีอยู่ที่ไหนในสิ่งนี้ ที่ว่านี้คือกาละ ไม่มีอะไรอยู่ไหน กาละนี้ ความจริงมันคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรอยู่ในระหว่างนี้เลย ไม่มีกรรม ไม่มีอัตตา ไม่มีอะไรแล้วเป็นเฉพาะตัวรู้คือธาตุวิญญาณมันไม่มีแล้ว แต่คุณไม่สามารถที่จะเข้าใจอันนี้ได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการอันนี้ ผู้ที่สามารถรู้อันนี้แล้วจัดการอันนี้ได้ก็จัดการแล้วก็เลิก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 10:32:50 )
รายละเอียด
ถ้าอยู่กับพระเจ้าคืออะไร คือปิดประตูที่จะพูดกันเพราะมันไม่รู้ ต่างคนต่างไม่รู้ พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าเป็นอย่างไร แล้วพระเจ้านิรันดรด้วย แปลว่าอะไร
นิระ แปลว่า ไม่ อันตระ แปลว่า ระหว่าง รวมความแปลว่า ไม่มีอะไรเลยในระหว่าง ไม่มีอะไรให้เกิดได้ในระหว่างเลย กาละมันมีไปตลอด กาละ ตลอดกาละนี้ระหว่างใดที่คุณจะทำความไม่มีให้สำเร็จได้ นิรันดร คุณทำไม่ได้ คุณทำนิระได้ ระหว่างใดระหว่างหนึ่งก็เถอะ ก็จบ ส่วนคนที่ทำไม่ได้คือไม่จบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:45:57 )
รายละเอียด
ความเห็นที่ปฏิเสธการมีตัวตน
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 59
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:15:08 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:58:39 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:53:43 )
รายละเอียด
1. ไม่มีตัวตนแบบปฏิเสธตัวตน
2. การปฏิเสธความมีตัวตน หรือไม่ยอมรับความมีตัวตน
3. ความไม่มีอัตตา
4. ผู้ยังไม่มีความรู้ ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงความเป็นอัตตาของตนในตนเลย แต่ก็เชื่อปักใจเสียแล้วว่าอะไร ๆ ก็ไม่มีตัวตน
5. ความไม่มีตัวตนที่คนมิจฉาทิฏฐิผู้นั้นไม่ได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นอัตตาใด ๆ เลย หรือไม่มีของจริงที่เป็นอัตตาให้เขาสัมผัสเลย สิ่งที่หมายถึงอัตตาหรืออาตมันของผู้ยึดถือชนิดนี้ได้แต่พูดกันไปลอย ๆ
ไม่มีตัวตนของรูปแม้ตัวตนของอรูปใด ๆ ที่เขาเคยพบเคยเห็นเคยสัมผัสของจริงแต่เขาก็ยึดถือความไม่มีสิ่งนั้นจริง ๆ ถึงขั้นบูชาเคารพสิ่งที่เขายกขึ้นเป็นปรมาตมันนั้นจริงนั่นก็เห็นอยู่โทนโท่ว่าเป็นตัวตนที่เขายึดว่ามีอยู่อย่างนิรันดรด้วยซ้ำ
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 13 , 35 , 77
เปิดโลกเทวดา หน้า 138 , 176
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:17:11 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 16:59:59 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:26:03 )
รายละเอียด
นิรัตตา เป็นภาษาตะแบง คือไม่มีอัตตา อนัตตาก็ไม่มีอัตตา แต่นิรัตตา เป็นอัตตาที่มิจฉาทิฏฐิ ถ้าอนัตตาแล้วเป็นผู้ที่มีอัตตา ส่วนนิรัตตา ก็แปลว่าไม่มีอัตตาแต่เป็นอย่างมิจฉาทิฏฐิ หลงผิด เขามีแต่เขาไม่รู้ว่ามีอัตตา ก็แปลว่านิรัตตา หรือมีวิธีการที่มิจฉาทิฏฐิไปดับอัตตา เขาก็ว่าเขาไม่มีอัตตา ซึ่งมันยังไม่สัมมาทิฏฐิ
ส่วนอนัตตา ไม่มีอัตตาแบบสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบเลย
นิ กับ ร นิคือไม่ ร ก็เป็นพลังงานหนึ่ง ส่วน อ ไม่มีอิ ก็แปลว่า ไม่ แล้วยัง น ก็ไม่อีก คือไม่ ไม่ คือไม่มีอัตตา ก็ลึกซึ้งกว่า
อ กับ น ก็แปลว่าไม่เหมือนกัน อ กับ น อันไหนละเอียดหรือหยาบกว่ากัน อ หยาบ หรือละเอียด ก็ละเอียดกว่า น หยาบกว่า
ใครว่า น หยาบกว่า อ ยกมือ
อ มันเป็นสระ เลย ไม่ใช่เศษวรรคด้วย อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
เพราะฉะนั้น น กับ นิร หยาบกว่า
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐีติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:35:06 )
รายละเอียด
ทิฏฐิที่หลงยึดได้ “ความไม่มีตัวตน” เข้าแล้ว
หนังสืออ้างอิง
เปิดโลกเทวดา หน้า 142
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:18:16 )
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2563 ( 17:27:40 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:53:23 )
รายละเอียด
ความไม่รู้จักหมด ไม่รู้จบ ไม่มีที่สิ้นสุดได้จริง
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 96
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:19:14 )
เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2563 ( 18:21:56 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:28:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:56:29 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:54:42 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:53:05 )
รายละเอียด
ถ้า“นิรันดร”ของ“พระเจ้า”มีจริง “นิรันดร”ของ“พระอวโลกิเตศวร” ของพุทธก็มีจริงเช่นกัน ในประเด็นแห่ง“นิรันดร”
แต่เป็น“นิรันดร”ที่มีนัยยะสำคัญแตกต่างกันไปอีกอย่างสุดลึกว่า ทุก“วิญญาณ”หรือทุก“อัตตา” จะเป็นของใครก็ตาม แม้จะเป็นของ“พระอวโลกิเตศวร”ล้วนไม่ใช่การยืนยัน“ความเที่ยง”
นะ! ทว่ากลับยืนยันและพิสูจน์ความจริงประเด็นนี้ได้ว่า เป็น
“นิรันดร”ที่มี“ความไม่เที่ยง”ต่างหาก ก็ต้องศึกษาให้คมๆแม่นๆ
นั่นคือ พระอวโลกิเตศวร เป็น“พระโพธิสัตว์”แท้ๆที่มุ่งมั่นบำเพ็ญบารมีตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต้องตรงกันสิ
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 315 หน้า 239
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:57:53 )
รายละเอียด
ถ้าคุณเป็นธาตุของดินน้ำไฟลม ถ้าจะอธิบายให้แหลกราญเลยนะ อยู่ในโลก คุณเกิดตายไปจนกว่าโลกลูกนี้จะแตก คุณก็จะวนเวียนเป็นอุตุ เป็นจิตนิยาม อยู่ในโลกลูกนี้อีกนาน ที่สุดโลกลูกนี้ก็แตก คุณก็แยกธาตุจากที่มันจะอยู่ตรงไหนก็แล้วแต่ ธาตุที่คุณแยกได้เป็นอุตุ เอาตรงจบนะ แล้ว อุตุ ก็จะล่องลอยไปในอวกาศกว่าจะไปถูกดูดไปเป็นเศษตัว กว่าจะเป็นอุกกาบาต กว่าจะเป็นตัวที่จะดูดได้แรงเข้าไปอยู่เป็นมวลของอุกกาบาตใหญ่ โลกลูกน้อย กว่าจะไปเป็นโลกลูกใหญ่ กว่าจะไปเป็นอะไรต่ออะไร จนกว่าจะมีฤทธิ์ของตัวเอง กลายเป็นดาวฤกษ์ คุณนับไม่หวาดไม่ไหวหรอก นับกาลเวลาไม่ไหว แล้วกว่าจะไปเป็นโลกแล้วพัฒนาตัวเองไปเป็นมีน้ำ มีเซลล์ มีชีวะเกิดอีก ล้านๆๆๆๆๆๆ ปี แล้วคุณจะไปนับทำไม จึงเป็นนิรันตระ มันไม่มีช่องว่างให้เลือกเลยว่า คุณจะไปเกิดตรงไหน
สมมุติว่า นิรันตระ ระหว่าง ล้านปี ยาวนาน คุณต้องมาเลือกเกิดตรงกลาง คุณจะได้สั้นลงไปครึ่งนึง แต่ถ้าคุณไม่เลือกเกิดตรงกลาง คุณไปเกิดตรงปลาย ก็จะต้องเล่นเต็มตัวเลยยาวนาน ฉะนั้นคนฉลาดก็มาเอาตรงกลาง ได้สั้นไปครึ่งหนึ่งเลย นี่ก็พยายามอธิบายไปจนเมื่อยแล้วนะ ซึ่งมันเกินที่เราจะคิดแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 09:26:40 )
รายละเอียด
1. สภาพที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องล่อ สิ่งหลอกของโลก หรือไม่มีอามิสแล้ว
2. ละล้างอามิสให้หมด
3. ไม่ยึดติดอามิส ไม่หลงว่าจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขยิ่งขึ้น
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 577
คนคืออะไร? หน้า 403
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:20:45 )
เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2563 ( 18:22:49 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:28:29 )
รายละเอียด
สุขที่ได้จางคลาย หรือสงบจากอกุศลเหตุ
หนังสืออ้างอิง
อีคิวโลกุตระ หน้า270
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:21:27 )
เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2563 ( 18:23:35 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:28:52 )
รายละเอียด
พร้อมทั้งรู้ภาษา รู้บัญญัติ รู้สมมุติโลก ได้แท้จริงและมากพอ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 43
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:22:06 )
เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2563 ( 18:24:46 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:29:14 )
รายละเอียด
คือ ผู้รู้แจ้งภาษา คารม ตัวหนังสือ อักษร พยัญชนะ รู้จักภาษา ที่จะเอามาใช้พูดอธิบายขยายความ
หนังสืออ้างอิง
“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า71
เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 13:52:53 )
เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 06:59:36 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:30:06 )
รายละเอียด
ครรลองแห่งนิรุตติ
หนังสืออ้างอิง
จากถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 169
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:22:49 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:12:09 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:38:46 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:55:46 )
รายละเอียด
1. อยู่เหนือ
2. ไม่ถูกครอบงำ ไม่ถูกแผ่ฤทธิ์เหนือ ไม่เป็นเบี้ยล่างนั่นเอง
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 564
ทางเอก ภาค 3 หน้า 213
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:23:34 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:13:21 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:30:35 )
รายละเอียด
กิเลส 5 อย่างที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุธรรม
1. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
2. พยาบาท (การปองร้ายผู้อื่น)
3. ถีนมิทธะ (จิตหรี่ ง่วงซึม หดหู่)
4. อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน รำคาญ)
5. วิจิกิจฉา (ความลังเล สงสัย)
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎก “กายสูตร” เล่ม 9 ข้อ 357
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก หน้า 77 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 62
เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 12:28:53 )
เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:00:28 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:16:14 )
รายละเอียด
คือ กิเลส 5 อย่างที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุธรรม สภาพแห่งการติดของใจทั้งนั้น (สิ่งทำให้ปัญญาทุรพล หรือ ปัญญาถอยกำลังลง, สิ่งกั้นจิตไม่ให้บรรลุกุศล)
1. กามฉันทะ ความพอใจในกาม, ใคร่อยากในกามภพ (เปรียบเหมือนหนี้ )
2. พยาบาท การปองร้ายผู้อื่น (เปรียบเหมือนเป็นโรค)
3. ถีนมิทธะ จิตหรี่ ง่วงซึม หดหู่, จิตหดหู่ หดแน่น เซื่องซึม ไม่แจ่มแจ้ง ไม่แววไว (เปรียบเหมือนเรือนจำ)
4. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน กระจายกระเจิง (เปรียบเหมือนความเป็นทาส)
5. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการหลุดพ้น . ฯลฯ (เปรียบเหมือนทางไกล ทางกันดาร )
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎกเล่ม 19 "กายสูตร" ข้อ 357, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก
เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2562 ( 14:31:08 )
เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:03:02 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:31:39 )
รายละเอียด
คือนิวรณ์ 5 ขยายไปเป็น กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉาหมดวิจกิจฉาคือ ไม่สงสัย รู้แจ้งจบครบบริบูรณ์ รู้แล้วก็ทำได้จนสิ้น อะไรคือตัวตนอะไรคือสิ่งที่เกิดเป็นตัวเรา แล้วเราจะอยู่เป็นมนุษย์ที่ดีได้อย่างไร มีอะไรเป็นประธาน ก็มีจิตเป็นประธาน แล้วจิตที่โง่อวิชชาเป็นเจ้าเรือนไม่ดีก็แก้ไข อย่าให้กิเลสเป็นเจ้าเรือน แก้ไขให้เป็นจิตที่สะอาดรู้จริง
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิบ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:19:54 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:46:07 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:32:18 )
รายละเอียด
คือกิเลส 5 อย่างที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุธรรม
1. กามฉันทะ ความพอใจในกาม)
2. พยาบาท (การปองร้ายผู้อื่น)
3. ถีนมิทธะ (จิตหรี่ ง่วงซึม หดหู)
4. อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน รําคาญ)
5. วิจิกิจฉา(ความลังเล สงสัย)
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 19 “กายสูตร” ข้อ 357
เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 19:31:14 )
รายละเอียด
อวิชชา ไม่รู้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ไม่ใช่เรื่องตื้นที่อ่านเพลินๆฟังแล้วก็จบ คุณต้องมาอ่านทบทวนในตัวเอง ว่าเบื้องต้น ขั้นต้นท่านกล่าวว่า กาม นิวรณ์ 5 มีกาม เป็นข้อต้น มีปฏิฆะเป็นคู่ นัยยะปฏิฆะรู้ง่าย แต่เอากามมาขึ้นก่อนเพราะกามรู้ยาก การโกรธมันแยกง่ายกว่ากาม ปฏิฆะมันแยกรู้เป็นสองได้ง่าย แต่กามนี้เป็นหนึ่งที่แยกยากกว่า จม อยู่อย่างนั้นเหมือนนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ
ผู้ที่จะรู้จัก กาม การมีดึงดูด เป็นธรรมดาธรรมชาติ กว่าคนจะรู้ถึงการดูดการดึง การเสพการติด ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก กว่าจะรู้ ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาปฏิบัติไป ไม่รู้ความต่างของตัวเองที่ยึดติดกาม ยึดติดรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น สัมผัสเสียดสีแตะต้อง อยู่ด้วยกันต้องมีสัมผัสตลอดเวลา ทาง โผฏฐัพพะ ทวารภายนอกทั้ง 5 ไม่ง่ายเลย
เพราะฉะนั้น คนสายนั่งหลับตา กามคุณ 5 ไม่รู้ อาจารย์มั่นก็ดี มหาบัวก็ดี คนนั่งหลับตาก็ดี ไม่รู้หรอก แค่กินหมาก เป็นสิ่งเสพติดก็ไม่รู้แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเสพติดอื่นๆไม่ต้องไปพูดถึงเลย เขาเสพติดได้ทุกอย่าง เพราะว่า เสพติดภายนอกทวาร 5 มันครบแล้วนี่ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กว่าจะเข้าใจเป็นใจในใจ เสพติดใจในใจ
อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 ที่เอามาอ่านเริ่มต้นนี้ จะถึงที่ว่าจะต้องฟังให้บริบูรณ์ มันยังไม่ถึงตรงนั้น ขอลัดเลยก็แล้วกัน ไปตรงที่ อยากบอกว่า
“แม้ทุจริต 3 เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต 3 ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์
แม้การไม่สำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ
แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่าการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย
แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา
แม้ความไม่มีศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังสัทธรรม
แม้การไม่ฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหารก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ”
อาตมาพูดเป็นสัจธรรมความจริงอยู่ตลอดเป็นธรรมะอันดี ธรรมะอันควร แต่เขาไม่ฟัง เขาไม่คบอาตมาไม่ฟังอาตมาที่สาธยายสัจธรรมด้วย
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์ ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต 3 ให้บริบูรณ์ ทุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ 5 ให้บริบูรณ์ นิวรณ์ 5 ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์ อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ”
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้เป็นสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 20:24:04 )
รายละเอียด
มาฟัง กุ๊ก เชฟ เขาเอาออกอากาศ เอากุ๊กเชฟปรุงอาหารเป็นอาหารคำข้าว กวฬิงการาหาร อาตมาก็จะปรุงแต่ง แต่จะปรุงแต่งตรงกันข้ามกับที่เขาปรุงแต่ง เขาปรุงแต่งเป็นโลกียรส อาตมาปรุงแต่งเป็นวิมุตติรสเป็นโลกุตระ เป็นเรื่องตรงกันข้ามกัน เอาตัวแรก พูดไปแล้ว เกริ่นไปแล้วว่า กาม คือ นิวรณ์ 5 ตัวที่ 1 ที่จริง กามคู่กับปฏิฆะ กามดูด ปฏิฆะผลัก ถีนมิทธะดูด อุทธัจจะกุกกุจจะผลัก วิจิกิจฉา คือความโง่ความไม่รู้ สงสัยไม่ชัดเจนสักที
ก็มี 2 คู่ภายนอกกับภายใน ก็ต้องทำคู่นอกก่อน คู่ที่ใหญ่ เพราะฉะนั้นหากไปหลับตาทิ้งภายนอก ไม่มีทางที่จะขึ้นมาบรรลุเลย เพราะไม่ทำเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ทำต้น กลาง ปลาย ภายนอกเข้ามาหาภายใน มันขัดแย้งกันหมด แต่เขาฟังไม่ขึ้น อาตมาก็ไม่เก่ง ก็พูดตามพระพุทธเจ้าสอนอยู่นะ แต่ทำไมเขาฟังไม่ขึ้น เพิ่งจะอ๋อว่า เขาฟังไม่ขึ้นเพราะเขามีภูมิเท่านั้น มีภูมิที่จะฟังได้ เท่าที่เขาเชื่อถืออยู่ อาจารย์เขาก็ระดับนั้นเขาก็นับถืออย่างนั้นก็คืออาจารย์สูงสุด ยิ่งโพธิรักษ์มาพูดเขาไม่เชื่อถือเลยเขาฝังหัวแล้วในความเชื่อถือที่เขายึดไว้แล้วอย่างฝังหัว แก้ยาก ก็ต้องเอามาบรรยายบอกผู้ที่พอจะมีบารมี พอจะฟังกันรู้เรื่อง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 15:27:50 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้น เมืองไทยมีชาวอโศกเข้าใจศาสนาพุทธแบบนี้ และก็นำพากันทำแบบนี้ อาตมาพาทำมาได้ไม่ถึง 100 ปีพึ่งทำมาได้ถึงแค่ 50 ปี ถ้าทำต่อไปถึง 100 ปี อาตมาทำงานไปให้ครบ 100 ปีเลยนะอาตมาทำงานศาสนาให้ 100 ปีก็อายุครบ 136 เพราะว่าอาตมาทำงานตั้งแต่อายุ 36 ปี ถ้าอายุ136 ปีจะเห็นหน้าเห็นหลังเลย ทำได้ถึง 100 ปี นี่ทำมา 50 ปี เพิ่งเห็นแค่หลังกับส้นๆ ยังไม่ได้เห็นหน้าเลย ยังไม่ได้ถึงขั้นเห็นหน้าเลย
แต่ก็เห็นรูปร่างแล้ว เห็นรูปร่างของสิ่งที่สร้างชีวิตให้เกิด สิ่งที่เป็นตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาเข้าใจตามภูมิของอาตมา ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้แล้วเอามาพูดเอามาพัฒนา คิดว่ามันได้สูญหายไปของพระพุทธเจ้าเอาฟื้นคืนมาเท่าที่อาตมาจริงใจ ทำตามภูมิว่ามันควรจะฟื้นฟูมา เสร็จแล้วมันก็ฟื้นคืนมาได้เท่าที่มันได้ขนาดนี้
เราก็ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่ใช่ไหม ได้อาศัยใช้สอยกินอยู่จนถึงขณะนี้ หลายคนก็ไม่ดำเนินชีวิตอย่างนี้มา 30 ปี 40 ปีใครถึง 50 ปียกมือสิ มีแม่ชีกรุณาได้ 46 ปีย่าง 47 ปี ก็เห็นรูปร่าง เห็นองค์ประกอบของความเป็นไปแบบศาสนาพุทธพาทำ เครื่องอาศัยอาหาร อาหารก็แปลว่า เครื่องอาศัย ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็น กวฬิงการาหาร จนกระทั่งถึงขั้นวิญญาณาหาร ได้อาศัยมา จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมาเอาอาหาร เกี่ยวข้องกับอาหาร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 11:45:19 )
รายละเอียด
นิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เป็นเครื่องอาศัย ของอาหารทางจิตวิญญาณที่มันสุดยอดหลอก สุดยอดมอมเมา สุดยอด ทำให้คนติดคนยึดจนกระทั่งชีวิตไม่จบ อรหันต์นี่คือชีวิตจบ จบ จบเลยทุกวิชา จบทุกวิชา เป็นยอดวิชา
ที่อาตมาเคยพูดหลายทีซ้ำซากว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นคนเหมือนอย่างกันกับเรา แล้วท่านก็ไปศึกษาวิชาต่างๆในยุคของท่านมี 18 คณะ ในมหาวิทยาลัยตักสิลา ท่านเรียนจบหมด และได้เกียรตินิยม เหรียญทองทุกคณะ 18 วิชา จบมาแล้วท่านก็ทิ้งหมดไม่เอา ตลอดพระชนม์ชีพเอาวิชาที่เป็นพุทธศาสนานี้ ที่มันไม่มีในตักสิลา ไม่มีในมหาวิทยาลัยทางโลก
แม้แต่มหาจุฬาฯ มหามกุฏฯ ก็เป็นวิชาที่ไม่บริบูรณ์แล้ว เป็นพุทธที่ไม่บริบูรณ์แล้ว ขออภัยนะที่พูดความจริง ไม่เป็นอาหารที่เป็นวิมุตติรส เข้มๆข้นๆสมบูรณ์แบบ อย่างที่อาตมาพูดหรอก มันเป็นอาหารที่ แปลง ปลอม ปลอมแปลง จนเป็นของเก๊ไปเลย ปลอมแปลงอาหารของพระพุทธเจ้าจนเป็นของเก๊ไปเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 15:29:45 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:26:11 )
รายละเอียด
นิวรณ์5 คือกิเลส5 อย่าง
1.กาม
2.พยาบาท
3.ถีนมิทธะ
4.อุทธัจจะกุกกุจจะ
5.วิจิกิจฉา
กาม ก็คือความตะกละตะกราม อยากได้อยากมีอยากเป็น ขี้โลภ อยากได้วัตถุ อยากได้อะไรมาให้สมใจตนก็กาม พยาบาทก็อยากทำร้าย ถีนมิทธะ อยู่กับมุมตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับใคร ดีไม่ดีจะเป็นโรคซึมเศร้า อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านไป เลอะเทอะจับหาสาระไม่ได้เลย
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:12:24 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 15:43:20 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:16:35 )
รายละเอียด
การพูดถ่อมตน
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 258
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:09:43 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:14:01 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:32:42 )
รายละเอียด
คือ สลัดคืน เหมือนกับเอายาหม่องทาหน้าแข้งไปลุยน้ำ ปลิงมาเกาะเรามันก็จะดูดเลือด พอมาเจอยาหม่องที่ขาเรา ปลิงมันแสลง แพ้ ปลิงก็หลุดไปเลย มันไม่กล้าเกาะเลย กิเลสมาเจอเราก็ม่อยไปเลย ไม่กล้าเข้าใกล้ มี ราศี รังสี ของธรรมฤทธิ์ คุณวิเศษของจิตแบบพระพุทธเจ้า ที่จะมีพลังงานแห่งบุญ มีพลังงานของจิตที่เป็นอำนาจชนิดหนึ่ง กิเลสเข้าหน้าเราไม่ติดนี่ คือความสงบสุดท้ายที่ดี เป็นนิสรณปหาน
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 79 วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 15:00:56 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:17 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:33:41 )
รายละเอียด
รู้สภาพจิตที่เป็นทุกข์ปุ๊บก็สลัดออกได้ปั๊บทันที เป็นการทำนิพพานให้เกิดขึ้นได้อย่างเชี่ยวชาญนั่นเอง
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 63
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:12:16 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:15:23 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:34:16 )
รายละเอียด
1. การประหารแบบจับขว้างออกไปทันที หรือแบบแตกหักลงไปทันที ไม่ยืดยาด ไม่รีรอ ไม่ซ้ำแซะเสียเวลามาประนีประนอมกันอยู่ เลิกตัดสวาทขาดกันลงอย่างรวดเร็ว
2. ปหานสำเร็จถึงขั้นเป็นผลสำเร็จที่ได้รับ , กิเลสออกไปแล้ว , เรารอดพ้นหรือหลุดพ้นเสร็จได้จริง
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 124
ค้าบุญคือบาป หน้า 298
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:13:29 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:16:34 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 15:35:48 )
รายละเอียด
1. วิมุตติเพราะสลัดได้เร็ว เก่ง เยี่ยม ชำนาญขึ้นมาก
2. ทำจนได้เก่งขึ้น สนิทขึ้น เร็วขึ้น
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 515
ทางเอก ภาค 3 หน้า 224
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:14:52 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:17:51 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:02:21 )
รายละเอียด
1. ทิ้งบุญนั้นคืนไป คือไม่ยินดียินร้ายกับบุญนั้น ทำแล้วท่านให้กับโลกเท่านั้น ท่านไม่ต้องการอะไรตอบแทน
2. การรอดพ้น
3. สลัดออก
หนังสืออ้างอิง
ทางเอกภาค 2 หน้า 205
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 51
ค้าบุญคือบาป หน้า 295
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:16:35 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:19:00 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:03:25 )
รายละเอียด
นักบวชไม่มีการสะสมเงินทอง
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2562 ( 14:19:54 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:15 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:05:10 )
รายละเอียด
1. อนุสัยที่สะสมเพิ่มขึ้น ๆ ปรุงแต่งกันหรือหมักดองกันเข้า แตกตัวออกไป ๆ เพิ่มยิ่ง ๆ ขึ้นเป็นตัวของตนเอง
2. จิตใจของเรามีความเคยชินเป็นลักษณะเฉพาะตน อย่างใดก็อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ ๆ
หนังสืออ้างอิง
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 79 , 277
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:18:00 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:20:10 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:07:01 )
รายละเอียด
นิสสัย5หนึ่งในสี่นั้นก็คือดื่มน้ำมูตรเน่า มูตรคือฉี่ เยี่ยว เป็นยา พระพุทธเจ้าสอนภิกษุต้องเลี้ยงตนด้วยนิสสัย4
1. บิณฑบาตเลี้ยงตน
2. อยู่โคนไม้นอนโคนไม้โคนไร่ก็ได้ มีชีวิตสบายๆ
3. ใช้ผ้าที่เขาทิ้งแล้วเป็นผ้าบังสุกุลผ้าคลุกขี้ฝุ่น ผ้าที่เลอะเทอะแล้วเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนองจากศพอะไรต่ออะไรมาก็นำมาย้อมน้ำฝาดใช้ไปได้
4. ดื่มน้ำมูตรน้ำเยี่ยว
นี่เป็นนิสสัย4ท่านภิกษุผู้เจริญท่านบวชมาได้อย่างไรจบเปรียญ 9 ด้วย เป็นอาจารย์ที่สังคมเขารับรู้ท่านก็พูดไป บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเรื่องนี้ ขนาด นิสสัย 4 ยังมีเลย บอกได้อย่างไร ไม่พูดเรื่องนี้ แล้วเป็นพระได้อย่างไร มันก็น่าสงสารศาสนาพุทธนะ คือประเด็นสำคัญคือไม่เคยเห็นโทษภัย แต่ที่พูดกันขนาดเป็นนายแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเป็นเมืองพุทธอีกต่างหาก แล้วก็พูดอย่างที่เรียกว่าขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่เป็นพระเปรียญ 9 ก็ยังค้านเลย น่าสังเวชใจน่าสงสารประเทศไทย
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 06:06:45 )
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:14:55 )
รายละเอียด
อาศัย
ที่มา ที่ไป
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 294
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:19:09 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:20:52 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:14:42 )
รายละเอียด
1. บทบาทของใจ
2. จิตใจของเรามีความเคยชินเป็นลักษณะเฉพาะตน อย่างใดก็อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ ๆ
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 258
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 277
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:20:26 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:22:06 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:16:36 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:28:52 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:56:24 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:17:00 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 14:36:44 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 22 กันยายน 2563 ( 19:00:47 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 09:55:47 )
รายละเอียด
แปลว่าการกลับมาหรือที่อยู่อาศัย บ้านเรือนการตั้งภูมิลำเนา
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม2562
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:32:39 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:24:17 )
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 16:17:46 )
รายละเอียด
ที่อาศัย สถาน บ้าน เคหา
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า 171
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:11:13 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:22:44 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:17:24 )
รายละเอียด
ไม่ไปกับโลกแล้ว หรือไม่เอากับโลกแล้ว
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 335
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 08:21:22 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:24:03 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:17:43 )
รายละเอียด
คือ การดับอัตตา (กิเลส) ให้สนิทหมดเกลี้ยง ต้องรู้ ต้องเห็น สภาวะจริง ของเราให้ชัดๆ แล้วละล้างดับสิ่งที่เป็นอัตตา ให้ละเอียด ละออ จิตจะอยู่เหนือ อัตตาจริงๆจะพ้นอวิชชา เป็นวิชชา
หนังสืออ้างอิง
“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 90
เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 14:30:36 )
เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:04:15 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:18:10 )
รายละเอียด
1. การที่ตัวเองไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ถ้าผู้ใดทำนิโรธให้ตัวเองได้ตามต้องการ ผู้นั้นก็เป็นผู้สามารถเป็นผู้ได้เจโตสมถะ
2. ความดับ , การดับ
3. การดับ การเกี่ยวข้องกับการหยุด การพัก การนอน การหลับ
4. มีความดับได้ทั้งกามจิต รูปจิต อรูปจิตที่เป็นราคะ โทสะ โมหะต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด
5. ความดับ , ดับ , ดับสนิท
6. ดับสิ้น
7. ดับตัวตน
8. ความดับสนิทของกิเลส
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 231
ทางเอก ภาค 1 หน้า 268
ทางเอก ภาค 3 หน้า 353
อีคิวโลกุตระ หน้า 216
รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 70
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:26:57 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:26:10 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:18:36 )
รายละเอียด
นิโรธ หมายความว่า จิตใจของเรากิเลสมันดับไปแล้ว กิเลสมันไม่มีในจิตก็ได้ นิโรธแปลว่า ดับ เรียกจิตอย่างนั้นว่านิโรธ อยากได้ไหม? …อยากได้เหรอถ้าอยากได้ก็พยายามเรียนรู้ แล้วทำกิเลสออกให้ได้ จะมีนิโรธ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่85 วันจันทร์ที่6 มกราคม2563
เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 15:56:46 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:26:52 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:18:59 )
รายละเอียด
นิโรธ เป็นของพระพุทธเจ้า สรุปง่ายๆ ถ้านิโรธเป็นแบบเดียรถีย์เขาก็นิโรธ ก็ได้ มันดับได้นานจนอาจจะคิดว่านิรันดรก็ได้ อย่างเช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส ดับด้วยวิธีกดข่มอยู่ในจิตเท่านั้น หลับตาสะกดจิตแล้วก็เป็น ฌาน 4 5 6 7 8 อะไรของเขาไป เป็นนิรมาณกายของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นนิรมาณกาย ซึ่งมันเป็น สัตตาวาส 9 ในอสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ตัวที่ 5 อากาสานัญจายตนสัตว์ มันเป็นสัตว์ตัวเก๊ มันเป็นนิรมาณกาย มันเป็นอทิสมาณกาย สมมุติเอาเอง เป็นของลมๆแล้งๆของแต่ละคน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 ตุลาคม 2565 ( 19:06:40 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นจึงรู้จักสัจจะความจริงอย่างถูกต้องหมดเลย ตั้งแต่ความดำก็คือ ความดำ นิโรธก็คือนิโรธ ความมืดก็คือความมืด มันไม่ใช่นิโรธ นิโรธกับความมืดมันคนละเรื่อง นิโรธเป็นการดับกิเลสส่วนความมืดเป็นสภาวะที่ประสาทรับรู้เป็นองค์ประกอบการหลับตาหรืออยู่ในที่มืด อยู่ในที่มืดคุณไม่มีแสงสว่างเลย มันมืดจริงๆคุณก็ไม่เห็นอะไรเหมือนกัน ก็กิณหา คุณหลับตาไม่รับแสงสว่างมันก็ดำมืดสิ เมื่อคุณปิดตาเลยแล้วก็ไม่มีแสงสว่างพวกนี้มาส่อง เช่น อยู่ในกลางคืนเดือนมืด แรม 15 ค่ำเลยยิ่งมืดสนิทก็ไม่มีแสงอะไรเลย มันก็มืดเป็นธรรมดาก็ไม่ได้กำหนดผิดอะไรก็รู้ดี ไม่สับสนว่านิโรธกับ กิณหา อันเดียวกันหรือคนละเรื่อง มันคนละเรื่องไม่หลงผิดว่า กิณหาคือนิโรธ นิโรธคือกิณหา
คนที่ไปทำความรู้สึกเป็นความมืดความดำแล้วหลงว่าเป็นนิโรธนี่ นั่นน่ะ ก็เสียเวลาไปชาติ แถมกิเลสที่หลงติดนี้ไปอีกกี่ชาติ
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องรู้วิโมกข์ 8 แล้วต้องรู้ด้วยกายอีก
วิโมกข์ 8 มีอะไร
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
2. ผู้ไม่สำคัญมั่นหมาย รูปในภายใน เห็นรูปในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ)
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ)
(พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ
จะเรียนรู้วิโมกข์ 8 นี้จะต้องเรียนรู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จะต้องมีภาวะ 2 ภายนอกภายในต้องมีกาย
คุณจึงจะสามารถรู้หรือทำตนให้เป็นบุคคล 7 หรือจะเป็นบุคคล 9 ก็เชิญ แถมสองคือ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคุณจะต่อ ถ้าเอาจบแค่ อุภโตภาควิมุติ ก็จบ
ผู้จบ อุภโตภาควิมุติ แล้วก็เป็นผู้ที่ ทำให้อาสวะสิ้น ผู้ที่ทำให้อาสวะสิ้น ตั้งแต่ยังไม่ถึง อุภโตภาควิมุติ เป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติ ทำอาสวะสิ้นแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 13:30:07 )
รายละเอียด
ดับความเป็นคามินีปฏิปทาที่มันเป็นทุกข์ หรือดับความมีแนวทางประพฤติอย่างชาวโลก
ที่มา ที่ไป
ทางเอก ภาค 1 หน้า 267
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:28:02 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:27:05 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:19:20 )
รายละเอียด
นิโรธหรือนิพพานในความใสสว่าง
หนังสืออ้างอิง
ค้าบุญคือบาป หน้า 300
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:28:50 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:27:51 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:52:48 )
รายละเอียด
ความดับของกิเลส
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 217
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:29:38 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:28:28 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:19:39 )
รายละเอียด
ดับนิวรณ์ได้สนิทและเด็ดขาดถาวรทุกขณะโดยไม่หลับ ไม่อยู่ในภวังค์ ไม่ต้องมีสติควบคุมฝึกอีก
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 226
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:30:21 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:29:02 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:20:00 )
รายละเอียด
1.มิจฉานิโรธ ดับเหมือนกันแต่ว่าดับโลกีย์ดับธาตุรู้ที่ไปรับรู้สิ่งอื่น ไม่ได้รับรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นคืออะไรสิ่งนั้นคือกิเลส
2.สัมมานิโรธ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:24:03 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:29:08 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:20:23 )
รายละเอียด
ทำให้ไม่รู้ ๆ ลงไป คือหมดความจำ สิ้นความกำหนดรู้กันเลย ไม่รู้เรื่อง-รู้ราวอะไร
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 220
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2562 ( 09:31:55 )
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2563 ( 16:29:38 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:20:40 )
รายละเอียด
ผู้มีการดับได้เสมอ ๆ หรือผู้เข้าถึงการดับได้อย่างต่อเนื่องกันอยู่
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 192
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 10:46:46 )
เวลาบันทึก 25 พฤษภาคม 2563 ( 18:37:36 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:52:29 )
รายละเอียด
1. กิเลสดับ
2. การวางขาด หรือดับเฉพาะกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดลงได้ที่จิตสนิทด้วยปัญญาอันยิ่งและดับชั่ว ดับความไม่ดีนั้นในจิตของตนเองด้วย
3. ดับสุขดับทุกข์สนิท
หนังสืออ้างอิง
คนคืออะไร? หน้า 253
ทางเอก ภาค 2 หน้า 341
พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 9
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 10:51:44 )
เวลาบันทึก 25 พฤษภาคม 2563 ( 18:38:28 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:21:20 )
รายละเอียด
1. ตามเห็นซึ่งดับไม่เหลือ
2. ตามเห็นความดับ[ตัวตน]
3. ตามเห็นความดับสนิทเฉพาะตัวตนของอกุศล
4. ตามเห็นความดับของอกุศลจิต,
5. ตามเห็นความดับของกิเลสนั้น
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 45
อีคิวโลกุตระ หน้า 250
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 43
ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 245 , 307
คนคืออะไร? หน้า 372
ชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉบับ 275
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:05:07 )
เวลาบันทึก 25 พฤษภาคม 2563 ( 18:40:55 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:22:16 )
รายละเอียด
ไม่ใช่จิตไม่มีอะไร แล้วเข้าใจผิดว่าจิตว่างคือไม่ได้พูดอะไรเลย ถ้าดับไปเลยเรียกว่านิโรธ เป็นภาษาไวพจน์ของนิพพาน แปลว่าดับนิโรธแปลว่าดับ อะไรดับ ก็กิเลสดับ เฉพาะกิเลสดับ แต่จิตใจยิ่งดียิ่งแจ่มใสนะ นิโรธไม่ใช่ดับปี๋ ไม่รู้ ธาตุรู้หายไปหมด ดับเวทนาดับสัญญา เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธไม่รับรู้อะไรเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานอโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อานิสงส์ของคนที่ให้คู่ครองไปบวช
เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:05:58 )
รายละเอียด
บุคคลอาศัยตาและรูป ฯลฯ - มโนและธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง3เป็นผัสสะ (ติณณ สังคติ ผัสโส) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์ เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง…ฯลฯ อัน “อทุกขมสุขเวทนา” ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่ทราบชัดความตั้งขึ้น(สมุทยัญจะ)แห่งเวทนานั้น ไม่รู้ความดับไป (อัตถังคมัญจะ)แห่งเวทนานั้น ไม่รู้คุณ-โทษแห่งเวทนานั้น (อัสสาทัญจะ - อาทีนวัญจะ) และไม่รู้ที่สลัดออก(นิสสรัญจะ) แห่งเวทนานั้นตามความเป็นจริง จึงมีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้นยังไม่ละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา ยังไม่บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา ยังไม่ถอนอวิชชานุสัยเพราะ อทุกขมสุขเวทนา ยังไม่ทำวิชชาให้เกิดเพราะไม่ละอวิชชาเสีย แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ฯ
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 822 , ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 12:45:17 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:31:02 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:52:04 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:06:51 )
รายละเอียด
ผู้นิ่งจะทางกาย วาจา ใจ ไม่ใช่ผู้นิ่งแบบไม่พูดไม่คิด ไม่ใช่ แต่นิ่งคำนี้เป็นภาษาสัจธรรมลึกซึ้ง นิ่งหมายถึงว่าไม่มีอะไรกวนในจิตแล้ว จิตเป็นประธาน จะแสดงกายกรรมออกมา กายกรรมก็เป็นผู้ที่นิ่ง จะเป็นลีลาท่าทางประกอบ พูดจาด้วย นัจจะคีตะวาทิตะ
ผู้รู้จักนัจจะคีตะวาทิตะมาครบก็เรียกกายกรรม แต่ถ้ากายกรรมไม่ออก ก็เรียกว่ามีแต่วจีกรรม ไม่มีท่าทางกิริยากายมีแต่วาจา แต่ก็มีใจเป็นประธาน อย่างเขาถือว่ากันว่านิ่งไม่กระดุกกระดิก มีแต่เสียงกับริมฝีปาก เสียงออกไปเบาๆเขาเชื่อกันว่าสุภาพ อย่างนั้นมันก็ง่ายๆ สุดโต่ง แต่นิ่งๆที่ว่าคือหมดกิเลสที่จะบันดาลออกมาทางกาย ..
วาจา ก็คือในใจไม่มีกิเลส คือผู้นิ่ง ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ได้ฝึกได้เป็นครั้งคราวจนสุดได้เป็นอัตโนมัติชำนาญ อรหันต์คือไม่มีทางผิดพลาดที่จะแสดงกายกรรมวจีกรรมออกมาเพราะว่าประธานคือจิตแข็งแรงเป็นไดนามิก พลังงานตัวที่จะเป็นตัวงานหลัก มันสั่งออกมาให้พูดทำกายกรรม ไม่มีกิเลสเข้ามาร่วม
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2562 ( 14:50:20 )
เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:56 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:23:00 )
รายละเอียด
ย่อมนำออกไป
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 84
เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 11:21:25 )
เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:12:35 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:23:20 )
รายละเอียด
แต่ก็ยังมี“อารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ที่“เทฺวนิยม”หรือชาวโลกีย์ปฏิบัติแบบ“หลับตา”ฝึกสะกดจิตไม่ให้รับรู้อารมณ์สุขหรือทุกข์จนเก่ง จนชำนาญ จนเป็นไปได้ แบบเดียวกันกับอาฬารดาบส หรืออุทกดาบส ที่เป็น“เจโตสมถะ”ของเดียรถีย์ที่มีอยู่ประจำโลกีย์ ซึ่งก็ยังนับเป็น“เคหสิตอุเบกขา”เท่านั้น ยังไม่ใช่“อุเบกขา”แบบโลกุตระ ที่ชื่อว่า“เนกขัมมสิตอุเบกขา”เลย เพราะไม่ใช่“เนกขัมมสิตอุเบกขา” ที่ปฏิบัติด้วยกระบวนการของ“เวทนา 108”ที่มี“เนกขัมมะ”ตามหลัก“จรณะ 15 วิชชา 8” ของพระพุทธเจ้ากันอย่าง“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งได้เริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่“อนุปุพพิกถา 5” ที่เรียนรู้มาตามลำดับคำสอนโลกุตรธรรม อันมี “ทาน-ศีล-สัคคะ-กามาทีนวะ-เนกขัมมานิสังสะ”(พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 27)
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 344 หน้า 254
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 10:55:55 )
รายละเอียด
นี่เป็นสัญญาประชาคมนะ จัดทุกปีไม่ย้ายไปไหน เท่ากับสัญญาประชาคมเลยนะนี่ ตลาดอาริยะ
มาพูดถึงเรื่องนี้จริงๆแล้วนี่นะ อาตมาว่ามันเป็นเรื่องสัจจะ และเป็นเรื่องจริงใจ อย่างชาวอโศกอาตมาพาทำนี้ ตั้งแต่อาตมาทำมาอาตมาว่าอาตมาจริงใจ ในเรื่องที่จะแจกจ่ายเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่สังคมมนุษยชาติกัน ใครจะมารับบริการนี้ เราทำให้จริงๆเสียสละเกื้อกูลกันไป โดยไม่ทำเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาทำ อย่างพระหลายวัดหว่านเงินธนบัตร หว่านแจก มารับกันเยอะแยะเราไม่ได้ทำอย่างนั้น
แต่เราทำนัยยะอีกอย่างหนึ่ง ให้มีการได้ฝึกฝน แต่ก่อนนี้ตลาดอาริยะของเราแย่งกันแล้วก็มีเล่ห์เหลี่ยม มีการหาพรรคพวกมาเข้าแถวเข้าคิวต่างๆนานา เดี๋ยวนี้รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ไม่แย่งไม่ชิง นี่คือการทำให้สังคมเกิดจิตพัฒนา จิตวิญญาณเจริญขึ้น ไม่ได้เห็นแก่ตัวรู้จักการแบ่งแจก นี่คือการสร้างเศรษฐกิจ กับมนุษยชาติที่ทำให้เกิดพัฒนาจิตวิญญาณ รู้ว่าอยากได้แต่ก็ไม่ขี้โลภจนขึ้นหน้าเหมือนอย่างแรกๆ มีพัฒนาการอย่างนี้
สังคมมนุษยชาติที่พระพุทธเจ้าค้นพบเป็นสุดยอด กิเลสเป็นตัวเหตุ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ว่าแค่อยากได้วัตถุ อยากได้อำนาจ อยากได้การสรรเสริญยกย่อง แม้ที่สุดอยากได้ความสุขที่มันไม่มีตัวตนที่สุขเลย สุขด้วยการสร้างค่าขึ้นมาเป็น นิรมาณกาย แล้วสัมโภคกาย ที่จริง มัน ไม่มี อทิสมานกาย แต่ก็มาสมมุติแล้วก็ติดยึดกัน
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:51:46 )
รายละเอียด
แสดงว่าฟังธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าใจ ว่าการปฏิบัติอย่างที่พูดมานี้มีการปฏิบัติธรรมขณะที่ไปทำการงานต่างๆ ไปล้างห้องน้ำ ไปร่วมยกมือ ไปร่วมแจกอาหาร ก็อ่านจิตใจตัวเอง แล้วก็รู้จักกิเลส อ่านกิเลส ลดกิเลสได้ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาออกป่าหาสถานที่ปฏิบัติ ไม่ใช่ นี่คือจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรียกว่าวิชชาจรณะสัมปันโน ต้องบรรลุด้วยวิชาจรณะสมบัติ เป็นพุทธสมบัติแท้ๆ ทุกวันนี้มันเสื่อมมาก ออกนอกพระพุทธเจ้าไปมาก ปฏิบัติศีลก็เข้าใจกันไม่ได้
ศีลแต่ละข้อจะเริ่มปฏิบัติด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 ศีลข้อที่ 1 2 3 เป็นหัวข้อหลักๆ เมื่อปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วคุณก็จะเกิดประสบการณ์และคุณก็จะจัดการจิต ให้เกิด สัทธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งภายในองค์ประกอบของจิตที่กำลังจัดการ กำลังเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบของจิตเจตสิกต่างๆ เราก็จะเกิดศรัทธา หิริ โอตตัปปะ หิริ เพราะเราจะมีประสบการณ์ สัมผัสแล้วรู้สึก อันนี้แต่ก่อนเราไม่รู้ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ เราไม่มีปัญญาไปเชื่อผิด ศรัทธาผิดๆว่าดี ไปหลงนึกว่ามันดี ตอนนี้เราสัมผัสแล้วมันก็เคยผ่านมา ก็ได้รู้สึก แต่ก่อนเรานี้โง่นะ ก็รู้สึกละอายตัวเอง ละอายต่อบาปที่ตนเองโง่ เคยผ่านมา เคยทำมา ยิ่งโอตตัปปะ นั่นยิ่งมีสำนึก การปฏิบัติธรรมแล้วมีหิริโอตตัปปะ จึงจะได้ชื่อว่ามีเทวธรรม เป็นธรรมอันเจริญ
รู้สึกแต่เก่าที่ผ่านมาเราเสื่อม เราไม่เจริญ ก็สำนึก เมื่อสำนึกแล้วมันจะเกิด การสำนึกถึงความชั่ว ความไม่ดี ความไม่สมควร นั่นคือปฏิภาณปัญญา จิตจริงๆมันรู้สึกจะสำนึกจริงๆ มันก็จะไม่เอาอีกแล้ว ต้องสังวรระวัง เกิดปฏิบัติจนเป็นพหูสูตเป็นผลสำเร็จขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็จึงจะเห็นผลของพหูสูตก็จะยิ่งมี วิริยะ สติ ปัญญา นี่เป็นสัทธรรมทั้ง 7 ข้อ มันจะเกิดปฏิสัมพันธ์แบบนี้ นี่คือสภาพจิตที่ปฏิบัติธรรมถึงขั้น จรณะทั้ง 11 เป็นอาการของ ฌาน
ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเลย นี่แหละ ต้องปฏิบัติจรณะทั้ง 11 จึงจะเกิดฌาน 1 2 3 4 เป็นจรณะ 12-15 ฌาน ที่ไปนั่งหลับตาเป็นของ เดียรถีย์ ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย คิดเอาไม่ได้ เป็นชีวิตธรรมดาสามัญนี่แหละ แต่เข้าใจปฏิบัติอย่างมีอนุสาสนี ปฏิบัติในขณะที่มี สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ
ฌาน ก็ทำให้กิเลสลด นี่แหละคือการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า พวกเราจะได้เข้าใจว่าปฏิบัติถูกต้องตามอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าหรือ เขาออกนอกรีตไปไกล เพี้ยนผิดไปจนกระทั่งเป็นเดียรถีย์ 100% เลย ปฏิบัติธรรมอย่างนั้นมันน่าสงสารน่าเห็นใจซึ่งมันไม่ง่าย ก็จะทำอย่างไรเขาก็มีผู้รู้พยายามดึงออกไปให้ผิดเพี้ยนจากศาสนาพระพุทธเจ้า ก็น่าเห็นใจ พูดไปคนที่ฟังเข้าใจก็ได้ปัญญา คนที่ฟังแล้วไม่ได้เข้าใจก็จะบอกว่าพูดอะไร มาตำหนิอาจารย์ฉันอีก ก็ต้องขออภัย ก็ต้องตำหนิคนที่ควรตำหนิ อาตมาก็เลี่ยงไม่ออก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2566 ( 19:17:16 )
รายละเอียด
จิตของคนที่ไม่ต้องการแล้ว ไม่อยากได้หรือถึงขั้นจิตไม่สะสม นี่คือคนรวยเต็ม คนเต็ม รวยเต็ม 0 คนเต็มศูนย์รวยเต็มที่เลย แต่คนยังอยากได้อยู่ มีเงินหมื่นล้าน แสนล้าน ก็ยังตะกละตะกลาม ไม่ให้ไอ้นั้นเลยนะ ใครมาเอาไป ต้องมีผลได้ ไม่ได้ดอกเบี้ย ก็ต้องมีปันผลอย่างโน้นอย่างนี้ต่างๆนานา นั่นคือ คนจนไม่เสร็จ จนไม่จบ คนมีแสนล้านก็ตาม จนไม่จบ คนพวกนี้ ตายไปคุณก็ยังเป็นคนจนอยู่นั้นแหละ
คุณไม่รู้จักพอ วรรณะ 9 ของคุณไม่มีเลย เพราะฉะนั้นชีวิตของคนที่มีมากๆก็จะต้องมีอะไรมาบริการตนเอง บำเรอตัวเอง เป็นคนเลี้ยงยาก ไม่ใช่เลี้ยงง่าย เพราะฉะนั้นคนพวกนี้อธิบายธรรมะยังไงยังไงก็ ทุโปสะ ไม่เจริญง่าย เอาธรรมะโลกุตระมาพูดไม่มีกระดิกหูหรอก อวรรณะ บำรุงไม่ขึ้น ไม่เป็นสุโปสะ ทุโปสะตลอด เพราะเขาไม่มักน้อย เขาไม่กล้าที่จะจน เขาจะต้องมาก เขาจะต้อง มหัปปิจฉะ เขาจะต้องมาก เขาจะต้องรวย
เพราะฉะนั้นยิ่งไปใจสันโดษใจพอ ไม่มีพอ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คนพวกนี้ไม่พึงพอใจหรอก จะต้องตะกละ จะต้องเอาอีกจะต้องเอาอีก ไม่สันโดษ ไม่พอ เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ไม่มีทางขัดเกลากิเลสเลย อสัลเลขะ จะไม่ขึ้นขีดมาพวกวรรณะนี้เลย เขาจะมีแต่แค่เลี้ยงยาก บำรุงยาก ทุโปสะ มักมาก อสันตุฏฐิ ไม่มีใจพอ จากนั้นอีก ข้อที่ 5 ข้อที่ 6 ก็คือ เป็นคนขี้เกียจ โกสัชชะ ขี้เกียจ สังคณิกา มีแต่กอบโกยเป็นคณะ เป็นกองประกอบ แต่เขาก็ไปแปลว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ที่จริง ไม่คลุกคลีด้วยกิเลส อสังคณิกะ เขามีสังคณิกา สังคณิกะ นะ โกสัชชะหรือกุศีตะ เกียจคร้าน
นี่เป็นพวกไม่มีวรรณะ เป็นอวรรณะ 6
1. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
2. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
3. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
4. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
5. เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 12:40:44 )
รายละเอียด
ปัจฉาฯ ก็พยายามจะบอกให้นอนพัก อาตมาก็ยังไม่ยอมนอน พยายามจะเขียนสิ่งที่จะมาประกาศวันนี้ อาตมาเห็น“คนเก๊”ที่หลอกสังคมมนุษย์อยู่ โทนโท่ จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ที่มีแต่“พุทธเก๊” อาตมา“พุทธจริง-คนจริง”เมื่อเห็นความเป็น“พุทธ”ที่“เสื่อมจริง”ในยุคที่อาตมาเกิดมานี้ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ไว้กันอยู่โทนโท่ มีแต่“พุทธเก๊”อยู่โต้งๆแล้วจะให้อาตมาทำยังไง?
อาตมาไม่อยากไปต่อสู้หรือไปขัดแย้งอะไร แต่มันไม่ได้ มันปล่อยไปไม่ได้ อาตมาก็ได้พูดหมดแล้วทุกอย่างว่าลักษณะธรรมะพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นนานาสังวาส ความเห็นต่างกัน เป็นพุทธด้วยกัน สังวาสเดียวกัน แต่ความเห็นมันต่างกัน ต่างคนก็ต่างยืนยันของตนเอง ให้สิทธิของคนทั่วไปเขาเป็นอิสระ ให้เขารับฟังแล้วเขาเลือกเฟ้นของเขาเอง เมื่อเขาเห็นว่าอาตมายืนยันอย่างนี้ ว่าเป็นธรรมวาที เขาก็มาเอา แต่ใครที่เห็นว่าอาตมาพูดนี้ไม่เป็นธรรมวาที เป็นอธรรมวาที เขาก็ไปเอาอันโน้น อาตมาก็ไม่ว่าอะไรเขามีสิทธิ์
ใครเห็นอันโน้นเป็นอธรรมวาที มาเห็นที่อาตมาพูดเป็นธรรมวาทีเขาก็มาเอา ก็เป็นอิสรเสรีภาพของคุณอีกเหมือนกัน นี่คือความจบของนานาสังวาส แล้วในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ชัดในเรื่องนานาสังวาส คุณจะถล่มอีกฝ่ายหนึ่งด้วยภาษาคำพูด โดยไม่ให้ไปตีรันฟันแทงกันนะ คุณถล่มไปได้เลยท่านเรียกว่า ปฏิกโกสนา ค้านกันอย่างจังๆค้านกันอย่างแรงๆเลย ท่านปราชญ์ทางโน้นก็แปลปฏิกโกสนาว่า ค้านอย่างจังเลย ใช้หอกปาก มุขสตี
อาตมาก็ทำมาหมดตามธรรมวินัย ไปฟ้องร้องกันไม่ได้ ไปอธิกรณ์กัน ฟ้องร้องกันไม่ได้ ให้เป็นเรื่องเป็นราวกันไม่ได้ แต่ว่าเถรสมาคมมาฟ้องเรา เขาทำผิดธรรมวินัยไปหมดเลย นานาสังวาสเขาก็ไม่รู้ เขาทำการอธิกรณ์อาตมาผิดพระธรรมวินัยก็ไม่รู้ แล้วจะให้อาตมาทำเฉยเมย ไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยไป เก๊ก็เก๊กันไป ปู้ยี่ปู้ยำกันไปเถิด ...อย่างนั้นหรือ?
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 กรกฎาคม 2566 ( 10:25:15 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ 15 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 10:41:23 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:21:30 )
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:24:11 )
รายละเอียด
“อัญญธาตุ”เป็น“ธรรม”ที่ไม่มีใน“โลก”อันเป็น“โลกีย์”ของปุถุชนสามัญทั่วไป
เมื่อคนผู้ใดเกิด“ธาตุใหม่”ตัวนี้ขึ้นจึงเป็น“ธาตุรู้”ตัวอื่น ที่แตกต่างไปจาก“ธาตุรู้”ประดามีเดิม
ซึ่ง “เดิมก็ “ธาตุรู้” ที่วนเวียน “หลงทุกข์ๆ สุขๆ” หรือ “ไม่ทุกข์ไม่สุข” เป็นครั้งคราว ก็เป็นไปตามธรรมชาติที่ชาวโลกีย์ก็มีกันอยู่เท่านั้น
“โลกุตรธรรม”จึงเป็นธรรมที่“ทรงขึ้นใหม่”จริงของผู้มีภูมิเจริญขึ้นถึงขั้น และบังเกิดขึ้นใน“จิต”ของมนุษยโลกผู้ใดผู้นั้น
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 45 หน้า 69
เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 12:37:55 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name