@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ทัศนะต่อสื่อการ์ตูน

รายละเอียด

เราไม่มีคนทำ แม้แต่หนังสือเดี๋ยวนี้ก็ลดลงเยอะแล้ว ยิ่งจะทำให้เป็นอนิเมชั่น กระดุกกระดิกได้เราไม่มีแรงงานพอ ไม่มีคนทำพอ เอาคนจริงๆก็มีเหลือแหล่อยู่แล้วตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ต้องทำเป็นการ์ตูนหรอก พยายามทำตัวเองให้โตขึ้นมาอย่าเป็นเด็กต่อไปอีกนักเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 17:49:58 )

ทัสสนะ

รายละเอียด

เห็น

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 12


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:35:16 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:06:14 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:10:21 )

ทัสสนา

รายละเอียด

การดูรู้เห็น การทำความเข้าใจรู้ชัด

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 477


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:36:03 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:06:50 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:43:21 )

ทัสสนานุตตริยะ

รายละเอียด

การเห็นแจ้งรู้แจ้งที่ยอดเยี่ยม คือเห็นแจ้งสัจธรรมในตนครบ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 412


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:36:42 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:07:46 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:43:38 )

ทั้ง 2 วิธีล้วนเกิดอุเบกขาได้ใช่หรือไม่

รายละเอียด

ใช่ รู้ว่าเขาทำหน้าที่อยู่แล้วและเราทำหน้าที่ไม่ได้ คุณก็วาง ให้เขาทำหน้าที่ไว้ใจเขา เชื่อมั่นในเขา สนับสนุนเขาได้หรือจะไปช่วยให้กำลังใจก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 21:28:02 )

ทั้งฆราวาสและภิกษุเริ่มต้นที่ศีล 5

รายละเอียด

คุณพูดอย่างนี้ก็พูดถูกนะ ถ้าใครก็ตามศีล 5 ข้อนี้ยังปฏิบัติไม่ได้ ทั้งฆราวาส ภิกษุก็เช่นกัน เริ่มต้นที่ศีล 5 ศีลต่อๆไป ศีล 5 8 10 เหมือนกัน อาตมาก็ตอบคุณไปตรงๆว่าปฏิบัติได้แล้วแล้วเอามาอธิบายให้พวกเราฟังปฏิบัติตาม พวกเราก็ปฏิบัติกันได้เยอะแล้วนะไม่ใช่แค่อาตมา นี่พูดแค่ ศีล 5 เท่านั้น ก็ตอบตามนี้ก็แล้วกันได้แล้วบรรลุผลเป็นอรหัตตผลของศีล 5 ด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:47:40 )

ทั้งช่วยคนและรู้เพิ่มจากคนอื่นด้วยความต่าง

รายละเอียด

คนใดที่สามารถทำความเข้าใจตาม เขาก็จะได้ ก็ทั้งช่วยคนและรู้เพิ่มจากคนอื่น คนนี้มีนัยยะคล้ายกันกับเรา เหมือนกับเราเลย แล้วก็บอกได้ง่ายเพราะมันเหมือนกันเขาก็ 0 เหมือนกัน คนนี้ต่างแล้วไปติดสิ่งที่มันต่างกันนั่นแหละ คนนี้ก็ยากไปยึดถือความต่าง มันไม่ตรงกับสิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้สักที จนเขามาได้คนนี้อีกคน คนนี้ก็ต่างไปอีกแล้วก็ไปยึดสิ่งที่ต่างอีก 

คุณรู้จักต่างไหม? ต่างคือพวกสองข้าง ถ้าพวกตั้งคือตัวเดียว แต่ต่างคือสองข้าง

ตั้งนี่ตัวเดียว ถ้าต่างมีสองตัว คุณรู้จักวัวต่าง, ม้าต่าง, ควายต่าง รู้จักไหม? มันมีสองข้างแบกน้ำหนักสองข้าง บางทีก็ใช้เชือกผูก 2 ข้าง บางทีก็ใช้แอกใช้ไม้คาน ก็จะมี 2 ข้าง หน้าต่างธรรมดาก็มี 2 ข้าง 

คือคำว่าต่าง มันหมายถึงมี 2 จึงเรียกว่ามันต่างกัน เรียกว่ามี ลิงคะ หรือเพศ ต่างต้องมี 2 

ต่าง คือ 1 มันยังไง ต่างคือ 1 แต่ต้องตั้งต่างหากคือ 1 ต่างมันสระอา แต่ตั้ง มันสระ อะหรือตั่ง ก็เป็นที่ตั้งที่นั่ง 

อันที่จะตั้งก็ไม่ตั้ง ก็มาตั้งอันที่จะนั่ง ไอ้ที่จะนั่งก็ไม่นั่ง ดันมานั่งอันที่จะตั้ง อันนี้บาลีหลอก (ฮา)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:28:43 )

ทั้งพระป่าพระบ้านเห็นเหมือนกันหมด ปฏิบัติธรรมต้อง “หลับตา”!

รายละเอียด

เพราะต่างหลงผิดด้วยกันทั้งคู่ว่า การปฏิบัติธรรมที่จะบรรลุนิพพานนั้นต้อง“หลับตา” 

จึงหลงว่า“อาปานสติสูตร”ก็ดี หรือแม้แต่“สติปัฏฐานสูตร”ก็ดี 

“วิโมกข์ 8”ก็ดี “สมาบัติ”ก็ดี 

หรือไม่ว่าจะเป็น“ฌาน”ก็ดี จะเป็น“สมาธิ”ก็ดี แม้“นิโรธ”ก็ตาม 

จะต้องปฏิบัติด้วยการ“หลับตา”เข้าไปอยู่ใน“ภวังค์”กันทั้งนั้น

แม้แต่“ศีล”เมื่อไป“หลับตา”ปฏิบัติก็โมเมตีขลุมเอาเลยว่า 

มี“ศีล”บริสุทธิ์ในตัวแล้ว เลอะเทอะกันถึงปานนั้น! 

ซึ่งมันไม่ใช่การปฏิบัติตามพุทธคุณ“จรณะ 15 วิชชา 8”เลย

ชาวพุทธหรือสังคมศาสนาพุทธในทุกวันนี้มันไม่มีความเป็น

“พุทธ”อันเป็นของพระพุทธเจ้ากันหมดสิ้นแล้วจริงๆ  

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 509 หน้า 378


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 09:10:50 )

ทั้งรู้และทำ มันจะต้องมี 2

รายละเอียด

พวกเราที่อาตมาพาทำ เกิดจากความจริงของกายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมที่เป็นธาตุรู้และก็ทำได้ทั้งความรู้และก็ทั้งทำได้ เป็นประสิทธิผลที่สมบูรณ์ได้ขึ้นมาทั้งคู่ 2 สภาพ ทั้งรู้และทำ มันจะต้องมี 2 ความเป็นสอง บาลีบอกว่า เทวฺ อ่านอย่างไทยก็เทวะ อ่านอย่างบาลีก็ เดวะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 09:41:49 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:39:23 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:38:08 )

ทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

รายละเอียด

การมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีนั้น เท่ากับ มีทั้งสิ้น หรือ เป็นทั้งสิ้นของ พรหมจรรย์ 

คำว่า มิตรดี นั้น มีความหมาย ที่สามารถจะพา ให้เราเจริญ เราเป็นไป เพราะเป็นทั้งตัวอย่าง เป็นทั้งครูอาจารย์ เป็นทั้งผู้ช่วย ที่จะเป็นแบบฝึกหัด เป็นทั้งตัวอย่าง ในด้านลบ-ด้านบวก ถ้ามีสิ่งแวดล้อม ที่มีองค์ประกอบสมเหมาะสมควร เป็นไปด้วยดี ในการที่จะช่วยเหลือ ทั้งในด้านทำให้ลด ในสิ่งที่ควรลด ควรเลิกควรเว้น ทำให้เพิ่ม ในสิ่งที่ควรเพิ่มควรพูน ควรทำให้ยิ่ง สิ่งแวดล้อมอย่างนั้น เราเรียกว่า สปายะ เป็นการเจริญ และการศึกษา เราจะได้จากมิตรดี-สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นี้เอง เป็นการศึกษา ทั้งปริยัติปฏิบัติ จึงจะถึงซึ่งปฏิเวธ 

ปริยัตินั้น มีทั้งบอกกล่าว แสดง พูด ชี้แจง อธิบาย สมัยนี้มีอ่านด้วย ดังนั้น การอ่าน ก็เป็นการสื่อ ที่สามารถทำให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ เช่นเดียวกันกับ การอธิบาย หรือการพูดการฟัง สมัยโบราณ การอ่านไม่มี แต่สมัยนี้ การอ่านมีอยู่ 

ดังนั้น ถ้าศึกษา ขาดการอ่าน ก็เท่ากับเราบกพร่อง ก็เท่ากับเราเป็นผู้ที่ประมาท หรือขาดโอกาสไป ดังนั้น ถ้าเราจะได้ปริยัติที่ครบครัน เราก็ต้องมีการอ่าน อ่านสิ่งที่จะเสริมหนุน ให้เราได้เจริญปฏิบัติ แล ถึงซึ่งปฏิเวธ สื่ออื่นก็มีอีก ซึ่งเป็นเครื่องเสริมหนุน เป็นสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เราได้เกิดความสมบูรณ์ เพราะเรามีมิตรดี-สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ทั้งที่อยู่นั้นก็ สปายะ 

อาหาร ซึ่งเป็นความรู้ เป็นการศึกษา ทั้งอาหารปาก อาหารกาย ทั้งอาหารที่เป็นอาหารอริยะ อาหารการศึกษา อาหารทางวิญญาณ บุคคลก็เป็นมิตรโดยตรง ที่เป็นทั้งมิตรผู้หวังดี เป็นครูบาอาจารย์ เป็นตัวอย่างอันดี นำพา ชักจูง ช่วยเหลือ ดูแล เอาใจใส่ ทั้งเพื่อนฝูง ทั้งพี่น้อง มิตรสหายที่แท้จริง เป็นบุคคลสปายะ และทั้งธรรมะ ที่เราเองมุ่งหมาย เป็นสิ่งที่ต้องการ ความเจริญมีได้ ถ้าเราศึกษา ถ้าเราเอาใจใส่ แม้ว่าที่อยู่จะเป็นสปายะ บุคคลจะเป็นสปายะ อาหารจะเป็นสปายะ ธรรมะจะเป็นสปายะ โดยตัวมันเองก็ตาม 

ถ้าผู้ปฏิบัติ ผู้ศึกษานั้น ทำผิดพลาด ไม่เอาใจใส่ ไม่ขวนขวาย ความเจริญของผู้นั้น ก็ย่อมไม่เกิดได้ ดังนั้น การศึกษา จึงต้องรู้ตัวอย่างยิ่ง แม้จะมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์อยู่ เราก็จะไม่พบพรหมจรรย์นั้นได้ ถ้าเราไม่ขยัน เราไม่ขวนขวาย เราศึกษาไม่ถูก หรือ เราเป็นคน ปล่อยปละละเลย เหมือนช้อนอยู่ในชามแกง ฉันใด เราก็จะไม่รู้ รสของธรรม ไม่ได้ประสบธรรมะ ฉันนั้น  

ที่มา ที่ไป

สมณะโพธิรักษ์ 22 พฤศจิกายน 2528


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 03:56:12 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:40:12 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:39:03 )

ทั้งหมดของพรหมจรรย์ 3

รายละเอียด

ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (พรหมจรรย์ คือ การประพฤติธรรมอันประเสริฐ)

1. มิตรดี (กัลยาณมิตโต) เพื่อนดีที่รักใคร่คุ้นเคย

2. สหายดี (กัลยาณสหาโย) เพื่อนดีที่ร่วมสุขร่วมทุกข์

3. สังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 19 "อุปัฆฒสูตร" ข้อ 5

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2562 ( 15:41:10 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:51:33 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:37:31 )

ทั้งหมดของพรหมจรรย์ 3

รายละเอียด

ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (พรหมจรรย์คือการประพฤติธรรมอันประเสริฐ)

1. มิตรดี (กัลยาณมิตโต) เพื่อนดีที่รักใคร่คุ้นเคย

2. สหายดี (กัลยาณสหาโย) เพื่อนดีที่ร่วมสุขร่วมทุกข์

3. สังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 19 “อุปัฑฒสูตร” ข้อ 5


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2565 ( 21:00:53 )

ทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์มีอะไร

รายละเอียด

1.มีมิตรผู้มี“ทิฏฐิ”ตรงกัน ปรารถนาดีต่อกัน (กัลยาณมิตโต) 
2.มีมิตรดี ผู้มีความร่วมมือ ร่วมประโยชน์ดี (กัลยาณสหาโย) 
3.มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก) 
นี้เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (คือ ทั้งสิ้นของศาสนา)
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 19 ข้อ 5, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 12:49:29 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:54 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:40:21 )

ทั้งหมดในชีวิตคือรูปนามขันธ์ 5

รายละเอียด

ในขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่แหละรวมแล้วทั้งหมดของชีวิตทั้งชีวิตก็คือรูปนามขันธ์ 5 นี่แหละแล้วก็ต้องเรียนรู้ด้วยรูป 28 นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ มนสิการแต่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่มีผัสสะ มนสิการก็ไม่มีการทำใจในใจก็ไม่เกิดเพราะจะไม่มีผัสสะเมื่อไม่มีผัสสะก็ไม่มีมโนสัญเจตนา เมื่อไม่มีมโนสัญเจตนาเป็นเจตนาไปในทางกามตัณหา เจตนาล้างกามตัณหา เหลือวิภวตัณหา กามโลกมีอยู่แต่เราเหนือกามโลกแล้ว ไม่ใช่กามโรคนะ อาตมาอธิบายโดยสภาวะ เอาพยัญชนะที่เขามี เป็น technical terms ก็เอามาอธิบายได้ อาตมาไม่ได้จบเปรียญ 9 ไม่ได้จบดร. ไม่ได้มีอลังการ คนไม่เชื่อถือ ไม่ได้แม้แต่นักธรรมจัตวาก็เลยเป็นอย่างนี้แต่ว่าอาตมาก็ยืนยันว่าอาตมามีความรู้ตั้งแต่ชาติเก่าก่อนรับมาจากพระพุทธเจ้ามาคนก็ฟังแล้วก็บอกว่าไม่มีใครรับรองมันก็เป็นจริงไม่มีใครรับรอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:22:02 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:00 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 03:39:34 )

ทั้งโลกทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยขาเดียวเหตุใด

รายละเอียด

มีแต่ว่าจะบริหารกันโดยคณะหรือบริหารโดยการเลือกของประชาชน หรือบริหารด้วยทั้งประชาชนและพระราชา มี 3 อย่างใหญ่ๆ บริหารด้วยประชาชน มันทำไม่ได้มันก็ต้องมีวิธีการ วิธีการให้ประชาชนมาเลือกเอาใครไปบริหาร สมมติมา 1 คนซึ่งคนนี้ไม่มีที่มาที่ไปก็ได้มีแต่แทคติกมีการสะสมค่ายกลที่ตัวเองจะได้เป็นที่หนึ่งได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็คนนั้น มันไม่มีรากไม่มีรูทของการสืบทอดสืบต่อ ทั้งจิตวิญญาณและภายนอก นี่แหละเป็นประชาธิปไตยขาเดียว อาตมายังไม่เก่งที่จะอธิบายอันนี้ อาตมาเห็นทุกวันนี้ว่าทั้งโลกเป็นประชาธิปไตยขาเดียว เผื่อฟลุ้คกูจะได้เป็นหนึ่งบ้าง อย่างนี้มันไม่ได้ เป็นสันตติวงศ์ กูก็จะล้มมันท่าเดียว นี่จิตใจลึกของเขา อย่างไรอย่างไรก็ไม่ได้เกิดในสันตติวงศ์ก็จะเอาให้ได้ ที่จริงแล้วพูดตรงนี้แล้ว ฟังดีๆ เป็นพระเจ้าแผ่นดินนี้ หนักกว่าเป็นประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นพวกที่มักง่ายก็จะไม่เป็นดอกพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินนี้เป็นยากกว่า ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีทศพิธราชธรรม เป็นพระเจ้าแผ่นดินดี เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่รักประชาชน รับใช้ประชาชน ถ้าจะว่ากันแล้วด้วยศัพท์คือ โลกานุกัมปายะ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:45:33 )

ทั้งโลกุตรธรรม รสชาติและค่านิยมย่อมต่างจากชาวโลกีย์

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้“โลกุตรธรรม”จึงเป็น“ธรรม”แบบ“อื่น (อัญญะ)”ที่รสนิยมหรือค่านิยมไ่ม่เหมือนกับ“ชาวโลกีย์”เด็ดขาด มันเป็นคนละรส คนละค่านิยม ตรงกันข้ามกันทีเดียว

เพราะยังไม่มี“ธาตุรู้”ตัวอื่นที่ใหม่แตกต่างจาก“โลกียภูมิ” 

ผู้เกิด“อัญญธาตุ” ซึ่งเป็น“ธาตุรู้ชนิดอื่น”ในจิตนั้นพิเศษยิ่ง คนผู้นี้จึงเป็นผู้เริ่มมี“ความเป็นโลกุตระ”ขึ้นในจิตใจ

ในโลกยุคนี้ เมื่อมีพระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก

และทรงเปิดเผย“โลกุตรธรรม”ขึ้นมาโดยสื่อ“ธรรมจักกัปปวัตน

สูตร”และ“อนัตตลักขณสูตร”ออกมาให้พราหมณ์ 5 รูปแรกได้ยินได้ฟัง 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 42 หน้า 68


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 12:27:47 )

ทั้งโลกุตระและโลกียะมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเหมือนกัน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความจริงอันนี้จะปรากฏ จะมีขึ้นในสังคมเพิ่มขึ้นๆ ไม่ง่าย แต่มันมีจริงเป็นจริง ไม่หยุดหรอก เพราะมันอยู่ในภาวะที่ยังเป็นความเจริญ เหมือนเด็ก ยังจะต้องเจริญเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแข็งแรงไปอีก จนกระทั่งถึงสุดยอดแล้วมันก็จะลง ยังไม่ถึงสุดยอดก็ยังเจริญวัย เจริญขึ้นช้า เพราะมันเป็นการเจริญอย่างชันมาก เหมือนรูปที่อาตมาทำเป็นแพทเทิร์นไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมที่อาตมาเคยให้ไว้ อาตมาให้เวลา 500 ปีจะถึงยอด ตอนนี้ผ่านไป 50 ปียังอีก 450 ปีเอง แต่ปฏิภาคทวีมีความเจริญมากขึ้นนะ จากวันนี้ไปจะค่อยๆมากขึ้น ต่อไปมันจะปฏิภาคทวีขึ้น กว่าจะถึง 500 ก็ก้าวหน้าเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึง 500 ปีประมาณนั้น สุด peakสุด เต็มแล้ว มันก็จะลง ก็จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา 

ก็จะมีคนไม่อยากให้เสื่อมแต่มันก็ต้องเสื่อม เพราะว่าโลกมันแรง โลกมันแรงกว่าโลกุตระ โลกุตระมันชนะ แต่มันก็ต้องแพ้ ไม่รู้จะพูดภาษาไหนแล้วนี่ภาษาจริง สุดท้ายโลกก็ครอบงำ จนกระทั่งสุดท้ายมันหมด หมดศาสนาพุทธไปอีก ต่อไปจนกระทั่งถึง 50 ปีตามความเป็นจริงของศาสนาพุทธของพระสมณโคดม มันก็จะหมด ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามได้เลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ หรือว่าสาวกที่เป็นพระเถระต่างๆที่จะพยากรณ์เอาไว้ว่า 5,000 ปี สุดศาสนาพระพุทธเจ้า ที่ผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้ว ต่อไปอีก 2,500กว่าปี ก็จะสุด ก็จะหมดยุคพระพุทธเจ้า ก็จะว่าง ว่างจากศาสนาพุทธนี้ไปอีกนาน ศาสนาพุทธจะไม่บังเกิดในกลียุค มันจะฆ่าฟันล้มล้างกันมนุษย์มนา มันจะโหดเหี้ยมไม่เหลือหรออะไรเลย ตอนนี้มันก็มีความซับซ้อน คนที่จะมีปัญญารู้โลกุตระจะมีเพิ่มขึ้น แต่คนที่เป็นโลกียะที่บ้าดีเดือดมันก็มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เพราะจำนวนคนโลกียะ ในโลกเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวี กับคนที่เป็นโลกุตระเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวีเหมือนกัน อัตราการก้าวหน้าของคนโลกียะกับคนโลกุตระ อันไหนจะมากกว่ากัน .. ของโลกียะมันมากกว่าแน่นอน 

แม้โลกุตรธรรมจะมีพลังแรง ต้านไว้ได้ๆ ก็วันหนึ่ง ปฏิภาคทวี ของโลกียะมันก็มากท่วม จนกระทั่งโลกุตระไปไม่ออก นี่เป็นสัจธรรมที่จะไปบังคับอะไรไม่ได้เลย เดรัจฉาน ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย กว่าจะพัฒนาจากเดรัจฉานโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ มนุษย์อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนไม่ได้ จนกระทั่งเจริญมาเป็นสัตว์ที่สอนได้ สอนได้ในโลกียะก่อน จนกระทั่งเก่งเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งสร้างศาสนาโน่นแหละ ได้ด้วย ยังไม่มีโลกุตรธรรมก็ฆ่ากันตาย วนเวียนตามประสาเขาเหมือนกัน แต่ของโลกุตระนั้น มีความรู้พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็มีความรับรู้มาจากของพระพุทธเจ้าได้ จนกระทั่งเอามาอธิบายสู่ฟัง โลกุตระก็จะมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เหมือนกัน ตามระบบของโลกุตระ โลกียะ เขาก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เกิดขึ้นมามากๆก็ฆ่ากันเป็นเบือ โลกียะก็เหมือนกัน แต่โลกุตระไม่ได้ฆ่ากันนะ แต่เสื่อมกันไปโดยที่คุณธรรม มันเสื่อมไปเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 29 อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 14:04:39 )

ทั้งโลกไม่รู้จักโลกุตรธรรม

รายละเอียด

อาตมาพูดซื่อๆ พูดความจริง พูดตรงๆ ไม่ได้ไปข่มเบ่ง ขออภัยหากทำให้เข้าใจว่าไปข่มเบ่ง อวดดี ทั้งที่บางคนเป็นผู้ที่เขายอมรับนับถือกันทั่วโลก อาตมาไปค้านแย้งกับคนที่ทั้งโลกเขานับถือ อาตมาจะเป็นอย่างไร เข้าใจไหม? ซึ่งอันนั้นทั้งโลกเขารับรอง ซึ่งทั้งโลกเขาจะไปรู้จักโลกุตรธรรมที่ไหน Unesco ก็ดี สหประชาชาติ ก็ดี เขาเป็นเทวนิยม แล้วจะมารู้จักโลกุตรธรรมอย่างไร เขามาให้คะแนน เขามาให้ตำแหน่ง เขาก็เอา กู๊ดวิน ที่ประเทศไทยนิยมชมชอบ เขาก็เอาประมาณนั้น เอาไปนับถือตาม เขาไม่ได้แทงเข้าหาแก่นแท้เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ ซึ่งมันไม่ใช่ว่าจะรู้กันได้ง่ายๆ รู้ไม่ได้ คนเทวนิยม คนตะวันตก คนอเมริกา คนยุโรป ไม่สามารถที่จะมีปัญญา ขอพูดชัดๆ มีได้แต่ เฉกา เฉโก ไม่สามารถจะมีปัญญาได้ มันไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ที่อาตมาพูดนี้เหมือนกับพูดอวดดี ไปดูถูกดูแคลนคนอื่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 2 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 13:51:40 )

ทาง 2 สาย

รายละเอียด

1. ทางไปสู่ความเป็นอาริยะ (อลมริยา)

2. ทางไปสู่ความไม่เป็นอาริยะ (นาลมริยา)

 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 263-264, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 15:33:42 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:40:48 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:44:01 )

ทางด้านจิตนิยามพระพุทธเจ้าให้ศึกษานาม 5

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าให้ศึกษานาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ พวกที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียนรู้นาม 5 ไม่รู้จักนาม 5 ไม่ศึกษาและปฏิบัติฝึกฝน ยิ่งพวกหลับตา ไม่มีผัสสะไปทำใจในใจ มนสิการเขาก็มีเหมือนกัน มนสิการคือการทำใจในใจ เขาก็ไปทำใจในใจให้สะกดจิตตัวเองลงไป ไม่มีผัสสะภายนอก ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:23:51 )

ทางด้านสุขภาพชาวอโศกดีชั้น 1

รายละเอียด

โฮ่งปัว มีพยาบาลหลายคน ก็มีคนแก่อาศัยอยู่ คนเจ็บก็มีบาดเจ็บทำแผลนิดๆ หน่อยๆวันๆ นอกนั้นก็มีอะไร ถ้าว่าทางด้านสุขภาพโดยค่าเฉลี่ยชาวอโศกเรานี่ ดีชั้นหนึ่งเลย ได้ขนาดนี้เยี่ยมแล้ว เพราะอะไร มาจากเหตุอีก เพราะอะไร ก็ไม่ได้ไปกินมั่วไอ้ที่เขาพากิน บ้าๆบอๆ กินอยู่ในกรอบขอบเขต ซึ่งพวกเราก็ไร้สารพิษอยู่แล้ว มีแต่ธาตุอาหารที่ไปสังเคราะห์ให้ร่างกาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 13:32:36 )

ทางด้านเทคนิคของเราก็ยังไม่เก่งพยายามอยู่

รายละเอียด

ทางด้านเทคนิคของเราก็ยังไม่เก่งพยายามอยู่ ไม่ได้ดั่งใจก็ต้องขออภัย บางทีเห็นว่ามันดับไปเป็นชั่วโมงเลยบุญนิยมทีวี 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 17:49:19 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:12:24 )

ทางที่สั้นและตรงมีทางเดียว

รายละเอียด

อาตมาเกิดมาอาภัพเป็นหมู่ที่น้อยหมู่ที่เล็ก เป็นหมู่ที่ไม่มีความคดโกงมีแต่ความซื่อตรง ทางที่คดเคี้ยวลดเลี้ยวมีเยอะ ส่วนทางที่สั้นและตรงนั้นมีทางเดียว ทางสั้นตรงนั้นสู้โลกไม่ได้ที่นิยมความมาก คนตรงคนซื่อมีน้อย โลกนี้หลงด้วยความมักมากไม่ชัดตรง ความมักน้อย เลยมีคนนับถือคนชอบคนยินดีน้อย อาตมาเองก็รู้ความจริงอันนี้ จึงไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้เกิดภาวะไม่สบายใจอะไรไม่ใช่ น้อยก็น้อย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ทางไปสู่พรหมโลก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:32:38 )

ทางทุรกันดารคือทางอวิชชา

รายละเอียด

ก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ที่แสวงหา พ่อแม่ลูก 3 คน เดินไปในทางทุรกันดาร ทางทุรกันดารนั่นแหละคือทางอวิชชา เดินไป แล้วก็มีความมุ่งหมายมี Concept มีทิฏฐิมีจุดมุ่งหมาย มีเจตนา จะไปสู่นิพพาน ได้แต่พยัญชนะภาษาว่านิพพาน จะไปสู่นิพพาน ก็ไปด้วยกัน 3 คน พ่อแม่ลูก คุณก็ยังมีคู่ มีพ่อมีแม่มีลูกอยู่นั่นแหละ ก็ยังไม่รู้มันเป็นภาระ มันเป็นห่วงทั้งนั้น เป็นผัวเป็นเมียก็ห่วง เป็นลูกก็ยิ่งห่วงเข้าไปอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 11:01:46 )

ทางธรรมะไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่าพ่อครู

รายละเอียด

เรื่องของประชาธิปไตยเรื่องการเลือกตั้งหรือเนื้อแท้ของประชาธิปไตยก็ดี ก็ค่อยอธิบายการไป ขออภัยอย่าหาว่ายกตัวเลย ชาตินี้อาตมาจะไม่ทำงานมีตำแหน่งทางด้านการเมือง

1.อาตมาอายุยาวนานแล้ว 2. อาตมาทำงานทำมามาก อาตมาไม่ต้องไปทำทางโลก จะทำทางนามธรรม อย่าหาว่าอาตมาหลงตนเอง ทางธรรมะไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่าอาตมาอาตมาก็ต้องทำอันนี้ไปจนกว่าจะตายชาตินี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:37:08 )

ทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี

รายละเอียด

ทางมีองค์แปดประเสริฐกว่าทาง (หรือมรรค) ทั้งหลาย  ธรรมอันพระอริยะเจ้าพึงถึง 4 ประการ  ประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย  วิราคธรรมประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย ... ฯลฯ 

ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ  ทางอื่นไม่มี   (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ)  เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ  เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง  ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว  จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้   

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ30

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 20:58:35 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:03 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:45:35 )

ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น

รายละเอียด

ทาง(มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ที่จะนําไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด บนทางสายนี้ก็เถอะ พญามารมักออกฤทธิ์พาให้หลงทางได้เสมอ

มัคคานัฏฐิงคิโก เสฏโฐ เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ ทัสสนสสะ วิสุทธิยา เอตัญทิ ตุเมหะ ปฏิปัชชถะ มารัสเสตัง ปโมหนัง

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 25 “คาถาธรรมบท มรรควรรค” ข้อ 30


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 17:43:57 )

ทางปรมัตถธรรมทักษิณจมอยู่ในนรก

รายละเอียด

ขออธิบายให้ฟัง ทักษิณตอนนี้กำลังมีความซับซ้อนของสัจธรรม คือกำลังหลงว่าสุขที่ตนเองได้รับอยู่ตอนนี้ ว่าเป็นสุข คุณมองเขาว่าเป็นสุข เขาไม่ได้รับทุกข์ แต่แท้จริงลึกๆเขาเป็นทุกข์ เขาทุกข์หนักเลย เงินก็มีมาก อำนาจก็ล้นฟ้า แต่ความชั่วที่เขาทำทำให้เขาเข้ามาในประเทศไม่ได้ เขาก็ร่ำร้องอยากจะเข้ามาเลี้ยงหลานมี 6-7 คนแล้วนะ ใช่ไหม มันเป็นจริงของคนที่เป็นปู่ย่าตายายจะคิดถึงลูกถึงหลาน แล้วมันเจ็บปวดนะ เจ็บปวดกว่าที่เขามีเงินเสวยอยากกินอยากอยู่อยากเหาะ นั่นเป็นเรื่องตื้น แต่เรื่องลึกซึ้งพวกนี้ นี่คือนรกของทักษิณ ฟังเข้าใจไหม อาตมาไม่ได้ใส่ความเขานะ นี่เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นพวกที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันผิวเผิน แต่ลึกๆทางปรมัตถธรรมเขาจมอยู่ในนรก ฟังให้ดี  อาตมาไม่ได้หาความเขานะ เขาเป็นอยู่อย่างนี้จริงๆ 

ตอนนี้ยิ่งหนักเลยเพราะว่ามันเป็นความซับซ้อนของเรื่องการเมือง ของเรื่องทุจริตกรรมที่เขากระทำ มันยิ่งหนักเลย คุณมองไม่เห็น อาตมาอธิบายให้ฟังว่ากำลังลงนรกอย่างลึกเลย แต่คุณเข้าใจความซับซ้อนของนรกไม่ออก เขาก็รับกรรมอยู่ แต่มองยาก กรรมวิบากเป็นอจินไตย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2566 ( 19:14:16 )

ทางพระเจ้าหรือเทวนิยมพิสูจน์จิตวิญญาณไม่ได้ เลยไม่รู้วิญญาณจริงๆ

รายละเอียด

เพราะมนุษย์พิสูจน์ความจริงทุกอย่างได้ถึงขั้นจิตวิญญาณ ทางพระเจ้าหรือเทวนิยมพิสูจน์จิตวิญญาณไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าวิญญาณจริงๆเป็นอย่างไร และก็ไปหลงเข้าใจว่า วิญญาณจริงๆนี้ เป็นพระเจ้านี่รู้สูงสุด กับพระพุทธเจ้า ก็รู้สูงสุด 

พระพุทธเจ้ารู้จิตวิญญาณสูงสุด จนทำลายจิตวิญญาณตัวเองแหลกสลายไปเลย ไม่เป็นพระเจ้า ไม่เป็นเจ้าใคร มันคือธาตุหมุนเวียนของดินน้ำไฟลม กับธาตุจิตนิยามเท่านั้นเอง 

เพราะฉะนั้น ประเด็นนี้แหละ ตีให้แตก เข้าใจให้ได้ว่า มันต่างกันอย่างไรกับจิตนิยาม จิตที่อยู่นิรันดร กับจิตที่นิรันดรก็ทำได้ มี 2 อย่าง มีนิรันดรกับไม่มีนิรันดรก็ได้ เป็นอมตบุคคล ถึงจุดวิมุติแล้ว ต่อจากวิมุติก็เป็นอมตบุคคล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา  วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 10:55:26 )

ทางรอดของมนุษยชาติอยู่ที่อาหาร

รายละเอียด

อาตมาก็ขอพูดถึงเรื่องปัจจุบันธรรมขณะนี้ ตอนนี้เราเปิดร้านอุทยานไหม

โรงปุ๋ยขายปุ๋ยหรือไม่ (ขาย) ก็ยังพอทำเนามีรายได้ ที่จริงไม่มีรายได้ เราก็มีข้าว มีผัก มีพืช มีมัน มีถั่วของเรากิน จะเห็นได้ว่ามนุษยชาติมีอาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะอาหารที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วเราก็สร้าง เรามีข้าว เรามีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีผักมีพืช มีถั่ว มีฟักแฟงแตงกวากินกันอุดมสมบูรณ์ 

โลกเขาจะเป็นอย่างไร หากมีวิกฤตยิ่งกว่า covid เราจะรอดกันไหม ..รอด เห็นทางรอดของมนุษยชาติไหม เพราะฉะนั้นคนที่ไปสะสมธนบัตร สะสมเพชรนิลจินดา สะสมทองคำ ถ้า covid อยู่ไปอีกสักประมาณ 50 ปี พวกที่สะสมทองคำสะสมธนบัตรจะรู้สึก พวกเรานี้ จะรู้เลยว่าพวกเราจะมีคุณค่า เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าหยุดยั้งในการที่จะเป็นกสิกร ทำกสิกรรมให้แข็งขันทุกคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:26:36 )

ทางสายกลาง

รายละเอียด

คือ ทางหรือวิธีปฏิบัติที่เป็นทางเดินหรือวิธีปฏิบัติกลางๆ มันยังไม่ได้ลึกเข้าไปถึง “สภาวะของจิตใจที่มีความเป็นกลาง” แต่อย่างใดเลย

หนังสืออ้างอิง

“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 52


เวลาบันทึก 08 พฤศจิกายน 2562 ( 14:50:49 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:07 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:46:00 )

ทางสายกลาง

รายละเอียด

ทางสายกลางนี่ก็เป็นศัพท์ที่เขามาบัญญัติเป็นไทย จากคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาแล้วไปแปลกันว่าทางสายกลาง ทาง คือวิธีปฏิบัติต่างๆ วิธีปฏิบัติกลางๆไม่เอียงไปทางไหน แต่หากไม่ชัดเจนในสภาวะก็อธิบายไม่ออกหรอก ทางมีไว้ให้เดินกับจุดหมายคือกลาง กลางคือจุดหมายกับทางคือมีไว้ให้เดิน คำหนึ่งคือ กลาง (มัชฌิมา) ส่วน ทาง คือปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทา คือสูตรคือบัญญัติ ข้อปฏิบัติให้เดินทางนำพาคุณไปสู่ความ กลาง แต่ไปเข้าใจ กลาง คือ แค่ทาง อย่าเข้าข้างนั้นข้างนี้ แต่ได้แต่เดินกลางๆไป ไม่รู้ข้างนั้นข้างนี้ ก็อาศัยทางสายกลางเดินไป เหมือนในอาหาร 4 ผัวเมียคู่หนึ่งเดินทางไปในทางโลกียจะไปสู่นิพพาน ไปกับลูก พอเดินไปๆแล้วอาหารมันหมด ตายละหว่า ผัวเมียเอาตัวรอดด้วยการฆ่าลูกแล้วเอาเนื้อลูกทำเป็นเนื้อเค็ม พกกินไป เพื่อจะไปสู่จุดหมายที่ต้องการ ฆ่าลูก แล้วเอาเนื้อเป็นเสบียงอาหารให้ตัวเองกินนำทางเพื่อเดินไปสู่นิพพาน พอฆ่าลูกเสร็จก็ยังโง่ พอกินไปๆก็รำพึงรำพันว่าลูกเราไปไหน เมา ต้องการไปนิพพาน แต่หลงเลอะไม่รู้ว่าตัวเองฆ่าลูกแล้ว งมงาย กินเนื้อลูกแต่บอกว่าลูกเราไปไหน อุทาหรณ์คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องสุดซับซ้อน เห็นว่าเขาเห็นแก่ตัวขนาดไหนสรุปได้อย่างนั้น นอกจากเห็นแก่ตัวแล้วโง่งมงายเมา ก็เอ็งฆ่าลูกเอ็ง แล้วก็กินเนื้อลูก เพื่อยังชีวิตตัวเองเพื่อจะเดินทางไปสู่นิพพานมันโง่อะไรขนาดนั้นแล้วมันจะไปถึงนิพพานไหมนี่ มันโง่เง่าหลงลืมเลอะเทอะ จนถึงขนาดนั้น คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด ในอาหาร 4ที่พระพุทธเจ้าเปรียบ กวฬิงการาหาร เหมือนพ่อแม่กินเนื้อบุตร สรุป คนที่หลงทางสายกลาง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา  วันอาทิตย์ที่ 1ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:21:12 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:59:10 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:47:15 )

ทางสายกลางกับคนที่เป็นกลาง

รายละเอียด

อธิบายทางสายกลาง ที่เขาไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาว่า ทางสายกลาง เดินไปตรงกลางๆไม่รู้เรื่องโดยนัยไม่เข้าหาสภาวธรรมที่พาให้บรรลุธรรม เพราะไม่เข้าใจคำว่า คนที่เป็นกลางคือคนที่รู้จัก 2 อย่าง แล้วตนเองทำตนได้แล้วว่ามีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ แต่ไม่ติดทั้ง 2 อย่าง เรียกว่าผู้เป็นกลาง แต่ไม่ติดไม่ยึด ไม่หลงไปมีไม่หลงไปไม่มี แต่สุดยอดจริงๆเราอยู่ยังเป็นชีวะ เรายังมีชีวะ ยังไม่ดับธาตุชีวะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ทำให้จิตธาตุของเราเป็นปริโยสาน 

ถ้าเผื่อว่าตำราปัญญาในมูลสูตร 10 ข้อสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ระบุไว้อาตมาก็นึกไม่ออก เราก็นึกว่าจะอธิบายไม่ออก แต่เราเห็นในพระไตรปิฎก 3 ข้อนี้ก็เลยรู้สึกถึงจุดจบของศาสนาพุทธเลย อาตมาตาเหลือกเลย พระพุทธเจ้าท่านทำเอาไว้อย่างสุดยอดเลย นิพพานเป็นที่สุด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 17:15:48 )

ทางสายกลางนั้นคืออย่างไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าบอกให้เดินทางสายกลาง มันก็เดินกลางไปอย่างนี้ ทางสายกลางนั้นคือ ข้างหนึ่งเป็นกาม ข้างหนึ่งเป็นอัตตา คุณต้องรู้ว่าจิตของคุณที่กระทบและเป็นกามข้างนอก แล้วคุณก็มีกิเลสข้างในอัตตา ลดกาม ลดอัตตา แล้วคุณก็จะเล็กลงๆๆ มาหากลางสุดท้าย กิเลสหมด สูญไม่มีกาม ไม่มีอัตตาก็กลางที่สุด อย่างนี้ต่างหากคือการเดินทางสายกลาง 

เพราะฉะนั้นความไม่รู้สภาวะจริงของคนพูดเป็นรูปธรรม ทางสายกลางคือถนนเส้นหนึ่งมีซ้ายมีขวา ฉันก็เดินไปกลางๆทาง แล้วไปไหน ไปนิพพาน แล้วนิพพานอยู่ไหน ไม่รู้ เพราะมันไม่รู้จักภาวะ 2 ไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักพยาบาท ไม่รู้จักภายนอก ไม่รู้จักภายใน ทำไม่ถูกสภาวะเลย 

แล้วยิ่งไปหลับตาเดินอีก หลับตาเดินไปไหน ไปนิพพาน มันยิ่งมืดไปใหญ่เลย เข้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย อาตมาหยิบมาวิเคราะห์ไม่ใช่ไปด่าไปว่า น่าสงสาร จะให้รู้ความเป็นจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม #20 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 15:20:36 )

ทางออกเพื่อพ้นทุกข์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจะไปนิพพาน อยู่กับโลกเห็นแล้วว่า มันมีแต่ความทุกข์อยู่มีแต่ความน่าเบื่อหน่าย ทางออกก็ต้องมาศึกษาทางนี้เพื่อพ้นทุกข์ คุณศึกษามาเป็นพระอรหันต์แล้ว คุณรู้จักทุกข์สุขที่เป็นเวทนาแล้ว แล้วคุณจะอยู่กับความไม่มีทุกข์ไม่มีสุข คุณอยู่ไปก็มีช่องทางที่คุณจะอยู่ จะอยู่ไปให้นาน ปณิธานเท่าพระอวโลกิเตศวรหรือเท่ากับเจ้าแม่กวนอิม คุณก็อยู่ไปสิ มันได้นะได้จริงๆคุณจะอยู่ไปก็อยู่ 

แต่ปณิธานนั้นเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่จะอยู่เท่ากับพระอวโลกิเตศวรหรอก ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปในวาระเมื่อจบสมัยพระพุทธเจ้าสมัยเดียว ทำไมต้องสมัยเดียว อาตมายืนยันนะว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธเจ้า 2 สมัย ไม่มี 

สมัยเดียวก็เป็นวาระสุดท้าย ยิ่งสมณโคดม อยู่ประกาศศาสนาน้อยที่สุด 45 ปีเอง ยังไม่ถึง 100 เลย อายุ 80 ท่านก็ไปแล้ว เพราะมันเบื่อหน่าย เพราะมันทำต่อไปก็ ท่านมีองค์ประกอบที่ท่านรู้ในยุคนี้มันก็ได้เท่านี้ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์มารับผิดชอบต่อไป ศาสนาพุทธนี้ถึงแน่ 5,000 ปี เพราะศาสนาพุทธของพระสมณโคดมอายุ 5,000 ปีนี้ ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะว่าสาวกของท่านอย่างน้อยอาตมาเป็นต้น จะต้องสืบทอดอยู่แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ ที่บวรราชธานีอโศกวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2566 ( 09:19:25 )

ทางเจริญสูงสุดของอเทวนิยมและเทวนิยม

รายละเอียด

การศึกษาถึงอาหาร 4 ทำให้รู้ ชีวิตจะเจริญจะดีหรือยังอัตภาพให้ดีจนประเสริฐสุดสูงสุดคือพระพุทธเจ้า ทางเทวนิยมผู้ที่สูงสุดก็คือพระเจ้า แต่ทางอเทวนิยมก็คือพระพุทธเจ้า จะอยู่ต่อเป็นคนที่ดีที่สุดต่อไปก็ได้ แต่จะจบปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ นี่คือสูงสุดจะมีก็มีได้สูงสุด จะไม่มีก็ไม่มีได้เด็ดขาดได้เลย สูงสุดเลยในความเป็นสัตว์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:31:48 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:03:29 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:47:43 )

ทางเสื่อม 4 ประการของวิชชาและจรณะ

รายละเอียด

พอพระพุทธเจ้าพูดกับอัมพัฏฐะจนเขาจำนนว่าจรณะวิชชาเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในอนาคต จรณะวิชชานี้จะเสื่อม ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

  1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม ฝเราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่4 ประการดังนี้.

[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่? ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 11:35:53 )

ทางเสื่อมของนักบวช 4

รายละเอียด

เมื่อนักบวชไม่ได้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง) ไม่ได้ถึงพร้อมด้วยจรณะ (ความประพฤติ) จึงกระทำทางเสื่อม 4 ประการนี้เป็นลำดับ

1. หอบบริขาร (ของใช้สอย) เข้าไปสู่ราวป่า ตั้งใจว่า จะอาศัยกินผลไม้ที่หล่น

2. ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ตั้งใจว่า จะอาศัยกินเหง้าไม้และผลไม้

3. สร้างเรือนไฟ (ที่ทำพิธี) ไว้ใกล้บ้านเรือนหรือนิคมแล้วกระทำบูชาไฟอยู่

4. สร้างเรือนมีประดู 4 ด้านไว้ที่ทางใหญ่ 4 แพร่ง แล้วพำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่ามีท่านผู้ใดเดินทางมาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตามเราจะบูชาท่านผู้นั้น ตามสติกำลัง

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 9 "อัมพัฏฐสูตร" ข้อม 163-166

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2562 ( 13:20:42 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:40 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:48:09 )

ทางเสื่อมของนักบวช 4

รายละเอียด

เมื่อนักบวชไม่ได้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง) ไม่ได้ถึงพร้อมด้วยจรณะ (ความประพฤติ) จึงกระทําทางเสื่อม 4 ประการนี้เป็นลําดับ

1. หอบบริขาร (ของใช้สอย) เข้าไปสู่ราวป่า ตั้งใจว่า จะอาศัยกินผลไม้ที่หล่น

2. ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ตั้งใจว่า จะอาศัยกินเหง้าไม้และผลไม้

3. สร้างเรือนไฟ (ที่ทําพิธี) ไว้ใกล้บ้านหรือนิคม แล้วกระทําบูชาไฟอยู่

4. สร้างเรือนมีประตู 4 ด้านไว้ที่ทางใหญ่ 4 แพร่ง แล้วพํานักอยู่ด้วยตั้งใจว่า มีท่านผู้ใดเดินทางมาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจะบูชาท่านผู้นั้น ตามสติกําลัง

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 4 “อัมพัฏฐสูตร” ข้อ 163-166


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 20:37:28 )

ทางเสื่อมที่พระป่าทำอยู่ทุกวันนี้

รายละเอียด

2 ข้อแรกไปแสวงหาอาจารย์อยู่ในป่าเพราะเชื่อว่าอาจารย์ที่มีวิชชาและจรณะอยู่ในป่าเหมือนกับทุกวันนี้ที่เห็นว่าต้องเป็นพระป่าพระปฏิบัติ แม้ไปเจอผู้อยู่ในป่าแล้ว ก็ปฏิบัติอยู่ในป่า จะเจออาจารย์คนใดในป่าก็หลงอาจารย์คนนั้นและบำรุงอาจารย์คนนั้นอยู่ในป่าก็ไม่บรรลุ เมื่อไม่บรรลุอยู่ในป่าก็ต้องสร้างวิหาร สร้างเรือนโรงเรือน มุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งเพื่อดักคนเลี้ยงตนเอง พร้อมกันนั้นก็บำเรอไฟจุดไฟ เหมือนกับผู้ที่หลงผิดไปมีอัคคียัญ สิญจนยัญ เหมือนพระป่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ อาตมาว่าเหมือนทุกวันนี้เลย เขายึดมั่นถือมันอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้หนักกว่าสมัยพระพุทธเจ้าด้วยไปสร้างอยู่บนยอดภูเขาเลย คนเห็นก็รู้สึกทึ่งเลย มีพระที่มีบารมีมากสร้างได้ยากเย็นเลยนะนี่ ไม่มีบารมีสร้างไม่ได้นะ ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ใหญ่เลยสร้างมาอย่างลำบากลำบนอย่างนี้เป็นต้น เสร็จแล้วก็เหมือนกับเดียรถีย์ทั้งหลาย ใช้น้ำเป็นสื่อใช้ไฟเป็นเสื่อ แล้วประยุกต์ในการใช้ไฟ ในโบราณนั้นใช้แค่ควันกับเปลวไฟ ใช้น้ำมันเปลวน้ำมันเนยแล้วก็มีไส้จุดเป็นเปลวไฟ ควันก็ใช้กำยานโรยไปในไฟ หรือใช้ข้าวสารเผา ใช้ขี้เลื่อย แต่ตอนหลังนี้ก็ประยุกต์ เอาน้ำมันมาปั้นเป็นแทงเป็นเทียนจุดเปลว ส่วนควันก็เอาขี้เลื่อยเอาอะไรมาปั้นเป็นธูป มีทุกชนิดต่างๆธูปของคนจีนมีขนาดใหญ่เบ้อเร่อเลย มีพวกรดน้ำมนต์ก็ใช้น้ำเป็นสื่อ ก็ไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นอัตภาพที่ติดต่อกันได้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 11:37:08 )

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ

รายละเอียด

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่ 4.ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:08:06 )

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ 

รายละเอียด

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อม ข้อที่สอง.

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม. 

คนนี้หากินเองไม่เป็นแล้ว แย่กว่าเดรัจฉานอีก สัตว์เดรัจฉานยังหากินเองเป็น อันนี้โง่กว่าเดรัจฉานอีก ต้นไม้ผลไม้มีในป่าก็ไปหากินไม่เป็น แล้วก็อยู่ในป่าอีกไม่ออกมาหรอก แต่ซ้อน สร้างเรือนไฟ  ไม่ห้ามหรอกใครเห็นดีอย่างไรก็ทำตามที่เห็น อัคคียัญ กับสิญจนยัญ คือ ใช้ไฟใช้น้ำเป็นสื่อ เป็นเครื่องเชื่อม ใช้ไฟใช้น้ำ เป็นเครื่องเชื่อมต่อไปสู่จิตวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คิดว่าจะให้เกิดความเจริญอะไรของเขา ใช้น้ำใช้ไฟเป็นเครื่องมือสื่อสร้างความเจริญ แทนที่จะใช้อนุสาสนีย์ ใช้คําสอนพระพุทธเจ้าทำให้เจริญ ก็ไปใช้น้ำใช้ไฟแทน เป็นเรื่องของความลึกลับเป็นเรื่อง Magical ซึ่งมันพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วเป็นตรรกะเป็นจินตนาการ เป็นโลกจินตา สร้างอุปาทานจิตไปได้สารพัด 

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่ 4 ประการดังนี้.

พวกนี้แม้จะใช้น้ำใช้ไฟเป็นสื่อ แล้วคนก็ยังไม่มานิยมไม่มาเชื่อ จึงได้สร้างเรือนไฟมีประตู 4 ด้านไว้ที่หนทางใหญ่ 4 แพร่ง อย่างเช่น ลัทธิธรรมกายของธัมมชโย เป็นต้น  เปิดประตูรับเลย จะเป็นสมณะก็ตามหรือพราหมณ์ก็ตาม ใครก็ได้ มาจากไหนเอาหมด ทำอาคาร ทำวิหาร ทำโบสถ์วิหาร ทำอาคารที่สร้างเป็นสถาปัตยกรรม สร้างใหญ่โตอยู่ในป่านั่นแหละ จนถึงขั้นนครวัด นครธม ปราสาทหินทั้งหลาย นั่นคือ เรือนประตู 4 ด้าน มุข 4 ด้าน บนทาง 4 แพร่ง ก็จัดการสร้างทางต่อไป แต่ยังหลงป่าอยู่ทั้งนั้น 

สร้างเรือนไฟก็อยู่ในป่า สร้างมุข 4 ด้านในทาง 4 แพร่งก็อยู่ในป่า ทำถนนหนทางขึ้นไปบนเขาเลย แม้จะยากก็ทำกัน เช่น ครูบาศรีวิชัยที่สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ เป็นต้น แล้วที่อีสานก็มีหลายแห่ง คนไปท่องเที่ยวกันมีความประหลาดๆ Adventure ด้วย  ได้เสี่ยงภัยดีด้วย มันดี สนุกสนานตื่นเต้น นี่เป็นเรื่องหลอกประกอบทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องยั่วให้อยากจะมีประสบการณ์แบบนี้ ให้มันรู้สึกว่าสนุกดี ดีกว่าอยู่ที่บ้านมันเบื่อแล้ว มีอะไรที่แปลกดีใหม่ดี 

ประเด็นหลักคือการไปหลงอยู่ในป่า แม้สร้างเรือนไฟ แม้สร้างมุข 4 ด้านในทาง 4 แพร่งก็อยู่ในป่าทั้งนั้น เหมือนสร้างนครวัด นครธม เหมือนกับธัมมชโย ไปสร้างอยู่ในคลองสาม หรือคลองห้า กว้านซื้อที่ดิน 2,000-3,000 ไร่ แล้วก็สร้างแบบสมัยใหม่เลย มุข 4 ด้าน เขาก็เป็นเจดีย์จานบิน ประกอบกับวิหารลูกโลก ทันสมัยมากเลยนะ เจดีย์รูปจานบิน โอ้โห ก้าวหน้ามาก ส่วนวิหารรูปโลก กลมใหญ่เลย เพื่อเห็นแปลกใหม่มากในทางสถาปัตยกรรมมีหัวนำหน้าสมัยใหม่ ทันสมัยล้ำสมัย คนก็เลยรู้สึกว่า อาจารย์คนนี้มีความคิด ล้ำหน้าไกลมากเลย 

เจดีย์ก็ทันสมัยเป็นจานบิน วิหารที่อยู่ก็เป็นโลกทั้งโลกเลย โอ้โห ยิ่งใหญ่ ธัมมชโย สมีธัมมชโยเอ๋ย นี่คือการหลอกล่อผลาญทำลายศาสนาอย่างหลอกซับหลอกซ้อน คนผู้ที่ตื่นเต้นตื่นตัว ที่ไม่มีหลักยึดในสัจธรรมจริงๆ เปลือกผิวไปตามโลก เรียกว่า กระต่ายตื่นตูม พวกที่ไปหลงโลกใหม่ๆ เหมือนในยุคนี้อะไรก็ใหม่ๆ นี่เขานำหน้าไปไกล ได้คนเยอะ มวลมาก เสร็จแล้วก็หลอกล้วงกระเป๋า ปิดบัญชีๆๆๆ แล้วจะรวย แหม อำมหิตมาก มีเท่าไหร่เอามาให้หมด แล้วคนก็โง่เชื่ออีก บรรดาคนโง่ ธัมชโยเอาไปกินหมด มีคนเป็นจำนวนมากที่ไปหลงเชื่อมากกว่าสายหลับตาอาจารย์มั่น มหาบัว แล้วคนมีเงินมีทองก็ขนไปให้ เพราะเขาต้องทำมาหากินด้วยความสามารถ เมื่อหมดแล้วเขาก็หาใหม่ เพราะเขามีความสามารถมีสมรรถนะเอาเปรียบทางโลกอย่างพวกเศรษฐีทั้งหลาย ทำมาหากิน จึงมีแต่เศรษฐีใหญ่ๆทำมาหากินเก่งอยู่ทางโลก ออกจากโลกไป แล้วก็บอกให้ปิดบัญชี คนที่พูดให้คนอื่นปิดบัญชีเขาไม่ปิดหรอก ยุให้คนอื่นปิด คนไม่เก่งก็หลงคารมปิด ฆ่าตัวตายไปก็มีพูดไม่ออกก็ไม่มี เพราะเมื่อพูดไปก็จะขายขี้หน้าตัวเองเพราะตัวเองโง่ไปถูกเขาหลอก พูดก็ไม่ออก อมเลือดไว้

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2565 ( 13:31:24 )

ทางเอกทางเดียวที่ทำ 0 ได้และอยู่อย่างอาศัยกับ 1 กับ 2

รายละเอียด

ก็เห็นว่าทางนี้ทางเดียวนี่แหละ"ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ไม่มีทางอื่นดีกว่านี้หรอก อาตมาทำอย่างนี้จนที่สุดที่สูง จนกระทั่ง 0 ส่วน 1 กับ 2 นี้อยู่อย่างอาศัย 2 คืออะไร 1 คืออะไร อาตมาก็ใช้การอยู่กับ 1 กับ 2 แต่ว่าอาตมาทำ 0 ได้แล้ว เพราะฉะนั้นจะสูญเมื่อไหร่จะตายปรินิพพานเลิกเป็นจิตนิยามเลยแยกตัวเองออกเป็นอุตุนิยามได้ นี่แหละคือประเด็นที่อาตมาเอามาเปิดเผยในโลก ซึ่งอาตมาว่าอาตมาเป็นคนพูด ในยุคนี้ไม่มีใครพูดอย่างนี้ได้ ขออภัยดูเหมือนพูดใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 12:43:18 )

ทางเอกเป็นหนังสือดิบๆ ที่อาตมาเขียนตั้งแต่ตอนใหม่ๆเขียนไปตามพยัญชนะตามอารมณ์

รายละเอียด

ก็เขาบอกกันไว้หน่อยนึงว่าทางเอกเป็นหนังสือดิบๆ ที่อาตมาเขียนตั้งแต่ตอนใหม่ๆเขียนไปตามพยัญชนะตามอารมณ์ ยังไม่เก่งเรื่องสมมุติทางสื่อสารทางอักษรก็ยังไม่เก่ง เอาสภาวะที่เป็นดุ้นๆมาใส่ มันก็จะไม่ตรงกับสมมุติเขาบ้าง โดยวิธีการผันอักษร ต่างๆ เช่นท่านประยุทธ์สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ซัดอาตมา ไปไม่เป็นเลย ท่านซัดถูก ท่านบอก แยกอักษรไม่ถูกหลักไวยากรณ์ season ก็แยกว่าลูกทะเล Season แปลว่าฤดูกาล ก็ถูกของท่าน ฤดูกาลจะไปเป็นลูกทะเลได้อย่างไร นี่คือสองกับหนึ่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตร วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 15:59:54 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:41:14 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:48:48 )

ทางโลกุตรธรรมแม้แต่นามหรือชื่อก็ไขสภาวธรรมที่ลึกซึ้ง

รายละเอียด

ยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้า นี่ไม่ได้ยกตนเทียบเท่าพระพุทธเจ้าอีกนะ แต่ว่าตัวอย่างพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิทธัตถะ ทำไมแม่ของพระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิริมหามายา อาตมาก็ได้ไขความหมดแล้ว คำว่าสิริมหามายานั้นยิ่งใหญ่ ในสภาวธรรมที่เรียกว่าแม่ อัตถิมาตา ซึ่งไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่เนื้อหนังตัวบุคคล 

สิริมหามายาเป็นชื่อทางนามธรรม ซึ่งเขาไม่เข้าใจง่ายๆหรอก เขาก็แปลว่าบุญคุณของแม่ บุญคุณของพ่อ มี เขาก็แปลกันแค่นั้นก็ได้ก็ไม่เป็นอะไรเป็นโลกีย์ธรรมดา แต่โลกุตตรธรรมมันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เพราะแม้แต่นามหรือชื่อ มันก็ไขสภาวธรรมที่ลึกซึ้ง อาตมาใช้เฉพาะตน พระพุทธเจ้าก็ใช้เฉพาะตน แน่นอนต้องมีแม่ที่ชื่อสิริมหามายา ต้องมีอัครสาวกที่ชื่อพระสารีบุตร ที่ชื่อพระโมคคัลลานะ เป็นต้น มีพระอานนท์ มีพระกัสสปะ ต่างๆนานา ลงตัวหมดทุกคนทุกองค์ มีความหมายมีเนื้อหาสาระตรงกันหมดกับภาษา ภาษากับสภาวะตรงกันหมด ของอาตมาก็จะตรงกันไปตามลำดับ เพราะอาตมาเข้าแถวที่จะขึ้นไปสู่สัมมาสัมพุทธะ เป็นระดับที่ 7 แล้วตามที่พูดไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมในงานพิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2564 ( 15:26:59 )

ทางไปสู่พรหมโลก

รายละเอียด

ทางไปพรหมโลก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้

เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น

ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วย สติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ

จากนั้นก็เป็นศีลอันเป็นอาริยะ เป็นสำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ทางไปสู่พรหมโลก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:30:25 )

ทาน

รายละเอียด

ทาน คือ การให้ หากการทานเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ก็เพื่อได้สวรรค์

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 05:35:59 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:05:32 )

ทาน

รายละเอียด

1. มีการให้ เป็นความประเสริฐขั้นง่าย ๆ ต้น ๆ

2. การให้ออกไป การสละออกไป การไม่เอาเข้ามาเป็นของตัวเป็นที่สุด 

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 111

สมาธิพุทธ หน้า 309


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:37:54 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:13:05 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:49:31 )

ทาน

รายละเอียด

คือ การให้ วาจาให้สละออกไปใจก็ให้นี่คือ ทานตรง ถูกต้อง วัตถุสมบัติ คุณก็ให้ วาจา คุณก็ให้ จิตใจคุณก็ให้จบ ไม่มีอะไรไปคิดนึกว่า เราจะต้องอะไรได้กลับมาตอบแทนได้สวรรค์ ได้ภพ ชาติหน้าในสิ่งที่เราทานจะได้สร้างเป็นสวรรค์ เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 เฟส 4 อย่างที่ธัมมชโยหลอกมนุษย์ไว้  ซึ่งค้านแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรง หรือ แม้แต่ทุกวันนี้สำนักต่างๆ สอนการทำทาน ก็จะได้อาศัยในชาติหน้าๆๆ สอนกันอยู่อย่างนี้  มันก็เลยผิดหมดไม่ได้ผล  จึงเรียกว่า ไม่ได้ผล  นัตถิทินนัง  สอนการทำทาน  ทำจิตในจิตไม่เกิดผลอะไรนี่คือข้อ1 ของศาสนาพุทธ  ก็สำนักไหน วัดไหน  ที่ไหนๆ ก็สอนอย่างนี้  อิมินาสักกาเรนะ ให้เกิดลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขอยู่ในนี้ทั้งนั้น  การทำงานอย่างมีภพชาติ  ยังมีสาเปกโข  แล้วก็เพิ่มเป็นคลังบ่อหลุม สันนิธิเปกโข  แล้วก็สั่งสมใส่เข้าไปอีก  มีปฏิพัทจิตโต จิตผูกพัน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 12:58:18 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:09:51 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:50:29 )

ทาน

รายละเอียด

บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ใช่ แต่ทานไม่ใช่แต่โอบอ้อมอารีย์ แต่ทานอย่างไม่มีอะไรโค้งกลับมาหาตัวเองเลย ทานผู้ใดที่มีเส้นโค้งมาหาตน แม้มีองศานิดเดียว ทานนั้นยังมีเราแม้แค่ .0000001 ทานจะมีองศาโค้งไกลมากอ้อมจักรวาลกว่าจะมาหาตน ทานนี้ต้องไม่มีสาเปกโขอย่างในทานสูตร อ่านสัก 500เที่ยว อ่านอย่างไตร่ตรองนะ ไม่ใช่อ่านลวกๆอ่านครบ 500เที่ยวแล้วจะชัดเจน ทานสูตรไม่ยากแต่ครบ บอกสวรรค์ 6ชั้น( ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6อย่าง พรหม1 อย่าง)

การทำทานเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 ผู้ที่ทานแล้วได้ผลโลกุตระคือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ต้องทำใจในใจอย่างไร อย่าไปสร้างภพชาติต้องการอะไรมาเป็นเรา เป็นของเรา ทานไม่มีตัวเราของเราเลย ทานไม่มีภพชาติ ทานอย่าง 0 มีอานิสงส์แต่ทานนั้นมีโค้งมาหาตนแม้ .00001 ก็ยังไม่เป็นอานิสงส์

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:33:34 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:53 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:51:20 )

ทาน ที่มีผลมีอานิสงส์

รายละเอียด

ทีนี้ ทาน ที่มีผลมีอานิสงส์เป็น อัตถิทินนังคืออย่างไร คือทานแล้วตัดสูญเลยล.23 ข.49 ทานสูตร 

ทานที่ให้แล้วมีอานิสงส์คือ ทานที่ให้แล้วตัดขาด ไม่มีหวังจะเป็นเราเป็นของเรา ทานแล้วตัดจบขาดเลยนึกว่า ไม่มีสาเปกโข ไม่มีความหวังต่อจากการให้เลย ให้แล้วจบไม่ต้องจำก็ได้ ไม่ต้องจำว่าเราได้ให้ทานเลย จบ นี่คือทานที่มีอานิสงส์สูงสุดเพราะทานอย่างไม่มีภพ ไม่มีชาติ ทานอย่างตัดภพตัดชาติ ทานอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือทานอย่างมีอานิสงส์สูงสุด ถ้ายังทานแล้วก็หยาดน้ำกรวดน้ำ ส่งไปให้ผู้ตาย ส่งไปให้วิญญาณนั่นนี่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามไปอยู่ทั้งนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่มีผล ส่งไปอย่างไรมันก็ไม่ถึง เอาไปให้ผู้ใดก็ไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:35:53 )

ทาน ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาก

รายละเอียด

นี่ก็ซ้อน หยาบ-กลาง-ละเอียด นี้มันเยอะ ศีล 5 นั้นนะ ถ้าเข้าใจอย่างดีแล้ว ไม่ต้องอธิบายเป็นพยัญชนะ มีสภาวะไปเอง เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ อธิโมกข์ ไปเรื่อยๆๆๆ มันสุดยอดของมัน ขยายสภาวะไปเอง

นี้ก็มีพวกเรานี้มาศึกษา ทานที่ไม่รับสิ่งตอบแทนวัตถุก็ไม่รับแล้ว วาจาก็ไม่พูดรับ จิตก็ไม่รับจริงๆ สละออกไปศูนย์เลย ส่วนอานิสงส์มันจะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง เราก็บอก เออ! มันก็ย้อนกลับมาเนอะ แล้วเราก็ต้องเข้าใจสัจจะว่า ไม่ต้องอยากได้ มันได้มาก็สะพัดออกอีก มันก็จะเพิ่มไปอีกเป็นผลสูงเพิ่ม แล้วมันก็จะสะพัดย้อนกลับมาหาเราอีก โดยคุณจะต้องปฏิเสธ ไม่อยากได้ ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณทำออกอย่างเดียวเลย ทำออกอย่างเดียว ไม่ต้องทำเข้า เข้ามันจะมีของมันเอง Action-Reaction มี 2 สภาวะ เพราะฉะนั้นเราทำแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายที่เข้าใจสิ่งที่เป็นฐานที่ตั้งหรือฐานที่ดีอย่างเดียว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #40 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 17:00:51 )

ทาน ศีล ภาวนา ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

รายละเอียด

เอ้า มาเข้าเรื่อง ที่อาตมาจะเทศน์วันนี้ ตั้งใจจะเทศน์ก็คือ เรื่องทาน ศีล ภาวนา เป็นหลัก ทีนี้ก็มามีศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ทานศีลภาวนานั้นมันเป็นกรอบใหญ่ของการปฏิบัติธรรมทั้งหมดของศาสนาพุทธ ทีนี้ เจาะลึกซ้อนเข้าไปอีกก็ให้ปฏิบัติ อธิศีล ทานศีลภาวนารวมหมด ทานศีลภาวนา คือการเกิดผลเจาะเข้าไปเป็นศีลสมาธิปัญญา หรือ ตัวภาคปฏิบัติก็คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แล้วมีผลเป็น อธิมุติ และยังแถมมีวิมุติญาณทัสนะอีกให้ครบ 

อาตมาวันนี้จะขยายตัวหลักๆคือ ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิ ทาน ศีล ภาวนา ที่ท่านผู้รู้ชาวพุทธยุคนี้ได้อธิบายกัน ก็มักจะอธิบายแยกกันไป ไม่มีปฏิสัมพัทธ์หรือว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างที่มันควรจะเป็น ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือได้เข้าใจผิดโดยไปแยก ภาวนาออกไปเป็นการปฏิบัติ ภาวนากลายเป็นการปฏิบัติชนิดหนึ่ง เขาแยกอย่างนั้นเลยในหมู่พวกนักปฏิบัติทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติผิด คือพวกนักปฏิบัติที่หลับตา นักปฏิบัติที่หลับตานี่แหละจะเป็นคนที่ใช้คำนี้มาก บอกว่าไปภาวนาๆ ก็คือให้ไปปฏิบัติ แล้วไปปฏิบัติ สรุปง่ายๆก็คือไปนั่งหลับตา 

เพราะฉะนั้นแทบจะใช้ได้เลยว่าคำว่า ภาวนา คือไปหลับตา ปฏิบัติเข้า ปฏิบัติอย่างเดียวไม่ต้องลืมตา ไม่ต้องคิดอะไรด้วยนะ อย่าคิดอะไรปฏิบัติเข้าไปแล้วจะรู้หมดเลย ปัญญาจะเกิดในนั้นหมด นี่ เขาว่าอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นคำว่าภาวนาก็เลยไปหมายเอาว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปๆๆ ให้จิตสงบนิ่งนิ่งๆให้ได้ให้ชำนาญ ให้เก่ง ให้อยู่ได้นานๆๆๆๆ เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่เป็นต้นตระกูลของการนั่งหลับตาอยู่ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็เคยไปหลงว่า ศาสนาพุทธตอนแรกท่านยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง 

ท่านก็ว่าอย่างไรหนอก็ทบทวนดู เมื่อบรรลุแล้วไปค้นดูว่าใครหนอที่เราจะพอนำพาได้ ก็ไปนึกถึงอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ไปหา จะไปหาอาฬารดาบส อุทกดาบส อ้าว ตายแล้ว ระลึกถึงแต่ว่าตายแล้วทั้งคู่ ท่านรู้ด้วยญานของท่าน คือมันมีสัมพันธ์มาตั้งแต่ปางก่อน ตายแล้ว ท่านก็อุทานขึ้น ฉิบหายแล้วหนอ อาจารย์ใหญ่ของการนั่งหลับตาสะกดจิต อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้นตระกูลนั่งหลับตา อาฬารดาบส ได้แค่ฌานที่ 7 อุทกดาบส ได้ ฌานที่ 8  ของฤาษีนั่งสะกดจิตเป็นสมถะและเขาจะได้ฌานที่ 7 คือดับ อากิญจัญญายตนะ หลับสนิท ไม่มีความรู้สึกนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีความรู้สึก หมายความว่าอะไร หมายความว่าเขาดับสัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ ได้สนิทสุดเลย ดับได้สนิทสุด ไม่รู้อะไรเลย อาฬารดาบส ได้ฌาน 7 ถึงขั้น อากิญจัญญายตนะ คือ ไม่มีแล้วแม้แต่นิดแต่น้อย ดับได้นิ่งสนิทไม่นึกไม่คิดอะไรเลย คือดับแต่แค่สัญญา 

ส่วน อุทกดาบส นั้น ดับได้อย่าง อาฬารดาบส ได้ ฌาน 7 แต่สะกดไว้ มันก็มีแวบระลึกรู้ตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แต่วิธีของนั่งสะกดจิตดับ ถ้ารู้แล้วให้ดับความรู้นั้น ก็ดับลงไปคือสัญญามันระลึกรู้มันกำหนดรู้ขึ้นมา ก็ดับลงไปอีก ก็คือจบที่ อสัญญีสัตว์ อยู่ดี ก็ดับอีกก็ดับได้ นานที่สุดนานกว่า อาฬารดาบส เท่านี้ มันไม่มีจบ มันไม่ได้ไปดับที่เหตุ มันไม่ได้ไปดับที่กิเลส มันไปทำความมืด เรียกว่า กิณหา ความดำ ความมืด เอาตัวเองทำความดำความมืดให้แก่ตัวเองเป็นที่สุดเรียกว่าจบได้แค่ กิณหา แล้วก็ไปหลงเห็นว่า กิณหา หรือความดำความมืดนี้เป็นที่สุดแห่งที่สุดของนิโรธ ดับสนิท แล้วก็หลงว่าตรงนี้คือ นิพพาน ก็ไปยินดีอยู่ตรงนี้ จึงเรียกด้วยบัญญัติภาษาว่าเป็น สุภกิณหา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริแห่งพุทธ ครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 13:11:53 )

ทาน เนกขัมมะ ศีลก็ดีล้วนให้เนกขัมมะคือเลิกกาม

รายละเอียด

ทานก็ดี เพื่อให้เกิดทาน เนกขัมมะ ศีลก็ดี เพื่อให้เนกขัมมะ เลิกกาม เอาคำแรก นิวรณ์ 5 มันมี 5 แต่ทำกามก่อนเถอะ ปฏิฆะก็ง่าย เพราะ มันรู้อยู่แล้วคนเรามันไม่ชอบเท่าไหร่หรอกรู้ว่ามันหยาบ แต่กามนี้มันเนียน กินลึก ล้างกามก่อน 

เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า คุณทำทานคุณก็ต้องทำทานให้เป็นเนกขัมมะ ปฏิบัติศีลคุณก็ต้องปฏิบัติให้เป็นเนกขัมมะ สวรรค์คุณก็ต้องรู้ว่ามันเป็นของเก๊ต้องเนกขัมขัมมะ ต้องออกมาให้ได้ ออกจากทานที่มันเป็นโทษ ศีลที่มันเป็นโทษ สัคคะ สวรรค์นั่นแหละเป็นตัวโทษแท้ๆมันเป็นนรกมันไม่ใช่สวรรค์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 14:57:27 )

ทานกับจาคะต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

จริงๆแล้ว “ทาน” ก็เป็นซินโนนีมเป็นภาษาที่ใช้แทนกันได้ว่า “ทาน” คือให้ออกไป “จาคะ” ก็คือการให้ออกไป เป็นแต่เพียงว่า” ทาน” เป็นภาษาพื้นๆ “จาคะ” ก็เป็นภาษาที่ลึกๆสวยๆหน่อย จะพูดว่าเป็นชั้น เหมือนกับคำว่า “กิน” กับคำว่า “รับประทาน” มันเป็นภาษาที่รู้ๆกันอยู่ เพียงแต่คำว่า “รับประทาน” ดูแล้วมันมีฐานะศักดิ์ศรี ความสุภาพเรียบร้อย ชั้นสูงขึ้นอะไรพวกนี้ คล้ายๆอย่างนั้น เท่านั้นเอง 

“ทาน”ต้องมีผู้รับ ส่วน “จาคะ” ก็สละกิเลส “จาคะ” หมายถึงทำให้กิเลสออก บริจาคหรือปริจาคะ ก็คือทำให้ได้รอบขึ้นดีกว่า อาจจะมีศักดิ์ฐานะสูงกว่าทานหน่อยนึง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 09:07:38 )

ทานกับอสัญญาสัตว์

รายละเอียด

ทานคือการให้ กรรมกิริยาการให้ อสัญญีสัตว์มันไม่กำหนดรู้เรื่องอะไรเลย ส่วนจิตจะให้ก็เป็นทาน ส่วนอสัญญีสัตว์คือสัตว์ที่ไม่กำหนดรู้อะไรเลย ดับสัญญานิ่งไม่คิดไม่นึกไม่กำหนดรู้ไม่ทำการทำงานเพราะฉะนั้น อสัญญี ท่านไม่เรียกว่า อเวทนา หรืออเวทนี ท่านเรียกอสัญญี หรืออสัญญา ก็หมายถึงผู้ที่ไม่มีการกำหนดรู้ อี คือตัวผู้มีสภาวะนั้นมีการกระทำกำหนด เป็นผู้ที่ไม่มีการกำหนดรู้อะไร คือคนผู้นั้นยังมีจิตวิญญาณแต่ไม่ทำการ ทำการจิตไม่ให้จิตทำงาน ให้มันดับบื้ออยู่อย่างนั้นเรียกว่าอสัญญี อสัญญีสัตว์ท่านถึงเอามาอธิบายคู่กันกับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้าเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ก็เป็นแบบโลกีย์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:22:27 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:10:35 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:51:54 )

ทานกับเนกขัมมะต่างหรือเหมือนกันตรงไหน

รายละเอียด

แน่นอน ทานมันก็แตกต่างกันแน่กับเนกขัมมะ 

ในบารมี 10 ทัศคือบารมี 10 ข้อใหญ่ ที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ จะต้องปฏิบัติสะสมสัมภาระวิบากของทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา นี่คือบารมี 4 ข้อแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีอะไรต่อไปจนถึง เมตตา อุเบกขา มีวิริยะ ขันติ สัจจะอธิษฐาน 

ถามมาแค่ ทานกับเนกขัมมะมีนัยยะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

เหมือนก็คือ ทานก็ตาม เนกขัมมะก็ตาม คือการเอาออก 

ทานก็เอาออกให้แก่ผู้อื่น เนกขัมมะก็เอาออกให้แก่ผู้อื่น ไม่ให้ผู้อื่นก็เอาออกจากตัวเอง 

ทานคือเอาออกจากตัวเอง ทานจะหมายถึงตั้งแต่วัตถุ จนกระทั่งถึงอภัยทาน จนกระทั่งถึงเนกขัมมะ 

ทาน ก็จะหมายถึงตั้งแต่หยาบเป็นวัตถุ แล้วก็อภัยทาน แล้วก็เนกขัมมะ 

อภัย หมายถึง ไม่มีภัย ทำตนเป็นคนไม่มีภัย กับใครๆในโลกได้ ก็คือไม่ปฏิบัติรุนแรง ไม่ปฏิบัติกระทบกระเทือน ไม่ปฏิบัติอะไรกับใคร

ส่วนเนกขัมมะนั้น เอากิเลสออกจากจิต เริ่มตั้งแต่ กาม เอากามออกจากจิต หรือเอาปฏิฆะ เอาความโกรธออกจากจิต เป็นนามธรรม เป็นปรมัตถ์แท้ๆล้วนๆ 

สรุป เนกขัมมะคือทานขั้นปรมัตถ์ ส่วนทาน รวมความหมายตั้งแต่หยาบแล้วก็เข้าไปหาละเอียดหมด ก็ต่างกันประมาณนี้ เอาแค่นี้ก่อน  

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม #17 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 10:20:48 )

ทานขั้นสูงสุดคือธรรมทานจากผู้หมดตัวตน

รายละเอียด

ใช่ อย่างอาตมาทำ ธรรมทาน แบบที่คุณว่าเป็นขั้นสูงสุด คือเอาร่างกายและจิตใจลงแรงทำงานกอบกู้ศาสนา อาตมาก็ตามพระพุทธเจ้า เป็นทานขั้นสูงสุดเรียกด้วยศัพท์ง่ายๆเขาใช้กันอยู่ในวงการว่าธรรมทาน คือมาทานธรรมะ อาตมาไม่มีเงินมาทาน ไม่มีทอง ไม่มีเพชรนิลจินดา ไม่มีวัตถุอะไรมาทาน อาตมาก็ธนบัตรก็ไม่มี จะเอาธนบัตรมาแจกไม่มี มีแต่ธรรมะ 

แล้วธรรมที่อาตมาทานหรือบริจาคหรือให้ ให้แก่คนทั้งหลายคือโลกุตรธรรมด้วย เป็นทานที่มีสาระสัจจะถึงขั้นโลกุตรธรรม ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งคนที่ไม่ฟังโลกุตรธรรมไม่ไหว เขาไม่เอา เพราะฉะนั้นคนดูช่องนี้อย่าไปเทียบเลย คนดูช่องนี้ไม่เท่าไหร่หรอกโดยเฉพาะรายการอาตมา ถ้ารายการที่เขาเปิดร้องเพลงผู้ครองรักก็เปิด หลาย ทีวันนี้ ตอนนี้กำลังได้นักร้องของ Golden Song เขา คนจะดูอันนั้นเยอะกว่าฟังอาตมาฟังไม่ไหว ก็เข้าใจอาตมาก็ไม่มีปัญหา แต่อาตมามีความจำเป็น จำนน จำต้องแสดงธรรมโลกุตระไว้ แสดงออกมาในยุคนี้และยืนยันอย่างหนักหนาอย่างแรงเลย เอาตัวตนทุ่มเข้ามาเลย เรียกว่าไม่มีคนที่ทำแบบนี้ จะได้ขยายความให้ฟัง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2566 ( 18:18:46 )

ทานคือการเกิดผลละกิเลสได้

รายละเอียด

ทุกวันนี้ก็สอนการทำอะไร ทำทาน ถือศีล มีทานภาวนา ศีลภาวนา แล้วไปหลงอีกอันว่า ภาวนา เปล่ามันมีทานกับศีล ทำศีลกับทานให้เกิดผล ภาวนาแปลว่าการเกิดผล เกิดผลอะไร ก็คือเกิดผลละกิเลส แต่ทุกวันนี้ทำทานสอนกันให้ละกิเลสกันที่ไหน ทานแล้วก็มากรวดน้ำ ทานแล้วก็ได้บุญ ทานแล้วไม่ได้ได้บุญเลย เพราะไม่รู้ว่าอานิสงส์ของทานคืออะไร 

สัมมาทิฏฐิที่ 1 หรือมิจฉาทิฏฐิข้อที่ 1 ก็มิจฉาทิฏฐิกันเต็มบ้านเต็มเมือง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:04:56 )

ทานคือการให้เป็นคุณสมบัติ

รายละเอียด

ทาน ตัวแรกในพฤติการณ์ของมนุษย์ ตัวแรกเลย ทาน คือการให้ เป็นคุณสมบัติ การเอา เป็นโทษสมบัติ การเอายิ่งยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นตัวโทษสมบัติแท้ การให้ไปจากการเป็นเราเป็นของเรานั่นคือ คุณแท้ คุณสมบัติแท้

ทีนี้คนปฏิบัติทานกัน  ก็ซับซ้อนเลย ทำวิธีทาน เอาออกให้ออก ใครก็เห็นว่าดี คนนี้เป็นคนแจกคนให้คนอื่น ดีจริงๆ ดี แต่ใจ ยังไม่ได้ให้หรอก ยังคิดว่าเอ็งต้องเอามาคืนข้าพร้อมกับดอก  ดอกคิดทบต้นสูงนะ ใจมันยังไม่ได้ปล่อยจริงยังไม่ได้ให้จริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 13:56:14 )

ทานด้วยความไม่รู้จึงหลงสร้างภพชาติ

รายละเอียด

ปริภุญฺชิสฺสามีติ หมายถึงชาติหน้าที่เป็นตัวตนภพชาติอีกชาติหนึ่ง อาตมาไม่อยากอธิบายข้ามชาติ เพราะฉะนั้นแค่ตัวพยัญชนะก็ไม่อยากจะจำเลย ซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นเลยตัวนี้ แต่ตอนนี้ไม่จำสักทีนึกไม่ออกสักที 

นอกจากนี้ยังมีอตฺตมนตาโสมนสฺสํ ไปปลื้มใส่จิตใจ ฝังเล็บฝังเขี้ยวไว้ในภพชาตินั้นเลยอย่างเช่นธัมมชโย ปลื้ม เขานึกว่านั้นเป็นสวรรค์ชั้นสุดยอด ทานชั้นที่ 6 อตฺตมนตาโสมนสฺสํ ซึ่งมันยิ่งไปกันใหญ่เลย ไปปลื้ม 

เพราะฉะนั้นความไม่รู้แล้วไม่เข้าใจเรื่องภพชาติ ก็พากันออกนอกลู่นอกทาง หลงอย่างเช่นธัมมชโยนี่ก็คนหนึ่ง ออกนอกภพเป็นวิมานฟุ้งเฟ้อ วิมานซับซ้อน เป็นพวกสร้างวิมาน สายมหาบัว อาจารย์มั่นก็หนีมุดบาดาล ส่วนพวกนี้ก็เป็นพญาครุฑไป สำหรับสายธัมมชโยเหินหาวไปไหนต่อไหน พญาครุฑกับพญานาค ถึงคนละฝั่งฟากเลย ความไม่รู้จึงสร้างภพชาติอย่างนี้แหละสรุปไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:47:24 )

ทานต้องฆ่าไอ้หวัง ไอ้หวังตายแน่

รายละเอียด

ผู้ใดเป็นแม่ตัวจริง มาตา เป็นพ่อตัวจริง ปิตา อาตมาเกิดมาในชาตินี้มาพร้อมทั้งความ เป็นปิตา มาพร้อมทั้งความเป็นมาตา มาตา เป็นนักรบพ่อลูกอ่อน กระเตงลูก มือหนึ่งจับดาบรบ พร้อมทั้งลูกกระเตงเป็นพ่อลูกอ่อน มาชาตินี้เหนื่อย แม่ไม่มาช่วยเลย การทำมนสิการ ทำใจในใจ ทานอย่างไรถึงจะมีผล ทำทานต้องทำใจในใจ แต่ก็พากันทำ ทานเสร็จแล้ว อ้าว อธิษฐานตั้งใจ อิมานิ… นั่นคือทานล้มเหลว ทานของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่ให้มี ไม่ให้มีสัตว์โอปปาติกา สาเปกโข อย่าไปหวัง ทานต้องฆ่าไอ้หวัง ไอ้หวังตายแน่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 10:27:48 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:41:40 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:52:26 )

ทานทางใจ

รายละเอียด

ทานความสวย ความงาม(รูป) ความไพเราะ(เสียง) ความหอม(กลิ่น) ความอร่อย(รส) ความต้องใจชอบใจในการกระทบสัมผัสเสียดสี(สัมผัส) และความชอบความชัง(อารมณ์ทางใจ)ออกไปจากจิตที่ยึดอยู่ ยังอยากเสพอยู่ ออกไปจากจิตให้ได้

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 383


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:40:59 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:15:31 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:52:48 )

ทานที่ถูกต้องตามสัจธรรมและต้องทำใจในใจให้เป็นให้เป็น

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสพระธรรมไว้ว่า ทาน อย่าว่าแต่จะเอาของแลกเปลี่ยนกับคืนมาเลยแม้แต่จิตของเราก็ไม่ตั้งค่าว่าเราจะต้องการอะไรมาให้แก่ตน อันนี้แหละ คือจะต้องเรียนรู้อาการของใจ อาการของจิต แล้วก็รู้ว่าจิตของเรามันเป็นไปตามอัตโนมัติของอวิชชา เป็นไปตามความอยากได้ ดีใจชื่นใจที่จะได้เปรียบได้มาก ซึ่งมันเป็นอสัจธรรม มันไม่ใช่ธรรมะที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจะต้องชัดเจนในฐานะที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ต้องชัดเจนและต้องทำใจในใจให้เป็น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 09:19:27 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:42:04 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:53:14 )

ทานที่บริสุทธิ์

รายละเอียด

ให้ เสียสละ การให้นี่ ในสัมมาทิฏฐิ 10 คำแรก ทินนัง เป็นคำที่ 3ของทานทินนังคือให้แล้วจบแล้ว แล้วจิตคุณให้โดยมีสาเปกโขหรือไม่ให้แล้วยังมีเชื้อยึดเป็นเราเป็นของเราหรือไม่ คุณจะต้องมาตอบแทนบุญคุณระลึกบุญคุณ อันนี้ยังไม่บริสุทธิ์ทานที่บริสุทธิ์คือต้องให้อย่างขาดไม่มีหวังอะไรตอบแทน คนมิจฉาทิฏฐิให้แล้วยังหวังตอบแทน แล้วยังผูกพันกับผู้เป็นเจ้าของ ให้ไปแล้วจะต้องเอาคืน เขาจะเป็นคนต้องการแล้วจะต้องตอบแทน ให้ไป 500 ต้องตอบแทน 500 แล้วต้องมีดอกเบี้ยด้วยนะ คืน 600 700 ดีไม่ดีทบต้นด้วยนะหากมีสาเปกโขคือไม่บริสุทธิ์ อัตถิทินนังคือทานแล้วไม่มีความต้องการอะไรตอบแทนเลย ยังไม่พอ ปฏิพัทธเปกโข ยังผูกพันกับสิ่งที่เราให้เขาเป็นเราเป็นของเราอีก ยังไม่พอ มีการสั่งสมเป็นกองสมบัติของเราสันนิธิเปกโข สั่งสมเป็นธนาคารกองสมบัติ ยังโง่ไม่พอ ข้ามชาติไปเป็นเข้าของกินชาติต่อไปอีกไม่เคยปล่อยวางเลย เอ็งจะมีอัตตา อัตตนียาไปถึงไหน ทานไม่ปล่อยวาง ทานยังมีตัวกูของกู 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา บ้านราช เนื้อแท้ประชาธิปไตยพุทธ 5 ประการ วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:40:33 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:54:13 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:53:55 )

ทานที่มีผล แต่ไม่มีอานิสงส์

รายละเอียด

นี่แหละคือทานที่มีผล แต่ไม่มีอานิสงส์ คุณทำทานเป็นโลกีย์ มีผลเป็นกุศลอกุศล แต่จะเป็นโลกุตระคือจะต้องตัดกิเลสกับไม่ตัดกิเลส 

ให้ทานคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยทานนี้ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาต่างๆ ก็มีเทวดา จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ซึ่งเป็นผู้ที่หลงผิดไปสร้างแบบ เดียรถีย์ เป็นภพชาติโลกีย์แล้วนับถือสืบทอดกันมาอย่างผิดๆ พระพุทธเจ้าก็มาเลิกสิ่งที่ผิดนี้ให้ชัดเจน อ่านภพชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:26:16 )

ทานที่มีผลเป็นบุญ เป็นโลกุตระ

รายละเอียด

การปฏิบัติทานก็ดี ศีลก็ดี อัตถิทินนัง อิตถิยิฏฐัง อัตถิหุตังก็ตาม แต่ทานทุกวันนี้ไม่ได้เกิดผล มีแต่ทำทานแล้วต่อภพชาติมีสาเปกโข แม้แต่ทานข้อแรกซึ่งทุกศาสนาเขาก็มีการทาน แต่การทานที่จะมีอานิสงส์ถึงขั้นโลกุตระมีแต่ในศาสนาพุทธ แล้วทุกวันนี้มิจฉาทิฏฐิกันไป จนอาตมาว่า อาตมาอีกแหละที่เป็นผู้อธิบายสัมมาทิฏฐิข้อแรกในสัมมาทิฏฐิ 10 ทานที่มีอานิสงส์ถึงขั้นเป็นบุญ ในทานสูตรก็ว่าไว้มีผลมากไม่มีอานิสงส์ หรือมีผลมากอานิสงส์มาก ของพระพุทธเจ้าถ้าทำทานถูกต้องจะมีทั้งอานิสงส์มากและผลมาก มีผลมาก คือทำทานแล้วทำจิต โยนิโสมนสิการ ทำได้ชัดเจนถูกต้องถ่องแท้ ทำจิตให้สูญ เลิก ไม่มีภพชาติต่อเลย ไม่มีสาเปกโข ทานังเทติ ตายไปแล้วจะได้ผลไปถึงชาติหน้า อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ นี่คือในทานสูตรมีผลมากแต่ไม่มีอานิสงส์ มีอานิสงส์หมายถึงผลทางโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ตุลาคม 2562 ( 05:07:57 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:48:19 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:54:34 )

ทานที่มีมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

  1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

  2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

  4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ทุกวันนี้อาตมาพูดเด็ดขาดไม่ประนีประนอมแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:47:56 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:11:40 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:54:57 )

ทานที่สมบูรณ์แบบไม่มีสาเปกโข

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องทานสูตร

1. ทานจะต้องทานอย่างไม่มีสาเปกโข ทานก็คือการให้ โดยไม่มีการตั้งความหวัง ตั้งภพชาติ เป็นตัวเป็นตน ให้ก็คือให้ นั่นคือทานที่มีอานิสงส์ที่สุด ตรงที่สุด สูงที่สุด จบเลย 

เพราะฉะนั้นคุณทานอะไรก็แล้วแต่ ไม่มี สาเปกโขเลย สมบูรณ์แบบแล้วในเรื่องทาน ถ้าคุณเริ่มทานแล้วจดจำเป็นเราเป็นของเรา โดยเฉพาะเป็นเราเป็นของเรานั้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณต้องเอามาคืนนะ ของเราให้เอามาคืนนะ นั่นยิ่งไม่ได้ทานไม่ได้ให้ ให้วัตถุเขาเอาไปใช้จนแหลกลาญจนไม่เหลือเศษเป็นผงคลี แต่คุณก็ยังจะให้เอามาคืน ให้มีราคาไม่น้อยกว่าที่ให้ไป คิดดอกคิดต้นอย่างสูงอีก ดีไม่ดี คิดแบบทุนนิยมสามานย์หาวิธีให้ได้กลับมามาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:53:45 )

ทานที่สูงสุดแล้วคือมีจิตเป็นอุเบกขา

รายละเอียด

แม้แต่อาการที่อยากได้ สาเปกโข เป็นตัวละเอียดบางเบาที่สุดแล้ว เป็นจิตที่มีความหวัง เท่านั้นแหละก็ไม่เอาไม่หวังอะไรทานคือให้แล้วจบในตัวเลย 

ถ้าเข้าใจรายละเอียดพวกนี้ สูงสุดแล้วทานมีจิตเป็นอุเบกขา ทานแล้วจิตบริสุทธิ์กิเลสหยาบกลางละเอียดไม่มีเลยไม่หวังอะไรเลย ทานก็คือให้ก็จบในตัวมันแล้ว แล้วคุณจะไปเอาอะไรตอบแทนมา ส่วนคนเขาจะตอบแทนบุญคุณ เขาจะกตัญญูกตเวที มันก็เรื่องของเขา ตามที่ควรมันก็เป็นไปตามสัจจะ สุดยอดเลยของพระพุทธเจ้า คำสอนยอดเยี่ยม อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:16:20 )

ทานที่ให้แล้วมีผล

รายละเอียด

คือ การทานที่ทำให้กิเลสลด (อัตถิ ทินนัง) เป็น Past Perfect tense สมบูรณ์กิริยา  ทานที่ให้แล้วแต่คุณท่านเสร็จแล้วไม่มีผล  ไม่มีผล  ไม่มีอานิสงส์ในการปฏิบัติทุกวันนี้  เพราะทานไม่รู้จักการทำจิตในจิต หรือ ทำใจในใจ คุณทำใจในใจไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 12:56:50 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:43:03 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:55:26 )

ทานที่ให้แล้วมีผลอย่างสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) คนในยุคนี้ทำทานแล้วมีแต่จิตใจจะขี้โลภเพิ่มขึ้น แล้วไม่ได้ทำจิตที่ลดกิเลส มีแต่อยากได้แลกกลับมามากขึ้น คุณให้ไปล้าน แต่ขอแลกกลับมา1 บาทก็มีกิเลสตัวตนกลับมา 1 บาท ทำไมไม่ให้ทานไป 1 ล้านก็ไม่ต้องเอาคืนเลยแม้แต่บาทเดียว ทำไมไม่ให้แบบหมดตัวตน อย่างนั้นแปลว่าคุณทานไม่เป็น เพราะว่าไม่มีใครอธิบายให้คุณฟังแบบนี้ใช่ไหม

อาตมาอธิบายว่าทำทานแล้วจิตใจจะมีผลคือการลดกิเลส แต่นี่โอ้โห จะเอากลับคืนมามากมาย มันก็ไม่มีผล มีแต่มีผลคือหนาไปด้วยกิเลส โลภะ ทำทานเอากลับมาอย่างไม่มีขีดจำกัด มีใครอธิบายอย่างอาตมาไหม นี่คือผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ข้อที่ 10

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน สมณพราหมณ์ผู้มาเปิดเผยสัมมาทิฏฐิของพุทธ


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 12:22:54 )

ทานที่ได้ผมตรงข้าสัมมาทิฏฐิ 10

รายละเอียด

เรามาเข้าสู่ อัมพัฏฐสูตร อธิบายมาจะถึงแยกให้ฟังว่า อัมพัฏฐมานพ มาคุยกับพุทธเจ้าสรุปลงที่ วิชชาจะระณะสัมปันโน ซึ่งเขาก็เรียนกันมา แต่เมื่อมันเพี้ยน เป็นพราหมณ์ พราหมณ์ก็เป็นพุทธนี่แหละ มันถูกต้องแล้วก็เพี้ยนไปจนหมด จนเหลือแต่เป็นภาษาว่าพราหมณ์ แปลภาษาของเรียกว่าพระเวทหรือความรู้หรือวิชา ยังเป็นรากฐานเดิม บาลีก็เป็นบาลีสันสกฤตก็เป็นสันสกฤตอันเดิม แต่ความเข้าใจสภาวะ มันไม่ใช่แล้วมันผิดเพี้ยนอย่างตรงกันข้ามกันเลย อย่างทุกวันนี้มันกลายเป็นของเดียรถีย์ มันผิดไป สมาธิมันก็ไปหมด กาย บุญ ฌาน  อะไรพวกนี้ที่อาตมาหยิบเอามาอธิบายทุกวันนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่นะ มันคนละเรื่องกัน กาย เขาก็ไปเข้าใจอย่างนึง บุญก็เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง สมาธิก็เข้าใจอีกอย่างนึง หรือแม้แต่ศีลก็เข้าใจว่าปฏิบัติศีลก็ได้แค่ทางกายวาจาภายนอก ศีล ไม่เกี่ยวกับใจอย่างนี้เป็นต้น สัมมาทิฏฐิก็เป็นไปตามที่เขาเห็นชอบเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ซึ่งไม่ใช่หลักเกณฑ์ของสัมมาทิฏฐิ 10 ชัดเจนเลย ถ้าเอามาทำและปฏิบัติตรงก็จะได้ผลตรงตามสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างที่ผู้เข้าใจแล้ว อย่างที่อาตมาเอามาอธิบายให้ฟัง เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).  1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) เราทำทานแล้วก็ได้ผล คนนั้นคืออย่างไร ผลคือ ทานแล้วกิเลสลด ไม่ใช่ทำทานแล้วกิเลสเพิ่ม เขาอ่านใจไม่เป็น ข้อแรกแล้วเขาทำทานก็ไม่รู้ใจ ก็ทำใจในใจไม่เป็นมนสิการไม่เป็น เขาทำเหมือนกันนะแต่เขาทำใจให้ยินดีกับสิ่งที่เราได้ความชื่นใจเราได้ว่าเรามีทรัพย์เพิ่มขึ้นดีขึ้น ก็ตั้งขึ้นเป็นคลังสมบัติของเราเอาไว้กินใช้ ตายไปแล้วในชาติต่อไปจะได้ใช้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คิดแบบนั้น ไม่ให้ปฏิบัติแบบนั้นไม่ให้ประพฤติแบบนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่าให้หวังภพชาติ ทำทานแล้วก็จะต้องเอาสิ่งที่ทำทานมาแล้วต้องมีผลเป็นของเรา หรือยิ่งได้เอาดอกเบี้ยด้วย เป็นปันผลเพิ่มขึ้นอีก ไม่ให้คิดอย่างนั้น ให้เสียสละไปแล้วก็หายไป จริงๆแล้วโดยสัจจะ ทานไปแล้วไม่ต้องคิดว่าเราจะได้อะไรกลับมาเลย เฉย ปล่อยทิ้งเลย ตัดทิ้งเลย ไม่ไปคิดหวังอะไรได้อะไรอีก ให้ไปแล้วให้มันเป็นหนึ่งเดียว ให้ไม่ใช่จะเอา ให้ แต่มี Boomerang อาจจะโค้งไกลมาก แต่กลับมาแต่ใช้เวลานานมาก มันก็น่าจะออกดอกออกเบี้ยเยอะกว่า นั้นมันก็ยังต้องการ ยังมีตัวตนอย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ทำอย่างนั้น อย่างน้อยอาตมาอธิบาย ทานสูตร เขาทำทาน นัตถิทินนัง แม้กระทั่งสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 ทำทานแล้วมีแต่เพิ่มกิเลสมีแต่อยากได้มากขึ้นมากขึ้น แล้วจริงๆมันก็จะมีกุศลเสริมในการให้เหมือนกัน ก็ยิ่งจะหลงติด เราทำทานแล้วจะยิ่งได้มากขึ้นมันก็เลยโอ้โห ทานแล้วยิ่งหวังผลมากขึ้น ยิ่งอาจารย์องค์ไหนบอกว่าทำทานแล้วจะยิ่งได้ผลกลับมา รับรองขึ้นเลย ศรัทธาเลื่อมใสเลยว่าองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นองค์ที่ เมตตามหานิยม ลักษณะพวกนี้ก็เลอะเทอะไป 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 17:16:03 )

ทานที่ไม่รับสิ่งตอบแทน

รายละเอียด

ทานที่ไม่รับสิ่งตอบแทนวัตถุก็ไม่รับแล้ว วาจาก็ไม่พูดรับ จิตก็ไม่รับจริงๆ สละออกไปศูนย์เลย ส่วนอานิสงส์มันจะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง เราก็บอก เออ! มันก็ย้อนกลับมาเนอะ แล้วเราก็ต้องเข้าใจสัจจะว่า ไม่ต้องอยากได้ มันได้มาก็สะพัดออกอีก มันก็จะเพิ่มไปอีกเป็นผลสูงเพิ่ม แล้วมันก็จะสะพัดย้อนกลับมาหาเราอีก โดยคุณจะต้องปฏิเสธ ไม่อยากได้ ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้มา สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณทำออกอย่างเดียวเลย ทำออกอย่างเดียว ไม่ต้องทำเข้า เข้ามันจะมีของมันเอง Action-Reaction มี 2 สภาวะ เพราะฉะนั้นเราทำแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายที่เข้าใจสิ่งที่เป็นฐานที่ตั้งหรือฐานที่ดีอย่างเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:32:54 )

ทานที่ไม่เข้าเกณฑ์ศาสนาพุทธ

รายละเอียด

คือ ทานที่ไม่ให้ไปหลงติดยึดในวัตถุ  ทานที่เลวร้าย คือ ทานขี้โกงทานแล้วขี้โลภ  ทานแล้วฉลาดหลอกเก่งมาก สอนทานก็ดี ทำทานก็ดี ตัวเองได้รับผลตอบแทนตั้งแต่วัตถุคืนมา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข  คนพวกนี้ทำทานไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธเลย เพราะมีภพชาติ มีกุศล อกุศลเต็มไปหมด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 21:21:38 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 04:53:48 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 08:10:30 )

ทานผิด เป็นอย่างไร

รายละเอียด

มาไขความกันว่า ทานอย่างไรสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ได้อธิบายแต่อธิบายมาจนกระทั่ง ถ้าคอมันจะแตกมันก็แตกไปได้ร้อยคอพันคอไปแล้ว ถ้าปากฉีกก็คงฉีกไปจนสุดท้ายทอยแล้ว รอบคอหัวขาดแล้ว อธิบายมาจน เอาง่ายๆ คุณไปหลับตาสะกดจิต พาไปหลับตาสะกดจิตกัน คุณไม่ได้ทำทานไม่ได้ปฏิบัติศีล มันก็ผิดแล้วนี่ ผิดชัดๆ ผิดแหงๆ แหงๆนี่ภาษาจีนหรือเปล่าหรือภาษาไทย ผิดแหงๆ ผิดชัดๆ ไม่มีทางถูกเลย มันคนละทางหันหลังชนกัน 2 ข้างแล้วเดินกันไปคนละทิศเลย ไปทานไม่มี ศีลไม่มี แล้วมันจะเกิดผลอย่างไรเพราะไม่ได้ทำเหตุใด 

ทีนี้ไอ้ที่ว่า ทานผิด มันเป็นอย่างไร ทำทานคือการให้ เอาตั้งแต่หยาบก่อน ให้อะไร ในศีล ที่นี้มันสัมพันธ์กันนะระหว่างทานและศีล ศีลข้อแรกให้อภัย ศีลข้อแรกให้เมตตา เมตตาแก่สัตว์โลก ไม่ว่าใครจะผิด ใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาเป็นศัตรู ได้ปฏิบัติกับเรามาแล้วกี่ชาติต่อกี่ชาติ เขาทำร้ายเรา ก็ให้อภัย ให้เมตตา เอาเถอะ เขาทำเพราะเขาไม่รู้ เขาทำเพราะเขายังไม่เข้าใจ มันก็ถูกแล้วต้องสงสารเขา เมตตา เห็นสงสารนั่นเอง เมตตา ก็ อืม มันน่าช่วยเหลือ เมตตาก็คือน่าช่วยเหลือให้เขาได้เข้าใจ

เพราะฉะนั้นจะต้องมาทำทานนี้ ทำอย่างไร ถึงจะทำถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ใน พระไตรปิฎก ล.23 ข.49 ทานสูตร ทานที่จะเป็นผล ทานที่จะเป็นผลเป็นอานิสงส์มีผลแท้มันจะต้องทำจิตเป็น 

ถ้าทำทานแล้วทำจิตไม่เป็นไม่ตรง ไม่ตรงกับความเป็นจริงของการทำทาน ทานแปลว่าให้คนให้ของ ซึ่งจะชัดกว่าอภัยทาน อภัยเป็นนามธรรม ให้เงินทอง ให้ทรัพย์ศฤงคาร ให้แผ่นดิน ให้ประเทศเลยยกประเทศให้เลย เสร็จแล้วคุณก็ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ทำใจในใจ เป็นคำนามก็คือมนสิการ เป็นคำกิริยาก็คือ มนสิกโรติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:45:00 )

ทานมัย

รายละเอียด

บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 309


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:41:52 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:17:15 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:55:47 )

ทานมัย กับ ปัตติทานมัย มีสภาวะจิต & สภาวะธรรมต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คำว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 

10 ข้อนี้ มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าทีเดียว ของพระพุทธเจ้าสอนนั้น มีบุญกิริยาวัตถุ 3 คือ ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย พระพุทธเจ้าสอน อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 11 ข้อ 228 ก็สอนไว้เท่านี้ แต่เสร็จแล้วอรรถกถาจารย์เอาไปขยายความ หรืออาจาริยวาทขยายบุญ ด้วย ความนึกว่าตัวเองฉลาด ก็มีส่วนดี มีความเข้าใจพอสมควร แต่มันเฟ้อ มันเกิน แทนที่จะเข้าหาแก่นไปหา 0  มันเลยยิ่งกลายเป็นเรื่องปรุงแต่งออกไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:44:51 )

ทานมัยที่เป็นบุญคือฆ่ากิเลสและไร้ความหวัง

รายละเอียด

การทำทานอย่างมีอานิสงส์มีประโยชน์ ถ้าทำทานไร้ประโยชน์มีแต่โทษ ทุกวันนี้การทำทานมีแต่โทษ ก็ทำทานแล้วมีแต่ภพมีแต่ชาติ ทำทานไม่เป็นโลกุตระ ทำทานแล้วมีภพ มีชาติ มีสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ (คือ ตายแล้วจะได้เสวยในชาติต่อไ)หรือ ตั้งจิตความหวัง การทานแล้วตั้งจิตว่า เราทำทานแล้วเราจะต้องได้อะไรอันนี้แค่นี้ก็ผิดแล้ว แต่เดี๋ยวนี้โอ้โห อ้าว ทานแล้วก็มากรวดน้ำมาย้ำไว้ ทานแล้วขอให้ได้โน่นได้นี่ คำสอนของ พระพุทธเจ้า มันเพี้ยนผิดไปหมด อิมินาสักกาเรนะฯ ท้าวความมาเป็นบุญคุณใหญ่ยิ่ง 

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ทาน ก็ไม่มีอานิสงส์ ศีล ก็ไม่มีอานิสงส์ไม่ต้องพูดถึงสมาธิออกนอกรีต ไปนั่งหลับหูหลับตา ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าไปสอนนั่งหลับตาเป็นสมาธิไว้ตรงไหน อานาปานสติพระพุทธเจ้าท่านใดสอนให้นั่งกายตรงดำรงสติคงมั่น มันเป็นของเดิมที่โต่งอยู่ในป่า 6 ปี ก็ไปอยู่ในดงเดียรถีย์ ท่านก็ตรัสตามสิ่งที่มีอยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่ของท่าน และท่านก็ต้องสอนพวกนี้ให้ออกมา คือ อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก คือ ท่านพูดสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันให้ผิดเพี้ยนไปจากอดีต แล้วจมอยู่ อาตมามาแก้ไข แต่เขาก็จมอยู่กับสิ่งที่เขายึดติดซึ่งไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 5 ธรรมิกราชแจกแจงสังขารในปฏิจจสมปบาท วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 14:22:32 )

ทานมีมิจฉาทิฏฐิ 4 อย่าง

รายละเอียด

ทานแล้ว

  1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

  2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

  4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ไม่ต้องทำอย่างธัมมชโย ที่ทำแล้วได้นรกสี่อย่างนี้หมดเลย เขาทำกันอย่างเทวนิยมทางพิธีกรรมศาสนาเฟ้อเกิน อาตมาพูดไปพังโรงหากินเขา เขาทำกันทั่วประเทศ แต่พวกเราไม่ทำ ไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอนไปทำ เราก็เอามาทำสิ่งเป็นคุณค่า ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:21:17 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:47 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:56:14 )

ทานสัมมาทิฏฐิคือต้องทำใจในใจเป็น

รายละเอียด

คุณพูดมานี้พวกเราชาวอโศกเข้าใจ อาตมาเข้าใจ แต่คนข้างนอกจะไม่เข้าใจ สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นประธานของมรรคมีองค์ 8 ส่วนใหญ่เขายังไม่สัมมาทิฏฐิกันหรอก ไม่สัมมาทิฏฐิอย่างไร แม้แต่ข้อที่ 1 ทาน เขาก็ไม่รู้ว่า ทานอย่างไร มันถึงจะเป็นมรรคผลที่เป็นโลกุตระ เขาก็ได้แต่ทานแบบ โลกีย์ศาสนาอเทวนิยมศาสนาอื่นทำทานก็ได้แต่กุศล แม้ว่าการให้นั้นจะเป็นกุศล ทานจะมีสัมมาทิฏฐิตรงที่ว่าคุณทำทานแล้วอ่านใจตัวเองออก อ่านใจตัวเองว่าเราทำทานแล้วเราทำใจในใจอย่างไร ต้องศึกษาการทำใจในใจคุณต้องจัดการทำใจของคุณเป็น ถ้าคุณทำใจในใจของคุณไม่เป็น ชื่อว่ายังไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นคืออย่างไรคุณรู้อาการของใจรู้ความแตกต่างของเวทนา สัญญา สังขาร หรือรู้ความเป็นสภาวะเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่คือนามธรรม 5 ประการของคุณธรรม จับคู่กับรูป 28 วันนี้คงไม่ได้ลงรายละเอียดของนาม 5 กับรูป 28 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 10:48:16 )

ทานสิ่งที่เป็นบาป

รายละเอียด

ให้อาวุธไปฆ่าคนนั่นแหละเลว ศาสนาพุทธถึงขั้นไม่มีตัวตนใครจะฆ่าเรา เราก็ให้ฆ่า แล้วก็ตาย เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ตายไปแล้วก็เกิดมาดีกว่าเก่า เจริญกว่าเก่านะ เพราะว่าจิตใจของเราไม่อาฆาตพยาบาท แต่ถ้าคุณอาฆาตพยาบาทคุณก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้นใน 5 อย่างนี้ไม่ใช่ไปขาย ให้ทานด้วยซ้ำ บาป ทานอาวุธให้อาวุธก็บาป มีคนไม่รู้เรื่องเทวนิยมทำเก่งสร้างอาวุธได้มากๆ ก็เอาไปแจกให้เขา เอาไปทำไม ให้เขาไปฆ่าคน คุณให้เขา คุณก็บาป คนเอาไปฆ่าก็บาปด้วยกันซ้ำซ้อนไปอีกตั้งเท่าไหร่ เขาไม่รู้เรื่องหรอกเรื่องกรรมวิบาก คนพวกนั้นทำแล้วก็จะวนเวียนอยู่ในนรกหมกไหม้ซ้ำซ้อนหนักหนาสาหัส 

เพราะฉะนั้นผู้ใดละเว้นเลิกการฆ่า เลิกการใช้อาวุธในศีลข้อการทาน ทินนัง ในการทาน เพราะฉะนั้นถ้าทานผิดๆ ดังกล่าวแล้วก็เป็นการทานที่บาปเข้ามาลึกไปอีก ทานอย่างไร ทีนี้ไม่ใช่ทานสิ่งที่เป็นบาป ทานเนื้อสัตว์ อาวุธ สิ่งเป็นพิษมอมเมาอันนั้นเป็นบาปแน่นอน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:30:51 )

ทานสูตร

รายละเอียด

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้  ให้แล้วมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน (สาเปกฺโข  ทานํ  เทติ)   มีจิตผูกพันในผลให้ทาน (ปฏิพทฺธจิตฺโต  ทานํ  เทติ) มุ่งการสั่งสมให้ทาน (สนฺนิธิเปกฺโข  ทานํ เทติ) ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ (เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺ-สามีติ  ทานํ เทติ)...ให้ทานแล้วมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 49 ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 15:42:07 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:12:44 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:57:35 )

ทานสูตร

รายละเอียด

ทำทานแล้วได้สภาวะของ เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา (ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข (มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต (ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข (สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ (อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส) 

สรุปว่าเมื่อทำการทานต้องรู้จักจิตใจตัวเองว่าตั้งไว้อย่างไร จิตใจเรายังมีความอยากได้ภพชาติ จิตใจเรายังต้องการได้สิ่งตอบแทนซึ่งเป็นการสร้างภพชาติทั้งนั้น อาตมาเคยเอาทานสูตรจากพระไตรปิฎก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8ธันวาคม 2562 

หนังสืออ้างอิง

ทานสูตร เล่ม 23 ข้อ 49


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 20:06:43 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:24:30 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:58:24 )

ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

รายละเอียด

 อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

 อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

 อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

 อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

 อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

 อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)

 อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:24:51 )

ทานสูตร เล่ม 23 ข้อ 49

รายละเอียด

เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2563 ( 10:10:38 )

ทานสูตรทำทานให้ถึงพระพรหมทำอย่างไร

รายละเอียด

ที่จริงก็บอกเขาว่าทำทานแล้ว หวังผลตอบแทนก็เป็นตัวตนไม่ได้ละตัวละตน ไม่ได้ตัดปล่อย ตัดทิ้ง ทาน ถ้าไม่มีจิตไปผูกพันไปหวังผลตอบแทนเลย เรียกว่าไม่มี สาเปกโข พระพุทธเจ้าสอนไว้ในทานสูตรชัดเจน แล้วยิ่งไปตกผลึกว่าเป็นของฉัน ก็ยิ่งยึดเป็นตัวเราของเรา ยิ่งไปสะสมเป็นคลังเลย สันนิธิเปกโข ใส่คลังใส่เซฟไว้ ยิ่งบอกว่าชาติหน้าฉันตายไปแล้วจะได้กินทานของฉัน พวกนี้ไม่ได้ไปผุดเกิดง่ายๆหรอก ตายแล้วก็มีแต่จะจมอยู่กับไอ้พวกนี้แหละ อยู่กับตัวตนของเราของกูของกู ไม่รู้จักจบ ไอ้นี่ไม่ใช่ทานสูตร สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่มี สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วไม่มี สวรรค์ 6 ชั้น ก็คือภพที่เสพติด ตั้งแต่ชั้น จตุมหาราช คือชั้นที่ไปบุกรุก เบ่งข่ม แย่งชิง 4 ทิศ เรียกว่า จตุ

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง 

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว 

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ  

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี เป็นอาการเก๊ อาการที่ 32 อาการสุขลวง  

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี คืออยากให้ความสุขนี้อยู่ยาวนานให้ได้มากที่สุดไม่ยอมหยุดยอมพัก ใครจะสอนให้หยุด เย็น เลิก เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่เอา นอกจากไม่เอาแล้วยิ่งหาพวกสารพัด

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ 

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ คือสร้างเองเนรมิตเองได้ตามใจ มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชใหญ่ 

อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) สวรรค์ชั้นที่ 6 คือยิ่งมีผู้อื่นมาร่วมเนรมิตสร้างสรรค์ให้ยิ่งหนักยิ่งใหญ่เข้าไปใหญ่เลย อตฺตมนตาโสมนสฺสํ สร้างพรรคพวกให้มาลงนรกกัน เสร็จแล้วปลื้ม ที่เอาเปรียบเขาได้ฆ่าแกงเขาได้ ชนะเขาได้หลอกเขาได้ เหมือนอย่างธัมมชโย หลอกเขาได้ให้มาทำบุญแล้วมาทำกับตัวเองนะ ตัวเองร่ำรวยให้คนอื่นปิดบัญชีหมดเลย เอามาทำทานให้แก่หลวงพ่อ แล้วคนก็งมงายหลอกกัน 

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส) 

พรหมคือจิตสะอาด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้จักการจัดการทำจิตของตนเองให้ลดละจางคลายขึ้นมาด้วยบุญ ด้วยพลังงานที่เป็นอาวุธฆ่ากิเลส ลดกิเลสให้ได้ด้วยบุญ ซึ่งไม่ง่าย เป็นความซับซ้อน ที่อธิบายได้ยากแต่อาตมาก็พยายามอธิบาย คำว่าบุญ ไปหลงว่าเป็นกุศล ซึ่งมันเสื่อมหนัก ศาสนาพุทธนี้เสื่อมหนักที่ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล เพราะบุญนั้นเป็นพลังงานของจิตที่เลวร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำบุญสำเร็จนี้จะต้องแรง ฆ่ากิเลสให้ได้ บุญเป็นอาวุธร้าย แต่มันเป็นพลังงานจิต ที่เป็นฌาน 1 2 3 4 ฌานอันสุดท้าย อาตมาเคยอธิบายเป็นรูปธรรมว่าเหมือนเพชฌฆาตมือสุดท้าย 

มือ 1 2 3 ฟันมาแล้วจริงๆมันตายแล้ว แต่เพื่อที่จะให้ตายเด็ดขาดจริงๆ ต้องถึงมือบุญ เพชฌฆาตมือสุดท้าย กิเลสตายเสร็จแล้ว เด็ดขาด บุญก็เลิก จบกิจ บุญก็ไม่มีอีกบุญก็ไม่ทำ ปุญญปาปปริกขีโณ ก็สิ้นบุญสิ้นบาป พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญ คนสิ้นบุญแล้ว บาปก็หมดแล้ว บุญหมดแล้วไม่มีฟื้นอีก เป็นเอกังสะ เป็น one way Traffic เป็นคนทางเดียว สายเดียว ไม่มีโค้ง ไม่มีงอ ฆ่าแล้วหายไปเลย ฆ่าได้ก็หาย ฆ่าไม่ได้ก็หายไปเหมือนกัน ฆ่าไม่สำเร็จคุณก็ต้องสร้างบุญใหม่อีก แต่ถ้าฆ่าได้สำเร็จจบกิจแล้ว เรียบร้อย บุญก็ไม่มีอีกเลย พระอรหันต์เป็นคนหมดบุญเพราะฆ่าบาปได้เกลี้ยงเสร็จแล้ว จบกิจ ไม่มีฟื้น ไม่มีอะไรที่จะวนมาอีกแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 11:52:40 )

ทานอย่างนิพพาน

รายละเอียด

ที่จริงแล้วคุณจะไปคิดได้ผลตอบแทนทำไมพระพุทธเจ้าสอนให้ทานแล้วอย่าไปมี สาเปกโข ถ้าไปคิดแล้วมันไม่ได้ทาน คุณทานไปแล้วคุณก็ต้องการกลับมาก็เป็นภพชาติ ถ้าทานไปแล้วก็ไปเลยไม่ต้องคิดถึงเลย 0 และคุณทานอย่างนิพพาน หายไปเลยไม่ต้องไปคิดว่าเราทำทานแม้แต่พี่แม้แต่น้องแม้แต่ลูกแม้แต่ผัวไม่ต้อง มันเป็นเรื่องสังคมประเพณีวัฒนธรรมก็ทำไป 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:16:58 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:13:31 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:58:50 )

ทานอย่างไรจึงจะมีผลมีอานิสงส์เป็นโลกุตระ

รายละเอียด

ข้อที่ 1 เข้าใจเรื่อง การทำใจในใจ เรื่องการทำทาน ถ้าคุณทำใจในใจไม่เป็น ทานอย่างไรจึงมีผล มีอานิสงส์ หมายถึงมีผลมีอานิสงส์เป็นโลกุตระ แม้แต่การทำทานก็อ่านจิตตัวเองออก แล้วจิตของคุณสาเปกโข หวังจะได้อะไรตอบแทนหรือเปล่า 

ถ้าคุณทำใจในใจอยากได้อะไรตอบแทน คุณไม่มีผลไม่มีอานิสงส์ ถ้าหากไปหลงผิดได้สิ่งตอบแทนค่อยๆมีปฏิสัมพันธ์ มีการเกี่ยวข้องกับการตอบแทน เกี่ยวข้องกับภพชาติ ไปมีภพมีชาติ สั่งสมภพชาติ

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

  อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

คุณเข้าใจกันหรือ แล้วมีที่ไหนสอนว่าทานแล้วอย่ามีภพมีชาติ มีไหม ? 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูผู้ปราบมารเพื่อยังพุทธศาสนาให้ถึง 5000 ปี วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 09:13:44 )

ทานอย่างไรให้ถึงความรักมิติที่ 7

รายละเอียด

ไปอ่านความรัก 10 มิติ นั่นแหละคือจิตอาตมา ตั้งแต่มิติที่ 1 ถึงมิติที่ 7, 8 ที่ 9 ไม่มีเราเป็นของเราเลย เพื่อทุกอย่างทั้งหมด ไม่ได้เป็นเราเป็นของเราเลย 

ซึ่งถ้าเข้าใจนัยยะสำคัญของความรัก 10 มิติก็จะรู้ ความรัก10 มิติอาตมาเขียนตั้งแต่ พ.ศ. 2517 บวชได้ประมาณ 4 ปี บวช 2513 ไปเทศน์ 2517 ตอนนั้นมันก็ขึ้นมาว่าเราจะเทศน์เรื่องอะไรดี ความรัก 10 มิติก็ขึ้นมา ก็เรียบเรียงอยู่ตรงนั้นเลย ทั้งพยัญชนะภาษาทั้งสภาวะเทศน์ออกไป สดๆ เลือดหยดติ๋งๆ กัณฑ์แรกบอกว่าดี มีคนนิมนต์ไปเทศน์อีก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิทยาลัยครูบอกว่าไปเทศน์ อีก 2 กัณฑ์นี้ก็เลยรวบรวมคำเทศน์ออกมาเป็นความรัก10 มิติเล่ม 1ถ้าเป็นความรักที่ส่งไปให้คนทั่วโลกเป็น

ขั้นที่ 6 สากลนิยมหรือจักรวาลนิยม กว้างออกไป เพราะความรักขั้นที่ 7 จึงเข้าสู่เทวนิยมหรือปรมาตมันนิยม แต่คนที่ยังเข้าใจความรักมิติที่ 7 ไม่ได้ เขาก็จะยึดเทวะ ยึด 2 เป็น 1 ก็ยังเป็นตัวเราของเรายังเข้าใจไม่ได้ นอกจากโลกุตระจะเข้าใจฐาน 7 ต้องขยายตัวออกไม่เป็นเราเป็นของเรา ขยาย 2 ทำเป็น 1 จาก 7 จึงจะเจริญไปเป็น 8 เป็นความรักมิติที่ 8 อาริยนิยมหรืออเทวนิยม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:02:24 )

ทานอย่างไรได้อานิสงส์สูงสุด

รายละเอียด

อันนี้เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในทานสูตรแล้ว ว่า ทานที่มีอานิสงส์สูงสุดคือทานที่ไม่มี สาเปกโข (ไม่มี)สาเปกโข คือ จิตที่ ไม่มีอะไรต่อ จบที่ทำงานจบ มีอุปจยะกับสันตติ อปุจยะคือการเกิด เกิดการทานเสร็จแล้ว สันตติจบ ไม่มีอะไรเชื่อมต่อไปอีก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้ายังมีวิบากมันก็จะมี ชรตา ถ้าไม่มีวิบากมันก็จบเลย ปรินิพพานเลย 

ถ้าใครเข้าใจ ใจของตัวเอง จิตตัวเอง ทานแล้วก็ทำใจในใจให้รู้ให้เห็นว่า ทานอย่างมีผล

อัตถิทินนัง ที่เป็นข้อต้นเลยของสัมมาทิฏฐิ ทานที่มีผลหรือมีอานิสงส์มากคือทานที่ ไม่มีภพชาติ ทานที่ไม่มีอะไรต่อเป็น สาเปกโข ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีตัวเราของเรา ทำแล้วก็จบเหมือนไม่ได้ทำ เราจะจำได้หรือจำไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่จำเป็นจะต้องจำก็ได้ แต่จำได้แล้วก็อย่าให้มีจิตที่ไปนึกว่านี่เป็นของเรานะ นี่เราทำนะ นี่เราเป็นประโยชน์นะหรือเรามีบุญคุณ มันยิ่งไปใหญ่ เป็นอุปกิเลสซ้อน

เพราะฉะนั้นการทำใจในใจอย่างนี้แหละ ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก จะมีผลสูง มีอานิสงส์มาก ก็ด้วยการทำให้ถูกต้อง อ่านจิตอ่านใจตัวเองให้ได้ว่ามีอาการ อาการของจิต มีมากมีน้อยอย่างไรบ้าง ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น ยังมีกระแสต่อ มีภพชาติต่อ ยังไม่จบ ถ้าทานแล้วไม่มีภพชาติต่อก็จบ 

ยกตัวอย่างเช่น อาตมาทำสวนน้ำ ให้คนได้มาพักผ่อน แล้วเราก็ไปนึกว่า เราเองนี้เป็นคนมีบุญคุณ เป็นคนเป็นผู้สร้างผู้ทำให้นะให้คุณได้มาอาศัยใช้สอยนะ จิตเราก็ไปนึกว่าเราเป็นประโยชน์ เราเป็นผู้ที่มีประโยชน์แก่เขา ถ้าจิตเราไปยึดถืออย่างนั้นก็เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์มากเป็นนัตถิทินนัง

ถ้าทำทานแล้วจิตเป็นมุทิตา ถ้าจิตแค่หยาบแค่ เมตตา กรุณา เมตตาคือ เจตนาให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาคือลงมือช่วยให้เขาพ้นทุกข์ แล้วจะมีเราเป็นของเราไม่ได้ ต้องมุทิตา แล้วก็จบวางเลย เป็นอุเบกขา นี่คือสมบูรณ์แบบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 19:12:46 )

ทานอย่างไรไม่เป็นบุญ

รายละเอียด

  1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

  2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

  4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ที่มา ที่ไป

 เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 08:15:51 )

ทานอาหารแบบตักสามอย่างกับตักน้อยๆทุกอย่างอย่างไหนดีกว่ากัน

รายละเอียด

เอาความเห็นของหลวงปู่ ตักทีละอย่างเยอะๆนี่มันไปตีกัน ถ้าหากตัก 3 อย่าง จำนวนธาตุอาหารที่ทำมานี้ก็มากแล้ว เพราะในอาหารแต่ละอย่างก็ยังมีวัตถุอื่นในอีกหลายอย่างทำมา ก็มากแล้ว ถ้ามันมากเป็น 8 อย่าง 10 อย่าง แล้วกินทุกอย่าง หลวงปู่นี้กินวันละหลายอย่างก็ท้องมันมาก ก็เลยบอกให้ทำมาสัก 3 อย่าง แต่ทุกวันนี้ก็ยังมากอยู่ แล้วมีหลายเจ้าด้วย ทำ 3 เจ้า เจ้าละ 3 อย่างก็เป็น 9 อย่างแล้ว มันมากแล้ว ก็ยังยาก ก็เห็นใจ เขาก็อยากให้หลวงปู่ได้กิน แล้วไปสรรหาอาหารอย่างดีๆมาด้วยนะ ก็ต้องขอบคุณ อุดมสมบูรณ์อยู่ ในเรื่องอาหารการกิน เป็นอาหารอันประณีตได้อยู่ ตามที่พวกเราเข้าใจมีโภชนาดีอย่างไรก็สรรหามาให้อยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คนทุกศาสนาตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:59:15 )

ทานแบบทุนนิยมสามานย์

รายละเอียด

ทีนี้การคิดเป็นวัตถุ ใครก็เห็นก็รู้ว่า อย่างนี้ ทุนนิยมสามานย์หน้าเลือด คนที่มีปัญญารู้แล้ว นอกจากคนที่ ไม่มีปัญญารู้ ชอบ อยากจะเป็นผู้ได้เปรียบมากๆ ได้เอามาเป็นของตัวของตนมากๆชอบๆ อย่างนี้ก็แล้วไป เป็นพวกเลวร้ายด้วยกัน เห็นดีเห็นงามไปด้วยกัน 

แต่ถ้าคนชัดเจนแล้วว่าไม่ดีไม่เอา ก็จะอ่านสภาพตั้งแต่มันหยาบ เป็นวัตถุแท่งก้อนจนกระทั่งถึงฝากไว้ จดไว้ เป็นสัญญา เป็นหลักฐาน เขียนสัญญาตามกฎหมาย คนนี้คนนั้น อย่าทะเลาะกันนะ ให้ไปแล้วใช้หนี้หรือไม่ใช้หนี้อย่างไรกฎหมายกำหนดบอกหมด ถ้าไม่อย่างนั้นมาเอาเป็นของกูกันหมด เพราะฉะนั้นกฎหมายทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องมีกำหนดอย่างละเอียดซับซ้อนด้วย 

ทีนี้ คนที่พอจะมีภูมิธรรม ว่าถ้าไปเอาตัวตนวัตถุมาเป็นของเราทั้งหมด เขารู้นะ คนเขาก็เห็น เพราะฉะนั้นทำเป็นว่าให้ผู้อื่นไปแล้วกัน แต่แล้วจดไว้หมด จดเป็นรูปธรรม เป็นสัญญาเป็นมรดก กฎหมายก็รองรับไว้พวกนี้ จนกระทั่ง ไม่ต้องเขียนสัญญาหรอก ใช้ความจำ เป็นหลักฐาน สัญญา สัญญาณ กัน อย่างเช่นสัญญาลูกผู้ชาย อันใดเป็นของเอ็ง อันใดไม่เป็นของเอ็ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:55:51 )

ทานแบบปิดบัญชี

รายละเอียด

ทานอันเดียวนี่ก็ปฏิบัติกันทุกวันนี้ออกนอกรีตไม่ได้ผลตามพุทธ ทานกันไป กรรมมีพิธีกรรมต่างๆนานาสร้างภพชาติสร้างวิธีการสร้างความหลอกล่อสร้างวิมานอะไรต่ออะไรมาหลอกให้ทานออกไป ทานแบบปิดบัญชี ใจดำชิบหายเลย โอ้โหยุให้คนอื่นเขาทำทานกับตัวเองให้หมด คนอื่นจะตายปิดบัญชีเลยก็ไม่สนใจ คนอะไรเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวขนาดหนัก เป็นพระเป็นเจ้าพูดอย่างไม่ขายหน้าเลย เขาบอกว่าทำทานปิดบัญชีเลยมีเท่าไหร่ให้หมดคนอื่นจะฟังรู้เรื่องไหม จะไม่ให้เขากินเขาอยู่เลยหรืออย่างไร มีเท่าไหร่ขนมาให้กูให้หมดธัมมชโยเอ๋ย ทำไมทำไมเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวขนาดหนัก ไม่เคยพบไม่เคยเห็นก็ได้พบได้เห็นหนอในชาตินี้มนุษย์เอย นี่ก็วิจารณ์ความจริงให้ฟัง  คนเรามันหน้าด้านไม่อาย แล้วคนก็ไปศรัทธาเลื่อมใสยกย่อง ทำไมถึงงมงายกันขนาดนั้น นี่แหละสังคมโลกมองไม่เห็นไม่รู้เรื่องอะไร 

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 10:00:27 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:15:40 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 06:59:25 )

ทานแล้วต้องรู้จักการทำใจในใจ 

รายละเอียด

ทาน นั่นก็คือการปฏิบัติชนิดหนึ่ง ปฏิบัติแล้วในสัมมาทิฏฐิ 10 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ข้อที่ 1 ทินนัง คือทานที่ให้แล้ว ทานที่สำเร็จแล้วมันมีอานิสงส์ไหม ผลทานเรียก อัตถิทินนัง หรือนัตถิทินนัง

นัตถิทินนัง แปลว่าทานที่ไม่มีผล อัตถิทินนังคือทานที่มีผล 

คนก็ยังเข้าใจยากอยู่ว่าไอ้ผลนั้นมันคือยังไง เขาก็เข้าใจได้แค่ว่าทานไม่มีผล ก็คือทานแล้วไม่ได้อะไร

ที่จริง การทาน นั้นแม้แต่จะทานด้วยกิเลส ทานด้วยความไม่ชอบใจ ต้องจำเป็นจำใจต้องให้ ของเราให้เขาไป มันก็เป็นกุศล ผู้ที่ได้ให้ก็เป็นเจ้าหนี้ ผู้ที่รับไปก็เป็นลูกหนี้ ก็เป็นผลอยู่อย่างนั้นแหละ 

แต่ที่คำว่าเป็นผลหรือไม่เป็นผลนี่ มันต้องสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิตรงนี้มันเป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนกำกับไว้เลยว่า ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วทานต้องเป็นโลกุตระ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิแล้วทานจะไม่เป็นโลกุตระเป็นโลกียะธรรมดา ได้กุศล แล้วถ้าทานอย่างไม่เต็มใจก็ยังมีผล ได้ผล แต่มันยังไม่บริบูรณ์เท่านั้นเอง มันยังมีนัยยะสำคัญที่มันขัดแย้งกันอยู่ต่าง ๆมันก็เกิดวิบากซับซ้อนเพราะจิตใจผู้ให้ผู้รับนั้นไม่สมบูรณ์แบบทั้งคู่ 

หรือถ้าข้างหนึ่งเต็มใจ อีกข้างหนึ่งไม่เต็มใจมันก็ไม่สมบูรณ์ทั้งคู่ แต่ถ้าชัดเจน ผู้ทำทานที่ชัดเจนเป็นโลกุตระแล้ว ทานแล้วต้องรู้จักการทำใจในใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 ราชธานีอโศก วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 05:43:58 )

ทานแล้วทำใจในใจไม่เป็นอย่างไร

รายละเอียด

ทินนัง ทานแล้ว ยกตัวอย่าง ทำใจในใจไม่เป็น พัฒนาใจให้ไม่มีภพชาติไม่เป็น ถ้าเข้าใจง่ายๆทำแล้วตัด สูญ ไม่ต้องไปสร้างภพชาติต่อ ไม่ต้องไปหวังว่าจะได้อะไรต่อ จบ แต่คุณไม่จบ มันก็เป็นจริงมันก็จะเป็น

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ 

มันกลับกันเลย อวิชชามันก็อยากได้อยากมีอยากเป็น ทุกคนก็เคยมาทั้งนั้น อาตมาก็เคยมา เมื่อเข้าใจแล้วเราเคยมาตั้งเยอะแยะตอนนี้ก็พอ ไอ้ที่แล้วก็แล้วกัน ที่ใหม่เราก็ทำให้ถูกตรงขึ้นมา ไม่เช่นนั้นมันก็จะจมอยู่อย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:49:06 )

ทานแล้วปิดประตูมีภพชาติ จึงจะมีอานิสงส์การปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

อาตมาพูดแล้วเหมือนตัวเองรู้ดีอยู่คนเดียว คนอื่นมีอาจารย์ใหญ่โตที่เขาเคารพนับถือกันทั่วประเทศ แล้วโพธิรักษ์เป็นใคร มันก็น่าให้เขารู้สึก โพธิรักษ์เป็นใคร โผล่มา ใหญ่อะไรนักหนา ครูบาอาจารย์เขาใหญ่กันมาเป็นร้อยปีแล้ว เขาสอนกันมาอย่างนี้ทั้งนั้น  อาตมาก็บอกตรงๆ อาตมาพูดจริงทำจริงรู้จริง พากันปฏิบัติจริง มาอย่างนี้ด้วย ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 อาตมาก็ไม่เห็นสำนักไหนเขาสอนสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1. คือการทำทาน ทำทานไม่มีผลของโลกุตระ เขาไม่ได้สอนเลย คือ ทานแล้วจิตลดกิเลส ไม่โลภมาก ไม่มีภพชาติ ปิดประตูสาเปกโข ไม่หวังอะไรตอบแทนเลย จะไปพูดถึง 1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:27:16 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:20:32 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:00:00 )

ทานแล้วมีผลลดกิเลส

รายละเอียด

ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) ทานแล้วต้องมีผลลดกิเลส แต่เขาสอนกัน ทานแล้วต้องได้อะไรกลับมา ทานแล้วให้เฉพาะญาติฉันนะ เธอไม่ใช่ญาติฉันนะ  ทำไมขี้เหนียวใจไม่กว้างเลย เปรตอื่นก็ไม่ให้ วิจารณ์ให้หนำใจไป คือมันเลอะเทอะกันมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:59:46 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:21:35 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:00:25 )

ทานแล้วเป็น นัตถิทินนัง อย่างไร

รายละเอียด

ถ้าทำทานแล้วไม่มีสาเปกโขก็ดีมาก แต่หากมีสาเปกโข ก็จะมีความผูกพันต่อไปอีก ทำทานแล้วไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องสะสมกอบกองเป็นสมบัติอะไรอีกเท่าไหร่มันก็ไม่ยืดยาดเท่าไหร่ 

อันที่ 3 ยืดยาดกว่าเป็นสมบัติเป็นเซฟเป็นคลัง สันนิธิเปกโข สะสมใส่อัตตาใส่ตัวตน มีเซฟใส่เลย จะมีสิ่งที่จะได้ มีสิ่งที่ได้ที่มีที่เป็นแทนที่จะทานอย่างสูญ ก็ทานอย่างไม่สูญ ทานยังมีอะไรต่อ ก็เป็นคนที่หลงใหลในสวรรค์ 6 ชั้น เป็นพวกมีภพมีชาติยังไม่สมบูรณ์แบบในการปฏิบัติกิริยาอาการ กรรมกิริยาต่างๆ มันสั่งสมภพชาติตลอดกาล

อันที่ 4 เป็นกอบเป็นกองเป็นตัวเป็นตน เป็นวิญญาณเป็นภพชาติตายแล้วไปอยู่สวรรค์เป็นเทวดาเสวยวิมานสวรรค์อะไรอีก เลยเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์แบบเต็มรูปเลย แล้วเข้าใจที่ไหน ทำทานจะต้องเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์แบบอย่างนี้ทั้งนั้นเลย ศาสนาพุทธ 2500 กว่าปีผ่านไป เข้าใจสัจธรรมเหล่านี้ที่ไหนสอนกันอยู่โครมโครม แต่งบทประณามคาถา อิมินาสักกาเรนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1 วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 20:06:20 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์