@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1

รายละเอียด

เข้ามาสู่เรื่องเศรษฐกิจที่อาตมาพูดอธิบายอยู่ อาตมาไปค้นเจอ เศรษฐกิจที่เขียนเอาไว้ถึง 45 ประเด็น 45 ข้อ อาตมาก็เลยเอามาดูอีก ก็เลยขยายต่อไปอีกเป็น 47 ประเด็น ก็น่าจะได้เอามาทบทวนอธิบาย 

ที่สำคัญคือมันมีความคิด แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็เกิดผล ความคิดความเห็นความเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติจนเกิดผล มันก็มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ คือโลกียะกับโลกุตระ หรือพวกเทวนิยม ที่มีความรู้ทางธรรมะแบบเทวนิยม ซึ่งมันไม่ออกมาหาโลกุตระเลย มันไม่ทวนกระแส มันไม่หมดอัตตานั่นเอง ไม่มีอนัตตา ไม่มีนิพพาน 

เพราะฉะนั้นพยัญชนะแต่แค่ไม่มีนิพพานนี้ก็ ยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งใหญ่ตรงที่ว่ามันไม่สามารถที่จะทำอะไรได้จบกิจ เศรษฐกิจก็ไม่จบกิจ จะวนเวียนเป็นลิงแก้แห วนเวียนเป็นกลุ่มไหมยุ่ง ซับซ้อนแล้วตัวเองก็แยกไม่ออก วน กลับไปกลับมากลับมากลับไปอยู่อย่างนั้น ยิ่งซับซ้อน ยิ่งพากันโง่หนัก 

ขออภัยที่อาตมาใช้ศัพท์ง่ายๆ โง่คือมันไม่รู้ มันไม่เข้าใจจริงๆ แต่อาตมาไม่มีเจตนาจะไปลบหลู่ไปข่มอะไรหรอก มันไม่รู้มันไม่เข้าใจจริงๆเลย ถ้าเข้าใจนะ ชาวโลกีย์ที่เข้าใจธรรมะแล้วนี่ จะไม่พามวลประชาชนที่เรามีอำนาจบริหาร อาตมานี้เป็นคนที่มีอำนาจบริหารอยู่ แล้วก็มีประชาชนที่มาเรียนรู้ธรรมะที่อาตมา ขอยืนยันว่าเป็นของพระพุทธเจ้านี้ มาเรียนรู้ แล้วบริหารพวกเรา จนพวกเราออกจากโลกียภูมิ มาอยู่ในโลกุตระภูมิกัน 

ซึ่งเป็นภูมิที่สุดยอด พบจุดสำคัญที่อาตมาสรุปเป็นภาษาในยุคนี้ กาละนี้ ฐานะนี้เลย ว่ามันมี อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ 

ลงท้ายปลายเปิด พร้อมที่จะเสียสละนะ เพิ่มพูนการเสียสละ คือมันไม่เอาแล้วตัวตน เหลือแต่พลังงาน เหลือแต่ความรู้ความสามารถในชีวิต แล้วเราก็เรียนรู้แล้วว่า เราไม่ใช่คนที่จะมาขี้เกียจ พอสบายแล้วก็ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พูดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว มาอยู่กันนี้สบาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  

สบาย แล้วก็เลยขี้เกียจสันหลังยาวไป เป็นปลิงเกาะเพื่อนกิน แอบแฝง อาตมาเคยพูดไม่ใช่เรื่องเล่น คุณไปแอบแฝงกินกับคนชั่ว คุณก็บาปขนาดหนึ่ง คุณไปแอบแฝงกินกับคนดี คุณก็บาปหนักกว่าแฝงกินกับคนชั่ว คุณไปแอบแฝงกินกับอาริยะหนักเข้าไปใหญ่เลย บาปไม่รู้จะซับซ้อนกี่ชั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 20:22:33 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2

รายละเอียด

ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์ ส่วนใครจะเห็นด้วย และนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจรเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสารสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย

เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้

ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ให้ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวยกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากหรือมีสุข-มีทุกข์ ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง  

ข้อ 4. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศหายจนไปทุกคนได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศหายจนไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือให้สังคมรวยขึ้นอย่างมาก จนถึงขั้นรวยๆๆๆชนิดไม่มี
ขีดจำกัดความพอ ที่เรียกว่า“พอเพียง” คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ต้องหยุดมีมากกว่านั้น เราสามารถขยันสร้างสรรค์ให้มากๆได้ เมื่อมีมากกว่าตนกินใช้ก็นำออกสละเจือจานเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ย่อมเจริญยิ่งๆแน่นอน

ข้อ 5. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนทั้งหลายเกิดปัญญารู้แจ้งรู้จริง มีความเข้าใจใน“ความจน” และคนผู้นั้นเขาตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”ที่มีปัญญามีสมรรถนะอยู่ในสังคมได้ดีจริงๆ ความมีปัญญานั้นเป็นความฉลาดที่ประเสริฐพิเศษ เป็นความฉลาดของอาริยชน “ปัญญา”เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าใช้เรียกความฉลาดแบบอื่น(อัญญะ)
ซึ่งแตกต่างจากความฉลาดของปุถุชน อันคือ“เฉโก” 

ข้อ 6. “ปัญญา”ที่ว่านั้นจะเห็นจริง เข้าใจจริงๆว่า ต้องเป็น“คนจน”ดีกว่าเป็นคนรวย ตนเป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออกให้แก่ผู้อื่นที่ควร ที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน 

เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้ เพราะเกิดการสะพัดออกไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่มีมากแล้ว ไม่รู้จักพอ ยังโลภกอบโกยมาเป็นของตัวไม่รู้จบ คอนเซพท์“เห็นแก่ตัว”อย่างนั้นไม่ควรมี

ข้อ 7. คนที่ฐานะดี คนที่มีความรู้ มีสมรรถนะ คนที่ขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ ย่อมพึ่งตนเองได้จริงแล้ว ไม่มีวันขาดแคลนง่ายๆเลย จึงควรเมตตา“คนจน”บ้าง ไม่ควรกักตุนไว้มาก ควรกระจายออกไปสู่คนที่น่าได้น่ามี น่ารับไปใช้ไปกินบ้าง สังคมก็จะได้รับการเฉลี่ยเผื่อแผ่แจกจ่าย มีกินมีใช้ด้วยกันทั่วถึง ผู้สละออกชื่อว่าเป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง เป็นสังคมอาริยะ เป็นสังคมศิวิไลซ์ สังคมเจริญแท้จริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม #17 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2 วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 11:04:37 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน3 9 ข้อ

รายละเอียด

มาเอาเรื่องเศรษฐกิจที่อาตมาได้พยายามเขียนอธิบาย มันเป็นความรู้และเป็นวิธีการ เป็นภาคปฏิบัติที่จริงที่คนทั้งโลกร่วมใช้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Economic หรือ economy มันแปลว่าประหยัด ความหมายแท้ๆมันแปลว่าประหยัด เขามาใช้แปลกว้างๆว่าเศรษฐศาสตร์ จริงประโยชน์สูงประหยัดสุด อาตมาขยายจากคำว่าประหยัดเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด 

ทีนี้ความรู้ที่จะเข้าใจถึงเรื่อง จะจัดสรรยังไง ให้เกิดพลังฤทธิ์ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด หรือให้เกิดเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกิจการจริงๆ เรียกว่าเศรษฐกิจ ออกมาให้มีผล ผลต่อมนุษย์ ผลต่อสังคม และมีผลกระทบไปสู่คนอื่นๆทั่วโลกเลย อาตมาก็ขยายเรื่องราวพวกนี้ ว่าจะจบก็ยังไม่จบ ขยายไปตอนนี้ถึง 60 ถึง 70 ข้อแล้ว

...ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์  ส่วนใครจะเห็นด้วยและนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสาระสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้

ข้อ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นความคิดที่วิปริตวิตถารยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนรวยข่มคนจนกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

ข้อ 4. ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากจึง“ดี-ชั่ว ; สุข-ทุกข์”ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง

“อรหันต์”ของพุทธจึงคือผู้“จบกิจ”ที่มี“ปัญญา” ตน เป็นคนหมดสุข-หมดทุกข์สนิท อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ ในชีวิตที่ยังมีอยู่อรหันต์จึงคือผู้มีชีวิตแสดงพฤติกรรมเป็นรูปธรรม ให้ปรากฏว่า คนผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็“จบกิจ” ปัญหา“กิจ การงานเมืองหรือการเมือง”ก็“จบกิจ”ให้เห็นเป็นตัวอย่างซึ่งเป็น“สังคมคนวิเศษ”แปลกประหลาดมหัศจรรย์จาก“สังคมสามัญปุถุชนคนโลกียะ”ที่ยืนยันความแตกต่าง กันอยู่ให้เห็นพิสูจน์ได้ว่า คนอาริยะโลกุตระมีจริง ไม่ใช่แค่จินตนาการ

ข้อ 5. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศ“หายจนไปทุกคน”ได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศ“ไม่มีคนจนเลย” มันเป็นไปไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือไปโฆษณายัดเยียดให้สังคมรวยขึ้นมากๆๆ กระทั่งถึงขั้นเพ้อกันและหลงยึดจะเอาแต่รวยๆๆๆ ชนิดที่มีแต่“ความเชื่อถือ”ว่าคนจนนั้นต่ำต้อย คนจนนั้นเป็นทุกข์ คนจนนั้นคือคนไม่มีประโยชน์ กระทั่งไม่มี“ความเชื่อ”ชนิดอื่นที่ดีวิเศษกว่านี้ 

ควรแก้ปัญหาด้วยการทำตนให้คนเข้าใจ“ความจน” นั้นมีนัยสำคัญอย่างประเสริฐสุด และการเป็น“คนจน”และให้เกิด“สังคมคนจน”ที่อยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นคนชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข เป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข และเป็นคนผู้เพิ่มพูนการเสียสละ สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ให้แก่โลกยืนยันความจริงสุดวิเศษนี้  เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษวิเศษ ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ 

ข้อ 6. คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อเรา“มี”วัตถุเงินทองของกินของใช้ ถึงจุด“เพียงพอ”ยังชีพสำหรับตนอยู่ได้กันแล้ว เราก็ควร“พอ” ต้องไม่บำเรอตนมากกว่านั้น การเป็นคนรู้จัก“พอ” มี“ใจพอ”นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความเป็นผู้“สันโดษ(สันโตสหรือสันตุฏฐิ)”คือ ผู้เป็น“อาริยะ” เป็นคนเจริญแท้จริง เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีความรู้ฉลาดที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ในโลก

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้ ซึ่งเป็นคนมี“ใจพอ” เป็นคนมีน้อย”ก็พึงพอใจ เป็นคนมีปัญญาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงการเป็น“คนจน”ผู้ประเสริฐที่มีประโยชน์สร้างสรรค์เสียสละให้แก่สังคมอยู่ ว่า เจริญยิ่งกว่าเป็นผู้ได้เปรียบอยู่ในสังคม ผิดกับถูกนี่อย่าให้สับสน ถูกก็ถูกสิ ผิดก็ผิดสิ อะไรควรก็ควรอะไรไม่ควรก็ไม่ควรให้แม่นๆ 

คนผู้มีปัญญาที่ยินดีในการเป็น“คนจน”จึงเกิดขึ้นแท้จริง อย่างเต็มใจเป็น“คนจน”ยินดี“ความมีน้อย(อัปปิจฉะ)” และเป็นคน“ใจพอ(สันโดษ,สันตุฏฐิ)” ถึงขั้นเป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) แต่เป็นคนยอดขยัน(วิริยารัมภะ) และเสียสละอยู่ปกติสุข คนผู้มีจิตใจและปัญญาดังว่านี้ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระแท้ๆ เป็นใจที่จริงบริสุทธิ์

จึงเป็น“ความจริง”ที่ทำตนให้“จน”ได้อย่างเต็มใจเป็น “คนจน”ผู้มีปัญญา  สังคม“คนจน”ที่แต่ละคนไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรพัฒนาสังคม ไม่เอาจากสังคม แต่สร้างให้แก่สังคมอยู่จริง และในคนที่มีปัญญาตรงกันนี้มารวมกันอยู่ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นได้ เป็นสังคมคนชั้นหนึ่งเมื่อมีคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้มารวมกันเป็น
กลุ่มหมู่ขึ้น ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ได้จริง จึงมีปรากฏการณ์ของ“สังคมอาริยชนคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก”ที่เป็นจริง

“สังคมคน”ที่ยกระดับเป็นอาริยชน“ชั้นหนึ่งหรือชั้นเอก(classic)”ยังไม่ได้ ก็เพราะยังเป็น“สังคมหรือหมู่กลุ่มมวลมนุษย์”ที่ยังมีคุณธรรมตาม“วรรณะ 9”ไม่มากพอถึงขั้น หรือยังมีไม่เต็มที่บริบูรณ์ คนชั้นหนึ่งหรือคนชั้นเอก(classic)จะเต็มบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมี      “วรรณะ 9” 

“วรรณะ 9”เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ทั้ง 9 นี้ ได้แก่ 

(1)เป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภร)(2)เป็นคนบำรุงง่าย(สุโปส) (3)เป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน(อัปปิจฉะ) (4)เป็นคนใจพอคือสันโดษ(สันตุฏฐิ) (5)เป็นคนปรับปรุงขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ) (6)เป็นคนมีข้อปฏิบัติที่พาสูงขึ้นๆ(ธูตะ,ธุดงค์) (7)เป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส(ปาสาทิโก,ปาสาทิกะ) (8)เป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) (9)เป็นคนมีความขยันอยู่เสมอปกติวิสัยหรือปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)คนผู้ใดมี“วรรณะ 9”เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอกแท้

ข้อ 7. ดังนั้น การบอก“ความจริง”อันประเสริฐแก่คนในสังคมโลก มันเป็นความดีงามแท้ จึงควรบอกให้คนทั้งหลายในโลก“เข้าใจ”หรือมี“ปัญญา”ในประเด็นนี้สำคัญยิ่งว่า คนที่มี“วรรณะ 9” เช่น คนที่มีใจพอ หรือคนที่มักน้อยคือ กล้าจน กระทั่งทำตนเป็น“คนจน”ได้นั้น เป็นคนเจริญจริง คนประเสริฐแท้ คนมีความรู้ฉลาดแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)จริงๆ ไม่ใช่คน“ชั้นสอง”ที่จะตกต่ำไปจาก“ชั้นวิเศษนี้”ไปเป็นคน“ชั้นสอง”อื่นใดๆอีกเด็ดขาด  

คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic) จึงจะเป็น“คนมีน้อยๆ, คนมักน้อย,คนกล้าจน(อัปปิจฉะ)” ซึ่งเป็นคุณวิเศษขั้นโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคุณสมบัติถึงขั้น“วรรณะ 9”ภาษาบาลีที่มีความหมายถึง“ขั้น”หรือ“ชั้น”ที่เป็น “หนึ่ง”หรือ“เอก”ก็คือ คำว่า “วัณณะ”หรือ“พัณณะ” ส่วนภาษาสันสกฤตก็ว่า “วรรณะ” หรือ“พรรณะ” อันเป็นภาษาสื่อให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงระดับของความเจริญหรือความเสื่อมในคุณธรรมของคน เมื่อ“ดี”ขึ้นจากเดิมก็ใช้คำว่า“สุ” ถ้า“ไม่ดี”หรือ“เสื่อม”ลงก็ใช้คำว่า“ทุ” 

ผู้เจริญก็คือ “สุพรรณหรือสุวรรณ” บาลีก็ว่า “สุพัณณหรือสุวัณณ” ผู้เสื่อมก็คือ “ทุพรรณหรือทุวรรณ” บาลีก็ว่า“ทุพัณณหรือทุวัณณ” ไทยเราแปล “สุวรรณ”หรือ“สุพรรณ”ว่า “ทอง” ก็คือสิ่งมีคุณค่าสูงสุดในประเภทโลหะ ซึ่งก็ยอมรับนับถือกันทั้งโลกเป็นสากลว่า “ทอง”คือโลหะที่มีคุณค่าสูงสุดความเป็น“ชั้นหนึ่ง,หรือชั้นเอก(classic)”จึงคือ “ทอง”

“คนจน”จึงเป็นคนที่มีคุณค่า”เทียบเท่ากับ“ทอง” หรือ“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”เพราะเป็น“คนจน”ชนิดวิเศษที่มีความสามารถขยันสร้างสรรค์ จึงอุดมสมบูรณ์ สร้างได้มากเกินกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ แล้วนำออกสละเจือจานเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่ในสังคม ชนิดที่เพิ่มพูนความเสียสละ ไม่ใช่เพิ่มพูนการเอาเปรียบ แต่เป็นคนไม่หวง ไม่เก็บกักไว้ เสียสละออกไปภาวะเช่นนี้ จึงเป็นความเจริญยิ่งจริงแท้แน่นอน พฤติกรรมของคนดังกล่าวนี้แหละคือ คนผู้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกจริงแท้ ทึ่งตะลึงซาบซึ้งจับใจ 

ข้อ 8. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนทั้งหลายเกิด“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ เข้าใจ“ความจน”ว่า เป็น“ความเลิศประเสริฐแท้”ชัดเจนแจ่มกระจ่าง เขาจึงตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”เองอย่างเต็มใจยิ่ง เพราะมี“ปัญญา”และมี“สมรรถนะ”อยู่ในสังคมได้ดีจริงๆ ความมี“ปัญญา”นั้นเป็นความรู้-ความฉลาดที่สุดวิเศษพิเศษ เป็นความรู้-ความฉลาดของอาริยชน “ปัญญา”เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าใช้เรียกความรู้-ความฉลาดแบบอื่น (อัญญะ) ซึ่งแตกต่างจากความรู้-ความฉลาดของปุถุชน อันคือ“เฉโก”ที่ยังเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ยังอยู่ในกรอบ“โลกียะ”เท่านั้น

เฉโก มาจากคำว่า ฉะ(6) กับเอก (1) เปลี่ยนความฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายได้แค่นี้คือความเป็นโลกีย์ เหมือนกันคนในโลกความฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ได้เท่านี้เรียกว่าเฉกะ แต่ของพระพุทธเจ้าเลิกจากความวนเวียนอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแล้วก็ติดยึดอยู่ในวงวนนี้ไม่รู้จัก พระพุทธเจ้ารู้ว่ามันเป็นสมมุติมันเป็นอัตตา แต่ อันนี้เป็น อัญญา เป็นความต่างจากที่เขารู้กัน นอกเทวนิยมที่ยังไม่มีโลกุตรธรรม เขาก็อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตลอดกาลนาน คุณเกิดมาเมื่อไหร่ก็เห็น 

ถ้าคุณเองไม่บรรลุโลกุตรธรรม คุณก็ไปจมเป็นมวลเป็นหน่วยหนึ่งของโลกียะเขา ต้องไปแย่งความเจริญ แย่งความรวยมีสุขมีทุกข์แย่งลาภยศสรรเสริญสุขตามสมมุติอยู่อย่างนั้นเป็นล้านๆชาติมาแล้ว เพราะฉะนั้นเริ่มมาได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระพาออกจากตรงนั้นมา คุณออกมาได้บ้างหรือยังเอ่ย ออกมาได้ให้สมบูรณ์แบบเลยว่า ฉันจะไม่จมอยู่ในโลกียะนั้นอีกแล้ว ไปเลยไปจากโลกียะ ขอแยกทางจากโลกียะ ไปเถิดไป เฉโก คือความรู้ความฉลาดที่อยู่ในกรอบของโลกียะเท่านั้น 

ข้อ 9. “ปัญญา”ที่ว่านั้น...เห็นจริง เข้าใจจริงๆว่า ต้องเป็น“คนจน”ดีกว่าเป็น“คนรวย” ตนเป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออกให้แก่ผู้อื่นที่ควร ที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้ เพราะเกิดการสละออกไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่มีมากแล้ว ไม่รู้จักพอ ยังโลภกอบโกยมาเป็นของตัวไม่รู้จบ คอนเซพท์“เห็นแก่ตัว”อย่างนั้นไม่ควรมี

“ความรู้-ความฉลาด”ขี้โลภนั้นมันยังเป็นความนิยมของชาวโลกียะ ยังเป็น“เฉโก” ที่อยู่ในกรอบความเห็นแก่ตัว มันยังไม่ได้เรียนรู้“ตัวตน” จึงยังไม่ได้“ละลดตัวตน” เพราะศาสดาของศาสนาที่มี“ความรู้-ความฉลาด”อยู่ในกรอบของ“เฉโก” ยังไม่มี“ทฤษฎี”ที่จะละลดตัวตน แต่หลงยึดว่า “ตัวตน”นั้นมีอยู่นิรันดรด้วยซ้ำ จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ความเป็นตัวตนหรืออัตตา”  ไม่สามารถทำ“อัตตา”ตนเองให้“สูญ”เหมือนศาสนาพุทธ

“เทฺวนิยม”หรือศาสนาที่นับถือ“พระเจ้า”ยังมี“ความรู้-ความฉลาด”ที่อยู่ในกรอบของ“เฉโก”อยู่เท่านั้น จึงยังไม่สามารถรู้จักกิเลส ตัวตนก็ลดละไม่ได้ หมดสิ้นตัวตนก็ไม่มีเทฺวนิยมโลกียะที่มี“พระเจ้า”จึงมี“อัตตา”นิรันดร ผู้มี“ความรู้-ความฉลาด”ขั้น“ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “กิเลส” จึงรู้จบความเป็น“อัตตา”สู่“อนัตตา”สำเร็จแท้ได้

ผู้บรรลุ“อนัตตา”จึงเป็นคนไม่มีตัวตน ก็ไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นจึงเป็นผู้เสียสละจริง จึงเป็น“คนจน”ที่มีปัญญาแท้จึงสำนึกตัวเองที่เคย“โง่”เคยคิดอยากเป็น“คนรวย”ที่นั่งอยู่ที่นี่มีคนที่ไม่คิดจะไปรวยมีอยู่ไหม ...มีคนหนึ่ง อาตมาเมื่อก่อนยังคิดจะไปรวยเลย เคยทำมาแล้ว  จึงรู้สึกละอาย(หิริ)ตนเองอย่างแรงกล้าที่ไม่เคยสำนึกในความ“โง่”เช่นนี้มาก่อนเลย มีแต่หลงว่า ตนมีความรู้ความฉลาดใน“เศรษฐศาสตร์”โลกียะเดียรถีย์แบบเทฺวนิยมสุดเลิศประเสริฐศรี ที่มีแต่“อยากรวยๆๆๆ” จนกระทั่งเกิด“ปัญญา”เป็นโลกุตระรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“สัจจะ” ที่เกินกว่า“ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกียะจะมี 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #19 วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 20:24:43 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอนที่ 3

รายละเอียด

 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์  ส่วนใครจะเห็นด้วย และนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสาระสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้

ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง ชาวอโศกธนบัตรน้อยแต่มีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารให้คนอื่น คุณหอบธนบัตรกับหอบพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไปกลางทะเลถึงกลางทะเลแล้วใครจะตายก่อนกัน คุณกินธนบัตรนั้นตายก่อนพวกเรา พวกเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว หรือหอบธนบัตรไปเต็มอยู่ที่กลางทะเลทราย ของเราก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเยอะไปกลางทะเลทราย ใครจะตายก่อนกัน 

ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นความคิดที่วิปริตวิตถารยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ 

ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนรวยข่มคนจนกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ

ข้อ 4. ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากจึง“ดี-ชั่ว ; สุข-ทุกข์”ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง “อรหันต์”ของพุทธจึงคือผู้“จบกิจ”ที่มี“ปัญญา” ตนเป็นคนหมดสุข-หมดทุกข์สนิท อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ ในชีวิตที่ยังมีอยู่อรหันต์จึงคือผู้มีชีวิตแสดงพฤติกรรมเป็นรูปธรรมให้ปรากฏว่า คนผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็“จบกิจ” ปัญหา“กิจ การงานเมืองหรือการเมือง”ก็“จบกิจ”ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็น“สังคมคนวิเศษ”แปลกประหลาดๅมหัศจรรย์จาก“สังคมสามัญปุถุชนคนโลกียะ”ที่ยืนยันความแตกต่าง กันอยู่ให้เห็นพิสูจน์ได้ว่า คนอาริยะโลกุตระมีจริง ไม่ใช่แค่จินตนาการ

ข้อ 5. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศ“หายจนไปทุกคน”ได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศ“ไม่มีคนจนเลย” มันเป็นไปไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือไปโฆษณายัดเยียดให้สังคมรวยขึ้นมากๆๆ กระทั่งถึงขั้นเพ้อกันและหลงยึดจะเอาแต่รวยๆๆๆ ชนิดที่มีแต่“ความเชื่อถือ”ว่าคนจนนั้นต่ำต้อย คนจนนั้นเป็นทุกข์ คนจนนั้นคือคนไม่มีประโยชน์ กระทั่งไม่มี“ความเชื่อ”ชนิดอื่นที่ดีวิเศษกว่านี้ ควรแก้ปัญหาด้วยการทำตนให้คนเข้าใจ“ความจน” นั้นมีนัยสำคัญอย่างประเสริฐสุด และการเป็น“คนจน”และให้เกิด“สังคมคนจน”ที่อยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นคนชั้นหนึ่งซึ่งเป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง 

ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข และเป็นคนผู้เพิ่มพูนการเสียสละสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ให้แก่โลกยืนยันความจริงสุดวิเศษนี้  เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษวิเศษ ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ อาตมาเห็นความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆไม่ใช่ละเมอเพ้อพก ถึงพูดออกมาด้วยพยัญชนะภาษาตามที่เห็นจริงนั้น คนที่ฟังแล้วหมั่นไส้ไม่เห็นด้วยเพราะไปฟังบัญญัติไม่มามองความจริงที่อาตมาพาให้คนมาเป็นจริงได้ มันเป็นคนจนที่ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อย่างนี้ มันจริงตามพยัญชนะภาษานั้นหรือเปล่า ถ้าคุณสงสัยว่ามันไม่จริงก็ขอเชิญมาอยู่สังเกตที่นี่สักปีสองปี หรือ 6 เดือนก็ได้ หรือ 3 เดือนก็ได้ 1 เดือนก็ได้ เชิญแล้วคุณจะเข้าใจได้ อยู่นานๆก็ยิ่งจะเข้าใจ 

ข้อ 6. คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อเรา“มี”วัตถุเงินทองของกินของใช้ ถึงจุด“เพียงพอ”ยังชีพสำหรับตนอยู่ได้กันแล้ว เราก็ควร“พอ” ต้องไม่บำเรอตนมากกว่านั้น การเป็นคนรู้จัก“พอ” มี“ใจพอ”นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความเป็นผู้“สันโดษ(สันโตสหรือสันตุฏฐิ)”คือ ผู้เป็น“อาริยะ” เป็นคนเจริญแท้จริง เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีความรู้ฉลาดที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ในโลก คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้ ซึ่งเป็นคนมี“ใจพอ” เป็นคนมีน้อย”ก็พึงพอใจ เป็นคนมีปัญญาที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงการเป็น“คนจน”ผู้ประเสริฐที่มีประโยชน์สร้างสรรค์เสียสละให้แก่สังคมอยู่ ว่า เจริญยิ่งกว่าเป็นผู้ได้เปรียบอยู่ในสังคม คนผู้มีปัญญาที่ยินดีในการเป็น“คนจน”จึงเกิดขึ้นแท้จริง อย่างเต็มใจเป็น“คนจน”ยินดี“ความมีน้อย(อัปปิจฉะ)” และเป็นคน“ใจพอ(สันโดษ,สันตุฏฐิ)” ถึงขั้นเป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) แต่เป็นคนยอดขยัน(วิริยารัมภะ) และเสียสละอยู่ปกติสุข

คนผู้มีจิตใจและปัญญาดังว่านี้ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระแท้ เป็นใจที่จริงบริสุทธิ์ จึงเป็น“ความจริง”ที่ทำตนให้“จน”ได้อย่างเต็มใจเป็น “คนจน”ผู้มีปัญญา  สังคม“คนจน”ที่แต่ละคนไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรพัฒนาสังคม ไม่เอาจากสังคม แต่สร้างให้แก่สังคมอยู่จริง และในคนที่มีปัญญาตรงกันนี้มารวมกันอยู่ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นได้ เป็นสังคมคนชั้นหนึ่ง

เมื่อมีคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้มารวมกันเป็นกลุ่มหมู่ขึ้น ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ได้จริง จึงมีปรากฏการณ์ของ“สังคมอาริยชนคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก”ที่เป็นจริง “สังคมคน”ที่ยกระดับเป็นอาริยชน“ชั้นหนึ่งหรือชั้นเอก(classic)”ยังไม่ได้ ก็เพราะยังเป็น“สังคมหรือหมู่กลุ่มมวลมนุษย์”ที่ยังมีคุณธรรมตาม“วรรณะ 9”ไม่มากพอถึงขั้นหรือยังมีไม่เต็มที่บริบูรณ์ คนชั้นหนึ่งหรือคนชั้นเอก(classic)จะเต็มบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมี“วรรณะ 9” 

“วรรณะ 9”เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ทั้ง 9 นี้ ได้แก่ (1)เป็นคนเลี้ยงง่าย(สุภระ) (2)เป็นคนบำรุงง่าย(สุโปสะ) (3)เป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน(อัปปิจฉะ) (4)เป็นคนใจพอคือสันโดษ(สันตุฏฐิ) (5)เป็นคนปรับปรุงขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ) (6)เป็นคนมีข้อปฏิบัติที่พาสูงขึ้นๆ(ธูตะ,ธุดงค์) (7)เป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส(ปาสาธิกะ) (8)เป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) (9)เป็นคนมีความขยันอยู่เสมอปกติวิสัยหรือปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)คนผู้ใดมี“วรรณะ 9”เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอกแท้

ข้อ 7. ดังนั้น การบอก“ความจริง”อันประเสริฐแก่คนในสังคมโลก มันเป็นความดีงามแท้ จึงควรบอกให้คนทั้งหลายในโลก“เข้าใจ”หรือมี“ปัญญา”ในประเด็นนี้สำคัญยิ่งว่า คนที่มี“วรรณะ 9” เช่น คนที่มีใจพอ หรือคนที่มักน้อยคือ กล้าจน กระทั่งทำตนเป็น“คนจน”ได้นั้น เป็นคนเจริญจริง คนประเสริฐแท้ คนมีความรู้ฉลาดแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)จริงๆ ไม่ใช่คน“ชั้นสอง”ที่จะตกต่ำไปจาก“ชั้นวิเศษนี้”ไปเป็นคน“ชั้นสอง”อื่นใดๆอีกเด็ดขาด  

ทำไมคนที่มาเป็นคนจนชนิดนี้ จะกลายเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอกไม่ใช่คนชั้น 2 ไม่ตกลงไปเป็นคนชั้น 2 เลย ไม่ตกต่ำไปจากขั้นวิเศษนี้ จะไม่ไปตกเป็นคนชั้น 2 อีกเลยเด็ดขาด เพราะจิตวิญญาณมีปัญญา มีความชัดเจนเที่ยงแท้ยั่งยืนแน่นอนตลอดกาล เป็นความเห็นที่ไม่เป็นอื่นอีกเลย จะไม่แปรเป็น 2 เลย นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

เที่ยงแท้ตลอดกาลไม่แปรเป็นอื่น ไม่มีอะไรมาหักล้างความจริงนี้ได้ ไม่กลับกำเริบเลย อสังกุปปัง จึงยืนยันได้เด็ดขาดว่าอันนี้เป็นความจริงถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นความจริง เป็นได้แล้วเป็นจริงเลยเป็นความเที่ยงแท้เป็นนิพพานไม่เปลี่ยนแปลง คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic) จึงจะเป็น“คนมีน้อยๆ, คนมักน้อย,คนกล้าจน(อัปปิจฉะ)” ซึ่งเป็นคุณวิเศษขั้นโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคุณสมบัติถึงขั้น“วรรณะ 9”

ภาษาบาลีที่มีความหมายถึง“ขั้น”หรือ“ชั้น”ที่เป็น “หนึ่ง”หรือ“เอก”ก็คือ คำว่า “วัณณะ”หรือ“พัณณะ” ส่วนภาษาสันสกฤตก็ว่า “วรรณะ” หรือ“พรรณะ” อันเป็นภาษาสื่อให้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงระดับของความเจริญหรือความเสื่อมในคุณธรรมของคน เมื่อ“ดี”ขึ้นจากเดิมก็ใช้คำว่า“สุ” ถ้า“ไม่ดี”หรือ“เสื่อม”ลงก็ใช้คำว่า“ทุ” ผู้เจริญก็คือ “สุพรรณหรือสุวรรณ” บาลีก็ว่า “สุพัณณหรือสุวัณณ” ผู้เสื่อมก็คือ “ทุพรรณหรือทุวรรณ” บาลีก็ว่า “ทุพัณณหรือทุวัณณ” ไทยเราแปล “สุวรรณ”หรือ“สุพรรณ”ว่า “ทอง” ก็คือสิ่งมีคุณค่าสูงสุดในประเภทโลหะ ซึ่งก็ยอมรับนับถือกันทั้งโลกเป็นสากลว่า “ทอง”คือโลหะที่มีคุณค่าสูงสุด

ความเป็น“ชั้นหนึ่ง,หรือชั้นเอก(classic)”จึงคือ “ทอง” “คนจน”จึงเป็นคนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับ“ทอง” หรือ“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”เพราะเป็น“คนจน”ชนิดวิเศษที่มีความสามารถขยันสร้างสรรค์ จึงอุดมสมบูรณ์ สร้างได้มากเกินกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ แล้วนำออกสละเจือจานเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่ในสังคม ชนิดที่เพิ่มพูนความเสียสละ ไม่ใช่เพิ่มพูนการเอาเปรียบ แต่เป็นคนไม่หวง ไม่เก็บกักไว้ เสียสละออกไป ภาวะเช่นนี้ จึงเป็นความเจริญยิ่งจริงแท้แน่นอน พฤติกรรมของคนดังกล่าวนี้แหละคือ คนผู้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกจริงแท้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 14:09:41 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเอาเงินเป็นหลักเอาวัตถุเป็นหลัก ไม่สำเร็จ

รายละเอียด

นักบวช ทำงานฟรี ทำงานให้สังคมนะ นักบวชของพุทธไม่ใช่คนไปหนีออกป่าเขาถ้ำ นักบวชของพุทธนี้ทำงานรับใช้สังคม ทำงานอะไร ก็สอนนี่แหละ ถ้าว่าง่ายๆก็คือครู นักบวชก็คือครู แต่ก่อนจะเป็นครูก็ต้องปฏิบัติตัวเองให้บรรลุธรรมและมีธรรมะไปสอนไปบอกคนอื่น ให้รู้จักการระงับพฤติกรรมกายวาจาใจ โดยเฉพาะใจ ให้ลดกิเลสที่เป็นตัวการใหญ่ แล้วสังคมจะเจริญทางเศรษฐกิจการเมือง เศรษฐศาสตร์ ไปหมดเลย มันรวมไปหมดเลย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไปมัวแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่ที่เอาเงินเป็นหลักเอาวัตถุเป็นหลัก ไม่สำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2563 ( 12:38:12 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศไม่สำเร็จเพราะอะไร

รายละเอียด

การบริหารสังคมแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การบริหารสังคมแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่าไปทำให้คนไปรวยได้เท่ากัน ทำให้คนไปรวยนั้นผิด ต้องทำให้คนรวยมาหาความจนแล้วจะเสมอกันได้ ทำคนให้รวยขึ้นไปไม่มีทางเสมอกัน ยิ่งจะมีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากขึ้น เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อที่จะทำอย่างไรถึงจะรวย ทำอย่างไรถึงจะได้กำไร ทำอย่างไรจะให้เพิ่ม แก้ให้ตายก็ไม่มีทางจบ ไม่มีทางสำเร็จ ต้องแก้มาเป็นแบบคนจนอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส ต้องเอาแบบคนจน อย่าเอาแบบคนรวย

เทวนิยม ของทางตะวันตกมหาวิทยาลัยทางโลก สอน เศรษฐศาสตร์โลกี
ยะเป็นเทวนิยมเป็นการได้เปรียบทั้งหมด ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอน จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์มา หาทางเอาเปรียบหมด สอนให้คนไทยเอาเปรียบกัน แล้วยังไปเอาเปรียบประเทศนอกอีกให้ได้ ใจอำมหิตจริงๆ ไม่มีเสียสละเลย เห็นไหม 

หลวงปู่บอกชัดเจนเลยนะว่า มหาวิทยาลัยข้างนอก เทวนิยมทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ระดับใดก็ตาม มหาวิทยาลัยคอร์แนล มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็ไม่มีทางที่จะสอนให้เป็นคนสุจริต ยุติธรรม หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นผู้ที่เสียสละแก่คนอื่น ไม่มีไม่จริงเลย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศจึงไม่สำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่นกับลูกๆหลานๆ งานมหาปวารณา มหาบิ๊กคลีนนิ่ง วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2565 ( 11:20:59 )

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยเอาแบบคนจนได้

รายละเอียด

สรุปแล้ว การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในสังคมไทย เป็นอาริยะเป็นชมพูทวีป ไม่ต้องเกรงกลัวเลย ใช้โลกุตรธรรมได้ เอาแบบคนจนได้ ศึกษาให้ดี ผู้ที่ทำหน้าที่ อาตมาคงหมดหน้าที่ไปทำหน้าที่กับพวกท่านแล้ว เป็นข้าราชการไม่ได้ อายุก็มาก โอกาสไม่มี เป็นไปไม่ได้ ก็ขอทำหน้าที่นี้สมเหมาะสมควรที่สุด พยายามแข็งแรงต่อไป เพื่อที่จะสร้างสิ่งประเสริฐนี้ให้แก่โลก ตอนนี้โลกก็ตื่นขึ้นมาแล้วแม้จะไม่เต็มที่ มีสติสัมปชัญญะรับรู้ มีชาคริยานุโยคะ ยังไม่ถึงขั้นเป็นพุทธะ แต่ก็เริ่มพัฒนาแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 13:03:45 )

การแก้ปัญหาให้คนไม่จนนั้นผิด

รายละเอียด

เพราะแก้ปัญหาให้คนไม่จนนั้นมันผิด ชาวอโศกนี้แก้ปัญหาอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จะบอกว่าไม่ให้มีคนจน แต่ชาวอโศกเป็นคนจนแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ชาวอโศกเป็นกบฏต่อคุณแล้ว คุณจะแก้ปัญหาให้คนไทย แต่ชาวอโศกเป็นคนไทย ไม่ให้คนไทยยากจน พูดอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง คุณทำไม่ได้ด้วยซ้ำไปเพราะชาวอโศกยอมจน หากเป็นชาวอโศกในประเทศไทยจะเป็นคนจนอย่างเต็มใจและเป็นคนจนที่สำเร็จไปครึ่งประเทศ อย่างนี้เป็นต้น คุณอาเจียนเป็นโลหิตตายก่อน ถ้าคุณจะแก้ปัญหาให้ประเทศไทยไม่มีคนจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 07:45:57 )

การแก้เศรษฐกิจของโลกอย่าส่งเสริมคนรวยหรือนายทุน

รายละเอียด

การแก้เศรษฐกิจของโลก จะให้แต่คนไปรวยรวยรวย เมินเสียเถิดอย่าคิดถึงไม่มีทางสำเร็จหรอก  ต้องบอกให้ลดความรวยลงมา ไม่ต้องพูดถึงมาจนเลย แต่แค่ว่าจงลดความรวยลงมาก็จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้คนที่รวยลดความรวยลงมาแล้วจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องเข้าใจนโยบายหรือวิธีการอย่างนี้จริงๆ แล้วพยายามบริหารให้เกิดอันนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปส่งเสริมคนรวยหรือนายทุนกันนัก มันเป็นคนบาป เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เป็นคนขี้โลภจัดเป็นคนเห็นแก่ได้ จริง คุณอาจจะเก่ง คุณอาจจะสุจริต  แต่คุณไม่มีจิตที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่นเลย เป็นคนขี้โลภ เอาแต่กอบโกยให้คนเดียวคนเดียว ดีไม่ดีเอาไปออกดอกออกผลอะไรอีกมากได้มาไม่รู้จักจบ อัตตาก็เยอะ ขี้โลภก็ไม่มีที่สิ้นสุดเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้เกิดปัญญาถึงอรหันต์ วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 20:59:30 )

การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลคือทำให้คนมาจน

รายละเอียด

การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลคือทำให้คนมาจน อย่าไปแก้ไขปัญหาโดยการทำให้คนไปรวย มันเป็นไปไม่ได้ แต่ให้เขาเข้าใจความจนและเป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรคนจนมหัศจรรย์คนจนที่ขยันสร้างสรรเสียสละ

เขาเรียนมาหมดแหละ แต่เขาทำไมไม่จัดการบริหารตามที่เขาเรียนมา อาตมาก็งง

ในทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์ที่เขาเรียนมาไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เขาไม่จริงจังเพราะเขาเกรงใจตัวเอง ตัวเองเป็นไม่ได้ก็เลยพูดอย่างเกรงใจตัวเอง พูดไปแล้วกลัวจะทำไม่ได้ ก็เลยเขียนไว้อย่างหลวม แต่ว่าอาตมาไม่เอาอย่างหลวม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน คำสอนจากสยังอภิญญาพาบรรลุจริง


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 20:15:54 )

การแข่งดีที่ไม่เอาแพ้ชนะแต่ส่งเสริมให้ทำดีมากขึ้นเป็นไปได้ไหม

รายละเอียด

ได้ มีนัยยะซับซ้อน หากเป็นสภาพที่ไม่ดี แข่งดี แล้วเอาดีไปข่มเขาเอาเปรียบทำร้ายผู้อื่นอันนั้นเลว แต่ถ้าคุณแข่งดีแล้วใช้ดีนั้นซับซ้อนไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แม้แต่ผู้ที่เราชนะเขาขึ้นมาก็ให้เขา ได้เหมือนอย่างที่เราได้เจริญขึ้นมาเท่าเทียมเราหรือได้ยิ่งกว่าของเราได้ ก็ยิ่งดีแต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้เขาดีกว่าเราได้หรอก เพราะเราก็มีดีเท่าที่เรามี แล้วเราจะไปให้เขาดียิ่งกว่าเรา โดยที่เราก็ยังไม่ได้ดีอันนั้น แต่ถ้าเรามี รู้บัญญัติ รู้ภาษา รู้ทฤษฎีนำก่อน เราให้ทฤษฎีเขาด้วยซ้ำ อย่างนี้ไม่เสียหายอย่างนี้ดี ให้ไปเลยคุณจะได้ดีนำหน้าเราอีก ก็อนุโมทนาสาธุ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทำให้คนเจริญไปถ้วนทั่ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:05:59 )

การแข่งฟุตบอลโลกเป็นอบายมุขอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอบายมุขในโลกอย่างการแข่งฟุตบอลโลกใหญ่มาก เป็นอบายมุขที่มีฤทธิ์ทำให้คนในโลกหลงใหลเสียเวลาแรงงานกับตรงนี้ เสียสังคมเศรษฐกิจ ไปหมด ในสังคมประเทศ แล้วเขาก็หลงส่งเสริมกันทั่วโลก แต่ละประเทศก็หลงซ้อนเป็นความเด่นอีก ดีไม่ดีเห็นว่าเป็นการหารายได้เข้าประเทศอีก กลายเป็นเรื่องโลกียะ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เละ แต่ความเสื่อมความเสียตรงนี้มีมหาศาล เสียเวลา ทุนรอน แรงงาน ไปหมด

ผู้ที่สามารถ เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไปตามลำดับ จะเลิกละสิ่งที่เป็นความเสื่อมตรงนี้ได้ จะแก้ปัญหาชีวิตตัวเองแก้ปัญหาชีวิตสังคมได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หลวงปู่สู้ใจตนเองอย่างไร


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:56:12 )

การแจกของให้กับคนขี้โลภเป็นการส่งเสริมคนที่ไม่ดีหรือว่ากรรมใครกรรมมัน

รายละเอียด

มันก็ต่างกันอยู่บ้าง ค่อยๆมีกลวิธีอะไรซับซ้อนที่จะต้องให้เขารู้สึกตัว ก็ต้องแก้ไขจากคนที่เขาทำผิดทำชั่วนี่แหละให้ค่อยๆรู้สึกตัวและค่อยๆกลับใจก็ต้องทำด้วยกรรมดี ไปทำให้คนเจริญไม่ใช่ไปเอากรรมชั่ว 

ก็กรรมใครกรรมมัน ก็ถูกเป็นกำปั้นทุบดิน แต่ก็ค่อยๆกระทำถ้าเผื่อว่ามีแต่คนแบบนี้ไม่มีคนอื่นให้พัฒนาเลยเราก็คงต้องไปทำ แต่เราจะไปบังคับว่ามีคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยวไม่ได้คนอื่นก็ต้องได้ คนอื่นเขาก็สำนึก ดีไม่ดีเขาก็จะเกิดมาช่วยในการที่เอามาใส่กระท่อมปันสุขให้คนอื่นเขามีเขาก็เอามาใส่ด้วย มันก็จะเกิดพัฒนาการ ส่วนคนที่เป็นแบบนี้ก็เป็นวิบาก ถือว่าเป็นวิบากของเขา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:09:26 )

การแจกสุญญตา

รายละเอียด

การทำให้กิเลสออกจากตัวเรา เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันงานก็พยายามให้ตัวเองละกิเลสออกไปจนเป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นผู้ใดยืนอยู่ที่ฐาน 0 ได้แล้วนั่นแหละผู้นั้นก็จะเป็นคนที่มี 0

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:54:46 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:01:02 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:52:44 )

การแทรกซึมของศาสนาอิสลามในประเทศไทย

รายละเอียด

คือ ธรรมชาติธรรมดาก็ต้องพยายามทำให้มวลมากขึ้น  แต่อาตมาว่ายัง ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชหลายร้อยปีแล้ว  ก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่เลย  อิสลามมาที่หลังด้วย  โดยเฉพาะ ก็ขอวิจารณ์นิดหนึ่ง ว่า อิสลามจะเข้ากับพุทธ ยากกว่าคริสต์  มันธาตุต่างกัน  คริสต์ยังมีธาตุใกล้กับพุทธมากกว่าอิสลาม  มันมีอจินไตยหลายอย่างแต่แล้วไม่สวย  สมณะเดินดินว่า เขาอาจมีเจตนาให้ปลุกระดมให้เห็นความขัดแย้ง  สมณะโพธิรักษ์ว่า ไม่ง่ายหรอก พุทธศาสนา หรือชาวพุทธ  เข้าใจเหลี่ยมมนุษย์ได้ดี  พูดจริงๆ  แล้วเขาใจดีกว่า อิสลาม หรือ คริสต์

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ   บ้านราช วันศุกร์ที่  29 พฤศจิกายน   2562


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2562 ( 11:49:05 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:05:39 )

การแทรกซึมของศาสนาอิสลามในประเทศไทย

รายละเอียด

ธรรมชาติธรรมดาเขาก็ต้องพยายามทำให้มวลมากขึ้น แต่อาตมาว่ายัง ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช หลายร้อยปีแล้ว ก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่เลย อิสลามมาทีหลังด้วย โดยเฉพาะก็ขอโอกาสวิจารณ์นิดนึง ว่า อิสลามจะเข้ากับพุทธยากกว่าคริสต์ มันธาตุต่างกัน คริสต์ยังมีธาตุใกล้กับพุทธมากกว่าอิสลาม มันมีอจินไตยหลายอย่างแต่พูดแล้วไม่สวย ไม่ง่ายหรอก พุทธศาสนาหรือชาวพุทธเข้าใจมุมเหลี่ยมนี้ได้ดี พูดจริงๆแล้วเข้าใจดีกว่าอิสลามหรือคริสต์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2563 ( 14:15:50 )

การแบ่งแจกกันระหว่างคนให้แก่กันและกัน

รายละเอียด

การแบ่งแจกกันระหว่างคนให้แก่กันและกัน ให้แก่สังคมให้แก่ชุมชน แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง ขึ้นอยู่กับค่าขนส่ง ราคาคนคิด พอใจจะขนไปให้ ไม่พอใจจะขนไปให้ มันอีกหลายแง่มุมมิติหลายเรื่องเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราก็อยู่อย่างสะดวก ทำง่ายๆ โดยเป็นผู้ที่ไม่คิดราคาอะไรกับใครให้มาก เอาให้เขาฟรีมากๆ สละให้เขามากๆ คนอื่นเขาจะต้องจ่ายเงินลงทุนแรงต้องวิ่งมาเอา เรามีหน้าที่เอามาแจกอย่างเดียว ก็สบาย 

หรือเราเห็นแล้วว่าเจ้านี้สมควรจะแจกให้ เขาจะมาเขาก็ไม่มีแรงจะมา ค่ารถค่าเรือเขาก็ไม่มีจะมา เราก็ต้องเอาไปให้ ขนไปให้ เขาเป็นคนควรได้รับแจกควรจะได้ควรจะให้ เป็นคนมีข้อด้อย ที่สมควรจะให้ เราก็ขวนขวายเราก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น 

ตอนนี้ของของเรายังมีไม่มากจนถึงจะต้องวิ่งขึ้นเครื่องบินไปแจกประเทศอื่น แค่เขามาเอาเราก็ไม่พอให้อยู่แล้ว สร้างของดีๆ ของที่มีคุณค่าสำคัญต่อชีวิต 

ทุเรียนนี้ก็เป็นพืช จริงๆก็มีคุณค่าทางอาหารพอสมควร มีคนบอกว่าอาตมากินทุเรียนน้ำหนักถึงขึ้น ตอนนี้อาตมาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าไม่ใช่ เมื่อวานนี้กินทุเรียนมากกว่านี้ด้วยมันยังไม่ขึ้นเลยมันลงมาด้วย พิสูจน์แล้ว ไม่ใช่ มันไม่ใช่ทีเดียว เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง พิสูจน์แล้วกินทุเรียนแล้วน้ำหนักขึ้นไม่ใช่ สิ่งที่มันอาจจะขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่ามันผสมส่วนว่ากินอะไรบ้างมันมีหลายอย่าง เขาบอกว่ากินทุเรียนแล้วต้องกินมังคุดมันจะแก้กัน เราก็กินมังคุด แต่มังคุดมันน้อยไปหรือไม่ได้ส่วนกับทุเรียนหรือไงก็ไม่รู้ เขาเอามาให้เท่าไหร่แล้วก็กินเท่านั้น ก็กินไป เหลือไว้ชิ้นหนึ่งเขาก็ว่า ว่าเหลือไว้ทำไม เราก็เหลือไว้ให้รู้ว่าชามนี้ใส่ทุเรียนมา เขาก็บอกว่าไม่ต้องหรอก ให้กินให้หมด เราก็กินหมดไม่มีปัญหา พูดไปแล้วเหมือนเป็นเรื่องสนุก ชีวิตนี้สนุก เป็นแต่เพียงว่าอาตมามันอายุยาวแล้วขันธ์มันฝืน 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 21:53:02 )

การแบ่งแจกให้แก่ผู้อื่นเป็นการป้องกันเป็นความปลอดภัย

รายละเอียด

จะอีก 5 ปี 10 ปี 20 ปีชาวอโศกก็จะสร้างขึ้นเจริญขึ้น อย่าให้ทะเลาะกันขัดแย้งกัน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณค่าที่ดี แล้วอาศัยในสิ่งที่เราทำแล้ว เหลือแล้วก็แบ่งแจกผู้อื่น การแบ่งแจกให้แก่ผู้อื่นเป็นการป้องกัน เป็นความปลอดภัย เขาจะมาแย่งเรามาฆ่าเราร้ายแรงที่สุดก็คือฆ่าเรา เราไม่ต้องไปแย่งกับเขา ไม่ต้องเอาจากเขาเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:34:32 )

การแปล น เหว โข แบบพ่อครู

รายละเอียด

อาตมาจะกล่าวว่า ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะสัมผัสวิโมกข์ 8 หรือไม่เพราะท่านผ่านมาแล้วเลยมาแล้ว เลยขั้นตีแตกสัทธาวิมุติ ออกมาเป็นทิฏฐิปัตตะ เป็นกายสักขี เป็นปัญญาวิมุติ เลยมาตั้งกี่ขั้นแล้ว ใส่ตำแหน่งอรหันต์ได้แล้ว เริ่มเป็นอรหันต์ที่ปัญญาวิมุติ กายสักขี พระพุทธเจ้ายังไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ เพราะมีอาสวะบางอย่างดับได้เท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขีดตัดสินว่าเป็นอรหันต์ ยังยกฐานะเป็นอรหันต์ไม่ได้ เป็นนัยสำคัญ 

ศึกษาให้ดีๆ พูดแล้วก็เหมือนยกตัวเองว่า ยุคนี้ไม่มีใครอธิบายละเอียดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างนี้ แยกแยะสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง ตั้งใจให้ดีๆฟังธรรมด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ถ้ายังมีอคติอยู่ในใจยากจะเข้าใจได้ทั่วรอบ สุสูสัง ละภะเต ปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ถ้ายังมีอคติ จะหาว่าอาตมาเดาส่ง มันจะไม่ทะลุรอบ ไม่เป็นปฏิเวธธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 15:50:40 )

การแปลคำของพ่อครูมุ่งหมายเอาสัจจะที่เป็นสภาวธรรมเป็นหลัก

รายละเอียด

แม้แต่คำว่าตัณหา คนก็มายัดเยียดอาตมาว่าอาตมาแปล ตัน ว่าไปไม่ได้ หา แปลว่าหา ตัณหาก็แปลว่าหาไม่เจอ ซึ่ง อาตมาไม่ได้เป็นคนแปลไปอย่างนั้น 

ซึ่งตอนนั้นมีฆราวาส ไปพบกันที่ลานตักศิลา วัดมหาธาตุ ลานอโศก ตอนนั้นเป็นตลาดนัดธรรมะ ถกกันน่าดู พอถึงวันอาทิตย์ก็เต็มแน่นเลย ถกกันสนุก เสร็จแล้วมีคนแยกวิเคราะห์ปัญหาแบบนี้ ก็คล้ายกันกับที่ท่านประยุทธ์แยก season แล้วเอามายัดให้อาตมาว่าอาตมาเป็นคนแปลซึ่งไม่ใช่ อาตมาไม่ได้แปลอย่างนั้น 

ก็มีคำ 2 คำที่ขยายความอย่างนี้เยอะเหมือนกันแต่มันไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเอาสัจจะที่เป็นสภาวธรรมเป็นหลัก ส่วนพยัญชนะอาตมาก็แปลใช้อาศัย แต่อาตมามุ่งหมายเอาสภาวะแท้ๆ ที่ต่างกันกับที่นักวิชาการทุกวันนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่าเมื่อมีคนประดิษฐ์ประดอยคำให้ไพเราะหรูหรางดงาม ตามความรู้ที่ท่านขยายออกไป แต่มันออกนอกโลกุตระ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 13:48:36 )

การแปลทางสายกลางผิด มีแต่มรรคไม่มีผล

รายละเอียด

คือ ปฏิปทา แปลว่า ทางปฏิบัติ หรือวิธีปฏิบัติก็ได้ แต่มันไม่ใช่คนบรรลุอยู่ที่ทาง ถ้าไปแปลว่า  ทางสายกลาง  ผลมันคือ  มัชฌมา ที่นี้ทางสายกลาง ปฏิบัติแล้วที่จะให้บรรลุธรรม ก็คือ การเดินทาง สายกลาง คนก็เข้าใจสภาวะของทางสายกลาง คือทางที่ถูกแล้ว  คุณก็เดินไปตามทาง สายกลาง ๆๆๆ คุณก็ได้แต่ทางกลางๆ  ไม่ใช่แต่คือ ทางเดินไปสู่ผล  ก็คือ  กลาง เดินทางไป ก็จะได้กลาง  เป็นผล ไม่ใช่คุณเดินอยู่ในทางสายกลางตลอดกาล   เดินอยู่ในทางสายกลาง กลางไป แล้วผลของคุณอยู่ที่ไหน มันก็คือ ปฏิปทา มัน ก็คือ มรรค มีแต่ทางไม่มีผล มีแต่ข้อปฏิบัติ ไม่มีผล  เห็นไหมว่าการแปลทางสายกลางที่ผิดเป็นแบบนี้   ซึ่งมันไม่ใช่ ทางปฏิบัตินี้ก็ต้องมีคำอธิบาย ทางปฏิบัติไปสู่ผล คือความเป็นกลาง ผลคือ  ไม่มีข้างไหน ทางตรงคือ ไม่มีข้างหยาบ  ข้างละเอียด  กามก็ไม่มี  อัตตาก็มีน้อยลงมา  ถ้าทำสูดโต่ง คือทำแต่กามไม่ทำ อัตตาเลย  คุณก็ได้แต่กามหมด  แต่อัตตาเต็มบ้องเลย  หรือคุณทำแต่อัตตา  ไม่ทำการลดกาม ก็กามเต็มเลย  เชิญคุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติ  คุณก็ไม่ได้ลดกามเลย  ได้แต่อัตตา  แต่ในอัตตานั้น  คุณไม่รู้เรื่องเลยจะรู้อัตตาได้ ต้องรู้ตั้งแต่ภายนอก  โอฬาริกอัตตา  คือภายนอก  มโนมยอัตตาจะเรียกว่า รูปก็ได้ อรูปอัตตา  คืออรูปก็ได้แต่มโนมยอัตตา  คือภายนอกที่เหลือแล้วก็ภายใน สมมุติว่ากาม 100 หน่วย มโนมยอัตตาก็จะเหลือ 70 หรือ 50 หน่วย  น้อยไปกว่านั้น ก็คือ ภายใน เป็นอรูปแล้ว หากจะเอาแต่กามลด อัตตาไม่ลด มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องทั้งสองฝ่าย สมดุล ไม่อย่างนั้นก็โต่งอยู่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 12:32:18 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:08:37 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:45:08 )

การแปลที่ไม่เข้าถึงนามธรรม

รายละเอียด

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง(ชลาพุชะกับอัณฑชะ)  1, เกิด(สังเสทชะ) 2, เกิดจำเพาะ(โอปปาติกปฏิสนธิ) 3, ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ (ในวงเล็บคือท่านที่แปลบาลีมาเป็นไทย) 

ดูคำแปลแล้วแสดงว่า คนแปลไม่ได้เข้าถึงนามธรรม พระไตรปิฎกถือว่าเป็นความรู้สูงสุดแล้วในความรู้ของผู้รู้ทั้งหลายในประเทศไทย แปลจากภาษาบาลีขยายความเป็นภาษาไทยให้คนศึกษาตาม ก็เลยมีความรู้แค่รูป ไม่มีความรู้นาม 

โอปปาติกโยนิคือ นาม ท่านก็เลยถือว่า ความเกิด 4 ประการ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ เป็นเรื่องรูปธรรม อภินิพพัตติเท่านั้นเป็นนามธรรม

นี่คือการเกิด 5 ประการ ชาติคือคำใหญ่ เป็นคำรวมทั้งหลายในตัวปลายของปฏิจจสมุปบาท ก็แจกชาติเป็น ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ 

อาตมามีความรู้มาแต่เดิมไม่ได้มีเอาจากพระไตรปิฎกหรือความรู้จากใคร ก็รู้ความเกิดทั้ง 5 นี้ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  รู้หมดเลยว่ามันเป็นอย่างไรใน 5 อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:30:58 )

การแปลภาษาสมัยโบราณก็เหมือนกับปัจจุบัน

รายละเอียด

พูดกันอย่างนี้ก็เป็นภาษา เหมือนกับที่เขาแปลสัมมาทิฏฐิ 10 ว่า สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มันสมัยไหนนะ สมัยพระเจ้าเหา มันก็ไม่รู้เรื่องกัน ยัญพิธีที่บูชาแล้วมันก็ตื้อๆอยู่อย่างนั้น แต่มันคือ วิธีที่คุณได้เรียนรู้ปฏิบัติใช้กันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน โบราณโน้นก็เหมือนกับปัจจุบันนี้ คืออะไร คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาคือจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้ออกไปนอกกว่านี้ หรือสรุปเข้าไปหามรรคมีองค์ 8 ก็คือ สัมมาสมาธิที่เกิดจากองค์ทั้ง 7 ของมรรค

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:47:16 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:55:08 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:45:48 )

การแพ้เป็นเรื่องที่โลกสมมุติกัน

รายละเอียด

แล้วก็ยึดถือกัน โลกก็มีมายาเป็นเหลี่ยมคู ส่วนผู้ที่เป็นสิริมหามายาไม่มีเหลี่ยมคู แต่จับเหลี่ยมอะไรที่ดีที่สุด เป็นสัจจะหนึ่งเดียวได้แล้วก็ยืนยันสัจจะนั้นได้ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จะเห็นเหลี่ยมมุมต่างๆ ผู้ที่ยืนยันสัจจะมีหนึ่งเดียวก็จะเป็นผู้ที่ยืนยัน แล้วก็อนุโลม รู้จักอนุโลม คนนี้เขาเอาขั้นนี้คนเอาถูกต้องได้แค่นี้ก็สูงไปกว่านี้ไม่ได้ท่านก็ว่าถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นผู้ที่โกหกว่าอันนี้ไม่ใช่ดีที่สุด แล้วบอกว่าดีที่สุดและมีดีกว่านี้ มันก็มีระดับขั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 17:18:35 )

การแยกกาย แยกจิต ในธรรมนิยาม 5

รายละเอียด

การแยกกาย แยกจิต ในธรรมนิยาม 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นธรรมวินัยเลย ให้อุปัชฌาย์จะต้องอธิบายแยกกายแยกจิตกับผู้ที่มาบวช เพราะถ้าผู้ที่มาบวชแล้วไม่เข้าใจการแยกกายแยกจิตในธรรมนิยาม 5 นี้ไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่รู้เรื่องนี้ บวชไปก็สูญเปล่า ไม่มีทางที่จะได้ประโยชน์จากการบวช เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ทุกวันนี้โลกุตรธรรมพวกนี้มันเสื่อม จนเขาไม่เห็นความสำคัญแล้ว และก็ดูเหมือนจะไม่มีความรู้เรื่องนี้กันแล้วด้วย นี่อาตมาพูดความจริง ไม่มีความรู้เรื่องนี้กันอย่างชัดเจน 

ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วก็มาสรุปกันให้เข้าใจว่าอันนี้เป็นกรรมฐาน 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ศึกษาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็พูดกันอยู่ว่าเป็นกรรมฐาน 5 ให้พิจารณา อ่านสัจจะ กาย จิต ที่จะแยกกายแยกจิตจาก 5 อย่างนี้ จากผมก็ได้ จากขนก็ได้ จากเล็บก็ได้ ฟันก็ได้ หนังก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง อาตมาก็ชอบที่จะเอาเล็บ เพราะผมก็ดี ขนก็ดี ฟันก็ดี ยิ่งหนัง ยิ่งผิวหนังยิ่งยากใหญ่ ก็เอาเล็บนี่แหละเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้รู้จัก เล็บคือ นขา

อธิบายให้รู้ แยกกายแยกจิต เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันเป็นจิต เมื่อใดมันไม่เป็นกาย มันเป็นแต่จิต หรือเมื่อใดมันไม่เป็นจิต มันเป็นแต่กาย ต้องรู้ชัดเจน ต้องรู้ชัดเจน ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิด้วยพยัญชนะ ด้วยเหตุผล ด้วยตรรกะ แล้วไปปฏิบัติจริงให้มันตรงนี้ไม่ได้ คนผู้นั้นไม่บรรลุอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 11:09:12 )

การแยกกายแยกจิต

รายละเอียด

การแยกกายแยกจิต  คือ ศาสนาพุทธรู้จักจิต  เจตสิก  แยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามออกได้  คนแยกไม่ได้เป็นอรหันต์ไม่ได้  ต้องรู้อาการลิงค นิมิต ของจิต  พิสูจน์ เช่น กับอบายมุข  กับสัตว์  เราสัมผัสข้าวของก็ไม่ได้เกิดอาการอยากได้ (เป็นศีลข้อ 1 และศีลข้อ2) ศีลข้อ 3 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กิเลสอันนี้เนื่องกับจิต  หากไม่เรียนรู้ลดกามคุณ 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) เรื่องสัตว์ ก็ไม่ให้ความสำคัญเรื่องของก็ไม่เข้าใจ  แต่หากทำแบบเชน  ไม่เกี่ยวข้องเลย  เช่น กับสัตว์ก็ไม่เกี่ยวเลย เรื่องของก็มีน้อยมาก  มีไม้ปัดสัตว์กับภาชนะกินอาหาร  แบบนั้นสุดโต่งเกิดไปป่าเถื่อนเกินไป  ศาสนาพุทธเอาอย่างพอเหมาะพอดี  กายต้องมีสองสภาพเสมอ มีอย่างเดียวไม่เรียก “กาย” เช่น มีรูปอย่างเดียวไม่เรียก “กาย”  แต่มีนามอย่างเดียวยังเรียกกายเลย  ตถาคต เรียก กายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจคำว่า “กาย” และไกลจากวิเวก  ไม่มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 12:54:07 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:10:52 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:46:52 )

การแยกกายแยกจิต

รายละเอียด

คือ มันไม่ง่ายนะ  เป็นมูลกรรมฐานของนักบวชศาสนาพุทธที่มาบวชเพื่อมุ่งนิพพาน  หากไม่สามารถแยกกายแยกจิต  อย่างสัมมาทิฏฐิ  หมดสิทธิ์ไปนิพพาน  กายกับจิตเป็นคำสองคำ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายราย การสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71  30 กันยายน  พ.ศ2562


เวลาบันทึก 03 ตุลาคม 2562 ( 17:26:12 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:49:28 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:12:09 )

การแยกกายแยกจิต

รายละเอียด

ผู้ที่เข้าใจการแยกกายแยกจิต ผู้ที่มาบวชเริ่มต้นต้องทำการแยกให้ออก 

แยกให้ออกว่าอะไรคือกาย อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นกาย อะไรคือสิ่งที่เป็นชีวะแต่ไม่ใช่กายอยู่ในตัวเรา ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ คุณก็ทำจิตให้เป็น พีชะ ไม่ได้ พีชะ คือยังมีส่วนที่อยู่ในตัวเราแต่ไม่ใช่กาย ส่วนในชีวะของเรา จิตเป็นชีวะของเราแน่ แล้ว เราจะต้องทำจิตนี้แหละให้ไม่ใช่กายแต่อยู่ในชีวะของเรา เพราะกายที่ไม่ใช่กายนั่นคือพีชะ

คือชีวะที่ไม่รู้กาย ไม่รู้สุขทุกข์ ไม่รู้บาปบุญ​ ทำบาปทำบุญไม่เป็น พระอรหันต์ทำบาปทำบุญไม่เป็นแล้ว ขออภัยเหมือนอย่างอาตมา ทำบาปมันเป็นอย่างไรนะ บุญมันเป็นอย่างไร ทำไม่เป็นแล้ว มันลืมแล้ว แต่ก็รู้อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป สัพพปาปัสสอกรณัง ทำอย่างไรๆ ก็เป็นแต่กุศล ไม่เป็นบุญด้วย เพราะว่าบุญได้เลิกแล้วหายไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 18:03:41 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:54:01 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:54:53 )

การแยกกายแยกจิต

รายละเอียด

คือ พระพุทธเจ้าให้ อุปัชฌาย์ ทุกองค์สอนให้ลูกศิษย์ที่บวชว่าให้แยกกาย  แยกจิต  เมื่อไหร่เป็นกาย  เมื่อไหร่  ไม่ใช่กาย  กายนั้นเริ่มจาก  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นวัตถุภายนอก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:47:26 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:58:42 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:13:00 )

การแยกกายแยกจิต

รายละเอียด

สรุปแล้ว ทำความเข้าใจให้ดีๆคุณสติพล เทวนิยมเขาทำไม่ได้หรอก นั้นมันเดาแล้ว คนจะรู้จัก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม โดยสามารถทำให้จิตกลายเป็นอุตุ พีชะได้ แยกกายแยกจิต ตอนนี้เป็นธาตุ 2 ที่ปรุงแต่งกันยังเป็นวัตถุเป็นดินน้ำไฟลมไม่มีชีวเลยเรียกว่าอุตุธาตุ ทำได้ แยกได้ ตั้งแต่แยกกายแยกจิต ต้องรู้โครงสร้างหรือทฤษฎีกระบวนการของการแยกกายแยกจิต พระพุทธเจ้าก็ให้อุปัชฌาย์สอนการแยกกายแยกจิตได้ รู้จักทฤษฎีรู้จักวิธีแยกให้แก่ลูกศิษย์ ก่อนที่จะออกไปเลย ก่อนที่จะลุกจากการบวชเสร็จนี้ ต้องสอนกรรมฐาน 5 นี้ให้ เรียกว่ามูลกรรมฐาน เพราะมันเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาเพื่อนิพพาน 5 แยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิทำไม่เป็น ไม่มีสิทธิ์บรรลุอรหันต์ ไม่มีสิทธิ์เลย ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว อุปัชฌาย์สอนอะไรกันต่างๆนานา ไม่รู้เลย ขออภัย อุปัชฌาย์ของอาตมา 2 รูป ธรรมยุตรูปนึงมหานิกายรูปนึง อาตมาบวชทั้งสองนิกายนะ ขออภัย เขาไม่เคยสอนอาตมาไม่เคยอธิบายอันนี้ให้อาตมาหรอกทั้งสองอุปัชฌาย์ แต่อาตมามีความรู้อันนี้มาเก่า มาแต่ปางบรรพ์มาแต่ชาติก่อนก่อนก็เอามาอธิบายให้ฟัง ขออภัยนะอาตมาต้องเคารพอุปัชฌาย์ ไม่ได้ดูถูกอุปัชฌาย์ ภิกษุทุกวันนี้ยากที่จะเข้าใจเรื่องการแยกกายแยกจิต กับมูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง แล้วก็แยกอะไรเป็นกายอะไรไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายแล้ว แต่ยังเป็นส่วนที่ติดเป็นชีวะอยู่เช่นเล็บมันยาวไปแล้ว มันไม่ใช่กายแล้วแต่มันไม่มีเวทนา มันเป็นพีชะเท่านั้น ไม่ใช่จิตนิยามแล้วเป็นแต่เพียง พีชะ ไม่เจ็บ ผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนที่มันเป็น พีชะ มันเป็นส่วนไหนคุณต้องแยกออกส่วนไหนเป็นจิตแล้วจะทำกรรมนิยาม ทำให้มันเป็นอย่างนี้ เกิดเวทนาอย่างนี้นี่ต่างหากที่จะต้องทำต้องรู้ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:50:33 )

การแยกกายแยกจิต ของธรรมนิยาม 5

รายละเอียด

ตายไม่ลง เพราะยังมีเรื่องที่พูดยังไม่ละเอียด เรื่องนี้ก็ยังไม่ละเอียด เรื่องการแยกกาย แยกจิต 

การแยกกายแยกจิต ของธรรมนิยาม 5

การแยกกาย แยกจิต เรื่องแยกกาย แยกจิต อาตมาขอซ้ำ ขออธิบายสู่ฟัง ข้างนอกไม่เข้าใจง่ายๆ แม้ในพวกเราก็ขออธิบายให้ดีๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าคำว่า กาย เขาก็เข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิกันแล้วทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นคำว่า จิต ไม่ต้องพูดเลย มันเป็นความซับซ้อนเข้าไปในกายอีกเยอะแยะ มันเป็นไปไม่ได้ง่ายที่จะเข้าใจ ถ้าเข้าใจการแยกกาย แยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ และไม่เข้าใจชัดเจน ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ ฟังใหม่ ถ้าไม่เข้าใจความเป็นกายกับความเป็นจิตที่ชัดเจนเลย ในธรรมะนิยาม 5 แยกแล้วจะเป็นสภาพธรรมะนิยาม 5 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 12:40:54 )

การแยกกายแยกจิตตามกระบวนการธรรมนิยาม 5 โดยใช้กายภายนอกเป็น 5 เป็นตัวศึกษา!

รายละเอียด

ซึ่งผู้จะปฏิบัติธรรม“ทำใจในใจ”ของตนสำเร็จได้ดังว่านี้ 

ก็ต้องมี“สัมมาทิฏฐิ”ใน“การแยกกาย-แยกจิต”ตามกระบวนการของ“ธรรมนิยาม 5”

ที่จะเรียนรู้พิสูจน์กำหนดรู้ได้จากการอ่าน“อาการ”ใน“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”

ที่เป็น“กายภายนอก 5 ชนิด”นั่นเอง 

ว่า อย่างไร? เมื่อใด? มันมีอาการเป็น“อุตุนิยาม” อย่างไร? เมื่อใด? 

มันมีอาการเป็น“พีชนิยาม” อย่างไร? เมื่อใด? 

มันมีอาการเป็น“จิตนิยาม” อย่างไร? เมื่อใด? 

มันมีอาการเป็น“กรรมนิยาม” อย่างไร? เมื่อใด? 

มันมีอาการตาม“ธรรมนิยาม”อย่างนั้นอย่างนี้     

“ธรรมนิยาม 5”นี้จะเป็น“อาการ”ที่ปรากฏ“ลักษณะ 5”ใน “จิต”ตนได้ 

คนผู้นั้นต้องศึกษาปฏิบัติสำเร็จ“ผล”ตามคำสอนพระพุทธเจ้า “ลักษณะ 5”ของ“ธรรมนิยาม 5”นั้นก็ขอพูดซ้ำอีกคือ “(1)อุตุนิยาม (2)พีชนิยาม (3)จิตนิยาม (4).กรรมนิยาม (5).ธรรมนิยาม”

และ“ธรรมนิยาม 5”ที่พิสูจน์ได้นี้ 

ผู้ศึกษาจาก“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ซึ่งเป็น“กาย”ภายนอก 5 ชนิดของ“อาการ 32(ทวัตติงสาการ)”

อันเป็นส่วนประกอบลักษณะต่างๆทั้งภายนอกและภายในของคนทุกคน 

ที่ผู้ศึกษาจะสามารถเรียนรู้ใช้แยกแยะให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ทุกคน

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 427 หน้า 310


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 15:19:50 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:32:43 )

การแยกกายแยกจิตนั้นต้องลืมตาปฏิบัติมีภายนอก กับจิต

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่างอุปัชฌาย์ทุกองค์ เมื่อบวชลูกศิษย์ขึ้นมาเมื่อใดก็ต้องให้ความรู้เรื่องการแยกกายแยกจิต ได้ฟังกันมาแล้ว ก็ฟังอีก อาตมาจะพยายามอธิบายเจาะลึก กายนี้ทำไมท่านจึงสอนให้แยกกายแยกจิตเป็นสำคัญก่อนอื่นเลย กำชับกำชาเลย ต้องสอน เอาตรงผิดก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสอนแยกกายแยกจิตกันแล้ว แม้จะสอน อ.ผู้สอนก็สอนผิด เขาจะสอนให้จะต้องเรียนรู้ทำฌานทำสมาธิ เมื่อมีฌาน สมาธิแล้วเราก็จะแยกกายแยกจิตได้ แล้วสมาธิเขาฌานเขาต้องนั่งหลับตาสะกดจิตจึงจะเป็นฌาน เป็นสมาธิ เท่านี้ก็ผิดออกนอกเส้นทางของศาสนาพุทธไปไกล ไปไม่มีทางกลับเลย ลงนรกลูกเดียว เป็นทางผิดเป็นทางกันดาร อย่างเก่งก็ไปวนเวียนอยู่ในเขาวงกต ไม่อย่างนั้นก็ลงนรกไปเลยมันไม่มีทางพบความเป็นจริง น่าสงสารมาก เพราะว่าการแยกกายแยกจิตนั้นต้องลืมตาปฏิบัติมีภายนอก กับจิต แต่เขาเข้าใจเพียงแค่สภาพภายนอกเดี่ยวๆ กายคือร่าง จิตคือใจเลย เขาไปนั่งหลับตาเป็นฌาน จิตแยกไปเลย กายก็คือทิ้งร่างไว้ จิตก็แยกออกไปเสร็จจะมองเห็นร่างตัวเอง นั่นคือการแยกกายแยกจิตซึ่งเป็นอุปาทาน การรู้อย่างนั้นเป็นการรู้อย่างอุปาทาน เป็นการรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิ สร้างนิรมานกาย สร้างความเป็นกายด้วยสัญญากำหนดเองสัญญายนิจจานิ กำหนดเที่ยงแท้จริงสัญญาตนเอง ปั้นเอง ไม่มีของจริงหรอก ของใครปั้นคนนั้นก็ได้ เหมือนในฝัน อันเดียวกัน แต่ฝันนั้นจิตมันทำงานด้วยอวิชชาของคุณ มันก็มีภาพมีเรื่องราวอะไรไปของมัน นอกจากคุณจะต้องเรียนรู้จนชัดเจนชัดแจ้งแล้วว่า ฝันนั้นหรือว่าภาพนิมิตต่างๆนั้น จึงจะนำไปใช้เป็นธรรมะได้ แล้วเรียกธรรมะนั้นว่าเทวดา อย่างพระอรหันต์หรือผู้ที่จบแล้ว นอนหลับก็จะมีนิมิต นิมิตนั้นก็เป็นเทวดา เป็นภาพที่ใช้แทน ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เป็นสังขารชนิดหนึ่งเป็นสังขารอยู่ในภพสังขารที่ปรุงแต่งด้วยสัญชาตญาณ เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นโทษเพราะนิมิตต่างๆของ พระอรหันต์พระอริยะขึ้นไปก็จะเป็นอย่างนี้อย่างพระโพธิสัตว์อาตมาก็มีเยอะ สายปัญญาจะใช้อย่างนี้เยอะ ส่วนสายเจโตก็จะดับ นอนหลับแล้วเงียบเฉย อยากคิดก็ปรุงขึ้นมาต้องพยายามปรุง ส่วนสายปัญญาพยายามดับ ส่วนสายเจโตพยายามปรุง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 09:02:11 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:54:27 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:47:55 )

การแยกกายแยกจิตให้จิตเป็นพีชะ

รายละเอียด

อาตมาก็เคยพยายามชี้ให้เห็น ชี้ให้ฟัง ว่า กาย เป็นตัวแรกที่คุณจะต้องพ้นมิจฉาทิฏฐิในสังโยชน์ 10 ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย และมันก็อยู่ที่ตัวเรานี้ สักกะ แปลว่าตัวเรา สักกายะ

คุณไม่พ้นความไม่รู้อันนี้ คุณยังโง่ ยังไม่รู้ยังเข้าใจ ไม่ถูกต้อง ยังผิดเพี้ยนอยู่ ไปไม่ออก ปฏิบัติธรรมต่อไปก็ไม่ได้เลย แม้เข้าใจแล้ว เข้าใจกายได้แล้ว อย่างถูกต้องด้วย เข้าใจถูกต้องแล้ว คุณต้องมาแยกกาย แยกจิตให้เป็นอีก 

เพราะกายนั้น มันมีจิตอยู่ด้วย แล้วแยกกันไม่ได้เด็ดขาด เหมือนกระดาษแผ่นเดียวกายกับจิต แยกจากกันไม่ได้เลย ถ้าหมดกาย คุณก็หมดจิต ดับกายก็ดับจิต มีกายก็มีจิต 

นี่เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้การแยกกาย แยกจิตในขณะที่คุณยังมีกาย มีจิต คุณต้องทำกายให้ไม่มี ในขณะที่คุณมีจิต แล้วคุณต้องทำกายให้ไม่มี อันนี้สิ มันเป็นเรื่องที่ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้ อาตมารู้ตามเรื่องนี้ เอามาพูดบรรยายกับพวกเราทุกวันนี้ ก็หมดสงสัยแล้วในเรื่องแยกกายแยกจิต แล้วเราก็มีจิตที่ทำความไม่มีกายได้ เพราะจิตของเราเป็นพีชะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:41:06 )

การแยกกิเลสออกจากตัวจริง

รายละเอียด

คือในผู้รู้จะต้องแยกกิเลสอกจากตัวจริงให้ได้  แยกได้แล้ว ปหานกิเลส มีพฤติของกิเลสอย่างไร  จาระอย่างไร  แล้วกำจัดมันให้สิ้น  วิ เมื่อ กำจัดได้สำเร็จ  ก็เป็นจิต สะอาดบริบูรณ์ได้

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:32:19 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:02:26 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:49:13 )

การแยกจิตออกด้วยเจโตปริยญาณ 16 เพื่ออะไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ความเป็น กาย แล้วโยงไปถึง เวทนา จึงจะแยกจิตออก แยกจิตนั้นมีหลักธรรมเรียกว่า เจโตปริยญาณ 16 

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ในเจโตปริยญาณ 16 มีตั้งแต่จิต มีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ พยายามให้มีความลด ละจางคลายให้ได้ เรียกว่า เนกขัมมะ เรียกว่าทำออก ทำให้มันลดลง เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ คือทำให้มันไม่มี ทำลดลงให้ได้

คุณทำได้นิดนึงก็ตามสำเร็จขึ้นมา คุณก็รู้ได้เลยตามตระกูลของคุณ คุณอาจจะเป็นตระกูลศรัทธา เจโต อีกคนเป็น ตระกูลปัญญา พุทธิจริต มันก็จะเกิดผลของตนเองเป็น สังขิตฺตํจิตตํ(สายศรัทธา) หรือ วิกขิตฺตํจิตตํ(สายปัญญา) จิตมันจับยากกระจาย ถ้า สังขิตฺตํจิตตํ มันเป็นก้อนตีแตกได้ยาก มันติดก็ต้องแยกให้ออก ให้มันกระจาย ให้เห็นชัด มันกระจายต้องจับตัวให้มั่น รู้ให้มั่น จับมั่นคั้นตายให้ได้ หมายความว่าจะต้องมีความรู้ทางจิต แก้ไข จุดบกพร่องของเรา สังขิตฺตํจิตตํ ก็แก้ วิกขิตฺตํจิตตํ ก็แก้ 

ถ้าคุณแก้ไม่ได้มันก็ยังติดอยู่อย่างเก่า  ยังโง่อยู่อย่างเก่า  ยังไม่เปลี่ยนแปลงให้เจริญมันไม่เจริญเหมือนเก่า คุณก็เป็น อมหัคตะ คือ ทำให้เจริญ มหะก็ไม่ได้ อัคคะก็ไม่ได้ ทำให้ได้ปริมาณมากกว่า มหะ   อัคค ให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นก็ไม่ได้ คุณก็ต้องให้มันเป็น มหัคคตะให้ได้ทำให้จิตมันเจริญให้ได้ ปริมาณดีมากขึ้นถูกต้องให้ได้ก็ต้องทำเจโตปริยญาณให้จิตของตนเองเจริญขึ้นมาสู่ มหัคตะให้ได้ คุณทำได้คุณก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆจิตก็เจริญขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า สอุตรังจิตตัง จิตเราเจริญแล้วเจริญอีก แต่ยังมีความเจริญยิ่งกว่านี้อีก ยังไม่จบ ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 16:10:09 )

การแยกจิตเป็นอุตุ พีชะ

รายละเอียด

การแยกจิตเป็นอุตุ พีชะ  คือ แยกจิตที่ประหนึ่งเหมือนอุตุ  ทำอย่างไรจะรู้จิตเราเป็นอุตุได้  ต้องปฏิบัติให้หลุดพ้นจากกรอบของโลกๆ หนึ่งได้ตั้งแต่โลกอบาย  สัมผัสแล้วต้องมีความรู้สึก  ความสุขความทุกข์ เป็นเราเป็นเขาอยู่  ต้องล้างกิเลสออกจากจิต  จนพ้นออกจากโลกของอบายมุขสัมผัสแล้ว จิตคุณก็เฉยเป็นอุเบกขา  แต่ก่อนเราต้องสุข  ทุกข์ มีชีวิตชีวกับสิ่งเหล่านี้  แต่เดี๋ยวนี้ เราก็สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น  แม้มันจะสัมผัสกับเรา  มันก็ไม่มีความรู้สึกสุข ทุกข์  มีแต่ธาตุรู้เป็นสัญญา  กำหนดรู้ว่าอันนี้ คือ อย่างนี้  อันนี้คือ เขาเล่นไพ่  อันนี้เขาเต้นแร้งเต้นกา  เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง  จิตเราเราไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง  มันกลางสบายอยู่อย่างนี้  จิตอย่างนี้คือ จิตที่อาศัย ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วมีพีชธาตุ  จะเรียกว่า relation connection corridor continuum อยู่ในนี้หมดเราจะรู้ความเกี่ยวเนื่อง  แล้วทำให้เกิดเป็นได้ทุกระดับ อุตุ พีชะ จิต จึงเป็นผู้ทำความสำเร็จในร่างกาย ก็มีอุตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ปรุงแต่งอยู่ในเรา ปรุงแต่งระดับพีชะ ปรุงแต่งก่อเป็นชีวิตินทรีย์  มันเจริญจนธาตุรู้เลยขีดพีชะเป็นจิตนิยาม ก็รู้ชัดเจนแต่พอเป็นจิตนิยามโดยอวิชชา ไปเป็นสัตว์ จิตนิยามมันจะไม่เข้าใจพีชะ อุตุหรอก เซลล์เดียวสองเซลล์หรือจนเป็นมนุษย์จะไม่รู้แยกไม่ได้ อุตุ พีชะ จิต โดยเฉพาะจะทำโยนิโสมนสิการให้จิตเป็นอาการพีชธาตุ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 12:57:25 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:06:47 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:50:16 )

การแยกมโนปวิจาร 18

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้ มโนปวิจาร 18 แล้วแยกได้ว่าอันนี้เป็นโลกียะ 18 กระบวนการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณชัดเจนเลยทางตาก็เรียนรู้สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นแบบโลกีย์ หรือเป็นแบบเนกขัมมสิตเวทนา

เริ่มลดกามเรียกว่า เนกขัมมะตัวที่ 1 เริ่มลดกิเลส ตั้งแต่สัมผัสกามภพ ตาหูจมูกลิ้นกายกิเลสมันเกิด ตั้งแต่ตัวหยาบเป็นอบายมุขอยู่ในกามภพ คุณก็เรียนรู้จนจับกิเลสได้

เมื่อล้างกิเลสกามกิเลสพยาบาทคู่กันได้ จะเอาตัวไหนก่อนก็แล้วแต่ถนัด คนถนัดเอาพยาบาทเอาโทสะก่อนแล้วเอาราคะ ก็ตามใจ ของแต่ละคน แต่ละถนัด ได้ก่อน เนกขัมมสิตเวทนา เป็นตัวต้นของ มโนปวิจาร 18 ฝ่ายเนกขัมมะ ก็เหมือนกันนั่นแหละ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 04:25:17 )

การแยกวิเคราะห์ทักขิเนยยบุคคล 7

รายละเอียด

เพราะว่าธรรมะก็ต้องมีทั้งปัญญาและศรัทธา มีทั้ง 2ด้าน ท่านไม่เอาปัญญาทีเดียวเพราะมันจะแยกคนให้เห็น  2ฝั่งแตกแยกที่เดียว  แต่คนทั้งสองด้านก็ต้องเข้าหาปัญญา  เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นธัมมานุสารี  ทิฏฐิปัตตะ  เลื่อนขึ้นไป  ส่วนสัทธานุสารีเลื่อนขึ้นไปก็เป็นศรัทธาวิมุติ  แม้จะเป็นความวิมุติก็เป็นแบบศรัทธา  ยังไม่ชัดเจน ยังไม่คมลึกเท่าไหร่มันไม่พิสดารหลากหลาย  ไม่เหมือนกัน  เชื่อการบรรลุ  ปัตตะคือบรรลุ  วิมุติก็เข้าถึง ส่วนสายสัทธาวิมุตินี่ปักดิ่ง  ส่วนสายปัญญาเข้าถึงปัตตะ เข้าถึงด้วยทิฏฐิด้วยความเข้าใจ  ทิฏฐิจึงเป็นตัวกลางที่ไม่ปักมั่นดิ่งที่เดียว  สายศรัทธาจะดิ่งเก่ง  ส่วนสายปัญญาจะไม่มีอะไรที่ปักมั่น จะมีอะไรที่จะพิจารณาเยอะกว่า  ส่วนศรัทธานี้จะง่ายกว่า  สายสัทธาจะจบง่ายกว่า สรุปง่ายๆ  ว่าตื้น ไม่หลากหลาย  ส่วนทิฏฐิจะหลากหลายกว่า สายศรัทธาจะจบที่กายสักขี  มีพยานได้ถ้าไม่ถูกต้อง  สมบูรณ์ ส่วนปัญญาวิมุตินั้นมีทั้งกายสักขี  แต่เขาเข้าใจผิด  เพราะทิฏฐิปัตตะท่านได้ถึงกายสักขีแล้วแต่เป็นภายใน  ส่วนกายสักขีนี้มีทั้งรูปนอกและรูปใน ส่วนทิฏฐิปัตตะมีภายใน พอไปถึงปัญญาวิมุติ จริงๆ  แล้วปัญญาวิมุตสูงกว่าสัทธาวิมุติแน่นอน  และมีก็ต้องสุงกว่ากายสักขีด้วย เพราะว่าในบุคคล  7กายสักขีเป็นผู้มีอาสวะบางอย่างดับไปได้   ส่วนปัญญาวิมุติอาสวะทั้งสิ้นหมดไปแล้ว   อันนี้สูงกว่า  เสร็จแล้วผู้ที่ไม่เข้าใจสภาวะ  ก็ไปแปล น  เหวโข  ว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์  8ด้วยกายที่จริงแล้ว  ท่านถูกต้องมาแล้ว  มีมาแล้ว  ถึงไม่ต้องไปกล่าวว่าท่านจะต้องถูกต้องวิโมกข์  8  ด้วยกาย  เพราะท่านมีมาแล้ว  ท่านจึงทำให้อาสวะสิ้นไปทั้งหมดได้  จึงทำกายสักขีได้แล้วยิ่งปัญญาวิมุติสูงกว่ากายสักขี  อาสวะสิ้นไปแล้วด้วย  แต่ก็ไปแปลว่าไม่ต้องถูกต้องวิโมกข์  8  ด้วยกาย  กลายเป็นแยกว่าทิฏฐิปัตตะ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่  27  พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 14:44:47 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:11:37 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:51:47 )

การแยกหมวดพระไตรปิฎก

รายละเอียด

อาตมาวันนี้จะพูดเรื่องอาหาร จากพระไตรปิฎก พระวินัย 9 เล่ม พระสูตร 25เล่ม พระอภิธรรม 12เล่ม รวมแล้ว 45เล่ม

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 16:25:33 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:14:08 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:55:30 )

การแยกเทฺว 2 มาจับประเด็นในเรื่องของ “พระเจ้า” ผู้ยิ่งใหญ่!

รายละเอียด

ส่วนผู้ไม่เรียนรู้“เทฺว”ไม่ยอมให้แยก“เทฺว”เป็น 2 เพื่อ

เปรียบเทียบศึกษาภาวะที่ต่างกันจึงจะได้หาส่วนที่เด่น ส่วนที่

ด้อยกว่ากันให้จริง 

โดยยึดมั่นถือมั่นว่า ความเป็น“เทฺว” โดยเฉพาะ“เทฺว”ผู้

ยิ่งใหญ่คือ“พระเจ้า”นั้นเป็น“1”ที่โดดเดี่ยวเที่ยงแท้ตลอดกาล

นิรันดร ไม่ขึ้นต่อองค์ประกอบใดๆเลย

แม้แต่“กรรม”ของพระเจ้าก็เที่ยง แม้แต่“กาล”ของ

พระเจ้าก็เที่ยง ไม่มีอะไรเคลื่อนจาก 1

ทั้งๆที่“กาล”มันก็เคลื่อนอยู่ ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยเที่ยงเลย

ชาว“เทฺวนิยม”ก็หลงยึดมั่นถือมั่นกันว่า “พระเจ้า”ไม่ขึ้น

กับ“กาล” “พระเจ้า”ยิ่งใหญ่กว่า“กาล” 

หรือถึงกับเชื่อกันว่า“พระเจ้า”เป็นผู้สร้าง“กาล” 

สร้างเอกภพมหาจักรวาลด้วย“ความยิ่งใหญ่”ของ

“พระเจ้า”ปานนั้นเลย!

แต่“พระเจ้า”คืออะไร? อยู่ไหน? ก็ไม่มีใครบอกได้ทั้งนั้น 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 163 หน้า 144


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 11:12:19 )

การแยกเป็นนานาสังวาสของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเมื่อแยกก็แยก เมื่อแยกแล้วความเห็นต่างกันก็ต่างคนต่างปฏิบัติคือที่จบของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิกาย มีแต่แค่นานาสังวาส มีแค่มันต่างกัน แต่ก็เป็นผู้ร่วมกันเรียกว่าสังวาสเดียวกัน แต่ต่างคนต่างความเห็นกันนะ ฉะนั้นท่านจึงมีวินัยไว้เลยว่าวินัยของนานาสังวาสนั้นคือต่างคนต่างเชื่อของตัวเอง ไปบังคับกันไม่ได้ ห้ามกันไม่ได้ คุณเชื่ออย่างคุณก็เชื่ออย่างคุณ เราเชื่ออย่างเรา ก็อย่างเรา คุณจะบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ผิดก็ว่ากันไปเลยเรียกว่า ปฏิกโกสนา จะค้านอย่างแรง ว่างั้นมันไม่ถูก อย่างเช่นโพธิรักษ์แสดงออกไป

พูดจนคอจะแตกก็ได้แต่อย่าไปอธิกรณ์ คืออย่าให้เรื่องทะเลาะกันจนเป็นคดีความที่จะต้องวินิจฉัย ที่ต้องมาตัดสินเพราะจะให้ใครตัดสินไม่ได้ ไม่มีใครจะตัดสินความรู้ของสองฝ่ายนานาสังวาส ที่มันต่างกัน ไม่มี ของผู้นี้ก็เป็นของผู้นี้ ฝ่ายนี้ตัดสินของผู้นั้นก็ต้องเป็นฝ่ายนั้นตัดสิน ของ 2 ขั้วนี้ต่างกันแล้วจะให้ใครมาตัดสิน ไม่ได้ ไม่มีตัวกลาง เหมือนกับมีคดีความที่ประเทศไทย แล้วไปให้ศาลโลกตัดสิน แล้วมันจะรู้ดีเท่ากับผู้พิพากษาไทยได้อย่างไร ที่จะให้ผู้พิพากษาศาลโลกมาตัดสิน เพราะตัวเองไม่เชื่อตัวเองเสียศักดิ์ศรีมากเลย ไปให้ศาลโลกตัดสิน อย่างพวกที่ออกไปไม่เอาไม่เชื่อศาลไทย ก็ต้องไปให้ศาลโลกตัดสิน เอ็งก็ไปเป็นคนชาติอื่นเถอะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:24:05 )

การแยกเป็นนิกายของศาสนาต่างๆ

รายละเอียด

แต่ว่าแม้มีอยู่เท่านั้นก็ไม่คงที่ คำสอนของพระศาสดาองค์ไหนของศาสนาใดก็ไม่รู้ เช่นของศาสนาคริสต์ คำสอนของพระศาสดาก็เป็นของพระศาสดาเยซู มาถึงวันนี้คำสอนของพระศาสดาเยซูก็แยกเป็นอีกไม่รู้กี่นิกาย ก็ไปเป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ของศาสดาแต่ละนิกาย ศาสดาคือหัวหน้าใหญ่ของนิกายนั้นๆ อิสลามก็เหมือนกัน ก็แยกเป็นนิกายต่างๆ ชาวพุทธก็เหมือนกัน ทั้งนั้นแหละ มันห้ามไม่ได้หรอก มันต้องเป็นอย่างนั้น ใครจะเก่งอย่างไรให้ตายก็ไม่มีทางที่จะไม่ให้แยก มันต้องแยก แต่จะไปให้มันไม่แยกมันผิด มันไม่มีหรอกที่จะไม่แยก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:20:33 )

การแยกแยะสังกัปปะ 7 

รายละเอียด

ต้องแยกสิ่งที่ไม่ดี วิ เอาออก ให้บริสุทธิ์ดีเป็น วิ อันยิ่งได้ ทำให้กิเลสออกได้ รู้จักมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ กิเลสหลุดได้ เมื่อกิเลสหลุด จิตก็สะอาด สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เรียกว่าจิตสงบ ตกผลึกลงเป็นจิตตั้งมั่น ควบแน่น อัปปนา พยัปปนา แน่นยิ่งขึ้น ยิงแน่นยิ่งคล่อง ยิ่งคล่องยิ่งแน่น เป็น ปาคุญญตา เป็นมุทุธาตุ เป็นธาตุที่มีมรรคผล ทั้งสองด้าน ไม่มี กับ มี  มุทุ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุ จิตก็ยิ่ง เจตโสอภินิโรปนา ยิ่งตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์แบบ ยอดเยี่ยม เป็นผู้ที่หลุดพ้น อย่างเป็นจิตตั้งมั่นสมบูรณ์แบบ สมาหิโต เจตโสอภินิโรปนา จึงมีทั้งตัวรู้และตัวที่สั่งสมลงเป็นตัวตั้ง เป็นเจโต เป็นศรัทธา และมีปัญญา ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นสายปัญญา ส่วน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสายเจโต จึงเป็นความสมบูรณ์สูงสุดเป็นสองสภาพที่รวมกันอยู่เป็นวจีสังขาร นี่คือสังกัปปะ 7 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 15:20:04 )

การแยกแยะ“กาย” อย่างวิจิตรพิสดาร “กาย” คืออะไรบ้าง?

รายละเอียด

ตั้งใจพิจารณาตามอาตมาจะแยกแยะความวิจิตรพิสดารของ

คำว่า“กาย”นี้ ให้ฟังกันชนิดที่คุณไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยแน่ๆ  

1. กาย คำนี้แปลว่า องค์ประชุม, กอง, หมู่, ฝูง, หมวดแห่งเจตสิก 

เช่น หมู่, กอง, องค์ประชุมของเวทนา-สัญญา-สังขาร เป็นต้น

ความหมายนี้ทุกวันนี้ก็ยังมีการแปลไว้ในพจนานุกรมบาลี-ไทยกันอยู่ 

ซึ่งมันก็ยืนยันความหมายเดิมอยู่ แต่คนในสังคมปัจจุบันนี้ได้เข้าใจผิดไปจาก“ความหมายเดิมแท้จริง”นั้นแล้ว 

ชนิดที่กล่าวได้ว่า ไม่เหลือตามความหมายเดิมนั้นกันเลย 

2. กาย คือ จิต-มโน-วิญญาณ ที่สังขารกันโดยมีวัตถุธรรมภายนอกร่วมอยู่ด้วยในชีวิตสัตวโลก 

แต่ทุกวันนี้พากันเข้าใจผิดไปเป็น“ร่างภายนอกหรือสรีระ(body)ที่เป็นรูปธรรม”อย่างเดียว 

หรือหมายถึงส่วนที่เป็น“วัตถุ”อันไม่มี“จิต-มโน-วิญญาณ”ร่วมด้วยเลย  

3. กาย ต้องมี“2 ภาวะ”ขึ้นไปเสมอ และต้องมี“จิต”ร่วมด้วยอยู่เสมอ จึงชื่อว่า“ภาวะ 2 (เทฺว ธัมมา)”เสมอ 

ถ้าไม่มี“จิต”ร่วมด้วยจึงเป็นสภาพที่“ไม่มีกาย” เช่น ความเป็น“พีชนิยาม”ไม่มี“กาย”เป็นต้น

4. กาย ต้องมี“ภายนอก”ด้วย “ภายใน”ด้วยตลอด ไม่ขาดกัน

5. กาย ถ้าใครเข้าใจว่า หมายถึงภาวะเดียวแค่นั้นก็“มิจฉาทิฏฐิ”

ไปเลย หรือยิ่งเข้าใจว่า “กาย”เป็น“วัตถุ” ก็ยิ่งผิดใหญ่ มิจฉาเต็มๆ 

6. “การแยกกาย-แยกจิต”นั้นพระพุทธเจ้าทรงให้อุปัชฌาย์ทุกองค์ต้องสอน“การแยกกาย-แยกจิต”อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”แก่สัทธิ

วิหาริกเป็นสำคัญก่อนอื่นทีเดียว 

โดยมี“มูลกรรมฐาน 5” ได้แก่ ผม(เกษา),ขน(โลมา),เล็บ(นขา),ฟัน(ทันตา),หนัง(ตโจ) อันเป็น“กายภายนอก 5 ชนิด”ที่มีอยู่ในตัวทุกคน 

ซึ่งใช้ผมหรือขนหรือเล็บหรือฟันหรือหนัง เป็นอุปกรณ์การศึกษาปฏิบัติ 

เพื่อทำ“ธรรมนิยาม 5”ให้ตนได้สำเร็จ

จึงจะสามารถรู้ตนเองได้ว่า เราปฏิบัติบรรลุธรรมจริงหรือไม่? ได้อย่างไร? แค่ไหนแล้ว? 

ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตามความเป็นจริงได้เลยว่า เราปฏิบัติธรรมมีมรรค-มีผล

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 420 หน้า 304


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 13:55:17 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:31:42 )

การแยก“กาย”แยก“จิต”

รายละเอียด

การแยก“กาย”แยก“จิต”โดยอาศัย“เล็บ”เป็นต้น พิจารณา เราก็จะจับ“ความรู้สึก”คือ“เวทนา”ที่เล็บของเราได้ ว่า “เล็บ”ส่วนที่ยังมี“ชีวะ”และมีประสาทรับรู้ต่อเนื่องอยู่นั้น คือ ส่วนที่ยังมี“กาย” ถ้ากระทบก็“รู้สึก”ได้ ถ้ากระแทกแรงถึงขีดหนึ่งก็จะ“รู้สึกเจ็บ”กันเลย 

      ถ้า“เล็บ”ส่วนที่ยังมี“ชีวะ”อยู่นั้นแหละ แต่มันไม่มีประสาทรับรู้ต่อเนื่องแล้ว คือ ส่วนที่มันยาวพ้นเนื้อออกไปมากๆ ก็ยิ่งจะพิจารณาได้ง่าย ว่า แม้จะกระทบกระแทกมันก็“ไม่รู้สึก”หรือไม่“เจ็บปวด”แต่อย่างใด

      เพราะเล็บส่วนนั้น ไม่เป็น“กาย”แล้ว จึงไม่มี“เวทนา”

      นี่คือ ภาวะที่นับว่าเป็น “ความไม่มีกาย”ของ“เล็บ” 

      แต่เล็บส่วนนั้นมันยังมี“ชีวะ”อยู่นะ ยังไม่ตาย ยังไม่ได้ขาดออกไปจากร่าง “เล็บ”ส่วนนั้นยังเจริญด้วยอาหารอยู่

      ผู้ปฏิบัติเรียนรู้จาก“เล็บ”นี้เป็นต้น จึงสามารถแยก “กาย”แยก“จิต” โดยการอ่านความรู้สึก“เวทนาในเวทนา”นี้เองสำเร็จได้ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ภาวะใดเป็น“กาย” และภาวะใดที่ไม่ใช่“กาย”แล้วในความเป็น“เล็บ”นั้น 

      คือแม้ส่วนนั้นจะมี“สัมผัส”กระทบกระแทกอยู่ ส่วนนั้นก็มี“ความรู้สึก”อยู่นะ แต่“ไม่รู้สึกเจ็บใดปวดใด”หรือ“ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข”ใดแล้ว ไม่มี“กรรมวิบาก” 

      “กรรม”ส่วนนี้“พ้น“สุข-พ้นทุกข์” ไม่รักไม่ชัง ก็ไม่“ผูกเวรจองกรรม”ใดๆ จึงเป็น“กรรม”ที่ไม่มี“วิบาก” 

      เพียงภาวะที่ไม่มี“กาย”นั้น ภาวะนี้ไม่มี“เวทนา”แล้ว 

      จึงเรียกภาวะฉะนี้ของเล็บว่า มีฐานะเป็น“พืช” เพียง แต่นับว่า เป็นภาวะไม่มี“กาย” เพราะไม่มี“เวทนา”ในระดับของ“ความไม่รู้สึกสุข-ทุกข์”เท่านั้น ศัพท์คือ“อทุกขมสุข”

      ถ้าเราตัดหรือทำส่วนของเล็บที่เป็น“พืช”นี้ขาดออกไปจาก“ร่าง”ของเรา ส่วนที่ขาดออกไปจากร่างของเราก็กลายเป็น“อุตุ” ซึ่ง“เล็บ”ส่วนที่เป็น“พืช”แล้วก่อนที่เราจะตัดมันออก เราเรียกว่า “ร่างกาย”ของเราไม่ได้แล้วนะ! เพราะมันเป็น“พืช”แล้ว ไม่มี“กาย”แล้ว จึงเป็นเพียง“ร่าง”เท่านั้น 

      เมื่อ“เล็บ”ส่วนที่ถูกตัดขาดออกไปจาก“ร่าง” “เล็บ” ส่วนที่ขาดออกไปแล้วนั้นก็เป็น“อุตุ” เพราะไม่มี“ชีวะ”แล้ว กลายเป็น“มหาภูต”เป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:26:40 )

การแย่งตำแหน่งหน้าที่เป็นกิเลสโดยตรง

รายละเอียด

การแย่งตำแหน่งหน้าที่ เป็นกิเลสโดยตรง การแย่งกันไปปฏิบัติ อยากเลือกตั้งหรือไม่อยากเลือกตั้ง พวกที่อยากเลือกตั้งคือพวกที่อยากจะมีอำนาจอย่างเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:32:50 )

การแย่งอำนาจจะเป็นใหญ่ครอบครองโลก

รายละเอียด

คือ กำลังงานพลังงานแคลอรี ต่างๆ จะไปแย่งลาภ  ยศ แม้แต่อำนาจ  ฉันจะเป็นใหญ่ ฉันจะครองครองโลกเหมือนอย่างนายโดนัลด์  ทรัมป์  เขาประกาศ นายโดนัลด์  ทรัมป์ จะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า  ฉันจะเอาทุกอย่างมาเป็นของฉันจะเป็นเจ้าโลกเลย ตอนนี้ ก็จะไปแข่งขันกับจีน อาตมาว่าจีนที่เป็นเสือนอนสบาย ๆ พวกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นคนเอาไม้มาแหย่เสือ สักวันเถอะ  เสือมันตื่นขึ้นมาแล้ว  อย่านึกว่า คนอื่นไม่มีอาวุธ พอจะสู้นายโดนัลด์ทรัมป์นะ  แต่เขาไม่พูดเท่านั้นแหละ  อย่านึกว่าเขาไม่มีปัญญาจะสร้างอาวุธที่ร้ายแรงได้นะ ค่าแรงงานเขาก็ถูก คนไทยตอนนี้ใช้ของจีนมาก  หาก 1 หยวน  40บาท  ก็ตายอย่างเขียดเลยแต่ตอนนี้ หยวนเท่ากับ  4.29 บาท

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 13:59:32 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:55 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:32:22 )

การแย่งอำนาจจะเป็นใหญ่ครอบครองโลก

รายละเอียด

กำลังงานพลังงานแคลอรีต่างๆ จะไปแย่งลาภ  ยศ แม้แต่อำนาจ  ฉันจะเป็นใหญ่  ฉันจะครองโลกเหมือนอย่างนายโดนัลด์  ทรัมป์  เขาประกาศ นายโดนัลด์  ทรัมป์ จะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า  ฉันจะเอาทุกอย่างมาเป็นของฉัน จะเป็นเจ้าโลกเลย ตอนนี้ก็จะไปแข่งขันกับจีน อาตมาว่าจีนที่เป็นเสือนอนสบายๆ  พวกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นคนเอาไม้มาแหย่เสือ สักวันเถอะเสือมันตื่นขึ้นมาแล้ว  อย่านึกว่าคนอื่นไม่มีอาวุธ พอจะสู้นายโดนัลด์ ทรัมป์นะ  แต่เขาไม่พูดเท่านั้นแหละ  อย่านึกว่าเขาไม่มีปัญญาจะสร้างอาวุธที่ร้ายแรงได้นะ ค่าแรงงานเขาก็ถูก คนไทยตอนนี้ใช้ของจีนมาก  หาก 1หยวน  40 บาท  ก็ตายอย่างเขียดเลยแต่ตอนนี้ หยวนเท่ากับ  4.29 บาท

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่  24 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2562 ( 19:45:27 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:56:39 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:33:09 )

การแสดงการมีตัวตน

รายละเอียด

ไม่ได้เป็นอรหันต์เท่านั้น แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังบอกพระอานนท์เลยว่าเรามีความรู้สึกเจ็บปวด ปวดหัว เพราะวิบากที่เคยเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากก็เลยมีอาการปวดศีรษะ คนที่พวกสายหลับตาก็จะบอกว่าไม่ต้องเจ็บปวดอะไรเลยได้ พวกนี้ยังอีกนาน ขนาดที่อาตมาพยายามกระทุ้งกระแทกให้ออกมาจากป่าเสียก็ยังไม่ออก นี่นาน ท่านจะชื่อว่านานเสีย คุณนาน ต้องมาตั้งต้นศึกษาให้ดีตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 2 3 4 เรียนรู้กายเสียก่อน เรียนรู้จักรูปนามเสียก่อน แล้วก็เริ่มต้นตั้งแต่รูปนามคู่แรก ที่คุณเองไปติดในอะไรเกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับของ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:11:42 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:57:21 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:53:47 )

การแสดงความประพฤติการแสดงนิสัยไม่ดี

รายละเอียด

คือชาวอโศกเป็นชุมชนหรือสังคมที่ยินดีต้อนรับ คนมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์  ถ้ามาแล้วนิสัยไม่ดี พวกเราก็สอนเก่งนะ  ถ้ามาประพฤติไม่ดี เดี่ยวเถอะ  เดี๋ยวก็มีคุณครู  คุณครูพวกเรานี่แหละไม่ดูดายหรอก  เดี๋ยวนี้ก็ได้รับการสอนการอบรม  การทักท้วง  การให้ความรู้  นี่เรื่องจริง  เพราะฉะนั้นก็ดีแต่ให้มีศิลปะหน่อย เวลาที่จะสอนคนอื่นทีเข้ามา อย่างพวกเราเต็มใจ  เข้าใจแล้ว สอนก็ได้ บอกกันได้ไม่มีปัญหา ดีไม่ดี สอนกันแรงได้  แต่คนอื่นเขาถือตัว  เหมือนกับเศรษฐีบ้านนอก หอบเงินมาเป็นกองไปร้านไฮโซ  มาจับของเขา  พวกพนักงานขายก็จะนึกว่า  ไม่มีปัญญาซื้อของหยิบของออกไปพ้นมือเลย  ไอ้นี่ตาเขียว  เลยนะ  ควักแบ็งค์สดออกมาพลั๊วเลย  เท่าไหร่นี่เห็นอย่างนี้  นึกว่าจะไม่มีเงินซื้อของเองหรือ  ราคาเท่าไหร่บอกมา  ควักแบ็งค์สด  เลยนะไม่ใช่แค่การ์ด  เท่าไหร่ ? ดูถูก  ดูแคลน  เห็นว่าเราไม่แต่งตัว หรูหรา สัมผัสแค่ภายนอก ก็หาว่าเราไม่มีเงินหรือย่างไร

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 15:02:43 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:26:00 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:35:40 )

การแสดงธรรมชั้นสูงก่อน

รายละเอียด

สมณะโพธิรักษ์แสดงธรรมเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย แต่ท่านมีวิธีแสดงธรรมเบื้องปลาย ก่อนเบื้องต้น เพื่อสร้างหมู่ กลุ่มก้อนหากไม่มีฐานกลุ่ม ก็ไม่มีสิ่งที่จะแสดงธรรมได้ ท่านต้องแสดงธรรมชั้นสูงก่อนจึงได้พวกอโศกที่เป็นเนื้อ แล้วก็มาแสดงธรรมเรื่องกลาง ต่อมา เช่น พระพุทธเจ้าเทศน์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และอนัตตลักขณสูตร แล้วก็เทศน์ต่อไปเพื่อสร้างหมู่กลุ่ม ท่านเทศน์จากยอด มาหากลาง มาหาต้น มาหาปลายอีก เป็นสภาพหมุนรอบเเชิงซ้อน ท่านอธิบายได้และทำอย่างนั้นมาจริงๆคุณเข้าใจไม่ได้ก็ท้วงมา

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:28:46 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:29:31 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:55:24 )

การแสดงธรรมด้วยความจริงของสมณะโพธิรักษ์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นยุคนี้จึงเป็นยุคที่ยาก แต่ผู้มีภูมิปัญญาจะสามารถเข้าใจซึ่งความจริงที่อาตมาทำ อาตมาบอกได้เลยว่าอาตมาไม่เคยแสดงความไม่จริงเลย แม้จะเล่นมุขบ้างก็เป็นความจริง บางทีเล่นคำกลับไปกลับมาตลก แต่ต้องเป็นความจริงเนื้อแท้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนทุกวันนี้มันซีเรียสมาก มันจึงต้องมีสนุกบ้างบันเทิงบ้าง ถึงจะคลายเครียด เพราะฉะนั้นคณะตลกเมืองไทย มีไม่รู้กี่คณะ รวยกันทั้งนั้นเลย จบดอกเตอร์ด้วยก็ยังมาเล่นตลก อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ธรรมะคือเครื่องถ่วงดุลยุคทุนนิยมเคออส วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 14:13:59 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:56 )

การแสดงธรรมอย่างโลกๆ

รายละเอียด

มองตื้นๆก็อาจจะคิดว่ามันพาให้เด็กดี ก็สอนอย่างโลกียะ อย่างเทวนิยม อย่างโลกๆ โลกก็สอนความดีความชั่ว ไม่ได้สอนปรมัตถ์ ไม่ได้สอนโลกุตระ สอนความดีความชั่ว แล้วดีตามสมมุติ 

นี่แหละตรงนี้แหละดีตามสมมติที่คุณสินพุทธพูดดีก็ตามแค่ความดีตามสมมุติ มันก็ไม่ได้ดีตามกระแสพุทธ แต่มันก็ดีตามกระแสโลก ตามกระแสสมมุติ 

เช่น ไปอวย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ง่ายไปเสริมหนุนพวกโน้นมันไม่ได้มาเข้ากระแสโลกุตระเลย เมื่อเป็นหนักในทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เหมือนกันกับเทวนิยมไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่พุทธเลย 

และแถมที่พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้นอกจากไม่ใช่พุทธแล้ว ยังปรุงแต่งให้เป็นโลกียะที่เละเทะ เอาไสยศาสตร์เอาเดรัจฉานวิชา เอาพิธีการเอาพิธีกรรม เอาไอ้เรื่องเลอะเทอะของจินตนาการ โดยเฉพาะนามธรรม ผีสางเทวดาอะไรต่างๆนานามีฤทธิ์มีเดชอย่างนู้นอย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 14:02:07 )

การแสดงลามกกลางสภาเรื่องไม่ควร

รายละเอียด

อาตมาว่ามันช่างเสื่อมต่ำไม่รู้ฐานะอันควรมีคนเป็นเลย คุณจะไปทำตามประสาของคุณก็แล้วแต่ แต่คุณจะไปเอาเรื่องลามกไปใส่ในสิ่งที่ไม่ควรจะไปแปดเปื้อนมันไม่รู้กาละเทศะเลย แล้วคนอย่างนี้จะมาเป็น ส.ส. เป็นตัวแทนของประชาชน ช่างกระไรคนที่ไปเลือกไปเป็น ส.ส.ก็ช่างตามืดตาบอด เป็นปาตี้ลิสต์ จะไปเลือกใส่ทำไม สู่แดนธรรมว่า..เขาอาจทำให้ชาวต่างชาติเห็นว่าชาวไทยกีดกันสิทธิของเขาหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ที่จะมาแสดงเรื่องลามกกลางสภา มันไม่ควร ประเทศที่เขาดีๆไม่เลอะเทอะ เราก็เอาอย่างประเทศเหล่านี้ แค่นี้เลือกไม่ได้ก็โง่ซะ ๆ มีคนด่า 90% ควรจะด่า 150% คนโง่ขนาดไหนก็ควรรู้แล้ว แต่ขนาดนี้ไม่รู้ก็คือสุดโง่อย่างไม่รู้จะโง่อย่างไร ไม่นับว่าเป็นคนโง่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 10:35:45 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:38:32 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:14:00 )

การแสดงออกมาทั้งผลักดูดกลางๆเราไม่ได้โดดเดี่ยวในสังคม

รายละเอียด

sms ก็มีทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ยกย่อง ถล่มตำหนิ ก็ดีแล้วที่เป็นอย่างนี้ แม้เห็นต่างแต่ไม่รู้สึกผลักดูดกลางๆ ก็แสดงออกมา เราจะได้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในสังคม สังคมที่เราเป็นอยู่มีคนรับซับทราบ และช่วยกันวิเคราะห์วิจัยแสดงความเห็นกันอยู่ แสดงว่าเราเองยังอยู่ในสังคมมนุษย์ที่มีมนุษย์ด้วยกัน ร่วมรับรู้รับฟังกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2563 ( 13:42:17 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:57:54 )

การแสวงหา 3 อย่างของคน กาม ภพ พรหมจรรย์

รายละเอียด

พรหมจรรย์คือความบริสุทธิ์ของอาการจิตเป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นพรหมจรรย์ ในการสัมผัสคือ โผฏฐัพพะ ข้างนอกมี รูป รส กลิ่น เสียง ไปข้างในจึงจะมีจิต ในโคจรรูป กับวิสยรูปกับปสาทรูปทำงานร่วมกันจึงเหลือ 9เพราะว่า โผฏฐัพพะ กับกายแยกกันไม่ออกจึงเป็น 1 จะใช้งานก็ตา หู จมูก ลิ้น กายรวมทั้ง โผฏฐัพพะ ทีนี้ถ้าขยายลิ้นนี้ออกมาเป็นผิวหนังก็อันเดียวกัน ถ้าขยายลิ้น นี้คือลิ้นของตัวเราทั้งตัว มันสัมผัสได้รับรู้ได้ ลิ้นนี้ต้องแตะ หู มันห่างๆได้ เสียง ห่างๆได้ รูปห่างๆได้ แต่ลิ้นหรือสัมผัสแตะต้องแตะห่างไม่ได้ ต้องมาแตะที่ร่าง โผฏฐัพพะ ส่วนหู ไกลมา เสียงกลอง เปิงมาง ตะโพนดังแต่ไกล คนที่มีโสตทิพย์ก็สามารถแยกแยะออก ว่านี่เสียงอะไร อันนี้เสียงบัณเฑาะว์ เราก็แยกได้ ได้ยินไกลๆก็แยกได้ พวกคุณก็แยกได้ เสียงตะโพนอย่างนี้เป็นต้น กลองก็แยกไปอีกไม่รู้กี่กลอง กาม ภพ พรหมจรรย์  กาม คือสิ่งที่สัมผัสแล้วติดยึดรสชาติของมัน ภพ คือภายใน มีรูปภพ อรูปภพ หากเอาภพมาเรียกข้างนอก คือกามภพโลกข้างนอก โลกข้างในเรียก รูปโลก อรูปโลก หรือ ภวภพ เหลือข้างใน ต้องเรียนรู้กามก่อน เพราะมันข้างนอกเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นลำดับ บางคนไม่ได้เรียนรู้ตามลำดับ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติทั้งหมดเป็นพวกมักง่ายใจเร็วด่วนได้ จะหลับตาเอา คุณไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่หยาบ จะเอาใบมีดโกนยิลเลตต์มาสู้กับง้าวกวนอู มีดโกนยิลเลตต์ก็ยับเยินไม่มีทางสู้ได้ แล้วพวกนี้หยาบ แรง ร้าย คุณสู้หยาบๆนี้ไม่ได้เลย แล้วจะไปสู้ละเอียด มาสู้หยาบไม่ได้ ต้องสู้หยาบได้ก่อนแล้วสู้ละเอียด มันก็ง่ายมันก็เล็กมันก็เบา จะเรียกว่าคม จะมีฤทธิ์อำนาจ แต่จะสร้างฤทธิ์ให้ยิ่งใหญ่ เร็วไว เก่ง ก็ต้องสร้างตั้งแต่หยาบแต่ตื้นมาก่อน ไม่มีอาจารย์ที่ไหนวิเศษจะมาสร้างได้หรอก สรุป กามกับภพ ให้เรียนรู้สองอย่าง ภพ คือข้างในเรียกว่าอัตตาก็ได้ อันนอกเรียกว่ากาม ก็เรียนรู้กำจัดความเป็นกามกำจัดความเป็นภพก็สะอาดมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าพรหมจรรย์ หมดกามหมดภพได้บริสุทธิ์ เรียกว่า เป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม  2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 21:48:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:59:45 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:56:23 )

การโง่ซ้ำซ้อนคืออย่างไร

รายละเอียด

ทวาร 5 ข้างนอกที่หยาบ ไม่เรียน คุณดันพาไปโง่ซ้ำซ้อน ไปเรียนข้างในใจมันไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณเสพติดใจในใจ คุณก็ไปนั่งหลับตาเสพติด ให้ใจมันเป็นก้อนเป็นอสัญญีสัตว์ ไปหลงอสัญญีสัตว์ ว่าเป็นนิโรธอีก ไม่ถึงอสัญญีสัตว์ เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือ ฌานที่4 หลงว่า ว่างๆ อาการไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอุเบกขา ไม่ใช่ อทุกขมสุข หลงว่าเป็นอุเบกเขา คุณกดข่มจิตจนไม่สุขไม่ทุกข์ สะกดจิตให้จิตมันว่างๆโดยไม่รู้จักเหตุที่มันทำให้ทุกข์หรือมันเป็นสุข แล้วคุณต้องล้างกิเลสออกจนมันเป็นจิตที่สะอาด มีจิตที่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอุเบกขาแท้ๆเลย คุณก็ยังไม่มี ฌาน 4 ของคุณจึงเป็นอุเบกขาเก๊ อาตมาเคยบอกเป็นอุเบกขาเก มันไม่ใช่อุเบกขาจริง ฌาน 1 2 3 4 เป็นฌานเก๊ทั้งนั้น เป็นฌานเดียรถีย์ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตาจะได้ฌานเก๊ เก่งฌานเก๊ ยิ่งทำเก่งก็ยิ่งหลงไปในความโง่เง่าซับซ้อน เพราะไปหลงมัน ไปหลงฌาน นั่งหลับตามันไม่ได้เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

อย่างเปิดเผย อย่างอธิบายได้ อย่างเห็นเลยว่า คุณมี กัมมัญญา คุณมีการงานอย่างดีทำการงานอย่างบริสุทธิ์และจิตใจคุณก็ยิ่งประภัสสรยิ่งผ่องใส  ทุกคนก็เห็นได้ว่าคุณยิ่งผ่องใส เบิกบาน ร่าเริง ไม่มีความเศร้าหมอง เหมือนอย่างอาตมาจะเห็นได้ว่าไม่มีการเศร้าหมอง บางทีจะเล่นเพลินจนเพลินเว่อร์ๆไปด้วยซ้ำไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้สัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 20:26:21 )

การโปรดมารดาคืออะไร คือสอนพระสาวกทั้งหมด

รายละเอียด

คนที่เคยดูถูกอาตมาเป็นนักแสวงหา ไม่อยากฟังซ้ำไม่เชื่อ แต่ก็เป็นคนมีธาตุดีมีบารมี ก็จะค่อยๆรู้สึกว่า มันมีสิ่งที่ไม่เคยฟัง ฟังแล้วเข้าใจที่โพธิรักษ์พูด จะมีอย่างนี้เป็นสารีบุตรที่แอบฟังอยู่ที่ตีนเขาสิเนรุ โดยบุคลาธิษฐานคือสารีบุตรนั่งอยู่ตีนเขา แอบฟังพระพุทธเจ้าสอนพระมารดาอยู่บนยอดเขา นี่คือบุคลาธิษฐาน ธัมมาธิษฐานคือ สารีบุตร คือผู้ที่ตามหาสาระ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ ไปแอบฟังอยู่ตีนเขา คนนึงอยู่ตีนเขา คนหนึ่งอยู่ยอดเขา เทศน์โปรดมารดา การโปรดมารดาคืออะไร คือสอนพระสาวกทั้งหมด พระสาวกทั้งหมดนี้คือแม่ สารีบุตรเป็นแม่ เป็นแม่เลี้ยง โมคคัลลานะเป็นแม่นม ภิกษุทั้งหลายแหล่นี่คือแม่ ที่จะไปเป็นผู้ออกลูกเป็นอริยบุคคล เพราะฉะนั้นก็ต้องสอนหรือสร้าง สร้างบุคคลให้เป็นอริยะให้เป็นพระอรหันต์เพื่อที่จะไปถ่ายทอดไปสืบทอดไปออกลูกเป็นอาริยบุคคลต่อๆๆๆไป นี่คือขยายความให้ฟัง ไม่ใช่เรื่องลึกลับ เป็นอย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 10:04:14 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:58:49 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:56:47 )

การใช้ตรรกะหลอกตัวเอง มันเสียเวลาเปล่า

รายละเอียด

ไม่มีหน่วยชีวิตก็เป็นอุตุสิ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปสิ ใช้สัญญากำหนด เออเนาะ ถ้าไม่มีหน่วยชีวิตคุณก็ไม่มีเซลล์ คุณก็กลายเป็นพลังงาน หรือเป็นสสารไป แต่ที่จริงคุณเป็นไหมล่ะ คุณเป็นชีวิตไหมล่ะ คุณอย่าโกหกตัวเอง ถ้าคุณโกหกตัวเองคุณเป็นชีวิตอยู่ คุณมีชีวิต มีความรู้สึกมีเวทนา แค่พืชคุณยังไม่ได้เป็นเลย พืชมีชีวิตไม่มีเวทนา แต่นี่คุณมีเวทนาด้วย คุณรู้สึกสบายใจด้วย ที่คุณบอกมาเองสบายใจขอรับกระผม คุณอย่าโกหกตัวเองด้วยการใช้พยัญชนะเหล่านี้มาตีกินแล้วก็หลอกตัวเอง เสียเวลา เอาล่ะเอาแค่นี้ก็พอ ไม่งั้นต้องใช้ตรรกะพวกนี้เยอะ แล้วก็สับสนเอาสบายๆเข้าว่า มันก็เป็นอุปาทานที่คุณหลอกตัวเองอยู่ตลอดกาล ยึดติดสร้างนิรมานกายหลอกตัวเองไป ขยายความไว้แค่นี้ก่อน นิรมานกายหลอกตัวเองสร้างภพสร้างชาติอะไรหลอกตัวเอง ต้องศึกษาดีๆ ตรรกะมีเยอะพวกตรรกะนี้ได้แต่สร้าง เป็นนักค้นคิดได้แต่ค้นและคิดและไม่ได้ยึดถือเอาเยอะ อะไรก็ได้นี่ไม่ยากพวกนักค้นคิด มันง่าย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 วันพุธที่ 17 มกราคม 2567 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 20:24:38 )

การใช้นาม 5 ให้เกิดสัมประสิทธิ์

รายละเอียด

ใช่ A คือนาม 5

c เล็กคือ ความเร็วของจิต

C ใหญ่ก็คือ มุทุ 

A คือ สัมประสิทธิ์ ที่จะเพิ่มขึ้นๆ

A นะมันมีตั้งแต่บวก เพราะฉะนั้น เราก็มาเพิ่มขึ้นอีก มี C ใหญ่ก็คือ mc2 + A ใหญ่นี่แหละ  แล้วมีอัตราการก้าวหน้าขึ้นมาจึงเป็น c ใหญ่ ต้องเป็นคูณขึ้นไป ถึงยกกำลังเพราะฉะนั้นถึงยกขึ้นมาเป็น c  c คือ ตัวที่เพิ่มส่วนจากการก้าวหน้าที่เป็นคูณ เป็นยกกำลังขึ้นมาของ A  A มันคือบวก A ใหญ่นี่มันคือ mc2 + mc2 +  mc2

บวกถึงระดับนึงก็คูณ  ถ้าเป็น 4 ก็เท่ากับ 2 x 2  ถ้าเป็น 2 x 2 เป็น 4  เริ่มต้นเป็นยกกำลังก็ได้  สอง สอง สี่ เป็น ห้า เป็น หก เป็น หก ก็คือ บวกอยู่  ถ้าเป็นเก้า ก็เป็นยกกำลัง อัตราการก้าวหน้าก็เพิ่มไป

ที่มา ที่ไป

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน การใช้นาม 5 ให้เกิดสัมประสิทธิ์

วันที่ 14 กรกฎาคม 2561


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 15:22:02 )

การใช้สัญญา

รายละเอียด

ต่อมา การใช้สัญญานั้น พระสารีบุตรบอกว่า ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. อาวุโส เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว

แท้จริง ท่านพระสารีบุตรถอนทิฏฐิคืออหังการ ตัณหาคือมมังการ และอนุสัยคือมานะออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงไม่คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทำวัตรเช้างานอโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:07:20 )

การใช้สัปปุริสธรรม

รายละเอียด

เราเน้นเรื่องความเสื่อมของชีวิตรู้เป็นอย่างปรมัตถ์ แต่ทางข้างนอกมาจากสมมุติมันก็ออกมาจากจิตใจ กลับกันไปกลับกันมา ย้อนแย้งกันอยู่ บางอย่างแสดงออกกายกรรมพฤติกรรมเหมือนไม่ดีแต่ซับซ้อนมันเป็นกุศลก็มีเหมือนกัน เป็นเรื่องของสิริมหามายา พวกเราก็มีอยู่อย่างนั้นจริง แต่ถึงอย่างไรก็ตามพอเข้าใจว่า ควรจะใช้อะไรกับใครตอนไหนเวลาไหนมันก็ควรจะต้องถูกตามสัปปุริสธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ลงตัว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การอยู่ร่วมกันไม่ควรเอาบุคคลใดเป็นใหญ่

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:28:05 )

การให้

รายละเอียด

คือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด แก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่งเพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญ ระหว่างบุคคลและทำให้สังคมมีความมั่นคง เป็นปึกแผ่นด้วยสามัคคีธรรม นอกจากนั้นการให้ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข กล่าวคือ ผู้ให้ก็มีความสุข ผู้รับก็มีความสุขมีกำลังใจ สังคมส่วนร่วม ตลอดถึงประเทศชาติก็มีความสุขมีความร่มเย็น

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 543


เวลาบันทึก 02 พฤศจิกายน 2562 ( 13:11:47 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:32:36 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:59:02 )

การให้ขนมเด็กไม่ได้แปลว่ารักเด็กแต่ทำให้เด็กรักก็ได้

รายละเอียด

จริงๆมันเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง ให้สิ่งที่เขาชอบเขาก็ชอบเรา ข้อสำคัญอย่าไปให้สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยแล้วเอาไปชอบสิ่งที่เป็นพิษภัย ขนมบางอย่างก็เป็นพิษภัยได้ เดี๋ยวเด็กติดขนมที่มันหวานจัด ที่มันมีอะไรที่มันติดง่ายแล้ว มันมีพิษภัยในตัวมันเองหนักอะไรยังงี้ ก็อย่าไปให้ อาตมาเห็นเด็กของเรา ก็กินข้าวเปล่า ตุ้ยๆๆ กินข้าวกับผักก็เคี้ยวกับผักไปสบายๆ เห็นแล้วอบอุ่นใจกับเด็กๆเขาจริงๆ ดีหนอ ให้ได้อย่างนี้จนโตจนอย่าไปถูกหลอกเลยสบาย ซึ่งมันได้ธาตุอาหารครบแล้วในสิ่งที่กิน ไม่ต้องเลือก รสนั้นรสนี้ รู้ว่าผู้ใหญ่ก็เอาสาระให้มากินแหละ ไม่เอาสิ่งที่เป็นพิษภัยไร้สาระมาให้กินหรอก หรือแม้แต่คนปรารถนาดีต่อกัน นอกจากจะปรารถนาร้ายเอาสิ่งที่เป็นพิษภัยใส่กลับมาก็อีกอย่าง คนที่อยู่ด้วยกันปรารถนาดีต่อกันก็สบายอบอุ่นเหมือนอย่างพวกเราสบาย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:41:26 )

การให้ทาน เสมอด้วยการรบ

รายละเอียด

อธิบายอันนี้ก็จะอธิบายได้ครบสูตรเลย การให้ทานยากเสมอด้วยการรบ คนอยู่ในสนามรบก็รบกันฆ่ากันเพื่อเอาชนะ นั่นมันชนะกับคน ชนะเรื่องรูปธรรม ชนะเรื่องคน แต่ทานนี้เป็นการชนะเรื่องตน ไม่ใช่ชนะเรื่องคน ชนะเรื่องต้องไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น การทานที่สูงสุดคือ ทานที่หมดชาติหมดภพ ทานอย่างไม่มีสาเปกโข ทานอย่างไม่มีภพไม่มีชาติ พอทานจบ จิตของคุณอย่ามีอะไรต่อว่า ฉันเป็นคนมีประโยชน์ ฉันเป็นคนมีคุณค่า ฉันเป็นคนทำบุญทำคุณนะ 

เพราะฉะนั้นการสอนให้ต่อภพต่อชาติ ทำบุญแล้วก็มา อิมินา. สะกาเรนะ ขอให้มีส่วนบุญนี้อุทิศไปให้ผู้ตายซะอีกแน่ะ แล้วผู้ตายจะกินได้ยังไง ผู้ตายไม่มีปาก ไม่มีลิ้น ไม่มีกระเพาะ ไม่มีอะไรแล้ว ส่งให้ตายไปยังไง อาตมาเคยอธิบายยกตัวอย่าง ใช้ภาษาอีสานว่าได้ ปลาคอ(ปลาช่อน) มีไข่มา กำลังดีเลยนะ ผ่าออกมา เอาพุงทั้งไข่ทั้งไส้ปลาช่อน เอามาทำอาหารรับรองว่า วันนั้นแย่งกันเลย ครอบครัวหนึ่ง ถ้ามันหลายตัวก็ค่อยยังชั่วหน่อย มีไส้มีไข่หลายๆตัวก็เอามาไม่แย่งกันเท่าไหร่ ถ้าไส้เดียว ไข่มันมี 2 หลอด เป็นเม็ด 2 หลอดไข่ปลาช่อน อาตมาเคยทำเคยจัดการ นี่แหละคนชอบกิน ไส้ปลาคอ ไข่ปลาคอ พูดภาษาอีสาน ตายแล้วก็บอก พ่อแม่ตายแล้ว ได้ปลาช่อนมา มีไข่มีไส้ดีเลย วันนี้ทำแกงทำกับให้ ส่งเอาไปถวายพระ ให้พระฉัน แล้วให้พระอุทิศส่ง ไข่ปลาช่อนไส้ปลาช่อนนี้ให้ไปให้พ่อ พ่อชอบ พ่อที่ตายไปแล้วชอบกินนัก อาตมาก็บอกว่าเอาไปให้พระฉัน แล้วก็ถึงจะให้พระส่งไปให้ผู้ตาย พอพระฉันเสร็จแล้วก็ ยถา วริหา ปูรา ปาริปุเรนติสาครัง ถามว่าไข่หรือไส้ปลาช่อนออกจากท้องพระวิ่งจู๊ดไปให้พ่อกินได้ไหม เขาก็หัวเราะ มันจะไปได้ยังไง พรุ่งนี้เช้าก็กลายเป็นอุจจาระพระ นอกนั้นก็ไปสังเคราะห์ร่างกาย เลี้ยงร่างกายของพระนั่นแหละ นี่ก็พูดจนหมดเปลือกแล้ว 

เพราะฉะนั้นการทานนี่นะ มันยาก 1. จะทานแค่หยาบๆ ให้วัตถุทาน ให้อะไรต่ออะไรก็ยังยากแล้ว เท่ากับการรบ รบกับกิเลสของตนเองที่ขี้หวงขี้แหน กลัวจะเสียบาทเสียเบี้ย กลัวจะไม่ครบที่จำนวนที่ตนสะสมไว้ได้ ไม่อยากให้พร่อง  มันจึงเหมือนการรบที่จะทาน 

เพราะฉะนั้นวัตถุก็ยากแล้ว สละวัตถุได้ก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่อย่างหยาบ ก็ต้องรบกับกิเลสหยาบนี้อีก นึกเป็นบุญคุณ นึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จะเอาไว้กินภพหน้าชาติโน้นอีก เป็นปรมัตถ์สูงไปอีก ลดหยาบได้ก็เหลือละเอียดที่ต้องล้าง เพราะฉะนั้นการทำทานเสมอด้วยการรบ ตั้งแต่ขั้นสนามใหญ่สนามหยาบ สนามขั้นธรรมาธรรมะสงคราม ระหว่างเทวดาและมาร เทวดากับมารนี้อันเดียวกัน ไปโง่หลงก็นึกว่าเป็นเทวดา ที่แท้มันมีแต่มาร เป็นมาร ก็รบจนชนะมารซะ มารหยาบได้แล้วเป็นรูปภพ เหลืออรูปภพ ก็เป็นมารตัวน้อย ก็รบเอาชนะมารตัวน้อยอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 12:36:57 )

การให้ทานที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

รายละเอียด

ดูกรสารีบุตร  บุคคลบางคนในโลกนี้ ...

ยังมีความหวังให้ทาน  (สาเปกโข  ทานัง  เทติ)

มีจิตผูกพันในผลให้ทาน (ปฏิพัทธจิตโต  ทานัง  เทติ)

มุ่งการสั่งสมให้ทาน  (สันนิธิเปกโข  ทานัง  เทติ)

ให้ทานด้วยคิดว่า  เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ (ปริภุญชิสสามีติ   ทานัง   เทติ)  

ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาต่างๆ  (เทวตาคือเพื่อนสอง คือมีตัณหามีภพให้เกิดชาติอยู่  พอสิ้นผลทานแล้ว ก็เป็นผู้กลับมาดิ้นรนเร่าร้อนอีก คือไม่ได้อานิสงส์)

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 15:37:47 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:37 )

การให้ที่ผู้รับมีกิเลสเพิ่มขึ้นควรทำอย่างไร

รายละเอียด

ถ้าการให้ของเราเป็นการให้ที่ผู้รับมีกิเลสเพิ่มขึ้นจะทำอย่างไร ? ถ้าทานของเรา ทำให้คนอื่นมีกิเลสมากขึ้นก็ต้องประมาณให้ดี รู้จักบุคคล รู้จักข้าวของ รู้จักกาละเทศะ โดยเฉพาะมีอุบายเครื่องออก มีความเฉลียวฉลาดที่จะรู้ว่า คนนี้ถ้าให้เขามากไปเขาก็ขี้โลภ ถ้าให้เขาน้อยไปหน่อยให้เขาขวนขวายเองบ้าง เออ ดีนะ ถ้าให้มากเกินไปมันก็ขี้โลภไม่จบ ให้เขาขวนขวายหน่อย ถ้าเก่งกว่านั้นก็ให้เขาสำนึกรู้ตัวว่าเอาแต่เพียงพอดี เอาแต่เพียงพอเหมาะพอควรอย่าเอาเกิน ให้คิดเผื่อคนอื่น ให้เขามีจิตและรู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น รู้จักพอนั่นเอง ความพอสำหรับตนนั่นเองให้ได้ ถ้าผู้ใดประมาณความพอให้แก่ใครๆก็ได้ ตัวเองก็พอประมาณให้แก่ผู้อื่นได้ คนนี้ก็พอ ก็สงบสบายหมดเลยเรียบร้อย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 14:52:03 )

การให้นั้นมีความสุขมากกว่าการเอาเป็นสิริมหามายา

รายละเอียด

ให้จนกระทั่งเห็นว่าการให้นั้นมีความสุขมากกว่าการเอา เป็นสิริมหามายา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:43:51 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:00:31 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:00:11 )

การให้ผู้อื่นต้องไม่มีอาการของจิตที่เป็นประธานที่เป็น สาเปกโข ที่จะหวังอะไรตอบแทน

รายละเอียด

นั่นแหละแต่จะขีดเส้นตรงไหนต้องใช้ไหวพริบ การให้ผู้อื่นเผื่อแผ่ช่วยผู้อื่นสูงสุดที่เรียกว่าให้ แจกจ่ายเพื่อแพร่เพื่อกูลผู้อื่นให้ผู้อื่น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าต้องไม่มีอาการของจิตที่เป็นประธานที่เป็น สาเปกโข ที่จะหวังอะไรตอบแทน ก็ต้องมาปฏิบัติฝึกฝนตัวเองจริงๆ ตัวหยาบ ก็อ่านได้ทางกายวาจา อ่านยาก ต้องศึกษาฝึกฝน เพราะฉะนั้นอ่านใจตนได้ ใครทำได้ก็พยายามอ่าน ต้องอ่านอาการใจว่ายังมีความต้องการมาเพื่อตัวกูของกูหรือไม่คุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะทำงานรับใช้ อะไรก็ตาม จะให้วัตถุจะทำงานรับใช้จะช่วยเหลือเขาอะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้วคนก็ต้องดูใจคุณว่ามีสิ่งที่ยังจะต้องระลึกว่านี่เป็นบุญคุณต้องตอบแทนนะ จะเป็นการช่วยเหลือทางกรรมกิริยาก็ตาม ยิ่งอาตมาว่าอาตมามาให้ความรู้สิ่งประเสริฐโลกุตรธรรมมาแจกธรรมะโลกุตระ โอ้โหสูงนะ แพงนะ จะต้องได้สิ่งตอบแทน สมกัน อาตมาก็ได้นะ จากผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้ที่เขาไม่รู้ มองสิ่งที่อาตมาแจก อาตมาแพร่ เปิดเผย อาตมาบริจาคให้ผู้อื่นแสดงออก เขาเองโอ้โห มันไปกระทบสิ่งที่เขายึดถือว่าอันโน้นมันคือของแท้ของจริง อย่างนี้มันมาหักล้างของเขา ทำให้เขาเสียหาย เขาก็แค้นก็โกรธไม่ชอบใจ แรกๆเป็นอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้เขาก็รู้สึกจะจำนนลงเรื่อยๆก็ค่อยยังชั่ว มันก็เป็นสัจจะ ตกลงตอบไม่ได้ว่าจะตัดเกรดตรงไหน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:57 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:01:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:01:23 )

การให้พรจะเกิดผลได้ ต้องทำเช่นไร

รายละเอียด

ศึกษาศาสนาสิ ศึกษาศาสนา ปฏิบัติดีๆ แล้วจะมีแต่สุขสบาย ไม่มีทุกข์ โดยเฉพาะเราจะไม่มีโศกเศร้า จะไม่มีโกรธอะไร พวกคุณยังรู้สึกวันๆ มีอาการโกรธ อาการอะไรบ้างเปล่า ? ผมไม่มีโศกเศร้า ไม่ทุกข์ ไม่ลำบากลำบนอะไร ไม่เห็นมีอะไร นอกจากมันออกกำลังมากก็เมื่อย  มันออกกำลังมากเกินไปก็เมื่อย ก็ถ้าเผื่อว่า มันใช้แคลอรี่ออกไปมาก มันก็เมื่อย ก็เท่านั้น นอกนั้นไม่..

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนาธรรมกับปัจฉา วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:47:03 )

การให้ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อทำอย่างบริสุทธิ์ 

รายละเอียด

จะได้บุญมากหรือบุญน้อยกว่ากัน ก็อยู่ที่ตัวเองปฏิบัติละกิเลสเป็นหรือไม่เป็น ถ้าละกิเลสไม่เป็นก็ไม่ได้บุญสักอย่าง ถ้าละกิเลสกำจัดกิเลสขณะทำการเอาอาหารไปเลี้ยงสัตว์หรือคน คุณทำแล้วก็ทำใจในใจของคุณ รู้จักกิเลสลดกิเลสได้ ทำกรรมกิริยาอันนี้ให้หรือทาน แล้วก็ได้ลดกิเลส การทานนั้นก็มีผลมีอานิสงส์ แต่ทีนี้คนทานหรือคนให้ ให้อาหารเลี้ยงสัตว์หรือเลี้ยงคน เสร็จแล้วก็อยากได้ๆ คุณเรียกว่าบุญ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ บุญ บุญคือการลดละกิเลส คุณก็ไม่รู้เรื่อง คุณก็อยากได้อะไรก็แล้วแต่มันก็เป็นกิเลสทั้งนั้น เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ทั้งนั้น ก็ซวยทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นทำทานแล้วอยากได้อะไรก็พูดเป็นภาษา ได้วิมาน ได้บุญ ได้กุศลได้สวรรค์ ได้คุณงามความดี ดีไม่ดีได้เป็นยศศักดิ์ ได้แล้วจะรวยได้ลาภกลับมาอีกเลอะเทอะใหญ่ ทำหวังสิ่งตอบแทน ต้องการสิ่งที่แลกมา ไม่ได้ทำอย่างบริสุทธิ์ 

เพราะฉะนั้นการให้คำเดียวนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:41:23 )

การให้อย่างไม่มีตัวตนทำอย่างไร

รายละเอียด

ทีนี้การให้อย่างไม่มีตัวตนทำอย่างไร? อันนี้แหละ 

ให้อย่างไม่มีตัวตน เป็นคำจบ ให้ไปก็คือ ให้ไปแล้วจิตของเราก็จบ ให้ก็จบแล้ว ไม่มีความหวัง ไม่มีภพชาติ ไม่มีอะไรต่อจากการให้ คุณต้องรู้จิตของตัวเอง อาการของใจตัวเอง กำหนดหมายอาการใจโดยใช้สัญญากำหนดรู้ จิตของเราได้ให้ไปแล้วเช่นว่า เขาจะรู้จักบุญคุณเราไหมหนอ มันก็เป็นภพแล้ว เขาจะจำบุญคุณเราได้ไหมหนอ มันก็เป็นภพแล้ว ปฏิพัทจิตโต เริ่มมีจิตเนื่องต่อ 

เสร็จแล้วต่อแล้วมันก็จำก็ใส่สภาวะเป็นตน การจำกับเป็นตน นี่แหละสัญญาเป็นตนหรือสัญญาไม่ใช่ตน การจำนี่เป็นสัญญา ถ้าจำเฉยๆ จำแล้วไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา จำได้ แต่ก็ไม่ได้ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา จำเฉยๆ จำได้ แต่ไม่เคยไปยึดถือ ให้แล้วก็จบ ไม่ได้ไปคิดว่าเขาจะต้องรู้ว่าเราเป็นผู้มีบุญคุณ รู้ว่าเราได้ให้ไปเท่าไหร่ เมื่อกี้นี้ได้ให้ทองคำไปเท่านี้แหละ ราคาไม่ใช่น้อย ให้ไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตอนนี้คิดราคาน่าจะเป็นล้าน ในราคาเมื่อก่อนน่าจะไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อมาในยุคนี้ราคาต้องมากกว่าอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการให้ต้องศูนย์ ไม่มีตัวตนไม่มีอะไรต่อเนื่องเป็นเราเป็นของเรา 

มันก็ต้องมีตัวตนแน่นอน กินของฉันไหมอย่างนั้นมันมีตัวตน ต้องให้ไปเลย ท่านจะฉันหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ท่านจะไปให้ใครต่อก็แล้วแต่ท่านอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 14:46:50 )

การให้ในแบบโลกุตรชนเป็นอย่างไร

รายละเอียด

อาตมามีนิดหนึ่ง เกี่ยวกับการให้ หรือทาน ให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ให้ด้วยมือให้ด้วยปากพูดแต่ว่าต้องการเอาคืนมากกว่า จากการให้นี่ทำให้เหมือนเหยื่อติดเบ็ดแล้วตกปลาตัวโตกว่า ให้อย่างนี้ในเชิงชั้นของคนทำได้จริงทำเก่งแต่ซวยเพราะว่าทำบาป คนไม่รู้รายละเอียดพวกนี้ไม่รู้นัยะซับซ้อน จึงต้องมาศึกษาธรรมะให้ดี มันมีอยู่ทั่วโลก แล้วไม่มีศาสนาไหนสอนได้ละเอียดลออเท่ากับศาสนาพุทธ การให้นั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อ 1. เจ้าตัวเองต้องรู้จักกิเลสเรียกว่าพ้นสักกายะทิฐิ สามารถอ่านจิตเจตสิกรูปนิพพานอ่านอาการจิตของตัวเองออก ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของกิเลส อันนี้เป็นกิเลสโลภ อาการนี้อยากได้มาให้แก่ตน อันนี้เป็นอาการเกิดขึ้นของจริงในบัดนั้นเวลานั้นมีอาการชัดๆไม่ใช่นึกเอาคิดเอา มีหรือไม่มีโมเมทั้งนั้น แต่ตอนนี้สัมผัสกำลังเกิดอาการอยู่หลักๆ อาการโลภ ทั้งที่ให้เขาแต่อาการโลภจะเอามากกว่า โลภก็บาปแล้วมีเหลี่ยมโกงในโลภอีก แล้วคนในโลกก็ไม่รู้ว่าเขาทำเหลี่ยมโกง เขาก็ทำกันทั่วโลก คนที่ไม่รู้หรืออวิชชาน่าสงสารทำกันอยู่อย่างนั้น มีชาวอโศกเรียนรู้สัจธรรมเหล่านี้ เลิกทำ จึงเกิดกลุ่มคนแบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังมีซ้อนละเอียดกว่านี้อีกเยอะเราก็เจริญไปเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:21:42 )

การได้-การจ่าย เรือนเรือ-เรือเรือน

รายละเอียด

ในโลกก็มีการได้ การจ่าย เราจ่าย เราให้ช่างมาทำงานได้รับค่าจ้างหมุนเวียน คือการช่วยเหลือเลี้ยงดูกันและกันให้เขามีงานการทำ เอารายได้ไปเลี้ยงชีพ และคนมารับจ้างที่นี่ มีบ้านเรือ เมืองเรือ ก็อยู่กันไปอีกอย่างนี้นานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ เรือเรือนคือเรืออยู่ในน้ำ แต่อาศัยอยู่เหมือนเรือน แต่เรือนเรือ คือเรืออยู่บนบก เอาไว้พักอาศัยอยู่บนบก มีเรือเยอะ คนมาสะดุดใจเลย มันเป็นจุดสุดแห่งโลกสุดท้ายต้องมาอยู่ที่เรือจึงรอด หากไม่อยู่ในเรือไม่รอด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 09:11:10 )

การได้ฌาน 4

รายละเอียด

จากการปฏิบัติตามจรณะข้อที่ 1 ถึง 11ก็จะมีความซ้อนที่เรียกว่าฌาน ฌานไม่ได้ไปนั่งทำสะกดจิต ฌาน ถึงพร้อมด้วยศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ พหูสูต พร้อมด้วยความเพียรมีสติปัญญา เจริญ​ๆๆ สอดประสานช่วยกันขึ้นให้เราเจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือความเจริญของพลังงานจิตที่เรียกวาฌาน คือพลังงานไฟที่มีฤทธิ์ เตวิชโช อุณหธาตุ มันสามารถที่จะไปสลาย ราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นพลังงานจริงๆ เป็นอุณหธาตุที่ไปสลาย ราคะโทสะโมหะ อย่างเป็นจริง

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:38:34 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:52:19 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:02:46 )

การได้ผลจากภาวะที่เหลืออยู่จากการทำบุญคืออะไร

รายละเอียด

ต่อเมื่อ“บุญ”กำจัดกิเลสออกไปได้ผล “การได้ผล”นั้นคือ“ดี” มันหมายถึง“ดี”

แต่“การฆ่า”คือ ร้าย! มันสลับกันไปมา 

ก็เหลือ“จิต”ที่สะอาดจากกิเลส ส่วนนี้ต่างหากที่เป็นภาวะที่“เหลืออยู่”ให้เรียกได้เป็น“ภาวะดี”  สิ่งที่“ปรากฏอยู่”สะอาดดี

“ภาวะดี”นี้“ทรงสภาพสะอาด”ขึ้นมา

เมื่อยังกำจัดกิเลสไม่ได้ ก็ยังไม่มี“จิตสะอาด”นั้น เกิดขึ้นมา“ตั้งอยู่” หรือ“ทรงอยู่”

ก็ยัง“ไม่มีภาวะนั้น”ขึ้นมาให้“ทรงอยู่”

เพราะยังไม่“ผ่านปัจจุบันนั้น” ยังไม่เกิด“ภาวะดี”ที่เป็น“จิต”เหลืออยู่-ทรงอยู่

จิตที่เป็น“ภาวะดี”เพราะจิตได้ถูกชำระกิเลสออกไปจากจิตแล้วเป็นส่วนที่“เหลืออยู่”

ซึ่งไม่ใช่“บุญ”เลยที่“เหลืออยู่”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู (สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือ อธรรม มิใช่ ธรรมะ


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:07:00 )

การได้ฟังธรรมมี อานิสงส์

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราอย่าให้เพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆแล้วศึกษาฝึกฝนไป การได้ฟังธรรมมี อานิสงส์ในการฟังธรรม5 ประการ 

1. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ) 

2. ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ) 

3. ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ) 

4. ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ)  

5. จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ) 

(พตปฎ. เล่ม 22  ธัมมัสวนสูตร ข้อ 202) 

ตอนนี้ท็อปนิวส์เอาอันนี้มาออกแล้วบอกว่าเป็นของมหาบัวแต่ที่จริงเป็นของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกท่านพุทธทาสท่านบอกว่าฉีกทิ้งสัก 60 ส่วน คือท่านเข้าใจเท่านั้น นอกนั้นท่านไม่เข้าใจก็เลยบอกว่ามันมากไปฟุ้ง ขออภัยมันเป็นกิเลสมานะของท่านพุทธทาสเอง ไปตีทิ้ง อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษา ไม่ได้ไปช่างอ่านช่างศึกษา ถ้าหากอาตมาศึกษาพระไตรปิฎกมากกว่านี้ อาตมาจะมีหลักฐานของพระพุทธเจ้ามาพูดกับพวกคุณอีกเยอะเลย มันเป็นความด้อยของอาตมาอย่างหนึ่ง เป็นคนด้อยการศึกษา จะแก้ตัวว่าตัวเองไม่มีเวลาก็ไม่ใช่ จะว่าก็จริง เวลาอาตมาทุกวันนี้เอาเวลาไปนอนเสียเยอะ พยายามถนอม สะสมพลังงานให้แก่ตัวเองเพื่อที่จะทรงอยู่ได้ มันก็เลยนอนมากทุกวันนี้ ขอยอมรับว่า ต้องนอนมาก 

ไม่ได้หิวนอน ไม่ได้อยากนอนนะ ทางอีสานเขาเรียก หิวนอน ทางภาคกลางเรียก อยากนอน อาตมาไม่ได้อยาก ไม่ต้องการ ไม่ได้หิวหรอก แต่มันต้องนอน เพื่อประคองสังขารให้ยืนยาวไป มันเป็นความจำเป็นซึ่งอาตมาก็ประมาณการสังเคราะห์ของสัดส่วน สรีระต่างๆด้วย เป็นการใช้สรีระต่างๆที่จะใช้เท่าไหร่ พักเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าสอนให้เรา รู้จักพัก รู้จักเพียร 

เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป 

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท 

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2566 ( 09:07:35 )

การได้อัตตา 3

รายละเอียด

1. การได้ครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ) 
2. การได้ครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ ต่อเนื่องอยู่ (มโนมยอัตตา ฯ) 
3. การได้ครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ) 
 

การได้อัตตา 3 ประการ
    [302] ดูกรโปฏฐปาทะ  ความได้อัตตา 3เหล่านี้  คือ  ได้อัตตาที่หยาบ1   ได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ1   ได้อัตตาที่หารูปมิได้ 1
    ความได้อัตตาที่หยาบเป็นไฉน คือ อัตตาที่มีรูปอันประกอบด้วยมหาภูต 4 บริโภคกวฬิงการาหาร  นี้ความได้อัตตาที่หยาบ 
    ความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจเป็นไฉน คือ อัตตาที่มีรูปสำเร็จด้วยใจ  มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน  มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง นี้ความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ 
    ความได้อัตตาที่หารูปมิได้เป็นไฉน คือ อัตตาอันหารูปมิได้ สำเร็จด้วยสัญญา  นี้ความได้อัตตาที่หารูปมิได้.   

ที่มา ที่ไป

โปฏฐปาทสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 302, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 07:54:57 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:04:45 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:38:23 )

การได้เปรียบคือหนี้โดยสัจธรรม

รายละเอียด

ในเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่เป็นสภาวะโลกียะ ที่เขาพูดกันนี้ มันคือความวนที่ซับซ้อน  หนี้ซ้อนหนี้ หนี้ซ้อนหนี้ทับทวี ไปเรื่อยๆ 

แล้วหนี้ที่ซับซ้อนหนี้ นี้อาตมาเคยพูดมาแล้ว มันจะมีเป็นหนี้เสีย เป็น NPL (Non-Performing Loan) หายไปกับสายลมทิ้งไป ขนาดที่มันจะหายไปกับสายลม มันก็ยังมีหนี้ที่ยังบันทึก ยังไม่หาย ยังไม่เลือนไปกับสายลมอีกไม่ใช่น้อย ที่จะวนเวียนวนเวียนต่อไปอีก ในโลกียะจะมีหนี้พอกหางหมูทับทวีอย่างนี้ไม่มีวันจบ ในโลกทุนนิยมขอบอกไว้เลย ทุกประเทศ โลกียะ มีประเทศที่จะมีโลกุตระและกลุ่มหมู่ของคนโลกุตระเท่านั้นที่จะไม่มีหนี้พอกหางหมูทับทวี บริสุทธิ์ที่สุด นอกนั้นไม่บริสุทธิ์ 

เพราะคนรวมกันในมวลคน มีตะกละมาก-ตะกละน้อยกันทั้งนั้น ยังมีกิเลสกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น(ถาม) คนทุกคนที่ตะกละและมีกิเลสนี้จะเป็นคนที่ทำตนเองได้เปรียบหรือทำตนเองเสียเปรียบ? ก็ต้องทำตัวเองได้เปรียบ ตอบดังๆ “ได้เปรียบ” 

การได้เปรียบ คือ หนี้โดยสัจธรรม การเสียเปรียบคือการเสียสละ ไม่ใช่หนี้ การเสียเปรียบคือการเสียสละออกไป ไม่มีหนี้ติดกลับมา 

ง่ายๆ ใครคิดไม่ออก เอาหัวฟาดภูเขาเลย เพราะฉะนั้นเราก็ปลอดภัย เราไม่มีหนี้ โดยลึกซึ้ง-โดยหยาบตื้น-ลึกซึ้งก็ไม่มีทั้งนั้น เห็นไหมนัยยะสำคัญของสภาพที่เกิดเรียกว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน 

เพราะฉะนั้นชาวอโศกที่มีสาธารณโภคี เพราะพวกคุณจิตสูญ จิตไม่สะสม จิตไม่ต้องการเอาเปรียบ จิตไม่ต้องการอยากได้ มีแต่มาเสียสละ เสียสละ เสียสละตั้งแต่วันคุณรู้ และตัดสินได้ประพฤติอย่างนี้ เป็นกรรมของคุณจริงๆ ตลอดไปเลย ปัญญาที่มันรู้ว่า คนเราถ้ายืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ตรงที่ไม่เอาเปรียบใคร มีแต่สละ 

เป็นคน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ปลายเปิดตัวนี้ตลอดกาลนาน ไม่มีวันเป็นหนี้ มีแต่เป็นประโยชน์ตลอดกาลนาน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 11:35:29 )

การได้เป็นกษัตริย์นั้นมีความลึกซึ้งของกรรมวิบาก

รายละเอียด

คุณตุ๊กอัศวินบอกว่า ผู้ที่มาเป็นกษัตริย์ไม่เฉพาะราชวงศ์จักรี จะเป็นราชวงศ์ไหนก็แล้วแต่ อยู่ดีๆเกิดมาเป็นคนแล้วจะไปเป็นกษัตริย์ได้ง่ายๆเหมือนกับสมัครไปเป็นประธานาธิบดี เอาใครก็ได้ แบกถุงเงินมา หรือไปสร้างขุมอำนาจมาก่อน แล้วก็มาให้เขาเลือกขึ้นไปเป็นประธานาธิบดี อย่างนี้มันไม่ใช่ กษัตริย์มีการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งผู้ที่จะไปเกิดอยู่พระราชวงศ์ จะต้องมีบารมี เป็นเรื่องของกรรมวิบาก อยู่ดีๆอยากจะไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ จะเป็นได้ยังไง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องขายหม้อข้าวหม้อแกงเล่นนะ นี่เป็นเรื่องกรรมวิบาก 

เรื่องจริงที่ว่าเป็นเรื่องของกรรมวิบาก เรื่องของฐานานุฐานะต่างๆ ของมนุษยชาติ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคนมิลักขะ เกิดเป็นคนอาริยกะ เกิดเป็นมิลักขะคนเถื่อนๆ ประเภทบ้าๆบอๆ เป็นคนที่รุนแรง ไม่เข้าใจสัจธรรม ซึ่งอันนี้มันซับซ้อน อย่างประเทศที่เขาไม่เข้าใจกรรมวิบาก เขาไม่รู้ว่าตัวเอง ทำตนให้เป็นคนเถื่อน เป็นคนมิลักขะ เป็นคนโหดร้ายรุนแรง เป็นคนโลภจัด หรือว่าโกรธจัด แค้นจัด ทั้งโลภโกรธหลง มันจัดจ้าน เขาไม่รู้เพราะฉะนั้น คนที่มีโลภโกรธหลงจัดจ้านคือคนเถื่อน แต่โลกไม่รู้ ไปยกย่องว่าเป็นคนเจริญ แท้จริงเป็นคนดุร้าย เป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ฆ่าคนได้เก่ง ฝึกฝนวิธีการฆ่าคนได้ ข่มมนุษย์ชาวโลกชาวคณะสังคมอื่นเขาได้ แล้วคนไม่รู้ก็ต่างยอมต่างยกย่อง ต้องติดต่อสัมพันธ์อะไรพวกนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดของความเป็นมนุษยชาติที่ลึกซึ้งซับซ้อน ศึกษากันดีๆแล้วจะได้เข้าใจ 

อย่างคนไทย อย่างพระเจ้าอยู่หัวหรือว่าอย่างประชากรก็ตาม ประชาชนของไทยเป็นคนที่มีศาสนาพุทธเป็นพื้น คนไทยเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ 95% รู้จักกรรม รู้จักวิบาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ศาสนาทางตะวันตก ทางศาสนาพระเจ้า เขาไม่รู้เรื่องกรรมวิบากเลย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเลย เขาไม่รู้กรรมที่ทำลงไปแล้วมันเป็นวิบากที่ทำให้เขาเกิด หมุนเวียนเกิดแล้วเกิดอีก ตกต่ำขึ้นสูง ฉลาดขี้โกงซับซ้อน เขาไม่รู้จักหรอก เขาไม่ได้เรียน เพราะศาสดาทางเทวนิยมไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิดที่เป็นกรรมวิบาก ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่รู้ไม่ได้ง่ายๆ เดาไม่ได้ คิดเองไม่ได้ ต้องมีแนวทางที่เป็นโลกุตระจึงจะรู้เรื่องนี้อย่างดี อย่างสัมมาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นการที่จะเกิดเป็นคนเจริญ เป็นคนสูง ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ละองค์ บางองค์จะเป็นคนโหดร้ายเป็นคนรุนแรง หรือเป็นคนจริยวัตรไม่ค่อยเหมาะสมอะไรก็ตาม ก็เป็นได้เป็นธรรมดา เป็นจากกรรมวิบาก ซึ่งซับซ้อนมาก สามารถขึ้นไปเกิดไปเป็นราชวงศ์ หรือเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน แต่เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่จริยวัตรไม่ดี ประพฤติไม่ดี ทำอะไรต่ออะไรไม่ดี ซึ่งเป็นค่านิยมของสากลทั่วไปเขารู้ได้ ก็เป็นได้ แต่ส่วนมากจะดี ที่มีส่วนไม่ดี มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของกรรมวิบาก เป็นอยู่ ซับซ้อนอยู่ แต่ส่วนมากจะมีบารมีถึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะดี ถ้าไม่ดีก็อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เสื่อมสูญ มีอันจะเป็นไป เป็นธรรมดา 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #34 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 หนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 12:07:36 )

การไปนั่งหลับตา

รายละเอียด

การไปนั่งหลับตา  คือ การทิ้งทวารทั้ง 5ก็หมดท่าเลย เพราะคำว่า กามก็ดี  กาย ก็ดี  ต้องมี 2 ถ้าคุณไม่มีจิตวิญญาณ  กามก็ไม่มี  ต้องมีจิตวิญญาณที่ทำงานกับทวาร 5 ด้วย แม้มีจิตแต่ไม่ทำงานกับทวาร 5 ก็เท่ากับเอาตัวเองไปฝัง  ไม่ได้เรียนรู้ “กาม” ไม่ได้เรียนรู้ “กาย”  ภาษาสิริมหามายา  พวกนี้ตายไปแล้วก็ยังมี กาย  เพราะคุณดับความเป็นกายออกจากจิตไม่ได้ คุณแยกกาย  แยกจิตไม่ได้  เมื่อแยกกายแยกจิตไม่ได้  ทำใจในใจ  ทำให้จิตเป็นสภาวะอาการของความไม่ใช่กาย เป็นอุตุ  เป็นความเป็นจิตให้เป็นแค่พีชะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:31:17 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:11:58 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:05:40 )

การไม่กำหนดหรือบังคับคือความอิสรเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด

รายละเอียด

ขอให้เข้าใจดีๆเรื่องนี้อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นก็เถียงกันอยู่อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ที่ไหน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติระบุไว้ชัดเจน แต่มีคำบรรยายบ้างอยู่ในมหายาน เราก็มีเก็บไว้บ้างว่าการฉันเนื้อสัตว์มันไม่ดีอย่างไร มันลงนรกเป็นบาปเป็นวิบากอย่างไรก็บรรยายไว้เยอะแยะมากมาย เพราะฉะนั้นผู้รู้ก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ที่ฉลาดแล้วรู้แล้วก็จะไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ที่ยังโง่อยู่ไม่ฉลาดอยู่ เขาก็มีคำบรรยายพวกนี้ไว้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปบัญญัติ กำหนดบังคับหรือว่าอะไรไม่ นี่คือความอิสรเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 20:07:01 )

การไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์เป็นปาฏิหาริย์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจดีๆ คนมีภูมิปัญญาแท้ๆ ชัดเจนจึงหายาก เพราะฉะนั้นคนไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์แค่นี้แหละเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ไม่กินเนื้อสัตว์เพื่อรักษาสุขภาพก็อย่างหนึ่ง ไม่กินเนื้อสัตว์เพราะรู้จักวิบากกรรมก็ลึกเข้าไปอีก เพื่อสุขภาพนั้นได้ไปในตัวฟรีๆเลย ไม่กินเนื้อสัตว์เพราะว่ารู้ว่ามันเป็นวิบากกรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 18:56:45 )

การไม่ง่ายที่จะมาเอาความจนและมาอยู่สบาย

รายละเอียด

คือ  ชาวอโศกเข้าใจ  ชีวิตเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว  ความคิดเป็นของเรา  ความเชื่อถือเป็นของเรา  ความต้องการก็เป็นของเราแต่ละคนก็ทำของแต่ละคน  เห็นว่าอย่างนี้ดีก็ทำ ซึ่งไม่ง่ายการที่จะมาเอาความจนจะมาอยู่  สบายๆ  อย่างนี้  เห็นอย่างนี้เป็นเรื่องดี  แม้แต่ในประเทศไทย ก็มีอย่างนี้  พูดมา 49 ปี จะขึ้นปีที่ 50 แล้วมีแค่นี้เปิดดูซิถ่ายทอดทางโทรทัศน์มีคนเปิดดูสักกี่คน  คราวก่อนจำได้  ตัวเลข  138 คน  ตอนนี้เท่าไหร่ 103 คน แล้ว เมื่อไหร่มันจะกระจายผลออกไปได้คิดดูซิใน  Facebook   มีดูสด  127  คน

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 15:28:54 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 15:14:59 )

การไม่ง่ายที่จะมาเอาความจนและมาอยู่สบาย

รายละเอียด

พวกเราเข้าใจ ชีวิตเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว ความคิดเป็นของเราความเชื่อถือเป็นของเรา ความต้องการก็เป็นของเรา แต่ละคนก็ทำของแต่ละคน เห็นว่าอย่างนี้ดีก็ทำ ซึ่งไม่ง่ายการที่จะมาเอาความจนจะมาอยู่สบายๆอย่างนี้ เห็นอย่างนี้เป็นเรื่องดี แม้แต่ในประเทศไทยก็มีอย่างนี้ พูดมา 49 ปีจะขึ้นปีที่ 50 แล้ว มีแค่นี้ เปิดดูซิ ถ่ายทอดทางโทรทัศน์มีคนเปิดดูสักกี่คน คราวก่อนจำได้ตัวเลข 138 คน ตอนนี้เท่าไหร่ 103 คน แล้วเมื่อไหร่มันจะกระจายผลออกไปได้คิดดูซิ ใน Facebook มีดูสด 127 คน 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 13:04:01 )

การไม่ฉันเนื้อสัตว์นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจกรรมวิบาก

รายละเอียด

เพราะการไม่ฉันเนื้อสัตว์นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจกรรมวิบาก เข้าใจว่าบาปนี้

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

 (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน   ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13 ข.60 

เขาไม่เข้าใจกรรมวิบากว่า สัตว์ทุกตัวมันติดมันยึด แม้ตายไปแล้วมันก็ติดยึดว่านี่เนื้อของข้า คนผู้ที่มีอวิชชาก็ยังติดยึดว่า เป็นร่างของข้า วนเวียน หรือยึดถือว่านี่เป็นของข้า เหมือนพวกนั่งหลับตาไปใหญ่เลย ตายแล้วก็ยังไม่ยอมตาย คือจิตวิญญาณไม่ออกจากร่างไปหมด เป็นแต่เพียงว่าจิตวิญญาณมัน Drop เป็นเพียงมนุษย์พืช แล้วก็นอนไม่เน่า แล้วไปเคารพพวกอวิชชา นอนไม่เน่า บอกว่าเป็นผู้วิเศษ เอาโลงแก้วมาใส่อีก แล้วมันก็ค่อยทยอย ถ้าให้อาหารอยู่ก็อยู่อย่างมนุษย์พืช แต่ถ้าไม่ได้ให้อาหารมันก็จะค่อยๆ เหี่ยวลงๆ พลังงานที่จะเอาอาหารในร่างกายที่เหลือ ที่เป็นธาตุ เป็นวิตามิน เป็นอะไรมาเลี้ยงกาย ก็จะค่อยๆผอมแห้งลงเรื่อยๆอยู่ในโลงนั่นแหละ แล้วก็เคารพกันอย่างมิจฉาทิฏฐิ หรือไปเคารพพระที่นั่งหลับตาสมาธิตาย ก็คล้ายกัน สิ่งเหล่านี้มันน่าสงสารเพราะมิจฉาทิฏฐิผิดไปไกล ก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจ ผู้ยึดติดเป็นมิจฉาทิฐิเหนียวแน่น ข้อสำคัญคือไม่มีปฏิภาณปัญญาจะเข้าใจโลกุตรธรรม ที่อาตมาอธิบายพวกนี้ ก็เลยยาก สำหรับผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นในความเห็นเก่า ความเห็นเดิมของตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:56:50 )

การไม่ตกภวังค์กับการเกิดภวตัณหาคืออย่างไร

รายละเอียด

การไม่ตกภวังค์ คือ ไม่เข้าไปอยู่ในองค์ของภพ ถ้าหลับตาแล้วรู้สึกอยู่ภายใน นี่คือภวังค์ แต่ของพระเจ้าคือผู้พ้นกามภพเหลือภวตัณหา ก็ไม่ได้หลับตา แต่เราอยู่เหนือกามแล้วอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เกิดภาวะตัณหาของผู้ที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ถึงไม่ได้อยู่ในภาวตัณหา แบบหลับตาเข้าไป คุณหลับตาเข้าไปนั้นไม่ได้ลดกามไม่ได้ล้างกาม แล้วจะไปมีภวตัณหามันทำไม่ได้มันผิดธรรมชาติ คุณจะเข้าไปถึงตัวห้องใสของกลางภูเขา คุณเองจะไปปฏิบัติอยู่ในถ้ำกลางความใสเลย โดยที่คุณไม่ผ่านข้างนอกถ้าคุณเข้าไปก่อนข้างนอก ทะลุจากเปลือกแล้วเข้าไปหาเนื้อกลาง หากว่ามี 3 ชั้น คุณต้องรู้จักเปลือกนอกคือกาม ทะลุเข้าไปแล้วจึงจะไปสู่ความใสได้ จะไปสู่ความใสเลยทันทีเลยมันไม่ได้ มันผิดธรรมชาติ เพราะว่าคุณจะเพียงสมมุติเอา ไม่ได้ล้างกิเลสเลยเท่ากับคุณไปสร้างกิเลสภพใหม่ ในการหลับตา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:58:41 )

การไม่ถือปริมาณคณะใหญ่เล็กทำมาวัดความเจริญเป็นเคล็ดวิชาของพ่อครู

รายละเอียด

สัจจธรรมโลกุตระก็มีหมู่น้อยสิ เป็นยอดพีระมิดไม่ใช่ฐานพีระมิด เพื่อถูกต้องตามสัจจะ เอาปริมาณมาวัดไม่ได้ ซึ่งคุณยังไม่ฉลาดพอ อาตมาไม่ว่าคุณโง่ แต่คุณยังไม่ฉลาดพอที่จะรู้ ก็จริงยอดพีระมิดก็ต้องมีน้อย ฐานพีระมิดก็ต้องใหญ่ คนไม่รู้ก็ต้องมากกว่าคนที่รู้โลกุตระ มันก็เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สูงสิ่งที่ยอดก็ต้องมีน้อย สิ่งที่เป็นฐานก็ต้องมีใหญ่มีเยอะ 

เป็นเอกีภาวะแน่นใน พวกเราแน่น ไม่ได้บังคับให้แน่นแต่รวมกันเป็นปึกแผ่น เป็นเอกีภาวะ ไม่ใช่เอาขยะมากลบใส่ ไม่ใช่ เราถึงมีการคัดเลือก ที่อาตมาทำเป็นการคัดเลือกในตัว เป็นกลวิธีของจอมยุทธ์ อาตมามีวรยุทธทำให้เป็นอย่างนี้ได้ ใช้ภาษากำลังภายในอธิบายเป็นประกอบ เคล็ดวิชาของอาตมา คนที่ยังไม่ควรเข้ามาจะเข้ามาไม่ได้ คนที่เข้ามาต้องมีภูมิพอและสมัครใจเข้ามา แล้วก็จะต้องรู้ว่าอย่างนี้นะ เขายิ่งไม่ว่าเรา เรายิ่งควรจะหน้าบาง ถ้าขืนเราหน้าหนามันหน้าด้าน เขายิ่งไม่ว่าเรา เรายิ่งควรหน้าบาง มันจะซ้อนอย่างนี้ชัดเจนดี มันจะสำนึกสำเหนียกจริงๆ มันเป็นสัจจะของตัวธรรมะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 15:09:28 )

การไม่ประกาศศาสนาหรือไม่แสดงตัวตนไม่มีประโยชน์กับโลกและมนุษยชาติ

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถจะชัดเจนว่า คนนี้เป็นพระพุทธเจ้า คนนี้เป็นสัตบุรุษ คนนี้แหละจะเป็นผู้นำของเรา ผู้ใดยังไม่มีภูมิธรรมขึ้นมาเป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะหรือเป็นพระพุทธเจ้า ผู้นั้นต้องได้รับความรู้จากผู้ที่เขาถือว่าเป็นเจ้าของ ผู้ที่เป็นเจ้าของจริงที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า เป็นธรรมสามี รองลงมาก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ หรือมองในมุมอีกมุมนึง ก็อธิบายได้ว่าเหนือกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ในมุมที่ลบเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีสภาพ ไม่แสดงตัวเลย แต่มันไม่มีประโยชน์กับโลกกับมนุษยชาติ ฉะนั้นมีประโยชน์กับมนุษยชาติดีกว่า คุณจะเอาอัตตาโต อัตตาชนะ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่แสดงตัวตนใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าก็ใหญ่ไปเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:20:53 )

การไม่มีปรโตโฆษะเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปแล้วจากหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน อาตมาพูดย้ำว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ อาตมาต้องไม่พูดด้วยกิเลส คำพูดต้องเป็นคำจริง ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็จะจบ แต่ถ้าไม่เชื่อตั้งแต่ต้นว่าเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ คุณฟังให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง แล้วคุณจะเข้าใจผิดออกไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่มี ปรโตโฆษะ คือต้องฟังของอันอื่นบ้าง แค่คุณคัดอาตมาออกแล้ว ฟังก็ฟังอย่างจับผิดตั้งเป้าไว้ว่าเป็นพวกที่มิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่ตั้งเป้าไว้อย่างนั้นฟังธรรมของอาตมาจะยิ่งลำบาก จะยิ่งสั่งสมความไม่ชอบใจอึดอัดขัดเคืองก็จะหาทางขัดแย้ง ตะแบงออกไปเรื่อยๆ อาตมาพาไปทางที่ถูก คุณยิ่งตะแบงออกไปเรื่อยๆ ของที่คุณคิดว่าคุณถูก คุณยิ่งมีโลกจินตาหาเหตุผลให้แก่ตัวเองยิ่งไปไกลมันยิ่งลงนรกลึกไปเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 19:42:55 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:02:56 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:06:56 )

การไม่มีผู้บันทึกคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตยเพราะ...

รายละเอียด

จนกระทั่งโกณฑัญญะเป็นผู้รู้บรรลุคนแรก ศึกษาธรรมะให้ดีๆจะเข้าใจว่า อาตมาไปเอาอะไรมาพูด ไปเอาอะไรมาอธิบาย ในตำรับตำรา แม้แต่ในอรรถกถาจารย์ก็ไม่มีใครมาพูดอย่างที่อาตมาอธิบายสักมุมนัยยะสำคัญ อย่างที่พูดละเอียดลออ ไม่มีหรอก ในอรรถกถาจารย์ใดๆ ก็ไม่มี

ที่ไม่มีก็เป็นอจินไตยอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีเพราะแม้แต่ในระยะที่จะบันทึกคำสอน แล้วผู้ที่จะเรียนรู้ตาม จนกระทั่งสู่รู้เป็นอรรถกถาจารย์สู่รู้ การสู่รู้ของอรรถกถาจารย์มีความผิดเยอะ จะมีถูกบ้างส่วนหนึ่ง แต่ผิดเยอะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 19:36:02 )

การไม่ยึดถือขอบเขตของตัวตน

รายละเอียด

แม้คุณไปอยู่เฮือนบวร แต่คุณไปเอาตรงไหนขอบเขตนี้แล้วก็บอกว่านี่ขอบเขตของฉันใครรุกล้ำไม่ได้ ให้มาอยู่แล้วยึดไม่ได้ ดีไม่ดีคุณไม่อยู่แล้วคนอื่นมาอยู่แทนคุณก็จะไปบอกว่านี่ฉันเคยอยู่ ฉันอยู่ตรงนี้มานานแล้วนะ นี่ของฉัน ส่วนคนที่มาอยู่ก็จะบอกว่าฉันชอบตรงนี้ จะอยู่ตรงนี้ ถ้าคนๆนี้ไม่ยึดถือว่าที่นี่เป็นของเรา ที่อื่นมันมีคุณก็ไปหาที่อื่นในอาคารบวรนี้มีที่ นอกจากไม่มีที่ ไปแล้วก็เบียดกัน แต่ถ้ามันยังมีอีกเยอะ จิตที่ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ก็จะอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งมันก็อยู่สบาย ซึ่งจะค่อยๆเข้าใจ แล้วมันจะไม่มีปัญหาในเรื่องพวกนี้แม้แต่สถานที่

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:49:09 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:24:50 )

การไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ระหว่างพระที่บวชชำระกิเลสจริง กับพระที่ทำเละเทะ

รายละเอียด

คือผู้ที่มาบวชเพื่อการชำระกิเลสจริง ให้เป็นคนเจริญให้เป็นคนบรรลุธรรม  กับคนที่มาทำเละเทะอยู่อย่างนี้  มันจะให้อยู่ด้วยกันไปด้วยกัน มาด้วยกันได้อย่างไร  นี่แหละเป็นเรื่องที่สุด  สมัยพระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าใครไม่บริสุทธิ์  ก็จะไม่ร่วมทำสังฆกรรมด้วยเลย  พูดไปแล้วใครจะว่าเป็นเรื่องยกตนข่มท่าน  เป็นเรื่องอวดดี  แต่จริงๆ แล้ว  เรื่องที่ดีควรจะแสดง ควรจะยกย่อง สิ่งที่ไม่ดี ก็ควรจะข่ม  ควรจะตำหนิ  ควรจะทำลาย  อย่าให้มาปฏิบัติ  ประพฤติกันอยู่ มันเป็นสัจจมันเลี่ยงไม่ออก  สิ่งที่ผิดมันเยอะ ก็เลยต้องตำหนิเยอะ  เมื่อจะยกย่องคนที่ดี ที่ถูกต้อง ก็เลยเหมือนกับยกตัวเอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2562 ( 10:32:19 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:27:56 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:59:25 )

การไม่เปิดจิตมีปรโตโฆษะเท่ากับปิดกั้นตัวเองให้เจริญต่อไปไม่ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่า ท่านประยุทธ์เปิดจิต มีปรโตโฆษะ รับฟังอาตมาบ้าง อธิบายไปแต่ละคำ ท่านเป็นคนมีปฏิภาณปัญญาลึกๆ เฉลียวฉลาดอยู่ไม่ใช่น้อย แต่การไม่เปิดจิต มันกั้นให้ตัวเอง เจริญต่อไปอะไรต่อไม่ได้ โดยเฉพาะปิดกั้นกับผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ผู้ที่มีสัจธรรมที่เราควรจะได้ แต่เราไปกั้นตัวเอง ไม่เปิดรับผู้ที่มีสิ่งที่ควรจะได้ แล้วมันจะได้อะไรล่ะ 

สิ่งที่ไม่ได้ตามหลักธรรมก็คือ เมื่อไม่มีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการก็ไม่เกิด ทำใจในใจก็ไม่ถ่องแท้ ไม่แยบคาย ทำใจในใจ แบบโลกีย์อยู่ เขาก็ทำใจในใจ ทางโลกีย์แบบเดียรถีย์ เขาก็บอกว่าทำใจในใจแบบโลกีย์แบบ เดียรถีย์  แบบเทวนิยม มันยังไม่เข้าแกน แบบโลกุตระ
วันนี้ต้องขออนุญาตท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านประยุทธ์จริงๆ ที่พาดพิงถึงท่าน เอาสัจธรรมมาพูดและอ้างอิงตัวตนเพื่อการศึกษา สิ่งที่อาตมานำมาพูด เป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นเรื่องที่เป็นจริงเกิดในโลกเกิดในมนุษย์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:31:27 )

การไม่เอามันง่ายๆ แต่มันยากๆนะ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พอท่านตรัสรู้สิ่งที่สูงสุดแล้วในความเป็นคน เป็นสัตว์โลก ก็ไม่เอาอีก ท่านมีสมบัติพัสถาน มีสถานะ มีทรัพย์สินต่างๆนานา ท่านก็ไม่เอา ปล่อยให้พวกบ้าๆบอๆไปหลงแย่งชิงกันไป ท่านไม่เอาแล้ว ฟังเข้าใจไหม มันง่ายๆ แต่มันยากๆนะ อะไร? 

ก็นี่แหละ ก็ตรัสรู้สูงสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านไม่เอา ไอ้ที่โลกมันแย่งมาตลอดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ สมบัติผลัดกันชม เขาไม่รู้หรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่แย่ง ถ้าท่านอยู่เป็นฆราวาส เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิเลย ยิ่งกว่าเจงกิสข่าน เพราะจะเป็นจอมจักรพรรดิจริงๆ เป็นจอมจักรพรรดิโลกุตระ ไม่ต้องไปฆ่าแกงทำร้ายใคร ไม่ต้องล่าเมืองขึ้น แต่ประเทศต่างๆ 

ในสมัยพระพุทธเจ้ามีแคว้นต่างๆในทวีปอินเดียจะมาขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าหมด เพราะฉะนั้นจะเป็นใหญ่ ใหญ่ยิ่งกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ใหญ่กว่าพระเจ้าพิมพิสารในยุคนั้นที่เป็นแคว้นใหญ่ 2 แคว้นในทวีปอินเดีย จะใหญ่กว่าเลย ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ แต่ท่านไม่เอาอะไรเลย เสื้อผ้าหน้าแพรก็ไม่เอารองเท้าทองก็ไม่เอา ถอดรองเท้าฝ่าพระบาทเปล่า เสื้อผ้าก็ไม่เอา เอาผ้าห่อศพมานุ่งห่ม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:29:38 )

การไม่ใส่ใจเป็นวิธีสมถะ

รายละเอียด

การไม่ใส่ใจเป็นสมถะวิธีชนิดหนึ่ง หลุดได้เหมือนกันแต่ไม่ได้ไปดับกิเลส ต้องกำหนดรู้กิเลส อัตตาต่างๆให้ถ่องแท้โยนิโสฯ อโยนิโสฯแปลว่าไม่ถ่องแท้ ไม่เอา ไม่ทำใจในใจไม่เอา ไม่ถ่องแท้ไม่เอา แต่เอาโยนิโสฯมนสิฯเลยทำใจในใจ กำหนดหมายกิเลสตายกิเลสสูญไม่เกิดอีกเลยเป็นขี้เถ้า แล้ว กำหนดหมายทำกิเลสให้ดับ กิเลสตาย กิเลสสูญ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 16:02:53 )

การไม่ได้แบ่งปฏิบัติตามลำดับ

รายละเอียด

คือ คนที่เอาตัวเองออกห่างไม่มีผัสสะ โดยไม่ได้แบ่งทำตามลำดับ ศีล  สมาธิ ปัญญา เป็นหมวดหมู่เป็นปริเฉทไป ก็เข้าใจการศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ได้ก็เลย เป็นมิจฉาทิฐิเละเทะไปหมดเลย ผู้ที่ออกป่าโดยไม่เข้าใจผิด ตั้งจิต ทำจิตวิเวกยามิจฉาทิฏฐิ ไม่มีภายนอก ก็ปิดประตู อุปธิวิเวก ไม่มีทางรู้จักกิเลส ไม่มีทางจะทำอภิสังขารได้ ก็ปิดประตูอมตะปิดประตูนิพพานเลย นี่แหละคือคนที่ไกลแสนไกลจากวิเวก ฟังดีๆท่านผู้ที่ลับตา ที่หลงผิดมาเป็นล้านชาติทั้งหลาย ฟังให้ดีแล้วเอาไปพิจารณาเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสีย สมณะโพธิรักษ์เปิดทีวีดูช่องธรรมดาต่างๆ มีแต่สอนนั่งหลับตาหนีไปเข้าป่ามีแต่พระป่าทั้งนั้น พระบ้านสอนกันก็มีบ้าง แต่อย่าพูดถึงเลย พระบ้านประเดี๋ยวก็ไปเถียงกันอีก เพราะเขามีพยัญชนะภาษา พระป่าไม่มีพยัญชนะภาษาเถียงไม่ค่อยเก่ง แต่พระบ้านเถียงเก่งจริงๆ อาตมาสู้ไม่ค่อยไหวมันจะพาเราเข้าป่าเข้ารกด้วย ท่านไม่เสี่ยงถูกดึงเข้าป่า

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:22:17 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:31:43 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:41:14 )

การ์ดอย่าตก

รายละเอียด

ไม่รู้ว่าหมดจาก covid พลโลก 7,000 ล้าน จะเหลือเท่าไหร่ มันยังไม่ได้หยุดนะ อินเดียตอนนี้มีปฏิภาคทวี สถิติวันนี้ จะนำหน้าไทยเราอินเดีย เพราะอินเดียเป็นพวกเจโต ทน ก็มีภูมิคุ้มกันแบบเจโต แต่พอติดเข้าแล้วก็อ่อนแอ อะไรหลายอย่างทั้งสุขอนามัยก็ไม่ดี ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เราไม่มีสิทธิ์จะไปช่วยเหลืออะไรเขาเลย ก็ได้แต่รับฟังข่าวคราว มันก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ มันจะต้องเป็น มันก็ต้องเป็น ก็ขอย้ำกำชับกำชาพวกเราอย่าการ์ดอย่าตก ยังไว้ใจไม่ได้นะอย่าไปทำ ทะล่อทะแล่ อย่าไปเห็นแก่ได้การ์ดตกไปไม่รอดตายนะ ยังรู้สึกว่าดีอยู่ก็ให้มันดีต่อไป ยังดีนะพวกเรามีวิธีการ รู้วิธีการป้องกันอย่างไรดีแล้ว ทำดี อย่าไปประมาท อย่าไปเหลาะแหละ เราต้องไม่ประมาท คนที่จะมาจริงๆ มีเหตุปัจจัยต้องควบคุม 28 วัน 14 วัน ก่อน ไม่เช่นนั้นหลุดรอดมา ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่องเลย ดีไม่ดีมันอยู่ที่ตัวผู้ที่ติด แต่มันยังไม่ออกฤทธิ์เราก็ไม่รู้กัน แต่มันระบาด มาระบาดในพวกเราแพร่กัน ตายเลย จาก 1 คนเป็นสิบคนร้อยคนพันคน อโศกยิ่งหายากอยู่ เฮ่ย เสียดายนะ ยิ่งหายาก มันไม่ใช่มีมาก มีไม่ได้ง่ายๆเพราะฉะนั้นรักษาไว้ ช่วยกัน สำทับเรื่องนี้พอสมควร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:37:35 )

กาล

รายละเอียด

เวลา  สมัย  คราวอันบุคคลพึงนับ  ความตายช่วงแห่งเวลาที่มีและที่พ้นไปแล้ว

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 380

 


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:05:12 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:46:23 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 16:08:24 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์