@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

คนรับไม่ได้คนก็เสื่อมจากธรรมะโลกุตระไป 

รายละเอียด

มันน่าสงสารจริงๆ ในพระไตรปิฎก พระสูตรเล่ม 1 เลยพระพุทธเจ้าท่านเปิดเผยเรื่องนี้ พระสูตรแรกในพรหมชาลสูตร เขาก็เข้าใจไม่ได้ อ่านพระไตรปิฎกเรียนเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ก็แล้ว แต่ก็เข้าใจไม่ได้ เข้าใจความเป็นสัจจะไม่ได้ ซึ่งที่จริงอาตมาก็เข้าใจเห็นใจเขาว่า เขาภูมิไม่ถึง เขารู้ไม่ได้ เขายังเข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ได้ฟังสิ่งที่เป็นสัจจะพวกนี้ ที่อาตมาพยายามเปิดเผยความจริงให้ฟัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นสัจจะเอาไว้ พูดผ่านพูดซ้ำไม่รู้กี่ทีแล้วว่า ศาสนาพุทธของท่านนี้เป็นโลกุตระ แล้วมันก็จะเสื่อมไป สัจธรรมไม่มีเสื่อมหรอกเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นจริงยังไงก็เป็นอย่างนั้น แต่คนรับไม่ได้คนก็เสื่อมจากธรรมะโลกุตระไป 

ท่านพยากรณ์ไว้ก็มาถึงยุคที่ชี้ชัดว่าเสื่อมจริงๆ อาตมาเกิดในยุคนี้ก็มาพูดอย่างนี้ ถ้าหากอาตมาเกิดในยุคเสื่อมกว่านี้อีกก็ยืนยันในยุคโน้น อาตมาพูดตัวเป็นๆยืนยันอยู่บัดนี้ พ.ศ 2500 กว่าปีนี้ในยุคนี้ อาตมาเกิด 2477 ก็พบเจอกับลิงลมอมข้าวพอง กว่าจะมารู้ตัวก็ปี 2513 เราเป็นผู้นี้มาที่จะมาทำงานนี้เอง ไปหลงระเริงทางโลกตั้ง 36 ปี เสียดายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา ก็ไม่เป็นไรก็มาทำ เมื่อรู้ตัวแล้วก็มาทำตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ แล้วค่อยๆขยายความจริง แล้วก็พยายาม นอกจากขยายความจริงแล้วก็ยืนยันตนเองกับความจริง แล้วก็ค่อยๆข่มความเก๊และกำลังทุบหัวความเก๊ อาการที่อาตมาทำมันหนักมันแรงถึงขนาดนั้น จะทำลายความเก๊ให้มากๆให้เขาที่มีของเก๊นั้นสะดุ้ง 

จะขยายความจริงให้รู้ว่าคุณเป็นของเก๊ เป็นของเก๊จริงๆ อาตมาไม่ได้อยากได้ของคุณ ไม่อยากจะแย่งของคุณ ขออภัยอาตมาหมดโง่ที่จะไปเป็นอย่างนั้นแล้ว เลิกโง่เสียทีเจ้าประคุณ เห็นของจริงขึ้นมา มันมีความจริงอะไร  มาศึกษาสิ อาตมาแสดงตัวเอง สาธยายตัวเอง แล้วก็ยืนยันสภาวธรรม ว่า อาตมาเป็นอาริยชน เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นธรรมิกราช พาพวกเรามาเป็นสมณะ 4 เหล่า มาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยบุคคลจริงๆ ไม่ใช่ของเก๊นี่ของจริง ที่ สมณะ 4 เหล่า ที่จริงอยู่ในชาวอโศกนี้ เขาจะเชื่อไหม 

ยากสส์ สุดแสนยากที่เขาจะเชื่อง่ายๆ ที่เขาไม่เชื่อเพราะว่าความรู้ของคนยุคนี้มันเสื่อมจริงๆ เขาก็จมอยู่ในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นความจริง ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกสงสารตัวเองนะ แล้วอาตมาจะทำไปทำไมนี่ แต่อาตมายังมีความหวัง เพราะยังมีคนที่ยังมีธาตุดีในจิตวิญญาณ คือไม่มีอคติมาก มีปรโตโฆษะ มีการมองอยู่ว่าคนอื่นน่าจะมีอะไรดีกว่านี้ ไอ้ที่เรายึดถือว่าดีเราก็รู้แล้ว จากครูบาอาจารย์ระดับนั้นระดับนี้ เราก็ศึกษาตามมันก็อยู่อย่างนี้แหละ อยู่ในวงตำราอันนี้ แต่เอ๊ อันนี้มาแปลกมาใหม่แปลกๆ เออ แล้วยืนยันว่าเป็นความจริงอีก 

ก็จะสะดุดใจว่าที่เรายึดถือว่าเป็นความจริงกับอันนี้อันใหม่ที่แปลก มันทวนกระแสกับที่เรารู้ เฮ้ย..จริงหรือเปล่าวะ เพราะฉะนั้นถ้าอาตมาไม่จริงอาตมาคือกบฏ คือโจรปล้นศาสนาเลย อาตมาไม่ได้เกรงกลัวว่าอาตมาจะถูกจับได้ว่าเป็นโจรปล้นศาสนา แล้วทำไมไม่กลัว เพราะอาตมาไม่ใช่โจร อาตมาเป็นตัวจริง แต่จริงๆแล้วพวกคุณต่างหากเป็นโจร จริงๆไม่ได้เป็นคนปล้นหรอก คุณรับถ่ายทอดจากอาจารย์ที่เป็นโจรที่ปล้นไปก่อน ไม่รู้องค์ไหนต่อองค์ไหน แล้วก็ถ่ายทอดมรดกเก๊ ลูกหลานโจรรับมา โอ้โห.. มันจึงยากมาก น่าสงสารมาก ที่จะแก้ไขเขาได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2566 ( 20:03:28 )

คนรุ่นใหม่เมื่อเปิดจิตรับธรรมะของโพธิสัตว์ระดับ 7 จะรับได้อีกได้อีก

รายละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นธรรมะที่รู้รอบ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังทำได้ขนาดนี้ คิดดูสิถ้าโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 เป็นพระพุทธเจ้าจะขนาดไหน คนที่ไม่มีอคติ หมดอคติจริงๆแล้ว เปิดจิตรับเต็มๆ หมายความว่า เปิดชา เทชาออกจากถ้วยเต็ม แล้วรับท่าเดียว อันนี้คุณจะเห็นว่ารับได้อีก รับได้อีก แล้วถ้วยชาคุณจะไม่เต็มง่ายเลย รับได้อีกๆๆ แต่ถ้าผู้ที่ชาเต็มถ้วย ชาล้นถ้วยแล้ว ไม่เอาออก ไม่รินออก ไม่รั่ว ไม่ซึมเข้าไปหาแกนแก่น ใส่เซฟ คุณก็ชาล้นถ้วยแน่ ฟังเข้าใจนะ ที่ขยายความ

ไม่มีใครดื่มชาหรอกพวกเรา บอกให้เอาไมยราพยักษ์มาคั่วทำชากันบ้าง ก็ไม่เห็นจะทำ มันจะได้ร่อยหรอลงไปบ้างไมยราพยักษ์ อาตมาว่า คุณวนวุฒิเข้าใจถูกแล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ จะเป็นคนอย่างที่ว่านี้ ว่า ของเก่าถ้าเผื่อว่ายึดแต่ของเก่า โดยไม่ขยายใหม่ ก็เท่ากับคนที่อยู่ในกะลาครอบเดิม แล้วมันจะไปเจริญออกจากกะลาครอบได้อย่างไร ถ้าเดิมคุณก็อยู่ในกะลาครอบ คุณก็จมอยู่ในที่เก่า ถ้าคุณบรรลุสูงสุดแล้ว คุณก็จะมีโลกกว้างกว่ากะลาครอบ ใช่ไหม แต่นี่คุณไม่ออกจากกะลาครอบ คุณก็กว้างขึ้นกว่านั้นอีกไม่ได้ มันก็เป็นสัจจะ ใช่ไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2565 ( 09:03:16 )

คนรู้ความสำคัญในความสำคัญ

รายละเอียด

หมอฟากฟ้าหนึ่ง ทพญ.ฟากฟ้าหนึ่งบอกว่า รู้อย่างนี้เกิดมาจะมาเป็นชาวไร่ชาวนาและเกิดมาชาติหน้าจะมาเป็นชาวนาชาวกสิกร นั่นคือเป็นความรู้สึกจริงๆ เป็นคนรู้ความสำคัญในความสำคัญ ความประเสริฐของมนุษย์ อาตมาถึงพยายามเห็นว่าเมืองไทยถ้ามีความเข้าใจอันนี้ รู้อันนี้ว่า เป็นหนึ่งในโลก ท่านพูดเลยว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ท่านรู้ว่าทุกชนชั้นที่อยู่ในสังคมท่านเคารพยกย่องเชิดชู ไม่ใช่มา ข่ม ไม่ใช่ให้รู้สึก เป็นผู้ต่ำต้อย แต่จะเข้าใจเลยว่าจะต้องให้เกียรติ ผู้ที่ควรยกย่อง เป็นผู้ที่ทำให้เรากินให้เรามีชีวิตต่อไป เป็นคนมีเรี่ยวแรงความรู้ความสามารถก็ทำขึ้นมา เรื่องที่จะขายได้จะเลี้ยงชีพอย่างอื่นก็เป็นอีกเรื่อง แต่เป็นผู้ผลิตลงมือทำ จะรู้สึกว่า อันนี้มีคุณค่าต่อเรา แม้แต่คนอื่นๆ ที่ต้องกินอันนี้ก็ตาม ถ้าเราเกี่ยวข้องกับคนคนนี้ก็ต้องกินของคนคนนี้ ถ้าเราไม่ได้ทำคนคนนี้ทำคนนี้เลี้ยงเราคนนี้ยังชีพเราไว้ เข้าใจไหม อาตมาพยายามใช้ภาษาธรรมดาอธิบาย 

ไม่ได้ไปตำหนิอาหารเขาก็ไม่ว่า ถ้าไปตำหนิคนทำพืช คนทำข้าวทำอาหารก็ดี เขาก็ต้องมาด่า แต่นี่ไม่ได้ไปว่าใคร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
 


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 18:13:25 )

คนรู้คุณค่า

รายละเอียด

เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงก็ไม่ปรารถนาตนเองเป็นผู้มีชื่อเสียง อาตมาเป็นผู้ไม่มีชื่อเสียงในเถรสมาคมเขาไม่ได้ยกย่อง อาตมาไม่สะดุ้งเพราะชื่อเสียงที่เขาไม่ยอมรับอาตมาก็ไม่เคยสะดุ้ง ถ้าอาตมาจะมีชื่อเสียง คนก็ต้องรู้คุณค่าในตัวอาตมา อาตมามีอะไรดีที่จะให้เขาได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาตมาแสดงออกคนที่มีปัญญามีความรู้ว่า โอ้อันนี้น่าได้เขาก็จะยอมรับอาตมาเอง สิ่งที่เขายอมรับนี่แหละคือชื่อเสียง เป็น favourite 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:14:27 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:30:59 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:36:07 )

คนรู้ค่าในสิ่งที่อโศกทำมีน้อยกว่ามาก

รายละเอียด

สรุปตรงที่ว่าคนจะรู้ค่าในสิ่งที่เราทำนั้นมีน้อยกว่ามาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเราไม่ต้องเสียใจไม่ต้องไปน้อยใจไม่ต้องไปรังเกียจรังงอนไม่ต้องไปตกใจอะไรหรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติที่เขาจะรู้สึกไม่มีค่า เหมือนกับลิงจะรู้ค่าของแก้วแหวนเงินทอง มันไม่รู้หรอก มันรู้แต่อาหาร สำหรับลิงมันก็จะเอาแต่อาหาร ฉันใด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 21:19:23 )

คนรู้โลกุตรธรรมเป็นคนส่วนน้อยในโลกเพราะเหตุใด

รายละเอียด

คนที่รู้โลกุตรธรรมนั้นเป็นคนส่วนน้อยในโลก ที่รู้พุทธธรรมที่เป็นโลกุตระเป็นคนส่วนน้อย เพราะเป็นยอดของพีระมิด คนส่วนใหญ่เป็นฐานของพีระมิด เป็นธรรมดา ธรรมชาติ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่รู้กัน 

ในยุคพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรเรียนอยู่กับอาจารย์ สัญชัยเวลัฏฐบุตร พอท่านได้ข่าวว่ามีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นแล้ว ท่านก็เข้าไปพบเลย ยังไม่ทันได้พบพระพุทธเจ้าแท้ๆ ได้พบลูกศิษย์ พบพระอัสสชิ ที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ครูของท่านสอนอะไร พระอัสสชิก็ตอบง่ายๆ ประโยคไม่ยาว ทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ ดับเหตุเสียได้ทุกอย่างก็ดับ เท่านี้แหละพระสารีบุตรซึ่งเป็นยอดปัญญาอยู่แล้ว เข้าใจทันทีเลย โอ้โห..อย่างนี้ใช่ อาจารย์ท่านคือใคร ก็คือพระสมณโคดม เท่านั้นแหละ สารีบุตรไปหาสัญชัยเวลัฏฐบุตรที่เป็นอาจารย์ ชวนกันไปพบพระพุทธเจ้าเลย ก็เกิดการวิเคราะห์วิจัยขึ้นระหว่างพระสารีบุตรกับสัญชัยเวลัฏฐบุตรที่เป็นอาจารย์ 

สัญชัยเวลัฏฐบุตรถามว่า แล้วคนในโลกนี้ มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ฟังดีๆนะคุณเดชา พระสารีบุตรก็ตอบด้วยความจริงเลยว่า คนฉลาดมีน้อย คนโง่นี้มีมาก ตอบอย่างนี้ 

สัญชัยเวลัฏฐบุตรมีโลกียธรรมก็ชอบความมาก ความมหัปปิจฉะ บอกว่าสารีบุตรเธอจงไปอยู่กับคนหมู่น้อยกับพระสมณโคดม เราจะอยู่กับคนหมู่มากที่เป็นคนโง่ คนฉลาดต้องอยู่กับคนที่หมู่มากเป็นนักประชาธิปไตยด้วย นี่ซ้อนไว้นิดนึง ไม่วิจัยต่อตรงนี้ จะซับซ้อนลึกซึ้ง 

พระสารีบุตรจากวันนั้นก็ชวนพระโมคคัลลานะ มาอยู่กับพระพุทธเจ้า มาอยู่กับคนจำนวนน้อย ส่วนน้อยที่เป็นยอดพีระมิด สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็อยู่กับคนส่วนมาก ก็คือคนในโลกที่เป็นเทวนิยมที่เป็นโลกีย์ เป็นคนส่วนมากนั่นแหละตราบจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 11:03:47 )

คนละบริบท คนละกาละ อยู่กันคนละเหตุการณ์

รายละเอียด

อาตมาก็อธิบายแล้วท่านเป็นเจ้าของ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แน่นอนเป็นเจ้าของสมบัติทั้งหมด แม้ว่าแคว้นสักกะของท่าน จะเป็นแคว้นเล็กตอนนั้น แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี พระเจ้าพิมพิสารก็ดี ศรัทธาแล้วบอกเลย แบ่งกันครึ่งหนึ่ง มีหลักฐานในพระไตรปิฎก เราจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่งเอาไปปกครองแล้วก็ไปบริหารเลย สมณโคดมออกมาบริหารด้วยกัน แต่ท่านก็ไม่เอา ท่านก็บอกว่าบริหารไปเถอะ นี่มันชัดเจนอย่างนี้ แล้วท่านก็มาดำเนินพระบาทเปล่า ไม่มีอะไรเลย มีบาตรใบหนึ่ง มีบาตรบริหารท้องมีจีวรบริหารกาย บินไปได้ทั่วทุกสารทิศ จน 45 พรรษา ทรงงาน 45 พรรษา พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เอาอะไร ไม่ได้มีอะไร ไม่ต้องเอาอีก 

แล้วท่านก็มาประกาศธรรมะของท่าน ก็มีคนมาได้ตามซึ่งก็เป็นข้อจำกัด ในยุคนั้นมันออกนอกกรอบของภิกษุไม่ได้ สาธารณโภคีมันทำได้แค่ในหมู่ของสงฆ์ ตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมาย หรือตามกฎหลักเกณฑ์ ของพระพุทธเจ้าที่กำหนดธรรมวินัยและศีลต่างๆ 

แต่ข้างนอกเขาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสังคมทาสกัน ไม่รู้จักสิทธิกัน มันทำไม่ออก ที่อาตมาเคยพูดหลายทีแล้ว มาในยุคนี้อาตมาทำได้ เพราะมันไม่ใช่แล้ว ยุคนี้ทั้งโลกมันไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันต้องแปลง แม้แต่ประเทศที่มีเชิงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็มีอยู่ แต่แปลงแก้มาแล้ว ต้องมาหาเอาประชาชนเป็นหลัก เพราะสิทธิมนุษยชนก็เกิดขึ้นทั่วโลก ทุกคนมีสิทธิ์เต็มตัว สิทธิของตนเต็มที่ทุกคน ข้อสำคัญอย่าออกนอกกฎหมาย ออกนอกกรอบของแต่ละประเทศ 

ลัทธิทาสก็หมดแล้ว เป็นต้น ทั้งโลก เพราะฉะนั้นมันอยู่กันคนละบริบท คนละกาละ อยู่กันคนละเหตุการณ์ มันไม่เหมือนกัน อย่างน้อยมันก็เป็นไปได้ ซึ่งประเทศไทยนี่นำเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2565 ( 12:28:42 )

คนละยุคสมัย คนละบริบท

รายละเอียด

ตอนนี้ประเทศไทยนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นอัตราส่วนเป็นปฏิภาคทวี ขนาดอาตมาจำตัวเลขไม่ได้ มหาศาลเลย เมืองไทยกำลังเป็นเมืองที่หอมหวานเป็นอันดับ 1 ของโลกเลยตอนนี้ ลอนดอนยังสู้ไม่ได้ ลอนดอนเคยเป็นที่หนึ่ง

สัจจะเหล่านี้ เด็กๆรุ่นหลังแม้จะเกิดมาทีหลัง ก็ให้อ่านพฤติกรรม พฤติการณ์สังคมมนุษย์ให้ดี เพราะฉะนั้นที่หลวงปู่พาทำ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายมาเปิดเผย ไม่ต้องห่วงหรอกเป็นเรื่องที่มันสอดคล้องเป็นสากลกับสังคมโลกเขาแน่นอน 

เราร่วมพูดคำว่า ประชาธิปไตย กับชาวโลกเขา สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย เพราะว่าเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสมัยสังคมทาส ยังพูดไม่ออกหรอก เป็นสังคมที่มวลมนุษย์ก็ยังไม่มีความรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะคนเขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าเขามีสิทธิอะไร เพราะเป็นสังคมทาส เขายังเป็นลูกทาสนายทาส นายทาสก็ถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าของ ที่เป็นนายมีสิทธิ์ในคนถึงขนาดจะฆ่าทิ้งก็ได้ถ้าเป็นทาสฉัน ถึงขนาดนั้นเลย สมัยโน้น

เพราะฉะนั้นมันจึงคนละ กาละ เทศะ ฐานะ คนละยุคสมัย คนละบริบท มันผิดประหลาดแตกต่างกันไปไกลเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 10:22:45 )

คนวรรณะ 9

รายละเอียด

เป็นคนที่ไม่มีวันขาดแคลน แต่เป็นคนจน เพราะเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์สูงสุด ส่วนคนรวยนั้นยังอีกนานกว่าจะเลิกโง่ ตั้งใจจนเต็มใจจนภาคภูมิใจว่าเป็นความประเสริฐของมนุษย์จริงๆ คนจนนี้เบาภาระแต่เอาภาระอย่างยิ่ง ขยันกว่าคนรวยอีก ขยันมากแต่ไม่เอาเข้าตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:45:45 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:33 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:36:36 )

คนวรรณะ 9

รายละเอียด

คือ การทำตัวเป็นคนน่ายกย่องสรรเสริญ 9 อย่าง

1. เป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

2. บำรุงง่าย (สุโปสะ)

3. มักน้อย (อัปปิจฉะ)

4. ความพอ,ใจพอ(สันตุฏฐิ,สันโดษ)

5. ขัดเกลา (สัลเลขะ)

6. กำจัดกิเลส มีศีลเคร่ง (ธูตะ)

7. มีอาการที่น่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)

8. เป็นคนไม่สะสม (อปจยะ)

9. เป็นคนขยันเสมอ,ปรารภความเพียร ไม่ขาด(วิริยารัมภะ) 

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 335


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:20:35 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:35:36 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:37:36 )

คนวรรณะ 9

รายละเอียด

กินง่ายอยู่ง่ายไปง่ายมาง่าย ศึกษาฝึกฝนตัวเองให้เจริญได้ง่าย เป็นคนมักน้อยจนกระทั่ง 0 เป็นคนที่มีศูนย์นั่นแหละดีที่สุด อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ เป็นคนใจพอได้เท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ไม่มักมาก เป็นคนที่พัฒนาตัวเอง คนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบก็ขัดเกลาตัวเองยังไม่บรรลุสูงสุดทฤษฎีนั้น โดยหลักเกณฑ์ ศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตาเป็น สัลเลขธรรม มีข้อปฏิบัติที่สูงขึ้น เป็นศีลเคร่ง ธูตะ มีอาการกายกรรมวจีกรรมที่ไม่มีกิเลสของแต่ละคนเป็นอาการที่น่าเลื่อมใส จบด้วยไม่สะสม อปจยะ มีก็เข้าส่วนกลาง แล้วขยัน ไม่ได้มานั่งเอาเปรียบเอารัด แฝงกินแฝงอยู่ ขยัน ละอาย เป็นคนเจริญเป็น เทวะ มีสัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญาอย่างแท้จริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 20:50:45 )

คนวรรณะ 9

รายละเอียด

เป็นคนวรรณะ 9 ได้ เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 6  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

ให้พอลงไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นคนที่ขัดเกลาตนเองได้เรื่อยๆเจริญขึ้นไป ธูตะ สำเร็จผลมีอาการน่าเลื่อมใสได้เรื่อยๆ จนจบลงที่ไม่สะสมเป็นคนขยัน 

2 ตัวนี้คนที่ไม่สะสม เพราะมีทรัพย์คือ ความขยันและมีสมรรถนะในตัว เมื่อคนใดมีสมรรถนะและมีความขยันในตัวคนนี้ก็เป็นคนมีค่า เพราะสร้างได้สมตัว สร้างให้ตัวเองพออยู่พอกินเหลืออยู่เหลือกินเพื่อคนอื่นไม่ต้องสะสม 

1 คนมีคุณสมบัติของไม่ต้องสะสมและยอดขยัน วิริยารัมภะ อปจยะ มี 2 อันนี้ในตัวคนมีเหลือแล้ว 5 คน 100 คน 1,000 คนเหลือเยอะแยะ นี่คือเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์แบบ แล้วเราก็แจกแล้วเรามีเครื่องอาศัยแล้วคือที่อยู่ที่กิน เครื่องใช้เราก็ไม่ต้องมีอะไรมากมีพอสมควร อย่างน้อยเครื่องใช้ที่สำคัญที่จำเป็นคือสิ่งที่เอามาทำกสิกรรม สิ่งที่เอามาทำกสิกรรมนี่แหละ เดี๋ยวนี้เขาคิดเป็นเครื่องกลเครื่องยนต์อะไรมาช่วยทุ่นแรงเยอะเลย ที่นี่ขุดดินใช้อะไรใช้รถแบคโฮ กับรถไถ ขุดดิน ก็เหลือแหล่แล้วที่จะทำกสิกรรมอย่างนี้เป็นต้น อย่างเก่งก็มีเครื่องเจาะอีกหน่อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2566 ( 15:58:01 )

คนวรรณะ 9 สาธาณียธรรม 6

รายละเอียด

ถ้าหากหมายเอากายว่าคือร่างภายนอก คุณไม่มีทางจะได้นิพพาน ฉันเดียวกับพระพุทธเจ้าตรัสว่ากายนี้คือจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 กายนี้คืออย่างนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อกันเลย อาจจะเชื่ออาจารย์เก่า เมื่อไหร่จะมีปรโตโฆสะ หากเชื่ออาจารย์เก่าแล้วทำแล้วเป็นผลก็คงเป็นอรหันต์กันได้แล้ว อาตมาว่าอาตมาทำได้เป็นหมู่มวลที่มาเทียบเคียงยืนยันอ้างอิงว่ามีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี มันง่ายหรือ? คุณทำได้ไหม ในชุมชนไหนมีสาธารณโภคี ยืนยันได้ว่าเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อยไม่ใช่คนเลี้ยงง่ายและเป็นพวกที่ใจพอ ไม่ได้มีแส่หา ดิ้นรนแส่หา ตะกละตะกรามดันทุรัง มันไม่แล้วมันพอมันหยุดแค่นี้ก็พอ อยู่ในหมู่สาธารณโภคีก็พอแล้วไม่มีอะไรสงบสบายพอ แล้วสุขภาพร่างกายก็ไม่เสียด้วยพอขนาดนี้ ดีด้วย หาคนลงพุงหลามๆยาก ในชาวอโศก สเรนเดอร์ทั้งนั้น ข้างนอกพุงหลามๆ จนเป็นโรคอ้วน

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:16:57 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:31:33 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:38:11 )

คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย

รายละเอียด

สัจจะต่างๆ พวกนี้อาตมาพาพวกเรามา อาตมายังอุ่นใจตรงที่ว่าอาตมาได้พาพวกเรา ปฏิบัติธรรมเป็นไปเพื่อความละหน่าย คลาย  ปฏิบัติตนให้มาเป็นคนจน ซึ่งมันไม่มีหรอกในโลกไหนที่ใครจะมาสอนให้เป็นคนจน เศรษฐศาสตร์แบบคนจน ไม่มี ไม่มีใครมาสอนเรื่องนี้แบบนี้ทีนี้ศาสนาพระพุทธเจ้านี้สอนคนให้มาเป็นคนจน แล้วอาตมาก็ยืนยันว่า ผู้ที่เข้าใจและรู้จักความจนนี้ แล้วก็เห็นดีเห็นงามว่าคนจะต้องมีชีวิตมาเป็นคนจน คนนี้เป็นคนที่มีโลกุตรธรรม 

เพราะฉะนั้น ชาวพุทธที่สัมมาทิฏฐิ จะไม่กลัวความจน  เพราะจะมีปัญญา จะรู้ว่า ความจนนี้ดีนะ คนมีทิฏฐิ มีความเห็นความเข้าใจว่าต้องมาจนนี่ดี   เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้วในการมีชีวิตมาจน ซึ่งอาตมาพยายามอธิบายยกตัวอย่าง อย่างสมบูรณ์แบบ แต่คนก็ไม่ฉุกคิด อาตมาอธิบายอะไร อาตมาอธิบายว่า พระพุทธเจ้านี้เกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีสมบัติพัสถานมากมาย พอท่านรู้ตัวปั๊บ ท่านก็ทิ้งมาหมดเลย มาเป็นคนจนหมดเนื้อหมดตัว ไอ้เรื่องโลกียะ ลาภทรัพย์ศฤงคารอะไร ท่านทิ้งหมด รองเท้าทองก็ทิ้ง เสื้อผ้าหน้าแพรก็ทิ้ง มานุ่งห่มผ้าบังสุกุลทันทีเลย มาเป็นคนจนทันทีเลย หรืออาตมาก็เหมือนกัน ในชีวิตปัจจุบันนี้ อาตมาก็เลิก ทิ้งสมบัติทางโลก  มาเป็นคนจนเหมือนกัน ไม่ได้เอาไว้ ไม่ได้มีจะต้องเอาไว้อาศัย จะต้องส่งเสริมศาสนาก็ต้องอาศัยสิ  ทรัพย์ศฤงคารเงินทองต้องอาศัย ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรมาทำงาน อาตมาก็ทำงานได้ ไม่มีเงินก็ทำมาได้ทุกวันนี้ แต่เขาก็จะบอกว่า นี่ไง มันมาจน ทำไมมันมีอะไรต่ออะไรเยอะ ก็คนเขามาสร้างให้จนต้องห้ามนะ อย่าให้มันมากนะ อะไรเกินเราก็ไม่เอา มันก็มีอะไรต่างๆที่อาตมายืนยัน 

แม้แต่ที่สุด มีกติกาของพวกเรา ใครที่จะให้มาบริจาค ก็ไม่ใช่บริจาคง่ายๆ ก็เอามาจากเลือดปูของพวกเรานี่แหละ เงินคนจนนี่แหละ และเมื่อเราทำกันจนกระทั่งจิตมีปัญญาเข้าใจเห็นดีว่า มาจนนี่มันหมด มันปลงภาระ มันปลงวาง มันปลดปล่อยออกไปจากตัวตน จนกระทั่งไม่ต้องซุกซ่อน ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกยอะไร อย่างพวกเรานี้อาตมาพูด อาตมาเชื่อว่า พวกเราเข้าใจ เพราะพวกเราทำได้บ้างแล้ว หลายคนก็อยู่กันอย่างมีชีวิตอยู่ในสังคมพวกเราสาธารณโภคีนี้ มันยืนยันได้เลย เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 มีลาภโดยธรรมด้วยกัน แล้วเอามารวมกันเป็นส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน มีบ้าง ไม่มีบ้าง ขาดเหลืออะไรก็เอากองกลาง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เดือดร้อนใจ เรียกว่าศีลสมบูรณ์แบบ  ศีลที่ไม่สะสม ศีลข้อไม่สะสมแล้ว นี้เราถึงขั้นไม่สะสม แล้วก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่เกิด อวิปฏิสาร 

อานิสงส์ของศีลข้อที่ 1 อานิสงส์ของการมีศีล คือจิตมันไม่มี อวิปฏิสาร มันไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ ศีลข้อคุณไม่สะสมแล้ว คุณก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ใช้ตามมีตามได้ ไม่มีก็ไม่ใช้ พูดอย่างนี้แล้วพวกเราหลายคนอยู่ในที่นี้จะเข้าใจเลยว่า ใช่ เรามีความเป็นอันนี้ ก็อยู่ในนี้ หลายคนก็อยู่กันมา 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี ก็รู้สึกว่าจริงนะ เราก็อยู่อย่างนี้ไป มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ได้ใช้ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร 

เพราะเราไม่สะสมแล้ว อปจยะ ไม่สะสมแล้ว แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างไม่สะสมนี่แหละ แล้วก็ใช้ตามที่ สาธารณโภคี ให้ใช้ นี่ก็อธิบายสภาวธรรมที่สังคมเรามี และพิสูจน์ยืนยันว่านี่เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่พิสูจน์มีแต่ตรรกะ มีแต่การคิดตามพยัญชนะ ตามความหมาย แต่นี่เป็นความจริง ที่ชีวิตคุณเป็นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คตะ คโต ไปกับสิ่งเหล่านี้ ดำเนินไปกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ 

นี้อธิบายตามธรรมะพระพุทธเจ้าว่า คุณมีศีลข้อนี้ ถึงขั้นไม่สะสม และเมื่อไม่สะสมแล้วเป็นยังไง คุณก็อยู่ได้สบาย 10 ปี 20 ปี ก็ไม่ได้สะสมเงินทองอะไร ตามมีตามได้ ก็ใช้ส่วนกลางไป ดีไม่ดีไม่ได้มาสะสม ใช้ส่วนกลาง เอาส่วนกลางมาใช้ เหลือก็คืนเขา แล้วก็อยู่อย่างที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ใช้ จะใช้เมื่อไหร่ก็ไปขอเบิกมาใช้  อย่างชีวิตพวกเรามีกันอยู่ นี่เป็นสังคมที่มันมีของจริงยืนยัน อธิบายได้ แล้วก็เข้าใจง่าย สำหรับผู้ที่อยู่ในสภาวะที่ร่วม คุณไม่ร่วม คุณอยู่ข้างนอกคุณก็ฟัง มันมีด้วยหรือสังคมแบบนี้ สังคมที่มีเงินกองกลาง 

ที่ปฐมอโศก จะซื้อที่ดิน 40 ล้านเกือบ 50 ล้าน ก็เลยบอกว่า จะซื้อ จ่ายเงินสดด้วยนะ เขาก็บอกว่า โอ้โห.. ปฐมอโศกจะซื้อที่ดินเป็นที่ดินติดโรงปุ๋ยเข้าไปทางในเมือง ซื้อเขา 40-50 ล้านต้องซื้อ แล้วก็จะจ่ายเงินสด เขาก็บอกว่าโอ้โห…เอาเงินสดที่ไหนมาจ่าย เราก็บอกว่าไปกู้เขามาไม่ได้เสียดอก เขาก็บอกว่า มีด้วยหรือกู้ไม่เสียดอก กู้มา 40-50 ล้านไม่เสียดอก มีด้วยเหรอ เราก็บอกว่าก็มี เรากู้มาไม่ได้เสียดอกอะไร นี่เป็นสังคมที่คนข้างนอกเขาเข้าใจเราไม่ได้ มีหรือสังคมกู้เงินมา 40-50 ล้านไม่เสียดอก อย่างนี้เป็นต้น 

นี่พวกเราก็ทำไปตามประสา คนเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมมันร่ำมันรวย มันมีสมบัติพัสถาน มีที่ดิน มีเครื่องใช้ไม้สอย มีอะไรต่ออะไร มีโรงเรือน มีโน่นมีนี่อะไรต่างๆนานา ซึ่งเราปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้น คนมีวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย ไม่ได้เล่นลิ้นเล่นคำอะไรนะ ไม่ได้เล่นคารมโวหารอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งมากเลย เป็นธรรมะ 2 ใน 1 1ใน 2 ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 12:14:56 )

คนวรรณะ 9 เป็นผู้รู้รสธรรมะพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

การเกิดหมู่กลุ่มที่มีสาราณียธรรม 6 ไม่ใช่แค่ภาษาแต่เป็นจริง มีสาธารณโภคีมีลาภโดยธรรม ทำแล้วเอาเข้ากองกลางกินใช้ร่วมกันกับกองกลาง แล้วก็มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มีศีลที่เสมอสมานกัน เจริญไปสู่ความมีวรรณะ 9 สูงสุดเป็นคนชั้นสูงเป็นคนมีชั้นวรรณะ วรรณะของพระพุทธเจ้ามี 9 ลักษณะ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย กล้าจนเป็นคนมักน้อย เป็นคนมีใจพอ เป็นคนขัดเกลาตัวเอง เป็นคนปฏิบัติตามศีลตามต่ำขึ้นไปสูงขึ้นได้ตามลำดับ จนมีอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ แล้วเป็นคนไม่สะสม อปจยะ แต่ว่ามีวิริยารัมภะ ขยันอยู่เสมอ ระดมความเพียร เป็นคนมีลักษณะอย่างนั้น ลักษณะ 9 อย่างในตัวอย่างจริงๆ อาตมาพูดถึง 9 ลักษณะนี้แล้วหลายคนจำได้แล้ว ถามว่าลักษณะทั้ง 9 อย่าง มันมีในตัวเราบ้างไหม …มี ไม่มากก็น้อย ชัดเจนว่า 9 ลักษณะนี้มี นี่คือเราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว มันได้ ปฏิบัติได้มีได้ ไม่ใช่ว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่รู้เรื่องเลยในเรื่องธรรมะเหมือนช้อนไม่รู้รสแกง เป็นช้อนในชามแก้ว แช่อยู่ในชามแกงแต่ไม่รู้รสของแกงเลย แต่พวกเราคือผู้รู้รสของแกง วรรณะ 9 เป็นธรรมะสุดยอดแล้ว เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนชั้นสูง คนเลี้ยงยากเป็นคนชั้นต่ำ เป็นคนอบรมให้เจริญง่ายเป็นคนชั้นสูง เป็นคนที่มักน้อย ชอบมีน้อยๆ เป็นคนจน กล้าจน มีน้อยๆไม่สะสมมากเลยในชีวิต เป็นคนจน เอาแบบคนจน อย่างในหลวงตรัส เป็นความรู้สึกจริงๆไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ไม่ใช่แค่แฟชั่น มันมีมากไปก็แจกจ่าย สะสมไว้ก็ไม่ดี นี่คือยอดนักเศรษฐศาสตร์ยอดนักเศรษฐกิจ มีความพอแล้วมีการขัดเกลา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้เกิดความเจริญให้เกิดความดี เป็นคนที่มีข้อปฏิบัติคือหลักของศีล แต่ละข้อๆ สูงขึ้นๆ มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเรียกว่า ธูตะ จึงเกิดอาการที่น่าเลื่อมใสน่านับถือน่าเคารพบูชา แล้วจะได้เป็นคนสุดยอดเลย ผลคือคนไม่สะสม นี่คือนักสุดยอดเศรษฐศาสตร์ คนรวยไปแย่งกันรวยไม่ใช่ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่ดี ต้องมาเป็นคนจนเป็นคนไม่สะสม ขยันหมั่นเพียร วิริยารัมภะ แล้วเราก็สร้างสรร อย่างเช่น นี่ มะระขี้นก แต่นี่อันใหญ่ อาจเรียกมะระขี้นกกระจอกเทศ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ชี้บ่งถึงความจริงของคนที่ตั้งใจทำสิ่งที่ดี โดยเฉพาะผลงานทางเกษตร เป็นกสิกรรม พวกเรานี่เราเข้าใจถูกต้องว่าเราเป็นคนอยู่ในภูมิประเทศแถบศูนย์สูตร ไม่ใช่แดนของอุตสาหกรรม ที่ดินไม่พอน้ำไม่พอแดดไม่พอ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 10:07:26 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:37:25 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:39:26 )

คนวรรณะ9

รายละเอียด

คนวรรณะ9  คือ เป็นคนชั้นสูง อยู่สบายๆ เลี้ยงง่าย 9 ข้อ

   1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)

   2. บำรุงง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

   3. มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

   4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

   5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

   6. เพ่งทำลายกิเลสมีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

   7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)

   8. ไม่สะสมไม่กักเก็บออม (อปจยะ)

   9. ขยันเสมอ ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 13:56:42 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:40:12 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:40:09 )

คนวรรณะทรามต่ำ เรียกว่าอวรรณะ

รายละเอียด

เป็นคนวรรณะทราม วรรณะต่ำ เรียกว่า อวรรณะ

1. เลี้ยงยาก  (ทุพภระ) 

2. บำรุงยาก  (ทุปโปสะ) 

3. มักมาก  (มหัปปิจฉะ) 

4. ไม่รู้จักพอ  (อสันตุฏฐิ) 

5. เกียจคร้าน  (โกสัชชะ) 

6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา) 

(พตปฎ. เล่ม 1  ข้อ 20)  ตรงข้ามกับ วรรณะ 9

พวกนี้ดูเหมือนขยันนะ บางคน บางคนก็เกียจคร้านจริงๆ ดูชัด ถ้าได้แล้วขยัน ถ้าไม่ได้จ้างก็ไม่เอา เพราะเขาคนรวย ไปแปล สังคณิกะ ข้อที่ 6 คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เรามาขยายว่า คลุกคลีด้วยกองกิเลสพยัญชนะคือ คณิกะ คือ พวกคนรวมหัวด้วยอวิชชา คนส่วนมากในโลกเป็นคนอวิชชา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน 3 วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 10:41:20 )

คนวัดกับคนยังไม่เข้าวัดราคาต่างกัน

รายละเอียด

เอาเถอะ อย่างไรอาตมาก็ชมคนวัด คนยังไม่เข้าวัดอาตมาก็ยังไม่ชมแน่ อาตมาว่าราคาต่างกันนะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:58:32 )

คนวัดอย่างไรที่สร้างภาระให้หมู่กลุ่ม

รายละเอียด

อาตมาก็ได้แต่ปลง วิบากของเราหนอ มาช่วยให้เราชิบหายไปๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาไม่เป็นคนบังคับใครให้คนสำนึกกรรมดีกรรมไม่ดีเอง ใครสำนึกได้ก็ปฏิบัติกรรมดีไปให้มันดี อะไรควรประกอบให้ดีก็ทำ อะไรไม่ดีก็ไม่ควรทำ อาตมาไม่ได้เป็นคนจู้จี้ไปบังคับเขา ซึ่งมันก็มีวิธีการคัดเลือก อาตมาก็เลือกคนได้มาประมาณนี้ แต่คนที่หยาบขนาดนี้มาอยู่ในนี้ก็พอเห็นที่พูดๆมา เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็กรรมเป็นอันทำกรรมวิบากของใครก็ของมัน แม้แต่คิด คิดขี้โลภ เอาเปรียบเอารัด คิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ได้เห็นแก่ความโลภ ก็แล้วแต่

ควรจะล้าง มาอยู่ในนี้แล้วควรจะล้าง ลดล้างอะไรต่ออะไร แต่เขาก็ คงจะมีเหตุผล มีเหตุปัจจัยมีอะไรต่ออะไรของเขา ก็ไปสร้างภาระไปแบกภาระเกินตัวบ้าง ไม่มีภาระก็ไปหาภาระมาเพิ่มให้แก่ตัวเอง แล้วก็อ้างว่ามีภาระ มันก็ไม่รู้จะไปห้ามเขาได้อย่างไรมันไม่ฉลาด พูดชัดๆ ก็มันหาภาระมาให้แก่ตัวเอง ภาระที่มันเป็นวิบากกรรมติดตัวมาล้างยาก ก็แล้วไปเถอะ แต่ไปหาภาระใหม่ ไปสร้างภาระใหม่นี่ มันโง่ 

ภาระเก่าก็มีอยู่แล้วก็ล้างภาระเก่าก็เหลือแหล่ แต่ไปหาภาระใหม่มานี่มันโง่ โง่ๆๆๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:03:15 )

คนว่ายากสอนยาก 16

รายละเอียด

คือคนที่ไม่อดทน  ไม่รับคำสอนโดยเคารพ  มีนิสัย...

1. ลุอำนาจปรารถนาชั่วช้าลามก

2. ยกตนข่มผู้อื่น

3. มักโกรธ

4. มักผูกโกรธ

5. มักระแวงจัด

6. มักพูดจาแรงใกล้โกรธ

7. เวลาถูกฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์ (ผู้ฟ้อง)

8. ถูกฟ้อง กลับรุกรานโจทก์

9. ถูกฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์

10. ถูกฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง ทำเป็นโกรธ มุ่งร้าย ไม่เชื่อฟัง

11. ถูกฟ้อง ก็ไม่พอใจตอบในความประพฤติของตน

12. ทำลบหลู่ ตีเสมอ

13. ริษยา ตระหนี่

14. โอ้อวด เจ้ามายา

15. กระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่น

16. เอาแต่ความเห็นของตน ดื้อรั้น ถอนยาก

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 12 “อนุมานสูตร” ข้อ 221

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก หน้า 199-200


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 21:50:49 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:47:54 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:41:26 )

คนว่ายากสอนยาก 16

รายละเอียด

คือคนที่ไม่อดทน ไม่รับคําสอนโดยเคารพ มีนิสัย...

1. ลุอํานาจปรารถนาชั่วช้าลามก

2. ยกตนข่มผู้อื่น

3. มักโกรธ

4. มักผูกโกรธ

5. มักระแวงจัด

6. มักพูดจาแรงใกล้โกรธ

7. เวลาถูกฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์ (ผู้ฟ้อง)

8. ถูกฟ้อง กลับรุกรานโจทก์

9. ถูกฟ้อง กลับปรักปรําโจทก์

10. ถูกฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง ทําเป็นโกรธ มุ่งร้าย ไม่เชื่อฟัง

11. ถูกฟ้อง ก็ไม่พอใจตอบในความประพฤติของตน

12. ทําลบหลู่ ตีเสมอ

13. ริษยา ตระหนี่

14. โอ้อวด เจ้ามายา

15. กระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่น

16. เอาแต่ความเห็นของตน ดื้อรั้น ถอนยาก

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 12 “อนุมานสูตร” ข้อ 221


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 11:14:41 )

คนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ก็ยังยึดร่างที่แตกตายเกินธรรมดาสามัญ  แต่สัตว์เดรัจฉานตายแล้ว มันก็ยอมทิ้ง“ร่าง”ให้เน่า!

รายละเอียด

แต่ศึกษากันมาผิดๆ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กาย”ฉะนี้เอง

จึงยังพากัน“โง่”เกินธรรมดาสามัญ 

แม้แต่“พ้นสักกายทิฏฐิ”ซึ่งเป็นแค่“สังโยชน์”ข้อที่ 1 ก็ทำ“ทิฏฐิ”ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กายของตน” ที่บาลีว่า“สักกาย”ไม่ได้หรอก 

จึง“ตาย”ไปแล้วก็ไม่ทิ้ง“ร่าง”ให้เน่า เปื่อยแยกสลายไปเป็นดินน้ำไฟลมตามธรรมชาติของ“ชีวะ”ที่ตาย

แค่“พืช” หรือ“สัตว์”เดรัจฉาน มัน“ตาย”ลงมันทิ้ง“ร่าง”ทั้งนั้น   

เพราะมันไม่“โง่” ชนิด“กลับตาละปัด”โง่ซับโง่ซ้อนยิ่งขึ้นๆ จึงเป็นคนที่“ยังไม่รู้” เป็นผู้“ยิ่งเรียนยิ่งโง่หนักจัด”สลับซับซ้อน

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 449 หน้า 327


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:57:12 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:38:25 )

คนสงบของพุทธไม่ได้หลับตา

รายละเอียด

ความสงบของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาข้อที่ 3 มีความสงบ 2 อย่าง อย่างหนึ่งคืออย่างของพุทธ อย่างหนึ่งคืออย่างของเดียรถีย์ที่พูดกันเมื่อกี้นี้ ที่เขาทำกัน นั่นแหละพระป่าที่ทำกันอยู่เป็นเดียรถีย์ทั้งนั้น ผิดหมด ความสงบของพุทธนั้น จิตสงบจากกิเลส กิเลสไม่มีในจิต ไม่มีในจิตเท่าไหร่จิตยิ่งตื่นยิ่งมีสติสัมปชัญญะ ปัญญายิ่งตื่น ยิ่ง ชาคริยานุโยคะ รู้แจ้งตื่นไม่ได้ปิดตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ได้ปิด

คนสงบไม่ได้ปิด คนสงบของพุทธไม่ได้ปิดไม่ได้หลับตา หลับตาปฏิบัติธรรมนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสกับอุตรมานพ ว่า เป็นการสอนให้ทำให้ตาบอด ทำให้หูหนวก โอ้โหแสบนะ เจ็บ คนที่สอนให้ทำอย่างนั้น ตาก็อย่าได้เห็นรูป หูก็อย่าได้ยินเสียง ก็คือการสอนให้คนทำตาบอดหูหนวกเลย อุตรมานพ ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น คอตกซบเซา คือเรียกว่า หมดปฏิภาณ รู้เลย ตายๆๆ เรานี่ ถูกพระพุทธเจ้า พูดซะง่ายๆ ว่าเป็นทางผิดแน่เลย ไปสอนให้คนหูหนวกตาบอดได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2566 ( 14:17:02 )

คนสงบจากกิเลสเป็นคนเช่นไร

รายละเอียด

คำว่า “ความสงบ” ความสงบของศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ความสงบตรงที่เอาคนมานั่งหลับตาแล้วก็สงบนิ่งอยู่รวมกันให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ๆ ไม่มีเลยที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำอย่างนั้น ไม่มีตัวอย่างด้วย อันนี้พวกทำนอกรีตทั้งนั้น ไม่ใช่

ความสงบของพระพุทธเจ้านั้นสูงส่งคิดตามได้ยากมาก ผู้ที่สงบแล้วจะคล่องตัวแววไวปราดเปรียวทั้งกายกรรม วจีกรรม นี่คือคนสงบ เพราะเหตุที่มันไม่สงบคือตัวกิเลส เมื่อได้จับตัวกิเลสถูกตัวแล้วก็ฆ่ากิเลส กำจัดกิเลสตายไปจากชีวิตจริงๆ คนผู้นั้นยิ่งมี “กายปาคุญญตา” ยิ่งมีจิต “ปาคุญญตา” หมายความว่า กายก็คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว จิตใจก็คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว นั่นคือคนสงบ ไม่ใช่คนสงบก็ยิ่งนิ่งๆเฉยๆ อันนั้นมันพาซื่อ บ้องตื้น มันเป็นขั้นอนุบาล ของพุทธเจ้าไม่ใช่ตื้นๆ อย่างนั้นเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:01:17 )

คนสร้างอาวุธคือคนขี้กลัวที่สุด

รายละเอียด

อย่างประเทศเกาหลีเหนือก่อสร้างอาวุธไว้ข่มขู่คนทั่วโลก เขาก็อยู่ได้เพราะคนมันกลัวต่างคนต่างขี้กลัว คนจะหมดความกลัวต้องมาเรียนอาริยะเรียนโลกุตระธรรมถึงจะหมดความกลัว ไม่ต้องกลัวตายแล้วก็เกิดเกิดแล้วก็ต้องตาย ตายดีเกิดมาก็ดียิ่งขึ้น ถ้าตายชั่วเกิดมาก็เสื่อมหนักลงไปทุกทีสัจจะเป็นอย่างนั้น สรุปว่าคนสร้างอาวุธคือคนขี้กลัวที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 20:23:42 )

คนสร้างอาหารคือคนฉลาดที่สุดในโลก

รายละเอียด

พวกเราก็ทำได้ พวกเราคือนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอด ที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ โดยสร้างสรรสิ่งที่จำเป็นสำคัญที่สุดของมนุษย์ เราไม่ต้องไปสร้างอาวุธ โง่ที่สุดคือการสร้างอาวุธฆ่ากัน เพราะฉะนั้นเราสร้างอาหารนี้ฉลาดที่สุดในโลก คนสร้างอาหารนี้ ฉลาดที่สุดในโลก 

ยิ่งมีภูมิประเทศที่ควรสร้างอาหาร ถ้าหากคุณอยู่ขั้วโลกเหนือ คุณจะสร้างอาหารมันไม่ใช่ถิ่นที่คุณจะสร้างอะไรได้หรอก ก็จำนนจำเป็น แม้แต่คุณอยู่ในประเทศทางตะวันตก หิมะลงหลายเดือน แผ่นดินไม่เหมาะสม ภูมิอากาศสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโซนที่ทำพืชพันธ์ธัญญาหารดีที่สุด ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีองค์ประกอบทุกอย่างพร้อม อย่าไปดิ้นรนทำสิ่งที่มันไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยมี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:30:08 )

คนสวย คนหล่อ

รายละเอียด

จริงๆแล้วคนสวยหรือหล่อเป็นคนซวยเพราะเป็นเหตุให้คนมาปองรักก็คือปองร้าย เขาอยากได้ไปเป็นของเขา เราก็ควรเป็นเรา เขาเอาเราไปเป็นเขาได้อย่างไร มันลึกซึ้งอย่างนี้ธรรมะ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ดีแล้วก็จะไม่พูดสวยหล่อออกมามากมาย แต่จะพูดตามสังคมศาสตร์ บางครั้งบางคราวที่ประนีประนอมไปกับสังคมบ้าง อันนี้ก็อย่าไปตีความที่คลุม ว่าคนนี้จะต้องมีกิเลสเสียทีเดียว ยังไม่น่าจะไปยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นเสียทีเดียว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:17:13 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:41:23 )

คนสองสาย

รายละเอียด

จะให้อธิบายเส้นทางของบุคคล 7 เป็นเรื่องอจินไตย คนสองสายที่เป็นแกนจริตของคน คนทั้งโลกก็แบ่งเป็น 2 สายตลอดมาคือ สายศรัทธา(เจโต) กับสายปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราชเรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 10:16:53 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:35:51 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:41:48 )

คนสังคมสาธารณโภคีมีปัญญาเฉลียวฉลาดชนิดโลกุตระ 

รายละเอียด

ประชากรสังคมสาธารณโภคีนั้น มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถ มีความขยันพากเพียร ทำงานทุกวัน จึงมีแรงงาน มีผลของแรงงาน มีผลผลิตออกมา พออยู่พอกิน เหลือกินเหลือใช้ได้แจกจ่ายเขาอยู่ ยืนยันความจริงอันนี้ นี่คือประสิทธิภาพของคน ที่มีจิตเป็นปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดชนิด โลกุตระ 

ปัญญาโลกุตระเฉลียวฉลาดอย่างไร เป็นความเฉลียวฉลาดชนิดที่ไม่มีตัวตน ถึงมีก็ลดให้ได้มากๆ สุดท้ายสุดยอดของความเป็นปัญญาคือ เฉลียวฉลาดไม่มีตัวตน มีแต่เกื้อกูลเผื่อแผ่ ปัญญาชนิดนั้นคือ สาราณียะ ปิยกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  นี่คือ คุณลักษณะปัญญาของพระพุทธเจ้า เดี๋ยววันนี้ จะได้พูดถึงเรื่องปัญญา 8 

อาตมาขยายความตามภูมิของอาตมาเอง ขยายไปแล้ว ได้เล่ม 1 เขากำลัง edit พิมพ์กันอยู่ อาตมาเขียนได้ 443 หน้า เล่ม 2 มากกว่านั้น มัน 700 กว่าหน้าแล้ว อาจต้องตัดเป็นเล่ม 3 ตอนนี้ rewrite หน้า 200 กว่า กว่าจะถึงหน้า 700 มันต้องเกิน 800 หน้า ก็พยายามบอกว่าจะไม่ขยายก็อดไม่ได้ เติมนิดหน่อยนี่แหละ น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 19:40:54 )

คนสูงหรือคนต่ำ อยู่ที่กรรมกริยา

รายละเอียด

แยกความเป็นพระกับคนไม่ออก พระคือผู้ประเสริฐคนที่มีคุณธรรมนั่นแหละคือพระ คือผู้ประเสริฐ พระนั่นแหละถ้าไม่มีคุณธรรม แม้จะมีรูปแบบ เป็นพระแต่ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรที่ถูกต้อง ที่เหมาะควรที่จะเป็นเลย อาตมาก็ไม่อยากจะลงลึก เดี๋ยวจะไปว่าเขาอีก 

ลองศึกษากันให้ดีๆพระพุทธเจ้าให้ศึกษากรรม กรรมกิริยาที่ออกมานั่นแหละจะดูออกว่า เป็นคนสูงหรือคนต่ำ คนดีหรือไม่ดีจริงๆ อย่าไปเอาเรื่องรูปแบบ เรื่องหลักเกณฑ์อะไรมาก เอาพฤติกรรมจริงและคุณต้องฉลาดพอรู้ว่าพฤติกรรมจริง อย่างไรคือคนดีแท้ๆ คนที่ดีแท้ๆคือคนมีวรรณะ 9 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนชั้น 1 เป็นคนคลาสสิค วรรณะก็คือคลาส the classes เป็นคนมีชั้นมีวรรณะไม่ใช่ the masses ซึ่งเป็นคน ปุถุชนทั่วไป ส่วนใหญ่ 

คนที่เป็นคนชั้นสูงชั้น 1 ชั้นเอก มีพฤติกรรมแสดงออกมาจริงๆว่าเป็นคนชั้น 1 ชั้นเอกเป็นคนชั้นสูง ส่วนคนทั่วไปthe masses เป็นคนสามัญปุถชน มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน หมดกิเลสก็เป็นพระอรหันต์เป็นคนชั้น 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 12:33:27 )

คนส่วนมากมีจิตเป็นปุถุชน

รายละเอียด

นี่ก็ศึกษาดีๆ ความจริงที่อาตมาพูดนี้เป็นความจริงของพฤติกรรมของความเข้าใจของความคิด ความเชื่อถือของแต่ละคน โลกียะนั้นก็จะมีวิสัยทัศน์หรือว่ามีความประสงค์ต้องการ Vision นำไป หรือว่าความประสงค์ความต้องการเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แน่ๆ แตกต่างกันกับโลกุตระ โลกุตระจะมีวิสัยทัศน์หรือมีความประสงค์ความต้องการไปทางที่จะล้างละล้างความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ก็เป็นคนละแนวคิด คนละแนวทางคนละความสำเร็จ 

เสร็จแล้วปฏิบัติกันไปทำจริงๆประสบผลสำเร็จ ความสำเร็จก็คนละอย่าง ชัดเจนนะ ดังนั้นไม่ว่าจะเรียกพฤติกรรมหรือพฤติภาพ นั้นๆน่ะ พฤติกรรมก็คือการกระทำ พฤติภาพก็คือผลมันออกมา จะออกว่าเป็นเศรษฐกิจ หรือจะเรียกพฤติภาพว่าเป็นการเมืองหรือรัฐศาสตร์ก็ได้ จะเรียกว่าเป็นการกระทำต่อสังคม จะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจก็เป็นการกระทำต่อสังคมคนละนัยยะสำคัญ 

คนทั่วไปส่วนมากในโลกก็มีจิตที่เป็นปุถุชน นี่ไม่ได้ไปขี้ตู่ ไม่ได้ไปว่ากล่าวหาเรื่องแต่เป็นจริงใช่ไหม คนส่วนมากทั่วไปสามัญแท้ๆในโลกเขามีจิตเป็นปุถุชน เขามีความรู้และความฉลาดอยู่แต่ในกรอบของโลกียะ ปุถุชนนี้มีความรู้ความฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ยังอยู่ในกรอบของทุนนิยม โลกียะนี้คือชาวทุนนิยมแท้ๆมันยังไม่มี อัญญธาตุ ที่อาตมาได้อธิบายมาแล้วขยายความมามากมาย มันมีความจริงไหม พวกเราได้เรียนรู้และจะรู้ว่า อัญญธาตุ คือธาตุอะไรคือธาตุของจิตวิญญาณ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 เมษายน 2566 ( 14:04:36 )

คนส่วนใหญ่ชอบความประโลมหลอกๆ 

รายละเอียด

โพธิสัตว์ อาตมานี่โพธิสัตว์ พูดความจริงบอกว่านี่คือสัตบุรุษ ไก่ตัวพี่ พูดความจริงไม่ได้อยากอวดโอ่ ไม่ได้อยากใหญ่อยากโตอะไรเลย เขาก็ไม่เชื่อ พูดเหม็นขี้ฟัน 

คนที่ไม่เข้าใจจริง เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่บอกว่าเขาโง่หรอก เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เชื่อจริงๆ แต่อาตมาก็พูดความจริงตลอด อาตมาบอกว่าอาตมามันพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดอะไรอาตมาพูดแต่ความจริง นี่ก็ไม่ได้ดัดจริต สร้างภาษาสวยๆอย่างไร พูดความเป็นจริงๆเลย ถ้าอาตมาพูดดัดภาษาสวยๆพูดโก้ๆเพื่อให้คุณมาหลง อาตมาไม่เป็นจริงอย่างที่ว่าแล้วอาตมาเป็นบาป อาตมารู้จักบาปที่มันละเอียดละออ พูดอย่างนี้เป็นเชิงหลอกเขาอยู่ไปพูดทำไม อาตมาไม่พูดหรอก อาตมาพูดความจริงเขาดันไม่เชื่อ เขาไปชอบความประโลมหลอกๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2566 ( 15:25:27 )

คนส่วนใหญ่ปฏิบัติแบบเดียรถีย์

รายละเอียด

เดียรถีย์ คนไม่เข้าใจ คนโง่ คนตื้นๆ เขาปฏิบัติกันเต็มแบบนั้นแหละ แล้วก็ไปเอาอย่างเดียรถีย์แหละที่มาปฏิบัติ คือมันเสื่อมจริงๆ  ไปเอาอย่างฤาษีเดียรถีย์ที่แบบผิดๆแล้วเป็นหมู่ใหญ่ด้วย ยึดกันจนกระทั่งถ่ายทอดกันอาจารย์ต่ออาจารย์มา ที่มันผิดมาจนเป็นเป็นพันปี อาตมาก็จำเป็นต้องเอามาฟื้นขึ้นมา ผู้ที่ยังอยากจะได้รายละเอียดก็ไปอ่านพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:49:52 )

คนส่วนใหญ่หลงในเรื่องอรหันต์เก๊

รายละเอียด

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ต้องยืนยันเพราะว่าคนถูกหลอกให้ไปเชื่อถืออรหันต์เก๊ไปหมด พูดนี้ไม่ได้หลงตัวหลงตน แต่ก็ต้องยืนยัน ถ้าคุณไม่เชื่อก็ต้องตามพิสูจน์ คุณไปพิสูจน์อรหันต์เก๊น่าเสียดายเวลาทุนรอนจะตาย คุณเอาเวลาแรงงานทุนรอนมาศึกษาอรหันต์จริงบ้างสิ แต่เขาไม่เอา ไปเสียเวลากับอรหันต์เก๊กัน เมื่อไหร่จะหยุดเสียที

เขาไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออะไร อรหันต์จริงเขาสอนกันว่า จะต้องนิ่งใบ้ ไม่นิคคัณเห ไม่ติมีแต่ชม แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด จะทำกับเธอเหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ หรือความชั่วหรือกิเลสของเราเหมือนไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะควรรีบเอาออก ความดีมันก็อยู่กับเราไปมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นต้องรีบเอากิเลสหรือไฟที่ไหม้ศีรษะออก ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก เรื่องดีนั้นยังชะลอไปได้ แต่เรื่องไม่ดีนี้ต้องรีบร้อน ท่านพูดและยกตัวอย่างอย่างนี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะห้ามอาตมาไม่ให้ด่าคนนี้ เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง

ซึ่งจะเกิดผลจากการปฏิบัติไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก สนิทเนียน แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พฺยัปปนา) ปักมั่น(เจตโส อภินิโรปนา)ไปตาม“กระบวนการ”ของ“สังกัปปะ 7”

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:07:57 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:09 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:43:25 )

คนหน้ามืดตามัวที่สุดคือคนที่คิดว่าตนเองเป็นสัตบุรุษ

รายละเอียด

ความหน้ามืดตามัวสนิท นึกว่าตัวเองเป็นสัตบุรุษเป็นผู้รักษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ใครมาเห็นต่าง แล้วจะเอามาใส่ ให้คนชาวพุทธรับรู้ได้ด้วย เฮ้ย อย่ามาทำลายศาสนาพุทธข้านะ สัปบุรุษหรือสัตบุรุษเก๊นั้น เขาจะคิดอย่างนี้เขาจะทำอย่างนี้ สัตบุรุษจริงสัปบุรุษจริง ไม่ไปรบราฆ่าฟันด้วย อาตมาไม่เคยไปต่อต้านเขานะ มีแต่วิจารณ์วิจัยมีแต่พูดความจริง ข่มสิ่งผิดยกสิ่งถูก คือตัวเอง ตัวเองมีสิ่งถูก เขามีสิ่งผิดก็พูดตรงๆ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ทำตามสัจจะนี้ไปตลอด 

อาตมาข่มความผิดไม่ได้ไปข่มคน ข่มความผิดที่เขาไปยึดถือไว้ ไม่ได้ไปข่มคน ข่มไม่ได้หรอกอาตมาไม่ไปข่มคนนั้นคนนี้ ไปข่มเขาทำไม เขาก็เป็นคน เราก็เป็นคนเสมอกัน แต่สิ่งที่เขาไปยึดถือไว้นี่สิมันน่าตำหนิมันน่าข่ม มันน่าดูถูกมันน่าบอกให้เขารู้ตัว ก็จำเป็นต้องพูดต้องบอกด้วยความจริงใจ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความรัก ด้วยความเมตตาจริงๆ เพราะฉะนั้นอาตมาเป็นกุ๊ก ปรุงอาหารคือ นิวรณ์ 5 ของผู้ที่มีอวิชชา ก็เอาเหตุปัจจัยที่เป็นสารพิษคือนิวรณ์ 5 นี้ เอามาแจกแจง เอามาชำระ เอามาเปลี่ยน มาสำรอก เอามาเปลี่ยนจาก กามคุณ เขาถือเป็นกามคุณ ก็มาเปลี่ยนเป็นกามโทษ ตามสัจจะของมันว่ากามเป็นโทษ กามมันไม่ได้เป็นคุณเลยนะจ๊ะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 14:41:06 )

คนหมดกิเลสคือคนสิ้นบุญหมดบุญไม่มีบุญแล้ว

รายละเอียด

ซึ่งก็คงเคยได้ยินคำว่า “ไม่มีบุญแล้ว สิ้นบุญหมดบุญ” ก็อาจจะได้ยินนะคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆหมายถึงอะไรก็เป็นคนหมดกิเลสเลย คนสิ้นบุญคนหมดบุญคือคนสิ้นกิเลสไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย เป็นอรหันต์ขึ้นไปถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ หรือพระโพธิสัตว์ทุกองค์ก็เข้าใจเรื่องบุญ ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์จริงๆไม่เข้าใจจริงๆหรอก คำว่าบุญนี่ ไม่เข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:52:40 )

คนหมดกิเลสเป็นอย่างไร

รายละเอียด

คนหมดกิเลสเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเป็นอรหันต์อาตมารู้ จึงเอามาพูดสาธยายอย่างสะดวกและเปิดเผยทุกอย่าง บอกตัวเองเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ทุกอย่างก็เลยสบาย ทุกวันนี้บรรยายธรรมะ ไม่ต้องไปยึกยัก ไม่ต้องไปมังกุ ไม่ต้องไปเก้อยากเลย สบายคล่อง สะดวกทุกอย่างเลย 

เพราะฉะนั้นการที่ไม่เปิดเผยตัวเองไม่เปิดเผยความจริง มันไม่โล่งโปร่ง มันไม่มีอะไรติดขัด มันไม่เป็น มันจะมีอะไรติดขัดอยู่ แต่นี่มันไม่มีอะไรติดขัดเลย สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล ไม่ต้องงงไม่แปลให้ฟังหรอก รู้คนเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 16:09:39 )

คนหมดบุญคือคนมีนิพพาน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนไม่มีบุญคือคนเป็นอรหันต์ หมดบุญ หมดบาป เป็นอรหันต์ ดูอันนี้ก็ผิดเพี้ยนไปหมดแล้วในโลก เพราะคำว่าบุญมันเพี้ยนไปเยอะแล้วกลายเป็นกุศล ศาสนาพุทธในโลกที่เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ก็ไม่มีนิพพาน เพราะคนหมดบุญคือคนมีนิพพาน แล้วคุณไปแสวงบุญอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องหมดบุญรู้บุญให้ได้ บุญเป็นกิริยา ทำหน้าที่จัดการกับกิเลส ไม่ได้เลอะเทอะไปจัดการอย่างอื่นสำหรับบุญ นี่สุดยอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:23:05 )

คนหลงความรวยออกจากสังสารวัฎยาก

รายละเอียด

มันจะจมอยู่ในสังสารวัฏตลอด ต่ำไม่หลุดพ้นออกจากที่หมุนที่วนที่ติดที่ยึด อย่างนี้แล้วมันต่ำลงเรื่อยๆลึกลงเรื่อยๆ อย่างคนหลงความรวย เนียนๆ เนียนมาก ออกจากสังสารวัฏนี้ยาก คนหลงความรวย ถ้าเราจะมาหลงความจนเหมือนอย่างพวกเชน นั่นหมดเนื้อหมดตัวไม่เอาอะไรล่อนจ้อนเลยนะ ไม่นุ่งผ้าผ่อนอะไร สุดโต่งไปทางหลงความน้อยความจน ก็ยังดีเสียกว่า จะหลงในวัฏสงสารยึดติดในวัฏสงสารน้อยกว่า ไม่ติดไม่ยึดนานเท่า ยังไงบิลเกตนี้ออกยาก คุณธนินท์อย่างนี้ คุณเจริญอย่างนี้ จะไปเอาเขาออกมาได้อย่างไร

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:29:54 )

คนหลงความรู้ รู้มากยากนานกลายเป็นผู้ปทปรมะ

รายละเอียด

แต่นี่มันไม่เป็นไปตามนัยยะสำคัญอย่างที่อาตมาว่า มันก็เลยยังไม่ได้ ลักษณะนี้มีเยอะ อาตมาเห็นแล้ว เป็นคนหลงความรู้ รู้มากยากนาน กลายเป็นผู้ ปทปรมะ คล้ายเป็นพวกโลกจินตา รู้ความรู้พระพุทธเจ้าก็รู้ รู้อาจาริยวาทก็รู้ ใครจะรู้อะไร เราก็เก็บมารู้หมดเต็มไปหมดเลยแต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นสรุปไม่ลง ดับสนิทเป็นนิพพานไม่ได้ 

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ที่อาตมาเห็นใจผู้รู้เช่น เห็นใจท่านประยุทธ์ ปยุตโต เป็นต้น ท่านรู้มากรู้อย่างน่านับถือเลย แต่ตรงที่ท่าน สรุปแล้วก็จบให้เป็นวิมุติหรือเป็นนิพพานไม่ได้ อันนี้มันน่าสงสารตรงนี้ สงสาร คือ เห็นความวนเวียน 

แต่คุณพูดผิดที่ว่า การอุปาทานไปนั่นไปนี่กับงูที่มีเมถุน มันคนละเรื่องกัน แค่นี้คุณก็ยังไม่ลงตัวสรุปไม่ได้ว่าเรื่องนี้ต่างกันหรือเหมือนกัน เมื่อคุณสรุปเรื่องต่างกันไม่เหมือนกัน เหมือนกันไม่ใช่ต่างกัน แค่นี้คุณไม่ได้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

ความรู้ของคุณเดชาก็มีเท่ากับความรู้ของคุณเดชา แต่ความรู้ของอาตมา มันก็เป็นของอาตมา อาตมาไม่อยากบอกว่าอาตมารู้มากกว่าคุณ อาตมาก็รู้ไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก แล้วก็รู้ที่ว่ารู้ยิ่งกว่าหรือมากกว่านั้น มันนี่ยังมีมากมายอยู่และเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มีอย่างนั้นจริงๆ มีขั้นตอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ที่มีศีลเป็นหลักต้นสำคัญมาก ใช้ยึดถือแล้วก็ศึกษา ปฏิบัติให้บรรลุไปตามลำดับ ลาดหลุม ราบรื่น เหมือนฝั่งทะเล เหมือนทรายไม่มีขรุขระโขลกเขลกเลย ก็คงจะพบกันอีกสำหรับคุณเดชาไม่มากก็น้อย แต่คงไม่น้อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:40:10 )

คนหลงอัตตา

รายละเอียด

มันยิ่งกว่าเลย มันเหมือนกับโจรร้ายที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเช้า มันก็เหนียวแน่น มันก็ยังเป็นตัวอยู่ครบเครื่อง เป็นโจรครบเครื่อง พระราชาก็ถามเจ้าพนักงานอีกว่ามันตายหรือยัง ก็ยังอีกก็เอาไปฆ่าตอนกลางวันอีกมันก็ยังไม่ตายเอาไปฆ่าตอนเย็นอีกมันก็ยังไม่ตาย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:13:39 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:47 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 14:52:24 )

คนหาที่สุดไม่ได้ไม่มีสิทธิ์จะเป็นอรหันต์

รายละเอียด

เรื่องเก่านี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดจริงกับตัวเรา อดีตพระพุทธเจ้ารวบรวมไว้ในทิฏฐิ 62 เรื่องเก่าก็มีประมาณ 18 ความเห็น ทิฏฐิ 18 ความเห็น มันไม่มีชีวิตต่อไปได้อีกก็ได้ก็มีแค่พยัญชนะที่จนที่สุดไม่ได้ก็คิดไปทั่วๆไปหาที่สุดไม่ได้ คำว่าหาที่สุดมิได้ คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นอรหันต์ คนที่หาที่สุดมิได้ไม่มีสิทธิ์จะเป็นอรหันต์เช่นพวกที่หลงความรู้ในสังคมมีการหลงความรู้สูง สรุปความรู้ความรู้มันเยอะเหลือเกิน ความยึดถือ เท่านั้นเอง

ส่วนอนาคตก็คิดไปเป็นไปได้ ก็ได้ เป็นไปไม่ได้ก็ได้ จนในที่สุดไม่มีสามารถที่จะคิดอะไรต่อไปอีกก็ได้ หาที่สุดไม่ได้ ก็คิดไปเพ้อฝันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:33:29 )

คนอมตะ

รายละเอียด

คนที่จะตายก็ได้เกิดก็ได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 20:35:55 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:16 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:43:53 )

คนอยากจนคือคนมีปัญญา

รายละเอียด

คนที่มีปัญญา คนอยากจนนี่คือคนมีปัญญา ถ้าคนกลัวจนไม่อยากจน ไม่ต้องการที่จะเป็นคนจน เป็นคนที่ยังไม่มีปัญญา อาตมายกตัวอย่างคนก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ มันชัดเจนแล้วมันง่ายมากเลยนะ 

คืออาตมายกตัวอย่างพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี้รวย มีบ้านมีเมืองมีทรัพย์สฤงคาร เสร็จแล้วทิ้งหมดเลย ออกมาตัวเปล่า รองเท้าทองที่เคยใส่ก็ถอด เครื่องทรงก็ถอดมานุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด มานุ่งผ้าห่อศพ เป็นคนจนสนิทเลย นี่คือคนอยากจนที่แท้แล้วก็จนสำเร็จ แล้วก็มาปฏิบัติตนเป็นคนจนตลอดพระชนม์ชีพพระพุทธเจ้า 45 ปี ก็เป็นคนจนตลอด 

เพราะฉะนั้นความเป็นคนจนจึงคือความเป็นผู้เจริญ ผู้ประเสริฐเป็นคนจนที่มีปัญญา คนที่เป็นคนจนได้สำเร็จ คนนั้นคือคนประเสริฐที่สูงสุดเป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอกที่มาเป็นคนจนสำเร็จ นี่อาตมาไม่ได้พูดแกล้งยกยอแต่มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นเรื่องความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 11:53:35 )

คนอยู่เหนือ กาละ

รายละเอียด

อะไรก็ตามแต่ มาถึงปัจจุบันจะเป็น 0 ทำให้กิเลสสูญได้ เพราะฉะนั้นอดีตทุกอดีตก็จะเป็น 0 จากที่ปัจจุบันของคุณมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจนกระทั่งอนาคตจะมาอีกเท่าไหร่ เท่าไหร่ เท่าไหร่ ฉันก็จะทำอนาคตให้เป็น 0 ได้หมด เพราะฉะนั้นทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต หมด หมดฤทธิ์ อดีต อนาคตหมดฤทธิ์ เพราะปัจจุบันทำ 0 ได้หมดเลย นี่คือ คนอยู่เหนือกาละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:31:02 )

คนอยู่เหนือกาละ 

รายละเอียด

ถ้าอะไรก็ตามแต่ มาถึงปัจจุบันจะเป็น 0 ทำให้กิเลสสูญได้ เพราะฉะนั้นอดีตทุกอดีตก็จะเป็น 0 จากที่ปัจจุบันของคุณมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจนกระทั่งอนาคตจะมาอีกเท่าไหร่ เท่าไหร่ เท่าไหร่ ฉันก็จะทำอนาคตให้เป็น 0 ได้หมด เพราะฉะนั้นทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต หมด หมดฤทธิ์ อดีต อนาคตหมดฤทธิ์ เพราะปัจจุบันทำ 0 ได้หมดเลย นี่คือ คนอยู่เหนือ กาละ 

ที่ทำได้เช่นนั้นเพราะเข้าใจปฏิจจสมุปบาททั้งหมด เริ่มตั้งแต่อวิชชา เปลี่ยนเป็น วิชชา จะไม่ไล่อย่างอวิชชา ไล่อย่างอวิชชาคือตัวพยัญชนะทั้งหมด 11ตัวนั้น ลึก สุดท้ายผลของมันก็คือ โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ 

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นวิชชา เราก็รู้จักสังขาร รู้จักสังขารแล้วสามารถทำอภิสังขารได้ ทำอภิสังขาร 3 สำเร็จ วิญญาณก็สะอาด เราก็รู้จักนามรูป เพราะเราปฏิบัติต้องใช้นามรูป แม้มันจะไปสนิทกันเป็นอายตนะ รวมกันจนกระทั่งเขาเรียกว่าตัวเชื่อม อายตนะ มันเป็น 2 สภาพอยู่ด้วยกัน 

เพราะฉะนั้นในกลุ่มของสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะคือกลุ่มหนึ่ง ที่อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว 

เพราะฉะนั้นในปัจจุบันชัดเจนจริงๆเลย ก็เป็นวิชชานะ ก็มีผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็เป็น ภพชาติ

เพราะฉะนั้นเมื่อมีผัสสะ มีเวทนา เรียนรู้สัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉา ก็จัดการกับตัณหาเวทนาที่มันมีตัณหาก็จัดการกับมันที่มันมีอุปาทานก็จัดการกับมันออกให้หมด ถ้ามันไม่หมดมันก็ ภพ มันก็กลายเป็นกามภพ หรือ จะเป็นรูปภพ อรูปภพอยู่ ถ้าสามารถทำได้หมด ภพก็หมดด้วย กลายเป็นวิภวภพ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ  ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 19:17:18 )

คนอย่างพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ

รายละเอียด

แม้แต่ผู้บริหารทุกวันนี้ เป็นนายกของประเทศที่ทำงานอยู่ขณะนี้ อาตมาก็บอกรับรองด้วยภูมิปัญญาของอาตมา จะผิดจะถูกอย่างไร ถ้าพลเอกประยุทธ์ที่อาตมารับรองขณะนี้ ไปทำ ขออภัยนะ พูดสมมุติ พลเอกประยุทธ์ไปทำเป็นโลกีย์ไปไม่ซื่อสัตย์ ไปขี้โลภ ไม่ทำจริงตรงกับที่กำลังพูดกันนี่ จนคนเห็นแล้วก็จับได้เอามาตีแผ่หน้าแตก อาตมาก็หน้าแตก พลเอกประยุทธ์ก็หน้าแตกอย่างนี้ จะได้รู้กันว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไหม จะได้รู้กัน 

อาตมาก็ว่าพิสูจน์กันไปเลย ต้องพิสูจน์กันให้ถึงๆ สิ  อาตมาว่าคนอย่างพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ให้ลองทำไปอีกสัก 10 ปีสิ ตอนนี้ก็ยังไม่ 70 ปี ทำอีกถึง 80 อาตมาอายุ 80 จะ 90 ปีแล้ว อาตมาก็ยังพยายามใช้ความรู้ของพระพุทธเจ้านี่แหละ ยังขันธ์ ยังชีวะ ให้มันแข็งแรงทำงานได้ พูดได้ นำพากันทำงานกันเจริญได้อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 16:58:29 )

คนอย่างมหาบัวน่ากลัวมาก

รายละเอียด

เสร็จแล้วก็มีนิรมาณกายพวกนี้ขึ้นมาบำเรอตนเอง ฉันเป็นเจ้าของ นึกถึงขั้นฉันเป็นเจ้าของประเทศนะ ประเทศไทยไม่มีฉันแล้วล่ะก็ ไม่มีดอลล่าร์ ไม่มีทองคำมาเลี้ยงไว้นะ ฝีมือฉันนะ ประเทศไทย ทำเป็นเล่นไป อาตมาไม่อยากพูดละเอียดกว่านี้ มันดูไม่ดี เกี่ยวข้องไปอีกอะไรต่อไปอีกถึงใครๆอีก ลวงเพื่อที่จะหลงตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่อาตมายิ่งเห็นว่า ประเทศไทยเสื่อม 

อาจารย์มั่นก็ยังไม่แสดงบทบาทยังไม่มีลีลา ยังไม่มีกรรมวิบากที่ได้แสดงออกมากมายเหมือนมหาบัว เพราะฉะนั้นอาจารย์มั่นก็ไม่มีวิบากบาปหรืออกุศลติดตัวไปมากเท่ามหาบัว น่าสงสารจริงๆ มหาบัว มีทั้งรู้และไม่รู้อยู่ในตัว รู้แสนรู้แต่ทำ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองโกหกแล้วจะไม่โกหกในเรื่องอื่นๆ จะไม่ทำร้ายทำเลวอื่นๆ อีกเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ คนอย่างนี้น่ากลัวมาก 

ที่อาตมาต้องพูด ก็ต้องขออภัยลูกศิษย์ลูกหามหาบัว หรือแม้แต่มหาบัวเองก็ต้องขออภัยที่เอามาใช้เป็นตัวอย่าง อธิบายธรรมะ ขอบคุณที่ได้ใช้อาศัยพฤติกรรมพฤติการของท่านทั้งหลายนั้น มาเพื่อสาธยายธรรมะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 17:39:26 )

คนอย่างไรน่าสงสารจริงๆ

รายละเอียด

อาตมาอธิบายรายละเอียดให้ฟัง 

คือมันน่าสงสารเสียเวลาและมีมากด้วยนะ คุณแสวงหาอยากได้ แต่ไปถูกผีห่าซาตานหลอกให้หลงไปกับผีห่าซาตาน เมื่อไหร่จะฟื้นคืนมา ออกจากผีมารพวกนั้น หลอกเอาไว้ มันน่าสงสารจริงๆ อาตมาจึงเห็นใจจริงๆ คนที่เขาไปหลงโลกีย์อาตมาไม่สงสารเท่าไหร่หรอก เพราะมันกู่ไม่กลับ แต่ที่คุณแสวงหาสิ่งที่ควรจะได้ ยิ่งบางคนเคร่งครัดพยายามเอาใจใส่ศึกษา ยิ่งน่าได้ ยิ่งอาตมาอยากจะให้มากๆเลย คนอย่างนี้ น่าสงสารจริงๆ แหม ไม่รู้จะทำอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:11:12 )

คนอวรรณะทำให้สังคมเดือดร้อน

รายละเอียด

นั่นแหละเป็นชีวิตคนชั้นสูงคนมีวรรณะ วรรณะเป็นคนมีชั้นสูง แต่คนตีลังกากลับ พวกเลี้ยงยากอยู่ยากมีเงินน้อยก็ไม่ไหว เดี๋ยวเงินพร่อง ยศศักดิ์ ใครไม่นับถือก็ไม่ไหวแล้ว พวกนี้เป็นพวกอวรรณะ เป็นพวกเลี้ยงยากบำรุงยากมักมาก เป็นพวกเกียจคร้านอาศัยแต่เงินทุนเงินก้อนออกดอกออกผลวันๆนึงไม่ต้องทำอะไร กินแต่ดอกแต่ผลก็อยู่ได้แล้ว คนนี้เป็นพวกคนชั้นต่ำ อวรรณะ คนกินแรงตนเองแต่ละวันแต่ละวัน ไม่ต้องสะสมเลยเป็นคนชั้นสูง คนคนนี้ไม่ทำให้เศรษฐกิจสังคมเดือดร้อน คนที่กักเงินของตัวเองไว้ เงินเป็นของส่วนกลางของสังคม คนก็ต้องแบ่ง แต่คนนี้ก็กักกันไว้ เงินในสังคมก็ขาดแคลน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 17:58:11 )

คนอวิชชา

รายละเอียด

คนอวิชชา  คือ คนที่จิตสัมผัสแล้วปรุงแต่งเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็แสดงว่า ตอนนั้นคุณพักยกจะเป็นเคหสิตอุเบกขา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่  2 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2562 ( 12:50:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:48 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:44:25 )

คนอวิชชาสร้างอาวุธทำให้โลกไม่เป็นสุข

รายละเอียด

คนที่มันอวิชชา สร้างวัตถุมาเป็นภัยแก่กันและกันมากเกิน แล้วคนก็ไปติดยึดในสิ่งเหล่านั้น ต้องมีต้องได้ต้องเป็น เช่นสร้างอาวุธ มันมีประเทศไหนบ้างที่ไม่ซื้ออาวุธ แล้วไม่สร้างเองด้วยเอาของคนอื่นใช้มีไหม บางคนบอกว่าประเทศภูฏาน ซึ่งมันไม่ควรสร้างมาเลย ให้มันใช้ไม้หน้าสาม ไม่ต้องไปสร้างแม้แต่มีดแม้แต่ดาบแม้แต่หอก ให้เอาท่อนไม้ตีกันนี่ ก็เหลือแหล่แล้วคนเรา ใช้ท่อนไม้ตีก็ตาย ฆ่ากันก็ได้ด้วยท่อนไม้ ถ้าเผื่อว่าไม่สร้างอาวุธอะไรขึ้นมาเลย ให้มันใช้แต่ท่อนไม้ท่อนเหล็ก มันก็ฆ่ากันเหลือแหล่แล้ว 

เพราะฉะนั้นยิ่งมาสร้างอาวุธที่มันพิสดารอะไรต่างๆ โลกมันก็ไม่เป็นสุข โลกมันก็สร้างอำนาจเพื่อจะมีอาวุธ จนคนเดือดร้อนมากเลย คนมีอาวุธเก่งกว่าก็ข่มคนไม่มีอาวุธ ไปทำร้ายเขา เขาก็ต้องหาอะไรมาป้องกัน อาวุธมาป้องกัน ประเทศที่คิดไม่ได้เลยก็เอาแต่ซื้อ คนทำขายก็ขายแพงแพง เอ็งไม่มีเอ็งตายนะ ก็ตั้งราคาเอาเปรียบเอารัดเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องเอาเปรียบเอารัด ข่มเบ่งกันไป ไม่เป็นสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ ประเทศไทยไม่ต้องสร้างอาวุธแต่หันมาสร้างอาหารก็จะอยู่ได้อย่างดี วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:11:06 )

คนอวิชชาไม่รู้จักสมาธิโลกุตระ

รายละเอียด

สรุปแล้ว จิต ที่เรียกว่าเป็นสมาธิ ที่เขาถามว่าจิตนั่งหลับตาสมาธิเป็นการสะกดจิตให้มะลื่อทื่อ ศาสนาพุทธไม่เอาไม่ใช้ มันมีอยู่ครองโลก คนที่อวิชชาไม่รู้จักสมาธิแบบโลกุตระก็ทำกันอยู่ทั่วโลก เลิกได้ไม่ต้องแยแส เพราะว่ามันฉุดด้วย เสียเวลา นอกจากคนที่จำเป็นต้องอาศัยมัน ถ้าคุณไม่อาศัยก็ไม่ได้เลยคุณจึงต้องอาศัยมัน แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจแล้วไม่ต้องอาศัยก็มาเรียน ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมันจะสะสมเป็นคุณธรรมตกผลึกมากขึ้น แข็งแรงขึ้นมาเองอย่างได้สัดส่วน ไม่ต้องกังวลว่าคุณจะไม่ได้สมาธิที่เป็นสมาธิที่ยิ่งเป็นจิตตั้งมั่น ยิ่งเป็นจิตที่สะอาดปราศจากกิเลสเท่าใดๆ เป็นจิตยิ่งคล่องแคล่วยิ่งปราดเปรียวแววไว ทางกายก็เป็นกายปาคุญญตา ทางจิตก็เป็นจิตปาคุญญตา คือแคล่วคล่อง เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ แคล่วคล่อง แม้การเคลื่อนไหวเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติก็แคล่วคล่อง ทุกวันนี้อาตมาพูดไม่เร็วไม่ไวเหมือนเมื่อก่อนอายุ 30, 40 นะ ใครเอาเทปเมื่อก่อนมาฟังดูฟังแทบไม่ทันหรอกเร็วไว จะหยุดไม่ไหลก็ได้ แต่อาตมาสังขารไม่ให้เร็วก็ได้ และก็เห็นควรว่าโลกุตระธรรมเราลึกซึ้งจะไม่ละเอียดก็เอาแบบไปช้าๆดีกว่าให้เหมาะสม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:10:16 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:38:15 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 14:53:51 )

คนอวิชากับคนมีวิชา

รายละเอียด

กายของกามคุณต้องมี 5 แต่จะทำทีละคู่ก็ได้ แต่กามไม่มี 6 กามคุณ 5 หรือกามโทษ 5 คนอวิชชาเห็นกามเป็นคุณ แต่คนมีวิชชาเห็นกามเป็นโทษ กามไม่ใช่สวรรค์ แต่กามเป็นนรกเป็นทุกข์ หากเห็นเป็นทุกข์เป็นนรกก็จะเบื่อหน่ายคลายได้

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:06:59 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:33 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:44:53 )

คนอวิชาแล้วหลงอยู่ภายใต้ความสุขเป็นของเก๊

รายละเอียด

คือ ค่าศาสนาพุทธรู้ความจริงของความรู้สึกที่เรียกว่าเทวนาที่รู้สึก สุข รู้สึก ทุกข์ คนที่อวิชชาแล้ว หลงอยู่ภายใต้ความสุข   ศาสนาที่ไม่ใช่โลกุตรธรรม ที่ไมใช้ ศาสนาพุทธที่แท้จริง ตกอยู่ใต้อำนาจของความสุขที่เป็นความลง เป็นของเก๊นิรันดาร พวกเทวนิยม  ที่ได้ได้มีสัมมาทิฏฐิ หรือแม้แต่ชาวพุทธที่ไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิจะไม่ได้รู้สึกและว่า ความสุขเป็นของเก๊ ความสุขไม่ใช่ของจริง คนที่ยังมีความสุขอยู่ก็คือคนที่ยังมีความทุกข์  เพราะความทุกข์กับความสุขเป็น เทวะ  อันนี้  ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ไม่มีใครมาอธิบายหรอก ถ้าไม่ใช่สมณะโพธิรักษ์มาเกิดแล้วมาอธิบายในยุคนี้  ไม่มีใครมาอธิบายได้ แยกไม่ออกหรอกเทวะ สุข ทุกข์ ซึ่งเป็นภาวะ 2 แล้วมันก็ลงคนให้ติดในความสุข แล้วก็แยกไม่ออก ทำให้เป็นหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้น มันก็ยังเป็นสภาพมีกิเลส  มีภพมีชาติ ไม่ปรินิพพาน ไม่สูญ ไม่เลิกติดสุข  เพราะไม่เรียนรู้ถึง ถึงอาการจิตที่แบ่งแยกละเอียดเรียกว่าเป็นเจตสิก และเรียกชัดลงไปที่ตัวเวทนาความรู้สึกหรืออารมณ์  ถ้าเรียนรู้สัมผัสความเป็นจริง ของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา รู้อย่างแท้จริงเลยมีธาตุรู้มีปัญญา ที่สัมผัส ธาตุรู้นี้ ของพระพุทธเจ้าสอน ที่เรียกว่า ปัญญาธาตุ มันเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากเกินกว่าโลกีย์ เกินกว่าศาสดาใดๆ ในโลกจะรู้จัก นึกเอาเองไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้เบื้องต้น ท่านกลาง ปั้นปลาย ไปเรื่อยๆ เป็นลำดับ ถึงจะรู้ชัดว่าแท้จริง สุข ทุกข์ เป็นของเก๊ แล้วสุดท้าย ศาสนาพุทธจึงเลิกความสุขและความทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ อทุกขมสุข หรือเรียก พยัญชนะไวพจน์ กันว่า อุเบกขา สูญจาก ความสุข ความทุกข์ เป็นกลางๆ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 12:32:55 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:47:47 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:48:09 )

คนอายุ 86 แต่จิตใจไม่มีแก่

รายละเอียด

คนอายุ 44 ปีก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ แต่งานพุทธาภิเษกของเราอายุทำกันมาได้ 43 ปีแล้ว ก็ไม่ใช่น้อย ในชีวิตของอาตมาเริ่มมาทำงานศาสนาตั้งแต่อายุ 36 มาถึงปีนี้ก็ปาเข้าไปเลย 36 มาถึง อายุ 72 แล้ว เลย 72 มาอีก 12 ปีก็เป็น 84 ก็เลยมาอีก 2 ปี อาตมาก็อายุ ย่างเข้า 86 ปี เต็ม 85 ย่างเข้า86 มาได้ 8 เดือนแล้ว ถึงมิถุนาก็เต็มครบ 86 คนอายุ 86 ก็แก่นะแต่อาตมาไม่เห็นแก่ เอาความจริงมาพูด โดยเฉพาะจิตใจ ไม่มีแก่ จิตใจมันคะนองด้วยซ้ำไป เหมือนหนุ่มๆจิตมันเป็นอย่างนั้นเลย แต่กายจะให้ทรงสภาพอย่างนั้นเลยก็ไม่ใช่ เหี่ยวย่นบ้าง เราไม่ได้ไปเกาหลีมา ก็เหี่ยวๆย่นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษก วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:37:06 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:48:45 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 14:54:41 )

คนอาริยะ

รายละเอียด

เป็นคนเหนือประเพณีวัฒนธรรมอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมส่วนใหญ่ที่เป็นโลกีย์ เป็นคนรับธรรมะพระพุทธเจ้าได้เป็นอาริยชน เป็นโลกุตระบุคคล จนเป็นหมู่กลุ่มสังคมที่มีระบบสาธารณ-โภคี เป็นหมู่บ้านที่มีศีลได้ทั้งหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีอบายมุขทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครกินเหล้า สูบบุหรี่ กินหมาก ไม่มีสิ่งเสพติดอะไรต่ออะไรทั้งหมู่บ้าน ก็บริหารสบาย เพราะไม่มีใครที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในเรื่องของอบายมุข กามจัดจ้าน อัตตาจัดจ้าน เรื่องที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญ อะไรต่างๆ นานาไม่มี ไม่ได้เป็นภาระของผู้บริหารมีแต่จะช่วยให้สังคมหมู่อื่น มาเข้าใจอย่างนี้แล้วมาเป็นอย่างนี้ ถ้าหมู่บ้านอื่นๆ  เป็นอย่างนี้มากขึ้น มากขึ้นๆ ประเทศก็จะสบายมากขึ้น

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2562 ( 16:03:38 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:48 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:49:01 )

คนอาริยะชอบฟังธรรม

รายละเอียด

จริง พระอาริยะก็ชอบฟังธรรม คนที่ยังไม่เป็นพระอาริยะเป็นปุถุชน ก็ไกลหลายๆโยชน์ไม่ชอบฟังธรรม ยิ่งเป็นพระอรหันต์ไปยิ่งใส่ใจสนใจฟังธรรม แม้แต่ฟังธรรมะคนที่เขาสอนผิดๆ อาตมายังอ่านหรือฟังบ้าง ฟังผู้ที่เขาสอนเขาบรรยายธรรมะคนเทศน์ธรรมะ ก็ฟังบ้างฟังดู ก็ชอบฟังอยู่ จะได้เห็นว่าเขาหลงทิศทางไปไกลอย่างไรแค่ไหน ครูบาอาจารย์ของศาสนาพุทธในยุคนี้ พาไกลดำดิ่งไกลจากวิเวก ตั้งอยู่ก็จมลงในที่หลง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:53:09 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:23 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:49:31 )

คนอิสระสุดยอด เป็นเช่นไร

รายละเอียด

ใครที่จะปฏิบัติตนเองหรือมีชีวิตขึ้นมา ทำตนเองให้เข้าใกล้ความมีอิสระ สำคัญนะความอิสระ บอกง่ายๆว่าที่มันไม่อิสระเพราะถูกอำนาจโลกีย์ อำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นนาย มันบังคับ เพราะฉะนั้นคนที่หลุดพ้นจากอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คือคนอิสระสุดยอด 

เพราะฉะนั้นลักษณะของคนดีก็เป็นคนที่ อย่างพวกเรานี่ เป็นลักษณะของคนดี แล้วคนดีมารวมตัวกันก็เป็นกลุ่มชุมชน เป็นกลุ่มสังคมหมู่ แล้วสังคมหมู่นั้นจะอยู่กันอย่างไร สังคมหมู่นั้นก็จะอยู่กัน อย่างดูได้เลย อ่านออกจากคนหมู่นั้นจะมีลักษณะของคน อยู่กันอย่างมีกายกรรมเมตตา มีวจีกรรมเมตตา มีมโนกรรมเมตตา มีลาภที่ได้โดยธรรมแล้วก็เอามารวมกัน กินใช้ด้วยกัน เป็นสาธารณะ และเป็นคนที่ปฏิบัติตน ต่างคนต่างมีทิฏฐิเป็นสัมมา สามัญญตา ต่างคนต่างมีศีลสามัญญตา นี่คือสิ่งที่ตรวจสอบได้ว่าเป็นลักษณะของคนดี จนกระทั่งถึงเกิดชุมชนของคนดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2566 ( 20:42:42 )

คนอื่นเข้าใจไม่ได้เพราะไม่ใช่ของสาธารณะดาษดื่นกลางตลาด

รายละเอียด

ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ไปจำขี้ปากใครมาพูด แต่พูดจริงๆเนื้อหาสาระสัจจะพระพุทธเจ้า พูดแล้วคนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ไม่ใช่ทั้งหมด นี่ไง ก็หน้าสลอนฟังอยู่ตอนนี้ หน้าจอก็มี ต่างประเทศก็มี จริง มันยังไม่มากมายเพราะมันยาก ไม่ใช่ของสาธารณะดาษดื่นกลางตลาด มันไม่ใช่ แต่มันเป็นของห้าง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) เท่านี้ก็ปีนอ่าน เข้าใจให้ดีก่อนนะคุณ

ไม่ใช่ว่าคนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่คุณต่างหากเข้าใจไม่ได้ แล้วคุณก็ว่า อาตมาพูดวกไปเวียนมาเอาสาระไม่ได้ ใช่แล้วเพราะคุณฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง มันเข้าแต่หูและขี้หูหลุดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันไม่เข้า มันเข้าแต่หูกระทบ แล้วมันก็ออกมา ไม่เข้าไปถึงใจ เพราะว่าคุณเข้าใจไม่ได้ สรุปง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:39:41 )

คนอื่นไม่ร่วมรู้คนอื่นไม่รับรอง! 

รายละเอียด

แล้วอย่างนี้“ผู้อื่น,คนอื่นทั่วไป”ย่อมไม่“ร่วมรู้”อะไรที่คุณ“รู้อยู่คนเดียว”นั้นไปด้วย ได้แน่ๆ ใช่มั้ย? จึงไม่มี“ผู้อื่น,คนใด”รับรองตัดสินขึ้นในโลก ว่า ที่คุณ“รู้คนเดียว”นั้นคืออะไร? ย่อมบอกหรือตัดสินไม่ได้ว่า “ดีหรือชั่ว-ถูกหรือผิด-จริงหรือไม่จริง-ควรหรือไม่ควร” ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ-วิเศษหรือไม่วิเศษ ย่อมชี้ลงไปว่าสิ่งนั้น ดีหรือชั่ว-ถูกหรือผิด-จริงหรือไม่จริง-ควรหรือไม่ควร-ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ-วิเศษหรือไม่วิเศษ-โลกียะหรือโลกุตระ-“สูญสิ้น‘อัตตา’ของตน”นิรันดรหรือจะยังมี“อัตตา”อยู่อย่างนิรันดร ก็ไม่สามารถทำได้อย่างเป็น“ที่สุดแห่งที่สุด”เหมือนของพระพุทธเจ้า

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 421 ข้อที่ 572


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 14:48:15 )

คนอื่นไม่เข้าใจเจตนาดีเรา

รายละเอียด

ดีแล้วล่ะ คนอื่นไม่เข้าใจเจตนาดีจะไปบังคับเขาได้อย่างไร แต่เราทำ เจตนาเราทำดีแล้วเราก็ไปทำสิ่งที่เราทำดีนั้นเป็นการกระทำดี หรือไม่ดีคุณก็ไม่ดี เมื่อเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมาะควรองค์ประกอบต่างๆนานาเหมาะสมก็ควรที่จะทำ ไปเยี่ยมเยียนดูแลถามไถ่ข่าวคราวที่จะช่วยเหลืออะไรได้ก็พอช่วยเหลือไป ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ส่วนคนอื่นจะมองด้วยองค์ประกอบอื่นๆเอามาตีความหมายมันก็เป็นเรื่องความคิดของคน มันก็เป็นธรรมดา

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:23:30 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:31:16 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 14:55:20 )

คนอื่นๆ ลัทธิอื่นเขาไม่บอกเป็นของตัวเอง เขาบอกแค่รับมา ทั้งๆ ที่เป็นของเขาเอง มันแปลกดีนะ!

รายละเอียด

คนอื่นๆลัทธิอื่นเขาไม่บอกเป็นของตัวเอง เขาบอกแค่รับ

มา ทั้งๆที่เป็นของเขาเอง --มันแปลกดีนะ!

       แต่คำสั่งคำสอนของผู้ที่เจ้าตัวเองผู้นำคำสอนมาเปิดเผย

ก็ไม่รู้ว่า เป็น“คำสอนของใคร” 

ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ตัวตน”ของผู้เป็นเจ้าของ“ความรู้-ความ

จริง”นั้น 

ก็ได้แต่รับมา ชนิดที่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ตัวตน”ของเจ้าของ

ความรู้นี้เลย แล้วนำมาสอน

และไม่รู้ตนเอง ว่า มี“ความรู้”นั้นเพราะตนเองสั่งสมมาเอง

ไม่ใช่ได้มาจากใคร ไม่ใช่ของใครเลย 

เพราะ“กรรมเป็นของของตน” “กรรมเป็นมรดกของตนเอง”

ทำเอง ตนจึงมีเอง สั่งสมมาเอง

“มรดกกรรม”ของใครก็ของตน “ตน”ต้องเป็น“ทายาทกรรม

ของตนเอง”  “กรรม”ของใครทำ ก็เป็น “วิบาก”ของตนเอง 

“กรรมวิบาก”แบ่งเป็น“มรดกกรรม”ของตนเท่านั้น แบ่ง“กรรม”แบ่ง“วิบาก”ของตนเองให้ใครไม่ได้เลยเด็ดขาด

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 216 หน้า 179


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2564 ( 12:38:33 )

คนอเวไนยสัตว์

รายละเอียด

คนอเวไนยสัตว์ คือ คนที่สอนไม่ได้ ไม่รู้เรื่องกาม

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2562 ( 08:11:05 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:45 )

คนเกิดมาต้องทำงาน

รายละเอียด

 เพราะเป็นคนไง ถ้าเป็นคนไม่ทำงานแล้วไม่ใช่คนไง แล้ว ธัมมะเป็นคนหรือไม่?….(ไม่ครับ) คนนี้เข้าใจเลี่ยงตัวเองนะ …คนเกิดมาต้องทำงาน สัตว์เดรัจฉาน มดมันทำงานไหม (ทำครับ) หมูหมากาไก่มันทำงานหากินให้ตัวเองไหม นั่นแหละอย่างน้อยก็ต้องทำงานทำมาหากินให้กับตัวเองเอาแค่นี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:46:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:31 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:50:22 )

คนเกิดมาทำไม เกิดมาทำงาน

รายละเอียด

คือเกิดมามีกำลังมีพลังงาน  อาตมาเคยตอบคนเกิดมาทำไมเกิดมาทำงาน  ทำงานทำไม  ทำงานเพื่อให้ได้เกิดความสร้างสรรค์อาศัย ใช้สอย มันเป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:45:40 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:52:30 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:50:49 )

คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด

รายละเอียด

เมื่อกี้นี้อธิบายว่าต้องไม่เสียชาติเกิด คนที่เกิดมาแล้วเสียชาติเกิด อาตมาเคยอธิบายใช้สำนวนหนัก ใครจำได้ไหมเอ่ย คนเกิดมาชาติหนึ่งแล้วเสียชาติเกิดนี้เท่ากับ ... แต่ก่อนนี้อาตมาใช้ศัพท์หนัก คือ คนที่เกิดมาในชาติหนึ่งไม่ได้โลกุตรธรรม เท่ากับชิงหมาเกิด อาตมาใช้สำนวนถึงขนาดนั้น เกิดมาชาติหนึ่งไม่ได้โลกุตรธรรม เท่ากับเกิดมาชีวิตนี้ ให้หมาตัวใดตัวหนึ่งมาเกิดดีกว่า ให้หมาตัวนั้นมาเกิดแทน ก็น่าจะพอมีภูมิพอฟังรู้เรื่องว่าสิ่งนี้น่าได้น่ามีน่าเป็นน่าเอา แต่นี่ไม่เอาแล้วแถมทำลาย มาตีทิ้งของที่น่าได้นี้ด้วย โลกุตรธรรม ไม่ได้แล้วยังทำลายอีกนี้ มันเป็นอย่างไรคนนี้ มันหนักกว่าหมาเกิด น่าจะให้หมาตัวใดตัวหนึ่งมาเกิดแทนดีกว่า 

ผู้ที่ยังเข้าใจสัจธรรมอันนี้ไม่ได้ เข้าใจว่าสิ่งใดที่ควรได้เกิดมาชาติหนึ่งควรได้อะไร จึงเป็นเรื่องที่โอ้โห สุดยอดจริงๆ และก็เป็นเรื่องที่ควรจะต้องเข้าใจก่อนอื่นด้วยใช่ไหม เพราะว่าไหนๆ เราก็เกิดมาเป็นคนแล้วนี่ โดยเฉพาะมาพบพระพุทธศาสนา มาพบกลุ่มหมู่ชาวอโศก ถ้าไม่ได้อะไรไปนี่ ตายๆๆๆๆ มันจะเสียชาติเกิดขนาดไหน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 15:42:17 )

คนเกิดมาเพื่ออะไร หลงอะไร ควรได้อะไร และส่วนใหญ่จมอยู่กับอะไร

รายละเอียด

วันนี้วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล วันเวลาก็ผ่านไป ชีวิตธรรมดาก็แก่ไป แก่ไป เฒ่าไปเรื่อยๆ แต่อาตมาผ่านไปก็จะพยายามเป็นหนุ่มให้ได้เรื่อยๆ โอย.. ชีวิตนี้ยากจริงๆ มันฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมดาเขา เพราะว่าใช้อิทธิบาท ใช้พลังพิเศษ พลังสร้างสัมประสิทธิ์ทางจิตวิญญาณ พลังงานทางจิตให้เกิดจริงๆ ให้เป็นไปได้ 

อาตมาขอเกริ่นไว้หน่อยในที่นี้ว่า ช่วงนี้นี่อาตมาจะตั้งหน้าตั้งตาเทศน์เรื่อง “คนเกิดมาเพื่ออะไร หลงอะไร ควรได้อะไร และส่วนใหญ่จมอยู่กับอะไร” 

ถึงบางยุค บางสมัย ไม่มีคน ส่วนน้อยที่มีชีวิตเป็นชีวิตที่ได้สิ่งที่ควรได้ นั่นคือยุค โดยเฉพาะยุคพุทธันดร ยุคที่ไม่มีศาสนาพุทธแล้ว คนทั้งโลกเขาจะมีแต่โลกียธรรม เขาเอาแต่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้วแย่งกันเสพแย่งกันติดกันไปไม่รู้กี่ชาติ มีแต่หลงจม 

เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกก็ตาม ในยุคที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาก็ตาม ก็ยังไม่ได้หมายความว่า มีผู้ที่มีโลกุตรธรรมมาก แม้ 2,500 ปีมาแล้วก็ตาม เพราะโลกุตรธรรมไม่ได้แพร่ออกไป นอกทวีปอินเดีย มันก็ค่อยแพร่ออกมานอกทวีปอินเดียแล้วก็เสื่อมลงๆๆๆ ผ่านไป 100 ปี 200 ปี 500 ปี 1,000 ปี 2,500 ปี 

มาถึง 2,500 ปีนี้เสื่อมหนักสุด จนกระทั่งในโลกพูดได้อย่างนั้นเลย หมดพลัง ต้องใช้คำว่าหมดพลัง จะใช้คำว่าหมดเชื้อก็ไม่ได้เพราะในคนไทยยังมีเชื้ออยู่ แต่เป็นเชื้อธุลีละออง มันไม่มีแรง หมดพลังของโลกุตระที่จะขับเคลื่อน ให้เกิดพลังอัตราการก้าวหน้า แม้จะเป็นพลังอัตราการก้าวหน้าในเชิงบวก ก็ยังไม่ได้เลย มีแต่ถอยหลังๆๆ 

จนกระทั่งอาตมามาเกิด จึงได้ตั้งหลัก เพิ่มพลังนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นพลังโลกุตระธรรมจึงเกิดเป็นรูปเป็นร่าง แล้วก็เป็นวัฒนธรรม จนกระทั่งมีปรากฏการณ์ของชุมชน หมู่บ้าน สังคม ที่อ้างอิงตามธรรมะพระพุทธเจ้าได้ว่า เป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพราะว่าจิตมีวรรณะ 9 จิตมีพุทธพจน์ 7 อย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาบอกว่า ส่วนน้อยที่มีปัญญาตื่นรู้สิ่ง 2 อย่างคือ รู้ราก มูลกา รู้รากของชีวิตที่เป็นจิตนิยาม ชีวิตของพีชนิยาม ชีวิตของจิตนิยาม

ชีวิตหรือชีวะ มี 2 อย่างคือ จิตนิยามที่เป็นชีวิตของสัตว์และพีชนิยาม ซึ่งเป็นชีวิตชีวะของพืช แตกต่างกันอย่างไรอาตมาจะไม่พูดถึงตอนนี้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 11:31:48 )

คนเกียจคร้านที่จะทำดีชอบคลุกคลีกับคนชั่ว

รายละเอียด

เขาเกียจคร้านที่จะมาทำดี เกียจคร้านที่จะมาเสียสละ แต่เขาไปขยันจะทำชั่ว เขาไปขยันที่จะไปเอาเปรียบ นี่คือคน กุสีตะ หรือคนเกียจคร้าน แล้วเขาก็คบหากัน คลุกคลีกันเกี่ยวข้องกันอยู่ในพวกเดียวกันที่จะมีทัศนคติเดียวกัน มีทิศทางที่จะเป็นคนชนิดเดียวกันเป็นคนชั่วชนิดเดียวกัน เป็นคนอวรรณะชนิดเดียวกัน ตั้งสังคมตั้งสมาคม ตั้งองค์กรองค์การ ผูกผนึกกันเพื่อที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง จะเป็นพวกอวรรณะไปอีกตลอดกาล เพราะเขาจะไม่มีปัญญาออกจากคณะนี้ เขาจะไม่ออกจากคณะนี้ เขาจะ สังคณิกะ อยู่กับคณะนี้ ออกไม่ได้ เพราะไม่มีปฏิภาณ ไม่มีไหวพริบ ไม่มีเศษเสี้ยวธุลีละอองแห่งความที่จะรู้ตัว ว่า โอ้โห เรามาจมดักดานมาอยู่กับลักษณะนี้ของคนของสังคมอย่างนี้ เขามีสังคมที่ดีๆอย่างชาวอโศก มีตัวอย่างให้เห็น เป็นคณะที่ยิ่งใหญ่แล้ว มีสาราณียธรรม 6 แต่ละคนมีวรรณะ 9 แต่ละคนมีจิตสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 15:32:31 )

คนเก่งๆ จะแยกร้อยเฉดไปหาแสนเฉดก็ได้

รายละเอียด

เหลือง เป็นอันที่ 3 นี้บางเบาแยกทีละน้อยของเหลืองนี้ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่เลย 

อันที่ 4 ขาว ต่างกันอีกในเฉดสีของขาว ต่างกันในนัยต่างๆ นับเป็น 100 ขั้นเหมือนกับน้ำเงิน แล้วคุณคิดดูสิคนที่มีรายละเอียดสามารถสัมผัสรู้ได้ว่า ขาวมีเฉดต่างๆกัน มันต่างเป็น 100 เฉด เหมือนกับน้ำเงิน เหมือนกับแดง มันจะง่ายไหมที่จะรู้ ตาคุณจะต้องละเอียด ต้องเก่งต้องแยกแยะความละเอียดของความขาวนี้ได้เป็น  100 เฉด จะต่างกันยังไงหนอ ขาวแก่ขาวอ่อนอย่างไรเยอะแยะ ถ้าเป็นสีอื่นๆก็แยกแยะง่ายกว่าขาว คู่เอก เมื่อเวลาชกกันก็คู่สีแดงกับสีน้ำเงินชกกัน หรือเสื้อผ้าก็มีเขียวกับแดงเป็นคู่กัด อย่างนี้เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้มีสภาวะจริงรองรับความรู้ทั้งนั้น แล้วก็ยึดถือคนละมุม คนละเหลี่ยมต่างๆนานาสารพัดที่จะต่างกัน ต่างกันไป 100 อย่างต่างกันไป 1,000 อย่าง ต่างกันไป 10,000 อย่าง  100,000 อย่าง เป็นได้หมด เพราะฉะนั้นมันมาก พระพุทธเจ้าก็บอกว่า คุณก็ไปเมากันมากๆ นักปรุงแต่งก็จะปรุงแต่งให้ต่างๆต่างไปอีก อย่างพวกกระเทยปรุงแต่งจะพิสดารไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 20:24:20 )

คนเขาไม่เข้าใจความเป็นอาริยะเพราะหลงเอาโลกเป็นใหญ่

รายละเอียด

อาตมาไม่มีปัญหาในเรื่องที่ใครเขาว่าอาตมาไม่ใช่อรหันต์ อาตมาอวดตัวอวดตนหลงตัวหลงตน เขาจะว่าอย่างไรอาตมาก็ฟังเข้าใจ แล้วก็เห็น แล้วก็สงสารเขาเท่านั้น คุณปิดประตูของเรานั้นน่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจะไปเปิดก็ไม่ได้ คุณปิดของคุณเองอาตมาก็ได้แต่ดูคนที่เขาเปิดรับเขาก็เปิด บอกแล้วว่าเขาเปิดรับแล้วก็ไม่ใช่จะรับได้ง่ายๆบางคนก็ไม่เปิดเต็มเปิดแง้มๆรับบ้างไม่รับบ้างกลัวคนจะเห็นว่าฉันก็แง้มดูอยู่นะ จะมีไหม ...มี แอบฟัง แอบดูไม่ให้คนรู้ ถ้าคนรู้ก็จะรีบปิดกลบเกลื่อน ไม่สนหรอกโพธิรักษ์น่าสงสารมาก เขาน่าสงสารจริงๆ กลัวคนจะรู้

เขาเอาโลกเป็นใหญ่ คนเขาไม่เข้าใจ ความเป็นอาริยะ ความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์ แล้วเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วเขาก็เลยไปตามคนส่วนใหญ่เขา อรหันต์หรือโพธิสัตว์ หรือสิ่งที่เจริญจริงๆก็เป็นยอดปิระมิดก็ต้องมีน้อย แต่คุณก็ไปหลงคนส่วนใหญ่เอาตามคนส่วนใหญ่ คุณหลงประชาธิปไตยมากไปหรือเปล่า ไปหลงว่าเอาคนส่วนใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบการปกครองของมนุษย์ ที่สุดยอด วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 12:15:00 )

คนเข้าถึงสภาพ 2 อย่างเป็นอย่างไร

รายละเอียด

แต่ถ้าศูนย์กลาง หมายถึง ความเป็นกลางจริงๆ ที่มีอาศัยอยู่ ความเป็นกลางอันนี้ โอ้โหเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดที่คนจะต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาตรงนี้แหละเป็นสำคัญที่สุดเลย ลักษณะ 

อีกภาษาหนึ่งท่านใช้เรียกว่า มัชฌิมา ผู้ที่บรรลุอันนี้ ผู้ที่บรรลุได้แล้ว นั้นก็เป็นตัวปฏิกิริยาไดนามิกอยู่ เรียกว่า อนุปคัมมะ เป็นคนเข้าถึงสภาพ 2 อย่างแล้วและก็มีอยู่ทั้ง 2 อย่าง ยังไม่ตายยังไม่สูญยังไม่ไปไหนมีวิจารณญาณอยู่กับความมี-ความไม่มี ซึ่งเป็นความลึกซึ้งสูงส่งมากเลยอันนี้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็น อนุปคัมมะ หรือคนเป็นมัชฌิมา คือคนสุดยอดแล้ว จบแล้วในศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่า อภิภู จบเข้าเขตปาง 8 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:59:43 )

คนเข้าถึงโลกุตรธรรมจึงสามารถให้รางวัลแก่ผู้ที่มีโลกุตรธรรมได้

รายละเอียด

ฉะนั้นศาสนาพุทธ ถ้าเข้าใจคำว่าบุญนี่ได้ ตัดกิเลสหมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ หมดบุญหมดบาปสิ้นบุญสิ้นบาป คนนี้ก็ จบกิจ ตายไปก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่แหละ สุดแห่งที่สุดที่อาตมาเอามาขยายความอันนี้สุดมหัศจรรย์ คนในโลกนักวิทยาศาสตร์ทางศาสนา วัตถุ นักวิทยาศาสตร์ทางจิต พวกที่เรียนจิตวิทยากันอยู่ทั้งนั้น ชัดเจน เข้าใจอย่างที่อาตมาชัด แล้วทำได้ด้วย เขาจะให้รางวัลอาตมาเลย ถ้าเขามีอิทธิพลทางโลก มีทรัพย์ศฤงคาร มีองค์กร เหมือนอย่างโนเบิลไพรซ์ หรือแมกไซไซของฟิลิปปินส์ 

อาตมาได้รับรางวัลของแมนเฮ เขาให้รางวัลอาตมาเพราะเห็นตรงนี้ แมนเฮ นี้เป็นองค์กร ของประเทศเกาหลีใต้ องค์กรศาสนาพุทธ เป็นองค์กร มีมรดกของท่านแมนเฮ แล้ว เป็นองค์กรที่ดูมีความรู้ทางโลกุตรธรรม จึงมองอาตมาออก ว่า อ๋อ.. อาตมานี่ เป็นผู้ที่เผยแพร่ สร้างสันติภาพให้แก่โลก อย่างปรมัตถ์ อย่างโลกุตระ แมนเฮนี้รู้เห็น จึงให้รางวัลประกาศรางวัลแก่อาตมา ได้รางวัล 100 ล้านวอน อาตมาก็ว่า ก็สาธุ ให้แก่นฟ้า เป็นตัวแทนไปรับรางวัลมา เขาก็มีใบประกาศนียบัตรมาใบรับรองมา แล้วก็มีองค์กรเล็กอีกองค์กรหนึ่ง ของเกาหลีใต้ วัดชิลซังซา ก็เห็นด้วยสนับสนุนด้วยเข้าใจด้วย ก็มอบรางวัลมาให้ด้วย ประเทศไทยก็ไม่ได้ขานรับอะไรหรอก เงินรางวัลอาจจะน้อยกว่ารางวัลNobel prize จำนวนเงินที่ได้ 2 ล้านหกแสนสองหมื่นหนึ่งพันเศษ เท่ากับ 100 ล้านวอน เทียบกับ nobel prize ไม่ได้หรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:08:25 )

คนเข้าใจก็ซาบซึ้ง

รายละเอียด

คนเข้าใจก็ซาบซึ้งอย่างนี้ก็ยกยอยกย่องอาตมา อาตมาก็ต้องรับ เพราะเป็นความจริงปฏิเสธไม่ได้ จะไปให้สงสัยว่าไม่ใช่หรือใช่ว่า อาตมารู้หรือไม่รู้ มันก็ไม่แน่ไม่ปักมั่น อาตมาก็ต้องยืนยันอย่างเป็นหลักแน่นหนา ให้มั่นคง ใช่ที่อาตมามีสภาวธรรมเป็นตัวหลัก Enlighten ก็หมายถึงว่า สว่างจ้าเลย ดี เจริญในธรรม อาตมาก็สบายใจ ก็ไม่ฟูฟองอะไร ก็เห็นจริงว่า ไม่สูญเปล่าที่อาตมาทำงานมา  15 ปี  สายหลวงปูมั่น สายฤาษีลิงดำ สายหลวงพ่อเทียน สมาธิก็เคยเข้าได้ละเอียด ศีลก็เคร่งรักษา  พวกนี้สอนไม่มีระบบระเบียบ พอหยุดปฏิบัติก็เสื่อม มาฟังท่านโพธิรักษ์ เกือบห้าปี ความหมดเนื้อหมดตัวหมดกิเลสเลิกละมีอยู่จริง  อธิบายรูปนามได้อย่างไม่มีใครเก่งเท่า แค่นี้ก็รู้พอแล้ว

ขอบคุณ แค่นี้ก็รู้พอแล้ว คือมั่นใจ ว่าแค่นี้ก็ใช่แล้ว พอใจแล้ว พอใจๆเลย รู้ว่าองค์นี้ใช่ เอา..ติดตามไป คณะสงฆ์ในไทย เป็นแต่เพียงรูปแบบกลุ่มคนที่อ้างว่านับถือศาสนา อ้างว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่การเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นหัวใจหลักหรือธรรมนูญของพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย...ต่างอาศัยเพียงกฎหมายสงฆ์หรือพระวินัย 227 ข้อ เป็นหลักยึด(ทั้งที่ก็ปฏิบัติกันอย่างหละหลวมเต็มที)..ดังนั้นจึงไม่มีใครเป็นพระจริงๆสักคน ล้วนแต่เป็นคนทำงานในคราบภิกษุ เห็นแต่เหล่าสมณะในสำนักสันติอโศก ที่ยังเดินตามรอยพระศาสดา ออกบวชเพื่อทำความเพียร เพื่อเข้าถึงธรรมนูญของพุทธแท้ อันเป็นทางสู่การบรรลุธรรม ที่เป็นจุดหมายสำคัญของพระพุทธศาสนาจริงๆ

คุณนิรนาม ไร้สังกัด ก็เริ่มเข้าใจได้อาตมาไม่พูดย้ำทวน ไม่ซ้ำ ไม่เติม ไม่ขยายผลไปอีก มันจะกลายเป็นเรื่องยกตนข่มท่าน หรือ กระหน่ำย่ำยีกันแล้วก็ยกตัวตนมากขึ้นอีก ก็พอเข้าใจแล้วก็เอาไว้ 

 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:42:28 )

คนเข้าใจไม่ได้คือคนยังภูมิไม่ถึง

รายละเอียด

ไม่ได้ไปจำขี้ปากใครมาเลย และที่ว่าพูดอธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้   ขออภัย อาตมาพูดแล้วไม่ใช่ทำให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่คนเข้าใจไม่ได้ต่างหากเล่า คนเข้าใจไม่ได้  คือคนยังภูมิไม่ถึง แต่คนอย่างชาวอโศกเข้าใจได้เอามาปฏิบัติจนเกิดผลพัฒนามาเป็นคนจน เป็นญาติธรรมได้ ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่มากหรอก จำนวนมากยังไม่ได้ ก็ย้อนแย้งอยู่ว่า  ทำไมไม่ทำที่จีนหรือที่คนเยอะๆ เพราะว่ามันทำไม่ได้ เพราะแกนแก่น แม้แต่คำว่าชมพูทวีปย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย ไม่ได้ไปอยู่ที่จีนหรือญี่ปุ่น อินเดียหรือที่อื่นหรอก มาอยู่ที่ไทยนี่แหละ อันนี้ก็ยืนยัน อาตมาไม่ได้พูดเล่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:37:10 )

คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ

รายละเอียด

แต่ละวัน แต่ละวันพวกเรานี่ ใส่ใจสนใจธรรมะกัน ฟังธรรมะกันทุกวัน มันเป็นคนเจริญ เรียกว่าเป็นคนเจริญ ฟังธรรมะกันทุกวัน เป็นคนรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต เพราะชีวิตเราเกิดมานี่ เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารอยู่ในโลก หมุนเวียนอยู่อย่างโง่ๆเง่าๆ อวิชชา วนเวียนไปเกิดแล้วก็ไปตามยถากรรม ไม่มีหลักเกณฑ์ในการที่จะทำให้ชีวิตนี้มันเดินทางไปสู่ความเจริญ 

คำว่า “เจริญ” คำนี้คือ สามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันสามารถเข้าไปรู้ อ่านรู้สภาวจิต สภาวที่เป็นจิต แยกได้เป็นเจตสิก สามารถที่จะมีญาณหยั่งรู้ กำหนดรู้ สัญญากำหนดรู้ รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศตามคำสอนของพุทธเจ้า แล้วก็มีคนเอามาขยายความเป็นอุเทศ  อธิบายขยายความอย่างที่อาตมาอธิบายนี้คืออุเทศ แล้วสามารถจับ อาการ ลิงค นิมิต ที่มันเกิดในจิตของเรา อาการอย่างนั้นอย่างนี้ กำหนดเครื่องหมายได้ แต่ละคนก็กำหนดอาการอย่างนี้หมายว่า กำหนดเอง ของเราเองว่าอย่างนี้เป็นอาการอย่างไร

เช่น อาการโกรธ อาการโลภ อาการกำลังเกิดอาการรัก อาการชัง อาการเกิดโกรธน้อยๆ โกรธอย่างกลาง โกรธอย่างแรง อะไรอย่างนี้ มันสามารถรู้อาการเหล่านั้นที่มันเกิดในขณะที่มันเกิดหลัดๆ มีนาม มีจิตหยั่งรู้จับสภาวะพวกนั้นได้ ไม่ใช่มีแต่ภาษาข้างนอกที่เรียนรู้แต่พยัญชนะหรือความหมายหรือบัญญัติ แต่สามารถที่จะรู้อาการของจิตของเราจริงๆ เกิดจริงๆ สัมผัสรู้ สัมผัสแล้วก็เกิดญาณรู้ เข้าใจ ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีวิธีที่จะกำหนดรู้ เพื่อที่จะให้มันมีประสิทธิภาพของปัญญา ประสิทธิภาพเป็นฌาน  

ฌาน นี่คือพลังงานไฟ ไม่ใช่พลังงานที่จะไปได้เพ่งเจาะอะไรเข้าไป แต่เป็นพลังงานที่รู้และไหม้ รู้และเผา รู้แยกกิเลสออกได้แล้วเผากิเลสเลย ฝึกไปตั้งแต่ฌานที่ 1, 2, 3, 4 คนที่ทำฌาน 4 ได้เก่ง ก็เผาได้พลั๊วะเลย สำเร็จฌานที่ 1, 2, 3, 4 ก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญ ไม่ใช่มีหรอก ทำพลังงานฌานนี้ได้สำเร็จ เรียกว่า เกิดความสามารถ ที่ใช้พยัญชนะแทนสภาวะว่า บุญ

บุญ ไม่มีการสั่งสม บุญไม่มีเกิดอยู่ที่ไหนๆ บุญเกิดอยู่ในปัจจุบันธรรมที่เกิดจากพลังงานจิต ที่สามารถสร้างฌานวิสัยแบบพุทธได้ ฌาน เขาก็มิจฉาทิฏฐิกันง่าย แต่จะทำให้เกิดฌานแบบพุทธนี้มันยากมาก จะให้เกิดพลังงานที่มันเป็นพลังงานมีประสิทธิภาพถึงขั้นมีสภาพ 2 เสมอ คือ 

1.รู้ - รู้ความจริงตามความเป็นจริง 

2.รู้แล้วมีฤทธิ์ มีฤทธิ์สามารถทำให้กิเลสมันลดหรือละหน่ายคลายหรือดับไปได้ ถ้าเป็นประสิทธิภาพสูงสุดก็ดับ เจอหน้าปั๊บดับทันที  พยัญชนะหรือภาษาที่พยายามอธิบายก็ได้แค่นี้ อย่างนี้นะ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 41 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ กระต่าย ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2566 ( 14:44:25 )

คนเจริญคือคนมีฌานมีปัญญา พาตัวเองสู่หมู่กลุ่มสาราณียะ

รายละเอียด

เจริญธรรมทุกคน พวกเรานี่เป็นคนที่เจริญจริงๆ เจริญที่ว่านี้ก็คือ รู้จักว่าชีวิต มันควรจะได้อะไร เกิดมาเป็นชีวิตคนเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์โลกที่ได้ชื่อว่ามนุสโส ถือว่าเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณที่จะทำความเจริญได้ถึงขั้น รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ทุกสิ่งทุกอย่างในสรรพสิ่ง ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเรียกว่ารู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสรรพสิ่งก็หมายความว่า สามารถรู้ทั้งอุตุนิยาม รู้ทั้งพีชนิยาม รู้ทั้งจิตนิยาม รู้ทั้งกรรมนิยาม รู้ทั้งธรรมนิยาม แล้วก็สามารถปฏิบัติบรรลุธรรม บริบูรณ์สุด สัมบูรณ์สุด จบสิ้นสุดได้ ถึงขั้น... 

1. ถ้าจะเป็นคนอยู่ต่อไป จะเกิดแล้วเกิดอีก เกิดอีกเกิดแล้วกี่ชาติก็ตาม ก็จะเป็นคนหรือเป็นมนุสโส ที่ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ ถ้าบรรลุธรรมอรหันต์ขึ้นไปแล้ว จะเป็นคนที่ จิตนิยามไม่มีตกต่ำ จิตนิยามจะเที่ยงแท้ อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำ จะนิยตะ จะเที่ยงแท้ต่อความเจริญ หรือ (2) ทำแต่ดี กุสลัสสูปสัมปทา ไม่ทำบาปอีกเลย จะเกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติ กี่ชาติ ก็ไม่ทำบาป จะวนเวียนเกิดยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เกิดโดยที่มีหลักประกันว่า จิตวิญญาณนี้ อัตภาพนี้ อรหันต์ผู้ที่ผ่านอรหันต์แล้ว จะเกิดเป็นโพธิสัตว์อีกกี่ชาติก็ตามก็ไม่มีไปทำชั่วอีกแล้ว กรรมมีแต่กุศล (3)เพราะได้ดับเหตุคือ สร้างพลังงานบุญ มีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบแล้ว มันได้ตัดกิเลส ฆ่ากิเลส บุญนี้มีปัญญา บุญนี้ต้องมีปัญญาตั้งแต่เป็นฌาน ฌาน1 2 3 4 คือปัญญา ที่รู้จักตัวกิเลส รู้จักวิธีละกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสไปได้อย่างแท้จริง จนหมดสิ้นกิเลส รู้จัก กตญาณ ญาณที่มันจบแล้ว สูงสุดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น ผู้มีบุญจึงจะรู้จักฌาน ซึ่งฌานเป็นภาษาของศาสนาพุทธ แต่มันนานมาแล้ว จนกระทั่งเดียรถีย์ที่เป็นศาสนาอื่นเอาไปใช้เป็นของตัวเอง ที่จริงเอาไปใช้แบบพุทธนั่นแหละแต่มันเพี้ยนไปจนกระทั่งกลับกลายวนเวียนไปสู่อย่างเก่าคือความเสื่อมไปเป็นเดียรถีย์ เป็นพวกออกนอกพุทธไป จนกระทั่งคำว่าฌานก็มีอยู่แต่กลายเป็นว่าฌานคือการเพ่ง เมื่อผู้ใดได้เข้าใจว่าฌานนี่คือการเพ่ง เพ่งจิตจดจ่อ จับจุด จับอะไรไว้นิ่ง เป็นการบังคับจิตให้หยุด ผู้นี้เป็นฌานที่ผิดเพี้ยน เป็นมิจฉาทิฏฐิ ฌานของพุทธไม่ได้ไปกำหนด ไม่ได้บังคับให้จดจ่ออะไรเลย ฌานคือปัญญา ฌานคือรู้หมดเลย ไม่ได้ไปจดจ่อ อิสรเสรีภาพ ไม่ได้บังคับอะไร เป็นธาตุรู้ที่รู้แจ้ง รู้จริง รู้สว่าง รู้ครบ รู้ความจริงตามความเป็นจริงหมด 

พอเข้าใจไหมตรงนี้ มันเก่งละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขา เพราะฉะนั้น ฌานวิสัย เป็นอจินไตย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าคนจะเข้าใจรู้ซึ้งถึงฌานที่สมบูรณ์แบบตามพระพุทธเจ้านั้น มันเป็น อจินไตย ผู้ที่ถึงขั้นเป็นจริง มีจิตเป็นฌานจริง ที่อาตมาพูดนี้เอาของตัวเองมาพูด แล้วอาตมาก็เห็นเขาหลงผิดฌานกัน น่าสงสารที่สุดเลย แล้วก็ไปหลงยึดติด ไปหลงครูบาอาจารย์ ไปหลงการเชื่อถือตามๆกันมา แล้วก็ผิดตามๆกันมา แล้วเราก็มาบอกใหม่ เขาก็ไม่มีปรโตโฆษะ ไม่มีการที่จะฟังเสียงสอง ฟังเสียงอื่นที่มันต่าง แล้วมันต่างแล้วมันเป็นยังไง มันน่าสนใจ มันน่าจะพิจารณา แล้วเขาทำแล้วมันได้ผลยังไง ถ้าติดตามดีๆจะเห็นว่า ชาวอโศกนี้ปฏิบัติตามที่อาตมานำมาสอนแบบทิฏฐิของอาตมา แบบความเห็น ความรู้ ความชัดเจน แบบอาตมา แล้วพามาเป็นแบบที่อาตมาพาเป็น พวกเราก็เกิดผล แล้วเอาไปตรวจสอบตามพระไตรปิฎกสิ 

ตรง สาราณียธรรม 6 ไหม ซึ่งในยุคนี้แล้วมันไม่น่าจะเกิดได้ ความเป็นผลถึงขั้นสาราณียธรรม 6 เป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็อยู่กันอย่างมีลาภ มีรายได้ มีผลประโยชน์ มีอะไรสร้างกันขึ้นมา ก็เอามารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน ไม่ยึด ไม่แบ่ง ว่านี่เป็นของคนนั้นว่านี่เป็นของคนนี้ เป็นของส่วนกลาง แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ลาภธัมมิกา โอ้โหอาตมายิ่งพูด ยิ่งภาคภูมิใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้านี้ถึงวันนี้ยังนำโลกุตรธรรมสุดยอดเยี่ยมขนาดนี้ เอามาประกาศ เอามาอธิบาย เอามาสาธยายให้ฟังกันแล้วเข้าใจ แล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งมันเกิดผลบรรลุได้ 

พวกคุณมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่คนไม่บรรลุธรรม แต่เป็นคนบรรลุธรรมทั้งนั้นแหละ อาตมาพูดความจริงไม่ใช่ไปขี้ตู่ ไม่ใช่ไปหลงเลอะเทอะอะไร ไม่ใช่หลงงมงายอะไร ไม่ใช่ แต่เป็นสัจธรรมที่สุดยอดของมนุษย์ ซึ่งมันมีคุณธรรมที่ยืนยันเอามาอ้างอิง เอามาให้ตรวจสอบ สอบจิตใจตัวเอง สอบพฤติกรรมตัวเอง สอบชีวิตตัวเอง สอบสังคมกลุ่มหมู่ตัวเอง ว่ามันตรงตามพระอนุสาสนี ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม ซึ่งมันก็ยังทำได้อยู่ 

ศาสนาพระพุทธเจ้า 2,500 กว่าปีแล้ว มันเสื่อมสุดๆ หมดเลย จนโลกุตรธรรมไม่มี ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นก็คือโลกุตรธรรม อันนี้แหละเป็นพิเศษกว่าศาสนาใดๆในโลก ศาสนาใดๆก็ไม่มีโลกุตรธรรม นอกจากศาสนาพุทธและต้องสัมมาทิฏฐิด้วย แม้เป็นพุทธก็ต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มี อย่างที่เห็นๆกัน จะเป็นหมู่ใหญ่ขนาดไหน ถ้าไม่เป็นก็ไม่ใช่พุทธแล้ว ขออภัยถ้าจะบอกว่าไม่ใช่พุทธก็ไม่เชิง ก็เป็นพุทธแต่เป็นพุทธเพี้ยน ไม่ใช่พุทธแท้ๆ นี่อาตมาก็ไม่ได้หมายความว่าได้ไปรังเกียจกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือว่าไปกดข่ม ดูถูกอะไรคนอื่นเขา ก็ไม่ใช่ เอาสัจธรรมมาวิจัย มาแจกวิภัช ให้ฟังว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ๆ มันแตกต่างกัน แล้วก็มาดูความแตกต่างกัน อันไหนมันควร อันไหนมันไม่ควร แล้วเราควรเอาอันไหน 

อาตมาก็ยังภาคภูมิใจกับพวกเรา ยังมีดวงตา ยังมีความเฉลียวฉลาด อาตมาเห็นแล้วสบายใจและภาคภูมิใจตรงว่า อาตมาแสดงธรรมนี้ แสดงธรรมประเภทที่ไม่ได้ไปประเล้าประโลม เอาอะไรล่อมา  เอาอะไรหลอกมา หรือบอกว่า คุณมานี่เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราไม่ได้สัญญาหรือเราไม่ได้ไปบอกเธอว่ามาที่นี่แล้วเธอจะได้อันนั้นอันนี้ ไม่ได้ไปเซ็นสัญญาอะไรกับใคร เธอมาก็มาของเธอเอง มาด้วยปัญญา มาด้วยความเฉลียวฉลาดของเธอเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2566 ( 13:02:54 )

คนเจริญจริงจะเป็นคนจนที่มีสัมประสิทธิ์

รายละเอียด

ทีนี้ ความเป็นคนที่เจริญจริงๆจะเป็นคนอย่างไร ความเจริญจริงๆจะเป็นคนที่จน จนอย่างมีสัมประสิทธิ์ จนอย่างที่รู้ๆว่าเรามาจน แล้วเราก็จนที่สุดเท่าที่จะจนได้ อย่างที่ อยู่ดีกินดี ไปดีมาดี ทำงานได้ดี จนที่สุด จนกระทั่งไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือ ครบพอ ไม่พอเพียง ทั้งๆที่เรามี แต่ให้เกินไปจนตัวเราเองไม่สมดุล ไม่มีความพอเพียงที่จะทำงานได้เจริญที่สุด อันนั้นก็เป็นความจนที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกสัดส่วน

เพราะฉะนั้นความจนในความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านหมาย แม้แต่ในหลวงเราที่หมาย หรือผู้ที่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างมีสัมมาทิฏฐิเป็นอาริยะเป็นสัตบุรุษเป็นพระโพธิสัตว์ จะตรงกัน จะเข้าใจตรงกันดังที่เป็นอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(พลังสัมประสิทธิ์) ตอน สัมประสิทธิ์สองทิศทางที่ต่างขั้ว


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:04:15 )

คนเจริญที่สุดคือคนจนที่ไม่มีกิเลส

รายละเอียด

อาตมาขอเข้าสู่สังคมนิดหน่อย.. สัตตบุรุษจะต้องมาทำงานกับสังคมมนุษยชาติ ไม่เช่นนั้นก็สูญเปล่า ไม่เกิดประโยชน์อะไร ศาสนาพุทธเป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน บริบูรณ์ โดยเฉพาะประโยชน์ตนนั้นนิดหน่อย แต่ประโยชน์ท่านนั้นมหาศาล ประโยชน์ตนนั้นนิดหน่อย แค่ตนหนึ่งเดียว แต่ประโยชน์ท่านนั้น Infinity ประโยชน์ท่านนั้นมหาศาล นับไม่ถ้วน ตามบารมี 

ที่นี้ผู้ที่จะทำประโยชน์เหล่านี้ได้ จะต้องมาเป็นคนจน ก็ขอแวะเข้าไปหาเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือการบริหารมนุษย์ สังคม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ตรัสชัดเจนว่า.. มีรัฐมนตรีจากเกาหลีมาทูลถามว่า จะบริหารประเทศอย่างไร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็บอก บริหารอย่างแบบคนจน เขาก็งง ท่านก็อธิบายนิดหน่อยตามฐานะของท่าน ตามภูมิของท่าน ของในหลวง 

เขาก็ซักถาม ท่านก็อธิบาย คนจนเป็นอย่างไร ก็ต้องแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรามันก็ยิ่งทำให้เขางงใหญ่เลย เป็นคนจนเอาขาดทุนไม่เอากำไร มันคือคนอย่างไร ยิ่งเกาหลีด้วย เขาก็ยิ่งเอากำไรเป็นหลักเลย 

“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” 

เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร  พออยู่ได้ 

แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  

เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

ก็จะมีแต่ถอยหลัง !

ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 13:41:27 )

คนเจริญที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครในโลก พาให้เจริญทั้งชาติ

รายละเอียด

สรุป “ชาติรัฐ” มีคนขึ้นมา คนเจริญก็พาให้เจริญทั้งชาติ แล้วซ้อนทีว่า คนเจริญชนิดนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครในโลก โลกุตรธรรม ไม่เป็นพิษภัยกับชาติใดในโลก ซื่อสัตย์สุจริตมีน้ำใจ เสียสละ ไม่เป็นพิษภัยกับใคร มีแต่เสริมสานให้ดี เสียสละแม้แต่ชีวิตตายให้ได้เพราะเข้าใจความตายมันไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งตายยิ่งดี เพราะตายในความดีงามตายด้วยความเสียสละทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ จะตายมันก็ไม่มีปัญหา มันสุดยอด ตายอย่างมีคุณค่าตายอย่างเสียสละ ยิ่งเสียสละให้ชาติประเทศพลเมืองเยอะๆ ศาสนาอื่นเขายุไปตายเพื่อชาติไม่เสียหายนะ แต่มันก็ห่ามๆ แต่พุทธไม่ยุ ไม่ไปปลุกเร้าถึงขนาดนั้น แต่เข้าใจถ้ามันจำนนจะต้องตายก็ต้องตายเพื่อประเทศชาติโดยไม่ต้องเสียใจเลย เพราะมันไม่เสียอะไรมีแต่ดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:31:23 )

คนเจริญรู้จักพอ 

รายละเอียด

คนเจริญรู้จักพอ คือ คนพวกเรามาพิสูจน์สภาพ ไม่ต้องดิ้นแส่ รู้จักพอ จนจบที่ 0(ศูนย์) ก็ได้แล้วนี่เป็นความจริง คนที่อยู่ที่ 0(ศูนย์) อาศัยกินใช้  เป็นคนขาดทุนให้แก่ผู้อื่นตลอดเวลาเราเป็นคนเจริญ ขาดทุนได้ ไม่ใช่แค่ปากเปล่า เอาวัตถุไปให้ แต่เป็นผู้ให้ทางกาย ความรู้ ความคิดตัวเอง กินใช้อยู่ในนี้ นอกนั้นส่วนเกิน เราชำนาญสมรรถนะสูงขึ้นเก่งขึ้น แต่เราไม่เอามีแต่ลดลงๆ จน 0 (ศูนย์) ยิ่งทำได้มากไม่เอา ยิ่งเจริญ ยิ่งไม่มีตัวตน ยิ่งเก่ง ยิ่งชำนาญ สร้างได้มาก  แต่ไม่เอา ยิ่งหมดตัวตนมากยิ่งขึ้น เป็นสภาวะที่ใช้ภาษาสิริมหามายา คนเข้าใจก็รู้สภาวะ อะไรหมายถึงอะไรพูดกับขาวๆ ก็รู้ว่าอันนี้คือ อันนี้ยิ่งรู้ขาวยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยิ่งดำมืด แต่ยิ่งขาว ไม่ใช่เทายิ่งขึ้น แต่ขาวยิ่งขึ้น ขาวกว่าที่คุณเห็นขาวไม่ใช่ขาวนิรมานกายเป็นประภัสสร

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:58:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:54:16 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:54:45 )

คนเจริญเพราะกำจัดกิเลส

รายละเอียด

คนที่ทำเศรษฐกิจดี การเมืองก็ดี สังคมก็ดีเหมือนอย่างชาวอโศกทำเศรษฐกิจดี การบริหารเราก็ดี เพราะมันถึงจิตที่รู้ตัวการ ตัวการที่เห็นแก่ตัว ตัวการที่ยังไม่รู้จักกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสไม่ออกจริง พวกเรากำจัดกิเลสออกได้จริงๆเป็นคนจริง คนไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นอรหันต์กันเยอะ

อรหันต์ที่มีเศษกิเลสเท่านั้นเอง หมดอาสวะแต่ยังเหลืออนุสัยเท่านั้นเอง เขาเข้าใจอาสวะอนุสัยไม่ได้ พวกเราจึงเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสงบใช้ได้ เป็นเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ จริงๆ สัปปายะแปลว่าสบายในภาษาไทยนั้นเอง เป็นความเจริญ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์คุณค่าสัปปายะ เป็นความเจริญความสบายความสงบสุขทุกอย่าง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:44:11 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:54:54 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 14:56:12 )

คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน

รายละเอียด

ก็มาพูดซ้ำซากเนาะ อาตมาก็ว่าต้องพูดวนซ้ำซากเพราะว่ามันไม่ง่าย มันยากมากทีเดียวสำหรับความเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่จะเป็นคนผู้มีประโยชน์แท้ ผู้มีคุณค่าจริง เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค ยากมาก เพราะงั้นคนที่จะมีภูมิปัญญาปฏิภานรู้ความจริงว่า คนที่จะเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิคจริงๆ ต้องใช้ภาษาฝรั่งเข้ามากำกับร่วมสมัยเขาให้ชัดหน่อย คนคลาสสิค(Classic Man)คือคน ที่เป็นคนชั้น 1 Class แปลว่า ชั้น เป็นคนชั้น 1 ไม่ใช่คนชั้น 2 คือเป็นคนจน เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค 

จะต้องเป็นคนจนที่มีปัญญานะ เป็นคนจนมหัศจรรย์ไม่ใช่เป็นคนจนพื้นๆดาษๆแบบโลกๆ โลกียะ เป็นคนจนเพราะว่าสิ้นไร้ไม้ตอก ซกมก ไม่มีความรู้ไม่ขยันหมั่นเพียร ดีไม่ดีผลาญพร่า ทำลาย บำเรอบำรุงตนเอง ดีไม่ดีก็เห็นแก่ตัว อย่างนั้นก็แน่นอนเข้าใจไม่ยากอะไรเป็นคนจนแบบนั้นมันไม่ใช่เป็นคนจนที่มีคุณค่าหรือเป็นคนจนผู้ประเสริฐอะไรหรอก ตอนนี้เรามาเป็นคนจนผู้ประเสริฐ นี่แหละเป็นความหมายของโลกุตระ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนชั้น 1 ชั้นเอก ยิ่งกว่าคนรวย คนรวยนั้นเป็นคนชั้น 2 เป็นคนชั้นรองเป็นคนชั้นล่าง คนจนนี่เป็นคนชั้นบน 

เพราะว่าเขาเป็นคนลอย คนรวยคนลอย ลอยฟ่อง ไม่ติดอยู่กับคน ไม่เห็นคนสำคัญเป็นหนึ่งเท่าเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ คนรวยแตะติดอยู่กับเงินทองทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าแตะติดอยู่กับคน คนรวยจึงห่างจากความเป็นคน นี่อาตมาพูดสัจจะ ไม่ใช่คนชั้น 1 นั้นแน่นอนไม่ใช่คนชั้นเอกนั้นแน่นอนตามสภาพจริงของคนรวยเขาเป็นกันอยู่จริง คนรวยนั้นถูกคั่นด้วยเงิน ด้วยทรัพย์สิน จึงห่างจากความเป็นคน คนจนนั้นไม่ค่อยมีเงิน คือคนที่มีก็ไม่สะสม คนจนที่เจริญ ที่มีปัญญาแท้ แม้จะมีมากๆก็ไม่สะสม จึงยืนหยัดความเป็นคนจน ไม่สนิทสนมกับเงิน แต่คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับคน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ทำคนที่เป็นผู้สร้าง จริงๆด้วยกัน 

โดยเฉพาะมีปัญญารู้ว่าคนที่ขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นสาระสิ่งที่เป็นสัจจะ ไม่ใช่เอาเวลาไปสร้างไปออกแรงเตะลูกกลมๆ ไปออกเต้นดีดๆ อะไรต่ออะไรต่างๆนาๆไปรำไปร้องเลอะเทอะ เป็นเรื่องกามเป็นเรื่องราคะ มันก็ยิ่งลามกเข้าไปใหญ่ เข้าใจสัจจะพวกนี้ รู้จักทิศทางที่เป็นคนเจริญคืออะไร เป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์แท้ เป็นคนที่ใช้แรงงาน ทำงานที่เป็นสาระสัจจะ 

เป็นคนที่ทำงานแตกต่างจากคนที่เป็นผู้ทำเงิน คนผู้ที่ไปทำเงินนั้นเป็นคนชั้นล่าง หลงเงินสำคัญกว่างาน ก็เลยหาทางที่จะได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน ความซับซ้อนที่นายทุนเขาคิดเป็นความซับซ้อนที่ได้เปรียบไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น แล้วไม่ต้องทำงาน ใช้ระบบทางโลก เดี๋ยวนี้ยิ่งมีระบบดิจิตอล ระบบ blockchain อะไรต่างๆนานา อาตมาตามรู้ไม่ได้ มีคนพยายามเอาความรู้พวกนี้ส่งมา ข้อมูลพวกนี้มาให้อาตมาอ่าน อ่านแล้วก็ยิ่งเห็นความซับซ้อนของกิเลสคน ยิ่งมันเป็นอากาศเป็นดิจิตอลเป็นอะไรเหล่านี้ โอ้โห..ยิ่งเป็นความซับซ้อนที่ทำให้คนไม่สามารถที่จะรู้ความซับซ้อนในอากาศ เป็นวิธีการในเชิงได้เปรียบซับซ้อน เขาก็เลยยิ่งทำอันนี้ แล้วก็หลอกให้คนไปหลงในเงินพวกนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ใดยังสัมผัสแตะต้องเงินแล้วก็เห็นเงินนี่แหละเป็นสมบัติ เป็นทรัพย์สิน เป็นเพชรนิลจินดา สุดยอดที่เขาจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นนี่นะ เขาก็จะจมงมงายอยู่กับสิ่งพวกนั้น แต่ผู้ใดที่มารู้จักงาน ทิ้งเงินไว้ข้างหลังเลย มาสำคัญในงานที่เป็นสาระแก่นสาร โดยเฉพาะงานที่เป็นกสิกร มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต 1 ในโลก อาตมาไม่ได้มาครอบงำทางความคิดนะ อาตมาพูดความจริง คนที่เป็นกสิกร คนที่เป็นชาวไร่ชาวนานี่ เป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนที่มีกุศล เป็นคนที่สร้างอาริยทรัพย์ให้แก่ตนเองไว้ ซึ่งมันเป็นวิบากเป็นกุศลวิบาก ยิ่งทำเท่าไหร่เท่าไหร่ยิ่งช่วยคนช่วยมนุษยชาติไว้ 

ยิ่งไปหลงปั่นเรื่องเงิน ให้เป็นดิจิตอลให้เป็น blockchain อย่างที่เขาคิดทำซับซ้อน พวกนั้นยิ่งเป็นหนี้ คือในทางได้เปรียบได้รวย ได้แต่เงิน แต่เขาไม่มีวิธีการที่จะรู้จักการสร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร ดีไม่ดีเอาความรู้ไปสร้างอาวุธ ฆ่าๆๆๆ ไอ้นั่นยิ่งบาปซับซ้อนเลย ยิ่งฆ่าๆๆ กันมันเป็นวิบากซับซ้อนหนักเข้าไปอีก นี่คือความฉลาดแท้กับความฉลาดเทียม หรือฉลาดแกมโกงหรือ เฉโก ฉลาดแท้คือปัญญาที่อาตมาพยายามแยกพยัญชนะ ปัญญา กับ เฉโก ให้ฟัง ยากมากเลยคนที่ไม่มีภูมิธรรมจะรับได้ ไม่มีภูมิปัญญาพอจะแยกแยะความถูกความผิด ความดีแท้กับความดีเทียม แยกไม่ได้ คนที่ปัญญามันไม่มีจริงๆไม่สามารถแยกออก ซึ่งมีจำนวนเยอะด้วย ในโลกๆ 

คนรู้จักโลกุตระจะแยกออกว่า คนจนแท้จริงประเสริฐกว่าคนรวย เมื่อเห็นจริงแล้วมีฉันทะ ยินดี จะมาจัดการปฏิบัติตนให้มนสิการ มาทำให้ใจในใจของเรามันกิเลสลดเลย กิเลสเป็นเหตุให้คนโง่ ก็ต้องลดกิเลสยิ่งฉลาดดำเนินตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีปฏิบัติหมดแล้ว อาตมาก็อธิบายซับซ้อนไป ก็จะเป็น คนที่เจริญแท้ เป็นคนทำงาน ไม่ไปหลงเสียเวลาเป็นคนทำเงิน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 12:05:58 )

คนเจริญในแบบสาธารณโภคี

รายละเอียด

ในองค์รวม ภาวะรวมของมนุษยชาติและสังคม ซึ่งจะมีเศรษฐกิจการเมืองสังคมอยู่ในนี้ก็แล้วแต่ ก็แบบสาธารณโภคี คือต่างคนต่างไม่ยึด เป็นเศรษฐกิจ เป็นสังคม เป็นการเมือง ต้องไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา แต่เราก็อาศัยทำงานกับสังคม ก็ต้องช่วยกัน การเมืองคืออะไร สังคมคืออะไร เศรษฐกิจคืออะไร ไม่ใช่ของเราแต่เราต้องช่วยกัน แล้วเราก็อยู่อาศัย เป็นผู้อาศัย ที่ได้มีความรู้ความสามารถ สร้างสรรออกไป มากๆ แต่ตนเองอาศัยน้อย นั่นแหละคือคนเจริญ ตนเองก็ใช้น้อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 11:03:23 )

คนเดียวมีทั้งปัญญาและเจโต

รายละเอียด

ต้องมีทั้งสองอย่างเอาอย่างเดียวก็เอียง เหมือนกับกระดานหก ถ้าหนักข้างเดียวก็ไม่หมุนไม่สิ้นรอบ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:55:21 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:55:23 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:55:15 )

คนเป็นกลางคือคนเช่นไร

รายละเอียด

คนเป็นกลางแล้ว คือ คนที่พ้นอคติ 4 (พ้นความลำเอียง จึงจะชี้ถูก-ชี้ผิดได้)

  1. พ้น ฉันทาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ รัก)

  2. พ้น โทสาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ ชัง)

  3. พ้น โมหาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ หลงพิษ)

  4. พ้น ภยาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ กลัว) 

(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 17)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:40:54 )

คนเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้องคนดีจริงๆ

รายละเอียด

คนเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้องคนดีจริงๆ คุณมีปัญญาตัดสินหรือไม่ ถ้าคุณไม่มีปัญญาตัดสินก็ไม่ฉลาดก็ต้องจำนนว่าคุณไม่รู้ ว่าคนนั้นถูกต้องดีจริงหรือไม่ น้ำหนักมีมากหรือเปล่าคุณก็ไม่รู้ คุณแคร์หรือว่าคุณจะต้องเข้าข้างคนถูกต้องคนดี คุณแคร์ หรือคุณจะโง่ตกต่ำ จะเสียหายอะไร ทำไมไม่กล้า เพราะฉะนั้นสังคมมันช้าเพราะคนมีความโง่สลับซับซ้อนอย่างนี้ก็โง่ไม่เสร็จ ฉลาดไม่เป็น ฉลาดยังไม่สูงสุดเสียทีตัดสินไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 21:23:57 )

คนเป็นกลางต้องเข้าข้างบัณฑิต

รายละเอียด

คุณก็เข้าใจไม่ได้ว่า ผู้ที่รู้เรื่องฝ่ายเรื่องพวก ฝ่ายที่เป็นพาลชนกับบัณฑิต ก็ต้องแยกฝั่งให้ชัดเจนให้เข้าใจ ให้รู้ว่าอย่าไปร่วมมือกับฝ่ายพาลชน หรือไปส่งเสริม ถ้าไม่รู้ก็จะหลงผิดไปช่วยสิ่งที่ไม่ควรทำเลย ไปช่วยพาลชน แล้วไม่มาช่วยบัณฑิต เสร็จแล้วก็บอกว่าเป็นกลางๆ คนกลางๆต้องไม่ช่วยใคร ใครชั่วใครดีก็ปล่อยให้เขาปู้ยี่ปู้ยำไป บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว ใครจะทำชั่วก็ชั่วของเขาเองเขาโง่ ใครฉลาดก็รู้ทันตามที่ฉลาดก็เรื่องของเขา เขาฉลาดอะไรอย่างนี้ 

คุณก็พูดไปส่งๆ ไม่เข้าใจสัจธรรมให้สำคัญให้ดีๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจแล้วต้องศึกษาธรรมะให้ดีๆ ขออภัยนะที่พูดสัจธรรม ไม่ได้แก้ตัว แต่พูดให้ฟัง ฟังธรรมด้วยดีแล้วจะได้ปัญญา อาตมาก็พูดตามธรรมพระพุทธเจ้า นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง พระพุทธเจ้าท่านก็ทำอย่างนี้ อาตมาไม่ได้ทำผิดไปจากพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นให้ศึกษาดีๆ นี่ไม่ได้ไปตำหนิหรือไปว่า อาตมาสอน เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายกคำสอนพระพุทธเจ้ามายืนยันด้วยให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปนั่งบื้อหรือรู้อะไรดีชั่วก็เฉย 

คนไม่รู้อะไรดีหรือชั่วก็อยู่เฉยๆนั่นก็ถูกแล้วเพราะคุณไม่รู้ แล้วคุณจะไปทำเป็นอวดดีรู้มันก็ไม่ถูก ควรอยู่เฉยๆ ตามประสาคนที่ไม่รู้หรือโง่ แต่อาตมาไม่ได้เป็นคนโง่หรือคนไม่รู้อย่างนั้น อาตมารู้ แล้วจะทำเป็นคนตาบอด เป็นคนไม่รู้ มันไม่ใช่ มันก็โกหก แล้วก็ใจดำด้วย มันผิด อาตมาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ฟังดีๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 23 การเมืองไทยวันนี้คือ สงครามความรู้กับการกระทำ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 16:05:12 )

คนเป็นกลางแบบอโศกจึงเป็นที่พึ่งได้ทั้งคนดีและคนชั่ว 

รายละเอียด

เห็นขัดแย้งกับคุณ คุณพูดอย่างนี้หมายความว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนดีและคนชั่ว ถ้าไปช่วยคนดี คนชั่วก็จะขาดทุน ถ้าไปช่วยคนชั่ว คนดีก็จะขาดทุน ตกลงคุณอธิบายรอบเดียวสั้นๆตื้นๆ

อโศกไปช่วยคนดี ไปเข้าข้างคนดี คนชั่วเขาจะเห็นว่า ทำไมเราไปเข้าข้างคนดี คนชั่วเขาก็จะได้สะดุดใจ ทำไมล่ะ? ถ้ายิ่งเขารู้จักเราว่า เป็นคนที่น่านับถือ เป็นคนเป็นกลางนะ น่านับถือนะ ถ้าคนชั่วนั้นเขาเข้าใจถูกว่า ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีก็จบ แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขายังชั่ว เขายังโง่ ว่าเอ๊! คนเป็นกลางคนนี้เขานับถือนะ เขาถือว่าเป็นคนเป็น

กลางแล้วทำไมไปเข้าข้างคนดี ทำไมไม่มาเข้าข้างคนชั่ว ขออภัย ทำไมไม่มาเข้าข้างเขา ก็เขานี่ดี คนชั่วเราก็จะไม่ว่าเขาชั่วหรอก เขาก็ต้องว่าเขาดี ใช่ไหม เขาก็ต้องเชื่อว่าเขาดี เขาก็ไม่เชื่อว่าเขาชั่วทำไมไม่มาเข้าข้างเขา ถ้าบอกว่าความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี  แล้วทำไมไปเข้าข้างทางโน้นมันแปลกหรือเปล่าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร 

แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขามีไหวพริบ นอกจากจะเชื่อว่าเราเป็นคนดีน่านับถือแล้ว ต้องนับถือให้จริงด้วย ว่าท่านทำไมไม่มาเข้าข้างเขา ต้องเกิดความสะดุดแล้วว่า เอ้..เขาชั่วหรือไม่ หรือเขาชั่ว ถ้าบอกความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี แต่ท่านไปเข้าข้างทางโน้นไม่เข้าข้างเขา จะสะดุดใจว่าเขาชั่วหรือเปล่า? เขาก็ต้องตรวจตัวเองอย่างนี้เป็นต้นก็ได้ผลขึ้นมา 

แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขายึดมั่นถือมั่นว่าเขาดี และเขาเข้าใจด้วยว่าผู้ที่เขานับถือนี้จะต้องเข้าข้างคนดีเมื่อไม่มาเข้าข้างเขาคนนั้นโง่แน่นอน เขาต้องฉลาดกว่า เขาไม่ได้รับการเข้าข้างก็ต้องว่าอย่างนั้น อย่างนี้เป็นการนับถือคนโง่ก็เลิกนับถือเป็นได้ อย่างนี้นัยยะต่างๆจะสลับซับซ้อนมากมาย 

พระพุทธเจ้าให้ศึกษา เอามาเทียบกันทีละคู่ หยาบ กลาง ละเอียด คนดีจะเลือกดีตลอดไม่สับสนจะเลือกได้ ดีได้ไปทีละคู่ ได้ดีหมด อย่างหยาบ กลาง ละเอียด อันนี้ดีตลอด เราก็ได้ความดีหมดสะสมเป็นหลักฐานเป็นเหตุปัจจัยที่จะใช้ตัดสินความดี ความถูกต้องไปได้มาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 09:43:01 )

คนเป็นกลางแบบไม่รู้ คือคนโง่

รายละเอียด

คนแบบนั้นคือคนโง่ คนที่ยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนเลวก็คือ คนยังไม่ฉลาด แปลเป็นไทยอีกทีว่าคือ โง่ 

เมื่อคนนี้เขาไม่รู้จริงๆว่า ที่ประพฤติกันอยู่ ที่ทำนี้ ใครถูกใครผิด อันไหนดี อันไหนไม่ดีเขาก็ไม่รู้จริงๆ เขาก็ต้องอยู่กลางๆ อยู่เฉยๆ เพราะเขาไม่รู้ นี่คือคนเป็นกลางที่ไม่รู้ คือคนโง่ ความเป็นกลางแบบโง่แบบยังไม่รู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:47:26 )

คนเป็นกลางแล้ว คือ คนที่พ้นอคติ 4

รายละเอียด

1. พ้น ฉันทาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ รัก) 
2. พ้น โทสาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ ชัง) 
3. พ้น โมหาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ หลงผิด) 
4. พ้น ภยาคติ   (ไม่ลำเอียงเพราะ กลัว) 
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 21  ข้อ 17, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 15:18:12 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:56:23 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:56:11 )

คนเป็นภาระสังคม เป็นเช่นไร

รายละเอียด

ถ้าคนรู้แล้วเอาอันนี้ไปเป็นไกด์ เป็นตัวนำที่จะช่วยกันแก้ไข ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ที่มีอิทธิพลมีงานมีหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในสังคมทุกวันนี้แม้แต่จะเป็นข้าราชการ จะเป็นนักการเมือง หรือเป็นตัวที่เห็นแก่สังคมทำงานอยู่แก่สังคม ไม่ใช่ไปก้มหน้าก้มตาทำงานหากิน หาทางร่ำรวย หาทางทำอะไรต่ออะไรเพื่อตัวเอง ก้มหน้าก้มตาหาทางรวย ดังนั้นเรื่องของสังคมและชาติหรือฉันไม่เล่นการเมือง พวกนี้เห็นแก่ตัวที่สุด คนที่บอกว่า ตัวเองไม่ใช่นักการเมือง แล้วไม่เห็นแก่สังคม ฉันจะเอาแต่ทำมาหากินอย่างเดียว เป็นคนถ่วงสังคม เป็นคนเป็นภาระสังคม 

ถ้ายิ่งเห็นแก่ตัวกอบโกยเอาแต่รวยๆๆๆ  สังคมการเมืองจะฉิบหายวายป่วงจะเป็นอย่างไรๆ ฉันไม่รู้ เขาต้องการพลังงานจะมาช่วย ตัวเองก็มีวัตถุ มีหน้าตา มีวัตถุร่ำรวยอะไรพอจะช่วยได้ก็ไม่เอาเลย​ พวกนี้เห็นแก่ตัว​  อาตมาจึงตราหน้าคนรวยว่า เป็นคนเลวที่สุดในโลกเท่าๆกับคนที่สร้างอาวุธขึ้นมาในโลก เป็นคนเลว 2 ชนิด คนหนึ่งก็คือโลภจัด เห็นแก่ตัวจัด อีกคนหนึ่งก็คือร้ายแรงจัด สร้างอาวุธ​เนี่ย กับคนมั่วก็คือคนโมหะ ไม่รู้อะไรเละๆเทะๆ เหลวไหลทำให้เสียหาย ไม่เคยเข้าข้างถูกเลย เป็นตัวอุกกาบาตอะไรก็ไม่รู้ ใครจะปั่นหัวยังไงก็ไป ไอ้นั่นก็พวกโมหะชน ที่มันก็ไม่ได้เรื่อง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 12:23:15 )

คนเป็นสัตว์กินพืชด้วยเหตุใด

รายละเอียด

เพราะ สัตว์คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ สัตว์คนเป็นสัตว์กินพืช คนนี้เป็นสัตว์กินพืช มีลำไส้ที่ยาว ซึ่งลำไส้ของสัตว์กินเนื้อมันสั้น เล็บก็เป็นเล็บแบบเล็บฉีกเหมือนกีบ เหมือนม้าเหมือนช้าง ไม่ใช่เล็บแบบเหยี่ยว เล็บหมา เล็บเสือ เล็บสิงห์ ไม่ใช่เป็น claw แล้วสัตว์กินพืชจะกินน้ำแบบดูดน้ำกิน ส่วนสัตว์ที่เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์กินน้ำจะเลียเอา แต่สัตว์ที่กินพืชกินน้ำจะกินแบบดูดน้ำกินเอา มีอีกหลายมุม เช่น น้ำย่อยในลำไส้ของสัตว์ แต่ที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายถึงวิบาก ซึ่งมันโอ้โห เฉพาะคนด้วยกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 20:56:14 )

คนเป็นอรหันต์ก็ไม่จำเป็นต้องให้อื่นการันตี

รายละเอียด

คือ อาตมาบอกตั้งแต่เป็นๆ ไม่ใช่บอกตอนตายแล้ว ก็เลยบอกก่อนตาย ก็ดีแล้ว อาตมาไม่ได้บอกง่ายๆ อาตมาบอกว่า อาตมาเป็นอรหันต์ พูดในปี 2558 ไม่ได้พูดง่ายๆนะ อาตมาบวช  2513 แต่ประกาศเป็นอรหันต์  2558

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:42:14 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:57:41 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:56:53 )

คนเป็นอรหันต์ต้องมีปัญญา มีฌานเป็นปกติ 

รายละเอียด

คนที่เป็นอรหันต์ก็แน่นอนต้องมีปัญญา และปัญญามีเป็นปกติ 

ปัญญากับฌาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น คือใกล้วิมุติใกล้นิพพานเป็นที่สุด 

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต 

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

ผู้ไม่มีปัญญาไม่มีฌาน มีแต่เฉโก

ฌานมีสองแบบ ฌานแบบหนึ่งเป็น ฌาน เดียรถีย์ ฌานนอกพุทธ ซึ่งมีจำนวนมากด้วย 

ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นเป็น อจินไตย ยาก เดาเอาไม่ได้ คาดคะเนเอาไม่ได้ แม้จะเรียนบัญญัติมาอย่างสูงส่งเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะเกิดอาการ ฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไม่เกิดยังไม่เป็น เข้าใจยาก เป็นอจินไตยจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้รู้ฌานได้ ก็ต่อเมื่อ มีความรู้ความฉลาดที่เข้าข่ายปัญญาไปตามลำดับ 

ผู้ที่จะมีปัญญาได้เข้าข่ายปัญญา ก็ต้องเริ่มด้วยปัญญาข้อที่ 1 ในปัญญา 8 ปัญญาสูตร  ล 23 ข 92 

 [92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน

1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปตั้ง 2,500 กว่าปีแล้ว ในยุคนี้ก็ต้องพบกับสัตบุรุษเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 14:18:25 )

คนเป็นอรหันต์แล้วหมดบุญ

รายละเอียด

คุณเอาแต่หลงบุญ มาเรียนธรรมะอาตมา คนที่รู้จักบุญดีแล้ว จะรู้ว่าคนที่มีบุญคือคนที่ยังไม่ใช่อรหันต์ คนเป็นอรหันต์แล้วหมดบุญ สิ้นบุญ คนทั่วไปเข้าใจว่าบุญคือกุศล ก็สุญโญ​ นี่คือความล้มเหลวของศาสนาพุทธที่ชัดเจน เป็นเครื่องชี้บ่งที่อาตมาตัดสินได้เลยว่าศาสนาพุทธหมดไม่เหลือเพราะเข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล บุญไม่ใช่สมบัติ บุญไม่ใช่พลังงานจิตที่ควรจะต้องมี แต่จำเป็นจะต้องสร้างพลังงานให้เกิดบุญ บุญคือพลังงานจบของฌาน พอถึงฌานที่ 4 ก็เกิดสภาพของบุญ เป็นอุเบกขา ฆ่ากิเลสมาตั้งแต่ฌาน 1 2 3 4 จนเกิด ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เรียกฌานที่ทำงานสำเร็จว่าบุญ ​พอบุญกำจัดกิเลสเสร็จบาปก็ไม่มีอีกเลย จึงเป็นนิพพาน หากวนมาเป็นบาปอีก ก็ไม่จบกิจ ต้องจบกิจ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)บุญไม่มีโค้งงอ บอกสภาพที่กำจัดกิเลสได้อย่างสมบูรณ์หมดจด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเราเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป ท่านตรัสชัดๆ ว่าเรานี่เป็นผู้ที่มี ปุญญปาปปริกขีโณ บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ ท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 32 ข้อ 392 เป็นอรหันต์แล้วจบกิจ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2563 ( 14:27:13 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:35:32 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:57:55 )

คนเป็นอาริยะ 

รายละเอียด

คนเป็นอาริยะ  คือ  ถ้าคนเป็นอาริยะก็จะรู้จักความเป็นสัตว์ที่เจริญขึ้น เป็นเทวสัตว์ พรหมสัตว์ ขึ้นเรื่อยๆ เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพไปตามลำดับ พ้นจากสมมุติเทพไปแล้ว

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอารยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:51:25 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:58:42 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:58:32 )

คนเราควรมีอาชีพคนละกี่อาชีพ

รายละเอียด

ถนัดด้วยทำได้ด้วย แบ่งเวลาทำได้ก็ไม่เห็นเสียหาย คนเรามันต้องมีความสามารถพิเศษ ความสามารถเยอะจึงจะทำได้หลายอย่าง แล้วคนที่สามารถทำอย่างนั้นได้ เป็นธรรมดาพระพุทธเจ้าท่านชนะทุกอย่างท่านรู้ทุกอย่าง แต่ท่านจะทำอะไรแค่ไหนก็เท่านั้น เป็นพระโพธิสัตว์ก็ถนัดหลายอย่าง เราก็ทำในสิ่งที่ควรตามโอกาสตามสิ่งแวดล้อมขนาดนี้ องค์ประกอบจะขนาดนี้มีอะไรควรจะทำอันนั้น เราก็เอาอันที่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าทำแต่ตัวเราแต่คนต่างๆเขาไม่ถนัด ไม่พร้อม เราทำไปก็ยากหนัก ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 ทุกอย่างให้พร้อม

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก ครั้งที่ 65 วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:03:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:34 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 03:59:14 )

คนเราจะหมดวิบากได้อย่างไร

รายละเอียด

อาตมาว่าจริงนะเพราะอาตมาเป็นตัวเกิดมาในชาตินี้ยุคนี้ทำมา 50 ปีแล้วตั้งแต่ยังไม่ 50 ปีที่ผ่านมา ก่อนอาตมาเกิด ไม่มีโลกุตระอยู่ในโลก คนเสื่อมจากโลกุตตรธรรม แม้แต่พุทธกระแสหลักของไทย ยิ่งต่างประเทศแล้วยิ่งไม่มี อาตมาขอยืนยันว่า 

ขณะนี้โลกุตรธรรมมีอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ขอยืนยันอยู่ในประเทศอื่นยังไม่ประสีประสายังไม่รู้เรื่อง มีในประเทศไทยเท่านั้น แล้วก็มีอยู่ในชาวอโศกนี้เป็นหลัก ยังไม่ได้ขยายผลออกไปกว้างเท่าไหร่ 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าจะให้เจริญกว่านี้  มาเถอะมาช่วยกัน ผู้ที่เห็นดีเข้าใจดีแล้ว สัมมาทิฏฐิแล้ว อย่าไปเสียเวลารออะไรมากมาช่วยกัน ผนึกกันช่วยกันให้ดีๆ จะได้ช่วยมวลมนุษยชาติให้ดี  

คำว่าจะหมดวิบาก ความจริงแล้ววิบากมันไม่หมดหรอก มันมีทั้งกุศลวิบากและอกุศลวิบาก ผู้บรรลุแล้วจะหมดวิบากก็ต่อเมื่อบรรลุอรหันต์แล้วก็ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน กลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จิตวิญญาณหมด ไม่เหลือจิตวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณถูกแยกแตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไป ไม่กลับมาเป็นจิตนิยามอีก เป็นอุตุนิยามไป แม้แต่ พีชะ ผู้ที่เป็นอรหันต์ก็ไม่เหลือแม้แต่ พีชะ แยกเป็นดินน้ำไฟลมอุตุนิยามไป ไม่กลับมาเป็นจิตนิยามกันอีกแล้ว ผู้นี้จึงจะหมดกรรมวิบาก 

ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วมีกุศลวิบากให้อาศัยไปเรื่อยๆ แต่บุญไม่มีวิบากสะสม บุญคือการฆ่ากิเลส ฆ่าแล้วก็ไม่มีหน้าที่ใดๆอีก ไม่มีการสะสม บุญไม่มีตัวตน อันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย  ยังไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิเข้าใจกาย เข้าใจบุญ เข้าใจสมาธิเข้าใจฌาน เข้าใจอะไรต่ออะไรไม่ได้กันเพี้ยนกันไปหมดอาตมาต้องกลับมารื้อ เข้ามาอธิบายอยู่นี่แหละ แล้วยังตายไม่ลงก็เพราะว่า โอ้โห มันต้องเก็บมาฟื้นขึ้นมา พอสมควร 

อาตมาตายไปแล้วจะกลับมาต่ออีกก็ มันก็เริ่มต้นช้าอีก โลกลุกเป็นไฟใกล้กลียุคแล้ว อาตมาก็ไม่อยากให้มันช้า จะบอกว่าอาตมาใจร้อนเร่งก็ใช่ต้องทำ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องพยายามทุกอย่าง พยายามให้สังขารร่างกายต่อไปได้ และก็แข็งแรง ยืดเอาธรรมะเข้ามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีคนช่วยอยู่แล้วก็ทางแพทย์ก็จะช่วยแล้วทางจิตอาตมาก็ทำ ทางสสารทางวัตถุสร้างสรีระก็มีช่วยกันไปให้เป็นไปได้ 

ถ้าอาตมาอายุเกิน100 ในอีก 10 กว่าปีก็ถึง อายุเกิน 100 แสดงว่าอิทธิบาทของอาตมาที่พากเพียรเพื่อที่จะยังชีพต่ออายุไขไปได้ อาตมาต่ออายุขัยอาตมาพูดมาแล้วอายุขัยอาตมาชาตินี้ 72 ปีเท่านั้น นี่ต่อไปได้ ถ้าตอบไปอีกได้หลายนักษัตร นี่มาได้ 1 นักษัตรแล้ว 72 มาเป็น 80 ปีเลย 84 มาแล้ว ถ้าไปถึง 108 ก็เป็น 3 นักษัตร ถ้าถึง 3 นักษัตรอาตมาจะเชี่ยวชาญในการต่ออายุขัย คงจะต่อไปอีก ถ้าอายุถึง 108 

นอกจากว่าสังขารที่เป็นธาตุดินน้ำไฟลมในร่างกาย มันไม่ไหวแล้วนะ มันปรุงแต่งกันอย่างไรมันก็ไม่ไหวแล้วมันก็อาจจะไป แต่จิตมันได้แล้ว ถ้าได้อายุขัยถึง 108 

ถ้าเผื่อว่าทางวิทยาศาสตร์ทางสรีระดินน้ำไฟลมเขามีอะไรช่วยขึ้นมาได้ทางวิทยาศาสตร์ทางแพทย์ อาตมาเลย 108 แน่ แล้วจะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่แหละคือศาสนาพุทธ เพราะเป็นไปด้วยศาสนาพุทธไม่มีวิทยาศาสตร์อื่นและเป็นทางจิตวิญญาณเป็นหลักด้วยเกิน 108 แน่ได้ 120 ไป 133 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 17 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2 วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 10:24:29 )

คนเราตายแล้วไปไหน

รายละเอียด

อยู่กับตัวเองอยู่กับจิตตัวเอง อยู่กับอัตภาพตัวเอง สถานะตัวเอง ทำปัจจุบันให้ดีเป็นที่อาศัย กัมปฏิสรโณ ทำกรรมกิริยาการประพฤติของตัวเองให้ดี แล้วอัตภาพของตัวเองจะเป็นที่พึ่งอาศัยของตัวเองได้ดีที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คนทุกศาสนาตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:01:02 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์