@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

รูปธรรมนามธรรม

รายละเอียด

นามธรรมเป็นการฝึกปรือ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ดูเหมือนจะข้อ 7 ท่านตรัสถึงรูปธรรมนามธรรม

รูปธรรมคือมหาภูตรูป 4 แล้วก็มีนามธรรมอีก 5

มีมหาภูตรุป 4 อุปาทายรูปอีก 24 ปฏิบัติธรรมนั้นลืมตาปฏิบัติ แต่ที่เข้าใจกันผิดไปทั่วคือ ไปหลับตาปฏิบัติ หากถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าภวังค์ ซึ่งผิดไปคนละฟากฝั่งเลย คนละฟากฟ้าหนึ่ง ไม่ใช่ที่เป็นอย่างที่คิดอย่างที่เข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:06:06 )

รูปธาตุ 28

รายละเอียด

คือ (มหาภูตรูป 4,อุปาทายรูป 24)” และ“นามธาตุ”ก็ศึกษาด้วย“นาม 5 (เวทนา,สัญญา,เจตนา,ผัสสะ,มนสิการ)” หรือความเป็น“ธรรม นิยาม”ก็ศึกษาด้วย“อุตุนิยาม,พีชนิยาม,จิตนิยาม,กรรม นิยาม,ธรรมนิยาม” ส่วนความเป็น“ธรรม”ก็ศึกษาทั้ง“กุศล ธรรม-อกุศลธรรม”ที่เป็นทั้ง“โลกียธรรม-โลกุตรธรรม”รอบถ้วนกระบวนธรรม สัมบูรณ์กระบวนธาตุ

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า  362


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:34:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:42:13 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:53:34 )

รูปนาม

รายละเอียด

รูปนาม คือ เป็นภาวะ 2 ที่ต้องแยกให้รู้แต่จะแยกกันเด็ดขาดนะไม่มี ถ้าหากรูปกับนามแยกขาดกันนั้น คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน  รูป ก็ดิน น้ำ ไฟ ลม  นามก็เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม พระอรหันต์ทำจิตให้เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย พระอรหันต์ตายไปแล้ว คุณก็บูชาอยู่กับซากศพ  ก็คือดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีพระอรหันต์อยู่ตรงนั้นเลย  เหมือนกับเสื้อตัวหนึ่งของพระอรหันต์ตายแล้วท่านก็ถอดเสื้อทิ้งไว้  คุณก็เอาเสื้อมากราบไหว้พระอรหันต์อยู่ที่นี่  ซึ่งไม่มีหรอกคุณก็กราบเสื้อกับขี้เหงื่อ ขี้ไคล  อรหันต์จะใส่เสื้อใส่จีวรก็เหมือนกัน ไม่ว่าฆราวาสหรือพระก็เหมือนกัน  คือ เครื่องนุ่งห่ม  คุณก็ได้แต่กราบเครื่องนุ่งห่ม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 11:59:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:43:31 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:59:17 )

รูปนาม

รายละเอียด

ตัวตนทั้งหมดนั่นแหละ คือกายกับใจ

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 114


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:46:09 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:27:48 )

รูปนาม 2 สิ่งที่ถูกรู้กับสิ่งที่ธาตุรู้

รายละเอียด

เรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าเทศน์ แบ่งเป็น 2 เพราะว่าเทวนิยมนั้นตีไม่แตกมันเป็น 1 ตลอดเวลา ตีไม่ออกใน เวทนา สัญญา สังขารเป็น 1 เดียวไม่แยกธาตุรู้ ตีไม่แตกแยกไม่ออก แต่พอมารู้ว่ามันมี 2 ใน 2 มี 1 มี 1 ใน 2 ตัวนี้ เข้าใจกันได้ยาก ถ้าใครเข้าใจอันนี้อย่างชัดเจนแล้วไปรอด วิญญาณนั้นเราต้องสามารถแยกรูปแยกนามเป็น 2 ได้  เราเป็นธาตุรู้ ไปรู้อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ หยาบๆภายนอก สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ดินน้ำไฟลม เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ก็มีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวธาตุรู้คู่กันไปตลอดเรียกว่ารูปนาม ถ้ารู้เกิดก็มีรูปนาม 2 เกิด ธาตุ 2  วิญญาณนั้นต้องมีรูปกับนาม ตัวใครก็ตาม อัตตาหรืออัตภาพของใครก็ตามต้องแยกรูปกับนามออกได้ รูป จะเกี่ยวกับอีกสิ่งหนึ่ง นามคือตัวเรา วิญญาณเป็นชื่อเรียกรวมใหญ่  นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามหลักเลยที่จะใช้ในการศึกษาเรียนรู้กระบวนการของจิต รูปนั้นมีกระบวนการ 28 แต่ว่านามนั้นมี 5 มีเวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ มนสิการ ในล.16 ข้อ 14  นาม 5 เป็นตัวชี้บ่งชัดเจนว่า ถ้าเผื่อว่านักปฏิบัติธรรม ไม่มีกระบวนการ 5 นี้ โมฆะจากศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 11:17:21 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:44:13 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:55:54 )

รูปนามกับพลังงานอุตุ พีชะ

รายละเอียด

ถามข้อสอบ รูปนามเป็น Dynamic หรือ Static 

รูปเป็น Static นาม เป็น Dynamic

นาม มีภาวะคู่ด้วยเสมอ 

รูป เดี่ยวได้ 

พลังงานอุตุเป็นรูปแท้ๆไม่มีนามประกอบเลยได้ แม้แต่พีชะยังไม่เรียกว่าพลังงานธาตุรู้ของมัน จะเรียกนามเต็มๆก็ ยังเรียกมันไม่ค่อยได้ จะว่ามันยังไม่มีธาตุรู้ มันก็เริ่มมีธาตุรู้แล้ว แต่ธาตุรู้ของมันยังไม่เต็มเต็ง มีแค่สังขารกับสัญญา ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:01:30 )

รูปนามขันธ์ 5

รายละเอียด

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตัวแท้ๆ มันไม่ได้พาให้เกิดความทุกข์ความสุขอะไรหรอก มันก็ไม่เที่ยง คือมันก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ ส่วนใด เกิดแล้วก็ตาย อีกอย่างหนึ่ง แต่เรื่องนามธรรมนั่นแหละตัวนั้นแหละต้องเรียนรู้ ตัวนั้นตัวอาการที่จิต 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 07:43:16 )

รูปนามในอาหารเป็นฐานการเรียนรู้ให้ได้จบทุกอย่าง

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก หมายถึง กวฬิงการาหาร เป็นข้อที่ 1 ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร อันนี้แหละที่ 1 จริงๆ แล้วทำยอดเลย ผัสสาหารก็มาเรียนเพื่อพ้นทุกข์ เจตนาก็ทำให้ไม่สร้างวิบาก วิญญาณอาหารก็รวมหมดเลย รูปนามสภาพ 2 ก็เรียนรู้จบเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเรียนรู้รูปนามจบก็ถือว่าเรียนรู้ทุกอย่าง รูปนามเป็นฐานการเรียนรู้ให้ได้จบทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 12:14:03 )

รูปนี้ยังรู้ง่ายกว่ากาย

รายละเอียด

รูปนี้ยังรู้ง่ายกว่ากาย รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ วัตถุรูปคือแท่งก้อนที่ใครมาสัมผัสก็จะรู้ว่ารูปนั้นคืออย่างนั้น รู้ได้ เห็นได้ รู้ตามกันเหมือนกัน ถ้าหากตาคุณไม่พิการ ตาคุณไม่บอดสี ตาคนไม่เพี้ยนอะไรก็จะเห็นเหมือนกันทุกคน อย่างเห็น ลูกน้ำเต้าสีเหลืองๆ ลูกแปลกๆ เมื่อวานมีน้ำเต้าลูกเบ้อเร่ออยู่ตรงนี้ เอาไปผ่าแล้วหรือ วันนี้ก็เอาลูกน้อยๆยาวๆก็เห็นเหมือนกัน ไม่แปลกแตกต่างอะไร จะเหมือนกัน พูดตรงกันหมด เห็นเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่คือการกำหนดด้วยสัญญา เป็นรูปที่ถูกรู้ เสียงที่ได้ยินก็เป็นรูปที่ถูกรู้ ได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงที่ถูกรู้ด้วยหูของเราเข้าไปสัมผัส คนต่างๆที่หูไม่พิการเหมือนกันหมด ก็ได้ยินเสียงเหมือนกันอย่างนี้ บางทีก็อธิบายให้กันยาก เสียงโป้งเสียงป้าง เสียงอื่นๆ เราใช้ภาษาไทยอธิบาย ส่วนภาษาอื่นก็อธิบายการสื่อสารให้กันดูได้ สื่อสารให้รู้สิ่งนั้นตรงกันพยัญชนะที่เราใช้ สื่อกันมา ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ภาษาของแต่ละเผ่าก็สื่อกันไปต่างภาษา ก็ถูกรู้กันได้ด้วยสื่อ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:48:05 )

รูปพรหม

รายละเอียด

จิตผู้เกิดในรูปภพ หมายถึงชีวิตที่เกิดอย่างปั้นอากาศ(ความนึกคิด)เป็นตัว 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 185


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:46:42 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:28:18 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:58:30 )

รูปพรหม อรูปพรหม เข้าใจเป็นตัวตน

รายละเอียด

พรหม 20 ชั้น 4 ชั้นคือรูปพรหม อีก 16 ชั้นคืออรูปพรหม แต่เขาเข้าใจเป็นตัวตนเรานี่แหละใหญ่ๆ ใหญ่แค่ปริสัชชา ชั้นบริวารทุกวันนี้ ก็มีเยอะ หลงตนว่าใหญ่ว่ารู้ ข้านี่แหละใหญ่ในพวกเราก็ยังมีครูอาจารย์ แม้เป็นลูกศิษย์ก็มีมหาพรหมที่ใหญ่กว่า 2 อันแรกอีก เป็นพรหมมีตัวตนเป็นนามธรรมอย่างยิ่ง ข่มเบ่งกันสูงไปอีก ก็มีราศี อาภา มีแสงนามธรรมซับซ้อนไปอีก

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2562 ( 15:35:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:45:29 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:56:42 )

รูปพรหม 4 ชั้น

รายละเอียด

พรหมที่เป็นแสงสีรูปร่างตัวตนเส้นแสงสีสาย เลยเกิดเป็นลมแสงสว่างมีรัศมี พรหมปาริสัชชาพรหม มหาพรหม

1   รูปพรหม

1.1 ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นลูกน้องของมหาพรหม

1.2 ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

1.3 ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

สามเส้านี้ ของพรหม เขาอธิบายกันเป็นรูปร่างตัวตนเป็นชั้นอะไรไป พวกนี้นอกรีตทั้งนั้น เขาเรียก ปฐมฌาน ฌาน นั้นที่มีรูปร่างตัวตนผิด แต่หากอธิบายลักษณะนามธรรมก็ดีไป แต่เข้าใจไม่ได้ก็เป็นรูปธรรม เป็นรัศมีแสงสว่าง ความมืด มาอธิบายความเป็นพรหม เอาแสงมาอธิบาย

1.4 ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ เป็นแสงสภาพจิตที่นั่งเห็นแสง คุณหลับตาปั๊บ มันไม่มีแสงอะไรหรอก มันก็จะเห็นแต่ความมืด แต่คนที่ปิดตาลงแล้ว มีแสงสี แวบ สีม่วงสีแดง อะไรอุปาทานทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทำวตรเช้างานอโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:44:02 )

รูปภพ

รายละเอียด

ภพภายในจิตอันเป็นที่เกิดของผู้เสพในภวังค์(ประกอบอยู่ในจิต , จิตขั้นปั้นอากาศ ปั้นลม ๆ แล้ง ๆ (ความนึกคิด)เป็นตัว

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 185 , หน้า 200 , หน้า 407


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:47:24 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:29:52 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:58:10 )

รูปภพ

รายละเอียด

คือส่วนเหลือของกาม ถ้าอรูปภพไม่มีกามแล้วมีแต่มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เป็นกิเลสของอัตตาตัวท้าย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:19:05 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:47:13 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:57:04 )

รูปภพกับอรูปภพ คือ อะไร

รายละเอียด

รูปภพกับอรูปภพ คือ สิ่งที่ให้ รูปกิเลสกับอรูปกิเลส อาศัย ซึ่งต่างจากกามกิเลส ที่เกิดภายนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกาย 5 ทวาร ดับกิเลสทั้ง 5 ทวารนี้ได้ก็เหลือกิเลสภายในด้วย รูปกิเลส ยังหยาบ ก็กำจัด รูปกิเลสหมดไปก็เหลือ อรูปกิเลส เป็นตัวสุดท้ายเป็นชั้นปลาย หมดไปเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ กาม รูปก็หมด ก็เหลือสิ่งที่เหลือก็ทำให้หมด 

ส่วนคนนั่งหลับตาเข้าไปในรูปภพ อรูปภพ พวกนี้โมฆะไม่รู้ทิศทางปฏิบัติ นั่งหลับตาปฏิบัตินี้ใช้ไม่ได้ กิเลสที่หยาบก็ยังไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่ได้ไปฆ่าเลย มันก็ยังมีฤทธิ์แรงเป็นกิเลสใหญ่กิเลสหยาบ แล้วจะข้ามขั้นไปล้างกิเลสเล็กกิเลสน้อย กิเลสเล็กกิเลสน้อยไปล้างมันก็ไม่ได้เพราะมันไม่ได้ถูกตัวมัน ไม่ใช่ กาละ เพราะกิเลสเกิดนั้นเกิดในกาละ ปัจจุบันชาติในขณะกระทบสัมผัสและเกิดของจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:35:09 )

รูปภูมิ

รายละเอียด

1. ภูมิภายในจิต อันเป็นที่เกิดของผู้เสพนภวังค์ (ประกอบอยู่ในจิต)

2. ดินแดนแห่งการปั้นนามขึ้นมาเป็นรูป หรือดินแดนแห่งความคิดฝันปนปรุงนั่นเอง 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 310, หน้า 407


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:48:06 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:31:15 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:57:26 )

รูปมยอัตตา

รายละเอียด

ปั้นรูปในใจเป็นตัวตน

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 386


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:48:55 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:31:52 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:57:44 )

รูปราคะ

รายละเอียด

ความติดใจในรูปภพ – ในอุปทายรูป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:21:00 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:48:43 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:58:03 )

รูปราคะ

รายละเอียด

1. ความปรารถนาในกามขั้นละเอียด ขั้นลึก มีเยื่อใยในใจ แต่ทวารทั้ง 5  ไม่แตะต้องเสพสมกามคุณ 5 ใด ๆ แล้ว

2. ความยินดี ความปรารถนาที่ยังมีรูป 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 366

สมาธิพุทธ หน้า 246


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:49:53 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:32:48 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 03:58:38 )

รูปราคะ อรูปราคะ

รายละเอียด

รูปราคะอรูปราคะ กิเลสระริกระรี้ในจิตเกี่ยวกับภายนอกช่วยอธิบายด้วยค่ะ

คือศาสนาพุทธนั้นไม่ได้หลับตาเลย คุณกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็ทำสงบจากกิเลสได้แล้ว ก็เหลือภายในเป็นรูปราคะอรูปราคะ เรียกว่าภวตัณหาคุณก็ทำกิเลสที่เหลือ เรียนรู้กิเลสสัมผัส   ไม่ได้ว่าปฏิบัติแบบไม่ลืมตากับทุกสัมผัส ลืมตากระทบสัมผัส แต่กิเลสกามมันไม่เกิดแล้ว หยาบอย่างนี้ไม่มี เหลือแต่ภายใน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ ลึกลงไป รูปราคะ อรูปราคะ เป็นพระอนาคามีก็ไม่ได้นั่งหลับตาปฏิบัติ กระทบสัมผัสเกี่ยวกับโลกสามัญนี่แหละ แต่กิเลสพวกนี้ไม่มีแล้วมันเล่นงานท่านไม่ได้แล้ว ก็เรียนรู้ภายในต่อไป ศาสนาพุทธจึงไม่มีโอกาสใดที่ปฏิบัติในตอนหลับตา เพราะว่าถ้าปฏิบัติลืมตาได้ หลับตามันก็ได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มันยิ่งสบาย พระอรหันต์เมื่อหลับตาก็มืดอย่างเดียว แม้แต่หลับตาแล้วจะมีแสงสีอะไรมันก็ไม่ใช่ภาวะของพระอรหันต์ เป็นอุปาทาน เพราะหลับตาแล้วคือไม่มีแสงเข้าตา แต่คุณยังรู้สึกมีแสงสีสว่างภายใน เป็นอุปาทานทั้งนั้นพวกหลับตาปฏิบัติ หลับตาไปแล้ว จะเกิดแสงสีแดง สีม่วง สีเขียว ขยายเล่นเลย หรือจะเป็นความใส แสงใสที่ใช้อย่างธัมมชโยสอน ก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิตบ้านราช วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 16:20:55 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 04:50:16 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:02:18 )

รูปรูป

รายละเอียด

1.รูปภายนอก คือมหาภูตรูป  ไม่มีวิญญาณร่วม จึงไม่ใช่กาย

2.การกระทบสัมผัสของรูปกับรูป มีแต่พลังงานทางฟิสิกส์เท่านั้นเกิดขึ้น ไม่มีพลังงานทางจิตหรือทางวิญญาณเกิดเลย

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 181, หน้า 212

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 2 หน้า 21


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:50:49 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:34:33 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:57:41 )

รูปวาดรูปเดียวที่ยังเหลืออยู่ ชื่อ ฤาจะสิ้นโลกแล้วฤา

รายละเอียด

วาดรูปเป็นแต่ไม่ได้ทำเป็นหลัก แต่ก่อนวาดบ้าง แต่ก็หายกระจายสูญไปหมดเลยยังเหลืออยู่รูปเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่ใช่ต้นฉบับด้วย กลายเป็นรูปที่เขาไปพิมพ์หน้าปกหนังสือเอาไว้ก็เลย Copy รูปนั้นมายังมีอยู่รูปเดียว ชื่อ ฤาจะสิ้นโลกแล้วฤา มีอยู่รูปเดียวที่เหลือนอกนั้นก็ไม่ได้ทำเลยก็ปล่อยให้พวกเราทำกันได้ก็เราทำเก่งกว่าหลวงปู่อีกก็ให้เขาทำ ส่วนเทคนิคการวาดก็ถามลุงแป้งก็ได้ ถามลุงโน้ตก็ได้ เราเขียนรูปเก่งหลายคน เปียก็ได้ ลุงหม่องลุงเปีย ลุงไม้ร่ม ลุงแสงศิลป์ก็ได้ มีเยอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 05:13:24 )

รูปสมบัติโลกุตรธรรมที่เป็นพฤติกรรมสังคม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในปางนี้ เอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปลูกฝังขยายความอธิบาย ให้คนได้ฟังได้เข้าใจ นอกจากเข้าใจแล้วทำได้ปฏิบัติได้ก็เป็นจริง เป็นจริงทั้งความรู้และทำได้ สำเร็จผล ก็ทับทวีขึ้นเรื่อยๆ  แล้วก็กลายเป็นกรอบเป็นกองเป็นสมบัติ เป็นรูปสมบัติด้วยธรรม โลกุตรธรรม เป็นรูปสมบัติขึ้นมา จนเป็นหมู่กลุ่มเป็นวัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมสังคมที่รู้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2565 ( 19:27:58 )

รูปสัญญา

รายละเอียด

กำหนดรู้ภาวะที่ถูกรู้

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 335


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:51:22 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:35:04 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:57:07 )

รูปานัง อตินิชฌา ยิตตัตตะ

รายละเอียด

การยึดมั่นจัด ไม่อนุโลม เอาเป็นเอาตาย เพราะความเพ่งยึดต่อสิ่งที่ได้นั้น ๆ จนเกินไป

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 247


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:52:17 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:35:58 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:02:41 )

รูปาวจร

รายละเอียด

คือ มีการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้แต่ภายในจิต เรียนรู้รูปอยู่ในจิต

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 16:18:35 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:27:15 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:03:09 )

รูปาวจรจิต

รายละเอียด

จิตตัวรสที่ปรุงอยู่

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 386


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:53:03 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:36:37 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:03:26 )

รูปาวจโร ผัสโส

รายละเอียด

สัมผัสอันเกี่ยวเนื่องกับรูปาวจรจิต

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 50


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:53:37 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:37:04 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:03:45 )

รูปี มโนมโย

รายละเอียด

รูปที่สำเร็จด้วยจิต

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 149


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 07:54:19 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:37:35 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:04:31 )

รูปียะ

รายละเอียด

รูปียะ คือ เงิน

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 06:07:12 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:36:39 )

รูปแบบไม่สำคัญเท่าการตั้งใจปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

อาตมาไม่ค่อยกำหนดหมายในรูปแบบ ใครก็ตามให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเถิด อย่าให้กลายเป็นทำลายประเพณีจารีต บัญญัติของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิบ้านราช  จรณะ 15 พาให้เกิดสมาธิ และอุปธิวิเวก วันศุกร์ที่  10  มกราคม  2563


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2563 ( 18:03:44 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:48:55 )

รู้กรรมของตนเอง 

รายละเอียด

บาปแม้เล็กแม้น้อยอย่าทำเสียเลย เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง คำว่าบาปเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีในกายวาจาใจ แม้แต่เบื้องต้นที่เรารู้ด้วยสามัญสำนึกเป็นธรรมดา จนกระทั่งลึกซึ้งไปถึงขั้นบาปที่ลึกขึ้นเข้าถึงขั้นซับซ้อนข้างใน เราก็ไม่ทำ เพราะปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนที่รู้ว่า กรรมเป็นอันทำ 

กรรมนี่แหละเป็นของของตน กรรมเป็นมรดก เราจะต้องเป็นทายาทของกรรมของเรา ไม่มีอื่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรมนี่แหละยิ่งใหญ่ เทวนิยมศาสดาของเขารู้แต่เรื่องของก๊อต ก๊อตว่าอย่างไรเขาก็แค่นั้น ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ให้ตนเองรู้ในกรรมของตนเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 10:51:03 )

รู้กรรมวิบากรู้ความวนเวียน

รายละเอียด

บุพเพสันนิวาส เริ่มรู้กรรมวิบากรู้ความวนเวียนอันนี้ก็เริ่มต้นและเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าโลกกำลังรับรู้ว่า โลกนี้มีกรรมวิบาก มีการวนเวียน ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตาย แล้วก็มารับวิบากกรรมมีทุกข์มีสุข มีแย่งมีชิง มีรักมีชัง อะไรอย่างนี้เลย นี่แหละ เอ็งเป็นอยู่ นิยายตัวละครของแต่ละคน ที่เกิดชาติแล้วชาติเล่าตัวละครในบุพเพสันนิวาสไม่รู้กี่ชาติแต่เอ็งจำไม่ได้คุณจำไม่ได้ของคุณเอง คุณระลึกชาติไม่ได้ หรือ คุณไม่รู้เรื่องราวว่า คนเรามันมีเรื่องราวอย่างนี้ด้วยหรือการเกิดมาเป็นอัตตาหรืออัตภาพนี้แล้ว มันเป็นอย่างนี้เลยและจะเป็นอย่างนี้ไม่รู้จบด้วย ถ้าไม่มาเรียนรู้โลกุตรธรรม ไม่มาเรียนรู้พุทธศาสนาที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ ไม่มีทางจบ เมื่อไม่จบ คุณก็จะหลงความจบของคุณว่า คุณจะต้องทำตัวให้ใหญ่ในโลกียะไปเป็นพระเจ้าไปเป็นเจ้าโลก ไปเป็นพระศาสดา ไปเป็นผู้รู้ แล้วแข่งกันเป็นผู้รู้เป็นพระศาสดาอีกไม่รู้กี่ศาสนา ในแต่ละศาสนาของแต่ละศาสนาเทวนิยมก็ตาม ก็จะแย่งกันใหญ่เป็นนิกายอีกไม่รู้กี่นิกาย อย่างนั้นแหละ ซึ่งสงครามแยกย่อยไปเป็นสงครามหมู่เล็กๆลงไปอีก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 11:46:45 )

รู้กายสังขารก่อน ถ้าลัดไปเอาแก่นเป็นโมฆะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อนามรูปวนเข้ามาหาผัสสะ ก็จึงเกิดอายตนะ เกิดผัสสะ จึงเกิดสภาพองค์รวมเรียกว่า สังขารหรือเวทนา 

สังขารหรือเวทนา ก็ดี มันก็คือวิญญาณ แยกเป็นนามรูปเป็นสภาวะ 2 กระทบสัมผัสกันแล้วเกิดการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร เรียกว่าอารมณ์เป็นความรู้ลึกเข้าไปอีก กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร รู้กายสังขารก่อนแล้วคุณก็ยังติดรูปหยาบๆอยู่เลย หยาบคุณควรจะเลิกแล้วก็ไม่ทำ คุณก็จะลัดไปเอากลาง ลัดไปเอาแก่นกันเลย มันไม่ได้ มันตลก อาตมาก็มาคิดได้เหมือนคุณจะไปอยู่กลางภูเขา คุณไม่ทะลุเปลือกภูเขาก่อน เข้าไปหาในภูเขา แล้วก็จะเข้าไปถึงใจกลางภูเขาได้ คุณจะหายตัวเข้าไปได้อย่างไร เนรมิตอย่างไร มันเป็นเรื่องไม่จริง เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทะลุก่อน จนกระทั่งสลายไม่มีแล้ว คำว่าข้างนอก ถ้าภูเขาก็สลายภูเขาออกหมดเลย เหลือแต่แกนกลางของพวกภูเขา คุณก็เอาแกนกลาง เปลือกนอกออกหมด   สลายแกนกลางของภูเขาหมด ก็เหลือเนื้อใน จึงเข้าไปสู่กลางของเนื้อในได้ ไม่เช่นนั้นคุณพูดเป็นเล่นเกมมายาหลอกคน ความจริงสภาวะต้องเป็นอย่างนี้ นั่งหลับตาหลับไปอยู่ข้างในเลย เป็นโมฆะแท้ๆ เป็นไปไม่ได้เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:47:16 )

รู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

ต้องปฏิบัติอย่างลืมตา รู้กาย การรู้กายนั้นเพี้ยนไปคือเข้าใจกายคือภายนอก เป็นมิจฉาทิฏฐิ กายต้องมีภายนอกแต่ขาดภายในไม่ได้ หากขาดภายในไม่ใช่ธรรมะ 2 เป็นคนที่มีทั้ง ร่างและจิต ร่างคือภายนอก แต่ร่างนั้นต้องมีกาย

กายคือธรรมะ 2 และสำคัญต้องเน้นที่นามด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กายคือจิตมโนวิญญาณ ​แล้วเน้นภายในด้วย แต่ทุกวันนี้เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เข้าใจผิดไปหมดแล้ว กายเป็นภาษาไทยไปแล้ว เป็นการแปลว่าคือร่าง แล้วโพธิรักษ์มาจากไหนที่บอกว่ากายคือจิต มโนวิญญาณ ​หากไม่มีพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 เขาเอาตายแน่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:53:52 )

รู้กิเลสมากขึ้นจึงรู้สึกว่ามันมีมาก

รายละเอียด

อยู่วัดอโศกนี้ไปนานๆ เข้าไม่ใช่ว่ากิเลสมากขึ้นหรอกกิเลสมันมีอยู่เก่าแต่เราจะชัดเจนรู้จักกิเลสมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเรากิเลสจริงมากขึ้น ที่นี่ไม่ทำกิเลสใส่กัน มีแต่เราจะรู้กิเลสตัวเองมากขึ้นแล้วจะรู้สึกว่ามันมีมาก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่ามีกิเลส ไปถามคุณหญิงคุณนายก็จะบอกว่าความโลภของฉันไม่มี มีแต่ความโกรธอยู่ เพราะว่าเงินเขามีเยอะแล้ว ออกดอกออกผลมาก็จะไปห่วงอะไรเรื่องลาภ โลภ แต่โกรธนี้อย่าแตะเลย ที่แท้มีเป็นกระบุง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อนาคามียังกลัวผีอย​ู่หรือไม่ วันจันทร์ที่
10 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:19:53 )

รู้กิเลสมากขึ้นจึงรู้สึกว่ามันมีมาก

รายละเอียด

อยู่วัดอโศกนี้ไปนานๆเข้าไม่ใช่ว่ากิเลสมากขึ้นหรอกกิเลสมันมีอยู่เก่าแต่เราจะชัดเจนรู้จักกิเลสมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเรากิเลสจริงมากขึ้น ที่นี่ไม่ทำกิเลสใส่กัน มีแต่เราจะรู้กิเลสตัวเองมากขึ้นแล้วจะรู้สึกว่ามันมีมาก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่ามีกิเลส ไปถามคุณหญิงคุณนายก็จะบอกว่าความโลภของฉันไม่มีมีแต่ความโกรธอยู่ เพราะว่าเงินเขามีเยอะแล้วออกดอกออกผลมาก็จะไปห่วงอะไรเรื่องลาภ โลภ แต่โกรธนี้อย่าแตะเลย ที่แท้มีเป็นกระบุง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อนาคามียังกลัวผีอย​ู่หรือไม่ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 22:02:27 )

รู้ความจริง ตามความเป็นจริง สิ่งเกินจริงเป็นมายา

รายละเอียด

เมื่อมาล้างอุปาทานก็จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเพราะตัวเองหลงมายาติดในมายา สิ่งที่สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย คนไทยจีนแขกฝรั่งกระทบสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์ด้วยกันหมด ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด กระทบสัมผัสนั้นรู้สิ่งนั้นตามความเป็นจริงจะรู้เหมือนกันหมด ไม่มีเวทนาซ้อนไม่มีอะไรเป็นภาวะสอง เป็นหนึ่งเดียวกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง สิ่งที่มันรู้เกินความจริงนั้นเป็นภาวะของมายาทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:12:30 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:50:27 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:09:37 )

รู้ความจริงของตัวเองมีความจริงที่ดีเป็นโลกุตรธรรมที่เจริญ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเราก็คิด ตัวเรานี้ เป็นสักกะ เพราะสักกะมันแปลว่าตัวเรา เราจะเป็นใหญ่ในตัวเราแค่ไหน รู้ความเป็นจริงให้ได้ว่าตัวเรานี้มีความเป็นจริง แล้วอย่าหลงตัวเอง รู้ความจริงว่าตัวเองมีดี มีความจริงที่ดีเป็นความรู้เป็นโลกุตรธรรม เจริญ ใน สัจธรรม อะไรแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่างเช่นอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 มาก็รู้ความจริงของอาตมา แล้วอย่าเหลิงอย่าไปหลงตัว อย่างที่พูดไปแล้วบอกไปแล้วว่า ให้อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ อย่าไปเหลิงเป็นอันขาดให้อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ อาตมา อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ลักษณะที่อาตมาแสดงออก อาตมาต้องแสดงในสภาพเป็นศิลปิน ศิลปินนี้แสดงอะไรเอาไปให้เหมาะสมให้เข้าองค์ประกอบเพื่อสื่อสารให้คนได้รับความเข้าใจ สื่อสารให้รับรู้ความเข้าใจที่เต็มสภาพ แต่ตัวเองหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จะบอกว่าศิลปินนี่คือนักจอมมายา จอมดราม่า จอมนักแสดงตัว ก็ใช่ แสดงให้เขารู้ สื่อสารให้เขาเห็นให้เขาเข้าใจ แต่ตัวเองไม่ได้เป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 11:50:21 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:11:42 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:10:44 )

รู้ความจริงตามความจริงต้องลืมตา

รายละเอียด

ความเห็นที่ถูกต้องลืมตามีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก เห็นครบครัน ภายนอกภายในแล้วรู้ว่าโลกคือโลก อัตตาคืออัตตา เข้าใจชัดความเป็นโลก ความเป็นอัตตา แล้วมีอำนาจในความเป็นโลก เรียกว่าโลกาธิปไตย มีอำนาจในความเป็นอัตตา อัตตาธิปไตย อำนาจคือความมีสติรู้ครบ

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ผู้ข้องอยู่ในถ้ำอันไกลจากวิเวก วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:05:52 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:52:05 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:11:22 )

รู้ความจริงตามความเป็นจริง

รายละเอียด

ส่วน จิตสามัญ ไม่ใช่จิตสมถะ จิต ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็เรียนรู้ สัมผัสรู้ ไม่ต้องไปเพ่งไปเล็งให้มันปวดเมื่อยอะไรเลย โดยมีจิต มีสติมีสัมปชัญญะ มีปัญญา แล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตไม่ต้องเพ่งเล็ง จะเพ่งเล็งก็เพ่งอยู่ ถ้าไม่เพ่งแล้ว จิตก็รู้ มีฌานวิสัยของพระพุทธเจ้ามีปัญญาตามแบบพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น อจินไตย ฌานวิสัยเป็นอจินไตย คนรู้ไม่ได้ง่ายๆ อาตมาค่อยๆอธิบายไป อธิบายไม่เก่งเท่าไหร่ ค่อยๆทำไป จิตมีสติ ดีกว่าเพื่อน จะว่าไปแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ 

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 11:36:10 )

รู้ความจริงตามความเป็นจริงของรูป

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเราทำใจในใจ มนสิการ การทำใจในใจของเรา เราจึงทำแต่ใจในใจ เป็นความรู้สึก และเป็นตัวที่จะรู้สึกอย่างดินน้ำไฟลม เป็นความรู้สึกอย่างดินน้ำไฟลม ใช้ภาษาพูดได้เท่านี้ คือดินน้ำไฟลมมันไม่มีบาป มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรแล้ว ก็อาการของใจที่เราสามารถสัมผัส ตาเราเห็นรูป เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงของรูป รูปที่เราสัมผัสนั้นเป็นดินน้ำไฟลม เช่นก้อนหิน นี่คือก้อนหิน หยิบขึ้นมาดู ถ้าบอกว่าก้อนหินเฉยๆเราก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นอะไร พอก้อนหินทาสี เขาปรุงแต่งด้วยสี ดูอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดา แล้วเขาก็มาเอาสีทา เขียนลาย เขียนรูปอะไรเข้าไป มันก็เหมือนไม่ใช่ก้อนหิน แต่มันก็เป็นก้อนหินซึ่งมันก็ได้แปรเปลี่ยนให้ความรู้สึกแก่เรา 

การเห็นก้อนหินเฉยๆไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย แม้คุณเองคุณไม่ได้เห็นว่ามันปรุงแต่ง ถ้าคุณชอบ โอ้โห..ก้อนหินก้อนนี้สวย มันก็สวยได้ ถ้าเขียนอย่างนี้มันก็แปลกไปจากก้อนหินเรียบๆ ถ้าเห็นเรียบๆก็ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือสวยอะไร แต่ถ้ามาเขียนเป็นรูปร่าง มันก็เหมือนจะสวยขึ้น มันก็ต้องมีหิน มันก็ต้องมีความรู้สึก มีสัญญา มีเวทนากำหนด รู้สึกว่ามันสวย แล้วก็ชอบใจ รู้สึกว่าสวย อาการรู้สึกคือเวทนาของคุณก็ว่าสวย มันก็มีทั้งก้อนหิน ดิน น้ำ ไฟ ลม มีทั้งเวทนา เพราะฉะนั้นกายในกาย เวทนาในเวทนา คุณก็แยกมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกวิจัย แยกวิภัช แยกออกว่ากายส่วนนอกมันเป็นดินน้ำไฟลม ไอ้นั่นมันพืช ไอ้นี่มันอุตุ ก็แยกได้ว่านี่เป็นอุตุนะ 

ส่วนอันนั้นคือพืช และพืชพวกนี้ตัดออกมาจากรากแล้ว พวกนี้มันเป็นพืชหรือเป็นอุตุ มันก็เป็นอุตุ มันหมดชีวะ นอกจากยังเหลือเป็น เจตภูต ในภูตคาม มีเชื้อแตกเหง้าแตกรากอีก มันยังมีภูตอีก มี 3 ภูตะ มหาภูต ภูตคาม เจตภูต พืชที่เกิดแต่เหง้าแต่ราก มันก็ปลูกขึ้นอีกแต่ว่าพืชบางชนิดตัดมาแล้วมันก็ไม่สามารถเป็นชีวิตชีวะอีก งอกงามไม่ได้อีก 

สรุปที่ถามมามันก็ต้องรู้สังขาร สังขารมันก็ปรุงแต่งอยู่ร่วมกัน ในร่างกายคุณมีธาตุดินน้ำลมไฟใช่ไหม มีอุจจาระมันถ่ายออกไปเป็นอุจจาระ มันก็เป็นอุตุ เป็นอุตุไปแล้วไม่เป็นพีชะ ไม่เป็นอาหาร แน่นอนอาหารไม่ใช่จิตหรอก คำข้าวอาหารไม่ใช่จิต เมื่อกินเข้าไป คนกินเนื้อสัตว์นะ ตอนเป็นๆก็เป็นชีวะ แต่ว่าคุณกินเข้าไปแล้ว มันไม่เหลือหรอกชีวะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพืชก็เหมือนกัน มันอยู่บนต้นมันก็เป็นชีวะ คุณตัดออกมามันก็ไม่เป็นชีวะแล้ว กินเข้าไปมันก็ไม่มีชีวะ แต่สัตว์บางทีมันยังดิ้นอยู่เลยนะ กินมันทั้งเป็นๆ สัตว์ ชีวะของมันตายคาปากเลย พวกยักษ์ทั้งหลาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2566 ( 18:31:33 )

รู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างเดียว 

รายละเอียด

อาตมาไม่มีความโกรธ ไม่มีความถือสา ชีวิตชาตินี้อาตมาไม่มีความโกรธ ถือสา มีแต่การไปติดสุข ติดอะไรนิดๆหน่อยๆ ลิงลมอมข้าวพองตามโลกเขาหลอกไปบ้าง จนกระทั่งรู้ตัวเอง ว่า ปัดโธ่เอ๋ย จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่รู้อร่อยหรือไม่อร่อย ไม่รู้แบบโลกีย์เขา ก็เลยกลายเป็นคนที่อยู่ไปธรรมดา รู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างเดียว อาตมาเคยพูดมาแล้ว ว่าได้อ่านคนที่คอมเม้นท์มาเป็นพันคน พยายามอ่านที่เขาด่า เขาว่ามา อย่างหยาบคายเขาก็จุดๆๆ ไว้ คำด่า คำ comment ที่หยาบคายเขาพิมพ์ออกมา อันไหนหยาบก็จุดๆๆไว้ ก็เลยเห็นว่า คนเขามองเราอย่างนี้ เขาไม่เข้าใจเลย ยิ่งเห็นชัดเจนว่า ในยุคนี้โลกุตรธรรมมันสูญเสื่อมไปจากคน จากชาวพุทธ จากลูกพระพุทธเจ้าไปหมดจริงๆ 

อาตมาไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคือง ไม่ได้ถือสาที่เขาคอมเม้นท์ เขาด่าอาตมามา ตั้งยาว อาตมาก็อ่าน คนก็มาบอกไปอ่านอยู่ทำไมตั้งยาว ก็อ่านให้เขาหน่อยเขาอุตส่าห์แสดงความเห็นของเขาก็ต้องอ่านให้เขาบ้างสิ เราก็จะได้รู้เขาไง โพธิสัตว์นี้ต้องรู้เขารู้เรา ก็ อ๋อ.. เขาเป็นอย่างนี้ เขารู้สึกอย่างนี้ๆๆ ก็ได้แต่สงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยพยายาม ก็นำเอาความจริงนี่แหละออกมาสาธยายอธิบายให้เขาได้ฟังบ้าง แต่เขาก็ไม่ค่อยฟัง คนก็เลยยิ่งยากที่จะได้รับความจริง ได้รับความรู้ คุณก็ไปงมงาย กับคนที่พูดไม่เต็ม พูดไม่ค่อยถูก พูดผิดด้วยซ้ำ คุณไปหลงกับพวกที่ผิด พวกที่ไม่เต็ม พวกไม่รู้เรื่อง มันก็เลยไม่ได้ฉลาด ไม่มีปัญญาสักที อาตมามาจนถึงขั้นนี้แล้ว เอาปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้ามาขยายความ เขียนเป็นเล่ม เล่ม 2 เล่ม 3 เขียนอยู่ยังไม่จบเนี่ย จะถึงเล่ม 4 หรือเปล่าก็ไม่รู้  แต่อาตมาก็ไม่อยากให้เป็นเล่ม 4 นะ แล้วเล่มหนึ่งไม่ใช่น้อยนะ 400 กว่าหน้า ปัญญานี่แหละ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นี่ก็เป็นความจริง ก็คือความรู้ ความเฉลียวฉลาด โพธิ มันเป็นเช่นนี้ เรื่องอรหันต์นั้น จบไปนานแล้ว อาตมาจบ มันต้องอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:40:03 )

รู้ความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา

รายละเอียด

แต่ความจริงสัมผัสอะไรมันก็คืออันนั้นหนึ่งเดียว ตรงนี้แหละสำคัญ รู้ความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา ชัดเจนในความจริงตามความเป็นจริง อันนี้คือพืช อันนี้คือกระดาษเอามาใช้งาน อย่างนี้เรียกว่าปฏิทิน ก็ OK อะไรเป็นอะไรก็มีความชัดเจน ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งนั้น แล้วเราก็ใช้ประโยชน์ได้หรือถ้าเป็นโทษก็อย่าไปสร้างมันขึ้นมา เช่นปืนผาหน้าไม้ ลูกระเบิดอะไรอย่างนี้ มันเป็นโทษนะ ไม่ใช่เป็นคุณ มันไปบำเรอความอยากใหญ่ ความจะข่มเหงรังแกปราบปรามทำร้ายผู้อื่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

ดีชั่วเป็นสมมุติ สุขทุกข์เป็นปรมัตถ์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 15:49:19 )

รู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วจบ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นรู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็จบ เราก็ทำสิ่งที่ให้มันดียิ่งกว่านี้ เขาชมว่าดีนี้จบหรือยัง ถ้ายังดีไม่จบก็เอาอีก เอาให้มากกว่านี้ ถ้าดีจบแล้วก็ทำดีอื่นอีก ความดีนี้จบแล้วคุณก็ต้องรู้ความจบ เช่นว่า คุณหมดอาสวะในเรื่องนี้แล้ว คุณก็ต้องรู้ว่าคุณจบแล้วคุณจะไปเสียเวลาขยำอึ อยู่อีกทำไม คุณก็ทำสิ่งอื่นอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอภิณหปัจเวกขณ์ว่า กายกรรม วจีกรรม ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก คนที่จบอรหันต์ สัจจะมันจบแล้ว มันเหลืออันอื่นที่เอามาเรียนรู้ที่คุณจะอยู่ในโลกแล้วเราก็ได้รู้ความจริง แล้วเราก็ช่วยคนอื่นเขาได้อีกต่อไป ก็เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นต่อไป สิ่งไหนที่เป็นความชั่วความดีก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 10:02:22 )

รู้ความจริงที่จริงที่สุดคือรู้อะไร

รายละเอียด

มีการผูกเป็นทฤษฎีเยอะให้เอาไปใช้ได้เพื่อรู้สิ่งที่จริง การรู้ความจริง ที่จริงที่สุด ก็คือ การรู้ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ รู้ความโง่ โง่อะไร? โง่ว่าโลกนี้มีสุขกับทุกข์ ...ไม่มี สุขกับทุกข์มันเป็นอนัตตามันเป็นเรื่องของคนโง่หลงมันอยู่ก็เลยต้องอยู่กับสุขกับทุกข์ แล้วก็ไม่รู้อีกต่อไปว่าสุขกับทุกข์มันตัวเดียวกัน แยกไม่ได้ แต่คุณไปหลงหน้าสุข แต่คุณไม่รู้ว่าหน้าสุข ข้างหลังมันคือทุกข์ แยกกันไม่ได้ หน้ากับหลัง มันติดเป็นหนึ่งเดียวถ้าจะทำลายต้องฆ่าทั้งสุขและทุกข์ หมดทั้งสุขและทุกข์หมดเลย 

เพราะฉะนั้นทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ที่เป็นจิตวิญญาณนั้นคือไอ้ตัวสุขกับทุกข์ที่มันกอดกันอยู่นี่แหละ กอดกันจนไม่รู้ว่าหน้าไหนมันเป็นสุข หน้าไหนมันเป็นทุกข์ วะ ไม่รู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:34:05 )

รู้ความจริงแล้วจึงมีทางออก

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงแล้วจึงมีทางออก พระพุทธเจ้ารู้ทางออกก็เลิกก็หยุด หาทางปฏิบัติออกได้ จนค้นพบพลังงานจิตวิญญาณ ที่เรียนรู้ได้ด้วยรูปนาม มีผัสสะเป็นปัจจัยเกิดในปัจจุบัน ที่อาตมาเน้นมากเลย ภาวะแท้จริงนั้นเป็นปัจจุบันนิดเดียว แต่คุณให้นิดเดียวนั้นต่อเนื่องอยู่ได้ ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันนี่นะ มันไม่ใช่ภาวะที่แท้ จำได้คุณอาจจะจำได้ มันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นเงาของตัวจริง คุณจะฆ่าตัวจริง คุณก็ได้แต่ ฆ่าเงาๆๆๆ แล้วเมื่อไหร่ตัวจริงมันจะตายเสียที เพราะมันไม่ใช่ตัวจริง จริงๆ สัจธรรมมันละเอียดมาก เหตุปัจจัยกระทบอยู่ตอนนี้ เกิดตัวจริงขณะนี้ พอผ่านอดีตไปแล้ว มันไม่ใช่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ความจริงแล้วนะ มันเข้าใจไม่ง่ายเหมือนกัน เพราะว่าความจำมันก็จะนึกว่าเหมือนกันใกล้ๆกัน ความจำกับความจริงมันคล้ายมากเลย จำได้เมื่อกี้นี้ ยิ่งใหม่ๆก็จำได้ดี เมื่อผ่านปัจจุบันแป๊บเดียวไปแล้วมันไม่ใช่ปัจจุบัน ถ้ายังไม่ขาดช่วงมันยังมีสัมผัส อินทผาลัมต่อเนื่องอยู่ แต่คุณตัดรอบแล้วไม่มีอินทผาลัมที่สัมผัสอันนั้น คุณขาดตอนแล้วนะ เป็นความจำแล้วนะ กลับแล้วนะ แต่ถ้ายังต่ออยู่ก็ต้องมีสันตติ แต่มันยืดยาวเป็น ยามะ แล้วยาวเป็นยาวะ ยามมะ อันนี้อาจจะ 5 นาที ยามะอันนี้อาจจะ 10 นาที อันนี้อาจจะ 1 ชั่วโมงอันนี้อาจจะ 3 ชั่วโมง หรือ 12 ชม.ก็แล้วแต่ ยามะ หรือ ยาม มันยังต่อกันไปเป็น ยาวะ คือยาวไปเรื่อยๆ ภาษาบาลี พอเปลี่ยนเป็นภาษาไทยก็คือยาว คือต่อไปอีก แต่ยาวนี่มีกรอบขอบ เท่านี้นะ อันนี้ชั่วโมงนึงนะ อันนี้ 3 วันนะ อันนี้ 3 ชั่วโมงนะ หรือ 12 ก็แบ่งสามยาม ยามละ 4 ชั่วโมงเป็นยาม 1 ยามสองยาม 3 ยามต้น กลาง ปลาย ก็เป็นการกำหนดกันเท่านั้นเอง ธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาย้ำแล้วว่าเกิดมาเป็นอัตภาพ เกิดมาเป็นมนุษย์ มันสุดยอดศึกษาดีๆ สูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเลิก ก็เอาพระอรหันต์ให้ได้ พอได้อรหันต์แล้วคุณรู้จักแยกธาตุ ทำลายกลายเป็นอรหันต์ตายด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน แต่ผู้ใดจะทำต่อก็เป็นส่วนตัว พระอรหันต์ตอนเริ่มต้น ยังอธิบายอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก อธิบายภาวะอะไรยังไม่ได้อย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่ได้หรอก ยังไงยังไงก็อธิบายไม่ได้ ไม่เหมือนอาตมา อย่างนี้เป็นต้น เอาสิ คุณพยายามจะอ่านหนังสือท่องมาสู้อาตมา รับรองคุณไม่ทันหรอก คุณคว้าจับเล่มนั้นเล่มนี้ต่อกันไม่ทันหรอก จำมาสู้ไม่ได้ อาตมานี่ไม่ได้จำมาก แต่มันก็มีแล้ว พยายามจำพยัญชนะเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็เฟื่องขึ้นเยอะ ได้เยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าเฟื่องขึ้น ข่มริปูขึ้นเยอะแต่คนฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:34:48 )

รู้ความพอเพียงของในหลวง ร.9

รายละเอียด

เสร็จแล้วคนเรารู้ความพอเหมาะพอดี ความพอเหมาะพอควร คำว่าพอเหมาะพอควร ความพอเพียง ของในหลวง ร.9 คำตรัสคำพูดของแต่ละคนพูดออกมาเราจะรู้ได้ว่า อ๋อ ในหลวง ร.9 ท่านตรัสพวกนี้ เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์จริงๆก็ต้องรู้ได้จริง อาตมาฟังแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา คนรู้จักเขตขีดของความสันโดษพอเพียงนี่คือสันโดษ รู้จักความพอ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 15:30:49 )

รู้ความมีกับไม่มี

รายละเอียด

คำว่า สุข-ทุกข์ กับ ดี-ชั่ว จึงเป็นเครื่องตัดสินของโลกียะ กับ โลกุตระ ที่ทางโลกียะเขายากที่จะเข้าใจ เพราะเขาเป็นสุขนิยม เป็นพวกสุขเที่ยง เป็นพวกที่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมสุขทุกข์มันจะต้องไปหยุดสุขทำไม คนเราก็ต้องสุขสิ ทุกข์ไม่เอาหรอกก็เข้าใจ แต่เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นสภาวะ ที่เป็นมายา 2 อย่าง หลอกว่านี่จริงกับนี่ไม่จริง นี่ไม่จริงอันนี้จริง 

มายามันหลอกว่าอันนี้จริง แต่แท้จริงแล้ว ผู้ที่บรรลุอรหันต์ บรรลุนิพพานบรรลุ 0 แล้ว รู้ว่ามีกับไม่มี จริงกับไม่จริง แล้วก็ชัดเจนว่า มีหรือจริงก็อาศัย ไม่จริงก็ไม่เอา ไม่มีก็รู้แล้วว่าทำให้ไม่มีได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรรู้ว่า มีกับไม่มีแล้ว 2 อันสุดท้าย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 อาศัยเรื่องมีกับไม่มี อัตถิกับนัตถิ หรือ โหติกับนโหติ มีหรือไม่มี 2 คำสุดท้าย เป็นเครื่องยืนยันสภาวะอาศัย โดยที่เป็นอภิภูหรือ อนุปคัมมะ เป็นภูมิธรรมระดับที่ เป็นขั้น ไม่ใช่ สยังอภิญญา ที่จะต้องศึกษา อภิภู อนุปคัมมะ รู้สมบูรณ์แบบกันไปเรื่อยๆเป็นสภาพ 2 ที่เทียบไปแล้วในทุกอย่างเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 12:21:22 )

รู้ความมีความไม่โดยจิตกลางๆ

รายละเอียด

อาตมาตั้งใจจะนำพระสูตร กัจจานโคตรสูตร

[42] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระกัจจานโคตต์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1- 1 ความไม่มี 2- 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลกย่อมไม่มี โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัยอันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

[44] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ 2 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง 2 นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ … ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ … ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ 

จบสูตรที่ 5 รู้ความมีกับความไม่มี  ผู้ที่รู้ความมีกับความไม่มีก็ยังรู้ความมีและความไม่มีนั้นอยู่ แต่ไม่ไปข้องแวะกับความมีและความไม่มี ตัวเองเป็นคนกลางๆ จิตทำจิตกลางๆแล้ว แล้วทำให้จิตนี้ไม่มีอันตา มันไม่ไปมีส่วนมีฝ่ายมีข้างสัมพันธ์ดึงดูดเกี่ยวข้องอยู่กับข้างหนึ่ง อันตา คือ กาม อีกหนึ่งอันตาคือ อัตตา ไม่เข้าไปมีทั้งกามและอัตตา จึงเรียกว่าคนเป็นกลาง ท่านแปลจากมัชฌิมา ท่านไปแปลว่า ทางสายกลาง ตัว มัชฌิมะหรือมัชเฌนะแปลว่าจิตกลางๆ ท่านไม่มีความรู้ลึกซึ้งพวกนี้จึงแปลว่ามัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง มันไม่ผิดแต่มันก็ทำให้เข้าใจผิดแต่ว่าไปเน้นทางสายกลาง ที่จริงจะเน้นอย่างนั้นก็ได้ มันเป็นทางปฏิบัติ วิธีปฏิบัติที่จะปฏิบัติเข้าไปสู่ความเป็นกลาง แต่เมื่อไปเน้นทางสายกลาง ก็เลยไปเข้าใจผิดกันว่าทางเดินกลางๆ เพราะฉะนั้นเดินอย่างไรปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติเป็นทางสายกลาง ก็เดินไปในกลางๆของดงกันดารไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีอาหารกินแล้วก็ฆ่าลูกกิน แล้วก็เดินกินเนื้อลูกไปแล้วก็บอกว่าลูกข้าพเจ้าไปไหนหนอ ซึ่งคำเปรียบเทียบของพระเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆสำหรับคนงมงาย งมงายจนไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่ในดงกันดาร ไม่รู้ว่าเดินไปทางไหน ความเป็นกลางเดินอย่างไรจึงจะหมดความเป็นสองข้างอันตา ส่วนสุดโดยสองข้าง อย่างไรถึงจะหมด อันนี้คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 12:13:44 )

รู้ความมืดดำแบบสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องรู้จักสภาวะของ กาย ที่ว่ามืดหรือดำ ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็รู้ว่าพวกที่หลงความมืดความดำโดยทำความมืดความดำแล้วหลงว่าเป็นภพนิโรธ หลงว่าเป็นภพดับ หลงว่าตัวเองทำกิเลสดับที่จริงมันแค่มืดดำ ผู้ที่มีปัญญาชัดเจนก็จะรู้ว่าพวกนี้เขายินดีในภพมืดดำที่เขาได้ ทำได้เขาก็ยินดีของเขา 

ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิก็รู้ว่าความมืดความดำเป็นสภาพธาตุรู้ที่เรารู้ว่า ถ้ามันไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอาโลก ก็ไม่ต้องมีอุปาทานข้างในหลับตาเข้าไปมันก็มืด ตอนนี้ที่นี่ ถ้าไม่มีแสงสว่างเป็นกลางคืนมืดๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 15:48:49 )

รู้ความมืดดำแบบสัมมาทิฏฐิ กับมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

สัตตาวาส ข้อที่ 4 เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันตรงที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ แต่เข้าใจภาษาว่ามืดหรือดำ ความมืดหรือดำมิจฉาทิฏฐิ กับความมืดดำของสัมมาทิฏฐิ 

มิจฉาทิฏฐิรู้ว่ามืดดำ คือรู้ว่าอย่างนั้นมืดดำแต่เพียงภาษา แล้วทำมืดดำอย่างเป็นโลกีย์ยังไม่เป็นโลกุตระ แต่มืดดำอย่างของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงแสงสว่างที่ดับมืดดำ แต่มืดดำคือมันไม่มีเกิด มืดดำ เป็นภาษาที่สิริมหามายา คือตรงกันข้ามกับสว่าง ภาษาตรงกันข้ามกับมืดดำคือ สว่างขาวรอบสว่างจ้า ภาษาตรงกันข้ามกับสิริมหามายาที่เรียกว่ามืดดำนี่แหละของสัมมาทิฏฐิของพระอรหันต์จึงรู้ว่า พวกนี้ยังไม่เกิดขาวรอบสว่างแจ้ง ยังอยู่ในจุดหนึ่ง 

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจความมืดความสว่าง ที่มืดสว่าง เป็นภาษาโลกีย์สมมุติ ส่วนภาษาสภาวะธรรมนั้นอธิบายไม่ได้ ความเป็นจริงของสัมมาทิฏฐิคือทั้ง 9 นี้ ต้องพ้นจากความเป็นสัตว์ให้ได้ ถ้าพวกมิจฉาทิฏฐิที่จะต้องวนอยู่ในความเป็นสัตว์ทั้งหมด ทั้ง 9 ชนิด แต่ของสัมมาทิฏฐิจริง เป็นอรหันต์จริง หมดความเป็นสัตว์ทั้งหมดเลยทั้ง 9 ข้อ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:44:18 )

รู้ความสำคัญในความสำคัญ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็รู้วิชาการทางโลกทั้งหมด ทุกสาขาวิชา เรียนมารู้หมดและท่านก็ทิ้งหมด ท่านก็สอนอย่างนี้มาตลอด ตั้งแต่ท่านรู้ตัวเองแล้วว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านสอนวิชานี้วิชาเดียวไปตลอดจนปรินิพพาน 45 ปี ท่านก็ไม่เกี่ยวกับวิชาการอื่น ท่านไม่เอา ฟังเข้าใจดีไหมตรงนี้ 

จะรู้ค่าของธรรมะ โดยเฉพาะว่าเรารู้ค่าของธรรมะขั้นโลกุตระ ธรรมะรู้จักการเกิด การตาย รู้จักว่าถ้ามันจะเกิดมันก็เกิดเป็นคนดี เป็นคนที่มีความรู้มีคุณค่า อย่าว่าดีแบบโลกียะเลย ดีแบบโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นมันจะไม่ทำงานอื่น จะมาทำงานนี้ แล้วไม่เกี่ยวกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะฉะนั้น คนที่จะยังไปทำงานอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยังไม่ใช่คนถึง คนถึงไม่ไปหรอก ขนาดพระพุทธเจ้าจบ 18 วิชา ทิ้งหมด แล้วมาทำอันนี้หมดอันเดียว อย่างอื่นไม่เอา ยังไงก็ไม่เอา 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังมีโลก ติดโลกอยู่ ไปตามโลก ผู้ที่หมดโลกแล้วไม่ไป มาอันนี้ จะรู้เป็นความสำคัญในความสำคัญ จะรู้จริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:52:03 )

รู้ความเป็น 2 ความเป็น 1 ความเป็น 0 คือศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ทุกอันคือ 2 หมดแล้วเอามาเทียบกันศึกษาได้

2 นี่ เปรียบเทียบให้ชัดเจนว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรมี อะไรควรไม่มี ของที่มันควรก็ควรจะอยู่กับสิ่งที่ดี สิ่งที่ควรจะไม่ให้มีทำให้มันสูญได้เลย จบ ทุกคู่ในมหาจักรวาลนี้คือ เทวะหรือ ทฺเว ทุกสิ่งทุกอย่างก็รู้คู่ แล้วก็แยกได้ด้วยว่า 2 อันนี้อะไรคือดีอะไรคือไม่ดี ถ้าเราจะอยู่ก็อยู่กับความดี ถ้าไม่อยู่ก็เลิกเลย 0 นี่จบแล้วนะ ศาสนาพุทธได้ย่อมาจบอย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน กาลามสูตร


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:06:31 )

รู้ความเป็นคู่ของกาย คู่สำคัญก็คือคู่โลกียะกับคู่โลกุตระ

รายละเอียด

ก็ต้องรู้เป็นคู่ๆ คู่ที่สำคัญก็คือคู่โลกียะกับคู่โลกุตระ ซึ่งเป็นธรรมะ โลกุตรธรรมกับโลกียธรรม ต้องชัดเจนก่อน ถ้าไม่ชัดเจน คุณปฏิบัติธรรม คุณจะปฏิบัติธรรมได้เป็นโลกียธรรม 

โลกียธรรม คุณจะแยกได้แต่เพียงดีกับชั่ว มีสูงมีต่ำ มีมากมีน้อย มีเจริญมีเสื่อม แค่ดีและชั่ว นี่เป็นโลกียธรรม แต่โลกุตรธรรมนั้นแน่นอน ดีชั่วก็รู้กันแน่นอน แล้วก็ทำก่อนเหมือนกัน

ทำให้ได้เหมือนกัน ทำก่อน แล้วยังมีแถม รู้จักสุขและทุกข์ อันนี้แหละเป็นตัวแบ่งชัดเจนว่า เป็นโลกุตรธรรมกับโลกียธรรมต่างกันอย่างไร โลกียธรรมไม่รู้เรื่องของสุขและทุกข์ แต่โลกุตรธรรมนั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสุขทุกข์ แล้วจัดการเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์นี้แหละ จากกาย จากเวทนา จากจิต เรียนรู้สุขทุกข์ แล้วจัดการกับสุขทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์จาก กาย เวทนา จิต มี 3 ตัว

เมื่อกี้นี้ขยายความธรรมะแล้ว 3 ตัวนี้ไม่ได้แยกกัน คนที่ไปแยกกาย พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องแยกกายแยกจิต ต้องเข้าใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิก่อนอื่นด้วย ถ้าแยกกายแยกจิต ไม่สัมมาทิฏฐิก่อนอื่น มันก็มาปฏิบัติธรรมไม่ไปไหนอีกเหมือนกัน ไม่มีทางบรรลุหรอกผู้ที่เรียนธรรมะกันอยู่จบด็อกเตอร์ จบเปรียญ 9 จบอะไรก็แล้วแต่ที่เรียนกันอยู่  

ขออภัยที่พูดความจริงเขาไม่ได้รู้รายละเอียดพวกนี้หรอก จึงไม่ได้พูดกันเรื่องแบบนี้  มีแต่พาไปนั่งหลับตามีแต่พาไปเดินหนอ ย่างหนอ ไปทำตามจารีตประเพณีต่างๆหมด ไม่ได้มาสนใจอย่างที่ว่านี้ อธิบายกันให้เข้าใจ ผู้ที่เป็นอาจารย์จะต้องรู้จริงและปฏิบัติได้ มันไม่มี มันก็บังคับไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูดมาอธิบายมายืนยัน เพราะว่าเขาก็ทำไม่เป็นด้วยมันก็เป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นข้อที่ 1 กาย ข้อที่ 2 เวทนา ข้อที่ 3 จิตกายนี้ กว้าง รวมทั้งภายนอก กายนี่เป็นองค์รวม องค์ประชุม กาย ไม่ใช่เดี่ยวๆ คำว่ากายเป็น 1 ไม่ได้ กาย ต้องมี 2 เสมอ ไม่มีกายก็คือ ไม่มีอะไรเลยเป็น 0 กายไม่มี 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4

วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 15:02:58 )

รู้ความเป็นจริงในตัวเรากับปัจจุบันธรรม

รายละเอียด

รู้ความเป็นจริงของมัน แล้วก็มองลึกถึงไปว่า แล้วไอ้ที่เป็นความจริงนี้ ที่มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นประโยชน์กับเราไหม เราจะต้องใช้มันเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่ หรือเราจะให้ประโยชน์กับมันได้ไหม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นสัตว์เป็นอะไร แต่ถ้ามันเป็นวัตถุ มันเป็นพืช ก็ให้อะไรมันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็มีแต่ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไหม เป็นประโยชน์-เราก็รับมัน ไม่เป็นประโยชน์-เราก็ไม่ต้องรับ นั่นก็คือศูนย์ไม่รับ แต่มันก็มีของมันอยู่ในโลกนั้นแหละ คนอื่นเขาอาจจะเป็นประโยชน์ แต่ของเราไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่ต้อง คนอื่นเขาต้อง คนอื่นเขาเหมาะสมของเขา มันถูกกับธาตุของเขา ถูกกับสังขารของเขา เขาต้องใช้อันนั้นปรุงแต่ง แต่ของเราไม่ต้อง เราก็ไม่ต้องใช้ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นในนัยยะของเราที่จะมองอะไรต่างๆ พวกนี้ มันมีนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีกเยอะทีเดียว ค่อยๆศึกษาไปตามลำดับๆ ศึกษาไปตามลำดับลำดา แล้วก็ค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆ ตามขั้นตามตอน 

รู้ความเป็นจริงในตัวเรากับปัจจุบันธรรมนี้ เราเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วเรายังตกเป็นทาสมัน เราก็ทำอันนี้แหละให้มันหลุดพ้น ไอ้ที่มันหลุดพ้นได้แล้วไม่มีปัญหา มันมีอยู่ในโลกอยู่ในสังคม บางทีเราก็สัมผัสมัน เราห่างมันมา มันก็ห่างไกลๆ บางอย่างบางสิ่งเราก็ไม่ต้องไปใกล้มันหรอก มันอยู่ไกลๆ โน่น ทุกวันนี้อยู่ในโทรทัศน์ อยู่ในเครื่องพวกนี้มันมีเยอะแยะ แล้วมันไม่รู้เรื่องกับเรา เราดูนี่ หรือเราเห็นอยู่นี่ เราไม่ได้ไปสัมผัสกับมันจริงๆ มันก็ผ่านให้เราได้ ได้ศึกษาเป็นเหตุปัจจัย เราได้กำไรนะ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราสัมผัสศึกษาอยู่นี่ เราก็อ่านจิตเราว่าเราเองยังเกี่ยวเกาะ ยังมีผูกพัน ยังมีอาลัยอาวรณ์ ยังมีรสมีชาติ เป็นอัสสาทะอยู่หรือไม่ ถ้าไม่แล้วก็เออ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 43 คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 14:02:05 )

รู้ความเป็นสองได้ละเอียดบางเบาเท่าไหร่ก็คือผู้มีภูมิสูงขึ้นๆ

รายละเอียด

มันมีทั้ง 2 อย่าง เมื่อกี้พูดผ่านไปหน่อยนึงแล้วว่าความเป็นจริงที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะมี 2 อย่างให้เราเรียนรู้และอาศัยไปตลอด แต่สิ่งที่จบ สิ่งที่ตัดสิน สิ่งที่เป็นหนึ่ง เราจะมีความรู้และทำได้ เราก็อาศัยไป เพราะมันต้องมี 2 ตลอดเวลาที่เรายังมีชีวิต กับสิ่งที่เราอาศัย ตั้งแต่ มหาภูตรูป ไปจนกระทั่งถึงนามธรรมทั้งหมด เราต้องอาศัย จนกว่าเราจะตายอย่าง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายอย่างหมดเลย จิตนิยามของเรา แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไป มันก็หมดความรับรู้ เมื่อนั้นน่ะ 0 สนิท ตอนนี้มีความ 0 โดยอาศัย 

0 คือ กิเลสมันดับสนิท ไม่มีเศษไม่มีส่วนนั่นเป็นเป้าหมายหลัก อาการของกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งเป็นผงคลีธุลีละออง ขั้นอรูปอย่างไร ที่จะมี อาการ ลิงค นิมิต  ให้เราศึกษาได้ อาการมันมีอย่างนี้ แล้วก็จับเครื่องหมายของอาการได้เรียกว่านิมิต มันเป็นนามธรรมที่ละเอียดบางเบาเรียกว่า ลหุตา มากที่สุดแล้ว คนไหนที่มีภูมิธรรมสามารถ จับลหุตา หรือเบาบางนั้นได้ สูงสุดก็คือคนนั้นแหละ ใครจะไม่มีเก่งเท่าที่ตนเองรับรู้ได้ ตนเองมีภูมิธรรมรับรู้ได้เท่านี้ก็เท่านี้ รู้ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ฝึกฝนเรียนรู้นามธรรมจนละเอียดบางเบาไปได้มากเท่าไหร่ และได้มากอย่างเป็น อนุปคัมมะ หรือเป็น อภิภู ไปเรื่อยๆ เป็นผู้ที่รู้เองเป็นเองของตนเอง คนอื่นๆก็ไม่รู้กับเรา แต่ความละเอียดลออพวกนี้พูดกับคนอื่นยากแล้ว นอกจากคนที่มีภูมิใกล้กันก็พูดกันรู้เรื่องหรือพูดกับคนที่มีภูมิสูงกว่าก็จะรู้ได้ดี 

สรุปแล้ว เราต้องนึกถึงลมหายใจเข้าออก ว่า มันตายมันไม่เข้ามันไม่ออกมันก็ตาย ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ 2 อย่าง เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ 2 ใน 1, 1 ใน 2 กับ 0 อันนี้เป็นจุดจบแล้ว และ อาตมาสรุปว่า ถ้าเข้าใจอัตราส่วนของคำว่า 0 แล้วก็ 1ใน 2, 2 ใน 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 อาตมาบอกแล้วตรงนี้เป็นหัวใจของศาสนาพุทธในด้านนามธรรมที่ผู้ปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติให้ตนเข้าถึงตรงนี้ ทำตรงนี้ให้ได้สมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่หัวใจศาสนาอริยสัจ อันนั้น 

อริยสัจ 4 เป็นหัวใจศาสนาโครงสร้างใหญ่ แต่ผู้มาเรียนรู้แล้วต้องปฏิบัติเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา เวทนา 108 แล้วทำเวทนา 2 จากมากมายตัดออกตัดออกจนเหลือ 2 แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ นี่แหละคือฐานอาศัย ผู้ที่ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็จะทำ 1 กับ 0 ทำ 1 ให้เป็น 0 ซึ่ง 0 กับ 1 ก็เป็น 2 ใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถทำ 2 ลดลงให้เป็น 1 ได้ มันก็จะสามารถทำให้ 1 เป็น 0 ได้ มันเป็นความบางเบาและหมดสิ้นไป แต่มันยังไม่สิ้นเพราะเรายังมีธาตุรู้ ยังมีชีวะอยู่ ยังไม่ได้ดับสิ้นชีวะ ยังไม่ได้ดับวิญญาณ ยังไม่แตกแยกวิญญาณหรือจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย มันก็ยังมีเรา ยังมีตัวรู้สึก ยังมีตัวรับรู้ ก็รู้ตัวจบที่สุดสภาวะหรืออาการที่สูงสุด จบ

เพราะฉะนั้นต้องรู้ได้ด้วยตน อันนี้อย่างที่ท่านผู้รู้ท่านบอกด้วยภาษาว่าสภาวะอย่างนี้ตรงกัน ใครที่มีภาวะนั้นก็จะรู้เอง นะ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2566 ( 14:18:08 )

รู้ความเหมาะควรอยู่กับสภาอยู่กับบัณฑิต

รายละเอียด

ใช่ ทรงจำ ก็คือเหมือนพวกที่รู้ พระไตรปิฎกสอนอยู่ก็มาก ท่องจำอยู่ได้ก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรม ไม่เข้าถึงธรรม ไม่มีภูมิธรรมที่สัมมาทิฏฐิที่จะบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น เรียกว่า learned man หรือผู้คงแก่เรียน ก็จริง พวกเทวนิยมไม่รู้จักพหูสูตแท้จริงหรอกเขาเลยแปลพหูสูตว่า learned man คิดถึงพหูสูตคือผู้ที่เจริญงอกงามไปตามลำดับจากการเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามีปัญญา เจริญจริง มีความรู้ที่เรียกว่าปัญญาของพระพุทธเจ้า จากความสงบ 2 อย่างแล้วมาปฏิบัติต่อคือมีศีล จากศีลจึงจะมีพหูสูต จากพหูสูตก็ยิ่งเจริญขึ้นมากๆก็ยิ่งจะมีวิริยะ วิริยารัมภะ เจริญมากขึ้นเรื่อยๆจนมนุษย์สมบูรณ์แบบเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รู้ เป็นบัณฑิต แล้วก็รู้ความเหมาะควรอยู่กับสภาอยู่กับบัณฑิตไป ก็เจริญบริบูรณ์สูงสุดเป็นปัญญาข้อที่ 8 ได้ ซึ่งมันจะเป็นสภาวะอาตมาไม่ต้องทำอะไรมากมายไล่เรียงสภาวะมา แล้วเอาภาษามาใช้มาประกอบมันก็เรียงลำดับมาได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:29:52 )

รู้ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี ความมีในโลกย่อมไม่มี 

รายละเอียด

จนกระทั่งมาปฏิบัติเรียนรู้ ว่าอ๋อ สุขเป็นอย่างนี้ทุกข์เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่เข้าข้างสุขไม่เข้าข้างทุกข์ เพราะสุขกับทุกข์มันเป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน ต้องไม่มีมันทั้งสองเลย นี่ ของพระพุทธเจ้า ไม่มีมันทั้งสองเลย นี่ ยิ่งใหญ่ที่สุด จบ จบด้วยสูตรที่เมื่อกี้นี้ พูดถึงพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ความมีกับความไม่มี แล้วก็อยู่กับความมีกับความไม่มี เมื่อคุณยังมีคือคุณยังมีชีวิต คุณยังไม่เป็นดินน้ำไฟลม คุณก็มีธาตุรู้ที่จะรู้ความมี 

เพราะฉะนั้นในพยัญชนะของพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 จึงเป็นผู้ที่รู้จักความไม่มี ในความไม่มี ว่า เป็นความไม่มี ก็มันจะยากอะไร ความไม่มีในความไม่มี ก็คือความไม่มี จะไปยากอะไร แต่บอกว่า รู้ความมี ในความไม่มี คือความไม่มี รู้ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี ความมีในโลกย่อมไม่มี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ธันวาคม 2564 ( 20:56:06 )

รู้ความไม่เท่ากัน ความแตกต่างกัน

รายละเอียด

การเข้าใจและการทำจิตใจเราอย่างเข้าใจเหตุผลเข้าใจเหตุปัจจัย เข้าใจว่าสิ่งที่มันต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วสรุปรวมค่าแล้วจิตเราสบายจิตเราสงบ แต่เรารู้ว่าอันนี้คืออันนี้ อันนี้เทียบอันนี้เป็นอย่างนี้อย่างนี้มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา เราก็ไม่ไปเที่ยวไม่ชอบอันนี้หรือชอบอันนี้ ชอบอันนี้มากกว่าอันนี้ เป็นเชิงทะเลาะกันในจิตเราเอง เราไม่มีจิตทะเลาะกันเอง แต่เรารู้ความไม่เท่ากัน ความแตกต่างกัน แต่มีความเสมอสมานกันอยู่ ใช้ได้นะ นี่แหละคือการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าและจิตใจของเราจะไม่เดือดร้อน เพราะทุกอย่างมันต้องมีธรรมชาติของความแตกต่างกัน ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี อยู่กันอย่างเป็นไปได้ มีประโยชน์คุณค่า 

ซึ่งเราจะไปห้ามหรือไปบังคับจิตใจ ไปบังคับคนให้มามีอย่างที่เราต้องการ มันเป็นไปได้ที่ไหนล่ะ เป็นไปไม่ได้ ทำใจอย่างนี้ก็ถือว่าก็จบแล้วนะ ทำใจอย่างนี้ได้ อาตมาว่าจบแล้ว ใช้ได้แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 12:42:03 )

รู้คือรู้โลก รู้อัตตาครบ  

รายละเอียด

แต่ไอสไตน์รู้ Space and Time มันก็เลยไม่เป็นวิญญาณ แต่ของพระพุทธเจ้านั้น Karma and Time กรรมกับกาละ ไม่ใช่ God and Time  God คือยังมีภาวะไม่ใช่นามธรรมเต็มที่ ยังเป็นความลึกลับ จริงๆแล้วหมายความว่า เป็นธาตุไม่รู้ God คือธาตุ อวิชชาธาตุ ธาตุที่ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ความจริง ไม่รู้โลก ไม่รู้ดวงดาว ไม่รู้เอกภพ ไม่รู้ ถ้ารู้ก็คือรู้โลก รู้อัตตาครบ อย่างที่พระพุทธเจ้า  แม้แต่อาตมาก็รู้โลก รู้อัตตาครบแล้ว จะสูญสลายไปจากโลกจะสูญสลายไปจากอัตตาได้แล้ว ไม่กลับกลาย มาเป็นธาตุรู้อีกแล้วเป็นดินน้ำไฟลมไปมันก็สูญหายไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:19:22 )

รู้จบเป็นรอบๆ อย่างไร

รายละเอียด

มันเป็นอาการที่รู้จบ รู้จบนี่ก็ไม่ใช้ว่ารู้จบทีเดียวรอบเดียวนะ โอ้โห มันก็เป็นรอบๆๆ เพราะฉะนั้นคนเรา มันเคยคิดเคยพิจารณา เคยพยายามจะรู้ให้ได้อยู่ในรอบอะไรก็แล้วแต่ ทำไมไม่ลงตัวข้องขัด พอรู้ได้ อ๋อก็จะเกิดความทะลุทะลวงก็จะอุทานว่าจะมีอะไรให้เรารู้อีก ประเดี๋ยวก็จะรู้ว่ามีอีกเพราะมีเหตุปัจจัยในรอบต่างๆมีอีกให้รู้

เช่นเดียวกับอรหันต์แล้วจะมาศึกษาโพธิสัตว์เช่นเดียวกับอาตมา ก็จะต้องเรียนรู้สิ่งที่ตัวเราเองไม่เคยเป็น ต้องเรียนรู้เพิ่ม ส่วนที่ตัวเราเองเป็นมาแล้วอรหันต์เคยเป็นมารู้จบแล้ว อรหันต์ก็จบในตัวเอง โพธิสัตว์จึงคือผู้เรียนรู้ผู้อื่น ช่วยผู้อื่น ส่วนคนที่เหมือนตัวเรา เราช่วยได้แน่นอน แต่คนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเรา เราไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร โพธิสัตว์จึงต้องมาเรียนรู้ผู้อื่น ประโยชน์ตนหมดแล้วเหลือแต่ประโยชน์ท่าน เราจะรู้ผู้อื่นจนกระทั่ง คนอื่นที่เขาว่ารู้กว่าเราเขารู้บัญญัติมากกว่าเราแต่เขาไม่มีสภาวะเท่าเรา

พระพุทธเจ้าอุบัติมาในโลกไม่ใช่รู้ทุกอย่างทันที แต่ค่อยๆรู้ตามลำดับมาเรื่อยๆ ของเก่าที่รู้มาแล้วก็ค่อยตามมาเรื่อยๆ แม้แต่อาตมาก็ตาม เอาแต่ของเก่าที่อาตมารู้ พันเป็นเอนก โพธิสัตว์คือผู้มีลูกจำนวนพันเป็นเอนก ก็มาสอนลูกที่แตกต่าง พันเป็นเอนกก็จะได้ช่วยเขาไปเรื่อยๆ จนหลายพันเป็นเอนกๆ ก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากไปเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ทำไมคนเราต้องปฏิบัติธรรม วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม  2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:26:39 )

รู้จริง

รายละเอียด

สิ่งนั้น-ภาวะนั้นใคร ๆ ก็สามารถสัญญา (กำหนดรู้) สิ่งนั้น-ภาวะนั้นได้ โดยมีสัญญาพาให้เกิดปัญญา

หนังสืออ้างอิง

จากค้าบุญคือบาป หน้า 113


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:46:21 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 15:18:19 )

รู้จัก

รายละเอียด

สัมผัสสิ่งนั้นจริง สัมผัสอยู่หลัด ๆ โต้ง

หนังสืออ้างอิง

จากค้าบุญคือบาป หน้า 133


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:44:10 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 10:39:32 )

รู้จัก ความดับที่ดับอย่างสนิท 

รายละเอียด

อาตมาพูดแล้วก็อธิบาย เทวะ คือความเป็น 2 แล้วจับตัวเข้า เป็นความวน 

ความวนนี้ เรียกด้วยภาษาที่อาตมาเรียกว่าเป็นโลก ถ้าเป็นนามธรรม มันจะเป็นลูก นี่ลูกหิน คือความวนจนกระทั่งตีกรอบของตัวเองแล้วดูดเอามวลไว้ตรงนี้ ก็เลยกลายเป็นก้อนหินที่ static ที่จริงในตัวนี้มันเคลื่อนอยู่นะ มันไม่ได้อยู่กันอย่างจับตัว มันพยายามจับตัวนะ แต่มันจะสลายในอนาคต แต่ไม่รู้อีกกี่ล้านปี ใช่มันมีพลัง อยะหรืออัยยะ อยู่ 

คนเราจะรู้การไป การไปนี่คือ อยะ ที่เป็นกิริยาของการไป มันก็ไปอย่างไม่มีที่จบ มันนานเหลือเกิน เพราะฉะนั้นจงรู้ความวนในลูกศรกลับมาสู่ที่ 0 จนจบไม่มีทางไป ไม่ต้องไปรู้จักความเกิดความดับ แล้วรู้จักความดับที่ดับอย่างสนิท ดับอะไรดับสนิท ดับจิตนิยาม พระอรหันต์จะรู้จัก ธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชะ จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม 

เพราะฉะนั้น ในตัวเองเป็นจิตนิยาม คนทุกคนตั้งแต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้จักว่าพระเจ้าคือพระจิตวิญญาณใหญ่ เป็นแกน ของผู้สร้างทุกอย่าง แต่เขาไม่รู้จักความจริงของพระเจ้า พระเจ้านั้นคือผู้ที่มีตัวเอง แต่ไม่รู้ตัวเอง นั่นคือพระศาสดาของเทวนิยม ของสายศรัทธา มีตัวเอง แต่ไม่รู้จักตัวเอง แล้วหลงว่า ตัวเองนี้มีนิรันดร์ 

นิรันดร์คำนี้คือ เทวะ เทวะคำนี้ หลงสนิทมากคือ สุข เพราะฉะนั้น เทวะ พระเจ้านี้คือสุขนิยม สุขะนิยม ยึดสุขเที่ยง นิยมสุขไม่ถอดถอนนิรันดร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 14:05:11 )

รู้จัก รู้จริง รู้จบ

รายละเอียด

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือให้คนเข้าใจตนเอง ให้ลดลดการถูกหลอกไปตามกิเลส เข้าใจถึงปัจจัย 4 ที่จำเป็นของชีวิตเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นสิ่งที่พออาศัยได้บ้างเพื่อสร้างประโยชน์ นอกนั้นก็ปรุงแต่งเฟ้อเกินมาหลอกกันนับไม่ถ้วนเลย มันจบไม่ได้ถ้าอาตมาไม่มาสอนสัจจะอันนี้ 

อาตมาจึงเสียดายมาก ประเทศไทยมีธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศไหน ประเด็นจบด็อกเตอร์เศรษฐศาสตร์จากประเทศไหนก็ไม่สู้ของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งกว่าอภิมหาด็อกเตอร์ ทางเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม มาศึกษาให้ดีๆ 

ใครจะว่าอาตมาหลงใหลวิชาการของพระพุทธเจ้าก็ตามใจ อาตมาก็ไม่ว่าอะไรหรือเห็นว่า อาตมาเป็นหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่เคยไปเรียนต่างประเทศอยู่ในกะลาครอบ หลงใหลกะลาตัวเองว่าดียอด คนอื่นเขารู้อะไรกว้างขวางเยอะแยะ เราก็ไม่เถียง อาตมาเป็นคนโง่เป็นคนไม่ค่อยรู้มากหรอก แต่อาตมารู้จบ อาตมาไม่รู้มากหรอก อาตมารู้จักรู้จริงรู้จบ อาตมาเชื่ออย่างนั้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 14:07:16 )

รู้จักกรอบ รู้จักขนาดที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ทำให้ลงตัว

รายละเอียด

นี่คือความรู้ของมนุษย์ นี่คือความสำเร็จ ความรู้ของมนุษย์ ความสำเร็จที่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมโลกเขา แล้วเราเป็นตัวประโยชน์ เป็นอายะ พหุชนหิตายะ เป็นคนมีประโยชน์ที่แท้จริง พหุชนะคือมวลประชาชน คือมี อธิปไตย 3 แล้วก็มี อายะ 3

อธิปไตยก็คือมวลประชาชน ประชาธิปไตยคืออธิปไตย 3 แล้วประชาชน พหุชนะ มวลประชาชน มีประโยชน์คุณค่าที่อาศัย ประโยชน์คุณค่าที่ทำให้คนสุขสงบ หิตะประโยชน์ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ประโยชน์ที่จะกระจายไปทั้งโลก โลกานุกัมปายะ ชาวอโศกทำสำเร็จแล้ว นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ นี่คือพุทธศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์ของศาสดาเทวนิยม นี่เป็นศาสตร์ของศาสดาพระพุทธเจ้า เป็นอเทวนิยม  ครบทั้งรัฐศาสตร์ ครบทั้งเศรษฐศาสตร์ จบกิจทั้งรัฐศาสตร์ จบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์ 

ที่อาตมาพูดไม่ได้ขี้ตู่นะ คุณมาตรวจสอบวิจัยเอาได้เลยนะว่านักศึกษาจะมาทำวิจัยชาวอโศกนี้ ในเรื่องเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ ต่อไปจะมีเพิ่มขึ้นๆๆ ซึ่งมันไม่มีในตำราของเทวนิยม ไม่มีในตำราของทางตะวันตก ยุโรปอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งตะวันออกกลางแล้วยิ่งไม่รู้เรื่องเลย มันมีในตะวันออกและอยู่ในประเทศไทยนี้สำคัญที่สุด สูงที่สุดสวยที่สุด ถึงขั้นจบกิจ 

อาตมาพูดอธิบายนี้มันก็ขยายด้วย แล้วก็สรุปด้วย เพราะเราเข้าใจกายที่เกี่ยวข้องภาวะ 2 แล้วเราทำจิตของเราให้จบกิจได้ กายมีภาวะ 2 ก็รู้จักกรอบ รู้จักขนาดที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ทำให้มันลงตัวทำให้มันได้พอเหมาะพอสม ปโหติ เป็นกรอบๆ ตามที่เราเกี่ยวข้องตามแต่ละองค์ประกอบทุกองค์ประกอบ 

คนที่เก่งขึ้นก็ทำให้เกิดองค์ประกอบได้กว้างขึ้น อย่างอาตมานี่เก่งพอสมควร ทำให้พวกเราเกิดเศรษฐกิจ หรือการเมืองรัฐกิจ บริหารกัน มีอะไรก็แบ่งแจกกัน เอามาเกื้อกูลช่วยเหลือกันกินใช้ร่วมกันเป็นเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ขยายออกไป มีในแวดวงของพวกเราที่เป็นสมาชิกอุดมสมบูรณ์แล้วก็เผื่อแผ่ออกไปแก่คนที่ไม่ใช่สมาชิก มีไหม เราเผื่อแผ่ออกไปเกินกว่าพวกที่ไม่ใช่สมาชิกชาวอโศกมีไหม.. มี 

มันก็สำเร็จแล้ว พวกเราพึ่งตัวเองรอดมีเหลือ แล้วเกื้อกูลผู้อื่นได้ ก็เป็นคนในโลกที่มีเศรษฐศาสตร์หรือมีเศรษฐกิจจบกิจแล้วไง ไม่ได้เป็นภาระรัฐบาล ไม่ได้เป็นภาระสังคม ไม่ได้เป็นภาระแก่ใครๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆแห่งพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:37:44 )

รู้จักกรอบและฐานะของตนอย่างไร

รายละเอียด

พูดแล้วก็น่าสงสารอย่างเดียว เห็นเขายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏของเขาที่เป็น ไม่งอกเงยไม่เจริญขึ้นเลย มีแต่จมกับจมลงไป ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงเขา ที่จะพอช่วยได้ก็พูดถึงเขามากหน่อย พวกเราก็มาเร่งรัดพัฒนาเรียนรู้ พวกเราก็ดีใส่ใจเรียนกัน ตั้งใจศึกษาลึกซึ้งกันไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญก็ต้องรู้จักกรอบ อันนี้พูดหลายทีแล้ว 

รู้จักกรอบฐานะของตน ว่าเรามีอะไรที่จะจัดการ กิเลสที่เราจะจัดการ ที่มันมีอยู่มันเล่นงานเราบ่อยตัวนั้นแหละ 1. มันเล่นงานอยู่บ่อย, 2. มันเล่นงานอยู่หนัก หนักสู้มันไม่ค่อยได้ ตัวนี้หนักเราก็ควรพิจารณามัน เพื่อนเขาไม่มีแล้ว เราเป็นอยู่คนเดียวได้อย่างไร น่าอายขายขี้หน้า หมู่เพื่อนเราก็ออกได้จนหมดแล้ว เรามีอยู่คนเดียวทำไมเราเซ่อโง่ เพื่อนฝูงเขาเห็นหมดแล้วเขาเลิกได้หมดแล้ว มีเราอยู่นี่หลงเป็นแกะดำหลุดในฝูง เขาขาวกันแล้วเราดำอยู่ตัวเดียว ว้า ก็ต้องรู้ตัวแล้วรีบจัดการ ยิ่งใครเขาบอก เราก็ต้องฟังต้องรู้ตัวให้ทัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 14:27:36 )

รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

การแยกกายแยกจิตนี่ล่ะ พระพุทธเจ้าถึงได้สอนเป็นลำดับ

ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็ดี ข้อที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรมก็ดี 

ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็คือ สักกายทิฏฐิ คุณจะต้องทำความเห็นความเข้าใจความรู้ของคุณให้รู้จัก กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ต้องรู้กายนี้ กายนี้มันเป็นจิต ในตนนี้แหละ สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ในตนให้ได้ กาย ของตนเป็นอย่างนี้ พ้นทิฏฐิ คือ พ้นจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:35:10 )

รู้จักการเกิดของจิต

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อุปปัติเทพคือเทพที่รู้จักการเกิดของจิต โอปปาติกะโยนิ อุปปัติเทพ จิตเรามีกิเลสและเราก็รู้จักกิเลส จนกระทั่งสามารถเห็นชัดเจนว่ากิเลสนี้น่าละอาย กิเลสนี้น่ากลัว หิริโอตตัปปะ ศรัทธา ปัญญาเจริญเข้าที่เลย ก็ลดละ ลดละมา พยายามพากเพียรแม้จะเห็นว่ากิเลสมันยังยึด ยังติด มันยังมีอาลัยอาวรณ์ ก็ลดลงๆ จนกระทั่งจิตของคุณเป็นกลาง

 อย่างอาตมานี้ พยายามดึงความอร่อยขึ้นมา กินอาหารก็พยายามบอกปรุงมาเลยสุดฝีมือ ละเว้นเผ็ดอย่างเดียว เขาก็พยายาม เอ๊..ทำไมปรุงรสมายังไม่เห็นอร่อยสักที ใครจะปรุงรสอาหาร อร่อยๆให้อาตมาลองดูเลยจะให้รางวัล อย่างว่าล่ะปรุงมา อย่างว่าล่ะเดี๋ยวจะโดนเซ็นเซอร์ ก็เลยไม่ค่อยได้กินที่ปรุงมา ลองดู อย่าให้มันเป็นพิษเป็นภัยมาให้อาตมาฉัน ระวังเครื่องปรุงแต่งข้างนอก อาตมาว่าเดี๋ยวอาตมาจะภูมิคุ้มกันแย่พอดี ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มันก็ไม่มีปัญหาหรอก มันก็มีธาตุสารอาหารที่สมบูรณ์แบบตามโภชนาการก็ใช้ได้ มันก็ใช้ได้ทุกอย่าง มันมีหมดแหละจะว่าไปแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 20:45:41 )

รู้จักกิเลสในอุปธิ 3

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น คุณจะต้องรู้จักกิเลส 

ในอุปธิ 3 คือ 1. กิเลส, 2. ขันธ์, 3. อภิสังขาร ในคุหัฏฐสุตตนิทเทส ในอุปธิวิเวก ล. 29

1. กิเลส หากคุณไม่รู้จักกิเลสก็ปิดประตูเลย จะต้องรู้จักหน้าตาของกิเลสแน่นอน 

2. คุณจะต้องรู้จัก รูปขันธ์ นามขันธ์ รูป  1 นามอีก 4 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ คู่กันกับนามเสมอ นามคือธาตุรู้ ท่านแยกจากขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ​ ท่านแยกไปเรียนรู้โดยมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แยกเป็น นาม 5 

เรียนหาเข้าเป้าตรงเวทนา สัญญา เป็นตัวปฏิกิริยา เป็นตัวปฏิบัติการ เป็นตัวหน้าที่ เป็นตัวทำงาน ให้รู้เวทนา รู้เจตนา เจตนามีกาม ก็ล้างกามออก หมดกามเหลือรูป ก็ล้างรูป เหลืออรูป ก็ล้างอรูป 

เจตนาเข้าไปล้างกามตัณหา. หมดกามตัณหาเหลือ รูป ก็ล้างรูป เหลือรูป ก็ล้างอรูป หมดกามตัณหายังเหลือเศษ วิภวตัณหา

เมื่อภายนอกมากระทบทางตา กระทบภายนอก กายหรือกามภายนอกหมดฤทธิ์ของกิเลสกาม ของกิเลสภายนอก กระทบสัมผัสภายนอกอย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกาย กระแทกกระทบกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว คุณก็ต้องยืนยันของคุณว่าไม่มีกระเทือน อาเนญชา ไม่หวั่นไหวไม่กระดิกเลย อาเนญชามากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น เพราะคุณได้สะสม อปุญญาภิสังขาร เป็นอภิสังขารตัวที่ 3 ของ อุปธิ กิเลส ขันธ์ อภิสังขาร อภิสังขารคือการปรุงแต่งอย่างยิ่ง การจัดการอย่างยิ่ง การทำใจในใจอย่างยิ่ง ให้กิเลสมันดับสูญหายสนิทตายไปไม่เหลือไม่มาอีกเลย ไกลแสนไกล กิเลสหายไปไกลแสนไกลจริงๆเลย นั่นคือตัวเหตุแท้ นั่นคือตัวที่จะจัดการอย่างสำคัญ 

เมื่อทำได้ภายนอกแล้ว ก็เหลือภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ นั่นคือเข้าหาจิต ที่จะสงบคุณก็จะต้องหมด โอรัมภาคิยสังโยชน์ หมดสังโยชน์ 5

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 11:35:06 )

รู้จักความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ยอมรับ 

รายละเอียด

อาตมาเห็นว่า มันเป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง คือทางตะวันออกกลางเป็นประเทศที่รวยจริงๆ เป็นเรื่องอจินไตยของเขา เขารวย จะว่าเราไม่สยบต่อความรวยก็ตาม แต่จะไปขัดแย้งเป็นเรื่องเป็นราวไปทำไม ไปเป็นมิตรกันดีกว่า 

เพราะฉะนั้นประยุทธ์ไปประสานมิตรทางนี้ เยี่ยมยอดเลย เราเป็นผู้น้อยนะ เป็นคนจนนะ ตะวันออกกลางซาอุฯเขาใหญ่เขารวยนะ เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงนี้เป็น status quo ให้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็บ้าๆบอๆ ไม่รู้จักความจริงตามความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่มันก็ไม่ถูกเรื่องตามกาละเทศะฐานะ เขาเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องยอมรับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 20:32:56 )

รู้จักความตายที่เรียกว่านิพพาน

รายละเอียด

คุณจะต้องรู้จักความตายที่ว่านี้ ที่เรียกว่านิพพานหรือนิโรธ ความดับ อีกศัพท์หนึ่ง ที่เป็นซินโนนีมหรือเป็นไวพจน์ก็คือความดับ ดับอะไร ก็ดับกิเลส ดับกิเลสตาย เมื่อกิเลสดับ จิตจึงเกิด คุณก็ต้องอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน อ่าน อภิธรรมพวกนี้ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:00:44 )

รู้จักความเป็นสัตว์

รายละเอียด

ยังพูดไม่ถึงครึ่งเลยในงานนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นข้อ 1 และ 2 สติปัฏฐาน 4 กำลังพูดถึงสัตตาวาส 9 ข้ออื่นก็ยังไม่ได้พูดเลย 

แม้คำว่ากายคำเดียว ถ้ายังมิจฉาทิฏฐิ แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร มันไม่ได้ มันต้องเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิถึงจะเป็นอรหันต์ได้ 

ขอไล่ ไปทั้ง 9 ข้อก่อน

ข้อที่ 1 พ้นสักกายทิฏฐิ 

ข้อที่ 2 ก็เข้าใจแยกธรรมนิยาม 5 

ข้อที่ 3 ก็มาเรียนรู้สติปัฏฐาน 4 มันก็จะมี กาย เวทนา จิต ธรรม 

กายก็มี 2 ก็มีอีกเยอะ จะไล่ไป คำว่ากาย ยังไม่ได้ลงละเอียดนะ 

เมื่อคุณทำสติปัฏฐาน 4 เข้าใจชัดว่ากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอย่างไร ด้วยการกระทำด้วยกรรมของคุณ โดยคุณจะต้องจัดการของคุณเอง แล้วก็สะสมใส่เซฟไว้เรียกว่า ธรรมะ ใส่คลังธรรมะไว้ แล้วคุณก็จะได้เต็มคลัง เต็มสมบูรณ์ไปตามรอบๆ 

เพราะฉะนั้นคุณก็จะรู้จักความเป็นสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ที่ 1 2 3 4 สัตว์ในสัตตาวาส 1 2 3 4 โลกียะ เขามิจฉาทิฏฐิจะไม่สามารถรู้จักโลกุตระ ไม่รู้ตรงไหน ไม่รู้ตรงที่ว่าเขาไม่รู้จักสัญญา ว่ามันคืออะไร อย่างสมบูรณ์แบบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 10:18:26 )

รู้จักจบได้เมื่อไหร่

รายละเอียด

นัยยะสำคัญที่อาตมาอธิบาย เป็นเรื่องที่ ถ้าปุญญะ ไม่รู้จบ วนอยู่นั่นแหละ มันก็วน แล้วเมื่อไหร่มันจะรู้จักจบ รู้จักหยุด รู้จัก 0 รู้จัก 1 และเป็น 1 ไม่มี 2 และ 1 ไม่มี 2 เป็น 0 เลย แม้จะมี 2 ก็มีรู้กับ 0 เท่านั้น 1 เป็นตัวอาศัย 0 ถ้าจะ 2 คุณก็นับเป็น 1 กับ 0 ไม่มีขึ้นมาเป็น 2 แล้ว ใช้สังขยาเลขมาอธิบาย สามเส้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 08:08:27 )

รู้จักชาติของกิเลสได้อย่างไร

รายละเอียด

ผู้ใดมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ผู้สอนแนะนำพยายามอ่านสังขาร ตั้งแต่หยาบภายนอก เรียกว่ากายสังขาร วจีสังขาร ก็เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่มันหยาบจับได้ง่ายก็ให้รู้ว่ามันปรุงแต่งอย่างไร จนกระทั่งมันไปยึดถือเป็นโลกีย์ตามโลกไป ความทุกข์ความสุขเกิดความเจริญความเสื่อมไป ก็พยายามอ่านสภาพปรุงแต่ง จนกระทั่งมารู้ว่าเหตุที่มันปรุงแต่งอยู่อย่างนี้ มันก็คือชาติของกิเลสเกิดเข้ามาร่วม ปรุงแต่งอยู่ในสังขาร กิเลสเกิดนั่นแหละจับอาการของกิเลสได้ กิเลสตัวตระกูลใหญ่ๆก็มี ราคะ โทสะ อย่างนี้เป็นต้น สราค สโทสะ เป็นสภาวะใหญ่ 2 ชนิด ผลักกับดูด จับอาการได้ก็ลดมัน อย่าให้มันเกิดชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 21:04:56 )

รู้จักบุญแล้วก็มารู้จักชาติภพที่มิใช่คลอดออกมาตัวเป็นๆ!

รายละเอียด

รู้จักบุญแล้วก็มารู้จักชาติภพที่มิใช่คลอดออกมาตัวเป็นๆ!

นอกจาก“บุญ”แล้ว ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“ชาติ”และความเป็น“ภพ”อีก“ชาติ”และ“ภพ”ในที่นี้คือ “การเกิดของจิตใจ” 

เราหมายเอาเฉพาะที่มิใช่“การเกิดของสัตว์ซึ่งประกอบไปด้วย ดินน้ำไฟลมที่ก่อตัวในมดลูก”(ชลาพุชโยนิ) ไม่ใช่“การเกิดของสัตว์ที่เกิดเป็นไข่ก่อนแล้วค่อยเกิดเป็นตัวอีกที”(อัณฑชโยนิ) มิใช่“การเกิดของสัตว์เล็กที่ตัวเองแตกตัวเกิดได้เลยแบบจุลินทรีย์”(สังเสทชโยนิ) 

แต่คือ “โอปปาติกโยนิ” การเกิดของ“สัตว์ทางวิญญาณ” ที่ชื่อว่า “สัตว์โอปปาติกะ”“ชาติ“หรือ“การเกิด”ที่ว่านี้จึงหมายถึง“การเกิดของวิญญาณหรือจิต”โดยเฉพาะ เป็น“การเกิดที่ 4” นี่เป็น 1 ใน 4 แห่ง“การเกิด”

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 84 หน้า 94


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 18:55:17 )

รู้จักประมาณให้พอเหมาะ

รายละเอียด

ในมนุษย์มีหัวกับใจ นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ พยัญชนะก็บอกชัด ในคนมีสิ่งที่สำคัญคือหัวกับใจ ก็เรียกรวมกันว่าเป็นหัวใจ จริงๆ แล้ว หัวและสมอง ไม่ได้เป็นใจ มันเป็นอุปกรณ์ของใจใช้ ของธาตุวิญญาณใช้ 

ไทยไม่ได้หวือหวา ที่จริงอินเดียก็ไม่ได้หวือหวาเพราะเขาสมถะ แต่เขาก็มีมวล มีพฤติการพฤติกรรม มีกิริยา มีบทบาท มีวัฒนธรรมอะไรก็แล้วแต่ แสดงให้เห็นได้ ทั่วโลกเห็นได้ว่าเขาสมถะ 

เขาทำแบบ เดียรถีย์ ไม่มีใครแข่งเขา เขาก็เจริญชนะทุกประเทศ ด้วยมวลเขาก็ตาม ด้วยคุณภาพเขาก็ไม่ใช่เบา ตะวันตกจะมาเอาความสงบต้องมาเอาที่อินเดีย เขายังไม่รู้หรอกว่าความสงบ 2 อย่าง อย่างที่สำคัญที่สุดคือของไทย ความสงบอย่างหนึ่งก็คืออย่างอินเดีย ความสงบอีกอย่างหนึ่งก็คือแบบไทย แบบโลกุตระ ของอินเดียเป็นความสงบแบบโลกียะ นี่คือความสงบ 2 อย่าง สมถะแบบนั่งหลับตาสะกดจิต แม้แต่ในเมืองไทย อาตมาก็ตี นั่งหลับตาสะกดจิตไปเข้าหาแบบอินเดีย แต่ของไทยนั้นแบบตื่น ชาคริยานุโยคะ ตื่นรู้ทวารทั้ง 5 ทั้ง 6 รู้การสัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้อง โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ว่าวัตถุ ไม่ว่าของกินของใช้ รู้เท่าทันหมด แล้วมันก็มีทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีทั้งปริมาณ จำนวน อยู่ในนั้นหมด รู้จักประมาณให้พอเหมาะพอดี มัตตัญญุตา ไม่ตะกละตะกลาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:36:01 )

รู้จักพักรู้จักเพียรให้พอดี 

รายละเอียด

ระวัง over time จะทำเกินทำมาก ประเดี๋ยวมันมากไปมันก็จะเกินขอบเขตต้องระมัดระวัง ทำตามพอดีๆ รู้จักพักรู้จักเพียรให้พอดี 

พวกเราที่รายงานผลหรือพูดถึงสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติประพฤติแล้วเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง พูดมาอธิบายมารายงานมาให้อาตมาอ่าน มันก็สะท้อนให้เห็นว่าอาตมาบรรยายธรรมะนี่นะ มีผล ทำให้พวกเรานี้เข้าใจ ว่าชีวิตมันจะดำเนินไปอย่างไร จะดีขึ้นอย่างไร ประเสริฐอย่างไร และก็พยายามทำไปเรื่อยๆ 

พฤติกรรมพฤติการณ์ที่พูดมาก็แสดงให้เห็นว่าเป็นความเจริญก้าวหน้า เป็นคนมีประโยชน์คุณค่า รู้จักเลิกรู้จักปล่อยวางสิ่งที่มันเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ก็เลิกไป อะไรที่มันดีกว่านั้น เอาเวลา แรงงานทุนรอนที่ได้คืนมาเอามาทำสิ่งเหล่านี้ อาตมามาเน้นให้พวกเราทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพราะฉะนั้นผลผลิตหรือผลที่เน้นขึ้นมา ที่เห็นเอามาโชว์ เอามาอวดมาอ้าง ดูสินี่เป็นผลไม้มาก จะมีไม้ที่เป็นใบแล้วก็กินใบอีกเยอะ เยอะกว่านี้ อันนี้ไม้ที่มันมีผลก็เอาผลมันมาเท่าที่ได้ ดูสินี่ ยาวไปมีหมด มะมี่ มะโม มะแตง บักอึ บักเงาะ บักกล้วย บักขาม ก็มีสารพัด มีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ อาหารเป็นหนึ่งในโลก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพรแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:13:39 )

รู้จักรู้แจ้ง

รายละเอียด

ก็รู้จักรู้แจ้งว่าอาการเป็นอย่างไร จิตของเราก็ไม่มีเชื้ออาการอารมณ์ของกาม แล้วก็มีความรู้ที่ลึกซึ้งรู้จักความเป็นอัตตา แล้วก็รู้ว่าความเป็นอัตตาในตัวเรามีอยู่ เพียงแต่ยังไม่ตายก็อาศัยอัตตาอยู่บ้าง สักแต่ว่าอัตตา ใช้อัตตาให้จิตวิญญาณไม่มีอัตตาไม่มีกาม อาศัยสอนคนอื่นให้ไม่มีกามไม่มีอัตตาได้ด้วย ได้แล้วก็เผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ง่ายเลยไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันเล่นๆ เป็นเรื่องสุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษก วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:04:31 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:52:58 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:12:05 )

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง

รายละเอียด

รู้จัก คือ มันสัมผัสทุกแง่มุมรู้จัก รู้แจ้งชัดเจน และเป็นจริงด้วย ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงที่จริง ไม่มีภาษาอื่นแล้วภาษาจริง

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:33:10 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:53:50 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:56:27 )

รู้จักสภาวะจึงเอาสภาวะเป็นหลักในการอธิบายธรรมะ

รายละเอียด

อาตมาอธิบายธรรมะต่างๆพวกนี้ เอาหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งบาลี แปลเป็นภาษาไทยอ้างอิงขยายความได้ โดยที่อาตมารู้จักสภาวะ เอาสภาวะเป็นหลัก ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ต้นจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ใช้สภาวะเป็นหลัก จนกระทั่งค่อยๆรู้จักบาลีก็เอามาเรียบเรียง จนไปถึงรากของภาษาบาลี เอามาใช้อีก จนรู้สึกว่ามากไป ก็เอาที่พอจะพูดกันรู้เรื่องก็พอแล้ว หลายคนก็รำคาญหู จะเอามาพูดทำไม ไล่ไปถึงสระ พยัญชนะอีก จนเกินก็จริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:56:09 )

รู้จักสาระของชีวิตเช่นชาวอโศก

รายละเอียด

ก็คนเราอย่างพวกคุณรู้จักสาระของชีวิต แล้วก็มาศึกษาเอาสาระในชีวิต หลายคนนะ มาอยู่ที่นี่แล้ว จะไปได้ตำแหน่งทางโลก จะไปได้ลาภทางโลกมากกว่านี้ สุดท้ายก็ไม่ได้แล้ว ไม่ได้อย่างที่ถ้าอยู่ทางโลกเขาคุณก็ต้องได้ ลาภได้ยศได้สรรเสริญแบบทางโลกได้แล้วจะไปหลงเสพสุขแบบทางโลกก็ได้ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว สรรเสริญก็ไม่มีนอกจากไม่มีแล้วถูกด่าอีกด้วย เขางงว่าทำไมให้โพธิรักษ์จูงจมูกได้ ไม่ได้สรรเสริญแต่ถูกด่าด้วย ยศก็ไม่ได้ ลาภก็ไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:18:06 )

รู้จักสาระของชีวิตในกถาวัตถุ 5

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่ฉลาด รู้ความจำเป็นของชีวิต แล้วสิ่งที่ไม่จำเป็นก็อย่าไปสะสม อย่าไปต้องมีต้องเป็น ฟังแล้วมันเหมือนกับสุดโต่งเกินไป แต่ไม่ใช่ความสุดโต่งหรอก เพราะทุกวันนี้คนเรามันสุดโต่งไปในทางฟุ่มเฟือย เป็นนายทุนสามานย์ ถ้าอย่างนั้นต่างหากมันฟุ้งเฟ้อกว่าคนที่มักน้อยสันโดษ คนที่รู้จักสาระของชีวิต แล้วก็รู้จักพอ 

เป็นคน กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ (กถาวัตถุ 5) คนชนิดนี้ต่างหากที่รู้ยาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564


เวลาบันทึก 12 พฤศจิกายน 2564 ( 21:10:50 )

รู้จักสาระที่แท้จริง

รายละเอียด

อาตมากำลังอธิบายเรื่องเงิน ตั๋วแลกเงิน ใบกระดาษชำระ ตอนนี้กำลังขยายความให้ฟัง คนมันโง่ไปเห็นกระดาษชำระเป็นพระเจ้า แย่งกันตีราคาค่าเงินของฉันจะราคาสูงต่างๆนานา แหม จะบ้าไปถึงไหน 

เมืองไทยขณะนี้เงินบาทกำลังสูงขึ้นๆ เพราะพฤติกรรมของคนไทยรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต ค่าเงินบาทมันจึงขึ้น เพราะเห็นค่ากระดาษชำระ มันไร้ค่า มันเป็นภาวะซับซ้อน คนที่เห็นค่าของกระดาษชำระหรือธนบัตร ไม่มีค่าที่เราจะต้องไปหลงใหล เรารู้จักสาระ ยกตัวอย่างเช่น อาวุธกับอาหาร สร้างอาหารแล้วก็ไม่ต้องไปสร้างอาวุธ ไม่ต้องสร้างเทคโนโลยีมาแข่ง อย่างในหลวง ร.9 ตรัสไว้แล้วว่า เราไม่เอาเจริญก้าวหน้าแบบโลกที่เขาเป็นอุตสาหกรรม  

เพราะฉะนั้นอาตมากำลังขยายความจริง ขยายพฤติกรรมของคนว่า คนที่เก่งแต่ภาษาพูดกับใช้เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อที่จะส่งเสริมคำพูดของเขาให้คนมาหลงเชื่อเท่านั้น กับการกระทำจริงๆ กระทำสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารให้แก่มนุษย์โลก อาศัยใช้สอยกินใช้ อันนี้มันต่างกันมากเลย ในหลวง ร.9 ลงไปส่งเสริมกสิกรรม ไปส่งเสริมคนปลูกคนทำมาก ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้นไปส่งเสริมในเรื่องของงานที่จะเป็นงานสาธารณูปโภคมาก ยังไม่ลงไปถึงกสิกรรมเหมือนในหลวง สำหรับพลเอกประยุทธ์ ถ้าพลเอกประยุทธ์ลงไปถึงกสิกรรมเหมือนในหลวงด้วยสุดยอดเลย จะสุดยอดกว่านี้เลย เพราะเข้าไปหาแก่นสารสาระเป็นหนึ่งในโลกคืออาหาร ยิ่งกว่าอาวุธ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 24 ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2566 ( 12:51:16 )

รู้จักสิ่ง 2

รายละเอียด

คนเหล่านี้รู้จักองค์ประกอบ รู้จักสิ่ง 2 คือกาย รู้จักจิต ที่ร่วมกันอยู่คือกาย วกกลับมาถึงกายต้องมี 2 อย่าง ต้องมีทั้งภายนอกภายใน มีแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่มีจิตวิญญาณเข้าไปเกี่ยวไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจผิดแค่นี้ก็เป็นโมฆะ​ หรือไปหลับตาไม่มีภายนอกเลยก็มิจฉาทิฏฐิอีก ผิด 

กายต้องมี 2 ข้างนอกข้างในร่วมกันอยู่เป็นอายตนะ ตลอดเวลาเสมอๆๆๆ แล้วก็วิจัยภาวะ 2 ใน 1 ภาวะ 1 ใน 2 อันนี้แหละ 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 

ตัวที่จะทำอย่างสำคัญจริงๆคือ เวทนา คือความรู้สึก เพราะฉะนั้นความรู้สึกนี้มันมีสุขมีทุกข์ นี่แหละคือโลกุตระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ว่าถ้ามนุษย์เราเรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องเวทนานี้ อันประกอบไปด้วยเรื่องกาย ประกอบไปด้วยอัตตา ที่เที่ยวไปวุ่นวายเกี่ยวก่อให้เป็นกาย แล้วเป็นข้างนอกออกไปเรื่อยๆ เรียกว่าโลก กว้างขึ้น โลกมันไปเกี่ยวไปผูกไปพัน น้อยๆแคบๆ ก็กว้างขึ้นกว้างขึ้นจนเลยออกนอกโลกไปเป็นเจ้าโลกเลย ข้าจะต้องมีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นผู้เผด็จการหมด 

เพราะฉะนั้นในความรู้ความเป็นของชาวเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจเทวนิยม ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายจึงมีแนวโน้มแนวเน้นแบบนี้หมด ไม่มีมาเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบาย แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังมีส่วนเชื้อที่จะเหลือไม่เข้าใจโลกุตระบ้าง แต่จะหมดแล้วถ้าอาตมาไม่ฟื้นขึ้นมานี้ หายไปเลยนะ

เพราะฉะนั้นเราจบกิจของเศรษฐศาสตร์ ดูแลกัน อภิบาลกัน เลี้ยงดูกัน เศรษฐศาสตร์ก็มีการสร้างทรัพย์ศฤงคาร สร้างที่อยู่อาศัย อาหารขึ้นมาได้ แล้วก็แบ่งแจกเกื้อกูลกันไป ชาวอโศกสำเร็จจบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์จบกิจทั้งรัฐศาสตร์ เพราะเข้าใจกายเข้าใจจิตอย่างสมบูรณ์แบบ กายคือการเกี่ยวข้องจิตคือตัวเรา ตัวเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราจะมีปัญญามีธาตุรู้ที่เข้าใจวิจัยอะไรออก มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์สมบูรณ์แบบ รู้ละเอียดลออจึงสามารถที่จะร่วมปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งสิ่งที่ควรปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยตาม กรอบ ของสังคมแต่ละกลุ่มแต่ละกลุ่มอย่างพอเหมาะ 

อย่างพวกเรานี้เหลือเฟือในเรื่องอาหารการกิน ถึงขั้นไปแจกเขาได้อยู่ ไปทำออกให้ข้างนอก ปลูกข้างถนนไปให้คนเขาได้เก็บกินเพราะเราอยู่ในของเรานี้กินเหลือเฟืออยู่แล้วส่งผลผลิตไปวางศาลาปันสุขก็ทำอยู่แล้ว ปลูกเข้าไปให้เก็บเอง เด็ดเอง มันขี้เกียจนัก มีคนมองว่าอย่างนี้ก็ทำให้คนเขาขี้เกียจสิ.. ก็ให้มันขี้เกียจไปสิ อยากจะโง่ไม่มีปฏิภาณทำไม บางคนเขาก็ทำ ทำไมเราทำเป็นเราก็ทำได้ทำไมเราไม่ทำ จะเสื่อม ทำอะไรกันนักกันหนา คนฉลาดจะได้คิด คนโง่ก็แล้วไปเถอะมันโง่ก็ต้องโง่ไปสิ แต่จะเอาเปรียบเอารัดมีกิเลสเห็นแก่ตัวกันไป จะไปรับผิดชอบเขาได้อย่างไร ไอ้คนมันโง่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:26:20 )

รู้จักหยุดรู้จักพอจึงเป็นคนมีวรรณะ 9

รายละเอียด

แล้วพวกเราศึกษาตามธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนป่านนี้แล้ว อาตมาเห็นผลสำเร็จของตนเอง ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายขยายให้พวกเราเรียนรู้  แล้วก็เรียนรู้มา จนกระทั่งรู้จักหยุดรู้จักพอ เป็นคนมีวรรณะ 9 สุดยอดเลย เป็นคนที่เลี้ยงง่าย ไม่เป็นภาระอะไรมากมาย เอื้อเฟื้อเจือจานกัน จะขี้เกียจอย่างไรก็ไม่เห็นพวกเราบ่น มันก็จบแล้วชีวิตจะเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ การเมือง รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์อะไร ก็จบหมดแล้ว สำเร็จ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ก็จบหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2564 ( 21:08:09 )

รู้จักอัตตา 3 ได้อย่างไร

รายละเอียด

ผู้ที่จะรู้ถึงอัตตาดีและปฏิบัติตนทำใจในใจของตนออกจากอัตตาได้นั้น คุณต้องพบมิตรดี สหายดี สิ่งแวดล้อมดีก่อน คุณต้องพบแสงอรุณ 7 ก่อน ถ้าคุณยังไม่พบก็จะไม่มีปัญญารู้ว่าอัตตาคืออะไร โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม ที่บอก อัตตา 3 อาตมาเห็นในพระไตรปิฎกเล่ม 9 

1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ) 

2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ) 

3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ)  

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 15:27:35 )

รู้จักอัตตาเองไม่ได้

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงใช้ภาษามาให้เรียนอัตตา คนที่จะรู้จักอัตตานั้นจะต้องได้ยินจากสัตบุรุษหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครู อยู่ๆจะรู้เองไม่ได้ ไม่มีการรู้ได้ รู้เรื่องอัตตานี่แหละ แล้วก็ทำให้อัตตาเป็นอนัตตา

เมื่อคุณมาพบมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วก็มายินดีคนนี้แหละจะเป็นคนชี้อัตตาให้เรารู้ จะสอนให้เรารู้อัตตาจะทำให้เราหมดอัตตาได้คนนี้แหละมิตรดีสหายดี โพธิรักษ์เป็นมิตรดีจะสอนให้รู้จักอัตตา ก็ยินดีในตัวโพธิรักษ์เป็นมูลกา ถ้าคนไม่เริ่มยินดีเป็นแสงอรุณข้อที่ต้องพบคนอีกคนหนึ่ง พบแล้วเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตร

เป็นมิตรคือ ผู้ที่มีจิตใจน่าเคารพรัก แต่ไปเห็นว่ามิตรคนนี้เป็นพาลเป็นภาระไม่น่าคบ คนนี้ก็ไม่ยินดีให้คนนี้เป็นมิตรก็เลิกไป ก็ไม่มีสิทธิ์จะรู้ว่าคนนี้เป็นมิตรที่ไม่รู้ว่าอัตตาเป็นอย่างไร ทำให้หมดอัตตาได้เป็นอนัตตา เขาก็ไม่เชื่อ ดีไม่ดีไปหลงว่าตัวเองทำให้เป็นอนัตตาได้แต่ที่จริง ยังลดเองไม่ได้

ผู้ที่ยินดีว่าโพธิรักษ์เป็นมิตร ก็มาพบกับโพธิรักษ์ โพธิรักษ์ก็พาให้ถือศีล หรือใครบื้อๆมาก็จับให้มีศีล แล้วก็จะเกิดปัญญารู้ว่าอย่างนี้เข้าท่า ยินดีว่า มิตรคนนี้พาให้ถูกทาง อ๋อ.. ถ้าสอนให้มีศีล มีหลักเกณฑ์ตั้งแต่ข้อต้น ทำอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาได้ ก็อ๋อ.. อย่างนี้นี่เองถึงจะรู้จัก อัตตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:27:01 )

รู้จักเขตของความพอ

รายละเอียด

ฉะนั้นผู้ที่รู้นอกอย่างบริบูรณ์ก็จะสามารถรู้ในเทียบกันได้ อย่างไม่รู้สึกเป็นหนึ่ง อาศัยมันไม่พลิกไปทางนั้นทางนี้ จนกระทั่งทุกอย่าง หากเข้าไปยึดเป็นหนึ่งมันก็โง่ตาย มันไม่ใช่อะไรหรอกที่มันยึดอยู่ ถ้ายังยึดอยู่มันก็เป็นตัวตน ไม่ยึดมันก็ไม่เป็นตัวตน นี่ใช้ภาษาง่ายๆ แล้ว สภาวะก็เป็นอย่างนี้จริงๆ เรายังมีธาตุรู้ มันก็รู้ว่ายังมี จิตของเราไม่ได้ยึดแล้วจริงๆ เอาตามตัวยึด มันมีก็มี มีก็อาศัยกัน อาศัยได้ง่ายก็ดีแล้ว อาศัยได้ยากก็คือต้องพยายามหน่อย ถ้ายิ่งมันยากไม่ได้ง่าย ไม่ได้ก็ช่างมันปะไร เอาอันอื่นแทนก็ได้ อะไรก็ทดแทนกันได้ไม่ยาก ของกินของใช้ 

เราไม่มีมีดไปถาก เราก็เอาไม้มาตีให้มันแตก สลายไปก็ได้ หรือหาอะไรอื่นแทน ไม่มีมีดมาถาก ทุกวันนี้เขามี เครื่องเจียร Grinder ยิ่งกว่าถากด้วย ออกไปเป็นฝุ่นเลย หรือ ทุกวันนี้เขาใช้พลังงานที่เป็นไฟฟ้าสลายพลังงานก็ได้ แม้แต่ที่สุดก็ใช้พลังงานลม แยกให้ออก พลังลม 

สรุปแล้วก็มีแยกสลายกับรวม แยกสลายกับรวม เพราะฉะนั้น แยกสลายก็คือเห็นความแตกต่าง รวมก็คือ เรามีอะไรที่ควรจะรวมอยู่ อาศัยอยู่ มีร่วมอยู่รวมอยู่ ชีวิตก็มีอะไรร่วมอยู่ รวมอยู่ อาศัย อย่างพอเพียง พอดี พอแล้ว มากกว่านี้ไม่เอาแล้ว รู้จักเขตของความพอกันมาเรื่อยๆ อาศัยอยู่อย่างพอเหมาะ สมบูรณ์พอที่สุดแล้ว ชาวอโศกเป็นตัวอย่างของสังคมพอเพียง พอแล้ว พอดี พออาศัย จบบริบูรณ์แล้ว สังคมชาวอโศก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:56:43 )

รู้จักเหตุ ดับเหตุต่อ

รายละเอียด

สุภะ แปลว่า ดี น่าได้น่าเป็นตรงจุดนี้แหละ สุภกิณหา เขาก็ได้ตรงนี้แหละ แต่ที่จริงแล้ว สุภกิณหาอย่างสัมมาทิฏฐิมันคนละเรื่องกัน 

สัมมาทิฏฐิรู้ดีว่า ความมืด คือ ความมืด ความดำคือความดำ ส่วนกิเลสหมดเกลี้ยง มันสว่างรู้ทั่ว รู้แจ้งโลกรู้ครบหมดทุกอย่าง มันคนละอย่างกลับกัน หันหลังชนกัน คนละด้านเลย อันหนึ่งดำมืดไม่รู้เรื่อง จมดิ่งไปเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส สะกดจิตไว้ได้นานดำมืด ทำให้จิตนี้มันหยุดหน้าที่ของมัน ทำให้จิตหยุดหน้าที่หมดเลยทั้งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ กลายเป็น รูป จึงเรียกว่า รูปพรหม พรหมลูกฟัก เหมือนลูกฟักกลิ้งโค่โล่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใครจะกลิ้งไปอย่างไร เขาก็อยู่ของเขา จะเอาไปผ่าไปแกงก็ไม่รู้เรื่อง ได้แค่นั้น ไม่ใช่การบรรลุธรรม ไม่ใช่อริยสัจ รู้จักเหตุ ดับเหตุ 

ถ้าศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิแล้วการบรรลุธรรมนิโรธหรือนิพพานนั้น ยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งรู้ครบยิ่งรู้โลกเปิดโลก ไม่ใช่ดับมันตรงกันข้ามคนละเรื่องเลย มืดสุด แต่ของพุทธนั้นสว่างสุด ของสายที่ตรงกันข้ามกันหรือหลับตาปฏิบัติ คือคู่เลย เป็นคู่ของพวกสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิเลย สัมมาทิฏฐิก็คือเปิดตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ส่วนผู้ที่ดับหลับตานี้ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 แม้ที่สุด ศีล เป็นต้น ศีล สมาธิ ปัญญา เขาก็หัวแหลกหัวแตกหมดเลย ศีลก็ไปอีกอย่างหนึ่ง สมาธิก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง  ปัญญาก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง ศีล ก็เป็น สีลัพพตปรามาส กลายเป็นจารีตประเพณี สมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอาแบบ อาฬารดาบสอุทกดาบส ปัญญาก็ไปเป็นตรรกศาสตร์ ไปเป็นความปรุงแต่งความคิดเป็นโลกจินตา เป็นสายมหายาน ที่โอ้โห ความคิดแตกหน่อต่อไปไกล รู้มากมาย แล้วมันไม่มีที่จบหรอกเรียกว่าโลกจินตา เป็นความรู้แบบโลกๆ ไม่มีจบ เป็นความรู้ปากกรวยออกนอกโลกไปหาจักรวาล ไม่มีที่ไปหาไม่มีที่จบ น่าสงสารที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 13:16:14 )

รู้จักไตรลักษณ์แบบนักปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

ถ้าคนปฏิบัติธรรมจะต้องรู้ว่าเกิดขึ้นคืออะไร ตั้งอยู่คืออะไร ดับไปคืออะไร แล้วคุณจะต้องมาปฏิบัติเรียนรู้สิ่งที่ดับไปให้ได้เป็นที่สุด จนคุณสามารถดับในจิตของคุณ ที่มันมีกิเลสก็ดับกิเลสไม่ให้มันเกิดในจิตของคุณอีกเลย อันนี้คุณรู้จักไตรลักษณ์ รู้จักลักษณะของความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วคุณก็สามารถรู้ว่ามันเกิดนะ เกิดแล้วมันยังอยู่นะ ตั้งอยู่จนกระทั่งทำให้ไม่เกิด ไม่ตั้ง หายไป หยุดไป ไม่มี นี่ต่างหากคือการรู้จักไตรลักษณ์ แล้วทำไตรลักษณ์ให้สมบูรณ์แบบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:14:39 )

รู้จากผู้อื่นหมายถึงรู้จากใครบ้าง?

รายละเอียด

“โลกุตรธรรม”ต้องได้ยินจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือจากสัตบุรุษ หรือจากผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่“สัมมาทิฏฐิ”มาก่อน แล้วเท่านั้น  

“โลกุตรธรรม”นี้ ปุถุชนคนโลกีย์รู้เองไม่ได้ เพราะ“โลกุตรธรรม”นี้เป็น“ธรรมะ” ที่ใครๆในโลกจะขบคิดค้นคิดเอาด้วยการผกผัน ด้วยเหตุผลหรือด้วยตรรกะไม่ได้เลย 

เนื่องจาก“โลกุตรธรรม”นี้ คนผู้ใดจะเริ่มได้เริ่มมีขึ้นมา ตนก็ต้องเริ่มได้ยินได้ฟังมาจาก“ผู้อื่น”ทั้งนั้น จะ“คิดขึ้นมารู้เอง” หรือสร้าง“ความรู้โลกุตระ”นี้เองไม่ได้เลยเป็นอันขาด

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 15 หน้า 52


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 13:05:55 )

รู้ชัดวิญญาณด้วยอาการของรูปของนาม

รายละเอียด

ปัญญากว่าจะรู้ว่าแท้ๆ แล้ว ดูอาการ ที่เป็นเหตุและปัจจัยปรุงแต่งกันอยู่จึงเกิดรูปเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปตามอาการที่มันยึดตัวมัน ยึดถือตัวมันก็คือตัวเรานั่นแหละที่มันมีเวทนา สัญญา สังขาร แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเวทนามีอาการอย่างไร  สัญญาเป็นอย่างไรสังขารคืออย่างไร และรวมตัวเป็นวิญญาณคืออาการอย่างไร 

เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงจะต้องรู้ชัด เอาวิญญาณมาตีให้แตก แยกวิญญาณ มีกาย มีจิต แยกวิญญาณเป็นรูป เป็นนาม เมื่อสามารถแยกอาการของรูป ของนาม ของวิญญาณได้ จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:12:19 )

รู้ชั่วแล้วไม่ทำชั่วได้คือสุดยอดอภิธรรม สุดยอดปรมัตถ์

รายละเอียด

ไอ้ที่เขาสวดพระอภิธรรมกันยันรุ่งอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ได้แต่สวดตัวหนังสือ เขาไม่ได้เข้ามาเรียนรู้ความจริงรู้ใจเราเองว่ามีอาการอย่างไร เราอ่านใจเราว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ อาการมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนได้ไหม.. 

บางทีมันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะทำอย่างนี้แม้ว่ามันชั่วนะ รู้ว่ามันชั่วมันไม่ดี แต่มันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะเอาให้ได้จะทำอย่างนี้แหละ ไอ้นี่ก็ดื้อดึงดันมาก เป็นคนดื้อดึงดันมาก แก้ยาก แต่ถ้าคนธรรมดาสามัญไม่ดื้อดึงดันขนาดนั้นถ้ารู้ว่ามันชั่ว ก็จะไม่ทำ อย่าทำ อันนี้แหละคือสุดยอดอภิธรรม สุดยอดปรมัตถ์การศึกษาธรรมะ นี่แหละเรียนรู้ตรงนี้ ฟังดูชัดเจนไหมเข้าใจไหม ใครฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่ด้วยเด็กด้วย ยกมือ นี่แหละคือความจริงอภิธรรมแท้เลย.. แล้วแก้ไขปรับปรุง 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌

ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 11:04:01 )

รู้ชาติดับชาติได้ บรรลุหมดเลยตามหลักปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

ทีนี้มาเข้าสู่เรื่องธรรมะ จะพูดถึงเรื่องชาติ 

ชาติ คำนี้เป็นคำขึ้นต้นและลงท้าย ถ้าคุณรู้ชาติดับชาติได้ ภพก็ดับ อุปาทานก็ดับตัณหาดับ ผัสสะดับ เวทนาดับ อายตนะดับ นามรูปดับ วิญญาณดับ สังขารดับ อวิชชาก็ดับ บรรลุหมดเลยตามหลักปฏิจจสมุปบาท มีนัยยะลึกซึ้งมากตั้งแต่เริ่มต้นจนได้มีรายละเอียดจนจบความเป็นชาติ 

อาตมาจึงพยายามมาคลี่ขยาย ชาติ ที่เป็นชาติ 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ 

ชาติ คือ รูป  การเกิดทางกาย เกิดชาติพันธุ์  ประชาชาติ

ชาติ คือ นาม  การเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ  ได้แก่ 

1.ความเกิด (ชาติ)    2.ความบังเกิด (สัญชาติ) 

3.ความหยั่งลง (โอกกันติ)   4.เกิด (นิพพัตติ)  

5.เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ)  [ล.16  ข.7] 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:20:51 )

รู้ชีวิตินทรีย์ของจิต

รายละเอียด

คุณก็จะรู้ชีวิตินทรีย์ ความเป็นชีวิต ของจิต มันตายไม่เหลือชีวิต แค่พืชคุณก็รู้อยู่ในขณะที่คุณปฏิบัติธรรม จิตของคุณยังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ปัญญาของคุณมีกำลังแข็งแรง รู้ความจริงอันนี้ที่คุณทำได้ คุณก็จะรู้สึก โอ้โห เราสามารถดับความสุข ความทุกข์ได้ขนาดนี้นะ สัจจะของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้เอง ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ เป็นอุเบกขา อทุกขมสุข คุณได้ของวิเศษ คุณได้ความยอดเยี่ยม ยอดอุตตริมนุสสธรรมได้คุณวิเศษที่วิเศษยอดแล้ว คือจิตที่ไม่มีความสุข ความทุกข์ สัมผัสอันนี้ แต่ก่อนมันมีแต่ความสุข หรือมันมีแต่ความทุกข์เอาออก คนที่บอกมีแต่ความสุขไม่เห็นทุกข์เลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 16:52:01 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 07:55:22 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:12:54 )

รู้ดีศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู

รายละเอียด

คุณพูดก็ถูก อาตมาไม่รู้ดี คุณก็ว่าเป็นความเห็นของคุณ แต่อาตมาก็พูดเท่าที่อาตมารู้ดี แล้วคุณก็บอกว่าอย่างนั้น อาตมารู้ ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดูอาตมาก็ต้องรู้ตามที่อาตมารู้ดีขนาดนั้น อาตมาก็แสดงออกไปส่วนคนจะบอกว่าไม่รู้ดีขนาดนั้นคุณรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาไม่รู้ดีขนาดนั้น ก็อาตมาดูได้ขนาดนั้นอาตมาก็พูดได้ขนาดนั้นมันก็ดีขนาดนั้นมันจะไม่ใช่ได้อย่างไร คุณนี่เนอะ ที่ติงอาตมานี่ไม่ชัดเจน ก็ต้องรู้ดีขนาดที่เรารู้ถึงจะพูดไปขนาดนั้นถ้ารู้ดีกว่านั้นก็จะพูดไปมากกว่านั้นอีก

 สมณะฟ้าไทว่า…ก็ต้องพูดใหม่ว่าเขาไม่รู้ดีขนาดที่พ่อครูรู้หรอก พ่อครูว่า…แปลว่าเขาชมนะ เขาคิดว่าอาตมาไม่ดีขนาดนั้นก็เลยว่าผมว่าผมไม่รู้ดีขนาดนั้น แต่อาตมาพูดไปแล้ว เขาก็เลยเผลอชมมา แสดงความเห็นมาก็ดีแล้วเราจะไม่เห็นอย่างที่จะต้องมาพูดไปก็ไม่เป็นไร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:43:42 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:21:11 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:55:55 )

รู้ด้วยตนเป็นปัจจัตตัง

รายละเอียด

มีสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างจริงจังเลย ทุกวันนี้เป็นปรากฏการณ์ เป็นฟีโนมีนอลที่แท้จริงเลยในชาวอโศก แล้วก็มีกระจายไปเป็นชุมชนเป็นฟีโนมีน่า เป็นชุมชนของชาวอโศกทุกสังคมสาธารณโภคี ทุกสังคมมี สาราณียธรรม 6 ครบอยู่ในนี้ แต่คนมองไม่ออก ชาวพุทธก็มองไม่ออก จะไปพูดถึงชาวตะวันตกเอาพระเจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย เขามองไม่ออกแน่ๆ แต่ชาวพุทธหรือชาวอโศกนี้ทำสำเร็จ ทำได้เป็นตัวอย่างไว้ แล้วก็จะฝังรากฝังรอยไว้เลย อาตมาขอใช้ศัพท์คำโลกๆ นี่

โลกุตรธรรมที่ชาวอโศกได้ เป็นอาริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

อรหันต์จริงๆ ซึ่งอาตมาก็ขยายความ พวกเราก็เข้าใจแล้วพวกเราก็ตายอยู่ในนี้ก็มี เป็นอรหันต์ที่ตายไปแล้วก็มี ปัจจุบันที่เป็นอรหันต์อยู่นี้มีไม่กี่คน แต่อาตมาไม่ต้องการไปชี้ว่าคุณเป็นอรหันต์แล้ว ให้เขารู้ด้วยตนเป็นปัจจัตตัง เขาสิ้นกิเลสแล้ว กิเลสกาม เป็นอย่างไร กิเลสรูป อรูป เป็นอย่างไร อาสวะหมดเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะรู้เอง

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 19:20:21 )

รู้ด้วยปัญญาเข้าใจอย่างอิสระเสรีภาพ

รายละเอียด

ดีที่รายงานผลมาแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย พวกเรานั้นมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลก 7000 ล้านก็กล่าวกันมาหลายปีแล้ว พวกเราตั้งตัวเลขไว้ 777 คน ก็รอไปมันเป็นเรื่อง อิสระเสรีภาพไม่ใช่เรื่องที่จะมาหามวลปริมาณเยอะๆอย่างที่เขาทำ ไม่ว่าจะด้านศาสนา ด้านการค้า ด้านการเมือง ที่เขาทำการโฆษณาหาเสียงหาพวกมีเยอะ แต่พวกเราไม่ได้ใช้วิธีนั้นเลยจริงๆให้รู้ด้วยปัญญามีปฏิภาณปัญญาเอง เห็นเองรู้เองเข้าใจเองแล้วมาอย่างอิสระเสรีภาพ ซึ่งอาตมาสรุปผลได้สูงสุดรวมทั้งเรื่องของความเป็นสังคมเศรษฐกิจที่เป็นประชาธิปไตยเป็นการเมืองรวมได้มี 5 คำ อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:12:56 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:21:28 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 04:13:43 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์