@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

สิริมหามายาของรูปและนาม

รายละเอียด

นามเป็นผู้รู้ ตกลงรูปมันไม่รู้เรื่องหรอกแต่นามต่างหากรู้ รูปมันอยู่กับนาม นี่คือสิริมหามายา ที่อาตมาตั้งแต่อาตมาแยกรูปแยกนามไว้ในหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก หนังสือเล่มแรกที่อาตมาเขียน จนทุกวันนี้ก็ยังเขียนเรื่องรูปนามอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เรื่องอาหาร 4 วิญญาณคือนามรูป ถ้ารู้จักนามรูปคือรู้จักวิญญาณได้บริบูรณ์ถ้วนรอบหมด หมดวนสลับซับซ้อนหมด หมดสงสัยหมดลังเลรู้ชัด จับได้ จะเร็วอย่างไรยิ่งกว่านักมายากลขนาดใดก็สามารถที่จะรู้เท่าทันได้ ก็จะจบเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 07:35:25 )

สิริมหามายาคือแม่ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คนไปเข้าใจ สิริมหามายาคือ แม่ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ผิดอีก แม่ของพระพุทธเจ้าผู้ให้กำเนิดความเป็นพุทธะ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความจริงในความเร็ว ในสัจจะ อันกลับไปกลับมาเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่เร็วที่ไว เพราะฉะนั้นคนที่ตามความเร็วความไวไม่ทัน จึงถูกนักมายากลที่มันใช้ความเร็วหลอกเอา แต่ผู้ที่ตามทันแล้วความเร็วนี้ เป็นสิริมหามายา เป็นลูกของแม่พระพุทธเจ้า ก็สามารถรู้ทันรู้ได้ ไม่ผิด ทันกาล เป็นพวกตระกูลเดียวกัน เชื้อเดียวกัน แม่องค์นี้ เป็นผู้ให้กำเนิด หรือผู้ที่เป็นแม่ให้กำเนิดบุตร ที่เป็นพุทธะทั้งหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 13:24:01 )

สิริมหามายาทำคลอดสิทธัตถะ ในตัวคุณเอง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น สภาวธรรมของคนที่จะรู้ในตัวเองของคน เป็นสิริมหามายา ทำคลอด สิทธัตถะ ในตัวคุณเอง ไม่ต้องมาอธิบายตัวตนบุคคลเราเขา พระนางสิริมหามายาแล้วก็ไม่ต้องไปทำคลอดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะในสวนลุมพินี ไม่ต้องไปอธิบายเป็นตัวตนอย่างนั้น นี่คือ ปัจจุบันธรรมเดี๋ยวนี้ คุณเป็นสิทธัตถะได้ คุณเป็นสิริมหามายาได้ทันที นี่คือธรรมะที่ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ที่อาตมาอธิบายนี่ ไม่ติดตัวตนบุคคล เราเขาคือสภาวธรรมแท้ๆ พิสูจน์ได้ทุกคน คือ เทฺว สภาวะ 2 อย่าง ยิ่งใหญ่อย่างนี้

เพราะฉะนั้นยืนยันความจริงที่สุดเลยว่า ใครรู้จักสภาวะของสิริมหามายา รู้สภาวะของ สิทธัตถะแล้ว แล้วเราก็ทำให้เกิดและทำให้สำเร็จในความอยาก หมด ไม่มีเหลือความอยากบรรลุ พ้นความอยากแล้วเป็นสิทธัตถะได้ทันทีเดี๋ยวนี้ คุณก็เป็นเดี๋ยวนี้ ทำให้เกิดความหมดกิเลส สรุปง่ายๆ เป็นผู้ทำ ทำเอง เราทำให้หมดกิเลสเอง อธิบายไปครบแล้วนะ ครบ อุภโตภาควิมุติ แล้วก็ถามพวกคุณแล้วว่า อุภโตภาควิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ ใครสูงกว่ากัน .... ตอบอย่างมายา อาตมาบอกไปเป็น สิริมหามายา คนที่ไม่รู้ว่ามันเป็นมายาอย่างไร เหมือนกับเห็นความสูงเป็นความต่ำ เห็นความต่ำเป็นความสูง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2565 ( 15:05:45 )

สิริมหามายาเป็นความจริง ส่วนมายาคือความหลอก

รายละเอียด

ใช่สิเราควรยึดความจริง ทีนี้ก็ฟังอีกที สิริมหามายาเป็นความจริง คำว่ามายาคำนี้เป็นคำไม่จริง คำว่ามายาแปลความว่าไม่จริง แต่ที่ใช้คำว่าสิริมหามายานี้ มันลึกซึ้งนะ ที่จริงมันมีความหมายรูปงามยิ่งใหญ่มาก เช่นพระมารดาของพระพุทธเจ้าชื่อว่าสิริมหามายา ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันได้ง่ายว่าทำไม ชื่อมีมากมายหลากหลายเยอะแยะ ภาษาที่สวยงามเอาไปตั้งชื่อพระมารดาของพระพุทธเจ้าได้ ทำไมต้องตั้งชื่อว่าสิริมหามายา ทำไมต้องมายา จะเป็นสิริมหาอะไรก็ได้ สิริมหาฟ้าไท เป็นต้น ทำไมต้องสิริมหามายา พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดในยุคนี้ ในยุคปลายภัทรกัปป์ ในยุคจะมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นองค์สุดท้าย ต่อไปก็จะมีตำแหน่งพระพุทธเจ้าที่เป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้า องค์ต่อไปทุกพระองค์ที่เจริญกว่าพระสมณโคดม จะเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาแล้วจะสอนมนุษย์ได้มากยิ่งกว่าสมณโคดม หรือองค์ก่อนๆ พระศรีอริยเมตไตรยจะสอนได้ ศาสนาก็จะอายุยืนยาวผู้คนก็มากมายมีมาฆบูชาหลายครั้ง ทีนี้พระสมณโคดม เป็นองค์สุดท้ายมาฆบูชาก็ครั้งเดียวอรหันต์ก็เพียงแค่เพียง 1250 องค์ คิดดูสิ พุทธเจ้าบางพระองค์มีมาฆบูชา 5 ครั้ง พระอรหันต์มีเป็นล้านองค์ที่มาประชุมในวันมาฆบูชา มันเทียบกันไม่ติดเลย ไกล เพราะฉะนั้น ยุคนี้จึงเป็นยุคที่ปลายของสังคม ยุคกัปป์ ที่จะมีไฟบรรลัยกัลป์ เป็นกลียุค สรุปก็คือคนมันเสื่อมคนมันแย่คนมันต่ำ แต่มันซ้อน คนต่ำ แต่คุณธรรมโลกุตระ ยิ่งราคาแพง อันนี้ก็น่าจะเข้าใจกันได้ สิ่งที่มีน้อยหายาก สิ่งที่หาได้โดยยากและมีน้อยนั้นต้องราคายิ่งแพง จะเป็นอย่างนั้นจริง ผู้รู้ค่าจะรู้ค่าสิ่งที่หายาก สิ่งที่มีค่าสูงยิ่งหายาก เพราะฉะนั้น ในยุคนี้หายากและมีค่าสูงแต่คนไม่ค่อยจะให้ค่า เพราะอะไรเพราะคนมันยังไม่เจริญ แต่สัจจธรรมจริงๆแล้วมันเป็นสัจธรรม ไม่มีผิดเพี้ยนหรอก ถ้าหากผิดเพี้ยนก็ไม่ชัด สัจธรรมนี้ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มากแต่ต่อไปต้องมากแน่นอน เพราะยุคกาลนี้ต้องมากไปจนถึงขั้น อาตมาไม่มีปัญญาหยั่งรู้จำนวนได้ ประมาณได้ ว่าต้องพยายามยืดอายุยาวไปจะได้ช่วยกันอีก นับตัวเลขตายตัว ทำงานมา 50 ปี กับอีก 450 ปี ที่ศาสนาพุทธจะเจริญไป จากจุด 500 ปีเป็นจุด peak สุดแล้ว จากนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมไปอีก 2,000 กว่าปี ก็หมดศาสนาพุทธของสมณโคดม จบจากศาสนาพุทธของสมณโคดมก็จะมีช่องว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง แล้วจึงจะเกิดศาสนาพุทธใหม่ ตอนนี้เป็นปลายภัทรกัปป์ สิริมหามายา ชื่อผู้ที่จะให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ สิทธัตถะ สิทธะ แปลว่าความสำเร็จ อัตถะ คือ ประโยชน์ที่ใหญ่ เป็นความมีประโยชน์ที่ใหญ่ที่จะสร้างให้แก่มนุษยชาติ พุทธเจ้าให้กำหนดโดยสัจธรรมปรมัตถธรรมของโลกุตระแล้ว การเกิดเป็นสิ่งที่ไม่ดี การดับเป็นสิ่งที่ดี โดยปรมัตถธรรมการเกิดเป็นทุกข์การดับทุกข์ ในความหมายการเกิดเป็นทุกข์นี้มันต้องเกิด อย่างไรก็ต้องให้พระพุทธเจ้าเกิด ถ้าหากไม่ให้พระพุทธเจ้าเกิดก็ไม่มีศาสนาพุทธเกิดก็ไม่มีสิ่งที่ดี มาทำให้ช่วยมนุษยชาติไปได้ จึงต้องเกิด เพราะฉะนั้นคำว่าเกิดกับไม่เกิดมันจะเป็นสิริมหามายา เป็นภาษาที่ไม่รู้เกิดอีกหรือไม่เกิดอีก เกิดดีหรือไม่เกิดดี แต่กำกับเอาไว้ด้วยเลข 7 สิริมหามายา เลข 7 คือพลังเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นเต็มที่ในเรื่องที่จะไม่ล้มเหลว ถ้าได้พลังงานขั้น 7 เป็นพลังงานที่จะส่งผลสำเร็จแน่แท้ ผลสำเร็จแน่แท้สมบูรณ์แบบคือ 9 เพราะฉะนั้นถ้าเสร็จจะไปสู่ สัมโพธิปรายนะ ไปสู่สิ่งที่จะบรรลุสูงสุดๆ ในยุคกาลปลายนี้ อย่างไรๆ ก็ต้องมีการบรรลุถึงที่สุดได้ จะให้เกิดแต่ก็เป็นการให้เกิดครั้งสุดท้ายนะ แล้วเกิดยังไม่ได้สวยงาม เหมือนกับคนหลอกเข้าใจไม่ชัดเจน เรื่องที่เป็นสัจธรรมเข้าใจไม่ชัดเจนไม่ได้หมายความว่าความจริงไม่ชัดเจน แต่มันเป็นยุคการที่คนในยุคนี้ในกัปป์นี้ตอนนี้มันไม่ค่อยฉลาดยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้างมันก็เลยเป็นสภาพคลุมเครือแต่ผู้ที่รู้จริงได้จริงก็จะไปสู่ความสำเร็จได้ก็จะมีคนจำนวนหนึ่งตามความเป็นจริง ซึ่งจะมีไม่มากนักหรอกอาตมาก็ไม่ได้ร้อนใจไม่ได้ตกอกตกใจอะไร ว่าทำไมได้แค่นี้ มีแต่พ้อเล่นๆ เพราะเรารู้เหตุปัจจัยองค์ประกอบมันแล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ แต่พออาตมาตายไป ไม่มีความเจริญไปยิ่งกว่านี้อีกพวกคุณก็อย่าเพิ่งตาย มีชีวิตอยู่ให้นานอีกกว่าจะมา อาตมาอายุ 151 คุณก็อยู่ต่อไปอีกนะ เกิดมาใหม่อาจยังเด็กไม่รู้ประสีประสา แต่ก็จะพอรู้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:20:44 )

สิริมหามายาเป็นยอดมายาที่ยิ่งใหญ่อย่างไร

รายละเอียด

ความเป็นสิริมหามายาเป็นภาษาdialectic วิพากษ์วิภาษณ์ จะต้องเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาพอจะแยกความเป็น 2 อย่างที่จะต้องรู้เอาหนึ่งให้ได้ จะเปลี่ยนแปลงไปเร็วกลับไปกลับมาก็เอาสาระที่เป็น 1 ได้ทุกมุมยิ่งกว่ายอดมหามายากล 

คำว่าสิริมหามายาจึงเป็นยอดมายาที่ไม่ใช่มายา แต่เป็นยอดมายาที่เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ทั้ง สิริ ทั้ง มหา แต่มันเป็นภาษาว่า มายา เป็นภาษา 2 สภาพ ที่ศาสนาพุทธตรัสรู้ สภาวะ 2 ที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะเอา 1 มาใช้ให้ถูกกาละ เทศะ ฐานะมาได้เรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 16:05:19 )

สิริมหามายาเป็นอย่างไร

รายละเอียด

พูดไปแล้วเป็นสิริมหามายา แยกกันได้แต่แยกกันไม่ได้ แล้วตกลงมันแยกกันได้หรือไม่ได้กันแน่ นี่จึงเป็นเรื่องที่สุดยอด จึงเรียกว่ามันเป็นเหมือนมายา แต่มันเป็นมายาที่ยิ่งใหญ่เรียกว่ามหา มันยอดเลิศยอดดี เรียกว่า สิริมหามายา ส่วน มายา ตัวจริงเป็นจอมมายานี่คือตัวหลอก 100% เลย หลอกซับซ้อนเหมือนมหาบัว เหมือนธัมมชโย เหมือนทักษิณ หลอกซับซ้อนและคนไม่รู้ทัน เดี๋ยวนี้คนก็ไม่รู้เท่าทัน เป็นลูกกะโล่ให้คนเหล่านี้อยู่ ไม่ตื่นไม่รับรู้น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ได้แต่พยายามช่วยออกมา แต่เขาติดยึด มันเป็นธรรมชาติของวิบากของเขา จะเรียกว่าสันดานก็ได้ สันตานะ แต่ถ้าสิ่งที่ดีเรียกว่าบารมี ของเก่าที่ติดมา ถ้าติดมาเป็นของไม่ดีเรียกว่าสันดาน ถ้าของที่ดีเรียกว่าบารมี ของไม่ดีเรียกว่า สันตานัง เป็นภาษาไทย ก็คือสันดาน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:59:43 )

สิริมหามายาไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี มีรูปนามยืนยันความจริง

รายละเอียด

สิริมหามายาไม่ทำชั่วทำแต่ดี ถูกแล้ว สิริมหามายาที่เป็นตัวตน เกิดมาก็มีชีวิตทำแต่ดีและมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ยาวยืน มีลูกที่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่คือสิทธัตถะ ภาษาว่าสิทธัตถะ เนื้อหาก็คือเกิดจากพระนางสิริมหามายาโดยสภาวะ ชื่ออาจจะไม่ใช่นางสิริมหามายาเหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะเหมือนอย่างพระสมณโคดม แต่สภาวะจะเป็นสิริมหามายาทั้งนั้น คือแม่พระพุทธเจ้า ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าและ 7 วันจะต้องตายเป็นต้น ซึ่งมันเป็นสภาวะที่อธิบายไม่ง่าย มันจะสอดคล้องกับสภาวะจริงที่มีรูปนาม ไม่ต้องใช้คำตอบ แต่มันต้องอาศัยรูปนามในโลก รูปนามในสัตว์โลกมนุษยชาติซึ่งมันเป็นความจริงยืนยันความจริง ก็อธิบายไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2563 ( 18:38:24 )

สิ่งจริงแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลง

รายละเอียด

เขาจะรับรองหรือไม่รับรองพวกคุณจะเลิกไหม สิ่งจริงแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลง มัน นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)  

เอาบาลี ของพระพุทธเจ้ามายืนยัน ไม่ใช่พูดเล่นนะ ก็พิสูจน์ตัวเองไป อาตมา อยากจะรู้เหมือนกันอีก 10 ปีอีก 20 ปี พวกคุณก็ไม่เที่ยงแท้ไม่อยู่แล้ว ไม่ตลอดกาล ไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ให้อาตมาหน้าแตกก็ยอมแตก ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็จริง อาตมาจะไปยืนหยัดยืนยันสิ่งที่ไม่จริงอยู่ทำไม 

แต่ถ้ามันจริงมันก็ต้องเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆนะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่คงทนที่สุดได้ยืนยาว ใหม่ตลอดกาลไม่มีเก่าเลย ทันสมัยใหม่เสมออยู่ตลอดกาลไม่มีเก่า อันนี้ก็จริงอีก ไม่ใช่เป็นคำพูด โก้ๆเท่ๆ ฟังแล้วไพเราะเฉยๆ

คำไพเราะที่คนมาปลอมแปลงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ คนที่เข้าใจภาษาพื้นๆง่ายๆก็ถูกทำให้เชื่อถือตาม จนออกนอกสัจธรรมของพระพุทธเจ้าหมดสัจจะ กลายเป็นกลองหรือตะโพนปลอม เหลือแต่ชื่อว่าพุทธ หรือชื่อว่าอานกะ อย่างเดิม แต่เนื้อเปลี่ยนแปลงไปหมด 

นี่เป็นความซับซ้อนที่รู้กันไม่ง่าย รู้กันยาก อาตมาก็ได้พูดได้ชี้เรื่องนี้ให้สะดุด ให้มาตรวจสอบกัน ถ้ามีภูมิปัญญาตรวจสอบจะรู้จริงเห็นจริงเลย นี่เป็นสัจจะที่อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ได้มีความหลอกไม่ได้มีความเหลาะแหละ ไม่ได้มีความไม่จริงอะไร อาตมามีแต่ความจริงความตรงความซื่อสัตย์ 

แล้วก็ยืนยันว่ามนุษย์ควรได้สิ่งนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี่แหละเป็นสุดยอดของความเป็นมนุษย์แล้ว เริ่มเป็นตั้งแต่โสดาบัน ยืนยันไปเลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 11:14:34 )

สิ่งจริงในชีวิตของคน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งจริงในชีวิตของคน รู้จักสาระที่จะอาศัย แล้วก็มีกิน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ นอกนั้นมีเวลาเหลือทุนรอนเหลือ เราก็เอามาทำงาน ผลิตสิ่งที่จำเป็นนี่แหละ 

อาตมาเน้นให้ชาวอโศกที่อยู่หอคอยงาช้าง ไม่ค่อยจะชอบลงงานกสิกรรม อยากให้ไปเป็นนักกสิกรรม ไปเป็นกสิกรกันให้ดีๆ ทำให้มากๆขึ้นมาเลย ทำให้เหลือเฟือจนกระทั่ง ให้มันมีคุณค่า ทำให้ดีๆมีคุณภาพ คนข้างนอกเขาเชื่อถือนะว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวอโศก ผลิตขึ้นมา ขณะนี้ในเมืองไทยก็คิดว่ารู้กันไปกว้างไม่ใช่น้อยแล้ว สำหรับชื่อเสียงในเรื่องการผลิตให้ได้พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวอโศก ตั้งแต่ไร้สารพิษและมีคุณภาพในเนื้อหาสาระของอาหารที่มีธาตุอาหารดี คืองาม กะหล่ำปลีก็งาม หัวไชเท้าก็งาม บีทรูทก็งาม คำว่า งาม พูดง่ายๆกินความว่า มันงาม แล้วมันเป็นจริงด้วย มันมีสารอาหารสาระเนื้อหาของมันวิตามิน แต่มันดีก็เป็นรู้กันทั่วไป 

ก็อยากให้ชาวอโศกมาเป็นกสิกรผลิตสิ่งเหล่านี้ให้มาก ชาติไหนเขาก็ต้องการในสิ่งนี้ ชาติไหนก็ต้องรับ ดีเหมือนกันว่า เราไม่มีอุตสาหกรรมเลวร้ายคือสร้างอาวุธไปฆ่าคน อาจจะมีบางที่ที่จำเป็น กองทัพอาจจะทำบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ได้ทำกันยิ่งใหญ่จนกระทั่งมีชื่อเสียง มีความสามารถอะไรและก็ไม่ได้ไปทำแข่งเขาเลย จะต้องมีคุณภาพรุนแรงเป็นอาวุธร้ายแรง เราไม่ทำ อันนี้เป็นความเจริญความประเสริฐ เป็นความรู้ของมนุษย์ที่เจริญ พวกที่ยังโง่ๆ เสื่อมๆ อยู่ก็จะยังไปสร้างอาวุธร้ายแรงอยู่ เขาไม่เข้าใจหรอก อาตมาพูดเขานึกว่าไปด่าเขา ซึ่งมันมีความจำเป็นจะต้อง ด่า เราก็อยู่ในโลกยุคเดียวกันจำเป็นหรือไม่จำเป็น พวกเราก็ไม่ต้องสร้าง ประเทศเราอยู่รอดไหมซึ่งไม่ได้สร้างเก่งอย่างเขาก็อยู่รอด อาจจะเผื่อต้องมีกองทัพอาศัยบ้าง แต่ไม่ได้เห็นจะมีเอาไว้ฆ่าแกง แสดงว่าเก่าเก็บทิ้งไปเยอะสูญเสีย ปีหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็เข้าใจขึ้น แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจเป็นทหารก็บอกว่าต้องมีอาวุธที่ทันสมัยแต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้สักที 

ที่มา ที่ไป

 

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 11:33:49 )

สิ่งดีกับไม่ดีเป็นโลกีย์

รายละเอียด

คุณเอ-นก ไม่ใช่ อเนก(อ่านอะ-เหนก) นะ ถ้า อเนก แปลว่าไม่ใช่ 1 มีมากมาย ไปจนเท่าไหร่ก็ได้ พ่อครูว่า.. อาตมานั้นรู้ในสิ่งดีกับสิ่งดีได้แต่ว่าสิ่งดีนั้นเป็นโลกียเป็นส่วนใหญ่ก็เลยไม่ค่อยชม อาตมาว่าเอาดี แต่ดีไม่มีปัญหา ดีก็มีสิ่งที่ควรเป็นในโลกพอเป็นไป เรื่องดีกับชั่วมีคนช่วยอธิบายเก่งกว่าอาตมาอีก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:42:58 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:06:40 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:02:16 )

สิ่งตรงกันกับในหลวง ร.9 คือต้องมาจน

รายละเอียด

ในหลวงร.9 ท่านเป็นสายเจโต ท่านไม่ได้มาพูด อาตมานั้นคนละหน้าที่กับท่าน อาตมาก็เป็นผู้ที่ต้องสาธยายรายละเอียดของโลกุตระ มันมีอยู่อย่างเดียว มีสิ่งที่ตรงกันคือต้องมาจน อันนี้คนปฏิเสธไม่ได้ คนไม่พูดกันว่ามาจน แต่ในหลวงนี้พูด ขนาดท่านพูดกับคนต่างประเทศเลย คือ รัฐมนตรีของประเทศเกาหลีใต้ เข้ามาถามท่าน ว่าเพื่อนที่เป็นนายกรัฐมนตรีฝากมาถามว่าจะให้บริหารประเทศแบบใด ท่านก็ตอบอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่าประเทศท่านก็ดีแล้วบริหารดีแล้ว เจริญแล้ว เขาก็ว่าอยากได้ของท่าน เซ้าซี้อยู่..สุดท้ายท่านก็บอกว่า ให้บอกเราก็เลยบอกแนะนำก็ได้ ว่าต้องทำแบบคนจน มีหลักฐานไว้ด้วย เราไม่เป็นประเทศที่รวย ฟังให้ดี คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์  “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป…”

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2563 ( 14:34:43 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:07:06 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:03:16 )

สิ่งที่ควรปฏิบัติก่อน

รายละเอียด

โดยเฉพาะ กามนี่เริ่มต้นเลย พอสัมผัสแล้วดำริ หรือไม่สัมผัสก็มีดำริ อ่านวิจัยแยกแยะหากจิตคุณไม่สะอาดมีกิเลสประกอบ นั่นแหละคุณจะต้องกำจัดกิเลสนั้นทันที ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วนิพพานเป็นที่หวัง นี่เป็นคำสอนที่สั้นที่สุด ข้อเรียนรู้ที่สั้นที่สุด นี่แหละวิธีปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าสำคัญอยู่ที่โยนิโสมนสิการ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:43:12 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:12:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 04:01:32 )

สิ่งที่ควรได้ของมนุษย์ตามที่ในหลวง ร.9 ตรัสไว้

รายละเอียด

เขาจะเรียนเศรษฐศาสตร์จบปริญญา ด็อกเตอร์เขาก็ยังไม่เข้าใจขนาดนี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าต้องมาเอาแบบคนจน บริหารแบบคนจน มาขาดทุนมาเสียสละ ขาดทุนของเรานี่แหละคือเราได้เรากำไร เป็นสิ่งที่ควรได้ควรเป็น อย่าไปเอากำไร แต่เอาขาดทุนนี่แหละเป็นสิ่งที่ควรได้ของมนุษย์ ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศ ตรัสออกมาอย่างไม่ได้ มังกุ ไม่ได้เก้อ เขิน ท่านเป็นในหลวง เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านตรัสอะไรที่ผิดไม่ได้นะ The King can do No Wrong. ในหลวงบอกว่าจะไปพูดอย่างนั้นไม่ดี ท่านไม่ได้ติดยึดอย่างนั้น ท่านถ่อมพระองค์ ท่านว่าท่านผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่เขายกให้ก็เอาเถอะแต่เราก็พยายามไม่ผิดอยู่แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 18:52:43 )

สิ่งที่ควรไม่ใช่ให้ยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นมหาปเทส4

รายละเอียด

อาตมาถึงบอกว่ามีจิตที่อยากจะช่วยให้พวกเรา ให้คนในโลกทั้งโลกนี้เข้าใจสภาพที่มันควรจะเป็นสิ่งที่ควร คำว่าสิ่งที่ควรนี่แหละสุดยอดเป็นภาษาไทย อันนี้เป็นสิ่งที่ควร นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรนี่สุดยอด คำว่าควรนี้ไม่ใช่คำให้ยึดมั่นถือมั่น มันเปลี่ยนเป็นไปได้ตามเหตุปัจจัยและโอกาส กาละ มันไม่ใช่เป็นสิ่งปักมั่นยืนยันอย่างนั้น คำว่าควร เป็นมหาปเทส 4 เป็นไปตามเหตุปัจจัยในยุคนั้น กาละนั้น องค์ประกอบนั้น สัปปุริสธรรม 7 ต่างๆ ซึ่งมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงมันไม่คงที่อะไรมันสุดยอด คำตรัสของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเอามาใช้ให้ดี 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 20:37:51 )

สิ่งที่จะตอบแทนดูแลช่วยเหลือพ่อครูดีที่สุดคืออะไร

รายละเอียด

อย่างพวกคุณตอบแทนอาตมาในสิ่งที่คุณช่วยเหลือ แต่อาตมาก็ไม่ได้สะสมอะไร ตอบแทนอาตมาขอบคุณมา 50 กว่าปีแล้ว วันนี้ปีใหม่ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ได้ตอบแทนช่วยเหลืออาตมา สิ่งที่จะตอบแทนดูแลช่วยเหลืออาตมาดีที่สุดคือ “ลดกิเลสตัวเองให้เป็นอรหันต์ และบำเพ็ญโพธิสัตว์ช่วยอาตมาไปเรื่อยๆ” เราก็จะได้เป็นผู้ที่ช่วยเขาเพื่อให้เขาไปช่วยคนต่อไป ช่วยเขาเพื่อให้เขาไปช่วยเขาไปเรื่อยๆ ช่วยคนเพื่อให้ช่วยคน เสร็จแล้วมีฐานอาศัยคืออุเบกขา

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 18:01:39 )

สิ่งที่จำเป็นสิ่งที่สำคัญ เรารู้แล้วเราไม่ขาดแคลน เหลือเฟือก็แจก

รายละเอียด

สรุปแล้วสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่สำคัญเรารู้แล้วเราไม่ขาดแคลน เหลือเฟือก็แจก สร้างให้ตัวเองแล้วเอาไปแจก ที่สาธารณะก็ไปสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นอาหารสำคัญ ปลูกไป ให้มันเกิดอยู่ในที่สาธารณะ คนอื่นก็รู้ว่านี่เป็นของสาธารณะเก็บได้กินได้ ก็เก็บไปสิก็กินไปสิ พืชมันไม่รู้เรื่องหรอกมันมีหน้าที่สร้างตัวมันเองขึ้นมา มีลูกมีใบมีผลขึ้นมา มันก็ขึ้นมา คุณก็เก็บกิน อย่าแย่งกัน อย่าตีกันก็แล้วกัน 

พวกเราเป็นตัวอย่างไม่แย่งไม่ชิง มีแต่เอื้อเฟื้อเจือจาน คนเขาก็รู้เขาก็ไม่แย่งชิงกันหรอก เพราะว่าวัฒนธรรมพวกนี้มันจะเชื่อมโยงไป ให้คนที่รู้ที่เห็นที่เข้าใจด้วย เห็นดีตาม เพียงแต่ว่าเขาจะต้องฝึกฝน ประพฤติให้มันดีตามที่เป็นจริงตามที่เราเป็นเท่านั้น ความจริงมันจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเขายังทำไม่ได้ บารมีเขายังไม่ถึง แต่เขาก็เข้าใจแล้วล่ะ เขาก็เคารพนับถือ 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 21:34:00 )

สิ่งที่ชี้บ่งคุณความดีที่ดีจริง ประเสริฐจริงมีคุณสมบัติอย่างไร

รายละเอียด

สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่ลงตัว เป็นสิ่งที่เสถียรแล้ว อะไรมาทำลาย มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ อสังหิรัง ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ อะไรก็มาหักล้างไม่ได้ ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เที่ยงแท้ยั่งยืน นิจจัง ทุวัง สัสสตัง จึงเป็นสภาวะคุณวิเศษ เป็นคุณสมบัติที่เสถียร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชี้บ่งยืนยันว่านั่นแหละคือคุณความดีที่มันดี มันจริงของมันแล้วจะเป็นคุณสมบัติอย่างนี้เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลงไป อะไรมาหักล้างก็ไม่ได้ไม่กลับกำเริบ เสถียร โดยเฉพาะสิ่งที่ดีแล้ว สิ่งที่ประเสริฐแล้ว สิ่งที่อาศัยได้ดี อย่างที่ชาวอโศกเราได้ เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 12:01:23 )

สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเป็นไปไม่ได้ แล้วจะให้อะไรมาเป็น

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้ทางออก ทางออกมันจำนนว่า มันได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และทางเทวนิยมเขาก็จำนนว่า ดีที่สุดคือสุข ดีที่สุดคือทั้งรู้และฉลาด ให้เป็นพระบุตร เป็นลูกพระเจ้า เพราะลูกพระเจ้านี้คือมนุษย์ พระบุตรคือมนุษย์เกิดมาเป็นคน 

แต่พระเจ้าหรือพระบุตรก็ยังฉลาดน้อย ไม่รู้ว่าคนนั่นแหละคือคน คนไม่ใช่สิ่งประหลาด แต่พระบุตรถือว่าตัวเองเป็นผู้ประหลาด เป็นลูกพระเจ้าไม่ใช่คนนะ เพราะฉะนั้นพระศาสดาที่เรียกว่าพระบุตร แต่ละองค์ ศาสนิกของเขาไม่ได้นับว่าเขาเป็นคนนะ นับว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นพระบุตร คนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร คนแต่ละคนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร พระบุตรเป็นลูกพระเจ้า จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ เพราะพระบุตรไม่ใช่คน ดี รู้ ประเสริฐ แต่คนไม่มีสิทธิ์เป็นน่ะ 

นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่ามันไม่ใช่ คนเป็นได้ในสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเป็นไปไม่ได้แล้วจะให้อะไรมาเป็น ให้พระเจ้ามาเป็น แล้วไหนล่ะพระเจ้าแสดงตัวหน่อยสิ เขาก็อ้างว่าพระบุตรนี่แหละไงคือลูกพระเจ้าแสดงตัว แล้วแสดงตัวว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้วบอกว่าคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้แล้วมาแสดงทำไม แสดงแล้วก็บอกว่าเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ มีไหมศาสดาที่สอนให้คนเป็นอย่างพระบุตรได้ มีไหม... มี ศาสนาพุทธไง สอนให้คนมาเป็นอย่างพระบุตรได้ พระบุตรเป็นลูกพระเจ้าหรือเป็น DNA ของพระเจ้ามาเกิดได้เลยของพระพุทธเจ้าได้หมดถึง DNA เป็นพระเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2566 ( 15:20:55 )

สิ่งที่ดีที่สุดในมนุษย์และเป็นสังคม มันคืออย่างไร

รายละเอียด

สรุปแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดในมนุษย์และเป็นสังคม สรุปสั้นๆแค่นี้ มันคืออย่างไร มันเป็นไปได้จริงขนาดไหน ท่านรู้หมดเลย อ๋อ.. สุดยอด และเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด ต้องดูในบรรดาศาสตร์ต่างๆ พระพุทธเจ้ารู้ศาสตร์ต่างๆในยุคพระพุทธเจ้ามี 18 แขนง ในตักศิลา ท่านก็เรียนรู้ครอบคลุมหมดแล้ว ทุกวันนี้แตกแยกย่อยไปอีกมากมายแต่ที่จริงอัดเข้าแกนไม่ออกนอก 18 ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่ศึกษาอยู่ในตอนโน้น

เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้ค้นคว้า พยายามค้นหาสิ่งที่ดี สิ่งที่สุดสูงที่สุด สุดยอดที่สุด ตั้งแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสัจธรรม มันคืออะไร จนกระทั่งประสบผลสำเร็จในการตรัสรู้ อะไรเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ อะไรดับไป จนกระทั่ง รู้จบ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จบ ศึกษาแล้วและทำได้เรียกว่า จบกิจ ก็มีรอบแห่งผลขนาดอรหันต์ อรหันต์ในระดับอรหันต์ ซึ่งเป็นอาริยบุคคลระดับ 4 เป็นรอบแรก 

อรหันต์ คือ ผู้ที่ อรหะ + อันตะ 

อรหะ คือ ไม่ลึกลับแล้ว รหะ รโห แปลว่า ลึกลับอยู่

อรหะ ไม่ลึกลับแล้ว และความลึกลับแล้วที่สุดคือมีความเป็นอันตะ สิ่งเล็กๆเรียกด้วยศัพท์ว่า อรหันต์ คือ อรหะ กับ อันตะ

รอบที่ 1 ของผู้ที่จบอรหันต์คือผู้ที่รู้ว่าชีวิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนี้ ไม่ต้องไปหลงสุขหลงทุกข์ หมดทุกข์หมดสุข แล้วทำความดีได้ถาวรเที่ยงแท้ต่อไป บรรลุแล้ว 

สุดท้ายแล้วธาตุจิตนิยามหรือธาตุวิญญาณของตน เมื่อตายแล้ว กายัสเภทาปรัมมรณา ก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้เลย หมายความว่า ตายแล้ว เลิก หมุนเวียนเกิดมาในกาละหรือ ในวัฏสงสารนี้อีกได้เลย แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม หมดความเป็นวิญญาณ หมดความเป็นจิตนิยามของตนเองได้ อย่างนี้เป็นต้นและพิสูจน์ได้เช่นคุณจะไม่ไปในโลกของอบายมุขตั้งแต่เป็นๆ ความเป็นโลกที่หมุนเวียนเสพต้องเกี่ยวต้องเกาะอยู่ จนกระทั่งคุณไม่ต้องเสพ ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์กับอย่างนั้นแล้ว นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว โง่ด้วย แล้วจะไปทำทำไมต้องหมุนเวียนไปโง่ทำไม ใครเคยโง่มาบ้างแล้วบ้าง 

พวกเราต้องเข้าใจว่า เราเคยโง่กันมาก่อนทั้งนั้น เราหลุดพ้นความโง่มาเป็นคนฉลาด หลุดพ้นความโง่มาได้จริงๆ พ้นจากอันนั้นมาจริงๆ 

อาตมาว่าความรู้ที่อาตมานำพามาสอน นำมาจากพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่เยี่ยมยอดไปกว่านี้อีกแล้ว อาตมาเกิดมาในยุคนี้ เป็นธรรมิกราชแท้ๆ  มีรัชกาลที่9 เป็นธรรมิกราชอีกองค์ ท่านก็รับทำตามฐานะของท่าน ท่านก็ทำไปแล้ว ก็ได้ประมาณนั้น เป็นรากฐานไว้ 

อาตมาก็พยายามที่จะนำพาให้มาเป็นโลกุตรบุคคล อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนอย่างชาวอโศกนี้ให้ได้ ให้คนสัมผัสได้ ให้คนมาเรียนรู้ได้ ตั้งแต่ที่จิตเป็นพฤติกรรมเป็น แล้วก็รวมหมู่รวมกลุ่มกันอยู่ เป็นสังคมมนุษยชาติด้วย ให้คนอื่นเขาได้มายืนยันว่า คนอย่างนี้ก็มี สังคมอย่างนี้ก็มี พฤติกรรมอย่างนี้ก็มี แนวคิดอย่างนี้ก็มี เป็นไปได้ด้วยหนอ พิลึก ประหลาด วิเศษ

มหัศ จอ ร หัน การันต์ ย. มหัศจรรย์ ภาษาบาลีก็ไม่ใช้ ร หัน ใช้ อัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 19:02:27 )

สิ่งที่ตรงกันในคอนเซป ในความเข้าใจมีภูมิปัญญาตรงกัน

รายละเอียด

เมืองไทยมีสิ่งที่เชื่อมต่อกันอยู่ สายใยที่เชื่อมต่อกันอยู่มันมีใกล้มีชิด มันเป็นคนไทยด้วยกันก็ใกล้ชิดกัน ชาวอโศกเป็นคนไทยส่วนนอกเขา ชาวอโศกที่พบหน้าโพธิรักษ์อยู่ทุกวัน กับชาวอโศก กับลุงตู่ก็ไม่ค่อยเจอกันหรอก แต่ลุงตู่ไปพบประชาชนส่วนใหญ่นั้นเยอะ แต่ไม่ได้มาพบกับชาวอโศก ชาวอโศกที่ไปพบกับลุงตู่ก็มี รุณ ฟางรวงทอง อำนาจ หมายยอดกลาง อย่างนี้ นอกนั้นก็ไม่ได้พบเจอลุงตู่ แต่ก็ไม่มีปัญหา สิ่งที่ตรงกันในคอนเซปในความเข้าใจ ให้ความรู้ในองค์รวม มีภูมิปัญญาตรงกัน ใช้ได้ไม่มีปัญหาหรอก ก็ทำไปสู่เป้าหมายนั้นเหมือนกันมันก็จะมาสู่สิ่งเดียวกัน ถ้าในแนวทางของความคิดไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ เส้นทางสายหนึ่ง สายเดียวสายที่เป็นสัจจะเดียวกัน ซึ่งอันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบแล้ว

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 13:17:12 )

สิ่งที่ตรงกันในคอนเซปในความเข้าใจมีภูมิปัญญาตรงกัน

รายละเอียด

คือ เมืองไทยมีสิ่งที่เชื่อมต่อกันอยู่   สายใยก็เชื่อมต่อกันอยู่มันมีใกล้มีชิด  มันเป็นคนไทยด้วยกัน ก็ใกล้ชิดกัน  ชาวอโศกเป็นคนไทยส่วนนอกเขาชาวอโศกที่พบหน้าโพธิรักษ์อยู่ทุกวัน  กับชาวอโศก กับลุงตู่ก็ไม่ค่อยเจอกันหรอก  แต่ลุงตูไปพบประชาชนส่วนใหญ่นั้นเยอะ  แต่ไม่ได้มาพบกับชาวอโศก  ชาวอโศกที่ไปพบกับลุงตู่ ก็มี  รุณ ฟางรวงทอง   อำนาจ   หมายยอดกลาง  อย่างนี้  นอกนั้นก็ไม่ได้พบเจอลุงตู่ แต่ก็ไม่มีปัญหา  สิ่งที่ตรงกันในสู่เป้าหมายนั้นเหมือนกัน  มันก็จะมาสู่สิ่งเดียวกัน  ถ้าในแนวทาง ของความคิด  ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ  เส้นทางสายหนึ่ง   สายเดียวที่เป็นสัจจะเดียวกัน  ซึ่งอันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ทรงค้นพบแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 77 บ้านราช  วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:14:38 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:08:05 )

สิ่งที่ตัดสินใจคือพระไตรปิฎก

รายละเอียด

ใครล่ะ จะเป็นผู้ตัดสินถูกหรือผิดอีก สิ่งที่จะตัดสินคือพระไตรปิฎก ในขณะนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อรรถกถาจารย์ก็เอามาใช้ไม่ได้ ต้องเอาพระไตรปิฎกเอาพุทธวจนที่ดีๆ หรือแม้แต่พระเถระที่เกิดร่วมยุคพระพุทธเจ้าแล้วบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในฐานะของพระเถระสมัยพระพุทธเจ้า แล้วมาบันทึกในพระไตรปิฎกเรียกว่าอรรถกถาจารย์ อาจาริยวาท ก็ต้องเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วคนที่รังเกียจเถระวาทะ คนนั้นก็อัตตามานะใหญ่เกินไป คำของเถรวาทะในพระไตรปิฎกไม่ใช่อรรถกถาจารย์ ซึ่งอรรถกถาจารย์นั้นอาตมาไม่ใช้เลยอาตมาใช้แต่พระไตรปิฎก ที่มีคำสอนพระพุทธเจ้าโดยตรงและมีคำพูดของพระเถระ พระเถรี ในยุคพระพุทธเจ้าที่บันทึกมาในพระไตรปิฎกใช้ได้หมด ผู้ที่ทำการสังคายนาก็รวบรวมมาอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่นับคุณจะเอาแต่ของพระพุทธเจ้าก็ได้ไม่เป็นไร คุณก็แคบไปไหนเท่านั้นเอง พระเถระเถรีก็มีแง่เชิงอธิบายไปพระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 รูปรับรองกันแล้ว คุณจะเก่งกว่าพระอรหันต์ 500 รูปนั้นหรือ…คุณไม่เก่งกว่านั้นหรอกอย่าไปอวดดีเลย อาตมาทำงานมา 50 ปีขอยืนยันว่า อาตมาทำงานตรวจสอบได้ตามพระไตรปิฎก แล้วอาตมาก็เอามาอ้างอิงยืนยันเสมอว่าอาตมาพาคนมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จนได้รับผลสำเร็จมีมรรคผล เกิดเป็นสังคมหมู่กลุ่ม ที่เอาหลักเกณฑ์ตามวรรณะ 9 ก็ดี สาราณียธรรม 6 ก็ดีหรือเอาสูตรต่างๆ ศีล ศรัทธา จรณะ15 วิชชา 8 ยิ่งดีใหญ่เลยเอามาตรวจสอบว่าทำถูกหมายตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าไหม พูดกันอย่างดีๆตั้งใจฟังกันดีๆ อาตมาว่าอาตมามั่นใจว่าอาตมาพาทำในสิ่งที่ถูกต้องดีมาแล้ว จนกระทั่งถึงขั้นทุกวันนี้ อาตมาก็ยิ่งมั่นใจใหญ่เลยว่า มีบุคคลฟังรู้เรื่องมากขึ้นเข้าใจแล้วก็เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็ได้สัมมาปฏิบัติกัน มีสัมมาปฏิเวธกัน ได้มรรคผลไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม ที่ปรากฏอยู่ในสังคมมนุษย์ขณะนี้

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันท์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:52:31 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:08:49 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:58:56 )

สิ่งที่ถูกต้องนั้นเหนือกว่าสิ่งที่เป็นส่วนใหญ่

รายละเอียด

ผมเคยอธิบายโดยอ้างว่า ถ้าสมมุติว่าคนทั้งโลกนี้เขาเอาอย่างนี้ กับพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนี้ คุณจะเอาตามคนทั้งโลก หรือคุณจะเอาตามพระพุทธเจ้า ก็เคยอธิบายและยกตัวอย่าง คนที่เข้าใจศรัทธาพระพุทธเจ้าก็ต้องเอาตามพระพุทธเจ้าสิ จะเอาตามคนทั้งโลกทำไมที่เป็นปุถุชน เขาไม่รู้ไม่ได้มีสัจจะอะไร ต้องฟังพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว สิ่งที่ถูกต้องนั้นเหนือกว่าสิ่งที่เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรๆผมก็เหนือกว่าส่วนใหญ่ เพราะเขานับถือกัน แม้ผมจะไม่ถึงพระพุทธเจ้ามันก็เป็นสัจจะ อยู่ที่ปัญญาคุณจะยอมรับ ยอมรับหรือไม่ยอมรับมันก็มีปัญญาเป็นตัวตัดสิน

ที่มา ที่ไป

610613 ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ(พ่อครูมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้หมู่)วันที่ 13 มิถุนายน 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน สามัคคีคือขัดแย้งอันพอเหมาะ 


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:19:44 )

สิ่งที่ทรงไว้เป็นแก่นชีพ

รายละเอียด

ธรรม  

หนังสืออ้างอิง

จากคนจะมีธรรมะได้อย่างไร / เราคิดอะไร ฉ.287


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:04:38 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:44:09 )

สิ่งที่พระพุทธเจ้า ให้ความสำคัญ

รายละเอียด

ท่านเกิดมากี่ชาติกี่ชาติก็เรียนรู้เรื่องคน เรื่องสังคมมนุษย์ เรื่องอื่นจะเป็นเรื่องอะไร ท่านก็เรียนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายท่านก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรสำคัญในความเป็นมนุษย์ที่เกิดมา ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการเรียนรู้ความโลภโกรธ หลง แล้วละลดสิ่งนี้ให้หมด เมื่อสิ่งนี้หมดไปคุณจะอยู่กับโลกหรือคุณจะเกิดกับโลกไปอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2566 ( 12:45:14 )

สิ่งที่พ่อครูพาทำเป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปา

รายละเอียด

คนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่อาตมาพาทำว่าเป็นสิ่งที่เป็น โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปา อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจเสียใจ แต่ก็หยิบเอามาตรวจสอบที่เขาท้วงมาก็เข้าใจเขา ก็ตรวจสอบว่าเป็นอย่างที่เขาว่าไหม เป็นไปเพื่อตัวตนเป็นกิเลสตัวเองแค่ไหน อาตมาก็ตรวจดูนะว่าไม่มี ทำเพื่อให้เกิดผลแก่มวลมนุษยชาติ แล้วก็พาให้สังคมช่วยกันลดกิเลสด้วย อาตมาพาไปประท้วงต่างๆเพื่อช่วยกันลดพิเศษด้วยนะซึ่งได้ผลจริงๆ ไม่ใช่ไม่เกิดผล 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:11:04 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:57 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:15:38 )

สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิตนั้นแหละ คือกิเลส

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นก็รู้กรอบ   รู้ขอบเขตของเหตุปัจจัยที่เราจะอาศัยใช้สอย อย่างชาวอโศกเราได้เรียนรู้สิ่งที่มันเฟ้อมันเกิน ที่อาตมาเคยบัญญัติเคยพูดไว้ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิตนั้นแหละ คือกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่กำหนดได้ ว่าสิ่งใดฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิตก็ไม่เอาก็เลิกมาได้แล้วจนมันยังมีเหลือเท่าไหร่คุณก็คือเหตุปัจจัยของคุณที่ไม่ปรุงแต่ง เขาจะมีในโลกเขาจะปรุงแต่งเพิ่มเติมสร้างหลอกเข้ามาอีกมันไม่หยุดหรอก ทุกวันมันสร้างสิ่งหลอกขึ้นมามากมาย แต่เรารู้แก่นแท้เนื้อแท้เช่นมันสร้างขึ้นมาแล้วเราก็จำเป็นจะต้องอาศัยใช้ของเขาด้วย เขาสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเราก็อาศัย เขาสร้างแว่นตาขึ้นมาเราก็อาศัยใช้สอยให้เป็นประโยชน์ ที่จะทำประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่มีเราก็เข้าใจแล้วว่าเราไม่มีก็ไม่มีปัญหา เพราะมันเป็นความจำเป็นของชีวิต น้อยเท่าใดไว้สังขารให้แก่เราได้คนนั้นก็จบ พระพุทธเจ้าบอกว่าปัจจัย 4 ที่อนุโลมบริขาร 8 ข้าวเสื้อ ผ้า ยา บ้าน ก็กำหนดในนักบวช ส่วนฆราวาสก็ต้องมีมากกว่า ชาวนาก็ต้องมีจอบบมีเสียมมมีไถมีวัวควายอะไรเป็นบริขาร จะไปกำหนดเขาได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:27:43 )

สิ่งที่มนุษย์ควรจะมีควรจะเป็น

รายละเอียด

ดี มีน้ำใจ อาตมาเองระลึกถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านมีพระปรีชาสามารถในความรู้ความฉลาดที่ยิ่งใหญ่ ที่เข้าใจความเป็นคน เข้าใจความเป็นสังคมมนุษย์ เข้าใจถึงพฤติการณ์ ที่มนุษย์ควรจะมีควรจะเป็น อันนี้เป็นความตรัสรู้สิ่งที่สุดยอดในเรื่องของอะไรก็แล้วแต่ เกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีความรู้อะไรที่จะยิ่งยอดกว่านี้ 

สำคัญที่สุด ยิ่งยอดที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตนมา จนกระทั่งได้เป็นผู้ที่ท่านตรัสรู้แล้วว่าสุดยอดแล้วในความเป็นคน ไม่มีความสูงไม่มีความเจริญของในความเป็นคน และเป็นความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณเป็นความตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่ 

และท่านก็ได้สิ่งนี้เป็นสิ่งนี้เป็นที่สุดชีวิตสุดท้าย ของพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทำงานเรื่องนี้เป็นสำคัญ ไม่ทำงานเรื่องอื่น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความรู้เรื่องอื่นหรือไม่มีความชำนาญในเรื่องอื่น ท่านชำนาญหมด ในความเป็นพระพุทธเจ้านี้ ความรู้ความสามารถที่มนุษย์พึงมีพึงเป็นทุกแขนง ทุกแบบ ทุกทฤษฎี ท่านรู้หมด เท่าที่โลกเขามีในยุคนั้นที่ว่ามีสำนักตักกศิลา ที่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยของโลกในยุคโน้น ท่านเรียนหมดจบหมด ได้เกียรตินิยมหมดทุกแขนง สุดท้ายท่านมาเอาอย่างเดียว

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 16:40:37 )

สิ่งที่มนุษย์พึงรู้ที่สุดคืออะไร

รายละเอียด

เกิดมาก็เพื่อแสวงหาความรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย พระโพธิสัตว์ก็พอรู้จบพระอรหันต์แล้ว ก็จะรู้จักความรู้ สิ่งที่มนุษย์พึงรู้ที่สุด มันมีอยู่อันเดียวคือ อริยทรัพย์ อริยสัจ 4 สัจจะของผู้ประเสริฐ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 18:56:45 )

สิ่งที่มนุษย์อาศัยสูงสุดคืออาหาร

รายละเอียด

ประเทศไทยนี้ไม่รวย นอกจากไม่รวยแล้วเข้าใจสิ่งที่เป็นอจินไตยลึกซึ้งด้วย มาจน นอกจากไม่รวยแล้วไม่แย่งรวย พากเพียรมาเป็นคนจนที่มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถขยันสร้างสรรสิ่งที่มนุษย์อาศัย สิ่งที่มนุษย์อาศัยสูงสุดคือ อาหาร นอกจากอาหาร ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น อาหารคือ กวฬิงการาหาร นี่แหละ สิ่งที่จะกินเข้าไปเลี้ยงสังขารขันธ์ 

ย่อสรุปลงมาแล้วชีวิตก็มาจบที่ กวฬิงการาหาร แม้แต่ในอาหารคำข้าวนี่เอง คนที่โง่ คุณต้องกินอาหารที่เป็นอาหารธาตุเป็นข้าวกับกับข้าวไปเลี้ยงขันธ์ คนที่ไปโง่กว่านั้น ติดสิ่งเสพติดยิ่งกว่าข้าว ได้เสพสิ่งเสพติดแล้วไม่ให้กินข้าว อยู่ได้ พออยู่ได้แบบลำลองเดี๋ยวก็ตาย เช่น พวกติดน้ำมันเบนซิน มันกินแต่น้ำมันเบนซินมันไม่ค่อยกินข้าวเลย เคยเห็นไหมเคยได้ยินข่าวรู้เรื่องไหม กินน้ำมันเบนซิน แล้วเขากินวิธีไหน เขามีผ้าชุบน้ำมันเบนซินแล้วมาดูด กิน มันก็เลี้ยงขันธ์ได้ แต่ไม่นานก็ตาย เพราะไม่ใช่อาหารที่แท้จริง มันลึกซึ้งละเอียดจนกระทั่งอาตมาว่า แล้วเบนซินเข้าไปสังเคราะห์ร่างกายสรีระของเขา ก็คงใช้อันนี้เป็นอาหารเป็นธาตุที่จะปรุงแต่งกันได้ นี่มีคนที่กินเบนซิน มีข่าวคราวอาตมาก็จำได้ คนไทยนี่แหละ ก็ประหลาดที่สุด อายุไม่ยืนหรอก 

บางคนไม่กินเบนซินไม่กินข้าวมากหรอก กินแต่หมากกับพลู เขาก็ถือว่าหมากพลูไปเลี้ยงขันธ์ เหมือนกับเบนซินไปเลี้ยงขันธ์ หมากพลูก็น่าจะเลี้ยงขันธ์ได้มากกว่าเบนซิน ก็เลยพอไปได้ จะลึกซึ้งเข้าไป ที่จริงเขาก็ไม่ได้กลืนกินเข้าไปทีเดียวแต่มันซึมเข้าไป อาจจะกลืนบ้างนิดๆหน่อยๆ กลืนเป็นน้ำหมาก เป็นธาตุน้ำ ไหลซึม กลืนเป็นน้ำหมากไป โดยเขารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ก็คงจะเอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามแต่ เราไม่ได้ติดยึดอย่างเขา เราก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ที่ยกตัวอย่างเพราะมันมีจริงในคน เขาติดกินหมากกินพลูมากกว่ากินอาหารกินข้าวกับกับกับแกง กินมันทั้งวัน กินมากไม่หยุดไม่หย่อน กินอาหารพวกนี้ก็พอยังขันธ์ไป ถ้าเขาเลิกอาหารกินแต่หมากพลูก็จะอายุสั้นเหมือนพวกกินเบนซิน แต่พวกกินเบนซินก็กินข้าวน้อยมากแล้วมันก็ตายเร็ว เพราะไม่ใช่ของไปเลี้ยงขันธ์

คนเรารู้จักสิ่งที่เป็นสารสังเคราะห์กันในตัวเรา แล้วรับมาอย่างสมดุล แล้วทำให้สังขารขันธ์ ดินน้ำไฟลม มันสังเคราะห์กัน สังขารกันอยู่ ปรุงแต่งกันอยู่ ได้สัดส่วน ได้สมดุลอยู่ไป ให้ยืดยาว ขาดอะไรก็เติมตามที่จะมีความรู้เรียกว่าโภชนาการ เติมให้มันสมดุล อย่างอาตมาก็พยายาม มีคนช่วย พยายามรู้ บางทีรู้เกินความจริงด้วย อาตมาก็ว่าเราขาดอันนี้หรือ เขาก็เอามาให้จัง มันอยู่ที่ตัวเราตัดสินสุดท้ายว่าเราจะเอาเข้าเนื้อเข้าตัวเราแค่ไหนอย่างไรหรือไม่ 

ก็มีสิ่งที่จะเอามาไว้ในตัว สังเคราะห์สังขารตัวเองไม่มากเลย น้อย อาหารที่จะกินเข้าไปสังเคราะห์ บอกแล้วผ้านุ่งก็ไม่หนักหนาไม่ยากเลย ยิ่งที่อยู่และยารักษาโรค ยารักษาโรค มันก็ตอนจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง ที่อยู่ที่พักก็บอกไปแล้วบนน้ำบนดิน ก็อาหารการกินนั่นแหละ กินสังเคราะห์ร่างกายไป 

เพราะฉะนั้นคนเรามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปมีเพชรพลอย ไม่ต้องไปมีทองคำ มีธนบัตรอะไรมากมาย แต่เราทำได้ ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารได้อุดมสมบูรณ์มากมายมีความรู้ ซึ่งคนทุกคนไม่ว่าคนในประเทศไหน ภาคไหน ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ภาคกลาง  ทะเลทรายหรือน้ำแข็งก็แล้วแต่ ก็ต้องกินอาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหารได้ทั้งนั้น 

แม้แต่คนขั้วโลกเหนือกินแต่เนื้อสัตว์เป็นหลัก ให้เขากินพืชพันธุ์ธัญญาหารแทนเนื้อสัตว์ เขาก็จะอายุยืนมากกว่าที่เขากินแต่เนื้อสัตว์ แต่เขาไม่มี เขาก็จำนน ต้องกินเนื้อสัตว์ กินปลากินปู แต่ว่าปูอยู่ในน้ำแข็งมีไหม 

สรุปแล้วเราอยู่กับเครื่องอาศัยที่ภาษาบาลีเรียกว่า อาหาระ เราต้องมีอาหารกิน เรียกว่าอาหารบริโภค เครื่องใช้เราเรียกอุปโภค เครื่องกินเราเรียกว่าบริโภค 

เราก็มีเครื่องกินเครื่องใช้มีจานชามส้อมกระดาษ คอมพิวเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ พวกนี้กินไม่ได้หรอก มันเป็นเครื่องใช้ก็แยกกันได้ แยกเป็นเครื่องกินกับเครื่องใช้ 2 อย่างก็มีอาศัยอยู่แค่นั้นแหละสุดท้าย เครื่องใช้ก็พัฒนาการกันสร้างกันจนกระทั่ง จนจะกลายเป็นสิ่งวิเศษ อย่างเช่นคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งวิเศษแล้ว ในคอมพิวเตอร์มีอีกสารพัดชื่อ มันทำอะไรได้พิลึกพิลือเก่ง ก็ว่ากันไปทางด้านวัตถุ ทางด้านพืชก็ว่ากันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 27 จนเป็นที่ 1 ในโลก แต่สร้างอาหารช่วยโลก วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2565 ( 15:02:51 )

สิ่งที่มีคือ 1 เสร็จแล้วแล้ววางคือ 0

รายละเอียด

แต่พวกเราเข้าใจแล้วนิพพานทุกอย่างมันเป็นสมมุติ เรามาอาศัยกันและกันเท่านั้น เมื่อเข้าใจแล้วหมดทุกอย่าง ก็ไม่ต้องอาศัยกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะอยู่ เราก็อยู่อย่างมีประโยชน์ต่อคนอื่น ส่วนเรานั้น ไม่ลิ้มไม่เล็มแอบเสพ อยู่กลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงคือ 1 สิ่งที่มีคือ 1 เสร็จแล้วแล้วก็วางคือ 0 แต่ถ้าสูญมากมันก็ลืม อ้าวก็จำไว้บ้าง มันก็เลยเหมือนสิริมหามายา แล้วจะจำไว้หรือจะลืม ถ้าเราจะยังอยู่ อย่างเช่นอาตมาเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ทิ้งหมดต้องจำให้ได้มากๆด้วย แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอาตมารู้แล้ว ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เป็นเรื่องที่เราจะต้องเป็นของถาวรนิรันดร เป็นสิ่งที่สุดท้ายคุณก็ต้องวางหมด ทิ้งหมด มันไม่มีอะไร อนัตตา มันสูญไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนมันกระจายหมด นี่เป็นความซับซ้อน หากมีต้องแข็งแรงอย่างเร็วอย่างกว้างอย่างมากด้วย มันต้องมี มีให้มาก หมดให้หมด ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ภาษามันมีแค่นั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 10:19:29 )

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมนุษย์คืออะไร...?

รายละเอียด

"กำลังปัญญา" นี้แหละที่เป็นตัวสำคัญยิ่งยวดยิ่งใหญ่ของ "อัตภาพ" หรือของ "ชีวะ" แห่งสัตว์โลกที่ถึงขั้น "มนุษย์"

"กำลังปัญญา" นี้แหละที่เป็นตัวสำคัญยิ่งยวดยิ่งใหญ่ของพลังงาน ซึ่งเป็น "จิตนิยาม" และได้พัฒนาเป็น "จิต" ที่ถึงขั้น "อมตะ" ได้

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 73


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2562 ( 13:29:59 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:20:33 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:15:55 )

สิ่งที่ศาสนาอื่นคงเข้าถึงไม่ได้

รายละเอียด

วิชชาจรณสัมปันโน เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ศาสนาอื่นเข้าถึงไม่ได้ แล้วก็ขอพูดถึงคุณสุเทพ ไม่ได้มีโอกาสจะไปงานศพ ก็ส่งข่าวคราวว่าอาตมาระลึกถึงอยู่ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 13:47:02 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:43 )

สิ่งที่อรหันต์ทุกองค์ทำได้

รายละเอียด

ถ้าเราไม่ อุปาทาน ไม่ยึดมันไว้ มันก็สลายกันไป ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลย อาตมาว่าอาตมารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบอย่างนี้ แล้วก็ได้ฝึก ได้เรียน ได้ปฏิบัติมาจนทำได้ แล้วก็เลยมาเป็นโพธิสัตว์ต่อ อรหันต์ทำได้ทุกองค์ 

เพราะอรหันต์จะเป็นอรหันต์ต้องชัดเจนที่ว่า เราสามารถทำอุเบกขา ทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสได้จริงๆ แม้จะไม่เข้าใจพยัญชนะอย่างที่อาตมาพูด ไม่เข้าใจถึงธรรมนิยาม 5 ไม่เข้าใจอุตุพีชะ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร แต่ทำจิตอุเบกขาได้จริงๆเลย ไม่มีกิเลสในจิตได้จริงๆเลย รู้แล้วก็อ่านจิตอ่านเวทนา อ่านการปรุงแต่ง สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้การปรุงแต่ง อ่านรู้เมื่อสัมผัสมันปรุงแต่งกันกิเลสเกิดจากหยาบ เราก็เรียนรู้ด้วยปัญญา 

ปัญญานี้ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟัน หรือจะใช้ภาษาว่า ฆ่า จะใช้ภาษาว่า เผา ด้วยฌานอะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นพลังฤทธิ์ของปัญญา ซึ่งเป็นพลังงานไฟต่อจากฌาน หรือเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ที่อาตมาพูดไปนี้เป็นภาษาของอาตมา ไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหรอก เพชฌฆาตมือสุดท้ายก็ไม่มี แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดผิด ถูกต้องยืนยันว่าเป็นของจริง ที่พูดนี้เพราะมีสภาวะ ทำได้ จึงเอามาพูด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 16:08:37 )

สิ่งที่อาศัยเหมือนมีพระพุทธนิมิต

รายละเอียด

มันเป็นสิ่งที่อาศัยเหมือนพระพุทธเจ้ามีพระพุทธนิมิต หรือว่ามีเทวดามาเข้าเฝ้าส่องแสงสว่างทั่ววิหารเชตวันอย่างนี้เป็นต้น เป็นการเปรียบเทียบหรือบอกแจ้งแก่กันและกัน อะไรต่างๆนานา มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดภาวะรู้อะไรเคลื่อนที่ รู้อะไรขึ้นมาใหม่หรือเคลื่อนที่อะไรขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ถ้าอยู่นิ่งหยุดไปก็อยู่ที่เก่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อมีอะไรเคลื่อนที่ขยับ แต่การขยับของพระพุทธเจ้ามีแต่การขยับขึ้นสู่ความเจริญ ผู้ที่ไม่รู้ขยับ 2 อย่างมันก็เสื่อมได้ แต่ของพระพุทธเจ้า 2 อย่างมันสังเคราะห์กันสัมผัสกระทบกันมันจะเกิดการสังขารปฏิสังเคราะห์กันขึ้นมา เป็นสิ่งที่สูงขึ้นเจริญขึ้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 09:34:31 )

สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริงในยุคนี้

รายละเอียด

เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริง นายทุน ยุคนี้มีความชัดเจนมากก็เกิดอยู่จริง 

ศักดินาซึ่งเป็นแกนหลักของมนุษยชาติตั้งแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีความสำคัญยังเป็นจริงอยู่ แต่คนจะไปเปลี่ยนแปลง จะไปถอนรากถอนโคนสิ่งนี้ไม่ให้เหลือ ทุกคนจะต้องเสมอภาค ทุกคนจะต้องเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นความเพ้อเจ้อ เป็นความฝันลมๆแล้งๆ เป็นเรื่องความต้องการที่แส่หาขึ้นมา 

เพราะฉะนั้นความแตกต่างต่างๆพวกนี้ ก็มีนักวิชาการ นักวิชา นักรู้ นักศึกษาต้องชัดเจนต้องละเอียดและนักวิชาการนี้ ก็จะลงไปทำงานเรียกว่า ข้าราชการอีกทีหนึ่ง พวกที่จะเป็นข้าราชการส่วนมากเป็นนักวิชาการ แต่ทีนี้นักวิชาการก็ยังมีกิเลสโลกธรรม ก็ไปคบกับนายทุน ก็พยายามสะสมรายได้ ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่างๆ แบบโลกธรรม ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น เอาไปเอามา นายทุนก็ผยองหรือนักวิชาการสมคบกันเข้า ผยอง ก็จะทำให้ผิดธรรมชาติ จะไปล้มศักดินา ก็อย่างที่เป็น ก็ซับซ้อนวนเวียนอยู่อย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 18:48:28 )

สิ่งที่เกิดคือคุณวิเศษ คือปาฏิหาริย์ คือกุศลจิต!

รายละเอียด

คนผู้มีพลังจิตแบบ“อยู่เหนือ(อุตตระ)”นี้เป็น“คุณวิเศษ” คือ“อุตตริมนุสสธรรม”แบบพุทธ ที่ได้เรียนรู้ความเป็น“โลก”และความเป็น“อัตตา”ตาม“พระอนุสสาสนี”ชนิดที่เป็น“ปาฏิหาริย์”

“ธรรมะ”ที่มีสภาวะ“อยู่เหนือ”นี้ จะไม่ใช่“ภาวะของอกุศลจิต”เป็นอันขาด แต่เป็น“ภาวะของกุศลจิต”โดยแท้ถ่ายเดียว และเป็นความ“อยู่เหนือ”ชนิดที่มี“โลกุตรธรรม”แท้จริงด้วย

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 115 หน้า 112


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 21:10:31 )

สิ่งที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทุกข์เป็นไม่มี

รายละเอียด

ทุกสิ่งที่เข้าไปยึดถือไม่ทุกข์เป็นไม่มี อย่างพ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ต้องยึดสภาพที่ทำงานศาสนาอยู่ไปพ่อครูก็ต้องเป็นทุกข์แต่เป็นความทุกข์ที่เป็นทรถ ต้องทนทำ เหน็ดเหนื่อยอุตสาหะพากเพียรต้องใช้พลังงานแคลลอรี่จริงๆอย่างนี้เป็นต้น เป็นสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 66  วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:00:05 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:23:41 )

สิ่งที่เที่ยงแท้คือ นิพพานสมบูรณ์แบบไม่มีอะไรทำให้เสื่อม

รายละเอียด

คุณภาพ อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นคุณภาพที่ถูกต้อง ถ่องแท้ ไม่ผิดเพี้ยน จะมีผิดเพี้ยนก็ตามฐานะของบุคคลที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง ถ้าทำเต็มที่แล้วไม่มีใครมาทำให้โลกุตระธรรม หย่อนข้อแล้ว อาตมาว่าไม่มีใครหรอก นอกจากพวกเราแล้วไม่มีใครทำ เพราะถ้าเราทำโลกุตรธรรมให้เต็มเป็น
อรหัตตผล แล้วเราอนุโลมหย่อนข้อแต่ตอนนี้ยังไม่เต็ม ก็ยังอ่อนข้อไม่ได้ แม้เต็มแล้วจะอนุโลมปฏิโลม ให้แก่คนอื่น คุณก็ไม่ได้เสีย ความอนุโลมไม่ได้เสีย เพราะสัจจะของพระพุทธเจ้า สิ่งที่เที่ยงแท้คือ นิพพานสมบูรณ์แบบ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) มีแต่จะแแข็งแรงทวีขึ้นๆ หรือว่าคุณภาพจะดีขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ ความจริงแล้วไม่มีอะไรทำให้เสื่อม มีแต่เจริญทั้งนั้น 

นี่เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถือว่าเป็นอุตริมนุสธรรม ถือว่าเป็นคุณวิเศษที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:01:35 )

สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้บริหารประเทศไทยถ้าเห็นความสำคัญในกสิกร เห็นความสำคัญของกสิกรรม พยายามพัฒนากสิกรรมของเรา ให้เจริญ ๆ เอาเถอะ สิ่งอื่นอาศัยในชีวิตบ้าง อุตสาหกรรมนั้นเราไม่เก่งอยู่แล้ว ก็ยอมรับสิ เราก็ไม่เก่งอันนั้น แต่เราเก่งอันนี้ เราก็ทำอันนี้ให้ยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นของแท้อยู่ใน ภูมิประเทศของประเทศไทย เป็นโซนที่ดี

ถ้าเผื่อว่าพื้นดินของประเทศไทยมีกสิกรรม และก็มีกสิกรที่รักกสิกรรม ปลูกสิ่งกินสิ่งใช้ แม้แต่ไม้ ต้นไม้ใหญ่ก็สร้างขึ้นให้เป็นของอาศัยส่งออกนอก ช่วยเหลือประเทศชาติอื่นๆที่เขามีน้อยมีด้อย เอาอันนี้เป็นตัวเด่น เอาอันนี้เป็นตัวหลัก อาตมาว่าประเทศไทยจะมีค่ามาก อย่าไปเห็นแก่ไอ้เรื่องเงินๆทองๆธนบัตรอะไรยิ่งใหญ่ เอาสาระสัจจะของสิ่งที่สร้างสิ่งที่เป็นผลผลิต สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติ เอาอันนี้สิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 11:01:23 )

สิ่งที่ได้ต้องรักษา สิ่งที่มีต้องทำให้เจริญ!  

รายละเอียด

เพราะหลักเกณฑ์ของพุทธมีทั้ง“การรักษาผล(อนุรักขนาปธาน)ด้วย“อาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมมัง”ทุกการปฏิบัติใน“ปัจจุบัน 36”สั่งสมผลตกผลึกลงไปเป็น“อดีต 36” และทั้ง“ไม่สันโดษในกุศล”  หมายความว่า ความเจริญของกุศลนั้น เพิ่มเติมยิ่งขึ้นๆเสมอไม่ต้องหยุดยั้ง ไม่ต้องทำ“ใจพอ”ในความเป็น“กุศล”!

ความเจริญของประสิทธิภาพจิตแบบพุทธ จึงมีแต่เจริญก้าวหน้าไม่เสื่อมเลย ด้วยประการฉะนี้จริง เมื่อ“พลังแกนตั้ง(ศรัทํธาหรือเจโต)”ที่ตั้งมั่นแข็งแรงเต็มที่ของ“อดีต 36” ร่วมกับ “พลังแรงเคลื่อน(ปัญญา)” ที่เชี่ยวชาญเต็มที่ของ “ปัจจุบัน36” ผนึกกันเป็น“2พลัง”ตั้งมั่นแข็งขันเต็มที่ จึงรับมือกับภาวะ“อนาคต 36”ที่เดินทางมาถึงภาวะ“ปัจจุบันนั้นๆ”ได้แท้จริง สำเร็จแน่ยิ่งกว่าแน่ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 341 หน้า 252


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:43:50 )

สิ่งที่ไม่ควรก็ต้องไม่ให้มี เราก็อยู่กับความควร

รายละเอียด

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี อาตมาอธิบายมามากแล้วจนทุกวันนี้ก็ยังยากเลย เขาก็เข้าใจว่ามันจะต้องเอียงหากไปเข้าข้างข้างใดข้างหนึ่ง เพราะกลางคือความมี กับความไม่มี กลางคือ ความมีกับความไม่มี ผู้จะตัดสินความมีกับความไม่มีก็คือประธาน ก็ต้องมีประธานอันหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าเราเป็นกลาง เราก็ต้องมีประธานไปจัดการ จะให้สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่มีดี สิ่งที่จะให้ไม่มี ก็คือสิ่งไม่ดีหรือชั่วหรือเลวก็ตาม ก็คือภาษาอีกอันคือควรกับไม่ควร สิ่งที่ไม่ควรก็ต้องไม่ให้มี เราก็อยู่กับความควร ทำไมใช้คำว่าควร มีคำว่า ค คือ ดำเนินไป เป็นพยัญชนะในวรรค ก ข ค ฆ ง วรรคต้นเลย เป็น dynamic ส่วน ก คือ static ส่วน  ข นี้ว่าง ก นี่ตัวตั้ง ค คือตัวเดิน ตัว ฆ คือตัวจับตัว ส่วน ง นั้นงกเงิ่น งง ถ้าตัว ง เร็วที่สุดคือ โง วงโค้ง โค้งสั้นที่สุดก็ไวที่สุด เป็น return หรือ loop กลับหันมาใหม่ คือ งอ นี่แหละ งองก หรือโง้ง จะยาวกว่า งก ก็คือไม่ตรง มันจึงต้องกลับมามีวัฏฏะใหม่ ถ้าไม่งอก็ไม่กลับมาเลย ตรงกับงอนั้นคนละอย่าง ควร  ตัว ว ร เป็นเศษวรรค เอาไปรวมเป็น 3 ตัว บางที่สุดแล้วที่จะ dynamic เป็นตัวเดิน ถ้าเรารู้จักสภาวะกับบัญญัติ จะสามารถเข้าใจรายละเอียดที่ไม่เป็นสภาวะหรือบัญญัติแต่เป็นเนื้อแท้ของความจริง ได้ชัดเจนที่สุด ได้ดีที่สุด คมแม่นถูกต้องที่สุดยิ่งขึ้น แต่โลกมนุษยชาติต้องอาศัยภาษา จะมีกี่หมื่นภาษา อาตมาว่าเอาภาษาบาลีนี้สุดยอดแล้ว ทางตะวันตกใช้ภาษาลาติน จะใช้พยัญชนะภาษาสื่อ ก็ใช้เขียนเป็นเส้นออกมา หรือถ้าเป็นภาษาพูดก็อ่านอย่างนี้อย่างนั้น จีนก็เอาเส้นมาต่อ เกาหลีญี่ปุ่นก็เป็นกลมๆ ว่ากันไปแล้วแต่ใครจะสมมุติ ก็รู้กัน ทุกวันนี้ก็ใช้กัน ในสภาวะที่ลึกที่สุด ในพยัญชนะ กับนามธรรมแท้ๆ นี่ ถ้าเราสามารถเข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงธรรมะ 2 มีอธิวจนะกับธาตุรู้แท้เรียก ปฏิฆสัมผัสโส คือตัวสภาพตัวหนึ่งขึ้นมา คือ ฆ เป็นจุด ก้อนอะไรที่ตัวตั้งขึ้นมาแล้ว มีสามเส้า ไป มา กับ 1 คือ ปฏิฆะ เป็นนามธรรมที่มี แต่ถ้าไม่ตั้งชื่อก็ไม่มีอธิวจนะ ผู้สามารถรู้ปฏิฆะ สภาวะที่ตัวเป็นๆตัวตนนี่ คนนั้นก็สามารถที่จะอ่านรู้ ตั้งแต่มันเป็นวัตถุตั้งแต่เป็นอากาศ จนกระทั่งมาจับตัวเป็นน้ำ น้ำอย่างบางเบา อาโปธาตุ จนกลายมา เปสิ ฆนะ ตั้งแต่ ล.15[803] “รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)”

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 23 มกราคม 2564 ( 12:20:39 )

สิ่งที่ไม่ควรให้มีก็ทำให้ไม่มี

รายละเอียด

ตั้งแต่ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา จนกระทั่งถึงตัณหา อุปาทาน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะมีญาณปัญญา มีธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นปัญญา จะสามารถรู้สิ่งเหล่านี้อย่างสัมผัสสภาวะจิตเจตสิกเลย แล้วสัมผัสมีธาตุรู้อย่างไปรู้นามธรรมอาการเจตสิกต่างๆหรือจิตต่างๆเป็นต้น แล้วก็สามารถมีโพชฌงค์ 7 แยกแยะ ธัมมวิจัย แยกแยะออกได้ๆๆ แล้วก็จัดการ โดยมีปฏิภาณรู้ว่าควรจัดการตัวไหนให้มันระงับ ควรจัดการตัวไหนให้มันเจริญ จะทำให้มันระงับหรือให้มันหยุด มันเสื่อม ให้มันไม่มีกลับ ทำให้มันมีคือให้มันเจริญๆยิ่งๆ จะรู้จัก ก็จัดการตามที่เราเห็นว่า สิ่งใดควรทำ ไอ้สิ่งที่ไม่ควรให้มีก็ทำให้ไม่มี สิ่งที่ควรให้เจริญแล้วก็ทำขึ้นไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2566 ( 18:15:11 )

สิ่งที่ไม่ชอบนั่นแหละมันไม่จริง

รายละเอียด

หากว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติกับของกินของใช้ ไม่ได้เรียนรู้การสัมผัสกับของกินของใช้แล้วเกิดกิเลส คุณได้อ่านกิเลสจากการสัมผัสของกินของใช้หรือไม่ ทั้งตากระทบรูป น่ากิน กระทบเสียงแล้วน่ากินได้กลิ่นแล้วน่ากิน รสแตะสัมผัสแล้วน่ากิน หรือสัมผัสภายนอกโผฏฐัพพะ ภายนอกสัมผัสแล้วน่ากิน พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึงคนตาบอด คลำแล้วบอกว่าน่ากิน สัมผัสแล้วน่ากิน เขาบอกได้ เขามีสัมผัสที่ละเอียดลึกซึ้ง เคยตั้งข้อสังเกตว่า ธนบัตรใบนี้ใบละ 100 ใบนี้ 1,000 ใบนี้ 500 คุณรู้ได้อย่างไร ดูแล้วมันก็เท่ากัน สัมผัสก็เหมือนกัน แต่เขารู้ รายละเอียดพวกนี้เป็นเซ้นส์ที่พิเศษ เขาก็ผิดพลาดไม่ได้ ปฏิบัติกับของกิน คุณก็ต้องอ่านสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณมีกิเลสน่ากินหรืออร่อยในการรับรสชาติ ซึ่งรสชาติมันมีในตัวของมันเอง แต่รสเก๊ที่คุณอร่อย ที่คุณชอบ ที่คุณไม่ชอบ ผลัก ไม่ชอบ นั่นแหละสิ่งนั้นแยกให้ออก อ่านอาการจิตคุณให้ออก แล้วพิจารณาเห็นว่า สิ่งที่ชอบไม่ชอบนั่นแหละมันไม่จริงยิ่งกว่าของจริง ของจริงนี้ก็ไม่เที่ยง ปล่อยไว้ ในรูปก็เสีย รสชาติก็เสีย มันก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น ทิ้งไว้จริงๆแล้วก็เน่าเสียหายกินก็ไม่ได้ มันชัดๆอยู่แล้วมันไม่เที่ยงไม่คงที่หรอก หากไปยึดไปติดมันก็เป็นทุกข์ หากพอเหมาะจะสัมพันธ์เอามาใช้ก็สัมพันธ์เป็นครั้งคราว แล้วก็แยกส่วนไปหมด เป็นอนัตตาไม่มีอะไรที่จะไม่สูญสลาย ทุกอย่างสูญสลายหมด ในวาระใดวาระหนึ่ง นอกจากคุณเองไม่มีภูมิปัญญา คุณก็เป็นอัตตานิรันดรของคุณ เป็นเทวนิยม แล้วคุณก็ไม่ได้อยู่ประจำอยู่กับพระเจ้า คุณก็ต้องมาเกิดวนเวียนอยู่นี่แหละ แม้แต่ศาสนาเทวนิยม เขาจะเชื่อว่าตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร แต่ไม่หรอกเขาก็ต้องมาตามวิบาก มีวิบากต้องมาเกิดแล้วมาทรมานหากวิบากไม่ดี ยิ่งไปฆ่าคนแล้วทำถวายพระเจ้า ก็ต้องเกิดมารับวิบาก ดีไม่ดีฆ่าเขาอย่างอำมหิตด้วยแล้วบอก ฆ่าคนถวายพระเจ้า ก็ต้องรับวิบากหรือคู่วิบาก จะไม่ละเว้นคุณ เช่นคุณไปขับเครื่องบินชนตึกคนตายไป 300 คน 3,000 ก็ไม่ละเว้นคุณคุณไม่สูญหรอก ต้องมาเกิดอีกแล้วเจอวิบากกรรม 3000 คนนี้ยกตัวอย่างง่ายๆที่เป็นรูปธรรม แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นกรรมวิบาก เป็นสิ่งที่จะต้องมีทั้งรักและชัง มีการแก้แค้น เสพสมอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก คนไม่รู้แล้วนี่แหละทำบาปได้มาก คุณรู้แล้วก็ระมัดระวัง ขนาดรู้แล้วยังอดไม่ได้ เพราะกิเลสมันแรง ก็ต้องไม่ทำให้ได้ ด้วยปัญญาในสิ่งที่ดีที่สุด กดข่มก็ช่วย การกดข่มสมถะก็เป็นอุปการะมาก มันต้องทำก่อนช่วยก่อนเป็นสัญชาตญาณ แต่มันไม่สมบูรณ์ จะสมบูรณ์ต้องเป็นปัญญามันชัดเจนว่าสิ่งนี้ต้องเด็ดขาดละเว้นไม่เกี่ยวข้องเลย มันถึงจะสมบูรณ์แบบอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:36:01 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:22:44 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:41:51 )

สิ่งประเสริฐของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

รายละเอียด

เพราะเข้าใจแล้วว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาทำเพราะอาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้ามา เป็นโพธิสัตว์มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ก็ทำอย่างจริงใจ และเป็นเรื่องของมนุษยชาติ อาตมาสรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านศึกษาสุดยอดก็คือศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคมมนุษย์ สรุปมีเท่านี้ พัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีวิธีการท่านก็รู้ทั้งนั้น เป็นหนึ่งเป็นยอดกันทั้งนั้นไม่ว่าวิชาการด้านไหน แต่ไม่มีวิธีการหรือวิชาอะไรที่จะสุดยอดเท่ากับวิชาความเป็นมนุษย์กับสังคมโลกุตระนี่แหละ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ บังคับกันไม่ได้หรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:29:41 )

สิ่งพิสูจน์ยืนยันว่าเรามีเมตตาต่อกัน 

รายละเอียด

สิ่งพิสูจน์ยืนยันว่าเรามีเมตตาต่อกัน  คือ  ความหยาบของความไม่มีเมตตา  ทางกายกรรม  วจีกรรม  เท่าที่ชุมชนพวกเรามีไหม  มีหยาบทางกายกรรม  วจีกรรม  ก็ไม่มี  ตบตีกันแรงๆก็ไม่มี 30-40 ปีมาแล้ว  ฆ่าแกงกันไม่มี หรือตีกันนับรายกันได้ error  หรือจิตใจไม่อยู่ในเกณฑ์ที่อยู่กับชาวอโศก  ก็ไปแล้วไม่อยู่ในนี้หรอก  ที่อยู่ในนี้ได้  เขารู้สึกตัวแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอีกเลย  พวกเราก็มีละเมิด แต่ก็ไม่ทำอีกแล้ว มีบ้าง  แม่แต่วาจาที่ด่ากันแรงๆ ก็ไม่มี  หอกปากอย่างจะมีมากๆ ไม่พูดกันเลย  ไม่ชอบใจก็ไม่ต้องพูดกัน ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ลักษณะไม่พูดกันเลย  ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันคุณจะเป็นอย่างไร  ไม่ต้องพูดกัน   ต่างคนต่างทำ  ฉันไม่เกี่ยว  รุนแรงที่สุดแล้วสำหรับพรหมทัณฑ์ในสังคมอาริยบุคคล  ซึ่งรองจากปาราชิก  ก็ต้องขับออกจากหมู่  แต่พรหมทัณฑ์อยู่กับหมู่  แต่เป็นหมาหัวเน่า  คุณจะดีจะชั่วอย่างไร ไม่แนะนำสั่งสอน  ให้คุณศึกษาเอาเอง  แต่สำหรับปาราชิก ไม่ให้ร่วมด้วยเลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก  วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 ตุลาคม 2562 ( 12:19:54 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:25:08 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:45:24 )

สิ่งพิเศษเกิดขึ้นจริง แต่เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดลออ

รายละเอียด

ก็เป็นจริงเป็นสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้นพูดไปก็เอาเถอะ คุณเห็น คนอื่นเขาไม่เห็นไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่คุณเห็นคุณเชื่อคุณเข้าใจก็เป็นอย่างคุณก็เป็นเรื่องของความเข้าใจของคุณ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ค่อยๆเป็นไปค่อยๆเข้าใจเขาจะเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือมันเป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดลออที่จะเป็นไป 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2563 ( 18:58:19 )

สิ่งมีกับสิ่งไม่มี

รายละเอียด

ข้อที่คุณติดอยู่ก็เลิกวาง คุณอย่าเอาใจใส่มัน มันจะเก่งกาจ มันจะวิเศษวิเสโสอย่างไร คุณก็อย่าไปหัวซามันสิ อย่าไปสนใจ เหมือนกับคนที่มันยังติดรสอร่อย เขาก็ยังมีรสอร่อยของเขาอยู่ ก็ปล่อยเขาไปสิเป็นกิเลสของเขา เขาบำเรอกิเลสของเขาไป  เราก็ไม่เอาแล้ว เราก็ไม่มีรสอร่อยจากจิต หรือคนที่เขายังทำอยู่เหมือนหมอปลา อย่างผีเข้าอันนั้นอันนี้ เขาก็ต้องเป็นของเขาตามภูมิของเขา มันเป็นอุปาทานที่เขาต่างสมพร้อมกันสมยอมกัน ร่วมเห็นด้วยกันเป็นสัมโภคกาย เป็นการเห็นด้วยร่วมกันว่า มันมีจริงเป็นจริง 

ถ้าคุณชัดเจนยิ่งกว่านั้น ไม่ให้มีแล้วก็ทำความเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง คุณก็จะหมดจะลด จะละ จะไม่มี แต่คุณยังเห็นมี ยังเชื่อว่ามีและก็มี มันก็มีสิ ถ้าคุณชัดเจนด้วยปัญญาอันยิ่งว่า มันไม่มีหรอก มันมีแต่เหตุปัจจัยและคุณก็ปรุงแต่งเป็นตัวเป็นตนขึ้นมามี คุณก็มี 

แปลภาษานี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ว่าสิ่งมีกับสิ่งไม่มี มันเป็นอย่างนี้จริงๆ คนเราก็อาศัยเรื่องนี้เป็นโลกนิโรธหรือเป็นโลกสมุทัย ก็เป็นโลกสมุทัยที่คุณยังติดอยู่ ถ้าคุณยังเลิกไม่ได้ ก็เป็นโลกนิโรธไปก็ดับสนิท ไม่มีโลกที่จะเกิดหมุนเวียนต่อไปอีกอย่างนั้น ศึกษาดีๆอาตมาอาจจะพูดเร็วไปหน่อย ไม่ต้องไปใส่ใจ มันมีของคนมี คนอื่นเขาก็จะมีก็มีเราก็เลิกไม่ได้มีเหมือนเขาแล้ว นี่ใช้ภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 30 ประกาศกองทัพธรรมไปร่วมชุมนุมให้กำลังใจ สว. วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2566 วันแรม 15 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 13:44:39 )

สิ่งมีชีวิตทั่วจักรวาลสามารถบรรลุธรรมได้ใช่ไหม

รายละเอียด

ไม่สงวนลิขสิทธิ์เลยถ้าถึงเขตก็สามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็ขอให้สติแก่ชาวพุทธ ที่เป็นชาวพุทธ แล้วก็มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ มีคนมาบรรยายอยู่ มีผู้รู้ที่ยืนยันว่ามี เป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆ ด้วย โปรดอย่าละเลย ควรตั้งใจฟังและเอาไปปฏิบัติให้ดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมไม่อยากให้ลูกมีแฟน


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:40:29 )

สิ่งยืนยันพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหารแท้ๆ ของคน

รายละเอียด

การเอาสิ่งที่เป็นรูปธรรมยืนยัน คือ

1.     สัตว์ฟันกรามไม่ได้มีแต่ฟันเขี้ยวอย่างเช่น เสือ สิงห์  เขี้ยว คือฟันแหลมๆ เอาไว้ฉีกอาหาร, เล็บของสัตว์กินเนื้อเป็นลักษณะ Claw เป็นลักษณะของสัตว์กินเนื้อ สัตว์กินเนื้อจะเลียน้ำ

2.    สัตว์กินพืชจะมีฟันกราม เล็บก็เป็นกีบ (nail) สัตว์กินพืชจะดูดกินน้ำคนเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เวลาดื่มน้ำใช้การดูด  ส่วนฟันก็เป็นฟันกราม

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายราย การสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71  30 กันยายน  พ.ศ. 2562


เวลาบันทึก 03 ตุลาคม 2562 ( 17:02:02 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:26:06 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:46:06 )

สิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออย่างไร

รายละเอียด

อธิบายไล่ไปตั้งแต่ คำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

“ศักดิ์” แปลว่า ฐานะ มีฐานะ ถือว่าศักดิ์ เครื่องบอกฐานะคือศักดิ์ “สิทธิ์” แปลว่าผู้มีความสำเร็จ 

ฐานะเจ้าโลก มีศักดินา แล้วก็เป็นผลสำเร็จ ในความเป็นเจ้าโลก นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

ทีนี้พอโง่ซ้อนเข้าก็ว่า ในโลกนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอำนาจสูง เพราะว่ามีศักดินาสูง แล้วสำเร็จด้วย เป็นนามธรรมก็ไม่รู้ ไม่รู้จะยกให้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขามีศักดิ์ชั้นจริงๆ แล้วเขามีผลสำเร็จได้แล้ว สาธุ เคารพ เพราะเขามีความสำเร็จ เป็นอะไรก็ไม่รู้ 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตน แต่ก็หลงว่ามีสภาพดิ้นได้เป็นนาม ก็ไปหลงว่ามีจิตวิญญาณสิงสู่ มีจิตวิญญาณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมาคอยใช้อำนาจอยู่ในโลก ถือว่าเป็นของดี เป็นสิ่งที่มีศักดิ์ชั้นที่สูง แล้วก็ประสบความสำเร็จแล้วด้วย เพราะฉะนั้นท่านมี ศักดิ์สูง เช่นพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยด้วย!.. สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อ้อนวอน กราบแล้วกราบอีก ศาสนาเทวนิยมจึงมีแต่การอ้อนวอน อย่างอิสลาม วันละ 5 ครั้ง ละหมาดนั่นเอง อ้อนวอนพระเจ้า กราบเคารพเป็นหลักเลย อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระเจ้า คือสิ่งที่ประสบผลสำเร็จแล้ว ที่มีศักดิ์สูงที่สุด พระเจ้าต้องสูงที่สุด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:07:25 )

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เอาได้ต้องได้จากนามธรรม 

รายละเอียด

ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีสิ่งที่เป็นชั้นสูงจริงๆเป็นนามธรรม ถ้าเป็นรูปธรรมเราก็ไปเอาอะไรเขาไม่ได้ รูปธรรมเอาไม่ได้ คนจะเอาได้ก็ต้องได้จากนามธรรม 

สิ่งที่เป็นสิ่งสูง เป็นสิ่งที่ประสบผลสำเร็จแล้ว เราจะเอาได้ก็เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเอามาเป็นตัวเราไม่ได้ เพราะรูปธรรมมันตายตัวแล้ว เป็นนามธรรมมันเป็นตัวเคลื่อนไหว เป็นจิตวิญญาณมีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็คือ สิทธัตถะ คือ ศักดิ์สิทธิ์ สิทธะ 

“สิทธัตถะ” สิทธะ + อัตถะ(เนื้อหา) คือเนื้อหาของความสำเร็จแล้ว คือผู้ที่ประสบผลสำเร็จแล้วคือสิทธัตถะ 

พยัญชนะก็ต้องลงตัวกันกับสภาวธรรม พวกเรานี้มาหา มาศึกษาเอาสิทธัตถะแท้ๆทั้งนั้น เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเนื้อสภาวะเรียกว่า อัตถะ คือ สิทธัตถะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:13:12 )

สิ่งสำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์

รายละเอียด

เรื่องของธรรมะสำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสำคัญเท่าธรรมะ พระพุทธเจ้าบรรลุ ก่อนนั้นเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดจากกองเงินกองทองเกิดจากสมบัติทางโลกียะอย่างเต็มรูปมาเกิด แม้ว่าจะเกิดตามวิบากของท่าน เกิดในแคว้นเล็ก เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็อยู่ในแคว้นเล็กไม่ใช่แคว้นใหญ่ แต่ถ้าท่านอยู่เป็นฆราวาส ท่านได้รับการพยากรณ์สองทิศทาง อยู่ในแคว้นเล็กนั้นก็เป็นการพิสูจน์บารมีว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในแคว้นใหญ่ 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาถ้าอยู่ทางโลกก็จะได้เป็นเจ้าจอมจักรพรรดิ์แต่ท่านไม่เอา ท่านทิ้งเลย มาแต่ตัว ชุดก็ไม่เอา ทองคำก็ไม่เอารองเท้าทองก็ทิ้งหมด มากับผ้า 3 ผืนเป็นผ้าบังสุกุลเป็นผ้าเขาทิ้งแล้ว เพราะท่านถึงธรรม เป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีธรรมะในตัวเองพร้อมที่จะมาประกาศธรรมะ เมื่อท่านระลึกชาติได้สัมโพธิญาณท่านสามารถระลึกชาติ ท่านก็รู้ว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้วไม่ได้มาปฏิบัติธรรมในปางนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2562 ( 08:10:18 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:27:08 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:52:26 )

สิ่งสำคัญในการพัฒนาคือ “ปรโตโฆสะ”!

รายละเอียด

โดยให้พิจารณาตนเองว่า ที่ตนยังยึด“ทิฏฐิ”เดิมอยู่นั้น และปฏิบัติอยู่มันก็ยังไม่บรรลุอรหันต์สักที ก็ควรจะศึกษาทิฏฐิ“อื่น”ของผู้ที่ท่านยืนยันว่าท่านบรรลุ“อรหันต์”ดูบ้าง จึงจะได้ชื่อว่า มี“ปรโตโฆสะ” มีการฟังเสียงผู้อื่นบ้าง เผื่อจะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“มนสิการ”ของตนนั้นว่า โอ! ..เราเองยัง“อโยนิโส”อยู่หรือนี่!คุณจึงจะ“ตื่น (ชาคร)”ขึ้นเป็นผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”ได้ ตามพระพุทธวจนะที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 497

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุณนิยม เล่ม 2 หน้า 412-413 ข้อที่ 560


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 14:31:24 )

สิ่งเดียวที่เรียกความจริงได้คือคนที่มีคุณธรรมเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสและมีหลักวิชาชัดเจนเลย ตอนนี้ อาตมาก็เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยัน จูฬวิยูหสูตร ยืนยันว่าสัจจะความจริงที่จริงที่สุดเรียบร้อยที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่เรียกว่าความจริงได้ก็คือ คนที่มีคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่ละคน ใครก็แล้วแต่บางกรณีเป็นคนหมดตัวตนแล้วก็มีความรู้เรื่องตัวตนกับมวลสังคมมนุษยชาติและก็อยู่ร่วมกับเขา โดยที่เราไม่เอาตัวตนของตัวเองไปขัดแย้งกับใคร ใครจะว่าอย่างไรก็เอาอำนาจของหมู่มวลที่จะอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นมันจะลงเอย รวมแล้วมันสังเคราะห์กันลงเลยจนกระทั่งหยุด ต่างคนต่างเหนื่อยแล้ว หรือต่างคนต่างเห็นดีเห็นงามกันแล้วว่า เอาแค่นี้ก็แล้วกัน มันจะเป็นอย่างนั้น แล้วแต่ละคนก็บอกว่าเอาแค่นี้ก็แล้วกัน คนที่ไม่มีตัวตน ไม่ต้องไปดันทุรัง ถ้าสังคมที่มีคนที่ไม่มีตัวตนไม่ดันทุรังอย่างนั้น มันก็สงบเรียบร้อยลงได้ง่าย แต่ถ้าคนยังดันทุรังอยู่ของฉันก็เป็นของฉัน ยื้อแย่งกันมันไม่สงบลงง่ายๆ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 14:33:06 )

สิ่งเสพติดที่เป็นกามเบื้องต้นหรือกามที่หยาบเรียกว่าอบาย

รายละเอียด

อบายก็คือกามนั่นแหละ หัวหน้านรกคืออบายมุข คือสิ่งที่ติดที่ต่ำที่ตื้น ใครๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด แต่ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเสพติด ทั้งๆที่มันต่ำๆตื้นๆ สิ่งเสพติดที่หยาบ อาตมาก็ยืนหยัดยืนยันตัวอย่างที่พระป่า สายพระป่าไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะครูบาอาจารย์พาให้เลอะเลือน ติดหมากพลูบุหรี่ คนชาวบ้านชาวเมืองเด็กๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด บุหรี่ก็รู้สิ่งเสพติด แค่นี้ก็ละเลิกไม่ได้ แล้วก็ไปหลงกันว่าเป็นอรหันต์ ทั้งที่ติดกามขั้นหยาบเบื้องต้นอยู่

เพราะฉะนั้นสัจจะความจริงพวกนี้อย่างนี้ มันเป็นตัวยืนยัน เป็นตัวชี้บ่งให้รู้ว่า คนที่ละหน่ายคลาย ซึ่งเป็นตัวกิเลสแท้ๆ เป็นตัวกาม เป็นตัวติดยึด เป็นตัวหลง โมหะเป็นตัวโง่ อวิชชา ไม่รู้ เมื่อไม่รู้แม้แต่แค่สิ่งเสพติดที่เป็น กามเบื้องต้น แล้วจะไปลึก จะกินในทุเรียน เมล็ดทุเรียนเนื้อทุเรียน แต่ไม่ปอกทุเรียนเข้าไป คุณจะหายตัวผ่านเปลือกเข้าไปกินเนื้อได้อย่างไร ปากคุณหายตัวเข้าไปกินเนื้อได้หรือ ก็ต้องเอามีดพร้ามาเฉาะ หรือจะใช้ปากกินตั้งแต่นอกเลย ไม่ได้ มันต้องปอกเปลือกก่อน ผ่านเป็นชั้นๆไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 11:27:41 )

สิ่งใดควรสร้างสรร สิ่งใดไม่ควรส่งเสริม

รายละเอียด

ตอนนี้อาตมาทำลำธาร ลำธารนี้ชื่อว่า ลำธารถอยหลังเข้า อาตมาเอาคำว่าถอยหลังมาใช้เรียกว่าลำธาร ถอยหลังเข้า สำนวนภาษาไทยว่า ถอยหลังเข้าคลอง เราก็เป็นถอยหลังเข้าลำธาร ลำธารของเรานี่น้ำมันขุ่น ทำมาหลายปีมันก็ไม่ค่อยใส ประกาศไปให้คนที่มีความรู้หลายคนมา แม้ท่านถ่องแท้ว่า ทำได้ก็ยังไม่ทำ บอกว่าเอาสารส้มมาลงก็จะใสมันก็ได้ชั่วคราว มีสูตรของอีกคนหนึ่ง สูตรของอาจารย์ไม้ร่ม เขาเรียกว่าอาจารย์กันทั่วโลก เขาว่า เอาขี้ควายมาใส่ก็จะใส เขาเคยทำที่สันติอโศก น้ำมันก็ใสอยู่แล้ว แต่อันนี้เป็นธรรมชาติเป็นดินปนทราย มันจะขุ่นได้มากกว่า อันนี้ไม่ใช่ น้ำลำธารจะทำให้ใสไม่ง่าย ใครมีความรู้มาช่วยจะทำให้น้ำใส มาทำแก่งก็จะทำ แต่ตอนนี้ทำไม่ไหวแล้ว หากอายุ 30 มีแรงทำ และคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องแก่ง คือลำน้ำมีหินก้อนคั่น น้ำปะทะก็จะวิ่งไป มีช่องที่น้ำไปได้มากเรียกว่าแปว น้ำจะแรงตรงแปว มีช่องเดียวนี่ก็น้ำแรงมากเรียกว่าแปว หากมีแก่ง มีแปว เพื่อให้ล่องเรือ แคนนูเล็กๆ ที่แปวน้ำไหลแรงก็จะสนุก ผ่านแก่ง ตำอิด ติดราม สามใส่ ไผใหญ่ ไทบ้าน มีหินให้ทำ แต่ยังไม่มีคนมีฝีมือมาทำ ถ้าจะทำฝืนไปสังขารจะไหวหรือไม่ไหว คนก็ไม่ค่อยอยากจะให้ลุยทำสรุปแล้วจะทำธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ก็มีคนเข้าใจ ผู้ใหญ่ยังไม่ค่อยมากล้าเล่น ส่วนเด็กๆก็มาใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ผู้ใหญ่ก็ได้แต่พาเด็กมาด้วยยังไม่กล้า ไม่เป็นไร ต่อไปในอนาคตจะเป็นที่พักผ่อน ขอแต่อย่างเดียวมาที่นี่อย่านำสิ่งสกปรกเลอะเทอะ ลามก มาลงไปในที่นี้ก็แล้วกัน เอาแต่สิ่งที่ดีมา เป็นผู้ประสานสมานกันให้เกิดความสุขสำราญแลกเปลี่ยนได้ประโยชน์กัน อาตมาก็ทำตลาด ทำธรรมชาติ ทำอะไรอีกหลายอย่าง ทำร้านค้า ทำสื่อสาร ทำการศึกษา เพื่อให้มนุษยชาติได้อาศัยได้มาเอาประโยชน์ เอาประโยชน์จากธรรมชาติจากตลาดจากการศึกษา เอาประโยชน์จากอะไรก็แล้วแต่ อาตมาว่า คนเราควรจะได้สิ่งเหล่านี้ เอาไปสกัดจากการเต้นแร้งเต้นกา แข่งขันกีฬาเอาชนะคะคานอาตมาไม่ส่งเสริมหรอก แม้จะแข่งรวยที่นี่ไม่ส่งเสริม แข่ง แบ่งแจกกัน มาจน มักน้อยสันโดษสร้างสรรสิ่งดี อาตมาพาทำ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:51:55 )

สิ้นชาติ

รายละเอียด

ไม่มีการเกิดอีก

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 316


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:08:04 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:44:48 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:10:11 )

สิ้นบุญสิ้นบาปหรือปุญญปาปปริกขีโณ เป็นอย่างไร

รายละเอียด

เพราะว่าบุญเป็นภาษาของโลกุตรธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ภาษาโลกียะ ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมมาก เข้าใจคำว่าบุญผิดไปไกลลิบ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้เกิดฌานเกิดบุญ แล้วก็หมดบุญ เพราะว่าเมื่อกิเลสหมด บุญก็หมดไปด้วย บุญมีหน้าที่ชำระกิเลสเท่านั้น ชำระกิเลสหมดบาปหมดอกุศลหมด บุญก็หมด ภาษาบาลีมีปรากฏยืนยันไว้ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าหมดบุญหมดบาป 

พระอรหันต์ทุกคนเป็นคนไม่มีบุญมีแต่กุศล แล้วไม่สันโดษในกุศลด้วย แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเจนว่า ท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ท่านก็ตรัสว่าท่านเป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มียืนยันเลย ในพระไตรปิฎกก็มีคำตรัสยืนยัน ในพระสูตรอะไรที่ท่านเล่าประวัติของท่าน เล่ม 32 ข้อ 392 ท่านก็ตรัสยืนยันว่า บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ผู้หมดอาสวะแล้ว เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 20:12:52 )

สิ้นสามัญผล

รายละเอียด

_สิ้นสามัญ- ญผล ทางพ้นทุกข์   ซ้ำหลงสุข ลวงไซร้ ใฝ่เสพสม

ฌานโลกีย์ ลวงจิต ให้ติดจม ทุนนิยม ครอบงำ สัมปทาน

ไม่มีแล้ว สามัญผล ผลที่เป็นสามัญ ผลเป็นปกติและผลเป็นธรรมดา ถ้าปฏิบัติถูก สัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ-สัมมาปฏิเวธย่อมได้ผลถูกต้องเป็นธรรมดา  เหตุถูก-ผลถูก ไม่มีผิดพลาดเลย เป็นปกติ เป็นสามัญ เป็นธรรมดา แต่มันไม่มีแล้ว “สิ้นสามัญผล ทางพ้นทุกข์” ทางพ้นทุกข์ก็ไม่มี สามัญผลไม่มีทางพ้นทุกข์นั้นเอง 

มันผิด ผิดยังไม่พอ “ซ้ำหลงสุข ลวงไซร้ ใฝ่เสพสม” นี้เป็นภาษากวี  คำสัมผัสล้อตัวอักษร หลงสุข ลวงไซร้ แล้ว“ใฝ่เสพสม” ยังไปใฝ่หา ปรารถนาไปเสพสมในเรื่องที่มันสุข ในเรื่องลวงด้วย 

ที่มา ที่ไป

ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 16:09:16 )

สีของสบง สีจีวรที่พระพุทธเจ้าระบุห้าม 

รายละเอียด

สีของสบง สีจีวรที่พระพุทธเจ้าระบุห้าม  คือ มีทั้งหมด 7 สี 1) สีครามล้วน 2) สีเหลืองล้วน
3) สีแดงล้วน 4) สีบานเย็นล้วน 5) สีดำล้วน 6) สีแสดล้วน 7)สีชมพูล้วน (พระไตรปิฎก เล่ม 5 ข้อ 169)  อันนี้มีระบุไว้หากจะปฏิบัติตามก็จะดีแต่เขาก็ไม่ฟังกัน  เดี๋ยวนี้เป็นสีเหลืองเสียส่วนใหญ่  เจือแดง เป็นสีแสดจนสีแดงอย่างพระจีนเลย สีบานเย็น  คือ สีแดงผสมขาว 7 สีนี้ในจีวรวรรค  ท่านตรัสห้ามอย่าใช้สีเหล่านี้  เหตุผลเพราะเป็นสีแบบโลกๆ เกินไป  มันเด่นไปแม้จะย้อมได้ใช้แก่นไม้ เปลือกไม้ ได้แต่ก็ให้ละเว้นเสีย  เป็นสีโลกๆ แข่งกัน  เราใช้ผ้าสีหม่นๆ ก็ใครจะถือว่าเป็นเรื่องเล็กไม่อยากเอาใจใส่  ติดยึดอะไรก็แล้วแต่  แต่ใครเห็นว่าควรปฏิบัติตามก็ดี

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2562 ( 17:14:03 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:46 )

สีจีวรต้องห้าม 7

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุไม่ควรใช้จีวรสีดังนี้

   1. สีคราม (น้ำเงิน)

   2. สีเหลือง

   3. สีแดง

   4. สีบานเย็น (สีแดงอมม่วง)

   5. สีดำ

   6. สีแสด (สีเหลืองปนแดง)

   7. สีชมพู (สีแดงเจือขาว หรือ สีแดงอ่อน)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 5 "จีวรขันธกะ" ข้อ 169

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 06 กรกฎาคม 2562 ( 09:12:24 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:38 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:52:54 )

สีจีวรต้องห้าม 7

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุไม่ควรใช้จีวรสีดังนี้

1. สีคราม (น้ำเงิน)

2. สีเหลือง

3. สีแดง

4. สีบานเย็น (สีแดงอมม่วง)

5. สีดํา

6. สีแสด (สีเหลืองปนแดง)

7. สีชมพู (สีแดงเลือขาว หรือ สีแดงอ่อน)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฏกเล่ม 5 “จีวรขันธกะ” ข้อ 169


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 21:49:58 )

สีจีวรต้องห้าม มี 7 สี

รายละเอียด

พระทุกวันนี้นุ่งห่มสีที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ก็มีเยอะ เขาใช้สีแสดก็บอกว่าแดงก็ไม่ใช่เหลืองก็ไม่ใช่ ก็พูดดำน้ำไปเรื่อย คนเราจะดันทุรังไม่ดันสุรังก็ดันไป อาตมาพาดันสุรังไม่มา ไปดันทุรัง ทุคือไม่ดี สุ คือดี สีจีวรต้องห้าม มี 7 สี 1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3. สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 10:51:51 )

สีล , ศีล

รายละเอียด

หลัก คือกฎ คือมาตรการที่เราตั้งใจให้ตนเองไว้แล้ว

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 369


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:10:43 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:46:05 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:53:26 )

สีลกถา

รายละเอียด

เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล มีสีลกถา ให้บริสุทธิ์ก็คือ ให้เรียนรู้เรื่องศีลและศีลจะชำระกิเลสให้ออกจากจิต อาตมาแปลนี้ก็ไม่เหมือนเขานะ ศีลนี้จะชำระกิเลสให้ออกจากจิต เขาก็ไปแปลว่าศีลนี้ชำระแค่กายกับวาจา ถ้าอยากได้ชำระกิเลสออกจากจิต ให้ทำจิตเป็นสมาธิต้องไปนั่งสมาธิเอา ศีลนี้ชำระแค่กายวาจา อาตมาว่าก็ออกนอกรีตจริงๆ ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่าชำระแค่กายวาจา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ากายวาจาและมีใจ  เขาก็ไปตัดเอาแค่กายกับวาจา พระพุทธเจ้าก็อธิบายรายละเอียดของใจ แน่นอนว่า ศีลจะต้องกระทบกับกายก่อน แล้วก็เกี่ยวข้องกับวาจา คือท่านตรัสให้ครบกระบวน แต่เขาก็เอาแต่ที่ชอบๆ นี่เป็นการกร่อนธรรมะพระพุทธเจ้า ทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนและเสื่อมไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:50:47 )

สีลพตปรามาส

รายละเอียด

การลูบๆ คลำๆ ศีลพรต การประพฤติปฏิบัติไม่มีมรรคผล ไม่ถูกเรื่อง ไม่เข้าทาง ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 360


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:11:36 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:46:51 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:10:59 )

สีลพตุปาทาน

รายละเอียด

สีลพตุปาทาน คือยึดติดศีลตามจารีตประเพณี เช่น ไปไหนไปถือศีลก็ไปนอนวัด ถือศีล 8 อีสานก็หิ้วกระติบข้าวไป ถือตะกร้า ใส่อาหาร ไปแล้วก็ไปกินกันในวัด แล้วก็ฟังธรรม ฟังเทศน์ สวดมนต์ สวดไป สวดมนต์ก็สวดไปแล้วก็นอนตื่นมารุ่งเช้าก็ถือกลับ บอกว่าไปไหนมาก็ไปวัด ไปทำบุญ ไปจำศีล เขาก็บอกว่าเอาบุญมาฝากเด้อ บุญก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ กายก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ฌานก็เป็นมิจฉาทิฏฐิสมาธิก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ วิมุตก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่สุดศีลก็เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างที่ว่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 21:34:13 )

สีลพตุปาทาน คือ

รายละเอียด

สีลพตุปาทาน คือยึดถือ ศีลพรต ข้อปฏิบัติ ตามจารีตประเพณี ตามที่เขายึดถือกัน ซึ่งมันผิดเพี้ยนแล้ว มันไม่พาบรรลุแล้ว แต่ก็ทำกัน วันนี้วันพระแล้วไปทำบุญกัน ไปทำทาน ไปบริจาค ไปรับใช้ขนทรายเข้าวัด อะไรต่ออะไรไป ก็ทำไปตามจารีต ดีไม่ดี เป็นไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชาเละเทะไปหมด เป็นจารีตประเพณี เป็นข้อปฏิบัติที่เลอะเทอะบานปลายออกไป เยอะ ทุกวันนี้ 

ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเห็นศาสนาพุทธของท่าน ท่านบอกว่าตายๆๆ เอาวิธีการเละเทะขนาดนี้มาใส่ศาสนาพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วถือเป็นจารีตประเพณี อันดีงามว่าอย่างนั้น อันแสนทรามอันแสนไร้ค่าไร้สาระ มันทำลาย ศาสนาด้วย เพราะมันผิด มันไปเอาไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา เอาความเละเทะมา ปรุงแต่งเป็นอะไรต่ออะไร ยกตัวอย่างอย่างเละๆเทะๆก็ ไม่ต้องพูดพวกคุณก็เห็นแล้ว มากมาย นับว่าเป็นพิธีการ เป็นจารีตประเพณี ซึ่งอาตมา หลายคำไม่กล้าพูด Understood ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 13:53:10 )

สีลพัตตุปปาทาน

รายละเอียด

ฉวยเอาได้แค่ศีล แค่บำเพ็ญพรตตามๆ กันไปเป็นธรรมเนียม เป็นจารีตอยู่เท่านั้น

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 399


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:12:37 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:47:42 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:54:04 )

สีลสัมปทา

รายละเอียด

ถึงพร้อมด้วยศีล

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 168


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:13:23 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:19 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:11:18 )

สีลสัมปทา ในแสงอรุณ 7

รายละเอียด

สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค มิตรดี สหายดีจะพาให้ปฏิบัติ ศีล ในจรณะ 15 มีศีลเป็นตัวเริ่มต้น คุณอยู่กับสัตว์อยู่กับคน คนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง คุณอยู่กับสิ่งมีชีวิตเป็นจิตนิยมที่ด๊อกแด๊ก สัตว์ประเสริฐที่จะเป็นปราชญ์เป็นบัณฑิต ถ้าเป็นสัตบุรุษเป็นพระพุทธเจ้าเลย นี่แหละสำคัญ คุณจะต้อง ถือศีลตามที่สัตบุรุษหรือมิตรสหายดีพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติศีลก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มปฏิบัติศีลก็ได้แสงอรุณอย่างนี้ คุณก็ต้องยินดีในการปฏิบัติศีล เป็นอันที่ 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 20:51:58 )

สีลสัมปันโน

รายละเอียด

ถึงพร้อมด้วยศีล

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 38


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:14:10 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:55 )

สีลสามัญญตา

รายละเอียด

มีศีลบริบูรณ์เสมอกันในสังคม

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 76


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:14:54 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:35 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:55:44 )

สีลัพตปรามาส ต่างกับสีลัพตุปาทาน

รายละเอียด

สีลัพตปรามาส ต่างกับสีลัพตุปาทาน ที่ยังยึดถือผิดๆ ยังเป็นผีไม่เป็นผู้เป็นคน แต่สีลัพพตปรามาส นั้นเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วพ้นวิจิกิจฉาขึ้นมาแล้ว รู้จักตัวตนแต่ยังเหลือไม่เอาจริงปรามาสลูบๆคลำๆเล่นหัวอยู่กับโจรเลี้ยงโจรไว้ใช้งานอยู่อย่างนั้นแหละ ฆ่าโจรซะบ้างสิจะได้สำเร็จสักที นี่ก็ยกตัวอย่างไม่รู้กี่อย่างแล้ว พ้นสีลัพตปรามาสแล้วจึงเหลือกามฉันทะ และพยาบาท

จัดการ โอรัมภาคิยสังโยชน์เสร็จ จึงเหลืออุทธัมภาคิยสังโยชน์คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 20:22:39 )

สีลัพตุปาทาน 

รายละเอียด

สีลัพตุปาทาน  คือ  วิธีปฏิบัติโดยยึดมั่นถือมั่น

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:40:19 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:07 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:56:16 )

สีลัพพตปรามาส กับ สีลพตุปาทาน

รายละเอียด

ที่อาตมานำสิ่งเหล่านี้มาขยายความกันในยุคนี้ซึ่งไม่มีใครมาเอาเรื่องเหล่านี้พูดกันหรอก เพราะว่ามันไม่สนุก แต่พวกคุณฟังแล้วนี่พอบันเทิงในธรรมไหม บันเทิง มีธรรมรส แต่คนที่เขาฟังแล้วไม่มีรสชาติ ไม่มีธรรมรส มันไม่ใช่รสเหมือนทางโลกๆนะ มันก็ไม่ได้เรื่อง ถ้ามันมีรส ก็ไม่ใช่กิเลสหรอก มันเป็นธรรมรสโดยเฉพาะถึงวิมุตติรส 

อาตมาอธิบายธรรมะตอนนี้เขียนขยายความไปถึงขั้นว่า อนุสัยนี่ เป็นคุณวิเศษอนุสัย ไม่ใช่กิเลสอนุสัย คุณวิเศษอนุสัยหรืออุตระอนุสัยไม่ใช่กิเลสอนุสัย อาตมาอธิบายถึงขนาดนี้ คนที่สั่งสมบารมี ก็มีสาระสัจจะของธรรมะ อาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็น สยังอภิญญา คำว่า สยังอภิญญา เป็นเอง อาตมามีอะไรเอง มีโลกุตรธรรมเอง ในยุคนี้มันไม่มีโลกุตรธรรมแล้ว อาตมามีติดตัวมาแต่ชาติก่อน 

อาตมาก็เลยเอาโลกุตระมาสถาปนาลงไปใหม่ให้แก่พุทธศาสนาเป็นการสืบต่อพุทธศาสนาเพราะมันเสื่อมมาแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ กลองอานกะ อาณิสูตร พูดโดยมีหลักฐานยืนยันไม่ใช่ปากเปล่าโดยไม่มีหลักฐาน นี่ยังโชคดีที่มีพระไตรปิฎกอยู่ ที่พูดนี้ถ้าไม่มีจริงๆป่านนี้ เละเทะไปแล้ว สับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว แต่อาตมาพูดนี้นอกจากจะไม่สับสน ไม่เละเทะแล้ว ยังมีพวกคุณฟังแล้วเข้าใจมีสัมมาทิฏฐิ จึงเอามาเป็นสัมมาปฏิบัติ จึงมีสัมมาปฏิเวธ จึงเกิดมรรคเกิดผลอย่างที่ว่า 

แต่เพราะความเสื่อมของพุทธ ผู้ที่ไปหลงยึดติดสิ่งผิดว่าถูกแล้วแล้วไม่ยอมฟื้น พูดยังไงก็เหมือนกับโจรที่พระพุทธเจ้าท่านให้เอาไปประหารไปแทงฆ่าเสียให้ตายด้วยหอก 100 เล่ม ก็ยังไม่ยอมตาย คือไม่ยอมตายจากความมิจฉาทิฐิ ควรให้ตื่นมารู้ มันก็ยังจมอยู่ในนรกขุมมิจฉาทิฏฐิมืดบอดอยู่อย่างนั้น นี่อาตมาพูดสัจจะ อาตมาสาธยายแรงแต่เป็นความจริง เมื่อไหร่จะสะดุ้งสะเทือน เมื่อไหร่จะรู้ตัว อาตมาพูดขนาดนี้เอาหอกแทงแล้วแทงเล่าก็ยังเฉย อะไรมาสะกิดผิวก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หอกนะแทง ไม่ใช่หนังเหนียว หนังหนา หนายิ่งกว่าแผ่นเหล็ก แล้วแต่สมัยเก่า เหล็กวิลาส ภาษาสมัยใหม่คือสแตนเลส เหล็กที่เอาไปทำอะไร เหล็กไหล

เหล็กไหลไม่พูดหรอก เขางมงาย ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเป็นไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นเรื่องจารีตประเพณี แล้วสร้างปรุงแต่ง จารีตประเพณี เข้ามากลบศาสนาพุทธเสียจน เห็นแล้วก็สังเวชใจน่าสงสาร เสียเวลา เสียทุนรอน เสียแรงงาน เสียอะไรต่ออะไร ไปกับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีอะไร แต่ก็อย่างว่ามันไม่มีอะไรให้เขาทำก็ไม่ได้ เขาก็ต้องมีที่ยืน เขาก็เลยใช้แบบนั้นยืน อาศัยแบบนั้นในชีวิต แล้วก็พัฒนารุ่งเรืองเจริญด้วยไสยศาสตร์ เดรัจฉานวิชา พิธีกรรมต่างๆ กลบเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าหมดเลย 

อาตมาเองเกิดมายุคนี้ มันก็ต่อเนื่องจากศาสนาเชื้อของทางโน้น เขาก็ยังว่าอะไรมาบวชทำไม อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะได้ประกาศศาสนาเองเลย อาตมาก็ต้องต่อเชื้อ แต่อาตมาก็ต้องมาปฏิบัติ อาตมาไม่ได้ดูถูกดูแคลน ไม่ได้ตีทิ้งว่าอาตมาจะต้องสร้างศาสนาเอง อาตมาจะต้องมาต่อเชื้อ เหมือนกับพลเอกประยุทธ์ต่อเชื้อมารับไม้ต่อจากประชาชน เอาประชาธิปไตยไปต่อเชื้อ นั่นแหละมันต้องต่อกัน อันนี้ก็เหมือนกัน ไม่มีเชื้อแล้วอาตมาเอาเชื้อมาประกาศ เสร็จแล้ว โลกุตรธรรมที่มันเสื่อมไปอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มันจึงเกิดขึ้น คนที่แสวงหา คนที่มีบารมีอย่างพวกคุณก็มารับได้ คนที่ไม่มีบารมีอย่างไร แม้แต่เป็นผู้ที่คงแก่เรียนมากขนาดใด ก็ได้แค่ ปทปรมบุคคล หมายความว่าได้แต่บทธรรมะ 

ปทปรมบุคคล คำว่า ปทะคือบท เป็นยอด เป็นบุคคลที่ได้แต่บทเรียน ไม่ได้รู้จักปรมัตถ์ ไม่ได้เข้าถึงธรรม ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าท่านขยาย ปทปรมบุคคล คือผู้ที่รู้พุทธธรรมก็มาก ท่องจำได้ก็มาก สาธยายสั่งสอนอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินี้ ที่ว่าไม่ได้บรรลุธรรมเลยนี่คือศีลก็ไม่กระเตื้อง ไม่ถึงขั้น สีลัพพตปรามาส ด้วยซ้ำมีแต่ สีลพตุปาทาน เขาแยก สีลัพพตปรามาส กับ สีลพตุปาทาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 21:39:08 )

สีลัพพตปรามาส แม้สัมมาทิฏฐิแล้วแต่ไม่เอาจริง ไม่ลงมือปฏิบัติก็ยังไม่ได้เป็นโสดาบัน

รายละเอียด

อาตมาอธิบายโดยเอาสภาวะมาอธิบาย ไม่ได้อธิบายตามพยัญชนะ แต่มั่นใจว่าอาตมาไม่ได้อธิบายผิด อธิบายสิ่งที่ถูก ถ้าที่อาตมาอธิบายไปแล้วมันผิด มันไม่เหมือนปราชญ์ทั้งหลายที่อธิบายไว้ ก็ลองมาทำความเข้าใจคำภาษาไทยที่อาตมาแปลหรืออธิบายไว้ ทำความเข้าใจแล้วคุณลองปฏิบัติตามที่อาตมาพยายามพาปฏิบัตินี่สิ คุณก็จะได้ตามที่อธิบายให้เข้าใจ แล้วคุณก็จะรู้ว่าอย่างนี้ใช่ๆๆ พวกคุณถึงรู้จักโสดาบัน อันนี้คือโสดาบัน โสดาบันบอกด้วยพยัญชนะว่า พ้นสังโยชน์ทั้ง 3 สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส คือ แม้สัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ไม่เอาจริงซึ่งไม่ใช่ สีลพตุปาทาน ซึ่ง ถือศีลตามกันมาเท่านั้นไม่ได้เข้าใจถูกสัมมาทิฏฐิเลย แต่ สีลัพพตปรามาส เข้าใจถูกต้องแล้วแต่ไม่ได้ทำจริงให้มันรู้มันก็เลยยังไม่ได้เป็นโสดาบันสักที 

ถ้าคุณเข้าใจกาย โสดาบันสัมมาทิฏฐิในความเป็นกายแล้ว กายก็อยู่ที่เรานี่แหละที่ยังปฏิบัติธรรมทั้งหลายแหล่ เข้าใจจนชัดเจนไม่สงสัยไม่ลังเลไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องพ้น วิจิกิจฉา รู้ สักกะ พ้น มิจฉาทิฏฐิสมบูรณ์แบบ เสร็จแล้วก็มีหลักปฏิบัติศีลพรต สัมมาทิฏฐิในศีลพรตด้วยก็มาเอาจริง แม้คุณจะพ้น สักกายทิฏฐิ หมดวิจิกิจฉาแล้ว หลักเกณฑ์ศีลพรตคุณก็มี แต่คุณก็ไม่ได้ปฏิบัติสักที แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นโสดาบันสักที ไม่ลงมือปฏิบัติไม่เอาจริง ถ้าเอาจริงจะได้บรรลุได้ผล อธิบายให้เห็นว่า สีลัพพตปรามาส กับ สีลพตุปาทาน ต่างกัน สีลพตุปาทาน ยังไม่สัมมาทิฏฐิแต่สีลัพพตปรามาส สัมมาทิฏฐิแล้วแต่ไม่เอาจริง ไม่ลงมือทำสักที อาตมาเคยยกตัวอย่างเหมือนตำรวจจับโจร คบหากับโจรกินข้าวต้มกุ๊ยกับโจรอยู่ ก็จับมันสักทีสิ แต่ไม่จับ แล้วเอ็งจะเป็นตำรวจไปทำอะไร ไปเป็นตำลึงดีกว่า อย่าไปเป็นเลยตำรวจ ไปเป็นตำนินดีกว่า ตำนินก็คือตำลึง ภาษาอีสาน

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 กันยายน 2565 ( 14:50:36 )

สีลัพพตปรามาสกับสีลัพพตุปาทาน

รายละเอียด

ไม่ใช่อย่างที่คุณอธิบาย สีลัพพตปรามาส กับสีลัพพตุปาทานต่างกัน สีลัพพตุปาทานคือ ทำตามจารีตประเพณีไปทำตามคนอื่นไปโดยไม่ได้รู้เนื้อหาสาระไม่ได้รู้เป้าหมายในการปฏิบัติ ก็ทำตามๆไปเท่านั้น ส่วนสีลัพพตปรามาส มีนัยละเอียดกว่า สีลัพพตุปาทาน เป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างมิจฉาทิฏฐิเป็นการยึดมั่นถือมั่นไปตามจารีตประเพณีทั้งนั้นอย่างนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยคือศีลอย่างงมงาย ส่วนสีลัพพตปรามาส มีความรู้แล้ว 1 พ้นจากสังโยชน์ข้อที่ 1 คือผลจากสักกายะทิฐิ รู้จักกาย องค์ประชุมของรูปนามของเวทนาสัญญาสังขารเข้าใจได้แล้ว ได้มีวิธี สีลพรต หรือข้อปฏิบัติ วิธีปฏิบัติที่จะละล้าง กาย ที่จะดับ กายกลิ กายที่เป็นกิเลส กายที่เป็นพลังงานไม่ดี ที่จับได้แล้ว เหมือนโจร คุณจะกำจัดโจร ต้องรู้จักตัวโจรให้ดีถึงจะจับโจรได้แล้วคุณต้องประหารมันให้ได้ แต่ทีนี้คุณจับโจรได้ รู้ตัวมัน ถึงตัวมันแต่คุณก็เล่นหัวกับมันลูบคลำมันอยู่กับมันไม่ได้ฆ่าโจรไม่ได้จัดการโจร เรียกว่านี้เป็น สีลัพพตปรามาส เหยาะๆแหยะๆลูบคลำ ไม่ทำลายกิเลส คุณมีภูมิ ผ่าน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สองสังโยขน์แล้ว แต่ไม่ผ่านสังโยชน์ข้อที่ 3 ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายต้องลงลึกให้ชัด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:03:33 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:59:39 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:57:20 )

สีลัพพตปรามาสเปรียบเหมือนตำรวจที่ชอบหากินกับคนผิด

รายละเอียด

ไม่ถูกต้องซ้อนกับความถูกต้อง คุณรู้ศีลพรตถูกต้อง แต่คุณไม่จัดการกับโจรที่มีข้อที่ต้องประพฤติกำจัดกิเลส โจรก็คือตัวที่เหลือนี่แหละแต่คนไม่กำจัดกิเลสสักที เลี้ยงกิเลสกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่กับกิเลสวันแล้ววันเล่า กินอิ่มแล้วกลับไปนอนวันหลังก็มาเลี้ยงอีก โจรก็เป็นเชื้อสามารถไปต่อกับคนอื่นๆที่เลวด้วยกัน เอามาเป็นเยอะอีก ซ้อนนะ หากินกับคนผิด ตำรวจนี่ชอบคนผิดนะ อย่าดังไป เพราะมันได้ตังค์ คนถูกมันไม่ได้ตังค์หรอก ใช่ไหมๆ ตำรวจนั่งอยู่นี่ คนผิดนี่มันได้ตังค์คนถูกไม่ได้ตังค์ เป็นข้อด้อยข้อเสียที่ปฏิรูปกันไม่สำเร็จสักทีก็ตรงนี้แหละ เลี้ยงคนผิด เลี้ยงคนที่ยังมีความผิด นี่แหละเป็นตัวซ้อนอยู่ในสังคม ตอนนี้อาตมาก็พูดกันจริงๆเห็นใจท่านประยุทธ์ เห็นใจจริงๆไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทนไป สักวันหนึ่งน่า ขออย่างเดียวท่านประยุทธ์อย่าเพิ่งรีบตายอย่าเพิ่งรีบท้อ สักวันหนึ่งคงจะชนะ ดูท่าทีพอจะได้อยู่นะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก มันเป็นวิบากของคนโทษไปถึงวิบากของประเทศด้วย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:11:21 )

สีลัพพตปรามาสเป็นไฉน

รายละเอียด

ศีล, พรต เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ใช่สีลัพพตุปาทานที่ยังไม่เข้ากระบวนการสัมมาทิฏฐิยังเป็นมิจฉาทิฐิแท้ พอสีลัพพตปรามาส เข้ากระบวนการที่ถูกมีสัมมาทิฎฐิอยู่ในสังโยชน์ข้อที่ 3 

สังโยชน์ข้อที่ 1 คือสักกายทิฐิ 

สังโยชน์ข้อที่ 2 คือวิจิกิจฉา 

สังโยชน์ข้อที่ 3 คือ สีลัพพตปรามาส 

“ปรามาส” แปลว่าลูบคลำ แตะต้อง เล่นหัว ไม่เอาจริง ไม่ปฏิบัติจริงไม่ทำให้สำเร็จผล ยกตัวอย่างเหมือนโจรกับตำรวจ รู้แล้วมีสัมมาทิฏฐิ ศีลและพรตถูกต้องแต่ไม่ลงมือให้สำเร็จผล มันต้องเหนื่อยต้องลำบากจึงจะสำเร็จผลแต่ไม่ทำ อาตมาอธิบายถึงขนาดว่ารู้ว่าเป็นโจรนั่งกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่ ก็ไปเล่นหัวอยู่กับโจรเลี้ยงโจรด้วยเอาไว้ใช้ เอาศีลไว้ใช้หลอกคน อ้างว่า ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม ศีลพรต หลอกคนกิน หากินกับโจร หากินกับความผิดความไม่ถูกต้อง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:08:28 )

สีลัพพตปรามาสเพราะปปัญจรามตา

รายละเอียด

ให้พ้น สีลัพพตปรามาส เล่นหัวกับมันอยู่ คนนี้ไม่พ้นสังโยชน์ 3 ไม่เข้ากระแสทำให้จิตเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ไม่ได้สักที คนไม่รู้ก็แล้วไป คนรู้แล้วไม่สงสัยว่ามันเป็นกิเลส แต่ก็เลี้ยงมันไว้ เป็นผู้ยินดีในความเนิ่นช้า ปปัญจรามตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน 4 วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 20:22:44 )

สีลัพพตุปาทาน

รายละเอียด

คือ ยังติดยึดในศีลพรตหรือในวิธีปฏิบัติ

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 223


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 15:54:38 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:23:32 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:11:39 )

สีลัพพตุปาทาน

รายละเอียด

คือ ยึดด้วยวิธีปฏิบัติตนเชื่อซึ่งยังผิด จนมีรสตามที่ตนยึดจึงเก๊อยู่

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 198


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 15:22:53 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:26:36 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:58:11 )

สีลัพพตุปาทาน

รายละเอียด

1. ได้แต่ยึดศีลยึดพรต ประพฤติงมงายพาซื่อไปตะพึด

2. การถือศีลยึดพรต บ้างก็เคร่ง บ้างก็ถือเหยาะๆ แหยะๆ ส่วนมากยึดถือตามๆ ที่เขาพาทำก็ทำกันไปอย่างที่พาซื่อตามจารีตประเพณีไปอย่างนั้นเอง 

3. การถือศีลบำเพ็ญพรตชนิดที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ

4. การยึดมั่นถือมั่นในอาการที่ตนประพฤติศีลประพฤติพรตอย่างมิจฉาอยู่ 

5. การยึดศีลและพรต(หรือวิธีปฏิบัติและการปฏิบัติของตน)เป็นตัวตน,ยึดมั่นวิธีปฏิบัติที่ตนทำได้ผล

6. การยึดศีลยึดพรตปฏิบัติจริง แต่ไม่ได้ลดล้างกิเลส

7. ความยึดถือทฤษฎีผิด หรือยึดถือวิธีปฏิบัติที่ผิด

8. การยึดศีลพรตที่มิจฉาทิฏฐิอยู่

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 489, 

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 62, หน้า 83, หน้า 84, 

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า153 – 154,

เปิดโลกเทวดา หน้า 170

 


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:17:51 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:51 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:12:47 )

สีลัพพตุปาทาน กับสีลัพพตปรามาสต่างกัน

รายละเอียด

คือสีลัพพตุปาทาน  คือ ศีลพรตที่เอาแต่ยึดถือกันยังไม่สัมมาทิฏฐิ  สีลัพพตปรามาส คือ มีสัมมาทิฐิแล้ว แต่ปฏิบัติยังไม่ได้  เหลาะแหละ ไม่ได้ผล ลดกิเลส  อันหนึ่งแค่อุปาทน  อีกอันหนึ่ง  ก็ปรามาส  สีลัพพตุปาทาน  ปฏิบัติตามศีล  ตามประเพณี ที่ยึดถือกัน  ทุกวันนี้ ปฏิบัติผิดเพี้ยน กันไปหมด ก็ได้ปฏิบัติแค่นั้น   ส่วนสีลัพพตปรามาส  คนนี้  พ้น สักกายทิฏฐิ  พ้นวิจิกิจฉา  แต่ไม่พ้น  สีลัพพตปรามาส   คือรู้แล้วแต่ไม่เอาจริง แม้รู้จักกิเลสแล้วก็ตาม  ค้นหารูปนามจิต  กายของคุณ  แยกให้ได้ว่า ตัวไหนคือกิเลส  คุณแยกแยะได้  รู้จักตัวกิเลสได้  อย่างไม่สงสัย  แต่คุณไม่ฆ่ากิเลสเสียที  สีลัพพตปรามาสลูบ   คลำเล่นหัวกับกิเลส ชวนกิเลสกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่นั้นเอง  เป็นตำรวจจะไปเล่นกับโจรเสียอีก  ต้องจับโจรเลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช  ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:43:49 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:30:25 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 14:59:22 )

สีลัพพตุปาทาน ต่างกับ สีลัพพตปรามาส

รายละเอียด

ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็นอาริยะ ศีลที่ไม่เป็นอาริยะคือ สีลัพพตปรามาส กับ สีลัพพตุปาทาน ศีลที่เป็น สีลัพพตุปาทาน ต่างกับ สีลัพพตปรามาส คือ สีลัพพตุปาทาน ก็ถือศีลอย่างอุปาทานยึดถือว่าถือศีล ดีไม่ดีหลงว่ามีศีลด้วย แต่แท้จริงไม่มี ถือก็แบกเทิ่งๆไว้ แบกไว้เฉยๆ ศีล ไม่ได้มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้เอาศีล ข้อ 1 2 3 4 ก็ตาม เอาไปปฏิบัติ 

สำรวมศีล ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช อย่าให้มีอกุศล อย่าให้มีทุจริตทั้งคู่ 

ข้อที่ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็อย่าให้เกิดอกุศลจิต คือราคะ โทสะ โมหะ แล้วเขาได้ปฏิบัติกันอย่างนี้ที่ไหน เพราะฉะนั้นจะถือว่าคนนี้มีศีลไม่ได้ ก็ได้แต่ถือศีลตามจารีตประเพณีที่เขาพาทำกันไป ถือได้กำหนดไว้ว่าถือศีล ได้แต่พยัญชนะได้แต่ตรรกะ ไม่ได้เข้าไปถึงจิตไม่ได้แยกแยะถึงราคะ โทสะ โมหะ ไม่ได้เป็นว่าเรารู้ราคะ โทสะ โมหะ สัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับพืชก็เกิดกิเลส เราก็รู้ทันกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดลงไปได้ ถือศีลมี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิดสัทธรรม 7

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 14:38:12 )

สีลัพพตุปาทาน ต่างจาก สีลัพพตปรามาส

รายละเอียด

สีลัพพตุปาทาน ปฏิบัติตามจารีตประเพณีไป ถึงวันวิสาขบูชาก็ล้มวัวมาทำลาบเลี้ยงกันไป ถือศีลเคร่งครัดนะ ไม่ลงละเอียดในการเคร่งคัดนะ คนที่เป็นเณรใส่ชุดลายเสือหากินทางติรัจฉานวิชา คนอ้วนๆ มีคนไปแน่นขนัดตลอดเวลา แต่อย่างนี้ชาวโลกุตระคนไม่แน่นตลอดเวลาหรอก ถ้าอย่างโน้นคนโง่ๆมีเยอะ คนที่หลงใหลในเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์มีเยอะ คนที่จะรู้จักสัจธรรม มันเป็นคนยอดปิรามิดมีน้อย คนฐานปิรามิดมีเยอะ ก็ต้องคัดเลือกเป็นธรรมดา สีลัพพตุปาทาน คือยึดมั่นในศีล แต่ก็ทำตามจารีตประเพณีของกลุ่มต่างๆ กลุ่มที่เจริญหน่อยก็ยังดี ไม่เจริญก็ไปตามเรื่อง คือ ปฏิบัติตามหมู่ที่ยังอวิชชาเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน ทีนี้ผู้พ้นจากสีลัพพตุปาทานแล้วรู้จักทาน รู้จักศีลพรตที่สัมมาทิฏฐิพ้นจากสังโยชน์ 3 รู้จัก กาย ของตน สักกายของตน อ่านจิตเจตสิกเป็น รู้รูปรู้นาม รู้ทฤษฎี พ้นจากวิจิกิจฉาในสังโยชน์ข้อที่ 2 ไม่สงสัย อ่านรูปอ่านนามเป็น รู้ทฤษฎีรู้วิธีปฏิบัติศีลพรต ปฏิปทา ที่จะปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วด้วย รู้ในอุบายเครื่องออก ปฏิบัติอย่างไรเราถึงจะหลุดพ้น 

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 พ่อครูบวชมาย่าง 50 ปี มีผลอะไร 1 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 16:06:49 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:31:55 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:57:48 )

สีลัพพตุปาทาน เป็นอย่างนี้

รายละเอียด

อุปาทาน ข้อที่ 3 คือ สีลัพพตุปาทาน เป็นอุปาทานยึดถือข้อปฏิบัติศีลพรต เพราะฉะนั้นคนที่ไปเข้าใจทิฏฐิผิด เข้าใจกามผิด เข้าใจกายผิด ศีลพรตที่ปฏิบัติก็จะผิดด้วย เพราะกำหนดผิดเลย กำหนดวิธีปฏิบัติอย่างไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นวิธีปฏิบัตินั่งหลับตาสะกดจิตข้างใน เข้าไปข้างในเลย ไม่เรียนรู้ข้างนอกก่อน อย่างสายหลับตาทั้งหลายแหล่ ไม่รู้เรื่อง กาม อย่างมหาบัว ไม่รู้เรื่องกาม ติดกาม ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) อย่างติดหมากพลู แล้วก็ไม่รู้ว่าการเสพติดอย่างนี้เป็นการยึดติดจริงๆ ซึ่งเป็นเปลือกนอก 

อาตมาเชื่อว่า มหาบัวนี่รู้นะ แต่มันติดจนกระทั่งต้องกลบเกลื่อน แล้วหลอกคนว่า ตัวเองไม่ติดหรอก นี่เรื่องของธาตุขันธ์ กินไปก็เพราะธาตุขันธ์เท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองพูดนี้ผิด หลอกคนอื่น คนๆนี้จะทำชั่วใดๆได้หมด ไม่มีละเว้น คนที่โกหกเขาทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก น่ากลัว ที่อาตมาพูดนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่เป็นจริง ยกขึ้นมาพูดไม่ใช่ลอยลม และก็ไม่ได้ไปข่ม แต่สงสารมหาบัว สงสารที่หลงผิด ถ้าหลงผิดจริง มหาบัวนี้จะอยู่ในภพชาติ หมุนเวียนตกอยู่ในภพชาตินานมาก เพราะตายไปจะไปยึดติดว่าตัวเองจะไม่เกิดอีกแล้ว เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าก็อุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ เพราะฉะนั้นมหาบัวนี้ก็คือคนที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ ไม่มีใครจะช่วยได้แม้แต่พระพุทธเจ้า คิดดูสิมันจะเป็นอย่างไร แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ คิดดูแล้วจะเป็นยังไง อย่างมหาบัวหรือสายนั่งหลับตา 

แล้วก็ไปหลงติดยึดเลยว่านี่แหละคือภพที่ 7 ภพที่ 8 อรูปฌาน ที่ 7 ที่ 8 เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส นี่แหละ ยึดตรงนี้ ที่ว่า ไม่เกิดอีกแล้วอย่างมหาบัวบอกว่าไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็ไปได้แค่นี้ เพราะเกิดจากการนั่งหลับตา ไม่มีทางอื่นที่จะได้ ล้างกิเลสไม่ได้ ก็ล้างกิเลสตาหูจมูกลิ้นกายอย่างหยาบๆยังไม่ได้ 

โดยไปแสดงตนว่า ตนเองพ้นกามคือ ไม่มีคู่ ไม่มีเมถุน ไม่มีคู่ผัวคู่เมีย ไม่ได้ไปแต่งงาน นั่นแหละคือไม่ได้เสพกามเพราะไม่ได้ไปแต่งงาน ไม่ได้ร่วมเพศ ผู้หญิงผู้ชายที่เป็นตัวตนแท้ๆถือว่าอันนั้นพ้นกาม อาตมาขอใช้คำนี้ว่าหลอก หลอกตัวเองว่าพ้นกิเลส แล้วก็ไปอธิบายไม่ได้ในภพชาติ ในภวังค์ ในภายใน อธิบายไม่ได้ มีแต่ใช้คำว่า กิเลสกิเลส สู้มัน สู้มัน นั่งหลับตาสู้มัน นั่งภาวนา ๆๆ สู้มัน มโนปวิจาร 18 อธิบายไม่ได้ ยิ่ง เวทนา 108 ไม่ต้องพูดเลย ทั้งๆที่เรียนมาเป็นเปรียญ อธิบายไม่ได้ อธิบายอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้อธิบายง่ายๆ แม้ผู้เรียนรู้มาพอรู้ความอย่างมหาบัว 

ที่อาตมาต้องหยิบยกมาพูด มาอธิบาย มาเป็นตัวอย่างก็เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ไม่ได้เกลียดชัง พูดอีก สงสารมหาบัว แล้วคนที่ไปหลงติดยึดแบบมหาบัวก็น่าสงสารเหมือนกันทุกคน บวชอยู่นี่เป็นลูกศิษย์ลูกหาทุกวันนี้มีเยอะจริงๆ แล้วเขาไม่ฟังนะที่อาตมาพูด เขาปิด เขาว่าพวกนี้นอกรีต นอกศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมหาบัวคือพระบุตร แล้วก็เดียรถีย์นั่นแหละคือพระเจ้าของเขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 13:12:57 )

สีลัพพตุปาทานกับสีลัพพตปรามาสต่างกัน

รายละเอียด

สีลัพพตุปาทาน  คือ ศีลพรตที่เอาแต่ยึดถือกันยังไม่สัมมาทิฏฐิ  สีลัพพตปรามาส คือ มีสัมมาทิฐิแล้ว แต่ปฏิบัติยังไม่ได้  เหลาะแหละ ไม่ได้ผล ลดกิเลส  อันหนึ่งแค่อุปาทาน  อีกอันหนึ่งก็ปรามาส  สีลัพพตุปาทานปฏิบัติตามศีล  ตามประเพณีที่ยึดถือกัน  ทุกวันนี้ ปฏิบัติผิดเพี้ยนกันไปหมด ก็ได้ปฏิบัติแค่นั้น   ส่วนสีลัพพตปรามาส  คนนี้พ้นสักกายทิฏฐิ  พ้นวิจิกิจฉา  แต่ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส   คือรู้แล้วแต่ไม่เอาจริง แม้รู้จักกิเลสแล้วก็ตาม  ค้นหารูปนามจิต  กายของคุณ  แยกให้ได้ว่าตัวไหนคือกิเลส  คุณแยกแยะได้  รู้จักตัวกิเลสได้อย่างไม่สงสัย  แต่คุณไม่ฆ่ากิเลสเสียที  สีลัพพตปรามาส ลูบคลำเล่นหัวกับกิเลส ชวนกิเลสกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่นั้นเอง  เป็นตำรวจจะไปเล่นกับโจรเสียอีก  ต้องจับโจรเลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่  25  พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 20:09:23 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:58 )

สีลัพพตุปาทานต่างจาก สีลัพพตปรามาส

รายละเอียด

สีลัพพตุปาทาน ปฏิบัติตามจารีตประเพณีไป ถึงวันวิสาขบูชาก็ล้มวัวมาทำลาบเลี้ยงกันไป ถือศีลเคร่งครัดนะ ไม่ลงละเอียดในการเคร่งครัดนะ คนที่เป็นเณรใส่ชุดลายเสือหากินทางติรัจฉานวิชา คนอ้วนๆ มีคนไปแน่นขนัดตลอดเวลา แต่อย่างนี้ชาวโลกุตระคนไม่แน่นตลอดเวลาหรอก ถ้าอย่างโน้นคนโง่ๆมีเยอะ คนที่หลงใหลในเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์มีเยอะ คนที่จะรู้จักสัจธรรม มันเป็นคนยอดปิรามิดมีน้อย คนฐานปิรามิดมีเยอะ ก็ต้องคัดเลือกเป็นธรรมดา

สีลัพพตุปาทาน คือยึดมั่นในศีล แต่ก็ทำตามจารีตประเพณีของกลุ่มต่างๆ กลุ่มที่เจริญหน่อยก็ยังดี ไม่เจริญก็ไปตามเรื่อง คือ ปฏิบัติตามหมู่ที่ยังอวิชชาเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน

ทีนี้ผู้พ้นจากสีลัพพตุปาทานแล้วรู้จักทาน รู้จักศีลพรตที่สัมมาทิฏฐิพ้นจากสังโยชน์ 3

รู้จัก กาย ของตน สักกายของตน อ่านจิตเจตสิกเป็น รู้รูปรู้นาม รู้ทฤษฎี พ้นจากวิจิกิจฉาในสังโยชน์ข้อที่ 2 ไม่สงสัย อ่านรูปอ่านนามเป็น รู้ทฤษฎีรู้วิธีปฏิบัติศีลพรต ปฏิปทา ที่จะปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วด้วย รู้ในอุบายเครื่องออก ปฏิบัติอย่างไรเราถึงจะหลุดพ้น

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2562 ( 16:08:01 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:35:07 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:02:00 )

สีลัพพตุปาทานเป็นไฉน

รายละเอียด

“สีลัพพตุปาทาน” “ศีล” คือ มีข้อปฏิบัติ “พรต” คือ ตัวประพฤติปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติไม่มีศีลมีเยอะ คนที่ปฏิบัติตามศีลพระพุทธเจ้า มีน้อย เขามีวินัย 227 แต่วินัยไม่ใช่ศีล ต่างกัน อันนี้ก็ยาก อาตมาพูดแล้วพูดอีก วินัยตามมาทีหลังมีผู้ทำผิดท่านก็ตราพระวินัยเพิ่ม แต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนั้น ตราไว้ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้มี 43 ข้อ จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ  43 ข้อ ไม่เพิ่มไม่ลด แต่ถ้าเป็นพระวินัยถ้าพระพุทธเจ้าอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ใช่แค่ 227 ข้อแต่จะมีเพิ่มกว่านี้อีก และของภิกษุณีมี 311 ข้อ

ผู้ที่ศึกษาศีลพรตแล้ว ปฏิบัติศีลยังไม่เป็นกระบวนการครบ มีศีล แล้วก็จะต้องปฏิบัติจิตให้เป็น อธิจิต แล้วมีอธิปัญญา ถึงอธิมุติ ถึงสุดวิมุติ จบ “อธิ” คือเจริญยิ่งขึ้น อธิจิตเจริญ อธิปัญญาก็เจริญ 3 เส้า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เจริญถึงรอบก็เป็น อธิมุติโน้มไปแนวทางที่จะจบ อธิมุติ อธิโมกข์ แล้วก็ตรวจสอบจนมีวิมุตติญาณทัสสนะจนมั่นใจครบเจโตปริยญาณ 16 (ไม่ลงละเอียดวันนี้)

พวกถือศีลได้แค่จารีตประเพณีเรียกว่า “สีลัพพตุปาทาน” ทั้งศีล พรต เป็นอุปาทาน ทั้งข้อศีลและการประพฤติคือพรต คำว่าถือศีลปฏิบัติธรรมก็ทำแต่ไม่สัมมาทิฏฐิทั้งศีลและข้อประพฤติไม่สัมมาทิฏฐิทั้งคู่ ก็เป็นอุปาทานยึดถือได้แค่นี้ไป ชาติแล้วชาติเล่าแล้ว apply ศีล ประยุกต์วิธีปฏิบัติศีลไปอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด วิปัสสนาทำอย่างนี้สมถะทำอย่างนี้ 

วิปัสสนานี่แหละ มันใช้เชิงปัญญาหลากหลายกระบวนการเหลือเกิน ทั้งลืมตาทั้งหลับตาวิปัสสนา แต่ละสำนัก แยกวิปัสสนากับสมถะก็ยังไม่ออกมีเยอะ แยกออกบ้างแต่อธิบายไปตามเชิงของเขา ซึ่งศีลพรต เป็นอุปาทานก็ขอตัดจบตรงนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:50:50 )

สีหสูตร

รายละเอียด

สีหสูตร  คือ  สูตรที่อเจลกะได้กล่าวตู่โพนทะนาว่าพระสมณะโคดมฉันเนื้อสัตว์ที่เขาเจาะจงฆ่ามาให้ฉัน  เป็นการยืนยันว่า  ปกติพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 15:41:30 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:35:40 )

สีเลน นิพพุติง ยันติ

รายละเอียด

ศีลทั้งหลายนี่แหละจะพาไปถึงนิพพาน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 117


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:19:33 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:51 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:13:22 )

สีเลน สุคติง ยันติ

รายละเอียด

ศีลทั้งหลายนี่แหละจะพาไปสู่สุคติ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 117


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:20:50 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:38 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:12:59 )

สีเลน โภคสัมปทา

รายละเอียด

ศีลทั้งหลายนี่แหละเป็นเครื่องใช้สำคัญที่จะพาตนให้ถึงไหนถึงกัน จนเป็นที่สุดครบพร้อม หรือเป็นสมบัติที่จะพาตนให้ถึงพร้อม

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 117


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 08:20:06 )

เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:24 )

เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 08:13:40 )

สืบทอดกันไว้ด้วยความผิด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ข้อที่ 10 ทิฏฐุชุกรรม คุณก็ไปตีขลุมว่าเป็นความถูกตรง ถ้าคุณไม่ถูกตรงโดยสภาวธรรมจริงแล้ว คุณก็เอาภาษามาตีขลุมว่าถูกตรง คุณก็เป็นการขี้โกง เอาความผิดไปเป็นความถูก ไปขี้โกงเอาของพระพุทธเจ้า ที่ถูกๆไปทำผิดๆ คุณก็บาป เพราะฉะนั้นข้อ 10 ทิฏฐุชุกัมม์จึงเป็นความเห็นที่ถูกตรงที่เขาตีขลุมเอาหมด หมดเลย ว่าอย่างนี้แหละ 

นี่คือความเสื่อมของธรรมะพระพุทธเจ้ามาตามลำดับ เป็นการอวดดีของเกจิอาจารย์หรืออรรถกถาจารย์หรือผู้รู้รุ่นหลัง แล้วก็สืบทอดกันไว้ด้วยความผิด ผิดจาก 1 จาก 2 กระจายไปเรื่อยๆผิด 3-4 ผิดยกกำลังสูงขึ้น สูงขึ้น 2,500 ปี มาถึงวันนี้ความผิดพลาดมาก ที่อาตมาหนักมากต้องแก้ไข คนที่ฟังคำอธิบายจากอาตมาไป กาลามสูตรพระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งเชื่อทุกเรื่อง คุณเข้ามาสิ มาสอดแนม มาปฏิบัติ ลองเลย ที่อาตมาพาปฏิบัติแล้วคุณจะได้รู้จริง คุณจะได้เป็นคนสะอาดดี 

สะอาดดีมาสอดแนมอาตมา เป็นตำรวจถูกใช้ให้มาสอดแนมอาตมา เลยมาเข้าใจธรรมะที่นี่ แล้วก็ไม่ไปแล้ว ปลดเกษียณแล้วอยู่ตรงนี้ อยู่ไปจนกระทั่งตาย เผาไปแล้ว เลยได้ธรรมะไปเลย มาจับโจรได้อยู่กับโจร ที่จริงไม่ใช่โจร มาเข้าใจผิดว่าเป็นโจร อาตมาพูดไปกลับไปกลับมาฟังดีๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก 

สรุปที่เบญจวรรณถามมา ทานมัย กับ ปัตติทานมัย มีสภาวจิตกับสภาวธรรมอย่างไร สภาวธรรมนั้นได้ทั้งรูปธรรม นามธรรม สภาวจิตคือนามธรรม มันก็ต่างกันอีก สภาวจิตคือนามธรรม สภาวธรรมมันมีคู่ ธรรมะมีคู่ ถ้าธาตุ มันมาเดี่ยว ถ้าธรรมมันมีคู่ เป็นต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นธาตุคือเดี่ยว ต้นธรรมคือคู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:45:42 )

สืบทอดต่ออายุศาสนาพุทธให้ครบ 5,000 ปี

รายละเอียด

ในทางออกอันนี้ เมื่อหมดสุขหมดทุกข์แล้ว ก็ไม่ต้องแสวงหา เมื่อไม่ต้องแสวงหาพลังงานก็มีเหลือเฟือก็เอาพลังงานมาปลูกพืชผัก ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ได้ อาตมาก็เลิกพักแล้วการปลูกพืชผัก ให้พวกคุณปลูก อาตมาก็มาสอนธรรมะ นักบวชก็ช่วยสอนมาสอนเก่งกว่า ฆราวาสก็เก่งทำอย่างอื่น แต่ละขั้นแต่ละหน้าที่ ใครเหมาะสมคนนั้นก็ช่วยกันทำ อาตมาเหมาะสมหน้าที่ที่จะอธิบายธรรมะ โดยเฉพาะพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ลึกซึ้งไปถึงที่สุดได้ ได้ ได้ อาตมาก็ทำ เพราะอาตมามีทั้งวาทะ ทั้งปณิธานตัวเอง มีทั้งสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ ว่าจะต้องสืบทอดต่ออายุศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าองค์นี้ สมณโคดมนี่แหละ ให้ยืนยาวไปจนกระทั่งถึง 5,000 ปีให้ได้ อาตมาก็พูดความจริงสู่ฟัง ไม่ได้อยากอวดอยากโอ่ อะไร ก็เป็นความจริง ซึ่งก็เป็นความจริง อาตมาก็เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:14:20 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 09:53:01 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:17:25 )

สืบทอดอำนาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป

รายละเอียด

วันนี้วันเลิกทาสของในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็มีคนถามเรื่องนี้มาเหมือนกัน การสืบทอดอำนาจ มันก็ต้องชัดเจนว่า สืบทอดอำนาจนั้น อำนาจนั้นเป็นอำนาจที่เป็นอำนาจเป็นธรรม หรือเป็นอำนาจที่เป็นอธรรม ถ้าอำนาจที่เป็นอธรรม สืบทอดอำนาจอย่างนั้นแน่นอนก็ไม่ดี สืบทอดบัลลังก์ ก็มีนัยยะคล้ายกัน แต่บัลลังก์มันเป็นสถาบันส่วนอำนาจนั้นเป็นนามธรรม ก็เลยชัดเจนกว่ากัน ถ้าสืบทอดบัลลังก์ก็เป็นรูปธรรมชัดเจน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:06:57 )

สืบทอดเนื้อของโลกุตระธรรมแม้น้อยก็ต้องทำ

รายละเอียด

คุณพูดมาก็ไม่ผิดสำหรับคนที่ฐานไม่ถึงก็ฟังไม่เข้าใจ คนที่ฟังเข้าใจได้ก็มีน้อยกว่าคนที่ฟังไม่เข้าใจ อาตมาก็ต้องสืบทอดเนื้อของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะได้น้อยอาตมาก็จะต้องทำ อันนี้เป็นหน้าที่อันนี้เป็นความจำเป็นเป็นเรื่องสำคัญที่อาตมาจะต้องทำ จึงเป็นคนไม่ได้คำนึงถึงปริมาณไม่ได้คำนึงถึงจำนวนมาก ก็ต้องขออภัยสำหรับคนจำนวนมากที่อาตมาต้องพูดประมาณนี้ แต่ว่าอัตราการก้าวหน้าของคนที่ได้โลกุตระได้รู้และได้ปฏิบัติธรรมบรรลุมันมีเพิ่มขึ้น เพราะว่าอัตราการก้าวหน้านี้มันมีอยู่มันก็ค่อยๆเป็นไป แต่ความเจริญต่างๆของคนมันเจริญไม่เร็วเท่ากับความอยากให้ได้ความเจริญของมนุษย์หรอก ความอยากเจริญให้เร็วของมนุษย์มันมากกว่าความเจริญจริงที่ได้มากกว่ากันเยอะเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องชะลอความอยากได้นี้ไว้หน่อยเถอะ ภาษาศัพท์วิชาการเขาเรียกว่าอย่าให้มีอภิชปา   เป็นความต้องการล้ำหน้า อยากให้ได้เร็วกว่านี้ก็ให้ช้าไว้หน่อยนึง แต่ทำเต็มที่ทำอย่างที่เหมาะสมควรให้เป็นที่เพราะฉะนั้นใจอย่าไปอยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:40:26 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 13:36:54 )

เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2563 ( 15:03:01 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์