@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ต่อสู้กับพญานาคหมายถึงอะไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมารูปนึง ก็มีเสียงธาตุทองคำกระทบกันครั้งหนึ่ง ความถี่เป็นเสียงทิพย์ ก็ได้ยินถึง พญานาคได้ยินก็ตื่นขึ้นมาจากที่หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นบอกว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาอีกพระองค์แล้วหรือนี่ฟังดูแล้วก็หลับอีกต่อไป ไม่รู้ไม่ชี้ไม่กระดุกกระดิกไม่ตื่นเต้นว่าพระพุทธเจ้าเกิดทั้งองค์ เอ็งจะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอีกถึงไหนกัน วันที่อาตมาพูดกระทบกระแทกพาดพิงถึงพวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมพูดกระทุ้งกระแทกแรงสุดแรงจนไม่รู้จะแรงอย่างไรแล้ว จะหลับตากันไปถึงไหนเหมือนพญานาคนี่ จะเหมือนงูเหลือมนอนหลับเมื่อได้กินช้างตัวหนึ่งอยู่ในท้องแล้วก็เลยร้องว่า กว่าที่งูจะย่อยช้างหมด ต่อสู้กับพญานาคความหมายง่ายๆคือต่อสู้กับความง่วงเหงาหาวนอน หรือพวกไม่รู้ พวกไม่ตื่น 

ที่มา ที่ไป

รายดารพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:29:43 )

ต่ออายุขัย

รายละเอียด

อาศัยพืช เป็นเครื่องอาศัยอยู่แต่ปรุงแต่งเป็นกุศล อาศัยธาตุพืช เป็นเครื่องอยู่ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ดูดไม่ผลัก แต่ก็มีธาตุที่เข้ามาปรุงแต่งตามที่ควรเรียกว่ากัมมัญญตา ตามเหมาะควรๆ ไม่เวอร์เกิน ไม่น้อยไปไม่มากไปได้สัดส่วนพอดี ถ้าจะให้มันก้าวหน้าไปในทางสัมประสิทธิ์ ให้มีอัตราก้าวหน้าไปในทางเจริญคุณก็ทำไป ก็อยู่ที่สมรรถนะของสัมประสิทธิ์ของคุณ อย่างอาตมานี่มันหมดขนาดแล้ว อายุขัย แต่อาตมาพยายามต่ออายุด้วยสัมประสิทธิ์สร้างสัมประสิทธิ์ให้ชีวิตยืนยาวเพิ่มขึ้น ๆไป มันก็พอได้ ก็ดูกันไปว่าอาตมาจะพยายามใช้สัมประสิทธิ์นี้ได้ไปอีกนานเท่าไหร่

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:39:08 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:29:43 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:23:14 )

ต่ออายุขัยต้องใช้อิทธิบาท

รายละเอียด

อาตมายังกะอยู่เลยนะว่าจะอยู่สัก 133 ทำไมต้อง 133 ก็ไม่รู้ ไม่เอา 136 เอาแค่ 133 คิดว่าพอจะกระเสือกกระสน พากเพียร ยืดยาว ใช้อิทธิบาท ใช้วิชาความรู้ทางพุทธศาสนานี่แหละ ต่ออายุขัยตัวเองไป ลองดู แล้วคุณก็ช่วย 

ทุกวันนี้ พยายามจะกินอาหารให้อร่อย หาอาหารดีๆให้กินได้มากๆ ดีนี้พวกเราหามาให้กินอยู่แล้ว ไม่มีสารพิษไม่มีอะไรมีพิษ หาแต่ของดีๆมาทั้งนั้น นี่ก็บอกว่า นึกถึงสมัยอาตมาเป็นฆราวาสเคยกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยเป็นเจ้าประจำต้องไปกินเจ้านี้แหละเจ้าอื่นไม่ค่อยจะเข้าไปกิน มันมีอยู่ไม่กี่เจ้าหรอก อร่อย ก็อยากจะกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ก็ไปหาเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบจีนไม่ใช่แบบไทย แม้แต่เส้นโคราชก็ยังไม่ค่อยตรงทีเดียว อาตมาก็นึกไม่ออกเหมือนกันทำอย่างไร แต่จำได้ว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวมันไม่แข็ง มันไม่หยาบ มันกินดี เขาพยายามไปหากันอยู่เนี่ย จะกินให้อร่อยให้น้ำหนักขึ้นดูซิ นี่น้ำหนักลงไป 47 แล้ว ยังไม่ถึง 50 สักที แต่ก็แข็งแรงใช้ได้ ก็รู้สึกว่าดีขึ้น ดีขึ้นกว่าตอนที่มันแย่ๆ มันก็ดู Fresh up ขึ้นมาได้ทีเดียว 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 05:04:09 )

ต่ออายุไปให้ถึง 133 ก็อีก 45 ปี

รายละเอียด

ทำเป็นขั้นตอนไป ถ้าถึงเวลานั้นก็ค่อยรู้ว่าจะต่อดีไหม ตอนที่ถึง 90 แล้วก็จะดูว่าสมควรจะไปต่อได้หรือไม่ ก็ไปเรื่อยๆจนถึง 96 ก็จะดูว่า เออ ไปได้ก็ดีนะ ดีขึ้นด้วย รู้สึกว่าจะหนุ่มและแข็งแรงขึ้นกว่าเก่า ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งสบายเลย ก็ต่อเลย ไปให้ถึง 100 เมื่อถึง 100 แล้วยิ่งแข็งแรงfresh upมากยิ่งขึ้น ก็ไปให้ถึง 108 จาก 108 แล้วจะไปต่ออีก 120 ไปถึง 120 แล้วยังไปได้อีกนะ ก็ไปให้ถึง 133 เอาไว้แค่นี้ก่อน ยังไม่คิดต่อ 133 ก็อีก 45 ปี โอ้โห ไม่น้อยนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 22 ยุคนี้สมาธิชาวอโศกเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 21:20:38 )

ต่อเชื้อหรือแนวของพระพุทธเจ้าทางสังคมศาสตร์

รายละเอียด

พวกเราได้ศึกษา พฤติกรรมที่ไปอยู่กับสังคมที่เขาปรุงแต่งกัน เราก็บอกว่าอย่าไปปรุงแต่งกันมากเลยมันพาให้ทุกข์มันพาให้เปลือง พาให้ยั่วยวนกันไม่เข้าเรื่อง ผลาญพล่ากันมันมีแต่เสื่อม มันไม่เจริญ เราไปสู่สิ่งที่เจริญๆกันดีกว่า มันซ้อนลึกในด้านเศรษฐศาสตร์ ในด้านรัฐศาสตร์ รวมแล้วอีกเส้าก็เป็นสังคมศาสตร์ สังคมศาสตร์มีเศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์เป็นหลัก เราก็ชัดเจนในภาษาในความหมายพวกนี้ที่เราเองเราประพฤติ พยายามทำให้เป็นแนวของเรา ที่เอาแนวมาจากของพระพุทธเจ้า 

คำว่า แนว ภาษาภาคกลางคือมรรค คือทางเดิน แต่แนวของอีสานคือเชื้อเลยนะ เช่นแนวมันมีมะเขือหำม้า เอาพันธุ์มันแท้ๆมาปลูกเลย ของเรามันมีครบครัน เราเข้าใจคำว่าแนวของภาษาภาคกลาง และของอีสานชัดเจนหมดเลย แล้วก็รักษาพันธุ์ พยายามดูแลพันธุ์ที่ดีเอาไว้ หรือจะปรับปรุงพันธุ์กันบ้าง อย่าให้มันเกินเลยเป็น GMO เราก็มาพัฒนากันต่อ รู้จักการต่อยอด ยอดที่จะต่อว่าเราจะต่อตรงไหนอย่างไรแค่ใด ไม่ให้มันเกินให้มันพอเหมาะพอดี ปโหติๆไปเรื่อยๆ ได้สัดส่วนได้สมดุล ไม่มากเกินไม่น้อยเกินไป ตามลำดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 14:24:48 )

ต่อเรื่องพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ เป็นอุตตริมนุสสธรรมที่มิจฉาฯ

รายละเอียด

คือการที่จะรู้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ กลับมาเกิดอีกไม่ได้ มันก็เป็นอุตริมนุสธรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นอุตตริมนุสสธรรมที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะจริงๆแล้ว ก็พูดไปแล้วว่า ถ้าพระอรหันต์ทุกองค์ตายแล้วต้องสูญ  ฟังดีๆ นะ ประเด็นนี้ เพราะชาติที่เป็นพระอรหันต์ตายไปแล้วต้องสูญเลย ก็ไม่มีผู้ที่มีภูมิธรรมอรหันต์เกิดมาต่อยอด อรหันต์ที่สูงขึ้นไปเป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ ก็ไม่มี แล้วจะไปมีสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร คุณก็เท่ากับตัดศาสนาพระพุทธเจ้าทิ้งด้วนไปเลย ศาสนาพุทธก็ด้วนไปอย่างนั้น เป็นการทำลายศาสนาพุทธอย่างย่อยยับเลย บาปมหันต์เลย ซึ่งอย่าไปคิดอย่างนี้นะขออภัย ไปบังคับคุณไม่ได้หรอก คิดใหม่คิดให้ดีๆ ศึกษาดีๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2565 ( 14:56:33 )

ต่อไปคนจะค่อยๆมีจิตสำนึกการทำเพื่อผู้อื่น

รายละเอียด

เขาจะแย่งกันก็ตามเขาจะค่อยๆรู้ว่าคนอื่นเขาทำให้เรากิน เราจะขี้โลภเอาไปมากอีกหรือได้อย่างไร เขาจะรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ 

มันจะมากขึ้นแล้วเขาจะเข้าใจ เผื่อแผ่คนอื่นหน่อย เราก็ทำเองบ้าง คนจะค่อยๆสำนึก ค่อยๆรู้สึกตัว ว่า อ๋อ.. บางทีมันจะต้องออสโมซิสกันนานหน่อย ค่อยๆซึมลึกกันขึ้นไป ค่อยๆรู้สึก ค่อยๆรู้ตัว ว่า เราก็ควรจะละอายควรจะเห็นแก่ผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น นี่เขาก็ทำเพื่อผู้อื่นจังเลย แต่ทำไมเราไม่คิดอย่างนี้บ้าง มันดีไหม ก็ดี ปฏิเสธไม่ได้หรอก ทำให้ดูไปเลยไม่ต้องสอน มันยิ่งใหญ่ อาตมาพาทำได้ลึกซึ้ง อย่างเป็นกระบวนการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ที่มีครบพร้อมทั้งรูปทั้งนาม ทั้งผลผลิต ทั้งสิ่งที่ออกมาเป็นผลผลิต เป็นวัฒนธรรมขึ้นมาค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ มันบอกว่ามันกำลังเจริญ พวกเรากำลังเข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:57:30 )

ต่อไปพวกไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรมจะเกิดการแย่งชิง

รายละเอียด

ถ้าต่อไป เขาอยู่ดีกินดี เขาไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรม ประชาชนจีนพันกว่าล้านก็จะเสร็จติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส และอัตตาหรืออำนาจ ก็จะต่อไป เขาอยู่ดีกินดี เขาไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรม แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าแย่งชิงอำนาจของสีจิ้นผิง แต่มวลประชาชนนั้น ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม เป็นแต่เพียงเขาอาศัยรูปของวัตถุรูปของสิ่งที่มันกระจายกันอยู่ได้ เขาก็เลยพออาศัยกันทุกวันนี้ 

เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์อันนี้จึงซับซ้อนในรูปธรรม เขาไม่ได้มีนามธรรมเหมือนกับชาวอโศกที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าสีจิ้นผิงประกาศทฤษฎีของพระพุทธเจ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ อาตมาจะรับสีจิ้นผิง ไม่ถึงสมบูรณ์แบบก็ยัง แต่ยังไม่ออกจากปากสีจิ้นผิง จนกว่าสีจิ้นผิงจะได้ยินโพธิรักษ์พูดถึงจะเอาไปคิด แล้วเขาจะคิดออกหรือไม่ออกก็ไม่รู้นะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:51:13 )

ต่างคนต่างตั้งจิต

รายละเอียด

คุณตั้งจิตแค่เป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่ต่อพุทธภูมิก็เป็นเรื่องของคุณ แต่จะไปว่าคนที่เขาต่อไม่ได้ก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้ว่าอะไรคุณจะเอาอย่างนั้นก็เอา ต่างคนต่างตั้งจิตจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน ถ้าว่ายึดถือมันจะไม่สวย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2563 ( 13:33:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:57:02 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:23:42 )

ต่างคนต่างมองเห็นดาวกันคนละดวง

รายละเอียด

โอ๊ย..คุณเอ๋ยคุณชายหัวใจสีขาว เอาเถอะขออนุญาตให้อาตมาแสดงความจริงใจของอาตมาก็แล้วกัน ส่วนคุณเห็นแย้งนั้นอาตมาก็เกรงใจ ยังไงก็ขอขัดแย้งกับคุณนะขอแสดงความจริงที่อาตมาเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ ตามความจริงใจของอาตมา ขออนุญาตนะคุณชายหัวใจสีขาวนะ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้มองอย่างคุณมอง คุณมองว่าขณะนี้ข้าวของขึ้นราคา จนเดือดร้อนกันไปทั้ว

มันเป็นความเห็นต่างก็ขออนุญาตว่า อาตมาเห็น อย่างนี้จริงๆไม่ได้หลอกตัวเอง คุณเองก็คงไม่ได้หลอกตัวเองแต่มันเป็นนานาสังวาส ความเห็นของคุณก็อย่างหนึ่งความเห็นของอาตมาก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นคุณจะสนับสนุนทางโน้นก็สนับสนุนไป อาตมาก็ขอสนับสนุนทางอาตมาก็แล้วกัน ต่างคนต่างมองเห็นดาวกันคนละดวง ก็จะเห็นกันในอนาคตถึงผลพิสูจน์นั้น เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่รู้จะว่ายังไงเพราะเกิดนานาสังวาสแล้วนี่ก็ต้องอย่างนี้แล้วเนาะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566  วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 12:49:14 )

ต่างคนต่างรับรู้แต่ละมิติ แต่ละนัยยะของแต่ละคน

รายละเอียด

ในผู้ที่ศึกษาผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบ ฟังที่อาตมาพูดสาธยายต่างๆนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความจริงไม่ได้พูดเล่น พูดเรื่องอย่างนี้พูดเล่นได้อย่างไร หากพูดแล้วเลอะเทอะเขาจะหาว่าบ้าเอา แต่พูดอย่างมีเหตุมีผลมีหลักฐาน และพวกเราฟังเข้าใจมีสภาวะด้วย ก็จะรู้ว่าเราพอมี แต่ละคนก็มี แต่ละนัยยะของแต่ละคน มากคน ร้อยคนพันคนหมื่นคนก็มี นัยยะที่แตกต่างกันมันมีมุมมีเหลี่ยมมีมิติต่างๆที่พวกเราต่างคนต่างกันอยู่นะ ก็รับรู้แต่ละมิติ เหมือนช้างมีสัดส่วนคนละอย่าง แค่นี้เรียกว่าขา อย่างนี้เรียกว่าข้างช้าง งวงช้างหางช้าง ก็มีมากมายหลายมิติมากกว่าช้าง 1 ตัวแสนเท่าพันเท่า 

สรุปที่คนมาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าให้มาศึกษา เป็นความรู้รวมยอด ที่ควรจะไปศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ศาสตร์ทุกศาสตร์ ทุกวันนี้มีมากมาย แต่ยุค พระพุทธเจ้ามี 18 ศาสตร์ พระพุทธเจ้าก็เรียนจบหมดเทียบได้กับเกียรตินิยมทั้งหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีคนเรียนจบเป็นด็อกเตอร์หลายสาขา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2564 ( 21:02:05 )

ต่างคนต่างอวิชชาไม่เรียนรู้ความจริง

รายละเอียด

อาตมาพูดไปก็หาว่าไปว่าคนที่เขาเคารพนับถือ อาตมาก็บอกว่าเพราะไปโง่กับอวิชชา ต่างคนต่างอวิชชา ต่างคนต่างเป็นคนตาบอด ปากใบ้ ตาบอดปากกืก งมงายตลอดกาล ไปไม่รอด เยอะด้วย แล้วศาสนาพุทธทุกวันนี้ อย่าว่าแต่พวกหลับตาปฏิบัติ แม้แต่พวกเถรสมาคม พวกนักวิชาการศาสนาก็ยังเชื่อว่าจะไปเป็นพระอาริยะต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ไม่ได้ปฏิบัติเลย นับถือพวกนั่งปฏิบัติมากกว่า เอ็งเรียนมากกว่าก็เลยแบ่งเป็น 2 พวกมีพระบ้านกับพระป่า หรือพระวิชาการกับพระปฏิบัติ อยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไม่เข้าเป้า ไม่เรียนรู้ความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:32:12 )

ต่างประเทศตื่นตัวที่จะมาฝึกสมาธิในประเทศไทย

รายละเอียด

ก่อนลงมาอ่านคอลัมน์ของเปลวสีเงิน เขียนถึงว่าตอนนี้เมืองไทย เป็นเมืองที่ต่างประเทศตื่นตัวที่จะมาฝึกสมาธิในประเทศไทย แต่ความรู้ของคุณเปลวมีความรู้แค่สมาธิของโลกีย์อยู่ พูดตรงๆบอกคุณเปลวเลยว่า ยังไม่เข้าสู่โลกุตระเท่าไหร่ สมาธิก็เป็นการฝึกแบบรวมซึ่งจะต้องรู้ ฌาน รู้ บุญก่อน ถ้าไม่รู้สมาธิ ก็ไม่เป็นโลกุตระต้องเข้าใจ ฌานวิสัยที่เป็นโลกุตระแล้วต้องรู้พลังงานตัวปลายของ ฌาน คือบุญ

บุญคือ ประหารมือสุดท้าย คือมือเพชฌฆาต ฌาน ก็เป็นตัวประหาร 1 2 3 บุญนี้เป็นมือ 4 จบเลย ชัวะ เป็นมือเพชฌฆาตเก็บกวาดสุดท้าย แล้วบุญก็ไม่มีอะไรหลงเหลือ ทำหน้าที่ดับกิเลสให้สนิทเด็ดขาดแล้วก็หายไปพลังงานนั้นไม่สะสม ถ้าขืนยังมีบุญสะสมมันยังไม่ปรินิพพาน บุญเป็นหนึ่งอย่างเดียวไม่มีสอง ไปอ่านในหนังสือ เปิดยุคบุญนิยมกันดู ตอนนี้ออกหนังสือมาสองเล่ม มีอังกฤษแบบอโศกด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:42:57 )

ต่างออกความคิดเห็น ปฏิบัติร่วมกันจะไปได้ไกลและยั่งยืน

รายละเอียด

ต่างคนต่างออกความเห็นกัน ต่างคนต่างมีความเข้าใจอย่างไรก็เอามาแชร์กัน แบ่งแจกกันรู้ เรียน ขบคิด แล้วก็เอาไปปฏิบัติประพฤติร่วมกันแล้วจะเกิดผลต่อมวลมนุษยชาติให้เกิดเป็นปึกแผ่น นี่เป็นสัจจะที่อาตมาว่าจะไปได้ไกลจะไปได้จริง ยั่งยืนไปได้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็ขอย้ำว่ามาศึกษาธรรมะเถอะ ใครจะหาว่าอาตมาเป็นคนคลั่งไคล้พระพุทธเจ้า เป็นคนคลั่งไคล้ศาสนาพุทธ ก็ยอม Crazy and Crazy คลั่งไคล้หลงใหลศาสนาพุทธ ก็ไม่เป็นไร เป็นศัพท์ที่เขาว่าประชดประชัน แต่เราไม่ได้หลงใหลอย่างคลั่งไคล้ เราชัดเจนในความจริง ชัดเจนในสัจจะ ชัดเจนในสิ่งที่ได้ที่เป็นที่มีอย่างตื่นตื่น ไม่ได้หลงใหลคลั่งไคล้อะไรเลย ไม่ได้เป็นคนอย่างที่เขาหมายมาจะประชดประชันอะไรแดกดันเรา 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2563 ( 12:54:44 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:41 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:38:50 )

ต้นตอของกิเลสคือกามคุณ 5

รายละเอียด

หมายความว่าผู้ใดเข้าใจ กวฬิงการาหารก็กำหนดรู้ ความยินดี หลับตา ไม่เอานะครับตามที่เป็นความเชื่อทางศาสนาพุทธไปนั่งครับ ไม่เอาเรื่อง ไม่ถึงสักทีล่ะครับหัวหน้าเขาไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ศึกษาสิ่งเสพติดยังไม่รู้อย่างมหาบัว สิ่งเสพติดแท้เลยนะหมากพลู สิ่งเสพติดและไม่เหมือนอาหาร อาหารยังพอรู้ ควรศึกษาแต่ไม่เอา ศึกษาก็ไม่ศึกษา ความใคร่อยากในกามคุณ ทุกวันนี้อาตมาว่าคนไม่ได้รู้ถึงความเลวร้าย ต้นตอของกิเลสคือกามคุณ 5 ที่หยาบใหญ่ฉุดอย่างอื่นเอาไว้หมด แต่เขาไปหลับตาปฏิบัติไม่เอาถ่านเรื่องกาม นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธไปนั่งหลับตา รูปภพ อรูปภพ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:31:41 )

ต้นตำรับไม่กินเนื้อแต่ปลายทางกลับกินเนื้อ

รายละเอียด

คุณก็ตั้งข้อสังเกตถูกแล้ว เพราะว่าจริงๆแล้วโดยทั่วๆไปทั่วโลกเขารู้ดีว่าศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ แต่นี่ที่คุณพูดมานี้ เมืองอื่นๆ ไม่ฉัน แต่เมืองไทยกลับเห็นว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ซึ่งทั่วไปในโลกไม่ได้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ เห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นมังสวิรัติตั้งแต่เป็นฮินดูเป็นพราหมณ์ชั้นสูงมาแต่เดิมเอาไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาพาตีทิ้งการนั่งหลับตาปฏิบัติ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ 


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:27:59 )

ต้นทองอุไรปลูกที่บ้านราชเรียกว่าทองอโศก

รายละเอียด

เรื่องต้นmแต่ก่อนที่อื่นเขามี ชื่อ ต้นทองอุไร พวกเราเอามาปลูกที่บ้านราชฯ เลยเรียกว่าทองอโศก เป็นต้นไม้โตเหมือนกัน เราตั้งต้นปลูกตอนนี้อีกสัก 10 ปี จะเป็นสัญลักษณ์ของอโศกเลย เป็นต้นทองอโศก เราปลูกจากข้างในหมู่บ้านไปหาภายนอกหมู่บ้าน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คนจะตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์แล้วหรือไม่


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 17:23:58 )

ต้นทางเศรษฐกิจที่ดีคืออย่าเป็นหนี้

รายละเอียด

เขาจะมาทวงจนคุณไม่อยู่สุขหรือคุณอาจจะตายได้เลย ก็เอาที่ต้นทางเลย คืออย่าให้เป็นหนี้ คุณไม่เป็นหนี้แล้วคุณจะสบาย เพราะฉะนั้นหลักที่อาตมาเรียกว่าเศรษฐกิจของอาตมา 

  1. ไม่เป็นหนี้ 

  2. ตนเองสร้างสรรค์ให้พออยู่พอกินของตัวเอง เลี้ยงตัวเองรอด 

  3. สร้างให้มากกว่าที่ตัวเองกิน ตัวเองใช้ 

  4. แจกจ่าย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 12:10:47 )

ต้นทางแห่งการปฏิบัติ

รายละเอียด

ตั้งแต่เรื่องคำว่า “กาย” คำต้นเลย กายนี้มิจฉาทิฏฐิคำแรกนี้นะ หมด เริ่มต้นเดินทางผิดเลย จะปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้น กาย คำแรกจึงเป็นคำต้น ที่ต้องสัมมาทิฏฐิให้ได้ ว่าในสังโยชน์ข้อที่ 1 เลย เสร็จแล้วก็ไปพิจารณาปฏิบัติในสติปัฏฐาน 4 กายในกาย ปฏิบัติไปนั่นแหละ เป็นต้นทางแห่งการปฏิบัติ คือต้องเรียนรู้ปฏิบัติทุกกาย ที่คุณมีกายปฏิบัติกาย มีกายนอก-กายใน กายต้องมีนอก-ใน ข้างนอกอย่างเดียวไม่มีใจร่วมด้วย ผิด มิจฉาทิฏฐิ ใจอย่างเดียวไม่มีข้างนอก มิจฉาทิฏฐิในคำว่า “กาย” ก็พูดไม่รู้กี่ที่แล้วไม่ง่ายนะแค่นี้ 

กายต้องมี 2 เสมอ นอก-ใน ขาดไม่ได้ ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ คำว่า “กาย” นี่คือสัมมาทิฏฐิที่สำคัญ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาไม่มีกายข้างนอก ก็เข้าป่าไปแล้ว เลอะเทอะไปเลย ออกนอกรีตนอกทางเดียรถีย์ไปหมด พูดขนาดนี้แล้วก๋ยังเต็มอยู่เลยในวงการศาสนาพุทธ ท่านจะฟังอาตมาบ้างไหม แล้วเอาไปพิจารณาไตร่ตรอง อาตมาไม่ได้ลงโทษ ไม่ได้ด่า ไม่ได้ว่าหรือจะบอกว่า ไม่ได้ตำหนิก็ไม่ได้ตำหนินะ แต่บอกสิ่งผิดให้รู้ตัว ท่านเป็นเช่นนี้ไหม ถ้าท่านไม่ได้เป็นอย่างที่อาตมาว่า ท่านไม่ได้ไปยึดเอาการหลับตาเป็นการปฏิบัติ ท่านเข้าใจปฏิบัติฌานของศาสนาพุทธต้องมีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 และสัทธรรม 7 ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ 

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม่เกิดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ตาม พระอนุสาสนี แล้วมันจะไปถูกยังไง เอาสิก็ดันทุรังไป ไม่ถูกก็ไม่ฟังล่ะ โพธิรักษ์เป็นใคร อะไรจะเอาอะไรมาทำให้เชื่อถือ ก็ช่วยไม่ได้นะ  เขาไม่เชื่อ เขาไม่ได้ยอมรับอะไรเลย ไม่มีปรโตโฆษะเลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่สงสารกันเท่านั้นเอง 

อาตมาก็ไม่ได้สมน้ำหน้าหรอก อาตมาสงสาร ไม่มีนะจิตที่จะไปสมน้ำหน้าอะไรอย่างนี้ ไม่ ขออภัยเถอะ อาตมาเคยพูดคำว่าสมน้ำหน้าอยู่บ้าง พวกเรานี้ ไม่ได้พูดว่าคนข้างนอก

ที่มา ที่ไป

ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 16:15:26 )

ต้นทุน หนุนโทรทัศน์

รายละเอียด

ไม่ใช่แค่กลางคืน บางทีกลางวันสัญญาณก็ไม่ดี พูดถึงตรงนี้อาตมาภาคภูมิใจที่ได้ตั้ง สถานีโทรทัศน์ เขาล้มระเนระนาดไปหลายเจ้าแล้วแต่ชาวอโศกอยู่ได้ทั้งที่ไม่มีโฆษณาเลย นอกจากไม่โฆษณาแล้วหยิ่งผยองไม่เรี่ยไรด้วย คนมีสตางค์บริจาคก็ไม่ได้รับได้ง่ายๆ มาที่นี่ไม่ถึง 7 ครั้งไม่มีสิทธิ์บริจาคด้วย เลี้ยงตัวเองพึ่งตัวเองจริงๆ หาเงินโดยมี สขจ.ตั้งชื่อเป็นสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ เป็นธนาคารหลัก เป็นแหล่งต้นทุนหลัก ที่จะมาจ่าย อย่างน้อยจ่ายค่าดาวเทียม เราจ่ายจริงๆเดือนละหลายแสนบาท เฉพาะค่าดาวเทียม เขาเช่าสัญญาณมา เดือนนึงหลายแสน นอกนั้นก็รวมแล้วแต่ละเดือนๆ ก็เป็นล้าน ทั้งๆที่โทรทัศน์ของเรา เป็นโทรทัศน์ที่ไม่จ่ายค่าอะไรเลย ให้คนมาทำงาน ทุกคนมาทำงานในโทรทัศน์บุญนิยมทีวีทุกคน ฟรีหมด ไม่มีใครได้รับเบี้ยเลี้ยงไม่ได้รับเงินเดือน ไม่ได้รับเงินทองจากการทำงานนี้เลย ดีไม่ดีชักเนื้อตัวเองด้วยมาทำงานในนี้ คนที่มีงบของตัวเองก็ชักเนื้อใส่เข้าไปอย่างนั้นด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาของโลกที่จะทำกันได้ง่ายๆ แต่ที่นี่ทำได้ 10 ปีแล้ว โทรทัศน์ของบุญนิยม ตั้งมาได้ตั้งแต่ปี 2549 มาได้ 10 กว่าปีแล้ว ปีนี้ 2561 แล้ว แล้วก็คิดว่าจะทำต่อไป ยังไม่มีท่าทีจะหยุด เพราะอันนี้คือกระบอกเสียงที่จะ  ทั้งพูดและทำ นี่แหละ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:19:21 )

ต้นทุนที่แท้จริงของชีวิตคืออรหัตตผล

รายละเอียด

ต้นทุนของชีวิตพระพุทธเจ้า เป็นสัจจะที่มีหนึ่งเดียวของผู้บรรลุอาริยสัจ 4 อย่างน้อยก็เป็นอรหันต์ขึ้นไป เป็นสัจจะที่เป็นอย่างเดียวสมบูรณ์สุดในการเกิดมาเป็นคน นี่แหละเป็นต้นทุนอันไม่มีใครสามารถจะแย่งยื้อเอาไปได้ ไม่ต้องแย่งยื้อ ต้องการให้คนได้อย่างที่เราเป็นเรามี เพราะว่าต้นทุนนิพพาน อาริยสัจ 4 จุดสมบูรณ์บรรลุสูงสุดก็คือนิพพาน คืออรหัตตผล สูงสุดขั้นที่ 4 

เพราะฉะนั้นผู้ใดได้แล้วก็เป็นต้นทุน ที่บอกว่าต้นทุน เพราะว่า ทุนอันนี้เป็นทุนที่เป็นอมตะเป็นทุนที่ไม่ตายก็ได้ จบในชีวิตเลย จะตายให้สูญหายไปแยกธาตุเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมหมดจิตนิยามเด็ดขาดไปเลย ศาสนาพุทธสามารถทำได้ถึงปานฉะนี้ ทำได้เลย จึงเรียกว่าเป็นต้นทุนที่สุดยอดของคน เกิดมาได้อันนี้แล้วเป็นต้นทุนของชีวิตจบเลย ใครอยากได้บ้าง ...หรือใครไม่อยากได้ ...ไม่มีใครไม่อยากได้สักคน แต่พวกเราก็ได้ไปบ้างแล้ว จบทีละรอบๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:37:21 )

ต้นธาตุต้นธรรมกับวิวัฒนาการของมนุษยชาติ 

รายละเอียด

เพราะว่า ความรู้ที่จะรู้ต้นธาตุต้นธรรมความรู้เบื้องต้น คำว่าต้นธาตุต้นธรรมก็เป็นพยัญชนะที่ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ที่ต้น พระพุทธเจ้าองค์ที่อุบัติเป็นองค์แรกอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราไม่รู้ที่ต้น เพราะฉะนั้นไปใช้คำว่า ต้นธาตุต้นธรรมหรือที่ต้นของศาสนาพุทธของโลกุตรธรรมนี้ มีคนที่รู้จักโลกุตรธรรมเป็นคนแรก ใคร?..ก็รู้ไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติ 

และเมื่อมันได้สิ่งที่ครบรอบอันนี้แหละเป็นเรื่องที่ยากเช่นโลกียธรรม เช่น พลังงานอุตุจะพัฒนาพลังงานเป็น พีชะ อย่างนี้โดยธรรมชาติมันก็พัฒนาเองขึ้นมาได้แต่มันใช้เวลานานจนกระทั่งมันทะลุออกมาเองเลย อธิบายอย่างชีววิทยา 

protoplasm มีเยื่อหุ้ม ข้างในมีนิวเคลียส รวมกันอยู่ ปรุงแต่งสังขารจนเต็ม ความยืดตัวของ cytoplasm ก็สุดท้ายต้องมีรูแตกร้าว เพราะมันเป่งจนมากสุด แต่ข้างนอกไม่มีสุด สามารถยืดหยุ่นได้ แต่จนถึงจุดจุดหนึ่งไม่มีของใคร ของมันเองนะมันก็ต้องรั่วหลุดออกไปได้ พลังงาน cytoplasm ก็จะออกนอก ไปเป็นตัวใหม่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:06:52 )

ต้นธาตุต้นธรรมของตนเอง

รายละเอียด

คุณทำใจในใจ หากทำมนสิการเป็น คุณก็จะสร้างใจสร้างกายสร้างชีวิต ตามที่คุณปรารถนาจะให้เป็น ก็เรียกว่ามันเป็นต้นกำเนิด คุณเป็นต้นธาตุต้นธรรมของตัวเองนะเป็นต้นตระกูลของธรรมะในตัวเอง เป็นสิ่งที่ทรงไว้ของใครก็ของใครของผู้นั้นทรงไว้ซึ่งสภาวะธรรม แล้วก็จัดการให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งอาศัยเป็นประโยชน์คุณค่าไม่มีโทษแก่ใครๆเลยนี่เป็นการทรงไว้ หรือว่าคุณจะแยกธรรมะที่ปรุงแต่งหรือนี้ให้แตก เป็นธาตุอุตุเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย คุณก็หมดทุกอย่างธรรมะก็ไม่ทรงอยู่ไว้อัตภาพ ก็ไม่มีชื่อว่าของคุณไม่เหลือเลย เป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย นั่นคือสูงสุดของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคุณบรรลุแล้ว คุณทำได้ทำให้จิตทั้งหมดเลยที่คุณสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมดอะไรมาสัมผัสคุณก็ทำให้เป็นอุตุได้ ตายแล้วคุณก็สามารถแยกจิตของคุณให้เป็นอุตุได้สูญแล้วสูญเลยจะกลับมาอีกไม่ได้ พระโพธิสัตว์ยังไม่สูญเลยทีเดียวยังต่อไปได้อีก ไม่เป็นไรลึกซึ้งรู้ไว้เข้าใจไว้อาตมาพูดได้เพราะว่าอาตมามีสภาวะนั้นแล้วเอามาอธิบาย ในพระไตรปิฎกไม่มีอธิบายไว้ฉบับสยามรัฐยังไม่เห็นว่าใครอธิบายไว้ อาตมาอาจอ่านไม่เจอก็ได้ อาตมามั่นใจว่าที่พูดไม่ผิด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:32:22 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:57:50 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:24:17 )

ต้นไม้ที่มีวิญญาณ คืออย่างไร

รายละเอียด

ใช่ ต้นไม้ยังไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ต้นไม้ที่มีวิญญาณนี่แหละคือพระอรหันต์หรือจริงๆคือพระโพธิสัตว์ อรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ เมื่อพูดถึงอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ มีผู้แสดงความเห็นอันนี้มาก่อนแล้วคือคุณใบฟ้านาวาบุญนิยม 

แสดงความเห็นมาก่อนแล้ว กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ

กราบเสนอ.. อรหันต์:เด่นทำ โพธิสัตว์:เด่นสอน เด่นพูด

ความแตกต่างระหว่าง "อรหันต์" และ"โพธิสัตว์"

อรหันต์: ด้านมืดคือเจโต  

โพธิสัตว์:ด้านสว่างคือปัญญา

อรหันต์:เป็นก่อนโพธิสัตว์  

โพธิสัตว์:เป็นหลังอรหันต์

อรหันต์:มุ่งประโยชน์ตน  

โพธิสัตว์:มุ่งประโยชน์ท่าน

อรหันต์:static  

โพธิสัตว์:dynamic

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 12:51:14 )

ต้นไม้แท้ที่รากงาม

รายละเอียด

ที่อาตมากำลังสร้างอยู่นี้ ต้นไม้นี้ไม่ใช่ต้นพลาสติก แต่เป็นต้นไม้แท้ที่รากงาม รากงามมีรากทั้ง 10 รากของพุทธเจ้าเรียกว่ามูลกา 10 

มูลกา 10 ตั้งแต่ยินดี ฉันทะเป็นมูลกา มีความยินดี เพราะฉะนั้นถ้าทางด้านเถรสมาคมมีจิตมายินดีในทางเราทางโพธิรักษ์นี้ ทางอโศกเรานี้ เริ่มต้นรากข้อที่ 1 มีฉันทะเป็นมูลกา ในมูลสูตร 10 พตปฎ.เล่ม 24 ข้อ 58 

ข้อที่ 2 มีมนสิการเป็นแดนเกิด คือมาทำใจในใจ  ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เขาก็ทำใจในใจ แต่ทำผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น
“อโยนิโสมนสิการ” เขาก็มีแดนเกิด แต่แดนเกิดไปในทางผิด ทางลงนรก  ในทางเสื่อม 

ข้อที่ 3 มีผัสสะเป็นเหตุเกิด นี่แหละตัวนี้ก็ยาก ทำไมไม่เข้าใจกัน มันยากยังไง ยากที่อาตมาเข็นไม่ขึ้น แต่มันน่าจะง่ายที่เขาน่าจะเข้าใจ ไม่มีผัสสะมันก็ไม่มีเวทนา ผัสสะเป็นเหตุเกิด อาตมาก็อธิบายมาแล้ว เวทนาเป็นที่ประชุมลง เวทนานี่แหละ เป็นที่ที่จะทำงานปฏิบัติเป็นกรรมฐาน เวทนาเป็นกรรมฐานหนึ่งเดียวของศาสนาพุทธ ไม่ใช่กสิณ 40 เป็นกรรมฐาน ไม่ใช่ ไม่ใช่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คณะสงฆ์เมืองไทย ใครได้ดอกไม้พลาสติก ใครได้มูลสูตร 10 วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 19:10:42 )

ต้องกล้าทำความดีจึงจะเจริญ

รายละเอียด

คนกลัวจะเสื่อมลาภยศสรรเสริญสุข ก็ควรแก้ไขปรับปรุง ขี้กลัวอย่างนั้นก็เลยไม่เจริญ ตัวเองก็ไม่เจริญไม่พัฒนา เพราะขี้กลัว เป็นคนกลัวก็เป็นอสุรกาย กลัวที่จะทำความดี ไม่กล้าที่จะทำความดีความถูกต้อง น่ากลัว พวกนี้นรกกินหัว รู้ว่าอะไรดีแต่ไม่กล้าทำความดี กลัวโลกธรรม กลัวเสียโลกธรรม ไม่กล้าทำ ไม่เจริญหรอกคนแบบนี้ เมื่อไหร่เมื่อไหร่ก็ไม่เจริญ คนพันธุ์นี้มีเยอะไหม ...เยอะ น่าสงสารมีเยอะจริงๆคนพวกนี้ไม่เจริญ ต้องกล้าทำความดี ฝืนอย่างไรก็ต้องฝืน ดีไม่ดีจะเจ็บตัวถึงตาย บางทีก็ต้องทำ

อย่างทหาร ปฏิญาณตนว่ากล้าตายเพื่อชาติแล้วเขาก็กล้าตายจริงๆ อยู่กับปืนอยู่กับระเบิดอะไรต่ออะไร ตายเป็นตาย ไม่ตายก็รอดมา ได้เหรียญ ได้ค่าความเก่งความสามารถ เอาชีวิตไปเสี่ยง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:51:06 )

ต้องการความจริงก็ได้ความจริงตามที่เป็นอยู่

รายละเอียด

อาตมาต้องการความจริงก็ได้ความจริงตามที่เป็นอยู่ อาตมาเกิดชาตินี้ทำงานมา 48 ปีแล้ว ได้คนเข้าใจได้คนปฏิบัติตามมาประพฤติจนชีวิตของผู้ที่ได้นั้น มาเป็นอยู่อย่างนี้อาตมาก็ว่าไม่ขาดทุนแล้ว กำไรพอตัวแล้ว สามารถช่วยคนในยุคนี้ ในยุคสมัยที่มืดบอด มีพวกมารพวกผีเยอะเลย เขามีพวกมาก อาตมาก็สามารถแย่งคนมาจากมารและผีได้มากขนาดนี้ อาตมาก็เก่งพอสมควรแล้ว มารผีที่โหดร้าย แต่อาตมาไม่บาดเจ็บ มารผีทำอะไรไม่ได้ พูดไปแล้วเหมือนการท้าทาย มันไม่ดี แต่ไม่ได้ท้าไปหรอกเพราะว่าคนชั่วมันทำชั่วได้ ไปท้าทายมันไม่ได้หรอกคนชั่ว เพราะฉะนั้นอย่าไปท้าทายให้เขาทำชั่ว พูดไปเหมือนท้าทาย แต่มันเป็นความจริงก็ยังปลอดภัยอยู่ ยังมีบารมี มีสิ่งที่เป็นพลังที่มองไม่เห็นป้องกัน เป็นสิ่งที่ช่วยเหลืออยู่บ้าง ก็ได้มาประมาณนี้

อาตมาทำงานได้มนุษย์โลกุตระอาริยะ เอาหลักฐานตามพระไตรปิฎกมาอ้างอิง อาตมาใช้คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องตรวจสอบ มีวิชชา 9 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 วรรณะ 9 หมวด 6 หมวด 7 เอามาใช้หมดตั้งแต่มงคล 38 โพธิปักขิยธรรม 37 โลกุตรธรรม 46

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ทางไปสู่พรหมโลก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:34:32 )

ต้องการให้ชาวอโศกศึกษาธรรมะ

รายละเอียด

อาตมาไม่ต้องการอะไรอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่าต้องการก็ให้ใส่ใจศึกษาธรรมะ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องนั่งเฝ้านั่งจ้องอยู่ที่อาตมา ทุกอย่างสร้างสังคมสร้างพฤติกรรมสังคม ให้คนได้เลือก มีเสนาสนะ มีกลุ่มบุคคลมีอาหารมีสถานที่ มีครบสมบูรณ์แบบ ก็ต้องการให้มีพวกมารวมกันอยู่ในเสนาสนะอันสมควรมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เครื่องอาศัยต่างๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27มกราคม 2563


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:57:23 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:39:18 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:38:21 )

ต้องการให้เขาเจริญขึ้น

รายละเอียด

ในความรู้พวกนี้ที่อาตมาอธิบายไปพูดไปนี้ จิตของผู้ที่เหนือ แม้จะมีผู้ทำลายเรา เราก็ไม่ไปทำลายเขาอย่างที่อธิบายไปแล้ว และต้องการจะให้เขาเจริญขึ้นด้วย ให้รู้สิ่งที่ควร สิ่งที่ดีจริงๆ สิ่งที่ควรแท้ๆ สิ่งที่เขาควรจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นอย่างที่ดี จะทำอย่างไรให้เขารู้และให้เขาเชื่อ เห็นจริง ทำตาม แล้วเขาเจริญขึ้นได้ 

นี่เป็นความซับซ้อนของการสร้างคน อธิบายยาวๆยืดๆยาดๆ เป็นอย่างนี้ รวมแล้วอาตมาก็เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา กระจายออกไปเป็น จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นปัญญากับจรณะ วิชชากับปัญญา พฤติกรรมต่างๆคือ จรณะ ซึ่งจะขยายจรณะ 15 มันจะเป็นวิชาการที่แข็งเกินไป แต่ต้องอธิบายแน่ๆ เพราะว่าเป็นความสำคัญ เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า หากไม่รู้พุทธคุณของพระพุทธเจ้า ชีวิตก็เจ๊ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 18:24:57 )

ต้องขยันและมีความรู้ความสามารถ

รายละเอียด

ถ้าคนอยู่อย่างนี้ประเทศนี้จะเป็นประเทศที่ อาตมาถึงบอกว่าประเทศไทยถ้าทำได้อย่างนี้ สอนให้คนรู้จัก ความจริงว่า 1. เป็นคนจนที่ดีที่สุด 2.คนต้องขยันหมั่นเพียร 3. ต้องมีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่เป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถทำอะไรไม่เป็นเรื่อง ความรู้ไม่มีทำอะไรก็เสียหายขยันแต่โง่นี้ไม่ได้นะ ต้องมีความรู้ต้องมีความสามารถ ขยันในสิ่งที่ควรขยัน ขยันในสิ่งที่ควรทำ เมื่อทำแล้วเป็นประโยชน์คุณค่า

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:56:02 )

ต้องขอบคุณและขออภัยท่านมหาบัว

รายละเอียด

อาตมาไม่ใช่คนกว้าง ไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์นักเก็บข้อมูล ก็เลยต้องขออภัยไม่ค่อยรู้จักมาก ก็ต้องขอบคุณท่านมหาบัวที่ท่าน อาตมารู้จักท่านมหาบัว นอกนั้นไม่ค่อยรู้จัก ประวัติรูปอื่นก็ไม่ค่อยรู้จัก เพราะมหาบัวเขียนไว้และได้เทศน์ออกอากาศ  ทุกวันนี้ก็ยังมีสถานีของท่าน อาตมาก็ยังได้ข้อมูล ก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆต่อท่านมหาบัว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:52:23 )

ต้องค้นหาสิริมหามายาให้ได้!

รายละเอียด

เว้นแต่คนใดได้มาพบผู้ที่มี“สิริมหามายา” สามารถเผยไข“มายา”ที่ดีพิเศษ เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ได้จริงเท่านั้น จึงจะมี“ทางรอด”ทางเดียว 

คือ ต้องมาเป็น“บุตร”ของ“สิริมหามายา” ถึงจะสามารถเกิด“สิทธัตถะ”สำเร็จได้จริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 31 หน้า 61


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 15:11:33 )

ต้องช่วยทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าทั้งพญาครุฑทั้งพญานาค 

รายละเอียด

ส่วนพวกที่เป็นแบบมหายาน เป็นพญาครุฑ อาตมาก็ดึงลงมาบ้างเหมือนกัน แต่มันเยอะ พวกนั้นเยอะ เพราะมันสว่าง มันก็ไปกัน ส่วนไปมืดนั้น มืดแล้วก็เป็นฟอสซิลเป็นก้อนแข็ง ทำอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม กลายเป็นแท่งก้อน ไม่รู้เรื่อง ยาก แต่ก็ต้องช่วย ช่วยทั้ง 2 ฝ่ายแหละ ไม่ว่าทั้งพญาครุฑและทั้งพญานาค 

พญานาคคือพวกลงไปในที่มืด ลงไปใต้ก้นมหาสมุทร ส่วนพญาครุฑเป็นพวกบนเวหา ไม่รู้ที่ไหน นี่เป็นพยัญชนะสื่อสภาวะที่อาตมาหยิบมาขยายความให้เห็น เพราะฉะนั้น ผู้ที่หลงโพธิ หลงความฉลาด หลงปัญญา หลงความตรัสรู้ ท่านเรียกง่ายๆว่า วิปัสสนูปกิเลส หลงแสงสว่าง หลงญาณ หลงความรู้ แม้แต่หลงวิมุติ หลงอะไรพวกนี้ ซึ่งมันเป็นความจริงที่ไม่ชัดเจน

ก็ไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกอย่างไรว่า ไอ้ความรู้ที่ คม เด็ดขาด แม่น ชัด ตรง และรู้เข้าไปในความจริงตามความเป็นจริง ที่ท่านสรุปปัญญาไว้ว่าคือ การรู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็เป็นภาษาไทยที่หมดแล้ว มันรู้ความจริงอันนั้นเป็นอันนั้น จริงๆเลย ยิ่งเป็นนามธรรมละเอียดเข้าไป โอ้.. อรหันต์อย่างนี้ นิพพานอย่างนี้ มันก็ละเอียดลึก มันก็ใช้ภาษาสื่อ ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่นำไปให้รู้ความจริงนั้นได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:14:51 )

ต้องช่วยให้คนดีขึ้นมามีอำนาจทำงาน ดูแลปกครองบ้านเมือง

รายละเอียด

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ตรัสไว้ชัดๆ ต้องช่วยให้คนดีขึ้นมามีอำนาจทำงาน ดูแลปกครองบ้านเมือง ในหลวงท่านก็ตรัสเรียบร้อยสุภาพชัดเจน เราก็ต้องทำตามพระราชดำรัสนี้ เพราะเป็นความจริงด้วย เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

อาตมาเคยอธิบายไว้ว่า คนเป็นกลางนั้นต้องเข้าข้างคนดี คำนี้คนที่เขาพาซื่อว่าเป็นกลางต้องอยู่เฉยๆ ใครจะดีใครจะชั่วก็นั่งเฉยอย่าไปเข้าข้างใคร นี่คือคนเป็นกลาง ใช่ก็กลางอย่างหนึ่ง เป็นกลางโง่ๆ กลางปล่อยให้คนดีกับคนชั่วเขารบกันไป ถ้าคนชั่วชนะคุณก็อยู่กับคนชั่วที่ชนะไป ถ้าคนดีชนะก็ดีไป คือเป็นคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงไม่มีอาการไม่มีอะไร ทำไปเฉยๆ รู้ก็รู้ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ อาตมาว่า มันเปลืองแผ่นดิน มันหนักแผ่นดิน มันไม่มีประโยชน์ รู้ทั้งรู้แล้วก็ไม่ทำอะไร อาตมาว่าตายซะ จะเบาแผ่นดินคนอย่างนี้ นี่พูดชัดๆ อาตมาพูดเต็มที่ คือทำไมมันคิดอะไรโง่ๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #19 วาระแห่งชาติ ระดมเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ต่อ

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 12:24:32 )

ต้องตัดวิบากอย่าเอามาเชื่อมโยง

รายละเอียด

พูดไปหลายที่แล้วทำไมจะรักกันนักกันหนากับแมวหมา ให้เอาออกไปจากหมู่บ้านนี้ ถ้าไม่งั้นคุณก็ไปกับแมวหมา ออกไปจากหมู่บ้านราชธานีไป ถ้าคุณจะอยู่ต้องแยกหมาแมวออกไปข้างนอกถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ ต้องเอาหมาแมวออกไปไม่ใช่ว่าอาตมาไม่เมตตาไม่ใช่คนใจเหี้ยมใจโหดอะไรเพราะว่าเราเองอยากจะตัดวิบาก เพราะว่าวิบากมันเยอะมากมาย ตอนนี้มันมีความจำเป็นต้องตัดวิบาก อย่าเอามันมาเชื่อมโยง เป็นการรักษาประโยชน์ให้คุณ ทุกคนเขาก็ทำได้เขาก็ไม่เอาแล้วถ้าคุณจะเป็นเชื้อให้จูงนำ คุณก็ยังเลี้ยงได้คนนี้ก็จะเลี้ยงได้ต่อไป แล้วมันจะทำอย่างไรกับบ้านนี้เมืองนี้ มันก็ไม่เด็ดขาด สรุปถ้าคุณจะเลี้ยงแมวคุณก็ไปเลี้ยงกันข้างนอก จะเลี้ยงกันข้างในนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็พูดมาหลายทีแล้วนะ พูดเป็นภาษาอีสาน ว่า เอาไปโผด อย่างไรมันก็เลี้ยงตัวเองไปตามวิบากของมัน แมวมันก็มีวิบากของแมว เอาไปปล่อยในที่ที่ควรปล่อย มันก็จะช่วยตัวเองไปตามวิบากของมัน มาเจอกับคุณคุณก็อย่าไปสร้างวิบากร่วมกับมัน 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:41:18 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:21 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:24:48 )

ต้องตามรู้โลกุตระจึงจะเจริญ

รายละเอียด

เหมือนกันกับอาตมาพยายามอ่านหนังสือกำลังภายใน โกวเล้งกับกิมย้ง อาตมาก็อ่านไปไม่ไหว เหมือนกันกับ Harry Potter อ่านไปไม่ไหวมันปรุงแต่งไปกับเขาไม่ไหว 

เขียนสิ่งที่เขาเดาออกก็ขายไม่ได้ มีอย่างเดียวคือโลกุตระที่คุณไม่รู้ คุณก็ต้องตามโลกุตระ ถ้าไม่ตามคุณก็ไม่เจริญ ขีดเส้นใต้ร้อยเส้น หากไม่ตามโลกุตระ คุณก็ตกต่ำอยู่ที่เก่าแล้ววนเวียนเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นไปจนถึงสูงและตกต่ำใหม่ จะกินเวลาไปไม่รู้จบสิ้น สังขารตัวเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:42:01 )

ต้องทำจิตในจิตของตนเองด้วย “กรรม” ของตนเอง

รายละเอียด

“ความจริง” ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น “อุตุ-พีช-จิต” พระอรหันต์คือ ผู้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง จึงจัดการกระทำ “จิตในจิต” ของตนเองด้วย “กรรม” ของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเอง เพราะทำจิตในจิตของเรา ไม่มีใครมาทำให้เราได้หรอก ใครก็ทำให้ไม่ได้ เก่งเท่าไหร่ก็ทำให้ไม่ได้ มีแฟนก็ทำแทนกันไม่ได้ ไม่ได้ ต้องเราเองเท่านั้น ของเราเองทำ 

เมื่อทำสำเร็จได้ ทุกกรอบของแต่ละสรรพสิ่ง คุณตีกรอบของแต่ละปริเฉท เราทำได้เสร็จทุกสรรพสิ่งของกรอบนี้ เฉพาะกรอบนี้ ปริเฉทนี้ เฉพาะบริบทนี้ ตัดกรอบตัดรอบเอาขนาดนี้ได้ ทำได้ทุกบริบท ทุกปริเฉทอะไรแล้ว ก็เป็นผู้ ทรงมี-ทรงเป็น-ทรงไว้-ทรงอยู่ ตามที่ตนประสงค์ ก็เรารู้ว่ามีอะไรบ้างในกรอบนี้และเราก็ทำได้สำเร็จจบตามประสงค์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 21:14:27 )

ต้องทำปัญญาวิมุติขนาดไหนจึงจะไม่ตกร่วงได้

รายละเอียด

เป็นวิมุติ คือผ่าน ศีล สมาธิ ปัญญาและเป็นวิมุตเข้าขั้นที่ 4 อย่างน้อยทำถึงนิยตะ เช่น ในพระโสดาบันจะมีภูมิธรรมระดับ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ ความรู้ที่เข้ากรอบความเจริญของทิศทางโลกุตระ แล้วไม่มีอวินิปาตธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีความชัดเจนเห็นจริง มันจะมั่นคง แต่มันกำลังพัฒนาความมั่นคง เพราะฉะนั้น มาหาอวินิปาตธรรมคือจะไม่ตกต่ำ หากตกต่ำก็ไม่เข้ากระแสที่จิต หากตกต่ำก็ไม่ใช่พระโสดาบัน ข้อที่ 2 นี้มันมีเงื่อนไขว่าจะตกต่ำไหม ถ้าหากตกต่ำคุณถอยหลังไปมันก็ไม่ใช่ นอกจากจะไม่ตกต่ำแล้ว นิยตะ คือเที่ยงแท้ มั่นคงขึ้น สัมโพธิปรายนะคือไปสู่ที่สูงที่สุดได้ นี่คือความหมายของสภาวะที่แต่ละคนจะได้ ตามที่จะใช้พยัญชนะภาษาบอก และสภาวะของเราเป็นอย่างนี้ไหม ถ้าเข้ากระแสแล้วเราก็เห็นจริงเลยว่า เราจะไม่แปรเปลี่ยนแล้วมันชัดเจน เพราะมันมี อัญญา มันมี ความรู้อันอื่นอันใหม่จากโลกีย์แล้วเราก็ชัดเจนว่ามาอยู่โลกใหม่นี้ดีกว่า ถ้าคนโลกียะจะไม่เกิดความรู้อย่างนี้เขาจะอยู่โลกเรานี้ดี

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:48:01 )

ต้องทำลายตัวต้นเหตุคือตัณหาอุปาทาน

รายละเอียด

หากไม่จัดการทำลายตัวต้นเหตุ คือตัณหา คืออุปาทาน คือตัวโง่ 

ตัณหาก็โง่ อุปาทานก็โง่ เข้าไปในอวิชชาคือตัวโง่ โง่ไม่เสร็จ มันมีแต่อยากมากระทบสัมผัสแล้วก็เกิดรสชาติแล้วก็อยู่กับรสชาติความสุขแล้วก็ไปเลือกเอาสุข ซึ่งความสุขกับความทุกข์เป็นสภาพ 2 นี้มันแยกไม่ได้เหมือนกระดาษ 1 แผ่น คุณจะแยกอย่างไรก็แยกไม่ออก คุณจะเอาหน้านี้ไม่เอาหน้านี้ไม่ได้ ให้กระดาษบางเท่าไหร่ก็แยกไม่ได้ มันต้องมี 2 หน้าแยกมันไม่ออก ถ้าจะทิ้งก็ต้องเผาทิ้งทั้ง 2 หน้าเลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธเผาทิ้งทั้งคู่ ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:52:07 )

ต้องทำอย่างไรเมื่อยังต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ให้คนทางบ้าน

รายละเอียด

เยอะ อาตมาว่า มีไม่ใช่น้อยคนที่ชัดเจนแล้ว ตัวเองไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ต้องทำอาหารให้คนอื่นกินที่เป็นอาหารเนื้อ มันจำเป็นที่ครอบครัวพูดกันไม่รู้เรื่อง มันเป็นวิบากของแต่ละคนที่ต้องรับไป หัดวางใจ หัดทำใจ ก็เลี่ยงเอาเท่าที่เลี่ยงได้ เช่นอย่าไปเกี่ยวเรื่องที่เราจะต้องฆ่าเอง ค่อยๆ เลี่ยง ค่อยๆทำไปตามความเฉลียวฉลาดของเรา จะทำได้แค่ไหนก็ว่าไป นี้ก็แนะวิธีเล็กน้อย

ก็พยายามสิ คุณจะเก่งหน่อย พยายามฉลาด ไม่ต้องไปหักไปโค่น โดยเฉพาะมีผู้แวดล้อม อาจจะมีพ่อของลูกเขายังอยากจะให้ลูกเขากินเนื้อสัตว์ เราก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตามไปบ้าง แต่ถ้าเผื่อเราสามารถที่จะฉลาดเลี่ยงได้ก็ทำไป เอารสเอาชาติบ้าง ไม่ต้องเอาเนื้อสัตว์บ้าง เอารสชาติอะไรดีๆ ไปปะเหลาะให้เห็นว่าอาหารอันนี้อร่อยนะ อาหารนี้ดีนะ ตามเรื่องตามราวอะไรก็ว่าไป ต้องฉลาดเลี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือก้อนแห่งสัมมาทิฏฐิที่คนต้องมีฉันทะมาเอา วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 19:21:38 )

ต้องทำเศรษฐศาสตร์บทนี้จนคนตาบอดเห็นได้

รายละเอียด

อาตมาพยายามมีชีวิตอยู่ อยากให้เศรษฐศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ อาตมาเอามากระจายความ อธิบายออกว่าลักษณะที่ท่านทำเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส มาจนถึงในยุคนี้อาตมาก็พยายามทำมันมีองค์ประกอบมาก ก็ทำได้แล้ว ในยุคนั้นมันเป็นยุคของทาส สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เลยทำไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วรู้จักสิทธิมนุษยชนได้ดีก็เลยเอามากระจาย แต่ก่อนสมาชิกจะต้องเป็นภิกษุ แต่ตอนนี้เป็นฆราวาสก็ได้ เอาสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้ามาขยายผลถึงฆราวาสเป็นของจริง ไม่ใช่ของเล่นนะ เห็นไหมอาตมาถึงบอกว่า ทำไมนักเศรษฐศาสตร์จบดอกเตอร์คนละหลายใบ ทำไมมันไม่เข้าใจ เศรษฐศาสตร์บทนี้ สุดยอดเลยนะ ถ้าหากว่ามีโมกุลอย่างนี้เกิดมากขึ้น อาตมาพยายามขยายผลอยู่ ก็จะมีของจริงที่ขยายผลออกไป คนก็จะเข้าใจเห็นจริง ความคิดแบบนี้เสียสติแบบนี้มันเป็นจริงได้มันเป็นอย่างนี้ไม่มีผลประโยชน์ต่อใคร คนอื่นก็ต้องการแบบนี้แหละ แต่เขาไม่รู้เขาไม่เชื่อเราต้องพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่อะไรหรอก เขายังโง่เขาโง่เข้าใจไม่ได้ เราจึงต้องทำจนคนตาบอดเห็นได้ เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่ตาบอดสอดตาเห็นนะ แต่นี่เห็นจริงๆเลย ตาบอดเขาแค่สัมผัสรู้ก็แจ้งสว่างยิ่งกว่าคนมีธาตุรู้ทั้ง 6 อีก อาตมาเคยพล็อตเรื่องสั้น ผู้ชายไปรักผู้หญิงตาบอดคนหนึ่ง แต่ก่อนไม่รู้ว่าทำไมถึงแต่ง ตอนนี้รู้แล้วว่าให้คนตาบอดเห็นได้ มันก็แฝงเชิงกามผู้หญิงผู้ชายก็เป็นนิยายขึ้นมา ทำนิยายเรื่องนี้ได้แต่เรื่องนี้เอาไปทิ้งหมดแล้ว เขียนเรื่องสั้นเป็นร้อยเรื่องเลยแต่ก่อนทำเป็นละครวิทยุ มีนักเขียน 3 คนร่วมกัน ยังเหลืออยู่คนหนึ่ง คุณสำราญ ทรัพย์นิรันดร์ กับ ธนพ เราก็แบ่งกันเขียนสามคนนี้ต้องออกทุกวัน อาทิตย์นึงออกอากาศ 5 วัน ให้คนละ 2 คนละ 2 เรื่อง สำราญยังอยู่ แต่ธนพ ตายแล้ว สำราญ เจ้าของนามปากกา หลวงเมือง ตอนหลังก็เลิกทำเพราะเขียนไม่ไหว เลยมีเรื่องสั้นละครวิทยุเป็นแฟ้มเลยให้รุ่งโรจน์ ณ นคร เอาไปทั้งแฟ้มตอนนี้รุ่งโรจน์ตายไปแล้ว เมียของเขาหม่อมหลวงเบญจมาศ ไปถามหาดู ตามดูพล็อตเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทิ้งไปแล้วหายไปเลย พูดไปก็โบราณ เก่าเอี่ยมเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:43:53 )

ต้องทำแบบในหลวงร.9 ให้คนมาจนไม่ต้องไปรวย

รายละเอียด

อาตมาว่าเราได้ทำอย่างสอดคล้องกับในหลวงตรัส รัชกาลที่ 9 ท่านทรงพระจริยวัตรและทำอย่างนี้ด้วย มาทำแบบคนจนขาดทุนเสียสละนี่แหละเราได้เราให้ เราขาดทุนนี่แหละเรากำไร ท่านตรัสจริง แล้วประพฤติจริง

เมืองไทยมีในหลวงที่เป็นตัวอย่างอันประเสริฐนี้ แต่ผู้บริหารดูไม่ออกรับสนองพระราชดำรัสนั้นมาประพฤติปฏิบัติไม่ได้ แม้จะกล้าพูดอย่างท่านก็ยังพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจและไม่เชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ประพฤติได้สำเร็จ อาตมาขอยืนยันว่าไปแก้ปัญหาสังคมเศรษฐกิจ แบบพาไปรวย ตั้งหน้าตั้งตาจะรวยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าคนที่จะไปรวยนั้นเขาจะไม่พอ มันแก้ไม่ได้แก้ยาก เป็นวัวพันหลัก ไม่มีวันจบ นิรันดร นักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจทั้งหลายต้องแก้ปัญหาใหม่ ต้องทำแบบในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้คนมาจน ไม่ต้องทำให้คนไปรวย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บริหารแบบคนจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 20:20:32 )

ต้องบวชเพราะคนติดในสมมุติ

รายละเอียด

อยู่ไปอยู่ไปไม่ถึง 10 ปี ก็มีเหตุการณ์อีกเยอะ นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมขึ้นไปโกนหัวเท้าก็ไม่ใส่ถุงเท้าเดินขึ้นไป เดินไปที่วัดมหาธาตุ วัดธาตุทองขึ้นไปบรรยาย ไปพูดกับคนใส่เสื้อนอกขึ้นเวที เราใส่เสื้อคอกลม เขาก็ว่าบ้าหรือเปล่าจะไปฟังอะไรมันไม่ครบพร้อม เราก็คิดว่าแต่คนอื่นเพราะพูดเขาก็ฟัง คนใส่เสื้อนอกพูดก็ฟัง แต่เราพูดเขาก็ไม่ฟัง เขาก็ฟังเหมือนคนบ้าพูด ก็คนมันติดในสมมุติ อาตมาก็เลยรู้ว่าคนมันติดในสมมุติ ตอนนั้นก็เลยจะบวช เอาจีวรมาแล้วก็แล้วกัน เขาก็ซ้อนอีกว่าเรา ว่าบวชเพราะจะมาหลอกลวง ที่จริงมันซ้อน สิริมหามายา เรามีสภาวะยิ่งกว่าภิกษุแล้วก็เอารูปนอกมาใส่ ก็เลยบอกเจ้าอาวาสบอกว่าผมจะมาบวชแล้ว ก็เลยได้บวชขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นก็เป็นสมณะโพธิรักษ์ ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสก็ดูเรียบร้อยสงบเดินสุขุมไม่มองหน้า ตั้งแต่เป็นฆราวาส เมื่อมาบวชเข้าได้จีวร จากนุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมเดินสุขุมเขาเรียกว่าบ้า ตอนเป็นฆราวาส แต่พอเปลี่ยนมาใส่ชุดจีวรเดินสุขุมแบบนั้นคนกราบเป็นทางเลย คำตอบคือ ตัวเองต้องเป็นตัวอย่างคนอื่น ไม่มีใครเป็นไอดอลไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ แต่เราต้องมาเป็นครูอาจารย์ อันนี้ฟังแล้วมันน่าหมั่นไส้แต่สัจจะมันเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 10:32:41 )

ต้องบอกเพราะจำนนจริงๆ

รายละเอียด

เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก“ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์”ที่เขาบอกว่าจะมีธัมมิกราช 2 องค์ องค์หนึ่งคืออาตมา แล้วก็เปิดเผยอีกองค์หนึ่งว่าคือในหลวงรัชกาลที่ 9 เปิดเผยมาแล้วผู้ไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร 

เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2566 ( 11:45:20 )

ต้องปฏิบัติตามวิญญาณฐิติ 7

รายละเอียด

ในสัตตาวาสข้อที่ 6 7 8 9 เป็นความเพ้อเจ้อทั้งนั้น พอดับสัญญาเสร็จแล้ว แล้วคุณก็มาสร้างภพใหม่เป็นอรูปภพ ภพที่จะต่อเนื่องจากอรูปภพไม่มีแล้วนะเพราะคุณ อสัญญีสัตว์ 

แล้วคุณก็ไปนิรมานกายด้วยความไม่รู้ว่ากายคืออะไร ก็ไปสร้างนึกว่าเป็นกาย นิรมาน คือ เนรมิตกายขึ้นมาเอง เช่น เป็นอากาศแล้วเราเป็นที่ว่างแล้วเรา นี่เป็นวิญญาณของเรา วิญญาณสะอาดวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณเก่งที่สุดแล้ว นิโรธแล้ว อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกิเลสแล้ว 

แต่คุณก็ไม่พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เอ๊!.. แล้วมันจริงหรือเปล่าวะใช่หรือไม่ใช่ จะว่าใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ มันไม่มีตัวปัญญาตัดสินหรอก เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็ใช่เดี๋ยวก็ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ได้อย่างไรเราได้มาถึงขั้นเป็นอากาศเป็นวิญญาณเป็น อากิญจัญญายตนะ แปลว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี แล้วไม่มีกิเลสแต่คุณก็รู้สึกว่าเอ๊ะ..กิเลสมันมีหรือไม่มีกันแน่ มันใช่หรือไม่ใช่ อาตมาขยายความที่ท่านแปลจากภาษาพยัญชนะ 

สัตว์บางพวก เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีอธิบายข้อความใช่หรือไม่ใช่ คุณไม่รู้จริงหรอก มันไม่ได้แท้ๆจริงๆเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิถูกต้องเลยก็ต้องปฏิบัติตามวิญญาณฐิติ 7 โดยไม่ต้องมีตัว ignore ของ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก ถ้าสัมมาทิฏฐิถูกต้อง กาย รู้จักกายมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งมาถึงตัวที่ 3 

กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน แล้วก็รู้ว่า นิโรธคืออะไร ความมืดคือ กิณหา ความดับคืออะไร 

เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจว่าควรมี กิณหาหรือไม่ สุภกิณหา สภาพของจิตที่ควรจะมีจะนอนหลับก็อยู่กับความมืดสบายดีไม่มีอะไรแม้แต่แสงสว่างไม่มีอุปาทานอะไรเลย หลับตาก็ดำมืดดำ กิณหา 

ถ้าคุณได้หลับตาเข้าไปแล้วยังมีแสงแวบวาบ สีขาว สีแดง สีเขียว มันเป็นอุปาทานทั้งนั้น ถ้าคนไม่มีอุปาทานแล้วหลับตาก็มืด ตอนนี้หลับตาตอนนี้มันมีแสงสะท้อนเข้ามา ถ้าหลับตาในที่มืดมันก็มืดเฉยๆเพราะไม่มีอุปาทาน พระอรหันต์ขึ้นไปแล้วชัดเจนหลับตาไม่มีอะไร แต่คนที่มีอุปาทานจะมีแสงสว่างแสงนั่นแสงนี่ ดีไม่ดีเล่นแสงสว่าง สีม่วง สีเขียว สีแดง สีเหลือง อะไรอีกเลอะเทอะเป็นอุปาทาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 13:27:16 )

ต้องปฏิบัติประพฤติเข้าไปเป็นอันนั้นจริงๆ จึงจะรู้สิ่งนี้จริง

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในพระวินัยปิฎกเล่ม 1 สันตา เขาแปลกันง่ายๆว่าสงบ สันตา สันติ เขาแปลง่ายๆว่า สงบ มันคือ…ขออภัยนะ ขอวิจัยตามภาษาไทย ทาง เถรสมาคมเขายี้เลย 

ส กับ อันตา อันตา แปลว่า ข้างหรือฝ่าย แปลว่าที่สุด ปลายข้างฝ่ายสุด หรือข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้น สันตาคือ มันไม่มีข้างใดข้างหนึ่งแล้ว เกี่ยวอยู่แต่คำภาษาเท่านั้น ส เกี่ยวอยู่กับภาษา อันตา เท่านั้น แต่ความจริงแล้วมันไม่มีข้างใดข้างหนึ่งเลย หรือแม้มี ทั้งสองข้าง ก็เฉยๆนิ่งๆ สันตา เขาแปลเอาอรรถว่า สงบ 

มันเป็นสภาพของผู้ที่ รู้แจ้ง รู้จริง ถึงสภาพ 2 อย่าง 2 ข้าง อันตา แปลว่าข้างใดข้างหนึ่ง ในโลกมีกามกับอัตตา 2 ข้าง ผู้นี้เป็นผู้ที่เป็นมัชฌิมาหรืออนุปคัมมะแล้ว เข้าใจความไม่มีกาม ไม่มีอัตตา 2 ข้างแล้ว แล้วไม่เข้าไปอยู่ทั้งสองข้าง เพราะเรายังมีชีวิตและยังมีจิตวิญญาณ มีธาตุรู้ รู้ความจริงอย่างนี้ เราก็ไม่ไป take side ข้างไหน แสดงว่าความหมายคำว่า  สงบของสันตา จะไม่ใช่ความหมายตื้น 

ปณีตา ไม่ใช่ตื้นๆ สุขุม ปราณีตมาก อตักกาวจรา ไม่สามารถด้นเดาด้วยความนึกคิด นิปุณา ละเอียดระดับนิพพาน ยิ่งกว่าปรมาณู เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นบัณฑิตจริง บัณฑิตเวทนียา มีความรู้เป็นบัณฑิตจริง จึงจะมีความรู้จริงในเรื่องนี้ ไม่ใช่สภาพการณ์ ตักกะเอา อตักกาวจรา เก็งความจริงก็ไม่ได้ คุณจะเอาอะไรมาเก็งความจริงนี่ไม่ได้ คุณต้องปฏิบัติประพฤติเข้าไปเป็นอันนั้นจริงๆ  คุณจึงจะรู้สิ่งนี้จริง ทั้งหมด นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 19:43:39 )

ต้องปฏิบัติเตั้งแต่เบื้องต้นเกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับข้าวของที่เป็นทุจริต

รายละเอียด

ส่วนวัตถุนั้นอย่าไปทุจริต อย่าไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของของเรามาเป็นของเรา อย่าไปโกงอย่าไปปล้นจี้ ไปแย่งชิง ไปโลภ ไม่เอามาเป็นของเราแล้ว เรากลับจะให้ของเราไปให้แก่เขาให้มากๆ อย่างนี้ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนๆๆอยู่ในสภาพของข้อ 2 อทินนาทาน จะต้องเป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้เอา เรื่องที่เป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้ที่เอาเนี่ย ไม่ใช่เรื่องเล่นเลย อาตมาว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากยิ่งกว่าเรื่องของสัตว์ เรื่องของสัตว์ ไม่ฆ่าแกงไม่ทำร้ายกัน แม้ที่สุดเราก็หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ มันยังง่ายกว่า เรื่องวัตถุนี้ มันจะเป็นเราเป็นของเรา เราจะสะสม เราจะหวงแหน ตระหนี่ เรายังยึดถือเป็นเราเป็นของเรา หรือเรายังโลภมาก มันซ้อนอยู่เยอะ มันไม่กล้าไม่มี ทั้งๆที่คุณไม่เป็นไรหรอกอยู่ในสังคมเราสาธารณโภคี คุณมีหมื่นล้านก็เอามาเข้ากองกลาง แล้วคุณอยู่ที่นี่อาศัยใช้สอยๆ เชื่อไหมว่าคนมีหมื่นล้านเอามาเข้ากองกลางโดยเฉพาะกับอโศก คุณจะใช้กองกลางนี้ยังไม่มีใครต้านคุณ เพราะคุณให้ตั้งหมื่นล้าน พวกเราจะมีคนละหมื่นล้านที่ไหนมาเข้ากองกลาง ไม่ต้องหมื่นล้านหรอก ร้อยล้านก็พิสูจน์เลยถ้าคุณเอามาให้ อโศกไม่มีใครมาบริจาคให้เป็นร้อยล้าน ไม่มี ตั้งแต่อาตมาทำงานมา 50 ปี คนที่จะมาบริจาคให้ร้อยล้านไม่มี 50 ล้านก็ยังไม่มี ทีเดียว นอกจากก็ยังหมุนไปหมุนมา เป็นก้อนเป็นกอบเป็นกำไม่เคยมี

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:56:02 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:18:17 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:25:23 )

ต้องปลุกหัวหน้าชฏิลให้เกิดปัญญารู้ความจริง

รายละเอียด

โอ้โห.. สุดยอดเลย อาตมาก็ต้องทำอย่างนี้ ต้องปลุกหัวหน้าชฏิล ก็ลูกน้องหัวหน้าชฎิลก็เหลือแหล่แล้ว เพราะว่าคนสนใจ มันมีทุกสำนักเลยรวมไว้หมดแล้ว ถ้าได้หัวหน้าชฏิล ก็สบายแล้วโพธิรักษ์ โพธิรักษ์คือใคร อ๋อ 

มาเข้าใจสัมมาทิฏฐิอยู่ที่นี่ สัตบุรุษอยู่ที่นี่ แต่ไปหลงมานานก็เพิ่งเข้าใจก็ ตายๆๆๆ หิริ อย่างแรงกล้า ด่าโพธิรักษ์เสียไม่มีดี ละอายอย่างแรงกล้า ก็เลยต้องรักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า แหม.. จะเป็นได้ไหมหนอ ไม่ได้เรียกร้องจะเอาอะไร แต่เป็นการสาธยายธรรม มานั่งเพ่งโทษ เรียกร้องเอาอะไร โพธิรักษ์ไม่เอาอะไรแล้วจริงๆ แสดงธรรมอย่างเดียว เพื่อจะให้เกิดปัญญารับรู้ความจริงพวกนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 11:14:35 )

ต้องผัสสะเห็นมีของจริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นใน วิชชา 5 วิปัสสนาญาณ คือญาณที่รู้แจ้งเห็นจริงมี ปัสสติ ตัว ปัสสะแปลว่าเห็น ต้องผัสสะเห็นมีของจริงตามวิธีของพุทธเจ้าให้เกิดเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาก็เรียนอะไรไม่ได้เลยมีแต่สิ่งเพ้อฝันว่างเปล่าไม่ได้เรื่อง จะต้องมีผัสสะ เวทนา แล้วแยกเวทนาออกเป็น 108 แยกเป็นเคหสิตะ เนกขัมมะ ทำกิเลสออกได้เรียกเนกขัมมะ ต้องศึกษาจากอาจารย์ผู้รู้จริงๆ ขออภัยอย่างเช่นอาตมา จะทำให้ลดกิเลสได้จริงๆเหมือนของพวกเรา ลดกิเลสได้จริงๆ ที่พูดนี้ไม่ได้อวดอ้าง อวดดี แต่พูดความจริงให้ฟังแต่คนเขาหมั่นไส้ ก็ขอพูดความจริงให้ฟังจริงๆ เรื่องที่เป็นผลด้วยเขาก็หาว่าเป็นคนอวดอ้างอวดดี อาตมาไม่เอาอวดเลวใครจะว่าไงก็ช่าง 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 11:14:10 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:25:43 )

ต้องพบสัตตบุรุษก่อนจึงเกิดฉันทะในโลกุตระได้

รายละเอียด

จนกว่าจะได้พบพระพุทธเจ้าหรือ“สัตตบุรุษ” และได้ฟังหรือได้ยินท่านพูด“โลกุตรสัจจะ”ให้ได้ยินได้ฟัง อีกทั้งท่านก็ปฏิบัติอยู่ให้เห็นด้วย ดีไม่ดีมีหมู่กลุ่มที่เป็นสังคมอาริยะโลกุตระเอาด้วย 

จึงจะยินดี(เริ่มมีฉันทะ)ว่า โอ!..ได้พบพระพุทธเจ้า หรือได้พบสัตตบุรุษแล้ว ผู้นั้นย่อม“ยินดี”

พอเห็นพระพุทธเจ้า จึงเกิดจิตยินดี มีฉันทะเป็นมูลกา ถ้าไม่มีอิทธิบาท ไม่มีความยินดีเป็นตัวนำ ไปไม่ออก ปฏิบัติสุริยเปยยาล 

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค 

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค 

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค 

มิตร หมายถึงใจ, สหาย คือประโยชน์ร่วมมีพรรคพวกหมู่กลุ่มร่วมกัน แล้วครบพร้อมหมดเลย เป็นสัปปายะ 4 ครบเป็นสัมปวังโก เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 18:58:38 )

ต้องพยายามจับสภาวะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่าภาวนาคือตัวเกิดผล คุณก็ต้องพยายามจะ อนุโยค หรืออนุโยคะ แปลว่า พากเพียรปฏิบัติให้เกิดภาวนา ภาวนานุโยค อนุโยคะกับภาวนา แล้วก็จนกระทั่งถึงเป็น ภาวนามัย ภาวนานุโยคะ เป็นเหตุ ภาวนามัยเป็นผล เป็นความสำเร็จ ภาวนานุโยค เป็นความเพียรในการปฏิบัติ ภาวนามัยเป็นผลสำเร็จ ภาวนานุโยค ภาษานักวิชาการเขาแปลว่า การตามประกอบภาวนา คนฟัง ชาวบ้านฟังแล้ว การตามประกอบภาวนา ก็เอาหัวไปตีดิน มึนแล้วมึนอีก มันอะไร ตามประกอบภาวนา อาตมาก็เห็นใจที่เขาพยายามแปลไว้ มันไม่ผิดภาษา แต่คนไม่รู้ภาษา มันไม่ผิดคุณแปลไม่ผิด แต่คุณแปลไม่ออก คุณแปลวนอยู่ในความหมายของมันแคบไม่กว้างพอให้คนต่างๆ คนทั่วไปเข้าใจที่เป็นภาษาทั่วไปที่คนอื่นเข้าใจง่ายๆได้ 

อาตมาก็ต้องมาให้ความหมายกันใหม่ มาขยายความกันอีกว่า คือ ทำเหตุนั้นให้เกิดผล ภาวนานุโยคะ เพียรทำเหตุนั้น ให้มันเกิดผล จนเกิด จนมี จนเป็นผลสำเร็จ จนเกิดผล เป็น ภาวนามยะ ให้ได้ ต้องพยายามจับสภาวะ ของคุณกำลังทำเหตุ ไม่ใช่ผลนะ ให้แม่นๆ ถ้าคุณจับสลับกันกลายเป็นนักเล่นกล กลายเป็นมายาของตัวเองไปเลยแล้วไปหลอกคนอื่นต่อ ต้องจับให้ได้เลยเป็นสิริมหามายาว่า แท้ๆจริงๆ ตัวไหนคือเหตุ ตัวไหนคือผลแท้ให้จริงจึงจะไม่ใช่มายา แต่เป็นสิ่งที่ยากจะรู้ มายา คือ สิ่งที่ยากจะรู้ มันหลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่นต่อ เป็นนักมายากล แล้วก็ภาคภูมิใจในความสามารถความรู้ของตัวเองเรื่องมายา ที่จริงเป็นภาษาคำที่เจ็บแสบที่สุด ถ้าใครยังตกเป็นนักมายาอยู่ก็คือตัวยังเป็นผี ยังเป็นมาร ยังเป็นมายา ยังไม่ได้ไปเป็นเทวดา ยังไม่ได้ไปเป็นผู้รู้ผู้บรรลุ ก็ขยายความให้ฟังมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปลงโทษเขาหรอก แต่ว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:36:10 )

ต้องพยายามเพื่อศาสนา

รายละเอียด

ต่อมาประเด็นที่บอกว่าไม่มีความลึกลับในตัว แน่นอน รโห ระหะ ต้องอรหะ อรโห ไม่ลึกลับ เพราะฉะนั้นเทวนิยม พระเจ้า ลึกลับ ยังไม่มีใครเห็นพระเจ้าซึ่งอาตมาก็ขยายความแล้วว่าพระเจ้าไม่มี ยืนยันว่าไม่มี ความรู้หรือความจริงที่พระศาสดาของศาสนาแต่ละศาสนาที่เป็นเจ้าของศาสนา ความรู้เป็นของท่าน แต่ท่านไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้อัตตา ไม่รู้ว่าความรู้นี้มาจากไหน ก็เลยนึกว่าต้องมีคนให้เรามาแน่ เพราะโดยจริตของศาสนาเทวนิยมที่เขาเป็นทาสพระเจ้า เขาก็เลยคิดว่ามีผู้ให้มาแน่ เพราะท่านไม่รู้.ตัวเอง เทวนิยมไม่รู้จักอัตตา นอกจากไม่รู้จักตัวเองแล้ว ก็เลยสลายอัตตาไม่ได้ อัตตาประกอบด้วยอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร ไม่รู้เรื่อง ก็สลายรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ได้ แล้วในขันธ์ 5 

รูป ประกอบด้วยตั้งแต่มหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม เริ่มต้นเชื่อมเป็นกาย ก็มีนามธรรมเข้ามาร่วม ตัวเริ่มแรกคือเวทนา ตัวรวมยอดคือวิญญาณ พลังงานรวมยอดคือวิญญาณ เพราะฉะนั้นพลังงานตัวต้นคือเวทนา ตัวสัญญาและสังขารคืออีก 2 เจตสิก 2 อาการที่ จะกำหนดรู้กับจะปรุงแต่งกันอยู่ ปรุงแต่งกันอยู่เรียกว่า สังขาร ตัวธาตุจิตเจตสิกที่มีหน้าที่กำหนดหมาย สำคัญมั่นหมายเข้าไปในรายละเอียดในสิ่งนี้ อ้อ…อันนี้เป็นอันนี้ อันนี้แตกต่างจากอันนี้ มีอาการ ลิงค นิมิต ให้รู้ว่าแตกต่างอย่างไร กำหนดรู้ว่า มันต่างกันด้วยอาการต่างกันด้วยนิมิต แล้วก็จะต้องรู้มาจากอุเทสของผู้ที่บรรยาย อาตมากำลังบรรยายคำสอนซึ่งคุณรู้เองไม่ได้ อาตมาก็ได้มาจาก อุเทส ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีทางรู้ 

เช่น ในยุคที่หมดแล้วศาสนาพุทธ ในยุคพุทธันดรไม่มีพระพุทธเจ้าเลย เกิดขึ้นมาในยุคนั้นเป็นช่วงว่าง ศาสนาพุทธความรู้โลกุตระก็ไม่มี มันก็มีแต่ความรู้โลกียะ หรือกลียุคไป พอหมดเมื่อศาสนาพุทธครบ 5,000 ปี ศาสนาก็มีแต่โลกียะ ก็ฆ่ากันห้ำหั่นกันเป็นกลียุคแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ดุเดือดกันไปเรื่อยๆ ต่อมาความลึกลับก็ต้องลึกลับเป็นเทวนิยม แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นรอบที่พ้นความลึกลับอันแรกคืออรหันต์ขั้นที่ 1 ขยายความไปหมดแล้วอรหันต์ขั้นที่ 1 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้คืออรหันต์ขั้นที่ 1 พออนุโพธิสัตว์หรืออรหันตอนุโพธิสัตว์ ก็จะต้องอีกรอบหนึ่ง เป็นอรหันต์ไม่ลึกลับในความเป็นอนุโพธิสัตว์ก็เป็น 2 แล้วอรหันต์ จากนั้นก็เป็นรอบสูงขึ้นเป็นอนิยตโพธิสัตว์หรืออรหันตอนิยตโพธิสัตว์ คุณก็ต้องจบรอบไม่ลึกลับอรหันต์ในอนิยตโพธิสัตว์อีก 

รอบที่ 1 อรหันต์ รอบที่ 2 อนุโพธิสัตว์ รอบที่ 3 อนิยตโพธิสัตว์ รอบที่ 4 นิยตโพธิสัตว์ คุณก็ต้องเรียนรู้อรหันต์ในนิยตโพธิสัตว์อีก จบรอบนี้อีกคุณก็ไปรอบสูงมหาโพธิสัตว์ ก็ต้องเรียนรู้ให้จบอรหันตมหาโพธิสัตว์ให้ได้อีก เมื่อได้พ้นครบรอบของอรหันตมหาโพธิสัตว์จึงจะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ 

ทีนี้สัมมาสัมโพธิญาณ อาตมาก็แยกอีก อาตมารู้ตำราหมดแล้วแต่ยังไม่ถึง มหาโพธิสัตว์อาตมาก็รู้ อรหันต์ก็รู้ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ แต่สภาวะอาตมา บารมีอาตมายังไม่ถึง อาตมาก็ต้องมีตำราเรียน ตำราพิสูจน์ มีพิมพ์เขียวก่อนสิ ก่อนที่จะทำอะไรขึ้นมา โครงสร้าง มันมีพิมพ์เขียว ไม่มีตำรา ไม่มีนำมาไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า ที่ยอดเป็นผู้รู้เองแล้วถือว่ารู้เอง และพระพุทธเจ้าก็รู้จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมา ถามว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือองค์ไหนก็คือพระโสดาบัน อาตมาตอบแล้วนะ อันนี้จะไม่ทวน

อรหะคือผู้ไม่ลึกลับแล้วเป็นรอบๆจบรอบ อรหันต์สุดท้ายเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แถมอีกนิดหนึ่ง ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยังไม่ถึงสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียว เพราะยังไม่มาประกาศศาสนาในโลก คนจะได้รู้ว่า องค์นี้เป็นผู้บรรลุสัมโพธิญาณมาประกาศโลกุตรธรรมหรือพุทธศาสนาขึ้นมา ท่านก็ได้ขึ้นทำเนียบเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คำศัพท์ว่า พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็คือท่านมาประกาศศาสนาขึ้นมา อย่างศาสนาพุทธของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้ากัสสปะก็มาประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ หรือของพระโกนาคมนะก็เป็นขององค์นั้นเป็นต้น ก็ขององค์ใดองค์หนึ่งองค์นั้นประกาศ 

ทีนี้ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะไม่ใช่ท่านสอนไม่เป็น เขาไม่รู้ก็เดาผิดๆ ท่านเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ มีภูมิเท่ากับพระพุทธเจ้าแล้วจะสอนคนไม่ได้อย่างไร เขาก็เดาเอา ท่านก็คือผู้ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศศาสนา เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นทำเนียบองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานของท่านไป รีไทร์ตัวเองไปเลย ท่านไม่อยากได้ตำแหน่งอันนี้ ถ้าจะว่าจริงๆแล้วพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงกว่าสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกในนัยยะสิริมหามายา ในมุมเหลี่ยมนี้ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะสูงกว่าสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ตรงที่ท่านไม่ประกาศตัวตน ไม่มีตัวตน หายตัวไปเลย 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็อยากเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะตีความด้วยพยัญชนะด้วยภาษาก็ไปขี้ตู่พระพุทธเจ้าว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงกว่าอันนี้ก็อธิบายมุมนี้ได้ แต่ความจริงไม่มี ท่านไม่มีเศษอุปกิเลสพวกนี้มันไม่มี ท่านจะทำตาม ตัวท่านเป็นอิสรเสรีภาพส่วนตัวของท่าน อย่าไปยุ่งกับท่าน มันเป็นอิสรเสรีภาพก็แล้วแต่ท่านจะเลือก นี่เป็นสิทธิสุดท้ายที่อาตมารู้จักโครงสร้าง รู้จักพิมพ์เขียวของความเป็นพวกนี้หมดแล้ว เหลือแต่อาตมาจะไปเป็นเท่านั้นเอง อาตมาไม่ได้หลงเลอะเทอะ ที่ไปหลงว่าตัวเองยังไม่เป็นและอวดว่าตัวเองเป็นไม่ใช่ มันบาปกินหัว ดีไม่ดีเขาซักไซ้ไล่เลียง เป็นขนาดนั้นแล้วอธิบายขนาดนี้ต้องได้สิ อาตมาก็ตายหน้าแหกพอดี 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีความลึกลับ หมดความลึกลับก็ใช่ อรหันต์ ทีนี้มีความเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ก็ใช่ สูงสุดคืนสู่สามัญ พระอรหันต์นี่แหละคือคนธรรมดาเหมือนพวกเรา แต่มีความรู้มีความสามารถ แต่จิตของท่าน ใครจะมาหยั่งรู้ของท่าน ท่านก็รู้สึกของท่านเองหรือผู้ที่ลึกสูงหยั่งรู้จิตเราได้ พระพุทธเจ้าอยู่ก็รู้จิตของโพธิรักษ์แน่ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ใช่เรื่องเดา เป็นพลังงานทางจิตที่วิเศษของผู้ที่จะรู้ได้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่นั่งเต๊ะท่าแอ๊คท่า ไม่ใช่

ต้องดราม่า มันแล้วแต่จริตของแต่ละคนด้วย อย่างพระสารีบุตรมีจริตเป็นลิงเพราะเกิดเป็นลิงมาตั้ง 500 ชาติท่านก็ติดนิสัย ติดวาสนามาก็ไม่มีปัญหา  ยกตัวอย่างตื้นๆ อย่างท่านดินไทกับอาตมานี่ เห็นความต่างกันไหม ท่านไม่เหมือนอาตมาหรอก ท่านก็สุขุมประณีตของท่าน ท่านก็สบายๆของท่าน อาตมาก็สบายๆของอาตมา มันคนละจริตนิสัยมันสั่งสมมาอย่างนั้นอย่างนั้น มันไม่ใช่ของที่จะไปถือสาทำไม ไปเอามาเป็นเรื่องทำไม ไม่ได้ไปรบกวนใครนี่ คุณยึดติดต่างหาก คุณตั้งใจว่าถ้าเป็นอรหันต์จะต้องเรียบร้อยอย่างนี้ ต้องเหมือนท่านดินไท เอ๊ะมันก็ไม่ใช่หรือว่า คนที่จริตอย่างท่านดินไทก็บอกว่าอรหันต์ต้องเหมือนโพธิรักษ์ก็ไม่ใช่ ของใครของใครก็แล้วแต่จริตนิสัย มันเป็นเรื่องของจริต มันก็ต้องแยกแยะกันไป  

สรุปว่าผู้ที่บรรลุก็ปกติ สูงสุดคืนสู่สามัญ ท่านไม่มีอัตตา ท่านไม่มีตัวตน ใครจะว่ายังไง ท่านก็ไม่มี ท่านก็มีตามจริตของท่านตามปกติ ท่านก็สบายๆของท่าน ประเด็นต่อไปหมดทุกข์สุขจากการสัมผัสต่างๆ ก็ใช่ พระอรหันต์หมดทุกข์สุขจากสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก หมดแล้ว อยู่เหนือแล้วก็เป็นอนาคามีขึ้นไป หรือ เป็นอรหันต์ยิ่งแน่นอน ข้างนอกก็ยิ่งได้ ข้างในต่อมาก็ไปทำที่เหลือต่อ ในรูปาวจร อรูปาวจร ไปตามลำดับ 

ผัสสะกับข้างนอก ผู้ที่บรรลุแล้วนี่นะ ผู้ที่จะมีกิเลสเหลือรูปาวจร อรูปาวจร กิเลสรูปราคะ อรูปราคะ ไม่ได้หมายความว่าข้างนอกไม่สัมผัสแต่สัมผัสข้างนอกนั่นแหละ แต่ท่านไม่ได้มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ประโยชน์ด้วยซ้ำไป ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้นไม่ได้อยู่ในการหลับตาแต่อยู่ด้วยการลืมตานี่แหละ มีกามาวจรธรรมดา แต่กิเลสของท่านเอง มานะอุทธัจจะของท่านก็จัดการเองสิแล้วก็มีสัมผัสนี่แหละเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะเกิดกิเลสรูปราคะอยู่นะ กิเลสอรูปราคะอยู่นะ มานะอยู่นะ อุทธัจจะอยู่นะของท่านเอง มีเหตุให้สัมผัสแล้วก็เกิดกิเลสถ้าไม่มีเหตุให้สัมผัสก็ไม่เกิดกิเลส จินตนาการเอง สัญญาเอง ต้องมีสัมผัสนะไม่สัมผัสไม่มีปัจจุบันชาติไม่ใช่ของจริง เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาโมฆะหมด 

ขออภัยต้องตีหัวตะปูพวกนั่งหลับตา อยากให้รู้สึกตัวอยากให้มาศึกษาสัมมาทิฏฐิจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ให้ได้ เพราะหลับตาเป็นของเดียรถีย์ จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้จริงสิ ไม่งั้นก็ไม่ได้สักที เพราะฉะนั้นผู้หมดทุกข์หมดสุขต่อผัสสะต่างๆก็คืออรหันต์ มีชีวิตอยู่เพื่อตนและเพื่อผู้อื่นก็แน่นอนถูกต้อง มีชีวิตเพื่อจะยังชีวิตไป ถ้ายิ่งกิเลสตัวเองหมดแล้วก็หมดประโยชน์ตน มีชีวิตเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์แล้วประโยชน์ตนหมด ประโยชน์ตนอีกในฐานะพระโพธิสัตว์ขั้นสูงขึ้นไปอีกมันซ้อนอยู่ อรหันต์ขั้น 1 ได้แล้วก็หมดประโยชน์ตนก็มีอรหันต์ขั้น 2 อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ขึ้นไปอีก มันก็มีเหตุปัจจัยของมันอย่างนี้ 

นี่อาตมาอธิบาย มันสบาย ไม่ยากง่ายๆเพราะอาตมาเข้าใจและอาตมาได้ผ่านมาแล้ว ถ้าจะพูดถึงมหาโพธิสัตว์หรือไปถึงสัมมาสัมโพธิญาณก็แน่นอนสิ มันยากกว่า อันนั้นอาตมายังไม่มีและไม่พยายามอธิบายเดี๋ยวไม่เข้าท่า ก็อธิบายโครงสร้างให้รู้พิมพ์เขียวไปเรื่อยๆคุณก็ดูโครงสร้างไปตามที่อาตมาพูด เพราะพวกคุณยังมีคนเป็นโพธิสัตว์ที่จะศึกษาขึ้นไปก็ค่อยๆเรียนรู้ไป ต้องแบกแผนที่หรือพิมพ์เขียวไปเยอะหน่อยนะ แล้วก็ปฏิบัติตามโครงสร้างพิมพ์เขียวนั้น 

ทีนี้มีชีวิตอยู่เพื่อตน เพื่อผู้อื่น เมื่อหมดประโยชน์ตนเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  นั่นแหละสูงสุดหมดประโยชน์ตน ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเป็นมหาโพธิสัตว์อยู่จะต้องเอาประโยชน์ตนให้ได้เพื่อเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้พยัญชนะซ้อนอธิบายความซับซ้อนนี้ถ้าไม่มีสภาวะจริงรับรองหัวหมุนเลยคุณ ตีลังกา คุณอธิบายไม่ถูกหรอก พูดไม่ได้ด้วย 

และอาตมาก็ขอยืนยันว่า ยังไม่มีใครพูดในยุคนี้ที่เสื่อม เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 และจะมาสืบทอดอันนี้ อาตมาพูดในประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศโพธิสัตว์ ไม่ใช่ศาสนาโพธิสัตว์เป็นศาสนาเถรวาท แต่เขาเข้าใจสับสนผิด เขาหาว่าโพธิสัตว์นั้นมันไม่สูง มันไม่จบอรหันต์ เขาเข้าใจไปอย่างนั้น เขาเข้าใจว่าเถรวาทถึงจะจบอรหันต์ โพธิสัตว์จะไปเป็นพระพุทธเจ้า อ้าว..แล้วไม่รู้จักอรหันต์ไปเป็นลำดับแล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้ายังไง ไปอธิบายว่าโพธิสัตว์ไม่ใช่อาริยะ ไม่ได้เป็นอรหันต์ แล้วจะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวได้เลยเหรอ มันต้องมีลำดับเป็นน่าอัศจรรย์ ไม่มีลำดับได้ยังไง อาตมาอธิบายลำดับให้ฟัง ก็ไม่เชื่ออาตมา ไม่นับถืออาตมา คุณก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะคุณไม่ยอมรับ คุณไม่เปิดประตูรับ จะปิดฝาถ้วย เทไม่เข้าเลย ก็น่าสงสารไม่รู้จะว่าไง 

ก็ผ่าน หมดประโยชน์ตนจริงๆจนเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์ตนแล้ว สูงสุดเป็นแต่ประโยชน์ผู้อื่น อาตมาก็ยังมีประโยชน์ตนเองอยู่ ยังจะเป็นมหาโพธิสัตว์ เป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าต่อไป อยากจะพูดเกี่ยวกับการเมืองนิดหน่อย อาตมาเคยใช้คำว่า การเมืองบุญนิยม แต่ก่อนนี้เขียนมาตั้งแต่ไปชุมนุม ตอนนั้นเข้าสู่การเมืองก็ออกหนังสือมาหลายเล่มเลยในตอนไปชุมนุม ทำอะไรที่นั่น เล่มนี้เขียนตั้งแต่ 2551 การเมืองอย่างนี้ยังไม่มีในโลก แล้วก็ขยายความ ในยุคที่ไปชุมนุมประท้วงนั่นแหละ เขียนจนกระทั่งหนาเล่มมารวม ถ้าอย่างนี้ล่ะการเมืองใหม่มั๊ย แต่ก็ยังมีอีกหลายเล่มเกี่ยวกับการเมืองเพราะฉะนั้นไปหาหนังสือเหล่านี้มาอ่านกัน แล้วก็อยากจะได้ ผู้ที่เข้าใจอยากจะได้ความรู้ในเรื่องการเมืองบุญนิยมก็ดี 

สิ่งเหล่านี้มันมีกระบวนทัศน์อย่างไร องค์ประกอบของมันกระบวนการ กระบวนทัศน์ต่างๆ ที่ได้พาทำมา ก็ขยายความอะไรๆไว้ในหนังสือเหล่านี้ ติดตามได้ในห้องสมุด ในลิสต์หนังสือต่างๆที่อาตมาเขียน จริงๆเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของสังคมเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องของการเมืองสังคมไม่ได้แยกขาดกันทีเดียวหรอก มันสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน สนับสนุนส่งเสริมกันอยู่ในตัวของมัน 

เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่มันเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ กันและกันอยู่ เพราะเหตุนี้จึงเป็นผลอันนี้ เพราะผลอันนี้จึงเป็นเหตุต่อ แล้วเหตุต่อก็กลายเป็นผลอันนี้ มันก็เกิดความต่อเนื่องกัน ท่านเรียกว่าปัจจยการหรืออิทัปปัจจยตา เป็นเรื่องที่ทุกอย่างมาแต่เหตุ แล้วก็เกิดสังเคราะห์กันขึ้นมาเป็นผล อยู่ดีๆไม่มีเหตุ เหตุมีภายใน เหตุมีภายนอก เหตุมีมิจฉาทิฏฐิ เหตุมีสัมมาทิฏฐิ เหตุที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันก็พาออกนอกเรื่องนอกลู่ไป เป็นได้สารพัด แต่เหตุที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันมีเหตุเดียวกันหมด ตรงกันหมด 

เพราะฉะนั้น การเมืองที่อาตมานำมาเสนอนี้ มันเป็นการเมืองโลกุตระ จะบอกว่า การเมืองใหม่ มันก็ใหม่มาตั้งแต่อาตมานำพาการเมืองแบบโลกุตระ มาพูดมาเปิดเผย มาประกาศลงไปในยุคนี้ เพราะโลกุตระมันเสื่อมไปจากศาสนาพุทธยุค 2,500 ปีนี้ตามที่พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้แล้วว่าโลกุตระจะเสื่อมไป แล้วก็จะมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งมีคุณธรรมระดับ สยังอภิญญา ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 มาอธิบายโลกนี้โลกหน้า ประกาศให้แจ่มแจ้งขึ้น

อาตมาก็ยืนยันตัวเองไม่ได้ปิดบังอำพราง ว่าอาตมานี่แหละคือ สยังอภิญญา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าเป็นอาตมาจริงๆ อาตมารับมาจากพระพุทธเจ้าจริงๆพูดมาถึงขนาดนี้ ผู้ที่เข้าใจผู้ที่ไม่มีปัญหาเชื่อถือดีแล้วมีปัญญารู้ คุณก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เขาไม่เชื่อเพราะความไม่รู้ของเขามันเป็นตัวกั้นไง ความไม่เชื่อเพราะเขาไม่รู้ 

1.ไม่รู้ 

2.ไม่ศรัทธา ถ้าปิดประตูไม่ศรัทธาด้วยมันยิ่งไม่มีทางรู้ ถ้าเปิดประตูศรัทธานิดหน่อย คุณก็จะเริ่มรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งไม่มีอคติ โอ้โห ..ยิ่งฟังด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง ยิ่งจะเข้าใจดีไปตลอดเลย อาตมายังไม่เจาะช่องน้อยไปแต่พอตัว ยังจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พิสูจน์สัจธรรมพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกันว่า จะลากสังขารไปได้อีกกี่ปี กี่เดือน ให้มันมากที่สุด อาตมาตั้งใจจริงๆว่า จะต้องอยู่ให้เกินร้อย พวกคุณก็ได้แต่สาธุนั่นแหละ อาตมาก็พยายามสิ มันก็เหนื่อยอยู่เหมือนกันนะแต่ก็ต้องพยายามเพื่อศาสนา เพื่อธรรมะ เพื่อสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ยิ่งยอด มันเป็นเรื่องที่จำเป็น เป็นเรื่องที่จำนน จำต้องทำอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2566 ( 09:37:11 )

ต้องพากเพียรละหน่ายคลาย ไม่ใช่จำนนเรื่องมีคู่

รายละเอียด

อาตมาเคยพูดไว้ว่าอาตมามีปณิธานไว้ว่าเกิดมาจะไปเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่มีคู่จนกว่าจะปรินิพพานเลย ซึ่งต้องพากเพียร ต้องละหน่ายคลาย ไม่ใช่จำนนว่า ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีเลยเราก็จำนนก็แล้วกัน อย่านะ อย่าไปคิดอย่างนั้น ก็ต้องวนเวียนอีก แม้คุณจะเป็นโพธิสัตว์แล้วก็ตามยังอีกตั้งเท่าไหร่ ป่วยการที่คุณจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ไม่รู้ แต่ละคนมันจะง่ายหรือ ทำไมมาแต่งงานอีกครับ อันนี้ก็ตอบไม่ไหวแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:07:32 )

ต้องพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ซึ่ง ภาวะของเทวะจะต้องมี 2 มีกายภายนอกกับภายในไปเสมอๆๆ เป็นคู่เอก เทวะกับกาย เป็นคู่เอกของพยัญชนะและสภาวะสัจจะของมนุษย์ ทั้งมนุษย์ทั้งสังคมไปตลอด 

อาตมาก็ยังอธิบายธรรมะไม่เก่งเท่าไร แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นพวกเราตั้งใจดีๆ เถอะ 

1. อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ตายง่าย สุขภาพร่างกายไม่ทรุดโทรม เหลวไหลอะไรจนเกินการ ไม่ตายง่ายๆ จะได้บำเพ็ญต่อไปด้วย เพื่อยืนยันพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยว่ามนุษย์โลกสุดยอดที่จะค้นพบ มนุษย์กับสังคมจะเป็นสังคมที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด มีวัฒนธรรมมีแบบอย่างมีทฤษฎี ท่านตรัสรู้สุดยอดมาหมดแล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ถ่ายทอดกันมาจนเป็นพระสมณโคดมองค์สุดท้าย อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ที่รับสืบทอดถ่ายทอดมาด้วย มีพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ด้วย ซึ่งท่านก็ดำเนินทางรูป อาตมาดำเนินทางนาม ทางปัญญา ท่านทำทางเจโต ก็เป็นคู่กันมา ที่พูดนี้ไม่ได้ยกตนข่มท่าน ไม่ได้ตีตัวเสมอ แต่พูดตามสัจจะความจริง เป็นวิชาการ ไม่ใช่อาตมาอยากจะใหญ่ อยากจะโต อยากจะอวด อยากจะยกตนเสมอท่านอะไร ไม่ใช่ ใครฟังแล้วฟังขึ้นก็ว่าไป ใครฟังไม่ขึ้นก็จะว่าแก้ตัวก็แล้วแต่ คนไม่ศรัทธาไม่เชื่อถือ คนเชื่อถือศรัทธาก็ตามแสวงหา ตามหาความจริง ก็ค่อยๆรู้ความจริง แล้วพวกเราก็จะช่วยอาตมา เพราะอาตมานั้น ผู้ที่อายุสั้นก็คือพวกปัญญา พวกอายุยาวคือพวกเจโต มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ 

แต่ที่นี้มายุคนี้ อาตมามาทางปัญญา อาตมาจะต้องอายุให้ยาว ในหลวง ร.9 เจโต ท่าน 89 ปีก็สิ้นไปแล้ว จะมา 89 แล้ว ปีที่ 89 เดือนที่ 5 แล้ว จากวันที่ 5 มา เดี๋ยวถึงธันวาก็ย่างขึ้นเดือนที่ 6 

อาตมาจะมาพิสูจน์ซึ่งมันผิดนะ เจโตจะยาวปัญญาจะสั้น แต่อาตมาปัญญาจะต้องให้เกิน 89 ไปได้มากเท่าไหร่ก็มาก มันก็จะสลับพวกนี้ซึ่งเป็นความซับซ้อนที่ลึกซึ้ง คัมภีราที่เป็นเรื่องของสัจธรรม ทั้งๆที่ขันธ์ร่างกายอาตมาก็ไม่ได้ดีกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เท่าไหร่หรอก ตาข้างเดียวเหมือนกัน อะไรอย่างนี้ หลายอย่างคล้ายๆกัน แต่มันก็ต้องพิสูจน์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 21:17:34 )

ต้องพูดข่มสิ่งผิด ความผิดควรถูกข่ม

รายละเอียด

เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดพล่อย อาตมาถึงบอกว่าน่าสงสารผู้ที่หลงกับอรหันต์เก๊ เขาซื่อจริงๆที่เชื่อแบบนั้นก็เลยน่าสงสารก็เลยต้องมาพูดเพื่อให้ความรู้กัน ไม่ใช่ดูถูกดูแคลน แต่ว่าอาตมาจะต้องพูดข่มสิ่งผิด ความผิดควรถูกข่ม จะไปยกความผิดได้อย่างไร ต้องยกความถูก ความผิดต้องถูกข่ม เป็นธรรมดาธรรมชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:23:56 )

ต้องมาทำงานนี้เพราะเป็นงานที่สุดยอดแล้วคืออะไร

รายละเอียด

อาตมาก็ภูมิใจอย่างยิ่งเลยที่มีความรู้น้อยนิด เป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อะไรเท่าไหร่หรอกแค่นี้แหละ เกิดมาในยุคนี้ คนในศาสนาพุทธกระแสหลักเขาก็บอกว่าหลงตัวหลงตนบ้าๆบอๆ เขาก็มองอย่างนั้นด้วยซ้ำ ขนาดชาวพุทธ ยังมีคนมาเข้าใจเพียงหยิบนึง (ทำมือกอบมา) มีเท่านี้ กอบเดียว ได้เท่านี้ เอ๊าะเจ๊าะ แต่มันก็สำคัญ 

อาตมารู้ตัวเองอาตมามาทำงานนี้ แต่ไม่ได้เท่าพระพุทธเจ้านะ ไม่เอางานทางโลกมาเอางานทางธรรม ไม่ได้สงสัยลังเล  ไม่ได้งง ไม่ได้สับสน ไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องมาเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอื่น ไปเป็นอื่นมันไม่เอา มาเอาอย่างนี้ จะถูกด่าถูกว่า จะถูกเข่น เอาเป็นเอาตายอย่างไร ก็ต้องมาทำงานนี้ ไม่ทำงานนี้จะทำงานไหน งานนี้เป็นงานที่สุดยอดแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น อาตมาก็ต้องเอางานนี้เป็นงานหลักไปอีกไม่รู้กี่ชาติจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือ รีไทร์ตนเอง อาตมาไม่รีไทร์ตนเอง ไม่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:35:56 )

ต้องมาฟังอาตมาจะได้เกิดสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

อาตมาเป็นสัตบุรุษและก็พูดอธิบายโยนิโสมนสิการ ท่านทั้งหลายแหล่จะต้องมาฟังอาตมา จะได้เกิดสัมมาทิฏฐิว่าให้โยนิโสมนสิการเป็นอย่างนี้หรือ ในปัญญาวุฑฒิ 4 ท่านต้องยืนยันว่าได้คบหาสัตบุรุษ สัปปุริสังเสวะ แล้วคบหาต้องไปฟังคำเทศน์คำบรรยาย โดยเฉพาะคำว่ามนสิการผู้ที่เป็นสัตบุรุษแท้จะเข้าใจถูกต้องอธิบายโยนิโสมนสิการได้ถูก เมื่อฟังเข้าใจโยนิโสมนสิการได้แล้ว คุณจึงจะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมได้ประโยชน์ได้มรรคผลตามธรรมะ สมควรแก่ธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มี ธัมมานุปฏิปัตติ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นมิจฉาปฏิบัติ เพราะว่าโยนิโสมนสิการไม่จริง โยนิโสมนสิการไม่สัมมาทิฏฐิไม่ถูกต้อง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 08:28:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:26:19 )

ต้องมาเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากอโศก มันถึงจะชัดเจน

รายละเอียด

เรื่องแบบคนจนและขาดทุนคือกำไร Our loss is Our gain พูดหลายทีแล้วแต่นักบริหารไม่เข้าใจ นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย จะกอบกู้เศรษฐกิจนั้นอย่าไปสอนให้คนรวย พูดมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ว่าให้สอนมาเป็นคนจน ในหลวงท่านก็บอกว่าให้เอาแบบคนจน แต่เขาไม่เก็ต ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ แต่ก็บังคับไม่ได้ คนเขาไม่เข้าใจ จะจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์เท่าไหร่ทางโลกโลกีย์เขามา อย่างนั้นแหละ มันต้องมาเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากอโศก มันถึงจะชัดเจน สำนักไหน แม้แต่จุฬา แม้แต่มกุฏฯ ที่เป็นแหล่งศึกษาของบัณฑิตทางพุทธศาสนา ก็ไม่ได้สอนอย่างที่อาตมาพูดหรอก ไม่ได้สอนอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสหรอก 

แก้ปัญหาเศรษฐกิจจะแก้จบนั้น ต้องแก้ปัญหา ให้คนเข้าใจว่ามาจนนี้เป็นคนประเสริฐกว่าไปรวย คนที่จะไปร่ำรวยนี้ ไปเป็นเศรษฐีนี้ (กฏุมพี) คนที่จะไปร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองนั้นเป็นคนโหดร้าย เป็นคนเบียดเบียนมนุษยชาติ คนเอาเปรียบ เป็นคนกอบโกย เป็นคนกักตุน เป็นคนที่ไม่ได้เผื่อแผ่กระจายทรัพย์สิน ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเขาก็บอกว่า จะต้องเฉลี่ยแจกจ่ายทรัพย์สินนะ เขาไม่มีเศรษฐศาสตร์อยู่ในหัวใจเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 13:48:37 )

ต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องร่วมกัน

รายละเอียด

ยุคนี้เป็นยุคอยู่ร่วมกันช่วยเหลือกันไม่ใช่ไปเข่นฆ่ากัน มันยุคเจริญแล้ว แต่มันก็ซ้อนอยู่ คนเจริญมันเจริญถึงขีดโลกุตระ แต่คนยังโง่มันยังโง่ดักดานมันจะฆ่าแกงกัน ยังไม่หยุดเลย แต่มันก็ยับยั้ง ซึ่งอาตมาก็พูดไปแล้วสงครามโลกมันไม่เกิดหรอก เพราะมันมีปฏิภาณรู้แล้วมีไหวพริบรู้แล้ว ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งนี้หมด โลกนี้หมดแหละ ดีไม่ดีครึ่งค่อนโลกไม่เหลือ บางประเทศหมดเกลี้ยงประเทศเลย บางประเทศก็มีเศษเหลือไม่ตาย มีบารมีรอด 

สมัยโบราณเขาก็ทำอย่างนี้มาหยาบๆแล้วสมัยนี้มันซ่อนละเอียดกว่านั้น สมัยก่อนก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ทำอย่างนั้นเราอยู่ด้วยกันอย่างมีอุดมคติ Globalization ไม่ต้องมีขีดคั่นทุกประเทศในโลก ไม่มีขีดคั่นไปมาได้ไม่ต้องมีวีซ่าไม่ต้องมีพาสปอร์ต ไม่ต้องมีอะไรต่ออะไรเป็นอุดมคติ ซึ่งมันทำไม่ได้หรอก มันต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องร่วมกัน คนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้รุนแรงด้วย ขืนปล่อยอย่างนี้จะเป็นยังไง Chaos หมดเลยวุ่นวายตายชัก ไม่มีระบบระเบียบอะไรเลย คุมไม่ได้หรอก บรรลัยจักรหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 23 เมษายน 2566 ( 19:11:44 )

ต้องมีกตญาณในตนเอง

รายละเอียด

อย่างที่อธิบายมานั้นก็แสดงว่าเรายังไม่บรรลุยังทำไม่สำเร็จ เพราะว่าอธิบายโดยความหมายของมันชัดเจนอยู่ เราก็รู้อยู่ว่ามันยังไม่ได้ มันยังไม่หลุดพ้น เหมือนอย่างที่เราพูดในสิ่งที่หลุดพ้นมาแล้ว เราก็ยังไม่ได้จริง เราก็ต้องพากเพียรพยายามต่อไป 

ที่พูดนี้ก็พอรู้อยู่ พูดถูกมา แต่ไม่ได้ชัดว่าไอ้ที่รู้นี้ถูกหรือเปล่า ก็ยืนยันให้ว่าถูกแล้ว ก็รู้ให้จริงอย่าไปหลงผิดว่าเราได้แล้ว เราหลุดพ้นแล้ว แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ ไม่หลุดได้อย่างไรก็ในเมื่อของเราไม่เกิดผลักเกิดดูด มันไม่เกิดต้องการ ไม่เกิดรสชาติอะไรที่จะต้องโหยหาหรือ บังคับให้เราต้องอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรอีกเป็นต้น ก็ค่อยๆศึกษาตรวจสอบนัยยะสำคัญของมัน ที่มันมีประเด็น นัยยะย่อยๆต่างๆที่อาตมาพูดไป แล้วจะค่อยๆมีปฏิภาณรู้ ช่างสงสัยมากมันจะนานนะ ต้องพยายามชัดเจนตัดสินให้ได้ในตัวเอง ให้ตัวเองมีการตัดสินวินิจฉัยว่าอย่างนี้ใช่แล้วจบแล้ว ถ้าไม่รู้จักขีดจบของอะไรต่ออะไรเลย โอ้โห จะวนไปตลอดกาลนาน หมายความว่า กตญาณ ญาณรู้จบ จึงเป็นญาณสำคัญอันหนึ่งของศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 20:41:01 )

ต้องมีของเก่าในสัญญาจึงจะระลึกชาติเอาขึ้นมาได้

รายละเอียด

ผู้ที่จะ“หลับตา”ระลึกชาติเอา“โลกุตรธรรมของเก่าที่ตนมีมาแล้ว”ขึ้นมา“รู้”ในชาติใหม่นี้ได้ คุณก็ต้อง“มี”ของเก่านั้นมาก่อน หากคุณยังไม่เคยมี“ของเก่าในสัญญา”ตนเองที่เป็น“อัตตสัมมาปณิธิ”มาก่อน และ“ของเก่า”นั้นก็เป็นโลกุตรธรรมที่คุณได้สั่งสมมาคือ“ปุพเพกตปุญญตา”อีกด้วย

แล้วคุณจะระลึกเอา“ของที่คุณไม่เคยมีมาแต่ชาติก่อนในจิตตนมาแล้ว”ได้ยังไง? 

คุณก็ระลึกนึกคิด“เพ้อเจ้อของเก๊” ที่เป็นอะไรต่ออะไรอันไม่ใช่“โลกุตรธรรม”ขึ้นมาใหม่เท่านั้นเอง แล้วหาพวกบริวารก็มีคนหลงรับเอาโลกุตระเก๊ ความเพ้อเจ้อนี้ไปด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:35:49 )

ต้องมีความยินดีตามมูลสูตร 10 ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

พูดถึงจุดที่ว่าเด็กนักเรียนคือเด็กอายุ 10 กว่าปีไม่ถึง 20 ปีมีเยอะ เด็กๆพวกนี้คือเป็นสายเลือด เป็น DNA ของพระพุทธเจ้า ที่จะพูดได้ด้วยพยัญชนะ 

ส่วนใครจะเป็นเนื้อแท้ของจิตวิญญาณ DNA แท้ๆจริงๆเลย มันก็อยู่ที่มวลของปริมาณของจิตวิญญาณ ของจิตเจตสิกต่างๆ ซึ่งมันก็จะต้องมีความยินดีตามมูลสูตร 10 ของพระพุทธเจ้า มีความยินดี จิตมันยินดีจริงๆเลยนะ มันแปลความเป็นภาษาไทยกันหมดแล้ว ความยินดี มันเป็นมูลสูตรข้อที่ 1 

จิตมันมีอาการอย่างนั้นจริงๆมันยินดีอันนี้มาก มันยินดีอย่างเป็นธรรมะก็เป็นธรรมะอันที่ 1 เลย มันยินดีธรรมะอันนี้อันที่ 1 เสร็จแล้วก็มาทำที่ใจในใจเรียกว่ามนสิการ ก็ยินดีแล้วก็เป็นจิตใจอยู่แล้ว ใจของเรายินดี ใจของเราต้องมาทำอีก มนสิการ มาทำใจในใจ 

มนสิการทำใจในใจ ที่จะทำใจในใจได้ ปฏิบัติมีผลได้ ประเด็นนี้แหละ ที่ยังช่วยพวกหลับตาเขาไม่ได้ คือ ต้องตื่นออกมา ชาคริยา  ให้มาอยู่กับแสงสว่างข้างนอก แล้วตาก็กระทบรูป หูก็กระทบเสียงจมูกก็กระทบกลิ่น ลิ้นก็กระทบรส ออกมาอย่างนี้ มีผัสสะเป็นปัจจัย 

ต้องมีผัสสะ ตาต้องผัสสะ หูก็ต้องผัสสะ จมูก ลิ้น กายก็ต้องผัสสะทั้งหมด อันนี้แหละมันซ้อนลึกลงไปนี่เขายังไปไม่ได้ เขาฟังแล้วเขาก็ยัง เด๋อ ก็ต้องเข้าไปสงบจิตอยู่ในภวังค์ สะกดจิตเข้าไปมันมีอยู่แค่นี้สลับไปสลับมา มันเข้าใจตัวนี้ไม่แตก บอกว่าไม่ใช่หลับตาเข้าไปต้องลืมตาออกมา มารับรู้เต็มๆร้อย มารับรู้เต็มๆ 100 พูดเท่าไหร่ๆก็ไม่กระดิกหู โอ้ย! อาตมาก็ว่ามันเสื่อมจริงๆเลย 

ยิ่งรู้ว่าศาสนาพุทธโลกุตรธรรมมันเสื่อมจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสจริงๆเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ มันเสื่อมมันก็เสื่อมจริงๆจะทำยังไง มันก็เลยต้องทนไปทนไป ทนจนกระทั่งสังขารร่างกาย 90 ปีแล้ว 90 ปีซ้อนลงไปในความรู้ของคน มันก็ต้องคนแก่ 90 น่ะ จะไม่เรียกว่าแก่ไม่ได้นะยุคนี้ ในกาละนี้ คุณอายุ 100 นี้มันไม่ง่ายแล้ว 90 นี่มันแก่มันตายก่อน 90 เยอะ 50 60 70 ตายมีเยอะ 80 มาก็น้อยแล้ว 90 นี่ยากจะไปหา 100 ยิ่งยากใหญ่ 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่า มันชลอตาย พยายามทำ ชรตาให้ความตาย ไม่ให้มันไปถึง วับ ไปเท่านั้นเองไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วใช้พยัญชนะหมดแล้ว เฮ่อ! ใครมีอะไรอีก 

สมณะเดินดิน... คงไม่รบกวนพ่อครูมากกว่านี้นะครับ 

ขอบคุณพวกเราก็ว่ากันไปก็คุยกันไป ขอบคุณที่ให้โอกาสพักนอน โอ๊ย!อาตมาไม่รู้จะพูดยังไง ไม่ได้แกล้งทำนะ มันสุดวิสัย ...จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 48 วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2567 ( 19:52:34 )

ต้องมีความรู้อรหันต์จึงจะจบได้

รายละเอียด

ผู้ที่จะเวียนมาเกิดอีกหรือจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ส่วนผู้ที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันก็คือยังไม่ได้ เทวนิยมทางโลกียะทั้งหมดจะไม่ได้ไปศึกษาถึงอรหันต์ก็จบไม่ได้ ต้องมีความรู้อรหันต์จึงจะจบได้ ถ้าไม่มีความรู้อรหันต์ ซึ่งใช้พยัญชนะอรหันต์ อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ แล้วสายเทวะนิยมไม่รู้เรื่องเหล่านี้ พระพุทธเจ้าจึงใช้พยัญชนะแทนว่า มันลึกลับ รโห รหะ มันไม่ อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ อันตะ ไม่ลึกลับอย่างที่สุด อันตะ แปลว่าที่สุด ท่านก็ใช้พยัญชนะครบหมดแล้ว ไม่มีอะไรไปลึกกว่านี้อีกแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 48 วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2567 ( 19:48:28 )

ต้องมีความรู้ในการปฏิบัติที่จะพาให้หลุดพ้น

รายละเอียด

ผู้ที่มีทั้งความรู้พยัญชนะและสภาวธรรมก็จะเห็นรายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็นในวิญญาณฐิติก็ดี ซึ่งจะต้องตรวจทุกอย่างจากความเป็นกายกับสัญญา วิโมกข์ 8 ก็ดีที่จะต้องมีความรู้ในการปฏิบัติที่จะพาให้หลุดพ้น วิโมกข์คือการหลุดพ้น ที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้ ตั้งแต่วิโมกข์ 3 จนมีสภาวะถึง อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และ เนวสัญญานาสัญญายตนะ จนสุดท้าย สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่เป็นองค์ธรรม 8 ข้อ ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ อาตมาก็อธิบายจนมากมายแล้ว 

และความยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ยังเป็นสัตว์อยู่ ไม่เกิดความเป็นเทวดา ถึงแม้เป็นเทวดาก็เป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ ยังมีความเป็นสัตว์อยู่ถ้าแม้เขาจะเข้าใจว่าเขาเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาเก๊ เป็นเทวดาโกหกเทวดาไม่จริงสำหรับมิจฉาทิฏฐิ จึงยังเป็นสัตว์อยู่ทั้ง 9 ชนิด ตั้งแต่ ฌาน 1-4 ของ ฌาน ที่ปฏิบัติได้มรรคผลแบบเดียรถีย์ เขาก็ปฏิบัติได้มรรคได้ผลแบบเขา เป็นสัตว์ทั้ง 4 ตัวที่ 5 เป็น อสัญญีสัตว์ สัตว์ที่เขาทำได้เก่งคือดับได้อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส 

ความเป็นสัตว์อีก 4 ชนิดนั้น เก๊หนักเข้าไปอีก เพราะ อสัญญีสัตว์ เขาก็ดับสัญญาไปหมดแล้ว การกำหนดหมายต่างคนต่างโมเมกันไปใหญ่เลย เป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย เป็นกาย 3 ที่มิจฉาทิฏฐิอย่างหนัก ชั้นของภูมิอีก 4 ชนิด จึงเป็นสัตว์มิจฉาทิฐิทั้ง 3 กาย คือ นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย นี่คือความเป็นสัตว์ อยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์เรียกว่าสัตว์ทางจิต ไม่ใช่สัตว์ตัวตน สัตว์ 2 ขา 4 ขา สัตว์น้ำสัตว์บกอยู่ในโลกนี้เป็นตัวตนรูปร่างไม่ใช่ หมายถึงสัตว์ โอปปาติกะ คือสัตว์ทางจิตเขาเป็นจริงอย่างนั้นเขาได้แค่นั้น 

ส่วน อนุปุพพวิหาร 9 คือลำดับของการปฏิบัติธรรมทั้งหมด 9 ชนิดที่ท่านรวบรวมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฌาน 4 อรูปฌาน 4 และสุดท้าย สัญญาเวทยิตนิโรธ ฌาน 4 อนุปุพพวิหาร 9 ก็สามารถที่จะ ที่จริงแล้ว อนุปุพพวิหาร 9 คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ แต่ อนุปุพพวิหาร 9 เป็นการยืนยันที่ ถูกต้องเพราะไม่มี อสัญญีสัตว์ 

คนที่เขามิจฉาทิฐิก็ได้ แต่ มันไม่ใช่ อนุปุพพวิหาร 9 อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นยืนยันว่าไม่ผิด ถ้าผิดจะต้องมีตัว อสัญญีสัตว์ อยู่ด้วย เพราะฉะนั้น สัตตาวาส 9 ถึงมิจฉาทิฏฐิหมดทั้ง 9 ส่วน อนุปุพพวิหาร 9 จึงหมายถึงความเป็นลำดับ เหมือนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอนุรุทธที่เก่งในทางฌาน หยั่งรู้ตรวจสอบในฌาน สุดท้ายท่านหลับพระเนตรไปแล้ว ท่านวางขันธ์แล้ว ก็ตรวจการวางขันธ์ของท่านก่อนที่จะปรินิพพานจากไปเลยนี่ พระพุทธเจ้ายังตามตรวจขันธ์ของท่าน อาศัยตรวจขันธ์สุดท้าย ก่อน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ด้วย ฌาน 4 ฌาน 8 อย่างนี้เป็นต้น เป็นการสำทับให้รู้ว่า ฌาน 4 ฌาน 8 ของพุทธสูงสุด แต่ที่จริงฌาน 4 ฌาน 8 ของพุทธไม่ได้อยู่ในภพ ฌาน 4 ฌาน 8 ของพุทธนั้นลืมตาแต่อยู่ในภพได้ระลึกได้ ตรวจสอบของตัวเองได้ เป็น เตวิชโช 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 1

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2566 ( 09:54:53 )

ต้องมีจรณะ 11 แล้วจะมีฌานอีก 4

รายละเอียด

พวกหลับตาปฏิบัติหมดสิทธิ์ที่จะมีฌานของพระพุทธเจ้า เข้าฌานเป็นฤาษีนอกรีตพุทธ ฌานพระพุทธเจ้าต้องมีกระบวนการ 11 นี้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ฌาน ศีลเป็นข้อกำหนด ต้องมีการปฏิบัติที่ไม่ผิดอปัณกปฏิปทา ถ้าปฏิบัติผิดไปจาก 3ข้อนี้ก็ไม่ใช่พุทธ ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 คนไปสำรวมอินทรีย์เดียว สำรวมแต่ในใจไม่มีอีก 5ทวารนั่นก็ไม่ครบนั่นไม่ใช่การสำรวมอินทรีย์ที่จะมีโภชนามัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สำรวมอินทรีย์จะบอกว่า หรือไม่ 6แต่มันต้อง 6

กับโภชเนมัตตัญญุตานั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องอุปโภคบริโภคก็ต้องเปิดทวารทั้ง 6ตาหูจมูกลิ้นกายต้องได้บริโภค ถ้าไม่ได้บริโภคคุณก็ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ก็ปฏิบัติไม่ครบไม่ถูก ตาหลับแล้วก็ผิด สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วไม่ได้ปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา แล้วก็ไปอยู่ในภพก็ไม่ตื่น ไม่ใช่ชาคริยานุโยคคะ ไม่ใช่คนอื่นเป็นคนหลับหลบอยู่ในภพ เพราะฉะนั้น ฌานจะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เป็นจรณะเป็นข้อกำหนด ฌานที่เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย ที่พูดนี้ก็ไม่ใช่ฌานของพุทธ เป็นชานอ้อย ชานหมาก 

อาตมาเคยขยายความไปแล้ววันนี้เอาให้ละเอียด ฌานจะเกิดได้ต้องมีจรณะ 11ตั้งแต่ศีลเป็นข้อสำคัญแต่นี่นั่งหลับตาคุณก็ไม่เกี่ยวกับศีล ศีลข้อ 1เกี่ยวกับสัตว์ คุณจะไปนั่งหลับตาแล้วจะไปเจอกับสัตว์อย่างไร อาตมาเคยนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่ที่วัดอโศการามยุงทะเลมาเกาะเต็มตัว แต่เราก็ไม่รู้เรื่องเพราะตัดภพภายนอกอยู่แต่ภพภายในเป็นฌานฤาษี แต่พอลืมตาออกมา รู้สึกยุงทำไมมันกัดเต็มไปหมดมีตุ่มแดงเต็มไปหมด คันยิบ แต่ว่าตอนนั่งเข้าไปอยู่ในภพ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมากัดหรอก 

มันต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าศีลปฏิบัติตามหลัก 3ข้อที่ไม่ผิดนี้จึงจะถูก ถ้าไม่มี 3ข้อนี้ก็ปฏิบัติผิดไปจากพุทธ เป็นปัณกะ คือผิด ต้องอปัณกะ คือไม่ผิด ถ้าไม่มี 3ข้อนี้ ปัณกปฏิปทา เป็นการปฏิบัติที่ผิด ถ้ามี 3ข้อนี้จึงจะเป็นอปัณกปฏิปทา ตาต้องตื่นรับรู้หูต้องตื่นรับเสียงจมูกต้องรับกลิ่นลิ้นต้องตื่นมารับรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ต้องตื่นมารับรู้จึงจะเป็นการตื่นครบ 3ข้อ 

ผ่าน 3ข้อนี้แล้วจิตก็จะเกิดผลที่เรียกเป็น สัทธรรม 7ศรัทธาหิริโอตตัปปะพหูสูตวิริยะสติปัญญา มี 7ภาวะของอาการของจิต เรียกว่าเจตสิก 7ศรัทธา จะเกิดความเข้าใจความเชื่อถือ ความรู้ เป็นอย่างนี้หรือ? เช่นศีลข้อ 1สัตว์นี้ ถ้าเราไปเกี่ยวข้องทำให้มันเจ็บปวดทำให้มันรักมันชังมันก็ผูกพันนะ เราอย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน มันก็อยู่ส่วนมัน มันมีวิบากของมัน สัตว์ทั้งหลายก็ไปตามวิบาก เราอย่าไปเลี้ยงสัตว์ อย่าเอาสัตว์มาใช้ อย่าไปฆ่าสัตว์อย่าไปทำให้มันรัก ถ้ามีความรักกับสัตว์ ชังกับสัตว์มันก็ผิดทั้งนั้น เป็นความผูกพัน ถ้าไปนิพพานแล้วจะไปยุ่งอะไรกับสัตว์ไปก่อวิบากทำไม วิบากที่มีเก่าก็เยอะแยะแล้ว ตัดมันให้ได้ลดมันให้ได้ แต่นี่ไปเพิ่มมันอีก แล้วคุณจะไปนิพพานหรือเปล่า ถ้าคุณจะไปนิพพานแล้วเรื่องความเป็นสัตว์นี้ สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนเป็นสัตว์ล้านเซลล์ที่เป็นคน คนนี่แหละที่เป็นตัวสำคัญ ถ้าจะไปนิพพานต้องวางอุเบกขา 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 18สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 03:42:11 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:21:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:37:51 )

ต้องมีฉันทะกับมิตรดีจึงจะทำใจในใจได้ถูกทาง

รายละเอียด

ในมูลสูตร 10 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อะไรเป็นรากเหง้า เป็นที่หยั่งลง และเป็นที่สุด 1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . . ต้องมีฉันทะกับมิตรดี(ในแสงอรุณ 7 )ที่สัมมาทิฏฐิ ไม่เป็นพาลชน ที่ยังมิจฉาทิฏฐิ มันต้องมีมิตรดี ถึงจะทำใจในใจให้ถูกทางถูกโลกุตระ ไม่อย่างนั้นก็ไปเกิดในแดนโลกียะอย่างเดิม ไม่มีทางไปเกิดในแดนโลกุตระได้เลย อธิบายแค่นี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:54:55 )

ต้องมีทิฏฐิให้สัมมา

รายละเอียด

จิตวิปลาส คือจิตไม่เต็มเต็ง ก็ทำให้สัญญาวิปลาส สัญญาเป็นตัวจารบุรุษ มีหน้าที่เสือก ทำงานแต่ก็ต้องเสือกอย่างมีปัญญา เสือกอย่างมีความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องมีจิตที่จะต้องมีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิ จึงจะต้องมีทิฏฐิให้สัมมา

ต่อไป จะขยายความมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฏฐิที่ 10

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ความเป็นกลางคือหมดสิ้นอันตา


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:41:36 )

ต้องมีบารมี

รายละเอียด

ถูกต้อง ต้องมีบารมีมีอำนาจที่จะช่วยเหลือหมู่กลุ่ม มาตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่เป็นเผ่าโบราณ ผีตองเหลือง เป็นต้น ต่อมาก็มีปัญญามากขึ้นก็รู้ว่าการมีเมตตาเอ็นดูเจือจานต่อประชาชน เขาจะยกให้เราเป็นผู้นำเป็นหัวหน้าเป็นเจ้าของ แม้ที่สุด ทรัพย์ศฤงคารแผ่นดิน หรือว่าอำนาจ ที่เราจะสามารถปกครองขอบเขต ทั้งแผ่นดิน พื้นที่ มวลประชาชนก็ดี อำนาจในการสั่งการก็ดี ได้ ก็พยายามรักษา แล้วก็เป็นจริงให้ได้ 

เป็นผู้ที่เมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ พาประชาชนให้เป็นสุขสบายไป แชร์หรือว่าเฉลี่ยลาภเฉลี่ยของที่จะอาศัย เป็นปัจจัยชีวิตต่างๆให้มีอยู่มีกิน มีเป็นไป ให้ถ้วนทั่วบริบูรณ์ ยังชีพไปให้สงบเรียบร้อย ก็เป็นที่รู้กันทั่วโลก แล้วก็ปฏิบัติกันอยู่ แต่ มันมีนัยยะที่แตกต่างกันไปด้วยเหลี่ยมมุมต่างๆ ซึ่งเขาก็ลองกันอยู่ ก็มีกันอยู่ทั่วโลกก็มีกันหลายแบบหลายๆลัทธิ หลายๆอย่าง แตกต่างกันมาก แตกต่างกันน้อยอยู่ในโลก ศึกษาไป อาตมาก็บรรยายอันนี้อยู่ แต่มันไม่ง่าย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:23:31 )

ต้องมีปริเฉทในการปฏิบัติแต่ละเรื่องแล้วมีตัวจบ

รายละเอียด

เรื่องศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ต้องมีปริเฉท มีกรอบแห่งการปฏิบัติแต่ละเรื่องแต่ละอันไป แล้วมีตัวจบในแต่ละกรอบแต่ละเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่รู้จักจบเลยสักครั้งเดียว แล้วมันจะกลายเป็นไม่มีวันจบ นี่แหละคือการหลงความรู้ การหลงข้อมูลของคนที่หลงความรู้มันเพลินยิ่งใหญ่มันน่าภาคภูมิจริงๆนะ มันลืมเหน็ดเหนื่อยไปเลย แม้แต่จะเจ็บป่วยหนักหนาสาหัสลำบากก็ไม่ ก็จะชื่นชมยินดี Appreciate มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆซึ่งแบบนี้บางทีอาตมาก็เพลินเหมือนกันทำให้สุขภาพเราจะแย่เอา ดีแต่ว่ามีคนคอยช่วยเตือนช่วยดูแลบ้าง ไม่อย่างนั้นเพลินไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:34:50 )

ต้องมีปรโตโฆษะ

รายละเอียด

อาตมาจะมองเป็นรูปกลมเลย คุณมองอาตมาไม่ออก อาตมามองคนไม่ได้มองมุมเดียว 2 มุมอย่างที่คุณพูด อาตมามองกลมเลย เขายังมองพลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการอยู่เลย ซึ่งอาตมาเลือกข้างถูกแล้ว เพราะว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนักประชาธิปไตย คุณยังเข้าใจผิด คุณยังไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง นี่พูดขอยืนยันเลยว่าคุณยังเข้าใจผิด คุณจะเข้าใจไม่ได้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร อาตมาทำหน้าที่ให้ทุกฝ่ายทุกชนชั้นได้รับธรรมะถูกต้อง อาตมาทำอยู่ แต่คุณไม่รู้ว่าอาตมาทำ คุณยังไม่มีภูมิพอจะรู้จักอาตมาหรอก และอาตมาเป็นนักสอนให้ปรับใช้กับชีวิตประจำวันตัวจริงเลย 

อาตมาบอกหมดทุกอย่างแล้วว่ารู้อย่างนั้นอย่างนี้ อ้างอิงอย่างนั้นอย่างนี้ คุณยังเข้าใจไม่ได้เลย และคุณยังมองไม่ออกเลย นี่พูดตรงๆนะไม่ได้ไปว่าคุณ และขอยืนยันว่าอาตมาพูดถูกด้วย คุณฟังอาตมาบ้างก็จะดี ขอพูดแค่นี้ก็แล้วกันคุณฟังอาตมาบ้างก็จะดีมี ปรโตโฆษะ อย่ามานั่งเพ่งโทษอาตมา เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์จริง เป็นอรหันต์จริง เป็นผู้ที่มีธรรมะจริง บรรลุธรรมจริง แน่นอนอาตมาไม่ทำของไม่ดีหรอก อ้าวเชิญคนเห็นต่างมาแสดงความคิดเห็น ยินดีที่จะวิพากษ์วิภาษ อย่างที่พูดไปแล้ว กับคุณสิทธิ์ ฟ้าลี้ เมื่อกี้นี้ ยินดี ค้านแย้งกัน ถกกันโต้กัน จะถึงกับเถียงก็ได้ แต่ไม่ทะเลาะกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 12:45:23 )

ต้องมีปรโตโฆษะ กับโยนิโสมนสิการจึงเกิดสัมมาทิฏฐิได้

รายละเอียด

อาตมาต้องพูด เพราะว่า ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเสื่อม จนกระทั่งไปยึดเอาผิดเป็นถูกอย่างที่ทำกัน ที่อาตมาตี ก็มันผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเขาก็ไม่ค่อยฟังอาตมา ไปฟังพระอาจารย์ของเขาเทศน์บรรยาย มันไม่มีแม้แต่นิดเดียวของ ปรโตโฆษะ เพราะฉะนั้นไม่มีทางจะโยนิโสมนสิการจะทำใจได้อย่างถูกต้องแยบคายลงไปถึงที่เกิดที่ดับมันไม่มีทาง มันผิดหมด 

สัมมาทิฏฐิคู่แรกเลย ปรโตโฆษะ กับ โยนิโสมนสิการ มันก็ไม่เกิด โยนิโสมนสิการ อาตมาก็นำมาไขความ นอกจาก มิจฉาทิฏฐิ คู่แรกเลย คุณไม่สัมมาทิฏฐิได้เพราะคุณไม่ฟังผู้อื่นบ้างเลย ไม่มีปรโตโฆษะเลย ฟัง จะบอกว่าไม่ฟังก็ไม่จริง เขาก็ฟัง แต่ฟังอย่าง ไขหู ฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก ฟังอย่างไม่สนใจ ไม่ได้เข้าใจเลยว่ากว่าคุณจะปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้นั้น ในสุริยเปยยาลสูตร อยู่ถึงข้อที่ 7

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 05:18:39 )

ต้องมีปัญญาทำจิตให้เป็นพีชะ

รายละเอียด

คือ หากทำไม่ได้ก็แค่ปากเปล่า ต้องไม่สุข ไม่ทกข์ ได้จริง  คุณลองดูว่า ในโลกที่เขาปรุงแต่งกันอยู่   ยึดถือกันอยู่ในความสุขทุกข์ จะต้องแย่งชิงนั่งคือ  เขาไม่เป็นอรหันต์  แต่ก่อนเราก็เคย  หรือไม่เคยก็ตาม  คุณก็ดูเขาสิ  เช่นยกตัวอย่าง อาตมาไม่เคยปฏิพัทธ์ในลิปสติกเลย  ไม่เคยชื่นชอบกับลิปสติกเลย  ค่อยเอามาทา มันก็แค่เหนอะหนะ ผู้ชายจะไม่ติดเลย  แต่ผู้หญิงบางคน หรือ คนบางคนแต่ก่อนเคยติดยึด  แต่ตอนนี้ ไม่ติดแล้ว คุณก็จะรู้  คุณก็จะชัดเจน  ของตัวเองว่าเราไม่ติดแล้ว มันว่างกลางๆ  ไม่ สุข ไม่ทุกข์  นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว  ถ้าจะบริสุทธิ์จริงๆ  คุณก็ไม่ไปรังเกียจผู้อื่นด้วย  แต่หากจะให้เขาไม่ติด ไม่สุข ไม่ทุกข์ เหมือนกับเราทำได้ก็ดี  แต่ก็ต้องมีศิลปะวิธีในการพูด  หากว่าพูดแล้วเขาไม่รับฟังก็ช่วยเขาไม่ได้  จะช่วยเขาได้  ก็ต้องอธิบายให้ดีหน่อย  ถ้าคุณไม่ติดไม่ยึดแล้ว  คุณก็เห็นจิตของคุณว่าง  มันก็มีอยู่ในโลก    คุณก็ห้ามเขาไม่ได้หรอก  คนเขาก็ทาลิปสติกอย่างโน้น อย่างนี้  คนที่โง่มากแท่งเท่านี้ขายได้เป็นได้เป็นพันเป็นหมื่น  จะให้เป็นสีอะไรก็ตามที่ชอบที่ติดยึด  ทั้งของเราเองและจะเป็นทาสของคนอื่นที่เขาคนอื่นบอกว่าสวย  เราก็ต้องตามเขา ถ้าเราไม่ตามาเขามีอัตตาตัวเอง ก็ลองทาลิปสติกสีดำเลย  แต่ไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ลิปสติกสีดำ  มีสีเขียวก็มี  แต่เขามันชอบไปทางสีแดงๆ  ไม่ใช่ทางมืดๆดำๆเขียว ๆ  มันขี้เหร่ก็ว่าไป  สรุปแล้วเรื่องการยึดมั่น ถือมั่นเราไปยึดถือตามเขา  ว่าเรายึด ไม่ถือ มีก็อาศัย  อาศัยพอสมควรที่ไม่อาศัยแล้วได้เลย  คุณก็ต้องเบา คุณมีเครื่องอาศัยน้อยก็สบายไม่ต้องสะสม ไม่ต้องมีการแสวงหาเยอะว่างเบา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:53:03 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:57:58 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:28:31 )

ต้องมีปัญญาทำจิตให้เป็นพีชะ

รายละเอียด

หากทำไม่ได้ก็แค่ปากเปล่า ต้องไม่สุขไม่ทุกข์ได้จริง  คุณลองดูว่า ในโลกที่เขาปรุงแต่งกันอยู่ ยึดถือกันอยู่ในความสุขทุกข์ จะต้องแย่งชิงนั่นคือเขาไม่เป็นอรหันต์  แต่ก่อนเราก็เคย  หรือไม่เคยก็ตาม  คุณก็ดูเขาสิ  เช่นยกตัวอย่าง อาตมาไม่เคยปฏิพัทธ์ในลิปสติกเลย  ไม่เคยชื่นชอบกับลิปสติกเลย  ค่อยเอามาทา  มันก็แคเหนอะหนะ ผู้ชายจะไม่ติดเลย  แต่ผู้หญิงบางคน หรือ คนบางคนแต่ก่อน  เคยติดยึด  แต่ตอนนี้ ไม่ติดแล้ว คุณก็จะรู้  คุณก็จะชัดเจน  ของตัวเองว่าเราไม่ติดแล้ว มันว่างกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์   นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว  ถ้าจะบริสุทธิ์จริงๆ  คุณก็ไม่ไปรังเกียจ ผู้อื่นด้วย  แต่หากจะให้เขาไม่ติด  ไม่สุข ไม่ทุกข์ เหมือนกับเราทำได้ก็ดี  แต่ก็ต้องมีศิลปะวิธีในการพูด  หากว่าพูดแล้วเขาไม่รับฟังก็ช่วยเขาไม่ได้  จะช่วยเขาได้  ก็ต้องอธิบายให้ดีหน่อย  ถ้าคุณไม่ติดไม่ยึดแล้ว  คุณก็เห็นจิตของคุณว่าง  มันก็มีอยู่ในโลก คุณก็ห้ามเขาไม่ได้หรอก  คนเขาก็ทาลิปสติกอย่างโน้นอย่างนี้  คนที่โง่มากแท่งเท่านี้ขายได้เป็นได้เป็นพันเป็นหมื่น  จะให้เป็นสีอะไรก็ตามที่ชอบที่ติดยึด  ทั้งของเราเองและจะเป็นทาสของคนอื่นที่เขาคนอื่นบอกว่าสวย  เราก็ต้องตามเขา ถ้าเราไม่ตามเขา มีอัตตาตัวเอง ก็ลองทาลิปสติกสีดำเลย  แต่ไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ลิปสติกสีดำ  มีสีเขียวก็มี  แต่เขามันชอบไปทางสีแดงๆ  ไม่ใช่ทางมืดๆ  ดำๆเขียว ๆ  มันขี้เหร่ก็ว่าไป  สรุปแล้วเรื่องการยึดมั่น ถือมั่นเราไปยึดถือตามเขา ว่าเรายึด ไม่ถือ มีก็อาศัย  อาศัยพอสมควรที่ไม่อาศัยแล้วได้เลย  คุณก็ต้องเบา   คุณมีเครื่องอาศัยน้อยก็สบายไม่ต้องสะสม ไม่ต้องมีการแสวงหาเยอะว่างเบา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก  วันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 17:29:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:24:22 )

ต้องมีผัสสะต้องมีมนสิการให้มีสัมมาทิฏฐิก่อนอัญญธาตุจึงจะเกิด

รายละเอียด

นี่พูดอย่างนี้ พวกที่ยังไม่เข้าขั้นจะไม่รู้เลยก็บอกว่าพูดอะไรของมัน เพราะคำว่า อัญญธาตุ คำนี้คำเดียวไม่ง่ายแล้วนะ อัญญะภาษาบาลีแปลว่าอื่น มันมีธาตุชนิดอื่นที่ไม่ใช่ชนิดโลกีย์ที่คุณรู้มาที่เป็นเทวนิยม ที่เป็นชาวโลกปุถุชนเขารู้ อันนี้มันเป็นของใหม่เป็นโลกุตระ ธาตุรู้อันนี้มันสะสมธาตุรู้จนกระทั่งมี อัญญธาตุ ในอัญญธาตุ เกิดธาตุรู้อันใหม่ที่เลย 50-60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจึงแสดงตัว ออกมาภายนอกได้ 

อาตมามาขยายความในปางนี้ ปางเป็นพระโพธิรักษ์ ขยายความละเอียดกว่าสารีบุตรมาก พระสารีบุตรยังไม่ได้ขยายความมากขนาดนี้ ในพระไตรปิฎกไม่มี ยิ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระมหากัสสปะด้วย ยิ่งไม่มี แต่ของมหายานมี แต่อาตมาไม่ได้เคยใช้พระไตรปิฎกมหายานเลย ใช้แต่ฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะ ที่ใช้กันอยู่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ถ้าขืนไปเอามหายานมาอีก อาตมาก็คงตายก่อนแหละ เพราะมันจะเยอะมาก เอาไปตามลำดับอย่างนี้แหละ เอาของพระกัสสปะให้ละเอียดก่อนเถอะ

ขออภัยเถอะ สู้ของอาตมาไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านหลับตาจะไปรู้สู้อาตมาไม่ได้หรอก อาตมาลืมตามี 5 ทวารรู้ อาตมารู้ 6 ทวาร ภายในก็ต้องรู้ ข้างนอกอีก 5 รวมเป็น 6 พระกัสสปะจะรู้เท่าอาตมาได้อย่างไร โอ้โห! ขออภัย พูดความจริงมากไปหน่อย คนเขาไม่เข้าใจก็หาว่าอวดข่มคนนั้นคนนี้ ไม่ได้พูดข่ม อาตมาพูดสัจธรรม พูดความจริงตามความเป็นจริง อาตมาไม่ได้ไปอยากข่มใครหรอก เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถมี นาม 5 ได้แล้ว ผัสสะมี มนสิการเป็น แล้วคุณก็มาศึกษาเวทนา สัญญา เจตนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2565 ( 13:29:28 )

ต้องมีผัสสะนะ จึงปฏิบัติมนสิการได้

รายละเอียด

ต้องมีผัสสะนะ จึงปฏิบัติมนสิการได้ในนามทั้ง 5 เขาก็มิจฉาทิฏฐิ ผัสสะไม่มี ก็ มนสิการโดยไม่มีผัสสะ คุณก็มีเวทนา สัญญา เจตนาไปตามในมุมมืดของคุณ แล้วก็เละไปหมด เพราะเมื่อไม่มีผัสสะ รูปธรรมข้างนอก เป็นกาย เป็นรูป 28 อุปาทายรูป 24 เขาไม่มีทางได้ปฏิบัติเลย อาตมาพูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าอ้างอิงภาษาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นไม่ได้โมเมพูดเรื่อยๆเลอะเทอะเลยผู้ฟังธรรมเข้าใจเห็นจริงจะเห็นว่าเขาไม่อยู่ในร่องรอยของพระพุทธเจ้า ไปนั่งหลับตาแล้วจะมีความรู้อย่างที่อาตมาพูดนี้ได้ยังไง พูดไม่ได้ ไม่รู้จักสภาวะแยกแยะไม่ถูก ทั้งที่อาตมาแยกแยะนี้ไม่ได้ละเอียดลออมากมายถึงขั้นอภิธรรม มากมายกว่านี้ตั้งเยอะแยะ อธิบายแค่ที่ อาตมาอธิบายนี้ก็เถอะ ใช่ว่าจะรู้กันได้ง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 11:34:59 )

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะเกิดเวทนา

รายละเอียด

เพราะผัสสะเป็นปัจจัยเกิดเวทนา ขยายความว่าถ้าจะปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะเกิดเวทนา แปลความหมาย paragraph แรก ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 ก็จะมีเวทนาเป็นตัวเกี่ยวข้อง คุณก็จะต้องให้มีเวทนาอยู่ร่วม เมื่อจะมีเวทนาคุณจะต้องมามีผัสสะเป็นปัจจัย ที่คุณจะได้เวทนา ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วคุณจะเอาเวทนามาจากไหน ไม่สามารถไปซื้อตามห้างขายยาหรือห้างสรรพสินค้า ไปแย่งใครมา ไปเก็บตกจากที่ไหนๆเขาทิ้งจากใครมันไม่ได้ มันจะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงจะเกิดเวทนา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มีเวทนาเป็นกรรมฐานให้สัมผัสวิโมกข์ 8


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:13:23 )

ต้องมีภูมิปัญญาแยกแยะมิจฉากับสัมมา

รายละเอียด

สัมมาคือสัมมา มิจฉาคือมิจฉาจึงต้องเกิดในแต่ละคน ต้องมีภูมิปัญญาที่จะแยกแยะ 2 อย่างนี้คือมิจฉากับสัมมา เทวะสองคู่นี้ หากว่าตนเองวินิจฉัยแยกแยะผิดไปหลงเอามิจฉามาเป็นสัมมา ซวยจริงๆ หลงสัมมาไปเป็นมิจฉาฯก็ซวย อาตมาเผยแพร่ธรรมะสัมมาทิฏฐิ คุณก็บอกว่าไม่ใช่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็น่าเห็นใจนะ มันก็บังคับจิตใจคนไม่ได้ บังคับปัญญาความเฉลียวฉลาด มันบังคับไม่ได้ อาตมาก็ยินดีกับพวกคุณ อนุโมทนาสาธุที่มาเข้าใจ มาเห็นได้ แล้วก็พยายามพากเพียรเอา ก็น่าอนุโมทนาสาธุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:37:10 )

ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

รายละเอียด

อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เตือนนะว่า การมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี การไปอยู่คนเดียว ห่างจากหมู่ไปมันเป็นสิ่งที่ ยาก เป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้านแย้งกับศาสนาที่เป็นสายพระป่า ท่านเองท่านหลงทางผิดไปปลีกเดี่ยวไป อาตมาก็พยายามดึงกลับรื้อฟื้นกลับ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2563 ( 10:20:59 )

ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีถึงจะเป็นอรหันต์ได้

รายละเอียด

คุณพูดมาก็ยังมีสิ่งที่ผิดอยู่ การที่จะต้องอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร จะเป็นอรหันต์ไม่ได้พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน มีแต่คนเข้าใจผิด การไปอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ไม่ช้าไม่นานก็เป็นอรหันต์นั้นคิดเอาเอง ต้องมี “มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี” ถึงจะเป็นอรหันต์ได้ ครึ่งเดียวก็ยังไม่ได้เลย มีเท่าไหร่ต้องมารวมกับหมู่ มีหมู่กลุ่มบุคคล 

มิตรดี คือมีหนึ่ง สหายดีคือมีมากขึ้น สหะคือร่วม อายะคือประโยชน์ มีผู้ที่ร่วมประโยชน์มากขึ้น สัมปวังโก รวมทั้งหมู่กลุ่มเลย ทั้งพฤติกรรมสังคมหมดทั้งวัตถุด้วยร่วมกัน 

ผู้ที่เป็นมิตรดีสหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก พระอานนท์เห็นค่าว่ามิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นตั้งครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอกว่าอานนท์ ไม่ใช่ เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ไม่ใช่ครึ่งหนึ่งหรอกอานนท์ พระอานนท์ก็เลยจำนน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 05:23:12 )

ต้องมีรูปมีนามมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับภาวะจิต เจตสิกรูปนิพพาน อันนั้นแหละสำคัญ

รายละเอียด

เพราะเราเองไม่มีปัญหาเรื่ององค์ประกอบของเปลือกผ้าผ่อนที่อาศัย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับจิตเจตสิกรูปนิพพาน อันนี้สิ ต้องมีรูปมีนามมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับภาวะจิต เจตสิกรูปนิพพาน อันนั้นแหละสำคัญ ต้องเข้าใจให้จริงเลย สภาวะของเนื้อหาสาระจิตเจตสิกต่างๆซึ่งถูกรู้เรียกว่ารูป แล้วก็ไล่เรียงไปตามความละเอียดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กับ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ….แล้วก็นิพพานเป็นโลกุตรธรรม 9 เนื้อหาของพระโสดาปัตติมรรคเป็นขนาดไหน สกิทาคามีมรรค เป็นขนาดไหนสกิทาคามีผลเป็นยังไง อนาคามีมรรค อนาคามีผล มันมีเขตมีเนื้อหามีพยัญชนะที่พอรู้ร่วมกันได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งนั้นเอามาชี้เอามายืนยันแล้วเราก็มารู้ของเรา แต่ละคน เพราะว่าจิตวิญญาณรู้ได้ด้วยตน จิตวิญญาณของตนจะให้คนอื่นรู้แทนไม่ได้ ถึงได้ก็ไม่รับรองกัน แล้วจะต้องเชื่อถือกันอีกอย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านรับรองว่าจิตคนนี้เป็นอย่างนี้ หรือผู้รู้ที่สามารถรู้จริงๆไม่ง่าย อาตมาไม่อยากให้ใครมารับ บอกว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ไม่ทำ ให้คุณรู้ของคุณเองแล้วก็เอาไปเปรียบเทียบกับของคนอื่น อย่าให้อาตมาไปชี้บ่งว่า คนนี้เป็นอย่างนี้ ไม่เอา แบบนี้ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี เป็นประสิทธิภาพที่หลอกกันได้ ครอบงำกันได้ อาตมาไม่ชอบ อย่างนั้นไม่ดี ให้เขาใช้ปฏิภาณปัญญาความสามารถแต่ละคนเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่น ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:00:11 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:24:49 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:34:39 )

ต้องมีสภาวะรองรับจึงจะเข้าใจได้ดี

รายละเอียด

อาตมาว่า 100 เที่ยวคุณก็ยังจะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ คุณต้องมีสภาวะรองรับจึงจะเข้าใจได้ดี ผู้เข้าใจได้ดีก็มาอธิบายก่อน อาตมาเข้าใจดีนี่ไม่ใช่ดีที่สุดนะ แต่ดีที่ขนาดพอไหวนะ ใครจะมารู้ละเอียดลออลึกซึ้งลึกล้ำยิ่งกว่าอาตมาก็มาช่วยหน่อยเถอะไม่มีปัญหาอะไร อาตมาจะได้รู้ อ๋อ พระโพธิสัตว์ผู้พี่มาช่วย ก็ประกาศอยู่ว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครในยุคนี้ ก็ประกาศ คนไหนที่เป็นพี่จะมาช่วยอาตมาก็มาเลย แล้วอาตมาจะรู้ได้ว่าเป็นพี่ แต่ผู้พูดที่ไม่ใช่พี่ก็ไม่มา ผู้มาแล้วอวดตัวว่าเป็นพี่มาถึงก็ลองดูให้พวกคุณตัดสินก็ได้ 

ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอกแยกแยะวิจัยวิจารณ์สภาวะกับพยัญชนะ เป็นเทวะชนิดหนึ่ง แยกแยะวิจัยอย่างอาตมาวิจัยตลอดมา มีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่ว่าพูดโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง อย่างนั้นมันก็เลอะเทอะไป แต่ที่มันมีหลักฐานอ้างอิง อาตมาก็ยืนยัน จนกระทั่งอธิบายในพยัญชนะ กะขะคะฆะงะ สาเหตุที่เกิดขึ้น จนกระทั่งถึงเศษวรรค ก็ยังไม่ใช่ฐานที่พวกคุณจะเอาก่อน ต้องเอาสภาวะที่อยู่กับตัวก่อน สิ่งเหล่านั้นไปเอาทีหลังได้ พยัญชนะ ซึ่งอาตมาก็ยังไม่ใช่ว่าจะรู้เก่งไปหมดในพยัญชนะ แต่ก็รู้ได้พอสมควร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 15:50:19 )

ต้องมีสัตบุรุษที่มีทั้งแกนเจโตและปัญญามาช่วยกัน

รายละเอียด

ต้องมีสัตบุรุษที่มีทั้งแกนเจโตและปัญญามาช่วยกัน แกนเจโตท่านสร้างไว้แล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาก็จะช่วยเสริมและจะขยายผล เป็นความจริงใจ ขออภัยที่คนไม่ศรัทธาต่ออาตมาอาจจะหมั่นไส้ ต้องมีปรโตโฆสะ แล้วจะได้ไปโยนิโสมนสิการทำใจในใจของตนเองให้ถ่องแท้แยบคาย ไม่งั้นก็จะทำอย่างเดิมตลอดเวลามันจะช้าและไม่ได้ผล จะออกนอกลู่นอกทางไปด้วย น่าสงสารน่าเสียดาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:36:57 )

ต้องมีสัมผัสทั้งภายนอกถึงภายใน

รายละเอียด

ต้องมีรูปและต้องรู้ 2 ต้องมีสัมผัสทั้งภายนอกถึงภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิปัสสติ  ต้องมีสัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน อัชฌัตตัง ตั้งแต่รูป จนถึงอรูป จบทั้งภพในและนอก กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ส่วนข้อที่ 3 คือสุภันเตว อธิมุตโต โหติ นี่เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3 คือจิตปฏิบัติแล้วจะมีจิตโน้มน้อมไปหาวิมุติหรือวิโมกข์ เราก็อ่านจิตของเราว่าเข้ากระแสไปในกระแสที่โน้ม อธิมุติอธิโมกข์แปลว่าน้อมไปในวิมุติวิโมกข์ ต้องเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ว่าจิตทวนกระแสเข้าไปสู่ความเจริญ เป็นสุภะ ควร เป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น ตามที่เรามีความฉลาดรู้ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ตามที่อาตมา อุเทศ แล้วไปจับอ่านอาการจึงเรียนรู้อาการ แล้วเรียนรู้ธรรมะ 2 อะไรควรไม่ควร อะไรจริงอะไรไม่จริง อะไรแท้อะไรเท็จ อะไรที่เป็นเท็จก็ทำลายออกให้หมด จนเหลือแต่แท้ๆ นั่นคือการปฏิบัติ นี่จบการพุทธาภิเษกแล้วนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 22:01:53 )

ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยจึงจะเห็นกิเลสจริง

รายละเอียด

กิเลสมันไม่จริง จิตวิญญาณในขณะที่ไม่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ทางกามคุณ 5 จิตวิญญาณจะไม่มีวิญญาณฐิติ ไม่มีความจริง ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ทางตา ตั้งอยู่ทางจมูก ทางลิ้น หูสัมผัส มันไม่มีการกระทบสัมผัส วิญญาณไม่เป็นวิญญาณฐิติ ถือว่าเป็นวิญญาณอยู่ในภพ ท่านเรียกว่าสัมภเวสี เป็นวิญญาณที่ยังไม่จริง ยังไม่มีที่ตั้งจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย 

ปฏิบัติธรรมต้องมีปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรม เป็นปัจจุบันชาติ หมายความว่า ในขณะนี้ มีแสงสว่าง มีตากระทบรูป มีหูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัสหลัดๆตอนนี้ จึงจะเป็นวิญญาณที่จริง เป็นความจริงของจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัย คุณก็ทำกับวิญญาณหลอกๆ มันไม่เป็นวิญญาณจริง นัยยะแค่นี้ก็เข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเข้าใจง่ายมันก็บรรลุเป็นพระอรหันต์กันได้ง่าย แต่นี่มันไม่ง่ายจริงๆมันยาก 

ประเด็นแค่ว่าต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย แค่นี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 11:33:26 )

ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 จึงรู้ทันอัตตาพระเจ้า

รายละเอียด

พูดมาถึงตรงนี้ มาลง สัมมาทิฏฐิ 10 จะได้รู้จักอัตตา ใครมีอัตตา ใครรู้จักและมีวิธีปฏิบัติเพื่อล้าง อัตตา ผู้จะรู้จักวิธีล้าง อัตตา คือผู้ที่จะเริ่มปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มันมีตัวขยายที่สัมมาทิฏฐิ 10 

สัมมาทิฏฐิ10 เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). 

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) คำว่ามีผลมีอานิสงส์คือต้องเป็นโลกุตระด้วย 

2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) หรือศีล รู้ว่าศีลหรือวิธีปฏิบัตินี้เป็นโลกุตระ 

3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) หรือการภาวนา แล้วเขาก็รวมไปถึงทั้ง สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ทั้ง ผลวิบากของกรรมที่ทำแล้ว 2 อันนี้เป็นภาวนา 

สำนวนโบราณสังเวยที่บวงสรวงแล้ว แปลเป็นไทยง่ายๆว่าคุณได้กระทำการปฏิบัติ แต่ก่อนนี้เข้าใจเรื่องเทว เทวนิยม ก็บวงสรวงเทพเจ้า คุณก็ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะให้เข้าตาพระเจ้า เข้าตาเทพเจ้า คุณได้ปฏิบัติแล้ว และ พระพุทธเจ้าไว้เลยว่า สุกตทุกฎานังฯ 

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) เป็นผลเป็นวิบากของกรรม ไม่ใช่เกิดจากการบวงสรวงพระเจ้าอะไรเลย ให้พระเจ้าชอบใจยินดีและจะได้สนับสนุนไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นของตนเองทั้งสิ้น นี่ ในข้อที่ 4 

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ . 

ผู้ที่รู้โลกนี้ โลกนี้คือโลกแห่งอัตตา โลกหน้าคือโลกเจริญ สัมโพธิปรายนะ โลกหน้าคือโลกที่เจริญไปสู่เบื้องหน้าคือโลกโลกุตระ ใครแยกโลกนี้โลกหน้า ว่า โลกนี้คือโลกโลกีย์ คุณสำทับลงไปได้ โลกหน้าคือโลกแห่งความรู้ อัญญธาตุ เป็นปรโต เป็นความรู้อื่นที่เป็นความรู้ใหม่เป็นโลกุตระ เข้ามาให้เรียนรู้ ทำโลกให้ขึ้นสู่โลกใหม่ ดาวดวงเก่าเป็นดาวโลกีย์ ดาวดวงใหม่เป็นดาวโลกุตระเป็นดาวฤกษ์ที่ดับตัวเองได้ด้วย ดาวของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นต่อจากนั้นสัมมาทิฏฐิ ที่เพราะแม่มี พ่อมีจึงเกิดลูกทางจิตวิญญาณ 

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไปแปลว่าบุญคุณของพ่อมีแม่มี มันเป็นเรื่องโลกีย์ เขาเข้าใจไม่ถึงเรื่องปรมัตถ์ ที่เป็นพ่อแม่แบบสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกของปรโลก ที่เป็นโลกุตระเขาแยกไม่ออก 

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถทำให้เกิดแม่ ที่เป็นสิริมหามายา มีลูกเป็นสิทธัตถะ มีพ่อบิดาเป็นปัญญา แม่เป็นศีลพ่อเป็นปัญญา ช่วยให้เกิดลูกเป็นสิทธัตถะคือ ผู้ที่มีตัณหาอันสำเร็จแล้ว 

อาตมานำพยัญชนะมาแปลเป็นสภาวะขยายอธิบายลงไปให้พิสดาร ฟังดีๆเถอะฟังธรรมะจะต้อง ตั้งใจฟัง ไม่ใช่เรื่อง Magic ไม่ใช่เรื่องลึกลับ มีแต่จะรู้กระจ่าง มีแต่จะรู้ว่าพยัญชนะเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นอย่างนี้เองหรือมันจะง่ายมันจะเข้าใจได้ 

นี่ยังยกเว้นข้อที่ 10 นะ เพราะข้อ 10 หมายถึงอาตมา

10.  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 12:46:11 )

ต้องมีสุริยเปยยาล 7 ก่อนมีมรรค 8

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถรู้ สุริยเปยยาล 7 รู้พยัญชนะเข้าใจสภาวะเอามาใช้กับตัวเอง ได้ดีขึ้นด้วยเรื่อยก็จะเจริญ ตามหลักสุริยเปยยาล 7 ปฏิบัติองค์รวมก็เป็นมรรคมีองค์ 8 ต้องมีสุริยเปยยาล 7 ก่อนมีมรรคมีองค์ 8 ถ้าคุณจะเห็นพระอาทิตย์จะต้องเห็นแสง เรียกว่าเปยยาลคือแสงอรุณ คุณจะเห็นพระอาทิตย์ก่อนเห็นแสง มันไม่เป็นสัจจะ มันเป็นไปไม่ได้ คุณจะดูแต่พระอาทิตย์โผล่หัวขึ้นมา ไม่เห็นแสงมาก่อน ไม่ได้ พระอาทิตย์เป็นตัวใหญ่เป็นมรรคมีองค์ 8 พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่า จะสามารถปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะต้องเห็นแสงอรุณอย่างสมบูรณ์ก่อน ถ้าเห็นแสงอรุณไม่สมบูรณ์แบบ เห็นแค่ข้อเดียวมีมิตรดีเฉยๆ แต่ไม่ยินดีเลยก็ไม่เข้ามา ...เยอะไป บอกว่าอโศกดีแต่ไม่เข้ามาหรอก คุณอยู่กับโลกก็ถูกโลกลากไปเรื่อยๆ พลังงานโลกีย์ดูดคุณไป แต่ถ้ามาอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมดีก็จะถูกที่นี่ดูดเข้ามา แต่มีมิตรดีสหายดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เป็นสิ่งประเสริฐ แต่คุณก็ไม่ก้าวเข้ามา

ใครแค่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมากแล้วบอกว่าดี แต่ก็ไม่เข้ามา รู้จัก มิตรดีสหายดี แต่จิตไม่รู้จักเข้ามา ก็ไม่ได้ แต่จะเข้ามาได้ต้องมีหลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติตามสูตรเบื้องต้นได้ ไปตามลำดับท่ามกลางบั้นปลายได้นะ

เมื่อเข้ามาแล้วก็จะได้เรียน อัตตา ของคุณไปตามลำดับ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ไม่ใช่ว่าทุกอย่างทุกสิ่งก็ไม่มีตัวตน สัพเพธัมมาอนัตตา อย่างนั้นไม่ได้เรียนรู้อัตตาหรอก เราต้องเรียนรู้อัตตาตั้งแต่หยาบๆ คืออบายเป็นผี ก็ต้องกำจัดเหตุ หมดเหตุก็หมดอัตตาไปตามลำดับ ไม่เรียนรู้ศึกษาก็ไม่มีรายละเอียด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:45:14 )

ต้องมีโยนิโสมนสิการก่อนปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

ตอนนี้อยากจะแทรกคำว่า โยนิโสมนสิการ ทำไมโยนิโสมนสิการ เป็นคำที่คุณจะต้องมีก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรม เรียกว่าจะต้องได้รู้ก่อน อยู่ในข้อ 7 ใน 7 ข้อของสุริยะไปยาล เป็นข้อที่ 7 เลย สุริยเปยยาล 7 

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 17:28:39 )

ต้องมีใครๆ ร่วมรับรองจึงได้ชื่อว่า สัจจะ

รายละเอียด

การรับรองผู้อื่นต้องมีภายนอก ต้องมีผู้อื่น ต้องมีใครๆ ร่วมรับรองจึงได้ชื่อว่าสัจจะ  ถ้าไม่มีคนอื่นรับรองเลย  แค่คุณคนเดียว  ถ้าคนเดียวจริงๆ  ไม่มีแม้แต่สองคนก็เยอะ รับรองแค่ 2คน  คนก็ยังเชื่อยากเลยต้องคบคุ้น ต้องอยู่กันอย่างนี้ นานๆ  จึงจะรู้รายละเอียดว่าตัวจริงนะ  ข้อบกพร่องเขาคงจะมีบ้าง  อย่างอาตมารับรองคนเป็น พระอรหันต์ ตอนนี้เขามีชีวิตอยู่ที่ ปฐมอโศก  คนก็เถียงไม่ได้นะ  ไม่ได้เหมือนเป็นคน ฉลาดปราดเปรียว แต่เป็นผู้สะอาด  เป็นผู้บริสุทธิ์  แล้วคุณว่า เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง  นี่ถ้าพูดถึงใคร ผู้ที่รู้ก็คงจะนึกออก อย่างนี้เป็นต้น (สู่แดนธรรม ... ว่ามีญาติธรรมบางท่านสร้างไม้บรรทัดวิเศษไปวัดคุณยายท่านนี้ เขาก็เชื่อไม้บรรทัดของพ่อท่าน)  เราไปบังคับใครไม่ได้ เหมือนอาตมานี่แหละ คนเอาไม้บรรทัดมาวัดอาตมา และจะเชื่อได้ง่าย ๆ  อาตมาไม่ได้เดินตามไม้บรรทัดเท่าไหร่ คนจะเชื่ออาตมานี้ไม่ง่าย  จะเชื่ออาตมานั้น ต้องมีปัญญาจริง ต้องฟัง  ต้องติดตาม  บางคนก็ต้องนานมาก จึงเชื่อแล้วละ  ขนาดนี้แล้วละ  เราต้องยอมแล้ว ไม่ได้หรอก ขนาดนี้  แล้วก็ไม่เห็นมีใครได้ขนาดนี้ เขาก็จะจำนน อาตมาถึงต้องแสดง สัจจะที่ละเอียด  ลอออีกมากมาย อีกนาน ที่จริงเขารับรองก็ดี  แต่ไม่ได้อยากให้เขารับรองนะ แต่ถ้าเขารับรองมันก็ดี  ถ้าเขาไม่รับรอง มันก็ไม่ดีอยู่อย่างนั้น  อาตมาจึงพยายามที่จะสร้าง สัจธรรมต่อไป  จนเขาจำนนรับรองมากที่สุด  เท่าที่จะทำได้ ก็ต้องฝืน ฝืนไปก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง พิสูจน์  สัจธรรม  พิสูจน์ทฤษฏี ที่สุดแม้แระทั่งในยุคนี้ มนุษย์ในยุคนี้เป็นได้  ตามทฤษฎีนี้ ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก อาตมาก็ต้องอ้างอิง  ยืนยันให้ได้มากที่สุด  ก็มีทั้งอาตมาตรวจเอง และคนอื่น ตรวจให้ด้วย ขอบคุณที่ส่งมาให้

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่   22พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 19:42:53 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 05:05:47 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:29:08 )

ต้องมีใครๆ ร่วมรับรองจึงได้ชื่อว่า สัจจะ

รายละเอียด

คือการรับรองผู้อื่นต้องมีภายนอก ต้องมีผู้อื่น ต้องมีใครๆ ร่วมรับรองจึงได้ชื่อว่าสัจจะ  ถ้าไม่มีคนอื่นรับรองเลย  แค่คุณคนเดียว  ถ้าคนเดียวจริงๆ  ไม่มีแม้แต่สองคนก็เยอะ รับรองแค่ 2 คน  คนก็ยังเชื่อยากเลยต้องคบคุ้น ต้องอยู่กันอย่างนี้ นานๆ  จึงจะรู้รายละเอียดว่าตัวจริงนะ  ข้อบกพร่องเขาคงจะมีบ้าง  อย่างอาตมารับรองคนเป็น พระอรหันต์ ตอนนี้เขามีชีวิตอยู่ที่ ปฐมอโศก  คนก็เถียงไม่ได้นะ  ไม่ได้เหมือนเป็นคน ฉลาดปราดเปรียว แต่เป็นผู้สะอาด  เป็นผู้บริสุทธิ์  แล้วคุณว่า เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง  นี่ถ้าพูดถึงใคร ผู้ที่รู้ก็คงจะนึกออก อย่างนี้เป็นต้อน (สู่แดนธรรม ... ว่ามีญาติธรรมบางทานสร้างไม้บรรทัดวิเศษไปวัดคุณยายท่านนี้ เขาก็เชื่อไม้บรรทัดเองพ่อท่าน)  เราไปบังคับใครไม่ได้ เหมือนอาตมานี่แหละ คนเอาไม้บรรทัดมาวัดอาตมา และจะเชื่อได้ง่าย ๆ  อาตมาไม่ได้เดินตามไม้บรรทัดเท่าไหร่ คนจะเชื่ออาตมานี้ไม่ง่าย  จะเชื่ออาตมานั้น ต้องมีปัญญาจริง ต้องฟัง  ต้องติดตาม  บางคนก็ต้องนานมา จึงเชื่อแล้วละ  ขนาดนี้แล้วละ  เราต้องยอมแล้ว ไม่ได้หรอด ขนาดนี้  แล้วก็ไม่เห็นมีใครได้ขนาดนี้ เขาก็จะจำนน อาตมาถึงต้องแสดง สัจจะที่ละเอียด  ลอออีกมากมาย อีกนาน ที่จริงเขารับรองก็ดี  แต่ไม่ได้อยากให้เขารับรองนะ แต่ถ้าเขารับรองมันก็ดี  ถ้าเขาไม่รับรอง มันก็ไม่ดีอยู่อย่างนั้น  อาตมาจึงพยายามที่จะสร้าง สัจธรรมต่อไป  จนเขาจำนนรับรองมากที่สุด  เท่าที่จะทำได้ ก็ต้องฝืน ฝืนไปก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง พิสูจน์  สัจธรรม  พิสูจน์ทฤษฏี ที่สุดแม้แระทั่งในยุคนี้ มนุษย์ในยุคนี้เป็นได้  ตามทฤษฎีนี้ ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก อาตมาก็ต้องอ้างอิง  ยืนยันให้ได้มากที่สุด  ก็มีทั้งอาตมาตรวจเอง และคนอื่นตรวจให้ด้วย ขอบคุณที่ส่งมาให้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 12:30:38 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:25:50 )

ต้องยึดอย่างมีปัญญา 

รายละเอียด

ดี อ่านอาการหรือลักษณะธรรม ตอนนี้อ่านอาการของไอ้เจ้าตัวยึด ตัวอุปาทาน ตัวยึดนี่ อุปาทายติ เป็นกิริยาปัจจุบัน อุปาทายติ การยึดจับได้เร็วเป็นปัจจุบัน มันยังไม่เป็นตัวอุปาทาน 

“อุปาทาน” มันเป็นตัวอดีตแล้ว เป็นตัวยึดตัวตนเข้าไว้ ถ้า “อุปาทายติ” มันเป็นตัวปัจจุบันที่ยึดเลย ถ้าโง่หนักก็จะยึดกลายเป็นเชื้อกลายเป็น  “อุปาทิ” เชื้อในตัวกิเลสฝังไว้ในอนุสัยเลย 

อ่านรู้ทันถึงขั้นตัว “อุปาทายติ” ปัจจุบันมันเกิดปั๊บ นี้อย่างนี้ อ่านนี้ได้ทัน อันนี้แสดงว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะถึงความจริง 

คำว่า “ความจริง”คำนี้สำคัญมาก ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไม่ถึงความจริง ไม่ถึงตัว อุปาทายติ ไม่ถึงตัวปัจจุบันชาติปัจจุบันธรรม จับอาการมันเกิดปั๊บไอ้นี่ตัวจริง พอผ่านปัจจุบันไปนี้เป็นจริงไหม ไม่จริง อนาคตยังมาไม่ถึง ไม่เป็นจริง ตัวจริงคือปัจจุบันตัวนั้นจับทัน 

เราก็จะเห็นอาการจริง ยิ่งมีปฏิภาณปัญญา สามารถอ่านรู้ตัวจริงตัวนี้ได้ว่าคืออะไร เราปฏิบัติธรรม ศึกษาในพวกเราอย่าง ดร.เพื่อ บรรยายมาตัวนี้ เขาจับตัวปัจจุบันนี้ได้ นี่คือสัจจะตัวจริงตัวแท้ ที่เห็นรู้และอ่านมันออกว่ามันเป็นตัวอุปาทาน มันเป็นตัวอาการยึด มันมีตัวยึดเป็นตัว อุปาทายติ เป็นกิริยาอาการของการยึด อันนี้สำคัญนะ

จริงๆ แล้วการยึดในตัวบุคคล เราไม่ได้ยึดถึงขั้นเป็นอุปาทาน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นแต่เพียงเรายึดอาศัย อย่างเรายึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ อันนี้เราก็ใช้ภาษาไทยนี่ว่าความยึด ยึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ หรือยึดครูบาอาจารย์ ยึดแม้แต่คำภาษาธรรมะที่เราใช้เพื่ออาศัยเอามารู้ สื่อเข้าไปถึงสภาวะ อย่างนี้เป็นต้น หากจะไม่ยึดอะไรซะเลยมันไม่ได้เลยในโลก เพราะฉะนั้นคำว่า “ยึด” คำนี้ละเอียดลออ ไม่ยึดอะไรเลยก็คือคนบ้าแล้ว แต่ยึดต้องยึดอย่างมีปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 15:16:04 )

ต้องรู้กรอบแห่งขอบเขตที่ตัด ที่ตัวเองจะจัดการ

รายละเอียด

จาก 0 แล้วมีจุดที่ขยายออกมาจาก 0 เป็นปลายเปิดของหนึ่ง 1 มันจะวนไปอีกกี่รอบเป็นล้านรอบหลายล้านรอบก็ตาม มันก็มีปลายเปิดไปเรื่อยๆ Infinity ไม่มีที่จบ 

เพราะฉะนั้น คุณเรียนรู้ได้โดย คุณก็จับกรอบ ตีกรอบปริเฉท เอาแต่ละปริเฉทๆ เอามาศึกษาแล้วก็จะรู้รายละเอียดของมัน แล้วคุณจะทำตัวจบกับตัวขยาย ในกรอบของคุณนี่แหละ แล้วก็ทำกรอบของคุณให้จบ ขยายมาถึงขีดนี้แล้วก็จบนะ เป็น 0 นะไม่ใช่เป็น 1 ขยายไปไม่รู้จบอย่างเมื่อกี้นี้ แต่ขยายออกมาแล้วเป็น 0 วน อยู่ในกรอบเก่าแล้วเข้าไปหาในในไปหาไม่ได้ก็วนออกมาข้างนอก วนออกมาข้างนอกไม่มีที่ออกไปอีก ก็วนเข้าไปหาข้างใน นั่นคือกรอบ

ผู้รู้อย่างนี้สามารถทำความจบ ความเป็นอรหันต์ให้แก่ตัวเองได้ เพราะรู้กรอบแห่งขอบเขตที่ตัดตัวเองจะจัดการว่า จะให้มันเกิดหรือให้มันดับ ถ้าไม่เกิดไม่ดับ มันก็วน ก็รู้ความวน คุณจะวนไปเต็มรูปเท่าไหร่จะถึงจุดหนึ่งจุดจบของตัวเอง จนกระทั่งขยายไม่ออกแล้ว มันจะคืออะไร แค่ไหนก็ตามแล้วก็ขยายออก ขยายออกแล้วก็เข้า เข้าแล้วก็ออก ถ้าคุณไม่รู้จักจุดจบคุณจบอรหันต์ไม่ได้ ถ้ารู้จุดจบเมื่อไหร่ อ๋อ..อย่างนี้เองหรือ ก็เกิดปัญญาอันยิ่ง ทำความจบให้แก่กรอบของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นอรหันต์ในโสดาบัน ก็จบในกรอบประมาณนี้ เช่น 3 เส้าในสังโยชน์ มีคำว่า กาย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส 3 ความหมายนี้ครบเครื่อง 

1. กายคือภาวะสอง วิจิกิจฉา รู้อย่างสัมมาทิฏฐินะ ภาวะสองนี้รู้อย่างสัมมาทิฏฐินะ

สัมมาทิฏฐิคือมีทั้ง นามธรรมและรูปธรรม มีทั้งภายนอกมีทั้งภายใน มีทั้งตัวกู และตัวเอ็ง มีทั้งเราหรือเขา มีทั้งโลกและอัตตา อย่างนี้เป็นต้น นี่ขยายออกไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่ที่สุดว่า ประเทศของกู กับทุกประเทศในโลก มันก็สัมพันธ์กันอยู่ ถ้าไม่สัมพันธ์กันอยู่คุณอยู่คนเดียวอยู่นิ่งๆไม่เกี่ยวข้องกับใครคุณก็สงบ เพราะฉะนั้นในลัทธิคนที่รักสงบ ก็พยายามจะอยู่แต่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใครจะผู้เดียวผู้เดียว อันนี้มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 1 

ในปัญญาสันนิบาต ตาลปุตตเถระคาถา เล่ม 26 

[399] เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ภูเขาและซอกเขา เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะและโมหะได้แล้ว เที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ 

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้ อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นรังแห่งโรค คือความตาย ถูกความตายและความเสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัย อาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียวความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งดาบอันคมกริบ คืออาริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสียซึ่งชาติ คือ ตัณหาอันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิดวนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอเมื่อไรหนอ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 12:23:18 )

ต้องรู้ความต่างของอาการต่างๆในจิตจึงมีสิทธิ์บรรลุอรหันต์

รายละเอียด

อันนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก อาตมาประกาศ คุณยังเข้าใจอาการของจิตขั้นเวทนาคือขนาดไหน สัญญาคืออาการขนาดไหน ของสังขารขนาดไหน ของวิญญาณขนาดไหน คุณยังแยกไม่ออกในอาการลิงค จับนิมิต ของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณอย่างไร แล้วก็รู้ลิงค ความแตกต่างของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกไม่ออกคุณไม่มีสิทธิ์จะบรรลุอรหันต์ คุณต้องรู้ความต่าง ลิงค ของอาการต่างๆในจิต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 12:52:24 )

ต้องรู้ความเหมาะสมกับสังคมยุคนี้

รายละเอียด

อาตมาไม่เต๊ะท่าหรอก พูดความจริงขนาดนี้ก็ยังเข้าใจได้ยากเลย อาตมาว่าสังคมทุกวันนี้ไม่ใช่สังคมเรียบร้อย มันเป็นสังคมที่จะต้องถึงลูกถึงคนด้วย สังคมต้องกล้าได้กล้าเสีย ไม่ใช่ว่านิ่มนวลอย่างนั้นไปไม่ออก ยิ่งกว่า Hard Rock ต้องเหมาะสมกับในยุคนี้ Status quo  เราจะต้องรู้ความเหมาะสม

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 12:01:58 )

ต้องรู้ความไม่มีคีอว่างในอุเบกขา

รายละเอียด

อุเบกขา พยัญชนะคำหนึ่งที่ อาตมาเคยแยกให้ฟัง คือคำว่า อุปะ + เอก+ ข 

ข แปลว่าว่าง เอกแปลว่า 1 อุปะแปลว่าใกล้ คือ เข้าใกล้ความเป็น 1 มันว่างแล้วนะ  ถ้ามีตัวหนึ่งก็มีความใกล้ความว่างมากแล้ว ถ้ายิ่งว่างเป็น 0 เลย เลย 1 ไปเป็น 0 เลย คือ ข ว่าง 

ที่ใช้คำว่า ข คำว่า ว่าง เพราะว่าคุณยัง เป็นคนมีจิตนิยาม คุณต้องรู้ความไม่มีสิ ไม่มีคือว่างไม่มีคือ 0 คุณต้องมีความรู้อยู่ เพราะคุณยังไม่ตายคุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณยังไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ดินน้ำไฟลมมันไม่รู้เรื่องหรอก แม้พีชะ มันก็แยกไม่ออก แม้แต่พืชก็ไม่สามารถมีความรู้อย่างที่จิตนิยามของเวไนยสัตว์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 08:12:45 )

ต้องรู้จัก กาละ เทศะ ฐานะ

รายละเอียด

ก็อยากจะพูดถึงเหตุบ้านการเมืองบ้าง ขณะนี้สังคมประเทศเราจะไปทิ้งจะไปมีความคิดแบบคุณเดชา อัมพร สมถะ เอาแต่บรรลุเป็นอรหันต์ไป จะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับโลกบริขาร 8 ก็เพียงพอกับชีวิต โธ่คุณเอ๋ย คุณไม่รู้จัก กาละ เทศะ ฐานะเลย 

กาละเวลาก็ไม่รู้ เทศะสถานที่ก็ไม่รู้ สถานที่ ฐานะ status quo ของสิ่งต่างๆก็ไม่รู้เรื่อง พูดปนวนไปวุ่นไปหมด แล้วจะเอาแต่มักน้อยสันโดษ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:36:28 )

ต้องรู้จักกายจึงทำบุญจนหมดอาสวะได้สิ้น

รายละเอียด

ถ้าบอกว่ากายนอกกายกับคำว่ากายในกาย ใช้ภาษา ถ้าจะบอกว่ากายนอกกายคือรูป กายในกายคือนาม ชัดขึ้นไหม หรือจะบอกว่ากายนอกกายคือรูป กายในกายคือจิต หรือกายนอกกายคือกาย กายในกายคือจิตหรือเจตสิก จะเรียกว่าสมาธิเกิดในขณะทำงานแล้วก็ต้องถือว่า กำลังสะสมจิตที่สำเร็จให้มันตกผลึกสะสมเข้าไป 

สมาธิของฤาษีไม่รู้กายไปหลับตาปฏิบัติไม่รู้จักกิเลสดับกิเลสไม่ได้ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นรู้ในขณะที่ตื่นอยู่ ทำให้กิเลสดับได้ทำใจในใจขณะที่มันเกิดจริง แล้วพลังงานปัญญาพลังงานฌาน มันก็มาทำงานจนมันฆ่ากิเลสได้เรียกว่าบุญ บุญ คือเครื่องประหารกิเลส จนเป็นฌานก็ประหารกิเลสลดลงมาจนได้ฌานที่ 4 มือที่ 4 หรือฌานที่ 5 คือบุญ ถ้าตัดกิเลส ตัวสุดท้ายด้วยคำว่าบุญคือตัวสุดท้ายเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้ายที่ ยังไงๆ พอเจอเพชฌฆาตนายบุญ เด็ดขาด การตายของกิเลสตายไม่ฟื้น ตายไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี เด็ดขาด แน่นอน ฟังบ่อยๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นคำว่าบุญทุกวันนี้กลายไปเป็นกุศล ไม่ได้ฆ่ากิเลสเลยมีแต่รักษา กุศล กุศลคือพลังงานที่เป็นคุณค่าคุณงามความดีที่เราจะต้องอาศัยมันไปตลอด แม้พระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอรหันต์ขั้นสุดท้ายขั้นที่ 9 ท่านก็ไม่สันโดษในกุศล ไม่พอในกุศล แต่บุญมัน 0 เลยนะ มันตายแล้วมันไม่มีอีก ปุญญปาปปริกขีโณ พอทำงานเสร็จจบ กิเลสหมดแล้ว อันนั้นเรื่องนั้นก็จบกิจ บุญก็ไม่มีอีกเลย คนนี้จะไม่มีบุญอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องใช้บุญอีกเลย ไม่ต้องใช้เครื่องประหารนี้อีกเลย มันละเอียดอย่างนี้จึงยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2566 ( 14:24:39 )

ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในการทำให้“ดับ” หรือทำให้“ไม่มี”ได้สำเร็จ!

รายละเอียด

จึงมี“การรู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ความจริงของ“กลิ(โทษ,ภัย)”โดยเฉพาะเราได้ปฏิบัติทำให้มัน“ดับไป”หรือ“ไม่มี”สำเร็จ

สำหรับ“ธาตุรู้”นั้นมัน“มีอยู่อย่างยิ่ง” มีอย่างเลิศยอดด้วย 

คือมันมี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก” 

มีทั้ง“สัญญา”คือ การกำหนดรู้อยู่หลัดๆเป็น“ปัจจุบัน”ที่มีทั้ง“ภายนอก-ภายใน” เป็น“กาย”อยู่โต้งๆ

ถ้าอย่างนี้ก็นี่แหละที่เราต้องแยกแยะความเป็น“กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”กันอย่างครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ 

คือ ต้องมี“กาย”เป็นสำคัญ และใน“กาย”นั้นต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรายละเอียดของ“เวทนา” 

แล้วจัดการ“จิตในจิต-ธรรมในธรรม” 

ซึ่งต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรายละเอียดของ“จิตในจิต”ที่มีกระบวน

การ“เจโตปริยญาณ 16”

ให้สามารถแยกแยะรู้ได้ว่า เราจัดการส่วนที่เป็น“กิเลส”ออกไปได้อย่างไร? เท่าไหร่?

จึงจะกำหนดรู้รอบถ้วนได้ว่า เราลดละกิเลสได้หรือไม่? และหมดสิ้นอาสวะ”หรือยัง? 

หมดสิ้นอาสวะแล้วถึงขั้น“ยั่งยืน,เที่ยงแท้,ตลอดไป,ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่นแล้ว,ไม่มีอะไรจะหักล้างได้,ไม่กลับกำเริบ” บริบูรณ์สัมบูรณ์แล้วนะ!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 445 หน้า 324


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:46:57 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:40:25 )

ต้องรู้จักโทษภัย “กามคุณ5” อันเป็นเรื่องพื้นๆ!

รายละเอียด

เพราะการเสพติดของมหาบัว แค่เสพติดหมากพลูอยู่แท้ๆแค่นี้ตัวมหาบัวก็ยังไม่รู้เลยว่านี่คือ “กามคุณ 5” อันเป็นกิเลสเบื้องต้นของการปฏิบัติที่จะต้อง“ออกจากกาม”คือ “เนกขัมมะ” ที่ตนเสพติดอยู่จริง มหาบัวก็ไม่รู้ตัว

ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเลย แถมโกหกกลบเกลื่อนว่า “หมากพลูไม่ใช่สิ่งเสพติด” ยังคงเสพติดหมากพลูกันประจำชีวิตอยู่กระทั่งมรณภาพจากโลกนี้ไป แล้วยังฝากฝัง“มิจฉาทิฏฐิ”นี้ไว้แก่ลูกศิษย์ลูกหาหรือผู้หลงนับถือศรัทธากันอีกมากกว่ามาก มหาบัวพาชาวพุทธหลงผิดไปหนักหนาสาหัสจริงๆ ช่างไม่รู้สัจจะ ยังจะพาคนเลอะเทอะหลงใหลไปถึงไหนกันหนอ!

ความหลงผิด มิจฉาทิฏฐิมันระบาดออกปานนี้ จะทำเป็นหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นกัน อาตมาไม่ใช่คนตาบอดนะ!   

อาตมาจึงจำเป็นจริงๆที่จะต้องพูดถึงมหาบัว โดยเฉพาะเรื่องเสพติดหมากพลูอันเป็นเรื่องของการเสพติดหยาบๆใหญ่ๆเบื้องต้นบ้องตื้นแท้ๆ แต่มหาบัวยังไม่ประสีประสากับ“กามคุณ 5”

แค่“หมากพลู”ที่ตนเสพติดอยู่อย่างหนักนี้เลย แล้วพาลหลงตัวเองอย่างหนักว่า ตนบรรลุธรรมสูงสุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

ก็หมายความว่า ท่านมหาบัวบรรลุ“ปรินิพพานทำปริโยสาน”ได้แล้วสิ

มันก็หลงผิดมืดมิดบอดสนิทสาหัสกันแย่!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 353 หน้า 259


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:10:12 )

ต้องรู้ชัดเจนในอาการกิเลสและใช้ปัญญาขจัดตั้งแต่หยาบมาตามลำดับ

รายละเอียด

เราต้องรู้จักเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ว่าอันนี้หยาบ เบื้องต้นเอาให้ได้ก่อนอย่าไปอวดดี 

1. ไม่ กดข่ม ต้องรู้ชัดเจนในกิเลสอาการ หยาบ กลาง ละเอียด และทำตั้งแต่หยาบมา 

จนกระทั่งเราสามารถรู้ชัด มีพลังงานของปัญญาอันยิ่งทำให้กิเลสมันจางคลายจนดับ ปัญญาสูงสุด วิมุติ ดับ เป็นวิมุติได้ ปัญญาสูง หรือนิพพานก็ดับได้จริง ก็รู้ว่ามีนิพพานแล้วไม่ใช่ไป กดข่ม คุมไว้ ยิ่งไปพรางลวง ไม่รู้จักเลย ยิ่งผิดใหญ่ 

เห็นอยู่หลัดหลัดเลย ตัวหยาบตัวนี้ มันจางลงบางลงเบาลง จนกระทั่งมันไม่มีฤทธิ์ มันไม่มีอาการกับเราได้ เหมือนที่อาตมาใช้คำว่า เอามือไปลูบคลำหัวล้าน พระอาทิตย์ได้ สบาย มันก็ยังอยู่ แต่อาการกิเลสชอบกิเลสชังมันไม่มี ไม่มีทั้งชอบและชัง ไม่มีทั้งผลักและดูด มันมีอุเบกขา บริสุทธิ์ เฉย กลาง สบาย เอาแค่นี้ก่อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 18:22:05 )

ต้องรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งไม่ใช่กดข่ม

รายละเอียด

สัมผัสแล้วแล้วคุณก็รู้ด้วยไม่ต้องไปหลับตา ไม่ต้องไปปิดจมูกไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ต้องปิดเสียงหรอก รับรู้เต็มๆ อานาปานสติรับรู้เต็มๆ และอ่านกิเลสโดยเฉพาะอาการของกิเลส อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วล้างกิเลส กำจัดกิเลสด้วยปัญญา หรือว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนัตตา 

อันนี้เป็นปัญญามากเลยคนที่เห็นไตรลักษณ์ในทุกสิ่ง ภาษาพูดเอาแต่ความจริงปัญญาของคุณมีความเป็นเช่นนั้นไหม คือความรู้ความฉลาดของคุณ มันไม่มีแล้ว มันวางจริงๆกิเลส มันรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเลยไม่ใช่กดข่ม ปัญญานี้รู้ชัดเจนจริงๆว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันเกิดขึ้น มันไม่เที่ยงหรอก มันมาหลอกเราอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นวรรค เป็นครั้งคราว มาอีกก็ยังมีอีก หรือนานอดทนได้หลายครั้งหลายคราว แต่ครั้งคราวที่ไม่หมดจริงๆ มันก็จะยังมาอยู่อีก คุณก็ต้องพิสูจน์จริงๆเลย เมื่อใดเมื่อใดกระทบสัมผัสอีกเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ คุณก็ชำระด้วยปัญญา ชำระกิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ตายสนิทเลย จนไม่ต้องชำระอีกแล้ว เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องใช้ปัญญามาชำระอีกแล้ว อปุญญะ ไม่ต้องเป็นบุญ ไม่ต้องชำระอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ หมดบุญแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มี
นัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 19:28:18 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์