@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ก่อนจะ“สัมมาทิฏฐิ” ต้องผ่าน“ปรโตโฆสะ”ก่อน มิฉะนั้นจะล้มเหลว!

รายละเอียด

ผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ธรรม”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้นจะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆ 

ซึ่งผู้ที่ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่แท้ จะมี“สัมมาทิฏฐิ”ได้นั้น ก็จะต้องมี“ปรโตโฆสะ” 

เพราะตนเองยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่จริง

นั่นคือ ต้องฟังผู้มี“ทิฏฐิ”ที่แตกต่างไปจากตน (เพราะมีสัมมาทิฏฐิ)

และต้องทำความเข้าใจ“ทิฏฐิ”ของผู้อื่นที่แตกต่างไปจากตนนั่นแหละให้ดีๆ 

พิจารณาดีๆใน“ความแตกต่างนั้น”

จนกระทั่งสามารถเข้าใจและเชื่อถือ“ทิฏฐิ”ใหม่ที่“แตกต่างไปจากตน”นั้นได้ 

และเห็นดีตาม ปฏิบัติตาม“ทิฏฐิใหม่”นี้ 

นี่ก็คือ เป็นผู้มี“ปรโตโฆสะ”

แต่ถ้ายังยึด“ทิฏฐิของตน”ที่ปฏิบัติอยู่นั้น 

มันก็ยังไม่บรรลุเป็น“อย่างใหม่ตามทิฏฐิใหม่” 

คนผู้นั้นก็คงยัง“จมอยู่”กับ“มรรคเก่า-ผลเก่า”นั่นเอง 

มันก็ไม่ใช่“ปรโตโฆสะ” 

และยังคง“มนสิการ(การทำใจในใจ)แบบเดิมคงเดิมอยู่นั่นเอง” 

มันก็คือ ไม่มี“ปรโตโฆสะ” และยัง“มนสิการไม่โยนิโส”อยู่คงเดิม 

นั่นคือไม่สามารถ“โยนิ โสมนสิการ” 

สรุปก็คือ คนผู้นี้ยัง“ยึดมั่นถือมั่นของตนอยู่ตามเดิม”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 408 หน้า 295


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 21:28:40 )

ก่อนตายจะทำใจอย่างไร

รายละเอียด

กดข่มกับอุเบกขาแต่ต้องลดด้วยปัญญา ทำให้กิเลสหมดวางเฉยได้ด้วยปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง เมื่อทำได้คุณก็ไม่ให้กิเลสมันเพิ่ม กิเลสมันลดลงได้ ปัญญามันก็จะรู้ว่ากิเลสไม่เพิ่ม ปัญญามันรู้ว่ากิเลสไม่ควรจะให้มันเกิดโดยอัตโนมัติจะมีปฏิภาณปัญญาเฉลียวฉลาด ก็จะช่วยให้เราลดลงๆๆ ปฏิบัติให้ถูกอย่างที่อาตมาพูดนี้มีแต่กิเลสลดลงเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่บวรปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ก่อนตาย จะทำใจอย่างไร


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:27:43 )

ก่อนพบพระอาทิตย์ท่านหมายถึงมรรคมีองค์ 8 ต้องผ่านแสงอรุณ 7

รายละเอียด

ถ้าคุณไม่พบแสงเงินแสงทองก่อน คุณไม่มีสิทธิ์จะพบพระอาทิตย์ แล้วก็ทำงานร่วมกับพระอาทิตย์ ท่านหมายถึงมรรคองค์ 8 พระอาทิตย์ท่านหมายถึงมรรคมีองค์ 8 คุณจะทำงานร่วมกับพระอาทิตย์ที่เป็นมรรคมีองค์ 8 คุณต้องพบ ผ่านแสงเงินแสงทองทั้ง 7 ข้อนี้ 7 หลักนี้ก่อน 

ถ้าคุณไม่เข้าใจเลย 7 หลักนี้คุณก็ไม่ผ่านเลย คุณลัดพลัวะไปมรรคองค์ 8 เลย โมฆะ ไม่มีอะไรได้เลยหรอก มีแต่บัญญัติ  มีแต่ความเพ้อฝัน มีแต่แพะกับแกะ เอาแพะมาชนแกะ ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระสัจจะเลย เพราะคุณไม่มีสภาวะที่ครบครัน ตัดลัดทิ้งหมดแล้วนึกว่าตนเองได้แก่นได้เนื้อคือมันมักง่าย ใจเร็วด่วนได้ ไม่มีลำดับเลย ไปไม่ออก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:16:26 )

ก่อนพ่อครูบวชมีความเข้าใจเรื่องบุญอย่างไร

รายละเอียด

เพิ่งจะมีคนถามอย่างนี้นะ ก่อนที่อาตมาจะมาบวชอาตมาเข้าใจบุญยังไม่ได้ตั้งหลัก ยังไม่ได้รู้ตัวอะไร อาตมาก็เข้าใจบุญตามที่โลกเขาพากันเข้าใจ บุญคือกุศล ก็เข้าใจอย่างนั้นตาม ลิงลมอมข้าวพอง เมาตามเขาไปอย่างนั้น ก่อนบวชก็เป็นอย่างนั้น 

แม้บวชแล้วใหม่ๆ อาตมาก็ยังไม่ได้ชัดเจนเรื่องบุญ ที่มันเป็นสุดยอดแห่งคุณสมบัติของศาสนาพุทธนะ ก็ไม่ได้เก่งไม่ได้รู้ทันที พอมาบวชแล้วพอรู้ตัวนิดหน่อยแล้วก็ยัง อีกนานกว่าจะค่อยๆลึกซึ้ง ค่อยๆซึมซับ ค่อยๆดึงเอาความรู้เก่า ที่อาตมาพูดว่าความรู้เก่าเพราะชาตินี้เกิดมาไม่มีอาจารย์และไม่มีใครอธิบายบุญไว้เลยอย่างนี้ ไม่มี 

แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ขยายความ นอกจากคำของพระไตรปิฎก เช่น ปุญญาภิสังขาร หรือ ปุญญปาปปริกขีโณ หรือว่าอะไรต่างๆพวกนี้เป็นต้น อาตมาก็เข้าใจโดยพยัญชนะบัญญัติบาลีพวกนี้ว่า อ๋อ.. เข้าใจโดยสภาวะธรรม อาตมามีสภาวะธรรมเดิม เป็นสยังอภิญญารู้อันนี้แล้ว จึงนำมาเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิดของชาวพุทธ เรื่องบุญ เท่าที่มันค่อยๆเข้าใจและก็ลึกซึ้งขึ้นๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ตามที่พวกคุณตามฟังมา อาตมาไม่รู้ระยะเวลา อาตมาไม่ได้กำหนดระยะเวลา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ  ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 18:30:49 )

ก่อนหลวงปู่ผนวช มีความเข้าใจเรื่องบุญอย่างไร

รายละเอียด

ก่อนที่อาตมาจะมาบวชอาตมาเข้าใจบุญยังไม่ได้ตั้งหลัก ยังไม่ได้รู้ตัวอะไร อาตมาก็เข้าใจบุญตามที่โลกเขาพากันเข้าใจ บุญคือกุศล ก็เข้าใจอย่างนั้นตาม ลิงลมอมข้าวพอง เมาตามเขาไปอย่างนั้น ก่อนบวชก็เป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 14:58:57 )

ก่อนอายุ 36 ปีของพ่อครูยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าเรียนจบหมดทุกอย่าง ไม่เอาทั้งหมด มาเอาธรรมศาสตร์ อาตมาชาตินี้เรียนไม่จบสักอย่าง ปริญญาตรีใบหนึ่งก็ไม่มี ไปเรียนกับเขาก็ไม่จบสักคอร์ส แล้วออกมาทำงานกับสังคมกับมนุษยชาติอยู่ ตั้งแต่รู้เรื่องว่าเราจะต้องมาทำหน้าที่อะไร ตอนอายุ 36 ปี ก่อนอายุ 36 ก็ยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง ยังแย่ง ลาภยศสรรเสริญกับเขา ก็ไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลก ถ้าอยู่ทางโลกจะต้องเป็นเจ้าสัว เป็นคนดังทางโลกีย์ไปอย่างนั้น เหมือนพระพุทธเจ้าถ้าอยู่ทางโลกท่านก็เป็นจอมจักรพรรดิ ท่านก็ไม่เอาแล้ว มาเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่า แล้วท่านก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเอาอะไร ไม่ต้องมีอะไรสมบัติไม่มี ทุกอย่างทิ้งหมด มีพระบาทเปล่า ทั้งๆที่ท่านมีรองเท้าทองคำ ท่านไม่เอาแล้ว 

อาตมารู้ตัวก็เลิก อยู่ทางโลกไม่ได้พ่ายแพ้ใคร คนในโลกขณะนี้นี่นะ เขาไม่รู้ว่าอาตมานี่นะเป็นคนไทย ที่ขี่รถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย สมัยโน้นยังไม่มีรถติดแอร์เลย แอร์เขาก็ทำต่างหาก แล้วทำให้มาติดรถเป็นแอร์ติดรถเครื่องแรกเข้ามาในประเทศไทย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 11:09:04 )

ก่อเกิดร่างกาย 5

รายละเอียด

ร่างกายนี้ปฏิสนธิ (ถือกำเนิด) ในครรภ์มารดา

1. ก่อเกิดเป็น กลละ (ของเหลว)

2. เป็น อัพพุทะ (ข้นขึ้นหนาทึบขึ้น)

3. เป็น เปสิ (ชิ้นเนื้อ)

4. เป็น ฆนะ (ก้อนเนื้อ)

5. เป็น ปัญจสาขา (โตขึ้นแตกแขนงเป็น 5 ปุ่ม คือ ศีรษะ 1 แขน 2 ขา 2)

ต่อจากนั้นจึงมี ผม ขน เล็บ ฯลฯ เกิดขึ้น

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 15   "อินทกสูตร"  ข้อ  803

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก หน้า 70


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 21:23:32 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:38:47 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:34:19 )

ก้าวมากเกินกว่าความเหมาะสม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องความเป็นไปของโลก มันเป็นเรื่องของความหมุนวนหมุนเวียน โลกมันก็หมุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องของความจริง ความไม่เที่ยง 

ทีนี้ใจคนหรือใจใครก็แล้วแต่ ใครไปยึดตนเองว่า โลกต้องไม่หมุน หยุด มันก็ผิดแล้วนะ โลกมันต้องหมุนเวียนอยู่ตลอด มันหยุดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ มันต้องหมุนเวียนต้องเดินไป จะให้โลกต้องเป็นอยู่อย่างที่ตนเองยึดให้มันอยู่อย่างเก่านี่แหละ อยู่อย่างเดิมนี่แหละ เป็นหนึ่งเดียว อยู่อย่างเดิมอย่างเก่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่แหละคนไหนที่เข้าใจอย่างนี้แล้วยึดอย่างนี้อย่างสายเทวนิยม สายพระเจ้า ยึดพระเจ้าเที่ยงเป็นหนึ่งเดียว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการขึ้นกับอะไรทั้งนั้น กี่ยุคกี่สมัย กาละ เทศะ ฐานะใด อย่างไรก็ช่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 

ผู้ที่ยึดอย่างนี้แหละเขาก็ยึดของเขา เขายึดอยู่อย่างนี้มันก็จะไม่เป็นไปตามที่เขายึดหรอก เขาก็ไม่ค่อยชอบที่มันจะมีการเปลี่ยนแปลง เขาก็เป็นทุกข์แต่เขาไม่รู้จักทุกข์ เขาก็จะเอาให้ได้ ได้สมใจก็เป็นสุข ยึดถือทั้งๆที่มันก็เป็นไปไม่ได้ ยึดให้มันหยุดให้เป็นเราหนึ่งเดียว ครองโลก ถ้ายึดอย่างที่ว่านี้ ให้มันเป็นหนึ่งเดียวคงที่ เที่ยงแท้ นิรันดรเลย ต้องให้เป็นหนึ่งคงที่เที่ยงแท้นิรันดร อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วมันก็ทุกข์ด้วย 

หรือไม่ใช่อย่างนั้น กลับกันยิ่งไปหลงการเปลี่ยนแปลง ฟังให้ดี คำนี้ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่ได้สัดส่วนนะ ยิ่งไปหลงการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ตั้งอยู่อย่างเก่า ต้องเปลี่ยนไป ต้องก้าวไป ต้องให้ไปก้าวไปไกลๆ ต้องก้าวไปไกลๆ แล้วมันก็เป็นการก้าวเกิน ก้าวมากเกินกว่าความเหมาะสม ก้าวไกล ก้าวเกิน ก้าวไถล หัวคะมำแน่ คนนี้หัวคะมำคว่ำไปเองแน่ แม้ว่าเขาจะยึดผลได้ดูเหมือนว่าเขาชนะเขาได้ ก็ดูกัน

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #22 สงครามข่าวสารกับปรากฏการณ์จริงการเมืองไทย วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2566 ( 19:17:52 )

ก้าวหน้าอย่างมากและบอกว่ามีแต่ถอยหลังมันเป็นอย่างไร 

รายละเอียด

คำว่าก้าวหน้าอย่างมากคือรวยไม่รู้จบ จะเอาเปรียบเอารัดไปหา GDP หาผลประโยชน์รายได้กำไร หรือ gain เอามาให้แก่ตัวเองมากๆไม่มีขีดจำกัด นี่คือความตะกละตะกลามของมนุษยชาติ ในหลวงท่านตรัสให้มารู้จักพอ ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก ทำได้อย่างมากคือ รวยไม่รู้จบ ทั้งมีอำนาจบาตรใหญ่ นั่นคืออวิชชาของคน ในหลวงท่านก็ตรัสยัน ที่ท่านเป็นโพธิสัตว์ว่า เราไม่อยากเป็นด้วย ไม่อยากเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก คนรวยนี้รุกรานคนจน รุกรานคนทุกคนแหละ มันรวยมันก็เก่งมันก็ฉลาดกว่ากันมันเอายากมันก็เอาจากคนจน คนที่โง่กว่าคนที่ด้อยกว่านี่แหละ เป็นคนไม่มีเมตตากรุณา เอาแต่หากินบนความโง่ของคนอื่น โอ้โห! โหดร้ายมาก 

ก้าวหน้าอย่างมากกับถอยหลัง ก้าวหน้าอย่างมากและบอกว่ามีแต่ถอยหลังมันเป็นอย่างไร เป็นภาษาปฏิโสตัง เป็นภาษาทวนกระแส เป็นภาษาย้อนแย้ง เป็นสิริมหามายา อันนี้หน้ามืออันนี้หลังมือนะ แต่ถ้าสิริมหามายาบอกว่านี่หน้ามือนะ นี่หลังมือนะ (พ่อครูทำมือพลิกไปมา) เร็วเท่าไหร่ก็บอกความจริงทัน แต่พวกมายาจะบอกว่าหลังมือเป็นหน้ามือหน้ามือเป็นหลังมือพวกมายา พวกไม่ตรง พวกผิดเพี้ยน หลอกคน พวกมายาหลอกคน

แน่นอน ท่านเป็นในหลวง ท่านเป็นผู้ใหญ่ ตรัสคำไหนต้องเป็นคำที่ถูกต้อง ถ้ามันไม่ถูกต้องมันเสียท่านนะ ถ้าไม่ถูกต้องมันเสียนะ ท่านตรัสจะต้องแน่พระทัย ถ้าไม่แน่พระทัยจะไปตรัสทำไม แน่นอน แล้วมันเป็นเรื่องที่ทวนกระแส เป็นเรื่องที่ค้านแย้งกับโลกเขาอย่างกับอะไรดี ท่านจะไปตรัสโดยไม่มั่นพระทัยได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 13:45:33 )

ก้าวหน้าแบบเทคโนโลยีมีแต่ถอยหลัง

รายละเอียด

เทคโนโลยีกินไม่ได้ ในหลวงของเราถึงได้ตรัสว่า เราไม่เอาหรอก ก้าวหน้าที่เป็นอุตสาหกรรม ก้าวหน้าแบบนั้นเราไม่เอา มันมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง เป็นพระราชดำรัสที่ลึกซึ้งมาก ผู้ที่จะเข้าใจตามพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเป็นชาวอาริยะเป็นชาวศิวิไลซ์แท้ๆ เป็นโลกุตรชน อาริยชนจริงๆ จึงจะเข้าใจพระราชดำรัสได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 12:15:20 )

ก้าวเข้าสู่ความเหนือ ต้องปฏิบัติ “ศีล” อย่างมีต้น-กลาง-ปลาย!

รายละเอียด

ผู้“อยู่เหนือ”ได้สำเร็จนั้น 

คือ ผู้ศึกษาอบรมตนโดยมี“ศีล”เป็นหัวข้อหลักกำกับการ

ปฏิบัติ

ให้“หลุดพ้น”จากแต่ละสิ่ง ไปตามลำดับมีขั้นต้น-ขั้นกลาง-

ขั้นปลายของความเป็น“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา”

ถูกต้องตรงตาม“จรณะ 15 วิชชา 8”

“ศีล”นี้ เป็น“ตัวแรก-มูลต้น”

ที่จะกำหนดให้เรารู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่า “ศีล”ข้อนั้นๆ ก็คือ 

สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นคืออะไร..อะไรเป็นอะไร..

อะไรจะเป็นอะไร..อะไรจะไปสู่อะไร..

อะไรจะเกี่ยวกับอะไร..อะไรจะเกิดผลอะไร..

อะไรจะดียังไง..อะไรจะพาพ้นทุกข์อย่างไร..

อะไรประสพความสำเร็จแล้วอย่างไร..อะไรที่จบกิจเป็น

อย่างไร..

ภาวะนั้นๆคืออะไรจบกิจแล้วเป็นไฉน

จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่า เราหลุดพ้นจากสิ่งหนึ่ง

สิ่งใดได้ ชัดเจน แจ่มแจ้ง มีหลัก มีฐาน มีสภาวะตัวตนของสิ่ง

นั้นภาวะนั้น 

เป็นการยืนยัน “ความหลุดพ้น”จากสิ่งนั้นกันอย่างถูก

ตัวตนของสิ่งนั้นภาวะนั้นจริงๆ

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 127 หน้า118


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 05:21:32 )

ก้าวเข้าสู่โลกุตระ ต้องได้ยินได้ฟังจากผู้อื่นก่อนเท่านั้น!

รายละเอียด

จนกว่าจะได้รับรู้-ได้ยิน-ได้พบกับ“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตระ”

จากผู้มี“โลกุตรธรรม”ในตนแล้ว 

ตั้งแต่ผู้สัมมาทิฏฐิจริงที่อยู่ในฐานะครู

หรือได้รับฟังจากสัตบุรุษ ได้อ่านข้อบันทึกของสัตบุรุษ

ยิ่งได้ฟังจากพระพุทธเจ้าก็ยิ่งสุดยอด จึงจะสามารถ

เกิด“ความรู้ใหม่”ที่เป็นความรู้ชนิด“อื่น(อัญญ)”ที่แตกต่างกันคนละ

ขั้ว คนละโลกกับความรู้“โลกียะ”ตรงกันข้ามกัน(ปฏิโสตัง)ทีเดียว 

เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็เข้ามาศึกษาจึงจะเริ่มต้นมี“โลกุตร-

ธรรม”เกิดขึ้น เพิ่มขึ้น เจริญขึ้นๆไปตามลำดับ เป็น“ปัญญา”

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 113 หน้า 111


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 21:05:30 )

ก้าวไกล ก้าวไถล ก้าวเกินหรือไม่

รายละเอียด

แต่ข้อเสนอของเขาอาตมาเห็นแล้วก็ โอ้โห.. ฟังนโยบายต่างๆที่เขาว่า..อาตมาดูแล้ว มันล้ำหน้าไปไกลตามชื่อพรรคของเขา ก้าวไกล อาตมาก็ได้วิจารณ์ไปบ้างว่า มันจะเป็นก้าวไถล ก้าวเกินนะ ขาฉีกขาฉิ่งขาหักขาเป๋ไป มันไม่ก้าวไปตามลำดับให้พอเหมาะพอควร  มันถึงแล้วเหรอเหตุการณ์ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเราดูแล้วมันไม่อยู่ในกรอบของ cyclic order ออกนอกกรอบไปหวือหวายิ่งกว่าสตาร์วอร์ จะบอกว่าถอยหลังไปหา Harry Potter ของ JK rowling ถอยหลังเข้าเป็นนิยายดึกดำบรรพ์ก็ไม่ใช่ มันไปเป็นนิยายสตาร์วอร์หรือ the ring ออกไปนอกโลก มันจะมีอย่างนั้นหรือ ถอยหลังไปอย่าง Harry Potter ก็คงไม่ จะหวือหวาไปเหมือน Star Wars เลย อาตมาว่ามันก็โอเวอร์ไปนะ คงไม่เป็นไปถึงขนาดนั้น 

เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปตกอกตกใจอะไรมาก เพราะข้อเสนอคนนำเสนออะไรก็ได้ ก็ดูเขาไป เขาจะทำอะไรได้แค่ไหน อะไรที่เหมาะควรรับได้ตามเหตุปัจจัย กาละ เทศะ ฐานะ ที่เหมาะสมของมันเราก็ไปด้วย อะไรที่รู้สึกว่ามันไม่ไหวนะ มันควรต่อต้านอย่างที่เคยทำมาก็ต้องออกไปต่อต้าน เดี๋ยวนี้มีคนคิดนำหน้าอาตมาแล้วที่เตรียมตัวไปต่อต้าน มีแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาไม่จำเป็นต้องเป็นตัวนำตัวคิดตัวตนออกไปเป็นตัวตามได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2566 ( 20:13:33 )

ก้าวไกลคิดต่างที่ไม่ถูกต้อง

รายละเอียด

มันเป็นความคิดต่างที่มันไม่ถูกต้องของเขา ซึ่งเป็นความคิดที่แสดงออกว่า ไม่ต้องเคารพพ่อแม่ ไม่ต้องมีกตัญญูกตเวทีที่เขาพูดไป เขาพูดได้อย่างไรนะ ในจารีตประเพณีหรือวัฒนธรรมของคนไทยมันไม่น่าจะพูดอย่างนี้ ถ้าหากคนอเมริกันพูดอย่างนี้ อาตมาไม่สงสัย วัฒนธรรมของอเมริกันเป็นอย่างนั้น แต่วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมทางเอเชียมันไม่มี หรือแม้แต่อินเดีย แต่ถ้าตะวันตกหรืออเมริกันจ๋า เขาคิดอย่างนี้อาตมาไม่สงสัย 

ทำให้ตัวเขาเองรู้ว่า เขาตีตัวเขาเองแตกแยกออกจากสังคมไทย ก็เห็นว่าสิ่งอย่างนี้เป็นวัฒนธรรมอย่างนี้มันเป็นอำนาจนิยม คิดไปโน่นเลยนะ เป็นการเลยเถิดสุดโต่ง จะให้เสมอกันเท่ากันหมดเลยไม่มีอะไรจะต่างกันเลย มันต่างกันไม่ได้อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นความเพ้อฝันที่สุดโต่งเกินไป คิดกันได้ปานนี้เนาะคนเรา ช่างกระไรถึงได้โง่สนิทอย่างนี้ ถ้าปล่อยให้คนชั่วดูแลบ้านเมืองก็เกิดความฉิบหายสิ อาตมาว่า Wait and See อีกไม่นาน Coming soon อีก 4 วัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 10:19:45 )

กําลัง 4

รายละเอียด

1. ปัญญาพละ (กําลังของปัญญา)

2. วิริยพละ (กําลังของความเพียร)

3. อนวัชชพละ (กําลังของการงานอันไม่มีโทษ)

4. สังคหพละ (กําลังของการสงเคราะห์)

เมื่อมีกําลัง 4 นี้ย่อมพ้นภัย 5 คือ

1. อาชีวิกภัย ภัยเนื่องด้วยการเลี้ยงชีพ)

2. อภิโลกภัย (ภัยจากการถูกติเตียน)

3. ปริสสารัชชภัย (ภัยที่สะทกสะท้านในบริษัท)

4. มรณภัย ภัยจากความตาย)

5. ทุคคติภัย ภัยที่ไปสู่นรกทางเสื่อม)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 23 “พลสูตร” ข้อ 209


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 19:47:48 )

กําลัง 8

รายละเอียด

1. ทารกมีการร้องให้เป็นกําลัง

2. หญิงมีความโกรธเป็นกําลัง

3. โจรมีอาวุธเป็นกําลัง

4. พระราชามีอิสริยยศเป็นกําลัง

5. คนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกําลัง

6. บัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกําลัง

7. พหูสูต ผู้มีความรู้มากมีการพิจารณาเป็นกําลัง

8. สมณพราหมณ์มีขันติเป็นกําลัง

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 23 “พลสูตรที่ 1” ข้อ 117


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2565 ( 19:07:45 )

ข  (อุเบกขา = อุป + เอก + ข)

รายละเอียด

ที่ว่าง  ไม่มีอะไร  กลางหาว  ความว่าง

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 145


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 21:10:24 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:13:18 )

ขณะนี้ ตัวอย่างคือกลุ่มหมู่ของชาวอโศก

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระแท้จริง ผลของประชาธิปไตยที่เป็นผล จะส่อให้เห็นผลงานของ 8 คำที่อาตมาเอามาเรียบเรียงแล้ว ประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยจริงที่สุดอยู่ในสังคมกลุ่มไหนในประเทศไทย ตอบ...อโศก พวกนี้เก่งจริงๆเลย ฉลาดจริงๆเลย 

ประชาธิปไตย ขอใช้ภาษาร่วมกับสังคมโลกเลย ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด งามที่สุดบริบูรณ์ที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ขณะนี้ ตัวอย่างคือกลุ่มหมู่ของชาวอโศก ที่ประชาธิปไตยสำเร็จแล้วจะมีผลคือ อิสระ ที่นี่ไม่เคยไปกดข่ม ไม่เคยไปหว่านล้อม ไม่เคยไปเรียกร้อง ทุกคนมาด้วยใจของตนเอง อิสระ เข้ามาแล้วสัปปายะ สบาย เจริญ ถ้าอบายนี่ไม่เจริญ คืออปายะ ส่วน สบายหรือสัปปายะคือเจริญ ภาษาบาลีว่า สัปปายะ คือเจริญ ไม่ใช่อปายะ

สงบ สงบอย่างปกติปัสสัทธิไม่ใช่สงบอย่างสมถะ ต่างกันอย่างไร สมถะนิ่งทื่อแข็งอยู่  กับสงบอย่างปกติคือ รู้แจ้ง สว่าง สัมพันธ์ทำงานเป็น กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา แคล่วคล่องว่องไว แต่กิเลสมันตายมันไม่มีฤทธิ์ ซ้อนตรงนี้ เรียกว่าความสงบ 2 อย่างสงบอย่างสมถะคือพวกเดียรถีย์สายเทวนิยม สายศรัทธา ยังไม่รู้จักความสงบแบบพุทธที่เป็นโลกุตระ ปัสสัทธิแต่เขายังอยู่ในสมถะกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 11:05:25 )

ขณะนี้ทั่วโลกสู้กันระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย

รายละเอียด

จนกระทั่งมาสมัยนี้ก็แบ่งแยกเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ระบอบประชาธิปไตยขาเดียว ระบอบเผด็จการ  ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายแล้วยุคนี้ขณะนี้ทั่วโลก สู้กันระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย เอาประชาชนเป็นหลัก คอมมิวนิสต์ก็เอาประชาชนเป็นหลัก คือรวบรวมพลังที่จะมีอำนาจเหนือประชาชน คอมมิวนิสต์เขาเป็นอย่างนั้น โดยมีหมู่ไม่ถือว่าเป็นส่วนบุคคล แต่ก็มีหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะอยู่ เป็นการปกครองด้วยคณะบุคคลเรียกว่า คอมมิวนิสต์ เป็นอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่คณะบุคคลนั้น แล้วก็เป็นคณะบุคคลที่ใช้อำนาจมากกว่าประชาธิปไตย เท่าที่รัฐศาสตร์  การเมือง วิชารัฐศาสตร์ เขาก็เรียนกัน จะเป็นอย่างนี้ 

ส่วนประชาธิปไตยนั้นให้อิสรเสรีภาพแก่ประชาชนมากกว่าคอมมิวนิสต์ ถือว่าคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิที่บังคับ มีลักษณะบังคับ อำนาจอยู่ที่ผู้บริหารมาก แต่ประชาธิปไตยนั้นเขาพยายามที่จะบอกกันว่า พยายามที่จะบอกจะพูดกันว่า ให้ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วประชาชนมันหัวแหลกหัวแตก มันจะไปรวมหัวกันได้ง่ายๆที่ไหน เพราะฉะนั้นมันลึกซึ้งมากเลย จะต้องทำจิตวิญญาณให้เป็นจิตวิญญาณรวมเข้ามาหาหนึ่งเดียวกัน โดยมีภูมิปัญญาที่จะให้คนเขาปฏิบัติจิตให้มีความเจริญเป็นอาริยะ มีความเจริญที่จะไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นแกนแก่นของประชาธิปไตย หรือแท้ๆก็คือความเจริญของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน แล้วก็มีปัญญา มีปฏิภาณปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2566 ( 18:25:34 )

ขณะนี้นายกประยุทธ์ยีนหนึ่งและจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

รายละเอียด

มันก็ได้ขนาดนี้แหละไปเรื่อยๆ ทีนี้ พาดพิงไปถึง ปัจจุบันธรรม แม้แต่มีนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา  ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่คนเขาแย่งอำนาจ เขามองลบหลู่ มองดูถูก ผู้ที่ตะกละอำนาจ แสวงอำนาจ เขาก็ไม่เห็นความจริง เขาก็จะเอาตัวเขา เอาพรรคพวก ของเขาขึ้นมา ทั้งนั้นแหละมันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่สัจจะของธรรมะ พระสยามเทวาธิราชยังมีอยู่ มันยังเป็นไปได้อยู่ ตราบที่ พลเอกประยุทธ์ยังไม่กบฏต่อตัวเอง ยังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต  ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วรักษาสภาพสัจธรรมของตัวเองได้ประมาณนี้ อาตมาว่าไปรอด ก็ดูต่อไป มันไม่ใช่การพยากรณ์ ผู้ที่จะแย่งชิงอำนาจก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ดำเนินไป ตามหลักเกณฑ์ของสังคมประเทศ มีกฎหมายมีวิธีปฏิบัติ มันก็ไปของมันได้ไม่มีปัญหา ก็ดูไป พวกเราไม่ใช่ชาวดูไบ พวกเราเป็นชาวดูไป ก็ดูไปจริงๆ ดูไปเรื่อยๆ 

ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า ที่อาตมามองออก เห็นชัดๆเลยก็คือ 

1. พลเอกประยุทธ์นี้ อดทน 

2. ไม่ประชด สำคัญนะตรงนี้ พลเอกประยุทธ์ อดทนและไม่ประชด ดำเนินไปตามเหมาะตามควร ไม่แสดงออกซึ่งการประชด ไม่เอาตัวตนเข้ามารับ ดีมาก 

และอาตมาก็เห็นว่าเขาอายุยังไม่ถึง 70 ยังไปได้ ท่าทางยังแข็งแรง แข็งแรงกว่าอาตมาเยอะ ยังทำได้ เพราะฉะนั้นยังมีเวลา ยังมีกำลัง ยังมีสังขารร่างกาย ใจเท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งท้อถอยง่าย อย่างไรๆ ประเทศไทยยังอาศัยพลเอกประยุทธ์อยู่

อาตมามองจริงๆ มองไม่ออกว่า ใครจะมาเป็นคู่แข่ง ตอนนี้ผู้หญิงอุ๊งอิ๊ง เสนอมาตัวเป็นคู่แข่ง นายพิธา ทำอวดดีมาเป็นคู่แข่ง ตอนนี้ เขาเสนอ ดร.สมคิด มาเป็นคู่แข่งจะเป็นนายก อาตมาว่ายังนะ ยังไม่น่าเสี่ยง จะเสี่ยงให้อุ๊งอิ๊งขึ้นมาเป็นนายก เสี่ยงให้สมคิดมาเป็นนายกยังไม่น่าเสี่ยง เพราะว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ประเทศเดียวในโลกมันเกี่ยวพันกับประเทศอื่นในโลกด้วย 

สมมุติง่ายๆ สมมุติเอาอุ๊งอิ๊งขึ้นมา ประเทศอื่นๆเขาจะยอมรับกว่าประยุทธ์ไหม สำหรับอุ๊งอิ๊งประเทศอื่นจะยอมรับกว่า นอกจากครอบครัวของอุ๊งอิ๊งเอง หรือบริวารที่ดันก้นอยู่เท่านั้นเอง ใช่ไหม โดยส่วนรวมคิดกว้างๆ ประเทศอื่นๆเขาจะยอมรับอุ๊งอิ๊งมากกว่าพลเอกประยุทธ์หรือ หรือแม้แต่ดร.สมคิดก็เถอะ ปัดฝุ่นขึ้นมา นี่พรรคอะไรกำลังยกสมคิดขึ้นมา ซึ่งมันก็ดี มันก็เป็นตัวอย่างของการเมืองระดับประเทศ ประเทศไทยก็มีพฤติการณ์การเมืองของประเทศไทย ประเทศอื่นเขาก็มี เกาหลีเหนือก็อย่างหนึ่ง สหรัฐก็อย่างหนึ่ง รัสเซียก็อย่างหนึ่ง ซึ่งจะมาเทียบกันแล้วก็จะเห็นความต่าง ของแต่ละคู่ จับไปประเทศไหนมาเทียบก็จะรู้รายละเอียดได้ เราก็ศึกษาจากความจริงเหล่านี้แหละ ถ้าใครมีปฏิภาณปัญญาไหวพริบที่ละเอียดก็สามารถแยกแยะความต่าง ในมิติต่างๆในนัยยะสำคัญต่างๆของมันได้ 

สิ่งที่กล่าวที่พูดมาแล้วนั้นมันเป็นเรื่องจริงของพฤติกรรมสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ทำเล่นไม่ได้ เรื่องบ้านเมืองสังคมประเทศตัวเอง ทำเล่นก็ฉิบหาย ก็ทำจริงทั้งนั้นเท่าที่ตัวเองเก่งตัวเองสามารถเท่าไหร่ก็เท่านั้น อาตมาว่า ไม่ได้มีการออมมือกันหรอก แต่ละประเทศไม่ออมมือ แต่มันอยู่ได้ สังคมโลกทุกวันนี้ ไม่ถึงขั้นสงครามโลก เป็นสงครามเฉพาะ เล็กๆน้อยๆ ไม่งั้นก็ทะเลาะกันด้วยปากหอกเป็นหลัก เดี๋ยวนี้โซเชียลมีเดีย เหมือนปากหอก ว่ากันไปว่ากันมาอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่กลัว กลัวสงครามโลกครั้งที่ 3 อาตมาพูดตรงๆอาตมาไม่กลัว เพราะอาตมาไม่เชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิด ที่พูดอย่างนี้เพราะเหตุว่า คนในโลกปัจจุบันนี้แต่ละประเทศรู้แล้วว่าสงคราม ถ้าเป็นถึงขั้นสงครามโลก มันใหญ่ขนาดไหน และต่างคนต่างตุนระเบิดไว้คนละเท่าไหร่ มันจะเหลือประเทศในโลก แม้แต่ตัวผู้บริหารมันจะเหลือไหม ผู้บริหารพยายามรักษาตัวรอดอยู่นะ แต่นั่นแหละ มันจะแพ้ภัยตัวไหม เขาก็ต้องระวังเหมือนกัน ทำเป็นเล่นไปเถอะ เพราะทุกวันนี้มันเก่ง ที่อาตมาเคยสมมุติว่า จอมแม่นปืนสองคนหันหลังชนกัน 

มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอาตมา ที่จริงพูดไปมันเหมือนประมาท อาตมาว่ามันไม่เกิดหรอกสงครามโลกครั้งที่ 3 (พ่อครูไอตัดออกด้วย) จะเกิดสงครามในประเทศย่อยๆอยู่แค่นี้ แล้วประเทศใหญ่ๆก็คุมเอาไว้อย่าให้มันมาก เหมือนเด็กๆตีกันบ้างก็ดูให้ควบคุมไว้ อย่าให้มันลุกลามไปมากมาย มันฆ่ากันเอง ก็ฉิบหายของมันเอง แล้วมันก็จะรู้ตัวเองว่าไม่น่าไปทะเลาะกันเลยฉิบหายก็คือกู กูเองนี่ฉิบหาย ไปทะเลาะกันทำไมก็จะสำนึกกันขึ้นมา ผู้ที่รู้แล้วไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับใคร ช่วยสร้างสรรดีกว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35  จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 14:19:56 )

ขณะนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก

รายละเอียด

ก่อนจะไปสู่ sms ก็ย้ำอีกว่า ขอร้องเถอะลุงตู่ อย่างไรอย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาไม่ใช่แต่ว่า มันเป็นเสียงสัตว์ที่ร้าย เป็นเสียงร้องโหวกเหวกๆอย่าไปฟังไม่ต้องนำพาเลย ตั้งหน้าตั้งตาเห็นประโยชน์ที่ควรทำ ขณะนี้อาตมาว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก ไม่ได้พูดอย่างบ้าบอคอแตกไม่ได้พูดอย่างงมงายไม่มีสติสัมปชัญญะ และไม่ใช่พูดอย่างไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย อาตมานี้รู้เรื่องการบริหารประเทศมาไม่รู้กี่ชาติ และก็เคยบริหารมาไม่รู้กี่ชาติ จึงรู้หมดเลยในระบบของประชาธิปไตยเผด็จการ ขออภัยพูดใหญ่โต แต่อาตมาพูดเรื่องจริง อาตมาพูดเรื่องจริงแต่คนไม่เชื่อถือเลย ก็น่าสงสารเขา แต่อาตมาจำเป็นต้องพูดถึงสัจจะสาระพูดถึงเนื้อแท้ของสภาวะ คนเหล่านั้นจะมาดึงอาตมาก็เสียประโยชน์เขาถึงทำอาตมา ขออภัยไม่นำพาเสียงนกกาเสียงสัตว์เหล่านั้น อาตมาไม่ได้ฟังให้เสียเวลา อาตมาย่อมรู้ความจริงอันนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:42:12 )

ขณะนี้เรามีหน้าที่ทำตัวเองให้สูงสุดหรือยัง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเราก็มาทำแต่เฉพาะ วันนี้ ต่อไปนี้ ขณะนี้เรามีหน้าที่ ตัวเราเองสูงสุดหรือยัง สูงสุดแล้วเป็นอรหันต์ระดับหนึ่ง อรหัตตผล ก็อรหัตตผล โสดาบันก็เป็นขั้นที่ 1 อรหัตตผล สกิทาคามีก็เป็นขั้นที่ 2 อรหัตตผลอนาคามีก็ขั้นที่ 3 อรหัตตผลในอรหันต์เป็นขั้นที่ 4 ถือว่าออกมาจากกรอบของ 3 ได้ 

เทวนิยมอยู่ในกรอบของ 3 วน ออกมาเป็น 4 คนก็ไปคบหา 5 และ 6 ได้ แต่ว่า 3 นี้ ไม่มีวันเห็น 4 5 6 ได้หรอก ไม่รู้จะอยู่ในนี้นิรันดรหรือเปล่า เพราะเขาไม่รับ เขาก็วนอยู่อย่างนั้น พอเริ่มมี ปรโตโฆษะ เริ่มเห็น 4 ตอนแรกนึกว่าโลกนี้มีแต่ 3 พอเห็นก็เริ่มรู้ว่ามี Dimension ที่ 4 ด้วยหรือ 4th Dimension (สู่แดนธรรมว่า...ตอนนี้มี 5G 6G ) ถ้า 7G เมื่อไหร่ก็หยิบต้นหญ้าจากข้างทางมาเป็นดาบได้เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 14:50:25 )

ขณิก , ขณิกะ

รายละเอียด

1. ชั่วขณะ

2. ได้เป็นครั้ง เป็นคราว

3. บางขณะ บางครู่ ชั่วครั้ง อันยังไม่ใช่ความตั้งมั่น ไม่ใช่ความแน่วแน่ ไม่ใช่ความคงทนแนบแน่น

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 305

ทางเอก ภาค 3 หน้า 48 ,504


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 21:12:06 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 16:01:20 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:35:19 )

ขณิกสมาธิ

รายละเอียด

1. ขั้นยังไม่ได้อะไรนักเลย เป็นฌานได้บ้างบางแวบบางขณะ ชั่วครู่ชั่ว-ยาม

2. ยังไม่แท้ ยังไม่เป็นขั้นปลายสุด เป็นแค่ขั้นต้นได้บ้างบางขณะชั่วครู่ชั่วยาม

3. ตั้งมั่นได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 251

ทางเอก ภาค 2 หน้า 304

เปิดโลกเทวดา หน้า 53


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 21:13:24 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:14:40 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:35:44 )

ขณิกสมาธิ

รายละเอียด

สมาธิชั่วขณะ หรือจิตตั้งมั่นได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 09:55:42 )

ขณิกสมาธิ

รายละเอียด

ขณะๆ ทำกิเลสลดได้แต่ละขณะๆ นั่นเรียกว่าทำได้เป็นขณะๆ(ขณิกะ)ทำได้ดีขึ้นมีวิตกวิจารสูงขึ้น จนเป็นผู้รู้จักมโนปวิจาร คือรู้จักจิตเจตสิกที่เป็นเคหสิตะ 18แล้วทำให้เป็นเนกขัมมะ 18จิตดีขึ้นมีพฤติกรรมเรียกว่า จาระ ใกล้เข้าไปเป็นสมาธิก็อุปจารสมาธิ จนจบเป็นสมาธิ สั่งสมเป็นอัปปนาเป็นสมาธิที่ตั้งมั่น  สมาธิ สั่งสม อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นี่คือสมาธิ 3 ประการ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66  วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:28:41 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 15:57:30 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:36:24 )

ขณิกสมาธิ

รายละเอียด

แปลว่าเป็นขณะแต่ละขณะแยกได้อีก 2 คือ ตทังคสมาธิ หรือแยกได้ว่าเป็นสมถะสมาธิ หรือว่าวิปัสนาสมาธิ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:22:25 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:28:18 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:37:08 )

ขณิกสมาธิ

รายละเอียด

แต่ละขณะ คุณทำแต่ละขณะแบบใดก็ได้อย่างนั้น สมถะหรือวิปัสสนา แล้วสั่งสมเป็น ขณิกะ มีกดข่ม มี ปหาน 5

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม  2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:24:28 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 15:58:07 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:37:28 )

ขบถตัวเองไปผิดเพี้ยนคำว่าสุข

รายละเอียด

ทีนี้ลึกลงไปในพยัญชนะเลย คำว่า สุข 

สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง

ถ้าคุณบอกว่าจิตจะไปอร่อยไม่อร่อยไม่มี ว่างกลางเลย ข คือว่าง ถ้าคุณเห็นว่าอย่างนี้แหละถูกต้องแหละดี คุณจบเลย แต่คุณไม่ว่างนี่สิ มันก็เลยขบถกับคำว่าสุข พยัญชนะสุขมันก็ดีของมัน แต่เสร็จแล้วมาเบี้ยวตัวเอง ขบถตัวเองไปผิดเพี้ยนคำว่าสุข ไปเป็นอร่อยและดีสมใจและดีได้บำเรอกิเลสแล้วดี มันก็เป็นขบถ 

อาตมาใช้พยัญชนะจนถึงคำว่า สุ กับ ข คำว่าอร่อยกับไม่อร่อย อัสสาทะ

คนไปหลงโง่ว่ามันมีอะไรทั้งๆที่ไม่มีอะไร มันไม่มีอะไร แต่คุณไปหลงว่ามันมีอะไร คุณก็มีไป คุณมีคุณก็ต้องเกิดอีกๆๆๆ แต่ถ้าคุณตายลงไปด้วยการไม่มี สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายสูญไปเลย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีนิมิตอะไร ตายด้วยนิพพาน 3 ไม่มีนิมิต ไม่มีความตั้งจิต สูญไปเลยแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมก็จบ 

 ผู้ที่ฟังตามได้ไหวและทำจิตทำใจให้ได้ตามนี้ ไม่ต้องมีใครมาตัดสินให้คุณเป็นอรหันต์เลย ไม่ต้อง สัจธรรมเป็นผู้พิพากษาเอง คุณตัดสินผิดคุณก็ผิดของคุณเอง คุณตัดสินถูกก็ถูกของคุณเอง สัจธรรมอิสรเสรีภาพมันสุดยอดอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2566 ( 11:57:47 )

ขบถหลงเดียรถีย์เป็นโจรปล้นศาสนา

รายละเอียด

การศึกษาต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะ ไปหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สงสารก็สงสาร พูดด้วยใจจริง อาตมาเห็นความมุ่งมาดปรารถนาดี ท่านเอาชีวิตมาทิ้งในทางธรรมะ ที่ท่านแสวงหาและปรารถนาจริงๆแต่ละชาติ แต่ละชาติท่านก็ยังหลงเดียรถีย์ไปพาผิดอย่างนั้น ชื่อว่าได้มาเป็นชาวพุทธแล้ว อาตมาก็เป็นชาวพุทธที่รู้สัมมาทิฏฐิ เห็นพวกน้องๆทั้งนั้น อาจารย์มั่น มหาบัว ก็น้องอาตมาทั้งนั้น อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอันนี้ 

เห็นแล้วก็สงสาร เลิกได้แล้วอย่างนั้น มันเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เห็นเขานั่งเต็มป่า ท่านก็มาสอนใหม่ ไม่เหมือนโพธิรักษ์ ที่พระพุทธเจ้าท่านมีการสอนมาก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งไม่ได้ ท่านต้องเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เอาพวกเดียรถีย์มาเป็นบริวาร ส่วนอาตมานั้นไม่ใช่ พระพุทธเจ้าปลูกฝังศาสนาพุทธไว้เต็มสภาพแล้ว แต่เขาดันเป็นขบถ เป็นโจรปล้นศาสนา เฮ้อ! เป็นโจรปล้นศาสนาจริงๆเลยนะ อาตมาเห็นโจรปล้นศาสนาอยู่อย่างนี้ ก็ต้องปลุกให้รู้สึก ให้เข้าใจว่า อย่าไปปฏิบัติแบบตาบอดมืดสนิทอยู่อย่างนั้น ตื่นมา ชาคริยา มาฟังมารู้อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 05:13:24 )

ขบวนการละทิฏฐิ 3

รายละเอียด

1.บุคคลรู้เห็นอายตนะ12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6 รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจโต)  จึงละมิจฉาทิฏฐิได้ .
2.บุคคลรู้เห็นอายตนะ12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นทุกข์ (ทุกขโต)  จึงละสักกายทิฏฐิได้
3.บุคคลรู้เห็นอายตนะ12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้

 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม18  ข้อ254– 256)

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 12:52:06 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 15:41:50 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:37:50 )

ขบวนการสัมผัสจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก

รายละเอียด

ในขณะที่ตื่นมีวิญญาณฐีติ มีการสัมผัสจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก ครบกระบวนการ 5 สมบูรณ์แบบของการตรัสรู้ 

การตรัสรู้จบรู้ครบสมบูรณ์แบบทั้งสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ครบสาม ต้องมีกระบวนการ 5 ครบ หากขาดแสงสว่าง ไปหลับตาสะกดจิตอยู่ภายในจึงเป็นโมฆะ ต้องสว่าง มีจิตสัมผัสเต็มๆ ตื่นเต็มร้อย ไม่ใช่สัมผัสนิดๆหน่อยๆ สติต้องเต็มร้อย ต้องมีความรู้เป็นลำดับขั้นที่เรียงลำดับ ปัญญา ญาณ วิชชา ซึ่งตามลำดับเป็น 3 เส้าก็ได้ต้นกลางปลาย อย่างนี้เป็นต้นแล้วเราก็จบ ทบทวน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 19:08:06 )

ขยะ

รายละเอียด

การสิ้นไป

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 138


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 21:14:35 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:15:15 )

ขยะกู้ชาติ

รายละเอียด

ขยะกู้ชาติ คือ ขยะจะมากู้ชาติได้อย่างไร  กสิกรรมกับปุ๋ยไม่ค่อยข้องใจว่าจะช่วยกู้ชาติได้  ขยะอันนี้กำลังพิสูจน์ความจริงไปได้เรื่อยๆ โทรทัศน์เรา (บุญนิยมทีวี)  สิบกว่าปีแล้วรายได้จากขยะเป็นหลักที่ช่วยหมุนเวียนขยะที่เขาทิ้ง  เขาเกิน คนมีมากเกินอย่างใหม่ๆ ก็มี เขารกบ้านเขา  เขาเบื่อแล้ว  ก็เอามาให้สารพัด  เราไม่ได้ไปปล้น จี้  แย่งชิงมา เขาเอามาให้  เราก็เอามาคัดเลือกเป็น reduce repair  recycle  reject  ซึ่งส่วนที่เราจะปรับมาใช้ซ้ำ  ซ่อมแซม  ทำให้ดีขึ้นอีกจนถึงเอามาแปรรูป recycle พอใช้งานได้ จนใช้แปรรูปไม่ได้ทิ้งไป  reject เราก็พัฒนากันมาเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:53:07 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:11 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:38:28 )

ขยะก็เป็นหนึ่งในโลก

รายละเอียด

ขยะหรือของทิ้ง อาตมาถือว่าสามอาชีพกู้ชาติ

1.กสิกรรมธรรมชาติ

2.ปุ๋ยสะอาด

3.ขยะวิทยา ทำไมเอาขยะมาเทียบเคียงกับกสิกรรมหรืออาหาร แหม มันเป็นเรื่องสุดยอด อาหารเป็นหนึ่งในโลกขยะก็เป็นหนึ่งในโลก ขยะจะทำร้ายอะไรต่ออะไรในอนาคตอย่างหนักหนาสาหัส พวกเราเรียนรู้เรื่องขยะช่วยกันจัดการขยะเก็บขยะแยกขยะให้ดี แล้วเราจะรู้สึกในอนาคตว่าขยะมันจะทำร้ายมนุษย์ภายหน้า พูดไปพยากรณ์ไปอย่างนี้คอยดู ขยะนี่ไม่ใช่มีแต่ดินน้ำไฟลม เวลามารวมกันก็มีพิษ จะมีพิษภัยอะไรเพิ่มเติมอีกเยอะในอนาคต ดินก็จะเป็นขยะแบบวัตถุ น้ำก็เป็นขยะแบบน้ำ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 10:52:10 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:09:35 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:39:19 )

ขยะวิทยา

รายละเอียด

อาตมาเคยพูด ขยะวิทยา ถ้าจะทำจริงๆต้องเป็นคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยมีการเรียนรู้โดยเอาองค์ความรู้ของวิศวกรรมวิทยาศาสตร์และอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย ทุกวันนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรในโลก รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ น่าจะทำลายไปให้หมด แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ยุคนี้ แต่มันจะหนักหนาสาหัสในอนาคต เรื่องขยะนี้ จะเป็นเรื่องใหญ่เลย ไปหมดเลยทั้งจะเป็นเชื้อของโรคระบาด เป็นทั้งโรคภัยทางวัตถุ ขณะนี้จะทำลายอะไรต่างๆดินน้ำไฟลมจะถูกขยะทำลายหมด และจะเป็นเหตุให้เกิดโรคระบาดด้วย จะเกิดไวรัสอะไรต่ออะไรด้วยเรื่องขยะนี้ทั้งหมดเลยในอนาคต มันจะเป็นไปหมด ตัวขยะจะเป็นตัวต้นเหตุหมดเลย ขอพูดไว้แค่นี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 09:58:15 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:09:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:39:53 )

ขยะวิทยา สำคัญมากอย่างไร

รายละเอียด

สรุปแล้วมันจะต้องมีรีเลชั่นของมัน มีปฏิสัมพันธ์ ปฏิสัมพัทธ์ต่อเนื่องอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน ขยับจากขยะเอ๋ยมาเป็นขยะวิทยา 

หากว่าอาตมาตั้งมหาวิทยาลัยสำเร็จจะตั้งคณะขยะวิทยา ให้เรียนถึงปริญญาเอกเลยทีเดียว เพราะมันสำคัญมากเลยในจุดของความเป็นขยะ แยกไปได้ ขยะนี้แยกเอาไปได้ทั้งทำวัตถุและทำอุตสาหกรรม แยกเป็นกสิกรรม แยกได้อย่างชัดเจนเลย แล้วก็จะเกิดความรวดเร็ว เกิดการกลั่นกรองเอาสาระสัจจะของมันมาใช้แทนที่จะทิ้งขว้าง แทนที่จะไปตกค้างเป็นอะไรอย่างอื่นอยู่ มันก็จะเกิดความรวดเร็ว เกิดการได้แก่นสาร ได้เนื้อแท้ๆ อันเหมาะสม สารอะไรต่างๆเอามาใส่ผสมกันได้ ได้เร็วได้ดีขึ้นมากเลย แต่อาตมาว่ามาถึงวันนี้แล้วก็วางมือที่จะตั้งมหาวิทยาลัย เพราะว่ามันหนักหนาสาหัสกันเหลือเกิน เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก อาตมาจึงได้วางมือแล้ว ไม่คิดที่จะสร้างมหาวิทยาลัยแล้ว ทำแค่นี้ก็เหลือแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:37:20 )

ขยะวิทยาน่าส่งเสริม

รายละเอียด

ดีน่าชื่นใจ เรื่องดูแลขยะเป็นเรื่องสำคัญมาก อาตมาจึงเอาเรื่องขยะเป็นหนึ่งในสามอาชีพกู้ชาติ ขยะนี่ ไปจนถึงขยะของอากาศ ทำให้อากาศเสียทำให้บรรยากาศของโลกเสีย มันเป็นขยะ นั่นเป็นขยะทางวัตถุ ขยะทางจิตวิญญาณทำให้คนเสื่อมอย่างแท้จริง ขยะทางจิตวิญญาณ ต้องมาเรียนรู้ว่าอะไรคือขยะทางจิตวิญญาณ กิเลสนี่ล่ะคือขยะตัวร้าย แล้วมันมีสารพัดนานา ต้องมาเอากิเลสออกเอาขยะออกไปจากจิตให้ได้ เห็นไหมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเผื่อว่าเราเองเราศึกษากันอาตมาว่าขยะเป็นสิ่งที่ดี ที่จะกู้ชาติได้ อาตมาพูดแต่กสิกรรมไร้สารพิษปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา มาศึกษาเรื่องขยะวิทยาปรับปรุงตัวเองปรับปรุงสังคม รับรอง กู้ประเทศได้ แล้วทำอย่างพวกเราทำเราไม่ใช่เก็บขยะแต่เพียงวัตถุเราเก็บทิ้งขยะที่เป็นกิเลสในจิต พวกเรานี่นะ อาตมานี่ต้องเคารพน้ำใจเลย พวกเรา เคารพน้ำใจจริงๆ ฟังธรรมได้ทุกวัน 30 ถึง 50 ปี ก็ฟัง คนก็ฟังกันทุกวัน อาตมาเทศน์ให้คนฟังกันทุกวัน มีที่ไหนบ้างสังคมไหนบ้าง สำนักธรรมะที่ไหน เขาเทศน์อย่างพวกเรา จนกระทั่งคนข้างนอกเขาพูดว่าพวกนี้มันบ้าฟังธรรม เปิดจอมาเมื่อไหร่ก็เห็นหน้าเก่าๆ ฟังอยู่นั่นแหละ ฟังตั้งแต่หนุ่มๆจนถึงแก่ผมขาว ก็ฟังกัน แล้วไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ประโยชน์ แต่เราได้ประโยชน์จริงๆชีวิตของเราทั้งชีวิตแต่ก่อนเราก็หลงโลกโลกีย์ เดี๋ยวนี้ก็มาอยู่กับธรรมะไปจนกว่าจะตาย เราก็รู้ทิศทางความเป็นอยู่ความดำเนินชีวิตจะไปอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หายาก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 09:23:12 )

ขยันอย่างฉลาดควรรู้จักประมาณ

รายละเอียด

นี่คือวรรณะที่สุดยอดของคน เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักประมาณ ขยันก็ต้องรู้จักควรรู้จักประมาณ แล้วขยันอันนี้ไม่ใช่ขยันโง่นะแต่เป็นขยันฉลาด วรรณะ 9 

อันที่ 1 ขยันอย่างฉลาด ขยันอย่างมีภูมิปัญญาเหมาะควร ไม่ใช่ไปทำอะไรที่ไม่ได้เรื่อง แต่ทำสิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อาการน่าเลื่อมใสในวรรณะ 9 ของพ่อครูเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 10:54:08 )

ขยันแต่โง่ กับ โง่แต่ขยัน แตกต่างกันหรือไม่ 

รายละเอียด

ขยันแต่โง่ กับ โง่แต่ขยัน 

ขยันแต่โง่หมายความว่า ทำ ทำ ทำ ทำ ทำ แต่ทำอย่างโง่ๆ 

ทีนี้อีกอันหนึ่ง โง่แต่ขยัน 

ขยันแต่โง่นี้จะเกิดพลังงาน ขยันๆๆ แต่ทำแล้วฉิบหายไปหมด เพราะมันโง่ ทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉิบหายเท่านั้น ขยันแต่โง่ มันก็ทำเสียเพราะทำอย่างโง่ๆ ทีนี้คนโง่แต่ขยันนี่สิ ยังค่อยยังชั่วกว่าคนขยันแต่โง่ เพราะมันโง่ มันไม่ค่อยรู้หรอก แต่มันก็ขยันไปทำ มันก็เลยขยันน้อยกว่าคนที่ขยันแต่โง่

คนโง่แต่ขยัน เออ ก็ยังน้อยกว่าคนขยันแต่โง่ ก็เขาโง่ก็เลยขยันเพิ่มเติมให้ตัวเองฉลาดขึ้น ขยันไปฟังธรรม ขยันไปศึกษาอีก แต่ความขยันโง่นี่สิ มันขยันเท่าไหร่ก็ฉิบหายเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:37:31 )

ขยันในสิ่งที่ควรจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

รายละเอียด

ผู้ที่ขยันในสิ่งที่ควร มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อยนะ อาตมาเองอาตมาเกิดมาในชาตินี้อาตมาเห็นว่าสิ่งที่เหมาะควรของอาตมาที่สุดก็คือ นำธรรมะมาขยาย นำธรรมะมาสอนมาบอก สิ่งที่เหมาะควรสำหรับอาตมาที่สุด อาตมาจึงต้องขยันในเรื่องนี้เป็นเอก แล้วอาตมาก็มาตรวจดูตัวเองว่าเวลาขยันเทศน์ ขยันเขียน ขยันแจกธรรมะนี่แหละ มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อยง่ายๆ ว่าไหม 

มันเหมือนมีกำลังวังชาเท่าไหร่ก็จะไม่พอ เมื่อไหร่จะเทศน์เหนื่อยสักทีก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะเขียนหนังสือเหนื่อยสักทีก็ไม่รู้ มีแต่พยาบาลคอยบอก นี่พักบ้างๆ นั่งเขียนหนังสือมาหลายชั่วโมงแล้วนะ นอนบ้าง เดินบ้าง แต่ไม่ได้พูดแรงหยาบอย่างนี้หรอกนะ ก็เตือนอาตมาให้พักบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ก็นอนบ้างเดินบ้างก็มันเพลิน วิริยารัมภะ ว่าไหม ใครที่ทำงานที่ตัวเองเพลิดเพลิน มันก็ทน รู้ตัวอีกทีก็พลังงานหมดแล้ว เหมือนเด็กที่เล่นซนจนกระทั่งหมดแรงแบตเตอรี่ก็หลับเลยนะ นอนเลย เคยเห็นไหมเด็กมันเล่นจนกระทั่งหลับคาที่เลย ถ้าปล่อยก็จะเป็นอย่างนั้นหลับคาที่จะหมดพลังงานหมดแบตเตอรี่เลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อาการน่าเลื่อมใสในวรรณะ 9 ของพ่อครูเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 10:59:09 )

ขยายความ ความเป็นโพธิสัตว์

รายละเอียด

ระดับ 4 เป็นพระอรหันต์ ระดับ 5 เป็นอนุโพธิสัตว์ ระดับ 6 เป็นอนิยตโพธิสัตว์ ยังบำเพ็ญต่อไป ระดับ 7 เป็นนิยตโพธิสัตว์ ซึ่งอนิยตโพธิสัตว์ต้องใช้พลังงานพิเศษที่จะออกจากนอกโลก หลุดออกจากวงวนเก่าไปสู่วงวนใหม่ ที่เจริญกว่า ซึ่งไม่ใช่แค่ปากพูดจะต้องมีสภาวธรรม มีคุณธรรมเป็นที่รองรับอย่างสมบูรณ์แบบ นี่ก็ขยายความความเป็นโพธิสัตว์หรือความเป็นผู้บำเพ็ญ 

เพราะฉะนั้นพวกที่บำเพ็ญเป็นอุจเฉททิฏฐิ เถรวาทเขาถือว่าพระกัสสปะเป็นสายเถรวาท ใช่พระกัสสปะเองเป็นเถระในยุคพระพุทธเจ้าจริง แต่เป็นเถระในแบบศรัทธาจริต เป็นศรัทธาจริตปลายแถวเลยนะ ศรัทธาจริตจัดด้วยนะ จนพระพุทธเจ้าต้องช้อนเอาไว้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:15:35 )

ขยายความ น เหว โข

รายละเอียด

ท่านแปล น ว่าไม่ โข แปลว่าสิ่งที่มันเคยมีแล้วได้แล้ว เหวะ แปลว่า ความจริง ที่จริงแล้ว น เหว โข แปลว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปพูดถึงหรือบอกว่าปัญญาวิมุติจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่ต้องไปพูดถึง เพราะท่านต้องพ้นตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะ มาแล้ว จนมาถึงอรหันต์ได้เป็นปัญญาวิมุติแล้ว ถ้าไม่สัมผัสดัวยกาย ไม่ลืมตาออกมาสัมผัสข้างนอกอยู่ในภพ หมดสิทธิ์ พวกหลับตาปฏิบัติจึงดันเอาอันนี้ไว้เป็นของตน ที่แปลกันอยู่ในพระไตรปิฎก แปลด้วยสายศรัทธา แปลด้วยสายท่านพระมหากัสสปะ พระวัดบ้านนั่นแหละ แต่ว่าเรียนมาตาม พระวัดป่า ยังไม่ได้เปิดทางสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมายืนยันโลกุตรธรรมอย่างที่เป็น ยัง เพราะฉะนั้นจุดนี้สำคัญมากเลย ต้องศึกษาให้ดีจึงจะแจ้งสว่างชัดเลย ปัญญาวิมุตินี้ไม่ใช่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่มันเลยมาแล้วจึงไม่ต้องกล่าวถึง ไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องกล่าวซ้ำอีกว่าปัญญาวิมุติจะต้องผ่านวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คนที่ผ่านวิโมกข์ 8 ด้วยกายจะต้องดับอาสวะได้ตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะมาเลย 

ในพวกทิฏฐิปัตตะก็มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่เขาดูอย่างเผิน หรือดูอย่างครบอาริยสัจ 4 ในสัทธาวิมุติก็มี ต้องเกิด เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ไปอ่านทบทวนให้ดีในบุคคล 7 พยัญชนะก็มี แต่ท่านไปแปล น เหวโข ไปแปลดิบๆว่า ไม่ผ่าน แต่ที่จริงท่านผ่าน ท่านพ้นไปแล้ว มันข้ามพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 15:41:33 )

ขยายความ อุทิสมังสะ กับ สัญจิจจะ โวโรเปตุง

รายละเอียด

สภาวะจิตที่หมดสิ้นกิเลสนอกและกิเลสภายในอันนี้ใช่ ขยายความหลายที ต้องทำกิเลสให้หมดตั้งแต่ภายนอกถึงภายในตั้งแต่หยาบจนละเอียด พวกที่เป็นอรหันต์แต่ไปนั่งหลับตา ไม่ได้เรียนรู้กิเลสภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วรับรู้โลกโลกีย์ อธิบายมาตั้งแต่อบายมุขจนถึงโลกกามาวจร มาเรื่อยจนหมดกิเลสในกามภพก่อน แล้วมันจึงเหลือกิเลสภายในเป็นรูปาวจร อรูปาวจร ก็ปฏิบัติภายในมันถึงจะเป็นลำดับที่ถูกต้อง ต้น กลาง ปลาย หยาบ กลาง ละเอียด 

แต่อันนี้ไม่ทำกับความหยาบก่อน ไปทำความละเอียดก่อน มันก็ผิดหัวผิดท้ายแล้ว มันก็ผิดแล้ว เพราะฉะนั้นที่เขาทำไม่ถูกแม้ลำดับกลับหัวกลับหางกันอย่างนี้ มันจึงไม่ได้เรื่องอะไรเลย ไม่ได้ผลด้วย อธิบายหลายทีเหมือนคุณจะกินเนื้อทุเรียน คุณเอาปากคาบไปทั้งเปลือกเลยจะเข้าไปกินเนื้อข้างในเลย ปากคุณแหกเปล่าๆไม่ได้กินเนื้อมันด้วย คุณต้องมีวิธีที่จะผ่าทุเรียน ต้องค่อยๆเอาออก ไม่ใช่เอาปากไปชน คุณจะหายตัวเข้าไปกินเนื้อทุเรียนเลยไม่ได้ มันต้องมีขั้นตอน เบื้องต้น กลาง ปลาย

พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่ตัดต้นกลางทิ้งเอาแต่ปลาย ไม่ใช่ ต้องเรียงลำดับอย่างถูกต้อง ไม่ถูกต้องไม่มีสำเร็จ เพราะฉะนั้นคำว่า ภายนอก ภายใน กิเลสภายนอกภายในก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว อาตมาก็อธิบายไปจนถึงคำว่าพระพุทธเจ้าใช้คำอธิบายเป็นคำรวมว่า “กาย”

กาย มีภายนอกและมีภายใน แล้วท่านก็ขยายภายนอกเป็นอีก 2 คำ เป็นคำว่า โลก กับคำว่า อัตตา นี่คำสอนพระพุทธเจ้า โลก ถือว่าเป็นโลกภายนอก หยาบ โลกอัตตาภายในละเอียด เพราะฉะนั้นก็ต้องมีทั้งภายนอกภายใน ทีนี้คำว่า กาย ทิ้งภายนอกไม่ได้ ต้องมีทั้งภายนอกภายในเสมอตลอดเลย 2 ใน 1 จะต้องมีตลอดเวลา เมื่อเวลาคุณเอากิเลสออกรู้จักกิเลสภายนอกที่หยาบ เช่น กิเลสตั้งแต่โลกขั้นอบายมุข

อบายมุข เช่น พวกที่สร้างอาวุธ นี่คือพวกอบายมุข พวกสัตว์นรก แรง สร้างอาวุธมาเพื่อฆ่าคน เขายิ่งมีบาปมหาศาล ไอ้เรื่องบาปในจิตที่มันมีจิต ต้นทางของมันคือจิตสัญญา ที่มีแนวโน้มทิศทางไปเรียกด้วยพยัญชนะภาษาวิชาการว่า สัญจิจจะ หรือ อุทิสสะสัญจิจจะ อธิบายง่ายกว่า อุทิสสะ คือจิตที่เจาะจง มีทิศทางมุ่งไป เมื่อกี้อาตมาอธิบายเกริ่นไปถึงธาตุรู้ที่มันมีตั้งแต่ สัตตะ ปาณะ ภูตะ และชีวะจิต สัญจิจจะ เริ่มแต่ พอเริ่มสัตตะแล้วมีปาณะ 

สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  เจตนาที่มันมีทิศแล้วเจาะจง ใจมันมีทิศทาง ศัพท์คำว่า จงหรือจงใจ คำว่า จง นี้คือ จงอย่างนี้นะ มันมีทิศทางถูกบังคับให้เข้าไปในทิศทางนี้แล้ว ถ้าคุณทำจิตตัวนี้ สัญจิจจะ อาการจิตโน้มไปในทางที่จะ โวโรเปตุง คือทำร้ายถึงขั้น ฆ่า ประหาร เป็นการทำร้ายถึงขั้นฆ่าเลยในความหมายของคำว่า โวโรเปตุง คือ วระกับ เปรต คือจิตเปรตที่มันเจริญ วระ เป็นโวโรเปตุง เป็นจิตเปรตที่ร้าย เป็นภาษากลับกันเป็นสิริมหามายากับมายา วระก็“ดี” เปตุงก็“เลว” ใช้ 2 คำนี้ควบกันให้รู้ว่าเป็นจิตลักษณะที่ ไม่ดีแล้วล่ะ

ผู้ที่เข้าใจพลังงานจิตตั้งแต่ ปาณะ พระพุทธเจ้าเอาบาปตั้งแต่ ปาณาติปาต ทำให้วิญญาณ มันยังไม่ชื่อว่าตาย ชื่อว่าตกร่วง ตกต่ำ ลดสถานะ บาปแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่า ปาณาติปาตา เป็นความหมายไม่ใช่เรื่องเล่น ทั้งปาณะทั้งปาตะ ยิ่ง สัญจิจจะ ปานัง คือ ปาณะ ชีวิตา โวโรเปตุง ก็ยิ่งละเอียดขยายความไปมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษายังไม่มีสภาวะถึงภูมิพอที่จะชี้แจงก็อธิบายสับสนกลับไปกลับมา มันก็ผิดก็เพี้ยน โดยเฉพาะถ้ามันไม่ชัดเจนหรือมันไม่จริง มันก็ผิด มันก็เพี้ยนออกไปเรื่อยๆ 

จนกระทั่งไปอธิบายขยายความกันว่า สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง กลายเป็นว่าจิตไปมุ่งเจาะจงบุคคล ไม่ใช่ ที่จริงแล้วคือจิตมุ่งไปทำร้าย ปาณะ เป็นบาปนะ พยัญชนะก็ยืนยันไปแล้ว 

ขอทวนอีกที... เพราะฉะนั้นจิตของผู้ใดที่มีเจตสิกสัญญา การกำหนดหมาย สัญญานี้ทำงานมาก ทำงานตั้งแต่ต้นจนปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะตายก็ตายด้วยสัญญากำหนดรู้ แล้วคุณกำหนดหมายคุณก็ทำ ทำได้ คุณทำ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ได้ ไม่ยึดนิมิต ไม่ตั้งจิตอะไรเลย คุณก็ตายสูญไปเลย ธาตุจิตคุณก็แยกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

อาตมาอธิบายเรื่องนี้โดยยก ชีวกสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับ ชีวกะ ในรายละเอียดของ สัญจิจจะ รายละเอียดของจิตที่มีทิศมุ่ง พอเริ่มต้นตั้งต้น ละเอียด มีทิศมุ่งไป ท่านอธิบายไว้ 5 ลำดับ แล้วท่านก็แปลเป็นภาษาไทยมา ชีวกสูตร 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  เช่น ไปนำปลาช่อนตัวนั้นมา สัตว์อะไรก็แล้วแต่ที่คุณระบุจะไปเอามากิน เช่น ไปเอาไก่โต้งตัวนั้นมา ไปเอาเนื้อหมูมา นี่คือจิตมี สัญจิจจะ จิตมีทิศมุ่งไปหาสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งด้วยจิต โวโรเปตุง เป็นจิตไม่เข้าท่าเป็นอกุศลจิตแล้ว ชีวิตา ชีวิตสัตว์ตัวนี้ ชีวิตของปาณะนี้ ที่คุณจะทำปาณาติบาตแต่นี่ยังนะ ยังไม่ได้เริ่มปาณาติบาต เป็นเพียงข้อเริ่มต้นของจิตนะ ก็เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  มันเป็นบาปมากกว่านั้นอีกกว่าข้อที่ 1 …จะผูกขา ผูกปีก ผูกมัดสัตว์นั้นมา สัตว์มันก็ทุกข์ มันก็จองเวรจองกรรม มันเป็นตัวเป็นตน กล่าวชื่อแต่แค่นั้นด้วยจิตที่มุ่งร้ายแล้ว โวโรเปตุง ผู้ที่ช่วยไปจับมา หรือไปจับมาเอง ผูกมัดมันมา แล้วสัตว์มันอยากจะให้จับหรือ หรือจะจับมันมาอย่างทะนุถนอมก็อีกเรื่อง นี่คุณมีเจตนา โวโรเปตุง เป็นเจตนาร้าย เพราะฉะนั้นข้อ 2 ก็เป็นบาปที่ทวีขึ้น 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  ไอ้หยา.. ฟังภาษานี้ก็เข้าใจแล้วว่า แน่นอนคนนี้บาปทับหัวทับทวีขึ้นไปอีกแล้วเป็นไม่รู้เท่าไหร่ 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกฆ่า ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  มันก็จะจองเวรคุณ มันทุกข์โทมนัสเพิ่ม สัตว์มันถูกฆ่า มันจะจองเวรจองแค้นอีกเท่าไหร่ มันก็บาปจริงๆเข้าไปสูงขึ้น 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

ข้อสุดท้ายไม่เบากว่า 4 ข้อแรกหรอกมันรวมไปหมดเลย บาปครบหมด รวมแล้วก็เท่ากับมาทำบาปข้อที่ 5 นี้ มันสูงกว่าบาปข้อ 1 2 3 4 อีก ซึ่งเขาไปเบี้ยวบาลีว่า คำว่าเจาะจงนี่ก็คือถ้าคุณฆ่าสัตว์เจาะจงบุคคลสาวกองค์ใด เช่น ฆ่าสัตว์ตัวนี้มาถวายสมณะโพธิรักษ์ เพราะฉะนั้น สมณะโพธิรักษ์กินไม่ได้นะ เขาเลี่ยงบาลีอย่างนี้ไม่รู้ขยายความเอาเองตรงไหน แต่แท้จริงแล้วสัจจะมันก็มีแต่เพียงว่าคุณยังมี สัญจิจจะ จิตมุ่งตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นยิ่งไปเจตนา มันบาปในข้อที่ 5 เอากองบาปทั้ง 4 นั้นมาหมดเลย บอกว่ามีของดีนะจ๊ะ สาวกตถาคต ของดีนะ สาวกโง่ๆ สาวกที่ไม่รู้เรื่อง คิดว่าเป็น ขาทนียาโภชนียาหาร เรียกว่าปรุงแต่งมาอย่างประณีตเลย เอาเชฟชั้น 1 มาปรุง คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็น้ำลายยืดตั้งแต่ยังไม่กินเลย กลิ่นมันฉุย แล้วมีสี มีอะไร มีกลิ่น ชวนกินสัมผัสแล้วก็สัมผัสทางตาสัมผัสกลิ่น 

เสร็จแล้วก็เอามาโอ้โห..ทีนี้ สัมผัสทางลิ้น อร่อยๆ อย่างนี้บาปหรือบุญกินหัว อร่อยๆก็บาปกินหัว พูดไปแล้ว โทรทัศน์ต่างๆเขาออกรายการพวกนี้หาเงินกัน ไอ้เราก็ไปเที่ยวว่าเขา ไปหลงงมงายแล้วก็ยั่วยุกันให้ตกนรก ให้ติดรสอร่อย มันทวนกระแสกัน เพราะฉะนั้นธรรมะที่เราพูดนี่มันทวนกระแสโลกเขาหมดเลย อยู่รอดก็ดีแล้ว เขาไม่เอาตายก็ดีแล้วไปค้านแย้งเขาหมด ก็ต้องขออภัยนะเพราะมันเป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้ มันเป็นความจำนน เป็นความจำเป็น เป็นความจำต้องพูดความจริงตามความเป็นจริง ถ้าไม่เช่นนั้นความเป็นนิพพาน ความหลุดพ้นจากโลกียะจากกิเลสสิ้นซากเลย มันไม่มี ถ้าไม่พูดความจริงเหล่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2566 ( 09:16:15 )

ขยายความกลอนอโศกสัมปวังโกชีวกสูตรที่สุดซึ้ง

รายละเอียด

ใช้ศัพท์บาลี ศัพท์ธรรมะมาใส่เยอะ ก็ดูน่าฟังนะสำหรับผู้ที่เข้าใจ อย่างอาตมาเข้าใจก็เข้าท่า ก็ยากสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ฟังแล้วรื่นหูในเชิงกลอน แต่ไม่ค่อยรู้ในเรื่องรายละเอียดเท่าที่เขาต้องการ สมกับการทำกวี กวีนั้นไปเอาคำที่สั้นและเหมาะใส่เข้าไป ให้เป็นเชิงกวีที่ไพเราะด้วย ให้ได้ความมากในคำที่สั้นและเหมาะ เรียกว่า ได้ พูดน้อย แต่ได้ เอาความรู้ความเข้าใจใส่ไว้ความหมายที่ต้องการให้ได้มากๆไว้ ขอขยายความ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งนั้น ก็มีจิตมีวิญญาณ ใยจึงคิดจับฆ่าเป็นอาหาร เขาก็มีจิตมีใจไปฆ่ามาเป็นอาหารทำไม .. หยุดก่อน มวลมนุษย์ หยุดจ้างวาน.. ก็เลยเปรย
หยุดก่อนๆ เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด พวกมนุษย์ทั้งกินทั้งฆ่าทั้งจ้างวานทั้งทำเอง หยุดก่อน พราหมณ์ ผู้พร้อมยอมกลับใจ ก็เปรยๆ หยุดเถิดผู้พร้อมกลับใจ คนที่ไม่พร้อมกลับใจไปพูดก็ไม่รู้เรื่อง บนผืนปฐพี มีภัตตะ(อาหาร) คือผองพันธ์ุธัญญะแล้วไฉน จึงมองเห็นเป็นทุพภิกขภัย ก็ในทั้งนั้น ในปฐพีนี้ มีพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วทำไมจึงมองเห็นว่า เป็นทุพภิกขภัย เป็นยุคที่ไม่มีพืชพันธ์ุธัญญาหาร อาหารให้กินแล้วทำไม ก็อาหารมีให้กินออกดื่นเยอะถมไป อ้างเหตุ เป็นทุพภิกขภัย ไม่มีอาหารให้กิน ชะ มันมีมากกว่าสัตว์ด้วย 

ก็เลย เป็นเหตุให้ชีวิตสัตว์ต้องถูกอาวุธคน หรือจับมาฆ่ามากินดื้อๆเลย 

อ้างกินง่าย เลี้ยงง่าย ไม่อายปาก อีกความอยาก นั้นยัง เป็นมังสา

จึงไม่คิด จะขัด ผู้ศรัทธา จึงกล่าวสาธุไซร้ ในทันที

ผู้ไม่เคี้ยว ไม่ขบ ซากศพสัตว์ จึงถูกจัดว่าพระ เดียรถีย์

ที่กินอยู่นั้นก็ซากศพทั้งนั้น ก็จัดว่า เป็นพระ เดียรถีย์ มีสมณะอโศกนี่แหละไม่กินเนื้อสัตว์ พระนอกนั้นกินเนื้อสัตว์กัน ช่างหลอกลวง ปวงชน ว่าตนดี ช่างกล่าวตู่ ผู้มี เมตตาธรรม เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้วแต่ก่อนนี้ตู่กันจังเลยว่า เป็นวัวเป็นควาย เป็นต้น

ช่างกล้าย้อน กล้าแย้ง แปลงพระสูตร ช่างกล้าพูด วิภาษ พระศาสน์หนำ-

ใจผู้เสพ เนื้อบุตร สุดระยำ จึงมีสำนึกชั่วมิกลัวเวรี

พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสใน ปุตตมังสสูตร สูตรว่าด้วยกินเนื้อบุตร สุดท้ายกินเนื้อลูกตัวเองได้ ไม่สำนึกไม่กลัวเวรกรรมอะไร 

อันชีว-กสูตร นั้นจำใส่ สัญญาไว้ จักได้ เลิกป้ายสี 

ศิษย์ตถา-คตไซร้ ไม่ยินดี เอาสรี-ระสัตว์ เป็นภัตตา

ก็ดี เอาคำศัพท์ต่างๆมาใช้เป็นภาษากวีรื่นหูดี สำหรับผู้ที่ฟังขึ้นนะ ผู้ที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องในศัพท์ ก็คงไม่รื่นหูเท่าอาตมา ที่เข้าใจศัพท์ทุกตัวก็ดูดี ก็มาฟังภาษาของอีกคนบ้าง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 11:57:08 )

ขยายความการปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ

รายละเอียด

เรามาเข้าสู่ ความรู้  ขยายความคำว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ

สมมุติศีลข้อ 1 สัมผัสกับสัตว์ ข้อที่ 2 สัมผัสกับของ ซึ่งมันยังไม่มีชีวิต แต่สัตว์มันมีชีวิตจริง จึงต้องระมัดระวังมากกว่าของ ของมันไม่มีชีวิต แต่กับสัตว์มันมีชีวิต เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวัง ต้องมีความหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ต้องมีกรุณามีความเอ็นดู แก่สัตว์ทั้งหลาย นี่คือข้อควรระวัง เมื่อคุณอยู่กับสัตว์ คุณมีรูปีรูปานิ เกี่ยวข้องกับสัตว์ก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้สัตว์นั้นเสียประโยชน์ถูกทำร้าย อย่าเบียดเบียนสัตว์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:29:28 )

ขยายความคำว่า สมถะ

รายละเอียด

อันนี้เป็นหลักวิชาการ จะพ้นทุกข์ด้วยสมถะและวิปัสสนากรรมฐานจริงหรือไม่ ก็ขอขยายความนิดนึง คำว่า สมถะ กับคำว่าวิปัสสนา สมถะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นการสงบแบบเดียรถีย์ เพราะฉะนั้นคนส่วนมากที่มาปฏิบัติธรรมจะได้ความสงบแบบเดียรถีย์ คือได้สมถะ ซึ่งเป็นความสงบที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เป็นความสงบชนิดหนึ่งเรารู้แล้วก็ทำได้ง่ายไม่ยากหรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิโดยพ่อครู GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 14:53:15 )

ขยายความคำว่าร่างกาย

รายละเอียด

ที่ว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่เที่ยง ยิ่งกายนี้ต้องเข้าใจได้ก่อน ร่างคือสรีระไม่ใช่กายะ ร่างคือภายนอก เป็นเรื่องของดินน้ำไฟลม ร่าง ภาษาไทย กาย จึงมีคำอีกคำหนึ่งว่า ร่างกาย เป็นภาษาไทยเป็นคำที่มี 2 ถ้าเรียกว่า ร่างกาย ในภาษาไทย เรียกว่าคนยังเป็นๆ แต่ถ้าเผื่อว่าคนที่ตายลง กายคือจิต ไม่มีแล้ว เหลือแต่ร่าง ร่างนี่แหละ สรีระนี่แหละ คือ​ ศพ คือ สวะ คือ สิ่งที่จิตวิญญาณไม่ร่วมอยู่ในนั้นแล้วเป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:46:55 )

ขยายความคำว่าแบบคนจน

รายละเอียด

คำว่าแบบคนจนนี้ต้องขยายความคำว่าแบบคนจนนี้ต้องขยายความ อาตมาเขียนหนังสือเปิดยุคบุญนิยม หนังสือคนจนที่มีแบบ แต่ในหลวงท่านตรัสเป็นคำตรัสของในหลวงว่า แบบคนจน 

อาตมาก็ขยายความ เป็นหนังสือคนจนที่มีแบบออกมา 

สรุปแล้วมันเป็นเรื่องทวนกระแส คนทั้งโลกคิดเขาจะไปรวย ไม่เข้าท่า ต้องอย่างนี้ แต่คนทางธรรมะโลกุตระคิดอีกอย่างหนึ่ง เขาจะเห็นว่าไม่เข้าท่าเลยมาจน อาตมามี โลกหรือม็อตโต้ พูดไปสู่สังคมว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร  คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ”

ถ้าใครได้ยินแล้วจะสะดุดใจต้องเอาไปคิด และไม่ใช่พูดปากเปล่าแต่เราลงมือทำด้วย ทำอาหาร พวกเราเป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด จะมาเอาธนบัตรแบงค์โน้ตไม่มี ไม่รวย คนชาวอโศกแบงค์โน้ตไม่ต้องเอามาพูด ไม่มีห่วง 

ถ้าจะพูดถึงธนบัตรที่ใช้แทนค่าอะไรในโลกทุกวันนี้ ดอลลาร์เลวที่สุด เพราะมันปั๊มออกมาอย่างที่มันไม่ยับยั้งเลย ทุกวันนี้ถ้าเอารวบรวมดอลลาร์คืนมา แล้วเอาทรัพยากรมาคืนแทน เอาดอลลาร์คืนไป ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่เหลือเลย ไม่เหลือจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบคุณตู่-จตุพร และทนายนกเขา ดำเนินรายการโดย คุณสุชัย เจริญมุขยนันท์ วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 11:55:48 )

ขยายความจริงให้รู้ความจริงให้ลึกลงไปถึงความจริง 

รายละเอียด

เป็นพระสารีบุตรที่นั่งอยู่เชิงเขาแล้วก็ฟังพระพุทธเจ้าสอนพระมารดา ดี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี นี่แหละคือสื่อถึง สภาวธรรมที่แท้จริงว่าพระสารีบุตรคือผู้เอาสาระ แอบฟัง อย่างที่สู่แดนธรรมว่าเขาอาจจะแอบฟังอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเทวดาก็คืออาตมาตัวแทนกำลังสอนมารดา ก็คือสงฆ์ทั้งหลาย อาตมาก็เคยอธิบายว่าสงฆ์ทั้งหลายนั่นแหละ สอนสงฆ์ทั้งหลายอยู่ เพื่อที่จะให้ไปเป็นผู้ที่จะไปขยายผล ไปออกลูกต่อไป ไปออกลูกธรรมะนะ ไม่ใช่อื่นหรอก  

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ายังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เข้าใจถึงธรรมะได้นี่ก็มันก็เห็นได้ อย่างอาตมานี่เห็น แล้วก็เอามาพยายามขยายผลขยายความหมาย ขยายสภาวะ ขยายความจริงให้รู้ความจริงให้ลึกลงไปถึงความจริง 

ที่พูดจรณะ 15 นี้อธิบายไปได้แค่ จรณะ 11 ข้อ คือถึงปัญญา ในข้อที่ 12, 13, 14, 15 เป็น ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3, ฌาน 4 ยังไม่ได้กล่าวถึง 

คำว่า “ฌาน” จึงไม่ได้หมายความว่าไปนั่งสะกดจิต ไปเข้าฌานออกฌาน แต่คือปฏิบัติจรณะ 11 ข้อนี้ เมื่อจรณะ 11 ข้อนี้เกิดพลังปัญญา ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน เป็นตัวเชื่อมต่อจากวิชชา 8 เพราะฉะนั้นก็สะสมการเกิดปัญญาก็คือฌาน 4 นี่เอง ไม่ได้มีไปหลับตาอะไรเลย การปฏิบัติจรณะ 11 ข้อนี้ถูกต้อง แล้วจะเกิดฌานเป็นธรรมดา 

เพราะฉะนั้นฌานนี้ การจะเข้าใจฌานของพุทธของพระพุทธเจ้าได้นี้ยาก เมื่อไปเข้าใจฌานผิด ก็ไปนั่งหลับตาเข้าฌานออกฌานอะไรมันเป็นเดียรถีย์ทั้งนั้น นี่มีในพระไตรปิฎก อาตมาก็พยายามจะหาพระไตรปิฎกข้อที่ชัดๆ อันนี้ ที่บอกว่าฌานของพระพุทธเจ้า ที่ว่าพวกเรานี้จะเป็นภิกษุ หรือจะเป็นฆราวาสก็ด้วย ที่โอภาปราศรัยกันว่า มันไม่มีเข้าฌานออกฌานอะไร 

ภิกษุณีธัมมทินนาคุยกับอุบาสกวิสาขะ (พตปฏ ล. 12 ข้อ 510 จูฬเวทัลลสูตร) พูดถึงเรื่องไม่เข้า ไม่ออก เรื่องฌานไม่ได้เข้าไม่ได้ออกอะไร ฌานคือปฏิบัติลืมตา ปฏิบัติแล้วจะเกิดพลังงานปัญญาไปตามลำดับของพลังงานฌาน 

หากไปเข้าใจฌานแบบเดียรถีย์ มันไปสะกดจิตเข้าไปเพ่ง แล้วเขาก็ไปตามพจนานุกรมว่าฌานคือการเพ่ง มันก็เลยไปหาก้อน ไปหาจุดเฉยๆ มันไม่ใช่ พลังงานฌานคือว่างสว่างเปิดเผย เป็นทุกเม็ดเป็นปัญญาที่ละเอียด มันตรงกันข้ามกันเลยกับที่เขาเข้าใจ คนละมุมกันเลย เห็นไหม 

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าฌานวิสัยเป็นอจินไตย ไปเข้าใจแบบเดียรถีย์ มันก็ผิดไปคนละโลกเลย มันไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า อย่างที่อาตมาพยายามไขความ มันไม่ง่ายเลยนะวิสัย เป็นอจิตไตย ไม่ใช่จะรู้กันได้ง่ายๆ แต่พวกเราพอเข้าใจแล้วจึงอ๋อ! นี้พวกคุณมีฌานกันทั้งนั้น แต่ทางโน้นเขามีฌานฤาษี แต่ของพวกเรามีฌานพุทธ มีฌานพระพุทธเจ้า มันคนละแบบ 

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกังวลหรอกว่าฌานมันจะเกิด คุณเกิดปัญญาที่เป็นปัญญาแท้ของศาสนาพุทธเถอะก็คือฌานนั่นเอง ก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ฌานก็คือปัญญา  ปัญญาก็คือฌาน

ฌาน แปลว่าไฟ ก็ยังดีโชคดีในพจนานุกรมบาลีไทย ก็บอกเลยว่าฌานนี้คือไฟ คือเพลิง ก็ยังดีเขาก็ยังมีคำนี้ แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง แล้วเขาก็ไปคิดว่า ฌานนี้คือเพ่งเข้าไปในจิตเข้าฌาน อันนั้นเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิดว่ามันเป็นอย่างนั้นมากกว่าที่จะมาเข้าใจว่าเป็นไฟเป็นเพลิงเป็นพลังงาน อุณหธาตุ ที่อาตมาอธิบายขยายความ ซึ่งมันสามารถละลายกิเลสได้ เผากิเลสได้ คำว่าเผา เขาก็รู้อยู่แล้วเขาก็ยังไปอยู่ในพจนานุกรมบาลีว่า ฌานนี่คือการเผา ฌาปนกิจนี่เห็นไหม ซึ่งรากศัพท์มาจากคำว่า ฌา คำว่าฌานนี้ ฌาณะ ฌายะ ฌาปะ ฌามะ อะไรพวกนี้ รากความหมายแท้เดิมมันแปลว่าเผา แปลว่าอุณหธาตุ แปลว่าไฟ แปลว่าทำลายเลย เป็นปฏิกิริยาทำลาย ไอ้สิ่งที่ต้องการทำลายคือกิเลสนี้ ฌานนี่คือตัวนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 16:41:27 )

ขยายความจักร 4 แต่ละข้อ

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีสถานที่ ปฏิรูปเทสวาสะ เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สัตบุรุษจะเกิดแล้วก็มีสัตบุรุษเกิดมา ผู้มาพบและมาคบหากับสัตบุรุษ สัปปุริสูปัสสยะ คบหา 

การตั้งตนขึ้นมาได้มีขึ้นในตน ระลึกตั้งขึ้นมาได้สำเร็จ พอได้สำเร็จ ก็เกิด
ปุพเพกตปุญญตา 

แม้คุณจะไม่มีโลกุตตรธรรมในตนเองเลย เมื่อได้พบสัตบุรุษในโลกยุคไหนก็ตามที่มีสัตบุรุษเกิด คุณก็มาพบและคบหา แล้วคุณมาระลึกหรือว่านึกขึ้นมาได้ อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนเพื่อฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ก็รู้สึกว่ามันตั้งขึ้นมาได้แล้วนะ ไอ้สิ่งที่ตั้งขึ้นมาได้นี่แหละคือ ความเป็นผู้มีบุญอันได้ชำระมาแล้วแต่ก่อน อันได้ชำระกิเลสมาแล้วแต่ปางก่อน เป็นที่พึ่งที่อาศัยมาเก่าแล้ว มี ปุพเพกตปุญญตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 19:15:21 )

ขยายความจากทานสูตรว่าด้วยทานกับมหาทาน

รายละเอียด

ทานนี่ พระพุทธเจ้าให้อ่านจิตตัวเองให้ออก ทานแล้วคุณอย่าไปมีความหวังอะไรเลย แต่คุณที่ยังไม่มีอินทรีย์พละ ยังไม่เก่งคุณจะมีความหวัง หวังอย่างโน้นอย่างนี้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นท่านก็ไล่มาเลย ตั้งแต่หยาบมาหาละเอียด หรือว่าละเอียดมาหาหยาบ ถ้าไปหวัง หวังว่าจะได้ตายไปแล้วก็ไปมีวิมาน ตายไปแล้วจะได้ไปกินไปอาศัยในชาติหน้า เป็นวิมานในชาติหน้า อันนี้เป็นรูปธรรม เป็นตัวเป็นตน เป็นภพชาติ ครบเลย เหมือนอย่างพวกสายธัมมชโย หรือแม้แต่สายหลับตาทางด้านอาจารย์มหาบัวนี้ก็ตาม เหมือนกันแหละ ยังเข้าใจเรื่องภพชาติไม่ได้ โดยเฉพาะธัมมชโยเอามาล่อเลย หรือว่าฤาษีลิงดำ บอกว่าได้สวรรค์วิมานเท่านี้เท่านั้นเลย ภาษาบาลีบอก ปริภุญชิสสามีติ ไปชาตินั้นชาตินี้ นี่เป็นหยาบที่สุดแล้ว หยาบน้อยลงมากกว่านั้นก็เป็น สันนิธิเปกโข แล้วไปปฏิพัทจิตโต แล้วก็ไปหาสาเปกโข สาเปกโขนี้ละเอียดแม้แต่ตั้งจิตหวัง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:13:45 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 08:11:48 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:41:02 )

ขยายความทำไมต้องละอายในปัญญา 8 ข้อที่ 2

รายละเอียด

ความจริงของพระพุทธเจ้าเมื่อเราได้รับจากพระพุทธเจ้าเราก็ต้องขยันเข้าไปหาไปไต่ถาม มันจะเกิดสัจจะความจริงที่ความละอาย ฟังแล้วก็ยากที่จะเข้าใจว่า ทำไมต้องละอาย อาตมาก็ขยายความแต่ยังไม่เก่ง ก็ทำไมไม่ละอายเล่า ก็เราเองยังโง่ ไปเที่ยวทำเละเทะแสดงสิ่งที่ไม่น่าแสดง ไปเปิดเผยสิ่งที่ไม่น่าเปิดเผย ดีไม่ดีอย่าว่าแต่เปิดเผยเลย หลงว่ามันดีแล้วอวดโอ่อีกด้วย ไปทำเลอะเทอะมาตั้งเยอะ พอมาเจอผู้อยู่ในฐานะครู หรือสัตบุรุษ หรือผู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้มีสำนึก มีปฏิภาณปัญญารู้ว่า โธ่เอ๋ย! เรานี่นะ ถ้าที่เรารู้ผิดและยึดถือผิดมา ถ้าแบ่งแยกเป็นความรู้ถูก เราทำถูก เราทำผิด แบ่งแยกเป็นธรรมะ 2 เราไปยึดถืออันที่ผิดปฏิบัติ มาทำ มามีลูกศิษย์ลูกหา มีผู้ที่นับถือเรายกย่องเราต่างๆนานาก็พาเขาลงนรก สรุปแล้วก็คือพาเขาลงนรกก็เป็นโจร เป็นโจรทำลายศาสนา ทำลายครูบาอาจารย์ ทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า โทษมันแรงมากนะ ละอายมาก เราจะไปทำผิดอย่างอื่นก็ทำไปเถอะแต่มาทำของพระพุทธเจ้าท่านเสียหาย บกพร่อง ผิดพลาด แล้วเราเป็นตัวเหตุด้วย เป็นตัวสำคัญ เป็นตัวผู้นำ เป็นตัวพาลงนรกนะ เฮ้ย! ไม่ละอายเมื่อนี้จะไปละอายเมื่อไหน เราทำไมมันโง่จัง หรือจะใช้ภาษาพ่อขุนราม หรือภาษาท่านพุทธทาสบอกว่า กูทำไมโง่จัง มันก็จะรู้ตัวเอง 

ละอายต่อความชั่ว ความเลว ความไม่ดี ความบกพร่องของตนเอง เพราะธรรมะที่เราทำนั้นมันย้อนแย้ง มันทำลายสิ่งที่จริง มันไม่จริงก็ทำลายสิ่งที่จริง เสร็จแล้วเราไปเปิดเผยแล้วไปขยายความ ไปเน้น ดีไม่ดีได้ด่าว่า ได้ลบหลู่ผู้ที่ถูกต้องด้วย แล้วคุณจะสำนึกเมื่อไหร่ คำว่าสำนึกนี้มันสูงส่งนะ แล้วคุณไม่สำนึกเมื่อนี้ที่มันรู้แล้วว่าตัวเราหนอที่ผ่านมานั้นเราพากันหลงเลอะๆ เทอะๆ ไป ทั้งๆ ที่ท่านยืนยันว่าอย่างนี้ถูกอย่างนี้ถูก เราก็ไม่เชื่อ ต้องว่าเราถูก 

นี่แหละมันถึงต้องละอายอย่างแรงกล้า ติพพัง ทั้งหิริ โอตตัปปะ เรียก หิโรตัปปัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 20:39:42 )

ขยายความธรรมนิยามทั้ง 4

รายละเอียด

ตถตาคือ มันเป็นได้แล้วในตัวมันเอง เป็นตัวที่รวมสูตรของความเป็น แล้วก็เชื่อมโยงมาหาคนอื่นมาหาสังคม เป็นอวิตถตา 

ตัวตถตากับอิทัปปัจจยตา เป็นตัวต้นกับตัวปลาย อวิตถตากับอนัญญถตาเป็นตัวกลาง 

อวิตถตา เป็นความจริงที่อยู่ในแกน Static แกนเที่ยง 

อนัญญถตา ก็เป็นแกน Dynamic เป็นแกนอาศัย ที่จะทำงานร่วมกับ Static เป็นพลังงานบวกกับพลังงานลบก็จะร่วมทำงานด้วยกันเสมอ 

พยัญชนะของอวิตถตา คือ สภาพของความจริงที่มันมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ วิ กับ ตถ จริง อ คือไม่ ค้านแย้งกับวิ วิ นั้นไม่มีก็ได้มีก็ได้อย่างเลิศเลอ อ ก็เป็นตัวต้านตัวถ่วงเหมือนกับฝ่ายค้านของรัฐบาล 

ส่วน อนัญญถตา ตัว ถ คือสภาพฐาน เป็นตัวตั้งตัวฐาน 

อนัญญะคือ ความรู้ที่ไม่ยึดถือความรู้ อ ก็ไม่ น ก็ไม่ อัญญคือตัวรู้ธาตุโลกุตระ 

มันสามารถเกิดแล้วก็สามารถควบคุมได้ ผู้ที่มีความเป็นใหญ่ในตัวเอง วสวัตตีโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ก็จะรู้ก็จะควบคุมให้มีหรือไม่ให้มี ก็จะใช้อย่างสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นปัจจัยเรียกว่าอิทัปปัจจยตา เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน สังเคราะห์กันช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน หรือแม้แต่จริงๆแล้วจัดการจะบอกว่าทำร้ายทำร้ายก็ดูไม่ดี แต่ก็กำจัด กันไปในตัว แล้วก็ทำสิ่งที่ดีไว้ ตัวที่ไม่ดีก็ควรกำจัดเสีย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 21:08:15 )

ขยายความปฏิจจสมุปบาทตามลำดับ 

รายละเอียด

แล้วจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ข้อปฏิบัติเรียนรู้ที่จิตวิญญาณให้สมบูรณ์ให้จบ จบถ้วนคืออะไร จบกิจคืออะไร พระอรหันต์ถือว่าจบถ้วน จบกิจ คือรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้จักปฏิจจสมุปบาทจนครบ เวลาที่เหลือ จะขยายความปฏิจจสมุปบาทตามลำดับ 

อวิชชา ไม่รู้จึงเกิดสังขาร สังขารคือการปรุงแต่งอยู่ในจิต คนไม่รู้จักสังขารก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรแล้ว สังขารอะไร สังขารทางกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร มันปรุงแต่งกันอยู่ แล้วเรียกโดยภาษารวมว่า วิญญาณ ที่มันปรุงแต่งกันอยู่นี้ เป็นรูปเป็นนาม 

วิญญาณคืออะไร ก็คือรูปนาม การสังขารนั้นคือผัสสะกระทบกันอยู่ มีอายตนะนั่นแหละคือสังขาร แล้วในสังขารมีอะไร ในสังขารก็มีเวทนา ปรุงแต่งกันอยู่นี้ เจตสิกละเอียดขึ้นไปเรียกมันว่า เวทนาเป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์ ก็มีรูปมีนามนั่นแหละ ปรุงแต่งกันอยู่ วิญญาณครบ  ขันธ์ 5 นั่นแหละ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นแหละ เป็นองค์รวมนั่นแหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 ตุลาคม 2565 ( 12:50:02 )

ขยายความประชาธิปไตย

รายละเอียด

ทีนี้มาขยายความประชาธิปไตย ประชาธิปไตยบอกแล้วว่า ทางตะวันตกทางยุโรปอเมริกาอะไร ประเทศอื่นที่ไม่มีพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ในประเทศไทย คนไทยชาวพุทธ เมื่อเข้าใจโลกุตรธรรมไม่ได้มันก็ไม่มี แต่ผู้ที่เข้าใจได้หรือมีในธาตุจิตวิญญาณ มีมาในสัญญา สัญชาตญาณหรือสัญญา พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 แม้แต่ผู้ที่บริหารประเทศแต่ละผู้แต่ละคน มีโลกุตรธาตุอยู่ในตัวฝังมา ติดมาในตน หรือมาได้รับความรู้ แล้วก็เอามาใช้ ที่อาตมาเคยยืนยันเหมือนว่า เมืองไทยนี้โชคดีที่มีคนที่มีโลกุตรธรรม พลเอกประยุทธ์บริหารอยู่ขณะนี้นี่ เป็นผู้มีโลกุตรธรรมอยู่ในตัว ซึ่งเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อาตมาพูดไปนี้ คนก็จะบอกว่า โมเม ขนาดเขาเป็นพระเป็นเจ้าเขายังหาโลกุตรธรรมได้ยากเลย พลเอกประยุทธ์ไม่ได้บวชไม่ได้เรียนอะไรด้วย จะไปมีได้อย่างไร เขาก็ว่าไป 

อาตมานั้นชัดเจน ว่านักธรรมต้องยุ่งกับการเมือง นักธรรมะที่มีธรรมะที่เป็นโลกุตระที่แท้ ซึ่งไม่ใช่ยุ่งหรอกบอกแล้วพูดแล้ว การเมืองมันยุ่งมากที่คนพวกนักการเมืองที่มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มันไม่มีภูมิปัญญาแท้ มันต้องทำการเมืองให้ยุ่ง เราก็เลยต้องไปแก้ความยุ่ง พูดอย่างหวัดๆลัดคัดสั้น พูดอย่าง concise ตัดลัดไป ชัดๆสั้นๆ ก็คือ ยุ่งการเมืองหรือต้องไปทำการเมืองเพราะมันมีเหตุยุ่ง ต้องลงไปแก้ความยุ่ง ไม่ใช่ไปทำให้มันยุ่งมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นนักการเมืองที่พอจะมีภูมิอาริยะฟังอาตมาก็จะ เออ อาตมานี้มีความรู้ทางรัฐศาสตร์เหมือนกันเนาะ เขาจะเข้าใจ มีความรู้ทางการเมืองเหมือนกันเนาะ 

อาตมาเป็นนักบริหาร และคัดเลือกประชาชนมาบริหาร ประชาชนที่มันไร้สาระเสียเวลาเปล่า อาตมาคัดทิ้ง โดยวิธีการของธรรมะไม่ต้องไปคัดเขาโดยอย่างนี้อย่างนี้แล้วก็ต้องให้ลงบัญชีมาสมัคร ไม่มี เทศน์ไป คนฟังเขาก็ตัดสินของเขาเอง เขาคัดตัวของเขาเองออกไปจากวงการศาสนา หรือวงการธรรมะ ที่อาตมาบรรยาย เขาจะไม่ฟังอาตมาเลยพวกนี้ เขาจะตีทิ้งอาตมา อาตมาไม่ได้ไปตีทิ้งเขาหรอกสงสาร แต่เขาจะตีทิ้งอาตมาอย่างไม่ดูดำดูดีเลยพวกนอกรีต พวกไม่ใช่พุทธอะไรไปมันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้สงสัยไม่ได้ประหลาด 

ผู้ที่พอฟังรู้เรื่องบ้างก็จะบอกว่าอันนี้ก็ฟังดูเข้าธรรมะอยู่นะนิดๆหน่อยๆ ผู้รู้มากขึ้นก็บอกว่า เออ..มีธรรมะมากขึ้น มากขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าเป็นคุณค่า เป็นคุณค่าทางโลกุตระ อย่างนี้ใช่ๆ ก็จะมา ก็เหลือจำนวนน้อยลง เพราะฉะนั้นคนที่จะมาฟังธรรมะมาเรียนรู้ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ ก็จะมีจำนวนที่คัดเลือกขึ้นมาได้โดยสัจธรรม อาตมาไม่ได้ไปนั่งลงบัญชีคัดเลือก สมัครแล้วก็มาสัมภาษณ์อะไรไม่หรอก มาโดยธรรมชาติโดยธรรมะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2566 ( 12:37:27 )

ขยายความปัญญาข้อที่ 1

รายละเอียด

ทำไมต้องตั้งความละอายต้องตั้งความเกรงกลัว เพราะมีความสำนึก สำนึกเลยมีความรู้ที่ลึกซึ้งเลยว่าเรานี้ผิดจริงๆ ท่านเป็นสัตบุรุษเราอสัตบุรุษ คนที่รู้ตัวอย่างนี้มีหวังเจริญ แต่คนที่ไม่มีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นก็ไม่เจริญอย่างด้านๆ 

เพราะฉะนั้นจะต้องละอายจะต้องเกรงกลัว นอกจากละอายเกรงกลัวแล้วจะเกิดความรัก นี่แหละสุดยอดสุดความรักเลยแสวงหาอันนี้ ผู้ที่มีโลกุตรธรรมแท้ พระพุทธเจ้าไม่มี แต่องค์นี้เป็นตัวแทนมาสุดยอด สุดรักสุดเคารพ ตั้งความรักความเคารพไว้อย่างแรงกล้า นี้เป็นปัญญาข้อที่ 1 

_ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

อาตมาขยายความปัญญาข้อที่ 1 มีอะไรลึกซึ้งเกิดขึ้นไหม เกิดอานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการ จะอธิบายลึกซึ้งกว่านี้อีกแต่วันนี้ได้เท่านี้ก่อน  ไม่ใช่ว่าได้ลึกซึ้งแล้วจะไม่มาฟังธรรมอีกเลยไม่ใช่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 21:34:25 )

ขยายความวิชชา 8

รายละเอียด

ทั้งหมดจรณะ 15 ในนี้มีวิชชา 8 หรือว่าจะขยายความ มี 1.วิปัสสนาญาณ 2.มโนมยิทธิญาณ 3.อิทธิวิธญาณ 4.โสตทิพย์ญาณ 5.เจโตปริยญาณ 6.บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8. อาสวักขยญาณ  

มันจะรู้ด้วยวิปัสสนา รู้ด้วยการรู้การเห็น ไม่ใช่ไปหลับตา ปัสสะแปลว่าเห็น ลืมตาปฏิบัติจะรู้เป็นญาณ แล้วก็แยกแยะวิจัยวิจารณ์อย่างที่ว่านี้แหละ 

วิจัยวิจารณ์เห็นกิเลส  เอากิเลสลดได้ก็คือมีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธิ เป็นวิชชาข้อที่ 2 

กิเลสมันก็ลดลงไปเรื่อยๆ เก่งขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธญาณ หลากหลาย มโนมยิทธิ ก็อิทธิเดียวกันนี้ ฤทธิ์ทางใจที่ทำให้กิเลสมันลด ไม่ใช่เป็นฤทธิ์ที่ทำให้เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ไม่ใช่ นี้เป็นฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของอนุสาสนีปาฏิหาริย์  ปาฏฺิหาริย์ตามคำสอน เรียนรู้นี้ จรณะ 15 คำสอนของพระพุทธเจ้า มันมีฤทธิ์ทำกิเลสลดอย่างนี้ 

กิเลสลด(หรือไม่ลด)ก็คือ เจโตปริยญาณ 16 ในญาณข้อที่ 5 จาก อิทธิวิธญาณ ทำได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ๆ โสตทิพย์ นะ อิทธิวิธญาณเก่งขึ้น จากมโนมยิทธิ ในข้อ 2 อิทธิวิธญาณ ในข้อ 3 แล้วข้อ 4 โสตทิพย์ญาณ ข้อ 5 เจโตปริยญาณ 16 

 เจโตปริยญาณ 16 ก็คือมาตรวัดบอกถึงกิเลส 8 คู่ เคยอธิบายมาแล้ว วันนี้ขอผ่านก็แล้วกัน 

นี้คือ สัจจะที่เราปฏิบัติแล้วตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เลย ไม่ได้ออกนอกเรื่องเรื่องพวกนี้ นีคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ 

ที่เราปฏิบัติธรรมแล้วจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ทบทวนวิชชาอีก 3  เตวิชโช ทบทวน ตรวจ บุพเพนิวาสานุสติญาณ เหมือนกับตรวจขายของแล้วลงบัญชี ทบทวนบัญชี (ทั้งวัน)วันนี้เราได้เท่าไร ขาดทุนหรือกำไร ทบทวนที่เราปฏิบัติมา เจอกิเลสผัสสะ เอออันนี้ทำได้ เอออันนี้ทำไม้ได้ เอออันนี้เผลอไผล อันนี้อะไร ตรวจสอบไปก็รู้จักการเกิด-การดับ คือรู้จักกิเลสเกิด-กิเลสดับ (จุตูปปาตญาณ) เราทำได้จริงหรือไม่ ก็เจโตปริยญาณ จนถึงอาสวักขยญาณ จนกระทั่งจะรู้จริงว่า อ้อ  เราทำได้ดี เราทำได้หมด โอ้ อาสวะสิ้น หรือยังไม่สิ้นอาสวะ 

เรามีปัญญา เรามีความรู้ในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปงมงาย ไปดับจิตเฉยดื้อดื้อทื่อ หนีไป ให้ไม่มีผัสสะ หลับตาอีกต่างหาก มันโมฆะจริงๆ เลย มันออกนอกรีตศาสนาพระพุทธเจ้ากัน นี่คือสิ่งชี้บ่งความเสื่อมศาสนาพุทธ ไปทำออกนอกรีตแล้ว อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี กระเตื้องที่ไหน ยังหลับหูหลับตางมงาย ศรัทธาอาจารย์ที่พาไปเป็นเดียรถีย์ ซึ่งไม่ใช่พุทธแล้ว ไป   

อาตมาพูดซ้ำ ความจริงนี่ก็ สงสารอย่างไม่รู้จะสงสารอย่างไรแล้ว แต่เขาก็จะต้องว่าอาตมาว่า ไปว่าเขา ไปด่าเขา ไม่ดูตัวเองถูกหรือเปล่าไม่รู้ตัว แล้วก็มีคณะน้อยเดียว แล้วทำเป็นเบ่งทำเป็นใหญ่ทำเป็นถูกต้อง ใครรับรอง เถรสมาคมไม่ได้รับรอง จะเอาตายด้วยซ้ำที่ทำมาเบ่ง มันก็น่าเห็นใจนะ น่าเห็นใจเขาเพราะเขาต้องถือมวลใหญ่ ถือที่มันสืบทอดกันมานานแล้ว อะไรต่างๆ นานา จนกระทั่งไอ้ที่เขาสืบทอดมา ก็มาได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ว่าจะเป็นสายบ้านหรือสายป่า 

สายป่า-นั่งหลับตา คนก็นิยมชมชื่น สายบ้าน คนก็นิยมชมชื่น สายที่สัมมาทิฏฐิอย่างโพธิรักษ์ คนก็ว่าอะไรวะ (ท่านเดินดินว่า มีแต่ชืด รู้สึกมันจืดชืด) มันมีแต่จืดชืดสายโพธิรักษ์ อันนั้นเขาชมชื่น อันนี้มันจืดชืด ไม่เป็นไรยิ่งจืดชืดของเราก็ยิ่งสบาย ที่จริงไม่ใช่จืดชืดหรอก พวกเรานี้จืดชื่น ยิ่งจืดยิ่งชื่นใจ กิเลสนี้จืดลงไปก็ยิ่งชื่นใจ เป็นจิตจืดชื่น ไม่ใช่จืดชืด 

อธิบายถือศีล 2 แบบแล้ว ไม่ขยายความต่อ โลกียะโมฆะ ไม่ได้ประโยชน์ โลกุตระถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้า เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ถือศีลเป็นอย่างนั้น เห็นไหมว่ามันเสื่อม มีที่ไหนศีลตามจรณะ 15 แม้แต่พระก็ไม่มี พระมีแต่วินัย วินัยก็เถอะ ระวังผิดวินัยก็อาบัติ  อาบัติก็ปลงอาบัติกัน สุดท้ายไม่ปลงก็สังฆาทิเสสกันเยอะโดยเฉพาะเรื่องเงิน ปาราชิกด้วยเรื่องเงิน เยอะแยะ ไม่ปลงอะไรหรอก พูดไปก็ไปว่าเขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2567 ( 19:24:20 )

ขยายความสภาวะกับพยัญชนะ

รายละเอียด

ขยายความสภาวะกับพยัญชนะ คือ สมณะโพธิรักษ์จริงๆ แล้วเป็นผู้มีสภาวะมากกว่าพยัญชนะ แต่ท่านเทียบไม่ติดกับท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านรู้พยัญชนะมากกว่าอย่างท่าน(สมณะโพธิรักษ์)เทียบไม่ติดเลย แต่สภาวะ สมณะโพธิรักษ์มีเยอะละเอียด ท่านพูดไปบางทีพยัญชนะผิดฝาผิดตัว

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 17:16:19 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:54 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:41:55 )

ขยายความสัมพันธ์ของชีวิตินทรีย์ อาหารรูป ปริเฉทรูป

รายละเอียด

แล้วในโลกคนก็มีกิเลสกับไม่มีกิเลส แม้ไม่เป็นพระอรหันต์ ความไม่มีกิเลสบางครั้งบางคราวมันก็มีในคนทั้งนั้น แต่ถ้าเรายังไม่ได้ล้างกิเลสจนกระทั่งหมดเชื้อ ตายสนิทหมด ชีวิตินทรีย์จริงๆ มันก็ยังเหลืออยู่ 

เพราะฉะนั้นในรูป 24 ชีวิตินทรีย์ อาหารรูป ปริเฉทรูป อย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่จะเข้าใจเรื่องกิเลสในชีวิตรูปที่เป็นชีวิตินทรีย์ได้ ก็รู้เรื่องอาหาร หากไม่ให้อาหารมัน มันก็ตาย 

ฉะนั้นผู้ใดทำให้มันตายได้ รู้จักชีวิต รู้จักอาหาร ไม่มีแล้ว ก็หมด ปริเฉทแปลว่า ว่าง รูปนั้นก็ว่างจากชีวิต รูปนั้นก็ว่างจากอาหาร อาหารอาจจะมีอยู่ในโลกเอามาใช้ก็ได้ แต่เรารู้แล้วว่าไม่ต้องให้อาหารมัน ก็รู้จักความว่าง ฉะนั้นปริเฉทรูปก็คืออากาศธาตุ รูปว่างๆ ปริเฉทรูป เพราะว่ารู้จักชีวิตรู้จักอาหารแล้ว เมื่อไม่มีชีวิต ไม่มีอาหาร นั่นเป็นเทวะคู่หนึ่ง เป็นรูปกับนามคู่หนึ่ง ภาวะ 2 คู่หนึ่ง ไม่มีแล้ว ดับเทวะ เหลือปริเฉทรูปว่างๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 10:55:52 )

ขยายความหัวเจาะตัวที่ 7 เอกีภาวะ

รายละเอียด

ตัวที่ 7 เอกีภาวะ เป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นเอกภาพที่ไม่มีอิสระไม่ใช่ความมีเอกภาพที่มีปัญญา แต่เป็นเอกภาพที่ยังเป็นทาสอยู่ เอกภาพขณะนี้มีพลเมืองเยอะอย่างประเทศจีน ดูเหมือนว่าเขาเป็นเอกภาพโดยพฤติการณ์ เขาดูสงบนะ ไม่มีความวุ่นวายยุ่งยากอะไรเท่าไหร่ ไม่มีการทะเลาะวิวาท อวิวาทะดูเขามีสามัคคียะ พร้อมเพรียงกันไม่ขัดแย้งกัน แต่พวกคุณรู้ไหมว่าที่จีนมีการทะเลาะเบาะแว้งกันไหม ...ก็มีเป็นธรรมชาติ จะเป็นผู้ที่มีจิตใจเจริญ เป็นกัลยาชนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ มันก็ยังมีโลกธรรม หลงในลาภยศสรรเสริญ หลงโลกียสุขอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบบริหารประเทศที่โลกมีกัน 9 แบบ วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2564 ( 05:28:29 )

ขยายความอีกที ภาวะ 2 คือสุข-ทุกข์ ทำให้เป็น1 คือไม่สุขไม่ทุกข์ให้ได้!

รายละเอียด

ขยายความชัดๆอีกทีก็คือ ผู้ได้ศึกษา“เวทนา 108”ก็จะรู้จัก รู้แจ้งรู้จริง“ความรู้สึก”กันจริงๆ ซึ่ง“ความรู้สึก”นี้มันเป็น“เทฺว”ที่ผู้อวิชชานั้นจะถูกครอบงำด้วย“มายา”ของ“ภาวะ 2”คือ“สุข-ทุกข์” แล้วหลงติด“สุข”โลกีย์นี้อยู่ เพราะไม่ได้ศึกษา“อาริยสัจ 4” จึงจัดการกับ“ความรู้สึก”ของตนที่ยังมีอาการ“สุขหรือทุกข์”ให้หมดสิ้นไป

เป็น“1”อย่างเดียวสุดวิเศษ คือ“ไม่สุขไม่ทุกข์” เรียกในภาษาศัพท์ว่า“อุเบกขา” ซึ่งภาวะก็คือ “ความรู้สึกกลางๆระหว่างสุขกับทุกข์” 

“สุข”ก็ไม่เป็น หรือ“ทุกข์”ก็ไม่เป็น มันเป็น“ความรู้สึก”อื่นไปแล้ว คือ“ไม่เป็นทั้งสุข-ไม่เป็นทั้งทุกข์”  ดับ“เทฺว”ไปเลย

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 336 หน้า 250


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:36:40 )

ขยายความเน้นเนื้อหาในเพลงสมรรถภาพ

รายละเอียด

มาขยายความ เพื่อเน้นเนื้อหาความเข้าใจความรู้และเป็นให้ได้จริงๆตามนี้ 

มาเถิดมาอย่าช้า ก็คือเร่งรัดเร่งเร้าปลุกเร้ากันให้มาเร็วๆอยู่ไหนก็รีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม ซึ่งภาษาไม่ได้ยากอะไร 

มาปลูกย้ำธรรมเนียม หมายความว่ามาปลูก มาย้ำ มาฝึกฝน มากระทำมาฝึกหัดให้เป็น ธรรมนิยม ให้เป็นธรรมเนียมอันเที่ยงแท้ นิยมะคือเที่ยงแท้

เตรียมไถไร่นา ป่าสวนมวลพืชพันธุ์ ทั้งไร่ทั้งนาทั้งป่าทั้งสวนมวลพืชพันธุ์ ครบทั้งเนื้อหาพยัญชนะ รวมพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้ครบ 

มาสร้างคนร่วมกันรังสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย ไทยรุ่งเรืองเป็นประทีปเป็นแสงสว่างไปสู่ความอิสระหรือไปสู่ความเป็นไทย หรือคนไทยหรือประเทศไทย คนไทยนี่แหละให้เจริญประสบความเป็นไทยเป็นอิสรเสรีภาพอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั่วโลก นี่เป็นสร้อย 

เพลงโลกุตระเป็นไปเพื่อสังคมมนุษยชาติ เป็นไปไม่เพื่อตัวตน เป็นเพลงละกิเลส เป็นเพลงโลกุตระ 

เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ แสวงหา ใฝ่หาความสูง ใฝ่หาความสุขสูงสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่าเพื่อจะพาชีวิตดี 

หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่ หากใครสร้างกรรม กรรม เป็นตัวยิ่งใหญ่ตัวรวมทุกอย่าง กรรมเท่ากับ God ของศาสนาเทวนิยม แล้วกรรมเป็นจริงกว่า God ที่ว่าอย่างนั้นเพราะว่า God มันยังไม่เคยเห็นตัวตน พระเจ้าอยู่ไหนไม่รู้มีคำสอนตายตัว เป็นความเที่ยงตรงเด๊ะเลย อธิบายอะไรออกไม่ได้ ทั้งๆที่โลกมันเปลี่ยนไป 

ใครเชื่อกรรม เร่งความพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ ให้มันเกิดสมรรถนะ หรือให้มันเกิดความสามารถเกิดทักษะเกิดความเชี่ยวชาญ ให้เต็มที่ เมื่อเต็มที่แล้วเก่งแล้วก็เพิ่มพลังงานขยัน ขยันสร้างสรร แล้วพลีออกสละออก ไม่ใช่ขยันสร้างสรรค์แล้วโลภ กักตุนเป็นของกูและเอาไปออกดอกออกผลให้สะสมมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นโลกีย์จัดจ้าน ยังเป็นพวกทุนนิยม เป็นพวกที่ทำลายสังคม เป็นพวกบาปกินหัว ฟังให้ดีนะ อาตมาพูดแรง พูดสั้น อาตมาด่าเอาบุญ ด่าชำระกิเลส ด่าชั้นสูง

ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก  แผ่คือกระจายออกไปให้แก่โลกเขา ตนเองทำตนเองเป็นเจ้าของทรัพย์แต่เราสละพลี แจกให้แก่ผู้อื่น

เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก

ให้มันลดอบาย ลดสิ่งต่ำไปเรื่อยๆ แล้วเสริมบุญ​คือ อาการตัดกิเลส 

สร้างคนสร้างงานทำงานแล้วหมดตัวตนมีระบบสาธารณโภคีสุดยอดยิ่งใหญ่ไม่ต้องสะสมไม่ต้องไปแย่งใคร สามารถจานเจือจุน อย่างกระท่อมปันสุข ก็เอาที่ดีๆงามๆให้เขาหน่อยไม่ใช่เอาที่เน่าๆ ให้เขา 

สมรรถะนี้คือทุน นี่แหละเป็นนายทุนที่แท้จริงคือมีสมรรถนะ ไม่ใช่มีเงินทองมีธนบัตรมีข้าวของไม่ใช่ แต่เป็นนามธรรม นายทุนของเราเป็นนายทุนนามธรรม นายทุนความขยันนายทุนสมรรถนะเป็นความรู้ความสามารถ เป็นยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก ผู้ละกิเลสได้ก็มี สมรรถนะและความขยันเป็นทรัพย์แท้ ให้แก่โลก ตัวเองไม่ต้องไปคิดว่าฉันมีทรัพย์ฉันมีนามธรรม แต่เป็นอัตโนมัติของตนเองโดยไม่ต้องนึกถึงเลย เราไม่ต้องนึกว่าเรามีทรัพย์อยู่เท่าไหร่แล้วมีอริยทรัพย์เท่าไหร่แล้วไม่ต้อง ไม่ต้องเลย ไม่ต้องไปกังวล พนักงานนามธรรมจัดการทำบัญชีให้เราเอง ยิ่งกว่าสุวรรณสุวาน พวกเราไม่ใช่สุวานมาทำ แต่พวกเรามีสุวรรณมาทำ สุวานไปทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง สุวรรณมาทำให้เรา สุวรรณ เราก็เป็นช่าง แต่พวกเราไม่มีใครชื่อสุวาน (หมา) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 6 วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2564 ( 14:00:13 )

ขยายความเป็นสภาวะ

รายละเอียด

อาตมาอธิบายอย่างเอาสภาวะมาอธิบาย ไม่ได้อธิบายอย่างตำราอย่างพยัญชนะที่เขาเรียนแต่มันก็ชี้สภาวะไม่ผิดหรอก ยืนยันว่าอาตมาก็อธิบายเป็นสภาวะที่ถูกต้อง ใครเคยฟังแล้วฟังเข้าใจก็จะเห็นว่าอธิบายอย่างเก่านั่นแหละ แต่มันอาจจะมีพยัญชนะต่างๆที่มันมีประกอบต่างกันไปบ้าง แต่ขยายความเป็นสภาวะแท้ ตรงหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 10:41:03 )

ขยายความเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7

รายละเอียด

ขนาดเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังรีไทร์ไป จริงๆแล้วระดับ 7 ไม่ได้หมายความว่ารีไทร์ไม่ได้ ระดับ 7 หมายความว่ามีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ระดับ 5 ระดับ 6 ก็ยัง ยังไปเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไม่ได้เป็นอุดมศึกษา ระดับ 7 ขึ้นไปถึงจะเป็นอุดมศึกษา สามารถเข้ามหาวิทยาลัยเป็นพุทธเจ้าได้ ถ้าต่ำกว่านั้น อนิยตโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌ ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 18:21:10 )

ขยายความเวทนากับสงสาร

รายละเอียด

ยิ่งอวดอุตริมนุสธรรมอวดทั้งที่ว่าตัวเองไม่มีอุตริมนุสธรรมก็ปาราชิกแล้วปาราชิกซ้ำอีกไม่รู้กี่กรรมกี่วาระ กี่กระทง คนที่มีบาปเวรเช่นนี้อาตมาก็รู้เห็นอยู่ ถึงบอกว่าหยุดเสียเถิดอย่าไปทำต่อไปอีกเลย ให้จับเสียแม้จะมัดไม้มัดมือก็อย่าให้เขาไปทำ อย่างนี้เป็นต้น

ก็ได้แต่บอกให้ด้วยความสงสาร  เวทนา เพราะเขายิ่งทำจะยิ่งจมในสังสารวัฏยิ่งจะจมในเวทนาหนักเข้าไปใหญ่ อาตมาขยายความเวทนากับสงสาร ซึ่งพยัญชนะกับสภาวะที่เอามาพูดกันนี้ สงสารคนนี้ก็คือเห็นคนนั้นวงเวียนตกอยู่ในวัฏฏะที่วนเวียน อยู่ในสังสารวัฏไปอีกนานเท่านาน จึงเลือกศัพท์คำนี้ว่าสงสารเขา ก็ไม่อยากให้เขาตกนรกขึ้นสวรรค์หนักหนาสาหัสอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์กี่ชาติก็อยากให้เขาดีพ้นสงสาร

เวทนา สงสาร พัฒนาต่อเป็น ศัพท์คำไทย เวทนาคือความรู้สึก ก็ไปหลงความสุขความทุกข์อยู่กับเวทนาไม่รู้ว่าเป็นของหลอก ก็ไปหลงอยู่กับเวทนา ก็น่าเวทนา น่าสงสาร คุณไม่รู้จักเวทนาคุณก็วนอยู่ในเวทนาหนักเข้าไปอีกซ้ำซ้อน คุณไม่รู้จักเวทนาที่คุณหลง หลงในสวรรค์ เป็นสุขซึ่งเป็นสวรรค์เก๊คุณก็ตกนรกกัน คุณยิ่งสร้างสวรรค์แก่ตัวเอง ก็เท่ากับสร้างนรกอย่าไปอยากได้สุข พอสุขก็คือทุกข์ สวรรค์ไม่ใช่ธรรมะเดียวเป็นธรรมะคู่ มีสวรรค์ต้องมีนรก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2561 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:13:01 )

ขยายความโลก 9 แบบ 

รายละเอียด

ขยายความโลก 9 แบบ 

1. โลกหมายถึงดวงดาว ก็คือลูกโลกนี้แหละอยู่ในอวกาศ มีดาวแต่ละดวง อย่างของเรานี้เป็นพวกดาวดวงหนึ่ง เป็นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ลูกโลกที่เราอาศัยอยู่ โลกมนุษย์นี้ ก็เป็น 1 ใน 9 ดวง เรียกว่าดาวเคราะห์ นพเคราะห์ ที่เป็นจักรวาลที่เรียกว่า สุริยจักรวาลนี้ จากพระอาทิตย์ดวงเดียวดวงนี้ ก็มีโลก 9 ลูกหมุนรอบพระอาทิตย์นี้อยู่ สุริยจักรวาล 

นี่หมายความถึงโลก ลูกโลกที่มันหมุนอยู่ในแดนอวกาศทั้งหมด นี่คือเป็นรูปธรรมแท้ๆ นี่คือโลก คือดวงดาว 

2. โลกหมายถึงพลังงาน พลังงานความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะมาปรุงแต่งพลังงานอย่างไร มันก็หมุนเวียนเป็นพลังงานหมุนวนสังเคราะห์กันอยู่ในนี้ มีจุดศูนย์กลางแล้วก็มีแรงดูดเป็นพลังงานไป เป็นนามธรรม ที่จริงเป็นนามธรรมก็ได้ เป็นอรูปธรรมก็ได้ ถ้าเป็นอุตุก็เรียก อรูปธรรม แม้พีชะก็ยังเรียกว่า อรูปธรรม ยังไม่เรียกว่า นามธรรม จิตนิยามขึ้นไปจึงจะเรียกว่า นามธรรม 

นามธรรมเป็นความรู้สึก มีเวทนา มีวิญญาณ เรียกว่า นาม ถ้ายังเป็นแค่พืชยังไม่เรียกว่า นาม ทีเดียว เรียกว่า ยังเป็นอรูปธรรม พลังงานอรูป แม้ว่ามันมีชีวะแล้วแต่มันยังไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ยังไม่จัดอยู่ในจิตนิยาม ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีบาปมีบุญ นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ข้อที่ 8 โลกคือธรรมะนิยาม 5 เดี๋ยวจะอธิบายไปเรื่อยๆ 

3. โลกคือสังขาร ตอนนี้มีวิญญาณเข้ามาร่วมแล้ว สังขาร วิญญาณ นามรูป ถ้าเอา 3 ตัวนี้มาก็คือ 3 เส้า

อวิชชา จึงมีสังขาร สังขารจึงรู้ว่ามีเหตุปัจจัยคือวิญญาณ วิญญาณจึงมีเหตุปัจจัยคือนามรูป สังขาร-วิญญาณ-นามรูป สังขารคือสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ระหว่างสามเส้านี้ เราเรียกตัวกลางว่า วิญญาณ มันปรุงแต่งกันอยู่ ก็แยกเป็น 2 คือนามกับรูป ซึ่งมีอีกเยอะแยะไป ขยายนาม ขยายรูป พระพุทธเจ้าขยายรูปไว้ถึง รูป 28 แต่นาม มี 5 เท่านั้น แต่นามขยายจาก นาม 5 นี้ไปอีกเยอะ เป็นเจตสิกต่างๆ มากมาย นี้เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนของความรู้ของพุทธศาสนา มีสภาวะจริงรองรับนะ ที่พูดไปนี้ ไม่ได้หมายความว่ามีแต่พยัญชนะบัญญัติภาษาเท่านั้น และความจริงอยู่ไหน มี เป็นนามธรรม หรือเป็น อรูป นี้แหละ พอมีจิตวิญญาณเข้าไปร่วมก็เป็น นามธรรม

โลกคือสังขาร ในสังขารนี้แหละมีอุปาทาน ไล่จากสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน โอ้โห ไล่ไปไกลเลย ถ้าอาตมาขยายความนี้ ไล่ปฏิจจสมุปบาท ไล่ไป ค่อยๆ ไล่ไป ปฏิจจสมุปบาท เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไล่ตอนนี้

อุปาทาน ยึด ยึดไปเป็นภพเป็นชาติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาทนี้ ที่ยึดก็เพราะว่าโง่ อวิชชา  ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณ ไม่รู้นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ก็เลยตกตะกอนตกผลึกเป็นอุปาทาน แล้วก็เป็นภพเป็นชาติ 

4. โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ

อุปาทาน ยึด ยึดไปเป็นภพเป็นชาติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาทนี้ ที่ยึดก็เพราะว่าโง่ อวิชชา  ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณ ไม่รู้นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ก็เลยตกตะกอนตกผลึกเป็นอุปทาน แล้วก็เป็นภพเป็นชาติ 

5. โลกหมายถึงอวิชชา ขยายถึงต้นตอของปฏิจจสมุปบาท อวิชชานี่แหละ ที่คนไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความจริงที่บริบูรณ์ นี้คืออวิชชา เหลือน้อย
หนึ่งก็อวิชชาน้อยหนึ่ง เหลือสองน้อยก็อวิชชาสองน้อย เหลือสามน้อยก็อวิชชาสามน้อย นี่ก็พูดเป็นภาษาง่ายๆ ลักษณะนาม เพราะฉะนั้นต้องศึกษาให้เป็นวิชชา เป็นโลกแบบที่ 6

6. โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์ 

ต้องให้มาเป็นความรู้ อย่าให้เป็นความไม่รู้ เป็นความรู้ หรือ วิชชา หรือ ปัญญา หรือเรียกอีกภาษาหนึ่งเรียก ญาณ ก็ได้ 

วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์เลยทีนี้ 

ใครเคยสังเกตไหม ว่าคำว่าบริบูรณ์ กับคำว่าสัมบูรณ์  2 คำนี้มีนัยยะสำคัญต่างกันอยู่ เคยสังเกตเห็นไหม 

บริบูรณ์หมายถึงเต็มเปี่ยม สัมบูรณ์ หมายถึงทั้งเต็ม ทั้งรอบ ทั้งครบ ทั้งถ้วน ทั้งทุกอย่างครบไปหมดเลย สัมบูรณ์ อาตมาขยายนัยยะอย่างนั้น คำว่า สัมบูรณ์กับบริบูรณ์นี้ต่างกัน 

บูรณะ (บูรณ์) นี้แปลว่าเต็ม บูรณะอย่างปริ อย่างรอบ เรียกว่า บริบูรณ์ กับ บูรณะอย่างสมะ เต็มอีกอย่างหนึ่ง บริ-บูรณะ กับ สมะ-บูรณะ ต่างกันที่ สมะ กับ ปริ ต่างกัน ถ้าจะไปลงถึงพยัญชนะก็ชัดขึ้นอีกแหละ แต่เอาไว้ก่อน 

ปริ มีทั้ง ปะ ระ และ สระอิ แต่ สม(สะ-มะ) มี ส กับ ม เอง เป็นพยัญชนะเศษวรรคตัวที่ 5 คือ สะ และ มะ เป็นตัวท้ายของวรรค ปะ คือ ปะ ผะ พะ ภะ มะ  ส่วน ปริ นี้ ปะ คือ พยัญชนะตัวต้นของวรรค ปะ เลย ส่วน ริ นี้เป็นพยัญชนะเศษวรรคตัวที่สอง คือ ระ แล้วยังแถมมี อิ อีก  มีอีกสามใยเหนียวผูกไว้ สามใยเหนียวเรียกว่า อยะ คือ ยางเหนียวผูกไว้ เพราะฉะนั้น ปริ มีสภาพความหยาบกว่า สมะ  

7. โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว

ก็ไม่น่าจะต้องขยายความมากสำหรับพวกเรา แต่ที่อื่นยังต้องเรียนรู้ ความมี กับ ความไม่มี 2 อย่างนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 16 ข้อ 43 อาศัยความมีกับความไม่มี นี้สื่ออะไรต่ออะไรไว้ โอ้โห สุดยอด ความมีกับความไม่มี

เพราะฉะนั้น ในโลกอาศัย ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้น นี้เป็นสภาพ2 ที่เรียกว่า เทวฺ หรือ Deva เดวะ ก็เขาเรียกออกสำเนียง เดวะ หรือ ดะเว อะไรก็แล้วแต่ เราก็เรียกอย่างไทยๆว่า เทวะ เอาให้เต็มสภาพเลยก็คือ เทวดา หรือเทวตา คำว่า ดา ก็คือ ตา ที่เติมท้ายเพื่อทำให้เป็นคำนาม 

เป็น 2 สภาพ ความมีกับความไม่มี เพราะฉะนั้น 2 สภาพนี้แหละ เทวฺ หรือ ดะเว  อาตมาสรุปแล้วในมหาจักรวาลไหน ในทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากแยก 2 ในมุมนั้น มิตินั้น หรือ เหลี่ยมนั้น มิติต่างๆประเด็นต่างๆนานา ได้ทั้งครบทุกมุมทุกเหลี่ยม ทุกวิถีทุกมิติเลยนะ รวมอยู่ที่ เทวะ สภาพ 2 

ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยสภาวะ 2 ถ้าเข้าใจแล้วในสภาวะที่คุณจะต้องเรียนรู้ที่ความมี ถ้าไม่มีก็ตีเป็น 0 ไปเลย จบ 0 ก็จบ ต่างกันตรงที่ภาวะไม่มี คือ 0 แล้วจบ แต่ถ้ามีก็คือ อนันตัง  มีคือหาประมาณไม่ได้ อัปปมาณา ส่วนไม่มีนี้คือ 0 ตัวเดียว ถ้ามีนี้ไปเลยอนันตังก็ได้ อัปปมาณาก็ได้ หรือหาที่สุดไม่ได้ หรือมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่เขามีให้นับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จนเป็น 10 ล้านเป็นโกฏ ก็ได้ ภาษาไทยบอกว่านับไม่ถ้วน นับอย่างไรก็นับไม่ถ้วน 

8. โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 ตัวนี้แหละ จะเอาตัวที่ 9 เลย แล้วก็หันกลับมาอธิบายตัวที่ 8 คร่าวๆ สำหรับเวลาที่เหลือ 20 กว่านาที 

9. โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง) 

จะเป็น สูญ หรือ ศูนย์ ก็ตาม ที่อธิบายขยายความไปบ้างแล้ว นั้นคือ จบ 0 ก็ถือว่าจบ จบลงที่ศูนย์ ถ้าใครไม่รู้ความศูนย์ ความจบ ความไม่มีที่บริบูรณ์แล้ว สัมบูรณ์แล้ว คุณก็เลยปัญหาไปแล้ว ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า รู้จักความสูญได้ความไม่มีความจบได้ก็จบ ถ้ายังมีอะไรที่ยังสงสัยอยู่แสดงว่าคุณเองคุณยังไม่หมดปัญหา เลยปัญหาไปแล้ว หรือยังมีปัญหาเหลือที่ขาดหกตกหล่นยังไม่ครบเท่านั้นเอง ถ้าใครครบแล้ว สูญครบ จบ จ่ายจบครบ จ่ายครบจบแน่ ที่เขาไปล้อเลียนพวกเรียนหนังสือ คุณจ่ายทรัพย์ให้ครบก็จบแน่ มันเสื่อมขนาดนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:09:25 )

ขยายความไปมากกว่าพระไตรปิฎก

รายละเอียด

คุณต้องเข้าใจคำว่าอุตุ พีชะ จิต ก่อน อุตุคือ การปรุงแต่งของดินน้ำไฟลม ยังไม่มีชีวะใดๆเลย สิ่งใดไม่มีชีวะแล้ว ปรุงแต่งอย่างไรก็เรียกอุตุ ดินน้ำไฟลม พระอาทิตย์พระจันทร์ Galaxy nebula มันไม่มีชีวะอยู่ในนั้นเมื่อแตกมาเป็นโลกแล้วก็ต้องรอให้เย็นพอสมควรจึงมีสัตว์โลกที่เป็นชีวะอุบัติขึ้นได้ ซึ่งโลกบางโลกมีชีวะระดับหนึ่งยังไม่มีคน พูดมาก็วนไม่รู้โลกกี่ล้านดวง บางดาวก็เหมือนกัน ซับซ้อนมีชีวะได้คล้ายกัน หรือห่างกันเยอะ อย่างใกล้กัน ขนาดพระจันทร์ยังไม่มีสัตว์โลก เราก็มาทำชีวิตให้ ไม่เป็นโทษภัยต่อใครเลยไม่เป็นโทษภัยต่อโลกด้วย อาตมาก็เอาเรื่องนี้มาอธิบาย อาตมาขยายความไปมากกว่าพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีก ซึ่งหลายคนก็ชัดเจนขึ้น ไม่ได้ค้านแย้งไม่ได้ไปล้มล้างบัญญัติของพระพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องที่ขยายความให้ละเอียดต่อไป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2563 ( 16:22:52 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:00:49 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:42:54 )

ขยายชีวกสูตร 5 ข้ออย่างละเอียดลึกซึ้ง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจ 5 ข้อใน ชีวกสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อาตมาอธิบายอย่างลึกซึ้ง ละเอียดมาก

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุทิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  ทำให้สัตว์หมดอิสรภาพนั้นบาปแล้ว จะเป็นวิธีเลี้ยงมันหรือผูกมันไว้ ให้มันหลงก็ตาม เหมือนเลี้ยงปลาเลี้ยงหมู วันร้ายคืนร้ายก็ฆ่าเฉยเลยไม่บอกไม่กล่าวมันหรอก นั่นแหละอันเดียวกัน ทั้งโหดร้ายทั้งโกหก หลอกลวงสัตว์ให้สัตว์หลงลม เสร็จแล้วก็ฆ่า ฆ่า เมื่อไหร่จะมีภูมิปัญญาปฏิภาณรู้ว่า สัตว์เขาก็เป็น ชีวะ 

ก็ท่องนะ สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เอ็งตายฉันกิน แค่นี้มันก็ชัดเจนว่า ทำไมคนถึงได้ตลบตะแลงตอแหลถึงขนาดนี้ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเอ็งตายฉันกิน จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แล้วใครเบียดเบียนใคร 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

มันก็บาปไม่รู้จะบาปอย่างไรทั้งผู้สั่งทั้งผู้ฆ่าทั้งผู้กิน เสร็จแล้วยังไม่พอ ทำเป็น อาหารอันประณีต เอาไปถวายผู้ที่ท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วกับเนื้อสัตว์คือพระพุทธเจ้าก็ดีสาวกพระพุทธเจ้าก็ดีท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วก็เอาไป ว่า นี่ของดีนะจ๊ะ สาวกผู้โง่งมงาย แต่พระพุทธเจ้าไม่งมงายหรอก สาวกโง่งมงายก็ฉัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:02:33 )

ขยายซ้ำ สก สว สย

รายละเอียด

อาตมาขยาย สก สว สย มาหลายทีแล้วก็ซ้ำอีกทีว่า

สก พยัญชนะตัว ส กับ ก เป็นตัวต้นของพยัญชนะ 

สก เป็นตัวต้นครบบริบูรณ์ถ้วนรูปนาม มี ส กับ ก ตัวที่เป็นไปร่วมเริ่มต้นก็ สก 

ก่อนจะเริ่มต้นก็ สย เป็นตัวเริ่มต้นเลย เพราะ ย คือพลังงานตัวต้นเหมือนกัน แต่เป็นตัวต้นของพยัญชนะเศษวรรค ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ 

ถ้า สย ตัว ย คือตัวต้นของเศษวรรค เป็นตัวเล็กที่สุดจึงเรียกว่า อนุ เป็น อนุสย คุณจะต้องอยู่กับตัวนี้มันตามคุณไป คุณตามมันไป คุณจะจัดการมันอย่างไรก็เป็น สย ของคุณแล้วคุณอยู่เหนือแล้ว เป็นตัวควบคุมรู้แจ้งว่ามันคือพลังงาน 2 ตัวเท่านั้น 

ส่วน สว ตัวพฤติกรรม กลาง ผู้ที่บรรลุอนุสัย บรรลุอรหันต์ รู้จัก สก รู้จัก สย แล้วเอามาใช้เป็น สว ส่วนผู้ไม่รู้ก็กลายเป็น สวะ เป็นเศษอะไรที่มันกวนก็ได้ เป็นประโยชน์ก็ได้ถ้าเอาไปใช้เป็นสวะ ลอยไปไม่มีการควบคุม คุณควบคุมมันไม่ได้ ผู้ที่ควบคุมได้ก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ 

ผู้ที่เป็นทั้ง สก สว สย  เกิดสามเส้า รู้ ก รู้ ว รู้ ย 

ว คือ ตัวที่ 4 ของพลังงานเศษวรรค ใน ย ร ล ว 3 ตัวนี้เป็นพลังงาน 3 เส้า เป็นนิวเคลียส แตกไม่ได้ แตกไม่ออก ใครสามารถเริ่มแตกออกได้ก็ ว ตัวที่ 4 พลังงานที่ 4 ตัวนี้จะพัฒนาต่อไปเอง หรือมันจะมาฆ่าตัวเอง อย่างโลกทุกวันนี้เขาอวดดีใช้พลังงานตัวที่ 4 ออกไป แล้วเขาทำร้ายโลกกลับมาทำลายตัวเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 16:49:45 )

ขยายปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นอภิสังขารข้อที่ 1 จนเข้าใจอภิสังขาร 3

รายละเอียด

มาขยาย ปฏิจจสมุปบาท เมื่อเป็นปุญญาภิสังขาร ที่เป็นอภิสังขารข้อที่ 1 

แค่ อภิสังขาร 3 พยัญชนะ ก็ชัดเจน ซึ่งเขาเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ เพราะคุณยังมีคู่ พอไม่ใช่บุญคุณก็ว่าเป็นบาป พอว่า อปุญญะ คุณก็ว่าเป็นบาป ผู้ที่ไม่เข้าใจสภาวะก็จะวนเวียน บุญ ไม่มีวนเวียน บุญ เป็นมือสุดท้าย ทำงานเสร็จก็หายไปเลย เป็นมือเพชฌฆาต มือสุดท้ายของ ฌาน 

ฌาน 4 ฆ่ามา ถือว่าเป็นอุเบกขา สะอาดแล้ว บริสุทธิ์แล้วจากกิเลส  บุญ กระหน่ำอีกเลย สุดท้าย อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ดีไม่ดี อาจจะฟันถึง 5 ครั้ง ขาดแล้วก็สับแล้วสับอีก ก็ต้องตายแน่ไม่ฟื้นเลย เป็นของแน่ ของพระพุทธเจ้านี้เด็ดขาดไม่มีเปลี่ยนแปลง จบเป็นจบ สิ้นเป็นสิ้น เด็ด 

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร หากเข้าใจวนอยู่ ก็เข้าใจกายไม่ได้ แยกกาย แยกจิตไม่ได้ แยก 2 แล้วจับ 2 ให้มารวมเป็น 1 เป็น 0 

1 กับ 2 ก็ทำให้มันเป็น 1 คือคู่หนึ่ง อีกคู่หนึ่ง 1 กับ 0 ต้องทำ 1 ให้เป็น 0 

เมื่อคุณทำ 1 ให้เป็น 0 แล้วคุณก็กลับมาอยู่ที่ 1 เพราะคุณยังไม่ตายคุณยังมีชีวิต แต่คุณทำ 0 ได้แล้ว เมื่อคุณทำได้แล้วคุณจะตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ทำให้ 0 ได้ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน 0 หมดแล้ว  (นาฬิกาจับเวลาเป็น 00:00:00)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 14:44:17 )

ขยายพยัญชนะ ภว

รายละเอียด

ภว มาเป็น ภพ ตัว ว คือเศษวรรค ย ร ล ว คือพลังงานตัวที่ 4 ของ สามเส้า ตัวที่ยังไม่ยอมหยุดเสียที เป็นโลกีย์มันก็ยังไปต่อ มันก็ยังวนอยู่ มันก็ยังบ้าเท่าที่โลกีย์มันบ้า แต่ถ้าโลกุตระบ้า มันไม่ใช่โลกุตระแล้วล่ะ ขออภัยขยายความให้มันพิสดารไปเท่านั้นเอง ถ้าโลกุตระบ้าคือพวกที่เพี้ยนเลย ไปหยิบเอาอะไรมาหลงว่ามันเป็นโลกุตระ ก็จะบ้าเป็นโลกียะตามระบบระเบียบของมัน ดีคือดีชั่วคือชั่ว ถ้าโลกุตระแบบนี้ ไม่มีดีไม่มีชั่วเลย ก็เละเทะปนเปกันไป โอ้โห.. เรือหายเลย ไม่มีเรือเลย เพราะฉะนั้นอย่าให้เรือหาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 05:19:52 )

ขยายพยัญชนะ สัญญา

รายละเอียด

หรือ ส เป็นตัวที่ 7 ของเศษวรรค กับ ญ ตัวที่ 5 ของความฉลาด จ ฉ ช ญ

สัญญา กับกองของปัญญาคือ ญ ถ้า ญญ ชักจะเริ่มสอง ญ ถ้าสอง ญ ผูกกันเขาก็เป็น อัญญา ก็เริ่มเข้าไปรู้อันอื่นอีกเยอะแยะ เป็นกัญญา งัญญา ภาษาไทย งัน นี่นิ่งเลย ฉลองความเงียบ ความตาย ความเลือก ความจบ ความนิ่ง คำว่า งัน แปลเป็นภาษาว่าสนุกสนานแต่ที่จริงเงียบงันแล้ว มันเงียบ มันนิ่ง มันหยุดเลย งัน 

เสร็จแล้วมาปลุกงันที่มันเงียบให้มาดัง ให้สนุกสนานขึ้นมา งานศพเป็นงานเงียบที่ทุกคนเงียบ ทุกคนนิ่งหมด โศกเศร้าซึมหมดเลย เงียบงัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 15:16:32 )

ขยายพยัญชนะ อายะ กับ ตนะ 

รายละเอียด

อายตนะ เป็นตัวกลาง ผัสสะ แล้วเกิดเวทนา ที่จริงเวทนาหรืออายตนะ ถ้าจะปั้นเวทนาอาการหยาบๆ มาเป็นอายตนะ มันก็เป็นอายตนะนั่นแหละ

อายะ กับ ตนะ อายะคือ ประโยชน์ คือกำไรส่วนที่ได้ ถือว่าเป็นของส่วนที่ได้ 

ตนะ ตัวตน ตน ที่ตั้งอยู่ ที่จริงมันไม่ได้ตั้งหรอก น พอเราไปยึดถือว่ามันมีมันก็ ต ยึดว่ามันไม่มี ถ้าเป็น น จะเอา ต หรือ น เรายังไม่สูญปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องมี ต หรือถ้าเราทำให้มันไม่มีก็ทำให้มันไม่มีได้ จิตของเราทำให้ไม่มี เมื่อทำให้มันไม่มีอาการของมันก็ไม่มีในจิต อย่างเช่น อาการรสของความชอบ ความสงบ มันก็ไม่มี มันเป็นอาการกลางๆ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง มันหลอกเราได้ดี

แยกสอง อายะ กับ ตนะ 

ตนะ เป็น static อายะ เป็น dynamic ถือว่าเป็นประโยชน์นายทุนนี้ชอบมากเป็นประโยชน์จะสะสมมาเป็นของกูตัวกู ตัวตนะ มันก็ยังไม่มีจบมีแต่ตัวตนตลอดกาล มาเรียนรู้แล้วไปหลงอารมณ์เวทนา 2 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 19:13:03 )

ขยายพยัญชนะของตัณหา

รายละเอียด

เมื่อสามารถที่จะรู้ตัวเหตุคือตัวตัณหา ยิ่งถ้าจะขยายพยัญชนะของตัณหาอีก 

ถ้า ต ณ ตัว ณ ตัวนี้ไม่ใช่ น.หนูนะ แต่ตัณหา มีตัว ณ.เณร ไม่เต็มตัวไม่เป็นตัวเป็นตนกว่า ตน ซึ่ง ตน เป็นตัวตนกว่า ตณ ใครไปยึด ตณ ไปเป็นตัวจริง เป็น ห  (ห ของแท้ของจริง) ห หิ โหติ เป็นสิ่งที่จริง คุณก็ไปยึดเป็น ตณ ห 

ห แล้วเป็นตัว ห ไม่พอ ตัณหา เป็นพหูพจน์เลย คุณก็ไปยึดตัวที่เท่าไหร่ แล้วแต่ ตน มันก็ไม่ใช่ตัวมัน มันยืมมาใช้เท่านั้นเอง คุณยังไปยึดเป็นตัวจริงอยู่ได้ ห ไม่พอ เป็นหา ไปอีก เป็นอเนกไปอีก ไม่ใช่ 1 เลย กลายเป็นหาที่สุดไม่ได้ มากจนไม่มีที่สุดเลย ไม่ใช่ 1 อย่าว่าแต่ 1 เลย 0 ก็ไม่เป็น 1 ก็ไม่เป็นเลย เป็น 2 3 4 5 ไปกันใหญ่เลย หาที่สุดไม่ได้ คุณก็เลยไม่จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 05:13:10 )

ขยายพยัญชนะคำว่า อายตนะ

รายละเอียด

อายตนะก็แยกให้ฟัง อายะ กับ ตนะ เป็นตัวสะพานต่อกัน อายะ คือประโยชน์ หากว่าตนได้ประโยชน์ก็ยังเป็นอวิชชาอยู่ ต้องให้รู้ว่านี่แค่สังขารมันปรุงแต่งกันอยู่เมื่อมีผัสสะ อ้อ อายตนะเกิดจากผัสสะ มี 2 ตัวสังขารปรุงแต่งกันอยู่แล้ว อายตนะ คือวิญญาณ วิญญาณก็แยกย่อยเป็นเวทนา เป็นเวทนาสัญญาสังขารซึ่งเป็นนามซ้อนอยู่ในนาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 20:30:43 )

ขยายพยัญชนะสภาวะธรรมคำว่า กาย

รายละเอียด

คำว่า กาย คือ ก กับ ย เอาสระอามาขยายเป็นพหูพจน์ ก คือ พยัญชนะตัวที่ 1 ย คือ เศษวรรค ตัวที่ 1 เป็นตัวต้นสองต้น เอา สระอามาต่อ เท่านี้คือสามเส้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกอย่างเลย จะให้เป็นกายหรือไม่เป็นกายอยู่ไม่ใช่สามัญปุถุชน ไม่ใช่สามัญของศาสนาเทวนิยม แต่เป็นเรื่องวิสามัญของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่โสดาบัน เริ่มตั้งแต่คำว่า กาย จนไปถึงลักษณะอื่นๆอีก จนกระทั่งสิ้นอาสวะ 

อาตมาอธิบายนี้ไม่ใช่จับแพะชนแกะ มั่ว ไม่ใช่ ถ้าไม่มีสภาวะรองรับด้วยหลักการที่แท้จริงแล้ว เดี๋ยวก็เละ เดี๋ยวก็เลอะไม่เป็นส่ำ อธิบายอะไรไม่เข้าเรื่อง ก็จะกระจัดกระจาย เดี๋ยวจะอธิบายที่ อ.แปลง ส่งมา ส่วน สู่แดนธรรมก็ชื่อเล่นว่า แปลง แต่คนก็มักเรียกว่า แป้ง กัน เพราะเขาชอบศิลปะใช้แปรงระบายสี ก็ชื่อเล่นว่า แปลง  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:15:39 )

ขยายพยัญชนะเศษวรรค

รายละเอียด

พลังงานตัวเริ่มต้นของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห เศษวรรค เป็นตัวพลังงาน พยัญชนะ 5 ตัวนี้คือตัว เศษ  ร คือวิญญาณ ตัวพยัญชนะคือตัวทำงาน 

ย ร ล ว ส ห ฬ อํ เป็นตัวนามธรรม เป็นวิญญาณ พยัญชนะแต่ละตัวก็คือรูป ทำงานร่วมกันระหว่างรูปกับนาม มาแต่ไหนแต่ไรร่วมกันสังขารปรุงแต่งกันมา สังขารเลวก็เป็นสัตว์นรกสังขารดีก็เป็นเทวดาหรือสังขารโลกุตระเป็นปัญญาเป็นผู้รู้ยอดในเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ร่วมกันเป็นประโยชน์คุณค่าอยู่ อาศัยกันอยู่ 2 ธาตุ ธาตุรูปกับธาตุนาม เท่านั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:33:38 )

ขยายพุทธคุณเพิ่มเติม

รายละเอียด

ผู้นี้แหละเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของวิชชาจรณะ พร้อมด้วยวิชชาจรณะจึงจบ ทีนี้ ต่อจากนั้นไป ท่านจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ยังมีเชื้อ อุปาธิ จึงเรียกว่า ตถาคโต คือผู้จะเสด็จไปดีแล้วจะเป็นไปไหนอย่างไรก็มีอันนี้แล้วสมบูรณ์แบบ ถ้าสุคโตก็เป็นเพียงว่าไปดี ไปเจริญมากขึ้นๆ ส่วนตถาคโต ก็จบเลย ไม่มีอะไรเจริญกว่านี้อีกแล้ว ไปไหนก็มีแต่ตัวเจริญเต็มที่ ไม่มีมนุษย์ ที่จะเจริญกว่านี้อีกแล้ว ตถาคโต 

ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะไปดี ไปได้ดี ไปเอาดี ได้เท่านี้อีกแล้ว ตถาคโต ดีเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ถือว่าท่านไม่มีดีกว่านี้อีก แต่ท่านจะดีกว่าอีกก็เป็นเรื่องของท่านเพราะไม่มีใครจะไปไล่ทันท่าน ไม่มีใครจะมีภูมิจะไปวัดท่าน เพราะว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอย่างนั้นเพราะเป็นพุทธพิสัยที่สุดเอื้อม ที่คุณจะไปตัดสินไปทำไปล่วงรู้ พุทธพิสัยสุดยอดอันนี้ ไม่มีทางไปเดาเอาเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่เสด็จไปดีแล้ว ตถาคโต จึงทรงรู้แจ้งโลก โลกทั้งหมด ในคำว่าโลก โลกกาม รูปโลก อรูปโลก หรือโลกแห่งความรู้ที่ซับซ้อน ก็เป็นโพธิสัตว์จนกระทั่งเป็นสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งหมดเลยทุกโลก โลกข้างนอกโลกข้างใน โลกสมมุติหยาบใหญ่ขนาดไหนโลกที่ละเอียดเข้าไปในจิตลึก จนกระทั่งสุด แห่งที่สุดของโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้น วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2565 ( 13:30:59 )

ขยายวิโมกข์ 8 ด้วยสภาวะธรรม

รายละเอียด

คำว่ามีความสำคัญหรือไม่มีความสำคัญในบาลีของวิโมกข์ข้อที่ 2 บอกว่า อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิปัสสติ มีข้อความเท่านี้ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ)อัชฌัตตังคือภายใน ที่มีทั้งรูปและอรูป แต่เขียนแต่อรูปคือละไว้ในฐานที่เข้าใจ อาตมารู้จักสภาวะ และเข้าใจความหมาย มั่นใจว่าไม่ได้พูดผิด แล้วคุณจะได้ปฏิบัติครบ ในภายใน หากคุณหมดกามภายนอกแล้วก็เหลือแต่ภายใน ก็มีภวะ ก็จะเป็นรูปกับอรูป คุณก็ต้องกำหนดรู้ เรียกว่าสัญญี คือผู้กำหนดรู้ ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี รูปานิ ปัสสติ) คนที่ตาบอดก็รับรูปเห็นรูปไม่ได้ ต้องมีประสาทสัมผัสครบ แล้วต้องสัมผัสอย่างเห็นๆ เรียกว่าปัสสติ รูปก็เห็นด้วยตา หูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นรับรสสัมผัส 

วิโมกข์ 8

1.ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี รูปานิ ปัสสติ) 

2.ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี .   เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3.ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) 

พตปฎ. ล.10  ข.66/ ล.23 ข.163

4.ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน)  เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง อัตถังคมา นานัตตสัญญานัง อมนสิการา  อนันโต อากาโสติ อากาสานัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ) 

5.ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณ หาที่สุดมิได้   (สัพพโส อากาสานัญจายตนัง สมติกกัมมะ อนันตัง วิญญาณันติ วิญญาณัญจายตนัง   อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ) 

6.ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ  ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร (สัพพโส วิญญาณัญจายตนัง สมติกกัมมะ นัตถิ  กิญจีติ อากิญจัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ) 

7.ผู้ที่ล่วงพ้น  อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ  (สัพพโส อากิญ-จัญญายตนัง สมติกกัมมะ เนวสัญญานาสัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ  วิหรติ ฯ) หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้ และไม่มีที่จะไม่รู้ . . . .

8.ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ) หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์ 

อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง  อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์ 8   อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์ จึงบรรลุเจโตวิมุติ – ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ  พตปฎ. เล่ม10  ข.66 (มหานิทานสูตร) 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 10  ข้อ 66 มหานิทานสูตร 


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2563 ( 18:03:02 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:24:01 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:46:05 )

ขยายสัจจญานณ กิจญาณ และกตญาณ

รายละเอียด

หาว่าอาตมาไม่ขยาย ต้องพูดว่าหาว่า พูดอยู่อธิบายอยู่แต่ไม่ได้อธิบายมาก เติมก็ได้

สัจจะ คือความจริง กิจ คือการกระทำ กต ก็เสร็จ 

สัจจะอะไร พระพุทธเจ้าเรียนรู้สัจจะ สัจจะ มีนานาที่เขาเถียงกัน ในจูฬวิยูหสูตร สัจจะชนิดต่างๆ คนก็เถียงกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง เอกังหิสัจจะนัตถิทุติยมถิ ไม่มีสองมีหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น คืออะไร 

สัจจะที่เถียงกันนั้นคือเถียงกันไป เพราะจับสัจจะหนึ่งเดียวไม่ได้ สัจจะหนึ่งเดียวคืออริยสัจจะ 

อริยสัจจะมี 4 หลักเกณฑ์คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่คือ สัจจะมีหนึ่งเดียว อริยสัจจะ นี่คือสัจจะ เรียนรู้สัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่แหละแล้วปฏิบัติ กิจ หรือกระทำการปฏิบัติ ปฏิบัติสัจจะนี่แหละ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้เรื่องเดียวทั้งชีวิต แล้ว จะบรรลุ อริยสัจ 4 เป็นอรหันต์ บรรลุสัจจะหนึ่งเดียว คุณเจริญหมดทุกอย่างเลยเท่าที่มี ถ้าคุณจะหันไปหางานใดๆในโลก ดีทุกอย่าง

สรุปแล้ว สัจญาณคือรู้ แต่กตญาณคือเสร็จแล้ว จะอยู่นานอยู่ที่ กิจญาณ จะนานหรือไม่นานก็ของใครของมัน เรียนให้ดีแล้วตีกรอบให้ดี เริ่มต้นเรียนรู้ชัดเจนว่า 

ศีลข้อ 1 2 3 

3 ข้อนี้ทำความเข้าใจให้ได้จะครบแล้ว 

เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ 2 เกี่ยวกับของกับพืช 3 เกี่ยวกับทวารทั้ง 6 ศีล 3 ข้อนี้ มันมีอันนี้ต้องระมัดระวังต้องเรียนรู้ มีเท่านี้จริงๆ กระทบสัมผัสกับของ กับพืชผักกระทบสัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะมนุษย์ แล้วก็ตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่คือการปฏิบัติธรรม

เมื่อเรียนรู้ กิจญาณ ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละปฏิบัตินี้แล้วจบสิ้นอาสวะก็คือกตญาณ ญาณ​รู้จักจบ

เพราะฉะนั้นถ้าเอาหลักของศีลมาตรวจสอบเกี่ยวกับสัตว์ เราก็กระทบกับคนทุกวันนี้แล้ว ตกลงกระทบกับคนข้างนอกก็ไม่มีอะไร กระทบคนข้างในเราก็ถือสา ตกลงแม้แต่ในพวกเราเองกระทบแล้วก็สบายเข้าใจเขาทุกอย่าง คนนี้เป็นจริตนี้แบบนี้ เขาก็ต้องเป็นแบบนี้ ประทับตรา มันก็เป็นเช่นนี้เอง เราก็อุเบกขาจิตของเราก็สบายไม่มีกระเพื่อมไม่มีกิเลสเลย จิตก็สะอาดอยู่เรื่อย บริสุทธิ์ ปริสุทธา ประภัสสร คุณก็จบได้ รู้จบตัวจริงตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:47:09 )

ขยายสายพุทธิจริต

รายละเอียด

เดี๋ยวจะได้ขยายสายพุทธิจริตที่มันเลยเถิดพุทธิจริตกลายเป็นพญาครุฑ ไปเป็นพวกเวหาหาวที่หลงเพ้อ เขาเรียก อะไร 10 ข้อพระสูตร วิปัสสนูปกิเลส 10 หลงอะไรก็ละเอียดวิเศษไปหมดเลย ซึ่งมันเกินมันสุดโต่งไปไกล ไม่อยู่ในกรอบที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป มันก็เลยเลอะเทอะไปใหญ่ ปรุงแต่งกันเสียจนเกินเลย เลยเถิด เช่น สมีธัมมชโย ขออภัยที่อาตมาจะต้องเรียกให้ชัดๆว่าเป็นสมี เพราะว่าปาราชิกถึง 2 ตัว ธัมมชโยหรือพระไชยบูลย์ หัวหน้าใหญ่ของธรรมกาย เดี๋ยวอาตมาจะได้กล่าวถึง วันนี้เตรียมอันนี้มาเพื่อจะพูดประกอบ ให้เห็นถึงความละเอียดลออ ลึกซึ้งตามที่ยกอ้างคำพูดของเขาเลย ตามหนังสือที่อาตมาได้รับ ก็มีผู้ที่ใจดี เขาติดต่อกับทางธรรมกายอยู่ คือ ดอกเตอร์จำลอง ทิ้งสุข ก็ขอบคุณเป็นอย่างมากเลยที่ส่งหนังสือของธรรมกายเขามาให้อาตมาเสมอๆ นี่เขาก็เอาออกมาพิมพ์อีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:58:25 )

ขยายอาการของสติ ปัญญาตัวท้ายของสัทธรรม 7

รายละเอียด

พหูสูตคือ ผู้รู้ที่บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเองมีสัจธรรม 4 ตัวแรกแล้ว เชื่อ เข้าใจ เกิดรู้ ศรัทธา แล้วก็หิริ แล้วก็โอตตัปปะ บรรลุได้พหูสูต คุณก็มีวิริยะ สติ ปัญญา หนุนสัจธรรมอีก(วนรอบอีกในระดับสูงขึ้นไปอีก-เจริญ) 

หนุน 4 ข้อนี้เลย วิริยะ โอ้! อย่างนี้มันได้จึงต้องพากเพียร ปฏิบัติถูกแล้วเรา ได้มรรคได้ผลแล้วเรา คุณก็จะมีสติจะบริบูรณ์ สติจะตื่นเต็ม สติจะแจ้งสว่าง รู้ความจริง รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร  มันเกิดความรู้ที่กว้าง ความรู้ที่สว่าง ความรู้ที่เปิดเผย โอ้ มันชัดขึ้นสติ นี่ อาตมาขยายอาการของสติ 

วิริยะและสตินั่นแหละปัญญาตัวท้ายของสัทธรรม 7 ก็บริบูรณ์ด้วยศรัทธา บริบูรณ์ด้วยปัญญา เป็นกำลัง 5 สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ เกิดอาการพละกำลัง พลังงานคุณภาพของความเจริญ เจริญหมด ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีอินทรีย์เจริญขึ้นไปเป็นพละไปเป็นผล เจริญไปสุดเป็นผล จากอินทรีย์เป็นพละ อินทรีย์ 5 เป็นพละ 5 หรือเป็นผล 5 ขึ้นไป

เพราะฉะนั้น สภาวธรรมที่เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่ใช่มีแต่ปากเปล่า ปากเปล่าๆ พูดกันพยัญชนะไปเถอะ ความหมายก็ไม่ผิดหรอกตื้นๆอย่างนั้น แต่คุณฟังที่อาตมาอธิบายนี่ มันเข้าถึงเนื้อของปรมัตถ์นะ ที่อาตมากำลังอธิบาย ใช่ไหม มันเข้าเนื้อถึงปรมัตถ์ อินทรีย์ 5 พละ 5 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 16:36:49 )

ขยายอายุขัยด้วยสูตร E=C(mc2+A)

รายละเอียด

ชีวิตคนสามัญ อายุร้อยก็ยากแล้ว แล้วอายุเก้าสิบก็เป๋แล้ว นั่งวิลแชร์กันแล้ว อายุร้อยนี่ ที่จะไม่นั่งวิลแชร์เดินเหินแข็งแรงได้นี่หาได้ยาก มีบ้างนะมี อาตมาเคยเห็นเขาออกทีวี เดินเหินทำงานได้แต่นอกนั้นหากร้อยก็วิลแชร์หรือนอนติดเตียง แต่ไม่ตายเท่านั้นเอง แต่อาตมาจะพยายามพิสูจน์แม้อธิบายไม่ได้แต่ก็พยายามเก่ง มีสูตร E=C(mc2+A)

 ไม่รู้นักวิทยาศาสตร์จะว่าบ้าไหม C คือสัมประสิทธิ์ก็คือ mc2+A ตัว A คือ abstract คุณต้องพยายามจับให้ได้ A คือ mc2 จนกว่า แล้ว ได้ A มาบวกไปเรื่อยๆ จนได้ mc2+A ก็คือ C

ไปได้เรื่อยๆคุณจะสร้าง mc2+A กี่ร้อยชุดก็ตาม ถ้าสามารถ อาตมาก็พยายาม อาตมาใช้สังขารร่างกายมา แต่เด็กก็ไม่ควรจะแข็งแรงขนาดนี้ อาตมาก็พยายามทำ 8 อ.ให้แข็งแรงขึ้น ทุกวันนี้ก็ได้ขึ้นมานะ แต่นี่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นมันก็ได้อยู่ หากอาตมาอยู่อีกห้าปี อาตมาก็ 90

90 อาตมาแอคทีฟอย่างนี้อยู่ แต่คนยิ่งอ่อนแอลง แต่ถ้าอาตมาแค่รักษา 85 หรือ 90 ก็เท่าเดิมเท่านี้ก็เท่ากับมีสัมประสิทธิ์หากยิ่งแข็งแรงกว่าอีกก็ยิ่งแท้ก็ดูไป

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน อัตราเร่งอย่างไรเรียกว่าสัมประสิทธิ์ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:41:00 )

ขยายอายุด้วย 8 อ.

รายละเอียด

การขยายอายุนั้น อาตมาทำหลักที่คนทั่วไปเข้าใจและทำได้ง่ายก็คือ 8 อ. หลายคนก็ฟังก็แล้วกัน 

1. อิทธิบาท 

2. อารมณ์ 

3. อาหาร 

4. อากาศ 

5. ออกกำลังกาย 

6. เอนกาย

7. เอาพิษออก 

8. อาชีพ 

ถ้าจะไปขยายความมันก็จะยาว ไปทำความเข้าใจไม่ยากหรอก มันจะยากที่อารมณ์ ต้องมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องมาเรียนรู้วิธี เวทนาคืออารมณ์ สรุปแล้วทำให้อารมณ์ดี จะสามารถยังอายุให้ได้ถึง กัป หรือเกินกว่ากัป นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ อย่างพระพุทธเจ้าท่านจะอายุ 100 ปี 120 ปี 180 ปี อย่างพระอานนท์ พระกัสสปะก็ได้ แต่ 80 ปีท่านก็พอแล้ว เออรี่รีไทร์แล้ว 80 ปีท่านก็ไปแล้ว อานนท์ไม่เอาแล้ว เราได้ปลงอายุสังขารเสร็จแล้ว เสร็จแล้วพระอานนท์ก็ไม่อาราธนาให้อยู่ต่อ 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่สามารถมาทำ 8 อ. แล้ว มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ทำจิตวิญญาณนี่แหละให้แข็งแรงเป็นพระอาริยะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ให้เป็นพระอรหันต์ก็จะมีพลังที่ยังขันธ์ ให้ยืนยาวไปได้จริง 

การจะตายนี้ มันตายเพราะพยาธิ เพราะโรค นอกนั้นก็ตายอุปัทวเหตุ ไอ้โรคนี้ มันมีทั้งโรคที่เป็นวิบาก มีทั้งโรคที่เราโง่ไปหามาเอง ไปดิ้นไปวุ่นวายไปเอามาไปติดมาจากที่อื่น 

เพราะฉะนั้น ถ้ามาศึกษาธรรมะแล้วเราจะไม่วุ่นวายไปติดได้ อยู่กับหมู่พวกที่ปราศจากเชื้อโรค ปราศจากโทษภัยอย่างอยู่ในหมู่พวกชาวอโศกมันเป็นที่ที่ปลอดภัย 

เพราะฉะนั้นในการที่จะทำให้อายุยาวยืน มีทั้งองค์ประกอบตามที่กล่าวมาคร่าวๆนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:32:27 )

ขยายเทวของผู้หลง 2 ว่าเป็น 1 เป็นผู้อวิชชาเต็มห้อง

รายละเอียด

ที่อาตมาสรุปว่าทุกอย่างในโลกนี้มี 2 คือ ภาษาบาลีว่า เทฺว เขาจะอ่านภาษาสำเนียงอย่างไรก็ตามอาตมาก็อ่านว่า เทวะ คือสอง เรียนรู้สิ่ง 2 นี่แหละทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาก็เรียนสิ่งที่เป็นสอง สสารกับพลังงาน หรือพลังงานที่เป็นบวกกับลบ สอง สุดท้ายก็ใช้พลังงานบวกลบนี่แหละ 

ถ้าเข้าใจแล้วทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ มันมีสิ่งสอง เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ไปหลง หลงนะไม่ใช่รู้ ไปหลง 2 เป็น 1 พวกนี้เป็นคนที่มีความรู้อวิชชาเต็มบ้อง หลง 2 เป็น 1 แต่ถ้ารู้ว่าคนที่ไปหลง เป็น 1 ก็คือผู้มีอยู่ ที่จริงมันไม่มีมันมี 0 จริงๆถ้ามัน 2 มันก็คือ 0 กับ 1 มี 0 ตัวหนึ่งกับ 1 ตัวหนึ่งก็คือ 2 เพราะฉะนั้นตัวที่คุณอาศัยอยู่ก็คือ 1 ถ้าคุณเลิก 1 แล้ว คนนี้ก็ไปหา 0 จบ ไม่มีอะไรเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 15:06:09 )

ขยายเป็น 5 ภาพ

รายละเอียด

อิสรเสรีภาพ (Independent) มีอิสรภาพพ้นอำนาจกิเลส .

ภราดรภาพ (Fraternity)  มีภาวะแห่งรักกว้างออกไปดุจดั่งญาติ 

สันติภาพ (Peace)  มีภาวะสงบแท้ ไม่มีตัวเหตุเบียดเบียน

สมรรถภาพ (Efficiency)  มีความสามารถสรรสร้างประโยชน์สุข 

บูรณภาพ (Integrity) ปรับปรุงพัฒนาให้เจริญ  ให้เต็มบริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 10:19:57 )

ขยำขี้ เป็นเช่นไร ตาบอดเห็นฟ้าสดใส ได้อย่างไร

รายละเอียด

อาตมาใช้ศัพท์ว่า ขยำขี้ คุณมีแต่อดีตกับฟุ้งซ่านไปในอนาคตตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาล ก็มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 วนอยู่ในโลกอันไม่เป็นความจริงแล้วอนาคตก็จะมีแต่ นิรมาณกายมีแต่ฟุ้งซ่าน กาย ทางภพชาติแปลกประหลาดไปเรื่อยๆเป็นนิรมานกาย แล้วมีอุปาทานหมู่เป็นสัมโภคกาย แล้วต่างคนต่างเป็นอาทิสมานกาย คือคุณปรุงแต่งรูปนามของคุณเอง แต่ทำทีเหมือนพวกตาบอดเห็นฟ้าสดใส ตาบอด100คนมาบอกว่าวันนี้ฟ้าสวยจังเลยนะ ใช่ๆๆ ตาบอด 100 คนตาบอดสนิทด้วยทั้ง 100 คน ขานรับกันเลยว่า วันนี้ท้องฟ้าใสจังเลยตาบอดร้อยคน เป็นอุปาทานหมู่ แล้วก็เป็นเรื่องมีจริง ในโลกนี้มีจริง ชวนกันโง่ สรุปง่ายๆก็คือการชวนกันโง่และโง่ตามกันอย่างจริงด้วยอยู่ในโลก 

เช่น ยกตัวอย่างอย่างสำคัญ กูจะเป็นเจ้าโลก นี่พวกเทวนิยมหรือพวกที่ยังไม่มีปัญญายังมีตัวตน ยังจะต้องการใหญ่ต้องการโตอยู่ทั้งนั้นเลย สงครามยูเครนกับรัสเซีย สงครามอะไรก็ตามที่ใครจะทำสงครามอยู่ในมุมไหน แต่ตอนนี้สงครามที่เป็นข่าวคือรัสเซียกับยูเครนเท่านั้น มันก็คือพวกโง่ไม่รู้จบพวกนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 12:02:20 )

ขวนขวายอุตสาหะเผยแพร่ทฤษฎีตาม “วรรณะ9”!

รายละเอียด

ก็ทั้งบรรยาย ทั้งพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่ ทั้งใช้สื่อสารเท่าที่

เราสามารถขนขวายอุตสาหะทำได้ ด้วยทฤษฎี“แบบคนจน”

เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติมีมรรคผลจริงได้ตามพระอนุสาสนีย์

พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า 

จึงเป็น“คนจน”ตาม“วรรณะ 9”ที่แท้จริง ไม่ได้แฝงเล่ห์ซับซ้อนใด 

ยืนยัน“ความจริง”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”กันจริงๆแท้ 

และไม่ต้องกดข่ม“ความจน”ของตนเลย 

เพราะเต็มใจจน-ตั้งใจจน-มุ่งมาจนกันจริงๆ 

ด้วย“ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า การเป็นคนที่มี“ความจน”

อย่างสัมมาทิฏฐินั้น คือ อาริยบุคคลแท้ คือ คนประเสริฐผู้่ยังชีพ

อย่างเป็นประโยชน์ต่อตน ต่อสังคมมนุษยชาติ ต่อโลก

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 519 หน้า 386


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 12:16:57 )

ขวัญ

รายละเอียด

เป็นอรูปชนิดหนึ่ง ขวัญเป็นตัวแทนค่าของนามธรรม 

รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ธาตุถูกรู้ ส่วนนามธาตุเป็นธาตุที่ไปรู้เขา อรูป ก็เป็นธาตุที่เล็กละเอียดจาก กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ

ขวัญ มีความหมายมากกว่านั้นอีก มันเป็นสิ่งที่อยู่ประจำธาตุวิญญาณ เป็นความหมายของไทย ถ้าจะเรียกด้วยภาษาเขา ก็เป็นขวัญธาตุ หรือเรียกธาตุขวัญ

ที่มา ที่ไป

630301


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 20:32:13 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:46 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:46:54 )

ขวัญ

รายละเอียด

ตัวแทนค่าของนามธรรม , อินทรีย์ 5 พละ 5 , อรูปชนิดหนึ่ง , เรื่องยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณที่มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งของจิตวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 10:10:32 )

ขวัญ 

รายละเอียด

ขวัญ คือ เรื่องยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณที่มันมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งของวิญญาณ เช่น เมืองไทยมีประเพณี เรียกขวัญ สู่ขวัญ ก็คือ ทำพิธีให้มันเกิดกำลังใจ ให้มันมีอะไรขึ้นมา มีความเชื่อมั่นอะไรก็แล้วแต่ หรือขวัญคือ อินทรีย์ 5 พละ 5 อินทรีย์ภาคของมรรค พลัง คือ ภาคของผล

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 เดือนกันยายน 2562


เวลาบันทึก 24 ตุลาคม 2562 ( 12:47:26 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:45:57 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:48:01 )

ขวัญเป็นอรูปชนิดหนึ่ง

รายละเอียด

ขวัญ เป็นอรูปชนิดหนึ่ง ขวัญเป็นตัวแทนค่าของนามธรรม รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ธาตุถูกรู้ ส่วนนามธาตุเป็นธาตุที่ไปรู้เขา อรูป ก็เป็นธาตุที่เล็กละเอียดจาก กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ก็มีสามธาตุของสามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ต้องเข้าใจระดับของหยาบ กลาง ละเอียดไปตามลำดับให้ดี มันจะสลับกัน เพราะนามธรรมมันกลายเป็นตัวให้ถูกรู้ แล้วมันก็มีธาตุรู้ที่เป็นปัญญาหรือเป็นธาตุสัญญาที่ไปกำหนดรู้รูปอีกที ตัวถูกรู้นั้นเป็นนามธรรม มันแปรตัวเป็นตัวถูกรู้ เรียกว่ารูป อีกศัพท์หนึ่งว่านามรูป ไม่ใช่ รูปรูป ไม่ใช่วัตถุรูป แต่มันเป็นนามรูป ที่ถูกรู้ด้วยนามรูปอีกทีหนึ่ง มันซ้อน เป็นสิ่งที่อธิบายกันยากมาก เรียงลำดับให้ดีไม่อย่างนั้นสับสนไม่รู้เรื่อง แม้จะรู้เรื่องแล้วก็จะสับสน คนไม่สับสนก็จะเก่งมาก ต้องชัดเจน ขวัญ มีความหมายมากกว่านั้นอีก มันเป็นสิ่งที่อยู่ประจำธาตุวิญญาณ เป็นความหมายของไทย ถ้าจะเรียกด้วยภาษาเขา ก็เป็นขวัญธาตุ หรือเรียกธาตุขวัญ อาตมาก็ลองเรียกดู อาจไม่ชินหู อาตมาก็เลยตั้งชื่อพวกเรา มี ขวัญธรรม 

 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 13:49:02 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:01:57 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:48:53 )

ขวาจัดดีกว่าซ้ายจัด

รายละเอียด

ขวาจัดน่าจะดีกว่าซ้ายจัดนะ ซ้ายจัดมันแง่งๆๆๆ พวกส้มๆนี่แง่งๆๆๆ พวกขวาจัดนี้แน่นดีกว่าตึ้บๆๆๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:43:10 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:04:16 )

ขวานจักตอก

รายละเอียด

อาตมาก็ต้องพูดความจริง ความจริง อาตมาจริงๆไม่ใช่เป็นคนห่าม คะนอง แต่อาตมาต้องพูดมันดูท่าทางแข็งกระด้าง ไม่อ่อนน้อม ไม่กะหนุงกะหนิงเท่าไหร่ มันเปรี้ยงๆ จนอาตมาได้รับฉายาว่า เป็นขวานจักตอก พูดตรง พูดแข็ง พูดแรง ซึ่งเป็นการคัดเลือกคนชนิดหนึ่ง คนที่ น๊องๆแน๊งๆ มาอยู่กับอาตมาไม่ได้หรอก ต้องคนที่เด็ดต้องขาดหน่อยหนึ่งมาปฏิบัติธรรมกับอาตมาได้สำเร็จได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องง่าย  เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง จากคนจริงๆ ที่บรรลุจริง มีธรรมะจริง จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ในยุคที่ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า คนโง่ คนฉลาดน้อย ก็ต้องพากเพียรหน่อย อาตมาว่า นี่มันจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:52:55 )

ขว้างงูไม่พ้นคอคือกบฏต่อพระพุทธเจ้าอย่างไร 

รายละเอียด

ประเทศชาติมนุษยชาติในโลกโลกีย์ทั่วไปเขาก็ใช้แม้แต่ประเทศไทยที่มีศาสนา พุทธโลกุตระ แล้วรู้ดีในเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้ว ไม่ได้ไยดี ขนาดนั้นคนไทยยังจมอยู่แม้แต่กระแสหลักยังต้องมียศมีศักดิ์ มีตำแหน่ง ต้องเป็นเจ้าคุณชั้นล่าง เจ้าคุณชั้นเทพ เจ้าคุณชั้นพรหม เจ้าคุณสมเด็จ จนเป็นสังฆราชเลย ไม่ได้ขว้างงูพ้นคอ คือ กบฏ ต่อพระพุทธเจ้า 

พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าท่านเคยมีหมด แต่ท่านเข้ามาเป็นสามัญทุกอย่าง ไม่ได้มีตำแหน่งยศศักดิ์อะไรเลย มีแต่ความจริงกับความรู้ความฉลาดความจริงที่เป็น โลกุตระภูมิที่ท่านมีสัพพัญญุตญาณ 

แล้วสัพพัญญุตญาณของท่าน ทวนกระแสกับสิ่งเหล่านั้นเลย ปฏิโสตัง ย้อนแย้งกับสิ่งที่ทั้งคนทั้งหลายยึดถืออุปาทานแล้วอยากได้แสวงหา ทวนเลย ทวนกระแส แล้วท่านก็ประสบผลสำเร็จ 

แล้วที่มันสำคัญก็คือท่านเรียนรู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน ท่านเรียนสิ่งเหล่านี้แหละ ซึ่งมันจะต้องมีเหตุปัจจัยให้อาศัย 

อาศัย อาลัย 

อาศัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัย พยัญชนะเหล่านี้ หยิบมาใช้สื่อสภาวธรรม เพื่ออธิบาย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 19:25:57 )

ของจริงที่รับรู้ร่วมกันที่เป็นสัจจะ

รายละเอียด

คือ บัญญัติภาษาเฟ้อๆ มีเยอะ มาเอาของจริงที่เห็นกันได้มีประสาทรับรู้ภายนอกรับได้ร่วมกันรู้ได้   ร่วมกันล้านคนรับรองร่วมกัน  พันล้านคนร่วมกันได้  สื่ออันนี้เค็มคือเค็ม  หวานคือหวาน แดงก็คือแดงตรงกันดำก็คือดำตรงกัน แล้วแต่ภาษาอื่นจะเรียกก็ได้ เป็นสัจจะที่รับรู้ตรงกันได้  เอหิปัสสิโก  เป็นของที่รู้ร่วมกันได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 11:58:04 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:47:41 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 02:50:23 )

ของจริงที่รับรู้ร่วมกันที่เป็นสัจจะ

รายละเอียด

ในบัญญัติภาษาเฟ้อๆมีเยอะ มาเอาของจริงที่เห็นกันได้มีประสาทรับรู้ภายนอกรับได้ร่วมกันรู้ได้ร่วมกันล้านคนรับรองร่วมกัน พันล้านคนร่วมกันได้ สื่ออันนี้เค็มคือเค็ม หวานก็คือหวาน แดงก็คือแดงตรงกัน ดำก็คือดำตรงกัน แล้วแต่ภาษาอื่นจะเรียกก็ได้ เป็นสัจจะที่รับรู้ตรงกันได้เอหิปัสสิโก เป็นของที่รู้ร่วมกันได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 11:47:02 )

ของจริงมีปริมาณน้อยแต่คุณภาพเต็มที่

รายละเอียด

แต่ก่อนนี้มีโลกุตรธรรม ประเทศไทยตั้งมา 800-900 ปีมีพุทธศาสนามาแล้ว แม้ว่าศาสนาพุทธผ่านมาพันปีสองพันปี เสื่อมมาบ้างแล้ว แต่เชื้อแก่นโลกุตระก็ยังมีอยู่ มันก็ยากคนรับได้ยาก คนเอาได้ยาก แต่เมืองไทยเอาได้ ถ้าเอาได้ก็เป็นของจริงมีปริมาณน้อยเท่านั้นเองหรือคุณภาพเต็มที่หรือไม่เต็มที่ เต็มที่ก็เริ่มต้นเป็นพระโสดาบัน  สกิทาคามี อนาคามี   อรหันต์ ส่วนจะเกินอรหันต์นั้นมันเป็นความรู้ทางโพธิสัตวภูมิ ก็ไม่ขอพูดตอนนี้ ก็ค่อยๆศึกษากันให้ดีต่อไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 17:22:44 )

ของธัมมชโยนี่ กายต่างกัน สัญญาต่างกันกับของพ่อครู คนละโลกเลย 

รายละเอียด

แล้วเขาก็มีสัญญากำหนดธรรมกายหยาบของเขาซึ่งต่างจากสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ค่อยๆฟังอาตมาขยายความ เป็นอย่างที่เขาใช้สัญญากำหนดมุ่งหมายอย่างนั้น ซึ่งต่างกันกับของโพธิรักษ์แน่นอน สัญญาต่างกันแน่นอน กายก็ต่างกัน ของธัมมชโยนี่ กายต่างกัน สัญญาต่างกันกับของอาตมา คนละโลกเลย) 

รู้ได้เมื่อเข้าถึง อย่างที่เขาพาทำ มันก็ได้สิเพราะเกิดอุปาทานหมู่ ที่เขาเป็นต่างคนต่างตาบอดคืออทิสสมานกาย ไม่เห็นอะไรกันทั้งนั้น อาทิสมาณคือไม่เห็นอะไร ต่างคนต่างเห็นของตัวเองไปทั้งนั้นนั่งหลับตาแล้วก็ใสๆๆๆ )

คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ ตาก็บอด แล้วก็พากันตาบอดแล้วก็ไปดูหนังใบ้อีก มันไม่มีภาพอะไรให้เห็นก็บอกว่าท้องฟ้าสวยโอ้โห นกบิน เห็นกันที่ไหนมันหลอกกันหมด คนก็หลอกอย่างธัมมชโยหลอกแบบนี้ เป็นคนตาบอดหลอกคนตาบอดไปดูหนังใบ้กัน ฟังเข้าใจไหม  เป็นสมถะ 100% มีแต่สมถะอย่างเดียว 

พูดมันง่ายนะ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยากอะไร เพราะสะกดจิตให้หยุดรู้ หยุดธัมมวิจัยไม่มีอะไรเลย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า มันอยากคืออะไร คุณสะกดจิตไม่ให้รู้เลย อสัญญีสัตว์ ไปหลงอุปาทานสร้างความใสด้วย เหมือนนักสะกดจิตสร้างเหตุปัจจัย ให้เอาอะไรก็ได้มาสะกดจิตเอาอะไรมาห้อยให้ดู ก็สะกดจิตได้แล้วเชื่อเขาหมด นี่เป็นวิชาสะกดจิตแท้ๆเลย เสร็จแล้วก็หลอกเอา หลอกเอา 

เป็นคนไม่หวงแหนวิชาการเลยแต่วิชาการของคุณแถมเงินมาอีกล้านๆๆก็ไม่เอา ให้ฟรีหรือแถมเงินด้วยก็ไม่เอาวิชาโง่ๆอย่างนี้ไม่เอา พิสูจน์ได้ พวกมิจฉาทิฏฐิก็พิสูจน์มิจฉาผลได้ ก็พวกคุณนี่แหละมิจฉาทิฏฐิพิสูจน์มิจฉาผล อาตมาทำได้อย่างนั้นเปรียบเทียบกันทั้ง 2 อย่าง อย่างนั้นอาตมาก็ทำได้ แล้วอาตมาก็ทำอย่างที่ของพระพุทธเจ้าได้ อาตมาได้ทั้งสองอย่างเลย แต่เขาไม่มีทางที่จะเป็นได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะเขาผิดไปหมดเขาไม่มีวิธีการเขาไม่มีมรรคผลอะไร มีแต่มิจฉามรรค มิจฉาผล

พิสูจน์ด้วยการไปเชื่อเขา แล้วถูกเขาครอบงำอย่างนั้น มันก็ได้ความครอบงำอย่างนั้น มันไม่แปลกเลย อาตมาก็ทำได้ บุญมันมีไม่ได้ ไม่ใช่เข้าใจง่ายเรื่องบุญ บุญมันมีไม่ได้ บุญนี้มันเป็นอาวุธร้าย เพราะสร้างในขณะปัจจุบันเป็นพลังงานต่อจากฌาน เป็นอาวุธมือสุดท้ายของการฆ่ากิเลส ตัดหัวตายเด็ดขาด บุญนี่ เป็นอาวุธ พลังงานนี้มันเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธ เป็น ปุญญาภิสังขาร สร้างพลังงานนี้ขึ้นมาในปัจจุบันเท่านั้นไม่มีที่อื่น มาฆ่ากิเลสสร้างขึ้นมาฆ่าเสร็จแล้วมันก็จบกิจ เอกังสะ เป็นพลังงานส่วนเดียวไม่เป็นพลังงาน 2 เลย จะหมุนกลับมาเป็นพลังงานบาป บุญบาปอีก ไม่มี มันฆ่ากิเลสท่าเดียว One Way Traffic ไปตรงอย่างเดียวเลยเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นเลย ไม่ใช่นิวเคลียร์ฟิวชั่น อย่างนี้เป็นต้น ฆ่า แล้วเสร็จก็หายไปแต่นี่เขาก็ยังกลับมามีบุญสะสมบุญอีก บุญ เป็นตัวตนเป็นกุศล มันไม่ถูกสัจจะของพระพุทธเจ้า บุญของเขาไม่ใช่อาวุธฆ่ากิเลส กลายมาเป็นกุศลที่จะต้องสะสม อันนี้แหละมิจฉาทิฏฐิกันมากในศาสนาพุทธ เข้าใจไม่ง่าย ยาก 

อาตมาจึงต้องมาสาธยายคำว่าบุญ เป็นบุญนิยม มาตั้งศัพท์เพื่อที่จะขยาย เขียนหนังสือเปิดยุคบุญนิยม 3 เล่มแล้ว มันไม่ยากหรอกวิธีนั้นนั่งสะกดจิตเข้าไปๆพากเพียรสะกดเข้าไปแล้วก็สร้างอุปาทานในจิตเข้าไปเรื่อยๆ มันก็ได้จะไปยากอะไร อาตมาไม่เห็นว่ามันยากอะไร แต่ ฌาน ของพระพุทธเจ้า สิ ยาก ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้านั้นยาก

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชนะมารอย่างไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพหุงฯ 8 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2566 ( 19:26:26 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์