@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

บิณฑบาต

รายละเอียด

อาหาร

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 226


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:20:53 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:47:05 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:13:46 )

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กับ ตูน Bodyslam เป็นโพธิสัตว์ แต่ซื่อบริสุทธิ์ต่างกัน

รายละเอียด

จริง เขามีเลือดของโพธิสัตว์เขามีเลือดของการจะช่วยเหลือผู้อื่น น่าจะเป็นดาราเขาก็ไปทำงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่ไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนไปช่วยเหลือที่จะเก็บศพ แทนที่จะเอาเวลาไปสำมะเลเทเมาเหมือนดาราต่างๆทั้งหลาย จริงๆการไปเช่นนี้ก็เป็นการโฆษณาหาเสียง แต่ถ้าใจเขาไม่มี สาเฐยจิต เขาเข้าใจจริงๆว่าทำอย่างนี้มันเป็นสาระเขาก็มีชีวิตอยู่กับสาระอย่างนี้อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งคนในโลกนี้ มันก็มีอย่างนี้ ถ้ามีคนอย่างคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว ขออภัยจะเทียบนิดหน่อย ดารากับดาราด้วยกัน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์กับคุณตูน Bodyslam คุณตูนมีแทคติกในการแสดงออก ส่วนบิณฑ์ ไม่ได้มีแทกติก มีความจริงใจที่จะแสดงออก จะเห็นได้ ถึงความซื่อบริสุทธิ์ของคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ขออภัยที่ต้องวิจัยวิจารณ์เป็นวิชาการ ไม่ได้ยกใครข่มใคร เป็นพฤติกรรมของดาราแต่ละคนที่จะเห็นได้รู้ได้ อาศัยอันนี้มาเป็นตัวอย่างอธิบายสัจธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีงามที่ประเสริฐ ตัวอย่างดีเหมือนกันแต่ไม่เท่า เปรียบเทียบให้ฟัง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ยอดคนอาภัพที่มีระดับของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 20:42:24 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 17:13:04 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:14:22 )

บิดา มี

รายละเอียด

อัตถิ  ปิตา

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 14:29:44 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 17:14:40 )

บุคคล

รายละเอียด

1. ผู้จะเสวยความพ้นทุกข์

2. สิ่งที่สูงขึ้นเพราะปัญญานำมาก่อน  สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะการเรียนรู้สิ่งที่เกิดแรก

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 138 ,  139


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:22:12 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:51:32 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:15:11 )

บุคคล 2 ประเภท เกิดเป็นชายแต่บุคลิกจิตวิญญาณเป็นหญิง เกิดเป็นหญิงแต่บุคลิกจิตวิญญาณเป็นชาย

รายละเอียด

คือ  เป็นบุคลิกที่ไม่ดีทั้งคู่มันไม่ลงตัวมันลงตัวมันก็ดูประดักประเดิดไม่ดูดี

พฤติกรรมของบุรุษ  คือ  ความแข็งแรง กายกรรม วจีกรรมแข็งแรง เราก็ทำให้มันไม่เสียหายอะไร เป็นผู้ชายไปดัดจริตเป็นผู้หญิง ก็ไม่ดี หรือเป็นผู้หญิงจะทำเป็นเหมือนผู้ชายก็ไม่ดี ก็ต้องทำตามสรีระเรา

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบาย รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71


เวลาบันทึก 04 ตุลาคม 2562 ( 15:03:42 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:03 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:15:53 )

บุคคล 4 จำพวก

รายละเอียด

1. อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น) 
2. วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร) 
3. เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป  โดยอุทเทส (หัวข้อ)   โดยไต่ถาม  โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  โดยการสมาคม  โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร)  
4. ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอจะเข้าใจโลกียธรรม  แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ.  หรือเข้าถึงธรรมดาระดับโลกุตระได้ยาก
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 108, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 13:21:52 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:34:41 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:16:18 )

บุคคล 4 แบบไหนที่มีมากในยุคนี้

รายละเอียด

ใช่คุณเข้าใจถูก แต่ผู้ที่เข้าใจไม่ได้น่ะน่าสงสารเพราะเขาไม่มีบารมีพอ นี่พูดง่ายๆชัดๆ เขาก็ได้ยินเขาก็สนใจธรรมะเขาก็อยากได้ แต่เขาไม่มีบารมีพอ ภูมิของเขาเป็นเนยยบุคคล ขนาดนั้นจริงๆ เนยยบุคคล เป็นคนที่พากเพียรอยู่ และยังมีเป็นพวกปทปรมบุคคลอีกเยอะ บุคคล 4 มีเนยยบุคคลอยู่บ้าง พอฟัง พอได้รับรู้อยู่บ้าง มีมาบ้าง (บุคคล 4 /ดอกบัว 4 ดูภาคผนวก)

แต่พวกเรานี้เป็นพวกที่ เนยยะดีแล้ว แล้วมันก็ไม่ถึงกับมี อุคฆฏิตัญญู อันนี้มันไม่มีแน่ อุคฆฏิตัญญู ผู้ฟังหัวข้อธรรม ก็บรรลุมรรคผลเป็นอรหันต์เลย ส่วน วิปจิตัญญู นี้ก็ฟังไป ต้องอธิบายไปพอสมควร ก็ยังยากเลย ก็เป็นเนยยะดีๆหน่อย ว่างั้นเถอะ มีมาก เป็นผู้ที่พากเพียรสะสม อย่างสมัยพระพุทธเจ้านี้ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู มีเยอะ ฟังเทศน์ธรรม 4 คำ อย่างเช่นพระพาหิยทารุจริยะได้รับฟังเทศนา 4 ประโยคก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์เลย อุคฆฏิตัญญู แท้เลย พระยสะ ก็ถือว่าเป็นอุคฆฏิตัญญู ฟังธรรมะ 2 กัณฑ์ก็บรรลุอรหันต์ นอกนั้นก็มีเยอะแยะเป็น วิปจิตัญญู  ฟังธรรมแล้วเป็นอรหันต์ สมัยนี้เราก็สอนแทบตาย มันก็ต่างกันแน่นอน มันจะเหมือนกันไม่ได้ อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าไปก็จะเห็นเข้าใจ ยิ่งพวกเราเป็นนักปฏิบัติธรรมมีสภาวะในตัว มันชัดเจนแล้วก็พอรู้ได้ว่า ของเรานี้มันเป็น เนยยะ เนยเน่าๆหรือเนยสดๆบ้าง ก็ยังพอรู้ตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2566 ( 17:52:27 )

บุคคล 41

รายละเอียด

  1. บุคคลที่ 1 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว
  2. บุคคลที่ 2 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว
  3. บุคคลที่ 3 บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เพราะมีความประมาท
  4. บุคคลที่ 4 อกุปปธัมโม คือ มีธรรมะอันไม่กำเริบ  เพราะไม่มีความประมาท
  5. บุคคลที่ 5 บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เพราะมีความประมาท
  6. บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม
  7. บุคคลผู้ควรโดยเจตนา
  8. บุคคลผู้ควรโดยการรักษา
  9. บุคคลที่เป็นปุถุชน
  10. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคล โคตรภูบุคคล
  11. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว
  12. บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล
  13. บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล
  14. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้เที่ยงแท้
  15. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
  16. บุคคลผู้ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล
  17. บุคคลผู้ชื่อว่า ผู้ทำให้แจ้งซึ่งปรินิพพาน
  18. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลเป็นอริยะ
  19. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลเป็นเสขะ
  20. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลมีวิชชา 3
  21. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้มีปัญญา 6
  22. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้มีสัมมาสัมพุทธะ
  23. บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้เป็นปัจเจกพุทธะ
  24. บุคคลชื่อว่า อุภโตภาค
  25. บุคคลผู้ชื่อว่า ปัญญาวิมุติ
  26. บุคคลผู้ชื่อว่ากายสักขี
  27. บุคคลผู้ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ
  28. บุคคลผู้ชื่อว่าสัทธาวิมุต
  29. บุคคลผู้ชื่อว่า ธัมมานุสารี
  30. บุคคลผู้ชื่อว่า สัทธานุสารี
  31. บุคคลผู้ชื่อว่า สัตตัก
  32. บุคคลผู้ชื่อว่า โกลังโกละ
  33. บุคคลผู้ชื่อว่า เอกพีชี
  34. บุคคลผู้ชื่อว่า สกทาคามี
  35. บุคคลผู้ชื่อว่า อนาคามี
  36. บุคคลผู้ชื่อว่า อันตราปรินิพพายี
  37. บุคคลผู้ชื่อว่า อุปปหัจจปรินิพพายี
  38. บุคคลผู้ชื่อว่า อสังขารปรินิพพายี
  39. บุคคลผู้ชื่อว่า สสังขารปรินิพพายี
  40. บุคคลผู้ชื่อว่า อุทธังโสตอกนิฏฐคามี
  41. บุคคลผู้ชื่อว่า โสดาบัน ชื่อว่าปฏิบัติให้แจ้งเพื่อโสดาปัตติผล

ที่มา ที่ไป

611028


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2563 ( 15:48:51 )

บุคคล 7

รายละเอียด

อาตมาได้นำเอาบุคคล 7 ซึ่งแยกแกนของความเป็นมนุษย์ เป็นสองแกน คือแกนศรัทธา กับแกนปัญญา เอามาบรรยายให้ฟัง ซึ่งสองแกนนี้เป็นเรื่องสัจจะที่แยกไม่ออก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษก วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:10:19 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:29:19 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:16:44 )

บุคคล 7 จากพยัญชนะ

รายละเอียด

มาเข้าสู่บุคคล 7 อ่านจากพยัญชนะ พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 230 พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ   สัทธานุสารี[46] สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล(มรรค) มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น อนึ่งผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต พ่อครูว่า…สายนี้ 7 ขั้นจึงจบ ถึงอุภโตภาควิมุติ  ธัมมานุสารี [45] ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น พินิจธรรมของตถาคตด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ พ่อครูว่า…สายนี้ 4 ขั้นจึงจบ ถึงอุภโตภาควิมุติ  อาตมาไม่ได้ไปข่ม แต่มันเป็นการอธิบายของอาตมาเป็นสายปัญญา พออธิบายไปเขาก็มาเพ่งอาตมา การเพ่งคือการจองเวร อาตมาก็โดนจองกฐิน ได้ฤกษ์งามยามดีเมื่อไหร่ก็ถูกทอด ลงกระทะเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:20:17 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:33:35 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:17:21 )

บุคคล 7 จำพวก

รายละเอียด

กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  “ย่อมมีแก่ภิกษุนี้” คือ

1. อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลบางคนในโลกนี้  ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด  คือ  อรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  และอาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป  เพราะเห็น(อริยสัจ)ด้วยปัญญา  บุคคลนี้เรากล่าวว่า “อุภโตภาควิมุตบุคคล”

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า  กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้   เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว   และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

2.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาวิมุตบุคคลเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป  เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่า “ปัญญาวิมุตบุคคล”    กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุแม้นี้  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว  และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

3.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ (ย่อม)ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียดคือ อรูปสมบัติ ล่วงรูปสมบัติ ด้วยกายอยู่  และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา

     บุคคลนี้เรากล่าวว่า “กายสักขีบุคคล”   กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้  ข้อนั้นเพราะเหตุไร 

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเราเล็งเห็นผลแห่งความไม่ประมาท ของภิกษุเช่นนี้ว่า  ไฉนหนอท่านผู้นี้เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่  พึงกระทำที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองได้ ในปัจจุบันถึงอยู่

4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิปัตตบุคคลเป็นไฉน 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะ

บางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป  เพราะเห็น(อริยสัจ)ด้วยปัญญา  อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้ว  เป็นธรรมอันผู้นั้นเห็นแจ้งด้วยปัญญาประพฤติดีแล้ว  เรากล่าวว่าเป็นทิฏฐิปัตตบุคคล  
     กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้  เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่  พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน  แล้วเข้าถึงอยู่

5. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธาวิมุติบุคคลเป็นไฉน 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะ

บางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา

     อนึ่ง ความเชื่อในพระตถาคตของผู้นั้นตั้งมั่นแล้ว มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว  บุคคลนี้เรากล่าวว่าเป็น สัทธาวิมุติบุคคล    
     กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้  เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่

6. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นไฉน 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะ

บางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา

     อนึ่ง ธรรมะทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้ว  ย่อมควรซึ่งความพินิจ โดยประมาณด้วยปัญญาของผู้นั้น   อีกประการหนึ่ง ธรรมะเหล่านี้ย่อมยังมีแก่ผู้นั้นอยู่  คือ  สัทธินทรีย์  วิริยินทรีย์   สตินทรีย์  สมาธินทรีย์  ปัญญินทรีย์  บุคคลนี้เรากล่าวว่าเป็น ธัมมานุสารีบุคคล   กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้ เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้ว่าไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ฯลฯ

7.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นไฉน 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่   แต่อาสวะ

บางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา

     อนึ่ง  บุคคลนั้นมีเพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต  อีกประการหนึ่ง ธรรมะเหล่านี้ย่อมยังมีแก่ผู้นั้นอยู่  คือ  สัทธินทรีย์  วิริยินทรีย์   สตินทรีย์  สมาธินทรีย์  ปัญญินทรีย์   บุคคลนี้เรากล่าวว่าเป็น สัทธานุสารีบุคคล    กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้  เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้  เสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่  พึงทำซึ่งที่สุด ฯลฯ

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 231-7 , ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 14:45:16 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:37:23 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:19:47 )

บุคคล 7 นี้ พอถึงบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้ว

รายละเอียด

บุคคล 7 นี้ พอถึงบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้ว อาสวะสิ้นทุกอย่างแล้ว เพราะเข้าใจกายจึงปฏิบัติลืมตาและปฏิบัติมาธรรมดาอย่างนี้ สายพระพุทธเจ้านี้ไม่หลับตาเลย ปฏิบัติลืมตามาตลอด ฌาน ก็ลืมตา สมาธิก็ลืมตา วิมุติก็ลืมตา นิโรธก็ลืมตา ไม่มีเข้าฌานออกฌาน ฌานก็ลืมตา ฌานไม่ต้องเข้าๆออกๆ หลับตาถึงจะเข้าฌาน ลืมตาไม่ใช่เข้าฌานนั้นไม่ใช่ ฌานของพุทธนี้ ลืมตาตลอดเวลาไม่ได้เข้าไปหลับ หลับตาเป็นฌานฤาษี เราก็ไม่ปฏิเสธ เขาเรียกของเขาก็เป็นฌานเหมือนกัน 

ฌาน 1 หมายถึงไม่มีนิวรณ์ 5 เริ่มตั้งแต่ฌาน1 เขาก็ทำได้เขาหลับตา อสัญญี ไม่มีนิวรณ์ แต่มันได้อย่างนั้น ต่างกันกับปัญญา นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า แต่มิใช่เหมือนในสัทธาวิมุติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2565 ( 18:38:48 )

บุคคล 7 มี 2 สาย

รายละเอียด

เรื่องนี้อธิบายกันยากมากเลย บุคคล 7 บุคคล 7 ตั้งแต่สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ แล้วก็เป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วกายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ บุคคล 7 นี่แหละ อธิบายก็จะรู้ว่ากายต้องมี 2 พวกสายสัทธานุสารีจะไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จักตายอย่างสัมมาทิฏฐิคุณก็เป็นทฐิที่สัมมาไม่ได้ เมื่อเป็นไม่ได้คุณก็จะบรรลุทิฏฐิปัตตะไม่ได้ ปัตตะ แปลว่าการบรรลุมรรคผล คุณก็จะเป็นสัมมาผล ที่เป็นทิฏฐิ ในระดับที่ 1 ไม่ได้ สองสาย สัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี ในระดับแรกท่านยังไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี ให้เท่าเทียมกันกับอีกสายหนึ่ง มาเป็นขั้นที่ 2 ก็จะแยกเป็น ทิฏฐิปัตตะ ก็สามารถมีมรรคผล ส่วนสายศรัทธาแยกไม่เป็นจึงได้แค่สัทธาวิมุต วนเวียนอยู่ในกรอบเดิมไม่มีทางออกไปเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:01:00 )

บุคคล 7 สองสาย

รายละเอียด

จะอธิบายบุคคล 7 บุคคลสองสายคือสายศรัทธากับสายปัญญา หากเข้าใจกันได้ จะทำงานร่วมกันเป็นผลอาศัยจนเก่ง ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ เป็น 0 ได้ 0 ก็คือ Infinity จะเป็น 2 3 4 5 เก่งได้เรื่อยๆ ทำได้เยอะๆเลย อาตมาก็ทำกับผู้ที่เข้าใจกันได้ เกิดประโยชน์ด้วยกันพูดกันรู้เรื่อง ได้ประโยชน์ร่วมกันเข้าไปหากัน ผู้ที่เขายังไม่ได้ก็จะค่อยๆมาเติม จะมีคนค่อยๆเพิ่มขึ้นจะค่อยๆรู้ แต่ก่อนอาตมาถูกแอนตี้ ถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีตมาทำลาย จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครมาว่าเท่าไหร่ แต่ก็มีเศษหลงเหลืออยู่บ้างหรือเขายึดมั่นหมู่ที่ผิด ไม่ได้รู้เรื่องเก่า แต่เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 30 กว่า เขาก็ยังสนใจธรรมะ เขาก็จะฟังทางโน้นไป โดยที่มีครูอาจารย์นำไปทางโน้น มาฟังอาตมาก็ไม่เข้าใจเพราะยึดถืออย่างโน้นแล้ว จะหาว่าอาตมาทำลายศาสนาอีก น่าสงสาร คนจะมาฟังอาตมารู้เรื่องคือ 1 ไม่มีอคติ จะต้องศึกษาสองฝ่ายใจเป็นกลางไม่มีอคติ แล้วจะได้ ไม่เช่นนั้น ไปยึดทางไหนก็ยาก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:18:09 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:38:40 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:20:25 )

บุคคล 7 สายศรัทธากับสายปัญญา

รายละเอียด

เริ่มต้นที่สายศรัทธา จะยาวยืดอยู่กับอุปาทาน อุปาทานแปลว่าความติดความยึด จะเสียเวลานานมากๆ คือความหลงยึดถือ ยึดถือความไม่มี ว่า มีสายศรัทธา ยึดถือความไม่มี ว่ามี สายปัญญา จะรู้แจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี มี มีอาศัย พระพุทธเจ้าอาศัยอยู่ในความมีของชีวิตพระชนม์ชีพ 45 ปี แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:54:20 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:39:13 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:21:00 )

บุคคล 7 หรือทักขิเณยบุคคล 7 จำพวก

รายละเอียด

บุคคล 7 จำพวก ล.36 ข้อ 40 ทักขิเณยบุคคล 7 หรือ เล่ม 13 ข้อ 233

[46] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉนสัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า “สัทธานุสารีบุคคล” ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต

[45] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉนปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ

[44] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต

[43] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ

[42] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี

[41] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ปัญญาวิมุต

[40] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จ อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียก ว่า อุภโตภาควิมุต

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 10:57:34 )

บุคคล 7 อย่างย่อ

รายละเอียด

บุคคล 7 อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ  ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี  

บุคคลที่ 7 คือ อุภโตภาควิมุติ เป็นผู้ที่มีอาสวะสิ้นได้

และบุคคลที่ 6 คือปัญญาวิมุติก็เป็นบุคคลผู้ที่อาสวะสิ้นได้

กายสักขี อาสวะยังไม่สิ้นหมดได้เพียงบางส่วน ทิฏฐิปัตตะก็ได้บางส่วน สัทธาวิมุติ ถ้ามีปัญญาเข้าไปเสริม มีสัมมาทิฏฐิเข้าไปได้​ สัทธาวิมุตินั้นก็ได้บางส่วน แต่ถ้าสัทธาวิมุตินั้นยังไม่มีปัญญา ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะจมและวนอยู่ในวิมุตติที่เป็น มิจฉาวิมุตติของตน สายศรัทธา ช้า ทำให้ช้ามากเลย สายนั่งหลับตาเป็นต้น จะวน อยู่ในมิจฉาวิมุตติ นึกว่าหลับตาดับ อสัญญีสัตว์ ของตนเป็นวิมุติเป็น สมถะ อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนธัมมานุสารี สัทธานุสารี คือผู้ที่ตามศึกษาให้รู้สัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 11:38:44 )

บุคคล 7 

รายละเอียด

ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจก็ตาม รัฐศาสตร์ รัฐกิจก็ตาม ความรู้ทุกวันนี้ เข้าใจกันมากขึ้น มันมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบขยายตัว มีรูปธรรม นามธรรม ที่ชัดเจนขึ้นมากกว่าเก่า 

มาขยายตรงนี้ ขยายบุคคล พระพุทธเจ้าท่านแจกบุคคลเอาไว้ 9 สำหรับบุคคล ระดับพระพุทธเจ้ากับระดับปัจเจกพุทธเจ้า ขอยกไว้ก่อน เหลือบุคคล 7 

บุคคล 7 1.อุภโตภาควิมุติ 2.ปัญญาวิมุติ  3.กายสักขี 4.ทิฏฐิปัตตะ 5.สัทธาวิมุติ 6.ธัมมานุสารี 7.สัทธานุสารี  

ก็มาไล่ตั้งแต่ สัทธานุสารี คนที่มีศรัทธา จะเป็นจริต จะเป็นตระกูลของแต่ละคนก็จะได้เป็นศรัทธาจริต ศรัทธาแกนนี้ 

ส่วนธัมมานุสารี เป็นแกนธรรมะกลางๆ ซึ่งจะมีพุทธิจริตก็ได้ หรือจะมาค่อยๆจากศรัทธาจริตขึ้นมาหาพุทธิจริตคือปัญญา ก็พัฒนามา 

เพราะฉะนั้น ต่ำสุด แย่สุดก็คือ สัทธานุสารี นี่ไม่ได้ไปกดไปข่มพวกสายศรัทธานะ ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน แต่กำลังอธิบายสารัตถะของวิชาการ เพราะฉะนั้นจะรู้ช้า ศรัทธาจะรู้ช้า 

ถ้าเป็นธัมมานุสารีก็จะรู้เร็วขึ้น ท่านอธิบายเอาไว้ว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธานำกับปัญญานำ ธัมมานุสารีก็เป็นผู้ที่มีปัญญานำ สัทธานุสารีก็เป็นผู้ที่มีศรัทธานำ 

เพราะฉะนั้น คนที่แม้จะมีตระกูลจริตมาแต่เดิมเป็นศรัทธาก็ตาม ก็พัฒนาขึ้นได้ ให้มันมีปัญญาจนกระทั่งสักชาติหนึ่ง ก็มาเป็นปัญญาแทน ไม่ต้องไปเป็นศรัทธาที่ช้าเหมือนอย่างเดิม รู้ช้า รู้ยากเหมือนอย่างเดิม เร็วขึ้น รู้ได้มากขึ้น ไวขึ้นได้ 

อันที่ 3 สัทธาวิมุติ คำว่า วิมุติ คำนี้เน้นตัวตระกูลศรัทธา ยังไม่มีทิฏฐิ ยังไม่มีความเห็น ยังไม่มีความเข้าใจ ยังไม่มีเชิงปัญญามาก เพราะฉะนั้น สัทธาวิมุติ จึงจะวนในสัทธาวิมุติ นาน อีกนาน เช่น ไปเอาแต่สะกดจิตเข้าใจแต่ว่าจะทำให้เกิดวิมุติก็คือดับกิเลสกลายเป็นดับสัญญา ไม่เข้าใจว่าต้องมาทำจิตอื่นทำให้เกิดปฏิภาณปัญญารู้จักโลกรู้จักอัตตา แล้วก็จะมีรายละเอียดจับกิเลส ลดกิเลสให้ได้ไปตามลำดับ กว่าจะรู้ก็ช้า 

เพราะฉะนั้นในลำดับที่ 4 ทิฏฐิปัตตะ เป็นผู้ที่มีความเห็น เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ ปัตตะ คือ บรรลุ ปฏิภาณปัญญา ถ้าเป็นธัมมานุสารีก็ข้ามสัทธาวิมุติไปได้เลย เร็ว ไปเป็นทิฏฐิปัตตะ ก็บรรลุด้วยทิฏฐิที่สัมมาทิฏฐิ ผู้บรรลุก็จะมีกายสักขี มีหลักฐานพยานครบทั้งภายนอกภายในคือกาย 

สัมผัสข้างนอกก็วิมุติ จิตก็วิมุติ ก็จะมีปัญญา มีปฏิภาณปัญญาเข้าใจ เพราะฉะนั้น สายธัมมานุสารีหรือสายที่เข้าไปถึงทิฏฐิปัตตะได้เร็ว ข้ามกายสักขีมาเป็นปัญญาวิมุติ จึงทำอาสวะสิ้นได้ เพราะมันครบกาย ครบจิต 

ส่วนสัทธาวิมุตินั้นไม่ครบกายครบจิต กว่าจะมาเป็น ทิฏฐิปัตตะ กว่าจะมีกายสักขีสมบูรณ์ขึ้น กว่าจะเป็นปัญญาวิมุติได้ ก็นาน

เพราะฉะนั้น เมื่อสายศรัทธามีปัญญาวิมุติจึงจะเป็น อุภโตภาควิมุติได้ จึงจะทำอาสวะสิ้นหมดได้เมื่อมี 2 แต่ปัญญาวิมุติ สายปัญญานั้น สายพุทธิจริตนั้น มาถึงปัญญาวิมุติ ก็ทำอาสวะสิ้นหมดได้ก่อน 

เพราะรู้จักกาย รู้จักจิต กายต้องมีภายนอก ไม่ใช่หลับตา ไม่อยู่แต่ภายใน เพราะฉะนั้นจึงพูดอีก ย้ำตีหัวตะปูอีก หลับตานั้นเลิกไปเลยมิจฉาทิฏฐิ พวกโมฆะบุรุษ มันไม่ได้หรอก คุณปฏิบัติธรรมไม่มีกาย ไม่ยอมรับภายนอก มันไม่มีความจริง ไม่มี ทิฏฐธรรม มันไม่เป็น ทิฏฐกาละ ไม่มีปัจจุบันชาติ  มันมีแต่อดีตกับอนาคต อาตมาก็ไม่มีพยัญชนะมากกว่านี้เนาะ มันมีแต่วนอยู่ในเรื่องเก่ากับเรื่องที่เขาฟุ้งเฟ้อไปในอนาคต คิดฟุ้งไป มันไม่มีสัจจะที่ชัดเจน ครบเลย มีฐานที่ตั้งของความจริง ทุกคนรู้ร่วมกันได้

คุณไปนั่งหลับตา คุณคิด ใครจะไปรู้ร่วมกับคุณได้ คุณก็ไปอยู่ในภพของคุณ เป็นนิรมานกาย เป็นองค์ประชุมที่คุณเนรมิตเอง แล้วคุณก็มีพรรคมีพวก เป็นสัมโภคกาย พูดกันรู้เรื่อง แต่ต่างคนต่าง อทิสมาน ต่างคนต่างไม่เห็น ไม่รู้ของใครของใคร คุณรู้ของคุณคนเดียวของกู ก็รู้ของกูเท่านั้น แต่ก็ทำเป็นโมเมเหมือนรู้ร่วมกัน  แต่ที่จริงไม่ได้ร่วมตรงไหนเลย  

นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย คนที่ไม่มีที่ตั้งของกายนี้เป็นสัมภเวสี ไม่มีที่ตั้งของความจริง จะมีนิพพานต้องเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฐิ เพราะจะเรียนนิพพานต้องมีทิฏฐธรรมหรือทิฏฐกาล ต้องเป็นปัจจุบันชาติ ไป
หลับตามีแต่อดีตกับอนาคตก็อยู่ในทิฏฐิ 62 ของพระพุทธเจ้านั่นแหละมีแต่มิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 ให้เลิกเสียที ตื่นเสียทีตื่นเสียที 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 13:07:05 )

บุคคล 9

รายละเอียด

บุคคล1สัทธานุสารี ,บุคคล 2 ธัมมานุสารี ,บุคคล 3 สัทธาวิมุต ,บุคคล 4 ทิฏฐิปัตตะ ,บุคคล 5 กายะสักขี ,บุคคล 6 ปัญญาวิมุต ,บุคคล 7 อุภโตภาควิมุติ ,บุคคล 8 คือปัจเจกกับพุทธะ บุคคล 9 คือสัมมาสัมพุทธะ เราก็ยกไว้เพราะสัมมาสัมพุทธะกับปัจเจกพุทธะยังไม่ต้องอธิบายหรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 10:52:50 )

บุคคล 9 ระดับ จะไต่ระดับเป็นอย่างไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ  ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ ธัมมานุสารี สัทธานุสารี  นี่คือบุคคล 9 ระดับ มันก็มีอยู่แล้วก็ใช่ แต่บุคคลระดับ 9 คือพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้มีง่ายๆ นานๆทีจะมีสักองค์ มาอุบัติ หรือ ปัจเจกพระพุทธเจ้า นานๆก็มีปัจเจกพระพุทธเจ้ามาอุบัติ พระพุทธเจ้า นานๆทีจะมาอุบัติ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน นานๆทีจะมาอุบัติ เพราะเป็นผู้ที่รอบรู้จบรู้จริง เพื่อจะสลายตัวเองได้ คนที่ไม่รู้เขาก็พยายามดับทุกข์ของเขา บางทีมีกุศลวิบากมากเขาก็เลยไม่ค่อยทุกข์หรือไม่ค่อยทรมาน น่าสังเวชนัก ก็เลยพอทนได้ตามวิบาก

ถ้าเขาเองเข้าใจความทุกข์ รู้จักความทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อยก็แล้วแต่ แล้วเขาก็จะรู้ว่า เพราะ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป สิ่งที่ทนได้ยากเรียกว่า ทุกข์ ภาษาง่ายๆ แต่กินลึกหมดทุกอย่าง เป็นอรหันต์แล้วจบ แยกธาตุเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม หรืออยู่ในโลกแบบไม่สุขไม่ทุกข์ จะอยู่ต่อเป็นคนดี มีหลักประกันว่า จะเป็นคนที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษเลยกับโลก นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ถ้าคุณทำได้ทำถึงทำเป็นก็ได้เหตุปัจจัยนั้นไปจนเป็น ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ ก็ตัดรอบ สูงกว่านั้นคุณอยากเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าจนถึงพระพุทธเจ้า ก็มีให้ศึกษาเกิดวนเวียนอีกไม่รู้กี่ล้านชาติศึกษาอีก ให้รู้ว่า สิ่งที่ควรรู้ในมหาจักรวาล ในกาละกับกรรม มีอะไรบ้างรู้ให้หมดเลย คุณก็พากเพียรไปเหมือนอย่างกับอาตมา ไหนๆได้เกิดมา มีชีวะ มีธาตุรู้อันนี้แล้ว ก่อนจะสลายไป เพราะถ้า สลาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จบเลย อาตมาจบก็ได้ แต่จะรู้ให้หมดก่อน จะพอใจ ไปเป็นพระพุทธเจ้านี่แหละ จึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือปณิธานที่อาตมาทำอยู่ 

ไม่มีใครมาบังคับ เราเป็นผู้เป็นนาย ต้องการเป็นต้องการมีอย่างนั้น อาตมาจะรีไทร์ เมื่อไร ก็ได้ หรือจะต่อไปถึงที่สุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งประกาศในทำเนียบ ชาตินั้นจะชื่ออะไรก็ไม่รู้นะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่มนุษย์ชาติเขารู้จัก ก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งพอแล้ว นี่คือ ปณิธานของอาตมานะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 53 ประโยชน์อันสูงสุดจากศาสนาที่มนุษย์พึงได้ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 12:55:31 )

บุคคลขั้นไหนถึงจะละเมถุนได้

รายละเอียด

คำว่าเมถุนแปลว่าคนคู่ คนคู่ขยายความอีกก็หมายความว่าคุณยังมีเพศสัมพันธ์กับคนคู่ คุณยังมีพฤติกรรมของเพศสัมพันธ์ นี่เรียกว่าเมถุน คนที่ละเมถุนคือไม่มีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว ก็เริ่มตั้งแต่ สกิทาคามี มาเรื่อยๆ เริ่มฝึกตน ละมาๆ จนกระทั่งมาเข้าเขตอนาคามี คุณก็จะลด ลดการสัมผัสแตะต้องทางกาย กายไม่ไปสัมผัสกับเพศอีกเพศหนึ่งแล้ว

สัมผัสนั้นก็หมายถึงมีเพศสัมพันธ์แล้วด้วย คุณก็ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับอีกเพศหนึ่ง แต่คุณไม่มีเพศสัมพันธ์กับอีกเพศหนึ่งแล้วคุณยังมีอารมณ์กาม อารมณ์เพศ อารมณ์ราคะของคุณ มันไม่เป็นกามราคะที่จะต้องไปแสดงภายนอกกับเพศอีกคนนึงแล้ว อีกเพศต่างเพศ ไม่แล้ว 

แต่คุณยังมีอาการ จะมีอาการหรือการกระทำอย่างไรก็แล้วแต่ ที่คุณยังมี ราคะ เรียกว่า รูปราคะ อรูปราคะ อยู่ คนนี้ถือว่า ถ้าคุณไม่มีแล้วเรื่องเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ 2 เรียกว่าเมถุนนี้มี 2 คน คุณไม่แล้วคุณมีความละอายต่อโลก แน่นอนคนที่มีเพศสัมพันธ์คุณไม่อายหรอกแต่คุณจะอายต่อโลกเรียกว่ามีหิริโอตตัปปะ 

ละอายมากจนถึงขั้น โอตตัปปะ คุณก็เด็ดขาด คุณก็ไม่มีแล้วคู่เพศสัมพันธ์ แต่คุณยังมีราคะ คุณก็อาจจะทำเฉพาะตน จะวิธีใดก็ตามแต่ คุณก็ทำ ชัดๆก็คือคุณจะต้องมีอารมณ์กามแฝงด้วยความใคร่ว่างั้นเถอะ สำหรับตนอยู่ คุณก็ต้องเรียนรู้ความใคร่อยาก อาการราคะพวกนี้ต้องเรียนรู้ลด ละ

จนกระทั่งคุณไม่มีอาการกรรมกิริยาของความหยาบที่เรียกเป็นภาษาว่าตัณหาก็ตามกามก็ตามความใคร่อยาก มันไม่มีกามตัณหาอันนี้ กามตัณหาคุณลด รูปราคะ กามตัณหาหรือกามราคะลดรูปราคะ 

หรืออยู่ข้างในก็ลดละเหลือบางเบา คุณก็ไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องมีอารมณ์หรือไม่ต้องมีอาการ อรูปราคะนี้ มันเป็นเฉพาะ อารมณ์อาการเต็มอยู่ในสัญญาฟุ้งเฟ้อไป แล้วสัญญานี่แหละหลอกคนเก่งนักเพราะมันเป็นความจำ ยิ่งคุณมีประวัติมีเหตุปัจจัยที่คุณเคยผ่านมาอะไรต่ออะไร คุณก็ฝัน สัญญา เอาสัญญามาคิดมาวน นี่แหละตัวร้ายที่พระพุทธเจ้าเคยปรารภกับพระอานนท์ว่า สัญญานี่มันเรื่องละได้ยากนานเหลือเกิน เรียนรู้ดีๆ 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:34:43 )

บุคคลควรเห็นกวฬิงการาหารว่าอย่างไร

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาหาร 4 ถึงสุดยอดเลย 

ทวนอีกที 

พระไตรปิฎกเล่ม 16   [241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬิงการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาเสบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ เสบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า เสบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย เสบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ดังนี้ เธอทั้งหลาย

จะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬิงการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออาริยสาวกกำหนดรู้กวฬิงการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออาริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอาริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:30:43 )

บุคคลชื่อว่า “กายสักขี”

รายละเอียด

บุคคลบางคนในโลกนี้  ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่  ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว  เพราะเห็นด้วยปัญญา  บุคคลนี้เรียกว่า “กายสักขี”

กตโม  จ ปุคฺคโล กายสกฺขี อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน  ผุสิตฺวา วิหรติ  ปญญาย  จสฺส  ทิสฺวา เอกจฺเจ อาสวา  ปริกฺขีณา  โหนฺติ  อยํ วุจฺจติ  ปุคฺคโล กายสกฺขีฯ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:26:56 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:40:47 )

บุคคลชื่อว่า “ทิฏฐิปัตตะ”

รายละเอียด

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์  ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์  ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ 

อนึ่ง  ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว  ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว  ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา 

อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา  บุคคลนี้เรียกว่า “ทิฏฐิปัตตะ”

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:24:06 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:41:13 )

บุคคลชื่อว่า “ปัญญาวิมุติ”

รายละเอียด

บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่  แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว  เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”

(กตโม จ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข  กาเยน  ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ  ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:28:41 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:42:32 )

บุคคลชื่อว่า “สัทธานุสารี”

รายละเอียด

สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดา-ปัตติผล มีประมาณยิ่ง  อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา  มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น  บุคคลนี้เรียกว่า “สัทธานุสารีบุคคล”

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่า “สัทธานุ-สารี”  ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า “สัทธาวิมุต”

กตโม  จ  ปุคฺคโล  สทฺธานุสารี  ยสฺส   ปุคฺคลสฺส  โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย  ปฏิปนฺนสฺส  สทฺธินฺทฺริยํ  อธิมตฺตํ  โหติ  สทฺธาวาหึ  สทฺธาปุพฺพงฺคมํ  อริยมคฺคํ  ภาเวติ  อยํ วุจฺจติ  ปุคฺคโล สทฺธา-นุสารี ฯ  โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย  ปฏิปนฺโน  ปุคฺคโล สทฺธานุสารี ฯ  ผเลฏฐิโต  สทฺธาวิมุตฺโต ฯ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:22:00 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:43:10 )

บุคคลชื่อว่า “อุภโตภาควิมุต”

รายละเอียด

บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่  ทั้งอาสวะของผู้นั้น  ก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า  “อุภโตภาควิมุต”

กตโม จ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน  ผุสิตฺวา  วิหรติ  ปญญาย จสฺส  ทิสฺวา อาสวาปริกฺขีณา โหนฺติ  อยํ วุจฺจติ  ปุคฺคโล  อุภโตภาควิมุตฺโต ฯ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:30:51 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:44:24 )

บุคคลทินนัง

รายละเอียด

บุคคลผู้ให้ การให้ต้องละลด ปลดปล่อย ไม่จริง ตั้งแต่วัตถุทาน อภัยทาน จนถึงธรรมทาน

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 66


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 13:24:06 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:08:44 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:22:59 )

บุคคลที่พัฒนาไม่ได้

รายละเอียด

คนเราหากรู้ข้อด้อยหรือความชั่วของตนเองนิดนึงก็คือเราจะได้พัฒนาขี้นนึดนึง แต่คนเราหากไม่รู้ว่าตนมีความชั่วอะไรบ้างนี่ก็เป็นคนแย่ที่สุด ทั้งที่ความชั่วของเขาก้อนเบ้อเร่อก็ยังไม่รู้ อาตมาเองทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีความด้อยอยู่ คุณรู้ความด้อย 1 ก็จะได้แก้หนึ่ง อันนี้คุณมีหนึ่งก็ไม่รู้หนึ่ง คุณมีร้อยก็ไม่รู้ว่ามีร้อย แต่คุณก็นึกว่าคุณไม่มีความด้อยเลยด้วยซ้ำ จบเห่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:21:26 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:45:09 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:23:22 )

บุคคลที่มี ปโรปรัญญะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นบุคคลที่สามารถรู้จัก หรือเป็นตัวบุคคล ปโรปรัญญุตา เป็นบุคคลที่มี ปโรปรัญญะ มี ปร ปร กับ อัญญะ 1 ตัว แยกพยัญชนะด้วย แยกสภาวะด้วย เข้าใจขึ้นไหม สามเส้า ปร กับ ปร กับ อัญญะ ทำงานกันอยู่ มีบวกมีลบแล้ว ปร กับ ปโร แล้วมีอัญญะทำงานเป็นประธาน ควบคุม ปร กับ ปโร ทั้งสามตัวแปลว่าอื่นทั้งนั้น เสร็จแล้วก็เป็น สามเส้า ทำงานเป็นองค์รวม เป็นนิวเคลียส 

แต่นิวเคลียสมีตัวปัญญา นิวเคลียสมีตัวประธาน มีจิตนิยามควบคุมจัดการ จัดสรรแบ่งแจก ทำให้ได้เหมาะสม ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาในโลก โดยมีจิตไม่ทำลาย มีแต่จิตสร้างสรรค์ มีแต่จิตที่เป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยรู้จักโลกที่เราจะร่วม ที่เราจะทำด้วย โลกคือ องค์ประกอบต่างๆ 

ก็ต้องรู้ตน อัตตัญญุตา ตัวเราทำได้เท่านี้ ไม่อ้าขาผวาปีก กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ได้เท่านี้เราก็ทำเท่านี้ ขอให้ได้คุณภาพ ปริมาณไม่ต้องห่วง ทำคุณภาพให้ดีๆ ปริมาณก็ตามมาเอง น้อยไม่ว่าแต่ให้ดีจริงๆ ควบคุมคุณภาพเป็นหลัก เพราะฉะนั้นจะไม่ผิดพลาดง่ายๆ จะไม่ขาหักขาเป๋ง่าย จะไปได้ดีๆๆ จึงระมัดระวังอย่างมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 20:33:11 )

บุคคลที่เป็นสายศรัทธา

รายละเอียด

คือปล่อยให้มันเกิดเอง อย่างนี้จะช้านานกว่าสายปัญญา การปล่อยให้เป็นอัตโนมัติเป็นเองคือสายศรัทธา คุณจะออกจากโลกต้องไม่ให้จมไปกับกฏแรงดึงดูดของโลก

ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” ความอยากคือ dynamic ความรู้คือ static ส่วนความรู้สึกคือ ตัวกลาง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:32:22 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:45:41 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:23:47 )

บุคคลธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารีคู่แรก ผู้ตามหาโสดาปัตติผลต่างกัน

รายละเอียด

ธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารี เป็นคู่แรก เป็นผู้ตามหาโสดาปัตติผล ก่อนจะมีโสดาปัตติผลต้องมีโสดาปัตติมรรค ก่อนจะมีโสดาปัตติมรรค ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 

ก่อนจะปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 คือ ทางปฏิบัติ ก่อนจะปฏิบัติต้องรู้จักทางที่สัมมาก่อน ตัวไขทาง สัมมาทิฏฐิตัวแรก คือต้องมีสัมมาทิฏฐิตัวแรก 

ทิฏฐิตัวแรกคือ สักกายทิฏฐิ ก่อนคนจะมี สักกายทิฏฐิ อย่างละเอียดพอ มีจำนวนถูกสัดส่วนที่จะดำเนินไปตามลำดับ อย่างพ้นวิจิกิจฉา อย่างพ้นความลังเลสงสัยไม่เข้าใจ แม้แต่เบื้องต้นแล้วต่อไปก็ไม่สงสัย เบื้องปลายก็ไม่สงสัย ยิ่งจบเลย มีผลเลย ก็ยิ่งหมดสงสัยเลย  แต่ถ้าเผื่อว่ามันยังไม่ใช่ มันยังมีความแย้ง ความขัด คุณจะไม่พ้น วิจิกิจฉา ได้ง่ายๆ เลย ไม่ง่าย วิจิกิจฉา ก็จะเป็นสังโยชน์เป็นอนุสัยไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กันยายน 2565 ( 14:14:49 )

บุคคลบัว 4 เหล่าเป็นเช่นไร

รายละเอียด

ดอกบัว 4 เหล่า 1 คือคนที่มีปัญญา คนที่มีภูมิปัญญาไว เหมือนดอกบัวมันพ้นน้ำ ถูกแสงแดดมันก็บาน เรียกว่าบัวชั้นที่ 1 อุคฆติฏตัญญู

บัวเหล่าที่ 2 บัวปริ่มน้ำ มันก็ยังเจริญไม่พ้นน้ำ มีอะไรดึงดูดไว้ มันจะต้องถูกแสงมานานหรือจะต้องถูกความชุ่มชื้นอยู่อย่างนั้น ละลายหายไปพอสมควรจนมันบานออกได้ ได้รับความร้อนดินน้ำไฟลมที่มันจะเกิดปฏิกิริยาแรงงานให้เกิดดอกบัวบานได้เป็นอันที่ 2 วิปจิตัญญู

บัวเหล่าที่ 3 เนยยบุคคล เป็นบัวใต้น้ำยังไม่ขึ้นมา ยังไม่โผล่ขึ้นมา คนนี้ก็แล้วแต่ว่าจะต้องศึกษาให้มีความรู้เหมือนดอกบัวนี้จะเจริญขึ้นมาหาน้ำแล้วก็พ้นน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ 

บัวเหล่าที่ 4 ปทปรมบุคคล เป็นดอกบัวที่ไม่โผล่ขึ้นมาเลย จมอยู่ใต้ขี้โคลนอยู่อย่างนั้น สมัยนี้ต้องเรียกว่าจมอยู่ใต้ตึกด้วย เป็นบัวใต้ตึกไม่โผล่ขึ้นมาไม่งอกงามเจริญได้เลย นี่เรียกว่า ปทปรมบุคคล บางคนก็ศึกษาธรรมะเยอะรู้ธรรมะเยอะแต่ก็เป็นบัวใต้ตึก ศึกษาอย่างไรก็ไม่งอกเงยไม่บรรลุธรรมสักที จึงได้ชื่อว่าบัวใต้ตมบัวใต้ตึก อาจจะรู้พยัญชนะภาษาเก่งสอนคนอื่นให้เป็นอรหันต์ได้ด้วย เรียกว่าเป็นจับกังแบกลังทอง แล้วก็ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้แก่ตัวเอง ไม่ได้เกิดการเจริญทางธรรมะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 09:11:36 )

บุคคลมีอาหาร 4 

รายละเอียด

ทีนี้สรุปเข้ามาหาบุคคลมีอาหาร 4 

1.กวฬิงการาหาร 2.ผัสสาหาร 3.มโนสัญเจตนาหาร 4.วิญญาณาหาร 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องวิญญาณาหาร แล้วท่านสรุปจบ ท่านตรัสสุดท้ายลงไปว่า 

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้

เหมือนอย่างที่อาตมาบอกไปว่า พวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีศีลด้วยมันทำลายศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย เปรียบเทียบเหมือนกับโจรที่ทำผิด อาตมาก็ว่าๆ แทงด้วยปากหอก สูตรนี้แหละ

แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควร เถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า 

ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน 

ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น 

ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า 

ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออาริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออาริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อาริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

อาศัยนามรูป คุณก็จะรู้จบครบว่า วิญญาณคืออะไร มันอาศัยอะไรอยู่วิญญาณาหาร แล้วทำไมมันไม่ตายสักที วิญญาณนี้มันไม่ตายสักที  แทงยึดด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็น มันก็ยังไม่ตายพระเจ้าข้า 

แล้ววิญญาณหนังเหนียวพวกนี้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่เต็มวงการศาสนาพุทธ ที่อาตมาแทงด้วยปากหอก เช้า 100 เล่ม ตอนกลางวัน ตอนเย็น ก็ฉายทั้งวันทั้งคืน รีรัน วิญญาณนี้ก็ไม่ตาย ไม่ใช่ไม่ตายแบบที่เป็นอมตะนะ ไม่ตายเพราะอวิชชา ไม่ใช่อมตะ 

ผู้ที่จบ วิญญาณ รู้เรื่องแล้ว จะให้ตายหรือไม่ตายก็ได้ จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นอมตบุคคลแล้ว จบแล้ว รู้ความมี ความไม่มี ของวิญญาณ ธาตุรู้ นามรูป มันสังขารกันอยู่อย่างไร เป็นอายตนะอย่างไร เราจะเรียนรู้มันได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตหนอพออยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 แรม 10 ค่ำเดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2565 ( 21:04:45 )

บุคคลสัทธาวิมุติ

รายละเอียด

คือ แม้ว่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้เกิดในยุคนี้  ถ้าผู้นี้เกิดศรัทธาในสัตบุรุษ ผู้ที่มีอยู่ก็จะเกิดศรัทธาได้เหมือนกัน คนที่มาบวช  ต้องการทำที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ต้องการบรรลุเป้าหมาย พรหมจรรย์  คำว่าปัจจุบันจึงต้องสำทับไว้เสมอ  เข้าถึงอยู่คือมีอยู่ในปัจจุบัน   สำเร็จ  วิริยา บก อยู่เข้าถึงอยู่  วิหรติ  เป็นอยู่อย่างนั่นอยู่ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ ออกๆ  เข้าๆ  แต่มันอยู่ตรงนี้ อยู่ๆ เป็นคนอยู่เป็น  ไม่ใช่คนอยู่ไม่เป็น  นี่คือ บุคคลสัทธาวิมุติ ที่เขาบอกว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยการ  เป็นคำพูดที่ ไม่ถูกต้อง  แต่ที่จริงแล้ว  มีอยู่แล้ว  สัมผัสอยู่แล้ว คบหากับกัลยาณมิตรอยู่แล้ว หากว่าไม่ลืมตาก็อยู่ในสังคม  คนตาบอด แต่เป็นคนตามดีอยู่ในสังคม  สามัญ อยู่ในเสนาสนะ คบหากับกัลยาณมิตร  แล้วก็ทำอินทรีย์ให้เสมอยู่ อินทรีย์  พละ  กับ พลังงานของจิต  ที่จะเจริญขึ้นเป็นพลังงานทางปัญญา  พลังงานฌาน  พลังงานบุญ  มีปัญญา สร้าง พลังงาน ฌาน  พลังงานบุญ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 13:23:40 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:46:16 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:24:27 )

บุคคลสัปปายะ

รายละเอียด

คือ คนดี ตั้งแต่ กัลยาณชน บัณฑิต สัตบุรุษ ไปจนถึง อาริยชน มีคนอย่างนี้ในโลก จงคบหา คบคุ้น นั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับ ศึกษาอบรม อยู่รับใช้ อย่าห่างครู อาจารย์ คลุกคลีเกี่ยวข้องกับคนอย่างนี้ไม่มีทางเสียหาย

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 88


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 14:26:25 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:09:26 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:24:49 )

บุคคลสายเจโตสายปัญญา

รายละเอียด

สายศรัทธาจะไปหากายสักขีในนี้จะมีบุคคลอยู่ 2 คนชื่อว่าซาบซึ้งกับสมณะผืนฟ้าสมณะผืนฟ้าสายเจโต  ส่วนสมณะ ซาบซึ้งจะสายปัญญาสมณะผืนฟ้า ทิฏฐิปัตตะก็จะไปกายสักขีได้ส่วนท่านซาบซึ้งจะไม่ไปกายสักขีจะไปหา ปัญญาวิมุติแล้วไปอุภโตภาควิมุติเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:53:41 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:47:03 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:25:08 )

บุคคลาธิษฐาน , บุคลาธิษฐาน

รายละเอียด

ธรรมะที่ยกเอาบุคคลหรือรูปธรรมมาเป็นหลักในการอธิบาย

หนังสืออ้างอิง

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 99


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:23:09 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:52:39 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:25:30 )

บุคคลเจ็ดแยกปฏิบัติวนเวียน

รายละเอียด

มีเรื่องบุคคล 7 ที่มีคนแยกแยะให้ว่ามีการปฏิบัติที่วนเวียนไปมาอีก จนช้านานก็เป็นไปได้อีก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 09:09:21 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:49:33 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:25:47 )

บุคคลเป็นธรรมกถึก 4 จำพวก

รายละเอียด

1. ธรรมกถึกบางคน กล่าวน้อย  และกล่าวคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์  ทั้งบริษัทก็ไม่รู้คำนั้นว่าประกอบด้วยประโยชน์  หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 

2. ธรรมกถึกบางคน กล่าวน้อย  และกล่าวคำที่ประกอบด้วยประโยชน์  และบริษัทรู้คำนั้นว่าประกอบด้วยประโยชน์  หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 

3. ธรรมกถึกบางคน กล่าวมาก  และกล่าวคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์  ทั้งบริษัทก็ไม่รู้คำนั้นว่าประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์

4. ธรรมถึกบางคน กล่าวมาก  และกล่าวคำที่ประกอบด้วยประโยชน์  ทั้งบริษัทก็รู้คำนั้นว่าประกอบด้วยประโยชน์

                     หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์.

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2562 ( 21:07:16 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:50:55 )

บุคคลใดไม่พ้นสังโยชน์ 3 ข้อนี้ปิดประตูที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

แหม อาตมาก็สงสารกระบี่พุทธนะ แสดงว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย อ่านสภาวธรรมอะไรไม่ออกเลยในความเป็นคุณธรรม เป็นคุณธรรมที่เป็นอาริยะคุณ แม้ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่เข้าใจ ไม่รู้ 

ก็ เอ๊.. จะทำอย่างไง ก็เห็นใจนะ กระบี่พุทธ ก็คือคนพวกเราลูกหลานจบอยู่ในอโศกแท้ แต่ก็ไปสนใจในเรื่องข้างนอก สนใจในเรื่องงาน เรื่องเงินจนไปเป็นหนี้เป็น 10 ล้าน ได้ข่าวได้คราวเช่นนั้น ซึ่งมันหนักหนาสาหัสเสียเวลากับเรื่องพวกโน้น มาสนใจทางนี้ดีกว่าไม่อย่างนั้นก็จะจมอยู่กับทุกข์อย่างนั้นไม่รู้แล้ว อย่าไปยินดีกับมันเลยโลกียะพวกนี้มันหลอกเรา เมื่อได้เข้ามาในนี้แล้วเอาตัวเองเข้ามาทางนี้เถอะ อาตมาไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง 

เพราะพูดคำว่า รอบ คำว่า ชาติ รอบ สภาวะ ถ้าจะบอกว่าสภาวะโสดา คือ พ้น สังโยชน์ 3 

1. พ้น สักกายทิฏฐิ แน่นอน กระบี่พุทธก็ไม่เข้าใจแน่ 

2. พ้น วิจิกิจฉา 

3. พ้น สีลัพพตปรามาส 

เมื่อพ้นสักกายทิฏฐิ อย่างไม่วิจิกิจฉาไม่ได้ แล้วคุณจะต้องพ้นศีลพรตหรือข้อปฏิบัติประพฤติ ต้องสัมมาทิฏฐิในศีลพรตด้วย คุณถึงจะสามารถปฏิบัติธรรมไปได้ใน 3 ข้อแรกของ โสดาบัน 

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถมี 3 ข้อนี้ในบุคคลใดก็ตามไม่พ้นสังโยชน์3 ข้อนี้ ปิดประตูที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าเลย ตั้งแต่ ไม่เข้าใจ กาย กายะ ไม่เข้าใจตัวตน สักกะ ไม่เข้าใจตัวเอง ไปเข้าใจแต่อันอื่น ไปเข้าใจแต่บัญญัติความรู้ข้างนอกต่างๆนานา โดยเฉพาะ คุณไปเข้าใจความรู้ข้างนอกนี่แหละ น่าสงสารสุดๆ 

อาตมาเคยพูดแล้วผู้มีความรู้ทางศาสนาพุทธเป็นปราชญ์เอก เป็นผู้ที่รอบรู้ทั้งหมดแต่ไม่เข้าถึง สักกายทิฏฐิ ก็เลยไปหลงอยู่กับ ให้ความรู้ข้างนอกที่เป็น โอฬาริกอัตตา เป็นอัตตาตัวใหญ่

จริงๆแล้วอาตมาเคยอธิบายซ้อนให้ฟังแล้วว่า เป็นอัตตาทั้งๆที่ตัวเองนั่นน่ะ ยังเข้าไม่ถึง อัตตา ได้แต่วาทะ ได้แต่ ความรู้บัญญัติภาษา วาทะ คำพูด เท่านั้น มากเลยนะ เป็น ปทปรมบุคคล 

เพราะฉะนั้นในชาตินั้นๆของผู้นี้ ไม่บรรลุธรรม แม้แต่สัมมาทิฏฐิก็ สักกายทิฏฐิ สัก ที่จะต้องเข้ากับจิตเจตสิกรูปของตัวเอง แล้วต้องปฏิบัติจัดการกับจิตเจตสิกของตัวเอง ไม่ได้เข้ามาเลย เพราะแยกกาย แยกสภาพ 2 ภายนอก ภายในไม่ออก 

เข้าใจว่า กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ เช่นเข้าใจว่า กาย มีแต่สภาพภายนอกอย่างเดียวหรือ กาย คือ สภาพหนึ่งเดียว ที่จริง กายต้องมีสภาพ 2 เสมอ มีหนึ่งเดียวไม่ได้นะ ต้องมีรูปกับนามด้วย ซึ่งลึกซึ้งมากอันนี้ถ้าเขาใช้อันนี้ไม่ถูก ปฏิบัติธรรมไปไม่ออก ไม่มีการเจริญต่อไปเลย 

เอาละ ก็ขอ ก็น่าเห็นใจ ตั้งใจศึกษาตามลำดับ เข้ามาข้างในนี้ อย่าไปเที่ยวตะลอนๆ วุ่นวายกับข้างนอกมาก ถ้าอยากจะบรรลุธรรมให้เข้ามา ถ้าไม่อยากบรรลุธรรมก็แล้วไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:14:21 )

บุคคลในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฎฐิ 10

รายละเอียด

คนที่เชื่อว่าอาตมาเป็นบุคคลข้อที่ 10 นี้ เป็นผู้ที่มายืนยันธรรมะเอง ไม่มีใครเป็นครูบาอาจารย์ สิ่งที่นำมาเทศน์มาบรรยายออกไปแล้ว มันค้านแย้งกับกระแสหลักด้วย มันค้านแย้งกับที่เขานับถือเป็นครูบาอาจารย์ เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธกันอยู่ทั้งโลก ขออภัยกันทั้งประเทศ มันค้านแย้งเลย มันก็ต้องเป็นของอาตมาอย่างหนึ่ง ของทางโน้นอีกอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน คนละอย่าง เพราะฉะนั้นก็ต้องของคนใดคนหนึ่งถูก ของใครอีกคนหนึ่งผิด แล้วอาตมาก็เอามาบรรยาย ขยาย ประกาศ บอกว่าอย่างนี้ๆ โดยพระพุทธเจ้าท่านตรัส ชี้บ่งลงไปถึงความหมายของสิ่งที่จะเอามาเป็นหลัก ชี้บ่งว่าเป็นพุทธ ก็คือเป็นผู้ที่รู้โลกนี้โลกหน้า อธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้เข้าใจด้วย ได้อย่างลึกซึ้ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 15:19:59 )

บุคลากรด้านสุขอนามัยทางการแพทย์เรายังไม่เก่ง

รายละเอียด

เรื่องนี้ถือว่าเรายังไม่เก่ง บุคลากรทางด้านการสุขอนามัยทางการแพทย์ เราก็ยังไม่เก่ง ยังมีบุคลากรไม่พอด้วย ถ้าไปช่วยอย่างที่เราไปช่วยอย่างทางการเมืองมันก็ได้ เรื่องภัยธรรมชาติเรื่องการเมืองพวกนี้มันง่าย แต่เรื่องนี้มันเทคนิคมาก เราไม่มีความรู้มีเทคนิคถึงขนาดขั้นที่ไปทำได้ ก็ Wait and see เราก็ดูไปก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:47:21 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:53:04 )

บุคลิกหลุกหลิกรวดเร็ว แต่สงบไม่มีกิเลสกวน

รายละเอียด

ผู้ที่ทำได้แล้วอย่างเป็น มุทุภูตธาตุ จึงทำได้ตลอดเวลาที่ยังไม่ตายตลอดที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ไม่ใช่ไปนั่งอยู่กับที่ ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิตั้งกายตรงดำรงสติอยู่กับที่ แต่เคลื่อนไหวอยู่ไหนก็ทำได้ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ยิ่งเป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา จิตคล่องแคล่ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็คล่องแคล่ว ร่างกาย กายกรรมก็คล่องแคล่ว วจีกรรมก็คล่องแคล่ว พูดก็เร็วไวได้ สื่อได้เร็ว แต่สงบ ไม่มีกิเลสกวนเลย ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อาตมาพูดช้าๆแล้ว คิดว่าก็คงจะพอฟังตามได้ เพราะไม่ได้พูดเร็วเกิน ศึกษาให้ดี อย่างที่คุณอ้างมาอาตมาเข้าใจ อาตมาผ่านสภาวะที่คุณว่ามาแล้ว แล้วสภาวะที่ดีกว่าคุณพูดนั้นมีอยู่อีก ในยุคนี้อาตมาก็ต้องทำงานอย่างที่อาตมาทำได้นี่แหละ ที่มีบุคลิกหลุกหลิก ต้องปรับตัวเร็วไว แต่คุณเอาภาษาไม่ดีว่าหลุกหลิก แต่คนที่เข้าใจแล้วจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะอาตมานั้นเคยเกิดเป็นลิงมาหลายร้อยชาติ ติดเป็นวาสนามานาน จนปัจจุบันนี้ก็ลดลงไปเยอะแล้ว มันติดเป็นวาสนา คือมันอยู่ในตัวเรา วาสะ แปลว่าอยู่ วาสนะ อาศัยอยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:00:36 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:55:40 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:26:57 )

บุญ

รายละเอียด

คือการชำระกิเลสออกไปให้หมด จนหมดตัวหมดตนกรรมกิริยาใดๆไม่เป็นไปเพื่อ การชำระกิเลสไม่เรียกว่า บุญ

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 526


เวลาบันทึก 02 พฤศจิกายน 2562 ( 12:36:29 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:10:12 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:27:20 )

บุญ

รายละเอียด

พลังงานที่สร้างเกิดขึ้นมาในปัจจุบันเท่านั้น พลังงานนี้มันมีหน้าที่กำจัดกิเลสเสร็จ บุญก็หมดไปด้วย เสร็จหน้าที่แล้วไม่มีบุญอีก มันกำลังจะเป็นบุญก็คือเป็น ฌาน เป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานฌาน เผากิเลส เมื่อเผาหมด ก็คือหมดบุญ บุญข้อ 1 คือฌาน 1 บุญข้อ 2 คือฌาน 2 ..บุญข้อ 4 เป็นฌาน 4 ทำเสร็จเป็นอุเบกขาแล้วบุญก็หายจ้อย ฌานเป็นปัญญา ปัญญาเป็นฌาน ก็เลยใช้ฌานเป็นพลังงานเป็นฌาน 1 2 3 4 โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 แต่บุญหายไป บุญหมด พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่หมดบุญ บุญหมด ปุญญปาปปริกขีโน ยังดีที่มีพยัญชนะบาลีให้ยืนยันไม่อย่างนั้นอาตมาพูดเขาจะหักคออาตมาเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 18:04:41 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:52:45 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:27:43 )

บุญ

รายละเอียด

บุญ คือ สิ่งไม่ดีมันเป็นอาวุธแต่มันต้องฆ่าสิ่งที่เป็นตัวร้ายคือฆ่ากิเลสอย่างเดียว บุญไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลยนอกจากฆ่ากิเลส มันต้องมีสิ่งนี้เกิดมาฆ่ากิเลสเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มนุษย์สามารถสร้างพลังงานบุญในจิตใจตนเองสามารถมีประสิทธิภาพฆ่ากิเลสได้ บุญคือนักฆ่า แล้วมันไม่มีอะไรอื่นอีกด้วย บุญไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลยนอกจากฆ่ากิเลสเสร็จจบก็เลิกหรือแม้แต่ฆ่าไม่ได้มันก็เลิกในปัจจุบันทุกปัจจุบัน

คือ  เป็นพลังงานที่สร้างได้ยากมาก อุณหธาตุ  มีพลังงานไปสลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้  ผู้ที่จะสร้างพลังงานบุญ  ต้องทำฌานก่อน ฌานเผาเสร็จ  บุญก็สมบูรณ์  ฌานของพุทธไปนั่งหลับตาทำเอา ไม่มีฌานของพุทธต้องมีจรณะ15 วิชชา 8

คือ  การชำระกิเลส ทำให้จิตในจิตของตนล้างกิเลสได้ ทำให้เกิดบุญ กรรม กาย วาจา ใจ เป็นพฤติกรรมของจิต  คือ 1) รู้กิเลส   2)  ล้างกิเลสได้   ฆ่ากิเลสได้ก็เป็นบุญ  บุญทำในปัจจุบัน พอเสร็จก็ไม่ตกค้างที่ไหน  บุญ หรือ ฌาน ก็ไม่ตกค้างที่ไหน  แต่ฌานกับบุญมีประเด็นต่างกันสำคัญมาก

คือ องค์ประกอบ ที่ต้องมีการกริยาปฏิบัติประพฤติเพื่อให้เกิดไฟฌานสลายกิเลสได้ เสร็จจบก็เรียกว่าบุญ ไฟฌานกับบุญจึงเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ บุญเกิดต้องมีฌานร่วมด้วย และสำคัญอีกอย่างหนึ่งบุญคือต้องมีปัญญาเป็นความฉลาดด้านโลกุตระไม่ใช่ความฉลาดแบบเฉโก โลกีย์ บุญต้องเป็นความฉลาดระดับโลกุตระเท่านั้น ต้องมีไฟฌานทำให้บุญสลายเสร็จไปเรียบร้อย ถ้าบุญชำระกิเลสจบแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที ต้องกลับมามีบุญอีกก็ไม่ใช่นิพพาน 

(รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช 2 สิงหาคม 2562)

คำอธิบาย

บุญ คือ วิบัติ ,กุศล คือ สมบัติ (พ่อครู 26.7.62)

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายราย การสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก 30 กันยายน  พ.ศ. 2562

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 399, ค้าบุญคือบาป หน้า 113 , คนคืออะไร? หน้า 428

คนจะมีธรรมะได้อย่างไร / เราคิดอะไร ฉบับ 286 หน้า 49 


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:24:53 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:55:51 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:28:35 )

บุญ

รายละเอียด

พลังงานที่ใช้ชำระกิเลส เป็นเครื่องมือฆ่า เป็นวิบัติ เป็นตัวทำความเสื่อมให้แก่กิเลส สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือเครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด บุญไม่ได้มีการสะสม บุญไม่ได้เป็นสมบัติ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 19:58:55 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:56:43 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:28:54 )

บุญ

รายละเอียด

บุญ คือ การชำระกิเลส ต้องทำพลังงานฌาน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2562 ( 10:50:39 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:57:13 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:29:09 )

บุญ

รายละเอียด

การทำ "ทาน" ที่ไม่เกิด "บุญ" ก็เพราะคนผู้นั้น "ทำใจในใจ" (มนสิกโรติ)ของตนเองไม่ถ่องแท้ เพราะมี "การทำใจในใจของตน" เป็นอย่างอื่น ที่ไม่ "กำจัดกิเลสหรือกำจัดบาป" จึงไม่เป็น "บุญ" เลย ไม่ได้ "บุญ" นั่นเอง จะทำทานวัตถุ จะให้กำลังแรงงาน จะให้ความรู้ ให้ความคิด ให้ความเห็น ถ้าทำแล้วไม่เป็นการกำจัดกิเลสหรือกำจัดบาป ก็ล้วนไม่เป็น "บุญ" หรือไม่ได้บุญเลย

"บุญ" ไม่ใช่ "การได้"

"บุญ" มีแต่ "การเสีย" ออกไปๆๆๆต่างหาก

"บุญ" ไม่ทำ "สมบัติ" เด็ดขาด

"บุญ" มีแต่ทำ "วิบัติ" 

"บุญ" เสร็จหน้าที่แล้ว "บุญ" ก็ไม่มี

"บุญ"คือ "การลด-การทำให้หมดไป" จน "สูญ" แล้วก็ไม่มีอีก

"บุญ" ไม่ใช่ "การมีขึ้น-การได้อะไรมา" ไม่มีได้ มีแต่เสีย

"บาปหรือกิเลส" คือตัวการที่ทำชั่วทำทุกข์ จึงต้องกำจัดตัวนี้ไปให้สิ้นจากจิตใจ จึงจะมีแต่ดี และไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข

เมื่อ "บาปหรือกิเลส" หมดจากจิตใจ พลังหรืออำนาจที่เรียกว่า "บุญ" ก็เสร็จกิจ "พลังงาน" ที่คือ "บุญ" ก็หมดไป หายไปทันที

หนังสืออ้างอิง

คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 36-37


เวลาบันทึก 11 พฤศจิกายน 2562 ( 19:07:24 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:11:53 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:29:26 )

บุญ

รายละเอียด

คือ วิบัติ  เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำบุญทำแล้ว  ทำใจในใจไม่มีสาเปกโข  ไม่ให้มีจิตต่อภพชาติ ทำแล้วจบ ให้คือให้  กายให้  วจีให้  ก็จบตัด ไม่มีฉันไม่มีเธอ ไม่มีเขาไม่มีเรา จบอย่างนี้คือ เป็นการทำทานทีสูญภพ สูญชาติ  เป็นการทำทานที่ได้โลกุตระเต็มคือ ดับภพ ดับชาติ  ดับบุญ  ดับบาป  หมดเลย  ไม่มีบุญไม่มีบาป  คำว่าบุญนี้จึงยิ่งใหญ่มากเลย  มันต่างจากกุศล

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 21:19:03 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:57:45 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:29:44 )

บุญ

รายละเอียด

คือ องค์ประกอบ ที่ต้องมีการกริยาปฏิบัติประพฤติเพื่อให้เกิดไฟฌานสลายกิเลสได้ เสร็จจบก็เรียกว่าบุญ ไฟฌานกับบุญจึงเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ บุญเกิดต้องมีฌานร่วมด้วย และสำคัญอีกอย่างหนึ่งบุญคือต้องมีปัญญาเป็นความฉลาดด้านโลกุตระไม่ใช่ความฉลาดแบบเฉโก โลกีย์ บุญต้องเป็นความฉลาดระดับโลกุตระเท่านั้น ต้องมีไฟฌานทำให้บุญสลายเสร็จไปเรียบร้อย ถ้าบุญชำระกิเลสจบแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที ต้องกลับมามีบุญอีกก็ไม่ใช่นิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 12:23:06 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:58:21 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:30:03 )

บุญ

รายละเอียด

คือ เป็นพลังงานที่สร้างเพื่อทำลายกิเลส  ถ้าทำลายกิเลสหมดจด  บุญก็ไม่มี ไม่เกิดอีกเลย บุญมีหน้าที่ทำร้ายบาป ในจิตของมนุษย์เท่านั้น เป็นพลังงานในปัจจุบันที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำลาย กิเลสอาสวะ  บาปไม่มี  บุญไม่มีเป็นสุดยอดโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2562 ( 22:21:14 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:59:22 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:55:12 )

บุญ

รายละเอียด

คือ “การชำระกิเลสลงได้” นั่นคือ เผาไหม้กิเลส ให้ละลดหมดสิ้นไปจากจิตจนกระทั่งสำเร็จเสร็จสิ้น เป็นจบ กิจ แล้วความเป็น“บุญ”ก็จะไม่มีหรือไม่เกิดในคนผู้นั้นอีก คนสะสม“บุญ”ไม่ได้ “บุญ”ไม่ใช่“สมบัติ”ที่จะสะสม แต่“บุญ”เป็นพลังงานที่ทำ“วิบัติ”คือทำความฉิบหายให้แก่กิเลสที่มีอยู่ในจิตสันดานให้หมดไปสิ้นเกลี้ยง เมื่อ“บุญ”ทำหน้าที่สำเร็จเร็จลง “บุญ”จะไม่มีในคน ผู้นั้น หรือ“บุญ”ไม่มีเหลืออยู่ในคนผู้นั้นอีก เช่น อรหันต์ทุกองค์ คือ ผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1  หน้า 322


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 14:03:10 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 06:59:56 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:55:43 )

บุญ

รายละเอียด

เป็นอาวุธกำจัดกิเลส แต่ทางโน้นเขาไม่ได้สอนกับแบบนี้เขาก็จะยาก ถึงบอกว่าน่าสงสารที่สวนกัน เขาไม่เข้าใจ ไม่มีเครื่องมือประหารกิเลส คุณก็เข้าใจบุญเป็นกุศลทั้งหมดเลย เครื่องประหารกิเลสคุณหายไปหมดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แล้วคุณจะไปฆ่ากิเลสได้อย่างไร หากไปเข้าใจบุญที่เป็นเครื่องมือประหารกิเลสกลายเป็นกุศลอีก ก็เท่ากับคุณไปจับโจร แล้วคุณก็เอาปืนเอามีดไปให้โจร คุณเอาอาวุธที่จะประหารโจรไปให้โจรอีก ก็เจ๊งสิ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:02:56 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:00:26 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:56:05 )

บุญ

รายละเอียด

เด็กๆที่มาที่นี่จะเป็นตัวเขาเอง ก็เป็นกุศลกับตัวเขาดี เป็นกุศลดี  การทำฌาน ทำหน้าที่เผากิเลส ได้แล้วก็จะเป็นบุญ เป็นความหมายที่อาตมามั่นใจชัดเจนจึงเอามาขยายความ จนได้เข้าใจมาแต่ต้น อาตมาทำงานมา 50 ปี ไม่ใช่เริ่มต้นเข้าใจเลยไม่ค่อยเข้าใจมันก็ค่อยขึ้นมา มันมีลึกๆ มันต้องมีอะไรชัดเจนอยู่ ตั้งแต่เริ่มเปิดคอลัมน์ เปิดยุคบุญนิยม แล้วก็ค่อยๆขยายความมา กว่าจะมาพูดได้ง่ายพูดได้กระจ่างพูดได้ชัดเจน ไม่เกิน 5 ปีนี้มั้ง ที่มาขยายความคำว่า บุญ ชัดเจน ตีหัวเข้าบ้านเลย บุญนี่ ทำลายกิเลส บุญไม่ทำอย่างอื่นเลย ฌานคือพลังงานความร้อน ราคะ โทสะโมหะ เขาเรียกว่า ไฟราคะ โทสะ โมหะ คืออุณหธาตุ ความร้อน บุญก็จะต้องร้อนกว่า หรือฌาน ไฟก็ได้ ฌานแปลว่าไฟ ไฟที่มีความร้อนยิ่งกว่า ยิ่งกว่าอะไร ยิ่งกว่ากิเลสยิ่งกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟมันจึงจะสลายทำลาย ไฟราคะ โทสะ โมหะ ได้ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็จะต้องขยายความพูดไป แล้วทีนี้พูดไป ก็เป็นนามธรรมที่จับรูปร่างไม่ได้และเป็นพลังงานที่มีฤทธิ์มีอำนาจ หรือใช้คำว่าอิทธิ ก็จะผิดเพี้ยนไปเป็นเรื่อง อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช หากบอกแค่มีฤทธิ์ก็เป็นอำนาจงานที่อาตมาทำเป็นงานสร้างคน ที่จะทำให้คนเป็นคนดี เป็นคนเจริญ เป็นคนที่มีความรู้ความจริงที่ทำให้กิเลสลด ทำให้ดีอย่าทำชั่วเลย หยุดชั่วไม่ทำชั่วเลย

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:32:05 )

บุญ

รายละเอียด

ส่วน บุญนั้น ปุญญาภิสังขาร ที่เป็นอภิสังขารข้อที่ 1 บุญแปลว่าการชำระกิเลส คือ ผู้นี้สังขารรูปนามของเขาให้เป็นอาวุธบุญ กำจัดกิเลสได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:26:24 )

บุญ

รายละเอียด

คำว่าบุญ มันเสื่อมจากศาสนาพุทธ เข้าใจบุญเป็นกุศล เป็นคุณงามความดี ซึ่งไม่ใช่ บุญคือนักฆ่า บุญคือเพชฌฆาตอะไรอย่างนี้อาตมาก็พูดชัดเจนตอนหลัง ตอนแรกก็ไม่ได้พูดชัดเจน แต่ว่าเปิดยุคบุญนิยม เขียนลงในหนังสือ “เราคิดอะไร”ตั้งแต่กี่ปีมาแล้ว ก็พยายามอธิบายคำว่า “บุญ”อย่างละเลียดมาตั้งหลายเล่ม ก็ยังไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆเลย ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังไม่เชื่อว่าอาตมาพูดถูกต้อง เพราะเขาแยกไม่ออก เหมือนกับเทวนิยมเขาจะฟังเรื่องของโลกุตรธรรมไม่รู้เรื่อง คล้ายกันกับชาวพุทธที่ยังไม่มีภูมิจะเข้าไปรู้ ไอ้บุญมันเป็นอย่างไร  อาตมาพูดมันเป็นยังไงเขาฟังไม่เข้าใจ ฟังภาษาออกว่าเป็นเพชฌฆาตฆ่ากิเลส แต่สภาวะจิตที่เป็นปัจจัตตัง เขายังไม่มี เขายังไม่เข้าถึงความเป็นอัตตา ฟังภาษานี้อีกที เขายังไม่เข้าถึงความเป็นอัตตา เขายังได้แค่ อัตตวาทุปาทาน เขายังได้แค่วาทะยึดได้แค่ วาทะ อุปาทาน เขายังยึดได้แค่พยัญชนะ แค่ภาษา แค่วาทะ เขายังไม่เข้าไปแตะหรือยังเข้าไม่ถึง อัตตา ซึ่งเป็น สักกายทิฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 19:05:41 )

บุญ กรรม กาละ

รายละเอียด

“บุญ”เป็นแค่“พลังงาน”ที่มันทำหน้าที่ใน“ปัจจุบัน”เท่านั้น ถ้าสิ้น“ปัจจุบัน”ปุ๊บทุกปัจจุบัน  “บุญ”ก็หายไปปั๊บ“ทุกปัจจุบัน”

“บุญ”จึงไม่ใช่“ธรรม”ที่จะอยู่ถึง“อดีต”

“บุญ”จึงมีแค่ใน“ปัจจุบันเท่านั้น”ๆๆ

ยิ่ง“อนาคต” “บุญ”ยิ่ง“เกิดไม่ได้”แน่ๆ

เพราะ“อนาคต” คือ “กาละ”ที่ยังมาไม่ถึง..ไง!   มันยังไม่เข้าสู่“กาละใหม่”เลย ตั้งใจฟังความเป็น“กาละ”ให้ดีๆ

“กาละ”กับ“กรรม”นี่แหละสำคัญที่สุดในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

“อนาคต”ใดพ้นความเป็น“อนาคต”ไป

เพราะมันเดินทางมาถึง“ปัจจุบัน”มันก็เป็น“กาละใหม่”ที่กลายเป็น“ปัจจุบัน” ..ใช่มั้ย?

“อนาคต” มันกาละอันเดียวกันกับ “ปัจจุบัน”หรือเปล่าล่ะ?  ไม่ใช่! ..ชัดมั้ย?

ความเป็นคนละ“กาละ”กันแท้ๆชัดนะ

“บุญ”มีได้เป็นได้แค่ใน“ปัจจุบัน”เท่านั้น

“อนาคต”นั้น คน“ผู้ทำ”ก็ยังไม่ได้ไป

อยู่ที่“อนาคต” แล้ว“กรรม”ที่เป็น“บุญ”ของคนผู้นี้ จะไปเกิดใน“อนาคต”ได้ยังไง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:43:25 )

บุญ คือ การชำระกิเลส

รายละเอียด

จะเกิดปฏิบัติจรณะ 15 ให้เกิดฌาน 4 เผากิเลสได้ หากคุณเข้าใจฟังที่อาตมาพูดดี ปฏิบัติจรณะ 15 ได้ คุณก็ปฏิบัติเป็นรูปพระพุทธเจ้า ประวัติจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นของพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพุทธคุณ 9 เป็นข้อหนึ่งในนั้น ศาสดาอื่นก็ไม่มี มีแต่ศาสดาพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 ท่านสอนให้ปฏิบัติตามรู้ตามได้

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 14:37:45 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:01:53 )

บุญ คือตัวสำเร็จผลของฌานกับปัญญา

รายละเอียด

ผู้ที่บรรลุธรรมะ กำจัดราคะโทสะโมหะได้ ก็มีไฟฌานที่เผาได้สำเร็จ ฌานต้องมีปัญญา มีคู่หู พอฌานกับปัญญาร่วมกันเมื่อไหร่ก็เกิดบุญ เกิดเป็นพระเพลิงใหญ่เลย เผาราคะโทสะโมหะ บุญ คือตัวสำเร็จผลของฌาน กับปัญญา ร่วมมือกัน มีวิธีเผา จนทำพลังงานปัญญาพลังงานฌาน เป็นพลังงานบุญ สลายราคะ สลายโทสะ สลายโมหะได้ ก็ยิ่งเป็นฌานยิ่งใหญ่ เป็นไฟกองใหญ่เลย 

ร้อนไหม? ผู้ที่เป็นฌานเสียเองจะไปร้อนทำไม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฌาน แต่ คนที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ ฌาน แน่นอนทนยาก ใครทนโพธิรักษ์ได้เก่งก็เยี่ยมเพราะโพธิรักษ์สาดฌานอยู่เรื่อย สาดไฟอยู่เรื่อย ไม่หยุดหรอก เพราะฌานนี้เป็นสุดยอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:35:45 )

บุญ ประเด็นที่มันผิดพลาดในศาสนาพุทธ

รายละเอียด

สิ่งที่มันผิดพลาดที่สุด อาตมาเจอประเด็นที่มันผิดพลาดในศาสนาพุทธ เจอจากข้อเขียนของคุณเปลว สีเงินนี่เอง วันที่ 11 ธันวาคม 2564 เจอในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดยที่คุณเปลวยกบาลีว่า "ยัง กัมมัง กะริสสันติ, กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา, ตัสสะ  ทายาทา ภาวิสสันติ" แปลว่า"ทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป"

กัลยาณัง เป็นความดีแบบโลกียะเป็นสมบัติ ดีแล้ว มันก็จะได้รับอาศัยไปเรื่อยๆ แต่ บุญนี้ ไม่ได้อาศัยเลยจบสิ้นวัฏสงสารจบสิ้นชีวะ เพราะฉะนั้นถ้าตัดกิเลสหมด อาสวะเลย บุญดับกิเลสอาสวะหมดเลย ไม่มีอะไรต่อแล้ว คนผู้นั้นตายลง ปั๊บ ไม่มีอะไรต่อ ตายลงก็หายเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลย เพราะเป็นคนหมดบุญแล้วไม่มีบุญต้องทำอีกมันไม่ต้องทำบุญอีกมันหมดมันจบกิจแล้ว แหม มันยากเหมือนกันยิ่งพูดยิ่งยากคนเข้าใจไม่ได้ มันสุดมหัศจรรย์เลยคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:06:45 )

บุญ สภาวะจริงของบุญคืออะไร

รายละเอียด

บุญ สภาวะจริงของบุญคืออะไร ท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ก็ทำให้ฆ่ากิเลสไม่ได้ เพราะต้องทำจิตให้เป็นฌานเป็นบุญ ให้เป็นพลังงาน อุณหธาตุ มีพลังงานมีฤทธิ์เหนือกว่าพลังงานกิเลส เผาไฟ ราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ อาตมาอธิบายไปจนปากเปียกปากแฉะหมดแล้ว เพราะฉะนั้นรู้พยัญชนะแล้วมีสภาวะ ทำสังขารให้เป็นอภิสังขารได้ วิญญาณที่มันมีกิเลสร่วม ก็ถูกล้างกิเลสจนวิญญาณสะอาดก็เป็นธาตุรู้ของพระอรหันต์ นามรูปก็เป็นของพระอรหันต์ อายตนะก็เป็นของพระอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐีติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:30:00 )

บุญ เป็น one way traffic อย่างไร

รายละเอียด

เพราะว่า บุญ เป็น one way แทรฟฟิก(traffic) บุญมันขาเดียวฆ่ากิเลสอย่างเดียว กำจัดกิเลสแล้วก็หมดหน้าที่ ไม่มีบุญอีก ไม่มีวนไปเป็นบาป ถ้าหากวนไปเป็นบาปอีกก็ไม่มีตัวจบ บุญเป็นอาวุธชำระกิเลสที่เป็นตัวจบในตัวเอง ทำหน้าที่ชำระกิเลสไม่สะสม ไม่มีโค้งงอไม่วนมาหาอีก ตรงอย่างเดียวเลย บุญนี่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาตนให้รู้ความเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:17:14 )

บุญ เป็นเช่นไร

รายละเอียด

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมจากโลกุตระ คำว่า บุญ จึงเข้าใจได้ยาก อาตมาก็เห็นใจท่านประยุทธ์ปยุตโตเหมือนกันว่า ท่านเข้าใจไม่ได้หรอก ท่านจึงได้กล้าเขียนลงในหนังสือพจนานุกรมของท่านแปล อปุญญะ ว่า บาป ซึ่งมันไม่ได้ มันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มันพังเลยนะ ถ้าบุญมันวนเวียนกลับมาเป็นบาปอีก

บุญทำแล้ว ไม่สมตัวที่จะนิพพาน บุญ ต้องมีคุณลักษณะของตนเองที่เข้าขั้นนิพพาน  

บุญ คือผู้ทำความเป็นนิพพานขั้นสุดท้าย มันมีคำว่า ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา เป็นส่วนๆ ก็คือฆ่าได้เป็นส่วนๆ ฆ่ากิเลสในโสดาบัน ก็ได้บุญส่วนหนึ่ง ฆ่ากิเลสในสกิทาฯ อนาคาฯ ก็ได้บุญส่วนหนึ่ง แต่ผลของบุญคือ กิเลสตาย

คำนี้จึงเป็นสิริมหามายา เสียนี่คือ ได้ ได้ผลแต่ไม่ได้ตัวตน ได้ผลของงาน แต่ไม่มีตัวตน ผลงานสำเร็จเสร็จไป และผลงานที่สำเร็จสูงสุดของศาสนาพุทธคืออะไร คือ 0 ผลงานสำเร็จคืออะไร คือ 0 ทำ 0 ให้สำเร็จ ถ้าคุณต่อ 0 อีก มันก็ไม่ใช่แล้ว 0 ก็ต้อง 0 สิ หมด จบในตัว ไม่มีอะไรอื่นอีก เรียก 0 

เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะอธิบายความละเอียดลออของสิ่งที่สุดยอดนี้ มันถึงยากอย่างนี้ แต่อาตมาก็ไม่ท้อหรอก อาตมาก็จะพยายามอธิบายไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 15:38:41 )

บุญ... คือการเอาออกไปจากจิต!

รายละเอียด

“บุญ”ไม่ใช่“การได้อะไร”มาใส่ตน หรือใส่จิตตน 

มีแต่“สิ่งเสียไปจากจิต” ก็คือกิเลสนี่แหละ ที่จะ“สูญไป”จากจิตใจต่างหาก

“บุญ”เป็น“ปรมัตถสัจจะ” เป็น“โลกุตรภูมิ”

“บุญ”ที่สำเร็จผลแล้ว “บุญ”ก็จะสูญ หายไปเลย 

ไม่มี“บุญ”เหลือในจิตตนอีก “บุญ”จบหน้าที่แล้ว ก็“หมดบุญ” ไปเลย ยอดด้วน

“ผลบุญ”สูงสุดคือ “สูญ” 

บุญบาปสูญสิ้นไปหมด 

บาลีว่า “ปุญญปาปปริกฺขีโณ” เรื่องนี้แหละที่เข้าใจกันยากมาก

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 63 หน้า 79


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 20:10:39 )

บุญ 

รายละเอียด

บุญ  คือ ปุญญะ  บุญเป็นคำของพระพุทธเจ้า เป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียวแต่คนอื่นเอาไปใช้  ศาสนาอื่นก็เอาไปใช้จนกระทั่งนักบวชของเขาได้ชื่อว่านักบุญ  ทั้งที่เขาไม่มีความรู้คำว่า “บุญ”  คำว่า “บุญ”  เป็นเรื่องลึกซึ้งสูงสุดเข้าใจไม่ได้ครบง่ายๆ  มันมีมิติสำคัญเยอะมากในคำว่าบุญ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:40:03 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:02:34 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:56:53 )

บุญ 

รายละเอียด

บุญ  คือ  พลังงานขั้นโลกุตระอาริยบุคคลเท่านั้นจึงจะสร้างพลังงานนี้ขึ้นในจิตของตนเองได้และเป็นแค่ในปัจจุบันนั้นๆ เท่านั้น บุญ  จึงไม่มีอยู่ในสถานที่ในบุคคลใครจะได้บุญเป็นอันมาก หรือจะมีบุญเป็นอันมาก  ก็เป็นการชำระกิเลสออกไป คือ สูญเสียส่วนของจิตที่เป็นอกุศลไปแท้ๆ และเป็นกันอยู่ในปัจจุบันนั้นเท่านั้นจบกาละที่เป็นปัจจุบันนั้นไปแล้ว  ไม่มีบุญตกค้างอยู่ในที่ใดในบุคคลใด  แม้ในจิตใด  บุญไม่ใช่โลกียธรรม  เป็นโลกุตรธรรม  จึงยากที่ใครๆจะเข้าใจ บุญ ได้ง่ายๆ เพราะไม่ใช่เรื่องตื้นๆ  ผู้ยังมีแต่ภูมิโลกียธรรมเต็มรูปจึงไม่สามารถรู้จักบุญ

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:38:28 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:03:14 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:57:18 )

บุญกลายสภาพไปเป็นปัญญาที่มีกำลังได้ไหม

รายละเอียด

ได้ ใช้ปัญญา บุญกับปัญญาซ้อนกัน คำว่า ฌาน พระพุทธเจ้าก็อธิบายเอาไว้ 

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต 

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ.เล่ม 25 ข้อ 35)

ปัญญาอยู่ที่ไหน ฌานอยู่ที่นั่น ฌานหรือปัญญาเป็นอันเดียวกัน เป็นพลังงาน ฌานหรือพลังปัญญา เป็น สัมมัปปัญญา ปัญญาอันยิ่ง คือพลังงานชนิดหนึ่ง ที่มนสิการเป็นจิตที่ทำพลังงานนี้ได้ แล้วมีฤทธิ์แรงจะเรียกว่าไฟ พลังงานไฟฟ้า ฌาน แปลว่าไฟ ถ้าบุญนี้ยิ่งกว่าไฟ พลังงานอะไรยิ่งกว่าไฟปรมาณู วับ สลายหายเป็นขี้เถ้าไปเลย อะไรก็สลายได้หมด ต่อให้ใหญ่เป็นลูกโลก เจอพลังงานบุญเข้าไปลูกโลกก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าปื๊ดเลย แล้วเผาโลกจริงๆ โลกทางโลกุตระ ความวน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 19:19:05 )

บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้ว

รายละเอียด

คำว่าบุญ กับ คำว่ากุศล มันเสื่อมไปจากความรู้ของคน คนยุคนี้โดยเฉพาะชาวพุทธ คำว่าบุญคำว่ากุศล บุญภาษาบาลีคือ ปุญญะ กุศลก็คือ กุสละ ความหมายที่ชัดเจนของมัน เขาได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมันเลยเสื่อม เข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจว่าบุญกับกุศลคืออันเดียวกันเลย ที่จริงพยัญชนะแต่ละพยัญชนะมันไม่อันเดียวกันหรอก พยัญชนะที่มันไม่เหมือนกันมันก็ไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เป็นคำซินโนเนม เป็นคำที่ใช้ลำลองกันไป มันคล้ายกัน แต่มันก็มีสิ่งที่ต่างกัน 

แต่บุญกับกุศลมันต่างกันลิบลับเลย มันไม่ใช่ต่างกันแค่คล้ายๆกัน บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้วเลย กุศลทำแล้วสั่งสมอาศัยไปตลอด จนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยกุศล บุญนี่ จะว่าอาศัยก็ไม่ใช่อาศัย เพราะบุญมันไม่ใช่สภาพที่ อยู่ที่ไหน มันจะเกิดใน ปัจจุบันธรรม เป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันชาติ แล้วมีเหตุมีปัจจัยให้ก่อเกิดอันนี้ ถ้าใครไม่มีภูมิปัญญาเลย ไม่มีตัวบุญจะเกิด ขออภัยมันไม่ได้เป็นตัว มันไม่ได้มีลักษณะอาการของบุญที่เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นมาเลย ในคนผู้ใดก็แล้วแต่ที่ไม่มีภูมิปัญญา มีจิตวิญญาณ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 18:57:46 )

บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คำว่าบุญกับกุศล นี่แหละ ก็เป็นคำสองคำ ที่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปไม่รู้แล้ว เข้าใจคำว่า บุญ ไม่ถูกต้องเลย ก็จบเห่เลยศาสนาพุทธ บุญกับกุศล บุญ เป็นวิบัติ, กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นอาวุธการฆ่า เป็นพลังงานที่ทำลาย อย่างเดียว ทำลายแล้วตัวเองก็หมดไปด้วย ซึ่งอาตมาก็เปรียบเหมือนระเบิดปรมาณู ระเบิดตู้มกิเลสตายตัวมันก็สลาย ใช้งานไปแล้วก็จบ แต่มันทำงานสำเร็จคือทำลายอะไร ทำลายกิเลส เพราะฉะนั้น บุญ ต้องมีปัญญากำกับมากเพียงพอละเอียดที่จะไปฆ่าแต่กิเลส เช่นจะไปให้ตำรวจจับโจร จะต้องรู้จักโจร พวกโจรอยู่ในบ้านนี้มีร้อยคน คุณจะเผาให้คนตายไป 100 คนไม่ได้ คุณต้องจับตัวโจรมาให้ชัดเจน แล้วฆ่า ขออภัยที่พูดเหมือนโหดร้าย แต่พูดอธิบายธรรมะ ฟังดูแล้วน่าโหดร้าย ทำลายกิเลส ต้องทำลายแต่โจรนะ บุญ จะต้องมีปัญญากำกับตลอดเวลา ฌานก็ดี ปัญญาก็ดี บุญก็ดี 3 ตัวนี้เป็น 3 เส้าที่ต้องทำงานด้วยกันหมด ปุญญะไม่มีปัญญาไม่ได้ ฌานคือ พลังงานก่อนที่จะเป็นบุญ เป็นพลังงานที่ทำลาย ทำลายสำเร็จเรียกว่าบุญ เดาเอาไม่ได้ เอามาอธิบายพวกนี้ เดาเอาไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 10:32:37 )

บุญกับฌานต่างกันอย่างไร ใช้ลดกิเลสอย่างไร

รายละเอียด

ฌานตัวนี้ ถ้าจะเอาคำว่า ฌาน ต้องสะกดด้วย น.หนู แต่ถ้าจะเอาคำว่า ญาณ ต้อง ณ สะกด ก็เลยไม่รู้ว่าจะ ฌานหรือญาณ แต่น่าจะหมายถึง ฌาน เอาข้าวใส่ปิ่นโตไปถวายวัดที่หน้าวัดหรือหลังวัด มดมันก็กินได้ทั้งหน้าวัดหลังวัด หมามันจะอยู่หน้าวัดมากกว่าหลังวัดกระมัง เอาไปให้ใคร เอาไปให้พระสิ เอาไปถวายพระในวัด ก็แหย่ๆเล่นๆไปงั้น

ถามว่า บุญกับฌาน บุญ เข้าใจกันไม่ได้เลยทุกวันนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิในคำว่าบุญ โดยไปคิดว่าบุญนี่หมายถึงกุศล ซึ่งบุญกับกุศลไม่ใช่อันเดียวกัน กุศลเป็นโลกียะหรือกุศลนี้เป็นสมบัติ แต่บุญนี้เป็นวิบัติ เป็นพลังงาน บุญเป็นพลังงานจิต ทำได้เกิดในปัจจุบันชาติ ในขณะที่คุณปรุงแต่ง มีเหตุปัจจัยครบ และบุญจะต้องเกิดทีหลังฌาน 

ฌาน คือพลังงานที่ทำมาจัดการกิเลสตั้งแต่ฌานที่ 1 วิตกวิจาร กำลังเรียนรู้เหตุปัจจัย จนกระทั่งรู้กิเลสทำกิเลสลดได้ทำเป็นฌาน 2 วิตกวิจารก็สำเร็จผลไป ก็เหลือเป็นปิติดีใจที่สามารถทำได้ แล้วมันก็เป็นสุขสงบ หมดสุขที่เป็นอุปกิเลสก็เป็นอุเบกขา หรือตอนต้นๆมันยังไม่ถึงอุเบกขาก็เป็นเอกัคคตา เป็นจิตที่เป็นเอก แต่ยิ่งใหญ่ เอก กับ อัคคะ ยิ่งใหญ่ นี่คือสภาวะของพลังงานที่คนปรุงแต่ง จัดการ เป็นอภิสังขารสามารถทำให้ธาตุรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ทำให้มันจัดการกับกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญานี่แหละคือฌาน ฌานคือปัญญา ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น  แล้วปัญญาก็เอามาใช้ แต่ปัญญามันใช้มากกว่าฌาน แต่ฌานไม่มีปัญญาไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาเพราะปัญญาจะต้องร่วมรู้ และก็วิจัยวิจาร หากิเลส ลดกิเลส  ทำให้กิเลสลดได้ก็เรียกว่าฌาน 

ฌาน 1 2 3 4 บุญนี่คือการฆ่ากิเลส ฌานจะบอกว่าทำให้กิเลสลดลงบ้างก็ได้  แต่พอถึงคำว่าบุญนี้ บุญฆ่ากิเลสเลย ไม่ใช่แค่ทำให้กิเลสลดเท่านั้น  เอ็งต้องตาย 

เพราะฉะนั้น บุญมันฆ่ากิเลสตัวไหนได้นี่ โอ้โห..  ตัวนั้นเป็นส่วนแห่งบุญ คำว่า ส่วนแห่งบุญไม่ได้หมายความว่าคุณได้กุศล แต่คุณได้จิตส่วนที่บุญมันทำงานสำเร็จ เพราะฉะนั้น ส่วนกิเลส เช่น กิเลสภายนอกเป็นกาม คุณลดได้ส่วนหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นส่วนบุญ ส่วนที่เหลืออีกคุณก็ต้องล้างต่อ ฆ่าต่อ จนกว่าจะหมดสิ้นอาสวะ หมดสิ้นอาสวะแล้วคุณก็เป็นคนไม่มีบุญแล้ว ไม่ต้องใช้บุญแล้ว เลิกบุญจริงๆ ไม่ต้องมีบุญอีกต่อไปบุญไม่ได้สะสมอะไร  เพราะฉะนั้นพระอรหันต์คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่า สิ้นบุญสิ้นบาปหมดแล้ว เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นคนไม่มีบุญ บาปนั้นไม่มีอยู่แล้วแน่นอน 

ความเข้าใจพวกนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครพูด ไม่มีใครรู้จริง อาตมารู้จริงก็เอามาพูดให้ฟังกันก็จะได้ฟังสิ่งใหม่ เป็นอานิสงส์แห่งการฟังธรรม เมื่อพวกคุณฟังแล้วเข้าใจมากยิ่งขึ้น ฟังแล้วความสงสัยก็คลายหายไป ทิฏฐิก็ยิ่งตรง จิตใจก็ยิ่งสว่างใส รู้ยิ่งรู้จริงไปเรื่อยๆ อานิสงส์ 5 ประการเต็มเลย นี่เป็นสัจจะ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คำว่าบุญกับคำว่าฌาน ที่ถามมา จะนำมาใช้ในการจัดการกิเลสเพ่งเผากิเลสเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคะ ฟังไปแล้ว บุญกับฌานต่างกันอย่างไร 

ฌาน คือ ตัวลดละกิเลสไปเรื่อยๆถึงฌาน 4 ที่สุดแห่งที่สุดแห่งการที่จะจบกิจจริงๆนี่คือ แม้ที่สุดกิเลสลดแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา กิเลสลดแล้วหมด จบแล้วก็จบ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรา มีของเราเลย เพราะฉะนั้นตัวความเป็นบุญจริงๆ ถ้ายึดตัวเองตัวตนว่ามีเราเป็นของเรา หรือจะเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานที่ 4 ฆ่าแล้วยังไม่ตาย หรือตายแล้วฟันอีกทีเพื่อความแน่ใจว่าถ้าบุญลงมือเด็ดขาดแล้วตายแน่ ตายแน่ มุ่งมาจนเลย ใครรู้จักไหมตายแน่ มุ่งมาจน เขาเปลี่ยนชื่อนี่ดังสนั่นประเทศเลย ขึ้นไปจนกระทั่งถึงรัฐมนตรี แค่จะขอเปลี่ยนชื่อเท่านั้นเรื่องไปถึงรัฐมนตรีเลย ตายแน่ มุ่งมาจน 

ทุกวันนี้เขาว่าไปวัดจะได้ไปทำบุญทำกุศลได้สมบัติไปข้ามชาติเลย ซึ่งมันไม่ได้บุญหรอก มันได้แต่กิเลส กิเลสเพิ่มภพเพิ่มชาติเลย ทุกวันนี้ไปวัดไปวาไปตามจารีตประเพณีได้แต่มีกิเลส ได้แต่ภพแต่ชาติ มาทำบุญเสร็จแล้วก็กรวดน้ำ แล้วมีคำอธิบายคำเสริมให้กิเลสมันหนาขึ้นอีก สำทับเอาไว้ให้เป็น ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข หนักเข้าไปอีก 

นี่คือความไม่รู้ อวิชชา มันเสื่อมไปหมดแล้ว เอาคำมาใช้ก็ผิด มันไม่เป็นเลย จริง ทำทาน มันได้กุศล ถึงคุณจะมิจฉาทิฏฐิมันก็เป็นกุศลเพราะคุณได้สละของคุณมาให้จริงๆ ตั้งแต่วัตถุทาน แต่ธรรมทานหรือจิตของคุณไม่เป็นกุศล จิตของคุณมันเป็นอกุศล มันเป็นบาปมันเป็นภพเป็นชาติ เพราะฉะนั้นสอนกันทุกวันนี้ถึงไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยกัน อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง  ไปทำความเข้าใจเขาก็ไม่ได้เพราะอาจารย์เขาก็ไม่ฟังอาตมา ฟังด้วยดีย่อมจะได้ปัญญาบ้างก็ไม่รู้ใครฟังบ้างก็ไม่รู้ ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ที่เขาเป็นผู้รู้อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีผู้ใฝ่รู้จะทำประโยชน์บ้างก็เอา 

ใช่ บุญทำให้เด็ดขาด ฌานเป็นพลังงานในระดับหนึ่ง ไม่หายไป ฌานดับกิเลสหมดแล้ว ฌานก็ยังเป็นสามัญของชีวิตจริง ฌาน ไม่มีกิเลสแล้วเป็นฌาน 4 ก็เป็นผู้ที่ได้โดยไม่ยาก เป็นผู้ที่ได้ โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ใช้เป็นพลังงานป้องกันกิเลสเข้ามาได้เลย มันเป็นธรรมฤทธิ์เลย ยิ่งฌาน แคล่วคล่อง ทำได้เก่งในฌานทั้ง 4 ก็ยิ่งเป็นธรรมฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่กิเลสยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ ใครยิ่งเป็นผู้ที่มี ฌาน เชี่ยวชาญ มีฌานสูงมาก โอ้โห.. กิเลสยิ่งไม่กล้ามารอหน้า ไม่กล้ามาใกล้เลย หรือมาก็เข้าผู้อื่น สำหรับผู้ที่มีฌานอันแข็งแรงแล้ว ไม่เข้า นี่พยายามอธิบายเป็นสภาวะให้ฟัง ซึ่งก็คงเข้าใจไม่ง่าย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 10:30:00 )

บุญกับฌานอะไรเก่งกว่ากัน

รายละเอียด

ทีนี้ บุญ จริงๆแล้ว จะใช้เป็นคำไวพจน์ Synonym กันก็ได้ บุญคือสร้างพลังงานจิตเราให้เกิดมา ได้คุณภาพคุณสมบัติกำจัดกิเลสไฟราคะโทสะโมหะ

แล้วถามว่าใครเก่งกว่ากัน… ก็ เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ synonym ไวพจน์กัน ถ้าเข้าใจ แต่คำว่าฌาน ชาวพุทธเข้าใจผิด ไปเป็นสิ่งที่เย็น ทั้งๆที่มันเป็นความร้อน ส่วนคำว่าบุญนี้ ไปใหญ่เลย แทนที่จะเข้าป่า ไปอวกาศเลย เข้าใจบุญเป็นแดนสวรรค์วิมาน ใครได้บุญจะได้เบิกบานใจ นี่คือ สิ่งที่บ่งชี้ความเสื่อมศาสนาพุทธ ปฏิบัติให้ตายก็ไม่สามารถเข้าถึงสัจจะสภาวะของศาสนาพุทธได้

จะบอกว่าอะไรเก่งกว่าก็หากคุณสร้างฌานหรือบุญให้สัมมาทิฏฐิกว่ากันอันนั้นก็เก่งกว่า

ฌานเป็นลักษณะสะสมด้วย เป็นฌาน 1 2 3 4 ส่วนบุญไม่มีลักษณะสะสมด้วย

ฌาน โดยแท้จริงของศาสนาพุทธก็คือพลังงานที่ทำ ก็คือพลังงานบุญนี่แหละ เกิดเป็นขั้นตอนเป็นลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดารวันพุธที่ 14 มีนาคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญกับฌานอะไรเก่งกว่ากัน


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:58:32 )

บุญกับบาปเป็นคู่กันเหมือนสุขกับทุกข์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นยิ่งไปแปล บุญ กลับไปเป็นบาปอีก เป็นไปไม่ได้ บุญมีเอกังสะ บุญมี One way Traffic วิ่งไปฆ่ากิเลสอย่างเดียว บุญมีแต่หนึ่งไม่มีสอง บุญนั้นคู่กับบาป แต่ตัวบาปนั้นเป็นคู่ที่ต้องจัดการ บาป คือ การเกิดกิเลส บุญนี่แหละ คือศัตรูของบาป กำจัดบาปหมดบุญก็หมดด้วย จริงๆ บุญกับบาปเป็นคู่กันเหมือนสุขกับทุกข์ แยกกันไม่ได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เข้าใจละเอียดลออครบถ้วนได้ยากมากเลย อาตมาก็ได้แต่พยายามบรรยายอธิบายทำความหมายให้มันชัด คนที่ติดตามฟังก็จะรู้ความหมายชัด ก็จะละเอียดลออลงไปได้เรื่อยๆ อ๋อ.. ทีนี้ก็มารู้สภาวะ สภาวะละเอียดอย่างนี้ก็ทำได้ ก็ทำไป ถ้ามันไม่รู้เลยก็ไม่ทำ เพราะมันไม่รู้ว่าจะต้องมีละเอียดลงไปอย่างนี้ด้วยหรือ คนเราก็ไม่ทำ แต่ถ้ารู้ว่ามันมีรายละเอียดลงไปอีกก็ต้องทำ มันมีละเอียดกว่านั้นอีก ทำไปแล้วมันก็ดี มันยิ่งสะอาดบริสุทธิ์  ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:55:37 )

บุญกับปัญญา ตีไม่แตกแยกไม่ขาด

รายละเอียด

“บุญหรือปุญญา”นี้จึงต้องมี“ปัญญา” ทำงานร่วมกันแนบแน่นที่สุด ขาดกันไม่ได้ “บุญ”ยังมีความละเอียดยิ่งๆ ผู้เขียนจะพยายามสาธยายออกมาดู ก็ตามภูมิที่มีนะ “บุญ”ไม่ใช่“ตัวตน” “บุญ”ไม่มีสถานที่ “บุญ”ไม่มีอะไรจะข้ามกาละเวลาไปจาก“ปัจจุบัน”เลย “จบ”ปัจจุบันใด “บุญ”ก็จบด้วย ณ ที่นั้น “ตัวตน”ของ“บุญ”ก็ไม่มี สถานที่ตั้งของ“บุญ”ก็ไม่มี  และพ้นจาก“ปัจจุบัน”ไปแล้ว “บุญ”ก็ไม่มี  แล้วจะเอาอะไร ข้ามชาติไปเป็น“ผลในอดีต”กันอีกเล่า บุญมีแค่ปัจจุบัน“บุญ”จึงไม่มี“ชาติ” ไม่มี“ภพ” ชัดมั้ย?“บุญ”ทำงานอยู่ใน“ปัจจุบัน”เท่านั้น แล้วก็หายไปพร้อมกับ“ปัจจุบัน”

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 06 มีนาคม 2564 ( 12:03:20 )

บุญกิริยาข้อ 4 ถึงข้อ 10 คือ ความรู้มิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสภาวะผิดจากบัญญัติ  เข้าใจคำว่าบุญผิด บุญกิริยาวัตถุมันก็เลยเพี้ยน เพราะฉะนั้นสรุปซ้อนอีกที ข้อ 4 มาถึงข้อ 10 นี้ เป็นคำอธิบายเพี้ยนผิดของอาจารย์ เป็นอรรถกถา เป็นคำพูดของอาจารย์รุ่นหลังที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นบุญกิริยาข้อ 4 ถึงข้อ 10 คือ ความรู้มิจฉาทิฏฐิ เอาละสิ…. วันนี้ ชำแหละกันหนักเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อปัตติทานมัยก็ผิดเพี้ยน ปัตตานุโมทนามัยก็เพี้ยน กลายเป็นเรื่องสมบัติ กลายเป็นเรื่องที่ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องสูญหาย ไม่ใช่เรื่องวิบัติ เสร็จแล้วคุณก็เอามาสอนเป็นการพูดเรียกว่าได้ฟังการเทศน์การพูด เป็นธัมมัสสวนมัย มาฟังเป็นเทศน์แล้วก็สอนผิดๆมาจากข้างบนทั้งหมด ก็เลยพากันบรรลัยจักรหมดเลย ผิดหมดเลย  

ขออภัยวันนี้ใช้ลูกระเบิดปรมาณู ขอยืมของคิมจองอึนมาหน่อย หรือของปูตินก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:41:34 )

บุญกิริยาวัตถุ 10

รายละเอียด

คือ เรื่องของการทำบุญ (เครื่องชำระกิเลส) 10 วิธี

1. ทานมัย (ชำระกิเลสด้วยการให้ - การสละออก, บุญสำเร็จด้วยการให้ - การสละออก)

2. สีลมัย (ชำระกิเลสด้วยการชำระล้างกิเลสออก, บุญสำเร็จด้วยการชำระล้างกิเลสออก)

3. ภาวนามัย (ชำระกิเลสด้วยการทำผลเจริญให้จิต  ทำบุญให้เกิดผลเจริญ, บุญสำเร็จด้วยการทำผลเจริญให้จิต)

4. อปจายนมัย (ชำระกิเลสด้วยการอ่อนน้อม, บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อม)

5. เวยยาวัจจมัย (ชำระกิเลสด้วยการช่วยขวนขวาย เอาภาระการงาน, บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวาย เอาภาระการงาน)

6. ปัตติทานมัย (ชำระกิเลสด้วยการให้ที่เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ยิ่งขึ้น ๆ   เป็นการแบ่งส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น)

7. ปัตตานุโมทนามัย(ชำระกิเลสด้วยการยินดีที่ได้ชำระกิเลส หรือได้บุญแล้ว แม้ผู้อื่นกระทำ, บุญสำเร็จด้วยการยินดี ที่ได้ชำระกิเลสหรือได้บุญแล้ว  แม้ผู้อื่นกระทำ)

8. ธัมมัสสวนมัย (ชำระกิเลสด้วยการฟังธรรม, บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม)

9. ธัมมเทสนามัย (ชำระกิเลสด้วยการแสดงธรรม, บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม)

10. ทิฏฐุชุกัมม์(ชำระกิเลสด้วยการทำความเห็นให้ถูกตรง, การทำความเห็นให้ถูกตรง)   

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 11 “สังคีติสูตร” ข้อ 228, อรรถกถาแปลเล่ม 16 “สังคีติสูตร” หน้า 312, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 17:51:06 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:13:26 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:57:42 )

บุญกิริยาวัตถุ 10

รายละเอียด

คือเรื่องของการทําบุญ(เครื่องชําระกิเลส) 10 วิธี

1. ทานมัย (ทําบุญด้วยการสละให้กัน)

2. สีลมัย (ทําบุญด้วยการรักษาศีล)

3. ภาวนามัย (ทําบุญด้วยการทําให้เกิดผล)

4. อปจายนมัย (ทําบุญด้วยการเคารพยําเกรง)

5. เวยยาวัจจมัย (ทําบุญด้วยการขวนขวายรับใช้)

6. ปัตติทานมัย (ทําบุญด้วยการแบ่งผู้อื่นได้ทําบุญ)

7. ปัตตานุโมทนามัย(ทําบุญด้วยการยินดีที่ผู้อื่นได้ดี)

8. ธัมมัสสวนมัย (ทําบุญด้วยการฟังธรรม)

9. ธัมมเทสนามัย (ทําบุญด้วยการแสดงธรรม)

10. ทิฏฐชุกัมม์(ทําบุญด้วยการทําความเห็นให้ถูกตรง)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 11 “สังคีติสูตร” ข้อ 228 อรรถกถาแปลเล่ม 16 “สังคีติสูตร” หน้า 312


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 03:42:11 )

บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

เรื่องบุญกิริยาวัตถุ มีอาจาริยวาท เข้าใจไปตามภูมิของเขา แล้วก็มาเขียนบรรยายบันทึกไว้เป็นอรรถกถาจารย์ แล้วเอาของอรรถกถาจารย์มารวมเข้าไปเป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ที่จริงของพระพุทธเจ้ามีบุญกิริยาวัตถุ 3 เท่านั้น บุญ คือ เครื่องชำระกิเลส เพราะฉะนั้นหลักในการชำระกิเลสก็มี ทาน ศีล ภาวนา 3 อย่าง ฟังอันนี้ก่อน ฟังแก่นแกนก่อน ก่อนจะไปฟังบุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อของอาจารย์ที่เพี้ยนไปเรื่อยๆ ขยายความเละเทะ 

ทานอย่างไร ทานมัย เป็นผลสำเร็จของการทำทาน ทานอย่างไรมีผลสำเร็จเป็นอานิสงส์ ศีล ปฏิบัติศีลอย่างไร จะมีความสำเร็จเป็นอานิสงส์ หลักปฏิบัติก็มี ทาน ศีล เสร็จแล้วก็มีคำว่า ภาวนา ภาวนาแปลว่า การเกิดผล เขาก็ไปแปลภาวนากลายเป็นมรรค เป็นวิธีทำ บอกว่าไปภาวนา คือไปนั่งสมาธิหลับตา และที่ให้ไปปฏิบัติก็ผิดด้วย ทีนี้ มาเข้าสู่ประเด็นที่เบญจวรรณเขาถามมา บุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อ ของพระพุทธเจ้ามี 3 ข้อ แล้ว อรรถกถาจารย์มาใส่ไปอีก 7 ข้อ ซึ่งเป็นเนื้องอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:48:13 )

บุญคล้ายกับอายตนะอย่างไร

รายละเอียด

บุญคล้ายกับอายตนะ อายตนะต้องมีการกระทบของรูปนาม จึงเกิดอายตนะเชื่อมต่อให้รู้ แต่เมื่อไม่กระทบเลิกกระทบอายตนะก็หายไปเช่นกัน บุญก็หายไปไม่ตั้งอยู่หากไม่มีการชำระกิเลส แต่บุญนั้นคืออภิสังขารปรุงแต่งจิตในขณะนั้นๆ ซึ่งต้องมีเหตุปัจจัยด้วย ต้องมีผัสสะกับปัจจัย สัมผัสแล้วกิเลสตัวจริงเกิดแล้วสร้างพลังงานที่เป็นไฟ บุญ หรือไฟฌาน ใช้กำจัดกิเลส ตัวที่มันกำลังเป็น เป็นปัจจุบันที่มันกำลังเกิด ไม่ใช่ไปนั่งฝันเอาว่ามีพลังงานไปล้างกิเลส แล้วก็เรียกว่านั่นคือการคิด การปรุงการสังขาร การทำงาน อย่างนั้นมันไม่ใช่มันไม่สมบูรณ์แบบไม่ครบภาวะจริงที่ต้องมีธรรมะ 2 ครบสมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ มันไม่ได้ทรงอยู่ในสภาพ 2 

การเกิดแบบนั้นเป็นการเกิดแบบความคิดเฉยๆเพราะฉะนั้นต้องมีจริงเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ เป็นความเข้าใจความรู้ ทิฏฐธรรมคือปัจจุบัน ต้องมีตัวรู้ที่เป็นปัจจุบัน คือการเอากิเลสชำระกิเลสออกไปจากจิตต่างหาก เป็นอกุศลจิตหรือจิตเลวที่เหลืออยู่ไม่ใช่บุญแต่เป็นจิตดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:27:50 )

บุญคือการชำระล้างกิเลส ล้างเสร็จก็เลิก!

รายละเอียด

เพราะคำว่า “บุญ” คือ ความชำระกิเลส เป็น“พลังงานแห่งนามธรรม”  เป็นโลกุตระ เมื่อ“บุญ”ทำหน้าที่“ได้ชำระกิเลสจนหมดสิ้นอาสวะแล้ว”  “บุญ”ของคนผู้นั้นก็จะหมดสิ้นสูญไปเลย เป็นนิพพานนิรันดร ไม่มีอยู่ในที่ไหนต่อไปทั้งในสังสารวัฏฏ์แห่ง

นามธรรม หรือทั้งในเอกภพมหาจักรวาลแห่งรูปธรรม 

“บุญ”ใช้พลังทำหน้าที่จบอรหันต์แล้วก็หมดไป สูญสิ้นไปเลย 

ไม่มี“ภพชาติ”แห่งความเป็น“บุญ”เหลือตกค้างเป็น“อุปาทิ(เชื้อ,วิบากขันธ์หรือธรรมชาติที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้น เข้าไปยึดไว้)”ใดๆอีกเลย

การหมด“สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)”จึงจะ“นิพพาน”ได้ 

หากยังมี“บุญ”เหลือตกค้างอยู่เป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”แม้นิดแม้น้อยละอองธุลี มันก็ยังไม่เป็น“สูญ” ก็เลยไม่มี“นิพพาน”กันได้สักที

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 53 หน้า 73


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 19:26:19 )

บุญคือกำจัดกิเลส

รายละเอียด

ยิ่งกรรมเป็นโลกุตระเป็นบาปเป็นบุญ ซึ่งยิ่งละเอียดลึกซึ้ง บุญคือกำจัดกิเลส บาปก็คือกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่เลิกกิเลสได้ มีปัญญาตัดกิเลสที่มีอยู่ ล้างจนหมดสิ้นเกลี้ยงจากจิตแล้วในเรื่องใดๆ เรื่องนั้นๆตัดขาดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หมดบาป หมดอกุศล หมดสิ่งที่จะไปสืบต่อไม่ดี หรือจะต้องตัดกิเลสอีกก็ไม่ต้องแล้ว หมดแล้วจบ บุญจึงมีหน้าที่ตัดกิเลสแล้วก็จบ บุญก็เลิก สำหรับกิเลสตัวไหนที่บุญจัดการแล้ว บุญก็ไม่มีหน้าที่มาทำการจัดการกับกิเลสตัวนั้นอีกแล้ว บุญก็ไม่มีตัวตนอีก 

ผู้ใดตัดกิเลสตัวไหนดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว กิเลสตัวนั้นดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว ก็ไม่ต้องมีบุญมาทำงานกับกิเลสอันนี้อีกแล้ว จะเอามันมาทำไม จะใช้มันอีกทำไม ก็ไม่ใช้มันแล้ว มันไม่เกิดอีกเด็ดขาด  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันจบแล้วจบเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:41:04 )

บุญคือฆ่ากิเลส และไม่ได้ฆ่าอย่างอื่นด้วย

รายละเอียด

วิบากของแต่ละคนแตกต่างกันไป เป็นคนที่ตั้งใจดีทำไปเถอะมันจะได้ถ้วนเต็มไปเอง ทำดียังไม่ได้ดีก็ทำดียังไม่มากพอ ไม่เสียหลายหรอกแม้แต่เป็นกุศลแต่ยังคงต้องทำให้เป็นบุญด้วย หมายความว่าทั้งดีและทำให้กิเลสลด ชัดเจนนะ บุญคือสามารถจะทำให้กิเลสในจิตให้มันลดได้เรียกว่าบุญ กุศลนั้นคือดีเป็นโลกีย์ก็เป็นกุศล โลกุตระก็เป็นกุศล ส่วนบุญนั้นทำการละกิเลสแล้วไม่ได้สะสม ไม่เป็นสมบัติ มีแต่วิบัติท่าเดียว คือฆ่ากิเลส และไม่ได้ฆ่าอย่างอื่นด้วย ไม่ทำผิดพลาดด้วย การทำผิดพลาดคือทำบุญไม่สมบูรณ์ก็เป็นวิบาก แต่ถ้าทำให้ชัดเจนก็ตัดกิเลสได้ ฆ่ากิเลสได้ อำนาจที่ฆ่ากิเลสได้เรียกว่าบุญ มันไม่ใช่จะรู้กันได้ง่ายๆคำว่าบุญนี้ คำว่าบุญนี้ อธิบายยังไม่หมดนะยังมีนัยยะที่ลึกซึ้งอีกมากมาย นี่ก็กำลังเขียนหนังสือรวมเปิดยุคบุญนิยม ยังไม่เสร็จ แก้ไขแล้วแก้ไขอีก ตอนนี้น่าจะได้หนังสือสองเล่ม หนังสือเป็นไอ้ใบ้เสียงดัง ยังมีประโยชน์อยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 09:48:48 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:30:11 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:58:10 )

บุญคือนักฆ่าตัวประหารกิเลส

รายละเอียด

คุณธรรมอันนี้เข้าไปสะสมเป็นบุญ คือพลังงานที่ทำนั้นเป็นพลังงานฌาน 1 2 3 4 พลังงานฌาน คือ อุณหธาตุ ทำงานเผากิเลส เผาตัวเป็นโทษภัยของจิตเจตสิกต่างๆ ตัวไหนก็แล้วแต่ที่เราตั้ง ศีล แล้วจัดการมันเผามันเผามัน เดี๋ยวก็ได้กินมัน เพราะฉะนั้นฌานเผา เป็นผลสำเร็จเรียกว่าเป็นบุญ บุญนี้เกิดตามหลังฌาน ฌานคือพลังงานที่เผา ฌาน 1 2 3 4 เผาเสร็จเรียกว่าปุญญะ ถึงเรียกว่านักฆ่า ตัวประหาร ตัวเพชฌฆาต เป็นตัวประหารให้คอขาด ตายเสร็จจบหมดสิ้นชีวิตอย่างถาวร เพราะฉะนั้น ตัว บุญ จึงทำงานฆ่ากิเลส เป็นตัวจบ แล้วก็ไม่มีตัวตนแสดงตัวอีก ซึ่งอาตมาขยายความไม่รู้กี่ทีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 12:21:28 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:01:09 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:58:31 )

บุญคือพลังงานที่ทำลายสิ่งที่อกุศล

รายละเอียด

กุศลกับบาปนี้เดาไม่ได้หรอก อาตมาอธิบายไม่ง่ายเลย บุญคือพลังงานที่ทำลายสิ่งที่อกุศลสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียวแล้วจบ คำว่ากุศลกับบุญ จึงเป็นเรื่องที่คุณต้องเข้าใจพยัญชนะกุศลกับบุญให้ได้ ถ้าอาตมาจะลงลึกถึงพยัญชนะแล้วจะยาว กุสละ กับปุญญะ ปุญญะก็มีตัวตั้งกับตัวรู้ ญ ญ หญิงก็รู้

ส่วนกุสละ มันมีทั้งตัวตั้งที่มันตั้งขึ้น ก แล้วก็ สละ ซึ่งเป็นพยัญชนะของเศษวรรค แต่อันนั้นเป็นแต่เพียงธาตุรู้กับตัวเดินทางคือ ป ปุญญะ แล้วก็ใช้อาศัยตัวฉลาดตัวรู้ตัวปัญญาเป็นตัวหลัก แต่แกนของ ป เป็นตัวตั้งต้นของการงานสูงสุดแล้ว ก จ ต ฏ ป นี่  ก็ค่อยๆพูดไปพาดพิงไปเรื่อยๆ คุณก็สะสมเอาก็แล้วกัน คนชอบพวกนี้ อาตมาก็ยังไม่เก่งพอในพยัญชนะที่จะอธิบายได้ละเอียดจนกระทั่งเข้าใจได้หมด แต่ก็มีมากพอที่จะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจ แต่ถ้าละเอียดหมดเลย อาตมาก็ยังไม่ถึง ยังได้แค่นี้ บอกตรงๆ นี่ไม่ได้พูดอ้อมค้อมไม่พูดถ่อมตนเท่ๆ พูดให้คุณฟัง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความสมานฉันท์ 7 แบบ

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 8


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 15:36:42 )

บุญคืออะไร

รายละเอียด

บุญคือพลังงานที่เป็นวิชฉา เกิดในปัจจุบัน ทำงานเสร็จไม่มีบุญตั้งอยู่ใน ณ ที่ไหนๆ จะมีในขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่มีเหตุปัจจัยของกาย กายต้องมีภายนอกกับภายในต้องมี2 การปฏิบัติที่ขาดกาย กายต้องมีภายนอก พวกนั่งหลับตาไม่มีภายนอก นอกรีตพระพุทธเจ้าหมด อยากให้พวกนั่งหลับตาสายเถรสมาคม สายมหาบัวมาฟัง ตั้งใจดีๆเป็นกลาง จะมีอัญญธาตุสัมมาทิฏฐิช่วยศาสนาพุทธบ้าง นี่ไม่มี 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:12:10 )

บุญคืออะไร

รายละเอียด

เมื่อกี้นี้ท่านฟ้าไทพูดถึงว่าจะมีการจัดงานบูชา ที่อาตมามีสิ่งที่ได้ทำมาเป็นประโยชน์ให้ก็เลยระลึกถึงบุญคุณ เรียกเป็นภาษาไทยว่า คือคุณที่ได้ทำให้แก่คนที่ได้รับ ภาษาไทยคือบุญคุณ จริงๆแล้วก็ไม่ตรงทั้งหมด บุญนั้นสูงเกินไป บุญไม่ใช่กุศล บุญเป็นของตัวเองคนเดียวทำให้คนอื่นมีที่คนอื่นไม่ได้ ทำของตัวเองเสร็จแล้วจบของตัวเอง มีที่ใครคนอื่นไม่ได้ เป็นเอกังเสนะ ถ่ายเดียวไม่มีสองถ่าย อย่างเดียวทำหน้าที่จบแล้วก็ไม่มี เลยจากปัจจุบันแล้วบุญไม่เกิด ไม่มี เกิดในขณะสร้างในปัจจุบันบัดเดี๋ยวนี้ขณะนี้ สัมปติ ปรุงแต่งเป็นพลังงานบุญทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วแต่ ผ่านปัจจุบันนั้นไป บุญก็หมดหายไป เป็นพลังงานที่ใช้ สร้างเสร็จก็หายไป ไม่มีที่เก็บ เก็บไม่ได้ พลังงานอื่นยังสามารถมีที่เก็บสะสมไว้ใช้ แต่บุญนี่ไม่มีอุปกรณ์อะไรที่จะมาสะสมเก็บไว้ ไม่มี ไม่มีที่อะไรจะเก็บสะสมใส่ไว้ภาชนะเกินปัจจุบันนี้ไม่มี สร้างขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น ผู้สามารถสร้างพลังงานนี้ได้จึงได้ จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่คุณจะสร้างพลังงานบุญ ทำบุญขึ้นมา จะเรียกว่าบุญหรือฌาน ก็ได้ เป็นพลังงาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:28:02 )

บุญคืออะไร

รายละเอียด

บุญคือเครื่องกำจัดกิเลส ความเข้าใจ 2 อย่างก็เรียกว่าเป็น เทวธัมมา

คำว่าบุญคืออะไร ก็มีธรรมะ 2 อย่าง อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญคือเครื่องชำระกิเลส อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องกุศลเป็นเรื่องทำดี ไม่ใช่หรอกบุญไม่ใช่เรื่องแค่ทำดีได้ บุญเป็นนักฆ่า บุญเป็นพลังงานฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเสร็จก็จบ ไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลยคือบุญ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:37:38 )

บุญคืออะไรทำไมสำคัญนัก

รายละเอียด

คำว่าสมาธิเข้าใจผิด คำว่ากายเข้าใจผิดก็เสื่อม คำว่าบุญเก่าเข้าใจผิดก็เสื่อม เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันเสื่อมถึงขีด โดยเฉพาะคำว่าบุญนี้ยิ่งใหญ่เพราะว่าบุญเป็นคำโลกุตระ หมายถึงพลังงานที่ไปกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสเสร็จก็หยุดจบหายไปเลยไม่มีแล้ว ปริขีโณ สูญสิ้น มีหน้าที่ฆ่ากิเลสตัวไหนก็แล้วแต่ ฆ่ากิเลสได้ บุญก็หมดพลังงาน เหมือนลูกระเบิดปรมาณู คนเอาไปทิ้ง ตูม แล้วทำลายสิ่งนั้นสำเร็จ ก็จะไม่เหลือลูกระเบิดปรมาณูนั้นอีก ลูกนั้นก็หายไป นี่แหละคือบุญ บุญคือลูกระเบิดปรมาณู บุญไม่ใช่สมบัติ คุณจะเก็บอะไรจากลูกระเบิดปรมาณูที่เป็นสมบัติ คุณอยากได้ไหมเอาไว้ในครอบครอง มันจะระเบิดใส่เราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราไม่อยากได้ไม่อยากมีหรอก แล้วจะไปทิ้งใส่อะไรไหม ก็ไปทิ้งใส่กิเลสตัวเอง บุญคืออาวุธร้ายฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าเสร็จแล้วลูกระเบิดนั้นก็สลายหายไป ชัดเจนไหม เพราะฉะนั้นใครจะไปสะสมบุญนั้นผิดหมด บุญสะสมไม่ได้ บุญเป็น One way Traffic เดินมาถ่ายเดียว เป็น Nuclear Fission ตรงไปเลยไม่มีโค้งงอกับมาไม่มี Boomerang ชัดเจนไหม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:46:26 )

บุญคือเครื่องชำระกิเลส เกิดเฉพาะปัจจุบัน

รายละเอียด

บุญ มาจากปุญญะ แปลว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือหลักฐาน แล้วเกือบไม่เหลือหลักฐานที่ชัดขนาดนี้แล้ว บุญคือเครื่องฆ่าชำระกิเลส(ปุนาติ) คือให้ชำระกิเลสจากสันดานให้สะอาดหมดจด  บุญคือ อาวุธนักฆ่าที่ฆ่ากิเลสให้หมดจดสะอาดจากจิตสันดาน นี่คือหลักฐาน นอกนั้นไม่เหลือแล้ว แม้แต่ในพจนานุกรมก็แปลว่าคุณงามความดีคุณค่าเป็นสมบัติทั้งๆที่มันละเอียดมากเลย เป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว และบุญนี้ มีคุณสมบัติ เป็นวิบัติ ไม่ใช่สมบัติด้วย จะใช้สมบัติ ก็เป็นเพียงพยัญชนะ เป็นลักษณะดี จะบอกว่าดีก็ดี ฆ่ากิเลสต้องดีแน่นอน แต่มันไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่สิ่งที่จะสะสม แต่มันวิบัติ ทำเสร็จแล้วหายไปเลย ทำเสร็จแล้วไม่รับอะไรตอบแทน ทำแล้วจบไปเลย หาย มีหน้าที่เดียว เอกังเสนะ อธิบายแบบ วิภัชชะไม่ได้ ไม่มีใครอธิบายอย่างอาตมา ใครจะมาเถียงอาตมาก็ยอมแพ้ แต่ไม่หยุดอธิบายหรอก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 06 มีนาคม 2564 ( 11:02:29 )

บุญคือเครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด

รายละเอียด

คำจำกัดความของคำว่าบุญคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ

บุญคือเครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด

บุญไม่ได้มีการสะสม

บุญไม่ได้เป็นสมบัติ

บุญนั้นสะสมไม่ได้

ใครจะบังอาจไปสะสมบุญ ไม่ได้เลย

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม บ้านราช จรณะวิชชาที่พาเป็นคนจนอยู่เหนือคนรวย วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562

ภาพแนบ :

คำจำกัดความของคำว่าบุญคือ "สันตานังปุนาติ วิโสเทติ" หมายถึงการชำระจิตสันดานให้หมดจด


เวลาบันทึก 05 พฤศจิกายน 2562 ( 08:22:50 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:03:49 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:58:58 )

บุญคือเครื่องมือฆ่าเหมือนระเบิดปรมาณู

รายละเอียด

มันไม่ใช่จิตนะบุญนี่ แล้วไปเรียกว่าให้สั่งสมบุญ มันไม่ใช่ คนที่จะต้องสร้างพลังงานบุญคือความสลาย ยิ่งคุณสร้างพลังงานนี้ขึ้นมาฆ่ากิเลสก็ซวย เพราะมีกิเลสมันก็ซวยอยู่ คุณก็เลยต้องสร้างพลังงานนี้มาล้างกิเลสให้ได้ ล้างเสร็จแล้วบุญก็ไม่มี

อาตมาว่าอาตมาเปรียบเทียบเป็นระเบิดปรมาณู บุญคือเครื่องมือฆ่าเหมือนระเบิดปรมาณู เมื่อเอาไปทิ้งมันทำหน้าที่ระเบิดเสร็จ แล้วมันมีระเบิดนั้นที่ไหน ระเบิดนั้นก็หายไปแล้วมันมีแต่เศษชิ้นส่วนอะไร ซึ่งมันเป็นวัตถุก็พอมีชิ้นส่วน แต่มันเป็นนามธรรม อรูป มันไม่มีชิ้นส่วนอะไรให้คุณเห็นหรอก มันปริกขีโณ สูญหายไปเลย

อาตมายังมีพยัญชนะบาลีช่วยได้ ปุญญปาปปริกขีโณ นี้ช่วยชีวิตอาตมาไว้ ถ้าไม่เช่นนั้นอาตมายืนบนพื้นดินนี้ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:35:51 )

บุญคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย

รายละเอียด

เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานคือการประหารการเผากิเลส เป็นพลังงานเผากิเลส 

ฌาน 1 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 1
ฌาน 2 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 2
ฌาน 3 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 3
ฌาน 4 เป็นเพชฌฆาตดาบที่ 4

จะบอกว่า ฌาน 4 เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถอนอาสวะ บุญ 

คำว่าบุญ คำนี้มันเสื่อมไป โดยไปเข้าใจว่าบุญมีความหมายเหมือนกุศลเป็นความดีงาม เป็นสมบัติ เป็นกุศลเป็นสิ่งที่ต้องสะสม ซึ่งไม่ใช่เลย บุญ ไกลกว่านั้นมาก คำว่าบุญ เป็นโลกุตรธรรมที่จะเป็นพลังงานวิเศษจริงๆเลย 

ถ้าเข้าใจบุญไม่ถูกไม่มีนิพพาน ไม่มีนิพพานคืออะไร คือไม่จบกิจ บุญเท่านั้นที่ทำหน้าที่ฆ่าโดยไม่เหลืออะไร จบ มีหน้าที่เดียวคือการฆ่ากิเลส ไม่มีอะไรจะเหลือดีเลย เป็นนักฆ่า ฆ่ากิเลส ไม่มีอะไรที่ดีเหลืออยู่ในบุญเลย​ ฆ่าเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีอะไรจะฆ่าก็ไม่มีบุญ บุญทำลายแต่กิเลสไม่ทำลายอย่างอื่นเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:57:44 )

บุญคู่กับปัญญาที่แหลมคม

รายละเอียด

อาตมาว่าถ้าฤทธิ์แรงของโควิดยังอยู่ สงครามโลกยังไม่เกิดหรอกเพราะ โควิดแม่น แม่นในสิ่งที่จะทำลาย คล้ายบุญที่จะทำลายเฉพาะกิเลสไม่ overlab ไม่ทำลายสิ่งอื่นเลย บุญคู่กับปัญญาที่แหลมคม จะชัดแม่น ก็จะได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 09:45:26 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:31:04 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:59:18 )

บุญฆ่ากิเลสอย่างเดียว

รายละเอียด

อาตมาก็ต้องมาเป็นผู้ขยายแบบนี้ อาตมาเอามาขยายไม่ใช่ปากเปล่าแต่ขยายเพื่อให้ปฏิบัติแล้วให้เกิดผลสำเร็จ แล้วก็เห็นผลสำเร็จ ทุกวันนี้พวกเราคือตัวผลสำเร็จที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบาย อาตมาขี้ตู่ไหม ไม่ จริงหรือไม่ จริง

เพราะฉะนั้น พูดไปแล้วเรายังเป็นรองทุนนิยมอีกเยอะ เพราะฉะนั้นอาตมาจะต้องทำบุญนิยม คำว่าบุญนิยมซ้อน อาตมาอาศัยคำว่าบุญเพราะว่าคนรู้จักคำว่า บุญเยอะ แต่เขาเข้าใจคำว่าบุญยังไม่ดี พูดซ้ำอีก คำว่า บุญ หมายถึงความดีสิ่งดีแน่นอน แต่คำว่า บุญสิ่งดีที่เป็นปรมัตถ์หรือทางโลกุตระแล้ว มันคือนักฆ่า ตายๆๆ ตัวนี้แหละเป็นตัวสุดยอดจริงๆเลย 

ถ้าทุนนิยมมารู้จักบุญนิยม เข้าใจถึงบุญนิยมถึงสาระสัจจะที่เป็นตัวเพชฌฆาต เพชฌฆาตอะไร บุญฆ่ากิเลสอย่างเดียว อย่างอื่นไม่แตะ ไม่เกี่ยว บุญมีปัญญาเต็ม ปัญญาที่รู้จักกิเลสไม่มีผิด รู้จักกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด หมดสิ้นแม้แต่เศษธุลีละออง อุทธัจจะฟุ้งนิดหน่อยก็เก็บละเอียดหมดเลย กวาดกิเลสอย่างเดียว หยาบ กลาง ละเอียด บรรจุซองละอองธุลี นิดน้อยเท่าไหร่ ก็กวาดละเอียดหมดเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 19:13:26 )

บุญจะฆ่ากิเลสได้อย่างไร 

รายละเอียด

ก็ปฏิบัติศีล ปฏิบัติแบบอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วก็จะเกิดสัทธรรม 7 อย่างทีอธิบายผ่านมาเมื่อกี้นะ 

ก็เกิดปัญญานั่นแหละคือฌาน คุณซึ้งซื่อถามมาอีกถามมาก็วนนั่นแหละ มันไม่เข้าถึงจิต ไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงก็จะวนเอาพยัญชนะเข้ามาถามใหม่อยู่นี้อีกเรื่อยๆ ถ้าปฏิบัติได้แล้วก็จะไม่วนมาสงสัย จะไม่มาถามใหม่ ที่ถามใหม่นี้แสดงว่ายังไม่เข้าถึงจิต  ยังไม่เกิดผลจริง 

ปฏิบัติศีลด้วยปฏิบัติอปัณณกปฏิทา อปัณณกแปลว่าไม่ผิด อปัณณกปฏิปทาแปลว่าการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่ผิดไม่ผิดต้องมี 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ  จำไว้เลย ศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้ ถ้าถูกต้องอยู่ตรงนี้ไม่ผิด ถ้าออกนอกนี้ผิด ไปหลับตา ไปเผิน เผินไปเรื่องอะไรอื่น ผิดหมด 

สำรวมอินทรีย์ 6 นี้ แล้วก็เกี่ยวข้องกัน โภชเนมัตตัญญุตา เกี่ยวกับการบริโภค เมื่อกี้อธิบายไปแล้ว จะเกิดประโยน์อะไรต่ออะไรที่เราจะได้มา โภชนะ หรือบริโภคนั้น มันจะเป็นผลที่จะได้จริงคืออย่างไร  ต้องตื่นรู้ ชาคริยา ต้องตื่นอย่างมีภูมิปัญญา อย่างมีสติสัมปชัญญะปัญญาของพระพุทธเจ้ารู้ รู้เท่ารู้ทันในชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลานะ  แล้วเราก็ปฏิบัติธรรมได้ เพราะรู้จักกิเลส ละอายต่อกิเลส แล้วกิเลสมันหนี นี้อธิบายทวนอีก 

กิเลสมันสู้ปัญญาเราไม่ได้ กิเลสมันเกิดมาปั๊บจนกระทั่งปัญญามันเก่ง เก่งจริงๆ กิเลสไม่รอหน้า เจอปัญญาแล้วมันหายก็คือความเก่งของฌาน 1 2 3 4 ที่มีฤทธิ์จนถึงขั้นสุดท้าย..บุญ นี่ทวนอีก 

บุญจะฆ่ากิเลสยังไง อธิบายจบแล้ว อาจจะสั้นๆ สรุปๆ นะ 

จากที่เขียนมาว่า “ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ” นี่คือสัมมาทิฏฐิ หากเข้าใจผิด ไปไม่ตรง9k,ที่อาตมาพูดก็ขอยืนยันว่าผิด อย่างที่อาตมาพูดนี้จึงจะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ หรือถูกต้อง ปฏิบัติศีล 5 อย่างละเอียด อธิบายขนาดนี้ก็พอละเอียดแล้วนะ 

ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืชอะไรต่างๆนานาแล้วก็จะมีทุจริต มีอย่างโน้นอย่างนี้ ศีลข้อที่ 1 นี่ก็ถึงกับฆ่าเลย รุนแรง ศีลก็ 2 ก็ทุจริตสารพัด ศีลข้อที่ 3 ก็เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีลข้อ 4 ก็เกี่ยวกับวาจา ก็คือ 3 ข้อนี้แหละมันเกี่ยวข้องกันทางกาย ทางวาจา ศีลข้อที่ 5 ก็เกี่ยวกับจิตที่มันเป็นกิเลสเหล่านี้ แล้วก็ปฏิบัติลดกิเลสพวกนี้ทั้งหมดนั้นแหละนะ อธิบายอีกแล้ว ขยายความอีก ก็ตามปฏิภาณของอาตมา ไม่เหมือนเก่า ไปเรื่อยๆ ละเอียดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ติดตามฟังก็ได้มากขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2567 ( 18:38:04 )

บุญจะสำเร็จเป็นอุเบกขา

รายละเอียด

บุญต้องลดกิเลส จิตที่เป็นฌานวิสัย ของพุทธจะมีปัญญารู้จักกิเลส แล้วจะรู้จักว่าทำให้กิเลสลดเป็นอย่างนี้ทำได้ ทำได้จึงจะเกิดอาการที่เรียกว่า ฌาน สุดท้าย หมดจบ ก็คือบุญ บุญ อยู่ที่ตัวสุดท้ายของ ฌาน บุญคือมีอุเบกขา บุญจะสำเร็จเป็นอุเบกขาอย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งสภาวธรรมต่างๆที่อาตมาพูดนี้เป็นสภาวะจริงที่อาตมามี เอาของตัวเองมาอธิบายขยายความ ไม่ได้อธิบายขยายความตามที่บรรดาอรรถกถาจารย์ เกจิอาจารย์ ผู้รู้ทั้งหลายที่เขาอธิบายไว้ จะขัดแย้งกัน เขาก็ฟังอาตมาไม่เหมือนอาจารย์ต่างๆ ร้อยคนพันคนสอนไม่เหมือนกับโพธิรักษ์ ก็มันเสื่อมแล้วก็เชื่อผิดๆเข้าใจผิดๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 12:22:53 )

บุญจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด

รายละเอียด

คุณจะประกอบบุญเมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัยเกิดกิเลส บุญเกิดมามีพลังงานทำลาย กิเลสเอ็งถูกพลังงานระเบิดปรมาณูบุญของฆ่าทำลายแน่นอน 1.รู้จักตัวกิเลสตัวศัตรูตัวเป้าหมาย ที่คุณจะต้องทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ใส่ ระเบิดบุญ แม่นๆนะ จะไปโดนสิ่งที่ไม่ใช่กิเลส เพราะฉะนั้นไม่ระคายเคืองแม้แต่สิ่งที่ประกอบอยู่ใกล้ๆ บุญนั้นมีความละเอียดละออมาก จะฆ่าโจร โจรอยู่ในประเทศไทย คุณจะมาหาเลย คุณจะทำลายไม่ใช่แค่ทางประเทศไทยให้พังลงไป ไม่ใช่ แต่มันอยู่ไหน กิเลส กิเลสอยู่บ้านราชฯก็มา แล้วอยู่ในบ้านหลังไหน แล้วอยู่ในซอกไหน จนเจอกิเลสว่าหลบอยู่ตรงนี้เองอยู่ในร่องนี้ซอกนี้ช่องนี้เอง จับได้แล้วตัวบุญก็เอาระเบิดปรมาณูโยนลงไป ให้กิเลสแตกละเอียดหมดไปสูญไป พลังงานปรมาณูนั้นยิ่งใหญ่กิเลสมันน้อยเดียวมันจะไปสู้ได้อย่างไร ก็ต้องสร้างพลังงานที่จับตัวกิเลสให้มั่นต้องมีปัญญา บุญจะต้องมีตัวปัญญา อย่าไปมีกัมมันตภาพรังสีไปทำลายอันอื่นที่ใกล้เคียงนะ บุญนั้นเป็นผู้ดีขนาดนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:47:33 )

บุญจากพจนานุกรมฉบับภูมิพโลภิกขุ

รายละเอียด

คำแปลในพจนานุกรมฉบับภูมิพโลภิกขุ ที่ท่านพระธรรมปาละแปลเอาไว้เป็นภาษาบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ ปุญหรือปุญญะนี่ คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ เป็นบาลี ซึ่งแปลว่าชำระ บุญนี่คือการชำระกิเลสให้สะอาดจากจิตสันดานทั้งหมด แปลว่าอย่างนั้น 

ฉะนั้นความหมายของบุญจึงชี้เฉพาะลงไปเลยว่า เป็นลักษณะคุณลักษณะของพลังงานที่เกิดบุญ พลังงานที่เกิดผลที่ชื่อว่าบุญนี้คือมันสามารถ พลังงานจิต เราทำใจในใจ ทำจิตในจิตของเราให้เกิดการกำจัดกิเลสได้โดยมีฌานคือมีปัญญา แล้วก็มีประสิทธิภาพของบุญหรือฌาน เผากิเลส กำจัดกิเลสไปจนหมดได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:02:44 )

บุญญาวุธ

รายละเอียด

อาวุธอันเป็นบุญของชาวอโศก 7 ระดับ

1.อาหารมังสวิรัติ

2.ตลาดอาริยะ
3.กสิกรรมไร้สารพิษ
4.สุขภาพบุญนิยม
5.การศึกษาบุญนิยม
6.การสื่อสารบุญนิยม
7.การเมืองบุญนิยม

หนังสืออ้างอิง

สรรค่าสร้างคน


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2562 ( 12:55:06 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:13:54 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:59:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์