@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 1

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ เข้าสู่เรื่องว่าจะพูด วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9 อนุปุพพวิหาร 9 เข้าสู่ตัวแรกวิญญาณฐิติ 7 ในวิญญาณฐิติ 7 มีคำอยู่ 2 คำ คือคำว่า “กาย” กับคำว่า “สัญญา” 2 คำนี้แหละเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีสัมมาทิฏฐิในความเป็นกาย สัมมาทิฏฐิในความเป็นสัญญา ไม่วิปลาส ไม่สัญญาวิปลาส ไม่มีทิฏฐิวิปลาส ไม่มีจิตวิปลาส เป็นผู้ที่เที่ยงตรงถูกต้องหมด ผู้นั้นก็จะเป็นคนที่ไม่วิปลาส 4 คือจะไม่วิปลาสว่าเห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง จะไม่วิปลาสว่าเห็นความเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข จะไม่วิปลาสว่าสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน จะไม่วิปลาสว่าสิ่งนี้ไม่น่าได้ไม่น่ามีเลย แต่ไปเห็นว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น นี่คือวิปลาสอีก 4 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิเข้าใจกายสัมมาทิฏฐิ กายสัมมาทิฏฐิข้อแรกคือ พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 สังโยชน์ แปลว่า เครื่องผูก มันผูกสัตว์โลกเอาไว้ ผูกคนนี่แหละ ผูกตรงไหนผูกทางจิตวิญญาณ เกี่ยวเกาะอยู่กับโลกีย์ หลุดพ้นโลกียธรรมไปไม่ได้ นี่แหละคือเกี่ยวเกาะอยู่กับโลกียธรรม เกี่ยวเกาะอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกียสุขยังแยกไปอีกว่า ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ในกามคุณ 5 และอัตตา คือติดในกามและติดในอัตตา ก็เป็น 2 คำใหญ่ๆ พระอรหันต์ก็หลุดพ้นทั้งกาม หลุดพ้นทั้งอัตตา อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นผู้จะพ้นกาม พ้นอัตตาได้ ต้องรู้กาย กายมีภายนอกที่เข้าใจกันดี แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนเป็นภายนอกไปหมดแล้ว แต่กายไม่ได้หมายถึงแต่เพียงภายนอกอย่างเดียว กาย ต้องมีภายในด้วย ขาดกันไม่ได้ คำว่ากายต้องเป็น 2 ต้องมีทั้งภายนอกและต้องมีทั้งภายใน นี่ก็ยากมหาศาลเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะพ้นความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิ จะรู้จักความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างไม่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ยาก ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิกันซะ เดี๋ยวนี้ก็ยังยากที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิ 

ขออภัยอาตมาขอพาดพิงไปถึงความจริง อย่างสายนั่งหลับตา อาจารย์มั่น มหาบัวและคณะนั่งหลับตาปฏิบัติ พวกนี้ไม่รู้จัก กาย มิจฉาทิฏฐิในความเป็นกายอย่างเด็ดขาดแน่นอน เพราะไม่ลืมตาไม่มีภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มันชัด ส่วนอีกสายหนึ่งลืมตาเป็นสายมหาประยุทธ์หรือสายสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือสายเถรสมาคม อาตมาก็ไม่แน่ใจว่ามหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านจะพ้นคำว่า สักกายทิฏฐิ หรือยัง ท่านจะเข้าใจคำว่า กายนี้ บริบูรณ์หรือยังสัมมาทิฏฐิเต็มที่หรือยัง อาตมาว่าท่านคงจะยังไม่พ้นวิจิกิจฉา ท่านน่าจะพอเข้าใจบ้าง 

เพราะฉะนั้นสังโยชน์ 3 ท่านพ้นหรือยัง นี่อาตมาพูดอย่างจริงใจไม่ได้ไปข่มท่านหรอก ขออภัยท่านบวชก่อนอาตมา 3 ปี ขออนุญาตบาดคำเด้อ ภาษาอีสาน ก็ต้องขออภัยท่านจริงๆ เพราะต้องการพูดถึงวิชาการ พูดถึงความรู้ที่เป็นสัจธรรม โดยที่มีผู้ที่เป็นตัวอย่าง ขอใช้อ้างอิงเป็นตัวอย่าง ท่านอาจจะพ้นแล้วอาตมาไม่รู้ ที่อาตมาว่า ท่านจะรู้หรือไม่รู้ อาตมาเองวิจิกิจฉาก็ได้ คือยังสงสัยอยู่ ว่าท่านจะพ้นหรือเปล่า เพราะอาตมาไม่รู้จริงๆท่านไม่เคยพูด ท่านไม่เคยสาธยายพวกนี้ อาตมาไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินอย่างที่ท่านสาธยายอย่างสมบูรณ์ 

อาตมาอ่านหนังสือพุทธธรรมเหมือนกันนะซึ่งเป็น Masterpiece ของท่าน ก็ไม่เห็นท่านขยายรายละเอียดอย่างที่อาตมาพ้นวิจิกิจฉาได้ อาตมาก็ยังสงสัยว่า ท่านพ้น สักกายทิฏฐิหรือยัง เพราะคำว่า กาย คำเดียวนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ คำว่า กาย คำว่าบุญนี้ชัดท่านยังไม่พ้นคำว่า บุญ เพราะท่านยังไปแปล อปุญญะว่าบาป ซึ่งอภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อาปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร มันเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์แล้ว มันไม่เวียนกลับไปสู่บาปอีกแล้ว แต่ท่านไปอธิบาย อปุญญาภิสังขารว่าเป็นบาป มีหลักฐานอยู่ในพจนานุกรมประมวลศัพท์ของท่านมันผิด ซึ่งแสดงว่าภูมิธรรมของท่านยังไม่พ้นบุญพ้นบาป ยังมิจฉาทิฏฐิเรื่องของบุญแน่นอน ท่านยังเข้าใจบุญนี้เป็นแค่กุศลอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะว่าบุญนี้มันพิเศษเลยมันเป็น One Way Traffic มันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น โดยส่วนเดียว เอกังสะ ไปทางเดียวไม่มีโค้ง ไม่มีงอ ไม่มีกลับ ไม่มีวนเลย  บุญนี้ทำจบก็สูญหายไปเลย ไม่มารอรับเอาผลของตัวเองด้วย ไม่มีอะไรสะสม นี่ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ เป็น อจินไตย ไม่ได้เข้าใจง่ายๆ

ต้องมาปฏิบัติเอง เช่น เราละโลกอบายมุข มันเป็นโลกที่ต่ำหยาบ ซึ่งท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านประยุทธ์ ท่านพ้นมาแล้วอบายมุข ท่านตรวจสอบตัวเองได้เลยว่า ท่านไม่ไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว อสังสัคคะ ไม่ไปเกี่ยวไปข้อง ไม่ไปเป็นสวรรค์ สัคคะคือสวรรค์ ท่านไม่ไปมีสวรรค์นรกกับอบายมุขทั้งหลายเยอะแยะ อยู่แล้ว อาตมาก็เห็นๆอยู่ว่าท่านมีคุณธรรมอันนี้ ผู้ที่ไม่เกี่ยวกับอบายมุข โดยพ้น วิจิกิจฉา มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติโดยเฉพาะศีลพรต พ้น สีลัพพตปรามาส แต่ท่านประยุทธ์นั้นยังไม่พ้น สีลัพพตปรามาส แน่นอนที่สุดอยู่แล้ว แต่วิจิกิจฉาอาตมาก็ไม่ทราบว่าท่านจะพ้นวิจิกิจฉาในสักกายะหรือเปล่า จริงๆ อาตมายังวิจิกิจฉาอยู่ 

ท่านน่าจะเป็นผู้ตอบอาตมาได้ท่านจะเป็นผู้อธิบายให้อาตมาได้รู้ว่าท่านพ้นหรือยัง แต่ก็ยังไม่เห็นท่านอธิบาย โดยเฉพาะเจาะจงว่า นี่แน่ะโพธิรักษ์ฟัง ฟังพี่จะพูดเพราะว่าท่านเป็นภันเต ท่านบวชก่อนแม้ว่าท่านจะอายุน้อยกว่า ฟังพี่พูดนะโพธิรักษ์ ท่านพูดมาเลยอธิบายมาให้อาตมาโดยเฉพาะ อาตมาก็จะได้ขอบคุณจริงๆ จะได้รู้ความจริงว่าท่านเอง ท่าน อาสโภ กล้าหาญ แกล้วกล้าอาจหาญว่า ท่านกล้าพูดความจริงกับอาตมาอย่างเต็มปากได้ อันนี้ยกไว้เลยเป็นสัตว์ที่อยู่ในโลกเท่านั้นเองดีไม่ดีก็กัดกันฆ่ากัน ในโลกสังคมประเทศ เขาฆ่าแกงกันกัดกันจะยิ่งใหญ่จะแย่งชิง ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอยู่ร่วมกันอย่างสบายอบอุ่น สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใสไม่มี ยืนยันด้วยว่าสังคมมนุษย์ของเขา ชุมชนของเขาไม่เป็นอย่างที่เราเป็นอย่างชาวอโศกเราเป็น ไม่เป็น ไม่อิสระ ไม่สบาย ไม่สงบ ไม่อบอุ่น ไม่อิ่มเอม ไม่เกษมใส ไม่มีใจเกื้อกูล ไม่เพิ่มพูนการเสียสละ

มีแต่การที่จะเอาชนะ มีแต่การที่จะเอาได้มาให้แก่ตัวตน แม้ที่สุดแย่งชิงสมบัติวัตถุ แสวงอำนาจ ไม่จบ คนพวกนี้นี่ยังก่อเวรภัย ยังมีวิบากกันอยู่ตลอดกาลนาน

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 11วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2566 ( 14:17:30 )

วิญญาณฐิติ 7 อันที่ 4

รายละเอียด

อันที่ 4 สุภกิณหา เป็นเทวดา ทางมิจฉาทิฏฐิเขาก็ยินดีใน กิณหาแปลว่าความมืดความดำ ก็อทำความดำความมืดนี้ได้เล็กกว่านี้รอดแล้ว เขาก็ว่าดีสุภะ น่าได้ น่ามี น่าเป็น แต่สัมมาทิฏฐิจะรู้ว่านั่งหลับตา มันมืดก็คือมืด ลืมตามันก็ไม่ใช่มืดคือมีแสงสว่าง ปกติธรรมดา มืดก็คือมืด ไม่มืดก็คือไม่มืด ไม่ได้หลงเลอะเทอะเหมือนพวกมิจฉาทิฐิ 

เพราะฉะนั้นวิญญาณฐิติข้อที่ 4 นี้จึงเป็นคนที่รู้จักความจริง สมบูรณ์แบบ นอกนั้น สัมมาทิฏฐิก็รู้ถูกต้องว่ามันมี กายต่างกันสัญญาต่างกันในข้อ 1 ข้อที่ 2 ก็ทำให้นิวรณ์หมดไป ทำให้นิวรณ์หมดแบบลืมตาก็เป็นสัมมาทิฏฐิ อันที่ 3 แสงสว่างเป็นแสงสว่าง ถ้าหากอันที่ 4 ก็หลับตามันก็มืดลืมตามันก็มีแสงสว่างไม่สับสนในอาภัสรา ไม่สับสนใน กิณหา คือมืด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:25:59 )

วิญญาณฐิติ 7 เป็นตัวจบของการตรวจสอบภูมิธรรม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น วิญญาณฐิติ 7 พระพุทธเจ้าสรุป จะต้องเรียนรู้แล้วก็เป็นตัวจบ วิญญาณฐิติ 7 เป็นตัวจบของการตรวจสอบภูมิธรรม ภูมิธรรมของคน ที่ถามมานะถูกแล้วว่า

ข้อที่ 1 เป็นภูมิต่ำสัตว์ชั้นต่ำสุด กายต่างกันสัญญาต่างกัน หมายความว่า สิ่งที่มันประชุมกันเป็นกาย กายต้องเรียกว่าเป็นองค์ประชุม มันไม่อยู่เดี่ยว หรือหมู่กลุ่ม พจนานุกรม แปลไว้อย่างนี้เลย กายนี่ คือองค์ประชุมของเจตสิก เวทนาเป็นต้น สัญญาเป็นต้นสังขารเป็นต้น แปลอย่างนี้ตรงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:22:18 )

วิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9

รายละเอียด

เรื่องของวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9 ก็รวมความเป็นสัตว์ไว้ในนั้น สัตตาวาส มีกายต่างกันสัญญาต่างกัน กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน อสัญญีสัตว์ สัตว์ทั้ง 5 เขาก็ศึกษากันมีทั้งแบบสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ พวกเราก็จะเห็น กายต่างกันสัญญาต่างกัน กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ส่วน อสัญญีสัตว์ คือพวกที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจสัตว์ทั้ง 4 อย่างนี้แล้ว ก็จะเข้าใจว่า ถ้าคนที่เข้าใจเรื่องกายเรื่องสัญญาแล้ว ก็จะเข้าใจเลยว่าแต่ละคนแต่ละคนจะเห็นความเป็นมนุษย์ก็ดีเห็นความเป็นเทวดาก็ดีเห็นความเป็นสัตว์นรกเป็นมาร ต่างๆนานา เป็นมนุษย์หรือเป็นพวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาตบางเหล่า หากเป็นสัมมาทิฏฐิก็จะพูดกันรู้เรื่องอีกอย่าง แต่หากไม่สัมมาทิฏฐิก็จะไปคนละอย่างต่างคนต่างนิรมานกาย ต่างคนต่างอยู่ในภพชาติของตัวเองเลย ความเป็นมนุษย์ความเป็นเทพความเป็นเทวดาความเป็นสัตว์อะไรก็ต่างกันไปหมดไม่มีอะไรเสมอๆเป๊ะหมด อาจจะคล้ายกันมากที่สุดพูดกันรู้เรื่องเท่านั้นแหละนอกนั้นต่างกันหมด  นี่คือ กายต่างกันสัญญาต่างกัน ส่วนอันที่ 2 นั้นสัตว์บางจำพวกมีกายต่างกันแต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน มีสัญญากำหนดหมายให้จิตใจไม่มีนิวรณ์เขาก็ทำจิตใจให้ไม่มีนิวรณ์ แต่วิธีของมิจฉาทิฏฐิเขาก็ไปทำการนั่งหลับตาจิตของเขาก็ไม่มีอาการของนิวรณ์ได้ ตรงกันสัญญาอย่างเดียวกันแต่เขาได้ร่วมกระทำที่ต่างกันเพราะเขาหลับตาแล้วอยู่ในภพมีอินทรีย์เดียว แต่ของพุทธนั้นมีทั้ง 6 อินทรีย์เลย ตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่ไม่มีนิวรณ์ เพราะฉะนั้น กาย จึงต่างกัน แต่สัญญานั้นไม่มีนิวรณ์เหมือนกันได้อันที่ 3 เป็นอาภัสรา กาย อย่างเดียวกันแต่สัญญานั้นต่างกัน อย่างเช่นพวกธรรมกาย ใสอย่างเดียว ภาษาใสๆๆๆ ใสมากใสน้อยก็แล้วแต่ แต่ก็ใสอย่างเดียวกันหมด แต่จริงๆแล้วการกำหนดความใสของแต่ละคนไม่เท่ากันหรอก ไม่เหมือนกันเลย แนวลึกนามธรรมนั้นคนละอย่าง ใสของธรรมกายกับใสของทางมหาบัว จะเห็นชัดเจนเลยว่ามันต่างกัน เพราะว่าใสของทางมหาบัวจะเอียงไปในทางกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน พวกหลวงตาบัวใสอาจารย์มั่นจะเป็นพวกกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกันมันดับดำมืดตึ๊ดตื๋ออย่างเดียวกันเลย อย่างกิณหา สุภกิณหา เป็นเทวะหรือเป็นพรหมสุภกิณหา หมายความว่ามันน่าจะได้อันนี้แหละเป็นความดับความดำ เป็นสุภะ แปลว่าน่าได้ น่ามี น่าเป็น ก็คือแปลว่างาม อะไร?ก็คือกิณหะ คือความมืดความดำเขาก็ได้อย่างนั้นไป ส่วนพวกธรรมกายนี้เอาแต่ใส เป็นพวกมืดตาใส มืดยิ่งกว่า สุภกิณหา เพราะว่าถูกหลอกแม้กระทั่งจะต้องปิดบัญชีเลยเอามาให้ธรรมกายทั้งหมด ก็เอาไปบอกครอบครัวซื่อๆว่าปิดบัญชีแล้ว แล้วจะเอาอะไรกิน พ่อแม่จะไปปิดบัญชีแล้วลูกก็บอกว่าจะเอาอะไรกิน ซื่อ เขาก็บอกว่าได้เองๆ อาจารย์ไม่ใหญ่บอกว่าเดี๋ยวจะรวยเอง ใช้ภาษาอย่างเท่หลอกซ้อนหลอก ที่จริงแล้วอาจารย์ใหญ่มากแต่ก็ทำภาษาว่าถ่อมตนเป็นอาจารย์ไม่ใหญ่ โรงเรียนฝันในฝัน ที่จริงเป็นการฝันบ้าบอ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 10:19:29 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:02:07 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:54:52 )

วิญญาณฐิติ 7-วิโมกข์ 8-สัตตาวาส 9 -อนุปุพพวิหาร 9

รายละเอียด

เขาก็ไปปฏิบัติแบบนั่งหลับตา สรุปแบบมีสูตรเดียว เพราะฉะนั้นคุณจึงเป็นสัตว์ทั้ง 9 สัตตาวาส 9 ของพระพุทธเจ้าต้องลืมตาปฏิบัติ วิญญาณฐิติ 7-วิโมกข์ 8-สัตตาวาส 9 ก็ลืมตาปฏิบัติแล้ว ยิ่งอนุปุพพวิหาร 9 ก็ยิ่งต้องลืมตา แล้วคุณจะมีความจบ หากปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้จักวิญญาณ แล้ววิญญาณฐีติ 7 จะจบที่ อากิญจัญญายตนะ คือวิญญาณเปิดรู้ ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ เนวสัญญานาสัญญา ที่จะต้องไปกำหนดอะไรต่างๆนานา แต่รู้มาตามลำดับเมื่อมาถึงอากิญจัญญายตนะ คุณมีความบรรลุ ความไม่มีกิเลส คืออากาสานัญจายตนะ แล้วจิตวิญญาณคุณก็สะอาด วิญญาณัญจายตนะ เพราะฉะนั้นก็มีอะไรอีกแล้วที่คุณจะปฏิบัติ ก็จบวิญญาณฐิติ 7 ส่วนวิโมกข์ 8 มีสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะฉะนั้นจึงเรียนรู้ในสามข้อต้นของวิโมกข์ 8 ต้องมีรูป มีนาม มีภายนอก ภายใน มีสรุป 3 ข้อต้น แล้วมาปฏิบัติ ฌาน 4 อรูปฌาน 4  3 ข้อต้นคือบอกประเด็นในการปฏิบัติว่าต้องมีรูป มีภายนอก ภายในแล้วมีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องกระทบสัมผัส  ส่วนอันหลังของวิโมกข์ 8 ซึ่งมีสัญญาเวทยิตนิโรธจึงจะสมบูรณ์  สัตตาวาส 9 ถ้าลืมตาปฏิบัติแล้ว จะไม่เป็นสัตว์เลย จะพ้นจากความเป็นสัตว์มาทีละลำดับ แต่ถ้าไปหลับตาปฏิบัติ คุณจะหลับตาปฏิบัติให้ตายอย่างไร ก็คงความเป็นสัตว์ทั้ง 9 นี้อยู่เต็มรูปเลย อนุปุพวิหาร 9 คุณปฏิบัติอย่างสัมมาทิฎฐิลืมตาปฏิบัติก็จะจบที่สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่คือ อาตมาหยิบหัวข้อต่างๆมาอธิบายเปรียบเทียบกัน คนที่ไม่ชัดเจนจะอธิบายไม่ได้หรอก มันจะยุ่งยิ่งกว่ายุงตีกัน มันจะสับสน อะไรไปหมดเลย เพราะว่าเป็นรายละเอียดของปรมัตถธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:34:55 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:11:08 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:01:58 )

วิญญาณฐิติ cyclic order ของสามเส้า 

รายละเอียด

ส่วนข้อที่ 3 เป็นอาภัสราคือสว่างแจ้งชัดเจนก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำทุกอย่างถูกต้องตามที่รู้ที่เห็น มีเหตุปัจจัยถูกต้องสมบูรณ์แบบ อาภัสรา ส่วนในเหตุปัจจัยที่มันไม่สว่างขนาดนั้น มันก็มีกิณหามันมืด มันดำมันคล้ำบ้างแต่เราก็ต้องทำปัญญาของเราให้เป็น สุภะ อย่าให้มันวิปลาสไปในสุภะ อย่าให้เข้าใจอสุภะเป็นสุภะ เมื่อเราชัดเจนไม่วิปลาสมี สุภะ มันเก่งกล้าสมบูรณ์ตามเหตุปัจจัย นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ขยายความรู้ลึกไปถึงวิญญาณฐิติ 7 

1 นั้นมันเละเทะ 2 นั้นมันจัดสัดส่วนได้เป็นปฐมฌาน ได้สัดส่วนที่พอมาพอดีได้ อันนั้นก็ทำ แต่ทีนี้เหตุปัจจัยมันมากขึ้นก็ด้วยภูมิปัญญา หรือความสามารถที่พอดีทำสิ่งที่เป็นอาภัสรา เป็นสิ่งที่อาศัยใช้สอยอย่างชัดเจนสดสวยงดงามน่ารัก แม้เหตุปัจจัยมันลงไป มันจะคล้ำ มันจะมืด มันจะยากสักหน่อย เราก็จะต้องเติมความรู้ความสามารถเรียกว่า สุภะ อย่าสูงไป อย่าให้ผิดพลาด ก็เป็นอันที่ 4 ของวิญญาณฐิติ ลืมตาอย่างมีเหตุปัจจัยครบ ไม่ใช่ทำอย่างงมคลำ ส่วนอันที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 วิญญาณฐิติอีก 3 อัน อันนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของ cyclic order ของสามเส้า 

1. อากาศ อากาสานัญจายตนะ ที่ว่าง 

2. วิญญานัญจายตนะ มันก็มีเท่านี้แหละสรุปลงในโลกก็มีที่ว่างกับวิญญาณ และวิญญาณของคุณไม่มีกิเลสคือ อากิญจัญญายตนะ หรือที่ว่าง ของคุณไม่มีสกปรก ที่ว่างของคุณนี้สะอาด ที่ว่างนี้บริสุทธิ์ ที่ว่างนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัย 

คุณก็อาศัยที่ว่างที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย มีพิษมีภัยก็ช่วยกันเอาออกแล้วจิตใจก็มีสมรรถนะ มีความสามารถ ที่จัดการได้ไม่ให้มีภัย ไม่ให้มีโทษ ไม่มีเรียกด้วยโทษทางจิตก็คือกิเลสไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งเสียหาย อากิญจัญญายตนะ มีแต่สิ่งที่เป็นสิ่งที่ดีตลอดหมดเลย นี่คือสามเส้าสุดท้าย ถ้าเข้าใจก็คือมีแค่นี้แหละ อากาศ วิญญาณ อากิญจัญญายตนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 15:05:43 )

วิญญาณฐิติขั้นที่ 1

รายละเอียด

วิญญาณฐิติขั้นที่ 1 ก็เป็นมนุษย์ เป็นมาร เป็นเทวดาไม่รู้เรื่อง กายต่างกันสัญญาต่างกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 08:33:50 )

วิญญาณฐิติขั้นที่ 2

รายละเอียด

วิญญาณฐิติขั้นที่ 2 กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ทำให้เห็นอาการนิวรณ์ 5ไม่มีได้ ไม่มีกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา จนชัดเจนไม่สงสัย รู้จนกระทั่งกระจ่างแจ้งสัมมาทิฏฐิเลยว่ามันดับอย่าง กายต่างกัน 

เพราะเราลืมตาสัมมาทิฏฐิ ส่วนมิจฉาทิฏฐินั้นหลับตาเขาถึงทำให้ไม่มีนิวรณ์ สัญญาไม่มีนิวรณ์ ก็ทำได้เหมือนกัน พวกหลับตาเขาก็ทำได้สัญญาอย่างไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 

พวกลืมตาก็ทำได้ไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันโดยที่ กายต่างกัน คนหนึ่งลืมตา คนหนึ่งหลับตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 08:34:47 )

วิญญาณฐิติขั้นที่ 3

รายละเอียด

วิญญาณฐิติขั้นที่ 3 เกิดปัญญาเกิดความสว่าง กระจ่างแจ้งรู้ อ๋อ.. กายอย่างเดียวกัน ความสว่างกระจ่างแจ้งอย่างเดียวกัน หรือมีปฏิภาณปัญญารู้ มีความรู้ความฉลาดอย่างเดียวกัน แต่ว่ามิจฉาทิฏฐิเขาเห็นต่างจากเรา 

ปัญญาของเขาไม่เหมือนเรา ความสว่างกระจ่างแจ้งความรู้เขาไม่เหมือนเรา เทวดาอาภัสราหรือความสว่างกระจ่างแจ้ง ความรู้ความเห็นไม่เหมือนกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 08:35:34 )

วิญญาณฐิติขั้นที่ 4

รายละเอียด

วิญญาณฐิติขั้นที่ 4 นี้ ไปกำหนดหมายสัญญา กำหนดหมายนิโรธ มิจฉาทิฏฐิไปกำหนดหมายนิโรธอยู่ที่ ความไม่มีชนิดไม่รู้ ชนิดไม่เห็นไม่เข้าใจ มันเป็นนิโรธดับความรู้ ดับสัญญา ดับเวทนา ดับให้จิตไม่ทำงานเท่านั้น มันเป็นลักษณะ กิณหา 

เป็นความดับ ความดำ ความหยุด มืด เงียบ สัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาที่หลงว่าเป็นนิโรธ มันไม่ใช่ของจริง 

เพราะฉะนั้นคนที่มองเห็น หรือคนที่ทำได้ สัมมาทิฏฐิ  ก็เข้าใจนิโรธว่าไม่ใช่มันดำ มันดับ มันมืด แต่มันสูงกว่าดำกว่าดับกว่ามืด กิเลส มันไม่มีก็ไม่สุขไม่ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 08:37:03 )

วิญญาณฐิติข้อที่ 4 

รายละเอียด

อาตมา ได้ขยายความและบอกนัยยะสำคัญของสิ่งที่กำหนดกันผิดพลาด Economy หรือ Luxury ที่เป็นภาษาฝรั่ง ว่า คุณจะประหยัดมักน้อยหรือคุณจะทำให้ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไป อะไรกันแน่ ในความกำหนดหมายของคุณ สัญญาอย่างหนึ่งแต่คุณก็ไปทำให้มันเป็น ภาพ เป็นสิ่งที่เกิดเป็นกาย เป็นการปรุงแต่งของรูปของนามอีกอย่างหนึ่งมันก็เป็นกบฏ มันก็ใช้ไม่ได้ ในความลึกซึ้งคำสอนพระพุทธเจ้าวิญญาณฐิติ 7 ถ้าเข้าใจ คุณจะสมัยใหม่เป็นอาภัสรา คุณก็ทำไปด้วยปัญญาให้ชัดเจน อย่าไปทำให้มันมืดๆงมงาย เป็นวิญญาณฐีติข้อที่ 4 

แม้คุณจะทำวิญญาณฐิติข้อที่ 4 คุณก็มีแสงสว่างในตัวเอง มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวตัดสิน สิ่งที่รู้ยังไม่ชัดแต่เรามีไฟ เป็นไฟพิเศษแสงสว่างพิเศษเห็นความจริงอันนี้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ แม้จะอยู่ในที่มืดเรียกว่า กิณหา เราก็มีแสงสว่างเป็น สุภะ เป็น สุภกิณหา ทำอันนี้อย่างมีแสงสว่าง อย่างมีความรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ จัดการสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จบลงที่ วิญญาณฐิติข้อที่ 4 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2566 ( 12:06:56 )

วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิ สัตตาวาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

มาพิจารณาเรียนรู้ความเป็นกายความเป็นสัญญา ถ้าอ่านวิญญาณฐิติ 7 ก็มีเรื่องกายกับสัญญา กายต่างกันสัญญาต่างกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน กับสัตตาวาส 9 ก็เหมือนกันมีพวกนี้หมด ที่นี้สัตตาวาส 9 คือคนปฏิบัติ โดยมิจฉาทิฐิก็เลยเหลือความเป็นสัตว์ ส่วนศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ล้างความเป็นสัตว์ ที่จะล้างความเป็นสัตว์ได้จะต้องปฏิบัติวิญญาณฐิติ วิญญาณฐิติมี 7 ไม่ใช่ 9 สัตตาวาส 9 มีมากกว่าวิญญาณฐีติอยู่ 2 ตัวคืออสัญญีสัตว์ กับเนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์ ในวิญญาณฐิติ 7 ไม่มีอสัญญีสัตว์ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายะตะนะสัตว์ เท่านี้แหละผู้มีปัญญาอย่างอาตมาก็จะเห็นแล้วว่า ไปหลับตานั้น หรือจะลืมตาใช้สัญญาเรียนรู้รูปฌานก็ตามมันโมฆะไปหมด เป็นสัตว์ไปหมดเลย เป็นรูปฌานหลับตาแล้วก็มีสัญญากำหนดรู้ คุณก็ได้แค่นั้น เสร็จแล้วคุณจะต้องดับสัญญา เพราะเมื่อคุณไปอธิบายพวกหลับตานี้นะ อธิบายรูปฌาน มีสัญญากำหนดรูปฌาน 4 คุณไปอธิบายอรูปฌาน 4 คุณก็ไปดับอีก สุดท้ายในสัตตาวาส 9 นี้มันไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเวทยิตนิโรธหมายถึงสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ มีเวทนามีสัญญา เรียนรู้ในเวทนา เรียนรู้ทั้งหมดแล้วก็รู้นิโรธที่ดับได้ ก็เพราะเรียนรู้เวทนาเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่สัตตาวาสนี้ ไม่มีในอนุปุพพวิหาร 9 ที่สัมมาทิฏฐิ เมื่อเขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นอนุปุพพวิหาร 9 ที่มิจฉาทิฏฐิเพราะเป็นฌานหลับตา อนุปุพพวิหาร 9 ของพระพุทธเจ้านั้นสัมมาทิฏฐิ ที่นี้วิญญาณฐิติ 7 นี่แหละ เป็นสัมมาทิฏฐิ ส่วนสัตตาวาส 9 นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 13:25:58 )

วิญญาณฐีติ

รายละเอียด

ความดำรงอยู่ของวิญญาณ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ที่ยังมีการเป็นอยู่

หนังสืออ้างอิง

(จากเปิดโลกเทวดา หน้า 184)


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 12:46:51 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:06 )

วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

แม้แต่จะไปเสพสุข อาตมาก็บรรยายความสุขเป็นอาการอารมณ์ของจิต พระพุทธเจ้าสอน จิต หมดสุข ไม่มีอาการอารมณ์ชนิดนี้ในจิต คุณต้องเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่อาตมาพูดเป็นอุเทส มันมีหรือไม่มี มีอาการมากอาการน้อย มันมีอาการละเอียดลึกซึ้งอย่างไรคุณก็ต้องอ่านอาการของคุณ ยิ่งอาการเป็นนามธรรม ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง คนอื่นมารู้ด้วยไม่ได้ คุณรู้ผิดก็ผิด คุณรู้ถูกต้องสัญญากำหนดหมายถูก คุณก็ปฏิบัติได้ถูก กายต่างกันสัญญาต่างกัน คุณต้องชัดเจนในภาษาที่พูดไปแค่นี้ ในวิญญาณฐีติ 7 วิญญาณต้องมีภายนอกด้วย วิญญาณต้องมีผัสสะ ไม่มีผัสสะมีวิญญาณไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 10:57:05 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:14:56 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:55:45 )

วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า ต้องศึกษาในขณะที่มีวิญญาณตั้งอยู่ ฐีติ แปลว่าตั้งอยู่ต้องมีวิญญาณ วิญญาณคือธาตุรู้ที่พร้อมด้วยทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไปหลับตา ก็ออกนอกรีต ศาสนาพุทธแล้ว ไม่ได้ศึกษาวิญญาณฐีติ 7 เพราะว่าวิญญาณแบบนั่งหลับตามีแต่สัญญา เป็นสัมภเวสีหรือเป็นวิญญาณที่คิดเอา เป็นวิญญาณอยู่ในการสร้างภพชาติ วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่ครบพร้อมทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่คือวิญญาณ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านี้ แม้แต่วิญญาณฐีติ 7 มันก็บอกไว้แล้วว่าไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มันสูญแล้ว สุญโญ อาตมาจำเป็นมากต้องพูดซ้ำซากในเรื่องนี้ เพราะเขายึดมั่นถือมั่นว่าพระปฏิบัติจะต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิทำฌานทำความรู้ในจิตเจตสิกต่างๆ แล้วจะบรรลุนิพพาน ซึ่งมันตรงกันข้ามเลย อาตมาบอกว่าอย่างนั้นมันตรงกันข้ามกับนิพพาน จะปล่อยให้เขาไปแล้วโดยไม่มีวันได้ขึ้นมาเลยหรือ อาตมาก็ไม่ใช่คนใจดำอำมหิต จะปล่อยให้เขาไปอย่างนั้นได้ เขาจะรำคาญก็จำเป็น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:18:47 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:12:48 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:56:15 )

วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ มีกายนอกด้วย คนที่ไม่เข้าใจคำว่ากายได้สมบูรณ์ปฏิบัติธรรมไปไม่เป็นอรหันต์หรอก ก็จะปฏิบัติธรรมไม่มีกาย ก็ไม่มีวิญญาณฐิติ เต็ม 7 ก็จะไม่รู้ว่ากายที่ต่างกัน สัญญาที่ต่างกัน คุณจะไม่รู้ คุณจะพิจารณาไม่ออกแยกไม่ได้ เพราะความเป็นสัตว์ ย่นย่อ เรียกว่า  สัตว์มนุษย์ สัตว์มาร สัตว์เทวดา มี 3 อย่าง เทวดาสัตว์นรกและมนุษย์ มี 3 สภาพแยกได้ง่ายๆ ถ้าคุณเข้าใจความเป็นสัตว์ที่ว่านี้ มันจะต้องชัดเจนตรงที่ จิตหรือวิญญาณไม่ใช่ร่างภายนอก ร่างภายนอก เป็นสัตว์เดรัจฉานตัวตนนั้นไม่ใช่ ไม่ได้เรียนตรงนี้ คำว่าเดรัจฉาน ก็เป็นภาษาธรรมะซ้อนลงไป เป็นสัตว์ชั้นต่ำสัตว์นรก เป็นอสุรกายวินิปาตต่างๆหรือว่าเป็นสัตว์เทวดาเป็นสัตว์ชั้นสูง มนุษย์เป็นสัตว์ชั้นกลาง ถ้าเป็นมนุษย์จริงๆจะต้องมีภูมิธรรมรู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำ แล้วก็ต้องอยู่อย่างสูงอยู่อย่างควร ไม่ได้อยู่อย่างต่ำ ไม่ต้องใช้คำว่าเทวดาหรือนรก แต่รู้องค์ประกอบสังขารธรรมว่าควรปรุงแต่งอย่างสูงหรือควรปรุงแต่งอย่างต่ำ ก็ต้องปรุงแต่งอย่างสูง

แม้แต่วิญญาณฐีติข้อ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน มีองค์รวมมีสัญญาเจตสิกที่กำหนดมุ่งหมายมีความจดจำรู้ แม้ว่าสัญญาของคุณที่ไปเรียนรู้กำหนดคนละเรื่องคนละอย่างกับของพระพุทธเจ้า มันต่างกับที่สัมผัสอยู่ภายนอก อย่างทนโท่ มีองค์ประกอบรูปี รูปานิปัสสติ รูปีคือรูปอันนั้น

นี่คือมะนาวมีรูปของมัน รูปานิ คือผู้มีรูป คือคุณเป็นคนมีตาก็สามารถมีรูป แต่ถ้าคุณไม่มีตาคุณก็ไม่มีรูปานิ ตาบอดเป็นต้นหรือสัตว์ไม่มีตา ก็ใช้อย่างอื่นเรียนรู้ ก็ไม่มีรูปานิ หรือตาบอดก็ไม่เห็นไม่ปัสสติ วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 มีตาต้องสัมผัสด้วยตา มีรูปนามสัมผัสด้วยกาย

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 หากคนหลับตาปฏิบัติ ตาดีเอาไปทำให้ตาบอดอีก เป็นการออกนอกทางพระพุทธเจ้า พวกเราได้ฟังเป็นกุศลหูไหม แล้วปฏิบัติธรรมให้เป็นบุญหูคือลดกิเลสได้ ได้ฟังได้เป็นกุศลหู เอาไปปฏิบัติได้ผลลดกิเลสเรียกว่าบุญหู

ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 จึงเป็นหลักสำคัญที่สุดที่จะเอาไปปฏิบัติธรรม เป็นหัวใจศาสนาเลย ธรรมะ 2 เหล่านี้รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มีเวทนาเป็นกรรมฐานให้สัมผัสวิโมกข์ 8


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:15:02 )

วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ มีกายนอกด้วย คนที่ไม่เข้าใจคำว่ากายได้สมบูรณ์ปฏิบัติธรรมไปไม่เป็นอรหันต์หรอก ก็จะปฏิบัติธรรมไม่มีกาย ก็ไม่มีวิญญาณฐิติ เต็ม 7 ก็จะไม่รู้ว่ากายที่ต่างกัน สัญญาที่ต่างกัน คุณจะไม่รู้ คุณจะพิจารณาไม่ออกแยกไม่ได้ เพราะความเป็นสัตว์ ย่นย่อ เรียกว่า  สัตว์มนุษย์ สัตว์มาร สัตว์เทวดา มี 3 อย่าง เทวดาสัตว์นรกและมนุษย์ มี 3 สภาพแยกได้ง่ายๆ ถ้าคุณเข้าใจความเป็นสัตว์ที่ว่านี้ มันจะต้องชัดเจนตรงที่ จิตหรือวิญญาณไม่ใช่ร่างภายนอก ร่างภายนอก เป็นสัตว์เดรัจฉานตัวตนนั้นไม่ใช่ ไม่ได้เรียนตรงนี้ คำว่าเดรัจฉาน ก็เป็นภาษาธรรมะซ้อนลงไป เป็นสัตว์ชั้นต่ำสัตว์นรก เป็นอสุรกายวินิปาตต่างๆหรือว่าเป็นสัตว์เทวดาเป็นสัตว์ชั้นสูง มนุษย์เป็นสัตว์ชั้นกลาง ถ้าเป็นมนุษย์จริงๆจะต้องมีภูมิธรรมรู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำ แล้วก็ต้องอยู่อย่างสูงอยู่อย่างควร ไม่ได้อยู่อย่างต่ำ ไม่ต้องใช้คำว่าเทวดาหรือนรก แต่รู้องค์ประกอบสังขารธรรมว่าควรปรุงแต่งอย่างสูงหรือควรปรุงแต่งอย่างต่ำ ก็ต้องปรุงแต่งอย่างสูง

แม้แต่วิญญาณฐีติข้อ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน มีองค์รวมมีสัญญาเจตสิกที่กำหนดมุ่งหมายมีความจดจำรู้ แม้ว่าสัญญาของคุณที่ไปเรียนรู้กำหนดคนละเรื่องคนละอย่างกับของพระพุทธเจ้า มันต่างกับที่สัมผัสอยู่ภายนอก อย่างทนโท่ มีองค์ประกอบรูปี รูปานิปัสสติ รูปีคือรูปอันนั้น

นี่คือมะนาวมีรูปของมัน รูปานิ คือผู้มีรูป คือคุณเป็นคนมีตาก็สามารถมีรูป แต่ถ้าคุณไม่มีตาคุณก็ไม่มีรูปานิ ตาบอดเป็นต้นหรือสัตว์ไม่มีตา ก็ใช้อย่างอื่นเรียนรู้ ก็ไม่มีรูปานิ หรือตาบอดก็ไม่เห็นไม่ปัสสติ วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 มีตาต้องสัมผัสด้วยตา มีรูปนามสัมผัสด้วยกาย

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 หากคนหลับตาปฏิบัติ ตาดีเอาไปทำให้ตาบอดอีก เป็นการออกนอกทางพระพุทธเจ้า พวกเราได้ฟังเป็นกุศลหูไหม แล้วปฏิบัติธรรมให้เป็นบุญหูคือลดกิเลสได้ ได้ฟังได้เป็นกุศลหู เอาไปปฏิบัติได้ผลลดกิเลสเรียกว่าบุญหู

ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 จึงเป็นหลักสำคัญที่สุดที่จะเอาไปปฏิบัติธรรม เป็นหัวใจศาสนาเลย ธรรมะ 2 เหล่านี้รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน มีเวทนาเป็นกรรมฐานให้สัมผัสวิโมกข์


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:16:26 )

วิญญาณฐีติ 7 กับ สัตตาวาส 9 ต่างกัน

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ 7 ไม่มี เนวสัญญาฯ สัญญาเวทยิตนิโรธ

ส่วน “สัตตาวาส 9” มีอสัญญีสัตว์ แล้วมีเนวสัญญาฯ ตั้งแต่อสัญญีสัตว์ อากาสาฯ วิญญาณัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญา คือมิจฉาทิฏฐิหมด ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ

สัตตาวาส 9

1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า  

2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

พูดถึงนามธรรมเป็นมนุษย์เป็นมาร หรือพรหม หรือวิญญาณฐีติ ข้อที่ 1 

วิญญาณฐิติคือสัมมาทิฏฐิทั้งหมดส่วน ส้ตตาวาส 9 คือมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด 

วิญญาณฐิติคือตัวปฏิบัติครบ 7 แล้วจะเกิดผลเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ไม่ได้พูดถึง ปฏิบัติถึงอากิญจัญญายตนะและจบวิญญาณฐีติ มีสัญญาเวทยิตนิโรธตามอนุปุพพวิหาร 9 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 21:53:39 )

วิญญาณฐีติ 7 อันที่ 3

รายละเอียด

อันที่ 3 กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน มันก็จะเกิดสภาพเป็น อาภัสราพรหม จิตมันจะเกิดมีแสงสว่าง กายอย่างเดียวกันคือ สภาพของสิ่งที่ได้นั้นมันเป็นแสงสว่าง กายคือสภาพที่เป็นอายตนะ รูป นาม มันจะเกี่ยวกันแล้วเพราะต้องมีกายมันต้องมี 2 สภาพ มันก็จะเกิดสภาพสว่าง นี่อธิบายไปเป็นสภาวะจิตทั้งนั้น จิตเป็นแสงสว่าง 

กาย อย่างเดียวกันเป็นแสงสว่าง แต่สัญญาคนละอย่าง พวกที่นั่งหลับตา แสงสว่างเขาก็จะต้องเกิดในตอนหลับตา อย่างทาง ธรรมกายธัมมชโยหลับตาแล้วก็กำหนดหมายใส ๆ ๆ ๆ แล้วเขาก็จะเห็นแสงสว่างกัน ใส เป็น กายอย่างเดียวกัน สว่างใส แต่ คนหนึ่งกำหนดสว่างใสที่ไหนหลับตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไปหลับตามันจะเห็นใสๆอย่างไร มันก็จะเห็นดำๆมืดๆ เห็นไหม มันก็ผิดชัดๆ แต่เขาก็ใสๆ เป็นพวกตาใสตาบอด แต่เขาไปหลับตาแล้วจะเห็นความใส เสร็จแล้วก็เหมือนตาบอด ก็เลยกลายเป็นคนตาใสตาบอด ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไร มันกลายเป็นอย่างนั้น นี่คืออันที่ 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:22:57 )

วิญญาณฐีติ 7 เป็นการตรวจสอบ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเขาไม่เป็นไปอย่างที่ว่านี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีเป็นสวากขตธรรม แต่เขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด ไม่เข้าร่องเข้ารอยเลย เพราะฉะนั้น จริงๆแล้วผู้ที่หลุดพ้นแล้ว วิญญาณฐีติ 7 เป็นการตรวจสอบ แต่ตรวจสอบสิ่งที่เราเคยยึดเคยถือ เช่น วิญญาณฐีติ 7 ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็จะรู้ว่าแต่ก่อนเราเคย กายก็สารพัด สัญญาก็สารพัด ต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้นมันจะรู้ว่า เออ อย่างนี้คือ สัตว์นรก ลักษณะกายหรือลักษณะรูปนาม อย่างนี้คือสัตว์นรก อย่างนี้คือเทวดา อย่างนี้คือมนุษย์ แต่สัตว์นรกต่างคนก็ต่างสัตว์นรก ไม่เหมือนกันเลย แตกต่าง เทวดาก็ตามมนุษย์ก็ตาม กำหนดหมายกันคนละอย่าง นี่คือ

ข้อที่ 1 ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นอย่างนี้กำหนดหมายต่างกันหมด พูดเหมือนจะรู้เรื่องกัน แต่ไม่รู้เรื่องกัน เป็นพวกนิรมานกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย มันเหมือนจะรู้เรื่องกันแต่มันไม่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่รู้เรื่องกันทั้งหมดหรอก ไม่เหมือนกับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จะเป็นหนึ่งเดียวกันรู้เรื่องกันหมด นอกนั้นมันจะต่างกันไป เหลื่อมกันไปมากน้อยแล้วแต่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:02:02 )

วิญญาณฐีติ 7 เป็นการตรวจสอบที่สมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ 7 เป็นการตรวจสอบที่สมบูรณ์แบบว่ายังเหลือเชื้อของความเป็นอื่น เป็นต้นว่า ยังเป็นแค่วิญญาณฐีติข้อที่ 1 ถ้ามิจฉาทิฐิก็เห็นต่างกันไปตามที่ยึด ถ้าสัมมาทิฏฐิเห็นต่างกันแต่ไม่ยึด คือรู้อย่างที่เขาเห็นต่าง ก็เข้าใจว่ามนุษย์ คนๆนี้ก็เป็นอย่างนี้  เทวดาก็เป็นอย่างนี้  สัตว์นรกก็เป็นอย่างนี้ เราก็เห็นก็รู้อย่างนั้น เราก็เคยโง่อย่างนั้น แต่เราก็ไม่ได้ยึดแล้วแต่เขายึดเขาก็เลยเป็น นี่เรียกว่าวิญญาณฐีติอันที่ 1 เป็นสัตตาวาสข้อที่ 1 เลย กายต่างกันสัญญาต่างกัน 

อันที่ 2 กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกันคืออะไรคือ สัญญาว่าไม่มีนิวรณ์ 5 พวกหลับตาเขาก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ เขาสะกดจิตไปให้ไม่มี กาม ไม่มีพยาบาท ไม่มีปฏิฆะ ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เค้าก็ไม่สงสัยเพราะสมาธิแบบเขาก็อยู่กับความมืดความดำเป็น กิณหา แต่เขาจะยังไม่เข้าใจ มันเป็นรูปธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้หมดรูปหมดนาม ไม่ได้รู้นามรู้รูปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มันไปติดยึดอยู่ในรูป นามของคุณก็อยู่ในรูป เพราะฉะนั้นจะบอกว่า ถ้าคุณไปทำสมาธิแบบนั้น ดับ ดำ คุณก็คือ อสัญญีสัตว์ ดับเวทนา ดับสัญญานั่นเอง ไม่ให้ไปรับรู้อะไร แต่คุณก็ไม่รู้ว่า อสัญญีสัตว์ เป็นเช่นนี้เองแต่คุณทำตนเองให้เป็น อสัญญีสัตว์ เป็นสัตตาวาสตัวที่ 5 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:14:00 )

วิญญาณฐีติ หรือสัตตาวาสข้อที่ 2

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 ก็ยังมีนัยยะซ้อนต่างกันอยู่ว่า คุณทำให้ไม่มีนิวรณ์ได้แต่ก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่บ้างเพราะฉะนั้นต้องทำอย่างสัมมาทิฏฐิลืมตาอ่านทุกอย่าง ไม่มีนิวรณ์ อย่างลืมตาต้องโต้งๆ กามเป็นอย่างนี้ พยายาทเป็นอย่างนี้ ถีนมิทธะ มันไม่เต็ม100 หรือว่ามันเกิน 100 ไปเป็น 105 110 120 ถึงสติ 200 ก็เอาแค่ 100 พอ สติ 200 มันไม่ไหวแล้วพวกไฮเปอร์ 

สรุปแล้ววิญญาณฐีติข้อที่ 2 หรือสัตตาวาสข้อที่ 2 สัญญาอย่างเดียวกัน แต่กายต่างกันรูปนามต่างกัน 

คุณหัดจำอย่างนี้

1. กายสัญญาต่างกัน 2. เอากายข้างนอกต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน 3. กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน ข้อที่ 4. กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 15:42:26 )

วิญญาณฐีติ อันที่ 2

รายละเอียด

พอวิญญาณฐีติ อันที่ 2 นั้นมีกำหนดหมาย กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน กำหนดหมายอย่างเดียวกันคือ กำหนดหมายว่าไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ก็เลยทำกัน พวกมิจฉาทิฐิก็ทำได้ เขานั่งหลับตาสะกดจิตไม่ให้มีนิวรณ์ 5 ให้เป็นปฐมฌาน มีความรู้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดับอสัญญี มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เขาก็มีไป เป็นฌาน 1 ของเขา 

ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้แต่ไม่ได้หลับตา ผู้มิจฉาที่หลับตาก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ก็เลยเกิดกายต่างกัน คนหนึ่งหลับตาไม่มีนิวรณ์ อีกคนหนึ่งลืมตาไม่มีนิวรณ์ เป็นฌาน 1 ปฐมฌาน เห็นไหมว่า มันต่างกันคนละเรื่องเลย ต่างกันเพราะมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสารอาตมาพูดไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่ฟังอาตมา เพราะว่าเขาไม่เชื่อ อาตมาพูดว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์  อาตมานำเอาโลกุตตรธรรมมา เขาก็ทำไขหู เขาฟังเขาก็ไม่เชื่อ 

ถ้าคนที่เอาใจใส่เขาอยากเป็นอรหันต์กันนะ มาบวช มาปฏิบัติธรรมเยอะนะ  สายนั่งหลับตามีเยอะ นี่ไม่ได้ครึ่งเขาหรอก พวกเรามีจำนวนไม่ได้ครึ่งค่อนเขาหรอกที่นั่งอยู่ที่นี่ แล้วอาจารย์ใหญ่ๆของเขามา สถานที่แตกเลย มากันอย่างศรัทธามาก แต่พากันผิดไปหมด น่าสงสารจริงๆมันซ้อนอย่างนี้ อาตมาพูดแล้วก็เห็นความจริงว่า น่าสังเวชใจ น่าสงสาร พากันผิดไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:09:09 )

วิญญาณฐีติ 

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ ฐีติคือที่ตั้ง วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้งที่ตาหูจมูกลิ้นกายก็เป็นวิญญาณสัมภเวสีวิญญาณล่องลอย จับเอามาไม่ได้เอามาปฏิบัติไม่ได้เพราะมันล่องลอยไม่มีที่ตั้ง มันไม่มีที่อยู่ไม่มีที่จะหยิบมาเป็นของจริง ไม่ใช่ของที่จับมั่นคั้นตาย สัมผัสต่างๆเกิดเวทนาแล้วมีตัณหาซ้อนอยู่ในเวทนานี่ไง ซึ่งคุณไม่มี เพราะนามรูปคุณไม่มี ที่ตั้งของนามรูปคุณไม่มี คุณมีแต่สัมภเวสีไม่เรียกว่าวิญญาณ จะเรียกว่าวิญญาณก็เป็นธาตุรู้ของอัตภาพหนึ่ง แต่อัตภาพนั้นจับมันมาทำงานอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:39:06 )

วิญญาณฐีติกับสัมภเวสี

รายละเอียด

คำว่า วิญญาณฐีติกับสัมภเวสี 2 อย่างนี้ก็ยังแยกความต่างกันไม่ออก ก็ยังแยกไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติไปงมงายกับวิญญาณล่องลอยสัมภเวสี วิญญาณหลับตาไม่มีที่ตั้ง วิญญาณไม่อยู่ในทางตากระทบอยู่ ก็ได้ยินเสียงอยู่รู้อยู่ จมูก ลิ้น กายครบ มีที่ตั้งมีที่ยืนยันอ้างอิง เป็นความจริงครบบริบูรณ์ทั้งรูปทั้งนามทั้งนอกและในครบกายครบจิต ความรู้เหล่านี้ถ้าไม่ชัดเจนในความจริงก็บกพร่องไป แต่ถ้าครบถ้วนรอบปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตั้งแต่วิญญาณฐีติ 7 ถึงขั้นไม่มีกิเลสแล้ว ทบทวนแล้ว อากาศก็ดีวิญญาณก็ดีก็ว่างชัด วิญญาณก็สะอาดเต็ม ไม่มีกิเลสแม้นิดนึงน้อยนึง สัมมาทิฏฐิก็จบตรงนี้ ไม่ต้องไปทบทวนอะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:18:24 )

วิญญาณฐีติข้อที่ 2 

รายละเอียด

คือสัญญาอย่างเดียวกัน แต่ทุกคนมีกายต่างกันหมด นี่คือวิญญาณฐีติข้อที่ 2 กายต่างกันหมด แต่ สัญญาอย่างเดียวกันหมด สัญญาว่า อย่างนี้นะ อัตตา เป็นอย่างนี้นะ แล้วอย่างนี้แต่ละอันมันเป็นมิจฉาทิฏฐิซ้อนว่า ต่างคนต่างกำหนดสัญญากันคนละสัญญา นี่ล่ะมันยาก สัญญาวิปริตไปหมด เป็นสัญญาวิปริตหรือสัญญาวิปลาส มีสัญญาวิปลาส 3 สัญญาวิปลาส 4 วันนี้จะไม่ลงลึก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 14:18:00 )

วิญญาณฐีติต่างจากวิญญาณสัมภเวสี

รายละเอียด

กามตัณหาต้องรับรู้ทวารทั้งภายนอก อยู่แต่ภายในนั้นมีแต่วิญญาณสัมภเวสี อยู่กับของตัวเองปั้นสร้างภพชาติ มันไม่ใช่วิญญาณตัวจริง ไม่ใช่วิญญาณฐีติ มันไม่ใช่วิญญาณที่เป็นจริงเป็นความจริงมีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมภเวสีไม่ใช่วิญญาณที่แท้ มันเป็นธาตุปรุงแต่งของนิรมาณกาย 

เพราะฉะนั้นก็ไปทำไปจัดการอยู่กับสัมภเวสีหรือธาตุจิตที่ไปนั่งเนรมิตขึ้นมาเอง อยู่ในจิตตัวเอง มันก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ มันไม่ใช่วิญญาณ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2565 ( 12:50:26 )

วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด

รายละเอียด

วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด พ่อครูว่า…หทยรูป มันจะอยู่ที่ไหนก็ตรงนั้นแหละมันไม่มีสถานที่ไม่กินพื้นที่เลย ไม่เสียสถานที่ไม่เสียเวลาไม่เสียอะไรอื่นเลยมันไม่เสีย ซึ่งมันอธิบายยาก หทยรูป ใครจับอาการวิจัยวิจารณ์แยกแยะได้ ทั้งนั้นแหละ ตัวนั้นแหละตัวอัตตา ตัวผี ตัวมาร ตัวเทวดา หรือว่าตัวจบก็อยู่ในนั้น หทยรูป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 19:04:55 )

วิญญาณตั้งอยู่ในการปฏิบัติคืออย่างไร

รายละเอียด

วิญญาณตั้งอยู่ในการปฏิบัติคืออย่างไร คุณก็ต้องรู้กายกับต้องมีสัญญากำหนดรู้

กายคือธรรมะ 2

ตั้งแต่ธรรมะข้อที่ 1 ของวิญญาณฐีติ 7 คือ

1.  สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่นพวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า 

ต้องเรียนรู้ธรรมะ 2 ธรรมะ 2 มีโลกกับอัตตา

จะเรียนรู้โลก ในโลกก็มีสอง ในอัตตาก็มีสอง

อัตตาคือภายใน โลกคือภายนอก

แต่จริงๆแล้วภายนอกกับภายในขาดกันไม่ได้ จะต้องเข้าใจวิโมกข์ 8

สรุปว่า สัตตาวาส 9 อสัญญีสัตว์ดับสัญญาไม่ให้กำหนดรู้ อสัญญี ตีทิ้งเลย หรือจะบอกรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่เอา ต้องกำหนดสัญญารู้ สัญญากับเวทนา ในนิโรธ นิโรธนี้เรียนรู้เวทนานี่จะมีนิโรธ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:50:36 )

วิญญาณต้องกินข้าวไหม

รายละเอียด

วิญญาณไม่กินข้าว วิญญาณที่ไม่มีกาย

วิญญาณที่ยังมีร่างกายมีองค์ประกอบครบอาการ 32 ก็กินข้าวกินอาหารเลี้ยงชีพ วิญญาณกินข้าวไหม ถ้าวิญญาณที่ไม่มีร่างกายคือวิญญาณเป็นสัมภเวสี วิญญาณที่ไม่มีที่เกิด วิญญาณที่อยู่ไหนๆมีเยอะแยะยังไม่มีที่เกิด ยังหาที่เกิดยังไม่มีสิทธิ์จะมาได้ร่างเป็นสัตว์ก็ตามเป็นคนก็ตาม ยังเป็นวิญญาณล่องลอย ศาสนาฮินดูหรือศาสนาหลายศาสนาก็พูดถึง ศาสนาฮินดูไม่พูดถึงสัมภเวสีเพราะเขาไปตามยถากรรมของวิบากของสัตว์แต่ละชนิด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 18:46:13 )

วิญญาณต้องมีแดนเกิด มีที่ตั้ง กำหนดรู้ได้ใน“กาย”!

รายละเอียด

“วิญญาณ”ที่คนเราจะสามารถศึกษาได้นั้นต้องมี“แดนเกิด”หรือต้องมี“ที่ตั้ง”ที่สามารถ“กำหนดรู้ได้อย่างแม่นยำใน“กาย”ของคนนี้เอง “ที่ตั้ง”หรือ“แดนเกิด”นั้นได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย อัน“ใจ”ของเราจะสามารถ“รู้จัก”

แล้วจึงจะสามารถเรียนรู้จาก“รูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ”กระทั่ง“รู้แจ้ง”กระจะกระจ่างถ้วนรอบใน“อาริยสัจ 4“ที่เป็น “สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก”ได้สัมบูรณ์ จึง“รู้จริง”ได้ด้วยประการฉะนี้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 438 หน้า 318


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:20:09 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:42:35 )

วิญญาณต้องรู้ด้วยนามรูปอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาตั้งใจจะเอา ปุตตมังสสูตร ว่าด้วยอาหาร 4 อย่างมาขยายความให้ดีๆ เริ่มต้นด้วยกวฬิงการาหารและลงท้ายด้วยวิญญาณาหาร คุณต้องเริ่มต้นด้วยกวฬิงการาหาร และคุณต้องอ่านวิญญาณให้ได้ วิญญาณคืออาหารข้อที่ 4 วิญญาณก็ต้องรู้ด้วยนามรูป วิญญาณต้องมีนามรูปต้องมีสภาพ 2 ที่จะรู้วิญญาณได้ ถ้าไม่มีนามรูป รูปก็ต้องมีที่ตั้ง วิญญาณก็ต้องมีที่ตั้งเป็นวิญญาณฐิติ ต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ปฏิบัติไม่มีวิญญาณฐีติ เลิกได้แล้วหลับตามันโมฆะ มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:01:07 )

วิญญาณที่จะศึกษาได้ต้องเป็นเช่นใด

รายละเอียด

วิญญาณที่จะศึกษาได้ต้องมีการกระทบสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอกภายใน เรียกว่าวิญญาณฐีติ ถ้าไม่มีกาย ไม่มีภายนอกกับภายในมันจะไม่ครบปฏิบัติไม่สมบูรณ์ อาตมายืนยันว่าปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 นั้นถูกต้อง จะมีทั้งภายนอก ทั้งภายใน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:09:23 )

วิญญาณที่ใหญ่ยิ่ง

รายละเอียด

วิญญาณหรือจิตที่สามารถศึกษาได้จนเป็นวิญญาณที่ใหญ่ยิ่ง วิญญาณที่ใหญ่ยิ่งยืนยันและพิสูจน์ได้ในความเป็นมนุษย์ ถ้าวิญญาณที่ใหญ่ยิ่งพิสูจน์ไม่ได้ ลึกลับอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นบทบาทจริงหรือไม่จริงก็รับรองไม่ได้ เพราะวิญญาณนั้นไม่ได้แสดงตัวเองให้ดู วิญญาณนั้นไม่ได้เป็นมนุษย์จริง เป็นแต่เพียงบัญญัติ ลอยลม เป็นภาษาสวยงาม เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็ไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ภาษาก็มีที่ยังไม่รู้จริงรู้ไม่ได้ เช่นยกตัวอย่างว่า จิตวิญญาณนี้เป็นอนัตตา จิตวิญญาณนี้ไม่มีตัวตนสามารถแตกสลายแยกได้ และทาง อเทวนิยมที่มีความรู้แจ้งในเทวะ ตีแตก แยกแยะ และทำลายเทวะได้ ทำให้มีได้ทำให้มีได้สูงสุด อันนี้เทวนิยมจะฟังยาก ไม่ได้ดูถูก แต่เทวะไม่ประสีประสาในเทวะ ไม่เคยเรียนรู้ตัวเองโดยเฉพาะจิตวิญญาณตัวเองจิตเจตสิกรูปนิพพาน หรือ รายละเอียดของเวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น จะไม่รู้จักอาการของเวทนา 108 เกิดมาอย่างไร และอารมณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร แม้แต่ อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 12:26:22 )

วิญญาณธาตุ

รายละเอียด

1. ธาตุจิต

2. ตัวรู้ในจิตคน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 115

คนคืออะไร? หน้า 15


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 12:48:35 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:26:25 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:57:55 )

วิญญาณประกอบด้วยอะไร

รายละเอียด

วิญญาณคือ ธาตุรู้ทั้งหมด รูปเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณเป็นหัวหน้า ถ้าไปอ่านหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ก็จะรู้ดีว่าอาตมาแยกวิญญาณออกเป็นหัวหน้าของเวทนาสัญญาสังขาร แยกเป็นหัวหน้ากรม หัวหน้ากองเป็นอธิบดีไว้
เวทนา สัญญา สังขาร ทำงานเป็นเจตสิก มีหน้าที่คนละหน้าที่ ทำแล้วส่งให้วิญญาณ วิญญาณเป็นตัวนายตัวผู้รู้ รู้ร่วม รู้ครบ เวทนาก็ทำหน้าที่หนึ่ง สัญญาก็ทำหน้าที่หนึ่ง สังขารทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง แม้ที่สุด แยกไปเป็นเจตนาก็ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่เข้าใจถึงนามธรรมต่างๆ แม้แต่รูปธรรมก็ยังสับสน ถึงยากมาก ที่จะบรรลุธรรม แต่เขาก็พยายามทำความหยุดที่เป็นสงบ สงบเฉพาะการเคลื่อนไหว ไม่สงบเพราะจิตเจตสิกหรือคือตัวกิเลส อกุศลเจตสิก ซึ่งใช้พยัญชนะเรียกแยกกัน 

ของพระพุทธเจ้านั้นจับอาการตัวนิมิตของอาการนั้นให้ได้ว่ามันเป็นกิเลส จับมั่นคั้นตายตัวตนของกิเลสได้ แล้วก็พยายามเห็นให้ได้ว่าตัวเองยังโง่ ตัวเองยังอ่อนเยาว์ตัวเองยังไม่ชัดเจนในความจริง เพราะฉะนั้นเอาความจริงที่ตัวเองเริ่มเข้าใจความจริง เอาความจริงนั้นมายืนยันกับตัวโง่ ขยายความให้เห็นถึงภาษาลักษณะสัจธรรมที่จัดการกัน จะใช้ศัพท์ภาษาที่แรงว่ากำจัดฆ่าทำลายก็ได้ แต่ว่ามันก็แรงๆ แต่อย่างสุภาพอย่างจริงๆแล้วไม่ได้ฆ่าแกง ไม่ได้มีทุบมีถองกันหรอก พลังงานวิเศษ พลังงานของปัญญา ซึ่งเป็น ฌาน จนกระทั่งถึงบุญนี่สุดยอดปัญญาเลย แต่ไม่เรียกปัญญา ประเดี๋ยวจะกลายเป็นสภาพสมบัติ ปัญญาเป็นสมบัติแต่ว่าบุญไม่ใช่เป็นสมบัติ 

เพราะฉะนั้น ปุญญะ ถึงเข้าใจยากเพราะมันมีหน้าที่เดียว เป็นหน้าที่เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานเป็นเพชฌฆาตมือ 1 มือ 2  มือ 3  ส่วนมือ 4 มือสุดท้ายเป็นขั้นบุญก็ได้ หรือว่าบุญจะเป็นมือที่ 5 ก็ได้ เพราะฉะนั้นในพระอภิธรรมบางทีก็แยกเป็น 5 เป็นฌาน 5 ไม่ใช่แค่ฌาน 4 

จัดการตัวนี้อย่างไรอย่างไร กิเลสก็ต้องตายเด็ดขาดตายไม่มีฟื้น ตายเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ตายเด็ดขาด นี่คือภาษาที่เอามาสื่อสภาวะ ผู้ใดปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงปฏิบัติสำเร็จก็ได้สภาวะนั้น มีสภาวะนั้นขึ้นมาในตน เอาตั้งแต่โลกหยาบๆ ที่ใช้ภาษาว่าอบายมุข มุขคือหัวหน้าเลย หรือหยาบๆต่ำของใคร เราก็ต้องรู้ของเราเอง ไปติดในเรื่องอบายมุข 6 อบายมุข 4 ท่านก็มีตัวอย่างแยกแยะไว้ อย่างนั้นเป็นต้น  เราก็รู้ว่าเราไปติดไปเลอะในวงวนวัฏฏะ โลกนั้น ไปวนเวียนเสพกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเกิดสุขเกิดทุกข์ จนกระทั่ง ว่า ปัดโธ่เอ๊ย สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปสัมผัสก็ได้ ไม่ต้องไปวนเวียนกับมันก็ได้ มันก็มีอยู่สำหรับคนที่ติดยึด ถ้าเกิดปัญญารู้ว่าเราไปเสพรสชาติ สุขๆทุกข์ๆ แยกกันไม่ออก อันนี้ก็ยาก พวกสุขนิยม ไม่เรียนทุกข์เลยนี่พูดกันอย่างไร อย่างไรก็ยาก 

แค่พยัญชนะ สุขทุกข์ก็ตัวหนึ่งก็พอรู้ แต่เข้าไปหาอารมณ์จริง เขาไม่รู้ แวบใด ที่มันไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ หยาบบ้าง ขนาดหยาบๆเขาก็ยังไม่รู้เลย เสพสุขอย่างหยาบ เขาก็ยังไม่รู้ อาตมาก็ว่า พูดละเอียดหมดแล้วก็วน มาขยายความพวกนี้ไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 19:33:57 )

วิญญาณพระโสดาบันเป็นเช่นไร

รายละเอียด

ในวิญญาณไม่ใช่อย่างภิกษุสาติพูด ที่ล่องลอยไป แต่ต้องมีการสัมผัสภายนอกแล้วมีจิตรับรู้ แม้จะเป็นภายในก็ไม่ได้พรากจากนอก

เช่น คุณเป็นพระโสดาบัน หมดความติดยึดในอบายมุขแล้ว อบายมุขมันก็มีเต็มไปหมด แต่คุณหลุดพ้นแล้ว อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้ว สัมผัสสิ่งเหล่านี้อยู่ แต่จิตไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว พระโสดาบัน สกิทาคามีเหลือกาม แต่อบายหยาบๆไม่มีแล้วอย่างเช่นพวกเราชาวอโศก อบายหยำฉ่าพวกอบายมุข 6 พวกเราไม่มี เที่ยวกลางคืนไม่มี คบมิตรชั่วไม่มี ดีไม่ดีไล่ไม่ให้เข้ามาด้วย พวกอโศกยึดจัดบางคน สิ่งเหล่านี้ไม่มีในชาวอโศก อบายมุข 6 หรืออบายมากจัดอย่างสนุกสนานรื่นเริงจัดก็ไม่มี เล่นการพนันขันต่อก็ไม่มี  หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นมาแล้ว ยืนยันได้พิสูจน์ได้ในผู้มีปัญญาทุกคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 16:10:51 )

วิญญาณมาจากอวิชา

รายละเอียด

คุณอย่าไปคิดให้มันหัวแตกเลย วิญญาณมาจากไหน คุณจะรู้ไปทำไม คุณก็มีวิญญาณ คุณเรียนรู้วิญญาณของคุณให้ได้แล้วทำให้แจ้ง ดับวิญญาณให้ได้ก็แล้วกัน ให้รู้แจ้งรู้จริงในวิญญาณให้ได้ แล้วคุณจะไม่สงสัย ว่าวิญญาณจะมาจากไหน พระพุทธเจ้าเองก็ยังตรัสว่าท่านเองก็ไม่รู้ที่ต้น ตอบได้แต่ว่า วิญญาณนี้มันมาจากอวิชชา มันมีปัจจัยคือ สังขารทำให้เกิดวิญญาณ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ คนไม่รู้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้สังขารคือการปรุงแต่ง วิญญาณเป็นตัวที่รวมกันปรุงแต่ง ท่านแบ่งเป็นขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์เป็นองค์รวม มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:36:39 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:13:19 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:58:24 )

วิญญาณมีจริงหรือไม่มีจริง

รายละเอียด

คนก็ต้องอยู่กับความจริง ส่วนคนจะปฏิเสธไม่รับ มันไม่จริงเราก็ไม่รับ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ความจริงสูงสุดแล้ว ก็จะรู้ความจริงว่า วิญญาณ ตกลงที่สุดแห่งที่สุดของวิญญาณมีจริงหรือไม่มีจริง ...ไม่มี เพราะทำให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วค้นพบว่ามันไม่มีจริง มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนจริง มันเป็นตัวหลอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 09:28:04 )

วิญญาณมีตัวการคือตัณหา

รายละเอียด

อาตมาก็ขยายความรู้ทั้งรูปธรรมนามธรรม วิญญาณก็มีตัวการคือตัณหา  ตัณหาเป็นตัวการที่ร้ายที่สุด คลังของตัณหาคืออุปาทาน ใส่เซฟใส่คลังเอาไว้ที่อุปาทานเสร็จแล้วคุณก็กำจัดพลังงานตัณหาอุปาทานให้หมด ถ้าไม่หมดมันก็ตกเป็นภพเป็นชาติ เป็นคู่อยู่อย่างนั้น ภพก็คือแดนเกิด ชาติคือตัวอาศัยแดนเกิดเกิดอยู่ 

จะสามารถรู้จักสภาพเทว คู่ แล้วแยกแยะอธิบายได้ คุณเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติเพื่อลดละความยึดถือตัวเองได้ จนกระทั่งหมดอะไรที่เรายึดถือเอาไว้ เลิกได้หมดเลย คุณก็เป็นพระอรหันต์ของแต่ละคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 18:45:06 )

วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย

รายละเอียด

ในกาย คุณก็ต้องรู้องค์ประกอบมันมี 2 สภาพ รูปกับนาม ข้างนอกกับข้างใน เดี๋ยวจะกลับมาอธิบาย กายอีก กายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ครอบจักรวาลไม่ใช่เรื่องเล่น เมื่อคุณอวิชชา คุณไม่รู้สังขารคุณก็ไม่รู้ว่าวิญญาณเป็นปัจจัยของสังขาร เพราะคุณไม่รู้จักว่าวิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดวิญญาณ แล้วนามรูปนี้ ถ้ามันไม่เกิดปฏิกิริยาสัมผัสกัน มันก็ไม่เกิดอายตนะ เมื่อสัมผัสขึ้นมาก็มีอายตนะ เป็น 2 เกิดเป็นผัสสะ เกิดเป็นอายตนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 14:39:44 )

วิญญาณมีอากิญจัญญายตนะ

รายละเอียด

เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ เพราะว่าในว่าเนวสัญญานั้นมีธาตุที่เป็นสัมมาทิฏฐิร่วม แต่ผู้ที่หลับตานั้นไม่มีเลย ดับมืดมากกว่า วิญญาณฐิติ 7 จึงไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ และไม่มีอสัญญีสัตว์ จบแค่อากิญจัญญายตนะ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:01:48 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:13:52 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 15:58:44 )

วิญญาณรู้นามรูปเป็นอันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว

รายละเอียด

อาการไม่ทุกข์ไม่สุขของอาการเวทนา มันก็คือธาตุรู้เดียวกันกับวิญญาณหรือสังขาร ซึ่งมันรวมกันอยู่ สังขาร 2 ตัวรวมกันมาเป็นหนึ่ง วิญญาณเป็นธาตุคุมสังขาร แยกวิญญาณออกไปเป็นนามรูป พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าใครสามารถแยกนามรูปไว้เป็นคู่หู ตัวทำการศึกษา คุณศึกษาได้จบทุกอย่าง ในอาหาร 4 ข้อที่ 4 ผู้สามารถรู้วิญญาณ รู้นามรูปเป็นอันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว จะเรียนรู้อะไรอีกต่อได้หมดจบ จบจนกระทั่งทำให้หมดสูญนิรันดร หรือมีอยู่นิรันดร   จบสูญอย่างไม่เหลืออะไรเลย แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม นิรันดรเลยไม่จับตัวเข้าเป็นชีวะอีก หรือจะเป็นชีวะเป็นธาตุรู้เป็นวิญญาณ ไปนิรันดร จนคุณไปเป็นวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่าพระเจ้าควบคุมอะไรอยู่ คุณก็รู้สิ้น รู้จบ รู้หมด รู้ครบบริบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้าท่านรู้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:19:52 )

วิญญาณละเอียดกว่าอากาศธาตุ

รายละเอียด

ทีนี้ เล็กของนามธรรมอีก เลยอากาศธาตุอีก วิญญาณนี้ละเอียดกว่าอากาศธาตุอีก นี่ใครตามสภาวะภาษาได้ จะรู้ว่ามันเล็กมาก 

ในที่ว่างยิ่งกว่าอากาศ คือวิญญาณ คือธาตุรู้ พระพุทธเจ้าแจกธาตุรู้หรือวิญญาณ ให้รู้ได้ ในกระบวนการแจกเป็นเวทนา 108 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:44:59 )

วิญญาณล่องลอยสัมภเวสี

รายละเอียด

ถ้าไปเข้าใจว่าวิญญาณคือธาตุรู้รวมแล้วก็เป็นสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนั้น ถ้าไปเรียนรู้อย่างนั้นก็ออกนอกศาสนาพุทธ วิญญาณล่องลอยสัมภเวสีอย่าไปยุ่งกับมัน มันก็ล่องลอยไปตามวิบากของใครของมัน ของเขาไม่ใช่ของคุณ   หรือคุณยังอยู่ในนี้ ก็ให้วิญญาณล่องลอยไปที่อื่น ไม่ได้กำหนดหมายที่วิญญาณของตัวเอง ถ้าคุณสามารถกำหนดวิญญาณของตัวเอง ทำให้วิญญาณมันนิ่งก็ยิ่งไม่รู้เรื่องมันก็ยิ่งจมๆๆกดแน่ๆๆ ดักดานเข้าไปๆ วิธีนี้เป็นวิธีของเดียรถีย์คู่โลก พระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆเป็นลิงลมข้าวพอง อาจารย์ไหนที่ว่าเก่ง อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้ชั้นที่ 7 ชั้นที่ 8 สูงสุด พระพุทธเจ้าไปลองแล้วก็ทำได้หมดแล้วก็เลิก อาตมาก็หลงนั่งทำอยู่นานเพราะไม่มีใครบอก 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:50:13 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:14:16 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:00:36 )

วิญญาณวิญญัติในวิโมกข์ 8

รายละเอียด

หลักสำคัญคือจรณะ 15 วิชชา 8 วิชชาคือธาตุรู้ คือความรู้ คือความเฉลียวฉลาด ที่จะต้องแทรกเข้าไปรู้ ในรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นที่มีที่เกิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ยืนยันตั้งแต่ศีลเป็นหลัก เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ โดยเฉพาะกับคนก็ย้ำแล้ว สัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยไปตามยถากรรม แม้แต่เวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ก็อย่าเพิ่งไปเสียเวลามาก เอาเวไนยสัตว์ ผู้ที่สอนกันได้พูดกันรู้เรื่อง เอาให้เป็นผู้ที่บรรลุธรรมให้ได้ แค่นี้ก็เหลือมือเต็มมือแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว 

ที่นี้ก็ต้องชัดเจนว่าสัตว์อย่างหนึ่งของอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวัตถุจะเป็นพืช ที่ยังเป็นข้าวของยังไม่ใช่สัตว์ จึงเป็นศีลข้อที่ 2 

ส่วนศีลข้อที่ 3 นั้น ยิ่งสัตว์หรือพืชมันไม่รู้เรื่องหรอก พืชหรือวัตถุ มันจะไปรู้เรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไร แม้แต่เป็นสัตว์มันก็ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่มันไม่รู้เรื่อง เวไนยสัตว์ถึงจะรู้เรื่อง ขนาดคนแล้วเป็นอเวไนยสัตว์ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลยว่า คุณติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนะ 

อย่างมหาบัวนี่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส  ติดหมากพลู คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแท้ๆก็ไม่รู้ตัวว่า ติด แล้วมันจะไปสอนให้คนอื่นหลุดพ้นให้คนอื่นไม่ติด ก็ตัวเองยังไม่รู้ จะไปสอนได้อย่างไร เหตุไม่โทษอะไร โทษหลับตา หลับตาจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เมื่อหลับตาก็ไม่ได้สัมผัสศึกษากับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจริงๆจังๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ทั้งสายอาจารย์เสาร์อาจารย์มั่น มหาบัว อาจารย์เสาร์เป็นอาจารย์ของอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นเป็นอาจารย์ของมหาบัว ไล่ลงมาตอนนี้ก็มีเยอะแยะ สายหลับตา 

อาตมาก็ไม่ได้ตีพวกสายหลับตา แต่พูดให้ฉุกคิดทบทวน แล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขเกิดปัญญาเกิดความรู้ที่จริงให้ได้ ว่าเราได้ไปงมโข่งกับสิ่งที่ผิด แล้วจะพัฒนาตัวเองให้เจริญอย่างไรได้ จึงได้แต่ซ้ำซากหนาเพิ่มขึ้น สิ่งที่เราติดเข้าไปเป็นก้อน แท่ง แข็ง ขึ้นไปเรื่อยๆ หนักเข้าหลับตาเป็นพญานาคอย่างที่อธิบายไปแล้ว กลายเป็นพญานาค 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 19:48:39 )

วิญญาณสัมภเวสี

รายละเอียด

ส่วนวิญญาณที่ล่องลอยเป็นวิญญาณสัมภเวสี ไม่มีที่ตั้งที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษพระภิกษุสาติ 

ต้องมาอยู่กับที่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯ มีแสงสว่าง มีสติเต็ม อยู่ตรงกันหมดใครที่มีสติเต็มกำหนดรู้เหมือนกันหมดเลย เช่น มะม่วงลูกนี้รูปร่างเป็นอย่างนี้มันก็มีสีหลายสีรวมกัน อย่างเช่น มะม่วงลูกนี้ถ้าคนที่สัมผัสแล้วก็ไปคิดต่ออีกว่าเนื้อมันจะหวานอร่อยไหมหนอ ก็มีอะไรที่ติดยึดในรสชาติต่างๆนานา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 15:49:40 )

วิญญาณสัมภเวสี

รายละเอียด

ถ้าหลับตาไม่มีภายนอกเขาเรียกว่า วิญญาณสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณไม่มีที่ตั้ง 

คนที่หลับตาก็ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็อยู่แต่ในความนึกคิดของตนเอง หนึ่งเดียว อยู่ในใจอย่างเดียว ในขณะเป็นๆนี้หรือนอนหลับก็อยู่ที่เราอย่างเดียว สัญญากำหนดว่ารู้อยู่คนเดียว 

ยิ่งตาย ร่างกายแยกกันเลย วิญญาณก็ออกจากร่าง ร่างกายก็เป็นซากศพ วิญญาณก็ออกไป วิญญาณอย่างนั้นแหละคือวิญญาณสัมภเวสี นอกจากพระอรหันต์ท่านตายแล้วท่านก็ทำให้วิญญาณมันแตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ก็ไม่มีวิญญาณสัมภเวสี ไม่มีวิญญาณที่จะล่องลอยไปเกิดอีก จบแยกแตกธาตุจิตวิญญาณสูญไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 15:58:47 )

วิญญาณสัมภเวสีกับทิฏฐิ 62 พาแยกนิกาย

รายละเอียด

ตั้งแต่สัมภเวสีไม่มีที่ตั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณก็เป็นวิญญาณล่องลอยไป จะเป็นสวรรค์นรกก็บ้าบอของคุณเองไป ที่จริงแล้ววิญญาณที่เป็นสัมภเวสีมันไม่ได้ไปพบใคร มันอยู่เดี่ยวๆ แต่เวลามีตา หู จมูก ลิ้น กาย พูดกันมันก็เลยพูดกันรู้เรื่อง ก็ระลึกถึงขันธ์ของตัวเองแต่ในอดีต ที่เคยผ่านมาเรียกว่าเป็นสัญญาความจำ เอาความจำมาด้วยนี่แหละคือ ทิฏฐิ 62 อดีต 18 อนาคตอีก 44 อนาคตมันยังไม่ถึงยังไม่มีคุณก็ปั้นได้ พระพุทธเจ้าบอกว่ามี 44 อันนี้แหละแล้วคนที่พูดกันมีอุปทานร่วมกันก็ไปด้วยกันอองลอง เถียงก็แย้งกันถ้าอันไหนไม่ตรงกัน อันไหนตรงกันก็ไปด้วยกันเป็นสมมุติทั้งนั้น เสร็จแล้วก็ตีกันกลายเป็นคนละนิกายเลย ถ้ายอมเป็นนานาสังวาสก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นนานาสังวาสก็ต่างคนต่างอยู่กลายเป็นนิกายไกลกันเลย ถ้าอยู่นานาสังวาสก็อยู่กันได้เองก็ของเอ็งข้าก็ของข้ามันก็เลยกลายเป็นตัวกูของกู ตัวเอ็งของเอ็งแต่ก็อยู่ด้วยกันได้นะ ซูเอี๋ย มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติมีอยู่ในโลกอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 20:04:48 )

วิญญาณสัมภเวสีของคนตายแล้วเป็นไฉน

รายละเอียด

คนตายแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นวิญญาณที่ไม่มีที่ตั้ง จะมีที่ตั้งก็ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องเกิดมามีขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็อาศัยพวกนี้มาพูดกันเรียนรู้กันได้ ตายไปแล้วศึกษาไม่ได้จัดการก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ 

หรือแม้แต่ตายไปแล้วเป็นสัมภเวสีล่องลอยไปไม่หาที่ตั้งไม่มีที่ตั้งไม่เข้าหาที่ตั้ง ต้องเกิดใหม่นั่นเอง วิญญาณสัมภเวสีนี้ไม่มีการไปแก้ไขปรับปรุง คุณจะเป็นนรกของคุณก็เป็นของคุณ คุณจะเป็นสวรรค์ก็เป็นสวรรค์ของคุณตามที่คุณเป็น คุณก็เป็นของคุณอยู่กับคุณตัวคนเดียว อันเดียวเลยไม่เกี่ยวกับใครเลย แต่ไปเข้าใจว่าไปพบกับคนนั้นคนนี้ คุยกับคนนั้นคนนี้ มีภพภูมิทางนามธรรมอีก อย่างนั้นมันเพ้อพก เพ้อสร้างภูมิอะไรเข้าไป มีแดนพุทธเกษตร มีพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้าอยู่เต็ม ก็คือ เป็นจินตนาการ เป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่สร้างกันเองร่วมรู้ร่วมกันคุยกันเป็นคุ้งเป็นแควไป แต่ต่างคนต่างไม่มีอทิสมานกาย ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ที่พูดกัน พูดแล้วมันล้งเล้งๆกันไปตามประสา ภาษาอะไรไป พูดกันไปสมมุติกันไป อาจพอรู้กันได้ปุโลปุเล แต่ไม่มีความจริงที่จับมั่นคั้นตาย มันก็ได้แต่ ดิ้นไป ตรงกันบ้างพอรู้เรื่อง จบที่ตกลงกันให้ตรงกันได้ก็คือลมๆแล้งๆทั้งนั้นสรุปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:10:19 )

วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น

รายละเอียด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า  ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี   ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น  เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย  เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว … ฯลฯ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 13:00:19 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:16:21 )

วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ

รายละเอียด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณอาศัยปัจจัยใดเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ  วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ

วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ ...  วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ ...  วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ ...  วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ ... วิญญาณอาศัยมโนและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ ...  เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ  ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟไม้ ...  ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟป่า  ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับ ว่าไฟหญ้า ฯลฯ 

ที่มา ที่ไป

เล่ม 12  ข้อ444  มหาตัณหาสังขยสูตร  ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 12:56:36 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:17:49 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 07:32:45 )

วิญญาณอาหารกำหนดรู้นามรูป

รายละเอียด

ปุตตมังสสูตร ข้อสุดท้ายจะรู้จักวิญญาณ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯให้เรียนรู้รูปนาม เรียนรู้วิญญาณผีในข้อที่ 1 หากตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เหมือนกินเนื้อบุตรตัวเอง เหมือนกับคนทุกวันนี้ไม่กินเนื้อบุตรหรอก แต่กินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่รู้เรื่องว่ากินเนื้ออยู่ คำว่ากินเนื้อ มังสะ ยังเป็นคนที่ไม่มีวิชชา 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:52:44 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:14:50 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:02:24 )

วิญญาณัง

รายละเอียด

1. ความหรือสภาพอย่างหนึ่งอยู่ที่จิตที่จิตรู้ได้ชัดแจ้ง

2. สิ่ง ๆ หนึ่งที่เป็นสภาวะรู้แจ้ง

3. ธาตุรู้

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 5

ทางเอก ภาค 2 หน้า 48,49

 


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 12:51:11 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:28:29 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:03:44 )

วิญญาณัง อนัตตา

รายละเอียด

1. วิญญาณไม่ใช่ตัวตน , วิญญาณไม่มีตัวตน

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 137 , 158


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 12:53:07 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:29:45 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:04:03 )

วิญญาณัง อนิทัสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง

รายละเอียด

1. ไม่มีวก ไม่มีวน ไม่มีคด ไม่มีโค้ง ไม่มีกลับหลัง และไม่มีเลื่อนถอย เอาเลยจริง ๆ เป็นขั้นสุดท้าย จะมีแต่ความรุ่งเรือง สว่างไสว พุ่งไปให้ตรงยิ่ง ๆ ขึ้น และเก่งกล้าใหญ่กว้างไปเรื่อย ๆ จริง ๆ

2. จะรู้แจ้งเห็นจริงทุกสภาพ ตรงสภาพที่หมาย แจ้งสว่างทะลุโล่ง ไม่มีที่กั้น ไม่มีที่สุดสำหรับผู้ได้ผู้ถึงจริง ๆ นั้น แต่ก็ไม่ใช่จะรู้จะเห็นกันได้ง่าย ๆ และจะนำมาชี้ให้ใครรู้ด้วย เห็นตามได้นั้นไม่ง่ายเลย

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 235,556


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:44:15 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:05:13 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:05:37 )

วิญญาณัง อนิทัสสนัง

รายละเอียด

วิญญาณนั้นเห็นไม่ได้

หนังสืออ้างอิง

(จากค้าบุญคือบาป หน้า 211)


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 12:53:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:05:53 )

วิญญาณัญจายตนะ

รายละเอียด

1. สภาพจิตวิญญาณแท้ ๆ บริสุทธิ์แน่แท้ สมบูรณ์สุด

2. การรู้ตัวว่าเป็นตัวของตัว ณ ขณะนั้น คือกลับมามีตัวมีตนอีก แต่ก็ไม่มีรูป ไม่มีร่าง มีแต่ความรู้สึก และก็ยังมั่นคงอยู่กับสภาพว่าง นิ่ง โปร่งตลอด สว่างไสวอยู่อย่างเดิมนั้นได้ด้วย

3. ตัวรู้ ตัววิญญาณของอากาศธาตุ

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 27

ทางเอก ภาค 3 หน้า 40

คนคืออะไร? หน้า 194

 


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:45:55 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 02:46:33 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:04:38 )

วิญญาณัสสะ นิโรเธนะ

รายละเอียด

1. เพราะได้ดับสิ่งที่มันแฝงชีวิตอยู่ในความหรือสภาพอย่างที่กล่าวนี้ลงหมด

2. เพราะธาตูรู้ที่ปรุงเป็นโลกียะอยู่ทั้งหลายทั้งปวงได้ดับลงสิ้นแล้วจากสิ่ง ๆ นี้

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 48 49


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:49:47 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:48:58 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:05:04 )

วิญญาณาหาร

รายละเอียด

วิญญาณาหารคือ ความรู้โดยตรงเลย มโนสัญเจตนาหารต้องกำหนดหมาย เวทนาสัญญาเจตนา พอไปผัสสะแล้ว ต้องเรียนรู้ ผัสสะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสภายนอกสัมผัสภายใน หยาบไปจนถึงละเอียดแต่คลุมหมดเลย วิญญาณาหารนี้คลุมหมดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่

พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 09:13:21 )

วิญญาณาหาร

รายละเอียด

คุณว่า อาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร คุณว่าอันไหนหยาบกว่ากัน มองหยาบได้ทั้งสองด้าน วิญญาณาหาร พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ว่า ต้องเรียนรู้นามรูป ถ้าแยกนามรูปไม่ออกไม่รู้จักวิญญาณ ก็เรียนรู้ต่อไม่ได้ นามรูปนี้เป็นขั้นต้นของการศึกษา เรียนรู้ ต้องรู้สภาวะ 2 คือนามรูป ไม่เดินด้วยนามรูป ไม่เดินด้วยสภาวะ 2 ไม่ปฏิบัติธรรมด้วยสภาวะ 2 ไปสะกดจิตให้เป็นแต่ 1 1 1 อย่างเดียวเลย หลับพลั๊วะเข้าไปหา 1 อย่างเดียวเลย โมฆะ 

ต้องมี 2 ต้องมีนามรูป ต้องมีกาย ต้องมีภายนอกภายใน ต้องมีกายมีจิตอะไรพวกนี้ อาตมาก็ขยายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเทียบคนที่ หลงทาง ไม่รู้จักอะไร อีกอันหนึ่งก็คือ อันที่ 1 เลย วิญญาณาหารอันที่ 4 กวฬิงการาหาร อันที่ 1 ท่านเรียกว่าเป็นผู้ที่เดิน มีพ่อแม่กับลูก 3 คน เดินทางอยู่ในทางกันดาร กันดารนั่นแหละ อย่างไรก็ออกจากเขาวงกตทางกันดารนี้ไม่ได้ คนๆนี้ แล้วยังไปมืดเมาโมหะ หลงหนักหลงหนา เข้าไปอีก 

หลงหนักตรงที่ว่าเดินทางกันดารไป มันมีจิตนึกว่าจะไปสู่ทางที่สูงทางที่เจริญ แต่ไม่รู้ทางเลยเหมือนเขาวงกต ไม่รู้ทาง วน ทีนี้ก็มีเหตุปัจจัยอยู่ในตนเอง ท่านก็เรียกว่า อาหารเครื่องอาศัยชีวิต เป็นคำข้าว เป็นอาหาร กินให้ชีวิตอยู่ มีอาหารจำนวนหนึ่ง กินหมด หมดเสบียง ก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไร คุณจะเดินทางอยู่ทางไหน มันก็มีดินน้ำไฟลม มีต้นหมากรากไม้  มีผลไม้ มีสัตว์ คุณกินสัตว์ล่าสัตว์กินก็ได้ อย่างโง่ๆนั่นแหละกินสัตว์ 

ไม่โง่ไม่กินแล้วสัตว์ คุณก็เก็บพืชกิน จะโง่จนกระทั่งไม่รู้จักว่าพืชอะไรกินได้ เลยหรือก็ได้ ไม่ ไม่ พอหมดแล้วเป็นไง เราจะไปอย่างไร อยู่ในทางกันดาร ถ้าไม่มีกินนี้ตายทั้งหมดทั้งลูกด้วยนะ พ่อแม่เห็นแก่ตัวก็อย่ากระนั้นเลย ฆ่าลูกที่เป็นที่น่ารักที่น่าชื่นใจนี้กิน เอาเนื้อมากิน เดินอยู่ในทางกันดารต่อไป ก็ฆ่าลูกเสีย แล้วก็เอาไปทำเป็นเนื้อเค็ม พกไป กินไปเรื่อยๆ ก็อยู่ในทางกันดารอยู่ในเขาวงกตนั่นแหละ มันไม่มีทางพ้นหรอกเพราะไม่รู้ทาง ไม่มีจุดเริ่มต้น เสร็จแล้วงมงาย ตัวเองฆ่าลูกด้วยมือ กินเข้าไปในปาก ลูกน้อยๆของฉันไปไหน ๆ ปัดโธ่เอ๋ย ก็เอ็งฆ่าลูกด้วยมือแล้วเอ็งก็ทำเนื้อเค็มกินยังชีพอยู่นี่ อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี้สุดแสบเลยนะ มันโง่อะไรถึงขั้นนั้นนะมนุษย์มนา

เพราะฉะนั้นคนกินเนื้อ และยกตัวอย่างถึงขั้นกินเนื้อบุตรด้วย คุณกินเนื้ออย่างอื่นก็เหมือนคุณกินเนื้อบุตร คุณกินเนื้อสัตว์ใดๆก็เหมือนคุณกินเนื้อ ทำไมโง่ ไม่รู้จักว่าพืชพันธ์ุธัญญาหาร มันไม่มีในแผ่นดินได้อย่างไร คุณเดินอยู่ในทะเลทรายรึไง พระพุทธเจ้าท่านบอกแค่ว่าเดินทางไกลกันดาร ไม่ได้บอกว่าทะเลทราย คือเดินทางอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ แต่คุณไปตีความว่าเดินอยู่ในทะเลทราย อย่าหัวล้านหลื่นครูนะ สำนวนของอีสาน อย่าหัวล้านหลื่นครู อย่าทำเป็นรู้เกินครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้นการโง่ซ้ำโง่ซ้อน คุณกินหมากกินพลูยังไม่ถึงขั้นกินเนื้อลูก อาจจะพอกันกับการกินเนื้อสัตว์ คุณก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง กินไป นึกว่ามันยังชีพที่จริงมันไม่ได้ยังชีพอะไรเลยในการกินหมากกินพลูอย่างนี้เป็นต้น นี่คือความไม่รู้ เสพติด ไม่รู้สิ่งเสพติดในอาหาร กวฬิงการาหาร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 ปฐมอโศก วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2566 ( 13:13:31 )

วิญญาณาหาร อย่างพิสดาร

รายละเอียด

วิญญาณาหารเรียนรู้ด้วยรูปและนาม ถ้าไม่รู้รูปนามกำหนดภาวะ 2 นี่แหละเรียนรู้ วิญญาณเป็นธาตุรู้รวมทั้งหมดไม่ว่าเป็นเทวนิยม ไม่ว่าเป็นอเทวนิยม ก็ใช้คำว่าวิญญาณเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาษาหนึ่งเป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาฝรั่ง ชาติอื่นๆในเทวนิยมต่างๆ หรือแม้แต่ภาษาทางด้านตะวันออกกลางก็แล้วแต่ เขาก็ใช้ภาษาของเขาก็คือวิญญาณ ธาตุรู้ นี่แหละ 

ธาตุรู้ ตัววิญญาณ เป็นที่รวมทั้งหมดเลยทางด้านเทวนิยมเขาว่า ผู้รู้วิญญาณก็คือพระเจ้า God ซึ่งเทวนิยมเป็นรากฐานเดิมที่เขายึดถืออันนี้อยู่แต่ไหนแต่ไร และเขาไม่แยกแยะเป็น 2 แยกไม่ได้ห้ามแยกด้วย อย่าไปแยกเป็น 2 นะ พระเจ้าองค์เดียวนี้แยกเป็น 2 ไม่ได้ พระเจ้าเป็นหนึ่งเท่านั้น 

พระเจ้าของเทวนิยมแต่ละองค์ ของข้าก็หนึ่ง ของคนอื่นก็ 1 ใครมาแยกของข้าก็ไม่ได้ก็เลยต่างคนต่างแย้งกันอยู่ มันก็เลยมีหลายหนึ่ง ก็เลยหลายทะเลาะกัน แย้งกัน ไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จริงๆ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า สัจจะมีหนึ่งเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 14:52:40 )

วิญญาณาหาร เป็นองค์รวมแห่งความรู้ความฉลาด

รายละเอียด

วิญญาณาหาร เป็นองค์รวมแห่งความรู้ความฉลาดทั้งหมดในทั้ง 4 ข้อมา เพราะฉะนั้นต้องไปเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ข้อที่ 1 มันเป็นเบื้องต้นเป็นความหยาบที่ต้องเรียน ใช้คำว่าต้องเป็นคำ Command เป็นคำเชิงบังคับ จะต้องไปเรียนรู้ 

ถ้าไม่เริ่มต้นจากการเรียนรู้กามตัณหา ที่เกิดจากชีวิตของคนมีภายนอก กับภายใน 2 สภาวะหรือ เทฺว คู่เอก ภายนอกกับภายในด้วยศัพท์วิชาการกันดีว่า กาย 

กายไม่ขาดกันเลย ระหว่าง ธาตุรู้กับภายนอก กับวัตถุกับความเป็นโลกกับความเป็นภายนอกตั้งแต่ “อวกาศ” กระทั่งมาถึง “ปกาศ”

อวกาศ นั่นคือสิ่งที่มันบางเบา กระจายอยู่ ทั่วมหาจักรวาล ส่วน ปกาศ คือสิ่งที่จับต้องได้เป็นเนื้อเป็นตัวอยู่แล้ว เป็นองค์ประกอบ ขึ้นมาแล้ว ที่คุณจะต้อง รู้หรือเรียนรู้ รู้หรือเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบรวมตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 19:12:54 )

วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้ต้องเรียนรู้รูปนาม

รายละเอียด

วิญญาณฐีติ วิญญาณเป็นนามรูป พระพุทธเจ้าจึงตรัสลงท้ายวิญญาณอย่างนี้ อันที่ 4 ขออ่านท้ายของวิญญาณก่อน

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

ลึกซึ้งสุดยอดเลย คนที่ฟังยังไม่ประสีประสาจะไม่ซาบซึ้ง ต้องเรียนรู้นามรูปมีภาวะ 2 ไม่เช่นนั้นคุณไม่ได้ทำอะไรเลย คุณเริ่มรู้อันนี้แหละเริ่มต้นคุณทำได้จบเลย นี่สรุปแค่นี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:06:15 )

วิญญาณาหารรู้รูปนาม

รายละเอียด

วิญญาณนี้คือ องค์ประกอบรวมทั้งหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคือกาย คือนามรูป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2563 ( 13:35:56 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:15:27 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:06:14 )

วิญญาณาหารเป็นหนึ่งอย่งไร

รายละเอียด

อาหาร 4 นี้ กวฬิงการาหาร เป็นหนึ่งในโลกเป็นข้อที่ 1 ผัสสาหารเป็นข้อที่ 2 มโนสัญเจตนาหารเป็นข้อที่ 3 วิญญาณาหารเป็นข้อที่ 4 หรือนับย้อนกลับมา วิญญาณาหารเป็นที่หนึ่ง มโนสัญเจตนาหารเป็นที่ 2 ผัสสาหารเป็นที่ 3 และ กวฬิงหาราหาร เป็นลำดับที่ 4 เราก็รู้อนุโลมปฏิโลม อันไหนควรจะเป็นลำดับอย่างไรทวนไปทวนมาก็รู้ว่าวาระนี้ อย่างเรานี่มีอาหาร คือคำข้าว คืออาหารการกิน อาหารที่กินเข้าไปในปากเข้าไปในท้อง เลี้ยงขันธ์ อุดมสมบูรณ์แล้ว มันมีพร้อมแล้วมันตั้งมั่น อาหารเราอุดมสมบูรณ์แล้วเราก็ไปสำคัญที่วิญญาณเป็นหนึ่ง เราก็มาเรียนรู้วิญญาณนะ 

วิญญาณมีองค์รวม มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ มันมีนามธรรม ท่านก็จะให้ศึกษาแยกให้ศึกษา มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่เป็นองค์ธรรมนาม 5 ที่จะเอามาปฏิบัติประพฤติกับรูป 28

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันพฤหัสบดีที่ 31ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:00:56 )

วิญญาณาหารในปุตตมังสสูตรข้อที่ 4 ยืนยันอะไร

รายละเอียด

ที่อาตมานำเอา วิญญาณาหาร ในปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4 มายืนยัน คนที่ทำลายศาสนา คนที่ทำผิด เท่ากับทำลายศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นโจรปล้นศาสนา พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบในวิญญาณาหาร พระราชาถึงสั่ง เจ้าพนักงานให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มในตอนเช้า กลางวันอีก 100 เล่ม  เย็นอีก 100 เล่ม แล้วตำนาน อุทาหรณ์ของท่านก็บอกว่า ฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็น มันก็ยังไม่ตาย เห็นความจริงไหม มาถึงยุคนี้ โอ้โห! มันเสื่อมถึงขนาดพระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไว้ อย่างปุตตมังสสูตรทั้ง 4 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 04:45:41 )

วิญญาณเก๊กับวิญญาณจริงต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

วิญญาณที่เขาระงับไม่ได้ มันเป็นทั้งสองอย่างเลยว่า วิญญาณนี้จะมีวิญญาณเก๊ วิญญาณมิจฉาทิฏฐิ เขาก็มีสมมุติขึ้นมา กับวิญญาณแท้ๆ วิญญาณแท้ๆก็คือธาตุรู้ที่สมบูรณ์ด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็เป็นวิญญาณพร้อม เต็ม คือ วิญญาณขันธ์ สมบูรณ์ทั้งเจตสิก 3 สมบูรณ์ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร กับรูป รวมแล้วเป็นขันธ์ 5 ครบ ส่วนคนที่มีวิญญาณเก๊นั้น อันนี้ฟังดีๆ เราฟังดีๆไม่ยากหรอก ฟังด้วยเหตุผลตามความเข้าใจก็พอรู้ 

เราจะปฏิบัติธรรมกับวิญญาณเก๊ หรือเราจะปฏิบัติธรรมกับวิญญาณจริง แต่คนไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็ไปปฏิบัติให้เกิดวิญญาณเก๊ ทั้งๆที่วิญญาณจริงตัวเองก็มีอยู่ แต่ไปทำตัวเองให้เข้าใจผิด ตัวเองไปเข้าใจผิด แล้วก็ไปทำตัวเองให้เกิดวิญญาณเก๊

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:52:33 )

วิญญาณเทวะพระอวโลกิเตศวร

รายละเอียด

ศาสนาพุทธจึงเข้าใจวิญญาณจะอยู่เป็นวิญญาณเทวะพระอวโลกิเตศวรเป็นโพธิสัตว์ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะอยู่นิรันดรเพื่อทำประโยชน์แล้วท่านก็ไม่ทำโทษภัยอะไรอีกแล้ว เป็นจิตวิญญาณดีสูงสุดแล้วมีหลักประกันแล้วคุณจะเกิดเป็นมนุษย์อีกกี่ชาติ อย่างอาตมาจะอยู่ต่อไปก็ได้ พระอวโลกิเตศวรมีปณิธานว่าจะช่วยคนให้ปรินิพพานไปหมดก่อนตนเองถึงจะปรินิพพานไป 

อาตมาขอบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวก็ไปแล้วไม่เอาอย่างพระอวโลกิเตศวร ทุกวันนี้ก็สอนจะทำให้คนสืบทอดศาสนานี้เราได้แล้วก็ต้องกตัญญูต่อศาสนา เราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานสูญไปก็ได้แล้ว แต่เราก็มาสืบทอดสิ่งที่ประเสริฐเป็นความกตัญญูต่อท่านสืบต่อสิ่งที่ประเสริฐให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมันไม่ได้เป็นความเสียหายอะไรแม้มีความเหน็ดเหนื่อยเราก็พัก เราไม่พักเราไม่เพียร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 36

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานือโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 05:24:03 )

วิญญาณเป็นของของตนไม่ใช่ของพระเจ้า

รายละเอียด

แล้วเมื่อมีผัสสะก็ต้องมีอายตนะก็ต้องมีนามรูปก็ต้องมีวิญญาณ เป็นวิญญาณสุดยอดแล้ว ขออภัย เมื่อกี้มโนสังขารของอาตมาบอกว่ายิ่งกว่าพระเจ้า ขออภัย มันยิ่งกว่าพระเจ้า เพราะตัวพระเจ้าจริงๆเลยยิ่งใหญ่ที่สุดในวิญญาณ เพราะอะไร เพราะวิญญาณนี้รู้ว่าวิญญาณเป็นของของตน ไม่ใช่ของพระเจ้าที่ไหนหรอก เราเองเป็นเจ้าของวิญญาณ แล้วเราก็สลายวิญญาณเป็นอุตุธาตุได้ เลิกเลย ทำเกิดทำตายเอง เป็นเจ้าของเอง พระเจ้าอย่ามาคิดว่าเป็นวิญญาณของเรา แล้วเขาจะบอกว่าเราหลอก ทำลายเขาเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ก็ทำลายได้สิ ตั้งแต่โลกหยาบ อบายเราทำลายได้เป็นอุตุได้ โลกมันร้อนแรงยิ่งกว่าอะไรดี ยิ่งกว่าพระอาทิตย์ โลกมันปรุงแต่งยั่วยุเราทุกอย่างเลย แต่เราก็เฉยๆ ลูบคลำหัวล้านพระอาทิตย์เฉยเลย พระอาทิตย์ก็ร้อนแรงไปสิ คุณดีดดิ้นคุณร้อนของคุณเอง เราไม่ได้ร้อนกับคุณ นอกจากไม่ร้อนแล้วเรายังเย็น พาคุณสงบด้วย ช่วยคุณให้สงบขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ 

เพราะฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นวิญญาณยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะสามารถที่จะรู้ว่าวิญญาณเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของวิญญาณ เราสามารถจะให้วิญญาณมีอยู่หรือสลายวิญญาณก็ได้แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 20:28:44 )

วิญญาณเป็นธรรมะ 2

รายละเอียด

วิญญาณนั้นอยู่ดีๆคุณจะไปนั่งหลับตาแล้วเจอวิญญาณไม่ได้ วิญญาณ
ต้องมีผ้สสะโดยเฉพาะภายนอกต้องมีปัจจัย มีวิญญาณเกิดได้ต้องมีปัจจัย วิญญาณเกิดโดยไม่มีปัจจัยไม่มี วิญญาณเป็นธรรมะ 2 จะสัมผัสจากมหาภูตรูปก็ได้ ต้องมีจิตวิญญาณเข้าร่วมต้องมีนาม เพราะเป็นธรรมะ 2

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 16:07:59 )

วิญญาณเป็นธาตุรู้ รู้เข้าไปในตัวรู้ไม่ไช่รู้แค่การเคลื่อน

รายละเอียด

วิญญาณเป็นนามธรรม วิญญัติเป็นแค่รูปเป็นแค่การเคลื่อนที่ ถ้าเข้าใจการเคลื่อนที่กับความรู้สึกความรู้ธาตุรู้ การเคลื่อนที่ก็คือการเคลื่อนของกายกับวจี เห็นชัดๆอยู่แล้ว แม้มโนเคลื่อนที่ก็เคลื่อนเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ธาตุรู้ วิญญาณเป็นธาตุรู้ จะรู้สึกรู้จริงรู้รายละเอียดอะไรก็แล้วแต่ รู้เข้าไปในตัวรู้ ไม่ใช่ว่าเคลื่อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 08:48:49 )

วิญญาณเป็นอย่างไร

รายละเอียด

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ  ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?    สาติภิกษุทูลว่า 

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า  ดูกรสาติ  วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?   สาติภิกษุทูลว่า  สภาวะที่พูดได้  รับรู้ได้  ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย  ทั้งส่วนดี  ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ  นั่นเป็นวิญญาณ.    

ที่มา ที่ไป

มหาตัณาสังขยสูตร  เล่ม 12 ข้อ 442   ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 13:08:22 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:19:30 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:06:58 )

วิญญาณแบบสัมภเวสี ล่องลอย

รายละเอียด

วิญญาณาหาร หากไม่รู้รูปนาม แยกสภาพสองไม่ได้ รูปนาม อันหนึ่งเป็นตัวธาตุรู้อันหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ แยกเจตนากามตัณหา ภวตัณหา คือรูป อรูป ก็ล้างไปเป็นคู่ๆตามลำดับ คุณก็จะมีภาวะที่ศึกษารูปนามคือวิญญาณแต่วิญญาณที่เขาเรียนเป็นวิญญาณแบบสัมภเวสี ไม่ได้มาเรียนรู้วิญญาณที่เกิดจากการสัมผัสแล้วเกิดวิญญาณในปัจจุบันนั้น วิญญาณสัมภเวสีก็ไปนึกถึงวิญญาณล่องลอยเป็นอดีตอนาคตไปเหมือนภิกษุ สาติ หรือเหมือนคณะเทวนิยม ไม่มีผัสสะ นั่งหลับตาแล้วมีนิยายในภพเหมือนอย่างที่เอาของอาจารย์มั่นมาอ่าน แต่ไม่เข้าสู่ฐานแห่งการปฏิบัติที่เป็นกามคุณ 5 ไล่มาตั้งแต่ พ่อแม่กินเนื้อลูก มาจนกระทั่งวิญญาณวิญญาณ คือ ไอ้โจรใหญ่ที่ทำลายศาสนา แล้วพระราชาให้เอาไปฆ่า คือเจ้านายใหญ่ของศาสนาให้เอาโจรไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ตาย แสดงถึงจมอยู่กับบาปของศาสนาอีกนาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:38:24 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:21:03 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:07:43 )

วิญญาณในรูป 28

รายละเอียด

ในรูป 28 คือลักษณะของจิตวิญญาณ ในมิติต่างๆ แง่เชิงต่างๆ ความเป็นจิตมันมีวิจิตรพิสดารต่างๆมากมาย จะสามารถแยกรู้สิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ วิญญาณคือภาษารวมของธาตุรู้ทั้งหมด แล้วแยกแยะได้เป็น 28

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:36:26 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:22:27 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:08:01 )

วิญญาณในศาสนาพุทธไม่ใช่สัมภเวสี 

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติที่บอกว่า วิญญาณล่องลอย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเธอมาตู่เราอย่างนี้เป็นการขุดศาสนาเรา ขุดนี่คือทำลายรากทำลายโคนของศาสนาพุทธเลย 

ถ้าตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกไม่มี ไม่เรียกว่าวิญญาณในศาสนาพุทธ แต่เรียกว่า สัมภเวสี เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีที่ยึดที่ตั้ง อยู่ที่ใจของแต่ละคน คนหลับตาก็อยู่ในจิตของตนเองคนเดียว จะให้จิตตนเองคิดอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร ก็คุณคนเดียว นรกสวรรค์อะไรก็แล้วแต่ คุณปั้นเอง จริงไม่จริง เท็จหรือไม่เท็จ ก็ของคุณคนเดียว 

เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ตรัสรู้แบบหลับตาแล้วก็ไปอยู่คนเดียวไม่ใช่ ท่านตรัสรู้โลกมีโลกวิทู พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะสะดุ้งเมื่อฟังอาตมา ว่าเราทำไมโง่ทำผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอนศาสนาพุทธไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ

พวกหลับตาทั้งหลายแหล่ ปิด 5 ทวารนอกทั้งหมดเลยไปยึดเอาอยู่แต่ภายใน ภายในก็เลยกลายเป็นพวกนิรมาณกายเป็นสัมภเวสีต่างคนต่างสัมภเวสี ต่างคนต่างจิตวิญญาณของตัวเอง เป็นของตัวเองอยู่คนเดียว เรียกว่าวิญญาณสัมภเวสี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 11:23:18 )

วิญญาณใหญ่น้อย ปราบสยบดับให้สิ้น แยกธาตุ แยกจิตเป็น ดับให้สิ้น ให้เป็นนิรันดร!

รายละเอียด

ความเป็น“เทฺว”หรือ“วิญญาณ”แม้จะน้อยหรือใหญ่ยิ่งใหญ่ปานใด จึงไม่ใช่“ตัวตน”นิรันดร เพราะสามารถทำให้“ดับ”เป็น“0”ได้ตั้งแต่“ตัวตน”หยาบใหญ่ “ตัวตน”ระดับกลาง และ“ตัวตน”ระดับปลาย ล้วนสามารถ“ดับ”โดยแยก“ธาตุ”ของความเป็น“ตัวตน”ที่มีภาวะ“จิตนิยาม” ให้เป็น“พีชนิยาม”และที่สุดเป็น“อุตุนิยาม”สำเร็จหรือ“ดับ”ให้นิรันดรได้ สิ้นสุด“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”จาก“ตัวตน”ขั้น“โอฬาริกอัตตา” จนเป็นขั้น“มโนมยอัตตา” และที่สุด“อรูปอัตตา” สิ้นสุดหมดความเป็น“อัตตา” สู่“อนัตตา”จึงพิสูจน์ได้แท้จริงว่า “จิต”หรือ“วิญญาณ”นั้น“ไม่ใช่อัตตา” ไม่ใช่“สมบัติของใครๆ” แท้ๆนั้น“ตนเองเป็นเจ้าของวิญญาณเอง”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 445 ข้อที่ 613


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:28:46 )

วิญญาณไม่รู้ที่ต้น ที่ดับจบ

รายละเอียด

เมื่อคุณจบแล้วรู้จักวิญญาณดีแล้ว จิตวิญญาณที่จะดับให้ดับหมดได้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไม่รู้ที่เกิดที่ต้น แล้วคุณจะไปรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าทำไมจะไปถามทำไม ไปถามสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ดับที่จบ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเรียนสิ่งที่ดับไม่ใช่เรียนสิ่งที่เกิด เทวนิยมเรียนแต่สิ่งที่เกิดและสิ่งที่ดับไม่รู้ก็เลยเป็นนิรันดร นักข่าวก็คิดว่ามีแต่ชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจบเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:55:51 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:15:58 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:08:20 )

วิญญานัญจายตนสัญญา

รายละเอียด

การกำหนดรู้จิตสะอาดผ่องใส

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 134


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:48:34 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:39 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:09:02 )

วิฏฐาน (วิตถาร)

รายละเอียด

พวกที่ทำไม่เข้าร่องเข้ารอย พวกทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ทำในสิ่งที่ผิดฐานะ ผิดความจริง

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 18


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:52:06 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:34 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:09:19 )

วิตก

รายละเอียด

จับจิตตนถูก รู้จิตตนได้แล้ว

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 235


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:53:55 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:55:15 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:10:05 )

วิตก

รายละเอียด

คือจิตที่ดำริขึ้นมา

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:29:28 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:57:04 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:09:43 )

วิตก

รายละเอียด

คือตัวจิตที่ดำริขึ้นมา ตักกะเริ่มดำริ  จิตดำริได้  คิดได้ คิดนี่เป็นพฤติกรรมของนามธรรม  จาร คือ พฤติกรรมของรูปธรรม  วิตก  พฤติกรรมของความคิด  จาระคือพฤติกรรมของ  Static ทางรูป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 79 วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 15:14:06 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:58:05 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:44:23 )

วิตก

รายละเอียด

ตัวจิตที่ดำริขึ้นมา ตักกะเริ่มดำริ  จิตดำริได้  คิดได้ คิดนี่เป็นพฤติกรรมของนามธรรม  จาร คือ พฤติกรรมของรูปธรรม  วิตก  พฤติกรรมของความคิด  จาระคือพฤติกรรมของ Staticทางรูป

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  11 พฤศจิกายน 2562                            


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:23:32 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:04 )

เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2563 ( 16:10:32 )

วิตก

รายละเอียด

จิตที่ดำริขึ้นมา

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 17:41:30 )

วิตก วิจาร คืออะไร

รายละเอียด

วิตกคือดำริ วิจารคือพฤติกรรมที่เห็นชัดขึ้นเรียกว่า วิจาระ ต้องแยก มโนปวิจาร ว่าเอ็งเกิดมา ยังเป็นโลกโลกีย์คือเคหสิต เพราะว่าเอ็งมาพร้อมกับกามหรือพยาบาท ต้องกำจัดกามหรือพยาบาทออก กำจัดแต่กามกับพยาบาท ไม่ได้ไปทำลายจิตตัวอื่นเลย ทำลายกามทำลายพยาบาทที่เป็นเจตสิก ให้จิตสะอาดเรียบร้อย อย่าไปทำเลอะเทอะ

จะไปตัดหูด ดันเชือดเข้าไปถึงภายในผิวหนังเลย หรือกดหูดเข้าไป มันจะได้ออกที่ไหนต้องเอาเฉพาะหูด ก็เฉือนตัวบนตัวนอกก่อน เฉือนจนหูดหมดเหลือแต่ผิวหนัง อย่าไปเฉือนผิวหนัง ต้องทำเป็นลำดับ ตั้งแต่หยาบ รู้ว่าหูดเป็นอย่างนี้แยกหูดออกอย่างพ้นวิจิกิจฉา อย่าเฉือนผิวหนัง ผิวหนังมันธาตุดินน้ำไฟลมของเราแท้ๆ มันเป็นกายของเรา

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:12:15 )

วิตกกจริตช้าที่สุด

รายละเอียด

วิตักกจริต แม้ตัวเองมีแกนปัญญา แต่เหลาะแหละ จะช้ากว่าสายศรัทธาถึง 2 เท่า กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนมหากัป ใช้เวลาเท่าตัว ถ้าสายศรัทธาก็ 40 ถ้าสายปัญญาก็แค่ 20 ส่วนสายวิตักกจริตก็ 80 อสงไขยฯ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเข้าใจอันนี้

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 10:33:32 )

วิตกวิจาร

รายละเอียด

1. การพยายามทำสภาพจิตให้ขาดจากความไม่มีสังขารจิต ไม่มีนิวรณ์ลงได้นั่นเอง กำลังรู้ กำลังเห็น กำลังตรวจสอบดู กำลังระวัง กำลังคุม-เคร่งอยู่กับอารมณ์ หรือจิตที่เป็นอยู่ เป็นได้ในขณะนั้น

2. จดจ้อง ติดตาม เพ่งแทง แยกแยะให้รู้จักกุศลาธัมมากับอกุศลาธัม-มาให้ได้ 

3. มีปัญญาอ่านสภาพอกุศลจิต หรือกุศลจิตออก แล้วก็ทำจิตใจให้ละล้างจางคลายจากอกุศลจิตได้ และมีการลดละอกุศลจิตได้จริง ๆ มีปัญญารู้เห็นเป็นจริงอยู่

4. อารมณ์ของสังขาร

5. ลักษณะเคร่งคุม ต้องพยายามระวังหรือกังวลกลัว

6. การประคองจิตเข้าหาอารมณ์ให้ปราศจากนิวรณ์ได้ 7 อาการ หรือพฤติกรรมของปริญญา 3

7. พฤติกรรมของจิต เป็นคุณลักษณะหนึ่งในความเป็นฌาน

8. ความตรึกตรองไตร่ตรองพิจารณาอารมณ์

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 138

ทางเอก ภาค 3 หน้า 75

คนคืออะไร? หน้า 149 ,167 ,168 ,184

อีคิวโลกุตระ หน้า 72 73 

เปิดโลกเทวดา หน้า 65


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 14:17:30 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:03:37 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:36:14 )

วิตกวิจาร

รายละเอียด

ด้วยภาษาเรียกว่า วิตกวิจาร คำว่า วิตกวิจาร ก็คือสภาพ 2 ที่มีการไตร่ตรอง บางทีท่านก็แปลเป็นไทยง่ายๆ วิตกวิจารณ์แปลว่าไตร่ตรองหรือ ตริตรึก หรือ ไตร่ตรอง เป็น 2 สภาพเรียกว่าทำให้ชัดเจนละเอียดลงไป วิตกวิจาร เสร็จแล้วก็จะเกิดปัญญา เกิดความรู้ยิ่ง และความรู้ยิ่งก็เป็นตัวประหารจริง ประหารกิเลสไป แล้วก็จะเป็น ฌาน 2 มีปีติ จนกระทั่งทำได้แล้วก็ชินชาจนเป็นความสงบ เป็นความสุขเป็นฌานที่ 3 เรียกว่า วูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข เป็นความสงบที่เกิดจากการลดกิเลสด้วยปัญญา ไม่ใช่การสะกดจิตที่มันไม่มีเหตุปัจจัยให้วิจัยวิจารอะไรเลย แต่สัมมาทิฏฐินี้ไม่ได้กดข่ม เห็นอยู่อย่างแจ้งๆ โจ่งๆเลย ว่าตัวกิเลสมันลดได้ มันมีตัววิปัสสนาญาณเป็นญาณที่เห็นจึงเห็นแจ้งเลยว่ามันชัดเจน มันระงับ มันลด มันหมดบทบาทไป จนไม่มีตัวตนเป็น อรูป ก็หมดอรูปอีก อย่างนี้เป็นต้น 

ภาษาเป็นตัวสื่อให้ได้รู้สภาวะ แล้วปฏิบัติตามภาษานั้นจนเรารู้เองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แล้วเราก็จะรู้จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2566 ( 19:11:26 )

วิตกวิจารคือฌานปัญญา

รายละเอียด

ฌานคือปัญญา เริ่มต้นมีวิตกก็คือเริ่มปัญญา วิจารก็เริ่มปัญญา โดยวิจัยคือแยกแยะออก วิตกอาการอย่างหนึ่ง วิจารก็เป็นอาการอย่างหนึ่ง ถ้าวิตกเป็นบวก วิจารก็เป็นลบ ถ้าวิตกเป็นลบ วิจารก็เป็นบวก มันทำปฏิกิริยาร่วมกัน แยกแยะได้ วิจัยได้ ทำการสังขารปรุงแต่งกันแล้ว บวกลบ แล้วเกิดสภาพอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา สภาพความจริงโดยเฉพาะสังกัปปะ 7 

พระพุทธเจ้าก็ให้เรียนรู้วิตก ท่านไปแปลวิตกว่า จิตเริ่มดำริ วิจาร คือจิตที่คู่กันกับวิตก มีวิตกวิจาร ที่จริง

วิตักกะคือ เริ่มพยัญชนะ จาระคือตัวดำเนินไป ตักกะก็เป็น static, จาระก็เป็น dynamic 

จาระ คือพลังงานเคลื่อน ตักกะ เป็นพลังงานตัวตั้ง ทำงานร่วมกันเป็นบวกเป็นลบ แล้วก็เกิดสังขาร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:23:21 )

วิตกวิจารเก่ง ดำริเก่ง ใช้ฌาน 1 เป็นเอก

รายละเอียด

ขอถามพวกคุณ ขณะนี้อาตมาใช้ ฌาน 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 อาตมาใช้ ฌาน 1 เป็นเอก แต่ใช้ทั้ง 4 แต่ตอนนี้ใช้ ฌาน 1 มาก วิตกวิจารเก่ง ดำริเก่ง จึงปรุงแต่ง ที่แรง เสร็จแล้วฌาน 2 ก็ปรุงแต่งลดลง มีปีติ เหลือสุข เอกัคคตา ฌาน 3 ก็ปีติลดน้อยลง ขณะนี้อาตมามีปีติเลี้ยงด้วยนะ ปีติ อาตมาใช้เลี้ยงตอนนี้มีอุพเพงคาปีติ แต่อาตมาไม่ได้ติด แต่อาศัยอุพเพงคาปีติ แต่ไม่ใช้อุพเพงคาปีติ ถึงกระโดดโลดเต้น ก็ใช้พอสมควร อยู่ในสัดส่วนปโหติ พอเหมาะ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:30:40 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 03:16:50 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:38:51 )

วิตกวิจารในแบบพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

วิตกวิจารแล้ว แต่ยังมีปิติยังมีสุข หรือยังมีจิต เอกัคคตาจิต จิตที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นมิจฉาทิฐินะ ของพระพุทธเจ้าเข้าใจสภาพ วิตกวิจารดับไม่ต้องทำงานอีก วิตกวิจารคือไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องปรุงแต่ง พวกดับสัญญา ไม่ได้เรียนรู้ เขาก็นึกว่าเขาทำได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้แล้วว่า วิตกคืออะไรวิจารคืออะไร มีอาการของสิ่งที่ดำริ จิตมันมีพฤติกรรมมีสภาวะ จนกระทั่งทำได้ว่า มันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสหรือเป็นจิตที่เหลือกิเลสอยู่ เราทำให้กิเลสลดได้ก็เกิด ปีติ ทำให้กิเลสลดไปจนกระทั่งสงบเรียกว่าสุข เป็นสุขด้วยความสงบ สงบอย่างมิจฉาทิฏฐิเขาก็สงบด้วยการดับสัญญา แต่ยังไม่สนิท เขาดับนะ ดับสัญญาแต่ยังไม่สนิท 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:16:53 )

วิตกเจตสิก

รายละเอียด

ตัวรู้ที่เข้าไปรู้อาการของจิตตัวเอง

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 72


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 13:54:47 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:04:30 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:33:52 )

วิตถโต

รายละเอียด

1. มันไม่นิ่ง ไม่มีหยุด มันมีแต่เคลื่อนไป แผ่ไป กระจายไป จะไปสำคัญมั่นหมายเอาว่าเที่ยงในโลก ยืนยงอยู่เป็นอย่างเก่า เป็นอันเก่าอยู่อย่างนี้อยู่เหมือนเดิม ไม่แปรปรวนนั้นไม่มีเลย

2. มันจะเดินทางไป ๆ มันมีแต่การแผ่กระจายออกไป หรือเคลื่อนไป ๆ อยู่เสมอ ๆ

3. ขยายออก ๆ แผ่ออกไป ๆ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 218

สมาธิพุทธ หน้า 142

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 244

 


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 14:20:03 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:06:07 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:34:35 )

วิตักก , วิตักกะ

รายละเอียด

1. ไตร่ตรอง

2. ตรึก

3. จัดการกำจัดกิเลสในความดำริ

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 294

เปิดโลกเทวดา หน้า 37

ค้าบุญคือบาป หน้า 299


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 14:21:20 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:08:16 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:36:49 )

วิตักกะ

รายละเอียด

คือ การวิเคราะห์ วิจัยในความคิด  อะไรที่จะไม่มีในตักกะก็ไม่ให้มี  อะไรจะให้ไม่มีในจาระก็ไม่มี

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 79 วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 15:15:12 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:33:40 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:37:58 )

วิตักกะจริต

รายละเอียด

พวกสายปัญญาจะสั่งสมฌานด้วยวิธีนึกคิด ใคร่ครวญ วิเคราะห์

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 69


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 14:22:03 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:11:15 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:37:12 )

วิตักโก

รายละเอียด

ความวิตก

หนังสืออ้างอิง

(จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 115)


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 14:22:49 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 15:11:57 )

วิถีชีวิตของชาวอโศก

รายละเอียด

เราไม่มีแฟชั่น ไม่มีของปรุงแต่งแบบโลกๆที่มอมเมาประดิษฐ์ประดอย ประดับประดาไร้สาระกันมากมายหรอก เรามีแต่เรื่องเนื้อแท้ๆ เป็นปัจจัยเป็นอาหารของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องอาศัย เป็นปัจจัย 4 หรือบริขารสำคัญ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเสียเวล่ำเวลา ยิ่งไปสร้างระเบิดยิ่งไปสร้างปืนปิดประตูเลย ชาวอโศกไม่ไปบ้าทำ หรือจะไปทำสิ่งฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้ออะไร ยกตัวอย่างง่ายๆจะไปสร้างแฟชั่น เอาอะไรไม่รู้มาต่อหัวต่อหางแล้วไปเดินแฟชั่นกัน จะบ้ากันไปถึงไหน ดูแล้วก็ทุเรศๆ ขออภัยอาตมาพูดชัด เขาไม่รู้สึกทุเรศตัวเองนะ แต่อาตมารู้สึกทุเรศจัง ผู้หญิงฟังแล้วจะรู้สึกมากใช่ไหม เคยทุเรศตัวเองมาบ้างไหม ใครเคยยกมือบ้างสิ กล้าหาญยอมรับความจริง มันน่าทุเรศตัวเองฟังให้ดี ใช้ภาษาพยัญชนะมาอธิบายสภาวะ ทำให้ดูแล้วแต่ก่อนเราโง่นะ ไม่รู้ว่าทำทุเรศก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อเรารู้สาระโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็จะนึกว่าอะไรก็ไม่รู้ นอกจากเด็กเล็กๆ จะเห็นได้ว่าความอวิชชาความโง่ของเรา แต่ก่อนคนเรายังโง่ ...เดี๋ยวนี้ก็ยังโง่อยู่

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:00:24 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 11:39:51 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:41:58 )

วิถีพอเพียงแต่ไม่สันโดษในกุศล

รายละเอียด

วิถีพอเพียงมีความหมายกว้างลึก ไม่ใช่พอเพียงก็ทำเช้าชามเย็นชามข้าวสารกรอกหม้อ ไม่ใช่ คือสำหรับเราเองรู้จักพอ แต่ความขยันและสมรรถนะของเรา เราทำเต็มที่เราทำขยายเพิ่มเติม ความสามารถสมรรถนะของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่พอไม่หยุดหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราไม่สันโดษในกุศล เพราะฉะนั้นในเรื่องของกุศลเราไม่มีพอหรอก แต่ใจเราพอ ใจเราแค่นี้ ซ้อนลึกซึ้ง อย่างอโศกเราศึกษามามีสภาพพวกนี้ ทุกวันนี้เรามีกินมีใช้ เรามีขีดที่จะสะสมสมบัติ แทบจะไม่อยากได้อยากเป็นมากมายเกินไป มันจะได้เพิ่มขึ้นเล็กๆน้อยๆตามฐานะเราทำสร้างสรรมันก็ต้องเพิ่มพูนบ้าง แต่เราก็สบาย เราก็จะเห็นว่าเรารวย ทั้งๆที่เราไม่ได้สะสมมากนะ สมมุติว่าชาวอโศกบางคนมีกักตุนเอาไว้ของตัวเองสัก ห้าหมื่น แต่เราก็ทำงานเกินกว่าห้าหมื่น เป็นแสนได้ เราสมบูรณ์นะเราใจพอสันโดษได้ ยิ่งมี 60,000 มีเกินเป็นแสนแล้วก็อุดมสมบูรณ์จริงๆ แต่คนขี้โลภใจไม่พอ เขามีแสนล้านเขาก็ยังรู้สึกว่าเขามีน้อยนะ ยิ่งต้องหาเพิ่ม คือจิตมันจะต่างกันลิบเลยคนละทิศ​ จิตพวกนี้ไม่ศึกษาธรรมะจะไม่มีทางรู้แล้วไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 24 เมษายน 2563 ( 13:53:22 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 14:05:38 )

เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2563 ( 04:40:00 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์