@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

590509

รายละเอียด

590509_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 5

          พ่อครูว่าวันนี้วัน จันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2559 ที่บ้านราชฯเมืองเรือ พ่อครูอ่าน sms  แล้วมาพูดถึงกรณีคดีธรรมกายว่าไม่คืบหน้า และเขาก็ไม่มาให้การกับเจ้าหน้าที่ แต่เปรียบเทียบกับคดีสันติอโศก ของเรานี่คดีเรา รมต.ว่า จะเอารถตู้ไปขนเลย เราบอกว่าไม่ต้องมาหรอกเราไปเอง ของเรานี่คดีเดียว ก็ว่ากันตั้ง 6 ปี เราก็ไปทำอย่างศาลปกติ แต่นี่เขาไม่ได้ไปขึ้นศาลเลย กี่ปีมาแล้วเป็น สิบๆปีแล้วนะเขาก็ว่ากันไป ก็สองมาตรฐานเลยนะ

มาเข้าสู่บทเรียน ที่ได้บรรยายมาถึงความหมายของธรรมะ ถึงคำว่า ตั้งจิตไว้ผิด คนจะมีทิศทางการตั้งจิตไว้ เหมือนกับกัปตันเรือ ตั้งหางเสือ พวงมาลัยความคิดหมุนไปถ้าตั้งผิดมันก็จะไปผิด

โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกันพึงทำความฉิบหาย และความทุกข์ใดให้  จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิดพึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่า...พุทธพจน์

พระพุทธเจ้าว่า ปฏิบัติธรรมต้องดูจิตเป็นหลัก แล้วต้องมีสัมมาทิฏฐิ สร้างความเห็นให้ตรง ทิฏฐุชุกัมม์ ทำความเห็นให้ตรง บุญจึงจะเกิด เพราะการทำบุญ ให้บุญทำงาน ตั้งแต่บุญแรกคือทำทาน

การตั้งจิตไว้ผิดตั้งแต่องศาแรก ของการทำบุญ เขาขยายเป็นบุญกิริยา

บุญกิริยา 3

ทาน ศีล ภาวนา

ผู้ตั้งจิตไว้ผิด ว่าทำทาน คือเอาของให้  แต่จิตไม่ได้เป็นไปตามความให้ หรือเอาออก สละ บริจาคให้คนอื่น ให้ออกไป จิตไม่ได้เป็นผู้ให้สมคล้อยกับความจริง ถ้าไม่เข้าใจปฏิบัติศีลกับทาน เพื่อให้กิเลสลดๆๆๆ ตั้งจิตที่จะให้กิเลสลดไม่เป็น เพราะฉะนั้นทิฏฐิข้อ 1ในทิฏฐิ 10 เมื่อตั้งจิตไว้ผิด ทานที่ให้เสร็จแล้ว มันนัตถิทินนัง มันไม่มีผล คือมันไม่เป็นผล คุณจะทำทานก็น่าจะได้ลดโลภ โกรธ แต่ทำทานแล้วกลับเพิ่มกิเลสโลภะโทสะใส่จิต

โลภะนี่ชัด คุณกลับสร้างจิตเป็นโลภะทับทวี การทำทานต้องเข้าใจว่าทำเพื่อลดโลภ ถ้ากิเลสลดก็ควรดีใจ แต่นี่ตั้งจิตไว้ผิดทำทานแล้วก็เพิ่มความโลภ แล้วก็ดีใจที่ได้เพิ่มความโลภ เห็นไหมนี่คือการตั้งจิตไว้ผิด แล้วทำทานอย่างไม่มีปัญญา

การทำทานก็ต้องไปในทิศทางลดโลภ แต่ที่สอนกันครูบาอาจารย์ทั้งหายสอนให้เพิ่มโลภกัน เขาทำทานแล้วลดความอยากได้แก่จิต ลดโลภให้แก่ตน จึงเป็นทิศทางสัมมาทิฏฐิ การทำทานต้องให้ถึงแดนเกิดแดนตายของจิต ในมูลสูตรว่าไว้

1.ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีฉันทะเป็นต้นเค้าเลย ต้องยินดีพอใจจึงจะทำได้ดี ถ้าฝืนมาไม่ได้หรอก ต้องตั้งใจแล้วต้องเลือกที่ปฏิบัติ เลือกผู้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสัมมาทิฏฐิข้อ 10 ตั้งจิตไปสวรรค์ดันเดินไปสู่นรก คือผู้ตั้งจิตไว้ผิด

“ผู้ตั้งจิตไว้ผิด คือผู้ตั้งจิตไปสวรรค์แต่กลับดันผ่าไปสู่นรก”....พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 9 พ.ค. 59

เว้นผัสสะเสียแล้วไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ รู้สึกได้ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ไม่ได้ สุกต ได้แต่ทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก จะปฏิบัติอะไรต้องมีกรรมฐาน

ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า

“เว้นผัสสะเสีย จะรู้สึกได้นั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”

ก็ไม่มีฐานที่จะรู้สึก ก็ไม่มีฐานที่จะปฏิบัติกรรม ก็คือไม่มีกัมมฐาน

กรรมฐานต้องมีเวทนาเป็นกรรมฐาน

ผู้ที่เว้นไม่มีกรรมฐานมันหมายความว่า ผู้ที่ไม่รู้ไม่เห็น อะไรเลย จึงเป็นความดิ้นรนแส่หาของตัณหาเท่านั้น เป็นคนไม่รู้ไม่เห็น

ในพระสูตรแรก พรหมชาลสูตร ว่าไว้ว่า ผู้ยึดในอดีต อนาคตนั้น มิจฉาทิฏฐิ ผู้นั่งหลับตาปฏิบัติก็คือผู้หลงอดีตอนาคต ไม่มีผัสสะอยู่กับปัจจุบัน แม้ในอานาปานสติสูตรก็ไม่มีคำไหนบอกว่าให้นั่งหลับตา แล้วเขาสอนกันให้จิตจดจ่อกับกสิณ หรือเกาะกับลมหายใจ เป็นวิธีสะกดจิต ซึ่งเขาทำกันอยู่แล้วทั่วโลก การทำสมาธิสะกดจิต เขาก็บังคับสั่งจิตให้เป็นหนึ่งแบบhypnosis เขาก็สั่งการจิตได้ หรือแม้แต่เจ้าตัวสะกดจิตตัวเอง ตนเองสะกดจิตตัวเองเข้าที่เป็นเอกัคคตาก็สั่งตนเองให้มีกำลังไปทำอย่างใดๆ โน้มน้อมจิตไปได้ สำนวนเขาว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิเป็นฌานแล้วโน้มน้อมไปได้ แท้จริงอธิโมกโขนั้นคือการล้างกิเลส แต่ไปเข้าใจว่า เป็นการนั่งสมาธิจิตสงบ อย่างอาจารย์ที่สอนกันไป

เขาทำเขาก็ได้ตามนั้น ได้อัตตานั้นแต่ก็แค่ลมๆแล้งๆ เป็นอัตตวาทุปาทาน เพราะฉะนั้น กามุปาทานเขาไม่รู้เรื่องเลย เขาผ่านไปไม่ได้เรียนรู้เบื้องต้นท่ีจะมีตาหูจมูกลิ้นกาย พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติในกามคุณ 5 เบื้องต้นเขาไม่เรียนไม่รู้ แต่เขายึดกามส่วนวิธีปฏิบัติคือไปนั่งหลับตา กามก็ปล่อยเลยลืมตาเมื่อไหรก็ปล่อยชีวิตไปกับกามเต็มที่เลย  พูดไปตรงไหนก็ถูก มันผิดตัวใหญ่เหลือเกิน มันไปถูกตัวผิดหมดเลย ใหญ่มาก

มาพูดถึงเรื่องวิมานที่เขาใช้หลอกกัน วิมานบุญ ที่เขาแจกไปอีก เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ภาวนาก็กลายเป็นการท่องบ่นอะไรไปหมด อธิบายเละเหมือนขี้ช้างท้องร่วงเลย แทนที่จะปฏิบัติธรรมะแล้วรู้รูปนามก็ไม่เกิดผล เพราะตั้งจิตไว้ผิด

ไปปฏิบัติธรรม ทานก็จะบอกว่าได้บุญกิริยาวัตถุ 10 ไปปฏิบัติศีลก็จะบอกว่าได้บุญกิริยาวัตถุ ข้อที่ 2 ว่าจะได้วิมานลอยลม ก็โมหะตั้งจิตไว้ผิด บอกว่าไปทำทานจะได้บุญดังกล่าวปฏิบัติศีลก็จะได้บุญกิริยาฯข้อ 2

ส่วนภาวนานี้ไปไกลใหญ่เลย เข้าใจกันเลยว่าไปนั่งสมาธิภาวนา แล้วจะได้บุญทั้งสามข้อนี้ได้หมดเลยทั้งสาม

หนึ่งคือโมหะคือตั้งจิตไว้ผิด แล้วขั้นสองคือไปตั้งจิตไว้ว่าที่คิดไว้นี้ถูก แล้วสามคือไปหลงติดยึดอุปาทานอันนี้ไว้เลย แล้วหลงใคร่อยากได้

กามคือใคร่อยากได้ภพข้างนอก แต่ว่าหลงวิมานคือใคร่อยากได้ภพข้างใน  ไปหลงผิดว่าถูกอีก แล้วยึดเข้าไปอีก ทำจิตในจิตให้ติดยึด ว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นน่าอยากเป็นกาม

มีสัญญา_จิต_ทิฏฐิวิปลาสหมดเลย เพราะทิฏฐิเพราะความเข้าใจวิปลาสแล้วปฏิบัติเข้าจิตก็ไปสัญญากำหนดผิดวิปลาสไปอีก ทับถมไปไม่รู้กี่ชั้นก็เลยหนาด้วยมิจฉา เป็นทุจริต เป็นจริตของทุ คือตั้งจิตไว้ผิดก็เลยพาสั่งสมผิดไป

ในพระไตรฯล.25 ข.92 ว่าไว้

เช่นหลงใหลว่าถ้าทำบุญกับสำนักนี้อ.ใหญ่นี้จะได้บุญมาก ก็ได้อกุศลไม่รู้กี่ชั้นแต่หลงว่าได้ทำบุญเนื่องจากไม่รู้ทันในวิมานที่เขาสร้างมาทำร้ายคนไปปฏิบัติเพราะเอาคำว่าบุญไปใช้ผิด เช่นบอกว่าทานต้องทานกับคนนี้นะได้บุญมาก กับคนอื่นได้บุญน้อยก็พูดและเล็มเลียบเคียงไป

คนฉลาดชั่วร้าย(เฉโก) กับคนโง่หนักสองคนนี้มาเจอกัน สมกันดีมาก

โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกันพึงทำความฉิบหาย และความทุกข์ใดให้  จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิดพึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่า...พุทธพจน์

ธัมมชโยไปหลอกคนโง่หนักไปทำทาน บอกว่าไม่มีเงินก็ให้กู้จากสหกรณ์นะ ทำสัญญาเสร็จได้ทำทานทันที เงินไม่ต้องผ่านมือเลย เดี๋ยวได้ใบอนุโมทนาบัตร นี่คือคนฉลาดเลวร้ายกับคนโง่สะบัดทำกัน

จิตก็ตั้งจิตไว้ถึงวิมานที่เขาเล่าออกอากาศทุกวัน ว่าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาไหนๆ

ที่เขาบอกว่าทำบุญนี่แท้จริงคือให้ไปทำทาน กับคนที่เป็นหัวโจก คนทำทานก็เป็นหัวโจกชนิดหนึ่งที่หลงใหลโง่เง่ากับหัวโจกที่ฉลาดร้ายมาเจอกัน ก็เหมือนหูกับขี้ทูด

วิมานคืออะไรกันแน่ วิมานคือปราสาทบนสวรรค์ แดนสุขาวดี

                             

(6) คนฉลาดชั่วร้าย(เฉโก) กับคนโง่หนัก ที่เลวสมกัน

คนโง่หนัก จึงหลง“ทำทาน”กันใหญ่ ทำกันคึกคัก ทำกันมาก คนฉลาดเลวก็ทำร้ายกันเองยิ่งๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

เปรียบเหมือนกับ“โจรหัวโจก”ก็ดี หรือ“คนมีเวร”ก็ดี

ซึ่ง“คนเลว”(โจร)ก็ดี คนผู้มี“เวร”(ความปองร้ายกัน)ก็ตาม ซึ่งพากันทำ“ความฉิบหาย”ให้แก่กันและกันก็เลวร้ายแล้ว แต่คนที่มี“จิตที่ตั้งไว้ผิด”นั้น “เลว”หนักยิ่งๆกว่า“โจรหัวโจก” ยิ่งกว่า“คนมีเวร”ทำร้ายกันและกัน เป็นไหนๆทีเดียว

คำตรัสของพระพุทธเจ้าใน“โคปาลสูตร”(พระไตรปิฎก

เล่ม 25 ข้อ 92 นั้นมีว่า “โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน ก็หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้กัน

“จิตที่ตั้งไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ)..พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น ฯ”

“ทิโส ทสํ ยนฺตํ กยิรา        เวรี วา ปน เวรินํ

มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ  ปาปิโย นํ ตโต กเรติ ฯ ติยํ ฯ”

ชัดเจนชัดแจ้งในคำว่า“พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น”..มั้ย?

เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าตรัสความสำคัญของ“การทำใจในใจ“(มนสิการ)นี้มันสำคัญยิ่งขนาดไหน แต่นักการศาสนาทุกวันนี้ ไม่สังวรกันเลย อาจารย์ที่สอนทั้งหลายจึงสอนกันให้“ตั้งจิตตั้งใจไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง)กันเต็มวงการศาสนา ในเรื่อง“ทำทาน” แต่ไม่เป็น“บุญ” กลายเป็น“บาป” เพราะไปได้กิเลสทับถมตนเข้าไปหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นๆๆ

ก็เพราะประเด็นที่ว่า “จิตที่ตั้งไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง)

นี้แหละที่เป็น“ความผิด”(มิจฉา)แท้ๆ ของ“โจรหัวโจก”ซึ่งหมายถึง“คนผู้ใช้เล่ห์หลอก”ด้วยการสร้าง“วิมาน”ขึ้นมา และใช้คำว่า“ทำบุญ”(ที่จริงแค่“ทำทาน”แท้ๆ ไม่ใช่“ทำบุญ”เลย) กับคนที่นับว่าเป็น“โจรหัวโจก”สมกัน เพราะ“คนโง่ที่ถูกหลอก”ก็เข้าคู่กัน

สมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงผนึกสนิทเนียนยิ่ง ก็ร่วมรัดกันทำ“อกุศลกรรม”ได้“เลวยิ่งกว่าเลว”ควบแน่นแรงร้ายยิ่งๆเกินจะกล่าวทีเดียว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ซึ่งความหลงผิดนี้ มันผิดกันไปอย่างน่าสังเวชยิ่งๆ

ความจริงแท้ “บุญ”หมายถึงเครื่องฆ่า อาวุธประหาร

แต่กลับนำไปหลอกเป็น“วิมาน”ที่หลงผิดกัน กลายเป็นอยากได้“บุญ”หนักหนาสาหัสจนพากันเพ้อพกตกนรก

“บุญ”ซึ่งมิใช่เรื่องที่จะนำไปใช้สร้าง“วิมาน”ใดๆเลย

 

(7) แล้วจริงๆแท้ๆ “วิมาน”มันคือ อะไรกันแน่..?

วิมาน คือ ปราสาทบนสวรรค์ แดนสวรรค์ แดนสุขาวดี

“วิมาน”คือ ภาวะที่คนคิดด้วยความหลงผิด จนถึงหลงใหลคลั่งไคล้ จึงต่างสมมุติ“วิมาน”กันขึ้นมาหลอกลวงกันให้เพ้อพก เสียเวลา เสียแรงงาน เสียเงินทอง

“วิมาน” คือภพ คือชาติ ที่หลงเป็นดินแดนที่แสนสุข ที่คนหวังว่า จะไปเกิดหรือไปเป็น ไปได้กันใน“อนาคต”โน่น

“วิมาน”เป็นการสร้าง“ภาพหวัง”ขึ้นในจิตใจ

นักการศาสนาทุกวันนี้ใช้“วิมาน”เป็นเครื่องมือหากิน แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ตามแบบ“ทุนนิยม”ที่เป็นนักหาเสียง หาบริวาร หาลูกค้า เป็นจอมประชานิยมตัวฉกาจ ไม่มีผิด

มีเล่ห์เหลี่ยมหากิน ใช้เล่ห์เลี้ยงสำนักตนเอง ต่างมี

วิธีการที่จะให้คนมาหลง“วิมาน”ของสำนักตน มาหลงติดยึดในตัวตนของคนในพรรคของตนกันทั้งนั้น

“วิมาน” จะปั้นอะไรก็ได้! จะเป็นอย่างไร? ก็วาดฝันไปตะพึด สารพัด จะพิลึกกึกกือ จะมโหฬาร จะสุดยิ่งสุดใหญ่ขนาดไหนๆ เลิศเลอ หรูหรา อภิมหาวิเศษ บรมประเสริฐ ก็คิดเอา นึกเอา ตามที่อยากได้ให้เป็นให้มี ก็แค่คิดขึ้น จินตนาการเอาลมๆแล้งๆ แท้ๆ

แต่เป็นจริงไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตามที่เพ้อฝันออกมาหลอกกัน ล้วนคือ“วิมาน”ที่จะเนรมิต เพ้อบ้าๆ ฝันบอๆออกมาหลอกล่อกันได้ทั้งนั้น

โดยมีคำว่า“บุญ”เป็นชื่อสินค้าหลักของสำนักของวัด

ผู้“ซื้อบุญ”ก็จะได้“วิมาน”ที่สวย-ใหญ่-หรู สารพัด

กรอกหูผู้อยากได้“บุญ”จนเป็นที่หลงเชื่อกันทั่วไปว่า

การทำ“บุญ”ที่จ่ายเงิน“ทำทาน”นั้น เป็น“การซื้อบุญ” ซึ่งจะได้“บุญ”อันเป็น“วิมาน”ตามที่พ่อค้าบุญนั้นอ้างหลอกกัน

ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ใช่การ“ซื้อ“ด้วยซ้ำ เพราะซื้อยังได้ของแลกเปลี่ยนมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่นี่..มันถูกหลอก“กินฟรี”แท้ๆ ถูกหลอกเอาไป“ฟรี”ๆ แต่ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นชิ้น

เป็นอันมาให้แก่ผู้จ่ายเงิน-จ่ายทรัพย์ออกไปเลย

มีแต่“วิมาน”ลอยลมเท่านั้นที่ผู้จ่าย“หลงลม”นักต้ม

ตัวร้ายทั้งหลาย

ได้“วิมาน”เท่านั้น เท่านั้นนะ..ไม่ได้อะไรลึกซึ้งไป

กว่า “วิมาน”ที่ผู้จ่ายเงิน..ฝันเพ้อว่าจะได้

คำว่า“บุญ” คนทุกวันนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ(มีความเห็นผิด) ว่า เป็น“วิมาน”หรือ“ภาพหวัง”หรือ“ภาพที่อยากได้มาให้ตน”

“บุญ”จึงเป็น“ภพ-ชาติ”ที่คนผู้ทำทาน“ทำไว้ในใจ”(มนสิกโรติ)ว่า ตนจะได้“วิมาน”ตามที่ตน“ทำทาน” ถ้ายิ่งทาน

มากเท่าใด “วิมาน”ก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ยิ่งหรู ยิ่งวิวิธสมาหรา

ก็“ตั้งจิต” คือ อธิษฐานจิต หรือ“ปณิหิตัง จิตตัง”นี้แล ที่“ตั้งขึ้นไว้ในใจลมๆแล้งๆ”เป็นภพ-เป็นชาติ อรูปจิตเท่านั้น

จึงเป็น“อัตตาวาทุปาทาน”แท้ๆนั่นเอง ที่แต่ละคนผู้ไป“ทำบุญ”อันก็คือ“ทำทาน”นั้น ที่เขาได้เป็นกอบเป็นกำ

ฉะนี้แล “การได้”ของคนผู้มิจฉาทิฏฐิ แค่จะได้อัตตา

กับเขาบ้าง ก็เป็น“อัตตา”ลมๆแล้งๆ เป็นแค่“วาทะ”เท่านั้นที่ผู้อวิชชาได้ไป แค่นจะ“ได้”กับเขาทั้งที ...โถ!!!

ได้อะไร? ก็ได้ภาวะที่ไม่มี“ของจริง”เลย

จึงไม่ใช่“สัจธรรม” แม้แต่น้อยแต่นิด

 

(8) แล้วจริงๆแน่ๆ “สัจธรรม”มันคือ อะไรกันแท้..?

“ของจริง”ตรงกับบาลีว่า สัจธรรม อันเป็น“โอฬาริกอัตตา” ซึ่งจะต้องมี“นามรูป”หรือมี“รูปกับนาม” หรือจะเรียกว่า “รูปกาย”ที่ต้องมี“นามธรรม”ร่วมรู้อยู่ด้วย จึงจะชื่อ

ว่า “ของจริง,สิ่งจริง” หรือภาวะที่“สัมผัส 6”ได้ทั้งภายนอกด้วย ตามเงื่อนไขครบใน“วิโมกข์ 8” ว่าต้องมีทั้งภายนอก(พหิทธา)และภายใน(อัชฌัตตัง)อยู่พร้อมในขณะนั้น หรือต้องมี“กาย”คือมี“ภาวะ 2”หรือมี“ธรรมะ 2”เสมอ

ซึ่ง“รูปกาย”หรือ“สัจธรรม”นี้ จะไม่ใช่แค่“วิมาน”แล้ว “รูปธรรม-สัจธรรม”นั้นสามารถรู้ได้ทั้งตนเองและผู้อื่นก็สามารถ“สัมผัส”รู้ร่วมด้วยได้ ทั้ง“สัมผัส 4”

“กาย”เป็น“ธรรมะ 2”ที่มีทั้ง“รูปและนาม” โดยเฉพาะ

ต้องมี“นาม”ร่วมอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า“กาย” คำว่า“กาย”

ขาด“นาม”ไม่เรียก“กาย” พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “กาย” คือ “จิต-มโน-วิญญาณ” (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) “กาย”จึงหมายเอา“นาม”เป็นสำคัญ เป็นหลักยืนในรูปนาม

และ“รูปกาย”จะมีได้ ก็ต้องมีการสัมผัส 3 แล้ว“นามกาย”เกิดก่อน(ปฏิฆสัมผัสโส) จึงจะมี“รูปกาย”ขึ้นมาให้ผู้สัมผัส

“รู้เห็น”ได้ต่อมา แล้วจึงจะขาน“ชื่อ”(อธิวจนะ)หรือ“สัมผัสชื่อของภาวะ”(อธิวจนสัมผัสโส)นั้นได้ ถ้าภาวะนั้นมี“ชื่อ”แล้ว

แต่ถ้ายังไม่มี“ชื่อ”มาก่อน คือมีแค่“นามธรรม”ให้เรารู้อยู่ ก็เป็น“นาม”อยู่ที่“ถูกเรารู้” จึงมีฐานะ“อรูป”คือ เป็น

“สิ่งปรากฏที่ถูกรู้”(รูปที่ไม่ใช่ร่าง-ไร้สรีระ) [พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60]

ทีนี้“สัมผัส 4”ก็ได้แก่ ภาวะที่ต้องมี“มหาภูต 4”[สัจจะ

ที่ทรงอยู่(ธรรมกาย)ทั้งภายนอกและภายใน]ร่วมด้วย และจะสามารถ

รู้ได้ทั้ง“ลักษณะ(มีภาวะให้สัมผัสนอกก็ดีในก็ดี)-สสัมภาระ(กำลังทำสะสมไว้)-อารัมมนะ(ความรู้สึกของจิต)-สมมุติ(สิ่งที่ผู้อื่นหรือในสังคม

ก็กำหนดรู้ร่วมกันได้แล้ว)เรียกภาวะนี้ว่า“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)

“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)นี้ มีครบ“สัมผัส 4”ทั้ง“ลักษณะ-สสัมภาระ-อารัมนะ-สมมุติ” เป็น“รูปกาย”แท้ มี“รูปรูป”

...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:39:49 )

590510

รายละเอียด

590510_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 6

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2559 อีกไม่กี่วันก็มิถุนายนวันที่ 5 มิถุนายนเป็นวันคล้ายวันเกิดอาตมาปีนี้รู้สึกว่างานอโศกรำลึกจะดูคึกคักมีเพื่อนรุ่นพี่เรียนกันมาก็จะไปกันหลายคน อาตมามีเพื่อนหลายรุ่น เพราะเรียนม.6 สองปี รร.เบญจมะฯนี่แหละ ไปม.7 ม.8 ก็อยู่อีก 3 ปี เรียนเพาะช่างอีก 5 ปี มีเพื่อนเหลือ ที่เพาะช่างหลายคนอยู่ เพื่อนม.8 คนล่าสุดที่เจอคือ พล.อ.อ. วิรัติ กิจจาธร นอกนั้นก็หายไปมากแล้ว ตอนนี้เพื่อนเพาะช่างก็นัดกันจะไปหาอาตมา เพื่อนเพาะช่างรุ่น เขียนจม.ส่งไลน์มาให้อาตมา….

29/212 เมืองทองธานี ซอย 8 ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทร. 0-2503-2668-9, 08-6539-9745

6 พฤษภาคม 2559

เพื่อนเพาะช่างรุ่น 2496-2500 ที่รักและคิดถึง

 ขอเชิญเพื่อนๆไปพบปะสังสรรค์กันในวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 เวลา 10.30-14.00 น.  ที่พุทธสถานสันติอโศก ถนนนวมินทร์ เนื่องจากพระโพธิรักษ์อยากพบพบเพื่อนร่วมรุ่น เพราะไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้เป็นวันเกิดของท่านและมีงาน “อโศกรำลึก” ด้วย

 ขอเล่าคราวที่แล้วที่เราพบปะสังสรรค์กันที่ห้องอาหารราชตฤณมัยสมาคม เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 ซึ่งผ่านมาปีกว่าแล้ว มีเพื่อนๆไปร่วมงาน 19 คน คือ สำเริง พันธุ์สนิท พ.อ.ศักดา ประจุศิลป อัมพร อินทร์พรหม คุณหญิงเพ็ญศรี ไชยยงค์ ประจวบ ลัดดา วัจนะรัตน์ ศศิธร สุธรรมชัย มลิวัลย์ สมพงษ์ สิทธิสมาน สมจิต ใจดี สว่าง ธีระวุฒิ พ.อ.บรรลือ น้อยใจรักษ์ นิเทส นรพัลลภ ยุพาพรรณ แท่นนิล เพียรผจง ไชยชาญ นงนุช ชูเดช ศรีนายก ศโรภาส แน่งน้อย ชินชนะโชคชัย และหวน พินธุพันธ์ เราเก็บเงินคนละ 400 บาท หลังจากจ่ายเป็นค่าอาหารและให้รางวัลเจ้าหน้าที่แล้วยังเหลือเงินอีก 1200 บาท ได้มอบให้ชมรมเพาะช่างรุ่นหลังคาจาก (ซึ่งมี พ.อ.ศักดา ประจุศิลป เป็นประธานชมรมฯ) ทั้งหมด

ขอเล่าเรื่องเพื่อนของเราเท่าที่ทราบ มีเพื่อนที่ถึงแก่กรรมแล้วอีก 3 คน คือ ศิริศิลป์ (หล่อ) ขอพรกลาง รัตนา ดารารัตน์ และอุบลรัตน์ รัตนพงษ์ ส่วนเพื่อนบางคนที่ยังเจ็บป่วยอยู่ คือ อรุณ ภุมรินทร์ บังอร ทิพยสูตร พ.อ.ประสาร ภู่ทรัพย์ ประดิษฐ์ บุญคุ้ม นงนุช ชูเดช ซึ่งไปไหนมาไหนไม่สะดวกแล้ว เพื่อนที่ลำบากมากหน่อยคือ นงนุช ชูเดช ผมได้โทรปรึกษาศศิธร สุธรรมชัย ให้ส่งเงินที่เหลือจากการพบปะสังสรรค์เมื่อหลายปีมาแล้วจำนวน 1000 บาทเศษ ไปช่วยเหลือเป็นค่ารักษาพยาบาล นงนุช ชูเดช ด้วย

ดังนั้นในวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 นี้ ถ้าเพื่อนยังแข็งแรง พอไปไหนมาไหนได้ ขอให้ไปพบปะสังสรรค์กันหน่อย ทั้งยังจะได้นมัสการพระโพธิรักษ์ด้วย เพราะปีต่อไปอาจไปไม่ไหวเหมือนกับเพื่อนบางคนที่กล่าวมาแล้ว ถ้าไปไม่ได้จริง ๆ ก็ส่งข่าวให้ทราบด้วยก็ดีว่าอยู่ดีมีสุขหรือเจ็บป่วยอย่างไร ถ้าตัวเองส่งข่าวไม่ได้ก็ให้ลูกหลานส่งข่าวแทนก็ได้ โดยโทรศัพท์ที่หมายเลข 08-6539-9745, 0-2503-2668-9 หรือจะติดต่อทางไลน์ก็ได้ที่ Line ID : 08-6539-9745

 ขอให้เพื่อนมีความสุขทั้งกายและใจ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ถ้าเจ็บป่วยก็ขอให้หายป่วยไข้ ตลอดไปนานเท่านานนะครับ        ด้วยรักและผูกพัน

 ก็คนเราควรอยู่เป็นประโยชน์แก่กัน ถ้าเป็นโทษแก่กันและกันก็ควรตัด ไม่ควรต่อ ถ้าเราเป็นประโยชน์ต่อเขาได้อยู่ที่สิทธิ์เราจะทำหรือไม่ แต่ถ้าคนอื่นเป็นโทษที่เป็นวิบาก ไปห้ามเขาไม่ได้เลยนะ

มาดู sms

0805925xxx จิตที่ตั้งใจทำดีคือกุศล/จิตที่ตั้งใจละบาปคือบุญดับอัตตากิเลสดับค็อโลกุตระธรรมเว้าแม่นบ่ข่อยเว้าแม่นบ่?

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกๆพุทธส ถ.อโศกseufaasin

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมบุญกิริยาวัตถุ10ในแง่บุญที่ถูกต้อง!ทานมัยเสียสละ,สีลมัยประพฤติในศีล,ภาวนามัยฝึกอบรมจิตขัดเกลาใจสาธุ

0893867xxx บุญกิริยาวัตถุ10ตั้งแต่อปจายนมัยจนถึงทิฎฐุชุกัมม์ ทำบุญให้เกิดบุญที่แท้จริงต้องทำด้วยจิตลดอัตตาละกิเลสเลิกยึดถือตัวตนทุกข้อถูกไหม?

0805925xxx คำว่าเสบียงบุญคืออุปนิสัยติดตัวไปในภพชาตินู๋คึดจังซี้คึดเถิกบ่พ่อขาา?

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมะบุญที่ชาวอโศกปฏิบัติเป็นตัวอย่างของการทำบุญที่มีไม่ยึดติดวิมาน!มีแต่สละออก ไปสู่นิพพาน! จิตหลงติดวิมานจมทิฏฐาสวะ!จิตละอัตตาพ้นอวิชช าสวะ!เอวังหนอ!

พ่อครูว่า ภาษาสื่อสภาวะ

_การอนุโมทนาบุญเพียงคำพูดว่าอนุโมทนาไม่ได้บุญใช่ไหม

พ่อครูว่าใช่ บุญนี่ทำเสร็จแล้วจบ ไม่มีสันตติ ทำเสร็จแล้วจบในตัวเอง ที่สุดแห่งที่สุด เป็นตัวตัดแล้วจบ

 

ในมงคล 38 ตั้งแต่ไม่คบคนพาล จนถึงอโศกะ(ธุลีหมอง) และวิรชะ(ธุลีเริง) ใครไม่เข้าใจธุลีเริงแล้วติดก็นาน มันละเอียดกว่าผรณาปีติ จะเป็นพลังงานสุดท้าย ที่ไว้อาศัย จากนั้นก็ เกษม จบ

ศิลปะนั้นคือการสื่อให้คนอื่นได้รู้ ถ้าทำให้กิเลสลดได้ก็คือศิลปะโลกุตระ

ศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ 4 อย่างทำได้ก็จะสั่งสมจิตเป็นฌาน เป็นวิมุติ

ฌานคือไฟปัญญาที่เผาให้กิเลสหายไป สมาธิคือผลของฌานตกผลึกควบแน่นเป็นสมาธิ จิตที่สะอาดจากกิเลสตกผลึกควบแน่นเป็นสมาธิ ไม่ใช่ฌานหลับตา สมาธิหลับตา มีองค์คุณ 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

จะต้องมีธรรมะสองให้เราได้ปฏิบัติเสมอ แต่ทุกวันนี้สอนกันอีกว่าต้อง ไม่มีภายนอกแล้วสอนว่าตัดความรู้สึกจากภายนอกอีกให้เด็ดขาด แม้แต่ในจิตก็ห้ามคิดอีก  ถือว่าจิตเป็นหนึ่งแบบนี้ ดิ่งๆๆหยุดๆๆหมดเลย เป็นฐานสมถะแท้ไม่เกิดวิปัสสนาเลย การปฏิบัติแบบนั้นไม่มีความเป็นกายเลย

แท้จริงแล้ว ความเป็นกายของพุทธ พระพุทธเจ้าสอนคืออย่าให้ความรู้สึกภายนอกขาดหายไป แม้จะถึงเหลือความรู้สึกอยู่แค่ลมหายใจเท่านั้นก็ตาม

                             

ผู้ปฏิบัติที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อาการ”(ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ)แท้ที่เป็น“กิเลส”ในใจของตนเอง

และเมื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสตนได้ ก็ตามเห็น “กิเลส”ของตนลดละจางคลายลง ด้วยญาณของตน(วิราคานุปัสสี) ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“อานาปานสติสูตร” เพราะปฏิบัติ“อานา

ปานสติ”อย่างลืมตาเห็นๆ”(ปัสสติ)ในปัจจุบันขณะนั้นทีเดียว จนกิเลส“ดับ”(นิโรธ)สิ้นซากหมดเศษธุลีเกลี้ยงสนิท ก็“ตามเห็นนิโรธ”(นิโรธานุปัสสี)

นั้นด้วยธาตุรู้(ญาณ)ของตนอยู่ จึงเป็นแบบ

พุทธ ที่มีเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติเห็นๆ รู้ๆ นี้คือ โลกุตรธรรม 9 ซึ่งพระพุทธเจ้า

ตรัสไว้ว่า เกิดจากการปฏิบัติ“โพธิปักขิยธรรม 37” รวมกับ“โลกุตรธรรม 9”ก็เป็น “โลกุตรธรรม 46” (พระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620) ทฤษฎีการปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ที่สัมมาทิฏฐิ จึงจะเกิด“จรณสมบัติ-วิชชาสมบัติ”ในความมี“ศีลเป็นอริยะ-สำรวมอินทรีย์เป็นอริยะ-สติสัมปชัญญะเป็นอริยะ-สันโดษเป็นอริยะ” และเป็นฌาน-เป็นสมาธิลืมตา ซึ่งการปฏิบัติ“โพธิปักขิยธรรม 37”

จะต้องมี“ธรรมะ 2”หรือมี“กาย”คือ มี“องค์ประกอบของรูปกับนาม”ให้เราปฏิบัติเสมอ ทุกวันนี้การปฏิบัติทำ“สมาธิ”ที่เชื่อกัน

ว่าจะเกิดบรรลุเป็นอริยะได้นั้นก็ต้องหลับตาทิ้งภายนอกให้สนิท ไม่มีภายนอกเลย สอนกันถึงขั้นว่า อย่าให้มีความรู้สึกใดๆจากภายนอกเด็ดขาด แม้แต่ภายในใจก็ห้ามคิด ไม่ให้คิดพิจารณาใดๆ จึงจะชื่อว่า“ทำสมาธิ” นั่น..ผิดถนัดแล้ว ศึกษาใหม่ให้ดีๆเถิด การปฏิบัติแบบนั้นไม่มีความเป็น“กาย”

ในการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมให้เกิดสมาธิ แบบพุทธ ที่เป็น“สัมมาสมาธิ”จริงนั้น ต้องมี“กาย”เสมอ มีแต่“จิต”ที่ขาด“กาย”นั้นไม่ได้ ต้องมี“ธรรมะ 2”ตลอดการปฏิบัติธรรม แม้ใน“อานาปานสติสูตร”นั่นก็พิจารณากันให้ชัดเถอะ พระพุทธองค์ก็ทรงย้ำนักย้ำหนาว่า ขนาดนั่งหลับตาสะกดจิตตนเองเข้า

ไปอยู่ข้างในใจกันแล้วปานนั้น ก็อย่าให้“สติ”

ขาดหายไปจากความรับรู้“ธาตุภายนอก”เป็นอันขาด แม้หลับตาปิดหูก็ยังเหลือ“ลมหายใจ” เพราะ“ลมหายใจ”นี้เป็น“ธาตุลม”ที่อยู่ภายนอกที่เหลือสุดท้ายแล้วของ“มหาภูต 4” ความเป็น“กาย”จึงต้องมีตลอด ในการปฏิบัติธรรมของพุทธ แม้ที่สุดปฏิบัติไปถึงจุดบรรลุภาวะ“นิโรธ”หรือ“วิมุติ”แท้ๆ ก็ยังมี

ความเป็น“กาย”คือ“ธรรมะ 2”รูป-นาม,ภาย นอก-ภายใน ยืนยันคุณสมบัติของ“กาย”อยู่ ส่วน“ความดับ”ก็ให้ดับเฉพาะที่เป็น

“วจีสังขาร”อันซ้อนอยู่“กายในกาย” และดับ “จิตสังขาร”อันซ้อนอยู่“กายในกาย”ให้ได้ จริงๆนั้นก็“ดับ”เฉพาะ“อกุศลจิต”จาก “กายในกาย”ของเรานั่นเอง ถ้า“ดับอกุศลจิต”ใดใน“กาย”เราได้ ก็นั่นแหละคือ“นิโรธ”

หรือ“นิพพาน”เฉพาะ“อกุศลจิต”ตัวนี้ของเรา เช่น เราปฏิบัติ“ข้อ 1”ของ“ศีล 5”กิเลสตัวที่ยังมีการดำริจะฆ่าสัตว์ เราได้“ดับ”มันได้แล้วแม้ในขณะมีสัมผัสสัตว์นั้นๆ เราก็ไม่มีกิเลสนั้นจริง แม้สัตว์นั้นจะยั่วยวนเราจะทำร้ายเรา กิเลสที่เราจะดำริฆ่ามันไม่เกิดในใจเราจริงๆ หรือ“ศีลข้อ 2”กิเลสตัวที่ยังมีการดำริจะเอาของที่ไม่ใช่ของเราด้วยทุจริต เราได้“ดับ”มันได้แล้วแม้ในขณะมีสัมผัสของนั้นๆ เราก็ไม่มีกิเลสนั้นจริง แม้ของนั้นจะทำยั่วยวนเรา กิเลสที่เราจะดำริจะเอามันมาเป็นของเราไม่เกิดในใจเราจริงๆ หรือ“ศีลข้อ 3” กิเลสตัวที่ยังมีการดำริจะเกิดกาม เราได้“ดับ”มันได้แล้วแม้ในขณะมีสัมผัสเหตุแห่งกามนั้นๆ เราก็ไม่มีกิเลสนั้นจริง แม้“เหตุแห่งกาม”นั้นจะยั่วยวนเรา กิเลสที่จะเกิดกามมันไม่เกิดในใจเราจริงๆ หรือ“ศีลข้อ 4” กิเลสตัวที่ยังมีการดำริจะโกหก เราได้“ดับ”มันได้แล้วแม้ในขณะมีสัมผัสเหตุแห่งการโกหกนั้นๆ เราก็ไม่มีกิเลสนั้นจริง แม้“เหตุแห่งการโกหก”นั้นจะยั่วยวนเรา กิเลสที่จะดำริโกหกขึ้นมามันไม่เกิดในใจเราจริงๆ หรือ“ศีลข้อ 5” กิเลสตัวที่ยังมีการดำริจะเกิดอยากในของที่เราเคยติด-เคยเสพมันมานั้น เราได้“ดับ”มันได้แล้วแม้ในขณะมีสัมผัสเหตุแห่งสิ่งที่เคยติด-เคยเสพนั้นๆ เราก็ไม่มีกิเลสนั้นจริง แม้“เหตุแห่งสิ่งที่เคยติด-เคยเสพนั้นๆ”นั้นจะยั่วยวนเรา กิเลสที่จะเกิดอยากมันไม่เกิดในใจเราจริงๆ หากผู้ปฏิบัติใด สัมผัสภายนอกอยู่ในปัจจุบัน กิเลสก็ไม่เกิด ตาม“ศีล 5”นี้เป็นต้น และมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิตในจิต”ของตน ว่า จิตตนมี“กายสังขาร”สงบระงับได้จริง ฉะนี้แลคือ การทำ“นิโรธ”กับส่วนที่เป็น “กายสังขาร”ที่สัมผัส“ภายนอก” ชื่อว่าเราเป็นผู้“มีศีลอันเป็นอาริยะ-มีการสำรวอินทรีย์อันเป็นอาริยะ-มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ-มีสันโดษอันเป็นอาริยะ”(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 125) จิตเป็น“ฌาน”เป็น“วิมุติ”ไปตามฐานานุฐานะ ถ้าพ้น“กิเลสกามภพ”แล้วก็เป็นโสดาบัน หรือสกิทาคามีขึ้นไปแล้ว ผู้ใดที่จะปฏิบัติ“กายสังขารให้ระงับ”

(ปัสสัมภยัง กายสังขาร) ก็ต้องวิจัย“ธรรม 2”ขององค์ประชุมรูปกับนาม ที่เป็น“กาย” หรือเป็น “เวทนา” หรือเป็น“จิต” หรือเป็น“ธรรม”นี่เอง ลืมตาวิจัยสว่างๆ ในขณะที่มีตาหูจมูก

ลิ้นกายใจทำหน้าที่สัมผัสภายนอกอยู่ ขณะตื่นๆเต็มที่นี้เอง ไม่ใช่ปิดหูหลับตาเข้าไปวิจัยอยู่แต่ในภายในของ“จิตในจิต”เท่านั้น ซึ่งเป็นการวิจัยเข้าไปใน“ธรรม 2”(เทฺว

ธัมมา)ของ“กายในกาย”ก็ดี “เวทนาในเวทนา”ก็ดี

“จิตในจิต”ก็ดี “ธรรมในธรรม”ก็ดี ซึ่งมี“กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”เป็นฐานหรือเป็นที่ตั้งของทุกบทปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา(คือกรรมฐาน) และจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ทุกขอริยสัจ” หรือ“ความรู้สึกที่ทุกข์จริงๆ”ก็ต้องหยั่งลงไป(สโมสรณา)ที่“เวทนา” เพราะเป็นอารมณ์

หรือเป็นความรู้สึกแท้ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ที่ว่า “ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วน 2”(เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนาย

เอกสโมสรณา ภวันติ) นั่นคือ “ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วน 2”ก็เท่ากับผู้ปฏิบัตินั้นสามารถ“รวมเป็นอันเดียวกัน”ได้

นี่แหละคือ “เอกัคคตา” ให้เวทนาในเวทนา กลายเป็น“เวทนาเดียว” ถ้า“นิโรธ”ที่ว่านี้ผู้ปฏิบัติทำได้อย่าง“ตั้งมั่นแล้ว”(สมาหิตัง) นั่นคือ เราสมาทาน“ศีล 5” เราก็ปฏิบัติธรรมได้ผลถึงขั้น“นิโรธอาริยสัจ” ความหมายง่ายขึ้น ชัดๆ ก็คือ “เวทนา”

นั้นแหละ ที่เราศึกษาจาก“เวทนาในเวทนา

หรือธรรมะ 2”นี่เอง เราจะต้องทำให้“เวทนา 2” เช่น ความรู้สึกสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง หรือ เดี๋ยวสุข-เดี๋ยวทุกข์ เราจะต้องทำให้มันเหลือ“ธรรมะเดียวหรือเวทนาอย่างเดียว” คือ ทำให้มีแค่ไม่สุขไม่ทุกข์(อุเบกขา)อย่างเดียวตลอดกาล(ไม่มีกับเหลือน้อยที่สุดนี้ แยกกันยาก) ให้ได้ นั่นคือ สำเร็จ“ฌาน 4”ที่เป็นสมาธิ “ธรรมะ 2”คือ “กาย”ได้แก่ รูปกับนาม และ“กาย”นี้จะเป็น“ฐาน”(ที่ตั้ง)ยืนยันชี้บ่งถึง“สัจจะ”ว่ารู้เห็นจริงอยู่ มีของจริงอยู่

เช่น ท่านตรัสว่า แม้อาสวะบางอย่างดับไปได้ มี “กายสักขี”ก็ตาม ก็จะ..ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วย“กาย”(พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151 กับเล่ม 13 ข้อ 230-231)คือ..ต้องสัมผัสเห็นอยู่-รู้อยู่ทั้งภายในทั้งภายนอก ต้องมีภาวะนอก-ในเสมอ การปฎิบัติธรรมของพุทธนั้นจึงต้องมี“ธรรมวิจัย(สัมโพชฌงค์)”ตลอด จากธรรมะทั้งหลายมากมาย แล้ววิจัยทีละ 2 จึงจะได้เปรียบเทียบกันชัดยิ่งตรงยิ่ง นั่นคือต้องมี“โพชฌงค์ 7” เป็นองค์ประกอบในการปฏิบัติอยู่ด้วยเสมอ ไม่ขาดกัน คือ มี“สติ”1 เป็นตัวรู้ทำงานตลอด แล้วก็มี“ธรรมวิจัย”2 ด้วย“วิริยะ”3จริงๆ จึงจะครบ“สามเส้า”ขององค์แห่งความรู้(โพชฌงค์ 3)

จึงจะเริ่ม“โพธิ”(ปัญญาที่เป็นเครื่องตรัสรู้ของพุทธ)ก็ต้องจากความเป็น“กาย”(ธรรมะ 2)สัมผัสเกิดจิต ซึ่งก็คือ “การจัดการเรื่องรูปกับนาม”

(กายสังขาร)ที่หมายถึง“จิตสังขาร”นี้อย่างหนึ่ง และหมายถึง“วจีสังขาร”นั้นก็อีกอย่างหนึ่ง ให้เกิด“ปัญญา”กระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัมบูรณ์ได้ เป็นการทำ“เอกสโมสรณา ภวันติ” คือ ให้“สำเร็จลงเป็นหนึ่งในธรรมะ 2”ใน“กาย” ดังนั้น การปฏิบัติธรรมของพุทธ ถ้าแม้นไม่มีแม้แค่“ธรรม 2” ไม่มี“องค์ประกอบของภายนอกกับภายใน”(ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ) ก็ปฏิบัติให้ถึง“ปรมัตถธรรม” ไม่ได้ เพราะ

“ปรมัตถธรรม”ต้องมีพร้อมทั้ง“รูป”ทั้ง“นาม” ครบพร้อมปฏิบัติ จึงจะบรรลุไปตามลำดับ “ต้น-กลาง-ปลาย”อย่างเป็นอัศจรรย์ หากขาด“กาย”ที่สัมผัสกันอยู่เป็นปัจจุบัน ไม่มี“ปัจจุบัน”ที่เป็น“ความจริง”ยืนยันกันใน“สมมุติสัจจะ”เลย ก็ไม่สามารถปฏิบัติให้เข้าถึง“ปรมัตถสัจจะ”จนสูงสุดสัมบูรณ์ได้

ถ้าหากใครมัวหลงไปศึกษาอยู่แต่กับปรากฏการณ์ที่เกิดใน“อดีต”ที่ผ่านไปแล้วก็ดีใน“อนาคต”ที่ยังมาไม่ถึงก็ดี จาก“การหลับตาทำสมาธิ” ก็จะได้แต่“ระลึกเอา-กำหนดขึ้นเป็นรูปภพ(หรืออรูปภพ)ภายในจิต(ไม่มีกามภพที่นับว่าเป็นความจริงหลัดๆยืนยัน ร่วมรู้กันได้สามัญทั่วไป) เพราะมีแต่“การกำหนดขึ้นในใจ”(สัญญาที่รู้ได้แต่มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา)ที่ตนเองกำหนดขึ้นเท่านั้น จึงถือว่าไม่มี“ภาวะจริง”(ปาตุสัจจะ)เกิดจริงครบครันทั้งภายนอก-ทั้งภายใน ทั้งเรา-ทั้งสังคม มันก็ยังขาด“ความจริง”(สัจธรรม)ที่บริบูรณ์ เราก็ไม่ได้เรียนรู้ให้“รู้แจ้ง”ได้ครบถ้วน

จึงไม่สามารถจะ“รู้จริง”บริบูรณ์ได้แน่ๆ เราจะเรียนรู้เรื่อง“ทุกข์”หรือสุขก็ตามที่เป็น“ความจริง”ขั้น“อริยสัจ” คือ “สัจจะ”ที่เป็นอาริยะ หรือความจริงของคนที่เจริญประเสริฐจริง พระพุทธเจ้าจึงทรงยืนยันให้ศึกษาเล่าเรียนด้วย“ภาวะที่ปรากฏอยู่ใน

ปัจจุบัน” โดยมี“ผัสสะ”ก็จะเกิด“เวทนา”แล้วให้ศึกษาอ่าน“อาการ”จริงๆ ของเวทนาที่เกิด“ปัจจุบัน”นั้นมีภาวะ“ตั้งอยู่”(ความดำรงอยู่)จริง สัมผัสกันอยู่โต้งๆหลัดๆโทนโท่ จะได้เรียน“ความรู้สึกสุข-ความรู้สึกทุกข์-ความรู้สึก

ที่ไม่สุขไม่ทุกข์(อุเบกขา)”จากปรากฏการณ์จริงใน“ความรู้สึก”(เวทนา)ของตนซึ่งมีอยู่จริงขณะนี้ “ความจริง”หรือ“สัจจะ”ที่เป็น“อาริยสัจ” (ความจริงที่ประเสริฐแท้) เรียนรู้ได้ที่“ความรู้สึก”

ภาษาบาลีว่า“เวทนา” นี่แหละเป็น“ฐาน”แห่งความจริง(เป็นสัจจะกรรมฐาน)เป็น“กรรมฐาน”สำคัญยิ่งในการปฏิบัติของพุทธ ขาดผัสสะขาดเวทนามิได้ ถ้าเว้นจาก“ผัสสะ”แล้ว หากเกิดความเห็นความรู้ได้ ผู้ใดจะเอาไปกล่าวคำแสดง“ทิฏฐิ”

ต่างๆ ก็กล่าวได้เป็นไปตาม“ทิฏฐิ 62 ประการ” ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“พรหมชาลสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 9 สูตรแรก)นี้เท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้(ปฏิสังเวทิสฺสนฺตี) นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 77-89) ผู้มี“ผัสสะเป็นปัจจัย”จึงจะมี“ฐาน”ของความเป็น“โลก” และเป็น“อัตตา”ให้เรา“รู้จัก” โลก “รู้จัก”อัตตา จึงจะได้เรียน“รู้แจ้งความเป็นโลก เป็นอัตตา” แล้วจึงจะได้“รู้โลก-รู้อัตตา” ที่แท้จริง(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 64-76) ดังนั้น ผู้ไม่มี“ผัสสะเป็นปัจจัย” จึงมีแต่คนที่เป็น“ผู้ไม่รู้”(อชานตัง) “ผู้ไม่เห็น”(อปัสสตัง)

เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของผู้มีตัณหาเท่านั้น [อ่านพระพุทธพจน์ดูดีๆ จะรู้ยิ่งเห็นจริงกันชัดๆ] แจ่มแจ้งชัดเจนไหมว่า ผู้ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย อยู่ในปัจจุบันนั้น เช่น ปฏิบัติหลับตากันนั้น ตาหูจมูกลิ้นกายไม่มีผัสสะ จึงไม่มี “กรรมฐาน” จึงไม่มี“ฐานแห่งการปฏิบัติ”ที่จะสามารถแม้แค่รู้จัก“ความจริง”กันเลย ก็จะจมไปอยู่แต่กับ“ทิฏฐิ 62”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพรหมชาลสูตรนั่นเอง

พยายามทำความเข้าใจตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากันให้แม่นๆตรงๆเถิด เพราะหลับตาทำสมาธิ ก็จะได้เรียนรู้แต่ในภพภายในที่เป็นอดีต 18 และอนาคต 44 แม้แต่ปัจจุบันพระพุทธเจ้าก็นับรวมเข้าไว้อยู่ในอนาคต 44 ด้วยซ้ำ อดีตหรืออนาคตนั้นมันไม่มีอยู่ให้เห็น

ต้อง“ปัจจุบัน”จึงเป็นภาวะ“ความจริง”ที่จะใช้ศึกษาเรียนรู้ได้จริงกว่า “อดีต-อนาคต” เพราะเป็นภาวะที่มัน“มี”ให้เรา“สัมผัส”อยู่โทนโท่โต้งๆเดี๋ยวนี้ขณะนี้หลัดๆ เห็นอยู่รู้อยู่ จึงไม่มี“ความจริง”ใดจริงกว่านี้อีกแล้ว จะศึกษา“ความจริง”จึงอยู่ที่“ปัจจุบัน” เท่านั้น และเท่านี้แหละ ก็“จบ”อยู่ที่ตรงนี้

พระพุทธเจ้าจึงตรัสยืนยันว่า “โลก”และ “อัตตา”นั้นมีใน“ทิฏฐิ 62”นี้เท่านั้น จะกำหนด-จะมีความเห็น-จะปรารภขันธ์ส่วนอดีตก็ดี แม้จะกำหนด-จะมีความเห็น-จะปรารภขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี เพื่อรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ได้ ก็จะต้องมี“ผัสสะเป็นปัจจัยในปัจจุบันจึงจะจริง”(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 77-89)

ถ้า“เว้นผัสสะแล้ว จะรู้สึกได้(เวทนา) นั่นไม่เป็นฐานะที่จะเป็นได้”(พระไตรปิฎก เล่ม 9ข้อ 77-89) ด้วยประการฉะนี้

ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าจึงไม่ปฏิบัติโดยไป“หลับตา”ทำสมาธิ เป็นทางเอก เพราะนั่นมันมีแต่ส่วน“อดีต”หรือส่วน“อนาคต” เท่านั้นที่จะมีมาให้พิสูจน์กัน ก็ไม่ได้ความจริง การ“ตื่น”ลืมตาสัมผัสทุกประการในภาวะปกติมี“สติ”เห็นแจ้งทุกอย่างครบครันบริบูรณ์จึงเป็นวิธีที่ดีสุดกว่าที่สุดใดๆ

การปฏิบัติ“มรรค 7 องค์”(ไม่ใช่ 8 องค์นะ)ทำให้เกิด“สัมมาสมาธิ” และ“สัมมาญาณ-สัมมาวิมุติ” ครบบริบูรณ์สัมบูรณ์ (มหาจัตารีสกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281) จึงเป็น“สูตร”สัมบูรณ์ใหญ่ยิ่งที่สุดแห่งที่สุดด้วยประการฉะนี้

ศึกษากันดีๆ เถิด แม้“อดีต”ก็ไม่ใช่“ความจริง”เท่าปัจจุบันที่พิสูจน์ยืนยันกันได้แท้ๆ “อนาคต”ก็ไม่ใช่ “ความจริง”เท่าปัจจุบันที่พิสูจน์ยืนยันกันได้แท้ๆ เห็นชัดเจนขึ้นแล้ว ใช่มั้ย? ดังนั้น จึงต้องพิสูจน์ด้วยสิ่งที่ปรากฏ

ใน“ปัจจุบัน”ที่สัมผัสกันอยู่โทนโท่หลัดๆโต้งๆ แจ่มชัดเจนแจ้ง ยืนยันกันได้แท้ๆว่า “จริง” เช่น เราจะปฏิบัติโดยไม่หลับตา มีตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”รูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพารมณ์,ธรรมารมณ์รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน

ส่วนที่เป็น“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ของเราในขณะปัจจุบันนี้ที่สัมผัสอยู่บัดนี้หลัดๆ เมื่อเราไม่“ยึดถือ”ว่า “ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”นั้นเป็นเรา

“ผม, ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”นั้นเป็นของเรา “ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ส่วนที่“ไม่ใช่‘กาย’ ของเราแล้ว”นั้น

แม้จะสัมผัสถึงขั้น“ตัดหรือหั่น”ออกไปจากร่างของเรา เราก็“ไม่รู้สึกอะไรแล้ว” เราจะ“รู้สึกเฉยๆ-ว่างๆ-กลางๆ”(อุเบกขา,อทุกขมสุข) เพราะ“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ส่วนที่ไม่ใช่“กาย”ของเรานั้น มันไม่ใช่“ของเรา”แล้ว เมื่อมันไม่ใช่“กาย”ของเรา เราก็“รู้สึกเฉยๆ-ว่างๆ-กลางๆ”(อุเบกขา,อทุกขมสุข)

แม้ใครจะมาตัด“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ส่วนที่ไม่ใช่“กาย”ของเราออกไป เราก็“นิโรธ”อยู่ หรือเราก็มี“นิพพาน”(ไม่รู้สึกสุขไม่รู้สึกทุกข์)อยู่ เพราะเราไม่มี“อุปาทาน” ไม่มี“ความยึดมั่นถือมั่น”ว่า “ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ส่วนที่มันไม่ใช่“กาย”

นั้น เป็นเรา เป็นของเรา เราก็จะได้ศึกษา“ความจริง”(สัจธรรม)ของ “อุปาทาน”ได้ง่ายๆชัดๆจาก“กาย”จาก“จิต” ของตน ก็จะอ่าน“อาการ”จาก“ความจริง” ที่เกิดจากสัมผัสจริงขณะ“ปัจจุบัน”นี้ได้แท้ๆ

เพราะว่า “ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”นี้ มี “อาการจริง-ภาวะจริง”ที่จะค้นหา“เหตุ”แห่งทุกข์ หรือ“เหตุ”แห่งสุขกันได้ดียิ่ง

โดยเฉพาะจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงไปถึงขั้น “อุปาทาน” ว่า เราเองนั้นยังมี“อุปาทาน”ใน“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”ว่า เป็นเรา เป็นของเรา “อาการ”ที่มีอยู่ใน“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน, หนัง”ใน“ปัจจุบัน”นี้จึงคือ “มูลกรรมฐาน”ที่จะศึกษาให้เห็น“เหตุแห่งทุกข์” หรือแท้ๆก็คือ “เหตุแห่งสุข”

พวกนี่นับถือบูชาคนตายแล้วผมยาวขึ้นเล็บยาวขึ้นคือ มันมีmomentum พลังงานพีชะที่เหลืออยู่ เท่านั้น ไปบูชาศพอาจารย์ที่ไม่เน่านี่ผิดหมด

ฉะนี้แล ชื่อว่า“มูลกรรม ฐาน”จริง(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 51-89)ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กาย”กับ“จิต”หรือ“รูป” กับ“นาม”ได้อย่างสะดวกมาก และมีผลมาก เพราะมี“รูป”มี“นาม”หรือมี“กาย”ให้เราปฏิบัติเรียนรู้ “ปัญญา”เครื่องตรัสรู้จะมี “กรรมฐาน”ใช้พิจารณาได้ดีมาก สะดวกมากชัดเจนง่าย เพราะมี“กาย”มี“จิต” มีรูป-มีนาม “รูป”ก็คือ “สิ่งที่ถูกรู้”(รูป=object) กับ “นาม”ก็คือ “ธาตุรู้ในตัวผู้รู้ที่เป็นประธาน”

(นาม=subject) “อาการ”ที่เกิดขึ้นของ“ธรรม 2”

(คือ “รูป”กับ “นาม”)นี้เอง “สัมผัส”กันขึ้นมา เพราะมัน“มี”กันอยู่หลัดๆ เห็นๆอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าภาวะใดก็ตาม ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กายภายใน(ประสาททำงาน) 5 ทวารนั้น แต่ละทวาร เมื่อเกิดการกระทบกันกับ“รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสจากภายนอก”(นี้คือ “รูป”ทั้ง 5)ขึ้นมา

“รูปกับนาม”(ธรรมะ 2)ทำงานกระทบกันจึงมี“ธาตุรู้”(วิญญาณ)เกิดเป็น “จิตนิยาม” “นาม”(ธาตุรู้)ทำงานรับรู้ขึ้นมาหรือรู้สึกขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า “วิญญาณ” ก็คือ “องค์รวม” (กาย)หรือ“องค์ประกอบ”(กาย)ของ“ตากับรูปแล้วเกิดวิญญาณ” หรือ“หูกับเสียงแล้วเกิดวิญญาณ จมูกกับกลิ่นแล้วเกิดวิญญาณ ฯลฯ” เป็นต้น

3 ภาวะฉะนี้แหละเรียกว่า“สัมผัส 3” ที่นักปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องเรียนรู้จาก“ธรรม 2”ที่สัมผัสกันแล้วเกิด“ภาวะที่ 3”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 161) เกิด“นาม”(วิญญาณ)ให้ปฏิบัติบรรลุครบ“ความจริง”ที่จริงในตนขั้น“ปรมัตถธรรม” คำว่า “รูป”(สภาวะที่ถูกรู้ = object) คำว่า“นาม”(ธาตุรู้ที่เป็นประธาน = subject) คำว่า“กาย” (จิต,มโน,วิญญาณที่เกิดเพราะมีธรรมะ 2 สัมผัสกัน) เรียนรู้กำหนดหมายกันให้ชัดๆ

และเมื่อเราเรียนรู้“อาการ”ที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ“รูปกาย”กับ“นามกาย”ในความเป็นผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ให้ถึงนัยสำคัญของมันแล้ว เราก็สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ ว่า ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี เฉพาะส่วนตรงที่เราไม่ร่วมรับรู้สึกไปกับมันแล้ว นั้นแหละคือ ส่วนที่พ้นออกมาจากความรู้สึกของ“จิต-มโน-วิญญาณ”ของเราแล้ว ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนังส่วนนี้ก็ไม่ใช่“กาย” ของเราแล้ว กำหนดตามให้ดีๆนะ ทั้งๆที่มันก็ยังอยู่กับตัวของเรา ยังเป็นอวัยวะของเราอยู่ ยังมีความเป็นชีวะอยู่ มันยังมี“ชีวิตินทรีย์”(พลังงานของความมีชีวะ) แต่เราไม่มีความรู้สึกร่วมไปกับมันอีกแล้ว แม้ความเป็น“อุตุธาตุ-พีชธาตุ”นั้นจะติดอยู่กับ

ตัวเรานี่แหละ ในผมส่วนที่“พ้น”ไปนั้น ขนส่วนที่พ้นไปนั้น เล็บส่วนที่พ้นไปนั้น ฟันส่วนที่พ้นไปนั้น ผิวหนังส่วนที่พ้นไปนั้น เราเจ้าของมันแท้ๆก็ไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวด ไม่รู้สึกสุขทุกข์กับส่วนนั้นแล้ว แม้จะตัดออกไปก็ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก เพราะส่วนนี้มันไม่ใช่“กาย”ของเราแล้ว

และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเรา“ไม่ยึดมั่นถือมั่น”(หมดอุปาทาน) ว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ส่วนที่ไม่ใช่“กาย”ของเราแล้วนั้นว่าเป็น“ตัวตน”ของเราแล้วจริง เราก็จะมี“นิโรธ” นี่คือ “เวทนา”ของเราพ้นจากความสุขความทุกข์ พ้นความเจ็บความปวดไปแล้ว เพราะ“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง”ส่วนที่เราไม่เจ็บแล้วนี้มันไม่ใช่“กาย”เราแล้ว มันไม่ใช่“ตัวตน”(อัตตา)ของเราแล้ว “กายสังขาร”ของเราก็“ดับ”ไปแล้ว ตามธรรมชาติจาก“อาการ 32”ของเรา

เมื่อเรา“ไม่ยึดมั่นถือมั่น”ว่า มันเป็นตัวเรา(อัตตา) มันเป็นของเราจริง(อัตตนียา) เราก็มี“นิโรธอาริยสัจ”กับ“ผม, ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง”ส่วนที่เราไม่เจ็บแล้วนี้มันไม่ใช่“กาย”เราแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใจ“ความเป็นนิโรธ

อาริยสัจ”ได้ดี ได้ง่าย ได้อย่างสัมมาทิฏฐิยิ่งกว่าคนที่ไปหลับตาทำสมาธิ แล้วนึกว่าตนได้นิโรธ ซึ่ง“นิโรธอาริยสัจ”นี้ มันลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุททสา) รู้ตามได้ยาก(ทุรนุพโพธา)สันตา(สงบแบบปรมัง สุขัง) สุขุมยิ่งนัก(ปณีตา) รู้ไม่ได้ด้วยตรรกะ(อตักกาวจรา) ละเอียดขั้นนิพพาน(นิปุณา) รู้ได้เฉพาะบัณฑิต(ปัณฑิต เวทนียา) เพราะ“ธรรมของพระพุทธเจ้า”นี้ เป็น “โลกุตรธรรม” เป็น“อาริยธรรม” ดังนั้น “นิโรธ”ของพระพุทธเจ้าจึงเป็น “ความดับ”ที่ไม่ใช่สามัญแบบทั่วไปแน่นอน แต่เป็นแบบวิสามัญทีเดียว “นิโรธวิสามัญ”ก็คือ “ดับ”เฉพาะ“อกุศลธรรม”นั้นๆเท่านั้น ไม่ใช่“ดับจิต”ไปทั้งจิตอย่างพาซื่อ ตื้นๆ ง่ายๆ เช่น นิโรธสามัญเขา“ดับ”ความรับรู้ไปหมดทั้งจิต “ดับ”ไม่รู้อะไรยิ่งกว่าคนนอนหลับ แต่“นิโรธวิสามัญ”ของพระพุทธเจ้านั้น

ผู้มี“นิโรธ”ยังมีความรับรู้ต่างๆเหมือนคนปกติ

คือ รู้ความจริงต่างๆอยู่เป็นปกติตามจริงที่ทวาร 6 สัมผัสรับรู้อยู่ “ดับ”ก็เพียงแค่“ความรู้สึกทุกข์-ความรู้สึกสุข”เท่านั้นที่“ดับ” ที่ไม่มีที่หายไปจากจิต เป็นอารมณ์“อุเบกขา” นี้คือ “นิโรธหรือวิมุติ”แบบพุทธแท้ๆ เป็นต้นว่า ผู้ปฏิบัติ“มูลกรรมฐาน 5” ได้แก่ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง นี้จะเป็นตัวอย่างที่ง่ายและชัดเจนมาก

กล่าวคือ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ส่วนที่“นิโรธ” คือ “สังขาร”ของ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ถ้าส่วนใดที่“ดับ”ไปจากความเป็น“ตัวเรา”แล้ว ส่วนนั้นเราก็พ้นทุกข์พ้นสุขกับมันแล้ว แต่หากใจเรา“หวง”หรือใจเรายึดว่า“ผม, ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”นั้น ยังเป็น“ตัวตนของเรา” ยังเป็น“ของเรา”อยู่ ของข้าใครอย่าแตะ! ถ้าใครมาแตะ หรือมาตัดเอาไป เราก็รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงขั้นรู้สึกไม่ชอบใจ เจ็บใจ ปวดใจ

ก็เป็นไปได้สารพัด ทั้งๆที่ส่วนที่เป็นผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนังส่วนนั้นจะตัดออกไปจริงๆมันก็ไม่รู้สึก“เจ็บ” เพราะส่วนนั้นมันไม่ใช่“กาย”ของเราแล้วจริงๆ ทว่าเรากลับรู้สึก“เจ็บใจ” ไม่ชอบใจก็ยังเป็นได้เพราะ“อวิชชา”ของเราแท้ๆ “ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง”นี้ จึงเป็น“มูลกรรมฐาน 5”ที่เราจะใช้ศึกษาเรียนรู้ความเป็น“กาย” ความเป็น“จิต” และศึกษาความ

เป็น“นิโรธ”ได้อย่างน่าศึกษาเป็นที่สุด ซึ่ง“มูลกรรมฐาน 5” ผม,ขน,เล็บ,ฟัน, หนัง”นี้ พระอุปัชฌาย์จะบอก“กรรมฐาน”นี้ให้แก่ลูกศิษย์ไปปฏิบัติทุกคน เพราะผู้ปฏิบัติจะถึงขั้นสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นใน“ตัวตน” ถึงขั้นบรรลุ

“นิโรธอาริยสัจ”กันได้ทีเดียว ซึ่งเป็น“นิโรธอาริยสัจ”หรือเป็น“วิมุติ” แบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ แต่“นิโรธหรือวิมุติ”ที่ไม่ใช่แบบพุทธ หรือเป็น“วิมุติ”มิจฉาทิฏฐินั้นจะ“ดับความรู้” (ดับเวทนา-สัญญา-สังขาร)ไปทั้งหมด จิตไม่รับรู้อะไร ถ้าหากเขาขืนยังมี“ความรับรู้”อยู่ เขาจะยังไม่ถือว่าเป็น“นิโรธ” ความเป็น“นิโรธ”ที่มิจฉาทิฏฐิไปจากพุทธแท้จริง มีทิฏฐิกันปานนั้น

ซึ่งไม่ใช่“ดับเหตุ”ไปอย่างสิ้นเกลี้ยงกันจริงๆ นี้คือ ความผิดเพี้ยนไปจากพุทธศาสนากันอย่างน่าสงสารในพุทธทุกวันนี้ ดังนั้น การเรียนรู้“มูลกรรมฐาน 5”ของชาวพุทธทุกวันนี้ จึงผิดเพี้ยนไปอย่างลึกซึ้ง ที่ลึกซึ้งซับซ้อนนั้น ก็คือ ถ้าเรายังมี “ความยึด” ยึดผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดีหนังก็ดี ที่มันขาดจากความเป็น“กาย”ของเราแล้วนี้ ถ้าไม่มี“กิเลส”กับมันแล้ว หากตัดมันออกไปก็ไม่เจ็บแล้ว ที่สำคัญคือมันไม่ใช่“กาย”ของเราแล้ว มันไม่มี“จิต-มโน-วิญญาณ”ร่วมอยู่ด้วยแล้ว มันจึงไม่ใช่“กาย” แต่คนที่ยัง“อวิชชา”นี่สิ! “ใจ”ของคนผู้ใดที่ยังยึดถือว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนังที่ไม่ใช่“กาย”ของเราแล้วนั้นว่า เป็น“กาย”ของเราอยู่ ตรงที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ เรายังมี“ส่วนยึดเป็นเรา”(ทั้งๆที่มันพ้นความเป็นกายของเราไปแล้ว) นี่แลคือ ความยังหลงผิดอยู่ของคนผู้มิจฉาทิฏฐิ หรือผู้อวิชชา หาก“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง”ส่วนที่ไม่ใช่“กาย”ของเราแล้วนั้น ขาดออกไปจากตัวเรา หรือถูกตัดถูกพรากออกไป เราก็จะเจ็บทุกข์ หรือจะสุข จะชอบหรือจะชัง จะรู้สึกไปต่างๆได้ ตามที่ตนมี“ความยึดมั่นถือมั่น”

“ความยึดมั่นถือมั่น”ฉะนี้เอง อุปาทานแท้ “อาการทุกข์-สุข”หรือ“ชอบ-ชัง”นี้แหละคือ“ทุกขอาริยสัจ” ที่มันเป็น“อุปาทาน”ตัวจริงซึ่งตนเองจะสร้าง“ความรู้สึก”(เวทนา)เอง จึงสุขสุดก็ได้ เกิดทุกข์จนเอาเราตายก็ได้ จะเกิดทุกข์ที่เป็น“อาการ”เจ็บที่ใจ ปวดที่ใจได้

อย่างมีอาการ“จริง”ในผู้นั้นจริงๆ เห็นมั้ยว่า เจ้า“อาการ”นี้แล ตัวการแท้ แต่ที่แท้มันเป็น“เท็จ”(อลิกะ) ก็ปานฉะนี้ แม้จะ“เท็จ”ปานใดๆ มันก็เกิิด“อาการ”

ขึ้นมาโกหกตนเองได้ นี่คือ “ความโง่”ที่เรียกว่า“อวิชชา” มันโง่สนิท-โง่ไม่เสร็จจริงๆ “อาการเท็จ”นี้ใหม่ๆ เกิดต้นๆ มันก็จะยังไม่ยั่งยืน ยังไม่แข็งแรงตั้งมั่น มันจะค่อยๆสั่งสม“ความเท็จ”ไปเรื่อยๆ กระทั่งมากขึ้นๆ ตกผลึก ควบแน่นได้ที่ มันก็ทำให้คนผู้หลงยึด“อาการ”นั้น เห็น“เท็จ“ที่ตกผลึกควบแน่นจนแยกไม่ออกนี้“เป็นความจริง”

(สมมุติสัจจะ)ไปจนได้ ด้วยประการฉะนี้ “ความเท็จ”..กลายเป็น“ความจริง”ใน “ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของจิตใจคน”

(สมมุติสัจจะ) เป็นได้ถึงปานนี้กันจริงๆ มันมี“อาการ”อย่างนั้นจริงๆ ทั้งๆที่ภาวะขั้นเจ็บขั้นปวดของ“ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง”ส่วนที่ไม่ใช่“กาย”แล้วนั้น แม้จะได้

รับการสัมผัสกระแทกแรงปานใด แม้แต่จะตัดจะหั่นออกไป มันก็ไม่มีเจ็บไม่ปวดแล้ว “ความเจ็บปวด”ที่ก็แค่ลมๆแล้งๆนี้มันไม่“จริง”เลย แต่“อวิชชา”(โง่สนิท)มันมีได้จริงๆ ฉะนี้แลคือ “อนัตตา”แท้ๆ คือ มันไม่ใช่“ตัวตน”ของเรา แต่คนที่“อวิชชา”จริงก็มี“อุปาทาน”ขึ้นมาจนได้ ว่ามันคือ“ตัวตน”ของเรา แล้วก็“เจ็บใจ”บ้าง “ชอบใจ”บ้าง “ไม่ชอบใจ”บ้าง เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่าผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนังนี้แหละ เป็น“เรา” แล้วก็เกิด“อารมณ์เท็จ”นั้นขึ้นได้ “โง่จริงๆ”มั้ยคน? “โรค”ที่เกิดทางใจชนิดนี้ แพทย์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็รู้จักดี เรียกมันว่า psychosis หากผู้ใด“ไม่สัมมาทิฏฐิ”ในความเป็น “ทิฏฐิ”เองก็ดี “กาย”ก็ดี “สมาธิ”ก็ดี “อัตตา“

ก็ดี “บุญ”ก็ดี ตามที่อาตมาได้สาธยายมานี้ กระทั่งถึง“นิพพาน”ก็ดี “นิโรธ”ก็ดี คนๆนี้ก็เป็นผู้ไม่บรรลุ“นิโรธธรรม” ยังเป็นคนมี“ความยึดมั่นถือมั่น”(อุปาทาน)ว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง นั้น เป็นเรา(อัตตา) เป็นของเรา(อัตตนียา) จริงๆจังๆได้อยู่แน่แท้ “ทฤษฎี”หรือ“ทิฏฐิ”ของพระพุทธเจ้า หากผู้ศึกษาใดเรียนรู้ให้“สัมมาทิฏฐิ”แล้วปฏิบัติให้เกิดผลในตนจริง ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง จะรู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริงนั้น

ว่า สิ่งที่สัมผัสอยู่นั้นคืออะไร ตามที่มันเป็นมันมีความจริงอยู่จริง เราก็ยังมีเวทนานั้นอยู่ ซึ่งต้องมีความรู้ร่วมรับรู้ด้วย กล่าวคือ มีการรู้ตามความจริงนั้นอยู่ ว่าแท้จริงมันมีความรู้สึกรู้“ความจริง”แท้ๆร่วมอยู่ แต่เราไม่มี“ความเท็จ”นั้นแล้ว จึงไม่ผลักไม่ดูด ไม่ชอบไม่ชังจะรู้สึกว่า มันก็รู้สึกเฉยๆกลางๆว่างๆ จึงไม่มี“อาการจะผลักหรือจะดูด”ภาวะนั้นๆเลย ภาวะนี้คือ ความเป็น“พีชนิยาม” ซึ่งต่างจาก“ความรู้สึกกลางๆว่างๆเฉยๆ”(เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา)ชนิดที่มี“วิชชา

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:40:12 )

590511

รายละเอียด

590511_พุทธศาสนาตามภูมิ  กรรมฐานคือเวทนา ตอน2

พ่อครูว่า...เจริญธรรมสำนึกดี วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2559 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 6 ปีวอก อาตมาก็ทำงานไปตามกิจวัตร ชีวิตนี้ตัดยอดให้การบรรยายธรรมะในความเป็นยอดของคนและสังคม พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากศึกษาความเป็นมนุษย์กับสังคม แล้วท่านก็รู้รายละเอียดความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคม

แล้วท่านก็กำหนดสูตร ทฤษฎีไว้ ว่าถ้าทำตามสูตรของท่าน แต่ละสูตรๆ แล้วทำตามนั้นแล้วสังคมอยู่ดี โดยตัวบุคคลเข้าใจเองว่า สูตรใดเหมาะกับตน เข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติก็ได้ความเจริญ มีคุณค่า เป็นคนที่ต้องยกไว้ เป็นกุศล คุณงามความดีให้แก่มนุษยชาติไป ชีวิตอย่างนี้ก็ดีนักดีหนา เกิดมาเป็นคน ชาติหนึ่ง เราไม่เป็นโทษภัยกับใครเลย แต่เราเป็นคุณค่าประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เชื่อมต่อไป ไกล ยิ่งมาก ยิ่งถ้วนทั่ว โดยเฉพาะคนที่มีประโยชน์ควรได้ หรือคนชั่วที่ควรแก้ไขให้เป็นคนดี เป็นชีวิตมีคุณค่า

ชีวิตที่มีคุณค่าไม่ใช่ว่าแต่ละวันจะได้ทำงานมีเงินรายได้เป็นร้อยเป็นร้านได้ยศตำแหน่งหน้าที่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นได้มีอำนาจสามารถที่จะสั่งการอะไรได้มากขึ้นได้รับสรรเสริญเยินยอยกย่องจากสังคม

อาตมาเองมาคิดถึงประเด็น การยกย่องสรรเสริญถ้าไปติดใจตรงนี้อาตมาคงจะเหี่ยวแห้งเพราะไม่ได้อะไรเลยมีพวกเราคอยสรรเสริญบ้างเท่านี้กลุ่มน้อยน้อยแล้วพวกเราก็ไม่ขี้สรรเสริญเท่าไหร่พูดถึงความเฉยเมยไม่แยแสอะไรของชาวอโศกว่าพวกเราทำอะไรออกไปสังคมก็เฉยสื่อสารมวลชนก็เฉยอโศกจะทำอะไรก็เฉย

แต่ของเรานี่อาตมาคิดว่าประสบผลสำเร็จที่เราไม่ขึ้นกับสังคมว่าจะต้องมีคนมายกย่องสรรเสริญไปอย่างไร ซึ่งเดี๋ยวนี้การติเตียนจากพวกเขาก็น้อยลงกว่าเมื่อก่อน ข้างนอกเขาจัดงานผีตาโขนคนก็เยอะแยะเขาเราจัดงานตลาดอาริยะกันลงทุนลงแรงคนมาไม่น้อยวันละเป็นหมื่นจะเป็นแสนหรือเปล่า แต่สื่อสารมวลชนก็เฉย ไม่แยแส

มาดู sms

 

_มีคำถามว่า การปวารณานี่ 1.เราพร้อมให้หมู่กลุ่มว่ากล่าวติเตียน หรือว่า 2.การปวารณาแล้วคือเราตัดสินใจอยู่กับหมู่นี้แล้วไม่ควรไปอยู่กับหมู่อื่น แม้หมู่อื่นจะสามารถพัฒนาจิตวิญญาณเราให้สูงขึ้นกว่าเดิม เราก็ต้องอยู่กับหมู่เดิมหรือไม่?

ตอบ...ปวารณาไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับหมู่เดียว ปวารณาแปลว่าเราลดตัวตนให้เขาว่ากล่าวติเตียนได้ คนมีจิตใจปวารณาเป็นคนได้กำไร จริงใจให้เขาว่ากล่าวติเตียนได้ ฟังจริงๆ แล้วเอาความหมายที่เขาว่าแม้เขาด่าก็เอามาทำความเข้าใจตรวจสอบตนเองแล้วเห็นความจริงให้ได้ ว่าเขาด่าเราถูกติเราถูกไหมอย่าเข้าข้างตนเอง ไม่ใช่หมายถึงว่าต้องอยู่กับหมู่เดิมไปอย่างนั้น อย่างนั้นไม่มีหรอกในศาสนาพุทธ

0816956xxx คนทุกวันนี้ไม่กลัวบาปเขาพูดกันว่าตายแล้ว

พ่อครูว่า คนไม่กลัวบาปทำชั่วอะไรก็ได้

0831219xxx กราบพ่อครูฯ,สณ.,สม.ด้วยความศรัทธาและเคารพยิ่งและจรธ.ญตธ.ทุกท่าน:รบกวนถามพ่อครูถึงคำว่าสันโดษพอเพียงและใจพอมีความหมายเดียวกันและตรงข้ามกับขี้โลภใช่หรือไม่ครับกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า เมื่อใจพอแล้วใจสันโดษโดยทำมาตามลำดับ ตามหลักตัดสินธรรมวินัย 8 ตามกิมัตถิยสูตร อานิสงส์ของศีล ทำศีลแล้วเราจะลดความเดือดเนื้อร้อนใจ มีปีติ ปราโมทย์ ปัสสัทธิ์ สงบลงไป ก็สบาย มีวูปสโมสุข ทำอย่างนี้ได้ จิตใจเราจะแข็งแรงเจริญขึ้น จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นประธานของชีวิต มีแค่น้อยแค่นี้ก็พอ ต้องการได้น้อยกว่านี้ก็พอได้อีก จนจิตมีรายได้ 0 พรุ่งนี้ก็0 มะรืนก็0 อนาคตก็0 จิตเราเที่ยงแท้ 0 มักน้อยแล้วก็ใจพอ จิตไม่มีแล้วสวรรค์ จริงๆแล้วไม่มีทั้งสวรรค์และนรก เป็นจิตเจริญ น้อยเราก็พอ ไม่ต้องมีสวรรค์นรก แถมเรามีวิริยารัมภะ มีความเพียร ขยัน ระดมความเพียร ได้ผลเป็นกถาวัตถุ 10 มีรายได้ 0 แล้วเขาจะบอกว่าอยู่ได้อย่างไร ก็มาดูสิ เราเป็นสุขอย่างไร

เขาบอกว่าสวรรค์น้อยๆอยู่ในวงฟ้อนรำ เราก็ไม่ต้องฟ้อนรำเราก็สบาย

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน สับสนมาก ตามไม่ทัน ขอเวลาหน่อยนะเจ้าคะ

0893867xxx ธรรมถ้าพูดภาษาชาวบ้านกรรมคือการกระทำ!ฐานคื อความยึดถือ!กรรมฐานคือ การทำงานตามหน้าที่รับ ผิดชอบทำงานด้วยความถูกต้อง!ตรงตามภาษาธรรม ไหม?

0893867xxx ธรรมถ้าพูดภาษาชาวบ้านกรรมคือการกระทำ!ฐานคือความยึดถือ!กรรมฐานคือ การทำงานตามหน้าที่รับ ผิดชอบทำงานด้วยความถูกต้อง!ตรงตามภาษาธรรม ไหม?

พ่อครูว่า ...อาตมากำลังอธิบายคำว่ากรรมฐานเช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่าผมขนเล็บฟันหนังอันนี้เป็นมูลกรรมฐาน 5 ท่านก็ให้พยายามเรียนกรรมฐานนี้เช่นเล็บเป็นฐานแล้วเราจะเรียนอะไรมันก็คือเล็บแถววิจัยอะไรก็ต้องวิจัยธาตุดินน้ำไฟลม กับธาตุชีวะ พีชะที่ประกอบ มันไม่ใช่ดินน้ำไฟลมเฉยๆ แต่มันมีชีวิตินทรีย์ระดับพีชนิยาม ระดับไม่มีจิตเข้าไปร่วม มันมีพลังชีวะก็ยาวก็งอก ปรุงแต่งตัวมันเอง แต่ไม่มีพลังงานระดับจิตนิยามเข้าไปร่วมรับรู้ว่าเจ็บปวด กระทบอย่างไร คือไม่มีเวทนา คือผม ขนเล็บฟันหนังหากไม่มีประสาทรับรู้ได้ก็ไม่ใช่กาย เราไม่สุขทุกข์กับมันแล้ว แต่ในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ส่วนที่พ้นจากประสาทรับรู้ จิตไปรับรู้ด้วยไม่ได้นั่นคือส่วนนั้นไม่ใช่กาย พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า กายคือจิต มโน วิญญาณ

อันนี้เป็นมูลกรรมฐานที่ต้องตระหนักเรียนรู้จะปฏิบัติ ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้จักเวทนาสุขทุกข์ ที่ต้องมีจิตวิญญาณเราเข้าไปร่วมรับรู้ ว่ามีจิตนิยามที่มีกุศล อกุศลร่วมด้วยไหม ถ้าเรายึด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แม้มันหลุดจากร่างเราเราก็ยังยึดไว้อีก ทุกข์ใจ เจ็บใจ ปวดใจ จะได้เรียนรู้ว่านั่นคืออุปาทาน

แม้มันไม่ขาดจากร่างเรามันก็ไม่ใช่กาย เราถ้าไปยึดมันไว้ก็สุขเศร้ากับมันได้ชอบชังกับมันได้ เป็นอุปกรณ์เรียนรู้อย่างดี ให้เรียนรู้อุปาทาน และละอุปาทานได้เลย เราตัดเล็บมันก็ไม่เจ็บ ไม่มีเวทนา มันอุเบกขาเฉยๆ แต่ที่ไปรู้สึกเจ็บนั้นเจ็บที่ใจ คุณยึดเอง ไปดีใจว่าเล็บเราผมเราอย่างนั้นอย่างนี้ก็บ้าของคุณเอง ไปพิจารณาเลย ยิ่งนอกตัวยิ่งไม่ใช่ตัวเราของเราเลย ไปยึดถือก็บ้าสิ แม้ที่สุดอย่าว่าแต่ผม ขน เล็บ เลย แม้ในร่างเรา อาการ 32 ก็ไม่ให้ยึดเลย เพราะเป็นส่วนที่จิตเราไปสัมพันธ์กับมันอยู่  แต่ส่วนที่หลุดจาก อาการ 32 อุจจาระ น้ำลาย น้ำมูก มันไม่มีเวทนาแล้วหมดหน้าที่แล้ว

กรรมฐานเราก็เอาเวทนาที่รู้สึกได้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันไม่มีเวทนา หรือเฉยๆ แต่ถ้าเราไปยึดเป็นอุปาทานก็จะสุขทุกข์ เราจะได้เรียนรู้อุปาทาน เราก็จะได้ฝึกละอุปาทาน ให้อุเบกขาเวทนาให้ได้ ใจที่ไปสุขทุกข์นั่นแหละที่เราต้องรู้ว่าคือฐานที่เราต้องเรียนรู้ปฏิบัติ แม้ในอวัยวะ อาการ32 เราเรียนรู้ได้ สิ่งที่ห่างตัวไปก็เรียนรู้เอา

0805925xxx ยังม่ายยตายจากกิเลสก็ยังอยู่ในเลข0วงกลมโลกวัฏฏะจิงป่ะ!?ดับ0ดับเวียนว่ายแม่นบ่?

พ่อครูว่า จิตเราที่ไปสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละคือความวนอยู่สามอย่างนี้ เราต้องเรียนรู้แล้วละ เรียนรู้ว่าได้อย่างไรจะสุข ทุกข์ ชอบหรือไม่ชอบ มันเป็นไปตามจิตเรา หากเราไม่ไปสะดุ้งสะเทือนอะไร ถ้ามันแรงจนเราต้องเดือดร้อน หรือมันแรงขนาดนี้เราไม่มีปัญหาอะไร เช่นเราได้ยินเสียง

เสียงคำด่า ด่าแรงเลย คุณคิดของคุณเอง ที่จริงคำนั้นมันก็เป็นของมัน มันอาจแรง เพราะตะโกนหรือไม่ตะโกนแรง แต่เป็นคำหยาบคำที่สะเทือนก็รู้สึกเจ็บมากสะเทือนมากนั่นแหละสุขทุกข์อยู่ที่นั่น

ถ้าเขาด่าเราในสิ่งไม่ถูกต้อง พอเรารับฟังแล้ว ตรวจตนเองตรงกับตนเองพอดีเขาด่าถูก เราก็ขอบคุณ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้ไม่ดี ถูกเขาด่าเขาตำหนิ แต่ถ้าถือตัว แม้คุณทำไม่ดีจริงก็ไม่ชอบใจ จะดีหรือชั่วก็ยึดเป็นตังกูของกูใครอย่าแตะ ทั้งที่เป็นความผิด เราผิดเขาก็ด่าให้ แต่เรายึดเป็นตัวเราของเรา เราไม่ชอบใจเราก็โกรธ รู้ทันเราก็เข้าใจให้ถูก มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง เขาว่าเราชั่ว ถ้าเราไม่ชั่วก็ไม่ชั่ว แต่ถ้าเรายังชั่วก็ต้องขอบคุณเขาที่ว่าเราชั่วเราจะได้แก้ไข แต่ถ้าเขาว่าเราผิดๆ เราไม่ชั่ว ความผิดความโง่ก็อยู่ที่เขา ความชั่วก็อยู่ที่เขา เราจะไปสะดุ้งสะเทือนอะไร ไม่ใช่หน้าด้านนะ แต่เรารู้ว่าคุณด่าผิด เราก็บอกว่า ไปตรวจสอบใหม่ ตำหนิเราผิด บอกดีๆก็ได้ หรือบอกไม่ดีก็ได้ ย้อนเขาเลย แบบเถียงก็ไม่ดี แต่ถ้าเรามีหมัดเด็ดบอกเขาได้ว่าเขาว่าผิด ก็ดี แต่ถ้าเขาด่าว่าเรามาเสร็จแล้วเราเองเราไม่ได้ตรวจตัวเอง เรามีแต่ฉลาด ด่าเขาไปแก้ตัวไปจนเขากลัว เขาก็จะหยุด ก็ได้ แต่คุณนั่นแหละซวย คุณชนะเขา ชนะด้วยความผิด หลงความผิดว่าถูกด้วย หลงว่าตนชนะด้วย ก็หลงว่าเราถูก เขาด่าว่าตำหนิเรามา แต่เราก็ไม่ได้ตรวจตนเอง คุณก็จมอยู่กับความชั่วนั่นไป ซวยอยู่ที่ใคร ระวัง ใครด่ามาว่ามาตำหนิมา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่านั่นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ เขาว่ามาด่ามา ต้องฟัง เขาชี้ขุมทรัพย์ถ้าถูกต้องแก้ไขไป ถ้าไม่ถูกต้อง อย่างไม่ลำเอียง ถ้าตรวจดีแล้วไม่ใช่ เราก็เฉยหรือบอกเขาได้ว่าไม่มีในเรา เราไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้

เรื่องของความหมุนวนก็เรียนรู้เช่นนี้

เขาด่าว่าตำหนิเรามา...เราไม่ตรวจตัวเอง...แต่เรากลับฉลาดด่าเขากลับจนเขากลัว แล้วเราก็ยินดีที่เราได้ชนะอีก…อย่างนี้ใครซวย...ก็เราเองแหละซวย...พ่อครู 11 พ.ค. 59

0893867xxx กุศลกรรมคือกรรมที่เป็นส่วนดี!อกุศลกรรมคือกรรมที่เ ป็นส่วนชั่ว!อัพยากตกรรมคื อกรรมที่ไม่เป็นกุคลฤาอกุศลถูกไหม?

0893867xxx กรรมในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้มีแต่เรื่องราวที่เขาบอกต่อๆกันมาที่ด่วนตัดสินใจเชื่อไม่เชื่อก็ได้!พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใ ช้หลักกาลามสูตรปฎิบัติรับรู้ให้ได้ด้วยตนเองถูกไหม?

หทยรูปคือต้องรู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ๆแหละจับมันให้ดี แล้วเราก็เรียนรู้ลีลาของเหตุที่ทำให้เราสุขทุกข์หรือเรียกมันอีกทีว่าอาหารรูป วิจัยลงไป ในอาหาร 4 ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ตัวเกิดรสชาติยึดถือ อ่านตัวเหตุของมันให้ได้จะมีผัสสะจะมีมโนสัญเจตนา ที่เป็นกาม ต้องพิจารณาอันนี้ก่อน นั่นแหละคือรู้จักรูปนาม ที่เรียกว่าวิญญาณ อ่านตัวถูกรู้ ค้นหาตัวรูป คือตัณหาที่เป็นอาการสักกายะแล้วจับตัวนั้นให้ได้ นี่คือการเรียนรู้กรรมฐาน ทำได้แล้วก็ว่างลงเป็นอากาสธาตุ จากอาหาร 4 ก็ละกิเลสตามปริเฉท รู้จักอาการที่ไม่มีกิเลสมาปรุง เราก็กำหนดมันให้เป็น ถ้าให้เหตุมันตายแล้วก็จะกำหนดให้ ลหุตา เบาบางได้เท่าที่เราสามารถ ให้ปรุงแต่งเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ถ้าสามารถเรียนรู้สังกัปปะ 7 ก็จะรู้จักสังขาร 3 แรงเท่าไหร่ เบาเท่าไหร่พอประมาณเท่าไหร่ก็จะรู้ กำหนดอนุโลมปฏิโลมได้ มีมุทุภูตธาตุ ทั้งกำหนดได้ว่าแรงเบาเท่าไหร่ ให้เป็นวิการรูปได้ มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติทำออกมา แล้วรู้ลักขณรูป 4​จะให้เกิดต่อหรือไม่ ให้ทำงานแค่ไหนกัมมัญญตา จะต่อพลังงานอุปจยะ หรือสันตติได้ ถ้าไม่ต่อพลังงานนั้นก็ชรตา อนิจจตาไป นี่คือรูป 28 โดยเฉพาะอุปาทายรูป 24 ที่ขยายความมา

จิตเราก็มีองค์คุณอุเบกขามากขึ้น ทำงานกับโลก มีกรรมกิริยากับโลก แต่จิตเราก็กิเลสไม่เข้า อุเบกขา วางเฉย แต่กลับมีมุทุกัมมัญญา ปภัสสรา แต่ละวันเวลาที่กิเลสไม่มีแล้ว มีองค์คุณ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีจิตที่ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ยิ่งขึ้นๆ ยิ่งจะ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เป็นสิ่งน่าศึกษาน่าทำให้ได้ ทำได้แล้วเป็นคนเจริญ ไม่ต้องเอาอามิสเอาลาภมาตัดสินว่าคนนี้เจริญเพราะมีลาภมาก แต่เอาอันนี้เป็นเครื่องตัดสิน ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา กิเลสลดลงได้จนหมดนี่คือความเจริญ ถ้าจะหาเอาความเจริญมาหาเอาแบบนี้

ในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ากับโลกก็ยังมีลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะมุ่งสร้างสมาธิลืมตาให้กิเลสดับไป สั่งสมไปเรื่อยๆ เป็นสมาธิที่เรียกว่า supra concentration ไม่ใช่ meditation ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ที่เพียนไปมีแต่อันนี้ ไม่ได้เรียนรู้ supra concentration ไม่ได้เรียนรู้ทำมรรค 7 องค์แล้วสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่จิตสวบแบบไปนั่งนิ่งๆ แต่จิตกับคล่องแคล่วเป็นกายปาคุญญตา เวทนา สัญญา สังขารกลับคล่องแคล่ว ยิ่งจิตเป็นสมาธิกลับยิ่งแคล่วคล่องทำงานได้ดีประเสริญ แล้วจิตก็ปภัสสราผุดผ่องอยู่ได้

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะผู้ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยอยู่ในปัจจุบันคือผู้ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติที่จะรู้จักความเป็นจริงฤาไม่มีกรรมฐานสาธุ

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมะมูลกรรมฐาน5ที่ยังฟังไม่ชั ดแจ้งมัวเพ้นท์รูปพระแม่กวนอิมอยู่!พรุ่งตอนสายจะฟังเ ทปซ้ำใหม่จรธ.

จากไลน์ J Qกราบนมก.พ่อท่าน วันนี้พ่อท่านพูดถึงมูลกรรมฐานได้อย่างชัดแจ้งจริงๆๆ แจ่มแจ๋วเลยเจ้าค่ะ

0896098xxx กราบพ่อท่านคะ ลูกขอถามพ่อท่านดังนี้นะคะการนั่งสมาธิหลับตาก็มีหลวงพ่อหลวงปู่ดังๆสำเร็จมรรคผลหลายรูปนี่คะดูจากพระธาตุเป็นแก้วคะแสดงแนวทางไปสู่นิพพานมีหลานทางนี่คะท่านพ่อโปรดอธิบายให้แจ้งชัดด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...ขอสับธงเลยว่า การนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ของศาสนาพุทธเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอ่านในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ทั้ง 13 สูตร ขอยืนยันว่าทั้ง13สูตรมีแนวทางไม่ใช่นั่งหลับตาสมาธิเลย ตั้งแต่ทิฏฐิ 62 เลยท่านบอกว่าเจโตสมาธิไปจมกับอดีตอนาคต ที่มี 62 ทิฏฐิ  ต้องปฏิบัติมีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติ สัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ แล้วเกิดผล เป็นวิชชาจรณะสัมปัณโณ สามัญผลสูตรก็ว่าไว้ถึงมรรคผล เป็นอาริยบุคคล อัมพัฏฐสูตรท่านว่าถึงความเสื่อมที่คนจะไปออกป่า แล้วทำเดรัจฉานวิชชา

ขอบอกว่ากระดูกที่เป็นแก้วเป็นพระธาตุคือการสังเคราะห์ของแคลเซี่ยมเป็นหลักที่มีพลังเย็น รวมตัวกัน ขอบอกว่าฤาษีชีไพรกระดูกเป็นพระธาตุเยอะเลย มากกว่าพระอีก แต่ว่าไม่ใช่เครื่องชี้บ่งว่าเป็นอรหันต์ เพราะไม่ใช่อรหันต์ โสดาบันยังไม่ได้เลย แต่ผู้เป็นอรหันต์นั้นกระดูกเป็นพระธาตุได้ ถ้าไปบอกว่ากระดูกเป็นพระธาตุแล้วเป็นอรหันต์หมดไม่ได้

ขอฟันสับธงเลยว่าในยุคนี้ร้อยปีสองร้อยปียังไม่มีอรหันต์เกิดเลย นอกนั้นเป็นอรหันต์เก๊ ถ้าอาตมาพูดผิดนี้บาปนะ ไม่ได้บาปน้อยๆนะติเตียนพระอาริยเจ้า อรหันต์มีบาป 11 ประการนะ แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาพูดถูก

ที่ว่านั้นก็ลองฟังดู คนที่อาตมาว่านี้ไม่เป็นอรหันต์เพราะไม่เข้าใจคำว่ากาย ไม่เข้าใจรูปนาม เข้าใจสักกายยังไม่ได้ คือสังโยชน์ข้อ 1 ก็รู้ไม่ได้ว่ามีอาการอย่างไรเท่าไหร่จับอาการเหล่านั้นได้ไหม จนไม่สงสัยเลยว่านี่คือองค์ประชุม กายของตนที่เป็นเวทนา ที่เป็นสอง

มีคนให้ข้อมูลว่าว่า มีบางคนเก่งสอบว.บบบ.ได้เข็ม รู้ธรรมะมาก แต่ว่า ชีวิตคะนองล้มเหลวแม้ชีวิตคู่ เต็มไปด้วยกาม มีเวลาไปเปิดหนังโป๊ ซึ่งมันค้านแย้งเลย ทำตัวเป็นผู้รู้แต่ชีวิตจริงไม่ใช่ ฟังดูแล้ว ว.บบบ.เราดูล้มเหลวหรืออย่างไร ว.นบ.เราจะใช้ไม่ได้หรืออย่างไร เราใช้ไม่ได้หรืออย่างไร? อาตมาก็ได้หลักฐาน ถูกใครก็ปรับปรุงเอา ไม่ถูกเราก็แล้วไป

ความรู้เป็นความรู้ เมื่อใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ อุตตมะหรืออุตตระ เกิดเป็นโลกุตระ เป็นมงคลอันอุดม เอตัมมังคลมุตตมัง เป็นศิลปะ ผู้นั้นแหละเอาความรู้เป็นศิลปะได้ ศิลปะต้องมีความรู้

ความรู้เท่านั้นอย่างเดียวไม่ใช่ศิลปะ ความรู้ที่เอาไปทำอุตตมะไม่ได้ ไม่เกิดมงคลได้ไม่ใช่ศิลปะ ความรู้มีเยอะเลยในโลก ดีไม่ดีเอาความรู้ไปทำโลกีย์บาปด้วย เอาศาสตร์ที่ไปทำเป็นบาปมากมายเลย

ศาสตร์ไม่ใช่ศิลปะ ถ้าศาสตร์นั้นไม่สามารถทำให้จิต จะเป็นจิตของคนใดเช่นคุณทำงานชิ้นหนึ่ง ให้คนสัมผัสแล้วทำให้กิเลสเขาลด งานนั้นเกิดจากความรู้ความสามารถของคุณ จะเป็นช่างปั้น เขียน สร้าง ปรุง จะปรุงอะไรก็แล้วแต่งานนั้นทำให้กิเลสลดได้คืองานศิลปะ ลดมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ถ้างานนั้นไม่ทำให้คนลดกิเลสเลยก็ไม่ใช่ศิลปะ เพราะศิลปะคือมงคลอันอุดม

ถ้าเรานี่ทำให้สิ่งที่สัมผัสทวาร 6 แล้วทำให้กิเลสลดได้นั่นคือศิลปะ ถ้าใครทำได้อันนั้นชื่อว่าศิลปะ จะเกิดจากคนจากวัตถุ ในมงคล 38 ทุกข้อเป็นเอตัมมังคลมุตตมังที่ 38 ข้อ ทุกอย่างเป็นศิลปะไม่ว่าจะสัมผัสเกียวข้องกับอะไรใน 38 ข้อนี้ ทำให้กิเลสลดได้

ตั้งแต่เกี่ยวกับคน ถ้าคนไหนพาลอย่างไปคบ อย่าเสียเวลาแรงงานกับเขา ไม่เกิดมงคลอันอุดมเลย ให้มาคบคนพอมีปัญญา บัณฑิต ถ้ายิ่งคบคนควรบูชา หรือสถานที่ที่ช่วยกันพาลดกิเลส รู้จักว่ากิเลสลดคืออะไร บุพเพ จ กตปุญญตา ก็มาทำให้เป็นบุญชำระกิเลสสั่งสมไปเรื่อยๆอย่างนี่คือผู้มีศิลปะ แล้วมีชีวิตตั้งตนไว้ชอบ อัตต สัมมาปณิธิ เป็นผู้รับฟังใส่ใจศึกษาอย่างพวกคุณนี่ได้มงคลอันอุดม เพราะอาตมาแจกงานระดับศิลปะเอาไปทำให้กิเลสลดได้ นอกจากคนเข้าใจไม่ได้

เป็นผู้รับฟังก็รับได้ทำได้เป็นพหุสัจจะ เป็นศิลปินมากขึ้นๆ สิปปัญญจ เอตัมมังคลมุตตมัง แล้วมาสู่วินิโยจ สุสิขิโต ไปสู่การกล่าวแต่สิ่งดี สภาษิตา จ ยาวาจา

การตอบแทนพ่อแม่นั้น แม้จะเอาพ่อแม่มาเลี้ยงบนบ่าให้อยู่ดีกินดี ขี้เยี่ยวรดบนบ่า เอาบ้านเมืองมาให้  ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณต่อพ่อแม่ที่สูงสุดเลย ต้องให้พ่อแม่มาพบมิตรดี มีศีล มีจาคะมีปัญญา มีศรัทธาในพระพุทธ_พระธรรม_พระสงฆ์ แล้วมีศีล สามารถทำให้จิตลดกิเลสได้คือจาคะมีปัญญารู้ได้ด้วย สรุปคือสามารถทำให้พ่อแม่มีอาริยธรรมได้นี่คือการบำรุงบิดามารดา มีบุตรหรือภรรยาก็เช่นเดียวกัน

ทำงานไม่คั่งค้างก็ทำสิ่งควรทำ ทำการชำระกิเลสนั่นแหละ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ทำได้ทุกลมหายใจเข้าออกทุกอิริยาบถ ไม่ใช่มีเวลาเฉพาะต้องไปนั่งปฏิบัติ ไม่ใช่ แต่ทำได้ทุกเวลาวินาที่ที่มีลมหายใจเข้าออกยังไม่ตาย

ไล่เรียงไปตั้งแต่เกี่ยวข้องกับคน กับสถานที่ กับญาติกับการฟังธรรม เหนี่ยวรั้งให้ออกจากโทษ กำหนดให้ออกจากความเมาได้ มัชชปานาจสัญญโม มีคารโว มีนิวาโต ยินดีในความมักน้อยกล้าจน ฟังธรรมเสอม มีความอดทน ว่านอนสอนง่าย พบปะเยี่ยมเยือนสมณะ นี่ก็ตรงกับความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธ

...พ่อครูพูดถึงธรรมะสองอีกนิดหน่อยเปรียบเทียบ กับE=mc2ของไอสไตน์ ถ้า mคือรูป c คือนาม เป็นการเปรียบง่ายๆ…

ขอรบกวนนิมนต์พ่อครูประชาสัมพันธ์สมาชิกเราคิดอะไร. เดือนนี้หนังสือออกล่าช้าไปนิด. แต่ก็จัดส่งไปแล้วทาง. ไปรษณีย์

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:40:37 )

590512

รายละเอียด

590512_พุทธศาสนาตามภูมิ นั่งหลับตาสมาธิเป็นการปฏิบัติที่ไม่มีศีล

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2559 เราก็จะมาฟังการบรรยายธรรมะที่ละเอียดละออกัน ตั้งแต่บรรยายธรรมมา ยังนึกไม่ออกว่าเราได้บัญญัติกำหนดภาษาใส่สภาวธรรมนี้หรือไม่? ก็นึกทบทวนว่ามีสองคำที่อาตมาบัญญัติเอง ตั้งเองเป็นภาษาธรรมะนอกนั้นก็เอาบัญญัติเท่าที่ท่านมีมาแล้วมาใช้

สองคำนี้คือคำว่า ชีรานุปาทิ กับชีวานุปาทิ

สองคำนี้ ชีระคือตัวยึด(แก่) ส่วนชีวะคือตัวยึด(เกิด) คนก็ยึดสองคำนี้ อุปาทิคือยึดเข้าไป ไปยึดชีวะหรือชีระธาตุสองตัวนี้คนไม่เข้าใจสภาวธรรมก็จะยึด ยึดตัวเกิดไม่รู้จบและยึดตัวแก่ไม่รู้จักตาย สุดท้ายก็ 0

 

มี sms และมีไลน์และไลน์@ ส่งข้อความมา

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับข้อมูลกรรมฐาน5ผมขนเล็บฟัน หนังเป็นเพียงรูปรูปไม่มีจิตมโนวิญญาณเป็นแค่มหาภูตรูป4ไม่นับเป็นกาย ผมขนเล็บฟันเป็นมหารูป4ไม่ทำให้เกิดกรรม!ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นปสาทรูป5!รูปเสียงกลิ่นรสโผฎฐัพพะเป็นโคจรรูป5ทำให้เกิดกรร มเพราะเป็นกายฤานามรูปมีวิญญาณรับรู้จากทุกผัสสะเป็นปัจจัยเป็นเหตุเกิด!ถูกไหม?

ขออภัยบุญนิยมถามมายาวเพราะธรรมะพ่อครูละเอียดลึกซึ้งเข้าถึงยากต้องตั้งใจจริงจังจึงจะเข้าใจจริงๆจรธ.

ตอบ...เป็นของแห้งไม่ใช่ของสด แต่ก็พอเป็นไปได้

 

จากไลน์ @boonniyomtv

 

_พวกสมาธิหลับตามีสอบอารมณ์แล้วรู้ว่าอยู่ในญาณไหนใน16ญาณ จริงหรือไม่ พ่อท่านโปรดอธิบายด้วยครับ

พ่อครูว่า เวทนาเกิดจากการปรุงแต่งให้รู้ได้ ความรู้ที่พระสารีบุตรเรียบเรียงไว้มีถึง 73 ตัวรู้ มี 73 ญาณ อยู่ในมาติกา เล่มแรกเลย ที่จับมาแค่ 16 นี้ก็มารวมที่นามรูปปริเฉทญาณ ก็คือมีนามกับรูปที่เรารู้ นามคือตัวรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าเข้าใจรูป 28 ให้มีธัมวิจัยมีพลังความรู้ไปทำลายสลายพลังงานแห่งความไม่รู้นี้ไปได้ ปฏิบัติได้จะเป็นปัญญาขึ้นมาล้างตัณหา ล้างความไม่เข้าใจ ล้างความดื้อด้าน ล้างได้อย่างนี้เป็นต้น ก็จะรู้เอง

1.      นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นาม   และนามก็เปลี่ยนเป็น“รูป”  ให้ถูกรู้อีก ว่ายึดครอง? นามรูปปริเฉทญาณเป็นตัวแรกเลย ที่เราจับมาทำตามลำดับเป็นธรรมะสองให้เราเปรียบเทียบเสมอที่มีลิงคหรือความต่างให้รู้ ความมีกับไม่มี

 

2.      ปัจจยปริคคหญาณ  ญาณรู้ปัจจัยของการยึดถือ  มั่น ครอบครองมั่น หลงเอารูปทั้งหลายมายึดจนเที่ยง . 

3.      สัมมสนญาณ  ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหา  ซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป  ไม่เที่ยง จะรู้องค์รวม แยกออกหมด ทำงานถูกสภาวะ เมื่อทำได้ก็จะสูงไปอีก

4.      (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส  ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ

5.      (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย

6.      (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป 

7.     (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ  ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย

8.      (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย

9.      (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น (อตัมมยตา)

10.    (7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง .  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น

11.    (8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย

12.    (9)สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7.  ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ 

พวกที่บอกว่ารู้อารมณ์ลูกศิษย์ก็คือพวกอวดรู้ อยากหาบริวารเท่านั้นโมเมตรวจสอบเท่านั้น แค่ไม่ลืมตาปฏิบัติก็ไม่ครบแล้ว พวกนั่งหลับตาเก่งๆมาสอบญาณพวกเราสิ

_คำถามจากไลน์@

คุณChaiwatส่งมาเมื่อ 11 พ.ค. 20.11น.ว่า

เราควรบำรุงบิดามารดา แต่ในขณะเดียวกัน ท่านทั้งสอง ยังคงเชื่ออย่างเหนียวแน่น ในเดรัจฉานกถา เช่นชอบการทรงเจ้าเข้าผี กินและฆ่าสัตว์ เล่นลอตเตอรี่และหวยใต้ดินถ้าเข้าวัดก็ชอบทำบุญ บริจาคเยอะๆแก่บรรดาสมมติสงฆ์ กระแสหลัก  ถึงแม้ว่าบุตร ซึ่งกินมังสวิรัติแล้ว ฟังคำสอนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจากสอนของพ่อท่าน ฯ พวกท่านทั้งสองก็หาสนใจไม่ ซ้ำยังขีดเส้น ห้ามไม่ให้ลูกลบหลู่ศรัทธาของท่าน

ในฐานะลูก ที่มีพ่อแม่แบบนี้ ควรจะวางใจและปฏิบัติตัว อย่างไรจึงเหมาะที่สุดครับ จึงจะไม่ทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะอยู่ด้วยกันก็เหมือนไฟสุมเรือนตลอดเวลา ขอขอบพระคุณล่วงหน้า สำหรับคำตอบครับ..

พ่อครูว่า...ก็ทนเอาๆ พ่อแม่ของจริงไม่มีของปลอมนี่ ก็ต้องใช้ความฉลาดที่จะใช้ยาทิพย์แทรกเข้าในขุมขนเขา คือให้เข้าไปไม่รู้สึกตัว อาตมาดูโทรทัศน์หมอเขาหลอกล่อเด็ก แล้วฉีดยาเสร็จเลย เด็กไม่รู้ตัวเลย

_ไลน์คุณพิม

กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ดิฉันได้ติดตามธรรมะของพ่อครูมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้มรรคผลอะไรมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสุขเย็นอยู่บ้าง

ดิฉันดูสภาวะจิตของตัวเองแล้วว่าค่อนข้างอ่อนแออะไรมากระทบก็จะหวั่นไหวไปหมดดิฉันพยายามสู้กับความรู้สึกที่ทุกข์ก็ยังไม่ค่อยได้เลย.ดิฉันปฏิบัติถูกต้องรึป่าว ดิฉันตรวจดูศีลห้าข้อบางข้อยังไม่บริสุทธิดิฉันจะพยายามค่ะ

ตอบ...ก็ถูกต้อง ที่บอกว่าตนเองรู้สึกหวั่นไหวคือรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ดีขึ้น พยายามสู้ไปเถอะจะทำได้ดีขึ้น ดีแล้วใช้ความพยายามไป

 

_ไลน์Mod 4578

กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ข้าน้อยกราบเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับสมองกับจิตเกี่ยวกันอย่างไรคะ?

ตอบ...สมองมีลักษณะstatic เป็น hardware

แต่จิตมีลักษณะdynamic เป็น softwareซึ่งทำหน้าที่ได้ลึกละเอียด ลึกซึ้งมากกว่ามากนัก

สมองเป็นอุปกรณ์ทำงานให้กับจิต  สมองเป็นอุตุนิยาม ยังไม่มีชีวะ พอเป็นพีชะจึงเริ่มมีชีวะ อุตุจะมีการรวมตัวกี่ธาตุเท่าใดก็ตาม ดินผสมน้ำ น้ำผสมลม ก็ตามก็ไม่ใช่ชีวะ  แต่พอเร่ิมมีตัวตน เป็นพีชะ พีชะยึดตัวตนแต่ไม่ละเมิดอันอื่นไม่จองเวรจองกรรมกับคนอื่น

 

มาเข้าสู่บทเรียนใน คอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไรในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร?

                                                 

คนๆนี้ก็เป็นผู้ไม่บรรลุ“นิโรธธรรม” ยังเป็นคนมี“ความยึดมั่นถือมั่น”(อุปาทาน)ว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง นั้น เป็นเรา(อัตตา) เป็นของเรา(อัตตนียา) จริงๆจังๆได้อยู่แน่แท้

“ทฤษฎี”หรือ“ทิฏฐิ”ของพระพุทธเจ้า หากผู้ศึกษาใดเรียนรู้ให้“สัมมาทิฏฐิ”แล้วปฏิบัติให้เกิดผลในตนจริง ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง

จะรู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริงนั้น ว่า สิ่งที่สัมผัสอยู่นั้นคืออะไร ตามที่มันเป็นมันมีความจริงอยู่จริง เราก็ยังมีเวทนานั้นอยู่ ซึ่งต้องมีความรู้ร่วมรับรู้ด้วย กล่าวคือ มีการรู้ตามความจริงนั้นอยู่ ว่าแท้จริงมันมีความรู้สึก

รู้“ความจริง”แท้ๆร่วมอยู่ แต่เราไม่มี“ความเท็จ”นั้นแล้ว จึงไม่ผลักไม่ดูด ไม่ชอบไม่ชัง เราจะรู้ทุกข์แฝงที่เข้ามา จะมีญาณปัญญารู้ชัดว่าเป็นทุกข์แท้ๆ เป็นทุกข์แฝง ก็ทำภาวะที่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ทำเพราะมีสิ่งอื่นเป็นตัวล่อหลอกหรือกดดันก็ไม่ขึ้นแล้วไม่เอา ไม่มีอะไรชักนำได้

จะรู้สึกว่า มันก็รู้สึกเฉยๆกลางๆว่างๆ จึงไม่มี“อาการจะผลักหรือจะดูด”ภาวะนั้นๆเลย

ภาวะนี้คือ ความเป็น“พีชนิยาม”

ซึ่งต่างจาก“ความรู้สึกกลางๆว่างๆเฉยๆ”(เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา)ชนิดที่มี“วิชชา”

ในความเป็น“จิตนิยาม” เพราะจะมี“ปัญญาหรือญาณวิเศษ”กว่าพีชนิยาม มีพลังงานรู้ดี-รู้ชั่ว รู้สุข-รู้ทุกข์ โดยเฉพาะสุขแท้-สุขเท็จ รู้ทุกข์แท้ (ทุกขอาริยสัจ)-รู้ทุกข์แฝง รู้พลังงานรู้ควร-รู้ไม่ควร ทำภาวะที่ควรทำอยู่อย่างยิ่ง ไม่ทำเพราะมีสิ่งอื่นเป็นเหตุผลล่อหลอกหรือกดดันให้ทำหรือบังคับให้ทำ ชักนำให้ทำ(สสังขาริกัง) จึงจะไม่มีอคติ จึงเป็น“ความเป็นกลาง”ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าสูงต่อสังคมต่อโลกอย่างแท้จริง

“ความรู้สึกกลางๆ”(อุเบกขา)ชนิดนี้แล คือ “ความอิสระ”ที่เป็นไทแก่ตัวจากอำนาจโลก-อำนาจอัตตา ไปตามลำดับที่ตนสามารถปฏิบัติหลุดพ้นได้จนกระทั่งอยู่เหนือ“โลก”(อุตตระ)และเหนือ“อัตตา”(อุตตระ)ที่ตนปฏิบัติได้ไปแต่ละระดับ กระทั่งที่สุดจบความเป็น“โลก” และจบความเป็น“อัตตา” ได้แท้เด็ดขาด

“ความรู้สึกกลางๆ”(อุเบกขา)ชนิดนี้จึงเป็น“ความสงบ”ที่ไม่มี“อำนาจโลกและอำนาจอัตตา”มาเป็น“นาย”เราได้อีกแล้วเด็ดขาด

_“อุเบกขา” คือ “ความสงบ”ที่ไม่มี“อำนาจโลกและอำนาจอัตตา”มาเป็น“นาย”เราได้อีกแล้วเด็ดขาด...พ่อครู  12 พ.ค. 2559

 

_หลวงปู่ครับดูดีอยากมาเรียนบ้านราชฯมากแต่พ่อแม่ไม่ยอมให้มา หลวงปู่ช่วยพูดให้พ่อแม่ยอมด้วยครับ

พ่อครูว่า...ก็ให้พ่อแม่ยอมก่อนสิ ค่อยมา

(ดช.ดูดี เดินไปคุยกับหลวงปู่ถึงบนเวทีเลย)

จิตเป็นกลางนั้นคือจิตตนเอง ไม่เอียงเลย แต่สามารถเข้าข้างคนถูกได้ด้วย

“ความรู้สึกกลางๆ”(อุเบกขา)ชนิดนี้ จึงเป็น“ฤทธิพลังปัญญา”ที่หลุดพ้น“อำนาจ” โลกธรรมภายนอก หลุดพ้น“อำนาจ”ที่เป็น อัตตาภายในแท้จริง เป็นผู้มี“ธรรมาธิปไตย”ที่เป็น“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ” อันพร้อมคุณวิเศษของของ“ปริสุทธา-ปริโยทาตา-มุทุ-กัมมัญญา-ปภัสรา”

จึงมีประสิทธิภาพวิเศษในสังคมโลกด้วยความไม่มี“อัตตา”อย่างแท้จริง และไม่เป็น“ทาสโลก”อย่างแข็งแรงเหนืออำนาจโลกธรรมทั้งหลายอย่างแท้จริง

ใจ“หรือ“จิต”ของคนผู้บรรลุธรรมขั้นนี้ จึงเป็น“อรหัตตบุคคล”หรือ“คนอมตะ”ที่เป็นตัวของตัวเอง ที่“ไม่เป็นทาสตน”และ“ไม่เป็นทาสโลก”แล้วจริง ทำงานรับใช้มนุษยชาติ

รับใช้สังคมในโลก(โลกานุกัมปา)อยู่ด้วยความสะอาด-สว่าง-สงบ-สุภาพ-สมรรถนะ-สามัคคี

“ใจ”ของอมตบุคคลนี้ จึงสัมบูรณ์ด้วย “ธรรมะ 2” และสามารถทำให้เป็น“ธรรมะ 1” ได้สำเร็จแน่แท้ (ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ)

“ใจ”(มโน)นี้ที่มี“ธรรมะ 2”จึงมี“อาการ”ร่วมกันอยู่ในความเป็น“อินทรีย์”ของสัตว์อย่างสำคัญที่สุดใน“ชีวิต”สัตว์นั้นๆ

นั่นคือ “เลือด” กับ “วิญญาณ”

“เลือด”เป็น“หัวแห่งใจ”เรียกว่า “หัวใจ” (กายสังขาร) เป็นแหล่งให้“เลือด”ทำงาน

เลือดหัวใจนี้คือ พลังงานขั้น“พีชนิยาม” พลังงานนั้นเป็น“อาการ”อยู่ใน“มหาภูตรูป 4”

ยกตัวอย่างเลือดระดู menstruation คือไม่ใช่พีชะแล้ว ถ้าไม่มีการผสมกับเชื้อก็สลายออกมาเป็นอุตุแล้ว แม้เป็นส่วนประกอบของการเกิดได้แต่ที่เหลือก็ไหลออกมา เป็นอุตุนิยาม ไหลทิ้งออกมาแล้ว ก็เป็นอาการเคลื่อนที่ตามพลังงานธาตุ ไม่มีพีชะ แต่ใจนี่ยังมีพลังงานพีชะร่วมอยู่

ใน“อุตุนิยาม”หรือมหาภูต 4 ที่รวมกันเป็น“เลือด”ในร่างกายของคน(ที่มีจิตนิยาม)นั้นมี“ใจ”เป็น“อาการ”ร่วมอยู่ด้วยอย่างสำคัญ

“วิญญาณ”จึงเป็น“จิตแห่งใจ”เรียกว่า “จิตใจ”(จิตสังขาร) เป็นแหล่งให้วิญญาณทำงาน

ร่วมกันเป็นพลังงานขั้น“จิตนิยาม” พลังงานนั้นเป็น“อาการ”อยู่ใน“อุปาทายรูป 24”ที่จะต้องเรียนรู้ จึงจะสามารถ“ทำ”หรือปฏิบัติถึง“ความดับสนิท-ไม่เกิดอีกตลอด”

เป็นที่สุดได้ จึงต้องมี“สัมมา”นี้เองเป็นสำคัญ

เลือด และวิญญาณ เป็น “ธรรมะ 2”หรือ “ธรรมะคู่”ร่วมทำหน้าที่เป็น“อาการ”อยู่ มี

การปรุงแต่งกันอยู่อย่างลึกล้ำ และซับซ้อนแนบเนียนวิเศษยิ่ง ในความเป็น“มนุษย์”

เพราะมีวิญญาณเป็นธาตุรู้ ร่วมนำทางกันไปสู่ที่จะเจริญ หรือเสื่อม ได้อย่างวิเศษ

ถ้าภาวะใดทรงสภาพอยู่คงเดิม ก็คือ “สมดุล” (ถ้านิ่งเหมือนสภาพลูกข่างนอนวันหรือกินน้ำจั้น) หากเปลี่ยนไป(ไม่เที่ยง)ก็สู่ความเป็นประโยชน์(เจริญ) หรือเป็นโทษ(เสื่อม)

หรือมีการ“เกิด”แล้วก็วนเวียน“เกิด”อีก และมีที่สูงสุด“ไม่เกิด”อีกเลย

ซึ่งใน“อุตุนิยาม”นั้นจะวนเวียน เป็นสสารและพลังงาน เปลี่ยนกันไปไม่มีสูญหาย ตลอดกาลนาน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา นิรันดร ไม่มี“หยุด”สนิทเด็ดขาด

ส่วน“พีชนิยาม”จะมีทั้ง“วนเวียนเกิด-ตาย ไม่จบสิ้นก็มี และมีทั้งเกิดตายที่สูญสิ้นไปเลย ไม่มี“พีชนิยาม”ชนิดนั้นอีกก็มี

เพราะมันเป็นการ“ปรุงแต่งขึ้นของ “ธรรม 2”คือ สสารกับพลังงาน กระทั่งมีสภาพใหม่ ที่“ชีวะ”ก้าวหน้าระดับ“พีชนิยาม”

“พีชนิยาม”ไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่ากับ“จิตนิยาม” ส่วน“จิตนิยาม”จะมีอวิชชา

ใน“อุตุนิยาม”หรือมหาภูต 4 ที่รวมกันเป็น“เลือด”ในร่างกายของคนนั้นมี“ใจ”เป็น “อาการ”ร่วมอยู่ด้วยอย่างสำคัญ

“หัวใจ”คืออุปกรณ์ของ“เลือด”

“สมอง”คืออุปกรณ์ของ“วิญญาณ”

 

อาตมายืนยันว่า การปฏิบัติธรรมของพุทธที่เรียกว่า ทำ“อานาปานสติ”นั้น มิใช่“การหลับตา”ปฏิบัติ แล้วสะกดจิตของตน เข้าไป“รู้สึก”หรือเรียนรู้อยู่แต่เพียงในภายใน“รูปภพ”ของตนเท่านั้น

แถมมิหนำซ้ำ เมื่อไปอยู่ใน“รูปภพ”แล้วก็สะกดจิตของตนหนักเพิ่มเข้าไปอีก ให้จิตตนเกิด“เอกัคคตาจิต”ตามแบบวิธีของดาบสฤาษีชาวเทวนิยมทำกันมาเป็นแบบฉบับของเขา ซึ่งได้แต่“สะกดจิต”(hypnotize)เข้าไปๆๆเท่านั้น

แล้วหลงว่า ตนปฏิบัติทำให้เกิด“อธิจิตสิกขา” คือ จิตของผู้ปฏิบัติกิเลสจะลดละหน่ายคลายลง แล้วจะถึงขั้น“กิเลสดับสนิท” เป็นที่สุดได้ วิธีนี้รู้กันมาก แพร่หลายทั่วไป

แล้วเชื่อกันว่า นี้คือ“การทำสมาธิ”แบบที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า คือ สัมมาสมาธิ

ก็ขอยืนยันว่า “ผิด” 100 % อย่างนี้ไม่ใช่“สัมมาสมาธิ”แน่นอน ตรวจสอบจากคำตรัสสอนไว้ทั้งหลายของพระพุทธเจ้ากันให้ดีๆดูเถิด ตั้งแต่พระสูตรแรก คือ พรหมชาลสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 9 ไปเลยทีเดียว ก็เป็นการปฏิเสธ“วิธีเจโตสมาธิ”แล้วชัดๆว่า

“เจโตสมาธิ”คือ“มิจฉาทิฏฐิ”ใน“ทิฏฐ 62”

และสูตรอื่นๆอีกมากหลากหลาย หรือในพระสูตร พระอภิธรรมทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า “วิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดจิต หรือให้เกิดผลทางวิญญาณ”(ยัญญ)ของศาสนาพุทธซึ่งเพื่อให้เกิด “สัมมาผล”นั้น ไม่ใช่“หลับตา”ปฏิบัติเลย

ยัญพิธีโง่ๆโบราณที่ว่าจะเจริญต้องฆ่าสัตว์ฆ่าคน เผาคน ต้มคนทั้งเป็น ต้มสัตว์ก็ตาม ก็คือโง่มันไม่ได้มีผล ก็ลดลงมาเรื่อย จนเลิกพิธีกรรมยัญพิธีที่ไม่มีผล ไปทำลายสัตว์อื่นเพื่อตนนั้นก็เลิกแล้ว จนที่สุดไม่ทำแล้วที่เป็นบาป เข้าใจเลยว่า การใช้พลังงานสื่อทางไฟ ไปถึงจิตวิญญาณไหนๆ โดยเผาคนติดสินบน เผาสัตว์ติดสินบน จนที่สุดไม่เอาสัตว์เอาแค่พืชผักผลไม้ส่งไป ก็ดีขึ้นมา จนที่สุดทำเอาเองสิ พระเจ้าบอกว่าต้องช่วยตนเองให้รอดก่อนพระเจ้าจะช่วย พระเจ้านี้ฉลาดนะ ให้คนช่วยตนเองได้แล้วก็ไม่ต้องช่วยสิ ก็จริง คืออุบายโกศลสูงสุดแล้ว

 

ขอยืนยันมั่นคงอย่างเด็ดเดี่ยว ว่า ความเข้าใจ หรือทิฏฐิ ที่ว่า“วิธีปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธิ หรือให้วิญญาณได้เสวยผล” ที่ภาษาบาลีว่า“ยัญญพิธี” ซึ่งก็มี“ทาน-ศีล-ภาวนา” หรือ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”เป็นต้นนี้แหละ ไม่ใช่อะไรอื่น นั้น ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่“ยัญญพิธี”ที่“หลับตา”เข้าไป“ทำจิตให้ได้ผล-ทำวิญญาณให้เสวยผล”(มนสิกโรติหรือโยนิโสมนสิการ)อย่างเด็ดขาด

“ยัญญพิธี”ของศาสนาพุทธนั้น“ลืมตา” ปฏิบัติมี“วิญญาณ 6-อายตนะ 6-สัมผัส 6-เวทนา 6-ตัณหา 6-อุปาทาน 4-ภพ 3-ชาติ 5”

ตรวจสอบดูดีๆ จากพระไตรปิฎก เล่ม 16ข้อ 4- 15 เป็นต้น และจากพระวจนะอื่นๆ

“การหลับตา”เข้าไป แล้วสะกดจิตตนให้เป็นหนึ่ง(hypnotize)นี้ก็เป็น“สมาธิ”ชนิดหนึ่ง

แต่ไม่ใช่“สมาธิ”ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่“สัมมาสมาธิ”ใน“มรรค อันมีองค์ 8”ของพระพุทธเจ้า

แต่เป็น“สมาธิ”แบบที่รู้กันทั่วไปว่า เป็น “เจโตสมาธิ”หรือ“เจโตสมถะ” หรือ meditation ที่รู้ว่า เป็น“วิธีทำสมาธิสากล” อันมีอยู่คู่โลก เป็น“สมาธิสามัญ” ที่ไม่ใช่“สัมมาสมาธิ”ของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ของพระองค์เอง แล้วเอามาประกาศให้โลกรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตาม ว่า “สมาธิ”มีแตกต่างกันนะ

ของสากลทั่วไปนั้น ล้วนเป็น“การสะกดจิต” ให้จับตัวกันเข้า หรือให้รวมเข้าเป็นหนึ่ง ก็จะได้“เอกัคคตาจิต”แบบหนึ่ง คือ “เจโตสมาธิ” มีมาก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติ มีมาก่อนพระพุทธเจ้าจะประกาศ“สัมมาสมาธิ”ของพระองค์ ซึ่งทุกวันนี้ก็เพี้ยนไปหลงนับถือ ยึดถือ“เจโตสมาธิ”สากลกันหมดแล้วมั้ง!!!

อาตมาพูดถึง นัยสำคัญของสมาธิ ประเด็นนี้มากว่า 46 ปีแล้ว ก่อนอาตมาจะบวชอุทิศตนเพื่อทำงานนี้เต็มตัวด้วยซ้ำ ก็ยังไม่กระดิกหูกันเลย ยังยึดมั่นถือมั่นกันเหนียวแน่น ไม่มีปรโตโฆสะกันบ้างเลย ชาวพุทธเอ๋ย

“การหลับตาปฏิบัติเพื่อทำสมาธิ”อย่างนี้แหละ เป็นการปฏิบัติที่ไม่มี“ศีล”ให้ปฏิบัติแล้ว เพราะ“หลับตา”เข้าไปอยู่ในภพภายใน นั่งนิ่งๆ และพยายามตัดความรับรู้สึกภายนอก ไม่ให้ตัวเองรู้สึกภายนอก

จึงไม่สามารถ“สัมผัสสัตว์”ทั้งหลายที่เราจะได้ปฏิบัติจริง ว่า เรายังมี“จิตคิดจะทำร้ายสัตว์นั้น” อยู่หรือไม่? หรือเราอยากฆ่าสัตว์นั้นมากินหรือไม่? หรือ“จิตใจ”ของเรามันมี

ความรู้สึก(เวทนา)อย่างไรกับ“สัตว์”ที่เรากำลังสัมผัสสัมพันธ์อยู่ขณะนั้น จะได้จัดการกับ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”กันตามที่เกิดจริงเป็นจริงแท้ๆ

จะได้ปฏิบัติ“ศีลข้อ 1”ให้เจริญขึ้นเป็น “อธิศีล” และปฏิบัติ“จิตให้เจริญเป็นอธิจิต”คือ “การทำใจในใจให้ถ่องแท้”(โยนิโสมนสิการ) ซึ่งจะเกิด“อธิปัญญา”โดยจะรู้(ชานาติ)-จะเห็น(ปัสสติ)

ศีลข้อ 2 ไม่เอาของๆเขา การนั่งหลับตาจะได้สัมผัสของๆเขาอย่างไร จะได้สัมผัสกับการทำงานที่ต้องเกี่ยวกับงบประมาณมากๆ แล้วจะไม่โกงไม่กินตามน้ำอย่างไร

ภาวะจริงตามความเป็นจริงที่พึง“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้ด้วยการปฏิบัติของเรา เมื่อเรา“รู้-เห็น”อาการของ“กาย”หรือ“องค์ประกอบของรูปกับนาม” แล้วได้จัดการกับเจตสิกทั้งหลาย โดยเฉพาะได้กำจัด“อกุศลจิต-อกุศลเจตสิก”

ของตนในขณะที่มันเป็นจริง คือกำลังเกิดมี“อาการทุจริต”อยู่ ณ บัดนั้นจริง นั้นๆ

เราก็จะได้ปฏิบัติกับ“ของจริง-ความจริง” กันหลัดๆ โต้งๆ ทนโท่ จึงจะมี“ผลจริง”แน่แท้

จึงจะเจริญ“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา”ถึงขั้นเป็น“วิมุติ-วิมุติญาณทัสนะ”กันจริงๆแท้ๆเพราะปฏิบัติตามพระพุทธวจนะ“กถาวัตถุ 10”

ซึ่ง“อธิศีล”จะมีผล“ศีลเจริญขึ้น”ตามการปฏิบัติที่ได้ละลด(อารติ) ได้งด(วีรติ) ได้เว้น(ปฏิวีรติ) ได้เว้นขาด(เวรมณี)จากอาการติด อาการยึด ทั้งรูปภายนอก ทั้งใจภายในไปจริง

ไม่ว่า “ศีล”ข้อไหน ก็มีสัมผัสภายนอก-ภายในปฏิบัติทั้งนั้น จึงจะรู้จริงที่เป็นจริง จริงๆ

และ“อธิจิต”จะเกิดเป็น“สมาธิ”แบบพุทธเรียกกันว่า“สัมมาสมาธิ”ตรงตามพระพุทธวจนะ

ยิ่ง“อธิปัญญา”ก็จะเกิดจะเป็นความรู้ที่เห็นจริงสัมผัสจริงตามความเป็นจริงแท้ๆ ทั้ง ตาม“สมมุติธรรม” ทั้งตาม“ปรมัตถธรรม”

ผลที่ได้ย่อมแตกต่างกับการ“หลับตา” ปฏิบัติสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภพคนละทิศละทางแน่นอน แต่ทิศไหนจะดูจริง ดีจริงกว่ากัน

ก็ใช้วิจารณาญาณกันของแต่ละคนเทอญ

ไม่ว่าจะเป็น“ศีล”ข้อ 2 ถ้าเราไป“หลับตา” อยู่นิ่งๆ ไม่มี“สัมผัส 6” และ 6 อื่นๆ ก็ไม่สามารถ “สัมผัสสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน”ทั้งหลายที่เรา

จะได้ปฏิบัติจริง ว่า เรายังมี“จิตคิดจะเอาของที่ไม่ใช่ของเรานั้น หรือคิดอยากได้ด้วยใจที่ไม่สุจริต” อยู่หรือไม่?

เราสามารถ“รู้”ด้วย“ปัญญา”ที่มีการรู้เห็นตามความความเป็นจริง ไม่ใช่แค่“รู้” ด้วย “สัญญา”ในภายในอยู่ใน“รูปภพ”เท่านั้น

“ปัญญา”ก็จะครบ“องค์ธรรม 6” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258 (ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง)

ปฏิบัติ“หลับตา”เข้าไปอยู่ในภพ จึงเห็นได้ชัดๆว่า มันรู้เห็นไม่ครบ มันรู้เห็นแค่ในภายในของตนเองเฉพาะตนหนึ่งเดี่ยวเท่านั้น

และที่สำคัญ ใน“สัญญา”ที่ตนเอง“คิดขึ้น”นั้น เป็นความจริงได้ หรือเป็นไม่ได้ ก็ไม่รู้อีกด้วย ก็“คิดเอาเองสารพัด” อะไรตามแต่จะปั้น จะสร้างจะเนรมิตอะไร-อย่างไร ก็ได้

จึงไม่มีหลักประกันใดๆเลย

แต่ถ้ามี“สมมุติสัจจะ” และมี“ปรมัตถสัจจะ”ด้วย เป็น“ธรรมะ 2” หรือไม่มีแค่เราเดียวๆโดดๆเท่านั้น แต่มีผู้อื่น“ร่วมรู้”(สมมุติ) ด้วย เริ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ยิ่งมากคนเท่าใดยิ่งเป็น“สมมุติ”ที่แท้ยิ่งจริงจังเท่านั้นๆ

“สมมุติ”จึงจะชื่อว่า จริงกับโลก หากมีแค่“ปรมัตถ์”ก็จริงแต่เฉพาะเรา ชื่อว่า อัตตา

หากมีภายนอก และคนอื่นด้วย จึงจะกล่าว“จริง”นั้นว่า “สัจหรือสัจจะ”กับโลกเขาได้ ยิ่งมี“ทรงอยู่จริง-ตั้งอยู่” ณ บัดนั้น ก็ยิ่งชื่อว่า“สัจธรรม” แต่ถ้ามีแค่“ในตัวเราเดียวๆ”มันจะจริงอะไร อย่างไร กับใครเขาได้เล่า!!!

คุณเอง ก็จริงอยู่แต่เดี่ยว เดียวดาย ไป

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:41:02 )

590513

รายละเอียด

590513_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 7

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2559 มาดู sms กันก่อน

Sms 12พ.ค. 59

0890499xxx ปวดเข่ามากแต่อยากไปอโศกรำลึกจะพยายามค่ะ คนห่างวัด

0893867xxx อานาปานสติ16ขั้นคือการ มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก ทุกขณะกำหนดรู้ได้ทุกอิริยาบถ!ปฏิบัติให้ได้สัมมัตตะ10 จึงจะได้ครบตามอัฏฐังคิกมรรค8สมบรูณ์ ถูกไหม ? 

อานาปานสติหากปฏิบัติได้จริงทุกการกระทำจะรู้ชัดถึงธรรม9ตามีอนิจจฯทุกข ฯอนัตฯธัมมัฎฐิฯธัมมนิยามฯ อิทัปปัจจัยฯ สุญญฯ ตถาฯ จนถึงอตัมมยตาด้วย ถูกไหม?

พ่อครูว่า ...กระบวนการที่เราต้องใช้อานาอาปานะ ใช้รูป แต่ให้รู้นามธรรมข้างใน การใช้ลมหายใจไม่ได้แค่จ้องดูแค่ลมหายใจนะ สะกดอยู่แค่นั้น แต่หมายถึงว่าตราบเท่าที่คุณยังมีลมหายใจเข้าออกยังไม่ตาย

อานาปานสติ 16 ขั้น คือตราบเท่าที่เรามีลมหายใจเข้าออก ประเด็นคือต้องมีความรู้ในธรรมะ 2 เช่น เช้า ออก มีลิงค มีความต่างกันนะ

สอง สั้น กับยาว ก็ต่างกัน เราต้องเรียนรู้ความต่างในมุมเหลี่ยมต่างๆ แล้วทำให้สองนี้เป็นหนึ่งได้ทุกๆความต่าง นี้คือประเด็นสำคัญ ที่จะต้องใช้ กับธรรมะสอง ที่คุณสัมผัสแล้ว เป็นประเด็นขัดแย้งขึ้นมา ก็จัดการให้เป็นหนึ่งให้ได้ นั่นคือเป้าหมายที่ถูกต้อง ในความหมายต่างๆ 16 ลักษณะ เข้าสั้นยาว ออกสั้นยาวก็กินไปหลายนัยแล้ว แล้วประเด็นที่ต้องกระทำให้ชัดแท้ก็อยู่แค่ จะต้องอ่านทางจิตและทำจิตเลย ทำจิตให้เป็น ประเด็นเป้าหมายก็คือ เห็นกิเลส ในรูปจะเป็นยาว หรือสั้น จะเป็นเข้าหรือออก แล้วเราก็รู้นัยสำคัญว่า ไปหาเบา

เรียกว่า ให้มันระงับ ให้มันปัสสัมภยัง (รำงับ) ให้รู้ว่ามีอาการจิต ปีติ หรือสุข ก็ดี ปีติเป็นยินดีแรง ก็ทำให้เบาลงสงบลงเป็นอุปสโมสุข เป็นปฏิสังเวทีขึ้นมา ก็ให้รู้ความต่างหนักกับเบา แรงกับเบาก็ต่าง เราก็ไปหาความเบาหรือลหุ เรียกว่าในวิการ ให้ลหุ หรือเบาลง มีมุทุ กัมมัญญา เอามาใช้งาน ต้องเปลี่ยนทั้งเจโตและปัญญาเร็วไวคล่องแคล่ว ให้ออกไปสู่จิตสังขารัง เมื่อทำให้เบาลงได้ ปัสสัมภยังจิตตังลงได้ จนถึงขั้นเบาที่สุด อยู่ในลักษณะไม่ห่อเหี่ยวแต่ก็สดชื่นเบิกบานได้คุณก็พอใจ สันโดษ ใจพอ ทำได้อย่างไม่วอกแวกไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งมั่น สมาทหังจิตตังส่วนอื่นที่กระทบก็ปล่อยได้ วิโมจยังจิตตัง มันจะแรงหรือเบาก็รู้ แต่ไม่ให้มีอำนาจอะไรกับเราได้ ก็จะตามรู้ตั้งแต่ นี่อันท้ายเลย

คืออนิจจัง อสุภะ นิโรธ

ทำมาตั้งแต่ความไม่คงที่ ไม่เที่ยงแท้ไม่ค่อยอยู่หมัดไม่ค่อยเก่ง จนเก่งขึ้นๆ ผ่านความไม่เที่ยงให้เที่ยงขึ้น ก็จะรู้ว่าลักษณะใจเราที่ไม่เที่ยงเป็นอย่างไร แล้วเราจะทำให้ใจเราเที่ยง โดยไม่หวั่นต่อสิ่งแวดล้อมมากระทบเราก็ทำได้ ที่ไม่เที่ยงไม่สำเร็จก็ค่อยหายไปจางไป มีวิราคานุปัสสี จนเข้าที่ เที่ยง ดับสิ่งที่ดุ๊กดิ๊ก ให้นิ่งตั้งมั่น แข็งแรง เรียกว่าฐีติ ตั้งมั่น มีนิโรธสนิท เป็นลักษณะแข็งแรง ตกผลึกไม่เปลี่ยน อาการต่างๆเป็นนามธรรม แต่อาตมาสื่อยังไม่ครบ แต่พวกเราเข้าใจ จนแข็งแรงปึกเลยนะ จนคุณจะรู้ตัวเองว่าสุดยอด ได้ทบทวนทำปฏินิสสัคคะ

เราไม่ทำฐานอยู่แดนนรก แต่เราทำอยู่แดนสวรรค์ แต่เราก็ไม่เอาสวรรค์ไม่ติดสวรรค์เลย แต่อยู่ตรงนั้นได้ใครจะทำไม แต่ก็อยู่มันตรงนี้แหละสวรรค์จะทำอะไรเราได้ นี่คือเอาพยัญชนะใช้งานได้ คุณทำไปก็จะเข้าใจสภาวธรรมได้ นี่คืออานาปานสติ 16 ขั้น

ในทุกอิริยาบถ ทุกกาละสิ่งแวดล้อมทั้งหลายก็ทำได้หมด ปฏิบัติให้ได้สัมมัตตะ 10 คือ มรรค 8 ผล 2 ปฏิบัติตามเหตุคือมรรค มีผลอีก 2 คือวิชชาและวิมุติ ก็ได้ครบ สัมมัตตะ 10 อัฏฐังคิกมรรค 8

 

0836592xxx กำลังติดตามชมอยู่ที่ อ.พระพุทธบาท สระบุรี ด้วยความตั้งใจครับ

0897146xxx Suparconcentration แปลว่าอะไร สะกดถูกไหมครับ

ตอบ...ถูกต้อง

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมาธิปไตย ถ้าปท.ไทยมีปชต.โดยธรรมแบบนี้จะได้พหุชนหิตายะ สุขายะ โลกานุฯ สังคมคงเจริญด้วยปริสุทธา จนถึงปภัสรา คงเป็นคุณวิเศษแก่สากลโลกด้วย! ฝันไกลไปไหมหนอ?

ตอบ..ต้องมีปัญญาอยู่เหนือโลกเหนืออัตตา มีอำนาจโดยธรรม คนก็จะยอมให้โดยไม่มีการบังคับกดขี่เป็นอำนาจสูงสุดแล้ว ถ้าประเทศไทยมีปชต.โดยธรรมแบบที่ว่า ก็ได้ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แน่นอน

จิตมีคุณสมบัติอุเบกขา 5 อย่างมีความละเอียดเกินกว่านิวเคลียร์ฟิสิกส์อีก เป็นพลังงานความสงบ สยบ พลังรุนแรงลูกระเบิดได้เลยเป็นปาฏิหาริย์เกินเชื่อได้เลย พากเพียรทำกัน ร่วมมือกันพิสูจน์ความจริงไป

0896098xxx กราบพ่อท่านคะลูกมีความเข้าใจว่าเส้นทางที่ปฎิบัติไปสู่การพ้นทุกข์นั้นมีหลายวิธีใช่หรือเปล่าคะขึ้นกับจริตของแต่ละคนที่สร้างสมกุศลมาไม่

ตอบ...ก็ขอตอบยืนยันว่าหลายทางไม่มีหรอก มีเส้นทางเดียว เส้นทางพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าคือทางเดียว มีหลายทางคือคุณมาทางนี้ไม่ได้ก็ตีกินไปทางโน้นนี้นั่น  ทางอื่นก็เป็นของมัน คนที่มาทางนี้ไม่ได้เขาก็มาไม่ได้ เป็นฐานที่ไม่เวไนย ยังอเวไนย ก็เท่านั้นเอง ถ้าเข้ามาได้แล้วมีทางเดียว ไม่มีแยกเป็นทฤษฎีอื่นหรอก ที่ประกาศสำคัญอยู่ที่โพธิปักขิยธรรม 37 นี้ รวมเป็นโพชฌงค์7 มรรค 8 สรุปเป็นไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา สั้นสุดสองนัยก็ศีลกับปัญญา

 

จากไลน์ @boonniyomtv

_กราบนมก.พ่อท่าน พวกเค้าไม่กล้ามายุ่งกะอโศกพวกเราแน่แท้ค่ะ เพราะพวกเค้าจาเอาแต่รวยๆๆยังมีโลกีย์เต็มๆและสำคัญที่รับไม่ได้แน่แท้คือไม่อยากจนและกลัวจนด้วย กลัวมากๆๆด้วย ถ้ามาสัมผัสพวกเรา พวกเค้าจะรู้สึกอายตนเองความรับผิดชอบชั่วดี มโนสำนึกมีอยู่ แล้วจะเสียท่าท่านพ่อ...ฮาๆๆ..

แฟนคลับข้างนอกยังมีอยู่ตรึมเจ้าค่ะ ยังเข้าไม่ถึงวงใน ได้แต่อยู่วงนอกเ..อิอิ..เป็นกำลังกายและกำลังใจเสมออยู่ไม่ห่างท่านเจ้าค่ะ....

วันนี้ได้รับฟังเรื่องญาณ16 ท่านพ่ออธิบายได้รวบรัดดีมาก แต่ติดข้องใจเรื่องญาณ73เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก งงๆเลยค่ะ เพราะไม่เคยรู้หรือได้ฟังมาก่อนเลยในชีวิต ท่านพ่อกล่าวเกริ่นไว้อย่างนี้...คาดว่าคงมีคนหูผึ่ง....เฝ้าคอยอยากฟังด้วยแน่ๆๆ...อิอิอิ...

วันนี้โยมดีใจที่เห็นท่านพ่อเบิกบาน...สาธุเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า..ในพระไตรฯ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มาติกา

[0]     1 ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่การฟัง] 1

2 ปัญญาในการฟังธรรมแล้ว สังวรไว้ เป็นสีลมยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่ศีล] 1

3 ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็นภาวนามยญาณ[ญาณอันสำเร็จมาแต่การเจริญสมาธิ] 1

4 ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ [ญาณในเหตุธรรม] 1

5 ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนอดีตส่วนอนาคตและส่วนปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณ [ญาณในการพิจารณา] 1

6 ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบันเป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม]1

7 ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสนาญาณ[ญาณในความเห็นแจ้ง] 1

8 ปัญญาในการปรากฏโดยความเป็นภัยเป็นอาทีนวญาณ[ญาณในการเห็นโทษ] 1

9 ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ 1

10 ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอก เป็นโคตรภูญาณ 1

11 ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ 1

12 ปัญญาในการระงับประโยคเป็นผลญาณ 1

13 ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ 1

14 ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุมในขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ 1

15 ปัญญาในการกำหนดธรรมภายใน เป็นวัตถุนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งวัตถุ] 1

16 ปัญญาในการกำหนดธรรมภายนอก เป็นโคจรนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งโคจร] 1

17 ปัญญาในการกำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งจริยา] 1

18 ปัญญาในการกำหนดธรรม 4 เป็นภูมินานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งภูมิ] 1

19 ปัญญาในการกำหนดธรรม 9 เป็นธรรมนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งธรรม]1

20 ปัญญาที่รู้ยิ่ง เป็นญาตัฏฐญาณ [ญาณในความว่ารู้] 1

21 ปัญญาเครื่องกำหนดรู้เป็นตีรณัฏฐญาณ [ญาณในความว่าพิจารณา] 1

22 ปัญญาในการละ เป็นปริจจาคัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสละ] 1

23 ปัญญาเครื่องเจริญเป็นเอกรสัฏฐญาณ[ญาณในความว่ามีกิจเป็นอันเดียว] 1

24 ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง เป็นผัสสนัฏฐญาณ[ญาณในความว่าถูกต้อง] 1

25 ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ เป็นอัตถปฏิสัมภิทาญาณ 1 (เห็นความต่างแต่ก็จัดสรรให้ต่างนี้อยู่กันได้อย่างลงตัว)

26 ปัญญาในความต่างแห่งธรรม เป็นธรรมปฏิสัมภิทาญาณ 1

27 ปัญญาในความต่างแห่งนิรุติ เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ 1

28 ปัญญาในความต่างแห่งปฏิภาณ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ 1

29 ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็นวิหารัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องอยู่] 1

30 ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติเป็นสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสมาบัติ] 1

31 ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าวิหารสมาบัติ] 1

32 ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุ

ไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ [ญาณในสมาธิอันมีในลำดับ] 1

ทัสนาธิปไตย ทัสนะมีความเป็นอธิบดี วิหาราธิคม คุณเครื่องบรรลุ คือวิหารธรรมอันสงบและปัญญาในความที่จิตเป็นธรรมชาติน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต เป็นอรณวิหารญาณ[ญาณในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก] 1 ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ 2 ด้วยความระงับสังขาร 3 ด้วยญาณจริยา 16และด้วยสมาธิจริยา 9 เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ [ญาณในนิโรธสมาบัติ] 1 ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณ 1 ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาดโดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมอันสงบและธรรมอันเป็นประธาน] 1ปัญญาในความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆ และเดชเป็นสัลเลขัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องขัดเกลา] 1 ปัญญาในความประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และจิตที่ส่งไป เป็นวิริยารัมภญาณ 1 ปัญญาในการประกาศธรรมต่างๆ เป็นอรรถสันทัสนญาณ [ญาณในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม] 1ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกันในการแทงตลอดธรรมต่างกันและธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ 1 ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นขันติญาณ 1 ปัญญาในความถูกต้องธรรมเป็นปริโยคาหนญาณ [ญาณในความย่างเข้าไป] 1 ปัญญาในการรวมธรรมเป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] 1 ปัญญาในความมีกุศลธรรมเป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] 1 ปัญญาในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยใจ]1 ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปแห่งจิต] 1 ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า เป็นญาณวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยญาณ] 1 ปัญญาในความสลัดออกเป็นวิโมกขวิวัฏฏญาณ[ญาณในความหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์] 1 ปัญญาในความว่าธรรมจริงเป็นสัจจวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยสัจจะ] 1 ปัญญาในความสำเร็จด้วยการกำหนดกาย [รูปกายของตน] และจิต [จิตมีญาณเป็นบาท]เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา [สัญญาประกอบด้วยอุเบกขาในจตุตถฌานเป็นสุขละเอียด] และลหุสัญญา [สัญญาเบาเพราะพ้นจากนิวรณ์และปฏิปักขธรรม] เป็นอิทธิวิธญาณ [ญาณในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ]1 ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการแผ่วิตกไป เป็นโสตธาตุวิสุทธิญาณ [ญาณอันหมดจดแห่งโสตธาตุ] 1 ปัญญาในการกำหนดจริยาคือ วิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยความแผ่ไปแห่งจิต3 ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นเจโตปริยญาณ [ญาณในความกำหนดรู้จิตผู้อื่นด้วยจิตของตน] 1 ปัญญาในการกำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสสติญาณ [ญาณเป็นเครื่องระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้] 1 ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักขุญาณ 1 ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ 3 ประการ โดยอาการ 64 เป็นอาสวักขยญาณ[ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย] 1 ปัญญาในความกำหนดรู้ เป็นทุกขญาณ 1 ปัญญาในอรรถว่าเป็นสิ่งควรละละ เป็นสมุทยญาณ 1 ปัญญาในความทำให้แจ้ง เป็นนิโรธญาณ 1ปัญญาในความเจริญ เป็นมรรคญาณ 1 ทุกขญาณ [ญาณในทุกข์] 1 ทุกขสมุทยญาณ [ญาณในเหตุให้เกิดทุกข์] 1 ทุกขนิโรธญาณ[ญาณในความดับทุกข์] 1 ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ [ญาณในข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับทุกข์] 1 อรรถปฏิสัมภิทาญาณ 1 ธรรมปฏิสัมภิทาญาณ1 นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ 1 ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ 1 อินทริยปโรปริยัติญาณ[ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย] 1 อาสยานุสยญาณ[ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย] 1 ยมกปาฏิหิรญาณ [ญาณในยมกปาฏิหาริย์] 1 มหากรุณาสมาปัตติญาณ 1สัพพัญญุตญาณ 1 อนาวรณญาณ 1  ญาณเหล่านี้รวมเป็น 73 ญาณ ในญาณทั้ง 73 นี้ ญาณ 67[ข้างต้น] ทั่วไปแก่พระสาวก ญาณ 6 [ในที่สุด] ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวกเป็นญาณเฉพาะพระตถาคตเท่านั้น ฉะนี้แล ฯ

                              จบมาติกา

ใน 6 ญาณสุดท้ายนี้อาตมาไม่มีสภาวะหรอก เพราะเป็นญาณของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่อาจหยั่งรู้อินทรีย์พละของแต่ละคน ถ้าได้แล้วอาตมาจะช่วยคนได้อีกเยอะเลย แต่อาตมาก็ได้เท่านี้ทนเอาหน่อยเนอะ

คนสุดท้ายนี้เรียกว่า ท่านพ่อ คงเป็นคนใหม่ส่งข้อความมา ที่จริงอาตมาเบิกบานตลอดนะ ตอนหมอพจน์อาตมาก็บอกว่า ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความเครียดเลยนะ อาการมันเป็นอย่างไร ไม่เคยมี หมอก็งงๆ

 

อย่างอาตมาเผยแพร่อาตมาก็มั่นใจ สัญญา ย นิจจานิของอาตมา ก็มั่นใจในความรู้ความเข้าใจ ทั้งปฏิภาณไหวพริบ รวมกันแล้วเป็นองค์รวมสอดคล้องสมาน ติดต่อได้หมด อาตมาไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา เลิกคบหากับเจ้าปัญหา ไม่ตัน ก็เลยไม่ต้องหา ตัณหาไม่มี ถ้ามันตันมันต้องหาทางแต่นี่ไม่ตันนะ

ส่ิงที่อาตมายืนยันยืนหยัด ก็เผยแพร่ไป แม้มีน้อย เป็นสมมุติสัจจะที่คนหมู่น้อยยอมรับ ร่วมด้วย มีน้อยก็ตาม แต่มันเป็นคุณวิเศษสิ่งประเสริฐจริงไม่เป็นพิษภัยกับใครมีแต่ประโยชน์คุณค่าแล้วเป็นประโยชน์คุณค่าที่ลึกด้วย เผยแพร่ความจนนี่เป็นคุณค่าประโยชน์วิเศษเลย จนอย่างมีคุณค่าสมรรถนะมีน้ำใจแจกจ่าย จนไม่ได้ขาดแคลนจนอย่างอุดมสมบูรณ์มากที่สุดโทรมเสื่อมเสียอะไร เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า

สมมุติโลกทั้งโลกมีเงินอยู่ 100 บาทถ้าคุณเองคุณเห็นแก่ส่วนมากก็พยายามจะดึงไปเป็นของคนทั้งร้อยบาทส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ยากหรอกเอาศูนย์ไม่มีเลยให้เขาเอา 100 นี้ไปง่ายๆสบายสบายไม่ต้องแย่งต้องชิง ส่วนถ้ามีคนอื่นอยากจะแย่งไปอีกก็แย่งกันไปส่วนเราสูญแล้ว 100 บาทนี้มี 3 คน 5 คนอื่นก็แย่งกันไป เรามักน้อยจนเหลือศูนย์ได้ก็ไม่ต้องแย่งต้องชิงแล้วขยันมีสมรรถนะมีความสามารถที่จะทำสิ่งที่ต้องอาศัยสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิตเราก็ทำได้ก็ทำไปวันเวลานี้คนละ วันละ24 ชั่วโมงก็ทำสร้างสรรค์ให้แก่โลก ยิ่งมารวมกันก็เป็นผลผลิตเป็นสิ่งที่เกิดจากแรงงานสร้างสรรค์ให้แก่มวลมนุษยชาติสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์แล้วมีเศรษฐกิจที่เราทำด้วยว่าเศรษฐกิจที่ประเสริฐ เป็นการกระทำที่ประเสริฐของมนุษยชาติโลกต้องการอันนี้แต่เขายังเข้าไม่ถึงความอยากได้ที่จะต้องแบ่งส่วนมาให้แก่เราหมู่ของเรามันอย่างมากอยู่มันจึงเกิดการแย่งไปแบ่งออกจากของคนอื่น เขาแบ่งเอามานะไม่ได้แต่งให้แต่นี้เรามีพอแล้วก็แบ่งให้เขาถ้ามันยังไม่พอก็เชือดเนื้อเถือหนังเราเองเราก็อยู่ไม่นานเราก็จะตายก็ไม่สมบูรณ์ แต่เราจะเชือดเนื้อเถือหนังตัวเองแบ่งแจกก็ไม่มีปัญหา

ความเป็นสัญญา

                             

ถ้ามี“สมมุติสัจจะ” และมี“ปรมัตถสัจจะ”ด้วย เป็น“ธรรมะ 2” หรือไม่มีแค่เราเดียวๆโดดๆเท่านั้น แต่มีผู้อื่น“ร่วมรู้”(สมมุติ) ด้วย เริ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ยิ่งมากคนเท่าใดยิ่งเป็น“สมมุติ”ที่แท้ยิ่งจริงจังเท่านั้นๆ

“สมมุติ”จึงจะชื่อว่า จริงกับโลก หากมีแค่“ปรมัตถ์”ก็จริงแต่เฉพาะเรา ชื่อว่า อัตตา

หากมีภายนอก และคนอื่นด้วย จึงจะกล่าว“จริง”นั้นว่า “สัจหรือสัจจะ”กับโลกเขาได้ ยิ่งมี“ทรงอยู่จริง-ตั้งอยู่” ณ บัดนั้น ก็ยิ่งชื่อว่า“สัจธรรม” แต่ถ้ามีแค่“ในตัวเราเดียวๆ”มันจะจริงอะไร อย่างไร กับใครเขาได้เล่า!!!

คุณเอง ก็จริงอยู่แต่เดี่ยว เดียวดาย ไป

 

ทีนี้เรื่อง “3 ศึกษา” คือ ไตรสิกขานั้น

จะเป็น ทาน-ศีล-ภาวนา ก็ตาม

หรือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ก็ดี

ซึ่งเราจะได้ปฏิบัติ“ไตรสิกขา”เต็มสภาพจริงแท้ รู้แจ้งเห็นจริง“อาการ”ที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริงทั้งหลายของ“รูป”กับ“นาม” ก็ต้องประกอบด้วยภายนอกและภายในเสมอ

มีเรา-มีเขาด้วย จึงจะยืนยัน“จริง” ว่า “จริง”(สัจจะ)ได้แท้แน่ยิ่งๆๆๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆ

ดังนั้น การปฏิบัติ ถ้าไม่สามารถ“สัมผัสสัตว์”ทั้งหลายที่เราจะได้ปฏิบัติจริง ว่า เรายัง “ใจคิดจะทำร้ายสัตว์นั้น” อยู่หรือไม่?

ตาม“ศีล” ข้อ 1 ด้วยสมมุติ และปรมัตถ์

“จริง”(สัจจะ)มันก็ไม่ครบ ต้องมี แล้วเราจึงจะได้ปฏิบัติ“ไตรสิกขา” ตามการศึกษาของพุทธ บริบูรณ์ครบ“การศึกษา 3”ของพุทธ

แล้วเราจะได้รู้ว่า โอ..“จิตใจ”ยังมี“โกรธ” ยังมี“โลภ” ยังมี“หลง”อยู่ ในขณะที่มี“สัมผัสภาวะนั้นๆจริง” แล้วก็อ่าน“จิตใจเราก็กำลังเกิดอาการนั้นๆ(ที่เป็นกิเลสให้เราเห็นได้)อยู่จริงเห็นมั้ย ว่าแตกต่างกัน มีภาวะที่“สัมผัส”อยู่หลัดๆ ปัจจุบันนั้น กับภาวะที่“ไม่มีสัมผัส”

ดังนั้น “การหลับตา”ปฏิบัติ จึง“ผิด”แท้ๆ

ซึ่งหลงผิดว่า สะกดจิตอย่างนี้แหละ คือการปฏิบัติที่ตรงแล้วตามหลัก“ไตรสิกขา”ของพุทธ หรือเป็น“การทำสมาธิ”ของพุทธ แล้วจะเกิดปัญญา-เกิดวิมุติ บรรลุนิพพานไปโน่น

อาตมาก็ขอบอกด้วยความเกรงใจจริงๆ เพราะในวงการศาสนาพุทธ ต่างเข้าใจกันว่า ต้อง“หลับตา”อย่างนี้กันทั้งนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ทุกอย่างจะผุดเกิดขึ้นมาเอง..เอง

ก็ขอยืนยันว่ามัน“ผิด” ..ผิดจริงๆ

ไม่มีอะไรเกิดเอง ทุกอย่างมาแต่เหตุเพราะการปฏิบัติด้วยวิธีแบบนี้ ไม่ใช่การศึกษาฝึกฝนอบรม โดยมี“การเล่าเรียน”หรือฝึกฝนชนิดที่มี“การวิจัย”(analysis) ตรงตามพระพุทธวจนะว่า“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”เลย

มันมีแต่“การสะกดเข้าไปๆๆๆ”(hypnosis)

การปฏิบัติธรรมแบบที่ชาวพุทธทุกวันนี้ส่วนใหญ่เข้าใจ“ผิด”ไปดังว่านี้ และปฏิบัติกันอย่างเป็นจริงเป็นจังอยู่ทั่วไปในสังคม ในโลกทั้งโลก ปัจจุบันนี้ อย่างนี้จริงๆ

คือ หยุดอิริยาบถภายนอกหมดเลย แล้วก็“สะกดจิต”ของตนเข้าไปให้อยู่ในอิริยาบถ“นิ่งๆ,หยุดๆ,หดๆ,ข้นๆ,ขดๆ,คู้ๆ,แข็งๆ,ก้อนๆ,ทึบๆ”(สมถะ,ฆนะ)

เมื่อภายนอกไม่เคลื่อนไหวกิริยาใดเลยแล้ว จึงเข้าไป“สะกดจิต”ภายในให้“นิ่งๆ, หยุดๆ,หดๆ,ข้นๆ ฯลฯ”อีกที

ฉะนี้แล คือ วิธีปฏิบัติธรรมในแบบทำอิริยาบถให้หยุดตะพึด “สะกดจิต”(hypnotize)เข้าไปๆๆๆๆเพียงถ่ายเดียว

ตามที่นิยมยินดี(ฉันทะ)กันแพร่หลายดกดื่นอยู่ในยุคปัจจุบัน ณ ลมหายใจเฮือกนี้

ซึ่งแตกต่างกันคนละทิศกับแบบ“วิจัย”(analyze) ไปคนละมิติ อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

ศาสนาพุทธเข้าใจทั้ง“การสะกด”ที่ต้องใช้ให้ถูกสภาวะ-ถูกโอกาส-ถูกขนาดนั้นๆเป็นต้น ครบตาม“สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4” และมีทั้ง“การวิจัย”ที่ต้องใช้ให้ถูกสภาวะนั้นๆ แม้ที่สุดภาวะ“นิโรธ”คือภาวะที่“สมมุติสัจจะ”กันว่า “ความดับ”การศึกษาต้องชัดเจน และลึกเข้าไปถึงความเป็น“ปรมัตถสัจจะ”อีกด้วยว่า เมื่อใดหมายเอา“จิตดับ”นั้น “ดับ”แค่ความรู้สึกบางส่วน(เทฺว ธัมมา ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณาภวันติ,ปุงลิงค์ = แบบธรรมวิจัย,วิปัสสนา)

ซึ่งแตกต่างกับ“ดับ”ความรับรู้ไปหมด ให้มืดดำไปทั้งจิต(กิณหะ,กัณหะ) ไม่มีแสงสว่างใดเลย(สุภกิณหพรหม = แบบสะกดเอา,สมถะ)

และอย่างไร คือ “ดับ”สลาย“ความเป็น”เช่นนั้นไปอย่างสิ้นซาก(ปรินิพพานเป็นปริโยสาน,จิตตัสสะเภทา) ไม่มีส่วนใดเหลือเป็น“อัตภาพ”ของตนเหลืออีกเลย ถาวรตลอดไป

ศาสนาพุทธแยกแยะได้ละเอียดชัดเจน-คม-แม่น-ลึก-ตรง-บาง-เบา-เร็ว-ช้า สัมบูรณ์

อรหันต์ดับได้เกิดได้ ทำอุปจยะ(เกิด) จะให้ต่อ สันตติ หรือจะให้หยุด ชรตา หรืออนิจจตาได้ เอาเครื่องวัดพระอรหันต์ เครื่องมือสมัยใหม่ ที่พอท่านจะปรินิพพานก็ดับพลังงานได้สนิท แต่ฤาษีก่อนตายก็ดับสันตติ อุปจยะ ได้เท่าที่เขาทำได้แต่จะไม่ได้ล้างอนุสัยหรอก เขาตัดอุปจยะหรือสันตติในปัจจุบันได้เครื่องมืออาจวัดของฤาษีได้ดีกว่าด้วยแต่ว่าไม่ได้เป็นหลักว่าเป็นอรหันต์

อรหันต์จะอนุโลมใช้กับภาวะปัจจุบันได้พอเหมาะ เป็นกัมมัญญตา เป็นการงานอันชอบแล้วไม่เป็นโทษภัยมีแต่คุณค่าประโยชน์เป็นการทำงานอย่างมีภูมิปัญญาไม่โมเม มั่ว

จะต้องทำให้เพชรพุทธนั้นปรากฏในโลก แล้วสืบเชื้อDNA นี้กันต่อไป...สาธุ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:41:27 )

590515

รายละเอียด

590515_วิถีอาริยธรรม ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน​8

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้ราชธานีอโศกก็ยังคงเร่งกับเรื่องทำปุ๋ยขายปุ๋ย เพราะว่าปีนี้ฝนตกมา คนก็ทยอยมาซื้อ จนกระสอบปุ๋ยทำไม่ทันเลย เป็นเรื่องแปลงก แม้ฝนแล้งคนก็มาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ไปใช้ แต่ของเราถูกเหมือนได้ฟรี (พ่อครูว่าของฟรีไม่มีในโลก) ในอาทิตย์ คนฟังธรรมพ่อครูหน้าแปลกไม่ค่อยมีแต่จะมีหน้าแปลกที่น้ำตาผาแหงน ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลย

วันนี้พ่อครูจะมาตอบสิ่งที่เขาสงสัยว่า พ่อครูเป็นโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ แล้วทำไมปล่อยให้คนทำชั่วมากมายได้ พ่อครูไม่เอาภาระหรือเปล่า?

Sms 13พ.ค. 59

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯพ่อครูฯน่าจ ะมีสณ.คู่ใจขึ้นเทศนาคู่กัน ช่วยบรรเทาน้ำเสียงได้พักหลอดคอบ้าง!ห่วงใยฯ

ตอบ….ก็มีอยู่แล้ว วันเสาร์ก็ช่วยไปทั้งรายการ วันอาทิตย์ก็มีอยู่ผู้ช่วย การทำงานต้องอาศัยการประมาณ หารนั้นได้มากกว่าลบ บวก คูณ อย่างคูณร่วมน้อย(ครณ) และหารร่วมมาก(หรม) เป็นภาวะย้อนแย้ง ต้องจบที่สัญญายนิจจานิ มีความแย้งกันไปมาไม่รู้จบหรอก

0893867xxx ผู้น้อยอยู่มาครึ่งชาติใน100ปีเห็นพระสงฆ์องค์เจ้าครูบาอ.นักบวชที่อายุเกิน80ปี มาหลายรูปก็เห็นมีแต่พ่อครูที่ยังทำงานมิหยุดพัก!มามากกว่าใคร!

ตอบ...อาตมาหมายมุ่งจะอายุ 151 ปี ส่วนท่านอื่นไม่หมายเหมือนอาตมาก็ไม่เหมือนกันสิ

0893867xxx กราบเรียนถามพ่อครูตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ยุคโลกร้อนคือยุคใดสัตยยุค,ไตรตยุค,ทวารปยุค,กลียุค,มิคสัญญียุค ?

ตอบ...อาตมาก็ตอบไม่ได้ สัตยยุค คือหนึ่งเดียวกันไม่มีใครแย้งกันเลยหรือจะแยกกันอยู่เป็นรอบ 3 เป็นไตรตยุค แต่ถ้ายังสัตยยุคนี้ก็ absoulute หรือ ultimate เลย ไม่มีอะไรต่าง หนึ่งเดียวเท่านั้น ไตรตยุคแยกแต่ไม่ทะเลาะเป็นพีชนิยาม ทวารปยุค เป็นยุคหลากหลายไม่สิ้นสุด แล้วกลียุค คือกิเลส (กลิ)  อาตมาบอกไม่ได้ว่ายุคใดนะ แต่จะเป็นกลียุคได้แต่ไม่ถึงมิคสัญญียุค ที่ร้ายกาจมาก คนทุกคนฆ่ากันไม่ไว้หน้า ไม่ต้องมีอาวุธเลย อาวุธเนรมิตได้เลย คว้ายอดหญ้าก็เป็นอาวุธฆ่ากันได้

0893867xxx เรากำลังเข้าสู่ยุคอาทิตย์7ดวงฤาตะวันร้อนขึ้นอีก7เท่าฤาบรรยากาศหุ้มโลกบา งไป7เท่าตามพระคัมภีร์ดังอ.พุทธทาสว่าไว้ฤาเปล่า ?

0849240xxx คนเป็นพุทธแท้มีเท่าเขาวัว

0893867xxx คงมีแต่ธรรมอันนี้อันเดียวทำใจกับทุกสภาวะในยุคโลกร้อนที่ร้อนสุดๆได้คืออภิณหปัจจเวกขณ์!ใช้ได้ไหม?คนไร้แอร์เป่าพัดลมมือ2!

 

จาก...Line @boonniyomtv

_กราบนมก.พ่อท่านเจ้าค่ะ ลูกขอกราบขอขมาพ่อท่าน ที่ทำให้พ่อท่านเหนื่อยเลย จากการกล่าวถึงญาณ73 ซึ้งเลยค่ะที่พ่อท่านได้เมตตาตอบและอธิบายให้อย่างมากมาย ในช่วงเวลาสั้นๆๆพ่อท่านทำได้ สุดยอดเยี่ยมเลยเจ้าค่ะ พ่อท่านเหนื่อยหน่อยนะคะ ลูกคนนี้ไม่ค่อยจะเอาไหนเท่าไรค่ะ...อิอิอิ... กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงเจ้าค่ะ/ J Q

_เห็นด้วยกะคุณskkค่ะ พ่อท่านแข็งแรงมากๆๆด้วย ภาพเข็นปุ๋ยเห็นแล้วน้ำตาล่วงเลยค่ะ /J Q

ใครหนอดูบุญนิยมอยู่ที่พระบาทสระบุรีเหมือนกันเลยค่ะ /J Q

_

_จิบน้ำบ่อยๆค่ะพ่อครู คุณแม่ /คุณแม่ พยอม นาคน้อย

 

_กราบนมก.พ่อท่านค่ะ ท่านคิดไกลมากๆๆ DNAของชาวชมพูทวีป นี่แหละmodelใหม่ของชาวโลก...คอยดู ....เชื่อขนมจีนน้ำยามังสวิรัติทานได้เลย..1000%....sureไม่มั่วนิ่ม.. /J Q

 

จาก...Facebook สด บุญนิยมทีวี

_พิศมัย ชำนาญคิด ติดตามทุกช่องทางการทำงานนะคะ ตอนนี้ก็กำลังดูพ่อท่านอยู่นะคะ ทางเน็ทอยู่นะคะ สัญญาณชัดเจน ระยะหลังเข้ามาไม่ค่อยตรงเวลา กว่าจะถึงบ้านก็มืดคำและระหว่างทางไม่อยากเสียสมาธิไหนจะเดินทางไหนจะก้มหน้า เลยไม่ค่อยได้ดูระหว่างการเดินทางนะคะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ขอบคุณคะ

 

พิศมัย ชำนาญคิด ขอบคุณมากนะคะ ธรรมมะนะจำเป็นนะคะ เหมือนทานข้าว ยังไงก็ไม่ทิ้ง

จะยุ่งจะยากจะเหนื่อยปานใดไม่ทิ้งธรรมมะ ว่างและมีจังหวะจะต้องเข้ามาดู ตลอดนะคะขอบคุณมากนะคะที่นำเสนอ รายการที่มีคุณค่า และนำมาใช้ได้จริงกับชีวิต

เจริญธรรม สำนึกดีคะ

ท่านจันทร์ส่งมา (11พ.ค.59)

1.(ชมรายการ"พุทธศาสนาตามภูมิ",9-5-59,รีรัน10-5-59)...

จริงๆเป็นเรื่องที่"น่าแปลกประหลาด ว่า.. ทั้งๆที่ถ้ามองว่า"พ่อครู"เป็น"โพธิสัตว์"ซึ่ง"กำเนิดของธรรมโกยจานบิน ก็เป็น"ปีเดียวกัน กับที่"พ่อครูออกบวช (ปี13).. ซึ่งแม้แต่เราซึ่งเป็น"ผู้ศึกษาธรรมะทั่วไป".. แต่เมื่อได้อ่านเรื่อง"สมาธิลูกแก้วเหนือสะดือ2นิ้ว (ที่มีคำว่า"ใส...ใส ).. เราก็ยังนึก"สะดุดแต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้ และพอรู้ได้โดย"ไหวพริบปฏิภาณ"ว่า"ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง หรือ"ผิดทางพุทธ เสียแล้ว

แต่ใน"ช่วงต้นๆของธรรมโกย จนถึง"ช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ .. ทาง"อโศก"ก็ไม่ได้"เอาจริงเอาจัง ในการ"ต่อต้านลัทธิธรรมโกย แต่อย่างใด (อาจเพราะมัวเบนเข็มทุ่มเทไปในเรื่อง"ทางการเมือง เสียมากกว่าก็เป็นได้).. แต่นี่แหละ!..เป็น"บทเรียน"ว่า..การปล่อยให้"ลัทธิทีสอนผิด ได้"เจริญเติบโต โดยไม่หาทาง"ยับยั้งเสียแต่ต้น แล้วผลที่สุดจะเป็นอย่างไร ..( ="ลุกลาม,ครอบงำความเชื่อของปชช. และ"แก้กลับคืนได้ยากขนาดไหน ..)...

และอีกกรณี.. ที่เป็น"เรื่องแปลก ในฐานะ"โพธิสัตว์"ที่น่าจะ"รู้เท่าทันจิต หรือ"ความประสงค์ ของ"นักการเมืองบางคน .. แต่"อโศกหรือพ่อครู"กลับเป็นผู้มีส่วน"สนับสนุนอย่างเต็มแรง ให้กับ"นายสัมภเวสี .. จนทำให้เขาได้"มีอำนาจในบ้านเมือง จนเป็น"สาเหตุใหญ่"ที่สร้าง"ภัยร้ายแก่ประเทศไทย มาจนถึงทุกวันนี้ ...

สรุปว่า.. ไม่ว่าจะเป็น"ทางโลกหรือทางธรรม"ก็ตามนั้น .. "อโศกหรือพ่อครู"ก็มีส่วนเป็น"เหตุปัจจัย(หนึ่งที่)สำคัญ ที่ทำให้"สิ่งที่ผิด มีโอกาสได้"เจริญเติบโต (จน"แก้ไขได้ยาก )ขึ้นทั้งนั้น .. ใช่หรือไม่ ...

ตอบ...ขอบคุณที่บอก แต่คุณมาแบบมีหมู่พวกอย่างอาตมาได้ไหมล่ะ แล้วก็ยากแค่ไหนก็จะสู้

อาตมายอมรับผิดที่ได้ส่งเสริมคุณทักษิณไป ส่งจม.ให้เขาเลยให้คุณจำลองส่งจม.หาคุณทักษิณเลยว่า เขาเป็นผู้มีบารมี แต่เขาหลอกอาตมาได้เก่งมากออกลายทีหลัง บ้านเมืองฉิบหายไปเยอะ ตายโหงตายห่าไปเยอะเลย

2. (ชมรายการ"พุทธศาสนาตามภูมิ",10-5-59,รีรัน11-5-59)...

แทนที่"พ่อครู"จะมาพยายามอธิบาย(แบบ"รู้อยู่คนเดียว )ในเรื่องที่ว่า**ตายแล้วยังมีผม,ขน,เล็บงอกยาวออกมาอีกได้ **(ซึ่งเคยฟัง"พ่อครู"พยายามอธิบายมาแล้วหลายครั้ง )ที่พูดโยงไปหา"อะไร โมเมนตั้ม,โมเมนตุ้ม ให้ยุ่งไปหมด ..(ซึ่งเชื่อว่า"พ่อครู"น่าจะ"รู้ได้อย่างลึกซึ้ง ได้แต่"เพียงผู้เดียว  เท่านั้น ..).. ก็ทำไมไม่ลองนำเอา"ประเด็นเหล่านี้ โยนให้"อ.เจษฎา เด่นดวงฯ"หรือ"นพ.วิชัย เอกทักษิณ"ท่านพิจารณาดูบ้าง .. เพราะเชื่อว่า"ท่านใดท่านหนึ่ง หรือ"ทั้ง2ท่าน น่าจะสามารถอธิบายเป็น"หลักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้ .. ซึ่งเชื่อว่า"น่าจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร ใดๆเลย .. สรุปว่า.. น่าจะสามารถอธิบายเป็น"หลักการทางวิทยาศาตร์ แบบ"ไม่ลึกลับแต่ประการใด เลย ...

 

...ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ…

ตอบ...คุณเองไม่รู้นี่ เลยบอกว่าคนอื่นเขาไม่รู้ แต่คนอื่นที่เขารู้นั้นมีอยู่…

อาตมากล้าพูดได้เลยว่าสองคนนั้นอธิบายไม่ได้อย่างอาตมา เพราะเขาไม่รู้นามธรรม เรื่องจิตนิยาม ยิ่งเขียนมาก็เห็นเลยว่าคุณโง่ไปนับถือคนที่โง่กว่าอาตมา หารู้ไม่ว่าอาตมาฉลาดกว่าคนเหล่านั้น

 

พ่อครูอ่านบทกวี

เพชรพุทธที่เป็นศิลปะโลกุตร

(1) “ศิลปะ”คำที่เพ้อ         พร่ำนัก

มันอะไรใครรู้จัก             ชัดบ้าง

ใช้กันสุดคึกคัก                เต็มโลก เพื่อรส

เพื่อประโยชน์อ้าง            ต่างซ้องโลกันต์

(2) “วิมาน”ฝันเท็จแท้      คือใด

อากาศธาตุแต่ไฉน           ไป่แจ้ง        

หลง“บุญ”นั่นอะไร            กันแน่

“บุญ-วิมาน”ลมแล้ง          ต่างย้ำเวียนวน

(3) “คน”ไทยใช้พจน์นี้     มานาน

หลงผิด“บุญ-วิมาน”          คลั่งเพ้อ

เชื่อเป็นสิ่งสำราญ           สุขสนุก อารมณ์แฮ

แท้แค่คำเพ้อเจ้อ              งนั้นอุปาทาน

(4) ก็“วิมาน”นั่นแล้          ลอยลม

หลงว่า“มี”แล้วจม             เสพซ้อน

หลงเป็น“สุข”โง่งม           ความเปล่า นั้นแล

เพชรพุทธฉุดกลับย้อน     ส่องให้เห็นธรรม

(5) เป็นวรรณกรรมฉุด    ให้ ได้คิด

นี้แหละ“ศิลป์”วิศิษฏ์         วิเศษแท้

พุทธคือเพชรส่องผิด        ให้ถูก สว่างเลย

“ทำจิตในจิต”(มนสิกโรติ)แก้      กลับให้ตรงธรรม

(6) ศิลป์รู้สัมประสิทธิ์นั้น  ทุกเม็ด

“ศิลปะ”ใช้ศาสตร์เผด็จ     ศึกได้

ศิลป์ขจัดทุจริตเบ็ด-         เสร็จสุด สิ้นเฮย

นี้แหละ“ศิลป์”ที่ให้           ประโยชน์แท้เป็นธรรม

(7) ศิลป์นำประโยชน์ชี้   โลกุตระ

พุทธสั่งสอนสัจจะ            แจ่มแจ้ง     

“โลกุตระ”ขจัดขยะ           คือกิเลส

ศิลป์บ่ใช่เล่ห์แสร้ง           หลอกให้คนหลง

 

“สไมย์ จำปาแพง”                                    9 พ.ค. 2559

    [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 311 ประจำเดือนมิถุนายน 2559]

 

คนทั้งหลายในโลกต้องอาศัยใช้เวลาที่มีอยู่และผ่านไปแต่ละวันๆนี่แหละ..เป็นอยู่ให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะใช้ศึกษาฝึกฝนตนเอง ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “ทำงานทำการ” หรือพูดให้ครบ ก็คือ ชีวิตเป็นอยู่ก็ทำงานทำการให้ดี ก็คือให้ชีวิตเจริญ ถ้าเป็นชาวพุทธที่มีภูมิปัญญาก็ทำให้ถึงขั้น“บุญ”  

แต่คนทั้งหลายก็ไม่เคย“ฉุกคิด”กันเลยว่า คำว่า“ชีวิตเจริญ”ของคนนั้นที่แท้มันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน?

ส่วนมากก็มีแต่ระวัง“กรรม 3”(กายกรรม-วจีกรรม-มโกรรม)ของตนอยู่บ้าง ด้วยสามัญสำนึกว่า“ทำกรรม 3 ให้ดี” อย่าให้เป็น“ทุจริต”หรืออย่าให้เป็น“บาป”หรือย่าให้เป็น“อกุศล”

 ยิ่งถึงขั้น“บุญ”นั้น ชาวพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้ความเป็นจริงของคำว่า“บุญ”กันแล้ว ว่า หมายความถึงอะไร?

หลงผิดกันไปหมดแล้วมั้ง! เพราะเห็นพากันไปเข้าใจว่า“บุญ”หมายถึง“ภาวะ”ของคุณงามความดีที่เป็นแค่“กุศล”

เท่านั้น  คนส่วนมากเข้าใจคำว่า“บุญ”เลอะเทอะเละเทะ เข้าใจคำว่า“บุญ”ออกนอกขอบเขตพุทธไปไกลมากแล้ว

ชาวพุทธทั้งหลายทั้งปวงทุกวันนี้ แทบจะไม่เหลือใครเลยแล้วที่“ทำบุญ” เป็น“บุญ”สัมมาทิฏฐิ 

“บุญ”ได้กลายเป็น“มิจฉาทิฏฐิ”(ความเข้าใจผิด)กันจนแม้กระทั่งเศษธุลีละอองของ“ความเข้าใจถูก”ใดๆก็ไม่เหลือเลย

“บุญ”ได้กลายเป็นสินค้าที่โลดโผนโจนทะยานเก่งกาจชนิดที่ลึกลับกว่า“นินจา”หลายร้อยเท่าพันเท่า

ชาวพุทธจึงต่างพากัน“แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ”

โดย“ทำบุญ”ไม่เป็น“บุญ”เลย  แต่เป็น“บาป”กันจริงๆแล้ว

“ทำบุญ”ได้“บาป”กันเกินกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไหนๆ ไปไหนๆ  นั่นคือ ไปนรกลึกหรือต่ำสุดๆยิ่งนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว  ไม่ฉุกใจ ไม่ไหวทันกันเอาเลย

ซึ่งมันผิดสัจจะไปใหญ่ จนกู่ไม่กลับกันแล้วจริงๆ

 

(1) “ศิลปะโลกุตระ”ประเด็นสำคัญยิ่ง คือ คำว่า“บุญ”

เป็นต้นว่า เข้าใจคำว่า“บุญ”คือ“วิมาน” ที่หมายถึงแค่ภพในอนาคต สองเป็น“กุศล” ที่หมายถึง สิ่งอาศัยพักพิง สามหมายถึง “ชาติ” อันเกิดเป็นตน นี่แหละผิดทั้ง 3 ประเด็น

เพราะ“อนาคต”นั้นได้แก่ ภาวะที่ไม่เคยมาถึงเราสักที

ไม่เคยเป็นปัจจุบันใดๆสักครา ยังอยู่ในสายลม ยังไม่ถึงมือเราเลยสักครั้ง แต่ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิดวาดหวังติดยึด

อยู่กับ“วิมาน”นั้นไปตลอด ..จนกว่าจะมีภูมิถึงศิลปะโลกุตระ 

ผู้มีภูมิโลกุตระจึงรู้“อนาคต”เป็นแค่“วิมาน” 

“วิมาน”เป็น“ภาพหรือภพที่วาดหวังใส่ไว้ในใจตน” เท่านั้น

“วิมาน”ไม่ใช่“ภาวะที่มีจริง เป็นจริง”เลยสักนิด แต่

ผู้ไม่รู้(อวิชชา)ก็ไปหลงผิด เอาแต่ติดยึด“อนาคต”นั้น แล้วก็แสวงหาคว้าลมกันอยู่กับ“อนาคต”นี้กัน

คนโลกุตระจึงไม่หลง“วิมาน” และรู้ภาวะ“ปัจจุบัน”ที่มีสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วปฏิบัติกับ“เวทนา”เป็นฐานแท้

นี่คือ “ทิฎฐิ 44”(อปรันตกัปปิกทิฏฐิ 44) ที่เป็น“มิจฉาทิฏฐิ”ทั้งหมดทั้งสิ้นในความเป็น“อนาคต”ทั้งหลาย เท่าที่พระบรมพุทธศาสดา ได้ตรัสรู้ และนำมาประกาศไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 45 ไปถึง ข้อ 50

ผู้ที่มี“ความรู้”ในความเป็น“อดีต”ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ว่า เป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  อย่าไปงมจมอยู่กับ“อดีต”ต่อไปเลย เพียงรู้ไว้เป็นเรื่องใช้เปรียบเทียบในการศึกษา เพื่อปฏิบัติ“ธรรมะ 2”เท่านั้นก็พอแล้ว

“อดีต”ไม่มีวันจะมามีใน“ปัจจุบัน”ได้เลย

จึงจะมีก็แต่“อนาคต”เท่านั้นที่จะเป็น“ธรรมะ 2”กับ“ปัจจุบัน”ให้เราปฏิบัติ ทำความเป็น“1 ใน 2”สำเร็จได้

“ความรู้”ดังว่านี้ คือ ศาสตร์ ชัดเจนแจ่มแจ้งในตน เป็นหลักยึด แล้วมี“ความจริง”ที่เป็น“ธรรมะ 2” คือ สุมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ทำงานอยู่กับสังคม

ถ้าเป็น“ความรู้”ของเราคนเดียว ก็เป็นแค่“ศาสตร์” เป็นแค่“ความรู้”ที่เรากำหนดรู้อยู่แต่เดียว นี้คือ “สัญญายะ นิจจานิ” เป็น“ปรมัตถสัจจะ”อยู่กับเราผู้เดียว เดี่ยวๆ

ยังไม่ชื่อว่า “ศิลปะ”  เป็นแค่“ศาสตร์”เท่านั้น

ถ้า“ศิลปะ”ต้องมี“ธรรมะ 2” มีทั้ง“ศาสตร์” ทั้ง“ศิลป์”

สมมุติสัจจะคือ สัจจะที่ต้องมี“สมมุติ” ที่เป็น“สัจธรรม”

สมมุติ ก็คือ มีผู้อื่น“รู้”ร่วมกับเราด้วย ไม่ใช่“รู้”แต่เราอยู่ผู้เดียว ส่วน“ปรมัตถสัจจะ”นั้นก็คือเรารู้ ก็เรานั่นแหละที่ยึดว่า“เรารู้ได้ยิ่งๆ” แต่ถ้ามีผู้อื่นรู้ด้วย ก็เป็น“ศาสตร์”ท่ีแพร่หลายออกไปยิ่งขึ้นแก่ผู้อื่น นี่แหละ ตรงนี้แหละ..ศิลป์ตรงนี้

เป้าสำคัญคือ ถ้า“มี”เฉพาะเราแต่ผู้เดียว ไม่มี“สมมุติ”ก็ยังไม่นับว่า“ศิลปะ” ยังเป็นแค่“ศาสตร์”ที่แค่ตน“มี”ผู้เดียว

“ศิลปะ”ต้องผู้อื่นร่วมด้วยถึงขั้น“มี”ได้เป็น“ธรรมะ 2”

นั่นคือ มีทั้ง“ปรมัตถสัจจะ”และทั้ง“สมมุติสัจจะ” สำคัญตรงนี้

“ศาสตร์”นั้นจะแพร่หลายแค่ใดมากมายแค่ใดก็เป็นแค่“ศาสตร์” เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพราะแค่“ศาสตร์”ที่ยังไม่มีความรู้ขั้นเปลี่ยน DNA ของ“จิตนิยาม”ได้ ยังไม่เป็น“วิชชาศาสตร์” เพราะยังไม่ถึงขั้นเป็น Phenomenalogy  

โดยเฉพาะยังไม่เป็น“วิชชาศาสตร์”(Phenomenalogy)ที่เข้าขั้น“กรรมนิยาม”อันเป็น“โลกุตระ” หรือให้ชัดยิ่งก็คือ ยังไม่เป็น“ธรรมนิยาม”ที่นิยามกันเรียกได้ว่า“โลกุตรธรรม” เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ถึงขั้นเป็น“บุญ” ยังไม่เกิด“ส่วนบุญ” จึงเป็นได้แค่“กุศล” ยังไม่ถึงขั้น“บุญ” ยังเป็น“กรรม”ที่ไม่เข้าขั้น“ชำระกิเลส”ได้จริง

ยังทำให้จิต“มีส่วนที่เป็นบุญ”จริงๆไม่ได้ (ถ้าแยกDNAในนามธรรม ไม่ได้ก็เป็นแค่ วิทยาศาสตร์ แต่ถ้าแยกได้ถึงDNAในจิตก็เรียกว่าวิชชาศาสตร์)

“บุญ”คือ “การฆ่ากิเลส” แต่“กรรม”คือการกระทำ โดยเฉพาะ“การกระทำใจในใจ”(มนสิการ)ยังไม่เข้าขั้น“ชำระจิตให้กิเลสลดได้” ซึ่งเป็น“ศิลป์”ที่เข้าขั้น“ศิลปะโลกุตระ” 

จึงยังไม่นับว่าเป็น“ศิลปะ” เพราะยังไม่เป็น“มงคลอันอุดม” ตามพระวจนะที่ว่า “ศิลปะ เป็นอุดมมงคล”(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 318) “อุดมมงคล”นั้นเป็น“ศิลปะขั้นโลกุตระ”

ผู้ทำ“สร้าง”(กโรติ)งานนั้นยังไม่ถึงขั้นใช้“สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4”ที่ตัดสิน“สัจจะ”ได้ว่า“มีความพอเพียง”ที่พอดี

และที่สำคัญมากคือ ต้องมีฐานของ“สมมุติสัจจะ” และต้องมีฐานของ“ปรมัตถสัจจะ” ตามความเหมาะสมของ“เอกภาพ”นั้นๆ ความสามารถยังไม่ถึงขั้น“บุญ” หรือยังไม่ถึงขั้น“อุดมมงคล” จึงยังไม่ชื่อว่า“ศิลปะขั้นโลกุตระ”

“สัปปุริสธรรม 7”นั้นศิลปินมีความสามารถต้องเข้าขั้น“สัตบุรุษ” ไม่เช่นนั้น“ผลงาน”ไม่ถึงขั้น“อุดมมงคล” 

ส่วน“มหาปเทส 4”ของพระพุทธเจ้านั้น“อนิจจัง”แท้

โดย“อนุโลม”หรือ“ปฏิโลม”ไปกับสังคมกับโลก ตามปรากฏการณ์(ปาตุภาวะ = phenomena)ที่เกิดอยู่เป็นอยู่จริง

ของเหตุปัจจัยในกาละนั้นๆ อย่างไม่มี“อคติ”แท้เด็ดเดี่ยว

และได้กำจัด หรือระงับส่วนที่แรงที่ร้ายในขณะนั้นได้สำเร็จ ให้องค์รวมของหมู่กลุ่มดำเนินไปได้ ไม่วุ่น ไม่กวน ไม่เสียหาย ไม่แรงจนร้ายได้สำเร็จ แต่แรงเต็มที่อย่างพอดีจึงจะเรียกว่า“บุญ”  เริ่มเข้าข่าย“โลกุตระ”

ผู้ทำ“บุญ”เป็นผล “ทำบุญ”มี“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา)เกิด

จึงจะนับว่าเป็น“โลกุตระ” เป็น“เปรต”ที่มีฐานะ“เสขบุคคล”

 

(2) “การประมาณ”ที่ได้สัดส่วนพอเหมาะจึงจะเป็น“ศิลปะ”

การจัดการ“ประมาณ”(มัตตัญญู)สัดส่วน ผสมได้ส่วนพอเหมาะพอดีที่สุด(harmony) แม้จะมี“จุดเด่น”(highlight)ที่

เด่นได้ในหมู่ โดยหมู่ยอมรับ ยกให้เป็นจุดเด่นของหมู่ ด้วยคะแนนของหมู่ มากเกินกว่าหมู่อื่นอย่างซื่อสัตย์โดยแท้

ฉะนี้แล คือความสามารถของ“ศิลปิน” ต้นแรกของความสามารถ นับเป็น“ศิลปิน”ขั้นโลกุตระ

แต่ที่เป็น“ศิลปะ”โลกียะนั้น คือการบำเรอกิเลสอยู่ แต่มีเงื่อนไขแค่ว่า ต้อง“สุจริต” ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดวินัย

ไม่ผิด“สมมุติ”ของคนส่วนมาก(เยภุยยสิกา) มี“ความพอใจ-ความชอบใจ-ความสุขใจ” แม้จะยังบำเรอกิเลสอยู่ ก็ยังได้

ดังนี้แลคือ ผู้ทำ“ศิลปะ”โลกียะ หรือที่เป็น“ศิลปะโลกีย์”

นับเป็น “ศิลปะ” ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรก เริ่มต้น

ส่วนที่จะนับเป็น“ศิลปะโลกุตระ”ได้นั้น ต้องนับเอาที่“จิตใจ”เป็นหลัก ว่า เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต-เจตสิก หรือ“กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ถึงขั้นกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” แยก“มโปวิจาร 18”ที่เป็น“โลกียะ”(เคหสิตเวทนา 18) กับที่เป็น“โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา 18)ได้ ถ้าแค่“รู้”ได้ ก็แค่“พ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์ ” กับ“พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์” 2 สังโยชน์ แต่ยัง“ไม่พ้นสีลัพพัตตปรามาสสังโยชน์”

ดังนั้น ที่สำคัญเป็นเงื่อนไขหลักคือ ต้องทำให้“ใจ”ของ เรากิเลสลดได้ จางคลายลงได้ “พ้นสีลัพพัตตปรามาสสังโยชน์”อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัมผัส“ใจ”เราเองจริงๆ

จึงจะนับว่า เริ่มนับเป็น“ศิลปินโลกุตระ”ขั้นต้น

ผู้สามารถทำ“จิตในจิต”ของตน กิเลสลดละลงได้จริงผู้นั้นแหละเริ่มนับว่า เป็น“โลกุตระ”เป็น“อาริยะ”สำหรับตน

แค่ตนเองเป็น“อาริยชน” เป็นมนุษย์โลกุตระ ขั้น “ปรมัตถธรรม”สำหรับตนแล้ว

แต่ยังไม่นับว่ามี“ศิลปะ” ที่เป็น“สมมุติสัจจะ” หากเมื่อใด ผู้นั้นไม่สามารถนำ“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตระ”ออกมาเผยแพร่ให้คนอื่นภายนอกเริ่มรู้ร่วมเป็น“สมมุติสัจจะ”

แล้วมีคนทำ“ปรมัตถธรรม”ของเขาได้ ผู้นั้นก็ยังไม่ชื่อว่า“ศิลปิน”เต็ม“ธรรมะ 2” เพราะยังไม่มี“โลกุตรธรรม”ครบ

ก็ยังเป็นได้แค่ ผู้มี“ศิลปะโลกุตระ”สำหรับตนเท่านั้น  

จนกว่าจะเป็นผู้สืบทอด“โลกุตระ”ถ่ายทอด DNA

หรือมีคนอื่นเปลี่ยน DNA ใน“จิตนิยาม”ของคนอื่นอีก ให้เกิด ต่อไปได้  ผู้นี้จึงจะชื่อว่า เป็น“ศิลปิน”เต็มตัว เป็นศิลปะโลกุตระ ครบสภาพ“ธรรมะ 2” เต็มรูปเต็มนาม

 

(3) “บุญ”กับ“กุศล”ประเด็นสำคัญยิ่ง ที่จะเป็นโลกุตระ

“ศิลปะ”ต้องเป็น“ธรรมะ 2”(อิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ หรือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ)ที่มี“ความแตกต่างกัน”(ลิงคะ,เพศ)  ไม่ว่าจะเป็น“สิ่งมี”ที่เล็กที่สุดละเอียดที่สุดแห่งที่สุด(ribonucleic)

ก็สามารถเห็น“ความแตกต่าง”ของภาวะนี้ และจัดการ(อภิสังขาร)กับ“ธรรมะ 2”นี้ให้เป็น“ธรรมะ 1”ได้สำเร็จ(เอกสโมสรณาภวันติ) โดย“ธรรมะ 2” หรือ“ธรรมะมากมาย”นั้นอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนกัน(harmony) ผู้นี้แหละ คือ “ศิลปิน”

ผู้งมงายอยู่แต่กับภาวะที่เป็น“ภพ”หรือ“ภาพ”ที่เป็น “อนาคต” ไม่หันเข้ามาหาความเป็น“ปัจจุบัน”ที่มี“ภาพ”แท้

มี“สัมผัส 6-อายตนะ 6-วิญญาณ 6”ศึกษา“ของจริง” ก็จะหลงงมอยู่แต่กับ“อนาคต”ที่มีทั้งหมดอยู่เพียง 44 ทิฏฐิเท่านั้น ไปตลอดกาลนาน ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย 

และคำว่า“กุศล”นั้น หมายถึง สิ่งอาศัยพักพิงของชีวิต ได้แก่ ภาวะที่สบาย ภาวะที่เป็นสุข ภาวะที่เจริญก้าวหน้า เป็น“ภาวะที่มีอยู่ ไม่หายไปไหน” แม้มันจะกลายเป็นภาวะไม่สบาย ภาวะที่เป็นทุกข์ ภาวะที่เสื่อมไม่เจริญแล้ว มันก็ยังเป็นภาวะที่“มีอยู่” แต่เป็นความเสื่อมไป เรียกชื่อภาวะนี้ว่า “อกุศล” ภาวะนี้ยังไม่หายไปไหน เช่นกัน    

“บุญ”นั้นได้หลงผิดว่าเป็นสมบัติที่คนพึงสะสมมาไว้

ใส่ตน หอบหวง“บุญ” กอบโกย“บุญ” ให้แก่ตนมากๆฉันใด

ก็แค่..กรรมสะสมความเป็น“กุศล”ใส่ตนฉันนั้น ..ก็ได้

แต่ยังไม่ได้“ฆ่ากิเลส” ยังไม่ใช่“บุญ” ..แค่“ได้ความดี” 

คุณมีเงินล้านหนึ่ง เอาให้คนอื่นไปคนอื่นเห็นภาพ แต่ใจคุณที่ไม่ได้ให้ คนอื่นไม่เห็นใจคุณ แต่ถ้าใจคุณให้ไปด้วยอย่างไม่เอาอะไรคืนเลย คุณจบสองเลย ให้ไปตรงๆ ไม่มีองศาโค้งกลับมาเลย จึงเป็นการให้อย่างบริสุทธิ์ที่สุดตรงที่สุด

“กรรม”นั้นยังไม่ใช่“การกำจัด-การฆ่า”

“กรรม”นี้ยังจะ“เอา” ยังไม่ใช่“กรรม”ที่เป็น“การฆ่า”

นี่แหละ ผิด   “ผิด”อย่างมหามหันต์

ผิดอย่างสำคัญมากในศาสนาพุทธ 

เพราะด้วยสัจจะที่จริง“บุญ”กับ“กุศล”มีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งมาก ลึกล้ำยิ่ง ..เห็นได้มั้ย?

ผลของ“กุศล”นั้นคือ“มี”ภาวะที่ดี..ถึงดีได้อย่างยิ่งๆไม่จบ ไม่สิ้นสุด  ยัง“มี”เพิ่มไปได้ตลอดกาลที่ทำ“กุศล”

“กุศล”ก็ยิ่ง“มี”ในตนมากขึ้นๆๆๆๆๆ ได้เรื่อยไป

เพราะ“กุศล”คือบรรดา“ทรัพย์-ศฤงคาร” ยิ่งทำยิ่งได้ “มากมี”ทับทวียิ่งๆขึ้น  “มี”ในตนไปได้ยิ่งขึ้นๆ ไม่มีที่สุด

แต่บุญนั้นมีที่สิ้นสุดคือ 0 แต่กุศลนั้นไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนคำว่า“บุญ”นั้นคือบรรดา“อาวุธฆ่าอกุศล-เครื่องประหารกิเลส” ยิ่งทำยิ่งลด “น้อยลงๆ”ตาม“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา)ที่ทำสำเร็จ ยิ่งสิ้นไป หมดเกลี้ยงเป็นที่สุด

หากเป็นผู้“หมดบุญ”(ปุญญปริกฺขีโณ) เป็นผู้“หมดสิ้นบาปในตน” ก็เป็น“ผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญบาปปริกฺขีโณ)

คนผู้นี้ก็หมดเรื่อง“บุญ”สำหรับตน ไม่ต้อง“ทำบุญ”อีก

“กุศล”เมื่อ“ทำแล้ว”ได้สะสมเพิ่มขึ้น มีมากขึ้นๆๆ แล้วก็ทำ“กุศล”ต่อไป ก็ยิ่งมี“กุศล”มากยิ่งๆขึ้น ไม่มีที่จบสิ้น

แต่“บุญ”นั้นเมื่อ“ทำแล้ว” กิเลสก็ลดละหน่ายคลาย ลดลงๆ หมดไปๆๆๆๆ จนที่สุด“บุญ”ก็หมดสิ้นไปจากตน เป็น“คนสิ้นบุญ”(อรหัตตผล) เป็น“ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป”สนิท(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) ผู้นี้ก็เป็น“อรหันต์” จบสิ้น จบกิจที่จะทำ

เนื่องจากผลของ“บุญ”คือ“กำจัด”ภาวะนั้นๆออกไป เช่น กำจัด“บาป”หรือ“อกุศล” จนที่สุด“ภาะนั้นไม่มีเหลือเลย” ก็“จบกิจ”  “จบกิจ”ก็เป็นอัน“หมดสิ้นบุญ”ไปเลย

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:41:54 )

590516

รายละเอียด

590516_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 9

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2559 ที่บ้านราชเมืองเรือ กะว่าถึงวันที่ 20 ก็จะส่งต้นฉบับและให้เขาพิมพ์หนังสือก็คงจะแก้อีกไม่น้อย ที่ได้บรรยายไปนี้เป็นธรรมะที่ขุดย้อนไปถึงเขาหลักของธรรมศาสนาพุทธมีความลึกซึ้งลึกล้ำแต่ไม่ลึกลับ ยิ่งพูดก็ยิ่งลึกแต่คนข้างนอกก็จะยิ่งไม่รู้อย่างที่เขาส่งข้อความทางไลน์มาอย่างนั้นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าเป็นบวกเป็นลบอย่างไรดีกว่าคนที่ไม่สนใจเลยนะน่าสงสารไม่สนใจเรื่องธรรมะ จะว่าอาตมาหลงธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นไรใครที่ไม่สนใจธรรมะของพระพุทธเจ้าเลยก็คือคนโง่กว่าคนอื่น

Sms 15พ.ค. 59

0805925xxx ลีลาพ่ออ่านSMSน่าฟังมีลูกเล่นเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนนักพากษ์จุงเบยย!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯตอบประเด็นธรรมะทุกคำถามตรงใจสะใจกินใจประทับใจที่สุด!คนไร้แอร์พัดลมมือ2ตัวเก่าบ่ใช่พัดมือเจ้าข้า!

0893867xxx วัย82ของพ่อครูบ่ได้เก่งแต่เข็นปุ๋ย!เดินมาราธอนปั่นBMXพายเรือไม้เบ้อเริ่ม!ว่า ยน้ำอึดเป็นที่1สุดยอดนักบวชสูงวัยผู้ฉันมังสะวิรัติมื้อเดียวที่คนกิน3มื้อทำไม่ได้เท่า! 0805925xxx คนไม่เข้าใจคำว่าบุญเพราะไม่ศึกษาธรรมถ่องแท้จึงมักติดปากพูดเวลาใครทำดี!

0805925xxx ลดอัตตาปิดอายตนะกิเลสหมดจบภพชาติสิ้นบาปบุญเฮ๊ดยากกกกกกแท้ยัย

ส่วนบุญคือการฟอกสบู่ในกายภายนอกให้สะอาดแต่ขี้ไคลกิเลสยังมีอยู่แม่นเนาะ?

0893867xxx อัตตาที่ยึดถือทำให้เกิดทุกข์! ดับทุกข์ดับที่การลดอัตตา ละการยึดถือตัวตนจนหมดกิเลส นั่นล่ะคือการทำบุญให้ตัวเองดีที่สุด!

 0805925xxx หมดดีหมดยึดติดหมดกรรมบาปนั่นแหละบุญแห่งธรรมอีกอสงไขยสิพ้น0บ่

นู๋ยังสูนหลายคักคักม่ายยพ้น0อีกกัปป์กัลล์เฮ้อยังล่องเรือน้อยลอยวน?555

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะศิลปะการเข้าถึงสัปปุริสธรรมนำอภิสังขารธรรมะ2เป็นธรรม1เอกสโมสรณา ภวันติในความแตกต่างของทุกสภาวะให้อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

 

จากไลน์คุณ Aoi Bringsoe

กราบนม้สการพ่อครูค่ะ ท่านเป็นศิลปินทางธรรมที่แท้จริง ลูกอยู่ไกล บริโภคธรรมะ แบบแช่แข็งของพ่อท่านทุกวัน ยังสามารถเปลี่ยน DNA ของตัวเองมาเป็นนักมังสวิรัติได้ 2ปีกว่าแล้วค่ะ ส่วนเรื่องบุญ ยังคงต้องมีอยู่บ้างเพราะกิเลสยังเยอะอยู่ค่ะ สาธุค่ะ

 

พ่อครูว่า กลละ นี่ มีคนบอกว่า คือ Cell แม้จะเล็กละเอียดก็ต้องฝึกหัดที่จะอ่านอาการ ที่เป็นพลังงาน มีเงื่อนไข นิยาม ตั้งแต่ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ ที่ต้องอธิบายจนกว่าอาตมาจะตายไป สองเส้า ก็คืออุตุ ไม่มีเหลี่ยมอะไรมาก ปรุงแต่งเฉพาะตน เป็นธาตุแข็งไป

พอมาเป็นสามเส้านี้เร่ิมหมุน มีความพอในตัวเอง ไม่รุกรานใคร

แต่พอมาเพิ่มขึ้นเป็นจิตนิยามก็มีความรุกรานคนอื่นเพิ่มขึ้น จนเล่ห์เหลี่ยมจัด มีการปรุงแต่งซับซ้อนมากมาย จนพัฒนาจิตนี้ให้แยกกุศลอกุศลออกจากกันได้ แล้วทำอกุศลให้หายไปโดยสามารถ

มีสองนัย หายไปโดยไม่จริง สะกดไว้ได้ กับอีกนัยคือหายไปโดยปัญญา รู้ตัว เป็นธาตุรู้ที่เป็นเอง แม้หายไปแล้วเราก็ยังเห็นอยู่ในโลกนี้ คลุกคลีอยู่ แต่มันไม่ได้มาเป็นโทษกับเราได้แล้ว ดีไม่ดีเป็นมิตรกับเราได้เลย ถ้าสูงจริง มันเป็นตัวร้ายที่เคยอยู่กับเรา แต่พอเราขจัดมันได้มันกลับมาอยู่กับเราได้อีก มีพลังเหนือชั้นจริงๆ สุดวิเศษที่ทำได้

DNA เป็นภาษาของชีวเคมีก็ว่าไป แต่ของนามธรรมนั้นเทียบเคียงชื่อได้ มีวิชชาจรณสมบัติ สองนัยของอาการจิตเรา ถ้าเราไม่หลงเลอะ แล้วรู้จักอาการจิตเราได้จริง จับได้ จัดการได้อย่างสำเร็จมีผลจริงจะรู้ยืนยันได้

 

จาก เฟสบุค กองทัพธรรมFP

 

กราบนมัสการ แอดมินค่ะ   ดิฉันต้องการรายงาน สภาวธรรมของตัวเองแก่พ่อท่านค่ะ   ประวัติการปฏิบัติธรรมของลูก เริ่มปี 2535 ที่แดนมหามงคล หลังจากนั้นศึกษาด้วยตนเองโดยศึกษาจากหนังสือของเกจิอาจารย์ทั้งประเทศ และศรัทธาในคำสอนของ หลวงปู่ชา และท่านพุทธทาส มากที่สุด และได้อ่านพระไตรปิฏกโดยไม่มีคนสอน ได้ศึกษา จุลศีล มัชฌิศีล มหาศีล จากตามรอยพระอรหันต์ และจากพรหมชาลสูตร โดยอ่านเองตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม เมื่ออ่านพระไตรปิฏก พระสูตรหมดทุกเล่ม ภิกษุณีวินัย อภิธรรมแปล วิสุทธิมรรค และพุทธวจนต่าง ๆ ก็เลิกถือมงคลตื่นข่าว เลิกบูชาเทวดาทั้งหมด รวมทั้งภูมิเทวดา  พยายามเสาะหาวัดที่สอนเหมือนพระพุทธเจ้าสอน แตหาไม่ได้ จนกระทั่งปลายปี 48 หรือต้นปี 49 ไม่แต่ใจ ได้ติดตามรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สรรจร  ได้ฟังพระเทศ เวลาเช้า ฟังไปทำงานไปด้วย ก็เกิดสะดุดคำสอน อุทานมาว่าเหมือนพระพุทธเจ้าสอนเลย แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เทศน์

เมื่อพิธีกรประกาศก็ว่ากราบนมันการขอบคุณพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ลูกก็มันใจว่าเจอแล้ววัดที่ตามหา แล้วธรรมะก็จัดสรรค์ให้ชาวปฐมอโศกไปซื้อนาแรงรัก ซึ่งมีที่ดินของลูกพี่ลูกน้องอยู่ในนั้นแล้วเขาไม่ยอมขาย แล้วพาไปดูที่ของเขา ทำให้ลูกได้เข้าไปคบคุ้น และปัจจุบันก็ไปทำนาที่นาแรงรัก แบบไปกลับ  ลูกมีความทุกข์มากที่ต้องปฏิบติธรรมอยู่ในเรื่อง เพราะจริง ๆ แล้วตัดสินใจบวชตลอดชีวิตตั้งแต่พบพระพุทธเจ้าเมื่อปี 35 แต่มีอุปสรรคตลอดมา พ่อป่วย สามีป่วย แม่ป่วย ลูกป่วย ทำให้ต้องรับวิบาก ทุกข์ทรมานที่ต้องอยู่กับกองกิเลสของคนอื่น เพราะกิเลสตัวเองก็หนักหนาอยู่แล้ว แต่ลูกก็มิได้ย่อท้อ สมาทานศีล 5 ตลอดชีวิต ศีล 8 ทุกวันพระ     

แล้วฟ้าก็เปิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 59 ลูกได้มีโอกาสไปร่วมงานปลุกเสก ชีวิตก็เหมือนหลุดออกจากบ่วงเมื่อพ่อท่านเทศถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมของคนสมัยพระพุทธเจ้า ว่าฆราวาสบรรลุธรรมมากกว่านักบวชอีก แล้วก็บอกว่าไม่ต้องกลัวอีกหน่อยจะมากันทั้งครอบครัวเลย เรื่องการสอนลูกต้องมีศีลปะ ต้องค่อยตะล่อม  ทำให้โล่งอก เหมือนยกภูเขาออก แล้วเหตุการมหัสจรรย์ก็เกิดกับลูกหลายอย่างในงานปลุกเสก แม้แต่การขอชื่อ เพราะ ลูกอยากได้ชื่อใจพอ ก็มีคนชื่อนี้แล้ว ชื่อพอแล้วก็มีสมณะชื่อนี้อีก ก็ตัดสินใจว่าจะชื่อพอตัวเดีว และเมื่อขอชื่อจากพ่อท่าน ๆ ก็บอกว่าพอตัวเดียวก็ดีแล้ว ทำให้เพื่อน ๆที่คุยกันอยู่ในที่นั้นตกตะลึง เพราะกำลังคุยกันอยู่แล้วพ่อท่านก็มาพอดี  หลังจากกลับจากงานปลุกเสก ลูกได้สมาทานศีล 10 ต่อหน้าพระพุทธาภิธรรมนิมิต  เมื่อถึงบ้านเล่าให้สามีและลูกฟังเขาก็ไม่ขัดข้อง  ลูกเพียงแค่อดมื้อเย็นก็ได้ศีล 10 แล้ว เพราะข้ออื่นปฏิบัติมานานมากแล้ว ทำงานฟรีไม่ใช้เงินเพื่อตนเองมาตั้งแต่ปี 40 ปฏิญาณไว้ว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงให้เป็นทานทั้งหมด ไม่ว่างานวิทยากร การประสานงานซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือมีผู้อยากทำบุญด้วยก็ใช้ในการกุศลทั้งหมด

 

เมื่อได้รักษาศีล 10 อยู่ในเรือน ก็รู้สึกถึงเสรีภาพได้ทันที มีอิสระไม่กังวลเรื่องกินถึงแม้จะมีคนหาให้ทุกมื้อแต่ก็ยังยุ่งยากกับเขาอยู่ดี  ตอนนี้ลูกรู้สึกเบามาก พาสามีและลูกไปนาแรงรัก ปีนี้ขอทำนาเป็นส่วนตัว ประมาณ 2 ไร ซึ่งสามีก็รับปากว่าจะช่วย  ลูกสาวอาสสอนภาษาไทยให้กับเด็ก ในวันหยุด ขณะนี้ลูกสาวของลูกมีตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษากาญจนบุรี ก็เหลือเชื่อที่เขาทำตามคำขอของลูกทันทีเมื่อกลับจากงานปลุกเสก

 

ลูกเชื่อมันในปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ขอกำลังใจจากพ่อท่านให้ลูกได้บรรลุถึงทางที่ต้องการด้วยเถิด ลูกอธิษฐานชาติสุดท้ายมานานแล้ว พอ แล้วจริง ๆเจ้าค่ะ

 

 

กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง  ลูกพอ (นางสายันต์ ธนานันท์)

 

 

 

ปล.ลูกสาวจบ อักษรศาสตร์ มหาบัณฑิต (เอกภาษาไทย ด้านภาษาศาสตร์) ม.ศิลปากร

สามีดิฉันก็มาช่วยสีข้าวที่นาแรงรัก ส่วนลูกสาวกำลังทำความคุ้นเคยกับเด็กเตรียม ม.1 ปฐมอโศก

พ่อครูว่า เป็น demand ของสังคมที่สูงมาก สำหรับคนที่หลุดพ้นจากโลกีย์มาหลายอย่างมารวมกันเป็นหมู่กลุ่มนี่ อาตมาว่าเป็นได้จริง อยู่มาถึง 45-46 ปีแล้วก็ยังมีอยู่รอด ตายไปก็มี ต่อไปก็จะมีอีก จะดูว่าอัตราสมาชิกชาวอโศกที่เป็นเนื้อแท้จะลดหย่อยลงไปหรือไม่มันมีตัวชี้บ่ง ลักษณะที่เป็นอาริยธรรม โลกุตรธรรม มีตัวชี้บ่งที่เอาเงื่อนไขของพระพุทธเจ้ามายืนยันได้ว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งนั้นเลย

ส่ิงที่เป็นจริงนี้จะพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งตอนนี้มีมวลมากที่สุดเทียบกับที่อื่นๆ ไม่ว่าจที่เนปาลหรือที่ไหนๆ ก็เทียบได้ว่า มีอาริยบุคคลมากกว่า ยืนยันได้ตามรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ แล้วมีแกนหลักคือเกษตรศาสตร์ สำหรับพื้นที่ที่ปลูกพืชไม่ได้ก็กินเนื้อก็ว่าไป แต่ที่ๆปลูกพืชได้นั้น มวลคนกินพืชมีมากกว่าคนกินเนื้อสัตว์ อันนี้เป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่มีประโยชน์ บรรลุสูงสุดได้

อาตมายืนยันได้ ในฐานของคนที่ใหญ่สุดของประเทศไทย อย่างในหลวง ภูมิของท่านตรงกับที่อาตมายืนยันเลย แต่ท่านก็ต้องทำตามฐานะของท่าน ท่านจะมาทำบุญกับอาตมาไม่ได้ นอกจากจะมีในหลวงในประเทศไทยแล้ว พลเมืองอย่างพวกคุณก็มีมามีทุกภาคด้วย ก็มารวมกันตามจริง ต่างประเทศยังไม่มา แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็สร้างเมืองในเมืองไทยไปเรื่อยๆ มี สัปปายะ 4 เสนาสนะ_อาหาร_บุคคล_ธรรมะ สัปปายะ จะค่อยขยายตัว ในแกนของโลกุตระแบบอย่างที่อาตมาตั้งชื่อลำลองว่า แบบบุญนิยม จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อยเข้าใจไปตามลำดับ

เราจะรู้ว่าเราจริงใจแค่ไหน เราง่อนแง่นหรือมั่นคงแค่ไหนก็รู้ตัวเอง อาตมาไม่บังคับ ไม่ต้องการง้องอน ถ้าไปบังคับง้องอน อาตมาก็ไม่ใช่ ไม่ต่อรอง ไม่ง้องอน ไม่บังคับ คุณมาอยู่เองนะ ไม่มีติดสินบน ก็เลยได้ตัวจริง เห็นความฉลาดของอาตมาไหม แล้วได้คนแบบนี้มา อาตมาว่า อาตมาใช้ความฉลาดที่สุดแล้ว

เพราะอาตมาชัดเจนว่าธรรมะพระพุทธเจ้าในยุคนี้มีแล้ว มีจำนวนไม่ใช่น้อยที่นี่แล้ว เป็นไปเรื่อยๆ ก็ขมีขมันช่วยกันคนละไม้คนละมือ “การช่วยคนอื่น เท่ากับช่วยตนเอง” “การช่วยตนเองให้บริสุทธิ์สัมมาทิฏฐิเท่าไหร่ จะยิ่งช่วยคนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น”  ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลก…. ในที่สุด

 

_โยมถามมาว่า ท่านคะ ฝากคำถามค่ะ

ท่านจะเรียนถามพ่อท่านหรือหมู่สมณะก็ได้ค่ะ

 

หลังๆมานี้ งานศพในพุทธสถานเริ่มใช้ดอกไม้ประดับหน้าศพบางทีก็เป็นดอกไม้กระถาง บางทีก็เป็นดอกไม้โดยตรงเลย  ไม่ทราบว่า ตามประเพณีเดิมของชาวอโศก ที่ไม่ให้ใช้ธูปเทียนและการประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ยังจะคงอยู่มั้ยคะ

ตอบ...ก็ติงกันมาก็ดีแล้วไม่เช่นนั้นจะบานปลาย จะมีตามที่มีเล็กๆน้อยๆก็พอได้แต่ไม่ต้องถึงกับไปซื้อหามา อย่างบนโต๊ะนี้ก็มีประดับครบครันเลย เป็นพืชพันธ์ธัญญาหารที่เราทำอย่างไร้สารพิษ มีผลสำเร็จทุกวันนี้สังคมยอมรับเรานะ ว่าพวกเรานี้เอาจริง ซื่อตรงในการทำเพื่อความบริสุทธิ์สะอาด เข้าหาธรรมชาติ ความจริง เป็นวิทยาศาสตร์เชิงบ้านนอกๆ จริงๆไม่ใช่เล่นนะ เราก็ทำไปเรื่อยๆจนอีกหน่อยเขาจะมีห้องวิจัยของพวกเราเอง ทุกวันนี้เราทำได้ถึงจุลินทรีย์แคปซูล ชื่อจุลินทรีย์เจ้าเจ๋ง เราชัดเจนว่าจะไปเอาเปรียบเขาทำไม

“คนเอาเปรียบคนอื่นนี่ยังโง่อยู่ ถ้าเราฉลาดที่จะเสียสละได้ เราจะโง่อยู่ทำไม”...พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 16 พ.ค. 59

มันก่อหวอดที่เป็นไปได้แล้ว อาตมาจะพาสร้างหมู่ที่จะช่วยมนุษชาติที่ตอนนี้เลวร้ายแรงได้ เราทำได้สิ่งมหัศจรรย์จะค่อยเกิดในหมู่เรา ทุกวันนี้คนมากินมื้อเดียวแต่มีกำลังไม่ใช้เงินใช้ทองแล้วทำงานสร้างสรร เป็นเรื่องมหัศจรรย์ทั้งสิ้น เอาความสงบสยบความรุนแรงได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ทั้งสิ้น ไม่ใช่อวดโอ่ แต่เป็นไปตามธรรม

คนข้างนอกที่มีปัญญาจะเห็นว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดไม่ง่าย แต่มีเหตุปัจจัยทำให้เป็น ไม่ใช่สร้างเอาเองได้

สำหรับงานศพก็ขอเรื่องธูปเทียนอย่าจุดกัน แต่เรื่องดอกไม้ก็เพลาๆลงบ้าง อนุโลมได้ แต่ธูปเทียนนี่ไม่มีประโยชน์เลย แล้วอาจพาไฟไหม้ได้ แต่เขาจุดกันเพราะจะได้ติดต่อกับสิ่งใดๆได้ ใช้ควันใช้แสง(เปลว) จุดทำไม? มันต้องจุด เราไม่ใช่เทวนิยม ไม่มีวิญญาณล่องลอย จะอยู่ไหนก็แล้วแต่ เราไม่ได้ว่าไม่มีแต่มันก็ไปตามวิบากเขา ไปเกี่ยวทำไม ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกันตอนเป็นๆ แม้มาเกิดร่วมยุคนี้ก็ไม่เจอกันเลยนับไม่ถ้วน ที่จะมาเกี่ยวก็มาแต่ไม่มาก็ไม่มานับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้นเท่าที่มีนี้จัดการให้ดีที่สุด ให้เหลือพอมากพอ เกินพอ แค่นี้ก็รับมือให้ดีก็แล้วกัน

_ถึง คุณพิพัฒน์ วสุพัฒน์ ที่ ส่งข้อความมาทางไลน์ว่า

ทุกข์เพราะโง่ โง่เพราะไม่รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง พอรู้แล้วหายโง่ หายโง่ก็หายทุกข์

หากพ่อครูได้ฟังคำอธิบายจากผม สิ่งที่ท่านเรียนรู้มาล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระ

พ่อครูตอบ…โอ้โห นิมนต์มาพบอาตมาหน่อย อาตมาอยากหมดเป็นคนไร้สาระเหมือนกัน

ขอถามหน่อยว่าคุณรู้ไหมว่าอาตมาเป็นใครตามความเป็นจริง พอรู้แล้ว คุณจะหายโง่เลย… ถ้ายอมรับความจริงนั้นด้วยจะหายทุกข์ แต่ถ้าคุณรู้ว่าอาตมาเป็นใครแต่คุณไม่ยอมรับความเป็นจริง คุณจะยิ่งทุกข์…

ไม่ต้องฟังคำอธิบายจากคุณแต่อ่านที่คุณสรุปมานี้ก็จบแล้ว

พ่อครูว่า อาตมาไม่สงสัยคุณหรอก อาตมาดูคุณทะลุแล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่ทะลุของอาตมาก็ถามมาได้...

 

Mod 4578

กราบนมัสการพ่อครูที่เคารบรักเป็นอย่างสูงค่ะ ลูกยังนึกว่าลูกฝันไปค่ะพ่อครู ที่ลูกยังไดเจอธรรมะที่ถูกต้องถูกตรง ของพระพุทธเจ้าผ่านพ่อทางจิตวิญญาณ ลูกเคยพูดกับพี่สาวค่ะพ่อครู ว่ายุคนี้น่าจะเป็นยุคของพระพุทธเจ้าลูกจะได้ถามถึงธรรมะที่แท้จริงค่ะ ที่ทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ลูกฟังธรรมะพ่อครูมาได้หนึ่งปีครึ่ง ยิ่งจริงยิ่งชัดยิ่งใช่ค่ะ จะขอพากเพียรเดินตามพ่อไป ไม่คิดย้อนรอยถอยหลังค่ะ

อาตมาได้บรรยายถึงคำว่าบุญกับกุศล ...บุญนี้เป็นสภาวธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ซวยที่คนเอาไปใช้ผิดความหมายไปบานไปเรื่อยๆ แม้ศาสนาอื่นก็เอาไปใช้ อาตมาต้องมาดึงกลับ

บุญคืออาวุธฆ่าอกุศล ตัวกิเลส ตัวเกเรทั้งหลาย

                             

เพราะด้วยสัจจะที่จริง“บุญ”กับ“กุศล”มีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งมาก ลึกล้ำยิ่ง ..เห็นได้มั้ย? ผลของ“กุศล”นั้นคือ“มี”ภาวะที่ดี..ถึงดีได้อย่างยิ่งๆ

ไม่จบ ไม่สิ้นสุด ยัง“มี”เพิ่มไปได้ตลอดกาลที่ทำ“กุศล” “กุศล”ก็ยิ่ง“มี”ในตนมากขึ้นๆๆๆๆๆ ได้เรื่อยไป เพราะ“กุศล”คือบรรดา“ทรัพย์-ศฤงคาร” ยิ่งทำยิ่งได้ “มากมี”ทับทวียิ่งๆขึ้น “มี”ในตนไปได้ยิ่งขึ้นๆ ไม่มีที่สุด ส่วนคำว่า“บุญ”นั้นคือบรรดา“อาวุธฆ่าอกุศล-เครื่องประหารกิเลส” ยิ่งทำยิ่งลด “น้อยลงๆ”ตาม“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา)ที่ทำสำเร็จ ยิ่งสิ้นไป หมดเกลี้ยงเป็นที่สุด หากเป็นผู้“หมดบุญ”(ปุญญปริกฺขีโณ) เป็นผู้“หมดสิ้นบาปในตน” ก็เป็น“ผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญบาปปริกฺขีโณ) คนผู้นี้ก็หมดเรื่อง“บุญ”สำหรับตน ไม่ต้อง“ทำบุญ”อีก “กุศล”เมื่อ“ทำแล้ว”ได้สะสมเพิ่มขึ้น มีมากขึ้นๆๆ แล้วก็ทำ“กุศล”ต่อไป ก็ยิ่งมี“กุศล”มากยิ่งๆขึ้น ไม่มีที่จบสิ้น แต่“บุญ”นั้นเมื่อ“ทำแล้ว” กิเลสก็ลดละหน่ายคลาย ลดลงๆ หมดไปๆๆๆๆ จนที่สุด“บุญ”ก็หมดสิ้นไปจากตน เป็น“คนสิ้นบุญ”(อรหัตตผล) เป็น“ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป”สนิท(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) ผู้นี้ก็เป็น“อรหันต์” จบสิ้น จบกิจที่จะทำ

เนื่องจากผลของ“บุญ”คือ“กำจัด”ภาวะนั้นๆออกไป เช่น กำจัด“บาป”หรือ“อกุศล” จนที่สุด“ภาะนั้นไม่มีเหลือเลย” ก็“จบกิจ” “จบกิจ”ก็เป็นอัน“หมดสิ้นบุญ”ไปเลย คนผู้“หมดสิ้นบุญ”ก็คือ ผู้“หมดส่วนบุญ”นั้นภาษาก็ว่าหมด“ปุญญภาค”หรือหมด“ปุญญภาคิยา” ได้แก่ ผู้พ้นความเป็น“เสขบุคคล” หรือหมดความเป็นเปรต ก้าวหน้าขึ้นเป็น“อเสขบุคคล”

(4) นัยสำคัญยิ่ง คือ“บุญ”นั้นยิ่ง“ไม่มี” แต่“กุศล”ยิ่ง“มี”

ดังนั้น อรหันต์จึงคือ ผู้“จบกิจของบุญ” เป็นผู้“สิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) เป็นผู้ไม่ทำบุญอีก ไม่มี“บุญ”แล้ว หน้าที่ของ“บุญ”เสร็จแล้ว “จบ”แล้ว “บุญ”ก็ไม่มีในตน ตนก็ไม่ต้อง“ใช้บุญ”สำหรับตนอีกแล้ว “บุญ”นั้นก็สำเร็จ ผลก็คือ เป็น“คนสิ้นบุญ”อย่างยั่งยืนตลอดกาล เป็น“คนไม่ต้องใช้บุญ-หรือไม่ต้องมีบุญสำหรับตนทำต่อไปอีกแล้ว” ในชีวิตที่จะ“มีอยู่”อีกกี่ชาติๆก็ตาม มีแต่“กุศล”เท่านั้นที่จะ“มี”มากขึ้นๆ เป็น“บารมี”

พ่อครูว่า...ต้องมีคู่ชกที่ชกได้ถึงขนาดให้รู้สึกได้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้สึก หรอกถ้าผู้ท้าชิงไม่ถึง แล้วเกิดมาอีกหลายปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปี ผู้ท้าชิงก็จะลดลงเรื่อยๆ กาละเวลามากอย่างนั้นจริงๆ จึงจะเรียกว่าผู้นี้คือพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่ล้านปีเลย หลายล้านปีด้วย มันจะแปลกอะไร เพราะโพธิสัตว์จะเกิดอีกกี่ล้านครั้งก็ไม่สูญเสียอะไร

ผล“บุญ”ที่ได้ จึงไม่ใช่สิ่ง“มี” ไม่ใช่ภาวะที่ต้องสะสม ผลที่ได้ของ“บุญ”ยิ่ง“ไม่มี” ยิ่งเกลี้ยง-สะอาด แต่ผลที่ได้ของ“กุศล”ยิ่ง“มี” ยิ่งสะสม ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆๆๆ ผลที่ได้ของ“บุญ”ยิ่ง“หมดสิ้นไป” ผลสูงสุดคือ“สูญจบ” สูญสนิท ไม่เหลือแม้ธุลีละอองใด ยั่งยืนตลอดกาล ชาวพุทธเข้าใจผิดในคำว่า “บุญ”(มิจฉาทิฏฐิ) ผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ จนกระทั่งไร้ผลจากศาสนาพุทธกันเลยทีเดียว นี้เป็นความเข้าใจผิดของชาวพุทธที่สำคัญยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่มาก เพราะคำว่า“บุญ”นี้เองที่ทำให้ชาวพุทธทุกวันนี้พากันใช้คำว่า“บุญ”ทำลายศาสนาพุทธเสียเองด้วย เพราะชาวพุทธได้พากันหลงผิด โดยเฉพาะ“ผู้รู้”ที่มิจฉาทิฏฐิในคำว่า“บุญ” จึงได้พากันเอาคำว่า“บุญ”ไปหลอกคนว่า เป็น“วิมาน”ที่คนอยากได้มาสะสมไว้ในตนให้มากๆ ศาสนาพุทธเสื่อมหนักมากจริงๆ เพราะเหตุนี้

ใครเข้าใจคำว่าบุญผิด มิจฉาทิฏฐิ นั้นล้มเหลวในการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เริ่มเลย เป็นความเข้าใจผิดของชาวพุทธที่สำคัญยิ่งใหญ่

(5) เริ่ม“ศึกษา”ความเป็น“โลกีย์”จากคำว่า“วิมาน”ก่อน เหตุก็คือ ใช้“วิมาน”นี่แหละหลอกคนให้มาทำ“บุญ”

แต่ที่ปฏิบัติ“การทำบุญ”นั้น “ทำ”กันอย่างมิจฉาทิฏฐิ เพราะพากันทำอย่างนั้นมันได้“บาป”กันยิ่งๆขึ้นแท้ๆต่างหาก เนื่องมาจาก“การทำใจในใจ”(มนสิการ) ก็ทำไม่เป็น ทำ

ไม่ตรงความจริง และ“รูป”กับ“นาม”ก็ไม่ได้มีการสัมผัสแตะ

กันของ“ธรรมะ 2” หลงไปปฏิบัติหลับตาหนี“ธรรมะ​2”ซ้ำ ด้วย“ความไม่รู้”(อวิชชา)กันนั่นเองจึง“ตั้งจิต”(อธิษฐาน)ทำ“บุญ”กันเอาจริงเอาจัง แต่“การตั้งจิต”ของผู้นั้นเป็น“จิตที่ตั้งไว้ผิด” ก็ได้“โมหะ” คือ ได้“ความหลง”(โมหะ) นี่ชั้นหนึ่งแล้ว และที่“โมหะ”นั้น ก็เป็นได้ทั้งที่“หลงผิด”ว่าถูก นี่อีกชั้น ทั้งที่“หลงติดหลงยึด”เป็น“อุปาทาน” นี่ก็อีกชั้น ทั้งที่“หลงใคร่อยากได้”เป็น“กาม”ยิ่งขึ้นๆ นี่ก็อีก ทั้งที่หลงผิดยึดเอา“ความไม่มีตัวตน”ว่า “มีตัวตน”ก็อีก จะเพราะ“จิตวิปลาสหรือทิฏฐิวิปลาสหรือสัญญาวิปลาส”ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น นี่ก็ยังเป็นอีกหลายชั้น และหรือวิปลาสไปเป็น“ความไม่เที่ยงว่าเที่ยง-ความเป็นทุกข์ว่าสุข-ความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน-ความไม่งามว่างาม” นี้ก็อีก นับมานี่กี่ชั้นแล้วล่ะ(พระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 49) มันหนามันมากมันจัดจ้านกันกี่ชั้นที่หลงผิดกันไป นี้คือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 92 ว่า “โจรหัวโจกกับโจรหัวโจก หรือคนมีเวรกับคน

มีเวรทำร้ายแก่กันและกันนั้น มันเลวหนักยิ่งกว่า”แบบนี้เอง แม้ที่สุด“หลงใหลคลั่งไคล้” เห่อกันว่า ถ้าได้“ทำทาน”

กับคนผู้นี้หรือกับวัดนี้จะรวยใหญ่รวยมาก พากัน“โมหะ”

หลง“ทำบาป”ว่าตนได้“ทำบุญ”กัน เนื่องจากไม่รู้ทันคำ ว่า“วิมาน” ที่ถูกสร้างขึ้นมา“ทำร้าย”ผู้คนกันนี่เอง ก็เพราะการเอาคำว่า “บุญ”นี่แหละ มาหลอกคน

ว่า เป็น“การทำทาน” โดยเฉพาะต้องมาทานแก่ผู้พูดเองนะ

การจองเวร ต้องเร่ิมตั้งแต่สองคนขึ้นไป  จองเวรต่อกัน ไม่รู้จบ แต่ว่าถ้ามีคนหนึ่งจบ ไม่ต่อ คนหนึ่งก็ทำไป ก็จะเหลือแรงครึ่งเดียว ตบมือข้างเดียว ก็จะลดความแรงลงเรื่อยๆ จนกว่าคนที่ไม่หยุดจะรู้ตัวแล้วหยุด เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด คนหยุดได้ก่อนนี่คือผู้ชนะคือผู้ยิ่งใหญ่

อาตมาเคยบอกไหมว่ามาทำทานกับอาตมาจะรวยใหญ่รวยมากไหม ก็ไม่ แต่บอกแค่ว่ามาทำทานกับอาตมาจะยิ่งจน จนจนหมดตัวตนเลย ถ้าคุณอยากรวยอยู่ไม่ต้องมาทำทานกับอาตมา

                             

(6) คนฉลาดชั่วร้าย(เฉโก) กับคนโง่หนัก ที่เลวสมกัน

คนโง่หนัก จึงหลง“ทำทาน”กันใหญ่ ทำกันคึกคัก ทำกันมาก คนฉลาดเลวก็ทำร้ายกันเองยิ่งๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

 

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:42:21 )

590517

รายละเอียด

590517_พุทธศาสนาตามภูมิ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ ตอน 10

พ่อครูว่า...วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2559 เราก็มาฟังกันต่อ

SMS 16 พ.ค 59

0893867xxx อนุโมทนาผู้พบธรรมแท้เสมือนพบพระพุทธเจ้าได้จริงจากคำสอนพ่อครูฯที่เผยแพร่แล้วปฏิบัติในศีลพร้อมญตธ.อโศกจนเข้าสู่โลกโลกุตระ ได้จริงสาธุ

พ่อครูว่า ใครก็คงบอกว่า ของตนเป็นธรรมะแท้ ก็ศึกษาให้ดี จะแท้หรือไม่แท้ จุดสำคัญคือจะต้องอ่านอาการ ที่เขาบอกว่าต้องสอบอารมณ์ หรือต้องอ่านอาการ ของอารมณ์ ต้องชัดเจนว่าอาการคืออย่างไร อาการกายคือ องค์รวมนามรูป ออกมาเป็นอารมณ์หรือเวทนา เจาะเข้าไปในอาการจิต ก็ต้องแยกชัดเจนว่า อารมณ์คือจิต ที่จริงคือกาย แม้แต่คำว่าธรรมะก็คืออาการจิต อยู่ในฐานะของกาย เวทนา จิต ธรรม ต้องชัดเจนในหน้าที่ของแต่ละอัน ทั้ง สี่ลักษณะ 

มีลักษณะ สสัมภาระ(ลีลาปรุงแต่งตนเองมีการงานการเคลื่อนของตน เป็นภาระหน้าที่ของมัน) ก็ต้องอ่านให้ออก แล้วมันก็ปรุงมาเป็นอารัมนะ มันแยกยากตรงที่ว่า สภาวะอาการจริงของมันอย่างหนึ่ง แล้วอาการกิเลสมาผสมอีกอย่างอันนี้แหละเรียกว่า เวทนา 2 เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย กับอาการแท้ของสิ่งนั้น กับอาการของคุณที่ไปเกิดอาการกับอาการแท้นั้น ผลักหรือดูด ชอบหรือชัง สวรรค์หรือนรก สุขหรือทุกข์ นี่คือ เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย

ก็ต้องหาเหตุปัจจัยของความไม่ใช้ธรรมดาที่เป็นตัวแท้ ของใครของมันที่เป็นความรู้สึกอาการผลักหรือดูด ทำลายเหตุที่เป็นตัวก่อให้ได้ ตรงๆ ของพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนว่าโจรอยู่ตรงไหนไม่ใช่ดับหรือเผาทั้งประเทศเพื่อจับโจร จึงมีวิจัยออกมาเป็นจิต 89 ลักษณะ หรือ 121 ลักษณะ แต่ถ้าฆ่าโจรก็เผาทั้ง 121 ลักษณะเลยมันเกินไป ทำลายมากเกินไป ดีไม่ดี โจรเล็ดลอดหนีไปได้ด้วยไม่ตาย แต่ที่ตายนั้นอันอื่น เป็นต้น

ต้องชัดเจนจับตัวกิเลสให้ชัดแล้วมีไฟฌาน คือไฟแห่งปัญญาที่ไปทำลายพลังงานราคะ พลังงานโทสะ พลังงานโมหะ ได้

 

0805925xxx บุญคือพระเอกกุศลคือผู้ช่วยพระเอกกิเลสอกุศลกามราคะคือผู้ร้ายวัฏฏะคือโลกภพร่างกายคือบ้านเช่าโลกุตระธรรมคือโอสถปราบบาปบุญ? สัจจะบารมีคือบันไดตั้งมั่นของจิตมุ่งกุศลกรรมดีชำระจิตได้ส่วนบุญ?นู๋คึดจังซี้ขำขำเด้อบ่ต้องจ่มนู๋คึดเปรียบจังซี้เนาะพ่อ?ขำขำ

ตอบ...บุญเป็นเครื่องมือ บุญไม่ใช่ของอาศัย บุญตรงกันข้ามกับบาป บาปไม่ควรมีฉันใด บาปก็ไม่ควรมีฉันนั้น แต่จำเป็นต้องสร้างบุญมาฆ่าบาปให้ได้ ใครสร้างบุญมาทำลายบาปได้ คือลูกของพระพุทธเจ้าแท้

0893867xxx ธรรมหลวงปู่พุทธอิสระที่เคยเทศน์คู่รก.ASTVยุคแรก เป็นธรรมที่ปฏิบัติเพื่อกอบกู้ช.ศ.กษ.ธำรงไว้ซึ่งศีลธ.คุ ณธ.จริยธ.ดังสื่อกู้ช.ที่เป็นศิ ษย์ท่านทำเพื่อช.ปชช.จริ ง!

0831219xxx กราบพ่อครูฯ,สณ.,สม.ด้วยความเคารพยิ่งและกราบขอบคุณชาวบุญนิยมทุกท่านฯลูกได้รู้จักชาวอโศกปลายปี57อายุ53ปีเข้าไปแล้วก่อนนั้นเคยมีข้อสงสัยในธรรมที่ไม่มีคำตอบแต่ได้ฟังธรรมจากพ่อครูฯแล้วหมดสงสัย ทุกวันนี้คอยฟังธรรมทั้งสดและแห้งและปฏิบัติตามเจตนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมบุญนิยมครับ@ผู้น้อยธุลีดิน เพียรกอรปบุญ

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะบุญที่ปฏิบัติจนหมดสิ้นบาปโดยธรรมสัพพปาปัสสอกรณังแม้มีกรรมก็่เป็นกุศลกรรมในปัจจุบันขณะสาธุ

 

จากไลน์.... @boonniyomtv

กราบนมก.พ่อท่านๆพูดเสียงดังขึงขัง ขู่นิ้ดนิด แค่พูดคำว่า จน คนอื่นหัวหดแน่ๆๆ แต่ชาวอโศกกระโจนเข้าหาท่านไม่ลังเลเจ้าค่ะ

 

จากเฟซบุ๊ค...สด บุญนิยมทีวี

Vinut Pornanan • กราบสาธุค่ะ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สาธุ สมเมธ ศรีจันทร์ กราบมนัสการพ่อท่านค่ะ Yo Yo • กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ มนัสนิจ นิจนาวี สาธุ Somkiat Sukkasem • สาธุๆๆ ภัสราภรณ์ นิลโท •กราบนมัสการสาธุพ่อครูเจ้าค่ะ สุภาภรณ์ แกล้วทนงค์ •สาธุค่ะ

เชวง กิจจะบรรณ์ นมัสการพ่อครูบุญใช้ฆ่าความโลภความโกรธความหลงไช่ไหมครับ

...พ่อครูต่อใน ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธ….“วิมาน” จะปั้นอะไรก็ได้! จะเป็นอย่างไร? ก็วาดฝันไปตะพึด สารพัด จะพิลึกกึกกือ จะมโหฬาร จะสุดยิ่งสุดใหญ่ขนาดไหนๆ เลิศเลอ หรูหรา อภิมหาวิเศษ บรมประเสริฐ ก็คิดเอา นึกเอา ตามที่อยากได้ให้เป็นให้มี ก็แค่คิดขึ้น ด้วยความฉลาดยิ่งๆ จินตนาการเอาลมๆแล้งๆ แท้ๆมาสร้างขึ้น

แต่เป็นจริงไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตามที่เพ้อฝันออกมาหลอกกัน มอมเมากัน ล้วนคือ“วิมาน”ที่จะเนรมิต เพ้อบ้าๆ ฝันบอๆ ออกมาหลอกล่อกันได้ทั้งนั้น 

โดยมีคำว่า“บุญ”เป็นชื่อสินค้าหลักของสำนัก-ของวัด

ผู้“ซื้อบุญ”ก็จะได้“วิมาน”ที่สวย-ใหญ่-หรู สารพัด

กรอกหูผู้อยากได้“บุญ”จนเป็นที่หลงเชื่อกันทั่วไปว่า

การทำ“บุญ”ที่จ่ายเงิน“ทำทาน”นั้น เป็น“การซื้อบุญ” ซึ่งจะได้“บุญ”อันเป็น“วิมาน”ตามที่พ่อค้าบุญอ้างหลอกโกงกิน

ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ใช่การ“ซื้อ“ด้วยซ้ำ เพราะซื้อยังได้ของแลกเปลี่ยนมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่นี่..มันถูกหลอก“กินฟรี”แท้ๆ ถูกหลอกเอาไป“ฟรี”ๆ แต่ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นชิ้น

เป็นอันมาให้แก่ผู้จ่ายเงิน-จ่ายทรัพย์ออกไป เลย..สักจี๊ด

มีแต่“วิมาน”ลอยลมเท่านั้นที่ผู้จ่าย“หลงลม”นักต้มตัวร้ายทั้งหลาย

ได้“วิมาน”เท่านั้น แค่นั้นเท่านั้นนะ..ไม่ได้อะไรลึกซึ้งไปกว่า “วิมาน”ที่ผู้จ่ายเงิน..ฝันเพ้อว่าจะได้

คำว่า“บุญ” คนทุกวันนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ(มีความเห็นผิด) ว่า  เป็น“วิมาน”หรือ“ภาพหวัง”หรือ“ภาพที่อยากได้มาให้ตน”

“บุญ”จึงเป็น“ภพ-ชาติ”ที่คนผู้ทำทาน“ทำไว้ในใจ”(มนสิกโรติ)ว่า ตนจะได้“วิมาน”ตามที่ตน“ทำทาน”  ถ้ายิ่งทานมากเท่าใด “วิมาน”ก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ยิ่งหรู ยิ่งวิวิธสมาหรา

ก็“ตั้งจิต” คือ อธิษฐานจิต หรือ“ปณิหิตัง จิตตัง”นี้แล ที่“ตั้งขึ้นไว้ในใจลมๆแล้งๆ”เป็นภพ-เป็นชาติ อรูปจิตเท่านั้น

จึงเป็น“อัตตวาทุปาทาน”แท้ๆนั่นเอง ที่แต่ละคนผู้ไป“ทำบุญ”แต่ที่จริง“ทำทาน”แท้ๆ  ที่เขาได้เป็นกอบเป็นกำ

ฉะนี้แล “การได้”ของคนผู้มิจฉาทิฏฐิ แค่จะได้อัตตากับเขาบ้าง “อัตตา”ก็ไม่มีเสียอีก มีแต่ลมๆแล้งๆ มีแค่“วาทะ”เท่านั้นที่ผู้อวิชชาได้ไป  แค่นจะ“ได้”กับเขาทั้งที ..โถ-โถ-โถ

แล้วได้อะไร?  ก็ได้ภาวะที่ไม่มี“ของจริง”..เ-ล-ย

จึงไม่ใช่“สัจธรรม” แม้แต่น้อยแต่นิด

 

(8) แล้วจริงๆแน่ๆ “สัจธรรม”มันคือ อะไรกันแท้..?

“ของจริง”ตรงกับบาลีว่า สัจธรรม อันเป็น“โอฬาริกอัตตา” ซึ่งจะต้องมี“นามรูป”หรือมี“รูปกับนาม” หรือจะเรียกว่า “รูปกาย”ที่ต้องมี“นามธรรม”ร่วมรู้อยู่ด้วย จึงจะชื่อ

ว่า “ของจริง,สิ่งจริง” หรือภาวะที่“สัมผัส 6”ได้ทั้งภายนอกด้วย ตามเงื่อนไขครบใน“วิโมกข์ 8” ว่าต้องมีทั้งภายนอก(พหิทธา)และภายใน(อัชฌัตตัง)อยู่พร้อมในขณะนั้น หรือต้องมี“กาย”คือมี“ภาวะ 2”หรือมี“ธรรมะ 2”เสมอ

ซึ่ง“รูปกาย”หรือ“สัจธรรม”นี้ จะไม่ใช่แค่“วิมาน”แล้ว “รูปธรรม-สัจธรรม”นั้นสามารถรู้ได้ทั้งตนเองและผู้อื่นก็สามารถ“สัมผัส”รู้ร่วมด้วยได้ ทั้ง“สัมผัส 4”

“กาย”เป็น“ธรรมะ 2”ที่มีทั้ง“รูปและนาม” โดยเฉพาะ

ต้องมี“นาม”ร่วมอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า“กาย”  คำว่า“กาย”

ขาด“นาม”ไม่เรียก“กาย” พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “กาย” คือ “จิต-มโน-วิญญาณ” (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) “กาย”จึงหมายเอานาม ..“นาม”นะเป็นสำคัญ เป็นหลักยืนในรูปนาม

และ“รูปกาย”จะมีได้ ก็ต้องมีการสัมผัส 3 แล้ว“นามกาย”เกิดก่อน(ปฏิฆสัมผัสโส) จึงจะมี“รูปกาย”ขึ้นมาให้ผู้สัมผัส

“รู้เห็น”ได้ต่อมา แล้วจึงจะขาน“ชื่อ”(อธิวจนะ)หรือ“สัมผัสชื่อของภาวะ”(อธิวจนสัมผัสโส)นั้นได้ ถ้าภาวะนั้นมี“ชื่อ”แล้ว

ถ้า“ภาวะ”นั้นยังไม่มีชื่อ สังคมยังไม่ตั้งชื่อ “ภาวะนั้น”ก็ไม่มี“อธิวจนะ”จะเรียกขาน ก็มีแต่“สภาวะรูป”ไม่มี“ชื่อ”(นาม)

จึงยังไม่มี“ชื่อ”มาก่อน คือ มีแค่“นามธรรม”ให้เรารู้อยู่ ก็เป็น“นาม”อยู่ที่“ถูกเรารู้” ซึ่งมีฐานะ“อรูป”คือ ไม่มีสรีระ-มีแต่“อาการ”(รูปที่ไม่ใช่ร่าง-รูปที่ไร้สรีระ) [พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60]

พ่อครูยกตัวอย่างเห็ดตีนแรดพอมองแล้ว เรารู้จัก ว่ามันมีลักษณะเห็ดตีนแรดแบบดีงามหรือแบบไม่สมบูรณ์อย่างไรก็รู้ อย่างที่มีนี่ก็ไม่ค่อยเต็มเต็งนัก ก็เอามาโชว์

ทีนี้“สัมผัส 4”ก็ได้แก่ ภาวะที่ต้องมี“มหาภูต 4”[สัจจะที่ทรงอยู่(ธรรมกาย)ทั้งภายนอกและภายใน]ร่วมด้วย และจะสามารถรู้ได้ทั้ง“ลักษณะ(มีภาวะให้สัมผัสนอกก็ดีในก็ดี)-สสัมภาระ(กำลังทำสะสมไว้)-อารัมมนะ(ความรู้สึกของจิต)-สมมุติ(สิ่งที่ผู้อื่นหรือในสังคมก็กำหนดรู้ร่วมกันได้แล้ว)เรียกภาวะนี้ว่า“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)“ของจริง”(สัจธรรม=รูปกาย)นี้มีครบ“สัมผัส 4”ทั้ง“ลักษณะ-สสัมภาระ-อารัมนะ-สมมุติ” เป็น“รูปกาย”แท้ มี“รูปรูป”

(9) “สัจจะ”แตกต่างกับ“สัจธรรม”อย่างไร? แค่ไหน?

ส่วน“ความจริง”(สัจจะ=นามกาย)นั้น มีได้เกือบครบคือ มี“สัมผัส 3” แต่ที่สุดมันยังไม่เป็น“สมมุติ”ใน“สัมผัส 4” อันผู้อื่น“รู้ร่วมไม่ได้ด้วย” คือ คนอื่นไม่สามารถร่วมรู้ได้ด้วย มีตนเองกำหนดขึ้นอยู่ผู้เดียวเท่านั้นภายในของตนเองผู้เดียว โดยเฉพาะ“ภาวะที่เป็นแค่วิมานลมๆแล้งๆ” ภาวะนี้แหละ

คือ “อัตตวิมาน”แท้ๆ ที่คนอื่นคนใดไม่มีสิทธิ์ร่วม“รู้”กับเราหรอก เราเท่านั้น“บ้ามี”อยู่คนเดียวจริงๆ ยังไม่ทรงสภาพใดขึ้นเลย ยังไม่สามารถจะเป็นจริงได้

นี้แหละคือ“สัญญายะ นิจจานิ”ของตนแต่เดียวแท้ๆ

ฉะนี้แล “ตน”(อัตตา)แท้ๆ แน่แล้ทีเดียว ที่พระพุทธเจ้าตรัสเต็มๆว่า “สัญญายะ นิจจานิ”(กำหนดเอาเองว่าแท้ของตนๆ)

เป็น“วิมาน”ตัวจริง เต็มสภาพ โดดเดี่ยว เดียวแด

บ้าเป็น บ้ามี บ้าได้อยู่ผู้เดียวจริงๆ ไม่มีผู้ใดอื่นร่วมบ้าด้วย ผู้อื่นไม่ได้“ทรงสภาพ”นี้ด้วย จึงชื่อว่าไม่ใช่“สัจธรรม”

ถ้า“สัจธรรม”ก็จะมีภาวะ“ธรรม”ทรงขึ้นยิ่งกว่า“สัจจะ”

ตนก็จะต้องมีภาวะที่“ทรงขึ้น”ยิ่งกว่าภาวะที่ไม่ทรงขึ้น

แค่เป็น“สัจจะ”เฉพาะ“ตน”เท่านั้น โดดเดี่ยว เดียวแด แน่แล แท้จริง เพราะตน“กำหนดเอาเองว่าเที่ยงว่าแท้”

ตนเองก็แค่“ลมๆแล้งๆ”อยู่ ยังไม่“ทรงขึ้น”ในใจด้วย

ซึ่งแน่นอนใครอื่นก็ไม่มีทางที่จะ“รู้”ไปกับตนได้เลย ตนบ้าคนเดียว ที่หลงว่าเป็น“ความจริง”(สัจจะ)อยู่แต่ผู้เดียวเอง

พ่อครูว่า...อาตมาเคยถูกข่มขืนแล้วมันทำด้วยความงง ทำไมมันจืดๆเฉยๆ ตลกมากเลย ส่ิงซับซ้อนพวกนี้มันผ่านมาในชีวิตเราทำไม? ยิ่งมาคิดประมวลองค์ประกอบที่เราเจอสิ่งต่างๆมันเป็นสิ่งที่ยืนยันของจริง เพราะเหตุปัจจัยต่างๆธรรมดามันไม่เกิดได้แต่มันเกิดได้เช่นนี้ บอกอีกอย่าง อาตมาถูกเขาข่มขืนแล้ว เขาจะอาอาตมาเป็นสามีให้ได้ อาตมาก็ยอม ทั้งๆที่เขาข่มขืนอาตมา อาตมาก็ยอมจริงๆ แต่เสร็จแล้ว เขาก็เป็นไปตามกรรม จากไปเอง มันจึงยืนยันว่า ทำไมต้องมีวิบากทำให้อาตมาด่างพร้อย อาตมาต้องเสียตัว มันเวรจริงๆเลย ที่เล่านี้เขาตายไปนานแล้วน่ะ

มันมีเหตุปัจจัย อย่างที่พระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็มีคนทำนายท่านมาก่อนว่าจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่ออะไรมีอัครสาวกชื่ออะไร พระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ทำนายไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เป็นเหตุปัจจัยที่ลงตัว เช่นเดียวกับที่อาตมาทำไมต้องชื่อมงคล ชื่อรัก อาตมาปาง 7 ทำไมต้องมาเกิดร่วมกับยุคท่านภูมิพล ต้องมีสุลักษณ์ (ศิวะ)อาตมาเป็นราม อีกองค์หนึ่งก็เป็นพรหม ส่ิงเหล่านี้คนอื่นมาเอาแบบอาตมาไม่ได้ เพราะยุคนี้ของอาตมาคนเดียว

(10) “วิมาน”แท้ๆ จึงไม่ใช่“สัจจะ” เป็น“สัจธรรม”แล้ว

“วิมาน”ก็ดี “สัจจะ”ก็ดีจึงลึกและไกลมาก ที่ต้องเรียนรู้ให้ดีๆ ให้สุขุม-สันตา-ปณีตา-นิปุณายิ่งๆ

เพราะ“วิมาน”ยังไม่ใช่“สัจจะ” “วิมาน”เป็นเพียงแค่

“อรูป”ที่ตนยึดจริง ยังไม่ถึงขั้น“สมมุติธรรม” เป็นแค่“ปรมัตถธรรม”ในตนของตนผู้เดียวอยู่ “ยังให้ผู้อื่นร่วมรู้ด้วยไม่ได้”

และ

“สัจจะ”นี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี”(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419) 

“สัจจะ”ของใครก็ของตนเท่านั้น เท่าที่ตน“กำหนดเอาเอง ตนเท่านั้นว่าจริงจังเที่ยงแท้ของตน”(สัญญายะ นิจจานิ)

หากนำออกมาเปรียบกับคนอื่นเมื่อใด แม้นไม่เป็น “สัจจะ”หนึ่งเดียวกัน ก็จะแตกต่างกันทันที ผู้ยังมี“อัตตา”จะต่างยึดว่า“ของตนเท่านั้นแท้ ของคนอื่นไม่แท้ ของตนเองเท่านั้นถูก ของคนอื่นไม่ถูก” จึงมีการขัดแย้ง ทะเลาะกัน ที่สุดถึงขั้นฆ่ากัน ร้ายสุดๆใส่กัน

แต่ถ้าไม่มีปัญหากัน หรือไปด้วยกันได้ หรือไม่ต้านกัน หรือยอมกัน ก็ถือว่านี่แหละคือ“สมมุติสัจจะ” ที่“มีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี” ซึ่งต่างก็“องค์รวม(กาย)เดียวกัน”

อันแตกต่างกันกับ“สัญญายะ นิจจานิ”(“สัจจะ”ของใครก็ของตนเท่านั้น เท่าที่ตน“กำหนดเอาเอง ตนเท่านั้นว่าจริงจังเที่ยงแท้ของตน)

ดังนั้น ผู้รู้จึงหมดการโต้แย้ง และจะจบได้ด้วย“ตน”

เป็นที่สุด คือ “เราหยุดแล้ว แต่เธอต่างหาก ที่ยังไม่หยุด”

นี้คือ ภาษิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของพระบรมพุทธศาสดา

และ“การหยุด”นี้ก็เป็นการหยุดที่“ทำจิตตน”หยุดจริงๆด้วยนะ ทำ“อารัมมนะ”ของตน(เวทนา=เจตสิก)ให้เป็นจริงได้แท้

ถ้าทำ“อารัมมนะ”ให้เป็น“สัจจะหนึ่งเดียวกัน”ไม่ได้ การยังแย้งกัน ถกกัน หรือเถียงกันอยู่ ก็ยังไม่จบลงได้เพราะ“อัตตา”ฉะนี้แล คือ ตนยังยึด“ทิฏฐิ”ตนเป็น“อัตตา”

เพราะทำ“อารมณ์ 2 ให้เป็น 1”ไม่ได้ ตามสูตรที่ว่า“เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ”

ใครจะยังยึดเอา“อัตตา”ไว้ ก็คือ ผู้ยังมีอัตตาต่อไป

เพราะผู้นั้นยัง“ยึดทิฏฐิ”ของตนอยู่จริง

“ทิฏฐิ”ทั้งหลายก็มี“62 ทิฏฐิ”เท่านั้น(พตปฎ.เล่ม 9 สูตร ที่ 1 พรหมชาลสูตร) เป็นเพชรพุทธสุดยอดศิลปะโลกุตระแท้ๆ

“ทิฏฐิ”นี้ ใครจะสร้างให้เกิดเป็น“ปัญญา”เต็มที่สูงสุดได้ด้วยการปฏิบัติ“มรรค องค์ 8-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” ซึ่งจะมี

“สสัมภาระ”ของ“สัมมาทิฏฐิ”เจริญขึ้นๆเป็นลำดับไปจนครบถ้วนสุดจบถึง“ปัญญาพละ”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) 

แม้แต่ว่า คุณเลือกแล้วมาอยู่ที่หมู่นี้ดี แล้ว คะแนนเสียงเรา ได้ 49 หมู่มี 51 เราก็ต้องให้เกียรติ 51 คน เราก็ต้องหยุด แม้ชนะแค่ 1 คะแนนก็ตาม เราก็ต้องทำตามต้องหยุด

(11) “บุญ”จึงเป็น“อัตตา”แท้ๆ ที่ผู้ทำ“บุญ”ผิด ยังมีอยู่

“ผู้มิจฉาทิฏฐิ”ที่เป็น“ลมๆแล้งๆ”ขั้น“อัตตวาทุปาทาน” วิมานแท้ก็แน่ยิ่งกว่าแน่คือ“โมฆะบุรุษ”เบอร์ 1 หรือแม้จะปฏิบัติ“ทาน”ปฏิบัติ“ศีล”ปฏิบัติ“สมาธิ”ที่มิจฉาทิฏฐิอีกก็ได้แต่“อัตตา”แน่นอน  เก่งสุดท่านก็แบ่งไว้เป็น“อัตตา 3”

“อรูปอัตตา”มีละเอียดเล็กสุด แต่“อัตตวาทุปาทาน” นั้นยิ่งไปกว่าความเป็น“อรูป”จะมีเสียอีก เป็น“แค่นาม”ที่เชื่อ ที่เป็น“อัตตวาทุปาทาน”แค่“ธรรม”ขั้น“นามธรรม”ที่ปักมั่น ว่า “ตน”จะได้“วิมาน”(ลมๆแล้งๆ)ลึกซ้อนอยู่ใน“อรูป”อีกที

ซึ่งเป็น“อุปาทาน”ที่มีแค่“คำพูด”ว่าเป็น“ตัวตน”เป็น“ของตน”จึงมีแต่“คำพูด”มีแต่“ลัทธิ”มีแค่“ทิฏฐิ”ว่าตนเป็น-ตนทำ

เช่น ตนเป็นผู้ทำทาน-ตนเป็นผู้ปฏิบัติศีล-ตนเป็นผู้ปฏิบัติสมาธิ” และหวังว่าจะได้“วิมาน”มาให้ตนใน“อนาคต”ข้างหน้าโ-น้-น  ก็มีแต่ตนในภพ  แต่ตนยังไม่มีแม้แค่“ผัสสะ”

“อัตตา”ชนิดนี้ จึงเป็นแค่“วาทะ”เท่านั้น ที่เป็นแค่“คำพูด”เท่านั้นจริงๆ เป็นแค่“ความเชื่อ” จนเป็น“ลัทธิ”ที่มี “วิมาน”ที่หวังว่าจะได้  ซึ่งเป็น“ลมๆแล้งๆอยู่ในอนาคต” ก็แน่นอนอยู่โต้งๆว่ามันยังไม่ได้  ยืนยันกัน-พิสูจน์กันขณะนี้

ดังนั้น การทำใจในใจ(มนสิการ)ของคนผู้นี้ว่าเป็น“วิมาน”ที่จะได้ ก็คือ ทำ“ภพที่หวัง”หรือทำ“ภาพที่อยากได้”เท่านั้นที่มี

มันแค่“คำพูด” แค่“ลัทธิ” แค่“ความเชื่อ-ความเห็น”(วาทะ)เป็น“อุปาทาน”(ภพชาติที่ยึดมั่นไว้ได้)ชนิดหนึ่งแค่นั้น ซึ่งมีแค่“วาทะ(คือแค่คำพูด)อย่างเดียวโดดๆที่เป็นอุปาทาน จึงชื่อว่า“อัตตวาทุปาทาน”แท้ๆในประดา“อุปาทาน”หลากหลายซึ่ง“ภพชาติ”นั้น ก็คือ“ภาพหวัง” ก็คือ สิ่งที่ไม่แน่นอนเลยว่า จะจริงหรือไม่จริง มันยังเป็นเพียงแค่“วิมาน”ที่หวังที่ปั้นเป็น“สิ่งอันตนอยากได้”แต่ยังเป็นลมๆแล้งๆอยู่เท่านั้น

จะเกิดหรือไม่เกิด จะได้จริงหรือไม่ได้จริง ยืนยันมั่นคงไม่ได้แต่เป็น“ความหวัง”ที่เกิดขึ้นมายึดถือไว้ในใจแล้ว(อุปาทาย)ตามที่มีคนพูดกันสอนกันผิดๆ เป็น“ความยึดถือ”คือ อุปาทาน

นั่นคือ แทนที่จะสอน“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ชำระ“ความยึด”ให้จางคลายลงหรือดับไป กลับสอนสร้าง“อุปาทาน”(การยึดมั่น)ใส่ในใจตนยิ่งๆขึ้นเสียนี่  ผลจึงได้แค่“อุปาทาน”ที่เป็น“วิมาน”(ภาพหวังหรือภาพท่ีอยากได้ใส่ใจไว้)เกิดในใจของคนผู้นั้น

อุปาทาน จึงคือ กิเลสชนิดหนึ่ง ธรรมดาๆนั่นเอง

ทำ“ทาน”ก็ว่าจะได้“บุญ” ยิ่งทานมา..า..า..กกกก็ยิ่งได้“วิมาน”ห..ญ่..า..ย มาก ถือ“ศีล”(สีลัพพัตุปาทาน)ก็ว่าจะได้“บุญ” ปฏิบัติ“สมาธิ”(มิจฉาสมาธิ)ก็ว่าจะได้“บุญ”มากขึ้นๆ

จึงได้“บุญ”เป็น“อัตตา”ทั้งในทาน-ในศีล-ในสมาธิ

(12) ไม่ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัส ไม่มีผล มีแต่บุญเก๊

เพราะที่ทำกันนั้น “นัตถิ ทินนัง -นัตถิ ยิฏฐัง -นัตถิหุตัง”ที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ หมายความว่า “ทำทานแล้วไม่ได้บุญ-ปฏิบัติไปตามวิธีกรรมนั้นแล้วก็ไม่พาให้ได้บุญ-จิตไม่เกิดผลบุญ” แม้แต่แค่“ส่วนบุญ”หรือ“ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคหรือปุญญภาคิยา)สักนิดสักน้อยก็ไม่ได้“ส่วนบุญ”ใดเลย ไม่มี“ส่วนบุญใดเกิดในจิต”

ต้องอ่านสภาวะให้ดี ว่าทำทานแล้วกิเลสเพิ่มหรือลด เป็นนัตถิหุตังหรืออัตถิหุตัง กิเลสเราหนาเท่าใดมันลดหรือไม่ก็ต้องสัญญายนิจจานิ กำหนดของคุณเองทั้งนั้นตนต้องพึ่งตนเองสูงสุด ต้องชัดจริงของตนเอง

 

ผู้มี“ส่วนบุญ”เกิดในจิต เป็นเสขบุคคล นั่นคือ ผู้ปฏิบัติชำระกิเลสไปได้“ส่วนหนึ่ง” จึงเป็นผู้มี“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคหรือปุญญภาคิยา)

ฉะนี้เองคือ “ผู้ได้ส่วนบุญ” หมายความว่า ผู้“ชำระกิเลส”ออกไปได้ส่วนหนึ่ง บางส่วนเท่านั้น กิเลสไม่ได้หมดสิ้น จึงเป็นแค่“สาสวะ”คือ กิเลสยังไม่หมดสิ้นอาสวะ ทำได้แค่“กิเลส”ลดลงไป“บางส่วน”(เอกัจจะ)เท่านั้น จึงเรียกว่า“ผู้ได้ส่วนบุญ” นับเป็น“เสขบุคคล”

“เสขบุคคล”นี้แหละคือ “ปรทัตตูปชีวีเปรต”ตัวจริง ที่เป็นผู้ได้รับ“ส่วนบุญ”(ส่วนกิเลสที่ลดไปได้จริง) ในคนเป็นๆที่ปฏิบัติแล้ว“จิตเกิดส่วนบุญ” คือเกิดทำให้กิเลสในจิตอกุศล(จิตเปรต)ของตนลดละลงไปได้“บางส่วน”(เอกัจจะ)อย่างเป็นจริง

“บุญ”ซึ่งหมายถึง การชำระไอ้ที่“โง่ๆ”(ทัตต)ออกไปจากตน” “ความโง่”(ทัตต)ของตนออกไปได้ จึงเป็น“ผู้ได้รับความรู้ใหม่อันเป็นความรู้แบบอื่น”(ปร)จากที่เคยรู้มา ยึดถือมาก่อน เปลี่ยนเป็น“ความรู้”ใหม่ เกิดใหม่ เป็น DNA ใหม่ทีเดียว เปลี่ยนชีวิตไปพึ่ง DNA ใหม่

ฉะนี้ๆคือ “ปรมัตถธรรม” ไม่ใช่เรื่องของ“บุคคล-ตัวตน”ที่เป็นเรา-เป็นเขา อันหมายหยาบไปถึง“ตัวตนของบุคคล”ทั้งร่างภายนอก-ภายในเต็มตัวรวมหมดทั้งแท่ง

แต่“ปรมัตถสัจจะ”ต้องหมายเอาเฉพาะ“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”กันให้แม่นๆ-ตรงๆ-คมๆ-ชัดๆ-ลึกๆ-แท้ๆ

ไม่เช่นนั้น จะเป็น“บุญเก๊” ไปหมายเอา“การชำระตัวตนที่เป็นตัวคน-ตัวเราทั้งตัว-ตัวเขาทั้งร่างกาย”ไปเลย

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:42:50 )

590518

รายละเอียด

590518_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก มงคล 38 ที่เป็นศิลปะโลกุตระ

พ่อครูว่า...วันนี้ก็โคจรมาที่หัวของอโศกคือศีรษะอโศกตามกิจวัตรวันนี้ก็ตั้งใจจะทบทวนขยายเพชรพุธที่เป็นศิลปะโลกุตระก่อนจะขยายความก็ให้ฟังบทกวีที่ได้แต่งไว้ก่อน

 เพชรพุทธที่เป็นศิลปะโลกุตระ

(1) “ศิลปะ”คำที่เพ้อ         พร่ำนัก

มันอะไรใครรู้จัก             ชัดบ้าง

ใช้กันสุดคึกคัก                เต็มโลก

เพื่อรสเพื่อประโยชน์อ้าง  ต่างซ้องโลกันต์

(2) “วิมาน”ฝันเท็จแท้      คือใด

อากาศธาตุแต่ไฉน           ไป่แจ้ง        

หลง“บุญ”นั่นอะไร            กันแน่

“บุญ-วิมาน”ลมแล้ง          ต่างย้ำเวียนวน

(3) “คน”ไทยใช้พจน์นี้     มานาน

หลงผิด“บุญ-วิมาน”          คลั่งเพ้อ

เชื่อเป็นสิ่งสำราญ           สุขสนุก อารมณ์แฮ

แท้แค่คำเพ้อเจ้อ              สิ่งนั้นอุปาทาน

(4) ก็“วิมาน”นั่นแล้          ลอยลม

หลงว่า“มี”แล้วจม             เสพซ้อน

หลงเป็น“สุข”โง่งม           ความเปล่า นั้นแล

เพชรพุทธฉุดกลับย้อน     ส่องให้เห็นธรรม

(5) เป็นวรรณกรรมฉุดให้ ได้คิด

นี้แหละ“ศิลป์”วิศิษฏ์         วิเศษแท้

พุทธคือเพชรส่องผิด        ให้ถูก สว่างเลย

“ทำจิตในจิต”(มนสิกโรติ)แก้      กลับให้ตรงธรรม

(6) ศิลป์รู้สัมประสิทธิ์นั้น  ทุกเม็ด

“ศิลปะ”ใช้ศาสตร์เผด็จ     ศึกได้

ศิลป์ขจัดทุจริตเบ็ด-         เสร็จสุด สิ้นเฮย

นี้แหละ“ศิลป์”ที่ให้           ประโยชน์แท้เป็นธรรม

(7) ศิลป์นำประโยชน์ชี้   โลกุตระ

พุทธสั่งสอนสัจจะ            แจ่มแจ้ง     

“โลกุตระ”ขจัดขยะ           คือกิเลส

ศิลป์บ่ใช่เล่ห์แสร้ง           หลอกให้คนหลง

 

“สไมย์ จำปาแพง”     9 พ.ค. 2559

    [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 311 ประจำเดือนมิถุนายน 2559]

พระพุทธเจ้าตรัสในมงคล 38 ไว้ ข้อ1-7 พอข้อที่ 8 ท่านก็ยืนยันว่า ศิลปะคือมงคลอันอุดม ศิลปะไม่ได้แค่มีฝีมือ แต่ต้องประกอบด้วยการเผยแพร่ความรู้นั้นให้แก่ผู้อื่นด้วย จึงจะครบ

ตั้งแต่ข้อ 1 ไม่คบคนพาล อเสวนาจะพาลานังที่เป็นมงคลอันอุดมเป็นศิลปะข้อที่ 1 ตั้งแต่ต้องรู้จักว่าคนนี้ถ้ามีความรู้ปฏิภาณดีรู้ว่าคนไหนเป็นคนชั่วเป็นคนพาลก็ไม่ต้องไปคบหาสัมพันธ์กันไม่ต้องร่วมประโยชน์เพราะว่ามันต่างประโยชน์กันคนชั่วก็ต้องการประโยชน์ชนิดหนึ่งคนดีก็ต้องการประโยชน์อีกชนิดหนึ่งประโยชน์ของคนชั่วก็เป็นประโยชน์ที่โค้งไปให้แก่ตัวเองไม่มากก็น้อยส่วนคนดีนั้นมีประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอย่างซื่อตรงโดยที่ไม่ให้แก่ตัวเองอย่างสูงสุดเลยให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สุดยอดเป็นเช่นนั้นก็รู้ประเด็นหลักของความเป็นคนจุดแรกคือความชั่วจุดที่สองคือคนดีคบบัณฑิต

บัณฑิตตานัญจเสวนา แล้วมารู้ผู้ควรเคารพยกย่อง ปูชาจปูชนียานัง ต้องรู้ว่าใครคือผู้เป็นบัณฑิต แต่ถ้าไม่มีความรู้ไปลองคบคนพาลว่าเป็นบัณฑิตอย่างอาตมาเคยไปคบกับคุณทักษิณก็เป็นความผิดพลาดดังนั้นศิลปะจึงเป็นความสำคัญอย่างมากกว่าต้องบูชาคนที่ควรบูชาต้องแม่นต้องชัดแล้วก็มาอยู่ในที่อันสมควรอยู่

ปฏิรูปเทสวาโส จ คนเราต้องมีสถานที่ต้องมีแหล่งมีองค์ประกอบของดินน้ำไฟลมพืชพรรณธัญญาหารที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่เราจะต้องใช้ต้องอาศัยจะต้องสร้างสรรค์จะอยู่ลอยๆโดดๆไม่อาศัยดินน้ำไฟลมไม่ต้องอาศัยพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือสัตว์หรือมนุษย์ไม่ได้ต้องสัมพันธ์กันหมด

มงคลข้อ 5 มีการทำบุญสะสมไว้ก่อน บุพเพจ กตปุญญตา ความนี้ลึกซึ้งเอาคำว่าบุญมาใช้ คนที่จะชำระกิเลสได้มี dna เป็นแบบพระพุทธเจ้ามีเชื้อของพระพุทธเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์แท้แท้ๆเป็นต้นตระกูลมี dna ที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่ง dna ของปุถุชนนี้เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ต่อไปเป็น dna ของอาริยชนโดยเฉพาะสูงสุดเป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้วไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้มีแต่จะเจริญขึ้นเป็นโพธิสัตว์สูงสุดก็ถึงสัมมาสัมพุทธเจ้าโพธิสัตว์ผู้ใดที่จะได้เชื้อเป็นเชื้อแท้แท้เป็น dna แท้ๆของอารยชนของความเป็นพุทธะต้องรู้จักพลังงานที่ละเอียดลึกลงไปเป็นพลังงานต้นรากของจิตนิยาม พีชนิยาม แต่พีชนิยามยังไม่รู้อื่นๆ ที่จะรู้อันไหนทำลายอันไหนกอบก่อ ซึ่งต้องรู้แล้วหลีกเลี่ยงสิ่งทำลายทำแต่สิ่งกอบก่อจึงครบถ้วน จึงเป็นสิทธิเป็นเหมือนพระเจ้าที่ใช้พลังงานน้ำมันได้ตามต้องการคนที่มีคุณสมบัติงานนั้นที่สามารถทำให้ตัวทำลายในจิตไม่มีแล้วมีพลังงานอิสระเสรีสมบูรณ์แบบที่จะสร้างสรรค์กอบก่อก็ได้  ผู้ที่มีพลังงานชนิดนี้เป็นธรรมสามีเป็นผู้รู้เองเห็นเองไม่ต้องรับจากผู้อื่นถือว่าสูงสุดเกินกว่านั้นไม่มีใครรู้เท่าแล้วถือเป็นยอด แล้วก็จะตัดทิ้งไปยอดใหม่ก็จะขึ้นมาเป็นสัมมาสัมพุทธะองค์ใหม่ขึ้นมาทดแทนไปเรื่อยๆตามลำดับ บุพเพจกตปุญญตา จึงเป็นต้นฐานกึ่งกลางของ 9 อยู่เขตกลางของ 10

มงคล 6 ตั้งตนไว้อย่างถูกต้องอัตตสัมมาปณิธิ หมายถึงว่าต้องสั่งส่งตัวตนให้ได้ขึ้นมาเรื่อยเรื่อยๆมีสภาวะที่ดีขึ้นมาเรื่อยเรื่อยๆให้ได้อย่าให้พลาดพลั้งทุกวินาทีทุกพลังงานรวบรวมก่อตั้งสะสมขึ้นให้ได้จริงๆ

ข้อเจ็ดต้องรับฟังใส่ใจศึกษามากจากผู้อื่นแล้วจะมีตัวต่อเนื่องไปตามลำดับเราอยู่ในรอบของ 3 เราก็อย่าเพิ่งไปรับข้อไป 5 แต่ถ้าขั้นที่ 4 แล้วค่อยเชื่อมไปหา 5 มี 5 แล้วค่อยเชื่อมไปหา 6 มี 6 คอยเชื่อมไปหา 7 คนที่มีลักษณะถึง 7 มีพลังงานถึงขั้น 7 เป็นพลังงานที่เรียกว่า นิยตะเป็นพลังงานเที่ยงแท้ของตัวเองไม่มีใครตีแตกได้มีแต่จะเดินหน้าไปสู่ 8 9 ไปหา10 ขั้นที่ 8 ถึงเป็นศิลปะครบรอบอิสระลอยตัวเลยแม้ไม่ต้องสะสมอีกก็เป็นพลังงานในตัวเองที่ดูดดึงเอาอันอื่นมาได้เรื่อยๆเป็นศิลปะคำศัพท์ของพระพุทธเจ้าว่าแปดคือศิลปะจึงขีดเส้นใต้ที่เลข 8 นี้

จากนั้นเป็นขั้นที่ 9  เป็นวินิโยจสุสิขิโตเป็นขั้น 9ที่จะเรียงลำดับได้ดี แต่อาตมายังไม่เป็นระเบียบแบบนี้

การเรียงลำดับเป็นระเบียบนี้ก็มีคนเอาไปทำหรอกคนได้เหมือนอย่างธรรมกายเพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คนอื่นชอบคนอื่นยอมรับว่าเป็นสิ่งดีงามแต่ความจริงตนเองมีความซับซ้อนออกไปหลอกลวงคนอื่นอย่างที่ธรรมกายทำแต่อย่างอัฐมายังดูบกพร่องไม่เป็นระเบียบแต่มีความสูงที่มีความจริงแต่ธรรมกายนั้นเป็นความหลอกลวงซับซ้อนดูแล้วเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นลักษณะที่มีมากมีใหญ่ครบเขาทำได้เปลือกนอกที่งามมากแต่เนื้อในนั้นเน่าเฟะนี่เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่คนเข้าใจยากมากคนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีเกือบงอกให้ระวังจะเป็นอย่างธรรมกายที่จริงนั้นเน่าในมีความทุจริตไม่ซื่อสัตย์เล่ห์เหลี่ยมมหาศาลแถมดื้อดึงอีกมากมายด้วยเห็นได้ชัดที่สุด

พอถึงขั้นที่ 10 สุภาสิตาจยาวาจา จัดแสดงออกทางกายวาจาทั้งนอกทั้งในทั้งใจ 9 ตรงกันเป็นหนึ่งเดียว

มงคล11 บำรุงบิดามารดา  พ่อแม่ ก็จะมีความลงตัว ไม่ได้หมายถึงรูปธรรม แต่หมายเอาธรรมะสอง อิตถีภาวะกับปุริสภาวะช่วยกันทำให้เกิดลูกทางจิตวิญญาณได้ เช่นศีลกับปัญญามีคุณค่าต้องกตัญญู แม้ดินน้ำไฟลมก็มีประโยชน์คุณค่า

อย่างน้ำดับดิน น้ำเป็นเพศแม่ ดินเป็นเพศพ่อ ลมเป็นเพศพ่อ ไฟเป็นเพศแม่เป็นต้นต้องเข้าใจแล้วกตัญญู บิดามารดาที่เป็นธรรมะสองนี้

มงคลข้อ 12 ต้องช่วยเหลือดูแลลูกเราต้องดูแลรับผิดชอบช่วยเหลือไม่เช่นนั้นเราก็ต้องรับผลวิบาก ต้องทำการปุตตสังคโหต้องทำให้โลกนี้ดีๆถ้าไม่ดีปกครองก็เป็นวิบากเราก็ต้องได้รับวิบากนั้น ใครไม่แน่จริงก็อย่าไปมีลูกเดี๋ยวลูกไปทำเสียเป็นวิบากสอนเชื่อมโยงไปหาผู้อื่นมาอีกเป็นภัยต่อใครต่อใครมากขึ้น

มงคลข้อ 13 ช่วยเหลือภรรยาโลกก็อย่างหนึ่งภรรยาก็อย่างหนึ่งที่เป็นคู่ที่จะต้องช่วยเหลือ

มงคลข้อ 14 ทำงานไม่คั่งค้าง จากพลังงานที่จะก่อจะสร้างจะทำ ทำให้สำเร็จอย่าให้ข้างทาง ชีวิตนี้อาตมาไม่สมบูรณ์มีสิ่งคั่งค้าง แต่ถ้าสำเร็จมากกว่าสิ่งค้างก็ยิ่งสำเร็จมากขึ้นกว่า

มงคลข้อ 15 บำเพ็ญทาน ผู้ใดทำได้ก็จะเป็นผู้ที่เสียสละได้อย่างตรงสูงสุดไม่เป็นองศาที่โค้งกลับมาแม้นิดเดียวก็เริ่มมีองศาแล้วยิ่งโค้งไปมากๆจนกระทั่งเป็น boomerang โครงมาหาตัวเองอีก แบบนี้ไม่ใช่ผู้ที่สละออกยังมีตัวตน

มงคลข้อ 16 ประพฤติธรรม

มงคลข้อ 17 ช่วยเหลือญาติ ก็ต้องทำการช่วยเหลือให้กว้างขึ้น

มงคลข้อ 18 จะรู้จักกรรมการกระทำการกระทำที่ไม่มีโทษ

มงคลข้อ 19 งดเว้นบาป จะเข้าใจบาป หยาบ กลาง ละเอียดทุกกรรมกิริยา อารตีวิรติปาปา แล้วก็จะมีวิธีบอกสู่คนอื่นจึงเป็นศิลปะ ศิลป์เป็นธรรมะสอง ถ้าศาสตร์ก็คือธรรมะเดียว

มงคลข้อ 20 สำรวมจากความเมา เราต้องควบคุมพลังงานเราไม่ให้ถูกความไม่ดีเหนี่ยวรั้งไปลงต่ำ

มงคลข้อ21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายสิ่งที่ทรงขึ้นตั้งขึ้นเรียกว่าธรรมะอย่าประมาทเป็นอันขาดท่านบอกว่าอย่าดูถูกภิกษุที่ยังหนุ่มอย่าดูถูกงูพิษและยังตัวน้อยเป็นต้น

มงคลข้อ22 มีความเคารพ คารโว จ จะรู้จักสิ่งควรเคารพอย่างมีปัญญาแล้วแสดงออกจึงเป็นศิลปะ (อปจายมัย)

มงคลข้อ23 มีความถ่อมตน

มงคลข้อ 24 มงคลที่ 24 มีความสันโดษ

มงคลที่ 25 มีความกตัญญู

มงคลที่ 26 ฟังธรรมตามกาล

มงคลที่ 27 มีความอดทน

มงคลที่ 28 เป็นคนว่าง่าย

มงคลที่ 29 เห็นสมณะ

มงคลที่ 30 สนทนาธรรมตามกาล

มงคลที่ 31 เพียรเผาผลาญกิเลส ตโปจ ก็ต้องไม่ย่อท้อต่อการเพียรทำลายกิเลส ไม่ประมาท ไม่ชลอ หายคนว่าเราได้แค่นี้ก็พอแล้ว ไปอีกมันลำบาก เป็นเมถุนสังโยชน์ข้อ 7 เป็นเทวดาองค์หนึ่งแล้วติดแป้นเสียเวลาไป ไม่ได้เรื่องราว เสียเศรษฐกิจ ไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทต้องเพียรเสมอ ทุกเวลาต้องเผาผลาญกิเลสให้เกลี้ยง

มงคลที่ 32 ประพฤติพรหมจรรย์ คือความสะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์

มงคลที่ 33 เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐของชีวิต ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป แม้ที่สุดเป็นโลกุตระ 9 ไปตามลำดับ

มงคลที่ 34 ทำพระนิพพานให้แจ้ง นิพพาน สัจฉิกิริยา จ คือไม่มีอะไรหมองเลย เหมือนแก้วไพฑูลย์ใสในมือเห็นหมดทุกอย่างทุกแง่มุม ยิ่งกว่าโป๊เปลือย เห็นกระจะกระจ่าง

มงคลที่ 35 จิตไม่หวั่นไหวแม้สัมผัสกับโลกธรรมอยู่ ก็ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ในโลกนี้มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยกามหรืออัตตา เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ จะมาสัมผัสสัมพันธ์กระทบกระแทกกระทุ้งกระทืบเราด้วยเราไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรหักล้างได้เลย

มงคลที่ 36 จิตไม่โศก ก็อโศก คือไม่ใช่โศกแต่ก็โศก มีเล็กน้อยมาก  เชิง sadism เล็กๆ

มงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี วิรช คือเชิงเริง เป็นromanticism

มงคลที่ 38 จิตเกษม เขมัง บริสุทธิ์บริบูรณ์หมด

มงคลต่างๆ 38 ผู้ที่มีปัญญารู้เข้าใจก็เริ่มรู้ศาสตร์ คือความรู้เร่ิมรู้แล้วให้ผู้อื่นได้รับรู้ร่วม ปฏิบัติเป็นได้ตามจึงเป็นศิลปะยิ่งขึ้นๆ

ในความเป็นศิลปะต้องมีศาสตร์ ขยายผลไป แต่ถ้าศาสตร์ไม่ขยายผลมีหวงแหนก็มีอัตตา แต่ถ้าขยายผลเป็นศิลปะ แพร่มากก็ศิลปะมาก เพราะฉะนั้นศาสตร์ไม่มีศิลป์ได้แต่ศิลปะไม่มีศาสตร์ไม่ได้

ทุกวันนี้หลงศาสตร์หวงแหนศาสตร์กันมันก็เลยไม่เต็มบริบูรณ์

ในแนวลึกทางจิต อาตมาพยายามอธิบายถึง DNA พลังงานระดับ Deoxy Ribo nucleic acid เป็นสภาพคู่ เป็นพลังงานที่ร่วมกันลึกสุด Ribo ร่วมกันอย่างอื่นอีก ในโลกรู้จักธาตุเล็กสุดคือ o หรือ oxygen ผู้ใดแยกส่วน oxygen ได้

พีชนิยามจะไม่รวมตัวเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นเลย มีแต่ฟิชชั่นกระจายออกไป ตัวมันเองรวมตัวแต่สามเส้าแต่มีพลังงานที่เพิ่มจากสามเส้า เพิ่มอีกระวังให้ดีจะไปรวมตัวกับพลังงานเลว แต่ถ้ารวมพลังงานมากกว่าสาม

ผู้ที่เป็นศิลปินจะรู้พลังงานที่เป็นโทษกับไม่เป็นโทษ แล้วแยกแยะทำลายพลังงานเป็นโทษได้ เป็นเทวดาที่ไม่เป็นขิฑฑาปโทสิกะกับมโนปโทสิกเทวดา เป็นผู้สามารถจัดสรรจัดการพลังงานได้ประกอบให้เป็นประโยชน์ได้ ควบคุม DNA ของตนเองได้เข้าใจรายละเอียดของการแยก DNA ได้ ว่าเป็นพลังงานตั้งแต่เล็กละเอียดรวมกันได้ เล็กแค่ไหน ribonucleic ก็สามารถแยกแยะรวมรวมได้

พลังงานเล็กละเอียดคือพลังงานลมกับไฟ ลมกับไฟ รวมตัวกันเป็นหนึ่งเป็นน้ำ แล้วรวมตัว น้ำ กับลมกับไฟ สามเส้ารวมเป็น ปฐวีธาตุ ตัว ป คือรวมตัวกัน ตัว ฐ คือตั้งลงไว้ที่นั้น รวมตัวเป็นองค์ สามเรียกว่า ว หรือวี

องค์รวม ลม ไฟ น้ำ จับตัวรวมกันเรียกว่าปฐวี หรือดิน ในภาษาไทย จับตัวกันเป็นฆนะ หรือฆ เป็นDeoxy Ribo nucleic acid ไม่ใช่น้ำธรรมดานะแต่เป็นน้ำกรด เข้มข้นนะ

ชาตินี้อาตมามาโดดเดี่ยว แต่ก็มีลูก มีลูกแท้ก็มี ลูกไม่แท้ก็ช่างศีรษะ มันต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาพากเพียรเต็มที่และพยายามไม่ให้บกพร่อง ก็เป็นไปได้ดี

อาตมาจะเอาข้อเขียนหนังสือ ศิลปะโลกุตระในเพชรพุทธเล่ม 1 ที่จะออกในงานอโศกรำลึกปีนี้

การปฏิบัติแบบนั่งหลับตาไม่มีผัสสะ ไม่เป็นฐานที่จะปฏิบัติได้ จะไม่รู้เวทนา ไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ที่เร่ิมตั้งแต่ พลังงานเริ่มก่อเกิด เป็น ธาตุแห่งความเพียรทั้ง 7 อารัภธาตุ

ยุคนี้อาตมามั่นใจว่าสยัมภูไม่เกิดมาแน่ มีแต่สยังอภิญญา แต่ถ้ามีระดับผู้พี่อาตมามาก็จะดี ที่ช่วยกันในยุคนี้อาตมาก็เปิดเผยไปแล้ว คือตรีมูรติ คือพรหม ศิวะ ราม อาตมาเป็นฐานของราม ส่วนศิวะนั้นเป็นผู้รู้มากแต่ขยายไม่ค่อยออก เป็นก้อนๆ มีความแรง แต่ไม่หลากหลาย  ส่วนลักษณะพรหมเป็นกลางไม่กระทบใครให้คนมาอาศัยได้

อาตมาทำเหตุปัจจัยดินน้ำไฟลม คน แต่สัตว์นั้นเขาเกิดมารับวิบาก แต่สัตว์คนนั้น ที่ช่วยได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นอเวไนยสัตว์แก้ไขไม่ได้ เรียนให้ตายก็รู้ไม่ได้

อาตมาทำมา 46 ปีแล้ว ทำทั้งหลายด้าน

รัฐศาสตร์คือช่วยดูแลปกครองกัน เศรษฐศาสตร์คือข้าวของเครื่องใช้เครื่องอุปโภคบริโภค แจกจ่ายกันให้พอดีใครกักตุนก็เคาะหัวหน่อย อย่างในหลวงเตือนก็เตือนกันทำให้ตรง มันเป็นยุคซ้อนกันอยู่  คือกลียุค กับภัทยุค

ในบารมี 30 ทัศ ต้องเข้าใจ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา  นี่เป็นหลัก ทานสูงสุดคือผู้ให้ ศีลเป็นหลักปฏิบัติ เนกขัมมะคือเอามาฉุดตัวไม่ให้นี้ออกไป ให้เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ แล้วทำด้วยปัญญาให้บริสุทธิที่สุด บารมี 10ทัศ บารมี 4 อย่างแรกนี้แหละที่เป็นตัวปฏิบัติ แล้วมี วิริยะ ขันติ ต้องเพียรอดทน  สัจจะต้องเข้าใจทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ แล้วต้องตั้งใหม่ อธิษฐาน มีเมตตาเป็นพลัง เอาอุเบกขาเป็นฐานพัก เพียรก็คือเมตตา พักคืออุเบกขา คือปรมัตถบารมี

อรหันต์มีพลังงานอุตุในตัวเอง แล้วมีพีชะ มีจิตนิยามแล้วไม่เป็นพิษภัยกับใคร เป็นพลังงานส่วนเกิน แต่ได้ทำจิตนิยามให้มีคุณสมบัติเหมือนอุตุกับพีชะที่เป็นพลังงานธรรมะสอง พระพุทธเจ้าสรุปว่า รู้คุณรู้โทษ รู้ดีรู้ชั่ว จัดสรรให้มีแค่คุณไม่มีโทษแล้ว

ในพวกเราเป็นคุณค่ามากกว่าเป็นโทษ คนที่มาอยู่ในฐาน 0 นี้มีประโยชน์มากกว่าคนฐานรวย คนรวยมากก็กักตุนมากก็เป็นโทษมาก ยิ่งทางพุทธมาเป็นฐาน 0 รีบสะพัดออกไป อย่าให้ช้านานไป จะกินอยู่ก็มีผู้อื่นเลี้ยงดูไว้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา คนอื่นจะรักษาเราไว้เพื่อเขาจะได้อะไรที่เป็นประโยชน์จากเรา ท้าให้พิสูจน์เลย ทำตนให้สูญเต็มเหนี่ยวเลยทำสุดที่ระวังอย่าให้เกินฐาน ทำสุดที่แล้วจะเจริญเร็ว ทำให้บริสุทธิ์อย่าให้โค้งอย่าให้มีองศา ยิ่งขนาดมันโค้งเป็นบูมเมอแรงหาตนเองก็ยังไม่รู้ตัว โค้งแม้เฉียดตนเองก็ต้องควรรู้ โค้งหงตนเองก็ยังไม่ดี เฉไปก็ไม่ดีต้องรู้ให้ตรงเป๊งเลย คุณทำเถิดทำได้เท่าไหร่ก็ตามฐานของแต่ละคน ไปเสแสร้ง มุขเอาไม่ได้หรอก คนเราโง่เท่าที่ตนเองฉลาด คนเราฉลาดเท่าที่ตนโง่ ไม่เกินไปได้หรอก

สิ่งที่อาตมานำพาทำใครเข้าใจแล้วเชื่อถือเห็นดีก็มา มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมา

อาตมาได้เปิดเผยอะไรหลายอย่างแม้บางเรื่องที่เป็นเรื่องลึก ก็เปิดเผยไปไม่ถือเป็นอนาจาร เป็นเรื่องเข้าใจได้ มาถึงเวลานี้เปิดเผยแสดงยืนยัน ก็ได้มาสาธยายสิ่งลึกซึ้งลึกล้ำมากพอสมควรแล้วก็ถึงกาละที่จะได้จบการแสดงธรรม

ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังแล้วเอาไปทำให้ได้ผลได้ประโยชน์จากธรรมะกันเทอญ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:43:18 )

590518

รายละเอียด

590518_พ่อครูเทศน์เปิดค่ายเปิดเทอม สัมมาสิกขาศีรษะอโศก 2559

พ่อครูว่า...การเรียนที่นี่เป็นการเรียนเพื่อลดอัตตา ไม่มีที่ไหนในโลกเขาสอนลดอัตตากันแบบที่นี่หรอก มีแต่จะสอนให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ไหลมาเทมา แต่รร.สัมมาสิกขาไม่สอนให้ไปได้ลาภยศสรรเสริญ แต่สอนมาให้เป็นคนจนด้วยซ้ำ แล้วจนอย่างพึ่งตนเองได้ เราพอกินมีกินมีใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราแล้วเหลือกินเหลือใช้ด้วย เผื่อแผ่ผู้อื่นไป เราจึงมีน้อยและไม่รวย แต่เป็นคุณค่าของมนุษย์ สอดคล้องกับพระราชดำรัส ให้มาเอาแบบคนจน ที่คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าใจ

ตั้งใจศึกษาฝึกฝนอบรมให้ดี เพราะมันต้องย้อนแย้งทวนกระแสกับโลกๆเขา เพราะใจเราจะไปแบบโลกๆ แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ แย่งกามแย่งอัตตากับเขาแต่ที่นี่จะสอนให้มาลด ที่ย้อนแย้งกับทางโลกเขา

ตั้งใจเรียนดีๆเราจะได้ความจริงอันประเสริฐเป็นความรู้ของพพจ. ฟังไว้ดีๆ หลวงปู่บอกนี้ไม่เหมือนกับโลกๆเขา เป็นเรื่องประเสริฐ

เราไม่เป็นหนี้ไม่เป็นขี้ข้า ไม่เป็นทาสใคร เราพึ่งตนเองได้ และไม่โลภ ไม่เอาเปรียบใครไม่กอบโกยที่จะทำให้เศรษฐกิจติดขัด ที่จะไปศึกษาให้เก่งความรู้มากแล้วเอาไปดูดจากคนอื่น เป็นเศรษฐศาสตร์ทำลายสังคม เขาก็เดือดร้อนกันทั่วไป

ถ้ามาสอนแบบทิศทางสัมมาสิกขาสอนโลกไม่เดือดร้อนไม่เบียดเบียนไม่ฆ่าแกงกันเลย แต่เขาคิดไม่ถึง เข้าใจยังไม่ได้ การศึกษาที่นี่จึงต้องอดทนตั้งใจเรียนตั้งใจทำความเข้าใจให้ได้ แล้วเราจะไม่สับสนไม่งง ไม่หนัก แต่ถ้างง ก็จะยากหนัก ไปไม่ค่อยได้ ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ

ขนาดน่าป่าต้นโพธิ์ยังตอบว่าเข้าใจได้ คนโตๆจะเข้าใจไม่ได้หรือ? ตั้งใจเรียนจริงๆอย่างหลวงปู่บอก มันเป็นเรื่องไม่เหมือนใคร แต่ประหลาด แน่นอนเรามีสัญชาติญาณเดิม เป็นคนโลกีย์มันต้องรู้สึกทวนกระแส ต้องทำความเข้าใจให้ได้

ที่นี่มาศึกษาแล้วจะเป็นคนเสียสละ มีคุณค่าประโยชน์แก่คนอื่นไม่ใช่คนขี้โลภ เอาเปรียบเอารัด เอามามากๆ ไม่ใช่

ใครอยากถามอะไรถามดีกว่า….

?ตอนพ่อครูเป็นเด็กดื้อไหม?

ตอบ...ตอนเด็กไม่ดื้อมีแต่ขยันทำงาน โดยที่ทางบ้านไม่ต้องบอก อะไรเกิดคุณค่าประโยชน์ไม่ว่าสูงหรือต่ำ เป็นกรรมกรก็ทำหมด อะไรที่เห็นว่าไม่ผิดกฎหมายหรือธรรมเนียม ตามปัญญาตนที่เห็นว่ามีคุณค่าประโยชน์ ไม่เหมือนเด็กทั้งหลายที่จะหาแต่เวลาไปเล่น หลวงปู่ไม่ค่อยเป็นเท่าที่รู้ตัวเอง

?เคยโดนแม่ตีไหม?

ตอบ...ในชีวิตเคยโดนแม่ตี 1 ครั้งใช้ไม้บรรทัดตีที่แขน จำเรื่องไม่ได้แล้ว ไม่เคยไปทำอะไรไม่ค่อยดี เช่น ยุคหลวงปู่มีญวน มีแกว มาเยอะ เขาก็หาอาชีพทำ เขาทำแข็งหลอดขาย หลวงปู่ก็ไปรับแข็งหลอดเขา เหมือนเด็กญวน เด็กแกวทำกัน ถือเป็นอาชีพต่างชาติ ต่ำที่มาอาศัยใบบุญประเทศไทย เด็กไทยไม่มีใครกล้าไปทำหรอก หลวงปู่ก็ไปขาย ปรากฏว่าแปลกขายดี เพราะว่า ร้องขายเป็นบทกลอนก็ขายดี ไม่มีอะไรจะขายก็เอาเม็ดมะขามคั่วไปขาย สมัยก่อนมีการละเล่น ลูกมะขาม เม็ดมะค่าแต้ เม็ดน้อยหน่า เม็ดมะขามมีมากก็เอาไปคั่วใส่เกลือนิดหน่อยแล้วใส่กระทงขาย ปรากฏว่าขายได้ จนตอนหลังมีคนทำตามเอาไปขายด้วย เป็นต้น

เป็นคนทำขยันขายของ อยู่พิบูลฯ ตื่นแต่เช้าตีสามตีสี่ เดินไปโน่น ดักคนที่มาจากภายนอกเมืองมาขาย เราก็ดักไว้ก่อนซื้อเขาไว้ก่อน เรารู้ราคาตลาด ซื้อถูกมาขายแพง หลายคนเขาก็รีบขายไม่แพงนัก เราซื้อที่ถูกแล้วเอามาขายตลาด ขายเสร็จแล้วก็ไปรร. ไม่ต้องขอเงินแม่ แต่ไม่ต้องพูดหรอกว่าแอบตกปลาตามประสาเขาก็ทำอยู่ ออกไปติดจักจั่น ทำไปสารพัด เด็กๆน่ะ หลวงปู่อายุไม่กี่ขวบหรอก อยู่พิบูลฯอยู่ม.3 หรือม.4 เรียนรร.วัดกลาง อย่างม.1 นี่เป็นคนรับใช้เขา ที่จริงไปอาศัยเขา แม่ให้เดือนละ 20 บาทค่าไปอยู่กับเขา แต่เขาใช้ยิ่งกว่าคนใช้ตอนนั้นอายุ 9 หรือ 10 ขวบ อยู่ม.1 สมัยก่อนจบป.4 หรือเท่ากับป.5 สมัยนี้

ทนทั้งปี ไม่อยากอยู่แม่ก็ไม่ยอม บอกว่าต้องอยู่ให้ได้ จนสิ้นปีอย่างนี้เป็นต้น ต่อมาก็มาอยู่วารินฯ ส่งให้คนเขาฝึกให้ทำงานสารพัด แล้วอยู่กับครอบครัวที่เขาเลือกแล้ว ขยันประหยัดมัธยัสถ์ ไม่มีทิ้งของ เก็บเอาไว้ทำประโยชน์ เขามีร้านขายของ ถึงเวลากลางวันเขาเอาของไปขายที่รร.หลวงปู่ก็ต้องตื่นมาทำ ทำขนม น้ำพริก นึ่งข้าว แล้วเอาไปส่งร้านที่ขายที่รร. แต่หลวงปู่จะกินต้องซื้อเอานะ ของที่เราทำเองเราต้องซื้อเขากินนะ เจออาการหนักมาก เขาให้ไปตลาดตอนสายด้วย แบกของจากตลาด เคยไปคอนกระจาบข้าวปุ้น แต่มันคว่ำ ก็โดนหักเงินเลย บอกแม่ไปว่าทำของเสียคลุกขี้ดิน ยังจำได้เลย พอเวลาว่างไม่ได้ ว่างต้องขัดกะลา มะพร้าวทุกลูกที่ทำอาหาร เขาไม่มีทุบกะลา ต้องเลื่อยทุกลูก ตัดเฉพาะส่วนบน เอาตัวมันมาทำกระบวย ทั้งนั้นเก็บไว้ ว่างก็ขูดข้างในให้ออกหมด ขูดข้างนอก เอาท้องบุ้งหยาบขูดก่อนแล้วเอาละเอียดขูด แล้วขัดให้เรียบมัน

วันเสาร์อาทิตย์พาออกไหลมอง หาปลา ก่อนไปหาปลาต้องเข้าป่าตัดไม้ที่จะทำคันกระบวยเอามามัดไว้ รุ่งเช้าได้ปลาก็ร้อยเป็นพวงแล้วแบกไม้ที่จะทำกระบวย คานเอาปลาที่ร้อยไว้มา ไม้สดนี่มันหนักนะ ไม่ใช้ไม้คานหาบมานะ กว่าจะถึงบ้านพักไม่รู้กี่ครั้ง เป็นต้น ว่างเมื่อไหร่ ให้ตักน้ำ ใช้ไม้ส้าวจ้วงตักน้ำนะ ต้องรดหมดก่อนจะอาบน้ำเย็นก่อนจะไปรร.เช้า ใช้สบู่ หลวงปู่เอาก้อนสบู่ถูโดยตรงนี่โดนว่านะ ต้องเอาสบู่ถูกกับมือก่อนแล้วค่อยถูตัว จะได้ไม่เปลือง  ให้ขูดมะพร้าวทำขนมไทยๆต่างๆ ขนมถั่วแปป ขนมใส่ไส้ สารพัดขนม มันก็เกิดความรู้

เรื่องเล่นไม่เคยไปได้เล่น เขาจะไปเตะบอล วิ่งอะไร อย่าหวังเลย ก็เป็นคนที่ทำงานเป็นสามัญอยู่ว่างไม่เป็น เวลาโตมาแล้วรับผิดชอบเลี้ยงน้อง ห้าคน เราก็ทำงานไม่ทัน เห็นบ้านข้างๆหอพัก ที่บ้านเรามีที่ว่างหน้าบ้าน คนอื่นมันก็มีเวลามาเล่น เราก็คิดว่าทำไมมามีเวลาเล่นได้ ไม่ทำงานหรือไง เราทำงานไม่มีเวลาว่างเลย แต่เราก็ไม่ว่าเขาก็เล่นไป แต่คิดในใจตนเอง

ก็เป็นคนมีนิสัยแบบนั้นเป็นคนนิสัยแบบนี้ ปัจจุบันก็ไม่ขี้เกียจ เป็นปกติ ถ้าอยู่เฉยเล่นหัวไปทำทำไม เวลาเอาไปทำประโยชน์ได้ ใจไม่ได้เศร้าหมองแต่รื่นเริงในการทำงาน….

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:43:43 )

590519

รายละเอียด

590519_พุทธศาสนาตามภูมิ กว่าจะถึงส่วนแห่งบุญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2559 พ่อครูไอ...จึงพูดถึงวิบาก แล้วพูดถึงวิบากของพพจ. ก็ได้หลงไปเข้าป่าปฏิบัติตามเขาไป ตอนนั้นศาสนาพุทธไม่มีแล้วท่านก็ไปทรมานรับวิบากอยู่ 6 ปี ในป่า เพราะตอนเกิดเป็นโชติปาลมานพ ก็ได้ไปกล่าวว่า พระพุทธเจ้ากัสสปะไว้

การนิยมเข้าป่าเป็นลัทธิสามัญทางโลก ศาสนาพุทธของพพจ.ไม่ใช่ธรรมะออกป่า อาตมาพูดมา 46 ปีแล้ว เอาพระไตรปิฎกยืนยัน ว่า การออกป่าปฏิบัติเป็นทางผิด ในพรหมชาลสูตร บอกไว้ชัดเจน พอไล่เรียงมาถึงพระไตรปิฎกเล่ม 10 ก็ยิ่งชัด ในวิภังคสูตร ก็กล่าวไว้ในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งจะต้องมีวิญญาณ 6 อายตนะ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6

SMS 18 พ.ค.59

0805925xxx สิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักเจอเสมอคือ"ดาวยั่ว"ผัสสะมามะตบะแตกจิงๆเยยย?!

ผู้ขัดเกลาตนเองได้DNAก็่เปลี่ยนไปเหมือนมะเร็งถูกคีโม?แม่นบ่!

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.ศรีษะอโศกและคข.ปกป้องดินแดนไทยฯมวลเสริมกองทัพปชช.9/9/09ณ .ศาลหลักเมืองกันทรลักษณ์ถึงภูมิซรอลฯ ถ้าได้กลับไปดินแดนโดยรอบเขาพวห.จะแวะไปเยือนร้านส้มตำข้าวเหนียวไก่ย่าง2ข้างทางภูมิซรอลแซ่บทุกร้าน!คนกินตำไทยบ่ใส่กุ้งเปิบกะข้าวเหนียวประสาชาวมังสะฯก็อร่อยได้

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอันเป็นอุดมมงคลของเทวดาแ ละมนุษย์ทำมงคล38ปก.แ ล้วจักเป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกสิ่งย่อมถึงความสวัสดีในทุกสถานสาธุ

พ่อครูอธิบาย มงคล 38 ข้อ 7 พาหุสัจจะต้องพากเพียรทำสัจจะของตนให้ได้จริงตามผู้ที่ควรบูชาที่มีในโลกยุคนั้น ไม่ว่ายุคใดต้องมีรากฐานมา พพจ.ตรัสว่าแม้ไม่มีพพจ.ก็ต้องมีคนชนิดนี้ ถ้าทำได้ก็เกิดเป็นศิลปะ คือสัปปัญญจ เอตัมมังคลมุตมัง

ศิลปะคือ ศาสตร์ของพพจ.ที่บุคคลผู้มีปุพเพกตปุญญตา บุคคลที่ควรบูชาที่เป็นบัณฑิตต้องเผยแพร่ได้ ถ้าไม่เผยแพร่ไม่เป็นศิลปะ เป็นสิ่งประเสริฐสิ่งดีงามเป็นมงคลอันอุดม เป็นอาริยะ อุตตระหรืออุตตมะ เป็นความประเสริฐขั้นอาริยะ เหนือโลก เจริญมาถึงมงคลข้อเว้นบาป จนถึงท้ายเลย ล้วนเป็นเรื่องสัจธรรมเป็นศิลปะ ครบถ้วนในสังคม

จำได้ตั้งแต่อาตมาออกบวช แล้วเคยออกป่า ตอนนั้นอยู่แดนอโศกตอนนั้นมงคล 38 ก็ขึ้นมาเลย จนตอนนั้นเขียนเป็น อาริยชาติ เขียนเป็นกระดาษข่อยแจกกัน ก็มงคล 38 นี้แหละ ตอนนั้นไม่มีปฏิภาณปัญญาอะไรมากเหมือนตอนนี้ ตอนนั้นเข้าใจว่าลึกซึ้งตามประสา ก็เป็นของในอดีตที่ขึ้นมารู้ได้

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมมงคล38ในพระตปฎ.มงคลสู ตร25/318ธรรมมงคลสูงสุดที่ใช้กับข้าศึกใดๆในโลกก็ไม่ดีเท่ากับใช้ปราบข้าศึกในใจตนได้ดีที่สุดจรธ.

0893867xxx ขอบคุณกับของฝากลูกหินก้อนไม้ท่อนซุงส้มตำข้าวเหนียวส้มตำแซ่บๆจากภูมิซรอลและข้าวต้มสารพัดเห็ดจากศรีษะอโศกนะจ๊ะ!คนไทยหัวใจเดียวกันจรธ.

 

จากไลน์

กราบนมก.พ่อท่าน ๆต้องดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ใช้เสียงมากและยาวนานต่อเนื่อง ระคายตลอดไม่ได้พักเลย ท่านต้องระวังด้วยนะคะ เพราะลูกๆยังต้องพึ่งพาพ่ออีกมากมาย ถนอมร่างกายด้วยนะเจ้าคะ JQ

กราบพ่อท่าน มี2คำถามครับ 1)ที่เขากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรหรือบุพพการี(ปัตติทาน)ให้ผลเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร 2) บุญกิริยาวัตถุ10 ทำแล้วได้ผลเป็นบุญและกุศลทุกข้อหรือไม่อย่างไร พ่อท่านโปรดชี้แนะด้วย กราบขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ Ongart

พ่อครูว่า...ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่ให้มีการรดน้ำมนต์ ไม่ให้มีการใช้ไฟเป็นสื่อเป็นอัคคียัญหรือใช้น้ำเป็นสื่อคือสิญจนยัญ ไม่ให้มีบูชาไฟ รดน้ำมนต์ แต่ผ่านไปสองพันกว่าปีมาแล้ว ไม่เหลือ ตอนนี้ใช้การรดน้ำมนต์ใช้บูชาไฟ กันเต็มไปหมด อาตมาพูดไปเขาก็หาว่ามาทำลายศาสนา พูดไปจะโดนหนักกว่าธัมมชโย นะนี่  แต่จะจับอาตมาไปฆ่าก็ต้องพูด ตัดสินความมาอาตมาก็แพ้ แต่อาตมาว่าอาตมาไม่ผิด แต่ท่านก็สัญญา ย นิจจานิของท่านเอง แล้วเอามาฟาดฟันอาตมา ตามยุคสมัย

ยกตัวอย่างพระเยซู ท่านก็เชื่อสัจจะของท่าน พวกนั้นก็เปลี่ยนท่านไม่ได้ก็ต้องจับท่านไปตรึงกางเขน อาตมาอยู่ยุคนี้ยังไม่เท่าไหร่ ไม่ถูกตรึงกางเขน อย่างดีก็เอาอาตมาผิดกฎหมาย ให้ติดคุกแต่รอลงอาญา ก็เป็นเรื่องโลกไม่ได้สงสัยอะไร พูดจริงๆเลย ในความรู้สึกอาตมาว่าไม่หนักกว่านี้ก็ดีแล้ว

เพราะที่อาตมาพูดนี้ไปหักล้างเขา ทุบหม้อข้าวหม้อแกงเขา ไปว่าเขาหมดในลาภยศสรรเสริญที่เขาเชิดชูบูชา ไปข่มเขา อาตมาโดนแค่นี้ก็ดีแล้ว

ส่วนเรื่อง การอุทิสส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น อุทิศแปลว่า เจตนามุ่งหมาย ไม่ใช่แปลว่าให้นะ อุทิศคือจิตมีเจตนามุ่งหมาย

การอุทิสก็เข้าใจว่าทำทานก็คือลัทธิอื่นๆที่เป็นกันมานานแล้ว แต่พพจ.มาแก้กลับอย่างมีธรรมะ จิตใจมุ่งหมาย

เช่นจิตใจมุ่งหมายฆ่าสัตว์ตัวนั้น ที่คือเปรต เป็นสัตว์โอปปาติกะ แล้วสัตว์เปรตนั้นคือปรมัตถ์คือในคน ไม่ใช่สัตว์เปรตที่ล่องลอยเหมือนที่ภิกษุสาติว่าไว้ แต่เปรตนี้อยู่ในตัว ชื่อว่าปรทัตตูปชีวี เปรตที่ต้องอาศัยผู้อื่นอย่างน้อยคือพพจ.หรือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะเปรตรู้ได้ด้วยตนเองไม่ได้ต้องรู้จากผู้มีเชื้อDNA พุทธ เป็นสัตบุรุษ

คำว่าทัตตะ แปลว่าโง่ อุปชีวีแปลว่าต้องพึ่งผู้อื่น การจะทำให้ชีวิตเจริญต้องรู้จักความโง่ของตน ความโง่คือเปรต คือวิชชา ผู้อื่นที่จะมาช่วยเรานั้นตนเองต้องเรียนรู้แล้วปฏิบัติจนสามารถกำจัดเปรตในตัวได้ ทำให้ลดได้หน่อยหนึ่งก็เป็นส่วนแห่งบุญ การเป็นเสขบุคคลคือได้ลดความเป็นเปรตของตนได้

ส่วนแห่งบุญ คือการอุทิศส่วนแห่งบุญนั้นดีกว่ากุศล เพราะมุ่งหมายฆ่าเปรต ฆ่าโอปปาติกะ ไม่ใช่มุ่งหมาย สัญจิจจ ปานัง ชีวิตา โมโรเปตุง ในอาชีวกสูตร อย่าไปเข้าใจเป็นสัตว์ที่มีตัวตนบุคคลเราเขา

พพจ.ตรัสว่า ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

มันตลกที่ว่าเอาผ้าจีวรไปให้พระแล้วให้ส่งไปให้ผู้ตาย คือพวกผ้าบังสุกุล ส่งถึงผู้ตายแล้วผู้ตายจะนุ่งห่มจีวรหรือ จะเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายยายหรือ? หรือส่งให้พระที่ตายไปก็มีน้อยส่วนมากส่งให้คนอื่น

แล้วเวียนเทียนผ้ากันด้วย มีคนจัดให้เสร็จ แบ่งเงินกันไป วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง เป็นต้น แต่ละวัดไม่เท่ากันอีก

สรุปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น คุณเองเป็นเจ้าของกรรมของคุณเอง จะไปให้ใคร บุพพการีที่ไหนต้นตระกูลไหน จริงๆบุพพการีคือการกระทำเก่าแก่ของคุณที่คุณสร้างกรรมเป็นเปรตไว้ ปรทัตตูชีวกเปรตนั้นแหละ ถ้าลดเปรตได้ เปรตก็ได้รับส่วนดี ชีวิตินทรีย์ก็ดีขึ้น ชีวิตินทรีย์ของเปรตก็ลดลง ยังไม่หมดก็เป็นสาสวะ จึงได้ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา ได้ส่วนแห่งบุญ

คำว่าได้ส่วนบุญคำนี้ไม่ได้หมายถึงได้อะไรมา แต่คือการชำระกิเลสออกไป กำจัดอกุศลออกไป หรือกำจัดชีวิตินทรีย์เปรตให้ลดลงหมดกำลังลงไป อย่างนี้ต่างหาก ฟังกันไหม ไปหลงผิดยึดถือกันมานาน เสียเวลาตายฟรีไปด้วย แล้วถูกล้วงตับกินไส้ด้วย ถ้าไปปฏิบัติกับอาจารย์ผิดๆนอกจากไม่ได้อะไรยังถูกล้วงตับกินไส้ด้วย

แล้วที่ใช้คำว่า ปฏิทานมัยคือเป็นผู้เข้าถึงท่าน ปฏิ แปลว่าเข้าถึง เขาถามต่อว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 ทำแล้วได้ผลเป็นบุญกุศลอย่างไร?

คำว่าบุญ คำเดียวนี้ต้องพูดกันอย่างยิ่ง ชาวอโศกคือพวกบุญนิยม คือพวกลัทธินิยมบุญ

ถ้าชาวอโศกเข้าใจบุญมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่สมาชิกชาวอโศกแท้ ชาวอโศกต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิแล้วได้ส่วนแห่งบุญเป็นเสขบุคคล จึงมี DNA เปลี่ยนตระกูล แต่ก่อนเป็นตระกูลเทวนิยมเป็นปุถุชนตอนนี้เป็น อเทวนิยมแล้ว

คำว่าบุญกิริยาวัตถุ 3 ข้อแรกเป็นแกนแท้ๆ มีนัตถิทินนัง_ยิฏฐัง_หุตัง คือทำทานแล้วจิตไม่ได้ชำระกิเลส แต่กิเลสยิ่งโต ท่านเท่าไหร่ยิ่งโต ยิ่งไปทานกับธรรมกายยิ่งถูกหลอกเป่าลมฟูฟ่อง ยิ่งอยากไปรวยไปใหญ่ได้วิมานกับบุญเพ้อพก

พพจ.ตรัส อาริโยสัมมาสมาธิ เป็นพยัญชนะเฉพาะของพพจ. ไม่ใช่มิจฉาสมาธิที่เป็นกันเต็มเลย

จงศึกษาจากพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281 "มหาจัตตารีสกสูตร"นั่นเถิด พระพุทธเจ้าตรัสถึง การปฏิบัติ "มรรคอันมีองค์ 8" ไว้อย่างชัดเจนที่สุด

เริ่ม..ข้อ 252 ลำดับแรกพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "เราจักแสดง สัมมาสมาธิ ของพระอาริยะ (อริโย สัมมาสมาธิ) อันมีเหตุ (อุปนิโส) มีองค์ประกอบ (ปริกขาโร) แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟัง สัมมาสมาธิ นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป"

ลำดับต่อมา ข้อ 253 ตรัสขยายความว่า "ก็สัมมาสมาธิ ของพระอาริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ"

 

ไม่มีข้อไหนให้ไปนั่งเพ่งลมหายใจ ที่เป็นการปฏิบัติแบบเก่าเลย พพจ.ไปเห็นเข้าก็สอนอานาปานสติบ้าง แต่ไม่ใช่หลักของศาสนาพุทธเลย ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ถ้าอันนี้ผิดก็ผิดหมด เหมือนโคจ่าฝูงพาลงนรกเลย เป็นประธาน

          [254] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง 7 นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
         [255] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่าทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ ฯ

เช่น รู้ว่าทานอย่างนี้แหละได้ผล อย่างนี้แหละไม่ได้ผล เป็นต้น ตรงนี้แหละ แล้วคนนั้นคืออย่างไร ทานคือการลดความโลภ ไม่เอา ทานคือให้ คือสละออก ทานไม่ใช่เอามา แล้วอะไรที่เอาออก อะไรที่ไม่เอามา คนไม่เข้าใจว่า เอาออกหรือเอามาคือลาภ ยศ สรรเสริญ​ กาม คือทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ ที่เอาออกคือตัวปรมัตถ์ในจิต

ทานตัวโลภออกไปคุณจะให้วัตถุก็ต้องเอาใจของคุณให้ไปด้วยไม่ใช่วัตถุ แต่ที่ปฏิบัติกันใจกลับเอามากกว่า เช่นให้ห้าบาทจะเอาเป็นล้าน หรือเช่น ชิตังเมโป้งรวยเป็นต้น หรือหวังวิมาน แต่ไม่ใช่ทำให้จิตลดโลภ เลย โดยเอาวัตถุเป็นองค์ประกอบ มันหวงอะไรของตัวก็ให้สิ คุณกล้าให้ล้านก็ให้ล้าน กล้าให้สิบล้านก็ให้สิบล้านแต่นี่ให้ห้าบาทจะเอาเป็นล้าน เช่นซื้อลอตเตอรี่ นี่คือตั้งจิตไว้ผิดร้ายกว่าโจรหัวโจกฆ่าโจรหัวโจก ทานแล้วไม่ได้ผลเป็นนัตถิทินนัง ทานแล้วตั้งจิตไว้ให้ได้มากๆ ได้บ้านกี่หลังได้ยศกี่ขั้น แล้วกรวดน้ำไป….แต่เขาทำกันทั้งประเทศใช่ไหม ?แล้วจะหวังพึ่งอะไร อาตมาไม่อยากพูดว่าอวดดี ถูกต้อง เกรงใจจริงๆ ยืนยันเลยว่าอาตมาถูกต้องท่านทำนี้ผิดหมด เขาก็เลยว่าเอ็งใหญ่อะไรกันนัก เอามาจากไหน อาตมาก็ไม่ได้เอามาจากไหน ก็เอาจากพระไตรปิฎก นี่แหละนัตถิทินนัง ทำทานแล้วจิตไม่ละกิเลส แต่กลับโลภมาให้แก่ตน ตั้งจิตอธิษฐานยึดมั่นเลยว่าจะได้ จิตเป็นประธานเลย สอนอโยนิโสมนสิการ สอนการทำใจไม่ถ่องแท้ไม่ลงถึงที่เกิด อโยนิโสฯ นี่แหละสอนกันผิด จะไปปฏิบัติถูกต้องได้อย่างไร

ในทานมัย คำว่ามัยแปลว่าสำเร็จผล สำเร็จผลเขาได้กิเลสเพิ่ม เพราะทางผิด ต้องเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ จะได้เป็นอัตถิทินนัง ทำใจในใจว่าให้เราลดโลภ ถ้าทำใจให้ไม่เป็นทานตัวนี้ไม่ใช่บุญเลย

ยัญพิธีคือศีลพรต คือศีลมัย ส่วนภาวนาคือ หุตัง ที่ท่านแปลว่าสังเวยที่บวงสรวงแล้วก็คือคุณทำพิธีหรือทำทานก็ตาม

ฟังอาตมาแล้วก็บุพเพนิวาสานุสติญาณตามอาตมาก็ยิ่งชัดเจน ว่าอันไหนดีอันไหมไม่ดี อันไหนอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ใช่แค่หมดบางส่วนเลยด้วย

4. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย)

5. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย)

จะทำทานหรือศีลก็ต้องทำด้วยอ่อนน้อม อย่าไปคิดว่าฉันคือผู้ให้นะคือเศรษฐีนะที่จะมาให้นะ

6. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) จิตคุณบรรลุไหม จิตคุณเป็นเปรตก็ต้องหัดทานออกไป สละออกไป ตายก่อนแล้วถึงให้นั้นหรือทำพินัยกรรมนั้นไม่ต้องพูดหรอก ไม่ให้เขาก็เอาอยู่แล้ว

7. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) การที่บอกว่าส่งส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กันแล้ว รู้ไหมว่าตายไปแล้วอยู่บ้านเลขที่ไหน จะส่งไปถึงไหมนี่ แล้วแบ่งส่วนบุญกันได้ ก็เอาไปตอนเป็นๆก็ยังเอาไปไม่ได้เลย

ขณะนี้อาตมาอยู่ในฌาน 1 มีวิตกวิจาร จับอ่านอาการทันไหม ในพฤติกรรมนั้นมีกิเลสมาสสังขาริกังด้วยไหม จับผีร้ายนี้ได้ไหม ถ้าทำให้พฤติกรรมนี้จากธรรมะสองเป็นธรรมะหนึ่งให้เป็นเอกัคคตาจิตได้ ก็เป็นวิจาร เป็นพฤติที่เจริญ

8. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

9. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย)

10. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) ทิฏฐิต้องตรงก่อน

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:44:39 )

590520

รายละเอียด

590520_พ่อครูเทศนาวันวิสาขบูชา ปี 2559

พ่อครูว่า...ปีนี้ปี 2559 ปีหน้าก็ถึง 2560 วิสาขบูชาที่เราเริ่มเปิดตัวชาวอโศกเมื่อปี 2524 มาได้นักษัตรขึ้นมาอีกจาก 24 มาอีกรอบหนึ่งก็เป็น 48 พศ. 49 อโศกเร่ิมออกการเมือง จาก 49 มาถึงปีนี้ 59 แล้วก็จะเข้า 60 ปีหน้าก็ขึ้นนักษัตรที่ 5  พวกเราก็จะถูกไปว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในพ.ศ. 2560

ตอนนี้พวกเราเปิดตัวอย่างจริงจังเป็นไปตามอุตสาหวิริยะอาตมาก็อุตสาหะวิริยะที่จะขยายงานขยายผลขยายความรู้ทุกอย่างเท่าที่มีความรู้ความสามารถก็พยายามทำไปเต็มที่อาตมาไม่ได้รามือไม่ได้เกียจคร้านแต่ทำเต็มที่แม้วินาทีนี้ก็ทำอยู่ตลอดก็เห็นอัตราการก้าวหน้าจริงๆ

จะเห็นได้ว่ามาถึงวันนี้แล้วใครรู้ไหมบ้างเอ่ยว่าจริงๆแล้วนี่ธรรมะมีกองทัพ มีคนจะแย่งความเป็นกองทัพธรรมจริงๆแล้วกองทัพธรรมเกิดขึ้นมาแล้วเป็นนิตินัยเลย ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิสมณะก็เป็นประธานได้แต่กองทัพธรรมที่จดทะเบียนจนบัดนี้ตั้งแต่เปิดมาจนบัดนี้ก็มีประธานคนเดียวมาตลอด ก็มีพลตรีจำลอง ศรีเมืองเป็นประธานกองทัพธรรมมาตลอด อาตมาไม่ได้เป็นประธานกองทัพธรรมนะ

พวกชาวอโศกไปทำงานที่ไหนๆเขาก็บอกว่าเป็นคนของจำลองหมด ร้านมังฯร้านไหนๆก็เป็นของจำลองหมดไม่ใช่ของชาวอโศก

มันเป็นความซับซ้อนที่เป็นจริงเป็นอจินไตย หลายเรื่องเป็นอจินไตย อย่างอาตมาเทศน์ความรัก 10มิติก็ไม่ได้วางแผนหรือคิดไว้ก่อน ก็ออกไปสดๆแล้วมาเรียบเรียงทีหลัง มากมายหลายอย่างที่ไม่ขอกล่าว มีตรีมูรติ เป็นหลักฐานยืนยัน

พวกเราทำกันมาทุกวันนี้ยิ่งทำให้เห็นความเป็นจริงมีทั้งตัวบุคคลมีทั้งรูปทั้งนามยืนยันให้เห็นจริงๆ ตอนนี้อาตมาก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรม ตอนนี้ดาวเทียมนั้นดับแล้วใครไปให้ดาวเทียมดับไม่ใช่ความผิดของเราตอนนี้ก็ยังออกอากาศไม่ได้ก็เป็นความจริงเพราะฉะนั้นมีแต่พวกเราได้รู้ได้ฟังสิ่งที่อาตมาพูดนี้ก็เป็นอจินไตยอย่างหนึ่งพวกเราได้ฟังแต่ชาวบ้านชาวเมืองไม่ได้ฟังนี่เป็นเรื่องสัจจะอะนะอาตมาไม่ได้เดือดร้อนใจอะไร รู้ว่าโอกาสมันเป็นเช่นนี้ 

องค์คุณของอุเบกขามี

ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เราต้องอ่านอาการ แล้วรู้ความเป็นเพศ ซึ่งอันหนึ่งจะเป็น Kinetic ตัวนิ่ง อีกอันตัวเคลื่อน เป็น Dynamic เป็นธรรมะสองทั้งนั้น จะรู้อาการต้องอ่านของตัวเอง  จะมีลักษณะของอาการเรียกว่านิมิต  ตัวเคลื่อนก็เป็นอิตถีภาวะ

แม้อาการของความบริสุทธิ์ต้องรู้นะว่าอย่างนี้ใช่บริสุทธิ์อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องกำหนดเอาเองว่าอาการบริสุทธิ์ผ่องใสขนาดไหนมีอาการเคลื่อนไหวประกอบ ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้จะเกิดพลังงานเกิด action reaction เป็นพลังงานไฟพลังงานลมเราก็จะต้องอ่านอาการนั้นออก

ไฟก็ร้อนลมก็มีแรงดัน มีแรงดันเบาแรงก็ต้องอ่านออกที่เป็นนามธรรมและเป็นอรูป มีปริสุทธา ปริโยธาตามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมสัมพันธ์กระทบกันไปมาหลายชิ้นถ้า 3 หน่วยก็หลายชิ่ง ถ้า 5 หน่วยก็หลายชิ่ง ขึ้น 9 หน่วยก็กระทบกันไปต้องรู้สภาวะเหล่านั้นแล้วยิ่งกระทบกันมากขึ้นมันก็ต้องมี action reaction มีพลังงานที่จะต้องเกิดหมุนเวียนกระทบแรงขึ้นแล้วคุณสงบอยู่ไหมเป็นอาการบริสุทธิ์อยู่ไหมสะอาดอยู่ไหมเมื่อถูกกระทบแรงขึ้นมามันมีความร้อนมีความแรงมีอะไรก็แล้วแต่คุณยังอยู่ได้ทนได้นิ่งได้เฉยได้มันก็ยิ่งกว่าความหมายของบริสุทธิ์ทาปริญทาตาก็มีเหตุการณ์เพิ่มขึ้นอีกแต่คุณก็ยังรักษาความบริสุทธิ์นี้ได้หรือไม่ได้ด้วยง่ายหรือยากดูได้เต็มที่หรือไม่เต็มที่   ก็ ดูมุทุ จิตจริงๆของคุณทำได้หรือเปล่า

คุณมีทั้งลักษณะเคลื่อนไหวและนิ่ง 2 อย่างครบพร้อมไหมสัมผัสอย่างไรก็สะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา ก็มีพลังงานสะอาดไปทำกรรมต่อก็ขึ้นกับความมุทุ มีกัมมัญญา ถ้าไม่จริงก็มีกรรมที่มีเศษส่วนที่ไม่สะอาดปนอยู่ แต่ถ้ามีการสะอาดจริงกัมมัญญาก็สะอาดสุดท้ายก็ปภัสสรา สะอาด สู้แล้วงานแล้วสะอาดหัวท้ายสะอาด ประสิทธิภาพของจิต เป็นได้ถึงขนาดนี้เราทำได้ขนาดไหน

คุณต้องทำเอาเองเพิ่มประสิทธิภาพของจิตของคุณเองและเป็นไปได้นี่คือความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สุดยอด ธรรมะ พวกเรามารวมกันเป็นพลังงานองค์รวมอยู่ในกรอบทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามากหรือน้อย ที่ได้จริงหรือไม่จริงเท่าไรอาตมาเชื่อว่าพวกเรามีความจริงใจที่จะให้ได้ดีทั้งนั้นแต่มันได้เท่านี้ ก็เป็นสัจจะความจริงทั้งนั้น

เมื่อได้แล้วทุกคนมารวมกันก็เป็นพลังงานองค์รวมพวกเรามีความมักน้อยมีความสันโดษเราไม่เอามันก็เป็นความจริงของความจริงแต่ละคนมีความจริงนั้นนั้นนอกจากไม่เอาแล้วมีสมรรถภาพมีความขยันความสามารถแต่ละคนก็ทำได้ทำได้จริงมันก็ออกมาเป็นผลงานจริง

หมู่กลุ่มนี้อยู่อย่าง มีวรรณะ 9

วรรณะ 9

1. เป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

2. บำรุงง่าย (สุโปสะ)

3. มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4. สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

5. ขัดเกลา (สัลเลขะ)

6. กำจัดกิเลส มีศีลเคร่ง (ธูตะ)

7. มีอาการที่น่าเสื่อมใส (ปาสาทิกะ)

8. ไม่สะสม (อปจยะ)

9. ปรารภความเพียร ยอดขยัน (วิริยารัมภะ)

(พระไตรปิฎกเล่ม 1 “ปฐมปาราชิกกัณฑ์” ข้อ 20)

อยู่กันอย่าง กลมกลืน harmony เป็น unity of diversity เป็นหมู่ที่มีความหลากหลายมากแต่อยู่กันได้อย่างกลมกลืน

จะทำได้ต้องมีศิลปะอย่างยิ่ง เป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม นอกจากจะสัลเลขแล้วยังมีธูตะ ศีลเคร่ง แม้ศีลเคร่ง แต่คนที่บรรลุศีลนั้นแล้วได้แล้วไม่เคร่งไม่อยากได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก นี่คือธูตะ

อาการน่าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่เบาตลอดกาลหรือหนักตลอดกาลไม่ใช่ ต้องรู้ศิลปะประมาณอันเหมาะควร มีสัปปุริสธรรม มีมหาปเทส 4 เข้าใจองค์ประกอบจัดสรร แล้วก็มีอปจยะ มีความไม่สะสม แต่มีความขยันเสมอ วิริยารัมภะแต่รู้จักพักรู้จักเพียร

นี่คือวรรณะ 9 คือบันได 9 ขั้นของพระพุทธเจ้า ผู้ได้คุณวิเศษนี้ได้ก็มีจริงแล้วมารวมกัน พวกเราอยู่ในเกณฑ์ทำงานฟรี มีกี่ % ที่ทำงานฟรี ก็ร้อย %

มาถึงวันนี้ ชม.นี้วินาทีนี้ยังมีคนชนิดนี้ไม่ใช่คนเดียว แต่มีเป็นร้อยเป็นพัน แล้วจะทวีขึ้นไหม อาตมาแน่ใจว่าทวีขึ้นแน่ โลกต้องการคนชนิดนี้ แล้วอย่าลืมว่าต้องมาจน

คนเขาอาจบอกว่ามาจนได้อย่างไร? แต่อาตมาแน่ใจว่าลึกๆเขารู้ ปัญญาคุณจะชัดเจนเลย จะเห็นว่านี่ประเสริฐนี่ดี คนใหญ่สุดในประเทศก็บอกว่าต้องมาเอาแบบคนจน แล้วคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปชช.ยอดบูชาเคารพเลย อะไรมันจะไม่จริงเล่า พวกเรายิ่งจริงตามนี้เลย นี่คือสิ่งยืนยันเป็น Phenomena เป็นปาตุภาวะหรือปาตุสัจจะ

ถ้าใช่อันนี้จริงที่ไหนๆก็ต้องมา ถ้าไม่จริงก็มาไม่ได้

พวกเราเป็นสังคมเจริญ สังเกตตรงไหน ...ง่ายๆตามหลักเศรษฐศาสตร์คืองานตกคน แดนดินที่คนรวยกันคนเขาตกงาน จะรวยไปทำไม คนรวยเอาเงินจ้างคนทำงาน คนก็ยิ่งตกงาน แต่ที่นี่งานตกคน เพราะเจ้าของโครงการจ่ายหมดแล้วก็เลยต้องมีงานตกคน ….งานเรามีมากลูกรัก…

อาตมาขอใช้อนาคตังสญาณ บอกว่าทฤษฎีนี้เป็นปชต.ที่หนึ่งของทุกกาละทุกยุคสมัยเป็นทฤษฎีที่หนึ่งของเผด็จการ เผด็จการอย่างเมตตา จริงใจ สะอาดบริสุทธิ์ทำเพื่อสังคม นี่คือการเผด็จการของสัจจะของพุทธ เผด็จการที่ไหนจะสู้ได้ ที่นี่ทำงานเอาเข้ากองกลาง 100% เลย

คุณเสีย 100 ก็ได้ 100 คุณเสีย 70 ก็ได้ 70 คือที่เสียนี่แหละคือคุณได้ …

เราจะอยู่ไปนานเท่าใดนานกว่าสมบัติทางโลกีย์ กองสมบัติโลกีย์จะถูกตีแตก เร็วกว่าของเราแน่ เร็วกว่า แน่ ที่นี่ไม่ตีแตกง่ายหรอกกองสมบัติ ถึงบอกว่าที่นี่เป็นที่ยั่งยืนบริสุทธิ์ยาวนาน ง่ายกว่าด้วย สะดวกกว่าด้วย สัจจะสิ่งเหล่านี้จะค่อยเป็นไป

วิสาขบูชาปีนี้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเป็นราศีรังสีของความเจริญ วิสาขบูชาปีแรกๆอาตมาไม่ได้ให้ทำอะไรนะ แต่ค่อยๆเกิดรูปร่างมีความคึกคักครึกครื้นเกิดขึ้น มีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เราก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมากมายนัก เราเอาเนื้อหาเป็นหลักการฟังธรรเป็นหลักต่อไปจะมีอะไรเพิ่มขึ้น จะเป็นไปตามสัจธรรม

ก็ยินดีต้อนรับแมงเม่าทั้งหลายบินมาสู่กองไฟฌาน ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:45:15 )

590522

รายละเอียด

590522_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง อริโยสัมมาสมาธิ

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2559 ที่บ้านราชเมืองเรือก็มีฝนตกทำให้เราต้องเร่งผลิตปุ๋ยส่งชาวนาชาวสวนเราผลิตส่งไม่ทันเลย ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะให้ชาวนาชาวไร่ได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์

วันนี้พ่อครูจะมาบรรยายเรื่องสัมมาสมาธิ หรือสมาธิพุทธ ก็ตั้งใจอธิบายทุกทีตั้งไปแล้วใครที่ตั้งมันก็ล้มเองก็ตั้งมันอีก ตั้งแล้วตั้งอีก

ก็ขอส่งข่าวคราวอาศัยโทรทัศน์บุญนิยมก็คงจะมีคนที่เปิดดูโดยเฉพาะคนที่ชื่อว่าเพื่อนอาตมานั้นมีมิตรดีมีเพื่อนเก่าๆก็พยายามโยงใหญ่มามาสู่จุดสำคัญจุดนี้มาไม่ค่อยมาอาตมาก็หาเพื่อนอื่นๆไปแม้จะรู้จักกันหรือไม่รู้จักกันก็พยายามหว่านเสน่ห์ไปได้เรื่อยๆเสน่ห์ก็ไม่ค่อยจะมีก็ยังพอได้ติดติดมาบ้างก็ได้เท่าที่ได้เพื่อนคนเก่าๆก็พยายามโยงใยให้มา

ใครจะว่าอาตมาหลงตัวเองก็ได้ แต่ว่าอาตมาได้จุดนี้ คือสัมมาสมาธิ

ในโลกเขามีสองสมาธิ คือ analysis vs hypnosis แล้วก็ชื่อว่าสมาธิทั้งคู่ ตั้งมั่นได้ทั้งคู่ เหมือนนิวเคลียร์ฟิวชั่นกับฟิชชั่น  ก็มีกระแสบวกกระแสลบ พวกที่ดิ่งเดี่ยวเป็นหนึ่งเดียวก็ได้ความจริงนิ่งสดับไม่รับรู้แต่ของพระพุทธเจ้านี้ทำให้สองได้เป็นหนึ่งได้และเข้าใจ 2 เข้าใจหนึ่งก็จะอนุโลมปฏิโลมอยู่กับโลกได้อย่างประนีประนอมอยู่อย่างปรองดองอยู่อย่างไม่ทะเลาะกันอยู่อย่างอาศัยกันและกันและสำคัญที่สุดคือตัวอย่างยอมเป็นผู้เสียสละเป็นผู้แพ้ได้ผู้ที่ชนะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลกที่เขาจะชนะเป็นที่สุดในโลกแต่เขาเป็นผู้พิชิตรอบโลกไม่ได้ก็เพราะเขาแพ้ไม่เป็น

ผู้ที่จะชนะสูงสุดที่สุดในโลกเขาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเลยแล้วเขาก็จะเป็นชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจริงๆด้วยถ้าเขาทำสิ่งนี้ได้คือเขาต้องแพ้ถ้าเขาแพ้ได้เขาเป็นผู้ชนะสูงสุดในโลก เขาเป็นผู้ชนะสูงสุดในโลกไม่ได้เพราะเขาแพ้ไม่เป็น

นี่แหละคือสุดยอดพระอันตะมาถึงทุกวันนี้ไม่มีปัญหาเลยเพราะอาตมาแผลเป็นและสมาไม่มีหยุดอาตมาแพ้แต่อาตมาไม่มีหยุดพัฒนาสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆทุกวันนี้ก็ประสบผลสำเร็จไปเรื่อยๆก็ขอส่งข่าวถึงเพื่อน อาตมาต้องมีลูกมากก็เลยเหมือนทิ้งเพื่อนแต่ก็ไม่ได้ทิ้งหรอกการมีเพื่อนนี่มันสุดยอดการมีศัตรูหนึ่งคนก็มากไปแล้วแต่การมีเพื่อนมีมิตรมีสหายดีเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ไม่พอ

มีเพื่อนเยอะเพราะเรียนซ้ำชั้นหลายปี ก็ได้เพื่อนเยอะ …

ที่รร.เพาะช่าง อาตมาก็เป็นประธานนักศึกษาเป็นคนแรก เป็นยุคปชต. ซึ่ง พระพุทธเจ้าได้สอนปชต.สุดยอด แล้วมีหลักนานาสังวาส คือ ให้ปฏิกโกสนาคือ ท้วงกันติงเตือนกันได้เต็มที่แต่จะมาฟ้องร้องทำอธิกรณ์ไม่ได้

ปชต.ก็มีสุดวิสัย มีธรรมะสอง เจโตกับปัญญา ในโลกก็ต้องมีนิวเคลียร์ฟิชชั่นกัลฟิวชั่น พีชนิยามก็มีสอง จิตนิยามก็มีสอง เป็นภาวะสอง ผู้รู้จักธรระมสองภาวะสองก็ไม่ยึดมั่นฝ่ายใด มีแต่เอาปัจจุบันองค์ประกอบ วินิจฉัยตามมหาปเทส และสัปปุริสธรรม 7 อะไรควรไม่ควรแม้ไม่มีในมหาปเทสก็ใช้ความควร สุดท้ายใช้เยภุยสิกา คือพลังเสียงข้างมาก แล้วจากไหนก็ต้องในสภา ในสภาต้องเอาผู้รู้เอาบัณฑิต อย่าเอาสมาชิกที่พาลมาเป็นสภา แล้วตัดสินเสียงข้างมากชนะก็จบไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้ว สุดยอด

ปชต.หากเข้าใจแล้วจะเข้าใจถึงนามธรรม ในพีชะ ในอุตุ พลังงานเร่ิมต้นที่มันไม่รู้ตัวตน ไม่ทำร้ายใคร มีญาณหยั่งรู้พลังงานเหล่านี้แยกธรรมะสองได้ทุกฐานะ สุดท้ายมีกรรมกับธรรมะ กรรมคือปัญญา ทุกอย่างสมบูรณ์แบบรู้รูปรู้นามรู้ธรรมะสอง รู้เจโตกับปัญญา รู้กรรมกับธรรมะ

เมื่อชัดเจนจึงสั่งสมพลังงานปัญญากับเจโต ที่รวมเป็นพลังงานที่ทั้งรู้และมีเจโต แล้วจะเลือกอะไรก็ใช้มหาปเทส และสัปปุริสธรรม 7

ตอนนี้เราสร้างเชื่อที่มีDNAพุทธได้แล้วเป็นแต่จะพัฒนาต่ออย่างไรขยายอย่างไร รู้ว่าไม่ง่าย เพราะเป็นยุคหางศาสนาพุทธแล้วเลยครึ่งแล้วแย่ลงไปแล้ว ศาสนาพุทธไปถึง ห้าพันปี แต่ถ้าตอนนี้เลยสองพันเจ็ดร้อยแล้วไม่ได้ก็แย่ อาตมาก็เลยต้องหนักเป็นหลัก 7 ที่หนัก หลัก 8 นี้ค่อยยังชั่ว

Sms 19พ.ค.59

0895781xxx สนับสนุนภิกขุณี ไม่ต้องมีสำนักพุทธและมหาเถรสมาคม ตั้งมหาพุทธบริษัทแทนและปฎิรูปพระ

พ่อครูว่า คิดได้แต่จะทำได้หรือไม่ ก็คิดกันไปทำกันไป เราหาทางออกที่สิกขมาตุ แล้วพาสิกขมาตุนี้ไปถึงอรหันต์ได้ไหม ก็ได้ ยืนยันเลย ถือศีล 10 ให้จริงให้เคร่งตามพระพุทธเจ้าสอน เณรนี่บรรลุเป็นอรหันต์ได้

ถ้าอาตมาลากชีวิตไปถึง 151 ปีจะมีคณะรัฐบาลโลกุตระที่บริหารประเทศด้วยแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วเราจะสร้างสรรให้เกินแล้วแจกจ่ายแก่ชาวโลก เมืองไทยศิวิไลซ์แน่นอน ตามในหลวงตรัส เราก็รวยพอควร แต่เราไม่รวยมาก เราไม่สะสม เราอุดมสมบูรณ์พอกินใช้แล้วแจก มีสมรรถนะมีน้ำใจ

1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองให้รอด 3.ทำให้เกินกินใช้ 4.แจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่น

เราเป็นผู้ให้นี้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรานี่แหละไม่มีอะไรลบล้างได้ แล้วเราไปรอดแล้วชนะด้วยอย่างสวยงามด้วย ไทยเราทำได้แต่คนยังเชื่อน้อย เลยมีอัตราก้าวหน้าน้อย ถ้าเมืองไทยสัมมาทิฏฐิร่วมมือเอาใจโถมเลย หนักหนาเหน็ดเหนื่อยหน้านองน้ำตาก็ช่วยกันไป รับรองว่าไปรอด ทุกวันนี้ Globolization ถึงกันหมด ไทยกับอเมริกานี่ตรงกันข้ามสุดแล้ว ถ้าเดินตรงสั้นสุด แต่ถ้าเดินอ้อมก็ไกลสุด เจาะรู้โลกก็ถึงกัน

อาตมาไม่ได้ดูถูกภิกษุณี ถ้าดีเราก็ยินดี แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ชื่นชม

0812655xxx เมื่อวานดูรายการคมชัดลึก รู้สึกไม่ดีเลยที่พระพยอม เอ่ยถึงอโศกลักษณะเหมือนดูแคลน พิธีกรน่าจะห้าม

ตอบ...ขออภัยพระพยอมก็คือท่าน ท่านก็มีกลุ่มท่าน คนเราโง่เท่าที่คนเราฉลาด คนเราฉลาดเท่าที่คนเราโง่

0822712xxx เขาบอกว่าศีล5ไม่มีในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าไม่เคยสั่งสอน จริงมั้ยครับ.

ตอบ...คนถามคือคนไม่รู้ ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีหมด ในจุลศีลมีไว้หมด ไปทบทวนให้ดี

0805925xxx คนที่มีบุญเก่าในธรรมจะเพียรสร้างกรรมดีรักสันโดษเห็นภัยแห่งกาม!

คนที่ฟังธรรมเข้าใจง่ายเพราะมีอุปนิสัยเก่าแต่ปางก่อนที่สะสมมา! แต่ผู้ที่เพียรดับบาปบุญดีกว่าผู้ใฝ่ธรรมไม่เพียรดับกิเลส?นู๋ก็เป็นจังซี้บัวตูมบ่บาน!

ตอบ...สรุปแล้ว ก็พัวพันกันอยู่ไม่ว่าคำว่ากาม สันโดษ หรือสร้างกรรม บุญเก่า นัวนังกันอยู่ก็ค่อยๆคลี่ แก้แหไป เหมือนช่างหูกช่างทอก็แก้ปมไหมปมด้ายไป ดีกว่าผู้ไม่เพียร

0892297xxx ลูกฟังเสียงพ่อท่านจากเท็ปจากชีดีเกือบทุกวันมา30ปีจนเด๋วนี้ได้ดูจากบุญนิยมทีวีปีหนึ่งๆขาดไปสัก10วันมังคะลูกเห็นว่าพ่อท่านเทศน์เก่งดีวันดีคืนเข้าใจง่ายมีอารมณ์ขำสนุกตลอดลูกต้องติดตามทุกวันแล้วลูกตรวจตนนิสัยดีขึ้นเรื่อยๆเจ้าค่ะกราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง

0893867xxx ธรรมมงคล38ปก.ที่พ่อครู สอนทำให้รู้จักมิตรเทียมจอมเสแสร้งได้ดีเป็นมิตรปฏิรูปก์มี หรชน,วจีบรม,อนุปิยภาณี,อปายสหาย! ส่วนมิตรแท้ที่อยู่ไกลตัวแต่จริงใจที่สุดเป็น สุหทมิตร มีอุปการณ์,สมานสุขทุกข์,อัตถักขายี,อนุกัมปี!เป็นมิตรดี ตรงตามอุปัฑฒสูตรในพระตปฎ.ไหม?

ตอบ...วจีบรมคือยึดเอาคำพูดเป็นใหญ่ 

อนุปิยภาณี คือคนช่างพูดต่อยหอย อะไรเล็กๆน้อยๆก็เก็บหมดคือกุ้งฝอย ฟรุ้งฟริ้ง

อปายสหาย คือร่วมประโยชน์กันจนละเอียด คือไม่ติดประโยชน์แต่รู้ว่ามีละเอียด สหาย คือผู้ร่วมประโยชน์

อนุกัมปีคือผู้มีความอนุเคราะห์

ตอบว่า ตรงกับมงคล 38 หมด รายละเอียดต่างๆอยู่ในมงคล 38ที่รวบรวมตั้งแต่รูปธรรมละเอียดถึงนามธรรมที่สุดแห่งที่สุด

กรรมที่ทำนั้นดีในระดับในในกัลยาณธรรมหรืออาริยธรรม

สามเส้า 1.ไม่ดี 2.ดีกัลยาณธรรม(โลกียะ) 3.ดีเป็นโลกุตรธรรม ก็แยกพลังงานเหล่านี้ได้จริง ผู้ที่รู้จักพลังงาน สองหรือสามเส้าแล้วรวมให้เป็นหนึ่งได้ ที่มันเกินสลายหายไปจับไม่ติดก็ทิ้งมันไป isotope ก็จับไม่ได้ก็ปล่อยไป คนเก่งที่สุด เก็บ ได้แค่ half life กึ่งเดียวก็เก่งแล้ว

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมนัตถิสุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโก!ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มีผลเป็นมิจฉาทิฐิสาธุ ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมพ่อครูสอนอันมีปรฑัตตูปชีวกเปตฤาคนที่ยังต้องอาศัยผู้อื่นที่มีรูปธรรมสูงช่วยทำให้ชีวิตเกิดชีวิตเป็นไป

 0805925xxx บายก่อนเน้อต้องตื่นเช้าใส่บาตรสวยๆพระล่องหน!บายๆ:-)

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่านๆตอบคำถามได้ดีมากๆๆค่ะ

จากกูรู สู่แดนธรรม

ผมก็อยากถามพ่อท่านเหมือนกันครับ

สมัยก่อน ราวๆ ปี 2537 พ่อครูถามว่า "ใครแปลคำว่า กัมมะหรือกรรม ได้ถูกต้อง อาตมาจะให้เป็นพระโสดาบัน" .. ทุกคนส่วนมากมักจะแปลว่าการกระทำ แต่พ่อครูก็เฉลยว่า กรรมะแปลว่า ทำการงาน

 

คำถามคือ การแปลหรือการอธิบายความได้อย่างต่างไปจากคำมาตรฐานทั่วไปนี่ สามารถบ่งบอกถึงภูมิจิต ภูมิความรู้ ความมีความเป็น ของผู้นั้นได้ ใช่ไหมครับ

ตอบ...ทุกอย่างเป็นสอง แต่เราทำให้เป็นหนึ่ง เราทำการงานแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นทำให้ดีที่สุดแล้วจบ

 

อาตมาจะขยายความคำว่าสมาธิ เมื่อวานนี้ฟังอ.รัตนาภรณ์ ธรรมโกศลอธิบายสมาธิว่า เริ่มที่Focus แล้วเป็น Concentrate ก็มีจิตวิญญาณประกอบ แต่ว่าอ.ว่ายังไม่สูง ต้องมี Meditation จึงสูง เป็นคำนาม รวมหนึ่งได้ พ่อครูว่า...จริงๆ Concentration นี้รวมให้เป็นหนึ่งได้เป็น Supraconcentration สิถึงสูงกว่า

1.Focus

2.Concentration

3.Meditation

4.Supraconcentration

 

พวก Meditation คือ พวก hyponotize รวมนิ่งไม่ได้วิจัยอะไร สะกดแน่แน่ ตีดิ่ง ส่วน Supraconcentration คืออริโยสัมมาสมาธิ เป็นการเรียนรู้ความเคลื่อนไหวของจิตใจ ไม่ใช่รวมให้นิ่ง แต่วิจัยถึงอาการ แยกอาการลิงคนิมิตอุเทส ที่อาตมาอธิบายคืออุเทศให้คุณเข้าใจ

อาการสองอาการก็ต่างกัน นิมิตสองนิมิตก็ต่างกัน เป็นลิงค หรือเพศก็ตั้งแต่อ่านองค์รวมเรียกว่ากาย กายคือภาวะสอง ธรรมะสอง เมื่อมีองค์รวม รวมกันแล้วคุณแยกไม่ออกก็เรียกกาย ถ้าแยกกายออกว่ามีสองก็เป็นกายในกาย

 

ผู้ที่จะแพ้สูงสุดคือผู้มีน้อย ผู้ที่มักจะเอาชนะคือผู้เอามาก ผู้เอา 2 ก็ชนะ 1 แต่ 1 นั้นชนะ 2 ในทางน้อย ผู้เอา 1 ก็ชนะ 0 แต่ 0 นี่ไม่เอาเลย แต่ผู้ชนะจริงๆคือผู้ไม่เอาเลย เขายอมสละให้ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ก็จบ

ถ้าเราได้ 2 เขาเองเขายอมเอา 1 เราก็ยกย่องเขาได้ ดีที่เขาได้เสียสละ แล้วไม่ต้องไปข่มเขา เขาเสียสละจริง เขาสามารถเอา 2 ได้แต่เขาเอา 1 หรือเขาสามารถเอา 1 ได้แต่เขา 0 ได้เลย

ใครที่จะ 0 ได้จริงๆคือจบ

ในธรรมะสองนี้ท่านแยกเป็น 4 อาตมายังค้นหาต้นตอในพระไตรฯไม่เจอ..

ลักษณะ สสัมภาระ อารัมนะ และสมมุติ สี่อย่างนี้ไปกับธาตุ 6 ดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณ ใช้สัมผัส 4​นี้มาศึกษา

ดินมี ลักษณะ สสัมภาระ แต่ดินไม่มีอารัมนะ แต่ดินมีสมมุติ

น้ำ ไฟ ลมก็เช่นกัน

อากาศหาลักษณะยาก ไม่มีกรอบขอบเขตขีดเลย ไม่มีเส้นแสงสีเสียงเลย แต่มีสสัมภาระ แต่ไม่มีลักษณะ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีสมมุติ ไร้ลักษณะ

วิญญาณไม่มีลักษณะ แต่มีสสัมภาระ(สำหรับผู้ที่ควบคุมจะให้มีหรือไม่มีก็ได้ ผู้อรหันต์ทำได้) อารัมนะ และสมมุติ

ส่ิงเหล่านี้จะรู้ได้ต้องมีผัสสะ ขนาดมีผัสสะยังอธิบายกันแทบหัวแตกเลย หลับตาปฏิบัติหมดประตูปิดประตูเรียนรู้ลักษณะ 4 นี้เลย

การปฏิบัติ หลับตาทำสมาธิ ที่นิยมกันคือ Meditation จึงปิดประตูให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็น ดินธาตุ น้ำธาตุ ลมธาตุ ไฟธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ที่สัมบูรณ์ด้วย รูปกาย นามกาย และปิดประตูที่จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นธรรมะที่อยู่ในลักษณะ ดิน น้ำ ลมไฟ อากาศ วิญญาณ

แต่ถ้าปฏิบัติตามทฤษฎี หรือทิฏฐิของพระพุทธเจ้าคือปฏิบัติลืมตา มีสัมผัส 6 จึงมีวิญญาณ​6 อายตนะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4 ภพ 3 ชาติ 5 จัดการสังขาร 3 ได้บริบูรณ์​สำเร็จเป็นอภินิหาร  3 ได้สัมบูรณ์

ด้วย มรรค 7 องค์ แล้วเกิดสัมมาสมาธิ บรรลุ วิชชา วิมุติ หรือด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 แล้วเกิดโลกุตระ 37 บรรลุธรรม โลกุตร 9 ได้สัมบูรณ์​

สัมประสิทธิ์ของพีชนิยามก็แค่อยู่กับตัวเอง แต่จิตนิยามสามารถรู้พลังงานตัวตั้งสัมประสิทธิ์แล้วรู้นอกได้อีก สามารถเก็บเอามาใช้เป็นหรม.หรือครณ.ได้อีก หารร่วมมากหรือคูณร่วมน้อย ต้องกลั่นเอามา จะได้ปรอท หากเอามามากไม่กลั่นก็ได้แต่โฟม หารร่วมจากคนมากแต่เอามาแค่น้อยจึงได้แก่น แต่เราก็รู้มวลรวม มีตัวเลือกเอาส่งควรได้ก่อน นี่คือรายละเอียดของปัญญาธาตุรู้ที่ได้สั่งสมมา จะได้อัตราก้าวหน้า

ผู้จะรู้จักสังขาร 3 กายคือรวมรูปนาม จิตสังขารคือเอาแต่จิต อาศัยพลังงานจิตมาแยกแยะอ่าน จนรายละเอียดของจิต ทำการ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ  อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา

กายสังขารรวมทั้ง Cytoplasm และ Protoplasm (กรอบกาย) เราไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อถึงเวลาเราก็ทิ้ง Protoplasm เหลือแต่ Zonar Pellucidar จึงเกิดการแตกตัวขึ้นมา ตัวยอมนี่ทำให้เจริญ​แต่เรารู้จักสัดส่วนการยอมจะผสมส่วนอะไร เราก็ยอม Cytoplasm ก็จะเจริญ​แตกตัวไป

จะรู้จัก กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร จะรู้การเกิด 5 คือ ชาติ สัญชาติ (เท่าที่คุณจำได้มาเป็นสัญชาติ )

วิญญาณแยกได้เป็นสองคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เราถือว่า ปุริสภาวะเป็นพลังงานบวก เป็นแกน มีพลังงานลบคืออิตถีภาวะ ทำงานร่วมด้วยแต่เอาบวกเป็นแก่น เราขจัดพลังงานลบไปเท่าที่ไม่ได้อาศัย แต่ที่อาศัยได้ก็ทำไป เหมือนฟิชชั่น อะไรใช้ได้เอาเอามาเป็นฟิวชั่น ที่เราคัดออกเพราะว่ามันกวน

ก็เกิดผลสร้างสรรไปเรื่อยๆส่ิงเหล่านี้เกิดจากพลังงาน นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

เวทนาเป็นตัวถูกรู้ อารมณ์โกรธ รัก ชอบ หลงก็กำหนดรู้อาการ แล้วแยกเวทนา 108 ก็แยกอะไรควรตัดก็ตัด (เคหสิตะ) อะไรทำได้ก็เนกขัมมะ เก็บได้ ได้มาเป็นเวทนา 108 เหตุของเวทนาก็คือจิต

สราคะ สโทสะ สโมหะเป็นตระกูลที่ต้องขจัดออก จนหมดอกุศลจิต เหลือจิตทรงไว้คือธรรมะ เป็นสิ่งที่ดีที่ควรเอาไว้ ก็เรียนรู้นาม 5 นี้

เจตนาคือมุ่งหมาย จะมุ่งเป๋หรือตรงก็ต้องทำทิฏฐุชุกัมม์อันนี้ เราต้องพยายามให้ตรงที่สุด

อธิบายมาถึงขนาดนี้แล้วพอจะวางได้ไหม สำหรับผู้หลงยินดีในสมาธิหลับตา

พวกหลับตากอดคอกับพวกขี้เกียจ และก็กอดคอกับพวกนักเลี่ยง อย่างคุณนักรบธรรมนี่ กอดคอกับพวกนักเลี่ยงกับพวกขี้เกียจ

ชาติ 5 คือชาติสัญชาติ

อบายนี่คือขี้แท้ๆ อบายคือขี้ ภาษาบาลีคืออุจจาระ มาเป็นภาษาไทยคืออุจาด มาจากอุจจาระ สรุปแล้วจะเข้าใจยิ่งขึ้นใน วิญญาณ​6 อายตนะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4 ภพ 3 ชาติ 5 จัดการสังขาร 3 รูป 28 วิญญาณ 6

ชาวพุทธในปัจจุบันนี้ แม้แต่คนผู้เรียกตนว่า นักปฏิบัติธรรม หรือพระที่หลงยึดตัวตนว่า เป็น“พระกรรมฐาน-พระปฏิบัติธรรม”แต่ละล้วนไม่ได้เห็นความสำคัญของ“ปฏิจจสมุปบาท” เอาแต่หลับตาทำสมาธิ 

จึงมิจฉาทิฏฐิ เพราะยังไม่มี“นามรูป”ที่ประกอบไปด้วย“ชาติ 5-ภพ 3-อุปาทาน 4-ตัณหา 6-เวทนา 6-ผัสสะ 6-อายตนะ 6-นาม 5-รูป 28-วิญญาณ 6-สังขาร 3”มาเล่าเรียนกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 4-18ซึ่งล้วนระบุว่าปฏิบัติในความเป็น“ปัจจุบัน”

มีแต่ล้วนเป็น“ภพ-ชาติ”หรือ“วิมาน” หรือ“มโนมยอัตตา”ที่ให้“ยึด”เป็นกสิณ เพื่อสะกดจิตตนเอง ให้รวมกันเข้าเป็นหนึ่ง สมาธิสากล meditation แบบสมถะ เป็นวิธี hypnotize ซึ่งไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า

เพราะเป็น“การสะกดจิต”แท้ๆ ที่ชาวพุทธในปัจจุบันนี้ได้หลงปฏิบัติกันอย่างผิดทิศผิดทางออกไป แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธกันเกือบหมดสิ้นแล้ว อย่างน่าสงสารจริงๆ

ชาวพุทธในทุกวันนี้จึงผิดตั้งแต่ไม่มี“สัมผัส 6”ในปัจจุบันเลย ไปหลงปฏิบัติ “หลับตา”ซึ่งแน่ชัดว่าปิดสัมผัสภายนอกไปหมดในปัจจุบันที่ปฏิบัตินั้น

เมื่อไม่มี“ปัจจุบัน” และไม่มีภายนอก-ภายในสัมผัสกันอยู่ เป็น“สัมผัส 3” หรือไม่มี“ธรรมะ 2” เพราะหลงผิดปฏิบัติโดย“ทำจิตไว้ผิดทาง”(อัปปณิหิตตังจิตตัง) เป็น“การทำใจในใจไม่ถูกต้อง”(อโยนิโสมนสิการ)

นั่นแหละคือคนผู้ปฏิบัติที่หลงผิด ไม่มี“ผัสสะ 6 เป็นปัจจัย” ก็ไม่มี“เวทนา”หรือไม่มี“ความรับรู้สึก” เมื่อ“เว้นผัสสะ”แล้วจะรู้สึกได้นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”

เพราะไม่มี“ฐาน”ที่จะ“กระทำการ” ใดๆ คือ ไม่มี“กรรมฐาน” หรือไม่มี“ฐานที่จะกระทำอะไรใด”ได้เลย นั่นเองชาวพุทธทุกวันนี้ไปหลงยึดเอาอะไรต่ออะไรขึ้นมาเป็น“กรรมฐาน”(ฐานที่ใช้ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติชีวิต)ที่ผิดไปจากพระอนุสาสนี

พระวจนะของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้นั้นคือ ให้เอา“เวทนา”เป็น“กรรมฐาน”หรือให้เอา“เวทนา”เป็น“ฐานปฏิบัติ”ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 77 ไป

นั้นก็ทรงยืนยันชัดยิ่งว่า “เว้นผัสสะแล้ว(อัญญัตระ ผัสสา)จะ“รู้สึกได้”(ปฏิสํเวทิสฺสนฺตีติ)นั่นไม่เป็น“ฐานะ”ที่จะมีได้(เนตํ ฐานํ วิชฺชติ)  

และในเล่ม 9 นี้แล ตั้งแต่ข้อ 64 ไปจนถึงข้อ 76 ท่านก็ตรัสชัดว่าผู้“ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต จะกล่าวคำแสดงทิฏฐิทั้งหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการ แม้ข้อใดๆนั้นๆ ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย” ทั้งนั้น  ..เห็นมั้ย?

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:45:45 )

590523

รายละเอียด

590523_พุทธศาสนาตามภูมิ ตอน ผ่าตัดเพื่อฟื้นคืนพุทธศาสนาในเมืองไทย

พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 23 พค. 2559 เดี๋ยววันวัน เดี๋ยวเดือน เดี๋ยวปี วันเวลาก็คือการเคลื่อนที่ไปเหมือนกับที่ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวไว้ว่าวันเวลาไหลไปเหมือนกับสายน้ำชีวิตคนเราก็ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพัทธ์กับกาลเวลา

อาตมาเคยบอกไว้ว่าชีวิตคืออะไรว่าชีวิตคือกำกับกาละ

ชีวิตก็คือพฤติกรรมของเราทุกกรรมการกระทำซึ่งก็ไปกับเวลา ถ้าเราเป็นคนแล้วไม่สำนึกสำเหนียกว่าชีวิตเกิดมาเป็นตัวเป็นตนได้รับการขันมาแล้วก็มีเหตุปัจจัยร่วมอยู่ด้วยเรียกมันว่าธาตุวิญญาณก็เป็นนามธรรมประกอบเป็นร่างกายนี้ทำงานร่วมกันไปกว่าจะหยุดธาตุวิญญาณร่างกายนี้ก็เน่าเปื่อยสลายไปไม่เจริญต่อก็เท่านี้แหละชีวิตของคน

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นปราชญ์เอกของโลกมีความตรัสรู้ในความจริงขึ้นมาว่าผู้ที่ได้ชีวิตเป็นคนเป็นมนุษย์ได้ร่างกายแล้วได้ถ้าวิญญาณเข้ามาร่วม แล้วก็พรากจากกันไปเป็นช่วงช่วงมันมีเท่านั้นแหละ

ที่เข้าใจกันว่าการได้เกิดมาเป็นคนแล้วเสร็จแล้วก็ตาย 0 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามันไม่จบเท่านั้น นิยามชีวิตมี 5 อย่าง คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม อาตมาเจอ 5 คำนี้ก็สะดุด แล้วทำความเข้าใจ จนเห็นว่าสุดยอด ก็ตรวจสอบไม่มีในพระไตรปิฎก

พระพุทธเจ้าตรัส คนเรามีกรรมเป็นของๆตน สั่งสมเป็นผลวิบาก กรรมเป็นทรัพย์ของตน ไม่ใช่เงินทอง  โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่ใช่ของเราอะไรอะไรก็ไม่ใช่ของเราแล้วที่ออกผลให้เราได้ทุกแต่สุขได้ดีได้ชั่วถ้าเราไม่ได้สำคัญของคำว่ากรรมอันนี้ยิ่งใหญ่มากสำหรับคำว่ากรรม

ผู้ที่มีชีวิตไม่ได้สนใจไม่ได้ศึกษาธรรมะ ได้เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนตามสำมะโนครัวแต่ไม่ได้ศึกษาให้เป็นประโยชน์กับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นโมฆะบุรุษ

เป็นการเกิดมาสูญเปล่าไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ให้แก่ชีวิตแล้วมันหนักกว่านั้นตรงที่ว่ามันกลับไม่นอกจากไม่ได้เรียนรู้อะไรที่ควรได้แทนที่จะโมฆะได้เกิดมาเป็นร่างคนชาติหนึ่งมันกลับไปได้กิเลสกลับไปได้นรกกลับไปด้วยความตกต่ำกลับไปได้มิจฉาทิฐิได้ความอวิชชาติดตัวไปอีกและบาปไปอีกหนักกว่าเก่าอีก

คำว่าหนักกว่าเก่าร้ายกว่าเก่า เพราะเอาความฉลาดมาทำความเห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ตามที่โลกเขามีกฏกติกา ดูว่าดีสุจริต ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแก่ตัวเอง แล้วหาทางเอาเปรียบได้มาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญโลกีย์สุข ใช้ความได้เปรียบสะสมพวกนี้ แล้วก็ดีใจยินดีที่ได้สะสมพวกนี้ แม้จะรู้ว่าทุจริตไม่ค่อยดี แต่มีฉลาดเฉกา ฉลาดมีกิเลสก็ได้เปรียบเขา ได้มาให้แก่ตนอย่างดีเลย เก่งนะ

ขอยกตัวอย่างชัดๆอย่างคุณธัมมชโย ใช้ความรู้ฉลาด สมรรถนะ แล้วอิงอยู่กับธรรมะพระพุทธเจ้าศาสนา เป็นฐาน ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพกามโลกียสุข ได้บำเรออัตตาใหญ่มาก เขาแสดงอัตตาตอนนี้ใหญ่มาก

ตอนนี้หน่วยงานของชาติ อย่าง DSI เป็นสถาบันที่คนต้องเกรงเพราะมีอำนาจพิเศษ เขาไม่กลัวเลย ท้าทาย DSI ก็อาศัยศาล ให้ศาลออกหมายจับให้อีก ร่วมกับสถาบันหลักของประเทศ เขาก็ไม่เกรงใจไม่ไปใครจะทำไม อัตตาใหญ่จริงๆ  แล้วใช้เล่ห์ท่าทีลีลา มันไม่ใช่ศิลปะเป็นเล่ห์กล วิธีการทางออกซับซ้อน พูดในสำนวนว่า จับส้นไม่ได้เลย ยิ่งกว่าปลาไหลใส่สเก็ตวิ่งบนจารบีชะโลมบนลานน้ำแข็ง

1.เขาอวิชชาหลงผิดจริงๆ แล้ว 2 เมื่อเขาหลงผิดแล้วก็กลับได้โลกธรรมมาอีกก็หลงอีก แม้จะรู้ว่าผิด ตอนแรกหลงอวิชชาตอนหลังหลงโลกธรรม ก็ทำให้เขารู้ว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น ก็ฉลาดเฉโก แล้วได้ลาภ ยศสรรเสริญ หลุดจากสิ่งที่เขาต้องถูกตัดรอนคัดค้าน เขาก็หลงว่าฉลาดอีกได้ใจ เขาก็ยิ่งห่ามใหญ่ บังอาจหนัก แล้วเขาก็ใช้ปฏิภาณว่าใช้สุภาพอ่อนน้อม แต่ที่จริงหยิ่งผยองอยู่ในทีนะ เป็นความซับซ้อนเล่ห์กลร้ายกาจมาก เป็นสิ่งที่วงการศาสนาหมดฤทธิ์อำนาจตกใต้อำนาจผู้ฉลาดเฉโกเรียบร้อยหมด ทั้งองค์กรเถรสมาคม

ขอพูดตรงๆ ทั้งตัวบุคคล แม้ที่สุดผู้ที่นับถือกันจะได้เป็นสังฆราช แม้แต่สังฆราชองค์ก่อนตัดสินปาราชิกเขาก็บังอาจอยู่อย่างสง่าผ่าเผย แล้วดีไม่ดียศชั้นเพิ่มอีก สุดยอด นี่คือสังคมบ้านเมืองประเทศไทย

ด้านการเมืองก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้มีพระเอกขี่ม้ามา คนสงสัยว่าม้าเทา แต่อาตมาว่าม้าขาว

อำนาจรวมของศาสนาพุทธในไทย ไม่มีอำนาจดึงคนออกมาจากโลกีย์หรอก คนออกบวชในศาสนาที่จริงเขาออกบวชเพื่อไปนิพพาน เขาก็มีความคิดรวบยอดเขาจำนวนหนึ่ง แต่เป็นเทวนิยมแม้เขามีบัญญัติว่าโลกุตระ นิพพาน อาริยะ ภาษาเขาว่างั้นแต่ทิฏฐิ concept เป็นโลกียะไม่ได้ข้ามสู่โลกุตระตรงไหนเลย ไม่เลย

ในพรหมชาลสูตรก็ไปหลงอดีตอนาคต แม้ปัจจุบันก็หลงกามหลงภพภายใน ไม่ได้มีปัจจุบันที่จริงเลย จึงจัดอยู่ในอนาคต ทิฏฐิ 62 นี้คือความเห็นผิด แม้ไม่หลับตาก็หลงวิมาน เพราะไม่ได้ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 แม้แต่คำว่ากายไม่ได้รู้ว่าคือรูปกับนาม เข้าใจว่ากายคือรูปร่างภายนอก ไม่ใช่ธรรมะสอง ไปถามเขาเลย

อาตมาก็พูดออกอากาศไป เผื่อว่าเขาจะมีปรโตโฆษะ คือได้ฟังสิ่งใหม่ เป็นเสียงอื่น ว่ามีความรู้แบบอื่นอีก แปลกไปนะ แย้งไปนะ ไม่เหมือนที่เราเรียนรู้มากนี้ คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็มีปรโตโฆษะ

อาตมาพูดอย่างผยองเลยว่า เถรสมาคมทั้งหมดนี้ยึดถือแบบผิดๆออกนอกของพระพุทธเจ้าไปไกลมากแล้ว ขออภัยโพธิรักษ์พูดใหญ่มาก พูดมา 46 ปีแล้ว จะเอาไปตัดหัวคั่วแห้งอย่างไรก็เชิญ ที่เขาศึกษาปฏิบัตินั้นไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนเลย

ตั้งแต่คำว่าศีล คำว่าสมาธิ คำว่าปัญญา คำว่าวิมุต วิมุติญาณทัสนะ ไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นไปเพื่อ กถาวัตถุ

1.      เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .

2.      เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.      เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .

4.      เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .

5.      เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .

6.      เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.     เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา) .

 

ยิ่งองค์กรใหญ่อย่างธรรมกายก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อ อัปปิจฉะเลย เขาไม่มีวันพอ จะให้จิต ใจพอ ปวิเวก ก็อย่าหวังเลย มีแต่สะกดจิตไปเท่านั้นไม่ได้สันตา ปณีตาอย่างพระพุทธเจ้าสอนเลย

ที่พูดนี้ไม่ได้พูดด้วยอคติ ไม่ได้กลัว แต่พูดด้วยจริงใจ ปรารถนาดี เห็นใจคนที่ต่อสู้กับคนดื้อดึงดันหน้าด้าน ลดเลี้ยวหลบเลี่ยงเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีจริยธรรมเลย อย่างที่DSI เขาเชิญไปให้ปากคำ ก็บอกว่าป่วย แต่เขาก็มีหลักฐานว่าไปได้แต่ก็ไม่ไป แม้มีคำสั่งจากศาลมาแล้วก็ตาม เป็นหมายจับด้วย

อาการของธรรมกายตอนนี้ส่อให้เห็นความอ่อนแอขององค์กรหลักที่ดูแลศาสนา อ่อนแอมากจนไม่เหลือน้ำยาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขนมจีน หมดทั้งขนมจีนน้ำยา ศาสนาพุทธในเมืองไทยเอ๋ย รู้ได้เสีย

สมเด็จพระสังฆราชที่ท่านออกมาเป็นพระลิขิตหลายฉบับยืนยันว่าปาราชิก องค์กรหลักของศาสนากลับฟังธัมมชโยมากกว่าท่าน นี่แหละคือส่อแสดงศาสนาพุทธในเมืองไทยที่ไม่เหลือแม้น้ำยาสักหยดอย่าว่าแต่เส้นขนมจีนสักเส้น แม้น้ำยาก็ไม่เหลือ เป็นศาสนาอะไรก็ไม่รู้ที่มีธัมมชโยเป็นสังฆราช เล่นภาษาว่าสังฆราชเลย

ซึ่งซับซ้อนว่าธัมมชโย ได้ตำแหน่งถึงขั้นเทพ ที่พูดนี้คิดว่าไม่ผิด ว่าไม่ได้รับพระราชทานจากในหลวง แต่ว่า ได้รับสมเด็จช่วงเป็นผู้ทาน มอบพัดให้เอง ซึ่งก็รู้กันอยู่ ไปมอบพัดยศให้ถึงวัดเองเลย ซึ่งไม่มีธรรมเนียมเลย นี่คือเครื่องชี้บ่งว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่เหลือน้ำยาสักหยด หรือขนมจีนสักเส้นเลย

น่าสังเวชใจ ยุคสมัยที่ดำมืด ที่งมงายหลงผิดไปกันจนไม่รู้จะทำอย่างไร

แล้วตกใต้อำนาจแห่งความกลัว ไม่มีใครกล้าพูดชัดๆอย่างอาตมาพูดนี่ ซึ่งอาตมาพูดด้วยความจริงใจปรารถนาดี เมตตา ไม่ได้พูดด้วยโกรธเคือง ปรารถนาร้ายหรืออคติ

อาตมาเป็นพุทธศาสนิกชน เกิดมาอายุ 80 กว่าแล้วจะเต็ม 82 อีกไม่กี่วัน อาตมาเกิด 5 มิถุนายน เอาชีวิตมาใช้ทางศาสนา 46 ปีแล้ว ก็ตั้งใจทำงานศาสนาพุทธต่อไปอีกยาวนาน เพื่อฟื้นเอาความถูกต้องคืนมาให้แก่ศาสนาพุทธ เพราะสงสารศาสนาพุทธมาก ที่มันยิ่งกว่า กู้อะไรหนักที่จมในทะเลลึก ต้องกู้ศาสนานี้ขึ้นมาจากทะเลลึก ซึ่งมันหนักมาก อาตมาเองก็พยายามจะต้องกู้ให้ได้

อาตมามีเลือดศาสนาพุทธเต็มตัวนะ ทำด้วยความมุ่งหลัวเพื่อกอบกู้ดึงขึ้นมาจริงๆ จะหาว่าอาตมาหลงตัวหลงตนก็ตามใจ อาตมาเข้าใจว่าเขายังมีหมั่นไส้อาตมา ก็เอาแต่คนมีปัญญาเข้าใจ ไม่ได้หวังมากใหญ่ แต่หวังความถูกต้องเป็นจริง จะได้กี่คนก็เอาแค่คนจริง กอบกู้ให้ได้ ให้คนที่มีปัญญาแสวงหา เห็นด้วยเอาด้วย ก็ขอบคุณ เห็นด้วยแต่ไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร ก็ทำไปตามที่อาตมามีปณิธานด้วยความจริงใจ จะเอาไปตัดหัวคั่วแห้งก็แล้วแต่ ชีวิตนี้อาตมาพลีเพื่อศาสนาเต็มตัว อาตมาไม่ขบถต่อความจริงจะให้เข้าคุก จะพิพากษาอาตมาให้แพ้ เขาเอากฎหมายที่ออกมาตามพรบ.สงฆ์ 2505 อาตมาผิดกฎหมาย ข้ออะไร ไม่ได้เป็นความผิดธรรมวินัยทางศาสนาเลย อาตมาไปผิดกฎหมายที่เขาบัญญัติใหม่

เขาว่าอาตมาผิดในมาตรา ที่เขาให้อำนาจแก่พระสังฆราช สั่งใครก็ให้สึกได้ อำนาจนั้นพระสังฆราชสั่งสึกได้ และสึกได้ภายใน 7 วัน แล้วคณะสงฆ์ก็ให้สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่พึ่งสิ้นไปสั่งสึกตามกฎหมาย กฎหมายว่าถ้าสั่งสึกภายใน 7 วันแล้วไม่สึกก็ผิดกฎหมาย แล้วมีบทลงโทษต้องติดคุก กี่เดือนก็ว่าไป

อาตมาก็แพ้ เพราะอาตมาไม่สึก ในข้อกฎหมายให้อำนาจสังฆราชสั่งสึก อาตมาก็ต่อสู้ในทางธรรมวินัยว่า ใครจะมาสั่งให้ภิกษุรูปไหนสึกสั่งไม่ได้ในกรณี

1.สมณะหรือภิกษุต้องปาราชิก ไม่ต้องสั่งสึก เขาเป็นสมีแล้วในตัวเอง

2.ภิกษุ สมณะที่ต้องอาบัติ อยู่อย่างสมณะไม่บริสุทธิ์คือศาสนาไม่บริสุทธิ์ของกลุ่มสงฆ์ที่คลุกคลีกัน เป็นคณปูรกะที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ตราบที่คนไม่บริสุทธิ์เข้าร่วมสังฆกรรม อาตมากล้าพูดได้ว่าศาสนาพุทธในขณะนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธที่บริสุทธิ์ เพราะผู้ไม่เป็นพระปกตัตตะ อยู่รวมบริหารคณะสงฆ์ดีไม่ดีเป็นหัวหน้าอยู่ในนั้นด้วย ในการทำสังฆกรรมแต่ละครั้ง เพราะไม่ได้อยู่ในวินัย

 

อาตมากล่าวนี้อาจจะใหญ่ แต่จริง

อาตมาจึงอยู่ร่วมไม่ได้จึงขอแยกมาเป็นนานาสังวาส แล้วอาตมาก็ไม่สงสัยหรอก อาตมาขอแยกเป็นนานาสังวาสตั้งแต่ 7 ส.ค. 2518 อาตมาขอแยกวันที่ 6 ส.ค. 2518 ในชั่วระยะ 2518-2532 เถรสมาคมก็ยอมรับว่าพวกอาตมาไม่อยู่ในการปกครองสงฆ์หมู่ใหญ่ เขาก็มีหลักฐาน ว่าเขามีจม.บอกผอ.การรถไฟว่า พวกสมณะอโศกไม่ใช่ภิกษุในสังกัดเถรสมาคม แต่วันร้ายคืนร้าย เอาเราเข้าไปอยู่ในการปกครองแล้วให้ทั้งธรรมยุติและมหานิยายรวมหัวกันทำสังฆกรรมอโศก ผิดธรรมวินัย เพราะเราเป็นนานาสังวาสแล้วมีหลักฐานประกอบพร้อม ตั้งแต่ ประกาศนานาสังวาส มีเจ้าคณะอำเภอยืนยัน และมีจม.จากเถรสมาคมถึงการรถไฟ แต่วันดีคืนดีรวมหัวกันอัปเปหิ พวกเราออกจากสงฆ์คณะใหญ่

ทุกวันนี้อาตมาพูดไปเหมือนเสียงแมลงหวี่แมลงวัน พูดให้คนรุ่นหลังฟัง จะได้ไม่เข้าใจผิด เขาพูดถ่ายทอดกันว่า สงฆ์อโศกไม่ใช่ศาสนาพุทธเขาพูดต่อกันมาผิดๆก็เลยต้องพูดยืนยันให้เขารู้ พูดอย่างไม่ได้กลัวไม่ได้สะทกสะท้านอะไร

 

ในธรรมวินัยผู้ที่จะให้สึกได้มี หลักอยู่ 11 หลัก นอกนั้นให้เขาสึกไม่ได้ แม้จะสังฆาทิเสส ก็ไม่สึกได้ ถ้าเขาไม่เปล่งกล่าวสึกก็สึกไม่ได้ ยิ่งเขาไม่ผิดธรรมวินัยก็สึกเขาไม่ได้  ซึ่งเขาตัดสินเหลี่ยมมุมทางโลกเราก็แพ้ แต่ในมุมของธรรมะเราไม่ได้ผิด แต่ในมุมของโลกเขาว่าผิด บัญญัติว่าเราผิด สั่งให้เราสึก โดยหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ศาลก็ทำหน้าที่ของเขาถูกต้อง เขาสั่งให้อาตมาสึก อาตมาไม่สึกก็ผิด เป็นอำนาจที่เกินกว่าบัญญัติของพระพุทธเจ้า ในกฎหมายก็บอกว่าไม่ให้มีกฎหมายที่ขัดแย้งกับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าในมาตรา 18 ว่าไว้

ที่พูดมานี้เป็นความรู้วิชาการทางศาสนาไม่ได้พูดเพื่อแก้ตัวให้ตัวเองหรือเพื่ออย่างอื่นใดเลย

ทุกวันนี้อาตมาพูดโดยนำหลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยึดถือกันอยู่ อาตมาก็เอาด้วย ฉบับเดียวกันนี่แหละ แล้วก็เอามาขยายความซึ่งก็จริงตรงที่ต่างกันแล้วเป็นนานาสังวาส นานาสังวาสมีหลักที่

1.กรรมต่างกัน 2.อุเทสต่างกัน 3.ศีลไม่เสมอสมานกัน

กรรมต่างกันคือประพฤติต่างกันอย่างชาวอโศก ประพฤติไม่ไปวุ่นวาย เอาง่ายๆกับอบายมุขทั้งหลาย เดรัจฉานวิชชาทั้งหลาย ทั้งฆราวาส นักบวชเลย นี่เป็นกรรมต่างกัน

อุเทสต่างกัน อุเทสคือคำอธิบายขยายความธรรมะ เช่นอาตมาอธิบายคำว่าสมาธิต่างกันแล้ว เอาคำว่าบุญมาอธิบายต่างกัน เอาคำว่ากายมาอธิบายต่างกันไปมากเลยด้วย

ศีลไม่เสมอสมานกันเพราะทางโน้นไม่มีศีลแล้วเอาแต่วินัย แล้วบอกว่าศีลมี227 ซึ่งที่จริงคือวินัย ศีลของพระพุทธเจ้า จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7 ก็เป็นศีล 43 แม้ข้อนี้ข้อใดก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง เขาก็เรียกว่าศีล 227 ทั้งประเทศเลยบอกว่าพระถือศีล 227 แล้วศีลธรรมนูญของพระพุทธเจ้าที่เกิดก่อนพระธรรมวินัยเขาไม่เอาแล้ว นี่คือศีลไม่เสมอสมานกัน เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทั้งหมดละเมิดทำเดรัจฉานวิชชาไปหมดเพราะไม่ได้ถือศีลเลย พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้จุดธูปเทียนบูชาไฟ หรือรดน้ำมนต์ แต่เขาทำกันทั้งประเทศเลย พูดไปเหมือนน่ากลัวมากเลย แต่อาตมามีพระไตรปิฎกอ้างอิง ถ้าไม่มีอ้างอิงเขาคงมาฆ่าตายแล้ว แต่นี่เขาจะฆ่าไม่ได้ เพราะอาตมาไม่ได้พูดผิด มีหลักฐานยืนยัน

บางคนเขาก็บอกว่ามันล้าสมัยแล้ว แต่ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันล้าสมัยหรือ? เขาบอกว่ายุคนี้เขาไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าบอกหรอก ถ้าคุณพูดเช่นนี้ก็พระพุทธเจ้าคนละองค์กับอาตมาแน่เลย ของอาตมาเอาตามพระไตรปิฎก

ที่พูดนี้พูดเพื่อปฏิรูปศาสนา ไม่ได้มีเจตนาเลวร้ายอะไรเลย อาตมาตั้งใจขอเหน็ดเหนื่อยต่อไปอีก ไม่ยอมตายง่ายๆ จะขอมีอายุยืนยาวเพื่อที่จะฟื้นศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่

 

SMS 22พ.ค.59

0805925xxx ธัมมี่ใกล้เอวังคาวัดหรือล่องหนปายยอยู่มะกันDSIจะเฮ๊ดด้ายยยยยเป่าน้อ? ตอนเวทนารู้นู๋มักแพ้ดาวยั่วผัสสะกิเลสกามแต่จะเฮ๊ดละจากเบาปายยหาหนักบัวพ้นน้ำเนาะ! เบิ่งพ่อเว้าSMSบ่เปิบข้าวหัวคักๆเด๋วสำลักลีลาพ่อเว้ากินขาดนู๋ก๊ากก๊ากมักหล่ายหลายเด้อพ่อ

0890499xxx หนูเรียนแค่ป.6แล้วไปเรียนป.7 ถึงม.ศ.3สมัครสอบกระทรวงเพียงปีเดียวสมัยนั้นเรียนกวดวิชาวัดสุทัศน์ดังมากพศ.2516แล้วอยู่ในมธ.14ตค.เป็นแขนแดงอาชีวะเกือบถูกณรงค์ ลูกถนอมยิงในเหตุการณ์นั้น พศ.19 ทำงานแล้วเลยรอดถูกจับพศ.35ถูกจับติดคุก3วันกับลุงจำลองครับ ผม รัตน์ ทับ"แก รายงานจะตั้งทับสะแกอโศกถ้ามีเงินพออะแฮ่ม กม.355 ถ.เพชรเกษม ที่34ไร่มีมะพร้าวด้วย5ไร่มียางฯล ฯ

 

จากไลน์

กราบนมัสการค่ะ

ธรรมะ  เป็นธรรมชาติ  เป็นไปเป็นธรรมดา บางอรรถ บางข้อ บางขั้น อาจควรเป็นไปโดยง่ายได้รึเปล่าคะ เพราะธรรมะอยู่คู่กับชีวิตเราตั้งแต่ลืมตาจนลาโลก

หากเริ่มด้วยคำว่ายากบางคนอาจหลบหลีก/ไม่กล้าที่จะศึกษาค่ะ เพราะรู้สึกว่าไกลตัว

กราบขออภัยหากกล่าวในสิ่งที่ไม่เหมาะควรค่ะ

ตอบ...ในความยังไม่ตาย ก็ชาติปิทุกขา คือหายใจเข้าก็ชาติปิทุกขา หายใจออกก็ชาติปิทุกขา ต้องรู้จัก ชาติ 5 คือชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ต้องเปลี่ยนแปลงที่โอกกันติ เมื่อจิตเราหยั่งลงด้วยกิเลส ด้วยเวทนา ด้วยสังขาร เมื่อจับกิเลสได้ กำจัดกิเลส ก็เกิดใหม่ เป็นโอปปาติกโยนิ ไปสู่โลกใหม่ โลกเดิมคือโลกียะ โลกใหม่คือโลกุตระ ต้องศึกษาชาติใหม่

ธรรมะคือธรรมชาตินั้นจะให้ปล่อยไปให้มันเป็นไปตามธรรมชาติยถากรรมนั่นคือธรรมะแบบธรรมชาติคือยถากรรม ดีไม่ดีกลายเป็นปุถุชน แก้ไม่ได้ ต้องศึกษาให้ดีในบางอรรถ บางข้อ บางขั้น เพราะธรรมะอยู่คู่กับชีวิตเราตั้งแต่ลืมตาจนลาโลก ถูกต้องมันอยู่กับเรา แต่เราได้ศึกษาได้ปฏิบัติไหมให้เกิด ปริยัติปฏิบัติปฏิเวธไหม คุณไปเอาใจใส่แต่โลกกับอัตตา แล้วไม่รู้จักอำนาจโลก อำนาจอัตตา จึงไม่รู้จักอำนาจโดยธรรม ถูกโลกกับอัตตากินตัวไปหมด จมไปหมด ไม่มีอธิปไตยในตน ภาษาคุณพูดว่าอยู่กับธรรมะ แต่คุณเองได้เรียนได้ฝึกได้ผลไหม คนจะมี Authority มี sov·er·eign·ty ไหม คุณต้องสร้างต้องฝึกให้มีธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

หากเร่ิมด้วยยากบางคนอาจไม่อยากศึกษา ถูกต้องแต่อยู่ที่เรา จะศึกษาไหม? มันจะไกลตัวอย่างไร ธรรมะคือทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ด้วยกิเลสก็ไม่ดีสิ ต้องมาศึกษาสรุปแล้วถ้าเข้าใจว่าธรรมะคือธรรมชาติ แล้วเข้าใจว่าธรรมชาติคือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ใช่ แต่ว่าคุณเข้าใจได้ถูกไหม

ไตรลักษณะ สามอย่างได้เรียนรู้กันไหม แล้วมาเรียนรู้ความเกิด ชาติ 5 อย่างแล้วทำให้เกิดนิพพัตติ จนบรรลุสูงสุดเป็นอภินิพพัตติ นี่แหละคือธรรมชาติ ต้องเรียนชาติจนไม่หลงใหลในชาติ รู้การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ตกในอำนาจโลกธรรม อิสระเหนือโลกเหนืออัตตาเป็นธรรมาธิปไตยศึกษาสิ

เมื่อรู้แล้วทำได้จริงก็อยู่กับธรรมชาติ แต่เราเหนือธรรมชาติได้ เหนือธรรมชาติโลกีย์มาเป็นธรรมชาติของโลกุตระ

ถ้าเป็นอรหันต์ก็มีอำนาจกำลังสูงสุดเหนือทุกโลกได้ เหนือโลกหรืออัตตาได้จริง ไม่ใช่เหนือเพราะความยกตัวยกตนหรือหลงผิด

1.      การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)

2.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา       ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)

3.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ)

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้แบบลืมตา ตั้งแต่กามภพก่อน กระทบสัมผัส กามคุณ โลกธรรมลาภยศสรรเสริญ​สั่งสมอัตตาไป

จนเป็นอนาคามีเรียกว่าเป็นผู้มีนิโรธขั้นแรก แต่เขาเข้าใจผิดว่าไปนั่งหลับตาเข้านิโรธออกนิโรธ ดับปี๋ไป ไม่รู้เรื่องเลย ดับสุภกิณหะหรืออาภัสราพรหม ใสๆ จมภพใน สุขาวดี วิมานเพ้อพก ไม่ได้เรียนรู้กามภพ รูปภพอรูปภพ

ผู้นั่งสมาธิหลับตาจมภพไม่ได้เรียนรู้ภพเลย จมในรูปภพ อรูปภพ แล้วละเลยไม่ลดกามภพ ทั้งที่ตนหอบลาภ ยศ สรรเสริญ​ สุขกันเต็มเลย ไม่ได้เรียนรู้ภพ 3 ชาติ 5

ไม่ได้เรียนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องเรียนรู้ ปฏิจจสมุปบาท

1.      เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ .

2. อาศัยสังขาร(3) จึงเป็นเหตุแก่ วิญญาณ(6)  .

3.      อาศัยวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ นามรูป . . .

4.      อาศัยนามรูป เป็นปัจจัยแก่ อายตนะ(6)  .

5.      อาศัยอายตนะ เป็นปัจจัยแก่ ผัสสะ(6) 

6.      อาศัยผัสสะ เป็นปัจจัยแก่ เวทนา(6) . . 

7.     อาศัยเวทนา6 เป็นปัจจัยแก่ ตัณหา 6 . 

8.      อาศัยตัณหา6 เป็นปัจจัยแก่ อุปาทาน 4 .

9.      อาศัยอุปาทาน4 เป็นปัจจัยแก่ ภพ 3

(กามภพ, รูปภพ,  อรูปภพ) 

10.    อาศัยภพ เป็นปัจจัยแก่ ชาติ 5 (ชาติ  สัญชาติ

โอกกันติ   นิพพัตติ  อภินิพพัตติ) .

11.    อาศัยชาติ เป็นปัจจัยแก่  ชรา  มรณะ   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ . โทมนัสสะ  และอุปายาสะ

(พตปฎ. เล่ม 16  ข้อ 2)

ไม่มีเวทนาไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ท่านแจกเวทนา 6 เป็นเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ต้องแยกเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา ให้ออก

ธัมมชโยที่บอกว่าตนรู้ธรรมะนั้นนี้อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนนั้นได้บาปตลอดเวลา ที่เจ็บป่วยนี้เพราะกรรมวิบากที่คุณทำของคุณเอง อวดรู้ที่ไม่จริง

จิตวิญญาณเรานั้นแหละคือสัตว์นรกสัตว์เทวดา ถ้าทำให้เกิดโอปปาติกสัตว์ โดยมีศีลเป็นพ่อปัญญาเป็นแม่ ทำให้เกิดจิตใหม่ โดยกิเลสตาย เอาบุญไปชำระกิเลสจนกิเลสตายก็เกิดเป็นอุบัติเทพ อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง พลังงานจิตที่เป็นเปรตของเรา ทำให้ปรทัตตูชีวกเปรตในตัวเราตาย แม้ตายยังไม่หมดเป็นสาสวะก็ได้ส่วนแห่งบุญ จนเป็นอนาสวะ หมดเปรต หมดสัตว์นรก หยาบกลางละเอียดดับไม่เหลือก็เป็นอปุญญาภิสังขาร แล้วรักษาผลเป็นอเนญชาภิสังขาร ทำอภิสังขาร 3 เป็น เพราะเข้าใจกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารอย่างรู้สภาวะรู้อาการลิงค นิมิตอุเทส

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เอาตามพระไตรปิฎกแล้ว แต่เทศน์ใส่ทำนองเลย แล้วศาสนาพุทธที่เข้าป่าเขาถ้ำ แม้มิจฉาทิฏฐิแต่ไม่ได้สร้างกรรมบาปใส่ตนมาก แต่ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติลดละมักน้อยสันโดษ แต่หลงโลกธรรม กลายเป็นศักดิ์ฐานะแย่งชิงตำแหน่งจนในระดับชาติ จะได้เป็นพระครูจนติดสินบนซื้อยศตำแหน่งหรือหาพรรคพวกเพื่อได้ยศตำแหน่งสู้กันยิบตา มันศาสนาพุทธอะไร? ไม่มีใครพูดก็ช่างเถอะ อาตมาจะพูด

เขาก็หาว่าอาตมาพูดแต่สิ่งไม่ดีของศาสนา ทั้งที่อาตมาก็พูดสิ่งดี แล้วดีที่เป็นโลกีย์ก็ดี แต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

อาตมาเคยได้ยินสมเด็จท่านหนึ่งบอกว่าที่ได้เป็นเจ้าคุณอะไรนี่ ไม่มีโสดาฯอะไรหรอก ท่านรู้ตามฐานะที่ท่านเป็น….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:46:17 )

590524

รายละเอียด

590524_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ถามสดๆตอบสดๆ

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 24 พ.ค. 2559 ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมืองไทยกำลังสนุก โดยเฉพาะเรื่องการศาสนา what ever will be will be. อะไรจะเกิดก็เกิดตอนนี้แหละเป็นยุค ปาตุสัจจะ สัจจะอันปรากฏ เป็นPhenomenol ให้เห็นเลย ชั่วก็เห็นชั่ว ดีก็เห็นดี เราจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะไปโกงความจริงโกงสัจจะ เอาเถอะน่า โกงกันดู ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด at last

ขอเตือนเถรสมาคม ว่าอย่าเล่นกับสัจธรรมนะ สัจธรรมเรื่องจริง ที่คุณชัยบูลย์เจ็บป่วยตอนนี้

1.เป็นโรคPsychosis

2.เป็นโรคWhite lie

เป็นผลของวิบากทั้งสิ้น ไม่ได้ใส่ความนะ พยายามติดตามหลักฐานให้ดี เขาว่าเขาทำดีมาตลอด 40 กว่าปี แต่ว่าที่จริงเขาทำชั่วมา 40 กว่าปี คนโง่จะรู้ตัวเองว่าโง่นี้ยาก มันเป็นเรื่องจริงตามสัจจะ เจ็บตัว ทรมานก็ทรมาน ต้องใช้ความคิดอ่นเล่ห์กล เพื่อปกป้องตนเอง ปิดบังอำพราง มันหนักนะ

อาตมารายการพุทธศาสนาตามภูมิ อาตมาจะขอเปิดฉาก ถามสด คนทางบ้านจะโทรศัพท์มาได้เลยนะ ถ้าไม่ได้ก็ Sms มาได้เลยนะ อาตมาจะตอบสดๆเลย

ยุคนี้ต้องสดๆ ถ้าหลับตาปฏิบัติไม่ได้มีของจริงเลย ของพุทธต้องปฏิบัติขณะมีการกระทำใดๆจะสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็ต้องมีธัมวิจัย Analyze จะมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทศ 4 ผู้เป็นสัตบุรุษจะเลือกเฟ้นความเหมาะสม เป็นที่หนึ่งได้เสมอ คนไหนที่ไม่ใช่ก็จะผิดพลาดได้บ้าง ยิ่งไม่ใช่มากก็ผิดพลาดได้มาก ไปบังคับความฉลาดไม่ได้

ทิศทางที่พวกเราได้ปฏิบัตินั้นมีหลักตามที่พระพุทธเจ้าตรัสตามพระไตรปิฎก มีความเป็นมาเป็นไปมีหลักฐาน ไม่ใช่ว่าเกิดมาโดยลอยๆ สัญญาไม่ได้มีอะไรเพิ่มใหม่นะ แต่ปัญญานี้มีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นๆ ยิ่งยุคใหม่อะไรใหม่ก็เกิดความจริงใหม่ๆเพิ่มขึ้นนะ มันจึงเป็นความจริงที่สดใหม่อย่างแท้จริงเลย การปฏิบัติลักษณะ Meditation สดๆ เขาก็พยายามจี้เพ่งเข้าไป Focus concentrate meditation แต่นี่ไม่ใช่ของพุทธ มี concentration แต่เป็น Supraconcentration มีธัมวิจัยได้ด้วย แบบ Analyze ไม่ใช่ Hypnotize

ยิ่งเป็นอุเบกขามีองค์คุณ 5 คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำอีกมันก็ยิ่งชัดเจน ละเอียดละออ ได้สิ่งประเสริฐ มุทุขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอาไปใช้งานได้ดี กัมมันตา ทุกอย่างไม่ได้หม่นหมองเลย ตัวมุทุก็ยิ่งเร็วแววไวทั้งเจโตและปัญญา พร้อมใช้งานกัมมัญญาได้เลย

มีเอกีคคตา อย่างหนึ่งแต่ละเอียดเข้าไปอีกก็มีสอง มีสองก็ทำให้เป็นหนึ่งอีก มันหนึ่งต่างจากที่ควบแน่นให้นิ่งๆๆดิ่งๆๆ แต่นี่ยิ่งแยกยิ่งหนึ่ง ยิ่งแยกยิ่งสองแล้วทำหนึ่งอีกไปเรื่อยๆ ถ้าเข้าใจ Analysis กับ Hypnosis ไม่ได้ก็ไม่เจริญ

 

สติคือรูป ปัญญา คือนาม สติคือการกวาดรู้ไปเลย นำทาง ปัญญาก็ต้องไปแยกแยะ จัดการให้เรียบร้อยไปอีกที 

 

มีข้อความส่งมาจากพล.ต.ท.ดุลย์เพชร...ว่าเมื่อปี 32 สังฆราชและเถรสมาคมสั่งให้พ่อท่านสึก สังฆราชเป็นคนลงนาม เพราะผิดคำสั่งมหาเถรสมาคม

พ่อครูว่า เป็นกม.ที่ออกกันมาเองไม่ได้เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ 11 ข้อที่จะสั่งให้สึกได้ แต่มาสั่งให้สึก เช่นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ทั้งที่พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่อย่างไม่มีบ้านช่องเรือนชานนะ

เขาบอกมาต่อว่า ผ่านมา 10 ปี สังฆราชองค์เดิมสั่งให้ธัมมชโยสึก แต่เขาไม่สึกแต่มาเล่นงานโพธิรักษ์ให้สึก จนป่านนี้โพธิรักษ์ก็ยังไม่ได้สึกไม่เคยเปล่งกล่าวสึก และอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า100% ผ่านมา 15 ปีมีผลวิบากของเถรสมาคม ที่รับวิบากที่ทำกรรมต่างกันระหว่างโพธิรักษ์กับมหาเถรสมาคม อยากทราบว่าเป็นผลวิบากที่สั่งให้พ่อท่านสึกใช่ไหม

ตอบ...ถูกต้องที่สุด จะเป็นไปตามสัจธรรม ให้เห็นว่ากรรมวิบากเป็นเรื่องจริง กรรมเป็นอันทำ

อาตมาอายุมากกว่าธัมมชโย แต่แข็งแรงกว่า ไม่ต้องหยอดน้ำข้าวต้มเหมือนธัมมชโย บอกลักษณะจริง แต่พูดไปเหมือนข่มนะ ก็ขออภัย

 

_คำถามว่า คุณแม่ตายจากไปแล้ว จบรอบของท่านแล้ว ส่วนลูกๆจบกับท่านได้ไหมคะ

ตอบ...เราหยุดแล้วกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราก็หยุดได้จริง คุณก็จบ ส่วนคู่กรณีไม่หยุดเขาก็ตบมือข้างเดียวไป ไม่เกิด Action Reaction จะหายไปเหมือนนิวเคลียร์ฟิชชั่น ไม่เกิดอะไรอีกเลย จบของคุณ ส่วนใครไม่จบ จะตีข้างเดียวตบมือข้างเดียวก็ทำไปสิ แรงมีเท่าไหร่ก็ทำไปจะทำนานเท่าไหร่ก็ทำไปใครจะไปห้ามได้ แต่เราก็หลุดพ้นส่วนนั้นออกมาแล้ว ถ้าเขาสามารถมีแรงมากๆ เหวี่ยงให้รังสีกระจายถึงเรา แต่ถ้าเราเหนือชั้นกว่ารังสีมาก็ไม่เกิดอะไร อยู่ที่เรา เราจบที่เราไม่ให้เกิดพลังงานก็จบ  ก็ทำให้ดีที่สุดแล้วจะเป็นไปเอง เราจะเลือก 1 หรือ 0 เข้าไว้ แล้วก็จะถึงที่สุดเอง

_ถ้านั่งหลับตาดูลมหายใจทางช่องจมูกผิดไหมคะ

ตอบ...ไม่ผิดหรอก ตำรวจไม่จับด้วย ลมหายใจเรา ที่ถามมานี้ก็คงถามมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก็คงจะหมายความว่า ถ้าเผื่อว่านั่งหลับตาดูลมหายใจเข้าออกนี้เป็นของพระพุทธเจ้าพาทำไหม? อาตมาก็ตอบไปแล้ว ถ้าคุณมีสัมมาทิฏฐิ ดูลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตนิ่งสงบก็ไม่ผิด แต่ถ้าบอกว่านั่งดูลมหายใจเข้าออกเพื่อเกิดปัญญา นี้ไม่มีหรอกมีแต่ได้สัญญา ไม่ได้ปัญญา แต่ถ้านั่งเพื่อพักเพื่อสงบก็ได้

ประโยชน์นั่งหลับตา

1.ได้พักจิต

2.ได้ศึกษาจิตในภวังค์

3.เอาพลังงานทำฤทธิ์เดช อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม เป็นการสร้างวิบากเลวร้ายเพิ่มมันเป็นไปได้แต่เป็นเวรภัยเชื่อมโยงต่อไปอีก ถ้าจะจบที่นิพพานก็จบ แต่ถ้าไม่จบจะทำฤทธิ์เดชต่อก็ตัวใครตัวมัน

4.เตวิชชโช ทบทวน

ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า

1.เรียนรู้ปัจจุบัน

2.มีผัสสะเป็นปัจจัย

อโศกเรามีพรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่หาเสียง ปชต.คือทำเพื่อปชช. ไม่ต้องหาเสียง เขาจะให้คะแนนเราตามปัญญา เขาไม่เห็นดีไม่ให้มองไม่ออกก็อิสรเสรีภาพ  มั่นใจว่าชาวอโศกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น มาอย่างมีปัญญาไม่ถูกหลอกมา

ในสภาในรัฐบาล เมื่อใดก็ตาม ถ้าอโศกไม่เป็นไปตามสัจจะทั้งมวลคน เนื้อแท้ของชาวอโศก ปชช.ก็ตามมันไม่ถึงขีดขั้นมีมวลชนที่ไปทำงานได้แล้วปชช.ต้องการให้ไปทำ เมื่อนั้นเราทำได้อย่างสบายใจเต็มที่ลงตัวเป็นสัจจะเลย เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ทำเท่าที่ทำได้ เรามีเจตนาทำทุกเวลา ปชช.ให้เราทำแค่ไหนก็ทำแค่นั้น ถ้าเราไม่ถึงแล้วทำสูงเกินตกมาคอหักพอดี อย่ามาแกล้งยอกัน

 

อย่างคุณไชยบูลย์กับอาตมาก็เป็นคู่ เป็นธรรมะสองให้ศึกษา ทางโน้นตะโกนโป้งรวยๆ แต่ทางนี้ ให้มาจนๆ มันคนละทางกันเลย เอาจนกับเอารวยไปแข่งกันนี่สนุกนะนี่ ที่จริงเราไม่ได้แข่ง เราก็ทำไปตามจริงตามหลักเกณฑ์ของเราไป ลองดูว่า ความจนกับความรวยสู้กัน ดูสิว่าจนหรือรวยจะแพ้ แต่ที่จริงเราไม่ได้คิดว่าจะแพ้หรือชนะ แต่อะไรจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม คนจนที่ซื่อสัตย์สะอาดจริงใจ กับคนรวยที่มีอะไรซ้อนก็ดูไป

 

_การปฏิบัติธรรมทั้งพระและฆราวาส จะก้าวข้ามโลกีย์ถึงอาริยะหรือไม่?

ตอบ...สัตว์มันมีธาตุวิญญาณ คุณกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ขาดจากธาตุวิญญาณที่พัวพันกันอยู่ แล้วคุณก็อยากสะอาดบริสุทธิ์ไม่ให้ใครมาจองเวรจองกรรมก็ฟังเอา ที่อาตมาพูด ก็อย่าไปต่อรองอะไรเลย ถ้าตัดขาดอยากได้ขาดก็แล้วแต่

 

_พ่อท่าน เป็นลูกพระพุทธเจ้าชาวอโศกเป็นหลานพระพุทธเจ้า แต่ธัมมชโยบอกว่าเขาเป็นต้นธาตุต้นธรรม แปลว่าเขาเป็นพ่อพระพุทธเจ้าใช่ไหม

 

_Tasanee Bunyawat ขอถามพ่อท่านว่า การให้ทานหรือบริจาค เป็นการสะสมเสบียงเพื่อภพหน้า ถ้าคนมีปัจจัยมากถ้าให้ทานมากก็จะมีฐานะหรือร่ำรวยในภพหน้า แล้วคนมีปัจจัยน้อยที่จะให้ทานในภพหน้าก็คงจะจนเหมือนเดิม จริง/เท็จเป็นเช่นนี้หรือคะ และต้องให้ทานหรือบริจาคให้ครบถ้วน มิเช่นนั้นเราจะไม่มีสิ่งนั้นๆในภพหน้าด้วย

ตอบ...จะไปจนเหมือนเดิมได้ไหม ภพหน้าคุณมีมากก็เอาไปบริจาคได้อีกก็เป็นไร เพราะคุณจนก็ประมาณตนให้อยู่อาศัย ไม่ต้องการไว้มาก แต่มีมากก็เอาไปบริจาคให้คนอื่นเราก็เอาแต่พอดีพอเพียง แล้วก็จะได้มากอีก ไม่ได้เป็นหนี้เราก็ทำเพิ่มก็มีแต่มีทับทวีเพิ่มไป มีแต่กุศลทบทวีจะไปเสียอะไร แล้วคุณก็ประมาณให้พอกินพอใช้ คนเรายิ่งเราไม่ต้องไปกินใช้อะไรมาก สรีระต้องการอาหารเท่านี้ ที่จะมาเลี้ยงขันธ์ เราก็ตัวเท่านี้กินใช้เท่านี้ แต่มีความขยันสมรรถนะพากเพียรทำเพิ่มอีก แต่ว่าบางคนก็ลดกินใช้ได้อีก เพราะคนส่วนใหญ่ใช้เกินเราไม่ทรมานตน แต่ทำให้พอดี แต่สมรรถนะเราสูงขึ้นได้ แล้วคุณยังจะมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นแรงหนุนปฏิภาคทวีซับซ้อนไม่มีขาด มีแต่ทวีเพิ่มไม่รู้กี่ชั้น ไม่ต้องห่วงเลยในข้างหน้าไม่จน แต่ใช่เราจะไม่ฐานะร่ำรวยเหมือนเดิม แต่เราไม่มีวันขาดแคลนเลย

แล้วก็ใช่ คุณประมาณพอดีของคุณแล้วสองคุณต้องไม่ขี้เกียจ ขยันเสมอ แม้ขยันเท่าเดิมไม่มีอะไรมากหรือน้อยกว่าเดิมก็สมดุลแล้ว แต่ยิ่งคุณขยันมากขึ้นได้ไหม มีอะไรห้ามคุณไหม แต่คุณเองกินใช้เท่าเดิมได้ไหม จะให้โตเท่าช้างหรือไดโนเสาร์หรือไม่ก็ไม่ เราก็กินใช้แค่นี้

 

คนมีปัจจัยน้อยที่จะให้ทานน้อย แล้วในภพหน้าจะจนเท่าเดิมไหม... คนที่จะทำทาน คุณทาน ห้าบาทแล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลยทำใจให้จริง 5 บาทจะเป็นต้นทุนสุดยอด ทับทวีเลย มีปฏิกิริยาลูกโซ่เลย แต่ถ้าคุณทำทาน 5บาทแล้วอยากได้ 10 อันนี้อ่านใจให้ดี ถ้าทำอย่างนั้นจะซวยเลย อ่านให้ชัด คุณมี 10ล้านแล้วทำใจให้ทานอย่างสะอาดเลยก็จะทับทวีเลย อาจยาก แต่ถ้าทำได้ จะได้ทวีไม่รู้กี่ร้อยเท่าเลย เพราะฉะนั้น ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกส่ิงทั้งโลก ในที่สุด

ประเด็นสำคัญคืออ่านอาการใจได้ไหม ...ไปทำทานแล้วทำใจโลภเพิ่มขึ้น อาลัยอาวรณ์หวงแหน อยากได้กลับคืนมาก็โค้งงอ ไม่ตรงไม่ขาดไม่สะเด็ดคือยิ่งให้ยิ่งขาดสะเด็ด แต่ยิ่งโค้งก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่

แล้วไปทำทานแล้วบอกว่าจะได้รวยได้มากกว่าเดิมนี่คือสอนไม่ถูกทานแล้ว เป็นอัตตาตัวตน มีตัวกูของกู อยากได้มีกิเลสมากกว่าเก่าด้วย แค่นี้ก็ไม่ง่ายเลยนะ ลึกซึ้งยากแสนยาก

เราจะต้องอ่านอาการทั้งลักษณะตรง ลักษณะโค้งอย่างไร มีลักษณะ 4

1.ลักษณะ 2.สสัมภาระ 3.อารัมมณะ 4.สมมุติ

สสัมภาระคือมีพฤติกรรมบทบาทไม่นิ่งยังมีอยู่ มันทำอะไรอย่างไรมากหรือน้อยแค่ไหนต้องมีปัญญารู้มัน แล้วมันดันมีอารมณ์ด้วยนะ ดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจ ดีไม่ดี มีอคติด้วย อารมณ์ดูด ผลัก อารมณ์ที่เอนเอียงอีกด้วย อ่านให้ละเอียด

ผู้ที่มีอารมณ์จะทำสสัมภาระก็ทำไปด้วยสัจจะ แล้วอันที่สี่ สมมุติคือยืนยันกับผู้อื่นให้ร่วมรู้ด้วย แต่ถ้าเรารู้คนเดียว ก็ขยายไปอีกไม่ได้เลย มันอยู่กับคุณคนเดียว แต่ถ้าให้คนอื่นร่วมรับรู้องค์ประกอบก็จะเจริญพัฒนาต่อไป เป็นสมมุติสัจจะ ความจริงที่จะก้าวหน้าต่อไป

คนที่เข้าใจเช่นนี้สามารถทำความสำเร็จด้วยสมมุติ นี่แหละคือศิลปะ ถ้าไม่ทำก็ขยายผลไม่ได้ จะรู้มากมายแต่ไม่ขยายผลไปสู่คนอื่นไม่เป็นศิลปะ

ตอนนี้ขยายแยกศิลปะกับศาสตร์แล้ว

 

_พ่อตายไปแล้วเหลือแม่คนเดียว แม่ไปมีแฟนใหม่ แต่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นมาเกาะแม่กินตลอด แม่ทั้งรักทั้งหลงแม่ยอมตัดลูกตัดญาติพี่น้องดิฉันควรคิดแล้วทำอย่างไร?

ตอบ...อาตมาฟังแล้วก็นึกถึงวิบากหนอ แม่คุณก็ไม่ได้ลดละกิเลส กิเลสผู้หญิงผู้ชายคือกามธรรมดาแต่ผู้หญิงกับผู้หญิงผู้ชายกับผู้ชายเป็นกามข้ามขั้นกิเลสทบทวี มันวิสามัญที่วิตถาร ผู้ใดไปติดรสติดชาติอีกก็วนเวียนอีกนาน ถึงติดก็ต้องพยายาม ต้องใช้พลังงานจิตตัดได้ก็จบ อ่านอาการที่คุณบอกมาก็ได้แต่ปลง   ตอบว่าก็ต้องปลง อย่าไปชอบหรือชังพฤติกรรมที่แม่ทำอีก

หนึ่งคุณอย่าไปส่งเสริม ถ้ามีศิลปะให้เขาเลิกก็ทำ แต่ถ้าทำแล้วเขาจะอาฆาตก็ไม่ต้องทำ ปล่อยเขาไปเวรใครเวรมัน เราช่วยเขาได้แค่นั้น จะเป็นพ่อแม่ก็ตาม

 

_ขอความเมตตาพ่อครูช่วยขยายความนานาสังวาสในพุทธกาลและปัจจุบัน

ตอบ...ยุคพระพุทธเจ้าเกิดเฉพาะพระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าว่า เขายึดถือความรู้ความเห็นของเขาก็ของเขา ของเราก็ของเรา กรรมใครกรรมมันวิบากใครวิบากมัน…

ปัจจุบันนี้อาตมาประกาศกับสงฆ์หมู่ใหญ่ในประเทศไทย ตอนนั้น สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่เสียไป ยังไม่เป็นสังฆราชนะ ท่านก็ได้ร่วมทำในยุคนี้ มายุคนี้อาตมาก็เป็นคนหนึ่งประกาศแล้วเขาไม่ค่อยรู้เรื่องหรือแม้เขารู้แต่ก็อยากเล่นงานอาตมาเขาก็ทำ

 

_วิหาร แปลว่าเครื่องอาศัย อาริยวิหารแปลว่า ความเฉลียวฉลาด เป็นอาริยวิหาร คือเครื่องอยู่ที่ประเสริฐ ที่แท้จริงคือความไม่เห็นแก่ตัว นี่คืออาริยวิหาร

พรหมวิหาร แจกเป็นสี่ เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา ต้องมีปฏิภาณรู้ว่านี่เมตตาควรช่วย กรุณาลงมือช่วย มุทิตา ยินดีด้วยแล้วอุเบกขาไม่ต้องมีปริเทวนาการต่อไม่ต้องมีรอบอะไรต่ออีกตัดอุเบกขา

ตถาคตวิหาร...เป็นเครื่องอยู่ของตถาคต มันเกิดจะพูด ตถา แปลว่าความจริง อย่างอาตมาตถตา ไม่บังอาจใช้ตถาคต ส่วนตถาคตที่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละองค์จะทำ

 

_ธรรมะสองคือโลกียะกับโลกุตระใช่ไหม

ตอบ...ใช่ ธรรมะสองมีเยอะ

 

_อยากทราบความหมายของอตัมมยตา

ตอบ...พยัญชนะมี อัตตา + มย + ตา

อัตตะคือตัวเรา มย คือผลสำเร็จ แล้ว ตาคือคำนาม อตัมยตาคือความสำเร็จของเรา ต้องหมายถึงที่สุดแห่งความประเสริฐ ไม่ใช่สำเร็จในการโกง แต่ต้องเป็นความสำเร็จในการหลุดพ้น ได้ได้ก็จบ ถ้าไม่รู้จบก็ไม่ได้อตัมยตา ท่านพุทธทาสแปลว่า กูไม่เอากับมึงอีกละโว้ย

คือมันจบเป็นความสำเร็จสูงสุด สุดท้าย

 

_การที่เราไปวัดแล้วหยาดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลจะทำได้ไหม

ตอบ...ตำรวจไม่จับหรอก ใครไปห้ามคุณ ทำได้ แต่ อาตมาไม่เห็นคุณถามต่อว่า ควรไหม แต่อาตมาก็จะตอบต่อ...ว่ากรรมของใครก็ของใครเอง ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ

 

_ส่งของให้คนตายกินได้ไหม?

ตอบ..วิญญาณไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลือดเนื้อ วิตามินหรือธาตุอะไรแล้วมันจะกินได้อย่างไร ไม่มีปากจะกินแล้วเป็นธาตุยิ่งกว่าความว่าง อย่าไปบังคับให้วิญญาณกิน หรือถ้าวิญญาณกินได้แล้วปีหนึ่งคุณให้ไปกี่ที มันจะตายไปกี่ตลบไม่ได้กินตลอด  มันไม่ต้องกินต้องอาศัยหรอกจะเอาอาหารหยาบไปให้กินไม่ได้หรอก เหมือนเอาหินใหญ่ยัดเข้าท่อสองนิ้วได้อย่างไร เอาความหยาบยัดเข้าละเอียดมันวิตถารแล้วนะ มันเป็นไปไม่ได้

 

_Kaesorn Khondee ทดลองทานมังสวิรัตวันละสองมื้อ ไม่ทานมื้อเย็นรู้สึกหิวมาก พ่อครูมีวิธีกำจัดความหิวได้อย่างไรคะ

ตอบ...คุณกินให้เต็มอิ่มในสองมื้อให้อิ่มเต็มเลย แล้วถ้ามันอยากขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็บอกว่าเอาให้ตายเลยไม่กินให้ได้แล้วดูสิว่าจะตายไหม ให้มันตายเลยถ้ามันอยากอีก คุณจะชนะไม่ตายหรอก อาตมาก็กินมื้อเดียวต่อวันไม่เห็นตายเลย เห็นไหมว่ากิเลสมันเก่ง ต้องสู้มันๆ

 

_สุวิดา คำศรี กราบนมัสการค่ะพ่อครู หนูรู้สึกทุกข์ ที่ทำงานรับราชการกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่จะลาออกก็ยังมีภาระหนี้สินอยู่ และกิเลสมันก็เยอะมากๆ ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางขุมนรก

(สังคมที่ทำงาน) หนูจะทำใจยังไงดีคะ

ตอบ...คุณต้องเรียนรู้ตัดสิ่งเฟ้อเกินในสิ่งเลวร้ายมันเกินไปคุณเลือกเอา ทุกคนที่มีอยู่เยอะ เลือกตัดเอาแล้วสู้ทนเลย พิจารณาให้ดีว่าคนอื่นเขาก็ตัดได้ ดีไม่ดีบางคนไม่น่าตัดได้เขายังตัดได้เลย คุณไม่ได้แย่กว่าเขาจะต้องตัดได้สิ ค่อยเจียนไป จะบอกว่ามีภาระหนี้สินอยู่แล้วใครล่ะเป็นคนทำ ถ้าคนอื่นเขาทำภาระหนี้สินแล้วมาโยนให้ก็เป็นวิบากแล้วไปเถอะ ก็แล้วถ้าคุณทำเองก็ต้องเลิกสิ หลักเกณฑ์ชาวอโศกคือ อย่าเป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำให้เกิน แล้วแจกคนอื่น ทำให้ได้สี่หลักนี้รับรองไปรอดตลอดกาล  เป็นวงจรมนุษยชาติที่จะสัมพันธ์กันอยู่ได้นิรันดรเลย

 

_Keawla Loveking พ่อครูเจ้าคนนอกวัดเคารพและศรัทธาพ่อครูศรัทธาสมณะสิกขมาตุและชาวอโศกทุกท่านฟังธรรมะของพ่อครูทางทีวีทางยูทุปเป็นประจำได้อ่านหนังสือธรรมะของพ่อครูได้รับความเมตตาจากท่านสมณะฟ้าไทส่งมาให้และได้เลิกกินเนื้อสัตว์มาเกือบหนึ่งปีแล้วและลดเรื่องการแต่งตัวลดการโกรธลงได้อย่างมากเลยเจ้าอย่างนี้พอที่จะเป็นลูกศิษย์พ่อครูได้ก่อเจ้า

 

กรรมเป็นอันทำ แล้วมันเป็นวิบากมีผลนะผลดีหรือชั่วก็แล้วแต่กรรม แล้วเป็นของคุณเองนะไปยัดให้ใครไม่ได้ ไม่มีหกตกหล่นไม่ระเหยไม่ระเหิด

คนเรานี่ลึกๆได้ยินว่ามีตัณหาอุปาทานภพชาติ

ตัณหาคือลีลามันอยาก อุปาทานคือความยึด แล้วภพก็คือวนเวียนอยู่ในแดนนั้น ชาติคือคุณต้องเกิดนอกจากคุณเป็นอรหันต์ทำให้ไม่เกิดได้สนิท

 

_ขณะนี้มีการทุบทำลาย รร.โยธินบูรณะ เพื่อทำรัฐสภาใหม่ ทั้งที่ปชช.ไม่เห็นด้วย หลายฝ่ายจึงเรียนมาเพื่อทราบ

ตอบ...ทราบแต่ไม่ออกความเห็น ไม่อยากเอามือไปซุกหีบมันเจ็บกรรมใครกรรมมัน ดูองค์ประกอบสังคมเอา

 

@Nattaya Rakpongthai แล้วเราจะสอนนักเรียนชั้นประถมอย่างไรให้รู้ธรรมเบื้องต้นโดยไม่หลงทางคะ คุณครูส่วนมากจะให้เด็กนั่งสมาธิกันเตรียมพร้อมก่อนเรียนค่ะ

ตอบ...ให้เด็กนั่งสมาธิก็สะกดจิตก็เอาเถอะ แต่จะให้ธัมมวิจัยยังไม่เหมาะสมกับเด็ก การให้นั่งสมาธิตอนเด็กก็ทำได้แต่เด็กโตแล้วก็ธรรมวิจัยได้

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:47:20 )

590525

รายละเอียด

590525_พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่อง ตอบปัญหาพารู้จักส่วนแห่งบุญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2559 ก่อนจะได้เข้าสู่เรื่องราวอย่างเคย ก็มาอ่าน sms กันก่อน

SMS 24 พ.ค.59

0890015xxx พ่อท่านฯเคยบอกว่าไม่ต้องไปทำอะไรธรรมกายหรอก แต่เขาจะทำลายตัวเขาเอง เวลานี้กำลังเป็นจริงเข้าไปทุกที มัวแต่นั่งหลับตาวนเวียนไม่ไปไหน กรรมจึงตามทันได้เห็นคาเตียง

ตอบเรื่องของคุณไชยบูลย์นี่ก็เห็นเก่งนะ ว่าคนไหนมีวิบากอย่างไร อาตมาก็ย้อนถามว่า ที่บวมเป่งขนาดนี้จะเป็นจะตายนี่รู้วิบากตัวเองบ้างไหมขนาดนั้นขนาดนี้ รู้หมดว่า ใครทำกรรมอะไรไปตกนรกขึ้นสวรรค์อย่างไร แต่ตัวเองน่ะรู้ตัวบ้างไหมว่า ที่เจ็บปวดนี้คือทำวิบากชั่วไว้นะ รู้ตัวไหมว่าทำไม่ดี

0875134xxx ลูกขอรายงานการรับชมบุญนิยมทีวีครับ ก่อนนี้รับชมทางโทรทัศน์ดาวเทียม nss6 ขณะนี้รับชมทาง boonniyom.tv ครับ อนาคตใกล้ๆ นี้จะติดจาน C-Band เพื่อรรับชมบุญนิยมทีวีแล้วครับ และขอเจริญธรรมญาติธรรมทุกๆ ท่าน และขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับคณะทำงาน บุญนิยมทีวี ทุกๆ ท่าน ครับ

อาตมาก็ต้องขอขอบคุณพนักงานบุญนิยมทีวีด้วย เพราะที่ทำงานมานี้ก็ไม่ได้มีเงินเดือนกันทุกคน ออกอากาศมาได้ 10 ปีแล้ว ออก 24 ชม.ไม่ได้หยุด ไม่หาเงินไม่มีสปอนเซอร์ ไม่เป็นอุปกรณ์ในทางหาเงินแม้เรี่ยไรก็ไม่มี เรียกว่า เลือดสดๆของเราเอง พวกเราเอง สมาชิกชาวอโศกเราเองช่วยกัน หาเงินมาโดยเพื่อกิจนี้โดยเฉพาะ อย่างน้อยค่าใช้จ่ายเช่าดาวเทียมออกอากาศพวกนี้ จำเป็นเลยเพราะทุกคนต้องจ่าย ไม่ใช่เจ้าของดาวเทียม เดือนหนึ่งก็หลายล้านอยู่ เป็นไปตามกุศลชาวอโศก ก็เป็นไปได้ ยังพอมีบารมีทำได้บ้าง โดยอาศัยเงินก้อนหลัก จากสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ

0816800xxx เป็นบุญของพ่อครูแล้วค่ะ ที่ได้ออกมาจากสมาคมชั่วๆ

ตอบ….อาตมาก็ว่าเป็นบุญนะ อาตมาออกมาจากมหาเถรสมาคมนั้น ไม่ใช่เขาอัปเปหิ แต่อาตมาออกมาเอง อาตมาถือว่าโกหกนะที่บอกว่า ขับชาวอโศกออกจากมหาเถรสมาคมนะ ถือว่าเป็นคำโกหกคำโต ที่จริงแล้วชาวอโศกเราขอประกาศแยกตัว มาปกครองตนเองเรียกว่านานาสังวาส แต่ว่าวันดีคืนดีก็เอาเราไปฟ้องร้องทำอธิกรณ์เราอีก แต่กับคณะธรรมกายกลับทำอีกอย่าง

จริงๆแล้วคณะของอาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่พูดนี้ไม่ได้ต้องการถล่มอะไรหรอก แต่เพื่อให้ตรวจสอบศาสนาที่ตนเองเป็นศาสนิกอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านฝากศาสนาไว้กับปชช.ไม่ใช่ท่านฝากไว้กับคนใดคนหนึ่งเป็นใหญ่หรือคณะใดคณะหนึ่เป็นใหญ่ แม้แต่คณะมหาเถรสมาคมก็ไม่ใช่ แต่เพียงแต่ให้ดูแลหน่อย เป็นผู้ใหญ่ดูแลผู้น้อยเป็นสัจจะของมนุษยชาติ ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ และพระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ตั้งใครเป็นใหญ่ ไม่ให้คณะใดเป็นใหญ่ แต่ตอนนี้ละเมิดไปแล้ว

แม้แต่ในสังคมประเทศเขาจะรู้ว่าใครคือคนควรบูชา

 

0877854xxx พ่อครูครับธรรม2คือ ธรรมโลกียะกับโลกุตระใช่หรือไม่ครับ

ตอบใช่แล้ว

0828281xxx จานไอพีเอ็มดูบุญนิยมยังไงครับ

ตอบ...เครื่องรับ ipm ถ้าใช้จานเล็ก ไม่เกิน 90 เซ็นต์ ku band ดูช่องบุญนิยมทีวีไม่ได้

 ถ้าใช้กับจานใหญ่ โปร่งสีดำ  4ฟุตขึ้นไป รับจากดาวเทียม ไทยคม ถึงจะดู บุญนิยมทีวีได้

 

0830673xxx ภาพข้างหลังท่านพระครูคือภาพการระเบิดของจิตปัญญา?

ตอบ...อาตมาไม่มีตำแหน่งพระครูนะ เขาเรียกอาตมาว่าพ่อครู… ภาพนี้อาตมาเรียกว่าภาพสุญญตา เป็นวงกลมแล้วมีรัศมีต่างๆ เป็นโลโก้ หรือsymbol เครื่องหมายของอโศก ที่เห็นนี้เป็นลายมืออาตมาเขียนมาแต่ต้นนะ ใช้เป็นตราประจำของอโศกเลย ในใบสุทธิก็มีตรานี้

จะเรียกว่าการระเบิดของจิตปัญญาก็ได้

0893867xxx พ่อครูเปลี่ยนเทศน์ธรรมะมาเป็นถามตอบประเด็นธรรมแล้วฤา?ทุกคำตอบทำให้ ญตธ.หน้าจอบุญนิยมทั่วปท.ได้อานิสงส์รู้โลกุตรธรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้นสาธุในใจตนที่ไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะหมดลมหายใจฤาหมดสิ้นการรับรู้ทุกผัสสะไปแล้วถูกไหม?

ตอบ...ช่วงนี้ก็ขอตอบประเด็นจากทางบ้าน รายการสด ทางบุญนิยมทีวี ผู้สนใจสามารถถามสด ตอบสด เข้ามาที่หน้าเพจ ได้เลย หรือ โทรฯ 099 116 0470 , 088 585 9118

ฟังไปก็ทำงานไปก็ได้ อย่างที่นี่ก็มีฟังธรรมไปพับถุงปุ๋ยไป เพราะตอนนี้ส่งปุ๋ยให้ชาวนาแทบไม่ทันเลย ทำไปก็ฝึกสมาธิได้ ในทุกกรรมกิริยา มีสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เป็นวิธีปฏิบัติอย่างมีธัมวิจวัยสัมโพชฌงค์ Anyalysis แต่ไปเข้าใจผิดไปหมดสะกดจิตนั่งสมาธิ เป็น Hypnosis พูดกลับกันกับของพระพุทธเจ้าเลยสองพันหกร้อยปีเอง เพี้ยนไปเป็นแบบเก่า แบบก่อนยุคพระพุทธเจ้าก็มีมา แต่ของพระพุทธเจ้าที่มาอธิบายนี้เพี้ยนไปหมด อาตมาก็ต้องทำกลับให้คืนกลับมาใหม่ สี่สิบกว่าปีแล้วเหนื่อยไม่ลง พูดย้ำซ้ำซาก เหนื่อยไม่ได้เบื่อไม่ได้ ต้องพูดซ้ำเช่นนี้แหละ ทำไมถึงดื้อด้านดึงดันไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยเป็นไม่เข้าใจ อชานโต อปัสสโต มันยึดมั่นถือมั่นไม่มีปรโตโฆษะ มีแต่อโยนิโสมนสิการ เพราะขาดปรโตโฆษะ

จึงไม่เกิดอานิสงส์ฟังธรรม จากที่เขาแปลว่าก็ว่าใช่หรือที่โพธิรักษ์พูดนี้ นี่คืออานิสงส์ฟังธรรมข้อแรกนะ ข้อที่สอง ฟังแล้วก็ยิ่งเข้าใจยิ่งขึ้น ไปเปิดดูในพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตรเลยว่าใช่ไหม

1.      ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.      ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.      ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.      ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5.      จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

 

0893867xxx จิตที่กำลังจะเป็นผู้รู้!ที่กำลังเป็นผู้ตื่น!ที่เป็นแล้วถึงซึ่งผู้เบิกบานคือพุทธะ!

ตอบ...เพราะคนทั้งหลายเกิดมาจมในความเห็นในลัทธิปุถุชน จมในสุขจากาม จากบำเรออัตตา จมงมงาย พอรู้ตัวก็รู้ว่าไม่ใช่ ก็ตื่นจากที่ตนหลงเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นนี่คือผู้ตื่น

0893867xxx ผู้น้อยเรียนรู้ธรรมก็ยังคิดว่ารู้ไม่มากพอ!เพราะเรียนรู้ธรรมคือการเรียนรู้ พ่อครูกล่าวถึงอตัมมยตาในธรรม9ตาที่อ.พุทธทาสกล่าว!คือความเป็นพุทธที่ทุกคนต้องเรียนควบคู่รู้อยู่กับจิตความทุกข์และผีในตัวกูของกู! กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะบุญนิยมที่ตามรอยพระดำรัสฯกับพระพุทธพจน์ในเรื่องมักน้อยสันโดษพอเพียงสาธุ! เพราะธรรมะพ่อครูกับคำแนะนำจากหมอพยบ.ญาติ มิตรรพ.อุทัยฯทำให้ตนรับมืออาการคลุ้มคลั่งของพ่อ จากการสูญความจำชั่วขณะด้วยสติรู้ตัวทุกขณะได้จนพ่อดีขึ้นขอขอบคุณทุกท่าน!

 

@Jintana    ขอเรียนถามท่านพ่อครูสมณะ โพธิรักษ์โปรดเมตตาด้วยคะเพราะสามีเสียชีวิตเมื่อปี58 ดิฉันคิดถึงเขามากเหลือเกิน ร้องไห้บ่อยมาก พยายามไหว้พระสวดมนต์อุทิศบุญให้ทุกวัน

พ่อครูโปรดเมตตาด้วยว่าทำอย่างไร เขาจะได้รับบุญที่ได้ตั้งใจทำให้ดวงวิญญาณได้รับบุญ เพื่อเขาจะได้ถึงสุข

ตอบ...อาตมาเรียนรู้ทำตามธรรมะพระพุทธเจ้ามีแฟนก็ทิ้งแฟนมาก็ขอให้สติคุณ ถ้าคุณจะจมในความรู้สึกนั้น ก็จริง แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่าให้รู้ตัวแล้วอย่าไปยึดติดสิ่งนั้น ที่คุณพูดมานี้เป็นความทุกข์ของคุณจริงๆ นี้คือทุกข์อาริยสัจ อาตมาตอบด้วยเมตตา สามีคุณตายไปแล้วก็ไปตามวิบาก คนเรามีทั้งวิบากเก่าและใหม่ มีเก่าคือมีแล้วชาตินี้ก็มาแต่งงานกันอีกหรือว่าชาตินี้ไปสร้างใหม่ผูกพันอีกก็มี เป็นเรื่องภาระ หรือ เวร แล้วคุณก็ไปทำผิดคือไปอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้สามีที่ตายอีก ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมเป็นของตน แม้แต่กุศลก็ส่งไปไม่ได้  แบ่งสิ่งไม่มีให้แก่กันไม่ได้ บุญแบ่งกันไม่ได้ บุญเป็นกรรมวิธี จรณะ พฤติชนิดหนึ่งที่ทำให้กิเลสลดได้ บุญไม่ใช่เครื่องอาศัยแต่กุศลเป็นเครื่องอาศัย

บุญเป็นอาวุธร้ายเอาไว้กำจัดตัวร้าย

เขาว่าอุทิศบุญ แล้วใช้คำว่าอุทิศส่วนกุศลไปถึงผู้ตายนั้นไม่มีทางไปได้หรอก เป็นความผิดพลาดของศาสนา สำนักไหนสอนอาตมาถือว่าสอนผิด อาจารย์ก็ผิด ผู้ได้รับการสอนก็ผิด บุญ บาป แบ่งกันไม่ได้ กุศลอกุศลแบ่งกันไม่ได้

ผู้ได้ส่วนบุญนั้นคือผู้นั้นเป็นผู้รู้แล้วว่า พระพุทธเจ้าสอนเช่นนี้ให้อ่านกิเลสให้ออก แล้วก็ขจัดปฏิบัติให้กิเลสลดละจางคลาย เลยทำแล้วได้ผล ความเป็นบุญคือชำระกิเลส ปุนาติ ได้ผล (อัตถิ) กิเลสยังไม่หมดก็คือเสขบุคคล ลดกิเลสได้ตามส่วน คนนี้มีส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาค) ได้นี่คือขจัดกิเลสออกไปได้ ถ้าขจัดกิเลสออกได้หมดก็เป็นอเสขบุคคล บุญก็ไม่ต้องใช้แล้ว จบ

พระพุทธเจ้าว่าผู้ตั้งใจเป็นคนโสดเขาเรียกกันว่าบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่มีคู่ มีเมถุนย่อมเศร้าหมองเช่นคุณนี่ ไม่ได้ถล่มนะ แต่ค่อยๆล้างกิเลสออก ไหนๆสามีก็ตายไปไปตามวิบากเราเป็นโสดนี่แหละดีแล้ว พยายามเลี้ยงตนเองให้รอด อย่าไปกังวลมากคนเราจะเกิดเป็นหญิงหรือชายก็ตามพยายามเลี้ยงตนเองรอด สัตว์ก็เลี้ยงตนรอด เราเป็นคนแม้เป็นหญิงก็ต้องทำได้ อย่าไปเสียพลังงานกับสิ่งที่ผ่านไป แล้วที่คุณรักสามมีก็เป็นความดีๆงามแบบโลกๆ แต่ถ้าพูดเรื่องโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นอวิชชายังโง่อยู่ มาศึกษาให้ดีตั้งตนเป็นคนโสดอย่างพระพุทธเจ้าว่า

อาตมาเคยมีภาษิตอยู่ว่า เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย นี่ก็สามีก็ต้องตาย ต้องรู้จักการตาย รู้จักเลี้ยงลูกว่า โตแล้วเลี้ยงตนเองได้ อย่าไปประคบประหงมตลอดไปไม่ได้ พ่อแม่สักวันก็ต้องตาย ไม่ใช่ไปลบหลู่ไม่กตัญญูแต่ต้องเป็นไปตามสัจจะความจริง

 

_จากอ.เป็นต้น นาประโคน

ขอกราบนมัสการถามดังต่อไปนี้

1) ธัมมชโย เป็นฉายาทางธรรม  แต่บัดนี้ได้กลายเป็นสมีไปแล้ว ไม่ควรเรียกฉายานี้อีก

2) ชาวอโศกควรแสดงท่าทีอย่างไร? ในวิกฤตของศาสนาครั้งนี้

ตอบ...เป็นนานาสังวาสก็ต้องยิ่งปฏิกโกสนาต้องตำหนิติเตียนให้มากเพราะมันต่างกันนั้นเองแต่อธิกรณ์ฟ้องร้องกันไม่ได้

 

 

_คนที่ทำงานคนเดียวได้ไม่ร่วมหมู่กลุ่มนี้ ถือว่าเป็นคนเก่งไหม

ตอบ...เก่งนี้ต้องมีเงื่อนไข เก่งคนเดียว เก่งในสังคม ก็ต้องเทียบกับคนอื่นนะ

 

_ที่นี่พ่อท่านเทศน์เรื่องมนุษย์นินจา แต่ว่าไปอยู่ไหน เพราะว่าคนมาเตรียมงานที่ศษลก็อายุยาวทั้งนั้น พอถามชาวชุมชนว่าที่นี่มีคน สามร้อยกว่าคนก็ค่อนข้างงงว่าไปเป็นนินจาอยู่ไหน เพราะฐานงานก็มีคนน้อยนิด แต่พอเห็นอาปะกับคนทำครัวก็มีมาก แต่ที่น่าแปลกว่า ยกไปวางบนโต๊ะ ไม่นานเลยค่ะ อาหารหมดเกลี้ยงหนูงง มนุษย์นินจามีจริง หายสงสัย

และได้ยินเสียงป้าเล็กมักจะตื่นมาตั้งแต่ตีสองตีสามมาหั่นผักอย่างนี้ถือว่าเก่งไหม แต่ลูกคนทำไม่ได้ งานของลูกแค่เล็กๆน้อยๆ เก็บผักเท่าที่เขาจำเป็น เพราะลูกไม่เก่งเลย แต่เพราะพี่ๆเขาเตรียมของไว้ให้ แต่ก็ไปช่วยทำในสิ่งที่ขาดแคลน วันนี้ไปช่วยทำอาหาร ผักก็อาจไม่ค่อยสุกดี ก็กราบขออภัยด้วยค่ะ เพราะฟืนไม่ติดดีนัก ยังไม่สุกดีระฆังก็ตีแล้วก็เลยตักมาขึ้นศาลาทั้งที่ผักยังไม่ค่อยสุก ก็จะพยายามทำให้ดีขึ้น ถ้าพี่น้องท่านใด มีเวลาว่างก็มาช่วยกันนะคะ

ลงชื่อ...ปลากระพง

ตอบ...สรุปง่ายๆว่ามีทั้งคนดีคนไม่ดี คนขยันขี้เกียจ ก็ต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญา คนมีปัญญาฟังดูก็มีสำนึกกันบ้าง ก็มีทั้งคนที่พกพาความเป็นแก่ตัวมามากก็มี แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่ก็ต้องล้างความเห็นแก่ตัว แล้วตนเองจะได้ช่วยเหลือหมู่กลุ่มได้มากขึ้น ก็นี่คือเป้าหมายที่มาที่นี่ อาจรู้กันแล้วแต่ก็เป็นแต่เพียงแต่ละคนจะสำนึกแค่ไหน

 

_จากพล.ต.ท.ดุลย์เพชร ว่า พ่อท่าน อนาคตังสญาณ ว่าจะมาสร้างบ้านราชฯให้เป็นเมืองหลวงของอโศกไหม? ซึ่งถิ่นนี้เป็นถิ่นบรรพบุรุษพ่อท่านด้วย

ตอบ...อาตมาตั้งใจ แล้วเชื่อว่าจะเป็น ตามชื่อของมัน อาตมาไม่มีความคิดล่วงหน้ามาก่อนเลย นี่มีคนถ่ายภาพแล้วเอาไปลงในโซเชียลมีเดีย คนก็เลยบอกว่าที่นี่เป็นที่ท่องเที่ยว แต่อาตมาเป็นคนต่อต้านการท่องเที่ยวมาบำเรอกิเลสกันไม่เอา แต่ให้มาศึกษา ให้รู้ว่าที่นี่มีค่า ไม่ใช่มาจ่ายเงินแล้วจะทำอย่างไรกับที่นี่ก็ได้ อย่างนั้นเชิญออกได้เลย ที่นี่เอาเงินมาตีหัวไม่ได้ ถ้าจะมาอย่างนักศึกษาให้เกียรติกันก็ยินดี แต่ถ้ามาเล่นเละเทะก็ขอร้องว่าอย่ามา ถ้ามาพักผ่อนหย่อนใจอาบน้ำก็ได้ที่นี่ก็ยินดี แต่ถ้าไปบอกว่าที่ท่องเที่ยวนี้เป็นวิบากเลย

 

_การรู้อาริยสัจนั้นรีบด่วนกว่าไฟที่ไหม้ศีรษะ เป็นอย่างไร?

ตอบ...ที่จริงท่านเทียบว่าไฟกำลังไหม้บนศีรษะเราอยู่นี้ เหมือนเรามีผ้าชุบน้ำมันแล้วมันไหม้บนหัวเรา เราควรรีบเอาออกมันจะไหม้หัวเรา ฉันเดียวกันเราเรียนรู้ธรรมะสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลต้องรู้ก่อนแล้วรีบเอาออกเหมือนไฟไหม้หัวเรา แต่นี่คุณยืนยันว่าการรู้อาริยสัจรีบด่วนกว่ารู้ไฟไหม้ศีรษะ

แม้คุณจะต้องเจอส่ิงปัจจุบันเหมือนไฟไหม้หัว ถ้าคู่กันกับอาริยสัจ  คุณตั้งหน้าตั้งตาเรียนอาริยสัจก่อนดับไฟบนหัวก็ลึกซึ้งมากอีก

_จากคุณกงเต็ก...เวลามีอุบัติเหตุก็รู้สึกว่าต้องรู้ชื่อคนที่บาดเจ็บหรือตาย พอไม่ใช่ญาติพี่น้องตนก็โล่งใจ แต่พอมาคิดได้ทีหลังว่าคนอื่นเขาก็มีญาติเช่นกัน ถ้าคนอื่นไม่ใช่ญาติพี่น้องเราตาย เขาก็คิดอย่างเราคิด แล้วเราก็คิดว่าแบบนี้เห็นแก่ตัวไหม

ตอบ..ก็น่าจะใช่ ก็เป็นนัยละเอียดลึกซึ้ง ในการถอดถอนความแคบของตนเอง ก็เป็นความสำนึกดีอย่างหนึ่ง

 

_มีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์หมายถึงอย่างไร

ตอบ...คนที่ถามแปลว่าได้เรียนรู้ อาตมาทำงานมา 40​กว่าปี ได้อ่านจากผู้เขียนหรือพูดถึงธรรมะของพุทธ ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับ ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อุปธิเวปักกา ปุญญภาคิยา สองคำนี้อาตมาเจอในมหาจัตตารีสกสูตร อาตมาว่าพระพุทธเจ้าเจตนาเลยที่จะสำทับเลยว่าสมาธิของพุทธนั้นต้องอย่างนี้ ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตานะ เพราะท่านตรัสชัดๆ

แล้วพระพุทธเจ้าว่ากายคือจิตคือมโนวิญญาณ ไม่ใช่หมายถึงแต่ร่างภายนอกนะ  ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่ากายคำเดียวไม่ได้ก็ไม่มีอรหันต์ แล้วที่บอกว่าอรหันต์กันนั้น เก๊ทั้งนั้น

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:47:54 )

590526

รายละเอียด

590526_พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะสองของโลกและธรรม

พ่อครูว่า…(วันนี้จนท.จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 มาฟังด้วย)

ป่าไม้กลายเป็นป่าหมด  (อ.เป็นต้น นาประโคน)

เมื่อก่อนมีป่าไม้      คุ้มเมือง

ป่าสัตว์เคยรุ่งเรือง  ส่งค้า

คนไฉนคิดขุ่นเคือง โค่นฆ่า ป่าเฮย

ฝนบ่หลั่งสั่งหล้า     กลับแล้งแกล้งดิน

สัตว์ป่าเล่าหลบลี้    หนีพลัน

เนื้อสัตว์ภัตตาคาร  สั่งไว้

สงสารสัตว์ซมซาน หัวซุกหัวซุน

เป็นพุทธฆ่าเพื่อนได้        สดับแล้วอดสู

ตะวันเร่ิมดุร้าย       รุนแรง

ใครสั่งเพิ่มคลังแสง          ส่องให้

ใครสี้างโลกจำแลง          ยุคหล้า โลกเฮย

กรรมซัดวิบติไซร้ เพราะสร้างมาเอง

หินผาบรรพต         โล้นเห็นไหม

เป็นเพราะฝีมือ       ใครสั่งเจ้า

ทำให้โลกบรรลัย    เหลวแหลกสูเฮย

ไข้หนักเหมือนผีเข้า         สุดพ้นคะนึงหา

 

แม่น้ำลำธารเหือดแห้งบ้างก็เน่าเฟะไปหมด เพราะคน อาตมาเกิดมาในปางนี้ชาตินี้ไม่เคยไปบุกรุกทำลายธรรมชาติ มีแต่สร้างเอา อย่างน้ำตกผาแหงนนี้ ที่ทำนี้ไม่ได้ทำเพื่ออวดอ้าง แต่ทำเพื่อให้คนรู้สึกรักดินรักน้ำรักป่า รักธรรมชาติ เราทำอย่างไม่ได้คิดถึงเงินทุนเลย อย่างผาแหงนที่เราสร้างก็เช่นกัน เราไม่ได้ทำเพื่อเอาไปเบ่งข่มหากิน ที่ทำก็เพื่อจะให้ได้เห็นว่า คนก็ดูแลธรรมชาติสร้างธรรมชาติ

พ่อครูพูดถึงเรื่องประเทศไทยคือชมพูทวีป…. (ขาดบันทึกเพราะinsertอยู่)

ตอนนี้ประเทศเน่าเฟะเลอะเทอะยึดมั่นถือมั่นแรงมาก เริ่มต้นได้ขนาดนี้มาเรื่อยๆประเทศไทยจะได้ตั้งฐานขึ้นเรื่อยๆ

ศาสนาพุทธใช้อำนาจตนเองเป็นใหญ่แต่เป็นตนเองที่ไม่เบ่งตนเอง ใช้อำนาจตนเองที่ไม่เป็นทาสใครเลย นี่คืออำนาจตนเองเต็มที่เลย ไม่ไปเบ่งข่มขี่ย้ำยีใครมีแต่เอื้อเฟื้อเจือจานตามฐานะ คนที่มักน้อยสันโดษลดละได้มากก็ช่วยคนอื่นได้มากอย่างบริสุทธิ์ใจ เกิดจากต้นทางของจิตวิญญาณเป็นประธาน มโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

สัจจะของพระพุทธเจ้านี้มีสัจจะอยู่ว่า ส่ิงที่เป็นสัจจะเกิดจริงมีสภาพจริง สัจจะจะเป็นหนึ่งแต่ธรรมะนี้จะมีสองเสมอ เป็นคู่เทียบคู่เปรียบ

พอมายุคนี้คู่เปรียบเทียบดีมาก แม้การเมืองเผด็จการสภายึดสภาก็เห็นได้ ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ เพิ่งจะเอาลงได้ มันเลวร้ายขนาดนั้น เสร็จแล้วก็มีสิ่งที่ดี การเมืองไทยที่บริหารประเทศในระบอบปชต.ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ท่านเป็นยอดนักปชต.ท่านก็ใช้บารมีท่านเต็มที่บริหารจนปชช.รักเชิดชู ถ้าท่านเผด็จการ คนไม่รักไม่เชิดชูหรอก แต่ถ้าเผด็จการจะแพ้ภัยตัวไปเรื่อยๆ

สิ่งเป็นสัจธรรมนี้มีทางด้านศาสนาด้วย มีการบริหารคู่ ฝ่ายเลวร้ายกับฝ่ายที่ดี เป็นปชต.ดีกับปชต.เก๊ แล้วหลอกว่าเป็นปชต.อยู่นั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ปชช.รู้ตัว หลายคนยังงมงายอยู่

ในทางศาสนาก็เห็นได้ว่า การศาสนาเกาะกลุ่มกันเละเทะเลย ขณะนี้ ก็ยังเป็นอยู่ ทางการเขาให้เกียรติมากแล้วไม่อยากทำเลย สุภาพมากแล้วแต่เขาก็ต้องทำเพราะเลวร้ายมาก

ตั้งแต่ชื่อก็หลอก หลอกว่า ผู้ชนะทางธรรม แต่ที่แท้แล้วมันคือผู้แพ้ แพ้อย่างทรมานทรกรรมอย่างเห็นๆ แล้วมีผู้ช่วยคือผู้มีชีวิตโง่ ทัตตะ แปลว่า โง่ ชีโว แปลว่าชีวิต ก็เป็นคู่หูหลอกกัน นึกว่าตนเองเป็นต้นธาตุต้นธรรมนึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ แต่นี่คือสัจจะ พูดสั้นลัดห้วนๆ ว่าเป็นสัจจะที่เกิดจริง

อย่างในหลวงเรานี่ เป็นพระโพธิสัตว์ ประกาศมาบอกให้มีชีวิตแบบคนจน มาบริหารประเทศแบบคนจน

ในชีวิตเกิดมายุคนี้โชคดีที่ได้เกิดมาเห็นหมด ที่อาตมาพูดไปนี้ต้องรับรองคำพูดของตน ว่าอาตมาพูดโดยมีเจตนาจริงใจ ต้องพูดความจริงให้รู้กัน ว่าส่ิงที่เกิดที่เป็นเป็นสัจจะ แล้วย้ำอีกทีว่าเมืองไทยจะเป็นเมืองเจริญ แต่ไม่ร่ำรวยมหาศาล แต่ช่วยคนอื่น ที่ไม่รวยเพราะเราช่วยคนอื่น ได้มาเหลือเราก็เอาแจกจ่ายคนอื่นก็ไม่รวยแน่ แล้วขยันสร้างสรรให้เหลือกินเหลือใช้

หลักในการดำเนินชีวิต

1.อย่าเป็นหนี้ เลิกลัทธิสินชื่อ ลัทธิสินเชื่อ ลัทธิเป็นหนี้ เป็นลัทธิอุบาทว์ชาติชั่ว …..ลัทธิสินเชื่อ ลัทธิเป็นหนี้ เป็นลัทธิอุบาทว์ชาติชั่ว ...พ่อครู 26 พ.ค. 59

เรามีแต่เงินหนุนเงินเกื้อ แล้วคนเกื้อไปก็ใช้คืนไม่ชักดาบ จะอยู่กันอย่างอบอุ่น พี่ช่วยน้อง คนแข็งแรงช่วยคนอ่อนแอ

ทฤษฎีของพระพุทธเจ้ายังอยู่ อาตมาประกาศตัวตนว่าเป็นโพธิสัตว์มากอบกู้ศาสนาพุทธ ทุกวันนี้พูดตรงๆ ไม่มังกุ

ชีวิตคนรวยเป็นชีวิตที่ต้องใช้หนี้ใช้สินไปอีกนาน แต่มาเป็นคนจนชีวิตจะปลอดภัยไปเสมอในอนาคตด้วย

2.พึ่งตนเองให้รอดได้

3.ทำเกินกินเกินใช้ให้เหลือให้มากกว่าที่เรากินใช้

4.เอาที่เหลือไปเผื่อแผ่ผู้อื่น

เราไม่ต้องรวยแต่เราพึ่งตนเองรอด อยู่คนเดียวได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไปอยู่กับหมู่ที่เป็นระบบสาธารณโภคี แต่ละชุมชนเราไม่มีหนี้มีแต่เงินหนุน เราไม่เรียกว่าเรามีหนี้ แต่เราเกื้อกองกลางเราเกื้อมาเป็นสิบล้านเลย ยังไม่เป็นอิสระเต็มที่ยังสร้างบ้านแปลงเมืองไม่ลงตัว ก็ค่อยๆไปแต่อย่างปฐมอโศกนี้รอดตัวแล้วไม่ต้องมีเงินเกื้อเงินหนุน มีเงินคงคลังแต่ละเดือนแต่ละปีก็เอามาช่วยบ้านราชฯเดือนละเป็นล้าน ปฐมอโศกเป็นพี่คนโตคนแรกของอโศก ทุกวันนี้ให้คนอื่นพึ่งได้ เป็นระบบที่เกิดจากจิตวิญญาณจริงใจ เป็นปชต.ที่เสียภาษี 100% ทำได้เท่าไหร่ก็เอาเข้ากองกลาง เราก็อาศัยกินใช้อยู่ในนี้ตามระบบระเบียบวินัยในนี้ก็มีการพิจารณาตามคณะกรรมการ เป็นปชต.ที่ย่ิงใหญ่ เป็นคอมมิวนิสต์เป็นเผด็จการที่ย่ิงใหญ่

ปชต.คืออะไร? คอมมิวนิสต์คืออะไร เผด็จการคืออะไร?

ในสังคมที่สมบูรณ์แล้วเป็นปชต. เป็นคอมมิวนิสต์เป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ เป็นระบบทุกอย่างที่ทำเพื่อปวงชน ทั้งสามอย่าง เพราะสัจจะที่แท้คือ คนชนิดนี้ ลดความเห็นแก่ตัว ลดกิเลสที่เห็นแก่ตัวและลดได้จริงๆ เมื่อตัวเองไม่เห็นแก่ตัว จึงทำเพื่อผู้อื่น เกื้อกูลสร้างสรรเพื่อผู้อื่น ไม่ว่าจะอยู่ในระบบใดก็ทำเพื่อผู้อื่น

เป็นจิตวิญญาณที่กำจัดอัตตา 3 นี้ได้ กำจัดได้ก็หมดตัวตนก็ไม่เห็นแก่ตัวตน ก็ไปเห็นแก่ผู้อื่น เพราะศาสนาพุทธ มีวิริยินทรีย์ วิริยพละ ไม่ขี้เกียจ รู้ด้วยปัญญาว่าตนต้องขยัน ขยันแล้วดีไหม ขี้เกียจไม่ดีอย่างไรก็รู้ ไม่เมื่อยก็เพียร เมื่อยก็พัก เราไม่พักเราไม่เพียร พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำไปแล้วไม่ต้องกังวลว่าจะมีตลาดไหมจะขายที่ไหน แต่เรามีการแบ่งหน้าที่กันทำ แต่ละแผนกทำหน้าที่ทำเพื่อส่วนกลาง ไม่เห็นแก่ตัวเลย แม้คนไม่หมดความเห็นแก่ตัว แต่ทุกปัจจุบันเขาจะสังวรไม่เห็นแก่ตัวเอง เราก็จะได้ล้างกิเลส เป็นทฤษฎีย่ิงใหญ่ของพระพุทธเจ้า

ให้มีสัมมาทิฏฐิ ให้ถูกต้อง

อาตมาอธิบายวิธีทานที่ถูกต้องละกิเลสซึ่งเขาสอนกันไม่มีแบบนี้แล้ว ทำทานมีแต่สอนให้โลภ ทานข้าวทัพพีเดียว แต่ตั้งจิตจะเอาเป็นล้าน จะเอาคืนมากกว่าที่จะให้ไป โลภมากกว่าเก่านี่คืออโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจไม่เป็นทานแทนที่จะละโลภ ก็เลยโลภมากกว่าเก่า ครูอาจารย์สอนกันตั้งจิตอยากได้เท่าไร่ก็ทำเอา

ข้อแรกเลย นัตถิทินนังในสัมมาทิฏฐิ เขาทำเป็นนัตถิทินนัง ทำทานแล้วไม่ได้ล้างกิเลส แต่สะสมกิเลสเพิ่มอีกตะพึดตะพือเลย ทำใจเพิ่มกิเลสแก่ตนนี่คือการไม่รู้มิจฉาทิฏฐิในศาสนาพุทธ

ปฏิบัติศีลพรตก็ไปทำสร้างภพชาติ ส่วนใหญ่เลยที่เขาทำกัน นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ได้เข้าใจภวตัณหาวิภวตัณหา ลืมตาแทนที่จะปฏิบัติกามตัณหากามคุณ 5 ไม่สอนกัน ยังเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กินต้องอร่อย ตาก็ต้องหาของชอบใจ เสียงก็ต้องถูกหู กลิ่นต้องถูกใจ ตามอุปาทาน ปฏิบัติศีลพรต ยิฏฐังก็ไม่มีผล ทำแล้วเพิ่มภพชาติ นั่งหลับตาดับก็เป็นสุภกินณพรหม หรือสายลืมตาอาภัสราพรหมอย่างธรรมกายมีวิมานมากมาย นี่มีจริงในยุคนี้เห็นๆ เขาก็มีวิบากหลอกปชช.เอามาสร้างสิ่งใหญ่โตหรูหราอวดอ้าง การสร้างใหญ่อย่างธรรมกายนี้ไม่เหมือนอโศก แต่อโศกนี้สร้างใหญ่เป็นธรรมชาติเพื่อรองรับคนที่มากขึ้น แต่อันโน้นสร้างใหญ่โตอวดอ้าง ที่พูดนี้ไม่ได้ข่มอะไรแต่เปรียบเทียบเพื่อศึกษาเป็นวิชาการ ไม่ได้ลบหลู่ด้วย

พูดตรงๆที่จริงอาตมาก็สงสารเขาแล้วไม่รู้ตัวว่าตนเจ็บป่วยเพราะ หนึ่งวิบากกรรมของเขา สองก็เป็นPsychosis ด้วย ไม่อยากเข้าคุกก็เลยทำตนเจ็บป่วยได้ เสริมกับวิบากของตนที่ผิด แล้วไม่รู้ตัวว่าที่ตนเจ็บป่วยเพราะอะไร แล้วทำอวดดีรู้วิบากใครๆ แต่ตัวเองเจ็บป่วยนี้รู้ตัวบ้างไหม ว่าไปทำชั่วอะไรมา ถ้ารู้จะไปทำชั่วทำไม ที่เจ็บก็เพราะชั่วเพราะวิบากของตน อยู่ดีๆจะไปเจ็บป่วยทำไม

แม้อาตมาก็ทุกวันนี้มีวิบากไอ ไม่ได้เจ็บปวดแต่มันคัน พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมก็มีวิบากเจ็บป่วยหรือถูกพระเทวทัตกลิ่นหินทับพระบาทห้อเลือด ท่านก็รู้วิบากหมด แต่อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าแม้พอรู้ก็ไม่ได้บอกไป อาตมาอายุ 80 กว่าแล้วไม่ได้เจ็บปวดลุกโอยนั่งโอยนะ ก็นั่งทำงานวันหนึ่ง 8 ชม. 10 ชม. บางวัน 15 ชม.ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร กำลังครบ 82 ขึ้น 83 อีกไม่กี่วัน

อาตมาก็มีวิบากแต่ไม่ร้ายแรง แต่คุณไชยบูลย์อายุน้อยกว่าอาตมา 10 ปี เขา 72 ก็ดูสิว่าเห็นแผลแล้วน่าเจ็บปวดไหม ลุกเดินก็ไม่ได้ ไปให้การเขาก็ไม่ได้ แล้วรู้วิบากตนไหม

1.เชื่อกรรม 2.เชื่อวิบาก 3.เชื่อกรรมเป็นของๆตน 4.เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีหลักของความเชื่อสี่อย่างนี้ กรรมเป็นอันทำ คุณทำดีก็เป็นของคุณทำชั่วก็ของคุณ เป็นของคุณหมด

ศาสนาพุทธแบ่งบุญแบ่งบาปกันไม่ได้ อย่างเช่นอาตมาก็คงมีบุญ ยังเป็นๆนี่เอาเลยใครจะเอาบุญจากอาตมาแบ่งให้ไปเลย เอาถุงมาใส่ เอากะละมังมาใส่ ไปให้หมด แล้วมันได้ไหม? ฟังธรรมะดีๆ อย่าไปถูกหลอกเลย คนที่ว่าให้มาทำบุญนี่แหละคนที่หลอกนี้เอาไปกินหมด เอาใส่ไปพันหนึ่งคนก็หลอกเอาไปกินหมดเลย

อย่างพ่อชอบกินไส้ปลามาก พอพ่อตายไป ลูกคิดถึงพ่อ ว่าพ่อชอบกินไส้ปลา พอได้ไส้ปลาก็เอาทำอาหาร แล้วเอาไปถวายพระ บอกว่าส่งไปให้พ่อหน่อย พระก็เอาไปกิน หยาดน้ำด้วย ถามว่าไส้ปลานี้ออกจากท้องพระไหม? ...หรือเอาไปขี้ในวันต่อไปออกเป็นขี้ …

หลอกกันสารพัดที่จะหลอก ไส้ปลานี้เป็นวัตถุนะ แต่ว่าบุญเป็นนามธรรม อาตมามีส่วนบุญกุศลในตัวเป็นนามธรรม ก็ให้พวกคุณ พวกคุณมาควักเอาเลยเป็นนามธรรม ให้อย่างจริงใจต่อหน้าเลย ก็เอาไปไม่ได้ ….เชื่อพระพุทธเจ้าเถอะว่ากรรมเป็นของตน แบ่งกันไม่ได้ นี่คือการสอนผิดในศาสนาพุทธ

หลักฐานมีหมดว่าปุญญภาคิยาคือเสขบุคคล พอเป็นอเสขบุคคล อรหันต์ก็ไม่ต้องใช้บุญ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปริกขีโณ จบบุญจบบาป อรหันต์ไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะหมดบาป บุญก็ไม่ต้องมี ก็เลยทำแต่กุศลไม่ได้ทำบุญอีกแล้วไม่ต้องใช้บุญหมดบุญ แต่ชีวิตท่านยังอยู่ก็ทำกรรมกิริยาแต่กุศลไม่ใช่บุญ

กุศลคือความดีที่ต้องอาศัย อรหันต์คือคนหมดบุญสิ้นบุญ

มีหลักฐานหมด แม้แต่ศีลก็มีให้ดูในพระไตรฯเช่นสามัญผลสูตรว่าไว้ตั้งแต่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ที่ทุกวันนี้ชาวพุทธไม่รู้เรื่องแม้พระเองก็ไม่รู้เรื่อง ในมหาศีลว่าไว้ว่าห้ามบูชาไฟ

                            

                                 มหาศีล

[114] 1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษเป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกาเป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

[115] 2. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลองทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ

(ศีลมีมาก่อนวินัย วินัยมีบทลงโทษมีมาทีหลังศีล แต่ศีลปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วจะบรรลุธรรม ส่วนวินัยนั้นทั้งไม่บรรลุธรรมแล้วถูกลงโทษด้วย)

ผู้ที่เข้าใจคำว่า สักกายะ คำว่า กาย เป็นธรรมะสอง จะต้องพิจารณากายในกาย ที่เป็นธรรมะสอง แล้วจัดการให้เป็นธรรมะหนึ่งให้ได้ ถ้ามันเป็นสองก็จะแตกต่างกันแล้วขัดกัน ต้องทำให้มันลงตัวกลมกลืนอยู่ร่วมกันได้ทำให้เหลือพลังงานที่ไม่ขัดแย้งหรือขัดแย้งอันพอเหมาะได้สัดส่วนที่ดีจะได้พลังงานทดอย่างสูงสุด อันนี้เป็นเรื่องของพลังงาน

 

คนอยู่กับสาธารณโภคีไม่ต้องมีส่วนตัวเลย จะใช้อะไรให้คณะกรรมการพิจารณาว่าจะให้หรือไม่ไม่ให้ก็ไม่เอา ให้ก็เอาไม่เอาเกินที่ควรได้ควรมี ละตัวตนไม่เอาอำนาจตัวตนเป็นใหญ่ เราคิดดีๆแล้วเสนอหมู่ หมู่ไม่เอาก็ทำตามที่เขาว่า เอาอย่างปชต.มีใจพอ ยิ่งส่วนตัวแล้วยิ่งเขาไม่ให้เราง่ายๆ กิเลสเรา แต่ถ้าส่วนตัวเอาไปทำงานนี้เพื่อส่วนรวมเขายิ่งจะให้ใหญ่เลย เพราะเราเรียนรู้ในทางนี้จะเข้าใจแล้วจะจัดสรรจริง ก็ขอยืนยันว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะของสังคมมีความรู้ทุกแขนงที่โลกมี ใช้ได้ในโลกยุคนั้นๆ แม้ยุคนี้มีคอมพิวเตอร์ที่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีก็เอามาใช้ได้หมด ทำเพื่อรับใช้มวลชน ไม่ได้เอามาทำเห็นแก่ตัว เอามาช่วยงาน ไม่ใช่เอามาบำเรอกิเลสเรา หากบำเรอกิเลสเราก็เสื่อมต่ำ เครื่องมือยิ่งดีแต่ถ้ากิเลสมากก็ยิ่งไม่ดี ใครที่รู้ว่าตัวเองยังไม่ดีก็อย่าเอาเครื่องมือดีๆมาใช้ สู้มันไม่ได้หรอก มันจะกินตัว ผู้ใดเข้าใจก็จะรู้ว่าอะไรเป็นโทษอันใดเป็นประโยชน์ จะรู้ว่าอันไหนเรายึดเป็นตัวตน รู้โลก รู้อัตตา พ้นโลกพ้นอัตตา แล้วมีธรรมาธิปไตยที่เหนือโลกเหนืออัตตา เป็นผู้บรรลุธรรมทำงานเพื่อรับใช้ปชช. คือนักการเมืองที่แท้จริง

ประเทศไทยจะเป็นประเทศตัวอย่างที่จะเป็นปชต.ที่เป็นตัวอย่างที่วิเศษเยี่ยมยอดของโลกในยุคนี้...บันทึกไว้เลย ถ้ามันผิดไปจากอาตมาพูด ปชต.ประเทศอื่นไม่เหมือนเมืองไทยหรอก ปชต.ต้องมีสองขา มีปชช.กับพระเจ้าแผ่นดิน แต่ปชต.ขาเดียวเป็นปชต.มีแต่รูปไม่มีนาม ไปได้ไม่นานหรอก

จิตวิญญาณที่เคารพพระเจ้าแผ่นดินกับเคารพปธน.ไม่เหมือนกันหรอก จริงที่พระเจ้าแผ่นดินบางพระองค์ไม่ดี แต่ปธน.ที่ไม่ดีก็มีเช่นกันแต่ ปธน.ไม่ได้สือสานสันตติวงศ์มา ใครก็ไม่รู้ขึ้นมาเป็นปธน.ไม่ได้สืบต่อกันมาไม่ได้สร้างทั้งนิสัยมณเฑียรบาล ย่ิงอจินไตยก็ย่ิงใหญ่กว่ากันเยอะ เช่น ทิเบตมีทะลัยลามะ ต้องสืบสานกันต่อทอดเชื้อมา

พวกเราที่ได้มารับฟังวันนี้ก็ดีแล้ว ชีวิตคนเราเกิดมาหากไม่ได้โลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม เกิดมาแล้วตายไป ไม่ได้โสดาปัตติมรรค ตายไปเป็นปุถุชนอย่างเก่า ท่านบอกว่าเป็นโมฆบุรุษ แม้อาริยธรรมขั้นต้นไม่ได้ แล้วยังได้กิเลสหนาไปอีกชาติต่อไปด้วย เพราะไม่รู้ว่าตนเพิ่มกิเลส ชีวิตก็เกิดมาสูญเปล่าแล้วได้กิเลสใส่ตนไปอีกน่าสังเวชใจ เสียชาติเกิดมาก

ย่ิงเราชาวพุทธ ตามสัมมะโนครัวเป็นกุศลเราแล้วที่ได้มาอย่าเสียชาติเกิดเลย  คนศาสนาอื่นไม่รู้จักศาสนาพุทธก็แล้วไป แต่เราชาวพุทธสิ ใกล้เกลือกินขี้ เราอยู่แต่ไม่ได้อะไรจากศาสนาพุทธเลย ดีไม่ดีชาติอื่นเขาก็ได้ไปน่าเสียดาย

อาตมาเคยแปลโมฆบุรุษว่าคนชิงหมาเกิด ให้หมาตัวใดตัวหนึ่งได้ร่างครบอาการ 32 ดี ไม่พิการ ดีกว่าอีก ขออภัยหากใครรู้สึกว่าถูกด่า

เมืองไทยมีเชื้อพุทธแล้ว แล้วจะฟักตัว การเมืองแบบของพระพุทธเจ้า เศรษฐกิจแบบพระพุทธเจ้า สังคมแบบพระพุทธเจ้า มีทฤษฎีหลักเกณฑ์วัฒนธรรมอย่างพุทธ จะสืบทอดไปอีกแน่นเนียนลึกไปเรื่อย มันเกิดแล้ว อย่างน้อยศาสนาพุทธของสมณโคดมจะไปได้อีกห้าพันปี ซึ่งน้อยสุดแล้วในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ เป็นยุคสุดท้ายก่อนถึงกลียุคแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดแล้วจากนี้จนถึงกลียุค มีแต่พระโพธิสัตว์มาเกิด จะต้องประมาณให้ดี ต้องไม่ให้แรงไปมากไปก็ทำลาย แต่ถ้าเบาไปเกินไปไม่ได้ผล

ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าเห็นดีเห็นงามก็อย่าช้า ชุมชนอโศกไม่ได้ปิดกั้นใครไม่ให้มา แต่มาอยู่ก็ต้องมาในระบบสาธารณโภคี มากินใช้กองกลางมีหลักพื้นฐานว่าไม่กินเนื้อสัตว์ สองไม่มีอบายมุข สามต้องถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ คนมาในชุมชนนี้ อีกอย่างอย่าเอาเชื้อโรคร้ายติดตัวมา เช่นเอดส์ เป็นมะเร็ง

อนาคตชาวอโศกแข็งแรงขึ้นจะมีที่สงเคราะห์คนแก่คนเจ็บป่วยคนพิการ ถ้าเรามีพลังมากพอ มีจำนวนพออย่างรัฐบาลเราจะทำได้ แต่ตอนนี้ทำได้แล้วพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ อย่างรร.เราตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว มีตั้งแต่อนุบาลถึงปวส.ต่อไปจะมีอุดมศึกษาด้วย มีนิสิตเรียนประจำ นักศึกษา นักเรียนเรียนประจำ เลี้ยงดูอย่างลูกหลาน ให้พึ่งตนเองรอด ช่วยสังคมด้วย เด็กพวกนี้ โตขึ้นจะไม่มาที่นี่ ไม่กตัญญูเราก็ไม่ทวงบุญคุณเลย เป็นความไม่ดีงามของเขาเอง แต่ถ้าเขาจะกตัญญูก็เป็นความดีของเรา เราทำแล้วไม่ทวงบุญคุณ เด็กจบมา 20 กว่าปีแล้วก็ไม่ค่อยมา แต่ที่มาอยู่ก็มี ทุกอย่างที่นี่เป็นสาธารณโภคี เขาเป็นเจ้าของทุกคนเป็นเจ้าของแล้วไม่มีใครแบ่งเอาไปได้ กินใช้จนตายลูกหลานก็กินใช้ในนี้ไปต่อไปจนตาย ถ้ามีคุณภาพพอก็อยู่ไปชั่วลูกหลาน

นี่คือประสิทธิภาพระบบของพระพุทธเจ้า เปลี่ยนตระกูลทางจิตวิญญาณเลย ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์เปลี่ยน DNA ได้แต่เขาเปลี่ยน DNA ทางจิตวิญญาณไม่ได้ แต่ทางพุทธศาสนานี้เปลี่ยนได้

เช่น DNA ก็จัดการแยก Deoxy Ribo Nucleic acid ก็แยกOxygen ตัวทำลายออกไปจาก Ribonucleic acid แยกได้ เอาแต่นิวเคลียร์ดีมาใช้งานได้

ถ้าเข้าใจแล้วทำได้ก็เป็นDNAของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ตระกูลเดียวกับของพระพุทธเจ้าเลย

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:48:22 )

590527

รายละเอียด

590527_พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาธรรมสอง

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2559 แรม 7 ค่ำเดือน 6 ปีวอก รายการวันนี้ก็จะมีการให้ทางบ้านติดต่อมาได้สดๆถามสดๆมาทาง facebook บุญนิยมทีวีหรือสดบุญนิยมทีวีหรือ line มาที่ line@บุญนิยมทีวี ก็ได้ หรือส่งมาทางโทรศัพท์ 088​-585 9118

0822324xxx BK Yaninthon กำลังนั้งดูอยู่คับ ชาวทะเลธรรม

0874430xxx ชอบดูรายการบุญนิยมมีประโยชน์ทุกๆรายการเลย

0874430xxx มีแต่เสนอเรื่องจริงใจไม่ทำให้คนดูหลงทาง

0890015xxx อยากให้มีรายการตอบปัญหาสดอย่างนี้ส้ปดาห์ละ 1 วันจะได้ไหมครับ เพราะตรงใจ และตรงประเด็นที่สนใจได้ดีครับ

0885605xxx อยากให้พ่อเทศน์เทศน์แบบนี้บ่อยๆแต่ก่อนเข้าใจค่อนข้างยาก

พ่อท่านใช่ครูบาศรีวิชัยกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าเพราะวัตรปฎิบัตรคล้ายกันมากและท่านก็ฉันมังสวิรัติเหมือนกัน

ตอบ...ไม่ใช่หรอก ครูบาศรีวิชัยยังอยู่อาตมาก็เกิดแล้ว สิ่งที่ถูกต้องตรงกันจะมีในคนที่ดีที่ถูกต้องแม้คนที่ผิดก็มีตรงกันได้

0802166xxx ขณะนี้ที่รายการ ต่างคนต่างคิด กำลังฟัดกันจริงๆ พรุ่งนี้ ธัมชโย ไม่ไปแน่นอน 100เปอเซน

ตอบ...

0893867xxx มีแต่จริยวัตรอันซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยโดยถูกต้องชอบธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงลดวิบากยุติปัญหาธก.มส.ได้!พุทธมังสะฯ  เกิดมาชาตินี้มีวาสนาได้พบพระบรมโพธิสมภารพ่อหลวงฯได้ฟังธรรมพระโพธิสัตว์พ่อครูฯได้ปรนนิบัติพระอรหันต์ที่บ้านในแผ่นดินพุทธแดนอาริยะธรรมแท้!

0843817xxx ที่สุดแห่งตน ผู้รู้จักพอคือผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง

ตอบ...คนที่รู้จักพอจะมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ยิ่งเป็นคนพากเพียรมีกำลังทำงานได้ส่วนเกินก็สะพัดสู่คนอื่นได้อีก ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ที่บัญญัติภาษิตหลายอย่างที่คนอื่นไม่กล้าออกเท่าบุญนิยมทีวีเพราะคนอื่นไม่ซาบซึ้ง หรือก็งงเอาด้วย ในคำตรัสในหลวง ที่ท่านว่าบริหารประเทศแบบคนจนหรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านตรัสอย่างนี้ คนฟังภาษาไทยรู้ดี ฟังแล้วก็หูหัก

ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินย่อมอยู่เหนือการบริหารประเทศ แต่ท่านบริหารด้วยทฤษฎีแบบคนจน แต่น่าเสียดายที่ผู้รีบสืบทอดพระราชดำรัสนี้ปฏิบัติการไม่ได้ เพราะภูมิรู้ไม่ถึง เข้าใจไม่ได้ ว่ามาอยู่แบบคนจนแล้วจะทำได้อย่างไร เพราะทุกวันนี้เขาก็แย่งกันจะแย่อยู่แล้ว

คนจนคือคนที่มีน้อยน้อยๆไม่ใช่คนที่มีมากมีกินมีอยู่คนจนที่เจริญคนจนที่อุดมสมบูรณ์คนจนที่อยู่อย่างอยู่เย็นเป็นสุขชีวิตไม่มีบ้านแต่อุดมสมบูรณ์ไม่ขัดสน

SMS 26 พ.ค. 59

0893867xxx ตอนเชิญขันข้าวไหว้พระอธิษฐานทุกครั้งตนกล่าวแต่คำสุทินนังวะตะเมทานังอาสะวักขะยาวาหังนิพพานะปัจจโยโหตุอนาคตากาเลสาธุ! ขอตายแล้วอย่าเกิด อีกเลย ทำบุญด้วยใจทำทานด้วยกายผู้น้อยไม่เอาอะไรเลยเบื่อวนอยู่ในวัฎฏจักรเกิดแก่เจ็บตายขอเอานิพพานเป็นที่หมายสุดท้าย ก่อนนอนทุกคืนสวดคาถาครอบจักรวาล เพื่อช.ศ.กษ.ถวายพระพรพ่อหลวงฯสมเด็จแม่ฯด้วยภูมิพละมหาราชะฯกับโพชฌังคปริตรฯถ้าช.ศ.กษ.สุขสงบเราก็สงบสุข!

0805925xxx แม่นแล้วจิตวิญญาณเป็นเทวดาและเปรตอสุรกายตามผัสสะมาผลัดใจ? จะทำกุศลบุญอะไรให้ตั้งจิตระลึกขอเป็นอุปนิสัยใจใฝ่ดีติดกายใจไปในภพชาติคือเสบียงบุญนั่นแหละเป็นส่วนแห่งบุญชำระจิต?แม่นเด้อ!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมที่ท่านเทศน์ให้ตนฟังได้อานิสงส์อัสสุตังฯสุตังฯกังขังฯทิฏฐิงฯจิตตมัสสะฯตามธัมมัสสวนสูตรสาธุ

0812655xxx ขอบพระคุณ ท่าน สมณฟ้าไท และท่านสิขมาส มากค่ะ หนังสือได้รับแล้ว ดีมากค่ะ กำลังนั่งฟังเทศพ่อท่านค่ะจาก ละมูล ผอ.รพ.สต.โสกปลาดุก ชัยภูมิ

มีกินมีใช้ชีวิตไม่เดือดร้อนในการยังชีวิตในสังคมทำงานทำการมีเรี่ยวแรงสุขภาพดีแข็งแรงทำอย่างสบายใจแล้วมีกินมีอยู่ พออยู่พอกิน ไม่สุรุ่ยสุร่าย แต่ทำงานได้มากได้เกิน แล้วสะพัดส่วนเกินสู่ผู้อื่น เหลือไว้แก่ตนเองน้อย จึงเรียกว่าคนจน อยู่ในสภาพจน แต่เป็นคนจนที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็นภาระผู้อื่น คือคนจนอันวิเศษ จะมีวิธีการอย่างไร ให้มนุษย์เป็นคนจนแบบที่ว่านี้ให้ได้ อาตมาเข้าใจทฤษฎีนี้ เพราะในหลวงตรัสนั้นอันเดียวกับพระพุทธเจ้า อาตมาก็รับสนองได้ทันที เพราะอาตมาทำมาแล้ว นำมาถ่ายทอดขยายผลให้เกิดระบอบระบบคนจน

ชาวอโศก จึงชื่อว่ามนุษย์คนจนพูดอย่างไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อลวงหรือไม่จริง  แต่มีความจริงที่แต่ละคนมีสมบัติส่วนตัวน้อย แม้มีมากขึ้นก็สะพัดสู่ผู้ที่ควรจะได้ เราเองพอมีอาศัยอยู่ไม่ขัดสนไม่ขาดแคลน อยู่ในสัดส่วนที่พอหมุนใช้ ไม่กักตุนเสียหาย หรือเน่าเสีย ไม่เกิดผลไม่เกิดประโยชน์เราไม่ทำ เราพยายามสะพัดสู่ผู้อื่นเป็นหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่ไม่กักตุนให้เกิดความเสียหาย แต่สะพัดออกทำประโยชน์ เราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ขั้นสาธารณโภคี ตามพระพุทธเจ้าตรัส นี่คือสุดยอดของผู้ที่มีความรู้แล้วมีความเป็นไปได้อย่างแท้จริง

 

SMS 26 พ.ค. 59

0893867xxx ตอนเชิญขันข้าวไหว้พระอธิษฐานทุกครั้งตนกล่าวแต่คำสุทินนังวะตะเมทานังอาสะวักขะยาวาหังนิพพานะปัจจโยโหตุอนาคตากาเลสาธุ! ขอตายแล้วอย่าเกิด อีกเลย ทำบุญด้วยใจทำทานด้วยกายผู้น้อยไม่เอาอะไรเลยเบื่อวนอยู่ในวัฎฏจักรเกิดแก่เจ็บตายขอเอานิพพานเป็นที่หมายสุดท้าย ก่อนนอนทุกคืนสวดคาถาครอบจักรวาล เพื่อช.ศ.กษ.ถวายพระพรพ่อหลวงฯสมเด็จแม่ฯด้วยภูมิพละมหาราชะฯกับโพชฌังคปริตรฯถ้าช.ศ.กษ.สุขสงบเราก็สงบสุข!

ตอบ...คุณมีใจโพธิสัตว์ก็ดีแล้ว เป็นกุศลจิตสาราณียธรรม แต่ถ้าไม่ได้ทำก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ถ้ามีเวลาเหลือก็ค่อยทำ ถ้าจะเอาเวลาไปทำประโยชน์อื่นได้มากกว่านี้ก็ควรทำ

0805925xxx แม่นแล้วจิตวิญญาณเป็นเทวดาและเปรตอสุรกายตามผัสสะมาผลัดใจ? จะทำกุศลบุญอะไรให้ตั้งจิตระลึกขอเป็นอุปนิสัยใจใฝ่ดีติดกายใจไปในภพชาติคือเสบียงบุญนั่นแหละเป็นส่วนแห่งบุญชำระจิต?แม่นเด้อ!

ตอบ..ต้องรู้อาการลิงคนิมิตอุเทส อ่านจิตขณะมีเหตุปัจจัยกระทบสัมผัสแล้วอ่านรูปกายนามกาย แล้วรู้มารเป็นเช่นนี้ ทำมารให้ลดลงเป็นอุบัติเทพ หากมีมารก็เป็นสมมุติเทพ เราต้องทำให้หมดสมมุติเทพ หมดมาร แล้วเกิดอุบัติเทพที่สูงขึ้นจนหมดกิเลสก็เป็นวิสุทธิเทพ ในแต่ละเหตุปัจจัยนั้นๆ ทำอย่างรู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั่นเทียว ขณะเกิดผัสสะ ในโลก ตามเหตุปัจจัยที่เราเกี่ยวข้อง เราพยายามศึกษาให้ดีชัดเจน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมที่ท่านเทศน์ให้ตนฟังได้อานิสงส์อัสสุตังฯสุตังฯกังขังฯทิฏฐิงฯจิตตมัสสะฯตามธัมมัสสวนสูตรสาธุ

0812655xxx ขอบพระคุณ ท่าน สมณฟ้าไท และท่านสิขมาส มากค่ะ หนังสือได้รับแล้ว ดีมากค่ะ กำลังนั่งฟังเทศพ่อท่านค่ะจาก ละมูล ผอ.รพ.สต.โสกปลาดุก ชัยภูมิ

_คำถาม

_มีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์หมายถึงอะไร

ตอบ...ที่บอกกันว่าแบ่งส่วนบุญ ต้องเข้าใจคำว่าส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ที่ไปเข้าใจว่าเป็นส่วนที่ต้องได้ต้องมีต้องเป็นอันนี้เป็นการเข้าใจผิดแล้ว...เพราะบุญคือเครื่องชำระบาป หากหมดบาป ชำระบาปได้หมด บุญก็หมดไปด้วย ไม่ต้องใช้อีก หมดหน้าที่หมดกิจของบุญ บุญมีกิจที่จะชำระกิเลสคือตัวบาป ในปัจจุบันขณะ กำจัดกิเลส คือเปรต คืออสุรกาย ทำให้กำลังของความมีชีวิตของมันอ่อนแรงลดลง กิเลสที่มันมีพลังชีวิตกิเลสค่อยๆลดคือส่วนแห่งบุญ ส่วนที่เป็นกิเลสถูกระงับ นั่นคือส่วนบุญของพระเสขบุคคล ของผู้รู้จักกิเลสทำกิเลสลดได้เกิดส่วนแห่งบุญเป็นเสขบุคคล  ผู้จะมีส่วนแห่งบุญคือเสขบุคคล คือผู้มีเปรตในตน รู้เปรตในตน ทำเปรตให้ลดลงได้ด้วย คือปรทัตตูปชีวี คือผู้อาศัยเหตุปัจจัยอื่นทำให้กิเลสเปรตลดลงได้ อย่างน้อยต้องอาศัย ทวาร 5

คือปรทัตตูปชีวี คำว่า ทัตตะแปลว่า อื่นหรือว่าโง่ก็ได้คือต้องอาศัยผู้อื่น อันได้จากเขา ให้เราได้เห็นตัวที่เราโง่ อวิชชา แล้วกำจัดโง่ กำจัดอวิชชา กำจัดได้ก็เป็นส่วนแห่งบุญ กำจัดได้หมดก็หมด เลย

 

ส่วนบาปหมดไป บุญก็ยิ่งไม่มีอะไรเหลือ ยิ่งทำสำเร็จยิ่งสูญ อรหันต์คือผู้สูญบุญสูญบาป

มีผลแก่ขันธ์คือลดอุปาทานในขันธ์ 5 ก็เป็นผลต่อขันธ์ทำให้สะอาดขึ้นๆ อุปธิเวปักกา มีผลแก่ขันธ์

ล.14 ข[256]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง  1 สัมมาทิฐิของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ (ส่วนแห่งบุญคือต้องเข้าโลกุตระ 37 นะ ไม่ใช่มีแต่สาสวะกับอนาสวะ เท่านั้น ต้องมีลำดับขั้น ไม่ใช่อรหันต์เลย ปุถุชนแล้วอรหันต์เลย ไม่มีขั้นตอน

ในระยะร้อยปีสองร้อยปีนี้ไม่มีอรหันต์หรอก ที่บอกว่าอรหันต์นี้เป็นมุขเอาทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้ดูถูก ดูแคลน แต่กำลังพูดสัจธรรม

 

_ถามว่า ถ้าเราไม่ได้รู้บัญญัติ เช่นคำว่า กาย คำว่าบุญ แต่ว่าพอแยกแยะจับอาการกิเลสได้ แต่ไม่ได้พูดเป็นบัญญัติก็ปฏิบัติได้หรือไม่

ตอบ...ก็ได้แต่ต้องรู้ละเอียดจริงๆ แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังคำอธิบายที่ละเอียดจะรู้ส่ิงที่ละเอียดที่อาตมาพูดนี้ได้อย่างไร ก่อนจะรู้สภาวะต้องรู้ปริยัติก่อน รู้ปริยัติก่อน พระพุทธเจ้ามีแต่บอกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่มีบอกว่า ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ ไม่เคยมี ยิ่งปฏิเวธ ปฏิบัติ ปริยัติ ไม่เคยยิน อย่าไปย้อนแย้งคำสอนพระพุทธเจ้าที่เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเลย อย่าเอาแต่ใจตัว ตัวเองไม่สนใจใส่ใจก็เลยตัดทิ้งเลย อย่ารังเกียจบัญญัตินักเลย แม้ไม่เข้าใจภาษาบาลีจำยากก็เข้าใจโดยเนื้อหาก็ได้ ภาษาบาลีไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ก็ใช่ แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจเอามาใช้งาน

 

_คุณแสงจันทร์ จันทรบุรี ...บางทีจิตมันเศร้า จะเศร้าตอนเราเจ็บป่วย ตอนนี้เป็นมะเร็งเต้านม ให้คีโมฯ ปฏิบัติธรรมแต่ปี 50 ไม่จริงๆจัง จริงจังตอนสี่หรือห้าปีเอง ทำไมอยู่คนเดียวต้องเศร้า เพิ่งได้ดูช่องนี้มาได้สี่หรือห้าเดือนเอง

ตอบ...ตามฟังไปเรื่อยๆ อาตมาตอบสั้นๆก่อน ทำไมต้องเศร้า ที่คุณต้องเศร้านี่คุณยังโง่ ยังอวิชชา คนเราจะจิตเศร้า เสียใจ น้อยใจ คุณโง่ทุกคน เสียใจสก็โง่น้อยใจก็โง่ ใจมันเป็นธาตุรู้ไม่เว้าไม่แหว่งไม่มีมากไม่มีน้อย มันคือจิตวิปริต จิตไม่ปกติ พระอรหันต์ท่านไม่เศร้าใจ ไม่น้อยใจ ไม่เว้าใจ ไม่แหว่งใจ ท่านรู้ตามสามัญ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าจิตคุณไปเว้าแหว่งเศร้าใจ ใจใสใจขุ่นอะไรก็คือคุณโง่ทั้งนั้น อรหันต์ใจไม่มีเศร้าไม่มีหนาไม่มีทึบไม่มีน้อยไม่มีใหญ่ เป็นธาตุรู้สามัญ คืออรหันต์

 

_คุณอังสุมาลี...ได้ฟังชาดกก็ได้รู้ว่า มิตรดีสหายดีนี่ดีนะ เช่นหมู่กลุ่มพาทำดีเราก็เลยพลอยได้ดีด้วย ได้เห็นคลิปท่านจันทร์ปฏิเสธรับเงินจากคนที่เอามาใส่บาตรด้วย

ตอบ...มิตรดีเป็นข้อแรกในสุริยเปยยาลสูตรด้วย

จริงๆแล้วท่านจันทร์นี่ท่านรับมาก็เอาเข้ากองกลาง แต่ท่านเจตนาไม่รับ เพื่อสอนให้รู้ด้วย อาตมาก็สอนเช่นนั้น สมณะเราใครเอาเงินใส่บาตรไม่รับกลับมา เป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง  พระที่มีเงินเป็นของตัวอยู่นี้เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ตลอดไปตราบที่ไม่สละออก ทำให้ศาสนาเสื่อมเละเทะเลอะเทอะ คนนุ่งห่มไตรจีวร ทำพิธีรับเข้าหมู่สงฆ์ รับจีวร เสร็จ พ่อแม่ก็ต้องกราบ ผู้ใหญ่ของประเทศชาติก็ต้องกราบ ไม่ใช่ของเล่นนะ เพราะแม้แต่ในหลวงก็ต้องเคารพ เสร็จแล้วทำเล่นทำหัว เลอะเทอะ เช่นเอาพระหนุ่มๆมาบวชกันแสนรูปล้านรูป หนุ่มๆกลัดมันมาอยู่นี่สังฆาทิเสสกันเต็มเลย ไม่พูดต่อว่าสังฆาทิเสสข้อไหน.. แล้วหลอกคนให้หลงงมงายว่าคือการสืบทอดศาสนา ซาบซึ้งว่าลูกตนได้บวช

คำว่าบวช คือการล้างกิเลสออก เป็นฆราวาสอาตมาก็พาทำ ไม่ใช่ให้บวชเล่นบวชหัวนะ กว่าจะได้บวชต้องเคารพไตรจีวร แต่นี่บวชเล่นบวชหัว เอาเงินเอาทองไปสร้างบาปใส่ตัว พูดความจริงเพื่อเตือนสตินะ หลงทิศทางสร้างแต่เวรภัยให้ตนเอง เที่ยวไปหยั่งรู้ไปหมดว่า คนเจ็บป่วยเพราะอะไร ตายแล้วไปไหน แต่ว่าตนเองเจ็บป่วย แปดโรคนี้รู้ไหมว่าเพราะอะไร

พระพุทธเจ้าอาพาธ ปวดหัว ท่านมีญาณรู้ว่าเป็นวิบากเก่าที่เคยเป็นชาวประมงแล้วยินดีกับที่เขาจับปลามาได้มาก ก็เป็นวิบากมาแต่โน่น แม้เป็นพระพุทธเจ้ามีบารมีมากก็ยังเหลือเศษให้ปวดหัวเลย ทำแค่จิตอกุศลนิดเดียวนะ

 

_อยากทราบว่าจะได้บุญจากไหนก็เลยไปทำกับข้าว ทำขนมนมเนยให้ญาติผู้ใหญ่ ทำบุญกับเด็กพิการ แล้วดิฉันจะได้บุญอย่างไร?

ตอบ...การเอาขนมนมเนยให้ผู้ใหญ่ ทำบุญกับเด็กพิการ ก็ทำสิ่งให้เขาอาศัยก็ได้กุศลให้ได้อาศัย ถ้าสมมุติสัจจะ คนที่เขาได้รับการช่วยเหลือเขาก็มีกตัญญูตอบแทนคุณในอนาคต หรือคนอื่นเขาเห็น ว่าคนนี้ดีจังเลย ช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ เสียสละให้ก็เป็นสังคมศาสตร์ที่ดีมากในโลก เป็นความดีงาม คนเขาศรัทธาเลื่อมใส่ยินดี คนที่ไปช่วยเหลือเขาเป็นเรื่องดีตลอดโลกแตก ยิ่งไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ช่วยบริสุทธิ์ใจคือสัจจะยิ่งใหญ่

สัจจะยิ่งใหญ่นี้ อย่างคุณชัช อุบลจินดาที่ช่วยฝรั่งจากโคลนโดยไม่คิดหวังตอบแทน คือกุศล ก็ดังไปทั่วโลก

คุณจะให้ก็ให้อย่าไปนึกถึงบุญคุณอะไรก็ทำใจในใจเราให้สะอาดให้ก็ให้ อย่าไปต้องการวิมานมากใหญ่อะไร บุญคือเครื่องชำระกิเลส ถ้าบุญยิ่งมาก กิเลสคุณยิ่งใหญ่ เราต้องทำให้บุญเล็กลง กิเลสเล็กลง คนอยากได้บุญใหญ่คือคนกิเลสมาก

สรุปแล้วจะทำอย่างไรคือ ทำใจช่วยเหลือคนอื่นเขาก็ช่วยเหลือไปโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์

ขอขยายความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

เมตตาคือต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์หรือเป็นสุขที่จริงสุขนั้นไม่มีหรอกมีแต่ทุกข์

กรุณาคือลงมือช่วยเขาให้ความรู้นำพาให้ลดกิเลส อยากให้เขาพ้นทุกข์

มุทิตา ช่วยเสร็จได้ผล เขาก็ได้ดี ได้ทำกุศลหรือเขาได้ทำบุญ ได้เกิดตัดกิเลสได้ก็ตามเขาได้ดี เพราะเราช่วยเขาอย่างน้อยก็บอกแนะนำพาทำ

อุเบกขา ทำเสร็จจิตก็ว่างกลางจบ คือจิตอรหันต์ถึงเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

บุญกับกุศลต่างกัน บุญนั้นตัดกิเลส กุศลคือสร้างเครื่องอาศัย

 

_องอาจ

1.เรื่องรูป 28 ต้องรู้นัยละเอียดอย่างไรจึงนำไปใช้ปฏิบัติธรรมได้

ตอบ...บางทีคงยากสำหรับคนไม่มีสภาวะสูงนัก รูป 28 ฟังแล้วบางคนท้อ ก็ฟังรูปตื้นๆไว้ก่อน รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางภายนอก แล้วก็มีประสาททำงาน โคจระ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงฯ ดำเนินการทำงานของประสาท คือรูปกับนาม พอสัมผัสท่านก็เรียกว่าเกิดภาวะ

ภาวะที่เกิดโดยอวิชชาจะมีสองเสมอ คืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เทวธัมมา ก็ต้องอ่านต่อจากสภาพที่ปรุงแต่งสังขาร สังขาร มันคือเวทนา ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข คนอวิชชาจะไม่รู้ว่ามันปรุงไปแล้ว

สังขารคือเวทนาอาการอารมณ์ที่เกิดแล้ว ตัวสังขารคือธาตุรู้ที่เกิดเวทนาขันธ์ ในขันธ์ 3 ที่เป็นวิญญาณ (เวทนา สัญญา สังขาร)

ปรุงเป็นวิญญาณผี ก็ไม่ชอบใจ ปรุงเป็นเทวดาก็ชอบใจ พระพุทธเจ้าให้มาอ่านตรงนี้แหละ เราต้องมาแยกธรรมะสองให้ออก ให้ปรุงแต่งเป็นกายสัตว์นรก กายเทวดา (เทวดาสมมุติ) มันก็เสพอารมณ์สมใจ สุขเดี๋ยวเดียว เหลือแต่ความจำกับอุปาทาน ไว้ในอนุสัย ว่ามันมีเหตุปัจจัยเช่นนี้มีชื่นใจชอบใจเช่นนี้เป็นอนุสัยหากไม่ได้ก็เป็นสัตว์นรก แต่จะเกิดเป็นสวรรค์นรกต้องมีผัสสะ

เมื่อคุณโง่ไปปั้นในรูปภพ อรูปภพไปขยำขี้ คุณไม่อยากทุกข์แต่บางที่ก็คิดถึงทุกข์ หรือจะคิดถึงสวรรค์ก็ไม่มีของจริงเอาสัญญามาปั้นขยำอีก ขนาดสุขเกิดท่านก็ยังบอกว่าสวรรค์เก๊ แต่คนก็ไม่ศึกษา ก็น่าเห็นใจไม่เข้าใจ

เมื่อเป็นภาวรูป 2 อิตถีภาวะมีธรรมสอง คือเวทนา ที่เป็นการรู้จริงตามจริง อีกเวทนาคืออารมณ์นรกหรือสวรรค์ ต้องดับอารมณ์สวรรค์หรือนรกให้เหลือแต่อาการอารมณ์เดียว คือรู้จริงตามจริง จะได้บุญต้องทำตรงนี้ เอาตรงนี้แค่นี้ทีอธิบาย

อิตถีภาวะคือดิ้นอยู่ไม่เป็นหนึ่ง ยังเป็นโลกีย์ เพราะเกิดการคบหากับกิเลสแล้วปรุงแต่ง ถ้าหมดอิตถีภาวะก็เหลือเอกธรรม ธรรมะหนึ่ง คือสามารถปฏิบัติธรรม จะท่องภาษาที่บอกนี้ไม่ได้แต่ว่าพอเข้าใจแล้วอ่านจิตตนได้ก็เท่ากับคุณไปรู้จักหทยรูป แล้วอ่านอาการมัน มันมีชีวิตมีร่างกายสัตว์นรกชีวิตสัตว์นรกอย่างไร คืออิตถีภาวะคุณกำจัดเหตุปัจจัยคืออาหารรูปที่มันเอามาเป็นเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งได้ ก็ดับเหตุ ที่มีสัมผัสเป็นปัจจัย

สัมผัสแล้วเกิดเวทนา ก็ต้องเรียนมโนปวิจาร 18 แล้วดับเคหสิตเวทนา เหลือเนกขัมสิตเวทนา จนเป็นอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน

พยัญชนะบาลีฟังแล้วจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฟังให้เข้าใจในภาษาว่าอาการเป็นอย่างไร มันไม่ได้จำง่ายนักหรอก บาลี

คนศึกษาภาษาบัญญัติมาได้มากแต่ทำสภาวะไม่ได้นี่คือคนซวยกว่า แล้วเอาภาษาที่รู้ไปข่มคนอื่นพูดร้อยเรียงเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ แต่ไม่รู้สภาวะ เพราะฉะนั้นรู้สภาวะเถอะ จะจำภาษาไม่ได้ไม่เป็นไร อาตมาหยิบมาสื่อเพื่ออาศัยอธิบาย แต่เน้นสภาวะมากกว่าภาษาใครจะจำภาษาได้อีกก็อนุโมทนา อาตมาเน้นสอนสภาวะไม่ได้เน้นภาษา แต่อาศัยภาษามาสื่อสภาวะ

 

_การทำธรรมะสองให้เป็นธรรมะหนึ่ง

ตอบ...ธรรมสองคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ หากคุณแยกไม่ออกว่านี่คือภาวะอกุศลจิตก็ยากที่จะปฏิบัติธรรให้เป็นเวทนารวมลงเป็นหนึ่งได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า กรรมฐานของธรรมะพระพุทธเจ้าคือเวทนา มีเวทนา 108 เป็นอารมณ์

ทุกนิวเคลียสมันก็มีสอง ไปตีให้มันแตกตัวก็มีสองทันที เป็นฟิชชั่นกับฟิวชั่น ยิ่งเกาะกันแน่นไปตีแตกยิ่งระเบิดแรง จิตยิ่งระเบิดได้เหมือนนิวเคลียร์แล้วระเบิดแรงกว่า ฆ่ากันทำร้ายกันมากมาย ไม่เหมือนวัตถุแต่ทำลายจิตวิญญาณอย่างที่เกิดในสังคม

คนสามัญรับสัมผัสข่าวนี้แล้ว เท่ากับถูกระเบิดนิวเคลียร์กันทั้งนั้นใจมันหดหู่สังเวชใจกัน อย่างที่ข่าวทุกวันๆ นี่คือนิวเคลียสแตกระเบิดออกมาตลอดเวลา ก็ค่อยศึกษาไปในธรรมะสอง ธรรมะหนึ่ง

 

_ไหใหญ่ล่น ไหน่อย บ่ เต็ม หมายถึงว่าการบริหารบ้านเมืองปัจจุบัน เหมือนเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง หมายถึงอะไร

คนเก่งคือคะแนนโลกีย์ ส่วนคนดีคือลดกิเลสได้

ส่วนคนที่แพ้ภัยตนคืออย่างไร แล้วทำไมจึงดูถูกชาวนา

 

ตอบ..หมายถึงว่าไหใหญ่นี่ล้นเลย ไหใหญ่ไม่เต็ม ก็คือว่าคนที่ได้บัลลังก์ได้ฐานก็มีแต่ล้น คนขาดแคลนก็ยิ่งได้น้อยลงๆ

เห็นช้างขี้ก็อย่าขี้ตามช้าง คือเห็นคนที่เขาดีหรือเก่ง คนที่เขาทำได้มาก ก็อย่าไปนึกว่าตนเองก็จะทำได้อย่างนั้นทีเดียว หรือดีประมาณนั้นทันที อย่าเพิ่งนึกนะ อาตมาเคยพูดถึงขั้นว่า เห็นช้างขี้อย่าไปขี้ตามช้าง เดี๋ยวก้นแตก อย่าไปเอาอย่างมันไม่ใช่ฐานะเรา คือต้องดูตัวเองว่า ตัวเป็นช้างหรือลูกแมว ให้ทำไปตามลำดับ เราจะรู้ฐานตน ดีแล้วที่เห็นช้างน่าเอาอย่างแต่อย่ารีบร้อนทำให้ได้ทันที ถ้าไม่รู้ก็ทำไปตามสามัญ ถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ

คนเก่งคือคะแนนโลกีย์ ส่วนคนดีคือลดกิเลสได้ ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

ชีวิตคือลมหายใจเข้าออก กินเข้าแล้วถ่ายออก ชีวิตคือจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง..ก็เข้าท่าแล้วทำความเข้าใจจุลินทรีย์ของจิตวิญญาณให้ดี

ส่วนคนที่แพ้ภัยตนคืออย่างไร แล้วทำไมจึงดูถูกชาวนา ...แพ้ภัยตนคือตนไม่รู้ตัวเอง แล้วย่ิงหลงตนก็คือยิ่งแพ้ภัยตัว พูดแล้วนึกถึงธัมมชโย ทำตัวเองแท้ๆเลย จะวางเก่งขนาดไหนก็เถอะ โดนหนักขนาดนี้ นี่เป็นระบบของบ้านเมืองเลยนะ หาทางออกกันอยู่นะ

เพราะตัวเองทำไม่ถูก เลยไม่กล้า ถ้าทำกล้าเปิดเผย ปลงอาบัติก็จบ แต่ไม่บริสุทธิ์ อาตมาตราหน้าเลยว่าธัมมชโยไม่บริสุทธิ์จึงไม่กล้าแม้ตนเองทรมานทุกข์ปางตายก็ไม่กล้านี่คือคนแพ้ภัยตัวเอง ขอบคุณธัมมชโยที่มาให้เป็นตัวอย่าง คนไม่บริสุทธิ์แล้วปกปิดเลยไม่กล้าก็คือแพ้ภัยตัวเอง เขานึกว่าเขาเก่งมีอิทธิพล มีอภินิหาร ทำอะไรเขาไม่ได้ๆ เราก็ดูไป

 

_ขอถามว่าคนมักง่าย คนไม่เอาจริงไม่เอาเปรียบคนอื่นไม่ให้ความร่วมมือไม่มีส่วนร่วมกับงานส่วนกลางคนพวกนี้เอาเปรียบผู้อื่นใช่ไหม ทำงานแค่ขอแลกข้าวกินไปวันๆ เอาแต่นั่งกดไลค์กดไลน์ไป

ตอบ….ใช่ ก็ทำให้พอเหมาะพอดี

 

_จากกระบี่ ผมเคยบวชแต่ไม่สบายใจตลอดเรื่องพระรับซองรับเงิน ประเพณีของพระตอนนี้ไม่เหมือนก่อนเพราะพระรับเงิน เมื่อพระเป็นเช่นนี้ผมไปทำบุญจะได้บุญหรือบาป

ตอบ...คุณไปทำทานที่พูดนี้หมายถึงทำทานไม่ได้บุญ ไปศึกษาสำนักไหนเขาจะสอนทาน สองเขาจะสอนบุญ แต่เขาสอนว่าทำทานแล้วจะได้บุญ ทีนี้การทำทานแล้วจะได้บุญ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อแรกคือทาน พระพุทธเจ้าว่าต้องทำสัมมาทิฏฐิ ถ้าเข้าใจทานไม่สัมมาทิฏฐิ เพราะทำทานไม่เป็นบุญ ทานมีแต่กุศล แล้วไปหลอกว่ากุศลคือบุญมันจึงล้มเหลว นัตถิทินนังทานแล้วไม่มีผล เพราะทานแล้วทำใจในใจโลภเพิ่ม ทานแล้วต้องรู้จักจิตตนว่าจะเอา เอามากกว่าที่ทานด้วย ทานล้านจะเอาร้อยล้าน จิตตั้งไว้เลย คือตั้งจิตไว้ผิดย่ิงกว่าโจรหัวโจกทำร้ายกัน

จะทำทานเพื่อลดโลภ แต่ดันได้โลภมากกว่าเก่า คุณให้ของแล้วต้องทำใจให้ด้วย แต่นี่ให้ของไปร้อยจะเอาล้าน ห้าล้านสิบล้านนี่คือย่ิงกว่าโจรหัวโจกทำร้ายโจรหัวโจ ทานทุกวันนี้ทำกันไม่เกิดบุญหรอก

จะทำบุญให้ได้ต้องศึกษาให้ดี ทำทานก็ต้องศึกษาให้ดี ต้องฟังที่อาตมาอธิบายไปให้ดี

 

_พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกายคตาสติ ว่าเธอจงมีสติที่เป็นไปในกายทั้งในและนอกในปัจจุบัน

ตอบ...เธอจงมีกายคตาสติ คำว่ากายคือองค์ประชุมรูปนาม คติคือการดำเนินไป รูปกับนามดำเนินไปคุณต้องมีสติควบคุม มีสติ ธัมวิจัย วิริยะ สัมโพชฌงค์ ในรูปนามนี้ สิ่งที่ถูกรู้นี้ไล่ไปจาก กาย เวทนา จิต ธรรม

มันเกิดอาการเวทนาก็รู้เวทนา แยกแยะ ได้ แล้วมันมาจากจิตอะไรเป็นเหตุให้สุขให้ทุกข์ก็มีแต่อกุศลจิตให้เกิดสุขเก๊ทุกข์แท้ ก็จับเหตุได้ เป็นสราค สโทส สโมหะ ในเจโตปริยญาณ 16 นี้

 

_พ่อครูจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปหรือไม่?

ตอบ….ตอบก่อนว่าตั้งใจจะเป็น อาตมาตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดในอนาคต แต่บอกได้ว่าองค์ข้างหน้าไม่ใช่อาตมา อาตมาแค่ระดับ 7 แล้วเจ็ดยังอีกหลายชั้นด้วย

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:48:49 )

590529

รายละเอียด

590529_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ธรรมะสองของคำว่า กาย

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 29 พ.ค. 2559 ...กล่าวถึงการได้อ่านหนังสือสัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์ ซึ่งก็เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

พ่อครูว่า...หนังสือสัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์นี้ไม่ใช่สมณะโพธิรักษ์เป็นคนเขียนนะ ตอนนี้เขากำลังเขียนภาค 4 อยู่ เขามีคณะรวบรวมเรียบเรียง มีผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ผมเป็นคนเขียน แต่มีข้อเขียนคำบรรยายของผมอยู่ด้วย แล้วความเห็นของผู้เขียนด้วย ไม่ใช่หนังสือที่สมณะโพธิรักษ์เขียน

ส.เพาะพุทธว่า...หนังสืออีกเล่มที่จะแนะนำคือหนังสือนักด่าห้าดาวของส.ศิวรักษ์

พ่อครูว่า...ก็จะตั้งใจจริงๆที่จะไขความคำว่ากาย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต่างจากศาสนาสามัญที่คนเข้าใจกันที่ต่างคือเป็นแนวลึกเข้าไปถึงจิตสัมพันธ์ต่อเนื่องเข้าไปถึงอาการของจิต เช่นคำว่าชาติใหนก็เข้าใจว่าคือการเกิดที่ทุกคนบอกว่าออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ เหมือนกับสัตว์หลายๆอย่างที่เกิดออกมาจากแม่หรือการตายก็คือเสียชีวิตลงพระพุทธเจ้าก็มาขยายความคำว่าเกิดนี้ ว่าการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็มีอีกหลายลักษณะมีตั้งแต่แบบที่ออกจากมดลูก (ชาภุชโยนิ) เธอเกิดมาจากไข่แล้วค่อยฟักเป็นตัว (อัณฑชโยนิ)  หรือว่าแบ่งตัวแตกตัวเกิดเลยเป็นสัตว์เล็กพวกจุลินทรีย์ (สังเสทชโยนิ) หรือโอปปาติกโยนิ

ที่ผ่านมาได้นำคำว่ากายมาขยายความอย่างซ้ำซ้อนวนเวียนเพราะคนเข้าใจยากและติดกิ๊บยึดมั่นถือมั่นเข้าใจว่ากายนี้คือธรรมะอย่างเดียว คือเข้าใจว่า ร่างภายนอกอย่างเดียว เขาเอาคำว่าร่างมาควบกับคำว่า กาย ก็เลยเป็นร่างกาย คำว่าร่าง ภาษาบาลีว่า สรีระ

พระพุทธเจ้ามีคำตรัสเลยว่า จิต มโน วิญญาณ นั้นมโนเป็นอสรีรัง แต่คนไทยยึดมั่นถือมั่นว่า กายคือ ร่าง เมื่อคนไทยเรียนบาลีก็เข้าใจว่า กายคือร่าง

พระไตรฯล.16 ข.230 พระพุทธเจ้ายืนยันชัดว่า กายนี้ตถาคตเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้าง วิญญาณบ้าง

จะพูดถึงสมองกับหัวใจ

หัวใจเป็นอุปกรณ์สูบฉีดโลหิต หากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองก็ตาย ส่วนสมองเป็นoffice ของวิญญาณ ส่วนหัวใจเป็น office ของสรีระ

หัวใจสูบฉีดโลหิต เป็นโรงงานให้เลือดทำงาน ส่วนสมองเป็นโรงงานให้วิญญาณทำงาน

หัวใจควบคุมสมองด้วยพลังงานวิญญาณอีกที แต่พลังงานหัวใจก็ทำหน้าที่ด้วยตัวมันเองด้วย เป็นสัญชาติ ในหน่วยความคำของหัวใจ หัวใจเป็นพีชนิยามแล้ว

เมื่อเข้าใจตรงนี้ผิด ที่ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

อันนี้อาตมาว่าเป็นประโยคที่ไขธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ถ้าใครเข้าใจธรรมะสองไม่ได้แล้วไม่ได้ทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง

และฐานแห่งการปฏิบัติหรือกรรมอยู่ที่เวทนา การปฏิบัติธรรมหากไม่มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ดังที่ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ประโยคนี้ไขความว่าหากไม่มีเวทนาเป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติก็สูญโญ

มาตรวจดูศาสนาพุทธในประเทศไทยนั้นเพี้ยนผิดไปหมด เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมสอง ให้เกิดการหยั่งลงเป็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ดับหมดนะ แต่ดับโดยส่วนที่ควรดับ

ตรงตำแหน่งที่ตั้งเรียกว่าฐานะที่จะกระทำหรือกโรติหรือการะ มนสิการ เป็นต้น

การกระทำใจ (มนสิการ) ท่านทำด้วยวิธีสะกดจิต ดับเวทนาเร่ิมตั้งแต่เวทนาทางตา

มีอาจารย์ใหญ่ๆสอนกันแล้วคนนับถือว่า การทำสมาธิคือต้องทำในจิตเท่านั้นอย่าให้ออกนอกจิตเลย

แต่พระพุทธเจ้าว่า หากไม่มีเวทนาก็ไม่เป็นฐานที่จะปฏิบัติได้

แต่ในศาสนาพุทธปัจจุบันที่สอนกัน กรรมฐานคือเพ่งดินน้ำลมไฟ ให้จิตจดจ่อตรงไหนๆ ไม่มีคำว่าเวทนาเลยที่ให้ฝึกอ่าน เวทนาคือเจตสิก

พระพุทธเจ้าให้ทำกสิณเดียวคือเวทนา ไม่มีกสิณ 40 ท่านสอนในพระหมชาลสูตร ท่านตำหนินั่งหลับตา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านปฏิบัติผิดในป่าถึง 6 ปี แต่แล้วท่านก็รู้ว่าท่านมีภูมิเก่าครบแล้ว ก็เพียงแต่ระลึกย้อนหลังก็ได้มาหมด แต่ว่า คนที่ไม่เคยมีของเก่ามาก่อนนั้น ไปนั่งระลึกกี่ล้านชาติก็ไม่ได้บรรลุธรรมอะไร

มีอ.บูรพาในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ก็มักเขียนว่านั่งสมาธิเข้าไปแล้วปัญญาจะเกิด อาตมาก็ยืนยันว่า นั่งสมาธิหลับตามีแต่สัญญา ไม่มีปัญญา

ส.เพาะพุทธว่า..หลวงปู่ดุลย์ว่าจิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ

พ่อครูว่า….เพราะคุณไม่ได้มีภูมิที่จะปฏิบัติกับสัมผัสภายนอก ก็เลยนั่งดับหลับตาเสีย ไม่ได้เป็นการเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ เขาบอกว่าถ้าส่งออกนอกจะเป็นเหตุแห่งทุกข์ก็เลยไม่ให้จิตออกนอกตัว ก็เลยไม่มีเหตุ ...แล้วจะรู้จักเหตุแห่งทุกข์เมื่อไหร่ ก็เลยเอาแต่สัญญา สัญญาของคนนี้ไม่ได้ตรัสรู้สัจจะเลย มีแต่ความจำตน แล้วสะกดจิตไว้ สงบไหมก็สงบแบบฤาษี ที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ในทิฏฐิ 62 พอนั่งหลับตามีแต่อดีต อนาคต แม้ปัจจุบันก็เป็นการหลง กาม และฌาน 1-4 เป็นนิพพานอีก เป็นอนาคต 44 ไปนั่งเอาแล้วหวังจะได้อรหันต์เลยนั้นไม่ได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติโดยลำดับ

อรหันต์ของพุทธจะต้องเป็นไปตามลำดับ จะไม่ได้ตัดรอบเป็นอรหันต์พรวดเดียวเลย อย่างพวกเซ็นคือพวกที่ล้มเหลวสิ้นเชิง

การตั้งอยู่ในอรหัตตผล ล.13

[238] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรกเท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ.

(พ่อครูว่า...ผู้ที่บรรลุได้โดยเวลาไม่นานฟังธรรมไม่กี่ประโยคก็เป็นอรหันต์เพราะท่านมีบารมีมาเกือบเต็มแล้ว เหมือนน้ำเกือบเต็มตุมที่อีกหยดเดียวก็เต็มแล้ว ท่านมีส่วนบุญที่ได้ปฏิบัติมาก่อนแล้ว

ส่วนบุญเดี๋ยวนี้กลายเป็นสินค้าแล้ว เช่นบอกว่ามาทำบุญที่นี่แล้วจะได้ส่งส่วนบุญไปถึงผู้ตาย

ที่พระพาหิยะ ได้ฟังนั้นก็คือ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่า

ได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้น

ทิฏฐะ ได้เห็น

สุตะ ได้ยิน

มุตะ ได้กลิ่น ได้เห็น ได้ลิ้มรส

วิญญาตะ ได้รู้

 

พระพาหิยะได้ฟังก็ได้อรหัตตผล บารมีท่านเข้าใจแล้วว่า การเห็นด้วยตาคืออย่างไร เราก็จะละวางอย่างไร ได้ยินด้วยเสียงคือสุตะ ท่านมีบุญเก่าที่ได้ชำระกิเลสมาแล้ว บุพเพกตปุญญตา พอได้ยินก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ส.เพาะพุทธว่า… ที่จริงพระพาหิยะนั้นตอนแรกเข้าใจว่าตนเป็นอรหันต์ก็บำเพ็ญผิดๆ แต่ว่าพอมีคนท้วงว่าไม่ได้บรรลุก็เลยเข้าใจแล้วไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสสั้นๆ แต่พระพาหิยะก็บรรลุ เป็นผู้เอตทัคคะในทางขิปปาภิญญา

แต่ไม่ได้บวช พอบรรลุธรรม ก็ไปหาบริขารก่อน ขณะไปหาบริขารก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดตาย เป็นข้อบ่งชี้ว่ากิเลสหมดได้ แต่วิบากหมดไม่ได้

 

พ่อครูว่า..อย่างพระพาหิยะ เป็นเรื่อง

ทิฏฐะ ได้เห็น

สุตะ ได้ยิน

มุตะ ได้กลิ่น ได้เห็น ได้ลิ้มรส

วิญญาตะ ได้รู้

 

เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่า

ได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้น

เพราะว่าท่านมีของท่านแล้ว พอฟังแล้วก็เข้าใจเข้าถึงทันที ท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นจริง เห็นมะม่วงใหญ่ก็ใหญ่จริงๆ ไม่ได้ยากได้เลย เดี๋ยวนี้คนเก่งเอาสารเคมีมาโด๊ป ก็เลยใหญ่ ผู้เจอมะม่วงแล้วก็อยากได้อยากกินอันนั้นไม่สักแต่ว่า แล้ว แค่มะม่วงก็เสร็จแล้ว ถ้าไปเจอเพชรเจอทองพันล้านหมื่นล้านก็ไม่สักแต่ว่าหรอก ไม่ให้มันทำหน้าที่ตามธรรมชาติหรอก แต่ว่าก็จะเอามาเสพสัมผัส ทางทวาร 6

มันก็เลยไม่เหมือนพระพาหิยะ แต่ถ้าใครทำจิตได้จริง ไม่ได้หลงด้วย ต้องศึกษาจิตที่มันพัวพันมันมีอาการอย่างไร ไม่สมบูรณ์แบบจนถึงสมาหิโต วิมุตจิตสมบูรณ์แบบก็ไม่เข้าใจอาการจิตต่างๆ เพราะแม้อาการของกายก็ไม่ได้เรียนรู้ คำว่ากายคำเดียวนี้แหละ ต้องพูดกันอีกนาน

เพราะไปหลงติดว่ามันเป็นสุข คือสุขขัลลิกะ(สุขเท็จ) ต้องเกิดปัญญาว่าไปเสพรสสุขนั้นมันไม่มีหรอก มันแวบเดียว สุขมันของปลอม ไม่มีตัวตน มาแวบเดียวไม่เที่ยง แต่คุณไปติดมันก็เลยกลายเป็นทุกข์อาริยสัจ ตลอดกาลก็ต้องอ่านอาการใจที่ติดยึดหลง เรียกว่าตัณหา อุปาทาน หรือกิเลสก็ต้องอ่านอาการมันให้ออก อ่านอาการกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เป็นนามธรรมให้ออก มันเป็นอกุศลจิต

เป็นสราค สโทส สโมหะ เป็นอาการอยากมาเสพ อยากเอาเข้า ดูดดึง(ราคะ) อยากฆ่าอยากทำร้ายอยากเอาออกผลัก(โทสะ) หรือโมหะคือมั่วไปหมดไม่รู้

ต้องมีทั้งการรับรู้แล้วมีสัมผัสจริง แล้วเกิดจิตกระเพื่อมจิตต้องการน่ามีน่าได้น่าเป็น ต้องเอาให้ได้ ผู้หญิงคนนี้ต้องเอาฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาก็ฆ่าคนนี้เลย

มีขนมหม้อแกงที่มีข่าวว่าแย่งกันซื้อจนต้องยิงกันตายเลย ฆ่ากันตายเลย ก็มีมาแล้ว

สักแต่ว่า คือไม่มีอาการยึดมั่นถือมั่น ถ้าสมควรได้ก็เอา แบ่งกันได้ ถ้าไม่มีไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนใจ บางทีแบ่งให้คุณมากกว่าเราเอาด้วยก็ได้สังคมก็สงบสุข แต่นี่มีแต่ยึดมั่นถือมั่นกัน ของข้าใครอย่าแตะ ก็อัตตาทั้งนั้น

 

พระพุทธเจ้าสอนว่า กายคือธรรมะสอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องมีสัมผัส ต้องมีวิญญาณรับรู้องค์รวมด้วยแต่นักปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ ปิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างหลวงพ่อดุลย์ อาตมาไม่รู้นะ เคยตัดเอาส่วนข้อเขียนของคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ไปใส่ไว้ในข้อเขียนหลวงพ่อดุลย์ ท่านก็เข้าใจอ่านหนังสือคนคืออะไรของอาตมา ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของท่านทำหรือไม่นะ แต่อ่านแล้วเป็นข้อเขียนของเรานี่ แต่ตอนหลังท่านก็ตัดออกหมดไม่มีหลักฐานแล้ว ท่านก็อ่านแล้วเข้าใจ แต่ไปยึดติดนั่งหลับตา

พระพุทธเจ้าไม่อุบัติก็มีแต่สำนักนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าเกิดแล้วก็หลงติดนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าสอนก็ยังมีคนหลงติดนั่งหลับตา แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ยังมีต่อไป เพราะติดยึดแล้วมันมืด ซึ่งแค่เจโตสมาธิเท่านั้น ไม่มีปัจจุบัน พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับปัจจุบันมีผัสสะทางทวารทั้ง 6 เรียนรู้เวทนาคือกรรมฐาน

พวกนั่งหลับตานี้พระพุทธเจ้าว่าคือพวกไม่รู้(อชานโต) ไม่เห็น(อปัสสโต) เป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น จะเห็นว่าบางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง เป็นเรื่องโลกเป็นเรื่องอัตตานั้นคือความเห็นของผู้หลงผิด เป็นความแส่หาของตัณหาทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้โลก เรียนรู้อัตตาแล้วหลุดพ้นโลกหลุดพ้นอัตตา มีธรรมาธิปไตย เมื่อหลุดพ้นก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็รู้ว่าคนอื่นเขายึดอย่างไร เราก็ยึดเพื่ออาศัยได้ แต่ไม่ยึดอย่างไม่รู้ไม่ปล่อยวางได้

ต้องมีผัสสะจึงเป็นฐานแห่งการปฏิบัติ ทำให้เวทนาสองนี้ให้เป็นหนึ่งให้ได้ เมื่อทำได้ก็อยู่ในส่วนสองนี้แหละ ที่เคยไปหลงว่าอันนี้จริงอยากได้อยากมีอยากเป็นจริง ก็ฆ่าอาการกิเลสตัณหาอุปาทานนี้เสีย กำจัดให้ได้จริงก็ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นฐานแห่งนิพพาน เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

เฉยของเคหสิตะไม่เหมือนกับเฉยของเนกขัมสิตะ ซึ่งเคหสิตะนั้นแค่พักยกหรือสะกดจิตให้เฉยไว้นะ กระทบตา หู  จมูก ลิ้นกายก็สะกดไว้ให้เฉย ไม่ได้เห็นด้วยอนิจจัง เหตุแห่งทุกข์ อนัตตาเลย แต่กดไว้อย่างเดียวของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เช่นนั้นที่เป็นแค่ hypnosis ของพระพุทธเจ้า เป็น analysis วิเคราะห์วิจัยเหตุแห่งทุกข์คือกิเลสตัณหาแล้วใช้ไฟฌาน ไปล้างไฟราคะ โทสะ โมหะได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณากายที่เป็นธรรมะสอง กายคือธรรมะสองที่ประกอบด้วยดินน้ำไฟลม (มหาภูตรูป)แล้วเราก็มีชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อม มีปสาทรูปไปรับรู้ เกิดเป็นภาวรูป 2 คืออิตถีภาวะหรือปุริสภาวะ

อิตถีภาวะคือภาวะที่ดิ้นรนไม่สงบไม่แจ้งก็ให้ทำให้อิตถีภาวะนี้หมดไป ที่เป็นชีวิตเป็นพลังงานที่มันอาศัยอาหาร 4 เกิด ก็ทำจิตให้ว่างให้ได้ สักแต่ว่าให้ได้ เฉยให้ได้ เนกขัมสิตะให้ได้ทำได้ก็เป็นเอกสโมสรณา ภวันติ

ต้องเรียนรู้ธรรมะสองแล้วลดอิตถีภาวะ รู้ชีวิตินทรีย์รู้อาหารูป รู้องค์ประกอบที่ประกอบกันนี้กระทบแล้วใจเราก็เฉย

คุณว่าเพชรเม็ดหนึ่ง 20 กะรัต กับข้าวปั้นหนึ่ง อะไรมีค่ามากว่า ก็ข้าว แต่ว่าไปเจอสองอย่างนี้พร้อมกัน จะหยิบอะไรก่อน?

ถ้าตลอดชีวิตนี้ไม่มีเพชรเลย จะมีชีวิตทำความดีได้ไหม ...ก็ได้อยู่แต่ถ้าไม่มีข้าวก็ไม่มีแรงไปทำงานไปทำความดีเลยได้

อาตมาก็พาคนทำอาชีพที่ดี แต่ไม่ให้ทำพวกอาชีพประมง ปศุสัตว์ ให้ทำอาชีพปลูกพืชผัก พวกปลาพวกสัตว์เกิดมารับวิบาก ถ้าเราไปช่วยมันมันก็เสียเวลารับวิบาก ถ้ามันไม่ได้ใช้วิบากมันก็ไม่เจริญขึ้นดีไม่ดีติดยึดต่อไปอีก

อาตมาแต่ก่อนเคยมีหมาตัวหนึ่งอาตมาไม่เลี้ยงหมา อาตมาก็เลยเอามาฝากคุณชวน ที่ห้องภาพสุวรรณ ตั้งชื่อว่าไอ้โทน เป็นตัวเมีย จนกระทั่งนิสัยมันเสีย มันกินขนมปัง ถ้าไม่ทาเนยให้มันมันไม่กิน เสียหมาเลย

เอาสัตว์หลายอย่างมาเลี้ยงก็เสียสัญชาตญาณสัตว์ แต่เขาก็อดเอามาเลี้ยงไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะเอามาเลี้ยง เราเมตตาก็ช่วยมันได้แต่เอาความเมตตาไปช่วยคนอีกมากที่ยังลำบากได้ไหม จะได้กุศลสูงกว่าสัตว์พวกนี้ สัตว์ก็ไปตามวิบากเขา บางตัวไม่เดือดร้อนมาก แต่คนนี่น่าสงสารอีกเยอะเลย ทำไมคุณไม่เอาความจริงนี้มาใช้เพราะไม่ศึกษาสัจจะ

ทุกวันนี้ขอพูดผ่าเลยว่า ในศาสนาพุทธเข้าใจคำว่ากายผิดไปหมด ไปเข้าใจว่ากายคือสรีระ ในพระไตรฯล.10ข.230 ที่ท่านตรัสว่า กายคือจิตคือมโน คือวิญญาณในเล่มอื่นก็ตรัสว่ามโนคือไม่ใช่สรีระ

ธรรมะสองนี้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ต้องรู้ว่าที่มันมาปรุงแต่งเป็นสอง ก็มีรสที่จริง คือมะละกอก็มีรสนี้ แต่ตรงกับที่ลิ้นคุณชอบแต่สารอาหารมันอาจไม่เท่ากับมะละกออีกลูก ก็ต้องศึกษาเวทนาที่คุณไปหลงตามโลกครอบงำ ถ้ารู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็จะไม่ไปติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ผู้ลดความหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้คือเสขบุคคลหากหมดได้เลยก็เป็นอรหันต์

ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีธัมวิจัย analysis ไม่ใช่สะกดจิตเอา ต้องมาศึกษาขณะกระทบทางทวารนอกและใน กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่นอาหาร แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกิน อันนี้เป็นฐานเลย กวฬิงการาหาร ปฏิบัติได้เรียนรู้ได้ก็บรรลุได้ ต้องเข้าใจธรรมะสองแล้วกำจัดเหตุที่ไม่ดีได้ เราดับได้ส่วนของเรา แต่ส่วนที่รับรู้รวมกันได้ตามสมมุติก็คืออย่างเดียวกัน ไม่ว่าชาติไหนมาสัมผัสก็เห็นตรงกันหมดคือความจริงตามความเป็นจริง ผู้รู้ความจริงตามความเป็นจริงได้นี่ แหละ ก็คืออรหันต์ ทำสำเร็จบรรลุอรหันต์

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:49:12 )

590530

รายละเอียด

590530_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก หมาป่าธรรมกลายปลอมเป็นราชสีห์

อ.กฤษฎาว่า..เรื่องราวทางศาสนาขณะนี้กำลังเข้มข้น ผมมาเรียนรู้กับสันติอโศก ก็พบว่าเป็นทางปฏิบัติที่ใช่ ที่ได้ลดละสละกิเลส ทิศทางเดียวกับของพระพุทธเจ้าที่สละราชสมบัติออกมาเพื่อพ้นทุกข์และช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์

ในโซเชียลมีเดียได้โพสต์ในเสขิยธรรม เรื่องกรณีธรรมกาย ความล่มสลายของคณะสงฆ์ไทย ใช้คำพูดว่า ธรรมกายไม่ใช่พุทธศาสนา ในความหมายที่แท้จริงคือ โดยรูปแบบเขาเป็นพระในพุทธศาสนา และเป็นเถรวาทด้วย แต่จริงๆเขาไม่ใช่พุทธ เพราะว่า เขาไม่ได้แสดงคำสอนของพุทธศาสนา เพียงไปหยิบเอาคำสอนของพุทธศาสนาบางจุดเพื่อสร้างความร่ำรวย ความยิ่งใหญ่ให้แก่ตัว

จึงขอถามว่า ธรรมกายเป็นศาสนาพุทธหรือไม่?

 

พค.ว่า..ขอตอบสั้นๆว่า ธรรมกายคือนิกายของศาสนาพุทธ ธรรมกายไม่เข้าใจไม่เข้าถึงคำว่า กาย ว่าคืออะไร ไม่มีปัญญารู้เลย หนึ่ง เพราะฉะนั้น นิกาย แปลว่าไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายของพุทธ กายของพุทธคือธรรมกาย กายที่เป็นธรรมะสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่าธรรมกายหรือพรหมกายหมายถึงตถาคต

แต่สำนักธรรมกายของธัมมชโยนี่ ทำความผิดขนาดอนันตริยกรรม คือทำสังเภทเต็มรูปแบบ คือปลอมแปลงธรรมะพระพุทธเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมะพระพุทธเจ้า ที่แม้ข้อแรกเลย ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมากมักใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต  ธรรมใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต

ธรรมกายรู้จักแต่มโนมยอัตตา ปั้นวิมานหลอกตนและหลอกคนอื่น

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะสอง  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

เหมือนฟิสิกส์ว่าไว้ E=mc2 เป็นต้น ของพระพุทธเจ้าก็เหมือน m กับ c คือรูปกับนาม แทนที่จะเป็นแค่อุตุนิยาม แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นจิตนิยาม ขยายเป็นธาตุรู้กับมวลหรือวัตถุ

นามธรรมนี้เร็วกว่าแสง ไอสไตน์เอาหลักความเร็วสูงสุดของแสงมาคำนวณทุกอย่าง แต่จิตนี้เร็วกว่าแสง

ธรรมกายนี้คือนิกาย กายคือองค์รวมสองสภาพหรือรูปกับนามหรือปรมัตถสัจจะกับสมมุติสัจจะ หรืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ คือสองอย่างที่รู้ความแตกต่างรู้เหลี่ยมมุม

แต่สำนักของนายไชยบูลย์ไม่มีความรู้เรื่อง กาย หรือสักกาย เขารู้แต่มโนมยอัตตา ภาพปั้นที่เอาแต่นิมิตปั้นเอา เป็นภพชาติ เป็นวิมานรูปเรื่องที่ปั้นเอง แล้วเอามาปั้นหลอกมนุษยชาติ คนไม่มีภูมิจึงถูกหลอก เขาหลอกตนเองด้วยไม่รู้จริงด้วย แล้วหลอกผู้อื่นทั้งที่รู้ว่าอันนี้ไม่จริง แต่ใช้ปฎิภาณไหวพริบปรุงเรื่องราวหลอกซ้อน เป็นคนที่สร้างอนันตริยกรรมให้แก่ตนเองยิ่งกว่าพระเทวทัต ทำลายศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าอย่างยับเยิน พระเทวทัตก็ทำลายศาสนาเท่าที่รู้ แต่นี่ศาสนาพุทธผ่านมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี นี่ไชยบูลย์ทำลายมากกว่าเยอะเลย

ความชั่วตื้นๆนี่ใครก็รู้ แต่ความดีที่สูงขึ้นกว่าสามัญ ไชยบูลย์ไม่รู้ แต่ก็รู้แต่ความดีตื้นๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ความดีที่ลึกซึ้ง ก็เลยเอามาหลอก เช่นคนชอบจัดระเบียบสะอาดเป็นระบบระเบียบเรียบร้อย กตัญญูกตเวที มีการทำงานยิ่งใหญ่ ทานหมดตัวเลย ปลุกเร้าคน คนก็บ้าทำด้วยจริง เอาชีวิตทุ่มเทสุดตัว เพราะอะไร เพราะธัมมชโยสะกดจิตเก่ง ด้วยนิ่มนวล จนคนถูกสะกดจิตไปทั้งโลกเลย วิธีสะกดจิตของธัมมชโยเก่งกว่าอาตมา แม้แกไม่ได้เรียนแต่สะกดจิตได้เก่ง ทำสะกดจิตแบบอกุศลเหมือนรัสปูติน แต่ถ้าสะกดจิตเป็นกุศลไม่เป็นบาป แต่จะไม่สะกดจิตพร้ำเพรื่อ แต่ให้คนมีความเป็นตัวของตัวเอง ใครไปสะกดจิตคนอื่นให้อยู่ใต้อำนาจตนคนนี้ไม่ใช่พุทธ คนนี้ชั่วแล้ว ปล่อยให้คนมีสติสัมปชัญญะเต็มที่อันนี้ถูกแล้วต้องให้เขารู้เองฉลาดหรือโง่เท่าไหร่

คำว่ากาย คือสภาพธรรมะสอง ขาดกันไม่ได้ สักกะแปลว่าตัวเอง กาย คือรูปกับนามหรือธรรมะสอง ใครรู้รูปกับนาม ธรรมะสองด้วยตัวเองตั้งแต่รู้ภายนอก กับตัวเองรู้สัมผัสแล้วรู้ว่าอะไรคืออะไร อ่านรูปนอกแล้วมาอ่านในจิตคือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยใช้สัญญกำหนดรู้ เรียนรู้ถึงเคล้าเคลียเวทนา

สรุปแล้วพวกธัมมชโยคือพวก อสังวาสไม่ได้ร่วมมือกับพุทธเลย หมดเลย นอกนั้นก็เป็นความถูกต้องสามัญ แต่ถ้าวิสามัญ ธรรมกายไม่มีเลย เขาหลงลาภยศก็เลยทำอย่างอวดดี แล้วใช้โลกสมัยใหม่ คนในโลกนี้หลงอวิชชาโรคจิตประชาธิปไตยที่หลงนับจำนวนมวลชนเป็นสิ่งสูงสุด ก็ถ้ามวลคนโง่มีมากกว่าคนฉลาด ก็จะได้แต่สิ่งโง่ๆ ก็เอาความเน่าเหม็นมาผสม เอาไปทำไม เศษสวะทั้งนั้นพิษร้ายทั้งนั้น นี่คือความเลวร้ายที่ไปหลงประชาธิปไตยนับหัว ประชาธิปไตยต้องมีภูมิปัญญาซับซ้อนเข้าไปผสม แม้อเมริกาก็มีวิธีการเลือกตั้งที่ซับซ้อนไม่ใช่แค่นับหัว

นิกาย นี่คนทำก็เป็นอนันตริยกรรมแล้วไชยบูลย์นี่ทำนิกาย เขารู้ว่าธรรมกายคือพระพุทธเจ้าก็เอาหนังราชสีห์คือคำว่าธรรมกาย มาหุ้มตัวเองที่เป็นหมาป่าแล้วหลอกโลกว่า ตนคือราชสีห์ แท้จริงตนเองคือหมาป่า เอาคำว่าธรรมกายมาครอบตนเอง แท้จริงไม่ใช่พุทธ

ไชยบูลย์นี่ไม่รู้ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เขาไม่รู้ว่าส่วนใดเป็นกาย ส่วนใดเป็นจิต ที่ไม่รู้มูลกรรมฐาน 5 นี้

คำว่า นิกาย นี้คือไม่ใช่องค์รวมไม่ใช่ศาสนาของพระพุทธเจ้า หมาป่าคือนิกายแล้วเอาหนังราชสีห์คือธรรมกายมาหุ้ม แท้จริงตนเองคือ กายหมา

สัจจะของความเป็นนิกายของศาสนาพุทธ แบ่งแยกศาสนาพุทธ แยกไม่พอก็เอาธรรมกายมาหลอกคนอีก ขบถต่อพระอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า

สรุปแล้วคำว่านิกายไม่ใช่พุทธ คืออสังวาส อยู่นอกความเป็นพุทธร่วมกับพุทธไม่ได้ แต่ไชยบูลย์เก่งขนาดเอา เงิน ลาภ ยศ มาหลอกเถรสมาคม ก็เลยทำให้ผู้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ของเถรสมาคมที่โง่ๆ หลอกไม่ได้แต่สมเด็จพระสังฆราชองค์เดิมที่ท่านตัดสินเลยว่า ธัมมชโยปาราชิกแล้ว จริงๆแล้วท่านสังฆราชเอง ถ้าท่านไปว่าเขาปาราชิก แต่เขาไม่ได้เป็นจริงนี่ท่านอาบัติสังฆาทิเสสนะ ท่านต้องมั่นใจจึงมีพระลิขิตออกมา แต่ไชยบูลย์เก่งเพราะธัมมชโย ทำให้ตนเองหลงว่าเป็นต้นธาตุ ต้นธรรม หลงเพลิดเลย ดื้อดึงเลย

พูดในสำนวนไทยว่า อย่าขี้กองใหญ่ให้คนอื่นเห็นเลย แกนึกว่าคนอื่นเป็นเด็กไม่รู้ ก็เลยขี้ออกมาให้เห็นกองใหญ่เละเลย ทุกอย่างแบออกมาหมดเน่ากี่ขดโง่กี่ขดออกมาหมดเลย

คำว่า กาย

ในพระไตรฯล.10ข.60 พระพุทธเจ้าตรันว่า  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ถ้าผู้ใดแยกกาย แยกรูปนามได้ เรียนรู้ตั้งแต่ อบายภูมิ ลดเหตุที่เป็นอบายเป็นกามได้ก็ลดกามได้อีก ลดรูป ลดอรูปอีกก็เป็นอรหันต์ อรหันต์ทุกข์องค์เหมือนกันสามัญคือดับกิเลสได้หมด ที่เหลือคือสมมุติสัจจะที่ต่างกัน

ตนเองต้องมีนามที่เป็นธาตุรู้ไปรู้ตามที่ตนสัมผัสสิ่งต่างๆ แล้วก็รู้องค์รวมกับสังคมโลกที่เขามีสมมุติสัจจะรับรู้ร่วมกันเป็นเยภุยสิกา เป็นสัจจะ จิตเราไม่ยึดถือ แต่เราต้องเอาผู้อื่น ข้างนอกเป็นตัวตั้ง เป็นมวลรวมที่จะหารหรือตัดสินส่ิงที่ถูกต้องตามสัปปุริสธรรม 7 ประการ

เมื่อคนไม่เข้าใจคำว่ากายที่มีทั้งนามทั้งรูปที่จะต้อง 1 ถูกรู้ 2 ตนเองต้องรู้ หยาบ กลางละเอียดไปถึงรูปภพ อรูปภพ จนถึงอรูปจิตก็รู้สภาพนั้นได้

ผู้ที่ไม่รู้แม้มูลกรรมฐาน 5 ไม่รู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต

ตนเองผิดโง่ แต่ก็ยึดความโง่นี้แหละว่าเป็นความฉลาดความถูกทั้งที่คนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว เอาความสะอาดความเป็นระเบียบมาหลอกคน คนโง่นี้มีโง่ตรงหนึ่งเดียวรูเดียวนี่ไม่รู้ถ้าพลิกแพลงนิดหน่อยไม่รู้เพราะว่าเขามีแต่ธรรมะเดียว คนพวกนี้หลอกง่ายเพราะโง่ ดูช่องนี้ช่องเดียวเป็นต้น

อาตมาพยากรณ์ว่า นายไชยบูลน์นี่จะไม่ตายง่ายๆ แต่จะได้รับความทุกข์ร้อนจากพยาธิทุกข์มาก จะไม่ตายง่ายๆ เพราะแกยึดมาก แล้วหลงตนว่าต้องชนะเพราะตนเองได้รับชื่อว่าธัมมชโย หรือไชยบูลย์ก็แปลว่า ผู้ชนะเต็ม จะหลงมาก แต่สัจจะมันจะกลับ แต่ตนเองไม่ทัน ก็ยึดมั่นถือมั่น เพราะแกเป็นธรรมะเดียว ไม่เข้าใจธรรมะสอง ผู้รู้ธรรมะสองจะรู้ว่าตอนไหนกลับกันแล้ว ไม่ใช่ไม่อยู่กับร่องกับรอยแต่เป็นผู้แม่นในสัจจะ

สัจจะไม่มีในโลก

สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก

สัญญาย นิจจานิ

สามประโยคนี้สุดยอด

 

อ.กฤษฎาว่า...ส่วนใหญ่อาจารย์ใหญ่ตายแล้วจะบอกว่าเก็บร่างไว้นะ

พค.ว่า...เป็นการแสดงความยึดติด ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่สอน แสดงให้เห็นว่าคนโง่มีมากไม่ว่ายุคไหน คนก็ได้คนโง่เป็นมวล เขาจะไม่ตายง่าย เพราะวิบากเขามี ต้องทุกข์ทรมานไปตลอด เป็นอนันตริยกรรมที่น่าสมเพศเวทนา เขาทำตัวเขาเองนะ

ยุคนี้เป็นยุค ปรากฏการณ์วิทยา อโศกไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมกาย แต่เป็นคู่เทียบของธรรมะสอง

เพราะไม่รู้คำว่ากายคืออะไรก็เลยหลงคำว่า ธรรมกาย เอาชื่อของพระพุทธเจ้ามาเป็นเหมือนหนังราชสีห์มาหุ้มตัวเอง แต่บัดนี้ความจริงแตกแล้วว่าตนเองคือหมาป่าไม่ใช่ราชสีห์

ประเทศไทยจะเป็นชมพูทวีป จะมีความรู้ทางธรรมะที่เป็นพุทธธรรมที่ย่ิงใหญ่ เป็นประชาธิปไตยย่ิงใหญ่ถึงสาธารณโภคี แล้วจะมีมวลชนปฏิบัติสาธารณโภคีเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ชาวอโศกทำได้แล้วจะมีคนอื่นรับช่วงยืดหยุ่นไปตามลำดับ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไป

แล้วไทยจะประกาศประชาธิปไตยสูงสุดคือ เพื่อมวลมนุษยชาติ คนที่ทำเพื่อคนอื่นเพื่อมวลมนุษยชาติคือคนผู้ไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวเอง ตามความรัก 10 มิติที่มีตามลำดับ

สัจจะพวกนี้ในเมืองไทยจะเกิดจะเป็นในยุคนี้ เมืองไทยเอาธรรมะที่สูงสุดในมหาจักรวาลตราลงไปในยุคนี้ให้มนุษยชาติรับรู้ว่าสิ่งสูงสุดคืออันนี้

เมืองไทยเขายกให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา แล้วพุทธไม่ใช่เทวนิยม คนเขารู้แล้วว่า พุทธนี้รู้จักธาตุวิญญาณจริง รู้พระเจ้าจริง ทำจิตให้เป็นแบบพีชนิยามไม่เป็นภัยกับใคร แต่ทำประโยชน์ได้อย่างจิตนิยาม

สัจจะของพระพุทธเจ้านี้หยั่งลงแล้วในเมืองไทย มาอยู่ในเมืองไทยในคนไทยที่จะสืบสานต่อไปอีกจนกว่าศาสนาพุทธจะหมดเชื้อก็ประมาณอีก สองพันกว่าปี ตามผู้รู้ตรัสไว้พูดไว้ ว่าศาสนาพระสมณโคดมมีอายุห้าพันปี

อาตมาแก่กว่าไชยบูลย์ 10ปี ก็ไม่ชัดว่าใครจะตายก่อน แต่วันนี้มั่นใจว่าอาตมาจะตายทีหลัง

ความรู้ที่ไม่รู้ว่า ความรู้สึก กับ นามกาย คนไม่รู้ก็ศึกษาไม่ทะลุทะลวงเพราะนี่เป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธ วิทยาศาสตร์ทางนามธรรม ที่แยกพลังงานพีชนิยามจิตนิยามได้แต่วิทยาศาสตร์แยกแยะได้แค่พีชะอุตุ แต่พุทธแยกได้ถึงจิตนิยามก็เก็บพลังงานนี้มาทำงานได้เพื่อมวลมนุษยชาติจริงๆ อาตมาเก็บได้เก่งเท่าที่ทำได้นะ

อ.กฤษฎาว่า...คนใกล้ 83 ปีทำไมสมองยังดี ความเคลื่อนไหวยังดี ไม่ต้องเตรียมคำถามเลย พูดแล้วไม่ย้อนแย้งไม่มีปัญหา ผมเชื่อเพราะว่าได้พิสูจน์ การอธิบายฟิสิกส์ ผมฟังแล้วอึ้งเลยเหมือนกัน แต่พอตั้งสติแล้วก็พบว่าพลังจิตนี้ย่ิงใหญ่กว่าพลังไหนๆ พ่อครูประกาศ 151 ปี เราจะตามดูไปเรื่อยๆ นี่พูดเล่นๆแต่เป็นเรื่องจริงนะ ถ้าแม่ดูรายการพบว่าแม่ 70 กว่า ดูหง่อม ไม่มีพลังเช่นนี้ อายุพ่อครู83​นี้ยังมีพลังเช่นนี้

พค.ว่า..คนที่จะรู้ครบต้องรู้ทั้งภายนอกภายใน ในวิโมกข์ 8ข้อที่ 2 ว่าไว้

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

ต้องเห็นทั้งทิฏเฐ สุเต มุเต วิญญาเต ทั้งสีอย่าง คือโวหาร 4

ซึ่งต้องเข้าถึง อุเบกขา 5

1.      ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.      ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.      มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.      กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) . 

5.      ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

 

ในพรหมชาลสูตรท่านแยกปฏิบัติว่า ถ้านั่งหลับตาปฏิบัติจมอยู่ในอดีตกับอนาคต 44 เพราะนั่งหลับตาไม่มีสมมุติแล้ว มีลักษณะ มมีสสัภาระ มีอารัมนะ แต่ไม่มีสมมุติ ถ้าไม่มีธรรมะสองจะเลอะเทอะหมดเลย นั่งหลับตานั้นคือโมฆะ

แม้ลืมตาแล้วก็ต้องมารู้ธรรมะที่บอกว่า กาม และฌาน 1-4 รวมเป็น 5 ปัจจุบัน

กามคือปัจจุบันแน่ ส่วนฌานอีก 4 เป็นฌานลืมตาด้วย ถ้าฌานหลับตาตีทิ้งไปได้ก่อนเลย

แล้วต้องพิจารณารู้ฐานจิตถึง ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4

ฌาน1 มีอาการจิตหยาบกว่า เพราะยินดีแม้ปีติ สุข มีฟูใจชื่นใจ แม้จะเป็นปัสสัทธิก็เป็นตัวสงบ แต่ไปยึดสงบเป็นภพชาติอีก ไม่ใช่ ต่อให้คุณไม่มีสุขยึดอุเบกขาเป็นเรายังไม่ใช่เลย เป็นธรรมะสอง คุณสัญญายนิจจานิว่าอันนี้มี พระพุทธเจ้าไม่ให้ยึดแม้0 อย่าว่าแต่ 1 หรือ 2 เลย

เอาคำว่าไชยบูลย์มาหลอก จะมาเลียนแบบชื่อรักที่เป็นของจริงไม่ได้ ขออภัยไม่ได้พูดข่ม อาตมาไม่สงสัยว่าใครชื่ออะไร

ถ้ามีอันเดียวนี่จะตัดสินอะไรไม่ได้ ไม่มีคู่เปรียบเทียบ เช่นปากกานี้มีอันเดียว แล้วจะบอกว่า อันไหนยาวกว่า ก็ไม่ได้ต้องมีคู่เปรียบ ธรรมะสองจึงยิ่งใหญ่ที่จะเกิดความรู้

คนรู้แจ้งธรรมะสองก็เป็นอรหันต์

นามกายคือธรรมะสองของจิต รูปกายคือธรรมะสองของรูป

นามกายหรือนามรูปตัวใดที่คุณรู้คนเดียวเรียกว่านามรูปหรือนามกายของตนเอง อ่านรู้ว่านี่คือรูปจิต อรูปจิต อันนี้เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะหรือหมดแล้วไม่มีอวิชชาแล้ว หรือเหลือฝอยเป็นอุทธัจจะก็รู้แจ้งหมด

ผู้ใดรู้ โลกุตระ 43 ล.31 ข.620

ที่เริ่มต้นด้วยกาย แล้วเป็นอิทัปจยตาต่อไป ก็จะเป็น เวทนาในเวทนา จิตในจิต จนซ้อนๆ ถึงธรรมะนี้เป็นตัวตั้งแล้ว ไปถึงจิตก็รู้เจโตปริยญาณ 16 ก็ต้องลดไปตามลำดับ

ถ้าใครอ่านอาการความรู้สึกไม่เป็นก็จบ หมดสิทธิ์บรรลุธรรม เพราะทำเวทนาสองให้เป็นเวทนา 1 ไม่ได้

ต้องอ่านวิญญัติรูปให้ได้ กายวิญญัติ วจีวิญญัต มโนวิญญัติ ใครรู้ความเคลื่อนของมโนวิญญัติได้ มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ได้

ผู้อ่าน อาการ ราคะโทสะ โมหะได้ มีเจโตปริยญาณ 16 ก็ลดพลังงานเหล่านี้ได้ ไม่ให้มีสสัมภาระ ไม่มีอารัมนะ แม้สมมุติก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใหม่ก็ได้ มีคนตั้งไว้แล้ว แม้อาตมาเองชีวิตนี้ตั้งแค่สองคำ คือชีวานุปาทิ ชีรานุปาทิ สองคำนี้เอง

หลับตาหมดสิทธิ์ ลืมตาแล้วมี analyze มีการเปรียบเทียบทั้งในและนอก จึงเปรียบเทียบว่าอันไหนหนึ่งแท้อะไรดีกว่าอะไร ถ้าไม่มีคู่เทียบก็ไม่ได้ ต้องมีสองขึ้นไปทั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดกับไชยบูลย์เป็นธัมมชโยเก๊ ไม่ใช่ธัมมชโยจริง

สายธรรมกายนี่สายสว่างเรื่องมากไม่มีสิ้นสุด ต่างกับสายมืดที่ไม่มีเรื่องมาก สายสว่างสารพัดจะปรุงแต่งมาหลอกคน คือฉลาดกว่าอาจารย์หลอกอาจารย์มาเดินบนดอกไม้แล้วบอกชื่นใจได้ ให้มารับรองตนเองว่าถูกต้อง เลยพาอาจารย์เน่าขายหน้าตาไปด้วย

คนไม่เข้าใจเจโตปริยญาณ 16 ไม่รู้ต้นเค้า ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จางคลายอย่างไร ก็ไม่รู้ ไม่สามารถทำวีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำส่วนแห่งบุญไม่ได้

สายหลับตาเข้าไปหาหยุด หยุดได้ก็สบาย แต่ไม่รู้รายละเอียด ลืมตามาสัมผัสก็ไม่รู้ว่าจะหลบจะอยู่เหนือมันอย่างไร พวกหลับตาสะกดจิตไม่มีวันบรรลุอรหันต์ สายอ.มั่นไม่มีวันบรรลุอรหันต์ สายธัมมชโยยังมีสิทธิ์บรรลุธรรม แต่มิจฉาทิฏฐิไปมักมากใหญ่ไม่มีประมาณบานปากกรวยไปเรื่อยๆ ไม่มาหาสูญไม่มีสิ้นสุด

สรุปว่าไชยบูลย์นี้ไม่รู้คำว่า กาย แล้วบังอาจเอาคำว่าธรรมกายของพระพุทธเจ้ามาสวมใส่ตนเอง ทั้งที่ตนเองราชสีห์ยังไม่ใช่เลย ตนเองเป็นแค่หมาป่า ถ้าเทียบกับโพธิรักษ์แล้ว โพธิรักษ์คือราชสีห์ ไชยบูลย์คือหมาป่า

ถ้าเขายอมหยุดตอนนี้ตายเป็นกุศล แต่ถ้าดึงดัน จนตายไปไม่ยอม ก็มีวิบากมหาศาล ไม่ได้เดานะเป็นสัจธรรม อย่าให้ตายกับจิตตั้งไว้อย่างนั้นเลย

อ.กฤษฎามีประเด็นอ่าน…. อ.สมภาร พรหมทา เปรียบว่าวัดพระธรรมกายกับสันติอโศก  เราเรียกองค์กรศาสนาแบบนี้ว่ามีลัทธิเจือปนอยู่ คำว่าลัทธิเป็นคำกลางๆไม่มีดีหรือเลว วัดที่เป็นลัทธิต้องมีผู้นำที่พิเศษ เช่น ธรรมกายกับสันติอโศก วัดเช่นนี้จะมีลักษณะลูกศิษย์ที่ศรัทธามาก ตายแทนได้

พค.ว่า...อันนี้ขอพูดอจินไตยอย่างหนึ่งว่า อ.สมภารคือใคร คือสสัมภาระ มาแสวงหาทำงานเพื่อให้ตนสมบูรณ์โดยมีความเป็นกลางมาก พยายามศึกษาไม่กล้าฟันธงเหมือนคุณเปลวหรือ ส.ศิวรักษ์แต่อ.สมภารจะละเอียดกว่าคุณเปลวและคุณศิวรักษ์ จะว่าเป็นโพธิสัตว์ก็ศึกษาให้ละเอียดต่อไปด้วย พรหมทาด้วยคือตั้งอยู่กับพรหม

ต้องเรียนรู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เมื่อฟังอุเทสจากอาตมาก็ไปกำหนดนิมิตหมายเอา ว่าอาการเช่นนี้ราคะ โทสะ โมหะ อาการเช่นนี้หยาบหรือละเอียดเป็นต้น จึงสามารถตีแตกในกาย เวทนา จิต ส่วนธรรมะเป็นตัวตั้ง status

ก็ศึกษาสภาพพวกนี้ก็จะรู้สภาวธรรม จึงเป็น physics ของนามธรรม

แยกความเป็นกายของกาย มากหรือน้อยใหญ่หรือเล็กของกาย ของเวทนา ของจิต แล้วทำให้เบาลงไปอีก ก็เป็นลหุตา เก่งเป็นมุทุตา เราเข้าใจสภาวะแล้วเอาไปทำปฏิบัติจริง ก็จะได้จริง ทั้งกาย เวทนา จิต รวมลงเป็นธรรม จะรู้ธรรมนิยามของ อุตุนิยาม ที่มีแต่ ish มีตัวเขาแล้วมีตัวต่าง she  he ซึ่ง she he มันไม่มีวันรู้ตัว ต้องเป็น i นี่แหละที่จะรู้ได้ว่าเราไปหลง she heอยู่ ก็ทำให้เหลือแต่ i ทุกวันนี้อาตมาเลยเหลือแต่ ไอ

ในความเป็นกายที่ไม่รู้อย่างไชยบูลย์จึงแพ้ภัยตัวเกิดโทษอันตริยกรรม ขอบอกว่าหากไม่ยอมหยุด ไม่ยอมไม่แพ้ก็จะมีกรรมวิบากอีกนาน แต่ถ้าหยุดยอมจบก็ทำให้สังคมเจริญ ให้คนเอาพลังงานไปทำประโยชน์แต่ตอนนี้วุ่นกับคุณมันสูญเสียพลังงาน บาปกินหัว คุณทำลายพลังงานคนอื่น แม้แต่อาตมาก็ยังเสียพลังงานไปกับคุณ น่าเสียดายแต่ก็ต้องมาช่วยปราบ อย่าหลงตนว่าเป็นผู้ปราบมารเลย คุณนั่นแหละที่อาตมามาปราบ

การพยากรณ์โดยชื่อบุคคลกับสกุล เป็นแนวคิดปัจจุบันเป็นผลจากอดีตหรือไม่ ตอบ...อย่างอาตมานี่ทำไมต้องชื่อมงคล ทำไมต้องชื่อรัก แล้วมาเป็น สมณะรัก ตอนนี้ แม้แต่อ.สมภารก็อาตมารู้ว่าเข้าถึงแวดวงโพธิสัตว์อาตมาไม่สงสัย ศึกษาไปเถอะดี

อย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านพยากรณ์กันว่าคนไหนจะเป็นพระพุทธเจ้าชื่ออะไรมีอัครสาวกชื่ออะไรก็เป๊ะเลย อย่างอาตมานี่ คำว่า รัก อาตมาตั้งเองนะ มงคลนี่สมเด็จติสโส (อ้วน)ตั้งให้นะ อาตมาถึงต้องมาเขียนความรัก 10มิติ แล้วไปทำความเข้าใจความรัก 10มิติให้ดี แล้วจะได้ใช้พลังงานความรักอย่างไรถึงเป็นสอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ

อาตมาต้องมาขยายความรัก แม้แต่ศาสนาคริสต์ก็บอกว่าพระเจ้ามีสุดยอดแห่งความรักนะ แต่ต้องมิติที่ 7 ขึ้นไปจึงใช้ได้ มิติ  6 ก็ลงตัวไม่มีบาป ไม่บุญ แต่7 8 9 นี้เป็นบุญ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:49:45 )

590531

รายละเอียด

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบอ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ

590531_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรื่อง ธรรมกลายเป็นอสุรกาย

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ใกล้จะเดือนมิถุนายนที่เป็นเดือนเกิดของอาตมาแล้วใกล้จะครบ 82 ปีเต็มมันก็นานเหมือนกันนะไปอาตมาก็มานึกได้ตอนหลังหลังว่าดีที่อาตมาไม่ได้เสียเวลาไปทางโลกมากอาตมาเสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีตอนปลายก่อนถึง 36 ปีปฏิบัติธรรมก็ฟื้นคืนสัญญาความรู้ก็เกิดผลได้รู้ในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเริ่มจากทางโลกมาเพราะชัดเจนแล้วก็ไม่เอาทั้งโลกออกมาบวชไม่ได้บวชเลยตอนแรกก็ไม่ได้บวช

ออกมาจากทั้งโลกไม่ได้ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญแต่ก็ไม่คิดจะบวชเพราะอะไรเพราะเห็นว่าวงการศาสนานั้นไม่จริง ถึงไม่คิดจะบวชแต่ไม่ทำงานแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วมันเป็นโทรมาทำที่มีตอนแรกก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ก็เห็นว่าเราอยู่อย่างนั้น

การออกมาจากโลกนี้แล้วมาบวชไม่ใช่บวชเล่นเล่น แล้วก็เลยเถิดมา แต่มันมาเพราะจิตมันรู้แจ้งมันเห็นว่าไม่เอาที่จะไปมีชีวิตทำงานเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหาเงินหาทองเพราะฉะนั้นลาออกมาแล้วก็ไม่คิดจะไปหางานอะไรทำ

พอจะออกมานั้นก็คิดจะซื้อที่ดินสัก 2 ไร่ ให้เป็นที่สงบไม่ใช่ที่สามัญทั่วๆไป เพราะมองไปในวงการศาสนานั้นไม่ใช่ขออภัยนะเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะองค์การศาสนานั้นล้มเหลวทั้งกระบวน

ในกรณีธัมมชโยที่โกงเงินโกงทองเขาก็ให้มหาเถรสมาคมจัดการแต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ นี่พระรูปหนึ่งถูกอธิกรณ์ในศีลข้อ 2 ว่าผิด แต่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ยุคนี้ขนาดข้อหาทุจริตผิดวินัยเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องทางโลก แล้วก็เป็นทางธรรมด้วยไหม เป็นพระไปทุจริตเงินเกินห้ามาสกนั้น ปาราชิกนะ

ทีอาตมา ….ไม่ได้มีโทษมีความผิดอะไร….เขาบอกว่า ผิดเพราะว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็จะไล่จากศาสนา แล้วก็บอกว่าผิดธรรมวินัยเป็นอาจิน แล้วก็ไม่แม่นบอกว่าอาตมาผิดข้อไหน ก็บอกวา ผิดข้ออวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่ได้กล้าว่า อวดตรงไหนผิดจากที่อวดตรงไหน ได้แต่พูดคลุมเครือไป

ถ้าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมไปตลอด อาตมาอวด หรืออาตมาพูดถึงอุตริมนุสธรรม หรืออาตมาสาธยายอุตริมนุสธรรม  อาตมาสสาธยายธรรมะที่เป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ ก็ขอยอมรับว่า อาตมาบรรยายธรรมะไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั้งหลายแหล่

อย่างธัมมชโยนี่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วยนั่นคือปาราชิก อวดว่ารู้ว่าตายแล้วอยู่ไหนเป็นต้น อาตมาว่า พลังงานรวมของศาสนาพุทธในวงการมนุษย์ที่เกือบทุกประเทศเขายกให้ว่า เมืองไทยมีก้อนความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด น่าชื่นใจ แต่ก็น่าโทรมใจ น่าเศร้าใจ เพราะว่า ที่เขาเข้าใจว่าดีที่สุด แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่พุทธด้วยซ้ำ อาตมาพูดผ่าๆ ตรงๆ ไม่เกรงใจที่พูดเช่นนี้

เพราะว่า มันถึงครั้งคราวที่ต้องพูดความจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นนี้ คนสามัญไม่มีใครดื้อด้านอย่างคุณไชยบูลย์ที่ปาราชิกแน่นอน อาตมาพูดซ้อนตามสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ตัดสินเช่นนี้ มีรายลักษณ์อักษรตามพระลิขิต เขารู้กันดีหมด แต่ว่าเพราะความเสื่อมของความรู้ที่ว่า ขนาดผู้ที่ยกให้เป็นใหญ่สุดอย่างสมเด็จพระสังฆราช กลุ่มก้อนนั้นไม่เอาด้วย มันก็คืออะไร ?

สำนวนพระพุทธเจ้าเรียกว่าหมักหมมเน่าใน

 

ความหมักหมมเน่าในชนิดนี้ อะไรที่หมักหมมเน่าในในนั้น สิ่งที่หมักหมมเน่าในในนั้น คือ กายกสาวะ

กายกสาวะ

กาย แปลว่าองค์รวม คือ จิตคือมโน คือวิญญาณ

ความหมักหมมของกาย คือความหมักหมมใน จิต มโน วิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ร่างเลย

อาตมาแสดงธรรมนี้อาตมาก็อ่านจิตตนได้ว่า ไม่มีราคะโทสะโมหะ ไม่มีอคติ เพราะรัก ชัง โลภ หลง อะไร พูดไปด้วยกุศลจิต เจตนาอธิบายธรรมให้ดีให้ครบถ้วน ที่เจตนาเน้นเสียงนี้ ก็เจตนา ถ้าพูดไปเรื่อยไม่เหนื่อย แต่เจตนาปรุงแต่งให้มีน้ำหนักบ้าง คนไม่มีอะไรกระตุ้นก็ยาก คนต้องอาศัยความสนุกสนาน ความยั่วยวนบ้าง ไม่เช่นนั้นจืดๆไม่น่าฟัง อาตมาเป็นศิลปิน

ศิลปินต้องแสดง ต้องเขียน ต้องเต้นต้องร้อง เขาก็ว่าศิลปินคือเช่นนั้น แม้อาตมาไม่ได้เขียนเอง อาตมาก็มีพวกเราเขียน อาตมาก็แนะนำ ไม่ว่าภาพ รูปปั้น องค์ประกอบ สถาปัตยกรรมก็ทำ ทำหมด pure art 5 อย่างนี้

ให้คนได้รับสื่องานแล้วเกิดจิต ที่เป็นชาติ ในชาติ 5 เกิด โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาเรียนมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาสื่อต่อ รู้ว่า ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ คืออย่างไร อภินิพพัตติคืออย่างไร เพราะการเกิดเหล่านี้คือชาติ 5

ความเข้าใจของพุทธกระแสหลักนั้นไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ออกไปไกลเราก็ต้องชี้แจงด้วยความจริงใจ อย่าง ชาติ 5 ที่ท่านแปลในพระไตรปิฎกก็สื่อไม่ตรงสภาวะธรรม เพราะทั้ง ชาติ 5 มันคือโอปปาติกโยนิ อันเดียว ไม่เกี่ยวกับชราภุชโยนิ หรือการคลอดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากไข่ หรือแบ่งตัวเลย แต่ชาติ 5 นี้คือโอปปาติกโยนิ ทั้งนั้น ขออภัยไม่ได้จับผิดท่านแต่เป็นความรู้ในวงการสงฆ์แล้วทำเป็นตำราคำภีร์ออกมาเลย ถ้าทำความเห็นไม่ถูกตรงก็ไปไม่รอด

ในพระไตรฯล.14 อธิบาย นาม 5 รูป 28 สังขาร 3

ท่านตรัส ชาติ ก่อน

ถ้าเข้าใจคำว่า กาย ผิดไปก่อน จะไปปฏิบัติ กายในกาย กายาวิปัสสนา ก็ผิดหมด เพราะไปเข้าใจคำว่า กาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปเท่านั้น เวลาปฏิบัติให้สงบก็จับแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนให้นิ่งเท่านั้น เร่ิมต้น ทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ให้กายสงบรำงับ  วิธีปฏิบัติคือนั่งสมาธิ ต้องนั่งหลับตาด้วย  ให้ทุกส่วนของร่างนี้สงบรำงับ หรือให้เห็นร่างนี้เน่าเปื่อยต่อหน้า อย่างนี้เป็นการคิดนึกเอาเอง เป็นคิดวิถารไป ไปเข้าใจกายในกายเช่นนั้น ไม่ใช่เลย อย่างนั้นเป็นการสร้างรูปในจิตขึ้นมาหลอกตนเอง เห็นกายนี้เน่าก็ว่านี่แหละคือกายานุปัสสนา

ในการทิฏฐิ สุตะ มุตะ วิญญาตะ คือการรู้ รู้ด้วยการเห็น 1 รู้ด้วยการได้ยิน 1 รู้ด้วยการได้สัมผัสได้ยินได้กลิ่น  1 นี้คือ มุตะ(ทราบ) ส่วนวิญญาตะ(รู้)

คำว่า ทราบนี้ ท่านขยายความว่า คือรู้กลิ่น รับรส รับสัมผัส

อันนี้คือโวหาร 4 (ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ)

 

Sms 30พ.ค.59

0805925xxx ถ้าคนเข้าใจแก่นแห่งธรรมจะไม่ติดสวรรค์ที่ธรรมกายเอามาล่อเบาปัญญา! คนในโลกีย์ห่างธรรมอยากรวยจึงซวยเป็นปลาติดเบ็ดโป้งโป้งรวยจึงพาซวยหมดตัว!

พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายทำนี้แบบสะกดจิต ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เขาทำแล้วเป็นผลสำเร็จ เป็นวิชาร้ายกาจทำให้เกิดสังคมที่อยู่ใต้อำนาจ ทำมาตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว มีคนตกใต้อำนาจการสะกดจิตนี้มาก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาจารย์มีความผิดที่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประเทศ เชิญมาสอบสวน เขาก็บอกว่า ไม่มาจะทำไม

แล้วคนก็ไม่รู้โดยเฉพาะลูกศิษย์นั้นไม่รู้เลย หาว่า DSI มาลงโทษอาจารย์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทำไม ก็เมื่ออาจารย์เขาบริสุทธิ์ก็มาให้เขาพิสูจน์หน่อย เขาไม่ได้อยากดูขาเน่า แต่ไปให้การเขาเท่านั้น เขาทำตามหน้าที่ ถ้าเราเป็นความบริสุทธิ์กลัวทำไม แต่นี่เพราะคุณมีอะไรหมักหมม จึงไม่กล้าไป อาตมาก็กล้าพูดเต็มๆว่า นายธัมมชโยนี่คือ อสุรกาย ที่กลัวจนหด แล้วจะหดไปเรื่อยๆ

ใช้วิธีสะกดจิตเป็นกำแพงมนุษย์ เอามาล้มล้างปชต. กูจะเอากฎหมู่มาเป็นรัฐธรรมกาย ปกครองบริหารโดยหมู่ แล้วมี CEO  คือธัมมชโย ไม่ควรเรียก ธรรมกายเลย ควรเรียกว่า นิรยกาย มากกว่า คำว่า พรหมกายหรือธรรมกาย คือใช้เรียกพระพุทธเจ้าต่างหาก

มันคนละโลกเลย เมื่อวานนี้อธิบายไปแล้ว ที่บอกว่า เอาหนังราชสีห์มาครอบตัวเองที่จริงไม่ใช่ราชสีห์ แต่เป็นหมาป่า แล้วเอาหนังราชสีห์มาหุ้มหมาป่า ราชสีห์ก็ยังไม่ได้เป็นเลย เพื่อที่จะบอกว่าเป็นราชสีห์ ที่จริงราชสีห์ก็แค่สัตว์อย่างหนึ่ง คนที่คิดตื้นๆว่าเป็นราชสีห์ คือคนหลงรวย ลาภ ยศ สรรเสริญ​คือคนตื้นๆ ให้มาปฏิบัติดี ถือศีล ทำสมาธิ เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด มีมากๆเป็นล้าน ตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

ของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย ของพระพุทธเจ้าเป็นอิสระ chaos ไม่ไปจับเข้าแถว อันนั้นบังคับ สร้างรูป Act art drama ตลอดกาลเลย

พูดไปเหมือนว่าเขา แต่กำลังนิคคัณเห นิคหารหัง คือติคนที่ควรติ  แต่ว่าชมนั้นก็ไม่มีอะไรน่าชม เพราะที่เขาสอนว่าดีนั้นเป็นเหยื่อหลอก ฉาบทาไว้ เพราะศีลก็แค่หลอก ที่จริงศีลต้องปฏิบัติแล้วมีอานิสงส์ 10 อย่าง ในกิมัตถิยสูตร ว่ามี อวิปฏิสาร ปราโมทย์ ปีติ ….

แต่ไปสะกดจิตไว้ เพราะปฏิบัติศีลก็แค่กาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลนี้จะชำระกิเลสไปให้เป็นอรหันต์ได้จิตบริสุทธิ์ได้ไปตามลำดับ

แล้วคนก็ไปตกในความเชื่อตามนายไชยบูลย์ได้เอามาเผยแพร่ไปกันใหญ่ จะต้องรวยต้องใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเป็นความรู้สามัญตื้นๆ เหมือนนกกระสา รู้ว่า อันนี้เป็นอาหารให้ปลากิน มันก็เอาที่นกเอาขนมปังมาล่อปลา เหมือนกันเลย มีความฉลาดเท่ากับนก มาล่อปลา เก่งดี ให้อาหารปลา เหมือนเป็นนกผู้ใจดี แต่ว่าสวบ กินปลาเลยหมดชีวิตเลย นี่เหมือนกันเลย ถูกสะกดจิตร้อยไว้หมดเลย ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ความเลย พูดความจริงตามความเป็นจริงที่เขาทำ

นกยังเล่ห์ไม่เท่าธัมมชโย นกก็ฉลาดแค่นั้น แต่ไชยบูลย์นี้หนักหนาสาหัสกว่านก ถ้านกชั่วแค่หลอกกินปลา แต่ไชยบูลย์เอา 100 คูณเลย ซับซ้อนมหาศาลกว่านกเยอะ

นอกจากจะหลอกคนมาเป็นเหยื่อ ยังไปทำทุจริตอีกเยอะเลย ตอนนี้รัฐรู้ทัน องค์กรที่ดูแลความผิดความทุจริตก็เอามาจัดการไปตามกระบิลเมืองไปตามธรรมดา เขาก็หาทางเลี่ยงออกนอกกระบิลเมืองอีก เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นจริง

ส่อให้เป็นว่าจิตเป็นอสุรกาย เป็นกายกสาวะ เน่าใน เป็นองค์ประชุมของสิ่งหมักหมมเลวร้าย ในตัวเขาในกายเขา ในรูปนามทั้งหมด

ถ้ารู้ว่าทำกรรมเช่นนี้จะได้รับกรรมวิบากเช่นนี้ ก็น่าจะตรวจตนเองได้ว่า ที่ต้องเจ็บป่วยนี้เป็นอย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวก็รู้ว่าวิบากที่ท่านเคยเกิดเป็นชาวประมงแล้วยินดีที่เขาจับปลาได้มากเป็นต้น

คนนี้ไม่ได้อยู่ในกฏหมาย หรือธรรมาภิบาลของประเทศไทยเลย ถ้าจะพูดคือเป็นกบฏของประเทศ  ขนาดศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ให้จับ เป็นพฤติกรรมสมบูรณ์แบบเลย เอาใส่รถไปได้ ชั้นดี อย่างไม่กระเทือนเลยได้

0893867xxx ถ้าอ.50แล้วตอนพ่อครู150ปีอ.ก็ต้องอายุ130ปีถูกไหม ?ถ้าอ.อยู่ถึงคงมหัศจรรย์พันโลกยุคใหม่เต็มไปด้วยผู้สูงวัยพันปี!ส่วนตัวเองคงเป็นเถ้าถ่านลอยไปกับพระแม่คงคาอนิจจังวัสสะสังขาราปลงตกอะนะอ.เฮ้อ!

0805925xxx ต้นธาตุต้นธรรมรู้กรรมผู้อื่นแต่ม่ายยรู้กรรมในกายตนเองตายปายยจะอยู่ขุมหนายยยเนาะพ่อ?!

0893867xxx มีแต่นร.สัมมาฯลูกหลานอโศกรุ่น10กว่าปีนี้ที่มีวาสนาฟังพ่อครูเทศน์ถึง150ปีเพราะเด็กสัมมาฯวันนี้คือชาวมังสะวิรัติอโศกในวันนั้นครบ90ปีเป๊ะ!

0893867xxx ตายแล้วไปไหนช่างมันเหอะปฝ.รักษาจิตให้กิเลสม่องเท่งก่อนตัวเองเด็ดสะม่อเร่!รู้ทันตัวตนทุกปัจจุบันขณะก็พอต่อจากนั้นแล้วแต่บุญกรรมพาจิตเอ้อระเหยแว๊บ!

0805925xxx ธัมมี่เจอดีเอสไอจะกล้าเฮ๊ดบ่?ลูกตามมรวจจจนะะะะ!อิอิอิ?

0805925xxx งัยงัยก็เชื่อมือDSIามม่ายยเสีมของเนอะ!

0849892xxx ธัมมี่ใหญ่จริงๆอยากรู้ว่าทำใมสอนตรงข้ามคือไม่ได้สอนให้ตัดกิเลสตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

ตอบ...ถ้ารัฐบาลนี้เอาไม่ลง ประเทศไทยถูกผีบุญครอบครองแน่นอน อยากรู้ไหมทำไมสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะเขายิ่งกว่าเทวทัติมาเกิด 3 คน 5 คน เป็นอสุรกายตัวร้าย มีผู้ช่วยคือ ทัตตชีโว ทัตตะแปลว่า อันเขาให้ คือความโง่ ต้องเกาะอยู่กับธัมมชโย

 

Line บุญนิยมทีวี

_สายัณห์ กราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยอยากอายุยาวเลย กลัวเกิดไม่กลัวตาย แต่เมื่อได้เข้าปลุกเสก รู้สึกว่าถ้าอยู่นานๆ ก็ดีจะได้ทำงานให้พระศาสนามาก ๆ

ผู้ที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกในแล้ว ใช่ไหมคะ

 

_จาก...พันธุ์ พอเพียง

ขันธ์ถ้ายังต้องแบ่งส่วนให้บุญน่าจะเปรียบได้กับคนงานกรีดยางถ้าต้นยางยังมียางให้กรีดก็ต้องมารับจ้างกรีดยางแต่เมื่อใดต้นยางหมดยางแล้วก็ไม่ต้องมีคนงานกรีดยางเจ้าของสวนก็ไม่ต้องแบ่งส่วนให้กับคนกรีดยางก็หมดสภาพของบุญไม่ใช้บุญขันธุ์ก็สะอาดเพราะไม่มีบุญแล้ว พอจะเปรียบแบบนี้ได้ไหมครับ

ตอบ...ท่านไม่ได้บอกว่าขันธ์เป็นส่วนแห่งบุญ แต่บอกว่า เป็นผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) แต่นี่เอาไปปนกัน

ผลที่ได้ในศาสนาพุทธคือลดอุปาทาน ขันธ์ก็ลดอุปาทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผลแก่ขันธ์ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ได้ส่วนบุญคือขันธ์จะลดตัณหาอุปาทาน

คำว่าผู้ใดทำบุญได้ส่วนบุญ คือ เสขบุคคล คือปรทัตตูชีวกเปรต ปฏิบัติชำระกิเลสได้ เป็นสาสวะ ได้เป็นส่วนๆ เพราะรู้ความเป็นเปรตของตนเอง แล้วก็กำจัดหรือชำระกิเลสตนเองได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ยังไม่หมดไม่เป็นอนาสวะ แต่ได้ส่วนแห่งบุญ ขันธ์ก็สะอาดขึ้นๆ

ที่ไปรู้ว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือจะต้องได้ชีวิตที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากผู้อื่นให้ อาศัยการมีชีวิตที่ดีได้จากผู้อื่น คำว่าปรทัตตูชีวกเปรตที่เพี้ยนไปกลายเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่าเปรตได้ส่วนบุญ คือที่ตายไปแล้ว คือคนอื่นไป แต่ไม่ได้รู้ว่าคือจิตเรา เรามีหน้าที่รู้ความเป็นเปรตของเราที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยประกอบ คุณทำใจได้ เช่นเราเจอดอกไม้ เราก็อ่านจิตเราที่ไปชอบได้ เรามีดอกไม้เป็นตัวช่วย ให้เห็น เปรตของตน ก็ปฏิบัติได้ แม้ไม่หมดกิเลสโดยตรงหมด เราก็มีส่วนแห่งบุญ หากไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทางได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ขาดเวทนาแล้วไม่มีฐานที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีอื่น มีสิ่งอื่นมา แล้วจะเกิดธรรมะสอง มีรูปมีนามที่จะปฏิบัติได้

อาตมาไม่แปลกหรอกที่ทำงานมา 40 ปีมาแล้ว ไชยบูลย์ก็ทำงานมาปี 2512 ตั้งธรรมกายปี 2513 อาตมาก็ทำงานมาแต่ปี 2513 ทำงานมาเกือบเท่ากันแต่คนฟังธรรมเขาเป็นล้าน แต่ของโพธิรักษ์นี้กระจิ๊ดนึง ไม่ได้น้อยใจหรือริสยาเลย แต่เข้าใจเลย มีคนฟังให้เท่านี้ก็บุญหัวนักหนาแล้ว

 จริง เพราะยุคนี้ยุคกลียุค เป็นยุคที่คนเขาไม่แล เพราะอาตมาอธิบายโลกุตรธรรม ท่านก็อธิบาย ว่าต่อไปคนจะสนใจแต่โลกียธรรม เป็นคำหวานคำกลมกล่อมที่ชวนใจชวนฟัง แต่ผู้อธิบายขัดเกลา เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี้ จะไม่ค่อยมีคนฟังหรอก พระพุทธเจ้าตรัสใน

 

Line @ (ไลน์แอ็ด)จากคุณสิริวัฒนา

พ่อแม่พูดไม่ออกบอกลูกตนเองก็ไม่ได้ ดู ว่า ลุกเรา ฟัง เชื่อ เขา(ผู้ชาย) หมด

ลูกเราซื่อ หัวอ่อน ลูกเราใฝ่ธรรมะธรรโม อยู่นะคะ ธรรมะพ่อครู

แต่ ผู้ชาย อาขีพเขาคือ ผู้รับเหมา ออกไปทาง เล่นผู้หญิง "กะล่อน"

รับเหมาก่อสร้าง...สังคมเขาคือ หยาบๆ ให้เงิน ใต้โต๊ะ เวลาประมูลงาน

ผู้ชายไม่เอาไม่สนใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงเลย ลักขโมยเอาลูกสาว เราไป.

 

ขอแสงจาก ธรรมะพ่อครู

ฐานะ แม่ ตอนนี้ เหมือนอยู่ถ้ำตัวคนเดียว มืด เจอปัญหา ทางตันชีวิตพูดไม่ออก

อยากบอกลูกตรงๆว่า ลูกถูกเขาหลอก ...ก็ ไม่ได้... ลูกยิ่งโกรธเรา

 

ลูกทำผิดก็เหมือนเรา(แม่) ได้ทำผิดไปด้วย ทุกข์ของลูกคือทุกข์ของแม่....

 

ถามมาโลกๆรบกวนไหมคะ?..แต่ก็รออย่างมีความหวัง

 

ตอบ...อาตมาก็ว่าเป็นวิบากของคุณนะ หนึ่งคุณอ่อนแอ ลูกไม่ฟังตนเองทั้งที่บอกว่าลูกหัวอ่อนนะ แล้วก็น้อยใจอีก อาตมาขออธิบายอย่างนี้ คนเราเกิดมาแล้วมาใช้วิบาก คุณเกิดมาชาตินี้ก็มาใช้วิบาก ก็ขอยืนยันว่าลูกคนนี้จะมาประพฤติเพื่อทวงหนี้คุณ หนึ่งคุณทำใจดีๆ อย่าไปยึดว่าลูกเป็นเราเป็นของเรา ลูกคือผู้มาศัยเกิดเพื่อใช้วิบากเขา จะทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจอีก หากไม่ศึกษาธรรมะ ทำใจในใจให้ได้ว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มันอาจยากแต่ต้องทำ

สอง อย่าอ่อนแอ จนพูดจนสอนเขาไม่ได้ ลูกคุณบอกเองว่า เป็นคนหัวอ่อน แต่คุณไม่กล้าพูดกับลูก คุณก็เป็นจริงว่าลูกจะเสีย ผู้ชายคนนี้ที่คุณบอกว่าเป็นคนไม่ดีนะ คุณก็สงสารลูก คุณต้องกล้าบอกลูก ถ้ามีหลักฐานก็บอกลูกไป แต่อย่าไปใส่ความลำเอียงนะ ถ้าเขาไม่ดีก็ต้องทำอย่างอาตมาว่า

1.ทำใจว่าลูกทุกคนเกิดมาทวงหนี้ทั้งนั้น  ปลงใจไว้ จะเป็นอย่างไรก็ไป

2.ต้องทำหน้าที่บอกต้องสอน เห็นลูกจะตกต่ำเสียหาย ก็ไม่บอกเลย มันก็ยิ่งแย่ เพราะฉะนั้นจงพยายาม ต้องกล้าๆหน่อย ถ้าลูกไม่มีวิบากหนักนัก ต้องมีศิลปะให้เขาเห็นว่าตนมีความจริงใจมากกว่าคนนอก ต้องไตร่ตรองใช้ภาษาให้ดี กล้าๆ

สองข้อเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ทำอย่างว่าก็ไม่เห็นทางอื่น ได้แต่นั่งดูปล่อยไปก็เสร็จ เพราะว่าผู้ชายก็ต้องพยายาม ลูกเราก็หลงต้องให้สติต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสียก็ไม่ไหวนะ อาตมาไม่เคยมีลูกแต่ก็มีน้อง เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูกนะ

 

พค.ว่าธรรมะนี่ขยายความจากอะไรก็ได้ ให้มีเหตุปัจจัยขยายไปได้เรื่อยๆ เพราะเข้าใจในพยัญชนะ กขคง หรือภาษาบาลีก็ได้ ก คือเร่ิมตัวแรก ข คือความว่าง  เป็นต้น

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:50:38 )

590601

รายละเอียด

590601_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ธรรมกายไม่ใช่พุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2559 ทุกวินาทีเป็นวินาทีที่ทำให้เกิดบุญตราบใดที่ยังไม่หมดบุญผู้ใดหมดบุญแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีกจบผู้ใดที่ยังจะต้องใช้บุญจะต้องทำบุญก็ทำไปทุกวินาทีให้จบให้ได้

ทำบุญนี้ยิ่งใหญ่เพราะไม่รู้จักคำว่าคุณก็เลยต้องสร้างวิบากมหาศาลในนามไชยบูลย์ สุทธิผล เขาเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ เข้าใจคำว่าบุญ เป็นมิจฉาทิฏฐิ นึกว่าบุญเป็นเครื่องที่น่ามีน่าได้น่าเป็น เขาก็ต้องได้ คนอื่นก็ต้องได้มากเท่าใดเท่านั้น เขาหลงว่าเป็นของน่าได้ หลงผิดจริงๆ เป็นคนมืดบอด บุญนี้เป็นของอสุภะ ไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น แต่เป็นเรื่องต้องทำ ผู้ใดทำกรรมกิริยาบุญเสร็จ จะมีฤทธิ์ทำลายบาป กิเลส จากจิตสันดาน

แม้เขารู้ว่าอันนี้กำลังโกหก ก็ยังโกหกได้ลงคอ จับได้ไล่ทันก็ไม่รับ คุณว่าคุณไชยบูลย์ตอนนี้ทุกข์ไหม...ทุกข์ เขาเข้าใจผิดคำว่า กาย

เขาไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจธรรมะสองที่จะทำให้เป็นธรรมะหนึ่งได้อย่างไร กาย

คือธรรมะสอง คือรูป คือนาม เขาจะรู้ว่ารูปนามคืออะไรก็คงไม่รู้ ถ้าเขารู้อย่างอาตมา เขาจะไม่ทำอย่างอาตมาไม่ทำ เขาจะทำแบบอาตมาก็จะสบาย

เขาหลงกายที่ผิดว่า เป็นเทวดา เป็นวิสุทธิเทพ เป็นพระพุทธเจ้าไปด้วย เอวังเลยแบบนี้ อาตมาก็สงสารทั้งตัวเขาและคนที่ถูกเขาหลอก เป็นหน้าที่อาตมาต้องตำหนิ

อาตมาอ่านหนังสือ คอลัมนิสต์ก็เขียนแต่เรื่องนี้ ก็เลยตัดมานิดหน่อย

เอาที่เขาโกหกตัวแรกคือคุณศุภชัย แกบอกว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ที่ทำร่วมกันเป็นกิจการหมื่นล้านไม่ใช่น้อยๆ ศุภชัยก็มาสารภาพผิด สำนึกแล้ว แต่ไชยบูลย์ยังโกหกต่อไปอีก

อาตมาชอบข้อเขียนของจิตรกร บุษบา...แนวหน้าวันนี้ คอลัมน์เส้นใต้บรรทัด

ขอตอบประเด็นต่างๆ ของทั้งมหานพพรและภาสุระเสียเลยว่า

 

1) รู้ “ละอายแก่ปาก-แก่ใจ” (หิริ-โอตตัปปะ) ด้วยการหยุดบิดเบือน บ่ายเบี่ยง เลี่ยงบาลี กันเสียทีเถอะ หากยังแน่ใจ

ที่จะเรียกตัวเองว่า “พระ” กันอยู่ ศีล 5 มีอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามมุสา แต่ท่านถือศีลสองร้อยกว่าข้อ ยังกล้าใช้วาจา “ปรุงแต่ง” ให้เรื่องราวไกลจากความบริสุทธิ์แห่งความจริงแท้ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

 

2) ถามหน่อย ว่าเรื่องนี้ “บานปลาย” เพราะอะไร เพราะธัมมชโยแต่เพียงผู้เดียวที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ว่ากระทำความผิดฐาน สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับความเป็นประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องชักแม่น้ำใดๆ มากล่าวอ้างให้เสียเวลา แค่นำตัวธัมมชโยมา “รับทราบข้อกล่าวหา” แล้วพิสูจน์ตัวเองด้วยความบริสุทธิ์ ที่บรรดาลูกศิษย์ต่างขึ้นป้ายและใส่เสื้อว่า “เราเชื่อในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อ” ถ้าเชื่อก็เอาตัวมา ไม่ใช่กันตัวออกไปจากการตรวจสอบ

 

3) ถ้าจะอ้าง “พระพุทธศาสนา” ก็ตอบมาเสียก่อนว่า คำสอนที่ธัมมชโยสอน ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและเนื้อหาตามพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาไหม เช่น ถวายข้าวพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน, การอวดอุตริมนุสสธรรม ด้วยการเล่าเป็นตุเป็นตะ ว่าสตีฟจ๊อบส์ ตายแล้วไปไหน เพราะอะไร ยังไม่รวมเรื่องขำขันประเภท แม่ชีปัดระเบิด ค้อนเคาะกรรม และงานอีเว้นต์อวดอุตริ ค้าสวรรค์ ขายบุญ ฯลฯ

 

4) พระพุทธศาสนาตั้งแต่แรกมีจนถึงทุกวันนี้ ส่งเสริมให้ “กู้ยืมเงิน” หรือ “เข้าถึงสินเชื่อเพื่อการทำบุญ” ไหม การตั้งสหกรณ์มงคลเศรษฐีขึ้นในวัด แล้วให้คนกู้ไปทำบุญ ใช้หลักการของพระพุทธศาสนาที่สุจริตและบริสุทธิ์ไหม หรือเป็นแค่องค์กรเหลือบไรที่เอาพระพุทธศาสนามาบังหน้า ขายสินค้า ค้าบริการ นำทางสู่สวรรค์ เพื่อ “โน้มทรัพย์” คนที่หลงเชื่อไปเป็นของตัว แล้วนำไปตั้งมูลนิธิ ตั้งบริษัท ซื้อที่ดิน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นกิจการแห่งพระพุทธศาสนา วัด พระ หรือเดียรถีย์ปลอมบวช? ตอบมา

พ่อครูว่า เป็นเรื่องอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนสมบูรณ์แบบ มีการบอกว่า หาวทีหนึ่งฝันเป็นตุเป็นตะ เป็นต้น….พระพุทธเจ้าว่าคนโกหกทั้งๆ ที่รู้ ไม่มีความชั่วใดที่เขาทำไม่ได้ ไม่ได้ใส่ความนะ

 

5) ดังนั้น ธัมมชโยใม่ใช่ “พระพุทธศาสนา” เช่นดียวกับ “ธรรมกาย” อย่ายกหางตัวเองกันสูงขนาดนั้น แต่เมื่ออ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งพระพุทธศาสนา ก็ต้องพร้อมกับ “การตรวจสอบ” ไม่ใช่พอถูกตรวจสอบ กลับใช้คำใหญ่คำโต “อัพราคา” ว่ามีขบวนการ “ทำลายพระพุทธศาสนา” พวกค้าบุญ ขายสวรรค์ นี่ต่างหากล่ะ ที่พาคนไปงมงาย สิ้นปัญญา เป็น “เชื้อโรคในพระพุทธศาสนา” ที่ทำให้ศาสนาโดยรวมอ่อนแอ กลายเป็นบริษัท ที่เน้น “ผลประกอบการ” กับ “จำนวนสมาชิก” ผ่านการตลาดที่มี “อีเว้นต์” เน้นความใหญ่โต อลังการ แทนการสมถะ ลด ละ และปล่อยวาง อย่างที่พระพุทธศาสนาเน้น

 

6) เอาเด็กชาวเขามาบวชกันปีละเป็นหมื่นเป็นแสน วัดเครือข่ายมีอีกมหาศาล ถามว่าจำนวนพระที่สอบได้ “เปรียญธรรม” ชั้นต่างๆ โดยเฉพาะ “เปรียญ 9” มีกี่คน? สำนักเรียนจนๆ เล็กๆ อย่างวัดโมลีโลกยาราม และวัดอื่นๆ ยังมีสถิติสอบได้ ดีกว่าวัดพระธรรมกายไม่รู้ตั้งกี่เท่า แปลว่าอะไร แปลว่าไม่ได้เน้น “คุณภาพการศึกษา” ทั้งๆ ที่พรั่งพร้อมทั้งเงินและญาติโยม ปัญญา” จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ลัทธินี้ “มุ่งสร้าง” ใช่หรือไม่

 

7) ธัมมชโย ต้องข้อกล่าวหาว่า สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ซึ่งกระบวนการพิสูจน์ไม่ได้ยากเย็นเลย ถ้าแค่มีโยมเอาเงินมาถวาย ก็หลุด แต่ถ้าไปสมคบ รู้กัน หรือให้ความร่วมมือกับโยม เอาเงินจากสหกรณ์หนึ่ง ปล่อยให้คนทนทุกข์อกไหม้ไส้ขมมาเป็นสิบๆ ปี ยักย้ายถ่ายเทเงินมาไว้ที่อีกสหกรณ์หนึ่ง ซึ่งข้องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย และเงินอีกหลายส่วนถวายธัมมชโย มูลนิธิต่างๆ ของวัด และพระลูกวัด ที่บางรูปสึกไปตั้งบริษัทรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน บางนิติบุคคล เอาเงินที่ได้มาจากสหกรณ์นั้น ไปซื้อที่ดิน แล้ววกมาถวายให้ธัมมชโยอีก เขาก็ต้องกล่าวหาคุณ เพราะรูปการมันเป็นการ “ฟอกเงิน” ไม่ใช่แค่มีคนเอาเงินมาทำบุญแบบธรรมดาๆ คุณก็แค่มารับทราบข้อกล่าวหา ปฏิเสธ และสู้คดี ก็เท่านี้เอง ไฉนกลับทำเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องกลั่นแกล้ง “ภิกษุชราอาพาธ” เหมือนดอกเตอร์หญิงโง่ๆ บางคนพยายามเล่นคำ เพื่อปลุกระดมคน หรือทำให้เป็นเรื่อง “ทำลายพระพุทธศาสนา” ไปโน่น

 

8) ถามว่าจนถึงบัดนี้ มีใคร “ใช้ความรุนแรง” กับธัมมชโยบ้าง เขียนกัน พูดกัน แถลงกันเป็นตุเป็นตะ ดัดจริตเรียกหา “สันติวิธี” เป็นชาวพุทธต้องรู้จักใช้ “ปัญญา” ไต่สวนทวนความ หา “เหตุ” แห่งปัญหา ตามที่พระศาสดาทรงสอน ไม่ใช่ใช้ “เครือข่าย” ส่งอีเมล์บ้าๆ บอๆ มาต่อล้อต่อเถียง เบี่ยงประเด็น “ฟอกเงิน” ไปเป็นเรื่องอื่น

 

9) อ้างมาตลอดว่าป่วย แต่ใบรับรองแพทย์ไม่สุจริต แล้วยังมีหน้าให้คนกราบไหว้อยู่ได้ ไม่อายโลก กะอีแค่ใบรับรองแพทย์

ที่หากป่วยจริง โรงพยาบาลไหนเขาก็พร้อมจะออกให้อย่าง “ตรงไปตรงมา” ได้ทั้งนั้น ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล ให้มันชัดเจน สง่างาม ว่าป่วยจริง อย่าอ้างนะว่าขยับตัวไม่ได้เลย ทุกวันนี้ แพทย์เขามีระบบ “รับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน” ที่พัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

 

10) ไอ้ที่ยืนยันว่ายังอยู่ในวัด ก็ไม่มีอะไรให้คนเขาเชื่อถือได้ นอกจากเชื่อกันเอง ถามว่ามีลูกศิษย์กี่คนในรอบหลายเดือนมานี้ ที่ได้เห็นธัมมชโยนอนป่วยสาหัสอย่างที่แถลง เพราะก่อนหน้านี้ยังออกมารับประกาศรางวัล ออกไปปล่อยนกในวันเกิดลูกศิษย์ได้อยู่เลย

 

11) ธัมมชโยจะได้รางวัลจากองค์กรไหนมาบ้างก็ช่าง การเป็นภิกษุชราอาพาธก็ดี การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาทั้งชีวิต ตามที่ลูกศิษย์อวยกันนักก็ดี การสอนสมาธิ มีสาขาวัดอยู่ทั่วโลกก็ดี หรือการอ้างว่า “องค์กร IBEI ในประเทศอินเดีย ยังได้มอบประกาศเกียรติคุณกับพระธัมมชโยที่เป็นผู้สร้างสันติ ทำงานเพื่อสันติภาพโลกอีกด้วย” ก็ดี มันช่วยให้เขาพ้นข้อกล่าวหาว่า “สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร” ได้มั้ย? ทำดีกับทำชั่ว หักกลบลบหนี้กันได้มั้ย?

 

พอเถอะ หยุดตลบตะแลงให้สังคมระแวงแคลงใจ ถูกกล่าวหาว่าอะไร ก็เดินนำลูกศิษย์ออกมาพิสูจน์ตัว ว่าไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา อย่าทำตัวเป็นพวกนักร้องดารา ที่ถูกกล่าวหาว่าทำผู้หญิงท้อง แต่พอถูกเรียกร้องให้ตรวจดีเอ็นเอ กลับไม่ยอมตรวจ แล้วคนทั่วไปเขาจะคิดเป็นอื่นได้อย่างไร นอกเสียจากคิดว่า “มึงทำเขาท้องแน่ๆ”

 

Sms 31พ.ค.59

0863935xxx พ่อครูเทศน์ได้จับใจถึงแก่นแท้พระธรรมอย่างแท้จริง หาฟังที่ไหนยาก ถูกใจจริงๆ

ดูพ่อครูในทีวีตั้งแต่ทีวีช่อง4 บัดนี้ก็ยังดูอยู่ อัศจรรย์แท้ เทคนิคบุญนิยมทีวียอดเยี่ยม สวยมากค่ะ

0888255xxx ใช้คนเป็นพันๆ เป็นโล่ป้องกันตัวเองคนเดียวนะคิดได้ไงเจ้

0893867xxx ถ้าผู้น้อยไม่เจอกทธ.ก็คงไม่รู้จักกายอันสัมมาทิฏฐิเข้าไม่ถึงบุญที่ถูกทางจากพ่อครูฯ

คงหลงบุญสวรรค์เลยนิพพานหลุดโลกตกขอบจักรวาลไปแล้ว!

พ่อครู….อาการในระดับอุตุ มันไม่รู้เรื่องหรอก แล้วมันก็มาทำงานจับตัวปรุงแต่งเป็นพีชนิยาม เป็นอัตตา ish เข้าใจสภาวะ i ต่างจาก he ต่างจาก she อย่างไร รู้ว่าพลังงานเบาแรงอย่างไร อย่างใดเป็น he อย่างใดลีลาเป็น she เราเป็น i ที่เหมือน she หรือ he จะเห็นความต่าง อ่านพลังงานละเอียด แยกอุตุ พีช จิต นิยามได้ จึงสามารถจัดอภิสังขาร ปรุงแต่งจัดการเองเลย ให้แต่พลังงานอย่างนี้เกิด จะให้เกิดเพียงเท่านี้ๆ เหมือนช่างใหญ่ วิศวกร พลังงานเท่านี้ๆ คุณก็เหมือนวิศวกรใหญ่ที่จัดแจงได้สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องนิยาย ไม่ใช่เรื่องตลกนะ อยากได้อยากเป็นไหม วิศวกรทางวิญญาณ

เมื่อคุณทำส่วนแห่งบุญได้เป็นลำดับ จนหมด อปุญญะ ต่อจากนั้นมีแต่สั่งสมกุศล อเนญชา มีความแน่น แข็งแรงของพลังงานที่คุณได้ควบแน่นไปเรื่อยๆ ต้องชัดเจนว่า บุญคืออะไร บาปคืออะไร

 

0805925xxx ชะตาตนมิอาจรู้นี่แหละคือวิบากกรรมธัมมี่ดังจนดับชิตังเมใกล้ซังเต?

 0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูสอนให้รู้กายถูกตรงจิตมโนวิญญาณ!รู้บุญถูกทางปุญญาภิสังขาร!รู้จิตถูกต้องทำโดยชอบตรงตามสัจธรรม! ตาม หลักธรรมที่ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ครบครันสาธุ

0893867xxx กายในนิยามของธก.มุ่งแต่มโนมยิทธิสร้างลูกแก้วลวงตาหลอกใจหลงเลยปุญญักเขตตยากหลุดพ้นกิเลสาสวะในตัวตน!

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับบุญในนิยามพ่อครูคืออาวุธเครื่องมือประหารกิเลส!ดังเปาปุ้นจิ้นประหารนักโทษด้วยเครื่องประหารหัวสัตว์ทุกระดับ!ประหารรรเหม่ม่ม่ฉับ!

พ่อครูว่า...เขาหลงว่า ชื่อเขา ไชยบูลย์เป็นกุศล แต่เนื้อแท้ตัวเขาไม่ใช่ เขาเป็นดำ แต่ยึดว่าเขาขาว แม้ชื่อก็เป็นอสัจจะ เขาไม่ใช่ ไชยบูลย์ แต่เขา อไชยบูลย์ มีความเต็มในความไม่ชนะ ขี้แพ้มาตลอด อสุรกายตัวใหญ่ ก็เห็นหลัดๆ

0805925xxx คสชสยบแม้ว ดีเอสไอสยบธัมมี่โอ้มายก๊อด?

0816800xxx ธัมมี่กำลังตกนรกบนโลกใบนี้ทั้งเป็นค่ะ

_จากไลน์...Sayan

คำถามคะ พ่อท่านคะ ลูกพาพี่สาวที่เป็นธรรมกายระดับผู้นำไปที่นาแรงรักแล้ว ท่านตรงมั่นก็พยายามอธิบายธรรมของพระพุทธเจ้าให้ฟัง แต่เห็นอาการของพี่อึดอัดลุกหนีออกไป แบบนี้ถือว่าลูกทำดีที่สุดแล้วใช่ไหมคะ ที่เหลือก็สุดแต่วิบากของเขาใช่ไหมคะ?

ตอบ...ใช่ ทำดีที่สุดแล้ว เพราะเป็นเนยบุคคลที่ยากเข้าถึง อาจเป็นปทปรมะอยู่ เป็นบัวใต้ตึก ใต้คอนกรีต ฟังแล้วไม่เข้าไม่ชอบใจด้วย

 

Keawla Loveking (เฟสบุค บุญนิยมทีวี) เมื่อคืนปิดร้านสามทุ่มเปิดทีวีฟังธรรมพ่อท่านนอนเกือบเที่ยงคืนเกือบจะทุกวันลูกเลยได้ทำวัดสายทุกวันเกือบหกโมงเปิดทีวีเบาๆ ทำวัดไปด้วยจะผิดไหมเจ้าค่ะ

 

_สมศักดิ์ มณีแสง(เฟสบุคกองทัพธรรมFP) ....ใครตอบหน่อยได้ไหมครับ ผมเคยนับถือสมณพ่อโพธิรักษ์ แต่เมื่อวานได้ยินท่านพูดว่า ปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นคือสีดำปฏิบัติสายธรรมกายคือสีขาว ซึ่งสีดำไม่มีปัญหาเพราะมืดแล้วจบ แต่สีขาวมีปัญหามากมายไม่จบไม่สิ้น แต่ว่าปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นแล้วจะไม่มีทางสำเร็จอรหันต์ จะให้หมายความว่าอย่างไร แล้วพระอรหันต์สายหลวงปู่มั่นที่มีอยู่ทุกวันนี้ท่านไม่สำเร็จเลยหรือในสายตาของสันติอโศก ถ้าไม่ตอบให้กระจ่าง ก็จะขอเลิกศรัทธาสายสันติอโศกตลอดชีวิต

 

ตอบ...อาตมาได้แยกแยะไปแล้วว่า ธรรมะมี สองสาย สายสุภกิณหา (อ.มั่น) และสาย อาภัสรา(ธรรมกาย)

สายอ.มั่นจะดับนิโรธก็ดับปี๋ดำ เป็นกิณหะ(แปลว่าดำ)

ทั้งสองสายอธิบายได้จาก พรหม 16 ชั้น

คำว่าพรหม คือผู้รู้จักสัจธรรม สามารถจับอาการกิเลสได้ ทำกิเลสลดได้ เกิดความจริงที่กิเลสลดได้ เกิดเป็นเทพ คำว่าพรหมแปลว่าบริสุทธิ์แต่คำว่าเทวดาหรือเทพเป็นคำใหญ่ อาจเป็นเทวดาโลกีย์ก็ได้ ได้ โลกธรรม ได้กามก็คิดว่าเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาโลกีย์

1       รูปพรหม

1.1    ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นผู้สะอาด จะยิ่งใหญ่ไปตามลำดับ ตั้งแต่ปริตตัง น้อยๆ ไปมาก ไปเรื่อยๆ เป็นมหา ถ้ามากไปเรื่อยๆก็เรียกว่า อัปปมัญญา

1.2    ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ คือครูน้อย

1.3    ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ คือ ครูใหญ่

1.4    ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ เริ่มมีนิมิต เครื่องหมายเป็นแสงสว่าง นัตถิปัญญา สมาอาภา เป็นความตรัสรู้ไปตามลำดับ ไปได้เรื่อยๆ มากมาย ก็มีชื่อเพิ่มเป็น อัปปมาณาภา และเป็นอาภัสรา ต่อไป

1.5    ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

1.6    ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ เป็นแสงสว่างน้อยๆก่อน

1.7    ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ คำว่าสุภา นี้สูงว่า อาภา  แต่ว่าไปเห็นดำเพราะว่าตัวสุดท้ายของปริตตสุภา ไปเห็นมืดดำดับจิตว่าเป็นสิ่งที่งาม เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น

1.8    ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ อันนี้แสงสว่าง ไม่มีจำกัด

1.9    ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ สายอ.มั่น เข้าใจว่า ความดับมืด ดับจิตเป็นนิโรธ อากาสา มาเป็นวิญญานัญจา แล้วมาเป็นอกิญจัญยายตนะก็ไปแปลว่าดับลงไปอีก สายนี้ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะต้องใช้สัญญากำหนดรู้ให้หมดว่าอะไรเกิดหรือดับ อะไรเป็นโลกสมุทัย อะไรเป็นโลกนิโรธ อันนี้ในพระไตรฯ ล.16  ที่บอกว่า ความมีกับความไม่มี

สุภกิณหา แปลว่า ยินดีในความดำ นิโรธสายอ.มั่นจะเป็นนิโรธดับ ส่วนสายธรรมกายเป็นนิโรธสว่าง เขาจะมีแต่ใสๆ หมดเลยไม่มีคำว่าดับ ไม่มีคำว่า ดำ

อุทกดาบสนี้รู้อาการแวบของจิตได้ แต่อาฬารดาบสไม่รู้ หรือถ้าคุณจะตั้งเวลาว่า นั่ง 10 ชม.ไม่มีแวบก็ทำได้แต่ถ้าจะต่ออีกอาจมีแวบหรือจะต่ออีก เป็น ร้อยชม. ก็ฝึกได้ แต่มันต้องมีการเกิด เพราะไม่ได้ทำลายกิเลส มันแค่สะกดมันไว้ ไม่ได้ดับจริง ต่อให้กดไว้ ร้อยปีก็ต้องแวบขึ้นมา ไวรัสแต่ละตัวบางทีอายุล้านปี เอามาฟื้นชีวิตมันได้ แต่นามธรรมละเอียดกว่าอีก ต้องอยู่ได้นานเป็นล้านๆๆๆ ปี

การนั่งหลับตานั้นไม่มีผัสสะ ที่จะทำให้เกิดเวทนาที่จะได้เรียนรู้เหตุแห่งเวทนาทุกข์สุข ก็จะทำลายเหตุคือกิเลสไม่ได้  เพราะไปดับทางที่จะทำให้รู้แล้วนั่นเอง ดับภายนอกแล้วใจก็ไม่ได้สัมพันธ์กับตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่ใจ อีกห้าทวารไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า สัมผัสนั้นจริงไหม คุณรู้จักมันดีไหม รูปร่างของความหลงรูป รส กลิ่น เสียง เป็นอย่างไร ไม่ได้ยืนยันความจริง อาตมาถึงบอกว่า อาจารย์ที่ท่านสังคายนามา สูตรที่ 1  ยืนยันว่า  สมัยนั้นก็มีคนหลงป่าออกนั่งหลับตากันหมดแล้ว ยุคพระพุทธเจ้าก็ยิ่งหนัก ยุคนี้ยังมีสัญญาพอรู้บ้าง

_มีคนแทรกมาทางเฟสบุคว่า เท่าที่เจอหลวงพ่อธัมมชโย นี้ไม่เคยเจอหลวงพ่อพูดให้ร้ายใครอย่างที่ท่านว่าเลย...

พ่อครูว่า...ขอตอบว่า...ธัมมชโยนี้ ทำบาปและพาคนทำบาป อาตมาก็พูดชี้ ของจริงเพื่อยืนยันให้รู้ แล้วเขาก็จะได้อ่านพฤติกรรมที่คุณธัมมชโยทำมา ผู้ใดที่หาหลักฐานมาก็จะได้ของจริงไปยืนยันความจริงเป็นประโยชน์ แต่ถ้าใครคิดว่าอาตมาไม่บริสุทธิ์เพราะไปว่า ธัมมชโย เพราะคิดว่าถ้าบริสุทธิ์ต้องไม่ไปว่าใคร

พระพุทธเจ้าว่าให้ทำการ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง(ตำหนิคนควรตำหนิ ชมคนที่ควรชม) คนที่ตำหนิติเตียนด้วยจิตบริสุทธิ์ อาตมาขอแย้งคุณที่ว่าอาตมามาว่า คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่า อาตมาไม่มีจิตสกปรกจิตไม่สะอาด สาเฐยจิต อาตมาบอกคุณได้แค่นี้นะว่า อาตมาสะอาด อาตมาไม่ได้อคติ ด้วยชัง ด้วยรัก ด้วยหลงเลย หรือด้วยกลัวก็ไม่มี

ถ้าคุณบอกว่าตำหนิใครไม่ได้เลยจะเอียง แปลว่าคุณไม่ครบ ไม่เต็ม เพราะคุณเอียงไปในข้างที่ว่า อย่าว่าใครเลย แต่อาตมาทำการตำหนิ พระพุทธเจ้าก็ทำ สัตบุรุษทั้งหลายก็ทำ

ยุคนี้ความชั่ว ความผิด กับความดี ความถูกอะไรมาก ….ก็ต้องความชั่วมากกว่า จึงต้องช่วยทำ อาตมาจะเสียรังวัดได้ อย่างน้อยคุณเพ่งโทษอาตมาอยู่นี่ แต่อาตมาต้องแสดงอุเทส ที่พูดนี้ไม่ได้ด่าเลย แต่พูดความผิด ที่ผิดร้ายแรงก็ต้องพูดให้รู้ว่าแรง ยังเน้นเสียงอีกใช้พลังงานมากขึ้นก็เมื่อยนะ แต่อาตมาเต็มใจเสียสละให้คนเข้าใจได้ง่ายขึ้นก็เต็มใจทำ ตามที่อาตมาปรุงแต่งสังขารให้ได้รับรู้กัน

 

1.10  ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ คือสว่าง นี่คือเวหา หาว

1.11  ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ คือดับสัญญา ไม่รู้สึกอะไรเลย ดับสัญญาแล้วจะรู้ไหมว่า สัญญาคืออย่างไร นิโรธแบบดับคือกำหนดดับทั้งความรู้สึก ทั้งหมด ไม่มีความรู้อะไร นิโรธที่ดับทั้งเวทนาและสัญญา แต่คุณดับสัญญาความกำหนดรู้อย่างเดียวก็ไม่รู้เวทนา เป็นอสัญญี อันนี้เป็นภพความมืดดำไม่มีอะไรรู้เลย อสัญญีสัตว์ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่อย่างไร เวหัปผลายังรู้ตัวเอง ถ้าเข้าใจสัมมาทิฏฐิ อากิญจัญญายตนะคือให้ตรวจสอบว่า ยังมีเศษเหลืออีกน้อยนิดเท่าไหร่ก็ต้องทำลายไม่ให้มีหม่นหมองเลย แม้น้อยแม้นิด ทำให้ใสได้ คุณทำได้แล้วก็เป็นเจโต คุณก็รู้ว่าได้แน่แล้ว ต้องรู้ต่อไปให้หมดเกลี้ยง พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ พ้นอวิชชาทั้งหมด สัญญาทำการกำหนดรู้บริบูรณ์สัมบูรณ์ครบถ้วน คุณก็พ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย เป็นอรหันต์จบ

ต้องเข้าใจอาการของเวหัปผลา และอสัญญีสัตตายตนะ พ้นอายตนะสองนี้ก็จบบริบูรณ์ สัญญากำหนดแล้วว่าไม่มีอะไรเหลือ อัชฌัตตังอรูปสัญญี กำหนดรู้ทั้งภายนอก ถึงภายในรูปจิตอรูปจิตได้หมด กิเลสนอก โอฬาริกอัตตา ลืมตาก็ไม่มีกิเลส จะภายในหลับตาหรือไม่หลับตาก็กำหนดรู้ในส่วนเศษน้อยนิดเท่าไหร่ก็หมดไม่มี พ้นรูปสัญญา นานัตตสัญญาต่างๆ หมดไม่เหลือ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เคล้าเคลียร์อารมณ์เวทนาหมดไม่เหลือ นิโรธหมด โหติ บริบูรณ์สูงสุด ตั้งอยู่ วิหารติ …

พรหมที่เหลืออีก 5 เป็นอนาคามี

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)  ถ้าพากเพียรได้ดีก็คือ สุทัสสา ดียิ่งขึ้นเป็นสุทัสสี หรือสสังขาริกัง

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

อาตมาตั้งไว้ว่าจะเกิดให้ไวที่สุด หลังตายแล้ว มีคนถามอาตมาว่า ยุคสมณโคดมพ่อท่านเกิดหรือเปล่า… ไม่บอกก็ได้ว่าเราก็เกิดในยุคสมณโคดม แล้วเกิดมาทำงานต่อเพราะได้รับมอบหมายมาทำงานนะ ต่อศาสนาพระพุทธเจ้า นี่ก็หมดจบพรหม 20 ชั้น….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:52:12 )

590602

รายละเอียด

590602_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ธรรมกายคือสำนักผีบุญ

พ่อครูว่า ..วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2559 ที่สันติอโศก....ชีวิตคนเราอยู่กับธรรมะก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรเลย เพราะผู้มีธรรมะคือผู้มีภูมิธรรมของศาสนาตรงกับทฤษฎีของพระพุทธเจ้า คือมรรคมีองค์ 8 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีใครรู้เรื่องทฤษฎีนี้หรอก

          เมื่อศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไป เราก็ต้องมากอบกู้ให้คืนมา ที่อาตมายืนยันว่าอยู่กับธรรมะนั้นได้ทุกเวลาทุกขณะ ทุกอานาปานะให้มีสติ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าอานาปานสติ เป็นสูตรหลักทฤษฎีหลัก

          อานาปานสติไม่ใช่สูตรนั่งหลับตาแล้วสะกดจิตเข้าภวังค์เท่านั้นไม่ใช่ แต่อานาปานสติของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา จะหลับตาก็ได้แต่อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก เพราะเป็นภาวะสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิ ปัสสติ เพราะการไปนังหลับตาเหลือแค่ความรู้สึกลมหายใจ มันเกือบจะไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว

          จึงต้องมีลมหายใจเหลืออยู่ ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องอธิบายยืนยันว่าทิ้งกายไม่ได้นะ

          เพราะศาสนาพุทธในยุคพระพุทธเจ้านั้นก่อนท่านยังไม่มี แต่ในบรรดาคนนักปฏิบัติไปนั่งหลับตาทำสมาธิ เข้าไปในภาพภายใน จนไม่รู้แม้ลมหายใจเข้าออกเลย พระพุทธเจ้าก็ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า

พระไตรฯ 8 เล่มแรกเป็นพระวินัย ส่วนเล่ม 9 เป็นพระสูตร สูตรแรกท่านว่าด้วยทิฏฐิที่ผิดทั้ง 62 ทิฏฐิ อยู่ในการนั่งหลับตาสมาธิ จะได้ความรู้ความเห็นในภพ มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิตามทฤษฎีของศาสนาพุทธ เพราะปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะตามไตรสิกขา

ในสูตรแรกว่าด้วยทิฏฐิ แล้วก็ต้องมีศีลกับปัญญา ผู้ใดจับประเด็นสำคัญในธรรมะของพระพุทธเจ้าตรงนี้ไม่ได้จะงมงายกับการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากที่พระพุทธเจ้ากอบกู้มา

วันนี้อาตมามีฉากใหม่…

 

ประชาสัมพันธ์การประกวดอาหารมังสวิรัติ งานอโศกรำลึกปี 2559

ขอความร่วมมือทุกพุทธสถานและทุกชุมชน ช่วยส่งอาหารมังสวิรัติส่งเข้าประกวดในงานนี้ด้วย อย่างน้อยชุมชนละ 1 รายการ เนื่องจากเป็นการประกวดอาหารมังฯด้วยพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน ด้วยผักไร้สารพิษ ไม่มีผงชูรส ไม่มีเนื้อเทียมใดๆ ไม่มีผงปรุงรสใดๆ สารเคมีปรุงแต่งรสใดๆ

จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกชุมชนชาวอโศกร่วมประกวดครั้งนี้ ส่งใบสมัครอย่างช้า 5 มิถุนายนนี้

ติดต่อรายละเอียดได้ที่คุณ น้อมขวัญ… 087 3238537

 

มาต่อที่พรหมชาลสูตร ทุกศาสนาเขาก็พยายามควบคุมจิต โดยควบคุมกาย วาจา โดยเวลาปฏิบัติต้องบังคับจิต เพราะทุกอย่างกาย วาจา มาจากจิต แต่เขาไม่มีสูตรทฤษฏีที่เข้าไปถึงต้นตอ ให้จิตเกิดกรรม กายกรรมวจีกรรมจะดีอย่างไรก็คือจิตสั่งการ โดยไม่ต้องสั่งฝืน แต่ถ้าฝึกบังคับจิตให้คุมกาย วาจาไปได้มากๆ นานๆก็ชินทำได้แต่ไม่ได้เกิดปัญญาจริง

จิตนั้นจะไม่มีตัวต้านเลย ไม่มีอกุศลจิตที่ตกค้างในจิต ของพระพุทธเจ้าล้างอกุศลจิตตัวอวิชชาเลย จนไม่เหลือความสงสัยลังเลย วิจิกิจฉา ไม่เหลือเศษเจโตใดๆเลย แม้แต่ศาสนาพุทธทั่วไปทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำแบบนี้ แต่ก็ได้ภาษาบัญญัติร้อยเรียงไว้ สายอภิธรรมก็เอาพระสูตรต่างๆของพระพุทธเจ้ามาสวดไว้ ที่เป็นจิตเจตสิกต่างๆเรียนท่องไว้ ส่วนพระสูตร ก็มาจำไว้แล้วมาท่อง ที่ท่องสูตรเป็นหมู่ๆๆ ที่สวดในบ้านในเรือนที่ไหนๆก็แล้วแต่คือเรียนพระสูตร แม้แต่อภิธรรมก็เอามาท่องด้วย

เราได้เอาเรื่องของพรหมมาอธิบายเมื่อวานนี้ ที่จะต้องเห็นพรหม แล้วหนทางไปสู่ความเป็นพรหมคืออย่างไร

SMS 1มิ.ย.59

0818557xxx กราบนมก.พ่อครู ท่านเล่าเรื่องธัมมี่สนุกค่ะ เหมือนเล่านิทานมีหนักเบา เสียงดังเบาค่อย ตื่นเต้น หงอยเหงา หนุกดีค่ะ ลูกว่าหนังหมาขี้เรื้อนมากกว่าเพราะตอนนี้โรครุมอยู่ใช่ปะคะ..อิอิ..สาธุ..

ตอบ...ธรรมกายหรือธัมมี หรือธัมมชโย ก็ขอบอกตรงนี้ก่อนเลยว่า ธัมมชโยคือผีบุญ ฝากไปถึงท่านผู้บริหารบ้านเมืองเลย

ผีบุญนี้ผิดกฏหมาย เป็นเรื่องร้ายแรงของประเทศ

0890499xxx เขียนแล้วไม่มีคนอ่าน ก้ออ่านเองสิ เท่ออก ตอบ..แน่นอนอาตมาอ่านเองอยู่แล้วก่อนจะออกมาสู่ใคร อาตมาอ่านทวนไม่รู้กี่เที่ยว

0805925xxx ดีใจจุงเบยวันนี้ไปถวายอาหารพ่อปัจฉาสมณะบุญนิยมด้วยสุขมั๊กมากได้กุศลส่วนบุญ ขอบคุณลมระรินมากกกกที่ช่วยเราจัดอาหารถวายสมณะทุกๆครั้งรักจุงเบยยลมระริน!อิอิอิ

0802166xxx ขอรับรองคำพูดพ่อท่านครับ ธรรมกายโกหกตัวเลขจริงๆ

ตอบ...แม้แต่ตัวเลขคนมาเท่านั้นเท่านี้ก็โกหกจริง โกหกสารพัด

สายเจโตนี้ต้องมีคนบอกว่าเป็นอรหันต์จึงรู้ เช่น พระพาหิยะ เจโตเป็นอรหันต์แล้ว พอฟังพระพุทธเจ้าสั้นๆ ก็เต็มเลย เป็นอรหันต์เต็ม ฟังแค่สี่ประโยค

สักแต่ว่าได้เห็น ได้ยิน ได้รส ได้สัมผัสรับรู้ ก็เต็มแล้ว แต่ถ้าไม่มีบารมีมาก่อนไม่ได้หรอก แต่พระพาหิยะใช่ มีบารมีมาเก่า

อาตมานำสิ่งที่เพี้ยนผิดไปแล้วมารื้อฟื้นอีก เพราะว่าไปหลงผิดเข้าใจแค่นั่งหลับตาสมาธิแบบฤาษี แล้วได้ทิฏฐิอดีต อนาคต 62 นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ

สามัญผลสูตร เป็นสูตรที่ถ้าปฏิบัติตามอย่างสัมมาทิฏฐิจะได้ผล

แล้วสูตรที่สามเป็นอัมพัฏสูตร ท่านบอกประเด็นหลักคือ ออกป่า อาจารย์เป็นพระป่าเหมือนยุคนี้เข้าใจได้ง่ายถ้ายอมรับ

ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

อันสุดท้ายนี้คือแบบธัมมชโยที่สร้างเรือนไฟไว้ดักคน กระจายไปทั่วโลกเลย

สายหลับตาแบบอ.มั่นก็ผิดข้อ 1ข้อ2 ส่วนธัมมชโยก็ผิดข้อ  4

 

0805925xx สายหลวงปู่มั่นหลับตาก็ไม่เคยโป้งแล้วรวยนะแต่ธัมมี่หลับหรือลืม เงินมึงมาเข้าเป๋ากู?หลับตาสัปหงก ลืมตา ตาพองโตดาวยั่วมาเปรี้ยงเยย?

0893867xxx นั่งหลับตากำหนดลมหายใจดับกิเลสชั่วขณะ!ลืมตา กำหนดรู้ทันทุกผัสสะดับกิเลสทุกปัจจุบันขณะ!

พ่อครูว่า หลับตานั้นไม่ได้ดับกิเลสเลยแต่ข่มกิเลสไว้ไม่ได้ปฏิบัติล้างกิเลสจากจิตเลยโดยเฉพาะไม่รู้จักกิเลสด้วย เพราะไม่มีกายเป็นสักขี มีแต่จิต มีแต่สัญญาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสูตรหลักมีบุคคล 7(ทักขิเนยบุคคล)

สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี

3. สัทธาวิมุติ

5. กายสักขี  

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8 ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงมีอุภโตภาควิมุติ)

 

สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี

4. ทิฏฐิปัตตะ

6. ปัญญาวิมุติ

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด) แต่ท่านที่แปลพระไตรฯท่านแปลว่า สายปัญญานี้ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แท้จริงแล้วท่านสัมผัสวิโมกข์ 8 มาตั้งแต่ต้น

ผู้อาสวะหมดก็เป็นอรหันต์และต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงอาสวะสิ้น ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็หมดสิทธิ์บรรลุ

 

 

0812666xxx อัจฉริยะ กับ พระอรหันต์ ใครเก่งกว่ากันคะ

ตอบ...บัญญัติคำว่าอัจฉริยะมีความหมายไปทางโลกีย์ รวมเฉลียวฉลาดโลกีย์ แต่คำว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีปัญญา แม้ไม่ฉลาดเท่าไหร่ อย่างท่านจูฬปัณฎก ท่านไม่ฉลาด พระพุทธเจ้าก็ให้ลูบคลำผ้าขาว แล้วท่านก็มีปฏิภาณปัญญาเห็นความไม่เที่ยงก็บรรลุได้ ท่านไม่ได้ฉลาดไม่อัจฉริยะ ก็เป็นอรหันต์ จะบอกว่าใครเก่งกว่ากันเก่งอัจฉริยะอาตมาไม่เอา อาตมาเอาเก่งอย่างอรหันต์จะเก่งหรือไม่ก็ได้

0893867xxx UFOไม่ฟังพ่อครูช่างเขาเถอะมวลชนคนรักช.ศ.กษ.เชื่อถือพ่อครูคือour critic is our guide to precious treasure!ผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้แท้จริง!

 

0805925xxx ธัมมี่เอ้ยพระพุทธเจ้าไม่บอกหรืองัยDSIจะมา?555

 0893867xxx ผู้น้อยขอน้อมรับผิดพลาดพลาดขาดตกบกพร่องกับคำมโนมยิทธิ!ที่ถูกต้องคือมโนมยอัตตาตามที่พ่อครูติติงแก้ไขให้ถูกต้อง!

0805925xxx ธัมมี่ดังคนหูผึ่ง ดับช่วงสังฆราช เถระมอสอเจี๋ยมเจี้ยม?หุหุ!

0893867เห็นพิธีกรวิปัสสนาข่าวฟังธรรมพ่อครูฯอนุโมทนาสาธุ!แฟนประจำช่วงนี้ลงร้านบ่ทันธรรมะข่าวเช้า!ทุกคืนต้องดูอาการพ่อทุกระยะนอนบ่เต็มที่ตื่นเช้าบ่ไหว!เป็นกำลังใจให้ทุกรก.บุญนิยม

0802166xxx ทั้งอาจารย์มั่นและธรรมกาย หลับตาทั้งคู่นะครับพ่อท่าน/แม่น้ำ

 

0828281xxx ผมเคยอ่านโลกทิพย์หลวงปู่มั่นบอกท่านอยู่ชั้นพรหมไม่ได้นิพพานอย่างที่เข้าใจ

 

_มีผู้ถามเรื่องสมองกับวิญญาณ สัญญา

ตอบ...สมองคืออุปกรณ์ให้จิตให้วิญญาณให้สัญญาทำงาน ถ้าสมองไม่ครบบริบูรณ์ ก็ทำอะไรไม่ได้ หัวใจเป็นโรงงานส่งเลือดไปเลี้ยงชีวะส่วนสมองเป็นโรงงานให้วิญญาณหรือจิตทำงานกับสรีระ แยกแยะให้ถูกต้อง

 

         

มาเข้าเรื่องของธรรมกายกัน ก็จะอ่านข้อเขียนของคุณผักกาดหอมวันนี้ ในไทยโพสต์

คอลัมน์: อ่านเอาเรื่อง: เรื่องของเธอ?

 

ว่างๆ มหาเถรสมาคมช่วยส่งคนไปดู "การทำบุญ" ในธรรมกายหน่อยจะเป็นการดีมากครับ

ที่ต้องร้องขอแบบนี้ เพราะมีคนส่งคลิปเชิญชวนให้คนไปทำบุญกับธรรมกายมาให้ดู เดินเรื่องด้วยหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง มีอาชีพเป็นที่ปรึกษากฎหมาย เป็นบัณฑิตกฎหมายจากจุฬาฯ

 

แต่ดูคลิปจบเกิดคำถามขึ้นมากมาย? เธอพูดถึงความประมาท สร้างบุญมาไม่ดีพอ จนเกิดความลำบากในชีวิต จึงอยากจะรื้อผังจนในชาตินี้

 

และย้ำว่าคิดแบบนี้ได้ต้องมีศรัทธา ด้วยปัญญาก็เก็บมาเล่าคร่าวๆ ครับ เธออาศัยในบ้านเช่าเก่าโทรมๆ มาตั้งแต่เด็ก เป็นโรงละครเก่า สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นับอายุก็ 100 กว่าปีแล้ว

 

สภาพซอมซ่อ ฝนตกหลังคารั่ว ใช้ห้องน้ำรวม ลานซักล้างรวม เพื่อนบ้านเป็นผู้ใช้แรงงานมาจากภาคอีสาน และแรงงานต่างด้าว

 

แต่เธอยืนยันว่า อยู่กับพ่อแม่พี่น้องอย่างมีความสุข สุขเพราะเงินที่หามาได้ทุ่มไปกับการบริจาคให้ธรรมกาย  มีการเล่าถึงชีวิตวัยเด็กว่า ลำบาก ครอบครัวยากจน ไปโรงเรียนได้เงินไป 2 บาท ไม่กินขนม ไม่กินน้ำอัดลม กินน้ำก๊อกโรงเรียนแทน เก็บเงินไปทำบุญกับธรรมกาย

 

วันไหนอยากกินขนม แค่ไปยืนดูคนอื่นซื้อก็อิ่มแล้ว เก็บเงินไว้ทำบุญกับธรรมกาย

เริ่มทำบุญมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม่ไปซื้อทองมาใส่ ปรากฏว่าถูกกระชากสร้อย

 

เมื่อมีรายได้พอที่จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ที่มีสภาพดีกว่า แต่ที่เดิม ค่าเช่าราคาถูกสามารถเก็บเงินได้มาก เพื่อไปทำบุญกับธรรมกาย

 

ตอนมีบ้านเป็นของตัวเองสุดท้ายถูกไฟไหม้ เลยเกิดความรู้สึกว่าการมีทรัพย์ ที่คิดว่าเป็นของตัวเองแล้ว สุดท้ายไม่มีอะไรเลย ยิ่งได้ทรัพย์มาด้วยความยากลำบาก ใช้เวลานานกว่าจะได้ทรัพย์มา ก็ยิ่งเป็นกังวล การมีบ้านเพื่อมีความสุขก็ไม่ใช่

 

จึงอยากจะมีอะไรที่ติดตัวไปได้ข้ามภพข้ามชาติก็คือบุญ เธอตัดสินใจทำบุญ 1M 3 ปีซ้อน ทั้งๆ ที่สภาพบ้านก็ยังเป็นบ้านเช่า หลังคารั่ว ใช้ห้องน้ำรวม

 

ตอนแรกผมก็งง เพราะมีการพูดถึง S, M คิดว่ากองทุนหมู่บ้าน S, M, L

ไม่ใช่ครับ มันคือ Level ระดับของกองกฐินไล่ระดับตั้งแต่กองละพันยันกองละล้าน

สัญลักษณ์ที่ธรรมกายใช้คือ S กองละแสน M กองละล้าน วิธีหาทรัพย์ เธอก็เล่าครับว่าไปขอกับ "กายสิทธิ์" กับ "แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง" ที่มีเรื่องเล่าปัดระเบิดปรมาณูจากไทย ไปลงฮิโรชิมา นางาซากิ จนได้งานได้เงินมาปิดกอง S กอง M โดยไม่เก็บไว้ใช้เองเลย

 

ครับ...นี่คือวิธีการของธรรมกาย หากมองในแง่การตลาด ถือว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดอง ไร้เทียมทานจริงๆ ครับ

 

แต่หากมองในแง่ที่มนุษย์ต้องเดินทางสายกลาง "มัชฌิมาปฏิปทา" อันนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

 

ลองหลับตานึกดูหากทุกคนถูกสอนให้ทำบุญแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย

ในคลิปเดียวกันนี้มีการเชิญชวนทำบุญกับธรรมกาย โดยใช้ข้อความว่า

"บ้านบนโลกมนุษย์อาศัยอยู่ได้ไม่เกิน 100 ปี แต่วิมานบนสวรรค์ที่สำเร็จได้ด้วยบุญนั้น สวยงามอลังการ และมีอายุยืนยาวกว่ากันมากนัก"

 

พระคุณเจ้า มหาเถรสมาคม คิดว่ามีประเด็นไหนต้องเร่งแก้ไขมั้ยครับ

หรือคิดว่าแค่เรื่องของเธอ.

 

มาสู่พระไตรฯล.23 ข49

ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมี ฯ

         สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทาน เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

         พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่อง

 

ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคล บางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

พึงมี ฯ

         สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

         พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคล

บางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

         สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

         พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(เป็นเทวดาปลอม) สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

         สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

          พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

         ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

         ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา ปู่  ย่าตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

          ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อนคือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษี  วามเทวฤาษี  เวสสามิตรฤาษี  ยมทัคคิฤาษี  อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษีวาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

          ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็น

เครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

                          จบสูตรที่ 9

 

ธรรมกายคือสำนักผีบุญที่ทำตรงกันข้าม ขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฎกหมดเลย...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:52:48 )

590602

รายละเอียด

590602_โอวาทวันไหว้ครู สันติอโศก โดยพ่อครู

พ่อครูว่า...วันนี้ที่เราได้สมมุติกันว่าเป็นวันไหว้ครูเราก็มาไหว้ครูกันเป็นพิธีการต่างๆทำกันไปเท่าที่เราจะสามารถสร้างองค์ประกอบที่ดีอย่างไรก็ว่ากันไป

ครูคือผู้ที่จะสั่งสอนเรานักเรียนก็ควรเคารพกตัญญูกตเวทีการศึกษาของพระพุทธเจ้านั้นมีอย่างเดียวคือไตรสิกขาซึ่งรวมวิชาไว้หมดรวมเรียกว่าโอวาทปาติโมกข์โอวาทปาฏิโมกข์เป็นคำสอนหลัก

ศีลเป็นพื้น สมาธิ ปัญญา

ศีลเป็นกรอบปฏิบัติไม่ว่าจะเด็กหรือคนโต คนแก่ เริ่มต้นศึกษาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเรียกว่าศีล ไม่ว่าวัยไหนก็อยู่ในกรอบศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 กาย(ศีล 1-3) วาจา(ศีลข้อ 4) ใจ (ศีลข้อ 5) ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีศีลสมาธิปัญญาประกอบกันอยู่ ในขณะ ทำกรรมการงาน ทำอาชีพ มีความคิด ทุกเวลา ทุกกรรมกิริยา ในมรรคมีองค์ 8 คือทฤษฎี หลักสูตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วเราก็ปฏิบัติให้เกิดผล

ผลที่ว่านี้ คือ อธิศีลอธิจิตอธิปัญญา ศีลกับปัญญาทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา ตามกรอบของแต่ละคน เช่น ศีล 5 เราก็ต้องรู้ในกรอบที่เกี่ยวกับสัตว์โลก ในขณะทำกรรมการงาน อาชีพ ในขณะคิด เราละเมิดความรุนแรง มีความหวังดี ปรารถนาดีต่อสัตว์โลกหรือไม่ในศีลข้อ 1 ให้ระวัง

ศีลข้อ 2 ระมัดระวังของๆเรา ของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเราอย่าไปโลภเอามาให้แก่ตน โดยหลักเกณฑ์ ไปเอาของคนอื่นมาเป็นของเราไม่ได้ ต้องระวังสังวร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก นักเรียน หนุ่มสาว กลางคน แก่เฒ่า ต้องมีศีลกัน เมื่อเป็นพุทธ

ชีวิตคือไตรสิกขา คือการศึกษา 3

ศีลข้อ 4 ก็วาจา ศีลข้อ 5 ก็เข้าถึงใจ ศีล 5 ข้อนี้ขัดเกลาถึงจิตใจไม่ใช่ขัดเกลาแค่กาย วาจา สมาธิก็ไปนั่งเอา ไม่ใช่เลย ต้องระวังสังวรทุกขณะดูว่า มีกิเลส ราคะโทสะโมหะเกิดหรือไม่ แล้วกำจัด

ศีลข้อ 5เป็นเป้าหมายให้รู้ว่าเรามีกิเลสในศีลข้อ 1-4 นี้แหละ กิเลสก็มีสามอย่าง โดยเฉพาะศีลข้อ 5 ต้องรู้ไม่โหมะหรืออวิชชา ในการดำเนินชีวิต ทำกรรมกิริยา เราจะพูดจะคิดอยู่ก็ต้องรู้ว่า เราผิดในศีล 5 นี้หรือไม่

สอนกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ให้สังวรสำรวมอินทรีย์ 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราสามารถที่จะลดละกิเลสนั้นได้ อันนี้คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ยิ่งนร.สัมมาสิกขาทุกแห่งทุกที่จะต้องรู้หลักเกณฑ์นี้แล้วประพฤติอันนี้ได้ ถ้าทำไม่ได้แม้เรียน 6 ปี 12 ปีก็ไม่ถือว่าผ่านรร.นี้เลย ได้แต่รับรู้วิชาการที่รร.ไหนๆในโลกก็ทำได้ แต่ถ้าผ่านสัมมาสิกขาแล้วต้องได้รับความรู้อันนี้ ที่กล่าวไปข้างต้น

ค่ายนี้มีแค่ ม.5 ทุกรร.

ถ้าเราสามารถปฏิบัติตามที่หลวงปู่พูดนี้ จะเกิดจิตใจเจริญ

มีผู้ให้ขยายความคำว่ากตัญญู...

จิตใจคนจะกตัญญู กตัญญูหมายความว่า รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีคุณค่า คำว่าบุญนี้ลึกซึ้ง แต่ทุกวันนี้เขาไปแปล บุญ​เพี้ยนไปเป็นกุศลไปหมดไม่ได้เรียนรู้ปรมัตถ์เลย

กตัญญูคือการตอบแทนคุณด้วยภูมิปัญญา กต + อัญญู คำว่า กต แปลว่าเสร็จไปแล้วผ่านไปแล้ว สิ่งใดผ่านมาแล้วในชีวิต เราก็ให้เห็นความสำคัญแล้วเราได้สิ่งที่ดีจากคนนั้นคนนี้ ก็ต้องระลึกคุณค่าประโยชน์ ในมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า สิ่งที่เจริญพระพุทธเจ้าท่านย่อไว้ 4 คำ่ คือศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

ผู้มีความกตัญญูรู้คุณ เช่นลูกรู้คุณพ่อแม่ จะตอบแทนลูกก็ต้องเป็นผู้สามารถมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

จาคะ คือการสละออก ไม่ใช่แค่กาย วาจา แต่ต้องถึงจิต ให้แล้วจิตไม่เดือดร้อน ให้คือให้ จิตไม่เอาอะไรจากการให้ ให้อย่างจิตสะอาดบริสุทธิ์

จะกตัญูญูรู้คุณต่อผู้ให้ประโยชน์ต่อเรา แล้วเราก็ต้องตอบแทน ด้วยคุณค่าความดี คุณค่าความดีสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยว่า แม้จะตอบแทนด้วยการหาบ้านเมือง หาอาณาจักรมาให้พ่อแม่ หรือะเอาพ่อแม่มาเลี้ยงดูแบกบนบ่าเลย การตอบแทนนั้นไม่สู้การให้พ่อแม่มามี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

รู้จักศรัทธาในศาสนา แล้วมีศีล จนสามารถจาคะ เอาออก

เขามาเรียนที่นี่ ทำงานสร้างสรร ช่วยปัดกวาดเช็ดถูได้ก็เป็นการตอบแทน หรือแม้แต่เฉพาะบุคคลก็ตาม ความกตัญญูในมนุษย์นี้ยิ่งใหญ่กว่าเดรัจฉาน เดรัจฉานก็มีบางชนิดที่รู้คุณกตัญญูกตเวที เราเป็นคนแล้วไม่มีกตัญญูกตเวทีผู้มีคุณต่อเราเราก็เลวกว่าเดรัจฉาน ต้องสังวรต้องคิดให้ดี ต้องมีความกตัญญู คือทดแทน ทำงานทดแทนช่วยเหลือมีเงินก็ใช้แทนทดแทนได้ เอาข้าวของทดแทนก็ได้ แต่พวกเราไม่ได้เน้นวัตถุ เราเน้นเรื่องกรรมการกระทำเราเน้นกายจาจาใจ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำคุณค่าประโยชน์แก่ผู้นั้น สถานที่นั้น กลุ่มนั้น

แม้จะทดแทนคุณประเทศชาติ อันนี้เป็นกตัญญู

กตัญญู ฟังให้ดี ให้เข้าใจ คือการแสดงออกทางกาย วาจา ใจที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีคุณต่อเรา คนไหนไม่เคยทำประโยชน์คุณค่าต่อเราเราก็ทำประโยชน์ให้เขาได้ อันนี้ก็ยิ่งมีคุณค่า แต่ถ้าเราไม่ได้ทำประโยชน์ต่อผู้ที่มีคุณค่าต่อเรา เราก็เลวมาก

พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็ได้รับคุณ ได้อาศัยได้กินฟรีอยู่ฟรี อุปโภคบริโภค ได้ศึกษาเล่าเรียนฝึกฝน ศีลเด่น เป็นงาน วิชาการ ไม่ใช่เหมือนทางโลกที่เรียนแต่วิชาการให้รู้เท่านั้น ไม่เหมือนเรา โดยเฉพาะศีลเขาไม่เอาเลย เป็นงานก็ได้นิดหน่อย วิชาการมีมาก แต่ของเราเอาศีลเด่นเป็นหลัก 40% เป็นงานรองมา 35% แล้ววิชาการ 25%

เราให้วิชาการไม่ได้ด้อยกว่าที่กระทรวงให้มา พวกเราไปสอบเรียนต่อที่อื่นเขาไม่ได้สอบศีล ไม่ได้สอบเป็นงาน แต่เด็กเราสอบวิชาการแล้วได้สอบได้กับเขา นั่นคือ นร.ได้วิชาการ แถมได้ศีลเด่น เป็นงานด้วย เด็กเราได้รับประโยชน์มากกว่าข้างนอก สามเท่า

ผู้ที่สู้ได้อยู่ได้ก็อยู่ ผู้ไม่ไหวก็ไปข้างนอก สบายตายชัก พ่อแม่ให้เอาแต่เรียนๆๆ มีเวลาไปศึกษานอกสถานที่น้อยมาก งานการไม่ได้ทำ

เราพาเด็กล้างส้วม เขาก็หาว่า เราให้เด็กเรียนอะไรไม่รู้ ให้ล้างถ้วยชามทำกับข้าวกับน้ำ ทั้งที่เป็นงานที่เป็นชีวิตจริง ข้างนอกเขาหาว่าสอนอะไรไม่ได้เรื่อง แต่คุณนั่นและที่ไม่รู้เรื่อง เอาแต่สอนวิชาการที่เอาไปเอาเปรียบเอารัดสังคม

ขอพูดอย่างตรงๆจริงใจ

พวกเรานี้ ให้ ความสามารถความรู้คุณธรรมติดตัวไปจริงๆ แล้วสืบต่อไป เพราะข้างนอกเขาขาดศีล ขาดเป็นงาน เขายิ่งศึกษาไปวิชาการเสียมาก นอกจากบางอาชีพเช่นเรียนทหารต้องยิงปืนเป็น เรียนแพทย์ต้องฉีดยาเป็น ผ่าตัดเป็น วิชาเทคนิคต้องทำงานเป็น ส่วนสามัญนั้นแค่เรียนวิชาการสอบได้ก็จบ หลายสาขาก็เป็นเช่นนี้

รัฐบาลนี้พยายามเน้นมาที่อาชีวะ อาชีพ ก็อนุโมทนาด้วย ที่เริ่มรู้สึกเข้าใจแล้วว่า การศึกษาล้มเหลว ไม่ตื่นตัวไม่รู้เลยว่าอโศกทำมา 20 กว่าปีแล้ว กระทรวงศึกษาธิการไม่แยแส ดีไม่ดีปิดกั้นด้วยเลยซวยเลยยุคนี้ จะเอาส่ิงมีคุณค่าประโยชน์ให้ก็เข้าใจไม่ได้มองไม่ออกแล้วหาว่าเรานอกรีตอีก เป็นยุคความสว่างน้อยลง

ผู้ใดมีบารมีมาศึกษาที่นี่ได้ก็อนุโมทนา

พวกเราชาวอโศกต้องการให้คนมาสร้างคน มีความรู้ในสัจธรรมทั้งหลาย ความเป็นชีวิตสังคม เพื่อจะได้เป็นคนที่มีชีวิตในสังคมให้ดี พาสังคมนี้เจริญดี ไปรอด โดยจุดสำคัญที่สุดคือรู้จักความเป็นคนที่เป็นอาริยะ คนประเสริญ

คนอาริยะคือคนมีศีล คนมีทาน คนมีกรอบดำเนินชีวิตไปตามลำดับ

มีกรอบที่ไม่ไปรุนแรงเบียดเบียนชีวิตคนอื่นที่เป็นความเสื่อมต่ำของคน มีปัญญา แล้วก็ทำได้ตามลำดับ

สองสมบัติพัสถาน ต้องเป็นคนลงมือทำเองที่นี่สอนให้คนเป็นงาน พาทำงานเท่าที่สังคมเรามีเป็น บ้าน วัด โรงเรียน เราสร้างหมู่กลุ่มเอาเด็กนร.มาสอนเพื่อให้รู้จักการเป็นอยู่ของสังคม สังคมที่นี่มีงานอะไร ตั้งแต่เช็ดปัดกวาดถู ทำกับข้าว เด็กพวกเราก็ทำได้ แม้งานชั้นสูงก็ทำได้ ผู้ใดมีความสามารถก็ให้ทำ งานสื่อสารต้องทำ งานออกโทรทัศน์ก็ทำ ใครใส่ใจสนใจ งานของชาวอโศกที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่งานมิจฉาชีพ ที่นี่คัดอยู่แล้ว จึงพาพวกเราทำงานเท่าที่เราจะทำได้

เด็กนร.ที่มาที่นี่จึงได้ทำงานเป็นงานเท่าที่เราจะสามารถทำให้เด็กๆทำได้ เพราะการเรียนการสอนอยู่ในงาน เป็นคนที่ได้รับศีลธรรมและเป็นงาน ทั้งวิชาการ

ที่นี่สอนนร.ไปก็ดี ปชช.ส่วนอื่นที่ไม่ใช่นร. จะมาอยู่เป็นสมาชิกชาวอโศกตามกฏเกณฑ์ไม่มีอบายมุข ถือศีล 5 อย่างต่ำ กินมังสวิรัติ แล้วศึกษาอยู่จนตายเลย เป็นสาธารณโภคี ครอบครัวใหญ่ อยู่ช่วยทำงานทำการไป หลวงปู่ทำมา จะเข้า 40 ปีแล้วแล้วก็จะทำต่อจนตาย เป็น บ้าน วัด โรงเรียน

เราจะมีงานอโศกรำลึก เพื่อระลึกว่าเราทำอะไร จึงตั้งชื่อว่า สีหนาท คือพูดออกไปให้ดังๆ ให้เกิดการรับรู้ไป ไม่ว่าจะนร.ทุกคน ผู้มาทุกคนก็อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ ในไตรสิกขา แล้วจะเกิดความรู้ปัญญา เป็นงาน มีศีลธรรมเกิด นี่คือเจตนามุ่งหมายของอโศกตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้

แค่กตัญญูนี้เป็นเรื่องนิดเดียวในคุณงามความดีของมนุษย์

ส่วนความเป็นคนที่ชาวอโศกหรือหลวงปู่พาทำนี้ ไม่ว่าคนทุกระดับในนี้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้เกิดการศึกษาฝึกฝนตนเองให้เจริญให้รู้ให้ทำได้ด้วย ทั้งวัตถุภายนอก รู้ทางกรรมกิริยาทางกายวาจา เป้าหมายหลักคือให้จิตสามารถรู้ได้เลยว่า ให้จิตเป็นคนอย่างไรที่จะต้องลงตัว จิตต้องรู้ว่า จิตเราไม่ฆ่าสัตว์ จิตนั้นลงตัวเลยว่าไม่ฆ่าสัตว์เลย แม้จะรู้ตัวไม่รู้ตัวก็ไม่ทำ

สองของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา โดยกาย วาจาไม่ทำไม่เอาของคนอื่นใจก็ลงตัว รู้ว่าเป็นของคนอื่น ไม่คิดอ่านที่จะเอาของคนอื่น

สาม ราคะ เรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายไม่ละเมิดศีลธรรม ในเรื่องกามราคะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราก็ไม่เอาไม่ไปเกี้ยวข้อง ตั้งแต่หยาบเช่นการพนันที่เขาว่าเป็นสวรรค์สัคคะ ไม่เอา เราอสังสัคคะ ใจเราก็สุข ไม่ได้สุขเพราะไปเล่นพนัน เราไม่มีสวรรค์แบบนั้นแล้ว ผ่านพ้นแล้ว

มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน ถ้าทำได้ถึงจิตเราจะได้บรรลุไตรสิกขา เป็นวิมุติเป็นนิพพานเป็นนิโรธได้ในที่สุด

นี่คือเป้าหมายที่ชาวอโศกเร่ิมต้นทำ พาทำ แล้วทำได้ แล้วจะทำต่อไป

อโศกรำลึกก็ระลึกว่า 45 ปีที่ทำมา เพชรพุทธสุดยอดศิลป์เพื่อทวงบุญทวงคุณว่าได้ทำอะไรมาบ้างให้แก่สังคมประเทศชาติที่เกิดเป็นพุทธ เป็นศาสนาเป็นธรรมที่เจริญ ใช้ศาสตร์และศิลป์ในการทำมาตลอด เพื่อบรรลือสีหนาท

ศาสตร์ที่มีคุณค่าประโยชน์ที่เราทำแล้วเป็นประโยชน์คุณค่าต่อคนอื่น แต่ในโลกีย์เขาจะตีราคา ผลผลิตแรงงานความรู้ของเรา ที่จริงแค่ 10 แต่จะเอามากกว่านั้นมากๆ นี่คือวิธีการโลกที่เลวร้าย

ราคาของแรงงานผลผลิตที่ควรเป็น เขาจะต้องเอาแพงกว่า นี่คือความคิดแนวคิดที่เลวร้ายของระบบทุนนิยม เราต้องมาแก้กลับต้องมาเอาถูกลง เป็นความขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่างในหลวงตรัส แต่ไม่ว่าจะนักวิชาการหรือไม่ว่าจะข้าราชการกลับไม่ใส่ใจ กลับไปเอารวยๆ ธรรมกายจึงมีคนศรัทธามาก

ในหลวงท่านทำงานเป็นจริยวัตรเลย คนจึงศรัทธาลึกซึ้งและมากล้น หลวงปู่ตั้งใจว่าจะทำให้ประเทศเราสร้างสรรให้ได้เยอะแล้วไล่แจกคนอื่น เอาจำนวนที่มีเหลือ ไปขายให้เป็นของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด ไม่ใช่ไปขูดรีดเอาเปรียบประเทศอื่น อย่างนั้นเลวแล้ว

สำนักธรรมกายที่สอนให้คนรวยๆ หายใจเข้าออกเอาแต่รวยอย่างนี้ขัดแย้งกับคำสอนในหลวง แล้วมีวิธีการตลาดในหลวงท่านตรัสเพื่อให้ข้าราชการผู้ทำงานแทนในหลวงช่วยบริหารก็ทำให้คนชอบความจน แต่สู้คนชอบความรวยอย่างธรรมกายทำไม่ได้ จึงเกิดวิกฤติชาติเช่นนี้ ผู้นำธรรมกายทำตอนนี้เป็นผีบุญ สั่งสมกำลังคน จนท.รัฐจะไปจับไม่ให้จับ นี่ผีบุญ 100% เลย

ก็ต้องโทษข้าราชการ หรือผู้ที่รับสองนโยบายไปสอนปชช.นั้นทำไม่สำเร็จสู้ชิตังเมโป้งรวยแบบธรรมกายไม่ได้ จนเกิดเขามีอำนาจบาทใหญ่ไปทั่ว


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:53:51 )

590603

รายละเอียด

590603_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ทานอย่างไรถึงได้นิพพาน

 พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2519 เราก็มาเริ่มที่ sms

SMS 2มิ.ย.59

0805925xxx ก๊ากก๊ากก๊ากขำขำ:-)พ่ออ่าน! มอสอเจี๋ยมเจี้ยมแปลว่าเถระมอสอนิ่งเขินม่ายยกล้าแตะคร้า! ดับช่วงๆหมายถึงไม่ดันทุรังปรอทพังแต่งตั้งสังฆราชคร้าาาา!

เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยถ้าสิ้นสวยจงหยุดเถอะ55555

 0893867xxx ขำsmsปฝ.กลิ้งหลุดโลกเ ลยคนอดหลับขับตานอนเฝ้าผู้เฒ่าผู้ป่วยหมดเบลอหายง่วงเลย!555เอิ๊ก!สกก.

0805925xxx ธัมมี่สอนคนปายซาหวันดุสิตบุรีแต่ตนเองไอคุกคุก?หุหุ

 0816800xxx พ่อครู..คือพระแท้ๆของพุทธค่ะ

0805925xxx ดาวยั่วมานู๋หมายถึงกิเลสผัสสะมากระทบคือกิเลสจายยคร้าพ่อ! 0893867xxx น้อมรับคำสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายจากพ่อครูซึ่งปฏิบัติระดับกายสักขีรู้สภาวะจิตถึงขั้นรู้รูปฌานจนบรรลุอาสานัญจายตนะสุดที่สัญญาเวทยิตนิโรธ!

มีแต่ศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิจึงสอนหมดสวรรค์ อสังสัคคะ หมดเลย สบายจบ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าสอนกถาวัตถุ 5 กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ กถาคือคำพูด

1 พูดแต่เรื่องให้มักน้อย อย่างธัมมี่สอนนี้สอนให้คนมักมาก เป็นการสอนที่นอกรีตนอกศาสนาพุทธ ครอบงำคนให้หลงงมงาย สะกดจิตคน มีอย่างที่ไหนตนกินขาดกินไม่พอ ไม่มีกินแล้วเอาเงินไปทำบุญหมดเลย อย่างบทความผักกาดหอม “เรื่องของเธอ”

คำว่าภพชาติไม่มีถิ่นที่ดินแดนไม่กินขอบเขต มันเป็นการสร้างขึ้นมาโดยจิตตนเอง ตอนเป็นๆก็ยึดตอนเป็นๆ ตอนตายไปก็ยึดถือเช่นกันแม้ไม่มีร่าง ก็ตามก็ยึดถือ

ไม่มีร่างกายนี้ คือตายไปแล้วไม่ได้ไปพบกับใคร ตายไปแล้วอยู่แต่กับตนเองไม่เกี่ยวกับใครเลย ตายไปแล้ว อยู่ในภพตนเอง ที่มีอนุสัยอาสวะ จะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้

อาตมาเคยสรุปให้ฟังว่า ฝันอย่างไร ตายไปแล้วเป็นอย่างไร แต่เขาจริงกว่าตอนเป็น คุณเป็นๆนี่ ยังรู้สึกจริงจังแล้วนะ ตอนฝันก็จริงจังแต่ไม่ชัดเหมือนตื่น แต่ตายไปนี่ จะชัดเหมือนตอนเป็นๆ แต่ตกนรกอย่างนั้นจริงๆ ทุกข์อย่างนั้นอยู่อย่างนั้น มันทุกข์หนักคือตอนเป็นๆอยากได้อะไรก็ไปแสวงหา ส่วนมากที่อยากได้คือวัตถุรูป เป็นดินน้ำไฟลม ข้างของทรัพย์สิน รูปรส กลิ่นเสียงสัมผัส แต่ตายไปแล้วไม่มี แต่คุณก็นึกว่ามันมีก็จะดิ้นรนแส่หา เป็นความดิ้นรนแส่หาของตัณหา เป็นนรกที่ทุกข์หนัก มันไม่ได้ของจริงตามต้องการแส่หา มันจะไม่สมใจ ไม่บริบูรณ์ไม่ได้ดังที่อยาก มันเป็นจิตนิยามเป็นอัตภาพมีพลังงานจริง

พระพุทธเจ้าท่านมาสอนอนัตตาคือให้หมดตัวตน โดยเฉพาะตัวตนที่เป็นความเสพความสมใจบำเรอใจ

เช่นถ้าคุณอยากได้อาหาร นี่ดูมะม่วงโทน ถ้าคุณอยากกินตอนเป็นๆก็ไปเสาะแสวงหามากินได้แต่ว่า ตอนตายแล้วอยากกินก็ไม่ได้กินจริงๆ คำว่า อนัตตาไม่ได้หมายถึงมะม่วงที่แยกสลาย แต่ที่ท่านให้แยกคือ กาย มโน จิต วิญญาณ คุณสัมผัสรส มันแข็งอย่างนี้ อ่อนอย่างนี้ คุณเคี้ยวเข้าไปรู้รส รู้เปรี้ยวหวาน กลิ่น มันก็เป็นของจริงที่ทุกคนไปกินก็เหมือนกันหมด แต่ความชอบหรือไม่ชอบนี้มันไม่มีจริงต่างตนต่างเป็นต่างมีไม่ตรงกันไม่เหมือนกันแต่มันแข็งมันอ่อนมันรสอย่างนี้ เท่ากันเหมือนกันหมด ถ้ามีมิเตอร์วัดก็จะเท่ากันตรงกันหมด แต่ที่ชอบหรือไม่ชอบนี้ไม่มีของจริงต่างคนต่างคิด ตัวนี้ถ้าใครทำให้ไม่มีในอารมณ์ได้นี่แหละคือนิพพานคือนิโรธ

เป็นองค์ประชุมเรียกว่ากาย กายของผีนรก เทวดาสวรรค์ สมมุติเทพตัวนี้แหละที่เป็นองค์ประชุม(ธรรมะสอง) ที่มีผัสสะแล้วปรุงแต่งเป็นเวทนา เป็นกรรมฐานหลัก ผู้ใดทรงไว้ซึ่งความจริงได้คนนั้นมีธรรมกายแต่ผู้ใดยังอยากอยู่คือมีกายผี

ธรรมกายนี้ คือตถาคต คือเรา ผู้ใดทำได้ผู้นั้นคือเรา คุณมาสัมผัสสิ่งนี้แม้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วเกิดเวทนาสอง แล้วทำเอกสโมสรณาได้ แล้วมีพลังปัญญาชัดเจน ที่จะทำให้ไม่มีสองเลย ถ้าปัญญาคุณเต็มที่มันไม่เกิดในจิตเลย นั่นแหละคืออรหันต์เลย อันอื่นๆก็เหมือนกัน สัมผัส ต้องมีสัมผัส

ไม่มีสัมผัสไม่มีฐานที่จะปฏิบัติ เว้นผัสสะเสียไม่เป็นฐานที่จะเป็นได้ ที่จะเรียนรู้ล้างตัวตนได้ ถ้าทำได้ หมดตัวตนได้ ตั้งแต่ให้เบาบางได้ ได้ส่วนแห่งบุญ พอหมดกิเลสดับได้ก็ไม่มีส่วนแห่งบุญแต่หมดบุญ ก็รู้ความจริงที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง...จะเกิดญาณปัญญาวิชชา รู้ความจริง สัมผัสจริงเลิกได้จริง นี่คือความจริงที่เกิดจาก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ มีธัมวิจัย เกิดมัคคังคะ มีทิฏฐิที่เป็นทิฏฐิปัตตะ  ในบุคคล 7

สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี

4. ทิฏฐิปัตตะ

6. ปัญญาวิมุติ

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)

สัมผัสแล้วรู้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง แล้วทำให้อาการสัตว์โอปปาติกะ สัตว์ผีที่เป็นตัวหลอกนี้จางคลาย ทิฏฐิก็เจริญขึ้น ธัมวิจัยเจริญสั่งสมเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี . >

3. สัทธาวิมุติ .  >

5. กายสักขี  .   >

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)

จะสายไหนก็ตามศรัทธาหรือปัญญาเมื่อมาเรียนตามธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็จะได้ผลเช่นกัน แต่เป็นธรรมะสองลักษณะ เป็นเจโตและปัญญา

สายธัมมานุสารี ไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี เพราะเริ่มแรกไม่มีปัญญา แต่เร่ิมมีสัมผัสด้วย ทวาร 6 มีฐานปฏิบัติแล้วเกิดเวทนาจริง ไม่ใช่ระลึกด้วยสัญญา ศาสนาพุทธสัมผัสปฏิบัติจริงจึงมีองค์ประชุมของรูป นาม จึงจะมีพหิทา (ภายนอก)แล้วก็มีทั้งภายใน(อัชฌัตตัง) เป็นองค์ประชุมเรียกว่า กาย

กายนี้มีสัมผัสนอกแล้วก็รู้เข้าไปข้างในเป็น กายในกาย เน้นว่าต้องมีสัมผัสภายนอกแล้วเข้าไปใน กาย

ผู้ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงนี่แหละคือผู้ทรงธรรม อันเดียว หนึ่งเดียวกับของพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเป็นเรา เราเห็นรู้ มีความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีสอง มีหนึ่งเดียว แต่คนมักจะไปติดตัวที่สองนี่แหละ เช่นเปรี้ยวเท่านี้ติด เปรี้ยวมากหรือน้อยกว่านี้ไม่ติด ติดก็ไม่พอใจเท่าไหร่ไม่ถึงใจไม่ถึงสุดที่เรายึดถือ

อย่างธัมมี่ ไปปลอมแปลงส่ิงไม่จริง มันไม่ใช่ธรรมกายของพระพุทธเจ้าเลย ขออภัย พูดชัดว่าเป็นเปรตที่ยิ่งใหญ่ เป็นผีนรก ครอบงำความคิด ปรุงแต่งสังขารว่ายาวนานอย่างนี้ วิมานตอนเป็นไม่เท่าไหร่ไม่ยาวนาน สู้วิมานในอนาคตในภพที่จะได้นี้นานกว่ามากกว่าดีกว่าสวยกว่า ปรุงแต่งหลอกสร้างยิ่งกว่าอะไร แล้วสร้างในสิ่งไม่มีวัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปั้นเพ้อพกไป แต่เขาจะฉลาดสร้าง มีตัวต้นแบบแล้วค่อยขยายให้คนรู้ว่ามันมีนะ แต่ที่จริงมันไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว เขาก็ต่อไปเรื่อยๆงอกไปเรื่อยๆจนคนหลงว่ามีสวรรค์มากมาย หรูหราขนาดนี้เหรอ เพ้อไปตาม เขาจึงเรียกว่า โรงเรียนฝันในฝัน

 

 

 

มาสู่พระไตรฯล.23 ข49

                           ทานสูตร

[49] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคคราใกล้จัมปานครครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาในสำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้วลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมี ฯ

         สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทาน เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

         พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

         สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

         พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(เป็นเทวดาปลอม) สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

         สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

          พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

         ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

         ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา ปู่  ย่าตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

          ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อนคือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษี  วามเทวฤาษี  เวสสามิตรฤาษี  ยมทัคคิฤาษี  อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษีวาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

          ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็น

เครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

                          จบสูตรที่ 9

ธัมมชโยนี่ต้องนับถือว่าเป็นผีบุญที่สะกดจิตเก่งกว่ารัสปูติน แล้วทำสำเร็จ จนรัฐบาลตอนนี้ยากจะจัดการ ตั้งรัฐพิเศษแล้ว

พวกคุณที่ได้มาฟังอาตมาแล้วเข้าใจดีขนาดนี้ คุณอาจได้ฟังพระโพธิสัตว์องค์อื่นมาก่อนแล้วก็เป็นได้

ปรนิมิตวสวัตตี ครั้งนี้ที่เขาสร้างนี้ใหญ่มากสุดเลย

ในข้อสุดท้าย ของการให้ทาน คือข้อที่ 7 จะได้เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้พ่อครูว่า อย่างน้อย เป็นอนาคามีเลย

คำว่าประโยชน์ที่หมายจริงๆคือทางศาสนาพุทธ ผู้ที่มาเรียนรู้ให้ดีแล้วจึงมีผลมากอานิสงส์มาก

คำว่า มีผลทาน คุณทำทานมาก แต่คุณไม่มีประโยชน์ ไม่มีอานิสงส์คุณไม่รู้คุณก็ยึดติด แต่อันนั้นมีผลนะ ทำทานมากก็ได้ผลมาก คือเช่นเอาเงินไปฝากแบงค์ 1 ล้าน คุณตายไปก็ได้ 1 ล้านไป คุณฝากไว้ร้อยล้าน ตายกลับมาก็ได้ร้อยล้าน แล้วคุณจะได้ยึดติด แต่คุณตายไปแล้วคุณมีผล คุณก็ได้ของคุณตามผลวิบาก เป็นของคุณทั้งนั้น แต่ประโยชน์ที่จะได้วิชชาคุณไม่มี

อันแรกจึงมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์แต่อันหลังนี้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

ผู้มีผลมากมีอานิสงส์มากด้วย ถ้าคุณจะไม่สูญก็ตั้งจิตมาเกิดได้ คุณจะมีบารมี เพราะอานิสงส์เก่า หลายคนเอาเงินมาบริจาคก็บอกว่าเอาของพ่อท่านมาคืน ก็ไม่รู้ชาติไหนก็ไม่รู้ล่ะก็เป็นอานิสง์เป็นผลของอาตมาแต่ชาติไหน ผลคือ ผลังวิปาโก ทำอย่างไรได้อย่างนั้นเป็นอย่างนั้น แต่อานิสงส์นี่คือวิชชา

ผู้นี้มาเกิด มีผลมาก ถ้าคุณบรรลุแล้วก็เกิดได้ แต่คนที่ไม่มีอานิสงส์นี้ถ้ามีผลมากก็เพราะทำไว้มาก แต่คุณโง่ก็เต็มไปด้วยกาม ด้วยโทสะ โมหะ ร้ายแรง ก็ใช้อำนาจที่คุณมี อย่างที่หลายคนเป็น เกิดมามีบารมีพวกนี้แล้วทำซ้ำซ้อนโหดร้ายรุนแรงเพราะเขาโง่ ตามใจเขา เขาจะทำตามอารมณ์ สะใจเสียอย่าง จะเชิงกามหรือโรแมนติกอย่างไรหรือซาดิสม์รุนแรงก็อย่างไรทำตามใจเขา

สรุปแล้วสะอาดกับไม่สะอาด ถ้าสะอาดก็เป็นผล หากไม่สะอาดก็ซับซ้อน หลงราคะโทสะโมหะไป แล้วสั่งสมไว้ในอนุสัย นึกว่าทำรุนแรงออกไปจะหมด แต่กลับจำหนักกว่าเก่าอีกนะ ซวยไหม นึกว่ารวย รวยน่ะรวยความเลวทราม

ตอนตายไปในขณะคุณนึกว่ามีสวรรค์ อยากกินหวาน อยากกินตามอยาก นึกว่าตนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็นึกว่ามีแต่ที่จริงมันไม่มีก็จะดิ้นรนไป เป็นความดิ้นรนแส่หาของตัณหา ไม่รู้ว่าตนดิ้นอะไรยิ่งกว่าคนเสี้ยนยา ดิ้นแล้วไม่ได้ก็ทำสารพัดที่จะทำที่เห็นคาตา แต่นั้นก็ดิ้นได้มากกว่า จะสร้างภพอย่างไรก็ทำ

สรุปอย่างไปสร้างสวรรค์อย่ามุ่งผูกพันสะสมในดีนั้น แต่ทำดีแล้วก็เป็นผล ผลังวิปาโก แต่คุณอย่าไปตั้งจิตซ้อนว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นสัจจะ คือสัจจะ ถ้าเราอ่านอาการจิต เราอย่าไปตั้งไว้ รีบเลิกๆ ระวังจะซ้อนลึก hidden agenta เป็นพลังแฝงซ้อน ต้องชัดด้วยปัญญาว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นอย่าไปตั้งจิตผิด จะเป็นยิ่งกว่าโจรหัวโจกทำร้ายโจรหัวโจก เข้าใจว่าทำดีแล้ววาง หยุดปล่อย ไม่หวังไม่ผูกพันไม่สั่งสม แล้วยิ่งตายไปแล้วจะไปมีมะม่วงระกำขี้หมาที่ไหนแต่เขาก็จะไปหลงเพ้อไป ก็พยายามเก่งที่สุดแล้วนะ ที่อธิบายนี่

อย่างธรรมกายต้องให้สร้างความหวัง ผูกพัน จิตสั่งสม แล้วหลอกว่า ชีวิตนี้แค่ร้อยปี แต่ชีวิตหลังตายไปนานกว่านั้นเป็นร้อยปีพันปี แล้วใครจะไปอวดเก่งรู้ได้ ที่ไปบอกว่า สตี๊ปจ็อบตายแล้วไปไหน แล้วก็มีคุณสมชายไปลองของ แกล้งบอกว่าพ่อตาย แล้วไปให้เขาทำนายว่าตายแล้วไปไหนทั้งที่พ่อคุณสมชายยังไม่ตาย เขาก็บอกว่าไปอยู่ที่ไหนๆ เสร็จแล้วคุณสมชายก็จับผิดได้ว่า เขาโกหกสร้างเรื่องเองทั้งนั้น พ่อผมไม่ได้ตาย ลูกศิษย์ลูกหาธรรมกายก็รู้กันว่าโกหกชาวบ้านชาวเมือง แต่กลับไม่ตื่นเลย เมายาของธัมมี่ไม่รู้เรื่องเลยน่าเห็นใจจริงๆ

ที่นี่สิกขมาตุ สัจฉิกตา เคยไปที่โน่น เคยไปนั่งกับเขา แล้วไม่เห็นอย่างเขา ก็นึกน้อยใจเสียใจ แต่พอมาถึงอาตมาก็บอกว่าอย่าไปน้อยใจ ถ้าเห็นอย่างเขาก็เวรเลยเวรห้าร้อยละลายเลยหากเห็นอย่างเขาก็ไม่ได้มาพบอาตมาแล้ว ก็เป็นกุศลแล้ว

อาตมาตั้งใจขยายให้ละเลียด ในเรื่องการให้ทาน แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ว่าตั้งความหวัง ผูกพัน สั่งสม อย่างที่นายไชยบูลย์หลอกคนเลย นี่คือตัวหัวหน้าสัตว์นรกทีไปหลอกคนเป็นๆขณะนี้ เขาทำได้ผลจนเป็นบัลลังก์จนรัฐบาลเอาไม่ค่อยลงยากอย่างไรก็ขอให้กำลังใจรัฐบาล นี่เป็นร้ายกว่าผีบุญยุคก่อนๆ ซับซ้อนใช้เลห์เหลี่ยม ดูเหมือนยิ่งฉลาดแต่ยิ่งโง่งมงาย

 

อาตมามาทวนเทวดา 6ชั้นอีกนิดนึงก่อน

 

จตุมหาราชิกา เป็นอำนาจใหญ่ แล้วไม่ได้หายไปนะ อย่างธัมมี่นี่มีพลังนะกดไว้หมด แล้วไปหลงเสพเป็นดาวดึงส์ เป็นภพที่ 33 แล้วมีอาการ ของภพดาวดึงส์ ที่จริงมันไม่มี แท้จริงคุณมี 32 อาการเท่านั้น ถ้าไปหลงอะไรก็แล้วแต่ หลงว่าเล็บเป็นเราของเรา ผมเป็นเราของเรา หลงกับตับไตไส้พุง หลงกับองคาพยพทุกอย่างก็มี แต่ว่าถ้าไปหลงอาการ 33 ที่มันไม่มีจริง แล้วก็ไปหลงปั้นเอง ลมๆแล้งๆ คนหลงติดก็มีจริง  ปั้นมาจนเป็น psychosis ก็ได้ ปั้นจนป่วยอย่างธัมมีก็ได้ ปั้นให้หนังเหนียวก็ได้

เช่น สายอ.มั่นสะกดจิตจนเห็นคนนี่เป็นโครงกระดูกได้เลย มีฤทธิ์ที่จะเสกควายใส่ท้องคนได้ อย่าไปวุ่นวายกับมันเลย แต่พระพุทธเจ้าทรง

           ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

          1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

          2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

          3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)

แล้วคุณไปดีใจที่ทำเลวได้สำเร็จ เป็นจตุมหาราชิกาเป็นดาวดึงส์ แล้วก็อยากให้เป็นนานๆ เป็นยามา อยากเป็นสส.ทุกสมัยอีก แก้กฏหมายเอาเองเลย ยามาคือให้มีอำนาจมากอยู่ได้นานเท่านาน ใจเขาอยากแต่เขาเป็นได้เท่าที่เป็น ส่วนดุสิตนั้นพักยกโดยธรรมชาติก็พัก เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา วางเฉยหยุดพัก ในโลกีย์ก็มีดุสิต แต่โลกุตระไม่พักยก เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

ปรมิตมิตวสวัตตี ก็คือมีผู้อื่นทำให้แก่ตนเองมีอำนาจมีบริวารมากหลากหลายอย่างธัมมี มีคนมาช่วยหมดเลย แล้วที่เขาได้อำนาจ นี่อย่างธัมมี่นี่ฤทธิ์เลว นะ พวกคุณรู้ แต่เขาไม่รู้ 

จนกว่าจะมาล้างได้ ใช้ไฟฌาน ที่ไปล้างทำลายไฟโทสะ ไฟราคะ ไฟโมหะ อย่างธัมมชโยนี่ลีลา สุภาพเรียบร้อยไม่มึงมาพาโวย อย่างโพธิรักษ์ สวยทั้งหน้าตา ขนาดสวยแล้วก็ยังทำช้า เขาเต่งตึง แต่โพธิรักษ์นี้ หน้าเหี่ยวกระดำกระด่าง เขาพริ้ง ฟรุ้งฟริ้งมากเลย

ขอบอกว่าอาตมาถล่มเขานี่ ไม่มากเท่าที่เขาเป็นนะ

เราจะรู้จักหน้าตาของเทวดา 6 ชั้น แต่มันมีจริงสำหรับคนโลก ผู้ใดทำให้หมดจากตนได้ เป็นผู้ประเสริฐ

มาสู่พรหม 16 ชั้น

1       รูปพรหม

1.1    ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมบริวาร

1.2    ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ คือผู้รู้ เป็นครู

1.3    ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ คือผู้คุมเลย แต่วิชชาจะยึดว่าพรหมคือผู้ยิ่งใหญ่ เรานี่แหละใหญ่ ๆ

1.4    ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ คำว่าอาภา คือแสง อย่างจำกัดขอบเขต

1.5    ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คือแสงหาประมาณมิได้

1.6    ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ รวมแล้ว ดีสุดคืออาภัสรา ประภัสสรเลย

1.7    ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

1.8    ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ

1.9    ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ อัน

1.10  ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

1.11  ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ

1.12  สุทธาวาส

1.12.1        ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

1.12.2        ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

1.12.3        ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

1.12.4        ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

1.12.5        ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

1.12.5        ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

2       อรูปพรหม

2.1    ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

2.2    ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

2.3    ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

2.4    ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

พ้นทุกพรหม เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:54:39 )

590605

รายละเอียด

590605_วิถีอาริยธรรม อโศกรำลึก ถ้าอยากสูงสุดอย่าอยากใหญ่

คุณรู้ไหมว่า ความสูงสุดนี้เล็กหรือใหญ่ เห็นไหม? ความสูงสุดนั้นไม่ใหญ่หรอก

เพราะฉะนั้น ยอดเจดีย์ยอดปลายเข็มที่สุดนี้เล็กที่สุด ไม่ใหญ่หรอก ถ้าเล็กส่วนสูงรองลงมาก็ใหญ่ขึ้น ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ต่ำเท่านั้น

มันเป็นสัจจะ ไม่มีวันที่ส่ิงที่สูงที่สุดจะใหญ่ เพราะฉะนั้น หยุดอยากใหญ่

ถ้าอยากสูงอย่าไปอยากใหญ่ ถ้าอยากใหญ่ไม่มีวันสูงสุด คุณจะเป็นฐานให้เขาเหยียบ ฐานที่ใหญ่ที่สุดกว้างที่สุดคือฐานที่เขาเหยียบทั้งนั้น อยากอยู่สูงไม่มีใครเหยียบก็อย่าอยากใหญ่

590603_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ทานอย่างไรถึงได้นิพพาน

ตอนตายไปในขณะคุณนึกว่ามีสวรรค์ อยากกินหวาน อยากกินตามอยาก นึกว่าตนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็นึกว่ามีแต่ที่จริงมันไม่มีก็จะดิ้นรนไป เป็นความดิ้นรนแส่หาของตัณหา ไม่รู้ว่าตนดิ้นอะไรยิ่งกว่าคนเสี้ยนยา ดิ้นแล้วไม่ได้ก็ทำสารพัดที่จะทำที่เห็นคาตา แต่นั้นก็ดิ้นได้มากกว่า จะสร้างภพอย่างไรก็ทำ

สรุปอย่างไปสร้างสวรรค์อย่ามุ่งผูกพันสะสมในดีนั้น แต่ทำดีแล้วก็เป็นผล ผลังวิปาโก แต่คุณอย่าไปตั้งจิตซ้อนว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นสัจจะ คือสัจจะ ถ้าเราอ่านอาการจิต เราอย่าไปตั้งไว้ รีบเลิกๆ ระวังจะซ้อนลึก hidden agenta เป็นพลังแฝงซ้อน ต้องชัดด้วยปัญญาว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นอย่าไปตั้งจิตผิด จะเป็นยิ่งกว่าโจรหัวโจกทำร้ายโจรหัวโจก เข้าใจว่าทำดีแล้ววาง หยุดปล่อย ไม่หวังไม่ผูกพันไม่สั่งสม แล้วยิ่งตายไปแล้วจะไปมีมะม่วงระกำขี้หมาที่ไหนแต่เขาก็จะไปหลงเพ้อไป ก็พยายามเก่งที่สุดแล้วนะ ที่อธิบายนี่

อย่างธรรมกายต้องให้สร้างความหวัง ผูกพัน จิตสั่งสม แล้วหลอกว่า ชีวิตนี้แค่ร้อยปี แต่ชีวิตหลังตายไปนานกว่านั้นเป็นร้อยปีพันปี แล้วใครจะไปอวดเก่งรู้ได้ ที่ไปบอกว่า สตี๊ปจ็อบตายแล้วไปไหน แล้วก็มีคุณสมชายไปลองของ แกล้งบอกว่าพ่อตาย แล้วไปให้เขาทำนายว่าตายแล้วไปไหนทั้งที่พ่อคุณสมชายยังไม่ตาย เขาก็บอกว่าไปอยู่ที่ไหนๆ เสร็จแล้วคุณสมชายก็จับผิดได้ว่า เขาโกหกสร้างเรื่องเองทั้งนั้น พ่อผมไม่ได้ตาย ลูกศิษย์ลูกหาธรรมกายก็รู้กันว่าโกหกชาวบ้านชาวเมือง แต่กลับไม่ตื่นเลย เมายาของธัมมี่ไม่รู้เรื่องเลยน่าเห็นใจจริงๆ

ที่นี่สิกขมาตุ สัจฉิกตา เคยไปที่โน่น เคยไปนั่งกับเขา แล้วไม่เห็นอย่างเขา ก็นึกน้อยใจเสียใจ แต่พอมาถึงอาตมาก็บอกว่าอย่าไปน้อยใจ ถ้าเห็นอย่างเขาก็เวรเลยเวรห้าร้อยละลายเลยหากเห็นอย่างเขาก็ไม่ได้มาพบอาตมาแล้ว ก็เป็นกุศลแล้ว


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:55:27 )

590605

รายละเอียด

590605_วิถีอาริยธรรม อโศกรำลึก ถ้าอยากสูงสุดอย่าอยากใหญ่

          พ่อครูว่า...มาถึงวันนี้แล้ว ย่าง 83 ปี แล้ว ก็ยังไม่แก่นะ ใครว่าแก่ คำว่าคนแก่คือคนหง่อมๆ ใครเคยเห็นไหม อาตมาไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าเราจะอยู่อย่างนั้นจะอยู่ไปทำไม อาตมาเกรงใจ ที่ว่า ถ้าอาตมาจะทำเหมือนวัยรุ่น 20 เลย เกรงใจเขา เขาจะว่ามากไป 80 แล้วจะมาทำเป็น 20 ก็เกรงใจความรู้สึกคน จะหมั่นไส้ เดี๋ยวกระดูกผุ ยังมั่นใจแข็งแรง

          อาตมามั่นใจว่าจะพยายามลากสังขาร อุตุนี้มันควบคุมจัดแจงตัวมันเองไม่ได้ มีเหตุปัจจัยอื่น ดินน้ำไฟลมก็เช่นกันเหตุปัจจัยอื่นจัดแจงมันมันไม่มีสิทธิ์เป็นเอง มันไม่เคลื่อนไหวนี่เป็น 1 ถ้ามันเคลื่อนไหวก็เป็นสอง เคลื่อนในแนวระนาบได้ แต่ถ้ามี 3 ก็เร่ิมมีมิติ ที่จะเป็นวงวน อย่างไรกี่องศาเริ่มเคลื่อนจากระนาบก็จะมีสาม ยิ่งกลมเท่าไหร่ เส้นรอบวงก็จะสั้นลัดที่สุด ยิ่งกว่าวงรี

          พีชนิยามเป็นสามมิติ ก็ยังอยู่ในกรอบตนเองไปไหนไม่ได้ มี i s h เป็น i she he เป็นความแตกต่างสามลักษณะ มันจะออกเป็นสี่หกเจ็ดแปดก็แล้วแต่ เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ก็ไปไม่เหลียวหลัง หรือว่างโค้งเป็นดาวหางก็จะวนกลับมาได้

          พีช 3 มิติ ก็เป็นตัวมันเองไม่สามารถช่วยหรือทำร้ายใครได้ พืชนี่เป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก ดิน น้ำ ไฟ ลม มีคุณค่าประโยชน์ ปรุงแต่งตนเอง รู้ว่าสิ่งไหนดีก็ทำ เท่าที่มันจะสามารถทำได้ซื่อสัตย์ กระท้อนก็ทำความเป็นกระท้อนดีที่สุดเท่าที่มันทำได้ มันไม่รบกวนใคร ไม่รังแกใคร ไม่เบียดเบียนใคร มะม่วงก็อย่างนี้ทองดำก็รักษาสภาพตามตระกูล DNA ของมัน ระกำก็ดี อย่างสละกับระกำนี้ต่างกัน ระกำนี่เปรี้ยวเพราะไม่ให้ใคร ส่วนสละนี้ให้คนอื่นจึงหวาน?

          เมื่อออกมาเป็น สี่มิติ ก็ควบคุม หากควบคุมไม่ได้ก็เอามาเป็นเราให้มากเอาสี่ ห้า หก เจ็ด...ไม่สิ้นสุดจะเอาโลกมาเป็นของตนทั้งหมดเลย สรุปแล้วโลกียะทั้งเทวดาและพรหม รวมแล้ว ในทานสูตรนี้

          เมื่อสามารถเป็นสี่เป็นห้าเป็นหกก็มีสามเส้าสองขา ก็เป็นระนาบ แต่พอมีเจ็ด แปด เก้า ก็มีวงรีอีก อันซ้อนเพิ่มจากวงกลมเล็ก พอเป็น 9 ก็เป็นวงกลมเลว เป็น cyclic order เป็นระบบของมันเต็มที่จะเป็นพลังสูงสุดเร็วสุดเสียพลังน้อยสุด มีพลังมากสุด

          ตัวเลข 123 456 789 มีความหมายทั้งสิ้น เป็นการอธิบายพลังงาน ที่ลึกซึ้งกว่าฟิสิกส์ ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียนรู้อุตุ พีช จิต ส่วนทางวิทยาศาสตร์ได้แค่ อุตุและพีชะส่วนหนึ่ง สัตว์ส่วนหนึ่ง แต่ของพระพุทธเจ้านี้ครบเลย อาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังเรียนรู้ไม่ครบ ถือว่าสมบูรณ์แต่ไม่สมบูรณ์ เป็นรอบสุดท้ายของสามเส้าแล้ว 789 เป็นธรรมะที่เป็นรากเหง้าของความรู้

          อุตุ นี้เป็นตระกูลอยู่ไปจนโลกแตก พอเป็นจิตนิยามก็เป็นวงวน แต่เป็นวงรีจนกว่าจะกลม

          ในศาสนาพุทธรู้จักพลังงานต่างๆ แม้จะเป็นแนวระนาบก็เป็นพลังงานแต่จัดการตัวมันเองไม่ได้นะ มันไม่รู้ตัวมันเองด้วย มีแต่แรงลม แรงผลักดัน ธาตุลม ธาตุไฟ

          พีชะไม่เห็นแก่ตน แต่มีความเป็นตน พอเร่ิมเป็นสัตว์ก็เห็นแก่ตน จนมาลดความเห็นแก่ตนลงได้อีกที ตอนแรกนี้จะไม่รู้จะเห็นแก่ตนนี้ว่าเป็นสิ่งดีมาก เหมือนธัมมชโยที่มีแต่ตัวกูของกู มีลูกศิษย์มากๆของกู เป็นตัวอย่างให้เห็นตัวจริงปรากฏจริงเลย เมืองไทยมีตัวอย่างโต้งๆเลย ทำยากนะ อย่างไชยบูลย์ทำนะ ต้องใช้ทั้งหัวคิดและความอดทนนะ มันสุดๆ

          เมื่อมาเป็นจิตนิยามก็จะมายึดตัวตนซ้อนในจิต พืชมันยึดตัวตนแต่ไม่ทำลายอย่างอื่น แต่จิตนิยามนี้ยึดตัวตนแล้วทำร้ายผู้อื่น จนกว่าจะมาลดแรงทำร้ายผู้อื่น ก็จะกลับมาเป็นผู้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อี กตามบารมีตามความสามารถ ตราบในที่ตนยังมีเชื้อเห็นแก่ตนอยู่ แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นพลังงานไม่เห็นแก่ตนแล้วเอาพลังงานนี้ไปเห็นแก่ผู้อื่นอีกที

          จิตนิยามนี้จะรู้เพิ่มเติมไป มีพลังงานแบบ อุตุ พีชะ แล้วมีพลังงานสร้างสรร (คำว่าสรร นี้แปลว่าเลือก ไม่ใช่ สรรค์ ที่แปลว่าสร้างหรือสวรรค์เสพรส) คำว่าสรรคือผู้มีธัมวิจัย เลือกสิ่งดี ดีมากกว่า ดีที่สุด เป็นต้น

          จึงเป็นผู้สามารถนำเอาพลังงานปรับเปลี่ยน จัดการพลังงานต่างๆ ตั้งแต่อุตุ พีชะ เอาพลังงานเหล่านี้มาใช้ให้มีประโยชน์ไม่สูญเสีย เมื่อมาเป็นพีชะ มันมี DNAที่เลือกเอาเฉพาะธาตุที่ปรุงแต่งตน เช่นกระท้อนก็รับเอาแต่ธาตุที่ปรุงแต่งเป็นกระท้อนได้เอง มะม่วงก็เอาเฉพาะของมันซื่อสัตย์ ไม่เอาเกิน ผู้เป็นอาริยะมีพลังงานซื่อสัตย์พวกนี้แล้วมีพลังงานเหลือเกินไปทำเพื่อผู้อื่น มีพลังงานแกนซื่อสัตย์แล้วไปช่วยเหลือผู้อื่น นำมาล้างตัวตน ทำเพื่อผู้อื่นเป็นเป้าหมายสุดท้าย หมดความหลงผิดนะไม่ใช่หมดตัวตนที่แท้จริงนะ แต่มีพลังงาน อุตุพีชจิตที่ดีกว่าดียิ่งกว่าจนกว่าจะดีที่สุด ถือว่าดีที่สุดคือ สัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาระดับ 7 ก็ต้องพากเพียรต่อไป อาตมานิยตโพธิสัตว์ ...ต้องทำต่อไป จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า

          ที่อาตมาเปรยไปว่า อยากเจอโพธิสัตว์ผู้พี่นี้ไม่มีหรอก เพราะความห่างของโพธิสัตว์แต่ละองค์ห่างกันมากนะ ไม่มีฐานะหรอกที่จะเกิดพระพุทธเจ้าสององค์ซ้อนกันหรือใกล้ๆกัน กว่าจะเกิดแต่ละองค์ต้องมีระยะห่างกันไกลมาก

          สรุปแล้ว คนที่เข้าใจพลังงาน อาการ แม้แต่อาการธาตุไฟ ธาตุลม พลังงานฟิสิกส์ก็เข้าใจ เข้าใจแล้วปรับมาใช้ สามารถเปลี่ยนพลังงานตนมาเป็นพลังงานอุตุ พีชะ ของจิตได้ จัดสรรพลังงานที่ดีที่สุดเอามาใช้ได้ อย่างลงตัว ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปร เป็นตัวเสถียร เป็นธาตุระดับ DNA สามารถอ่านรู้ De_oxy ที่แยกออกซิเจนได้ สามารถแยก Ribo Nucleic acid ที่เป็นธาตุน้ำที่จับตัวกันมีฤทธิ์เป็นกรด Acid มีพลังงานทำลาย ระดับเข้มข้น แรงมาก

          ผู้แยกแยะ DNA สามารถเปลี่ยนตระกูลของจิตวิญญาณได้

          ธรรมะนั้นเป็นคุณค่ากว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ จิตวิญญาณเดรัจฉานไหม เป็นคุณค่าต่อทุกสิ่ง คนที่บอกว่าธรรมะนี้ไม่ใช่การเมือง

          การเมืองคืออะไร? ธรรมะนี่แหละคือยอดการเมือง การเมืองคืองานช่วยมนุษยชาติ ช่วยประชาชน อยู่ที่คุณช่วยบริสุทธิ์ใจหรือว่ามี hidden agenda มีอะไรแอบแฝงอยู่ คนที่ไม่มีแฝงไม่มีบูมเมอแรงโค้งมาให้แก่ตนเอง ตรงสุด คือยอดสุดนักการเมือง คืออย่างพระพุทธเจ้า นี่คือการเมืองคือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

          จะรู้กำหนดหมายตัวกูคืออย่างไรแล้วอย่าทำเพื่อตัวกูของกู อย่างปชต.ขาเดียวของอเมริกา อย่ามานั่งอวดดีเลย ไม่มีเชื้อที่จะมาต่อความจริงใจ ปชต.ขาเดียวนี้ไปไม่รอดต้องปชต.สองขา ต้นแบบปชต.ของโลกคือสองขา อย่างอังกฤษกับอเมริกา คนในประเทศสองอย่างนี้ใครมีความสุขกว่า อังกฤษเกิดก่อนก็ยังมีความสุขกว่า อาตมาจะอยู่ไปถึง 151 ปี ก็จะได้เป็น ความนิยมของปชต.สองขาที่เจริญขึ้น

          เมืองไทยจะเป็นต้นแบบของสังคมปชต. ซึ่งคอมมิวนิสต์ ปชต.หรือเผด็จการนั้น เป้าหมายคือทำเพื่อปชช. แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นเป้าหมาย กลับทำเพื่อตนเองและพวกพ้องตน แต่ถ้าทำเพื่อปชช.ก็จบ เป็นพลังงานที่ทำเพื่อปชช. แต่ต่อให้ชื่อว่าระบอบใดๆแม้เผด็จการฟาสซิสต์ แต่ทำเพื่อปชช.จริงใจเลย นี่คือปชต.ตัวพ่อเลย

          อย่างธัมมชโยนี่ชื่อว่าผู้ชนะแต่แท้จริงตนคือผู้แพ้เต็มเปี่ยมเลย หน้าเขาขาวผ่องล้างมาเยอะ ติดที่ขานั้นเขียวคล้ำดำขนาดนั้น เลือดจะเสียขนาดไหนนะ

           ในหลวงเราให้เอาแบบคนจน แต่ไชยบูลย์นี้มาให้เอาแบบคนรวย มันคนละฟากฝั่งเลย ทำไมเขาใจดำขนาดนั้น เขาจะไม่มีใช้สอยก็เอาเงินมาให้กูเลยนะ สมมุติแต่วิมาน

          วิมาน ถ้าสมมุติจะได้อีกสองร้อยชาติ แล้วกว่าจะถึงตรงนั้นก็มีตัวแปรอีกมาก ไม่เที่ยงหรอก สิ่งครองโลกคือความไม่เที่ยง ให้ตั้งอยู่บนฐานของปัจจุบันเถิด อย่าประมาทกับส่ิงเหล่านั้น

          ประเทศไทยมีในหลวงต้องเป็นสิ่งปรากฏ Born to be แล้วประเทศไทยยุคนี้ต้องมีโพธิรักษ์ แล้วต้องมีแต่ ส.ศิวลักษณ์ ซึ่งคนลักษณะนี้ไม่ใช่มีแค่ ส.ศิวรักษ์

          ตรีมูรติ มีในหลวง โพธิรักษ์ และส.ศิวรักษ์ ซึ่งสามหน่วยนี้โพธิรักษ์จะเป็นผู้อธิบาย ส.ศิวรักษ์จะดีขนาดไหนก็อธิบายตนเองไม่ออก ในหลวงท่านทรงลักษณะสมบูรณ์แบบ ท่านก็มีของท่าน มีวิบากของท่าน

          ขณะนี้พลังงานที่ทำให้เกิดสังคมเปลี่ยนคือ โพธิรักษ์และศุลักษณ์ จากในไทยแล้วกระจายไปสู่ต่างประเทศ แต่สาย ส.ศิวรักษ์จะทำสายเจโต ส่วนโพธิรักษ์จะทำในสายปัญญา ต่างกันในแนวลึกแนวกว้าง ไม่ได้พูดอย่างเดา หรืออวดรู้แต่ขยายความให้ฟัง

          แม้แต่คำว่าบุญนี้ไม่มีใครอธิบายหรอก นอกจากโพธิรักษ์ ถ้าใครเอาบุญไปขายไปหลอกคนก็สั่งสมบาปนะ ในเมืองไทยเราจะเป็นตัวอย่างของยุคนี้ ภัทรกัปป์นี้ ไม่มีใครแย่งหรอกต้องช่วยกันทำถ้าเราทำแล้วใครจะได้ก่อน เราก็จะได้ก่อน เพราะถ้าไม่ทำตนให้อยู่ในคุณอันสมควรก่อนแล้วไปสอนคนอื่นจะได้อย่างไร จะเอาเงินให้คนอื่นก็ต้องมีเงินก่อน ไม่ใช่ไปกู้เงินมาทำบุญอย่างธัมมชโยหลอกให้ทำ

          ก็ขอตีเข้าเป้าว่า ไทยตอนนี้อยู่ในยุคเวลาวาระที่จะสร้างความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสังคมที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่มีอะไรซ่อนแฝงอย่างไม่เห็นแก่ตัวเลย

          ความจริงของพระพุทธเจ้ามีทั้งทฤษฎีและมีผู้ทำได้แล้วและจะขยายผลต่อไป เพื่อให้เจริญไปจนสูงสุด คุณรู้ไหมว่า ความสูงสุดนี้เล็กหรือใหญ่ เห็นไหม? ความสูงสุดนั้นไม่ใหญ่หรอก เพราะฉะนั้น ยอดเจดีย์ยอดปลายเข็มที่สุดนี้เล็กที่สุด ไม่ใหญ่หรอก ถ้าเล็กส่วนสูงรองลงมาก็ใหญ่ขึ้น ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ต่ำเท่านั้น

มันเป็นสัจจะ ไม่มีวันที่ส่ิงที่สูงที่สุดจะใหญ่ เพราะฉะนั้น หยุดอยากใหญ่

          ถ้าอยากสูงอย่าไปอยากใหญ่ ถ้าอยากใหญ่ไม่มีวันสูงสุด คุณจะเป็นฐานให้เขาเหยียบ ฐานที่ใหญ่ที่สุดกว้างที่สุดคือฐานที่เขาเหยียบทั้งนั้น อยากอยู่สูงไม่มีใครเหยียบก็อย่าอยากใหญ่

 

          ขณะนี้อาตมากำลังจะขอตั้งโรงเรียนอุดมศึกษา แล้วจะขอตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เมืองไทยแต่ก่อนจะขอมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดก็ยาก แต่ตอนนี้ก็ได้มาหลายจังหวัดแล้ว แต่อาตมาจะมาขอตั้งมหาวิทยาลัยในหมู่บ้านเลยนะ จะได้หรือไม่ก็มาลุ้นกันดู

          ขณะนี้สิ่งเกิดจริงเป็นจริง มัน born to be เป็นตัวอย่างยุคนี้ ไทยเรา แปลว่าอิสระ อิสระจนไมเห็นแก่ตัวเลยยะ ไปดูเพลงอิสรเสรีภาพ ที่ครูรัก รักพงษ์แต่ง ...

          ธาตุจิตของคนที่หลงเทวดา 6 ชั้น ซึ่งเป็นเทวดาปลอม เป็นเทวดาโลกีย์

          คือจตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี อย่างธรรมกายนี้เอาทานมาล่อ เป็นตัวร้ายแรงสุดคือ จตุมหาราช ยิ่งใหญ่เป็นคนได้สมราชะ คือกิเลสโลภเห็นแก่ตัว รชะ หรือมหาราชะ คือได้มาก อำมหิตต่อคนอื่นได้หมดคือเทวดาอำมหิตได้หมด คือเทวดา สี่ทิศ เหนือใต้ออกตก มีจิตวิญญาณเป็นภูติผี เป็นภุมภันฑ์(กุภ แปลว่าหม้อ แบ่งหลายหม้อ แล้วภูติคือจิตวิญญาณ) ให้เป็นหัวหน้าสายแล้วไปหามา มาให้กู แบ่งเป็นสี่ทิศเลย กุมภันฑ์มีสี่หน้า ท้าวธตรฐ ท้าววิรุณหก วิรุณปักษ์ ท้าวกุเวร มีสี่ยักษ์ เป็นยักษ์มาร เป็นผี เป็นเทวดาชั้นที่ร้ายที่สุดในความเห็นแก่ตัว

          แล้วมาเป็นดาวดึงส์เป็นอารมณ์ที่เสพสมรสได้สมใจ มันเป็นเทวดาเก๊ ที่ไม่มีจริง อ่านอาการลิงคนิมิตอุเทสให้ชัด อย่าโกหกตัวเองต้องล้างให้หมด จึงเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ได้ คนที่บริสุทธิ์สะอาดได้จะเป็นคนซื่อตรง ช่วยคนได้จริงตามประสิทธิภาพ อาตมามีคนชนิดนี้มาช่วยไม่กลัวจน 1 ตัวเองจริงก่อน 2 มีคนจริงตาม แล้วจะมีคนที่ 3 4 5 6 7 8 9 10 เพิ่มขึ้นเรื่อย ตอนนี้เข้าข่ายลข 4 บวชมา 46 ปี แต่วันเกิดทางโลกวันนี้ แต่วันเกิดทางธรรมยังไม่ถึง มันขึ้นเลข 46 แล้ว นับวันมีแต่จะเพิ่มพลัง ขึ้นเรื่อยๆ มันเบี้ยวความจริงไม่ได้หรอก

          อรหันต์คืออย่างไร อรหันต์อะไรมาทำท่าทีลีลาสอนคนอย่างนี้ อรหันต์ต้องทำเรียบร้อยสุภาพสิ แม้แต่สัตว์อาตมาก็ไม่ให้เลี้ยง อาตมาจะทำแต่คนนี่ให้เจริญก่อน สัตว์ให้ไปตามวิบากของมันอย่าไปพัวพันแบ่งส่วนไป ให้มันรับวิบากตามเหตุปัจจัยมันเอง เราทำของเรากับคนก็เหลือแหล่แล้ว มันหมดคนทุกข์ที่คุณจะช่วยแล้วหรือ ช่วยคนให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้เกลียดสัตว์ ไม่มีแรงงานไปช่วยสิ่งที่เกินกว่าจะมีเวลาแรงงานไปช่วย

          ตอนนี้มีชมพูทวีปเกิดแล้ว คือแดนที่มีคนบรรลุอรหันต์นั่นเอง แล้วจะหยั่งลงแล้วแผ่ขยายไป อีกร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี อาตมาก็จะต้องทำต่อไป พวกเราที่ช่วยอยู่แล้วเป็นเรื่องของบารมีที่จะมาช่วย จะมีทั้งตัวเชื่อม มีทั้งปัญญา ต้องอยู่กับอันนี้ แล้วคุณจะเลือกอันนี้ ตามปัญญาของคุณ ถ้าเลือกผิดก็ต้องอยู่กับผิดเอง แต่ถ้าเลือกถูกแล้วก็ทำ สิ่งนี้ก็บอกอีกทีว่าเมืองไทยเป็นเมืองตัวอย่าง เป็นเมืองเจริญ ที่จะเกิดขึ้นไป ได้ดีขึ้นจริงๆ สำหรับวันนี้ เวลาหมดแล้ว ฝากไว้ก่อนโอฬาร ติดตามดีๆแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร...เอวัง

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:55:56 )

590606

รายละเอียด

590606_ทวช.อโศกรำลึก #35 สันติอโศก

พ่อครูว่า….วันนี้วันจันทร์ที่ 6 มิ.ย. 59 ...วันนี้ก็ตั้งใจจะบรรลือสีหนาท ในธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ สันตา ปณีตา คือสงบอย่างไม่ใช่มะรื่อทื่อแบบฤาษี แต่แคล่วคล่อง มีกายปาคุญญตา ทำงานได้แคล่งคล่อง มีกายและจิตที่ทำงานได้อย่างได้สัดส่วน ที่บริบูรณ์

ปีนี้อโศกรำลึกปีที่ 35 เลข 3 เป็นเลขสำเร็จของสามเส้า แล้วเลข 9 นี้เลยสี่สองฝั่งแล้วเป็นลักษณเกิด ถ้า 0​นี้เป็นลักษณะสมดุลหรือไปหาเสื่อมหรือจะเกิดใหม่ก็ได้ ปีนี้ในหลวง 88 พรรษาก็ สี่ สี่ วันที่ 9 เป็นวันสำคัญ ในหลวงครองราชย์วันที่ 9 ครบ 70 ปีพอดี ชาวอโศกเราก็จัดโรงบุญได้ 70 โรงทีเดียวนี่เป็นเรื่องที่เราอาศัยตัวเลขเป็นสถิตินำ

ที่อาตมาใช้ตัวเลขและพยัญชนะนำ ที่ทำได้เพราะเป็นระดับ 7 มีอะไรลงตัวบ้าง โมเมไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติต้องพร้อมทั้งดิน น้ำ ไฟลม สถานที่ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจะพยากรณ์พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็พยากรณ์ได้ มันไม่ใช่เรื่องทำนายแต่เป็นเรื่องครบองค์ประกอบที่ได้สัดส่วนพอดี ปีที่ผ่านมาเราได้จัดโรงบุญถวายในหลวง 888 โรงบุญ ในโอกาสที่ในหลวงอายุครบ 88 ปี ในปีนี้ เราก็จะเพิ่มเป็น 890 โรงบุญ

มีผู้เขียนกวีมา….กวีเด่นตะวัน กวีอโศกสัมปวังโก กวีเป็นต้น นาประโคน

ก็จะไม่ได้อ่านกวี กวีก็อย่าไปทำใจเสียนะ อย่าโง่ ใครทำก็โง่

มาเข้าสู่ที่อาตมาตั้งใจจะอธิบาย เมื่อคืนก็รู้สึกตัวตีสองก็คุยกับเทวดา

 

พระพุทธเจ้าตรัสถึงทานที่จะมีอานิสงส์มากมีผลมาก ...เราทำทานเท่าใดผลก็มากตามจำนวน แต่ถ้าคนทำทานทำใจในใจไม่เป็น ทำทานล้านหนึ่งแต่ขอให้ได้แสนล้าน ล้านๆ จิตเขาโลภเกินไปตั้งจิตไว้ผิด แทนที่จะทำทานล้านหนึ่งให้เอาไปทำประโยชน์แก่ปชช.กลับค้ากำไร อย่างคนที่เราก็เข้าใจว่าใคร….

เป็นเทวดาเก๊ที่เป็นจตุมหาราชิกา มีภูติสี่ทิศเป็นกุมภันฑ์ กุมภันฑ์แปลว่าผู้มีอัณฑโตเท่าหม้อ แต่เขาจะโชว์อัณฑะไม่ได้ แต่โชวเป็นขาใหญ่ดำแทน

 ท้าวธตรฐ ท้าววิรุณหก วิรุณปักษ์ ท้าวกุเวร

ผู้ทำทาน ถ้าตั้งจิตเอาไว้ผิด โดยมีความหวัง หวังว่าจะได้ ผูกพัน ยึดติด มุ่งการสะสมให้ทาน แล้วให้ทานโดยที่หวังว่าตายไปแล้วจะได้ผลอย่างนั้นๆ จริงตายไปแล้วได้รับผลจริง แต่ถ้าโง่ไปยึดติด คุณให้มากมีผลมาก แต่ถ้าให้น้อยแล้วอยากได้มากคุณซวยนะ คุณให้มากก็ไม่ต้องคิดเพราะได้ผลมากอยู่แล้ว จะเกิดมาสวยมารวยอย่างไรก็เป็นผล มุ่งทานไหนก็เป็นเช่นนั้น เราก็จะเกิดมารับผล

ทำทานอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ ยิ่งมีคุณค่าประโยชน์สูง เราต้องทำทานให้สะเด็ดไม่หวังไม่ผูกพันไม่สะสมสั่งสม แต่นี่เขาสอนให้สั่งสมจะได้รับผลในอนาคต ไม่ลดละ

ผู้เป็นจตุมหาราชสี่ทิศ มี ท้าวธตรฐ ท้าววิรุณหก วิรุณปักษ์ ท้าวกุเวร

วิรุณหก  เป็นผู้หนึ่ง เป็นลีลาโรแมนติกอิซึ่ม ขออภัยที่จะยกตัวอย่างถวัลย์ จะไปทางหนักทางดำ แต่เฉลิมชัย จะมีวิมานขาว นี่เป็นเรื่องสัจจะ ขอบคุณถวัลย์และเฉลิมชัยที่ให้เอามาเป็นตัวอย่าง เขาก็ใส่ใจทำงานออกมา

วิรุฬปักษ์นี้เป็นเวหัปผลา ส่วนธตรฐเป็นอสัญญีสัตว์ มีสองทิศทาง

นาคีมีพิษเพี้ยงสุริโย พิษร้ายบ่ทำเดโชแช่มช้า แมงป่องก็ร้ายแต่ร้ายวูบวาบ นาคีนี้ร้ายลึก เป็นงูพิษ นาคคือพวกนอนเลื้อย ยักษ์คือพวกตาโตไฟพุ่งๆๆๆ สรุปแล้ว วิรุฬปักษ์ วิรุหก นาค

วิรุฒปักษ์นี้พวกชนปัญญา ส่วนพวกนาค ยักษ์นี้เจโต ยักษ์คือพวกไฟ นาคคือพวกนิ่ง  พวกไฟนี้ร้ายวูบวาบ

อย่างอ.มั่น หลวงพ่อชา เจ้าคุณนอฯ หลวงพ่อชานี้ยังไม่ถึงเจ้าคุณนอฯ แต่ดีกว่าอ.มั่น

ไทยยุคนี้เป็นยุคปัญญาไม่ใช่ยุคเจโต อย่างอินเดียสายเจโต ซื่อ ส่วนจีนสายปัญญา เฉโก เป็นสัจจะ ไปทำเอาไม่ได้ อย่างรัสเซีย อเมริกาก็มีนัยแตกต่างเป็นธรรมะสองเสอม ปัญญากับเจโต ก็ค่อยเข้าใจลึกซึ้งไปเรื่อยๆ

มาขยายเทวดา 6 ชั้น คือจตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี

จตุมหาราชนี้ยังร้าย แต่มีอานิสงส์ที่ได้ทำดีมา

ดาวดึงส์เป็นการเสพรสสัมผัส ทั้งทวาร 6

ยามา นั่นคือวาระเวลา อยากได้อำนาจครองนาน อยากได้เสพรสอร่อยนานๆอยากได้ไพเราะนานๆคือระยะเวลา ติดใจอยู่นาน ระวังจะหลงติดใจอยู่นาน ติดยึดนาน ระวัง มันจะช้า แล้วมีวิบากซับซ้อนสารพัด รีบๆจบ ตัดวาง แล้วจะเจริญ

ยกตัวอย่างนางวิสาขา ที่ยังอยากสวยอยากงามไม่เลิกไม่จบ เป็นวัฏภิรตโสดาบัน

ดุสิต คำว่าสิต แปลว่าเย็น คือพวกพักสงบเย็น วางปล่อย แม้ทางโลกีย์ก็พักยกโดยธรรมชาติ เคหสิตอุเบกขา แต่ถ้าเนกขัมสิตอุเบกขา มันวางปล่อยเพราะเรารู้ว่าการวางปล่อยนี้ดีกว่าเบากว่า มีภูมิปัญญาแล้วพากเพียรวางได้ ส่วนเคหสิตนั้นเกิดตามธรรมชาติไม่ได้ด้วยพยายามด้วยปัญญา

นิมมานรดี นั้นคือต้องทำเองเนรมิตเองได้สมใจ

ปรินิมมิตวสวัตตี คือตนไม่ต้องทำเอง มีคนอื่นทำให้หมด บารมีสูงกว่า แต่สำเร็จด้วยเหมือนกัน อย่างอาตมาก็มีคนช่วยระดับหนึ่ง คนสูงกว่าก็มีคนช่วยมากกว่า

ผู้ที่ทำทานแล้วไม่หวังได้อะไรตอบแทนดีกว่าผู้ตั้งความหวัง ผูกพัน

ผู้ตั้งความหวังแต่ไม่ผูกพัน ดีกว่าผู้ที่ตั้งความหวัง ผูกพัน

แล้วก็ดีกว่าผู้ที่สั่งสมต่ออีก มีสี่ระดับ คือยังมีความหวัง ผูกพัน สั่งสม

ในบารมี 10 ทัศ มีคำว่าทานนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด

ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา _ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน _ เมตตา อุเบกขา

เมตตากับอุเบกขาเป็นปลายสุดท้าย พระอรหันต์ โพธิสัตว์ใช้เมตตาทำงาน เป็นพรหมวิหาร

ปัญญาเป็นตัวรู้ความจริงจบไปเรื่อยๆ แล้วเสริมเป็น วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เอาให้จบสัจจะความจริงทั้งสมมุติและปรมัตถสัจจะ แล้วตั้งใจเพิ่มๆ

มีคนที่เอาทานมาต่อเป็นบุญ ที่จริงบุญคือเครื่องตัด ทานเป็นเครื่องต่อ แค่คนขบถ เอาทานมาตัดเอาบุญมาต่อก็เป็นเรื่องเหลงไหล

ประเทศไทยเราจะเป็นแดนชมพูทวีปที่จะช่วยมนุษย์ยุคนี้ไปจนกว่าหมดภัทรกัปป์ คนต่างประเทศมีบารมีมาก็จะมีบ้าง แต่เราอยู่ในนี้มีสัปปายะ 4​แล้ว ส่ิงที่อาศัยต่างๆที่นี่อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารอากาศสมบูรณ์

เมืองไทยจะไม่เจริญแบบสร้างอาวุธเก่ง เราไม่เจริญแบบนั้นหรอก

เราเกิดในไทยก็เป็นคนมีบารมี อย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม

อาตมามาทำหน้าที่ ส.ศิวรักษ์ ในหลวง ก็เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ของแต่ละคน ช่วยกัน แต่ละคนก็ตามก็ทำหน้าที่ไป ก็ต้องรู้ตัวเองให้ชัดว่าหน้าที่แต่ละคนมีประโยชน์ชัดนะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราปฏิบัติมรรค 7องค์แล้วจะเกิดจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่แบบนั่งสะกดจิต พวกhypnosis นั้นทำไปจะสะกดจิตให้แน่นเหลือดิ่งเดี่ยว แต่ว่า analysis แบบพุทธจะมีความหลากหลายเกิดขึ้น

ตอนนี้เมืองไทยกำลังอยู่ในยุคเปิดเผย ชัดเจนขึ้น แม้อานิสงส์ในการฟังธรรมก็ตาม

ทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ อาศัยความเข้าใจแล้วเอาไปประมวลคิด สังกัปปะ แล้วมา create เช่นสังกัปปะ 7

1.ดำริ เริ่มความรู้สึกนึกคิด ตักกะ แล้วแยะแยะ ถ้าเริ่มดำริ ก็แยกผีกาม พยาบาทออกจากดำรินี้สองอันใหญ่ๆ ส่วนโมหะนี้แยกกามพยาบาทไม่ออก แล้วจัดการกาม พยาบาทได้ก็เอามาใช้งาน เป็น วาจากัมมันตะอาชีวะแล้วทำด้วยพยายาม ที่จะต้องเข้าใจทิฏฐิโดยมีสติตลอด เอามาทำงานเป็นวาจากัมมันตะอาชีวะ องค์ 7นี้สั่งสมผลลงเป็นสมาธิ อย่างนี้คือสัมมาสมาธิ ของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของอาจารย์ใดๆหรือฤาษีใด เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สะกดจิตที่ได้ผลน้อย มีผลหยุดได้เก่งได้เร็ว น้ำหนักมาก แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านี้ช่วยได้มากละเอียดละออลึกซึ้งกว้างขวางกว่ามีประโยชน์ต่างกันนัยต่างกัน

ในมรรคองค์ 8นี้สังกัปปะ 8 มี

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นสาม ที่เป็นฝ่ายปัญญา

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสามที่ฝ่ายหนักแน่น เจโต

 

คุณสุลักษ์เป็นนักปราบ อาตมาเป็นนักปราม พระพุทธเจ้าตรัส สัมมาทิฏฐิ 10 มี

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

จิตที่เสวยผลคือมีผล อย่างผลอานิสงส์ของศีล

 

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

อาตมาปางนี้ต้องเป็นทั้งแม่และพ่อ เป็นนักรบพ่อลูกอ่อน มือหนึ่งถือดาบมือหนึ่งอุ้มลูก ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อช่วยให้จิตนี้เกิด

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) ความเป็นสัตว์โอปปาติกะนี้ท่านยกให้อนาคามี ในความเป็นสัตว์ต้องสมสู่ แต่อนาคามีไม่ต้องสมสู่แล้วมีแต่ระริกระรี้ในใจ ถ้าจะผสมส่วนก็มีแต่พีชะ ไม่ออกมาข้างนอก เป็นสามเส้า ish อนาคามีเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายไม่เอาแล้ว มีโอตตัปปะ กลัว ไม่เอาแล้วรังเกียจมากแล้วขยะแขยง แต่ขยะแขยงก็ยังทุกข์ต้องวางอย่างแข็งแรง ไม่มีภายนอก มีแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ยิ่งอรูปราคะยิ่งอ่อนเบา หมดอรูปราคะก็หมดเรื่องเพศ ยังมีถือดีมานะอัตตา ไม่ใช่เรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องข้าต้องดีต้องเก่งเป็นศักดิ์ศรี เหลือเศษสุดท้ายไม่มีฤทธิ์อะไรมากแต่ยังเหลือเบาบางน้อย สุดท้ายเหลือความหมองของเพชร สู่อากิญจัญญายตนะ  แม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มีเศษ พ้นจากความไม่รู้ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ สู่สัญญาเวทยิตนิโรธพ้นอวิชชาสวะ ก็ยังมีต้องพ้นอวิชชานุสัยอีก

อากาศกับวิญญาณคู่หนึ่ง อากิญจัญฯกับเนวสัญญาฯคู่หนึ่ง

อากาศกับวิญญาณ อากาศคือว่าง วิญญาณคือรู้

อากิญจัญคือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งกับเนวสัญญานาสัญญาคือรู้กับไม่รู้

อากิญจัญฯ แล้วเข้าหาสู่ความไม่มี(น เหวะ) ถ้าเนวะนี้ตัวมันเองจะมีหรือไม่มีก็น้อยแล้วต้องลดลง แบบไม่มีที่ไม่รู้ต้องรู้หมด ที่ไม่รู้ไม่มี ต้องใช้สัญญากำหนดรู้เคล้าเคลียอารมณ์ทุกความรู้สึก อ่านแล้วอ่านอีก ตรวจแล้วตรวจอีกสัมผัสแล้วสัมผัสอีก เมื่อใดก็0000 จนมีสถิติเพียงพอ แน่ใจว่าจบเต็มถ้วน

สรุปที่เทวดา 6 ต้องมาลดความเป็นเทวดาลงไปตามลำดับตั้งแต่ระดับหยาบ จตุมหาราชิกา หรือแม้จะซ้อนมาสุภาพนะจ๊ะก็ยังหยาบอยู่ หมอมโนว่าถ้าเขาโกรธขึ้นมาก็จะทุ่มข้าวของทำลายของ

เมืองไทยจะเป็นเมืองชมพูทวีป...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:56:25 )

590607

รายละเอียด

590607_ทวช.อโศกรำลึก#35  เรื่อง ทานสูตรโดยพิสดาร

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559 ปีวอก ก็อย่าวอกแวกก็แล้วกัน...ชีวิตจะตั้งอยู่บนฐานที่ชอบธรรม โดยการเรียนรู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า โลกได้เรียนรู้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนมีคนที่สูงสุดได้ เป็นส่ิงสูงสุดในชีวะ ก็คืออัตตา แล้วก็รู้ว่าเหตุอะไรมันจึงเกิดอัตตา และเหตุอย่างไร จึงจะทำให้อัตตา มันหมดไป หรือว่าอัตตานั้นไม่ลึกลับ รู้แจ้งในอัตตา เป็นอรหัตตา ผู้รู้นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เอามาประกาศไว้ให้โลก เป็นส่ิงประเสริฐสุดยอด ก็ทรงไว้ซึ่งอรหัตตา เป็นผู้มีส่ิงไม่ลึกลับ

เร่ิมไม่ลึกลับก็เป็นโสดาปัตติมรรค มีทิศทางเป็นสัมมาอาริยมรรค ทางทีถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ข้อแรกสุดเลยที่จะต้องรู้ ก็คือ ทาน  อัตถิทินนัง แล้วสัมมาทิฏฐิ 10 ขั้นนี้ เร่ิมต้นรู้สัมมาทิฏฐิ ก็จะเร่ิมปฏิบัติสู่ความเป็นอรหัตตา เป็นสัพพาปสอกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวงอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ทำแต่กุศล ถ้ากรรมกิริยายังดำเนินไป เป็นกุสลสูปสัมปทา เพราะได้จัดการได้ชำระจิตของตนเอง ที่เป็นธรรมนิยามหนึ่ง ในห้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม แล้วก็ธรรมนิยามเป็นคำสุดท้าย

ธรรมะนี่ คือการทรงไว้ เป็นธาตุ ที่มีไว้ทรงไว้

ตั้งแต่อุตุ ที่เป็นดินธาตุ น้ำธาตุ ไฟธาตุ ลมธาตุ แม้แต่อากาสธาตุ จนพัฒนามาเป็นพีชนิยาม ก็เป็นธรรมนิยามระดับหนึ่ง นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งนั้น

พีชนิยามมีสัญญากับสังขาร มีธาตุที่จัดการกับความเป็นตนได้ อุตุนิยามจัดการตนเองไม่ได้ มีแต่สิ่งแวดล้อมองค์ประกอบจัดการมัน เป็นธรรมะสอง

ธรรมะสองที่จะอยู่ร่วมกันชนิดที่ติดกันแน่นก็ได้ ก็จะหาความเป็นช่องว่างได้น้อย แต่ถ้าเป็นธรรมะสองมันคนละธาตุก็มีความแตกต่างกันแน่

อย่างลูกโลกทั้งโลกก็เป็นธาตุดินส่วนใหญ่ แม้แต่ดาวดวงไหนในมหาเอกภพ ก็รวมตัวอยู่ ถ้าเรียกเอกภพ ก็คือธาตุดิน ซึ่งมีอากาศเยอะ ช่องว่างเยอะ แล้วก็มีธาตุดินซ้อนตัวอยู่ ตั้งแต่เนบิวล่า จนกระทั่งถึงกาแลกซี่ จนถึงจักรวาลใหญ่ น้อย จนมาถึง โลกลูกหนึ่งนอกนั้นก็กระจายเป็นอุกาบาต ธุลีละอองซ้อนกันไป จนโลกลูกหนึ่งก็มีธาตุ เป็นธาตุดินก้อนใหญ่ พัฒนามาจนมีธาตุน้ำ จนมีลม มีไฟ ในตัวมันซึ่งลมกับไฟ เป็นธาตุพลังงานที่ทำปฏิกิริยากันอยู่ ในทางฟิสิกส์ก็มีพลังงานบวกกับลบ สังเคราะห์กันไป พัฒนากันไป จนกระทั่งมาเป็นชีวะ เป็นพีชะ แล้วก็พัฒนามาเป็นจิตนิยามแล้วก็มายึดกรรม

ถ้าเปลี่ยนแปลงให้คนแต่ละคนทรงไว้แต่ละแท่ง แล้วสามารถพัฒนาธาตุที่ทรงไว้แต่ละคน จนเป็นธรรมนิยาม ถึงที่สุดแล้วก็เป็นธรรมนิยามของคนที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศล จะมีกรรมกิริยาทุกกรรมไม่ทำบาปทั้งปวงเพราะได้ใช้บุญชำระบาป ในธรรมนิยามที่ชื่อว่า อัตภาพ หรืออัตตา สิ่งที่ประกอบกันอยู่สะอาดหมดจดแล้ว สจิตตปริโยทปนัง เรียกจิตที่เป็นธรรมะสอง เรียกมันว่า กายก็ได้ กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ

กรรมกิริยาของผู้มีจิตนิยามที่สูงส่งแล้วรู้ว่ากรรมกิริยาของตนเป็นผู้ที่ได้ปรุงแต่งจิต (จิตตาลังการัง) สามารถทรงไว้ซึ่งความสูงสุดของธาตุจิต เป็นวิญญาณธาตุที่ทรงไว้ดีที่สุดแล้วมีแต่กรรมกิริยาหรือเป็นธาตุที่มีกรรมกิริยาใดก็มีแต่กุศลไม่มีบาป ก็บาปทุกกรรมกิริยาตั้งแต่บรรลุอรหันต์แล้วไม่มีบาป เพราะได้ใช้บุญชำระบาปไปหมดแล้วเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนมีแต่กุศลตลอดไป

ใครได้ยินได้ฟังแล้วเกิดอานิสงส์ 5 ของการฟังธรรม

การปรุงแต่งจิต จิตตาลังการัง คือจิต สนธิ กับ อลังการ คือปรุงแต่งจิต ทำกับจิตของเราได้ จิตเราก็จะสมบูรณ์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้สูงสุดแล้วสามารถแยกส่วนธรรมะสองของตน เลิกเป็นธรรมะนั้นได้ สามารถสลายเป็นธาตุตามธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนวิญญาณหายไปเลย ความเป็นวิญญาณของอัตภาพนั้นจบ ไม่มีอะไรเวียนวนมาเกิดอีก

ในทานสูตร ล. 23 ข.49

พวกเราฟังแล้วง่วงไหม?.... ถ้าใครฟังแล้วตื่นดี เป็นพุทธะ ยิ่งฟังยิ่งตื่นรู้เบิกบาน ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟัง ฟังแล้วที่เคยสงสัยข้องใจหายไป ฟังแล้วทิฏฐิดีขึ้นหมดสงสัย เข้าใจขึ้น แล้วก็จิตแจ่มใจเลื่อมใส ก็เป็นอานิสงส์ มาฟังทานสูตร

ทานที่มีผลมาก อานิสงส์มาก จึงเป็นผู้มีธรรมทานสุดยอดจริง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมทานเป็นทานที่สุดยอดกว่าทุกส่ิงทั้งปวง ชีวิตของคนหากไม่ได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นผู้ที่ทานได้สูงสุด พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่เป็นคนขอทาน แต่เป็นคนให้ทาน เป็นสิ่งทรงขึ้นมาเป็นธรรมะ ให้แก่ผู้อื่นได้หมด โดยผู้นี้ไม่ได้เอาอะไรจากใคร มีกรรมกิริยาทำให้แก่ผู้อื่นตลอด ไม่เอาอะไรจากใคร พ้นลาภแลกลาภ มีชีวิตที่ไม่มีลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา

1.ไม่มีจิตหวังในการให้ทาน

2.ไม่มีจิตผูกพันในการให้ทาน ไม่มีอาการจิตเช่นนี้เลย เป็นผู้ให้ตลอด สุดท้ายเป็นผู้มีธรรมทาน ชีวิตร่างกายทรงไว้ตลอด กายและจิตของผู้อรหันต์เป็นต้นทุกกรรมกิริยาทรงไว้ซึ่งธรรมตลอด ส่วนผู้ที่ให้อะไรใครก็แล้วแต่ยังมีหวังมีจิตผูกพันในผลการให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานโดยที่คิดว่าเราตายไปแล้วจะได้ผลอย่างที่เราได้ทาน ผู้ที่สะสมเช่นนี้ก็จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา

เทวดาที่เป็นความเจริญ แต่อวิชชาก็จะทำให้เป็นเทวดาที่เลวสุด เพราะคนเราไม่รู้ความเลวสุดหรือดีสุด จะหลงจนอวิชชาหนักแล้วนึกว่ากรรมกิริยาที่ตนทำนี้ดีสุดแต่สุดท้ายแล้วชั่วสุด

พลังงานจิตนิยามจะเป็นพลังงานแย่สุดเลย เข้าใจตนเองว่าได้ทำทาน แต่กลายเป็นว่าตนเองหลอกให้คนมาทำทาน แล้วก็บอกว่าทานนี้จะได้เป็นเทวดา แล้วหลอกว่าจะได้เป็นเทวดาดาวดึงส์ แต่ความจริงไม่ใช่ กลับเป็นเทวดาชั่วสุดคือเป็น จตุมหาราช ผู้ทำทานแรก เพราะไปทำทานชนิดที่สอนกันบอกกันว่า ทานแล้วนี่จะมีวิมานเป็นที่หวัง โดยใช้คำว่าบุญนี่ไปแทนวิมาน จะได้บุญใหญ่บุญมากวิลิศมาหรา

ถ้าผู้ที่สอนนั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดตนบอกแล้วเชื่อว่าอันนี้จริง คนนี้เป็นคนอวิชชา หลงผิด เป็นคนที่ เอาหัวเดินต่างตีนเลย ในทานสูตรที่พระพุทธเจ้าไข ถ้าผู้ใดทำทานโดยยังหวังวิมาน จิตผูกพันวิมาน สั่งสมวิมานลอยลมนั้นไป โดยมั่นใจว่าตายไปกี่ชาติๆก็แล้วแต่เป็นสัมปรายิกภพต่อไปๆๆ ตนจะได้ผลของทานนั้นทั้งนั้น คนอวิชชาที่หลอกกันอย่างนี้แหละคือ เป็นจอม มีโทษลักษณะ ไม่ใช่คุณลักษณะ

มีโทษลักษณะความเป็นภูติ ซึ่งไทยเราเรียกว่า ผี มีความเป็นกุมภันท์ มีความเป็นนาค มีความเป็นยักษ์ เป็นจอมอสูรทั้งสี่ มีความชั่วครบชุด

เป็นสิ่งที่ตนจะหลงตนเองว่ายิ่งใหญ่ สังเกตว่าคนนี้จะหลงตนว่าตนยิ่งใหญ่ เมืองไทยนี่จะเรียกว่าโชคก็ได้เพราะมีตัวจริงคนจริงให้เห็น ในปัจจุบันเลย เกิดมาเป็นสัตว์มนุษย์ตัวหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จริงหรือเป็นจอมอสูรทั้งสี่ อยู่ในชีวิตของเขา เขาจึงจะสั่งสอนประกาศเผยแพร่ให้คนมาหลง หวัง มาทาน ทานทาน แล้วใช้คำตอแหล เอาคำว่าบุญมาแทนคำว่าทาน เขาไม่รู้ว่าบุญที่ถูกต้องหมายถึงอย่างไรก็เอามาใช้แทนเป็นบุญใหญ่บุญมากอะไรก็แล้วแต่ ที่พูดนี้ไม่ได้ส่อเสียด แต่กำลังแสดงความรู้วิชาการ ผู้ที่ทำเช่นนั้นเป็นการทำใจในใจ โดยตั้งจิตไว้ผิด เป็นทิศทางที่ผิด จึงเกิดกรรมกิริยาในสังคมประเทศชาติดังปัจจุบันเป็นโจรหัวโจกกับโจรหัวโจก ทำร้ายกัน

ในกระแสข่าวคราวธรรมาธรรมะสงครามในประเทศไทยเป็นการรบกันระหว่างธรรมะกับอสูร ใครเห็นบ้าง ผู้ไม่รู้ก็จะทำใจในใจเป็นเหมือนโจรหัวโจก

เช่นเราจะตั้งจิตหวัง ผูกพัน สั่งสม ในการให้ทานแล้วก็เชื่อว่าการทานนี้จะเป็นอุปกรณ์ให้แก่ตนเป็นการได้ดี ตายไปแล้วได้เสวยผลหรือเกิดอีกกี่ชาติๆก็จะได้รองรับกับตนเองไปตลอด

คนที่ทำจิตตนเองผิด ตั้งจิตหวัง ผูกพัน สั่งสม ในการให้ทาน เพื่อสั่งสมความปลื้มใจ เป็นเทวดา 6ชั้น นึกว่าดีแต่แท้จริงเทวดา 6 ชั้นนี้ยังเป็นความเลว เป็นภพชาติของผู้อวิชชา ไม่ว่าเทวดาชั้นไหนก็เป็นภพชาติทั้งสิ้นแล้วมันไม่ใช่ภพชาติอันเดียว

คุณโง่ตั้งแต่เป็นจตุมหาราช ในทานสูตร ผู้ใดปรุงแต่งจิตโดยตนไม่รู้ไม่ได้ทานโดยคิดว่าเมื่อทานแบบนี้จิตจะเลื่อมใส จิตจะเกิดปลื้มใจโสมนัส ถ้าผู้ใดมีวิชชา ปรุงแต่งจิตตนได้ จนจิตตนไม่ได้ทำทานแล้ว จิตของเราจะไม่มีแม้แต่ความเลื่อมใสปลื้มใจจิตจะให้ทานด้วยปัญญา

เริ่มต้นให้ทานระดับโลกีย์ ก็จะคิดว่า ทานนี้เป็นสิ่งดีนะ ในความเป็นปุถุชน คิดว่าเป็นการดีก็คืออานิสงส์ระดับต้น ถ้าทานเป็นจตุมหาราชจะไม่มีอานิสงส์แต่มีผล (เพราะกรรมทุกกรรมมีผล) คนที่จมในจตุมหาราช ทำทานแล้ว จิตเข้าใจว่าทำทานเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มีเท่าไหร่จะต้องทำทาน อย่างที่เขาครอบงำจิตคน ให้เข้าใจว่าทำทานแล้วจะเป็นมหัปผลา คือมหาผล ผลใหญ่ จึงมีชีวิตที่ขยัน จนอย่างไรก็ต้องทำงาน เงินจะกินใช้กับตนก็ไม่ใช้ ถนอมเอาไปทำทานกับผู้ที่หลอก ว่าถ้าทำทานกับผู้นี้จะได้ผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์ แม้จะเป็นการดี จิตจะยึดว่าเป็นการดีก็ไม่ แต่ทำทานนี้หวังผล แม้เป็นบัณฑิตทางกฏหมายก็ยังคิดเช่นนี้ตามข่าวที่ได้เอามาอ่านให้ฟัง

เขาทำทานกันปานฉะนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ข้อแรกเลยว่าพ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์

หลอกว่า ทำทานกับตนนี้ ตนเป็นเหมือนบุรุษไปรษณีย์ จะเกิดผลเป็นสุข แต่แท้จริงเป็นทุกฏานัง เราเห็นเลยว่า คนที่ทำการสะสมเงินทองเพื่อทำบุญ(เขาตอแหลคำว่าทานนี้เป็นบุญ) ทานนี้ต้องมีภูมิปัญญา ว่าทานอย่างไรจึงเป็นผลเป็นบุญ

คำว่าผล คุณจะทำกรรมกิริยาทุกกรรมกิริยามันมีผล กรรมเป็นอันทำ เป็นผลมีวิบาก สุกตทุกฏานัง กัมมานังผลังวิปาโก ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นทุกฏานังเป็นทุจริตกรรม ผู้ใดทำทานแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่ เครื่องอุปโภค บริโภค ไม่ได้ตรัสถึงเงินทอง

ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ เป็นสำนวนที่ท่านแปลว่า การทำทานเห็นปานี้คือปานไหน? คือทำไมคนทำทานได้เลวปานนี้ ที่ท่านท้วงไว้คือทานอย่างทุกฏนัง ตกต่ำมากที่สุด ตกต่ำอย่างไร เพราะว่าทานอย่างมีหวัง ทานอย่างผูกพันผลในการให้ทาน ทานอย่างมุ่งการสั่งสม ทานโดยคิดว่าตนเองในสัมปรายิกภูมิตนจะได้เสวยผลจากทานนี้ไปตลอด

ทำไมคนคิดทำทานที่ชั่วได้ต่ำขนาดนี้เลยหรือ สำนวนของทานสุภาพไม่ได้เน้นอย่างอาตมา แต่ที่จริงท่านเน้นแต่คนแปลไม่แปลให้หนักให้ชัด  เพราะว่าทำอย่างนั้นก็ทำกันได้หรือ สารีบุตร มันชั่วหนักเลยนะ พระสารีบุตรก็ว่า ทำได้ขนาดนั้นจริงๆ(สำนวน)

อย่างคนไทยถูกหลอก ถูกสะกดจิต ถูกใช้เป็นกำแพงมนุษย์ เป็นอาวุธต่อสู้ ตกลงเลย DSI ผู้ปราบก็เลยหงิกเลยตอนนี้ มีกำแพงมนุษย์แล้วยังเอาลวดหนามหีบเพลงกั้นด้วย แต่ตอนนี้เหนียมอายก็เลยเอาออก แล้วบอกว่าคนมามากมาปฏิบัติธรรมก็ระดมคนมา

อาตมาจะเข้าใจผิดก็ไม่ทราบนะว่ามีการจ้างมา มีคนต่างชาติด้วย และทำเช่นนี้มานาน เพื่อสร้างรูปธรรม เช่นการบวชให้มาก เหมือนสร้างหนังละครนะ อาตมาจะเข้าใจผิดก็ไม่ทราบ แต่ได้ข่าวจากกระแสสังคมได้ จริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่เขาใช้ไหวพริบเยอะมากที่ทำแบบนี้ได้ เขาทำได้ปานฉะนี้ ในชีวิตที่เขาทำ

การใช้ภาษาว่าสร้างบารมีกันใช้มากด้วยสำนักนี้ มีการให้สั่งสมบารมีสูงขึ้นใหญ่ขึ้นเขาใช้คำผิด หากใช้คำว่าบารมีแล้วจิตจะบริสุทธิ์เป็นสหายแห่งพรหม

พรหมคือผู้ไม่เกิดอีก ไม่มีภพรออยู่ เพราะเป็นผู้ส้ินภพจบชาติ อรหันต์ทุกองค์เป็นผู้สิ้นภพจบชาติ

ภพ พระพุทธเจ้าแจกไว้สามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ชาติ ท่านแจกให้เป็น 5 ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

เมื่อเราทำกรรมแล้วจะได้รับผล สุกฏทุกตานัง เพื่อหยั่งลม(โอกกันติ) ผู้ไม่รู้ก็สั่งสมทุกฏะ ผู้ทำทานแล้วไม่รู้ว่าได้บุญหรือกุศล โดยถูกแปลคำว่าบุญเป็นกุศล แล้วที่ทำนี้ไม่ใช่กุศล แต่เป็นอกุศลอีกต่างหาก

ผู้หลอกว่าทำทานนี้คือทำบุญ

ทำบุญนี้คือการทำการปรุงแต่งจิต จิตตาลังการัง ก็ทำการปรุงแต่งจิต (อภิสังขาร) ให้อลังการ ยิ่งใหญ่ มีการทำได้งดงาม

พวกเรามาใช้ชีวิตร่วมกัน พาทำเป็นหมู่กลุ่มชุมชนที่ตั้งใจศึกษาฝึกฝนตนเองมุ่งทำชีวิตตนให้สูงสุด เป็นอรหันต์เราก็สามารถทำได้ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

 

ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็น

เครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

สำนักที่ทำการหลอกคนด้วยการให้ทานเพื่อหวังผลอย่างนี้ จะไม่มีการปรุงแต่งจิต แล้วโง่ในการให้ทานเพื่อหวัง เป็นเทวดาเก๊ เป็นจตุมหาราชิกา โง่หยาบ แล้วโง่ละเอียด ซ้ำลงไปอีก เป็นดาวดึงส์ เป็นยามา เป็นดุสิต เป็นนิมานรดี เป็นปรนิมมิตตวสวัตตี  หลงภพหลงชาติเต็มบ้อง หลงว่าคนเราเกิดมาจะต้องเป็นเทวดา

ส่วนความไม่เป็นเทวดาคือปรุงแต่งจิตสำรอกกิเลสที่ไปตั้งจิตผูกพัน สะสม จนไม่มีสิทธิ์ปรินิพพาน ไมเวียนกลับอีกแต่พวกอื่นนั้นทำทานแล้วตนเอง จะไม่สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ คนหลงเทวดาเป็นอาคามี จะวนเวียนในโลกนี้ สะสมอวิชชาติดยึดยิ่งๆขึ้น ไม่มีการเบื่อหน่ายละหน่าย ไม่มี มีแต่ให้หลงปลื้มใจ โสมนัส สั่งสม ว่าเป็นมหาสมบัติที่ตนจะได้อาศัยมหาสมบัตินี้ ชีวิตมีแต่มากๆๆๆ ไม่เคยหน่ายคลายปล่อยวาง ไม่เคยแจกจ่ายไม่เคยให้เลยมีแต่ดูดเอามาให้แก่ตนเป็นอัตตา

เทวดากามภูมิ 6 นี้เป็นส่ิงที่คนหลงว่าต้องได้ต้องเป็นแต่ของพระพุทธเจ้านี้ให้มาล้างความเป็นเทวดานี้ หมดเทวดาแล้วเป็นพรหม

 

          พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน

    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี
    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร
    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น
    • ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส
    • แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง ,จิตตปริขารัง) เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

                          จบสูตรที่ 9

ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ จะทำทานแล้วไม่ได้อานิสงส์เลย แต่มีผลให้โทษให้ทุกข์เป็นวิบาก  แต่ผู้ทำได้สัมมาทิฏฐิจะได้ผลมาก ได้อานิสงส์มาก จนเป็นพรหมเลย บรรลุอรหันต์เลย

ชีวิตของคน สูงสุดเป็นชีวิตของแท่งธรรมธาตุ อรหันต์ทุกองค์ แต่ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ ก็ทำทานแล้วให้ตนไม่เวียนวนอีกในโลกได้ ทำอัตภาพของตนให้เป็นอนาคามี เป็นผู้ไม่กลับมาได้ ผู้นั้นจะไปอยู่สุทธาวาส ไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้ เป็น

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

ผู้อนาคามี ตั้งจิตไม่กลับมาเกิดอีกได้ แต่ถ้าเป็นปรมัตถธรรม เราก็เรียนรู้ในปัจจุบัน ถ้าผู้สัมมาทิฏฐิจิตเราไม่วนเวียนสู่กามอีกในสิ่งที่ต้องสัมผัสทางทวารนอก ในโลกกามาวจร สิ่งเหล่านั้นไม่ทำให้จิตเรามีโลภ โกรธ เหลือเชื้อแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จะไม่ทำบาปทางภายนอกแล้ว อนาคามีเป็นคนพ้นภัยพ้นโทษ มีแต่รู้ภัยรู้โทษของตนเอง ที่ยังล้างไม่หมด คนผู้นี้เป็นประโยชน์แก่โลกเพราะได้ทำประโยชน์ตนแล้ว มีแต่มหานิสังสา แล้วไร้โทษต่อโลก มีแต่เป็นผู้รับใช้

เมืองไทยนี้ยังหวังนะ อาตมาก็จะลากชีวิตไปให้ถึง 151 ปีนะ เพื่อจะดูว่าจะมีอนาคามีหรืออรหันต์ไปเป็นนักการเมือง อาตมาสงสารนะ ที่เขาเข้าใจว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จะต้องไม่อยู่กับโลกกับสังคม นี่เข้าใจผิดไปมาก แท้จริงศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ รับใช้โลก (โลกานุกัมปา)นกม.ที่ประกาศว่าจะไปรับใช้นั่นถูกแล้ว คนสูงสุดคือผู้รับใช้เป็นประโยชน์ต่อเขา

เมื่อคนหมดเห็นแก่ตัว เป็นอรหันต์ ก็เป็นผู้รับใช้ที่แท้จริง แต่เขาเข้าใจผิดว่า อย่าเอาธรรมะไปปนกับการเมือง แต่นี่คือคือเล่ห์กลของนักการเมืองตัวร้ายที่กันธรรมะออกจากการเมือง จะได้ทำชั่วได้ถนัดๆ

คนที่อวิชชา หลงสั่งสมความเป็นจตุมหาราชิกา ก็หยาบเลวสุด เป็นจอมยักษ์จอมมารที่ทำทานเพราะหวังภพชาติ ได้อะไรกลับคืนมา แต่ว่าดีขึ้นอีกนิดก็เป็นดาวดึงส์คิดว่าทำสิ่งนี้เป็นส่ิงดีเท่านั้นไม่ต้องการภพชาติอื่น บริสุทธิ์เท่านี้ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ถอดถอนจิตไม่ดีเหล่านี้ หลงดียึดดี แม้ใช้ภาษาบัญญัติคำว่าดีแต่มันยึดในคำว่าดี

คนทำสิ่งดีทำเถิดแต่อย่ายึดให้รู้ว่าทำดีแล้ววาง คนก็ต้องทำดี จริงๆแล้วกรรมต้องดีเป็นกุศลกรรม ยิ่งผู้ใดทำกรรมทุกกรรมเป็นกุศล เป็นผล และเป็นมหานิสังสา เป็นประโยชน์ หนึ่งประโยชน์ที่ชำระกิเลส สองเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย เป็นอุภยถะ นั่นแหละเป็นประโยชน์ที่สุดด้วย

คนเราเกิดมาหากไม่ได้เรียนรู้ฝึกฝนธรรมะ เป็นชีวิต อาคามี สั่งสมอวิชชา สั่งสมลาภ ยศ สรรเสริญสุข หลงจาตุมหาราชกระเหี้ยนกระหือรือ ได้เสพสุขเป็นดาวดึงส์แล้วอยากให้นานที่สุดเป็นยามาแล้วจะหยุดพักเสวยผลเป็นดุสิต แล้วต้องการเนรมิตให้ได้ด้วยตนเป็นนิมมานรดี แล้วก็ต้องให้ได้บริวารเป็นปรนิมมิตวสวัตตี ถ้าไม่เรียนรู้ถอดถอนพวกนี้แล้วสะสมสั่งสมเทวดา 6 พวกนี้ใส่จิต จะเป็นเทวดาขาเน่า

คืออาตมาออกมาทำงานไม่ได้เอาตัวตนมาทำ แต่ทำงานอย่างเป็นกุลีธรรมะ มองลงไปในส้วมนะ ตอนนี้เพื่อจะไปกำจัดเชื้อโรคร้ายที่ทำลายมนุษยชาติ เชื้อโรคร้ายแรงมากลุยลงไปในหลุมคูต เพราะฉะนั้นอาตมาจึงแสดง ท่าทีลีลาหยาบ ไม่รู้จะทำเช่นไรเพราะอยู่ในหลุมขี้ ก็ต้องบอกให้ทราบ เพราะบรรดาคน คือหนอนที่อยู่ในหลุมขี้นี้ เป็นหนอนโง่อีก ถูกผียักษ์มารหลอกเอาไปกินเป็นพรรคพวกหมดแล้ว ใครจะมาช่วยอาตมาบ้าง ยกมือ ...ขอบคุณมาก คนละไม้คนละมือช่วยกันไป เป็นเรื่องจริง...เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:57:01 )

590608

รายละเอียด

590608_ทวช.งานอโศกรำลึก#35  45 ปีสีหนาทเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

พ่อครูว่า...พรุ่งนี้วันที่ 9 ใส่เสื้อเหลืองกันนะ ใครไม่มีก็ไปเอาที่ส่วนกลาง มีคนมาบริจาคไว้ มีเสื้อเหลืองหรือเสื้อสีฟ้านะ พรุ่งนี้วันที่ 9 วันในหลวงครองราชย์ เราจะใส่เสื้อเหลืองกันทั้งประเทศ วันนี้ก็วันรองสุดท้าย 8 มิถุนายน 2559 อาตมาเกิดปี จอ เดือนเจ็ด หลานเหลนเจ้า ลูกเจ๊ก ยายอาตมาเป็นลูกของลูกผู้สร้างเมืองอุบลฯ

เราก็จะมาต่อไขความเรื่องบุญเรื่องกายกัน คนที่ไม่รู้จักความเป็นกาย หรือความเป็นสักกะ ตัวตนของเรา กายก็คือองค์รวม องค์รวมของรูปนามเป็นธรรมะสอง

ธรรมะสองในความหมายกลางๆ อะไรเป็นคู่สองที่จะทำงานร่วมกัน มีนัยะต่างกันแต่จะต้องมาช่วยกันสร้าง ถ้าต่างกันแบบอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องจัดการปราบกัน เมืองไทยตอนนี้เป็นแดนปรากฏการณ์ของความเป็นมนุษยชาติ และเป็นแดนปรากฏการณ์ของพฤติกรรมสังคม ทั้งเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ที่ต่างคนต่างทำงาน มีทั้งตัวขัดตัวต้านอันพอเหมาะ หากไม่มีอะไรต้านไม่มีอะไรขัดเลย แรงมันจะไม่เพิ่ม เอามารวมกันให้กลมกลืน

นามคือธาตุรู้ของแต่ละคนที่จะเป็นตัวทำงาน ทั้งเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณร่วมกันทำหน้าที่ สัญญาทำงานหนักกว่าเพื่อน ทั้งรวม สะสม เก็บงำ ทำงานเบิกฤกษ์จนกระทั่งส่งต่อ ทำความรู้สั่งสมเป็นทิฏฐิ สัมมาถ้วนรอบก็กลายเป็นปัญญา มากขึ้นเป็นปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละ

ต้องรู้รูปทั้งภายนอกภายใน รูปีรูปานิปัสสติ สิ่งที่เป็นรูปคือสิ่งที่ต้องไปสัมผัสรู้ สัมผัสภายนอก สัมผัสภายใน ตั้งแต่อบายภพ (กามภพหยาบๆ)

ผู้ได้ฉายาว่าผู้ชนะโดยทางโลกก็ปรากฏตัว ผู้ได้ฉายาว่าแพ้ รูปธรรม มาแต่ต้นก็คืออาตมา แม้แพ้อาตมาก็เป็นโพธิ์ แพ้อย่างผู้รู้ แพ้อย่างผู้ตรัสรู้ ไม่ได้แพ้อย่างโง่ๆ ไม่ได้เสียรู้

แพ้อย่างรู้ว่าโลกมีความซับซ้อนแล้วมีสภาพคู่ ถ้าแพ้หมดรูปก็ไม่มีพลัง แต่ถ้าแพ้อย่างสุภาพ แข็งแรง ก็เป็นอีกสภาพ

คำว่า กาย กับคำว่าบุญเป็นธรรมะสองเป็นปุงลิงค์กับนปุงสกลิงค์ คือ 1 กับ0 แต่ถ้ามีอิตถีลิงค์ด้วยเป็น 2 ก็เป็นสภาพสามเส้า ผู้มีปัญญาจะใช้สลับกันไป ผู้ที่จะเกิดรู้ก็ต้องมีตัวรู้

การรู้นั้นรู้อย่างนามกาย และรู้อย่างรูปกาย

ถ้าคุณอ่านอาการของจิตไม่ได้ เช่นตอนนี้มันเกิดอาการเศร้าๆก็ต้องอ่านได้เลย มันมีหทยรูป ไม่มีจับต้องได้เป็นที่อยู่ อาการเบิกบานร่าเริงเป็นแบบนี้มันมีลิงคะ แตกต่างกัน อาการทุกข์ สุข ต่างกันเช่นนี้ อาการดีใจ อาการเสียใจเป็นเช่นนี้

ไปยึดอาการปลื้มใจ อย่างฝ่ายคุณผู้ชนะไปหลอกให้คนปลื้มใจ ให้ดีใจยิ่งกว่าปีติปราโมทย์ จิตตปสีทติ อัตตมนตา (อัตตะเป็นรูป มน เป็นนาม)

รูปธรรมในประเทศไทยเป็นปาตุสัจจะเห็นจริงมันหยาบแบบชั้นสูงไม่ได้หยาบชั้นต่ำตื้นๆ

ในพวกเรามีผู้ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ไม่น้อย แต่คนไม่ตั้งต่อไปก็จะเป็นไปเอง มีเจตนาแต่อย่ายาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ความอยากที่เป็นตัณหาล้ำหน้าก็จะทำให้ช้าได้ อย่าประมาท แต่พากเพียรให้เป็นผู้ขยันอดทน บากบั่นทำเต็มที่ไปเรื่อยๆ ก็จะเจริญไปตามลำดับ

ผู้เร่ิมรู้ความเป็นเปรตของตนเอง สัตว์นรก อสุรกายก็คือจิตที่ต่ำเสื่อมที่เราจะต้องจัดการทำให้มันหายไป ผู้รู้จิตตัวเอง ก็คือผู้มีปัญญา รู้ของจริง รู้การชำระจิตตนก็มีปัญญา รู้ธรรมะสอง ธรรมะหนึ่งคือธรรมะชั่วของตน ขีณะปิตติวิสยะ

 

1.      ขีณนิรยะ (สิ้นจากนรก, ปิดนรก ดับความเร่าร้อนได้) .

2.      ขีณปิตติวิสยะ (สิ้นจากวิสัยความอยากอย่างเปรต) 

3.      ขีณติรัจฉานโยนิ (สิ้นจากความโง่ ที่ขวางเจริญ)

4.      ขีณาปายทุคติวินิปาตะ (สิ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต)

 

เสขบุคคลคือผู้รู้จักเปรตในตน ศึกษาเปรตในตน ว่านี้เองคือผีของเราเราก็กำจัดผีของเรา กำจัดได้เป็นส่วนๆ ภาคิยา เป็นปุญญภาคิยา

อย่างคุณไชยบูลย์ ถ้าคุณหยุดเสีย หยุดดิ้น หยุดดันทุรัง แล้วแก้กลับ ยอมแพ้ ยอมรับวิบากเสีย ตายไปวิบากก็จะน้อยลง แต่ถ้าคุณยังดิ้น ยังสู้แบบดันทุรังเอาชนะด้วยเทคนิคกลวิธี คุณก็จะใช้อัตตาสู้ไปอย่างผู้ไม่รู้จักยอมแพ้ คุณก็จะต้องสู้ไปจนตายนั่นแหละ ตายแล้ววิบากก็ย่อมจะหนักกว่า

อาตมาตีงูให้กากิน คือ จะมีคนที่ได้ประโยชน์จากการที่ติดตามศึกษาฟังอาตมา (เป็นตัวกาที่ได้กินผล) โดยต้องขอขอบคุณคุณไชยบูรณ์ ที่เป็นงูให้ประโยชน์ เพราะโดนตี

 

ผู้ที่ไม่รู้แม้แต่การทาน

ทานเสร็จแล้วแต่จิตไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาจึงเรียกว่านัตถิทินนัง นอกจากไม่เกิดผลแล้วยิ่งเป็นผลร้ายสะสมเข้าไปอีก เหมือนอย่างธัมมชโยพากันทำ พอกกิเลสเข้าไปอีกๆ เป็นการตั้งจิตไว้ผิด ร้ายแรงยิ่งกว่าโจรหัวโจกทำร้ายโจรหัวโจก คนชั่วมารวมกันก็ยิ่งพากันทำเลวร้าย

ตัวเราเองก็เหมือนก้อนเป็นตัวตั้งเป็นตัวตน แต่ก็ไม่มีอะไรตัดขาดจากองค์รวมเพื่อนฝูงมวลมิตรหรือศัตรู  ถ้าเข้าใจถ้าไม่มีศัตรูเราก็ไม่มีแรงเสริม มารบ่มีบารมีบ่เกิด

สัจจะที่จะลงตัว ทั้งมีชื่อมีนาม มีการลงตัว พระพุทธเจ้าจะชื่ออะไร อัครสาวกจะชื่ออะไร ไม่ต้องมีใครบอกหรอก จะเป็นไปตามลำดับเอง เริ่มแรกในยุคอาตมาจะมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย คนนี้ๆมาแล้ว

นัยนามาก่อน จิตรา ตามมา ตามาก่อนจิต อาตมาไม่มีปัญหาอะไร ก็ค่อยๆตามมาตามลำดับๆ แม้แต่ขณะนี้อาตมาก็ยังใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ โดยกำหนดรู้ว่าวันนี้คนนี้โผล่มา สิ่งเหล่านี้ที่พูดนี้ใครอย่าเอาอย่าง ไม่ถึงตัวเราหรอก นึกว่าตัวเราเป็น แต่ถ้าเราเป็นแล้วก็จะรู้ตัวเอง คนที่เป็นแล้วได้แล้วจะไม่ใช้เต็มสภาพ ในสิ่งที่เรามี เรามีร้อย เราใช้หนึ่งได้ก็มีเซฟไว้อีก 99 คนฉลาดก็ไม่พยายามใช้มาก ใช้มากจะหมด แต่จะใช้น้อยแต่ได้มาก

ทานที่มีผล ยัญพิธีที่มีผล สังเวยที่มีผล คือเราได้ทำกรรมนี้แล้วเกิดผลอย่างไรเป็นผลที่สุกตทุกฏานัง ผลที่ทำแล้วได้ผลดีหรือไม่ดี สุขหรือทุกข์ อย่างไร เมื่อร่วมผลก็จะเป็นสามเส้าซ้อนกันไปเรื่อยๆ

ยิ่งสละไปยิ่งได้มานี้ก็ยิ่งโค้งกลับ แต่ถ้ายิ่งให้ไปสละไปยิ่งเต็ม จะชัดกว่ายิ่งให้ไปยิ่งได้มา ยิ่งได้มานี่ก็ยังวน ฐานที่คนจะให้ไปยิ่งได้มาก็ฐานนั้นแต่นี่ต่อให้เพิ่มเป็นย่ิงให้ไปให้ไปเลย นี่เต็มกว่า ใครยังเป็นลูกน้องธัมมชโยก็ถอนตัวเสียเถิด

ของพวกเรานี้อาตมาเป็นผู้นำพวกเราเป็นผู้ร่วมสร้าง อย่างการเมืองนี้เราก็เริ่มกระเตาะกระแตะ อย่างพรรคเพื่อฟ้าดินนี้ มีตัวตนบุคคล ถ้าไปรวมตัวมีสุ้มเสียงในสภาไหม ก็ไม่ต้องไปคิด เราปฏิบัติธรรมของเราไป มีเจตนาแต่อย่าอยาก สะสมไปจะเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ อาตมาก็ไม่ได้คิดหรอก แต่ถามว่า ถ้าจริงๆแล้วในประเทศไทย จะมีคนอย่างพวกเราไปนั่งบริหารประเทศชาติจะดีไหมก็ต้องดี แต่คุณก็ไม่ต้องไปอยาก ถ้าคุณอยากแล้วไม่ดี ก็ทำไป เป็นผู้รับใช้นี่แหละดี เป็นผู้รับใช้ไปอย่าไปอยาก ผู้รับใช้นี่แหละคือผู้แพ้ ไม่ต้องไปเป็นผู้ชนะอย่างไชยบูลย์

คนที่รู้ตนเองว่าตนเป็นเปรตคือเสขบุคคล ก็พัฒนาตนเองกำจัดเปรตในตนไป ตามลำดับๆ จะมีภาวะซ้อนมีภาวะสองแล้วก็ทำให้เป็นหนึ่ง แล้วจะรู้ธรรมะสองที่ละเอียดขึ้นแล้วทำให้เป็นหนึ่งไปอีกก็จะซ้อนแน่นๆไปเรื่อยๆ ผู้สามารถทำงานปรุงแต่งจิต

สามอาชีพกู้ชาติ ขณะนี้ที่เราทำนี้มันซ้อน หนึ่งผลผลิตผักพืช สองปุ๋ย สามขยะ เราทำพืชผักนี่เราทำเพื่อที่จะให้ ให้มากที่สุด แล้วเกิดขยะ  แล้วจะมีปุ๋ยเกิดจากขยะต่อ เรื่องพืชนี้ทำไปไม่มีวิบากเท่าไหร่ แต่ถ้าทำปุ๋ยนี่ทำแล้วมีวิบากมาแล้ว ส่วนขยะนี้จะตามมา อีกหน่อยขยะจะเป็นทองคำตามมาเรื่อยๆ คนอยากได้ทองนี่สุดท้ายจะไม่ได้มา แต่ถ้าคนไม่อยากได้สุดท้ายจะได้ เราไม่ต้องอยากได้ เราเสียสละไปเรื่อยๆนี่แหละ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้กลับมาเลย

สังคมประเทศไทยตอนนี้มีทุกอย่างให้อาตมาหยิบมาพูด คนฟังอาตมาเข้าใจแล้วก็อย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม

ผู้ให้ทานแล้ว ทำใจในใจอย่างไร เช่น ทำใจในใจว่านี่เป็นการดีจึงให้ทาน เสร็จแล้วไม่ได้คิดว่าให้ทานด้วยปู่ย่าตายายให้ทานมาก่อน ถ้าเราไม่ทำก็จะเสียประเพณี อันนี้ก็จะยาวไปเรื่อยๆ ยาวไกลกว่าว่าทานแล้วก็คิดว่าดีเท่านั้น หรือว่าเราเองไม่ได้ให้ทานโดยคิดว่าเราเป็นคนหุงหาอาหารได้ แล้วสมณะหุงหาไม่ได้ ก็เลยทำให้ท่าน ทำทานให้ท่าน ย่ิงได้ทำตามฤาษีต่างๆหรือไล่ซ้อนไปเป็นพระพุทธเจ้าเลย

ตอนนี้ใครจะถนัดขนส่งก็ทำไป ใครถนัดสร้างก็ทำไป ใครจะแพคกิ้งก็ทำเลย ผู้ขนส่งต้องเสียค่ายานพาหนะ ค่าน้ำมัน ค่าคนยก เขาถนัดอันนี้ก็ทำไป ส่งถึงผู้ควรได้ ก็จะแบ่งหน้าที่กัน คนนี้สร้าง คนนี้รับมาส่งก็จะต่อเป็นลูกโซ่ไป

อาตมาไม่ต้องเป็นคนรวบรวมพยัญชนะไม่ต้องเป็นต้นคิดพยัญชนะหรอก มีพวกที่รวบรวมพยัญชนะให้อาตมา พวกนี้คือจับกังแบกลังทอง

พวกเราอยู่ในฐานะใดจงตั้งตนบนความลำบาก แต่อย่าให้เสียสุขภาพ แต่อย่าโอ๋ตัวเองเกินไป จงให้สติกันช่วยดูแลกัน ช่วยกันจัดสรร ให้มีจิตตาลังการัง กับจิตตปริขารัง

จิตตปริขารังคือรวมองค์ประกอบ ต้องรวมให้ประหยัดมัธยัสถ์ให้แน่นอย่าให้ฟ่าม แล้วคำว่าอลังการ จิตตาลังการัง ก็ต้องระวังอย่าเผลอให้มันใหญ่หลงใหญ่ แต่ให้ก้าวหน้า มีพลังแน่นเสริมไป อย่าให้ใหญ่ แต่ให้ก้าวหน้า เป็นการสร้างรูปของสังคมโลก

เมืองไทยมีพลเมืองแค่ไม่ถึงร้อยล้าน แต่เรากำลังเคี่ยวคนไทยเพื่อเป็นตัวอย่างแก่มวลมนุษยชาติ พุทธไทยเรามี 95% แล้วเราจะเคี่ยวหัวกระทิมาเป็นมนุษย์ตัวอย่างแก่มนุษยชาติ ในการเสียสละอย่างสะอาดบริสุทธิ์

ขณะนี้เหลี่ยมโกง คนไทยเก่งกว่าเขา คนไทยเก่งโกงมาก อย่านึกว่าเบานะ ไทยเราแนวหน้าการโกงนะ

แต่ถึงโกงก็เป็นผู้มีความเป็นพุทธ เพราะฉะนั้นจะถอนตัวได้ เมื่อถอนตัวได้ก็จะมารวมตัวกันได้มาก เมื่อมากพอจะสร้างรูปสร้างสรร ของการเมืองการปกครอง แล้วมีเศรษฐกิจ เป็นตัวอย่างที่รวมกันรังสรรบ้านเมืองประเทืองประทีปไทย ของสังคมที่สวยสุดประเสริฐสุดแก่โลก

ไม่ว่าจะด้านการเมืองก็ควรทำเช่นนี้ไม่ว่าจะธุรกิจก็ต้องทำเช่นนี้การเมืองต้องทำอย่างเสียสละการเมืองนี้เสียสละให้ย่ิงกว่าธุรกิจ เพราะการเมืองทำงานระดับ fusion แต่ธุรกิจทำแบบ fission ทำการเมืองคือรับใช้ประชาชนนี่แหละทำให้ดี ปชช.จะเลี้ยงไว้ นักธุรกิจจะมีมากกว่านักการเมือง นักการเมืองจะเป็นอรหันต์ก่อนนักธุรกิจ ธุรกิจจะขยายต่อ แต่นักการเมืองนี่จะทำงานรับใช้

พลังงานสูงสุดคือพลังงาน9 พลังงาน 9 นี้สูงสุดใกล้เข้าหา 0 ในหลวงเราเป็นพลังงาน 9 เป็นพลังงานกลางระหว่าง สอง 4

ในหลวงเราอายุ 88 เราก็มาเสริม 88นี้ ถ้าเราเป็นหนึ่งให้ 8 8 ก็คือ 44 เราก็เสริมให้

เราจะรวมกันที่บ้านราชฯ สร้างอาหาร ทำเสนาสนสัปปายะ ที่จะมีผู้คนเข้าไปรวมกัน มีบุคคล สถานที่ อาหาร รวมกันสามเส้า แล้วจะเกิดธรรมะ

ขณะนี้ก็ขอบอกว่าเรากำลังสร้างรัตนราชธานี (ราชนีแก้ว) เพื่อจะทำสัปปายะ 4 ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:58:04 )

590609

รายละเอียด

590609 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อโศกรำลึก ปี 2559

พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่พระวิหารพันปีบรมมาสารีริกธาตุ สันติอโศก เวลาประมาณ 17:30 น.พ่อครูสมณะโพธิรักษ์นำหมู่สมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมเดินธรรมยาตราสั้นๆจากใต้โบสถ์สันติอโศก ไปสู่พระวิหารฯแล้วเดินสู่ชั้นบนสุด

พ่อครูเทศนาก่อนพาบูชาพระธาตุ….อาตมาเดินนำทางพวกเราเดินทางไปตามแผนที่ของพระพุทธเจ้า บอกได้แต่ว่าอาตมาเป็นผู้จะมานำทางกลับคืนมาสู่พุทธของเดิม เดินทางไปตามทางเกวียนสายเก่า เข้าไปหาจุดสำคัญ สิ่งสำคัญอันบริสุทธิ์สูงสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่

วันนี้อะตอม อาตมาก็พยายามใช้ภาษาร่วมสมัย ให้คนเข้าใจ แม้แต่ภาษาที่เป็นภาษาสากลที่เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เค้าแยกแยะไปถึงอรูปรมาณูเล็กที่สุดจนถึงที่สุด ที่เขาจะเข้าถึงกันในขณะนี้ ซึ่งเป็นธรรมะสองคือรูปกับนามในพลังงานก็มีทั้งบวกและลบ

ไอสไตล์ก็ค้นพบแค่พลังงานความเร็วของแสง ซึ่งเป็นที่สุดที่เค้าจะประมวลสิ่งที่เกิดพลังงาน อี = เอ็มซีกำลังสอง ของเค้าคิดได้ แต่ในธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นพลังงานที่ลึกซึ้งละเอียดกว่าพลังงานทางฟิสิกส์ แต่นัยยะโครงสร้างเดียวกัน

แต่เมื่อมาเป็นจิตนิยามเป็นพลังงานทางจิตก็มีนัยยะลึกซึ้งแตกต่างกันไปเราสามารถจะเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าได้แม้ในยุคนี้สมัยนี้เราก็ต้องใช้อาศัยภาษาทางวิทยาศาสตร์มาเปรียบเทียบมาเป็นขั้นตอนที่จะนำความเข้าใจไปสู่ความรู้สุกความเข้าใจเห็นแจ้งได้นะให้รู้ทฤษฎีก่อนก็ตามแล้วเราก็เอาไปปฏิบัติประพฤติ ซึ่งต้องประพฤติโดยตนจริงๆจึงจะสามารถเข้าไปถึงคุณธรรมที่สูงสุดคันที่แยกขอโทษเปลี่ยนตกุลเรียกว่าเปลี่ยนตระกูลทางวิทยาศาสตร์เขาด้วยขอบกั้นเพลดีเอ็นเอเปลี่ยนเป็นเชื้อที่ถาวรของทางสรีระชีวะของมนุษย์ของสัตว์โลกที่เรียกว่าดีเอ็นเอเป็นโคตะระภูชิชย์มีญาณตัดโทดเป็นโคตรภูญาณ

มาถึงวันนี้แล้วอาตมาได้พยามแจกแจงอธิบายแล้วมีผู้ที่ตามรู้ตามเดินทางสิ่งที่อัฐมาพาทำมาถึงวันนี้มีสิ่งที่ยืนยันปรากฏเป็นของจริงยิ่งขึ้นเป็นตัวตนบุคคลเราเขาเป็นตระกูลนี้จริงๆและก็กำลังเดินทางไปสู่การพัฒนาสังคมมนุษยชาติอาตมาไม่ได้เพ้อเจ้อไม่ได้คาดคะเนแต่มั่นใจในความ จริงที่เรียกว่าเป็นปรากฎตการของมนุษยชาติมีความสุขอะไรหรือเจริญสูงสุดสี่อะไรซชั่นในยุคปลายภัทรกับนี

คือจะเจริญไปสู่มนุษย์ที่มีทานมีการให้ให้อย่างไม่มีอะไรจะคงงกลับมาให้เจ็บตัวเลยไม่มีอะไรโครงงกลับมาให้แก่ตัวเราเองมีแต่ความซื่อตรงสูงสุดเป็นเส้นตรงพุ่งไปเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงส่วนผู้ที่จะมีผลมาทำไม่ถึงขั้นเด็ดเดียวหนึ่งเดียวมีการคงนิดหน่อยก็เป็นไปได้แต่คนเหล่านั้นก็จะมัด มาช่วยรวมกันเป็นพลังงานร่วมกันช่วยกันทำงานเพื่อมวลมนุษย์สยาชาติรับใช้โลกอย่างแท้จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตอนนี้ก็ปรากฏความจริงได้

ยิ่งมีสิ่งที่ตนเองได้เองบรรลุเพลงเป็นปัจเจกก็จะยิ่งมีความมั่นคงมีความมั่นใจเที่ยงแท้นิดจังทวงสตางค์อาวิมะลิมามาทำมั่งอ่ะสั่งให้ระงับสังคมฟังตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าที่ท่านตัดไว้อาจจะมาก็ได้รวบรวมมาเพื่อจะยืนยันเพื่อสามารถและสามารถทำสัจธรรมนี้ให้ส่งอยู่ได้อย่างแท้จริง

เหตุการณ์ที่เกิดทางสังคมโลกที่เกิดจริงเป็นจริงอยู่นี้มันเป็นทำมาสองที่ปรากฏเคียงคู่กันไปและสิ่งที่เป็นตัวแปลกเป็นตัวต้านแตกแยกหรือแตกต่างก็มีให้เห็นเป็นคู่เทียบเป็นครูเปรียบซึ่งเกิดจริงเป็นจริงไม่มีใครมาบันดาลให้เกิดได้มันเกิดตามความเป็นจริงของมันเอง

ในทางโลกของทางคฤหัสถ์เค้าก็มีผู้ติดตามให้เห็นได้ในทางธรรมก็ชัมีให้เห็นจริงเป็นจริงกันได้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งซับซ้อนวนรอบเชิงซ้อนที่กลับไปกลับมาตลบตะแลงแต่ที่จริงแล้วกันกลับไปกลับมาในนัยยะที่ลึกซึ้งอย่างชนิดที่สูงขึ้นสูงขึ้นเหมือนกัน กลับวงวนของก้นหอยในระดับล่างจนถึงสูงก็มีวนไปซ้ายไปขวาเหมือนเดิมแต่ไม่ใช่วนอยู่ที่เดิมในระนาบเดียวแต่วนสูงขึ้นสูงขึ้นเหมือนกับก้นหอยมันวนไปซ้ายไปมาเหมือนกับกรอกเดี๋ยวก็ว่าสายเดี๋ยวก็ว่ะขวาเดี๋ยวก็ว่าดำเดี๋ยวกะว่าขาวเดี๋ยวก็ถูกเดี๋ยวก็ผิดแต่มันมีชั้นสี่สูงขึ้นเหมือนกันหอยที่สูงขึ้นจนกระทั่งสูงสุด จะมีหนึ่งเดียวสูงสุดก็เป็นสัจจะที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏขึ้นให้เห็นในสังคมมนุษยชาติ

ถ้าคนไทยเรารู้ตื่นขึ้นมาเป็นชาขยะเป็นพุทธะชาขยะก็เริ่มตื่นจนกระทั่งเกิดจริงเป็นจริงในสังคมมนุษยชาติในโลกเราก็จะได้ช่วยโลกเป็นโรคการรุกคำปายไปจนกว่าจะหมดภัทรกับนี้ศาสนาพุทธนี้จะต้องหยุดยาวไปอีก 2000 กว่าปีถึงจะหมดเนื้อหาสาระความเป็นธรรมมาก ของพุทธธรรมถึงจะหมดวาระของพระพุทธเจ้าสมณโคดดม

เคยได้อธิบายไปแล้วว่าชมพูทวีปมาย้ายมาอยู่แล้วที่เมืองไทยคนไทยเป็นมนุษย์ชมพูทวีปแล้วจะได้นำพาโลกไปสู่พฤติกรรมอันประเสริฐพฤติกรรมมันเจริญที่แท้จริงซึ่งไม่มีการกบฏอะไรในหัวใจช่วยสังคมช่วยนกไปจนกว่าจะจบภัทรกับนี้ในยุคสุดท้ายนี้อีก 2000 กว่าปีก็ขอขอบคุณทุกคนที่มาเป็นมวลของความเป็นตัวบุคคล จะได้ช่วยกันประพฤติตนเป็นผู้ที่เสียสละเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้วการเสียสละก็เป็นธรรมดาไม่ใช่เรื่องที่ฝืนไม่ใช่เรื่องที่ยากไม่ใช่เรื่องทรมานใจอะไรเป็นเรื่องง่ายง่ายเป็นเรื่องสบายสบายก็ต้องออกแรงบ้างก็โทรออกพลังงานบ้างแต่มันไม่ยากไม่ลำบากสามารถผ่านชานทั้งสี่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ยิ่งถ้าฉันนั้นเจริญเป็นวิมุตก็ยิ่งง่ายเป็นเรื่องที่เดาไม่ได้แต่เป็นจริงที่จะค่อยค่อยปรากฏขึ้นในมนุษย์โลกยุคนี้ก็ขอให้พวกเราตั้งใจรวมกันประโยชน์ก็เป็นของแต่ละคนด้วยเพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นประโยชน์สองส่วนประโยคต้นก็ได้ด้วยและประโยชน์แก่สังคมก็ได้ไปพร้อมกันก็ค่อยค่อยติดตามฝึกปรือพยายามพากเพียรปฏิบัติไป แล้วเราก็จะสู่จุดหมายนั้นได้อย่างแท้จริงตามเครียดทำมามีหลักฐานมีภูมิรู้ของอาตมากูอย่างมั่นใจแล้วก็พาเราทำกันก็ขอขอบคุณทุกๆคนในวาระ 9 มิถุนายนที่ลงตัวกันแม้แต่ในคณะสงฆ์ฉอศกก็มาอุบัติขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2532 เริ่มต้นกำลังเป็น ที่จะแยกจะแตกกำลังแยกตัวกำลังจัดการไปจนกว่าจะเกิดผลจบเป็นภาระมากเดี๋ยวเด็กยังไงว่าผาลัมเป็นผลของความจบมันกำลังเกิดในภาษาทางวิทยาศาสตร์สากลก็ดีกว่าเริ่มตั้งแต่มีสองdioxy    Deoxy  แยกตัวและรวมตัวจนกว่าจะผลจะเกิดได้สูงสุด

ขออนุโมทนากับทุกๆคนที่มาร่วมลงแรงให้เกิดรูปธรรมขึ้นพวกเราไม่ได้ตบแต่งเสแสร้งเพื่อจะสร้างรูปที่เค้าใช้ภาษาว่าดราม่าติดเราไม่ได้ทำเช่นนั้นแต่เราทำด้วยความจริงใจของเราก็ขออนุโมทนาสาธุกับทุกๆคนเรามาเริ่มต้นที่จะบูชาพระบรมสารีริกธาตุถวายพระพรถวายพระพร หลังจากเราได้ถวายพระพรในหลวงเสร็จไปแล้วเมื่อกี้นี้เราก็จะได้บูชาพระพุทธเจ้าเราก็มีพระบรมสารีริกธาตุเท่าที่เรามีบารมีอยู่ได้มาก็บรรจุอยู่ในประเทศดีของเรานี้ซึ่งเป็นพระเจดีย์ทองคำจริงๆอาตมาควบคุมดูแลอยู่ไม่มีการโกงซ่อนเร้นอยู่ทุจริตอะไรเลยทองคำจริงๆแต่โดย ความเป็นจริงแล้วแม่ทองคำแท้แท้ก็ยังขึ้นสนิมสำหรับวันนี้ก็ยังไม่ใช้เวลานี้ในการอธิบายเรื่องนี้ถ้าจะดีนี้กลางวันมีแสงพระอาทิตย์เต็มทีสองมาแล้วจะเห็นเป็นเจดีย์สีดำสีคล้ำสีน้ำตาลแก่แต่ถ้าตกกลางคืนขึ้นมาเจดีย์นี้จะเหลืองอราม อันนี้เป็นสิ่งจริงที่เกิดจากอาจจะเกิดจากการสังเคราะห์แสงกันมามีแต่แสงที่เห็นองค์พระเจดีย์บ้างกลับทำให้เกิดสีเหลืองอร่ามเป็นความพอเหมาะพอดีของแสงที่ได้ลงตัวกันถ้าแสงที่ไม่ได้สัดส่วนที่สมดุลย์กันแล้วก็จะเพี้ยนกันไปอย่างอื่นดีกก็รักฉันที


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:59:23 )

590609

รายละเอียด

590609_ทวช.งานอโศกรำลึก#35  บันลือสีหนาทเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

พ่อครูว่า….วันนี้วันที่ 9 มิถุนายน 2559 วันที่ 9 นี้เป็นวันครบรอบการครองราชย์ของในหลวงปีนี้ครบ 70 ปี วันนี้เราจัดงานอโศกรำลึกเพื่อเป็นการรำลึกถึงว่าเป็นวันที่เราได้รับใบข้อหาเหมือนกับธัมมชโยเขาได้รับใบข้อหาไปตามครรลองของบ้านเมืองของเรานั้นก็ไปตามครรลองของบ้านของเมืองต่างกับคุณไชยบูรณ์ที่เขาเจตนาที่จะประพฤติอย่างนั้นทำอย่างนั้นเพื่อสร้างอะไรให้กับตัวเองก็ตามก็เกิดจากจิตเป็นประธาน

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเวลาจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตามให้ตรวจสอบสัญญาเวทนาเจตนาผัสสะมนสิการ  เป็นธรรมะ 2 เป็นรูปนามปรุงแต่งกันตลอดเวลาเราก็อ่านรูป 28 นาม 5

นาม 5 นี้ ตัว ผัสสะ กับมนสิการ เป็นเรื่องสำคัญมากการปฏิบัติรูปนามต้องมีการรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมีสติรับรู้ทุกลมหายใจเข้าออกมีสติเป็นสติปัฏฐาน 4 เราลืมตาอยู่ก็ปฏิบัติสังวรปธานปหานปธาน มีผัสสะเป็นปัจจัย เราก็พยายามทำใจ เกิดผัสสะ แล้วจะเกิดสังขาร ปรุงแต่งเป็นเวทนา เป็นองค์รวม คือ กาย แล้วก็มีจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง เป็นธรรมะสอง เกิดสภาพที่เราต้องวิจัยวิจาร (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ)

อาการของจิตมีวิตกคือเริ่มเกิดขึ้นมาเป็นอาการในจิตแล้วก็มาแยกแยะอาการวิจัยวิจารณ์เข้าไปกำหนดรู้ใจในใจของเรารู้เวทนารู้สังขารโดยใช้สัญญาธรรมะสองคู่แรกก็คือเวทนากับสัญญาแล้วก็อ่านลงไปถึงเจตนาว่าในเจตนานั้นมีกามตัณหา ภวตัณหาวิภวตัณหา

อ่านกายของตนแยกออกในธรรมะ 2 ที่เป็นองค์ประชุมคือกายจนกระทั่งเราสามารถที่จะจับตัวเหตุที่เป็นภัยและจัดการมันได้ มันมีกามวิตกพยาบาทวิตก เข้ามาร่วมปรุงแต่งอยู่ในจิตเราก็พยายามจัดการด้วยปหานปธานมีการสำรวมอินทรีย์ 6 ผู้ใดไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ผู้นั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรม ตากระทบโลกต้องมีสติรู้ตัวหอกระทบเสียงก็ต้องมีสติรู้ตัวว่ามันมีอะไรดึงดูดมีอะไรปรุงแต่งพาเราไปกับโลกเขาหมดถ้าอย่างนั้นก็เป็นปุถุชนธรรมดาที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเลย

ทุกคนต้องการความเจริญของชีวิตไม่ว่าจะเป็นยาจกไปจนถึงมหาเศรษฐีแต่คำว่าเจริญนั้นยังอวิชชาอยู่ไม่มีหลักการในการดำเนินชีวิต

อย่างชาวอโศกนี้มีหลักการดำเนินชีวิตกินอยู่หลับนอนตามพระพุทธเจ้าสอนไว้ ท่า street ตกหมายความว่าเราไม่มีการระลึกถึงธรรมะ ตามันดึงดูดไปกับโลกกับรูป  เสียงได้ยินก็ถูกดึงดูดไปกับโลกลิ้นกระทบรสก็ถูกดึงดูดไปกับโลกตกเป็นทาสของโลกเขา ว่าจะต้องเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ว่าเป็นความเจริญที่ประกอบไปด้วยกามและอัตตา

มีแต่ความต้องการเป็นเทวดาที่เจริญด้วยการแย่งเอามาให้ได้แย่งในลาภยศสรรเสริญความสุขอย่างน้อยก็สุขจากกามสุขจากอัตตา ตั้งแต่เกิดมาตัวเล็กๆอุแว้มาก็แย่งแล้ว โตขึ้นมาก็แย่งลาภยศสรรเสริญ คนเราไม่รู้ว่าความเจริญแบบนี้เป็นการจมในภพชาติพัฒนาให้เป็นเทวดาแล้วสอนผิดว่าเป็นเทวดาจะได้ขึ้นสวรรค์แบบคนที่ตายไปแล้วจิตวิญญาณจะไปเป็นเทวดาในสวรรค์ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าสอนว่าจิตวิญญาณอยู่ตอนเป็นเป็นนี้แหละให้เรียนรู้ตอนเป็นเป็นมีตากระทบโรคหูกระทบเสียงทวารทั้ง 6 นี่แหละให้หาตัวการที่เป็นกิเลสตัณหาอุปทาน แล้วกำจัดสเลดแยกกายแยกจิตได้

การแยกกายแยกจิตนี้ไม่ได้เน้นมาเป็น 10 ปีเลย มีมวลและกรรมฐาน 5 ผมขนฟันเล็บผิวหนัง ต้องเข้าใจความเป็นกาย ทำกายให้สะอาดบริสุทธิ์ไม่ทำบาปทั้งปวงสัพพะปาปัสสะอะกะระณังทำแต่กุศลให้ถึงพร้อมกุสลัสสูปสัมปทาเพราะได้ชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์สจิตตปริโยทปนังแล้ว เป็นผู้ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปเป็นพระอรหันต์ไปโดยสมบูรณ์ นั่นคือผู้ที่ศึกษาทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

คนที่ต้องการแต่เป็นเทวดานั้นคือคนโง่ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาเทวนิยมไม่เป็นเทวดา เทวดานั้นที่จริงคือมาร แต่เราหลงว่าเป็นเทวดา 6 ชั้น การเรียนรู้เทวดานั้นให้เรียนรู้ตอนเป็นเป็นไม่ใช่ตอนตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้ผัสสะในปัจจุบันเป็นปัจจัยมีเวทนาเป็นกรรมฐาน

พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ รูป 28 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ใช้สัญญากำหนดรู้ในธรรมะสอง แยกนามกายได้ ถ้ามีชื่อของสิ่งที่เรารู้ก็เรียกชื่อได้ อันนี้ชื่อว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม ตัวคน หรือวัตถุ อันนี้เป็นธาตุไหลไปไหลมารวมตัวกันเรียกว่าน้ำ อย่างนี้เคลื่อนไปไม่เห็นตัวเลย แต่มันก็รู้ว่าเคลื่อนได้เป็นลม ดินน้ำ ก็มีพลังงานไฟอยู่ มีเย็นร้อนอ่อนแข็ง เมื่อรวมตัวกันเป็นดิน แถมธาตุวิญญาณ ธาตุอากาสธาตุในนั้นหมด วิญญาณก็อาศัยในธาตุทั้ง 4 นี้ รวมตัวในช่องว่างคืออากาศ แล้วในอากาศนี้มีพลังงานบวก ลบ เคลื่อนไหวอยู่

มันมีอาการ 32 ทำงานอยู่ในอาการของเรา พระพุทธเจ้าให้พิจารณา กรรมฐาน 5 พร้อมขนฟันเล็บผิวหนัง สิ่งเหล่านี้ไม่มีจิตมโนวิญญาณเข้าไปร่วมแล้วขาดไปจาก ปสาทรูป มันไม่มีโคจรรูปไปร่วม สัมผัสอย่างไรก็ไม่เกี่ยว เป็นส่วนที่หลุดไปจากร่างกายของเราแล้วไม่เป็นกายเด็ดขาดเช่นอุจจาระหลุดร่วงไปจากร่างกายแล้วไม่เป็นกลางปัสสาวะหลุดไปแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องน้ำมูกน้ำลายน้ำหูน้ำตาแม้แต่ขี้ไคลหลุดไปจากร่างกายแล้วเราก็ไม่มีความรับรู้สึกอะไรกับมันได้ ที่ตัดออกไปจากร่างนี้ไม่ใช่กายแล้วให้เรารู้ว่าตอนไหนคือกายตรงไหนคือกายต้องไหนไม่ใช่กาย

ผมขนเล็บที่เป็นภายนอก  พหิทารูปานิ ที่รับรู้ได้ ติดกับร่างอยู่ แต่มันไม่เป็นกายแล้วแต่ยังไม่ขาดจากกายนี้ ผิวข้างนอก ติดกับกายแต่ไม่ใช่กาย

เราจะต้องทำให้ยึดตัวตน แต่รู้ว่ามันอยู่ในลักษณะไหน เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลมที่ไม่มีธาตุชีวะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั้น เรายังมีจิตเข้าไปร่วมรับรู้ได้ เรียกว่ามีจิต กายนี้คือจิต

อย่างอุจจาระปัสสาวะที่ถ่ายออกไปก็หลุดออกไป มันก็รู้ได้ง่าย มันไม่เกี่ยวกับชีวะเราแล้ว ไม่มีอาการ 32 ในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็ยาวออกมาเกินขีดที่ไม่ใช่กายเราแล้วแต่มันยังติดกับร่าง มันเป็นพีชนิยามไปแล้ว เนื่องต่อไม่ตัดขาดกัน ถ้าเราตัดออกไป ก็รู้ว่ามันไม่ใช่กาย แต่ถ้ามันติดกับเราอยู่เราก็รู้ได้ยากว่าไม่ใช่กาย เราก็มักจะยึดมันอยู่ เช่น ผมนี่อยู่บนหัวเราก็ยึดว่าเป็นผมของเรา มันก็เป็นสมมุติที่ยึดทรงผมต่างกัน เช่น ในจีนแมนจูก็โกนออกไปส่วนหนึ่งถึงบอกว่าดี แล้วแต่สมมุติกันไป เล็บก็ต้องไว้เล็บอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนไม่ตัดเลยปล่อยยาว

เราจัดงานให้เกิดการรวมตัวกัน อยู่ด้วยกันจะเห็นแก่ตัว เสียสละแค่ไหน จะขัดแย้งกันขนาดไหน การจัดงานก็เพื่อได้ตรวจสอบตัวเอง

แม่ที่สุดเราต้องมีการประกวดแสดงแข่งขันเราก็ทำไปตามประสาเพื่อให้อ่านอริยาบทอ่านอะไรต่างๆนานาในการอยู่ร่วมกันนักแสดงอย่างนี้กระทำอย่างนี้เราจะยึดมั่นถือมั่นเกินไปไหมถ้าบ้างชนะบ้างแสดงออกด้วยดีบ้างไม่ดีบ้างโจพุทธะสมมติเป็นผู้แสดงตัวผู้สมมติเป็นผู้รับรู้หลายคนมางานนี้เข้ามาดูมาสัมผัสมากินไม่อยู่มานอนไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ก็จะได้รู้จิตของเราในการอยู่การกินการนอนคนหลายคนมาร่วมกันมาแสดงออกก็จะได้เห็นบางคนก็มาเรียนรู้ไม่ได้ช่วยอะไรไปตามที่เขาพาทำ แต่ไม่ได้ทำใจในใจเลยคนเรานั้นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้วสะสมความเอาเปรียบการกินแรงวัตถุของเพื่อนที่ทำมา

พวกเรามางานนั้นถือว่าเป็นเจ้าภาพทั้งนั้น ช่วยกันคนละไม้คนละมือแล้วเราก็มีแขกที่ไม่ใช่สมาชิกมา แต่พวกเรานี้เป็นสมาชิกร่วมกันหมดหรือญาติธรรม เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นญาติกันทั้งนั้น ความเป็นญาติธรรมก็คือการพึ่งเกิดขึ้นแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายก็ได้

การแสดงออกเหล่านี้การแสดงต่างๆก็ไม่ใช่งานอาชีพเป็นการละเล่นเป็นเรื่องเล่นเล่นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาจริงจังอะไรถ้าเราเห็นการจัดการนี้เป็นการเล่นสนุกไปเลยพวกนี้ไร้สาระเรามางานนี้ก็มาสมัครที่จะเล่นไม่ใช่งานประจำชีวิต ไม่ใช่ occupation ไม่ใช่ amature คนคิดแบบนี้เข้าใจถูกแล้ว จะมีแข่งขันโชว์กัน เพื่อเอาชนะ คนที่แสดงออกมาแล้วเป็นที่ยอมรับเด่นเก่ง โก้วิเศษทำอะไรเด่นๆโลกจะเน้นไปเช่นนั้น จนต้องทำ act เด่นตลอด จนกลายเป็นอาชีพไป เก่ง Act เก่งเลย สร้างภาพตลอดเวลา คนที่สร้างภาพเก่งตลอดเวลาคือคุณไชยบูลย์ แทนที่จะเป็นแต่ amature ก็ทำเป็น professional เลย

ภาษาไทยเรียกง่ายๆว่า มาดัดจริต คนเราถ้าจะดัดจริตให้เป็นสุจริตก็เป็นการระมัดระวัง กายวิญญัติวจีวิญญัติที่เป็นนัจจะคีตะ วาทิตะ

กายวิญญัติคือองค์รวมรูปนามที่เคลื่อนไหวออกมาเป็นนัจจะ อย่างอาตมาแสดงออกตอนนี้พวกเราก็เห็นก็ได้ยิน มีแต่อ.เป็นต้นที่ไม่เห็น แต่นอกนั้นก็ทิฏเฐ ได้เห็น มีได้ยินสุเต แล้วมีมุตเต (ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสเสียดสี)

เราทำออกไปแต่ละกรรมมีผลทั้งนั้น อาตมาแสดงออกไปให้ธรรมเป็นทาน อธิบายธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐ คนที่ได้รับฟังไปเกิดผลทั้งนั้น บางคนรับได้ผลมาก ดีไม่ดีตั้งใจฟังไป แต่ว่าบางคนก็คิดว่า พูดอะไรนะ กวนมากเลย มันก็เกิดผล มหานิสังสา

ถามจริงๆ อาตมาพยายามบรรยายไปนี่ พยายามผลิตคำสอนคำอธิบายคำบรรยายนี้ ที่อาตมาบอกบางที่เป็นการตำหนิคำบอกคำสอนจนถึงด่าบริภาษ คุณว่า ที่อาตมาพูดไปนี้ใครฟังก็ได้ยินเสียงเดียวกันแต่คนบางคนคิดว่าเป็นศัตรูของเขา แต่อาตมาแสดงออกไปนี่ เป็นกุศลเจตนา คนฟังแล้วเป็นกุศลก็จะได้ชำระจิตให้สะอาดได้มาก แต่ว่าคนที่ฟังแล้วเป็นอกุศลโหมะยึดผิดหลงผิดพอเขาได้ฟังสิ่งที่แย้งกัน เขายึดสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก มันก็กระทบกระเทือนใจไม่ชอบใจ เคืองใจ โกรธ มากเข้าก็ผูกโกรธ มีอุปนาหะ ต่ออีก เป็นกระบวนอุปกิเลส 16 ยึดถือกันไป

ผู้ที่มาฟังอาตมาพูดนี้ มาร่วมทำอะไรต่ออะไร จะอยู่ในงานหรือนอกงานก็ดี ได้สัมผัส แล้วเอาคำเทศน์อาตมา ได้ประโยชน์คือเรารู้ เมื่อได้รับฟัง ทิฏเฐ สุเต มุตเต วิญญาเต แล้วเกิดความรู้ ความรู้นั้นมีพลัง เข้าใจซาบซึ้ง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ ฟังธรรมมีอานิสงส์สมบูรณ์เลย เข้าใจ ในสิ่งที่เราข้องใจ ทำให้ทิฏฐิเราตรงขึ้น จิตเราก็โล่งสว่าง เบิกบานใจ จิตตมัสสปสีทติ ได้อานิสงส์เช่นนี้ไปเรื่อยๆ

อาตมาก็พยายามแสดงธรรม แม้หัวข้อเก่าก็พยายามขยายรายละเอียด ในงานนี้อาตมาก็ยังแสดง ทานสูตรเป็นหลัก

ทุกคนจะทำกรรมกิริยาออกไปนอกจากออกไปแล้วจะเอาอะไรเข้ามา ก็ต้องเอาความรู้เพื่อจะเอามาเปลี่ยนแปลงตนเอง สัมผัสเกี่ยวข้องกรรมกิริยากับใครก็ตามเราต้องมีอะไรออกหรือเข้า ผู้ที่รู้การเอาออกคือผู้รู้จักบวช (เนกขัมมะ) เอาอะไรออกก็เอาอวิชชา เอากิเลสออก เอาตัวที่ฝังเป็นอนุสัยอาสวะที่ติดมา ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจนมาเป็นมนุษย์ มาเป็นอเวไนยสัตว์ แล้วพัฒนาเป็นเวไนยสัตว์ที่รู้โอปปาติกสัตว์ได้

ชาวอโศกพูดถึงเทวดามารพรหม ก็จะรู้ว่าคืออะไร ธรรมดาคนทั่วไปจะพยายามพัฒนาตนให้เป็นสมมุติเทพ เทวดา 6 ชั้นนี่แหละ ตั้งแต่จตุมหาราช คนที่ต้องไปเป็นเทวดาแบบนั้น ก็เป็นแค่สมมุติเทพ โง่สุดตั้งแต่ขั้น 1 ก็จะซับซ้อนมาเป็นชั้นอื่นๆ คืออาการของคนโง่ทั้งนั้นผู้ใดล้างสวรรค์ 6 ขั้นนี้ได้เป็นพรหม ไม่มุ่งหวังจะได้อะไรคืนมาในการให้ทาน ไม่ผูกพันไม่สะสมกิเลส

ผู้ที่มาร่วมงานนี้มีทั้งหวังที่จะมากินอร่อย หรือมาเพื่อร่วมงานเป็นเจ้าภาพร่วมกันหรือมาเป็นผู้ร่วมจัดงานเลย ทุ่มแรงกายแรงใจก็ได้สวรรค์มากหน่อย เป็นเจ้ากี้เจ้าการเลย คือทำอย่างเป็นใหญ่เป็นโตเลย แต่ถ้ามาเป็นเจ้างานเจ้าการโดยไม่แสดงอาการเจ้ากี้เจ้าการ คำว่า เจ้าการเจ้างานกับเจ้ากี้เจ้าการนี้ต่างกัน ถ้าเจ้ากี้เจ้าการคือมาเป็นใหญ่เป็นโต คำว่าเจ้างานเจ้าการคือมาช่วย แล้วให้ได้ประโยชน์แก่ตัวเอง คือได้ทานได้ให้กันไหม ได้สละออกหรือได้ให้กันไหม ทานนี่ขั้นเนกขัมมะ (ปวช คือการออกบวช ) คำว่า ออกเป็นภาษาไทย คำว่าบวชก็แปลว่าเอาออก คำว่า เนกขัมมะ ไปถึงขั้นนามธรรม ส่วนคำว่าบวชนี้รวมรูปธรรมด้วย ให้ติดเป็นนิสัย วิสัย ถ้าพูดหรือทำเช่นใดไม่ดีก็เอาออก งดเว้น เว้นขาดไม่ทำ จนฝังใจเป็นอนุสัยอาสวะ ผู้ที่รู้ว่าสิ่งไม่ดีติดในอนุสัยเราก็เอาออกไป จนมันไม่เป็นตัวร่วมเลย ตัวพลังงานนี้ไม่มีมาบงการเลย ก็ต้องเรียนรู้ เอาอกุศลจิตออก

พูดว่าเอาออกนี้ ก็ต้องรู้ตัว รู้ด้วยปัญญา ทำความเข้าใจ ให้เกิดเป็นพลังงาน เป็นกำลัง แล้วเกิดบทบาท ไปมีผลต่อ ดิน น้ำไฟ ลมเป็นผลต่อ สัตว์บุคคลต่างๆ มันมีกิจการงานบทบาทตลอดเวลา

ในสังคมตอนนี้ พระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุม บอก ว่า คดีธัมมชโยนี้เป็นเรื่องคดีทางโลกไม่เกี่ยวกับทางธรรม อย่างนี้ไม่ถูกต้องหรอกที่พูดเช่นนี้ เพราะdsi ให้ตั้งข้อหาให้มารับข้อหา เพื่อจะได้สอบสวนต่อไปว่าท่านผิดกรณีร่วมฟอกเงิน รับของโจร เป็นความผิดทางโลก เป็นความผิดทางธรรม เพราะผิดทางธรรมที่หยาบแล้วจนผิดทางโลกด้วย

ผิดปาราชิกข้อ 2 เรื่องเงินทองเรื่องของโจรด้วย แล้วพระที่เป็นเจ้าคณะบอกว่าไม่ใช่เรื่องนี้ ที่จริงมันยิ่งกว่าขั้นอธิกรณ์แล้ว

อธิกรณ์แปลว่า เรื่องอนุวาทาธิกรณ์คือเรื่องโจทย์กัน วิวาทาธิกรณ์คือเรื่องที่กำลังเป็นเรื่องอยู่ตอนนี้เป็นต้น ต้องเป็นกิจจาธิกรณ์คือเรื่องที่สงฆ์ต้องร่วมกันทำหน้าที่สอบสวนตัดสิน แต่เจ้าคุณท่านนี้ท่านปฏิเสธเลย

 

เรื่องเงินเรื่องทอง เขาก็แปลเบี้ยวบาลี แปลเงินว่าเป็นปัจจัย(มีภาพป้ายว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าพระรับปัจจัยแล้วกลายเป็นรับของโจร) เงินทองคืออสรพิษ ปัจจัยคือเครื่องอาศัย ได้แก่ ข้าว น้ำ อาหารต่างๆ ที่อยู่ ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม บริขารต่างๆ ก็ใช่ แต่เงินคืออสรพิษสำหรับนักบวช

 

ที่จริงบวชนี่ พอประสีประสาแล้ว รู้ทุกคน ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า เงินคืออสรพิษ ถ้าคุณมาบวช ห่มจีวรแล้ว ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยว่า เงินคืออสรพิษ ไม่ใช่ปัจจัย อย่าเบี้ยวบาลีว่าเงินคือปัจจัย มันต้องสละออก ถ้ามีในตนก็เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ เป็นอาบัติ อาบัติที่ปลงไม่ตก ถ้าไม่เอาวัตถุนั้นออกจากตัว นิสสัคคียะ (นิสสัคคะ แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ แต่ไปหลงว่าการมีเงินนี่เป็นสวรรค์)

 

ในศาสนาพุทธสอนนิสสัคคียปาจิตตีย์ เป็นโทษสำหรับภิกษุ แต่เอามาเป็นสวรรค์มาเป็นตัวเป็นตนเป็นของน่าได้ เป็นของกู แท้จริงเป็นพระนี่ต้องเอาออก แต่ไม่มีความรู้เลย มีแต่ความโง่ โง่ดักดานว่า ต้องเอาเงินมาเป็นของกู ยึดเป็นของกู แล้วโกหกอีกว่า กูไม่ได้เอา กูบริสุทธิ์สะอาด นี่ถึงขนาดมีเช็ค มีบัญชีเงินฝากในธนาคาร พระไปมีเช็คได้อย่างไร เช็คมันคืออุปกรณ์ของทุนนิยมพวกฆราวาสในระดับนายทุน เจ้าเงินเจ้าทอง คนระดับกิจการเล็กเขาไม่ใช้เช็คหรอก เป็นพระนี่ต้องห่างแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ เป็นพระจะต้องไปทำหน้าที่สัญญาการเงินกับฆราวาส เราเป็นนักบวชแล้ว ไปเปิดบัญชีมีชื่อสัมพันธ์กับธนาคาร ดูแลการเงินเอาเข้าเอาออก ให้ถอนเงินฝากเงินได้ แสดงความเป็นเจ้าของว่าเงินกู ที่ดินก็มีอีกต่างหาก บอกตรงๆว่าไม่ใช่พระหรอก ไม่ใช่ภิกษุแล้ว คนที่มีขนาดนั้นมันเกินกว่านิสสัคคียปาจิตตีย์ไปไม่รู้กี่โยชน์

 

ก็ขอสรุปเลยว่า พระที่ได้ฟังอาตมานี้ ใครยังมีเงินในบัญชีเงินฝาก มีบัญชีเงินฝากอยู่ ทำสัญญากับธนาคารนั้นๆนี้ๆ ผู้นั้นไม่ใช่พระไม่ใช่ ภิกษุเป็นพระอปกตัตตะ(พระที่ไม่บริสุทธิ์ต้องอาบัติอยู่) อยู่ตลอดกาลนาน เข้าไปในสังฆกรรมใด สังฆกรรมก็โมฆะทั้งนั้นคนพวกนี้ แล้วมันจะมีพระเหลือบ้างไหมนี่ อาตมาเอาหลักวิชามาพูด ไม่ได้พูดโดยใส่ความ พูดเพื่อเตือนสติ สำนึกเสียบ้าง

 

การออกบวชนั้น เป็นการญาติปริวัตตังปหายะ(ตัดขาดจากญาติสายโลหิต) มีโภคขันธาปหายนะ(ตัดขาดจากทรัพย์สมบัติ) มาอยู่กับเหล่ากอของพระพุทธเจ้า มาฟังธรรมศึกษาปฏิบัติ ทรัพย์สินเงินทองข้าวของทางโลกทิ้ง(ปหาน) หมดแล้วไม่เอาเป็นของตัวของตนแล้ว แต่กลับมาสะสมเงินทอง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฆราวาสแล้วไม่มีเงินมีทองอะไรหรอก หาเช้ากินค่ำ พอมาบวชแล้วรวยเอาๆ มากเอาๆ สะสม เอ๊ มันมาบวชหรือมาBad มันเสื่อมจริงๆเลย

 

พูดไปแล้วขออภัยคนที่หมั่นไส้อาตมา เพราะว่าอาตมาพูดถูก เถียงไม่ได้ นอกจากพูดถูกแล้ว...มันด่ากูๆๆๆ กูก็เถียงไม่ได้เพราะว่าจริงของมัน ก็เลยหมั่นไส้ ชังน้ำหน้าๆ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดสัจจะ ความจริง สิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องอะไร เพราะฉะนั้นมันเสื่อมมากเลย

 

พระมีเงินไม่ได้ มันนอกรีตมานานแล้ว

 

แล้วมาบอกว่าพระที่ไหนมาบวชแล้ว ไม่ใช้เงิน ยุคนี้มันไม่ได้  ก็พวกอาตมามาบวชเป็นภิกษุมาเป็นสมณะ เป็นเหล่ากอของสมณะ ผู้มาประพฤติตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำพิธีผ่านการบวชมา อาตมาก็ผ่านการบวชตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นสมณะ เป็นภิกษุยุคเดียวกับพวกคุณนี่แหละ อาตมาก็ภูมิใจว่า สมณะของพวกเราไม่ได้ใช้เงินใช้ทองไม่ได้สะสมเงินทอง ไม่เป็นพระนิสสัคคียปาจิตตีย์ เป็นพระอปกตัตตะอยู่ตลอด อย่าว่าแต่สมณะเลย แม้แต่สิกขมาตุ นักบวชหญิงของเรา ที่มีศีลข้อ 10 ชาตรูปรชตปฏิฆหนาเวรมณีได้  นี่ไม่เข้าใจ ดันไปเรียกเงินว่าปัจจัยอีก จะเบี้ยวบาลีไปถึงไหน มันอสรพิษไม่ใช่ปัจจัยอะไรเลย แล้วโมเมพูดไปหลอกไป ไม่เข้าใจเลย

สมณะภิกษุ ใครมาบริจาค ก็รับเงินผ่านมือได้ อย่าพาซื่อว่าแตะต้องจับต้องไม่ได้เลย ก็ยุคนี้เงินหรือธนบัตรเป็นสื่อกลางเป็นสารพัดนึกก็แล้วแต่ เ เสร็จแล้วรับมาเราก็ต้องเอาเขากองกลางมีไวยาวัจกร มีผู้ดูแบ มีผู้จัดการให้ กองกลางดูแล แต่พระเอาเงินไปใช้ซื้อขายไม่ได้ เป็นอาบัติทั้งนั้น ยิ่งบวชมานาน มีตำแหน่งหน้าที่ เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณเป็นสมเด็จ รู้หมด แต่ก็ยังทำอยู่ พูดแล้วมันช้ำใจจริงๆ

อาตมามาพูดความจริงนี้ทำให้เขาชังนำ้หน้า

ดีไม่ดีเขาว่า หมู่สงฆ์ใหญ่เขาอัปเปหิออกมาแล้วนะ แล้วก็ไปเชื่อกัน ก็อัปเปหิอาตมาได้ที่ไหน อาตมาแยกเป็นนานาสังวาสมาก่อนแล้ว

อาตมาได้ลาออก เป็นนานาสังวาสกับมหาเถรสมาคมแล้วตั้งแต่  7 ส.ค. 2518  ผู้ใดเป็นพระแล้วมาอธิกรณ์ ทำปกาสนียกรรมอาตมาหลังวันที่ 7 ส.ค. 2518 นั้นผิดพระธรรมวินัยหมด แต่ติเตียนตำหนิได้ ไม่ผิดพระวินัย

ผู้ใดที่อยู่ในสงฆ์หมู่ใหญ่ถ้ามาเจ้ากี้เจ้าการอาตมา หลังวันที่ 8 ส.ค.2518 เป็นต้นไปถือว่าผิด ถ้าตำหนิแรงหรือเบาทำได้ แต่ไปหาเรื่องถึงอธิกรณ์ฟ้องร้องไม่ได้

พระพุทธเจ้าได้วางหลักเกณฑ์ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก่อนแล้ว แต่ว่าพอมีผู้ทำละเมิดศีล ก็ต้องมีพระวินัยตั้งมาทีหลังอีก มีบทลงโทษ คาดโทษไว้ มีอธิกัมมิกะ ต้นเรื่องทำผิด

วันนี้วันสุดท้ายของงาน ขอเปล่งเสียงสีหนาทออกไปว่า...อาตมาเกิดมาในชาตินี้มาเพื่อรื้อฟื้นเพื่อขจัดมารแท้ๆ ไม่ใช่ให้นายชัยบูรณ์ไปพูดว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นผู้ขจัดการ แต่แท้คือผู้ทำมารต่างหาก อาตมาคือผู้ปราบมารที่แท้จริง แต่การปราบมารของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ตีรันฟันแทง แต่ว่า ใช้หอกปากนี่แหละ แต่ไม่รู้แทงเข้าหรือเปล่า?

ขอบอกไป ว่าผู้ที่มีหน้าที่ดูแลศาสนา ทำไมทำปู้ยี้ปู้ยำศาสนาขนาดนี้ เจตนาตำหนิให้เอาไปแก้ไขปรับปรุงบ้าง ขออภัยที่ต้องยกตัวตนว่าเป็นผู้รู้ผู้ถูก แล้วก็ต้องว่างผู้ผิด มาถือดีที่ไปว่าพระผู้เจริญบางจำพวก ภิกษุผู้เจริญบางคำพวก เขาถือว่าเขาเจริญ​แต่อาตมาว่ามันเสื่อม

 

เราทำทานต้องไม่มีจิตที่จะหวังว่าจะได้อะไรมา หรือผูกพัน สั่งสม หรือคิดว่าตายไปจะต้องได้อะไรได้เสวยผลอะไร 

จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:00:07 )

590610

รายละเอียด

590610_ทวช.อโศกรำลึก#35 อย่าเป็นโยมโง่เง่า พระเต่าถุย

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2559 จริงๆแล้ววันนี้คือวันเกิดของสมณะอโศก กลับมาอีกครั้งเมื่อวานนี้ 9 มิถุนายนเราก็ทำพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุปีนี้ประเทศไทยฉลองกันยิ่งใหญ่เพราะครบรอบในหลวงคลองราชย์ครบ 70 ปีเป็นผู้ที่ทำลายสติครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกขณะนี้ในยุคนี้ เอกภพนี้ไม่ได้มีแค่นี้มีมานับไม่ถ้วนเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอกภพนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้

โรงบุญงานอโศกรำลึกครั้งที่ 35 มีโรงบุญ 190 โรงบุญ  มีเจ้าภาพ 109 เจ้าภาพ ( เจ้าภาพบางคน บางทีมแจกหลายครั้ง)

สัตว์เดรัจฉานหากินของตัวเองแล้วก็พัก มีเวลาเหลือมาก แต่คนสามารถทำกินใช้อาศัยของตนเองแล้วมีเวลาเหลือก็ทำเพื่อคนอื่นด้วย จึงเป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ต่อโลก ตนเองกินใช้น้อยแล้วสร้างสรรมาก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ยอดของโลก ประเทศไทยนี้จะไม่รวยแต่จะอุดมสมบูรณ์

คนในสังคมที่ต้องช่วยคือ เด็ก คนแก่ คนพิการ คนเจ็บป่วย คนไร้สมรรถภาพ

คนที่รู้จักจังหวะการวน หนึ่งวนไม่ขึ้นไม่ลง ไม่มีทศนิยม ถ้าวนขึ้นก็สูงขึ้น แต่ก็ไปซ้ายขวาๆ เหมือนคนขาวกับดำ ดำกับขาว แต่มันไม่ได้วนอยู่ที่เก่ามันวนสูงขึ้นๆ การวนนั้นถ้าเร่ิมเคลื่อนก็เร่ิมเป็นสอง เดิมเป็นแนวระนาบไม่ออกไปไกล ก็ค่อยเพิ่มองศาออกไปเป็นสามเส้าที่ได้สัดส่วน พีชนิยามจะวงวนสามส่วนนี้เจริญไป ถ้ามากขึ้นเป็น สี่ ก็จะเร่ิมขยายตัว เป็นห้าเป็นหกก็เกิดเส้าใหม่ของตนเองอีก เกิด 7 เป็นเลขเกิดที่นิยตะ ไม่มีถอย มีแต่จะไปถึง 8​ 9 ตัวเลข 9 เป็นเลขสูงสุด แล้วตัดรอบวงวน ก็ไปหา 0 ใหม่

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เกิดจากตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วมารวมเป็นวจีสังขาร (ไม่ใช่วจีกรรม) ยังไม่ออกมาเป็นคำพูด วจีสังขารบางสภาพยังไม่มีอธิวจน เป็นอรูป เป็นพลังงานสังเคราะห์ได้สำเร็จในจิต

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นฐานปัญญา ส่วน สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาเป็นฐานเจโต ทำพร้อมแล้วเป็นวจีสังขารที่ยังไม่ได้ออกมา บางอันนี้ยังไม่มีชื่อเรียกแต่มีสภาวะของเราก็ต้องตั้งชื่อจึงเสนอออกมาเป็นคำพูดหรือท่าทางเป็นกายกรรม หรือเป็นวจีกรรม

เล่ม 10 ข้อ 107 [107] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลาประทับนั่ง บนอาสนะที่เขาจัดถวาย ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย  ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรม   เหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี  โดยประการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืน ดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ของชน เป็นอันมาก เพื่อประโยชน์   เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ธรรมที่เราแสดงแล้ว      ด้วยปัญญาอันยิ่ง ... เหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4อินทรีย์ 5  พละ 5 โภชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่เรา    แสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... ฯ  

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย     บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยัง      ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมความปรินิพพานแห่งตถาคต จักมีในไม่ช้า โดย      ล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ ตรัสพระคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า

 

ศาสนาของพระพุทธเจ้าดำเนินมากว่าครึ่งแล้ว ได้เสื่อมไปมาก อาตมามาเป็นผู้กอบกู้เป็นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

โลกหน้าของเทวนิยมเป็นอัตตวาทุปาทาน พูดได้แต่ไม่เคยสัมผัสสภาวะจริง แต่ของพระพุทธเจ้าจับอัตตาในตัวเราในปัจจุบันได้ ให้รู้จักอัตตาอกุศลนี้ แยกตัวอกุศลได้ ทำให้ออกไป เรียกว่า ผาเลติ แยกผลได้ เสร็จแล้วก็กลายเป็นผลเมื่อได้เป็นผล โลกหน้าคือไม่เหมือนโลกโลกีย์ที่หลงเสพติดเทวดา 6ชั้น แต่ของพระพุทธเจ้านี้ดับเทวดา 6 ชั้นกลายเป็นพรหม สะอาดบริสุทธิ์จากเทวดา ผู้ที่สามารถรู้โลกหน้า เอาโลกหน้ามาขยายให้คนเข้าใจ บอกให้รู้ว่าจะไปจมกับโลกนี้อีกนานเท่าไหร่ วนเวียนไม่รู้จักออก แต่เราสามารถออกมาได้เรื่อยๆ เนกขัมมะได้ จนออกมาสุดได้

เราก็เป็นคนเหมือนกัน มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โลกธรรม สัมผัสเหมือนกัน ขณะนี้เราไม่ได้ไปอยู่ในฐานที่มีโลกธรรมมาก ถ้าแค่ ร้อยล้าน พันล้านไม่เอา แต่ถ้าหมื่นล้านก็ทนไม่ไหวก็เอาบ้าง ก็เป็นไปตามแต่ละคนที่จะมีพลังสู้ได้ อาตมาเลยต้องอยู่ให้นานเพื่อทำงาน เราทำสิ่งที่ถูกต้องให้ดีเถิด สักวันเราจะต้องไปทำงานเพื่อประเทศชาติแน่นอน เพราะเป็นผู้ทำงานอย่างไม่เห็นแก่ตัว เสียสละด้วยบริสุทธิ์จริงใจ เรามีเจตนาแต่อย่าอยาก ทำสิ่งดีเสียสละสร้างสรรไป เราอาศัยกินใช้อย่างพอเพียง

บุญนี่คือเครื่องชำระกิเลส เราได้ส่วนบุญนี้คือไม่ได้อะไรมานะ การที่จะแบ่งส่วนบุญให้คนตายไปแล้วหรือแม้คนเป็นก็ไม่ได้หรอก มีแต่จะหั่นออก บุญไม่ใช่ความมี บุญเป็นเรื่องความไม่มี  คนเอาบุญมาเป็นวิมานหลอกล่อจึงบาปหนักหนา ในเมืองไทยก็มีนายไชยบูลย์นี่แหละที่ทำ ให้คนกู้เงินจากสหกรณ์ กู้เอามาทำทานหมดแล้วส่งต้นส่งดอกนะ ทำไมอำมหิตขนาดนี้ ใจดำใจร้ายเห็นแก่ได้ คนจะทรมานเท่าไหร่กูไม่รู้ คิดวิธีการขนาดนี้ อาตมาคิดไม่ถึงเลย

 

เส้นใต้บรรทัด  จิตกร บุษบา

โยมโง่เง่า...พระเต่าถุย!!

เมื่อเวลา 10.20 น. ของวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะสงฆ์จากจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้ง 20 จังหวัด จำนวนกว่า 300 รูป เดินทางมายังอาคารสภาธรรมกายสากล บ้านแก้วเรือนทองคุณยาย รวมทั้งศิษยานุศิษย์จำนวนกว่าหลายพันคน เข้าร่วมพิธีถวายกำลังใจแด่พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

 

ทั้งนี้ พระครูชินวรวิวัฒน์ เจ้าคณะตำบลหนองกุงทับม้า เลขาฯ เจ้าคณะอำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี ได้กล่าวถึงกรณีที่พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร โดยระบุว่า “ถ้าพระธัมมชโย ไม่รอดในคดี คณะสงฆ์ไทยทั้งปวงก็จะไม่รอดเหมือนกัน เฉกเช่นกับทำหมันพระพุทธศาสนา” อีกทั้งยังระบุ

ต่อว่า “ถ้าหลวงพ่อธัมมชโยถูกดำเนินคดี ต่อไปพระทั่วประเทศก็อาจถูกตั้งข้อหารับของโจรเช่นกัน”

 

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญาหรือว่า “ผิดหลง” เพราะเห็นแก่พวกพ้องกันนะ

 

ตถาคตคงเศร้าหมอง ที่พบว่า ศิษย์ไม่แสวงหา “ปัญญา” มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต กลับปล่อยให้ตนเองตกอยู่กับความ

โง่งมอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็นบัวเหล่าใหม่ที่เรียกว่า “บัวเต่าถุย” คือ หมกอยู่ใต้เลนตม เป็นอาหารของเต่าปลา แต่รสชาติเลวจนขนาดที่ว่า เต่ายังต้องถุยทิ้ง!

 

ประเด็นที่นักบวชรูปนี้พึงแสวงหาข้อเท็จจริงมา “ยกปัญญา” ของตนให้สูงขึ้นก็คือ

 

1) ไปไต่สวนทวนความดูว่า เงินที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร นำมาถวายธัมมชโยกับเครือข่ายของพระลูกวัด มูลนิธิ และวัดพระธรรมกายนั้น เป็นแบบใด เหมือนกับที่ญาติโยมอันเป็นสุจริตชน เป็นพุทธศาสนิกชนทั่วๆ ไปเขานำมาถวายไหม หรือมาในแบบ “โจร” เช่น ยักยอก คดโกงเขามา มาเอาถวายทีเป็นสิบล้านร้อยล้าน ถวายแล้วถวายเล่า ทั้งๆ ที่พระ วัด โยม ต่างก็รู้ “หัวนอนปลายตีน” ว่ามีสัมมาชีพอะไร จึงดลให้มีเงินมาทำบุญมากมายขนาดนั้น

 

2) วิธีการได้มาซึ่งเงิน วิธีการ “เปลี่ยนเงินเป็นทรัพย์อื่น” หลังรับไว้แล้ว มันส่อความสุจริต ความเป็นปกติ เหมือนวัดวาอารามทั่วไปไหม มีไหม เอาไปลงทุนในธุรกิจ เอาไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อนำไปซื้อที่ดิน แล้ววกนำที่ดินกลับมาถวาย มีกระบวนการที่ทำให้ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า “สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร” หรือไม่

 

3) กรณีนี้ แทนที่จะทำให้พระดีๆ รู้จักโมทนาสาธุ ว่าดีใจนัก ที่เห็นการตรวจสอบ เพื่อลดความแปดเปื้อนโสมมในวงการสงฆ์ ที่มีอสรพิษร้ายคือ “เงินกับความโลภ” เข้ามาทำลาย เพราะหน้าที่หลักๆ ของ พระกับวัด คือการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำปัญญาอันค่อยๆ รู้แจ้งนั้น มาบอกกล่าว ถ่ายทอด นำทางญาติโยมไปสู่การหลุดพ้น ตามหนทางที่ตถาคตตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ใช้มาบิดเบือนคำสอน ว่านิพพานมีตัวตน มีดินแดน ที่เรียกว่า อายตนะนิพพาน มีพระรูปหนึ่งทำตัวเป็นเหมือนพราหมณ์ผู้ติดต่อกับเทพเจ้าได้ นี่ก็อ้างว่า นำอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานได้ ซึ่งไม่ควรมีสงฆ์อุบาทว์รูปใด เห็นชอบด้วย กับการสอนที่บิดเบือนเช่นนั้น และเป็นการสอนในหลายๆ รูปแบบ ที่บั้นปลายท้ายสุดคือ “กระบวนการโน้มทรัพย์” อันเป็น “การลักทรัพย์ด้วยการเอาบุญเอาสวรรค์เข้าล่อ” พระดีๆ จึงควรโสมนัสยินดี ที่เห็นฝ่ายโลก เอาจริงเอาจังในการตรวจสอบ ซึ่งหากรูปใดบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็ย่อมพ้นจากข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลนั้นในที่สุด

(พ่อครูว่า อายตนะคือสะพาน ถ้าไม่มีผัสสะ อายตนะไม่เกิด ถ้ามีแต่นามรูป แต่ไม่มีผัสสะอายตนะก็ไม่เกิด เมื่อหมดผัสสะอาตนะก็หายไป อายตนะจะไม่ตั้งอยู่ที่ไหนๆ จะเกิดมาเป็นนามธรรมเมื่อมีผัสสะ เช่นอายตนะ สองสุดท้าย คือ อสัญญีสัตตายตนะ กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งตัวสัญญาตัวนี้กำหนดรู้จนไม่มีอะไรจะต้องไปกำหนดรู้อีก รู้จบหมดสิ้นแล้ว แต่สัญญาไม่ได้ดับไป คำว่าอสัญญีนี้ไม่ได้ดับสัญญา และเนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นกำหนดรู้แบบที่ไม่มีสิ่งที่ไม่รู้แล้ว ซึ่งความไม่มีกับความมีเหลือน้อยที่สุดนี้แยกยากมาก)

4) พระจึงไม่ควร “ทิ้งหลักการ” ไปสอพลอ “หลักกู” คือ พวกกู ประโยชน์กู แต่ควรยืนยันความสุจริต แล้วใช้ความสุจริตนั้นเป็น “ธรรมาวุธ” เข้าต่อสู่กับหมู่มารที่เข้ามาผจญ “สุจริตคือเกราะกำบัง” ไม่ใช่กบดานเงียบ เอาลูกศิษย์มาแห่ห้อม เอาพระสอพลอมาให้กำลังใจ แต่ควรใช้ “ความกล้าหาญทางธรรม” เข้าพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมโดยไว เพื่อลดความขัดแย้งให้หมู่พุทธบริษัท พระดีควรห่วงพุทธบริษัทมากกว่า หุ้นส่วน” ที่ “เอื้อประโยชน์” หรือ “ถูกจริต” ของตน

 

5) ญาติโยมควร “ตัดขาด” พระไม่แท้ เห็นพระใดตกอยู่ในเหล่า “เต่าถุย” ก็ควรขจัด โดยไม่ต้องทำลาย เพียงแต่ “ปล่อยไป

ตามยถากรรม” ข้าวน้ำไม่ต้องขุนต้องให้ พระดีๆ มีอีกมากมาย วัดดีๆ มีอีกมากล้น ที่ต้องการให้คนไปทำนุบำรุง ไม่ใช่ปล่อยวัดหนึ่งวัดใดในกระบวนการทางการตลาด เข้าครอบงำวัดอื่นๆ ราวกับบริษัทใหญ่เข้าเทคโอเวอร์ หรือยึดเป็น “หน้าร้าน” เพื่อขายบุญขายสวรรค์ ดึงคน ดึงเงิน มาอยู่ในเครือข่ายของตนจนหมด

 

เช่นเดียวกับ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. 2559 นายประสิทธิ์ สันจิตร ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ พร้อมด้วยกลุ่มชาวพุทธ จำนวนกว่า 20 คน เดินทางมายังหอสมุดวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร อ.เมืองนครปฐม เพื่อยื่นหนังสือต่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม โดยมีพระครูสุธีเจติยานุกูล พระเลขา เป็นตัวแทนของเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เป็นผู้รับมอบหนังสือ ทั้งนี้ เพื่อขอให้เจ้าคณะจังหวัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยตามกฎนิคหกรรม ด้วยข้อกล่าวหาต้องอาบัติปาราชิก ต่อพระพุทธะอิสระ หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จากกรณีที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2559 ให้พระพุทธะอิสระพร้อมพวกแกนนำกลุ่ม กปปส. ร่วมชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 1.4 ล้านบาท กรณีบุกรุกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อปี 2557 ทำให้สถานที่ราชการได้รับความเสียหาย

 

“ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ เพื่อให้ตรวจสอบว่าผิดธรรมวินัยร้ายแรงหรือไม่ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาฟ้องร้อง

ทางโลก ที่ทางสงฆ์จะต้องมีการสอบสวน เพราะคำตัดสินของศาลแพ่งยืนยันชัดเจนอยู่แล้ว ตนเองไม่อยากเห็นพระสงฆ์ทำผิดพระวินัย และไม่อยากเห็นพระพุทธศาสนาเสื่อมถอยหลัง พระเณรไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ หากเป็นเช่นนี้ศาสนาเราก็จะเสื่อมถอยหลัง ขาดความเชื่อถือต่อสาธุชน ทางพระเลขาได้รับเรื่องเพื่อจะนำเสนอเจ้าคณะจังหวัดอีกทอดหนึ่ง เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบพระวินัยกับพระสุวิทย์”

 

จากนั้นทางเครือข่ายพิทักษ์พุทธได้เดินทางไปยื่นหนังสืออีก 2 แห่ง คือ วัดนิมมานรดี ที่เจ้าอาวาสเป็นเจ้าคณะภาค 14 ดูแลพื้นที่ จ.นครปฐม กับวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หัวหน้ากลางในเขต กทม.ต่อไป

 

ความหรรษาของเรื่องนี้ อยู่ตรงที่ ก่อนที่บุคคลคณะนี้จะไปร้องให้มีการตรวจสอบเอาผิดพระพุทธะอิสระนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 4 มี.ค. 2559 ที่หอประชุม สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล จ.นครปฐม พระสุวิทย์ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ทางสำนักพุทธศาสนาเอาผิดกับตัวเอง และดำเนินการลงโทษตามพระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์และกฎหมายบ้านเมือง จากเหตุที่ถูกกล่าวหาว่า กรรโชกทรัพย์จากโรงแรมเอาซีปาร์คและชุมนุมทางการเมือง ตอนจนบุกรุกสถานที่ราชการเอาไว้แล้ว

 

ในวันเดียวกันนั้น ยังร้องขอให้มีการตรวจสอบ เอาผิด กับพระธัมมชโยที่อวดอุตริมนุสธรรม กรณี “สตีฟ จ๊อบส์” ตายแล้ว

ไปไหนด้วย

 

โดยก่อนหน้านั้น คือวันที่ 12 ก.พ. 2559 ที่ สภ.เมืองนครปฐม พระพุทธะอิสระ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช ผบก.ภ.จว.นครปฐม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ มหาเถรสมาคม ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และผิดจรรยาพระสังฆาธิการ ฝ่าฝืนอำนาจมหาเถรสมาคม และไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ ซึ่งมีหลายมาตรา กรณีเกี่ยวกับเรื่องการปล่อยปละละเลย ให้พระธัมมชโย เดินเรี่ยไรเงินไปทั่วประเทศ ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่า ห้ามสงฆ์ออกเรี่ยไรเงินนอกพื้นที่ของตน ปล่อยให้ธรรมกายยักยอกทรัพย์ของสหกรณ์เครดิต ยูเนี่ยน ทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนหลายราย แต่ก็ไม่เคยสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ยังอวดอุตริ อ้างว่า สตีฟ จ๊อบส์ ตายแล้วเกิดเป็นเทพบุตร ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ไม่ได้ในข้อวิทยาศาสตร์ เผยแพร่ข้อความที่เป็นเท็จเผยแพร่ลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วย

 

ย้อนความเรื่องทั้งหมดให้ทราบกันเพื่อจะบอกว่า พระพุทธศาสนานั้น จะเจริญก้าวหน้า เป็นที่พึ่งให้แก่พุทธบริษัทสี่ได้ ต้องอาศัย

โยมดี และพระดี ทำหน้าที่ปกป้องและจรรโลงไป แต่หากคราวใดเจอโยมโง่เง่า พระเต่าถุยเข้าละก็ การปกป้อง ในนาม “ปกป้องพระพุทธศาสนา” ก็จะเป็นแค่ “ปกป้องพวกพ้องของตัวเอง” เสียมากกว่า

 

เช่นเดียวกับ “การตรวจสอบ” ก็มิได้มุ่งหมายตรวจสอบเพื่อรักษาหลักการแห่งความจริงแท้ บริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา หากแต่มุ่งตรวจสอบเพื่อข่มขู่ ทำลาย ฝ่ายตรงข้าม เสียมากกว่า

 

ซึ่งก็น่าคิดว่า การไปแจ้งความเพื่อเอาผิดต่อพระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) ก็ดี เอาผิดกับ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ในขณะนี้ ของเครือข่ายลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย มุ่งหมายปกป้องพระพุทธศาสนา หรือปกป้องเพียงตัวคนบางคน ที่ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าเข้ามา “รับทราบข้อกล่าวหา” ตามกระบวนการปกติทางกฎหมาย หรือมีวัตถุประสงค์อื่นใดกันแน่

 

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ สังคมเขารู้สึกสมเพชว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของตัวเอง เที่ยวยื้อเวลา ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลุกศิษย์ก็บิดเบือนว่าดำเนินคดีซ้ำซ้อน ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง หรือบ้างก็ว่า ถูกการเมืองเล่นงาน ไยกลับเอากระบวนการทางกฎหมายที่ดูเหมือนพวกตนไม่เชื่อ ไม่ร่วมมือ ไปจัดการกับคนอื่นเขาล่ะ หรือหวังให้เขา “กลัว” เหมือนที่ “หลวงพ่อ” ของตัวเองกลัวอยู่?!?!?

 

พ่อครูว่า...นี่แหละอสูรตัวพ่อเลย เป็นจอมอสูร นี่คือความไม่กล้าที่มากเลย คำว่า กายเป็นธรรมะสองของรูปกับนาม ในมูลกรรมฐาน 5 นี้เป็นหลักฐานชัด เล็บของเรา ส่วนใดจะเป็นกายส่วนใดไม่เป็นกาย กายจะต้องมีจิตเข้าไปร่วม รู้สึกได้ ถ้าไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วย ส่วนนั้นไม่ใช่กาย

ศาสนาพระพุทธเจ้าจับตัวอาการกิเลสแม่น ว่าตัวนี้คือกิเลสกาม ตัวนี้คือกิเลสพยาบาท มีสองขั้วผลักกับดูดๆ ก็กำจัดไปจนสิ้นเกลี้ยง การรู้กาย ถ้าหยาบเรียกว่ารูป ถ้าไม่หยาบก็เรียกนาม พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนามกาย รูปกาย

เราสัมผัสเงาะ ลองกอง เมื่อเอามาสัมผัสลิ้นเลย ใครประสาทไม่เพี้ยนก็รับรสเดียวกัน เป็นความรู้สึกของธรรมชาติว่า มันมีรสเช่นนี้ แต่คนอวิชชาก็จะรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ นั่นแหละคือเวทนาที่เป็นกิเลส เป็นธรรมะสอง ทั้งที่จะชอบหรือไม่ชอบ ก็มีธาตุอาหารนั้นๆ จะเอาหรือไม่เอาล่ะ แต่คนที่ติดยึดก็จะเอาหรือไม่เอาตามที่ต้องการในรสอร่อย หรือไม่เอาเพราะว่าไม่อร่อยไม่ชอบ ก็อยู่ที่คุณไปกำหนดไว้ อุปาทานไว้ สเปคไว้กำหนดไว้เลย ต้องเป็นอย่างนี้ๆ ถ้าอย่างนี้ใช่ตามสเปค เช่นคนนี้แหละใช้ แต่พอสองปีเองไม่ใช่แล้ว บางคนก็ไม่ถึงสองปีก็ไม่ใช่แล้ว เจอมากี่คนแล้ว

นามกาย รูปกาย จะรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอุเทสคือเอามาขยายความเช่นที่กำลังอธิบายนี้ อาการเป็นความเคลื่อนไหว เราก็อ่านมันได้ เรียกอาการนี้ว่า เศร้า ดีใจ สุข ทุกข์ ดูดดึงเอามาให้แก่ตนหรืออาการปล่อยคลายออกไป จะแยกแยะอาการออก แล้วกำหนดเครื่องหมายเอาเอง เราใส่ชื่อเข้าไป อาการปล่อย อาการเอา อาการอร่อยสมใจ ไม่อร่อยหรืออาการกลางๆ

แต่ก่อนอาตมาอร่อยกับพริกจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้อาการอร่อยนี้หายไปแล้วนะ ไม่เกิดในปัจจุบัน แต่อาจจำได้บ้าง

นิมิตคือการกำหนดลงไปในความแตกต่างลิงคะนี้ คุณดำคุณขาวขนาดนี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า.. ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ

เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ    ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

สิ่งที่ถูกรู้นี้เป็นนาม ได้รับการตั้งชื่อแล้วเช่นอาการเศร้า อาการโศก คืออย่างไรตั้งชื่อแล้วอาศัยชื่อไปหาอาการ แต่ถ้าไม่มีอาการไม่รู้อาการก็ไปตั้งชื่อไม่ได้หรอก

วันนี้ไก่ก็เตรียมจะบินก็ฝากฝังไว้ว่า ตั้งใจเรียนรู้ สัจธรรม โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดในเมืองไทยแล้ว เกิดมามีวิบากพบกันแล้ว ถ้าไม่ตั้งใจเรียนเอา วิบากอาจทำให้ชาติหน้าได้เกิดเป็นหมาอย่าประมาท กว่าจะได้ร่างมาเป็นมนุษย์แล้วได้มามีมิตรดีสหายดีแล้ว ได้แล้วอย่าช้าอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง อย่าไปหลงโลกีย์ที่หลอกเลยต้องรู้จักกาละอันควรแล้วเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นมหาศาล….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:00:33 )

590611

รายละเอียด

590611_เอื้อไออุ่น แพทย์วิถีธรรม สวนป่านาบุญ 3 คลอง 3

(ค่าย พระไตรปิฎก ครั้งที่ 15 รุ่น สมาธิพุทธ สุดยอดศิลปะแห่งอุดมมงคล)

          พ่อครูว่า...อาตมามานี่วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2559 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก วันนี้โปรแกรมว่า วันที่ 12 ก็มาเย็น วันนี้ให้เอื้อไออุ่น แต่ว่าที่ผ่านมาถามไปถามก็ไปเรื่องธรรมะทุกที แทนที่จะคุยกันไปกันมา ก็ลองดูใครจะมีคำถามอะไรก็ถามเลย ยกมือ ไมค์ลอยไป แต่ถ้าไม่ถามสดก็เขียนมาได้

          คำถาม

          _สัมมาทิฏฐินี้ นี้มีความลึกซึ้งมาก แตกต่างจากแค่ความเห็นชอบเท่านั้นแต่ก็ปฏิบัติด้วย เพราะในสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ข้อแรกต้องทำทานแล้วสละกิเลสด้วย หรือคำว่าพ่อมีแม่มีก็ตาม

          ตอบ...คำว่าทิฏฐิ แปลว่าเห็น ในภาษาสันสกฤติ ก็ใช้คำว่า ทฤษฎี คนไทยเราเข้าใจคำว่าทฤษฎีหมายความว่าอะไร ทิฏฐิก็หมายถึงอันนั้น เป็นหลักการ เป็นความเห็น องค์รวม แล้วก็เข้าใจ แม้จะมีหัวข้อหลักเกณฑ์เป็นสูตรทฤษฎี  คนเราก็จะปฏิบัติตามความเข้าใจหรือทิฏฐินี้เป็นประธาน

          ทุกวันนี้ เขาไม่ได้เรียนกันเลยในวงการพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้เรียนกัน หรือมีแต่เรียนเอาไปสอบ แบบท่องจำ

          พวกสมาธินั่งหลับตา ศีลก็ไม่มีอธิ ปัญญาก็ไม่มีอธิ จิตก็ไม่อธิ เพราะไม่มีผัสสะ  อาตมาพูดมาหลายปีแล้วก็ไม่เปลี่ยนกัน อาตมาก็เอาพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตร ตั้งแต่ข้อ 252-281 มีทั้งหมด 30 ข้อพอดี  ท่านบอกเลยว่า สัมมาสมาธิ ประกอบด้วยมรรค 7 องค์เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเขาเรียนกันเขาก็ไม่ค่อยพูดกัน ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ หรือสัมมาสังกัปปะ เขาก็ไม่ค่อยพูดถึงกันเลย

          ส่วน มิจฉากัมมันตะ มิจฉาวาจา นั้นมี อยู่ในศีล 5 เขาก็พอพูดกันบ้าง  มิจฉาอาชีวะ 5 เขาไม่ค่อยได้กล่าวถึงกันเลย ในวงการศาสนาไม่มีการปฏิบัติเลย จนในวงการศาสนา มีกุหนา ลปนากันเลย ทำเป็นอาชีพเลย ถ้าศึกษากันก็จะเข้าใจแล้วจะไม่เป็นเช่นนี้เลย

          ศีลเอง ท่านก็ตรัสว่าจะมีอานิสงส์ไปตามลำดับ ตั้งแต่ปฏิบัติแล้วลดความเดือดร้อน มีอวิปฏิสาร ไม่มีความเดือดร้อนใจ ในพระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 เลย เขาพูดถึงศีล ปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า ศีล ปฏิบัติแล้วก็จะทำให้จิตบรรลุเป็นอรหัตตผลไปโดยลำดับ ท่านบอกไว้เลย ศีลนี่ ปฏิบัติแล้วจะทำให้จิตบรรลุเป็นอรหันต์ไปโดยลำดับ ไม่เคยบอกว่า ปฏิบัติศีลแล้วจะมีอานิสงส์ให้แค่กาย วาจา ดี เท่านั้น ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้าว่าเช่นนี้เลย ศีลเขาก็เลยถือเป็นแค่ศีลลัพพตุปาทาน ทุกวันนี้

          ที่พูดนี้ไม่ได้พูดด้วยส่อเสียด แต่ว่าพูดโดยวิชาการ ต้องพูดถึงความบกพร่องความผิด แต่ว่าเรื่องที่ทำถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องพูดกันมาก แต่ว่าต้องแก้ส่ิงที่ผิดกันก่อน ถ้าไม่แก้จะปฏิบัติถูกได้อย่างไร ความผิดต้องแก้ไขกันก่อน จึงจำเป็นต้องพูดถึงสิ่งผิด

          ทิฏฐิ 10 เป็นประธานของมรรคองค์ 8 หากเข้าใจทิฏฐิ 10 นี้ไม่ได้เลย ไปปฏิบัติธรรมอย่างไรก็แล้วแต่ เช่น ทิฏฐิ 10 นี้เร่ิมต้นด้วยทาน แล้วมีศีล มีภาวนา สี่ กรรม สี่โลกนี้ ห้าโลกหน้า หกผลของกรรม พ่อ เจ็ดพ่อ แปดแม่ เก้าสัตตาโอปปาติกา สิบสมณะพราหมณ์

          ถ้าไม่รู้จักสัตว์โอปปาติกะแล้วก็ปฏิบัติไม่ได้ ไปคิดว่า เป็นวิญญาณล่องลอยไปโน้น อ่านอาการของจิตนี้ไม่เป็น เช่นอาการจิตอยากเล่นไพ่ อยากฆ่าสัตว์ อาการนี้มันอาการสัตว์นรกแล้ว เขาไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยบอกไม่ค่อยสอนกันเลย แล้วก็ให้แก้ไขสัตว์นรกนี้แหละ กำจัดสัตว์ในจิตนี้แหละ ไม่ใช่เข้าใจว่าคือวิญญาณล่องลอยไป นอกร่างอะไร ต้องอ่านอาการเรากำลังดีใจ เศร้าใจ ราคะ โทสะ โมหะ นั้นคือสัตว์นรก มันชื่นใจดีใจเป็นเทวดา เดือดร้อนวุ่นวายใจเป็นสัตว์นรก การปฏิบัติธรรมจึงโมฆะไปหมดแล้ว ศีลกับปัญญาไม่รู้เรื่อง ปฏิบัติแต่สมาธิ ที่จะทำให้อธิจิต แล้วก็ไปเข้าใจว่าสมาธิคือนั่งสะกดจิตหลับตา ตกลงศีลกับปัญญาคืออย่างไร เขามีทิฏฐิผิดตั้งแต่แรกแล้ว

          สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจตามหลักทฤษฎี ให้ถูกต้องว่าทิฏฐิทั้ง 10 ข้อนี้ ทานอย่างไรจึงลดกิเลส ปฏิบัติศีลอย่างไรจะลดกิเลส เกิดผลลดกิเลสจริงไหม แล้วท่านก็สรุปไว้ว่า เกิดผลกรรมอย่างไร กรรมถูกหรือกรรมผิด สุกตทุกฏานัง กัมมานังผลังวิปาโก ก็ไม่ได้เรียนกัน เมื่อไม่ได้เรียนกันก็ไม่รู้ว่าโลกโลกีย์เป็นอย่างไร ทำให้กิเลสลดก็เข้าสู่โลกโลกุตระ เป็นอย่างไร ปโรโลโก คือโลกโลกุตระก็ไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าโลกหลังความตายไปอีก แท้จริงคือโลกที่เราวนเวียนอยู่กับโลกล่าโลกธรรม กาม อัตตานี่คือโลกเก่า อยังโลโก ล่าให้ตนเป็นเทวดาเก๊ 6 ชั้นนี้ ทำตนเป็นยักษ์มาร จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี พวกนี้คือภพชาติ เทวดาพวกนี้เป็นพวกที่เลวทั้ง6 เท็จทั้ง6 ยิ่งจาตุมหาราชิกานี้เลวสุด อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วใช้ความรุนแรง เขาถึงปั้นรูปปั้นเป็นยักษ์เขี้ยวใหญ่ ตาโปน มีง้าวมีกระบอง ก็ยังไม่สะดุดใจว่าเป็นยักษ์ มันมีอำนาจ แย่งเขาได้สิ่งเหล่านี้เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ

        _การปฏิบัติธรรมแบบง่ายมีไหม?

        ตอบ...การปฏิบัติธรรม ง่ายทั้งนั้น ข้อสำคัญคือต้องปฏิบัติตามลำดับ แต่คนมักไม่รู้ตัวเอาสิ่งสูงมาปฏิบัติก็เลยยาก ต้องกำหนดให้ถูก ตัวเราก็เท่านี้ อย่าไปเอาอรหันต์ทันที เอาตั้งแต่อบายก่อน ถ้าเราดูไม่เป็นว่าเราจะเอาอันไหนก่อน เราก็เอาศีล 5 ก่อน พื้นฐาน

        _ปกติ เรียนกับพ่อครูมีบาลีเยอะยิ่งเรียนก็ยิ่งยาก แล้วเทคนิคการสอนที่จะทำให้ปฏิบัติธรรมง่ายทำอย่างไร

        ตอบ...ที่อาตมาต้องพูดภาษาบาลีมาก เพราะจำเป็น เนื่องจากบาลีเป็นคำสอนบัญญัติหลักของพระพุทธเจ้าอาตมาก็เลยต้องอ้างตามพระพุทธเจ้า เพราะสถาบันศาสนาเขาตราว่าอาตมานอกรีต สอนผิดจากพระพุทธเจ้า อาตมาก็เลย ยกพระไตรปิฎกมา เพื่อให้เขาตรวจสอบได้ว่า อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง ก็ต้องพยายามวางใจว่า ฟังธรรมอาตมาก็ต้องแบบนี้แหละ

        _ตอนปฏิบัตินี้ตั้งฐานปฏิบัติแล้วก็มีวิบากมาทดลอง

        ตอบ..นั่นแหละปฏิบัติถูกแล้ว ถ้าไม่มีสิ่งที่มาสัมผัสแล้วเกิดกิเลสก็ไม่ได้พัฒนา หากสัมผัสแล้วเฉยจะได้พัฒนาอะไร มันต้องตั้งตนบนความลำบากมีการต่อสู้ จึงถูกต้อง ถ้าปฏิบัติแล้วสบายๆไม่ได้ปฏิบัติธรรม ต้องมีสิ่งที่ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมจึงเจริญยิ่ง ถ้าตั้งตนบนความสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง

        _เราต้องค้นหากรรมฐานหรือรูปแบบที่เหมาะกับตัวเราหรือไม่?

        ตอบ...ต้องค้นหาตัวเราว่าเราติดยึดอะไร เช่นเดี๋ยวก็เดินไปฆ่าสัตว์ เดี๋ยวก็เดินไปหาเอาของคนอื่นโกงทุจริต คอรัปชั่น เป็นต้น ก็ต้องรู้ว่าอันนี้ผิดศีล ถ้าพูดเรื่องเพศ หรือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราติดอะไร จนมากไปแล้ว ถ้ารู้ตัวเองก็ลดลง จะต้องฟังเสียงอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องฟังเพลง เสียทีละห้าพันหรือหมื่นอย่างนี้มากไปต้องลดละ มันถือว่าหยาบ แต่ทีนี้มันเข้าใจยาก คุณไปหลงติดนักร้องชั้นสูง นักกีฬาชั้นสูง พวกนี้อบายทั้งนั้น ค่าตัวแพง พวกนี้ยกนรกมาทั้งนั้น ไม่ได้ฟังแล้วเสียชาติเกิด อย่างนี้หลงผิดกันทั่วโลก นี่ฟุตบอลโลกกำลังจะมา ถ้าไม่ได้ดูก็ไม่ได้ ถ่างตาดูตั้งแต่ตีสองตีสามเป็นต้น

        ศาสนาพุทธไม่มีเกมส์ไม่มีพนันขันต่อ แต่ถ้าสู้กับตัวเองกับกิเลสนะ กิเลสมันอยู่ในจิตวิญญาณเรามันขี่หัวเราอยู่

        พระพุทธเจ้าว่าเรียนรู้ให้ถูกต้องตามมรรคองค์ 8 ไม่ต้องไปหาวิธีใหม่ อย่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือแข่งกับพระพุทธเจ้า การสร้างจิตคือทำให้กิเลสลดลง ไม่ใช่สร้างจิตใหม่ แต่ให้เอาความชั่วหรือกิเลสออกจากจิต จิตก็บริสุทธิ์ไปตามลำดับ ถ้าแค่สร้างความสุขมากลบเกลื่อนก็แค่สะกดจิต ศาสนาพุทธให้หาเหตุ ทำไมจิตเราเศร้าหมอง เราอยากได้อันนี้แล้วไม่ได้ เราไม่สมใจก็เลยทุกข์ ถ้าสมใจก็ฟูใจเป็นเทวดา การฆ่ากิเลสนั้นฆ่าด้วยปัญญา ไม่ได้ฆ่าด้วยจิตกดข่ม เราพิจารณาว่าอาการอย่างนี้มันจริงหรือ มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันจริงหรือ? มันไม่ใช่ตัวจริง เราหลงว่ามันมีเอง เช่น เราจะต้องได้อันนี้แล้วเราได้อันนี้มา เอามาสัมผัสทางตา สมใจ ฟังเสียงอย่างนี้สมใจ ถ้าสมใจก็ดีใจ ถ้าไม่สมใจก็เศร้าใจ ควรทำจิตเราไม่เศร้าใจดีใจ นั่นคือนิพพาน คือเนกขัมสิตอุเบกขา เห็นเลยว่าเราหมดอาการดีใจเสียใจเลย

        เช่นนี่เราเจอหอมหัวใหญ่อันนี้ เราก็ดูว่า น่าจะรสดี ตามที่เรามีในจิตไว้ กลิ่นเช่นนี้ ถ้าได้กลิ่นได้รสเช่นนี้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดา นั่นคือความไม่จริง สวรรค์กับนรกไม่มีจริง จิตเรามันเป็นแสดงว่าเรามี เราต้องทำให้จิตเวลาสัมผัสแล้วไม่ดีใจเสียใจ นิพพานก็ง่ายๆแค่นี้ไม่ได้ยากอะไรเลย ทำความเข้าใจให้ชัดแล้วทำให้เป็น

          _อย่างนี้ก็สัตว์นรกทั้งโลกเลยสิ ที่บ้านผม ผมมาคนเดียว ที่บ้านไม่ได้เข้าใจ

          ตอบ...เราทำได้ปฏิบัติได้ ก็เป็นตัวอย่างทำคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง อย่าไปว่าเขามากชีวิตจะไม่รอด อาตมานี่ว่าเขาแต่ก็อยู่รอดนะ อาตมาเก่ง พวกคุณอย่าเผลอนะ

          _เห็นในภาพของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงไว้ผมยาวแบบมวยผม แต่สาวกโกนผมหมดเลยทำไม

          ตอบ...เพราะว่าเพี้ยนไป เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นสมณะโล้น โกนผม เพราะยุคพระพุทธเจ้าพวกปฏิบัติศาสนาพุทธเพี้ยนไปเป็นพราหมณ์ ที่จริงพุทธกับพราหมณ์นั้นอันเดียวกัน ภาษาเดิมของพระพุทธเจ้ามีมาแต่อธิบายกลับกันหมดเลย ศาสนาพุทธสมัยพระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ ท่านก็ได้ลูกศิษย์ใหญ่ๆเป็นพราหมณ์ มีคนมาลองของท่าน ท่านก็ให้เขาพูด ก็หลักเดียวกัน แล้วท่านก็แก้สิ่งที่ผิดให้ พราหมณ์ทั้งหลายก็เห็นว่าจริงก็มาเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า อาตมาก็เอาพุทธมาอธิบาย พวกคุณก็เหมือนพราหมณ์ เข้าใจเพี้ยนไปหมด คนไหนฟังอาตมาเข้าใจว่าของอาตมาถูกเขาก็มา คนไม่เข้าใจก็ไม่มา ส่วนใหญ่ตกจากพุทธไปหมดแล้ว อาตมาไม่มีฤทธิ์มากอย่างพระพุทธเจ้าก็เลยได้มาน้อยแค่นี้

          สมาธิแปลว่าตั้งมั่น แข็งแรงไม่หวั่นไหว มั่นคงแน่วแน่ แล้วก็มีปัญญารู้สิ่งกระทบสัมผัส ไม่ได้หวัั่นไหวไปกับเรื่องโลกๆข้างนอก เอาเงินมาฟาดหัว เอายศมาฟาดหัว เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านอย่างไรก็ไม่ได้ผลักหรือดูด นั่นคือสมาธิ เป็นสมาธิลืมตารับรู้สัมผัสทวาร 6 ได้หมด สัมผัสแล้วก็ช่วยคนอื่นเขาให้ได้รับประโยชน์สูงสุด จึงถือว่าเป็นศิลปะ ศิลปะนั้นสูงกว่าศาสตร์

          คนที่รู้แต่ไม่เผยแพร่ให้คนอื่นรู้เลยเป็นศาสตร์ ถ้าเผยแพร่ให้คนอื่นคือศิลปะ ถ้าทำให้คนอื่นลดละกิเลสก็เป็น ศิลปะอันเป็นอุตตมะหรือโลกุตระ

          สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่การนั่งหลับตา meditation ในพรหมชาลสูตรท่านว่าไว้ ว่านั่งหลับตามีแต่อดีตกับอนาคต มีแต่สัญญา ความนึกคิดไม่มีความจริงเลย ไปแต่ในอดีต 18 อนาคต 44 ทิฏฐิ แต่ทุกวันนี้ปริญญาเอกทางศาสนาไม่ได้สอนเรื่องนี้กันเลย

          ถ้าจะนั่งหลับตาต้องรู้อานิสงส์ว่าให้อะไรบ้าง เช่นนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อน เพื่อศึกษาจิตที่อยู่ในภพ ว่าอาการนิวรณ์ 5 เป็นอย่างไร ศึกษาจิตในภพ ไม่ใช่ของจริงมีแต่สัญญา แต่ก็ศึกษาไปได้ จะเป็นกาม พยาบาท โทสะ ฟุ้งซ่านอย่างไรได้แต่ก็ระลึกแค่ของเก่ากับอนาคต ไม่ใช่ของจริงที่ปฏิบัติ

          _เมื่อเราเห็นว่าร่างกายทำงานได้เองแล้วเราจะพัฒนาองค์ความรู้อย่างไรต่อไป

          ตอบ... พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่ากายนี่ทำงานได้เองนะ กายนี่มีจิตเป็นประธาน มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตเป็นต้นเค้า แล้วค่อยมาพัฒนาเจริญขึ้น มีแต่จิตพาเจริญ ไม่ใช่แค่กายพาเจริญ ถ้ากายทำงานได้คล่อง คุณคล่องดีหรือเลวล่ะ เป็นแค่โลกีย์แต่ถ้าคุณทำได้คล่องอย่างไม่มีกิเลสบงการนี่แหละดี แต่ถ้ามีกิเลสบงการทำได้คล่องนี้คือซวย

          ทำได้คล่องคือมุทุภูตธาตุ จิตคล่อง แล้วเวทนาสัญญาสังขารคล่อง จึงควบคุมภายนอกได้ ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร เรียกว่า กาย กายคือหมวดเจตสิกของเวทนา สัญญา สังขาร นี่เป็นนาม ถ้าคล่องแคล่วเป็นกายปาคุญญตา ออกไปเป็นกายกัมมัญญตา ทำงานได้คล่องแคล่ว จะรวมออกเป็นกายกรรม ที่อาตมายกไม้ยกมือนี่ก็เช่นกัน ก็มาจากใจ พูดก็มาจากใจทั้งสิ้น แล้วเป็นกายคล่อง(องค์รวมคล่อง)ก็ต้องทำที่จิตที่เป็นต้นทางให้คล่องกัน แต่ถ้าคล่องแต่จิตที่เป็นประธานนี้ชั่วก็ทำชั่วได้คล่องมากเท่านั้นเอง

          _ขั้นตอนปฏิบัติธรรมถึงนิพพานโดยเร็ว มีขั้นตอนอย่างไร

          ตอบ...พระพุทธเจ้าว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าอัศจรรย์เพราะว่าลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ถ้าคุณมีแต่กิเลสหนาๆ ก็จะทำให้เป็นอรหันต์เลยได้อย่างไร ต้องเอาส่วนหยาบก่อนออกไปตามลำดับ โดยทำมีสัมมาทิฏฐิ หากทำได้ถูกต้อง ก็จะรู้ทฤษฏีมรรคองค์ 8 แล้วคู่กับโพชฌงค์7 ทั้งมรรคและโพชฌงค์นี่จะเกิดโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระ 37 ทำแล้วได้ ผลโลกุตระของพระพุทธเจ้า เร่ิมต้นตรวจตนเอง ถ้าไม่มีหลักอะไรก็เอาศีล 5ก่อน ไม่ฆ่าแกงทำร้ายสัตว์ มีใจเอื้อเอ็นดูสัตว์โลก  ไม่เอาของๆคนอื่น ไม่เอาเปรียบเขา นอกจากไม่เอาแล้วก็ต้องสละเผื่อแผ่เขาด้วยเป็นทาน ศีลข้อ 3 ก็เรียนรู้กามคุณ 5 ศีลข้อ 4 วจีกรรม ศีลข้อ 5 มโนกรรม

          _พ่อครูไอ บอกว่าต้องใช้สมาธิแบบเจโต ว่าจะทำ แต่อาตมาต้องสะพัดพลังงานตลอดก็เลยไม่ได้ทำ

          _จะทำอย่างให้ให้ภาครัฐปฏิบัติหรือส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแบบนี้

          ตอบ...อาตมาไม่ไปคิดนะ เป็นแต่เพียงว่า อาตมาจะสร้างคนนี้ไปให้คนมีคุณธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยรัฐ แต่ช่วยเอกชนไป ถ้ารัฐเขาเห็นคุณค่าให้เราไปช่วยก็ดี แต่ถ้ารัฐเขาไม่เห็นคุณค่าเราก็มีคนให้ช่วยต่อไปอยู่ดี เราไม่ง้อคนด้วย เขาไม่อยากให้เราไปช่วยเราก็ไม่ง้อ ถ้ามาเชื่อมต่อเราเราก็ไป แต่ถ้าไม่มาเราก็ไม่ไป

          _เหตุใดพ่อครูจึงตั้งชื่อ ให้ชาว พวธ. ว่าที่สถาบันวิชชารามครับ

          ตอบ...อาตมาไม่ได้มีลิขสิทธิ์ในการตั้งวิชชาราม ทางนี้ก็เอาได้

          _ก็อ่านกิเลสว่ามันเป็นรักทางไหน ก็ผูกพันทั้งนั้น ยิ่งรักทางเพศก็ยิ่งจัดจ้าน คุณพอใจรักทางเพศก็ต้องเป็นไป แต่ถ้าจะเลิกก็ออกมา ต้องเข้าใจว่า รักร้อยทุกข์ร้อย รักเท่าใดทุกข์เท่านั้น ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย นี่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาก็เขียนความรัก 10มิติ ความรักเรื่องเพศเป็นความรักต่ำสุดทุกข์สุด ความรักของพ่อแม่ลูก ที่คลายจากความรักของเพศมาบ้าง ทำปัญญาให้เข้าใจ เห็นเหตุ เมื่อเจอเรื่องราวนั้นๆ เช่นเขามาชื่นชมเราเราก็สุข สุขไม่มีจริงหรอก สุขคือความทุกข์ที่หลอกเรา สุขในโลกนั้นไม่มีหรอก ถ้าคุณดับเหตุ ที่คุณไปหลงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น นั่นคือสุขหลอก หากไม่อยากได้ไม่อยากมีอยากเป็นนั้นเลย นั่นคือไม่สุขไม่ทุกข์คือ นิพพาน

 

          _มีอรหันต์เกิดในเมืองไทยนี้หรือไม่ ตั้งแต่ต้นมา ชมพูทวีปมีอรหันต์เกิดใช่ไหม มีพุทธบริษัท 4ครบบริบูรณ์ ใช่ไหมหรือว่าเพราะว่ามีโพธิสัตว์ใหญ่น้อยมีสัปปายะ 4

          ตอบ...ก็มีอรหันต์จริง แล้วต่อมาก็เสื่อมเป็นอรหันตฺ์เก๊ จนทุกวันนี้ฟันธงเลยว่ามีแต่อรหันต์เก๊ หลงผิดหลงทิศทางเป็นฤาษี เขาก็ว่าเขามีอรหันต์ แต่ไม่เข้าใจสัจจะจริง

          พุทธบริษัท สี่ นี้เป็นอาริยบุคคล ฆราวาสชาย หญิง นักบวชชาย หญิง ต่างกันพุทธมามกะ หรือพุทธศาสนิกชน ซึ่ง คนไทย 95% คือพุทธศาสนิกชน แต่ไม่ได้ศึกษาได้ประโยชน์จากศาสนาพุทธที่แท้จริง มีแต่ไปติดสินบนพระให้ตนได้ขึ้นสวรรค์ได้บุญมากบุญใหญ่เลอะเทอะ พุทธบริษัท สี่ คืออาริยบุคคล นี่ ส่วนพุทธมามกะคือคนมาขอปฏิญาณตนเข้าศาสนาพุทธ ยังไม่ได้บรรลุ แต่ได้ตั้งใจพากเพียรปฏิบัติ ถ้าบรรลุก็เข้าสู่พุทธบริษัท แม้มาบวชแล้วไม่ได้เป็นอาริยะแม้โสดาบันก็ไม่เป็นพุทธบริษัท

          ผู้มีคุณสมบัติเป็นอาริยะ มีขั้นตอน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์  เป็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น

          เถรวาทเข้าใจผิด เป็นอุจเฉทิฏฐิว่า อรหันต์ตายแล้วต้องสูญ ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมก็เพราะความเห็นผิดแบบนี้ ขณะนี้บอกได้ว่าไม่มีอาริยบุคคลในประเทศไหนแม้อินเดียวก็ตาม แต่มีในประเทศไทย ที่เป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส มีภาวะจิตที่แข็งแรงไม่เพลี่ยงพล้ำแข็งแรงต่อสู้กับโลกีย์ได้มีสติเป็นสติปัฏฐาน 4 ควบคุมดูแล มรรค 7องค์ให้สัมมาได้

          ต้องเป็นดินแดนมีสัปปายะ 4 ดินแดนไหนมีแต่สัตว์ต้องฆ่าสัตว์มากิน ไม่มีพืชขึ้นได้อย่างนี้ไม่ไปไม่สัปปายะ

 

          _อยากให้พ่อครูทวช.มากกว่าทวย.

          ตอบ...ก็ดีเหมือนกัน เป็นความเห็นที่ดี แต่คนฟังน้อยกว่า แต่ก็เป็นการคัดคน ว่าใครรักกันจริงก็มาฟังกัน .... ตอนเย็นก็รีรัน

 

          _จากการปฏิบัติสังเกตว่าเราจะมีพลังปรุงกิเลสได้เยอะ แต่ถ้ากินข้าวโรยเกลือเราจะปรุงกิเลสน้อยกว่าจริงไหม? อาหารมีผลต่อเรา

          ตอบ... ไม่จริงหรอก อยู่ที่จิตเรา เราควรกินอาหารให้ครบธาตุอาหารมากกว่า

         

          _ถามว่า กรรมถ่ายทอดจากพ่อแม่ได้ไหม

          ตอบ...กรรมเป็นของๆตน กรรมไม่ต่อทอดทางDNA ที่เป็นเรื่องสรีระ จิตวิญญาณไม่มีการต่อทอดทางพ่อแม่พี่ต้องทางสรีระ จะบอกว่าเอาชั่วมาจากแม่ไม่ได้

 

          _อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

          ตอบ..ไปพร้อมกันแบ่งแยกกันไม่ได้ เกื้อหนุนกันอย่างปฏิสัมพัทธ์ คุณสังวรศีล สัมผัสกับสัตว์ อ่านจิต เรามีจิตไปรักสัตว์หรือไม่ชอบสัตว์โกรธสัตว์ ถ้าชังก็ร้ายใหญ่ แต่ถ้าสัมผัสเอ็นดูเมตตาก็ไปชอบสัตว์ไม่ต้องไปชอบสัตว์เราไม่ต้องไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเขา  แค่วิบากกับคนด้วยกันนี่ก็หนักแล้ว อย่าไปมีวิบากกับสัตว์ อย่าเอามาเลี้ยงหรือกินสัตว์ มันมีสัตว์ที่มีวิบากจะมาเกี่ยวกับเรา เราต้องรู้ตัว แล้วตัด เราอย่าไปต่อ ผู้ใดรักสัตว์หมาตัวไหนชอบ นี่แหละตัวจริงเลย อย่าไปต่อ ให้ตัด แค่คนก็เหลือแล้วที่ต้องมาอโหสิ อภัยกัน สัตว์มันไม่รู้อภัยหรอก ต้องติดยึดไปอีก เมื่อไหร่จะพ้นเวรภัยส่ิงผูกพันกัน

          ทรัพย์สินก็เช่นกัน มันไม่ผลักมันจะเอา หรือแม้กาม ศีลข้อ 3 ก็เช่นกัน เพราะว่า สามข้อนี้ทำให้คนพูดปด คนพูดปดก็เพื่อโทสะ ราคะ โลภะ เท่านั้น ที่ต้องทำให้โกหก

          _คนที่ฟังจากสัตบุรุษแล้วไม่เอาไปทำ จะเกิดอะไรขึ้น

          ตอบ...ก็ไม่เกิดผลสิ

          _การทำผิดทั้งๆที่รู้เกิดผลเช่นไร

          ตอบ...ก็ซวยไปเลยได้อกุศลไป

          _กรณีธรรมกายเราควรปฏิบัติอย่างไรจึงช่วยได้ เห็นว่าการตามข่าวไม่น่าจะพอ การแสดงออกทางเฟสบุคควรระวังอะไร

          ตอบ...อาตมาก็พูดบอกด้วยปรารถนาดีเมตตา แต่ก็บอกด้วยเมตตา ตอนนี้เขาจะฟ้องคนว่าเขา ขนาดพระพยอมก็ถูกฟ้อง แต่ก็ถอนฟ้องแล้วเห็นไปขอขมากัน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะฟ้องอาตมาหรือไม่ อาตมาเห็นเป็นส่ิงควรตำหนิก็ต้องทำ สิ่งควรชมก็ชม อาตมาก็สาธยายความชั่ว ว่ามันไม่น่าทำ มันน่าขยะแขยง ว่ามันน่าเกลียด ไม่น่าเป็นน่ามีก็ให้คุณรู้สึกรังเกียจ แล้วหาว่าอาตมาว่าเขา จะโง่ไปถึงไหน เขามาบอกความไม่ดีให้ชำระเสีย แต่ไม่รู้จักบุญคุณ กลับมาโกรธเราอีก ก็ซวยตนเอง คนอื่นเขาบอกให้ดีๆ แม้แต่จะตำหนิ หรือด่าแรง ก็ตาม เพราะพูดถึงความชั่วที่มากต่ำหนัก ก็ต้องพูดแรงสิ ถ้าเราพูดไม่จริง เขาไม่ได้หนักขนาดนี้แต่เราพูดหนักไปเราก็บาป แต่อาตมาว่าเราพูดไม่ถึงด้วย ความชั่วของเขาหนักเกินกว่าภาษาที่จะเอามาพูด เป็นอวินิปาตแล้วไม่มีนรกลึกกว่านี้อีกแล้ว

 

          _จิตกับกายต่างกันอย่างไร

          ตอบ...จิตกับกาย อันเดียวกันเลยไม่ต่างกัน แต่จิตที่มีประสิทธิภาพรู้ถึงข้างนอกด้วย ก็เป็นกาย ถ้าคุณไม่มีจิต กาย คุณไม่มี เล็บของคุณที่พ้นจากประสาทออกมาแล้วไม่ใช่กาย เป็นพีชนิยาม  เพราะฉะนั้น กายคือส่วนที่ต้องมีจิตร่วม เพราะฉะนั้นกายอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น ถ้าพ้นความเป็นกาย ไม่มีจิตแล้ว  จิตนั้นไม่มีภายนอกก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลหรือบัณฑิตก็ตามหากไม่บรรลุแล้วตายไปก็มีกาย ตายไปแล้วถ้าคุณหลงว่าภายนอกยังมียังต้องเสพอยู่ จะทรมานมาก เพราะหลงลมๆแล้งๆ เช่นคุณบอกว่าผลไม้นี้สุกสวย ก็คว้าเอามากิน แต่ตายแล้วไม่ได้กินสักทีวะ ก็อยู่อย่างนั้น แล้วก็เชื่อสนิทว่ามันมีโง่อยู่อย่างนั้น จนไม่ไหวก็พักไปพออยากอีกก็ไล่คว้ามาอีก ยิ่งกว่าคนตกนรก คนเสี้ยนยา แล้วต้องต้องเอาให้ได้ ตื่นมาก็อยากอีกแล้ว คว้าลมคว้าแล้วเป็นสัตว์นรกที่ตกนรก คุณจะตกนรกอย่างนั้น ตามวิบาก อีกกี่หมื่นปี


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:02:26 )

590612

รายละเอียด

590612_รายการวิถีอาริยธรรม  สวนป่านาบุญ 3

ส.เดินดินว่า...รายการวิถีอาริยธรรมวันนี้มาที่สวนป่านาบุญ 3 วันนี้เป็นรายการปฐมนิเทศนักศึกษาสถาบันวิชชาราม ที่คลอง 3 ปทุมธานี เมื่อเช้านี้หลังบิณฑบาตหมอเขียวรายงานว่าที่นี่มีน้ำล้อมรอบพระครูบอกว่าน้ำสามารถกรองเอามาใช้ได้หมด แต่หมอเขียว่าแต่กรองกิเลสออกไม่ได้ พ่อครูว่า ต้องทำได้สิ ...

          พ่อครูว่า...การศึกษาทุกวันนี้ส่งไปทางหลงติดว่าเป็นความรู้ที่ประเสริฐไม่มีอะไรยอดเยี่ยมเท่าขออภัยที่ต้องกล่าวถึงคุณทำนี่เขามีจิตตัวนี้เชื่อว่าไม่มีอะไรทำลายลงได้อันนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกวันนี้เขาจะรู้สึกว่าเขาจะถูกทำลายหรือเปล่าเขาก็คิดว่าทำลายไม่ได้หรอก  ทั้งที่ใจตนเองรู้ว่า อาการน่าเป็นห่วง แต่ก็ได้แอคไปแล้วก็เลยวางไม่ลง แต่อย่างไรก็คือสิ่งที่เขาได้เธอลำยึดมั่นถือมั่นไปแล้ว เป็นอภินิเวสายะ ลงหลักปักเข็มไม่ถอดไม่ถอนตายคาเลย แล้วจะหลงว่าดีที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่ในศาสตร์หรือวิทยาการต่างๆเขาก็ลงว่าสุดยอดที่สุดเช่นกันก็ขอแจ้งความจริงตามโฮมโปรของอาตมาว่าในสิ่งที่กระจายออกไปแล้วในเรื่องของสสารเรื่องพลังงานไอสไตล์ได้ไขความสุดยอดเครื่องของนิวเคลียสที่แตกตัวเป็นธรรมะ 2 เป็นนิวเคลียร์ฟิชชันนิวเคลียร์ฟิวชั่นในธรรมชาติทั้งหลายเป็นต้นในนามธรรมในด้านจิตวิญญาณต่างๆพระพุทธเจ้าก็มีความรู้ทางด้านจิตวิญญาณก็นัยยะคล้ายกันคือมีธรรมะ 2ผู้ที่สามารถรู้ละเอียดลึกซึ้งถึงธรรมะ 2 นี้คือพระอรหันต์เพราะสามารถทำให้ธรรมะ 2 นี้กลายเป็นหนึ่งได้แล้วแต่ 1 กับ 0 ก็ยังเป็น 2 เหมือนกัน

1 ก็เป็นเอกัคคตาจิต เป็นสภาพไม่เคลื่อนที่เป็นตัวตนนิ่งสุดแข็งสุดไม่มีใครทำอะไรได้ และ0 นี้ อรหันต์ทำได้เป็นนปุงสกลิงค์ เราจึงสามารถทำลักษณะสองนี้ได้ แล้วเป็นอรหันต์นี่สามารถทำจิตนิยามที่เป็นธรรมะ 3 เส้ารูป นาม ความรู้สึก สามารถปรับรูปนาม ทำความรู้สึกของตนที่เป็นสองนี้เป็นหนึ่งได้  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) และอรหันต์ทำให้ 0 ได้ เลิกสนิท ได้เลย เหมือนแยก น้ำ เป็น hydrogen กับ oxygen ออกจากกันได้ น้ำก็หายไป หรือนักวิทยาศาสตร์สามารถจับ hydrogen กับ oxygen มารวมตัวเป็นธาตุน้ำได้

ทางจิตวิญญาณพระพุทธเจ้าทำได้ ทำใหจิตมีคุณสมบัติเหมือนพีชนิยาม ไม่ทำร้ายใครมีแต่สร้างสรรเป็น ish สังเคราะห์กันเข้า อย่างเป็นตัวเองเลย แต่ธาตุจิตของอรหันต์เป็นพลังงานที่อาศัยตนเอง เป็นแบบพีชะ ไม่มีเวทนา ไม่ทุกข์ร้อน แต่ธาตุจิตนั้นมีทั้งเวทนาและสัญญา เอาพลังงานที่เหลือไปใช้ทางกุศลได้เป็นประโยชน์ต่อโลกได้ คือพลังงานพระเจ้าสูงสุด มีคุณค่าประโยชน์ต่อทุกอย่างบนโลก

แม้แต่ศาสนาเทวนิยม ก็พูดว่า จิตวิญญาณบุตรพระเจ้าไม่เป็นโทษกับใครได้ แต่เขาไม่สามารถทำให้คนเป็นพระเจ้าได้ แต่ของพุทธทำได้ นั่นคือลักษณะลึกซึ้งละเอียด

ที่มาวันนี้มาเรื่องการศึกษา...ตอนนี้เขาก็ยังลังเลไม่มั่นใจว่าดีไหมก็เลยไมกล้าอนุมัติ กลัวจะเสีย เราก็เห็นใจเขาก็รอไป เราก็เดินไปหลายทาง ทางอ.ยักษ์ก็สร้าง ทางแพทย์วิถีธรรมก็ทำไป ทางอโศกก็ทำไป เราก็สร้างคนโดยพฤตินัยอยู่แล้ว นิตินัยยังไม่ได้หมด เราก็เดินเรื่องมีทั้งชื่อ บัญญัติเยอะ ตั้งแต่เป็น institute เป็นสถาบัน ก็ตั้งว่าเป็นสถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม (ส.สว) ที่จริงก็ทำมาตั้งแต่ ม.วช. (มหาลัยวังชีวิต) พวกอโศกก็เป็นศิษย์ม.วช.เยอะ จนมาเป็น ส.สว. ก็เดินไปเรื่อยๆ มีผู้วิ่งเต้น จนไปถึงระดับผู้บริหาร ยื่นเข้าไป กลายเป็น ว.นบ. ก็คือ วิชชารามนาวาบุญนิยม ออกแบบแล้วยื่นต่อรัฐก็ยังไม่ได้ แต่ตอนนี้ เติมเป็นมหาวิชชารามนาวาบุญนิยมนะ เราไม่ได้อยากใหญ่ เดิมชื่อวิชชารามนาวาบุญนิยม ตอนนี้เติมเป็น มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม

หลักสูตรว่า

ประเด็นที่ 1 คือ บ้าน วัด โรงเรียน และ 2 คือไตรสิกขา มีละชั่วประพฤติดีทำใจให้ผ่องใส และก็เป็นศีลสมาธิปัญญา

มีสังคมที่มีการเมืองคือการบริหารแบบคนจน เศรษฐกิจก็คือทุกคนมีสมบัติส่วนกลางหมด ไม่มีเป็นของตัวเอง ไม่แย่งยื้อมาเป็นของตน ทุกคนทำงานฟรี เสียภาษี 100% ไม่ต้องบังคับแบบคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการ แต่มีจิตวิญญาณสูงส่ง ลดความเห็นแก่ตัวจนหมดเลย อนาคามีก็หมดในเรื่อง กาม โลกธรรม ภายนอกแล้ว ก็เหลือแต่ส่วนภายใน สกิทาคามีก็ลดกว่าโสดาบัน แต่โสดาบันไม่ทำโหดร้ายกับใครแล้วไม่ทุจริตกับใครแล้ว

สรุปคือเป็นสังคมที่เจริญสุดยอดไม่มีสังคมใดเจริญได้เท่านี้แล้ว ขณะนี้ชาวอโศกลำลองขึ้นมาได้แล้วเป็นสภาวะความจริงแล้วเกิดเป็นจริงแล้วมีสาธารณโภคีตั้งแต่ตั้งชุมชนที่ประสบอโศกเป็นแห่งแรกถือว่าราชธานีอโศกเป็นแห่งหลังก็เป็นสาธารณโภคีมาตลอด

การมาอยู่รวมกันเป็นการศึกษาจึงไม่ได้แยกส่วนจะมีห้อง lab ห้องทดลองมีบ้างก็ต้องใช้เป็นสัดส่วนนี้แต่การศึกษาจริงๆคือชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมมีกิจกรรมกิจการงานอะไรเราร่วมมือกันหมดตั้งแต่เด็กอนุบาลไปจนถึงปริญญาเอกถ้าใครเหมาะสมจะทำอันไหนก็ทำ สังคมนี้จึงเป็นสังคมที่ร่วมไม้ร่วมมือรู้ว่าอยู่รวมกันนี้เรามีงานอะไรที่ควรทำบ้างจึงเป็นการศึกษาที่ไม่ปกปิดสังคมเป็นการศึกษาที่รู้รอบในสังคม

ส่วนการศึกษาที่เขาหลงทาง ส่งไปเรียนเมืองนอกจนจบปริญญาเอก กลับมาก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยคืออะไร เขาดีใจนะที่จบจากเมืองนอกมาแล้วให้ตำแหน่งทันที ก็ไม่ได้ชัดเจนว่าทางเมืองไทยเขานับถืออะไร เขาเคารพอะไร แล้วกลับมาบริหารก็ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ของเมืองไทยแท้เมืองไทยอยู่อย่างนี้มานานแล้วจะอยู่ต่อไปอีกมีการสังเคราะห์กันอยู่ไปอย่างนี้จนตายก็เลยเอาสิ่งที่ไม่ตรงกับเมืองไทยมาทำทำให้สังคมไทยบิดเบี้ยวไปอาตมามาแก้กลับนี่ไม่ใช่แค่หืดขึ้นคอแต่มะเร็งจะขึ้นคอ แต่สู้สู้อาตมาไม่ถอย

ก็เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันและจะพัฒนาให้สูงขึ้นคำว่าวัดหมายถึงคุณธรรมก็จะมีคนที่มีหน้าที่ที่เป็นนักบวชจริงๆทั้งสภาพสมมติและสภาพปรมัตถธรรมเพื่อถ่ายทอดเมื่อมีพฤติกรรมของผู้ที่ยกไว้ระดับหนึ่งเป็นนักบวชนักบริหารนักบริการและนักผลิต 4 ฐานะนักบวชก็เป็นผู้ที่จนที่สุดไม่มีตัวตนที่สุด ส่วนนักบริหารนี่ก็รองลงมาถ้าแยกเป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์

นักบวชก็เป็นอรหันต์นักบริหารก็เป็นอนาคามีนักบริการก็เป็นสกิทาคามีนักผลิตก็เป็นโสดาบันมีความเห็นแก่ตัวตามลำดับ

เมื่อมีคนมากขึ้นบริหารกันเป็นหมู่กลุ่มก็มีการศึกษาเรามีโรงเรียนมีวิทยาลัยจึงไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นแบบที่เขาต้องเอาเข้ากล่อง แต่ให้สัมผัสความเป็นจริงแก้ไขปัญหาความเป็นจริงตามที่ปรากฏจริงในสังคมเป็น phenomenol การเรียนรู้ของพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจครบครันทุกอย่าง ยืนยันกันได้อ้างอิงกันได้เป็นสิ่งที่ร่วมโลกกันได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปจนถึงเป็นล้านคนรู้กันได้หมดไม่ใช่อำพรางรู้แต่ตัวเองคนอื่นดูด้วยไม่ได้ไม่ใช่ ครบสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ

สรุปที่บ้านวัดโรงเรียนต้องอยู่ร่วมกันสังเคราะห์สังขารกันให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะถึงขีดที่ตั้งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นแล้วขึ้นสู่สภาพสูงสุดที่สุดเป็นรูปสามเหลี่ยมเป็นการเกิดขึ้นที่รวดเร็วมีองศาที่สูงพอถึงสุดยอดแล้วก็ค่อยๆเสื่อมอาการเสื่อมก็จะเป็นองศาที่กว้างออกไปยาวนานกว่า

ตอนนี้เราอยู่ในระหว่างที่สร้างตัวเองจนถึงสูงที่สุดอาตมาจึงต้องเกิดมาใช้เวลาสร้างสิ่งเหล่านี้ไปอีก 500 ปีก็สร้างขึ้นมาได้เรื่อยเรื่อย

การศึกษาของเราที่เสนอเข้าไปจึงให้เป็นตัวอย่างของโลกมีบ้านวัดโรงเรียนแกนหลักที่จะศึกษาก็คือการละชั่วประพฤติดีจนกระทั่งความชั่วความดีที่เป็นอกุศลหรือที่เป็นจิตบาปหมดไปเราต้องสร้างพลังงานบุญเป็นพลังงานที่ไม่สะสมตัวเองและมีอำนาจมีพลังหรือจะเรียกว่าเป็นอาวุธก็ได้ที่จะใช้ประหารสิ่งที่ควรประหารคืออกุศลหรือสิ่งที่ไม่ดีในจิต

การทำทานนั้น คุณมีทองเท่าหนวดกุ้งมาทำทานก็ได้กุศล ไม่ได้บุญ เป็นคุณงามความดี มีผลวิบากแต่ขณะคุณทำทาน คุณมีใจยึดเป็นของตัวของตนหรือไม่ มีเยื่อน้อยๆหรืออาการหนัก ท่านอธิบายเป็นสามอย่าง สาเปกโข (หวัง) ปฏิพัทโธ(ผูกพัน) สันนิธิเปกโข(สั่งสม) อันหลังนี้คือสั่งสมว่าชาติไหนฉันก็ต้องรับผลนั้นไม่ยอมวางเลย สามชนิดนี้เป็นทานสูตรที่กล่าวกันตอนนี้

คุณทำดีก็ต้องได้รับผลดี แล้วก็ต้องล้างจิตผูกพัน ถ้าล้างได้อย่างไม่มีปลายที่โผล่มาเป็นเราเป็นของเราเลย ต้องอ่านอาการให้ชัด ของใครของมันรู้เอง เราก็จะศึกษาจนไม่ให้มีสันตติ ไม่มีปลายไม่มีอันตา จบ ผู้ใดทำให้ได้เด็ดขาด ก็เป็นอรหันต์ไปตามลำดับ เป็นอรหันต์ก็ยังเก่งขึ้นได้อีกเป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีก หมอเขียวจะตั้งจิตก็เชิญ อาตมานั้นตั้งจิตแน่ เปิดเผยว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7

ตอนนี้เทียบกับความผิด คือความดำด้านขาวคือธรรมกาย ส่วนความดำด้าดำคือสายฤาษีสะกดจิต

สายขาวนี้หยาบอย่างละเอียด แต่อีกอันดำอย่างผ่องใส หน้าเขาผ่องนะ นี่เป็นสิ่งยืนยันชัดหมดเลย แต่ขาเขาดำน่าเกลียดน่าชัง

ธัมมชโยคือเทวทัตแท้ๆ แต่ไปมุขเอาทัตตชีโวออกหน้า ตัวโง่แท้คือเขา ทัตตะแปลว่าโง่ โง่แต่เอาฉลาดมาหลอกเขา จนคนหลงเป็นเหยื่อก็เป็นอย่างที่เป็น ตอนนี้พุทธะหยั่งลงในแผ่นดินไทยแล้ว ดิ้นไม่ออกหรอก ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บๆ ยิ่งทำจิตนิ่งเป็นจิตหยุดได้ยิ่งจะไม่เจ็บ นี่ก็ดิ้นไม่หยุดก็อาจตายด้วยดิ้น ก็อยากให้เขาหยุด

การศึกษาเราก็หยั่งลงมีทั้งพฤตินัย เขาจะอนุมัติหรือไม่เราก็ทำ ถ้าได้ก็ดี จะคล่องตัวเราก็ขึ้น

คำว่าธรรมะ กับคำว่า กาย สำนักธรรมกายนี้สอน มีสองอย่าง ที่ดำเนินสะดวก กับที่ดำเนินไม่สะดวก คลองรังสิต ก็ทำกันสองสาย เจโต กับ ปัญญา ธรรมะคือส่ิงทรงอยู่ กายคือธรรมะสอง องค์รวมรูปกับนาม คำว่ากายเขาไม่รู้จักเขาไม่สามารถช่วยตนเองได้ คำว่าทรงอยู่ของเขาคือความเลวความชั่วให้เอาไว้ศึกษา เราก็ได้ศึกษา ธรรมะที่เป็นหนึ่งเป็นสัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก สัจจะไม่มีในโลก และก็สัญญาย นิจจานิ ยึดอย่างมีอุปาทานกันหรือไม่

ถ้ามุ่งมารวยนี้คิดผิด ถ้ามุ่งมาจนนี้คิดถูก ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ มาบำเพ็ญ บารมีสองทัศ คือพระเตมีย์ใบ้กับพระมหาชนก ทุกวันนี้สรีระท่านไม่ดีแล้ว ท่านพูดน้อยมาก ท่านตรัสเศรษฐกิจพอเพียงคนไม่เข้าใจ ท่านก็ตรัสแบบคนจนอีก แล้วก็ตรัสเรื่องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ทุนคือคิดหมดแล้วทั้งค่าแรงงานของเรา ทั้งค่าอื่นๆด้วย ถ้าค่าแรงงานเราได้วันละหนึ่งพันบาท แต่ตนเองปฏิบัติธรรมแล้วกินน้อยใช้น้อยแค่วันละสองร้อย เราก็เอาแปดร้อยที่เหลือหรือให้ห้าร้อยหกร้อยสามร้อยสี่ร้อยก็แล้วแต่ใครจะทำได้ อันนี้แหละคือขาดทุนแล้ว ไม่ตาย ไม่หมดเค้าด้วย นี่แหละคือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

เราอยู่อย่างสาราณียธรรม 6

เมตตากาย วจี มโน สาธารณโภคี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ยกตัวอย่างที่บ้านราชฯเราจะทำประปาให้หมู่บ้านกุดระงุม ตั้งใจจะทำให้ เราทำถนนให้กุดระงุมเราก็ทำสาธารณูปโภคให้เขา เราไม่ได้ทำเพื่อหาเสียง แต่เราทำด้วยจิตวิญญาณว่าจะช่วยกัน แต่ก่อนเราจะทำให้หมู่บ้านคำกลาง เขาก็ระแวงไม่ให้ทำ ทั้งที่น้ำซับมีที่บ้านราชฯเราจะทำประปาให้เขาก็ไม่ให้ทำ

พวกเราต้องศึกษาบ้าน วัด โรงเรียนให้ชัด เป็นการอยู่เรียนรู้อย่าง osmosis คือซึมซับอย่างไม่รู้ตัวเลย ไม่แค่ absorb ที่รู้ว่าไหลเข้ามา แต่ว่านี่เราให้โอสถทิพย์ทางขุมขนแบบไม่ให้รู้ตัวเลยแต่รับเอาไปได้ สรุปว่า พวกคุณเชื่อไหมว่านี่คือความจริงของโลก ถ้าเชื่อแล้วก็อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม ทำไม?ก็เพราะว่าเราจะเป็นชาวกสิกรรม กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เราจะเลี้ยงโลกช่วยโลก ด้วยอาหารที่เป็นกวฬิงการาหาร

ไม่ว่าจะด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประเทศไทยจะเป็นตัวอย่าง ตัวอย่างไม่ใช่ของโต แต่โตแล้วจะฟ่าม ตัวอย่างเป็นปรอท ส่วนความโตใหญ่เป็นโฟม ฟ่าม เพราะฉะนั้นสิ่งจริงไม่โต คนหลงโตหลงใหญ่หลงมากเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างธรรมกายนี่ เป็นอัปปมัญญา โง่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้ขอบเขต ไม่หยุด บั้นปลายไปหานรกไม่รู้ตัว ขออภัยที่ต้องหยิบมาอ้างอิง

ในวันนี้วินาทีนี้ สังคมโลกกำลังมีตัวอย่างอันสูงสุดของเศรษฐกิจสังคมการเมือง ก็ต้องมีการศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ เพื่อพาสังคมโลกสู่สังคมสงบสันติอย่างแท้จริง เราจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อโลกมากขึ้นเป็นผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริงพระพุทธเจ้าจึงให้ศึกษาธรรมะ 2

ใน E=mc2 นั้น  m กับ C นั้น m คือรูป(สสาร)  C คือพลังงาน สูงสุดคือแสง ที่เขาจับเอามาใช้งานได้ส่วนของศาสนาเอาพลังงานจิต เทียบได้กับพลังงานแสง ยิ่งกว่าแสงเ พราะจิตนั้นเร็วกว่าแสง C นี้แทนที่จะเป็นแค่ระยะทางของแสงวิ่งมันก็จะมากกว่านี้ยกกำลังอีก เราเดาไม่ได้

มนุษย์จะทำพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ได้มากสุดจนกว่าโลกจะแตกแล้วก็จะสังเคราะห์กันเองขึ้นมาอีกเป็นสัตว์ไล่ขึ้นมาตามลำดับเป็น primary and secondary เป็น thirtery เป็น Quatery ไปเรื่อยๆ สังขยาเลข

รูปกาย ต่างจากนามกายอย่างไร?

รูปกายมีสิ่งที่ถูกรู้ เป็นดินน้ำไฟลม ภายนอกที่จะเกี่ยวข้องกับเรา เรียกว่ารูปรูป  ถ้าเป็นชีวะแล้วมี ish มี i มี he มี she ตัว he คือธาตุหนัก(fusion)  she คือธาตุเบา (fission) เราจะจับเอา fusion มาใช้งานได้ ส่วน fusion​คืออิตถีภาวะนั้นเอามาใช้ไม่ค่อยได้ นี่ไม่ได้พูดถึงหญิงชายอย่างรูปธรรมนะ

อำนาจความสงบ สยบความรุนแรงซึ่งรู้ยากมาก มันจะยอมไม่รุนแรงไม่กล้าทำร้ายความสงบก็เพราะว่า กลุ่มความรุนแรงนั้นมีปัญญา รู้ว่า ไปทำร้ายอันนี้ไม่ได้นะ ขืนทำร้ายอันนี้จะเสีย เขาก็ไม่ทำร้าย เขาสำนึก ภูมิธรรมสูง

1.ครั้งที่เราใช้ความสงบสยบความรุนแรงที่เรานั่งสงบข้างทำเนียบตอนผู้การแต้มยกพลพรรคตำรวจไปจะปราบเรา

2.ตอนเสธอ้าย เราโดนแก๊สน้ำตา

3. ครั้งที่ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ 18 ก.พ. 57 ครั้งนี้แรงสุดที่แล้ว คงไม่เกิดครั้งที่สี่

 

ส.เดินดินว่า บุญเป็นกุศลได้ แต่กุศลเป็นบุญได้อย่างไร?

ตอบ...กุศลสูงสุดคือบุญเพราะกำจัดกิเลสได้ กุศลคือสิ่งดีงาม ดีงามอย่างไรก็มีทั้งเป็นบุญและไม่เป็นบุญ กิเลสยอมได้ มีสัดส่วนเหมาะสมสุดอย่างพวกที่เขาล่าถอยไปเองเราไม่ได้ทำแรงกับเขาเลย เป็นความชนะที่สุดยอดเขาสำนึกเองส่วนเราแพ้ตลอดกาลได้ก็สุดยอด เราไม่รุนแรงกับใครนะ

 

คำถาม

_พ่อท่านมีมุมมองอย่างไรต่อการทำงานของแพทย์วิถีธรรม

ตอบ...ก็เป็นองค์กรเชื่อมต่อกับอโศก

 

_พ่อครูตอนเป็นฆราวาสได้ช่วยเหลือพี่น้อง ทำหน้าที่ของพี่ที่ดี อยากทราบแรงบันดาลใจ

ตอบ...เป็นภูมิธรรม เป็นสัจจะของอาตมา เพราะอาตมาเป็นพี่คนโต น้องคนเล็กตายไปก่อน ที่เหลืออีก ห้าคนก็ช่วยต่อ มีคนที่ไปตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้า จะให้เข้ามาก็ไม่มา น้องต่อมาก็นิตยา ต่อมาก็กิ่งรัก ต่อมาก็บัวบูชา ต่อมาก็

 

_พ่อครูมีทัศนะอย่างไรกับการตื่นของปชช.ที่มาเที่ยวน้ำตกบ้านราชฯ

ตอบ...ไม่แปลกใจ เพราะน้ำตกธรรมชาติแห้งไปหมดแล้วก็ต้องมาหาน้ำตกปลอมสิ แต่ไม่ได้ใหญ่โตมากนะ สังเกตว่าธรรมกายสร้างไปหาสตาร์วอร์ไปแต่เราจะสร้างไปหาธรรมชาติ แต่น้ำตกผาแหงนนี้เป็นเพียงเริ่มต้นยังจะมีน้ำตกที่ซาบซึ้งกว่านี้อีก พวกคุณอยากตื่นก็ตื่น ไม่ตื่นก็รู้จริงตามจริงเสีย

 

_อ.ระพี สาคริก มา...พ่อครูบอกว่า well come อ.ระพีแก่กว่าอาตมา 1 รอบ

 

_อ.ท่านหนึ่งสอนว่า ให้หยุดคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ชีวิตจะดีขึ้น สามารถใช้หนี้สองร้อยล้านได้ในสองปี สอนให้ลูกศิษย์ดีขึ้นได้สอนให้คิดและทำแบบไม่คิดหวังตอบแทน ผลคือมีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมากมาย แล้วเอาเงินมาให้เขาหมด แต่เป็นการเทให้หมากินหมดหรือเปล่าคะ  จะช่วยคนได้หรือเปล่าคะ

ตอบ...ถ้าพูดเช่นนี้หมายถึงธัมมชโย คือสอนให้คนทำดีแล้วมาเทให้เขาหมด ก็คือเหมือนเทให้หมากิน ก็ช่วยคนไม่ได้หรอก คนเหล่านั้นถูกหลอก 

 

_สมาธินั่งหลับตามีประโยชน์หรือไม่?

ตอบ...มี คือ ได้พักจิต ได้ศึกษาจิตในภวังค์ ได้ทบทวนเตวิชโช ได้ทำฤทธิ์ สรุปคือสมาธิหลับตา meditation ไม่สมบูรณ์ มีไปตลอดไปไม่หายไปจากเอกภพ แต่สมาธิพุทธ supraconcentration จะมีเป็นระยะ ที่เมืองไทยนี้อาตมาตะครุบไว้ทันนะ จึงพาพวกคุณมาทำ supra concentration ซึ่ง supra concentration จะทำ meditationได้ แต่ meditation จะทำ supra concentration ไม่ได้ เพราะขาดผัสสะ

 

_พ่อครูมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการจัดการปัญหาธรรมกายอย่างไร

ตอบ...อาตมามิบังอาจ ในเมืองไทยมีนักรบสองที่สุดยอดแล้ว หนึ่งคือประยุทธ์ เป็นพระ อีกประยุทธ์เป็นนายกฯ อาตมาเป็นนักรบที่มือหนึ่งถือดาบน้ำผึ้งเกสรดอกไม้ อีกมือหนึ่งอุ้มลูกนะ

 

_พ่อครูช่วยเล่าประสพการณ์การกินอาการแบบไม่ปรุงแต่ง

ตอบ….กินรวมนี่กินง่าย แต่กินแยกนี่กินยาก ผักคำหนึ่ง พริกคำหนึ่ง ข้าวคำหนึ่ง จิตบ้างคนยึดกินเปรี้ยว บางคนยึดกินขม อย่างอาตมานี่หวานมากๆไม่ไหว

 

_เด็กครอบครัวชอบดูหมอดู เข้าทรงจนเป็นคนกลัวไสยศาสตร์ สิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้ไม่กล้าอ่านหนังสือสมาธิ ถ้าอ่านจะกลัวเจอคำว่าไฟธาตุแตกหรือคำว่าบ้า ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายนัก หรือคนเขาว่าปฏิบัติธรรมจะทำให้เป็นบ้า ตนเอง หลังสามีเสียชีวิตก็เปลี่ยนจากคริสต์มาเป็นพุทธ ทำให้กลัวการลงโทษจากพระเจ้า หลังทำ babtise ไป

ตอบ...ขออภัยว่า คุณขอมาปฏิบัติธรรมกับทางนี้ก่อน ส่วนพระเจ้าก็ขอเว้นวรรคไว้ก่อน ฝากไว้ก่อน ไม่ต้องไปลบหลู่นะ

 

_คนไปขายของที่อุทยานบุญนิยมหรือชมร. ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะมัวแต่ขายของไม่ฟังธรรม

ตอบ...ไม่ใช่หรอก เขาก็อาจฟังธรรมไปด้วย คนไหนไม่ฟังก็ไม่ได้ปริยัติ

 

_พ่อให้ขายขาดทุน แต่ว่าทำไมมีเงินมาสนับสนุนทุกหน่วยงาน

ตอบ...อธิบายผ่านไปแล้ว คือเอาที่แรงงานของเราที่มีราคาของแต่ละคนมีราคาค่าตัวที่เกินอยู่ก็เอามารวมกันหักมารวมกัน เอาของส่วนตัวน้อยๆ ที่เหลือให้ส่วนกลาง ไม่ได้เบียดเบียนใครเลย เรามีส่วนเกิน คนชาวพุทธที่มีอาริยะแล้วมีส่วนเกินทุกคน ก็เอาส่วนเกินมารวมเป็นสาธารณโภคี ช่วยส่วนกลางตลอดเวลา….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:03:23 )

590613

รายละเอียด

590613_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของสังคมสังฆะ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2559 ที่บ้านราชฯ…..ตอนนี้เมืองไทยเรากำลังอยู่ในช่วงธรรมาธรรมะสงคราม อาตมาก็เปิดดู DMC เขาใช้คำว่า เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย  แต่อาตมานั้นก็ใช้คำว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกส่ิงทั้งโลก...ในที่สุด

คำว่าความบริสุทธิ์นั้น ใครก็เอาไปใช้ได้ แต่ทำไมเขาไม่มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ โลกต้องมีความจริงให้แก่โลก ที่พูดไปก็มั่นใจ ตามที่พูดไปแล้วว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่หยั่งลงสู่ความเป็นสัจธรรมเป็นตัวอย่างกับโลกในเรื่องการปกครอง บริหาร การศึกษา ความเป็นอยู่ อาตมามั่นใจว่ายืนยันได้ การศึกษาก็เปรียบเทียบกันได้

การศึกษา… มันเป็นการศึกษาที่ไปหลงตะวันตก ตะวันตกนั้นไม่มีความรู้ในเรื่องของจิตวิญญาณ เขามีธรรมะเหมือนกัน แต่เป็นธรรมที่หยั่งไม่ถึงจิตวิญญาณ เพราะเป็นเทวนิยมทั้งหมด ที่นับถือพระเจ้า แต่ไม่รู้จักพระเจ้า เป็นอัตวาทุปาทาน เป็นอัตตาชนิดที่ตนเองมีแต่คำพูดบัญญัติภาษา ไม่มีสภาวะจริง

เขาบอกว่าพระเจ้าคือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณแห่งเมตตา ปัญญา

ปัญญาทางตะวันตกก็สามารถรู้ธรรมะสองสูงสุดได้คือ นิวเคลียร์ฟิวชั่นกับนิวเคลียร์ฟิชชั่นเพลงแค่วัตถุเขาศึกษาชีววิทยาในระดับพืชกับสัตว์เขาก็สามารถรู้ได้สามารถแยก dna ของพืชได้เปลี่ยน dna ของมันได้ด้วย แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ตอนนี้เขาก็หลงงมงายไปเพียงเปลี่ยน dna ของสรีระ เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องได้แต่การที่จะเป็นจิตวิญญาณจากโลกียมาเป็นโลกุตระอันนี้แหละศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เขาก็พูดได้ว่าเหนือโลกแต่คำว่าโลกคำว่าอัตตานี้อาตมาไม่เชื่อว่าเขาจะเข้าใจได้ทุกสิ่งถ้วนทั่ว

การเกิดวิญญาณนั้นเกิดจากการกระทบสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ก็สามารถจับอาการตัณหาอุปาทานได้ แต่ประเทศไทยนี่ชัดเจนมากว่าศาสนาเสื่อมไปหมด ทุกวันนี้ที่เหลือในศาสนาพุทธกระแสหลักคือสายมืดกับสายสว่าง

สายมืดดำก็เป็นสายสะกดจิตมืดมิดไม่มีอะไรเพราะฉะนั้นคนนั่งหลับตาสมาธิจริงๆแล้วมันมืดหลับตาแล้วไม่มีเห็นแสงสว่างจะต้องทำให้ชัดเจนว่าหลับตาแล้วมืดไม่เห็นแสงสีอะไรเลยแต่ที่เห็นเป็นแสงสีต่างๆนั้นเป็นอุปาทานทั้งนั้น

ฝ่ายสายขาวนั้นก็จะเห็นเป็นความใสไปจนไม่มีที่สิ้นสุด  อัปปมัญญา สร้างนิมิตสร้างสมมุติเป็นมโนมยาอัตราเขาจะไม่เข้าใจในอัตตา 3 แม้แต่คำว่ากายเขาก็ไม่เข้าใจคำว่าธรรมะเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่เข้าใจคำว่าธรรมะ 2 ที่จะต้องจัดการอันที่เป็นอกุศลให้ทรงไว้แต่กุศลที่สมบูรณ์ ใช้บุญชำระแล้วก็หมดไป

สายลับตานั้นเขาจะไม่รู้แม้กระทั่งกาม ยังหลงเล่นดอกไม้กันอยู่เลยลงความร่ำรวยหรูหราใหญ่โตโดยไม่รู้ว่าคือกาม นี่กำลังพิพากษากันอยู่อาตมามั่นใจว่าเขาผิดแน่เพราะเงินมันมากมายเหลือเกิน เงินเป็นร้อยล้านพันล้านไม่ใช่ธรรมดาหรอก เมื่อกี้นี้มีคนส่งหนังสือของธรรมกายเป็นนิตยสารเรียกว่านิตยสารอยู่ในบุญ ของเรานั้นมีหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรเช่นกันแต่ของเขานั้นสีสันเล่มใหญ่อาบน้ำมันของเขารูปเยอะเรื่องน้อยใจของเราเรื่องเยอะรูปน้อย เขาก็พยายามจะทำให้มันง่ายๆราบเรียบเป็นต้น

 

_การเป็นอภิชาตบุตรนั้นเป็นอย่างไรจะมาวัดแม่ก็ไม่ให้มาวัดทั้งที่แม่ก็ดูพระครูอยู่ แถมอยากให้ออกจากวัดไปเสียด้วย

ตอบ...อภิชาตบุตรนั้นคือผู้ที่มีภูมิธรรมสูงกว่าพ่อแม่ อาตมาก็ตอบยากเพราะว่าแต่ละคนนั้นมีวิบากของแต่ละคน วิบากของบางคนนั้นถึงขั้นมาไม่ได้เลย หรือบางทีพ่อแม่ไม่เอาด้วยแต่นี้พ่อแม่ก็ยังดูอยู่ยังฟังอยู่แล้วคุณก็ยังมาได้บ้างก็ค่อยๆทำไป ก็ค่อยอนุโลมปฏิโลมไป ใช้ปฏิภาณปัญญาเราจะเกิดความเฉลียวฉลาดของเราเอง เป็นโจทย์แท้ไม่ใช่เรื่องสมมุติเอานะ นี่มันเรื่องจริง ทำจริงเราได้จริงแน่

 

คำว่า กาย คือองค์ประชุมรูปนามคือธรรมะสอง แม้ลึกเข้าไปในจิตแล้วลึกๆก็ยังมีสอง

ในอบายภูมิก็มีธรรมะสอง ในกามก็มีธรรมะสอง ในพระไตรปิฎกไม่มีคำว่าหลับตาเลย แล้วก็ไปบอกว่าให้เพ่งที่เหนือสะดือสองนิ้ว ตัวเลขนี้ก็ไม่ได้เป็นสังขยาเลขอะไรเลย

อาตมามีข้อมูลว่าปาราชิก 4 ข้อ ข้ออวดอุตริมนุสธรรมนั้นปาราชิกแน่ เพราะว่า คนอื่นเขารู้ด้วยไม่ได้ พบพระพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว จะมีมโนมยิทธิ ที่ปั้นภาพในจิตสำเร็จหรือไม่ เป็นนิรมานกายของตนเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจะทำได้ขนาดนั้นหรือไม่ ทำได้เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรอวดอุตริมนุสธรรม

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน อาตมาว่า เกือบทั้งเถรสมาคมนั้น เป็นเช่นนี้

ทานเป็นสัมมาทิฏฐิข้อแรก ต้องทานให้เป็นบุญคือชำระกิเลสเป็นส่วนๆ จนหมดกิเลส ก็หมดบุญไปด้วย คำว่าปุญญภาคิยา คำว่าปุญญปาปริกขีโณ คำว่าสัพพปาปัสสอกรณัง

กุสลัสสูปสัมปทา คือคนหมดบาปแล้วก็จะทำแต่กุศล ควรสั่งสม แต่บุญนี้สะสมไม่ได้ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้ ไปอยู่ในอาวุธเครื่องประหารไม่ได้ คือเพราะเขาไม่รู้คำว่า กาย ถ้ารู้กาย ก็สามารถแยกรูปแยกนามได้

บัญญัติอาจผิดได้แต่สัจจะแท้ผู้มีจริงไม่มีผิดหรอก คำว่า กาย เมื่อเข้าใจไม่ได้ เขาจึงไม่ได้แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 คำว่า สักกาย เขาก็ไม่รู้จัก เขาเอาคำยิ่งใหญ่ ว่าข้าพเจ้าคือพระพุทธเจ้า คำว่าธรรมกายคือตถาคตนะ ได้ยินข่าวจากดร.มโนว่า เขาว่าเขานี่ยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย แล้วเขาว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ในพุทธเกษตรด้วย เป็นแบบมหายานแล้ว

อย่างเงินนี่เขาก็เล่นกับเงิน อย่างคนร่วมมือก็ทำผิดจนศาลตัดสินจำคุกไปแล้ว เขาบอกว่าไม่รู้จักแต่ว่า ยุคนี้มีหลักฐานมากมาย ภาพ วิดีโอ ยืนยันหมดเลย

อาตมาพูดแค่สอง ที่จริง ปาราชิกข้อ 3 ก็มีเค้า ในเถรสมาคม ที่เป็นใหญ่เป็นโตเจ้าคุณชั้นสูงในประเทศไทยก็มีถึงสังฆราชเลยปาราชิก แต่เท็จจริงก็ไปตรวจสอบดู แต่เอาที่ปัจจุบันนี้ ขณะนี้ก็มีพระที่ยศสูง มีเงินสะสมในบัญชี มีบัญชีในธนาคารนี้มีอาบัติ ไม่เป็นปกตตัตตะ เข้าสังฆกรรมไหนก็ผิดหมด โมฆะหมด เขาก็คาราคาซังไปแบบนี้ ใครจะพัฒนาตนเองก็น่าจะทำได้ ใจเรายอมรับเปลี่ยนแปลงให้ดี แม้รูปเราจะต้องเสแสร้ง แต่ใจเราทำให้ดี อาตมาก็เคยทำ นอกๆนี้อาตมาทำให้เขา แต่ใจอาตมาจริง เช่นพ่อแม่เล่นกับลูกก็ต้องแสร้งทำ แต่ใจไม่ได้เป็นไปด้วยกับลูกเลย

สรุปคือตอนนี้ดำเนินไป ธรรมาธรรมะสงคราม

อาตมาพยายามอธิบายสามอย่าง หนึ่งการศึกษา สองการเมืองการบริหาร สามการเป็นอยู่ของปชช.

การเป็นอยู่ของปชช. อะไรคือพฤติกรรมที่เข้าขั้นตามพระพุทธเจ้าตรัส เช่นพระพุทธเจ้า

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

มาเป็นคนจน เรามีนามสกุลเกี่ยวกับจนนี่หลายอย่างแล้ว กล้าจน มุ่งมาจน เต็มใจจน จนแล้วจนรอด เป็นต้น

พวกเรามาเป็นคนมีลักษณะแบบคนจนได้มีทรัพย์สมบัติส่วนตัวน้อยกินใช้ส่วนรวมจากส่วนกลางบางคนอาจจะมีใจถือสาถ้าเขาไม่ให้ก็อยากจะได้มากกว่านี้ก็มีบ้างแล้วแต่ของใครของมัน แต่ไม่มีคดีความไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรเลยใช้อย่างประหยัดมัธยัสถ์ มันจึงเป็นไปได้ส่วนรวมส่วนกลางอุดมสมบูรณ์แต่ส่วนตัวนั้นจนนี่แหละคือคนจนจริงๆที่พิสูจน์ได้เลยเป็นคนจนแต่สามารถสะพัดเกื้อกูลช่วยเหลือแบ่งแยกให้คนอื่นได้จึงเกิดลัทธิขายต่ำกว่าทุน เกิดลัทธิแบ่งแจก เป็นเรื่องที่ไม่ได้เสแสร้งไม่ได้จำใจแต่เป็นเรื่องที่ทำได้แล้วเราปลื้มใจด้วยแต่ไม่ปลื้มมาก ถ้าปลื้มใจนี้ยังเป็นเทวดาไม่ดี ปรนิมมิตวสวัตตีอยู่นะ

เราพยายามทำกับสังคมอย่างดี การใช้สิ่งอุปโภคบริโภคการใช้เงินใช้ทองเราก็ทำตามทฤษฎีเศรษฐกิจว่าผู้ที่จะมาบริหารนี้ต้องไม่คอรัปชั่นแล้วยังจะเผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นด้วยเพราะทำได้มาก

พี่สันติอโศกนั้นเป็นชุมชนกลางขยายไม่ออกแล้วความวุ่นวายก็เยอะก็ได้ขนาด 1 ตอนนี้ก็เลยมาตั้งหลักที่รับทำมาตั้งใจจะขยายทำให้เป็นตัวอย่างเป็นโมเดลแก่สังคมมนุษย์มีความพร้อมทั้งด้านการศึกษาการบริหารและการเป็นอยู่ ที่จะมีรูปธรรมนามธรรม ปาสาธิโก เป็นอาการที่น่าเลื่อมใสชัดๆแต่เราก็เป็นคนจนนี่แหละเพราะทำแบบเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านเก็บหอมรอมริบ ไม่ได้เรี่ยรายไม่เลียบเคียงไม่และเล็ม เงินของคนข้างนอกยังไม่รับง่ายๆเลยมันน่าหมั่นไส้จริงๆพวกนี้

คนที่จะมาบริจาคเงินหรือสิ่งของให้ชาวอโศกได้ จะต้องมาคบคุ้นกันจนแน่ใจว่า เข้าใจหลักการแนวทางของอโศกจริงๆ เช่น มาวัดและสนทนาธรรมกับสมณะสิกขมาตุอย่างน้อย 7 ครั้ง ฟังเทปธรรมะ อย่างน้อย 70ม้วน อ่านหนังสือธรรมะเล่มหลักๆ 7 เล่มเป็นต้น

การเป็นอยู่ของพวกเรานั้นเราก็อยู่กันตามหลักเกณฑ์พื้นฐานเช่นเข้ามาที่นี่ต้องปฏิบัติถือศีล 5 เราก็พากันประพฤติตั้งแต่เด็กจนถึงโตมีผัสสะเป็นปัจจัยอย่างแท้จริงมีสิ่งข้างนอกมาสัมผัสแล้วอ่านใจเข้าไปตั้งแต่เด็กเล็กๆก็รู้จักสานใจสังวรระวังเราเลี้ยงเด็กก็ไม่ได้เลี้ยงเพื่อจะเอาเปรียบอะไรสร้างเด็กขึ้นไป 20 ปีแล้วก็ได้แค่นี้แปลอาตมาก็เชื่อว่าเราได้ฝังชิพไปแล้วจะค่อยๆพัฒนาไปสรุปแล้วความเป็นอยู่ของพวกเรานั้นอยู่อย่างจนเราอยู่อย่างสะดวกยังสบาย

เราอยู่อย่างบ้านวัดโรงเรียนเรากำลังจัดบ้านวัดโรงเรียนในระดับมัธยมแล้วก็มาตั้งแบบประถมและกำลังจะขอเป็นอุดมศึกษา เพื่อจะได้มีฐานศึกษาไปถึงปริญญาเอกตามโลกที่เขาเห็นดีเราก็ไม่ขัดแย้ง แต่ในเนื้อของการศึกษานั้นต่างกัน

เราจะมีหลักสูตรของเราเราจะมีการฝึกฝนอบรมชุมชน ของเราเป็นสังคมบ้านวัดโรงเรียน นักเรียนที่เป็นนิสิตอยู่ในนี้อยู่กันอย่างรู้เลย ทุกลมหายใจเข้าออกเห็นกันมีอะไรขาดแคลนมีอะไรเหลือเฟือ ทำอะไรอย่างไรก็รู้แจ้งไปหมดรู้เห็นไปหมด

แล้วก็ช่วยกันมันเป็นการศึกษาที่มีทุกอิริยาบถ มีการศึกษาที่มีทุกพฤติกรรมส่วนหลักเกณฑ์ภาษาทฤษฎีเราก็ให้เขาด้วย ไม่ได้ทิ้งไปด้วยกันเป็นการศึกษาบ้านวัดโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบสังคมบ้านอยู่ร่วมกันหมด จึงใช้ร่วมกันพึ่งพากัน เวลาจะไปช่วยข้างนอกก็คนละไม้คนละมือช่วยกัน มันน่าชื่นชมทั้งเด็กเล็กเด็กน้อย ข้างนอกก็เห็น สังคมชาวอโศก งานโน้นงานนี้อะไรต่างๆก็ไม่ดูดายไม่ได้หยิบโหย่ง ไม่ได้เป็นพวก เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมันไม่ใช่ เป็นพวกหนักเอาเบาสู้เป็นผู้ที่เสียสละแล้วไม่ได้คิดจะทำอวดโอ่ ไม่ได้ทำเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งอะไรกลับมาหรือแม้แต่จะได้รับคำชมเชย เราไม่ทำแบบนั้น เป็นสิ่งยืนยันธรรมะสุดยอดของพระพุทธเจ้า

เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายสงบจนเราสามารถสร้างความสงบสยบความรุนแรงที่เป็นเรื่องเข้าใจยากและเป็นธรรมะฤทธิ์ ไม่ได้สร้างเอาเองนะ แต่เป็นสิ่งจริงที่เกิด อย่างน้อยยกตัวอย่างสามครั้งแล้ว

อย่างน้ำตกผาแหงนที่เราทำนี้ข่าวคราวออกไปทางสื่อสาร คนที่มีภาษาคารมมีศิลปะก็ช่วยบอกไปอยากไปสอนเขาอยากไปข่มเขาด้วยคารมไปบอกเขาให้รู้ว่าศึกษาอย่างนี้นะอย่างนี้นะอย่างนี้ควรอย่างนี้ไม่ควรพูดดีๆ

พ่อครูทบทวนชื่อสถานที่ต่างๆที่แบ่งเป็นหมวดๆไว้

หมวดแก่ง มี 6 แก่ง คือ

1. แก้ง สะโพธิ์หรือแก่งลานแก่นธรรม เพราะเป็นแก่งแรกที่อยู่ติดกับลานแก่นธรรม(เดิมเรียกว่า ลานพระพุทธโต)

2. แก้ง ตำอิด

3. แก้ง ติดราม

4. แก้ง สามใส

5. แก้ง ไผใญ

6. แก้ง ไทฌาน

หมวด ลาน มี 3 ลาน

1. ลานแก่นธรรม

2. ลานเบิ่งฟ้า

3. ลานหินสนาม

หมวด หิน มี 3 แห่ง

1. ผาแหงน

2. ภูคอนโด(โพธิ์คนดู)

3. หินโมโนลิธ

หมวดน้ำตก มี 3 แห่ง

1. น้ำตกแมนน้ำริน

2. น้ำตกโพธิ์คนดู

3. น้ำตกผาแหงน

พ่อครูตั้งชื่อ ลานที่เชื่อมระหว่างลานเกษตรริมมูนเดิมกับบริเวณที่จะทำแพขนานยนต์ว่า ลานแพ

เราจะมีร้านอาหารมีขายของบ้างตั้งใจว่าจะสร้างคอมเพล็กซ์อาคารใหญ่ที่จัดสร้างแบบ monolith เป็นแท่งหินแท่งใหญ่มีทั้งในใช้งานได้ ที่น้ำตกผาแหงนถือว่าเป็น monolith อันแรก ที่ข้างในเป็นห้องน้ำ แทงค์น้ำ แต่โพธิ์คนดูนี่จะแบ่งสัดส่วนให้คนอยู่ มีนักบวชด้วย

เราจะมีน้ำตกที่ไหลโดยใช้พลังงานโซล่าเซลล์ ตอนนี้เราก็ซื้อแผ่นเก่าก่อนดูแลซ่อมแซมได้จนถึงต่อไปเราอาจจะผลิตแผ่นเองได้ แต่ละบ้านแต่ละบ้านก็จะใช้พลังงานโซล่าเซลล์ ใครจะออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ออกใครไม่ไหวก็ให้ส่วนกลางช่วย ก็จะได้ใช้ลงทุนลงทุนแล้วแต่ในอนาคตจะเบาขึ้นอาจจะแพงบ้างตอนแรกก็ไม่เป็นไรแต่มันไม่มีมลพิษ จะมีหมุนเวียนดินน้ำไฟลม การประปาเราก็จะมีได้จากบ่อน้ำ เราไม่ได้ทำเพื่อเอาดีเอาเด่นหรือหวังจะได้เป็นรัฐบาลอะไร พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ช่วยเหลือกันอย่างพึ่งพากันในเกิดแก่เจ็บตายได้

อาตมาจะพาทำให้เป็นว่าเป็นของดี เต้นของประเสริฐด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้ได้เป็นสัจจะจริงๆ

 

ในเรื่องของการเมือง การเมืองคือการรับใช้ช่วยเหลือประชาชนหรือพลเมืองต่อไปเป็นหมู่บ้านไปอำเภอเป็นตำบลเป็นจังหวัด ตลอดถึงแต่ละประเทศแต่ละโลก ที่จะรับใช้และช่วยเขาได้ไม่ใช่ช่วยอย่างเตี้ยอุ้มค่อม ไม่ใช่ทำแบบประชานิยม เราทำการเมืองภาคประชาชนอยู่แล้วไม่ต้องให้เราไปทำในกฎหมายก็ได้ หลักการรัฐบาลจะให้เราไปช่วยส่วนไหนเราก็อะไรที่ช่วยได้เราก็ช่วยอะไรที่เกินตัวเราไม่ไหวก็ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความเจริญนี่คือการเมือง เราไม่ได้ทำเพื่อมักใหญ่ใฝ่โต ตอนนี้อโศกยังไปทำงานบริหารบ้านเมืองยังไม่ได้ ยังไม่พอยังไม่มีความสามารถหรือฐานะทางสังคมมีความสุขนานเพียงพอ

เรามีความใจพอเท่านี้ก็พอที่เหลือก็แจกจ่ายออกไปมันเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องทาน เป็นเรื่องให้ เป็นเรื่องเสียสละให้แก่คนอื่น สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็นแต่เราไม่ได้ทำทุกอย่างที่เราเดือดร้อนจนเกินไป

ก็มีปรัชญาการบริหารโดยที่บริหารยังไม่บริหารปกครองยังไม่ปกครองพวกเรานี้อาตมาบริหารปกครองทุกคนโดยไม่ได้บริหารปกครองพวกคุณช่วยกันคิดช่วยกันทำช่วยกันวิเคราะห์วิจัย พวกเราสร้างปัญญาไม่ได้ทำอะไรที่เสียหายอาจจะไม่ได้เต็มที่มีความบกพร่องบางอย่างทำไปยังหวังดีแล้วไม่เข้าท่าถูกว่า

ก็เป็นการเรียนแบบบ้านวัดโรงเรียน การศึกษาบ้านวัดโรงเรียนให้ตั้งวิทยาลัยก็สร้างตั้งและศึกษาฝึกฝนเป็นประจำวันอยู่แล้ว คนเก็บผักเก็บพืชปลูกผักทำเครื่องไม้เครื่องมือทำสื่อสารอะไรต่างๆนานาที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมที่เป็นสัมมาชีพสัมมากัมมันตะเราทำเท่าที่เราสามารถทำได้อยู่ทั้งนั้นเลยไม่ได้ทำหากินแบบทุนนิยม แบบลาภแลกลาภ พ้นมิจฉาชีพทั้ง5 ข้อเลย

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

ต้องประมาณตนทำไปตามลำดับแล้วอย่าเอาตนเองไปรับใช้ทุนนิยมผีมารข้างนอก พวกเราเองก็ไม่เอาเปรียบเขาอยู่แล้ว ก็มีความรู้ความสามารถก็ไม่เอาความสามารถไปรับใช้นายทุนออกมาเลยทำงานอย่างไม่เอาลาภแลกลาภทำงานเสียสละมีเท่าไหร่ก็เข้ากองกลางไปเรื่อยเรื่อยๆก็มีสัมมาอาชีพ

ความเป็นอยู่การเมืองการศึกษาเราก็ทำจะเป็นการศึกษาบ้านวัดโรงเรียนที่ไม่มีในโลกหรอกยังไม่เคยมีอย่างเช่นชุมชนเรานี้มีเสนาสนะมีพื้นที่มีอากาศดินน้ำลมไฟขนาดนี้มีอาชีพในงานที่เหมาะสมมีอะไรอยู่ร่วมเป็นองค์ประกอบที่ใช้ได้แต่ละชุมชนภาคใต้ภาคกลางภาคเหนือจะมีความแตกต่างกันใครจะอยู่ชุมชนไหนก็ทำไปมีความบางกันแจกจ่ายกันที่ไหนทำอะไรได้ดีแตกต่างกันก็แบ่งกันไป แลกกันไปแลกกันมาสมัยโบราณนั้นไม่ได้หรือซื้อไม่ได้ขายมีแต่การแลกเปลี่ยนเอาเกลือไปแลกทองคำ เอาข้าวไปแลกผ้า ไม่ได้คิดว่าอันนี้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันนี้หายากตอนนี้หาไม่ยากมันเป็นไปตามความเหมาะสม  เป็นสังคมอบอุ่นช่วยเหลือพี่น้องมีน้ำจิตน้ำใจ ช่วยกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ

พฤติกรรมสังคมที่เราทำนี้ไม่ได้ปิดบังไม่ได้เป็นความลับอะไรมันสบายส่วนคนที่พยายามปกปิดนั้นมันทรมานมันทุกอย่างที่เห็นเห็นกัน แล้วก็บอกว่าตนเองเป็นต้นธาตุต้นธรรมอะไร   มันจะชัดเจนของใครของมัน

ในการเมืองการเป็นอยู่ในการศึกษาเราก็ทำ 3 อย่างนี้จะเป็นหลักฐานที่เพราะเราต้องช่วยกันบูรณะบูรณาการสร้างขึ้นไปให้เป็นวัฒนธรรมแต่ละวันแต่ละเวลาอาตมาว่าพวกเราก็ช่วยกันให้ความรู้พากันทำค่าการฝึกฝนอบรมพากันปฏิบัติประพฤติ ไม่ได้บีบคั้นไม่ได้กดดันไม่ได้ทำอย่างหนักหนาสาหัสอะไรเลย อย่างอโศกนี้ร้องเพลงสบายๆ แต่อื่นๆนั้น อบายๆ

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

การทำใจทานอย่างขอ ก็ผิดแล้ว การทำทานคือให้ ไม่ใช่ขอ นอกจากขอแล้วก็ต้องการได้ต้องการเอา ไม่ใช่การทานแล้วแบบนั้น

เราทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

ในหลวงท่านตรัสให้ทั่วโลกได้ยิน ยูเนสโก้ก็ให้เครื่องแสดงความนับถือในปรัชญาที่ย่ิงใหญ่ จะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราหรือแบบคนจนก็ตาม ทำแบบไม่ต้องปลื้มใจซ้อน จิตตาลังการัง

ยุคนี้จะเป็นยุคแสดงความย่ิงใหญ่ของมนุษยชาติที่เจริญ​ที่จะรบราฆ่าฟันกันจะลดลง จะมีความเป็นพี่น้องพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้มากขึ้น ถ้ามันเกิดจะเสียหายต่อโลกไหม ก็ไม่ กลับเป็นเรื่องประเสริฐเรื่องดีงามมาก ก็ค่อยๆช่วยกันไป

สนามโมเดลของอโศกนี้เกิดขึ้นประมาณตั้งชื่อล้อเลียนเกาะรัตนโกสินทร์ว่าเป็นเกาะรัตนราชธานี เป็นเกาะน้อยน้อยๆไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเกาะรัตนโกสินทร์เขาเลย ขึ้นเขาล้อมรอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาแต่เราล้อมรอบด้วยลำธารถอยหลังเข้าเท่านั้นเอง

แต่อาตมาคาดหวังว่า มันควรเป็นเช่นนี้ เขายังไม่ยอมรับว่าอาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  เขาว่าไม่มีหรอก

ผู้ที่จะมาประกาศโลกนี้ โลกหน้า โลกใหม่ที่ต่างจากโลกโลกีย์คืออย่างไร โลกเก่าที่ติดในการละเล่น บันเทิง ขิฑฑาปโทสิกะนี้ วนเวียนอยู่ ถ้าตื่นมาแล้วเราจะเอาชีวิตเวลาร่างกายไปอยู่กับอย่างอื่นบ้างแม้คนเราก็ต้องล้างกิเลสที่ยังติดยศมาสู่โลกใหม่เป็นโลกหน้าโลกประเสริฐเป็นโลกที่วิเศษกว่าโลกเก่าๆ แบบเก่าๆนั้นเราก็ใครเป็นใครหลง บางคนหนักหนาสาหัสบางคนก็ไม่หนักหนาเราทำใจได้จริงๆล้างได้หมดภายนอกเราสะอาดหมดเลยกายกรรมวจีกรรมเราไม่มีส่วนข้างในยังเหลืออยู่บ้างจนที่สุดข้างในในใจเราก็อ่านเห็นได้ว่าในใจเราไม่ได้มีรสชาติมีแต่ความจางคลายลงไปเรื่อยๆ แต่เราก็รู้ว่าจำได้ว่าเคยเป็น แต่บางอย่างเราก็จำไม่ได้แล้ว ทำให้เกิดสัจฉิกัตวา มารู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

เริ่มต้นสัมผัสก็ได้ก็รู้จักพอชัดเจนขึ้นชัดดีขึ้นก็เป็นรู้แจ้งจนกระทั่งรู้จบ สัจฉิกตะ คือรู้แจ้งรู้จบเลย คนชนิดนี้ถ้าคุณไม่เห็นคนไม่ยอมรับคนไม่รู้นั่น นัตถิโลเก ที่เขาว่า พระอาริยะพระอรหันต์นั้นไม่มีหรอกคนที่จะทำได้อย่างพระพุทธเจ้าบอกนั้นไม่มีหรอกคุณเข้าใจอย่างเขานั้นแหละหรือไปเคารพอาจารย์ที่ไม่ได้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ มีอยู่แต่เขาไม่เห็น เขาก็เห็นผิดด้วยดีไม่ดีเข้าใจว่าเป็นศัตรูเป็นกบฏจากที่เขาเข้าใจด้วย อย่างนี้คือนัตถิโลเก

คนที่ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์อยู่ต่างประเทศก็น่าเห็นใจครับ ก็ยังคงนัตถิโลเกอยู่นั่นแหละ

โชคดีที่ประเทศไทยยังใช้พระไตรปิฎกเล่มนี้ ประเทศอื่นก็มีพระไตรปิฎกและเมื่อคืนต่างกันไป ของใครของมัน แต่ที่เราทำได้ขนาดนี้เราเรียนกันมาวิธีปฏิบัติ ยิฏฐัง พิธีกรรม เราก็มีวิธีตั้งแต่เล็กน้อยจนเป็นลักษณะ แล้วมันขัดเกลากิเลสเราไหมในการกินอยู่หลับนอนซึ่งเอามาจากสำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มันสอดคล้องตามที่พุทธเจ้าว่าไว้ไหมทำให้เกิดมรรคผลไหมเรายังทานได้อีกเสียสละได้อีก เราก็รู้ว่ายังมีที่จะต้องสละได้อีก เป็นจิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่อนุตตรังจิตตัง ตามพระพุทธเจ้าสอน

แล้วก็อ่าน หุตัง ที่เกิดผลแล้วตั้งแต่ภายนอกภายในเกิดผลนี้จริงไหมโดยเฉพาะในจิต เกิดผลที่จิตบรรลุธรรมกิเลสหมดอย่างที่เป็นธรรมดาเป็นอัตโนมัติเป็นตถตา ไม่ต้องระวังไม่ต้องระแวงเลยข้ออ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้า เกิดจากสุกฏทุกตานังกัมมนังผลังวิปาโก มีปุญญะคือชำระกิเลส แบบที่ว่าไม่มีๆๆๆ ไม่ใช่มีๆๆๆ ได้กุศลไว้อาศัย

ทุกวันนี้อาตมาอาศัยความดีความซื่อสัตย์ความบริสุทธิ์ความขยันหมั่นเพียรความมีน้ำใจอาตมาก็เอามาพัฒนาสั่งสมนะจะได้แข็งแรงมีบทบาทเป็นพลังที่ดี มุทุภูตธาตุ แข็งแรงเร็วไว รู้ซึ้งเลย เป็นจริง เป็นโรคที่ต่างจากโลกโลกียเราปฏิบัติมีศีลเป็นแม่มีปัญญาเป็นพ่อจิตวิญญาณเราเกิดใหม่เป็นโสดาบันสกิทาคามีเป็นการเกิดทางจิตเป็นโอปปาติกโยนิ

ในพวกเรา อย่าพยายามเข้าข้างตัวเองอย่าไปหลงผิด มันเป็นความจริงที่เรายืนยันได้รู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ โดยไม่ต้องมีใครบอก แล้วมันก็ตรงกับของพระพุทธเจ้าเมื่อตรงแล้วก็จะเป็นน้ำที่ไหลไปหาน้ำน้ำมันที่ไหลไปหาน้ำมันสร้างเป็นรูปธรรมที่แข็งแรงรวมตัวกันไม่เห็นแก่ตัวแล้วช่วยสังคมไป

รู้จัก แม่ พ่อ เกิดสัตตาโอปปาติกา มีศีลกับปัญญาร่วมกัน เหมือนล้างเท้าด้วยเท้า ล้างมือด้วยมือ เป็นการเกิดของจิต แตกส่วนที่ควรตายแยกไปคืออกุศลก็รู้ของจริงในสภาวธรรมของเรา เป็นนามธรรมแต่เราสัมผัสได้ทำได้สำเร็จ ไม่ใช่สิ่งเพ้อเจ้อลอยลม ที่เป็นลัทธิที่มีแต่บัญญัติ

อย่างที่เรียนกันเป็นบัณฑิตต่างๆ ดีไม่ดีได้รางวัลเยอะอย่างทางธรรมกายนี้บอกว่ามี 19 รางวัลจากต่างประเทศซึ่งต่างประเทศนั้นเป็นเทวนิยม ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม

การจะเข้าใจ พ่อ แม่ สัตว์โอปปาติกะนี้ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆนะ ยุคนี้ มันเป็นยุคที่จะเข้าสู่กลียุค ยังไม่เต็มที่ ส่วนโลกุตระก็จะขึ้นมาเป็นธรรมาธรรมะสงครามสู้กันด้วยสัจจะ มันไม่ทำด้วยมีด หลาว ทวน ระเบิดอะไรที่จะทำร้ายทำลายกันมันลดลง แต่ที่บ้าทำก็ยังมีอยู่ก็พยายามปรามกัน ว่าเอ็งอย่าทำๆ ก็ซุกซ่อนทำ ที่เขาบอกว่าเอ็งอย่าทำๆ แล้วเอ็งคนพูดน่ะทำไหม กลัวตายแล้วซ่อนแฝงทำไหม แต่เราเข้าใจเราไม่ทำ เราเข้าใจการตายการเกิด การมีชีวิต ไม่มีชีวิต จนสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสาน

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:04:18 )

590614

รายละเอียด

590614_พุทธศาสนาตามภูมิ กรณีศึกษาเปรียบเทียบ คดีธรรมกายกับคดีสันติอโศก

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2559 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีวอกมาถึงวันนี้แล้วโลกหมุนมาถึงวินาทีนี้ มีเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทย ที่อาตมาว่ายิ่งกว่ามหากาพย์ เพราะว่าเป็นเรื่องของธรรมะกับอสูรชัดเจน

คนมีปัญญาดวงตา จะได้รับรู้สิ่งจริง สิ่งควร สิ่งประเสริฐหรือไม่ประเสริฐได้เห็นได้รู้ได้สัมผัสจริงๆ ผู้ที่ติดตาม ใคร่จะรู้เห็นความจริงซาบซึ้งเห็นความจริง ติดตามอย่ากระพริบตาทีเดียว เหตุการณ์คือคดีไชยบูลย์ สุทธิผล

มาดู sms

SMS 13 มิ.ย.59

0845818xxx จริงหรือสมมุติแยกให้ออกสมมุติหรือจริงหากสำนึกรู้จะอยู่เหนือโลกใครหลง-วนเป็นปุถุชนหล่นโลกันตร์ จิตนิพพานไม่มีดีชั่วสงบเฉย ศาสนาพุทธว่าขันธ์ว่างไม่มีอะไรเลยล้วนแต่สงบจิตใกล้ชิดนิพพาน ด้วยเวลาเร่งกระชั้นคับขันยิ่งต้องบุกบั่นเด็ดเดี่ยวไปให้ตรงดิ่งแพร่คำจริงเปลี่ยนใจคนพ้นโลกีย์ คนบ้ายศยิ่งยศแล้วยังอยากทะยานบ้าเงินล้านกี่สิบหมื่นว่าไม่มากโลภหลงใหลไม่คิดถึงวันพลันต้องตายจากกรรมจำพรากไม่เหลืออะไรไปพบพญายม ถ้าคล้อยตามคนทำผิดโทษมหันต์บรรทัดฐานคือหลักธรรมนำเป้าหมายความโลภโกรธรักลุ่มหลงจงตัดไปคนที่ดื้อรั้นชอบเอาแต่ใจจะได้นรก

ตอบ...ก็เข้าใจธรรมะได้พอสมควร แต่ว่า เป็นตรรกะส่วนมาก ผู้บรรลุธรรมนั้นจะรู้จักสมมุติสัจจะรู้จักปรมัตถสัจจะแต่ก็จะอยู่กับสมมติสัจจะนั่นแหละ

นิพพานนี้เราอยู่ข้างดี ถ้ามีสองอย่างคือดีและชั่ว แต่ถ้าเราวางเฉยไม่อยู่ข้างไหนเลย เราโง่ ไม่รู้ว่าอันไหนดีอันไหนชั่ว โง่ตายเลย เราอยู่ข้างดีด้วยจิตไม่อคติ คบคนดี สร้างสรรส่ิงดี ให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ศาสนาพุทธที่เขาคนนี้บอกว่าไม่มีอะไรเลย ได้อย่างไร แล้วขันธ์ที่ว่าว่างนั้น ต้องว่างจากกิเลส แม้เศษธุลีละออกงของกิเลสก็ไม่มี ตั้งแต่สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา จนถึงภายในจิตในรูป ในอรูป ก็พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ

เราจะพูดถึงรูปธรรมใดๆ พูดถึงเทวดามารพรหม เราก็เข้าใจในนามธรรมนั้นๆ อาตมาอธิบายมาหลายชาติแล้ว

0897146xxx ว่าพระพุทธทาสอยู่นรกเพิ่งเคยได้ยิน

ตอบ...ขอยืนยันว่าผู้ที่จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นผู้ที่จะหยั่งรู้ได้จริงๆนั้นพูดถูกนั้นคือพระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ สำหรับอาตมานั้นไม่ได้เก่งที่จะรู้ก็เอาแต่สิ่งที่มีหลักฐานความจริงยืนยันได้ เช่นคุณธัมมี่ที่เที่ยวบอกว่าตัวเองรู้อย่างนั้นอย่างนี้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้นั้นคือ อวดอุตริ เลอะเทอะ เพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่เหลืออะไรแล้ว เขาเข้าใจไม่ได้ แม้เข้าใจได้ก็เอาไปหลอกคน สร้างให้ตนใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าอีก มีหลักฐานยืนยันชัดที่คุณชาติชาย เขายืนยันว่าเขาเขียนหลอกว่าพ่อเขาตายแล้ว

ความเป็นสวรรค์นั้นทั้งหกชั้นคือดินแดนที่เลว มีสวรรค์ก็มีนรกในนั้น อย่างดุสิต ก็อธิบายผิด ดาวดึงส์ก็อธิบายผิด แต่ตนเองเป็น จาตุมหาราชิก และปรนิมิตวสวัตตี (บ้ายศศักดิ์ บ้ารวย) จาตุมหาราชิกาคือแย่งชิงเก่ง หลอกคนเก่ง สวรรค์ 6 ชั้นนี้คือภพชาติ ธัมมี่นี้มีทั้งจตุมหาราชิกากับปรินิมมิตวสวัตตีในตัวเอง เป็นbipolar เป็นการหลอกคน

คนหลอกคนนี่ฉลาดนะไม่ทำโง่ๆหรอก ต้องเอาความดีมาปะหน้า เอาความดีเท่าที่เขาจะมีความรู้ หลอกคนไว้หลายชั้น หลอกได้ทั้งทุกระดับชั้น ถึงขนาดมหาเถรสมาคมก็ถูกหลอก ระดับนายกฯ รมต. เศรษฐีเขาหลอกได้หมด เห็นไหมว่าเป็นปรินิมิตตวสวัตตีที่เลวร้าย เพราะคนนึกว่าเป็นความดี แท้จริงคือความเลว ดีที่ยกย่องสูงเท่าไหร่ก็คือต้ำหนักเท่านั้น

ความดีต้องมีเป็นธรรมดาในสังคม แต่คนฉลาด เขาต้องพยายามหาสิ่งมาหลอกให้เขาเห็นว่าเป็นคนดี ตั้งแต่ตื้นจนถึงคนชั้นสูงถูกเขาหลอกหมด ตกเป็นเบ๊ให้เขาหลอกหมด นี่คือความเก่งที่ชั่วสุด เป็นเทวดาเป็นภพชาติซ้อนในนี้

เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตว์นรก เป็นเทวดาชั้นเลวสุด แต่เอาความดีมาหลอกคน

มาพูดถึงความผิดของธัมมีก่อน เป็นความผิดที่ ผิดกฏหมาย แต่ คนไม่เข้าใจ กฏหมายเป็นเรื่องของบ้านเมืองนะ ส่วนธรรมะเขาก็ผิด ป่านนี้ยังจับสึกไม่ได้เลย

ถ้าผิดทางธรรมสูงสุดให้จับสึกเป็นปาราชิก เป็นสมี ถ้าความผิดทางโลกก็ให้ติดคุก มีคนแก้ตัวแทน เช่น ประเด็นที่เขากล่าวหาคือ นายธัมมี่นี่เป็นคนฟอกเงินผิดกฏหมาย ต้องติดคุกนาน รับของโจรเลยนะ เป็นวิธีซับซ้อนเฉโกนะ ทีนี้คนที่ช่วยคิดเป็นตรรกะ เขาเทียบว่า ถ้าความผิดของนายธัมมี่นี่ผิด ทั้งโลกก็จะผิดไปด้วย เขายกอุทธาหรณ์ไว้ว่า

ลิงตัวหนึ่ง ปล้นน้ำผึ้งมาจากรัง ลิงตัวนั้นเป็นโจร ถ้าลิงถวายน้ำผึ้งนั้นแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารับของโจร หรือไม่?

หรืออย่างพระไปบิณฑบาต แล้วเอาของโจร ผิดกฏหมายมาใส่บาตรให้พระกินใช้ พระก็กินใช้ พระรูปนั้นก็ต้องรับของโจรต้องติดคุกสิ

อาตมาก็ขอยืนยันว่า ความผิด ของธัมมชโยนี่ อาตมาลองเรียบเรียงไว้

ข้อความผิดของธัมมชโย 7 ข้อ

  1. ในกฏหมายคนรับของโจรนี่จะอ้างว่ารู้หรือไม่รู้นี่ว่าเป็นของโจรหรือไม่ก็มีความผิดในฐานะรับของโจร แม้ไม่รู้ก็ตาม แล้วเลี่ยงไปทำไม อ้างว่าไม่รู้ อาตมาว่าเขารู้ทั้งรู้นะ ว่าผิด ถ้าคนนั้นเขาไม่รู้ว่าของโจร จะไม่เชื่อมโยงอย่างนี้นะ สรุปแล้วธัมมี่รู้ว่านี่ของโจร แล้วรับมา
  2. มีหลักฐานและพยานว่ารู้ ที่ว่าไม่รู้นี่ ที่จริงแล้วรู้ เพราะมีหลักฐานแสดงว่ารู้ ก็มาซ้อนว่า ที่จริงไม่น่าโกหกว่าไม่รู้ แต่นี่โกหกว่าไม่รู้ แสดงว่าเจตนาป้องกัน อย่าง Absolute เลย เพราะจริงๆตนเองรู้แต่โกหก  พระเปิดบัญชีมีเงินฝากนี้มีอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ตลอดเวลาเลย
  3. ผู้ดูแลรักษาปกครองบ้านเมืองเขาก็สงสัย เมื่อเขาจับโจรที่ฉ้อฉล ฟอกเงินได้แล้ว ให้ติดคุกไปแล้ว มีตัวบุคคลยืนยันพฤติกรรม จนท.ก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่าเงินเดินทางจากโน่นมานี่ ผู้ที่สอบสวนก็ต้องสอบสวนว่า รับของโจรสิ
  4. เมื่อเขายื่นหนังสือมาขอให้รับข้อหาว่า รับของโจรก็ไม่ยอมไป หลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงหากตนเองบริสุทธิ์ก็ต้องไป แต่นี่ไม่ไป
  5. แม้ที่สุด ตัวเองหลีกเลี่ยงไปว่าป่วย อ้างว่าป่วย ไปรับทราบข้อกล่าวหาไม่ได้ มีใบรับรองแพทย์แต่ใบรับรองแพทย์นั้นก็เป็นเท็จอีก เหมือนสำนวนว่าถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิดหมดเลย
  6. เมื่อองค์กรของรัฐ บอกให้ไปมอบตัวก็ไม่ไป หลีกเลี่ยงดื้อด้าน เขาก็ส่งข้อปรึกษาไปหาศาล ศาลก็ให้ไปรับข้อกล่าวหา ก็ไม่ไปอีก
  7. เมื่อไม่ไป ก็เลยต้องให้ศาลออกหมายจับ ศาลก็ออกหมายจับมาให้ ก็ยังดื้อดึงดันต่อคำสั่งศาลอีก

 

ที่เขาทำเรื่องอยู่ขณะนี้ การแสดงของธัมมี่ต้องแสดงสิ่งดีมาหลอก เป็นยักษ์สองแบบเลย คราวนี้ถ้าไม่เข็ดหลาบจะตกนรกหมกไหม้ไปอีกนานเลย ไม่ได้พูดด้วยเกลียดชังเขาเลยนะ แต่พูดให้สมสมัย ไม่จืดช้าเกินไป เอาให้ชัด

ตอนนี้ก็เกิดประเด็นที่เจ้าหน้าที่ต้องทำงาน ตอนนี้ฝ่ายกฏหมายกับฝ่ายบ้านเมืองทำงาน ส่วนฝ่ายธรรมะนั้นล้มเหลวไปด้วยกันแล้ว ก็เหลือแต่ฝ่ายกฏหมายบ้านเมืองทำงาน ที่ธัมมชโยต้องถูกกล่าวหา ถูกสอบสวนก็ไม่ยอมให้สอบ จะจับก็ไม่ให้จับ แล้วก็ใช้ความดีหลอกคน ลิ่วล้อ ตีฆ้องร้องป่าว เพื่อกลบเกลื่อนช่วยอาจารย์ คนที่ไม่มีปัญญาซื่อถูกหลอกก็ไปช่วย ตายแทนได้เลย ส่วนคนมีปัญญาพอรู้ก็ต้องช่วยให้ชนะ ขณะนี้เขายังมีความหวังว่าจะชนะได้นะ แม้คนถือหางจะรู้ว่าซวยเรา แต่ก็แพ้ไม่ได้ เพราะจะถูกตามเช็คบิล ต้องสู้ตายเลยอาจมีลูกน้องฆ่าตัวตายเลย

ถ้าคนบริสุทธิ์จริงก็ต้องออกมาให้เขาตรวจสอบยืนยันว่าผิดหรือไม่ผิด ถ้าแพ้คนดีก็ต้องเข้าคุกต้องสึกสิ ก็เลยยิ่งหนักต้องดูต่อไป ว่าทางบ้านเมืองจะเอาเขาเข้าคุกได้ไหม อาตมามั่นใจว่า ผิดทางโลกแน่ และปาราชิกทางธรรมมานานแล้วคืออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนและขี้โกงคนอื่นเขา ส่วนเรื่องผู้หญิงเรื่องกามจะผิดหรือไม่ยังไม่มีข้อมูลมากพอ

ตอนนี้คนก็เลยเอาอาตมาเป็นคู่เทียบ ทำไมสันติอโศกรอดมาได้ อาตมามั่นใจว่าทางธรรมก็รอดมา ตั้งใจอายุ 151 ปีเพื่อเปิดเผยธรรมะ ส่วนทางกฏหมาย อาตมาเทียบไม่ได้เลยกับธัมมชโย เขาผิดในประเด็นฟอกเงิน คบโจร รับของโจร นั่นคือคดีทางโลก ส่วนอาตมาถ้าถือว่าคดีทางโลกอาตมาผิดข้อเดียว ผิดในพระราชบัญญัติสงฆ์ 2505 ข้อเดียว เขาใช้คำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งท่านไม่รู้เรื่องมหาระแบบเป็นคนชง (พี่ชายจตุพร พรหมพันธ์) ท่านก็เซ็นให้อาตมาสึกภายใน 7 วัน ถ้าไม่สึกผิดกฏหมายข้อนี้ อาตมาก็ผิดสิเพราะว่าอาตมาไม่สึก และอยู่มา 46 ปีแล้ว ยืนยันว่าอาตมาไม่สึกก็ต้องผิดกฏหมายข้อนั้น แต่ถามว่ากฏหมายข้อนั้นผิดธรรมวินัยไหม ขัดแย้งธรรมวินัยไหมที่พระพุทธเจ้าว่า คนจะถูกสั่งให้สึกได้นั้นมีโทษสมบัติ 11 ข้อนี้ อาตมาไม่ได้อยู่ใน 11 ข้อนี้เลย

จริงๆแล้วคนจะสั่งให้สึกได้ต้องเป็นคณะสงฆ์ไม่ใช่ผู้ใดผู้หนึ่งเลย แต่สังฆราชจะเป็นผู้ลงนามก็ได้ ถือว่าเป็นความเห็นคณะสงฆ์แต่อาตมาไม่มีความผิดที่เขาจะสั่งสึกได้ ขนาดพระเทวทัตพระพุทธเจ้ายังไม่ได้สั่งสึกเลย

เป็นกฏหมายที่สั่งให้สึกนะ แต่ไม่ได้ตามธรรมวินัย แต่ในกฏหมายนี้ก็ขัดแย้งธรรมวินัยที่ว่า ให้ใครเป็นใหญ่สุดไม่ได้ในศาสนาพุทธหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้วสั่งสึกนี้อาตมาก็ไม่ได้ผิดใน 11 ข้อ ไม่ได้ปาราชิกด้วย

11ข้อนี้แม้รู้ภายหลังก็ให้สึก เช่นเป็นพระเทยเป็นต้น หรือเป็นคนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ มีอีกหลายอย่าง ผิดขั้นอนันตริยกรรมก็ต้องให้สึก

สรุปแล้วทางกฏหมายเขาชำระไป อาตมายืนยันเท่าใดก็ตาม แต่อำนาจทางศาสนาก็มากกว่า ทำให้ศาลตัดสินให้อาตมาผิด ผิดกฏหมายนะ ที่ไม่สึก ไม่ได้ผิดธรรมะ อาตมาก็ยืนยันไม่สึก ก็ลงโทษ ก็ต้องติดคุก 6 เดือน แต่ไม่ได้ติดในคุก ได้รอลงอาญา 2 ปี

ศาลชั้นต้นตัดสินว่าอาตมาผิด คุณทองใบ ทองเปาว์ก็ให้อุทธรณ์ อาตมาก็ไม่อยากอุทธรณ์แต่ตามใจคุณทองใบ แต่ศาลอุทธรณ์ก็ว่าผิด อาตมาก็ว่าพอแล้ว ยอมเป็นผู้แพ้ แพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจทรงความมั่นคง อาตมาไม่ได้ติดใจอะไรเลย อาตมาว่าอาตมาบริสุทธิ์ทุกอย่างไม่มีอะไรด่างพร้อย ก็ยอมให้เขาลงโทษติดคุก 6 เดือน รอลงอาญาสองปี มีคนมาคุม เขาก็มากินมังฯด้วย มาไม่กี่ครั้งเขาก็ไม่มาอีกเลย จนครบสองปี เขามาคุมประพฤติ แต่มาแล้ว กลับเป็นอาตมาต้องสอนความประพฤติเขา ครบสองปีก็จบ อาตมาก็ลอยตัว

จะบอกว่าอาตมาผิดกฏหมายก็เป็นกฏหมายที่โมฆะ ให้สอบสวนว่าความก็ให้ทำได้หมด หอบหิ้วกันไปขึ้นศาล 6 ปี

มาทางด้านศาสนา ขออภัยต้องพูดความจริงให้ฟังว่า เถรสมาคมหรือกระกแสหลักล้มเหลวสิ้นท่า ขออภัยต้องพูดความจริง ศีลก็ผิด เพราะเป็นทั้งหมดเลย ทั้งศาสนาพุทธกระแสหลัก เป็นศาสนาที่ไม่มีศีล โดยเฉพาะมหาศีลหมดเลย เป็นเดรัจฉานวิชชาไปหมด ทั้งยวงเลย ทั้งกระแสหลักทั้งหมด เช่นมีน้ำมนต์ จุดธูปเทียน ผิดตามอัมพัฏฐสูตร ไม่มีศีล มีแต่วินัย 227

โดยเฉพาะมหาศีลที่ยืนยันพฤติภาพ charactor ของศาสนาพุทธเขาไม่มีเลย ที่บอกว่าไม่มีรดน้ำมนต์ไม่มีหยาดน้ำใช้นำ้เป็นสื่อใช้ไฟเป็นสื่ออัคคียัญ ก็ไม่มี จุดธูปเทียน เป็นเปลวเป็นควันก็ไม่ให้ใช่ แต่ที่ห้ามไว้เขามีหมดในวงการศาสนานั่นคือไม่รู้ศีลแล้ว อาตมาจึงพากลับมาให้เข้าครรลองของพุทธ ทำมาโดยยากเย็นมา 46 ปีแล้วจนมีคณะสงฆ์ ตั้งแต่แยกจากมหาเถรสมาคม ตั้งแต่พศ.2518 มาถึงวันนี้ 41 ปีแล้วก็เป็นนานาสังวาสกับคณะสงห์หมู่ใหญ่ เพราะอาตมาอยู่กับหมู่ใหญ่เหมือนอยู่กับปลาเน่าทั้งข้องก็อยู่ไม่ได้ ก็ประกาศออกมาอย่างสุภาพว่าอาตมาขอแยกร้านปาท่องโก๋สูตรของตนเอง ไม่เอาตามสูตรท่าน แต่อาตมามาทำตามสูตรของพระพุทธเจ้า เป็นคณะขายปาท่องโก๋ข้างทาง ของท่านร้านใหญ่แต่สูตรผิด อาตมาอธิบายท่านก็ไม่ฟัง อาตมาก็แยกมาร้านใหม่ ถ้าประชาชนอุดหนุนอาตมาก็อยู่รอด แต่ถ้าไม่อุดหนุนก็ตาย เท่านั้น ตายก็กลับมาเกิดทำใหม่อีก

ถ้าไม่ปรับปรุงศาสนาพุทธกระแสหลัก ไม่ใช่ว่าอาตมาให้ไปล้มศาสนากระแสหลัก แต่ว่า ให้ปรับปรุงเหมือนอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชจัดการไปแล้ว ตอนนี้เช่นกัน ถ้าไม่ทำพัง แต่ถ้าทำก็ทำให้ศาสนาพุทธอยู่รอด ตอนนี้ต้องออกกฏหมายให้ชัดให้ผู้รู้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ เป็นโอกาสแล้วถ้าพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ลำบากท่านแล้วคณะรัฐบาล แต่เป็นกุศลอย่างยิ่งต่อโลก เพราะศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาที่นำโลกต่อไป ปชต.จะเป็นอย่างพุทธ เศรษฐกิจ สังคมก็จะเป็นแบบพุทธ

อาตมายังอธิบายไม่เก่ง สองคนฟังก็ยังไม่ครบ ก็เลยเป็นไปตามกาละ อาตมาไม่เร่งรีบ แต่ขอให้ความจริงถูกต้องไปเรื่อยๆจะดีที่สุด สิ่งที่เกิดจะต้องเกิดส่ิงที่เป็นต้องเป็น ทุกอย่าง born to be

ต้องบอกหลักฐานว่ามหาเถรสมาคมล้มเหลวต้องชำระดังพระเจ้าอโศกมหาราช ถ้าไม่ชำระศาสนาพุทธไปไม่ถึงที่สุด

ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดของอาตมาให้ไปหาหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสเล่มนี้

1.อาตมาลาออกมาจากเถรสมาคมตั้งแต่พศ.2518 ต่างคนต่างอยู่ตามหลักธรรมวินัย เพราะมีกรรมต่างกันอุเทสต่างกัน ถือศีลต่างกัน คนหนึ่งถือศีลเอาวินัย 227 อีกคนหนึ่งถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อุเทสคืออธิบาย ต่างกัน อธิบายกาย อธิบายบุญต่างกัน จะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร สัมมาทิฏฐิก็ไม่เหมือนกัน อธิบายทานก็ไม่เหมือนกัน ทิฏฐิต่างกัน กรรมก็ต่างกันจะสาธยายอุเทสก็ต่างกัน ปัญญาก็ต่างกัน ก็ต่างคนต่างอยู่ กรรมใครกรรมมัน

อาตมาออกมานานาสังวาสแล้วแต่เขาก็ดึงอาตมาไปเป็นสมานสังวาส แล้วก็ถือสิทธิที่ผิด รวมหัวกันทั้งธรรมยุติและมหานิกายรวมตัวกันทำสังฆกรรมอาตมา ผิดคณปูรกะ คือเอาภิกษุสองนิกายมารวมทำสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้แม้รูปเดียว สังฆกรรมนี้โมฆะ อาตมาไม่เคยแยกเป็นนิกาย จิตใครเป็นนิกายกับอาตมาก็เป็นอนันตริยกรรม อาตมาเป็นนานาสังวาส เมื่อมโนกรรมคุณเป็นก็เป็นแล้ว แม้คุณอาจยอมอาตมาเพียงรูปแต่ใจคุณนิกายกับอาตมาก็เป็นอนันตริยกรรมแล้ว มีสมเด็จบางรูปบอกว่าปล่อยอาตมาออกไปได้อย่างไรก็แย่สิ เป็นต้น

ทั้งทางโลกทางธรรมก็ผิด แล้วจะเอาอาตมาสึก แล้วบอกว่าอาตมาไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว พูดลอกเลียนแบบพระพุทธเจ้าเลยว่า ของเถรสมาคมทำอะไรก็เป็นของเถรสมาคม ของโพธิรักษ์ก็เป็นกรรมของโพธิรักษ์ เขาต้องเอาส่ิงดีมาหลอกคน

อาตมาก็ทำงานธรรมะไป เป็นผล ยืนยันว่า ความเห็นของเถรสมาคมนั้นผิดหมด เข้าใจกันว่าศีลขัดเกลาแค่กายกับวาจา แต่ในกิมัตถิยสูตรบอกว่า ศีลจะขัดเกลาให้ถึงอรหันต์​ไปตามลำดับ ศีลสมาธิปัญญาแยกกันไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าแยกส่วนนี้หมดสิทธิ์เป็นอรหันต์ เพราะศีลกับปัญญาเป็นแม่เป็นพ่อที่จะทำให้จิตเกิดโอปปาติกะ

เมื่อไม่เหมือนกัน ทางเถรสมาคมจึงล้มเหลวทั้งยวงหมด ศีล สมาธิไม่ตรงพระอนุสาสนีย์ วิมุติกับนิพพานจึงหวังไม่ได้ เป็นของเก๊หมด ขออภัยอาตมาพูดใหญ่ แต่มันถึงกาละอันควร สำหรับผู้จิตดีได้แสวงหาจะได้รู้ ส่วนผู้จิตไม่ดีอาจโกรธอาตมานะ

เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นต้นว่าสมาธิต้องไปนั่งสะกดจิตหลับตา การหลับตานั้นผิดตั้งแต่พระสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตร เล่ม 1ของพระสูตรนี้อาตมาถือว่าเป็นเพชรพุทธ 13 กะรัต

ในพรหมชาลสูตรนั้น ระบุไว้ว่า ถ้าไม่มีปัจจุบันก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ การนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีแต่รูปภพ อรูปภพ ไม่ครบธรรมะสอง ไม่มีปัจจุบันที่จริง จึงกลายเป็นโมฆะทั้ง 62 ทิฏฐิ

เมื่อทิฏฐิโมฆะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ10 เช่นทำทานให้สัมมาทิฏฐินั้นเขารู้กันที่ไหน ทำใจในใจเขาก็ไปนั่งสมาธิหลับตา การหลับตาเป็นmeditation ของดาบสสามัญประจำเอกภพส่วนสัมมาสมาธินั้นมีเฉพาะยุคที่พุทธศาสนาคงอยู่ ถ้าสิ้นพุทธศาสนาไม่มีสัมมาสมาธิ อาตมาเป็น ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 นั้นเอง “สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

 

เมื่อศีลก็ไม่ได้แล้ว ละเมิดศีล สมาธิก็เพี้ยน ปัญญาที่จะเกิดต้องเกิดจากองค์ธรรม 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ

 

ต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ปฏิบัติไปจะมีสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ มีโพธิปักขิยธรรม 37 มีสติสัมปชัญญา มีสติปัฏฐาน 4 มีอานาปานสติด้วย มีกาย เวทนา จิต ธรรมที่สะอาดขึ้น มีAnalysis จิตไม่ใช่ศาสนา Hypnosis จะมีธัมมวิจัย

ถ้าเขาฟังอย่างปรโตโฆษะ ไม่เป็นชาล้นถ้วย จะได้ฟังสิ่งใหม่สิ่งแปลก เพิ่มปัญญาขึ้น หลายคนก็ยังไม่มั่นใจ อย่างมหาระแบบที่เป็นเจ้าคุณนะ เปรียญ 6 ป.โทนะ บอกว่าโพธิรักษ์เป็นใคร ไร้ปริญญาสักใบนะ ไม่ได้เป็นเจ้าคุณด้วยนะ ทุกวันนี้เขาเรียกพ่อครูก็ดีแล้ว

แม้แต่คำว่าธุดงค์ก็ไม่ใช่เดินบุกป่าบุกดงนะ แต่เป็นข้อปฏิบัติที่เคร่งมาจากคำว่าธูตะ แต่นี่กลับเดินบนกลีบดอกไม้ แล้วบอกว่าชื่นใจอีก เป็นพระผู้ใหญ่ด้วยนะที่บอกเช่นนี้ แค่ศีล ข้อมาลาคันธฯก็ไม่รู้แล้ว

สมัยพระพุทธเจ้าก็มีแค่พระมหากัสสปะ ที่เคร่งทางธุดงควัตร แต่ท่านก็ต้องพัฒนาต่อมาเป็นคนเมือง อย่างในอัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าไม่เอาอาจารย์ในป่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม

การไม่ใช้เงินนี้เคร่งนะในยุคนี้ แต่สมณะชาวอโศกทำได้สบาย แม้สิกขมาตุถือศีล 10 ก็ทำได้ หรือแม้แต่ฆราวาสชาวอโศกก็ทำได้ เรียนจบป.โทมีหมู่กลุ่มส่งเสียให้เรียนด้วยนะ ไม่ใช้เงินนี้ศีลเคร่ง กินมื้อเดียวก็ศีลเคร่งนะ ยุคโน้นก็มีพระกัสสปะ เป็นคนศีลเคร่ง แต่ยุคนี้ก็เคร่งต่างกัน เพราะอุปโภคบริโภค ไม่เหมือนกัน เทียบเคียงพอได้แต่ไม่เหมือนกัน แม้คำว่าธุดงควัตรก็ไม่เข้าใจกันแล้วเอามาหลอกคน

แม้เป็นยักษ์เป็นมารเป็นหมาป่าก็เอาหนังราชสีห์มาหุ้ม (ปรินิมมิตนวสวัตตี) คือเอาความดีของโลกมาหุ้ม เหมือนหนังราชสีห์ ที่สัตว์อื่นกลัว แท้จริงตนคือหมาป่า หลอกว่าตนคือราชสีห์นะ

อาตมาที่มีวิบากที่ได้รับ อาตมายังมั่นใจว่าอาตมาบริสุทธิ์ถูกต้องยังนำพาสิ่งที่ดีของพระพุทธเจ้าตรงทางอยู่ ไม่ได้บังคับใครให้เชื่อถือ อาตมาสู้ด้วยความจริง แพ้ชนะนั้นอาตมาเฉยๆ อาตมายืนบนฐานความจริงแม้ตายก็ตายด้วยความจริง บนเวทีอาตมาวันที่ 18 ก.พ. 57 เป็นเป้าง่ายๆ ไม่มีกำบังอะไร ไม่มีเสื้อเกราะอะไร ไม่มีหนวกกันน็อคอะไร ก็เป็นไปตามบารมีตามธรรม

ไม่อยากให้ใครตกต่ำแต่ก็เป็นไปตามความดื้อดึง ความโง่ของแต่ละคน ถ้าไม่โง่ไม่ดื้อดึงก็เป็นคนว่านอนสอนง่ายจะพัฒนาการไปได้ การเกิดเหตการณ์ในสังคมนี้จงใช้เป็นโจทย์ในการศึกษาให้ดี  ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสร้างมาได้ง่ายๆ ทำไม่ได้หรอกโจทย์แบบนี้ ทำแบบธัมมี่ที่ทำมาถึงวันนี้ทำได้ยากนะ ลอกเลียนยากแต่อาตมาไม่ลอกเลียนหรอก หรือจะมาลอกเลียนอาตมาก็ไม่ง่ายนะ จะลอกเลียนธัมมีหรืออาตมาก็เลือกเอา มีสองทางคือทางถูกกับทางผิด เมื่อเลือกแล้วก็ทำ

เอาธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ...เป็นกัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าที่ท่านเทศน์แต่คนเข้าใจไม่ได้ ก็ไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง

เขาคิดว่าต้องเดินไปในทางสายกลางอย่าออกนอกทางจึงจะถึงนิพพานความจริงแล้วทางสายกลางที่ว่านี้มันเป็นอย่างไรเขาก็อธิบายไปว่าทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 เราเข้าใจกันว่ามรรคมีองค์ 8 มีเป็นทางอย่างไร

มัชฌิมาคือความเป็นกลางพระอรหันต์ทุกพระองค์มีความเป็นกลางในใจบรรลุความเป็นกลางในใจแล้วมีข้อปฏิบัติหรือทางหรือปฏิบัติทางไปสู่ความเป็นกลางไม่ใช่เดินทางสายกลางคือไม่รู้เรื่องว่าอะไรคือทางสายกลางถ้าจะเอาลูกปัดทำทางสายกลางโดยตรรกะโดยเหตุผลทางสายกลางคือทางตรงไม่โค้งไม่คดเลย คุณอย่าออกนอกเส้นทางนี้และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเดินอยู่ตรงเส้นทางนี้ทางสายกลางนี้ไม่ใช่ปฏิบัติได้ง่ายๆทางสายกลางคือจะต้องรู้ธรรมะ 2

ต้องรู้ความเป็นกลางและต้องรู้ความเป็นอัตตาแล้วเริ่มต้นทำออกตั้งแต่โอฬาริกอัตตาที่ตนเองติดเยอะเลยโลกที่ตนเองติดยึด ต้องรู้รูป 28 ปสาทรูปโคจรรูป ภาวรูป...จนทำรูป 28นี้จบ ยืนอยู่ในวิการรูปและลักขณรูป

คนที่รวยมากๆนี้อบาย คนที่ติดรสจัดๆหนักก็อบาย คนที่creative นักสร้างสรรออกแบบหลอกคนนี่พวกนี้สร้างอบายให้ตนและผู้อื่น เป็นนรก หยุดเสียเถิดหากหยุดได้

ตั้งแต่กามใคร่อยากเอามาบำเรอแล้วก็สั่งสมเป็นอัตตา การลดอัตตาและกามต้องลดกันไปอย่างได้สัดส่วนลดกามก็ลดอัตตาไปด้วย ลดอัตตาก็ลดกามไปด้วย ใครทำได้ก็เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์

โลกนี่คือกาม โลกธรรมหรือกามก็คือภายนอก ถ้าเราลดละสองข้างนี้ได้เรียกว่าอันตา ถ้าได้สัดส่วนภายนอกถึงภายในจะค่อยๆเข้ามาหากลางไม่ขรุขระหรือวกไปวนมา จะลดกามลดอัตตากันไปเป็นลำดับ ถ้าใครทำได้ก็มาหากลางคือหมดกามหมดอัตตา สุดท้ายกามจะหมดก่อน ข้างนอกจะหมดก่อนเพราะเป็นของหยาบใหญ่ ของหนักเป็นสภาวะที่โอฬาริกะ จนเหลือข้างในอัชฌัตตังก็คือรูป อรูป คนอนาคามีไม่มีโทษภัยกับใครภายนอกเลย ถ้าจะเอาแค่นี้ก็เป็นสุทธาวาส 5 อาตมาไม่แช่อยู่ตรงนี้ อาตมาจะเกิดไวตายแล้วรีบเกิด

กามกับอัตตาคือปลายของกิเลสสองด้าน สุดท้ายล้างเหลือแต่ภายในเป็นอุทธัมภาคิยสังโยชน์ แล้วก็ล้างภายในอีกหมดกามหมดอัตตาเลย ไม่หลงจมในสุทธาวาส 5 อนาคามีหรอก

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

สรุปแล้วเรามาล้างกามล้างอัตตาให้หมดอย่างน้อยเป็นอนาคามี แล้วจะเกิดมาอีกก็ได้เป็นอรหันต์ก็กลับมาเกิดช่วยโลกช่วยสังคมเป็นโพธิสัตว์เป็นลำดับไปได้ โลกต้องอาศัย ไม่เช่นนั้นศาสนาหมดจบไม่ต่อไปได้อีก ต้องมีการรับช่วงต่อ ช่วยกันมาเรื่อยๆ เป็นหน้าที่หลายท่านหลายองค์ เป็นอจินไตยซับซ้อนกว่านั้นอีก อาตมาอธิบายไปไม่ไหวแล้ว

ความเป็นกลางนี้จึงหมายถึงกิเลสกามกิเลสอัตตาหมดไป ไม่มีอันตา (ปลาย) จบอยู่กลางๆ อย่างนี้ต่างหากคือมัชฌิมา ไม่ใช่เอาสองหาร 9 ได้ 5 คือกลางอย่างนี้ไม่ใช่ แต่มันคือจิตวิญญาณของเราที่ต้องล้างความเป็นโลกหรือกาม กับอัตตาออกให้หมดจนไม่เหลือสักปลายสองข้างนี้เลย คนเป็นอรหันต์สมบูรณ์กับอนาคามีจะต่างกัน

อรหันต์หมดกามหมดอัตตาแล้วโดยอุภโตภาควิมุติ ส่วนอนาคามีจะมีวิมุติได้ข้างหนึ่งจะเหลือแต่ข้างใน ถ้าอนาคามีมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อยู่ก็ทำงานให้แก่โลกโดยไม่มีภัย เพราะใช้จิตฐาน นปุงสกลิงค์ เป็นพลังงานฐานจิตที่มีลักษณะของพีชะ ไม่เป็นพิษภัยกับโลกแล้ว แต่ของอรหันต์นี้ไม่เหลือเศษอะไรเลย เป็นจิตบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่กับพีชะคือความเป็นกลางที่มีพลังงานสูงสุดเป็นเจโตที่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีอคติ อนาคามีมีอคติอยู่บ้าง ตรงที่ยังมีอุทธัมภาคิยสังโยชน์หมดได้แค่อาสวะยังไม่สิ้นอนุสัย ยิ่งเป็นอรหันต์ระดับต้นหมดอาสวะได้เช่นกัน เมื่อหมดอาสวะแล้วก็ทำเป็นอรหัตตมรรคของพระอรหันต์ ล้างอนุสัยของตนเองให้จบจึงเป็นอรหัตตผล คือพ้นอนุสัย มีปัญญาหลุดพ้นรู้ว่าเศษเหลือไม่มี

ปัญญาวิมุติเป็นต้นไป หมดภัยโทษไม่เอียงไปหาใคร แต่อนาคามีก็ไม่เอียงกับโลกกับโลกธรรมกับภายนอกแล้วหากให้อนาคามีหรืออรหันต์จะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงแบบคนจนนี้ไปทั่วโลกฉลุยเลย แต่เราเอาแบบแผนนี้มาพูดโก้ๆไม่ได้ เราต้องเป็นให้ได้ก่อน อาตมายังหวังและเชื่อว่าโลกยุคนี้เป็นยุคปลาย แต่ก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าอาตมาอยู่ไปถึง 151 ปี อาตมาเชื่อว่าโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ปชต.แบบพระพุทธเจ้าจะรุ่งเรืองทั่วโลก แต่ถ้าอาตมาตายก่อนปชต.สุดยอดจะไม่ไปทั่วโลก ปชต.สุดยอดคือเป็นได้ทั้งคอมมิวนิสค์หรือเผด็จการหรือปชต.ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ มีความรักระดับที่ 7 8 9 ช่วยกันอยู่ เป็นความรักของอาริยชนที่อุ้มชูโลกพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ถ้าอาตมายังอยู่ไปถึง 151 ก็จะได้เต็มที่ แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องเกิดมาทำต่ออีก เพราะว่าประกาศโลกนี้โลกหน้าที่สมบูรณ์จนกว่าจะสิ้นศาสนาพุทธไปอีกสองพันกว่าปี ถ้าตายก่อน 151 ก็ต้องมาเกิดอีก ถ้าไม่ตายก่อน 151 อาตมาก็จะได้นิพพาน แล้วไปเกิดในพระพุทธเจ้าอีกต่อไป ..ฟังไปก่อนอย่าเพิ่งเชื่ออาตมาติดตามปฏิบัติตามไป จะรู้จริง รู้ทันอาตมารู้จริง...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:04:45 )

590615

รายละเอียด

590615_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศกหลุดได้เพราะแพ้เป็น(ต่างจากคดีธรรกาย)

พ่อครูว่าวันนี้วันพุธที่ 15 มิ.ย. 59 มีข่าวประกาศว่าขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 11  ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 17 - อาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2559

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือโทรฯ 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม) คุณชญาดา 087-4437865

ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP

 

ชุมชนนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ก็ขอให้รักษากิริยา การแต่งตัวที่เหมาะสม ที่นี่ไม่มีการออกร้านขายของขูดรีด ถ้าเป็นที่อื่นจะมีขายของ ขายพระ ขายอาหาร เพื่อหาเงิน แต่ที่นี่ไม่ใช่แหล่งหาเงินไม่ใช่แหล่งเสียเงิน เป็นแหล่งเอื้อเฟื้อเจือจาน สร้างมิตรสหาย

วันนี้ได้ฟังแถลงการของธรรมกาย มีคุณองอาจ ออกมาพูด เขาพูดเก่ง คล่องแคล่ว ฟังแล้วสรุปข้อแถลงการว่า เขาตอบโต้ได้อย่างสนุก เขาก็หาว่าทางDSI นี่ยอดตอแหล ตลบแตลงเลย ไปหาเรื่องได้อย่างไรเขาบริสุทธิ์ผุดผ่องเลย เขาไม่รับรู้กระบิลเมืองเลย เขาโต้กลับเลย อาตมาก็ไม่รู้ว่ามีหลักฐานอย่างไรนะ แต่DSI มีหลักฐานหลักเกณฑ์ไปตามลำดับ

มันมีข้อที่เขาโพสต์กันในsocial media เหมือนกันว่า เหตุการณ์สันติอโศกนี่นักข่าวมากินมานอนเป็นเดือนเหมือนกันเขาก็ว่าสันติอโศกหลุดมาได้อย่างไร อาตมาก็บอกได้ว่า สันติอโศกหลุดมาได้เพราะความไม่ดื้อด้านดึงดัน ยอมเป็นผู้แพ้ จะตัดสินให้ติดคุกก็ยอม เพราะข้อหามันไม่ร้ายแรงของพวกเรา จะว่าร้ายแรงก็ได้ เพราะเขาให้สึก ทางโลกเขาว่าไม่ร้ายแรง แต่ทางธรรมเราว่าร้ายแรงนะ ให้สึกนี่ แต่เราไม่ยอมสึกเราก็เลยผิดข้อนี้ นี่คือประเด็นข้อผิดข้อถูก ไม่ได้ผิดธรรมวินัยอะไรเลยนะ

เป็นประเด็นที่สั่งให้สึกแล้วอาตมาว่าอาตมาไม่มีความผิดถึงให้สึกได้ ก็เอาผิดได้แค่ในกฏหมาย ไม่ได้ผิดธรรมวินัย อาตมาก็ไม่ยอมสึก เขาสั่งให้สึก เขาก็พิจารณาธรรมวินัยโดยไม่เอาอาตมาเข้าไปแก้ต่างได้ ว่ามีข้อหาข้อผิดอะไรถึงจะให้สึก ไม่เลย ประชุมกันแล้วสั่งมาเลย ผิดสัมมุขาวินัย ไม่ได้ตัดสินต่อหน้าจำเลย อาตมาเป็นจำเลย เขาไม่เคยเรียกไปเลย ให้แก้ต่างอะไรได้ ตัดสินมาเลยแล้วฟ้องศาล

ประเด็นของธรรมกายเป็นกฏหมายอาญา ติดคุกหลายปีด้วย ของอาตมาแพ้แล้วสูงสุดติดคุก 6 เดือนแต่นี่ติดคุกหลายปีด้วย เพราะกฏหมายอาญาลักทรัพย์ฉ้อโกง เป็นปาราชิกข้อ 2 ด้วยลักทรัพย์เกิน 5 มาสก เป็นของที่เขาไม่ได้ให้ไม่ใช่ของเราเอามาก็ปาราชิก แต่มส.ว่า นี่เป็นเรื่องทางโลกไม่ใช่เรื่องธรรมะ อาตมาฟังแล้วก็เศร้าใจเขาอธิกรณ์มาแล้วแต่มส.ก็ว่าไม่เกี่ยวอีก ทำให้เห็นถึงการเล่นพรรคพวก เป็นการอคติอย่างชัดเจนนะ ของอาตมาไม่ได้มีเรื่องราวมากมายด้วยซ้ำ แล้วเอาอาตมาที่เป็นนานาสังวาสมาตัดสินอีก

สรุปแล้วเรื่องนี้ เป็นเรื่องยืนหยัด มีผู้เขียนมาว่า ขบวนการทางสังคมสันติอโศกรอดพ้นจากยุคขวาพิฆาตซ้ายด้วยข้อกล่าวหาพรรคคอมมิวนิสน์ได้อย่างไร(พศ.2517 ณ แดนอโศก) แล้วปี 2532 คดีกรณีสันติอโศกแบบหวังขุดรากถอนโคนเลย แล้วสันติอโศกผ่านเหตการณ์เลวร้ายมาได้อย่างไร !?!?!?!?!?

อาตมาขอตอบ คำว่าหลุดออกมานี่ไม่ได้หลุดหรอก อาตมาแพ้นะ ถ้าตอบรวมๆว่าหลุดได้อย่างไร ก็หลุดเพราะอาตมายอมแพ้ อาตมาไม่สู้หรอก แต่อาตมายืนอยู่บนฐานความจริง อาตมาหลุดออกมาได้เพราะอาตมามีความจริง ส่วนความผิดคุณตัดสินกันเองว่าอาตมาผิดติดคุกรอลงอาญา 2 ปี ก็ใช้เวลาหมดแล้ว ผ่านการพิพากษาแล้ว เราก็อยู่ตามที่คุณตกลงว่า เมื่ออาตมาผิดแล้วจะอยู่ในฐานะคนไทยอย่างไร อาตมาทำตามทุกอย่าง

เช่นไม่ให้เรียกว่าพระ หรือภิกษุ หรือนักบวชก็ทำแล้ว ไม่ได้ให้แต่งตัวเลียนแบบภิกษุก็ทำตามแล้ว

ส่วนท่านธัมมชโยก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นผลอย่างไร แต่พฤติกรรมของท่านกับอาตมาต่างกันราวฟากฟ้ากับก้นเหว ของท่านอยู่บนฟากฟ้าเลย ของอาตมาอยู่ก้นเหวเลย อาตมายอมแพ้ทุกอย่างส่วนท่านไม่ยอมแพ้ทุกอย่างเลย ท่านขาว อาตมาดำอยู่ก้นเหวเลย ก็ไม่ว่าอะไร

ขออภัยนะอาตมารู้ว่าใครผิดหรือถูกแต่อาตมาไม่ได้ดิ้นรนเดือดร้อนอะไร เหตุการณ์ที่เกิดกับอาตมานั้น ก็มีผู้ที่เป็นสายทางศาสนา เร่ิมต้นจากผู้ที่มีชื่อว่าประยุตต์(ท่านพรหมคุณาภรณ์) ท่านเป็นผู้เร่ิมจนทำให้อาตมาเกิดเรื่องจนเสร็จจบ ทีนี้ยุคนี้ ไม่ใช่ทางการศาสนาเป็นตัวเร่ิมแต่ทางรัฐทางอาญาแผ่นดินเป็นตัวเดินเรื่องก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่ชื่อประยุทธ์เหมือนกัน

อาตมาได้พ่ายแพ้ไปแล้ว ที่จริงอาตมาไม่ได้ถือสาท่านประยุตต์นะ ที่ท่านเขียนหนังสือว่าอาตมาถึงสามเล่ม อาตมาก็จม.ตอบขอบคุณท่านไป ก็ขอบคุณอย่างยิ่งในตอนท่านเขียนฉบับแรก พอท่านก็ไม่หยุดออกมาเล่มที่2 หรือ3 อาตมาก็ไม่ได้ตอบขอบคุณท่านไปอีก คนตำหนิเรานี้เป็นเรื่องดี ถ้าตำหนิมาแล้วไม่ถูกต้อง ทั้งสมมุติสัจจะหรือปรมัตถสัจจะเราก็ตรวจสอบแท้จริงอย่ามีอคติ ถ้าเขาตำหนิมาถูกให้เราแก้ไขกลับ

ถ้าตรวจสอบแล้วเราไม่ผิดก็แล้วไป อาจเพราะเขาภูมิปัญญาไม่ถึงข้อมูลไม่ครบก็ตาม เราตรวจดีแล้วทั้งสมมุติและปรมัตถ์ เราก็รู้ว่าเขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเราจะแก้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เราก็ตอบไปว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า เพื่อให้เข้าใจ เราก็ทำแล้วแต่ความเห็นเข้าใจยึดถือความรู้ก็ต่างกันเราก็จะแก้ไปอย่างไรแต่เขาเข้าใจอย่างนั้นแล้ว

และมีเหตุการณ์ที่ทำให้อาตมารู้ว่าอาตมาเข้าใจไม่ผิด เขาตัดสินให้อาตมาผิด อาตมาเข้าใจมาก่อนแล้วว่าเขาเข้าใจต่างกับอาตมาตั้งแต่พศ.2518 อาตมาก็ขอนานาสังวาสออกมาตามธรรมวินัยได้ ประกาศนานาสังวาสตั้งแต่ 6 ส.ค. 2518 ประกาศเพราะเราเห็นว่าเขาผิด เราถูก เขาก็ต้องมองว่าเราผิดเขาถูก ตั้งแต่พศ.32 ถึง 39 ก็ยิ่งย้ำให้เห็นว่า เขาก็มองว่าเขาถูก เราก็มองว่าเขาผิดเราก็ต้องออกมาอยู่เช่นนี้ จึงต้องผ่านกติกาของประเทศก็จบเราก็หลุดออกมา

เราก็ทำมา 21 ปีแล้ว เราก็เจริญขึ้นสุขสบายขึ้น ลงหลักปักแหล่งเป็นชุมชนหมู่กลุ่มประกาศชัดเจนว่าเป็นแผ่นดินพุทธเลย นี่ก็เป็นเรื่องที่เราได้ผ่านม

 

0890015xxx เห็นธรรมแบบหลับตาต่างคนต่างเห็น เห็นธรรมแบบลืมตาน่าจะเห็นเหมือนกันนะครับ

ตอบ..หมายความว่า แบบหลับตานี้ต่างคนต่างเห็นถูกต้อง แต่แบบลืมตาก็เห็นเหมือนกัน ถูกต้องศาสนาพุทธเห็นแบบลืมตา เป็นสมมุติสัจจะที่เห็นร่วมกันได้ชัดเจน ปรมัตถสัจจะนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งต่างจากสัจจะที่โลกยอมรับกัน

ในจูฬวิยูหสูตร

1.สัจจะไม่มีในโลก

2.สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก

3.สัญญายนิจจานิ

ถ้าสมมุติสัจจะต้องมีคนอื่นรู้ร่วมได้ด้วยเหมือนกันไม่ใช่รู้แต่เราคนเดียว แล้วความเห็นร่วมกันนี่แหละถ้าไม่เป็นหนึ่งเดียว แต่พระพุทธเจ้าว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว เมื่อเห็นต่างกันก็เลยทะเลาะกัน ข้าถูกเอ็งผิด ก็เลยเถียงกัน นี่คือเถียงสัจจะเพราะว่าพระพุทธเจ้าว่าสัจจะนี่ยอมกันได้ลงกันได้ สัจจะมีหนึ่งเดียว ถ้าร่วมกันได้ก็ไม่เถียงกันทะเลาะกัน ถ้ายอมกันเอาอันใดอันหนึ่งเดี๋ยวก็ประสมประสานกันได้ เรียกว่าปรองดอง

ส่วนอันสำคัญที่เรียกว่าสัญญย นิจจานิ เป็นปรมัตถสัจจะ คนที่ยึดของตนเองสัญญายนิจจานิ คนอื่นจะเป็นอย่างไร ก็เอาแต่ของกูนี่แหละถูกที่สุดนี่คือสัญญายนิจจานิ ไม่ยอมอลุ่มอล่วยเลยคนนี้ยิ่งยากในปรมัตถสัจจะ

เป็นสัจจะของผู้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นความลงตัวของรูปกับนาม เป็นความยอมรับของสังคมว่า อันไหนถูก

ยกตัวอย่างง่ายๆว่าคนไทยเราถือหัว อย่ามาเล่นหัวนะ แต่คนอื่นชาติอื่นไม่รู้มาตบหัวคนไทยก็เป็นเรื่องสิ เขาถือจริงๆนะ ถ้ายึดถือก็เป็นสัญญยนิจจานิ ส่ิงที่เคยถูกก็เป็นผิดได้ สิ่งที่เคยผิดก็ถูกได้

เมื่อยุคสมัยก่อนศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน สมาธิของพระพุทธเจ้าปฏิบัติมรรค 7องค์ แต่ยุคนี้สมาธิไปปฏิบัติหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีสังกัปปะวาจากัมมันตะอาชีวะ เห็นไหมว่าไม่เที่ยง หรือตอนนี้เขาเข้าใจคำว่าบุญเพี้ยนไปเป็นการสะสมสั่งสมไป เป็นการยึดถือเป็นภพชาติอีก เป็นเทวดา 6 ชั้นไป เขาพูดถึงพระพรหมก็ไม่เป็นหรอก เขาเอาเทวดา 6 ชั้นเป็นแดนสุขวดี เป็นสุขขัลลิกะ เขาก็ว่าอาตมาแปลผิดอีก อาตมาแปลว่าสุขเก๊ เขาก็เลยไปหลงเทวดา 6 ชั้นนี้เป็นภพชาติ จะสะสมทำบุญได้เทวดาเป็นสุข เจริญ​ใหญ่ หรู รวย เป็นโลกีย์เป็นภพชาติ ก็ทวนกับคำสอนพระพุทธเจ้าหมดที่พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้บุญล้างภพชาติล้างเทวดาโลกีย์ให้หมด ใครไปหลงสร้างภาวะเทวดา 6 ชั้นนี้ให้แก่ตนคือคนสร้างความชั่วให้แก่ตนเอง

เทวดาชั้นต่ำคือจาตุมหาราชิกา กับปรนิมมิตตวสวัตตี เป็นการเห็นแก่ตัวจัดต้นกลับปลาย อย่างต่ำหยาบคือจาตุมหาราชิกา แต่ว่าอย่างที่มีความละเอียดหลอกล่อ ประเล้าประโลม เป็นเทวดาที่หลอกอย่างเท็จเลย ภพชาติสองภพชาตินี้ คือ จตุมหาราชิกากับปรนิมมิตตวสวัตตี  จึงเป็นต้นกับปลายที่หลอกให้คนมาหลงภพชาติ เมื่อสองอันนี้ช่วยกัน กลายเป็นภพชาติที่หนาเขลอะแน่นใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสเทวดา2 คือขิฑฑาปโทสิกะกับเทวดามโนปโทสิกะ

ขิฑฑาปโทสิกะคือหลงความชื่นอกชื่นใจเป็นโทษ แล้วจตุมหาราชิกาคือยักษ์มาร ตาโตเขี้ยวยาว เขาก็ได้เป็นเทวดาแบบนี้เขาก็ไม่เอาเท่าไหร่ แต่พูดถึงเทวดาชั้นที่ 2คือดาวดึงส์เป็นอาการที่ 33 ธรรมดาคนเรามีอาการ 32 ที่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่นี่ยึดเอาอาการ 33มาอีก เป็นของตน เขายึดว่าเป็นสุขทั้งที่มันเท็จทั้งนั้น

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯเหาะเหินนั่งจัมโบ้กลับบ้านราชพรึบตาเดียว!สมัยโบราณคงว่าอิทธิฤทธิ์!สมัยไฮเทคคงบอกล้ำยุค!

0893867xxx รักษ์ป่ารักษ์น้ำคือรักษ์กระเพาะตัวหัวใจตนที่เต้นได้เพราะน้ำที่ตัวเองรักษ์!?! รักศีลรักธรรมคือรักกายตัวจิตตนที่พ้นทุกข์พบสุขได้เพราะศีลธรรมที่ตัวเองรัก(ถูกทาง)นะจ๊ะ!?!

0893867xxx ธก.จะให้เห็นกายในธรรมต้องเห็นอัตตาในตัวเองให้ได้ก่อนแล้วจะรู้ถึงจิตมโนวิญญาณนั่นแลธก.!?!

0893867xxx พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถูกตรงพระธ.วินัยตรงตามพระตปฎ.นอกเขตมส.ยังมีเยอะหลวงพ่อฤาษีลิงดำ,ปอ.ปยุตโต,ว.วชิรเมธี,พระไพศาลฯติงธก.!ชี้ขุมทรัพย์ถูกตรงในผจก.360องศาชัดเจน!

ตอบ...ก็ขอให้กำลังใจที่ในเถรสมาคมที่แสดงออกอย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดินคือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ท่านองค์นี้เรียนไม่สูงแต่เฉลียวฉลาด ไม่จำเป็นต้องเรียนมาก อาตมายังปราดเปรียวสู้ท่านไม่ได้เลย แม้อาตมาเรียนสูงกว่าท่านบ้าง

0893867xxx พ่อครูคงไม่ลืมพระกู้ช.ศ.ก ษ.ฯหลวงปู่พุทธอิสระพระอ.ชัยณรงค์และอีกหลายรูป ที่พยายามประคับประคองช.ศ.กษ.ให้เข้มแข็งเสมอกัน ดังเช่นที่พ่อครูทำเพื่อแผ่นดิน!ถ้าช.สั่นคลอน!ศ.อ่อนแอสถาบันฯจะมั่นคงได้อย่างไร?ขอบคุณชาวกทธ.บุญนิยม ที่ให้ร่วมการมาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินและมาทำบุญเพื่อแผ่นดินลูกหลานไทยด้วยกันมาจรธ.

0890015xxx ในหลวงตรัส"ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา" ผมเข้าใจว่า "ขาดทุนคือเราได้เสียสละ จึงเป็นกำไรของเรา เป็นกุศลของเรา" ถูกไหมครับ ?

0818557xxx กราบนมก.พ่อครู บ้านราชลมแรงมากนะเจ้าคะ ท่านถนอมสุขภาพด้วยค่ะ

0817789xxx ชื่นชมพ่อครูมากๆๆเสียสละจริงๆๆน้อมโมทนาบุญด้วยเจ้าคะ

 

จากไลน์

นมัสการพ่อท่านที่นาแรงรักแรงฝัน เริ่มปลูกข้าวแล้วเด็ก ๆ หัดทำนาหยอด ปีนี้ทุกคนทั้งใจกันทุกคน แม่ขยั่นมั่น 80 แล้วยังอาสาทำกับอาเสวยตั้งเกือบ 3 ไร่ปีนี้นาแรงรักคงไม่เหงาคงมีพี่น้องมาเยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นคาดว่าจะทำกิจกรรมระลึกถึงคุณหมอฝากฟ้าหนึ่งและคิดว่าน่าจะเป็นวันรวมพี่รวมน้องทุกปี/Sayan

 

กราบนมก.พ่อครูเจ้าค่ะ วันนี้ขอรายงานค่ะว่า ได้ซื้อซีดีมาฟังของปี2529 พ่อครูเทศน์อธิบายได้ดีมาก เข้าใจแจ่มแจ้ง ลูกต้องตามหาของเก่ามาฟังอีกหลายๆๆเลยเจ้าค่ะ..

กราบนมก.ค่ะ/JQ

SMS 14/06/59

0833046xxx เรียนโลภโกงเล่ห์เหลี่ยมร้ายอุบายหลอกใจไม่ซื่อคิดชั่วร้ายภัยมหันต์

0845818xxx ทุกข์ทรมานในนรกร้ายไม่อาจบอกเล่ามีกระจกเงาส่องกรรมเจ้าเอาออกเผยหากบังหน้า"พระหลอกกินฟ้าดินตามทัน"

0816800xxx เป็นบุญที่ได้มาพบธรรมกับพ่อครูค่ะ

0849892xxx ทำใมเถรสมาคมไม่จัดการธ้มมี่อวดอุตริเจ้าค๊ะหรือธ้มมี่support ก.ท.ม

0805925xต่อไปศาสนาพุทธจะเติบโตในยุโรปแน่นอน โลกตีลังกาธรรมะจะสว่างในต่างแดน ทราบมาว่าอิตาลีบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ สาธุ  เรื่องแธมมี่ทำให้รู้พุทธไทยหลงซาหวันไม่เอาแก่นธรรมผิดกับฝรั่งมุ่งแก่นธรรม จบแธมมี่ต่อรถหรูป่ะศิษย์อาจารย์ดูไป?ดูเงียบฉี่ฉงฉัยจัง?

0833046xxx เพียรกวาดล้างความโสโครกถ่ายเทสิ่งสกปรกให้หมดไปคงไว้แต่ธรรมญาณอันใสสะอาดฟื้นฟูโพธิจิตอันประภัสสร จิตเมตตาช่วยเวไนยพ้นทุกข์จึงไม่เห็นแก่ตัวเสพสุขจิตที่เสียสละจึงไม่ทุกข์วิตก รวยหรือจน

0893867xxx นมก.พ่อครูฯวันนี้บ่ได้ฟังเทศน์ฯมางานศพป้าวัดนครสวรรค์วัดนี้มีเทศน์ธรรมะก่อนสวดเหมือนวัดชลประทานฯของพระปัญญานันทภิกขุฯที่จัดพีธีเรียบง่ายดังท่านจันทร์เคยเทศน์บอกมาฯ กลับไปคงได้ฟังเทปซ้ำพ่อครูเทศน์วันพรุ่งฯฃอบคุณบุญนิยมจรธ.คนติดธรรมอโศกที่สอนไม่ให้ยึดติดมีแต่ลดละวางกิเลสทั้งปวง

จากไลน์..

_ฝากถามพ่อครูหน่อยค่ะ หนูอยากทราบว่า ทางสายกลางคืออะไรค่ะ เราจะปรับใช้ในชีวิตประจำได้ยังไงค่ะ เพราะทุกคนมีวิถีชีวิตต่างกัน ความคิดต่างกัน แล้วอย่างไหนที่เรียกว่าดำเนินชีวิตตามสายกลางค่ะ

ตอบ...เรื่องนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มัชฌิมาปฏิปทาที่เขาแปลกันว่าทางสายกลางนั้น มัชฌิมาแปลว่ากลาง แล้วเอาคำสองคำนี้มาต่อเป็นคำใหม่ว่า ทางสายกลางก็เลยตีความไปเรื่อย จากเรื่องลึกซึ้งกลายเป็นเรื่องตื้นเขิน แปลไปเป็นวิธีปฏิบัติแบบกลางๆแบบเคร่งจัด แบบเอียงไปซ้ายก็ไม่เอา เอียงไปข้างขวาก็ไม่เอา  คำว่าเอียงคำนี้ภาษาบาลีเรียกว่าอัตตา

ทางปฏิบัติคือมรรคองค์ 8 ก็ปฏิบัติไปตั้งแต่เบื้องต้นละกามก่อน ละอัตตาด้วย ก็จะลดตั้งแต่กามหยาบคืออบาย ลดโอฬาริกอัตตา ผลได้คือมาหากลางคือมัชฌิมา ไม่ใช่ข้อปฏิบัติกลางๆไม่ตึงไม่หย่อนคือเหมือนเสียงพิณที่ต้องไม่ขึงให้ตึงหรือหย่อนเกิน นั่นก็เพียงส่วนประกอบ

ถ้าเข้าใจว่า ทางสายกลางคือไม่เคร่งไม่หย่อน จะปฏิบัติตามใจที่คุณว่ากลาง นั่นคือคุณไม่เคร่ง ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าว่า ตั้งตนบนความลำบากนะ ท่านไม่ได้สอนให้อย่าเคร่งเกินไปอย่าหย่อนเกินไป นั่นมันประเด็นของท่านเอง ที่ท่านเคร่งเกินไป ก็ไปได้ยินเสียงพิณ แต่ไม่ใช่ไปอธิบาย สูตรนี้

_ขออภัยพ่อครูเทศน์ไม่ต้องยกมือขึ้นลงได้ใหมครับ เพราะให้เข้ากับศิลปินปัจจุบันวาจาควรไม่ควรแล้วแต่จะโปรดครับ

ตอบ...ก็ขอบคุณที่หวังดี แต่ว่าอาตมาเข้าใจว่า ถ้าแสดงธรรมจืดๆคนฟังฟังไม่ไหวหรอกหลับไปหมด อาตมาต้องหยอดสุนทรียศิลปะเข้าให้คนได้สารศิลป์ไปด้วยได้ ก็ไม่ได้หยาบคายอะไรนัก แต่ถ้าพูดอย่างนั้นก็คืออาตมาติดนิสัย มาตั้งแต่ไหนไม่ได้นิ่งเป็นคนหลุกหลิก ว่าไปเรื่อย แม้แต่ปากคอพูดไม่ค่อยนิ่งหรอก

_ผมอยากมีบุญมากๆครับ ควรเดินทางแบบไหนครับผมอยากให้พ่อครูหลอกผมจริงผมจะได้ไม่กังวลกับอนาคตครับ

ตอบ...บุญนี่เป็นเครื่องมือชำระกิเลสไม่ใช่เครื่องมือที่จะสะสมอะไรถ้ากิเลสหมดแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญนะ บุญก็หายไป แต่ถูกหลอกว่าบุญคือกุศลน่าได้น่ามีน่าเป็น

_บิ๊กตู่ ขออย่าถือสา โวยวาย-เสียงดัง เจตนาบริสุทธิ์ทำเพื่อชาติ

  โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิ.ย. 2559

 

 นายกฯ ย้ำ รบ.ใช้หลักปรัชญา ศก.พอเพียง ขับเคลื่อนประเทศ ขอ ปชช.รักชาติ อย่าลืมรากเหง้าความเป็นไทย ลั่นใช้เวลาที่เหลือเร่งงานให้เร็ว-ใช้เวลาเรียนรู้-ไม่เอาเวลามาทะเลาะ เฉลยปม "รู้แล้วจะหนาว" เหตุเจอปัญหาหมักหมม ยังไม่แก้หลายเรื่อง หวั่นทำไม่ทัน ขออย่าถือสาที่โวยวาย-เสียงดัง แต่เจตนาบริสุทธิ์

 

      เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 59 ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถ.แจ้งวัฒนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบล พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า 

 "วันนี้รัฐบาลใช้หลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาขับเคลื่อนประเทศ สิ่งจำเป็นคือต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับ เพื่อทำให้ประเทศในอนาคตไม่เป็นแบบวันนี้ ทุกคนต้องเข้าใจต้นตอของปัญหา และยึดหลักอริยสัจ 4 โดยการเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาปรับใช้เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่มีแต่เรื่องสวรรค์ชั้น 1, 2 หรือ 3 และขอย้ำว่าอย่าให้ประชาชนลืมประวัติศาสตร์ชาติไทยเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าจะรักชาติกันอย่างไร และอย่าให้เกิดเกิดความขัดแย้งแบบอดีตอีก แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ทุกคนต้องช่วยกัน

สวรรค์6 ชั้นเป็นภพเป็นชาติที่ศาสนาพุทธต้องล้างภพจบชาติ ใครที่บอกว่าจะต้องมีสวรรค์ไปเป็นลำดับนั้นเป็นคนพูดผิดที่จริงแล้วจะต้องลดสวรรค์ลดภพชาติไปตามลำดับ ตั้งแต่ชาติที่เป็นสัตว์อบาย เรารู้จักสัตว์โอปปาติกะที่ต้องลดไปเรื่อยๆ การไม่เข้าใจความเป็นเพราะเป็นชาติถ้าผู้ใดยังเกิดมีชาติอยู่แล้วไม่รู้จักคำว่าชาติไม่รู้จักคำว่าภพ ก็ไปสร้างภพชาติ

ตั้งแต่ภพชาติแบบโลกๆคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุข แล้วก็บอกว่าเทวดาคือผู้ได้ความสุขแล้วก็ไปแย่งชิงเขามาใช้เล่ห์กล โกง ด้วยความหยาบคายลามกอย่างไร หรือสะกดจิต จนชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ก็ตามก็ยึดถือสวรรค์ว่าเป็นแดนให้สุขแต่ถ้าถือแต่แรกว่าสุขคือเท็จก็จะไม่หลงสวรรค์ เพราะหมดสวรรค์ก็หมดสุขหมดทุกข์ ตามเวทนา 108

คนที่ไม่เข้าใจมหาราชิกา คือตั้งหน้าตั้งตาแย่งเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขใช้ทุกวิธีการเล่ห์กล ได้เนียนเท่าไหร่ได้มากเท่าไหร่เป็นมารเป็นยักษ์ หลงภพเทวดาว่าเป็นแดนสุขก็สร้างภพชาติที่หยาบคาย

ถ้าผู้เจริญลดภพชาติต้องลดเทวดาจตุมหาราชิกาก่อนเลย ไม่หยาบคายไม่ไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขในขั้นที่ตนเองต้องหยากมาก เช่นอยากรวยอยากใหญ่ พูดไปก็ไม่พ้นธัมมี่เป็นตัวอย่างได้หมดเลย สร้างสตาร์วอร์ จานบินเลย แล้วแก่ก็ปั้นความรู้ทางนามธรรมมาผสมรูปธรรมสมัยใหม่ เก่าปนเลย แล้วพวกนี้ไม่เอาสมัยเก่านะ ไปเป็นสมัยใหม่หมดเลย คนจึงหลงไปหมดหนุ่มๆสาวๆหลงหมด เฉโกมาก

อีกทีจะต้องลดความเป็นเทวดาชั้น 1 ส่วนชั้น 2 คือแดนหลอก เป็นอาการ 33 ที่ไม่มีจริง แล้วไปหลงว่ามันมี

ยามาคือระยะเวลา กับดุสิตคือแดนแสนสุข สุขทั้งนานทั้งกรึ่มติดยึดได้เรียบร้อยคนอื่นอยู่ใต้อำนาจง่ายดายเรียบร้อยเลย แบ่งความเป็นเทวดาสามเส้า หกนี่แบ่งเป็นสอง สอง

คู่แรกจตุมหาราชิกากับดาวดึงส์ ล่ามาได้ก็เอามาเสพสุข แล้วเอามาสะสมให้นานเป็นยามา

แล้วอีกคู่คือนิมมานรดีกับปรนิมฯก็เป็นการเจริญสู่ภพชาติ ทั้งหนาหนักใหญ่ หลงภพชาติอวิชชาหนัก หลงติดนรกเป็นสวรรค์กลับกันหมดเลย สั่งสมเป็นนิมมานรดี คำว่ารตีคือเสพรสเสพกิเลส

เนรมิตมาให้ตนเสพ ส่วนปรินิมมิตวสวัตตีคือสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาใหม่ๆอื่นๆเพื่อให้ได้อำนาจ ได้รอบกว้างใหญ่โตมาก แสดงว่าเป็นเทวดาหลอกหลงสมมุติเทพ

ทวนกระแสกับพระพุทธเจ้าที่ท่านบอกว่า….ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ...

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น        ก็หามิได้

          ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

(พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21  ข้อ 25)

ตรงนี้ธัมมี่ทำตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าหมดเลย แล้วเขาทำได้ชนะด้วย ไชยบูลย์ด้วยนะ สิทธิผล ….

เขาทำการสะกดจิตได้ถึงขนาดให้คนชุดนี้ทำตามได้หมด หลงเชื่อตามใช้วิธีสะกดจิตเช่นนี้ ออกนอกพุทธไปสุดกู่เลย

ทุกข์อย่างลึกซึ้งที่สุด และทุกข์ที่ตื้นที่สุดคือ ความจน

คนไม่อยากจน แต่แล้วเขาก็สอนให้คนทำบุญหมดตัวเทหมดเลย จะมีสวรรค์รออยู่ภายหน้า ไม่ต้องกลัวเขาก็สามารถทำให้คนทำทานได้มาก เขาก็มีฐานการทำอะไรต่อ ก็ให้คนทำทานได้มากขึ้นอีก แล้วก็โกยมาเพิ่มอีก อย่างนักกฏหมายหญิงที่อาตมาเคยเอามาอ่าน

แต่มันก็ซ้อนที่สอนให้คนขยันหมั่นเพียรก็ได้มาด้วยแล้วเอามาบริจาคมาอีกมันก็ได้มากสิ แต่ไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษเลย เอาความดีตื้นๆมาหลอก แล้วเขาเอาใจใส่ด้วยนะ ไชยบูลย์นี้เอาใจใส่บอกแนะนำ คนก็เห็นว่าเป็นคนที่รักลูกเอาใจใส่ ต่างกับโพธิรักษ์ที่ไม่ค่อยปฏิสันถาร ก็ขอบคุณพวกเราที่เอาใจใส่แทน อาตมาก็ว่าไม่ค่อยมีเวลา

ชาวอโศกเป็นแดนแห่งอุบัติเทพ ไม่ใช่สมมุติเทพ ธรรมกายเขามีจุดกลางกลายเป็นจุดเหนือสะดือสองนิ้ว เป็นตัวตนสถานที่ เขาไม่ได้รู้หรอกว่ากายคืออะไร ต้องแยกกายแยกจิต ต้องรู้ว่าอะไรคือกายอะไรไม่ใช่กาย ต้องล้างกายของสมมุติเทพให้กลายเป็นวิสุทธิเทพเป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าให้เรียกท่านว่าธรรมกายหรือพรหมกาย ขอพูดตรงๆเลยว่าเขาไม่มีความรู้หรอกว่ากายคืออะไร ธรรมกายคืออะไร เขาก็รู้แต่บัญญัติว่าธรรมกายนี้ยิ่งใหญ่ ก็เอาชื่อไปแล้วหลอกให้คนหลงภพชาติ หลงบุญหลงวิมาน อย่างหนักหนาแน่นเลย เป็นตัวร้ายครบสูตร เป็นทั้งจตุมหาราชิกและเทวดา 6 นี้ครบเครื่องหนาหนักแน่นคลายได้ยาก น่าสงสารคนหลงทิศทางนี้

สุขนี้เป็นเรื่องเท็จ ทุกข์สิเป็นอาริยสัจ ส่วนคนหลงสุขว่าเป็นจริงนั้นเป็นสุขของคนโง่

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ว่าวิธีปฏิบัติคือมรรคมีองค์8 เป็นสูตรแรกเลยที่พระพุทธเจ้าสอน คนก็ไม่เข้าใจว่า คือ กามสุขขัลลิกะกับอัตตกิลมถะ ต้องทำให้สิ้นอันตา คือปลายทั้งสองด้าน ต้องทำให้ออก จนจิตเป็นกลางคือมัชฌิมา กามจะหมดก่อน เหลือเศษรูปราคะ อรูปราคะ แล้วยึดดี ก็เอาให้หมดมานะ ตรวจสอบเศษอุทธัจจะล้างธุลีละอองอีกแล้วกำหนดรู้แบบพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสัญญาเวทยิตังนิโรธังโหติ พ้นโลกสมุทัยบริบูรณ์


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:05:09 )

590616

รายละเอียด

590616_พุทธศาสนาตามภูมิ ธัมมจักกัปปวัตนสูตรแบบพิสดาร

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2553

SMS 15 มิ.ย. 59

0818557xxx กราบนมก.พ่อครู ลูกว่าธัมมี่เป็นคนวางแผนเองทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกกลยุทธ์เลยเจ้าค่ะ..

ตอบ...น่าจะจริงอย่างหมอมโนว่า

0890529xxx ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ก็จะเป็นมารอันใหญ่หลวงมีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นไฉนจะได้บรรลุสู่ความเป็นพุทธะเล่า ธรรมะเป็นหลักชำระกิเลสแต่ถ้าเอาปัญญามาหาประโยชน์ตนถ่ายเดียวเป็นคนสกปรกเป็นอสุจิมนุษย์เป็นคนสกปรกอย่างยิ่ง

0814387xxx วันนี้พ่อท่านไม่ไอเลยสาธุ

0892297xxx ฉันชอบพ่อท่านเทศน์ตอนองค์ลงเจ้าค่ะเพราะเฉาะแล้วคว้านกิเลสพวกอลัชชีเต่าถุยในกระแสหลักได้ชัดสุดยอดปรอทแตกเลยเจ้าค่ะ

0893867xxx ที่อธรรมแข็งแกร่งมานานเพราะเขาสามัคคีมีกลุ่มเป็นเอกภาพเหนียวแน่น!พลังธรรมะจึงทำอะไรไม่ได้ เพราะพลังกลุ่มธรรมยังไม่รวมตัวให้เข้มแข็งพอ!พ่อครูว่า ถูกไหม?

พลังสามัคคีคนไทยทำไมรวมตัวได้แข็งแกร่งแต่ในวันพ่อฯวันแม่ฯ?เพราะทุกคนรั กสถาบันฯใช่ไหม?ถ้ารักศาสน์ทำไมคนมีศีลธรรมไม่รวมตัวปกป้องศาสนาให้เข้มแข็งเช่นนั้นบ้าง?

ตอบ...ใช่ อโศกนี่แน่น แน่นและแข็งแกร่งแต่พิเศษที่ไม่ติดยึด และมันยังไม่ถึงองค์ประกอบสมบูรณ์ ยังไม่ถึงเวลา ถ้าได้แล้วจะมีความแข็งแรงเที่ยงแท้ยั่งยืนในต้ว ไม่มีการแปรเปลี่ยน เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามากเน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่นเน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง

0865356xxx ใจเที่ยงตรงคือพุทธะ ใจผิดเพี้ยนคือมาร ใจโลภคือเปรต ใจหลงคือเดรัจฉาน.. น้อมกราบพ่อครูเมตตาอธิบาย สาธุ

ตอบ...เปรตคืออะไรคือใจโลภที่บำเรอตนเอง ต้องเห็นความเป็นเปรตในตน เป็นสัตว์โอปปาติกะ เป็นผีเป็นเปรตในตน เป็นเสขบุคคลที่รู้อาการเปรตในตน มันเป็นจิตอื่น ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง มันไม่ใช่ตัวเราเป็นแขกจรมา เป็นปรทัตตูปชีวีที่ซ้อนอยู่ เป็นทั้งในตัวเองและในองค์ประกอบ หลงติดยึดเป็นเดรัจฉาน อย่างที่เห็นทำไปสารพัด

0805925xxx พระไทยส่วนมากบวชนานแก่หลายแดดมักอังเปาพระฝรั่งตั้งใจบวชหนีเวรกรรม ตั้งใจเผยแผ่ธรรมพระไทยบวชนานหลงลาภยศจิงเดี๊ยะๆเห็นกันอยู่เนอะ

0850278xxx กราบนมัสการพ่อครู ขอบพระคุณที่ช่วยขยายความเรื่องกามและอัตตาทำให้ลูกมองเห็นกามหยาบๆในตัวเองชัดขึ้น จะตั้งใจพยายามฝึกฝนลด ละ เลิกให้ได้ค่ะ

0893867xxx ติดสุขเป็นเทวดาสวรรค์6ก็ยังต้องดับต้องเกิดอีกไม่ถึงนิพพานอยู่ดี!

0893867xxx เป็นชายเทวดาเป็นหญิงเทวดา14มีใจสูงถือศีล5ศีล8จนถึงอพยาปาท,สัมมาทิฏ ฐิ,สีลวา,กัลยาณธัมโม,วิคตมลมัจฉริยะ,อนักโกสกปริภาสโกสมณพราหมณาพาสู่ทางนิพพานดีกว่าสวรรค์6วนในวัฏฏะมิจบสิ้น!

_มีคำถามว่า"ทำไมพ่อท่าน จึงยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่อิดออด หรือใช้ลูกศิษย์เป็นโล่ห์มนุษย์?

พ่อครูว่า... กรณีขึ้นศาลเราก็เดินทางไปขึ้นศาลปกติ ไม่เคยใช้ลูกศิษย์เป็นโลห์เลย เราต้องเป็นโล่ห์ให้คนอื่นด้วย คนเอาคนอื่นเป็นโลห์ไม่ใช่คนจริง

 

_มีเรื่องเล่าจาก blog OK nation ของ BARRACUDA : เรื่องเล่าของนายปลาสาก …..

บ้าไปกันใหญ่แล้ว ถ้าคิดแบบ "สมีธัมชโย" และเหล่าสาวก

สรุป จากแถลงกาณ์สาวกลักธิจานบิน เรียกร้องกับ ดีเอสไอ ว่า สมีโยเย ยังไม่ยอมมอบตัว เรียกร้อง จะหนีกบดานอยู่ในวัดจานบิน จนกว่าจะแต่งตั้งสังฆราชแล้วเสร็จและให้บ้านเมืองเป็น ประชาธิปไตย หลังการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทำไมต้องรีบมาจับ สมีคนชั่ว เพราะคดีนี้มีอายุความตั้ง 15 ปี ดำเนิดคดีเมือใดก็ได้ เพราะตอนนี้ "สมีโยเย" ได้ถูกพระบางรูปและคนบางกลุ่ม หวังกลั่นแกล้งและเป็นการหวังทำลายพระศาสนาพุทธในประเทศไทย

 

เริ่ม อิงการเมืองแล้ว...มาแนวเดียวกับ หน้าเหลี่ยม หนีคดีเลย แต่ ที่สมเพชเวทนาที่สุด คือ สาวก ทั้งหลายของสมีโยเย ที่ งมงาย จนไร้ซึ่งเหตุผล แยกแยะดีชั่วไม่ได้ แยกแยะเรื่องทางโลกทางธรรมไม่ได้แล้ว แสดงว่าประเทศไทยนั้น เสื่อมและทราม นั้นเกิดขึ้นเพราะ คนไทย ส่วนใหญ่ เห็นแก่ความชั่วร้าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ความเชื่อส่วนตนเอง  มากกว่า คุณธรรม ศีลธรรมและความดี ความถูกต้องของสังคมส่วนรวม

 

แต่...พวกเจ้าสาวก สมีโยเย ทั้งหลายยอม "บ้า" ไปแล้ว แถ-ลง แบบ โง่ ๆ เพราะอย่างนี้ใช่หรือไม่

 

1. จะมอบตัว ถ้ามี การแต่งตั้งพระสังฆราช แล้วเสร็จ เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับคดี รับของโจรและฟอกเงินที่ สมีโยเย โดนหมายเรียก หมายจับ หมายค้น ออกโดยศาลอาญา ซึ่งเป็นคดีทางโลก คงหวัง หลวงตาช่วง ได้เป็น สังฆราช และจะได้ช่วยเหลือตนเอง ใช่หรือไม่

 

2. จะมอบตัว ถ้ามี การเลือกตั้งและให้บ้านเมืองเป็น ประชาธิปไตย เพราะพวกเจ้าทั้หลายหว้งว่า ระบอบทักษิณ จะกลับมามีอำนาจแล้วช่วยพลิกคดีจากผิดให้เป็นถูกเหมือนครั้งก่อน ใช่หรือไม่ กล่าวหาคนนั้น กลุ่มนั้น กลั้นแกล้งตนเอง ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร แถมหัวหมอบอกคดีมีอายุความตั้ง 15 ปี มาจับตอนไหนก็ได้ สงสัยจะเอา หัวแม่เท้าคิดแทนสมอง เพราะอายุความเขาเอาไว้ใช้ ถ้าจำเลย หลบหนีไปแล้วเจ้าหน้าที่ตามหาตัวหรือจับคุมตัวไม่ได้ นี่ สมีโยเย นอนตีนดำอยู่ในวัด เข้าจึงต้องบุกไปจับ

 

3. แถ และ ดิ้นรน ขัดขืน โกหก ตอแหล ขนาดนี้ เพราะพวกเจ้าทั้งหลายก็รู้ว่า "สมีโยเย" ผิดจริง ใช่หรือไม่ ถ้าขึ้นศาลยังไม่ก็ไม่รอดแน่นอน ติดคุกแน่นอน สงสัย ดีเอสไอ ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู โดยการจับสาวกสมี เข้าคุก ข้อหาขัดขวางเจ้าหน้าปฏิบัติหน้าที่ขณะเข้าจับคุมตัวผู้ต้องหา สักสิบ ยี่สิบ คนแล้ว..กระมัง

 

เงิน บารมี มวลชนและอำนาจ อาจทำให้ "สมีธัมชโย" รอดคุก รอดตะราง ได้นั้น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้ สมีชั่ว พ้นผลแห่ง กรรมชั่ว ที่ก่อไว้ ตายไปถ้านรกอเวจีมีจริง ขุมที่ลึกที่สุดคือ สถานที่ที่ สมีชั่วจอมลวงโลก จะได้ไปอาศัยจนชั่วกัปชั่วกัลป์ แน่นอน...นะจ้ะ

 

เรื่องของเรื่องมันเป็นจริงตามยุคสมัย ใกล้กลียุคนั้นพระเอกแสดงตัวไม่ได้ ได้แต่ดูช่วยก็ไม่ได้ อาตมาทำไมต้องชื่อรัก คุณสุลักษณ์ทำไมต้องชื่อนี้ เป็นต้น

ถ้าอยากให้เป็นนั้น อย่าไปทำต่อ ถ้ามันจะเป็นได้นั้น...ไม่ใช่เพราะอยาก ...พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 16 มิ.ย. 59

ถ้ารู้สึกว่าน่าจะทำก็ค่อยทำต่อไป มันจะค่อยๆลงตัวในรูปนาม เป็นอจินไตย ในพวกเราชื่อนั้นชื่อนี้ อาตมาใช้ได้แต่พวกเราอย่าลอกเลียนแบบ มันไม่ใช่ตัวจริงอย่าไปแอค

ในธัมมจักกัปปวัตสูตร ขึ้นต้นด้วยมัชฌิมา เราต้องรู้ว่า 1 กาม 2 อัตตา และ 3 มัชฌิมา นี่เป็นสามเส้า มันเหมือนกับที่อาตมาพยายามยกตัวอย่าง ว่าพลังงานข้างในมีลักษณะของมันเป็น ish เป็นต้น i she he ที่มีลักษณะของมัน สามลักษณะ

พรหมชาลสูตรนั้นเป็นการประกาศธรรมนูญของพุทธว่าคือศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

จุลศีล 26 ข้อใช้ปฏิบัติเพื่อจะล้างกิเลสของตน พระพุทธเจ้าว่าถ้าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีล คนมีศีลนี่แหละคือคนที่จะต้องยกย่องเชิดชู ถ้าจะชมชุมชนชาวอโศกต้องชมว่าชาวอโศกเป็นคนมีศีล มีจริงตามฐานะ ของเราเด็กศึกษาฝึกฝนศีล เด็กเขาถูกลงโทษเพราะผิดศีลก็มี นอกจากจะต่ำกว่า 7 ขวบก็เอานิยายเขาไม่ได้ แม้จะไม่ถึง 7 ขวบพวกเราก็เอาภาระ แต่ไม่เคร่งเครียดเกิน แต่เกิน 7 ขวบค่อยเดียงสาขึ้นมา เรามีศีลทั้งชุมชน

ถ้าเมืองไทยเรานี่ไม่ต้องไปร่างรธน.อะไร ถ้าให้คนไทยต้องถือศีล 5 แล้วเอาศีล 5 มาออกกฏหมายย่อย ศีล 5 นี้เป็นธรรมนูญ ให้ลึกซึ้งเป็นศีล 8 ศีล 10 จนครบ 26 ข้อ ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้วว่าศีลนี่จะเป็นเครื่องนำพาให้เราเจริญ ศิวิไลซ์ ตรงกันหมดในผู้มีปัญญา

ส่ิงที่พระพุทธเจ้าตรัส คนมีปัญญา จะใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นหลักเลย ในอธิกรณสมถะ 7 เป็นหลักกฏหมายที่จะใช้ตัดสินได้สมบูรณ์แบบแล้วมีหมดเลย ตั้งแต่สัมมุขาวินัย ถึงตินวัตถารกวินัย(ซุกใต้พรมไว้) อนุโลม ปรองดองเอาไว้ก่อนมีหมด

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ที่จริงก็น่าจะได้ ต้องอาศัยคนมีปัญญาเข้าใจเพียงพอมีมวลปริมาณเพียงพอด้วย จะเป็นไปได้ 

ในธัมมจักกัปปวัตสูตร มีกามกับอัตตาที่เราต้องเรียนรู้ลดละ กิเลสไม่มีอื่นมีกามกับอัตตาเท่านั้น

กามคือกิเลสรวมหมดทั้งโลก อัตตาคือกิเลสตัวใครตัวมัน ส่วนกามคืออะไรที่เราเกี่ยวข้อง แล้วเราก็โง่ไปยึดติดกับมันไปหลงกับมัน ว่าเป็นสิ่งที่เราต้องหลงใหลได้ปลื้ม โดยลืมหลงไปว่า ถ้าได้อันนี้จะทำให้มีอำนาจ มีสุข ความสุขเป็นอารมณ์เก๊ อารมณ์ปลอม เป็นเท็จ เป็นเทวดา เป็นภพเป็นภูมิเท่านั้น ความเป็นเทวดา 6 ชั้นนี้ อาตมาเพิ่งจะมาเปิดเผย อธิบายชัดเจนมาไม่นานมานี้เอง เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาวาระ

ก็เลยให้พวกเราเรียนรู้ไปตามประสา อย่างพวกเราง่ายๆ ศีล 5 ศีล 8 ศีล10 พวกเราก็มี เช่นข้อไม่เลี้ยงสัตว์พวกเราก็ทำได้องค์รวม มีบางคนติดบ้าง ไม่ได้เลี้ยงงูเลี้ยงเสือเหมือนบางพวก แม้แต่วัวควาย เราก็อนุโลม เลี้ยงช้างม้า เขาก็ต้องใช้ประโยชน์บ้าง แม้แต่ปลา เป็นสัตว์เกิดใหม่เกิดง่าย เต็มมหาสมุทรได้เร็ว เป็นต้นทาง สัตว์เกิดมาจากน้ำ แล้วมาเป็นสัตว์บก สัตว์บกจะเกิดหลังสัตว์น้ำ ต่อจากสัตว์น้ำมาเป็นสัตว์บกสัตว์อากาศ เพราะน้ำเป็นตัวการเกิดชีวะ

กามก็คืออัตตา อัตตาก็คือกาม ซ้อนกันไป กำจัดกิเลสเราได้ กิเลสของเราเป็นอัตตา กิเลสกามที่เราติดยึดอะไรก็คืออัตตาของเราใครก็ตามหลงติดยึดแต่ก่อน แต่เราเลิกได้ ก็ไม่สะดุ้งสะเทือนกับชีวิตบางอย่างก็มีผลแต่ไม่ถึงกับทำให้ล้มละลายก็เลือกเอา

กิเลสภายนอก เรียกว่า กาม จิตเราจะรู้ได้ต้องมีภายนอกสัมผัส กิเลสภายในก็มีแต่ว่าเก็บสุดท้ายตามลำดับ เอาข้างนอกนั้นแหละมา ต้องมีสัมผัสภายนอกแล้วจะรู้ว่าเราเหนือมันหรือไม่ ไม่ใช่สู้แต่ภายใน ภายนอกมาสู้ไม่ได้ แต่ว่าศาสนาพุทธเก็บละเอียดสู้ได้แต่นอกถึงในเลย

คนจะรู้ธรรมะสองต้องมีทวารนอกไปสัมผัส ไม่ว่าสิ่งนั้นเรียกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ความหลงเป็นสุข ในกาม ตั้งแต่อบายของเราของใครก็ของมัน เรามีจริงอยู่นี่ ถ้าเราตั้งไว้แล้วว่าเราจะไม่เอาแล้วอันนี้

คนที่มีวิบากมาก มันจะมีโจทย์แรง โจทย์มาก สู้หนัก มากด้วยแรงด้วย เราก็ต้องสู้จัด นองน้ำตา ทุกข์แล้วทุกข์อีก ทรมานแล้วทรมานอีก แต่เราต้องแน่ใจนะว่านี่คือกิเลสเราจริงๆ แล้วเราต้องเอาออก เอาไว้ไม่ได้

คุณรู้วิธีปฏิบัติไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าตีทิ้งตั้งแต่พระสูตรแรกเลยว่าไม่มีสัมผัส ไม่มีธรรมะสอง มันเลยไม่จริงไม่สมบูรณ์เด็ดขาด

พระพุทธเจ้ามาตั้งศาสนาพวกที่ครองศาสนา ต่างคนต่างแยกลัทธิไปเยอะแยะ อยู่ในป่า เป็นคนนอกศาสนาพุทธ แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอีกเยอะ มากที่จีน อินเดีย

เราต้องพยายามเข้าใจ มีสัญญา ตัวสัญญาคือเครื่องกำหนดรู้ เป็นพลังงานในจิตของเราเป็นนามธรรม มีรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณต้องรู้ลักษณะทั้งห้าอย่างนี้ได้ ที่จริงรูปนี้ไม่ใช่พลังงานจิต พลังงานสี่อย่างคือจิต องค์รวม เวทนา สัญญา สังขาร ปรุงแต่งเป็นวิญญาณ ถ้ายึดมั่นถือมั่นเป็น i องค์ประกอบคือเวทนากับสัญญา เมื่อใช้สัญญาไม่เป็นก็สั่งสมกิเลสใส่จิตตลอด มันกำหนดรู้แล้วจำนะ เป็นตัวยอดกำหนดรู้เลย

สัญญา เป็นตัวการเลย จะพาให้สุขทุกข์ก็ตาม ส่วนสัญญาคือ i ส่วนเวทนาคือ she and he ถ้าเขารวมหัวกัน I ก็หนักนะ แต่ถ้า ish รวมหัวกันก็ทั้งหนักหนาเลว สร้างสวรรค์กับนรก ซึ่งสองอย่างนี้ไม่ได้แยกกัน สวรรค์กับนรกอันเดียวกันเป็นเหรียญสองด้าน เราฆ่านรกสวรรค์ก็หาย

เราต้องอ่านอาการโดยใช้สัญญากำหนดรู้ นามธรรมพระพุทธเจ้าแจกไว้ 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ห้าอย่างนี้ ถ้าคนปฏิบัติธรรไม่เข้าใจชัดเจน ต้องจัดการทำใจในใจให้เป็น

การนั่งหลับตาทำใจในใจผิดแล้ว ต้องมีผัสสะแล้วอ่านเวทนา แล้วทำใจในใจให้เป็น

ถ้าเมืองนี้ ตัวฮ่องเต้ไม่ทำเองหรอก แต่ว่าพูดนิดหน่อยบริวารทำให้หมดเลย เช่น ฮ่องเต้ว่าวันนี้เจอผู้หญิงสวย เท่านั้นแหละ ลิ่วล้อไปสืบแล้ว ว่าอยู่ไหน ไปหามาประเคนเลย การได้ปรินิมิตวสวัตตีเช่นนี้เลวไหม เลวซับซ้อน เลวยิ่งกว่าจตุมหาราชิกาเลย

_ฝากถามมาว่า เลิกนั่งสมาธิมาหกเดือนแล้ว ยังไม่เลิกฟุ้งซ่านทำไง

ตอบ..ถ้ายังไม่หายให้นั่งสมาธิก่อนต่อไป เรียนรู้นั่งสมาธิแล้วฟังอาตมาด้วย ถ้ามาคบคุ้นกับมิตรดีสหายดี เงี่ยโสตสดับมีเวลาก็มา ไม่ต้องเครียดมาก แต่ตั้งตนบนความลำบากอุตสาหะบ้าง

ส่วนของกิเลสนั้น เป้าหมายคือต้อง 0 ไม่โต่งไปสองข้าง คือกามกับอัตตา เราเริ่มต้นฆ่ากิเลสอบาย ที่มีการยึดโอฬาริกอัตตาด้วย ฆ่าได้ก็เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ถ้าสัมมาทิฏฐิได้แล้วได้เลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กามก็หมด โอฬาริกอัตตาก็จะลดลงได้ด้วย

เราก็เพิ่มอธิศีลไป เรามีสัมมาทิฏฐิแล้วก็เอาโครงสร้างนั้นมาใช้ มันจะมีความรอบรู้ฉลาดเฉลียวทำได้ดีขึ้นก็ทำไปตามลำดับ ต้องให้แม่นๆว่าเรามีกิเลสอันนี้แล้วทำจริงๆ ได้อีก กามกับอัตตาจะซ้อนกัน

ในอัตตามี โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบ แล้วโอฬาริกอัตตาก็คือมโนมยอัตตานั้นแหละแปลว่าอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เช่นจิตเราเป็นจตุมหาราช หรือจิตเราเป็นปรนิมมิตวสวัตตีก็ร้ายเลวพอกับจตุมหาราชนั่นแหละ แต่มันกามออกหน้าเป็นยักษ์ตาโปน คือกามทั้งทวาร 6 นั่นแหละ

แล้วถ้าเป็นปรนิมฯพอฆ่ากิเลสได้ก็สำเร็จด้วยจิต เช่นเราดำริจะเอาอย่างใดลิ่วล้อก็จะเอามาให้ เราก็รู้แล้วเราก็ไม่เอาล้างกิเลสเราได้ ลูกน้องต่างๆเขาก็จะรู้ว่า หัวหน้าเราเจริญขึ้นนะ หัวหน้าเราดี หัวหน้าเราล้างกิเลส ลูกน้องเราก็จะล้างด้วย ถ้าไม่ล้าง ลูกน้องก็จะไปเป็นลูกน้องนายทุนที่อื่น มันไม่สนุกตามหัวหน้าที่ไม่เอาแล้ว มันก็จะแยกวง ไปมีนายใหม่หรือว่าไปมีนายใหม่อีก

ล้างกิเลสออกจนหมดสุขภายนอก เรามีอุตริมนุสธรรม อยู่เหนือ เป็นโลกุตระ แต่ยังเหลือพริ้วพรายในใจเรา เราไม่ไปแย่งกับใครแล้วภายนอก แต่จิตยังมีระริกระรี้อยู่ ปั้นเอง อันนั้นคือมโนมยอัตตาตัวแท้เป็นอนาคามีเต็มๆเลย มี รูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา ภายนอกเป็นกาม เป็นสวรรค์นั่นแหละเป็นขิฑฑาปโทสิกะ ส่วนภายในจะหลงเป็น มโนปโทสิกะ หลงพรหม ซึ่งยากกว่า

สายธรรมกายซับซ้อนหลงระเริงเพราะเขาไม่รู้ดำไม่รู้ขาว คนที่เป็นตัวชั่วบางยุค หน้าจะดำ คนที่ชั่วหน้าดำนั้นดูง่าย จัดการง่าย แต่คนที่หน้าขาว แต่ขาดำนี่ซับซ้อน ไม่ได้แกล้งว่าเขานะ แต่ซับซ้อนจริง คนหลอกลวงคนอื่นได้นี่หน้าขาวแต่ขาดำนะ แต่คนหน้าดำนี่อำมหิตก็ดูง่ายไม่น่ากลัวเท่าพวกหน้าขาว

_มีคิวแทรกถามว่า..พ่อท่านคะ คนเกิดปีจอวันจันทร์เดือนเจ็ดเป็นคนอย่างไรดีหรือไม่คะ

ตอบ….ก็มีนัยเหมือนกัน อาตมาเกิดปีจอเดือนเจ็ดแต่วันอังคาร ไม่วันจันทร์มีนัยะแต่ไม่ควรจริงจังกับมัน บางคนมีเหตุปัจจัยตามวิบากเกิดวันนี้แต่ไม่ได้เป็นกุศลอะไรเลยก็ได้ คนถึงเกณฑ์ก็จะเกิดส่ิงเหล่านี้มาใช้ได้ คุณยังไม่ถึงเวลาเด็กไม่เดียงสาไม่ควรให้ใช้มีด จนเด็กโตขึ้นมาควรใช้ก็ใช้ได้ แต่ถ้าใช้ก่อนถึงเวลาจะเป็นภัย คุณจะรู้เอง แม้ผู้รู้แล้วจะไม่ใช้ จะใช้แต่เหมาะสม เพราะเอามาใช้แล้วคนอื่นงง ก็จะเสีย ถ้าใช้แล้วคนอื่นเข้าใจก็ไม่เสีย ถ้าใช้แล้ว เขาอยากได้ ก็ไปหามาแต่เป็นของปลอมเพราะเขายังไม่มีของจริง คนมีร้อยจะไม่ใช้ร้อย จะใช้เพียง 60 หรือ 70 ไม่อวดเกิน หรือใช้เพียง 30 40 หรอก ไม่เอา 80 90 หรือ 100มาใช้ เพราะจะหมดตัวเกินตัวได้ แต่ใช้น้อยแล้วมีประสิทธิภาพ ผู้มีจริงรู้จริงไม่อวดหรอก ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าอวด ใช้ตอนสมควรใช้ดีกว่า

ชาติ กับสัญชาติ นั้นคนที่สร้างชาติ สั่งสมลงไปที่สัญญะ เป็นธนาคารกรรมวิบากของตนเอง คนอวิชชาไม่รู้ ก็จะสั่งสมสัญชาติลงไปในสัญนิธิ ก็จะมีแต่วิบาก ดีอย่างตื้นๆ หรือดีอย่างร้ายๆเลยด้วย

ต้องทำให้เกิดการชำระได้เป็นส่วนแห่งบุญคุณก็มีชาติใหม่เป็นชาติแห่งอาริยบุคคล เป็นโอกกันติเป็นนิพพัตติ

นิพพัตติคือสัญนิธิแห่งอาริยธรรม สั่งสมลงเป็นอาริยธรรมเป็นผลเป็นวิบาก สั่งสมรอบแรกเป็นโสดาบัน อบายเป็นขั้นนี้ ในสังคมนี้ความต่ำหยาบก็เป็นแบบนี้ หรือถ้าอยู่ลาสเวกัส มันเล่นพนันทั้งเมือง แล้วเขาก็อยู่อย่างนั้น เขาหยาบกลางละเอียดตามภพภูมิของเขา ของใครก็มีองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมตามควรของเขา เราก็ล้างออก ตามความจริงของเราที่เป็น เมื่อเราล้างได้สนิทเด็ดขาด เราก็ช่วยเขาอยู่กับเขาได้อย่างเราไม่ได้เป็นคนธรรพ์แอบเสพของพญาครุฑ ตนเองขี้โกงตนเอง แต่ตนเองไม่รู้ว่าเป็นคนธรรพ์ พวกแอบเสพนี้หลอกคนอื่นได้ ตนเองตัวเล็กๆเป็นเล็น อย่าโกหกตัวเอง

ผู้ใดได้ตามลำดับแข็งแรงก็อนุโลมให้คนอื่นได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน พระพุทธเจ้าให้ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ผู้รู้ดีทำได้จะอนุโลมอย่างพอเหมาะเราช่วยเขาแต่ถ้าปรมาณไม่ดีเราก็แย่ไปด้วย เสียหายไปด้วย คนประมาทไม่รู้ความจริงของตนของบริบทก็ช่วยคนไม่ได้มาก โสดาบันก็ช่วยได้น้อยหน่อย สกิทาฯก็ช่วยได้มากหน่อย อนาคาฯก็ช่วยได้มากขึ้นอีก เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ก็ช่วยคนได้มากขึ้น ความผิดพลาดจะน้อยลงเรื่อยๆถ้าจะไม่ผิดพลาดเลยต้องเป็นมหาโพธิสัตว์ คนไม่รู้เรื่องก็บอกว่าอรหันต์ผิดไม่ได้ แต่ขนาดนิยตโพธิสัตว์ยังผิดได้เลย ไม่ได้แก้ตัวนะ

 สรุปแล้ว กามกับอัตตา มันจะลดอันตาที่โต่งไปสองข้าง ลดลงๆ จนมาถึงกลาง อันที่เป็นอบายกับปรินิมฯมันก็ลดลงๆ ที่ลดได้แล้วคือเป็นกลางมันเฉยๆว่างๆกลางแล้ว อันที่ได้แล้วก็จะได้จริงๆ คงทน ของพระพุทธเจ้าไม่เวียนกลับหรอก ถ้าเต็มรูปแล้ว สังเกตคุณเองหากติดยึดอะไรแล้วทำได้เต็มก็จะรู้ จะรู้สึกเฉย เข้าใจ บางทีจำได้ บางทีจำไม่ได้เลย ว่าสนุกได้อย่างไรนึกไม่ออกว่าเราเคยสนุกอย่างนี้หรือเปล่าแต่เห็นเขาสนุกกันจัง เราก็ว่าเราสนุกตรงไหน เหมือนอาตมากินพริกตอนนี้นึกไม่ออกว่าอร่อยตรงไหน มันร้อนมันแสบจะตาย แม้แต่กินน้ำเย็น ยังนึกไม่ออกว่าอร่อยตรงไหน กินน้ำแข็งเย็น อาตมาเคยติดกินน้ำแข็งแต่ตอนนี้นึกไม่ออก มีแต่ความจำเฉยว่าเคยอร่อย ปฏิบัติไปจะรู้ว่าเราเป็นได้จริง

อย่าพูดเอาโก้แท้จริงตนเป็นคนธรรพ์อย่าเที่ยวพูดเป็นอาบัติปาราชิกนะ แม้ฆราวาสไม่มีวินัยแต่โดยสัจธรรมแล้วเป็นกรรมแล้วนะ ….ระวังไว้ โทษอันมีปรมาณน้อยอย่าทำเสียเลย แต่ก็อย่าละเลียดไป ตนเองก็เท่านี้ อย่าทำผิดฝาผิดตัว...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:05:36 )

590617

รายละเอียด

590617_พุทธศาสนาตามภูมิ อะไรคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

พ่อครูว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2559 ตอนนี้บ้านเมืองของเรากำลังสนุก เข้ากันเลย มีธรรมาธรรมะสงครามให้เรารู้ เป็นระดับที่ได้ฟังพูดที่เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ทางด้านการศาสนาเขาก็พูดออกมา มีการอ้างอิงอะไรได้น่าฟัง

SMS 17 มิ.ย.59

0805925xxx DSIเข้าค้นยากใจไม่ถึงถ้าต้องการรองเท้าผ้าใบใจถึงถึงจบแน่ธัมมี่! มหากาพย์ธัมมี่ยังอีกยาวมอสอไม่กล้าแตะตาช่วงนั่งหัวโด่นี่แหละความเสื่อมในสงฆ์ไทย

0893867xxx ธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง5เป็นเทศนากัณฑ์ แรกที่ทรงแสดงหลังตรัสรู้ ได้7วันที่ป่าอิสิปตนมฤคท ยวันเมืองพาราณสี!

 0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูนำธ.พระพุทธเจ้าที่แสดงถึงโทษแห่งการทรมาณกาย โทษแห่งการแสวงหากามคุณขจัดทุกข์มิได้! มีอริยสัจ4เข้าถึงความจริงของพระอริยะผู้พ้นทุกข์ได้สาธุ

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้รู้จักธรรมจักกัปปวัตนสูตรจากพ่อครูฯจนรู้ถึงทุกข์สมุทัยนิโรธจนถึงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอาริยสัจ!ทางสิ้นทุกข์ทั้งปวงจรธ.skk 2016-06-16 19:56:05

0893809xxx หากจิตยังหวังผลเห็นแก่ตัวยึดติดโลภโกรธหลงขุ่นเคืองหวาดหวั่นกลัดกลุ้มใฝ่เสพสุขย่อมไม่แจ้งใธรรมการบำเพ็ญธรรมคือการบำเพ็ญจิต

0890529xxx ผู้มีธรรมะแท้จริงมีจิตเมตตาช่วยเวไนยให้พ้นทุกข์จึงไม่เห็นแก่ตัวเสพสุขจิตศรัทธาจริงใจไม่หลอกลวงเสแสร้ง

0818557xxx กราบนมก.พ่อครู ลูกว่าแล้ว..ว่าท่านต้องปล่อยหมัดเด็ดอีกหมัด..อิอิ..หน้าขาวแต่ขาดำ..55..ถูกใจเจ้าค่ะ..กราบนมก.ค่ะ

0893867xxx คำตอบที่พ่อครูตอบนร.สส ข.ถึงใจตรงใจญตธ.หน้าจอบุญนิยมด้วยขอบคุณลูกหลานอโศกจรธ.

0823874xxx อาจารย์เจ้ายี้ฮ้ออโศกณะเวลานี้ดีที่สุดหนึ่งในแผ่นดินเลยเจ

 

วันนี้อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่องประชาธิปไตยที่จะพูดเรื่องประชาธิปไตยเพราะว่านายไชยบูลย์ สุทธิผลให้คณะของพวกเขา จะเป็นความคิดที่ออกมาจากนายไชยบูลย์เองหรือว่าเป็นความคิดของคณะของเขาที่เขายืนยันไว้เมื่อวานนี้ ที่คณะของ dsi ก็เข้าไปถึงธรรมกายเลย แล้วคณะของเขาก็บอกคำอ้าง ออกแถลงการณ์ไม่ยินยอมให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปในวัด เพื่อตรวจค้นและจับกุมพระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามหมายค้นของศาลอาญา ด้วยเหตุผลที่ว่ารอให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

นี่เป็นคำพูดที่ตลกจริงๆ ตลกอย่างบอกนัยเยอะ ว่าประชาธิปไตยของเขาคืออะไร ? แล้วเขาว่าเขาไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาเอาการเมืองมาอ้าง แล้วบอกว่าที่นี่ไม่เล่นการเมือง แต่อ้างการเมืองมายันอีก คือ ไม่รู้สีรู้สาเลย

ขออธิบายการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยก่อน...ว่าธรรมะคือการเมือง และการเมืองคือธรรมะ คนที่แยกธรรมะออกจากการเมือง คือคนที่ไม่รู้จักการเมือง พูดคำนี้ก็ให้คะแนนเลยว่า คนนี้ไม่รู้จักการเมือง

เพราะการเมืองเป็นงานอะไร? การเมืองคืองานทำกับพลเมือง การเมืองคืองานรับใช้พลเมือง การเมืองคือการทำให้บ้านเมืองเจริญงอกงามอยู่เย็นเป็นสุข คนจะไปเป็นนักการเมืองคือคนอาสารับใช้บ้านเมือง ให้อยู่เย็นเป็นสุข ที่บ้านเมืองจะดีได้นั้นไม่ใช่อยู่ที่ดินน้ำไฟลม หรือต้นไม้แต่ว่าอยู่ที่คนจะเป็นคนดี แล้วทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้น นักธรรมะเป็นนักการเมืองเบอร์หนึ่ง ออกมาเสียสละทำงานเพื่อคนอื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว

แก่นแท้ของคำว่าการเมือง ยิ่งขยายความคำว่าการเมืองออกเป็นประชาธิปไตยก็ยิ่งชัดว่า อำนาจเป็นของประชาชน ประชาชนมีสิทธิออกเสียงต่างๆนานา มีสิทธิมนุษยชน ที่คณะ DSI เอาคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าไปเผชิญประชาชนโดยไม่ได้ทำร้ายทำลายใครเลยนี่คือความงดงามของประชาธิปไตย เป็นพฤติการแสดงออกของคนในประเทศแสดงลีลาพฤติกรรมของความเป็นประชาธิปไตยในยุคนี้

  1. เป็นความมีสิทธิมนุษยชน
  2. เป็นอิสรเสรีภาพ
  3. เป็นความเรียบร้อย เป็นคนอยู่ใต้กฎหมาย แต่คุณไชยบูลย์เลี่ยงกฏหมาย คุณนั่นแหละ ผิดกฏหมาย ไม่เป็นประชาธิปไตย​แต่คนอื่นเป็นประชาธิปไตยหมด

เหมือนคณะใหญ่ที่เคยทำว่า เข้าใจประชาธิปไตยเป็นเผด็จการหมู่ เอาโลห์มนุษย์มาสะกัด เอาเผด็จการหมู่มาใช้ มันไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้วมีหน้ามาอ้างว่าไม่เล่นการเมือง แต่มาอ้างประชาธิปไตยได้อย่างไร เท่านี้ก็พูดเลอะเทอะเลย

ศาสนาพระพุทธเจ้าให้อิสรเสรีภาพ ให้ลดความเห็นแก่ตัวแล้ว ช่วยเหลือผู้อื่น ดังพระพุทธเจ้าว่าไว้ว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

สามประโยคนี้ประกาศความเป็นประชาธิปไตยได้ชัดแจ้งที่สุด แต่นี่เขาทำตรงกันข้ามไปหมด

การเมืองใหม่ที่เป็น .  ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ทำผิดกฏหมาย แม้ภิกษุเลี่ยงภาษีพระพุทธเจ้าปรับอาบัติถึงปาราชิกเลย

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้คล้อยตาม ด้วยทรงเห็นว่า ชื่อว่าความเสื่อมเสียแม้นิดหน่อย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุทั้งหลายเพราะการเลื่อนการเข้าพรรษาไป เพราะฉะนั้นภิกษุควรคล้อยตาม แม้ในเรื่องอื่นที่ชอบธรรม แต่ไม่ควรคล้อยตามแก่ใครๆ ในเรื่องที่ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย (อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุนฺติ เอตฺถ วสฺสุกฺกฑฺฒเน ภิกฺขูนํ กาจิ ปริหานิ นาม นตฺถีติ อนุวตฺติตุ อนุญฺญาตํ , ตสฺมา อญฺญฺสฺมิมฺปิ ธมฺมิเก กมฺเม อนุวตฺติตพฺพํ อธมฺมิเก ปน น กสฺสจิ อนุวตฺติตพฺพํ)

แต่นี่เขาเอาศาสนาเป็นธุรกิจเต็มรูปเลย ไม่ได้เป็นนักประชาธิปไตยเขาว่าเขาไม่ใช่นักการเมืองแต่เขาว่าต้องให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยเต็มจึงยอมมอบตัว

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

ข้อห้านี้เขาได้คะแนน 0 เลย เขามีฝีมือหลอกคนให้เห็นชั่วเป็นดีได้เลย

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

อาชีพคืองานที่เลี้ยงชีวิตอยู่ อย่างนักการศาสนาภิกษุทำอาชีพคือทำแล้วไม่ได้ต้องการให้เอาเงินมาตอบแทน แต่เลี้ยงชีพด้วยการไม่สะสม ไม่กอบโกย

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

อย่างคุณศุภชัย ก็เข้าคุกแล้วตามกฏหมาย ที่เข้าคุณเพราะว่าไม่ได้มีกฏหมู่มาสู้แบบนายไชยบูลย์นะ ทั้งที่ก็ผิดเหมือนกันเลย ลักษณะที่เขาทำนี้เป็นผีบุญจริงๆ ถ้าผีบุญตัวนี้ชนะประเทศไทยก็อยู่ในอำนาจผีบุญตัวนี้ กฏหมายสู้เขาไม่ได้ ที่นั่งร่างรธน.นี้เมื่อยเปล่า ให้ไชยบูลย์บริหารเสร็จ

ที่เขาทำนี้ไม่ได้รู้เรื่องเลยทั้งโลกและธรรม แม้จะต้องอนุวัติตามกระบิลเมืองก็ไม่ทำ กลับตั้งกองทัพอสูร คือพวกขี้กลัว หลบในรูลึกเลย อสูรคือพวกขี้กลัวไม่มีคุณธรรมสักนิดเลย กลัวหัวหด

ผู้บริสุทธิ์นั้นไม่กลัวหรอก ถ้าคนมาท้วงว่าผิด นั้น ผู้บริสุทธิ์จะไม่กลัว เมื่อเราไม่ได้ผิดอะไร จะไม่กลัวเช่นนี้เลย มีตัวอย่างแม้แต่ยันตระไม่ยอมให้ตรวจDNA เณรคำก็ไม่ให้ตรวจ หนีไปไหนหาไม่เจอ มีตัวอย่างแม้แต่นักการเมืองที่หนีไป เป็นคนมีชะนักติดหลัง

 

ไชยบูลย์ก็แสดงตัวเองชัดว่าเป็นคนมีชะนัก จึงไม่กล้า แต่ซ่องสุมผู้คนได้มาก ก็ใช้กองผู้คนเหล่านี้เป็นโลห์มนุษย์ป้องกันตนเอง

ที่DSI เข้าไปทำงานนี้เป็นการชี้บ่งถึงผีบุญ กบฏบ้านเมือง 100% แล้ว ถ้าไม่พยายามจัดการอันนี้ให้เรียบร้อย เมืองไทยก็ถูกผีบุญครอบงำ เป็นกบฏตัวยิ่งใหญ่ที่สำเร็จ

แล้วก็บอกว่า ถ้าประเทศไม่เป็นปชต.สมบูรณ์จะไม่มอบตัว อย่างนี้เลอะเทอะ แล้วบอกว่ามาปฏิบัติธรรม แต่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ที่มีมรรค 7องค์ดำเนินสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ตั้งแต่

สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ทานก็ต้องให้มีผลลดละล้างกิเลส แต่นี่เขาให้ทำทานแล้วมีภพชาติหนักหนาขึ้นมีปฏิภาคทวียกกำลัง ครอบงำกันเช่นนั้น เลยยิ่งมีแต่ภพชาติในการทำทาน

พพจ.สอนให้ปฏิบัติเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ตามกถาวัตถุ 10 แต่ที่สำนักธรรมกายทำนี้ มันตรงกันข้ามกับที่พพจ.สอนเลย ขออภัย คือ ที่ทำนี้อัปรีย์มาก แล้วเขาเผยแพร่ไปต่างประเทศด้วยนะไม่เป็นไปเพื่ออัปปิจฉะ คือมักน้อยเลย

ไม่เป็นไปเพื่อสันตุฏฐิคือไม่เป็นไปเพื่อความใจพอเลย มีแต่หลอกสร้างวิมานตกแต่ง หลอกไปทั่วโลก แล้วเขาก็ว่าเขาเผยแพร่ศาสนา แต่แท้จริงทำลายศาสนาพุทธไปทั่วโลก นี่โง่กว่าคนโง่ที่สุด คนที่ถูกธัมมชโยหลอกนี้

ตอนนี้ประเทศไทยกำลังตั้งหลักการเมืองที่เป็นปชต.ดีที่สุดกว่าที่เคยมีมา ผู้บริหารเอาใจใส่ ขมีขมันโดยค่ารวม ไม่ว่าพล.อ.ไพบูลย์หรือนายกฯเอง แม้แต่พล.อ.ประวิทย์ก็ทำงานกันอย่างจริงจัง เอาใจใส่ พบประชาชนกันจริงๆ

การปฏิวัติไม่ใช่เผด็จการอย่างเดียวนะ เมื่อเขาเอาอำนาจไปปกครองแล้วเป็นอย่างไร เขาก็ดูตื้นๆว่า ใช้ม.44 มากดหัวคน ก็ดูว่า เขาใช้ม.44 อย่างไม่เหมาะสมหรือไม่ เขาไม่ได้ใช้อย่างเผด็จการ เขาต้องทำเพราะว่าเดิมเขามีค่ายกลปชต.ทำมา80 กว่าปี สร้างโครงสร้างแข็งแรงมาเละ เป็นปชต.ที่ potential เป็นปชต.ฝังรูปฝังรอย ให้คนหลงว่าเป็นปชต.โดยเปลือกนอก แต่เนื้อในเป็นเผด็จการหมู่ตัวคนเดียว ขณะนี้ก็รู้ว่าทักษิณคือเผด็จการตัวเอ้เลย อะไรทุกอย่างอยู่ที่เขาคนเดียว ฉันเดียวกันกับธัมมชโย นี่คือเผด็จการฝังรูปฝังรอย แล้วซ่อนเผด็จการไว้ลึก ดูผิวเผินเหมือนว่าเป็นปชต. แล้วคนก็พลอยเชื่อด้วย

คนไม่เข้าใจปชต.ฝังรูปฝังรอย เป็นปชต.ปรนิมมิตวสวัตตี แต่แท้จริงคือผีมาร จตุมหาราชิกาอยู่ภายใน คือทำรูปงามสวยเป็นเทวดาสูงสุด แท้จริงเนื้อในคือยักษ์มารถือง้าวใหญ่หนักกว่ากวนอูอีก

อาตมาทำงานในยุคนี้หนักพอๆกับพล.อ.ประยุทธ์ที่ฟื้นฟูประเทศไทยนะ หรืออาตมาอาจหนักกว่าอาตมาทำมา 45 ปีแล้วพอ.ประยุทธ์ทำมา 2 ปี แต่ว่าคนก็เห็นว่าช้าไม่ได้ดังใจ แต่อาตมาว่าเห็นอัตราก้าวหน้านะแล้วคนที่อยากให้ได้ไวๆก็ไม่เข้าใจ ว่ามันไม่ใช่ปอกกล้วยเข้าปากนะ เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็น ทำได้ขนาดนี้อาตมาก็ว่า ดูสิในต่างประเทศ ตอนแรกก็ไม่ยอมรับ หาว่าปฏิวัติ เผด็จการทหารยึดอำนาจเลย

ในประเทศไทยมีผู้บริหารบ้านเมืองที่ทำงานนานก็คือจอมพล.ปอ และพล.อ.เปรม ก็ให้พอ.ประยุทธ์นี้ทำต่อไป อาตมาเชื่อมือ ว่าให้สร้างปชต.ให้ดี ไทยเราเป็นปชต.สองขา ซึ่งคนไทยตอนนี้เอียงเป็นปชต.ขาเดียวอยากมีปธน.แต่ได้ยินว่าฝรั่งเศส โหยหา อยากได้พระมหากษัตริย์

ปชต.ของพพจ.เป็นปชต.ที่ล้างอำนาจคอมมิวนิสต์กับอำนาจเผด็จการ พพจ.ก็ทำมาแล้วสองพันกว่าปี จนมายุคนี้ ปชต.เพิ่งเกิดมาสามร้อยปีถึงหรือยัง? สมัยก่อนคนบริหารเป็นเจ้าแคว้น กษัตริย์มีการสืบทอดปลูกฝังกันมา สืบสันตติวงค์ แต่ว่าปชต.สมัยใหม่ไม่มีการฝึกฝนพวกนี้ไม่ได้สืบทอดสันตติวงค์มาเลย ใครก็ได้เข้ามาดีไม่ดีเอาตัวตลกเอานักเลงมาเป็นหัวหน้าเผ่าเป็นปธน.

พพจ.ทำปชต.ได้อย่างท่ามกลางสมบูรณายาสิทธิราชเลย เป็นปชต.ที่เป็นธรรมะสอง มีกาย ไม่ใช่แล้วแต่ปชช. เอาใครก็ได้โผล่จากนรกขุมไหนก็ได้ไม่ใช่เลย ตอนนี้จะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆที่ทำไป จะเห็นความชัดเจน ไม่ว่าเป็นเชิงปชต.ขาเดียวหรือกลายมาเป็นคอมมิวนิสต์ จนคอมมิวนิสต์รวมหมู่ ไม่ใช่เผด็จการคนเดียวนะ แต่เป็นคณะ แต่เป็นคณะที่ทำงานเพื่อปชช. จะเป็นราชาธิปไตยก็เพื่อปชช. อย่างเต็มใจ พระราชาก็ทำงานเพื่อปชช.แต่ก็ต้องมีฐานะที่จะต้องยกไว้หลายอย่าง คนไม่เข้าใจหาว่ามีศักดินา แต่ถามว่า ปธน. ถามว่ามีศักดินาไหม..ก็มีเช่นกัน แล้วมีอย่างฉาบฉวยผิวเผินด้วย แต่มองความผิวเผินว่าเป็นปลดศักดินา ถ้าเป็นกษัตริย์ก็เป็นศักดินา ไปโน่น

ความเป็นปชต.ไม่ได้อยู่ที่ระบอบไหนๆ ไม่ใช่แค่ภาษา แต่เนื้อแท้อยู่ที่พฤติกรรมของผู้ทำงาน เขาทำโดยยึดอำนาจตนเป็นเผด็จการหรือแม้เขาจะเผด็จการยึดอำนาจคนเดียว อย่างพพจ.นี่ท่านร่างธรรมนุญ ธรรมวินัยคนเดียวหมด โดยไม่มีอคติ แต่เป็นปชต.สุดยอดเลย ทำให้คนล้างความเห็นแก่ตัว ล้างจิตใจที่รู้จัก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

นักปชต.คือผู้ทำงานเพื่อปชช.อย่างไม่มีตัวตน อย่างในหลวงเราพระองค์นี้ อย่างพพจ.ก็มีผู้สนับสนุนไม่น้อย นางวิสาขา หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านไม่เรียกร้องแต่เขาเต็มใจให้ ท่านไม่หาเสียงเหมือนธัมมชโย ท่านไม่ได้ทำการตลาดแบบนั้น ไม่มีหลอก ในหลวงเราก็ไม่ทำ เป็นปชต.สองขา แล้วในหลวงก็เคารพกฏหมาย

อโศกเป็นอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ อาตมาภาคภูมิใจที่เราไม่เรี่ยไร ไม่รับบริจาคจากคนภายนอกที่ไม่รู้จักพวกเราดีพอ ไม่เลียบเคียงและเล็มเลย สถานีโทรทัศน์บุญนิยมเราไม่เคยเรี่ยไร ไม่ทำ คนที่จะมาทำทานบริจาคให้เราหากไม่อยู่ในกติกาเราไม่รับ มีคนมาบริจาค ไม่มีเป็นร้อยล้าน อย่างเก่งล้าน หรือห้าล้านหกล้านเอง

เราไม่เห็นเงินเป็นสำคัญ แต่เราไม่ดูถูกเงิน เราใช้เงินนะ แม้ฆราวาสเราก็ทำงานฟรีได้ ไม่รับเงินเดือนอยู่อย่างสาธารณโภคีได้

เราไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำเกินกินเกินใช้ สะพัดออกแจกจ่าย เราไม่สะสมเราก็จน เราพัฒนาตนตามหลักสูตรของพพจ. ถ้าเราทำการศึกษาได้ถึงป.เอกได้ก็ดี เราจะสร้างคนแบบนี้แบบลดความเห็นแก่ตัวให้แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่สร้างคนไปเป็นลูกน้องนายทุนแล้วเอาเปรียบสังคม

ทำแล้วรู้ว่ายากแต่ยังมีผลให้คนมาเป็นได้อย่างนี้  เป็นประชาชนที่ไม่สะสมไม่กอบโกยเอาเปรียบ แต่เป็นคนเสียสละแก่สังคม ไม่ใช่ว่าให้ไปทำแล้วเอามาให้อาตมา อาตมาเป็นผู้วิเศษมาปราบมารนะไม่ใช่เลย ไม่ครอบงำความคิดหว่านล้อมเลย แต่ให้มาเป็นคนจนที่ช่วยคนอื่น ไม่กอบโกย ฟังแล้วโก้นะ แต่อาตมาว่ามาทำทวนกระแสกันเถิด

เขาฟังแล้วก็รู้ว่าดี มาเสียสละ ทำเพื่อคนอื่นมันดีโก้เท่จะตาย เขารู้ว่าดี ก็เลยหาว่า พูดแต่สิ่งดี หมั่นไส้อ้วกแตก นี่พวกหนึ่ง

สอง เขาไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ เขาไม่เชื่อว่าเป็นจริงได้

สามนอกจากไม่เชื่อแล้ว อธิบายไม่เหมือนกระแสหลักส่วนใหญ่เขาด้วย หาว่าอาตมาอธิบายธรรมะพพจ.ผิดด้วย อาตมาว่าตรวจให้ดีว่าใครผิดแน่ อาตมามาแก้ให้ถูกต่างหาก ข้อนี้แหละเขาถึงไม่เชื่อถือ อาตมาไม่มีสำนักที่ไหนมาก่อนตั้งสำนักเอง มันจึงยาก ต้องมีภูมิปัญญาจริงๆเท่านั้น ที่จะเชื่อ แล้วก็ผู้มีภูมิปัญญาจริงจึงจะเข้าใจสิ่งที่ในหลวงตรัส อาตมาเป็นหมาน้อยพูด พูดอย่างไรก็เลยเหมือนยาก พูดแล้วเหมือนอาตมาเรียกร้องให้คนมาเชื่อ แต่อาตมาอธิบายสัจธรรม ว่ามันยากขนาดไหน ว่าอาตมาอยู่ในฐานะเช่นใด แล้วสังคมศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ยึดมั่นว่าสิ่งผิดเป็นถูกไปแล้วด้วย อาตมาต้องมาแก้กลับดึงกลับ แล้วไม่มีทุนทางสังคมก็เลยได้เท่านี้ก็เลยต้องอุตสาหะวิริยะ ทำมา 46 ปีก็ได้แค่นี้ ก็ไม่พอใจตนเอง ขอทำต่อทำเพิ่มกว่านี้อีก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:06:06 )

590619

รายละเอียด

 590619_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ฉีกหน้ากากเทวดาปลอม

ส.เดินดินว่า...อาทิตย์ 29 มิถุนายน 2559 ในช่วงนี้สิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมีผู้นำที่เน้นเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย หลายคนก็พูดกันว่าสิ่งหนึ่งที่ควรจะปฏิรูปคือศาสนา และคนเห็นสอดคล้องกันว่าเป็นเรื่องที่ควรหน้าแก้ไข แต่แล้วสังคมไทยที่มีคนจบปริญญาฉลาดมากมายแต่กลับหลงงมงายกับบางเรื่อง

พ่อครูพยายามอธิบายเรื่องเทวดามาหลายครั้งแต่เป็นเรื่องไม่ง่ายเพราะความคิดฝังหัวเรื่องเทวดาแบบเทวนิยมมีมานานแล้วในคนไทย กราบอาราธนาพ่อครูอธิบายเรื่องเทวดา

พ่อครูว่า….ความไม่เข้าใจว่าเทวดาคืออะไรมารคืออะไรพรหมคืออะไร ก็เลยไปปฏิบัติให้เกิดภาวะของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ไม่รู้จักว่าเทวดาที่แท้จริงคืออย่างไร การที่เราปฏิบัติถูกจะเห็นเทวดาเจริญ เป็นเทวดาอุบัติเทพด้วยไม่ใช่เทวดาสมมุติเหตุ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด  ทุกวันนี้คนเสื่อมจากศาสนาพุทธ แม้แต่กระแสหลักอย่างเถรสมาคมด้วย ไม่มีความรู้เรื่องนี้ จะเหลือเชื้อให้พาบรรดาผู้นับถือปฏิบัติให้ได้สภาวะจริงไม่มีแล้ว

เมื่อแยกไม่ออกระหว่างเทวดาอุบัติเทพกับเทวดาสมมุติเทพ ก็เลยปฏิบัติไม่ถูก ขออภัยที่ต้องยกความเห็นของหลักฐานคุณไพศาล พืชมงคลเอามารายงานไว้ ในเฟสบุคว่า..

อัมรินทร์ทีวี รายงานข่าวด่วนว่า ผลสำรวจโพลประชาชนต้องการให้ยุบมหาเถรสมาคมถึง 73.0% และเห็นว่าควรคงอยู่เพียง 4.3%

นับแต่มีมติเรื่องธัมมชโยว่าไม่เป็นปาราชิกแล้ว กระแสต่อต้านได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง มีการด่าทอ และเหยียดหยามอย่างรุนแรง บรรดาผู้นำทางความคิดได้ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าถ้ายอมรับมตินี้ก็เท่ากับยอมให้พระมีเมีย หรือซื้อบริการทางเพศได้

และอาจไปถึงขั้นที่พระแต่งเมียแล้วเอาไปอยู่ในกุฏิ เพราะไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญา แล้วอ้างว่าเมื่อไม่ผิดกฎหมายก็ไม่เป็นปาราชิก แล้วเช่นนี้ก็เท่ากับไม่มีพุทธศาสนาในประเทศไทยแล้ว

ใครทำลายพระพุทธศาสนาให้อันตรธานสูญจากประเทศไทย?

โพลนี้ตั้งแต่มติของมหาเถรสมาคมไม่รับคำสั่งของสังฆราช ซึ่งท่านมีลายลักษณ์อักษรว่าปาราชิกแล้ว สำหรับธัมมชโย แต่มหาเถรสมาคมกลับไม่เอาตามเป็นความเสื่อมของความนับถือเกิดขึ้นจนต้องการให้ยุบถึง 73%

Sms 17JUN 59

0818866xxx ดิฉันฟังค่ะ ฟังทั้งวันที่ลำปาง ฟังซ้ำด้วยค่ะ ฟังแล้วเข้าใจดี โดยค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นจากการฟังซ้ำๆ และนำสิ่งของมาบริจาคด้วย ส่วนใหญ่ไปชรม.เชียงใหม่ค่ะ

0842561xxx นมัสการพ่อครู ดิฉันฟังบุญนิยมที่บ้านและอยู่รอดได้เพราะคำสอนของพ่อครูนี้เองเจ้าค่ะ โอ๋สงขลา

0819388xxx อยากรู้วิธีพ้นทุกข์มากกว่าด่าพระเลว

ตอบ...ก็เทศน์วิธีพ้นทุกข์มากกว่าด่าพระเลวนะ แต่ก็ขอด่าบ้าง พระพุทธเจ้าว่า นิคคัณเหนิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง นะ

0893809xxx กิเลสมารสิงในตัวตนใจล้วนไม่เที่ยงตรงเอาแต่ได้เห็นผิดคิดคำนวณเพื่อตนหลงในอวิชชาชั่วช้าอย่างยิ่ง

0893867xxx พ่อครูฯสังเกตุกองทัพมนุษย์ดาวขาวชุมนุมเลียนแบบกทธ.มวลมหาปชช.โดยสงบสันติอหิงสาไหมแต่ชาวดาวขาวนั่งสมาธิกลางวัดช่วยบิ๊กufoปกป้องผลปย.วัด!แต่ของกทธ.ในมวลมหาปชช.นั่งสวดมนต์กลางกรุงช่วยช.พ้นภัยรัฐฉ้อราษฎร์!ปกป้องผลปย.ปชช.! เห็นการชุมนุมแสดงศักยภาพมวลเสื้อขาว,มวลมหาปชช.มวลชนแต่ละคข.ภาคปชช.ศักยภาพสูสีแต่เจตนาในการรวมมวลเพื่อปย.ส่วนตนกับปย.ส่วนรวมต่างกันลิบลับ! ก็คงมีแต่มวลธรรมโดยสงบสันติอหิงสาแท้เพื่อให้ได้ปชธต.ที่ปฏิรูปปท.ให้ได้ก็มีมวลเดียวในโลกคือชาวนกหวีดพกมือตบกับรองเท้าผ้าใบใจถึงๆที่ทุกคนรวมกันด้วยใจบริสุทธิ์เพื่อช.ศ.กษฯจริงยิ่งกว่ามวลใด ผู้น้อยกราบขออภัยที่แสดงความเห็นไม่ตรงประเด็นพ่อครูเทศน์แค่อยากจะบอกพุทธธก.ว่าปท.ไทยไม่ได้มีมวลเสื้อขาวใหญ่อยู่มวลเดียวศาสนาพุทธไม่ใช่ของธก.วัดเดียว!ชาวพุทธมังสะวิรัติฯ

ตอบ….ถ้าจะนับมวลต้องนับมวลผู้มีเนื้อหาพุทธที่ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนมากกว่ากัน มั่นใจว่าอโศกมีมากกว่า

0816800xxx ไปทำบุญที่ศาลีอโศกได้ 6 ครั้งแล้วนะคะ..แต่หนังสือ 7 เล่มยังอ่านไม่หมดเลยค่ะ

ตอบ...ผู้จะบริจาคให้แก่ชุมชนต้องมาคบคุ้นรู้จักกันอย่างต่ำ 7 ครั้ง อ่านหนังสือธรรมะหรือฟังเทศน์ฟังธรรมของชาวอโศกอย่างน้อย 70 เล่มหรือครั้ง และต้องเข้าใจจุดประสงค์แท้จริงในการใช้เงินของชุมชน หากผู้บริจาคตั้งเงื่อนไขพ่วง ทางชุมชนก็จะไม่รับ มีบางส่วนที่รับจากงบประมาณของหน่วยงานรัฐตามระบบกฏหมาย แต่มิได้เป็นส่วนหลัก

0818557xxx กราบนมก.พ่อครูที่เคารพยิ่ง ลูกมีความเห็นว่าชาวอโศกทุกท่านร่ำรวยมากๆ จากการทำงานที่ไม่มีเงินเดือนแต่ทำด้วยใจ ดังนั้นทุกๆท่านร่ำรวยแรงงานและร่ำรวยน้ำใจมากๆๆค่ะ ทำให้ทุกวันนี้อโศกยื่งใหญ่มากนะคะ กระจายไปทั่ว และเป็นที่จับตามองของคนนอก เจ้าค่ะ

 

เทวดา มาร พรหม ก็คือจิตวิญญาณหรือจิตใจ ศาสนาเทวนิยมไม่เข้าสู่จิตใจที่ปฏิบัติได้ ไปยกเอาเทวดามารพรหมที่อดีตและอนาคต ปัจจุบันไม่มี บอกว่าถ้าจะเป็นเทวดามารพรหมก็ต้องตายไปเสียก่อน จิตวิญญาณในร่างกายของเราปัจจุบันนี้ไม่เป็นเทวดามารพรหม ประเด็นนี้คือเขาไม่ได้เรียนปัจจุบันวันที่พรหมชาลสูตรสอนไว้

ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าจิตเทวดามารพรหมก็อยู่ในตัวเรานี่แหละ ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติในปัจจุบันยังงมงายอยู่ในอดีตและอนาคต อดีตมันผ่านไปแล้วอนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง ตายไปแล้วต้องรับวิบากอย่างเดียวแก้ไขให้อนาคตดีขึ้นไม่ได้หรอกตอนตายไปแล้ว

จิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วจะมาทำให้วิบากที่ทำไปแล้วตั้งแต่ตอนเป็นเป็นเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นไม่ได้หรอก ให้เสื่อมลงก็ไม่ได้ต้องรับผลเป็นนรกสวรรค์ตามนั้น จะแก้ไขได้ต้องเป็นจิตวิญญาณในปัจจุบันนี้ การนั่งหลับตาสมาธิจึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณได้ เพราะว่าไม่มีปัจจุบันมีแต่อดีตกับอนาคต

ปัจจุบันมีกามกับอัตตา กามคือโลกภายนอกทั้งหมด เกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสกับลาภ แล้วอยากได้หรือไม่อยากได้ ดูดหรือผลักก็ดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ไม่ใช่การปั้นเอาในจิตเป็นเทวดาบนสวรรค์มีสระอโนดาตอะไรต่างๆไม่ใช่ ต้องแก้ไขกิเลสในปัจจุบันที่เกิด มารก็ดีเทวดาก็มีชื่อผู้มีกิเลสทั้งนั้น เป็นเทวดาทั้ง 6 ชั้นนั่นแหละคือผู้มีกิเลส จะเรียกเป็นเทวดาหรือสัตว์นรกสัตว์เปรตก็ดี แต่มันคือกิเลสที่เลวร้ายชัดๆ ยังมีความเดือดเนื้อร้อนใจ วิปฏิสาร กับจิตที่โหดเลวร้าย ตนเองก็เดือดร้อน และมีพฤติกรรมเลวร้าย

พอเป็นเทวดา 6 ชั้นในขั้นของเทวดาชั้นจาตุมหาราช เป็นขั้นที่เลวร้ายที่สุดกับขั้นปรนิมมิตตวสวัตตีเป็นขั้นที่เลวร้ายซ้ำซ้อนที่สุดเช่นกัน

หากเชื่อว่าตายไปแล้วค่อยเป็น เทวดามารพรหม เราก็จะจำนนว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตอนเป็นเรามีไหม เราต้องเรียนรู้ในปัจจุบันที่มีอาการของเทวดามารพรหม ต้องอ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส

การบัญญัติคำว่าเทวดา 6 ชั้นนี้มีมาแต่โบราณแล้วศาสนาฮินดูก็มีมาแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติมาก็เอามาใช้ แล้วบัญญัติเป็น สาม คือ สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

สมมุติเทพคือพูดกับคนอื่นได้รู้เรื่อง ไม่ใช่เป็นวิมานที่ปั้นเอาพูดไม่รู้เรื่องกันได้ แต่ของพุทธนี้ต้องร่วมรู้กันได้ มีปัญญารู้ด้วยกันได้ คนชั่วเขามีความชั่ว กาย วาจา แล้วมีใจเป็นประธานที่ไม่พาเจริญก็มาจากใจ เราก็มาพูดยืนยันกันรู้เรื่อง แล้วเปลี่ยนแปลงจิตใจของใครก็ของใครที่มีความชั่วอยู่ โดยใช้ ไตรสิกขาของพระพุทธเจ้ากำจัดมาร เทวดาในจิตได้ แต่ถ้ารอเทวดาในอนาคตก็ไม่ถึงสักที รู้ไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติในปัจจุบันได้

บางคนถูกหลอกว่ามาทำทานที่นี่ เพราะทำทานกับอาจารย์ยิ่งใหญ่ สามารถพาพวกเราร่ำรวยขึ้นสวรรค์มีวิมานในอนาคตมหาศาล แก้ไขอดีตได้ด้วย

อย่างนายไชยบูลย์บอกให้คนมารวย แต่ในหลวงบอกให้คนมาจน แล้วคุณจะเชื่อใครมากกว่ากันนะ

แนวคิดของคนนรกกับคนสวรรค์นั้นต่างกัน คนละอย่างเลย มันเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ประเทศไทยมีในหลวงเป็นประมุข ส่วนธัมมชโยนี้ สังฆราชสั่งปาราชิกแล้ว โพลประชาชนก็ตัดสินแล้วดังโพลที่มาอ่าน แต่มหาเถรสมาคมว่า ไม่ปาราชิก

ความเจริญของเทวดาโลกีย์สมมุติเทพคือสมมุติ ส่วนความเจริญของเทวดาอุบัติเทพคือปรมัตถ์

จิตที่เกิดอาการสุขก็คือเทวดาจิตที่เกิดอาการทุกข์ก็คือนรก หรือจิตที่เกิดอาการสุขเป็นความดีงามจับจิตที่เกิดอกุศลเป็นทุกข์

สุขนี้เป็นของเก๊ ของเท็จ สุขนั้นไม่มี หมดสุข ทุกข์ก็หมด สวรรค์คือเงาหลอกของทุกข์ ที่จริงมันบำเรอกิเลสตัณหาอุปาทานต่างหาก มันเป็นตัวมาร เมื่อคุณบำเรอมารให้สมใจคุณก็โง่ มารมันหลงว่าสุขนั้นมี มันหลงว่าสุขนั้นจริงด้วย ก็เลยต้องเสพสุขตลอดเวลา เมื่อกำจัดเหตุได้ก็ดับหัวใจวิญญาณของมารสนิทกลายเป็นวิสุทธิเทพ

เทวดาทั้ง 6ชั้นคือของเก๊เพราะเป็นเงาความสุข ตัวจริงของเงาความสุขคือมาร เทวดาแท้ๆคือมารจริงๆมารคือพ่อของเทวดา เทวดา 6 ชั้นคือลูกของมารเป็นของเก๊ คือสุขขัลลิกะ

จตุมหาราชเป็นผู้มีอำนาจทั้ง 4 ทิศ ล่ามาให้ได้แล้วก็นึกว่าสุขนี้เป็นของที่น่าได้ทั้งที่มันเป็นของเท็จ สุขของพระพุทธเจ้านี่เป็นสุขที่ไม่ใช่เทวดาสุขที่ไม่มีภพชาติ เป็นสุขที่สงบสนิทรู้ความจริงตามความเป็นจริง

ต้องมาคำนึงถึงความเป็นจิตวิญญาณในปัจจุบันว่ามีอยู่ในตัวเราไหมถ้ามีเราต้องเรียนรู้จิตวิญญาณของเราให้ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานสอนถึงพระอภิธรรม เรียนรู้อาการจิต ของเทวดาทั้ง 6 ชั้น

จตุมหาราชคือพวกบ้าอำนาจ พวกตัณหาเต็มบ้อง ล่าให้ได้สมลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สุขบำเรอกามกับอัตตา

ต้องศึกษาในปัจจุบันในคนเป็นๆ ต้องมีกระทบสัมผัส แล้วเกิดอาการมาร เทวดา ต้องได้มา ต้องได้เสพ ทางทวาร 6 ตามรสที่ชอบใจ เป็นสุข ตามที่อุปาทานไว้ ชอบก็เอามาให้ได้นานๆมากๆยาวๆเป็นยามา พอได้สมใจก็เป็นดาวดึงส์เป็นสุข เขาเรียกวาอาการ 33 เกินความจริงของอาการ 32 ของคน

พวกดุสิตคือแดนสงบแดนพักว่าง โลกีย์ก็มีแดนพักยก อารมณ์เคหสิอุเบกขาเวทนา

จตุมหาราชต้องแย่งชิงเป็นเจ้าโลกทั้งสี่ทิศให้สมโลภะ ราคะ พอได้สมใจจิตเป็นดาวดึงส์ ปลอมเก๊ ผู้ใดล้างได้หมดก็จบ

ยามาคือบอกเวลา ให้ยาวนานที่สุด เป็นโลกีย์ก็เป็น

ดุสิตเป็นแดนสงบหยุดพัก ท้าวสันตุสิตเป็นใหญ่ก็มีสมมุติเรียกชื่อกันไป แล้วไปเป็นใหญ่แบบโลก เป็นเคหสิตอุเบกขาที่ยึดมั่นหลงเสพ

ชั้นที่ ห้าคือยินดีในนิมิต นิมมานรดี คือ นิมมาน กับ รดี หรือ รตี คือบำเรอกิเลส คือการเนรมิตมาบำเรอตนอย่างยินดี จะได้เสพก็ต้องหามาอย่างล่าเอามาให้ได้ แล้วได้เสพเป็นดาวดึงส์ ให้ยาวนานที่สุดยามา แล้วจะให้นานเช่นไรมันก็ต้องมีพัก

ชั้นที่หก คือปรนิมมิตตวสวัตตี เป็นเทวดาชั้นสูง ถ้าทั้งสูงและเลว คือเป็นเทวดา ห้าชั้นนี้เต็มบ้อง ได้ทั้งสมใจสภาพจตุมหาราช สมใจในดาวดึงส์ยามาดุสิตนิมมานรดี คือสภาพปรนิมมิตตวสวัตตี

ถ้าเป็นเทวดาเก๊ เป็นภพชาติหนาหนักแน่น เป็นอวิชชามืดบอด ปรนิมมิตตวสวัตตีคือกิเลสที่อยากได้สวรรค์ หกชั้นนี้แหละที่ต้องได้ ต้องศึกษาอบายที่เป็นนรกหยาบ ปรนิมมิตตวสวัตตีคืออวิชชาของเรา เมื่อเรารู้ว่าเราหลงเทวดาเก๊หนักหนา ของเรามีไหม ต้องอ่านจิตตนให้ออกอาการจิต ปรนิมมิตตวสวัตตี มีคุณสมบัติทั้งห้าอย่างเต็มบ้อง

ถ้าเราเป็นเสขบุคคลจะรู้ปรทัตตูปชีวีของตน แปลว่าต้องรู้ว่าอันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตน อย่างน้อยรู้จากพระพุทธเจ้า (สยัมภู) หรือผู้รองมาเป็นสยังอภิญญา รองมาเป็นปัจเจก ก็ต้องรู้จากผู้อื่นก่อน เสขบุคคลต้องได้ยินมาก่อน แล้วมาเรียนรู้ปฏิบัติเห็นเปรตของตน นี่คือตาทิพย์ที่เป็นเทวดาหลงผิด แท้จริงคือสัตว์นรก ต้องเห็นเปรตและสัตว์นรกในตน แล้วสยัมภู ปัจเจก สยังอภิญญาท่านสอนวิธีกำจัดกิเลสอย่างไรเราก็เอามาทำ แล้วชำระกิเลสได้ส่วนแห่งบุญ บุญประหารกิเลสไป ไม่หมดสิ้นอาสวะ เป็นสาสวะ เป็นผู้มีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อุปาทานขันธ์5 ก็ลดเป็นส่วนๆไป ถ้าหมดก็หมดไป ไม่มีส่วนบาป เครื่องชำระก็หมด หมดหน้าที่ของบุญด้วยเพราะได้ถาวรแล้ว แต่ถ้ายังมีอยู่ก็ต้องทำไปต่อ

ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นจิตวิญญาณตนว่าเป็นมาร ผี เทวดาเก๊ก็กำจัดเหตุ หัวใจของมาร ประหารให้ตายลงได้ก็เป็นเทวดาอุบัติเทพ เกิดจริง อุบัติจริง จนสะอาดบริสุทธิ์เป็นวิสุทธิเทพ

ก็ลดความเป็นเทวดา 6 ชั้นนี้ได้ ลดการล่าโลกธรรม ลดภพชาติเสพสุขบำเรอตนเป็นดาวดึงส์ ก็ลดลง เป็นคนบุญ คนดับหมดก็เป็นคนหมดบุญ ไม่มีดางดึงส์จาตุมหาราชิกา ถ้าทำได้ไม่หมดก็มียามา ได้พักเป็นดุสิต โดยจิตเราไม่พักยก แต่หยุดดับได้เพราะเราทำ ปฏิบัติจริง เป็นผลให้เกิดการลดละหยุดที่มีประสิทธิภาพสูง ลดระยะเวลาการเป็นดาวดึงส์ ได้หยุดพักอย่างเนกขัมสิตอุเบกขาได้มากขึ้นไม่ใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา เราก็รู้ว่าเราเป็นเทวดาดุสิตแบบเนกขัมมะไม่ใช่แบบเคหสิตอุเบกขา

รตี(ฤดี)แปลว่าความรื่นรมย์ยินดี ความร่วมสังวาสความเป็นเมถุนถ้าคนสร้างวิมานแห่งนี้แสพรสให้แก่ตนเอง เป็นเมถุน คือสัมผัสเสียดสี รูปก็สัมผัส เสียดสีสัมผัส ก็ต้องลดลง ลดดาวดึงส์ลดรสเท็จรสเก๊ที่คุณคิดว่าจริงมานาน นิมมานรดีก็เป็นเทวดาที่ไม่สร้างไม่ทำแบบผิด

ปรนิมมิตตวสวัตตี ก็เป็นเทวดาที่รู้จักส่ิงอื่น นิมิตคือเครื่องหมายที่ให้เรารู้ว่า จตุมหาราช เป็นอาการอารมณ์ของเรา เครื่องหมายนี้แสดงว่าเราอยากได้ยาวนานเสพรสเป็นยามาหรือพักยก หรือมันหยุดเพราะเราทำเหตุให้ดับ หยุดได้ถาวรเลย ก็ไม่เกิดอาการอีก จนถึงนิมมานรดี ก็รู้อาการของสัตว์เทวดาเก๊ ก็ทำลายมันได้เป็น ปรนิมมิตตวสวัตตี ก็รู้มากกว่าสามัญโลกีย์รู้

การสร้าง วสวัตตี คำว่า วส แปลว่าอำนาจ คำว่า วัตตี คือการหมุน ถ้าเป็นโลกีย์จะสร้างจักรกลไปล่า เป็นปร แบบปลอม เป็นเทวดาปลอมที่คนอื่นทำไม่ได้ง่ายๆเลย นิมมานรดีก็สร้างให้แก่ตนระดับหนึ่ง เช่นคุณไปล่าเอาเงินทองมาได้ก็เอามาบำเรอตนไป ก็เป็นนิมมานรดี เป็นจตุมหาราชก่อน ได้มาก็สร้างภพชาติบำเรอรตีเรา บำเรอเมถุนของตน สร้างเองทั้งนั้นเป็นอุปาทานทั้งนั้นเป็นของเก๊ ส่วนปรนิมมิตตวสวัตตี รู้อื่นอีก มีทั้งเราและเขามาช่วยกันอีก มีบริวารลิ่วล้อมาช่วย มีอาณาจักร หลงว่าเป็นเทวดาแต่แท้จริงคือสัตว์นรก อย่างคุณบุญชัยออกมารับรองว่านี่คือผู้จะพาเราไปยิ่งใหญ่เป็นสวรรค์

สองเป็นลักษณะจิตอื่นที่ผู้มีภูมิปัญญารู้ว่านี่คือจิตอื่นไม่ใช่ของจริงเป็นเทวดาเก๊คือสัตว์นรก นั่นเอง กำจัดได้เป็นส่วนแห่งบุญ ได้หมดก็หมดบุญ

เทวดา 6 ชั้นนี้เป็นภพชาติ ถ้าอยากได้ก็เป็นภพชาติ หากล้าง 6 เทวดานี้ได้ก็หมดภพชาติ ตัวจริงคือสัตว์นรก แต่เงามันคือเทวดา เป็นเทวดาเก๊ เท็จ สุขขัลลิกะ ตัวจริงมันคือทุกข์อาริยสัจ

ไปถามพวกมาซูคิส คือตนเองเจ็บปวดทรมานแล้วจะมีความสุข ส่วนซาดิสม์ก็เห็นทุกข์ทรมานของคนอื่นแล้วสุข เช่นพวกเชียร์มวยเป็นต้น พวกที่ชอบเอาชนะคะคานคนอื่นทำร้ายคนอื่นคือซาดิสม์ทั้งนั้น พวกเชียร์บอลตอนนี้ก็ด้วยมันเสียเวลาแรงงานทุนรอนไม่เกิดผลประโยชน์อะไร ยั่วย้อมให้คนเสพรส แล้วตนเองก็ติดแทคติคที่เก่งกาจ ก็เป็นความสามารถในการสร้างความชำนาญเท่านั้นเอง แล้วไปดูมันเก่ง แล้วมันเอาชนะได้ มีแต่ลมๆแล้งๆ เสียเวลาทุนรอนแรงงานแทนที่จะเอาไปทำมาหากิน เอ็งติดมากเท่าไหร่ต้องมาจ่ายให้ข้ามากเท่านั้นเป็นวิธีการทุนนิยม ใจร้ายเอาวิธีพวกนี้มาหาเงิน สร้างเหตุปัจจัยให้หรูหราฟู่ฟ่ายิ่งใหญ่เป็นโอลิมปิก เป็นเกมต่างๆ จะว่าไปแล้ว

แล้วเขาก็มีสุขของเขา เขาก็ว่าอาตมามาขวางเขาทำไม? อาตมาว่ามันตกต่ำ เสียเวลาทุนรอนแรงงานทำไม คนที่ได้ประโยชน์คือนายทุน แม้ตัวนักกีฬาก็ได้ประโยชน์จากนายทุนที่จ้างไว้เป็นอุปกรณ์หาเงินให้เขา เป็นวิธีทุนนิยม ที่บานปลายมากแล้ว หลงงมงายหนักเกินเฟ้อไกล สร้างวิธีการเปลืองผลาญ เวลาจะจัดโอลิมปิกก็ให้ยิ่งใหญ่ กว่าเขาต้องฉิบหายมากกว่าเก่า ถ้ามันเหาะเหินเดินน้ำไปจุดไฟโอลิมปิกได้มันทำนะ เพื่อมอมเมาคนให้หลงยิ่งใหญ่มหาศาลบานทะโร่ คนก็หลงมหัปปิจฉะ

จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก

คนมาเที่ยวน้ำตกเป็นรถทัวร์พ่อครูเลยบอกว่าที่นี่ไม่มีสิ่งมอมเมาไม่เป็นที่ท่องเที่ยวนะ ไม่ได้เป็นที่หลอกเอาเงินใครนะ แต่ให้มาศึกษามาพักผ่อนที่นี่ ว่าที่นี่ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร ก็ขอบอกชั้นๆว่า ผาแหงนใหญ่ๆนี้คือส้วมของชาวอโศกกับที่ไว้แท้งน้ำ ขึ้นไปดูได้ไม่ได้เป็นที่พักหรือวิมานหรือขายของ ที่โลกๆเป็น แต่เป็นที่ใช้งานเป็นประโยชน์ ก็เชิญอะไรเป็นประโยชน์ก็ยินดีต้อนรับ

ส่วนพระพุทธรูปนี้ใครจะกลับก็รบก็เชิญเป็นพระพุทธรูปปางตรีลักษณ์ แต่อย่าเอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาเป็นเทวนิยม ที่นี่เป็นแบบอเทวนิยมก็ยินดีต้อนรับ ถือว่าอาตมากล่าวต้อนรับก็แล้วกัน make it easy

การนั่งหลับตาแล้วไปเห็นสวรรค์หรือนรกสวรรค์หรือนรกนั้นก็เป็นแดนแห่งจิตวิญญาณของใครของมันนรกมันก็มีจริงสวรรค์มันก็มีจริงสวรรค์คือแดนที่เราชอบใจนรกคือแดนที่เราไม่ชอบใจ สวรรค์นี้จะต้องสัมพันธ์ไปด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เมื่อสัมผัสแล้วก็จะเกิดรสชาติ แล้วถ้าคุณจำไว้ก็กลายเป็นภพจำ  ที่ไม่จริงเท่ากับที่สัมผัสจริง สวรรค์นั้นมันไม่มีจริงหรอกมันมาแว๊บเดียว ตอนที่สัมผัสนั้นหรอก แล้วมันก็หายไปเหลือแต่ความจำ แต่คุณไม่จำหรอกสวรรค์นั้นจำได้ช้าได้น้อยแต่นรกนี่จะอยู่นานกว่ามีอุปาทานว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้

ยกตัวอย่างเช่นฝรั่งเขาไม่รู้จักปลาแดก เป็นของเน่าเขาว่าอย่างนั้น แต่พอมาสัมผัสบ่อยๆเข้าขอลองซิ ก็ทำใจโน้มน้อมไปตามเขา ก็เป็นรสอย่างนี้เป็นอย่างนี้เขาก็ชอบ เราก็เลยชอบไปตามเขาบ้าง ก็คนเหมือนกันเขาก็ยังอร่อยได้

เราก็เลยถูกครอบงำความคิดไปชอบตามเขาหนักเข้าฝรั่งก็มีอุปทานเห็นตามรอยตามนักข่าวฝรั่งเกาะติดปลาแดก เพราะฉะนั้นกิเลสจึงเป็นสิ่งที่เอาตามเขาเอาตามคนที่หลอกทั้งนั้นแหละ แล้วก็เห็นว่ามันจริงอะไรจริงแต่มันเป็นของแท้มันเป็นดาวดึงส์ที่สร้างมาเป็นอาการที่ 33 ที่ไม่มีจริงหรอก มันเป็นของสร้างวิมานขึ้นมาถ้าอาการที่กระทบสัมผัสทำงาน  เป็นสสัมภาระ

เล็บขนฟันหนังตับไตไส้พุง ทำงานก็มีอาการของมัน มันไม่มีรักไม่มีชัง อาการ 32 ของร่างกาย ทวัตติงสาการ มันไม่มีอาการดาวดึงส์สุขทุกข์หรอก มันทำหน้าที่ของมันว่าอันนี้เบา อันนี้หนักอันนี้แข็งอันนี้อ่อนเป็นอาการของมัน แต่เมื่อคุณสร้างภพว่าน่าได้น่ามีเป็นรตี (ความพอใจเพลิดเพลินยินดี)

ยกตัวอย่างสัจจะความจริงให้ฟัง คำโกหกนี้ไม่ใช่ของจริงแต่คำโกหกนี้มีจริงทำกันอยู่โครมๆ มนุษย์ทำคำโกหกจริง แต่ความโกหกเป็นความไม่จริง มนุษย์สร้างดาวดึงมาเป็นอาการที่ 33 แต่ที่จริงแล้วดาวดึงส์มันไม่มีจริง มนุษย์ไปยึดว่ามันมีจริง แล้วหลงว่ามันน่ามีน่าได้น่าเป็นน่าได้ดาวดึงส์แล้วไปเสพเป็นสุข แต่สุขสงบนี่ประเสริฐกวาดาวดึงส์อย่าให้ใครเอาดาวดึงส์มาหลอก อย่างสำนักใหญ่ๆที่ทำนี้ แล้วตนเองเป็นอะไรเป็นจตุมหาราชิกาดาวดึงส์

เขาได้นะเทวดาทั้ง 6 เป็นเทวดาภพชาติวิมานหลอก แล้วหลอกคนอื่นที่ไม่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าให้หลงตาม หลอกอาตมาไม่ได้หลอกผู้มีปัญญาไม่ได้ที่ไม่ติดบ่วงเป็นเหยื่อของสำนักนี้

ส่วนพระพรหม คือจิตบริสุทธิ์ วิสุทธิเทพ ผู้หลงเทวดาคือสมมุติเทพ จนมาล้างเทวดาเก๊นี้ออก เกิดเป็นเทวดาอเทว คือล้างเทวะออกได้จึงเป็นเทวะ

อเทวนิยมคือผู้รู้จักเทวะแล้วไม่เอาเทวะแต่เป็นผู้ได้เทวะ

รู้ว่าเทวดาเสพสุขโลกีย์นั้นเก๊เราก็มาล้างออก จนเป็นอุบัติเทพ จนสะอาดหมดเป็นวิสุทธิเทพ เป็นผู้หมดสมมุติเทพ หมดโลกียรส แล้ว นี่คือโลกของเทวดา คนที่หลงผิด ไปแย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม สุขด้วยกาม สุขด้วยอัตตา ไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นจอมมาร จอมยักษ์ จตุมหาราชิกา ยิ่งได้เสวยโลกธรรมก็เป็นปรนิมฯ

ถ้าเป็นโลกุตระก็เป็นผู้ลดอำนาจบาทใหญ่ที่เป็นจตุมหาราชิกา ลดเสพรสดาวดึงส์ลดเวลายามาก็ได้ดุสิตที่เป็นแดนพักที่เป็นสันตุสิตเทวราช เป็นเทวะที่สันติสงบแท้จริง เป็นยามายาวนาน รู้เนรมิตสร้างให้ลดกิเลส เพราะรู้ตั้งแต่ปรทัตตูปชีวิ จิตอื่นรู้จักปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง รู้ว่าสัตว์นี้เป็นสัตว์นรก สัตว์เทวดา รู้ว่าปุถุชนเป็นอย่างไร กระทำความเป็นอาริยชน กัลยาณชน คืออย่างไร

ศาสนาเทวนิยมก็จะวนเวียนกับดี แต่มันดีฉาบฉวย พอเขาจับได้ไล่ทันก็ไปไม่ออก สรุปแล้วเป็นผู้มีความรู้ที่ต่างไปจากปุถุชนคนสามัญ ถ้าเป็นปรินิมฯก็เป็นผู้มีบริวารค่อยช่วย เป็นความเป็นยักษ์มารที่ยิ่งใหญ่

อาตมาบรรยายไปแล้วก็รู้ว่าไม่ง่ายที่จะเข้าใจ เอาง่ายๆที่ในหลวงตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรานี้ก็ไม่ง่าย

พอทำให้เป็นดุสิตแบบโลกุตระได้ ยามาก็จะลดลง เมื่อทำได้ก็ได้ยามาของโลกุตระด้วยที่ทำได้เพราะลดดาวดึงส์โลกีย์ ลดจตุมหาราชิกาได้ ลดได้ก็ลดนิมมานรดีกับปรมินมิตวสวัตตีได้ด้วย

พระโพธิสัตว์ก็มีพักที่ดุสิต จนกว่าจะถึงเวลาทำงานก็ออกมาทำงาน ท่านไม่ได้อยากหรือไม่อยากออก แต่คนที่ไม่ใช่อรหันต์ขั้นไปไปพักที่ดุสิต ประเดี๋ยวมันก็อยากใหม่ มันก็ออกมา แล้วออกมาตนเองไม่รู้จักยามา แต่ใจตนอยากได้อายุทิพย์ ให้เป็นเทวดาเสพสุขยาวนาน แท้จริงตนได้เสพแล้ว ที่จริงเหตุปัจจัยที่จะได้เสพหมดไปแล้วก็อยากใหม่ก็ออกมาใหม่ ยามาก็สั้นลง ก็ทำลายพักยากดุสิต สิ่งเหล่านี้โลกีย์ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เวลาก็สั้นลงกลับมาเป็นสัตว์นรกมาเป็นจตุมหาราชิกา ล่ากามล่าอัตตาใหม่ก็วนอยู่เช่นนี้


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:06:35 )

590619

รายละเอียด

ศาสตร์พระราชา ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ พัฒนา’ปท.-โลก’ อย่างยั่งยืน

ป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ที่คนไทยรู้จัก “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระราชทานเป็นแนวทางในการนำพาประเทศไทยให้ข้ามพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” จนหลายภาคส่วนน้อมนำหลักปรัชญานี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติ

 

จวบจนวันนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในภาคเกษตรกรรม ธุรกิจ การจัดการทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และสถานศึกษา จนประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

 

นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนในประเทศไทยในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ได้นำหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ในวงกว้าง

 

นายจิรายุเล่าถึงที่มาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรกเมื่อปี 2517 คนไทยให้ความสนใจมาก คือ เมื่อปี 2540 เพราะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ก่อนเกิดต้มยำกุ้ง พระองค์ทรงเคยรับสั่งว่าเราอย่าเป็นเสือกันเลย ไปพัฒนาเศรษฐกิจให้ทุกคนยกระดับขึ้นมา กระทั่ง 2540 เศรษฐกิจล่มสลาย พระองค์รับสั่งแนะนำว่า อย่าไปทำแบบไม่ยั่งยืน มาสร้างพื้นฐานให้คนทั่วๆ ไปได้มีความอยู่ดีกินดีตามอัตภาพเสียก่อน แล้วค่อยไปสร้างบนพื้นฐานที่มั่นคง ประเทศจะเจริญเติบโต ไม่ล้มครืนลงมาระหว่างที่ฐานไม่ดี”

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบเทียบ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เหมือน “เสาเข็ม”

 

“พระองค์รับสั่งว่า บ้านเรือน ถ้าจะให้มั่นคงต้องมีเสาเข็ม แต่เสาเข็มอยู่ใต้ดิน เพราะฉะนั้นไม่มีใครเห็น จะลืมเกี่ยวกับบทบาทของเสาเข็ม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็เหมือนเสาเข็ม ที่เป็นรากฐานแห่งความมั่นคง แต่มองไม่เห็น ถ้าพื้นฐานคนไม่มีความอยู่ดีกินดีตามอัตภาพแล้ว ไปสร้างอะไรที่ใหญ่โตบนสิ่งที่ไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง จะล้มลงมาง่าย” นายจิรายุกล่าว และว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 ข้อคือ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน บวก 2 เงื่อนไข คือ ความรู้คู่คุณธรรม

 

“สิ่งที่จะมาลดความเสี่ยง ทำให้รากฐานมั่นคง ไม่ล้มลงง่าย คือ การมีความคิดแบบพอเพียง ไม่โลภ และมีความรู้คู่คุณธรรม ความรู้แบ่งได้เป็น 3 อย่างคือ 1.ความรู้ของชาวบ้าน หรือปราชญ์ชาวบ้าน 2.ความรู้จากศาสตร์พระราชา ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ หรือตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3.ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเราไม่ปฏิเสธที่จะใฝ่รู้ และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ผู้นำที่มีคุณธรรม ถ้ามีครบทั้งหมดนี้จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายจิรายุย้ำ

 

องค์กรที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยที่น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้กับทุกสาขา อย่างภาคธุรกิจก็มีข้อมูลและตัวเลขชัดเจนทั้งในและต่างประเทศแล้วว่า ถ้านำหลักนี้ไปใช้ ธุรกิจเศรษฐกิจพอเพียงชนะธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ ไม่คำนึงถึงคุณธรรมความดี สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม” นายจิรายุระบุ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังได้รับการ “ยอมรับ” จากนานาชาติอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อปี 2549 “สหประชาชาติ” หรือยูเอ็น โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยกล่าวในโอกาสทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลว่า

 

“หากการพัฒนาคนหมายถึงการให้ความสำคัญประชาชนเป็นลำดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกาย ทรงงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ด้วยพระปรีชาสามารถในการเป็นนักคิดของพระองค์ ทำให้นานาประเทศตื่นตัวภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง การเดินสายกลาง รางวัลความสำเร็จสูงสุดครั้งนี้ เป็นการจุดประกายแนวคิดการพัฒนาแบบใหม่สู่นานาประเทศ”

 

จึงเป็นที่มาของหนังสือ “แนวคิดของความพอเพียง : ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืน” (Sufficiency Thinking : Thailand?s gift to an unsustainable world) ภาคภาษาอังกฤษ ได้โปรเฟสเซอร์ระดับโลกอย่าง ศ.ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี ผู้บุกเบิกในแวดวงวิชาการด้านภาวะผู้นำแบบพอเพียง เป็นที่ยอมรับทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย เป็นบรรณาธิการ

 

นายจิรายุกล่าวว่า ศ.ดร.เอเวอรีบอกว่าประเทศไทยมีประสบการณ์ที่พยายามทำเรื่องความยั่งยืน ถือว่าสำคัญสำหรับโลกปัจจุบันที่กำลังมีปัญหาความไม่ยั่งยืน คือ เมืองไทย ทำมาก่อนที่อื่น น่าจะแชร์เรื่องนี้กับโลก

 

“ผมก็ประหลาดใจเหมือนกัน เพราะไม่ได้นึกว่า เราทำอะไรมากมายเป็นพิเศษ หรือดีกว่าโลก เราก็ทำไป เพราะเห็นว่าดีสำหรับประเทศไทย ก็ก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆ ด้วยความเพียร แต่เขาบอกว่าน่าจะแชร์กับโลกบ้างสิ เพราะโลกกำลังประสบปัญหานี้”

 

สำหรับเนื้อหาของหนังสือนำเสนอหลักปฏิบัติของภาวะผู้นำอย่างยั่งยืน รวมถึงกรณีศึกษาต่างๆ ที่ ศ.ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี และ ศ.ดร.ฮาราลด์ เบิร์กสไตเนอร์ บรรณาธิการของหนังสือได้เรียบเรียง พร้อมด้วยมุมมองของผู้เชี่ยวชาญชาวไทย 20 คนในการสร้างสรรค์สังคมที่มั่นคงและมีความสุข ด้วยการนำแนวคิดของความพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน

 

“การเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ เราต้องการแสดงถึงความพยายามครั้งสำคัญของคณะผู้เขียนในการประเมินประสิทธิภาพของหลักแนวคิดของความพอเพียงในเชิงวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้ศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างเป็นระบบและรวบรวมกรณีศึกษาที่พิสูจน์ความสำเร็จของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ ทั้งต่อตัวบุคคล ในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และแวดวงต่างๆ อาทิ ธุรกิจ การศึกษา สาธารณสุข และการเกษตร” นายจิรายุกล่าว

 

เนื้อหาในหนังสือ ศ.ดร.เอเวอรีได้เกริ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า “Thailand : An unexpected role model” หมายถึง “ประเทศไทย : แบบอย่างที่เหนือความคาดหมาย”

 

นายจิรายุเล่าว่า ศ.ดร.เอเวอรีระบุว่าคนต่างประเทศจะมองคนไทยเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นประเทศเล็กๆ ระบบเศรษฐกิจเล็กๆ ไม่ใหญ่เหมือนอเมริกาหรือจีน ไม่คิดว่าจะมีความคิดที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นที่เมืองไทย

 

ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้นำของโลก ในการนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปใช้ ในภาคส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ สังคมโลกจะต้องเรียนรู้จากประเทศไทยตรงนี้ เพราะว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จ

 

“สิ่งที่ ศ.ดร.เอเวอรีทึ่งมากคือ ภาคการศึกษา เพราะสำคัญและหมายถึงคนของเราในอนาคต สิ่งที่ศูนย์สถานศึกษาพอเพียง มูลนิธิยุวสถิรคุณ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าสู่หลักสูตรการศึกษาชาติ ตั้งแต่ปี 2550 กระทั่งปัจจุบันมีโรงเรียน 21,000 โรง จากทั้งหมด 37,000 โรง กลายเป็นสถานศึกษาพอเพียง โดยหลักสูตรจะค่อยๆ สอนตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา พอถึง ม.6 เด็กสามารถเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้เต็มที่ ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น แต่ต้องทำทั้งโรงเรียน ทั้งผู้อำนวยการ ครู ทุกคนต้องไปทิศทางเดียวกันหมด รวมทั้งเอาพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน มาร่วมด้วย ถึงจะประสบความสำเร็จ” นายจิรายุระบุ และว่า 10 ปีที่ทำมา มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่านักเรียนที่มีแนวการศึกษาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง “ต่างจาก” นักเรียนโรงเรียนทั่วไป เด็กมีจิตสาธารณะ มีวินัย มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และอยู่อย่างพอเพียง

 

“ดร.ปรีนานุช ธรรมปิยา ผู้อำนวยการศูนย์สถานศึกษาพอเพียงฯ เผยผลวิจัยว่า เมื่อเราขับเคลื่อนความพอเพียง จะได้เด็กดี เมื่อดีแล้ว เขาจะมีความสุข และความเก่งตามมา ซึ่งผลสอบโอเน็ต โรงเรียนพอเพียงมีคะแนนที่ดี เพราะฉะนั้น หลักพอเพียงเป็นบทพิสูจน์ว่า ทำแล้วได้ผลจริง แม้จะใช้เวลานาน แต่ได้ผล และควรเป็นเรื่องที่การศึกษาจะต้องทำ เพราะการศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาวของประเทศ” นายจิรายุกล่าว และว่า นี่คือเรื่องที่สำคัญ เพราะคือคุณภาพของคนเจนเนอเรชั่นหน้า ซึ่ง ศ.ดร.เอเวอรีทึ่งมาก เพราะไม่เคยเห็นประเทศไหนที่คิดจะทำได้ถึงขนาดนี้ แม้จะมีคำถามต่อไปว่า เมื่อเด็กจบมาแล้ว เข้าสู่สังคม จะต้านกระแสสังคมไหวไหม ก็เป็นความพยายามที่ต้องทำกันต่อไป

 

ณ วันนี้ นายจิรายุบอกว่า ความรู้จักกับคำว่า “พอเพียง” ของคนไทยยังอยู่ในระดับสมอง แต่ยังไม่เข้า “สายเลือด” หรือ “ดีเอ็นเอ”

 

“เพราะถ้าเข้าดีเอ็นเอ จะต้องปฏิเสธการซื้อหรืออะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไป เวลาเกิดความโลภขึ้นมา ต้องสกัดได้ โดยไม่จำเป็นต้องเอาสมองไปตัด แต่ผมเชื่อว่า ต่อไปจะเป็นไปได้ หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียงจะเข้าไปอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทย หัวใจของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากไม่โลภ ต้องมีความรู้คู่คุณธรรม มีผู้นำที่ดีเป็นโรลโมเดล และเอา 3 หลักไปใช้คือ พอประมาณ ไม่สุดโต่ง มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี” นายจิรายุกล่าว

 

ซึ่ง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงเป็น “แบบอย่างที่ดี” ในเรื่องนี้

 

“พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจ พระจริยวัตรต่างๆ ที่พวกเรารู้อยู่แล้ว อย่างเรื่องยาสีฟัน รองพระบาท พระองค์ทรงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทรงเป็นปราชญ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก ทรงสนพระทัยทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของประชาชน ดั่งพระปฐมบรมราชโองการที่ทรงปฏิบัติมาตลอด 70 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นายจิรายุกล่าว

 

“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แนวคิดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้คนไทย และได้รับการแซ่ซ้อง” เป็นปรัชญาที่เป็น “ของขวัญ” แด่ “โลก”

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:17:41 )

590620

รายละเอียด

590620_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะสามเส้าอันสุดยอด

พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559 วันนี้เป็นวันที่ทาง อบจ.อุบลฯเตรียมเปิด ตลาดน้ำประชารัฐ ฮักแม่มูล เราเอาเรือสานธรรมกับเรือแล่วดี เรือใหญ่ไปช่วย เขาจัดตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงเรื่อยๆ

มาอ่าน Sms 19 jun 59 กันก่อน

0805925xxx เจ้าของดีแทคชวนคนมาเป็นล้านปกป้องธัมมี่ เด๋วตูชวนเพื่อนเปลี่ยนค่ายกลัวติดโรคชิตังเม? โล่ชุดขาวเจอรองเท้าผ้าใบหัวหมู่ทะลวงรับรองเจ๋งดีป่ะ?

พ่อครูตอบ...เรื่องนี้เขาก็หาว่าอาตมาเป็นหัวนำให้เปลี่ยนจาก ดีแทคเป็นอย่างอื่น อาตมาก็บอกว่าเอ๊ อาตมาไม่ได้บอกใครว่าอย่างนี้นะ จริงๆแล้วอาตมาไม่ใช่คนโหดร้าย จะไปซ้ำเติมอะไรนะ ใครที่ตกทุกข์ได้ยากก็จะช่วย แต่ว่าใครทำกรรมอะไรก็ต้องรับวิบากของตนเองไป พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกรรมวิบาก กัมมัสสกะ ใครทำกรรมอย่างไรก็ได้รับกรรมของเรา เป็นมรดกตกทอดของเราทิ้งไม่ได้ เราเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว dtac ออกมาทำเช่นนี้ก็เป็นเจตนาของเขา พวกเราก็ดูไป เราเผ่า see go

 

0847354xxx กลียุคคือยุคเสื่อมตกต่ำถึงขีดสุดจิตใจชั่วร้ายต่ำทรามสิ้นศรัทธาในคุณความดีติดยึดหลงโลภจิตไม่ใฝ ธรรมหวังแต่ผลแห่งตน ลัทธิจานบินสอนบิดเบือนธรรมะ ถิอว่าเป็นอลัชชีไหมครับ

ตอบ...เป็นอลัชชีที่แปลว่าผู้ไม่ละอายมานานแล้ว จริงๆเลยอลัชชีแล้วเป็นสมีแล้ว ตกจากศาสนาพุทธไปแล้ว

0893867xxx ธรรมะพระศาสดามีไว้เพื่อช่วยศีลธรรมที่ค้ำจุนโลก!มิใช่ช่วยอธรรมทุศีลกอบโกยโลก!

0847354xxx ธรรมะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งก่อกำเนิดทุกสิ่งให้โดยมิได้ยึดหมายจับจองเป็นธรรมะที่บริสุทธิ์ชี้ทางให้บำเพ็ญจิตสว่างสงบว่างเปล่าไม่มี จึงมิใช่หวังเทิดทูล ยุคสุดท้ายนี้หมื่นศาสน์พากันเฟื่องฟูพากันแข่งฤทธิ์ปาฏิหาริย์พาคนลุ่มหลง ธรรมะแท้จริงถูกบิดเบือนคนหลงผิดคิดว่าจริง โถหนอ!

0893867xxx ผู้ใหญ่ที่ใฝ่ธรรมไม่ถูกทาง!คนที่รับวิบากธรรมที่ยึดถือผิดทางมิใช่ใครก็ลูกหลานของผู้ใหญ่ที่หลงทางธรรมนั่นเอง!skkใฝ่ธรรมอโศกถูกตรงหนทางแห่งความไม่ประมาทตามคำตถาคต!

 

0805925xxx โอมเพี้ยงเด๋วซาหวันเสกสังฆราชข้ามขั้นรอหน่อยนะรอทิ้งช่วงจายยเย็นนนนะโยม!อิอิอิปลายฝน

0805925xxx นะโมข้าขอตั้งเป็นธิษฐานบันดาลท่านเจ้าประคุณพระมหามุนีวงศ์เป็นสังฆราชเทอญ ท่านเป็นพระสมถะม่ายมีรถหรูจรรโลงพระศาสนาอยู่ราชบพิตรดีฟุดฟุด

0893867xxx จิตที่ไม่มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาคือจิตผีเปรต!จิต ที่รู้ซึ้งโลกุตระจิตเจตสิกรูปนิพพานคือจิตเทวดาใช่ไหม?ความเป็นเทพเทวดามารพรหมพระเจ้าผีฤาสัตว์นรกอยู่ที่จิตวิญญาณที่อยู่ในตัวคนที่รู้ผิดชอบชั่วดีทุกขณะถูกไหม? ถ้าใช่ก็แปลว่าจิตเทวดาแท้คือจิตที่รู้ธรรมถึงวิชชา9แหง!กราบขอบคุณพ่อครูฯ บุญนิยมจรธ.

 

คนจะมีธรรมะ 312

 

“การเกิด”(อุปจยะ)ที่เป็น“ภาวะรูป”ของปรมัตถธรรม ซึ่งตัวเรากำหนด“การเกิด”นี้ในชีวิตปัจจุบัน

อันยังมีร่างมีกาย และกำหนด“การดับ”(นิโรธ)นั้นด้วยตนเอง ที่มีความสามารถ“ดับ”โดยแยกแยะละเอียดยิบ“ดับ”เฉพาะ“อกุศลจิต”ที่มี“อาการ”เรียกว่า“เจตสิก”เท่านั้น ได้ อย่างมี“อภิสัญญา” 

“อภิสัญญา”นี้มีความหมายว่า ผู้ใช้“สัญญา”คือ “การกำหนดรู้”ได้ดี ได้ถูกต้อง ถึงขั้นสามารถบรรลุผลที่เป็น“สัมมาปฏิบัติ”

“สัญญา”หมายความว่า การกำหนดรู้, ความจำได้, ความตระหนัก ; เป็นเบื้องต้นแห่ง“ญาณ”(สัญญาทำงานเจริญขึ้นก็เป็นปัญญา)

ผู้เรียนรู้ที่สัมมาทิฏฐิจะปฏิบัติรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“สัจสัญญา”(การกำหนดรู้เพื่อศึกษาสัจจะ)ที่เป็น“กาม”บ้าง ก็เป็น“กามสัญญา”  เป็น“อัตตา”บ้าง ก็เป็น“อัตตสัญญา” เพื่อ“การกำหนดรู้กาม-กำหนดรู้อัตตา” จะได้ศึกษาปฏิบัติกำจัด“กาม”กำจัด“อัตตา”

“กาม”กับ“อัตตา” คือ กิเลสของคนมีในจิตที่พระพุทธเจ้าทรงแบ่งออกเป็น 2 ข้าง(อันตา)ใน“จิต”ของคนผู้อวิชชา

ผู้“อวิชชา”จะไม่รู้จัก หากไม่เรียนรู้จริง ก็จะยึดติดสั่งสมใส่จิตใจตนอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ศึกษาเรียนรู้ความเป็น“กาม” กับความเป็น“อัตตา” แล้วลดละความเป็น“กาม”เป็น“อัตตา”นี้ให้ได้  จนกระทั่งใน“จิตใจ”ของผู้นั้น ไม่มีความยึดติดทั้ง“ข้างฝ่าย”(อันตา)ที่มีความเป็น“กาม” ทั้ง“ข้างฝ่าย”(อันตา)ที่มีความเป็น“อัตตา” ตามที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรมสูตรแรกขึ้นในโลก คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 13) 

กิเลสของคนก็มี“ตระกูลกาม กับตระกูลอัตตา” 2 ตระกูลนี้เท่านั้น ที่จะต้องชำระออกไปจากจิตให้หมดสิ้นเกลี้ยงให้ได้

ผู้ที่ได้กำจัด“ตัวตนของกาม-ของอัตตา” โดยการกำจัด“ตัวเหตุของกาม-เหตุของอัตตา” ให้หมดสิ้นไป จนกระทั่ง“จิต”ของผู้นั้นไม่มี“กาม” ไม่มี“อัตตา” ได้สำเร็จ

“จิต”ของผู้บรรลุธรรมสูงสุดนี้ก็“เป็นกลาง”คือ “มัชฌิมา” นั่นคือ จิตใจเข้าสู่“ความวางเฉยต่อกามต่ออัตตา,ความมีใจเป็นกลาง อยู่เสมอตลอดไป คือ ในจิตไม่มีอาการของกามของอัตตา”(มัชฌัตตตา,อุเบกขา ซึ่งเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา มิใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา แน่นอน) กระนั้นก็ยังอาศัย“อรหัตตา”อยู่

และเป็น“อุเบกขาที่มีคุณสมบัติของ“จิตที่ตั้งมั่น”(สมาธิ) อย่างเที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง)ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) 

“คุณสมบัติ”ของจิตที่เป็น“มัชฌัตตะ”หรือเข้าขั้น“มัชฌิมา” ที่มีภาวะ“จิตเป็นกลาง”

จุดนี้แลเป็นจุดสูงสุด อันเป็น“ฐานนิพพาน” ผู้บรรลุ“ผลธรรม”ของพุทธ  ซึ่งจะมี“จรณสมบัติ”และ“วิชชาสมบัติ” เป็น“ธรรมะ 2”ที่ครบทั้ง“สมมุติสัจจะ”และทั้ง“ปรมัตถสัจจะ” จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“สัจจะ 3 เส้า”

“สัจจะ 3 เส้า” ได้แก่  (พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในจูฬวิยูหสูตร)

1) สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง (เอกัง หิ สัจจัง  น ทุตียมัตถิ) ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419

2) สัจจะหลากหลายต่างกันนั้น มิได้มีเลยในโลก (น เหว สัจจานิ พหูนิ นานา)

3) เว้นแต่“สัญญาว่าเที่ยง” (อัญญัตร สัญญาย นิจจานิ) ผู้สนใจดูจาก“จูฬวิยูหสูตร”

“สัจจะ 3 เส้า”นี้ อาตมาถือว่า เป็นที่สุดแห่งที่สุด ของความเป็น“สัจจะ”แล้วในโลก ซึ่งเป็นความตรัสรู้พระพุทธเจ้า

ข้อ 1) “สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง” หมายความว่า หากมีการยึดมั่นต่างกันขึ้นมาว่า “ของข้าเท่านั้นถูก-ของท่านผิด” ก็จะทะเลาะกัน แย่งชิงกัน ถึงขั้นฆ่ากัน

ดังนั้น จะให้ดี ก็ต้องตกลงกันให้ได้ว่า อย่างใดถูก อย่างใดผิด หรืออย่างใดควรกว่า อย่างใดยังไม่ควร เท่าที่กาละนั้นควรจะเป็น ควรจะทำร่วมกันอย่างใด“อย่างหนึ่ง”เท่านั้น แล้วนับเอาที่ตกลงกันให้ได้เป็น“อย่างเดียว”

นั้นแล คือ“สัจจะ”อย่างเดียวเท่านี้กันในหมู่

ฉะนี้คือ “สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง” ในความเป็น“สมมุติสัจจะ”ของโลก ก็เป็นได้กันด้วยประการอย่างนี้

แต่ถ้ายังขืนขัดแย้งกัน ถึงขั้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมกัน สังคมก็จะวุ่นวาย เดือดร้อน ดีไม่ดีตีกันตาย

สังคมจึงต้องช่วยกันจัดการให้ยึดถือเป็นไป“อย่างเดียวกัน”ให้ได้ แม้จะอนุโลม

หากยังไม่ยอมกันอยู่นั้นแหละ สุดท้ายในสังคมหมู่นั้น ผู้มีจิตเป็นอาริยะแท้ ที่เห็นแก่สังคมส่วนรวม จะเป็นผู้ยอมให้“เป็นไปตามส่วนใหญ่หรือคะแนนเสียงส่วนมาก”(เยภุยยสิกา)เป็นฝ่ายชนะไปเลย โดยผู้มีจิตเป็นอาริยะแท้ยอมเป็นฝ่ายแพ้ได้  (โดยจริงแล้ว ผู้ที่สูงสุดหรือส่วนสูงนั้นจะมีน้อยกว่า จำนวนน้อยกว่า)

แม้ท่านผู้ยอมแพ้นั้นจะรู้อยู่แก่ใจตนว่า ในความจริงหรือความถูกต้อง(สัจจะ)นั้นท่านเองแท้ๆ เป็นผู้ถูกต้องเป็นผู้มี“สัจจะ”อยู่แท้ 

ฉะนี้คือ ตน“ไม่ถือดี”มี“มานะ”(ถือเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่) ประพฤติตน“ไม่ยึดตัวตน”อยู่กับผู้อื่น หรืออยู่กับหมู่ในสังคม

แม้ท่านผู้อาริยะนี้จะเข้าใจ และเห็นจริงอยู่ว่า อย่างนั้นยังไม่ดีที่สุด แต่มันก็ไม่ถึงกับเสียหายร้ายแรงถึงขั้นที่อนุโลมไม่ได้ จึงจะยอมยืดหยุ่นหรืออนุโลมให้แก่คนส่วนมากในขณะนั้น”(ด้วยการใช้“สัปปุริสธรรม 7 กับ มหาปเทส 4” ตรวจวัดเสมอ) เพราะท่านเข้าใจใน“ธรรม 2”ของ“สมมุติสัจจะ(สัจจะในการรู้ร่วมกันในสังคม) กับ“ปรมัตถสัจจะ”(สัจจะในการรู้ในความจริงความถูกต้องถึงขั้นนามธรรม) ดีพอ

แต่ถ้าเห็นจริงว่า อย่างนั้นเลวร้ายเสียหายยิ่ง หากยินยอมให้เป็นไป ขืนปล่อยให้ทำอย่างนั้นมันถึงกับเสียหายร้ายแรง ก็อนุโลมกันไม่ได้ ขืนอนุโลมให้ แม้ฝ่ายนั้นจะเป็นส่วนมากในขณะนั้น ก็จะร้ายแรงเสียหาย ท่านก็จะพยายามแข็งขืนด้วย“ปรมัตถสัจจะ”และ“ศิลปะ”อย่างถึงที่สุด

แต่ที่สุดหาก“ส่วนใหญ่”นั้นจะยังแข็งข้อยึดตามที่ตนยึด ถ้าขืนท่านจะยึดตามที่ท่านเห็นจริงต่อไป มันจะวุ่นวาย ท่านก็จะยอมปล่อยให้“ส่วนใหญ่”เขาทำ ส่วนของท่านสำหรับตนเองก็ขอแยกตนออกมาทำส่วนตนใน“ส่วนน้อย”ไม่ร่วมกับ“ส่วนใหญ่” และเคารพกฏเกณฑ์ของสังคมส่วนรวมที่มี อยู่ในสังคมนั้น ไม่ผิดกฏเกณฑ์ของสังคมตาม“สมมุติสัจจะ” เพียงแต่ยอมให้“ส่วนใหญ่”ทำตามที่เขายึดถือนั้น

“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง”ในความเป็นทั้ง“สมมุติสัจจะ”ของโลก และทั้งเป็น“ปรมัตถสัจจะ”อันเป็นของตัวแท้ๆ เป็นกันได้ถึงปานฉะนี้

 

ข้อ 2) “สัจจะหลากหลายต่างกันนั้น มิได้มีเลยในโลก” หมายความว่า ในความเป็นจริงของสังคมอันหลากหลายนั้น ต่างคนต่างก็มีทั้ง“สัญญา”ทั้ง“ปัญญา” ทั้ง“อุปาทาน”และทั้ง“สมาทาน” โดยเฉพาะ“กิเลส”ที่แตกต่างกันของแต่ละคน ในโลกแห่ง“อนิจจัง”(ความไม่เที่ยง,ความไม่คงที่นิรันดร)และ“อนัตตา”(ไม่มีความเป็นตัวตนที่แท้นิรันดร) จึงไม่มีอะไรเท่ากันจริงหรอก ไม่ว่า อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แม้แต่“กรรมหรือธรรม” 

ในทุกสรรพสิ่งการรวมกันอยู่ได้ อย่างเป็น nucleus นั้น ก็คือ ธาตุตั้งแต่ 2 ธาตุขึ้นไป รวมกันอยู่ หรือเป็นธรรมชาติสามัญที่ต่างก็ต้องรวมกัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะด้อยกว่า หรือเหนือกว่า ถ้าฝ่ายด้อยยอมรับฝ่ายเหนือกว่าก็ดี หรือฝ่ายเหนือก็ยอมแก่ฝ่ายด้อยได้ก็ดี ก็สงบ ระดับหนึ่ง ดำเนินกันไป

หรือแม้จะขัดแย้งกันอย่างหนักสาหัส แต่จำนนต้องร่วมกันอยู่นั้น ต่างก็เป็นไปรวมกันอยู่แม้จะต่างคนต่างเป็น ก็สงบ ร่วมแรงรวมกัน เป็นแรงรวมอัดแน่นอยู่อย่างพร้อมจะแตกแยกระเบิดแตกกัน อยู่แท้

ส่วนที่ต่างไม่ยอมกัน ขัดแย้งกัน เสียดทานกัน ต้านกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ“สมมุติธรรม” หรือในแง่ของ“ปรมัตถธรรม”

มันก็ไม่สงบ ไม่สันติ เป็นธรรมดา ภาวะนั้นก็จะทำปฏิกิริยากันเกิดความร้อน ไม่เย็น ไม่สงบสบาย ถ้าขัดแย้งกันหนักก็ถึงขั้นระเบิดเป็นพลังงานรุนแรงทำลายอะไรต่ออะไรได้บรรลัยแหลกลาญกันทีเดียว

หากแรงเสียดทานของภาวะที่อยู่ด้วยกันนั้นๆมาก ก็จะเกิดความร้อนแรงเดือดร้อนมาก ถ้าเสียดทานกันไม่มากก็จะเกิดความเย็น หรืออบอุ่น เท่าที่มันจะเสียดทานกันมากหรือน้อยเท่าใดๆ ก็ตามที่เป็นจริง

โดยเฉพาะความขัดแย้ง ความสัมผัสสัมพันธ์กันของผู้คน หรือสังคม หากมีมาก มันก็เดือดร้อนกันมาก ถ้าหากมีน้อยก็ร้อนน้อย หากขัดแย้งกันพอเหมาะก็อยู่กันอย่างอบอุ่น เป็นสัจจะที่เกิดจริงตามธรรมดา

ในสังคมใดถ้ามีแต่คนยึดตัวกูของกูเท่านั้นดี-เท่านั้นถูก ของคนอื่นผิด ไม่ยอมอนุโลมกับสังคมหรือใครๆ สังคมนั้นก็จะขัดแย้งกันสูง ก็จะเดือดร้อนกันมาก ถึงฆ่ากัน 

ดังนั้น “ผู้ไม่ยึดความเป็นตัวกูของกู”ได้จริง จึงจะช่วยทำให้สังคมสงบได้ดีจริงสะอาดจริง ก็เป็นไปตามบารมีแห่งคุณธรรม

ผู้สามารถทำ“ความสงบเรียบร้อยให้แก่สังคม”ได้ดีและสะอาดแท้ เพราะรู้แจ้งในการอนุโลมปฏิโลมจริง ก็จัดการได้ตาม“สัปปุรัสธรรม 7”และ“มหาปเทส 4”

ผู้สร้างภาพทำทีเป็นผู้อนุโลมปฏิโลมก็ทำได้ ก็ได้เสพสุขโลกีย์ตามความเก่งของเขา แต่“หนี้บาป”ก็ยิ่งทับทวีแก่เขา เป็น“วิบาก”หนักหน้าต่อไป ตามเหตุปัจจัยของผู้เสแสร้งหลอกลวงนั้นๆ จะมี“อกุศล”ปนลงไปใน“กรรม”ของเขาอย่างไร? เท่าใดๆ?

ก็เท่าที่เขาหลอกได้เสวยผล“สุขเก๊-สุขเท็จ”(สุขัลลิกะ)อันเกิดจาก“ตัณหา-อุปาทาน”ในชาติปัจจุบันนี้เท่าที่เขา“ทำเก่ง”นั้นๆ เท่านั้นๆ

วิบากบาปของเขาก็สั่งสมซับซ้อนทับทวีเพิ่มขึ้นๆ ตายไปก็จะต้องมี“วิบาก”ที่เป็นปฏิภาคทับทวียิ่งๆขึ้นหนักหน้า

สรุปผู้เอาแต่“ยึดตัวกูของกู”อยู่ ไม่ยอมอนุโลมปฏิโลมแก่ใคร แก่สังคมส่วนรวมแต่อย่างใด ไม่ลดหย่อนตัณหา-อุปาทานลงเลย ผู้นั้นก็คือ ผู้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตน แก่สังคม ก็คือ“วิบากบาป”สั่งสมเรื่อยไป

ผู้ยึดมั่นถือมั่นใน“ตัวกูของกูที่ไม่มีการอนุโลมปฏิโลม”เด็ดขาด จึงต้องโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น หรืออยู่ในกลุ่มน้อย เป็นที่สุด

แต่สังคมที่เจริญยิ่งจริงแท้ มีคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น“ตัวตน”ได้มาก ก็จะอยู่รวมกันเพิ่มขึ้นๆอย่างสงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม ทว่าก็เป็นคนส่วนน้อยในสังคมอยู่นั่นเอง สำหรับสังคมที่ยังไม่เจริญสัจจะแท้ขณะนั้นซึ่งเป็น“ส่วนน้อยแต่มีธรรมฤทธิ์มาก” (มีฐานปิรามิดไปตามลำดับ)

 

ต่อไปข้อ 3) “เว้นแต่สัญญาว่าเที่ยง” (อัญญัตร สัญญาย นิจจานิ)นั้น หมายความว่า ตนผู้เดียวที่กำหนดของตัวเอง ตามใจตนเอง

ดังนั้น จะผิดจะถูกอย่างไร ก็เป็นของตนคนเดียว เป็น“จริง” เป็น“สัจจะ”อยู่คนเดียวแท้ๆ เที่ยงๆอยู่คนเดียว “นิจจัง”ของคนๆเดียว ไม่มีใครรับรู้ด้วย ไม่มีใครรับรองเลย  ก็เป็น“ความจริง”ของเอ็งคนเดียวเท่านั้น แหละจ้ะ

นี่คือ 3 เส้าแห่งสัจจะ อาตมาว่า ไม่มีอะไรแล้วที่จะอธิบายความเป็น“สัจจะ”ได้ครบถ้วนกระบวนความ ทั้งความเป็นสังคม และทั้งความเป็นตัวตน ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

 

เอาล่ะ เรื่อง“สัจจะ 3 เส้า” พักไว้แค่นี้ก่อน เราหันเข้ามาพูดถึงการศึกษา การปฏิบัติ กันต่อไป

การศึกษาเพื่อปฏิบัติให้เกิด“สัจจะ”ในความเป็นตน คือ “อัตตา”ก็ดี กับความเป็น“โลก”ก็ดี พระพุทธเจ้าทรงให้ศึกษาจากความเป็น“รูปกับนาม” เพราะ“คน”มี“นาม” ไม่ใช่มีแต่วัตถุหรืออุตุ หรือมีแต่“รูป”

และตัวการสำคัญของ“นาม”ที่มันไม่เป็นสัจจะ ก็คือ “กาม”นี่แหละตัวการใหญ่ มันเป็นอกุศล จึงต้องเรียนรู้ตัวนี้ โดยการใช้“สัญญา”เป็น“ตัวกำหนดรู้” และศึกษา“สัจจะ”ทั้งหลายต่อๆไป จน“สัญญา”ได้รู้สัจจะ พัฒนาสั่งสมเป็น“ปัญญา”ครบถ้วนก็เริ่ม“กำหนดรู้กามคุณ 5”เป็นขั้นต้น

“กามสัญญา”นี้จึงคือ การกำหนดรู้กามคุณ 5 ทั้งหลายประดาที่มีอยู่ในตน ที่“สัญญา”จะต้องทำหน้าที่“กำหนดรู้”ของตนให้ได้ทั้งหมด และกำจัดให้เกลี้ยงสิ้น 

ส่วน“สัจสัญญา”(การกำหนดรู้ความจริง) ที่เป็น“รูปสัญญา”(การกำหนดรู้ความเป็น“รูป”) ก็มีทั้ง“อาการ”ของความเป็น“วิตก-วิจาร-ปีติ-สุข-ไม่สุขไม่ทุกข์” จึงจะเป็น“สัจสัญญา”อันละเอียด นั่นคือ “สัจสัญญา”ที่เรียน“รูปสัญญา”ซึ่งมีสุขและทุกข์อัน“ดับไป”แล้ว ก็เป็น“อุเบกขา”

ต้องอ่านให้ออกโดยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส จึงจะมีการอธิวจนะ คือเรียกชื่อออกมาให้ทราบร่วมกันได้ หากไม่เรียกชื่อก็ต้องอธิบายยาวหรือไม่รู้เรื่องได้ง่ายๆร่วมกัน

จาก“อุเบกขา”จึงจะเข้าสู่“อรูปสัญญา” เริ่มเรียน“อากาสานัญจายตนะ-วิญญาณัญจายตนะ-อากิญจัญญายตนะ” ตามลักษณะตามอาการของแต่ละสัญญา ซึ่งผู้มี“อภิสัญญา”(สัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจะบรรลุเป็น“ความรู้จริง”คือสัจจะ) ต้องมีภูมิถึงขั้นแท้   จึงจะกำหนดจริงได้

ใน“อากาสานัญจายตนะ”คือ ความว่าง อาการว่าง สภาพว่าง ลักษณะว่าง ก็กำหนดรู้ใน“นิมิต”หรือมิติที่ว่า “ว่าง”นี้ให้เห็นจริงว่า มันอย่างไรกันแท้ๆจึงคือ“ว่าง” เราก็กำหนดรู้ภาวะที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้(อาหารรูป)ที่“ว่าง”นี้ ให้เห็นแจ้งรู้จริง จนพ้นความไม่รู้(อวิชชา) เป็นที่สุดจริงๆ

จากนั้นก็กำหนดรู้“อาการ”ที่เรียกว่า“วิญญาณัญจายตนะ” คือขณะนี้ ธาตุรู้หรือวิญญาณของเรา ที่เราสัมผัสอยู่นี้ มันสะอาดหมดจด มันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด บริสุทธิ์บริบูรณ์สูงสุด แล้วจริงมั้ย? ในตัววิญญาณนั้นเอง ก็ต้องเห็นความจริงให้ได้

แล้วก็ตรวจ“อากิญจัญญายตนะ”ต่อไป

คือผู้ผัสสะจึงมีอายตนะให้รู้ได้ แล้วตรวจธุลีละอองของอกุศลส่วนเหลือว่า จะหลงอยู่“นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง”อีกบ้างมั้ย?

และต้องชำระส่วนนี้ให้หมดสิ้น ให้ได้ หากยังมีอยู่  จนสำเร็จได้แล้วแน่แท้

ก็ยังต้องตรวจสอบอีก แล้วๆเล่าๆอย่างไม่ประมาท จนกว่าจะรู้แจ้งรู้จริงว่า เราพ้น“เนวสัญญานาสัญญายตนะ”เป็นที่สุด คือ“รู้ครบ”ได้สัมบูรณ์แล้ว(สัมปุณณ)

“พ้นความไม่รู้” ซึ่ง“รู้”จนไม่มีอะไรที่จะ“รู้”อีก “รู้”หมดสิ้นเกลี้ยงแล้ว(พ้นอวิชชาสวะ-พ้นอวิชชานุสัย) ถึงขั้นนี้จึงได้ชื่อว่า ผู้บรรลุ“สัญญา เวทยิตะ นิโรธ”(ผู้ใช้สัญญากำหนดรู้ใน“เวทนา 108”) ว่า มี“นิโรธ”ที่เป็น“สมาหิตัง”(ความตั้งมั่นแล้ว)และ“วิมุตติ”(ความหลุดพ้นสูงสุดแล้ว) สัมบูรณ์ครบ“อนุตตริยภูมิ”

 โดยสามารถทำ“สัญญาอย่างหนึ่งเกิด-สัญญาอย่างหนึ่งดับ”ได้ อย่างสัมมาปฏิบัติ  เพราะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในการใช้“สัญญา”ทำหน้าที่ จนถึงที่สุดแห่งที่สุด

“สัญญา”หนึ่งนั้น“ดับ”ไปเพราะเสร็จหน้าที่ อีก“สัญญา”หนึ่งที่เกิดเพราะกำหนดรู้ตลอดทั้งวิธีที่ทำให้ดับได้ ทั้งภาวะธรรมที่ค่อยๆดับไปจนหมดสิ้น และทั้งยังเห็นภาวะ“ความดับ”(นิโรธ)นั้นที่มันเป็นจริง

“สัญญา”ทำหน้าที่ตรวจสอบถ้วนครบใน“เวทนา 108”อย่างเต็มสภาพแล้ว ว่า สภาพ“นิโรธ”คือ การดับสิ่งที่เราจะต้องให้“ดับ”สิ้นเกลี้ยงสนิทสัมบูรณ์นั้น ได้“ดับ”สนิทสิ้นเกลี้ยงถ้วนแล้วถ่องแท้ จึงชื่อว่า “สัญญา เวทยิต นิโรธ”

ภพชาติแห่งความเป็น“นรก-เทวดา-มาร-พรหม”ก็ได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงหมดเกลี้ยงแล้ว ด้วยการกำหนดรู้ด้วย“สัญญา” กระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเต็มด้วยความเป็น“ปัญญา” ตาม“องค์ธรรม 6” คือ จาก“ปัญญา”เป็น“ปัญญินทรีย์” จาก“ปัญญินทรีย์”เป็น“ปัญญาพละ”โดยมี“ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) 

ซึ่ง“มัคคังคัง” (องค์แห่งมรรค) ก็คือปฏิบัติตามหลัก“มรรค องค์ 8” โดยปฏิบัติ“มรรค 7 องค์”ตามพระวจนะ และมี“โพชฌงค์ 7”

เป็นองค์ประกอบสำคัญ ตัวสำคัญคือ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จะเจริญพัฒนาเกิด“สัมมาทิฏฐิ”เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สั่งสมลงเป็น“ปัญญา” จึงเกิด“อินทรีย์ 5 -พละ 5”ขึ้นจริง และ “ปัญญา”ก็สั่งสมเป็น“ปัญญินทรีย์” ที่สุดปัญญาก็มีพลังสูงสุดจึงเป็น“ปัญญาพละ”

แถมยังมีละเอียดสุดอีกที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบโปฏฐปาทปริพาชก (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 275 ไปจนจบสูตร) อีก 7 แง่ ละเอียดยิ่งของ“สัญญา”นั้นคือ

1. ทรงบัญญัติสัญญาอันเลิศอย่างเดียว หรือหลายอย่าง ตรัสตอบว่า ทรงบัญญัติทั้งอย่างเดียว และหลายอย่าง

2. สัญญากับญาณ อย่างไหนเกิดก่อน  ตรัสตอบว่า สัญญาเกิดก่อนญาณ

3.​สัญญาเป็นอัตตา หรือว่าสัญญากับอัตตาเป็นคนละอย่างกัน ทรงซักว่า “อัตตา”ที่ว่าหมายถึงอะไร  ทูลตอบว่า

หมายถึง อัตตาหยาบที่อาศัยรูป(โอฬาริกอัตตา) พระศาสดาจึงตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้น เป็นคนละอย่างกับสัญญา

4. อัตตาตามที่ตนเข้าใจ หมายถึง อัตตาที่เกิดจากใจ มีอวัยวะและอินทรีย์ครบถ้วน(มโนมยอัตตา) ตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้นก็เป็นคนละอย่างกับสัญญา

5. อัตตาตามที่ตนเข้าใจ หมายถึงอัตตาที่ไม่มีรูป(อรูปอัตตา) เกิดจากสัญญา ตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้นเป็นคนละอย่างกับสัญญา

6. ตัวเองจะรู้ได้หรือไม่ว่า สัญญาเป็นอัตตาของคน หรือสัญญากับอัตตาเป็นคนละอย่างกัน ตรัสตอบว่า คำถามนี้เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับทัสสนะของพระองค์จึงไม่ทรงตอบ [ก็เป็นสิทธิของคน ต่างกำหนดอะไรเป็นของตนเองคนเดียวก็ได้ = สัญญายะ นิจจานิ]

เพราะ“สัญญา”นี้จะว่าละเอียดหรือหยาบ ก็ได้ทั้ง 2 ประเภท ซึ่งมันลึกหรือตื้นที่แคบเข้าไปถึงภาวะของ“พีชนิยาม”แล้ว ตอนนี้ธรรมาธรรมะสงคราม เขาก็บอกว่า เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย

เราก็บอกบ้างว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:07:22 )

590621

รายละเอียด

590621_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คำถามเรื่องโลกและอัตตา

พ่อครูว่า… ท่านได้กล่าวเทวดาสมมุติเทพ 6 ชั้น แล้วทำให้เข้าใจ คนละเรื่องกับที่เคยได้ยินเลย เหมือนหงายกะลาเลยค่ะ

มีคำถามจากคุณ VAN  ใน Line@ธรรมะพ่อครู

กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ โยมขอเรียนถามคำถามเรื่องของกรรมฐาน เข้ากรรม16 ข้อไหนได้บ้างค่ะ

ตอบ...มีแต่กรรมฐาน 16 นะ ไม่มีกรรม 16 ซึ่งกรรมวิบากเป็นอจินไตย คนอวดดีเอากรรมมาแบ่งย่อย 16 ว่าจะมีวิบากอย่างไร เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมที่เกินไป แต่กรรมฐานนี้ต้องพยายามพูด เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีกรรมฐานที่ผูก แต่กรรมฐานได้เพี้ยนไปเป็นแบบฤาษีไปแล้ว พระกรรมฐานทุกวันนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว ไปให้เพ่งกสิณ ยึดมั่นเป็นการสะกดจิต ไม่ได้ธัมวิจัย ตามแบบพระพุทธเจ้าเลย ออกนอกทิศทางเป็นมิจฉาทิฏฐิไป เวลาไปปฏิบัติอานาปานสติก็ไปนั่งดูลมหายใจไปเสีย แต่แท้จริงคือทุกลมหายใจเข้าออกต้องมีสติปัฏฐาน ต้องปฏิบัติทุกขณะ ต้องดำเนินสติปัฏฐานหรือโพธิปักขิยธรรม 37 ไปตลอดทุกลมหายใจ

กรรมฐานแท้ของพระพุทธเจ้าคือเวทนาในเวทนา หรือเวทนา 108

เวทนา 2 เรียกว่ากาย ก็แยกให้เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วดึงเอาอกุศลจิตที่เป็นเหตุของเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของการปฏิบัติธรรม

มูลกรรมฐานมี 5 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แยกอันนี้ให้เป็น ถ้าแยกเป็นจะรู้ความเป็นชีพ ความเป็นสรีระออก แยกชีพแยกสรีระออก จะรู้อะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม อะไรเป็นกาย อะไรซ้อนในกายหรือเมื่อไหร่มันไม่เป็นกาย

ทำไมเอาผมขนเล็บฟันหนังมาเป็นมูลกรรมฐาน เพราะมันมีอาการที่อยู่ภายนอกด้วย นอกนั้น มันอยู่ภายในหมด ในอาการ 32 มันพิจารณาไม่ชัด ในสิ่งที่เกี่ยวกับภายนอกชัดๆ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแล้วทำธรรมะสองเป็นหนึ่งให้ได้

สัญญาคือเจตสิกของเรา สัญญาเป็นตัวทำงานตลอดเวลา ทำงานกำหนดรู้ หรือหมายรู้

พระพุทธเจ้าตรัสตอบโปฏฐปาทปริพาชก (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 275 ไปจนจบสูตร) อีก 7 แง่ ละเอียดยิ่งของ“สัญญา”นั้นคือ

1. ทรงบัญญัติสัญญาอันเลิศอย่างเดียว หรือหลายอย่าง ตรัสตอบว่า ทรงบัญญัติทั้งอย่างเดียว และหลายอย่าง

2. สัญญากับญาณ อย่างไหนเกิดก่อน  ตรัสตอบว่า สัญญาเกิดก่อนญาณ

3.​สัญญาเป็นอัตตา หรือว่าสัญญากับอัตตาเป็นคนละอย่างกัน ทรงซักว่า “อัตตา”ที่ว่าหมายถึงอะไร  ทูลตอบว่า หมายถึง อัตตาหยาบที่อาศัยรูป(โอฬาริกอัตตา) พระศาสดาจึงตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้น เป็นคนละอย่างกับสัญญา

4. อัตตาตามที่ตนเข้าใจ หมายถึง อัตตาที่เกิดจากใจ มีอวัยวะและอินทรีย์ครบถ้วน(มโนมยอัตตา) ตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้นก็เป็นคนละอย่างกับสัญญา

5. อัตตาตามที่ตนเข้าใจ หมายถึงอัตตาที่ไม่มีรูป(อรูปอัตตา) เกิดจากสัญญา ตรัสตอบว่า อัตตาอย่างนั้นเป็นคนละอย่างกับสัญญา

6. ตัวเองจะรู้ได้หรือไม่ว่า สัญญาเป็นอัตตาของคน หรือสัญญากับอัตตาเป็นคนละอย่างกัน ตรัสตอบว่า คำถามนี้เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับทัสสนะของพระองค์จึงไม่ทรงตอบ [ก็เป็นสิทธิของคน ต่างกำหนดอะไรเป็นของตนเองคนเดียวก็ได้ = สัญญายะ นิจจานิ] เพราะ“สัญญา”นี้จะว่าละเอียดหรือหยาบ ก็ได้ทั้ง 2 ประเภท ซึ่งมันลึกหรือตื้นที่แคบเข้าไปถึงภาวะของ“พีชนิยาม”

แล้ว โปฏฐปาทปริพาชก เพียรถามปัญหาทาง“อันตคาหิกทิฏฐิ 10” อีกต่อไป “อันตคาหิกทิฏฐิ”คือ ความเห็นที่ยึดเอาที่สุด และความเห็นที่ยึดเรื่องใดก็ยึดเรื่องนั้นจนถึงที่สุด คนผู้นี้ก็จะมีสัญญาของตนมุ่งไปจนถึงที่สุดกับเรื่องหนึ่งๆนั้นๆ  มี 10 ประการ

(1) โลกเที่ยง

โลก หมายความว่า องค์ประกอบรวมของสรรพสิ่งทั้งมวลและสังคมมนุษย์ชาติ, ความหมุนเวียนวนอยู่ ยังไม่หยุด“วน”นั่นเองเที่ยง หมายความว่า ไม่เปลี่ยนแปลง, “คงที่”  ซ้ำมิหนำยึดโลกแข็งหนาโตใหญ่ขึ้นอีก

เรียนรู้ละล้างความติดยึดในโลกไปตามลำดับ
          ศีลข้อที่ 1 ต้องเรียนรู้ละล้างความโกรธที่จะไปทำร้ายสัตว์โลกทั้งปวง

ศีลข้อที่ 2 ต้องเรียนรู้ลดความโลภ อย่าทุจริตต่อกฏสังคม โดยสัจจะของที่ไม่ใช่ของๆเราแม้เราจะวิสาสะได้ท่านก็ให้ระวัง ให้พึ่งตนเอง มีสิทธิ์ในของที่เรามีสิทธิ์จะได้ไม่ทะเลาะกัน เราเป็นคนไม่เอาของใครให้ได้ ไม่มีปัญหา เราศึกษาศีลข้อนี้ดีแล้ว  ไม่ใช่นั่งหลับตาสะกดจิต แต่ให้มีผัสสะแล้วอ่านอาการจิต ที่มันไม่สุจริต ต้องมีปัญญาล้างสิ่งเหล่านี้ให้จริง

ย่ิงอาการราคะ อาการกาม ศีลข้อ 3 แล้วศีลข้อ 4​ต้องเรียนรู้วาจาที่จะไม่ให้ผิดศีลทั้ง 3​ข้อแรก

โลกุตรธรรม หมายถึง ความเป็น“โลก”ไม่ลดลง ไม่หมดสิ้นไปจากตน   

ดังนั้น ผู้ที่ยังวนเวียน(โลก)อยู่กับการแสวงหา“สุข”ที่ได้สมใจในลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุขโลกีย์ และยังเวียนวน(โลก)อยู่กับการบำเรออัตตา จึงยังมีทุกข์”อยู่ ชนิดที่ไม่ลดกิเลสเลย  คนผู้นี้จึงเป็นคนมี“โลกเที่ยง” เพราะวนเวียนกับ“โลก”อยู่นั่นแล้ว วนเวียนอยู่กับการล่า“องค์ประกอบรวมของสรรพสิ่งทั้งมวลและสังคมมนุษย์ชาติ” นั่นคือวนอยู่กับสุขๆ-ทุกข์ๆที่เป็นโลกธรรมนั้นไม่คลาย ไม่ลด มีแต่เพิ่ม ยังติดโลกธรรม 8 อยู่ครบ  ไม่ลดเลย ไม่พร่องเลย ดีไม่ดี จัดจ้าน หนักหน้ายิ่งขึ้นด้วย คนผู้นี้จึงมีความเป็น“โลก”อยู่เต็ม ไม่ลดเลย นี้คือ โลกเที่ยงฉะนี้แล ผู้มี“โลกเที่ยง” คือยังมุ่งมั่นล่า“โลกธรรม”ไม่ยอมลดราวาศอก ดังนั้นคนผู้นี้จึงคือผู้“เที่ยง”ด้วยการตกต่ำ นั่นคือมี“นรกเที่ยงตลอดยังไม่เคยลด” ซึ่งนรกนั้นเพิ่มขึ้นๆอย่างเที่ยงต่างหาก ฟังดีๆ เพราะผู้นี้ยังทำนรกให้ตนไปอย่างเที่ยงแท้ ไม่หยุดหย่อนเลย แต่ความเลวร้ายสิ ไม่เที่ยง ไม่จบ

 

(2) โลกไม่เที่ยง

หมายความว่า องค์ประกอบรวมของสรรพสิ่งทั้งมวลและสังคมมนุษยชาตินั้น ยัง“หมุนวน”อยู่ ด้วยความ“ไม่เที่ยง” ยัง“ไม่คงที่” ยังเปลี่ยนไปบ้างเป็นสุข-บ้างเป็นทุกข์ บ้างดำ-บ้างขาว บ้างว่าง-บ้างไม่ว่าง อยู่  ผู้สามารถ“ดับ”ความเป็น“โลก”ลงได้อย่างสัมมาทิฏฐิบ้างแล้ว บางเรื่องบ้างแล้ว โลกลดลงบ้างแล้ว เพราะลดโลกได้บ้าง สุขในลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกีย์คือยังเวียนวน(โลก)อยู่กับ“กามภพ”ที่เ หลือ และยังมีความเป็น“อัตตา”ที่เหลือ แต่ก็ลดลงๆ นี้คือไม่เที่ยงซึ่ง “ไม่เที่ยง” ก็คือ “ไม่แน่นอน, ไม่คงที่, ไม่อยู่คงเดิม, วนเวียนอยู่ยังไม่จบสิ้น”ที่เป็น“อบายภพ-กามภพ-รูปภพ-อรูปภพ” ก็“ดับ”ได้ เจริญขึ้นๆ จบเสร็จไปตามลำดับ

เมื่อทำได้แข็งแรงโลกโลกุตระจะเที่ยง อย่างนิยตะ สัมโพธิปรายนะ ของพระพุทธเจ้านี้มีฐานของจิตที่เคยไปติดไปหลง เคยโง่มาก่อนแล้วก็มารู้มาหายโง่ มาล้างกิเลสได้ ก็เที่ยงแท้ไม่ตกต่ำไปอีก เจริญไปได้ต่อไป จนถึงอรหันต์ ของพระพุทธเจ้าจึงถอนรากถอนโคน เปลียนตระกูลโลกียะปุถุชน เป็นทุกข์ อนัตตา มาเป็นเที่ยงแท้ที่ไม่ทุกข์ ไม่มีตัวตน แต่ไม่ใช่เป็นวิมานอย่างบางสำนักอธิบาย

คุณสุขแต่คุณยึดว่าจะต้องได้สุขไปเรื่อยๆก็คือความเที่ยง ส่วนโลกไม่เที่ยงก็ไปทำลายเปลี่ยนแปลงความเที่ยงมาเป็นความไม่เที่ยงแท้ อย่างเที่ยง

 

(3) โลกมีที่สุด

หมายความว่า ผู้ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“โลก” และสามารถทำให้ความเป็น“โลก”ของตนนั้นๆ สิ้นสุดลงได้สนิท ไม่ต้องมี“โลก”นั้นๆในจิตตนสำหรับตนอีก จึงเป็นผู้สามารถทำ“โลกมีที่สุด”ได้ ชื่อว่า ผู้ค้นพบ“ที่สุดของโลก”ทางจิตวิญญาณ

มีนักปฏิบัติธรรมตามหาที่สุดแห่งโลก แล้วไปถามพระพรหม พระพรหมตอบไม่ได้สุดท้ายให้ไปถามพระพุทธเจ้า

 

(4) โลกไม่มีที่สุด

 หมายความว่า ผู้ที่ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“โลก”เลย จึงเป็นผู้หลงใหลจมอยู่กับความเป็น“โลก” ย่อม“หาที่สุดโลกมิได้” จึงมี“โลก”ไปอย่างไม่มีที่สิ้นที่สุดสำหรับตน ก็แน่นอนคนผู้นี้คือผู้มี“โลกไม่มีที่สุด”คนผู้นี้จึงต้องวนเวียนอยู่กับความเป็น“โลก”ไปตลอดชั่วกาลนาน เท่าที่เขายังอวิชชา

เราจะเรียนรู้ว่าเป็นคนไม่ควรไปหลงกับโลกที่ต่ำเช่นนั้น

ยกตัวอย่าง ในวงการสนุกสนานเพลิดเพลิน มันเป็นของแท้ของปลอมสร้างประธานภพชาติว่าสนุกเช่นนั้นเช่นนี้ที่ปรุงแต่งไปว่านี้สนุกกว่านี้สนุกกว่าแล้วก็วนเวียนอยู่เช่นนั้น วนกว้างไปจนวนมาหาที่เก่าก็ไม่รู้จักเช่นเกือกอย่างนี้สวยยุคนี้ต้องส้นหนา พอต่อไปยุคนี้ต้องส้นบาง ต่อไปยุคนี้ต้องส้นสูง สูงขนาดนี้ตามขนาดนี้สูงที่สุด ตามแต่จะถูกหลอกไป

สีอย่างนี้สวยปีนี้สิอย่างนี้ปีหน้าก็สีใหม่อีกวนไปเวียนมารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็วนเวียนไปเช่นนี้สนุกเพลิดเพลินกันไป พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นเทวดาขิฑฑาปโทสิกะ เป็นพวกที่ไม่รู้จักความบำเรอใจเป็นโทษแก่ตนเอง อีกพวกหนึ่งเป็นเทวดาหลงอยู่กับจิตเป็นจิตเป็นโทษ คือพวก มโนปโทสิกะ ทำจิตเก่งเป็นฤทธิ์เดชต่างๆนานา เล่นกับจิต แต่ไม่เอาเรื่องโลกแล้ว

พวกธรรมกายเล่นทั้งสองอย่างเลย มโนปโทสิกะใหญ่จนถึงพุทธเกษตรนิรันดรแล้ว สะกดจิตสร้างอัตตา แล้วเรื่องกาม โลกก็ยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุดอีก ไม่ว่าโลกนอกหรือในจิตก็ไม่สิ้นสุด

ถ้าเป็นพวกดับอย่างสายอ.มั่นนี่มีที่สุดนะ อย่างเก่งก็ดับไปนานนาน ต่างจากพวกที่เป็นภัยนี่ที่สำนักธรรมกายทำนี้ไม่สิ้นสุดทั้งสองด้านเลย ทั้งจิต ก็ไม่รู้ทั้งโลกและอัตตาภายใน ไม่สิ้นสุด

 

(5) ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น

หมายความว่า ชีพก็มีอยู่ในอันเดียวกันกับสรีระนั้นซึ่งแตกต่างจากความว่า ชีพก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ที่แยกกันออกไป อาการเป็นชีพ-อาการสรีระ นั้นแยกต่างกันเพราะยังแยก“กาย” แยก“จิต”ไม่เป็น

คนผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ จะแยก“กาย”แยก“จิต”ไม่ออก ก็แน่นอนว่าไม่สามารถอ่าน“อาการ”ของพลังงานที่เป็น“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม”ออก หรือไม่สามารถอ่านได้แน่ๆ (ธรรมเป็น static กรรมเป็น dynamic)

เราเห็นแตงโม ก็ต้องอ่านอาการเวทนาที่ไปติดแตงโม ให้ออกแล้วจัดการชีวิตินทรีย์ของกิเลสนี้ออกได้ เราก็ยังอยู่กับแตงโมไม่ได้หนีไปไหน แต่ไม่มีอาการนั้นแล้ว

“อาการ”ในคน มีทั้ง“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม” ซึ่งผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงแล้ว จึงเป็นผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ชีพ”หรือ“ชีวะ”กับความเป็น“สรีระ”แท้จริง จึงสามารถแยก“สรีระ”นั้นก็อย่างหนึ่ง “จิต”ก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะสามารถแยก“กาย” แยก“จิต”ได้ อย่างสัมมาทิฏฐิ

“สรีระ”คือ“ร่าง”ภายนอก โดยตัวมันเอง “สรีระ”มันไม่ใช่“จิต”เลย “สรีระ”เป็น“อุตุนิยาม”แท้ๆ แต่“สรีระ”ให้เป็นองค์รวมแก่“พืช”แก่“จิต-มโน-วิญญาณ”อาศัยในนั้นได้ องค์ประกอบของ“พืช”มี“อุตุนิยาม”กับความเป็น“ชีวิตินทรีย์” ซึ่งทั้งนอกและในอุตุไม่มีสิทธิ์เป็น“จิตนิยาม-กรรมนิยาม” นอกและในรวมเป็น“สรีระ”ได้ อาศัย

กันได้ แต่“จิต-มโน-วิญญาณ”ก็ยังมิใช่สรีระในพระธรรมบทมียืนยันชัดเจนว่า จิต

“ไม่มีสรีระ”(อสรีรัง ; พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 13)ทว่า“สรีระ”เป็น“คูหาสยัง”(เป็นแหล่งที่จิตอาศัยได้)หากมีเหตุปัจจัยที่รวมกันพอเหมาะ “จิต”จะเข้าไปอาศัย ณ “คูหาสยัง”นั้นๆได้

          ถ้าทำจิตให้เหมาะกับร่างหมาก็จะเข้ากับร่างหมา  ถ้าทำจิตให้เข้าร่างอาริยะก็ทำเอา บางอย่างเราคิดไม่ออกหรอก

ดังนั้น เมื่อ“พลังงาน”ที่พัฒนาต่อจาก“พีชนิยาม”(ไม่ใช่แค่ต่อจาก“อุตุนิยาม”นะ)มีคุณลักษณะถึงขั้น“จิตนิยาม” จึงจะสามารถเข้าอาศัยใน“คูหาสยัง”นั้นๆได้ เร่ิมจากพืชที่จะมาเป็นจิตนิยาม มันจะอาศัยน้ำ จะเป็นสัตว์น้ำก่อน สารพัดสัตว์ในน้ำมันมีมากมาย โลกแต่ โลกกหากไม่มีน้ำในโลกนั้น จะไปหาสัตว์เซลล์เดียวหลายเซลล์ชั้นต่ำก็ไม่มี แต่ถ้ามีน้ำแล้วก็จะเริ่มมีสัตว์ขึ้นมาได้

         

“ธรรมะ 2”ที่มี“รูป”กับ“นาม”รวมกันนี้คือภาวะที่เรียกว่า “กาย” ซึ่งต่างจาก“สรีระ”(ร่างภายนอก)อย่างมีนัยสำคัญ

 

ผู้สามารถแยก“กาย”แยก“จิต”ได้อย่างสัมมาทิฏฐิจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“ชีวะ”ขั้น“พีชนิยาม”ขั้น“จิตนิยาม” ว่าเป็น“ชีวะ” และต่างจาก“อุตุนิยาม”ที่ไม่มี“ชีวะ” ไม่ใช่ชีวะ ว่าแตกต่างกันอย่างไร

ซึ่งผู้นี้จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ชีวะ”ได้แท้ ตั้งแต่“ชีวะ”ระดับ“พีชธาตุ” ที่ต่างจาก“อุตุธาตุ” ดังนั้นคนผู้นี้จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่แยกจาก “อุตุนิยาม”มาเป็น“พีชนิยาม”อย่างไร ซึ่งพลังงานที่เป็น“อุตุนิยาม”นั้นคือ“ธาตุ”ที่ยังไม่ใช่“ชีวะ”หรือยังไม่มี“ชีพ” ส่วนพลังงานที่เริ่มเป็น“พีชนิยาม”ก็เป็น“ชีพ”หรือ“ชีวะ”

จึงสามารถแยกความเป็น“สรีระ” กับความเป็น“ชีพ” กับความเป็น“จิต” ได้ถ่องแท้

เพราะผู้มีภูมิ“โลกุตระ”จริง สามารถ“กำหนดรู้อาการ”ในความเป็นพลังงานที่เป็น“จิตนิยาม”ของตนได้ และแยกแยะพลังงานที่เป็น“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิต

นิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม”ได้ และสามารถ“จัดการทำให้”(อภิสังขาร)พลังงาน “จิตนิยาม”ของตนเป็น“พีชนิยาม”ที่รวมกับ“อุตุนิยาม”ได้อย่างแท้จริง ด้วยความรู้ยิ่ง คือ“วิชชา”(จิตนิยาม)ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ทั้งกุศลธรรม-อกุศลธรรม ทั้ง“กุศลกรรม-อกุศลกรรม”จริงๆ จึงสามารถจัดการทำให้ “อกุศลธรรม” ซึ่งมี“อกุศลจิต”เป็น“ตัวเหตุ”และสามารถ“กำหนดรู้”ภาวะจริงขณะที่“ทรงสภาพอยู่”(ธรรมหรือธรรมนิยาม)ในตน(คูหาสยัง)หลัดๆ ที่สัมผัสอยู่ โทนโท่ ในปัจจุบันนั้นๆ ที่“สัมผัส”อยู่ โต้งๆ แท้ๆคือ มี“สัญญา”พลังงานที่มีหน้าที่“กำหนดรู้”นั้นแล ทำงานจนสามารถ“หยั่งรู้”ความเป็น-ความมีอยู่จริงที่ยังมี“อาการ”มี“นิมิต”ที่ผู้มีภูมิธรรมอาริยะ-โลกุตระก็จะสามารถ“กำหนดรู้”ได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น ผู้ยังไม่มีภูมิปัญญาจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อาการ”ของพลังงานขั้น“อุตุธาตุ”ว่าแตกต่างจาก“พีชธาตุ”อย่างไร คนผู้นั้นก็ไม่สามารถ“รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ชีวะหรือชีพ”ก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่งได้แน่นอน

ไม่มีสัมผัสสร้างปัญญาไม่ได้หรอก มีแต่สัญญาไม่สามารถมีปัญญาได้ เขาก็คิดว่าสอนกันว่าให้ทำจิตให้นิ่งให้ใสปัญญาจะเกิดเอง แท้จริงมันไม่ใช่ปัญญามีแต่สัญญา นั่งหลับตาปัญญาเกิดไม่ได้ ปัญญาจะเกิดต้องมีมัคคังคะ มีผัสสะเป็นปัจจัย มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ

 

(6) ชีพก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง เมื่อผู้ไม่มีภูมิที่จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ธรรมนิยาม 5”ได้จริง ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นย่อมไม่สามารถแยก“ชีพ” แยก“สรีระ”

ได้ ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร แน่ยิ่งกว่าแน่

ดังนั้น ผู้มีภูมิถึงขั้นอาริยะจริงเท่านั้นจึงจะสามารถชี้ชัดได้ว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือชีพก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

เช่น  ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง “กรรมฐาน 5”นี้มีทั้งส่วนที่เป็น“ชีพ” และมีทั้งส่วนที่เป็น“สรีระ” มีทั้งส่วนที่“ชีพ”ก็อันนั้น “สรีระ”ก็อันนั้น และมีทั้งส่วนที่“ชีพ”ก็อย่างหนึ่ง “สรีระ”ก็อีกอย่างหนึ่ง  ทั้ง ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง นั้น ส่วนใดที่ยังนับว่ามันเป็น“ชีพ”(ชีวะ)ของเราอยู่ และส่วนนั้นยังมี“เวทนา”ของ“จิตนิยาม” ซึ่งต่างกับ“พีชนิยาม”ของเราอยู่ ทั้ง 2 นิยามนั่นคือ  มันยังมี“อาการ”ของ“ชีวะ”หรือชีพ อยู่ทั้ง 2 (ของพืชด้วย-ของสัตว์ด้วย)

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:13:19 )

590622

รายละเอียด

590622_เทศน์ก่อนฉันที่ศรีษะอโศกเนื่องในวันไหว้ครู

วันนี้เป็นวันไหว้ครูที่ศีรษะอโศก วันพุธที่ 22 มิ.ย. 2559....

          พ่อครูได้พูดถึงความสำคัญของวันไหว้ครูว่า เป็นวันแสดงกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ศิษย์

          อรหันต์ผิดได้แต่สมมุติแต่ปรมัตถ์นั้นไม่ผิด แต่อรหันต์จิตบริสุทธิ์ ต้องทำตามอรหันต์ มีเจตนาแต่อย่าอยาก ถ้าอยากจะมีภาวะซับซ้อนมีพลังงานเกิดสะท้อนกลับไปกลับมา มีแอคชั่นรีแอคชั่น แต่ถ้าไม่เกิดความอยากเป็นพลังงานที่ไม่ซับซ้อนมีเจตนาแต่อย่าอยาก ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด กรรมเป็นอันทำสั่งสมเป็นวิบาก

          กรรมวิบาก กรรมเป็นของๆตน กรรมจะพาเกิดพาเป็น การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี่เป็นความเชื่อที่เป็นพื้นฐานของชาวพุทธ กรรมเป็นของๆตนกรรมพาเกิดพาเป็น โกงกรรมไม่ได้หลอกลวงกรรมไม่ได้ ออกฤทธิ์ตามจริง พากเราสุขทุกข์ตามวิบาก เราสามารถเปลี่ยนDNA ทางจิตวิญญาณของตนเองได้ ผู้ที่เป็นนิยตพระพุทธเจ้าเป็นเชื้อแท้ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเต็มก็เป็นสยัมภู อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็พยายามพัฒนาตนเองตามไป ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ถ้าเราหลงผิดก็บาป ถ้าไม่หลงผิดก็ไม่บาป ถ้าใครทำได้ตรงแม่นจะไม่มีวิบากเพิ่มเติมอีก

          ต้องอ่านกรรมกริยาทางกายวาจาใจโดยเฉพาะใจเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก กรรมวิบากต่างๆเป็นเรื่องอจินไตย เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้มีอุปกรณ์ที่เป็นตัวทั้งนี้บุคคลที่ดีมากและก็มีตัวอย่างของความเลวร้ายมากให้เห็นด้วย เป็นธรรมาดาของประเทศไทยที่จะเป็นแดนชมพูทวีป มีความรู้ที่จะจัดการได้ต่อไป

          เมืองไทยเราไม่ได้เก่งในทางสร้างอาวุธนั่นคือเป็นสัจจะ ถ้าสร้างอาวุธไปฆ่าคนนี้เป็นสัจจะที่เลว บางคนน้อยใจว่าทำไมเราสู้เขาไม่ได้ทางวัตถุ ทำอะไรก็ไม่ขึ้นเรื่องของความรู้แบบโลก ไม่ต้องน้อยใจ แต่สิ่งที่เป็นคุณธรรมเมืองไทยนำหน้าเขา จนทุกวันนี้อาตมาก็ได้นำปรากฏการณ์ตัวบุคคลออกมาบอก แม้ปัจจุบัน มีนักรบทำธรรมาธรรมะสงครามเราก็ทำงานอยู่

          มีประยุทธ์ก็รบกันอย่างไม่ใช่แบบโลกีย์ แต่เป็นธรรมาธรรมะสงคราม ผู้รบมีอสูรกับเทวดา เทวดาเป็นฝ่ายสูงฝายดี อสูรเป็นฝ่ายชั่ว เราจะเห็นได้ว่าอสูรคือใคร คนชั่วคือใคร ทั้งด้านฆราวาส และนักบวช รวมหัวกัน คนที่ทำเนียนแบบดูเรียบร้อยแต่ใจชั่วก็มี คนที่ใจซื่อใจตรงแต่ว่ากิริยาไม่เรียบร้อยก็ดูออกได้ยาก อย่าพล.อ.ประยุทธ์นี้มีใจงามกว่าธัมมชโยที่เป็นนักบวช ผู้เลวร้ายเป็นหัวเรือใหญ่หยาบคายเลวร้ายรุนแรงดื้อดึงอำมหิตมาก เป็นภาวะที่ดูยากหน่อย

          พลังงานสามเส้าที่เป็นหนึ่งเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าสอนเริ่มต้นคือมูลกรรมฐาน 5 ที่จะแยกจิต กาย วัตถุ สรีระ แยกความเป็นชีวะ

          เล็บส่วนที่มีประสาทติดอยู่ก็จะมีความรู้สึกได้ แต่ถ้าเล็บที่ยาวออกมา จิตนิยามเข้าไปรับรู้ไม่ได้ ส่วนนั้นไม่ใช่กาย ตัดทิ้งได้ทำลายได้ ไม่รู้สึก ถ้าตัดออกไปก็เป็นดินน้ำไฟลม แต่ไม่มีชีวะ ขาดจากชีวะแล้ว ขาดจากจิตนิยามแล้ว ถ้ายังอยู่ในตัวเรามันยังยาวออกมาได้ยังมีชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกไม่เป็นจิตนิยาม ไม่ใช่กาย แต่ถ้าตัดออกก็เป็นดินน้ำไฟลม เล็บส่วนที่เป็นจิตหรือที่เรียกว่ากายคือส่วนที่รู้สึกเจ็บได้

          ผู้ที่แยกแยะได้ลงไปไม่ใช่แค่เล็บ แต่รู้ลึกถึงภายใน ถึงนามธรรมได้ เราก็จะแยกความเป็นเราและไม่ใช่เราได้ ความเป็นเราคืออัตตา ความไม่เป็นเราคืออนัตตา เราจะสามารถทำความละเอียดว่าจะเลือกอันไหนมาเป็นเรา ไม่เลือกอันไหนมาเป็นเรา ผู้นี้จึงสามารถจัดการ Dna พลังงานที่แยก Deoxy ribo nucleic

          ยุคนี้เมืองไทยจะเป็นแหล่งคนดี แหล่งวัฒนธรรม มีคนดีมีคุณธรรม มีกุศลที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นจริงจนกว่าศาสนาพุทธจะสิ้นสุด ก็จะมีคนไทยก่อต่อไป ซึ่งตอนนี้ผีมารมันก็เก่งเป็นอย่างนี้ทุกยุคสมัย เพราะเขาหลอกเก่ง แต่คนดีจะพูดไม่เก่งเท่าผีมารเหล่านี้หรอก แต่ให้ใจเย็นๆรอหน่อย อดทนหน่อย ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป เจตนาแต่อย่าอยาก ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

          พุทธศาสนาจะนำพาสังคมโลกไปอีกสองพันกว่าปี อาตมาไม่ได้พยากรณ์ไว้เป็นคนแรกนะ แต่พูดตามผู้ที่พูดมาก่อน อาตมาไม่ได้เป็นต้นธาตุต้นธรรมอย่างที่พวกขี้หลอกเขาทำกันหรอก

          กรรมฐานจริงๆของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนคือเวทนา 108 ในพรหมชาลสูตรว่าไว้ชัดว่าไม่มีผัสสะไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่จะกระทำ คนมิจฉาทิฏฐิก็ไม่รู้จักเวทนา และไม่รู้ว่าต้องใช้เวทนาเป็นกรรมฐาน

         

          เทวดาที่เป็นเทวดาเก๊มี 6 ชนิด เทวดาหยาบคายแย่งชิงคือจตุมหาราชิกา ได้มาก็เอามาเสพรสเป็นดาวดึงส์ให้อยู่นานเป็นยามาแล้วพักยกเป็นดุสิต แต่เทวดาที่หลอกคนได้มากคือนิมมานรดีกับปรนิมมิตวสวัตตี พวกนี้วิบากหนาหนักกว่าตกนรกยาวนานกว่าจตุมหาราชที่คนรู้ง่ายเหมือนนักเลงหัวไม้ทำบาปไม่ได้ลึกมาก แต่นักเลงผู้ดีบนวิมานนี้เลวร้ายลึกลงนรกได้มากลึกยาวนานกว่า ธัมมชโยจึงลงนรกได้มากได้กว้างกว่าจตุพรที่ดูหยาบๆ

          เวทนา 108

แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่

1สุขเวทนา

2ทุกขเวทนา

3อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา)

 

เวทนาทั้ง 5 ได้แก่)

1สุขินทรีย์

2ทุกขินทรีย์

3โสมนัสสินทรีย์

4โทมนัสสินทรีย์

5อุเบกขินทรีย์

 

          เราก็ปฏิบัติอย่างเป็นกาละปัจจุบัน หากไม่เป็นปัจจุบันปฏิบัติยาก แล้วจะเรียกว่าเป็นของจริงสมมุติสัจจะก็ไม่ได้ ต้องมีของจริงปฏิบัติ แต่ถ้าไปนั่งหลับตาก็ยาก กลายเป็นไปปั้นภพชาติ ไม่ครบองค์ประกอบ อย่างสำนักอ.สุจิน บริหารวรเขต ทุกวันนี้ก็อยู่กับปัจจุบันเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนี่ง ก็ดีที่มาเอาปัจจุบัน เป็นทิฏฐธรรม คือธรรมะที่มีรู้มีเห็น สำนักทางอ.สุจิน อยู่กับปัจจุบันแต่แจก เวทนา 108 ไม่ออก

          อนาคามีจะเป็นผู้ไม่ทุกข์สุขกับโลกภายนอกแล้ว อาตมาก็หวังว่าพวกเราจะเป็นอนาคามีกันได้มากในหมู่ฆราวาส เพราะจะทำงานกับโลกได้คล่องตัว แต่นักบวชนี้ก็จะมีแต่จะมีไม่มาก เพื่อเป็นสองสภาพทั้งฆราวาสและนักบวชทำงานร่วมกันแก่สังคม ฆราวาสก็จะมีทั้งอนาคามีอรหันต์ ไปบริหารประเทศได้

          พระพุทธเจ้าตรัสว่ามาเป็นนักบวชนี้บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด ทำได้ง่าย แต่ถ้าเป็นฆราวาสนี้ก็ปฏิบัติธรรมได้ง่ายกว่าตามฐานของตนเอง เชิงหนึ่ง แต่ถ้าละเอียดจริงๆมาเป็นนักบวชก็เบากว่าบริสุทธิ์สะอาดได้ง่ายกว่า ถ้าฆราวาสว่าเราทำบริสุทธิ์ได้ขนาดนี้ก็ต้องอาศัยก็จะช่วยกันทั้งฆราวาสและนักบวชร่วมมือกัน แต่ยุคนี้ จะเป็นนักบวชอย่างธิเบต แล้วก็จะบริหารประเทศเชิงธรรมะและเชิงโลกไปไม่ออกหรอก ทำให้โลกเจริญอย่างพอเหมาะไม่กว้าง ต้องมาอยู่ในร่างฆราวาสต้องแยกนักบวชเป็นปุโรหิต แล้วฆราวาสมาบริหาร

          ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ไหว้พระแจ็คได้ใจคนนะ แน่นอน แจ็คจะทำงานช่วยประเทศสู้พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แต่ ท่านก็ต้องไหว้พระแจ็บ พระบวชใหม่แม้เป็นอรหันต์ก็ต้องกราบพระบวชเก่าที่เป็นปุถุชน

          อาตมาเคยพยายามตามไปกราบหลวงพ่อเณร ถือว่ายุคนั้นเป็นตัวอย่างที่ดี ก็ต้องทำ

          เมื่อมีการกระทบสัมผัสก็เกิดเวทนา ที่เกิดจากปสาทรูปทำปฏิกิริยาร่วมกันโคจรรูป แล้วก็เกิดภาวรูป 2 คือ อิตถีลิงค์ กับปุงลิงค์ ต้องทำอิตถีลิงค์ให้เป็นนปุงสกลิงค์ แล้วทำให้เป็นปนุงสกลิงค์ได้ในที่สุด คือเป็น0 ได้ แต่ก็เป็นธรรมะสองอยู่ คือปุงลิงค์กับนปุงสกลิงค์ อรหันต์จะอยู่กับสองภาวะนี้ คือ 0 กับ1

          มโนปวิจาร 16 นี้ ฐานแท้คือเนกขัมสิตอุเบกขา เป็นฐานนิพพานเป็นที่ตั้งแห่งนิพพาน คนทำได้ก็มีที่ตั้งแห่งนิพพานก็ต้องทำให้แข็งแรงวิเศษ มีคุณสมบัติ 5 คือปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

1.      ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.      ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.      มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.      กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) .

5.      ปภัสสรา (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)

(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)

          เก่งในการประมาณตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ทำงานได้ดีเยี่ยม ปริมาณมากขึ้น ส่วนมุทุคือปัญญากับเจโต ปัญญาเร็วไวไหวพริบเร็ว เจโตก็ปรับได้เร็ว จะเอาเท่านี้เท่านั้นได้หมดเลย ต้นกลช่างเครื่องคือเจโต ต้นหนคือกัปตันคือปัญญาต้องมีควบคู่สองอย่างนี้ มุทุมีจิตสองลักษณะนี้ ทั้งเชิงปัญญาและเจโต ไม่ใช่ตลบแตลง แต่เร็วไวโดยสัจจะ

          อาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็จะนำพาพวกเราไป ที่นี่ศีรษะอโศก คือหัว ถ้าคนถูกตัดหัวออก คนที่กำลังเดินไปแล้วมีอาวุธตัดหัวขาด แต่ตัวร่างนี้จะเดินต่อ ไม่มีอะไรสั่งนะวิญญาณขาดแล้ว แต่มีแรงเฉื่อยพาเดินต่อ จนกว่าจะล้มในที่สุด

          ขณะนี้ชุมชนอโศกกำลังก่อร่างสร้างตัว ชุมชนต่างๆ ก็จะก่อตัวไป ไม่มีขีดคั่นไปสู่โลกกว้างไกล อนาคตพูดภาษาไทยมันก็จะมีเครื่องแปลให้เป็นภาษาอื่นได้ทันทีเลย ใครจะไปเรียนภาษาก็ได้แต่ไม่เรียนก็จะเอาภาษาไทยนี้ก็ได้ ทุกวันนี้อาศัยเทคโนโลยีช่วยแล้ว จะมีบุญนิยมแบบต่างๆ

          พาณิชย์บุญนิยม แบบบุญนิยมต้องล้างกิเลส จะเป็นนักกสิกรรม นักสื่อสารหรือนักอะไรก็ตามต้องล้างกิเลสได้คือเงื่อนไขบุญนิยม จนเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องมีบุญ ทำแต่กุศลไป เมืองไทยจะเป็นที่รวมมนุษย์ที่มาจนมาขาดทุนให้สังคม

          เมืองไทยต้องมีกษัตริย์ชื่อภูมิพล ผู้เป็นพลังแผ่นดินเมืองไทยต้องมีรักอันเป็นมงคลอันอุดมมาช่วยกันต่อสืบสานไป พวกเราคือมวลมนุษย์ที่จะมาต่อภูมิของพวกเราโดยอาศัยสิ่งที่จะทำสร้างสรรกับโลก อุตสาหะสร้างสรรให้ดี เราจะได้ช่วยตนช่วยโลกสืบสานไป เราก็ได้รูปร่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้คนมาช่วยไปตามลำดับ

          เรานึกไม่ดีอยู่ดีๆก็จะมีคนชื่อบุญชัย ที่ไม่ได้ทำบุญเลย อายุมากแล้วมีเมียอายุน้อยสะสมเงินทองไม่รู้พอ กามก็ไม่รู้ลด ขอบคุณที่ให้เป็นตัวอย่างนะ

          อาการที่ 33 นี้เก๊ ดาวดึงส์ไม่มีจริงหรอก เป็นสุขหลอก คนศึกษาชัดจะไม่หลงดาวดึงส์ไม่ไปล่าแบบจาตุมหาราช แล้วไม่หลอกซ้อนเป็นนิมมานรดีหรือปรินิมมิตวสวัตตีที่หลอกใช้พวกมหาราช เหมือนทักษิณที่ใช้พวกจตุมหาราชทำงานใช้เสร็จก็ถูกติดคุก ก็ขอขอบคุณท่านผู้ที่กล่าวนาม อาตมาก็ไม่มีปัญญาอธิบายโดยไม่มีตัวอย่าง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ อาตมานำพวกคุณมาเป็นตัวอย่างนี้พวกคุณได้กุศลนะ

          ประเทศไทยตอนนี้กำลังปฏิรูป ไม่ว่าจะอินเดียหรือจีนที่ใหญ่มาก แต่เทอะทะ แต่ในคนสันทัดคน ประเทศที่สันทัดประเทศ อยู่ในสัดส่วนพอดี เมืองไทยจะมีพลเมืองมากขึ้น เมืองที่กำลังแย่คืออเมริกาหรือเมืองที่ไม่มีศาสนาพุทธรุ่งเรืองจะพร่องลง ชาติที่มีศาสนาพุทธอยู่แล้วจะเจริญขึ้นตามๆกัน ขณะนี้อิตาลี ประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอีกหนึ่งศาสนา(ไม่ได้มีศาสนาเดียว) แม้แต่ฝรั่งเศสก็อยากได้พระเจ้าแผ่นดิน แต่ก่อนเขาก็มีแต่ปฏิวัติจนหมดไป

          สัตว์โลกนี้นามธรรมเป็นเอกแต่จะไม่ปฏิเสธรูป ชีวะต้องอาศัยวัตถุให้เกิดวิญญาณ สิ่งที่เป็นรูป สรีระเฉยๆ อุตุนิยามเฉยๆก็รู้ ให้เรียนรู้อุตุ พีชะ จิต กรรม มนุษย์เท่านั้นที่จะรู้จักกรรม จัดสรรกรรม ทำให้เป็นสุข ทุกข์ได้ แล้วสิ่งที่ชั่วแม้มีประมาณน้อยก็อย่าทำ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด เจตนาแต่อย่าอยากจงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ถ้ายังไม่บริสุทธิ์ก็พยายามทำ สิ่งที่ผิดพลาดไปก็แก้ไข ไม่จมกับอดีต

          มีหัวที่จะเจริญก็ใช้ได้ ที่นี่ไม่แปลก ชาวอโศกทุกแห่งที่นี่รวมนานาชาติได้ ไม่ไปรวมที่สันติอโศก เราต้องรู้หน้าที่ของหัว ช่วยกันทำไป เรามีสาธารณโภคีอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ช่วยทุกอย่าง

          พระพุทธเจ้าเป็นนักเผด็จการมือหนึ่งที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่ลำเอียงเลย ไม่มีอคติ เป็นนักเผด็จการที่ยิ่งใหญ่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะระบอบไหน ก็อยู่ที่ตรงนี้คนถึงยอมรับได้ แม้ปชต.ก็ตาม แต่ถ้าทำเพื่อปชช.จริงอย่างพระพุทธเจ้าก็คือนักปชต.แท้จริง ตนเองกินน้อยใช้น้อยประโยชน์สูงประหยัดสุด ทำงานให้แก่สังคมตลอดไป เป็นมนุษย์ประเสริฐ

          ไทยจะเป็นตัวอย่างในการมีนายกฯที่ประเสริฐ ผู้บริหารที่ประเสริฐ นักธุรกิจที่ประเสริฐ เป็นเจ้าของกิจการที่ประเสริฐไม่มีหุ้นเลย ให้คนอื่นเป็นผจก.ใหญ่ แต่ผจก.ใหญ่ต้องเคารพคนนี้ฟังคนนี้ อยู่ในกิจการของคนนี้ คนชนิดนี้จะมีให้เห็นในอนาคต เป็นคนใหญ่ที่เล็กที่สุดในองค์กรของเขา เป็นคนใหญ่ที่เล็ก เป็นคนสูงที่ติดดิน (เราไม่เรียกว่าต่ำ) นอกจากติดดินแล้วไม่ใช้คนลงเหวนะ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:16:01 )

590623

รายละเอียด

590623_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวดาเก๊ทั้ง 6

พ่อครูว่า….วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2559 วันนี้มีเด็กนักเรียนมานั่งฟังอยู่ด้วย สมัยพระพุทธเจ้าเด็กอายุ 7 ขวบบรรลุอรหันต์ได้เด็กที่นั่งเดี๋ยวนี้อายุมากกว่า 7 ขวบกันเกือบทุกคนแหละ ก็มีข่าวประชาสัมพันธ์ งานคืนสู่เหย้า นศ.ปธ.กลุ่มรามบูชาธรรม 24-25 มิ.ย. 59 ที่สวนบุญผักพืช ก็เชิญไปร่วมงานกัน

SMS 22 มิ.ย. 59

0865356xxx บำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นคืนสู่จิตเดิมแท้รู้ตื่นก็คือโพธิลุ่มหลงคือกิเลส ท่ามกลางความเรียบง่ายจึงจะพบสิ่งจริง

ตอบ...คำพูดที่ดูสวยงาม แต่ว่าจะปฏิบัติถึงเป้าหมายที่ว่านี้ได้อย่างไรต่างหากคือสาระ บางทีพูดได้แต่ว่าทำไม่ได้เสียมาก ถ้าพูดถึงจิตเดิมแท้คือวิชชา มันต้องมาปฏิบัติตามหลักเรียนรู้ของพระพุทธเจ้า เกิดมาเป็นคนทุกคน เกิดมามีอวิชชา ต้องปฏิบัติไปหาจิตแท้ ที่ปราศจากกิเลส ไม่ใช่จิตเดิมแท้ คนที่จะมาคำนึงจิตเดิมแท้

จิตวิญญาณเดรัจฉานกว่าจะมาเป็นคนมันซับซ้อนปรุงแต่งมามากมายแล้ว จิตแท้ๆคือไม่มีกิเลสเลย แล้วพัฒนามาเป็นเดรัจฉาน มาระดับหนึ่งมีกิเลสแล้วมีโทสะมีราคะมากระดับหนึ่งแล้ว พอมาเป็นคนก็จะให้เป็นจิตสะอาดเลยไม่มีหรอก ต้องมาพัฒนาตนให้เป็นคนจิตบริสุทธิ์ต่อไป

จะบอกว่ารู้ตื่นก็คือโพธินี้ถูก ตื่นจากความเป็นโลกีย์ เราตื่นจากโลกีย์ เราเคยวนเวียนแบบโลกๆมานาน ต้องหาทางออก เห็นทางออก เห็นทางที่จะตรัสรู้หลุดพ้นออกจากโลก

ลุ่มหลงคือกิเลส แต่ท่ามกลางความเรียบง่ายจะพบสิ่งจริงนี้มันง่ายเกินไป พระพุทธเจ้าว่าตั้งตนบนความลำบาก กุศลกรรมเจริญยิ่ง บรรลุแล้วต่างหากจึงเกิดความเรียบง่าย

0805541xxx วันนี้..ฉากงามมากค่ะ..พ่อครูมีออร่า..งามสง่า..มากค่ะ

0893867xxx จะเป็นเทพเทวดามารพรหมชั้นไหนก็มีต้องภพชาติอยู่ดีกราบขอบคุณพ่อครูที่ทำให้รู้จักเทพเทวดาอยู่ในจิตฤาวิญญาณที่รู้ซึ้งถึงมัคคังคังสู่การสิ้นภพชาติคือนิพพาน!

0893867xxx จิตที่บริสุทธิ์เป็นเทวดาได้ต้องปฏิบัติอปัณณกปฏิปทาอันเป็นจรณะ15มีฌานแบบ พุทธมีวิชชา8ถูกไหม?

0865356xxx มีเพียงความจริงแท้ยั่งยืนของจิตญาณจึงจะบริสุทธิ์สงบอยู่เสมอ การยึดมั่นในอัตตาตัวตนเป่็นสัมภาระหนักอึ้งของจิตญาณจะกลัดกร่อนพลังแห่งเมตตาบดบังปัญญา

0893867xxx คนที่หลงว่าเป็นเทพมีเทวดาลงองค์เป็นจิตที่งมงายในอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหารย์ที่พระพุทธเจ้าทรงอัฎฎิยติหรายติชิคุจฉติ! จิตของผู้ที่ปฎิบัติให้เข้าถึงพร้อมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ต้องเป็นจิตที่สมบรูณ์ด้วยอริยศีลขันธ์ต่างหาก

 

จากไลน์

กราบนมก.พ่อครู..วันนี้ฟันของท่านขาวจั๋ว เห็นฟันล่างชัดๆ ทั้งฟันบนด้วย แต่วันนี้ฟันล่างขาววับสท้อนสายตาแสบๆเลยอะค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะไฟส่องจากล่างขึ้นบนปะคะ แต่ชอบมากค่ะ..กราบนมก.เจ้าค่ะ

ฉากงามๆๆมาก และกะองศาภาพรูปพ่อกะฉากหลังได้ศูนย์ดีเยี่ยมค่ะ..กราบนมก.เจ้าค่ะ../JQ

 

มาสู่บทเรียน หลวงปู่ได้อธิบายถึง

ชีพก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง หรือ ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น หมายความว่า ชีพก็มีอยู่ในอันเดียวกันกับสรีระนั้น

ชีวิตหรือชีวะ ที่ประกอบด้วยวิญญาณก็มี ที่ไม่มีวิญญาณก็มี คือพืช แตงโม กระท้อน ระกำก็เป็นชีพอย่างหนึ่ง ชีพมีพืชกับสัตว์ คนเป็นสัตว์

คนเป็นสัตว์ แต่มีพลังงานของพืชอยู่ในคนนี้ด้วย

ในพืช มันก็ทำงานเลี้ยงตัวมันเอง มันยังไม่ตายก็เลี้ยงชีวิตมัน พลังงานที่เลี้ยงชีวิตมัน มันมีพลังงานที่ชื่อว่า สัญญาอย่างหนึ่ง เรียกว่าสังขารอย่างหนึ่ง

สัญญาคือเป็นพลังงานที่รู้ว่าอันนี้คือธาตุที่จะนำมาเลี้ยงชีวิตแบบของมัน ตามตระกูล พันธ์ุของมันจะเอาอันไหนเข้าร่างมัน กระท้อนก็มีสัญญาของมัน แล้วมาปรุงแต่งสังขาร มาปรุงให้เป็นกระท้อน ตามสัญญาของมัน ธาตุไหนตรงกับสัญญาก็เอา ไม่แย่งชิงใคร ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่ได้ไปแย่งกับใครเขา เป็นพลังงานที่เป็นชีวิตระดับหนึ่ง มันไม่มีเวทนา

ถ้าเป็นสัตว์จะมีเวทนาและวิญญาณเป็นสี่ มีรูปเหมือนกัน ทั้งพืชและสัตว์

ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เป็นชีพไม่เป็นชีวิตหรือไม่เป็นชีวะ

พืชกับสัตว์ชื่อว่ามีชีวิต ดินน้ำไฟลมเป็นพลังงานเฉยๆ ทำงานของมันไป พลังงานนั้นเรียกว่าอุตุนิยาม ถ้าพืชเรียกว่าพีชนิยาม สัตว์เรียกว่า จิตนิยาม

พืชกับสัตว์จะต่างกัน

พืชไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดได้ ไม่รู้สึกชอบหรือชังไม่มีรักไม่มีพยาบาท ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีวิบาก เป็นพลังงานตายแล้วก็ตายไม่มีอะไรเชื่อมต่อไปรักหรือชังชาติไหนๆ ไม่มีวิญญาณครอง จึงไม่มีกรรมไม่มีวิบากต้องใช้หนี้กรรมวิบากอะไร เรากินพืชต่างๆจึงไม่บาป ไม่มีพยาบาทไม่ติดวิบากต่อกัน พืชไม่มี เราจึงกินพืชได้ หรือเราก็ไปเด็ดพืชผักก็ได้ หรือจะใช้คำว่าฆ่าพืชไม่บาป แต่ฆ่าสัตว์บาป ฆ่าสัตว์สัตว์มีรักชังผูกพยาบาทเวรภัยต่อกัน อย่าไปทำ

ถ้าสัตว์ที่มันเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่สุดพัฒนาจากพืชมาน้อยๆก็ไม่รักไม่ชังมาก เป็นจุลินทรีย์เป็นต้น แต่มันเร่ิมมีแล้วแต่พืชมันไม่มีเลย จนเป็นสัตว์ที่พัฒนาตัวเองมากขึ้นก็เป็นรักชังมากขึ้นมีพยาบาทผูกพันมากขึ้น พระพุทธเจ้าจึงอย่าให้ไปทำร้ายสัตว์

ส่วนสัตว์ชั้นต่ำ เช่นเชื้อโรคท่านถึงไม่มีปัญหาอะไร แต่สัตว์ที่ไม่ควรทำทั้งนั้น ไม่จำเป็นก็อย่าไปทำลายสัตว์ใดๆเลย อย่าไปทำลายหรืออย่าผูกพัน อย่าไปเอามาเลี้ยงเลย สัตว์ต่างๆ ผูกพันกัน บางคนไปรักสัตว์ที่ไม่น่าเลี้ยงเลย แต่เลี้ยงเหมือนลูกเลย มีสารพัด

จุดสำคัญคือ ที่หลวงปู่อธิบายไปแล้วว่าพืช ไม่มีเวรมีภัยต่อกันไม่มีเจ็บไม่มีปวด ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีผูกพยาบาทต่อกัน บางคนเข้าใจผิดว่า ถ้าคนไม่กินสัตว์มันมีชีวิต แต่พืชก็มีชีวิตก็ไม่ควรกิน พูดอย่างนี้ไม่ถูกต้องเลย

มีดิน น้ำ ไฟ ลม พืช สัตว์ คน วิญญาณ มันก็อาศัยกัน แม้พืชไม่กินคนเป็นๆ แต่คนตายแล้วก็กินสิ่งที่ย่อยสลายเน่าจากคนที่แหละ ก็กินกันไปต่อๆทอดกันไป วิญญาณนี้ไม่กิน แต่อาศัยทุกอย่างเลย อาศัยพลังงาน ดิน น้ำ ไฟ ลม พืช สัตว์ คน อาศัยองค์รวมหมดเลย ทีนี้คนก็บอกว่าพืชกิน ดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ก็กินพืช แล้วคนก็ต้องกินสัตว์สิ ….เขาก็ไล่อย่างนี้ แต่อย่างนี้มันตีกินนี่นา

ภูมิปัญญาของคนที่จะไม่กินสัตว์นี่เป็นภูมิปัญญาของคน ของพระพุทธเจ้า จะบอกว่า ดินน้ำไฟลม พืชสัตว์อาศัยกันก็จริง แต่ไม่ได้กิน เช่นโต๊ะตั่งนี่เราก็ไม่กินนะ แต่อาศัยอยู่ใช้อยู่จะมาไล่เรียงลำดับอย่างนั้นไม่ถูก คนมีภูมิปัญญาจะรู้ว่าไม่ควรกินสัตว์ พระพุทธเจ้ารู้หลายศาสดารู้ การไม่กินเนื้อสัตว์ไม่สามัญ คนที่จะเป็นได้ต้องมีภูมิปัญญา คนสามัญโลกๆไม่รู้เขาก็กินเนื้อสัตว์กินต่อๆๆๆกันไป

คนเราเกิดมาเป็นคนแล้วเราควรเกิดเป็นคนดี...ควรเป็นคนเจริญมากว่าไม่เจริญ เราก็ต้องมาเรียนรู้ว่าเจริญและดีเป็นอย่างไร แล้วจะบอกว่าความดีคือความสุขได้ไหม?

ถ้าคนชั่วเขาทำชั่วแล้วก็ดีใจที่ทำชั่วได้สมใจ เช่นไปโกงคนมาได้เขาดีใจเป็นสุข ดีใจที่ทำได้สำเร็จ จะไปบอกว่าความสุขนี้คือความดีไม่ได้

ยิ่งภูมิปัญญาระดับพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้จิตใจมีความสุขเลย ล้างสุขได้ยิ่งดีเลย อาการสุขเป็นอาการที่เราชอบเราพอใจ บางทีเราก็ชอบชั่วๆ โกงเขาได้ เอาเปรียบเขาได้ก็สุขใจอันนี้ชั่ว

คนนี่เป็นสัตว์ แต่พืชไม่แย่งอะไรใคร สัตว์เร่ิมแย่งคนอื่นแล้ว สัตว์ชั้นต่ำแย่งคนไม่เก่งแต่พอสัตว์ชั้นสูงก็ชักจะแย่งคนเก่งแล้ว สอนใช้อำนาจใช้เรี่ยวแรงใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างที่เราดูในสารคดีชีวิตของสัตว์ต่างๆ เช่นสัตว์น้ำสัตว์ตอนเริ่มพัฒนาตนก็เป็นสัตว์น้ำก่อน สัจจะมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นจะทำร้ายฆ่ากันหนักหนาสาหัสไปเรื่อยๆ จนบางทีเราเห็นว่าโหดร้าย
          เอาคำว่าความสุขไปตีราคาความดีไม่ได้ ส่วนธรรมะนั้นจะเรียกว่าสุขอย่างสงบก็คือสงบจากกิเลส แต่ถ้าสุขอย่างก่อเรื่องก่อราว ไปตบไปทำร้ายเขาได้แล้วสุขอย่างนี้ไม่ใช่สุขสงบ จะต้องแย่งชิงด้วยเล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งซับซ้อน คนจะมีวิธีการแย่งชิงลึกซึ้งซับซ้อนแล้วหลอกลวง ไม่แย่งชิงด้วยวิธีโบราณ อย่างผู้ปกครองโบราณเอากองทัพไปยึดแผ่นดินเลยหรือแย่งผู้คนก็บุกลุยฆ่าคนเลย ข้าวของจะแย่งก็ไปรบเอาเลย สมัยโบราณเขาทำ พอสมัยใหม่เขาทำก็รู้ว่าอย่างนั้นต่ำไม่เจริญ อยากได้ก็แย่งชิงเหมือนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ไหนใช้อาวุธได้ก็ทำ อย่างลิงบางตัว แต่สัตว์ส่วนมากใช้อาวุธไม่เป็นหรอก

จนเป็นคนก็ใช้เล่ห์ฉลาดลวงที่เขาไม่รู้เท่าทัน เป็นการแย่งชิงสมัยใหม่ไม่ให้คนรู้ทัน มันซับซ้อนมา แล้วเขาก็ศึกษาธรรมะ รู้ว่า ชีวิตจะเป็นหนี้บาปหนี้กรรมก็เอาวิธีการหนี้บาปที่จะเป็นผลวิบากมาผูกเรื่องล่อลวงกันไปอีกเยอะ

ในยุคใหม่ที่สุดแล้ว ถึงวันนี้คนใช้วิธีนี้หลอกกันที่หลอกเก่งๆ จะให้คนอื่นเขามาให้ตนเองก็เอาวิธีการทำทาน มาผูกเรื่องมาผูกวิมาน สวรรค์หลอกคน หลอกอย่างสนิทเลย ซับซ้อนหลอกเก่งคนหลงเชื่อก็ได้มามากเลย ไม่ต้องเอาอาวุธแย่งเลย หลอกให้คนหลงงมงายโดยเฉพาะในสังคมธรรมะคนรู้ลึกซึ้งก็หลอกคน ได้มากมายเยอะแยะ สมความโลภที่อยากได้ คนที่โลภก็จะหาวิธีหลอกคนมาได้เยอะ เอามาบำเรอตนเอง สร้างวิมานต่างๆสารพัดซับซ้อนเอาสมบัติได้มาหลอก คนอยากได้ก็ถูกหลอกต่อๆไปอีก นี่คือจิตกิเลสของคน

ส่วนคนที่ฉลาดเจริญ จะเป็นคนไม่หลอกจะรู้เรื่องวิบากกรรมจะรู้บาป รู้บุญ

บาปคือจิตชั่ว จิตชั่วจะชั่วด้วยวิธีไหนก็แล้ตวแต่ทั้ง อกุศล ทั้ง ความทุจริตต่างๆ โดยเฉพาะบาปคือกิเลส  บาป คือ กิเลส ส่วนชั่วนั้นเป็นอกุศลได้ บาปก็ชั่วได้ ทำกุศลได้ก็แก้อกุศลได้บ้าง ส่วนบาปนั้นกุศลก็แก้ไม่ได้

บาปนั้นแก้ได้ด้วยบุญ

กุศลนั้นคือความดีงาม อกุศลคือความชั่ว ความไม่ดี

กุศล แก้อกุศลได้

บาปก็คือความไม่ดีงาม ความชั่ว แต่บาปนั้นแก้ด้วยกุศลไม่ได้

บาปนั้นต้องแก้ด้วยบุญ

บุญนั้นทำลายบาป กำจัดบาปได้

บาปคือกิเลสตัณหาอุปาทาน

ถ้าอกุศลจิตชั่วก็รวมชั่วที่เป็นบาปด้วย แต่บาปล้างไม่ได้ด้วยกุศล บาปถูกกำจัดได้ด้วยบญ

บุญไม่ใช่ความดีงาม บุญมีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษย์สูงกว่ากุศล

บุญไม่ได้สร้างความดีงาม คำว่าบุญไม่ใช่สิ่งสร้างความดีงามกุศล แต่กรรมนี่เราประกอบกุศลอกุศล บาป ได้ บุญก็ทำด้วยกรรม แต่ทำให้บาปหายไป บาปคือกิเลสตัณหาอุปาทาน

และการฆ่าบาป ฆ่ากิเลสตัณหาอุปาทานต้องฆ่าในขณะปัจจุบัน บาปจึงเกิดในปัจจุบัน บาปในอดีตทำไปแล้วแก้ไม่ได้จะออกผลกับเราเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ถ้าบาปเกิดในปัจจุบัน บุญต้องทำหน้าที่ตอนนี้

ถ้าเราไปคิดๆๆ คิดถึงบาป คิดถึงกิเลส เราอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้เป็นกิเลส อยากได้นั่นนี่ แล้วอยากทำลายนั่นนี่ อย่างนั้นตัวเราเองคิดเองสร้างเอง ถ้าเราไม่พยายามไปคิดสิ่งเหล่านั้นได้โดยมาสนใจปัจจุบัน อย่าไปนั่งเพ้อฟุ้งซ่านคิดเรื่องบาปบุญกุศลอกุศลไป ซึ่งคิดไปเอง ที่มันจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ เป็นแต่สัญญาความจำ เอาสัญญาความจำมาก็คืออดีตเท่านั้น ถ้าเอาอดีตมาคิดก็คิดใหม่ แต่ถ้าเอาที่ไม่เคยคิดไม่ได้ทำมาเลยก็เป็นอนาคต

แต่ถ้าคิดมากๆมันก็น่าได้น่าทำน่าชอบมันก็จะบังคับให้เราทำในอนาคต จึงไม่ควรปรุงอะไรวุ่นวาย ควรศึกษากรรมปัจจุบันของเรา คนที่ช่างขบคิดเพ้ออย่างพวกมหายานก็ไม่รู้จักปัจจุบัน

สำนักอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เป็นผู้ที่จริงใจจริงจังกับปัจจุบันเป็นผู้ที่เรียนอภิธรรมบอกว่าธรรมะต้องเป็นปัจจุบัน ซึ่งจริงและดี ถูกต้อง คนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมมันไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน พวกนี้ไม่ได้เรื่องไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ได้แต่พวกที่นั่งหลับตาเค้าหลงผิดกัน

ผลกับอานิสงส์ไม่เหมือนกัน คำว่าอานิสงส์นี้แปลว่าประโยชน์ เช่นทำอะไรก็ได้ผลทั้งนั้นทั้งดีและชั่วจะทำอย่างไรก็มีผล จะทำอะไรแม้จะทำสิ่งที่ดี เช่น เราทำทาน การให้ของคนอื่นนี้ดี การไปเอาของคนอื่นไม่ดี การทำทานคือการให้เป็นการกระทำมีผล ให้มากก็มีผลมากให้น้อยก็มีคนน้อย แต่การทานให้ผลนี้บางที่เป็นกิเลส เป็นผลนรกได้ เป็นกิเลสเป็นบาป

ทานสูตร พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ชัดเจนมากเลย

การทาน ถ้าเราทานโดยหวังว่าเราจะได้อะไร

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(เป็นเทวดาปลอม)

ทานนี้เป็นการหลอกเขา เช่นเจ้านายใหญ่ ให้เงิน แล้วบอกให้ไปฆ่าเขา เอาเงินบังคับ ให้คนที่กลัวอำนาจเงินหรือยศชั้นก็ตาม ไปทำตามได้ ทำแล้ว เขาก็เอามาเพ็จทูล เพื่อจะได้รางวัล จากนาย ได้รับความชอบจากนาย ส่ิงเหล่านี้เป็นกรรมกิริยาที่จะให้กันตอบแทนไปมา อันนี้อธิบายอย่างเป็นสภาพจริงของมนุษย์

มนุษย์ที่สามารถเก่งไปเอาจากคนอื่นมาได้เก่ง โดยคนเองทำเองหรือหลอกลูกน้องให้ทำแทนได้ เอามาทานให้แก่ตน โดยตนก็ได้รับทานจากเขา บอกว่าเรามีวันนี้เพราะหลวงพ่อนะ ถ้าไม่มีหลวงพ่อเราไม่มีวันนี้นะ นั่นล่ะหลวงพ่อครูจตุมหาราชตัวเอ้เลย หลอกให้ทำทานโดยมุ่งหวังผูกพันสั่งสม เชื่อว่าตายแล้วจะได้อะไรกลับมา นี่ครบเลยพวกเอาทานมาหลอก พวกเราศึกษามาแล้วนี่ ฟังซ้อนตรงนี้นะ

เรามาทานนี่ถ้าเราให้ไปเหมือนเราได้ฝากธนาคาร มีผลนะ เราทำไปแล้วเราไม่ได้คืนนะ มันก็อยู่ในแบงค์ แต่ถ้าเราเก็บเงินเอง เรารักษาไม่ค่อยอยู่นะ มันหายง่าย แต่ถ้าเราทำทานแล้วมันเหมือนฝากแบงค์ของเราแล้วนะ นั่นคือมีผล คุณให้มากเท่าไหรก็เหมือนฝากแบงค์ของตน

คนที่ฝากไว้มากเท่าไหร่เขาหลอกให้เอาไปทำทาน ทุ่มสุดตัวให้หมดตัวเลย เขาหลอกสะกดจิตจนคนหลงเชื่อเลย คนก็หลงเชื่อ ตนเองลำบากลำบนไม่มีอยู่กินเลย ลำบากยากจนก็เอาเงินไปทำทานให้ได้นี่คือถูกจอมยักษ์มารที่เก่งฉิบหายเลย

เห็นคนมานักแล้วฝีมือคนปอกลอกเก่งไม่มีใครเท่าคนนี้เลยตรงกันคนนี้หมด

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน

แต่ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี อันนี้จะได้เป็นสหายแห่งดาวดึงส์

แต่ธรรมกายนี้มุ่งหวังสั่งสมผูกพันด้วย จึงเป็นจตุมหาราชชั้นเลวเลยด้วย เพราะไม่ได้ทำแบบไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน อันนี้เป็นจตุมหาราชแท้ สมมุติเทพแท้ๆ แต่ถ้า มุ่งหวังสั่งสมผูกพัน แล้วคิดว่าดีด้วยอันนี้คือจตุมหราชที่ชั้นเลวดุร้ายมากเลย เพราะไม่ได้เลิกผูกพันสั่งสมหวังในทาน

ต่อมา บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์

ถ้ามุ่งหวังมาก คนที่จะเอาเงินไปทำทานก็ไปหาทางโกง ขูดรีดคนอื่นไปทำทาน จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะไปตั้งสหกรณ์ไปโกงคนฟอกเงินหลอกเอาเงินคนอื่นไปทานทาน หาแหล่งทำทานให้ได้มากที่สุด  เพื่อจะได้รับผลวิมานอย่างที่ถูกหลอกสะกดจิตไว้ นี่เป็นสมัยใหม่นะ สมัยก่อนเป็นวิธีใช้กำลังอาวุธ ปล้นเอาเลย แต่เดี๋ยวนี้ใช้วิธีนี้ หรือต่างประเทศที่หาวิธีเอาจากประเทศอื่นด้วยฉลาดไม่ให้รู้ทันเลย

ในโลกนี้มีเรื่องการให้เท่านั้น เลวสุดคือผู้ให้อย่างเลว กลายเป็นตนเองเป็นผู้ได้ ในภาษาการเมือง ถ้าเข้าใจอันนี้ คือคำว่า ประชานิยม

คำว่าประชานิยมคือการทาน คือการให้ แต่หลอกว่าให้แก่ปชช. แต่ในวิธีที่เขาหลอกนั้น คนหลอกนั้นมันประชาชนนึกว่าคนนี้ดีจังมีการทาน ปชช.ได้จากคนนี้ ถ้าไม่มีคนนี้ไม่ได้หรอก เรามีวันนี้ได้เพราะคนนี้ นี่คือประชานิยม โลกเป็นเช่นนี้แล

_มีคนถามว่า ความเป็นเทวดา 6 ชั้นจะสิ้นเกลี้ยงตอนใด เป็นอนาคาฯหรืออรหันต์

ตอบ...การได้เจริญเป็นจิตวิญญาณเจริญ ทั้งชีวิต ร่างกาย จิตวิญญาณจะเจริญเป็นเทวดา 6 ชั้นที่เป็นภพชาติ ที่เป็นความเลว 6 ชั้น เลย  จตุมหาราชเลวหยาบ แต่ไม่เลวเท่าปรินมมิตวสวัตตี เพราะเป็นนายของจตุมหาราช ไปล่ามาให้ปรินิมฯเลย ให้เป็นหัวหน้าสาย ตั้งเป้าจะล่ามาให้ได้เท่าไหร่เหมือนไดเรคเซลล์

เมื่อผู้ใดรู้ตัวไม่หลงเทวดาก็เร่ิมลด คือลดความเป็นเทวดา และ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง) เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม

ต้องลดเทวดาไป ตั้งแต่จตุมหาราชิกา ที่เป็นนักแย่งจากคนอื่น รุนแรงหยาบคายโหดเหี้ยมเป็นนักเลงหยาบคาย ปรนิมฯโหดเหี้ยมโดยไม่หยาบคาย เป็นนักเลงชั้นฟ้า น่ากลัวเป็นบาปมากกว่า เป็นสัตว์นรกที่ตกต่ำได้มากกว่า

ถ้าคุณลดความเป็นภพชาติ ตั้งแต่อบายภูมิ ก็อย่าไปอยากได้อย่างเลว เช่นไปเล่นไพ่ แทงหวย เล่นหุ้น เสี่ยงทายอะไรก็แล้วแต่ เล่นแชร์ประเภทหลอก พนันหวย มวย บอลฯลฯ คือไม่แย่งโดยตรงแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยม ใช้ฉลาดแบบเชิงชั้นหลอกล่อ ต้องเลิกอบายก่อนเป็นโสดาบัน

ต่อมาเลิกกาม  ที่จะได้เปรียบเขา แต่ไม่หยาบคายเหมือนชั้นต่ำแล้วเป็นสกิทาคามี ในเทวดา 6 ชั้นนี้อธิบายแล้ว จตุมหาราชกับดาวดึงส์เป็นคู่หนึ่ง

ดุสิตกับยามาคือคู่หนึ่ง เป็นตัวพักผ่อน จะเรียกว่าตัวดีกว่าอะไรอื่นก็ได้เพราะไม่ทำการ แต่จตุมหาราชแย่งได้เอามาเสพเป็นดาวดึงส์เลย แล้วพัก อยากให้อยู่นานเป็นยามา

ยกตัวอย่างเราค้าขายไม่ผิดกม.แต่ก็เอาเปรียบคนอื่นอยู่ เช่นอันนี้ตั้งใจขาย ห้าสิบบาทแต่เห็นคนเขาอยากได้ก็เลยขายสองร้อย เขาซื้อก็ดีใจอีก คุณก็เป็นจอมยักษ์มารใหญ่ขึ้นฉวยโอกาสอีก ก็สุขใจดีใจ เป็นดาวดึงส์เลย สรุปคืออย่าไปทุจริตเลยชั้นต้น

สกิทาคามีก็ลดลงมาอีก แต่ถ้าอนาคามีหมดกิเลสภายนอกแล้วในกามราคะ เหลือแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะอวิชชา ถ้าเป็นอนาคามีนี้จะหมดเทวดา 6 ชั้นนี้แล้วเหลือแต่เทวดาชั้นพรหม เป็นรูปพรหม อรูปพรหม ทางโลกีย์มิจฉาทิฏฐิไม่รู้ เขาก็บอกว่าเขาเองจะต้องได้เป็นเทวดา ชั้นไหนๆ เขาก็เลยไม่มีวันหมด พวกนี้ไม่มีชั้นพรหม แต่เขาจะอธิบายว่าพรหมคือบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสพวกนี้คือกามาวจร 6 ชั้นนี้ เมื่อสะอาดก็เป็นพรหม เป็นเทวดาชั้นสูงไม่เกี่ยวกับวัตถุนอก ตา หู จมูก ลิ้นกาย ที่จะเป็นรสชาติแล้วไม่สุขไม่ทุกข์กับกระทบภายนอกแล้ว

รูปพรหม ยังมีเศษเหลือของกามของราคะภายนอก แต่ไม่แย่งชิงไม่เป็นภัยกับใครแล้ว แล้วใจก็พอระดับหนึ่ง ไม่เอาภายนอกแล้วแต่ยังเหลือสัญญาผูกพันติดยึด ระริกระรี้ไม่หายไม่หมดเกลี้ยง ลมๆแล้งๆ จึงไม่ชื่อว่ากามาวจรแต่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร

ผู้ใดทำได้เป็นถาวรยั่งยืนเพราะดับเหตุ จึงจะเป็นอาริยะแบบโลกุตระ แต่ความรู้สามัญกดข่ม จะกดข่มด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ นั่งสมาธิก็ตามหรือกดข่มแบบลืมตา สมาธิลืมตาไม่แย่งชิงใคร หรือนั่งสมาธิก็มักน้อยสันโดษเหมือนฤาษีอินเดียกดข่มเก่ง ส่วนมากก็หนีเข้าป่าเขาถ้ำเลย แต่มีแบบสัมผัสอยู่ก็กดข่มไว้เก่งได้ ไทยก็มี ก็ยังไม่ใช่พรหมจริง ยังไม่เลิกกามาวจรจริง เพราะไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ยังมีอัสสาทะอร่อยหยาบอยู่เป็นลำดับ

ใจเราสัมผัสจริงต้องรู้ว่ามีไฟฌานละลายกิเลสได้จริง อันนั้นจึงเป็นพรหมจริง ล้างความเป็นเทวดาจริง เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพจริง ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิไม่มีฐานปฏิบัติอ่านจิตเจตสิกรูปได้ รู้ตั้งแต่สักกายะ มีรูปนามสัมผัสเกิดในปัจจุบันทิฏฐธรรม นั้นๆ แล้วเห็นกิเลสเดี๋ยวนั้นพิจารณาเดี๋ยวนั้น เก่งถึงนิสรณปหาน ทำได้เก่งสมุจเฉททำซ้ำปฏิปัสสัทธิปหาน เก่งเป็นนิสรณปหาน อย่างลืมตานี่แหละ

จึงจะเป็นพรหมจริงๆดับกิเลสเทวดา6นี้ตามลำดับ ก็จะลดลงบางเบาจนเหลือ ยามา กับดุสิตก็ได้ จะไม่เป็นจตุมหาราช ไม่เป็นดาวดึงส์ ไม่ไปแย่งชิงไม่ไปเสพดาวดึงส์ แต่ไม่ทำแบบเล่ห์เหลี่ยมซ้อนเป็น นิมมานรดีกับปรนิมฯ ก็ไม่ทำแล้ว ยิ่งเป็นอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่จบอรหันต์ตายแล้วก็อยู่ดุสิต นี่พูดเป็นโวหารนะ ตายแล้วพัก มีวิบากที่จะมาเกิด ก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็พักดุสิต พอถึงเวลาก็จะมาปฏิสนธิ ประสูติเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นภาษาบัญญัติชี้บ่ง จิตเจตสิกต่างๆ ธาตุวิญญาณของมนุษย์ที่ทำได้เป็นจริงด้วย ผู้สามารถปฏิบัติจนตนเองเป็นได้ปัจจัตตัง เวทตัพโพ วิญญูหีติแล้ว ก็อธิบายตามประสาเรา เอาไปเทียบตำราตรงบ้างไม่ตรงบ้างแต่อาตมาอธิบายว่านี่สิ่งจริง ควรพูดให้รู้กัน ถ้าไม่มั่นใจอาตมาจะไม่พูด เพราะมันบาป ทำให้คนอื่นเสียหาย เราเสียหายก่อนเลย เป็นคนเลวที่สุด

ในทานสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสสภาพ การทานไว้อันสุดท้ายว่า...พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:16:29 )

590625

รายละเอียด

590625_เอื้อไออุ่นงานคืนสู่เหย้า นศ.ปธ.#13 สวนบุญผักพืช

พ่อครูว่า..วันนี้วันเสาร์ที่ 25 มิ.ย.59 วันนี้ก็มาถึงสวนบุญผักพืช เป็นชุมชนหนึ่งกลุ่มคนหนึ่งของชาวอโศกเรา มีพื้นที่ 92ไร่ จะที่เล็กหรือที่ใหญ่ก็ควรทำให้ดี จะดีได้ก็อยู่ที่คน ใกล้ๆกับคลอง 3 ของเขาสี่พันไร่ อาณาจักรมโหฬาร แสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่มักมาก เราไม่มีจิตใจทำอย่างใหญ่เช่นนั้น เรามุ่งมาจน ตั้งใจจน พร้อมจน จนอีหลีอีกหลอ จนแล้วจนรอด เอาไปตั้งสกุลกันมากมาย

          พวกเราเห็นว่าชีวิตแบบคนจนอย่างในหลวงตรัสเป็นความประเสริฐของมนุษย์ ถ้าเป็นแบบคนรวยนั้นมันเป็นแบบทำลาย แล้วจิตคนอยากรวยมุ่งไปรวยทำแต่รวยๆๆ มันเป็นคนที่ไม่รู้สัจธรรม

          สัจธรรมพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งซับซ้อน เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่คนเสื่อมเลยเข้าใจศาสนาพุทธเพี้ยนไป ไปเห็นดำว่าเป็นขาว แล้วติดยึดดำนั้น ไปตามที่ตนติดยึดหน้ามืดตาบอด เขาหลงภูมิเทวดา

          ภูมิเทวดานั้นเป็นภพเป็นชาติ แต่ศาสนาพุทธให้หมดภพชาติ แต่ไม่รู้เลยหลงภพชาติ สามัญสำนึกคนไม่อยากได้ภพนรกที่เสื่อมต่ำ เดือดร้อนวุ่นวายใครก็ไม่อยากได้ พวกไม่อยากได้ก็อยากได้สุขแทน แล้วไม่ศึกษาว่าสุขนี้ของเท็จ สุขขัลลิกะ แต่ทุกข์นี้ของอาริยสัจ คนประเสริฐจะรู้ทุกข์ แต่คนโง่หลงสุขที่เป็นเท็จ(สุขขัลลิกะ) แต่คนไม่เข้าใจ

          สุข+อัลลิกะ(เท็จ) อาตมาแยกแยะเช่นนี้ แต่ผู้รู้ยังแย้งอาตมาเลยว่า ไปแยกศัพท์นี้ผิด

          พวกเรามายุคนี้จะเป็นตัวอย่างที่ปรากฏจริงของโลก เป็นปาตุสัจจะ แล้วมหาเถรสมาคมนั้นทำผิดรวมหัวกันทำลายอาตมา แล้วสำเร็จหรือไม่ก็ดูเอา เขาเอาคณะธรรมยุติกับมหานิยายรวมกันแล้วทำสังฆกรรมอาตมา ซึ่งมันผิดธรรมวินัย เอานิกายสองนิกายรวมกันทำสังฆกรรมมันผิดคณปูรกะ แล้วปกาศนียกรรมว่า อัปเปหิอาตมาออกจากสังคมศาสนาพุทธ เขาถือว่าเขาเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ซึ่ง พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนาโดยธรรม แล้วอาตมาทำตามธรรมทำตามที่พระพุทธเจ้าให้ถูกตรงตามพระพุทธเจ้า

          แต่คนไม่รู้เลยเชื่อถือมหาเถรที่เขาทำ พิธีที่เขาทำนั้นโมฆะ อาตมาว่าอาตมามีความจริงรู้ว่าอะไรคืออะไรก็พาทำ ถึงวันนี้ก็ยากไม่ง่ายเลย ทำมา 46 ปีแล้ว ก็จะพยายามลากสังขารไปให้ถึง 151 ปี

          ธรรมะของพระพุทธเจ้าสร้างทั้งศาสนาสังคมเศรษฐกิจการศึกษา เศรษฐกิจที่ดีที่สุดที่ศาสนาพุทธสร้างคือสาธารณโภคี เสียภาษี 100% สมาชิกแท้ จะทำงานฟรีเอาเข้าส่วนกลางหมดกินใช้ส่วนกลางอยู่กันเป็นชุมชนสานกันอยู่ทั่วไป เช่นในประเทศไทยตอนนี้ก็สานกันอยู่

          อาตมาบอกว่า จะทำ 3 อาชีพกู้ชาติ กสิกรรมธรรมชาติ ขยะวิทยาปุ๋ยสะอาด คนก็หัวเราะว่า ขยะจะมากู้ชาติได้เช่นไร ซึ่งก็จะพิสูจน์ต่อไป ถ้าตั้งมหาวิทยาลัยจะตั้งคณะขยะวิทยาที่จะต้องมีองค์ความรู้หลายศาสตร์มาร่วมกัน

          ชุมชนสวนบุญผักพืช เป็นกึ่งชนบทกึ่งเมือง ก็ค่อนไปทางเมือง เลยสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่ ให้นกอยู่ เสร็จแล้วมีงานทีก็ทำความสะอาดกันที ทำจนเมื่อยนอนไม่ตื่นหลายคนเลย

          กุศลเป็นความดีงามสมมุติสัจจะ แต่บุญนี่เป็นความดีงามที่สูงเลยความดีสามัญ เป็นเรื่องที่จะวิบัติไม่ใช่เรื่องสมบัติ บุญเป็นการกระทำเพื่อให้กิเลสวิบัติ อย่าไปทำลายอย่างอื่นให้วิบัตินะ ต้องแม่น คม ชัด ตรง ต้องชัดเจนจริง ว่ากิเลสคืออะไร อ่านกิเลสออก กำจัดกิเลสให้ได้ ไม่ผิดพลาดสูญเสีย

          ผู้จะศึกษาได้ต้องรู้จัก กาย รู้ รูป นาม ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อม ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักบุญแล้ว การเรียนมูลกรรมฐาน 5 จะรู้จัก กายได้ชัด รู้นิยามชีวิต 5 อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ จะรู้จักอาการจิตที่เป็นพลังงานแยกแยะพลังงาน 5 ชนิดนี้ได้

          ตอนนี้ปรากฏธรรมาธรรมะสงคราม มีค่ายธรรมะกับอธรรม

          อธรรมคือค่ายธรรมกายที่เขาไม่รู้จักคำว่ากาย แล้วบอกว่าธรรมะอยู่ที่จุดเหนือสะดือสองนิ้ว แล้วเอาแต่สะกดจิตให้ใสๆๆๆ มีแรงสมถะ เขารวมกันติดตอนนี้เพราะแรงสมถะที่เอามารวมกันแน่น ให้คนตีไม่แตก แต่สุดท้ายคุณจะแตกเอง คนมีปัญญาจะรู้ชัด สายเจโตก็จะได้แค่คนไทย ต่างชาติเขาก็แกนเจโตไม่มาหรอก แต่ปัญญาที่แพร่หลายก็จะมากมาย คู่ต่อสู้ของธรรมกายจะมีทั่วโลก อย่าไปพูดว่าสันติอโศกเป็นคู่ต่อสู้ธรรมกาย สันติอโศกเป็นเพียงหน่วยหนึ่ง เพราะว่า สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก แล้วจะมารวมตัวกัน อย่าคิดว่ามีแต่สันติอโศกที่รู้ทันธรรมกายนะ ทั่วโลกที่มีปัญญาจะรู้ทันแล้วมารวมกัน

          อาตมาจะอ่านคอลัมน์จากปกของเนชั่นสุดสัปดาห์นะ

          เปิดศึกออกโรงป้อง หรืออย่างไร สำหรับพี่ใหญ่บุญชัย เบญจรงคกุล โดยเจ้าสัวหมื่นล้านได้กล่าวเชิญชวนศิษยานุศิษย์สาวกชาวพระธรรมกาย ที่วัดพระธรรมกายจังหวัดปทุมธานี มาสวดมนต์อธิษฐาน

          พ่อครูว่า....ธรรมกายใช้พลังเจโตสู้ แต่ของบอกว่าสู้พลังปัญญาไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้มีผู้นำปัญญาเข้าไปสู่ประชาชนแล้ว

          ความผิดของธัมมชโยเป็นความผิดฐานฟอกเงิน ผิดกฏหมาย ผู้ร่วมมือก็เข้าคุกไปแล้ว แล้วจะมาบอกว่าหลวงพ่อไม่ผิดๆ ก็ลวงโลกต่อไปอีก เขามีหลักฐานทุกอย่างแล้ว ถ้า DSI ผิด หรือศาลสอบสวนผิด ประเทศไทยก็บรรลัยเลย ธรรมกายก็ชนะ ก็ดูไป wait and see ให้ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ให้เขารวมกันให้มากแล้วจะชนะก็เอาเลย สมัยนี้ไม่ใช่สมัยก่อนที่ไปนั่งสมาธิในป่านะ แต่สมัยนี้สมัยยุคปัญญา ยุคสัจธรรมแล้วนะ

          การธุดงค์นี้ไม่ได้เป็นแค่การเดินนะ ในธุงควัตร 13 ข้อมีการเดินคือเดินเป็นแถวบิณฑบาตแนวเดียวกันไม่ข้ามฝั่งถนนเท่านั้นไม่ใช่ไปเดินทะลุดงหรือเดินบนถนนแบบธรรมกายทำ ทำแบบสวยงามดราม่าแบบนั้นไม่ใช่แบบที่พระพุทธเจ้าพาทำ

          สวรรค์ 6 ชั้น

          สวรรค์และนรกคือภพชาติในจิต ถ้าใครยังหลงสวรรค์ก็ไปนิพพานไม่ได้ แล้วหลงสงบก็อยู่ดุสิต แต่ดุสิตเองเป็นฐานของโพธิสัตว์ แต่ภูมิธรรมเขาอยู่ดุสิตไม่ได้จะต้องไปอยู่กับนรกร้อนแรง คือจตุมหาราช คือยักษ์มารชั้นฟ้าชั้นสูง ท้าววิรุฬปักษ์วิรุฬหก ซึ่งเป็นคนหลอก คือหลอกจนคนหลงเชื่อว่าชั้นสูงยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงเป็นมารเป็นยักษ์ คนก็หลงซ้อน สรุปแล้วสวรรค์จตุมหาราชคือชั้นเลวสุด หรือจริงๆคือนรก คือชั้นหยาบสุดในสวรรค์ 6 ส่วนละเอียดสุดคือปรินิมมิตวสวัตตี

          ปรินิมมิตวสวัตตีดูเหมือนผู้ดีมีอำนาจมีฤทธิ์แต่หลอกซ้อน ในสวรรค์ 6 ชั้นนี้ประมวลคนเลวคนหลอกไว้หมด เป็นภพชาติทั้งหมด ไม่ใช่พรหมเลย เป็นสวรรค์เท่านั้น ยามา กับดุสิตคือฐานพัก ถ้าดาวดึงส์ก็เสพรสชาติ เป็นการบำเรอกาม บำเรออัตตา อยู่เท่านี้ ไปแย่งมาก็บำเรอ ฆ่าเขาก็วิบากบาป บำเรอก็ติด ฆ่าเขาก็วิบากบาป สองชั้น แล้วพักยกคือยามา กับดุสิต จะพักยกนานคือยามา ดุสิตก็พัก แล้วพอพักพอก็ไปเป็นจตุมหาราช สร้างได้มากเป็นนิมานรดี เป็น ปรินิมมิตวสวัตตี วนเวียนในวงวสะที่สร้างได้ ส่วนปรินิมมิตวสวัตตีคือนิมมานรดีที่เก่งมากขึ้น มีบริวารมาทำให้เพิ่มขึ้น เป็นเทวดาที่หลอกเลวกว่านักเลงหัวไม้ แล้วนี่ปรินิมมิตวสวัตตีนี่หลอกนักเลงหัวไม้ทำงานให้ด้วย คนที่ไม่เข้าใจสัจจะที่ลึกพวกนี้จะหลงสวรรค์

          ยามากับดุสิตจะเป็นอารมณ์ความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งจตุมหาราชิกากับดาวดึงส์เป็นคู่เสพ แต่ว่าคู่นิมมานรดีกับปรินิมมิตวสวัตตี เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่กว่าอีก ก็เท่านี้แหละในพลังงานของสัตว์โลกมนุษยชาติ คนหลงภพเทวดามีเท่านี้ พระพุทธเจ้ามาสอนให้ล้างความหยาบสุดคือล้างจตุมหาราชิกาก่อน

          ท่านยกตัวอย่างในทานสูตร ล.23 ข.49

          การทำทานเป็นกุศลแน่นอน คุณให้ปืนแก่โจรก็ได้กุศล แต่เป็นโทษซ้อนก็เลยบวกลบคูณหารซับซ้อน ถ้าโจรไม่เอาปืนไปทำร้ายกุศลคนให้ก็พอมี แต่ถ้าโจรเอาไปทำร้ายมากกุศลไม่เหลือบางทีเป็นอกุศลด้วยเป็นเรื่องซับซ้อนมาก

          พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระสารีบุตรด้วยว่า ทานนี้เป็นผลมากหรือน้อยก็ได้ แต่เป็นโทษหรือคุณก็ได้ แต่อานิสงส์นี่เป็นประโยชน์ล้างกิเลส อันนี้จะเกิดได้จากการทำทานหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านเน้นให้คนได้อานิสงส์

          การทำทานนี่ อย่าตั้งความหวัง หากหวังว่าจะได้ มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสมที่จะได้อะไรจากท่านอยู่นี่ก็ไปเกิดเป็นจตุมหาราชิกา วนเวียนไม่มีจบ อย่าไปทำจิตเช่นนั้น ถ้าใครทำจิตเช่นนี้นรกลูกเดียว อาจแย่งได้เสพสุขความรวยแต่มีเวรภัยซับซ้อนตายเกิดอีกนาน

          พอได้มาก็เสพเป็นการเรอกาม บำเรออัตตาเป็นดาวดึงส์เสพอาการ 33 แล้วก็พักยกชั่วคราวแบบโลกีย์ พักแบบไม่ได้ตั้งใจพักหรอก แต่ว่ารอจะไปเสพเพิ่มอีก

          คนมีใจสูงที่หมดกิเลสไปตามลำดับแล้วท่านก็จะมีฐานพักเป็นอุเบกขาเป็นชั้นดุสิต ใน หกชั้นนี้ดีสุดคือดุสิต จะอยู่นานก็อยู่เย็นโพธิสัตว์ก็จะมาพักชั้นนี้ทั้งนั้น ที่อยู่นานก็เป็นยามา ถ้าอยู่ไม่นานก็ลงมาช่วยมนุษย์ต่อ

          นิมมานรดี ยิ่งมีปัญญามากขึ้นว่า มนุษย์ที่เกิดมาเป็นฤาษีชั้นไหนๆ ถ้าเป็นของพุทธก็เป็นผู้พากเพียร ดีอย่างอาริยะโลกุตระ ท่านออกบวชนี่ท่านก็เป็นผู้ที่ควรแก่การให้ทาน เป็นคนที่ควรสงเคราะห์ช่วยท่านสิ ก็มีปัญญารู้ว่า คนเหล่านี้ควรบูชาเคารพช่วยเหลือท่านสิ ก็ต้องทำทานกับท่าน นี่มีปัญญาลึกซึ้งขึ้น คนทำเช่นนี้ได้ก็เป็นนิมานรดี เป็นแบบอาริยบุคคล ถ้ายิ่งไปสูงสุดคนเป็นโลกีย์ก็จะยิ่งปลื้มใจแบบธรรมกาย ซาบซึ้งกินใจ ต้องยึดถือไว้ เหมือนคนสั่งสมความสนุกอร่อย ดูเขาเล่นเขาร้องรำหรือเอาชนะเขาเก่งๆๆๆ แล้วดีใจประทับใจซาบซึ้งปลื้มๆ เขาก็สอนให้ทำจริง เลยผนึกควบแน่นเข้าไปให้แข็ง อันนี้แหละซับซ้อน เหลือแต่ว่าสะสมความชอบใจมากหรือน้อยก็ปลื้มมากปลื้มน้อย ถ้าล้างปลื้มนี้ออกหมด ไม่มีปรินิมมิตวสวัตตีก็ไม่มีภพชาตินี้ได้ นี่คือสวรรค์ชั้น 6

          ถ้าทำได้อย่างจตุมหาราชแล้วยิ่งประทับใจ ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาให้กู นี่ก็ปรินิมมิตวสวัตตี นี่คือพวกที่ไม่รู้จักทำ จิตตาลังการัง คือเครื่องทำจิตสร้างจิตให้เจริญอย่างซับซ้อนอย่างอาริยะ และทำบริขารของจิตที่จะทำให้จิตเจริญ จะเป็นสัปปายะ 4 ก็ตามที

          เมื่อทำได้ก็เป็นอุบัติเทพ จนบริสุทธิ์จากเทวดาทั้ง 6 ก็เป็นวิสุทธิเทพ เป็นพรหม

          พรหมก็มีอีก 20 ชั้นอีก รูปพรหม 16 อรูปพรหม 4

          รูปพรหม 16

          สามชั้นแรกเป็นบริวารพรหม กับปุโรหิตพรหม แล้วมีหัวหน้าพรหมอีกที่กำกับพรหม และครู(ปุโรหิต)

          ต่อมาหมวดที่สอง เรียกวาอาภา (ปัญญาแสงสว่าง) เป็นพรหมที่มีปัญญา ก็มีอีกสาม ปริตตาภาพรหม ปุโรหิตาภาพรหม ก็แบบครูแบบบริวารอีก แต่มีปัญญาเพิ่มขึ้นตามลำดับ เป็นแสงสว่าง แล้วมีหัวหน้าเรียกว่า อาภัสราพรหม เป็นหัวหน้าอาภาพรหม

          อัปปมาณาภาพรหมคือนับประมาณมิได้ ปริตตาภาพรหมคือมีขอบเขต

          หมวดที่สาม เหนือกว่าอาภา คือสุภา เรียกว่าปริตตาสุภา กับอัปปมาณาสุภาพรหม หัวหน้าพวกนี้คือสุภกิณหาพรหม กลับกันตรงที่ว่า พวกเล็กนี้ดันสว่าง แต่พวกที่ยิ่งดีนี้มันดันมืด ถ้าเป็นพรหมที่หลงผิดมันจะมืด แต่ถ้าเป็นพรหมสว่างแบบมีกิเลส สายอาภัสราคือสายธรรมกาย ส่วนสายสุภกิณหาคืออ.มั่น ซึ่งสายปัญญาสว่างนี้เฉโก ฉลาดหลอกมากไปเรื่อยๆ ยิ่งหยาบกว่าสุภกิณหา สายธรรมกายตกนรกลึกกว่าสายอ.มั่นอีก (พูดตามวิชาการนะ) สายธรรมกายสร้างนรกเพราะอวิชชา ยิ่งมีนรกมากนรกลึกต่ำลึกกว่าเขา แต่อีกอันดำมืดนิ่งแข็งสุภกิณหา

          ทั้งสามหมู่นี้แหละจัดเป็นอีกสองคือ เวหัปผลา กับ (อตัปปา)อสัญญี ก็รวมเป็น 11 แล้ว

          เวหัปผลาก็พวกฟ่องฟ้าลอยฟรุ้งฟริ้งลอยหลอกล่อ ส่วนอสัญญียิ่งดับมืดดำ ไม่มีสัญญากำหนดรู้ไปเรื่อยๆ

          แล้วมีอีก 5 เรียกว่าสุทธาวาส รวมเป็น 16 พรหม ซึ่ง สุทธาวาส 5 ก็คืออนาคามี 5 แบบนั่นเอง

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)

          อนาคามีนี้ จะไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าสมณะโคดม หรืออาตมานี่ก็ตั้งจิตไม่ไปเกิดในสุทธาวาส แต่จะเอาองค์ประกอบมีองคาพยพกลับมาเกิดให้ได้ครบองค์ประกอบสำเร็จ แม้จะทุกข์ แต่ว่า ถ้าไม่เกิดอย่างสุทธวาสจะไม่ทุกข์ แต่ละเอียดและช้ากว่าแบบมีร่างกาย

          16 ขั้นนี้คือรูปพรหม จะรู้ด้วยปัญญาก็อย่าไปติดยึดพรหม ก็ถ้าจะเร็วต้องมาเกิดมีร่างเป็นมนุษย์นี้แหละ

          อรูปฌานอีก 4 อยู่ในปัจจุบันธรรม ผู้ได้รูปฌาน 4 รู้จักจิตเจตสิกต่างๆล้างกิเลสได้ดีแล้วต้องตรวจสอบด้วยอรูปฌาน ในเวทนา 108 ผู้ปฏิบัติจนถึงอุเบกขา จิตว่างเป็นกลางได้แล้ว ต้องตรวจว่าจิตว่างสะอาดจริงนะ อาการของความว่าง (ไม่ใช่จิต) หรือลักษณะของความว่าง แล้วอากาสาฯนี้มันว่างกว่าอุเบกขา ซึ่งไม่เกี่ยวกับอารมณ์ไม่เกี่ยวกับจิต ว่างนั้นอย่างไรต้องตรวจว่าว่างนั้นให้รู้ด้วยปัญญาของตน

          สองอากิญจัญญายตนะ ก็คือจิต จิตที่สะอาดไม่มีธุลีละออง ต้องตรวจจิตดูนะว่าวิญญาณคุณสะอาดแน่หรือไม่? เมื่อมันไม่มีอะไร วิญญาณสะอาดเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่พอตรวจอีก

          อากิญจัญญายตนะ ว่ามีความบกพร่องของรูปของนาม ของอากาศของวิญญาณไม่ให้เหลือความบกพร่องแม้น้อยนิด แต่อากิญจัญฯนี้ไม่ใช่ตัววิญญาณ(เป็นรูป) ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เป็นนาม ต้องรู้ว่าไม่มีแน่นะ ไม่ใช่รู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ กำหนดรู้ในเวทนา108 ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ต้องอยู่อย่างกระทบสัมผัสอยู่กับผัสสะปัจจุบันก็ไม่มีอาการ สั่งสมเป็นอดีต 36 แล้วเนกขัมมะ 18 สั่งสมทุกปัจจุบัน 18 ทุกอย่างก็ 000000 นับประมาณมิได้ อดีตก็สั่งสมความควบแน่นเป็นฐานจริง ทุกปัจจุบันก็ชนะยอด ต่อให้อนาคตมาอีก 36ก็มั่นใจว่าชนะแน่นอน 00000 นี่คือ เวทนา 108 ตรวจสอบอีก อรูปฌาน 4 ก็คือ เวทนา 108 นี้จบบริบูรณ์ อรูปฌาน 4

          นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธ ประมาทได้ที่ไหน

          เรารู้ทิศทางความสะอาดของจิตก็ทำไป แล้วอยู่ช่วยสังคมต่อไป....

 

_วัดพระธรรมกายหากจะแก้เกมส์โดยทำเป็นนานาสังวาสแบบสันติอโศกได้ไหม? จะไปตั้งนิกายใหม่ แล้วไม่ต้องขึ้นกับมหาเถรสมาคม ถ้ายังเป็นนิกายอยู่ก็ขึ้นกับมหาเถรสมาคม แล้วไม่ต้องขึ้นกับสังฆราชด้วยจะได้ไม่ต้องสึก

ตอบ...จะลอกเลียนแบบเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างระวังจะก้นแตกนะ และขออภัยอโศกมิใช่นิกายนะ แล้วเขาหากไม่เปล่งกล่าวสึกก็ไม่สึกแต่ไม่แต่งกายลอกเลียนแบบภิกษุจะได้ไหม แล้วถ้าธรรมกายไม่มี มหาเถรสมาคม(มหาเถรสมาคม)จะอยู่ได้ไหม?

          ต้องล้ม มหาเถรสมาคม มันถึงขนาดนี้ เพราะเถรสมาคมนี้คือกลองอานกะที่ไม่มีรูปของศาสนาพุทธเลย ถ้าไม่ล้ม มหาเถรสมาคมนี้ ธรรมกายก็ต้องเกาะมหาเถรสมาคมต่อไป ถ้าไม่ล้ม มหาเถรสมาคม ก็ได้แต่คุณต้องไม่ให้มหาช่วงขึ้นเป็นสังฆราช ถ้าสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช ธรรมกายก็ผงาด แต่ถ้าเอาคนอื่น ก็จะอนุโลมไปได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ที่ท่านไม่ให้ตั้งใครเป็นใหญ่ แต่ก็จะล้มไปเอง ถ้าเอาจริง จะได้คนมาบวชจริงจะได้มวลจริงของศาสนาพุทธ

          สรุปคือ จะต้องล้ม มหาเถรสมาคม หรือถ้าไม่ล้ม ก็ต้องเอาคนที่ไม่ใช่สายสมเด็จช่วง ธรรมกายนี้ เป็นสังฆราช แต่ก็จะได้ระยะหนึ่ง จะล้มไปเอง

          นี่คือทางออก แต่ถ้าล้มมหาเถรสมาคมได้สังคมก็จะปรับตัว แต่จะมีภาวะวุ่นกว่า ตั้งสมเด็จองค์อื่นเป็นสังฆราช แต่ก็ผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอยู่ แต่ก็จำเป็นอนุโลม แต่ถ้าทำได้โดยไม่มีมหาเถรสมาคมเลย ให้เป็นไปตามวินัยพระพุทธเจ้า ให้เป็นคณะตัดสินไปตามวาระตามพระพุทธเจ้าบอกไว้ จะมีผู้ยกเอาคนมีปัญญามามีอำนาจเองโดยธรรม

          เช่นเรารู้ว่าในหลวงใหญ่ แต่ท่านไม่ได้ใหญ่โดยอำนาจบาทใหญ่แต่ท่านใหญ่โดยทศพิธราชธรรม ท่านไม่ได้หาเสียงหรือเบียดเบียนใครเลย ตรวจสอบได้ เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ อาตมาก็เอาที่ท่านประกาศมาทำ ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:16:57 )

590626

รายละเอียด

590626_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ศาสตร์พระราชา

ส.เพาะพุทธว่า….วันนี้รายการวิถีอาริยธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์จะได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับเรื่องแบบคนจน หรือแบบอย่างที่เหนือความคาดหมาย อันนี้เป็นคำความของชาวต่างประเทศที่เขียนหนังสือถึงประเทศไทย แบบคนจนหรือแบบอย่างที่เหนือความคาดหมายเรารู้จักกันในปัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เป็นหนังสือจากมูลนิธิมั่นพัฒนา ซึ่งตั้งเมื่อปี 2557 ในหลวงตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงปี 2517 แล้วประชาชนไทยแตกตื่นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตอนปี 2547 ตอนฟองสบู่แตก จะเห็นได้ว่า ชาวไทยตามหลังความคิดในหลวงอยู่นานเลย

พ่อครูว่า….วันนี้วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2559 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีวอก วันนี้อาตมาจริงๆแล้วไม่ได้เจตนาจะพูดเรื่องนี้อาตมาเจตนาจะพูดถึงเรื่องเทวดาแล้วก็ถึงพระพรหม ซึ่งคนเข้าใจความเป็นเทวดายังไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนมาก การติดเทวดาเป็นภพภูมิอย่างนึงเป็นสมมุติสัจจะเป็นสามัญปุถุชน เราต้องมาปลดปล่อยละล้างไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์

ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส จนหมดบริบูรณ์พ้นอาสวะพ้นอนุสัย ก็ต้องพยายามหยั่งรู้อ่านสภาวะ ไม่ใช่เป็นแต่ตรรกะภาษา อาตมาก็พาพิสูจน์กัน จนมีคนมารวมตัวพิสูจน์กันเรื่อยๆ ของพระพุทธเจ้าจะยั่งยืน sustainable ซึ่งโลกนี้ยังไม่เคยมี ซึ่งเมื่อความคิดของพระเจ้าอยู่หัวของเรากระจายเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ที่รับได้ เข้าใจได้

แต่ในเมืองไทยเรายังสนองพระราชดำรัสให้เกิดส่ิงนี้ได้ ก่อนจะเข้าเรื่องก็จะขอเปิดคลิปพระราชดำรัสในหลวงแบบคนจน และขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

 

แบบคนจน

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"

ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534

 

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

ฟังแล้วก็หูหักเหมือนอย่างเคย การเสียนี่แหละคือเราได้ ก็ค่อยทำความเข้าใจไป ผู้เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งซับซ้อนพวกนี้ เสียนี่แหละ เกิดเป็นคนเราควรได้เสียสละ นี่แหละคือทรัพย์คือสิ่งที่เราควรได้ในชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่ไปเอาๆๆๆมาได้มาก มหาศาล มันยังไม่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย ก็เอามาเป็นของตัวของตนนั่นเอง แต่ถ้าเราไม่เอาเป็นของตน มันผ่านมือมาก็เอาไปทำประโยชน์ อาศัยกินใช้กับส่วนกลางนี่คือความพอเพียงอันสุดยอดที่เกิดในสังคมโลกที่จะขยายไปติดตามดีๆอย่างกะพริบตา

เมื่อหนังสือเล่มนี้ออกมา ค่ายมติชนได้ออกข่าวถึงเรื่องนี้ อาตมาก็ได้บทความนี้มาจากมติชนออนไลน์

 

 

ศาสตร์พระราชา ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ พัฒนา’ปท.-โลก’ อย่างยั่งยืน

ป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ที่คนไทยรู้จัก “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระราชทานเป็นแนวทางในการนำพาประเทศไทยให้ข้ามพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” จนหลายภาคส่วนน้อมนำหลักปรัชญานี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติ

 

จวบจนวันนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในภาคเกษตรกรรม ธุรกิจ การจัดการทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และสถานศึกษา จนประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

 

นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนในประเทศไทยในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ได้นำหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ในวงกว้าง

 

นายจิรายุเล่าถึงที่มาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรกเมื่อปี 2517 คนไทยให้ความสนใจมาก คือ เมื่อปี 2540 เพราะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ก่อนเกิดต้มยำกุ้ง พระองค์ทรงเคยรับสั่งว่าเราอย่าเป็นเสือกันเลย ไปพัฒนาเศรษฐกิจให้ทุกคนยกระดับขึ้นมา กระทั่ง 2540 เศรษฐกิจล่มสลาย พระองค์รับสั่งแนะนำว่า อย่าไปทำแบบไม่ยั่งยืน มาสร้างพื้นฐานให้คนทั่วๆ ไปได้มีความอยู่ดีกินดีตามอัตภาพเสียก่อน แล้วค่อยไปสร้างบนพื้นฐานที่มั่นคง ประเทศจะเจริญเติบโต ไม่ล้มครืนลงมาระหว่างที่ฐานไม่ดี”

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบเทียบ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เหมือน “เสาเข็ม”

 

“พระองค์รับสั่งว่า บ้านเรือน ถ้าจะให้มั่นคงต้องมีเสาเข็ม แต่เสาเข็มอยู่ใต้ดิน เพราะฉะนั้นไม่มีใครเห็น จะลืมเกี่ยวกับบทบาทของเสาเข็ม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็เหมือนเสาเข็ม ที่เป็นรากฐานแห่งความมั่นคง แต่มองไม่เห็น ถ้าพื้นฐานคนไม่มีความอยู่ดีกินดีตามอัตภาพแล้ว ไปสร้างอะไรที่ใหญ่โตบนสิ่งที่ไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง จะล้มลงมาง่าย” นายจิรายุกล่าว และว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 ข้อคือ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน บวก 2 เงื่อนไข คือ ความรู้คู่คุณธรรม

 

“สิ่งที่จะมาลดความเสี่ยง ทำให้รากฐานมั่นคง ไม่ล้มลงง่าย คือ การมีความคิดแบบพอเพียง ไม่โลภ และมีความรู้คู่คุณธรรม ความรู้แบ่งได้เป็น 3 อย่างคือ 1.ความรู้ของชาวบ้าน หรือปราชญ์ชาวบ้าน 2.ความรู้จากศาสตร์พระราชา ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ หรือตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3.ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเราไม่ปฏิเสธที่จะใฝ่รู้ และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ผู้นำที่มีคุณธรรม ถ้ามีครบทั้งหมดนี้จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายจิรายุย้ำ

 

องค์กรที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยที่น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้กับทุกสาขา อย่างภาคธุรกิจก็มีข้อมูลและตัวเลขชัดเจนทั้งในและต่างประเทศแล้วว่า ถ้านำหลักนี้ไปใช้ ธุรกิจเศรษฐกิจพอเพียงชนะธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ ไม่คำนึงถึงคุณธรรมความดี สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม” นายจิรายุระบุ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังได้รับการ “ยอมรับ” จากนานาชาติอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อปี 2549 “สหประชาชาติ” หรือยูเอ็น โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยกล่าวในโอกาสทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลว่า

 

“หากการพัฒนาคนหมายถึงการให้ความสำคัญประชาชนเป็นลำดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกาย ทรงงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ด้วยพระปรีชาสามารถในการเป็นนักคิดของพระองค์ ทำให้นานาประเทศตื่นตัวภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง การเดินสายกลาง รางวัลความสำเร็จสูงสุดครั้งนี้ เป็นการจุดประกายแนวคิดการพัฒนาแบบใหม่สู่นานาประเทศ”

 

จึงเป็นที่มาของหนังสือ “แนวคิดของความพอเพียง : ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืน” (Sufficiency Thinking : Thailand?s gift to an unsustainable world) ภาคภาษาอังกฤษ ได้โปรเฟสเซอร์ระดับโลกอย่าง ศ.ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี ผู้บุกเบิกในแวดวงวิชาการด้านภาวะผู้นำแบบพอเพียง เป็นที่ยอมรับทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย เป็นบรรณาธิการ

 

นายจิรายุกล่าวว่า ศ.ดร.เอเวอรีบอกว่าประเทศไทยมีประสบการณ์ที่พยายามทำเรื่องความยั่งยืน ถือว่าสำคัญสำหรับโลกปัจจุบันที่กำลังมีปัญหาความไม่ยั่งยืน คือ เมืองไทย ทำมาก่อนที่อื่น น่าจะแชร์เรื่องนี้กับโลก

 

“ผมก็ประหลาดใจเหมือนกัน เพราะไม่ได้นึกว่า เราทำอะไรมากมายเป็นพิเศษ หรือดีกว่าโลก เราก็ทำไป เพราะเห็นว่าดีสำหรับประเทศไทย ก็ก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆ ด้วยความเพียร แต่เขาบอกว่าน่าจะแชร์กับโลกบ้างสิ เพราะโลกกำลังประสบปัญหานี้”

 

สำหรับเนื้อหาของหนังสือนำเสนอหลักปฏิบัติของภาวะผู้นำอย่างยั่งยืน รวมถึงกรณีศึกษาต่างๆ ที่ ศ.ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี และ ศ.ดร.ฮาราลด์ เบิร์กสไตเนอร์ บรรณาธิการของหนังสือได้เรียบเรียง พร้อมด้วยมุมมองของผู้เชี่ยวชาญชาวไทย 20 คนในการสร้างสรรค์สังคมที่มั่นคงและมีความสุข ด้วยการนำแนวคิดของความพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน

 

“การเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ เราต้องการแสดงถึงความพยายามครั้งสำคัญของคณะผู้เขียนในการประเมินประสิทธิภาพของหลักแนวคิดของความพอเพียงในเชิงวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้ศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างเป็นระบบและรวบรวมกรณีศึกษาที่พิสูจน์ความสำเร็จของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ ทั้งต่อตัวบุคคล ในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และแวดวงต่างๆ อาทิ ธุรกิจ การศึกษา สาธารณสุข และการเกษตร” นายจิรายุกล่าว

 

เนื้อหาในหนังสือ ศ.ดร.เอเวอรีได้เกริ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า “Thailand : An unexpected role model” หมายถึง “ประเทศไทย : แบบอย่างที่เหนือความคาดหมาย”

 

นายจิรายุเล่าว่า ศ.ดร.เอเวอรีระบุว่าคนต่างประเทศจะมองคนไทยเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นประเทศเล็กๆ ระบบเศรษฐกิจเล็กๆ ไม่ใหญ่เหมือนอเมริกาหรือจีน ไม่คิดว่าจะมีความคิดที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นที่เมืองไทย

 

ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้นำของโลก ในการนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปใช้ ในภาคส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ สังคมโลกจะต้องเรียนรู้จากประเทศไทยตรงนี้ เพราะว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จ

 

“สิ่งที่ ศ.ดร.เอเวอรีทึ่งมากคือ ภาคการศึกษา เพราะสำคัญและหมายถึงคนของเราในอนาคต สิ่งที่ศูนย์สถานศึกษาพอเพียง มูลนิธิยุวสถิรคุณ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าสู่หลักสูตรการศึกษาชาติ ตั้งแต่ปี 2550 กระทั่งปัจจุบันมีโรงเรียน 21,000 โรง จากทั้งหมด 37,000 โรง กลายเป็นสถานศึกษาพอเพียง โดยหลักสูตรจะค่อยๆ สอนตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา พอถึง ม.6 เด็กสามารถเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้เต็มที่ ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น แต่ต้องทำทั้งโรงเรียน ทั้งผู้อำนวยการ ครู ทุกคนต้องไปทิศทางเดียวกันหมด รวมทั้งเอาพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน มาร่วมด้วย ถึงจะประสบความสำเร็จ” นายจิรายุระบุ และว่า 10 ปีที่ทำมา มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่านักเรียนที่มีแนวการศึกษาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง “ต่างจาก” นักเรียนโรงเรียนทั่วไป เด็กมีจิตสาธารณะ มีวินัย มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และอยู่อย่างพอเพียง

 

“ดร.ปรีนานุช ธรรมปิยา ผู้อำนวยการศูนย์สถานศึกษาพอเพียงฯ เผยผลวิจัยว่า เมื่อเราขับเคลื่อนความพอเพียง จะได้เด็กดี เมื่อดีแล้ว เขาจะมีความสุข และความเก่งตามมา ซึ่งผลสอบโอเน็ต โรงเรียนพอเพียงมีคะแนนที่ดี เพราะฉะนั้น หลักพอเพียงเป็นบทพิสูจน์ว่า ทำแล้วได้ผลจริง แม้จะใช้เวลานาน แต่ได้ผล และควรเป็นเรื่องที่การศึกษาจะต้องทำ เพราะการศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาวของประเทศ” นายจิรายุกล่าว และว่า นี่คือเรื่องที่สำคัญ เพราะคือคุณภาพของคนเจนเนอเรชั่นหน้า ซึ่ง ศ.ดร.เอเวอรีทึ่งมาก เพราะไม่เคยเห็นประเทศไหนที่คิดจะทำได้ถึงขนาดนี้ แม้จะมีคำถามต่อไปว่า เมื่อเด็กจบมาแล้ว เข้าสู่สังคม จะต้านกระแสสังคมไหวไหม ก็เป็นความพยายามที่ต้องทำกันต่อไป

 

ณ วันนี้ นายจิรายุบอกว่า ความรู้จักกับคำว่า “พอเพียง” ของคนไทยยังอยู่ในระดับสมอง แต่ยังไม่เข้า “สายเลือด” หรือ “ดีเอ็นเอ”

 

“เพราะถ้าเข้าดีเอ็นเอ จะต้องปฏิเสธการซื้อหรืออะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไป เวลาเกิดความโลภขึ้นมา ต้องสกัดได้ โดยไม่จำเป็นต้องเอาสมองไปตัด แต่ผมเชื่อว่า ต่อไปจะเป็นไปได้ หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียงจะเข้าไปอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทย หัวใจของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากไม่โลภ ต้องมีความรู้คู่คุณธรรม มีผู้นำที่ดีเป็นโรลโมเดล และเอา 3 หลักไปใช้คือ พอประมาณ ไม่สุดโต่ง มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี” นายจิรายุกล่าว

 

ซึ่ง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงเป็น “แบบอย่างที่ดี” ในเรื่องนี้

 

“พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจ พระจริยวัตรต่างๆ ที่พวกเรารู้อยู่แล้ว อย่างเรื่องยาสีฟัน รองพระบาท พระองค์ทรงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทรงเป็นปราชญ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก ทรงสนพระทัยทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของประชาชน ดั่งพระปฐมบรมราชโองการที่ทรงปฏิบัติมาตลอด 70 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นายจิรายุกล่าว

 

“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แนวคิดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้คนไทย และได้รับการแซ่ซ้อง” เป็นปรัชญาที่เป็น “ของขวัญ” แด่ “โลก”

 

หนังสือเล่มนี้อาตมาส่งให้ ลูกสาวและลูกเขยของดร.อภิชาติ แปลให้ อาตมามีภูมิที่รู้มาตามพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ คำว่าพอนี้ภาษาบาลีว่า สันตุฏฐิหรือสันโดษ เขามาแปลเป็นไทยว่า พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อาตมาก็ว่า แปลไม่ถูกไปถามบิลเกตต์สิว่าเขาพอใจไหม ก็พอ แต่ไม่คายออกมา ถ้าหมายความอย่างนั้นก็คือเอ็งก็รวยให้เข็ด ไม่สะพัดออกมาก็ได้สิ แต่เพราะคนคุณจนไม่เป็น น้อยไม่เป็นใช่ไหม ถึงแปลเช่นนี้

วรรณะ 8 ของพระพุทธเจ้ามี

สุภโร สุโปสะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะ อปจยะ วิริยารัมภะ

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ขยันเสมอ เป็นเรื่องไม่ได้เสแสร้งเป็นสัจจะ ไม่รู้จะขี้เกียจไปทำไม?

อาตมาก็ขอยืนยันสัจธรรมที่เป็นอจินไตยที่บอกว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาช่วยโลกในยุคนี้มีคนบอกว่า อาตมาอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน อาตมาว่า อาตมาพิสูจน์มาขนาดนี้แล้วไม่เป็นแน่

เมืองไทยตอนนี้เป็นโมเดลเป็นตัวอย่างแล้ว ที่เกิดจากจิตวิญญาณที่ได้พัฒนา เป็นอาริยะ ที่อ่านจิตเป็น อ่านออกว่า นี่โกรธนี่ดีใจ เศร้าใจ มันไม่มีตัวตนแต่อ่านอาการมันได้ สุขหรือทุกข์คุณก็อ่านได้ แต่ถ้าพักยกก็เป็นดุสิต ปุถุชนพักยกชั่วคราวแล้วกิเลสก็พาวิ่งออกไปอีก แต่อาริยะบุคคลพักได้ด้วยรู้ สามารถทำได้ เมื่อจะออกมาทำงานก็ทำงาน ผู้รู้ก็ทำงานได้จริง มีอาการจริง

พระพุทธเจ้าสอนเหตุที่ทำให้ทุกข์ สุขเป็นคู่ของทุกข์ สุขนั้นไม่มีจริง บำเรอกิเลสนี้มันสุข จะนานหรือเร็วก็แล้วแต่ พยายามเลี้ยงให้นานก็ได้โดยความจำ ถ้ามีเหตุปัจจัยสัมผัสตอนนี้สุขก็สุข หมดเหตุแล้วก็ไม่สุขแต่คุณก็พยายามจำไว้ให้ได้นานที่สุด ทั้งที่เหลือแต่ความจำ แต่คุณจะดึงไม่ได้นานหรอก มันก็จะไปอื่นอีก สรุปคือมันไม่จริงทั้งนั้นเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แม้แต่รสสุขรสทุกข์ คนรู้แล้วไม่ต้องเสพสุขหรอก เอาพลังงานไปทำประโยชน์ดีกว่าไม่เปลืองไปเสพสุข อรหันต์ทำได้ ใจท่านใสเสมอ เป็นอุเบกขาองค์ 5 คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา องค์ที่ทำงานจริงคือ ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ปริโยทาตาคือทำงานในกรอบ ปริตตังของแต่ละคน โสดาฯสกิทาฯก็พลาดได้บ้างแต่อนาคาก็ไม่พลาดหรือพลาดน้อย อรหันต์ไม่พลาดแล้ว มันเก่งทั้งปัญญาเฉลียวฉลาดและปรับได้เร็วไว ไม่ตอแหลแต่เปลี่ยนจริง มุทุ แววไว คล่องแคล่วมาก เวทนาสัญญาสังขารคล่องแคล่วจึงใช้ได้ดีเร็วทันการณ์ จะเอามาทำงานอย่างไรก็กัมมัญญา โดยสัปปุริสธรรม มหาปเทส ประมาณได้เร็วด้วย มัตตัญญุตาได้เร็ว ทำแล้วก็ทำกับสังคมกับคนอื่นที่เปื้อนแต่จิตเราไม่เปื้อนติดจิตเราได้เลย ไม่ดูดซึมซับความเปื้อนเป็นปริโยทาตาตลอดเวลาขาวผ่อง แม้จะทุกข์กับของเปื้อนไม่ดูดซึมซับกับของเปื้อนเลย สะอาดตลอด

 

จิตจะเป็นได้พระพุทธเจ้าสอนให้ทำกรรมฐาน ที่ เวทนา ไม่มีกรรมฐาน 108 ใดๆเลย ในพหรมชาลสูตรยืนยันชัดว่า ให้มีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีเวทนาไม่เป็นฐานปฏิบัติได้ ท่านก็แตกเวทนา 108 ต้องอ่านเวทนาตนเองเป็น อ่านสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ว่ามันเกิดจากอาการ 32 อย่างไร ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง...ตับไตไส้พุง… จนอุจจาระปัสสาวะ มันมีอาการทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าให้เรียนธรรมะสองแล้วจัดการสองนี้ให้เป็นหนึ่งให้ได้ ผู้สามารถทำให้จิตตนเป็นปุงลิงค์ จิตเป็นหนึ่งไม่มีคู่ไม่มีสองแล้ว ว่างสบาย แต่ก็ยังมีตัวตน ถ้าจะทำให้นิ่งกว่าอีกก็เป็นนปุงสกลิงค์คือ 0 แต่ถ้าเป็นอิตถีภาวะคนที่คุมได้ก็เอามาใช้งานได้ ผู้บรรลุแล้วจะเอาไปใช้ได้แต่จะไม่ใช้เต็มร้อยจะใช้ไม่เกิน 70% ท่านจะถ่อมตนไว้

ผู้มาจนแล้วจะหมดทุกข์หมดสุข มีน้อยไม่เป็นไร ใช้เท่าที่พอใช้ แล้วเรื่องบารมีมันมีจริง มวลหมู่ เรียกว่าสาวกก็มีจริง มวลคนเลวก็มี โลกีย์ก็มีมวล โลกุตระก็มีมวล จึงคานกันได้ พระพุทธเจ้าว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่จบของตน ที่สุดของที่เราจะทำในกาละนั้นเราก็ทำเท่าที่มีความรู้นี้

พวกเราอ่านอาการสุขทุกข์ได้ อ่านอาการโกรธ โลภ รู้ได้ เรามีมิเตอร์วัดอาการตนเองได้ มีนิมิต เครื่องหมายให้เราจำได้ว่านี่โลภ โกรธ อันนี้เศร้า ดีใจ ฟูใจ อาการมันมี เช่นอันนี้รูปสวย อันนี้เสียเพราะ ต้องมากเท่านี้พิสดารเท่านี้

เมื่อวานนี้อาตมาไปตรวจกระเพาะปัสสาวะที่รพ. ระหว่างรอก็ดูโทรทัศน์ เห็นรายการ ประกวดความบ้า เลียนแบบนักร้องนักเต้น มันบ้าบอกันไปมากมายเลย

คนที่อ่านอาการจิตแล้วก็ทำลายอกุศล ทำลายกิเลสได้อย่างมั่นคงถาวร โลกจะกระแทกกระทุ้งอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว สมมุติว่าการเงินให้บริหารเงินแสนล้าน ล้านๆ ก็ไม่หวั่นไหว บริหารไปโดยสุจริต เท่าที่มีนี้ก็เกินกินใช้แล้ว แล้วทุกวันนี้คุณรู้ไหมว่าอาตมามีเท่าไหร่...มี 0 ก็ยังอยู่ได้เลย ให้กรรมการบริหารไป เขาเอาเงินมาผ่านมืออาตมา ถวายอาตมาก็เป็นสะพานผ่านมือให้

ตอนนี้วิทยาศาสตร์และสัจธรรมกำลังรวมตัวกัน ให้โลกได้รู้ได้อาศัย พวกเราที่เดินทางเข้ามาตอนนี้แล้ว อาตมาก็ไม่คิดจะหน่าย แต่มันก็เหนื่อยตามพลังงาน แต่ยังมุ่งมั่นอยู่มีวิบากตามประสา

เราจะรู้จักความจริงทั้งเบื้องต้นและสุดยอดคือการให้ มนุษย์เกิดมาให้นี่จบแล้ว สุดยอดไม่ใช่การเอา เร่ิมต้นอยู่ที่การให้ จบก็อยู่ที่การให้ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็จบที่การทาน การให้ ในบารมี 10 ทัศทานคือเริ่มต้น

ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

มีเมตตากับกรุณาเป็นฐานใช้งาน อุเบกขาคือฐานพัก ทำงานแล้วก็พัก ที่ทำอยู่คือกรุณาและมุทิตา

เราอยู่กับสาธารณโภคี กินใช้ส่วนกลางแต่ถ้ามีวิบากกับจนท.การเงินไม่รู้แต่ปางไหนก็ไม่ได้เบิกก็มี แม้แต่จะเอาไปใช้ส่วนกลางไม่ได้ใช่ส่วนตัวก็ตามที ถ้าเรารู้วิบากแล้วก็ไม่มีให้ทำก็ทำไม่ได้ก็เฉยๆไป ก็สบายอีก จะรู้เลยมีทางออก แต่ถ้ายึดมั่นถือมันก็เถียงเอาให้ได้ชนะก็ได้ ไม่ชนะก็แพ้ ใจเราจะติดใจก็โง่เอง

ขณะนี้เมืองไทยมีโมเดลอันนี้แล้ว เร่งก็ไม่ได้มีแต่ต้องพัฒนาตนเองเต็มที่ เจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ เรามี interest point ก็ทำไปเต็มที่เลย

คนบอกว่าอโศกทำไมสร้างอะไรใหญ่ แล้วสร้างเล็กจะช่วยคนร้อยคนพันคนได้ไหม เราก็ทำใหญ่เท่าที่จะใช้งาน ไม่ใช่ใหญ่เบ่ง มันซ้อนที่ว่า

ทางโน้นสร้างจานบิน สร้างลูกโลกมโหฬาร ต่างๆนานา แม้ปากช่องก็สร้างอยู่ ตอนนี้เขาตรวจสอบอยู่ เขาใหญ่เป็นเชิงสตาร์วอร์ แต่ของเราใหญ่นี้เป็นแบบธรรมชาติ อย่าที่พาทำ เช่นน้ำตกผาแหงน มีแค่นี้ก็มีคนไปชมไปดูกัน เราก็ต้องบอกให้ทำตามกติกา

ของเรานี้เขาติดใจว่าเราขาดทุนแต่ทำไมเราอยู่ได้ คือเราทำงานกับสังคมเราก็ได้คืนมาบ้างแต่เราก็ยังขาดทุนนะ มีต้นทุนที่เราต้องจ่ายจริง เราไปลดไม่ได้ มันก็เป็นของแท้ แต่ต้นทุนที่เราจะลดให้สังคมได้คือค่าแรงงาน ความรู้ สามารถ อัตราจ้างของแต่ละคน แล้วแต่ละคนกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่ผลาญมากด้วยค่าตัวยิ่งสูงยิ่งประโยชน์สูงประหยัดสุด เราก็เอาค่าตัวเท่าที่เราควรได้ อย่างอาตมานี้ค่าตัววันละเท่าไหร่?....แล้วก็เอาค่าตัวนี้แหละขาดทุนให้แก่สังคม เป็นการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

สรุปคือ อาตมามาแจกDNA ทางจิตวิญญาณ จะอ่าน di oxy อย่างไร อาการอย่างนี้ แล้วเราจะแยก หนึ่งในสองนี้ให้ได้แล้วใช้หนึ่งเราก็อาศัยอยู่กับสอง คือเขากับเรา ตราบใดเรายังมีชีวะ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:18:26 )

590627

รายละเอียด

590627_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก กายกับบุญนั้นสำคัญไฉน

วันจันทร์ที่ 27 มิ.ย. 59 วันนี้อ.กฤษฎา ไม่ได้มา เพราะนัดคลาดเคลื่อนไป ..ก็มาจัดที่ปฐมอโศก มาดู sms กันก่อน

SMS 26 มิ.ย. 59

0893867xxx โศลกธ.พ่อครูอมตะนิรันดร์ กาลการศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ปท.ไม่ได้!พิสูจน์ที่บัณฑิต ที่จบมาใช้ปัญญาความรู้ ใช้หนี้กยศ.ได้ฤาไม่?ช่วยพ่อแม่ปลดหนี้ที่ส่งเสียจบจบสูงได้ฤาไม่? ยุคไอทีภิวัฒน์ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นในโลกธรรมยิ่งติดบ่วงโลกธรรมเป็นหนี้โลกธรรมไปจนตายถ้าใจไม่รู้จักพอ!เอวัง

ตอบ...การศึกษาเราไม่เหมือนเขา เราไม่ได้ทำเพื่อหาเงินหาทองแต่ทำเพื่อสร้างคนจริงๆ ให้มีศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา ศีลเคร่งเก่งงานชำนาญวิชา ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชาเป็นต้น

ทางนี้ช่วยคนอย่างโลกุตระ เราไม่ถึงกับเรียกร้องแต่บอกกล่าวให้เข้าใจ มีคนเข้าใจแล้วมาเสริมช่วยกันต่อไปได้อยู่ ก็พอได้ แต่ยังไม่อุดมสมบูรณ์มากพอ มันน่าจะได้มากกว่านี้แต่เรียกร้องไม่ได้ มั่นใจว่าจะมีมามากกว่านี้แล้วเจริญไป พวกเราต้องช่วยสังคมวงกว้างใหญ่ขึ้น เราก็ไม่อยากพูดว่าจะช่วยประเทศแต่ถ้าถึงโอกาสนั้นเราทำได้ก็น่าจะทำ แต่ถ้าเราทำอยู่แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ

0856734xxx สันยานไม่ดีเลย_น_ค_ส

0816956xxx ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติ คือ วัฏฏะ

0893867xxx หนี้IMFยุคบิ๊กฟองสบู่แตกเกิดจากค่านิยมฟุ้งเฟ้อ!ไม่มีค่านิยมใดในโลกหยุดหนี้สากลได้ดีที่สุดเท่าค่านิยมพอเพียงใน12ปก.ที่คสช.น้อมตามรอยคำสอนในหลวงฯ อยู่เหนือโลกธรรมอันฟุ้งเฟ้ออยู่ด้วยโศลกธ.พ่อครูฯมีเจตนาแต่..อย่าอยาก..จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์!ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด!

 กราบขอบคุณพ่อครูฯท.จันทร์สณ.สม.ญตธ.สันติอโศก บุญนิยมฯที่ทำให้โลกยิ่งใหญ่ด้วยธรรมจากใจเล็กๆหลายๆดวงที่เจริญในศีลสมาธิปัญญา!สาธุ

 

 

กราบนมก.พ่อครู วันนี้ท่านเทศนดีมากๆค่ะ เนื้อหาแน่นแต่เข้าใจง่าย ต้องขอกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ../ไลน์ คุณ JQ

 

ก็มาพูดถึงเรื่องการหลงสวรรค์กันต่อ ก็เอาเรื่องสวรรค์กามาวจรกันก่อน

ในทานสูตรของพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ชัด สั้นๆแต่ครบ ผู้จะเรียนรู้กามก็ต้องรู้จักกาม ใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ท่านเรียกพลังงานที่ทำหน้าที่กำหนดรู้ คือสัญญา ที่ทำหน้าที่ จดจำ และหมายรู้ หมายรู้ได้ตั้งแต่หยาบถึงละเอียดในนามธรรมเลย จิตเราเป็นกามเป็นอัตตาก็จิตเราทั้งนั้น ผู้รู้ท่านเรียกว่าอภิสัญญา คือผู้ใช้สัญญากำหนดรู้ได้ดี ได้ถูกต้องถึงขั้นสามารถบรรลุผลถึงสัมมาปฏิบัติได้

สัญญาคือการกำหนดรู้ได้ ความจำได้ ความตระหนักก็ได้ ท่านแปลในพจนานุกรมมา

ผู้ปฏิบัติจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัจจะสัญญา  เช่น กามสัญญาก็คือกำหนดรู้กาม สัจจะสัญญาคือการกำหนดรู้สัจจะ

สัจจะจะมีกาม มีอัตตาก็ค่อยๆกำหนดรู้ไป กำหนดรู้อัตตาก็เรียกว่า อัตตสัญญา เมื่อกำหนดรู้ได้ก็จะค่อยๆศึกษาปฏิบัติ กำจัดกาม อัตตา กิเลสก็มีสองข้างนี้แหละ ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรก็สอนสองอันนี้แหละ เป็นสองข้าง (อันตา)ในจิต

ผู้อวิชชาไม่รู้เรื่องหรอก กามกับอัตตานี่ ผู้อวิชชาไม่มีทางกำจัด หากไม่เรียนรู้อย่างตั้งใจจริง ผู้ไม่รู้จะติดยึด สั่งสมในจิตตลอดเวลาทั้งกามและอัตตา โดยตนเองไม่รู้ได้ ก็ลดละกาม อัตตาไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้อย่างสัมผัสจริง

ตากระทบรูป อันนี้เล็กหรือใหญ่ถูกใจ อันนี้สีสันถูกใจ อันนี้รูปร่างถูกใจ อะไรก็แล้วแต่ เสียงอย่างนี้ถูกใจไม่ถูกใจก็แล้วแต่ กามก็ถูกใจ ใคร่อยากเอามาให้แก่ตน โทสะก็ผลักออกไปจากตน

สั่งสมในอนุสัยของตน ไม่รู้ก็สั่งสมตลอด สั่งสมมากก็ล้างยากสั่งสมน้อยก็ล้างไม่ยาก

ผู้ที่ได้กำจัดเหตุของกาม ของอัตตา

กามคือภายนอก อัตตาคือภายใน เรากำจัดกาม อัตตาได้ เราก็ไม่สุขทุกข์เพราะอัตตาแล้ว แต่ก็มีอัตตาไว้อาศัย โดยเราไม่ติดยึด ตราบใดเราไม่ได้ตายอย่างไม่เวียนกลับ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับในอัตตา

“จิต”ของผู้บรรลุธรรมสูงสุดนี้ก็“เป็นกลาง”คือ “มัชฌิมา” นั่นคือ จิตใจเข้าสู่“ความวางเฉยต่อกามต่ออัตตา,ความมีใจเป็นกลาง อยู่เสมอตลอดไป คือ ในจิตไม่มีอาการของกามของอัตตา”(มัชฌัตตตา,อุเบกขา ซึ่งเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา มิใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา แน่นอน)และเป็น“อุเบกขาที่มีคุณสมบัติของ“จิตที่ตั้งมั่น”(สมาธิ) อย่างเที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง)ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) 

“คุณสมบัติ”ของจิตที่เป็น“มัชฌัตตะ”หรือเข้าขั้น“มัชฌิมา” ที่มีภาวะ“จิตเป็นกลาง”

จุดนี้แลเป็นจุดสูงสุด อันเป็น“ฐานนิพพาน” ผู้บรรลุ“ผลธรรม”ของพุทธ ซึ่งจะมี“จรณสมบัติ”และ“วิชชาสมบัติ” สมบัติคือสิ่งที่เราได้เรามีเราเป็น อันนี้เป็นสมบัติทางนามธรรม จรณะคือความประพฤติ คือสามารถประพฤติอย่างดีอย่างประเสริฐ เป็นท่าที เป็นคำพูด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นนัจจะคีตวาทิตะ เป็น“ธรรมะ 2”ที่ครบทั้ง“สมมุติสัจจะ”และทั้ง“ปรมัตถสัจจะ” จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“สัจจะ 3 เส้า”

“สัจจะ 3 เส้า” ได้แก่ 

1) สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง (เอกัง หิ สัจจัง  น ทุตียมัตถิ)

2) สัจจะหลากหลายต่างกันนั้น มิได้มีเลยในโลก (น เหว สัจจานิ พหูนิ นานา)

3) เว้นแต่“สัญญาว่าเที่ยง” (อัญญัตร สัญญาย นิจจานิ) ผู้สนใจศึกษาตรวจดูได้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419 “จูฬวิยูหสูตร”

“สัจจะ 3 เส้า”นี้ อาตมาถือว่า เป็นที่สุดแห่งที่สุด ของความเป็น“สัจจะ”แล้วในโลก ซึ่งเป็นความตรัสรู้พระพุทธเจ้า

 

ข้อ 1) “สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง” หมายความว่า หากมีการยึดมั่นต่างกันขึ้นมาว่า “ของข้าเท่านั้นถูก-ของท่านผิด” ก็ต้องตกลงกันให้ได้ว่าอย่างใดถูก อย่างใดผิด แล้วนับเอาที่ตกลงกันอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างเดียวเท่านั้นเป็น“สัจจะ”คือ“ความจริง”กันในหมู่ ถ้ายังขัดแย้งกัน หรือเป็นตายก็ไม่ยอมกัน ที่สุดในสังคมหมู่นั้นผู้มีจิตเป็นอาริยะแท้ที่เห็นแก่สังคมส่วนรวม จะเป็นผู้ยอมให้“เป็นไปตามส่วนใหญ่หรือคะแนนเสียงส่วนมากชนะ” (เยภุยยสิกา) ตนยอมแพ้ได้ แม้ท่านผู้อาริยะจะเข้าใจ และเห็นจริงอยู่ว่า อย่างนั้นยังไม่ดีที่สุด แต่มันก็ไม่ถึงกับเสียหายร้ายแรงถึงขั้นที่อนุโลมไม่ได้ จึงจะยืดหยุ่นหรืออนุโลมปฏิโลมให้แก่คนส่วนมากในขณะนั้น” (ด้วยการใช้“สัปปุริสธรรม 7 กับ มหาปเทส 4” ตรวจวัดเสมอ) เพราะท่านเข้าใจใน“ธรรม 2”ของ“สมมุติสัจจะ(สัจจะในการรู้ร่วมกันในสังคม) กับ“ปรมัตถสัจจะ”(สัจจะในการรู้ในความจริงความถูกต้องถึงขั้นนามธรรม) ดีพอ

เช่นท่านตรัสว่า พึงเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึ่งสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม แม้ชีวิตเราจะต้องตาย ผู้เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ท่านจะประมาณ เพื่อประโยชน์สูงประหยัดสุด เพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนน้อย จะเป็นศาสนาเพื่อปชต.ที่สุดยอด ไม่ได้ทำเพื่อตนเองหรือครอบครัวตนหรือหมู่ตนพวกตน แต่ทำเพื่อปชช.แท้จริง

ขณะนี้พวกที่ดึงดันก็เป็นพวกน้อยแม้เขาว่าเขามีมาก แต่ก็น้อยในองค์รวมเลย แต่ทางรัฐก็ไม่ได้ทำรุนแรงทั้งที่ทำได้แต่ก็ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ก็เลยกำหนดไม่ได้ว่าจะถึงขั้นตายไหม? อย่างที่ผ่านมาแล้วตอนประท้วงกันตอนเผาบ้านเผาเมืองฆ่าแกงกัน อย่างนั้นก็ตายอย่างไม่แบบที่จำนนที่ต้องรักษาส่วนใหญ่ นี่แหละคือการใช้ความสงบสยบความรุนแรงชัดเจน นี่คือที่ทำได้ในสังคมไทย ประเทศอื่นพยายามทำแต่ไม่ได้เหมือนไทย เรื่องร้ายแรงอาตมาว่าไม่เกิด เพราะคนที่คุมความแรงทำได้ เขาจะใช้ม.44ก็ได้แต่ว่า ไม่ทำ ตอนนี้เหลือแต่พวกแข็งกระด้างที่เป็นเศษมนุษย์อยู่นี่แหละ นี่คือปชต.ที่ลึกซึ้งสุดยอด

ขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลกับสถาบันรวมกันใช่ไหม แล้วมีมวลรวมมากกว่า อีกฝ่ายหนึ่งไหม ก็ใช่ แล้วจะบอกว่าพวกเขามีมากมันมองถูกที่ไหนกัน

 

ข้อ 2) “สัจจะหลากหลายต่างกันนั้น มิได้มีเลยในโลก” หมายความว่า ในความเป็นจริงของสังคมอันหลากหลายนั้น ต่างคนต่างก็มีทั้ง“สัญญา”ทั้ง“ปัญญา” ทั้ง“อุปาทาน”และทั้ง“สมาทาน” โดยเฉพาะ“กิเลส”ที่แตกต่างกันของแต่ละคน ในโลกแห่ง“อนิจจัง”(ความไม่เที่ยง,ความไม่คงที่นิรันดร)และ“อนัตตา”(ไม่มีความเป็นตัวตนที่แท้นิรันดร) จึงไม่มีอะไรเท่ากันจริงหรอก ไม่ว่า อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แม้แต่“กรรมหรือธรรม” 

ในทุกสรรพสิ่งการรวมกันอยู่ได้ อย่างเป็น nucleus นั้น ก็คือ ธาตุตั้งแต่ 2 ธาตุขึ้นไป สมัครใจจะรวมกัน หรือเป็นธรรมชาติสามัญที่ต่างก็ยินดีจะรวมกัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะด้อยกว่าหรือเหนือกว่า ถ้าฝ่ายด้อยยอมรับฝ่ายเหนือกว่าก็ดี หรือฝ่ายเหนือก็ยอมแก่ฝ่ายด้อยได้ก็ดี การร่วมกันอยู่นั้นก็ไปด้วยกันได้ ก็สงบ ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นแรงรวม

แต่ถ้าต่างไม่ยอมกัน ขัดแย้งกัน เสียดทานกัน ต้านกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ“สมมุติธรรม” หรือในแง่ของ“ปรมัตถธรรม” มันก็ไม่สงบ ไม่สันติ เป็นธรรมดา ภาวะนั้นก็จะทำปฏิกิริยากันเกิดความร้อน ไม่เย็น ไม่สงบสบาย ถ้าขัดแย้งกันหนักก็ถึงขั้นระเบิดเป็นพลังงานรุนแรงทำลายอะไรต่ออะไรได้

หากแรงเสียดทานของภาวะที่อยู่ด้วยกันนั้นๆมาก ก็จะเกิดความร้อนแรงเดือดร้อนมาก ถ้าเสียดทานกันไม่มากก็จะเกิดความเย็น หรืออบอุ่น เท่าที่มันจะเสียดทานกันมากหรือน้อยเท่าใดๆ ก็ตามที่เป็นจริง

โดยเฉพาะความขัดแย้ง ความสัมผัสสัมพันธ์กันของผู้คน หรือสังคม หากมีมาก มันก็เดือดร้อนกันมาก ถ้าหากมีน้อยก็ร้อนน้อย หากขัดแย้งกันพอเหมาะก็อยู่กันอย่างอบอุ่น เป็นสัจจะที่เกิดจริงตามธรรมดา

ในสังคมใดถ้ามีแต่คนยึดตัวกูของกูเท่านั้นดี-เท่านั้นถูก ของคนอื่นผิด ไม่ยอมอนุโลมกับสังคมหรือใครๆ สังคมนั้นก็จะขัดแย้งกันสูง ก็จะเดือดร้อนกันมาก ถึงฆ่ากัน 

ดังนั้น “ผู้ไม่ยึดความเป็นตัวกูของกู”ได้จริง จึงจะช่วยทำให้สังคมสงบได้ดีจริงสะอาดจริง ไปบารมีแห่งตามคุณธรรม ผู้สามารถทำ“ความสงบเรียบร้อยให้แก่สังคม”ได้ดีและสะอาดแท้ เพราะรู้แจ้งในการอนุโลมปฏิโลมจริงผู้สร้างภาพทำทีเป็นผู้อนุโลมปฏิโลมก็ทำได้ ก็ได้เสพสุขโลกีย์ตามความเก่งของเขา แต่“หนี้บาป”ก็ยิ่งทับทวีแก่เขา เป็น“วิบาก”หนักหน้าต่อไป ตามเหตุปัจจัยของผู้เสแสร้งหลอกลวงนั้นๆ จะมี“อกุศล”ปนลงไปใน“กรรม”ของเขาอย่างไร? เท่าใดๆ? ก็เท่าที่เขาหลอกได้เสวยผล“สุขเก๊-สุขเท็จ”(สุขัลลิกะ)อันเกิดจาก“ตัณหา-อุปาทาน”ในชาติปัจจุบันนี้เท่าที่เขา“ทำเก่ง”นั้นๆ เท่านั้นๆ วิบากบาปของเขาก็สั่งสมซับซ้อนทับทวีเพิ่มขึ้นๆ ตายไปก็จะต้องมี“วิบาก”ที่เป็นปฏิภาคทับทวียิ่งๆขึ้นหนักหน้า

สรุปผู้เอาแต่“ยึดตัวกูของกู”อยู่ ไม่ยอมอนุโลมปฏิโลมแก่ใคร แก่สังคมส่วนรวมแต่อย่างใด ไม่ลดหย่อนตัณหา-อุปาทานลงเลย ผู้นั้นก็คือ ผู้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตน แก่สังคม ก็คือ“วิบากบาป”สั่งสมเรื่อยไปผู้ยึดมั่นถือมั่นใน“ตัวกูของกูที่ไม่มี

การอนุโลมปฏิโลม”เด็ดขาด จึงต้องโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น หรืออยู่ในกลุ่มน้อยเป็นที่สุด

แต่สังคมที่เจริญยิ่งจริงแท้ มีคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น“ตัวตน”ได้มาก ก็จะอยู่รวมกันเพิ่มขึ้นๆอย่างสงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม ทว่าก็เป็นคนส่วนน้อยในสังคมอยู่นั่นเองซึ่ง“น้อยแต่มีธรรมฤทธิ์มาก”

ผู้ทำความขัดแย้งแต่มาอยู่ร่วมกันได้อย่างพอเหมาะทำให้เกิดการสร้างสรรสังคมได้ดีนี่คือผู้เป็นศิลปินโลกุตระที่ยิ่งใหญ่ สามารถทำให้สิ่งที่ไม่ลงตัว ร่วมกันได้แม้ขัดแย้งก็อยู่กันพอเหมาะพอดี นี่คือสังคมที่ศิลปินใหญ่หรือผู้สามารถบริหารสังคมประเทศให้อยู่กันได้

จะมีความรุนแรงอย่างมากก็ปากหอก ไม่มีตบตีเลือกตกยางออก ไม่ต้องพูดถึงรุนแรงกว่านั้นเลยก็ไม่มีแต่มีปากหอกคือเสียบกันด้วยภาษาคำพูด พวกerror ลงมือลงไม้นิดๆหน่อย มีความบกพร่องบ้างไม่ร้อยเต็มแต่โดยค่ารวมแล้วเป็นสังคมประเสริฐ

ตอนนี้ในประเทศไทยก็มีผู้รวนเรอยู่ มันมีทั้งพวกนักเลงแบบผู้ดี พูดสุภาพกแต่เล่ห์เหลี่ยมหาตัวไม่เจอเลย ไม่รู้ไปละเอียดที่ไหน มีแต่พวกหยาบออกมาเต้นมาดีด แต่ถ้ามากไปก็ต้องเข้าคุกไป อันนี้เป็นอาญาสิทธิ์ของสังคมโลก เขาไม่ได้รุนแรงแต่ว่าต้องทำตามกฏสังคม แต่คุณทำรุนแรง เผาเลยผมรับผิดชอบ เป็นต้น มันเป็นเรื่องยืนยันสัจจะมาให้เห็น ส่วนอีกพวกหนีไปต่างประเทศไม่ยอมให้จับเลย หรือมีพวกหนีไม่ออก อย่างดร.มโนบอกว่าหนีแน่ แต่โดนกักไว้หมด หนีไม่ออกก็ต้องขุดรูอยู่ ยังไม่เจอว่าขาดำหรือขาวอยู่ไหน ดื้อดึงดันอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณบริสุทธิ์จริงก็ต้องออกมาให้คนพิสูจน์สิ ทองแท้ไม่กลัวไฟ นี่ไม่แน่จริงนี่ แล้วดึงดัน ส่งลิ่วล้อมาบ๊องๆๆๆ แล้วพูดสุภาพนะ คนพวกนี้เฉโก แสดงให้คนไม่รู้ทันหลงอยู่ได้ แม้โพธิรักษ์ ยังพูดสู้องอาจ ธรรมนิทาน ที่สุภาพกว่า โพธิรักษ์นี้ไม่งามเลย เขาเอาตื้นๆนี้มาหลอกคน ดูเรียบร้อยเป็นระเบียบสะอาดมาหลอกคน

ไทยเรามีสิ่งที่เป็นตัวอย่างประกอบได้ดีมากเลย เข้าใจง่าย

 

ข้อ 3) เว้นแต่“สัญญาว่าเที่ยง” (อัญญัตร สัญญาย นิจจานิ) หมายความว่า ตนผู้เดียวที่กำหนดของตัวเอง ตามใจตนเอง ดังนั้น จะผิดจะถูกอย่างไร ก็เป็นของตนคนเดียว  จริงเป็น“สัจจะ”อยู่คนเดียว แท้ๆ เที่ยงๆอยู่คนเดียว “นิจจัง”ของคนๆเดียว ไม่มีใครรับรู้ด้วย ไม่มีใครรับรองเลย  ก็เป็น“ความจริง”ของเอ็งคนเดียวเท่านั้น แหละจ้ะ

 

พวกBipolar คือพวกเอาทั้งกามและอัตตา จะใหญ่จะรวยหรูสวยงามก็จะเอา จะให้เอาแต่ใจตัวไม่ยอมใครก็จะเอาอีก ก็คือพวกธัมมชโย

การนั่งสะกดจิตคือสะสมอัตตา เป็นสายนั่งหลับตามืด สุภกิณหาพรหม ไม่วุ่นวายกับกามกับวัตถุ  แต่ก็ไม่รู้จักกาม ติดน้ำปานะ ติดขนม น้ำหวาน ติดหมากติดพลูดแต่ไม่รู้ตัว แม้รู้ไม่เอาหยาบแต่ก็มีเสพ กดข่มไว้ มันก็เลยมาติดพวกนี้ อรหันต์นั่งสะกดจิตหลับตาไม่มีหรอก อรหันต์เก๊ทั้งนั้น อรหันต์ติดหมากพลู น้ำเปรี้ยวน้ำหวานติดน้ำปานะ ไม่ใช่อรหันต์ ดีไม่ดีติดสมอ ติดผักหลายชนิด ติดจิ้มแจ่วกลางคืนก็มีนะ คือยังไม่รู้กาม แต่ไม่หยาบเท่าไหร่

แต่ฝ่ายอาภัสรา(สายสว่าง)อย่างธัมมชโยนี่ติดทั้งกามและอัตตา เพราะไปได้จิตหยุดพักนิ่งเป็นอาภัสราพรหม

พวกสว่างนี้ฤทธิ์มาก เอากามมาหลอกคน สารพัดตกแต่ง เครื่องประดับประดา ลัดดามหาประสาท ของวิสาขาออกแบบมา รถหัวปลีพิลึกพิลั่นหลอกกันเป็นวิมานฝันเพ้อ พวกนี้ถ้าออกรุนแรงจะเป็นสตาร์วอร์ ไปรบในอากาศ แต่นี่ไม่ออกก็เลยรบทางกาม ฝันเพ้อวิมานลอยงมงายไปเหลือที่จะเป็นตัวอย่าง

ตอนนี้ธรรมาธรรมะสงครามในประเทศไทยเป็นสิ่งที่จะต้องบันทึกไว้ในรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์อย่างสำคัญ ที่จะพยายามใช้ความสงบสยบความรุนแรงใช้อนุโลมปฏิโลม เมตตาปราณีเพื่อสยบความชั่วความเลวร้าย ใช้กลปราณี ใช้ศิลปะแท้จริง ปราณีอย่างสูงสุดเลย เพื่อจะใช้ความสงบสยบความรุนแรงแบบเขา

ตอนนี้เขาไม่ยอมให้ค้น แต่สุดที่แล้วยังไงธรรมกายก็ต้องแพ้ ทักษิณก็ตายต่างประเทศ ถ้าเข้ามาตายในนี้ก็เท่ดี แต่ไม่หรอกจะตะลอนเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไป ขออภัยที่ต้องยืนยันบุคคล ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างให้เป็นอุปกรณ์อธิบายธรรมะส่วนดำส่วนไม่ดี

ภาคปฏิบัติ

เร่ิมต้นพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักกาม รู้จักกาย ส่วนอัตตานี้ยากกว่ากาม แต่อัตตานี้มีมากกว่ากาม เพราะโอฬาริกอัตตาก็คือกามหยาบภายนอก รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส ใครสามารถลดสิ่งที่ต้องยึดติดเป็นเราเป็นของเราได้ ถ้าได้มาสัมผัสเสียดสีเสพรส รูปกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวาร 5 เรียกว่าราคะ สมในรสที่ได้เสพสัมผัส แต่ถ้าเอามาเป็นเราเป็นของเรา ข้าวของวัตถุเรียกว่าสมโลภ เป็นของเรา

ภาษาลึกของกามคือราคะ ที่จะเอามาเสพรส ส่วนโลภ กับกามก็ต่างกันแต่เป็นขั้วเดียวกัน ต่างกันตรงโลภนี้เอามาเป็นของเรา กอบโกยหอบไว้ ส่วนกามหรือราคะเอามาเสพรส สัมผัสเสียดสีเป็นรสชาติ ซึ่งเป็นอนัตตาย่ิงกว่าข้าวของ เช่นอยากได้แตงโมน้อยหน่า อยากได้เงินทองทรัพย์สิน ที่ดิน ที่ตอนนี้เขากำลังพิสูจน์กัน เพราะสาขาเขาทำไว้เยอะเลย ตอนนี้ตรวจสอบที่ปากช่อง

คำว่า กามเป็นกิเลส คำว่ากาย เป็นตัวที่ต้องศึกษา

กายนี่เป็นคำแรกที่จะต้องศึกษา กายเป็นองค์รวม เป็นธรรมะสอง กายเป็นธรรมะหนึ่งไม่ได้ ภาษาใหญ่ๆเรียกว่า รูปกับนาม เป็นสองที่ต้องพิจารณาจนถึงท่านให้พิจารณาเวทนาในเวทนา ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง สามารถรู้เวทนาอกุศลทำให้หมดชีวิตหมดพลังงาน หมดอินทรีย์หมดแรงเคลื่อน ให้มันตายเลย หมดชีวะหมดสภาพเคลื่อนไหว เมื่อทำได้เวทนาอกุศลดับเหลือแต่เวทนากุศลของดีที่อาศัยได้  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ใช้ภาษอังกฤษว่า Di เป็นสอง แล้วมีอีกคำคือ De ก็แยกแยะอกุศลแล้วกำจัดออก ถ้ายังชอบหรือชังนี้ก็คืออกุศล เวทนาสูงสุดไม่ชอบไม่ชังไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอทุกขมสุข เป็นนปุงสกลิงค์ อยู่เหนืออิตถีลิงค์ เหนือเพศหญิงที่ดิ้นมาก เรากำหราบได้อยู่ในอานัติ ยังดิ้นได้แต่ไม่รวน เอาพลังงานที่ดิ้นนี้ไปใช้ทำงานได้ด้วย จะเชิงบังคับกรายๆก็ได้แต่ไม่บังคับเลยยิ่งดี

สรุปคือภาวะที่ดิ้นอยู่นี่อิตถี ส่วนไม่ดิ้นเป็นเอกคือปุริสภาวะ ส่วนนปุงสกลิงค์คือทำอิตถีให้0 ได้ ให้ผู้หญิงมาเป็นอรหันต์ได้เป็นต้น แล้วก็ทำงานร่วมกันได้เป็นเพศชายกันหมด แม้ร่างจะเป็นหญิงแต่ก็ทำงานกันไปได้

เร่ิมต้นแยกกาย รู้จักสภาวะกาย รูปกับนาม ภาวะสองนี้ให้ได้ จับจิตเราเป็นองค์รวมที่สังขารปรุงแต่งกันอยู่ ถ้ามันปรุงแต่งก็จับให้ได้ มันกำลังไปทำร้ายทำลายก็สะกดมันได้ สมถะหรือ ตทังคปหาน วิกขัมภนปหานไว้ จนทำให้ดีสมุจเฉทเด็ดขาดได้

เป็นการเผากิเลสอย่างมีฌาน เป็นพลังงานความรู้ที่สามารถสลายไฟราคะ ไฟโทสะ หรือไฟโมหะ โมหะนี้ต้องกำจัดก่อน ต้องพ้นโมหะถึงจับกิเลสได้แล้วให้มันจำนนด้วยปัญญา มันจะสลายตัวเลย พลังปัญญาคือพลังงานไฟฌาน ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน

ต้องอ่านรู้ในปัจจุบัน มีวิธีการสลายกิเลสได้ ตั้งแต่อนิจจานุปัสสี มันไม่เที่ยง มีสองอย่างคือกิเลสโตขึ้นไม่เที่ยงแต่ปุถุชนไปเรื่อยๆ แต่ไม่เที่ยงเพราะกิเลสลดลง จางลงเรียกว่าวิราคานุปัสสี อัปปิจฉะ ก็อ่านสภาพได้ จะให้กิเลสเล็กลงสิ เราเล็กได้จางได้กิเลสจางได้ก็หาที่จบได้เป็นลำดับๆ

คำว่ากาย พระพุทธเจ้าสอนมูลกรรมฐาน 5 ให้แยกแยะ อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะได้ อุตุคือวัตถุธาตุไร้ชีวะ พอเป็นพืชก็มีชีวะที่เป็นแค่ตัวมันสามเส้า พัฒนาแต่ตนเองไม่ทำร้ายทำลายใคร พระพุทธเจ้าสอนให้ทำจิตเราให้เป็นพีชะไม่ทำร้ายใคร แต่มีพลังงานเหลือสร้างสรรอย่างไม่ทำร้ายใคร เราจัดสรรพลังงานที่มีแล้วไปทำส่ิงดี พลังงานจิตเอาไปใช้ประโยชน์อย่างพีชะ ที่ทำประโยชน์ต่อโลกไม่ทำร้ายใคร เราทำคนนี่แหละดีที่ทำงานได้สุดประเสริฐ  อาตมาสาธยายไม่เก่ง ต่อไปจะมีคนเก่งกว่าในการอธิบาย เหมือนพระพุทธเจ้าว่า พระกัจจายนะ อธิบายได้เก่งกว่าเรา เป็นต้น

ขณะนี้คนมาฟังหมอเขียวไม่เข้าใจ มาฟังสมณะโพธิรักษ์ไม่เข้าใจเป็นต้น ไปฟังส.เพาะพุทธเข้าใจกว่าอาตมาก็ได้เป็นต้น ฟังอาตมาแล้วสับสนเป็นต้น

กาย อย่างใดเป็นนาม อย่างใดเป็นรูป อย่างใดเป็นกาย อย่างใดไม่เป็นกาย

ถ้าเข้าใจแล้ว จะรู้ว่าอ๋ออย่างนี้เป็นอุตุ อย่างนี้พีชะ อย่างนี้จิต เช่นเล็บนี่ติดกับอาตมานี่เป็นพีชะ ที่ยาวออกมายังมีชีวะ ยาวออกมาได้ อย่างนี้ถือว่าไม่เป็นกายเพราะว่ามีจิตไม่ร่วมแต่มันมีชีวะ แต่ถ้าตัดออกไปก็เป็นอุตุนิยาม หมดชีวะ ก็มีพลังงานที่เหลือเท่าที่จะสังเคราะห์ได้ ดูดดึงรวมกันได้ หมดพลังก็แตกสลายไปเป็นดินน้ำไฟลม

ผมขนเล็บฟันหนังเมื่อไหร่เป็นอุตุ  พีชะหรือจิต ถ้าถอนผมก็เจ็บมีเวทนา แต่เล็บนี่ตัดไปไม่เจ็บแต่มีชีวะ เราจะรู้จักอุตุนิยาม รู้จักพีชนิยามรู้จักจิตนิยามได้จากมูลกรรมฐาน 5 นี้

ผู้เข้าใจจิตนิยามนี้จะเรียนรู้กรรมได้ กรรมกุศล กรรมที่จะปหานกิเลสหรือล้างบาปก็ใช้กรรมทั้งนั้น หรือจะงดกรรมอกุศลก็ต้องรู้จริงมีปัญญาจริง ว่าอันไหนกุศลหรืออกุศล ทางโลกีย์หรือทางโลกุตระปรมัตถ์ที่สูงสุดคือฆ่ากิเลส

ท่านแยกคำว่าบุญคือตัวฆ่ากิเลสไม่ใช่แค่กุศลทั่วไป คำว่าสิ้นบุญ ปุญญปริกขีโณ หรือไม่ทำอีกแล้วบาป สัพพปาปสอกรณัง หมดบุญหมดบาปแล้ว

อายตนะหรือบุญนี้ ไม่มีเหตุก็ไม่ตั้งอยู่ได้ อายตนะต้องมีปัจจัย มีการกระทบรูปนามจึงมีอายตนะหมดการกระทบก็หมดอายตนะ เช่นเดียวกับบุญหากไม่มีบาป บุญก็ไม่เกิด หมดบาป บุญก็หมดด้วย  บุญแบ่งกันไม่ได้

แต่คำว่ากาย คำว่าบุญทุกวันนี้เข้าใจผิด เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ เอาคำว่าบุญไปหลอกให้คนทำบุญหวังวิมานสร้างวิมาน สังคมพุทธเลยฉิบหายวายป่วง ธัมมชโย เอาบุญมาหลอกคน ให้ฝันหวานได้สุขเพ้อพก เขาไม่รู้ว่าที่เขารวยชาตินี้เพราะเขาขยันมีสมรรถนะ ก็กอบโกยเอาเปรียบเอารัด เขาได้มากมากเขาก็ต้องใช้หนี้เพราะต้องเอาเปรียบขูดรีดคนอื่นมา

คนเกิดปัญญาจะมาอยู่อย่างจนไม่ต้องรวยแต่คนหลอกได้ก็อยากรวยหรู มีวิมานทั้งที่วิมานนั้นเท็จ คนที่ขูดรีดคนอื่นแล้วเอามาทำทานให้ธัมมชโย คนนั้นบาปซ้อนสองบาป หนึ่งบาปที่ขูดรีดคนอื่นมา สองบาปที่โง่เอามาทำทานให้คนชั่ว เขาได้สองบาปเลย ไม่ได้กุศล

ได้มาก็คือขูดรีดมาเช่นได้มาพันหนึ่ง คุณไม่เอาไปทำทานกับธัมมชโยไม่ครบพันหรอก ไปถามบุญชัยสิ เขาไม่ทำทานหมดหรอก เขาจึงเป็นเศรษฐีอยู่ บาปแรกเอาขูดรีดมา แล้วบาปสองเอาไปทำทานกับคนชั่ว ทำลายชาติ แล้วบาปสามคือเหลือเอาไว้ขูดรีดต่ออีก นี่คือไม่ฉลาด แล้วเขาหลงว่าชาติหน้าจะรวยกว่านี้ รวยกว่านี้ก็ต้องหานรกที่จะตกหนักกว่านี้อีก

ถ้าคุณหมดบารมีอันนี้ คุณจะต้องทุกข์ทรมานอีกมากกว่ามากเหมือนธัมมชโย หนึ่งนรกที่ตายไปจะตกอย่างไรก็อธิบายยาก เขาเคยใหญ่แต่ตายแล้วเขาไม่รู้ว่าเขาใหญ่ ก็จะดิ้นเหมือนคนติดยา มืดมัว จะทำร้ายทุบตัวเองฆ่าตัวเอง อย่างไรอย่างนั้นคนพวกนี้จะดิ้นรนเหมือนคนติดยาอย่างธัมมชโยนี้เป็นคนรุนแรงด้วย

หมอมโนว่าเห็นกับตาว่าไปทุ่มของชีจันทร์ ทุ่มแตกต่อหน้าต่อตา เหมือนคนเสี้ยนยาแล้วเก็บกด พอตายไปไม่มีองคาพยพดินน้ำไฟลมไว้เป็นทางออกก็เลยดิ้นรนมาก เขาจะมาทรมานอีกนับชาติไม่ถ้วน อย่าไปเอาแบบอย่างนะ….


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:18:56 )

590628

รายละเอียด

590628_เทศน์ก่อนฉันอาวาสถานแก่นอโศก เรื่อง กามในกาย

          วันอังคารที่ 28 มิ.ย. 59 เวลา 04.30น.พ่อครูและปัจฉาฯเดินทางจากปฐมอโศกไปสนามบินดอนเมืองก่อนขึ้นเครื่องบินมาถึงสนามบินขอนแก่น ในเวลา 08.08 น. มีท่านสมณะและญาติธรรมมารับพ่อครูถึงสนามบิน ก่อนเดินทางเข้าถึงอาวาสถานแก่นอโศกในเวลาประมาณ แล้วนำหมู่นักบวชออกบิณฑบาตในเวลาประมาณ 08.40 น. เมื่อเสร็จจากบิณฑบาต พ่อครูได้ได้มาที่ศาลาส่วนกลางของอาวาสถานแก่นอโศก แล้วเทศนาก่อนฉัน

          วันนี้ฤกษ์ดียามดี ได้สัญจรมาสู่ขอนแก่น แก่นอโศกแห่งนี้ ท่านมนาโป เคยมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่นาน แล้วไปรักษาตัว จนหายไปแล้ว ขอนแก่นก็ร่วงโรยไป มาถึงวันนี้โรยไปเกือบหมดหรือยัง....ยังเหลือเชื้ออยู่ ใส่ปุ๋ยงอกงามก็คงจะงอกงามขึ้นบ้างนะ

          มองไปเห็นฉากประดับตกแต่งก็เห็นแต่สิ่งที่จะบริโภคได้ของมนุษย์ ทำให้เห็นถึงความสำคัญในความสำคัญ คนเขาสำคัญเพชรพลอยประดับตกแต่งดอกไม้เขาก็ชอบแบบนั้นแต่ของเราส่วนมากเป็นของกิน ไม่มีอะไรมากก็ต้นพืชต่างๆ ใบกิ่งต้น ผล แสดงถึงจิตวิญญาณถึงสาระของจิตต่างจากเขา จิตคนเป็นตัวตั้งภูมิธรรม ถ้าภูมิธรรมเห็นอะไรเป็นสาระแก่นสาร อย่างพวกเรามีพืชพรรณธัญญาหารใกล้ชิดเสมอ อาตมาดูก็งดงามแตงโมลูกโต มะเขือ ทานตะวันงอก อันนี้เด่นชูช่อแดงทั้งนั้นเลย พริก ยืนหยัดยืนยันว่า ชาวอีสานชอบเผ็ด คือพริก

          อาตมาย้ำว่า ชีวิตคนเกิดมาถ้าไม่มีปฏิภาณที่จะรู้ว่าชีวิตต้องหาธรรมะใส่ชีวิก็เป็นคนโมฆะ เกิดมาทั้งที่ไม่ควรได้ส่ิงที่สำคัญที่สุดใส่ชีวิต คือธรรมะนี่แหละ คนเราเกิดมามีชีวิตหากไม่ใส่ใจขวนขวาย แต่เอาเวลาไปทุ่มเทแย่งลาภยศสรรเสริญสุขแก่ชีวิต ชีวิตก็เสียเวลาแก่ตายไปชาติๆหนึ่ง แย่งโลกธรรม คนบางคนแย่งลาภได้เยอะนะ ก่อนตายได้เป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ได้มากเป็นกอบเป็นกองจริง แต่การไปแย่งลาภ เอาเงินทรัพย์สมบัติให้แก่ตนเองได้จริงมากมายก่ายกอง การจะได้มามากๆมันต้องแย่งเขา มีเชิงชั้นเอาเปรียบเขาถึงจะได้มา จะเรียกอย่างไรก็คือเอาเปรียบคือต้องได้มามากกว่าต้นทุนให้มากทวี มันจะมีมากได้ไหม? ก็ได้จากผลผลิตสร้างสรรจากเราทำเอง เช่นจะสร้างผลิตอะไรให้งอกงาม มันก็มีได้ แต่ทีนี้มันไม่ได้มีเท่านั้นสำหรับแนวคิดของคนที่ถูกระบบทุกนิยมครอบงำ จะต้องเอาสิ่งที่ได้ผลผลิตนี้ไปแลกเปลี่ยนกลับมาให้ได้มากที่สุด แม้จะปล้นจี้ หรือเขาจะจำนนต้องแลกของเพราะจำเป็น ก็ได้มามากๆ ตลอดชีวิต การโกง การเอาเปรียบ ทุจริตคือกรรมชั่ว กรรมบาป อกุศล แต่เขาไปหลงว่าต้องได้วัตถุมามากๆ แม้จะโกงหลบเลี่ยงทุจริต ก็กล้าทำ กล้าคิดหาวิธีซับซ้อนทุจริต

          อาตมาก็เคยหลงมาเหมือนปุถุชนทั่วไป ชีวิตแต่ละเวลามีแต่จะคิดแย่งโลกธรรม จะต้องได้กามคุณ 5 อย่างที่เราตั้งใจไว้ ได้มาเสพก็สุข ชื่นใจ มันเป็นกิเลสแท้ๆ กามก็หนา อัตตาก็หนา คนไม่ได้นึกถึงธรรมะจะต้องมาลดละหรอก แต่คิดแต่จะโลภให้ได้มา ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ไม่สมใจ แม้ที่สุดต้องฆ่าเขาแย่งเขาให้ได้อย่างเสือแย่งเนื้อสัตว์อื่นกินฆ่าสัตว์อื่นกินก็ทำเช่นนั้นตลอดมา เป็นกรรมที่แท้จริง

          ชีวิตคนกรรมเป็นเรื่องใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กรรม ถ้าไปทำอกุศลก็เป็นกรรมที่สั่งสมเป็นของตนๆ กัมมัสกะ สิ่งที่เราทำแล้วสะสม เราจะทำดีหรือชั่วก็สะสมของเราทั้งนั้น จะทำดีหรือชั่วก็สะสมไม่หายไปไหน แล้วมาออกฤทธิ์กับเรา ในชาตินี้ก็ได้ ถ้าชั่วบาปก็ออกฤทธิ์ให้เราเดือดร้อนทุกข์เจียนตาย ทุกข์ถึงตาย ทุกข์หนักหนา ยืดเยื้อ ชาตินี้ก็มีให้เห็น มีคนเป็นคนได้รับ หรือแม้จะไม่ใช่วิบากในชาตินี้แต่เป็นวิบากชาติก่อนมาออกผล มาทุกข์ทรมาน เจียนตาย ปางตาย ยืดเยื้อยาวนาก็มาออกผลชาตินี้ได้ ไม่ใช่อยู่ๆจะเป็นนะ แล้วไม่มีใครอยากได้หรอก ต้องปัดเป่าหลีกเลี่ยงด้วย แต่เมื่อคนนั้นถึงคราว ทุกข์ร้อนนั้นเราจะต้องได้รับ ขอยกตัวอย่าง

          อย่างคนที่ชื่อ ธัมมชโย ตอนนี้พบหน้าคนไม่ได้ หลบหนีเข้ารู้แล้วเอาโลห์มนุษย์มาป้องกัน เอาโวหารภาษามาป้องกัน เป็นอสูรขี้กลัว ไม่กล้าสู้หน้ามนุษย์ ไม่กล้าสู้หน้าความจริง เพราะตนทุจริต แต่ก็แก้ตัวว่าตนบริสุทธ์ไม่ผิด แล้วไม่ผิดก็หลบทำไม ทำหน้าด้านไป

          พฤติกรรมต่างๆที่บกพร่องนี้ ที่เอามาพูดนี้เพราะเกี่ยวโยงกับความเป็นธรรมะ ที่คนแหกคอกพาผิดแนวทางที่พระพุทธเจ้าพาทำ นี่คืออธรรมที่ใหญ่เกิดในวงการศาสนาพุทธ เป็นอธรรมที่ใหญ่เขาก็พยายามชำระให้สะอาดแต่ก็ดื้อด้านไม่ยอมให้ตรวจสอบ พยายามอำพรางดึงดัน ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เลย แล้วจะเป็นคนไทยอยู่หรือไม่ ไม่ได้ใส่ความนะ เขาอ้างว่าเขาเป็นยอดแห่งธรรมะ ทำดีมาทั้งชีวิต อาตมาก็ว่าทำดีหรือทำไม่ดีกันแน่ เป็นธรรมหรืออธรรมกันแน่ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา มันเป็นคำตอบองค์รวม ถ้าคุณทำมา 40 ปีดี คุณก็ให้เขาตรวจสอบเลย เขาจะได้สรรเสริญ ว่าทำดีมา 40 ปีไม่มีอะไรด่างพร้อยเลย แต่นี่ไม่กล้าให้ตรวจสอบเลย แล้วอ้างว่าทำดีมาตลอดชีวิต นั้นมันเป็นภาษาคำพูดเอา แต่ในสาระของมันจริงๆมันเป็นเช่นไร เขาอยากจะตรวจสอบ

          ก็ถ้าบริสุทธิ์ท่านทำดีมาตลอด มาแกล้งท่านทำไม เขายังไม่ได้ทำอะไรพลิกแพลงพิสดารจากครรลองเลย แต่คุณเลี่ยงหลบต้านกั้น อาตมาเลยถามว่า คุณเป็นคนไทยหรือไม่? จะอยู่เหนือกฏหมายไทย แล้วมาบอกว่าบริสุทธิ์ๆ โจรมันก็พูดได้ทุกคนว่ามันบริสุทธิ์ ภาษาที่เขาพูดนี้คือมหาโจรพูด คุณยิ่งดึงดันเขาก็ชัดเจนว่าคุณคือโจรจริงๆ ไม่กล้าให้ตรวจสอบความจริง ยิ่งยืดเยื้อต้านกันแก้ตัวไป อย่างกับคนอื่นไม่รู้ทัน เขาก็พยายามยืนยัน แต่ไม่ฟัง ทำให้ความนับถือความยอมรับลดลง คุณทำตัวคุณเอง พฤติกรรมที่ทำทุกวันนี้อย่านึกว่าได้แต้ม แต่ความยอมรับนับถือลดลงๆ นอกจากคนที่ถูกสะกดจิตไว้ เขาเป็นสำนักสะกดจิต วิธีการที่เขาทำนี้สะกดจิต

          ผู้ที่ถูกครอบงำสะกดจิตไว้ก็จะมองไม่เห็นความจริง จะมืดหน้ามัวตา ไม่เปลี่ยนความคิดที่ตนยึดถือนี้ตลอดไปเป็นวิธีให้คนไปยึดมั่นถือมั่นอันนี้ เช่นช่องนี้ช่องเดียว คุณไม่ให้เขามีปรโตโฆษะเลย ตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธเป็นผู้ตื่นผู้รู้ไม่ใช่ให้ถูกครอบงำความคิด ศาสนาธรรมกายที่ทำนี้เป็นสำนักสะกดจิตที่เก่งที่สุดที่มีผล มีบริวารที่สำเร็จวิชาสะกดจิต อาตมาไม่ได้หาเรื่องใส่ความนะ เป็นวิชาการ

          ที่เขาทำนี้ทำให้สังคมศาสนาพุทธเสียหายเขาไม่ได้สะกดจิตแค่ปชช.ฆราวาสนะ แม้แต่นักบวชภิกษุก็ถูกสะกดจิต สะกดจิตคนอื่นได้ แล้วก็ยังสะกดจิตให้ตนเองบาดเจ็บแล้วให้เห็นว่า ความบาดเจ็บนี้เป็นสุขได้อีก อาตมาเคยเรียนมาวิชาสะกดจิต ไม่ได้โมเม

          เพราะเข้าใจผิดคำว่า กาย

          คำว่า กาย นี้ทั้งศาสนาพุทธทั้งหมดมั้งหรือศาสนาพุทธทั้งหมด เข้าใจคำว่ากายคืออุตุนิยาม เมื่อปฏิบัติธรรมก็แยกกายไม่ออก แยกธรรมะสองทำให้เป็นธรรมะหนึ่งทำไม่ได้ เกิดเอกสโมสรณาภวันติไม่ได้ ล.10 ข.60 ธรรมะสองรวมลงเป็นหนึ่ง เมื่อทำไมเป็นก็ไม่มีวันบรรลุธรรม เพราะศาสนาพุทธทั้งหมดเข้าใจคำว่ากายแค่อุตุนิยาม

          คำว่ากายไม่มีในอุตุนิยาม แม้ในพีชนิยาม ที่มีชีวะหรือชีวิตแล้วก็มีทั้งลักษณะที่เป็นกายส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งไม่เป็นกาย เช่นเล็บ ผม ขน ฟัน หนัง เป็นต้น ส่วนหนึ่งไม่เป็นกาย ส่วนหนึ่งเป็นกายอยู่ อย่างมันติดกับชีวะ ยังไม่ตัดออกไปก็เป็นกาย แต่ถ้าตัดออกไปจากร่างแล้วก็ไม่ใช่กาย ส่ิงที่อยู่ในองคาพยพของเราอันนี้คือการศึกษาของพระพุทธเจ้าที่จะต้องเรียนรู้อาการปรุงแต่งเป็นชีวะ เป็นจิต เป็นจิตที่บำเรอกามในกายนี้ เมื่อแยกไม่ออก กายคืออะไร กามคืออะไร บำเรอกามคืออะไร แล้วจะไปชำระกามออกจากกายได้อย่างไร

          แล้วถ้าเข้าใจว่ากายหมายถึงแค่อุตุนิยามอย่างเดียว ดินน้ำไฟลมคือสิ่งที่ขาดจากกาย หรือแม้จะอยู่ในกาย มีสัมผัสได้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเป็นต้น มันมีกามและก็มีกาย

          ผู้ที่เรียนผิด ไม่คิดว่าตากระทบรูปนี้มีกาย เขาถือว่ามีแต่ใจ หูกระทบเสียงก็เป็นกาย มีใจร่วมด้วยเป็นธรรมะสองปรุงแต่งสังขารอยู่ ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสแล้วมีกาย เขาไม่รู้แล้ว เขารู้แค่กายคือภายนอก แล้วรู้สึกก็คือใจไปเลย ไม่เกี่ยวกัน

          การปฏิบัติสติปัฏฐาน ในกาย เขาก็เอาแค่อิริยาบถภายนอกแล้วไม่เกี่ยวกับอารมณ์ใจเลย แม้อารมณ์ใจก็ให้หยุดไม่รู้สึกเหมือนวัตถุ ไปพิจารณาเช่นนั้นหมด กายคือจิต มโน วิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ล.16 ข.230 คนศึกษาศาสนาเขาอ่านแล้วคงงง ไปไม่ออก เพราะเขาปักใจเชื่อว่ากายไม่ใช่จิต เมื่อเข้าใจไม่ได้ก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะสังโยชน์ข้อ 1 คือ สักกายะ ต้องรู้กายของตน คุณก็รู้สังโยชน์ข้อ 1 ผิด เพราะรู้ว่ากายคือภายนอกไม่เกี่ยวกับจิต ทั้งที่พระพุทธเจ้าว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ

          เมื่อจะปฏิบัติกายคตาสติ ก็ทำผิด ไปทำกายปัสสัทธิก็ทำผิด อย่างในร่างเรามีดินน้ำไฟลมรู้ไม่ง่ายก็เลยเอาแค่อิริยาบถภายนอกให้สงบรำงับ ให้กายอยู่นิ่งไม่กระดิก ไม่พูด เพราะพูดแล้วไม่สงบ เขาก็หุบปากไม่พูด กายไม่กระดิก ลมหายใจให้เบาอ่อน ถ้าจะให้ลมหายใจหยุดก็ตายเขาทำไม่ได้ก็จำนน ให้ไปนั่งสมาธิ ทำความสงบให้กายสังขาร กายสังขารังปัสสัมภยังก็เข้าใจผิดไประงับความเคลื่อนไหว แต่ที่จริงไม่ใช่ กายสงบคืออ่านให้รู้ จิต มโน วิญญาณที่มีอกุศลทำให้ไม่สงบนี้ออกไป

          กายมีองค์ประกอบดินน้ำไฟลม มีจิตร่วมด้วย แยกสิ่งที่ทำให้ไม่สงบออก ซึ่งความสงบของพุทธไม่ใช่ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ไม่พูด แต่พูดแต่ทำอย่างดี แต่ในจิตไม่มีเหตุที่ทำให้ไม่เจริญ ก็ต้องรู้ตัวนี้ ทำตัวนี้ให้ระงับไม่ออกบทบาท ไม่ให้มันมีชีวิต ดับชีวิตินทรีย์สัตว์นรกกิเลสนี้ให้ได้ ฆ่าสัตว์โอปปาติกะตัวนี้ให้ได้ เพราะมันเป็นตัวรวนทำให้ยุ่งยาก ทำให้เสียหาย เฉพาะตัวนี้ทำให้สงบ ไม่ใช่ทำให้ร่างกายเขาแข็งทื่อ อันนั้นมันตื้นไป ไม่ใช่วิชาปรมัตถธรรม ใครก็เรียนได้ง่ายแต่พุทธนั้นลึกซึ้งกว่านั้นมากมาย

          การไปนั่งสะกดจิตหลับตา พอนั่งหลับตาแล้วมันไม่มีภายนอก ไม่มี ทวารนอก แต่ไปอยู่กับรูปภพอรูปภพ ไม่มีกามภพ จึงไม่สามารถรู้โครงสร้างกิเลส เหตุปัจจัยที่ประกอบ มีแตงโม มะเขือ เงินทองข้าวของ มนุษย์ที่เราเห็นเราสัมผัส ทำให้เราปรุงแต่งเกิดกิเลส เป็นกายสังขาร แต่คุณไม่เร่ิมที่กายสังขาร แต่เอาเบื้องปลายมาทำเลย คำสอนพระพุทธเจ้าให้ทำตามลำดับขั้นตอน

          การสอนไม่เป็นลำดับอันน่ามหัศจรรย์อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มันจะเก็บละเอียดตั้งแต่ต้นหยาบถึงละเอียด ต้องทำออกก่อนในเรื่องหยาบตั้งแต่ความทุจริต เสพสุขหยาบๆแม้กฏหมายก็ห้าม สังคมก็ไมให้เกิด เช่นสิ่งเสพติด การปล้นขโมย การพนันเขาก็ห้าม คนไปติดยึดเหล่านั้น ถ้าเราติดยึดเราก็ต้องล้างให้ได้ สมมุติว่า คุณไปติดยาเสพติด เหล้าบุหรี่แม้กฏหมายไม่ห้ามแต่ก็เสพติด แต่เอาสิ่งที่กฏหมายห้ามก่อน คุณต้องเลิก เมื่อสัมผัสแล้วเกิดกิเลส มีองค์ประกอบครบ มียาเสพติดแล้วเราเสพเกิดสุขทุกข์พร้อม ก็เรียนตามของจริง โดยตั้งศีลว่าเลิกไม่เสพ ถ้าสัมผัสก็อยาก แม้ไ่ม่สัมผัสก็วิ่งไปอยากเสพ ก็อ่านว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์มันไม่มีตัวจริงหรอกสู้มันเลย คนไม่เสพติดนี้มีมากกว่าคนติดส่ิงเสพติดเขาก็อยู่ได้เลย แล้วคุณไปบ้าทำไมกับคนโง่ถูกหลอก คนไม่ติดก็ไม่ไปสุขทุกข์กับของเหล่านั้น แต่อุปาทานคุณไปติดเองว่าเป็นสวรรค์วิมาน คนไม่ติดก็ไม่มีสวรรค์วิมานอันนั้น แล้วเขาไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว เขาเซฟได้มากแล้วเป็นนักเศรษฐกิจชั้นเยี่ยมแล้ว แต่คุณยังไปเสียจิตคุณไปติดอยู่ต่างหาก ก็ต้องลองไม่เสพก็ไม่ตาย ตอนเสพก็ไม่ได้เสพตลอด แต่เสพตอนมันอยากเท่านั้น เสพแล้วก็พอใจอร่อยเพลินก็ถูกครอบงำทางจิต คนที่ไปเสพติดแล้วเลิกมาก็เลิกได้ก็มีเขาก็ไม่ติดยึด เอาเวลาทุนรอนแรงกายแรงใจกลับคืนมาได้ จิตคุณว่างแล้วจากเสพติด แม้มันมีอยู่ แต่ก่อนเราเคยเสพติด มันมายั่วให้เราไปเสพ แต่จิตเราหลุดแล้ว มันก็เฉย อุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขาเหมือนคนสามัญ มีวิมุติหลุดพ้นมาแล้ว ก็จะชัดเจน อันนี้จะเป็นตัวอย่างขั้นต้น ส่วนคนไม่เคยไปเสพติดอันนี้ก็ไม่มีตัวอย่างอันนี้ คนที่หลุดพ้นมานานแล้วก็อาจจำความรู้สึกนั้นไม่ได้ อย่างอาตมาเคยติดพริกมาก่อน อร่อยปากบำบากตูด เวลาขี้มาแสบนะ เพราะกินพริกมาก แต่ก่อนกินทีไรอร่อยทุกที น้องสาวอาตมากินส้มตำเผ็ดๆก็ชอบ กินแล้วเป็นลม แต่พอเขาตำอีกก็กิน ก็สลบอีก เพราะอร่อย

          ของพระพุทธเจ้าเมื่อหลุดพ้นแล้วไม่หนี แต่อยู่เหนือ จิตโลกุตระ คนที่ไม่เคยปฏิบัติแบบนี้แต่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาไม่เคยทำกับของจริง พวกสายหลับตาก็พอรู้แบบตื้นๆ สะกดจิตเอาไว้ ก็ไม่ไปเสพหยาบๆแต่สะกดจิตไว้ไม่มีจิตวิเคราะห์เลยไม่ได้ต่อสู้เลย ไม่มีปัญญาเห็นแจ้งเลย สะกดจิตไว้อยู่ได้ชั่วคราว สายหลับตาสะกดจิตนั้นไม่รู้แม้หมากพลูบุหรี่เขาก็ติด ติดของกินของเคี้ยว ติดน้ำส้มน้ำหวาน เขาก็แปลงไปว่าเป็นปานะ (ออเดิร์ฟ) ของกินเล่น เขาว่าไม่เป็นไร ก็ทำมากินกัน สายหลับตามีเช่นนั้นจริงๆ ถึงขั้นเอาผักหลายชนิด มาจิ้มกิน ถือว่าเป็นอาหารปานะ ในตอนเย็นๆ ไม่ใช่ข้าวไม่ได้กินข้าว กินผักหนอก(บัวบก)มาจิ้มกิน ถือว่าเป็นยา เอาสมอมาจิ้มกินถือว่าเป็นยา ต่างๆนานาสารพัด เพราะไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ติดยึดคืออะไร ผู้เรียนรู้ความติดยึดโดยมีผัสสะแล้วค่อยล้างได้ สิ่งที่ติดหยาบก็อดได้ทนได้ไม่ละเมิดแต่จิตยังมีรูปราคะ สัมผัสข้างนอกไม่หยาบอะไรมีหิริโอตตัปปะ กินเข้าไปได้อย่างไรเรานักปฏิบัติธรรม ก็เลิกข้างนอกได้โดยปัญญา แต่สายหลับตาไม่ได้ปฏิบัติแบบนั้น เอาแต่สะกดจิตไว้ ไม่ได้เกิดปัญญาล้างได้ แต่เป็นการกดข่ม ถึงวาระที่หมดความอดทนก็ระเบิด เพราะฉะนั้นเป็นพระกรรมฐานมาอายุ 70 ก็ยังเสียท่าละเมิดในกามได้ มีตัวอย่างเยอะไป เพราะไม่ได้เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายชัดเจน

          ผู้ที่ล้างได้อย่างชัดเจนมันก็อยู่เหนือไปตลอด ยิ่งเป็นตัวสุดท้ายถึงถอนอาสวะอนุสัยเลยจะเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

          ทั้งที่มันมียั่วยวนอยู่ก็ไม่กำเริบ เราเคยอยู่เป็นทาสโลกอบายเลย แต่ตอนนี้แม้จะปรุงแต่งยั่วยวนมากกว่าเก่าก็ทำให้เราเวียนกลับไม่ได้ ไม่ได้หนีนะ แต่อยู่เหนือ แต่พวกนั่งหลับตาหนีไป สะกดจิต ถ้ามีแรงสะกดก็ไม่ทำได้แต่ไม่ได้เกิดปัญญาในการลดละจางคลายนะ เพราะไม่ได้ทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า แยกกายแยกกามแยกจิตไม่ออก

          ไม่ได้รู้กามในกาย เพราะไปเข้าใจว่า กาย เป็นแค่อุตุ ไม่มีจิต แต่แท้จริง กายนี้คือหนักไปทางจิตด้วยซ้ำ แต่ขาดภายนอกไม่ได้ แต่แท้จริงคือจิตภายในที่เป็นตัวจริง กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณแล้วเรียนรู้กิเลสในจิตมโนวิญญาณ จนกามหมดไปจากกาย เหลือแต่กาย เราปฏิบัติธรรมจนกามไม่เกิดในจิต จิตมโนวิญญาณเราก็สะอาดจากกาม กายก็สะอาด

          กิเลสกามมีกามคุณ 5 คือเบญจกามคุณ ในบาลีไม่มีคำว่า สฬกามคุณ คือกามคุณ 6 ไม่มี แต่การนั่งหลับตาไม่ได้เรียนรู้ลดละการติดยึดกามคุณ 5 เพราะปิดทวารเสียแล้ว

เขาไม่เรียนแล้วกาย ก็ไม่รู้กามด้วย ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเลย แล้วเข้าใจผิดว่ากายไม่เกี่ยวกับจิต แล้วก็ทำผิดขั้นตอนไปทำที่จิตเลยมันก็เลยไม่มีผล เพราะไม่ได้ทำตามลำดับ ในกามภพขั้นต้น แม้อบายก็คือกามขั้นหยาบ ท่านให้ล้างกิเลสอบายก่อนที่เป็นองค์ประกอบภายนอก แล้วเราจะเหนือสิ่งเหล่านี้ได้ ล้างกามได้ค่อยล้างกิเลสรูปภพอรูปภพ ได้หมดก็เป็นอรหันต์

คำสอนพระพุทธเจ้าต้องมีกายสักขี แต่ถ้าไปนั่งหลับตาไม่รู้กายแล้วแต่ภายในก็มีกายแต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีภายนอกถึงเป็นกายอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะต้องมีการกระทบสัมผัสทวาร 5 ภายนอกด้วย

มีคำถามว่า ผู้ติดยาเสพติด กับผู้ที่เสพภพ โดยมีผู้กำหนดภพชาติให้เสพติดอย่างไหนให้โทษภัยมากกว่ากัน

ตอบ...ผู้ที่มาสะกดจิตผู้อื่นให้ตกในภพภายในแล้วเสพติดภพใน โดยไม่ได้เรียนภพภายนอก เขาก็ไม่ไ้ด้เรียนรู้ที่จะล้างภพภายนอก เขาก็พอกเพิ่มติดยึดภพภายใน เขากิเลสเพิ่มไหม อย่างธรรมกายสอนกัน เขาสอนให้ติดภพสวรรค์วิมาน แต่ธัมมชโยซับซ้อนที่เอาความดีตื้นๆง่ายๆ สะกดจิตคน เช่นคุณอย่าไปฆ่าเขาทุจริตเขามานะ แต่ในระบบทุนนิยมนี่คุณเอาเปรียบเขานี่ทุจริตแล้ว แต่ถ้าไม่เอาเปรียบก็ทำแบบเท่าทุน ขายของเท่าทุน ทำงานเท่าทุน โลกสังคมก็จะอยู่ได้ดี แต่โลก สังคมทุกวันนี้มีแต่คนเอาเปรียบกัน

พระพุทธเจ้าสอนนอกจากไม่เอาเปรียบแล้วยังสอนให้มาเสียเปรียบหรือขาดทุนให้คนอื่นอีก ความเสียเปรียบหรือความขาดทุนให้คนอื่นคือความเจริญของชีวิต…...ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คือผู้ทำผลผลิตได้เกินแล้วเอาไปขาดทุนเสียเปรียบให้แก่คนอื่นคือคนมีประโยชน์ต่อสังคม คนเอาเปรียบคนอื่นคือคนไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเป็นระบบที่เลว ให้ไปแย่งมามากๆ สะกดจิตคนให้อยากรวยๆมาก แล้วเอามาทำทานกับเขาปลุกเร้าให้ทำทานอย่างไม่คิดชีวิตโถมหมดตัวเลย คนก็ติดแล้วหลง คนก็กล้าได้กล้าเสีย ให้หลงวิมานใหญ่ เขาไม่ได้หรอกมีแต่เสีย แต่คนได้คือธัมมชโย

วิโมกข์8เขาก็เอาแต่ไปนั่งหลับตาเขานิโรธ อาตมาพูดมา 45 ปีแล้วก็ไม่ค่อยฟังกันเลย

วันนี้ตั้งใจอธิบาย กามในกาย

เอาเล็บ เล็บของคุณประกอบไปด้วยอุตุธาตุ ดินน้ำไฟลม ไม่มีความรู้สึก ยิ่งถ้าตัดขาดออกมาแล้วยิ่งชัดเป็นดินน้ำไฟลม แม้มันจะเคยเป็นชีวะ เคยมีจิตวิญญาณร่วมแต่ตอนนี้ขาดจากกายแล้ว อาจเหลือความสดอยู่บ้างก็เป็นดินน้ำไฟลม ตัวนี้ไม่ใช่กายแล้ว ไม่ใช่องค์รวมของรูปนามตัดขาดแล้ว

ส่วนเล็บที่ยังติดกับร่างเรา ไม่ได้ตัดออก มาพิจารณาตัวนี้ ว่ามีกามกับมันไหม แต่พวกที่ตัดออกไปแล้วบางคนยังบ้ามีกามกับมันอีก เช่นคนเลี้ยงเล็บยาว แต่เล็บมันอุบัติเหตุขาดไป ก็ยังบอกว่าเล็บของฉันๆอีก ทั้งที่มันตัดจากร่างกายแล้วนะ ชัดเจนนะ

เล็บที่ติดกับกายเรา มันยังมีชีวะ เป็นพีชนิยาม ส่วนเล็บที่ยืดออกมา มีอาหารเลี้ยงไว้เป็นส่วนของร่างกาย มีจิตวิญญาณรับรู้อยู่ แต่ส่วนที่งอกออกมานี่ตัวนี้แหละไม่ใช่กาย แต่เป็นชีวะ เพราะไร้ความรู้สึกแล้ว ตัดทิ้งไม่เจ็บ เป็นพีชนิยาม มันปรุงแต่งสัญญาทำหน้าที่ของเล็บยาวมาเรื่อยๆ

แต่เล็บส่วนที่รู้สึกเจ็บได้นี่คือส่วนที่เป็นกาย แต่เล็บส่วนที่ยื่นยาวออกไปคือชีวะเป็นพีชะ ไม่ใช่กาย แต่คนที่รักเล็บที่ตัดออกไปแล้วก็คือโง่ บ้า อวิชชายึดเป็นตัวกูของกู ใครไปยึดดินน้ำไฟลม แผ่นดิน เพชรนิลจินดา เงินทองมันไม่ใช่ของคุณเลยไม่ใช่กายเลยไปยึดทำไม แม้แต่ลูกของกู ก็ไปยึดอีกทั้งที่ไม่ใช่กายของคุณแล้ว นี่คืออุปาทานยึดเป็นตัวกูของกู

แม้แต่มันอยู่ในนี้ไม่มีเวทนาก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว คุณทำใจไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา อย่างมะเขือนี้ ยึดว่าของเรา คือความโง่ ใครเอาไปไม่ได้เป็นต้น

มันไม่ใช่กายเราก็ไม่ต้องยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ต้องแยกกายแยกจิตออก มันไม่ใช่กายมันก็ไม่ใช่เรา ถ้าเรายังยึดอยู่จิตมันก็เป็นเรา พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ ถ้าเราไม่รู้สึกแล้วก็ไม่ใช่กาย มันห่างความเป็นเราแล้ว ถ้าเข้าใจก็ไม่ไปยึดเป็นเรา ถ้าเราไปยึดเป็นเราก็ทุกข์ มันพรากจากเราก็ทุกข์ ใครจะไปตัดผมตัดเล็บเรา ก็ตัดไปสิ มันไม่ใช่เราแล้ว แต่ถ้ายึดอยู่ก็ว่า ผมนี่ของข้าใครอย่าแตะ ก็ยึดไม่รู้จบ

แม้เล็บ ส่วนที่มีเวทนา เจ็บ ปวด ด้าน ถ้าจิตเรายังยึดอยู่ว่าอันนั้นก็เป็นเรา คุณก็จะต้องไม่มีเล็บไม่ได้ ขาดเล็บไม่ได้ ถ้าชีวิตคุณไม่ต้องใช้เล็บ จะอยู่ได้ไหม? ...ก็อยู่ได้

บางอวัยวะมันมีความจำเป็นก็ยึดมากหน่อย สัตว์บางชนิดขาดเล็บมันหากินไม่ได้นะ จนพัฒนามาเป็นคนก็ไม่ค่อยได้ใช้เล็บแล้ว บางสัตว์ไม่มีเล็บก็อยู่ได้

ความยึดว่าเป็นเราเป็นของเรามันมีทั้งที่มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ต้องอาศัยสิ่งที่จำเป็นอวัยวะเราตามเหมาะควรก็พอแล้วแต่คนไม่พอต้องเอาเล็บมาเป็นเครื่องประดับ ผิวหนังก็ต้องประดับตกแต่งทั้งที่เป็นอวัยวะห่อหุ้ม เพื่อป้องกันภัย ผิวหนังก็มีหน้าที่อย่างนี้

ผมขนเล็บฟันหนังที่ไม่มีเส้นประสาทไปถึงเป็นพีชนิยาม แต่อวัยวะภายในก็มีเส้นประสาทนะ มันมีระบบประสาทอัตโนมัติทำงานอยู่ มันละเอียดยิ่งกว่าระบบเทคโนโลยีใดๆเลย อาการทุกอาการของมันไม่ว่าเลือดน้ำเหลืองน้ำหนอง อาหารเก่าอาหารใหม่ ก็เริ่มต้นที่จะไม่ไปเป็นอาการปรุงแต่ง เหมือนเล็บที่ยาวออกมา  อาหารใหม่กับอาหารเก่าก็เหมือนเล็บ แต่ไม่ออกมาจากร่างกาย เสลดน้ำเหลืองก็ถ้าเป็นน้ำหนองก็ต้องถ่ายทิ้งขับออก

พระพุทธเจ้าให้พิจารณากาย ถึงจิต แล้วพิจารณาจิตที่มีกาม ก็ล้างกาม หน้าที่ของผม ขน เล็บ ฟันหนัง เราก็ต้องรู้วางปล่อยในส่วนที่ไม่เป็นเราเป็นของเรา มันอยู่ในนี้แล้วก็อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา นี่คือการเรียนรู้ล้างความติดยึดในส่วนที่เป็นเราเป็นของเราอย่างอุจจาระปัสสวะออกไปไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ยากแต่บางอย่างตระหนี่ไว้หวงไว้ ของข้าใครอย่าแตะก็ทุกข์ตายเลย ฟังโดยปัญญาอธิบายว่า อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเราเลย

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสรุปจบเลยคือหมดความเป็นเราเป็นของเรา แม้ร่างกายที่เราอาศัย ตับไตไส้พุงนี้ก็ตาม เช่นไตเรามีสองข้าง คนนี้ขาดไต เราก็บริจาคให้ข้างหนึ่งก็ได้ คุณอาจบกพร่องไปบ้าง คนไม่ยึดก็บริจาคให้กันได้ แม้ส่วนนั้นส่วนนี้ถ้าไม่มีมันร่างกายก็ไม่ตาย ถ้าส่วนใดเป็นอวัยวะสำคัญเช่นหัวใจให้ไม่ได้เพราะให้แล้วก็ตาย หรือส่วนใดให้แล้วร่างกายขาดไม่สมดุลไปไม่รอดก็ตาย แต่บางอย่างให้ได้ก็ไม่ตาย ถ้าให้ไปแล้วก็ลดหวงแหน การยึดว่าอะไรเป็นเราเป็นของเราจึงสำคัญ อะไรให้ไม่ได้ก็ไม่ให้

อาตมาเคยไปบอกหมอเหนอ ว่าถ้าผู้ใดจำเป็นที่จะต้องได้ดวงตา ผมเอาไว้ข้างเดียวก็พอ ผมสละให้ได้ข้างหนึ่ง อาตมาพูดอย่างนี้กับหมอเหนอ หมอก็บอกว่า คุณไม่ต้องพูดอย่างนี้หรอกในธนาคารตาเขามีเหลือเฟือ มีพอไม่ต้องสละหรอก อย่างนี้เป็นต้น อาตมาใจมันจริงอย่างนั้นเลย

อีกอัน ...อาตมาว่า ชีวิตเราไม่ต้องใช้แล้ว เคยบอกว่า ถ้ามีใครต้องการอวัยวะเพศ ก็สละให้ได้นะ ชีวิตนี้ไม่ต้องใช้เลย เพื่อนก็หัวเราะหาว่าบ้า

พระพุทธเจ้าสอนเราว่าไม่ต้องมีกาม อวัยวะใช้สำหรับเยี่ยวได้ เราไม่ต้องการสืบพันธุ์แล้ว แต่เรื่องต้องการรสสัมผัสมันเป็นเรื่องของกาม….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:19:27 )

590629

รายละเอียด

590629_เดินทางจากอาวาสถานแก่นอโศก ไปยังสังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ

เช้าวันที่ 29 มิ.ย. 59 พ่อครูและปัจฉาฯและคณะ ได้เดินทางออกจาอาวาสถานแก่นอโศก ในเวลา 06.00 น. ก่อนไปมีชาวแก่นอโศกมาถ่ายภาพและกราบลาพ่อครูอีกด้วย

พ่อครูไปถึงหินผาฟ้าน้ำประมาณ 08.20 น. จากนั้นก็สำหมู่นักบวชออกบิณฑบาต ซึ่งมีญาติธรรมชาวหินผาฟ้านำ้มารอใส่บาตรอยู่พอสมควร พ่อครูบิณฑบาตแล้วก็เข้าไปกราบพระพุทธาภิธรรมนิมิตที่ข้างศาลาส่วนกลาง รอจนถึงเวลา 09.00 น.จึงเร่ิมเทศนาก่อนฉัน ออกอากาศสด ทางบุญนิยมทีวี


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:19:59 )

590629

รายละเอียด

590629_เทศน์ก่อนฉันหินผาฟ้าน้ำ รู้ทันเลห์เสน่ห์โลกียะ(คัด)

คุณว่าโลกนี้กิเลสมันจัดจ้านมากหนาหรือว่า เบาบางมีกิเลสน้อย...ก็มากหนา...เมื่อพวกคุณมาพบแล้ว คุณเก่งขนาดไหนที่จะไม่ถูกโลกดึงไป... อย่าโง่ เราไม่คิดว่าจะได้เพชรแต่ไปเจอเพชร แล้วคุณก็เดินหนี ทั้งที่รู้ว่าเพชร จะบ้าหรือจะโง่หรือ ใครบ้า ใครโง่ เจอเพชรหรือยัง??? จะว่ิงเข้าใส่หรือเดินหนี?....

          ที่นี่ไม่หนาไม่มากไม่หนักเลย แต่ไม่มา มันอะไรกัน? แต่ที่โน่นกิเลสหนาหนักกลับไปหา???

 

          ขอบอกอีกทีให้ไปตรวจสอบแต่ละคนอายุปาเข้าไป บางคนเกิน 70 เป็น 80 แถมโรคอีกแปดอย่างจะตายวันตายพรุ่งอีกไม่ยอมไปรพ.อีก ใครจะช่วยก็ไม่ให้ช่วยอีก คงได้ตายสมใจหรอก

 

ขอเตือนพวกเราโลกียะนี้มีเสน่ห์จริงๆสำหรับคนโง่!!! ตั้งใจให้ดีๆ รู้ทันให้มันได้ พระพุทธเจ้าก็ทิ้งไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ทิ้งกามทิ้งอัตตาออกมา อาตมาก็ทำตาม ทิ้งมา ทิ้งอย่างอาตมาไม่ได้พ่ายแพ้เขาเลย ยังเจริญงอกงามดี แต่อาตมาถึงวาระที่ต้องเลิกต้องทิ้งมาทำงานทางนี้อย่างจริง เพื่อทำงานนี้จะเอาสิ่งประเสริฐที่สุดของพระพุทธเจ้าที่เรานับถือเป็นศาสดาเอามาสืบสาน ตั้งใจฟังให้ดี สำนึกให้ดี ตัวคุณเป็นเจ้าของอัตตภาพ คุณจะต้องมีอัตภาพนี้ไปอีกนานเท่านาน ตายจากชาตินี้แล้วอัตภาพก็จะสังเคราะห์กับวิบากกรรม แล้วไปเกิดใหม่อีก บางคนได้ฟังธรรมะอาตมาแล้วไม่เอาไปกับโลกอีกเพิ่มกิเลสให้หนาอีก แทนที่จะมาล้างกิเลส การได้พบถือว่าโชคดีอย่างหนึ่งแต่หนีไปไม่ทำ แต่ตายไปชาติหน้าก็มีกิเลสเก่ามาเพิ่มกับกิเลสใหม่ ชาตินี้ยังพอได้พบศาสนาพุทธพบอาตมาแต่ชาติหน้ากิเลสหนา ก็ไปเกิดเป็นหมา อาตมาจะมาล้างลดในชาตินี้แต่คุณไม่เอา ก็ไปเพิ่มกิเลส คุณจะได้เกิดใหม่ดีกว่าเก่าไหม? ระวังไปคิดดีๆ จริงๆนะมันน่ากลัวนะ กิเลสเก่าไม่ได้ลด กิเลสใหม่ไปเพิ่มอีก คุณจะได้เกิดดีกว่านี้อีกไหม ชาตินี้ก็ยังว่าไม่ดีเท่าไหร่เลย

          ถ้าคุณไม่พบก็น่าสงสารคนไม่พบศาสนา ไม่ได้รู้สึกว่าได้ยินได้ฟังอาตมาพูด บางคนถือว่าเป็นศัตรูอีกอันนี้เป็นอเวไนยสัตว์ อาตมาก็ขอพูดสัจจะ ก็กลับมาที่พวกเรา เราพบแล้วโชคดีกว่าเขาแล้วแต่เราไม่เอากลับประมาทอย่างที่อาตมาว่า กิเลสเก่าไม่ลด กิเลสใหม่เพิ่มอีก แล้วลดกิเลสนี่มันง่ายไหม??

          กิเลสเก่าไม่ลด ไปเพิ่มกิเลสใหม่ เกิดมาชาตินี้เราก็ยังว่าน่าจะดีกว่านี้แล้วทำเหตุให้กิเลสเพิ่ม จะตายแล้วเกิดมาดีกว่าเก่าไหม?....ไม่มีทาง

          เรามีสัปปายะ 4 จะเลือกอยู่ชุมชนไหนก็ได้ ชุมชนเล็กๆก็ทำให้เจริญได้ ไม่ใหญ่ไม่โตแต่ทำให้เจริญก็แล้วกัน มันได้ประโยชน์ตน ท่าน ประโยชน์ต่อโลกด้วย อาตมาประกาศแล้วว่าไทยจะเป็นชมพูทวีป ธรรมะพระพุทธเจ้าหยั่งลงแล้ว อาตมาตายไปไม่ถอยกันหรอก ยิ่งอาตมาตายไป แต่ละคนจะรู้ตัวที่จะมารักษาสมบัติ คนที่จิตถึงจะรู้ค่า ต้องมารวมตัวกันแล้ว พ่อตายแล้ว พี่น้องต้องมารวมกัน พวกเราไม่สังฆเภท ง่ายๆหรอก เพราะว่าตีกันแยกกันเป็นอนันตริยกรรมแล้วก็ไม่มีองค์รวมที่จะอาศัยกันอีก ต้องอย่าให้แตกแยกกัน ในระยะที่อาตมาอยู่นี่ก็จะยิ่งอบอุ่น จะช้าอยู่ไย

          มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม เพราะอาตมาจะลงหลักปักแหล่งด้วยกสิกรรม ชาติไทยเป็นชาติกสิกรรม พื้นที่ภูมิอากาศเหมาะกับการเพาะปลูกอย่างยิ่ง ยิ่งยุคนี่โทรคมนาคมเร็วทำได้ดีได้เร็วได้มาก การจะแจกจ่ายเจือจานก็แพร่กันได้ดี เป็นคุณแก่โลกมหาศาล เราทำอย่างลัทธิพระพุทธเจ้าลัทธิบุญนิยมของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจขายสดงดเชื่อ อาตมาจะล้มล้างลัทธิสินเชื่อเงินเชื่อ เพราะเป็นลัทธิที่เลวกันทั้งนายทุนและลูกหนี้ที่หาวิธีโกง นายทุนก็หาวิธีกินเลวกันทั้งคู่ มีแต่สร้างทุจริตขี้โกงเฉกา

          โลกทุกวันนี้เหมือนไฟไหม้แต่ไม่หาทางออกกัน มาทางนี้สิเย็น มาสิ ทำไมไม่ว่าง่ายเหมือนพระยสะบ้างดื้อดึงทำไม

 

 

 

 

 

อย่างอาตมามานี่ หลายคนก็ว่าต้องมาหินผาฯแล้วเพราะไม่งั้นผักชีไม่โรยหน้า ...จริงไหม?....ถ้าคนเราหลงโลกมากกว่าหลงธรรมะนั้นเป็นคนเสื่อมแล้ว มันต้องที่ตัวคนแต่ละคน ที่จะเพียรลดกิเลส เพราะคำว่าปุถุ นี่ แปลว่ามาก ใหญ่ โต และแปลว่าหนา ท่านเลือกเอาคำว่าหนานี่แปลคำว่าปุถุ คือกิเลสหนา คำว่ากิเลสหนานี้ครบทั้งมาก โต ใหญ่ อ้วน กิเลสเพียบพร้อม ชีวิตคนเกิดมาอย่างมากร้อยปี อย่าเป็นคนกิเลสหนา คนที่เกิดมาแล้วจะได้โลกุตระนั้น เท่ากับดินที่ติดขี้เล็บ

          ธรรมดาที่เราโกรธ คนนี้พูดไม่ถูกหู เราก็เคยสะกดจิตข่มไว้ไม่ให้โกรธกันทั้งนั้น ไม่แสดงออก หรือโลภมากก็พยายามไม่แสดงออกมานี่เคยทำกันทั้งนั้น ก็ลืมตาทำได้ไม่ต้องหลับตา ต้องทำร่วมกันทั้งสมถะและวิปัสสนา อย่างเกิดกามหรือโทสะนี่แรงๆ สะกดจิตไว้ไม่ได้ก็ละเมิดผิดกฏหมายอาญาอีก การสมถะสะกดจิตไม่ต้องไปนั่งหลับตาดับ ศาสนาพระพุทธเจ้ามีทั้งสมถะและวิปัสสนา ก็สะกดไว้ได้พอสมควรที่ให้เราพิจารณาจิตได้ ว่าอันนี้โกรธนะ จะตบไหมไม่ตบมันก็พิจารณาต่ออย่างปัจจุบันขณะเลย ขณะมีเหตุปัจจัยครบ สัมผัสเดี๋ยวนี้ขณะเกิดอาการ เป็นของจริง พอผ่านไปแล้วเอามาพิจารณาเป็นสัญญาไม่ใช่ของสด อาจเกิดปัญญาแต่ปัญญาไม่สด

          อย่างคนนี้มากวนหรือยวนเรา เราโกรธสะกดไว้ แต่ไม่ตบเขาแต่ด่าไป เราไปนึกทีหลังได้ว่าเราไม่ตบ เราทำแค่ด่า เราก็นึกว่าดี รู้ว่าตัวเองไม่ลุอำนาจโทสะแรงขนาดตบ แต่ก็ด่าไป ก็ทบทวนเป็นสัญญา ก็ดีที่เราสะกดใจได้เบาหน่อย เราก็ได้ปฏิบัติธรรมหน่อยนะ ทำเบาลง แท้จริงปัญญาไม่ได้เกิดจริงตอนนั้น แต่ว่าเป็นสัญญารู้ตามหลัง ต้องทำให้เกิดปัญญาในปัจจุบัน กิเลสถูกระงับในปัจจุบันจะรู้สึกชื่นใจดีใจได้มากว่าปัจจุบันที่ตนได้เตวิชโช จะรู้ว่านี่คือผลที่ได้ชัดๆ ยิ่งพิจารณาว่าเราโกรธ แต่ไม่แสดงออก ไม่ทำกาย วาจา แต่อ่านจิตว่าโกรธไม่ดี เดี๋ยวพูดไม่รู้เรื่อง มีเหตุอะไรไม่ดีงามก็พูดกันอย่างสุภาพเรียบร้อย จะเห็นผลเลยว่า การไม่ต้องวู่วาม ตีกันก็แรงกัน ถ้าเราเบามันจะดีมากเลย อันนี้ต้องขอชมเชยธรรมกายอย่างหนึ่งที่เขาสะกดไว้ไม่ตอบโต้รุนแรงก็ไม่ปะทะอะไรมากมายก็เลยยังถูลู่ถูกังไปได้อันนี้เป็นประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของเขา เขาสะกดจิตไว้ได้ เพราะเขาสอนให้ใจใสใจดี เป็นบทต้นๆตื้นๆง่ายๆแต่เขาทำได้ผล อาตมาก็ชมสิ่งที่ควรชม ติสิ่งที่ควรติ

          ทุกวันนี้เขาทำได้สำเร็จผลตรงนี้สงบรำงับไม่วู่วามทั้งที่กิเลสเขาสะสม ลัทธิสายสว่างหรือสายดำอย่างอ.มั่น ก็ล้วนเป็นสมถะสะกดจิตไม่ได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิทั้งสองด้าน ก็ต้องตำหนิทั้งสองด้าน เป็นวิชาการที่สาธยายบอกกัน ฟังแล้วก็เข้ามาปฏิบัติร่วมกันให้เกิดสัปปายะ 4 ถ้ามาอยู่กันที่นี่สักห้าพันคนจะแน่นไป ถ้าอยู่กันสักสามพันคนจะรุ่งเรือง จะสร้างป่าก็สร้างป่า สร้างเมืองก็ได้ แต่อยู่กันไม่ถึงสามสิบ จะเจริญได้อย่างไร เมื่อบุคคลไม่สัปปายะ แล้วอาหารจะสัปปายะได้อย่างไร? ธรรมก็ไม่สัปปายะ ทำงานมา 40 ปี อาตมาเป็นคนที่อะไรทำแล้วไม่เจริญก็ยิ่งจะพากเพียร ไม่ใช่ถอย โดยเฉพาะการอธิบายธรรมะ อาตมาไม่เก่งก็ยิ่งต้องเพิ่มศิลปะ ในการหาเหตุปัจจัยวิธีการ แล้วพวกเราก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ

          พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาไปในแผ่นดินในยุคนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นต่างๆก็ให้การยอมรับ ท่านประกาศรัฐอิสระที่ไม่ยึดสถานที่ไม่มีตัวตน แต่เป็นรัฐอิสระ ที่มีธรรมนูญของตนเอง มีกฏหมายของตนเอง ใครจะมาในระบอบลัทธินี้ พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก สร้างศาสนาได้คนมาจะมาเกิดร่วมก็ต้องมีบารมีพร้อม แต่อาตมานี้มายุคนี้ต้องมาเสริมเติมบารมีมาหาญาติ สร้างเสริมเติมเชื้อศาสนาพุทธที่เสื่อมไปแล้วเพื่อให้เกิดกลุ่มพุทธที่อยู่ในสังคมมนุษย์อีกสองพันกว่าปีกว่าจะครบห้าพันปี ก็ยากมากเพราะไปหลงผิดไปมากแล้ว พระพุทธเจ้าทำงานมา 45ปีสร้างศาสนาเสร็จ อาตมามาต่อเชื้อนี่ 45 ปีแล้วยังตายไม่ลง อาตมาเป็นห่วงศาสนา ทำงานมาขนาดนี้จนเขาจะเอาอาตมาออกจากศาสนาแต่ทุกวันนี้ เขาไม่มีสิทธิ์แล้ว ถือว่าทุกวันนี้นับถือพระพุทธเจ้าคนละองค์กันแล้ว เพราะอาตมาจะดุ กำหราบ คนที่เอาศาสตร์ปลอมของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ผิด ก็ต้องตำหนิอย่างแรง

 

          ชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็ตาย หากไม่รู้จักสัจจะก็มีแต่สังสมกิเลส เป็นคนกิเลสหนา เพราะไม่รู้ กิเลสมันมาทีละมากทีละหนาทีละหนักก็ยาก พยายามพากเพียรตั้งใจฟัง อาตมาว่าอาตมานี่ประกาศตัวตนมากแล้ว คนก็ยิ่งหาว่าหลงตัวหลงตน อาตมายืนยันว่าไม่ได้หลงและไม่ได้ผิด อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นใคร มาทำอะไร อาตมามาทำงานศาสนาพุทธที่จะมาต่อเชื้อศาสนา แต่อาตมาไม่อยากระบุไว้ แต่อยากให้ติดตามศึกษาไป


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:20:46 )

590629

รายละเอียด

590629_เทศน์ก่อนฉันหินผาฟ้าน้ำ รู้ทันเลห์เสน่ห์โลกียะ

          พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2559 เดินทางมาถึงหินผาฟ้าน้ำ ก็ยิ่งอายุมากก็หาเวลาไม่ค่อยได้ ปลีกไปไหนได้ยากขึ้น แต่ที่จริงก็เต็มใจไปนะ ก็ได้รู้สึกว่าได้ทำงานได้เป็นประโยชน์ก็ดีทั้งนั้น ประโยชน์ภาษาบาลีว่า อานิสงส์ แต่ผลนี่ทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็มีผลทั้งนั้น ส่วนอานิสงส์นั้นถ้าทำกรรมชั่วมันไม่มีอานิสงส์ ไม่มีประโยชน์มีแต่โทษ คำว่าอานิงส์กับผลจึงต่างกัน

          ทีนี้ผล กับประโยชน์หากคนเข้าใจไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทำทานไปแล้วมีผลมาก มีอานิสงส์(ประโยชน์)มาก ท่านแบ่งเป็นสองคำ จะทำดีหรือชั่วก็มีผล แต่ถ้าเป็นประโยชน์ก็มีอานิงส์

          แต่ประโยชน์นี้มีสองอย่าง ประโยชน์โลกียะกับประโยชน์โลกุตระ

          ประโยชน์โลกุตระนี้ศาสนาพุทธเป็นที่หมาย พุทธศาสนาสอนผลที่ถึงขั้นประโยชน์(อานิสงส์)

          คนจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อ ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ไม่มีอานิงสงส์แต่มีผลแน่ เป็นผลมิจฉาผลก็ได้ ผลเหมือนกัน จนทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทย ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นมิจฉาผล แล้วหลงว่าบรรลุอรหันต์แล้ว ที่หลงไปนั้นเป็นมิจฉาจากพระพุทธเจ้า จึงมีอรหันต์เก๊กันเยอะเลย หลงว่าเป็นอรหันต์กัน ขออภัยพูดอย่างวิชาการนะ ไม่ได้ดูแคลนหรือลบหลู่นะ อาตมาสงสาร ผู้หลงผิดก็น่าสงสาร หลงผิดว่าตนเป็นอรหันต์แล้วก็ทำให้คนอื่นเชื่อตามก็น่าสงสารเพิ่มอีก แล้วก็ถึงสงสารศาสนาเลย

          ศาสนาไม่เสื่อมหรอก แต่สงสารคนที่ได้ศาสนาที่ผิด นึกว่าเป็นพุทธแท้จริงไม่ใช่ อาตมาพากเพียรบอก แต่เรื่องผิดมีมากเลยต้องพูดมาก มีแต่ตำหนิเขา เลยกลายเป็นพระปากจัดพระช่างว่า พระช่างด่าไปอีก เลี่ยงไม่พ้นเกิดยุคนี้ทำงานหนักจริงๆ แต่ไม่เบื่อหรอก

          แม้ยากลำบาก เราทำได้จนเกิดชุมชนถึงหินผาฟ้าน้ำทุกวันนี้ร่วงโรยกันไปมากหรือยัง? มันคึกคักขึ้นหรือยังก็ตอนอาตมามานี่ไหม? ตอนอาตมาไม่มา ก็คึกคักพอเป็นไปได้ มันยากสังคมเรามันน้อย เทียบกับสำนักที่สอนเอาสวรรค์ล่อหลอกลวง เอาสวรรค์โกหกหลอกใช้กันแล้วหลอกให้ได้สวรรค์กัน ถ้าจะได้ต้องมาทำทาน ปฏิบัตินั่งสมาธิสงบ สะกดจิต ซึ่งไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาสมาธิ (มรรคองค์ที่ 8 ) ของพระอาริยะ แต่ทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่มีสัมมาสังกัปปะ วาจากัมมันตะ อาชีวะ ทุกวันนี้นั่งหลับตาไม่มีสัมมาสังกัปปะ เพราะถ้าอ่านออกจะอ่าน ตักกะ วิตักกะ ทำสัมมาสังกัปปะได้ มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ปรุงแต่งเป็นวจีสังขารที่สะอาดแล้วออกมาเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติได้อย่างสัมมา ถ้าทำได้จะมีอานิสงส์ แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติไม่มีอานิสงส์เพราะทำแต่การสะกดจิต นั่งหลับตานี่เป็นสะกดจิต

          พระพุทธเจ้าท่านมาแก้คืน เพราะสมาธิสะกดจิตมีแต่โบราณมานานแล้ว ฤาษีทำกันมา พระพุทธเจ้าก็มาแก้คืนมาเป็นพุทธ อธิบายไว้ในพรหมชาลสูตร สามัญผลสูตร เป็นต้น อาตมาพูดเหมือนตีทิ้งศาสนาพุทธที่เขามีกันอยู่เลย เพราะทั้งวงการศาสนาพุทธมหาเถรทำผิดจากพระพุทธเจ้าไปหมด อาตมาพูดนี้อ้างอิงตำราพระไตรปิฏกของพระพุทธเจ้าแล้วอธิบายได้แต่ท่านอธิบายไม่ได้ทั้งที่ใช้พระไตรฯเดียวกัน เพราะท่านยึดไว้แล้วในสิ่งผิด เข้าใจนั่งหลับตาเป็นการปฏิบัติ เขาจะเจริญสติก็มีบ้าง แต่เจริญสตินี่จะสั่งสมต่อไปเป็นสมาธิ เพราะต้องมีสัมมาวายามะ

          เพราะพระพุทธเจ้าว่า ปฏิบัติมรรคมีองค์8 ต้องมีสติ และวิริยะเป็นเครื่องห้อมล้อมนำพาไป มีสติสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา มีอานิสงส์คืออ่านกิเลสออก อ่านกายออก

          กายเป็นธรรมะสอง ที่เร่ิมสังขารปรุงแต่งก็เห็น มีปัญญารู้ว่าสังขารใดก็ไม่เที่ยง อนิจจังเกิดอนิจจานปัสสี อ่านเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง เห็นสังขารปรุงแต่งเลยว่าไม่เที่ยง แต่เราไปยึดมันเป็นตัวเป็นตน วิธีแยกแยะก็คือแยกรูปแยกนาม นามที่จะใช้เรียนรู้คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

          อ่านนาม โดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านอาการว่านี่อาการสุขหรือทุกข์ สุขนี่เราก็รู้ว่าสุขหลอก มันมีในปัจจุบัน มันมีเหตุจากเรามีอุปาทาน ตัณหา ที่เรายึดไว้ว่าถ้าได้รูปอย่างนี้เขาเรียกว่าสวย น่าชื่นใจพอใจเป็นสวรรค์ เสียง กลิ่น รสที่ตรงกับที่เราต้องการเลย เรียกว่าตรงสเปคเลย ที่เราเคยกำหนดจำไว้ อย่างนี้ละของจริง ของชอบ ที่ต้องการ ต้องได้อย่างนี้ละดี เป็นสเปคที่เรากำหนดหมายยึดไว้อย่างนี้ คนที่ไม่เรียนรู้อย่างที่อธิบายไปคร่าวๆนี้ แต่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้พิจารณาอย่างที่ว่าเลยก็ไม่มีหวังผลไปนิพพานอย่างพระพุทธเจ้า มีแต่มิจฉาผล ได้แต่สะกดจิตให้นิ่งดิ่งสงบ แล้วนึกว่าได้นิโรธ

          คำว่านิโรธ แปลเป็นไทยว่าดับ แต่ว่าดับอะไร ต้องดับกิเลสจึงเป็นนิโรธของพระพุทธเจ้า แต่ที่ไปนั่งหลับตาดับนั้นเขาดับจิตไม่ให้นึกคิดไม่ให้ทำอะไร ก็เลยหยุด หนักเข้าก็ไม่มีแม้แต่แสงสว่างดำมืดเป็นกิณหา แล้วหลงว่าดำมืดนี้เป็นกิณหา เป็นส่ิงที่น่ามีน่าได้น่าเป็น (สุภะ) ทั้งที่มันเป็นอสุภะ มันผิดไปจากศาสนาพุทธแต่ก็ไปทำเอาจนได้ นี่คือสายหลับตาดับ

          สายไม่หลับตาก็ไม่เห็นมีใครอธิบายสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าตามมหาจัตตารีสกสูตร จึงไม่รู้จักสักกายะ ไม่รู้จักคำว่ากาย จะไปพิจารณากายในกาย ซึ่งกายในกายนี่แหละมีเวทนา มีจิต เพ่อราะกายในกายนี่คือเวทนา เราก็จะอ่านธรรมะสองจากจิตจากกาย จากกายมีเวทนา อ่านเวทนาในกาย แล้วทำเวทนาสองให้เป็นเวทนาหนึ่ง

          เวทนาสองคือจิตมีกิเลสทำให้เป็นเวทนาหนึ่งคือจิตไม่มีกิเลส สามารถแยกกิเลสออกจากเวทนาจากจิต อ่านแยกอาการกิเลสได้ แล้วกำจัดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสก็เป็นหนึ่งได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ) กำจัดกิเลสต้องกำจัดทีละตัวแล้วจะรู้สภาพที่ดับกิเลสได้เป็นลำดับ รู้กว้างได้มากขึ้น ดับได้ตัวหนึ่งจะทำให้เราเก่งขึ้นเยอะ กิเลสตัวอื่นเราก็จะดับได้อย่างที่เราดับมันมาก่อน

          คนที่ไม่รู้จักกายในกายก็อ่านกามในกายไม่ได้ อ่านกามในรูปนามนี้ไม่ออก คนที่ศึกษาศาสนาเพี้ยน คำว่ากายเป็นแค่ร่างภายนอกก็เลยแยกกายในกายเป็นภายนอกไม่สัมพันธ์กับเวทนา ยิ่งไม่เกิดปัญญาที่เป็นสัมมาปัญญา สัมมาญาณ จะไปทำกายคตาสติ จะทำกายานุปัสสนา จะทำกายสังขาร ต่างๆนานาพวกนี้ไม่ได้ผล จะทำให้กายสงบรำงับ กายสังขารังปัสสัมภยังก็ไม่ได้ผล ก็ได้แค่ก้าวหนอ ย่างหนอแตะหนอ ให้จิตไปเกาะไว้กับอิริยาบถ มันเป็นวิธีการสมถะทั้งสิ้นไม่เกิดวิตกวิจารวิจัยวิเคราะห์ เขาพิจาณาแต่ทำให้จิตนิ่ง เป็นหนึ่ง มันมีสองอย่าง ความเป็นหนึ่งของจิตจากที่เคยเป็นสองมีกิเลสก็ทำกิเลสออก ก็จิตเป็นหนึ่งได้ แต่ไม่ได้เป็นหนึ่งอย่างสะกดจิต

          ย่ิงเข้าใจกว่ากายอยู่ข้างนอกก็เลยปฏิบัติไม่ถูก เขาทำกายสังขารรังปัสสัมภยังเขาก็ทำให้กายวิญญัติหยุดกระดุกกระดิก นิ่งทุกอย่างไม่กระดิกเลยเขาถือว่าสงบรำงับก็นั่งนิ่งได้เขาก็ถือว่าเขาสอบผ่านแล้ว กายสังขารังปัสสัมภยัง ก็เข้าไปปฏิบัติจิตสังขารรัง ก็ได้แต่อ่านสัญญา

          ในพรหมชาลสูตร สัญญาจะกำหนดรู้ในภพ ในอดีต หลับตานั้นมีแต่ปัจจุบัน มีปัจจุบันแค่ รูปภพอรูปภพที่เบื้องปลาย แต่เบื้องต้นไม่ได้ปฏิบัติเลย ไม่ได้ทำตามลำดับของพระพุทธเจ้าเลย เอาหัวเป็นหางไปหมด

          พวกเราชาวอโศก อาตมาเน้นเรื่องปรมัตถธรรมพระพุทธเจ้า เน้นเนื้อหา ปรมัตถ์เป็นหลัก ศาสนาพุทธไม่ให้ติดลาภยศสรรเสริญสุข แต่ไม่ได้ให้ทิ้งหนี ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่สุขนั้นทิ้งได้เลย เพราะว่าแม้พระพุทธเจ้าก็ยศยิ่งใหญ่แม้เจ้าแคว้นก็ยังเคารพท่านเลย พระพุทธเจ้าท่านมีลาภ มีคนให้พระพุทธเจ้าอย่างเต็มใจเลย ให้มากด้วย แต่ให้แล้วท่านก็เอาเข้ากองกลาง ท่านก็เป็นแต่เพียงสะพานให้คนสร้างกุศลเท่านั้น แล้วท่านไม่หลอกให้ทำทานเป็นวิมาน การทำทานต้องให้ได้อานิสงส์

          การปฏิบัติต้องมีทาน ศีล ภาวนา นี่แหละ

          การปฏิบัติจริงก็มีทานกับศีลนี่แหละ เมื่อปฏิบัติแล้วมีสัมมาทิฏฐิไหม แล้วเกิดผลเป็น ภาวนา

          ภาวนามัยคือได้ผลสำเร็จจากปฏิบัติทาน ปฏิบัติศีล ภาวนาเป็นการเกิดผล แต่เอาภาวนาเป็นการปฏิบัติไปเสีย

          อย่างอาตมามานี่ หลายคนก็ว่าต้องมาหินผาฯแล้วเพราะไม่งั้นผักชีไม่โรยหน้า ...จริงไหม?....ถ้าคนเราหลงโลกมากกว่าหลงธรรมะนั้นเป็นคนเสื่อมแล้ว มันต้องที่ตัวคนแต่ละคน ที่จะเพียรลดกิเลส เพราะคำว่าปุถุ นี่ แปลว่ามาก ใหญ่ โต และแปลว่าหนา ท่านเลือกเอาคำว่าหนานี่แปลคำว่าปุถุ คือกิเลสหนา คำว่ากิเลสหนานี้ครบทั้งมาก โต ใหญ่ อ้วน กิเลสเพียบพร้อม ชีวิตคนเกิดมาอย่างมากร้อยปี อย่าเป็นคนกิเลสหนา คนที่เกิดมาแล้วจะได้โลกุตระนั้น เท่ากับดินที่ติดขี้เล็บ

          ธรรมดาที่เราโกรธ คนนี้พูดไม่ถูกหู เราก็เคยสะกดจิตข่มไว้ไม่ให้โกรธกันทั้งนั้น ไม่แสดงออก หรือโลภมากก็พยายามไม่แสดงออกมานี่เคยทำกันทั้งนั้น ก็ลืมตาทำได้ไม่ต้องหลับตา ต้องทำร่วมกันทั้งสมถะและวิปัสสนา อย่างเกิดกามหรือโทสะนี่แรงๆ สะกดจิตไว้ไม่ได้ก็ละเมิดผิดกฏหมายอาญาอีก การสมถะสะกดจิตไม่ต้องไปนั่งหลับตาดับ ศาสนาพระพุทธเจ้ามีทั้งสมถะและวิปัสสนา ก็สะกดไว้ได้พอสมควรที่ให้เราพิจารณาจิตได้ ว่าอันนี้โกรธนะ จะตบไหมไม่ตบมันก็พิจารณาต่ออย่างปัจจุบันขณะเลย ขณะมีเหตุปัจจัยครบ สัมผัสเดี๋ยวนี้ขณะเกิดอาการ เป็นของจริง พอผ่านไปแล้วเอามาพิจารณาเป็นสัญญาไม่ใช่ของสด อาจเกิดปัญญาแต่ปัญญาไม่สด

          อย่างคนนี้มากวนหรือยวนเรา เราโกรธสะกดไว้ แต่ไม่ตบเขาแต่ด่าไป เราไปนึกทีหลังได้ว่าเราไม่ตบ เราทำแค่ด่า เราก็นึกว่าดี รู้ว่าตัวเองไม่ลุอำนาจโทสะแรงขนาดตบ แต่ก็ด่าไป ก็ทบทวนเป็นสัญญา ก็ดีที่เราสะกดใจได้เบาหน่อย เราก็ได้ปฏิบัติธรรมหน่อยนะ ทำเบาลง แท้จริงปัญญาไม่ได้เกิดจริงตอนนั้น แต่ว่าเป็นสัญญารู้ตามหลัง ต้องทำให้เกิดปัญญาในปัจจุบัน กิเลสถูกระงับในปัจจุบันจะรู้สึกชื่นใจดีใจได้มากว่าปัจจุบันที่ตนได้เตวิชโช จะรู้ว่านี่คือผลที่ได้ชัดๆ ยิ่งพิจารณาว่าเราโกรธ แต่ไม่แสดงออก ไม่ทำกาย วาจา แต่อ่านจิตว่าโกรธไม่ดี เดี๋ยวพูดไม่รู้เรื่อง มีเหตุอะไรไม่ดีงามก็พูดกันอย่างสุภาพเรียบร้อย จะเห็นผลเลยว่า การไม่ต้องวู่วาม ตีกันก็แรงกัน ถ้าเราเบามันจะดีมากเลย อันนี้ต้องขอชมเชยธรรมกายอย่างหนึ่งที่เขาสะกดไว้ไม่ตอบโต้รุนแรงก็ไม่ปะทะอะไรมากมายก็เลยยังถูลู่ถูกังไปได้อันนี้เป็นประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของเขา เขาสะกดจิตไว้ได้ เพราะเขาสอนให้ใจใสใจดี เป็นบทต้นๆตื้นๆง่ายๆแต่เขาทำได้ผล อาตมาก็ชมสิ่งที่ควรชม ติสิ่งที่ควรติ

          ทุกวันนี้เขาทำได้สำเร็จผลตรงนี้สงบรำงับไม่วู่วามทั้งที่กิเลสเขาสะสม ลัทธิสายสว่างหรือสายดำอย่างอ.มั่น ก็ล้วนเป็นสมถะสะกดจิตไม่ได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิทั้งสองด้าน ก็ต้องตำหนิทั้งสองด้าน เป็นวิชาการที่สาธยายบอกกัน ฟังแล้วก็เข้ามาปฏิบัติร่วมกันให้เกิดสัปปายะ 4 ถ้ามาอยู่กันที่นี่สักห้าพันคนจะแน่นไป ถ้าอยู่กันสักสามพันคนจะรุ่งเรือง จะสร้างป่าก็สร้างป่า สร้างเมืองก็ได้ แต่อยู่กันไม่ถึงสามสิบ จะเจริญได้อย่างไร เมื่อบุคคลไม่สัปปายะ แล้วอาหารจะสัปปายะได้อย่างไร? ธรรมก็ไม่สัปปายะ ทำงานมา 40 ปี อาตมาเป็นคนที่อะไรทำแล้วไม่เจริญก็ยิ่งจะพากเพียร ไม่ใช่ถอย โดยเฉพาะการอธิบายธรรมะ อาตมาไม่เก่งก็ยิ่งต้องเพิ่มศิลปะ ในการหาเหตุปัจจัยวิธีการ แล้วพวกเราก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ

          พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาไปในแผ่นดินในยุคนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นต่างๆก็ให้การยอมรับ ท่านประกาศรัฐอิสระที่ไม่ยึดสถานที่ไม่มีตัวตน แต่เป็นรัฐอิสระ ที่มีธรรมนูญของตนเอง มีกฏหมายของตนเอง ใครจะมาในระบอบลัทธินี้ พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก สร้างศาสนาได้คนมาจะมาเกิดร่วมก็ต้องมีบารมีพร้อม แต่อาตมานี้มายุคนี้ต้องมาเสริมเติมบารมีมาหาญาติ สร้างเสริมเติมเชื้อศาสนาพุทธที่เสื่อมไปแล้วเพื่อให้เกิดกลุ่มพุทธที่อยู่ในสังคมมนุษย์อีกสองพันกว่าปีกว่าจะครบห้าพันปี ก็ยากมากเพราะไปหลงผิดไปมากแล้ว พระพุทธเจ้าทำงานมา 45ปีสร้างศาสนาเสร็จ อาตมามาต่อเชื้อนี่ 45 ปีแล้วยังตายไม่ลง อาตมาเป็นห่วงศาสนา ทำงานมาขนาดนี้จนเขาจะเอาอาตมาออกจากศาสนาแต่ทุกวันนี้ เขาไม่มีสิทธิ์แล้ว ถือว่าทุกวันนี้นับถือพระพุทธเจ้าคนละองค์กันแล้ว เพราะอาตมาจะดุ กำหราบ คนที่เอาศาสตร์ปลอมของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ผิด ก็ต้องตำหนิอย่างแรง

 

          ชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็ตาย หากไม่รู้จักสัจจะก็มีแต่สังสมกิเลส เป็นคนกิเลสหนา เพราะไม่รู้ กิเลสมันมาทีละมากทีละหนาทีละหนักก็ยาก พยายามพากเพียรตั้งใจฟัง อาตมาว่าอาตมานี่ประกาศตัวตนมากแล้ว คนก็ยิ่งหาว่าหลงตัวหลงตน อาตมายืนยันว่าไม่ได้หลงและไม่ได้ผิด อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นใคร มาทำอะไร อาตมามาทำงานศาสนาพุทธที่จะมาต่อเชื้อศาสนา แต่อาตมาไม่อยากระบุไว้ แต่อยากให้ติดตามศึกษาไป

          คุณว่าโลกนี้กิเลสมันจัดจ้านมากหนาหรือว่า เบาบางมีกิเลสน้อย...ก็มากหนา...เมื่อพวกคุณมาพบแล้ว คุณเก่งขนาดไหนที่จะไม่ถูกโลกดึงไป... อย่าโง่ เราไม่คิดว่าจะได้เพชรแต่ไปเจอเพชร แล้วคุณก็เดินหนี ทั้งที่รู้ว่าเพชร จะบ้าหรือจะโง่หรือ ใครบ้า ใครโง่ เจอเพชรหรือยัง??? จะวิ่งเข้าใส่หรือเดินหนี?....

          ที่นี่ไม่หนาไม่มากไม่หนักเลย แต่ไม่มา มันอะไรกัน? แต่ที่โน่นกิเลสหนาหนักกลับไปหา???

 

          ขอบอกอีกทีให้ไปตรวจสอบแต่ละคนอายุปาเข้าไป บางคนเกิน 70 เป็น 80 แถมโรคอีกแปดอย่างจะตายวันตายพรุ่งอีกไม่ยอมไปรพ.อีก ใครจะช่วยก็ไม่ให้ช่วยอีก คงได้ตายสมใจหรอก

 

ขอเตือนพวกเราโลกียะนี้มีเสน่ห์จริงๆสำหรับคนโง่!!! ตั้งใจให้ดีๆ รู้ทันให้มันได้ พระพุทธเจ้าก็ทิ้งไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ทิ้งกามทิ้งอัตตาออกมา อาตมาก็ทำตาม ทิ้งมา ทิ้งอย่างอาตมาไม่ได้พ่ายแพ้เขาเลย ยังเจริญงอกงามดี แต่อาตมาถึงวาระที่ต้องเลิกต้องทิ้งมาทำงานทางนี้อย่างจริง เพื่อทำงานนี้จะเอาสิ่งประเสริฐที่สุดของพระพุทธเจ้าที่เรานับถือเป็นศาสดาเอามาสืบสาน ตั้งใจฟังให้ดี สำนึกให้ดี ตัวคุณเป็นเจ้าของอัตตภาพ คุณจะต้องมีอัตภาพนี้ไปอีกนานเท่านาน ตายจากชาตินี้แล้วอัตภาพก็จะสังเคราะห์กับวิบากกรรม แล้วไปเกิดใหม่อีก บางคนได้ฟังธรรมะอาตมาแล้วไม่เอาไปกับโลกอีกเพิ่มกิเลสให้หนาอีก แทนที่จะมาล้างกิเลส การได้พบถือว่าโชคดีอย่างหนึ่งแต่หนีไปไม่ทำ แต่ตายไปชาติหน้าก็มีกิเลสเก่ามาเพิ่มกับกิเลสใหม่ ชาตินี้ยังพอได้พบศาสนาพุทธพบอาตมาแต่ชาติหน้ากิเลสหนา ก็ไปเกิดเป็นหมา อาตมาจะมาล้างลดในชาตินี้แต่คุณไม่เอา ก็ไปเพิ่มกิเลส คุณจะได้เกิดใหม่ดีกว่าเก่าไหม? ระวังไปคิดดีๆ จริงๆนะมันน่ากลัวนะ กิเลสเก่าไม่ได้ลด กิเลสใหม่ไปเพิ่มอีก คุณจะได้เกิดดีกว่านี้อีกไหม ชาตินี้ก็ยังว่าไม่ดีเท่าไหร่เลย

          ถ้าคุณไม่พบก็น่าสงสารคนไม่พบศาสนา ไม่ได้รู้สึกว่าได้ยินได้ฟังอาตมาพูด บางคนถือว่าเป็นศัตรูอีกอันนี้เป็นอเวไนยสัตว์ อาตมาก็ขอพูดสัจจะ ก็กลับมาที่พวกเรา เราพบแล้วโชคดีกว่าเขาแล้วแต่เราไม่เอากลับประมาทอย่างที่อาตมาว่า กิเลสเก่าไม่ลด กิเลสใหม่เพิ่มอีก แล้วลดกิเลสนี่มันง่ายไหม??

          กิเลสเก่าไม่ลด ไปเพิ่มกิเลสใหม่ เกิดมาชาตินี้เราก็ยังว่าน่าจะดีกว่านี้แล้วทำเหตุให้กิเลสเพิ่ม จะตายแล้วเกิดมาดีกว่าเก่าไหม?....ไม่มีทาง

          เรามีสัปปายะ 4 จะเลือกอยู่ชุมชนไหนก็ได้ ชุมชนเล็กๆก็ทำให้เจริญได้ ไม่ใหญ่ไม่โตแต่ทำให้เจริญก็แล้วกัน มันได้ประโยชน์ตน ท่าน ประโยชน์ต่อโลกด้วย อาตมาประกาศแล้วว่าไทยจะเป็นชมพูทวีป ธรรมะพระพุทธเจ้าหยั่งลงแล้ว อาตมาตายไปไม่ถอยกันหรอก ยิ่งอาตมาตายไป แต่ละคนจะรู้ตัวที่จะมารักษาสมบัติ คนที่จิตถึงจะรู้ค่า ต้องมารวมตัวกันแล้ว พ่อตายแล้ว พี่น้องต้องมารวมกัน พวกเราไม่สังฆเภท ง่ายๆหรอก เพราะว่าตีกันแยกกันเป็นอนันตริยกรรมแล้วก็ไม่มีองค์รวมที่จะอาศัยกันอีก ต้องอย่าให้แตกแยกกัน ในระยะที่อาตมาอยู่นี่ก็จะยิ่งอบอุ่น จะช้าอยู่ไย

          มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม เพราะอาตมาจะลงหลักปักแหล่งด้วยกสิกรรม ชาติไทยเป็นชาติกสิกรรม พื้นที่ภูมิอากาศเหมาะกับการเพาะปลูกอย่างยิ่ง ยิ่งยุคนี่โทรคมนาคมเร็วทำได้ดีได้เร็วได้มาก การจะแจกจ่ายเจือจานก็แพร่กันได้ดี เป็นคุณแก่โลกมหาศาล เราทำอย่างลัทธิพระพุทธเจ้าลัทธิบุญนิยมของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจขายสดงดเชื่อ อาตมาจะล้มล้างลัทธิสินเชื่อเงินเชื่อ เพราะเป็นลัทธิที่เลวกันทั้งนายทุนและลูกหนี้ที่หาวิธีโกง นายทุนก็หาวิธีกินเลวกันทั้งคู่ มีแต่สร้างทุจริตขี้โกงเฉกา

          โลกทุกวันนี้เหมือนไฟไหม้แต่ไม่หาทางออกกัน มาทางนี้สิเย็น มาสิ ทำไมไม่ว่าง่ายเหมือนพระยสะบ้างดื้อดึงทำไม

          สรุปว่า หินผาฟ้าน้ำ คนที่อยู่ย่านนี้ที่อ.แก้งคร้อ แม้อยู่ใกล้ไม่ได้เข้ามาก็เอาเวลามาช่วยกันพัฒนาทำงานร่วมกันมีกิจกรรมต่างๆ ผลิต ประสานสังคม

          โลกโลกีย์ก็หาพวกแต่พวกเรานี่ พลังดึงดูดยิ่งน้อย ทำไมเราไม่เร่งทำ แล้วประชากรมนุษย์จะเหลือหรือ ก็ถูกโลกดึงดูดไปสิ แล้วเราจะอยู่อย่างไร ก็เหลือแต่หนัง แต่ต่อไปหนังก็ถูกดึงไปเหลือแต่กระดูก พวกเราต้องพยายามกันหน่อย ทำไมเราต้องสู้ เราสู้เพื่อไปแย่งเขาไหม?ก็ไม่ เราสู้เพื่อช่วยเหลือทำตามพระพุทธเจ้า เรามีความรู้สามารถลดละได้ก็พาคนมาลดละได้ จนเกิดสถานที่องค์ประกอบอุปกรณ์มีสถานที่ มีไร่นา มีอุปกรณ์ทำนาทำปุ๋ยทำสินค้าผลผลิต อันเป็นอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นเราก็ช่วยกันทำ

          ในขณะนี้มันต้องสู้ต้องทำอันนี้ให้ฟื้น ประโยชน์ไม่ใช่กับใครเพื่อช่วยสังคมมนุษย์ โลกยิ่งลุกเป็นไฟ แต่เขาว่าเขาเจริญ แต่เป็นเจริญแบบโลกีย์ไม่ใช่โลกุตรธรรม ศาสนาโลกุตระมีศาสนาเดียวของโลกคือศาสนาพุทธ แล้วในเมืองไทยพุทธก็เพี้ยนไปเยอะแล้ว เกือบสูญแล้ว มวลโลกีย์จึงเยอะมากมาย ถ้าไม่รีบช่วยทำขึ้นนี้ก็แย่ แต่มันดีที่เชื้อพุทธนี้ทนทาน แน่นคงทน สลายไม่ได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่เราก็ควรเพิ่มขึ้นอีก

          ยุคนี้เราต้องกอบกู้รื้นขนสัตว์ให้มีมวลอันนี้ขึ้นมาช่วยคนได้อีก ใคระจะมาอยู่ในมวลนี้ก็มาเลย ใครไม่มาก็ไปเลย ไปชอบนรก ชอบสวรรค์กัน สวรรค์ไม่มีจริงหรอก สวรรค์มี 6ชั้น

          จตุมหาราช ไปแย่งเขามาได้ สมัยนี้มีอาวุธสมัยใหม่ไปแย่งเขา แย่งได้มาก็เป็นสุขอีก โลกนี้รู้ว่าถ้าทำรุนแรงก็หยาบคายก็เลยเสแสร้งกลบเกลื่อนล้วงตับกินไส้คนเขาอย่างให้เขานึกว่าตนดี แต่คนถูกหลอกนี้หมดตัวเลย รีดไปหมด หลอกให้หลงสวรรค์ดาวดึงส์ ที่เป็นอาการที่ 33 นอกเหนือจากอาการ 32 ที่คนปกติจะมี ที่จะทำงานไปเป็นกาย ไปตามปกติ แต่ก็มีคนมาหลอกว่า มีแดนที่ 33 อีก ชื่อว่าสวรรค์เป็นแดนสุข สุขไปเอาเปรียบเขามา ไปแย่งเขามา แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ แย่งกาม เสพสุขรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แย่งกามแย่งอัตตา ให้เขาเป็นทาส เหมือนธรรมกายสร้างคนเป็นทาสที่ซื่อปล่อยไม่ไปด้วย เขาจะดูช่องนี้ช่องเดียว ช่องอื่นไม่ฟัง แล้วแย้งได้หมดอีก สัจจะที่เป็นสองแล้วจะแย้งกันได้หมด แต่พวกนี้กำหนดสัญญยนิจจานิอันนี้อันเดียวไม่คิดอื่นเลย คิดอื่นก็แย้งมาหาอันนี้อันเดียว

          ดาวดึงส์แปลว่า อาการที่ 33 ตาวติงสา เป็นโลกสมมุติขึ้นไม่มีจริง เป็นอุปาทาน อุปาทานนั้นคนรู้สึกว่าจริง แต่ไม่จริง เหมือนคำโกหกเป็นความไม่จริง แต่โกหกก็มีกันอยู่ในโลก คนก็โกหกกันอยู่ ในโลก สวรรค์ก็เช่นกันเป็นอารมณ์สุขแต่ไม่มีจริงหรอก สำหรับพระอรหันต์

          อย่างอาตมาเคยกินพริกแล้วสุขแซบทั้งที่แสบจะตายชัด ข้าวคำพริกคำสุข แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอาการนั้น สัญญาเคยจำได้ว่ากินพริกแล้วสุขแต่ตอนนี้สัญญาจำไม่ได้ แตะพริกแล้วไม่สุข อันอื่นก็เช่นกัน สัมผัสแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือนิพพาน แต่รู้ว่าควรอะไรก็ทำตามควร

          ผู้ไม่รู้ล่ามาได้ก็เสพเป็นดาวดึงส์แล้วอยากให้ได้มีนานๆเป็นยามา แล้วจำไว้ใส่อนุสัยอาสวะ เป็นเทวดายามาไม่ยอมปล่อย แต่คุณจะมีปัจจุบันใดก็ต้องหยุดพักเป็นดุสิต พักยก โลกีย์ก็พักยกโลกุตระก็พักยก แต่ชัดเจนว่าพักนี่แหละสงบกว่า ไม่มีนี่ดีกว่า จึงมาสร้างการพัก เป็นดุสิตเป็นแดนพักได้ โดยต้องการพักก็พัก ต้องการเพียรก็เพียร ส่วนนิมมานรดีกับปรินิมมิตวสวัตตีคือเก่ง เก่งเป็นจตุมหาราช เก่งดาวดึงส์ เก่งยามา แต่ก็ต้องพัก เพราะสัจจะคนเราต้องพักต้องหยุดแม้ไม่อยากหยุดก็ตามก็ต้องพักเพราะมันไม่มีความจริง ถ้าหยุดแล้วได้ความจริงกว่าที่จะไม่พยายามอยากหยุด เช่นอันนี้เพลินใจไม่อยากหยุดแต่ก็ต้องหยุด นิมมานรดีก็คือยิ่งเลวได้ถึงเขต แต่ปรนิมมิตวสวัตตีเลวกว่าอีก จนมีบริวารมาช่วยเลวได้อีกเหมือนธรรมกาย ทุกคนมาตกเป็นบริวารช่วยกันเลวให้เป็นคณะใหญ่เลย

          สรุปแล้วเทวดาคือภพชาติ ศาสนาพุทธล้างภพชาติ เทวดา สัตว์นรก ไม่มีภพชาติไม่มีสวรรค์นรกคืออรหันต์ ต้องลดสวรรค์ได้ทีละขั้นเป็นพระพรหม ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:21:12 )

590630

รายละเอียด

590630_เทศน์ก่อนฉันเลไลย์อโศก เรื่อง คนจริง...พ่อครู

พวกคุณจะค่อยๆเข้าใจว่าอาตมาเป็นใคร?...พิสูจน์กันไป แล้วจะเข้าใจว่า เป็นคนนี้ๆเอง คุณเป็นคนบอกเอง ไม่จำเป็นต้องอาตมาบอก เพราะมีเหตุปัจจัยให้เข้าใจเลย บอกได้แต่ว่าอาตมาเป็นคนจริง ...สั้นๆอย่างเดียว อย่างอื่นช่างมันเถิด จะบอกว่าอาตมามีปัญญาเฉลียวฉลาดหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาเคยบอกนโยบายอาตมาไว้ว่า อาตมามีความจริงเท่าไหร่ก็เอาออกมาใช้ให้หมดให้ครบ ก็จบ สู้ด้วยความจริงอย่างเดียว ความจริงเป็นสิ่งสุดยอดแล้ว อาตมาเลยตั้งโศลกว่า เจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ความบริสุทธ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

เจตนาแต่อย่าอยาก นี้ยากนะ

นาม 5 อย่างมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ถ้าไม่มีผัสสะไม่ใช่การปฏิบัติของพุทธ ของพระพุทธเจ้ามีธรรมะสองในการปฏิบัติ เมื่อผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา แล้วเกิดสังขาร เราก็อ่านแยกสังขาร แยกเวทนา ในสังขาร ตัวสัญญาเป็นตัวกำหนดหมาย ธาตุเจตสิก เร่ิมต้นต้องใช้สัญญากำหนดรู้ภายนอกภายใน สัญญายนิจจานิ เรียนรู้ จบก็จบด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ไม่สุขไม่ทุกข์นี้เป็นการพักยก ธรรมชาติก็ต้องพักยกแต่ยิ่งมาเรียนรู้ให้หยุดได้โดยสามารถ ไม่ต้องกดข่มด้วย หยุดด้วยปัญญา สูงกว่าการกดข่ม การกดข่มก็ทำกันทั่วไปแล้วแต่ศาสนาพุทธหยุดด้วยปัญญา ไม่กระดิกเลยเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นสังขารระดับอเนญขาภิสังขาร

ต้องใช้สัญญาอ่านเจตนาที่เป็นโลภะ โทสะนี้ให้ออกแล้วจัดการสลายด้วยปัญญา ที่เป็นพลังไฟฌาน แล้วเจตนาแต่อย่าอยาก คุณต้องชัดเจนว่าต้องล้างกาม พยาบาท หรือล้างสิ่งที่จิตไปทำไม่ดี อกุศลภายนอก ก็พากเพียรล้างกิเลสอันนี้ เมื่อล้างได้ก็ไม่ต้องได้อยากผลของการบรรลุหรือไม่ต้องอยากได้ผลของการทุจริต กิเลสมันพาทุจริต แต่ถ้าคุณล้างกิเลสตัวที่พาทุจริตได้ คุณก็ไม่ต้องทุจริต คุณไม่อยากทุจริตก็ไม่ต้องอยาก แต่ตั้งหน้าตั้งตาล้างกิเลสไป ไม่ต้องยากหรือไม่อยาก ถ้าล้างกิเลสที่พาทุจริตได้ ก็จะไม่ทุจริตแน่ ไม่ต้องไปอยากเป็นคนไม่ทุจริตเลย

เรารู้เป้าหมายชัดเจน ก็ทำเลย ไม่ต้องเสียพลังงานเลย ไม่ต้องคิดว่าทำไมช้าจัง ให้ทำเต็มที่เลยแล้วจบ ถ้าไม่จบก็ยาวไปตามบารมีความเก่ง

เจตนาแต่อย่าอยาก พยายามพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์แล้วก็จะได้ความบริสุทธิ์นั้นมาแล้วความบริสุทธิ์ก็จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด ถ้าคุณไม่บริสุทธิ์ก็ต้องพากเพียรทำให้หมด แต่คุณอย่าไปโกหกเขาว่าคุณบริสุทธิ์อีก บาปซ้ำซ้อนไป โง่เข้าไป อย่าโง่ต่อไป คนโง่ซับซ้อนนี้ยกตัวอย่างธรรมกาย และทักษิณ ปกปิดของตนให้คนอื่นมาพูดแทน แต่ถ้าคุณยอมคนเดียวทุกคนยอมหมดเลย ความจริงปรากฏเร็ว คุณก็จะมีบารมีสูงขึ้นเลย แต่นี่ลากไป ทำให้คนอื่นบาปด้วย แล้วคุณต้องเป็นหนี้เขา ไปใช้หนี้เขาไม่รู้กี่ชาติ โง่ให้จบเสียที จะโง่ต่อไปทำไมนักหนา

เป็นตัวอย่างปรากฏจริงให้เห็นดีมากเลย ต้องขอบคุณพล.อ.ไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยกไว้ และขอบคุณอีกหลายๆคน

ไทยเราตอนนี้บุคคลจริงที่จะทำการเมืองแบบพุทธ เป็นปชต.ของศาสนาพุทธเป็นปชต.ที่อวดตัวตน คุยตัวตนว่าเป็นปชต.สองขาที่มีทั้งกษัตริย์และมีโครงสร้าง

โลกที่พังวินาศสันตโรมาเยอะแล้ว ก็ต้องสร้างองค์ประกอบดินน้ำไฟลมขึ้นมาอย่างที่บ้านราชฯเราก็ต้องทำขึ้นมา

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:21:46 )

590630

รายละเอียด

590630_เทศน์ก่อนฉันเลไลย์อโศก เรื่อง คนจริง...พ่อครู

          พ่อครูเดินทางออกจากสังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ ในเวลา ของวันพฤหัสบดีที่ 30 มิ.ย. 59 โดยรถจนใจ มาถึง

อาตมาก็สัญจรมาถึงเลไลย์อโศก จ.เลย คำว่าเลยนี้ถูกเย้าเสียเยอะ ไปที่ไหน ไปเลย เอาเลย เลไลย์อโศกเกิดมา 30 ปีแล้ว มาถึงตอนนี้ก็คึกคักขึ้น เพราะว่าสังคมประเทศไทยกำลังปฏิวัติเข้ามาสู่สังคมที่เป็นสังคมใหม่ที่พัฒนาเป็นตัวอย่างโลกเลยเพราะว่าโลกมาถึงยุคที่สุดทางแล้ว ไม่มีอะไรที่จะแก้ไขสังคมมนุษยชาติได้เท่ากับทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นทฤษฎีที่แก้ไขชีวิตมนุษย์ถึงต้นตอ ที่จะเปลี่ยนแปลงถึง DNA ของจิตวิญญาณ (ใช้ศัพท์วิทยาศาสตร์อธิบาย)

พระพุทธเจ้าศึกษาพลังงานจิตตั้งแต่สองหน่วย ขยายเป็นสาม สี่ ห้า หก….สิบ ซับซ้อนเป็นพัฒนาการ ตั้งแต่พลังงานอุตุนิยาม พลังงานธาตุดินน้ำไฟลม อากาศที่ไม่มีชีวะมาประกอบก็สังเคราะห์ตามเคมีฟิสิกส์จนสังเคราะห์ได้เป็นพีชะ

พีชะนี้ยังไม่มีโทษไม่มีภัย พลังงานดินน้ำไฟลมที่ไม่รู้เรื่องก็เป็นภัยได้มากกว่าพีชะ เช่นสึนามิ ลมทอร์นาโน ฯลฯ ที่เป็นอุณหธาตุ  อุตุที่ไม่รู้เรื่องเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่พีชะเป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์สูงสุด พอเป็นสัตว์โลกก็เป็นภัยร้ายแรงมาก แต่ก็เป็นสัตว์โลกที่ดีมาก ฉลาดแกมโกงได้เลวร้ายสุด ยุคนี้มีตัวอย่างในไทยเรา นี่ยังจัดการไม่เสร็จเลยตอนนี้ ผนึกกันด้วยทางโลกและธรรมทำลายประเทศไทย ก็เป็นตัวอย่างที่เลวร้าย ที่ต้องจัดการกันลงไป

คนที่มีปัญญาที่ไม่ใช่เฉกา ฉลาดซื่อสัตย์จริงใจมีอยู่ ไทยเราเป็นตัวอย่างที่จริง ตอนนี้เป็นตัวอย่างขนาด มีดร.โปรเฟสเซอร์ต่างๆทำกัน ก็จะมีวิชาการประกอบการศึกษา หนังสือที่อาตมาหยิบมาเล่มนี้คือ sufficiency thinking แนวคิดใหม่ของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงเราใช้แนวคิดจากความพอ สันตุฏฐิ หรือสันโดษ คนมีการพัฒนาจิตได้ ไม่เห็นแก่ตัว มักน้อยสันโดษได้จริง มีความรู้สมรรถนะ ทำประโยชน์ได้แก่สังคมได้มาก

บทที่ 1 บอกว่า ประเทศไทย ต้นแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอธิบายว่า มีความจำเป็นอย่างไร สรุปง่ายๆว่าเป็นเศรษฐกิจที่คนหมดความเห็นแก่ตัว ซึ่งต้องมีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าสอนและแพร่ขยายให้คนลดกิเลสได้จริง อย่างเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เป็นทฤษฎีเดียวกับของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความจริงเดียวกัน เราก็เอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ได้มาเรื่อยๆ อาตมาเลยต้องลากสังขารไปอีก เพื่อช่วยมนุษยชาติในช่วงที่ใกล้ถึงกลียุคใหญ่

ในสังคมเราเรียกว่าการเมืองคือความรู้ที่จะอยู่กับคน ในศาสนาก็มีธรรมะ ที่จะเป็นตัวที่เป็นมโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ต้องมีจิตที่มีธรรมะและความรู้ที่อยู่กับสังคมโลก ตนพัฒนาตนลดกิเลสได้จริง แล้วมีความรู้ที่อยู่กับสังคมได้ เป็นสมมุติสัจจะ มาร่วมเป็นพลังงานอย่างวิเศษแล้วมาร่วมกันช่วยคนอย่างไม่มีแฝงสิ่งไม่ดี

ตอนนี้พลังงานโลกแรงมากก็เลยต้องใช้การเมืองเป็นหลัก แต่ก็ต้องเสริมธรรมะให้เป็นแก่นให้ออกมาช่วยการเมือง ถ้าไม่มีแก่นธรรมะจริง ไปช่วยการเมืองก็ถูกหลอก หรือตนเองหลอกตนและหลอกคนอื่นซับซ้อนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ากิเลสน้อยลงก็ซื่อมากขึ้น จนกิเลสไม่มีเป็นอรหันต์ก็จะเป็นคนช่วยโลก ธรรมะของศาสนาพุทธเป็นธรรมะช่วยโลกที่ไม่ใช่ศาสนาปลีกเดี่ยว ช่วยสังคมช่วยโลกได้น้อย ศาสนาพุทธต้องช่วยโลกช่วยสังคมได้มาก เช่นตอนนี้ที่พาทำนี้ไม่ได้ช่วยไทยอย่างเดียว ช่วยโลกด้วย เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อยู่เย็นเป็นสุขไม่ใช่อยู่อย่างบำเรอกิเลส แต่นี่เป็นอุปสโมสุข วูปสโมสุข เป็นปรมังสุขัง คือยิ่งกว่าสุข

ตอนนี้กำลังจะลงมติรับหรือไม่รับรธน. อาตมาก็ขอออกความเห็นของอาตมาว่า คณะรบ.บริหารประเทศมา 29 รบ.แล้ว อาตมาเกิดทัน เพราะอาตมาเกิดพศ.2477 ปชต.เร่ิมพศ.2575 ตอนแรกยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เป็นปชต.ลอกเลียน ขออภัยเป็นปชต.ดัดจริต ทำเละเทะจนทุกวันนี้ค่อยเข้ารูปรอยไปเรื่อยๆ รบ.ที่ผ่านมาก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ และเป็นปชต.แบบไทยๆ ต้องเน้นตรงนี้ อย่านึกว่าไม่ดีนะ

ปชต.แบบไทยนี้คือปชต.แบบพุทธ เป็นปชต.สองขา มีทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ สรุปว่าปชต.แบบพุทธนี้เป็นปชต.แบบที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีได้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธด้วย เราเป็นปชต.ด้วย มีแกนพุทธมาตลอด มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งที่สุดยั่งยืน เพราะจิตมันจริงมาเสียสละจริง อดทนแข็งแรงเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จริง

ศาสนาพุทธจะรุ่งเรืองขึ้นอีก ผู้มีปัญญาเห็นของจริงก็จะมาเอาไปใช้ อาตมาได้นิยามคำว่า การเมืองที่เป็นปชต.แท้ๆไว้ นิยามไว้ตั้งแต่บวชใหม่ๆเลย เพราะเมืองไทยแยกส่วนการเมืองกับศาสนา แต่ตอนนี้เร่ิมเข้าใจแล้วว่าการเมืองไม่มีธรรมะก็เป็นการเมืองเลว ก็พังสิ แล้วก็มีพวกที่แทรกมาในธรรมะที่เป็นตัวปลอม เมืองไทยตอนนี้เร่ิมเข้าใจแล้วว่าการเมืองต้องมีธรรมะ ธรรมะกับการเมืองอันเดียวกัน

การเมืองใหม่ที่เป็น .  ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

ข้อห้านี้เขาได้คะแนน 0 เลย เขามีฝีมือหลอกคนให้เห็นชั่วเป็นดีได้เลย

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

อาชีพคืองานที่เลี้ยงชีวิตอยู่ อย่างนักการศาสนาภิกษุทำอาชีพคือทำแล้วไม่ได้ต้องการให้เอาเงินมาตอบแทน แต่เลี้ยงชีพด้วยการไม่สะสม ไม่กอบโกย

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

 

อาตมาจะอ่านบทความ  ปรีดี-อลิซาเบธ-กับ-พลเมืองไทย?

โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

  ปรีดี พนมยงค์-ผู้นำการเปลี่ยนแปลงชาติไทยในปี 2475 ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมไปนานแล้วที่ฝรั่งเศส! อลิซาเบธ วอร์เรน-วุฒิสมาชิกหญิงมะกันที่ยังมีชีวิตอยู่! พลเมืองไทย-ที่มีชีวิตอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป! 

      

         “ความคิด-คำพูด” ของ “ปรีดี-อลิซาเบธ” กับ “พลเมืองไทย” เกี่ยวพันกันโดยปริยายตรงที่...

      

         ปรีดี-ให้สัมภาษณ์นิตยสาร “เอเชียวีค” วันที่ 28 ธันวาคม 2523 ก่อนอสัญกรรมไม่ถึงสามปี ว่า

      

         “ในปี ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุ 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดประสบการณ์ แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ และโดยปราศจากประสบการณ์ บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริง ในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์ มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี ในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ข้าพเจ้า 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดประสบการณ์ และครั้นข้าพเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”     

      

         “ปรีดี-ขาดประสบการณ์” แต่ทำการใหญ่ ที่บ้างเรียก “อภิวัฒน์” บ้างเรียก “รัฐประหาร” ที่แน่ๆ...เป็นการยึดอำนาจรัฐที่ประสบชัยชนะ

      

         ด้วยด้อยประสบการณ์จึงล้มเหลว เพราะ “คณะราษฎร์” นำโดย “ปรีดี” ใช้ประชาธิปไตยเลือกตั้ง ลอกแบบตะวันตกทั้งดุ้นมาปกครองชาติไทย ทั้งๆ ที่ชาติและคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมแทบทุกมิติ จึงเป็น “ประชาธิปไตยชิงสุกก่อนห่าม” ไปเสียฉิบ!

      

         “ปรีดี” ที่หวังดีต่อชาติ ย่อมไม่ต้องการเผด็จการรัฐสภา! ไม่ต้องการรัฐบาลโกงชาติ! ไม่ต้องการประชาธิปไตยจอมปลอม! แต่เพราะความไร้คุณธรรมของ “กลุ่มคน” ที่เข้ามาทำงานการเมืองหรือบริหารชาติ ซึ่งเห็นแก่ลาภ-ยศ-เงินทองชนิดไม่รู้จักพอ ทำให้ประชาธิปไตยเลือกตั้งของชาติไทย เป็นช่องทางให้คนโกงเข้ามาโกงการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลเพื่อปล้นชาติ

      

         84 ปี หลัง “คณะราษฎร์” ก่อการยึดอำนาจรัฐ จึงเกิดเหตุการณ์ซ้ำซากสองเรื่อง ที่ทำร้ายชาติเรื่อยมาจนทุกวันนี้ นั่นคือ

      

         ชาติไทย-มีรัฐบาลโกงเลือกตั้ง กับ รัฐบาลรัฐประหาร หรือ รัฐบาลเผด็จการรัฐสภา กับ รัฐบาลเผด็จการทหาร เข้ามาบริหารชาติแบบ “สมบัติชาติผลัดกันโกง!”

      

         อีกทั้งรัฐบาลทหารที่ผ่านมานั่นแหละ ที่นำชาติหวนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองทุกครั้ง...

      

         ด้วยการทำให้การเมืองไทย นับเลขวนอยู่แค่หนึ่งถึงหก... หนึ่ง-มีการเลือกตั้งขี้โกง! สอง-ส.ส.ชั่วส่วนใหญ่เข้ายึดสภาฯ! สาม-สภาฯ เผด็จการตั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม.ชั่ว! สี่-รัฐบาลใช้อำนาจอธรรมโกงชาติ! ห้า-ประชาชนทนไม่ไหวต้องขับไล่รัฐบาลโกงชาติ! หก-รัฐบาลชั่วมักหาทางออก ด้วยการปรับ ครม.หรือยุบสภา หรือ โดนรัฐประหาร!

      

         วงจรอุบาทว์ซ้ำซากทางการเมืองนี้ แม้ต้นเหตุจะเกิดจากนักการเมืองโกงชาติ ทว่ารัฐบาลเผด็จการทหารก็ไม่ปฏิรูปชาติอย่างจริงจัง ไม่เคยสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่เหมาะสมกับชาติและชาวไทย คนดี-จึงไม่ได้ปกครองชาติอย่างถาวร และกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจก็ไม่ได้อีกด้วย

      

         นั่นเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจาก ปี 2475 ของ “คณะราษฎร์” นำโดย ปรีดี พนมยงค์ ที่เปลี่ยนแปลงชาติด้วยความด้อยประสบการณ์ และบนความไม่พร้อมแทบทุกมิติของชาติและคนไทย

      

         ส่วน อลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกหญิงมะกัน พูดไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า...

      

         “ประเทศไม่ได้อยู่ได้เพราะประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ได้เพราะกฎหมาย แต่ประเทศจะยั่งยืนอยู่ได้ด้วยกำลังของพลเมืองดี ที่ไม่ดูดายและยอมแพ้ต่อคนชั่วคนทุจริต ที่กัดกร่อนทำลายประเทศชาติ พลเมืองดีจึงต้องยืนหยัดรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงเพื่อลูกหลานรุ่นต่อไป”

      

         ประชาธิปไตยที่แท้จริงผลประโยชน์ต้องได้กับคนส่วนใหญ่! ประชาธิปไตยไทย-ทำให้คนส่วนน้อยรวยแล้วรวยอีก-รวยไม่รู้จักพอ ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่ยากจนลงเรื่อยๆ! อีกทั้ง “รัฐบาล” ก็เอื้อประโยชน์ให้กับคนรวยเป็นหลัก! ชาติไทยจึงยังไม่เคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนเลย...จริงไหม?

      

         รัฐธรรมนูญไทยก็ถูกฉีกและถูกร่างใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า!

      

         ทั้งนี้เพราะนักการเมืองชั่วเห็นแก่ตัวและขี้โกง รัฐธรรมนูญห้ามโกงเลือกตั้ง-ก็โกงกัน! ห้ามเป็นเผด็จการรัฐสภา-ก็เป็นเผด็จการรัฐสภาเฉยเลย! ห้ามรัฐบาลคอร์รัปชันโกงชาติ-ก็โกงชาติกันหน้าด้านๆ! เรียกว่า... นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ชั่วได้ใจมาทุกยุคสมัย!

      

         รัฐธรรมนูญจึงมิใช่ปัญหาของชาติ “คนชั่ว” ที่เป็นนักการเมืองต่างหาก ที่นำวิกฤตเลวร้ายทั้งหลายมาสู่ชาติไทย

      

         กฎหมาย-ก็อยู่ที่ “คน” บังคับใช้กฎหมาย ต้องมีความยุติธรรม กฎหมายต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับคนส่วนใหญ่ มิใช่ไปเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใช้กฎหมายและคนส่วนน้อย

      

         ดังนั้น “พลเมืองดี” จึงเป็นสิ่งสำคัญและล้ำค่ายิ่งของทุกสังคม ถ้าพลเมืองดีกล้าหาญในการทำความดี แน่นอน...คนชั่วจะยึดอำนาจรัฐด้วยการโกงไม่ได้! รัฐบาลจะคอร์รัปชันชาติก็ไม่ได้เช่นกัน...จริงไหม?

      

         คำพูด “อลิซาเบธ วอร์เรน” มิใช่เรื่องใหม่ คนไทยส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว แต่ชาติไทยไม่มีโอกาสได้ “ผู้นำดี” ปกครองชาติอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

      

         ขอย้ำว่า “ผู้นำดี” กับ “พลเมืองดี” ในชาติไทย ยังไม่มีโอกาสทำให้ชาติไทยดีขึ้น...เท่านั้นเอง...!

 

รัฐบาลนี้ที่บริหารนั้นอาตมาว่าเป็นคณะที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่ความบริสุทธิ์นั้นจะให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดนั้น หาได้ยากมาก แต่ผู้ไม่บกพร่องก็ต้องพยายามแก้ไขตนเอง คณะนี้ที่ทำงานอยู่ก็ทำงานช่วยกันตามแต่ละหน้าที่ โดยองค์รวมแล้วอาตมาให้คะแนน80-90% เลย

ขณะนี้ปชต.ต่างประเทศยังไม่ทันหรอก หลายประเทศหลงปชต.ขาเดียว ไม่มีกษัตริย์ ขาดจิตวิญญาณอย่างอเมริกาทำนี้ เอาวัตถุเป็นตัวตั้ง โครงสร้างภายนอกเป็นที่ตั้งไม่ได้เกิดจากแกนจิตวิญญาณเป็นที่ตั้ง แต่ไทยเราสั่งสมจิตวิญญาณมายาวนานกว่า

เรามีหลักเกณฑ์คือ ผลิตให้มากพอแล้วเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ เช่นปลูกแตงมาเราเอาไปขาย โดยเอาส่วนเกินมาให้น้อยที่สุดเท่าที่น้อยได้ไม่ตะกละโลภโมโทสัน เราจำเป็นต้องเอาส่วนเกินมาหมุนเวียก็ต้องทำจำเป็นแต่อย่างน้อย

1.ต้องราคาต่ำกว่าราคาตลาด ถ้าไม่ใช่ต่ำกว่าราคาตลาดไม่ใช่เลือดอโศกไม่ใช่ชาวพุทธ

2.ราคาเท่าทุน

3.ราคาต่ำกว่าทุน

4.แจกฟรีเลย

หลักเกณฑ์นี้ชาวอโศกจะไม่บาปเลยไม่ขูดเลือดเนื้อคนอื่น ยืนอยู่ในหลัก 2 3 4 นี้ เป็นชาวอโศกแท้ เราทำให้เหลือให้เกินแล้วเอาไปสะพัดคือขาดทุนให้แก่คนอื่น ในหลวงเราว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ชาวอโศกทำได้ ไม่โกหก มาจับผิดได้เลย

หลักเกณฑ์ของชีวิตมนุษย์

1.อย่าเป็นหนี้ ระบบหนี้เป็นระบบตกนรก บาปหยาบคายมาก

2.พึ่งตนเองรอด

3.ทำให้เกินกินเกินใช้

4.สะพัดให้แก่คนอื่น

นี่เป็นหลักเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ถ้าทำได้นะ

 

เมื่อได้แล้วก็มีหลักเกณฑ์การขายคือ

1.ต้องราคาต่ำกว่าราคาตลาด

2.ราคาเท่าทุน

3.ราคาต่ำกว่าทุน

4.แจกฟรีเลย

แล้วของที่เราขายนี้ต้อง ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ ต้องทำลายระบบสินเชื่อที่เลวร้ายนี้ให้หมดไปจากโลกเลย ระบบสินเชื่อเงินเชื่อแบบใดๆก็คือระบบที่เลวร้ายที่สุดในโลก

ระบบเศรษฐกิจที่เราพัฒนาอยู่ทุกวันนี้จึงเป็นเศรษฐกิจแบบพระพุทธเจ้า เรียกว่ามโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

 

อาตมาได้เขียนทฤษฎีงาน 19ข้อไว้

(1) มีคนที่ดี สังคมจะดำเนินไปได้ดีต้องมีคนเป็นตัวตั้ง ต้องสร้างคนให้เป็นอาริยะ มีทั้งปัญญาและกำลังที่ดี

(2) มีงานที่ดี ทำตามลำดับความสำคัญ

(3) มีความรู้ความสามารถดีและถูกต้อง

(4) มีเวลาและโอกาสที่ดี รู้จักกาลัญญุตา รู้จักเวลาที่ต้องทำอะไรก่อนหลัง อะไรควรหรือไม่ควร

(5) ทุนหรือองค์ประกอบที่เหมาะสม

(6) สุขภาพหรือพลังที่ดี

(7) มีความขยันอุตสาหะ

(8) มีระเบียบ มีเป้าหมาย

(9) มีการจัดสรร จัดโครงการเกื้อหนุนขึ้นมา

(10) มีการประสานกันอย่างต่อเนื่อง สืบสานต่อกันไป

(11) มีความใส่ใจ ขวนขวาย ไม่ดูดาย

(12) มีปรับความเข้าใจกันเสมอ ให้เกิดความสามัคคีเสมอ

(13) มีการขัดเกลากันอยู่เสมอ ปฏิบัติลดละกิเลสอยู่เสมอๆ

(14) ต้องเห็นดียินดีในการงาน รู้และมีจิตชื่นชมในการทำงาน

(15) มีความเห็นจริง ตระหนักในสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ มีความเชื่อมั่น

(16) มีสติ มีปฏิภาณ มีปัญญา มีความรอบรู้อย่างแท้จริง

(17) มีสมาธิ มีฌาน มีอุเบกขา คือ เป็นลักษณะของจิตที่มีฌาน (การเพ่งเผากิเลส) เป็นมรรค ปฏิบัติได้ผล สั่งสมลงจนเกิดเป็นสมาธิ ในสมาธิสูงสุดก็เป็นอุเบกขา

(18) มีความเสียสละ “แท้” คือ เสียสละอย่างเต็มใจ ไม่มีอะไรแฝง

(19) มีพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นเอกีภาวะ มีวิมุติอยู่ตลอด คือ ภาวะไม่ยึดติดซ้อนอยู่ในจิตตลอดเวลา นี่เป็นสภาวะบริบูรณ์

อาตมาบอกมาแล้วว่าอาตมาเป็นผู้มานำสืบสานศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่ตอนนี้ถูกปู้ยี่ปู้ยำหนักแล้ว

ในหลวงเป็นผู้นำเศรษฐกิจพอเพียงมาให้เมืองไทย แล้วเมืองไทยเราเป็นเมืองกสิกรรม แล้วกสิกรรมเป็นรากฐานของมนุษย์ก่อนและก่อนอุตสาหกรรม เป็นรากฐานของสัตว์โลกด้วย

บุญญาวุธหมายเลข 1 คืออาหารมังสวิรัติ เราบุกเบิกมาถึงวันนี้แล้วทำได้ดี  อาหารเนื้อสัตว์เป็นบาปซ้อน อำมหิตซ้อน กินแล้วเป็นบาป ทำวิบากแก่สัตว์อื่น แล้วมีความอำมหิต สัตว์เดรัจฉานตัวที่แข็งแรงจะฆ่าเก่ง แย่งเก่งที่สุด แข็งแรงสุด นั่นคือเดรัจฉาน เราจึงไม่เอาเลือดวิญญาณของเดรัจฉานมาใส่เราหรอก แต่อาหารมังสวิรัตินี้เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1

บุญญาวุธหมายเลข 2 คือตลาดอาริยะ คือการแจกการทาน เราทานอย่างขาย เพราะเราไม่พอเราต้องแลกคืนมาบ้าง ขายอย่างอาริยะคือแบบเห็นแก่ตัวน้อยสุด ไม่เห็นแก่ตัวเลยในที่สุด เราจัดตลาดอาริยะเป็นครั้งคราว จนวันนี้เราทำได้บ่อยขึ้น ตลาดอาริยะที่เจริญคือเผื่อแผ่ได้มากขึ้นเบาขึ้น แจกจายได้มากขึ้น

บุญญาวุธหมายเลข 3 กสิกรรมไร้สารพิษ เป็นรากฐานที่เราจะทำ มันมีสารพิษกันมานาน จนทุกวันนี้หมอก็รักษากันไม่ทัน

บุญญาวุธหมายเลข 4 สุขภาพบุญนิยม ทุกวันนี้การแพทย์เขามีการขูดรีดจากคนป่วยมากเราไม่เอา เราก็จะใช้วิธีการรักษาแบบเรา เราไม่ได้บอกว่าการแพทย์ปัจจุบันไม่ดี แต่แพทย์พื้นบ้านโบราณ แผนอื่นๆใดก็มีส่ิงดีเราก็เอาสิ่งดีมารวม ทุกวันนี้เราพยายามทำการแพทย์ผสมผสาน เอาการแพทย์โบราณเชื้อชาติต่างๆ มาประยุกต์รวมกับแพทย์สมัยใหม่ แต่ละชาติองค์ประกอบต่างกัน

บุญญาวุธหมายเลข 5 การศึกษาบุญนิยม อาตมาพยายามให้พวกเราทำ แบบ บ้าน วัด โรงเรียน ไม่ใช่แค่ในตำรา แต่เป็นการศึกษาที่มีความรู้ ความจริงในชีวิตไปพร้อมกับสังคม เป็นการศึกษาที่เป็นชีวิตจริงใช้ได้จริงในปัจจุบันเลยในสังคม ไม่ได้มีห้องเรียนด้วยซ้ำในตอนต้น เราก็ทำตามลำดับ แต่ชีวิตไม่ทิ้งการงานของสังคม เขามีอะไรทำอะไรเราก็ศึกษาไปด้วย เรามีหลักฐานตำราความรู้ก็เอามาเรียนด้วย ไม่ให้เด่นกว่าการทำจริงด้วย เอามาประกอบกัน อยู่อย่าง บ้าน วัดโรงเรียนอย่างเนียนมากลึกซึ้งมาก อโศกเรา มีอนุบาล ประถม มัธยม ตอนนี้เราขออุดมศึกษาอยู่

วิทยาลัยของเราเราไม่ต้องการตั้งมาแล้วรับเงินรัฐบาลนะ แม้มัธยมก็เช่นกันเราไม่เอาแต่เขาก็ยัดเยียดให้เราก็เป็นต้องรับมาบ้าง แต่วิทยาลัยนี้เราบอกเลยว่าไม่รับเงินรัฐบาล เพราะรัฐบาลนั้นส่วนมากมีแต่คนมีกิเลสมาก แต่ถ้ารัฐบาบเป็นผู้มีกิเลสน้อยมาทำเราก็จะยินดียิ่ง

บุญญาวุธหมายเลข 6 การศึกษาบุญนิยม ทุกวันนี้สื่อสารมีผลมากไวมาก เราก็จน เราก็กระเสือกกระสนช่วยกันไป ถูลู่ถูกังกันไป มันก็เป็นไปได้ถือว่ายอดแล้ว สื่อสารคืออะไรคือกระจายความรู้ให้แก่คนให้มาก ให้รู้เร็วรู้เท่าทันรู้จริง รู้ถูกต้องด้วย

บุญญาวุธหมายเลข 7 การเมืองบุญนิยม ตัวนี้คือตัวขึ้นหม้อตอนนี้เลย การเมืองบุญนิยมคืออะไร? การเมืองบุญนิยมคือทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ทำงานเพื่อพลเมือง ทำงานเพื่อประชาชนอย่างละกิเลส บุญคือการชำระกิเลส ลัทธิบุญนิยมคือการเมืองของคนละกิเลส คนมาเป็นนกม.คือต้องมาละกิเลส คนเป็นนกม.ตัวจริงคืออรหันต์ คนไทยเราถ้ามีอรหันต์ในร่างฆราวาสไปบริหารบ้านเมืองยอมไหม?...อย่างน้อยเป็นอนาคามีเป็นต้นไป

อนาคามีต้องลดสังโยชน์เบื้องสูงต่อไป จนไม่เหลือเศษใดๆ อากิญจัญ ต้องรู้ซ้อนว่าหมดแน่นะ สมาหิตัง วมุตตัง ตั้งมั่นแข็งแรงหลุดพ้นจริง ทั้งจิตก็ตั้งมั่นแขงแรงจริง ครบเจโต มีปัญญาด้วย ก็จบ อุภโตภาควิมุติ อนาคามีต้องทำต่อให้พ้น จนใช้สัญญาเคล้าเคลียร์อารมณ์จนสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ สัญญาเวทยิตนิโรธสมบูรณ์แบบ อนาคามีก็เป็นอรหันต์จนที่สุด

โสดาบันถึงขั้นนิยตสัมโพธิปรายนะ รู้จัก เป้าหมายที่แท้แล้วก็ทำต่อให้ตั้งมั่น เป็นสกิทาคามี จนเป็นอนาคามีถือว่าไม่ยึกยักแล้ว สัมโพธิปรายนะตรงไปสู่ทิศทางนิพพานทิศเดียว

ยุคนี้จะเป็นอนาคามี อรหันต์มาบริหารบ้านเมือง มีโสดาฯสกิทาฯมาช่วยด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่พูด จริงต้องมีการพิสูจน์กันไป เป็นความจริงระดับ phenominol มีสัจจะภาวะที่ปรากฏจริง มีของจริงบุคคลจริงวัตถุจริงให้เห็น วัตถุจริงเช่นเงินทองข้าวของ เงินทองคนนี้บริหารเป็นแสนล้าน ล้านๆ เราก็บริหารไป ไม่จำเป็นต้องมีอะไรส่วนตัว ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่โกงซื่อสัตย์แน่นอน

พวกคุณจะค่อยๆเข้าใจว่าอาตมาเป็นใคร?...พิสูจน์กันไป แล้วจะเข้าใจว่า เป็นคนนี้ๆเอง คุณเป็นคนบอกเอง ไม่จำเป็นต้องอาตมาบอก เพราะมีเหตุปัจจัยให้เข้าใจเลย บอกได้แต่ว่าอาตมาเป็นคนจริง ...สั้นๆอย่างเดียว อย่างอื่นช่างมันเถิด จะบอกว่าอาตมามีปัญญาเฉลียวฉลาดหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาเคยบอกนโยบายอาตมาไว้ว่า อาตมามีความจริงเท่าไหร่ก็เอาออกมาใช้ให้หมดให้ครบ ก็จบ สู้ด้วยความจริงอย่างเดียว ความจริงเป็นสิ่งสุดยอดแล้ว อาตมาเลยตั้งโศลกว่า เจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ความบริสุทธ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

เจตนาแต่อย่าอยาก นี้ยากนะ

นาม 5 อย่างมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ถ้าไม่มีผัสสะไม่ใช่การปฏิบัติของพุทธ ของพระพุทธเจ้ามีธรรมะสองในการปฏิบัติ เมื่อผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา แล้วเกิดสังขาร เราก็อ่านแยกสังขาร แยกเวทนา ในสังขาร ตัวสัญญาเป็นตัวกำหนดหมาย ธาตุเจตสิก เร่ิมต้นต้องใช้สัญญากำหนดรู้ภายนอกภายใน สัญญายนิจจานิ เรียนรู้ จบก็จบด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ไม่สุขไม่ทุกข์นี้เป็นการพักยก ธรรมชาติก็ต้องพักยกแต่ยิ่งมาเรียนรู้ให้หยุดได้โดยสามารถ ไม่ต้องกดข่มด้วย หยุดด้วยปัญญา สูงกว่าการกดข่ม การกดข่มก็ทำกันทั่วไปแล้วแต่ศาสนาพุทธหยุดด้วยปัญญา ไม่กระดิกเลยเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นสังขารระดับอเนญขาภิสังขาร

ต้องใช้สัญญาอ่านเจตนาที่เป็นโลภะ โทสะนี้ให้ออกแล้วจัดการสลายด้วยปัญญา ที่เป็นพลังไฟฌาน แล้วเจตนาแต่อย่าอยาก คุณต้องชัดเจนว่าต้องล้างกาม พยาบาท หรือล้างสิ่งที่จิตไปทำไม่ดี อกุศลภายนอก ก็พากเพียรล้างกิเลสอันนี้ เมื่อล้างได้ก็ไม่ต้องได้อยากผลของการบรรลุหรือไม่ต้องอยากได้ผลของการทุจริต กิเลสมันพาทุจริต แต่ถ้าคุณล้างกิเลสตัวที่พาทุจริตได้ คุณก็ไม่ต้องทุจริต คุณไม่อยากทุจริตก็ไม่ต้องอยาก แต่ตั้งหน้าตั้งตาล้างกิเลสไป ไม่ต้องยากหรือไม่อยาก ถ้าล้างกิเลสที่พาทุจริตได้ ก็จะไม่ทุจริตแน่ ไม่ต้องไปอยากเป็นคนไม่ทุจริตเลย

เรารู้เป้าหมายชัดเจน ก็ทำเลย ไม่ต้องเสียพลังงานเลย ไม่ต้องคิดว่าทำไมช้าจัง ให้ทำเต็มที่เลยแล้วจบ ถ้าไม่จบก็ยาวไปตามบารมีความเก่ง

เจตนาแต่อย่าอยาก พยายามพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์แล้วก็จะได้ความบริสุทธิ์นั้นมาแล้วความบริสุทธิ์ก็จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด ถ้าคุณไม่บริสุทธิ์ก็ต้องพากเพียรทำให้หมด แต่คุณอย่าไปโกหกเขาว่าคุณบริสุทธิ์อีก บาปซ้ำซ้อนไป โง่เข้าไป อย่าโง่ต่อไป คนโง่ซับซ้อนนี้ยกตัวอย่างธรรมกาย และทักษิณ ปกปิดของตนให้คนอื่นมาพูดแทน แต่ถ้าคุณยอมคนเดียวทุกคนยอมหมดเลย ความจริงปรากฏเร็ว คุณก็จะมีบารมีสูงขึ้นเลย แต่นี่ลากไป ทำให้คนอื่นบาปด้วย แล้วคุณต้องเป็นหนี้เขา ไปใช้หนี้เขาไม่รู้กี่ชาติ โง่ให้จบเสียที จะโง่ต่อไปทำไมนักหนา

เป็นตัวอย่างปรากฏจริงให้เห็นดีมากเลย ต้องขอบคุณพล.อ.ไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยกไว้ และขอบคุณอีกหลายๆคน

ไทยเราตอนนี้บุคคลจริงที่จะทำการเมืองแบบพุทธ เป็นปชต.ของศาสนาพุทธเป็นปชต.ที่อวดตัวตน คุยตัวตนว่าเป็นปชต.สองขาที่มีทั้งกษัตริย์และมีโครงสร้าง

โลกที่พังวินาศสันตโรมาเยอะแล้ว ก็ต้องสร้างองค์ประกอบดินน้ำไฟลมขึ้นมาอย่างที่บ้านราชฯเราก็ต้องทำขึ้นมา ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:22:34 )

590630

รายละเอียด

590630_เอื้อไออุ่น เลไลย์อโศก สู้ให้ตาย ถ้าตายจะไม่ได้สู้

พ่อครูว่า..ทุกอย่างมาจากจิตใจ จิตใจสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา อาตมาก็รู้ว่าไม่ง่าย แต่ไม่ง่ายก็ต้องทำ ถ้ายากแล้วยังไม่เข้าใกล้อีกก็ยาก ต้องเข้าใกล้ เงี่ยโสตสดับ ใส่ใจ

คนเราเกิดมาแต่ละชาติหากไม่พากเพียรเอา เราไปหลงก็เสียเวลา การเสียเวลาในโลกมันบำเรอกิเลสตนเอง แล้วก็ต้องไปต่อวิบาก เชื่อมวิบากผูกพันอีกเยอะ ยิ่งไปเสียเวลาไปสร้างวิบากกับโลก ไปอีกเป็นชาติๆ ถ้าไม่ตัดใจแข็งขืน พระพุทธเจ้าตรัสชมเชย ผู้ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา เป็นตายอย่างไรก็ให้ตายกับการล้างกิเลส ดีกว่าไปตายกับเรื่องอะไรที่ไม่เข้าเรื่อง

พระพุทธเจ้าท่านสอนภิกษุเปรียบเทียบถึงขั้นว่า ถ้าชีวิตเราจะตายในการจะไปทำโลกๆทำแบบโลกๆ เรามาให้งูเห่ามันกัดตายนี่ยังดีเสียกว่าไปอยู่กับโลกๆ เสพสมสุขสมกับโลกีย์ มาให้งูเห่ามันขบกัดกินตายนี่ยังประเสริฐกว่า ท่านตรัสเช่นนี้จริงๆ

การได้พบกับพุทธศาสนานั้นดีที่สุดแล้ว เป็นแต่เพียงคุณเชื่อมันว่าที่อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามานี้เป็นธรรมะจริงหรือไม่? ถ้าเชื่อ….แล้วไปคิดดีๆ ตั้งใจดีๆว่าคุณจะงมงายกับลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขต่างๆ ที่คนอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีมากมายแล้วทิ้งมา เราเองจะงมงายหลงใหลอีกนานเท่าไหร่

การเข้ามาอยู่ด้วยกัน อาตมาก็คิดว่าพวกเราพยายามอยู่ แต่ที่รู้สึกจะยากคือการไม่ยอม การมีอัตตามานะ ขัดแย้งแล้วเราไม่ได้ขนะไม่ได้ตามใจคนที่หลงว่าตนเองชนะแล้วเอามาข่มคนอื่น ยิ่งเราชนะแล้วข่มคนอื่นอย่างเราไม่ดีไม่ถูกต้อง ไม่แท้แล้วข่มคนอื่นได้ ชนะแบบนั้นเป็นความโง่เง่า โง่เขลาเป็นอสัจธรรมที่ชนะ จะต้องไปใช้หนี้ซับซ้อนไม่รู้กี่ชาติ

แม้คุณจะเป็นผู้ถูกต้อง แต่คุณก็ยิ่งมาเอาชนะคะคาน กับคนที่เขายอม คนผิดก็ไม่ยอม คุณเอาชนะคะคานแล้วจะสงบได้ไหม...ก็สงบไม่ได้ แล้วการจะมาแย้งเอาชนะคะคานกัน หนึ่งไม่สงบ และสองก็เกิดพลังวิบากสู้กันอีกหลายชาติเสียเวลา

ผู้ที่ท่านยอมแล้ว อาตมานี่ยอมตลอดเวลาทั้งที่รู้ว่าเขาผิด อาตมาถูกนะแต่อาตมาก็ยอม ที่ทำๆมา การยอมนี้ไม่ได้มีความเสียหายอะไรมีแต่เจริญ

ถ้ายอมแล้วเขาจับกลุ่มทำชั่วก็เสีย แต่เรามาอยู่กับหมู่คนดี ให้คนดีจับกลุ่มทำดีมันไม่เสีย ถ้าเรายิ่งเราไม่ถูกแล้วเรายอมให้กลุ่มคนดียิ่งเจริญใหญ่ แม้เราถูก แต่ยอมให้กับคนดีเขาทำไป เป็นเรื่องของมวลกลุ่มชนมหาชน เป็นพลังงานระดับปชต.เป็นเยภุยสิกา เรายิ่งเจริญ​เรายอมให้กลุ่มทำเรายิ่งเจริญ

แม้แต่เราดีกว่าหมู่ แต่หมู่นี้เป็นปชต.หมู่ใหญ่เป็นคะแนนหมู่เราก็ยอมกับคะแนนหมู่ เราก็เจริญ การยอมกับหมู่กลุ่มแล้วยอมกับใครก็ตามไม่เสียหายหรอก ถ้าอยู่กับหมู่คนดีก็ไม่เสีย แต่ถ้ายอมกับหมู่คนชั่วก็อาจเสียบ้าง แต่เรายอมกับหมู่คนดีนี้ไม่มีเสีย โดยเฉพาะกับคะแนนกลุ่มใหญ่ แม้จะเป็นหมู่น้อยแต่ถ้าเห็นว่าไม่สงบเรายอมเสียก็ได้ดี

พวกเราเป็นผู้ฉลาดมีปัญญา หมู่ที่ยึดถืออะไรแล้ว เมื่อหมู่ยึดแล้วเราเลิกเถอะ แม้เราจะถูก ก็ยอมแก่หมู่ใหญ่ดีกว่าแล้วจะดำเนินไปได้ เหมือนอาตมายอมกับหมู่ใหญ่

ที่จะสำทับย้ำกับพวกเราคือ

ทำอย่างไรหมู่เราจะมากขึ้น สังคมประเทศชาติต้องการพลังงานอย่างพวกเรา ต้องการคนอย่างพวกเรา แต่พวกเราก็ยังเล็กยังน้อย พวกเราใช้ปฏิภาณหน่อยได้ไหมว่า ประเทศชาติเขาต้องการ ให้มารวมตัวกันให้มากขึ้น แล้วถามว่าหมู่กลุ่มของเราต้องการไหม? ก็ต้องการ

เพราะฉะนั้นอาตมาว่าพวกเราอย่าช้าอยู่เลย นี่ประเด็นที่ 1 เราต้องการหมู่เราให้มากขึ้นให้ทันกาลกับกาละนี้ ยิ่งประเทศชาติเรากำลังจะเชื่อมโยงกับประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นอาเซี่ยน หรืออินโดจีนที่ทำกันตอนนี้

ประเทศไทยเราจะเป็นชมพูทวีป แบบเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นผู้เสียสละสร้างสรรนี่แหละ อาตมาว่าเป็นเรื่องจริงที่สุด โดยเฉพาะไทยอโศกนี่เป็นแก่นแกน อย่าช้ารีบมา

สองถ้าคุณเองไม่กล้าตั้งตนบนความลำบาก ไม่อุตสาหวิริยะ ไม่กัดใจสู้ อาตมาว่าขณะนี้นี่เป็นฤกษ์งามยามดี กาละที่เป็นสุภฤกษ์ ที่จะมีเหตุการณ์ในโลกที่เราจะได้ร่วมขบวนที่จะได้แก้วิฤติของโลก เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่กาละที่วิเศษที่สุดในโลก อาตมาไม่ชอบตะล่อมใครหรอก แต่ว่าพูดตามความเป็นจริงตอนนี้

ถ้าอาตมาจะสมมุติว่า ถ้าคุณเข้ามาแล้วจะต้องมาอดทน แล้วคุณก็ตั้งใจทนจนตายในที่นี่คุณจะตกต่ำไหม?ก็ไม่ โอกาสนี้ไม่ใช่โอกาสจะหาได้ง่ายๆ ถ้าไ่กล้าตายไม่เอาจริงกับตอนนี้แล้ว เสียโอกาสนะ ถ้ามารวมพลังกันอะไรก็จะสำเร็จ

ประเทศไทยตอนนี้ทั้งกระแสการเมือง ทั้งกระแสศาสนา อาตมามองเห็นว่ากระแสศาสนาด้านที่คนเลวเขากำลังเลวร้ายนี้ เราต้องการพลังรวมที่จะเผด็จศึก รวมมวลของสัจธรรมที่จะไปจัดการพลังงานเลวร้ายทางศาสนานี้ที่ไม่ยอมตอนนี้

ตอนนี้คนด้านการเมืองกลับดี คนด้านการศาสนากลับชั่ว ถ้าคุณมารวมเป็นพลังการเมืองแล้ว คุณนำพาธรรมะมาด้วยไหม? ก็มา อาตมาพาทำการเมืองและธรรมะ ถ้ามารวมกันก็เป็นมวลทางการเมืองด้วย เมื่อรวมกันที่นี่ก็จะได้ทำอะไรได้เร็วไว ตอนนี้ก็กำลังจะลงคะแนนเสียง ร่างรธน.ที่จะได้ตัดสิน แน่นอนว่ารธน.ของคณะนี้ต้องมีการเขียนกันคนทุจริตกันคนโกงเข้ามาใช่ไหม เป็นกลุ่มคนดีมีปัญญาทั้งนั้น แล้วมีโอกาสเวลาได้ทำแล้วก็ต้องให้รธน.ฉบับนี้ขึ้นมาใช้งานให้ได้ ถ้ารธน.นี้ออกมาได้ แล้วเลือกตั้งปชช.จะตื่นตัวมาผนึกกับรธน.ฉบับนี้เลย

แล้วอาตมามั่นใจอีกอย่างว่าคณะรัฐบาลนี้จะป้องกันพลังโกงของการเลือกตั้งตัวโกงเก่งจะถูกกันเต็มที่ ตอนนี้ไม่มีอะไรสงสัยเลย ทำไปตามที่รบ.พาทำ อาตมาก็ขยายความเข้าใจให้ฟัง ไม่ได้เข้าข้างใครแต่สาธยายสัจธรรมตามควรที่สุด มันกำลังจะได้เจริญเป็นสิ่งลงตัว

สรุปง่ายๆว่าอสูรกำลังจะแพ้ ธรรมะกำลังจะชนะ ยังเหลือแต่ว่าอย่าช้าต้องเร็วกันทุกคน ถ้าไม่ช้าทันกาลก็ชนะเรียบร้อยเร็วไว

ตอนนี้พวกที่จะแย่งชิงอำนาจ ก็ต้องเอาเลือกตั้ง เพราะอำนาจรัฐบาลยึดไว้หมด เขาก็รู้ว่าต้องเลือกตั้ง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าขณะนี้การเลือกตั้งนี้ถูกสลายค่ายกลการเลือกตั้งไปเท่าไหร่แล้ว แม้แต่กลไกคณะรบ.ตอนนี้ คนของรบ.ก็ต้องมาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง เขาจะไปเอาคนของฝ่ายอสูรมาจัดการเลือกตั้งไหม?ก็ไม่ใช่ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกที่กระหยิ่มยิ้มย่องก็ต้องทำสุดที่ เขาจะใช้เงิน เขามั่นใจในเงินของเขา ทีนี้เงินที่เคยใช้ได้ผลแล้วคือเขาใช้กับคนที่ยังไม่มีธรรมะ กระแสธรรมะยังไม่ขึ้น แต่กระแสธรรมะในสามหรือสี่ปีแล้วเงินซื้อได้ แต่ทุกวันนี้ภูมิธรรมคนสูงขึ้นกว่าสี่ปีที่แล้วไหม เงินของเขาราคาลดมากแล้ว เข้าใจไหม?

แล้วเงินเขาก็ลดลงด้วย เขาจะต้องเกณฑ์เต็มหน้าตักหมดเนื้อหมดตัว จริงๆแล้วคราวนี้เกทับมาเลย เกเข้ามาเท่าไหร่ก็ตามแต่ หน้าไพ่หลังไพ่ ที่กลบอยู่ของคณะรัฐบาลนี้ของจริงทั้งนั้น กลบไว้หมดแล้ว 4A คือสายธรรม สายการเมือง สายการบริหาร สายสถาบัน 4Aกลบไว้หมดแล้ว

รออยู่อย่างเดียวอย่าช้าเผื่อกันพลาด ถ้ามารวมกันแล้วคือไม่ประมาทใช่ไหม จงอย่านอนประมาทกันอยู่ที่ไหนๆเลย อาตมาตอนนี้พูดต่อหน้าคนที่เลไลย์อโศก แต่เสียงนี้กำลังแพร่ไปในหลายอโศกหรือแม้คนเข้าใจก็ควรมารวมกันทำการเผด็จศึกให้ได้

โปรดฟังอีกครั้ง… นี่คือการปฏิวัติ ไม่กลัวถูกจับ ...ไม่ลงมือลงไม้หรอก แต่ขณะนี้นี่ เหตุปัจจัยทุกอย่างครบหมดแล้วยังเหลือแต่ตัวบุคคลที่ลังเลอยู่ สองกลัวตาย ตายก็ตายมาเถอะ ตายเพื่อประเทศชาติ ตายเพื่อกุศลเพื่อสิ่งดีงาม ศาสนาอิลามเขากล้าตายเพื่อสิ่งดีงาม เพราะเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ของศาสนาพุทธนี้หมุนเวียนกลับมาก็มีแต่เจริญขึ้น เป็นโอกาสที่คุณจะเจริญ​อัตราเร่งอัตราก้าวหน้าเป็นระดับที่ยกกำลังเลย กลับกันกับ mc2 ของไอสไตน์ เพราะว่าของไอสไตน์มวลยกกำลัง แต่นี่ตัวยกำลังนี้คือมวล มวลนี่เป็นล้านๆนะ คูณอย่างไรคิดให้ดี ขณะนี้

หนึ่งคนนี่มีอัตราตัวเร่งปฏิภาคทวีเยอะ ค่าสูงมาก ถ้ามารวมกันแล้วจะเด็ดขาดสมบูรณ์นะ ใกล้ที่ไหนก็ไปรวมกันที่นั้นได้ โดยเฉพาะที่เลไลย์ อาตมากลับไปแล้วก็คงจะได้ข่าวดี มาโสตาย มารวมกัน อาตมาเคยบอกว่า ขอสักชาติได้ไหม เคยพูดไว้ คราวนี้ก็ขอพูดอีกทีว่า ขอสักชาติได้ไหม เพื่อที่อาตมาจะทำงานนี้ให้แก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้างานนี้สำเร็จ อาตมาก็คงตายก่อน 151 ปีได้ แต่ถ้าไม่มารวม 151 ก็อาจไม่สมบูรณ์แต่จะกระเสือกกระสนไปถึง 151 ปีก็ไม่รู้จะได้ขนาดไหน กระดูกกระเดี้ยวเส้นเอ็น ก็ไม่แน่ ทุกวันนี้เขาก็พยายามนวดให้ ก็เหลือแต่ว่าพวกเราจะช่วยอาตมาไหม ถ้าพ่อแม่ไม่ช่วยก็คงม้วยมรณา ...เอวัง

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:23:55 )

590701

รายละเอียด

590701_เทศน์ก่อนฉัน ดินหนองแดนเหนือ ทานอย่างพรหม

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 1 ก.ค. 2559 คณะอาตมา มากันเป็นชุดเลย เขาเรียกว่าทัวร์พญาแร้ง คนไม่รู้เรื่องฟังแล้วก็ประหลาด ทัวร์เป็นภาษาฝรั่ง แปลว่าท่องเที่ยว ความจริงแล้วอาตมาไม่ได้ท่องเที่ยว เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว มาทำงาน จะใช้คำว่าทัวร์พญาแร้ง ก็ตาม คืออาตมาชอบใจแร้ง เกิดมาคนชิงชังเหม็นสาบแร้ง คนไม่ค่อยชอบหน้าทั้งที่แร้งนี้เป็นสัตว์สุภาพ ใจดี แข็งแรง สงบ เก็บสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ปราบ จัดการสิ่งเน่าเหม็นเสียหายให้แก่โลก เป็นสัตว์ที่ไม่ไปทำร้ายใคร คอยเก็บซากซพ กินเป็นอาหาร

แต่เป็นสัตว์ที่มีระเบียบ มีอะไรต่างๆที่ดี ที่คนน่าเอาอย่างเยอะ แต่คนก็รังเกียจ เห็นว่าเป็นสัตว์กินซากศพ แล้วมีกลิ่น

อาตมามาทำงานไม่ใช่มาเที่ยว เพื่อจะสาธยายสัจธรรม ความจริง อาตมารู้ตัวตั้งแต่เลิกทำงานทางโลก ทำงานโลกมา 36 ปีก็เลิกแบบฆราวาส ที่จะสร้างฐานะล่าโลกธรรม ก็หยุด ออกมาอยู่ในร่างนักบวช หยุดจริงๆ ไม่ใช่มาศึกษาฝึกฝนที่จะเป็นคนหยุด ล่าโลกธรรม หยุดเสพกาม เสพอัตตาแล้ว

โลก หรือโลกีย์คือคน หมายถึงว่าคนนี่แย่ง อยากได้ สะสมกอบโกยลาภ ยศ สรรเสริญ​แล้วหลงว่าเป็นความสุข เป็นโลกมาให้แก่ตน แล้วหลงว่าเป็นกาม เป็นอัตตา ได้มาสัมผัสเสียดสี สัมผัสทวาร 5 สมใจเป็นอุปาทาน ที่เราตั้งสเปคไว้ กำหนดว่า อย่างนี้ของเราชอบเป็นอุปาทาน สิ่งยึดติด เราได้อย่างนี้ก็ต้องกับที่เราเคยคิดเคยรู้เคยจำ ยึดถือว่า เรียกว่าอุปาทาน ก็เป็นสุข ได้เสพสัมผัสก็สุข สมกับอัตตา กับความคิดความรู้ความเห็น รวมทั้งความต้องการด้วย สมใจอยาก บำเรอใจโดยตรงก็เป็นสุข เป็นต้น

คนที่เป็นปุถุชนก็เท่านี้ มีชีวิตแย่งกันไปพยาบาทอาฆาตโกรธเคือง แก้แค้นสมบัติผลัดกันชม ถ้าทำอย่างสุภาพฉลาดเอาเปรียบไปโดยจำนนกันไป ถ้าไม่จำนนก็แย่งเถียงกัน ฟ้องกัน ฆ่ากันเลย มีเท่านั้นมนุษย์ น่าเบื่อ อาตมาออกมาบวช ปฏิบัติธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส ต้องมาปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างอาตมา

อาตมาอยู่ทางโลกมา 36 ปี บวชถึงปีนี้ 46 ปีแล้ว มากกว่าทางโลก 10 ปีแล้ว ไม่เคยคิดกลับไปทางโลกอีกเลย ให้กลับก็ไม่กลับ มีชีวิตทางนี้ทำงานฟรี รับใช้ปวงชน ทำงานเปิดเผยสัจธรรม ที่ประเสริฐจริงๆ เรียกว่าอาริยะ

ยกตัวอย่าง คนโง่ กับคนฉลาดโกงคือโจรหัวโจกทั้งคู่ คนโง่กับคนฉลาดโกงก็ทำพฤติกรรมเลวร้าย คนฉลาดหลอกนี่โง่นะ (คนฉลาดหลอกคนอื่น คือคนโง่ที่ยิ่งโง่) เหมือนสำนักหนึ่งที่ทำแก่กันและกันโดยนึกว่าดี นั่นคือเลวร้ายยิ่งกว่าโจรฆ่ากันก็รอบเดียว แต่นี่เขาทำชั่วไม่รู้กี่รอบ ตอนนี้เขาค้านกฏหมายประเทศเลย ให้มารับทราบข้อกล่าวหาก็ไม่ไป ศาลออกหมายเรียกก็ไม่ไป จนออกหมายจับก็ไม่ไป เห็นไหมว่าความโง่ ดันทุรังเลวร้ายซับซ้อนมากกี่ชั้น แล้วบอกว่าข้าบริสุทธิ์ พวกลิ่วล้อที่โง่ด้วยกันก็บอกว่าบริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์ก็ควรออกไปให้เขาพิสูจน์สิ แล้วมาบอกว่า รอให้ประเทศเป็นปชต.สมบูรณ์ก่อนอีก…

ขณะนี้ไปอ้างว่าไม่เชื่อใจศาล ไม่เชื่อใจการบริหารประเทศ คณะบริหารก็คณะหนึ่ง ศาลก็คณะหนึ่งเป็นสองในสถาบันหลักของประเทศแต่เขาไม่เชื่อ และไม่เชื่อศาลอีก ใหญ่กว่าศาล ส่วนสถาบันกษัตริย์เขาเชื่อหรือไม่ไม่รู้ แต่เขาไม่เชื่อตั้งสองสถาบัน คุณควรไปอยู่ประเทศอื่นแต่เขาไม่ไป เขาจะสร้างรัฐอิสระอยู่ในประเทศไทย นี่คือพฤติกรรมเขา ไม่ได้ใส่ความนะ อาตมาถือว่าเขาเข้าขั้นผีบุญ100% เขาไม่ฟังอำนาจศาล อำนาจบริหาร เขาใหญ่กว่าหมด

ลึกๆอาตมาว่าแม้แต่สถาบันที่สามเขาก็ไม่อะไร เพราะเขาไม่ได้แสดงความเคาพรอย่างชัดเจนทำเหมือนไม้กันหมา คนชนิดนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อสังคมประเทศมากเลย ต้องเปิดเผย ไม่เช่นนั้นประเทศแย่เลย เขาใช้วิธีสะกดจิต

 

ตอนนี้เห็นพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตา ทำอย่างไรดินหนองแดนเหนือจะมีประชากรมาเท่านี้หนอ ที่นี่เป็นสถานที่สัปปายะ มีธรรมชาติที่ดีมาก เราก็สามารถเอามาทำเป็นอาหารเป็นยา มีวัตถุดิบเยอะ มีต้นยางเป็นทิวแถว ระยะเวลาเกือบ 30 ปี น่าจะมาอยู่มาบูรณะ ตอนนี้สังคมต้องการ เศรษฐกิจสังคมชุมชนพอเพียง ที่คนทั้งโลกเร่ิมขานรับแล้ว อาตมามีหนังสือ Sufficiency Thinking เขารวบรวมสิ่งจริงในเมืองไทยออกมา แต่ไม่ระบุตรงๆว่าของอโศกมีอย่างนั้นอย่างนี้แต่เนื้อหาความเป็นไปเหมือนชาวอโศกทำ

สรุปแล้ว ถ้าชาวอโศกเห็นความสำคัญในความสำคัญว่ามาทางนี้จะตัดภพชาติตัดหนี้บาปหนี้เวรภัยจริงๆ มาพึ่งตนเองรอดแล้วพึ่งพวกเราพึ่งสาธารณโภคี เราไม่ไปเป็นหนี้สินทางโน้น ทุกวันนี้อโศกเราไม่เป็นหนี้ธนาคารหรือที่อื่น เราสามารถเกื้อกันได้ เราทำได้เป็นสาธารณโภคีนี้สุดยอด ทำอย่างไรพวกคุณจะมีใจมีปัญญาถึงที่จะมารังสรรวิถีชีวิตดำเนินชีวิตแบบนี้ ใครไม่ใครก็อ.ชูชาติเมื่อไหร่จะมาก่อน อ.อรพิณด้วย พอเสียที ได้แต่หวงแหนต้นไม้ไว้ ก็เป็นเสนาสนสัปปายะ มาให้คนมาอยู่เป็นบุคคลสัปปายะ สร้างอาหารสัปปายะ ให้มีธรรมะสัปปายะ ใครมาก่อนก็ทำก่อน สร้างสรรรังสรรไปเหมือนชุมชนอโศกต่างๆ ให้มีปริมาณคุณภาพดีขึ้น สังคมต้องการมาก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นDemand ที่ต้องการมากในสังคมโลก

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:24:32 )

590701

รายละเอียด

590701_เทศน์ก่อนฉัน ดินหนองแดนเหนือ ทานอย่างพรหม

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 1 ก.ค. 2559 คณะอาตมา มากันเป็นชุดเลย เขาเรียกว่าทัวร์พญาแร้ง คนไม่รู้เรื่องฟังแล้วก็ประหลาด ทัวร์เป็นภาษาฝรั่ง แปลว่าท่องเที่ยว ความจริงแล้วอาตมาไม่ได้ท่องเที่ยว เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว มาทำงาน จะใช้คำว่าทัวร์พญาแร้ง ก็ตาม คืออาตมาชอบใจแร้ง เกิดมาคนชิงชังเหม็นสาบแร้ง คนไม่ค่อยชอบหน้าทั้งที่แร้งนี้เป็นสัตว์สุภาพ ใจดี แข็งแรง สงบ เก็บสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ปราบ จัดการสิ่งเน่าเหม็นเสียหายให้แก่โลก เป็นสัตว์ที่ไม่ไปทำร้ายใคร คอยเก็บซากซพ กินเป็นอาหาร

แต่เป็นสัตว์ที่มีระเบียบ มีอะไรต่างๆที่ดี ที่คนน่าเอาอย่างเยอะ แต่คนก็รังเกียจ เห็นว่าเป็นสัตว์กินซากศพ แล้วมีกลิ่น

อาตมามาทำงานไม่ใช่มาเที่ยว เพื่อจะสาธยายสัจธรรม ความจริง อาตมารู้ตัวตั้งแต่เลิกทำงานทางโลก ทำงานโลกมา 36 ปีก็เลิกแบบฆราวาส ที่จะสร้างฐานะล่าโลกธรรม ก็หยุด ออกมาอยู่ในร่างนักบวช หยุดจริงๆ ไม่ใช่มาศึกษาฝึกฝนที่จะเป็นคนหยุด ล่าโลกธรรม หยุดเสพกาม เสพอัตตาแล้ว

โลก หรือโลกีย์คือคน หมายถึงว่าคนนี่แย่ง อยากได้ สะสมกอบโกยลาภ ยศ สรรเสริญ​แล้วหลงว่าเป็นความสุข เป็นโลกมาให้แก่ตน แล้วหลงว่าเป็นกาม เป็นอัตตา ได้มาสัมผัสเสียดสี สัมผัสทวาร 5 สมใจเป็นอุปาทาน ที่เราตั้งสเปคไว้ กำหนดว่า อย่างนี้ของเราชอบเป็นอุปาทาน สิ่งยึดติด เราได้อย่างนี้ก็ต้องกับที่เราเคยคิดเคยรู้เคยจำ ยึดถือว่า เรียกว่าอุปาทาน ก็เป็นสุข ได้เสพสัมผัสก็สุข สมกับอัตตา กับความคิดความรู้ความเห็น รวมทั้งความต้องการด้วย สมใจอยาก บำเรอใจโดยตรงก็เป็นสุข เป็นต้น

คนที่เป็นปุถุชนก็เท่านี้ มีชีวิตแย่งกันไปพยาบาทอาฆาตโกรธเคือง แก้แค้นสมบัติผลัดกันชม ถ้าทำอย่างสุภาพฉลาดเอาเปรียบไปโดยจำนนกันไป ถ้าไม่จำนนก็แย่งเถียงกัน ฟ้องกัน ฆ่ากันเลย มีเท่านั้นมนุษย์ น่าเบื่อ อาตมาออกมาบวช ปฏิบัติธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส ต้องมาปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างอาตมา

อาตมาอยู่ทางโลกมา 36 ปี บวชถึงปีนี้ 46 ปีแล้ว มากกว่าทางโลก 10 ปีแล้ว ไม่เคยคิดกลับไปทางโลกอีกเลย ให้กลับก็ไม่กลับ มีชีวิตทางนี้ทำงานฟรี รับใช้ปวงชน ทำงานเปิดเผยสัจธรรม ที่ประเสริฐจริงๆ เรียกว่าอาริยะ เขาใช้ภาษาสันสกฤติว่าเป็นอารยะ และเป็นบาลีว่า อาริยะ

คำว่าอารยะ กลายเป็นเรื่องเจริญโลกีย์ โลกธรรม อารยะกินความกว้างทั่วโลก ขอให้เจริญโลกีย์แบบสุจริตก็เท่านั้น เป็นอารยะแล้ว เสพก็ได้สวรรค์ดาวดึงส์ ได้ลาภมาเยอะ เสพเป็นสวรรค์ดาวดึงส์ ถ้าทุจริตก็เป็นนรก ก็แย่งกัน มีแย่งอย่างสุจริต ถ้าแย่งไม่สุจริตก็ต้องทุกข์ทรมาน

คำว่าจตุมหาราชิกา คือแย่งมันทั้งสี่ทิศเลย ได้มาโดยสุจริต จะด้วยวิธีใดๆ โดยไม่เกิดเรื่องทุจริตผิดกฏหมายผิดวัฒนธรรม ได้มาเสพสุขใจก็เรียกสภาพนี้ว่าดาวดึงส์

จาตุมหาราชนี่มันเลวร้ายไปเรื่อยๆ แทนที่จะได้มาโดยสุจริต จตุมหาราชนี้คือนักแย่ง ไม่ใช่นักสร้างนะ มีอาวุธแย่งคนอื่นให้คนอื่นให้ คนอื่นจำนน ถ้ายอมโดยสุจริตถือว่าให้เช่นกัน การทานนี่ถือว่าให้โดยสุจริต การให้โดยสุจริตหรือทาน นี่ ใจของผู้ที่จะให้ ใจเขาเป็นตัวตัดสินว่าควรให้ เขาก็ให้ ในจาตุมหาราช พยายามที่จะทำให้คนอื่นยอมให้ ทำอย่างไรก็แล้วแต่ โดยเขายอมให้ ถือว่าสุจริต เช่นนักเลง ถืออาวุธ แยกเขี้ยวยิงฟัน ไปข่มขู่จนเขาต้องยอมให้ พอจาตุมหาราชเจริญขึ้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม โดยเอาความดีมาโปะไว้ข้างนอก จะด้วยความดีงาม สุภาพเรียบร้อยก็ตาม การได้มาแบบนี้เป็นเทวดาชั้นสูงขึ้น แทนที่จะได้มาโดยหยาบคาย ฆ่าแกงมา ปล้นจี้มา แทนที่จะเลวอย่างนั้นก็ใช้ความฉลาด จะได้ของเขามาใช้วิธีการไม่แย่งให้เขายอมให้ อย่างยุคนี้เรียกว่าลัทธิทุนนิยม ให้เขายอมให้ด้วยวิธีการของสังคม ด้วยการค้าขายเล่นหุ้นเสี่ยงทาย ประกันชีวิต

ใช่เล่ห์เหลี่ยมส่วนที่เขาจะได้มา ไม่แย่งชิงเอาดื้อๆอย่างยุคเจงกิสข่าน อย่างนั้นหยาบทารุน ก็มาใช้เชิงฉลาดเฉโกแทน แต่ไม่ซื่อสัตย์ฉลาดโดยกิเลส ซึ่งไม่ใช่ปัญญา คำว่าเฉกานี้คนไม่ยอมรับ เพราะมันเลว แต่จริงๆคนเราทุกวันนี้ไม่ใช่อาริยะ แต่ใช้เฉกาได้มาทั้งนั้น โกงเขาด้วยเล่ห์เหลี่ยมได้มา

แต่ปัญญาคือความฉลาดที่ได้ปฏิบัติธรรมลดกิเลสเป็นผู้ยอมเป็นผู้ขาดทุนได้ ผู้ใดขาดทุนได้จะเป็นผู้มีชีวิตประเสริฐมีคุณค่า ชีวิตที่ดี ชีวิตที่เอาเปรียบคนอื่นเป็นชีวิตที่เลว

คนเราไม่ได้เข้าใจสัจธรรม ไม่ได้ตั้งใจฝึกเรียนแล้วปรับจิต ทำใจให้ยอมขาดทุน ยอมมีชีวิตเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ซึ่งดีกว่าไปแย่งเอาจากคนอื่น หัวใจของศาสนาก็อยู่ตรงนี้ ผู้มาเรียนรู้จิตใจเราที่มี DNA ต้นทุน เชื้อตระกูลที่จะเอาเปรียบ ไม่คิดจะเสียสละง่ายๆ ถ้าจะเสียสละก็ต้องได้เปรียบ เช่นถ้าเราจะทานก็ต้องตั้งเป้าไว้ว่าเราจะได้มายิ่งกว่านี้ ก็มีวิธีการหลอก ผู้หลอกที่จะได้ให้คนมาทาน มาบริจาคให้เรา โดยทำตนให้มีอำนาจ มีความวิเศษ ถ้าเผื่อว่าเอามาทำทานกับเรา กับอาตมา อาตมาจะบันดาลให้ได้กลับมายิ่งกว่าเก่า ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างคนชื่อธัมมชโย คนอื่นที่เขาไปทำทานนี้เขาเคารพเช่นนั้นจริงๆ เช่นคุณบุญชัยที่เขาบอกว่ามีวันนี้ได้เพราะหลวงพ่อ

วิธีการที่หลอกให้เขามาทำทานกับเราได้ โดยเอาวิมานมาหลอกคนอื่น ให้วาดหวังอนาคตว่าจะได้อะไรกลับมามากมาย โดยแท้จริงแล้วเราได้สิ่งที่เขาทานมาอย่างนี้เลวร้ายมาก

คนที่เสียเปรียบให้กับมนุษยชาตินี้เป็นคนเจริญ แต่คำว่าเสียเปรียบเป็นภาษาน่ากลัว แท้จริงคือเสียสละ เสียรู้ เสียเปรียบ ก็เป็นภาษาน่ากลัว แต่ก็คือการเสียสละนี่แหละ การเสียสละได้นี่คืออาริยะ

อารยะคือลัทธิแย่งลาภยศ ส่วนอริยะคืออธิบายว่านักบวชมาบวชแล้วจะบรรลุธรรม แต่ทุกวันนี้คำว่าอริยะ นี้เพี้ยนเป็นนอกลัทธิพุทธ เขามามักน้อยสันโดษได้ แต่เป็นแบบฤาษี ไม่แย่งชิงลาภยศสรรเสริญ แต่ไม่มีคุณค่าประโยชน์แก่สังคมเลย แต่ชาวอโศกที่มาอยู่ร่วมกัน อย่างดินหนองแดนเหนือมาอยู่รวมกันสร้างสรรได้ผลผลิตกินใช้ร่วมกันส่วนกลาง กลายเป็นผู้สร้างสรรไม่เอาเปรียบ ใครสร้างสรรได้มากก็เอาเข้ากองกลาง เรากินน้อยใช้น้อยไม่เปลือง ไม่ไปจ่ายกับอบายมุข ไม่ไปจ่ายกับเสพกามก็ลดลงๆ มีชีวิตใช้ปัจจัย 4 มีบริขารให้การงาน ไม่บำเรอกาม บำเรออัตตา

ไม่ว่าฆราวาสหรือนักบวช ปฏิบัติได้เช่นนี้คือการลดความโง่อวิชชาลง ส่วนคนไม่ได้ปฏิบัติลดละเช่นนี้ก็พาความเลวร้ายให้แก่สังคม เอาเปรียบโกงกัน จนศาลตัดสินไม่เคยหมดคดีเลย ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็มีแต่ความเลว ขึ้นศาลก็คือเพราะเลว จนต้องให้ศาลตัดสิน

ผู้ใดไม่มีคดี หรือรู้ว่าชีวิตตนสร้างสรรพึ่งตนเองได้ มีผลผลิต มีแรงงานขึ้นมา เพื่อคุ้มตัว คุ้มกับที่ตนเองต้องอาศัยกินใช้และมีเกิน เมื่อมีเกินก็แบ่งแจกเลี้ยงดูคนอื่น นอกจากในครอบครัวเลี้ยงได้แล้วก็เลี้ยงคนอื่นภายนอกไปด้วย

แต่ลึกๆแล้วแม้จะทำทาน ก็ไม่วายจะคิดว่า จะเป็นบุญ ทำให้ได้รับสิ่งตอบแทนมา ในอนาคต ยิ่งกว่านั้น ไม่ได้ลดใจโลภ ไม่ได้ลดตัวตน ยังอยากได้คืนมาให้แก่ตัวเอง แม้จะรอชาติหน้าก็ยังติดอยู่ เป็นอุปาทาน มีตัวกูของกูติดไปตลอด ใจลึกๆแม้ไม่นึกว่าจะเอาแต่สัญญามันทำงานโดยอัตโนมัติ อาจใช้คำว่าบุญ แต่แท้จริงคือกุศลดีงาม ที่ท่านเป็นกุศลก็เป็นของคุณ เรียกว่ากุศลโดยสัจจะ จะฝากไว้ในธนาคาร 5 บาทก็เป็นของคุณ จะมาทดแทนในอนาคต จะได้อาศัยเพราะคุณมีของคุณ ถ้าคุณทำไม่ดีก็เป็นวิบาก กรรมวิบากเป็นอจินไตย การทำทานบริจาคไม่ต้องตั้งจิตไปคิดนึกว่าชาติหน้าจะต้องได้คืนมาแน่ เป็นของคุณแน่กัมมัสกะ แต่ถ้าคุณไปซื้อของก็เอาของคนอื่นแทนก็หักลบกลบนี้ไป แต่ถ้าไม่เอาคืนมาก็เป็นของคุณอยู่แล้ว

การทำทานบางที่เขาก็สอนกันว่าจะเป็นสิ่งที่ได้มามากว่าเดิม บางทีเขาเรียกว่าเป็นเนื้อนาบุญ จะงอกมาหลายกว่าเดิม อย่างนั้นไม่ใช่เลย คุณมาทำทานกับอาตมา อาตมาไม่เก่งจะทำให้ข้าวของคุณงอกงามเป็นอีกหลายเมล็ดนั้นไม่ใช่เลย ทานไม่ได้ออกดอกออกผลเช่นนั้น

มีคนหลอกว่าทำทานกับผู้นี้จะบันดาลให้ข้าวเมล็ดเดียวจะงอกเป็นเมล็ดอีกนับไม่ถ้วน เหมือนทำทานกับคนนี้จะได้งอกเงยกับไปอีกเป็นร้อยพันหมื่นแสนเมล็ด ซึ่งผิดสัจธรรม ไม่มีความเป็นไปได้

คำว่าเนื้อนาบุญนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าทำทานเอาข้าวมาปลูกเมล็ดเดียวจะงอกเป็นกอ เป็นข้าวมากกว่าเดิมไม่ใช่ แต่หมายถึงว่าถ้าทำทานกับอาตมา อาตมาไม่อมเงินคุณไว้เป็นของตน ไม่เอาไปออกดอกผลด้วย แต่เอาไปทำกับคนอื่นโดยอาตมามีความสามารถใช้ในการสร้างอาศัยทางธรรม อาจใช้ซื้อสถานที่ อุปกรณ์สื่อสาร แล้วให้กระจายสื่อสารเป็นธรรมทานออกไปให้ได้มากๆ นี่คือเนื้อนาบุญ

แต่ถ้าคุณเอาข้าวไปปลูกในนาก็จะได้ข้าวคืนมาเยอะ แต่นี่อาตมาไม่ได้เอามาเป็นของตนแต่เอาไปทำประโยชน์ต่อไปอีก กับคนอีกมาก อาตมาจะไม่ใช้เงินที่เขาทำทานนี้ไปซื้ออาหารหรือยากิน แม้จะต้องตายก็ตามถ้าไม่ได้กินหรือได้ยานั้น อาตมาจะใช้เงินนี้เป็นประโยชน์ทางธรรม ที่จะมีสัปปายะ 4

มาดูทานสูตรกัน

ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมี ฯ

กับอีกคำถามที่ถามพพจ.ว่าทานแล้วมีผลมากมีอานิสงส์มาก ก็ต่างกัน

คำว่าผลนี้มีได้ในทุกกรรม เช่นทานให้ปืนกับโจรก็มีผล แต่เป็นผลชั่ว แต่ถ้าทานสิ่งนี้ (พ่อครูไอหลายที...บอกว่า ที่นี่เป็นที่สุดท้ายของทัวร์แล้วนะ อาตมาก็ต้องตะลอนไป)

พระอรหันต์นี่จบด้วยทาน อรหันต์คือผู้แจกธรรมทาน เป็นการให้ที่มีอานิสงส์สูงสุดคือ ให้ธรรมทาน อรหันต์มีหน้าที่ให้ธรรมทาน ในบารมี 10 ทัศ

ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะอธิษฐาน ก็เพื่อเสริมหนุนการทานให้จบ คนปฏิบัติบารมี 10 ทัศ คืออรหันต์ ชีวิตมีแต่ธรรมทาน ชีวิตมีเมตตา อุเบกขา ชีวิตมีแต่ให้อย่างเดียว อุเบกขาคือฐานพักหรือฐานบรรลุธรรมเป็นฐานนิพพาน ให้แล้วไม่มีเราไม่มีเขา ให้แล้วจบ ก่อนจะให้เราก็ว่าคนนี้ควรให้หรือไม่? ถ้าควรให้ก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ก็ไม่ให้ คนที่ไม่ควรให้นี้เยอะนะ ทานแล้วเสียของ ดีไม่ดีเหมือนโจรหัวโจกกับโจรหัวโจกทำร้ายกันเลย

ยกตัวอย่าง คนโง่ กับคนฉลาดโกงคือโจรหัวโจกทั้งคู่ คนโง่กับคนฉลาดโกงก็ทำพฤติกรรมเลวร้าย คนฉลาดหลอกนี่โง่นะ (คนฉลาดหลอกคนอื่น คือคนโง่ที่ยิ่งโง่) เหมือนสำนักหนึ่งที่ทำแก่กันและกันโดยนึกว่าดี นั่นคือเลวร้ายยิ่งกว่าโจรฆ่ากันก็รอบเดียว แต่นี่เขาทำชั่วไม่รู้กี่รอบ ตอนนี้เขาค้านกฏหมายประเทศเลย ให้มารับทราบข้อกล่าวหาก็ไม่ไป ศาลออกหมายเรียกก็ไม่ไป จนออกหมายจับก็ไม่ไป เห็นไหมว่าความโง่ ดันทุรังเลวร้ายซับซ้อนมากกี่ชั้น แล้วบอกว่าข้าบริสุทธิ์ พวกลิ่วล้อที่โง่ด้วยกันก็บอกว่าบริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์ก็ควรออกไปให้เขาพิสูจน์สิ แล้วมาบอกว่า รอให้ประเทศเป็นปชต.สมบูรณ์ก่อนอีก…

ขณะนี้ไปอ้างว่าไม่เชื่อใจศาล ไม่เชื่อใจการบริหารประเทศ คณะบริหารก็คณะหนึ่ง ศาลก็คณะหนึ่งเป็นสองในสถาบันหลักของประเทศแต่เขาไม่เชื่อ และไม่เชื่อศาลอีก ใหญ่กว่าศาล ส่วนสถาบันกษัตริย์เขาเชื่อหรือไม่ไม่รู้ แต่เขาไม่เชื่อตั้งสองสถาบัน คุณควรไปอยู่ประเทศอื่นแต่เขาไม่ไป เขาจะสร้างรัฐอิสระอยู่ในประเทศไทย นี่คือพฤติกรรมเขา ไม่ได้ใส่ความนะ อาตมาถือว่าเขาเข้าขั้นผีบุญ100% เขาไม่ฟังอำนาจศาล อำนาจบริหาร เขาใหญ่กว่าหมด

ลึกๆอาตมาว่าแม้แต่สถาบันที่สามเขาก็ไม่อะไร เพราะเขาไม่ได้แสดงความเคาพรอย่างชัดเจนทำเหมือนไม้กันหมา คนชนิดนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อสังคมประเทศมากเลย ต้องเปิดเผย ไม่เช่นนั้นประเทศแย่เลย เขาใช้วิธีสะกดจิต สะกดจิตไปสายสว่างหรือสายมืด

แวะออกมาเพื่อสำทับให้รู้ความถูกต้องความจริงกับกระแสสังคมตอนนี้

ทานที่ให้แล้วมีผล แต่ไม่มีหรือมีอานิสงส์ พระสารีบุตรมาถามพพจ.ว่ามีอยู่หรือ นัยละเอียดพวกนี้

พพจ.ว่า...ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมี ฯ

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทาน เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

อานิสงส์คือประโยชน์(โลกียะกับโลกุตระ)

. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(เป็นเทวดาปลอม) สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

ทำทานแบบนี้ธรรมกายถนัดนัก ว่ามาทำทานกับธรรมกายจะได้วิมานวิเศษมากกมาย ทำนายได้หมดอวดอุตริมนุสธรรมตลอด แล้วแก้ขวยว่านี่เป็นการศึกษา เป็นโรงเรียนฝันในฝัน ลืมตาแล้วหาวทีหนึ่งก่อนแล้วครูไม่ใหญ่ก็จะอธิบาย ใช้วาทกรรมเจตนาหลอกให้คนอื่นหลงเชื่อ ว่าตนรู้หมดสวรรค์นรก ทำทานอย่างไรมีอานิสงส์อย่างไรเพื่อคุณจะเจริญได้วิมาน อาตมายืนยันว่าเขาปั้นเอง แล้วมาบอกคนอื่นว่าฉันนี้แสนรู้ แม้แต่พพจ.ตายไปแล้วอยู่ในพุทธเกษตรเขาก็ไปถวายข้าวพพจ.ได้ คนก็เชื่อ แล้วถูกสะกดจิต มาให้นั่งทำจิตให้เบาว่างแล้วสะกดจิต อาตมาเคยเรียนรู้มาแล้วทำได้ด้วย การสะกดจิตนี้ทำฤทธิ์เดชได้สารพัด คนไม่ไข้ไม่ป่วยก็สะกดจิตตนให้ไข้ให้ป่วยได้ ไปหาหมอก็ตรวจหาเหตุไม่เจอ แต่เจ็บจริง

การตั้งจิตไว้หวังในทาน สะสมสั่งสมเป็นตัวกูของกู จนมั่นหมายเสวยผลผูกพันเป็นของกูไม่พรากจากเลย นี่คือการตั้งจิตไว้ผิด

. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(เป็นเทวดาปลอม) สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

 

 

สวรรค์มี 6 ชั้น จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรินิมมินตวสวัตตี สววรค์ถือภพชาติ ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องมาล้างภพชาติ หากหลงสวรรค์ก็ต้องวนเวียนเกิดดับเป็นเทวดาตกนรก ขึ้นสวรรค์ไปเรื่อยๆ จนมาลดความเป็นเทวดาไปได้เป็นลำดับก็จะสิ้นภพจบขาติได้เป็นลำดับ

ไม่ใช่ว่าทำทานแล้วจะได้วิมานในอนาคต สั่งสมผูกพัน ตั้งมั่นไว้ สอนแต่เป็นตัวกูของกูทั้งนั้นเลย ค้านแย้งกับศาสนาพพจ.

 

 

. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ทำทานแบบนี้ดีกว่าแบบแรก เพราะไม่ตั้งจิตหวังผลอะไรกลับมา ทำทานเพราะว่าเห็นเป็นส่ิงดี ทานแบบนี้ถือว่าจิตว่างจากตัวตน ไม่หวังไม่สั่งสมไม่ผูกพันไว้

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อนคือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษีวาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ (ฤาษีเหล่านี้ก็คืออรหันต์ทั้งหลายนั่นเอง)

           ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส (จิตฺต ปสีทติ อตฺตมนตาโสมนสฺส) เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ (ชั้นนี้เรียกแบบโลกๆว่า ฉลาดสุด แต่ว่าเรียกแบบธรรมะว่า โง่ที่สุด)

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง) เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

จบสูตรที่ 9

ถ้าไม่มุ่งหวัง ไม่มีผลผูกพันในทาน ไม่สั่งสมจิตต่างๆว่าตายไปจะมีภพชาติให้ได้เสวย ถ้าคนอย่างนี้เป็นพรหมแต่ถึงแม้เป็นพรหมก็ยังมีภพเป็นสวรรค์ซ้อน ดีนะที่คุณไม่ตั้งจิตแบบนั้น คุณส่วนใหญ่ทำทานแล้วตั้งภพไหม ผูกพันไหม สั่งสมไหม ทำแล้วจะได้รับภายหน้า ตายไปจะได้รับผล คนยังมีจิตนี้เมื่อมาทำทานแล้วคุณก็ยังไม่ได้ทิ้งอันนี้

คุณแย่งมาได้ก็เอามาเสพสุข เสพแล้วก็อยากได้ได้อยู่นานๆ คุณอยากอันใดคุณทุกข์อันนั้น จะต้องไปเป็นจตุมหาราชิกาแย่งชิงมาทั้งนั้น ถ้าทุจริตแรงก็บาปหนัก ไม่แรงก็เอาของเขา แต่ไม่ได้ให้ ไม่ได้ทาน เราทำของเราได้โดยสุจริต เราสร้างเราผลิตเราได้เราก็ไม่เบียดเบียนใครเลี่ยงตนรอด เหลือก็เอาไปให้ทานเอาไปแจกจ่ายผู้อื่น อย่างนี้เป็นทานสุจริต ไม่หวังอะไร ทำแล้วได้เลย

อย่างอาตมาเทศน์เป็นงาน คนอื่นจะทำงานก็ตีราคาอย่างสื่อสารไม่ได้ปลูกข้าวแต่ก็ทำงานอื่นถัวกันไป

สรุปแล้วลึกซึ้งมาก ชีวิตมีทาน แล้วชีวิตฝึกกันทานนี่แหละคุณจะเป็นอรหันต์หรือเป็นพระพรหม....

ตอนนี้เห็นพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตา ทำอย่างไรดินหนองแดนเหนือจะมีประชากรมาเท่านี้หนอ ที่นี่เป็นสถานที่สัปปายะ มีธรรมชาติที่ดีมาก เราก็สามารถเอามาทำเป็นอาหารเป็นยา มีวัตถุดิบเยอะ มีต้นยางเป็นทิวแถว ระยะเวลาเกือบ 30 ปี น่าจะมาอยู่มาบูรณะ ตอนนี้สังคมต้องการ เศรษฐกิจสังคมชุมชนพอเพียง ที่คนทั้งโลกเร่ิมขานรับแล้ว อาตมามีหนังสือ Sufficiency Thinking เขารวบรวมสิ่งจริงในเมืองไทยออกมา แต่ไม่ระบุตรงๆว่าของอโศกมีอย่างนั้นอย่างนี้แต่เนื้อหาความเป็นไปเหมือนชาวอโศกทำ

สรุปแล้ว ถ้าชาวอโศกเห็นความสำคัญในความสำคัญว่ามาทางนี้จะตัดภพชาติตัดหนี้บาปหนี้เวรภัยจริงๆ มาพึ่งตนเองรอดแล้วพึ่งพวกเราพึ่งสาธารณโภคี เราไม่ไปเป็นหนี้สินทางโน้น ทุกวันนี้อโศกเราไม่เป็นหนี้ธนาคารหรือที่อื่น เราสามารถเกื้อกันได้ เราทำได้เป็นสาธารณโภคีนี้สุดยอด ทำอย่างไรพวกคุณจะมีใจมีปัญญาถึงที่จะมารังสรรวิถีชีวิตดำเนินชีวิตแบบนี้ ใครไม่ใครก็อ.ชูชาติเมื่อไหร่จะมาก่อน อ.อรพิณด้วย พอเสียที ได้แต่หวงแหนต้นไม้ไว้ ก็เป็นเสนาสนสัปปายะ มาให้คนมาอยู่เป็นบุคคลสัปปายะ สร้างอาหารสัปปายะ ให้มีธรรมะสัปปายะ ใครมาก่อนก็ทำก่อน สร้างสรรรังสรรไปเหมือนชุมชนอโศกต่างๆ ให้มีปริมาณคุณภาพดีขึ้น สังคมต้องการมาก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นDemand ที่ต้องการมากในสังคมโลก

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:25:16 )

590702

รายละเอียด

590702_พ่อครูเอื้อไออุ่นชาวดินหนองแดนเหนือ

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 2 ก.ค. 2559 อาตมาก็เทศน์เป็นกัณฑ์สุดท้ายที่ดินหนองแดนเหนือนี่ ที่นี่อายุ 33 ปีแล้ว มาถึงวันนี้แล้วต้นไม้ต้นไร่สวยงามมาก อาตมาอยากจะให้เป็นย่านของ ชนบทเดิมที่รุ่งเรือง หมายความว่าอย่างไร?

          เราพยายามโน้มเน้นสู่โบราณ เราต้องพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นแบบโบราณ นวทัศน์ เก่าสมัย ใหม่เสมอ โบราณเก่าแต่ความคิดความรู้ใหม่เทคโนโลยีใหม่ เราใช้ตามเหมาะควร สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 มหาปเทสขึ้นอยู่กับกาละเวลา ไม่มีอะไรเที่ยง มันปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงผสมผสานกันตลอดกาล เรามีหลักของพระพุทธเจ้าแล้วต้องฝึกฝนปฏิบัติจริง

          เราชาวอโศกเรากำลังจะเป็นหลักเป็นแก่นแก่ชาวโลก เป็นตัวอย่างให้กับชาวโลก เพื่อโลกจะได้พัฒนาแต่ละถิ่นที่ตามแกนหลักทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจะเจริญ ไปสูงสุดแล้วจะค่อยลดลงหายไปตามกาล

          ธรรมชาติของสัตว์ต้องพึ่งพา ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่พึ่งสิ่งเทคนิคมากกว่า แต่แน่นอนเทคนิคปรุงแต่งเป็นเครื่องกล คอมฯ เขาก็จะเอามาใช้เพิ่มอีก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นกับแกนที่อยู่กับดิน น้ำ ไฟ ลม

          ดินหนองแดนเหนือได้ลงหลักปักรากแล้ว ที่นี่มีต้นไม้ที่ใหญ่ที่อื่นไล่ไม่ทัน เก็บเห็ดเก็บหน่อไม้ เก็บพืชพันธุ์ได้ตลอดปี ป่าอย่างนี้จะมีพืชหัวอยู่ได้อย่างดีไม่ต้องปลูกก็มี มันมีปุ๋ยในตัวของมันเองแล้ว ถ้ามันขาดเราก็มีจ้าวเจ๋ง เรามีพืชพันธ์มีสัตว์ที่อยู่อาศัยเป็นระบบนิเวศน์ นี่ก็ช่างสื่อสารเราถูกต่อยเอาแล้ว แมงป่องช้างตัวดำเมี่ยม ต่อยเจ็บหนักเลยได้ จะมีสัตว์พิษร้ายก็ต้องระวัง สัตว์พวกเสือสิงห์ไม่มาง่ายๆหรอก นอกนั้นได้อาศัยมันเลย เราจะทำน้ำปั่นขาย นี่อุทยานบุญนิยมขายวันละเป็นหมื่นเลย เราไม่ได้ขายแพงด้วย ถ้ามีแรงทำ จะแปรรูปก็เอาจากพืชพันธุ์ธัญญาหารเราทำ เป็นความรู้แบบพื้นบ้าน

          ถ้ารวมตัวกันเป็นสาธารณโภคีที่เป็นหลักใหญ่ของมนุษยชาติ ยุคนี้ปัญญามันถึงแล้ว ทีนี้มวลคนกับเจโต กับสิ่งที่ต้องการ คนมีความต้องการสิ่งที่ดีที่สุด คนต้องการเช่นนั้น คนจะมีปฏิภาณรู้ว่าอะไรเลิศประเสริฐดีสุด เขาจะต้องมาช่วยหรือจะมารวมมวลกัน ไม่ต้องกลัวหรอก มีแต่คนดีมีปัญญาเข้ามา คนไม่ดีไม่มีปัญญาเข้ามาไม่ได้หรอก ต้องมีปัญญาและกำลังใจเพียงพอ หากไม่พอทนไม่ไหวหรอก มีแต่เจโตทน แต่ปัญญาไม่ได้สุดท้ายก็กระเด็นออก แต่คนหนักแน่น เจโตมีปัญญาจะไม่ค่อยออก แต่ปัญญาขาดเจโตจะไม่ค่อยทน อยู่ไม่นาน

          ตอนนี้ทั้งการเมืองสังคมเศรษฐกิจต้องการ เศรษฐกิจอย่างเราทุกคนมีจิตล้างกิเลสไม่เห็นแก่ตัวไม่มักได้ไม่มักมาก ไม่กอบโกยแก่ตัวไม่สะสมก็จะเป็นพลังงานรวม ทรัพย์สินรวม แล้วเราก็เอามาใช้ เราทำตัวกินน้อยใช้น้อยทำงานมาก มีสมรรถนะ มีแต่ตัวสร้างสรร แล้วแจกจ่ายเจือจานไม่ผลาญทำลาย

          พวกเราได้รับการฝึกฝนเป็นตัวจริงได้ก่อน พยายามหน่อย ให้ตายไปเลยสักชาติได้ไหม ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาสักชาติ ถ้าชาตินี้ไม่ได้ดี ชาติหน้าไม่ต้องมา ถ้าเรากัดใจสู้กับกิเลสจริงๆ กิเลสสู้คนไม่ได้หรอก กิเลสมันตายก่อน อย่ากลัวมันเลยกิเลส ตอนนี้ช้าไม่ได้แล้ว อาตมาก็ต้องพัฒนาให้เก่งขึ้นอีก เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องชี้เอาเลย เป็นเอาเลยไม่ได้ มีแต่ให้ตัวเราเองเป็นผู้รู้แล้วต้องฝึกพัฒนาตน รู้แล้วไม่ฝึกเป็นไม่ได้ แต่รู้แล้วต้องฝึก

          ที่นี่เสนาสนสัปปายะได้แล้ว ที่ปฐมอโศกตอนนี้ก็ประมาณร้อยกว่าไร่ เร่ิมต้นทีแรก 45 ไร่ ตอนนี้ได้ร้อยกว่าไร่ ไม่ถึงที่นี่ ทุกวันนี้ก็ดินไม่ดี ทำกสิกรรมไม่รอด ต้องไปซื้อนาแรงรัก เนินพอกินที่ กาญจนบุรี ที่นครปฐมขี้หมูมากทำกสิกรรมไม่ขึ้น กลายเป็นที่ผลิตปุ๋ยเลย ได้ปุ๋ยกับโรงงานยาเป็นอุตสาหกรรมหลัก

          ที่นี่เอาพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักเลย มีป่าเบญจพรรณใช้สอย เราจะพัฒนาวิสาหกิจขึ้นมา เราไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แล้วเราเอามาใช้พอสมควร จะได้เป็นตัวอย่างเป็นโมเดลของสังคมเขา เขาต้องอาศัยการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้ไหม เช่นว่าคนมาจน นี่เป็นไปได้ไหม คนไม่เอาเงินเดือน ทำเข้ากองกลางหมดเลย ทำได้ไง เขาไม่เชื่อ แต่เราพิสูจน์ให้ดูแล้ว คุณทำไม่ได้เพราะว่าคุณต่ำ แต่คนเจริญกว่าทำได้ เราก็ต้องทำยืนยันพิสูจน์

          อย่าไปติดมันนักเลย โลกธรรม ความอร่อยข้างนอก อย่างไรต้องมาล้างสู่นิพพานอยู่แล้วมาถึงขั้นนี้แล้วไม่อย่างนั้นก็เสียเวลา เราเข้ามาเสนาสนสัปปายะแล้ว ต้องการบุคคล สามอาหาร นี่มันรวมหมดทั้งอาหารที่กินเข้าไป อาหารใช้สอย อาศัยกิน ใช้ องค์ประกอบ อย่างโทรทัศน์นี่อาศัยเป็นประกอบ สื่อ ไม่ได้ใช้กิน แต่ก็คืออาหารชนิดหนึ่ง และสี่ธรรมะ เป็นสัปปายะที่สี่

          พวกคุณมั่นใจไหมว่าอาตมาเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้ามีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เอามาสืบทอดสืบสาน อาตมาบอกแล้วว่าเป็น สมณ.....

        ใครประกาศโลกนี้โลกหน้าก่อนอาตมาในชาตินี้ให้เข้าใจว่าโลกนี้ต่างจากโลกหน้าอย่างไร แล้วเราจะเข้าสู่มนุษย์โลกุตระอย่างไร โสดาบันเป็นอย่างไร สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์เป็นอย่างไร ใครอธิบายได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนพวกเราทำตามได้ ใครมาก่อน ใครทำ มันไม่มีอะไรปิดบังหรือเลี่ยงโป้ปดมดเท็จได้ มั่นใจแล้วพากเพียรเถิด ที่สุดแล้วพวกเรามาทางนี้แล้วใครจะถอยก็เสียเวลา

          คนที่เข้ากระแสธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นโสดาบัน ถอยได้ แต่ถอยไม่เกินเจ็ดครั้ง เชื้อของพระพุทธเจ้าเป็นเชื้อที่ไม่ถอย แม้เป็นโสดาบันแล้ว จะอยู่กับหมู่ไม่ได้ถอยออกเข้าก็ไม่เกินเจ็ดครั้งหรอก พวกเราอย่าเสียเวลาเหนื่อยเลย ออกไปหนึ่งครั้งก็มีวิบากอีก ไปสร้างวิบากใหม่อีก ใช้วิบากเก่าอีก พูดแล้วเมื่อย อย่าประมาท ตั้งตนบนความลำบากกุศลกรรมเจริญยิ่ง

          นัยของพระพุทธเจ้าที่ตรัสมีแต่ให้สู้ให้ทนมีขันติ ไม่ใช่ต้องอยากสบายเอาแต่ใจได้ บำเรอ ตั้งตนบนความสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง ก็เป็นแนวโน้มเช่นนี้ ตอนนี้ก็ขอบอกไว้ว่าพวกเราต้องเร่งรัดพัฒนา อาตมาเห็นแล้วว่าพวกเราต้องพัฒนาอีก

          นายกฯตู่ก็เห็นว่าแข็งขันดี เป็นเผด็จการปชต.ที่ยิ่งใหญ่ ความจริงปชต.คือเพื่อปชช. หนึ่งไม่ใช่เพื่อเรา สองไม่ใช่เพื่อญาติ สามไม่ใช่เพื่อพรรคพวก สี่ไม่ใช่เพื่ออื่นใดแต่เพื่อปชช.ตรงๆเลย ใช้ปัญญาดูว่านี่เพื่อปชช.จริงๆ ที่ไม่ได้กำหนดว่านี่คนของเราๆ อันนี้เป็นปชต.แล้วตัดสินเลย แม้เป็นเผด็จการก็ตาม ในสมัยจอมพล.สฤษดิ์ ใช้ม.77 ฆ่าคนไปเยอะเลย มายุคนี้ ม.44 มีอำนาจเหมือนจอมพล.สฤษดิ์ แต่คุณประยุทธ์ไม่ได้ใช้อำนาจแบบนั้นเลย แต่ใช้อย่างดีมีธรรมะ ดีมากเลย ไม่ใช้อำมหิตโหดร้าย ไม่เผื่อแผ่ แต่เผื่อพอ ใช้สัปปุริสธรรมดีมากเลย คราวนี้จะได้การสร้างสังคมการเมืองเศรษฐกิจที่จะเป็นตัวอย่างให้โลก

          โลกยุคต่อไปจะไม่แตกระแหงมากหรอกมีแต่จะมารวมกันพาเจริญ ไปจนกว่าสองพันกว่าปี อาตมาก็กะว่าอีกห้าร้อยกว่าปีจะเจริญเต็มที่จากนั้นก็จะเสื่อมไปเรื่อยๆ กลียุคในที่สุดได้ จับหญ้ามาก็เป็นดาบ จับกิ่งไม้มาก็เป็นปืน เป็นพลังงานนาโนที่ไม่ต้องใช้สายเลยก็จะมี เราถึงเวลาวาระอันนี้แล้วอย่าช้าเลย เราจะทำได้หลายอย่าง กว้างกว่าปฐมอโศกที่ทำขึ้นมา ศีรษะอโศกก็จะทำขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนราชธานีอโศก จะเป็นองค์รวมที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสร้างดิสนีย์แลนด์มา เป็น คอมเพลกซ์ที่จะมารวมไว้ตรงนั้น

          สรุปแล้วชาวอุดรไม่ต้องดิ้นรนมาก พอใจที่นี่ ทางศีรษะอโศกจะมีโรงงานมากกว่าที่นี่ ตอนนี้มีผลิตน้ำหมัก มีแคปซูล เราจะเกาะกับธรรมชาติไม่เหินฟ้าเอาเคมี เพื่อให้มนุษย์อาศัย ไม่เพ้อฝันที่ทำแบบเคมีเทคโนโลย์ที่พิษภัยซ้อนน้อย แต่ธรรมชาตินี้พิษภัยน้อย เรามีสถานที่แล้วพอ แต่บุคคลยังไม่พอ ผู้มีปัญญาสมรรถนะยังมี แต่ละคนเต็มใจเข้ามาอยู่แล้ว แรงงานเราของฟรี สาธารณโภคี เรื่องนี้เรื่องจริง สิ่งเหล่านี้จะสะดวก

          ที่นี่ถ้าตื่นตัว เข้าใจร่วมกัน ปีนี้เพิ่งจะเดือนเจ็ด อีกห้าเดือนจะหมดปี อาตมาจะดูซิว่าดินหนองแดนเหนือ หนองมันจะอักเสบหรือหนองจะหาย ถ้าหนองมันหายจะเป็นแดนเหนือเลยนะ แต่ถ้าหนองมันมากขึ้นจะเป็นเน่าเลยนะ แดนเน่าเลยไม่แดนเหนือ ดินหนองแดนเน่าเลยทีนี้หมดท่าเลย จะดูสิอีกห้าเดือน เตรียมตัวมารื้อเสาบ้านมา ขนของมาอย่าช้า

          ในทฤษฏีการงานของอาตมามีคนดีเป็นอันแรกเลยเป็นอาริยะ มีความรู้มีขยันขันแข็งสมรรถนะ ต่อมาก็มีงานที่ดี นี่แหละ อาตมากำลังแนะงานดีให้ทำ งานดีแล้วก็ศึกษาฝึกฝนวิจัยเกิดความรู้ความสามารถที่ดีไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อนั้นแหละเราสร้างผลิตก็มีโอกาสเวลาให้ทำ เพราะช่วงนี้โลกแสวงหาสิ่งที่ดี ตั้งแต่คนดี งานดีของดี เราก็มีความสามารถแบบของเรา วิทยาลัยเราก็จะเกิดต่อไป

          ถ้าเรามั่นใจว่ามาทางนิพพานนี้ประเสริฐก็มาเลย แต่ถ้าพวกวอกแวกไม่แน่ใจก็ไล่ส่งให้ไปที่ชอบๆเลย ถ้าชอบมาทางนี้ก็มาเลย มีเท่าไหร่มา ขอให้เป็นคนจริง ไม่ห่วงปริมาณ หากไม่มีคุณภาพ มามากแล้วทำลายเลย แต่ต้องการคุณภาพ มีคุณภาพแล้วอาศัยได้ตลอดกาลนาน เมื่อเราสามารถเรียนรู้ ไม่ว่าจะส่ิงแวดล้อมภายนอก

          ทางด้านใจของเรา เรามาสร้างสรรเรามีฉันทะ พระพุทธเจ้าตรัสมูลสูตร 10 เอาไว้ เป็นแกนหลัก 1 มีฉันทะ มีความยินดีพอใจ เป็นต้นเค้าเลย เราพอใจยินดีอันนี้อย่างมั่นคงไม่แปรปรวนเป็นอื่นเลย มีฉันทะ แล้วเราก็ต้องมาเรียนรู้เป็นมนสิการ คือเราต้องมาทำใจในใจ ทำให้เป็น เราทำกายกรรมง่าย หยาบ ฝึกได้ง่าย แต่ทำใจนี่ละเอียดจะไปแก้ไขพลังงานต้นราก ถ้าเป็นชีวะก็เป็น DNA หรือทางฟิสิกส์ หรือภาษาพระพุทธเจ้าว่าเป็น กลละ อัมพุทะ เปสิ

          ธาตุที่เล็กคือ oxygen ต้องแยกตัวดีกับไม่ดี เอาแต่ตัวดี เอา 1 จะมีตัวแทรกแซง จึงเกิด Deoxy กับ Dioxy เราต้องแยกสองให้เหลือ 1 จึงเกิดความเล็กเรียกว่า Ribonucleic เป็นตัวเล็กที่สุดที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายไม่แน่นอน

          เราจะศึกษาแล้วก็ได้ภูมิรู้ความสามารถของเราไปได้สูงสุดเป็นอรหันต์ สามารถแตกสลายธาตุของตนเลย ปรินิพพานได้เลย พลังงานก็สลายไม่มาเป็นอัตภาพอีก แต่ถ้าอยากศึกษาต่ออีก จนถึงเป็นพระพุทธเจ้าก็ตั้งหน้าตั้งตาพิสูจน์ไป อย่างอาตมา แม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาต้องสู้ แม้มีวิบาก อย่างอาตมาไอ มีปวดจี๊ดบ้าง ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อแล้วแต่วิบากใคร

          ต้องศึกษาทำใจในใจให้เป็น แล้วต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีผัสสะไม่ครบสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ การไปนั่งหลับตาสมาธิไปไม่ไกลหรอก ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่เป็นธรรมะสอง ไม่มีปัญญาความรู้ที่จะบรรลุได้ ขนาดวิทยาศาสต์ทางโลกยังมีธรรมะสองเลย ฟิชชั่นฟิวชั่นต้องทำงานรวมกันขืนแยกไปก็สลายหมด ต้องมีผัสสะจึงปฏิบัติได้

          เมื่อมีผัสสะจึงเกิดเวทนา เวทนานี่คือตัวร้ายเลยของสัตว์โลก ตั้งแต่อเวไนยสัตว์นี้จะพัฒนาโลกุตระไม่ได้แต่เวไนยสัตว์ถึงปฏิบัติโลกุตระได้ แล้วปฏิบัติเวทนา 108ได้

          เวทนา 2 3 5 เวทนา 5 นี้เป็นน้ำหนัก ภายนอกภายในแล้วมีตัวกลางเป็นอุเบกขา ถ้าแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะเวทนาไม่ได้ไม่มีสิทธิ์ไปนิพพาน ถ้าแยกความต่างลิงค ของสองอันนี้ได้ก็มีสิทธิ์ทำใจลดโลกโลกีย์ได้จนจบ จบแล้วก็ทบทวนอีก ทำซ้อนจากปัจจุบัน ให้อเนญชาภิสังขารเพื่อให้สมบูรณ์แบบเรียกว่าเวทนา 108

          สติเป็นกำลัง(อธิปไตย) ปัญญาเป็นยิ่ง(อุตระ)ช่วยกัน ให้สัมมาทิฏฐิเป็นประธานทำงานได้อย่างดี

          ในเทวดา 6 จตุมหาราชก็มีความโลภ แย่งชิงเขามาได้มากมีอาวุธตามสมัยใช้ได้มาแล้วมาเสพเป็นดาวดึงส์อยากให้นานเป็นยามาแล้วก็พักยกดุสิตแล้วก็หาเสพใหม่ ได้มากๆก็เหมือนเนรมิตได้เองเลยนิมมานรดี แล้วก็เก่งมีบารมี คนอื่นหาให้เลยเป็นปรนิมมิตวสวัตตี ทั้งหมดนี้เทวดาวนเวียนเป็นเทวดาเก๊ ก็ต้องหยุดพัก หยุดที่ดุสิต แต่ว่าหยุดพักแบบโลกๆก็พักตามธรรมดา แต่เราต้องทำให้หยุดแบบเนกขัมสิตอุเบกขาเป็นดุสิตโลกุตระที่สร้างเองจึงเจริญ เมื่อเป็นดุสิตเทวราชเป็นเทวราชโลกุตระ อาริยะ จึงจะมีนิมมานรดีอย่างโลกุตระ มีปรนิมมิตวสวัตตีอย่างโลกุตระ จะเจริญในทางสร้างเอง นิมมานรดีนี้ทำอะไรด้วยตนเองให้ยิ่งใหญ่ได้ ส่วนปรนิมฯจะสร้างเองก็ได้หรือคนอื่นจะมาสร้างให้ได้อย่างง่ายดายกว่านิมมานรดี

          แต่ถ้านิมมานรดีหรือปรนิมฯอย่างโลกีย์ก็สร้างเองได้แต่เลวร้ายวนเวียน แต่โลกุตระไม่วนเวียน เพราะได้ล้างเทวดาเก๊ตั้งแต่จตุมหาราชิกา เราทิ้งได้เลยแต่มีดาวดึงส์ยามาดุสิต เป็นสภาพธรรมะสองของแต่ละอันๆ

          ถ้าคนเรามีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่มีโทษภัยกับใครแล้วเป็นสุดยอดแล้วของมนุษย์

          วันนี้มาขยายความอะไรต่างๆนานา ยังไม่ได้ขยายความมากขนาดนี้ ดินหนองแดเหนือ อย่าให้เป็นดินเน่าแดนเหนือนะที่นี่หนองน้ำมีก็อาศัยกับหนองน้ำ อย่างราชธานีอโศกต้นไม้มีน้อยกว่านี้ แต่มีน้ำเยอะ ที่นี่น้ำก็ใช้น้ำหนองทำให้ดีให้เจริญ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจ ลุย...จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:25:45 )

590703

รายละเอียด

590703_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก จาริกต่างจากธุดงค์หรือไม่อย่างไร

พ่อครูว่า อาตมาก็กลับมาจากจาริกไปอีสานเหนือ จาริกคือสรรจรท่องไป ไม่ได้ทัวร์นะ ทัวร์คือเที่ยวเพลิดเพลิน แต่นี่ไปทำงานมา 4 จังหวัด ก็ไปเผยแพร่ให้คนที่ต้องการได้ธรรมะ เป็นงานที่อาตมาลาจากทางโลกมาที่เคยล่าโลกธรรมใส่ตน มา 36 ปีก็พอเลิก มาทำงานทางนี้มา 46 ปีแล้ว มั่นใจว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ในพระไตรฯล4.ข.32

วันนี้จะขยายความคำว่าจาริกกับธุดงค์กัน

          เรื่องพ้นจากบ่วง

[32] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก  เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป(เทฺว   อคมิตฺถ   เทเสถ) 

จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลางงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลศในจักษุน้อย  มีอยู่  เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม  จักมี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม.

                   เรื่องพ้นจากบ่วง จบ.

 

อาตมามาแก้ทิฏฐิที่ผิดเพี้ยนไปเข้าใจว่า ต้องปฏิบัติธรรมในป่า หรืออาจารย์ต้องอยู่ในป่า อรหันต์ต้องอยู่ป่า อันนี้เป็นความผิดความเสื่อมของศาสนาพุทธชัดๆ ทุกวันนี้เขาเข้าใจว่าพระบรรลุต้องอยู่ป่า พระเมืองไม่มีบรรลุ ซึ่งพระอยู่ป่าคือฤาษี แต่ดั้งเดิมก็เข้าใจผิดว่าปฏิบัติจะบรรลุต้องเข้าป่า พระพุทธเจ้าก็เคยสารภาพว่าเข้าป่า 6 ปี ไปผิดทาง แต่ท่านมีภูมิเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้ปฏิบัติอะไร 6 ปีคือไปใช้หนี้วิบาก แท้จริงศาสนาพุทธปฏิบัติอยู่ในเมืองกับผู้คน แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ แต่นี่ปฏิบัติอย่างฤาษี ซึ่งคนละลัทธิกับพุทธเลย อาตมาพูดมานี้ 46 ปีแล้วก็เหนื่อยที่ต้องพูด แต่ก็ต้องยืนยันตามพระไตรปิฎก

อาตมา

คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดินเลย การแปลว่าเดินป่านั่นเป็นการแปลผิดจากพระพุทธเจ้า ธุดงค์คือองค์คุณของการตัดกิเลส  ไม่ได้แปลว่าเดินเลย มาทำเต๊ะท่า ดรามาติก เอากลีบกุหลาบดาวรวยแอคอาร์ทเต๊ะท่า เดินแบกกลดไปนี่ มันยอดนักลิเกละครทรงเครื่องเลย นอกรีตนอกราวไม่ได้เข้าใจเลย เอาความศรัทธาของคนไม่รู้มาทำ จนคนๆหนึ่งที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของศาสนาเลย บอกว่าได้เดินบนกลีบดอกไม้นี่ชื่นใจจัง คนที่ได้รับการยกว่าจะเป็นหัวของศาสนาพุทธเลย แต่ไม่เข้าใจศีลแม้ ศีล 8 มาลาคันธวิเลปนฯ พูดไปเหมือนกว่าเขา เขาก็เอาความผิดมาทับถมศาสนาแล้วก็มาพูดว่าถูกอีก อาตมาก็ต้องพยายามพูดเพื่อความถูกต้อง ถ้าเห็นว่าอาตมาพูดผิดก็เอาหลักฐานมายืนยัน อาตมาเอาหลักฐานจากพระไตรฯ แม้อรรถกถาอาตมายังไม่เอาแต่ไม่ใช่ว่าอรรถกถานี้ผิดหมดนะ แต่ก็มีดีและไม่ดีไม่ถูกก็มี อาตมาไม่ต้องใช้อรรถกถา

มาต่อ

แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก

มีสุขที่ใดทุกข์อยู่ที่นั่น ถ้าหมดเหตุก็หมดทุกข์หมดสุขเป็นอทุกขมสุขเป็นฐานนิพพาน อารมณ์อาการอุเบกขาเวทนาเป็นฐานนิพพาน ผู้ใดทำจิตให้ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นสวรรค์หรือนรกได้ก็ไปใกล้นิพพานเท่านั้นให้แข็งแรงตั้งมั่นเป็นผลสำเร็จสมาหิตัง เมื่อสำเร็จแล้วจึงเป็นผู้เที่ยวจาริกเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ผู้จะมีสิทธิ์เที่ยวจาริกไปทำงานก็คือผู้ปฏิบัติจบแล้ว ถ้ายังไม่เป็นผลอย่าอุตริเป็นผู้จาริกไป เพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แก่ใครอย่าอวดดีอย่าผยองนัก จงปฏิบัติพากเพียรไป

จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลางงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลศในจักษุน้อย  มีอยู่  เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม  จักมี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม.

คนไม่มีความรู้จริงไม่รู้แท้ ส่งไปคนเขาซักตรงนั้นตรงนี้ ไม่รู้แต่ต้องการรักษาหน้าก็จะอธิบายไปตามประสา ผิดเพี้ยนไป ไม่มีความจริงของตน อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ถามสิกว่าธรรมฑูตที่ส่งไป โสดาบันได้หรือยัง สกิทาฯอนาคาฯได้หรือยัง ไม่ได้แล้วไปเผยแพร่ ทุกวันนี้อยากได้มากใหญ่กว้าง แต่ไม่ได้แก่นแท้ของศาสนาพุทธ

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า จรถ ภิกขเว คำว่าจรถะคือการเดินออกไป จะเดินเที่ยวไปเผยแพร่ต้องเป็นผู้ที่บรรลุแล้ว ยังไม่บรรลุอย่าเที่ยวได้ไปเผยแพร่ศาสนา เมื่อไม่มีบรรลุธรรมจริง ได้แต่อ่านแต่ท่อง พอเวลาเขาซักถามต่างจากคำแปลที่ตนเข้าใจก็ต้องขยายความเอาเอง ก็ต้องขยายตามทิฏฐิตามประสาตนที่คิดว่าถูกว่าดีนี่แหละคือการทำลายศาสนาที่ยิ่งใหญ่ เป็นการอวดอุตริสนุสธรรมที่ไม่มีในตน

พุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ไม่ใช่ศาสนาโลกียะ คือไม่ไปแย่งชิงกามคุณ แย่งชิงโลกธรรม แย่งชิงอัตตา ที่เป็นการเสพบำเรอกิเลส ต้องการตามอยาก ได้ลาภ มาเสพสมใจเป็นสุข ได้ยศ ได้สรรเสริญเป็นสุข ได้สัมผัสทางตาก็สุข ได้ยินเสียงอันนี้ต้องใจพอใจกับที่ตนยึดถืออยู่เป็นสุข ชอบกลิ่นหอม แต่หลายคนชอบดมกลิ่นเหม็น ก็มีอยู่ ถามง่ายๆ ใครเคยควักขี้ฟันมาดมบ้าง ก็เหม็นนะ ขี้เล็บนี่ยิ่งเหม็นดีเสร็จแล้วเอามาดม

ส่วนมากของนักบวชในกระแสหลักเขาใจผิดเรื่องจาริกกับธุดงค์ ทุกวันนี้มีสำนักใหญ่สร้างนักธุดงค์จาริกออกไปเผยแพร่สิ่งที่เป็นอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนเป็นการทำลายศาสนาอย่างมากด้วย

อาตมาต้องตำหนิ จะได้แก้ไขกัน ถ้าไม่ให้ผู้รู้ผู้ถูกพูดตำหนิ จะเกิดการแก้ไขไม่ได้เลย ตอนนี้เถียงไม่ออก หน้าด้านด้วย แล้วให้บริวารออกมาตะโกนว่า อาจารย์ของข้าบริสุทธิ์ คนที่ออกมาพูดคือคนที่ถูกสะกดจิตไว้หมดแล้ว จนหลงใหลผู้สะกดจิตได้สำเร็จอยู่ใต้อำนาจของคนสะกดจิตได้ ตามืดบอดทำตามหมด

ในพระไตรฯ บอกให้พระอรหันต์ 60 รูปแรกให้ไปเผยแพร่ดำเนินไปเที่ยวไป คำว่า จร แปลว่าความประพฤติ ดำเนินไป มีแล้วก็เอาความประพฤติที่มีแล้ว เอาไปเผยแพร่ให้สืบสานขยายผลต่อ เผยแพร่คุณธรรมความรู้ของศาสนาพุทธ การที่จะจาริก ไปเข้าใจว่าการจาริกคือการท่องเที่ยวไปปฏิบัติ

คือสมัยพระพุทธเจ้าต้องเดิน ไม่มีหลักแหล่ง แต่ทุกวันนี้เขาออกกฏหมายของศาสนาพุทธค้านแย้งกับของพระพุทธเจ้า ทั้งที่พระพุทธเจ้าให้ไปไม่มีที่อยู่หลักแหล่ง ไปนอนรุกขมูลโคนไม้ ตามธุดงควัตร 13 ข้อ

ธุดงค์คือองค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส ของพระมหากัสสปะท่านเป็นคนเคร่ง ท่านเป็นคนแข็งแรงมาก ท่านเป็นคนชอบป่าชอบดง อดีตชาติเป็นดาบส ติดป่ามานานมากหลายชาติ ก็เลยเป็นวาสนา การติดนี้พระพุทธเจ้าก็ยกให้ เป็นจริตที่แก้ยากเป็นพระป่า แล้วพระป่าองค์นี้เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 ของเถรวาท มีอรหันต์ 500​รูปเรียบเรียงคำสอนพระพุทธเจ้า ทำมาใช้จนถึงปัจจุบัน แล้วพระประธานในการสังคายนาเป็นพระติดป่า เป็นลักษณะเอียง ถ้าไปเห็นว่าพระต้องไปปฏิบัติในป่าก็เอียงโต่งไปสุดทางเลย นอกจากออกป่าแล้วเข้าใจว่าการปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหันต์ต้องไปนั่งสะกดจิต ทำแบบฤาษีนั่งหลับตาเพ่งกสิณ ให้นิ่งให้หยุดไม่มีการวิจัยวิจาร แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าเจริญเพราะใช้สติปัญญามีวิเคราะห์วิจัยจิต analysis ไม่ใช่ hypnosis เมื่อหลับตาเข้าไป การสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มี

แต่ทางเอกของพุทธให้ปฏิบัติขณะมีการงานอาชีพ สัมผัสทวาร 5 แต่ก็ต้องมีการฝึกฝนแยกกายแยกจิต อ่านรูปนามได้ อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตก็จะรู้จักธรรมในธรรมจับอกุศลจิตได้ กำจัดอกุศลจิตที่จะเกิดในเวทนาในอารมณ์ เหตุนี้จึงทำให้เกิดอารมณ์สุข ทุกข์ เราก็กำจัดเหตุได้ เมื่อทำได้ โดยใช้ปัญญาวิเคราะห์เห็นจริงว่าอันนี้ไม่ใช่ตัวตน เป็นของไม่เที่ยงไม่อยู่อย่างเดิม ขณะผัสสะมันก็ไม่คงเดิม มันมีอินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ของสัตว์นรกที่ปลอมตัวมา พอนานๆเข้ามันก็หายไป มันมาหลอกเราให้เสพสุข พอได้เสพสุขสัตว์นรกก็กลายเป็นเทวดาเก๊ คนไม่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีแบบนี้ ตกนรกแล้วก็เสพเป็นสวรรค์หาสวรรค์ใหม่แล้วก็ไปตกนรกขุมใหม่ เที่ยวจาริกไปหาสวรรค์นรกขุมใหม่ไปเรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติธุดงค์ศีลเคร่งนี้ ปฏิบัติได้แล้วไม่เคร่งอะไร ดีไม่ดีจะติดด้วย เช่นพระกัสสปะ นี้ติดข้ออยู่ป่า เป็นวาสนาติดแล้วล้างยากแต่ท่านสัมมาทิฏฐิแล้ว

 

1. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ไม่มีเจ้าของและจะรับผ้าจากทายกถวายไม่ได้

2. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้าเพียงสามผืนเท่านั้น เกินกว่านั้นใช้ไม่ได้

3. ปิณฑปาติกังคะ ฉันแต่เฉพาะอาหารที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น

4. สปทานจาริกังคะ เดินบิณฑบาตแต่เฉพาะทางที่กำหนดไว้ทางเดียวเท่านั้น เช่นบิณฑบาตถนนฟากเดียว เขานิมนต์ให้ไปข้ามฟากไม่ไป ต้องมาใส่เอง

5. เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว (ต่อวัน) ฉันในที่นั่งแห่งเดียว

6. ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันสำรวมโดยนำอาหารเทรวมกันในบาตร

7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่รับเพิ่มทีหลัง

8. อารัญญิกังคะ อยู่ในป่าเป็นวัตร

9. รุกขมูลิกังคะ อยู่ใต้โคนไม้เป็นวัตร

10. อัพโภกาสิกังคะ อยู่กลางแจ้ง เช่น ตามท้องทุ่งนาเป็นวัตร

11. โสสานิกังคะ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร

12. ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่พักที่เขาจัดให้โดยไม่เลือก

13. เนสัชชิกังคะ ถืออิริยาบถนั่งอย่างเดียวโดยไม่นอนเป็นวัตร ไม่พิงหลับด้วย นั่งเก้าอี้ได้ อาตมาเคยทำได้อยู่เข้าพรรษาหนึ่ง ก็ทำได้แต่เหนื่อยเมื่อย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:26:11 )

590703

รายละเอียด

590703_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก จาริกต่างจากธุดงค์หรือไม่อย่างไร

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้พ่อครูจะได้มาสาธยายประเด็นที่ต่อเนื่องจากการสัญจรไปภาคอีสานเหนือ เป็นประเด็นเกี่ยวกับการจาริก หรือธุดงค์ ส.เพาะพุทธได้สรุปคำเทศน์ที่พ่อครูได้เทศนามาก่อนหน้านี้เป็นเนื้อหาที่สั้นกระชับได้ใจความสำคัญอย่างดี

พ่อครูว่า อาตมาก็กลับมาจากจาริกไปอีสานเหนือ จาริกคือสรรจรท่องไป ไม่ได้ทัวร์นะ ทัวร์คือเที่ยวเพลิดเพลิน แต่นี่ไปทำงานมา 4 จังหวัด ก็ไปเผยแพร่ให้คนที่ต้องการได้ธรรมะ เป็นงานที่อาตมาลาจากทางโลกมาที่เคยล่าโลกธรรมใส่ตน มา 36 ปีก็พอเลิก มาทำงานทางนี้มา 46 ปีแล้ว มั่นใจว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ในพระไตรฯล4.ข.32

วันนี้จะขยายความคำว่าจาริกกับธุดงค์กัน

          เรื่องพ้นจากบ่วง

[32] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก  เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป(เทฺว   อคมิตฺถ   เทเสถ) 

จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลางงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลศในจักษุน้อย  มีอยู่  เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม  จักมี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม.

                   เรื่องพ้นจากบ่วง จบ.

 

อาตมามาแก้ทิฏฐิที่ผิดเพี้ยนไปเข้าใจว่า ต้องปฏิบัติธรรมในป่า หรืออาจารย์ต้องอยู่ในป่า อรหันต์ต้องอยู่ป่า อันนี้เป็นความผิดความเสื่อมของศาสนาพุทธชัดๆ ทุกวันนี้เขาเข้าใจว่าพระบรรลุต้องอยู่ป่า พระเมืองไม่มีบรรลุ ซึ่งพระอยู่ป่าคือฤาษี แต่ดั้งเดิมก็เข้าใจผิดว่าปฏิบัติจะบรรลุต้องเข้าป่า พระพุทธเจ้าก็เคยสารภาพว่าเข้าป่า 6 ปี ไปผิดทาง แต่ท่านมีภูมิเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้ปฏิบัติอะไร 6 ปีคือไปใช้หนี้วิบาก แท้จริงศาสนาพุทธปฏิบัติอยู่ในเมืองกับผู้คน แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ แต่นี่ปฏิบัติอย่างฤาษี ซึ่งคนละลัทธิกับพุทธเลย อาตมาพูดมานี้ 46 ปีแล้วก็เหนื่อยที่ต้องพูด แต่ก็ต้องยืนยันตามพระไตรปิฎก

อาตมา

คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดินเลย การแปลว่าเดินป่านั่นเป็นการแปลผิดจากพระพุทธเจ้า ธุดงค์คือองค์คุณของการตัดกิเลส  ไม่ได้แปลว่าเดินเลย มาทำเต๊ะท่า ดรามาติก เอากลีบกุหลาบดาวรวยแอคอาร์ทเต๊ะท่า เดินแบกกลดไปนี่ มันยอดนักลิเกละครทรงเครื่องเลย นอกรีตนอกราวไม่ได้เข้าใจเลย เอาความศรัทธาของคนไม่รู้มาทำ จนคนๆหนึ่งที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของศาสนาเลย บอกว่าได้เดินบนกลีบดอกไม้นี่ชื่นใจจัง คนที่ได้รับการยกว่าจะเป็นหัวของศาสนาพุทธเลย แต่ไม่เข้าใจศีลแม้ ศีล 8 มาลาคันธวิเลปนฯ พูดไปเหมือนกว่าเขา เขาก็เอาความผิดมาทับถมศาสนาแล้วก็มาพูดว่าถูกอีก อาตมาก็ต้องพยายามพูดเพื่อความถูกต้อง ถ้าเห็นว่าอาตมาพูดผิดก็เอาหลักฐานมายืนยัน อาตมาเอาหลักฐานจากพระไตรฯ แม้อรรถกถาอาตมายังไม่เอาแต่ไม่ใช่ว่าอรรถกถานี้ผิดหมดนะ แต่ก็มีดีและไม่ดีไม่ถูกก็มี อาตมาไม่ต้องใช้อรรถกถา

มาต่อ

แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก

มีสุขที่ใดทุกข์อยู่ที่นั่น ถ้าหมดเหตุก็หมดทุกข์หมดสุขเป็นอทุกขมสุขเป็นฐานนิพพาน อารมณ์อาการอุเบกขาเวทนาเป็นฐานนิพพาน ผู้ใดทำจิตให้ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นสวรรค์หรือนรกได้ก็ไปใกล้นิพพานเท่านั้นให้แข็งแรงตั้งมั่นเป็นผลสำเร็จสมาหิตัง เมื่อสำเร็จแล้วจึงเป็นผู้เที่ยวจาริกเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ผู้จะมีสิทธิ์เที่ยวจาริกไปทำงานก็คือผู้ปฏิบัติจบแล้ว ถ้ายังไม่เป็นผลอย่าอุตริเป็นผู้จาริกไป เพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แก่ใครอย่าอวดดีอย่าผยองนัก จงปฏิบัติพากเพียรไป

จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลางงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลศในจักษุน้อย  มีอยู่  เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม  จักมี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม.

คนไม่มีความรู้จริงไม่รู้แท้ ส่งไปคนเขาซักตรงนั้นตรงนี้ ไม่รู้แต่ต้องการรักษาหน้าก็จะอธิบายไปตามประสา ผิดเพี้ยนไป ไม่มีความจริงของตน อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ถามสิกว่าธรรมฑูตที่ส่งไป โสดาบันได้หรือยัง สกิทาฯอนาคาฯได้หรือยัง ไม่ได้แล้วไปเผยแพร่ ทุกวันนี้อยากได้มากใหญ่กว้าง แต่ไม่ได้แก่นแท้ของศาสนาพุทธ

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า จรถ ภิกขเว คำว่าจรถะคือการเดินออกไป จะเดินเที่ยวไปเผยแพร่ต้องเป็นผู้ที่บรรลุแล้ว ยังไม่บรรลุอย่าเที่ยวได้ไปเผยแพร่ศาสนา เมื่อไม่มีบรรลุธรรมจริง ได้แต่อ่านแต่ท่อง พอเวลาเขาซักถามต่างจากคำแปลที่ตนเข้าใจก็ต้องขยายความเอาเอง ก็ต้องขยายตามทิฏฐิตามประสาตนที่คิดว่าถูกว่าดีนี่แหละคือการทำลายศาสนาที่ยิ่งใหญ่ เป็นการอวดอุตริสนุสธรรมที่ไม่มีในตน

พุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ไม่ใช่ศาสนาโลกียะ คือไม่ไปแย่งชิงกามคุณ แย่งชิงโลกธรรม แย่งชิงอัตตา ที่เป็นการเสพบำเรอกิเลส ต้องการตามอยาก ได้ลาภ มาเสพสมใจเป็นสุข ได้ยศ ได้สรรเสริญเป็นสุข ได้สัมผัสทางตาก็สุข ได้ยินเสียงอันนี้ต้องใจพอใจกับที่ตนยึดถืออยู่เป็นสุข ชอบกลิ่นหอม แต่หลายคนชอบดมกลิ่นเหม็น ก็มีอยู่ ถามง่ายๆ ใครเคยควักขี้ฟันมาดมบ้าง ก็เหม็นนะ ขี้เล็บนี่ยิ่งเหม็นดีเสร็จแล้วเอามาดม

ส่วนมากของนักบวชในกระแสหลักเขาใจผิดเรื่องจาริกกับธุดงค์ ทุกวันนี้มีสำนักใหญ่สร้างนักธุดงค์จาริกออกไปเผยแพร่สิ่งที่เป็นอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนเป็นการทำลายศาสนาอย่างมากด้วย

อาตมาต้องตำหนิ จะได้แก้ไขกัน ถ้าไม่ให้ผู้รู้ผู้ถูกพูดตำหนิ จะเกิดการแก้ไขไม่ได้เลย ตอนนี้เถียงไม่ออก หน้าด้านด้วย แล้วให้บริวารออกมาตะโกนว่า อาจารย์ของข้าบริสุทธิ์ คนที่ออกมาพูดคือคนที่ถูกสะกดจิตไว้หมดแล้ว จนหลงใหลผู้สะกดจิตได้สำเร็จอยู่ใต้อำนาจของคนสะกดจิตได้ ตามืดบอดทำตามหมด

ในพระไตรฯ บอกให้พระอรหันต์ 60 รูปแรกให้ไปเผยแพร่ดำเนินไปเที่ยวไป คำว่า จร แปลว่าความประพฤติ ดำเนินไป มีแล้วก็เอาความประพฤติที่มีแล้ว เอาไปเผยแพร่ให้สืบสานขยายผลต่อ เผยแพร่คุณธรรมความรู้ของศาสนาพุทธ การที่จะจาริก ไปเข้าใจว่าการจาริกคือการท่องเที่ยวไปปฏิบัติ

คือสมัยพระพุทธเจ้าต้องเดิน ไม่มีหลักแหล่ง แต่ทุกวันนี้เขาออกกฏหมายของศาสนาพุทธค้านแย้งกับของพระพุทธเจ้า ทั้งที่พระพุทธเจ้าให้ไปไม่มีที่อยู่หลักแหล่ง ไปนอนรุกขมูลโคนไม้ ตามธุดงควัตร 13 ข้อ

ธุดงค์คือองค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส ของพระมหากัสสปะท่านเป็นคนเคร่ง ท่านเป็นคนแข็งแรงมาก ท่านเป็นคนชอบป่าชอบดง อดีตชาติเป็นดาบส ติดป่ามานานมากหลายชาติ ก็เลยเป็นวาสนา การติดนี้พระพุทธเจ้าก็ยกให้ เป็นจริตที่แก้ยากเป็นพระป่า แล้วพระป่าองค์นี้เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 ของเถรวาท มีอรหันต์ 500​รูปเรียบเรียงคำสอนพระพุทธเจ้า ทำมาใช้จนถึงปัจจุบัน แล้วพระประธานในการสังคายนาเป็นพระติดป่า เป็นลักษณะเอียง ถ้าไปเห็นว่าพระต้องไปปฏิบัติในป่าก็เอียงโต่งไปสุดทางเลย นอกจากออกป่าแล้วเข้าใจว่าการปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหันต์ต้องไปนั่งสะกดจิต ทำแบบฤาษีนั่งหลับตาเพ่งกสิณ ให้นิ่งให้หยุดไม่มีการวิจัยวิจาร แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าเจริญเพราะใช้สติปัญญามีวิเคราะห์วิจัยจิต analysis ไม่ใช่ hypnosis เมื่อหลับตาเข้าไป การสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มี

แต่ทางเอกของพุทธให้ปฏิบัติขณะมีการงานอาชีพ สัมผัสทวาร 5 แต่ก็ต้องมีการฝึกฝนแยกกายแยกจิต อ่านรูปนามได้ อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตก็จะรู้จักธรรมในธรรมจับอกุศลจิตได้ กำจัดอกุศลจิตที่จะเกิดในเวทนาในอารมณ์ เหตุนี้จึงทำให้เกิดอารมณ์สุข ทุกข์ เราก็กำจัดเหตุได้ เมื่อทำได้ โดยใช้ปัญญาวิเคราะห์เห็นจริงว่าอันนี้ไม่ใช่ตัวตน เป็นของไม่เที่ยงไม่อยู่อย่างเดิม ขณะผัสสะมันก็ไม่คงเดิม มันมีอินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ของสัตว์นรกที่ปลอมตัวมา พอนานๆเข้ามันก็หายไป มันมาหลอกเราให้เสพสุข พอได้เสพสุขสัตว์นรกก็กลายเป็นเทวดาเก๊ คนไม่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีแบบนี้ ตกนรกแล้วก็เสพเป็นสวรรค์หาสวรรค์ใหม่แล้วก็ไปตกนรกขุมใหม่ เที่ยวจาริกไปหาสวรรค์นรกขุมใหม่ไปเรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติธุดงค์ศีลเคร่งนี้ ปฏิบัติได้แล้วไม่เคร่งอะไร ดีไม่ดีจะติดด้วย เช่นพระกัสสปะ นี้ติดข้ออยู่ป่า เป็นวาสนาติดแล้วล้างยากแต่ท่านสัมมาทิฏฐิแล้ว

 

1. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ไม่มีเจ้าของและจะรับผ้าจากทายกถวายไม่ได้

2. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้าเพียงสามผืนเท่านั้น เกินกว่านั้นใช้ไม่ได้

3. ปิณฑปาติกังคะ ฉันแต่เฉพาะอาหารที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น

4. สปทานจาริกังคะ เดินบิณฑบาตแต่เฉพาะทางที่กำหนดไว้ทางเดียวเท่านั้น เช่นบิณฑบาตถนนฟากเดียว เขานิมนต์ให้ไปข้ามฟากไม่ไป ต้องมาใส่เอง

5. เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว (ต่อวัน) ฉันในที่นั่งแห่งเดียว

6. ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันสำรวมโดยนำอาหารเทรวมกันในบาตร

7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่รับเพิ่มทีหลัง

8. อารัญญิกังคะ อยู่ในป่าเป็นวัตร

9. รุกขมูลิกังคะ อยู่ใต้โคนไม้เป็นวัตร

10. อัพโภกาสิกังคะ อยู่กลางแจ้ง เช่น ตามท้องทุ่งนาเป็นวัตร

11. โสสานิกังคะ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร

12. ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่พักที่เขาจัดให้โดยไม่เลือก

13. เนสัชชิกังคะ ถืออิริยาบถนั่งอย่างเดียวโดยไม่นอนเป็นวัตร ไม่พิงหลับด้วย นั่งเก้าอี้ได้ อาตมาเคยทำได้อยู่เข้าพรรษาหนึ่ง ก็ทำได้แต่เหนื่อยเมื่อย

 

สมัยก่อนผ้าหายาก ต้องใช้ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ผ้าห่อศพ เป็นต้นนำมาต่อกันเป็นผืนใหญ่ จึงมีเหมือนเป็นช่องๆต่อกันเหมือนคันนา

พระกัสสปะท่านมีวาสนาเรื่องนี้แก้ยาก ตอนนี้ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเลือนเลอะกลายเป็นว่าพระที่ออกป่าเป็นพระปฏิบัติเคร่งแท้ พระที่อยู่ในเมืองในบ้านไม่ได้ปฏิบัติแท้ นี่ผิดอย่างจั๋งหนับเลย

เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมรรค 8 พระต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ แล้วงานที่ต้องทำคือเผยแพร่ สืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่คืออาชีพของภิกษุ แต่ก่อนจะบรรยายได้ต้องปฏิบัติให้ได้ภูมิธรรม ได้แล้วเอาไปเผยแพร่ให้คนอื่นได้ต่อไป นอกจากนั้นผู้ไม่บรรลุก็บิณฑบาตเลี้ยงตนด้วยปลีแข้ง

ธุดงควัตรข้อหนึ่งมีอาศัยอาหารบิณฑบาตเท่านั้น ธูตะหรือธุดงค์ แปลว่าศีลเคร่ง ทำได้แล้วไม่ต้องเคร่ง ไม่ได้แปลว่าออกป่า คำว่าจาริก มาจากคำว่า จร หรือจระ แปลว่าการเดินไป

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอจงเดินไปเผยแพร่ ไม่ใช่เดินไปปฏิบัติไม่ใช่เดินประพฤติ แต่ประพฤติก็ต้องทำอยู่แล้ว เพราะพระในสมัยพระพุทธเจ้านั้นไม่มีรถรา แต่ท่านจะไปอยู่รุกขมูลโคนไม้ก็ไป อยู่ในเรือนว่างไม่มีหลักแหล่ง ไม่ได้ยึดถือว่าอันนี้เป็นเราเป็นของเราอยู่ได้

ทุกวันนี้จัดธุดงค์ธรรมชัยอวดอ้างใหญ่โตหรูหรา ต้องการให้คนเลื่อมใสศรัทธามาทำทานด้วย คนศรัทธาธุดงค์ธรรมชัยนั้นตกนรกหมดเลย พระสายที่ไม่ใช่ธรรมกายแต่แบกกลด แบกบาตร ทุกวันนี้มีกลดเป็นบ้านเคลื่อนที่ไป ไม่เป็นไร เป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติโดยปัญญาก็อนุโมทนา แต่ทำอวดอ้างนี้สาเฐยจิต อยากอวดโอ่ อยากให้คนเคารพนับถือ ไม่ใช่ทางพุทธ แต่ว่าธุดงค์แบบธรรมชัยนี้ที่เหยียบดอกไม้นี้ ผิดศีลข้อมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนฐานาเต็มๆเลย

พระพุทธเจ้าตรัสว่าโจรหัวโจกที่ทำกับโจรหัวโจก ตีปี๊บเชียร์กัน มันเลยเถิดไปไหนๆ โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกันพึงทำความฉิบหาย และความทุกข์ใดให้จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหายและความทุกข์นั้น.

ตอนนี้พวกนั้นได้ทำลายศาสนา แล้วก็ยังจะทำลายกฏหมายของประเทศ ยืนยันท้าทายเลย

ตอนนี้ไม่หวังทางศาสนาที่จะจัดการได้เลยแม้คำสั่งพระสังฆราชเขายังไม่ทำตามต้องอาศัยทางบ้านเมืองเผด็จศึกอันนี้ไม่เช่นนั้นกินลึกทำลายจิตวิญญาณ ที่พูดนี้ไม่ได้โกรธเคืองนะ พูดเพราะสงสารนะ ที่เขาทำนี้บาปมหาศาลแล้ว บาปมามากมายจริงๆ น่าสังเวชใจ

คำว่าธุดงค์นี้เป็นศีลเคร่ง ไม่ใช่การเดินนะ ตามธุดงควัตร 13 ข้อ

1. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ไม่มีเจ้าของและจะรับผ้าจากทายกถวายไม่ได้

2. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้าเพียงสามผืนเท่านั้น เกินกว่านั้นใช้ไม่ได้

3. ปิณฑปาติกังคะ ฉันแต่เฉพาะอาหารที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น

4. สปทานจาริกังคะ เดินบิณฑบาตแต่เฉพาะทางที่กำหนดไว้ทางเดียวเท่านั้น เช่นบิณฑบาตถนนฟากเดียว เขานิมนต์ให้ไปข้ามฟากไม่ไป ต้องมาใส่เอง

5. เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว (ต่อวัน) ฉันในที่นั่งแห่งเดียว

6. ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันสำรวมโดยนำอาหารเทรวมกันในบาตร

7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่รับเพิ่มทีหลัง

8. อารัญญิกังคะ อยู่ในป่าเป็นวัตร

9. รุกขมูลิกังคะ อยู่ใต้โคนไม้เป็นวัตร อาตมาเคยพาพวกเราเดินจาริก ครั้งเดียว

10. อัพโภกาสิกังคะ อยู่กลางแจ้ง เช่น ตามท้องทุ่งนาเป็นวัตร

11. โสสานิกังคะ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร

12. ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่พักที่เขาจัดให้โดยไม่เลือก

13. เนสัชชิกังคะ ถืออิริยาบถนั่งอย่างเดียวโดยไม่นอนเป็นวัตร

 

ซึ่งการไปหาอาจารย์ในป่านี้เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ยังไม่ปรินิพพานเลย

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

พระอาริยะท่านจะยินดีในเสนาสนป่า คือยินดีในป่า ไม่ใช่ยินดีในบ้านเรือนตึกหรือป่าคอนกรีต แต่ยินดีในป่าธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นนามธรรมคือจิตยินดีในความสงบเย็น แม้อยู่ในเมืองอากาศไม่ดี เต็มไปด้วยตึก ลมพัดมาก็หลงทาง

ส.เพาะพุทธว่า..ธุดงค์ไม่ใช่การออกป่าแต่เป็นการออกจากป่า ผู้บรรลุเป็นผู้บรรยายจึงเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา แต่ผู้ไม่บรรลุแล้วไปบรรยายจึงเป็นผู้ทำลายศาสนา คำว่าจร เชื่อมโยงกับการประพฤติ เดินเพื่อไปบรรยายเพื่อไปช่วยคน

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:26:36 )

590705

รายละเอียด

590705_เทศน์ก่อนฉัน อาวาสสถานวังจันท์พฤกษา

พ่อครูเดินทางออกจากสันติอโศก เวลา 05.00 น.ของวันอังคารที่ 5 ก.ค. 59 โดยรถจนใจ มาถึงอาวาสสถานวังจันท์พฤกษา ในเวลา 08.00 น. ซึ่งฝนก็ตกลงมาแบบโปรยปรายมาเรื่อยๆ จึงได้บิณฑบาตอยู่ในเต็นท์ข้างศาลา ซึ่งญาติธรรมก็มาใส่บาตรเป็นจำนวนมาก

วันนี้วันอังคารที่ 5 ก.ค.59 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก วันนี้ได้สัญจรมาถึงจ.จันทรบุรีมาถึงอาวาสสถานวังจันท์พฤกษาซึ่งเป็นหนึ่งในอาวาสสถาน  9 แห่ง อาวาสสถานเป็นคำสองคำที่ต่อกันไม่ใช่คำสนธิ หรือสมาส ตามไวยกรณ์เขา

คำว่าอาวาสนี้ก็เป็นคำที่กึ่งๆวัดใกล้วัดเข้าไป ประชาชนหรือนักบวชก็อยู่อาวาสได้แต่คนไทยใช้คำนี้เอียงๆไปทางวัดวาอารามหน่อย ทางธรรมะหน่อย

ที่นี่ก็มีผู้ยกมอบให้เป็นส่วนกลางชุมชนชาวอโศก ตอนนี้ชาวอโศกมีที่ไม่น้อยที่ยกให้เป็นที่ของกองทัพธรรมมูลนิธิ ของมูลนิธิธรรมสันติบ้าง เป็นของสาธารณโภคี ไม่ใช่ของส่วนตัวของใคร

ความเป็นสาธารณโภคีนี้เป็นเรื่องยอดเยี่ยมพิเศษ ตอนนี้ขอพูด sms คำถาม ไลน์ก่อน

SMS 3 ก.ค.59

0893809xxx จิตของพระโพธิสัตว์มีแต่อุทิศเสียสละฉุดช่วยเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ยอมสู้เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิตเพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายได้เห็นธรรมประพฤติธรรมเพื่อให้จิตหลุดพ้น

ตอบ...โพธิ แปลว่า ความตรัสรู้ ผู้ที่มีภูมิธรรมตรัสรู้แล้ว บรรลุตั้งแต่โสดาบันเป็นภูมิชั้นต้นของอาริยภูมิ โสตาปันนะ จิตเข้ากระแสพุทธธรรม คือจิตมันรู้จักจิต เจ้าตัวนี้อ่านจิตตนเองเป็น แยกกายแยกจิต รู้รูป รู้นาม เป็นธรรมะสอง อ่านจิต แยกจิตที่เป็นอกุศลจิตออก อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ออก จิตเป็นนามธรรม อ่านอาการที่กำหนดรู้ด้วยสัญญา ของเราเองสัญญาทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ รู้ในนิมิต ที่เป็นลักษณะเครื่องหมายให้เรารู้ กำหนดเอาว่าอย่างนี้ๆ เช่นอาการมันกำลังโกรธ โกรธไม่มีรูปร่างเส้นสีแสงหรอก อาการดีใจ อาการอยากได้ อาการเคืองก็คืออาการเราอ่านอาการได้ จิตเราสัญญากำหนดรู้ก็เป็นจิต กำลังอ่าน เวทนาในเวทนา

ตอนแรกจะเป็นอารมณ์ปนเป สุข อยากได้เต็มที่เราก็พยายามมองให้ลึกซึ้ง คั้นอารมณ์ ลักษณะอาการจิต อาการเท่านี้คืออกุศลจิต มันกำลังอยากได้ โกรธ ก็เป็นเวทนาในเวทนา ท่านแยกถึงเวทนา 108 นัย เราต้องเรียนความแตกต่างว่ามีที่มาอย่างไร ซ้อนไปในเวทนาก็เป็นจิต กายในกายก็เป็นจิต สติปัฏฐาน 4 นี้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็หมายถึงจิตทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้คำว่ากายเป็นภาษาไทยที่แปลว่าสรีระร่าง ไม่ได้หมายถึงจิตเลย

ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230 ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อม แต่ชาวพุทธไปเข้าใจคำสอนศาสนาพุทธผิด เช่นคำว่า กาย

ในธรรมะพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรม 37 คือโพธิปักขิยธรรม 37 (ล.31 ข.620 โลกุตร 43) อาตมาต้องอ้างพระไตรปิฏก เพราะจำเป็นมาก เพราะเขาหาว่าอาตมาพูดผิด หาว่าอาตมาพูดเอาเอง ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาก็จะไล่อาตมาออกจากศาสนาพุทธ หาว่าอาตมาพูดผิด แต่ที่พูดนี้มันโดนเขา เขาเป็นผู้ปฏิบัติผิดเหมือนที่อาตมาพูดแล้วเขาเป็นคณะใหญ่ด้วย เขาเลยไม่ชอบใจจะขจัดอาตมาออกมา อาตมาก็ว่าไม่ต้องขจัดหรอก อาตมาลาออกมาเอง คณะใหญ่นี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว มันเน่าได้ที่แล้วไม่มีทางที่จะพัฒนาได้

ยกตัวอย่างตอนนี้พระปาราชิกแล้วอุ้มกันอยู่ได้ ทำเฉย เหมือนม้าตด ทั้งที่เขาอธิกรณ์ไว้แล้ว ว่าเป็นปาราชิก สงฆ์ควรหยิบมาเป็นอธิกรณ์ เป็นทั้งวิวาทาธิกรณ์ และอนุวาทาธิกรณ์ ในอธิกรณสมถะ 7 ต้องชำระความแต่นี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ มีการฟ้องร้องกันด้วย อย่างหลวงปู่พุทธอิสระก็ฟ้อง แม้ฆราวาสก็ฟ้องได้ ว่าผิด ต้องจัดการ แต่นี่ทำเฉย อุ้ม ก็เห็นเจตนาเลยว่าหมดที่พึ่ง ขอยืนยันเลยว่าประเทศไทยหมดที่พึ่งในกระแสหลัก ที่ไม่อยู่ในร่องร่อยธรรมวินัยแล้ว

ขออภัยที่พูดจริงและตรง ก็เลยดูแรง อาตมาไม่ได้พูดแรงหรือเบา แต่พูดความจริง ความจริงที่โดน และกระทบผู้ผิดจริงก็เลยแรง ก็จำเป็นต้องพูดกัน

อธิบายไปนี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่จิตเข้ากระแส รู้จักจิตตน อ่านกิเลส หรืออกุศลจิตตนออก เรียกว่าจิตในจิต ธรรมในธรรมเป็นธรรมะสองทำงานซ้อนกันอยู่ จิตเราทำงานทั้งสิ้น กำหนดรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ใช้สัญญากำหนดรู้ อ่านลงไปในจิตในจิต รู้ว่าจิตเป็นสราค สโทส สโมหะ ในเจโตปริยญาณ​16 อ่านอกุศลแล้วกำจัดปหานอาการนี้ให้อ่อนลง เบาลง จนดับ ไม่มีอาการ เรียกว่าหมดชีวิตินทรีย์หมดพลังงาน

อาการที่แสดงความเป็นชีวะ ชีวิต เราปหานด้วยปัญญา ที่เห็นว่ามันไม่ใช่ของจริง เราเคยหลงว่าจริง ต้องมั่นหมายเห็นจริง เราพิจาณาในอาการที่ไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ ตัวอกุศลจิตนี้มันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริง มันอยากแล้วเราไม่ได้เอา มันจะผิดศีลก็เห็นอาการดิ้น อยาก เราก็เห็นว่ามันไม่อยู่ในร่องรอย มาเป็นคราวๆ แล้วไม่จริงด้วย เราได้มาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ มีสองอย่างเท่านั้น

เราอ่านทุกข์ออกเรียกว่าอาริยะแล้ว อาการทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ที่ท่านเรียกว่าทุกข์อาริยสัจเพราะมันฝังอยู่นาน ในความจำ ในอนุสัย ในอาสวะ ในจิตเรานี่แหละ แต่เราปักมั่นท่านถึงเรียกว่าอาริยสัจจะ เป็นตัวฝังรากในจิตเรา ส่วนอารมณ์สุขนั้นมันจรมา ได้สัมผัสสมใจเป็นสุข สุขจึงเป็นอัลลิกะ ของเท็จ แต่จำไว้เป็นอนุสัยอาสวะ ตายไปแล้วชาติหน้าชาติไหนก็ตามไปด้วยนะ

เช่นเราชอบกระท้อน ลูกใหญ่เลย นี่กระท้อนไม่ใช่มะพร้าวนะ เราไปสัมผัสกระท้อน สัมผัสแล้วก็ อู้หู นี่กระท้อนปุยฝ้าย จิตมันทะลุไปถึงข้างในเลย ใครรู้ใครเคยกินผ่าดูก็เป็นปุยฝ้ายเลย ใครเคยชอบเคยติดก็นำ้ลายไหลเลย ถ้าเราตั้งจิตไว้ว่าจะไม่กิน พอเห็นก็เห็นอาการอยากเลย แต่เราสมาทานศีลว่าไม่กินกระท้อน เพื่อที่จะอ่านจิต ให้กระท้อนเป็นตัวล่อให้กิเลสออกมาให้เราเห็น เราจับอ่านอาการได้ นี่แหละตัวโจร ตัวผี อาการจิตที่เป็นสัตว์นรก เปรตที่ไม่ใช่ไปล่องลอยในวิมาน ซึ่งอันนั้นเป็นคำสอนท่ีผิดๆ แบบเทวนิยมเป็นมโนมยอัตตาสมมุติเป็นแดนนรกสวรรค์เก๊ทั้งนั้นเลย

ผู้ใดอ่านอาการกิเลสออก แล้วทำให้กิเลสลด พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่มีตัวตน เช่นกระท้อนนี้เราสมาทานศีลไม่กินเราจะเห็นทุกข์เราที่อยากได้เป็นกาม ลำบากดิ้นรนอยากได้ๆๆๆ อาการอย่างนี้แหละมันไม่จริง ไม่เที่ยงเป็นแขกจน พระพุทธเจ้าว่ามันไม่เที่ยง ให้พิจารณาตั้งแต่ภายนอกสัมผัส พอเกิดอาการก็พิจารณากับของจริงไม่ใช่ไปนั่งหลับตานึกเอาแต่นี่มีเหตุปัจจัยมีวัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม สัมผัสกับตาเลย ครบ รูปนาม วิญญาณ สามอย่างเลย ตอนนี้เป็นวิญญาณเปรต มันอยากได้ เปรตนี่คือจิตเราเอง

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ  ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?   สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?  สาติภิกษุทูลว่า  สภาวะที่พูดได้  รับรู้ได้  ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ  นั่นเป็นวิญญาณ.    ต่อ    (มหาตัณาสังขยสูตร  ล.12 ข.442)

เปรตนรก เทวดาคืออาการจิตที่จะเกิดเมื่อมีการสัมผัสกระทบทวาร 5 แล้วเกิดอาการ ราคะ โทสะ โมหะ เราก็อ่านอาการมันออกแล้วก็พิจารณาถึงความไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วมันหายไปได้ไม่มีตัวตนได้ ถ้าเราไปจำได้ไม่เป็นไร แต่มันหาเรื่องโง่ซ้อนว่าต้องได้ถึงสุข ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ดิ้นอยู่อย่างนี้ สุดท้ายต้องไม่ให้จิตมันสุขหรือทุกข์ กระทบสัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตรู้สึกร้อนเย็น อ่อนแข็ง สีสัน รูปทรง กระท้อนรูปทรงเช่นนี้ มังคุดก็ทรงนี้ อะโวคราโดก็รูปนี้ มีรูปร่างสีสันก็เป็นของจริงที่กระทบสัมผัสแล้วเกิดอาการปรุงแต่ง

เมื่อจิตสามารถลดกิเลสได้แค่จางคลายไม่ถึงดับเลยก็ได้แล้วเป็นโสดาปัตติมรรค เมื่อได้แข็งแรงดีขึ้นเรื่อย โสดาบันมี 4 คือโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ

เข้ากระแสหมายถึงจิตเข้าทางของศาสนาพุทธ รู้เหตุแห่งทุกข์ สองทำให้เหตุแห่งทุกข์จางคลาย รู้ว่าไม่เที่ยงนี่ก็มียังไม่มีภูมิปัญญาเท่าไหร่ แล้วมันจางคลายได้ แต่ก่อนเรายึดร้อยเต็มแต่ตอนนี้เรายึดแค่ แปดสิบหรือลดลงอีก จนมันดับ ได้ บางคราว ตามเห็น อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสะ จนดับ เรียกว่านิโรธานุปัสสี อาการกิเลสมันดับ อย่างไม่ใช่หลับตาดับปี๋ ที่เป็นมิจฉานิโรธ ทุกวันนี้เข้าใจผิดว่าต้องนั่งหลับตาคือนิโรธ ดับ คือนิพพานแล้วแต่เป็นจิตดับไม่รู้เรื่องกิณหะดับไม่รู้เรื่อง แต่ที่อาตมาอธิบายนี้กิเลสกำลังจะดับ เห็นกิเลสจางคลายจนดับ ไม่มีชีวิตินทรีย์ของสัตว์เปรต

เปรตอยู่ไหน ก็ใจเรา ขณะสัมผัสก็อ่านเห็นเปรตเลยปัจจุบัน เปรตตายชั่วคราวก็เห็น แล้วก็ต้องทำซ้ำทำทวนให้ดับสนิทเลย แล้วทำปฏินิสสัคคานุปัสสี ซึ่งเราเคยหลงเป็นสวรรค์แต่สวรรค์เก๊ แท้จริงคือนรก สวรรค์คือภพชาติที่ต้องดับให้หมด ทั้งนรกสวรรค์ต้องดับให้หมด แต่ทุกวันนี้สอนหลงสวรรค์ หลอกทำมาหากินกับสวรรค์ซับซ้อน แม้แต่ผู้จะต้องทำระงับอธิกรณ์ก็ทำไม่เป็น ไม่รู้ว่าเขาพาหลงภพชาติ

อาตมามาเผยแพร่ศาสนาที่มีอรหันต์ ไม่ใช่พาหลงสวรรค์เก๊ แต่นรกแท้ สวรรค์เก๊ ไปหลงว่าคือสวรรค์แต่แท้จริงคือนรก ที่ฝังในอนุสัยในอุปาทานแต่ไม่รู้กัน ในศาสนาพุทธทุกวันนี้

ลดกิเลสไปจนเป็นอนาคามีก็ไม่มีอาการทุกข์สุขกับส่ิงกระทบสัมผัสภายนอกแล้ว เช่นเห็นกระท้อนอนาคามีไม่มีอยากได้แล้ว คนเช่นนี้ก็ไปทำงานกับสังคมได้อย่างไม่เป็นโทษภัยเลย

สรุปว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าถูกต้องหมดได้ผลไปตามลำดับ เป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ โพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีโพธิ ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์

โสดาบันก็โพธิสัตว์ระดับ 1

สกิทาคามีก็โพธิสัตว์ระดับ 2

อนาคามีก็โพธิสัตว์ระดับ 3

อรหันต์ก็โพธิสัตว์ระดับ 4 ถ้าอรหันต์แล้วแยกธาตุวิญญาณ ปรินิพพานได้เลย

อนุโพธิสัตว์ ก็โพธิสัตว์ระดับ 4

อนิยตโพธิสัตว์ก็โพธิสัตว์ระดับ 5

นิยตโพธิสัตว์ก็โพธิสัตว์ระดับ 6

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะก็โพธิสัตว์ระดับ 7

สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็โพธิสัตว์ระดับ 8

 

วังจันท์พฤกษา ที่นี่โอนโฉนดที่ดินมาตั้งแต่ ปี 2557 แต่ให้โดยพฤตินัยมาตั้งแต่ 2547 เป็นของส่วนกลางแล้วเป็นสวนที่มีผลผลิต เก็บกินใช้บูรณะได้ ถ้ามารวมกันแล้วพยายามสืบสานศาสนาไปด้วย ทำสวนก็ทำสิ มี 70​กว่าไร่ แต่ปฐมอโศก เร่ิมต้นก็แค่ 40 ไร่ สันติอโศกตอนแรกก็มีไม่กี่ไร่ แต่ตอนนี้แต่ละที่ก็เจริญได้ ที่นี่ก็เช่นกัน ถ้ามีคนมาร่วมกันแล้วทำกิจกการกิจกรรมร่วมกันก็เจริญได้ เป็นการเจริญแบบอาริยะ ไม่ใช่เจริญแบบอุตสาหกรรมที่สร้างแบบก้าวหน้าแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว แบบในหลวงตรัสที่ท่านว่าเจริญแบบน่ากลัว พวกเทคโลโลยีเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เครื่องมือเอาเปรียบคนทั้งหลายได้มากมาย

วังจันท์พฤกษานี่ที่ดินดีด้วย ไม่เหมือนปฐมอโศกที่พื้นที่พัฒนาไม่ขึ้นเป็นแดนเลี้ยงสัตว์ เมืองไทยเป็นเมืองกสิกรรม ไม่ใช่ประเทศที่ควรทำอุตสาหกรรมหรอก อาตมาอยากให้มาพยายามรวมกัน นี่มีจ.จันทร์ ระยอง ตราด ชลบุรี

_มีผู้ถามว่า วงกลมสุญญตาหมายถึงอะไร

ตอบ...สุญญตาแปลว่าว่าง อาตมานั่งเขียนขึ้นมาเอง เพื่อให้เป็นสัญญลักษณ์ชาวอโศก หมายถึงความว่างอันกลางแล้วมีรัศมีออกมาภายนอก เมื่อจิตวิญญาณเป็นสุญญตาได้ ว่างจากอารมณ์ของคนโลกๆ ว่างสบายรู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่เป็นคนโลกีย์ปุถุชนแล้ว แม้เศษเหลือของโลกียารมณ์ก็หมดในอรหันต์เลย คือจิตสูญ ว่างจากกิเลส ไม่ใช่ว่างไปหมด ไม่รู้เหตุ แต่นี่ว่างจาก กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดภพหมดชาติ จิตว่างจากกิเลสคืออุเบกขาหรืออทุกขมสุข

ต้องมาเรียนรู้ อารมณ์เคหสิตออก คืออารมณ์อาการของชาวโลกๆ ที่มันมาปรุงแต่งเป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา ที่คนธรรมดาก็มีอารมณ์ว่างพักยกได้ ตามธรรมชาติ พวกนี้ไม่ใช่สัจธรรมแบบที่พระพุทธเจ้าพาเป็น ถ้าจะทำให้ว่างต้องเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ต้องเป็นอารมณ์ที่ได้ขจัดกิเลสออกไปได้อย่าง

นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ก็ต้องมาปฏิบัติมโนปวิจาร 18 นำเนกขัมมะได้ จนเต็ม เป็นฐานที่จะปฏิบัติเรียกว่าเวทนาในเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐานในการปฏิบัติ กรรมฐานของพุทธคือเวทนา ไม่ใช่กรรมฐานดินน้ำไฟลม กรรมฐาน 40​ หรือออกป่าเขาถ้ำไปนั่งสมาธิแต่อย่างใดเลย

 

_จากไลน์ ทนายนคร...ถามว่า หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับเสนาสนะ )

8.) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส... 

ขัดแย้งกับที่พ่อท่านเทศน์ หรือไม่ครับ?....

ตอบ...การอยู่ป่าเป็นวัตรไปแปลขยายความเองว่า จะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส...

คืออาตมาอธิบายว่าศาสนาพุทธไม่ออกป่า โดยอ้างอิงในอัมพัฏฐสูตรที่ใครแสวงหาอาจารย์ในป่าเป็นทางเสื่อม

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาในเมืองไม่ใช่ศาสนาออกป่า การที่หลงทิศทางพวกนี้ ก็ขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอาริยธรรม ของคนเมือง ไม่ใช่ไปอยู่ในป่า แต่ต้องเป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มน้อย เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เครือแห Pyramidal web

แต่ถ้าบรรลุแล้วจะไปทดสอบการออกป่าว่าจะติดป่าหรือไม่อย่างไรก็ไปได้แต่ว่าไม่ต้องไปบรรลุได้ใน อุบาลิสูตรพระพุทธเจ้าสอนพระอุบาลีที่เคร่งวินัยไว้ว่า

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด 
พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก  
ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.    ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้  คือ จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

คำว่าวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ไม่ใช่ความสงบอย่างไม่ได้ยินเสียง เงียบๆไม่ใช่ แต่ความสงบของพระพุทธเจ้าเป็นกายปัสสัทธิ คืออยู่กับองค์รวมทั้งหลายแต่ไม่มีกิเลส กระทบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ไม่เกิดกิเลส เพราะได้ทำการล้างกิเลสขณะกระทบสัมผัสมาได้หมดแล้ว รู้ทันโลกธรรม จิตอยู่เหนือมันได้ ไม่ใช่หนีออกป่าเขาถ้ำไม่สัมผัสมัน หนีมันไป จิตไม่สงบก็ไปนั่งสะกดจิตไว้เท่านั้นเอง การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีผัสสะ 6 วิญญาณ 6 เวทนา 6 แต่หลงทิศทางกันอย่างสนิทยึดติดสิ่งผิดเป็นถูก

ผู้จะไปอยู่ป่าต้องบรรลุแล้ว มีจิตมีสมาธิตั้งมั่น คือกระทบโลกธรรมแต่ไม่เกิดกิเลส ในอุบาลิสูตร ต้องมีภูมิธรรมก่อน คนที่จะออกป่าต้องเป็นอนาคามีหรืออรหัตตมรรค เข้าป่าเพื่อพิสูจน์ตนเอง เมื่อเข้าป่าก็ไม่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสโลกธรรมมาก แล้วใจเราจะฟุ้งซ่านมาหากามไหม หรือจมติดป่าไหม

ศาสนาพุทธเมืองไทยเอาพระไตรฯที่พระมหากัสสปะ ที่เป็นพระจริตติดป่า ที่มีองค์เดียวเลยในศาสนาของพระสมณโคดม เป็นเรื่องเฉพาะคน ที่ไม่สากลสามัญที่จะทำกับคนทั่วไป ท่านก็อนุโลมให้คนมีวาสนา จริตชอบป่าบ้าง ส่วนพระกัสสปะ บรรลุอรหันต์แล้วก็ออกจากป่าเลย พาบริวารที่จริตเดียวกันสอนกันในป่า แต่ไม่ใช่แกนหลักนะ คนจะไปหาอาจารย์ในป่าก็ต้องไปหากัสสปะ แต่พระพุทธเจ้าว่าความเสื่อมของศานาพุทธคือการไปหาอาจารย์ในป่า ท่านก็ตรัสทิ้งจริตแบบพระกัสสปะเลย แต่ที่ตรัสสูตรนี้พระกัสสปะยังไม่มา  ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่ศาสนาในป่า

คำว่าวัตร แปลว่าประพฤติ ไม่ใช่ประจำ ถ้าจะบอกว่าพระพฤติประจำก็สำทับอีกที แต่ว่าวัตรนี้คือประพฤติ

ล.32 ข้อ 392 พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเลยว่า การออกป่าของท่าน 6 ปีเป็นการปฏิบัติที่ผิด พระพุทธเจ้าอยู่ในภาวะลิงลมอมข้าวพอง ที่จริงท่านบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มาชาติสุดท้ายนี้ท่านไม่ต้องปฏิบัติธรรมเลย

การจะออกป่านั้นประพฤติได้แต่ไม่จำเป็น แต่ให้การมีจิตยินดีในเสนาสนะป่า จิตยินดีในเรือนว่าง ไม่ใช่ปิดประตูใส่กลอนไม่ยุ่งกับใครหรือเข้าป่าไม่ยุ่งกับใคร แต่จิตยินดีในป่า ไม่ใช่ยินดีในป่าคอนกรีตนะแต่ยินดีในการอยู่ป่า อาตมาไม่เคยไปบุกรุกป่า แต่สร้างป่าเองทั้งนั้น

การยินดีในเสนาสนป่า หรือยินดีในเรือนว่าง ในภาษาธรรมะคือต้องทำให้จิตว่างจากกิเลสที่เป็นตัววุ่นวายไม่สุขไม่สงบนั้นต่างหาก ต้องให้ชัด คือให้จิตว่างจากกิเลสที่เป็นตัวทำให้วุ่นวายไม่ดีงาม

อาตมาบวชใหม่ๆ มีลูกศิษย์ท่านพุทธทาสมาถกกับอาตมาเรื่องจิตว่าง เขาก็ว่าว่างลอยๆ ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร แต่อาตมาว่าต้องว่างจากกิเลส แล้วไม่ต้องหนีวัตถุ แม้มันจะมากระทบอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส แต่ต้องทำหน้าที่ตามยศศักดิ์ เหตุปัจจัยวัตถุ เช่นข้าวของ เช่นไร่นาสวน ก็ต้องใช้งานแต่ไม่ได้ติดยึด เอามาใช้งานทำงานเพื่อสร้างสรร ไม่ใช่ให้เราติดยึดเป็นกิเลส และแม้จะอยู่กับเหตุปัจจัยเหล่านี้ต้องบริหารเงินระดับพันล้านหมื่นล้านก็ไม่มีทุจริตอยากได้มาเป็นของตน อาตมากำลังจะสร้างคนให้มีจิตเช่นนี้ ออกไปทำงานรับใช้ปชช.​ ไปบริหารบ้านเมืองได้

อย่างคุณจำลอง พล.ต.จำลอง บริหารกทม. มีเงินตั้งไม่รู้กี่พันล้านหมื่นล้านก็ไม่ได้อยากได้ไม่คอรัปชั่นไม่เอานิดเอาหน่อยเศษเหลือไม่ยักยอกเลย ถ้าได้คนอย่างคุณจำลองมาบริหารประเทศตอนนี้อายุ 80 กว่าแล้วก็ให้เป็นตำแหน่งอะไรก็คงไม่เอา เราจะได้คนแบบนี้มาบริหารบ้านเมือง

อาตมาจะพาพวกเราสร้างคนแบบนี้มา เด็กรุ่นหลังก็ไม่ค่อยเข้ามา เลยเอาคนที่อยู่ได้ตามจริง อาตมาพยายามสร้างโรงเรียนแล้วทำอุดมศึกษา จนเขาเข้าใจแล้วไม่หนีจากหมู่เลย ก็ยังไม่ค่อยได้ ก็แม้ยากเย็นแต่ไม่มีทางเลือก ขอยืนยันว่าการบรรลุธรรมของศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องมาเป็นนักบวชแต่ฆราวาสก็เป็นอนาคามี อรหันต์ได้ แล้วมาบริหารบ้านเมือง ก็เร่ิมมีตัวตนบุคคลเป็นจริง สักวันหนึ่งก็จะมีปริมาณมากพอที่จะไปทำได้

เดี๋ยวนี้กระแสสังคมโลกกำลังเหล่ตามาหาธรรมะของพุทธ ขณะนี้อิตาลีขอรับศาสนาพุทธเป็นอีกศาสนาประจำชาติอีกศาสนาหนึ่งด้วยแล้ว


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:27:02 )

590706

รายละเอียด

590706_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงนิพพาน

ผู้ใดแยกอุตุนิยามออกจากจิตนิยามได้ อุตุนิยามนี้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย แต่ถ้ามันยังเป็นชีวะอยู่ กายของเราไปสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง เช่นเล็บกระทบแรงก็เจ็บ

สัมผัสเล็บก็ไม่เท่าไหร่ ผมก็ไม่เท่าไหร่ไม่ค่อยรู้เรื่องผมยาวๆก็ไม่ค่อยกระเทือนแต่ผิวหนังนี่สัมผัสแล้วก็รู้ได้มากกว่า

ผู้ใดแยกกายแยกจิต ทำให้ความรู้ทำให้ปัญญาของเรารู้ว่าอาการกาย กายอย่างนี้ไม่ใช่กายแล้ว เมื่อไม่ใช่กายก็ไม่มีเราของเรา แม้มันยังเป็นกาย แต่จิตเราไม่ไปร่วมด้วยก็ไม่ใช่กายแล้วเป็นพีชนิยามแล้ว จิตเรานิพพานแล้วในการติดยึดส่วนนั้นๆ 

อาการที่เป็นพีชนิยามคือมีแต่ สังขารกับสัญญา ไม่รู้สึก แม้เล็บที่ออกมาพ้นประสาทแล้วก็ไม่เจ็บ ตัดออกขัดออกไม่เจ็บ ส่วนอื่นก็เช่นกัน ผม ขน ฟัน เล็บ ผิวหนัง พวกที่ไม่รู้สึกนี้นิพพานหมดแล้ว ตัดออกไปได้เลย ไม่มีรู้สึกอะไรเลย

เล็บมีหลายแบบ ของสัตว์ของคนก็ต่างกันไป เล็บถ้าผู้ใดเรียนรู้ได้ว่าส่ิงที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา แล้วเรายึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั้งที่มันเป็นอวัยวะของเรา เรารู้สึกเฉยๆตัดออกไปมันไม่ใช่ของเรา แยกกายแยกจิตได้ ตัดออกแล้วไม่รู้สึกเจ็บไม่ใช่กาย ไม่มีเวทนาเลย ไม่ใช่กาย

ส่วนใดมีความรู้สึก มีเวทนา เรียกว่า กาย จะเป็นกายหรือเป็นจิต คุณยึดเป็นเราเป็นของเรานั้นผิดหมด ก็ต้องรู้การอาศัย เราอาศัยมันเท่านั้น มันไม่ใช่กายเราแล้ว แม้แต่ทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้อง พระอาริยะเจ้าทิ้งมาหมดแล้ว ทั้งโภคขันธาปหายนะ ญาติปริวัตตังปหายะ นักบวช สมณะ สม.สามเณรอโศกไม่มีสิ่งเหล่านี้ ทุกวันนี้อาตมาทิ้งมาหมดก็สบาย ใครมีที่ดินก็เซ็นออกให้หมด เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าพาทำเช่นนี้

ส่วนนักบวชทุกวันนี้ สะสมกอบโดยไปหมดภิกษุพระเจ้ามีเงินเดือนเงินดาวอีก แล้วเถียงว่า ยุคนี้ไม่มีไม่ได้ แต่ว่า สมณะ สิกขมาตุ สามเณรอโศกอยู่ในยุคนี้ไหม สิกขมาตุเราบวชมาเช่น 38 ปีก็ไม่มีเงินเลย ไปไหนมาไหนก็ได้ ขออภัยไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่ท่านเองปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็ยอมรับเสียเถิด

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ประเสริฐนัก คุณมีทรัพย์สินเงินทอง จะไปจะมาจะนั่งจะนอนก็ห่วงหา แต่เราไม่มีก็ไม่ห่วงหาอาวรณ์เงินทองทรัพย์สินที่ทิ้งมาแล้ว

เราก็มากินใช้ส่วนกลางกับสาธารณโภคี ไม่ยึดหอบหวงเอาไว้กับตน มาปฏิบัติธรรมก็ต้องสละออก ไม่มีมาก ออกบวช นั้น โภคขันธาปหายะ มีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย เหมือนนกปีกแข็ง จะไปทิศาภาคใดก็ไปได้ทุกทิศ

เวทนามันเป็นหนึ่งแล้วไม่ต้องห่วงหาเป็นเราเป็นของเราเป็นเวทนูปาทานักขันโธ กำหนดเอาสัญญากำหนดรู้เวทนาว่ายึด สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ เป็นเราเป็นของเราไหม

ถ้ายังยึดอยู่เป็นปลิโพธ เป็นเราเป็นของเราก็ทุกข์อยู่ หรือถ้ามีแล้วมาปฏิบัติธรรมก็เอาออกจากเราไป ยกตัวอย่างเช่นเงินทอง ศีลข้อ 10 ชาตรูปรชนปฏิคหนา เวรมณี อย่าเอามาเป็นเราเป็นของเรา อย่าว่าแต่ไปเปิดบัญชีอยู่ในแบงค์เลย เป็นสัญญาของเราให้เซ็นออกหรือเข้า คนนั้นมีเงินทองเป็นของตนไม่สละออก

พระที่มีบัญชีในธนาคารเป็นพระอปกตัตตะ คือพระไม่บริสุทธิ์ ไม่ปกติ ต้องเอาออกต้องไม่มีบัญชีของเรา ถ้ามีถือว่าเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ไม่สละออกปลงอาบัติไม่ตก ยิ่งไปยินดีนี่แม้ไม่มีเงินในแบงค์แต่ยินดีกว่าเงินนั้นเป็นของเรา เช่นคนทำทานกับเรา เราก็เอาเข้ากองกลางแล้วไปยินดีว่าของเราๆ แม้สละออกแต่ยังยินดีว่าของเราอย่างนี้ก็ยังอาบัติต้องปลงอาบัติในความยินดีนั้น ๆ เป็นอาบัติทุกกฏ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:28:54 )

590706

รายละเอียด

590706_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงนิพพาน

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 6 ก.ค.​2559 อาตมาก็เดินทางกลับมาจากไปสัญจร ต่างจังหวัดมาหลายจังหวัด พบญาติโยม ได้ไปบรรยายสัจธรรมไป ชีวิตนี้ออกมาทางธรรม​46 ปีย่างปีที่ 47

0893867xxx ในเมื่อทุกศ.หยุดสงครามฯ ไม่ได้เพราะผู้นำคำสอนทุกศ.ไม่รู้จักกรรมที่สัจธรรมจริงแสดงแก่โลกไม่ว่าจะเชื้อชาติใดจะถือศาสนาใด!วิบากไม่จำกัดสัญชาติ!กรรมไม่มียกเว้นเผ่าพันธุ์ตราบใดที่ทุกชนชาติยังจองเวรจองกรรมไม่สิ้นสุด! กรรมใดใครก่อผู้นั้นต้องรับกรรม!สัจธรรมแท้จริงที่ทุกมุมโลกต้องผจญในวิบากกรรมร่วมกัน!ไม่มีใครหยุดกรรมชั่วได้ด้วยกรรมดีเท่าผู้กระทำเอง!

ตอบ...ศาสนาพุทธเชื่อกรรมเชื่อวิบาก เชื่อว่ากรรมเป็นของๆตน (กัมมสกะ) เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในกรรม 3 ทำลงไป พอทำปุ๊บเสร็จปั๊บก็เป็นวิบาก เป็นสั่งสมเป็นของๆตน จะทำในที่แจ้งหรือที่ลับ ทำโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนา  ทิ้งไม่ได้ ไม่เอาไม่ได้ ทำแล้วเป็นของๆตนทุกธุลีละออง ไม่มีขาดหกตกหล่น ไม่มีใครเบี้ยวได้

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

กรรมไม่ใช่เรื่องสืบทอดทางสรีระ หรือที่จะสืบทอดกันมาจากปู่ย่าตายายได้ แต่ว่า ลูกหลายอาศัยเพียงสรีรพันธุ์มาเกิดกับพ่อกับแม่เท่านั้น

จิตวิญญาณแยกกับสรีระ สรีระนั้นสืบทอดกันได้ที่เขาเรียกว่ากรรมพันธ์ุแต่แท้จริงมันไม่ใช่สืบทอดทางกรรม แต่ว่าเป็นเพียงสรีรพันธุ์ กรรมนั้นเป็นของตนเองสะสมมาเอง

กรรมนี่แหละจะทำให้จิตวิญญาณเราบรรลุธรรมได้ กายวาจาใจ เป็นกาย ร่าง ดินน้ำไฟลมไม่ใช่กายแต่เป็นองค์ประกอบ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่แหละ เมื่อมีการกระทบสัมผัสเกิดกรรม โดยเฉพาะเมื่อกระทบสัมผัสแล้วเกิดสภาวะที่มโน ตรงนี้เป็นเป้าหมายแห่งการรู้ เป็นที่ตั้งที่จะศึกษาได้ เรียกองค์รวมนี้เรียกว่ากาย

ภาษาแรกเลยเรียกว่า กายสังขาร คำว่ากายคือรูปกับนาม ปรุงแต่งเป็นสังขารเลย พระพุทธเจ้าสอน คนอวิชชา (ไม่รู้) ก็เพราะไม่รู้สังขารนี่แหละ

ผู้เรียนรู้กายไม่ถูกต้อง กรรมเลยทำให้เกิดกาย แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็แยกกายออกไป ใช้ภาษาเรียกหลายอย่าง

เฉพาะคำว่า กายนี้  ท่านแปลว่า กอง ฝูง หมู่ ประชุม กายไม่ใช่สิ่งเดียว กายต้องสองสิ่งขึ้นไป เป็นธรรมะสองประชุมกัน หรือกายแปลว่า หมวดแห่งเจตสิกคือเวทนาสัญญาสังขาร กายไม่ได้แปลว่าวัตถุ แต่แปลถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม ก็คือวิญญาณ (เวทนาสัญญาสังขาร)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า...ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

กายนั้นถูกรู้ได้ เป็นรูปได้ แต่เป็นนามเสียส่วนใหญ่ แม้แต่เป็นรูปกาย

กายนี้เน้นเข้าหานามธรรม ซึ่งมีคำว่า กายอีกหลายคำ กายกลิ กายปาคุญญตา กายกัมมั ญญตา กายทวาร กายธาตุ กายปฏิพัทธ์ กายปัสสัทธิ กายพละ กายภาวนา กายมุทุตา กายลหุตา กายวิการ กายวิญญัติ กายวิญญาณ

กายปาคุญญตาแปลว่า ความคล่องแคล่วของกาย ความคล่องแคล่งแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร มีความแคล่วคล่องเพราะกายปัสสัทธิ ไม่มีกิเลสที่เป็นตัวกวนเข้ามามีแต่พลังแห่งความดีงาม ไม่มีเหตุแห่งความชั่ว ก็เลยคล่องตัว มีแต่ทำดีคล่องตัว นี่คือนัยสำคัญของศาสนาพุทธ เมื่อเข้าใจเพี้ยนก็เอากายไปให้ร่างนี้อยู่นิ่งๆ

เขาเรียนกายานุปัสสนา ทำให้กายปัสสัทธิ เขาก็เลยไปนั่งหลับตาทำจิตให้นิ่งแล้วไม่กระดุกกระดิก

แท้จริงแล้ว เมื่อกายปาคุญญตา ก็ทำงานได้คล่องแคล่ว เพราะมีกายปัสสัทธิ (หมดกิเลสแล้ว) แต่ถ้าหมายว่า กายปัสสัทธิคือร่างไม่กระดุกกระดิก จะไปทำงานได้อย่างไร จะมีกายปาคุญญตาได้อย่างไร แต่เขาก็บอกว่าจิตมันแคล่วคล่องจิตมันเป็นสมาธิ ไม่มีกิเลส ฉลาดเฉลียว เป็นการอ่านอารมณ์ได้ซึ่งที่จริงไม่ผิด แต่ไม่ถูก เพราะองค์รวมของพระพุทธเจ้าสมาธิต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มันต้องเกี่ยวข้องทั้งภายนอกและภายใน

ในมูลกรรมฐาน 5 นั้น ชีชัดว่า เราสามารถทำจิตให้เป็นพลังงานฐาน พีชนิยาม แต่ว่า เป็นจิตที่เป็นจิตนิยาม ทำให้จิตรวมลงเป็นพีชะ

ทำให้เราเข้าใจอาการนิพพาน เอาอาการ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่เป็นนิพพานอย่างไร?

ถ้าเล็บเราเป็นดินน้ำไฟลม อุตุนิยาม เป็นธาตุไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้มันติดกับร่างเรานี่เป็นชีวะ มันยาวออกมาได้ เล็บที่ยาวออกมา พ้นปสาทรูป

ดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตรูป 4 ส่วนที่ยาวออกไปแล้วมีส่วนที่ติดกับร่างกายเรา มีส่วนต่อ เรียกว่ามีชีวิตินทรีย์ของเล็บ แต่ส่วนที่พ้นปสาทรูปนี้ไปแล้ว ที่ต้องมีปสาทรูป 5 กับโคจรรูป 5 ทำงานกระทบสัมผัส

เช่นเล็บของเรากระทบสัมผัส กระทบกระเทือน เอามีดตัดเล็บมาตัดก็ไม่รู้สึกปวดอะไร ไม่รู้สึกเป็นภาวรูป 2

ถ้าเราตัดออกไป ส่วนที่ออกมาจากปสาทรูปก็ไม่เจ็บ ส่วนที่เหลือยังเป็นชีวะ เป็นพีชนิยาม จิตนิยามอยู่กับเรา แล้วจิตที่ไปผูกพันกับส่วนที่เกินประสาทของเราออกไป มันเป็นชีวะ แต่มันไม่ใช่กายของเรา ส่วนที่เล็บมันเกินออกมาจากประสาทเรามันเป็นพีชนิยาม แต่ไม่ใช่จิตนิยามจึงไม่ใช่กาย มันไม่นับเป็นกายแล้ว ตัดออกไปแล้วเราไม่ได้สุขทุกข์กับมันเรียกว่าอาการนิพพาน แต่ว่าคนที่หวงแหนถูกตัดเล็บออกไปแล้วโวยวาย เป็นทุกข์กับมันก็มี

เล็บที่ยาวพ้นประสาทออกมามีแต่สัญญากับสังขาร ตัดแล้วก็ไร้ความรู้สึก ไม่มีเวทนาแล้วนี่แหละคือดับเวทนา แม้จะเป็นชีวะอยู่ ตัดออกไปแล้วหากเรายึดเป็นเราของเราอีกก็ยิ่งกว่าปกติสามัญอีก

คนวางได้ เข้าใจว่าเล็บนี้ไม่ใช่กายเราแล้ว กายคือที่เรารู้สึกเจ็บ แต่รู้สึกเจ็บนี่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเจ็บแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจนี่คือมีเวทนา โกหก สัมผัสแล้วชอบหรือไม่ชอบ ที่เจ็บหรือไม่เจ็บนี้เป็นธรรมชาติ แล้วแต่สัมผัสแรงเบา แต่ธรรมาดาก็ถ้าแรงก็เจ็บ แต่ถ้าชอบใจหรือไม่ชอบใจนี่คืออาการของส่ิงไม่มีจริง แล้วเป็นอาการที่ยึด ชอบใจไม่ชอบใจ ถ้าไม่ใช่เล็บ ผม ขน ฟัน หนัง มีสัมผัสเสียดสีกดนวด ก็เกิดความชอบหรือไม่ชอบ กดแรงๆก็เจ็บ สัมผัสแรงมากก็ทนไม่ไหว เจ็บ ทนไม่ได้ คนมาโซคิสก็ชอบให้กระแทกสัมผัสแรงๆตามร่างกายเรา ส่วนคนซาดิสม์ก็ชอบใจที่คนอื่นโดนทำร้าย

ผู้ใดแยกอุตุนิยามออกจากจิตนิยามได้ อุตุนิยามนี้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย แต่ถ้ามันยังเป็นชีวะอยู่ กายของเราไปสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง เช่นเล็บกระทบแรงก็เจ็บ

สัมผัสเล็บก็ไม่เท่าไหร่ ผมก็ไม่เท่าไหร่ไม่ค่อยรู้เรื่องผมยาวๆก็ไม่ค่อยกระเทือนแต่ผิวหนังนี่สัมผัสแล้วก็รู้ได้มากกว่า

ผู้ใดแยกกายแยกจิต ทำให้ความรู้ทำให้ปัญญาของเรารู้ว่าอาการกาย กายอย่างนี้ไม่ใช่กายแล้ว เมื่อไม่ใช่กายก็ไม่มีเราของเรา แม้มันยังเป็นกาย แต่จิตเราไม่ไปร่วมด้วยก็ไม่ใช่กายแล้วเป็นพีชนิยามแล้ว จิตเรานิพพานแล้วในการติดยึดส่วนนั้นๆ 

อาการที่เป็นพีชนิยามคือมีแต่ สังขารกับสัญญา ไม่รู้สึก แม้เล็บที่ออกมาพ้นประสาทแล้วก็ไม่เจ็บ ตัดออกขัดออกไม่เจ็บ ส่วนอื่นก็เช่นกัน ผม ขน ฟัน เล็บ ผิวหนัง พวกที่ไม่รู้สึกนี้นิพพานหมดแล้ว ตัดออกไปได้เลย ไม่มีรู้สึกอะไรเลย

เล็บมีหลายแบบ ของสัตว์ของคนก็ต่างกันไป เล็บถ้าผู้ใดเรียนรู้ได้ว่าส่ิงที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา แล้วเรายึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั้งที่มันเป็นอวัยวะของเรา เรารู้สึกเฉยๆตัดออกไปมันไม่ใช่ของเรา แยกกายแยกจิตได้ ตัดออกแล้วไม่รู้สึกเจ็บไม่ใช่กาย ไม่มีเวทนาเลย ไม่ใช่กาย

ส่วนใดมีความรู้สึก มีเวทนา เรียกว่า กาย จะเป็นกายหรือเป็นจิต คุณยึดเป็นเราเป็นของเรานั้นผิดหมด ก็ต้องรู้การอาศัย เราอาศัยมันเท่านั้น มันไม่ใช่กายเราแล้ว แม้แต่ทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้อง พระอาริยะเจ้าทิ้งมาหมดแล้ว ทั้งโภคขันธาปหายนะ ญาติปริวัตตังปหายะ นักบวช สมณะ สม.สามเณรอโศกไม่มีสิ่งเหล่านี้ ทุกวันนี้อาตมาทิ้งมาหมดก็สบาย ใครมีที่ดินก็เซ็นออกให้หมด เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าพาทำเช่นนี้

ส่วนนักบวชทุกวันนี้ สะสมกอบโดยไปหมดภิกษุพระเจ้ามีเงินเดือนเงินดาวอีก แล้วเถียงว่า ยุคนี้ไม่มีไม่ได้ แต่ว่า สมณะ สิกขมาตุ สามเณรอโศกอยู่ในยุคนี้ไหม สิกขมาตุเราบวชมาเช่น 38 ปีก็ไม่มีเงินเลย ไปไหนมาไหนก็ได้ ขออภัยไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่ท่านเองปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็ยอมรับเสียเถิด

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ประเสริฐนัก คุณมีทรัพย์สินเงินทอง จะไปจะมาจะนั่งจะนอนก็ห่วงหา แต่เราไม่มีก็ไม่ห่วงหาอาวรณ์เงินทองทรัพย์สินที่ทิ้งมาแล้ว

เราก็มากินใช้ส่วนกลางกับสาธารณโภคี ไม่ยึดหอบหวงเอาไว้กับตน มาปฏิบัติธรรมก็ต้องสละออก ไม่มีมาก ออกบวช นั้น โภคขันธาปหายะ มีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย เหมือนนกปีกแข็ง จะไปทิศาภาคใดก็ไปได้ทุกทิศ

เวทนามันเป็นหนึ่งแล้วไม่ต้องห่วงหาเป็นเราเป็นของเราเป็นเวทนูปาทานักขันโธ กำหนดเอาสัญญากำหนดรู้เวทนาว่ายึด สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ เป็นเราเป็นของเราไหม

ถ้ายังยึดอยู่เป็นปลิโพธ เป็นเราเป็นของเราก็ทุกข์อยู่ หรือถ้ามีแล้วมาปฏิบัติธรรมก็เอาออกจากเราไป ยกตัวอย่างเช่นเงินทอง ศีลข้อ 10 ชาตรูปรชนปฏิคหนา เวรมณี อย่าเอามาเป็นเราเป็นของเรา อย่าว่าแต่ไปเปิดบัญชีอยู่ในแบงค์เลย เป็นสัญญาของเราให้เซ็นออกหรือเข้า คนนั้นมีเงินทองเป็นของตนไม่สละออก

พระที่มีบัญชีในธนาคารเป็นพระอปกตัตตะ คือพระไม่บริสุทธิ์ ไม่ปกติ ต้องเอาออกต้องไม่มีบัญชีของเรา ถ้ามีถือว่าเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ไม่สละออกปลงอาบัติไม่ตก ยิ่งไปยินดีนี่แม้ไม่มีเงินในแบงค์แต่ยินดีกว่าเงินนั้นเป็นของเรา เช่นคนทำทานกับเรา เราก็เอาเข้ากองกลางแล้วไปยินดีว่าของเราๆ แม้สละออกแต่ยังยินดีว่าของเราอย่างนี้ก็ยังอาบัติต้องปลงอาบัติในความยินดีนั้น ๆ เป็นอาบัติทุกกฏ

ลาภยศสรรเสริญเราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราได้ เป็นสาธารณโภคี ก็ต้อง ให้สอนอบรมเด็กพวกเราว่าเขาใช้ของสาธารณโภคี ต้องช่วยกันดูแล ของเสียหายต้องเก็บงำดูแล อันนี้คือเสียหายเสื่อมเสียต้องระวัง พวกเราสุรุ่ยสุร่ายก็เสียหาย

ผู้ใดปฏิบัติแล้วไม่สามารถอ่านอาการไปถึง อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ถ้าเราไม่สามารถรู้ว่าอันนี้เป็นพลังงานขั้นไหน แม้จะเป็นองคาพยพของเรา ที่เราต้องใช้สอยอยู่ แต่จิตเราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราแล้ว เมื่อไม่ใช่เป็นเราเป็นของเราแต่เราต้องใช้สอยอาศัย แล้วเราจะไปหวงแหนอะไรนักหนาทั้งที่มันไม่เจ็บปวดอะไรนะ คุณมีเงินแสน เอาใส่แบงค์ไว้ แล้วมันหายไป แต่คุณก็อยู่กับเรากับสาธารณโภคี แต่คนมาเอาเงินเราไปเราเดือดร้อนเงินแสนฉันหายนี่คือเราของเรา แต่ถ้ามันหายไปแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ถ้าคนรู้สึกว่าหายก็แล้วไป มีไว้ก็เป็นภาระ ต้องดูแลรักษา

คนอวิชชาตายแล้วก็มีกาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คนที่บูชาคนตายที่ร่างไม่เน่านี้อวิชชาหนัก เพราะตายแล้วร่างไม่เน่านี้แสดงว่ามีพลังติดยึดมาก

กายในกายคือองค์ประชุมรูปนาม

รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ นามคือธาตุรู้ ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะ จึงเกิดรูปนามต้องมีมนสิการ คือทำใจ ปฏิบัติทำใจในใจ ทำมโนปวิจาร 18 ที่เป็นฐานเลย จับอาการได้ตรงไหนตรงนั้นถือหทยรูป ใช้สัญญากำหนดอ่านเวทนาให้ได้แล้วอ่านเวทนาในเวทนาคือองค์ประชุมรูปนาม กายกับเวทนาเนื่องกัน แล้วอ่านในกาย คือเวทนา

ตาก็ยังสัมผัสรูปแต่ใจนั้นเกิดสังขารแล้ว ในนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องอ่านเวทนาเจาะให้ถึงเจตนา ใช้สัญญากำหนดอ่าน อาการ เรียกว่าอย่างไร ในเจตนามีสาม กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มีเครื่องอาศัยคืออาหาร 4

1.      กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.      ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.      มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.      วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) .

ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานให้ปฏิบัติไม่มีกรรมฐานของพุทธ ต้องมีเวทนา ถ้าเข้าใจพรหมชาลสูตร

ซึ่งสมัยก่อนพระพุทธเจ้าอุบัตินั้นมีแต่การปฏิบัติแบบนั่งหลับตามทำสมาธิ ไม่มีมรรคมีองค์ 8 คนไปนั่งหลับตานั้นจมในอดีตกับอนาคต

ในอานาปานสติก็ไม่มีคำว่า นั่งหลับตา ท่านตรัสนัยว่า อย่าขาดดินน้ำไฟลม แม้ที่สุดลมหายใจอย่าขาดการรับรู้นะ

คนที่หลุดพ้นจากกามภพภายนอกแล้ว คุณบรรลุธรรมแล้ว คุณไม่ต้องหลับตาเลย สัมผัสอะไรแล้ว สัมผัสเงินก้อน งบประมาณ พันล้านแสนล้านคุณก็เฉย สัมผัสกามคุณก็กลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ผลักไม่ดูดกลางๆ อนาคามีสัมผัสแล้วระริกระรี้ในใจ เป็นรูปภพ อรูปภพ โหยหา แต่ข้างนอกนั้นไม่มี วางเฉยได้ เป็นอนาคามีแท้ คนเป็นอนาคามีไปบริหารงบประมาณรัฐก็สะอาดบริสุทธิ์ไม่มานั่งเอาแม้คอมมิชชั่นอย่าว่าจะคอรัปชั่นเลย อนาคามีนิโรธในกามภพแล้ว

ผู้มีนิโรธได้จริงก็อนาคามีเป็นต้นไปแต่ไม่ใช่นิโรธแบบนั่งหลับตา แต่อยู่กับโลกธรรม กามคุณ สัมผัสภายนอกแล้วไม่ทุกข์ไม่สุข เหลือแต่ในจิต เป็นสัญญาปรุงแต่งพริ้วพราว หยาบแรงก็อยู่กับตน แต่ไม่รุนแรงจนอยากได้อยากมีอยากเป็น ข้างนอกแล้วเฉยๆ กลางๆ นี่คือนิโรธ นี่คือวิมุติ ไม่ใช่ดับปี๋ไม่รับรู้แต่รู้ดีด้วย รู้จักทำงานการอย่างบริสุทธิ์สะอาดไม่เอาเป็นของตัวของตนเลยทำงานตามฐานะไป

ขอแวะถึงอุบาสกอุบาสิกา ที่เป็นคณะในพุทธบริษัท 4 เป็นอาริยบุคคลนะ คือบรรลุธรรมแล้วเช่นถือศีล 5ได้ปกติบรรลุแล้วมาปฏิบัติศีล 8 ได้ เป็นสกิทาคามีก็มี พุทธบริษัทหมายถึงผู้บรรลุธรรม พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับพุทธบริษัท 4

แม้แต่มาบวชแล้วถ้าไม่บรรลุธรรมก็ไม่ใช่พุทธบริษัท เป็นเพียงแค่พุทธศาสนิกชนหรือพุทธมามกะเท่านั้น

ก็ขอพูดตรงๆว่า ทุกวันนี้หายากแล้วสำหรับพุทธบริษัททั้งนักบวชหญิง_ชาย ฆราวาส หญิง_ชาย ในอโศกมีพุทธบริษัท ทั้ง 4​ครบ….จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:29:31 )

590707

รายละเอียด

590707_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

พ่อครูว่า วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 ก.ค. 2558 ปีวอก ก็ได้มาบรรยาย สาธยายธรรมะ เรื่องสัจธรรม เราไม่มีย่อหย่อน ไม่มีเวลาใดเลยที่ไม่ควรจะเปิดเผยธรรมะ ทุกเวลาควรเปิดเผยธรรมะตลอดเวลาเลย

วันนี้อาตมาจะอา sms มาอ่านเสียก่อน

Sms 6/7/59

0893867xxx วัยเกษียณไปแล้วตั้งใจจะมาปฏิบัติธ.อยู่ที่บ้านราชอุบล ในบั้นปลาย!อยู่กับโลกธ.มาครึ่งชาติก็ยังบ่ได้ไปสักทีต้องดูแลบุพการี!เฮ้อ

ตอบ...ก็เป็นคุณงามความดีอย่างหนึ่งที่ได้ช่วยดูแลพ่อ ที่ไปไหนไม่ได้เลย เป็นกตัญญูกตเวที วิบากใครก็ของใคร เราจะได้ขันติอดทน ได้ทำกุศลเป็นสิ่งที่ทำให้เราง่ายดายสะดวกขึ้น ให้ศึกษาธรรมะให้ดีไม่ตกหล่นหรอก เราอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้ ทุกลมหายใจเข้าออก

0893867ผู้น้อยไม่รู้พ่อครูบรรลุธรรมตอนไหนเพราะมาทีหลังญตธ.อโศกแต่ผู้น้อยคิดว่าพ่อครูบรรลุธ.ระหว่างบำเพ็ญธ.อยู่กับการพาญตธ.ปฏิบัติธ.สร้างชุมชนพึ่งตนบนความพอเพียง!มิใช่ในป่า

0893867xxx ผู้น้อยนำพระพุทธเจ้าแต่ละปางมาจากหนังสือศิลปะลายไทยเพราะรับเขียนภาพพระหลายร้อยปางตามแบบเลยนำมาบอกต่อ!

0893867xxx ผู้น้อยก็เคยขอสณ.ศาลีอโศกบวชเป็นเช่นสม.!สณ.บอกว่าคนพิการบวชไม่ได้!เศร้าฮือๆมนุษย์หูเทียม

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติอโศกผู้มีธ.อัปปิจฉะพาสังคมสงบสุขสันติอย่างพอเพียง!

ตอบ...ธรรมะข้อนี้ อัปปิจฉะ อาตมาแปลว่า กล้าจน ซึ่งชาวอโศกเรามีคุณสมบัตินี้อยู่มากเลย

0893867xxx ที่พ่อครูอธิบายกายอันคือวิญญาณเกิดจากกามคุณ5 ถูกไหมมีจักขุรู้รูปะ,โสตะรู้ สัททะ,ฆานะรู้คันธะ,ชิวหา รู้รสะ,กายะรู้สัมผัส?

ตอบ...ไม่ใช่แค่เกิดกาม แต่เกิดอัตตาด้วย ให้เราได้เรียนรู้

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมะอันลึกซึ้งบรรลุได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อจิตปริโยทาตา

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมเรื่องกรรมเป็นของตนเป็นทายาทเป็นกำเนิดเป็นเผ่าพันธุ์เป็นที่พึ่งอาศัย

0833046xxx ผู้บำเพ็ญถดถอยไปเพราะยึดติดห่วงลูกหลานครอบครัวปัจจัยเงินทองขัดสนจนรู้สึกเสียดายยากสละ เกิดความกลัวหลายเรื่องราวยังมีความลังเลไม่มั่นคงจริงจนกายใจเฉื่อยชาจนเคยชินจึงเลือกที่จะเก็บตัวเงียบงำบำเพ็ญ แต่จิตก็รู้ว่าธรรมะนี้ดี ผู้บำเพ็ญต้องรู้ย้อนมองส่องตนรู้เท่าทันกิเลสในใจตนและหยุดลงได้มิให้ก่อเกิดการบำเพ็ญธรรมะมิใช่อยู่ที่ใดแต่อยู่ภายในจิตตน

ตอบ...ทำใจในใจโดยอยู่กับผัสสะทำฌาน สั่งสมเป็นสมาธิเป็นปัญญา ซึ่งส่วนใหญ่เขายึดติดในสมาธิหลับตากันมานานแล้ว อาตมาพยายามอธิบายแต่เขาไม่ค่อยให้ค่า เพราะอาตมาทำไม่สวยไม่ไพเราะแบบคนอื่น ไม่พยายามสร้างภาพแบบนั้น แต่กลับกัน มันตรงกันข้ามกันด้วย คนละอย่าง เพื่อจะได้ชัดเจนก็เลยปฏิบัติตนตรงนี้

0810124xxx ผม,ขน,เล็บ,ฟัน และหนัง ที่ตัดออกแล้วเป็นอุตุ ที่ยังติดกับปสาทรูปคือพีชะ ที่ยังรับความรู้สึกจึงเรียกว่า "กาย"ถูกต้องมั้ยครับ

ตอบ...ไม่ง่าย แต่ถ้าเข้าใจมูลกรรมฐาน 5 ถ้าเข้าใจได้ดี มันจะเข้าใจเลยว่า อาการจิตเราขณะนี้นี่หลุดพ้นแล้ว หรือไม่หลุดพ้น มันจะอ่านอาการจิตออก ว่าถ้าจิตมีพลังงงานระดับพีชะนี้ถือว่าเป็นพลังงานหลุดพ้นแล้ว ไม่ขาดไม่เกี่ยวพัน แต่ถ้ามีจิตเชื่อมโยงอยู่ แต่พีชะนี้ติดกับตัวเรานะ เป็นอาการที่เราเองยังมีชีวะอยู่

ถ้าหนีเข้าป่าเขาถ้ำตัดทิ้งเป็นอุตุนิยามเลยไม่เป็นแบบพุทธ แต่ถ้าเล็บที่ยาวออกมามันไม่มีเวทนาอย่างนี้ไม่ใช่เรา อันนี้ที่จริงยังไม่ใช่ตัวบรรลุธรรมหลุดพ้นแท้ หลุดพ้นแท้คือรู้อยู่มีเวทนาอยู่ เจ็บปวดได้ แต่ไม่มีอารมณ์ชอบหรือชังไม่ผลักไม่ดูด ไม่ใช่สัมผัสไม่รู้เรื่องเป็นชีวะเท่านั้นไม่ใช่ แต่สัมผัสอยู่ ตากระทบรูป เห็นอยู่ พลังงานที่เป็นจิตเจตสิก จะมีชีวิตินทรีย์ ถ้าสัมผัสไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่ชีวะ แต่สัมผัสแล้วรู้เรื่องเหมือนคนอื่นเขา แต่ปุถุชนเกิดรักชัง แต่ของเราไม่ใช่อารมณ์สามัญ มันไม่รักไม่ชังไม่โกรธไม่หลง นี่คือ

ถ้าเราเข้าใจอาการของมูลกรรมฐาน จะเข้าใจว่าอย่างนี้มีชีวะหรือไม่มีชีวะ อย่างนี้มีจิตหรือไม่มีจิต สัมผัสแล้วรู้สึก

_มีสมณะดาวดินถามมาว่า สุโข ปัญญัสสะ อุจจโย ตำราพุทธศาสนาม.2 แปลว่า การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้ กราบพ่อครูอธิบายคำต่อคำ

ตอบ...คำว่าสุโขคือสุข ปัญญัสสะ ก็คือสภาพอุจจโยแปลว่าการสั่งสมพอกพูน ถ้าการสั่งสมปุญญัสสะ ก็นำสุขมาให้ ก็เลยทับศัพท์มา คำว่าบุญคือปุญญัสสะ ก็คือ อัสสะ นี่แปลว่าอันเป็นของบุญนี้ ไม่ใช่บุญที่เป็นก้อน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสั่งสมหรือปฏิบัติเป็นบุญ ผลที่ได้คือกิเลสตาย เพราะฉะนั้นผลของบุญนำสุขมาให้นี่ จึงเป็นอุปสโมสุขเป็นสุขอย่างไม่สามัญ ไม่ใช่สุขสาธารณะ ขอยืมบัญญัติคำว่าบุญมาเท่านั้น

สุ แปลว่าดี คำว่า ข แปลว่าที่ว่าง ท้องฟ้า อวกาศ​ ไม่ได้มีอะไรนะ สุขนี่เพราะว่าว่าง เพราะว่าดี การแปลทับศัพท์ไม่ผิดหรอก แต่เข้าใจไม่สมบูรณ์ ต้องมาไขความให้ลึกซึ้ง คำว่าสั่งสมบุญนี้ต้องแจกคำว่า ปุญญัสสะ ไม่ใช่คำว่า ปุญญะคำเดียว ผู้ใดจะพัฒนาผลเป็นบุญคือได้ทำสำเร็จแล้วเป็นส่วนของบุญอันนี้เป็นส่ิงละเอียดลึกซึ้ง

 

_ส.ขยันยอม ส่งมาว่า เทวดานั้นเขาสมมุติกันในโลกด้วยศัพท์อันสูง ในพระไตรปิฎก ล.13 ข.758  ล.22 ข.206 ท่านบอกข้อผูกพันใจ 5 ประการว่า

                            6. วินิพันธสูตร

 

          [206] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องผูกพันใจ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความระหาย ยังไม่ปราศจากความทะยานอยากในกาม ภิกษุใด เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ...ยังไม่ปราศจากความทะยานอยากในกาม จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็น

เครื่องผูกใจข้อที่ 1 ฯ

     อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ... ยังไม่ปราศจากความทะยานอยากในกาย ภิกษุใด เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ... ยังไม่   ปราศจากความทะยานอยากในกาย จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเพื่อประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นเครื่องผูกพันใจข้อที่ 2 ฯ

     อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ... ยังไม่ปราศจากความทะยานอยากในรูป ภิกษุใด เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ...ยังไม่ปราศจากความทะยานอยากในรูป จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นเครื่องผูกพันใจข้อที่ 3 ฯ

     อีกประการหนึ่ง ภิกษุฉันอาหารจนอิ่มตามต้องการแล้ว ประกอบความสุขในการนอนความสุขในการเอน ความสุขในการหลับอยู่ ภิกษุใด ฉันอาหารจนอิ่มตามความต้องการแล้วประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอนความสุขในการหลับอยู่ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นเครื่องผูกพันใจข้อที่ 4 ฯ

     อีกประการหนึ่ง ภิกษุปรารถนาเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ด้วยตั้งใจว่า เราจักเป็นเทวดา หรือเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยศีล พรต ตบะหรือพรหมจรรย์นี้ ภิกษุใดปรารถนาเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยตั้งใจว่า เราจักเป็นเทวดา หรือเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยศีล พรต ตบะหรือพรหมจรรย์นี้ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไป

พ่อครูว่า...ต้องพูดเรื่องการหลงติดยึดเป็นเทวดาอย่างหน้ามืดตามัวแบบสำนักธรรมกาย ไม่เข้าใจเทวดา 6 ชั้น สร้างภพชาติที่ซับซ้อนตนเองก็เมาหรูหราใหญ่โต เอาวิมานมาหลอกซับซ้อนไปหมดเป็นความหลง เป็นเทวดาที่มีทังขิฑฑาปโทสิกเทวดา และมโนปโทสิกเทวดา

พวกที่หลงระเริงใน กามคุณ ในโลกธรรม ก็อยู่ในทางความใคร่อยากในขิฑฑาปโทสิกะ แต่อีกพวกใครอยากในจิตดับสายหลับตาดำมืด เป็นมโนปโทสิกะ อย่างธรรมกายนี่ซับซ้อนทั้งเทวดาทั้งสองอย่าง ไปหลงจิตเทวดามโนปโทสิกเทวดา แล้วมีขิฑฑปโทสิกเทวดา เป็นเวหัปผลา วิมานล่องลายฟ่องฟ้ามหาศาล เต็มไปในอวกาศมากกว่าสตาร์วอร์ (พูดเป็นรูปธรรม)

ความหลงใหลไม่รู้จิตเจตสิกปรมัตถธรรม ทำให้หลงมืดมัวโมหัน ธรรมกายทำได้มาก คนหลงใหลมาก เพราะเขาสะกดจิต เป็นวิชาสะกดจิต คนหลงใหลมากมายทำให้เสียหายฉิบหายวายป่วงมากมาย

 

          ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

                      ***********************************

          (1) ชาติจักสุขสงบได้      ควรคะนึง

          โดยเฉพาะ“วิญญาณ”พึง  ตระหนักรู้            

          แม้นไม่ชัดชาติถึง           สลายล่ม กันแล

          หากประมาทยากกู้          วิกฤติได้ทันกาล

          (2) นานไปหมักพิษร้าย   จงระวัง

          ชั่วจะพาชาติพัง              พินาศแท้

          ยิ่งจะปฏิรูปดัง                 มุ่งมาด 

          หากบ่รีบแน่แพ้                เพราะช้าจริงจริง

          (3) ยิ่ง“ปัญหา”ศาสน์นั้น   สำคัญนัก             

          สะกดจิตคนจมปลัก          นรกแท้                 

          วิญญาณ“โง่”สยบสมัคร   ใจมอบ มารเลย    

          ต้องรีบช่วยกันแก้           ชาติด้วย“ปัญญา”

          (4) ถ้า“วิชชา”เกิดกับผู้    ใดใคร       

          รู้“โลก”รู้“อัตตา”ไข          เล่ห์ได้ 

          เร่งการศึกษาไตร            สิกขพุทธ แท้เทอญ

          ทุกระบอบต้องใช้            สติพร้อม“ปัญญา” 

          (5) “วิชชา”มีทั้งโลก        ทั้งธรรม

          “โลก-อัตตา”ก็สำ-             เร็จรู้

          รู้โลกุตระนำ                   โลกปุถุ ชนแฮ

          ใช้“มหาปเทส”สู้               เล่ห์ร้ายจึงทัน      

          (6) ไม่เช่นนั้นจักแพ้                 กลโกง

          เล่ห์ชั่วมันยืนโรง             ยิ่งแล้ว

          การเมืองบวกศาสน์โยง    กันอยู่ มิเห็นฤา

          หากพลาดชาติไม่แคล้ว    พินาศย้ำซ้ำเดิม

          (7) มารเหิมโหดหนักแล้ว นานพอ

          เถอะโปรดอย่ารีรอ          เผด็จได้                                   

ยามดีฤกษ์งามมอ    สี่สิบสี่        

          “ผลสุก”กินเถอะไม่(ไหม้)  เช่นนั้น“เสียของ”

 

          “สไมย์ จำปาแพง”            6 ก.ค. 2559                     

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 313 ประจำเดือนสิงหาคม 2559]

อย่างธรรมกายเขาหลอกให้คนทำทาน ด้วยการหลอกว่าจะได้เป็นเทวดา คนก็อยากเป็นเทวดา ทำมโนมยอัตตา ทำให้คนปั้นภาพ มโนมยอัตตา สายอ.มั่นสายหลับตาก็ใช้มโนมยอัตตา สะกดจิตให้เข้าไปในภพแล้วปั้นเทพเทวดามาสอนอย่างอ.มั่นเป็นต้น

แม้จะลืมตาหรือหลับตาก็สร้างได้ อาตมาเคยผ่านมาแล้ว  เขาสะกดจิตกันสามารถทำให้ตาเห็นตนเองนอนตายร่างเน่าเปื่อยเหม็นได้เลย ก็ทำให้เบื่อหน่าย พอช่วยได้แต่เป็นอุปาทานซ้อน เป็นมโนมยอัตตา  มองคนให้เห็นเป็นโครงกระดูกเดินได้ ก็บอกว่า คนเราไม่ได้งดงามสวยอะไรหรอก ก็เป็นเหมือนโครงกระดูกเดินได้ เห็นหญิงสาวเดินมาเห็นเป็นโครงกระดูกเดินเลย สายพวกนี้ก็ทำได้

สายหลับตาสว่างไม่เห็นแบบนี้ทีเดียวแต่เห็นภพชาติเป็นวิมานลอยลมได้เลย

มาดูทานสูตรกัน ล.23 ข.49

ทานนั้นมีผล และมีอานิสงส์ได้ ทานอย่างไรก็ได้ผลแน่ แต่จะมีอานิสงส์(ประโยชน์)ได้มากหรือไม่นั้นก็แล้วแต่เงื่อนไขการกระทำอีกที

1.เป็นผู้ทำจิตตั้งจิตตนไว้ ว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน สาเปกฺโข ทาน

เทติ  ปฏิพทฺธจิตฺโต  ทาน  เทติ  สนฺนิธิเปกฺโข  ทาน  เทติ  อิม  เปจฺจ

ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว

เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

พ่อครูว่าจตุมหาราช นั้นทำพฤติกรรมเหมือนทำดีให้ทานแต่พฤติกรรม เจตนานั้นเลวร้ายอยากได้กลับมามากๆ แย่งชิงเอามา มันพรางตนว่าเป็นเทวดา ที่แท้มันคือมารคือยักษ์ โหดเหี้ยม ดุดันทำมหิต แต่ที่เรียกว่าเทวดาเพราะว่ามันเสพรสสุขเท็จนี้ เป็นสุขนั่นเอง นี่คือเทวดาเลวร้ายหยาบสุด

แล้วเทวดาที่เลวร้ายกว่าคือปรนิมมิตตวสวัตตี คือพวกที่ให้คนอื่นล่าให้ เป็นแชร์ลูกโซ่อย่างธัมมชโยที่กระจายไปตามทั่วโลก หามาให้ตนเองหมด คือนายของมหายักษ์จาตุมหาราชิกาเลย

ธัมมชโยนี้ไม่ทิ้งความเป็นจตุมหาราชิกา และเป็นปรนิมฯด้วย อย่างให้คุณบุญชัย เจ้าสัวดีแทคนี้ ที่ร่ำรวย ไปใช้บริวารไปหาเงินมาให้อีกเป็นเศรษฐีซ้อนไม่รู้กี่ชั้น ที่เขาบอกว่า ถ้าไม่มีหลวงพ่อเราไม่มีวันนี้หรอก นี่คือสะกดจิตอย่างสมัยใหม่เลย ยิ่งกว่ารัสปูตีน

อันที่ 1เป็นจตุมหาราชิกา เขาก็จะสอนตั้งใจให้ดี เป็นคุณงามความดีเป็นดาวดึงส์ก็ซ้อนลงไปจากจตุมหาราชที่ยิ่งเก่ง มีลีลาว่าทำดีแต่ที่จริงทำชั่วไปล่าเขามา เขาก็สอนหมดว่าทำดี และให้เป็นเทวดาชั้นที่สาม คือ ยามา ก็บอกว่า ก็มาช่วยศาสนา แต่ซับซ้อน

ยามานั้น ผู้เป็นสมณะต้องไม่มีทรัพย์สินมาเลี้ยงตน จึงควรให้ฆราวาสหาข้าวหาน้ำมาให้แต่นี่เขาเอาหมดเลย ต้องให้เขาหมดเนื้อหมดตัวเลย แล้วหลอกว่าจะได้ทีหลัง แต่หมดตัวฆ่าตัวตายไปหลายคนเลย สุดโหดอำมหิตเลยดูดเอาท่าเดียว ถ้าเป็นยามาก็ทำดีแต่หลงซ้อนว่าฉันได้เสพความดี เขาก็ว่าได้เสพไปได้ยาวนานไปก็ได้ ยาวนานให้ได้มากที่สุด แต่แล้วก็หยุดพัก แต่เขาไม่ให้มีเวลาพักเลย แต่พวกที่ไปหาเงินหาทองนี่มันต้องพัก เพราะหมดแรง เหนื่อย พวกที่พัดสุดท้ายคือตาย ฆ่าตัวตายเลยก็มี ช่วยหลวงพ่อไม่ได้หมดแรงแต่ก็เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ไม่เห็นความชั่วร้ายของคนผู้นี้เลย

พระพุทธเจ้าให้เรียรู้แล้วเลิกเป็นเทวดามาทีละระดับ อย่าไปอยากแย่งใคร ให้มีตามบารมี จะเสพรสก็ให้ลดลง การเสพรสคืออาการดาวดึงส์เป็นรสปลอม เสพรสที่ไม่มีจริง

ตาเห็นรูปสีเขียวสีเหลืองนี่จริง แต่รสชาติชอบใจชื่นใจนี่เป็นสุขมากนี่ของปลอม เป็นเทวดาขิฑฑาปโทสิกะ เสียเวลาแรงงานทุนรอนไปมากมายกับวิมานลอยลมเป็นเท็จ และก็อย่างธรรมกายนี้ซ้อนหลอกให้หลงเทวดามโนปโทสิกะด้วยสองอย่างซ้อนเลย ต้องตัดมือตัดไม้ไม่ให้แสดงฤทธิ์เดชต่อไปอีก

 

เทวดาชั้นที่ 1 เป็นเทวดาที่เอา หวัง ผูกพัน สั่งสมในทาน ผู้นี้ทำเสร็จแล้วจะได้เป็นจตุมหาราชิกาได้ เป็นยักษ์อยู่นะ

ชั้นที่ ​2 นี่ทำทานเพราะเป็นการดี ไม่หวัง ไม่สั่งสม ไม่ผูกพัน ไม่คิดว่าตายแล้วนี่ของฉันจะได้คืนมา ไม่ทำจิตเช่นนี้แล้วแต่ตั้งจิตว่าทำทานเพราะเห็นว่าเป็นการดีก็จะได้เสพรสดาวดึงส์

ชั้นที่  3 ถ้าวางได้ก็เป็นเทวดาซ้อนเป็นยามา แต่ถ้าคุณวางดาวดึงส์ คุณจะได้ความว่างลงจากดาวดึงส์ บรรยากาศจะว่างเบาบาง แต่ถ้าคุณยังยึดดาวดึงส์เสพรส ยามาจะไม่นาน ยึดมากก็ไม่นานเท่านั้น แต่ถ้าวางดาวดึงส์ได้มาก ยามาจะยาวนาน ถ้ายึดจะหนาหนักแน่นสั้นลง

ชั้นที่ 4 เห็นว่า ท่านเป็นนักบวช ไม่สามารถจะหาข้าวหาอาหารเองได้ ท่านขาดอะไรเราก็ให้ทานท่าน เป็นทานที่ให้ผลให้อานิสงส์มากลงทุนน้อย โดยการดูแลสงฆ์ ว่าท่านขาดแคลนอะไร อย่างนี้จะได้เป็นเทวดาดุสิต อย่างนี้ดีกว่าอีก

ชั้นที่ 5 สามารถสร้างได้เองเป็นนิมมานรดี เป็นดุสิตจะไม่เสพรสอร่อยของโลก แต่นิมมานรดีนั้นถ้าเราลดความเสพลง ลดการติดในโลก เป็นผู้สร้างฐานโลกุตระ มีสัมโภคกาย และนิรมานกาย คำว่านิรมาน

สัมโภคกายคือเป็นผู้มีบารมีได้บริโภคสมตัว เราไม่อยากได้แต่จะมาตามสัจจะ หรือเราเป็นผู้เก่งสร้างเองได้ เป็นพระวิศนุกรรม สร้างเองเสพเอง

ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยทำช่วยสร้างให้ อย่างอาตมาก็มีผู้สร้างผู้ทำให้ช่วยทำให้ อันนี้หลงความปลื้มใจ ดูเหมือนเบาบางแต่ร้ายแรงมากในการหลงติดเสพความปลื้มใจนี้

อุบัติเทพ กับสมมุติเทพ พวกสมมุติเทพจะเป็นเทวดาใหญ่เท่าใดก็ยิ่งนรกใหญ่เท่านั้น ตนเองไม่รู้ตัวนึกว่าของดีอีก

 

อนาคามีนี่จะไม่เสพรสภายนอกแล้ว แต่จะปรุงภายในนี่ก็อร่อยกว่าภพข้างนอกอีก หมดกามตัณหา แล้วทำภวตัณหาให้หมดไป เหลือแต่วิภวตัณหา ก็ทำงานช่วยโลกไป จะไม่ทำอย่างบำเรอเขา ทำให้เขาได้ขัดเกลา เหมือนให้คนอดยาเสพติด จะไม่ให้เต็มที่หรอก แต่ให้เขาพอไม่ตาย ไม่ใช่เสริมให้ติดเพิ่มอีก ให้แล้วเขาจะหยุดไม่ดิ้นแล้วจะค่อยดิ้นใหม่แล้วก็ค่อยๆหาย

ต้องอ่านเจตนาให้ออก ทานย่อมมีผลแน่ แต่จะมีอานิสงส์หรือไม่ อานิสงส์ที่เป็นโลกุตระต้องอาศัยภูมิปัญญาระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่มีภูมิปัญญาเพียงพอ แต่ภูมิปุถุชนรู้ไม่ได้เรียกว่าอจินไตย นั่นคือต้องทำทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ลดละหน่ายคลายจางจากภพชาติ การทำทานไม่ใช่เพิ่มติดยึดในภพชาติ แต่ทำทานอย่างจิตตาลังการัง (ปรุงแต่งจิตอลังการในทางสะอาดบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ) จึงเป็นอานิสง์แท้ มีแต่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียวเท่านั้น ต้องทำใจในใจ (มนสิกโรติ) ต้องถึงขั้นปรุงแต่งจิตให้ยิ่งให้ลดกิเลสได้

ทำการอภิสังขาร หากปรุงแต่งได้ก็เป็นบุญ เรียกว่าปุญญาภิสังขาร คือชำระกิเลส “บุญ”มีหน้าที่ทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส แก่บาป แก่อกุศลจิต โดยตรง มิใช่“สมบัติ”เลย

ทาน จึงต้อง“ทำใจ”ให้เป็น“บุญ”จริงๆ คือ ใจก็ต้อง“ให้ใจส่วนหนึ่งออกไป” คือใจส่วนที่เป็น“อกุศล” หรือ“โลภ”เป็นต้น

เราต้องลดโลภ ละหน่ายภพ คลายชาติลง ไม่ใช่ทำใจให้“อยากได้ภพได้ชาติ”อยู่ หรือ“ยิ่งอยากได้อะไรต่ออะไรมากขึ้น”

ถ้าผู้ใดยัง“ทำใจในใจ”ไม่เป็นไปเพื่อลดละหน่ายคลาย ไม่อาศัย“การทาน”นี้เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้ลดละหน่ายคลายจากภพจากชาติ หรือไม่สามารถ“ปรุงแต่งจิต”(อภิสังขาร)ให้เกิด“บุญ”(ปุญญาภิสังขาร) ผู้นั้นก็ทำ“ทาน” ไม่มี “อานิสงส์”(ไม่มีประโยชน์ = ผลไม่ถึงขั้นประโยชน์)

“ผล”ในที่นี้จึงต้องเข้าใจนัยสำคัญให้ถ่องแท้ เพราะ“บุญ”ไม่ใช่“อานิสงส์”(ประโยชน์)ในการเพิ่ม“สมบัติ” แต่เป็น“อานิสงส์”ที่เพิ่ม“วิบัติ”(ความฉิบหาย,ความเสียออกไป)ให้ยิ่งๆ จนกระทั่งที่สุด“สิ่งที่มี(คือบาปคืออกุศล)ก็สลายหรือฉิบหายหมดสิ้นจากจิตใจ

คำว่าส่วนบุญ คือมีผลบุญบางส่วน ก็เท่ากับกิเลสลดในบางส่วน แล้วก็ลดไปตามลำดับๆ กระทั่งบาปหมดสิ้น บุญก็หมดหน้าที่ลง บุญก็จบตัวเองลง ผู้นั้นก็ไม่ต้องมีบุญอีกตลอดกาลเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือ“ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ” ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะเกิดผล ก็คือ “กิเลสลดลง”(ไม่ใช่การเพิ่ม“สมบัติ”ที่เป็นกุศล แต่เป็นการทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส) “ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ”ที่ได้เป็น“ส่วนบุญ,ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา, ปุญญภาค) กระทั่ง“บุญ”สูงสุดก็“หมดสิ้นบุญ,หมดสิ้นกิเลสาสวะ ก็“เสร็จกิจของบุญ” ผู้นั้นก็“หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) คือ ไม่มีแล้วทั้งบุญทั้งบาป เป็น“สูญ”เลย โดยปฏิบัติไปจะได้“ส่วนบุญหรือส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา,ปุญญภาค กล่าวคือ บุญมีผลบางส่วน = กิเลสลดลงบางส่วน)ไปตามลำดับ กระทั่ง“บาป”หมดสิ้น “บุญ”หมดหน้าที่ลง

เพราะทำหน้าที่เสร็จ ชำระกิเลสได้หมดสิ้นอาสวะแล้ว “บุญ”ก็หมดหน้าที่ ก็เท่ากับ“บุญ”ก็จบตัวเองลง ผู้นั้นก็ไม่ต้องมี“บุญ”นี้อีกแล้วต่อไป ตลอดกาล

“บุญ”จึงไม่ใช่ภพชาติที่จะสร้างกันให้ยิ่งมีเพิ่มขึ้นกันต่อไป ในชาติหน้าเรื่อยๆ “บุญ”ไม่ใช่“กุศล” ที่จะเป็นเครื่องอาศัยของมนุษยโลกอันเป็นความสุขสนุกสบายในชีวิต

“บุญ”นั้น“ยิ่งมีผล” “บุญ”เองก็ยิ่งหมดยิ่งลดไป สิ้นไป “บุญ”ไม่ใช่สิ่งที่จะ“เป็นผล”มากขึ้น บุญจะไม่โตไม่มากขึ้น บุญจะไม่ใหญ่ไม่หนาขึ้นๆ “บุญ”ไม่เหมือน“กุศล”อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ด้วยประการอย่างนี้

ชาวพุทธทุกวันนี้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า “บุญ”นี้ กันอยู่มาก ..จริงมั้ย?

พระพุทธเจ้าตรัสถึง“ทาน” ใน“สัมมาทิฏฐิ 10” ข้อที่ 1 “อัตถิ ทินนัง”จึงมีนัยสำคัญ ที่จะต้องทำความเข้าใจให้แจ้งชัดกันจริงๆ 

ดังนั้น คนผู้ใดยิ่ง“ทำทาน”แล้ว“ใจ”ยิ่งฝัง“วิมานหวัง”ใส่ใจ”ตน เป็นภพเป็นชาติต่อไปอีก ยิ่งติดยึดปักมั่นใน“วิมานหวัง” ว่าจะได้ จะมีใส่จิตหนักปักใจแน่นและหนาและใหญ่ยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งมี“ภพ”มี“ชาติ”ยิ่งใหญ่ยิ่งมากยิ่งหนายิ่งหนักยิ่งแน่น ยิ่งตรงกันข้ามกับอานิสงส์ของศาสนาพุทธ

ดังมีตัวอย่างที่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม บางสำนัก ที่ยัง“อวิชชา”อยู่ ยังขาย“วิมาน” ยังสร้าง“วิมาน”ขึ้นมาหลอกให้คนทำทาน หลอกให้คนติด“ภพ” หลอกให้คนยังหวังใน“ภพ”ที่จะเป็น“ชาติ”ต่อๆไปไม่หยุด ไม่มีคลายกันเลย ยิ่งทำทาน ยิ่งตั้งใจปักมั่นยึดมั่นว่า ตายไปอีกกี่ชาติ-กี่ชาติก็ยังหลงว่าจะมีความร่ำรวยยิ่งๆขึ้นร่ำไป

ถ้าไม่จัดการท่านองค์นี้ไป ท่านจะยิ่งผยองใหญ่ อาละวาดไปต่างประเทศด้วย ซึ่งต่างประเทศจะไม่เท่าทันการขายบุญนี้เลย

การสอนเช่นนี้ไม่เป็นการตัดภพจบชาติ มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก คือไม่มีเอามากๆ นมหานิสังสาเลย

การสอนเช่นนี้ จึงปฏิบัติทำให้ไม่“ตัดภพ-จบชาติ” เป็นการสอนที่มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) แต่“ไม่มีอานิสงส์มาก”(น มหานิสังสัง)เลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”แม้นิด

เล่ห์ฉลาด(เฉกา)เช่นนี้ ไม่เป็นไปเพื่อ

ความลดละหน่ายคลาย กลับเป็นการเสริมเติม“ภพ-ชาติ”ใส่ใจเข้าไปอีก ยิ่งผู้หลอกนั้นฉลาดมากในการใช้เล่ห์กล จึงหลอกเก่งยิ่ง

“ผล”ที่ว่านี้ จึงมาก ซึ่งหมายความว่า ผลเป็น“นรก-เวจี”นั่นเองยิ่งมาก ยิ่งใหญ่โตยิ่งลึก ยิ่งหนา ยิ่งแน่น ยิ่งยากจะกำจัด

พระพุทธเจ้าตรัส“การตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฺฉา ปณิหิตัง จิตฺตัง) ก็ยิ่งกว่า“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจรแล้ว” กระทำแก่กัน

ก็เห็นๆอยู่ชัดๆ ในวงการพุทธศาสนา   มีการประพฤติปฏิบัติ“ทาน”กัน“มีผลมาก” แต่“ไม่มีประโยชน์มาก”

ส่วน“ทำทาน”มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) และ “มีอานิสงส์มาก”(มหานิสังสันติ)นั้น ก็ต้องทานมากเป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”มากด้วย

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:30:23 )

590708

รายละเอียด

590708_สรุปงานภราดรภาพซาบซึ้งใจครั้งที่ 14 ที่สังฆสถานทะเลธรรม จ.ตรัง

งานภราดรภาพซาบซึ้งใจ ครั้งที่ 14 ที่สังฆสถานทะเลธรรม จ.ตรัง

งานภราดรภาพซาบซึ้งใจเป็นงานประจำปีของชาวอโศกที่ภาคใต้ โดยจะหมุนเวียนกันจัดระหว่างที่สังฆสถานทะเลธรรม ที่ธรรมชาติอโศก และที่ชเลขวัญ ซึ่งปีนี้ ถึงวาระเวียนมาจัดที่สังฆสถานทะเลธรรม จ.ตรัง

วันแรกของงานคือวันศุกร์ที่ 8 ก.ค. 2559 พ่อครูเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มาถึงสนามบินจ.ตรัง ในเวลา 08.45 น. และเดินทางมาถึงสังฆสถานทะเลธรรมในเวลา 09.20 น. ก่อนที่จะไปกราบพระพุทธาภิธรรมนิมิตที่ศาลาศรีตรังธรรมฤทธิ์ จากนั้นจึงไปกราบสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาที่ตั้งอยู่บนภูเขา ที่เป็นที่ตั้งของน้ำตกที่สร้างขึ้นใหม่ในชุมชนทะเลธรรม ซึ่งยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนักแต่ก็สามารถเปิดน้ำตกได้แล้ว

ในช่วง ก่อนฉัน 09.00 น. ที่เวทีหน้าน้ำตก ก็มีรายการเสวนา พลิกชีวิต 180 องศา ดำเนินรายการโดยท่านสมณะนาไท อิสรชโน สัมภาษณ์ปฏิบัติกรญาติธรรม มีคุณอนุกูล ทองมี ,คุณชัยวัฒน์ บุษบงพีระพัฒน์ คุณพีรนุช ตาปสนันท์ ,คุณอนันท์ ศิรินุพงศ์ บอกเล่าประสพการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตจิตวิญญาณให้เจริญขึ้นได้เมื่อได้พบธรรมะจากพ่อครู

 

ช่วงบ่ายมีรายการ ตลาดวิชชาพาพ้นทุกข์ จะแบ่งผู้มาร่วมงานไปเรียนรู้ตลาดวิชชา คือฐานงานต่างๆ ที่มีทั้งหมด 10 ฐานงาน ตามสมัครใจ ได้วิชาความรู้เอาไปประกอบอาชีพหรือต่อยอดอาชีพได้ต่อไป

 

ภาคค่ำเป็นรายการเอื้อไออุ่นโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

 

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2559 เป็นวันที่สองของงานภราดรภาพซาบซึ้งใจ เริ่มต้นเช้าของวันด้วยการบิณฑบาตรับอรุณ โดยพ่อครูนำนักบวช จำนวน 13 รูปออกบิณฑบาตภายในชุมชนซึ่งมีญาติธรรม และประชาชนเป็นจำนวนมากร่วมใส่บาตร

โดยที่สายฝนก็หยุดโปรยปรายลงมาชั่วคราววันนี้เป็นวันที่อากาศดีมากๆฟ้าโปร่งมีเมฆไม่มากนัก มีแสงแดดอ่อนอ่อนสองลงมา ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมาก

ภายหลังจากออกบิณฑบาตพ่อครูและคณะก็ได้เดินไปดูสถานที่บนน้ำตกที่พ่อครูตั้งชื่อน้ำตกนี้ ในวันนี้ว่า “น้ำตกทะเลฟ้า” สถานที่ที่จะไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่บนน้ำตก ที่ต้องใช้ความพยายามในการปีนขึ้นไปพอสมควร เป็นโจทย์ที่คณะทำงานจะต้องทำให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยในวันพรุ่งนี้ ที่จะมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

 

พ่อครูคือไอดอล(ต้นแบบ)ของผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง(คุณเดชรัฐ สิมศิริ)

 

รายการก่อนฉันวันนี้ พ่อครูเทศนาเรื่อง คนจนมหัศจรรย์คือผู้กอบกู้สังคมให้ไปรอด ภายหลังจากพ่อครูเทศนาเสร็จ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายเดชรัฐ สิมศิริ  ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดตลาดอาริยะครั้งที่ 8 ที่ทะเลธรรม โดยท่านผวจ.ได้มากราบนมัสการพ่อครูและบอกกับพ่อครูว่า พ่อครูเป็นผู้แต่งเพลง ชื่นรัก ที่เป็นเพลงที่สมัยที่เป็นนักเรียน ท่านผู้ว่าฯได้ใช้เพลงนี้ฝึกร้องจนเป็นเพลงแรกเลย ได้มาเจอตัวจริงวันนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก

ท่านผู้ว่าฯได้กล่าวเปิดงานว่า ตนได้มาพบเจอชุมชนที่เป็นชุมชนพึ่งตนเองและเป็นชุมชนที่ใช้ชีวิตตามหลักพุทธศาสนา ถือศีล 5 ซึ่งท่านเอง เมื่อตอนเป็นนักเรียน ได้เรียนวิชาดุริยางค์ ซึ่งเขามีการให้ร้องเพลงแล้วอาจารย์ก็เอาเพลงโบราณมากมาให้ร้อง ซึ่งท่านก็ไม่ได้ร้อง ทำให้ได้คะแนน 0 แต่ว่า มีอ.อีกคนที่วงดุริยางค์ได้มาดูคะแนน แล้วถามว่าทำไมไม่ร้องเพลง ท่านก็บอกว่า เพราะเป็นเพลงที่ไม่ชอบ อ.ก็ถามว่า มีเพลงที่ร้องได้ไหม ท่านผู้ว่าฯตอนนั้นก็บอกว่า ร้องเพลง ชื่นรักเป็น ซึ่งเป็นเพลงที่ครูรัก รักพงษ์เป็นผู้ประพันธ์ไว้ ใช้กับวงดิอิมพอสซิเบิ้ล ท่านผู้ว่าฯเลยร้องเพลงนี้ ก็เลยได้คะแนน ทำให้ผ่านวิชานั้นได้

ท่านผู้ว่าบอกว่าเคยขี่จักรยานมาออกกำลังกายที่ชุมชนนี้ด้วย ทำให้ได้เพิ่มการถือศีล 5 และได้รับประทานอาหารมังสวิรัติด้วย...ก็นับเป็นกุศลอย่างยิ่งที่ได้มาเจอท่านผู้ว่าฯที่เข้าใจและใคร่ในธรรมะ

ท่านผู้ว่ากล่าวเปิดตลาดอาริยะเสร็จก็ได้ขึ้นไปร้องเพลงชื่นรัก ได้รับเสียงปรบมือจากท่านผู้ชมที่มากันเป็นจำนวนมาก และวันนี้ ทางวิทยุ อสมท.ก็ได้มาถ่ายทอดสดการจัดงานในวันนี้ด้วย โดยเชิญท่านผู้ว่าฯออกรายการวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยอีกด้วย

จากนั้นท่านผู้ว่าฯก็ได้เดินชมตลาดอาริยะ ได้ไปลงดำนาที่แปลงนาสาธิตที่เป็นนาโยน ได้ไปรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้ไปเลือกซื้อสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน ในตลาดอาริยะ เป็นบรรยายกาศตลาดอาริยะที่อบอุ่น เป็นกันเอง เป็นกุศลอย่างยิ่ง

วันนี้ตลาดอาริยะมีบรรยากาศที่คึกคักมาก มีประชาชนมาร่วมเลือกซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากไม่ขาดสาย จนสินค้าเกือบหมดแทบทุกร้าน บนเวทีก็มีศิลปินชาวอโศก มีวงฆราวาส ให้สาระบันเทิง มีเวทีบาทเดียวที่เป็นเอกลักษณ์ของตลาดอาริยะสร้างบรรยากาศที่ครึกครื้นอย่างยิ่ง

รายการภาคค่ำวันนี้เป็นรายการ วิสัชชนาเพชรพุทธสุดยอดศิลป์ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้เมตตามาตอบปัญหาให้ชาวใต้คลายสงสงสัย

 

เช้าวันที่ 10 ก.ค. 2559 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงาน มีสวดมนต์ทำวัตรเช้า และธรรมะรับอรุณ โดยสมณะ สิกขมาตุ จากนั้น 07.30 น.พ่อครูนำหมู่สมณะสิกขมาตุออกบิณฑบาตในชุมชน ยังมีญาติธรรมร่วมใส่บาตรอยู่เป็นจำนวนมาก

 

พิธีบรรจุพระบรมมาสารีริกธาต สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่สังฆสถานทะเลธรรม 10 ก.ค. 2559

เวลา 08:30 น. พ่อครูได้นำหมู่สมณะสิกขมาตุและญาติธรรมเดินธรรมยาตราจากบริเวณหน้า ศาลาศรีตรังธรรมฤทธิ์ ไปสู่น้ำตกทะเลฟ้า จากนั้นเดินขึ้นไปตามทางเดินดินที่เป็นขั้นบันไดสูงชันพอสมควร เพื่อขึ้นไปสู่บริเวณที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คือที่ตั้งของสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่ได้ไปประดิษฐานที่ยอดของภูเขาที่เป็นที่ตั้งของน้ำตกทะเลฟ้า

 

จากนั้นพ่อครูได้นำพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้เตรียมไว้เข้าบรรจุที่พระนลาฏของพระพุทธรูปปางสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เสร็จแล้วพากราบสมเด็จปู่ฯแล้วเดินลงมาเพื่อเทศนาในรายการวิธีอาริยธรรมร่วมกับท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโรในเวลา 09.00น.

รายการสุดท้ายของงานนี้เป็นรายการ “ทำดีเพื่อพ่อไม่ต้องรอชาติหน้า” เป็นการให้บรรดาลูกๆมาพูดถึงเรื่องที่จะปฏิบัติบูชาพ่อครูกัน ก่อนที่ท้ายสุดของงานจะเป็นพรก่อนจากโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

พ่อครูว่า...ที่บอกว่าจะทำดีเพื่อพ่อ ที่จริงก็ทำเพื่อตัวเอง แต่ก็ดีที่มีสิ่งที่ตั้งให้เป็นเป้าหมาย ให้มีพลังทำอะไรให้ดี อาตมาพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าเกิดมาเป็นคนก็วนเวียนกับวิบากบาป กุศล อกุศล แล้วเราก็ไม่รู้จักก็เลยต่อวิบาก กุศล อกุศลไปเรื่อย ไม่จบ ผู้ที่ยังไม่เบื่อก็นึกว่าน่ามีน่าสนุกตลอดเวลา ผู้ที่ไม่เห็นว่าควรหยุดก็แล้วไป แต่พวกเรานี่มาที่นี่เพื่อจะจบใช่ไหม แล้วมาเหลาะแหละอยู่ทำไม?

อย่าเหลาะเหละเอาจริงๆเลย แล้วจะได้มาช่วยกัน น่าสงสารพลโลกเจ็ดพันกว่าล้าน ศาสนาอื่นก็ไม่มีหยุดวนไม่มีทางออก ดีๆชั่วๆชั่วๆดีๆ ทางจบนิพพานเขาไม่รู้เรื่อง แต่พวกเรารู้แล้วอย่าช้า พยายามกัดอกกัดใจ คุณเชื่อไหม หากคุณจะเอาจริงให้กิเลสตาย กับชีวิตเราจะตาย กิเลสมันตายก่อนชีวิตเราตายแน่ ชีวิตนั้นทนจะตาย อาตมาก็ย้ำอย่างนี้

ชุมชนชาวอโศกเราทุกแห่งใกล้ที่ไหนไปที่นั่น เราต้องการสร้างคนเพื่อรังสรร อย่าช้า ทุกอย่างก็เข้าใจดีแล้ว ยังเหลือแต่จะเร่งรัดพัฒนากัน ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกาล

ขณะนี้พูดกันอีกนิดหนึ่งทางด้านเถรสมาคม เขารวมกลุ่มกันนะ เขาไม่ยอมเราแน่ เราต้องสมทบกับทางรัฐบาล หากปล่อยให้รัฐบาลเดี่ยวๆสู้เถรสมาคมผนวกกับธรรมกายไม่ได้ เราต้องเตรียมตัวเราให้พร้อม เมื่อถึงเวลา รัฐบาลเอาลงทั้งคู่ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ทันกาลเราก็ต้องช่วย เท่านี้แหละความลับที่จะบอก....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:32:37 )

590708

รายละเอียด

590708_เอื้อไออุ่น งานภราดรภาพซาบซึ้งใจ

_กิเลสคืออะไรครับ กิเลสคือการใช้ปัจจัย 4ที่มากเกินไปใช่ไหมครับ กามกับอัตตามีอาการลิงคนิมิตอุเทสต่างกันอย่างไร?

ตอบ...กิเลสคือข้อ 2ที่คุณพูดคือการใช้ปัจจัย 4ที่มากเกิน กิเลสคือการประมาณเกินความพอเหมาะ อย่างในหลวงเราตรัสว่าให้พอเพียงพอดี อะไรเราเกินก็ต้องตัด แล้วก็ค่อยๆลดน้อยลงอีก ถือว่าเป็นส่วนเกิน จนกว่าคุณจะน้อยให้ได้มากที่สุด จนกระทั่ง ไม่ขอเกิน 0 หรอก น้อยจนถึง 0 ก็แล้วกัน

กิเลสมีอาการอย่างไรก็ต้องใช้การกำหนดรู้ได้ด้วย อาการ อย่างนี้เองอาการโกรธ อย่างนี้อาการโลภ แม้แต่โลภกับราคะก็ต่างกัน โลภคือแย่งมาเป็นของตน แต่ราคะคือเอามาเสพรส ทางทวาร 5 แต่กามนี้เป็นของหยาบกว่าราคะ ก็ต้องอ่านอาการให้ออก แล้วกำหนดนิมิต เครื่องหมายว่าอาการโลภกับโกรธมันต่างกัน มีลิงคหรือเพศที่ต่างกัน มีนัยต่างกัน รู้นิมิต จากอาการ อุเทสคือคำอธิบายที่อาตมาอธิบายคืออุเทส คุณฟังเข้าใจก็ไปปฏิบัติ เอาไปทำไปถ่ายทอดรู้เองไม่ได้ต้องเอามาจากผู้ที่มีมาก่อน สูงสุดก็ สยัมภู  รองมาเป็นสยังอภิญญา ต่อมาก็ปัจเจก รองไปเป็น ปัจจัตตัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:33:14 )

590708

รายละเอียด

590708_เอื้อไออุ่น งานภราดรภาพซาบซึ้งใจ

          พ่อครูว่า...ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ ก็มาปักษ์ใต้ที่นราธิวาสเป็นครั้งแรก มาในสายหนัง เรียนไปทำงานไป ตอนนั้นหนังเรื่องถ่านไฟเก่า เราก็หิ้วหนังมาฉาย ฉายเสร็จก็ขึ้นเครื่องบินกลับ ตอนหลังมาก็มาตาม ภรรยาคุณล้วนมาที่นราธิวาสอีก ก็มารู้จักเสี่ยอ้วน แกกว้างใหญ่ วันๆกินข้าวร้านนั้นร้านนี้ มีคนไปกินกับแกเต็มเลย เสี่ยซุยฟัด

          ก็มารู้จักทางใต้แต่โน้น จากนั้นไม่ค่อยได้มาทางใต้ ไปอยู่ภาคกลางเสียนาน จบม.6 จากอุบลฯแล้วเข้ากรุงเทพฯ จบศิลปะก็ออกมาทำงานโทรทัศน์เลย อยู่กทม.50 ปี แต่พอมาบวชแล้วไปนั่นนี่ไปหมดเลย ได้ไปหลากหลาย จนเกิดชุมชนจนอย่างที่เห็น มาถึงวันนี้แล้วสังคมซับซาบสัจธรรมมากขึ้นใช่ไหม โดยเฉพาะสัจธรรมระดับโลกุตระ กว่าจะพอรับกันได้ก็นานเลย เพราะจมไปเสื่อมไปนานมากแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ว่าต่อไปคนจะไม่ค่อยรับโลกุตรธรรม แต่จะไปชมชอบคำที่หวานหู ชวนฟัง แต่อย่างที่เราพูดกันนี้เขาจะไม่ค่อยฟัง แต่เดี๋ยวนี้ค่อยๆยอมรับมากขึ้นดีขึ้น ช่วงระยะ ปี 2559 นี้เห็นชัดขึ้นเลย

ส่วนก่อนหน้านั้นเราก็ออกไปในถนนการเมือง ไปชุมนุมช่วยบ้านเมืองโดยบริสุทธิ์ใจ ส่วนใครที่ยังไม่บริสุทธิ์ก็เป็นปรทัตตูปชีวีไป คือต้องได้รับการช่วยจากคนอื่น จะต้องได้รับการบอกจากคนอื่นมา ซึ่งศาสนาพุทธนี้ไม่มีแบบที่บรรลุเอง โดยไม่มีที่มา ที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดจากคนอื่น ซึ่งไม่รู้ที่ต้น พระพุทธเจ้านี้เกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน อย่างมหายานเขาว่า เท่ากับเม็ดกรวดเม็ดทรายในมหานที 

คือเราไม่รู้ แต่เรารู้หลักการว่าศาสนาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอื่น คือปรทัตตะ คือจากอันอื่นให้ ไม่ใช่เรา อันผู้อื่นให้มาก ปรทัตตูชีวกเปรตคือจะต้องมีผู้อื่นให้ แต่เราจะต้องทำของตนเอง แต่ตนเองเป็นเองไม่ได้จะต้องมีเหตุปัจจัยอื่น แม้รู้ทฤษฏี แต่จะต้องมีเหตุปัจจัยจากอื่นทำให้เราบรรลุ ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ต้องมีกายเป็นองค์ประกอบนอกต้องมีกาย

กายจะต้องมีข้างนอกประจำ เป็นกายสักขี และต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คนที่จะเข้าใจว่า กายคือข้างนอกก็ไม่มีปัญหา แต่จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 แต่คนเข้าใจวิโมกข์ผิด ไปเข้าใจว่า คือแต่ภพภายใน

คำว่า สัมผัสวิโมกข์ 8นั้น ในสายการปฏิบัติธรรม สายปัญญากับศรัทธา

สายศรัทธา

_สัทธานุสารี

_สัทธาวิมุติ

_กายสักขี  

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8คือต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย)

สายปัญญา

_ธัมมานุสารี

_ทิฏฐิปัตตะ

_ปัญญาวิมุติ

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอดอยู่แล้วเลยไม่ต้องกล่าวถึง)

 

อาตมาวันนี้ลงจากเครื่องก็พอเจอกับผู้ว่าราชการจังหวัดตรังเลย ท่านเป็นคนติดดินมากไม่มีอลังการอะไรพ่วงมาเลย ท่านก็มาทักทายแล้วบอกว่าเจอตัวจริงแล้ว หนุ่มกว่าในทีวีอีก…ก็ถามท่านบ้าง น่าจะเป็นนิมิตดีที่ทะเลธรรม ใครยังไม่ได้เข้ามาก็เข้ามาเสียดีๆ อย่าให้ดุ

คือตอนนี้อาตมาว่า สังคมต้องการสัจธรรมอันนี้ แล้วเมืองไทย อาตมาก็ขอพูดอย่างมั่นใจว่า เมืองไทยจะนำสังคมโลก เป็นชมพูทวีปที่จะมีอาริยะมนุษย์ที่จะมีคนแบบคนจน แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่างในหลวงว่า เรามีสมรรถนะขยันมีส่วนเกินก็เอามาสะพัดแก่สังคมได้ เราไม่ประมาท เราหมุนเวียนเป็นอย่าให้ขาด มีแต่สร้างสรรเสียสละ ให้กันอย่างสะอาดไม่รักไม่ชัง มีปัญญารู้ว่าใครควรให้ ไม่มีอคติ เขาควรได้ เขาขาดแคลน เขาจำเป็น อาตมาก็พยายามแจกแจงในสังคม มีเด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ ห้าอย่างนี้เป็นความจำนนที่ต้องช่วยกันดูแล

คนปัจจุบันหลงเทวดาซับซ้อนที่เป็นภพชาติ ที่เป็นปฏิปักษ์กับนิพพาน เขาครอบงำให้ติดภพชาตินิรันดร สร้างบารมีมาเป็นเทวดา หลงเทวดา เลยเป็นเทวดาตัวร้าย ร้ายหัวร้ายท้าย เป็นจาตุมมหาราช กับปรินิมมิตวสวัตตี ที่พรางตนหลอกคนได้แนบเนียนซับซ้อนได้มาก แต่จาตุมฯนั้นเป็นนักเลงหัวไม้ ที่ถูกพวกปรนิมฯ หลอกใช้ ว่าตนไม่ได้ทำ ตนเองไม่เกี่ยว ให้แต่สุภชัยทำ เป็นต้น

เมืองไทยเราตอนนี้พัฒนาการหลายด้าน ในหลวงเราเป็นผู้ที่ทำงานอย่างหนักตลอดมา แล้วก็เห็นพระทัยท่าน แม้ว่า คนนี้ไม่น่าจะตั้งเป็นรมต.แต่ก็ต้องเซ็นให้เป็นต้น ในสังคมเมืองไทยไม่ได้พูดเล่นว่า ไทยเรามีความครบพร้อมเป็นธรรมะสอง มีรูปมีนามที่ครบ ประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่มีวิญญาณ ขาดพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นวิญญาณของชาติ ของประเทศ

เราเคารพบูชาในหลวงเห็นได้ว่าเราไม่ได้เคารพภายนอก แต่เราเคารพภายในของท่าน สุดยอด แม้แต่ต่างประเทศเขาก็เห็นได้ มีอยู่อย่างหนึ่งคือยุคนี้มันเฉียด ถึงจุดสุดยอดถึงจะสำเร็จได้ ไม่ใช่กระดิกเท้าคอยกินง่ายๆแต่ต้องพากเพียรให้ถึงที่สุด ขอเตือนว่า หนึ่งเราอย่าประมาท เหยาะแหยะไม่ได้ต้องขมีขมันพากเพียรแล้วได้ เฉียดด้วย ยุคนี้เป็นยุคระหว่าง 7 กับ 8 ที่ไม่สมบูรณ์ หรือ 8​กับ 9

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ครบพร้อม แล้วก็รู้ว่าแต่ละศาสนาก็พากเพียร เป็นขั้นตอนของมนุษยชาติ ก็พากเพียรให้สังคมได้อาศัย แต่พูดไปแล้วไม่ใช่ข่มนะ แต่เป็นระดับชั้นต่ำกลางสูงจริงๆ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าท่านเองนี่  พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาสององค์พร้อมกันไม่ใช่ฐานะหรือจะระยะใกล้เคียงกันก็ไม่ได้ จะห่างนานมาก ไล่กันไม่ทันง่ายๆหรอกทิ้งช่วงห่างไกล เพราะเป็นเรื่องที่ยอดสุดๆจริงๆ ไกลห่าง จนกระทั่ง ถ้าจะมีอะไรดีกว่านี้อีก ที่ตามนี้จะตามไม่ทัน ทิ้งห่าง จึงเข้าใจยาก อย่างอาตมาพากเพียรปฏิบัติ อาตมาพูดอะไรที่คนเข้าใจไม่ได้ก็เยอะ เพราะใกล้กลียุคแล้ว จึงขยายความได้ยาก ตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าแล้ว ที่พระสารีบุตร ถามสญชัยเวลัทบุตรกว่า คนโง่หรือคนฉลาดน้อยหรือมาก ก็คนโง่สิมาก แล้วก็ผ่านมาสองพันกว่าปี คนโง่จะมากขึ้นไหม คนฉลาดจะน้อยลงขนาดไหน เป็นสัจจะ ถึงแม้น้อยก็ไม่เป็นไร น้อยก็ต้องช่วย เหมือนปรอทกับโฟม น้อยก็จริง ปรอทก็หนัก

ในขณะนี้ยุคนี้เราจึงร่วมมือกับสังคม ที่จะปฏิรูปไปตามฐานะ เราก็ทำตามประสาเราเป็น ทางโน้นก็ช่วยกันไม่ต้องอยู่ในห้องทำงานเดียวกันก็ได้ ต่างประเทศก็จะร่วมช่วยกัน ธรรมดาพวกอยู่กลางๆจะมากที่สุด แต่ยุคใกล้กลียุคนี้พวกกลางๆจะมีน้อยกว่าพวกแย่ๆ พวกแย่จะมากสุด พวกกลางๆจะตามมา แล้วพวกสุดยอดก็จะน้อยสุด ก็ค่อยเลื่อนฐานะกันมา แต่ปรอทจะถ่วงโฟมได้

เรื่องปชต.เขาก็เข้าใจว่าปชต.ก็คือเลือกตั้ง แต่เป็นแค่วิธีการหนึ่งในปชต. คนโกงก็เลือกตั้งได้ เขาก็หาพรรคพวกใช้เงินอำนาจ ซื้อได้ สะกดจิตหลอกล่อได้ อย่างธัมมชโยทำนี่

อาตมาว่าธัมมชโยไม่ได้เรียนวิชาสะกดจิตมาก่อนหรอกแต่แกใช้แล้วได้ผลก็เลยทำตลอดมา แต่อาตมานี้เรียนมา แล้วอย่างเขาทำนี่สะกดจิตตนเองจะรู้หรือไม่ แต่อาตมารู้แล้วทำเป็นแต่ไม่ใช้มันบาป ต้องให้อิสระคน เขาตัดสินใจเอง แต่ธัมมชโยนี่จะต้องมาใช้หนี้บาป เขาคิดบัญชีไว้อีกเยอะ อย่างน้อย สุภชัยจะแค้นไหม? แล้วแก่ทำกับคนไปทั่ว สร้างคู่อาฆาตไว้ทั่วเลย แกได้มาก แต่ก็ต้องมีคนคิดบัญชีกับแกมากเช่นกัน

อาตมาว่า ยุคนี้ต้องช่วยกันสู้ สู้แล้วจะสบาย ถ้าตายแล้วจะไม่ได้สู้ สู้จนกว่าจะตาย ถ้าตายแล้วไม่ได้สู้ ยุคที่น่าสู้ไม่ได้หาง่ายนะ ตอนนี้เป็นนิมิตหมาย มาถึงก็ทึ่งเหมือนกัน ขยายอะไรต่างๆนานา มาดูน้ำตกนี่ ก็น่าดูนะ แล้วทางปักษ์ใต้นี้เก่งทำสวน แต่อีสานเก่งทำไร่ ถ้าทำนี้ประเทศไทยจะเป็นประเทศอาหารไม่ใช่ทำอาวุธ

อาวุธนี้มันบาป คนที่สร้างอาวุธให้กันในโลกเป็นบาป แต่เราจะสร้างอาหารให้กัน แล้วอยู่แบบคนจน คนจนอย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น เราก็พยายาม ไม่จำเป็นต้องรวยไปทำไม ลำบากเปล่าๆ เราก็มีกินมีใช้ ที่นี่ถ้ามาร่วมมือร่วมไม้สาธารณโภคี มีกสิกรรม แปรรูปต่างๆ มีโรงงานต่างๆ ทำสิ่งที่ควรทำ สร้างสิ่งควรสร้างไม่สร้างสิ่งเป็นพิษช่วยสังคมไป ระบบสาธารณโภคีเป็นระบบที่สุดยอดแล้ว ปชต.ก็ต้องการ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ประชาการเสียภาษี 100% ทุกคนทำงานฟรี เข้ากองกลางเราก็ทำงานไปเรื่อยๆ

พอเป็นอนาคามี อรหันต์จะรู้สาธารณโภคีเต็มที่ แต่โสดาบัน สกิทาคามีก็จะรู้ไปตามลำดับ แต่ไม่มีปัญหา จะชัดเจนว่าจริง คอมมิวนิสต์ต้องการเอาเงินเข้ากองกลางให้มากเช่นกัน แต่เขาบังคับเอา จิตไม่ยอมก็จะค้านแย้ง ก็ไม่ได้นาน แต่ของเรานี่เต็มใจให้ส่วนกลางเลย เราก็บริหารกันไป เขาไม่ได้สร้างคนอาริยะที่ไปบริหารก้อนเงิน เขาคอรัปชั่นซ้ำซ้อน เงินเข้ากองกลางไม่บริบูรณ์ ส่วนสมบูรณายาสิทธิราชก็เป็นปชต. ถ้าไม่ลำเอียง แต่ปชต.ไม่ได้หมายถึงเลือกตั้งแต่ปชต.คือทำงานเพื่อปชช. ทำงานเพื่อให้ปชช. ให้ปชช.เลี้ยงไว้

อย่างอาตมานี่ทุกวันนี้ให้ปชช.เลี้ยงไว้ มานี่เขาก็ให้นั่งเครื่องบินมา หลายอย่างซับซ้อน มาถึงวันนี้แล้วก็ค่อยเล่าสู่ฟัง มีตัวอย่างให้เราเห็นด้วยแล้ว

 

_มีคำถามว่า ชีวิตหลังความตายน่ากลัวอย่างไรคะ

ตอบ...จิตคุณยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้จริง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง สวรรค์เป็นสุขขัลลิกะ สุขเท็จ แต่นรกหรือทุกข์นี้นานกว่า สวรรค์จะยึดไว้อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะต้องอาศัยองค์ประกอบในการเสพ แต่ตายแล้วไม่มีให้เสพ ตอนเป็นคุณติดยึดเสพติดอะไร แต่ตอนตายไปก็อยากเท่าเดิมแต่ไม่มีให้เสพ หลังตายก็น่ากลัวอย่างคนเสี้ยนยาน่ะ จนกว่าจะหมดวิบากไม่มีใครช่วยด้วย จึงจริงอย่างโง่ๆกว่าตอนเป็นๆอีก เหมือนตอนฝันก็ไม่มีใครช่วยคุณออกมาได้ เช่นเดียวกัน

 

_ตอนนี้หนูเรียนการทำอาหารอยู่ปี 2​ที่กทม. ต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ต้องจับเนื้อสัตว์จะทำใจอย่างไร?

ตอบ...ก็อยู่ในภาคบังคับจำนน เราก็ต้องทำใจวาง พยายามเลี่ยงเท่าที่ได้ ก็เราไปเรียนทางนั้นนี่

 

_เกี่ยวกับการเรียนในระบบประเทศไทย อะไรก็คะแนนอะไรก็เงิน ทำให้เด็กมีวิบากมาก

ตอบ...ก็เป็นวิบากเรา ก็มาเรียนทางอโศกเราไหม นี่ก็พยายามทำการศึกษาอุดมศึกษาต่อ ตอนนี้ก็ได้ในระดับวิทยาลัย แต่ตอนนี้ ปวส.ก็มีแล้ว

 

_กิเลสคืออะไรครับ กิเลสคือการใช้ปัจจัย 4ที่มากเกินไปใช่ไหมครับ กามกับอัตตามีอาการลิงคนิมิตอุเทสต่างกันอย่างไร?

ตอบ...กิเลสคือข้อ 2ที่คุณพูดคือการใช้ปัจจัย 4ที่มากเกิน กิเลสคือการประมาณเกินความพอเหมาะ อย่างในหลวงเราตรัสว่าให้พอเพียงพอดี อะไรเราเกินก็ต้องตัด แล้วก็ค่อยๆลดน้อยลงอีก ถือว่าเป็นส่วนเกิน จนกว่าคุณจะน้อยให้ได้มากที่สุด จนกระทั่ง ไม่ขอเกิน 0 หรอก น้อยจนถึง 0 ก็แล้วกัน

กิเลสมีอาการอย่างไรก็ต้องใช้การกำหนดรู้ได้ด้วย อาการ อย่างนี้เองอาการโกรธ อย่างนี้อาการโลภ แม้แต่โลภกับราคะก็ต่างกัน โลภคือแย่งมาเป็นของตน แต่ราคะคือเอามาเสพรส ทางทวาร 5 แต่กามนี้เป็นของหยาบกว่าราคะ ก็ต้องอ่านอาการให้ออก แล้วกำหนดนิมิต เครื่องหมายว่าอาการโลภกับโกรธมันต่างกัน มีลิงคหรือเพศที่ต่างกัน มีนัยต่างกัน รู้นิมิต จากอาการ อุเทสคือคำอธิบายที่อาตมาอธิบายคืออุเทส คุณฟังเข้าใจก็ไปปฏิบัติ เอาไปทำไปถ่ายทอดรู้เองไม่ได้ต้องเอามาจากผู้ที่มีมาก่อน สูงสุดก็ สยัมภู  รองมาเป็นสยังอภิญญา ต่อมาก็ปัจเจก รองไปเป็น ปัจจัตตัง

 

_ถ้าอโหสิโดยเจโตก็ได้แค่ชั่วระยะนั้น แค่เจโต ก็จะช้ากว่าปัญญา แต่ถ้าตัดโดยปัญญาจะชัดเจนได้ตลอดไปกว่า ตัดกรรมไม่ได้ คือกรรมที่ทำไปแก้ไขไม่ได้ แต่ต้องสร้างกรรใหม่ไปช่วยบรรเทาวิบากเก่าได้ เช่นเขามีกรรมชั่วมายาวนานแล้ว เหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งตาม แต่อรหันต์หยุดกรรมชั่วได้แล้ว ทำแต่ดี เป็นกำแพงกุศลได้กั้นอกุศลวิบากได้ คุณทำแต่ดี ความดีจะมาก จนหมาไล่เนื้อตามไม่ทัน แต่ถ้าคุณหยุดทำนี่ก็ไม่แน่ ตราบที่เป็นอรหันต์ก็มีกรรมการกระทำอยู่ จึงพ้นจากหมาไล่เนื้อได้รอด กรรมนี้ไม่ล้างได้จนกว่าจะปรินิพพานก็ตัดก้อนกรรมนี้ทิ้งไปได้หมดเลย อย่างนี้ได้แต่ถ้าไปตัดกรรมนี้ไม่ได้ วิธีการคือสร้างกุศลไว้อาศัยจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

_มาตรา 178 อันตรายไหม การผ่านพรบ.ปิโตรเลี่ยม จะทำให้ใช้นำ้มันแพงไปอีกนาน เหมืองทองคำนี้ก็แย่

ตอบ...เหตุปัจจัยนี้ หนึ่งคนเลวทำเลวไว้เยอะซับซ้อน ตอนนี้เรากำลังแก้ไขกัน อย่าใจร้อน อาตมาเชื่อมั่นใจผู้แก้ไข หลายอย่างพูดไม่ได้ก็มีแต่เขาทำเต็มที่ได้เท่าใดก็เท่านั้น เหตุปัจจัยในสังคมนั้นมีมาก คุณคิดแต่เพียงว่า คนนี้ทำได้ดีกว่าคนที่เคยทำมา คุณก็น่าจะพอใจแล้ว อาตมาก็เห็นเขาตั้งใจทำเต็มที่ก็อนุโมทนาสาธุแล้ว เราอยากได้อะไรมากกว่านั้นก็เพลาๆบ้าง ไปต้าน ไปรังควานให้เขารำคาญอีก เขาก็ต้องเสียเวลาอีก อาตมาว่ามันไม่แล้ว ตอนนี้อาตมาว่าดีที่สุดแล้วเท่าที่เป็นไป คนที่ไม่เข้าใจก็ทำอีก เราเข้าใจแล้วก็เพลาเถิด คนไม่เข้าใจก็ปล่อยเขาหรือแม้แต่บางคนพวกเราเข้าใจแล้วก็ยังทำอีกต้องเขกหัวเอาเท่านั้น ก็ค่อยบอกกัน

 

_ชาวใต้ได้ชื่อว่าคนมีปัญญามาก แต่ทำไมไม่เข้ามาร่วมกันสร้างชุมชนทะเลธรรให้อบอุ่นเหมือนที่อื่นของอโศก

ตอบ...คุณถามอาตมาแล้วอาตมาจะไปถามใคร

คนที่มีปัญญาแต่ถ้ามีอวิชชาจะพามีอัตตาสูง  คนมีปัญญาแล้วจงรู้ว่าเรามีอัตตาถือดีหยิ่งผยองเกินไป ไม่ยอมเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ติดดิน มานะอัตตาคือถือดีถือตัว คนมีปัญญาก็ย่อมมีอัตตาสูง เพราะฉะนั้นปัญญาดีแล้วก็อย่าทำฉลาดเฉโกเสีย คนมีปัญญาจริงๆมักมีอัตตา ก็จงรู้ตัวแล้วลดตัวลดตน ใครจะไปลดให้ ถ้าคุณไม่ลดเอง

 

_การปฏิบัติธรรม เพื่อตัวเองกับเพื่อผู้อื่น ทำงานไหนยาก ถ้าเราทำงานให้ตัวเองแล้วมีทุกข์ แต่ทำงานเพื่อผู้อื่นแล้วมีความสุข  อย่างนี้เรียกว่าผู้บรรลุได้ไหม?

ตอบ...ก็จริง ทำเพื่อคนอื่นก็สุขกว่าทำเพื่อตัวเอง ก็เรียกว่าผู้บรรลุได้ อันนี้มีปัญญาฉลาดแล้ว แต่คนที่บอกว่าทำงานเพื่อตัวเองสบายทำงานเพื่อผู้อื่นทุกข์อันนี้โง่อยู่ อาการสุข ทุกข์อยู่ที่ใจตนเอง พวกซาดิสม์หรือมาซูคิสม์ก็สร้างอารมณ์ให้ตนเองสุขกับการทุกข์ของตนและของคนอื่น มันเป็นอาการชอบใจที่สร้างเอง จะสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจเราสร้าง ถ้าเราเป็นประโยชน์รับใช้เสียสละให้คนอื่นมันเป็นประโยชน์ใช่ไหม ได้คุณค่า ก็สบายใจ คนที่เสียประโยชน์ให้คนอื่นแล้วทุกข์ก็ทำเองทั้งนั้น แต่ถ้าเสียไปแล้วแต่เราไม่ตายจะไปทุกข์ทำไม? เราอยู่กับหมู่ แม้เราจะแก่ เราไม่ไหวหมู่ก็ช่วยเราช่วยกัน นี่สุดยอด ญาติทางสายเลือดนี้บางทีพึ่งกันไม่ได้แต่ญาติธรรมนี่เป็นญาติแท้กว่า ช่วยเหลือกันกว่าพึ่งกันได้กว่า นี่คือสายญาติธรรมทางธรรม ญาติไม่ใช่แค่สายเลือด แต่ญาติแท้ๆคือผู้พึ่งเกิด แก่เจ็บตายกันได้ ญาติเราเยอะ

อาตมามีลูกเป็นจำนวนพันเป็นอเนก แล้วเลือกได้ด้วยนะ ลูกคนไหนไม่ดีไม่เอาแต่ถ้าเป็นลูกทางสายเลือดนั้นไม่เอาไม่ได้นะ ถ้าไม่ดีก็ตาม อาตมาเลยตั้งไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าแบบที่ไม่ต้องมีคู่ไม่ต้องมีลูก

สังเกตไหมว่าโพธิสัตว์นี้มักจะแต่งเพลงเก่ง เพลงเป็นตัวเชื่อมที่สำคัญมาก แม้แต่ศาสนาก็ใช้เพลง แต่ต้องรู้ลีลาในการใช้ แต่พุทธนี้ใช้เพลงน้อยที่สุด มีหลายลัทธิก็ไม่ใช้เพลงเลยก็กระด้างขาดตัวเชื่อม เพลงนี้เป็นเรื่องของเวทนา ของอารมณ์ กินใช้ได้มาก ตาหูจมูกลิ้นกาย เสียงนี่แหละยิ่งกว่าตา

เสียงกินลึกยิ่งกว่าตา ส่วนจมูก ลิ้น กายสัมผัสนี้หยาบกว่าตา กับเสียง

ตากับเสียงนี้ใช้งานได้มากที่สุด เสียงกับรูปจึงเป็นตัวหลัก แต่ถึงอย่างนั้นเสียงก็ลึกมากกว่ารูป รูปกินพื้นที่กินน้ำหนักมากกว่าเสียง รูปไปไม่ได้ไกล แต่เสียงไปไกลกว่า เสียงจะลึกกว่า สิ่งที่จะเชื่อมวิญญาณได้ลึกไกลคือเสียง แต่อย่าไปติดเสียงล่ะ อาตมาก็ทิ้งเสียงมาหลังสุดเลย มาบวชแล้วก็ต้องใช้เพลงอยู่เลย

 

จะบอกว่า ถ้าเราทำงานให้ตัวเองแล้วมีทุกข์ แต่ทำงานเพื่อผู้อื่นแล้วมีความสุข  อย่างนี้เรียกว่าผู้บรรลุได้ไหม ก็จริง พระพุทธเจ้าว่า เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้  คนเราพักหรือเพียรมากกว่ากัน ..ก็เพียรมากกว่าพัก ตราบที่มีชีวิต เพียรนี้เป็นประโยชน์ พักไม่ได้มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นมา แต่พักนั้นต้องหมุนเวียนในส่ิงที่ทำ ทุกอย่างต้องมีพัก แม้แต่เทวดา 6 ก็มีดุสิตเป็นที่พัก แต่พักอย่างไม่ติดยึดไม่เอร็ดอร่อย ต้องพักอย่างสมควรสมดุล คำตรัสของพระพุทธเจ้าท่านว่า

เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

ถ้าคุณจะพัก คุณมีเวลาอีกมากที่จะพักในหลุมฝังศพ  เราก็พักก็เพียรให้พอเหมาะ ก็เท่านี้ เพียรทำงานสร้างสรรไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วพักให้สบาย แต่คนมีวิบากกิเลสก็ไม่สบายพักแล้วก็ตกนรก

ตกนรกแล้วมีสวรรค์ไหม คุณมีอนุสัยมากเท่าไหร่ สวรรค์หาไม่เจอหรอก มีแต่นรกมาก คุณอย่าไปฝันไปหวัง คุณมีพลัง มีภูมิธรรมมากหน่อยก็จะมีสวรรค์พอได้เสพ คุณนอนหลับ คนที่มีวิบากมาก กิเลสมาก ฝันนรกเยอะ เดี๋ยวก็ผวา ละเมอ นอนไม่หลับ แต่คนที่ค่อยยังชั่วก็ลดลง  อรหันต์นั้นจะมีนิมิตทำงานติดเครื่องไปตลอดจนนอน คนไม่เข้าใจว่าอรหันต์ไม่มีฝันก็ไม่จริง แยกฝันกับนิมิตไม่ออก ที่เขาว่างั้นเพราะติดนั่งสมาธิหลับตา ขนาดลืมตายังไม่ฝันนอนหลับก็ไม่มีฝัน เพราะสะกดจิตตน แล้วบอกว่าอรหันต์นั้นไม่ใช่ ฝันนั้นไปตามกิเลส แต่ว่า นี่ตั้งไว้ว่าจะทำงาน ตั้งไว้มากก็ทำงานมากพักน้อย ก็ประมาณกันท่านก็จะประมาณกันดี อรหันต์ต้นๆก็ประมาณไม่เก่งก็ต้องค่อยจัดสรร ไป

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:33:43 )

590709

รายละเอียด

590709_เทศน์ก่อนฉัน งานภราดรฯ คนจนมหัศจรรย์คือผู้กอบกู้สังคม

ในหลวงเรามีภูมิปัญญา มีรมต.เกาหลีมาถามว่าจะบริหารประเทศอย่างไร ในหลวงก็ตรัสว่าบริหารแบบคนจน เขาก็งงๆ แต่ลึกซึ้งมาก ที่จะเป็นคนจนมหัศจรรย์ที่จะกอบกู้สังคมได้ ก่อนจะได้ฟังเราก็ขอนำ พระราชดำรัสของในหลวง มาก่อน

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

แบบคนจน

ต้องแบบคนจน เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถ้อยหลัง ประเทศเล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถ้อยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารที่เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไปทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็อยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำงานตามวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เทื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ ปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบคนจน ใช้ความอะลุ่มอล่วยกันตำรานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้า “เรื่อย ๆ “

 

( พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา 4 ธันวาคม 2534 )

 

มาเข้าสู่ความไม่มีความจน แต่เป็นคนจนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสะพัดไม่กักตัน เชื่อมั่นในทรัพย์ของตน คือ ความขยันและ สมรรถนะ  คนมีสมรรถนะแต่ไม่ทำอะไรขี้เกียจ คนอย่างนี้เปลือง ไร้สาระ ต้องขยันก่อน แต่ขยันแต่โง่นี่ทำลายเสียหาย

เราเป็นคนกินน้อยพอดี สร้างร่างกายแข็งแรง เหลือเราก็แจกจ่าย ให้สะพัดออกไปแม้จะขายบ้างก็ทำไปตามลำดับ  นี่คือคนจนมหัศจรรย์มีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติ แต่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริง นี่คือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

เข้าใจจิตวิญญาณที่หลงเป็นยักษ์เป็นเทวดา เช่น เทวดาจาตุมมหาราชิกา แย่งชิงเขาได้ เก่งแย่งเขาได้หมด อาวุธร้ายกาจตามสมัย ไปแย่งเอาจากเขา เราไม่ทำแบบนั้น เราสร้างให้พอให้เหลือแล้วแจกจ่ายคนอื่นไม่ต้องไปเอาของใคร เป็นคนภูมิใจในศักดิ์ศรีของตน ศึกษาได้ทำได้ มีสิ่งกินใช้ที่ต้องทำก็ใช้ได้ แม้แต่เครื่องมือสื่อสารก็ใช้ได้ อาตมาก็ใช้ได้ ใช้ไม่เก่งก็ให้คนอื่นช่วยได้ ต่างคนต่างเก่งช่วยกัน สังคมที่มีความรู้ตามแบบพระพุทธเจ้านี้ไม่เคยเก่าตกสมัยแต่ทันสมัยเจริญตลอดเวลา

เมื่อเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างอาตมาอธิบายคร่าวๆ

สมมุติว่าบิลเกตต์สร้าง software ก็อย่าเอาไปล่าสิ แต่ไล่แจกคนอื่นเลย แต่นี่เอาไปล่าได้เงินมากมายแล้วสร้างวิมานของตนใหญ่โต ไม่รู้ว่าชาติหน้าคุณจะต้องไปชดใช้นะ เอาเปรียบเขามาต้องใช้หนี้นะ บิลเกตต์เอ๊ย ไม่ต้องบอกว่าทักษิณเอ๊ย หรือธัมมชโยเอ๊ย พวกที่ไปกอบโกยเอาเปรียบเขามา ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกใช้วิชามารเอาเปรียบคนอื่นอย่างธัมมชโย อย่างทักษิณ เขาได้มาอย่างเอาเปรียบก็บาปแล้วแต่เอาเงินมาทำร้ายประเทศอีกก็ยิ่งบาปซ้ำซ้อน ขออภัย ขอบคุณพวกเขาที่ให้อาตมาได้ยกตัวอย่าง ไม่ได้อยากให้เขาเป็น สงสารเขา แต่เขาไม่ฟังอาตมา เขาจะโกรธเกลียดอาตมาด้วย แต่โกรธเกลียดอาตมานี้โง่ไหม ก็โง่ ก็เชิญโง่ซ้ำซ้อนไป

มาโกรธเกลียดอาตมาที่เอามาช่วยมนุษยชาติ แต่ก็โกรธเกลียดอาตมาอีกเป็นวิบากซ้ำซ้อน เข้าใจให้ดี

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:34:13 )

590709

รายละเอียด

590709_เทศน์ก่อนฉัน งานภราดรฯ คนจนมหัศจรรย์คือผู้กอบกู้สังคม

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 9 ก.ค. เดือน 7 วันนี้ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก พลังงานของเรากำลังเจริญจาก 7 ไป 8 เรียกว่าพัฒนาการหมุนติ้วเลย วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่จะได้เปิดเผย ตามหัวข้อที่ได้ตั้งมาให้อาตมาในงานนี้ งานภราดรภาพซาบซึ้งใจ เอาให้ซาบซึ้งใจให้ดี โดยเฉพาะคนใต้เป็นคนที่มีปัญญานำ หัวข้อที่จะให้เทศนาคือ คนจนมหัศจรรย์คือผู้กอบกู้สังคม 

คนจนมหัศจรรย์ไม่ใช่คนจนที่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย จนล้มละลายเลยจนไม่ใช่ แต่เป็นคนจนที่มีประสิทธิภาพ สมรรถภาพ มีความรู้ความสามารถประกอบผลผลิต ได้มาแล้วแจกจ่ายเผื่อแผ่อย่างมหัศจรรย์ เป็นผู้กอบกู้สังคมได้จริงๆ

คนจนจะมากอบกู้สังคมได้อย่างไร ง่ายๆเขาก็ว่าต้องมีเงินมากๆแล้วเอาไปแจกคนอื่นสิ อันนั้นโง่ โดยลัทธิต่างๆ นักปราชญ์เขาก็รู้ว่า เอาปลาไปแจกคนไม่ได้เรื่อง แต่การแจกเบ็ดแจกวิธีการหาปลาต่างหากจะยั่งยืนกว่า

ในหลวงเรามีภูมิปัญญา มีรมต.เกาหลีมาถามว่าจะบริหารประเทศอย่างไร ในหลวงก็ตรัสว่าบริหารแบบคนจน เขาก็งงๆ แต่ลึกซึ้งมาก ที่จะเป็นคนจนมหัศจรรย์ที่จะกอบกู้สังคมได้ ก่อนจะได้ฟังเราก็ขอนำ พระราชดำรัสของในหลวง มาก่อน

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

แบบคนจน

ต้องแบบคนจน เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถ้อยหลัง ประเทศเล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถ้อยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารที่เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไปทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็อยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำงานตามวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เทื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ ปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบคนจน ใช้ความอะลุ่มอล่วยกันตำรานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้า “เรื่อย ๆ “

 

( พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา 4 ธันวาคม 2534 )

 

นั่นคือพระราชดำรัสของพระเจ้าแผ่นดินของไทย เป็นพระราชดำรัสที่ย่ิงใหญ่ที่สุดในโลก แต่คนไม่เข้าใจว่า บริหารประเทศแบบคนจน แล้วพระองค์ก็ซ้ำอีกว่า ต้องทำตนให้เป็นคนขาดทุน อย่าเอากำไร การขาดทุนคือเสียให้แก่คนอื่น กำไรคือโลภ เอาของคนอื่น แต่จะมาอยู่อย่างร่อยหรอก็หมดสิ คือความคิดไม่ยาวไม่ไกลไม่รอบก็เข้าใจไม่ได้

ในหลวงท่านตรัสครั้งแรก เศรษฐกิจพอเพียง คำว่าพอ คือสันโดษ  เป็นหนึ่งในกถาวัตถุ 5 คือสันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ เรายินดีในความมีน้อยไม่ได้ยินดีในความมีมาก อย่างบางสำนักที่สอนผิด สอนให้รวยๆๆ รวยไม่สิ้นสุด รวยไม่บันยะบันยัง เป็นคำสอนที่ย้อนแย้งทำลายศาสนาพุทธถึงแก่นถึงรากเลย บรรลัยจักรเกิดแล้ว

ก็ขอพูดถึงมาเป็นคนจนที่จะไปรอดของมนุษยชาติ

เรื่องแบบคนจนหรือขาดทุนคือกำไรนี้สถานีบุญนิยมเราเปิดประจำ แต่สถานีอื่นไม่เห็นเปิดเท่าไหร่ ก็ต้องช่วยกันเผยแพร่จะได้กอบกู้สังคมได้ ในหลวงท่านตรัสตรงๆว่า แบบคนจนถึงดี แบบขาดทุนนี่ดีกว่าแบบได้กำไร

ขาดทุนคือสิ่งที่เราให้สิ่งที่เรามีสิทธิ์โดยสุจริตเรา เราก็ให้เขาไป เราก็มีน้อยลง มีอีกเราก็สะพัดออก เลยไม่สะสม มีไม่มาก ความจนเลยเป็นความมีไม่มาก แต่ทางโลกเขาจนมีน้อยจนไม่พอใช้ เพราะนิสัยเขาจะต้องกินสูบดื่มเสพ กอบโกยมาเป็นของตนให้ได้ร่ำรวยยิ่งใหญ่ เป็นความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ทำให้สังคมเดือดร้อน

เราไม่ใช่จนแบบที่ว่า ขาดแคลน สุขภาพก็แย่ ทำงานไม่ได้ก็ไม่ใช่ เราต้องมีพอขนาดทำงานได้ และไม่เสพไม่ติด หนึ่งไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา สะพัดออกไปเรื่อยๆ และศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาสังคม มารวมกลุ่มกัน แล้วมีปัญญารู้ว่าอะไรควรสร้างสรร สร้างสิ่งเป็นประโยชน์มีสาระ

หลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธนั้น

1.ไม่เป็นหนี้ จะค้าขายก็ค้าขายเงินสด ไม่เอาสินเชื่อ มีดอกเบี้ยไม่เอา แต่สะพัดให้ยืมกันได้ ภาษาในชาวอโศกการยืมเงินเราเรียกเกื้อ แล้วเอามาคืน เงินหรือของที่ยืมไปยังไม่คืนเรียกว่า เงินหนุน ไม่เรียกว่าเงินหนี้ ไม่มีการโกง หรือชักดาบ ไม่เก็บดอกเบี้ย เป็นระบบบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม

 

มาเข้าสู่ จน กับขาดทุน

เมื่อเราสร้างสรรได้ เราไม่เป็นหนี้ สองพึ่งตนเองรอด มีของกินใช้อาศัยชีวิตเพียงพอ สามทำให้มากให้เกินกว่าที่ตนกินหรือใช้ เหลือเอามารวมกันกองกลางแล้วสะพัดออกแจกจ่ายช่วยเหลือแก่คนอื่น ถ้าจะขายเราก็มีวิธีการขาย

คนฐานะยังไม่ดีก็ขาย แต่ขายราคาต่ำกว่าราคาตลาด ต่ำได้มากเท่าไหร่ก็คือเจริญ ต่ำจนขนาดได้เท่าทุนได้ แล้วเรารอด แต่ยิ่งเก่านั้น ขาดทุน ต่ำกว่าทุน ขายต่ำกว่าทุนขาดทุนเราก็รอดได้ เป็นปัญญา สมรรถนะที่เป็นไปได้

วิธีคิดทุน เขาจะคิดวัตถุดิบ และค่าโสหุ้ย และสำคัญคือเขาคิดค่าแรงด้วย

แต่เราไม่คิดค่าแรงงาน ต่างคนกินน้อยใช้น้อย เอาค่าแรงที่เหลือกินเหลือใช้นี้เอาเข้ากองกลางหมด เป็นคนจนถาวร จนแข็งแรงด้วย ยิ่งผลิตได้ มีสร้างสรรสิ่งใหม่ช่วยสังคมได้เพิ่มอีกเรื่อยๆ นี่คือคนจนมหัศจรรย์

สังคมอโศกมีมนุษย์มารวมกัน เข้าใจระบบระบอบนี้ คนไม่เข้าใจก็หาว่าสุดโต่งก็ต้าน เราก็เข้าใจเขา เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เราก็รู้ว่าชีวิตเรามีค่า แต่ไปเอาของคนอื่นมานี่ นอกจาทำลายค่าของตนเองแล้ว ยังเป็นยักษ์มารตะกละไปเอาเปรียบคนอื่นมา ทั้งหลอกเอาเปรียบ ใช้อำนาจบาทใหญ่ด้วย

ในสังคมมีคนห้าแบบที่เราต้องช่วย เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ ห้าแบบนี้ต้องช่วย แต่คนขี้เกียจ คนขี้โกง สองแบบนี้ต้องกระหนาบเขาให้เขาเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาเปลี่ยนก็จะได้แรงงานพลังงานจากคนสองแบบนี้อีก เราจะให้หมดคนขี้โกงขี้เกียจในสังคมเลยไม่ง่าย แต่เราเจตนาให้คนสองแบบนี้ได้น้อยลง เขาก็ต้องขุดรูอยู่ ก็จะน้อยลง เราก็พัฒนาเขาต่ออีก ถ้าหมดเลยสังคมก็ประเสริฐ แต่จะได้หรือไม่เราก็ต้องทำไป

ของเราทำสังคมให้บริบูรณ์ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งทำเอา

คำว่าบุญกับกุศลต้องแยกแยะให้ดี ตอนนี้ทุกอย่างเปิดเผยแล้วก็ต้องมาช่วยกันทำ คำว่าแบบคนจน เป็นชื่อ จะเรียกว่าชื่อลัทธิ ระบบ ระบอบก็ได้ทั้งนั้น ทฤษฎีคนจน แต่คนจนมหัศจรรย์นะ ต้องมีข้อแม้ ไม่จนอย่างโง่ๆชั่วๆ แต่จนอย่างมีคุณงามความดี เป็นทฏษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีอเทวนิยมเข้าใจเทวดา มาร พรหม ผี ยักษ์ ที่เป็นภาษาเรียกง จิตวิญญาณ จิตวิญญาณผี ยักษ์ มาร ศาสนาอื่นก็เรียกชื่อต่างกันไปเช่น ไซตอนเป็นต้น

จิตวิญญาณเราหลงผียักษ์มารว่าเป็นเทวดา จิตวิญญาณที่ไล่ล่าเอาจากคนอื่น เป็นจิตวิญญาณยักษ์มาร ล่าไล่เอาจากคนอื่นได้มากก็รวย แล้วเอามาเสพรส เป็นเทวดาดาวดึงส์ ส่วนชั้นแรกที่แย่งเขาเรียกว่า พวกจาตุมมหาราชิก เป็นยักษ์ มีชื่อ วิรุฬหก เป็นต้น พวกเฉลียวฉลาดหลอกคนอื่นให้โง่งมงาย แล้วเป็นเทวดาชั้นสูง เป็นตัวเลวร้ายซ้ำซ้อน เหมือนธัมมชโย ขอขอบคุณที่เป็นตัวให้อ้างอิง

ดาวดึงส์ก็เสพสุขเพลิดเพลินพอใจ เป็นอารมณ์ที่คุณสร้างเองเป็นความสุขที่ตนปั้นเอง แท้จริงไม่มี อรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์เหล่านั้น อาตมาก็ไม่มีอารมณ์เหล่านั้น แต่ก่อนเคยมีอารมณ์เช่นนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ถ้าปฏิบัติได้จะทำได้เหมือนกัน เป็นอารมณ์กลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เคยกินระกำอร่อย เคยกินสัปปะรดอร่อย แต่ตอนนี้กินก็ไม่มีอาการอร่อยนี้แล้ว เป็นอารมณ์กลางๆ แต่รู้รสนะ รสหวานเปรี้ยวอย่างไรก็รู้เหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะอะไรก็รู้ได้เหมือนเขา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่โลกเขามอมเมาว่าได้อย่างนี้อร่อยเพลิดเพลินสนุกสนาน มันเป็นความหลง ความปลอมเท็จ มันอนัตตาไม่มีหรอก หมดไปแล้วไม่มี นี่คือสภาพนิพพานคือไม่มี สภาพหลุดพ้นจากรสโลกีย์ อัสสาทะโลกีย์นี่คือของจริง

ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เสพติดกามารมณ์ ไม่เสพติดในโลกสมบัติ เงินมาเป็นของเราที่ดินเป็นของเราเพชรนิลจินดาไม่มีมาเป็นของเรา ไม่โลภ มีใช้ตามควร อาตมาว่าอาตมาตลอดชีวิตนี้ไม่เอาเพชรมาใช้เลย สักนิดน้อยก็จะทำประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้ไหม ก็ได้ แต่ทองคำก็เอามาใช้ตามควร

อาตมาได้รับบริจาคทำเจดีย์ที่สันติอโศก เอาทองคำมาฉาบที่เจดีย์ แต่ถูกสนิมcyanide กินจนทองคำเป็นสีคล้ำดำ แต่แปลกที่ตอนกลางคืนจะถูกแสงไฟสองเปล่งสีทองออกมาตอนกลางคืน แต่ว่ากลางวันจะดำ เราไม่ได้หลงใหลทอง แต่เราทำตามประสาโลก

พวกเราเข้าใจความไม่เป็นภาระ คนเขาบอกว่ามีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว ถ้าคุณมีทองเท่าหัวก็ยิ่งแย่ เป็นภาระเหน็ดเหนื่อย เราไม่ได้ใช้อะไรมากมาย เอาใส่แกงแทนเกลือก็ไม่ได้ เอาไปทำยาก็ไม่ได้อีก เราก็เข้าใจว่าทองเป็นสิ่งหายาก คุณสมบัติดีมากหลายอย่างไม่เป็นสนิม คนก็เลยเห็นว่าทองคำที่เจดีย์เราเป็นของปลอมแต่เราทำเองก็รู้ดี

คนจนทำไมประเสริฐและมีประสิทธิภาพกอบกู้สังคมได้?

คนจนไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้โกงสังคม มีปัญญาสร้างสิ่งควรสร้าง ไม่เอาเวลาสร้างสิ่งไร้สาระ อะไรจำเป็นก่อนก็สร้างก่อน ทำให้สังคมไป สังคมก็เป็นสุขขึ้น การแย่งชิงฆ่าแกงทำร้ายทำลายกันก็น้อยลง สังคมก็เป็นสุข อาตมาอธิบายนิดหน่อย แต่เอาไปขยายต่อไปอีกได้ไหม มีเรื่องราวได้ ข้อสำคัญคนพวกนั้นมาเป็นคนจนได้อย่างวรรณะ 9 ไหม

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ)

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

จิตว่างสะอาดจากสวรรค์จากโลก จากสัตว์นรก จากมนุษย์ที่หลงสวรรค์เป็นจิตพระพรหม เป็นจิตสะอาด พระพรหมมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

1.      เมตตา          (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข) .

2.      กรุณา (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์)

3.      มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์)

4.      อุเบกขา       (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง  ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา  หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา)    (พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 741) .

อาตมาเกิดมาชาตินี้ตระกูลพรหมนะ สกุลพรหมวงศานนท์ ต่อมาเป็นพรหมพิทักษ์ ตาอาตมานี้ท้าวพรหมสุรินทร์  ส่วนทางปู่นี้ สกุล สุวรรกูฏ ทางพระตาพระวอ

 

มาเข้าสู่ความไม่มีความจน แต่เป็นคนจนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสะพัดไม่กักตัน เชื่อมั่นในทรัพย์ของตน คือ ความขยันและ สมรรถนะ  คนมีสมรรถนะแต่ไม่ทำอะไรขี้เกียจ คนอย่างนี้เปลือง ไร้สาระ ต้องขยันก่อน แต่ขยันแต่โง่นี่ทำลายเสียหาย

เราเป็นคนกินน้อยพอดี สร้างร่างกายแข็งแรง เหลือเราก็แจกจ่าย ให้สะพัดออกไปแม้จะขายบ้างก็ทำไปตามลำดับ  นี่คือคนจนมหัศจรรย์มีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยชาติ แต่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริง นี่คือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

เข้าใจจิตวิญญาณที่หลงเป็นยักษ์เป็นเทวดา เช่น เทวดาจาตุมมหาราชิกา แย่งชิงเขาได้ เก่งแย่งเขาได้หมด อาวุธร้ายกาจตามสมัย ไปแย่งเอาจากเขา เราไม่ทำแบบนั้น เราสร้างให้พอให้เหลือแล้วแจกจ่ายคนอื่นไม่ต้องไปเอาของใคร เป็นคนภูมิใจในศักดิ์ศรีของตน ศึกษาได้ทำได้ มีสิ่งกินใช้ที่ต้องทำก็ใช้ได้ แม้แต่เครื่องมือสื่อสารก็ใช้ได้ อาตมาก็ใช้ได้ ใช้ไม่เก่งก็ให้คนอื่นช่วยได้ ต่างคนต่างเก่งช่วยกัน สังคมที่มีความรู้ตามแบบพระพุทธเจ้านี้ไม่เคยเก่าตกสมัยแต่ทันสมัยเจริญตลอดเวลา

เมื่อเป็นคนจนมหัศจรรย์อย่างอาตมาอธิบายคร่าวๆ

สมมุติว่าบิลเกตต์สร้าง software ก็อย่าเอาไปล่าสิ แต่ไล่แจกคนอื่นเลย แต่นี่เอาไปล่าได้เงินมากมายแล้วสร้างวิมานของตนใหญ่โต ไม่รู้ว่าชาติหน้าคุณจะต้องไปชดใช้นะ เอาเปรียบเขามาต้องใช้หนี้นะ บิลเกตต์เอ๊ย ไม่ต้องบอกว่าทักษิณเอ๊ย หรือธัมมชโยเอ๊ย พวกที่ไปกอบโกยเอาเปรียบเขามา ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกใช้วิชามารเอาเปรียบคนอื่นอย่างธัมมชโย อย่างทักษิณ เขาได้มาอย่างเอาเปรียบก็บาปแล้วแต่เอาเงินมาทำร้ายประเทศอีกก็ยิ่งบาปซ้ำซ้อน ขออภัย ขอบคุณพวกเขาที่ให้อาตมาได้ยกตัวอย่าง ไม่ได้อยากให้เขาเป็น สงสารเขา แต่เขาไม่ฟังอาตมา เขาจะโกรธเกลียดอาตมาด้วย แต่โกรธเกลียดอาตมานี้โง่ไหม ก็โง่ ก็เชิญโง่ซ้ำซ้อนไป

มาโกรธเกลียดอาตมาที่เอามาช่วยมนุษยชาติ แต่ก็โกรธเกลียดอาตมาอีกเป็นวิบากซ้ำซ้อน เข้าใจให้ดี

ชาวอโศกเราเกิดแล้วเป็นแล้วทำจริงแล้ว ตั้งหลักฐานแล้ว ไม่จำเป็นต้องบุกรุกที่ดินภูเขาต้นน้ำ เราทำเอง อยากมีน้ำตกสูบเอง ทำเอง สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ความสามารถที่ทำเองได้ อาตมาจำลองน้ำตกในเมืองกรุงในสันติอโศก จำลองลำธาร ป่า ภูเขา ทำไปตามควร ไม่ดูผลาญพร่าทำลาย แต่เป็นของเสริมหนุนให้เกิดธรรมชาติพออาศัยพอควรพอเหมาะ

ระบบแบบคนจน แล้วเข้าใจว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเราเป็นความสามารถความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้กำลังเกิดปัญหาหนัก โลกกำลังลำบากทุกข์ร้อนเรื่องทุนนิยมเราก็ต้องหาทางออกมาหาบุญนิยม เราต้องทำให้จริงเป็นหลักฐานให้คนมาเอาได้  ทำไมคนต้องหันมาเอาระบบบุญนิยม

1.      ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง  ขาดแคลน  ไม่พอกันจริงๆ

2.พลโลกมากขึ้น

3. คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น  เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น  ไร้ความไว้วางใจ  หวาดระแวงกันมากขึ้น  ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น  ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้นและไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว

4.เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นมนุษย์ตัวอย่าง สังคมตัวอย่างวิถีชีวิตตัวอย่าง เป็นระบบที่ได้อาศัย ไม่เป็นแบบทุนนิยม และสังคมบุญนิยมเป็นสังคมที่ยั่งยืนถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

จึงเป็นระบบที่อยู่ให้คนอื่นพึ่งเป็นร่มเงาให้นกกาอาศัย ผู้คนในโลกจะมาเอาระบบบุญนิยมต่อไปในโลกทำไปเถิดแล้วเราจะมีสิทธิ์คัดเลือกคนที่เข้ามาด้วย ถ้ามีนิสัยนี้มีเชื้อเลวร้ายแรงเราไม่ให้เข้านะ เดี๋ยวมาแพร่เชื้อไม่ดีในหมู่เรา เราเลือกได้ สังคมเราจึงพึ่งตนเองรอด แล้วรอหรือยื่นมือไปช่วยคนอื่น เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างไปอย่างพอเหมาะโดยอาศัยศาสนาเป็นหลักธรรมะเป็นหลัก

ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม รู้เทวะดี

เทวะหรือเทพคือ

สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

เทวดาสมมุติเทพอย่างจตุมหาราชิกานี้ไม่ทำเองแต่ไปล่าเอาจากเขา เป็นวิรุฬหก วิรุฬปักษ์ก็ใช้เชิงหลอกให้เขามาทำทานให้ ตนเองไม่มีก็ยังจะเอามาทำทานแก่เขา จะได้สวรรค์วิมานชาติหน้าเอาชาติหน้ามาหลอก

หลวงพ่อคูณ คนมาทำทานแก่ท่าน ท่านเห็นหน้าว่าไม่พอกินพอใช้ หลวงพ่อก็จะบอกว่าเอาแค่นี้นะเอาคืนไป หลวงพ่อคูณขายเครื่องรางของขลังก็ไม่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าแต่ว่ายังดีกว่าธัมมชโยที่เลวร้ายมากกว่า

พวกเราชาวบุญนิยม แบ่งด้านของบุญนิยมออกเป็นด้านต่างๆ

1. ศาสนาบุญนิยม …

2.  ชุมชนบุญนิยม...

3. การศึกษาบุญนิยม

4. การบริโภคบุญนิยม

5. พาณิชย์บุญนิยม

6. กสิกรรมบุญนิยม...

7. อุตสาหกิจชุมชน

8. การเมืองบุญนิยม

9. ศิลปวัฒนธรรมบุญนิยม

10. การสื่อสารบุญนิยม

11. สุขภาพบุญนิยม

12. สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ

 

เราก็สร้างคน สร้างเยาวชน เรามีโรงเรียน มีวิทยาลัย กำลังทำมหาวิทยาลัย แต่ก่อนเราทำแบบ กศน. เดี๋ยวนี้เรามีป.เอก โท ตรี ทุกระดับชั้น พัฒนาคนให้แก่สังคมโดยไม่คิดเงินทองนะ เราสอนฟรีมาก่อนรัฐบาลอีก สังคมอโศกเป็นสังคมช่วยประเทศชาติอย่างจริงใจ

มาถึงเวลานี้สังคมก็เข้าใจเราเพิ่มขึ้นแล้ว เรามีเสนาสนสัปปายะ ปักษ์ใต้มี ธรรมชาติอโศก ทะเลธรรม ชะเลขวัญ ก็ร่วมบูรณะให้เป็นชุมชนสร้างคนจนมหัศจรรย์ มากล้าจนดีกว่าไปกล้ารวย กล้ารวยนี้ทำกันมานักต่อนัก เห็นผลว่าย่ิงเลวร้าย แต่กล้าจนอย่างมีสารัตถะ ประเสริฐ​มาเป็นคนจนชนิดนี้กัน เราจะได้ช่วยสังคม แต่ละภาคเรามีชุมชนอโศก ที่ฟังตอนนี้ ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรงก็เพราะเราทั้งหลาย

ประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างของโลก ขออภัยที่พูดใหญ่ แต่อาตมามั่นใจในจิตวิญญาณแบบเทวนิยม ที่เป็นคนจนแบบประเสริฐที่มีจิตวิญญาณจริงแท้

เราจะเป็นเครื่องจักรชั้นหนึ่ง ทำกรรมอย่างประเสริฐสุด เพื่อให้ทรงไว้ซึ่งธรรมะที่สมบูรณ์แบบให้แก่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นปักษ์ใต้ก็พัฒนาตนเอง อย่าเพิ่งขยายที่ แต่ทำสามที่นี้ให้เจริญก่อน ธรรมชาติอโศก ทะเลธรรม ชเลขวัญ​ ที่ทะเลธรรมมีกสิกรรมเป็นหลักแล้วมีโรงงานอุตสหกิจมาเพิ่มอีกจะได้ช่วยมนุษยชาติ

คนที่อยู่บ้านรื้อเสาบ้านมาได้ไหม มาแต่ตัวกับหัวใจเต็มๆ

จำหลักนี้เอาไว้

1.อย่าเป็นหนี้ คนไม่เป็นหนี้นี้ทุกข์ลดลง อยู่ในสังคมเรานี้ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งทำเอา

2.พึ่งตนเองรอด 3.ทำเกินกินใช้ 4.แจกจ่ายสะพัดช่วยโลก

เราทำแบบขาดทุน แบบคนจนได้จริงตามในหลวงตรัสประเสริฐสุด ช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติเป็นจริงสุด

ขณะนี้ท่านผู้ว่าฯก็มาถึงแล้ว เราก็จะมีเรื่องเปิดตลาดอาริยะต่อไป ….ผู้ว่าฯเดชรัตน์ สิมศิริ เจอกันที่สนามบิน ท่านก็แสดงตัว น่าชื่นชม ไม่เหมือนคนบางคนเห็นแก่ไกลว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ท่านไม่ใช่ น่าชื่นชม … ท่านก็มาถึงแล้ว

ขอสรุปก่อนมอบหมายให้พิธีกรว่า พวกเราตอนนี้เป็นเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มของไทย ไม่ว่าด้านศาสนาหรือด้านการเมือง กำลังจะพัฒนาเต็มที่จงมาช่วยกันร่วมมือกันพัฒนากันก็ได้ความร่วมมือกันของพวกเรา แม้ผู้ใหญ่ที่รู้ก็มาช่วยกันก็ขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง ก็มอบหน้าที่แก่ Master of cceremony ….จบ

 

 


 

ผู้ว่าฯเดชรัตน์ สินศิริ ผู้ว่าราชการจ.ตรัง ได้ให้เกียรติมาเปิดงานตลาดอาริยะที่ทะเลธรรม แล้วท่านผู้ว่าฯก็มากราบพ่อครู ...บอกว่า ได้ใช้เพลงชื่นรัก ที่พ่อครูแต่งตอนสมัยฆราวาส มาฝึกหัดร้องเพลงเป็นเพลงแรก ซึ่งผู้ว่าฯมีท่าทีที่ซาบซึ้งประทับใจมากจนน้ำตาไหล

พ่อครูเป็นไอดอลของท่าน ผวจ. เมื่อปี 2512 ผวจ.เป็นนักดนตรีวงดุริยางค์ เขาเอาเพลงโบราณมาสอน แล้วผมไม่ร้อง ครูก็ให้คะแนน 0 ผม แต่ครูดุริยางค์เห็นก็เลยถามผม ผมก็บอกว่าผมไม่ชอบเพลง ครูก็เลยบอกว่า ผมร้องเพลงอะไรเป็น ผมก็บอกว่าผมร้องเพลงชื่นรักเป็น ที่พ่อครูแต่งให้วงดนตรี ดิอิมพอสซิเบิ้ล ซึ่งผมร้องและเล่นกีตาร์ได้ ผมเลยร้องแล้วผ่านได้ ก็ถ้าไม่มีพ่อครูมาแต่งเพลงนี้ผมก็มาไม่ถึงวันนี้ได้….

ผวจ.ยังได้เคยปั่นจักรยานมาดูชุมชน เพราะชอบขี่จยย.ออกกำลังกาย และก็ได้มาฝึกรับประทานอาหารมังสวิรัติ และ ถือศีล 5

ตอนขึ้นเครื่องบินมาที่ตรัง ได้ขึ้นเที่ยวบินเดียวกับพ่อครูและได้กราบนมัสการพ่อครูตอนลงเครื่องอีกด้วย….พ่อครูว่า...ขณะนี้ท่านผู้ว่าฯก็มาถึงแล้ว เราก็จะมีเรื่องเปิดตลาดอาริยะต่อไป ….ผู้ว่าฯเดชรัตน์ สินศิริ เจอกันที่สนามบิน ท่านก็แสดงตัว น่าชื่นชม ไม่เหมือนคนบางคนเห็นแก่ไกลว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ท่านไม่ใช่ น่าชื่นชม … ท่านก็มาถึงแล้ว

ขอสรุปก่อนมอบหมายให้พิธีกรว่า พวกเราตอนนี้เป็นเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มของไทย ไม่ว่าด้านศาสนาหรือด้านการเมือง กำลังจะพัฒนาเต็มที่จงมาช่วยกันร่วมมือกันพัฒนากันก็ได้ความร่วมมือกันของพวกเรา แม้ผู้ใหญ่ที่รู้ก็มาช่วยกันก็ขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง ก็มอบหน้าที่แก่ Master ceremony ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:34:48 )

590709

รายละเอียด

590709_วิสัชชนา เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ โดยพ่อครู ที่งานภราดรฯ

อาตมาก็จำเป็นต้องใช้ศิลปะโลกุตระในการปฏิกโกสนา ว่าอันนี้ผิดอย่างไร หรืออันนี้ถูกอย่างไร นิคคัณเหนิคคหารหัง ปัคคัณเหปัคคหารหัง ไม่ใช่มาด่ากันหรือประจานกัน เป็นการบอกให้รู้ ตามที่พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับชาวพุทธทั้งหมดก็ต้องช่วยกันดูแล อาตมาก็เป็นชาวพุทธ ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นพุทธด้วยเลือดด้วยวิญญาณ ออกจากทางโลกมา ตั้งแต่ปี 2513 ก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องช่วยทางศาสนาไปอีกนาน ไม่เคยคิดกลับไปอยู่ทางโลกเลย ยิ่งเห็นว่าต้องกอบกู้ศาสนา เพราะว่าจะไม่เหลืออะไรแล้ว

ต้องจัดการ ตัวจำเลยเด่นๆขณะนี้ และกลุ่มคณะสงฆ์ คณะใหญ่ ที่ล้มเหลว บ่มีไก๊ จะทำอย่างไรกันดี อาตมาพูดตรงๆชัดๆ ด้วยสัจจะด้วยจริงใจ จะทำอย่างไรกันดี จะกอบกู้กันอย่างไรหวาดไหว คณะใหญ่ทำงานมาแล้วเป็นผลอย่างนั้นแล้ว แล้วก็จะยื้อบัลลังก์ไว้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ติกชนักมีคดีทั้งนั้น

ศาสนาเพี้ยนไปแล้ว ที่จริงก็เห็นใจว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็อยู่ยาก แต่ยากก็ต้องแก้ไข ถ้าไม่แก้ไขก็เลวใหญ่ อาตมาเข้าใจพระเจ้าอโศกมหาราช ว่าท่านจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องลงดาบ ท่านจับสึก ทำลาย ปลดเลย รื้ออย่างขุดรากถอนโคนเลย ท่านจัดการหมดเลย ท่านทำได้ตอนนั้น แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพราะม. 44 นี้มีอำนาจเช่นเดียวกัน

คุณเชื่อไหมว่าในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช พระที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ซับซ้อนวิตถารเท่ายุคนี้เชื่อไหม? แต่มันก็ผิดแล้วหยาบแล้วศาสนาไปไม่รอด พระเจ้าอโศกเลยใช้อาญาสิทธิ์ของท่านจัดการเลย

ก็ศาสนาจะถึงเจริญขึ้นไปรอดอยู่มาได้เพราะครั้งหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชได้ชำระสะสาง มีอายุยืนยาว แม้มาถึงเมืองไทยก็เพราะพระเจ้าอโศกมหาราชใช่ไหม?

มาถึงวันนี้ วัฏฏสงสารวนเวียนมาจุดนี้แล้ว ต้องชำระเช่นกัน แต่ตอนยุคนี้ก็ต้องอาศัยอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว เพราะทางธรรมหมดฤทธิ์แล้วไม่มีใครทำได้ ก็ต้องใช้อาญาสิทธิ์ศาสนาถึงดีได้มาถึงวันนี้ พอถึงวันนี้เสื่อมหนักหนากว่ายุคนั้น ถ้าไม่จัดการไม่ชำระครั้งนี้ก็หมดสิ้นแน่นอน อาตมาไม่ได้ใส่ความหาเรื่องเลยด้วยสุจริต ถ้าอาตมาที่พูดไปนี้เป็นกรรมของอาตมาทั้งนั้น

เป็นเรื่องที่ต้องจัดการจริงๆ ขอให้ผนึกกันเถิด กับหลวงปู่พุทธอิสระ ถ้าทางไหนเห็นด้วยก็ไปช่วยกัน แต่คงไม่มีใครอยากเอามือซุกหีบนะ

 

อาตมาพยายามใช้ศิลปะในการสื่อว่าศาสนาพุทธเป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะนะ สรุปว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้แย่กว่ายุคพระเจ้าอโศกมหราชมากเลย แล้วยกย่องพระเดรัจฉานวิชชากันแทบทั้งนั้น

ในปาฏิหาริย์นั้น มีสามอย่าง เกวัฏฏสูตร   ว่าไว้ว่า

           ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

          1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

          2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

          3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ . 

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)

 

พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ทำ อย่างธัมมชโยทำนี่ ทำนายว่าคนนี้อยู่นรกสวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้ คืออาเทสนาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านว่าเบื่อหน่ายระอาไม่ให้ทำ แต่ธัมมชโยทำด้วย แล้วทำอย่างไม่มีจริงด้วยก็ต้องปาราชิกแน่แล้ว ย่ิงกว่าข้อขโมยเงินอีกนะ ก็มีคุณชาติชาย เขียนจดหมายไปลองภูมิ หลอกว่าพ่อตายแล้ว ไปถามธัมมชโยว่าพ่อตายไปอยู่ที่นรกหรือสวรรค์ชั้นไหน ธัมมชโยก็ตกหลุม บอกมาต่างๆนานา แล้วคุณชาติชายก็บอกว่า พ่อผมยังไม่ตาย ยังอยู่ที่เขียนไปถามนี้หลอกท่าน

แต่คนที่หลงใหลได้ปลื้มก็ไม่เชื่อ เพราะถูกสะกดจิตหมดแล้ว อาตมาเคยศึกษาการสะกดจิตมาแล้ว

การสะกดจิตแล้วสั่งให้เป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าสะกดได้แล้ว เขาจะเห็นจะได้ยินตามเราหมด เช่นสะกดจิตแล้ว ก็บอกว่าลืมตา แล้วบอกว่าที่บนโต๊ะนี้ไม่มีวัตถุอะไรนะ มีแต่โต๊ะเกลี้ยงๆ แต่ตอนเรียนมาก็มีกระดาษดินสอแก้วน้ำอยู่บนโต๊ะก็สะกดจิตแล้วสั่งเขาว่าไม่มีวัตถุบนโต๊ะ เราก็บอกว่าให้หยิบแก้วน้ำ เขาก็บอกว่าไม่มี เขาก็ลองคว้า แล้วก็ถูกแก้วน้ำตกแตกเลย เขาก็ตื่นจากการสะกดจิต ก็บอกว่ามีแก้วน้ำด้วยหรือ?

หรือสั่งว่ามันมีเสือ ให้ลืมตาแล้วบอกว่ามีเสือ เขาก็เห็นเสือ แล้วจะวิ่ง เราก็จับเขาไว้แล้วทำให้เขาตื่นจากสะกดจิต แม้แต่ลองกันว่า ต่อไปนี้จะเอาเหล็กแดงเผาไฟ นาบที่แขนนะ เราก็เอาไม้บรรทัด หรือดินสอ นาบที่แขนเขาก็สลัดออกบอกว่าร้อน มีรอยแดงเป็นไฟไหม้ด้วยได้ ที่เขาทำกันเดินลุยไฟได้ก็จริงได้ด้วย แต่นี่สะกดจิตกันวันละหลายรอบด้วยที่ธรรมกาย แล้วสะกดให้อย่างเต็มใจให้สะกดด้วย นี่ย่ิงจมลึกกว่าอีก จะพูดอย่างไรไม่มีกระดิกเลย สะกดจิตต่อหน้าทุกวัน แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตตนเองด้วย การนั่งหลับตาแบบสายธรรมกายหรือสายอ.มั่นคือการสะกดจิตทั้งนั้น แต่การปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้ามี analysis แต่ที่ทำกันแบบธรรมกายเป็น Hypnotize สะกดจิตงมงายหลงภพชาติ

 

ในพระสูตรเล่ม 1 ก็เห็นเพชรพุทธส่องแสงวาบ ตั้งแต่สูตร 1 ถึง 13 จนอาตมาจะเขียนหนังสือเรื่องเพชรพุทธ 13 กะรัต แต่ไม่มีแรงเขียนแล้ว แต่ก็รู้ว่าแต่ละสูตรมีแสงมีเหลี่ยมเพชรพุทธอย่างไร

เช่นมุมที่ 1 กะรัตที่ 1 เช่นพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าจะชมเราต้องชมว่าเราเป็นคนมีศีล ...พรหมชาลสูตร มีเรื่องเล่าว่า พวกต่างลัทธิ ปริพาชก อาจารย์กับลูกศิษย์ แย้งกันเรื่องพระพุทธเจ้า แล้วมีผู้ได้ยินคำติชมพระพุทธเจ้าก็มาทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าถ้าจะชมเรา ก็เบื้องต้นชมเราว่าเรามีศีล คำว่ามีศีลก็เป็นเพชรพุทธ

มีศีล คือ ศีลแต่ละหัวข้อ เช่นศีลข้อแรกไม่ทำร้ายไม่ฆ่าสัตว์อย่างไม่มีข้อแม้ด้วย ศีลของพระพุทธเจ้าที่ตราขึ้นมาเรียกว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีล  ไม่ได้เอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มาปฏิบัติเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ได้กล่าวถึงจุลศีลแต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเอามาทำคือศีล 5 ถ้าเจริญขึ้นก็เป็นศีล 8 แล้วเจริญขึ้นก็ศีล 10 ก็อยู่ในจุลศีลนี้แหละ พระพุทธเจ้าว่า ให้เว้นขาด อย่าฆ่าสัตว์อย่าเอาของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ละเมิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปดไม่เสพสุราเมรัย อย่างใดเลย ไม่ใช่แค่กดข่ม กายกับวจีไม่ทำแต่ไม่รู้การล้างใจ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ เมื่อสมาทานศีลแล้ว สัมผัสกับสิ่งที่เราจะเว้น เราก็อ่านกิเลส แล้วดับกิเลส มีศีลคือที่จิตดับกิเลสไม่ใช่แค่กายกับวาจาไม่ละเมิดเท่านั้น

เมื่อลดละได้ตามศีลมีปัญญารู้ ลดได้หมดมีปัญญาวิมุติ ปัญญาก็รู้มีวิมุติ วิมุติญาณทัสสะ ก็รู้ จบหมด ในกิมัตถิยสูตรระบุไว้ชัดเลย

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)  จิตคุณอยากฆ่าสัตว์มันทำให้คุณเดือดร้อน คุณอยากฆ่าสัตว์มันก็จะร้อน เราก็ลดความเดือดร้อนอยากฆ่า เราก็ลดได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

แต่สอนกันทุกวันนี้ในมหาวิทยาลัยพุทธ เปรียญ 9 ดร.พุทธศาสนบัณฑิตก็สอนเช่นนี้ ว่า สอนกำหนดแค่กายกับวาจา ส่วนสมาธิต้องไปนั่งหลับตาเอา แต่ศีลไม่ได้หลับตา เมื่อสัมผัสกับสัตว์ จิตเรามีอาการอย่างไร ถ้าอาการเราจะไปทำร้ายสัตว์ฆ่าสัตว์นั่นแหละตัวจริง สัมผัสแล้วอยากได้ของคนอื่นก็มีโลภะต้องกำจัดโลภะ ไปเห็นผัวเขาเมียใครแล้วมีราคะก็ต้องจัดการชำระที่จิต การลดกิเลสได้นั่นคือเกิดฌาน ลดได้ก็สั่งสมตกผลึกตั้งมั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นี่คือศีลทำให้เกิดสมาธิจิตตั้งมั่น ไม่ใช่ว่าแยกส่วนทำกัน ศีลก็กายกับวาจา สมาธิก็นั่งเอา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโสณทัณสูตร

ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์      (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์          ล.9  ข.193)

          ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น

          ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา

นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก

เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

 

เพชรพุทธ ในพระไตรปิฏกพระสูตรเล่ม 1 อ่านดูก็ชัดเจน

พระพุทธเจ้าสอนว่าหรือให้แสงเพชรสว่างมาว่า จะชมเราก็ชมที่เรามีศีล มีศีลคือจิตบรรลุตั้งแต่โสดาบันไปถึงอรหัตตผล โสดาบันทำให้กิเลสดับไประดับหนึ่ง ผู้มีศีลคือผู้มีอรหัตตผล มีนิโรธ มีความหลุดพ้น ดับกิเลสได้ตั้งแต่อบาย เป็นพระโสดาบัน ถ้าจะชมผู้ที่ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน

ชาวอโศกได้รับคำชมว่าพวกนี้มีศีลตรงกับที่พระพุทธเจ้าว่า แต่เดี๋ยวนี้มหาเถรสมาคม รวมทั้งชาวพุทธทั้งหลาย ไม่มีจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลแล้ว เขาถือแต่ศีล 227 ที่แท้จริงเป็นพระวินัยที่เป็นเหมือนกฏหมายลูกหรือรอง แต่ศีลเป็นกฏหมายใหญ่หรือธรรมนูญแต่ตอนนี้กฏหมายใหญ่หายไป มีแต่กฏหมายรอง หลักพุทธก็หายไปด้วย

จุลศีลแปลว่าเล็กหรือเฉพาะตน ไม่ครอบคุมทั้งศาสนาตนปฏิบัติก็ลดกิเลสตน

ส่วนมหาศีลนั้นครอบคลุมทั้งศาสนาท่านให้งดเว้น เช่นพุทธไม่มีเดรัจฉานวิชชานะ อย่างศาสนาอื่นเขาทำ ท่านก็เลยตั้งธรรมนูญของท่านว่าท่านไม่มีนะ ยกตัวอย่างชัดๆ อย่างรดน้ำมนต์ ศาสนาพุทธไม่มีนะ พ่นน้ำมนต์ไม่มี ท่านแปลอันกันเองนะ ไม่จุดธูปจุดเทียน อันนี้อาตมาพูดเอง แต่สมัยพระพุทธเจ้าท่านว่า ห้ามจุดไฟเป็นอัคคียัญ หรือใช้ควัน เช่นใช้กำยาน จุดด้วยขี้เลื่อยหรือข้าวสาร จุดแล้วเกิดควันเหมือนธูป หรือใช้เปลวไฟ โดยใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย แต่ทุกวันนี้ประยุกต์มาเป็นธูปจัดแล้วได้ควัน เป็นเทียนจุดแล้วมีเปลว เรียกว่าอัคคียัญ ศาสนาพุทธไม่ใช่ต้องให้สื่อถึงวิญญาณด้วยน้ำด้วยไฟเป็นสื่อเหมือนศาสนาอื่นๆ

 

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:35:18 )

590709

รายละเอียด

590709_วิสัชชนา เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ โดยพ่อครู ที่งานภราดรฯ

พ่อครูว่าขณะนี้เป็นรายการให้วิสัชชนา เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ วันนี้วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2559 วันที่สองของงาน ภราดรภาพซาบซึ้งใจที่สังฆสถานทะเลธรรม จ.ตรังนี้

ก็จะให้วิสัชชนาเรื่อง เพชรพุทธสุดยอดศิลป์ คือเพชรคือแสงอันประกายงดงามวิเศษของพุทธ เป็นสุดยอดของศิลป์เป็นศิลปะระดับโลกุตระด้วย

พูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้ามีทั้งวิธีปฏิบัติที่จะได้เรียนรู้ทุกอากับกิริยาให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา เกิดความรู้ระดับปัญญา มีผลเกิดเป็นสภาวะ แล้วเรามีธาตุรู้เข้าไปหยั่งรู้สิ่งที่เกิดผล เรียกว่าปัญญา

ปัญญาจึงไม่ใช่การขบคิด หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หรือกก อ่านว่ากก เป็นต้น หรือคนนั้นทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่มันคืออาการของจิตเจตสิกเป็นหลักเลย เกี่ยวข้องกันตั้งแต่ภายนอก สังขารปรุงแต่งกันจับอาการได้ แยกแยะได้ วิเคราะห์สังเคราะห์ออก ว่ามีอะไรปรุงแต่งอยู่บ้าง แล้วจับเหตุที่เป็นตัวการปรุงแต่ง เช่นปรุงแต่งมาเป็นความสุข เรียกภาษาว่าเป็นเทวดา ที่เป็นความสุขความพอใจมีเหตุมาจากอะไร แยกแยะวิจัยออก แล้วในศาสนาพุทธว่าตัวนี้เป็นเหตุให้เกิดภพชาติ แล้วจะเป็นเทวดาก็เช่นเทวดา 6ชั้น ไม่มีศาสนาไหนสอนหรอกว่า เทวดานี้เป็นภพชาติ เพราะศาสนาพุทธนั้นตัดภพจบชาติ

คนในโลกเทวนิยมหลงเทวดาทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธให้รู้ทันว่านี่ตัวหลอก ให้จมกับเทวดา ไม่มีศาสนาไหนสอนอย่างพระพุทธเจ้า คนที่ตกภพเทวดา ที่เป็นสมมุติสัจจะ ไม่เข้าหาปรมัตถสัจจะ

ปรมัตถสัจจะของพระพุทธเจ้าถึงขั้น 0 นิพพาน นิโรธ ดับภพ จบชาติ ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีดินแดนแห่งเทวดา หมดในผู้บรรลุได้เลย นี่คือนิพพาน ไม่มีดินแดนภพชาติเลย คนที่หลงติดยึดอะไรอยู่ก็ไม่สิ้นภพจบชาติ แต่พระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ ให้ตัดภพทุกภพทันที ท่านให้ไล่ตัดไปตั้งแต่อบายภพ รู้ว่าเป็นอาการหยาบของเรา เหตุมันคืออะไรที่เราไปหลงภพชาติสุขทุกข์เป็นเทวดา นึกว่าเราร่ำรวยมากมี เจริญงอกงามของโลกอบาย ทุจริตโกง ก็อบายแน่ๆ

ถ้าเป็นกาม เช่น รูป ก็หลงรูปจัดจ้าน หลงเสียงจัดจ้าน กลิ่นจัด รสจัด สัมผัสเสียดสีจัด นี่คืออบายทั้งนั้น หรือหลงใหลลาภยศ โป้งรวย รวยไม่สิ้นสุดไม่ยับยั้งคือแดนอบาย คนที่ไม่เข้าใจ ก็หลงไป ตกในหลุมอบายหนาเปรอะ เป็นภพชาติใหญ่ก็ไม่รู้ ไปสร้างภพชาติใหญ่เป็นสวรรค์มโหฬารพันลึกเป็นเรื่องลอยลมเพ้อฝันไม่จริงเลย แล้วหลอกว่าอาจารย์นี้เป็นผู้รู้ใครทำทานกับอาจารย์ได้บุญเยอะนะ แล้วได้สวรรค์นรกหรูหรายิ่งใหญ่ อาจารย์จะบอกได้หมด คนอื่นไม่รู้ได้ นอกจากอาจารย์นี่คือนักหลอกที่คนกำลังรู้ทัน แล้วกำลังจะเอาลง เพราะเป็นคนขี้หลอก จนกระเทือนคนเป็นจำนวนมาก เอาไปปู้ยี่ปู้ยำสร้างอาคารดินแดนที่หลอกว่าเป็นสวรรค์มากมาย อย่างคนที่ถูกหลอกไม่รู้ทันเลย หลงเชื่อด้วยว่าคือผู้วิเศษย่ิงใหญ่จริง ใครได้ทำทานด้วยจะยิ่งใหญ่ ที่ทำได้เพราะเขามีวิธีสะกดจิต แล้วสามารถมากในการสร้างภพชาติ วิมานจัดจ้าน ถ้าอาตมาจะเรียกว่าที่สร้างมานี้จัดจ้าน มันสุดอภิมหาบรมอภิอบายเลย นรกยิ่งกว่าอติวินิบาต ตกต่ำจนไม่มีพื้นจะให้ตกต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีนรกจะให้ตกแล้ว คนๆนี้

เขาก็ว่าเขาทำดีมาตลอด 40 ปี แต่อาตมาใช้เพชรพุทธส่องแล้ว มีแต่หลอกๆ อาตมาก็บอกมาตลอด แต่มหาเถรก็รู้ไม่ทัน แล้วอาตมาก็คิดว่าอยู่ด้วยกันคงไม่ได้ คณะใหญ่มืดเมาไปด้วยกันหมด ถูกสะกดจิตไปหมดอาตมาก็เลยลาออกมา ประกาศที่วัดหนองกระทุ่ม ตั้งแต่ปี 2518 ว่าเห็นคณะใหญ่สอนสูตรผิดไปจากพระพุทธเจ้า เปรียบกับการทอดปาท่องโก๋ เขาบริษัทใหญ่ใช้สูตรที่ผิดจากพระพุทธเจ้าทำให้คนกินคนกินท้องอืดเฟ้อไปหมด อาตมาก็เสนอสูตรของพระพุทธเจ้าให้ ท่านก็ไม่เอา อาตมาก็เลยขอลาออก ไปทำร้านเล็กๆเอง ทำสูตรของอาตมาเอง ก็ขอแยกไม่อยู่ในอาณัติของท่าน อาตมาเป็นพระเล็กพระผู้น้อย ตอนนั้นยังใช้คำว่าพระเรียกอยู่ ก็ขอแยกมาเปิดร้านปาท่องโก๋ขายข้างทาง ตามสูตรของพระพุทธเจ้าที่อาตมาว่าเป็นเช่นนี้ ก็มั่นใจว่าคนจะสุขภาพแข็งแรง พัฒนาไปได้ด้วยสูตรที่ถูกต้อง ท่านคณะใหญ่อาตมาไปทำอะไรท่านไม่ได้หรอก ขอแยกตั้งแต่ 6 ส.ค.​2518 มีรายลักษณ์อักษรด้วย แต่เหตุผลก็ค่อนข้างแรงอยู่

ส่งให้เจ้าคณะอำเภอ ส่งไปเจ้าคณะจังหวัด มหาเถรก็ยอมรับ ตั้งแต่ 7 ส.ค. 2518 ก็ออกมา เมื่อเป็นนานาสังวาสแล้วจะมาฟ้องร้องอธิกรณ์กันไม่ได้แต่ติเตียนกันได้ ปฏิกโกสนากันได้ (คัดค้านอย่างจัง ปอ.ปยุตโต) อาตมามีสิทธิ์ตำหนิ แต่ฟ้องร้องไม่ได้ ได้แต่ว่าด้วยปากหอก(มุขสตี) ก็บอกประชาชนไปให้ตรวจสอบว่าผิดนะ แต่ไม่มีใครฟังเสียงอาตมา เสียงอาตมานี้ไม่ใช่เสียงนกกา แต่เล็กยิ่งกว่านกกระจิบกระจอก ยิ่งทุกวันนี้สูตรทางเถรสมาคมพิสดารหนัก ผิดหนัก พลิกแพลงสูตรของพระพุทธเจ้าวิจิตรพิสดารมาก หลอกคนเสียจน

ธัมมชโยอธิบายธรรมะนี้ เขายอดหลอกลวง ตกแต่งวิมานคำพูดครอบงำความคิดให้หลงเพลินกับสิ่งที่อยากได้อยากมีอยากเป็นแรงมาก เป็นกิเลสตัณหา เขาก็ส่งเสริมความอยากได้อยากมีอยากเป็น แล้วเขาส่งเสริมวิมานสวย รวย ใหญ่ มีแต่มหัปปิจฉะ มักมากมักใหญ่ไม่ใช่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย ทำไมหนอมหาเถรสมาคมทั้งคณะไม่สำนึกประเด็นนี้เลย ปล่อยให้สร้างวิมานหลอกคนจนคลี่คลายไม่ได้เลย ตอนนี้ก็เป็นปัญหาสิ จนสุดท้ายทางบ้านเมืองต้องมาช่วยจัดการ แล้วบอกให้ทางเถรสมาคม เจ้าคณะต่างๆช่วยด้วย ว่าเป็นปัญหาว่า อันนี้ไปทุจริต เรื่องการเงิน เงินนี่ 5 มาสก ภิกษุใดปฏิบัติผิด ด้วยเงิน 5มาสกนี้ผิด รับของโจรด้วย เป็นการตั้งข้อหาทุจริต เป็นพระเป็นเจ้าทุจริตนะ แจ้งไปให้เจ้าคณะจังหวัดบอกว่าให้เขามารับข้อกล่าวหา แต่เจ้าคณะจังหวัดบอกว่าไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของทางบ้านเมือง อาตมาก็ว่าเป็นเรื่องทุจริตการเงินเป็นเรื่องปาราชิก นี่แล้วบอกว่าเป็นเรื่องไม่ใช่ธุระเสียอีก ระดับเปรียญด้วย ก็ไม่รู้อีก

อาตมาก็จำเป็นต้องใช้ศิลปะโลกุตระในการปฏิกโกสนา ว่าอันนี้ผิดอย่างไร หรืออันนี้ถูกอย่างไร นิคคัณเหนิคคหารหัง ปัคคัณเหปัคคหารหัง ไม่ใช่มาด่ากันหรือประจานกัน เป็นการบอกให้รู้ ตามที่พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับชาวพุทธทั้งหมดก็ต้องช่วยกันดูแล อาตมาก็เป็นชาวพุทธ ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นพุทธด้วยเลือดด้วยวิญญาณ ออกจากทางโลกมา ตั้งแต่ปี 2513 ก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องช่วยทางศาสนาไปอีกนาน ไม่เคยคิดกลับไปอยู่ทางโลกเลย ยิ่งเห็นว่าต้องกอบกู้ศาสนา เพราะว่าจะไม่เหลืออะไรแล้ว

ต้องจัดการ ตัวจำเลยเด่นๆขณะนี้ และกลุ่มคณะสงฆ์ คณะใหญ่ ที่ล้มเหลว บ่มีไก๊ จะทำอย่างไรกันดี อาตมาพูดตรงๆชัดๆ ด้วยสัจจะด้วยจริงใจ จะทำอย่างไรกันดี จะกอบกู้กันอย่างไรหวาดไหว คณะใหญ่ทำงานมาแล้วเป็นผลอย่างนั้นแล้ว แล้วก็จะยื้อบัลลังก์ไว้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ติกชนักมีคดีทั้งนั้น

ศาสนาเพี้ยนไปแล้ว ที่จริงก็เห็นใจว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็อยู่ยาก แต่ยากก็ต้องแก้ไข ถ้าไม่แก้ไขก็เลวใหญ่ อาตมาเข้าใจพระเจ้าอโศกมหาราช ว่าท่านจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องลงดาบ ท่านจับสึก ทำลาย ปลดเลย รื้ออย่างขุดรากถอนโคนเลย ท่านจัดการหมดเลย ท่านทำได้ตอนนั้น แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพราะม. 44 นี้มีอำนาจเช่นเดียวกัน

คุณเชื่อไหมว่าในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช พระที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ซับซ้อนวิตถารเท่ายุคนี้เชื่อไหม? แต่มันก็ผิดแล้วหยาบแล้วศาสนาไปไม่รอด พระเจ้าอโศกเลยใช้อาญาสิทธิ์ของท่านจัดการเลย

ก็ศาสนาจะถึงเจริญขึ้นไปรอดอยู่มาได้เพราะครั้งหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชได้ชำระสะสาง มีอายุยืนยาว แม้มาถึงเมืองไทยก็เพราะพระเจ้าอโศกมหาราชใช่ไหม?

มาถึงวันนี้ วัฏฏสงสารวนเวียนมาจุดนี้แล้ว ต้องชำระเช่นกัน แต่ตอนยุคนี้ก็ต้องอาศัยอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว เพราะทางธรรมหมดฤทธิ์แล้วไม่มีใครทำได้ ก็ต้องใช้อาญาสิทธิ์ศาสนาถึงดีได้มาถึงวันนี้ พอถึงวันนี้เสื่อมหนักหนากว่ายุคนั้น ถ้าไม่จัดการไม่ชำระครั้งนี้ก็หมดสิ้นแน่นอน อาตมาไม่ได้ใส่ความหาเรื่องเลยด้วยสุจริต ถ้าอาตมาที่พูดไปนี้เป็นกรรมของอาตมาทั้งนั้น

เป็นเรื่องที่ต้องจัดการจริงๆ ขอให้ผนึกกันเถิด กับหลวงปู่พุทธอิสระ ถ้าทางไหนเห็นด้วยก็ไปช่วยกัน แต่คงไม่มีใครอยากเอามือซุกหีบนะ

ศาสนานี้เป็นวิญญาณเป็นตัวลึกของความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์ดึกดำบรรพ์ก็มีหัวหน้าเผ่า ถ้าเจ้าตัวหัวหน้าเผ่าไม่มีความรู้ทางวิญญาณดูแลคนในเผ่าก็ต้องมีคนที่เรียกว่าหมอผี ควบคุมจิตวิญญาณอีก จัดการปราบผี ดูแลจิตวิญญาณคน มาแต่โบราณดูแลกันมาพราะจิตวิญญาณเป็นตัวการสำคัญ จะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่จิต มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เมื่อผีเข้าสิงหรือมารมาเข้า เป็นจิตวิญญาณเสื่อมต่ำเลวร้ายมาอยู่ในมนุษย์มากแล้ว ถ้าผู้ดูแลเช่นหัวหน้าเผ่า หรือผู้บริหารระดับสูงอย่างทุกวันนี้ก็ต้องดูแลจิตวิญญาณ จัดการ เป็นปุโรหิตของประเทศนั้นๆ

จิตวิญญาณเป็นตัวจัดการชีวิตมนุษย์ จึงต้องมีไตรสิกขา ให้เกิดจิตเจริญเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสัมมาสมาธิ ของศาสนาอื่นก็เป็นสมาธิแบบเขา แต่ของพระพุทธเจ้าพิเศษจากอย่างอื่น มีวิธีสร้างจิต อาตมาศึกษาตามพระพุทธเจ้ามา มาชาตินี้อาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์สืบต่อศาสนามาจนถึงวันนี้

พูดนี่รู้พลังงานระดับ จิต มโน วิญญา​ณก็มีที่มาที่ไป ท่านก็สอนธรรมนิยาม พลังงานอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ จิตจะมีกรรมครองแล้ว ก็รู้จักกรรม แล้วปรับปรุงกรรม กระทำจนชำระส่ิงที่ควรชำระให้หายไปจากจิต จนสะอาดบริสุทธิ์ไมมีอกุศลจิตเลย ต้องรู้พลังงานจิตจริง

เช่นอาตมาบอกว่าสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นจิตตั้งมั่นที่ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจโลก อยู่เหนือไม่เป็นทาสอำนาจโลก ไม่ใช่ว่าต้องไปนั่งสะกดจิตหลับตา มีนิโรธแบบหลับตานิ่งเป็นพรหมลูกฟักนั่นไม่ใช่นิโรธของพระพุทธเจ้า แต่นิโรธของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา มีปัญญารู้แจ้งไม่หลงโลก มีโลกวิทู ช่วยสังคมโลก เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ต่อโลก

ศาสนาพุทธถูกผู้ผิดพลาดบอกว่าศาสนาพุทธอย่ายุ่งกับการเมืองกับโลก หนีให้ห่างธรรมะก็อยู่ส่วนธรรมะ โลกก็อยู่ส่วนโลก คนอธิบายเช่นนี้เป็นคนผิดบาป ไปตู่ไปว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เพี้ยนไป คนที่แยกธรรมะออกจากโลกหรือแยกธรรมะออกจากการเมือง แยกธรรมะออกจากสังคม คนนั้นอยู่ในลัทธิฤาษีดาบสไม่มีโลกวิทู ไม่มีรู้ว่าโลกธรรมมีฤทธิ์แค่ไหนแล้วเราเรียนรู้ว่าเราเคยเป็นทาสกามทาสโลกธรรมทาสอัตตา เราก็เรียนรู้แล้วแก้จิต ให้เปลี่ยนจากโง่เป็นฉลาดไม่เป็นทาสโลกธรรมทาสอัตตาเป็นโลกุตรจิต ศาสนาพุทธจึงมีตรีลักษณ์

โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เราอยู่เหนือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อัตตาในโลก เราก็มีความรู้โลกวิทูแล้วช่วยโลก โลกานุกัมปายนะ อาตมาจึงสร้างพระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ มันบังเอิญเหมือนภาษาสากลภาษามือว่า I love You. หรือ หว่อไอ๊หนี อาตมาตอนแรกไม่รู้นะ มารู้ทีหลังตั้งไปแล้ว แต่อาตมาหมายถึงตรีลักษณ์ หมายถึง โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

เรียกพระพุทธรูปปางนี้ว่า พระพุทธาภิธรรมนิมิต คือพุทธ อภิธรรม และนิมิต มีเครื่องหมายของอภิธรรมของพุทธ ที่ย่ิงใหญ่เป็นตรีลักษณ์ แล้วพยายามสอนให้คนมีโลกุตรจิตไม่หนีโลกหนีสังคม แล้วทำจิตให้เป็นโลกุตรจิต ไม่หนีโลก ไม่เป็นทาสโลก

ในพระสูตรเล่ม 1 ก็เห็นเพชรพุทธส่องแสงวาบ ตั้งแต่สูตร 1 ถึง 13 จนอาตมาจะเขียนหนังสือเรื่องเพชรพุทธ 13 กะรัต แต่ไม่มีแรงเขียนแล้ว แต่ก็รู้ว่าแต่ละสูตรมีแสงมีเหลี่ยมเพชรพุทธอย่างไร

เช่นมุมที่ 1 กะรัตที่ 1 เช่นพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าจะชมเราต้องชมว่าเราเป็นคนมีศีล ...พรหมชาลสูตร มีเรื่องเล่าว่า พวกต่างลัทธิ ปริพาชก อาจารย์กับลูกศิษย์ แย้งกันเรื่องพระพุทธเจ้า แล้วมีผู้ได้ยินคำติชมพระพุทธเจ้าก็มาทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าถ้าจะชมเรา ก็เบื้องต้นชมเราว่าเรามีศีล คำว่ามีศีลก็เป็นเพชรพุทธ

มีศีล คือ ศีลแต่ละหัวข้อ เช่นศีลข้อแรกไม่ทำร้ายไม่ฆ่าสัตว์อย่างไม่มีข้อแม้ด้วย ศีลของพระพุทธเจ้าที่ตราขึ้นมาเรียกว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีล  ไม่ได้เอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มาปฏิบัติเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ได้กล่าวถึงจุลศีลแต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเอามาทำคือศีล 5 ถ้าเจริญขึ้นก็เป็นศีล 8 แล้วเจริญขึ้นก็ศีล 10 ก็อยู่ในจุลศีลนี้แหละ พระพุทธเจ้าว่า ให้เว้นขาด อย่าฆ่าสัตว์อย่าเอาของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ละเมิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปดไม่เสพสุราเมรัย อย่างใดเลย ไม่ใช่แค่กดข่ม กายกับวจีไม่ทำแต่ไม่รู้การล้างใจ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ เมื่อสมาทานศีลแล้ว สัมผัสกับสิ่งที่เราจะเว้น เราก็อ่านกิเลส แล้วดับกิเลส มีศีลคือที่จิตดับกิเลสไม่ใช่แค่กายกับวาจาไม่ละเมิดเท่านั้น

เมื่อลดละได้ตามศีลมีปัญญารู้ ลดได้หมดมีปัญญาวิมุติ ปัญญาก็รู้มีวิมุติ วิมุติญาณทัสสะ ก็รู้ จบหมด ในกิมัตถิยสูตรระบุไว้ชัดเลย

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)  จิตคุณอยากฆ่าสัตว์มันทำให้คุณเดือดร้อน คุณอยากฆ่าสัตว์มันก็จะร้อน เราก็ลดความเดือดร้อนอยากฆ่า เราก็ลดได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

แต่สอนกันทุกวันนี้ในมหาวิทยาลัยพุทธ เปรียญ 9 ดร.พุทธศาสนบัณฑิตก็สอนเช่นนี้ ว่า สอนกำหนดแค่กายกับวาจา ส่วนสมาธิต้องไปนั่งหลับตาเอา แต่ศีลไม่ได้หลับตา เมื่อสัมผัสกับสัตว์ จิตเรามีอาการอย่างไร ถ้าอาการเราจะไปทำร้ายสัตว์ฆ่าสัตว์นั่นแหละตัวจริง สัมผัสแล้วอยากได้ของคนอื่นก็มีโลภะต้องกำจัดโลภะ ไปเห็นผัวเขาเมียใครแล้วมีราคะก็ต้องจัดการชำระที่จิต การลดกิเลสได้นั่นคือเกิดฌาน ลดได้ก็สั่งสมตกผลึกตั้งมั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นี่คือศีลทำให้เกิดสมาธิจิตตั้งมั่น ไม่ใช่ว่าแยกส่วนทำกัน ศีลก็กายกับวาจา สมาธิก็นั่งเอา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโสณทัณสูตร

ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์      (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์          ล.9  ข.193)

          ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น

          ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา

นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก

เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

 

เพชรพุทธ ในพระไตรปิฏกพระสูตรเล่ม 1 อ่านดูก็ชัดเจน

พระพุทธเจ้าสอนว่าหรือให้แสงเพชรสว่างมาว่า จะชมเราก็ชมที่เรามีศีล มีศีลคือจิตบรรลุตั้งแต่โสดาบันไปถึงอรหัตตผล โสดาบันทำให้กิเลสดับไประดับหนึ่ง ผู้มีศีลคือผู้มีอรหัตตผล มีนิโรธ มีความหลุดพ้น ดับกิเลสได้ตั้งแต่อบาย เป็นพระโสดาบัน ถ้าจะชมผู้ที่ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน

ชาวอโศกได้รับคำชมว่าพวกนี้มีศีลตรงกับที่พระพุทธเจ้าว่า แต่เดี๋ยวนี้มหาเถรสมาคม รวมทั้งชาวพุทธทั้งหลาย ไม่มีจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลแล้ว เขาถือแต่ศีล 227 ที่แท้จริงเป็นพระวินัยที่เป็นเหมือนกฏหมายลูกหรือรอง แต่ศีลเป็นกฏหมายใหญ่หรือธรรมนูญแต่ตอนนี้กฏหมายใหญ่หายไป มีแต่กฏหมายรอง หลักพุทธก็หายไปด้วย

จุลศีลแปลว่าเล็กหรือเฉพาะตน ไม่ครอบคุมทั้งศาสนาตนปฏิบัติก็ลดกิเลสตน

ส่วนมหาศีลนั้นครอบคลุมทั้งศาสนาท่านให้งดเว้น เช่นพุทธไม่มีเดรัจฉานวิชชานะ อย่างศาสนาอื่นเขาทำ ท่านก็เลยตั้งธรรมนูญของท่านว่าท่านไม่มีนะ ยกตัวอย่างชัดๆ อย่างรดน้ำมนต์ ศาสนาพุทธไม่มีนะ พ่นน้ำมนต์ไม่มี ท่านแปลอันกันเองนะ ไม่จุดธูปจุดเทียน อันนี้อาตมาพูดเอง แต่สมัยพระพุทธเจ้าท่านว่า ห้ามจุดไฟเป็นอัคคียัญ หรือใช้ควัน เช่นใช้กำยาน จุดด้วยขี้เลื่อยหรือข้าวสาร จุดแล้วเกิดควันเหมือนธูป หรือใช้เปลวไฟ โดยใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย แต่ทุกวันนี้ประยุกต์มาเป็นธูปจัดแล้วได้ควัน เป็นเทียนจุดแล้วมีเปลว เรียกว่าอัคคียัญ ศาสนาพุทธไม่ใช่ต้องให้สื่อถึงวิญญาณด้วยน้ำด้วยไฟเป็นสื่อเหมือนศาสนาอื่นๆ

อาตมาพยายามใช้ศิลปะในการสื่อว่าศาสนาพุทธเป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะนะ สรุปว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้แย่กว่ายุคพระเจ้าอโศกมหราชมากเลย แล้วยกย่องพระเดรัจฉานวิชชากันแทบทั้งนั้น

ในปาฏิหาริย์นั้น มีสามอย่าง เกวัฏฏสูตร   ว่าไว้ว่า

           ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

          1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

          2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

          3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ . 

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)

 

พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ทำ อย่างธัมมชโยทำนี่ ทำนายว่าคนนี้อยู่นรกสวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้ คืออาเทสนาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านว่าเบื่อหน่ายระอาไม่ให้ทำ แต่ธัมมชโยทำด้วย แล้วทำอย่างไม่มีจริงด้วยก็ต้องปาราชิกแน่แล้ว ย่ิงกว่าข้อขโมยเงินอีกนะ ก็มีคุณชาติชาย เขียนจดหมายไปลองภูมิ หลอกว่าพ่อตายแล้ว ไปถามธัมมชโยว่าพ่อตายไปอยู่ที่นรกหรือสวรรค์ชั้นไหน ธัมมชโยก็ตกหลุม บอกมาต่างๆนานา แล้วคุณชาติชายก็บอกว่า พ่อผมยังไม่ตาย ยังอยู่ที่เขียนไปถามนี้หลอกท่าน

แต่คนที่หลงใหลได้ปลื้มก็ไม่เชื่อ เพราะถูกสะกดจิตหมดแล้ว อาตมาเคยศึกษาการสะกดจิตมาแล้ว

การสะกดจิตแล้วสั่งให้เป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าสะกดได้แล้ว เขาจะเห็นจะได้ยินตามเราหมด เช่นสะกดจิตแล้ว ก็บอกว่าลืมตา แล้วบอกว่าที่บนโต๊ะนี้ไม่มีวัตถุอะไรนะ มีแต่โต๊ะเกลี้ยงๆ แต่ตอนเรียนมาก็มีกระดาษดินสอแก้วน้ำอยู่บนโต๊ะก็สะกดจิตแล้วสั่งเขาว่าไม่มีวัตถุบนโต๊ะ เราก็บอกว่าให้หยิบแก้วน้ำ เขาก็บอกว่าไม่มี เขาก็ลองคว้า แล้วก็ถูกแก้วน้ำตกแตกเลย เขาก็ตื่นจากการสะกดจิต ก็บอกว่ามีแก้วน้ำด้วยหรือ?

หรือสั่งว่ามันมีเสือ ให้ลืมตาแล้วบอกว่ามีเสือ เขาก็เห็นเสือ แล้วจะวิ่ง เราก็จับเขาไว้แล้วทำให้เขาตื่นจากสะกดจิต แม้แต่ลองกันว่า ต่อไปนี้จะเอาเหล็กแดงเผาไฟ นาบที่แขนนะ เราก็เอาไม้บรรทัด หรือดินสอ นาบที่แขนเขาก็สลัดออกบอกว่าร้อน มีรอยแดงเป็นไฟไหม้ด้วยได้ ที่เขาทำกันเดินลุยไฟได้ก็จริงได้ด้วย แต่นี่สะกดจิตกันวันละหลายรอบด้วยที่ธรรมกาย แล้วสะกดให้อย่างเต็มใจให้สะกดด้วย นี่ย่ิงจมลึกกว่าอีก จะพูดอย่างไรไม่มีกระดิกเลย สะกดจิตต่อหน้าทุกวัน แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตตนเองด้วย การนั่งหลับตาแบบสายธรรมกายหรือสายอ.มั่นคือการสะกดจิตทั้งนั้น แต่การปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้ามี analysis แต่ที่ทำกันแบบธรรมกายเป็น Hypnotize สะกดจิตงมงายหลงภพชาติ

ในพรหมชาลสูตรคือการนั่งสมาธิเจโตสะกดจิต นี่คือเพชรแสงมุมหนึ่งของเพชร ในพรหมชาลสูตร ท่านบอกว่า การไปทำเจโตสมาธิ มีแต่อดีตกับอนาคต แล้วท่านก็แจกอดีต 18 และอนาคต 44 เป็นเรื่องที่ศาสนาพุทธเว้นขาด เวรมณี ตามศีล

ยุคโน้นหลับตาหนีเข้าป่าเขาถ้ำ แต่ของพระพุทธเจ้านี้สอนให้สังวรศีล สำรวมอินทรีย์มีโภชนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ให้ตื่นลืมตา ปฏิบัติไม่ผิด แต่ไปหลับตานั้นผิดแล้วไม่ชาคริยาแต่ปฏิบัตินิทรา ปฏิบัติจรณะ 15

1.      ถึงพร้อมด้วยศีล . . 09. ปรารภความเพียร             

2.      คุ้มครองทวารอินทรีย์       10. สติอันเป็นอาริยะ . .

3.      ประมาณในโภชนา          11. ปัญญา   . .

4.      ประกอบความตื่น             12. ปฐมฌาน .

5.      ศรัทธา (เชื่อมั่น) . .          13. ทุติยฌาน

6.      หิริ (ละอายต่อบาป) .        14. ตติยฌาน

7.     โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).    15. จตุตถฌาน

8.      แทงตลอดในพหูสูต .       (ล.13/34)

 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่จรณวิบัติ เพชรพุทธส่องแสงบอกอาตมาเช่นนั้น ไม่รู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 แล้ว

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง)

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้)

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายการลดกิเลส ไม่ใช่หลากหลายวิธี)

4.      ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์)

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในล.31 ข.620 โลกุตร 43 ทำได้ก็จะมีขั้นตอนไปตาม เจโตปริยญาณ 16 มีสายเจโตกับปัญญาลดกิเลสได้ก็เป็นสังขิตตังจิตตังกับวิกขิตตังจิตตัง ทำได้ก็เป็นจิตเจริญขึ้นเป็นมหรรคตจิต

ขยายญาณต่อไปอีกถึงโสฬสญาณก็ได้ แต่ไม่ขยายวันนี้นะ

ทุกวันนี้เขาว่าปฏิบัติได้นั้นไม่มีจริงหรอก แต่เราก็อยู่ในโลกยุคเดียวกับคุณ แต่เราก็ทำได้  คำสอนพระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากอรหันต์ มีจริง คุณไม่เชื่อก็ไม่ได้ของคุณเองหรอก

เขาว่าไม่มีหรอก สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

คุณก็มิจฉาทิฏฐิในข้อนี้ไป ในสัมมาทิฏฐิ 10 แต่คนที่เขาทำได้มี เขาเห็นว่าทำได้เขาก็ทำจนพ้นโลกโลกีย์มาสู่โลกโลกุตระ เราทำได้ ก็มีจริง ผู้ไม่มีก็ไม่มีจริงๆก็จริงๆ นี่คือแสงเพชรพุทธ คือแสงธรรม แสงธรรมต้องทอบวร….

ก็ขอประกาศตอนท้ายเลยว่าธรรมะพระพุทธเจ้ายังมีเชื้อยังมีเนื้อหาอยู่ ถ้าผู้ใดบอกว่าอรหันต์หรืออาริยบคคลไม่มีแล้วในโลกก็ปล่อยเขาอย่าไปคบเขาแล้วกันแต่ทางนี้บอกว่ายังมี เขาจะบอกว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรม เอาธรรมะสูงของพระพุทธเจ้ามาพูด มันไม่เป็นจริง คุณก็พูดของคุณว่าไม่จริงแต่อาตมายืนยันว่านี่เป็นจริง เอาพระไตรปิฎกมายืนยันกัน อาตมาก็ขอยืนยันว่าพระไตรปิฏกของพระพุทธเจ้ายังเป็นเพชรพุทธ อ่านสูตรไหนก็เป็นสูตรที่ส่องแสงแวววาวมา อาตมาไม่ใช่นักศึกษาเท่าไหร่

แสงเพชรพุทธนี้กระจ่างชัด เห็นแจ้งดีงามมาก อาตมาก็พยายามทำตนให้มียอดในการเก่งในการสื่ออธิบายแสงของพุทธ มุมเหลี่ยมของพุทธที่มีแสงอันวิเศษสดใสงดงามดี นี่คือความหมายคร่าวๆของเพชรพุทธสุดยอดศิลป์

ก่อนจะจบก็ขอสรุปว่า ศาสนาเป็นวิญญาณของประเทศของสังคม ในมนุษยชาติ ถ้าไม่เรียนรู้วิญญาณแล้วทำให้วิญญาณเจริญ วิญญาณดีวิญญาณลดกิเลส ถ้าการศึกษาไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ เพราะประเทศจะตกอยู่ในความเสื่อม ในสังคมยุคนี้ การศึกษาไม่ได้เอาธรรมะไปในการศึกษา การศึกษาจึงล้มเหลว อาตมาพยายามเอาการศึกษานี้ให้มีธรรมะเข้ามา จึงต้องตั้งโรงเรียนเอง แต่ก็ไปขออนุญาตเป็นนิตินัยก็มีรร.สัมมาสิกขาของชาวอโศก เอาเด็กมาเรียนโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าให้มีศีล แล้วก็ให้เป็นงาน ทำอะไรเป็น ไม่ใช่เรียนแล้วก็ได้แต่ท่องหัวโตตรรกเก่งทำงานไม่เป็นศีลธรรมย่ิงแย่ เป็นชีวิตที่บกพร่องอาตมาเลยต้องตั้งโรงเรียนให้มีปรัชญาศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา

วิชาการตามโลกเขาก็ให้ได้ด้วย เขากำหนดไว้ เราก็เอามาสอนตามหลักสูตรให้ได้ตามเกณฑ์ เด็กที่เราได้สร้างโรงเรียนมา 20 กว่าปีก็ออกไปกับโลกเขาได้ เราไม่มีป.ตรีโทเอก เขาก็ไปสอบเรียนข้างนอกเขา ก็เรียนจบป.ตรีโทเอกมีกันเยอะแยะ ส่วนที่เด็กได้ไปจากเราคือได้ธรรมะ ศีลเด่น เป็นงาน เด็กเราให้ฝึกฝนทำงานการแล้วเขาก็ว่าทำไมกินแรงงานเด็ก ก็เด็กมันกินข้าวเราที่เราไม่เก็บเงินเก็บทองเอา ก็ทำงานกินบ้างสิ ที่จริงเราฝึกฝนให้เด็กเป็นงาน งานเราส่วนมากไม่ได้คิดเงินทองเท่าไหร่ แต่เด็กก็ช่วยงานการที่ได้เงินทองเช่นกัน ก็เอามาใช้สอยไม่ได้เก็บค่าเรียนเลยไม่ให้เอาเงินทองจากพ่อแม่มาด้วย เจ็บป่วยเราก็ช่วยรักษา เจตนาดีเหล่านี้ พวกมองแง่ร้ายก็มี เด็กเรามา 20 กว่ารุ่นแล้ว เราก็กอบกู้การศึกษามา การศึกษาที่ไม่มีศีลธรรม ไม่เป็นงาน แล้วเอาความรู้มาตีราคา ทุกวันนี้มีแต่นักรู้ วิชาการเก่ง แต่ทำงานไม่เป็นศีลธรรมไม่มี ประเทศเลยตนในฐานะเช่นนี้ นี่คือความพร่องในการขาดในการศึกษาของมนุษย์ ….จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:35:54 )

590710

รายละเอียด

590710_พรก่อนจากงานภราดรภาพฯ#14 โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

          10 ก.ค. 2559 รายการภาคบ่ายวันสุดท้ายของงานภราดรภาพซาบซึ้งใจ ครั้งที่ 14 ที่สังฆสถานทะเลธรรม เป็นรายการ ทำดีเพื่อพ่อไม่ต้องรอชาติหน้า เป็นการให้บรรดาลูกๆมาพูดถึงเรื่องที่จะปฏิบัติบูชาพ่อครูกัน ก่อนที่ท้ายสุดของงานจะเป็นพรก่อนจากโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

 

          พ่อครูว่า...ที่บอกว่าจะทำดีเพื่อพ่อ ที่จริงก็ทำเพื่อตัวเอง แต่ก็ดีที่มีสิ่งที่ตั้งให้เป็นเป้าหมาย ให้มีพลังทำอะไรให้ดี อาตมาพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าเกิดมาเป็นคนก็วนเวียนกับวิบากบาป กุศล อกุศล แล้วเราก็ไม่รู้จักก็เลยต่อวิบาก กุศล อกุศลไปเรื่อย ไม่จบ ผู้ที่ยังไม่เบื่อก็นึกว่าน่ามีน่าสนุกตลอดเวลา ผู้ที่ไม่เห็นว่าควรหยุดก็แล้วไป แต่พวกเรานี่มาที่นี่เพื่อจะจบใช่ไหม แล้วมาเหลาะแหละอยู่ทำไม?

 

          อย่าเหลาะเหละเอาจริงๆเลย แล้วจะได้มาช่วยกัน น่าสงสารพลโลกเจ็ดพันกว่าล้าน ศาสนาอื่นก็ไม่มีหยุดวนไม่มีทางออก ดีๆชั่วๆชั่วๆดีๆ ทางจบนิพพานเขาไม่รู้เรื่อง แต่พวกเรารู้แล้วอย่าช้า พยายามกัดอกกัดใจ คุณเชื่อไหม หากคุณจะเอาจริงให้กิเลสตาย กับชีวิตเราจะตาย กิเลสมันตายก่อนชีวิตเราตายแน่ ชีวิตนั้นทนจะตาย อาตมาก็ย้ำอย่างนี้

          ชุมชนชาวอโศกเราทุกแห่งใกล้ที่ไหนไปที่นั่น เราต้องการสร้างคนเพื่อรังสรร อย่าช้า ทุกอย่างก็เข้าใจดีแล้ว ยังเหลือแต่จะเร่งรัดพัฒนากัน ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกาล

          ขณะนี้พูดกันอีกนิดหนึ่งทางด้านเถรสมาคม เขารวมกลุ่มกันนะ เขาไม่ยอมเราแน่ เราต้องสมทบกับทางรัฐบาล หากปล่อยให้รัฐบาลเดี่ยวๆสู้เถรสมาคมผนวกกับธรรมกายไม่ได้ เราต้องเตรียมตัวเราให้พร้อม เมื่อถึงเวลา รัฐบาลเอาลงทั้งคู่ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ทันกาลเราก็ต้องช่วย เท่านี้แหละความลับที่จะบอก....จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:36:22 )

590710

รายละเอียด

590710-วิถีอาริยธรรม หลังบรรจุพระบรมมาสารีริกธาตุ งานภราดรฯ

พ่อครูบอกว่าวันนี้จะเป็นการเทศนากันฑ์สำคัญของงานภราดรภาพซาบซึ้งใจ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2559 ก็จะอ่านบทกวีในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรฉบับที่กำลังจะออกให้ฟังก่อน

 

พุทธชี้ “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม” ตามสัจจะ

 

(1) “ชาติ”คือ“ธรรม”เกิดห้า ตาม“กรรม”

       พุทธแลธรรม“หนึ่ง”นั้นคือสัม-      

       ประสิทธิ์ไซร้“ค่าคงที่”ตัวกำ- ลังหลัก
          บวกลบคูณหารให้ เปลี่ยนนั้น“ตัวแปร”
(2) แท้“สัมประสิทธิ์”นี้      มีสอง
      ค่าเอกคือธรรมครอง  สถิตย์ไว้
          ค่าอื่นนั่นธรรมรอง ไปจาก เอกแฮ
          ธรรมเอก“ปุริส”ไซร้ นอกนั้น“อิตถี”
(3) พุทธมี“ธรรม”อื่นไว้    อีกชัด
     “จรณะ”คือสมบัติ        หนึ่งแท้
    “วิชชา”สุดยอดคัด       สรรแต่ง สังขารเฮย
    “อวิชชา”นั่นแหละแพ้ “โลก”พร้อม“อัตตา”
(4) ถ้า“วิชชา”เกิดกับผู้    ใดใคร
    รู้โลก-รู้อัตตาไข “ชาติ”แจ้ง
     แล้วทำ“ชาติห้า”ไป     สู่ทิศ วิมุติเลย
          ชาติ“นิพพัตติ”แย้ง  แยกเชื้อโลกีย์
(5) พุทธมีทิศเที่ยงแท้      โลกุตระ
          คือก่อ“กรรม”อุตตมะ        หลุดพ้น
          ชนะ“ชาติ”โลกียะ   เกิดใหม่
          ทำจิตเริ่มจากต้น    ไต่เต้ากลางปลาย
(6) ธรรมทั้งหลายเกิดแท้ ดับจริง
      ผู้จับสัตว์นรกสิง        จิตได้
     ศาสตร์พุทธหยั่งถึงกิง- ชัจจะ กันเลย
          นี้แหละ“ศิลป์”ที่ให้  ประโยชน์แท้เป็นธรรม
(7) ศิลป์นำประโยชน์ชี้   โลกุตระ
          พุทธสั่งสอนสัจจะ   แจ่มแจ้ง

    ทำ“บุญ”ขจัดขยะ         คือกิเลส
          ศิลป์บ่ใช่เล่ห์แสร้ง หลอกให้หลงบุญ

 

“สไมย์ จำปาแพง”  27 พ.ค. 2559 *หมายเหตุ ; กิงชัจจะ = ผู้มีชาติอย่างไร,เป็นวรรณะอะไร,เกิดมาจากไหน
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 312 ประจำเดือนกรกฎาคม 2559]

 

ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าที่จะต้องนำเอาธัมมชโยมาเป็นตัวอย่างที่เค้าทำองค์ประกอบทั้งท่าทีลีลาเพลงการ แสงสีเสียงที่เจตนาจะทำเพื่อมอมเมาหลอกลวงคน

 

ตั้งแต่คำว่าศิลปะก็ตามเป็นการหลอกลวงคนทั้งโลกทางตะวันตกนี้ลองใช้ศิลปะในการหลอกคนไม่ได้เป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลสลดความโลภโกรธหลงอะไรเลย

 

แท้จริงแล้วศิลปะต้องเป็นไปเพื่อการลดความโลภความโกรธความหลงถึงจะเป็นมงคลอันอุดม แต่ทุกวันนี้เอาศิลปะแต่เป็นการมอมเมาให้คนติดยึดหลงใหลแล้วขายในราคาแพงแพงเช่นภาพเขียนบางภาพราคาแพงมากทั้งที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในเรื่องของการพาให้เจริญ

 

ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณกรรมที่ขีดเขียนออกมาหรือจะเป็นเพลงเป็นดนตรีเป็นท่าทีลีลาเป็นนาฏกรรมเป็นการฟ้อนรำการเต้นรำต่างๆก็ต้องรู้จักว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นศิลปะทำอย่างไรจึงเป็นการเสริมให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้น ผู้ที่เป็นศิลปินจึงจะรู้จักวิธีทำ

 

ถ้าทำงานออกมาแล้วเพิ่มกิเลสให้คนไม่ถือว่าเป็นศิลปะโลกุตระผู้ที่เป็นศิลปินต้องมีความรู้แยกแยะว่าอะไรคือกิเลสอะไรที่ไม่ใช่กิเลสแล้วการกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายมันเกิดสภาพอย่างไรเกิดกิเลสอย่างไรหรือไม่เกิดกิเลสอย่างไร

 

ยกตัวอย่างภาพที่เค้าเขียนนักการเมืองให้มีหัวเป็นสัตว์ต่างๆหัวลิงหัวเหี้ยหัวจระเข้หัวควายอะไรต่างๆเป็นคนใส่เสื้อนอกนะมีฐานะชั้นสูงแต่สื่อให้รู้ชัดเลยว่าที่แท้ตัวเป็นคนแต่หัวสมองเป็นหมาเป็นเหี้ยเป็นลิงเป็นต้น อย่างนี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายแต่การเขียนให้เข้าใจได้ยาก เช่นภาพเขียนนามธรรม abstract ต่างๆเขียนแล้วคนก็ไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะ แต่ยอดแห่งศิลปะคือต้องเขียนให้เกิดความเข้าใจเกิดความเจริญทางจิตวิญญาณลดละกิเลสได้

 

ศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปนานแล้วอย่างตรงที่ว่าไปตั้งบุคคลขึ้นเป็นใหญ่ในศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าไปให้ตั้งใครเป็นใหญ่เกินกว่าพระธรรมวินัย เช่นเดียวกับทางโลกที่จะไม่ตั้งตัวบุคคลให้ใหญ่กว่ากฏหมายแม้พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังใครเป็นใหญ่เลยพูดตรงตรงอย่าตั้งสังฆราชเลยมันผิดพระธรรมวินัย มันเป็นโอกาสอันดีงามแล้วที่จะทำให้ถูกป้องส่งธรรมะพระพุทธเจ้าเมื่อไม่ตั้งแล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรม คนดีจะปรากฏคนไม่ดีจะแพ้ภัยตัวเองไปเอง พระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานหลักเกณฑ์ก็ยังมีอยู่ให้เป็นเครื่องตัดสินคนไหนทำผิดพระธรรมวินัยก็เป็นคนผิดเองตามสัจจะที่จะดำเนินไปตามธรรม พระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานหลักเกณฑ์ก็ยังมีอยู่ให้เป็นเครื่องตัดสินคนไหนทำผิดพระธรรมวินัยก็เป็นคนผิดเองตามสัจจะที่จะดำเนินไปตามธรรม

 

สรุปว่าอยากไปตั้งสังฆราชเลยและให้ยุบมหาเถระสมาคมเสียเลย คือไม่ให้มีบุคคลเป็นอย่างไรมีคณะใดเป็นใหญ่ ให้เป็นไปตามธรรม แก้ไขพรบ.สงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือร่างรัฐธรรมนูญให้ตรงกับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าก็จบ

 

อย่างเช่นการบวชให้มีการคัดคนเลยไปเอาลิงค่างที่ไหนมาบวชมันก็เลยทำให้ศาสนาเสื่อมไปหมดการบวชนั้นอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่อุปัชฌาย์ไม่ได้ตรวจสอบอะไรให้ดีก่อนนำมาบวชเลย การบวชนั้นไม่ได้สำเร็จด้วยอุปัชฌาย์แต่สำเร็จด้วยองคะสงฆ์ ตามพระธรรมนูญในประเด็นนี้ไปขึ้นอยู่กับอุปัชฌาย์ถ้าอุปัชฌาย์ปาราชิกก็เลยบวชเละไปหมดเลย

 

ไปจับเด็กมาบวชเป็นสามเณรเป็นร้อยเป็นพันนั่นเป็นการทำลายศาสนาขั้นต้นและไปจับผู้ใหญ่มาบวชอีกเป็นผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิงไปบวชชีพราหมณ์แล้วจับผู้ชายมาบวชเป็นพระบวชเล่นบวชหัว

 

บวชไม่กี่วันก็สึกอย่างนี้ไม่เอานี่เป็นการทำลายธงชัยพระอรหันต์ที่ใครสวมเขาแล้วคนอื่นต้องกราบไหว้บูชาโดยสัจจะนั้นมันไม่ใช่มันเป็นการทำลาย. จะไปบอกว่าบวชทีละ 1,000,000 รูปทีละ 100,000 รูปนี่คือการยังพระศาสนาไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นการทำลายพระศาสนาจริงๆเลยไปจับลิงจับค่างมาบวช

 

คนจะมาบวชนั้นต้องเต็มใจในการบวชแม้จะเต็มใจแล้วต้องมีคุณสมบัติที่จะบวชได้ต้องสอบถามได้หมดทั้งองค์คณะของสงฆ์ ให้ซักถามว่าอะไรเป็นอันตรายต่อการบวชให้บริสุทธิ์จึงจะบวชได้ถ้าทำอย่างนี้จริงจังศาสนาพุทธจะยืนยาวก็ได้อีกจนถึง 5000 ปีถ้าไม่จริงจังอย่างนี้ไปไม่รอด ทั้งทางด้านการเมืองและการศาสนาจะไปยังขลุกขลัก ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีงามแล้ว

 

หนึ่งอย่าตั้งสังฆราชเลยโดยเฉพาะองค์นี้อย่าสั่งเลย อาตมาขอออกเสียงว่าไม่เห็นด้วยเลย แล้วดำเนินการตามพระธรรมวินัยเป็นใหญ่หรือแม้แต่คณะเถระสมาคมที่ตั้งเป็นคณะใหญ่ที่จะบริหารก็ไม่เอาพระพุทธเจ้าท่านจัดการบริหารด้วยคณะสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปเรียกองค์สงฆ์ ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปตามแต่ละยัญพิธีที่ต้องใช้จำนวนสงฆ์ต่างกันไป แต่พระสงฆ์ที่จะเข้าร่วมพิธีจะต้องเป็นพระปกติไม่ต้องอาบัติหนัก จึงเป็นการคล่องตัวยึดอะไรตายตัว

 

ขอยืนยันว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีมากแล้วที่จะจัดการอย่าให้เสียของและเรามีพระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานสำคัญในการปฏิบัติโดยตัดสินอะไรใช้ฉบับหลวงนี่แหละที่เห็นว่าดีที่สุดตอนนี้ ถ้าศาสนาลงตัวแล้วการเมืองจะดำเนินไปอย่างราบรื่น

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:36:53 )

590710

รายละเอียด

590710-เทศนาหลังบรรจุพระบรมมาสารีริกธาตุ

พิธีบรรจุพระบรมมาสารีริกธาต สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่สังฆสถานทะเลธรรม 10 ก.ค. 2559

เวลา 08:30 น. พ่อครูได้นำหมู่สมณะสิกขมาตุและญาติธรรมเดินธรรมยาตราจากบริเวณหน้า ศาลาศรีตรังธรรมฤทธิ์ ไปสู่น้ำตกทะเลฟ้า จากนั้นเดินขึ้นไปตามทางเดินดินที่เป็นขั้นบันไดสูงชันพอสมควร เพื่อขึ้นไปสู่บริเวณที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คือที่ตั้งของสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาที่ได้ไปประดิษฐานที่ยอดของภูเขาที่เป็นที่ตั้งของน้ำตกทะเลฟ้า

 

จากนั้นพ่อครูได้นำพระบรมสารีริกธาตุที่ได้เตรียมไว้เข้าบรรจุที่พระนลาฏของพระพุทธรูปปางสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เสร็จแล้วพากราบสมเด็จปู่ฯแล้วเดินลงมาเพื่อเทศนาในรายการวิธีอาริยธรรมร่วมกับท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโรในเวลา09.00น.

 

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เราได้จัดรายการวิธีอาริยธรรมภาคพิเศษซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการจัดที่บ้านราชกับที่สันติอโศกแต่ที่นี่เรามาจัดที่สังฆสถานทะเลธรรมหน้าน้ำตกทะเลฟ้า น้ำตกที่นี่เสียงดังกว่าที่บ้านราชน้ำตกผาแหงนแต่จะมีคนมาดูมากเหมือนที่น้ำตกผาแหงนหรือเปล่าก็ไม่รู้ซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่าต้องปิดน้ำตกไปเพราะคนที่มาเที่ยวสร้างปัญหามากเกินไป

 

เคยได้ฟังพ่อครูบอกกว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลกของอาเซียนตอนแรกก็มองไม่ออกแต่ตอนนี้ประเทศไทยมีคอรัปชั่นลดลง พลเอกประยุทธ์ได้รับการยอมรับจากสังคมโลกมากขึ้นในเรื่องของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่การพัฒนาการถดถอยลงไปเรื่อยๆ

 

แปลกที่ว่า เวลาพูดเรื่องธรรมะเรื่องของศาสนาคนจะมาฟังมากกว่าเวลาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง วันนี้ก็ขอกราบอาราธนาพ่อครูสาธยายธรรม

 

พ่อครูบอกว่าวันนี้จะเป็นการเทศนากันฑ์สำคัญของงานภราดรภาพซาบซึ้งใจ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2559 ก็จะอ่านบทกวีในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรฉบับที่กำลังจะออกให้ฟังก่อน

 

พุทธชี้ “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม” ตามสัจจะ

 

(1) “ชาติ”คือ“ธรรม”เกิดห้า ตาม“กรรม”

       พุทธแลธรรม“หนึ่ง”นั้นคือสัม-      

       ประสิทธิ์ไซร้“ค่าคงที่”ตัวกำ- ลังหลัก
          บวกลบคูณหารให้ เปลี่ยนนั้น“ตัวแปร”
(2) แท้“สัมประสิทธิ์”นี้      มีสอง
      ค่าเอกคือธรรมครอง  สถิตย์ไว้
          ค่าอื่นนั่นธรรมรอง ไปจาก เอกแฮ
          ธรรมเอก“ปุริส”ไซร้ นอกนั้น“อิตถี”
(3) พุทธมี“ธรรม”อื่นไว้    อีกชัด
     “จรณะ”คือสมบัติ        หนึ่งแท้
    “วิชชา”สุดยอดคัด       สรรแต่ง สังขารเฮย
    “อวิชชา”นั่นแหละแพ้ “โลก”พร้อม“อัตตา”
(4) ถ้า“วิชชา”เกิดกับผู้    ใดใคร
    รู้โลก-รู้อัตตาไข “ชาติ”แจ้ง
     แล้วทำ“ชาติห้า”ไป     สู่ทิศ วิมุติเลย
          ชาติ“นิพพัตติ”แย้ง  แยกเชื้อโลกีย์
(5) พุทธมีทิศเที่ยงแท้      โลกุตระ
          คือก่อ“กรรม”อุตตมะ        หลุดพ้น
          ชนะ“ชาติ”โลกียะ   เกิดใหม่
          ทำจิตเริ่มจากต้น    ไต่เต้ากลางปลาย
(6) ธรรมทั้งหลายเกิดแท้ ดับจริง
      ผู้จับสัตว์นรกสิง        จิตได้
     ศาสตร์พุทธหยั่งถึงกิง- ชัจจะ กันเลย
          นี้แหละ“ศิลป์”ที่ให้  ประโยชน์แท้เป็นธรรม
(7) ศิลป์นำประโยชน์ชี้   โลกุตระ
          พุทธสั่งสอนสัจจะ   แจ่มแจ้ง

    ทำ“บุญ”ขจัดขยะ         คือกิเลส
          ศิลป์บ่ใช่เล่ห์แสร้ง หลอกให้หลงบุญ

 

“สไมย์ จำปาแพง”  27 พ.ค. 2559 *หมายเหตุ ; กิงชัจจะ = ผู้มีชาติอย่างไร,เป็นวรรณะอะไร,เกิดมาจากไหน
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 312 ประจำเดือนกรกฎาคม 2559]

 

ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าที่จะต้องนำเอาธัมมชโยมาเป็นตัวอย่างที่เค้าทำองค์ประกอบทั้งท่าทีลีลาเพลงการ แสงสีเสียงที่เจตนาจะทำเพื่อมอมเมาหลอกลวงคน

 

ตั้งแต่คำว่าศิลปะก็ตามเป็นการหลอกลวงคนทั้งโลกทางตะวันตกนี้ลองใช้ศิลปะในการหลอกคนไม่ได้เป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลสลดความโลภโกรธหลงอะไรเลย

 

แท้จริงแล้วศิลปะต้องเป็นไปเพื่อการลดความโลภความโกรธความหลงถึงจะเป็นมงคลอันอุดม แต่ทุกวันนี้เอาศิลปะแต่เป็นการมอมเมาให้คนติดยึดหลงใหลแล้วขายในราคาแพงแพงเช่นภาพเขียนบางภาพราคาแพงมากทั้งที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในเรื่องของการพาให้เจริญ

 

ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณกรรมที่ขีดเขียนออกมาหรือจะเป็นเพลงเป็นดนตรีเป็นท่าทีลีลาเป็นนาฏกรรมเป็นการฟ้อนรำการเต้นรำต่างๆก็ต้องรู้จักว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นศิลปะทำอย่างไรจึงเป็นการเสริมให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้น ผู้ที่เป็นศิลปินจึงจะรู้จักวิธีทำ

 

ถ้าทำงานออกมาแล้วเพิ่มกิเลสให้คนไม่ถือว่าเป็นศิลปะโลกุตระผู้ที่เป็นศิลปินต้องมีความรู้แยกแยะว่าอะไรคือกิเลสอะไรที่ไม่ใช่กิเลสแล้วการกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายมันเกิดสภาพอย่างไรเกิดกิเลสอย่างไรหรือไม่เกิดกิเลสอย่างไร

 

ยกตัวอย่างภาพที่เค้าเขียนนักการเมืองให้มีหัวเป็นสัตว์ต่างๆหัวลิงหัวเหี้ยหัวจระเข้หัวควายอะไรต่างๆเป็นคนใส่เสื้อนอกนะมีฐานะชั้นสูงแต่สื่อให้รู้ชัดเลยว่าที่แท้ตัวเป็นคนแต่หัวสมองเป็นหมาเป็นเหี้ยเป็นลิงเป็นต้น อย่างนี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายแต่การเขียนให้เข้าใจได้ยาก เช่นภาพเขียนนามธรรม abstract ต่างๆเขียนแล้วคนก็ไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะ แต่ยอดแห่งศิลปะคือต้องเขียนให้เกิดความเข้าใจเกิดความเจริญทางจิตวิญญาณลดละกิเลสได้

 

ตั้งแต่เรียนจบศิลปะมาอาตมาไม่เคยใช้ศิลปะในการหากินหาเงินเลยมีแต่เอาไว้ทำประโยชน์แก่สังคม

 

ส.เดินดินว่า เมื่อวานได้ยินพ่อครูว่าพระโพธิสัตว์มักจะแต่งเพลงเกรงแสดงว่าเพลงนี้เป็นการสื่อถึงจิตวิญญาณได้ดีที่สุด

 

พ่อครูว่า ใช่แล้วเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกินใจมาก

 

ศาสนาพุทธนั้นรู้ที่จบผู้ที่รู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้แต่ไม่ยอมอันนี้เป็นตัวรวนไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ยอมเสีย ก็จะเป็นสัจจะมีหนึ่งเดียวในโลกได้ การทำตามมหาปเทสสี่จึงจะเป็นการประมาณที่ดีที่สุดรักสูงสุดแห่งอิสระเสรีภาพที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือหลักนานาสังวาส

 

สัญญายนิจจานิ คือต่างคนต่างยึดกันไปของแต่ละคนตามสัญญาอย่างธัมมชโยที่ไม่ยอมตอนนี้อย่างไรก็ไม่ยอมจึงต้องจะใช้ไม้แข็งแต่ถ้ายอมก็ใช้ไม้นวมไม่ต้องแข็งก็จะจบสวยค่ะแต่ถ้าธัมมชโยยังไม่ยอมอาตมาว่าเจอระนาดไม้แข็งแน่

 

 มาถึงตอนนี้ใครจะยอมให้ธัมมชโยขึ้นเพราะถ้าธัมมชโยขึ้นสมเด็จช่วงก็จะขึ้นได้อีกมันก็จะไม่จบต้องลากห่างไปอีกจนถึงมหาประสานอีกพวกตู่จตุพรอีกพวกที่ถือหางกันอีกก็จะไปกันอีกยาวมันไม่ได้เราเห็นแล้วสืบสายโซ่ไปก็รู้มันไม่มีทางให้เขาขึ้นได้

 

สมมติติสัจจะกับรัฐศาสตร์ฉะนั้นบางทีจะไขว้กันบางครั้งสมมติติสสจะใหญ่กว่าประมัตตะสสจะ

 

ปรมัตถสัจจะเป็นเรื่องของบุคคลเฉพาะตัวเช่นบางทีปัจเจกพุทธเจ้าท่านบรรลุแล้วแต่ไม่ได้บอกใครได้เฉพาะตัวท่านไม่ได้มีประโยชน์ให้ใคร ใครไม่ได้รับเลยก็ต้องมาประกาศประกาศก็ต้องมีสมมุติสัจจะของส่วนปรมัตถ์สัสจะคือสเจจะในตนสูงสุดทำได้ของตน สัญญายนิจจานิ แต่ถ้าบอกแก่คนได้มากขึ้นก็เป็นสมมุติสัจจะที่เป็นประโยชน์มากขึ้นมากขึ้น สมมุติสัจจะถึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนในโลกกว้างแต่ถ้าอยู่กับตัวเองกับคุณประโยชน์น้อยแต่มันเป็นสัจจะที่สูงสุดคือปรมัตถสัจจะ ถ้าจะว่ากันจริงๆปรมัตถสัจจะสูงส่งกว่าสมมุติสัจจะแต่สมมุติสัจจะเป็นประโยชน์กว่าเป็นต้นกลับไปกลับมา

 

ศิลปะจะต้องมีสองถึงแม้จะเก่งขนาดไหนมีความรู้ของตนขนาดไหนเช่นปัจเจกพุทธเจ้าแต่ไม่มีสมมุติติสัจจะเลยก็ปรินิพพานไปไม่มีประโยชน์อะไรถึงแม้จะมีความเก่งความรู้มากเท่าไหร่ก็อยู่ที่ท่านคนเดียวอ่ะ

 

ต้องให้คนอื่นได้รับรู้ด้วยการรับรู้ขั้นแรกเรียกว่าตรรกศาสตร์เป็นบัญญัติเป็นภาษาเป็นความเข้าใจจนผู้นั้นเอาไปปฏิบัติให้จิตของผู้นั้นบรรลุได้ไม่ใช่แค่เข้าใจให้เกิดผลเลยจิตใจลดกิเลสได้จริงก็เป็นอุภโตภาควิมุติธรรมะสองรวมเป็นหนึ่งได้ ให้เหลือแต่ธาตุรู้ที่อกุศลหมดไป เทวธัมมา ทวเยน เอกสโมสรนา ภวันติ

 

ศิลปะต้องมีสองเสมอและทำให้เป็นหนึ่งได้แล้วศิลปะต้องเผยแพร่สู่มนุษยชาติให้รับเป็นความรู้ที่ไม่ไปทำร้ายไม่มีถอดไม่มีภัยกับใครมีแต่คุณค่ามีประโยชน์จึงเรียกว่าศิลปะนี้เป็นศิลปะโลกุตระเป็นศิลปะอันสุดยอดเป็นศิลปะขั้นมงคลอันอุดม

 

อย่างเช่นภาพของแวนโก๊ะเค้ามีที คำว่าทีย่อมาจากเทคนิค. มีฝีแปรงที่แปลกกว่าใครก็เลยได้รับความนิยมเรียกว่าศิลปะเชิงอิมเพรสชั่นนิส คือเห็นแล้วประทับใจเลยแต่ก็ไม่เห็นมีคุณค่าสาระสัจจะอะไรในนั้น คนก็ให้ค่ามากมายประมูลกันในราคาสูง เป็นร้อยล้าน 1,000,000,000 หมื่นล้าน

 

ภาพของปกหนังสือเราคิดอะไรเป็นภาพที่มีคุณค่าอย่างมีศิลปะโลกุตระอย่างยิ่ง

 

ขออธิบายลึกไปถึงสภาพที่เรียกว่าปรากฏการณ์วิทยาภาษาอังกฤษเรียกว่า phenology คือเป็นวิชาการที่มีสิ่งปรากฏจริงทุกคนร่วมรับรู้กันได้ปรากฏต่อคนอื่นให้รับรู้ร่วมกันได้ด้วยปรากฏการณ์วิทยา ที่อาตมากำลังเจตนาจะสร้างขึ้นให้เป็นความรู้ซึ่งขยายออกไปเป็นบ้านวัดโรงเรียนเป็นสังคมจริง

 

บ้านเป็นสังคมจริงวัดเป็นธรรมะจริงโรงเรียนเป็นความรู้การศึกษาจริงรวมกันอยู่อย่างกลมกลืนไม่ได้แยกส่วนแล้วตนจริงได้สัมผัสจริงได้มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะก็สัมผัสกันอยู่ได้จริงมีความรู้จริงมีธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงมีคนช่วยการศึกษาอบรมสั่งสอนแยกแยะวิจัยแล้วพากันทำปฏิบัติจริง เป็นบ้านวัดโรงเรียนที่มีครบสมบูรณ์

 

นักเรียนของเราต้องมาอยู่ประจำเป็นนิสิตไม่ใช่ไปไปมามาแต่ละหมู่บ้านเรามีนักเรียนประจำ เรามีการส่งต่อความรู้กันไปมีมติอย่างไรก็ส่งไปให้รับรู้กันทั่วเป็นหนึ่งเดียวกันตามพลวัตของอนิจจังที่เปลี่ยนไป

 

ความรู้มีลึกไปถึงพลังงานตั้งแต่พลังงานที่เป็นพืชมันก็ทำไปตามสัญญาที่มันมีสังขารที่มันมีเป็นพลังงานที่ไม่ไปทำร้ายใครเป็นพลังงานระดับที่ปลอดภัยไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร พระพุทธเจ้าถึงทำให้พลังงานให้เป็นพลังงานแบบพืชจนเสถียรที่คงที่เป็นสัมประสิทธิ์ที่คงที่แล้วเราก็จัดการกับสิ่งที่โคจรมาให้รวมกันได้ลงก็ได้ดีเป็นประโยชน์กันได้เรื่อยเรื่อย จึงมีทั้งความรู้และมีกำลังสองสภาพบวกและลบมีทั้งกระแสและแรงเคลื่อนสองอันช่วยกันเป็นธรรมะสอง

 

มีคนถามแทรกมาว่ามีพืชบางชนิดจับแมลงกินได้ซึ่งมันก็เป็นไปตามฐานะของแต่ละอันเราก็ปล่อยมันไปก็ไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันเค้าก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปตามฐานะของเค้าเราจะไปสอนให้งูไม่กินเขียนได้ไหมก็ไม่ได้ ใครจะไปวุ่นวายกับวันนี้ก็เชิญเถิดคุณอยากจะไปสอนงูไม่ให้ให้กินเขียดก็เชิญอาตมาคิดว่าไม่เอาแล้วแบบนั้น

 

พลังงานแบบพืชแล้วแบบอุตุ ที่เรามีอยู่นั้นตัดทิ้งไปเราก็ไม่รู้สึกแล้วเช่นเล็บของเราตัดทิ้งไปก็ไม่รู้สุดเราก็อย่าไปยึดถือมันไม่ต้องไปจริงจังอะไรกับมันมากเราก็จะรู้ว่าพลังงานที่ใช้ร่วมกันไม่ได้แล้วมันเป็นอุตุแต่ถ้าเป็นพืชด้วยยังใช้งานร่วมกันได้แล้วไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษเราจึงจัดสรรให้พลังงานแบบพีชะนี้เป็นสัมประสิทธิ์ที่คงแน่น ให้เป็นพลังงานที่คุ้มครองไม่ให้ไปทำร้ายใครแต่ไม่ใช่แข็งและนิ่งอยู่กับที่แต่จะมีพลังงานที่จะช่วยคนอื่นด้วยอย่างสุภาพอย่างไม่รุนแรงแต่มีพลังไปจัดการไปทำงานกับเขาได้

 

ผู้ที่กำหนดพลังงานระดับต่างๆนี้ได้จึงทำพลังงานให้ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใครได้เลยและเป็นประโยชน์ได้สูงสุดเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด จากกำหนดพลังงานที่นิ่งและพลังงานที่เคลื่อนไหวได้อย่างได้ประโยชน์สงสุด

 

และต้องรู้จักในการประมาณในการทำงานคนที่มีมากแล้วใช้ให้พอดีไม่ต้องเอาออกหมดก็จะไม่พลาดแต่คนที่มีแล้วใช้หมดก็จะพลาดได้หรือใช้เกินตัวก็ยิ่งจะพลาดได้มากอย่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 จะมาก็ประมาณให้ได้ผลดี ใช้ความสงบสยบความรุนแรงได้แต่อย่าประมาทและห่ามคนที่ไม่ห่ามแล้วประมาณได้ดีก็จะรอดมาได้ถ้าอาตมาห่ามก็ตายไปแล้วคนที่ขับรถเก่งที่สุดนั้นตายไปหลายคนแล้ว เพราะว่าอวดเก่งแต่คนไม่อวดเก่งก็จะรอด

 

ให้น้อยๆดีกว่าถ้ามากไปจะผิดพลาดดูรุนแรงไปก็จะผิดพลาดให้อ่อนน้อมถ่อมตนได้ดีกว่าคนที่อวดดีไม่สงวนท่าทีคนนั้นเสื่อมนี่เป็นสัจจะ

 

เราประมาณคำนวณพลังงาน เราประมาณพลังงานเท่านี้แล้วใช้เท่านี้ให้พลังงานออกไปไม่เกิดกรรมที่เป็นโทษมีแต่เกิดผลดีไปได้เรื่อยเรื่อยต้องใช้สัปปุริสสธรรมเจ็ดและมหาปเทสสี่อย่างเข้าใจสภาวะจึงสามารถที่จะจัดสรรความเหมาะสมองค์ประกอบให้เป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม

 

ชาวโลกเค้าก็ศึกษาปรากฏการณ์วิทยาแต่เค้าศึกษาได้แค่ญาณวิทยาepistemology ไม่สามารถเข้าถึงความจริงสูงสุดได้

 

ประสาทเป็นการรับรู้ทางปุ่มประสาท ประสาทไปกระทบกับดินน้ำไฟลมก็เกือบโคจรทำงานทันที แล้วเกิดภาวรูปมีสองอย่าง คืออิตถีภาวะและปุริสสภาวะเราไม่ต้องดับอิตถีหมดแต่ให้อยู่ในการบังคับได้ก็นำมาใช้งานได้ แต่ต้องอ่านตัวกิเลสที่มีชีวิตินทรีย์ให้ออกแล้วจัดการให้ได้

 

 โดยทำปฎิบัติการที่อาหารสี่จัดการสิ่งที่เป็นพิษที่เป็นรูปภพ อรูปภพ ที่มีอาการของตัวที่ไม่ลงตัวให้ลงตัวให้ได้จึงจะเกิดความสงบระงับ อย่างได้สัดส่วนพอดีพอเหมาะมีกำลังงานที่มีประโยชน์สูงประหยัดสุด

 

เราสามารถควบคุมสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราได้ไม่ว่าจะเป็นดินน้ำไฟลมหรือพลังงานบวกลบอะไรก็ตาม จัดการพลังงานให้ลงตัวจัดองค์ประกอบแต่ละส่วนเรียกว่าปริเฉทจัดสัดส่วนทีละส่วนทำมากไปจะไม่ไหว ให้เรียบร้อยราบรื่นง่ายงามให้เป็นอากาศเป็นความว่างให้รวมลงกันหนึ่งเมื่อคุณสามารถควบคุมพลังงานเหล่านี้ได้เท่าที่อธิบายมาเรียนรู้ จัดการอินทรีย์ของผียักษ์มารให้เกิดความว่างได้เป็นอากาศ ว่างแต่มีพลังงานที่คล่องตัวทั้งเวทนาสัญญาสังขาร สิ่งที่หมุนเร็วที่สุดคือสิ่งที่นิ่งที่สุด

 

เป็นกายปาคุญญตา มีพลังงานของเวทนาสัญญาสังขารที่คล่องแคล่วที่สุด ที่อธิบายไปนี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทางฟิสิกส์ทางชีววิทยาและปรากฏการณ์วิทยา

 

ตอนนี้ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจึงต้องยกเต๊นท์เล็กมาครอบให้พ่อครูท่านก็เลยบอกว่าแสดงว่าวิบากยังไม่หมดตอนนี้เราเห็นพฤติกรรมเลยในสังคมว่ามีคนที่หน้าด้านหน้าทนส่อความทุจริตอย่างหนักไม่ยอมให้เค้าไปสอบสวนตัดสิน อาตมาว่าเค้าก็รู้ว่าตนเองผิดแต่ก็ไม่ยอมน่ากลัวว่าอาจจะฆ่าตัวตาย อย่าฆ่าตัวตายเลยเพราะมันมีวิบากมากถ้าฆ่าตัวตายไม่ได้ถูกตัดสินไม่ได้โหสิกรรมไม่ได้ยกเลิกก็จะมีภาวะแทรกซ้อนที่มีการจองเวรจองกรรมกันหนักคนจะยิ่งโกรธหรือคนจะยิ่งถือสาก็จะมีพลังงานที่จองเวรจองกรรมกันมาก

 

ถ้ายอมรับให้การตรวจสอบยอมรับผิดก็จะคลี่คลายไปได้มากเลยซึ่งตอนนี้อาตมาว่าพระธัมมชโยยอมเรื่องก็จะลงตัวได้มากขึ้นเหลือแต่การเมืองเพราะจิตวิญญาณเป็นหลักเป็นแกนของทุกอย่าง ทุกอย่างก็จะง่ายดายขึ้น ทุกอย่างจะดำเนินไปดี

 

ศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปนานแล้วอย่างตรงที่ว่าไปตั้งบุคคลขึ้นเป็นใหญ่ในศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าไปให้ตั้งใครเป็นใหญ่เกินกว่าพระธรรมวินัย เช่นเดียวกับทางโลกที่จะไม่ตั้งตัวบุคคลให้ใหญ่กว่ากฏหมายแม้พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังใครเป็นใหญ่เลยพูดตรงตรงอย่าตั้งสังฆราชเลยมันผิดพระธรรมวินัย มันเป็นโอกาสอันดีงามแล้วที่จะทำให้ถูกป้องส่งธรรมะพระพุทธเจ้าเมื่อไม่ตั้งแล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรม คนดีจะปรากฏคนไม่ดีจะแพ้ภัยตัวเองไปเอง พระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานหลักเกณฑ์ก็ยังมีอยู่ให้เป็นเครื่องตัดสินคนไหนทำผิดพระธรรมวินัยก็เป็นคนผิดเองตามสัจจะที่จะดำเนินไปตามธรรม พระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานหลักเกณฑ์ก็ยังมีอยู่ให้เป็นเครื่องตัดสินคนไหนทำผิดพระธรรมวินัยก็เป็นคนผิดเองตามสัจจะที่จะดำเนินไปตามธรรม

 

สรุปว่าอยากไปตั้งสังฆราชเลยและให้ยุบมหาเถระสมาคมเสียเลย คือไม่ให้มีบุคคลเป็นอย่างไรมีคณะใดเป็นใหญ่ ให้เป็นไปตามธรรม แก้ไขพรบ.สงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือร่างรัฐธรรมนูญให้ตรงกับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าก็จบ

 

อย่างเช่นการบวชให้มีการคัดคนเลยไปเอาลิงค่างที่ไหนมาบวชมันก็เลยทำให้ศาสนาเสื่อมไปหมดการบวชนั้นอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่อุปัชฌาย์ไม่ได้ตรวจสอบอะไรให้ดีก่อนนำมาบวชเลย การบวชนั้นไม่ได้สำเร็จด้วยอุปัชฌาย์แต่สำเร็จด้วยองคะสงฆ์ ตามพระธรรมนูญในประเด็นนี้ไปขึ้นอยู่กับอุปัชฌาย์ถ้าอุปัชฌาย์ปาราชิกก็เลยบวชเละไปหมดเลย

 

ไปจับเด็กมาบวชเป็นสามเณรเป็นร้อยเป็นพันนั่นเป็นการทำลายศาสนาขั้นต้นและไปจับผู้ใหญ่มาบวชอีกเป็นผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิงไปบวชชีพราหมณ์แล้วจับผู้ชายมาบวชเป็นพระบวชเล่นบวชหัว

 

บวชไม่กี่วันก็สึกอย่างนี้ไม่เอานี่เป็นการทำลายธงชัยพระอรหันต์ที่ใครสวมเขาแล้วคนอื่นต้องกราบไหว้บูชาโดยสัจจะนั้นมันไม่ใช่มันเป็นการทำลาย. จะไปบอกว่าบวชทีละ 1,000,000 รูปทีละ 100,000 รูปนี่คือการยังพระศาสนาไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นการทำลายพระศาสนาจริงๆเลยไปจับลิงจับค่างมาบวช

 

คนจะมาบวชนั้นต้องเต็มใจในการบวชแม้จะเต็มใจแล้วต้องมีคุณสมบัติที่จะบวชได้ต้องสอบถามได้หมดทั้งองค์คณะของสงฆ์ ให้ซักถามว่าอะไรเป็นอันตรายต่อการบวชให้บริสุทธิ์จึงจะบวชได้ถ้าทำอย่างนี้จริงจังศาสนาพุทธจะยืนยาวก็ได้อีกจนถึง 5000 ปีถ้าไม่จริงจังอย่างนี้ไปไม่รอด ทั้งทางด้านการเมืองและการศาสนาจะไปยังขลุกขลัก ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีงามแล้ว

 

หนึ่งอย่าตั้งสังฆราชเลยโดยเฉพาะองค์นี้อย่าสั่งเลยอ่ะประมาขอออกเสียงว่าไม่เห็นด้วยเลย แล้วดำเนินการตามพระธรรมวินัยเป็นใหญ่หรือแม้แต่คณะเถระสมาคมที่ตั้งเป็นคณะใหญ่ที่จะบริหารก็ไม่เอาพระพุทธเจ้าท่านจัดการบริหารด้วยคณะสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปเรียกองค์สงฆ์ ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปตามแต่ละยัญพิธีที่ต้องใช้จำนวนสงฆ์ต่างกันไป แต่พระสงฆ์ที่จะเข้าร่วมพิธีจะต้องเป็นพระปกติไม่ต้องอาบัติหนัก จึงเป็นการคล่องตัวยึดอะไรตายตัว

 

ขอยืนยันว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีมากแล้วที่จะจัดการอย่าให้เสียของและเรามีพระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานสำคัญในการปฏิบัติโดยตัดสินอะไรใช้ฉบับหลวงนี่แหละที่เห็นว่าดีที่สุดตอนนี้ ถ้าศาสนาลงตัวแล้วการเมืองจะดำเนินไปอย่างราบรื่น

 

มีผู้ให้ข้อมูลว่าตอนนี้เค้าจะตั้งมหาวิทยาลัยของพระสงฆ์หลายแห่งเพื่อจะได้ผลิตบัณฑิตออกมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อาตมาก็ว่าตอนนี้ถ้าชะลอไปก็น่าจะดีที่มีอยู่แล้วเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ให้ทำให้ดีให้ได้ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยอีกเสียก่อน อย่าอนุมัติตั้งใหม่ขึ้นอีกเลย

 

ควรจะมาจัดการในวงการของพระสงฆ์ก่อนเริ่มตั้งแต่การบวชเลยคนจะมาบวชต้องมีวัตถุประสงค์การบวชเพื่อไปผลิตผ่านจริงๆไม่ใช่มาบวชเล่นเล่นบทเพียงสามเดือนหกเดือนแล้วสึกไปเป็นต้น อย่างนี้ไม่น่าทำเราต้องเลือกเฟ้นคนที่ตั้งใจจะบวชจริงๆแล้วมีคุณสมบัติด้วยจากการซักถามและคัดเลือกของหมู่คณะสงฆ์ ยกตัวอย่างถ้าเป็นกระเทยแล้วตั้งใจจะบวชพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้บวชเพราะมีพี่บากมากต้องไปอีกหลายชาติจนกว่าชาติไหนไม่ได้เป็นกระเทยถึงจะบวชได้เพราะถ้ามาบวชจะเป็นบาปไม่ดี เป็นกระเทยแล้วอย่าดิ้นรนอยากจะบวชแต่ปฏิบัติธรรมพากเพียรได้แต่อย่าบวช ถ้าทำตามพระธรรมวินัยของพุทธเจ้าแล้วไม่มีผิดพลาดอย่าไปทำอะไรนอกพระธรรมวินัยถ้าทำตามจะเจริญรุ่งเรืองแน่นอน


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:37:37 )

590712

รายละเอียด

590712_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ การออกบวชนี้เพื่ออะไร

ทุกวันนี้พระที่มาบวช กับเขาบวชพระ ก็จับพระมาบวชเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นตั้งใจจะให้เป็นล้านเลย ซึ่งเป็นการประพฤติกระทำย่ำยีเหยียบย่ำศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเห็นชัดชัดๆเลยเป็นเรื่องเลวร้ายเกินไป

การเกณฑ์คนมาบวชโดยเข้าใจเพิ่มเติมง่ายๆว่าเขาจะได้เป็นคนดีกลับมาทำพิธีอะไรก็ไม่รู้วิธีง่ายๆเพี้ยนๆและก็วิบัติด้วย แล้วก็นุ่งห่มจีวรมาแล้วมาบอกว่านี่เป็นการช่วยจรรโลงศาสนาสืบสานศาสนาไปให้อยู่ไปยาวนาน ซึ่งความเข้าใจของเขา เขาเข้าใจเช่นนั้น แต่อาตมายิ่งเห็นว่าคุณทำอย่างนั้นเป็นการเหยียบย่ำเป็นการทำลายศาสนานี้ อย่างตรงกันข้ามกับความคิดของคุณเลย

คุณว่าจะสืบสานศาสนาแต่ต่อมากลับเห็นว่าคุณกระทืบศาสนาซ้ำเติมไป แท้ที่จริงการบวชคือการออกมาหานิพพาน ตั้งใจลดกิเลสจริงๆก็เป็นคนที่ประเสริฐคนก็จะกราบไหว้ ในยุคของพระพุทธเจ้าตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นจริงๆมาบวชตั้งใจลดกิเลสมาหาพระนิพพานจริงๆแต่นี่บวชเล่นบวชเล่นลิเกเหมือนแสดงละครลิง

พอเข้ามาแล้วความประพฤติของเขาไม่ได้เป็นพระเลย

การเอาผู้ชายมาบวชเป็นผู้ชายในวัย 20 ปีขึ้นไปจนกระทั่ง 50 ปีหรือ 60 ปีมาบวชจะบวชกี่วันกี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่คนเรานั้นไม่ไดมีจิตใจที่มาเป็นนักบวชเลยเขาก็จะอดทนลดละหรือไม่ถามง่ายๆคนเรานั้นจะมาละเมิดสังฆาทิเสสข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ของพระวินัยกันมากเท่าไหร่

แล้วเขาจะออกจากอาบัติไหมเขา ก็ต้องอาบัติอยู่อย่างนั้นแล้วก็ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ ถ้ามีผู้ชายมาหมื่นคน พันคน สังฆาทิเสสข้อที่หนึ่งก็คือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองข้อ 2 พูดจาจีบผู้หญิ งเป็นเรื่องของกาม รวมถึงข้อ 3 ด้วย เขาที่มาบวชไม่ได้มาลดกามลดละอะไรเขาก็ต้องละเมิด แล้วเขาจะส่งอาบัติกันไหมพวกนั้นเท่านี้ก็เป็นความเลอะเทอะเละเทะกันอย่างน่าสังเวชใจในวงการศาสนาที่มาทำเล่นเล่น ไม่ได้เคยเคารพศาสนาเลย

การจะมาขอบวชไม่ใช่เรื่องเล่นเลยคุณจะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าคนเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติอย่างใส่ใจได้ในศีลสมาธิปัญญาก็ตั้งใจปฏิบัติได้เลย คุณไม่ต้องมาบวชเพราะการบวชนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นเรื่องจริง

ถามจริงๆอย่างเช่นตำรวจหรือทหารคุณจะเอาชุดของตำรวจทหารมาแต่งเล่นได้ไหมก็ไม่ได้ แค่ทั้งโลกเขาก็ยังพยายามระมัดระวังชุดให้เป็นชุดที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา แต่ธงชัยพระอรหันต์นี่ มันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าชุดที่ว่าอีก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่คนเขาเคารพบูชาอีก

แล้วเอาเด็กมาบวชเณรอะไรเละเทะก็ไม่รู้ ซึ่งสามเณรสมัยพระพุทธเจ้าก็บวชเพื่อไปพระนิพพาน แล้วมาบวชแล้วมาวิ่งเล่นอะไรจะได้อะไรเป็นพฤติกรรมที่ย่ำแย่หมักหมมเข้าไปใหญ่

ยิ่งพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนออกนอกลู่นอกทางจนเป็นเรื่องราวทุกวันนี้ตามสื่อสารหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวคราวโทรทัศน์ก็ประโคมกันไปใหญ่อย่างน่าสังเวชใจในวงการธรรมะในวงการศาสนาที่มันเสื่อมมากแล้ว

ตอนนี้การตั้งสังฆราชก็เป็นเรื่องที่คาราคาซังอยู่ที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะตั้ง การจัดตั้งพระสังฆราชที่เป็นผู้มีอำนาจใหญ่ในวงการศาสนาพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ตั้ง ต่างก็ผิดคำสอนพระพุทธเจ้าแต่เมื่อตั้งแล้วเมื่อมีกันแล้วตอนนี้ก็ยังคาราคาซังกันอยู่ว่าองค์นี้ไม่ควรจะตั้งก็เห็นอย่างเด่นชัดแล้วก็ยังจะดันตั้งเข้าไปอีกแล้วเอาพระภิกษุคณะใหญ่มาขู่ว่าถ้าไม่ตั้งก็ระวังจะเกิดม๊อบพระนี้ ทั้งที่มีคนขัดแย้งอยู่ว่าไม่เหมาะที่จะตั้ง นี่เขาก็กำหนดว่าจะต้องตั้งภายใน 7 วันเขามาขู่เลย

ความเสื่อมนี่มันเสื่อมใหญ่ มาบวชแล้วจะมาเอายศเอาตำแหน่งอะไร อาตมาเห็นแล้วก็สลดใจจริงๆว่าทำไมวงการศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมทรามลงเช่นนี้

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:38:05 )

590712

รายละเอียด

590712_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ การออกบวชนี้เพื่ออะไร

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2559 อาตมาสัญจรไปครึ่งเดือนติดตามดูรายการฟังอาตมาเทศน์อยู่หรือเปล่า ฟังก็ดี สัญจรไปจนกระทั่งกลับมานี้อีกก็เดินทางก็ไม่เมื่อยไม่เพลียอะไรสบายธรรมดาธรรมดา ก็เปลี่ยนที่ทำงานเปลี่ยนที่นอนเปลี่ยนที่กิน อาตมาตั้งแต่รู้ว่าชีวิตเกิดมาทำไม จะอยู่เพื่ออะไรอยู่ไปทำไมมันก็ชัดเจนเมื่อชัดเจนแล้วก็ออกมาตามชีวิตที่ควรจะอยู่เมื่อรู้เข้าใจเกิดปัญญาชัดเจนว่าชีวิตมนุษย์นี้หนอที่ได้ไปหลงอะไรอย่างนั้นก็ไม่เอาจริงๆชัดเจนก็เลยเริ่มจากทางโน้นมาอยู่ทางนี้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้อาตมาก็ว่าชีวิตนี้ชัดเจนจริงๆ

ที่ว่าชีวิตนี้เราก็อยู่อย่างนี้ในความเป็นมนุษย์ อาตมาภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของอาตมาทุกวันนี้ เมื่อมาอยู่รวมกันจะมีจำนวนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ทุกวันนี้มีผู้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นครอบครัวใหญ่อาตมาว่าประสบผลสำเร็จที่สร้างครอบครัวได้อย่างนี้ ตั้งแต่ออกมาจนถึงทุกวันนี้ก็ยิ่งชัดเจนมาก ในความเป็นคนในสังคมมนุษย์ควรเป็นเช่นไร

แต่เห็นว่าได้ติเตียนมากในพฤติกรรมของคนโดยเฉพาะชาวพุทธ โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิญาณตนว่าจะมาสืบสานศาสนาพุทธคือนักบวชเป็นหลัก ที่เห็นชัดเลยว่าที่เขาเป็นกันนั้นมันเป็นความล้มเหลว

อาตมาได้ลาออกมาจากคณะสงฆ์ใหญ่ของประเทศเลย ลาออกมาสำเร็จแล้วเขาก็หาเรื่องเราอีก ลาออกมาตั้งแต่ปี 2518 แต่พอมาปี 2532 ก็มาหาเรื่องอาตมาอีกถ้าเขาไม่ทำเขาก็จะไม่เสีย เขาจัดการอาตมา แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีแล้วดีกว่าเก่าด้วย เกิดจากสัตว์จากความเป็นจริงทุกวันนี้อาตมาก็ทำงานอย่างอิสรเสรีภาพสบายไม่มีปัญหาอะไร

แม้แต่ใครจะมาตำหนิ จะท้วงอะไรก็เข้าใจ ก็ดีเป็นการชี้บอกแม้แต่จะมีผลสะท้อนตอบที่อาตมาทำงานทางด้านศาสนาทางด้านสังคมทางด้านมนุษยชาติของประเทศชาติอาตมาก็ว่าได้ทำงานช่วยประเทศชาติอยู่ อย่างเต็มที่อาตมาไม่ได้มานั่งทำงานเพื่อทำมาหากินอะไร แต่ทำงานรับใช้ประเทศชาติรับใช้มวลมนุษยชาติไปก็สบาย

พูดมา 46 ปีก็ยังมีคนเข้าใจได้เท่านี้ นอกนั้นไม่เข้าใจนอกจากไม่เข้าใจแล้วยังหาว่าอาตมา ทำผิด เมื่อวานก็มีท่านแสนดินเอาที่เขาด่าอาตมาในเพจเฟสบุค @หูยแรงอ่ะ มาให้ดู อาตมาก็ไม่ได้คิดอยากให้คนชังนะ ไม่ได้คิดจะให้คนไม่ชอบใจ แต่อาตมาก็เลี่ยงไม่ได้ ในสิ่งที่เป็นสัจจะความจริง ก็เลี่ยงไม่ได้ก็ได้แต่พูดความจริง อาตมาว่า….ในเพจนี้เขียนมาว่า ท่านบอก "ประยุทธ์" เป็นนายกฯที่ได้อำนาจที่งดงามที่สุด ไม่มีใครกล้าแอะ เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะ ...สันติอโศก โกนหัวไม่โกนคิ้ว #หูยแรงอ่ะ

_มีคนแก้ให้อาตมาว่า  เท่าที่ทราบมา พระธรรมวินัยไม่ได้บอกให้โกนคิ้ว มีแต่พระไทย

_เท่าที่ทราบมานะครับไม่รู้จริงเท็จพระไทยมีการโกนคิ้วสมัยรบกับพระพม่าเพราะพม่าปลอมเป็นพระเข้ามาเป็นสายสอดแนมทางการและพระไทยส่งชิกกันให้โกนคิ้วก็เลยเป็นประเพณีมาจนถึงทุกวันนี้แต่เรื่องจริงๆก็คือคนไทยเรายังยึดติดประเพณี55555

 

อาตมารู้แต่ว่าอาตมาเป็นสุขอยู่ อาตมาตอนเป็นฆราวาส จะมีโน้ตกระดาษไว้ตลอดว่าจะทำอะไร แต่ละวันยุ่งไปหมด มีไออารี่ข้ามวันไปหมดทุกวันว่าแต่ละวันเราจะทำอะไร ยุ่งมหาศาล จะว่าหนักก็หนักที่วุ่นยุ่ง แต่ทุกวันนี้อาตมาก็ว่าทำงานหนัก แต่ไม่วุ่นไม่ยุ่งอย่างฆราวาส นึกถึงแล้ว แต่ก่อนทำไมเราโง่อย่างนั้น อาตมามองคนก็รู้ว่าเขาก็เป็นแบบอาตมาสมัยก่อน คนเราก็โง่ อวิชชาอย่างนี้ พอออกมาก็เห็นว่าคนเรามีอวิชชาเช่นนี้

อวิชชาคือโง่ งมงายอยู่ แต่พอออกมาทางนี้ก็เลยชัดเจนและเห็นใจสงสารก็พยายามที่จะหาทางเอาสัจจะความจริงยิ่งพยายามเจอหลักฐานในพระไตรปิฎกก็ยิ่งเห็นชัดเจนก็มาขยายความ

ทุกวันนี้พระที่มาบวช กับเขาบวชพระ ก็จับพระมาบวชเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นตั้งใจจะให้เป็นล้านเลย ซึ่งเป็นการประพฤติกระทำย่ำยีเหยียบย่ำศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเห็นชัดชัดๆเลยเป็นเรื่องเลวร้ายเกินไป

การเกณฑ์คนมาบวชโดยเข้าใจเพิ่มเติมง่ายๆว่าเขาจะได้เป็นคนดีกลับมาทำพิธีอะไรก็ไม่รู้วิธีง่ายๆเพี้ยนๆและก็วิบัติด้วย แล้วก็นุ่งห่มจีวรมาแล้วมาบอกว่านี่เป็นการช่วยจรรโลงศาสนาสืบสานศาสนาไปให้อยู่ไปยาวนาน ซึ่งความเข้าใจของเขา เขาเข้าใจเช่นนั้น แต่อาตมายิ่งเห็นว่าคุณทำอย่างนั้นเป็นการเหยียบย่ำเป็นการทำลายศาสนานี้ อย่างตรงกันข้ามกับความคิดของคุณเลย

คุณว่าจะสืบสานศาสนาแต่ต่อมากลับเห็นว่าคุณกระทืบศาสนาซ้ำเติมไป แท้ที่จริงการบวชคือการออกมาหานิพพาน ตั้งใจลดกิเลสจริงๆก็เป็นคนที่ประเสริฐคนก็จะกราบไหว้ ในยุคของพระพุทธเจ้าตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นจริงๆมาบวชตั้งใจลดกิเลสมาหาพระนิพพานจริงๆแต่นี่บวชเล่นบวชเล่นลิเกเหมือนแสดงละครลิง

พอเข้ามาแล้วความประพฤติของเขาไม่ได้เป็นพระเลย

การเอาผู้ชายมาบวชเป็นผู้ชายในวัย 20 ปีขึ้นไปจนกระทั่ง 50 ปีหรือ 60 ปีมาบวชจะบวชกี่วันกี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่คนเรานั้นไม่ได้มีจิตใจที่มาเป็นนักบวชเลยเขาก็จะอดทนลดละหรือไม่ถามง่ายๆคนเรานั้นจะมาละเมิดสังฆาทิเสสข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ของพระวินัยกันมากเท่าไหร่

แล้วเขาจะออกจากอาบัติไหมเขา ก็ต้องอาบัติอยู่อย่างนั้นแล้วก็ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ ถ้ามีผู้ชายมาหมื่นคน พันคน สังฆาทิเสสข้อที่หนึ่งก็คือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองข้อ 2 พูดจาจีบผู้หญิ งเป็นเรื่องของกาม รวมถึงเข้า 3 ด้วย เขาที่มาบวชไม่ได้มาลดกล้ามลดละอะไรเขาก็ต้องละเมิด แล้วเขาจะส่งอาบัติกันไหมพวกนั้นเท่านี้ก็เป็นความเลอะเทอะเละเทะกันอย่างน่าสังเวชใจในวงการศาสนาที่มาทำเล่นเล่น ไม่ได้เคยเคารพศาสนาเลย

การจะมาขอบวชไม่ใช่เรื่องเล่นเลยคุณจะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าคนเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติอย่างใส่ใจได้ในศีลสมาธิปัญญาก็ตั้งใจปฏิบัติได้เลย คุณไม่ต้องมาบวชเพราะการบวชนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นเรื่องจริง

ถามจริงๆอย่างเช่นตำรวจหรือทหารคุณจะเอาชุดของตำรวจทหารมาแต่งเล่นได้ไหมก็ไม่ได้ แค่ทั้งโลกเขาก็ยังพยายามระมัดระวังชุดให้เป็นชุดที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา แต่ธงชัยพระอรหันต์นี่ มันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าชุดที่ว่าอีก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่คนเขาเคารพบูชาอีก

แล้วเอาเด็กมาบวชเณรอะไรเละเทะก็ไม่รู้ ซึ่งสามเณรสมัยพระพุทธเจ้าก็บวชเพื่อไปพระนิพพาน แล้วมาบวชแล้วมาวิ่งเล่นอะไรจะได้อะไรเป็นพฤติกรรมที่ย่ำแย่หมักหมมเข้าไปใหญ่

ยิ่งพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนออกนอกลู่นอกทางจนเป็นเรื่องราวทุกวันนี้ตามสื่อสารหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวคราวโทรทัศน์ก็ประโคมกันไปใหญ่อย่างน่าสังเวชใจในวงการธรรมะในวงการศาสนาที่มันเสื่อมมากแล้ว

ตอนนี้การตั้งสังฆราชก็เป็นเรื่องที่คาราคาซังอยู่ที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะตั้ง การจัดตั้งพระสังฆราชที่เป็นผู้มีอำนาจใหญ่ในวงการศาสนาพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ตั้ง ต่างก็ผิดคำสอนพระพุทธเจ้าแต่เมื่อตั้งแล้วเมื่อมีกันแล้วตอนนี้ก็ยังคาราคาซังกันอยู่ว่าองค์นี้ไม่ควรจะตั้งก็เห็นอย่างเด่นชัดแล้วก็ยังจะดันตั้งเข้าไปอีกแล้วเอาพระภิกษุคณะใหญ่มาขู่ว่าถ้าไม่ตั้งก็ระวังจะเกิดม๊อบพระนี้ ทั้งที่มีคนขัดแย้งอยู่ว่าไม่เหมาะที่จะตั้ง นี่เขาก็กำหนดว่าจะต้องตั้งภายใน 7 วันเขามาขู่เลย

ความเสื่อมนี่มันเสื่อมใหญ่ มาบวชแล้วจะมาเอายศเอาตำแหน่งอะไร อาตมาเห็นแล้วก็สลดใจจริงๆว่าทำไมวงการศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมทรามลงเช่นนี้

ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีลักษณะ

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

เราอยู่กันอย่างสาธารณโภคี เป็นระบบที่ทุกคนไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว ทรัพย์สินถือว่าเป็นส่วนกลาง หาได้รายวันก็เอามารวมกันส่วนกลางแบ่งกันกินใช้ อย่างเช่นสงฆ์ภิกษุต่างๆ บิณฑบาตแล้วก็เอามารวมกัน ทุกองค์ ไม่ใช่แยกของใครของมัน ก็มีบ้างที่ตั้งตบะ แต่โดยรวมก็เอามารวมกันแบ่งกันกินใช้ พระสงฆ์สมัยพระพุทธเจ้าไม่ได้มีเงินทองเท่าไรการมีบัญชีเงินฝากก็ไม่ได้เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ พระภิกษุณีมีเงินส่วนตัวติดตัวไว้ก็เป็นพระที่ไม่ปกติ อปกตัตตะ ไม่ใช่สงฆ์ที่บริสุทธิ์สะอาด ถือว่าต้องอาบัติอยู่พระสงฆ์ต้องไม่มีเงินไม่มีทองแม้แต่สามเณรก็ไม่มีแล้วถือศีล 10 อย่างสิกขมาตุเราก็ถือศีล 10 ไม่มีเงินทอง

แล้วเขาก็อ้างว่ายุคนี้ไม่มีไม่ได้แต่เราก็อยู่ในยุคเดียวกับเขาเราก็ยังทำได้อยู่มากี่ปีก็แล้วหลายสิบปีแล้วนักบวชเราทั้งนักบวชชายนักบวชหญิง ก็ไม่ได้มีเงินมีทอง แม้แต่ฆราวาสของเราเองก็ไม่ได้สะสมเงินทองก็มีหลายคนก็กินใช้ส่วนกลาง บางคนก็มีส่วนตัวบ้างก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็เป็นฆราวาสที่ไม่ได้มีเงินทองส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ในชุมชนชาวอโศกก็เป็นคนเช่นนี้ทำไมแม้แต่ฆาราวาสเราก็อยู่ได้แล้วท่านเป็นพระภิกษุอยู่ไม่ได้มันคืออะไรแต่ของเรากลับอยู่ได้

จิตวิญญาณที่จะไม่ใช้เงินใช้ทอง ปลดปล่อยเงินทองมันเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมอันประเสริฐเป็นระดับอาริยธรรมไม่ใช่ธรรมะธรรมดา อาตมามาบวชจริงไม่ได้บวชเล่นบวชหัว บวชเพื่อไปพระนิพพาน  มีโภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ บวชมา 30  40 ปี  ก็มรณภาพไปก็มี อยู่ไปก็ไม่เห็นมีใครอยากสึกอะไร เห็นความสงบที่ สันตา

สันตา (สงบ) เพราะอะไร

1.สงบเพราะพฤติกรรมกิริยา ของผู้มาบวชแล้ว สมณะ สิกขมาตุชาวอโศก มาบวชแล้วไม่เห็นความกระสัน หาเรื่องเดือดร้อน พฤติกรรมออกไปแย่งลาภอะไร ก็สงบดี พฤติกรรมสงบ ไม่ใช่นั่งนิ่งไม่กระดิกไม่ใช่ แต่มีความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา สงบ ไม่ได้แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุขที่เต็มไปด้วยกามคุณ 5 ก็เห็นความสงบ ความสงบคือกิเลสมันอ่อนแรงบางเบา หยุดรบกวนจิตใจจนมันตายหมด กิเลสอะไรก็กิเลสโลกธรรม กิเลสที่เป็นหลงลาภยศสรรเสริญอาตมาเห็นมหาเถรสมาคมรุ่นโดนจัดตั้งสังฆราชแล้วสงบที่ไหนดิ้นพราดๆ เขารู้ความสงบอย่าง สันตาที่ไหน วิ่งแย่งลาภยศสรรเสริญกันอยู่ รู้จักความสงบกันไหม

แล้วเขาไปรู้จักความสงบว่าให้นั่งนิ่งไม่ทำอะไรตาก็รับปากก็ไม่พูดกายก็นิ่งแล้วไม่คิดอีกพยายามให้คิดอีกทำไมพาซื่ออย่างนั้น  จริงที่จะมีการสำรวมให้มีสมณสารูปอยู่ ไม่ให้ให้มีกิริยาแบบโลกโลก ที่ไปแย่งกามคุณ 5 แย่งโลกธรรมกัน โกรธกันก็แสดงอาการโกรธแสดงอาการโลภแสดงราคะกัน

แต่พูดสงบของพุทธไม่มีอาการเช่นนั้นอาตมาก็เห็นสังคมพวกเรานักบวชก็มีความสงบตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ทำงานมาก็มีผู้มาบวชด้วยก็เห็นนักบวชของเราก็สงบอย่างที่ว่านี่ แม้จะไม่มีเงินมีทองก็มีความสงบแต่การมีเงินมีทองจะเป็นความสงบที่ไหน ดีไม่ดีก็มีคดีความเรื่องเงินหรือทองนั่นหรือความสงบ !!!

หนักเข้า แย่งชิงเงินทองไม่สงบ เป็นคดีอีกก็คือสงบหรืออย่างไร แล้วบูชาเคารพกันจัง สุดยอดๆ สงบยังไม่สงบเลย มีคดีเรื่องเงินทองอีก ขนาดระดับ จะขึ้นเป็นใหญ่ที่สุดในวงสงฆ์ ก็แย่งยศกันอยู่ได้ นั่นหรือความสงบ?!!!?

แม้แต่คำว่า  สันตา คือความสงบ ซึ่งลึกซึ้ง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นสุดยอดก็เข้าใจกันไม่ได้ เข้าใจความสงบไม่ชัดเจน แต่รู้แค่ความไม่กระดุกกระดิก เงียบๆ ซึ่งไม่ใช่ความสงบทางธรรมเลย

มาอธิบายความสงบคำว่า ปัสสัมภยัง กายสังขารัง กับ ปัสสัมภยัง จิตตสังขารัง

เขาเข้าใจว่า อยู่เงียบๆสงบนิ่งๆ แต่ถ้ามันปรุงแต่งสังขาร อย่างอาตมานี่ มือก็ต้องยก ไม่นิ่ง เขาก็ว่านี่ไม่สงบแล้ว หนึ่งเขาเข้าใจว่า ความสงบคือเงียบๆหยุดๆ นิ่งๆ สองคำว่ากายก็คือ เรื่องของกายวิญญัติ เรื่องของภายนอก เป็นความเคลื่อนไหวของภายนอกผิวๆ อาตมาว่าในวงการการศึกษาของศาสนาพุทธที่เขาจะปฏิบัติ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง อาตมาก็ว่าเขาจะทำร่างนี้ให้นิ่งแข็งเลย เพราะเขาเข้าใจคำว่า กาย คือ นิ่งๆ เงียบ ปากไม่มีเสียง หายใจก็เบาๆ ร่างนี้ไม่เคลื่อนเลย หยุดเลย ไม่รู้สึกด้วย ไม่เคลื่อนเลย นั่นคือเขาว่าทำความ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง เขาระงับกายสำเร็จแล้ว อาตมาก็ว่า ถ้าเผื่อว่า สำนักไหนก็ตาม ที่ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธเข้าใจเช่นนี้แล้วฝึกเช่นนี้

ความสงบรำงับไม่ได้หมายถึงนิ่งๆไม่กระดิกเลย แต่หมายถึงชีวิตินทรีย์ ของสัตว์โอปปาติกะ ก็คือตัวสัตว์ ที่เรียกว่า อบาย เปรต นรก เรียกว่าชั้นต่ำ ถ้าชั้นสูงมาก็เรียกว่า กิเลส ตัณหา กาม ราคะ พยาบาท นั่นคือชีวิตของสัตว์โอปปาติกะ แล้วมันเกิดอยู่นะ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดเป็นสัตว์นรก สัตว์เปรต อติวินิบาต เป็นกามสัตว์ มีอาการ มีลิงค นิมิต อุเทส

ผู้ศึกษา ก็จะอ่านกายที่เป็นรูปกาย คนจะอ่านรูปกายได้เมื่อรู้ว่ารูปคืออะไร?

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้โดยญาณของเราเข้าไปรู้นาม นามเป็นตัวรู้ รูปคือตัวถูกรู้

ก็จะต้องรู้ว่า รูปคืออะไร รูปพระพุทธเจ้าแจกไว้ 28 รูป แล้วก็ใช้นามที่จะมาปฏิบัติท่านแจกไว้ 5 (เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ) ท่านไม่ได้ให้เอาจิต 89 มาปฏิบัตินะ

ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ ไม่มีเวทนา เพราะกรรมฐานพระพุทธเจ้าคือเวทนา 108

สวรรค์กับนรกคือไส้เดือนตัวเดียวกัน ผสมกันแล้วเกิดเป็นชีวิตินทรีย์ก็จับเหตุที่ทำให้เกิดสัตว์นรกนี้อยู่ แล้วกำจัดเสีย เหตุคือกิเลสตัณหา ผู้ที่จับได้ อ่านตัวกิเลสเป็นสักกายะ จะทำให้เกิดกายสังขารังปัสสัมภยังต้องหาเหตุ ที่ปรุงแต่งเป็นเทวดาเก๊ ก็ทำให้ตัวนี้แหละที่อยู่ในเวทนา ทำให้มันดับให้หมดชีวิตจนเหลือเวทนาเดียว

ต้องมีการสัมผัสด้วย  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะเกิดสภาพธรรมะสองให้เรารู้ ได้ แล้วเราก็จัดการทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง

ธรรมะสองนี้หมายถึงตัวหนึ่งเป็นตัวไม่จริงต้องจัดการ อีกธรรมะหนึ่งก็เป็นสิ่งที่จะได้อาศัย กายหมายถึงจิตมโน วิญญาณ กายคือเมื่อสัมผัสแล้วเป็นกาย เป็นสักกายะก็เป็นจิต จะทำให้ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ก็ต้องทำที่จิต มโน วิญญาณให้สงบรำงับ ไม่ใช่ว่านิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่ใช่นั่งหลับตา แต่อานาปานสติ ของพระพุทธเจ้าขาดสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ไม่ได้ ขาดโพธิปักขิยธรรม 37​ไม่ได้

คุณเข้าใจว่ากายคือข้างนอกก็ใช่อยู่ แต่กายต้องมีการรู้การเห็นสัมผัสจากรูปภายนอก พหิทารูปานิปัสสติ เมื่อสัมผัสแล้วมาเป็นความรับรู้ข้างใน คำว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม  จึงหมายถึงธรรมะสอง

ไม่ต้องหลับตานั่งนิ่งก็ได้ ถ้านั่งสะกดจิตหลับตาเลยนั้น พระพุทธเจ้าท่านจำนน หนึ่งพระพุทธเจ้าตอนยังไม่ตรัสรู้ ลิงลมอมข้าวพองเมื่อออกบวช ...ท่านไม่รู้ว่า ศาสนาพระพุทธเจ้าปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 กับอานาปานสติที่แยกกันไม่ได้ คืออันเดียวกัน

กายสังขารจะสงบก็ปฏิบัติที่จิตกับวจีสังขาร ภิกษุณีธัมมทินนาบอกกับอุบาสกวิสาขา(อดีตสามี) ว่าถ้าจะนิโรธต้องดับ วจีสังขารก่อน

นิโรธนี่เกิดความสงบ ปัสสัมภยังแน่ สงบสมบูรณ์แบบ จะนิโรธได้ต้องทำวจีสังขารให้สงบก่อน ผู้ไม่เข้าใจก็จะบอกว่า ต้องนั่งหลับตา ปากปิด ไม่มีวจีแล้วไง? ไม่พูด อาตมาก็บอกว่าเสมอว่าท่านให้ดับวจีสังขารนะไม่ใช่วจีกรรม ถ้าแยกวจีกรรมกับวจีสังขารไม่ออกก็แย่เลย

นิโรธจะต้องดับวจีสังขาร ถ้าไม่เข้าใจสังกัปปะ 7 ก็ไม่เข้าใจวจีสังขารได้หรอก เวลาปฏิบัติต้องอ่าน ตักกะ วิตักกะ กิเลสมิจฉา 3 ที่เป็นกาม พยาบาท วิหิงสาที่ปรุงแต่งในรูปนาม ต้องแยกให้ออก ทำกำจัดมิจฉา 3 นี่แหละ เมื่อสัมผัสแล้วจิตคุณดำริในกาม พยาบาท วิหิงสาก็จับกิเลสตัวเหตุแท้ให้ได้

ในกาย รูปนามมีสุข ทุกข์ (เวทนา) แล้วให้ตามหาเหตุ กำจัดเหตุที่เป็นกิเลส ทำใน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ จัดการกิเลสให้ได้ ถ้ามันมีมิจฉา 3 มันเจอตัวการก็ฆ่าตัวการ จับมิจฉาสังกัปปะ ฆ่าให้ตาย พอฆ่าตายก็ผ่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตรวจสอบให้แน่ใจนะ ว่ากิเลสตายแน่ จนไปถึงวจีสังขาร ตัวที่ 7 ก็จึงตรวจสอบสมบูรณ์แบบ แล้วจะออกไปเป็นวจีสังขาร เป็นนามกาย มีปฏิฆสัมผัสโสอยู่ อ่านออก เพราะมีอธิวจนสัมผัสโส เรียกว่าอันนี้ตัวกามเป็นชื่อของสัตว์นรกตัวหนึ่ง แล้วจัดการกับตัวนี้เมื่อจัดการเสร็จ อภิสังขารเสร็จ ผ่านจิต ผ่านกาย เวทนา จิต ธรรม มาถึงตัวสุดท้ายแล้วดับ ก็จะสะอาดที่สุดเป็นการปรุงแต่งอภิสังขาร จนพบว่า เป็นอปุญญาภิสังขาร ชำระกิเลสได้แล้ว ดับได้ เป็นนิโรธ เกิดอปุญญาภิสังขารสำเร็จไม่ต้องชำระอีกแล้วเป็นวจีสังขารสมบูรณ์ เกิดชนะกิเลสแล้วสำเร็จแล้ว

เราตั้งศีลว่า ไม่กินมะละกอ เมื่อมาพบมะละกอก็เกิดเวทนา ก็ต้องหาเหตุ ทำลายเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ สุขทุกข์ก็ไม่มี เวทนาก็สะอาดขึ้น ข้างนอกคุณทำก่อน ถือศีลแล้วก็เว้นขาด พอเว้นขาดแล้ว ก็จะต้องมีปฏิวีรติ เวรมณี งดเว้นแล้วพอสัมผัสจะอ่านออกได้ จับกิเลสได้ ปฏิบัติต้องมีศีลเป็นลำดับไป แล้วปฏิบัติให้ถึงจิต แต่เขาเข้าใจว่าศีลปฏิบัติแต่กายกับวาจา ไม่กินก็อดใจเอาแค่นั้น อยากได้สมาธิก็นั่งหลับตาไม่เกี่ยวกับศีลเลย

ต้องมีผัสสะ จึงเกิดการปฏิบัติ เพราะมีเวทนา ปฏิบัติอนุปัสสี 4 ได้ทำรูปฌาน 4 ได้ มีปีติได้

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

ให้เกิดเพียง ผรณาปีติ มีปีติที่โอกกันติกาคือหยั่งลง แต่ขุททกาปีตินี้นิดๆหน่อยๆ ขณิกานี้เป็นช่วงระยะเวลาที่ปีติ ส่วนขุททกะคือบอกขนาดน้อยๆ

การดับปีติคือไม่ใช่ให้ปีติหายไปหมดแต่ให้เป็นปีติที่พอดี เล็กๆน้อยๆ ผรณาปีติ ผรณาปีติคือทำให้ปีติบางเบากระจายไม่แรง แบบอุพเพงคา ไม่ต้องกำหนดว่าให้นานหรือไม่นานเท่าใด

คำว่าอภิปโมทยังจิตตัง คำว่าอภิคือยิ่งคือมาก ปราโมท คือยินดี ให้ยินดีอย่างย่ิง อย่างพิเศษ ไม่ใช่ว่าไม่มีจิตยินดียินร้ายอะไร จืดๆ แห้งเหี่ยว แม้แต่คำว่าพุทธะก็คือจิตเบิกบานร่าเริง ไม่มีภาษาจะใช้แล้ว

อัตตา หรืออนัตตา อรหันต์ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ท่านก็มีตัวตน(อรหัตตา) อรหันต์ท่านไม่มีอัตตาที่ลึกลับแล้ว 

ถ้าเข้าใจคำว่า กายไม่ชัดเจน ปฏิบัติธรรมไม่ได้ พาลปัณฑิตสูตร ล.16 ข.57-59 ตายไปแล้วมีกาย ผู้ยังอวิชชา ตายแล้วก็ยังมีกาย ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิตก็ตาม

จบ...

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:39:45 )

590713

รายละเอียด

590713_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอันสัมมาทิฏฐิที่ยิ่งใหญ่

โปรดตั้งใจทำความเข้าใจให้ประณีตสุขุมคัมภีรภาพกันดีๆ

ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่เรา“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)กันอย่างไร? เริ่มตั้งแต่มี“เจตนา” และมี“สัญญา” อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“ทานสูตร” พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 49 ชัดเจนมาก ว่าทานย่อมมีผล ซึ่งประเด็นนี้ ไม่ยากนัก ผู้รู้ทั้งหลายพอแยก แยะอธิบายได้

แต่จะมี“อานิสงส์”หรือไม่นั้น ประเด็นนี้สิ ต้องอาศัยพระสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ากันจึงจะสามารถรู้ได้ เพียงสามัญมนุษย์นั้นไม่มีภูมิปัญญาหยั่งรู้สัจจะที่เป็น“อจินไตย”ขั้นนี้ได้แน่นอน

นั่นคือ ต้อง“ทำทาน”เพื่อเป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้ลดละหน่ายคลายจาก“ภพ”จาก“ชาติ” จึงจะเป็น “อานิสงส์”หรือเป็น“ประโยชน์”สำคัญ  ขั้นโลกุตรธรรม อันมีในศาสนาพุทธเท่านั้น ซึ่งมีศาสนาเดียวในโลก ที่มีความรู้นี้ ก็ต้อง“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของตนเอง

และก็ต้องถึงขั้น“อภิสังขาร”(ปรุงแต่งจิตจนถึงขั้น“บุญ”)ให้ได้ว่า“ให้”หรือ“ทาน”แล้วใจของเรามี“อาการ”ถึงขั้น“ชำระกิเลส”(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ)หรือเปล่า? หรือใจเรากลับ“ทำใจ”ตนเอง“โลภ”เพิ่มขึ้น หรือทำใจของเรา“อยากได้”เพิ่มขึ้นอีก ทำใจของเรา“ยิ่งจะเอา”ๆๆๆ

ซึ่งมันต้อง“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ให้เป็น นั่นคือ ทำใจเข้าขั้น“ชำระกิเลส”(ปุนาติ)ให้ได้

ถ้า“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของตนเพิ่มความโลภใส่ใจตนเอง แทนที่จะ“ลดความโลภ” หรือทำให้“ไม่มีความโลภ”ใส่ใจตนเอง ผู้นั้นก็“ทำใจ”ไม่เป็น“บุญ” หรือเป็น“บาป”

เพราะ“ทำใจ”ไม่เป็น“การชำระกิเลส”

ก็ไม่เกิด“บุญ” ไม่เกิด“การชำระกิเลส”

กลับทำใจตน“เพิ่มกิเลส”ใส่ใจตนยิ่งขึ้น

การทำอย่างนี้ทำใจตนเองเป็น“อกุศลจิต” เป็น“บาป” ทำกิเลสใส่ใจตนเองเพิ่มขึ้น

“ทาน”เช่นนี้ คือ “ทานที่ไม่มีอานิสงส์” ที่ภาษาบาลีท่านว่า นัตถิ ทินนัง” คือ “ทานที่ให้แล้ว”(ทำทานเสร็จแล้ว)ไม่เป็น“บุญ” ที่ภาษาปากว่า “ไม่ได้บุญ”(ไม่ได้ลดกิเลส)นั่นเอง

ที่จริง“ได้” คือ “เสีย” นั่นคือ เสียส่วนอกุศลจิต”ออกไป จุดนี้แหละ ที่คนรู้ยากยิ่ง

“บุญ”คือ อาการของจิตที่ทำหน้าที่ “ชำระกิเลส”โดยตรง ไม่มีหนัาที่อื่น

“บุญ”ไม่ใช่เรื่องของ“สมบัติ”ที่จะสะสมใส่ตนให้มีให้มากยิ่งขึ้น แต่“บุญ”เป็นเครื่องทำ“วิบัติ”ให้แก่บาป ให้แก่อกุศลจิต-อกุศลธรรม แต่ถ่ายเดียวโดยแท้ 

ชาวพุทธต้องทำ“ทิฏฐิ”หรือทำความเข้าใจให้ถูกต้องถ่องแท้ ให้เป็น“สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆ ในความเป็น“ทาน” โดยเฉพาะในหน้าที่ของ“บุญ”

เพราะ“บุญ”มิใช่“สมบัติ”ที่ทำทานแล้ว

“บุญ”จะเป็น“สมบัติ”มากขึ้น หรือ“บุญ”จะมี“สมบัติ”ที่เพิ่มขึ้นๆ

“บุญ”มีหน้าที่ทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส แก่บาป แก่อกุศลจิต โดยตรง มิใช่“สมบัติ”เลย

ทาน จึงต้อง“ทำใจ”ให้เป็น“บุญ”จริงๆ คือ ใจก็ต้อง“ให้ใจส่วนหนึ่งออกไป” คือใจส่วนที่เป็น“อกุศล” หรือ“โลภ”เป็นต้น

เราต้องลดโลภ ละหน่ายภพ คลายชาติลง ไม่ใช่ทำใจให้“อยากได้ภพได้ชาติ”อยู่ หรือ“ยิ่งอยากได้อะไรต่ออะไรมากขึ้น”

ถ้าผู้ใดยัง“ทำใจในใจ”ไม่เป็นไปเพื่อลดละหน่ายคลาย ไม่อาศัย“การทาน”นี้เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้ลดละหน่ายคลายจากภพจากชาติ หรือไม่สามารถ“ปรุงแต่งจิต”(อภิสังขาร)ให้เกิด“บุญ”(ปุญญาภิสังขาร) ผู้นั้นก็ทำ“ทาน” ไม่มี “อานิสงส์”(ไม่มีประโยชน์ = ผลไม่ถึงขั้นประโยชน์)

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:40:16 )

590713

รายละเอียด

590713_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอันสัมมาทิฏฐิที่ยิ่งใหญ่

พ่อครูว่า..วันนี้วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2558 เราก็มาเรียนกันต่อสำหรับผู้ที่สนใจเรียนสนใจศึกษาส่วนผู้ใดไม่สนใจเรียนไม่สนใจการศึกษาก็แล้วไปตัวใครตัวมัน อาตมาก็พูดย้ำและซ้ำบ่อยๆว่ามีหน้าที่เปิดเผยความจริงที่ได้มาจากพระพุทธเจ้าที่เป็นสุข เป็นสิ่งที่อาตมาไม่เห็นว่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้อีก

การศึกษา 3 ของพระพุทธเจ้าใช้เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาหรือจะเรียกว่าทานศีลภาวนาก็ได้ถ้าจะขยายกว้างก็ใช้ทานศีลภาวนา  จะต้องมีบทบาทการทานให้แก่กันมีทั้งผู้ให้ผู้รับ ผู้ที่ได้ปฏิบัติศีลจนเกิดผลเรียกว่าภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เอเสวมัคโค นัตถัญโญ เพราะทางที่ตรงที่สุด สั้นที่สุด ถึงจุดตั้งต้นถึงปลายสั้นสุดก็คือเส้นตรงที่สุดทางเดียว ถ้าออกนอกไปเป็นสองก็ไม่ใช่ เราก็ศึกษาเส้นเดียวนี้ก็ยาก แต่เราก็ต้องกลับมาสู่เส้นตรงเส้นทางเดียวนี้ให้ได้

          7.  มหาจัตตารีสกสูตร  (117) ล.14

        [252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

[254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

[255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ

ต้องสามารถรู้องค์รวม ของรูปกับนามให้ได้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือภาวะภาพรู้ ท่านก็แจกธาตุรู้ 5 ลักษณะ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  ในล.16 ข.14 [14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

ตอนนี้จะขยายคำว่า ทาน

เอาพฤติกรรมการทานเป็นตัวตั้ง … ในทิฏฐิ 10 ข้อต้นเลย

อัตถิ ทินนัง คำว่าทินนัง แปลว่าทานที่สำเร็จแล้ว เกิดที่จิต จิตได้เกิดผล เป็นหุตัง คือได้ชำระกิเลสแล้ว หุตัง คือผลของจิตที่ได้ทำสำเร็จ ถูกชำระสะอาดขึ้นไป การทานที่ทำเสร็จแล้วคุณให้วัตถุเขาไปแล้ว ใจของคุณ คุณได้อ่านใจเป็นไหมว่าให้ทานไปแล้วยังหวงแหน ยังต้องการอะไรตอบแทนเป็นการยึดอะไรเป็นเราเป็นของเราอยู่ พฤติกรรมจริงเป็นอย่างไร ให้เงินไปเท่าไหร่ ให้ของหรืออะไรไป เราให้เราทาน แล้วใจเรามีอาการหวงแหนเยื่อใยผูกพันหรือไม่ อาการเหล่านี้จะยืนยันความจริง แล้วเราจะเก่งในการอ่านปรมัตถ์ เป็นรูปจิต อรูปจิต ก็ต้องมีผัสสะเกิดจริง เกิดวิญญาณจริง มีเจตสิกต่างๆ เราก็จะได้อ่านอาการจริงว่า เป็นอาการอย่างไร รู้ได้ด้วยตน ปัจจัตตัง

จะต้องทำ“ความเห็น”(ทิฏฐิ)​ให้“สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ ซึ่ง“สัมมาทิฏฐิ”นั้นมีถึง 10 ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจให้ครบทั้ง“สัมมาทิฏฐิ 10” ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถจะปฏิบัติเกิด“ประโยชน์”(อานิสงส์)อันเป็นจุดประสงค์ของศาสาพุทธได้เลย

การทำทานไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะได้เป็นเทวดา 6 ชั้นซึ่งไม่ใช่เทวดาที่แท้เลย ได้ความสุขที่เป็นเท็จ (สุขขัลลิกะ)

ซึ่งทิศทางหรือจุดหมายแท้ของศาสนาพุทธนั้นเราต้องพยายามทำ“กรรม”ใด ก็ควรให้มี“อานิสงส์”(ประโยชน์)ถึงขั้น“โลกุตระ”

อธิบายไปบ้างแล้ว ทั้ง“การทาน”ที่ได้“ผล” และการทานที่ได้“อานิสงส์” แต่ก็แค่เล็กน้อย คร่าวๆ ไม่ลึกซึ้งลับซ้อนอะไรนักหนา

ซึ่งผู้“ทำทาน”หรือผู้ที่มี“การกระทำ”คือ“กรรม”ถึงขั้นที่เรียกว่า“ทาน”นั้น ก็ถือว่า“การกระทำ”อย่างนี้ของใครก็ตามที่เป็น“กรรม”เข้าขั้น“ทาน”นี้นับว่า“การกระทำ”ที่ต้องเชิดชูว่า“ดี” เพราะเป็น“กรรม”ที่พิเศษชนิดหนึ่งเกินกว่า“การกระทำ”ในชีวิตปกติ

ตามปกติธรรมดาสามัญของคนทั้งหลายนั้น ไม่ ใช่จะ“ทำทาน”กันเป็นปกติสามัญ ใช่มั้ย? นานๆจึงจะทำสักที หรือบางคนนั้นเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่ทำ“ทาน” กันเลยสักครั้งสักหน

“การตั้งใจทำทาน”ของคนผู้ใดก็ตาม มันเป็นกรรมกิริยา“ตั้งใจทำทาน” ซึ่งต้องนับว่า เป็นการกระทำที่“ดี”ของคนจริงๆ

คนปกติสามัญจะมีก็แต่“การกระทำ”ที่เป็น“งานอาชีพ”หรือทำอะไรต่ออะไรไปตามอิริยาบถของคนสามัญทั่วไปทำกันก็จะเพื่อ“เอามาให้ตน” ที่ไม่ใช่“ทาน” คือ ไม่ใช่จะมีการกระทำอัน“ตั้งใจเสียสละ”วัตถุสิ่งของเงินทองให้แก่ผู้อื่นกันอยู่เป็นปกติสามัญหรอก ..ใช่มั้ย? 

ดังนั้น เมื่อ“ตั้งใจทำดี”กันปานฉะนี้จึงควร“ทำทาน”ให้มี“ประโยชน์” ที่คำภาษาบาลีว่า“อานิสงส์”นั่นเอง ให้จริง ให้ได้

เพราะ“การทำทาน”นั้น ชื่อว่า“ทำดี”ก็จริง แต่ใช่ว่าจะมี“ประโยชน์”ทุกครั้งไป

คนที่ทำ“ทาน”ก็ดี ปฏิบัติ“ศีล”ก็ดี เป็นการประพฤติของคนที่มีใจอันประเสริฐก็ถูกไม่ใช่การประพฤติธรรมดา หรือ“กรรม”ปกติสามัญจึงควรจะให้“การกระทำทาน”นี้ เกิด “ประโยชน์” ที่ภาษาในที่นี้ว่า“อานิสงส์”

เพราะธรรมดา“การกระทำ”คือ“กรรม”นั้น คนใดใครก็ตาม ที่มี“การกระทำ”คือ“กรรม” เมื่อทำ“กรรม”ปุ๊บ จะกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ทุกกรรมทำขึ้นเมื่อใดมันก็ต้องมี“ผล”ทั้งนั้นอยู่แล้ว จะมีผลมาก หรือผลปานกลาง หรือผลน้อย หรือจะเป็นกุศล จะเป็นอกุศล ก็ตามจริงของผู้ทำกรรมนั้นๆ

ซึ่ง“ผล”ที่ว่านี้ นี่แหละ ผลนั้นเป็น“โทษ”(อาทีนวะ)ก็ได้ ผลนั้นเป็น“ประโยชน์” (อานิสงส์)ก็ได้ “ผล”เป็นได้ไม่ว่าแง่ใดแง่หนึ่ง

แม้มันจะเป็น“ผล”น้อย หรือเป็น“ผล” มาก หากผลเป็น“โทษ”(อาทีนวะ) มันก็ไม่ดี ใช่มั้ย? ยิ่งเป็น“ผลมาก”และมันก็เป็น“โทษ”ด้วย มันก็ยิ่งแย่กันเลยหนะสิ

ดังนั้น เมื่อถึงขั้น“ทำทาน”จึงควรให้เป็น“ประโยชน์”(อานิสงส์)

ธรรมดานั้นผู้ทำ“ทาน-ศีล”ก็จะต้อง“ทำให้ปรากฏผลออกมา” ซึ่ง“การทำให้

เกิด”นี้ จะ“เกิดผลด้วยทาน-ด้วยศีล” ภาษาธรรมหรือบาลีก็คือคำว่า “ภาวนา” นี่เอง

ดังที่มีพูดกันติดปากว่า “ทาน-ศีล-ภาวนา”นั้นแหละ 

“ภาวนา”คือ “การทำให้มีผลของการทำทาน” หรือ“การทำให้มีผลของการปฏิบัติศีล” และ“การเกิดผลของการทำสมาธิ”

เมื่อ“ทำทาน”นั้นแล้ว หรือ“ปฏิบัติศีล”นั้นแล้ว เกิดฌาน-เกิดสมาธิ “ผล”ที่เกิดจาก“ทานที่ให้แล้ว”(ทินนัง) หรือ“ผล”ของพิธีกรรมที่เกิดสมาธิแล้ว”(ยิฏฐัง) มี“ผลปรากฏ” ล้วนเรียกว่า“ภาวนา”

ผู้ทำทานก็ดี หรือผู้ปฏิบัติสมาธิก็ดีนั้น“เกิดผล”อย่างไร ก็รู้แจ้งรู้จริงได้ด้วยตน  

“ภาวนา”แปลว่า “การเกิดผล”ฉะนี้เอง

สำหรับ“กรรม”ทั้งหลายทั่วไปนั้น ทำเมื่อใดก็เป็น“ผล”เมื่อนั้น คือ ไม่“อกุศล”ก็“กุศล” เพราะทานเป็นกรรม กรรมย่อมเป็นอันทำ  ใคร“ทำ”อะไรก็ตาม มี“การกระทำ” เมื่อใด ดีหรือชั่วก็ต้องเป็นผลเป็นวิบากเมื่อนั้น(สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) และเป็นของตน(กัมมัสสกะ) แบ่งใครไม่ได้ ตนต้องเป็นทายาทรับมรดกของตนมาทั้งหมดทั้งสิ้น(กัมมทายาท) กรรมของเราเอง พาเราเกิดเราเป็นเอง มิใช่ใครทำให้เราเกิด(กัมมโยนิ) เราเองเป็นเจ้าของกรรมพันธุ์เราเอง(กัมมพันธุ)

กรรมพันธุ์ไม่ใช่มาจากพ่อแม่ หรือมาจากปู่ย่าตายาย หรือจากทวดขั้นไหน

genetic นั้น เป็นเรื่องของ“สรีระ” เป็นเรื่องทางวัตถุ หรือมหาภูต 4 จึงถ่ายทอดกันทาง“จิตวิญญาณ”ไม่ได้ เพราะคนละ“นิยาม”  วัตถุหรือมหาภูต 4 ไม่มีกรรม ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ เป็น“อุตุนิยาม”

“จิตนิยาม”จึงจะมี“กรรม”มี“ธรรม”

genetic สืบเนื่องทาง“กรรม”ไม่ได้

กรรมเราทำเอง เป็นของเราเอง เราก็ได้พึ่งพาอาศัย“กรรม”ทั้งหลายของเราเอง

ชัดเจนดีมั้ย?   ????????????

ทีนี้“ผล”แยกละเอียดไปอีก 2 นัย ได้แก่ “ผลสลายสิ้นเกลี้ยงไป” นี้คือ หุตัง

ภาวะที่เป็นจริง-ที่มีจริงคือคำว่า หุตัง

หุตัง คือ ผลสำเร็จของการปฏิบัติ ขั้นทำลาย“อกุศลจิต”ให้สลายเกลี้ยงสิ้นไปได้แท้ด้วยพิธีการ ด้วยพลังงานที่มีพลังจริง ด้วยไฟ จึงทำลายให้สูญสิ้นสลายไปได้ไม่เหลือ

นี่คือ ภาวะหน้าที่ของ หุตัง

ส่วนเป็น“ประโยชน์”คือ อานิสงส์ นั้นมีนัยต่าง“หุตัง”คือ “ผลมีประโยชน์-มีภาวะได้อาศัย” เป็นอุปโภคบ้าง-บริโภคบ้าง นี้คือ อานิสงส์ ??????????

 

ซึ่งการทำ“ทาน”ก็ดี การทำ“สมาธิ”ก็ดี เป็นการกระทำที่จะไปสู่ผลคือ“ภาวนา-หุตัง”

 

ส่วนความซับซ้อนที่ลึกซึ้งก็มีอีก เช่น

“การกระทำ”นั้นดูเหมือน“ไม่ดี” บางคนมองว่าเป็น“อกุศล” แต่จริงๆเป็น“ประโยชน์”ก็ได้บางกรณีย์นั้นเป็น“ประโยชน์”(อานิสงส์)มากยิ่งๆยังได้เลย แม่ตีลูก,การเถียงกันแรงๆหนักๆ[ปฏิกฺโกสนา]เป็นต้น ?????????????

หรือเป็น“โทษ”(อาทีนวะ) หรือเป็น “ประโยชน์”ได้แน่นอน

 

ถ้าเป็น“อกุศล”ก็คือ “ทาน”นั้นอย่าง“ทุจริตกรรม” หรืออย่างผู้“อวิชชา” ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกียะ จึงไม่เป็นโลกุตระแน่

ถ้า“ทาน”ใดจะเป็น“โลกุตระ”ก็ต้องถึงขั้นเป็น“ประโยชน์”(อานิสงส์) ??????????

ส่วน“ผล”จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณ และอีกอย่างก็คือราคาแพงหรือถูก

“ผล”ที่คนผู้ให้ทานหรือผู้ทำทานจะได้จึงเป็น“กรรม”ปุถุชนที่เป็น“วิบากหนี้”อันมี“ผล”ตอบแทนกันไปตอบแทนกันมา หรือ “ใช้หนี้”กันไปมา วนใช้หนี้กัน“จบ”ยากยิ่ง

ซึ่ง“การตอบแทน หรือการใช้หนี้”นี้ เริ่มตั้งแต่“ตอบแทน”หรือ“ใช้หนี้”กันตั้งแต่ในปัจจุบันทันทีทันใด และ“ใช้หนี้”กันในชาตินี้ ไปจนกระทั่งสั่งสมเป็นอดีต แล้วต้อง“ใช้หนี้”กันในอนาคต ซึ่งจะตาม”ใช้หนี้”กันชาติแล้วชาติเล่า นับชาติกันไม่ถ้วนตามสัจจะ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะปรินิพพานไป

เป็นต้นว่า นายก.“ทาน”เงินแก่นายข.ไป 100 บาท แล้วนายข.ก็“ทาน”เงินกลับคืนนายก.ทันที 100 บาท

อย่างนี้ ก็ไม่มีใคร“เป็นหนี้”ใคร

ก็เป็นเช่นเดียวกันกับนายก.“ให้”เงินแก่นายข.ไป 100 บาท แล้วนายข.ก็“ให้”เงินกลับคืนนายก.ทันที 100 บาท

อย่างนี้ ก็ไม่มีใคร“เป็นหนี้”ใคร

หรือจะเป็นว่า นายก.“ยืม”เงินนายข.ไป 100 บาท แล้วนายก.ก็“คืน”เงินแก่นายข.ทันที 100 บาท

อย่างนี้ ก็ไม่มีใคร“เป็นหนี้”ใครแล้ว

แม้จะเป็น“ผลผลิต”คิดราคาสุจริตนะ ไม่คิดราคาเกินทุน ชายไป“เท่าทุน” ก็ไม่มี

ใครเป็นหนี้ใคร เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าขายไป“เกินทุน”จริง คนขายได้เงินที่“เกินทุน”จริงนั้นไป ผู้ขายก็“เป็นหนี้”

ผู้ซื้อตามสุจริต ที่เป็นสัจจะ ก็ต้อง“วน”ใช้หนี้กันต่อไปอีก จนกว่าจะ“ใช้หนี้”กันหมด หรือ“อโหสิ”คือ ยกเลิกกันจริงๆจังๆ

ซึ่ง“อโหสิ”นี้ก็ต้อง“ใจจริง” ไม่ใช่สักแต่พูดเท่านั้น ต้อง“จริงใจกับใจจริง”ที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ หรือเป็น“ใจจริง”ของอาริยชนแท้ๆ

“หนี้บาป”เรื่องอื่นๆก็นัยะคล้ายๆกัน  

ทีนี้ “ทาน”นี่แหละ ที่คนชั่วฉลาดเฉโก ก็จะหลอกด้วยเล่ห์ฉลาดของตนที่ซับซ้อน

ยิ่ง  ตนก็จะ“เป็นหนี้”ซับซ้อนขั้นปฏิภาคทวียิ่งๆขึ้นตามสัจจะ ด้วย จึง“วน”เป็นโลกีย์อยู่

ฝากไปให้คิด คนที่จะขึ้นเป็นสังฆราชกับลูกศิษย์คนที่ทำไม่ดีนั้นแต่มีอิทธิพลมากกว่าอีก แล้วใครจะบาปมากกว่ากัน?

ถ้าสมเด็จช่วงหยุดเลย ว่า จะไม่เป็นสังฆราช จะเป็นพระแก่ๆรูปหนึ่ง สมเด็จช่วงก็ลดบาปอกุศลตนเองมากเลย

หรือแม้แต่ธัมมชโยนี่ มายอมรับผิด สารภาพ เอาหลักฐานของผิดมาโชว์ ธัมมชโยจะกู้หนี้บาปได้เยอะเลย ขออภัยที่เอาสองคนนี้มายกตัวอย่างอธิบาย ขอบคุณ มันง่ายขึ้นนะ เข้าใจชัดดี

เช่น มารยักษ์(จาตุมหาราช : การยึดตนเป็นเทวดาอยู่) หลงว่า“ตนได้มา”ด้วย“อำนาจของตน” ตนก็มี“สมบัติ”ที่ได้นี้ เพราะตนยังไม่ยอมเป็น“วิบัติ”(หมดสิ้นสูญสลายไป)

“ได้แล้ว”ก็“เสพเป็นสุขใจ”(ดาวดึงส์) ตน

เสพก็“เป็นเทพสุข”(เทวดาดาวดึงส์) ก็ยังมี“ภพ” มี“ชาติ”อยู่  “ภพสุข-ชาติสุข”ที่ตนเป็นเทวดาเสพนี้แหละ คือผลวิบากที่“เป็นหนี้”อยู่ 

????????????

ส่วน“ทาน”เป็น“ประโยชน์”(อานิสังสา)หรือไม่? นี่แหละที่เป็นประเด็นสำคัญมาก ต้องศึกษา

นั่นคือ ประโยชน์หรืออานิสงส์นี้แหละ “บาป”หรือเป็น“บุญ” หรือ“ไม่บาปไม่บุญ”

ซึ่งแตกต่างจากเกิด“กุศล”หรือ“อกุศล”

เพราะนั่นเป็นแค่เรื่อง“โลกียะ” และถ้าเป็น “กุศล”ก็เป็นแค่“กัลยาณธรรม”ตามสามัญ

และแน่ยิ่งกว่าแน่ว่า ถ้า“อกุศล”ก็ไม่เป็น“กัลยาณธรรม”  และเป็น“โลกุตรธรรม” ยิ่งไม่มีทาง หมดสิทธิ์เด็ดขาด

“กุศล”หรืออกุศล”จึงแค่ขั้นโลกียธรรม

“บาป”หรือ“บุญ”จึงจะเป็นโลกุตรธรรม

โปรดตั้งใจทำความเข้าใจให้ประณีตสุขุมคัมภีรภาพกันดีๆ

ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่เรา“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)กันอย่างไร? เริ่มตั้งแต่มี“เจตนา” และมี“สัญญา” อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“ทานสูตร” พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 49 ชัดเจนมาก ว่าทานย่อมมีผล ซึ่งประเด็นนี้ ไม่ยากนัก ผู้รู้ทั้งหลายพอแยก แยะอธิบายได้

แต่จะมี“อานิสงส์”หรือไม่นั้น ประเด็นนี้สิ ต้องอาศัยพระสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ากันจึงจะสามารถรู้ได้ เพียงสามัญมนุษย์นั้นไม่มีภูมิปัญญาหยั่งรู้สัจจะที่เป็น“อจินไตย”ขั้นนี้ได้แน่นอน

นั่นคือ ต้อง“ทำทาน”เพื่อเป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้ลดละหน่ายคลายจาก“ภพ”จาก“ชาติ” จึงจะเป็น “อานิสงส์”หรือเป็น“ประโยชน์”สำคัญ  ขั้นโลกุตรธรรม อันมีในศาสนาพุทธเท่านั้น ซึ่งมีศาสนาเดียวในโลก ที่มีความรู้นี้ ก็ต้อง“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของตนเอง

และก็ต้องถึงขั้น“อภิสังขาร”(ปรุงแต่งจิตจนถึงขั้น“บุญ”)ให้ได้ว่า“ให้”หรือ“ทาน”แล้วใจของเรามี“อาการ”ถึงขั้น“ชำระกิเลส”(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ)หรือเปล่า? หรือใจเรากลับ“ทำใจ”ตนเอง“โลภ”เพิ่มขึ้น หรือทำใจของเรา“อยากได้”เพิ่มขึ้นอีก ทำใจของเรา“ยิ่งจะเอา”ๆๆๆ

ซึ่งมันต้อง“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ให้เป็น นั่นคือ ทำใจเข้าขั้น“ชำระกิเลส”(ปุนาติ)ให้ได้

ถ้า“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของตนเพิ่มความโลภใส่ใจตนเอง แทนที่จะ“ลดความโลภ” หรือทำให้“ไม่มีความโลภ”ใส่ใจตนเอง ผู้นั้นก็“ทำใจ”ไม่เป็น“บุญ” หรือเป็น“บาป”

เพราะ“ทำใจ”ไม่เป็น“การชำระกิเลส”

ก็ไม่เกิด“บุญ” ไม่เกิด“การชำระกิเลส”

กลับทำใจตน“เพิ่มกิเลส”ใส่ใจตนยิ่งขึ้น

การทำอย่างนี้ทำใจตนเองเป็น“อกุศลจิต” เป็น“บาป” ทำกิเลสใส่ใจตนเองเพิ่มขึ้น

“ทาน”เช่นนี้ คือ “ทานที่ไม่มีอานิสงส์” ที่ภาษาบาลีท่านว่า นัตถิ ทินนัง” คือ “ทานที่ให้แล้ว”(ทำทานเสร็จแล้ว)ไม่เป็น“บุญ” ที่ภาษาปากว่า “ไม่ได้บุญ”(ไม่ได้ลดกิเลส)นั่นเอง

ที่จริง“ได้” คือ “เสีย” นั่นคือ เสียส่วนอกุศลจิต”ออกไป จุดนี้แหละ ที่คนรู้ยากยิ่ง

“บุญ”คือ อาการของจิตที่ทำหน้าที่ “ชำระกิเลส”โดยตรง ไม่มีหนัาที่อื่น

“บุญ”ไม่ใช่เรื่องของ“สมบัติ”ที่จะสะสมใส่ตนให้มีให้มากยิ่งขึ้น แต่“บุญ”เป็นเครื่องทำ“วิบัติ”ให้แก่บาป ให้แก่อกุศลจิต-อกุศลธรรม แต่ถ่ายเดียวโดยแท้ 

ชาวพุทธต้องทำ“ทิฏฐิ”หรือทำความเข้าใจให้ถูกต้องถ่องแท้ ให้เป็น“สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆ ในความเป็น“ทาน” โดยเฉพาะในหน้าที่ของ“บุญ”

เพราะ“บุญ”มิใช่“สมบัติ”ที่ทำทานแล้ว

“บุญ”จะเป็น“สมบัติ”มากขึ้น หรือ“บุญ”จะมี“สมบัติ”ที่เพิ่มขึ้นๆ

“บุญ”มีหน้าที่ทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส แก่บาป แก่อกุศลจิต โดยตรง มิใช่“สมบัติ”เลย

ทาน จึงต้อง“ทำใจ”ให้เป็น“บุญ”จริงๆ คือ ใจก็ต้อง“ให้ใจส่วนหนึ่งออกไป” คือใจส่วนที่เป็น“อกุศล” หรือ“โลภ”เป็นต้น

เราต้องลดโลภ ละหน่ายภพ คลายชาติลง ไม่ใช่ทำใจให้“อยากได้ภพได้ชาติ”อยู่ หรือ“ยิ่งอยากได้อะไรต่ออะไรมากขึ้น”

ถ้าผู้ใดยัง“ทำใจในใจ”ไม่เป็นไปเพื่อลดละหน่ายคลาย ไม่อาศัย“การทาน”นี้เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้ลดละหน่ายคลายจากภพจากชาติ หรือไม่สามารถ“ปรุงแต่งจิต”(อภิสังขาร)ให้เกิด“บุญ”(ปุญญาภิสังขาร) ผู้นั้นก็ทำ“ทาน” ไม่มี “อานิสงส์”(ไม่มีประโยชน์ = ผลไม่ถึงขั้นประโยชน์)

“ผล”ในที่นี้จึงต้องเข้าใจนัยสำคัญให้ถ่องแท้ เพราะ“บุญ”ไม่ใช่“อานิสงส์”(ประโยชน์)ในการเพิ่ม“สมบัติ” แต่เป็น“อานิสงส์”ที่เพิ่ม“วิบัติ”(ความฉิบหาย,ความเสียออกไป)ให้ยิ่งๆ จนกระทั่งที่สุด“สิ่งที่มี(คือบาปคืออกุศล)ก็สลายหรือฉิบหายหมดสิ้นจากจิตใจ

นี่คือ“ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ” ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะเกิดผล ก็คือ “กิเลสลดลง”(ไม่ใช่การเพิ่ม“สมบัติ”ที่เป็นกุศล แต่เป็นการทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส) “ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ”ที่ได้เป็น“ส่วนบุญ,ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา, ปุญญภาค) กระทั่ง“บุญ”สูงสุดก็“หมดสิ้นบุญ,หมดสิ้นกิเลสาสวะ ก็“เสร็จกิจของบุญ” ผู้นั้นก็“หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) คือ ไม่มีแล้วทั้งบุญทั้งบาป เป็น“สูญ”เลย

โดยปฏิบัติไปจะได้“ส่วนบุญหรือส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา,ปุญญภาค กล่าวคือ บุญมีผลบางส่วน = กิเลสลดลงบางส่วน)ไปตามลำดับ กระทั่ง“บาป”หมดสิ้น “บุญ”หมดหน้าที่ลง

เพราะทำหน้าที่เสร็จ ชำระกิเลสได้หมดสิ้นอาสวะแล้ว “บุญ”ก็หมดหน้าที่ ก็เท่ากับ“บุญ”ก็จบตัวเองลง ผู้นั้นก็ไม่ต้องมี“บุญ”นี้อีกแล้วต่อไป ตลอดกาล

“บุญ”จึงไม่ใช่ภพชาติที่จะสร้างกันให้ยิ่งมีเพิ่มขึ้นกันต่อไป ในชาติหน้าเรื่อยๆ “บุญ”ไม่ใช่“กุศล” ที่จะเป็นเครื่องอาศัยของมนุษยโลกอันเป็นความสุขสนุกสบายในชีวิต

“บุญ”นั้น“ยิ่งมีผล” “บุญ”เองก็ยิ่งหมดยิ่งลดไป สิ้นไป “บุญ”ไม่ใช่สิ่งที่จะ“เป็นผล”มากขึ้น บุญจะไม่โตไม่มากขึ้น บุญจะไม่ใหญ่ไม่หนาขึ้นๆ “บุญ”ไม่เหมือน“กุศล”อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ด้วยประการอย่างนี้ ชาวพุทธทุกวันนี้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า “บุญ”นี้ กันอยู่มาก ..จริงมั้ย?

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:40:41 )

590714

รายละเอียด

590714_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สำนึกสัมมาสิกขา

ผ่านมา 20 กว่าปีแล้วที่เราเอาเด็กมาอบรมฝึกฝนเป็นโรงเรียนเป็นโรงเรียนโดยนิตินัยออกใบรับรองสากลได้ เราเลี้ยงกันอย่างให้ ไม่ใช่เลี้ยงหรือทำโรงเรียนเพื่อหารายได้จากนักเรียนจากผู้ปกครองนักเรียนเป็นรายได้เลี้ยงชีพเป็นอาชีพเป็นโรงเรียนอาชีพเราไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่เราเปิดโรงเรียนนี้เพื่อสร้างเยาวชนให้แก่ประเทศชาติ ท่านได้รับความรู้ตามหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะทำ ที่จะต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนในประเทศเราก็แบ่งเบาจากรัฐบาลมาเราเป็นโรงเรียนเอกชน ที่ช่วยรัฐบาลในการให้การศึกษาแก่เด็กตามปรัชญาของเรา เป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้เก็บค่าเรียนหรือค่ากินค่าอยู่ มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็เอาให้ใช้ไม่ให้มีเงินมีทองมาใช้ในนี้

เราสร้างเด็กอย่างนี้ลักษณะอย่างนี้เป็นจิตวิญญาณของผู้ให้ เคยเข้าใจเนื้อหาเป้าหมายว่าให้อะไรให้ความเจริญเป็นประชาชนคนไทยที่มีความดีงามมีความรู้ความสามารถและมีหลักเกณฑ์ในการศึกษาใช้ศัพท์ว่าศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา

ศีลเด่นก็คือคุณงามความดี สอนให้เป็นงานแต่เด็กนักเรียนทุกวันนี้ไม่ได้รับการสอนให้ปัดกวาดเช็ดถูซักเสื้อผ้าทำอาหารช่วยเหลือตัวเองพื้นฐานเป็น แต่เราสอนให้เขาทำเป็น แม้แต่การงานที่เลี้ยงชีพได้ที่เรามีฐานงานอยู่ในหมู่บ้านชุมชนแต่ละแห่งเด็กคนไหนจะสนใจด้านไหนเราก็พาให้ศึกษาเรียนรู้ให้ร่วมรับรู้ได้ให้มีความเป็นงานต่างๆ ที่เป็นสัมมากัมมันตะ ส่วนวิชาการเราก็ให้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้บกพร่อง เราช่วยให้การศึกษาแก่เยาวชนและรัฐบาลรอทำอย่างนั้นจริงๆด้วยเจตนาอย่างนั้นว่าเปิดทำไมตั้งแต่ต้นเพราะอาตมาเห็นว่าการศึกษาของส่วนใหญ่ทั้งหมดมันบกพร่องมันล้มเหลว เพราะว่าเป็นการศึกษาที่คนให้ได้รับการศึกษาแล้ว ไม่ดีเท่าให้เขาศึกษาตามธรรมชาติ พ่อแม่พี่น้องเขาให้การศึกษาตามธรรมชาติอย่างนั้นดีกว่า ด้วยซ้ำไป

ประวัติเขาจะเข้าใจสังคมมีศีลมีธรรมมีความเป็นบ้านวัดโรงเรียนเช่นเรียนโรงเรียนโฮมสคูลเป็นต้น ในสังคมโลกเห็นว่าวิชาการไม่พอก็เลยเอาไปหาทางอัดความรู้วิชาการให้ แต่เรื่องของสังคมเรื่องของกิจการงานสังคมของพ่อแม่สังคมที่เขาอยู่ร่วมด้วยเขาไม่ชำนาญ ไม่ค่อยจะได้สัมพันธ์เขาก็เอาเวลาไปอยู่ในกล่องในห้องเรียน บางทีก็ให้ไปห้องเรียนที่ไกลออกไปมากแต่ตอนนี้เขาก็พยายามปรับให้เรียนในท้องถิ่น ซึ่งมันก็ไม่พอหรอก

อาตมาเห็นความบกพร่องอันนี้จึงพยายามปรับมาให้เด็กมาเรียนก็ให้รู้จักพื้นภูมิของสังคมที่ตนเองอยู่แล้วร่วมเรียนรู้ร่วมงานร่วมการรวมกิจการอย่างเป็นธรรมชาติ การศึกษาวิชาการตามหลักสูตรเขาก็ไม่ให้บกพร่องเด็กของเราจบจากเราไปแล้วไปสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นข้างนอกก็สามารถเข้าเรียนต่อได้ แต่เขาได้แถมศิลธรรมความเป็นงานต่างๆจากสัมมาสิกกขาไปด้วย จะได้มากเลยได้น้อยก็ตาม

แล้วเราไม่รับกลางทางเรารับมาตั้งแต่เข้ามอหนึ่งใหม่ใกล้จะจบม. อื่นมาจะมาเข้าก็เร่ิมที่ม.1 ใหม่ ไม่เช่นนั้น จะศีลไม่เสมอสมานกัน ผู้ใดจะมาเข้าที่นี่ก็ต้องเร่ิมม.1 แต่ประถมก็อนุโลมบ้างแต่มัธยมต้องมาเร่ิมม.1 เท่านั้น

 

การศึกษาใดถ้าขาดธรรมะการศึกษานั้นเป็นการศึกษาที่พิการ เพราะถ้าได้เพียงแค่ความรู้แต่ขาดศีลธรรมความรู้นั้นจะกลายเป็นศาสตราวุธเป็นอาวุธที่เอาความรู้นั้นไปกดขี่ข่มเหงไม่มีศีลธรรมจะใช้ความรู้ที่ขาดศีลธรรมนั้นเพราะไม่มีเครื่องกำกับอะไร แม่จะเก่งกว่าเขาฉลาดกว่าเขาแต่ก็ขาดคุณธรรมขาดศีลธรรมก็คือเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้หนักหนามากขึ้น ไม่ได้เรียนรู้ที่จะลดละความโลภความโกรธความหลง ถึงมีจิตใจที่หลงแต่ความรู้ใช้ความรู้เป็นอาวุธเอาชนะคะคานคนอื่นสังคมจึงล้มเหลว

ภาคการศึกษาขาดศีลธรรมขาดธรรมะโดยเฉพาะศาสนาพุทธก็จะบรรลัย ประเทศชาติจะบรรลัย อย่างศาสนาอิสลามเขาเรียนไปพร้อมเลยหนักไปทางศาสนาด้วยซ้ำไป ของศาสนาคริสต์ก็ยังพอมี แต่ของไทยนั้นทิ้งศาสนาเลยนี่คือความเสื่อมความสูญเสียของสังคมศาสนาพุทธของเมืองไทย

แล้วจะมาเรียกร้องว่าทำไมประเทศมีแต่ความคอร์รัปชั่นความขี้โกงก็คือผู้บริหารประเทศทำกันมานั่นแหละเพราะขาดศีลธรรมจึงทุจริตขี้โกงโกหกอย่างที่เห็นกันอยู่นี้จะไปโทษใครก็ต้องโทษความสืบเนื่องมาจากความผิดพลาดที่เอาธรรมะออกจากการศึกษา ไปหลงการศึกษาแต่ศาสตร์อย่างเดียว

เราทำมา 20 กว่าปีแล้วก็ไม่ช้ามากทีเดียว แต่ก็มีคนได้รับการศึกษาของเราไปน้อย เราเป็นรร.เล็ก รร.คนจน นร.ไม่มาก บางรร.มีนร.ไม่กี่สิบคน แต่รร.ที่มีนร.เป็นร้อยคนก็มีไม่กี่โรงเราก็ทำไปตามประสาเรา ของเรานั้นต่างจากเขาหมด เราให้การศึกษาจริงๆ ไม่ได้เอามาหารายได้เลย เป็นการแสดงการให้พื้นฐาน

ไม่ต้องบอกเด็กเขาก็รู้ว่าเราให้เขาจะมีไหวพริบหรือไม่ก็ตามโตขึ้นเขาก็จะรู้ว่าเขาได้รับการให้ให้การศึกษาสัมมาสิกขาเป็นพื้นฐานถ้าถึงขั้นอุดมศึกษาเราให้ได้เราก็จะให้ แต่นี่เขาก็ให้เราทำแค่นั้น เราก็ทำเท่านั้น คนไทยก็ได้รับการศึกษาเช่นนี้ ทำให้แก่ประเทศเท่านี้

อาตมาภูมิใจว่าเราไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์ต่อประเทศ (ไม่ได้ทวงบุญคุณ แต่พูดถึงความจริงให้ฟัง

เด็กที่มาศึกษาที่นี้ขอให้ตั้งใจศึกษาเอา หลวงปู่ตั้งอกตั้งใจจะให้พวกเราได้รับความรู้ได้รับธรรมะใส่ตนเองไปเอาไว้ต่อสู้ชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ก็อยากจะเตือนว่าให้พยายามศึกษาปฏิบัติให้ดีถ้าหลวงปู่จะบอกว่าการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนจากที่นี่หลวงปู่ขอยืนยันว่าที่นี่ตั้งใจให้ความรู้ให้ศิลธรรมให้ธรรมะแค่ชีวิตของพวกเราเพราะเราจะตั้งใจเอาตั้งใจรับได้เท่าไรก็ทำก็รับไปเถอะ ที่นี่ตั้งใจให้จริงๆไม่ได้มีอะไรแอบแฝงซับซ้อนเชิงซ้อนที่จะเห็นแก่อย่างใด

สอนมาก็ไม่ได้เรียกร้องว่าเด็กจบไปแล้วจะต้องมาชดใช้บุญคุณต้องมาช่วยเหลือสังคมชาวอโศกทดแทนบ้างก็ไม่เคยไปกล่าวอย่างนั้น เกรงใจเต็มทีแต่จริงๆเราก็ต้องการนะ เราต้องการเด็กๆที่จบออกไปแล้วจะอยู่ที่นี่เราก็ยินดี เดี๋ยวนี้สังคมชาวอโศกเราก็พอที่จะเกื้อกูลกันได้ เรียนจบมอหกแล้วจะเรียนอุดมศึกษาเราก็ยังไม่มี

ผู้ที่เรียนจบมอหกสัมมาสิกขาแล้วจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยภายนอก เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ปริญญาตรีหรือจะต่อปริญญาโทถ้าคณะกรรมการชุมชนเห็นควรให้เรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกที่นี่ก็พอมีทุนให้เรียนต่อได้ แต่ต้องอยู่ที่นี่นะไม่ใช่อยู่ที่บ้านแล้วส่งให้เรียนไม่เอาอยู่ที่นี่ถ้าใครจะเรียนก็เรียนไปช่วยกันทำมาหากินช่วยกันไป เมื่อเรียนจบปริญญาตรีแล้วจะไปไหนอีกก็ไม่มีปัญหาอะไรเดี๋ยวนี้เราก็พอได้อยู่ก็บอกให้ทราบ อาตมาว่าพอเป็นไปได้ เด็กๆถ้าสนใจไม่อยากจะออกจากที่นี่ จะเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยต่อก็ได้ อยากให้เป็นเช่นนี้ อโศกเราก็พอหมุนเวียนมีทุนรอนพอส่งเสียได้ แม้เราไม่มีมหาวิทยาลัยเอง นี่ก็บอกให้ทราบ

นี่เป็นเจตนารมย์ พวกเราอยู่ในสังคมไทย มีจุดมุ่งหมาย ประพฤติเช่นไรในสังคม ชาวอโศกต้องการอยู่กับสังคมไทยอย่างเป็นประโยชน์ต่อกันและกันในคนไทยในสังคมไทย สร้างสรรค์เสียสละ นอกนั้นเราก็อยู่มีชีวิตทำงานการทำอาชีพร่วมกันเป็นกลุ่มหมู่เป็นสังคม เราทำได้สำเร็จแล้วอยู่ในสังคมไทย พี่จะมีหลักการให้คนเป็นแบบนี้ได้เอาทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้ามาเป็นต้นทาง

 

_เด็กถามมาว่าทำไมเวลาของคนเราถึงมีไม่เท่ากันค่ะ บางคนอายุแค่ 10 ปีหรือ 30 ปีก็ตาย ในเวลาคืออะไรคะ? ทำไมคนเกิดมาย่อมไม่เท่ากันตายไม่เท่ากันเวลาของอายุไม่ใช่เวลาในแต่ละวัน

ตอบ...เวลาคือสิ่งที่ยืนยาวต่อไปของโลกของสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่แล้วคนเกิดมาในโลกก็เลยมาอยู่ในการละเวลาเพราะคนเกิดมาพบคนนี้ก็เริ่มต้นมีชีวิตในเวลาเพราะเกิดมาแล้วไม่ตายก็เลยมีอายุ คนเกิดมาก็มีอายุไม่ใช่เวลาแต่จะไปนับตามเวลาของอายุ คนเกิดมาทุกคนก็ไปเจอเวลาเพราะเราเกิดมาพบชีวิตก็นับ 1 โรงเรียน

1 วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมง 1 เดือน 1 ปี หลายปี ถ้าเราไม่เกิดมาเราก็ไม่เกี่ยวกับเวลา แต่พอเกิดมาแล้วก็เกี่ยวกับเวลาแล้วเป็นอายุ ที่สำคัญคือแต่ละอายุของเราเราก็เจริญเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆชีวิตของเรามีประโยชน์หรือไม่ ในเวลาอายุที่ยาวขึ้นเราเกิดมาแล้วเรามีประโยชน์แก่ตนประโยชน์แก่ผู้อื่นแก่สังคมหรือไม่ อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ สังคมไหนที่เจริญและมีปัญญาแล้วจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ต้องมีประโยชน์อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นคนที่ถ่วงสังคมเป็นภาระแก่สังคม

การถ่วงและเป็นภาระแก่สังคมคือทำอะไรไม่เป็นไม่สร้างสรรค์อะไร เลี้ยงตนเองไม่รอดนั่นแหละคือความถ่วงสังคมหากินเองทำกินเองไม่คุ้มกับตัว หนังสือถ่วงสังคมมากกว่านั้นนอกจากหากินเองไม่คุ้มตัวเองแล้วมีพฤติกรรมทำลายมีพฤติกรรมผลาญ ทำความเสียหายให้แก่สังคมประเทศชาติอีกด้วยคนอย่างนั้นคือคนเลวคนชั่วเลี้ยงตนเองไม่รอดเป็นภาระสังคมก็ถือว่าไม่เจริญหรือชั่วอยู่บ้างแล้วแต่ยิ่งทำลายสังคมก็ยิ่งชั่วหนัก

เราต้องเป็นคนที่ 1 เลี้ยงตนเองคุ้มสัตว์เดรัจฉานทุกตัวมันไม่มีใครเลี้ยงใครเมื่อโตขึ้นมาจะมีพ่อแม่ของสัตว์เดรัจฉานที่เลี้ยงตอนเด็กจนโต พอโตแล้วพ่อแม่ก็ไม่เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นเดรัจฉานชนิดไหน คนก็เช่นกันเมื่อตอนเด็กก็ให้พ่อแม่เลี้ยงก่อนแต่พอโตแล้วก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้พึ่งตัวเองได้ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะแพ้สัตว์เดรัจฉาน เลี้ยงตัวเองไม่รอดแพ้ให้แก่สัตว์เดรัจฉานเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ชาวอโศกจึงพยายามสอนสิ่งที่เลี้ยงตัวเองให้รอดเป็นอาชีพเป็นการงาน แต่ถ้ามีแต่ความรู้แล้วทำอะไรไม่เป็นมันไม่ไหวหรอกเดี๋ยวนี้ก็คงจะได้ยินว่าจบสิ้นยาออกมาแล้วเป็นไงตกงานหางานไม่ได้จบปริญญามาแล้วหางานไม่ได้เพราะทำงานไม่เป็นคนไม่อยากรับ โดยเฉพาะทำงานเองของตัวเองไม่เป็นต้องไปพึ่งพาบริษัทต้องไปพึ่งพาห้างร้านหรือรัฐบาลเป็นมนุษย์เงินเดือน อย่างนี้เป็นความล้มเหลวของการศึกษาอย่างหนึ่ง

การศึกษาเด็กจบไปแล้วต้องเลี้ยงตัวเองรอดจริง เด็กๆของชาวอโศกขอยืนยันว่าเขาไปรอด แล้วเก่งกว่าเด็กที่เรียนตามที่เขาเรียนกันข้างนอกเขายืนยัน อันนี้เราคำนึงมากกว่าเด็กจบจากที่นี่จะต้องทำงานเป็นเลี้ยงตัวเองรอดให้ได้ถ้าจบมอหกแล้ว ทำกินทำใช้เป็น สอนให้เลยจริงๆนอกจากเด็กที่ไม่เอาถ่านแต่ถึงจะไม่เอาถ่านอย่างไรก็ได้พวกเราสอนจริงๆ

การศึกษาทุกวันนี้จึงบอกต้องจบมอหกจบปริญญาตรีแท้แท้ก็ไม่รู้จะทำอะไรหางานทำไม่ได้ตกงานเลี้ยงตัวเองไม่รอด มีเยอะเลย แต่เด็กของชาวอโศกไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรมากมาย ช่างเด็กมา 20 กว่าปีแล้วไม่เห็นจะเป็นเด็กที่เดือดร้อนไม่มีงานทำ มีงานของตนเองหรือที่อื่นอยากจะได้เขาหาเลยนะเด็กอโศก

การศึกษาของรัฐบาลอาตมาอยากจะให้คำนึงถึงจุดนี้ว่าทำอย่างไรให้เด็กทำงานเป็นเด็กจบมอหกอายุตั้งเกือบ 20 ปีแล้วหรือจบปริญญาตรีกลับทำงานไม่เป็นพึ่งพาตัวเองไม่รอดต้องอาศัยไปทำงานกับที่อื่นเป็นลูกน้องเขา ก็ไม่เกิดงานไม่เกิดการสร้างสรรค์ หรือไปเป็นข้าราชการก็ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรมากไปช่วยการบริหารสังคมก็จะมีประโยชน์บ้าง แต่ควรจะมาสร้างสรรค์มาผลิตมากกว่า

ถ้าจบออกมาแล้วมีความฉลาดเฉลียวแกมโกงแล้วอยู่เหนือพวกที่ทำงานเป็นกรรมกรที่เป็นผู้ทำจริงอย่างนี้ไปไม่รอด

 

_กราบนมัสการค่ะท่าน ฝากคำถามนะคะ

กราบนมัสการพ่อครูค่ะ

ลูกเห็นความทุ่มโถมเอาใจใส่ในการดูแลเด็กนักเรียนของท่านส.ฟ้าไท ส.มือมั่น และท่านอื่นๆ(เห็น 2 ท่านนี้บ่อยกว่า)รู้สึกว่าเด็กๆที่นี่มีวาสนา บารมีมากนัก มีคุณครูผู้สอนเป็นถึงระดับพระอาริยะ ซึ่งคงหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่อยากทราบว่าเด็กๆจะรู้สึกซาบซึ้งเหมือนลูกไหม?

เพราะถึงเวลาเรียน ยังต้องให้สมณะมาตามไปเรียนถึงที่พัก ซึ่งลูกเห็นแล้วก็สะท้อนใจ ถ้าเป็นลูกคงจะมีผิด บาปติดตัว ชดใช้ท่านไม่หมดแน่ๆ เสมือนท่านมารับภาระในเรื่องที่เราเผิน ปล่อยปละ ละเลย ลืมหน้าที่ของการเป็นนักเรียน ลองคิดเล่นๆว่าถ้าเป็นเราจะทำหน้าที่ได้ขนาดนี้ไหมหนอ? กราบขอบพระคุณพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และคุรุทุกท่านที่เสียสละอย่างสูงค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ...ไม่ได้เป็นเรื่องจ้างมานะสมณะก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างมาเป็นครูที่มาเอาภาระ แม้แต่ฆราวาสที่จะบรรจุหรือไม่ก็มาเอาภาระยังไม่ได้จ้างด้วยเงินทองอะไรเลยไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้มีเงินเก็บ สอนฟรีช่วยเลี้ยงดูเด็กฟรี อาตมาภูมิใจที่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้เรียนรู้ประพฤติแล้วก็ได้มาเป็นคนที่ช่วยสังคมแบบนี้มาร่วมมือกับอาตมาแล้วก็ช่วยกันทำไปไม่ได้เคี่ยวเข็ญนะเรื่องของการศึกษาพบครูก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญพวกเขาอาตมาได้แต่ขอบคุณ มาช่วยกันมาจนถึง 20 กว่าปีแล้วสิ่งเหล่านี้เด็กๆฟังแล้วเข้าใจแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ฟังดีๆนะถ้าพวกเราพ่อแม่ได้จ่ายเงินแล้วให้เปิดเรียนโรงเรียนอื่นๆ โรงเรียนเขาก็ต้องสอนเพราะเขามีเงินได้นั่นก็ต้องสอนก็เป็นการได้การศึกษาตามข้างนอก แต่ที่นี่ไม่ใช่มันต่างกันในแนวละเอียดลึกซึ้งๆอย่างนี้เด็กๆควรจะต้องคิดให้ดีๆ ว่านี่เป็นสิ่งประเสริฐของน้ำใจ เพราะฉะนั้นเด็กๆเอง ก็ควรจะรู้ว่าผู้ใหญ่ท่านมีน้ำใจแก่เรา เราก็ควรจะตอบแทนมีน้ำใจกับท่านบ้าง นี่ไม่ได้หมายความว่ามานั่งทวงบุญทวงคุณอะไร แต่พูดถึงสัจจะให้ฟังเด็กๆพยายามสำนักงานนี้บ้างว่า ที่นี่เจตนาอย่างไม่มีอะไรแอบแฝงเจตนาจะสร้างสรรค์ให้พวกเราได้รับความรู้ได้รับธรรมะเป็นคนดีในสังคมไม่เป็นภาระแก่สังคมเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ

_คำถามจาก นร. ....รักษ์น้ำรักษ์ป่า รักษ์สัตว์ รักษ์พลังงาน แค่คนเดียวไม่คุยกับเรา ทำไม รู้สึก “เหงา” เหมือนคนทั้งโลกไม่ยอมคุยกับเราด้วยล่ะครับ

ตอบ...โอ้โหไปหลงใหลได้ปลื้มกับคนคนเดียว แล้วคนคนเดียวคนนี้ผู้หญิงหรือเปล่าชักจะยังไงแล้ว ดูยังไงยังไงอยู่นะ ถ้าเป็นผู้หญิงแล้วโรคเกิดแล้ว โลกแห่งความปฏิบัติสัมพันธ์ทางเพศ ทางมีความรักทางเชิงผู้ชายผู้หญิงเกิดขึ้นแล้ว อาการอย่างนี้มีได้สารพัด แม้แค่คนเดียวไม่พูดกับเราทำไมรู้สึกเหงาเหมือนคนทั้งโลกไม่พูดกับเราเลยดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน ฟังแล้ว

อย่าบ้าหน่อยเลย อะไรกันนักกันหนา จะไปรู้สึกคลั่งไคล้อะไรนักหนา แล้วเราอยู่ในวัยเรียนด้วย ก็ให้ถอนตัวออกมานี่แหละกำลังพวกผีกิเลสราคะครอบงำแล้ว ไม่เอา ตั้งใจใส่ใจให้ดีอย่าเพิ่งไปวุ่นวายเรื่องเหล่านี้มันก็เกิดได้กับเราเราก็รู้มันแล้วก็แก้ไขอย่าไปทำเช่นนั้นพักไว้ก่อน อย่าไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้น กลายเป็นคนอารมณ์เสียเสียงานเสียการเสียอะไรไปหมดเลย เหลวไหล ไปถามผู้ใหญ่กว่าจะแก้ไขอย่างไรดี

 

 

_เวลาทำดี ทำไมเขาไม่เห็นความดีของเราเลยได้เวลาทำให้ดีเขาเห็นจังเลย

ตอบ...ขอให้เราทำดีให้จริงเถอะทำดีแล้วใครไม่เห็นไม่เป็นไร แล้วการทำไม่ดีแล้วคนอื่นเขาเห็นนี้จะดีแล้ว เขาจะได้ตำหนิจะได้ท้วงจะได้ชี้จะได้บอกเพราะความไม่ดีอยู่กับเราวินาทีเดียวมันก็ไม่ดี ความไม่ดีนี้อยู่กับเรานานไม่ได้ มีคนเห็นคนรู้คนรีบบอกนั้นดี ส่วนความดีของเรานั้นทำไปเถอะทำดีแล้วเป็นกรรมวิบากของเราสั่งสมเป็นของเราเลย เป็นกุศล ไม่ต้องกลัว ทำดีไปเถิดใครไม่เห็นก็ไม่เป็นไรไม่ต้องมีใครรู้ไม่ต้องมีใครรับดี

แต่ถ้าความไม่ดีแล้วคนอื่นเค้าเห็นแล้วรีบทักท้วงเราก็ต้องรีบขอบคุณเขา

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:41:09 )

590714

รายละเอียด

590714_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สำนึกสัมมาสิกขา

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม 2559 วันนี้ก็มีเด็กนักเรียนมานั่งเรียนในห้องเรียนนี้ด้วยทุกวันพฤหัสบดี เด็กๆก็ตั้งใจฟังในชุมชนนี้ทั้งหมู่บ้านปฏิบัติธรรมทั้งสิ้นมีศีล 5 กันเป็นหลักละเมิดไม่ได้ทุกคนต้องปฏิบัติประพฤติใน 3 หลักใหญ่ของทุกชุมชนชาวอโศกคือ

1 ไม่กินเนื้อสัตว์

2 ไม่มีอบายมุข

3 ถือศีล 5

นี่เป็น 3 เกณฑ์หลัก ของสังคมชาวอโศก ที่นี่เป็นหมู่บ้านเปิดไม่ใช่หมู่บ้านปิดบางคนเข้าใจว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านปิดมีแต่ชาวอโศกเท่านั้นไม่ใช่เลย ชาวอโศกไม่ได้ปิดกั้นใครจะเข้ามาร่วมปฏิบัติอยู่ในนี้ก็ได้ เข้ามาสอดแนมค้นหาว่ามีอะไรซุกซ่อนผิดพลาดอยู่ในชุมชนก็มาได้เลยใครเข้ามาตรวจสอบมาศึกษาฝึกฝนหรือจะสืบค้นอะไรก็ได้ ก็ยินดีไม่มีปัญหาอะไร

มาอยู่แล้วก็มีข้าวให้กินก็ร่วมช่วยกันไปทำมาหากินไม่ใช่อยู่อย่างขี้เกียจขี้คร้านหรืองอมืองอเท้าไม่ทำมาหากินอะไร เราทำมาหากินตามสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะ

เป็นคนที่ตั้งใจเอาหลักสูตรของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีพุทธศาสนิกชนถึง 95 เปอร์เซ็นต์ที่นับถือศาสนาพุทธกันจึงไม่ขัดข้องอะไรที่จะเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติให้เกิดจริงเป็นจริงบรรลุจริงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเลยให้เราตั้งใจอย่างนั้น

ซึ่งความรู้นั้นออกจากความคิดของประชาชนไม่ได้แต่เราเอาจากพระไตรปิฎกที่นับถือกันทั้งโลกที่เป็นทฤษฎีหลักเป็นธรรมนูญหลักเป็นกฎเกณฑ์หลักเป็นคำสอนหลักของพระพุทธองค์ อันนี้เป็นโชคดีของประชาชนจริงๆ แต่ศาสนาพุทธกระแสหลักในเมืองไทยเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปตรงกันข้ามเลยแล้วกลายเป็นผู้มีอำนาจยึดถือว่าตนถูกต้องแต่แท้จริงไม่ถูกต้องประชาชนก็เลยจำเป็นจะต้องเอาตามอันนี้เป็นความน่าสมเพชเวทนามากเป็นเรื่องที่น่าสงสารประชาชนพุทธศาสนิกชนชาวพุทธ

อาตมาพยายามอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็กนักเรียนให้ได้รับความรู้ทางธรรมรับความรู้ทางศาสนาพุทธ เขาตอนนี้ได้ยินไปแต่อาจไม่เข้าใจ แต่ว่าก็ได้บันทึกไว้ในความจำไว้แล้ว ต่อไปถ้าถึงเวลาต้องใช้ก็จะได้เอาออกมาใช้ได้

ก็ขอเอา sms มาอ่านเสียก่อน

Sms 13 ก.ค. 59

0833208xxx  ไฉนจะต้องรีบเร่งจะให้มีการแต่งตั้งองค์สังฆราชกันนัก(ลองถามใจตัวเองก่อนว่าบริสุทธิ์ดีแล้วหรือ)ครั้งนี้ดูไม่ปกติมากๆเหมือนมีอะไรซ่อนเร้นแอบแฝงลับลมคมนัยเพื่อให้ทันการเรื่องใหญ่บางอย่างในขณะนี้และการใหญ่ข้างหน้าอาจใช่กระมัง 

ตอบ...อาตมาไม่รู้จริงๆว่าทำไม ก็ขอผ่านไป ไปถามคนที่เขาน่าจะรู้นะ ก็พอรู้อย่างประมาณ ปริยายเอาว่า มันมีคดี มีปัญหา ถ้าเขาได้รับอำนาจก็จะได้จัดการได้ ก็เข้าใจได้แค่นี้ ก็เลยรีบเร่งกัน จะผิดหรือถูกอาตมาก็เห็นเช่นนี้นะ

0893867xxx  พ่อครูสอนตรงใจ!ใครทำอะไรก็ตามมีการกระทำดีชั่วต้องรับผลวิบากเป็นของตน!คนก่อกรรมก็เป็นทายาท รับมรดกกรรมทั้งหมดเมื่อนั้น!แบ่งใครไม่ได้จริง!

ตอบ...อาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้า

0893867xxx  งานศิลป์หน้าไร่ผู้น้อยถูกมือดีทุบจนแตกร้าว!ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะโกรธ!แต่ขณะนี้เพ ราะพ่อครูสอนให้ทำใจในใจ!กรรมชั่วอยู่ที่คนทุบ!กรรมดีอยู่ที่คนระงับโกรธ!อโหสินะพ่อมรึง!

ตอบ...อย่างเรานี่คนมารังแกเราเรื่องที่ดิน เราซื้อที่ดินจากกองบังคับคดี เราก็ซื้อมาแล้วใช้ แล้วก็มีคนท้วงว่าเราบุกรุกที่สาธารณะ ก็เลยมีการวัดที่กัน วัดแล้วเราก็ไม่ได้บุกรุกอะไร จริงๆ ตัวผู้อื่นด้วยซ้ำที่รุกที่สาธารณะ แล้วฟ้องร้องกันก็เป็นเรื่องยาวนาน ขึ้นศาลกัน แต่วันนี้แล้วก็ศาลก็ตัดสินให้จบแล้ว เขาจะฟ้องร้องไม่ได้อีกแล้ว ถึงขั้นฏีกาไม่ได้แล้วก็จบ หมดสิทธิ์ก็นานปีเลยทีเดียว เราก็ถือเป็นวิบากของเรา ใครทำกรรมอะไรก็เป็นกรรมของเขา คนมาบุกรุกก็คนต่างศาสนาของเรา เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ยอมไป เราทำเท่าที่ถูกต้องได้ ก็เป็นเรื่องรังแกกันคุณที่ถูกรังแกก็เป็นวิบาก หากอดทนไม่ได้ก็ฟ้องร้องไป หากอดทนได้ก็ได้ใช้หนี้วิบากไป

0893867xxx  กราบขออภัยสณ.ที่ใช้คำ ไม่สุภาพแบบสมัยพ่อขุนรามคำแหง! 0893867xxx  กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.หุตังสมานจิตไม่ให้แตกร้าวตามวัตถุที่ถูกทุบ!ด้วยการปฏิบัติในภาวะเป็นจริงที่มีจริงด้วยพลังมนสิการทำลายอกุศลจิตให้หมดสิ้นไปได้สาธุ!

0811203xxx  เวลาที่พ่อครูอธิบายธรรมแล้ว Action ยกมือยกไม้มีท่าทางประกอบ ไม่เห็น จะแปลกตรงไหนเลยค่ะ เป็นอวัจนะภาษาเมื่อชมและฟังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน และสนุกในการฟังธรรม ที่สำคัญเป็นการออกกำลังกายที่มีสาระไปในตัวด้วยค่ะ 

ตอบ...ถ้าเข้าใจบริบทความหมายต่างกันก็เข้าใจไม่ตรงกัน การสงบนั้นถ้าเขากำหนดว่า การแสดงธรรม

0833208xxx  โอ้ละหนอ! ทำบุญหมดตัวเพราะใจเจ้าหลงรูปงามภายนอกหน้าหยกขาวผ่องดั่งไข่มุกสุดเวรมหาบรรลัยจริงหนอ (คำจริงไม่หวาน คำหวานไม่จริง) 

 

0893867xxx  ขอบคุณบุญนิยมกับธ.พพจ .สุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโกโดยพ่อครูฯจรธ.

มีคนส่งข่าวเชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า และฟังวิถีอาริยธรรมจากพ่อครู

ครั้งที่ 12 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 15 - อาทิตย์ที่ 17 กรกฏาคม 2559

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือโทรฯ คุณชญาดา 087-4437865 ดีแทค หรือเบอร์แคท 085 0155390

ดาวโหลดใบสมัครส่งใบสมัคร onlineได้ที่เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP

 

คนมาไม่มากแต่เราไม่ประโคมอะไร เราต้องการคนเข้าใจดีที่จะมาร่วมกัน เราทำงานมา 40​กว่าปีแล้ว

ชาวอโศกไม่กรูเกรียว ไปฝืดๆช้าๆ แต่แน่น อาตมามีเจตนาเลยว่า

เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น (ไม่เร็วไม่ว่าลากกันไปไม่ว่า) เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น (เราต้องการความจริงไม่ทำอย่างหลวมๆแค่นๆ) เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง (เราเน้นแก่นกันชัดๆ) ทุกวันนี้ได้ผลที่น่าพอใจ ได้ผลของจริง รวมตัวกันปึกแผ่น เป็นแก่นแกนได้ ได้ปลูกฝังแก่นแกนนี้แล้ว จะดำเนินไปได้ จะไม่หลวมไม่เปลือกไม่เลอะอะไร นี่คือจุดประสงค์

ใครจะไปหว่านกว้างๆเยอะเละๆ อาตมาไม่เอา คนละเป้าประสงค์วิธีการ

ใครมาเข้าค่ายจะได้คบคุ้นกับวิถีชุมชน ไม่ใช่เอาเข้าห้องนั่งสมาธิไม่รู้เรื่องรอบตัวเลยไม่ใช่ ของเรามี อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ มีหมด

ก็คงจะบรรยายมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ ไม่ได้ลึกต่อเพราะวันนี้มีเด็กมาฟัง

ก็มาบรรยายเรื่อง ทาน

เด็กๆเข้าใจเรื่องทาน คืออะไร...เด็กตอบว่า ทานคือการให้ สำคัญนะการให้ เป็นเรื่องย่ิงใหญ่ของมนุษยชาติ คนทุกคน ถ้าผู้ใดมีจิตใจให้หรือสละออกเป็นความยิ่งใหญ่ใจที่ไม่ยึดถือหวงแหนเป็นของตัวของตนเกินไปมีจิตใจเสียสละให้แก่คนอื่นได้สังคมที่มีคนชนิดนี้อย่างจริงใจสังคมนั้นจะสบายไม่แก่งแย่งไม่พร้อมจะอยู่กันอย่างสงบสบายดีอย่างไร

สังคมอโศกเป็นสังคมแห่งการให้แม้แต่แรงงานเราทำได้แล้วเราก็เอาให้แก่กองกลางหมดเลย เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งที่สามารถเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสอนพวกเราให้ปฏิบัติมีจิตใจลดละไม่ยึดถือหวงแหน เป็นผู้ให้สามารถทานเอาออกจากตัวเองได้ ให้แก่ผู้อื่นได้ เราทำได้มา กว่าสี่สิบปี แล้วดีขึ้นอย่างชนิดเนียนใน เป็นความประสพผลสำเร็จของธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ

สามารถทำสาธารณโภคีได้ถึงฆราวาส ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สมัยพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้ถึงในวงการของฆราวาสเพราะไม่ใช่ยุคประชาธิปไตยคนไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน และเป็นยุคของทาสเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่ยุคนี้เป็นยุคอิสระเสรีภาพเป็นยุคของประชาธิปไตยให้สิทธิมนุษยชนทำได้

ผ่านมา 20 กว่าปีแล้วที่เราเอาเด็กมาอบรมฝึกฝนเป็นโรงเรียนเป็นโรงเรียนโดยนิตินัยออกใบรับรองสากลได้ เราเลี้ยงกันอย่างให้ ไม่ใช่เลี้ยงหรือทำโรงเรียนเพื่อหารายได้จากนักเรียนจากผู้ปกครองนักเรียนเป็นรายได้เลี้ยงชีพเป็นอาชีพเป็นโรงเรียนอาชีพเราไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่เราเปิดโรงเรียนนี้เพื่อสร้างเยาวชนให้แก่ประเทศชาติ ท่านได้รับความรู้ตามหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะทำ ที่จะต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนในประเทศเราก็แบ่งเบาจากรัฐบาลมาเราเป็นโรงเรียนเอกชน ที่ช่วยรัฐบาลในการให้การศึกษาแก่เด็กตามปรัชญาของเรา เป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้เก็บค่าเรียนหรือค่ากินค่าอยู่ มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็เอาให้ใช้ไม่ให้มีเงินมีทองมาใช้ในนี้

เราสร้างเด็กอย่างนี้ลักษณะอย่างนี้เป็นจิตวิญญาณของผู้ให้ เคยเข้าใจเนื้อหาเป้าหมายว่าให้อะไรให้ความเจริญเป็นประชาชนคนไทยที่มีความดีงามมีความรู้ความสามารถและมีหลักเกณฑ์ในการศึกษาใช้ศัพท์ว่าศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา

ศีลเด่นก็คือคุณงามความดี สอนให้เป็นงานแต่เด็กนักเรียนทุกวันนี้ไม่ได้รับการสอนให้ปัดกวาดเช็ดถูซักเสื้อผ้าทำอาหารช่วยเหลือตัวเองพื้นฐานเป็น แต่เราสอนให้เขาทำเป็น แม้แต่การงานที่เลี้ยงชีพได้ที่เรามีฐานงานอยู่ในหมู่บ้านชุมชนแต่ละแห่งเด็กคนไหนจะสนใจด้านไหนเราก็พาให้ศึกษาเรียนรู้ให้ร่วมรับรู้ได้ให้มีความเป็นงานต่างๆ ที่เป็นสัมมากัมมันตะ ส่วนวิชาการเราก็ให้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้บกพร่อง เราช่วยให้การศึกษาแก่เยาวชนและรัฐบาลรอทำอย่างนั้นจริงๆด้วยเจตนาอย่างนั้นว่าเปิดทำไมตั้งแต่ต้นเพราะอาตมาเห็นว่าการศึกษาของส่วนใหญ่ทั้งหมดมันบกพร่องมันล้มเหลว เพราะว่าเป็นการศึกษาที่คนให้ได้รับการศึกษาแล้ว ไม่ดีเท่าให้เขาศึกษาตามธรรมชาติ พ่อแม่พี่น้องเขาให้การศึกษาตามธรรมชาติอย่างนั้นดีกว่า ด้วยซ้ำไป

ประวัติเขาจะเข้าใจสังคมมีศีลมีธรรมมีความเป็นบ้านวัดโรงเรียนเช่นเรียนโรงเรียนโฮมสคูลเป็นต้น ในสังคมโลกเห็นว่าวิชาการไม่พอก็เลยเอาไปหาทางอัดความรู้วิชาการให้ แต่เรื่องของสังคมเรื่องของกิจการงานสังคมของพ่อแม่สังคมที่เขาอยู่ร่วมด้วยเขาไม่ชำนาญ ไม่ค่อยจะได้สัมพันธ์เขาก็เอาเวลาไปอยู่ในกล่องในห้องเรียน บางทีก็ให้ไปห้องเรียนที่ไกลออกไปมากแต่ตอนนี้เขาก็พยายามปรับให้เรียนในท้องถิ่น ซึ่งมันก็ไม่พอหรอก

อาตมาเห็นความบกพร่องอันนี้จึงพยายามปรับมาให้เด็กมาเรียนก็ให้รู้จักพื้นภูมิของสังคมที่ตนเองอยู่แล้วร่วมเรียนรู้ร่วมงานร่วมการรวมกิจการอย่างเป็นธรรมชาติ การศึกษาวิชาการตามหลักสูตรเขาก็ไม่ให้บกพร่องเด็กของเราจบจากเราไปแล้วไปสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นข้างนอกก็สามารถเข้าเรียนต่อได้ แต่เขาได้แถมศิลธรรมความเป็นงานต่างๆจากสัมมาสิกกขาไปด้วย จะได้มากเลยได้น้อยก็ตาม

แล้วเราไม่รับกลางทางเรารับมาตั้งแต่เข้ามอหนึ่งใหม่ใกล้จะจบม. อื่นมาจะมาเข้าก็เร่ิมที่ม.1 ใหม่ ไม่เช่นนั้น จะศีลไม่เสมอสมานกัน ผู้ใดจะมาเข้าที่นี่ก็ต้องเร่ิมม.1 แต่ประถมก็อนุโลมบ้างแต่มัธยมต้องมาเร่ิมม.1 เท่านั้น

 

การศึกษาใดถ้าขาดธรรมะการศึกษานั้นเป็นการศึกษาที่พิการ เพราะถ้าได้เพียงแค่ความรู้แต่ขาดศีลธรรมความรู้นั้นจะกลายเป็นศาสตราวุธเป็นอาวุธที่เอาความรู้นั้นไปกดขี่ข่มเหงไม่มีศีลธรรมจะใช้ความรู้ที่ขาดศีลธรรมนั้นเพราะไม่มีเครื่องกำกับอะไร แม่จะเก่งกว่าเขาฉลาดกว่าเขาแต่ก็ขาดคุณธรรมขาดศีลธรรมก็คือเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้หนักหนามากขึ้น ไม่ได้เรียนรู้ที่จะลดละความโลภความโกรธความหลง ถึงมีจิตใจที่หลงแต่ความรู้ใช้ความรู้เป็นอาวุธเอาชนะคะคานคนอื่นสังคมจึงล้มเหลว

ภาคการศึกษาขาดศีลธรรมขาดธรรมะโดยเฉพาะศาสนาพุทธก็จะบรรลัย ประเทศชาติจะบรรลัย อย่างศาสนาอิสลามเขาเรียนไปพร้อมเลยหนักไปทางศาสนาด้วยซ้ำไป ของศาสนาคริสต์ก็ยังพอมี แต่ของไทยนั้นทิ้งศาสนาเลยนี่คือความเสื่อมความสูญเสียของสังคมศาสนาพุทธของเมืองไทย

แล้วจะมาเรียกร้องว่าทำไมประเทศมีแต่ความคอร์รัปชั่นความขี้โกงก็คือผู้บริหารประเทศทำกันมานั่นแหละเพราะขาดศีลธรรมจึงทุจริตขี้โกงโกหกอย่างที่เห็นกันอยู่นี้จะไปโทษใครก็ต้องโทษความสืบเนื่องมาจากความผิดพลาดที่เอาธรรมะออกจากการศึกษา ไปหลงการศึกษาแต่ศาสตร์อย่างเดียว

เราทำมา 20 กว่าปีแล้วก็ไม่ช้ามากทีเดียว แต่ก็มีคนได้รับการศึกษาของเราไปน้อย เราเป็นรร.เล็ก รร.คนจน นร.ไม่มาก บางรร.มีนร.ไม่กี่สิบคน แต่รร.ที่มีนร.เป็นร้อยคนก็มีไม่กี่โรงเราก็ทำไปตามประสาเรา ของเรานั้นต่างจากเขาหมด เราให้การศึกษาจริงๆ ไม่ได้เอามาหารายได้เลย เป็นการแสดงการให้พื้นฐาน

ไม่ต้องบอกเด็กเขาก็รู้ว่าเราให้เขาจะมีไหวพริบหรือไม่ก็ตามโตขึ้นเขาก็จะรู้ว่าเขาได้รับการให้ให้การศึกษาสัมมาสิกขาเป็นพื้นฐานถ้าถึงขั้นอุดมศึกษาเราให้ได้เราก็จะให้ แต่นี่เขาก็ให้เราทำแค่นั้น เราก็ทำเท่านั้น คนไทยก็ได้รับการศึกษาเช่นนี้ ทำให้แก่ประเทศเท่านี้

อาตมาภูมิใจว่าเราไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์ต่อประเทศ (ไม่ได้ทวงบุญคุณ แต่พูดถึงความจริงให้ฟัง

เด็กที่มาศึกษาที่นี้ขอให้ตั้งใจศึกษาเอา หลวงปู่ตั้งอกตั้งใจจะให้พวกเราได้รับความรู้ได้รับธรรมะใส่ตนเองไปเอาไว้ต่อสู้ชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ก็อยากจะเตือนว่าให้พยายามศึกษาปฏิบัติให้ดีถ้าหลวงปู่จะบอกว่าการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนจากที่นี่หลวงปู่ขอยืนยันว่าที่นี่ตั้งใจให้ความรู้ให้ศิลธรรมให้ธรรมะแค่ชีวิตของพวกเราเพราะเราจะตั้งใจเอาตั้งใจรับได้เท่าไรก็ทำก็รับไปเถอะ ที่นี่ตั้งใจให้จริงๆไม่ได้มีอะไรแอบแฝงซับซ้อนเชิงซ้อนที่จะเห็นแก่อย่างใด

สอนมาก็ไม่ได้เรียกร้องว่าเด็กจบไปแล้วจะต้องมาชดใช้บุญคุณต้องมาช่วยเหลือสังคมชาวอโศกทดแทนบ้างก็ไม่เคยไปกล่าวอย่างนั้น เกรงใจเต็มทีแต่จริงๆเราก็ต้องการนะ เราต้องการเด็กๆที่จบออกไปแล้วจะอยู่ที่นี่เราก็ยินดี เดี๋ยวนี้สังคมชาวอโศกเราก็พอที่จะเกื้อกูลกันได้ เรียนจบมอหกแล้วจะเรียนอุดมศึกษาเราก็ยังไม่มี

ผู้ที่เรียนจบมอหกสัมมาสิกขาแล้วจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยภายนอก เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ปริญญาตรีหรือจะต่อปริญญาโทถ้าคณะกรรมการชุมชนเห็นควรให้เรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกที่นี่ก็พอมีทุนให้เรียนต่อได้ แต่ต้องอยู่ที่นี่นะไม่ใช่อยู่ที่บ้านแล้วส่งให้เรียนไม่เอาอยู่ที่นี่ถ้าใครจะเรียนก็เรียนไปช่วยกันทำมาหากินช่วยกันไป เมื่อเรียนจบปริญญาตรีแล้วจะไปไหนอีกก็ไม่มีปัญหาอะไรเดี๋ยวนี้เราก็พอได้อยู่ก็บอกให้ทราบ อาตมาว่าพอเป็นไปได้ เด็กๆถ้าสนใจไม่อยากจะออกจากที่นี่ จะเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยต่อก็ได้ อยากให้เป็นเช่นนี้ อโศกเราก็พอหมุนเวียนมีทุนรอนพอส่งเสียได้ แม้เราไม่มีมหาวิทยาลัยเอง นี่ก็บอกให้ทราบ

นี่เป็นเจตนารมย์ พวกเราอยู่ในสังคมไทย มีจุดมุ่งหมาย ประพฤติเช่นไรในสังคม ชาวอโศกต้องการอยู่กับสังคมไทยอย่างเป็นประโยชน์ต่อกันและกันในคนไทยในสังคมไทย สร้างสรรค์เสียสละ นอกนั้นเราก็อยู่มีชีวิตทำงานการทำอาชีพร่วมกันเป็นกลุ่มหมู่เป็นสังคม เราทำได้สำเร็จแล้วอยู่ในสังคมไทย พี่จะมีหลักการให้คนเป็นแบบนี้ได้เอาทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้ามาเป็นต้นทาง

 

_เด็กถามมาว่าทำไมเวลาของคนเราถึงมีไม่เท่ากันค่ะ บางคนอายุแค่ 10 ปีหรือ 30 ปีก็ตาย ในเวลาคืออะไรคะ? ทำไมคนเกิดมาย่อมไม่เท่ากันตายไม่เท่ากันเวลาของอายุไม่ใช่เวลาในแต่ละวัน

ตอบ...เวลาคือสิ่งที่ยืนยาวต่อไปของโลกของสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่แล้วคนเกิดมาในโลกก็เลยมาอยู่ในการละเวลาเพราะคนเกิดมาพบคนนี้ก็เริ่มต้นมีชีวิตในเวลาเพราะเกิดมาแล้วไม่ตายก็เลยมีอายุ คนเกิดมาก็มีอายุไม่ใช่เวลาแต่จะไปนับตามเวลาของอายุ คนเกิดมาทุกคนก็ไปเจอเวลาเพราะเราเกิดมาพบชีวิตก็นับ 1 โรงเรียน

1 วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมง 1 เดือน 1 ปี หลายปี ถ้าเราไม่เกิดมาเราก็ไม่เกี่ยวกับเวลา แต่พอเกิดมาแล้วก็เกี่ยวกับเวลาแล้วเป็นอายุ ที่สำคัญคือแต่ละอายุของเราเราก็เจริญเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆชีวิตของเรามีประโยชน์หรือไม่ ในเวลาอายุที่ยาวขึ้นเราเกิดมาแล้วเรามีประโยชน์แก่ตนประโยชน์แก่ผู้อื่นแก่สังคมหรือไม่ อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ สังคมไหนที่เจริญและมีปัญญาแล้วจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ต้องมีประโยชน์อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นคนที่ถ่วงสังคมเป็นภาระแก่สังคม

การถ่วงและเป็นภาระแก่สังคมคือทำอะไรไม่เป็นไม่สร้างสรรค์อะไร เลี้ยงตนเองไม่รอดนั่นแหละคือความถ่วงสังคมหากินเองทำกินเองไม่คุ้มกับตัว หนังสือถ่วงสังคมมากกว่านั้นนอกจากหากินเองไม่คุ้มตัวเองแล้วมีพฤติกรรมทำลายมีพฤติกรรมผลาญ ทำความเสียหายให้แก่สังคมประเทศชาติอีกด้วยคนอย่างนั้นคือคนเลวคนชั่วเลี้ยงตนเองไม่รอดเป็นภาระสังคมก็ถือว่าไม่เจริญหรือชั่วอยู่บ้างแล้วแต่ยิ่งทำลายสังคมก็ยิ่งชั่วหนัก

เราต้องเป็นคนที่ 1 เลี้ยงตนเองคุ้มสัตว์เดรัจฉานทุกตัวมันไม่มีใครเลี้ยงใครเมื่อโตขึ้นมาจะมีพ่อแม่ของสัตว์เดรัจฉานที่เลี้ยงตอนเด็กจนโต พอโตแล้วพ่อแม่ก็ไม่เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นเดรัจฉานชนิดไหน คนก็เช่นกันเมื่อตอนเด็กก็ให้พ่อแม่เลี้ยงก่อนแต่พอโตแล้วก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้พึ่งตัวเองได้ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะแพ้สัตว์เดรัจฉาน เลี้ยงตัวเองไม่รอดแพ้ให้แก่สัตว์เดรัจฉานเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ชาวอโศกจึงพยายามสอนสิ่งที่เลี้ยงตัวเองให้รอดเป็นอาชีพเป็นการงาน แต่ถ้ามีแต่ความรู้แล้วทำอะไรไม่เป็นมันไม่ไหวหรอกเดี๋ยวนี้ก็คงจะได้ยินว่าจบสิ้นยาออกมาแล้วเป็นไงตกงานหางานไม่ได้จบปริญญามาแล้วหางานไม่ได้เพราะทำงานไม่เป็นคนไม่อยากรับ โดยเฉพาะทำงานเองของตัวเองไม่เป็นต้องไปพึ่งพาบริษัทต้องไปพึ่งพาห้างร้านหรือรัฐบาลเป็นมนุษย์เงินเดือน อย่างนี้เป็นความล้มเหลวของการศึกษาอย่างหนึ่ง

การศึกษาเด็กจบไปแล้วต้องเลี้ยงตัวเองรอดจริง เด็กๆของชาวอโศกขอยืนยันว่าเขาไปรอด แล้วเก่งกว่าเด็กที่เรียนตามที่เขาเรียนกันข้างนอกเขายืนยัน อันนี้เราคำนึงมากกว่าเด็กจบจากที่นี่จะต้องทำงานเป็นเลี้ยงตัวเองรอดให้ได้ถ้าจบมอหกแล้ว ทำกินทำใช้เป็น สอนให้เลยจริงๆนอกจากเด็กที่ไม่เอาถ่านแต่ถึงจะไม่เอาถ่านอย่างไรก็ได้พวกเราสอนจริงๆ

การศึกษาทุกวันนี้จึงบอกต้องจบมอหกจบปริญญาตรีแท้แท้ก็ไม่รู้จะทำอะไรหางานทำไม่ได้ตกงานเลี้ยงตัวเองไม่รอด มีเยอะเลย แต่เด็กของชาวอโศกไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรมากมาย ช่างเด็กมา 20 กว่าปีแล้วไม่เห็นจะเป็นเด็กที่เดือดร้อนไม่มีงานทำ มีงานของตนเองหรือที่อื่นอยากจะได้เขาหาเลยนะเด็กอโศก

การศึกษาของรัฐบาลอาตมาอยากจะให้คำนึงถึงจุดนี้ว่าทำอย่างไรให้เด็กทำงานเป็นเด็กจบมอหกอายุตั้งเกือบ 20 ปีแล้วหรือจบปริญญาตรีกลับทำงานไม่เป็นพึ่งพาตัวเองไม่รอดต้องอาศัยไปทำงานกับที่อื่นเป็นลูกน้องเขา ก็ไม่เกิดงานไม่เกิดการสร้างสรรค์ หรือไปเป็นข้าราชการก็ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรมากไปช่วยการบริหารสังคมก็จะมีประโยชน์บ้าง แต่ควรจะมาสร้างสรรค์มาผลิตมากกว่า

ถ้าจบออกมาแล้วมีความฉลาดเฉลียวแกมโกงแล้วอยู่เหนือพวกที่ทำงานเป็นกรรมกรที่เป็นผู้ทำจริงอย่างนี้ไปไม่รอด

 

_กราบนมัสการค่ะท่าน ฝากคำถามนะคะ

กราบนมัสการพ่อครูค่ะ

ลูกเห็นความทุ่มโถมเอาใจใส่ในการดูแลเด็กนักเรียนของท่านส.ฟ้าไท ส.มือมั่น และท่านอื่นๆ(เห็น 2 ท่านนี้บ่อยกว่า)รู้สึกว่าเด็กๆที่นี่มีวาสนา บารมีมากนัก มีคุณครูผู้สอนเป็นถึงระดับพระอาริยะ ซึ่งคงหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่อยากทราบว่าเด็กๆจะรู้สึกซาบซึ้งเหมือนลูกไหม?

เพราะถึงเวลาเรียน ยังต้องให้สมณะมาตามไปเรียนถึงที่พัก ซึ่งลูกเห็นแล้วก็สะท้อนใจ ถ้าเป็นลูกคงจะมีผิด บาปติดตัว ชดใช้ท่านไม่หมดแน่ๆ เสมือนท่านมารับภาระในเรื่องที่เราเผิน ปล่อยปละ ละเลย ลืมหน้าที่ของการเป็นนักเรียน ลองคิดเล่นๆว่าถ้าเป็นเราจะทำหน้าที่ได้ขนาดนี้ไหมหนอ? กราบขอบพระคุณพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และคุรุทุกท่านที่เสียสละอย่างสูงค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ...ไม่ได้เป็นเรื่องจ้างมานะสมณะก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างมาเป็นครูที่มาเอาภาระ แม้แต่ฆราวาสที่จะบรรจุหรือไม่ก็มาเอาภาระยังไม่ได้จ้างด้วยเงินทองอะไรเลยไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้มีเงินเก็บ สอนฟรีช่วยเลี้ยงดูเด็กฟรี อาตมาภูมิใจที่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้เรียนรู้ประพฤติแล้วก็ได้มาเป็นคนที่ช่วยสังคมแบบนี้มาร่วมมือกับอาตมาแล้วก็ช่วยกันทำไปไม่ได้เคี่ยวเข็ญนะเรื่องของการศึกษาพบครูก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญพวกเขาอาตมาได้แต่ขอบคุณ มาช่วยกันมาจนถึง 20 กว่าปีแล้วสิ่งเหล่านี้เด็กๆฟังแล้วเข้าใจแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ฟังดีๆนะถ้าพวกเราพ่อแม่ได้จ่ายเงินแล้วให้เปิดเรียนโรงเรียนอื่นๆ โรงเรียนเขาก็ต้องสอนเพราะเขามีเงินได้นั่นก็ต้องสอนก็เป็นการได้การศึกษาตามข้างนอก แต่ที่นี่ไม่ใช่มันต่างกันในแนวละเอียดลึกซึ้งๆอย่างนี้เด็กๆควรจะต้องคิดให้ดีๆ ว่านี่เป็นสิ่งประเสริฐของน้ำใจ เพราะฉะนั้นเด็กๆเอง ก็ควรจะรู้ว่าผู้ใหญ่ท่านมีน้ำใจแก่เรา เราก็ควรจะตอบแทนมีน้ำใจกับท่านบ้าง นี่ไม่ได้หมายความว่ามานั่งทวงบุญทวงคุณอะไร แต่พูดถึงสัจจะให้ฟังเด็กๆพยายามสำนักงานนี้บ้างว่า ที่นี่เจตนาอย่างไม่มีอะไรแอบแฝงเจตนาจะสร้างสรรค์ให้พวกเราได้รับความรู้ได้รับธรรมะเป็นคนดีในสังคมไม่เป็นภาระแก่สังคมเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ

 

_ถ้าเด็กๆสัมมาสิกขาสอบติดเรียนวิทยาลัยข้างนอกที่นี่จะส่งเสียเรียนไหม

ตอบ...ถ้าสอบติดมหาวิทยาลัยที่แพงแพงเราก็ไม่สามารถส่งได้แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่ไม่แพงก็ส่งเสียได้

 

_ถ้าเราเบื่อเหนื่อยและท้อใจอยากทราบว่าจะทำอย่างไรถึงไม่ต้องเบื่อไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องท้อใจ

ตอบ...การเบื่อการเหนื่อยหรือการท้อใจเกิดจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วจะเบื่อจะเหนื่อยจะท้อใจยาก มันอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองถ้าอยากจะช่วยฉันก็ช่วยถ้าไม่อยากช่วยจะให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำก็เกิดความเบื่อเกิดความเหนื่อย เหนื่อยใจก่อนเลยท้อใจก่อนเลยไม่อยากจะทำเกิดจากความเห็นแก่ตัวกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ชอบก็จะเหนื่อยง่ายท้อง่ายเบื่อง่าย คิดให้ดี อยู่ที่นี่ สอนให้คนไม่เห็นแก่ตัว สอนให้เข้าใจว่าที่นี่พาทำสิ่งที่ดี ควรจะยินดี แม้ไม่ถึงขั้นชอบ พอใจติดใจทีเดียวก็ควรจะต้องเข้าใจยินดีว่าเราอยู่ในรร.นี้ที่นี้มันดีหนอ ยินดีที่จะอยู่หนอ ไม่เบื่อง่ายไม่ท้อง่าย แต่ถ้าไม่ยินดีก็อยากออก วันละหลายร้อยหน ไม่ชอบไม่พอใจยิ่งเห็นแก่ตัวแถมก็อยากออกอย่างเร็วแน่

อ่านใจตัวเองถ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องลดความเห็นแก่ตัวแล้วให้เห็นว่าที่นี่เป็นที่ที่น่ายินดีนะถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ก็จะลดความเหนื่อยความเบื่อความท้อได้

 

_ทำไมทั้งที่รู้ว่าผีไม่มีจริงก็ยังกลัวผีอยู่

ตอบ...เพราะเราฝังไว้ในสัญญา ในความจำหลายชาติแล้ว พอมาเกิดชาตินี้ก็ยังติดตัวมาอยู่ หลวงปู่บอกว่าผีหลอกนั้นไม่มี ผีจะหลอกคนไม่ได้ ผีที่หลอกกันว่ามีตัวตนจะมาหลอกนั้นโกหกทั้งเพที่ยังนั้นไม่มีถูกหลอกมาจากคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจความจริง

 

_คำถามจาก นร. ....รักษ์น้ำรักษ์ป่า รักษ์สัตว์ รักษ์พลังงาน แค่คนเดียวไม่คุยกับเรา ทำไม รู้สึก “เหงา” เหมือนคนทั้งโลกไม่ยอมคุยกับเราด้วยล่ะครับ

ตอบ...โอ้โหไปหลงใหลได้ปลื้มกับคนคนเดียว แล้วคนคนเดียวคนนี้ผู้หญิงหรือเปล่าชักจะยังไงแล้ว ดูยังไงยังไงอยู่นะ ถ้าเป็นผู้หญิงแล้วโรคเกิดแล้ว โลกแห่งความปฏิบัติสัมพันธ์ทางเพศ ทางมีความรักทางเชิงผู้ชายผู้หญิงเกิดขึ้นแล้ว อาการอย่างนี้มีได้สารพัด แม้แค่คนเดียวไม่พูดกับเราทำไมรู้สึกเหงาเหมือนคนทั้งโลกไม่พูดกับเราเลยดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน ฟังแล้ว

อย่าบ้าหน่อยเลย อะไรกันนักกันหนา จะไปรู้สึกคลั่งไคล้อะไรนักหนา แล้วเราอยู่ในวัยเรียนด้วย ก็ให้ถอนตัวออกมานี่แหละกำลังพวกผีกิเลสราคะครอบงำแล้ว ไม่เอา ตั้งใจใส่ใจให้ดีอย่าเพิ่งไปวุ่นวายเรื่องเหล่านี้มันก็เกิดได้กับเราเราก็รู้มันแล้วก็แก้ไขอย่าไปทำเช่นนั้นพักไว้ก่อน อย่าไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้น กลายเป็นคนอารมณ์เสียเสียงานเสียการเสียอะไรไปหมดเลย เหลวไหล ไปถามผู้ใหญ่กว่าจะแก้ไขอย่างไรดี

 

 

_ความรักมีหลายมิติแต่คนส่วนใหญ่อยู่ติดที่มิติกามารมณ์เพราะอะไร

ตอบ ...มาแนวเดียวกันเลยพวกเราอยู่ในวัยรุ่นกำลังมีฮอร์โมนเพศเป็นธรรมดาของสัตว์โลกว่าจะเกิดอาการอารมณ์พวกนี้ พระพุทธเจ้าสอนพวกเราว่าเราอย่าไปหลงใหลจะไปตกเป็นทาสพวกนี้นะ พระพุทธเจ้าสอนว่าผู้ตั้งตนเป็นคนโสดที่ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ผู้นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นบัณฑิตเป็นผู้รู้เป็นผู้มีความรู้ที่ดีผู้ใดไปวุ่นวายใส่ใจในเรื่องของคู่เรื่องของเพศเรื่องเศร้าหมอง จะเหงาจะโศกเศร้าจะเสียใจมีความทุกข์ร้อน อย่าตกในลมพวกนั้นพยายามตื่นขึ้นและสำนึกให้ดีว่ายังไม่ใช่เวลายังไม่ใช่ธุระยังไม่ใช่เรื่องฝึกฝนกิเลสเลย กิเลสพวกนี้มันไม่จริงหรอก ถ้ามันเป็นจริงแล้วมาบวชไม่ได้เลยนะ นักบวชหญิงนักบวชชายแม้แต่พี่ป้าน้าอาหลายคนก็ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ ก็เคยผ่านวัยแบบพวกเราได้เคยมีอารมณ์แบบพวกเราแล้วก็ผ่านมาได้ ต้องศึกษาให้จริงเลยว่ามันไม่จริง ถ้าทำไม่จริงแล้วจิตของเราจะสูงกว่าอำนาจกิเลสพวกนี้  ผู้ที่มาบวชนี่ยิ่งจะชัดๆว่าไม่ต้องมีคู่ไม่ต้องมีอารมณ์พรุ่งนี้ก็จบจบได้ถ้าจบไม่ได้พระพุทธเจ้าก็โกหก พระต่างๆผ่านมาตั้ง 2500 กว่าปีก็ทำได้ทั้งนั้นเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องประเสริฐเป็นเรื่องที่ดี

 

_เวลาทำดี ทำไมเขาไม่เห็นความดีของเราเลยได้เวลาทำให้ดีเขาเห็นจังเลย

ตอบ...ขอให้เราทำดีให้จริงเถอะทำดีแล้วใครไม่เห็นไม่เป็นไร แล้วการทำไม่ดีแล้วคนอื่นเขาเห็นนี้จะดีแล้ว เขาจะได้ตำหนิจะได้ท้วงจะได้ชี้จะได้บอกเพราะความไม่ดีอยู่กับเราวินาทีเดียวมันก็ไม่ดี ความไม่ดีนี้อยู่กับเรานานไม่ได้ มีคนเห็นคนรู้คนรีบบอกนั้นดี ส่วนความดีของเรานั้นทำไปเถอะทำดีแล้วเป็นกรรมวิบากของเราสั่งสมเป็นของเราเลย เป็นกุศล ไม่ต้องกลัว ทำดีไปเถิดใครไม่เห็นก็ไม่เป็นไรไม่ต้องมีใครรู้ไม่ต้องมีใครรับดี

แต่ถ้าความไม่ดีแล้วคนอื่นเค้าเห็นแล้วรีบทักท้วงเราก็ต้องรีบขอบคุณเขา

 

_ทำไมเวลาของความสุขมันน้อยกว่าเวลาของความทุกข์

ตอบว่ามันก็อยู่ที่เรากำหนดเองเรารู้สึกเองเวลามันก็เท่าเดิมของมัน เราเองไม่อยากให้ความสุขมันผ่านไปอยากให้มันอยู่นานๆเหมือนเทวดาดาวดึงส์ก็อยากให้อยู่นานๆเป็นเทวดายามา อยากให้อยู่นานๆแต่จะนานเท่าไหร่มันก็ต้องพัก เป็นแดนดุสิตที่ไม่ต้องปรุงไม่ต้องฟุ้งเป็นความสงบ

 

_ในอนาคตข้างหน้าโลกจะแตกทุกคนจะฆ่าแกงกันแตกจะท้องก่อนวัยอันควรมนุษย์จะอายุสั้นลงถ้าคนบาปมีเยอะจำไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกถ้าคนมีบุญมากจะได้เกิดในสังคมที่ดีในโลกที่ดีใช่ไหม

ตอบ...จะบอกว่าถูกก็ถูกต้องตามที่ถามมาจะบอกว่าอนาคตข้างหน้าโลกจะแตกคำว่าโลกแตกนี้เป็นสำนวน โลกนี้ไม่แตกง่ายๆหรอกแต่คนนี้จะแตกคือฆ่าแกงกันก็เป็นสำนวนว่าโลกแตก เด็กจะท้องก่อนวัยอันควรก็เป็นจริง เพราะมาเมาด้วยกิเลสกามราคะกันจัดจ้านทุกวัน ก็เลยมีภาวะที่ถูกปลุกเร้าหนักขึ้นหนักขึ้น เรื่องของกามราคะเรื่องของเพศถามว่าเด็กท้องก่อนวัยอันควรก็เลยเกิดจริง ทุกวันนี้ในสังคมจึงยากที่จะปลอดภัยยากที่จะไม่ท้องก่อนวัยอันควร

เด็กของเราอยู่ในสัมมาสิกขาก็ค่อยยังชั่วกว่าที่อื่นเพราะไม่ได้ถูกพวกเรามากพยายามระมัดระวังจึงพอเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเข้าใจให้ดีที่นี่เป็นที่ปลอดภัยพอสมควรเลย ที่อื่นนั้นยากอาตมาได้ข่าวมาว่าบางโรงเรียนนี่ แม้เด็กนักเรียนหญิงนักเรียนชายนั้นไม่ต้องพูดเลย หากความบริสุทธิ์ความปลอดภัยได้ยากมาก โรงเรียนสัมมาสิกขาของเรายังพอเป็นไปได้ดีมาก เราช่วยกันรักษาให้ดีๆ

มนุษย์จะอายุสั้นลงนี่ก็เป็นจริง ศึกษาให้เป็นคนรู้จักบุญที่จริง ทำบุญให้เป็น คนที่มีบุญสูงสุดเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ คืออมตบุคคล จะเกิดจะตายก็กำหนดชะลอได้

 

_ถ้ามีคนจูบกันผาแหงนไปบอกเขาเลยไหม

ตอบ...ไปบอกเขาเลยหรือถ้าบอกไม่ได้ก็ให้บอกผู้ใหญ่ที่บอกได้ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้มาแสดงเช่นนี้ ถ้าเห็นก็รีบมาบอกผู้ใหญ่ หรือบอกเองเลยว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาทำเช่นนี้ ที่นี้เป็นวัดที่นี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม

 

_คำจริงไม่หวานคำหวานไม่จริง แปลว่าคนที่เขาพูดจริงจะไม่หวานแต่คำที่เขาพูดหวานไม่เป็นความจริงใช่หรือเปล่า

ตอบ….ใช่คำวันหวานๆเป็นคำประดิษฐ์ เจตนาให้หวานเพราะคนเราธรรมดาก็พูดธรรมดาจะพูดสุภาพพูดแรงพูดเบาก็สรรหาคำมาพูดอย่างที่เพราะหมออยู่แล้ว แต่ถ้าเจตนาจะให้มันหวานคำว่าหวานนี้เป็นภาษาที่ขยายคำพูด ว่ามันรู้สึกว่าน่าลิ้มน่าลองน่าชื่นใจมันเป็นคำปลอบประโลม ประดิษฐ์ประดอยมาเอาใจคนที่เราจะพูดด้วยเท่านั้นเอง เป็นเจตนาพูดให้คนมาชอบ อาตมาว่าไม่ต้องพูดหวานแต่พูดให้สุภาพเรียบร้อยซื่อสัตย์ตรงตรงๆพอแล้ว คนสมัยไหนพูดหวานๆก็ไม่ค่อยจริงใจหรอก มันเกินธรรมชาติ

 

_ทุกวันพฤหัสกราบเรียนให้เป็นวันตอบคำถามของลูกหลานในทุกฐานะรวมทั้งประเด็นจากผู้ชมเพื่อมีส่วนร่วมไขข้อข้องใจ กราบเสนอแนะนำพิจารณาวันนี้เด็กสนใจกับการตอบคำถามของหลวงปู่อย่างเห็นได้ชัด

ตอบ...เคยทำมาก็ดี ก็ทำต่อไปอย่างที่ว่าได้

 

_ทำไมเวลาจะไปส่งกระดาษคำถามหลวงปู่ถึงไม่กล้าส่ง

ตอบ...หลวงปู่ดุหรืออย่างไรจริงๆ หลวงปู่ ไม่เคยกัดใครเลย ไม่ดูหรอกแต่เป็นคนจริงจังพูดใจดีแต่จริงจังและความจริงจังที่หลวงปู่พูดที่คนกลัวเพราะว่ามันไปกระทบกิเลสของแต่ละคน คนก็เลยกลัวเคยได้ยินไหมคำว่าผีกลัวพระ ผีหมายถึงคนที่มีความผิดก็เลยกลัวความถูกคนที่จะสอนคนไม่ให้ทำผิดผีเลยกลัวพระ ไปทำอะไรผิดไว้เลยกลัวหลวงปู่ อย่าไปทำอะไรไม่ดีสิ ถ้าเราไม่ทำผิดไม่กลัว จะไปส่งใจอยากไปส่งแต่ไม่กล้าอยู่ดี

 

_ก่อนจะจบ หลวงปู่ก็มี กวี ส่งท้าย ให้พวกเราฟัง

บทกวีอ.เป็นต้น  นาประโคน  “เอาโซ่ล่ามที่เท้าทำไม”

 

สองเท้าพ่อแม่ให้ฉันมา 

ท่องเที่ยวทั่วพสุธาตลอดม้วย

รองเท้าหักเสน่หาหุ้มห่อตีนเฮย 

ทำฝ่าเท้าบางด้วยเหยียบก้าวย่างเดิน 

 

เอาโซ่ล่ามที่เท้าทำไม

เท้าผิดหรืออย่างไรไม่รู้

สมองคิดผิดเหตุไฉนมาล่ามตีนเล่า

เท้าเปล่าถามกระทู้ล่ามเท้าทำไม

 

 

สองมือเล่านับด้วยกุญแจ

มือไม่ผิดรังแกเล่นได้

ปากมันพูดตอแหลไม่ล่ามปากเล่า

มือไม่ป้อนข้าวให้อดแล้วปากเลย

 

สมองมือเท้าช่างพร้อมเพรียงกัน

ปากเล่าอย่าจำนรรจ์หยาบ ช้า

สมองอย่าคิดอย่าแต่กระสันเสือกเอย

เท้าย่างมือยกเท้าอย่าอ้างอวดใคร

 

ศาสนาพุทธยุคนี้เน่าใน

เหมือนชื่อศรีธนญชัยสืบเชื้อ

เลือกประมุขของใครมาครอบครองเฮย

ป่ารกปรกใครเหลือสัตว์ร้ายแสดงฤทธิ์

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:41:37 )

590715

รายละเอียด

590715_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอย่างไรถึงได้อานิสงส์

คนผู้ใดยิ่ง“ทำทาน”แล้ว“ใจ”ยิ่งฝัง“วิมานหวัง”ใส่ใจ”ตน เป็นภพเป็นชาติต่อไปอีก ยิ่งติดยึดปักมั่นใน“วิมานหวัง” ว่าจะได้ จะมีใส่จิตหนักปักใจแน่นและหนาและใหญ่ยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งมี“ภพ”มี“ชาติ”ยิ่งใหญ่ยิ่งมากยิ่งหนายิ่งหนักยิ่งแน่น ยิ่งตรงกันข้ามกับอานิสงส์ของศาสนาพุทธ

ดังมีตัวอย่างที่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม บางสำนัก ที่ยัง“อวิชชา”อยู่ ยังขาย“วิมาน” ยังสร้าง“วิมาน”ขึ้นมาหลอกให้คนทำทาน หลอกให้คนติด“ภพ” หลอกให้คนยังหวังใน“ภพ”ที่จะเป็น“ชาติ”ต่อๆไปไม่หยุด ไม่มีคลายกันเลย ยิ่งทำทาน ยิ่งตั้งใจปักมั่นยึดมั่นว่า ตายไปอีกกี่ชาติ-กี่ชาติก็ยังหลงว่าจะมีความร่ำรวยยิ่งๆขึ้นร่ำไป

การสอนเช่นนี้ จึงปฏิบัติทำให้ไม่“ตัดภพ-จบชาติ” เป็นการสอนที่มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) แต่“ไม่มีอานิสงส์มาก”(น มหานิสังสัง)เลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”แม้นิด

เล่ห์ฉลาด(เฉกา)เช่นนี้ ไม่เป็นไปเพื่อความลดละหน่ายคลาย กลับเป็นการเสริมเติม“ภพ-ชาติ”ใส่ใจเข้าไปอีก ยิ่งผู้หลอกนั้นฉลาดมากในการใช้เล่ห์กล จึงหลอกเก่งยิ่ง

“ผล”ที่ว่านี้ จึงมาก ซึ่งหมายความว่า ผลเป็น“นรก-อเวจี”นั่นเองยิ่งมาก ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ยิ่งลึก ยิ่งหนา ยิ่งแน่น ยิ่งยากจะกำจัด

ฉะนี้คือ “ผลมาก” ..มหัปผลา จึงไม่ใช่“มหานิสังสา”(น มหานิสังสา)พระพุทธเจ้าตรัส“การตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง) ก็ยิ่งกว่า“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจรแล้ว” กระทำแก่กัน ก็เห็นๆอยู่ชัดๆ ในวงการพุทธศาสนา   มีการประพฤติปฏิบัติ“ทาน”กัน“มีผลมาก”(มหับผลา)แต่“ไม่มีประโยชน์มาก”(น มหานิสังสา)

ส่วน“ทำทาน”มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) และ “มีอานิสงส์มาก”(มหานิสังสันติ)นั้น ก็ต้องทานมากที่เป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”มากด้วย

ชาวพุทธในยุคสมัยนี้ก็เข้าใจไม่ได้ ยังเห็นไม่ได้ ยังมีความรู้แจ้งเห็นจริงไม่ได้กันอีกมากกว่ามาก ในเรื่อง“ทาน”

จึงพากัน“ทำทาน” ก็ได้แค่มี“ผลมาก”   ได้แค่ขั้นสวรรค์โลกีย์ อันเป็น“กามภพ 6 ขั้น”กันเท่านั้น

ซึ่งความเป็น“สวรรค์โลกีย์”(สมมุติเทพ)นี้ เป็นการได้“สุขัลลิกะ” ที่เป็น“สุขเท็จ”กัน แล้วก็ยังคง“เกิด-ตาย”วนเวียนอยู่ใน“โลกียภูมิ”ตลอดกาลนาน ไม่สิ้นภพจบชาติกันได้

เพราะ“สวรรค์”ก็เป็น“ภพ”  “เทวดา”ก็เป็น“ชาติ”   ชัดๆกันอย่างนี้แล้วมีแต่เพิ่มภพ-เพิ่มชาติ ..เป็นไง?

ทาน อยากเป็นเทวดา ชั้นนั้นชั้นนี้อยู่ ก็คือ ทำทานที่ยังมีภพมีชาติ ไม่สิ้นภไม่จบชาติลงสักที จะมี“นิพพาน”ได้อย่างไร?มันยังเป็น“เมถุนสังโยค ข้อที่ 7” คือยังประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น(พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 47) ซึ่งการ“ทำทาน”นี้เป็นกาประพฤติพรหมจรรย์ชนิดหนึ่ง หากใครยัง“ทำทาน”แล้ว“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็ต้อง“ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”(อาคามี โหติ อาคันตา อิตฺถัตติ)อยู่ ไม่มีวันสิ้นภพจบชาติไปได้แน่นอน 

“ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”นั้น หมายความว่า ยังเวียนกลับไป-กลับมา ยังเป็นปุถุชนคนโลกๆ ยัง

ไม่สิ้นความเป็นโลก ยังไม่พ้นความเป็น “โลกีย์” ชัดๆก็คือ ยังไม่เป็นคนผู้“หลุดพ้นจนได้เป็นคน“โลกุตระ”นั่นเองดังนั้น ผู้ปรารถนาความเป็น“เทวดา”อยู่ จึงคือ ผู้ยังกลับมาสู่ความเป็นอย่างเดิม คือ เป็นปุถุชนคนเดิมอยู่นั่นเอง แม้จะได้เป็นเทวดาชั้นไหนๆสูงส่งปานใดก็ตาม ถ้ายังไม่“ให้ทาน”อย่างเป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้สัมมาทิฏฐิ จนหมดสิ้นภพจบชาติไป ก็ยังคงต้อง“เป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”อยู่นั่นแล

เทวดาจึงไม่ใช่“ภพชาติ”ที่จะต้องได้ต้องมีต้องเป็นเลย สำหรับผู้จะปฏิบัติสู่

นิพพาน เพราะนิพพานนั้นคือที่สิ้นภพจบชาติ โดยเฉพาะ“กามภพ”คือ แดนที่จะต้องหลุดพ้นเบื้องต้น เป็น“ภพ”แรกที่จะต้อง“ดับภพจบชาติ”ให้ได้ก่อน“ภพ”อื่นเสียด้วย

สำนักหรืออาจารย์คนใดที่หลงเอาสวรรค์ เอาเทวดา 6 ชั้นมาหลอกล่อกัน ให้หลงไป หลงได้ หลงเป็นกันอยู่ แล้วยืนยันว่าสอนให้ไปนิพพานด้วย ก็เป็น“คนสับสนวนวก” ที่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแม้แค่เรื่องภพ”เรื่อง“ชาติ” จึงมีแต่สอนกันก็ยิ่งมีแต่“มิจฉาทิฏฐิ” ทำลายศาสนาพุทธให้ยิ่ง การสอนผิดๆเช่นนี้ ไม่ใช่การสอนให้ไปนิพพาน แต่เป็นการสอนให้สร้าง“ภพ”สร้าง“ชาติ”ให้ยิ่งๆขึ้นกันแท้ๆต่างหากการสอนผิดนี้มีถึงขนาดบางสำนักหลอกกันว่า ไปพบพระพุทธเจ้าในแดน“นิพพาน”ปานนั้นเลย จึงเป็นการโกหกของอาจารย์ชัดๆ เพราะอาจารย์ยังไม่รู้เลยว่า นิพพาน คือความไม่มี“ภพ”ไม่มี“ชาติ”

คนที่เป็นปรนิมมิตฯนั้นนรกลึกที่สุด ถ้าตนเองไม่รู้ก็เบากว่าแต่คนรู้แล้วบาปอีกนี่ยิ่งนรกลึกสุดๆ                             

พระพุทธเจ้าซึ่งได้“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” นั่นคือ ได้ดับรอบสิ้นเกลี้ยง สิ้นภพ-จบชาติไป ไม่เหลือแม้ส่วนแห่งอัตภาพใดๆตั้ง 2 พันกว่าปีมาแล้ว ก็ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ได้ว่า พระพุทธเจ้ายังอยู่มี“ภพ”มี“ชาติ”

เมื่อหลอกคนกระทั่งคนหลงเชื่อได้ ว่า นิพพานเป็นภพเป็นชาติ จึงหลอกหนักไปถึงขั้นว่า ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าก็ได้ ก็เลยบาปซับบาปซ้อน ด้วยการได้ทำลายคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างยับเยิน

เพราะสอนอย่างนี้ไม่ใช่“คำสอน”(พระอนุสาสนี)ของพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์ไหนเลยแน่ๆ ศึกษากันดีๆ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ

 

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:42:05 )

590715

รายละเอียด

590715_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอย่างไรถึงได้อานิสงส์

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2559 เริ่มที่ sms ก่อน

Sms 14 ก.ค. 59

0890015xxx การศึกษาทุกวันนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง สอนคนไปเป็นลูกจ้างหรือไม่ก็เป็นนายคน น้อยนักจะรับใช้สังคม 

ตอบ...ตอนนี้บ้านเมืองก็กำลังกระเตื้องกัน ก็ขอให้กำลังใจ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด

0833208xxx วันนี้มีการนั่งฟังธรรมแบ่งแยกฝั่งชายและหญิงชัดเจนดูเรียบร้อยสวยงามดีมาก อยากให้ชัดเจนเป็นแบบนี้ทุกครั้ง สาธุ 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯนร.สสข.ลูกหลานอโศกผู้ฝึกตนอยู่เหนืออบายพ้นโลกธรรม

0893867xxx ขอให้กำลังใจเด็ก2คนลูกชายขาพิการเหยื่อขาโจ๋ลูกม๋าต๋า!ที่ถามหาพ่อผมหายไปไหน?พ่อไปสบายแล้วแต่ลูกเอ๋ยยังมีพ่อหลวงผู้ทรงเป็นขวัญกำลังใจให้ลูกไทยทั้งแผ่นดินนะลูกเอ๊ย!มนุษย์หูเทียม

0890015xxx ยิ่งเรียนฟรียิ่งไม่ขวนขวายเพราะไม่ติดพึ่งตนเอง รัฐก็ตามใจจัดให้ทุกอย่าง

0890015xxx เด็กเรียนฟรีมีหนังสือเต็มเป้ แต่อ่านหนังสือไม่ออกและชอบไปเรียนพิเศษ

0890015xxx สื่อทีวีมีเป็นร้อยเป็นพันช่อง สื่อวิทยุยิ่งมากมีเกือบทุกชุมชน แต่คนยิ่งโง่

ตอบ..สมัยอาตมามีวิทยุแค่สองช่องเอง อาตมาเป็นดีเจ คนแรกของประเทศไทยนะ เปิดแผ่นเสียงให้ประชาชนฟังเพลง เป็นแผ่นครั่งใหญ่ๆ

0893867xxx ขอบคุณทุกคำถามนร.สัมมาฯยังปย.แก่ญตธ.หน้าจอ ทั่วไทยทั่วโลกได้อานิสงส์จากคำตอบพ่อครูฯด้วยอนุโมทนาสาธุฯ

0893867xxx ลูกหลานอยู่ท่ามกลางสังคมจมอบายที่ผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวมอมเมาเด็กดีเป็นเด็กเลวสร้างปัญหาสังคม!ลูกหลานต้องมีใจเชื่อมั่นในคำสอนพ่อหลวงฯพ่อครูฯพ่อแม่!พระฯครูบาอ.ที่สอนให้รู้คุณช.ศ.กษ.ฯจึงจะพ้นสังคมจมอบาย!

 0893867xxx คำสอนที่ดีที่สุดในโลกที่เหมาะกับชีวิตลูกหลานไทยที่สุดคือพระบรมราโชวาทในหลวงฯพระธรรมอันถูกตรงฯคำสอนบุพการีครูบาอ.ผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรมฯ

 

อาตมาได้พยายามอธิบายความสำคัญของศาสนาพุทธเช่นคำว่ากายคำว่าบุญ โดยเฉพาะคำว่ากายนี้ยากมันหมายถึงความเป็นรูปนามภาวะ 2 ที่จะต้องแยกแยะภาวะที่ 2  เอาออกแล้วแยกนามธรรมที่เป็นอกุศลเพื่อทำลายมันอีกด้วยจึงยากมากเลยมันเป็นอาการ ลิงค นิมิต ไม่เป็นตัวตนหยาบๆ แต่ละเอียดมาก

ปุญญะ เป็นธรรมาวุธ มีหน้าที่กำจัดกิเลสอย่างเดียว บุญไม่ใช่สมบัติแต่บุญคือวิบัติ

“บุญ”ไม่ใช่“อานิสงส์”(ประโยชน์)ในการเพิ่ม“สมบัติ” แต่เป็น“อานิสงส์”ที่เพิ่ม“วิบัติ”(ความฉิบหาย,ความเสียออกไป)ให้ยิ่งๆ จนกระทั่งที่สุด“สิ่งที่มี(คือบาปคืออกุศล)ก็สลายหรือฉิบหายหมดสิ้นจากจิตใจ

นี่คือ“ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ” ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะเกิดผล ก็คือ “กิเลสลดลง”(ไม่ใช่การเพิ่ม“สมบัติ”ที่เป็นกุศล แต่เป็นการทำ“วิบัติ”ให้แก่กิเลส) “ประโยชน์”(อานิสงส์)ของ“บุญ”ที่ได้เป็น“ส่วนบุญ,ส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา, ปุญญภาค) กระทั่ง“บุญ”สูงสุดก็“หมดสิ้นบุญ,หมดสิ้นกิเลสาสวะ ก็“เสร็จกิจของบุญ” ผู้นั้นก็“หมดสิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) คือ ไม่มีแล้วทั้งบุญทั้งบาป เป็น“สูญ”เลย

โดยปฏิบัติไปจะได้“ส่วนบุญหรือส่วนแห่งบุญ”(ปุญญภาคิยา,ปุญญภาค กล่าวคือ บุญมีผลบางส่วน = กิเลสลดลงบางส่วน)ไปตามลำดับ กระทั่ง“บาป”หมดสิ้น “บุญ”หมดหน้าที่ลง

เพราะทำหน้าที่เสร็จ ชำระกิเลสได้หมดสิ้นอาสวะแล้ว “บุญ”ก็หมดหน้าที่ ก็เท่ากับ“บุญ”ก็จบตัวเองลง ผู้นั้นก็ไม่ต้องมี“บุญ”นี้อีกแล้วต่อไป ตลอดกาล

“บุญ”จึงไม่ใช่ภพชาติที่จะสร้างกันให้ยิ่งมีเพิ่มขึ้นกันต่อไป ในชาติหน้าเรื่อยๆ “บุญ”ไม่ใช่“กุศล” ที่จะเป็นเครื่องอาศัยของมนุษยโลกอันเป็นความสุขสนุกสบายในชีวิต

“บุญ”นั้น“ยิ่งมีผล” “บุญ”เองก็ยิ่งหมดยิ่งลดไป สิ้นไป “บุญ”ไม่ใช่สิ่งที่จะ“เป็นผล”มากขึ้น บุญจะไม่โตไม่มากขึ้น บุญจะไม่ใหญ่ไม่หนาขึ้นๆ “บุญ”ไม่เหมือน“กุศล”อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ด้วยประการอย่างนี้

ชาวพุทธทุกวันนี้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า “บุญ”นี้ กันอยู่มาก ..จริงมั้ย?

พระพุทธเจ้าตรัสถึง“ทาน” ใน“สัมมาทิฏฐิ 10” ข้อที่ 1 “อัตถิ ทินนัง”จึงมีนัยสำคัญ ที่จะต้องทำความเข้าใจให้แจ้งชัดกันจริงๆ 

ดังนั้น คนผู้ใดยิ่ง“ทำทาน”แล้ว“ใจ”ยิ่งฝัง“วิมานหวัง”ใส่ใจ”ตน เป็นภพเป็นชาติต่อไปอีก ยิ่งติดยึดปักมั่นใน“วิมานหวัง” ว่าจะได้ จะมีใส่จิตหนักปักใจแน่นและหนาและใหญ่ยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งมี“ภพ”มี“ชาติ”ยิ่งใหญ่ยิ่งมากยิ่งหนายิ่งหนักยิ่งแน่น ยิ่งตรงกันข้ามกับอานิสงส์ของศาสนาพุทธ

ดังมีตัวอย่างที่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม บางสำนัก ที่ยัง“อวิชชา”อยู่ ยังขาย“วิมาน” ยังสร้าง“วิมาน”ขึ้นมาหลอกให้คนทำทาน หลอกให้คนติด“ภพ” หลอกให้คนยังหวังใน“ภพ”ที่จะเป็น“ชาติ”ต่อๆไปไม่หยุด ไม่มีคลายกันเลย ยิ่งทำทาน ยิ่งตั้งใจปักมั่นยึดมั่นว่า ตายไปอีกกี่ชาติ-กี่ชาติก็ยังหลงว่าจะมีความร่ำรวยยิ่งๆขึ้นร่ำไป

การสอนเช่นนี้ จึงปฏิบัติทำให้ไม่“ตัดภพ-จบชาติ” เป็นการสอนที่มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) แต่“ไม่มีอานิสงส์มาก”(น มหานิสังสัง)เลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”แม้นิด

เล่ห์ฉลาด(เฉกา)เช่นนี้ ไม่เป็นไปเพื่อความลดละหน่ายคลาย กลับเป็นการเสริมเติม“ภพ-ชาติ”ใส่ใจเข้าไปอีก ยิ่งผู้หลอกนั้นฉลาดมากในการใช้เล่ห์กล จึงหลอกเก่งยิ่ง

“ผล”ที่ว่านี้ จึงมาก ซึ่งหมายความว่า ผลเป็น“นรก-อเวจี”นั่นเองยิ่งมาก ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ยิ่งลึก ยิ่งหนา ยิ่งแน่น ยิ่งยากจะกำจัด

ฉะนี้คือ “ผลมาก” ..มหัปผลา จึงไม่ใช่“มหานิสังสา”(น มหานิสังสา)พระพุทธเจ้าตรัส“การตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง) ก็ยิ่งกว่า“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจรแล้ว” กระทำแก่กัน ก็เห็นๆอยู่ชัดๆ ในวงการพุทธศาสนา   มีการประพฤติปฏิบัติ“ทาน”กัน“มีผลมาก”(มหับผลา)แต่“ไม่มีประโยชน์มาก”(น มหานิสังสา)

ส่วน“ทำทาน”มี“ผลมาก”(มหัปผลัง) และ “มีอานิสงส์มาก”(มหานิสังสันติ)นั้น ก็ต้องทานมากที่เป็นไปเพื่อลด“ภพ”จบ“ชาติ”มากด้วย

ชาวพุทธในยุคสมัยนี้ก็เข้าใจไม่ได้ ยังเห็นไม่ได้ ยังมีความรู้แจ้งเห็นจริงไม่ได้กันอีกมากกว่ามาก ในเรื่อง“ทาน”

จึงพากัน“ทำทาน” ก็ได้แค่มี“ผลมาก”   ได้แค่ขั้นสวรรค์โลกีย์ อันเป็น“กามภพ 6 ขั้น”กันเท่านั้น

ซึ่งความเป็น“สวรรค์โลกีย์”(สมมุติเทพ)นี้ เป็นการได้“สุขัลลิกะ” ที่เป็น“สุขเท็จ”กัน แล้วก็ยังคง“เกิด-ตาย”วนเวียนอยู่ใน“โลกียภูมิ”ตลอดกาลนาน ไม่สิ้นภพจบชาติกันได้

เพราะ“สวรรค์”ก็เป็น“ภพ”  “เทวดา”ก็เป็น“ชาติ”   ชัดๆกันอย่างนี้แล้วมีแต่เพิ่มภพ-เพิ่มชาติ ..เป็นไง?

ทาน อยากเป็นเทวดา ชั้นนั้นชั้นนี้อยู่ ก็คือ ทำทานที่ยังมีภพมีชาติ ไม่สิ้นภไม่จบชาติลงสักที จะมี“นิพพาน”ได้อย่างไร?มันยังเป็น“เมถุนสังโยค ข้อที่ 7” คือยังประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น(พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 47) ซึ่งการ“ทำทาน”นี้เป็นกาประพฤติพรหมจรรย์ชนิดหนึ่ง หากใครยัง“ทำทาน”แล้ว“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็ต้อง“ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”(อาคามี โหติ อาคันตา อิตฺถัตติ)อยู่ ไม่มีวันสิ้นภพจบชาติไปได้แน่นอน 

“ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”นั้น หมายความว่า ยังเวียนกลับไป-กลับมา ยังเป็นปุถุชนคนโลกๆ ยัง

ไม่สิ้นความเป็นโลก ยังไม่พ้นความเป็น “โลกีย์” ชัดๆก็คือ ยังไม่เป็นคนผู้“หลุดพ้นจนได้เป็นคน“โลกุตระ”นั่นเองดังนั้น ผู้ปรารถนาความเป็น“เทวดา”อยู่ จึงคือ ผู้ยังกลับมาสู่ความเป็นอย่างเดิม คือ เป็นปุถุชนคนเดิมอยู่นั่นเอง แม้จะได้เป็นเทวดาชั้นไหนๆสูงส่งปานใดก็ตาม ถ้ายังไม่“ให้ทาน”อย่างเป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้สัมมาทิฏฐิ จนหมดสิ้นภพจบชาติไป ก็ยังคงต้อง“เป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้”อยู่นั่นแล

เทวดาจึงไม่ใช่“ภพชาติ”ที่จะต้องได้ต้องมีต้องเป็นเลย สำหรับผู้จะปฏิบัติสู่

นิพพาน เพราะนิพพานนั้นคือที่สิ้นภพจบชาติ โดยเฉพาะ“กามภพ”คือ แดนที่จะต้องหลุดพ้นเบื้องต้น เป็น“ภพ”แรกที่จะต้อง“ดับภพจบชาติ”ให้ได้ก่อน“ภพ”อื่นเสียด้วย

สำนักหรืออาจารย์คนใดที่หลงเอาสวรรค์ เอาเทวดา 6 ชั้นมาหลอกล่อกัน ให้หลงไป หลงได้ หลงเป็นกันอยู่ แล้วยืนยันว่าสอนให้ไปนิพพานด้วย ก็เป็น“คนสับสนวนวก” ที่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแม้แค่เรื่องภพ”เรื่อง“ชาติ” จึงมีแต่สอนกันก็ยิ่งมีแต่“มิจฉาทิฏฐิ” ทำลายศาสนาพุทธให้ยิ่ง การสอนผิดๆเช่นนี้ ไม่ใช่การสอนให้ไปนิพพาน แต่เป็นการสอนให้สร้าง“ภพ”สร้าง“ชาติ”ให้ยิ่งๆขึ้นกันแท้ๆต่างหากการสอนผิดนี้มีถึงขนาดบางสำนักหลอกกันว่า ไปพบพระพุทธเจ้าในแดน“นิพพาน”ปานนั้นเลย จึงเป็นการโกหกของอาจารย์ชัดๆ เพราะอาจารย์ยังไม่รู้เลยว่า นิพพาน คือความไม่มี“ภพ”ไม่มี“ชาติ”

คนที่เป็นปรนิมมิตฯนั้นนรกลึกที่สุด ถ้าตนเองไม่รู้ก็เบากว่าแต่คนรู้แล้วบาปอีกนี่ยิ่งนรกลึกสุดๆ                             

พระพุทธเจ้าซึ่งได้“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” นั่นคือ ได้ดับรอบสิ้นเกลี้ยง สิ้นภพ-จบชาติไป ไม่เหลือแม้ส่วนแห่งอัตภาพใดๆตั้ง 2 พันกว่าปีมาแล้ว ก็ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ได้ว่า พระพุทธเจ้ายังอยู่มี“ภพ”มี“ชาติ”

เมื่อหลอกคนกระทั่งคนหลงเชื่อได้ ว่า นิพพานเป็นภพเป็นชาติ จึงหลอกหนักไปถึงขั้นว่า ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าก็ได้ ก็เลยบาปซับบาปซ้อน ด้วยการได้ทำลายคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างยับเยิน

เพราะสอนอย่างนี้ไม่ใช่“คำสอน”(พระอนุสาสนี)ของพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์ไหนเลยแน่ๆ ศึกษากันดีๆ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ

มาดูหลักฐานคำตรัสของพระพุทธเจ้าใน“ทานสูตร” จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 49 กันดูให้ละเอียด จะได้มีหลักศึกษา

สารีบุตร(ทูลถาม) : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก(มหัปผลา) ไม่มีอานิสงส์มาก(น มหานิสังสา) อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก(มหัปผลา) มีอานิสงส์มาก(มหานิสังสา) คำถามของพระสารีบุตรว่า ...

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก(มหัปผลา) ไม่มีอานิสงส์มาก(น มหานิสังสา) อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก(มหัปผลา) มีอานิสงส์มาก(มหานิสังสา)

พระผู้มีพระภาคเจ้า(ตรัสตอบ) ว่า :

ดูกรสารีบุตร บุคคลทำความหวังให้ทาน(สาเปกฺโข ทานัง เทติ) มีจิตผูกพันในผลให้ทาน(ปฏิพัทธจิตโต ทานัง เทติ)

มุ่งการสั่งสมให้ทาน(สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ) ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว(อิมัง เปจฺจะ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ) เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช

ลองทำความเข้าใจกันดีๆ แค่คำตรัสของพระพุทธเจ้าเริ่มต้นนี้ ก็จะรู้แจ้งในธรรมที่เป็นสัจจะได้แล้ว ว่า คนผู้ที่มีจิตทำ“ความหวัง”(สาเปกฺโข)อยู่กับการ“ทำทาน”

มีจิต“ผูกพันในผล”(ปฏิพัทธจิตโต)อยู่กับการ“ทำทาน”

มีจิต“มุ่งการสั่งสม”(สันนิธิเปกฺโข)อยู่กับการ“ทำทาน” มีจิตคิดว่า“ทำทาน”นี้

เมื่อตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้(อิมัง เปจฺจะ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ) ล้วนคือ คนที่ยังจมอยู่กับ“ภพ”กับ“ชาติ” ตกอยู่ในความเป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”

แม้คนผู้นั้นจะคิดออกจาก“ภพ”จาก “ชาติ” แต่“กามาวจร”อันเป็น“ภพ”แรกที่จะต้องเรียนรู้และปฏิบัติออกจาก“ภพ”นี้ให้ได้เป็นเบื้องต้น ก็ยังหลงงมอยู่กับ“ภพ”แท้ๆ

ซ้ำมิหนำหลงหนักถึงขั้นพากันทำตนให้“เข้าไปยึดติดภพชาติ”นี้้กันเต็มอวิชชาอีก

คือ อยากได้ภพได้ชาติที่หลงว่าเป็นเทวดาอยู่ในแดนนี้เข้าไปอีก แทนที่จะหาทาง“ออกจากภพชาติ”นี้จนหลุดพ้นให้ได้

เพราะนี้คือ “ภพ”คือ“ชาติ”แท้ๆ ที่หลงกันว่าเป็น“สวรรค์” เป็นแดนที่หลงพากันจะไปเกิดกันในแดนนี้ โดยถือว่า เป็นถิ่นแดนที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เรียกจิตที่ได้ไปอยู่ในแดนนี้ ว่า เทวดา เป็นแดนสุขาวดี

ตั้งแต่แค่“กามาวจร”ขั้นแรก คือเทวดาชั้นที่ 1 จิตก็หลงติดยึดภพชาตินี้กันแล้ว ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงตั้งแต่ภพ-ชาติที่ต่ำที่สุดของจิต  แม้ภาษาจะเรียกกันว่าเทวดา แต่แท้จริงคือ จิตขั้นต่ำที่สุดของคนที่ยังหลงว่า“ตนเจริญ-ตนมีการเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า”อยู่ในโลก จึงเป็นคนมี“ตัวตน”อยู่ในโลกปุถุชน

จาตุมหาราชนี้ คือจิตที่ทั้งยึด“ตัวตน”เป็นใหญ่ ทั้งยึดจะเอาทุกอย่างมาเป็นของตน หลงกันว่าเป็น“เทวดา” ชั้นที่ 1 เทวดาชั้นนี้เป็นเทวดาขั้นต่ำที่สุดในเทวดา 6 ชั้นแล้ว

ถ้าผู้ที่มี“วิชชา”ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ารู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นภพเป็นชาติ แล้ว“ให้ทาน”เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)เพื่อตัดภพจะได้จบชาติ เป็นผู้ไม่มีภพไม่มีชาติ ซึ่งเป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้(อนาคามี โหติ อนาคันตา อิตถัตตัง)ได้จริง

ความเป็น“เทวดา”ในกามภพ ก็มีแค่ 6 ชั้นเท่านั้น ที่เป็น“ภพ”ในโลกสามัญของมนุษยชาติทั้งหมด ที่ปุถุชนปรารถนาอยู่กัน

เทวดาทั้ง 6 ชั้นคือ จิตที่หลงเห็นโลกเป็น“ตน” ยื้อแย่งอะไรๆในโลกให้ได้มาให้“ตน”โดยทำการยื้อแย่งขึ้นมาให้“ตน”ในโลก และทำการป้องกันรักษา“ความเป็นตน-เป็นของตน” ซึ่งทำให้เกิดความร้ายความแรงขึ้นแก่โลก โลกจึงมีความร้ายแรง

ซึ่งผู้อวิชชาจะมีทั้ง“ความอยากได้มาให้ตน” โดยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ยื้อแย่งมาให้ตน และยึดความเป็นของตนป้องกันความเป็นของตนไม่คำนึงถึงความแรงร้าย จึงเกิด

1. จอมภูต(เป็นผีทิศตะวันออก)

2. จอมกุมภัณฑ์(เป็นยักษ์ทิศใต้)

3. จอมนาค(เป็นงูยักษ์ทิศตะวันตก)

4. จอมยักษ์(เป็นยักษ์ทิศเหนือ)

และยังมีภพแดนสวรรค์อีกชั้น 2-3-4-5-6 ที่มีความซับซ้อนซ่อนเชิง ของผู้ยังสัตว์ให้อยู่ในอำนาจจนครบทั้งตนเองก็ยิ่งใหญ่ในอำนาจ ทั้งอำนาจอื่นจากบริวารก็มากหลายผู้สยบ ซึ่งเป็นทาสซื่อที่ปล่อยไม่ไป ห้อมล้อมพร้อมพรักอยู่

ฉะนี้เองคือ ความเป็นเทวดาบรมมหาเทวดาในภพที่ผู้รู้จัดแบ่งสวรรค์ไว้ 6 ชั้น

จาตุมหาราช เทวดาสี่ทิศที่ท่านแยกทิศ คนละทิศไว้นั้น ก็เพียงให้เห็นว่า ในโลก มันย่อมมีคนยึดพื้นที่ของตนๆไว้ก่อน เพราะย่อมมิบังอาจจะเป็นเจ้าใหญ่ในโลกทีเดียวไปทุกทิศได้ง่ายๆ แต่ถ้าสามารถยึดได้ทุกทิศ แน่นอน จอมวายร้ายย่อมรวบทุกทิศไว้เป็นของตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้แน่ยิ่งกว่าแน่

ในโลกจึงมีเทวดาที่ว่านี้ให้เห็น ดังที่เห็นๆ และเป็นอยู่จริง หากมีความรู้ชัดเจน

เทวดาก็คือ จิตที่เสพ“สมบัติ”ที่ตนมีตนได้ แต่สมบัติผลัดกันชม สัจจะไตรลักษณ์ ในโลกีย์นั้นอยู่บนความไม่เที่ยง บนความไม่มีตัวตนจริงเลย ก็วนเวียนหลงอยู่กับ“สมบัติ” อย่างนั้นตลอดกาล จึงวนเวียนอยู่กับทุกข์ๆ -สุขๆ วนกลับไป-กลับมา เป็นผู้มาสู่ความเป็นอย่างนี้(อาคามี โหติ อาคันตา อิตถัตตัง)ไม่จบ

แม้จะได้เป็นเทวดาชั้นใดก็ตาม ครั้น สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว หมดบารมีเก่านี้แล้ว ก็ยังเป็นผู้กลับมา(อาคามี)สู่ความเป็นผู้ไม่มีอะไรที่ได้ที่เป็น

ที่มีนั้นเลย แม้จะเคยได้“สมบัติ”นั้นแล้วก็วนมาสู่ความเป็นผู้หลงวนเวียนอยู่อย่างเดิม 

กล่าวคือ ได้แล้ว เสวยแล้ว หมดฤทธิ์ กลับมาเป็นปุถุชนวนเวียนตกนรก-ขึ้นสวรรค์แล้วก็หลงสั่งสมเป็นจิตอนุสัย-จิตอุปาทานอีกอย่างเดิม อวิชชาก็ไม่รู้ตัวเองอย่างนี้

เรื่องภพเรื่องชาติที่เรียกกันว่า“เทวดา” นี้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสต่อไป ศึกษากันต่อดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

หมายความว่า ปุถุชนคนหลงโลกีย์ นั้นหลงทำทานงมงายกันขนาดนี้เชียวหรือ

พระสารีบุตรทูลตอบว่า : อย่างนั้น พระเจ้าค่ะ (นี่ยุคพระพุทธเจ้านะ แล้วยุคนี้ล่ะ!)

พระผู้มีพระภาคเจ้า(ตรัสต่อไป) : ดูกร

สารีบุตร บุคคลไม่ทำความหวังให้ทาน(น

เหว โข สาเปกฺโข ทานัง เทติ) ไม่มีจิตผูกพัน

ในผลให้ทาน(น ปฏิพัทธจิตฺโต ทานัง เทติ)

ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน(น สันนิธิเปกฺโข ทานัง

เทติ) ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจะได้ผลทานนี้

แล้วให้ทาน(อิมัง เปจฺจะ ปริภุญฺชิฺสามีติ ทานัง

เทติ) แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี

(อปิจโข สาหุ ทานันติ ทานัง เทติ) เขาผู้นั้นให้ทาน

นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาดาวดึงส์

ครั้น สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว หมดบารมีเก่านี้แล้ว

ก็เป็นผู้กลับมา  คือ  วนกลับมาสู่ความเป็นปุถุชนคนโลกีย์อีกอย่างเดิม

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก

นี้ ถ้าไม่“ให้ทาน”เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง) โดยต้องปรุงแต่งจิตให้“ไม่มีความหวังให้ทาน-ไม่มีจิตผูกพันผลให้ทาน-ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน-ไม่้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้”(นเหว โข สาเปกฺโข ทานัง เทติ น ปฏิพัทธจิตฺโต ทานัง เทติ น สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ น อิมัง เปจฺจะ

ปริญฺชิสฺสสามีติ ทานัง เทติ)   จึงจะได้เลื่อนชั้นขึ้นไปเข้าถึงความเป็นสหายเทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่า“จาตุมหาราช” เช่น ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ เป็นต้น

ถ้าไม่“ให้ทาน”เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ดังว่านั้น ก็คงได้เป็นแค่“จาตุมหาราช”เทวดานักเลงโตนั่นแหละ เป็น“แกนฐาน”ของจิต แล้วจากนั้นไปแม้จะใช้ความรู้ หรือมี“ความฉลาด”ว่า การทำทานนั้นเป็นการ“ดี”(สาหุ ทานันติ ทานัง เทติ) โดยการหลอกคนมา“ให้ทาน”แล้วก็ทำทานเป็น“เครื่องปรุงแต่งทาน”ให้อลังการ หว่านล้อมคน หลอกล่อคน ว่า“ทาน”นี้อลังการยิ่งใหญ่อย่างนั้น “ทาน”นั้นเครื่องหรูไปด้วยองค์ประกอบอย่างนั้นอย่างนี้ (ทานาลังการัง ทานปริกฺขารัง)หลอกคนหนักชั่วยิ่งขึ้น

“ดี”(สาหุ)เพราะอย่างนั้น “ดี”(สาหุ)เพราะอย่างนี้อีกปานใดๆ “จิต”ของคนผู้นี้ก็ยิ่งจะเป็น“นักหลอกลวง”ที่มี“ความคิดที่ฉลาด”มาเป็น“เครื่องประกอบในการหลอกลวงโลก”ยิ่งๆขึ้นอย่างลับลึกซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนให้คนหลงว่าเป็น“คนดี” เพราะอ้างแต่“ดี”(สาหุ)อย่างนั้นอย่างนี้ สารพัด“ดี”(สาหุ) ขุดค้นหา“เครื่องปรุงแต่งทาน”(ทานาลังการัง ทานปริกฺขารัง)มาตกแต่งการ“ทำทาน”เพื่อให้ผู้“ทำทาน”มีความหวังในการให้ทาน-มีจิตผูกพันในผลให้ทาน-มุ่งการสั่งสมให้ทาน-ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้” วิเศษใหญ่ยิ่งๆขึ้น

นี่แหละคือ พฤติกรรมของนักหลอกผู้พาทายกทายิกาเสริม“ภพ” เติม“ชาติ”ให้เป็นผู้จมลงไปกับ“ภพ”กับ“ชาติ”ก้าวหน้าหนาหนักยิ่งๆขึ้น

ดังนั้น การ“ให้ทาน”ของผู้ไม่เป็น“เครื่องปรุงแต่งจิต”(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง) มีแต่“ให้ทาน”เป็น“เครื่องปรุงแต่งทาน”จึงเป็นการสอนหรือนำพากันจมหนักลงไปในภพในชาติ กิเลสหนาตัณหามากยิ่งๆขึ้น

จึงยิ่งติดยึดหนักหน้าแน่นจัดหนาสุด ทั้งติดเสพรสเป็นดาวดึงส์ ทั้งต้องการเสพให้นานให้ยาวเป็นยามา ทั้ง“ไม่รู้พัก-ไม่อยากพอ”ซึ่งเป็นภาวะสลับกลับซับซ้อนลึกเข้าไปอีกชั้นของดุสิต ก็คิดดูเถิดว่า “นิมมานนรดี”นั้นจะเป็นนักเลงโตที่ร้ายกาจยิ่งที่ใหญ่ขนาดไหน

และที่สุดเป็น“ปรนิมมิตวสวัตตี”นั้นมันครบพร้อมทั้งหยาบต่ำสุดๆคูณกับทั้งฉลาดเฉโกเยี่ยมยอดแล้วมันจะชั่วสุดชั่วขนาดไหน

จึงเป็นนักเลง-นักหลอกที่มีความชั่วร้ายสลับซับซ้อนกันกี่ชั้นต่อกี่ชั้นทั้งความหยาบต่ำ (ทุรชน)ทั้งความฉลาด(เฉกา)คูณกันยกกำลังกันเป็นปฏิภาคทวี จะเลวยิ่งใหญ่มหาศาลปานใด 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดใน“ทานสูตร”ว่า แค่จะได้ความเป็นเทวดาชั้นที่ 2 คือ ดาวดึงส์นั้น ก็ต้อง“ให้ทาน”โดยการ“ให้ทาน”เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง) โดยการ“ปรุงแต่งจิต”(อภิสังขาร)ให้“จิตของตน”ลดภพ-ละชาติลงไปๆตามลำดับๆๆให้ได้ เช่น ต้องไม่มีหวังให้ทาน-ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน-ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน-ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน” เสียก่อนอื่น (แต่เขายังไม่ได้เลิกจากจาตุมมหาราชิกานะ แต่ก็ใช้ฐานนี้เป็นไปเพื่อให้ได้มาเสพเป็นดาวดึงส์อีก)                                                                             

แต่แล้ว..ขั้นต้นนี้ก็ไม่ได้กำจัดภพ-จบชาติขั้นแรกนี้เลย ทิศทางชั่วจึงไม่ได้หันทิศกลับเลย เส้นทางความชั่วเลวจึงมุ่งตรงหนักหน้าสาหัสไปในทางชั่วที่ซับซ้อนย้อนยอกทั้งแน่นทั้งแข็งทั้งหนาทั้งใหญ่โตมโหฬารยิ่งเพราะผู้ที่ไม่เคยเลิกละภพเก่า มีแต่ยึด

ภพทับซ้อนซ่อนทับทวีขึ้นทวีขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทับถมจมแน่นไป ลืมไป แต่มันก็หมักหมมเน่าอยู่ในนั้นทับทวี ก็ประมาณเอาเถิดว่า การสั่งสมภพชาติของคนอวิชชาชนิดนี้จะทับทวีซับซ้อน ซ่อนลึกซ่อนลับกันเข้าไปกี่รอบกี่ทบทวีที่อวิชชา

ซึ่งแค่ระบุไว้ว่า เทวดา 6 ชั้นนี้ ก็เพียงแยกออกมาให้เห็น ง่ายขึ้น เป็นมิติเท่านั้น

แต่ความจริงนั้นมันยิ่งกว่ากลุ่มด้ายที่มันพันกันยุ่ง มันหาส้นหาเส้นทางไม่เจอ

ดังนั้น เทวดา 6 ชั้นนี้ จาตุมหาราชกับดาวดึงส์ ก็คู่หนึ่ง ที่เข้าคู่กัน สั่งสมกันงมงายร้ายกาจ จาตุมหาราชล่าได้มาได้ ดาวดึงส์ก็เสพสมสุขสม บรมหลง ติดหนึบไปถมหนัก

ยามากับดุสิตก็อีกคู่หนึ่ง ที่เข้าคู่กันด้วยกาละที่พยายามยืดเวลาเสพให้นานสุดนานเท่าที่จะพอใจพากเพียรเอาได้ ด้วยสามารถ(ยามา) และแล้วก็พักก็หยุด(ดุสิต)บ้าง แต่กลับหลงเสพติดหนักเข้าไปอีก ไม่พัก เสพหนัก จึงยิ่งติดแน่นติดหนาเข้าไปๆๆๆจนตนเองเก่งสุดเนรมิตเอาได้ด้วยอำนาจอย่างยิ่ง(นิมมานนรดี) และที่สุดแห่งที่สุดตนก็เก่งสุด ผู้อื่นที่เป็นบริวารก็พรัก พร้อมสยบยอมเป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป ก็ยิ่งช่วยสร้างช่วยเสริมใหญ่ยิ่งๆๆๆๆๆๆ

แม้แต่ความหลงในภพ“พรหม”อีกถึง  5 ชั้นบ้าง 16 ชั้นบ้าง แถม“อรูปภพ”อีก 4 ก็ยังเป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”อันชื่อว่า สุทธาวาส  5 ก็ดี รูปพรหม 16 ก็ดี อรูปฌาน 4 ก็ดี ก็“หลง”ติดยึดได้ สลับซับซ้อนกันให้หนาหนักทั้งสิ้น ที่ต้องศึกษาสัจจะกันสุดยาก

ความบริสุทธิ์สะอาดปราศจาก“ชาติ-

ภพ” จึงเป็นสัพพัญญุตญาณเฉพาะของพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้

ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมนุษย์ทุกผู้ตามพิสูจน์ได้ด้วยตนกันจริงๆ(เอหิปัสสิโก)

ผู้สัมมาทิฏฐิ แล้วมีสัมมาปฏิบัติจริง

จึงสามารถดับภพจบชาติได้ด้วยการปฏิบัติ

“ให้ทาน”เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง จิตตปริกฺขารัง)ให้“จิต”เจริญ สู่การ“สิ้นภพ-

จบชาติได้แท้จริง

นั่นคือ เรื่องของ“ทาน”  เรื่องเอก

ซึ่งเรื่อง“ทาน”นี้ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นคน ของสังคมมนุษย์

คุณงามความดีขั้นต้นนั้นก็เริ่มกันที่

“ทาน”  และที่สุดแห่งที่สุดในการปฏิบัติ

ธรรม ก็จบด้วยการเป็นผู้มีจิตใจที่เต็มไปด้วย“ทาน”เป็นที่สุด ชนิดที่ในจิตใจไม่มี

ความเป็นตัวตน หมดสิ้นความหวงแหน มี

แต่ความเสียสละอย่างบริสุทธิ์สะอาด ปราศ

จากความเป็นตน เป็นของตนอย่างเป็นจริง

“สัมมาทิฏฐิ”ข้อแรก “อัตถิ ทินนัง” ลึกจัง สั่งสม จมลึก สุดลับซับซ้อนกันอย่างนี้ 

ทีนี้ข้อ 2) ยิฏฐัง หรือยัญพิธี ซึ่งก็คือ “วิธีการปฏิบัติ” หรือ“หลักปฏิบัติ”นั้นแหละ เป็น“วิธี”ที่ปฏิบัติแล้ว “ชำระกิเลส”ได้จริงหรือเปล่า?

เช่น ปฏิบัติ“ศีล” ก็เข้าใจว่าปฏิบัติ

แล้วทำได้ มีผลดี ทำถูกต้องก็แค่ทาง“กาย-วาจา”เท่านั้น “ศีล”ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติถึง“ใจ”ด้วยแต่อย่างใด 

 

แต่ถ้า“ปรุงแต่งใจให้ละภพ-ลดชาติ”ไปเป็นชั้นๆ เริ่มชั้นแรก อันเป็นเชื้อชั่วต้นรากกันก่อน นี่ขนาดเลิกภพเก่านะนี่ ยังไม่ได้ลดละเลย มีแต่เติมภพ-เพิ่มชาติยิ่งๆขึ้นไปอีกๆๆ จึงมีแต่สร้างภพ-สร้างชาติที่ชั่วที่เลวสลับซับซ้อนกันหนา-กันหนัก-กันแน่นจนไม่มีประมาณ ไม่มีวันสิ้นสุดกันเท่านั้น

ถ้าไม่เลิกภพชั่วเลวต้นแรกเลย มันจะซับซ้อนซ่อนลับถมแรง สับลึกจมทับกันไปตระหลบแล้วตระหลบเล่า กลับมากลับไปสับสนขนาดไหน ก็ตรองดู                                                                                                            เวลากาละแห่งวัฏฏะสงสารนั้น มันนับกันไม่หวาดไม่ไหว 

                       ❆ เก่าสมัย ใหม่เสมอ   

                            • อ่านต่อฉบับหน้า


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:42:40 )

590717

รายละเอียด

590717_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปรัชญาของวิชชารามนาวาบุญนิยม(ว.นบ)

ส.ฟ้าไทว่า….วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค. 25598 รายการวิถีอาริยธรรมที่บ้านราชฯ ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ช่วงเข้าพรรษาพ่อครูก็เริ่มต้นพรรษามีกิจนิมนต์ไปเยี่ยมตามชุมชนน้อยใหญ่ ทั้งที่พ่อครูอายุมากแล้วแต่กิจการงานก็มีแต่เพิ่มขึ้นไปด้วย วันนี้พ่อครูจะมาพูดเรื่องการศึกษา ซึ่งการศึกษาทุกวันนี้เสื่อมลงมาก มีเด็กมาอบรมฯที่เรานี่ก็เอาบุหรี่มาสูบ มีเด็กนัดตีกันที่ผาแหงน เราก็เลยต้องปิดน้ำตกในวันราชการ และเรื่องของการศึกษาศาสนาสำคัญสุด หากไม่สามารถพาคนบรรลุธรรมแล้วก็เป็นไปได้ยากที่จะพัฒนาประเทศ 

พ่อครูว่า...พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าชีวิตเกิดมาประการศึกษาแน่นอนว่าชีวิตจะต้องตายแต่ชั่วระยะเวลาที่เรายังไม่ตายนี้จะต้องศึกษา ในระยะเวลาที่ไม่ตายนี้แต่ละอัตภาพนั้นจะเจริญหรือเสื่อมลงก็ได้ แล้วเสื่อมลงคืออะไรเจริญขึ้นคืออะไร

เจริญขึ้นคือเจริญขึ้นเพราะมันไม่เห็นแก่ตัวหรือลดกิเลสได้ การลดกิเลสได้นี่เป็นคำที่ยากกว่าการไม่เห็นแก่ตัว การไม่เห็นแก่ตัวนี้แสดงออกภายนอกภาคการแสดงออกภายนอกนั้นไม่เป็นไปเพื่อตัวเองเพื่อความโลภเอามาให้แก่ตัวเอง  กายวิญญัติ ข้างนอกก็ชัดเจนได้ วจีวิญญัติภาษาพูดก็แสดงส่อเพื่อไม่เอามาเพื่อตัวเองก็ยืนยันได้ภายนอกที่รู้ร่วมกัน เปรียบเทียบกันเลย แต่ถ้ากิเลสข้างในเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ยิ่งเป็นสภาพองค์รวมครบเต็มที่ก็จับมาเป็นตัวเป็นเนื้อแท่งก้อนก็เอามาเปรียบเทียบได้ว่าใครของจริง

ผู้รู้ผู้สั่งสมตามพระพุทธเจ้า คือโพธิสัตว์ ได้ตามมิติต่างๆ ตั้งแต่โพธิสัตว์ระดับโสดาบันโพธิสัตว์ สกิทาคามีโพธิสัตว์ อนาคามีโพธิสัตว์ อรหันต์โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ สัมมาสัมพุทธโธคือพระพุทธเจ้า

เป็นผู้ที่มีค่าใช้จ่ายหรือเอาให้แก่ตัวน้อยที่สุด แล้วมีแต่การกระทำที่เป็นการให้ผู้อื่น เสียสละที่แท้จริง

การศึกษาของคนที่มีกิเลสเห็นแก่ตัว แล้วก็ยังเห็นแก่ตัว

ความรักที่เห็นแก่ตัวมากที่สุดคือเห็นแก่คนสองคนเท่านั้นคือเมถุนนิยมหรือกามนิยม ลูกเขายังไม่เห็นแก่เลย เห็นแก่แค่สองคนเท่านั้น เป็นความรักที่แคบที่สุด นับเร่ิมต้นจากสองหน่วยเป็นต้นไป ถ้าหน่วยเดียวเห็นแก่ตนไม่เห็นแก่ใครเลย คนนี้ไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไรเลย คนแบบนี้ไม่ต้องอธิบายเลย

ลูกนี่เป็นหน่วยที่สาม เขายังฆ่ากินเนื้อเอาเลย เหมือนในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ การศึกษาที่ไม่สามารถละหน่ายคลายจางกิเลสได้ก็หมดเลย ทำให้คนเลวกว่าเดรัจฉาน

ถ้าความรักแคบๆแค่สองคน ก็เรียนรู้แล้วเลิกจากความรักมิตินี้ มาเพิ่มมิติขึ้นเป็นระดับที่ 2 เช่น เห็นแก่ลูกบ้าง เป็นสามหน่วยก็ดีขึ้น เริ่มดีขึ้น มิติที่ 3 ก็เห็นแก่โคตรตระกูลตนเอง เป็นป้าน้าอาหลาน เผื่อแผ่ญาติ แล้วเพิ่มเป็นมิติที่ 4​สู่ ชุมชนนิยม มาสู่มิติที่ 5 ชาตินิยม(รัฐนิยม)  มิติที่ 6 สากลนิยม(จักรวาล) อันนี้นับเอาทางวัตถุเผื่อแผ่ไปทั่วสากล แต่จิตจะจริงหรือไม่ก็ได้ มิติที่ 7 เทวนิยม (ปรมาตมันนิยม)  อันนี้เน้นที่จิตจริงตามแสดงออกภายนอกด้วย มิติที่ 8. อาริยนิยม (อเทวนิยม) คือเป็นอาริยบุคคล เริ่มลดกิเลสได้แล้ว เป็นลำดับ มิติ 9. นิพพานนิยม (อรหันตฯ)

มิติ 10. พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม) อันนี้เป็นผู้สามารถอนุโลมแก่คนอื่นได้ ทำเหมือนคนอื่นได้แต่ไม่ได้ติดยึดแบบคนอื่น

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ทำได้ตามภูมิ และจะสูงกว่านี้ได้อีก

การศึกษาที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นแก่นแก่สัตว์โลก

ธรรมดาสัตว์หรือคนก็เลี้ยงตัวเองรอด ถ้าไม่รอดก็ตายไปสิ คนที่มีคุณค่าต่อสังคม คนอื่นจะเห็นค่าอุ้มชูท่านไว้ เพราะเรายังไม่ได้สิ่งสูงค่านั้น เราก็ต้องอาศัยท่านอยู่ก็ต้องเลี้ยงดูอุ้มชู ท่านไว้ เป็นสัจจะที่เป็นเช่นนี้

ถ้าเข้าใจสัจจะอันนี้ได้แล้ว ความรู้ทางเทคนิคนี้เพิ่มได้ ถ้าไม่มีความรู้เทคนิคเลย ธรรมชาติก็สร้างมันเองแล้ว เป็นดิน หิน ชีวะ มันก็เป็นเช่นนั้นของมันอยู่แล้ว ใครจะไปทำลายมันมันไม่รู้เรื่องด้วย ไม่ว่าจะอุตุหรือพีชะ แต่จิตนิยามนี่ยอดวุ่นวายทำร้ายเขา หรือจะต่อให้ดีก็ได้ เราต้องมาล้างพลังงานตัวเลวร้ายที่ไปทำร้ายทำลายเขานี่ให้ออกไป เหมือนพีชะที่ทำแต่สร้างสรร ล้างพลังงานตัวร้ายเหลือแต่พลังงานจิตตัวดีมาทำงานร่วมกับพลังงานพีชนิยามที่มีอยู่แล้วทำประโยชน์ได้มากขึ้นอีก

ความรู้เทคนิค ยุคไม่มีคอมพิวเตอร์กลับสงบสบายกว่านี้อีก ยุคนี้มีดิจิตอล ก็ยิ่งเลวร้ายเสียด้วย แต่คนมันคิดมาแล้ว ใช้ประโยชน์และโทษมีมาแล้วห้ามมันไม่ได้ ก็แก้ก็บรรเทาตัวจิตได้ จิตจึงเป็นสำคัญ

ถ้าเผื่อว่าการศึกษาไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ แนวทฤษฎีการกำจัดกิเลสชาวอโศกพร้อมมั่นใจว่ามี หมู่อื่นเขาก็มั่นใจของเขาเขาก็ทำแล้วใครเก่งกว่ากัน ใครทำประสบผลสำเร็จกว่ากันเมื่อทำสำเร็จก็จะแสดงพฤติกรรมอยู่ในสังคมมนุษย์ เราก็จะรู้ว่าอะไรจริงกว่ากัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะรู้ว่าคุณสมบัติของใครเป็นอย่างไรต้องปฏิบัติอยู่ร่วมกัน แล้วก็ใช้ปฏิภาณปัญญาของคนแต่ละคนมาให้คะแนนหลายคนรวมคะแนนกันก็ใช่จึงเป็นสัจจะ ที่อธิบายสัจจะ 3 อย่างไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าแย้งอยู่ไม่เป็นหนึ่งเดียว ถ้าไม่แย้งแล้วก็เป็นหนึ่ง ถ้าใครกำหนดของตนเองแล้วก็ยอมกับหมู่กลุ่มคนนี้ปัญญาสูงสุด

เราเห็นเช่นนี้ แต่ส่วนรวมไม่เห็นอย่างเรา เราก็ต้องละตัวตน เราก็ยังเชื่อว่าของเราดีที่สุด สัญญา ย นิจจานิ เราก็ไม่เอาของตัวเองก็เอาตามคนอื่นก็ละตัวตนแล้วก็จบ สังคมจะอยู่ราบรื่นเรียบร้อยง่ายงามก็ถ้าจิตวิญญาณเป็นเช่นนี้ก็สงบ เมื่อสงบรวมกันดีพร้อมกันก็จะทำงานสร้างสรรร่วมกัน ปลูกผักร่วมกัน ทำอะไรร่วมกันก็สำเร็จทั้งนั้น

 สุดยอดของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อาการของจิต แบ่งแยกอกุศลจิต กุศลจิตได้ก็จบ ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ ตัวไหนเก๊กว่ากัน เอาตัวเก๊ออก เหลือแต่ตัวดี ก็แค่นั้น ความสำเร็จ

ในสังคมถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวนี่ มันไม่เห็นแก่แม้แต่ญาติ ก็จะสงบร่มเย็น แต่นี่ยังเห็นแก่ญาติก็ยักไว้ให้แก่ญาติ เป็นญาตินิยม ยิ่งไม่ใช่ญาติแล้วเห็นแก่พรรคพวกเป็นกลุ่มเหมือนธัมมชโย เป็นทุนนิยม capitalism เป็นทุนนิยมพรรคพวก ตัวธัมมี่นี่เป็นตัวอย่างทุนนิยมพรรคพวกเลย แล้วเป็นจริงไหม? ก็จริง

คนที่ไม่เป็นแล้ว ชาวอโศกเรามีหมู่พวกแต่จิตเราไม่เหมือนเขา พวกนั้นรวมพลพรรคเพื่อเห็นแก่ตัวเอง คุณอยู่กับอาตมาอาตมาเหมือนหัวหน้า อาตมาไม่ได้ทำเหมือนธัมมี่ คุณก็ต้องใช้ปัญญาตนเองเลือกว่าเหมือนกันไหม ส่ิงจริงจะปรากฏ ยิ่งเห็นทางทวาร 5 เป็นกายวิญญัติครบก็ยิ่งจริง ถ้าเหลือแต่วจี ก็เทียบกันไม่ครบ ยิ่งบอกว่าอยู่ในแต่มโนวิญญัติใครก็ไม่รู้ใครด้วย ถ้ามันมีภายในมันอดไม่ได้ต้องออกมาให้เห็น

การศึกษาของพุทธ ยุคนี้ ต้องเห็นแก่ที่แคบและกว้างขึ้น ถ้าเห็นแก่ตัวคนเดียวคนนี้แย่มาก เอาไปทิ้งทะเลลึกไกลๆเลย ยิ่งกว่าสัตว์ แม้เห็นแก่แค่สองคน ก็ต่ำอยู่ ต้องเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างต่อลูกต่อญาติ ต่อสังคม ต่อสากล สูงไปจนไม่มีขีดคั่นเลย อัปปมัญญา อย่างมีปัญญาเลือกเฟ้นจะอนุโลมแก่ใครตามควร แล้วก็ช่วยกัน พลังงานอย่างนี้อาตมาว่าสุดแล้วในมนุษย์

พวกเราอยู่ร่วมกันกับโลกกับสังคม ก็มีสัญญากำหนดหมายร่วมกัน ก็ถือร่วมกันมา ใครจะเบี้ยว ทำให้ผิดจากสัญญาอันนี้ไม่ได้ คนเราเมื่อรู้จัก คนเราก็ใช้สัญญา ก็ทำ แต่อยู่กับโลก เราจะไม่สัญญากับใคร ทำเดี่ยวๆ คุณค่าประโยชน์มันไม่เกิด  เป็นความจำเป็นที่ชาวอโศกจะต้องมีนิตินัยร่วมกับสังคม แต่เราก็ไม่ต้องไปทำถึงกับต่างประเทศ เช่นเราไม่ทำมหาวิทยาลัยต่างประเทศ

วิทยาลัยเราจะทำเพื่อคนไทย หากเขาเห็นดีด้วยเขาจะให้ทำ แต่เราทำดียังไม่เห็นผลดี เขายังไม่เห็นผล เพราะเราทำดียังไม่มากพอ เราก็ทำไปอีก ทำไปจนไม่สิ้นสุด แต่เขาไม่เห็น เราก็ไม่ขาดทุน ทำดีคือซื่อสัตย์สร้างสรรเสียสละ ทำให้มากๆๆๆเท่าไหร่ คนไม่เห็น สังคมไม่เสียหาย เราไม่ขาดทุน จะไปน้อยใจหรือเสียใจทำไม?

ซื่อสัตย์ สร้างสรร เสียสละ ทำไปไม่สิ้นสุด คนไม่เห็นเราก็ไม่ขาดทุนสังคมก็ไม่เสียหาย...พ่อครู 17 ก.ค. 2559

ซื่อสัตย์ สร้างสรร เสียสละ เอาให้แม่น สามเส้าอันนี้อาตมาว่าคนจะเห็นดีหรือไม่? อาตมาว่าเป็นประโยชน์สมบูรณ์แบบแล้ว

เราทำการศึกษามา ตั้งแต่มวช. หรืออย่างอื่นอีก จนมาถึงตอนนี้ ว.บบบ. และว.นบ.

ว.บบบ.นี้กว้าง อยู่ไกลหรือใกล้ก็มากัน เวลาจะมาสอบวัดค่ากัน นั่น ว.บบบ.​แต่ทีนี้ ว.นบ.ก็จัดกรอบขอบเขต ใกล้ชิดกัน แน่นกว่า ก็มีสองลักษณะเด่น อาตมาไม่ทิ้งสองลักษณะนี้ ว.บบบ.ก็เก็บกวาด ใครจะจรมาติดร่างแหก็มา อันนี้เกื้อกว้าง แต่อันนี้เกื้อแน่น แคบสร้างแกนไปเรื่อยๆ ชัดๆ

ทีนี้ เรามีม็อตโต้อยู่สามคำ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เป็นพื้นฐาน

ต่อมา ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา ต่อมาก็ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา แล้วอันไหนจะเป็นของ ว.บบบ.หรือของว.นบ.กัน

ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา กับ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา อันหลังดูจะศักดิ์สูงกว่า

 

แล้วว.นบ.กับว.บบบ.ใครจะมีศักดิ์สูงกว่าใคร? อาตมาก็ว่า ว.นบ.จะสูงกว่าเพราะเป็นเนื้อเป็นแก่นกว่า แต่ว.บบบ.นี้ กว้างไกลกว่า ยังตามตัวไม่ได้เลย ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าว.นบ.

ตกลง ว.นบ.คือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

เรา ว.นบ.นี่เดิมเราใช้ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา แต่วันนี้ ยึดเอา ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา มาไว้ที่ ว.นบ.แล้ว ตกลง ว.บบ.เอา ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชาไป

ปีนี้ขึ้นปีที่ 3 ของ ว.นบ. เราก็ทำงาน เราก็อยู่กับมนุษย์กับสังคม เราก็มีวิธีการเหมือนชาวโลก เป็นแต่เพียงผลสำเร็จการศึกษาได้ความจริงแค่ไหน เราก็ว่าเราได้ความจริงนี้ไปเรื่อยๆ

ว.นบ.มีปรัชญาว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา 

 

ก็มาขยายความคำว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

สืบสานวิชชา…

วิชชาคืออะไร? ที่เราจะสืบสาน อันนี้ต้องจริง ถ้าไม่จริงสืบสานไม่ได้ วิชชาของพระพุทธเจ้ามี 8

วิชชา 8. .(เป็นเรื่องของปัญญาวิมุติ)

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) ต้องมีการเห็นทั้งภายนอกภายใน ตามวิโมกข์ 8 มีธรรมะสองด้วย และยืนยันร่วมรับรู้กันได้ตั้งแต่สองคนเป็นต้นไป ยืนยันกันได้

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) . . ดู พตปฎ.9/133

4.      ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

 

ขณะนี้เราก็กำลังยื่นขออนุมัติทำมหาวิทยาลัย แต่อาตมาก็พูดบ่อยกว่าเขาไม่อนุมัติ แต่พวกเรามาท้วงว่า ยังไม่ได้ยื่นเข้าไปเลย ...เขาเลยไม่อนุมัติ

เราก็จะสร้างอาคาร สวน. (สัมมาสิกขานาวาบุญนิยม) เป็นอาคาร 2 ชั้น พื้นที่ชั้นละอย่างน้อย 11 ไร่ คนที่จะใช้งานจริงคือ ว.นบ. (วิชชารามนาวาบุญนิยม)

สิ่งที่มันดีจริงแล้วผู้รู้ไม่ปฏิเสธ เขามีแต่จะให้เป็นหลักเป็นตัวอย่างเลย ปัญญาแท้จริงจะตรงกัน

ในพฤติการที่เราทำเป็นความเจริญ​เสฏโฐ เป็นเศรษฐศาสตร์ เป็นสาระเป็นปัจจัยแท้ๆของชีวิตเราก็มากำหนดรู้ว่าอะไรจำเป็นต่อชีวิต

ไล่ไปตั้งแต่ ข้าว ผ้า ยา บ้าน แล้วมีอุปกรณ์ บริขารที่สำคัญที่ต้องใช้

ความฉลาดของคนที่ซื่อสัตย์เสียสละไม่เห็นแก่ตัวเป็นความเจริญที่ได้จริง เป็นเสฏโฐ ทำให้มนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุขเป็นค่ารวมของพฤติกรรมมนุษย์ที่จะต้องทำเช่นนี้ให้แก่กันในสังคมเป็นความรู้สูงสุดแล้วเราก็รู้อย่างที่อาตมารู้อย่างที่อาตมาพาทำ

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)   มีน้อยๆเราก็เบา แล้วอยู่กับหมู่เกื้อกูลกัน สิ่งที่เป็นทรัพย์แท้ของเราคือ ความขยันกับสมรรถภาพ เรามีสองอย่างนี้เมื่อไหร่ก็ออกมาเป็นพฤติกรรมได้ ไม่เห็นแก่ตัว สร้างสรรเสียสละ น้อยก็พอ

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) เรามั่นใจในหมู่ เราไม่เบียดเบียนเพื่อน ทำเผื่อพอ แต่เราทำไม่ไหว เราแก่หมดแรง คนเขาก็ช่วยกัน สังคมนี้เป็นสังคมช่วยคน ยิ่งเรามีคุณค่ามาก่อน เขาไม่ทิ้งเราหรอก

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) จากศีล 5 เป็นศีล 8 เป็นศีล 10 เป็นศีล 43 เป็นศีลที่ได้แล้วไม่ต้องเคร่ง

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  คนมีคุณธรรมเพียงพอเชื่อมั่นในหมู่กลุ่มที่ดีเพียงพอก็ไม่ต้องสะสม ใช้ร่วมกันส่วนกลาง ไม่มีก็ช่วยกันสร้าสง

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) อันนี้ขยันเสมอ

 

เอาให้เก่ง ใครจะเก่งกว่าวรรณะ 9 นี้ก็ไม่ว่ากัน ..การไม่สะสมของพ่อครูนี่ซับซ้อน เราต้องดูแลของส่วนกลาง ไม่สะสม แต่ต้องระมัดระวังเอาภาระ ไม่สะสมแต่ต้องสร้างรวมให้ดีเสมอ ไม่ดูดาย ไม่มือห่างตีห่างไม่เอาภาระ ก็ใช้ไม่ได้

ในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่รวบรวมมาได้ก็เท่านี้ ก็ทำให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ สังคมเป็นสุขไม่เดือดร้อนแน่ แต่เราแม้ทำยังไม่ดีที่สุดยังดีกว่าเลย ไม่มีปัญหาใครจะเลือกที่ไหน ที่นี่อย่างไรๆก็พอ

 

วิชชาของพระพุทธเจ้า

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) คือต้องรู้ว่าอะไรจะให้เกิดหรืออะไรไม่ให้เกิด ความหมายของคำว่าวิ คือยิ่ง แล้วก็เห็นเลยว่าอะไรไม่ให้เกิดก็ไม่มีได้จริง ไม่หลอกหลอนไม่มาเกิดอีกเลย แล้วอะไรจะให้เจริญยิ่งขึ้นก็ทำได้ เห็นอยู่รู้อยู่หลัดๆเลย คือวิปัสสนาญาณ​

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้)คือใจที่ตัดกิเลสได้เก่ง ทำให้กิเลสตายได้อย่างมีฤทธิ์ เป็นจริงได้ แล้วทำสิ่งที่เป็นจริงสมควรทำให้แก่ผู้อื่น สังคม ทำได้มากๆ เรียกว่าอิทธิวิธ คำว่าวิธ แปลว่ามากหลากหลาย อาจต่างกันไปพิสดารก็เป็นประโยชน์ไม่เกินเลย ไปได้อย่างได้สัดส่วนก็เป็นเก่งหลากหลาย อิทธิวิธ  แล้วยังมีความรู้ที่ยิ่งขึ้น

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) . . ดู พตปฎ.9/133

4.      ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน)

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

          7.     สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)

          8.      วิกขิตฺตํจิตตํ  (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

          09. มหัคคตจิต      (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต    (จิตไม่เจริญขึ้น)

11. สอุตตรจิต       (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต      (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

13. สมาหิตจิต       (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต    (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต         (จิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต       (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

นี่คือเจโตปริยญาณ 16 ถ้าคุณสามารถรู้สภาวะ 16 นี้ทำได้ยอดเยี่ยมลงตัวก็สมบูรณ์

 

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

 

คำว่า สว คือตัวเราที่เล็กที่น้อย ไม่ไปทำร้ายใคร เราก็ทำให้สะอาดเกลี้ยง ผู้ไม่มีอาสวะ แต่คือผู้ยังไม่ทำลายอนุสัย ก็เป็นอรหันต์แล้ว แต่มันแตกตัวอาศัยตัวเอง แต่อนุสัยนี้ยิ่งกว่าอาสวะอีก 

คำว่า สก คือตัวต้น สว คือตัวกลาง สย คือตัวปลาย

คำว่า สว นี้คือไม่เป็นภัยเป็นโทษกับใคร ก็เลยอาจไม่ค่อยอยากล้าง ถ้าล้างหมดก็เป็นผู้หมดอาสวะ มีแต่อนุสัย ถ้าอนุสัย หากจะเรียกว่าทุกข์ก็เรียกว่า ทรถ แต่ถ้าเป็นอนาคามีก็เรียกว่า กิลมถะ

สังคมเรามีการศึกษานัยนี้ ความรู้ทางจิตวิญญาณกับความรู้เทคนิค ความรู้เทคนิคไว้อาศัยกินใช้ เดรัจฉานก็ใช้ธรรมชาติเป็น เป็นคนดีกว่าเดรัจฉาน แทนที่จะแค่กินใช้แต่สามารถดูแลธรรมชาติให้ดีขึ้นได้ หรือเราสามารถจัดสรรผสมส่วนธรรมชาติได้ คนมีความสามารถทำได้ ยิ่งเห็นโลกพร่องอยู่เป็นนิจ ขาดพร่องแย่งกันสังคมเดือดร้อน เราก็ทำสิ่งที่เขาแย่งกันนี่ให้เขา จะได้แย่งกันน้อยลง ไม่ได้เลวอะไรมีแต่ดี ทำให้สังคมสงบสุขอยู่ดี

ใครจะเป็นคนเบียดเบียนคนอื่น เกาะเขากินก็เป็นวิบาก หากเราทำชำนาญ เราก็ทำได้ ไม่ได้ยากเย็นอะไร ทำได้แล้วง่าย เบา แม้หนักก็เบา มันจะเป็นความจำเป็นที่เราและคนอื่นกินใช้ร่วมกันอาศัยกันใครสมัครใจก็มา

เป็นสิ่งปรากฏจิรง อาศัยได้จริง ชีวิตสงบสุขจริง ไม่ใช่ฝันเพ้อ เป็น Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา การศึกษาของเราจะประสาท PHD ที่เรียกว่า Phenomenology ไม่ใช่ Philosophyแบบเขานะ นี่คือจุดหมายหรือความรู้ที่อาตมาพาทำ เราพาทำให้เป็นก่อนที่ตัวรู้จะมาด้วยซ้ำ เราทำคนสร้างคนให้ดีก่อนเก่ง แก่สังคม

 

มีคำถาม..

_หากเราอยากปฏิบัติธรรมอยู่ข้างนอกกับอยู่ในวัดสำหรับคนจิตไม่แข็งแร

ตอบ...ก็คุณยังไม่แข็งแรงพอจะเข้ามาอยู่ข้างในก็ต้องอยู่ข้างนอกก่อน ถ้าจิตแข็งแรงพอมาอยู่ภายในจะดีกว่าแน่ มีสัปปายะ 4 อยู่ข้างนอกจะต้องเก่งที่จะอยู่กับเขาได้ เพราะตัวช่วยน้อย แรงกระทบที่จะซัดคุณก็มากด้วยนะ

 

_อุเบกขาแบบเคหสิตะกับอุเบกขาเนกขัมมะต่างกันอย่างไร?

ตอบ...อุเบกขาเคหสิตคือโลกีย์ อาจหยุดเฉยแบบตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรไม่หยุดพัก อีกอย่างคือแบบกดข่มไม่ถาวร ต้องเวียนมาทำอีก หมดแรงกดข่มก็ขึ้นมา นั่นคือเคหสิตอุเบกขาแบบสมถะ ส่วนแบบเนกขัมมะใช้ปัญญา รู้ยิ่งเห็นจริงตัดทำลายกิเลสให้หายไปเลย รู้กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ธุลีละออง กำจัดได้หมด แล้วก็ตรวจสอบอีก อดีต ปัจจุบัน อนาคต เวทนา 108 จนมั่นใจคุณจึงจะจบ สรุปแล้ว เนกขัมมสิตอุเบกขา จึงจบด้วยปัญญา ส่วนเคหสิตนั้นกดข่มใช้เจโตกดข่มไว้

 

_เด็กไม่แน่นในให้แต่ศาสตร์หลายแขนงที่จะล่ากามคุณแก่ชีวิต ถือว่าการกศึกษาผิดทางสังคมไทยแก้ปัญหาไม่ได้ เกาไม่ถูกที่คัน

ตอบ...คนที่จะมาเราคัดเลือกคนมาเรียน เรารู้ว่ากิเลสกามมี เราก็ช่วยกันจัดการ เราเทียบเคียงกับข้างนอกเราบกพร่องเสียหายน้อยกว่าเขา

 

_โครงการของรัฐบาล มีการลงทะเบียนคนจน พ่อครูเห็นว่าให้ชาวอโศกไปลงทะเบียนไหม

ตอบ...ไม่ต้อง เราจะบายให้เอาไปช่วยคนอื่นที่ลำบากกว่า แต่ส่วนตัวนั้นใครจะไปก็ไปแต่หมู่กลุ่มองค์รวมไม่ไปกัน ใครจะไปก็ไม่โกรธเคืองกัน

 

_ถ้ามีพี่น้องมาอาศัยบ้านด้วย ทั้งมาจากทางไกลและในชุมชน เจ้าบ้านก็บอกว่าให้อยู่อย่างพี่น้อง ถ้าเห็นอะไรขวางหูขวางตาก็ช่วยกันทำหรือไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำก็ได้ เป็นอัตตาไหม

ตอบ..ไม่หรอก

 

_ลูกได้มาอยู่บ้านราชฯเดือนสิงหาฯหน้านี้ก็เต็ม 1 ปี ความจริงแล้วลูกมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบดูแลที่หนึ่ง แต่ก็ต้องจากมาตามวิบาก ถามว่าลูกอ่อนแอไหม

ตอบ...ก็ดูว่าเรามีหน้าที่จะต้องช่วย แต่เขาก็พอเป็นไปได้ก็ให้เขาช่วยตัวเองแต่ถ้าเขาไม่พอ ถ้าปล่อยไปตายแน่เราก็จำเป็นต้องช่วยก็สังเกตความจริงตามเหมาะควร

 

_การขาดสติ คิดพิจารณาให้ละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนแรก เพื่อให้มีปัญหาน้อยที่สุด แสดงถึงการที่เราไม่สอนสติพิจารณา ทำเร่งรีบ จนมีปัญหา จะแก้อย่างไร?

ตอบ...สิ่งนี้พวกเรามีปฏิภาณไหวพริบพอรู้ก็พยายามขันชะเนาะกัน ปัญญาหรือความฉลาดจะไม่ขาดสิ่งนี้ ก็อย่าไปกังวลดูถูกคนมีปัญญา ถ้าเห็นว่าขาดมากจริงๆก็ค่อยว่ากัน

 

ส.ฟ้าไท...พ่อครูพูดถึงการศึกษา….


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:43:15 )

590717

รายละเอียด

590717_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปรัชญาของวิชชารามนาวาบุญนิยม(ว.นบ)

ความรู้เทคนิค ยุคไม่มีคอมพิวเตอร์กลับสงบสบายกว่านี้อีก ยุคนี้มีดิจิตอล ก็ยิ่งเลวร้ายเสียด้วย แต่คนมันคิดมาแล้ว ใช้ประโยชน์และโทษมีมาแล้วห้ามมันไม่ได้ ก็แก้ก็บรรเทาตัวจิตได้ จิตจึงเป็นสำคัญ

ถ้าเผื่อว่าการศึกษาไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ แนวทฤษฎีการกำจัดกิเลสชาวอโศกพร้อมมั่นใจว่ามี หมู่อื่นเขาก็มั่นใจของเขาเขาก็ทำแล้วใครเก่งกว่ากัน ใครทำประสบผลสำเร็จกว่ากันเมื่อทำสำเร็จก็จะแสดงพฤติกรรมอยู่ในสังคมมนุษย์ เราก็จะรู้ว่าอะไรจริงกว่ากัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะรู้ว่าคุณสมบัติของใครเป็นอย่างไรต้องปฏิบัติอยู่ร่วมกัน แล้วก็ใช้ปฏิภาณปัญญาของคนแต่ละคนมาให้คะแนนหลายคนรวมคะแนนกันก็ใช่จึงเป็นสัจจะ ที่อธิบายสัจจะ 3 อย่างไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าแย้งอยู่ไม่เป็นหนึ่งเดียว ถ้าไม่แย้งแล้วก็เป็นหนึ่ง ถ้าใครกำหนดของตนเองแล้วก็ยอมกับหมู่กลุ่มคนนี้ปัญญาสูงสุด

เราเห็นเช่นนี้ แต่ส่วนรวมไม่เห็นอย่างเรา เราก็ต้องละตัวตน เราก็ยังเชื่อว่าของเราดีที่สุด สัญญา ย นิจจานิ เราก็ไม่เอาของตัวเองก็เอาตามคนอื่นก็ละตัวตนแล้วก็จบ สังคมจะอยู่ราบรื่นเรียบร้อยง่ายงามก็ถ้าจิตวิญญาณเป็นเช่นนี้ก็สงบ เมื่อสงบรวมกันดีพร้อมกันก็จะทำงานสร้างสรรร่วมกัน ปลูกผักร่วมกัน ทำอะไรร่วมกันก็สำเร็จทั้งนั้น

 สุดยอดของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อาการของจิต แบ่งแยกอกุศลจิต กุศลจิตได้ก็จบ ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ ตัวไหนเก๊กว่ากัน เอาตัวเก๊ออก เหลือแต่ตัวดี ก็แค่นั้น ความสำเร็จ

ในสังคมถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวนี่ มันไม่เห็นแก่แม้แต่ญาติ ก็จะสงบร่มเย็น แต่นี่ยังเห็นแก่ญาติก็ยักไว้ให้แก่ญาติ เป็นญาตินิยม ยิ่งไม่ใช่ญาติแล้วเห็นแก่พรรคพวกเป็นกลุ่มเหมือนธัมมชโย เป็นทุนนิยม capitalism เป็นทุนนิยมพรรคพวก ตัวธัมมี่นี่เป็นตัวอย่างทุนนิยมพรรคพวกเลย แล้วเป็นจริงไหม? ก็จริง

คนที่ไม่เป็นแล้ว ชาวอโศกเรามีหมู่พวกแต่จิตเราไม่เหมือนเขา พวกนั้นรวมพลพรรคเพื่อเห็นแก่ตัวเอง คุณอยู่กับอาตมาอาตมาเหมือนหัวหน้า อาตมาไม่ได้ทำเหมือนธัมมี่ คุณก็ต้องใช้ปัญญาตนเองเลือกว่าเหมือนกันไหม ส่ิงจริงจะปรากฏ ยิ่งเห็นทางทวาร 5 เป็นกายวิญญัติครบก็ยิ่งจริง ถ้าเหลือแต่วจี ก็เทียบกันไม่ครบ ยิ่งบอกว่าอยู่ในแต่มโนวิญญัติใครก็ไม่รู้ใครด้วย ถ้ามันมีภายในมันอดไม่ได้ต้องออกมาให้เห็น

การศึกษาของพุทธ ยุคนี้ ต้องเห็นแก่ที่แคบและกว้างขึ้น ถ้าเห็นแก่ตัวคนเดียวคนนี้แย่มาก เอาไปทิ้งทะเลลึกไกลๆเลย ยิ่งกว่าสัตว์ แม้เห็นแก่แค่สองคน ก็ต่ำอยู่ ต้องเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างต่อลูกต่อญาติ ต่อสังคม ต่อสากล สูงไปจนไม่มีขีดคั่นเลย อัปปมัญญา อย่างมีปัญญาเลือกเฟ้นจะอนุโลมแก่ใครตามควร แล้วก็ช่วยกัน พลังงานอย่างนี้อาตมาว่าสุดแล้วในมนุษย์

พวกเราอยู่ร่วมกันกับโลกกับสังคม ก็มีสัญญากำหนดหมายร่วมกัน ก็ถือร่วมกันมา ใครจะเบี้ยว ทำให้ผิดจากสัญญาอันนี้ไม่ได้ คนเราเมื่อรู้จัก คนเราก็ใช้สัญญา ก็ทำ แต่อยู่กับโลก เราจะไม่สัญญากับใคร ทำเดี่ยวๆ คุณค่าประโยชน์มันไม่เกิด  เป็นความจำเป็นที่ชาวอโศกจะต้องมีนิตินัยร่วมกับสังคม แต่เราก็ไม่ต้องไปทำถึงกับต่างประเทศ เช่นเราไม่ทำมหาวิทยาลัยต่างประเทศ

วิทยาลัยเราจะทำเพื่อคนไทย หากเขาเห็นดีด้วยเขาจะให้ทำ แต่เราทำดียังไม่เห็นผลดี เขายังไม่เห็นผล เพราะเราทำดียังไม่มากพอ เราก็ทำไปอีก ทำไปจนไม่สิ้นสุด แต่เขาไม่เห็น เราก็ไม่ขาดทุน ทำดีคือซื่อสัตย์สร้างสรรเสียสละ ทำให้มากๆๆๆเท่าไหร่ คนไม่เห็น สังคมไม่เสียหาย เราไม่ขาดทุน จะไปน้อยใจหรือเสียใจทำไม?

ซื่อสัตย์ สร้างสรร เสียสละ ทำไปไม่สิ้นสุด คนไม่เห็นเราก็ไม่ขาดทุนสังคมก็ไม่เสียหาย...พ่อครู 17 ก.ค. 2559

ซื่อสัตย์ สร้างสรร เสียสละ เอาให้แม่น สามเส้าอันนี้อาตมาว่าคนจะเห็นดีหรือไม่? อาตมาว่าเป็นประโยชน์สมบูรณ์แบบแล้ว

เราทำการศึกษามา ตั้งแต่มวช. หรืออย่างอื่นอีก จนมาถึงตอนนี้ ว.บบบ. และว.นบ.

ว.บบบ.นี้กว้าง อยู่ไกลหรือใกล้ก็มากัน เวลาจะมาสอบวัดค่ากัน นั่น ว.บบบ.​แต่ทีนี้ ว.นบ.ก็จัดกรอบขอบเขต ใกล้ชิดกัน แน่นกว่า ก็มีสองลักษณะเด่น อาตมาไม่ทิ้งสองลักษณะนี้ ว.บบบ.ก็เก็บกวาด ใครจะจรมาติดร่างแหก็มา อันนี้เกื้อกว้าง แต่อันนี้เกื้อแน่น แคบสร้างแกนไปเรื่อยๆ ชัดๆ

ทีนี้ เรามีม็อตโต้อยู่สามคำ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เป็นพื้นฐาน

ต่อมา ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา ต่อมาก็ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา แล้วอันไหนจะเป็นของ ว.บบบ.หรือของว.นบ.กัน

ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา กับ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา อันหลังดูจะศักดิ์สูงกว่า

 

แล้วว.นบ.กับว.บบบ.ใครจะมีศักดิ์สูงกว่าใคร? อาตมาก็ว่า ว.นบ.จะสูงกว่าเพราะเป็นเนื้อเป็นแก่นกว่า แต่ว.บบบ.นี้ กว้างไกลกว่า ยังตามตัวไม่ได้เลย ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าว.นบ.

ตกลง ว.นบ.คือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

เรา ว.นบ.นี่เดิมเราใช้ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา แต่วันนี้ ยึดเอา ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา มาไว้ที่ ว.นบ.แล้ว ตกลง ว.บบ.เอา ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชาไป

ปีนี้ขึ้นปีที่ 3 ของ ว.นบ. เราก็ทำงาน เราก็อยู่กับมนุษย์กับสังคม เราก็มีวิธีการเหมือนชาวโลก เป็นแต่เพียงผลสำเร็จการศึกษาได้ความจริงแค่ไหน เราก็ว่าเราได้ความจริงนี้ไปเรื่อยๆ

ว.นบ.มีปรัชญาว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา 

 

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:43:48 )

590718

รายละเอียด

590718_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2559 วันนี้มี 2 คำที่สำคัญที่มีคนถามมา

ถามว่าทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ มีความหมายว่าอย่างไร ?

คำว่าบุญนี้ในภาษาไทยได้มีความหมายผิดเพี้ยนไปแล้วเรียบร้อย ผลสำเร็จของสัจจธรรมจึงไม่เกิด การทำบุญก็คือทำให้เกิดบุญ

บุญคืออาการที่กิเลสถูกชำระลงไปได้ด้วยสามารถของใครก็แล้วแต่ กิเลสนั้นตายจริงไม่มีฟื้นไม่เกิดอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กุศลเป็นเครื่องอาศัย แต่บุญคือเครื่องกำจัด ส่วนอกุศลหรือบาปเป็นสิ่งที่ไม่น่าอาศัย ไม่น่าเป็นไม่น่ามี ชำระกำจัดให้สิ้นอาการ สิ้นชีวิต ของบาป อกุศล ให้ได้นี่คือหน้าที่ของบุญ

แล้วถามมาว่า ทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญคือ? คือถูกตัวสิ่งที่จะกำจัดไม่ใช่ส่ิงงอกงาม อย่างกับเอาข้าวปลูกในนา ข้าวก็งอกงาม อันนี้ก็เป็นกุศล ไม่ใช่บุญ นาบุญนี้ที่จริงคือนาเตียนโล่ง หมดต้นขยะต้นบาปเกลี้ยงเลย ไม่มีอะไรงอกเงยเลย นั่นคือเนื้อนาบุญที่แท้จริง

 

_มีคำถามว่า...ผมเข้าใจว่า นิพพานเป็นอนัตตา แต่พุทธวจนะบอกว่า นิพพานไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา ...อันนี้เอามาจากพระคึกฤทธิ์ ผมจะขอเอาคำพูดของอ.คึกฤทธิ์ที่แสดงธรรมไว้หลายครั้งว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอสังขตธรรม ขันธ์ 5 ก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังอนัตตา อนัตตาใช้กับสิ่งที่มีการเกิดปรากฏ เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการดับ ความเป็นอนัตตามีเสื่อมได้ อนัตตาคือตัวจบของการดับ เมื่อดับก็ไม่มีตัวตน สังขตะทั้งหมดจึงเป็นอนัตตา

สังขตะ อสังขตะ

สังขตะแปลว่ายังมีตัวตน ก็ต่างกับอสังขตะ เมื่อมันไม่ปรุงแต่ง นิ่งก็เรียกว่าอสังขตะ พอมันปรุงก็สังขตะ เมื่อปรุงก็ต้องไปหาอนัตตา ธรรมะฝ่ายปฏิจจฯทั้งหมดจึงไปหาสายอนัตตา ฝ่ายอนัตตาก็เป็นฝ่ายสลาย

ท่านบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา มีไม่ได้ เพราะสาวกแต่งใหม่ ใครไปบอกว่านิพพานเป็นอนัตตามีขึ้นมาไม่ได้ เพราะนิพพานบัญญัติอะไรขึ้นมาไม่ได้ นี่คือข้อความที่ท่านอ.คึกฤทธิ์แสดงธรรม ส่วนผมเข้าใจได้จากอ่านหนังสือพ่อครู แต่การจะเอาคำพูดไปโต้แย้งกับสำนักพุทธวจนะต้องอ้างอิงพระสูตรมาก ผมจึงใคร่ขอให้ช่วยหน่อย

ตอบ...ถ้าจะคิดเถียงโต้กันมันไม่ง่ายเลย เพราะเอาภาษามาแย้งกันได้หมด พพจ.เลยว่าอย่าเถียงกันเลย ให้ปฏิบัติไปจะได้เห็นทั้งสองมุม เมื่อรู้ทั้งสองมุมก็จะรู้ว่า จะใช้พยัญชนะอะไรเรียก เพราะว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ถ้าสองไม่ใช่สัจจะ เราก็จะชัดเจนว่า คนที่ยึดของเขา สัญญา ย นิจจานิ เราก็จะจบ เพราะถ้าเถียงกันก็ลงไม่ได้ เขารู้ไม่ได้ก็เป็นสอง ไม่จบ ต่างคนต่างสัญญา ย นิจจานิ บั้นปลายของธรรมะพพจ.แล้วจะไม่ทะเลาะกัน ต่างคนต่างได้นิพพานของตนอาศัยไป ตำแหน่งสองตำแหน่งสุดท้ายก็สบาย อนุโลมปฏิโลมกับเขามาได้แล้วในหยาบๆ ยังไม่ถือเลย มันแรงกว่า แล้วจะไปยึดถือที่ละเอียดทำไม มันเบาบางกว่า จะไปยึดทำไม? เป็นต้น นี่ก็คือที่ขยายให้ฟัง นิพพานเป็นหนึ่งเดียว

นิพพานที่ท่านบอกว่า ไม่ยึดทั้งอัตตา อนัตตา ก็ใช่ แต่คุณยังไม่ตายก็ต้องมีอัตตา แม้ว่าเรามีอัตตาเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ได้อาศัยอยู่เท่านั้น ที่เราอาศัยอยู่มันคือต้องมีอยู่นั่นแหละ ต้องโหติ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:44:16 )

590718

รายละเอียด

590718_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2559 วันนี้มี 2 คำที่สำคัญที่มีคนถามมา

ถามว่าทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ มีความหมายว่าอย่างไร ?

คำว่าบุญนี้ในภาษาไทยได้มีความหมายผิดเพี้ยนไปแล้วเรียบร้อย ผลสำเร็จของสัจจธรรมจึงไม่เกิด การทำบุญก็คือทำให้เกิดบุญ

บุญคืออาการที่กิเลสถูกชำระลงไปได้ด้วยสามารถของใครก็แล้วแต่ กิเลสนั้นตายจริงไม่มีฟื้นไม่เกิดอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กุศลเป็นเครื่องอาศัย แต่บุญคือเครื่องกำจัด ส่วนอกุศลหรือบาปเป็นสิ่งที่ไม่น่าอาศัย ไม่น่าเป็นไม่น่ามี ชำระกำจัดให้สิ้นอาการ สิ้นชีวิต ของบาป อกุศล ให้ได้นี่คือหน้าที่ของบุญ

แล้วถามมาว่า ทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญคือ? คือถูกตัวสิ่งที่จะกำจัดไม่ใช่ส่ิงงอกงาม อย่างกับเอาข้าวปลูกในนา ข้าวก็งอกงาม อันนี้ก็เป็นกุศล ไม่ใช่บุญ นาบุญนี้ที่จริงคือนาเตียนโล่ง หมดต้นขยะต้นบาปเกลี้ยงเลย ไม่มีอะไรงอกเงยเลย นั่นคือเนื้อนาบุญที่แท้จริง

 

_มีคำถามว่า...ผมเข้าใจว่า นิพพานเป็นอนัตตา แต่พุทธวจนะบอกว่า นิพพานไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา ...อันนี้เอามาจากพระคึกฤทธิ์ ผมจะขอเอาคำพูดของอ.คึกฤทธิ์ที่แสดงธรรมไว้หลายครั้งว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอสังขตธรรม ขันธ์ 5 ก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังอนัตตา อนัตตาใช้กับสิ่งที่มีการเกิดปรากฏ เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการดับ ความเป็นอนัตตามีเสื่อมได้ อนัตตาคือตัวจบของการดับ เมื่อดับก็ไม่มีตัวตน สังขตะทั้งหมดจึงเป็นอนัตตา

สังขตะ อสังขตะ

สังขตะแปลว่ายังมีตัวตน ก็ต่างกับอสังขตะ เมื่อมันไม่ปรุงแต่ง นิ่งก็เรียกว่าอสังขตะ พอมันปรุงก็สังขตะ เมื่อปรุงก็ต้องไปหาอนัตตา ธรรมะฝ่ายปฏิจจฯทั้งหมดจึงไปหาสายอนัตตา ฝ่ายอนัตตาก็เป็นฝ่ายสลาย

ท่านบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา มีไม่ได้ เพราะสาวกแต่งใหม่ ใครไปบอกว่านิพพานเป็นอนัตตามีขึ้นมาไม่ได้ เพราะนิพพานบัญญัติอะไรขึ้นมาไม่ได้ นี่คือข้อความที่ท่านอ.คึกฤทธิ์แสดงธรรม ส่วนผมเข้าใจได้จากอ่านหนังสือพ่อครู แต่การจะเอาคำพูดไปโต้แย้งกับสำนักพุทธวจนะต้องอ้างอิงพระสูตรมาก ผมจึงใคร่ขอให้ช่วยหน่อย

ตอบ...ถ้าจะคิดเถียงโต้กันมันไม่ง่ายเลย เพราะเอาภาษามาแย้งกันได้หมด พระพุทธเจ้าเลยว่าอย่าเถียงกันเลย ให้ปฏิบัติไปจะได้เห็นทั้งสองมุม เมื่อรู้ทั้งสองมุมก็จะรู้ว่า จะใช้พยัญชนะอะไรเรียก เพราะว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ถ้าสองไม่ใช่สัจจะ เราก็จะชัดเจนว่า คนที่ยึดของเขา สัญญา ย นิจจานิ เราก็จะจบ เพราะถ้าเถียงกันก็ลงไม่ได้ เขารู้ไม่ได้ก็เป็นสอง ไม่จบ ต่างคนต่างสัญญา ย นิจจานิ บั้นปลายของธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่ทะเลาะกัน ต่างคนต่างได้นิพพานของตนอาศัยไป ตำแหน่งสองตำแหน่งสุดท้ายก็สบาย อนุโลมปฏิโลมกับเขามาได้แล้วในหยาบๆ ยังไม่ถือเลย มันแรงกว่า แล้วจะไปยึดถือที่ละเอียดทำไม มันเบาบางกว่า จะไปยึดทำไม? เป็นต้น นี่ก็คือที่ขยายให้ฟัง นิพพานเป็นหนึ่งเดียว

นิพพานที่ท่านบอกว่า ไม่ยึดทั้งอัตตา อนัตตา ก็ใช่ แต่คุณยังไม่ตายก็ต้องมีอัตตา แม้ว่าเรามีอัตตาเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ได้อาศัยอยู่เท่านั้น ที่เราอาศัยอยู่มันคือต้องมีอยู่นั่นแหละ ต้องโหติ

 

SMS 17 JUL 59

0805925xxx ขอตั้งตบะพรรษาหลังเพลงดนมน้ำเต้าหู้เอาบุญสัจจะบารมี@ปลายฝน

0846703xxx ปี56-57 ยึดไว้ว่าไม่เชือถือกำนันเลย แต่ก็ไปช่วยงานช่วยค้างที่ราชดำเนินถี่มากเพราะยอมตามหมู่ที่พ่อท่านนำค่ะ แก้วพราวตา

0833208xxx คนโง่ชอบอวดดีคิดว่าตนเองถูกต้องเสมอจึงมองไม่เห็นความดีของใครเขาจึงขัดเคืองใจมากจึง"ทุกข์"มาก เมธียอมน้อมใจเกรงแต่จะเป็นความผิดตน จึงชอบหาความดีของเขาจึงได้ประโยชน์มาก ก็ได้"คุณ"มาก

0893867xxx รวมใจสงบรักศีลธ.ถวายจิตวิญญาณแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯเพื่อธรรมอันพ่อครูบรรลุผลปลงโปรดโลกเจริญโลกุตระธ.!

0893867xxx ขอน้อมนำลายพระหัตถ์จากเศรษฐกิจพอเพียงในมุมมองของฉันในสมเด็จพระเทพรัตนฯทรงพระราชทานว่า"ประหยัด"ฯด้วยใจรักภักดี ฯขอบคุณเราคิดอะไร

การศึกษาที่ลดกิเลสแล้วกอบกู้ปท.ทั้งทางศก.ทางสังคมได้คงมีเพียงการศึกษาเดียวในโลกคือปรัชญาพอเพียงปรัชญาเดียวในพุทธศ.ที่ ตรงตามธ.อัปปิจฉะในตถาคต!

0833046xxx อนุสัยไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่ไวคม การพูดจามักจะกดขี่บังคับเขาเชือดเฉือนบาดใจเผาไหม้ทำลายหมกจมเขา นิสัยเลวไม่กำจัดไม่อาจหยัดยืน คนหากแปรเปลี่ยนกำจัดอนุสัยได้ "ธรรมญาณวิสัยก็จะสำแดงคุณ"

 

ภพเทวดาเป็นสิ่งที่ต้องทิ้งหมดเลย ไม่ใช่สิ่งที่ต้องน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่คนบางคนก็บอกว่าต้องเป็นลำดับสิ ต้องทิ้งนรกแล้วมาเป็นเทวดาก่อน แต่ว่า เทวดาคือภพ แล้วจะไปติดในเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งสิ

เทวดาจริงคือต้องลดเทวดา 6 ชั้นนี้ คืออุบัติเทพ ถ้ายึดว่าต้องเป็นเทวดาขั้นๆ จะต้องจมในเทวดา6 นี้ ต้องลดเทวดา จึงเป็นอุบัติเทพ

เช่นเราชอบแตงจริง แตงโม ฟักทอง กินเมื่อไหร่ก็ชอบใจ พอเราศึกษา แล้วก็พบว่าไปติดยึดไม่ดีหรอก เป็นภพเป็นชาติ เราไปติดยึดเอง เรามีปัญญา ลดละ อาการที่เคยติดยึด จนอาการหมดไม่มีแล้ว สัมผัสอย่างไรอีกมันก็ไม่มีอาการจริงๆ อย่างอาการแรงๆ อร่อยเพราะขมจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัดหรืออาการที่ไม่แรงแต่ว่ามันเบาบาง โรแมนติกอันนี้รู้ยาก

ทีนี้มาเป็นพรหม เรื่องพรหมนี้เป็นสาม สาม สาม

ก่อนจะเป็นพรหม นั้นต้องทำการลดละ ทำลายภพชาติไป จนหมดภพชาติได้ ก็เป็นพรหม แต่ว่า มีพรหมหลงผิด คือเวหัปผลา กับ อาภัสรา ฝ่ายอสัญญี คือฝ่ายสุภกิณหา ส่วนฝ่ายฉลาดลืมตา มีพวกที่ฉลาดปัญญายึดไม่เก่ง กับพวกฉลาดมีปัญญายึดเก่งด้วย อย่างธัมมชโย ที่เอาลงยากเพราะมีทั้งฉลาดและยึดเก่ง ส่วนพวกที่ยึดอย่างเดียวไม่ค่อยเข้าใจก็เอาลงง่าย ถ้าเหตุผลพอเขาก็จบ แต่นี่เหตุผลอย่างไรเขาก็กลิ้งกลมได้หมด

1       รูปพรหม

1.1    ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

1.2    ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

1.3    ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

อันนี้สามสภาวะแรก แล้วก็ขยายต่ออีก สามสภาวะต่อมา

 

1.4    ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ คำว่าปริตตะแปลว่าน้อย อาภาแปลว่าแสง เปรียบปัญญาเหมือนแสงสว่าง เป็นพรหมมีปัญญา เก่งบริสุทธิ์ ฉลาด มีปัญญา

1.5    ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คือสว่างไปไม่สิ้นสุด

1.6    ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ มีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป ขยายรูปธรรม

อันนี้เป็นกลุ่มที่สอง

 

1.7    ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ คำว่า ภา แปลว่าแสงสว่าง แล้วคำว่า สุภา นี่ก็แปลว่าสว่างดีท่านปยุตต์แปลว่า พวกมีลำรัศมีงามน้อย (พ่อครูพูดถึงโมเดล เรือโคกใต้ดิน นาวาบุญนิยม ที่ทำจากทองเหลืองที่มาตั้งอยู่ข้างๆพ่อครู)

1.8    ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ แปลว่าพวกมีลำรัศมีงามประมาณมิได้

1.9    ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ อันนี้เขาเห็นส่ิงที่น่าได้น่ามีน่าเป็นคือความดำดับปี๋ สะกดจิตเข้าไปนิ่งเงียบเลย สายอาฬารดาบส อุทกดาบส

 

1.10  ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

1.11  ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ

สรุป 11 ชั้นนี้มีสองแบบ สองสายคือสายปรุงปัญญาฟรุ่งฟริ้ง และสายดับดำมืด สายปัญญาเฉโกนี้ ฉลาดมาก กินประเทศไทยจนเกือบไม่เหลือเลย รวมกับฝ่ายการเมืองอีกก็เกือบได้หมดประเทศนะ

1.12  สุทธาวาส คืออนาคามี 5 พวกที่หลงจมก็จะตกภาพนี้ แต่เป็นอนาคามีที่ไม่จริง ตกจมภพนั้นๆ ดำมืดในระดับ 5 ขั้นนี้ ทับถมแน่น คือพวกอสัญญี ส่วนพวกเวหัปผลาคือพวก 36 มงกุฏ คือ 18 คูณสอง

แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิก็ มีสองสายคือสังขิตตังจิตตัง(รู้เป็นก้อนๆ) กับวิขิตตังจิตตัง (รู้กระจาย)

1.12.1        ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

1.12.2        ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

1.12.3        ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

1.12.4        ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

1.12.5        ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

ในห้านี้ ผู้เป็นอนาคามีจะต้องปฏิบัติ หากเป็นพวกที่

อวิหาก็ปล่อยไปตามยถากรรมก็เป็นพวก อันตราปรินิพพายี

พวกอตัปปาฯ คือพวกที่ทำด้วยสามารถ อุปหัจจะ ในอนาคามีตายแล้วมีแต่จิต ถ้าคุณกำหนดอาการใจได้ดี มีสภาวะจับนามธรรมได้แท้ แต่ถ้ามี ทวารนอกครบคู่กับใจก็จะง่าย แต่ถ้ามีแต่ใจก็จะยาก

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)  อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)   สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก) สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล 4 เหล่า

1.      อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น)

2.      วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร)

3.      เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป  โดยอุทเทส (หัวข้อ)   โดยไต่ถาม  โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  โดยการสมาคม  โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร) 

4.      ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ  หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108)

พวกปทปรมะนี้ อย่านึกว่าเขาไม่ฉลาดนะ แต่ว่า ฉลาดมากได้ด้วย แต่ไม่มีสภาวธรรมที่บรรลุได้สักชาติ

สุทธาวาส 5 นี้ละเว้นได้ แต่อรูปพหรม นี้ละเว้นไม่ได้ ต้องปฏิบัติจึงบรรลุได้ เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าคือการตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก จนมั่นใจ จะช้านานหรือเร็วรีบตัดสินก็เรื่องของคุณ อาจพลาดได้ ถ้าเร็ว

2       อรูปพรหม

2.1    ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

2.2    ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

2.3    ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

2.4    ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

ต้องเรียนรู้เวทนา 108 ได้จึงตรวจสอบ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้ ต้องทำอย่างเป็นลำดับอันน่ามหัศจรรย์

เวทนา 2 ต้องทำ  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ถ้าไม่รู้ไม่ทำอันนี้ให้ถูกต้องในธรรมะสองก็ไม่มีทางบรรลุได้เลย

ต้องทำที่หทยรูป รู้ชีวิตินทรีย์ ทำเวทนาสองให้เป็นเวทนา 1 ได้ แล้วทำได้อันหนึ่งก็จะมีแนวทางทำอันอื่นต่อไปโดยปริยาย เร่ิมต้นต้องอ่านอาการ อารมณ์ ความรู้สึกของจิตได้ เราต้องรู้ความต่างระหว่างพีชะ กับจิต

พีชะ มีสัญญากับสังขาร ปรุงแต่งเท่าที่มันมีสัญญา คนสามารถลดละกิเลส ให้พลังงานอกุศลจิตดับ พลังงานนั้นกลายเป็นกุศลจิต กลายเป็นจริงไม่ได้ด้วยเสแสร้ง เป็นพลังงานศักย์ซับซ้อน พระอาริยะ มีคุณสมบัติจิตที่มีฤทธิ์แรงประเสริฐ เอาพลังงานมาทดใช้ได้เลย

เมื่อสามารถรู้ กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนา คำว่าเจตสิกคืออาการจิต กายยิกเวทนา คืออาการที่ปรุงแต่งกับรูปนาม ไม่ใช่แค่ร่างเท่านั้น แต่คือความรู้สึกองค์รวมนอกและใน ส่วนจิตก็เน้นใน

อาการ เวทนา 18 นี่แหละที่เป็นตัวแบ่งโลกียะ กับโลกุตระ แบ่งเคหสิตเวทนากับ เนกขัมสิตเวทนา ทำให้เป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เมื่อทำได้เป็นเอก ก็เป็นเอกบุรุษ หรือปุริสภาวะ หรือปุงลิงค์เป็นหนึ่งเดียวคุณบรรลุแล้ว อาสวะสิ้น คุณทำเจริญจนอนุโลมได้เก่งขึ้นก็เป็นนปุงสกลิงค์คือทำจิต 0 ได้เก่งเป็นอเนญชาภิสังขารได้เก่งขึ้นๆ

เมื่อคุณทำเนกขัมสิตะได้จนหมดเชื้อที่จะมีกิเลส แม้กระทบอย่างไรใน โลกธรรม ที่เป็นลาภ ยศ ศักดิ์ฐานะ เป็นสรรเสริญ หรือเป็นสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจก็ดี จนสามารถทุกปัจจุบันของจริงก็ดับได้หมด มารูปไหนท่าไหน มีเผลอไม่เผลอ กับโลกทั้งหลาย อย่าไปคำนึงเวลา ตั้งหน้าตั้งตาทำไป แล้วตรวจสอบด้วย

เราเดินทางมาเข้าหานิพพานได้นิดเดียว แต่เขาหาว่าเราสุดโต่งเลยแท้จริงเขาเดินห่างนิพพานไปไกลมากเลย

 

ต้องตรวจสอบอดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่า 0 ก็ตัดสินได้ว่าเป็นอรหันต์ เวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธหากไม่มีเวทนา ไม่มีฐานะที่จะเป็นได้ เมื่อมันผิดก็เลยกลายเป็นกรรมฐาน 40 กรรมฐานเลอะเทอะอะไรมากมาย

ถ้าพวกเราเป็นอนาคาฯสัก 200 คนก็จะพาไปบริหารบ้านเมืองได้ ฟังแล้วเขาก็จะหาว่าเพ้อเจ้อ ว่าธรรมะอะไรมายุ่งกับการเมือง ก็คนละความเชื่อ ก็ดูไป จะดำเนินไปตามสัจจะ ขอให้พากเพียรทำไปให้บรรลุ เด็กๆเราลูกหม้อก็จะรู้ พวกมี DNA จริงก็จะไม่ไปไหน แล้วพวกเรา สมมุติว่าพวกคุณไปเป็นรมต.แล้วบริหารบ้านเมืองได้ ลูกหลานคุณต้องเชื่อมั่น แต่ตอนนี้ไม่มีตัวอย่าง ที่พูดไปนี้ไม่ใช่อยากเป็นนะ ความอยากหรือไม่อยากนี้โกหกกันได้ แต่ผู้รู้จริงแล้ว โกหกมันชั่ว ท่านจะโกหกทำไม? แต่ถ้าอยากก็จะต้องโกหกต่อไปอีก

เมืองไทยเราต้องมีเพราะมีเชื้อโลกุตระแล้ว ประเทศอื่นยังไม่มีทฤษฎีนี้นะ อาตมาไม่เคยคิดไปเผยแพร่เมืองนอก ให้เขามาเอาเอง ของดีให้เขามาเอาเอง เรายินดีให้ คนไทยที่จะให้เราก็มีเยอะอยู่ก็ทำที่นี่ไปก่อน จะได้สร้างโมเดลของโลกการเมืองแบบโลกุตระ เศรษฐกิจโลกุตระ สังคมโลกุตระ ขึ้นมา

ถ้าเหลืออรูปแท้ๆ คุณต้องตรวจสอบลงบัญชี

1.      อากาสานัญจายตนะ  (เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญา โดยประการทั้งปวง   เพราะปฏิฆสัญญาดับไป .. เพราะไม่ต้องใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา). มีมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (รูป)

2.      วิญญาณัญจายตนะ (เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายต-นะ  มีมนสิการว่า… วิญญาณหาที่สุดมิได้) (นาม)

3. อากิญจัญญายตนะ (เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายต-นะ  มีมนสิการว่าต้องดับให้หมด  น้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี) (รูป)

4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญ- ญายตนะ  แจ้งชัดขึ้นว่า ต้องไม่มีอะไรที่จะไม่รู้) (นาม)

(พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 235)

อรูปฌานก็ไม่ต้องไปหลับตาทำหรอก กระทบสัมผัส แล้วเราว่าง อากาสาฯไหม อาการของแต่ละอันไม่เหมือนกัน

เป็นผู้หมดกิเลสอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ให้ไปบริหารเงินกี่ล้านๆๆๆก็ไม่เอาไม่คอรัปชั่น เพราะบาทเดียวยังไม่เอาเลย ไม่ต้องแบกเงินเลยอย่างอาตมาก็ทำงานได้ ตามบารมี

อาตมาพวกเราออกไปทำงานการเมือง ตอนผู้การแต้มเขาก็แพ้เพราะเขามีสำนึกมีคุณธรรม และก็ตอน 18 กพ.ด้วย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:44:44 )

590719

รายละเอียด

590719_พ่อครูแสดงธรรมวันอาสาฬหบูชา ปี 2559

สาวกสังโฆ คือผู้เป็นอาริยะ เรียกว่าพุทธบริษัท

ชาวพุทธมีสามชนิด

1.พุทธศาสนิกชน คือชาวพุทธ ที่สักแต่ว่าเป็นพุทธ สืบทอดตามสัมมะโนครัว ไม่ได้ศึกษาไม่รู้ว่าต้องศึกษาฝึกฝนพุทธธรรม เป็นภาระเป็นพวกที่ผิดเพี้ยนลำบาก จนถึงหนักแผ่นดิน

2.พุทธมามกะ คือผู้ตั้งใจปฏิบัติพุทธธรรม เอาใจใส่พากเพียรจริงๆแต่ยังไม่บรรลุธรรม

3.พุทธบริษัท 4 เป็นผู้บรรลุธรรม มีอุบาสก อุบาสิกา กำหนดกันอย่างน้อยศีล 8 เพราะต้องผ่านโสดาบันแล้ว จึงถือว่าพุทธบริษัทคือคนถือศีล 8 เป็นต้นไป เพราะคุณต้องได้ศีล 5 เป็นต้นไป พุทธบริษัท คืออุบาสก อุบาสิกาคือผู้ถือศีล 8 เป็นต้นไปเพราะได้โสดาบันแล้วจะต่อพุทธภูมิต่อไป พุทธบริษัท จึงคืออาริยบุคคลที่เป็นอย่างน้อยพระโสดาบัน

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรียกว่าโลกุตรธรรม 43 มีในพระไตรฯล.31 ข.620 46 มาจากโพธิปักขิยธรรม 37 บวกกับโลกุตรธรรม 9 ก็คือโลกุตรธรรม

เร่ิมจากคุณจะอ่านกายออก คือองค์ประชุมรูปนาม เป็นธรรมะสอง รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือปัญญาของเราที่รู้ได้ ต้องรู้พลังงานจิต มีรูปนอกแล้วอ่านเข้าไปในจิต ในองค์ประชุมจิตที่มีอาการกิเลส เช่นกำลังโกรธก็อ่านอาการออก มันไม่มีเส้นแสงสีเสียง แต่เป็นอาการ

เคยโกรธกันไหม ใครไม่เคยโกรธเลยยกมือขึ้น ในขณะเราโกรธเราอ่านอาการในปัจจุบันเลย มีเรื่องราวกับใครก็แล้วแต่ อ่านอาการนั้นให้ทัน เมื่ออ่านทัน อาการโกรธในจิตเรา มันไม่มีเส้น ไม่มีแสง ไม่มีสี ไม่มีรูปร่างตัวตน พระพุทธเจ้าสอนว่าให้อ่าน จาก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านอาการแล้วทำเครื่องหมาย คือนิมิต ว่าต่างจากอาการโลภ คุณก็เข้าใจของคุณเองว่าต่างกันนะ เกิดจากจิตเรา นั่นคือคุณกำลังรู้สักกายะ รู้องค์ประชุมรูปนามที่เป็นความโกรธ ความโลภ ของกาย คือสักกายของเรา แต่คำว่ากายเขาสอนกันเพี้ยนว่ากายคือร่างภายนอกเรียกว่าร่างกาย ไม่เข้าหาจิตเลย คือผิดเพี้ยนมาก

เมื่อเข้าใจกายว่าแค่นอกก็ไม่เข้าหาจิตก็จบเลยไม่มีทางรู้กายในกายที่เป็นสักกายะตัวแรกเลย แล้วจะไปฆ่ากิเลสตรงไหน? เป็นตำรวจแต่นั่งกินข้าวกับโจรไม่รู้จักโจรเลย

พอสัมผัสปั๊บก็อ่านอาการเป็น จึงจะจับตัวมันได้ มันไม่ใช่ของคุณนี่ คุณจะเอาก็ต้องซื้อหากเขาไม่ขายคุณก็ไม่ได้ต้องอยากต่อไป ถ้าติดมากก็แย่งชิงขโมย ฆ่าเจ้าของเลย แย่งมา คือเกิดจากเหตุที่คุณต้องได้ ก็ผิดศีล หรือจะโกงเอาหรือเอาเปรียบเอาก็แล้วแต่ ถ้าได้อย่างซื่อสัตย์สุจริตก็ไม่บาป แต่ถ้าไม่ก็บาป

คำว่ากายนั้นสำคัญมาก  ถ้าเข้าใจว่ากายคือภายนอก เวลาปฏิบัติกายคตาสติ ปฏิบัติกายในกายก็เลยทำไม่ถูก เละเลยไม่ได้อานิสงส์ในการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าว่า ...ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

ส่วนคำว่า ธรรมกายหรือพรหมกายนี่พระพุทธเจ้าว่าเป็นชื่อเรียกท่านนะ ยิ่งใหญ่แต่ถ้าคนปฏิบัติไม่เข้าใจแค่ คำว่า กายก็ปฏิบัติไม่ถูก อย่างผม ขน ฟัน เล็บ ผิวกาย นี่ตอนไหนมันเป็นอุตุ พีชะ หรือจิตนิยาม ก็ต้องอ่านให้ออก

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:45:11 )

590719

รายละเอียด

590719_พ่อครูแสดงธรรมวันอาสาฬหบูชา ปี 2559

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาสาฬหบูชาแปลว่าวันเพ็ญเดือน 8 ซึ่งเมืองไทยเป็นเมืองที่ค้นพบว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่ครบพร้อมทั้งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ก็เลยถือว่าเป็นวันสำคัญที่อื่นๆเขาจะยังไม่ตื่นตัวในวันนี้ ว่าเป็นวันสำคัญอะไรมากมาย เขาก็รู้ว่าเป็นวันเพ็ญเดือน8แต่ไม่สำคัญในตำนาน

เป็นวันสำคัญที่พระพุทธเจ้าเทศนา เกิดพระธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกกับปัญจวัคคีย์และก็เกิดพระสงฆ์รูปแรกขึ้นมาคืออัญญาโกณฑัญญะ ครบรัตนตรัยครั้งแรก ไทยเราเลยถือเป็นวันสำคัญ

ในเช้าอโศกเราก็จะมีการเวียนธรรม ส่วนวันเข้าพรรษาเราไม่มีก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเรามีเวียนธรรมไม่มีเวียนเทียน ก็ขอตอบชัดๆอโศกเราไม่เวียนเทียนเพราะการเวียนเทียนนั้นผิดศีล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล เราเองก็เอาคำว่า เวียนมาใช้ แต่ว่า เวียนกันแสดงธรรมแทนเวียนเทียน

เป็นวันสำคัญคำว่าสงฆ์แปลว่าหมู่ ผู้ที่จะได้ชื่อว่าพระสงฆ์คือสาวะกะสังโฆ คือผู้ที่จะรับฟังมา ศาสนาพุทธไม่มีใครบังอาจที่จะบรรลุเอง ต้องได้รับคำสอนที่สัมมาทิฏฐิมาจากพระพุทธเจ้าถ้าไม่ได้ยินคำสอนจากผู้ใดก็แล้วแต่ที่เป็นคำสอนที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิอย่างที่พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้าโดยตรงก็เป็นสาวะกะสังโฆ ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสก็เป็นอาริยสงฆ์ได้เหมือนกัน

อาริยสงฆ์คือหมู่ที่รับเข้าหมู่ว่าเป็นอาริยะ มีคุณธรรมที่เป็นโลกุตระตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ พระโพธิสัตว์ก็แน่นอนเลย

คนก็อาจจะสงสัยว่าไม่ได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าแล้วจะบรรลุเองไม่ได้เชียวหรือ ก็ขอบอกว่าผู้บรรลุเองก็คือผู้ที่ได้บรรลุมาแล้วจากเคยได้รับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้ามาก่อน ที่สัมมาทิฏฐิจนปฏิบัติได้เอง มีธรรมะในตนเริ่มมีธรรมะที่เป็นอาริยธรรมพุทธธรรมมาก่อน

ลดละได้แม้จะไม่หมดสิ้นอาสวะ อย่างโสดาบันก็ต้องเป็นโสดาบันระดับนิยตะ เที่ยงแท้แล้ว ถ้าแบ่งโสดาบันออกเป็นสี่ส่วน คือ โสตาปันนะ(เข้ากระแส) อวินิปาตธรรม ก็ยังไม่แท้ ต้องมาถึงนิยตะ คือเลยมาเป็นสามในสี่ จนเป็นสัมโพธิปรายนะ ข้ามชาติได้เลย

ทำไมธรรมะของศาสนาพุทธจึงต้องสืบทอดกันมา ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่เปลี่ยนพลังงานทางจิต ซึ่งพลังงานก็พัฒนามาจากอุตุ มาเป็นพลังงานพีชะ หรือพืช ต้องรู้แจ้งเห็นจริงพลังงาน ส่วนอุตุนิยามมีแต่สังขาร ไม่มีเวทนา ไม่เป็นชีวะ แต่พีชะคือชีวะแล้ว ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายใครนะ มันมีหนามก็มีของมัน สิ่งอื่นไปชนกับมันมันไม่ได้ทำนะ หรือมันมีพิษ สิ่งมีชีวิตอื่นก็ไปกินเองนะ มันไม่ได้เอาสารพิษนั้นไปทำร้ายใคร ซึ่งคนเราสามารถพัฒนาตนให้มีพลังงานแบบพีชะ แต่มีพลังงานจิตที่เกินกว่าพีชะด้วย มีสมรรถนะวิเศษทำงานช่วยสัตว์โลกได้อย่างวิเศษ จึงเป็นนักBreed พันธ์ุอาริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เปลี่ยน DNA ของจิตวิญญาณที่เลวมาเป็นจิตวิญญาณที่ดีได้เลย เป็นสุดยอดของโลกเลย เดาไม่ได้ ต้องสัมมาทิฏฐิด้วยจึงทำได้ ถ้าไม่มีทิฏฐิหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาก็ทำไม่ได้ สรุปคือเป็นความรู้ที่มาจากต้นตอของผู้รู้และเป็นจริง ผู้ที่จะทำได้ต้องรู้และรับฟังมาจากคนที่รู้ก่อนเป็นก่อน ถ่ายทอดมา หากไม่ได้รับถ่ายทอดมาก็ไม่สามารถเป็นได้จริง ได้มาจากผู้เป็นเจ้าของธรรมะ เรียกว่าธรรมสามี ผู้สามารถบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง อย่างโกณฑัญญะบรรลุแล้ว เป็นปัจเจก สั่งสมมามากพอ เรียกว่าปัจจัตตัง ปัจเจกมากขึ้นๆก็เรียกว่าสยังอภิญญา

ในระดับโสดาบันสกิทาฯอนาคาฯ อรหันต์ฯเรียกว่าได้ว่าปัจเจกบุคคลทั้งนั้น ปัจเจกอาริยะ

ปัจเจกนี้มี ปัจเจก เป็นปัจจัตตัง แล้วมาเป็นสยังอภิญญา แล้วเป็นสัมมาสัมพุทธปัจเจก คือท่านได้สัมมาสัมโพธิญาณแต่ท่านไม่ได้มาประกาศศาสนา ไม่ได้มาเป็นเจ้าของศาสนาพุทธในชาติใดเลย ท่านปรินิพพานไป มีภูมิเท่าพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้ประกาศศาสนาเป็นของตัวเองเท่านั้น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะไม่ใช่ปัจเจกระดับปัจจัตตังนะ

1โพธิสัตว์โสดาบัน มีของตนบ้างแล้ว บอกใครได้บ้างแต่แยกแยะไม่ชัด

2โพธิสัตว์สกิทาคามี ก็ได้มากขึ้นบ้าง พยายามอ่อนน้อมถ่อนตนไว้เยอะ อย่าอวดดี พลาดมาเยอะ ท่านมีอาริยคุณ แต่ไม่สูงก็ต้องระวัง สอนได้แต่ต้องระมัดระวังที่สุด ถ้ามีร้อย ก็สอนสักห้าสิบ สำหรับโสดาบัน สกิทาคามี อย่าอวดดีมีร้อยแล้วสอนหกสิบ

3โพธิสัตว์อนาคามี

4โพธิสัตว์อรหันต์

5อนุโพธิสัตว์

6อนิยตโพธิสัตว์

7นิยตโพธิสัตว์

8ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

9มหาโพธิสัตว์

 

ต้องได้มาจากการถ่ายทอดสืบทอด ฟังมาก่อน ไม่สามารถรู้ได้เอง

 

ศาสนาพุทธในปัจจุบันเมืองไทย เทียบกับต้นไม้ก็เรียกว่ามีดอกกำลังแง้มๆ ส่งกลิ่นก่อนนะดอกยังไม่บาน แต่ส่งกลิ่นแล้ว แง้มๆ แล้วเป็นดอกที่เป็นพุทธจริงๆ อาตมาก็เท่าที่อาตมามีเกียรติมีฐานะรับรอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่ามีพุทธแท้ ในไทย แล้วมีคนบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ผู้จะบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั้น

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรียกว่าโลกุตรธรรม 43 มีในพระไตรฯล.31 ข.620 46 มาจากโพธิปักขิยธรรม 37 บวกกับโลกุตรธรรม 9 ก็คือโลกุตรธรรม

เร่ิมจากคุณจะอ่านกายออก คือองค์ประชุมรูปนาม เป็นธรรมะสอง รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือปัญญาของเราที่รู้ได้ ต้องรู้พลังงานจิต มีรูปนอกแล้วอ่านเข้าไปในจิต ในองค์ประชุมจิตที่มีอาการกิเลส เช่นกำลังโกรธก็อ่านอาการออก มันไม่มีเส้นแสงสีเสียง แต่เป็นอาการ

เคยโกรธกันไหม ใครไม่เคยโกรธเลยยกมือขึ้น ในขณะเราโกรธเราอ่านอาการในปัจจุบันเลย มีเรื่องราวกับใครก็แล้วแต่ อ่านอาการนั้นให้ทัน เมื่ออ่านทัน อาการโกรธในจิตเรา มันไม่มีเส้น ไม่มีแสง ไม่มีสี ไม่มีรูปร่างตัวตน พระพุทธเจ้าสอนว่าให้อ่าน จาก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านอาการแล้วทำเครื่องหมาย คือนิมิต ว่าต่างจากอาการโลภ คุณก็เข้าใจของคุณเองว่าต่างกันนะ เกิดจากจิตเรา นั่นคือคุณกำลังรู้สักกายะ รู้องค์ประชุมรูปนามที่เป็นความโกรธ ความโลภ ของกาย คือสักกายของเรา แต่คำว่ากายเขาสอนกันเพี้ยนว่ากายคือร่างภายนอกเรียกว่าร่างกาย ไม่เข้าหาจิตเลย คือผิดเพี้ยนมาก

เมื่อเข้าใจกายว่าแค่นอกก็ไม่เข้าหาจิตก็จบเลยไม่มีทางรู้กายในกายที่เป็นสักกายะตัวแรกเลย แล้วจะไปฆ่ากิเลสตรงไหน? เป็นตำรวจแต่นั่งกินข้าวกับโจรไม่รู้จักโจรเลย

พอสัมผัสปั๊บก็อ่านอาการเป็น จึงจะจับตัวมันได้ มันไม่ใช่ของคุณนี่ คุณจะเอาก็ต้องซื้อหากเขาไม่ขายคุณก็ไม่ได้ต้องอยากต่อไป ถ้าติดมากก็แย่งชิงขโมย ฆ่าเจ้าของเลย แย่งมา คือเกิดจากเหตุที่คุณต้องได้ ก็ผิดศีล หรือจะโกงเอาหรือเอาเปรียบเอาก็แล้วแต่ ถ้าได้อย่างซื่อสัตย์สุจริตก็ไม่บาป แต่ถ้าไม่ก็บาป

คำว่ากายนั้นสำคัญมาก  ถ้าเข้าใจว่ากายคือภายนอก เวลาปฏิบัติกายคตาสติ ปฏิบัติกายในกายก็เลยทำไม่ถูก เละเลยไม่ได้อานิสงส์ในการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าว่า ...ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

ส่วนคำว่า ธรรมกายหรือพรหมกายนี่พระพุทธเจ้าว่าเป็นชื่อเรียกท่านนะ ยิ่งใหญ่แต่ถ้าคนปฏิบัติไม่เข้าใจแค่ คำว่า กายก็ปฏิบัติไม่ถูก อย่างผม ขน ฟัน เล็บ ผิวกาย นี่ตอนไหนมันเป็นอุตุ พีชะ หรือจิตนิยาม ก็ต้องอ่านให้ออก

 

สาวกสังโฆ คือผู้เป็นอาริยะ เรียกว่าพุทธบริษัท

พุทธศาสนิกชน คือชาวพุทธ ที่สักแต่ว่าเป็นพุทธ สืบทอดตามสัมมะโนครัว ไม่ได้ศึกษาไม่รู้ว่าต้องศึกษาฝึกฝนพุทธธรรม เป็นภาระเป็นพวกที่ผิดเพี้ยนลำบาก จนถึงหนักแผ่นดิน

พุทธมามกะ คือผู้ตั้งใจปฏิบัติพุทธธรรม เอาใจใส่พากเพียรจริงๆแต่ยังไม่บรรลุธรรม

พุทธบริษัท 4 เป็นผู้บรรลุธรรม มีอุบาสก อุบาสิกา กำหนดกันอย่างน้อยศีล 8 เพราะต้องผ่านโสดาบันแล้ว จึงถือว่าพุทธบริษัทคือคนถือศีล 8 เป็นต้นไป เพราะคุณต้องได้ศีล 5 เป็นต้นไป พุทธบริษัท คืออุบาสก อุบาสิกาคือผู้ถือศีล 8 เป็นต้นไปเพราะได้โสดาบันแล้วจะต่อพุทธภูมิต่อไป พุทธบริษัท จึงคืออาริยบุคคลที่เป็นอย่างน้อยพระโสดาบัน

ต้องมีสาระสัจจะจริง ที่อาตมาพูดนี้ยังไม่ลึกพอนะ พระพุทธเจ้าท่านลึกล้ำกว่ามาก อาตมาแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 ต้องอีกสองขั้นใหญ่ ที่ต้องใช้เวลามากกว่าร้อยชาติอีกเยอะ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักความเบ่งใหญ่ แต่รู้จริงและไม่แสดงออกมา

วันนี้ฟังธรรมแล้วมีอานิสงส์ 5 ประการคือ ได้ยินสิ่งใหม่ เข้าใจสิ่งเก่ามากขึ้น ความสงสัยคลายไป ทิฏฐิตรงขึ้น จิตเลื่อมใสมากขึ้น

ตอนนี้ผู้แสวงหาจากภายนอกก็จะเข้ามาแต่เขาถ้ามีอัตตามานะถือดีถือตัวก็จะยาก เขาก็จะคิดว่าพระโพธิรักษ์เป็นใคร? จะมายอมให้ได้อย่างไร?

ตอนนี้แม้ดูบรรยากาศคนที่ค่อยเข้ามา เราก็แทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนไปด้วยศิลปะเท่าที่มี เขาจะได้เข้าใจว่า เราไม่ได้ยัดเยียด

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:45:44 )

590720

รายละเอียด

590720_เทศน์ก่อนฉันวันเข้าพรรษา ศีรษะอโศก

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2559 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีวอกเป็นวันเข้าพรรษาของศาสนาพุทธ เป็นฤกษ์งามยามดีมีเวลามาที่ศรีษะอโศก ก็คงต้องใช้ฤกษ์งามยามดีได้สรุปและขยายความที่พึงเป็นพึงได้ตามที่ควรจะเป็น ในสังคมไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ทั้งทางด้านการเมืองและการศาสนา

เขาใช้คำว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจ อาตมาก็ขอแย้งว่าไม่ใช่ ก็เพราะว่าไปเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจก็เลยฉิบหาย

การเมืองเป็นเรื่องความดีงามความประเสริฐเป็นเรื่องดีงามทั้งหมดเลย คนที่สามารถประพฤติตนเป็นคนมีคุณค่าประเสริฐหมดความเห็นแก่ตัวหมดกิเลส ของศาสนาพุทธนั้นหมดกิเลสอย่างไม่มีตัวตนแต่เรายังมีตัวตน ตัวเราก็เลยกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ มีความสามารถมีปัญญาที่ลึกซึ้งรอบรู้ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

ผู้ที่มีความดีงามอย่างนั้นจึงไม่ต้องอาศัยอำนาจอะไรเลยคนจะเคารพบูชายกย่องเชิดชูเชื่อถือสุดหัวใจ ทุกคนจะยกให้มีทั้งความรู้มีทั้งความบริสุทธิ์ใจมีทั้งความมีน้ำใจมีทั้งความเสียสละทุกอย่างมีครบอยู่ในนั้นหมดเลยจึงเป็นคนเต็มไปด้วยอำนาจแต่ไม่เบ่งอำนาจมีคนยกให้เต็มไปหมด ถ้าบอกว่านักการเมืองคือผู้แสวงหาอำนาจอันนี้ผิด 100% นักการเมืองที่แท้จริงไม่ต้องขอร้องไม่ต้องหว่านล้อมไม่ต้องหาเสียงเพียงเป็นผู้ที่ทำดีที่สุดเป็นผู้มีน้ำใจรับใช้มวลมนุษยชาติให้จริงที่สุดได้นั่นแหละคือสุดยอด

นักการศาสนาเป็นผู้ที่รู้จักวิญญาณรู้จัก จิตเจตสิกที่เป็นพลังงานสัตว์โลก แล้วทำพลังงานวิญญาณประเสริฐสุด เป็นจิตวิญญาณที่มีความสามารถเต็มเปี่ยมและมีน้ำใจรับใช้มวลชน อย่างเต็มที่เพราะฉะนั้นนักการศาสนาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจึงคือคนเดียวกันกับนักการเมือง สรุปแล้วว่านักการเมืองกับนักการศาสนาที่คนรับใช้ปวงชน

นักการเมืองคือนักการศาสนาที่รับใช้ปวงชน...พ่อครู 20 ก.ค. 2559

 

เข้าสู่หลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในเรื่องของศีล ในพรหมชาลสูตรพระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีล มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ท่านไม่ละเมิดส่งเหล่านี้ ต้องชมท่านอย่างนี้ แต่พวกเราอย่างน้อยมีศีล  5 ถ้าจะชมเราก็ต้องชมที่เรามีศีล 5 จริง มีศีล 8 สูงขึ้น จะชมเราก็เพราะว่าเรามีศีล 8 เป็นปกติ ศีล 10 ไม่ใช้เงินใช้ทองเลย เป็นขีดตั้งแต่สามเณรขึ้นไป ไม่ยินดีสะสมเงินทองแล้ว แต่นี่เขายังมาโกงเงินทองอีก เณรยังไม่ได้เป็นเลย จะไปเรียกพระแพะอะไร? ขออภัยที่พูดตรงจริงชัด

ในอัมพัฏฐสูตร

1 ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2 ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3 สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4 สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

ทุกวันนี้เขาแยกแยะระหว่างศีลกับวินัยไม่ออก พอบอกว่าพระมีศีลกี่ข้อ เขาก็บอกว่ามีศีล 227 ข้อที่จริงไม่ใช่ นั่นเป็นวินัย เป็นกฏหมายลูกมีข้อบังคับลงโทษ มีเงื่อนไข แต่ศีลเป็นหลักปฏิบัติที่แท้จริง ไม่มีบทลงโทษ หรือรัฐธรรมนูญ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:46:11 )

590720

รายละเอียด

590720_เทศน์ก่อนฉันวันเข้าพรรษา ศีรษะอโศก

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2559 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีวอกเป็นวันเข้าพรรษาของศาสนาพุทธ เป็นฤกษ์งามยามดีมีเวลามาที่ศรีษะอโศก ก็คงต้องใช้ฤกษ์งามยามดีได้สรุปและขยายความที่พึงเป็นพึงได้ตามที่ควรจะเป็น ในสังคมไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ทั้งทางด้านการเมืองและการศาสนา

เขาใช้คำว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจ อาตมาก็ขอแย้งว่าไม่ใช่ ก็เพราะว่าไปเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจก็เลยฉิบหาย

การเมืองเป็นเรื่องความดีงามความประเสริฐเป็นเรื่องดีงามทั้งหมดเลย คนที่สามารถประพฤติตนเป็นคนมีคุณค่าประเสริฐหมดความเห็นแก่ตัวหมดกิเลส ของศาสนาพุทธนั้นหมดกิเลสอย่างไม่มีตัวตนแต่เรายังมีตัวตน ตัวเราก็เลยกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ มีความสามารถมีปัญญาที่ลึกซึ้งรอบรู้ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

ผู้ที่มีความดีงามอย่างนั้นจึงไม่ต้องอาศัยอำนาจอะไรเลยคนจะเคารพบูชายกย่องเชิดชูเชื่อถือสุดหัวใจ ทุกคนจะยกให้มีทั้งความรู้มีทั้งความบริสุทธิ์ใจมีทั้งความมีน้ำใจมีทั้งความเสียสละทุกอย่างมีครบอยู่ในนั้นหมดเลยจึงเป็นคนเต็มไปด้วยอำนาจแต่ไม่เบ่งอำนาจ มีคนยกให้เต็มไปหมด ถ้าบอกว่านักการเมืองคือผู้แสวงหาอำนาจอันนี้ผิด 100% นักการเมืองที่แท้จริงไม่ต้องขอร้องไม่ต้องหว่านล้อมไม่ต้องหาเสียงเพียงเป็นผู้ที่ทำดีที่สุดเป็นผู้มีน้ำใจรับใช้มวลมนุษยชาติให้จริงที่สุดได้นั่นแหละคือสุดยอด

นักการศาสนาเป็นผู้ที่รู้จักวิญญาณรู้จัก จิตเจตสิกที่เป็นพลังงานสัตว์โลก แล้วทำพลังงานวิญญาณประเสริฐสุด เป็นจิตวิญญาณที่มีความสามารถเต็มเปี่ยมและมีน้ำใจรับใช้มวลชน อย่างเต็มที่เพราะฉะนั้นนักการศาสนาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจึงคือคนเดียวกันกับนักการเมือง สรุปแล้วว่านักการเมืองกับนักการศาสนาที่คนรับใช้ปวงชน

นักการเมืองคือนักการศาสนาที่รับใช้ปวงชน...พ่อครู 20 ก.ค. 2559

 

คนรับใช้คือคนสูงสุด คนรับใช้มวลมนุษยชาติคือคนที่สูงสุด

 

SMS 18 JUL 59

0805925xxx แม่นแหล่วเฮ๊ดด้ายยแหงยุแล้วคร้าพ่อตั้งตบะกับพ่อก็เฮ็ดได้อีหลีเด้@ปลายฝน

0846703xxx กราบนมัสการ ขอตอบพ่อท่าน ไม่เปลี่ยนค่ะ คือยังไม่เชื่อกำนันเหมือนเดิมค่ะ :) และเชื่อตามพ่อท่านนำเสมอ เว้นแต่อาจไม่สนับสนุนคนที่พ่อท่านสนับสนุนแต่ไม่ขัดแย้งมากเท่านั้นเองเพราะเชื่อพ่อท่าน ไม่งั่นแรงกว่านี้ อิอิ

0811203xxx กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ได้ฟังธรรมที่พ่อครูอธิบายตอนรู้จักอโศกใหม่ๆ (เพิ่งเข้ามาได้สองปีกว่า) มีความรู้สึกเหมือนลิงถูกถอนขนแล้วราดด้วยน้ำฉี่มดแดงเลยค่ะ พระอะไรใช้คำพูดทิ่มแทงขูดขัด (กิเลสหยาบ) ได้แสบสะใจขนาดนี้ ยิ่งฟังทุกวันๆ อาการที่เคยชอบเคยอยากสวยอยากงาม เคยแต่งหน้าทาปากหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ค่ะ (ฮาๆๆ) กราบขอบพระคุณพ่อครูที่ฉุดช่วยดิฉันพ้นโลกีย์ได้หนึ่งเรื่อง และกราบขออภัยที่เคยว่าพ่อครูปากร้ายค่ะ

0846703xxx เข้าใจว่าเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกระโจนเข้าสู่ร่มโพธิ์คือความรักมิติที่2 เพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องแทนคุณ แม่บอกว่าถ้าหมดภาระเรื่องพ่อจะตามเข้าไปอยู่ด้วย สำหรับพี่น้องคงต้องปล่อย เท่าที่เกื้อได้ เราเตือนคุณแล้วอิอิ ดีนะที่ผ่าเหล่าผ่ากอมา ทำมากที่สุดแล้ว จริงนะ แก้วพราวตา

0893867ทำไมพ่อครูเทศน์วันนี้ไม่มีตัวอักษรพระตปฎ.ขึ้นจอเลยบางคำมนุษย์หูเทียมฟังไม่ชัดเจนเลย!?!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูสอนธ.สัญญาเวทยิตนิโรธ!รู้แจ้งเวทนา108ดับเวทนาที่ควร ดับอันมีเวทนา2,3,5,6,1 8,36จบที่เวทนาอดีต36ปัจจุบัน36อนาคต36สาธุ

0877069xxx !!ดีใจที่มีทีวีช่องบุญนิยมและพ่อครู ทำให้ได้ฟังสาระธรรมค่ะ^_^อังคณา

0893867xxx ผู้น้อยเชื่อในคำสอนพ่อครูสอนธ.มัชฌิมาปฏิปทาตรงสายกลางถูกตรงตามธ.พระพุทธเจ้าจริงพิสูจน์ชัดที่ชุมชนชาวอโศกปลอดอบายทานมังสะถือศีล5ถูกต้องตรงธ.อัปปิจฉะที่เป็นธ.เดียวที่เข้ากับปรัชญาพอเพียงพอเหมาะพอดี! ขอบคุณบุญนิยมกับธ.สุดโต่งที่เขาว่ากันจังพวกนัตถิกทิฏฐิ,อกิริยทิฏฐิไม่มีทางเข้าถึงธ.อัปปิจฉะสร้างชุมชนพอเพียงได้หรอก!จรธ.

0890529xxx ธรรมะเป็นหนทางที่มนุษย์ต้องเดินหากเดินให้ถูกต้องก็จะสามารถบรรลุความสำเร็จได้ หากเดินผิดทางก็จะพาให้ลุ่มหลงและไม่สามารถรอดพ้นจากความทุกข์ระทมแห่งการเวียนว่ายได้

0811203xxx โรงเรียนข้างนอกทั่วไปครูสอนให้นักเรียนอ่านหนังสือล้างมือล้างเท้าให้สะอาด แต่โรงเรียนอโศกสอนให้อ่านจิตอ่านใจตนล้างกิเลสตนหมดสิ้นสู่โลกุตระธรรม จะหาระบบการศึกษาแบบนี้ที่ไหนได้อีกหนอ.สาธุค่ะ

ขนาดนี้ธรรมาธรรมะสงครามในเมืองไทยสนุกกว่าที่ตุรกีที่เขากำลังรบกันทำการรัฐประหารก็ไม่สำเร็จ เพราะผู้ที่ทำการปฏิวัติไม่ใช่เนื้อแท้สัจธรรมเหมือนที่เมืองไทย เพราะผู้ที่มาปฏิวัติไม่ใช่ผู้มีคุณธรรมสูงประเสริฐสมควรแก่การปฏิวัติก็เลยทำไม่ได้ เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง ขออภัยที่พูดเหมือนข่ม แต่พูดตามเนื้อหา

ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้หลงตัว ที่ได้ชี้ชัดว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีอาริยธรรมสูงสุดในสังคมโลกปัจจุบัน

ตอนนี้มี 2 ประเด็นหลักหลักที่ควรจะทำคือ

1 ตอบตัวผู้ที่จะขึ้นเป็นสังฆราชและจัดการธัมมชโยให้เรียบร้อยได้ ถ้าสองคนนี้เรียบร้อยได้ก็จะเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม 2 คนนี้ยังเป็นเสี้ยนอยู่พูดแล้วดูเหมือนโหดร้ายแต่พูดตามเนื้อผ้า เพราะสองคนนี้เกื้อกัน ร่วมกันทำสิ่งที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น มาถึงวันนี้จึงยืดเยื้อแต่ก็ต้องทำต้องล้างบางให้เสร็จเรียบร้อยเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่างจะดำเนินไป ถ้าสองคนนี้ไม่มีความรู้ทางศาสนาพุทธเลยแม้แต่กระผีก อาตมาพูดแล้วต้องรับผิดชอบคำพูด

เพราะว่า 2 คนนี้ไม่รู้คำว่าศีลไม่มีศีลไม่รู้จักคำว่าบุญไม่รู้จักคำว่ากาย เพราะสองคนนี้โกหกทั้งคู่ ยังเสพติดอยู่ในอำนาจของศีลข้อที่ 5 และลักทรัพย์เอาของผู้อื่นอีก ศีล5 นี้ก็ยังไม่บริสุทธิ์

ไม่รู้จักคำว่า กาย ไม่รู้สักกายะของตน ไม่รู้รูปนาม ยังยึดอยู่เช่นนั้น คำว่า กายไม่รู้ คำว่าบุญไม่รู้ บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส ไม่ได้ชำระกิเลสตนเองเลย แล้วเอาบุญเอาไปหลอกหาเงินจากคนอื่นอีก  ไม่ได้มีความรู้ศาสนาพุทธเลย นี่พูดอย่างวิชาการนะ

ปัญญาคือธาตุรู้ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นเพี้ยนเป็นพลาดเบลอๆ พลังงานที่ไปสลายพลังงานกิเลสได้ พลังงานนี้เรียกว่าพลังงานฌาน ชื่อพลังงานความร้อนที่ไปสลายไฟราคะโทสะโมหะ เป็นพลังงานที่เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ผู้ที่สร้างพลังงานฌาน ที่มีประสิทธิภาพสลายราคะโทสะโมหะได้ ยังไม่ใช่การกดข่มหนึ่งเดี่ยวๆ แต่เป็นพลังงานกว้างรู้รอบรู้เหตุปัจจัย ตั้งแต่ 2 หน่วย 4 หน่วยขยายไปเรื่อยๆ เป็นพลังงานอนาไลซิส ไม่ใช่ hypnosis เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่อันไม่ขาดตอนเป็นเหมือนทรายในทะเลที่คลื่นซัดมาเรียบยิ่งกว่าหน้ากระจก

 

สถาบันทหารเป็นสถาบันที่ควบคู่กับสถาบันศาล มองอีกมุมหนึ่งเหมือนทหารใช้อำนาจมองอีกมุมหนึ่งเหมือนใช้สัจจะ แต่ 2 อันนี้อันเดียวกันถ้าทหารมีสัจจะซื่อสัตย์จริงนั่นคือศาลมีอำนาจเช่นเดียวกัน ศาลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีปัญญาครบพร้อมก็มีปัญญาตัดสินไม่ต้องใช้อาวุธเลยไม่ต้องใช้เครื่องมืออำนาจเหมือนทหารเลย

เรามีศีล 5 ก็ปฏิบัติในกรอบนี้ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของคนอื่น ไม่ผิดเรื่องเพศ ไม่โกหก และไม่เสพติด ก็เลิกเสพติดมาเป็นลำดับ

เราปฏิบัติจริง ว่าถ้าเราอยู่กับสัตว์ทั้งหลายเราไม่โหดร้ายไม่ฆ่าสัตว์จิตใจของเราต้องไม่มีความอยากฆ่าสัตว์ สัตว์ก็เป็นจิตนิยามที่เกิดมาตามวิบากแล้วมาพัฒนาตัวเองก็เป็นไปตามวิบากถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ตัวไหนมันมีวิบากร่วม เราจะไปมีวิบากร่วมทำไมไปทำร้ายเขาทำไม ถ้าเรามีประโยชน์กับเขาได้ก็ควรจะทำถ้าไม่มีประโยชน์ต่อเขาก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา

2 ของที่ไม่ใช่ของของเราอย่าไปหาเรื่องเอามาเป็นของเรามีเฉพาะของเราเป็นสิทธิของเราแท้แท้ๆเรายังจะต้องให้เขาเลยแล้วจะไปเอาของเขามาทำไม เราเลี้ยงตัวเองให้รอดมีพลังงานสร้างขึ้นมาให้พอกินพอใช้มีเหลือก็เอาไปแจกจ่ายให้แก่คนอื่น ถ้าแต่ละคนมีประสิทธิภาพอย่างนี้แล้วมันจะจนไหมไม่มีทางจน มีแต่ทางจะเพิ่มพูน

มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริงๆไม่มีความจำเป็นที่จะเห็นแก่ตัวใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ มีแต่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นไม่ต้องเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผู้อื่นทำให้แก่ผู้อื่นตั้งหน้าตั้งตาทำอย่าให้สุขภาพเราเสื่อม จะเป็นภาระแก่ผู้อื่น เราเองอาจจะไม่สนใจที่จะตายหรือไม่แต่คนอื่นเค้าไม่ยอมให้ตายก็จะกังวลจะช่วยเรา ถ้าเราดีจริงไม่ต้องกลัวเลยจะไม่มีใครช่วย นอกจากเราไม่ดีจริงๆ ยิ่งคนเลวร้ายคนเขาก็จะให้ตายไปเสีย ถ้าอยู่ก็จะเสียหาย

มนุษย์ที่เข้าใจแยกแยะว่าสัจจะคือปัจจุบันอดีตกับอนาคตนั้นไม่ใช่สัจจะ ถ้าเข้าใจเท่านี้ก็สามารถมีนิพพาน นิพพานต้องมีปัจจุบัน ถ้าขาดจากปัจจุบันไม่มีนิพพานจึงเรียกว่าทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ

อดีตนั้นมีความจริงกว่าอนาคตเพราะอนาคตไม่แน่นอน สัญญาที่คิดจะสร้างสิ่งใหม่ๆกับสัญญาที่เอาของเก่ามาใช้นั้นสัญญาที่เอาของเก่ามาใช้นี้จริงกว่า ปัจจุบันคือสัจจะอดีตและอนาคตไม่ใช่สัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียวตรงกันกับสมมุติของคนอื่น ความดีงามต้องให้คนอื่นร่วมตัดสิน เมื่อตัดสินร่วมกันเป็นเยภุยสิกา เสียงข้างมากที่บริสุทธิ์จริงใจใช้ปัญญาจริงๆ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระพุทธเจ้าแยกแยะทิฐิไว้ถึง 62 ทิฏฐิ ท่านแยกเป็นอดีตและอนาคต

อนาคตไม่จริงกว่าในอดีต อย่างธัมมชโยสร้างอนาคตมาหลอกหลอนมันไม่จริงกว่าอดีต คนที่ไม่มีความจริงได้เลยคือธัมมชโยเขายังลงแต่ในอนาคตแล้วเอาอดีตมาหลอกคนด้วย มีคนจับผิดว่าธัมมชโยไม่สามารถระลึกชาติได้คือมีคุณชาติชายที่ทดสอบแล้วรู้ สรุปคือสมเด็จช่วงมีลูกศิษย์ที่ยอดขี้โกงเลย ก็เลยพ่วงกันมา อาตมาไม่ได้ต้องการข่มแต่ต้องการสื่อให้คนรู้ คุณเป็นตัวอย่างที่ให้ยกมาให้ทุกคนได้รู้ร่วมกัน อาตมาคิดว่าถ้าธัมมชโยตายไปด้วยโรคก็จะไม่ลำบากเท่าอยู่ต่อไปอย่างพะอืดพะอมนะ

ถ้าจัดการไม่ต้องมีสังฆราช จะดำเนินไปได้ดี เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก คนไทยไม่โง่ ตัดสินทำไปได้

ปัญญาปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ จะเกิดเป็นรอบๆของปัญญา ไม่ใช่เอาปัญญาจากการนั่งหลับตาแล้วปัญญาเกิดเอง นั่นมันสัญญาไม่ใช่ปัญญา

ปัญญานั้นสามารถเอามาสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจคือสิ่งที่มีจำเพาะแล้วแบ่งแจกกันได้อย่างเหมาะสมถ้วนทั่ว คุณมีปลาตัวหนึ่ง มีคนห้าคนก็ต้องแบ่งกัน คนไหนควรได้กินหัว คนไหนควรได้กินหาง คนไหนควรได้กินกลาง ก็เด็กเล็กคนที่ด้อยก็ควรได้กินง่ายๆ คนมีความรู้สามารถก็ให้กินยากหน่อย ก็เฉลี่ยให้เหมาะสม นี่คือนักจัดสรรอย่างไม่ลำเอียง ต้องจัดสรรให้เหมาะสมกับสภาพ อย่างนี้คือนักเศรษฐศาสตร์ ไม่ลำเอียง คนไหนเหมาะสมจะช่วยก็ช่วยก่อนให้เขาได้ ไม่ลำเอียง

ผู้แข็งแรงสมบูรณ์กว่าจึงมีหน้าที่อดทนได้และเสียสละให้ผู้อ่อนแอ แต่ละคนพยายามทำให้ตัวแข็งแรงแล้วทำให้มากขยันทำแล้วมีเหลือแบ่งให้คนอื่น ในปัจจัยที่สำคัญของชีวิตแล้วเอาไปแบ่งเอาไปแจกนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ก็ทำเช่นนี้ ให้สังคมมนุษย์ได้เฉลี่ยกินใช้อย่างทั่วถึงแล้วสร้างคนให้มีปัญญาอย่างซื่อสัตย์สุจริต จะได้มาสืบทอดทำแบบเดียวกันนี้ต่อไปก็จะเจริญแบบนี้ไปตลอดกาลนาน

ในสังคมผู้ที่ปฏิบัติที่จริงก็มีอยู่ผู้ที่เอาแต่ความรู้แล้วเป็นไม่ได้ก็มี บางคนเขาทำผลสำเร็จออกมาได้แต่อธิบายไม่ได้ว่าออกมาอย่างไรก็ยังดีกว่าคนที่เอาแต่รู้แต่ทำออกมาไม่ได้ ก็ต้องทำออกมาให้ดีแล้วเอามาเฉลี่ยแบ่งปันกัน

มนุษย์มีความรู้ยอดเยี่ยมกว่าสัตว์เดรัจฉานถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเลี้ยงดูแบ่งปันกันไม่ได้ก็ไปเกิดมาเป็นเดรัจฉานเสียเถิด ทุกปรมาณูตั้งแต่ 2 หน่วยเกิดขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรเท่าเทียมกันมีความมากน้อยมีความสูงต่ำมีความโง่มีความฉลาดกว่ากันไม่มีอะไรเท่าเทียมกันคนที่อยู่เหนือกว่าก็ควรจะช่วยคนที่ด้อยกว่าเสมอเท่านี้ก็จะจบ

พวกเรานี้อาตมาพาทำให้มีสัปปายะ 4 เข้าครรลองที่พระพุทธเจ้าพระธรรมมาอาตมาพาทำมาต่อ ก็ทำไปอย่างเราไม่ต้องยึดถือว่าเราเป็นเจ้าบุญนายคุณมีคุณค่าประโยชน์ต่อสังคมไม่ต้องไปยึดติดถือตรงนั้นทำให้จริงแล้วก็จบ เท่านั้นและทุกอย่างจะดีขึ้นเลย

หลักความเป็นอยู่ของชาวอโศกเรา

1 ไม่เป็นหนี้

2 พึ่งตัวเองรอด

3 ทำให้เกินกินเกินใช้

4 มีเหลือเอาไปแบ่งปันแจกจ่าย

คุณสมบัติ 4 อย่างนี้ทำให้ได้แล้วจะเจริญถ้าไม่เป็นหนี้แล้วทุกวันนี้ชาวอโศกก็สบายใจใครแอบไปเป็นหนี้เอามาให้เขกกะโหลก

มาเข้าสู่หลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในเรื่องของศีล ในพรหมชาลสูตรพระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีล มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ท่านไม่ละเมิดส่งเหล่านี้ ต้องชมท่านอย่างนี้ แต่พวกเราอย่างน้อยมีศีล  5 ถ้าจะชมเราก็ต้องชมที่เรามีศีล 5 จริง มีศีล 8 สูงขึ้น จะชมเราก็เพราะว่าเรามีศีล 8 เป็นปกติ ศีล 10 ไม่ใช้เงินใช้ทองเลย เป็นขีดตั้งแต่สามเณรขึ้นไป ไม่ยินดีสะสมเงินทองแล้ว แต่นี่เขายังมาโกงเงินทองอีก เณรยังไม่ได้เป็นเลย จะไปเรียกพระแพะอะไร? ขออภัยที่พูดตรงจริงชัด

ในอัมพัฏฐสูตร

1 ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2 ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3 สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4 สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

ทุกวันนี้เขาแยกแยะระหว่างศีลกับวินัยไม่ออก พอบอกว่าพระมีศีลกี่ข้อ เขาก็บอกว่ามีศีล 227 ข้อที่จริงไม่ใช่ นั่นเป็นวินัย เป็นกฏหมายลูกมีข้อบังคับลงโทษ มีเงื่อนไข แต่ศีลเป็นหลักปฏิบัติที่แท้จริง ไม่มีบทลงโทษ หรือรัฐธรรมนูญ

 

ทางด้านเศรษฐกิจ ส่วนทางการเมืองเรายังไม่สามารถเข้าไปรับทำงานในรอบประเทศได้ แต่ที่อยากได้คือเรื่องการศึกษา เรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถพอที่จะทำสถานศึกษา ทำหลักสูตรของเราเอง ตอนนี้เราก็พยายามอยู่ เราไปบีบคั้นท่านไม่ได้ท่านมีสิทธิ์อนุมัติไม่อนุมัติ เราก็จะเดินตามระบบของประเทศก็ต้องมีใบรับรองประกาศนียบัตร ตรี โท เอก เราก็มีบุคลากรอยู่นะ จะอนุมัติให้พวกเรามีสถาบัน สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม จะต้องการ ดร.สัก สิบคน หรือแปดคนห้าคน แล้วป.โทอีก ยี่สิบเราก็พอหาได้นะ ยืนยันได้

การศึกษาเรามีตั้งแต่เด็กอนุบาล ถึง ระดับสูงเลย ปริญญาเลย เราจะทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด เป็น บวร

บ้านคือสังคมที่รวมกลุ่มในบริเวณนี้ มีบุคคลสัปปายะ ดูแลรับผิดชอบสร้างสรร แล้วมีเครื่องอาศัย อาหารสัปปายะ มีเครื่องอุปโภค บริโภค พอใช้สอย ที่เราทำไม่เป็นก็หาซื้อ แลกมา มีธรรมะสัปปายะ เป็นสัปปายะ 4 พอได้เลย

เรามีฐานมีที่ตั้ง มีพฤติกรรม สร้างสรรของมนุษยชาติที่ได้ผลผลิตมีวิธีแบ่งแจกเจือจานผู้อื่นต่อไป มีครบแล้ว พวกเรามีพอ อาตมาไม่ตกใจหวั่นใจไม่ระแวงไม่กลัวว่าพวกเราจะเสื่อมทรุด เพราะพวกเรายังคงมีการพัฒนาต่อไป เรายังไม่สูงสุด แต่ขนาดนี้เราก็พอกินพอใช้พออาศัยได้ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่เต็ม ขนาดนี้เราก็ได้อาศัยกินใช้พอแล้วแบ่งปันคนอื่นได้ ถ้าได้มากกว่านี้ก็จะดีขึ้นอีก

ขณะนี้ ออกไปที่สังคม ในระบบการเมืองเราก็ทำ แต่เราไม่แย่งตำแหน่งหน้าที่กับข้างนอกเขา เราทำตามประสาเราได้อยู่แล้วในอนาคต คณะที่ท่านรับหน้าที่ก็ทำไป เราไม่คิดแย่งหน้าที่ใครเลย เราก็มีงานทำของเราแล้ว สบายๆ สักวันหนึ่ง ถ้าเรามีคนพอ มีความรู้สามารถมากพอทั้งคุณภาพ ปริมาณ เราก็จะรับ ตอนนี้บอกเลยว่าเราไม่รับไปเป็นคณะรัฐบาล บริหารได้เต็มที่หรอก เราก็ไม่บริบูรณ์ก็ทำแบบของเราไป สักวันก็อาจมีมากพอทั้งคุณภาพและปริมาณวันนั้นเราก็เต็มใจเลย ถ้าเราไม่พร้อมแล้วไปทำมันไม่สนุกมันฝืดๆ ทรมานไม่ไหวหรอก

เราเป็นหมู่กลุ่มสาธารณโภคี

พวกที่มีกองกลางอุปโภคบริโภคร่วมกันเป็นของส่วนกลาง บริหารจัดแบ่งกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะ อาตมาว่าสุดยอดแล้วคำสอนเรื่องสาธารณโภคี ทั้งฆราวาสและสมณะ ยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในสมณะ เป็นสมบูรณายาสิทธิราชก็เลยทำได้แต่ในสมณะ แต่ยุคนี้เราทำได้เพราะเป็นยุคปชต. เรามีลาภโดยธรรม ได้มาโดยบริสุทธิ์ เอามารวมกองกลาง แล้วบริหารร่วมกัน กินใช้เหลือก็เอาไปแบ่งแจกจ่ายเจือจาน

ก็มีแต่พยายามทำอันนี้ให้เจริญขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ

ในจุฬวิยูหสูตร

สัจจะไม่มีในโลก สัจจะมีหนึ่งเดียว และสัญญายนิจจานิ อาตมาว่าพวกเราเข้าใจแล้วยืนในฐานนั้น

 สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก อย่างที่พระพุทธเจ้าทำนี้สุดยอดกว่าที่อาตมาทำก็ยกให้ท่าน เราไม่ต้องไปสัญญายนิจจานิ แต่ว่าในสังคมก็จะมีอยู่ แต่เราต้องลดลงให้เกิดการไม่ทะเลาะกัน ให้สังคมสงบเย็นลงได้

ตอนนี้เราอยู่ในฐานไหนพวกเราก็พอรู้ เราจะมีชีวิตเจริญขึ้นอีก อาตมามีหลักฐานความรู้ตามพระพุทธเจ้าก็ต้องนำมาเปิดเผยอีก พระไตรฯ 45 เล่มนี้อาตมายังรู้ไม่หมด ก็นำมาพิสูจน์ให้แต่ละคนทำได้ตาม ก็สุดยอด

พวกที่ยึดมั่นอยู่ คือพวกนั่งหลับตา … คิดให้ดี ถ้าหลับตาไปมันมีแต่อดีตกับอนาคต ไม่ใช่ความจริงที่คนอื่นรู้ด้วยได้เป็นสัญญายนิจจานิของคุณคนเดียว ต้องเอามาเปิดเผยร่วมรับรู้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป จะได้รู้ว่านี่จริง เห็นร่วมกัน เอาเยภุยสิกา เอาคะแนนเสียงคนมากชนะ อย่ามาเล่นเล่ห์แบบปชต.เก่าๆ ต้องเอาสัจจะ แบ้วเราก็จะไม่มีตกต่ำ จะเจริญขึ้นได้

พวกเราพูดกันเล่นๆแต่จริงๆว่า ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษ าขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างรีบทำ

ก็ขอเตือนสติว่าอย่าไปจมกับอดีตอนาคต ออกมาสู่ปัจจุบัน แล้วเรียนรู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าให้ดีๆ อาตมาเป็นคนหนึ่งที่อาสา สาธยายเปิดเผยธรรมะพระพุทธเจ้า

การปฏิวัติในเมืองไทยหลายประเทศอยากทำได้ อย่างตุรกีนี้ก็น่าสงสาร พวกเราก็ดูไป ว่าประเทศไหนจะปฏิวัติอีก ปฏิวัติคือทำให้เจริญอย่างรวดเร็ว ปฏิรูปคือทำให้เจริญไปตามลำดับ ถ้าไม่ได้เร็วเราก็ทำไปตามลำดับ อย่าให้เสียหาย พัฒนาต่อไป ขณะนี้เมืองไทยปฏิวัติตลอดเวลา ปฏิวัติสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สื่อสาร ศาสนาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ท่านก็ทำ แต่บางทีคนมาต้านมากท่านก็ว๊ากเข้าให้ ให้ลองมาทำเองดูสิ มันง่ายที่ไหน เพราะคนมักหลงวาทะ อย่างธัมมชโยนี่ ใช้วาทะหลอกคนโงหัวไม่ขึ้นอีกมากเลย ความโง่เขาพาดันให้สุดที่เหมือนกัน ก็ธรรมดา

ก็อย่าให้จัดการสายเกินไปนะ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:46:37 )

590721

รายละเอียด

590721_เทศน์ก่อนฉันอาวาสสถาน เมฆาอโศก จิตว่าง 5 ประเภท

พ่อครูว่า....วันนี้มาถึงเมฆาฯมาถึงแดนเมฆ อาตมานั่งมา นอนมาจนเหนื่อย ก็ดีนะ อาตมาเองก็คิดว่ามันต้องทำ เพราะเป็นโอกาส ได้ประโยชน์โปรดผู้โปรดคนให้เกิดคุณค่าประโยชน์ วันนี้ตั้งใจแสดงธรรมเรื่อง จิตว่าง 5 ประเภท

          ท่านพุทธทาสได้บัญญัติจิตว่างนี้มา อาตมาก็จะอธิบายคนละอย่างกับท่าน ท่านไม่ค่อยได้ฟังอาตมามากหรอก ท่านก็เข้าใจอย่างท่านจนท่านจากไป อาตมาก็บวชไม่นานตอนท่านเสีย ก็เคยได้ยินท่านพูด อาตมาก็เอาจุฬสุญตสูตรมาอธิบายว่า ว่างต้องมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่างอย่างลอยๆ แท้จริงต้องมีรูปนาม มีคู่มีธรรมะสอง จะว่างก็ว่างจากอะไร ในจุฬสุญญตสูตร ว่า ศาลานี้ว่างจากช้าง จากม้า จากคน ศาลานี้ว่างจากเสาก็ไม่เป็นศาลาแล้วก็ว่างจากสิ่งที่ว่างได้ ต้องมีคู่ มีเหตุปัจจัย

          การว่างก็ต้องมีเหตุปัจจัยว่าว่างจากอะไร จิตต้องว่างจากกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมดกิเลสหยาบเป็นโสดาบันหมดจากอาการจิตที่ชั่วหยาบ

          จิตว่าง 5 ประการมี

1.ว่างตามธรรมชาติ คนเราก็ต้องมีจิตว่างไม่เกาะกับอะไรนิรันดร ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องสุขทุกข์กับสิ่งที่ติดยึดไม่ว่าจะวัตถุหรือบุคคล เคยเห็นแม่ครัวทุกข์สุขกับตะหลิวไหม ก็บ้าอยู่คนเดียว ตะหลิวตนเองไม่ได้ดังใจตีมันมันก็หัก มันไม่ทุกข์สุขหรอก หนึ่งว่างจากธรรมชาติต้องว่างต้องขาดไปเป็นคราว แล้วไม่จบไม่สิ้นเพราะไม่มีปัญญาไม่หลุดเด็ดขาด

 

2.ว่างอย่างมืด เช่น คุณหลับไปก็ดับไปว่างไปจากสิ่งที่รับรู้แล้ว คนนั่งสมาธิหลับตาดับไปก็ว่างมืด อันนี้ถือว่าตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

 

3.ว่างอย่างสว่าง อย่างสายท่านพุทธทาน พิจารณาให้จิตไม่เกาะไม่ติด ทำจิตให้ว่าง ยังต้องทำอยู่ อย่างท่านพุทธทาสไม่มีสมาธิเด็ดขาด จะสมาธิทีต้องไปนั่งแบบ meditation สะกดจิตหลับเข้าไป ลืมตาอย่างที่ท่านลืมตาไม่มีทางว่าง ไม่ว่าท่านพุทธทาสหรือท่านติชนัทอันห์สอน มีคาถา สะอาดสว่างสงบ ให้ว่างแบบสว่าง อันนี้ว่างชั่วคราวได้ พอสติตกก็ไม่ว่างแล้วก็ว่างไม่ถาวร

 

4.ว่างอย่างเสขบุคคล ก็คือจิตว่างที่เรียนรู้ถูกธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ โสดาบันก็ว่างไม่เวียนกลับ อยู่กับมันสัมผัสมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ถาวร ได้ขั้นหนึ่งๆ สกิทาคามีก็ดีขั้นได้เพิ่มขึ้นๆ อนาคามีก็เสขบุคคลก็ว่างหมดแล้วในอบาย ในกาม มีแต่รูปภพอรูปภพที่ไม่ว่าง

 

5.ว่างอย่างอรหันต์ จบหมดทุกภพชาติ ท่านว่างได้ตลอดเวลา

 

มีเหตุปัจจัยทุกอัน ตามธรรมชาติก็มีจิตว่างได้บางคราว หรือจะดับหลับตาแล้วดับจิตไป ก็ว่างได้ ฝึกมากก็ทนได้นานก็ธรรมดา เป็นว่างมืด ส่วนว่างสะอาดสว่างสงบก็ใช้สติปัญญาทำให้ว่างได้ชั่วคราว ไม่เหมือนว่างแบบมืด แบบสว่างนี้รู้ว่าว่าง ก็ทำได้ชั่วคราว หรือว่าแบบว่างแบบตรรกะ ตีหัวมนุษย์ด้วยจิตว่าง หรือจิบเบียร์ด้วยจิตว่าง

 

วางแบบเสขบุคคลมีสัมมาทิฏฐิ แบบพระพุทธเจ้าแต่ยังไม่ใช่อรหันต์ แต่จะว่างไปตามลำดับไป

1.สมาธิธรรมชาติ คนเราก็มีจิตตั้งมั่นจดจ่อกับสิ่งสนใจก็เป็นสมาธิ พอไม่จดจ่อก็ไม่ตั้งมั่นกับอันนั้นแล้ว มันมีกิเลสก็ทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ ติดอยู่นานเลย ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่หวั่น

2.สมาธิแบบมืด สะกดจิตหลับตาดับมืดดับจิต

ส่วนพวกสะอาดสว่างสงบ ได้แค่ชั่วคราว ได้ถาวรเท่าที่ตนเองสนใจติดยึด พอวางก็ไม่อยู่สมาธิแล้ว เป็นปัญญาฉลาดสมาธิไม่ถาวร แบบนี้ใช้อาศัยได้ไม่เสียหาย แต่ไม่เที่ยงแท้ถาวร

3.สมาธิแบบพุทธ เป็นแบบเสขบุคคล

4.สมาธิแบบอเสขบุคคล อรหันต์

 

          ผู้ไม่เข้าใจลักษณะละเอียดแบบนี้ก็ไม่เข้าใจว่าควรทำให้เป็นแบบใด ต้องไม่ทำแบบธรรมชาติ หรือแบบมืด หรือแบบสะอาดสว่างสงบ ต้องเอาแบบเสขบุคคลกับแบบอรหันต์ เป็นไปตามลำดับ

 

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:47:08 )

590721

รายละเอียด

590721_เทศน์ก่อนฉันอาวาสสถาน เมฆาอโศก จิตว่าง 5 ประเภท

พ่อครูว่า....วันนี้มาถึงเมฆาฯมาถึงแดนเมฆ อาตมานั่งมา นอนมาจนเหนื่อย ก็ดีนะ อาตมาเองก็คิดว่ามันต้องทำ เพราะเป็นโอกาส ได้ประโยชน์โปรดผู้โปรดคนให้เกิดคุณค่าประโยชน์ วันนี้ตั้งใจแสดงธรรมเรื่อง จิตว่าง 5 ประเภท

          ท่านพุทธทาสได้บัญญัติจิตว่างนี้มา อาตมาก็จะอธิบายคนละอย่างกับท่าน ท่านไม่ค่อยได้ฟังอาตมามากหรอก ท่านก็เข้าใจอย่างท่านจนท่านจากไป อาตมาก็บวชไม่นานตอนท่านเสีย ก็เคยได้ยินท่านพูด อาตมาก็เอาจุฬสุญตสูตรมาอธิบายว่า ว่างต้องมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่างอย่างลอยๆ แท้จริงต้องมีรูปนาม มีคู่มีธรรมะสอง จะว่างก็ว่างจากอะไร ในจุฬสุญญตสูตร ว่า ศาลานี้ว่างจากช้าง จากม้า จากคน ศาลานี้ว่างจากเสาก็ไม่เป็นศาลาแล้วก็ว่างจากสิ่งที่ว่างได้ ต้องมีคู่ มีเหตุปัจจัย

          การว่างก็ต้องมีเหตุปัจจัยว่าว่างจากอะไร จิตต้องว่างจากกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมดกิเลสหยาบเป็นโสดาบันหมดจากอาการจิตที่ชั่วหยาบ

          จิตว่าง 5 ประการมี

1.ว่างตามธรรมชาติ คนเราก็ต้องมีจิตว่างไม่เกาะกับอะไรนิรันดร ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องสุขทุกข์กับสิ่งที่ติดยึดไม่ว่าจะวัตถุหรือบุคคล เคยเห็นแม่ครัวทุกข์สุขกับตะหลิวไหม ก็บ้าอยู่คนเดียว ตะหลิวตนเองไม่ได้ดังใจตีมันมันก็หัก มันไม่ทุกข์สุขหรอก หนึ่งว่างจากธรรมชาติต้องว่างต้องขาดไปเป็นคราว แล้วไม่จบไม่สิ้นเพราะไม่มีปัญญาไม่หลุดเด็ดขาด

 

2.ว่างอย่างมืด เช่น คุณหลับไปก็ดับไปว่างไปจากสิ่งที่รับรู้แล้ว คนนั่งสมาธิหลับตาดับไปก็ว่างมืด อันนี้ถือว่าตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

 

3.ว่างอย่างสว่าง อย่างสายท่านพุทธทาน พิจารณาให้จิตไม่เกาะไม่ติด ทำจิตให้ว่าง ยังต้องทำอยู่ อย่างท่านพุทธทาสไม่มีสมาธิเด็ดขาด จะสมาธิทีต้องไปนั่งแบบ meditation สะกดจิตหลับเข้าไป ลืมตาอย่างที่ท่านลืมตาไม่มีทางว่าง ไม่ว่าท่านพุทธทาสหรือท่านติชนัทอันห์สอน มีคาถา สะอาดสว่างสงบ ให้ว่างแบบสว่าง อันนี้ว่างชั่วคราวได้ พอสติตกก็ไม่ว่างแล้วก็ว่างไม่ถาวร

 

4.ว่างอย่างเสขบุคคล ก็คือจิตว่างที่เรียนรู้ถูกธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ โสดาบันก็ว่างไม่เวียนกลับ อยู่กับมันสัมผัสมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ถาวร ได้ขั้นหนึ่งๆ สกิทาคามีก็ดีขั้นได้เพิ่มขึ้นๆ อนาคามีก็เสขบุคคลก็ว่างหมดแล้วในอบาย ในกาม มีแต่รูปภพอรูปภพที่ไม่ว่าง

 

5.ว่างอย่างอรหันต์ จบหมดทุกภพชาติ ท่านว่างได้ตลอดเวลา

 

มีเหตุปัจจัยทุกอัน ตามธรรมชาติก็มีจิตว่างได้บางคราว หรือจะดับหลับตาแล้วดับจิตไป ก็ว่างได้ ฝึกมากก็ทนได้นานก็ธรรมดา เป็นว่างมืด ส่วนว่างสะอาดสว่างสงบก็ใช้สติปัญญาทำให้ว่างได้ชั่วคราว ไม่เหมือนว่างแบบมืด แบบสว่างนี้รู้ว่าว่าง ก็ทำได้ชั่วคราว หรือว่าแบบว่างแบบตรรกะ ตีหัวมนุษย์ด้วยจิตว่าง หรือจิบเบียร์ด้วยจิตว่าง

 

วางแบบเสขบุคคลมีสัมมาทิฏฐิ แบบพระพุทธเจ้าแต่ยังไม่ใช่อรหันต์ แต่จะว่างไปตามลำดับไป

 

สมาธิมี 4 แบบ

1.สมาธิธรรมชาติ คนเราก็มีจิตตั้งมั่นจดจ่อกับสิ่งสนใจก็เป็นสมาธิ พอไม่จดจ่อก็ไม่ตั้งมั่นกับอันนั้นแล้ว มันมีกิเลสก็ทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ ติดอยู่นานเลย ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่หวั่น

2.สมาธิแบบมืด สะกดจิตหลับตาดับมืดดับจิต

ส่วนพวกสะอาดสว่างสงบ ได้แค่ชั่วคราว ได้ถาวรเท่าที่ตนเองสนใจติดยึด พอวางก็ไม่อยู่สมาธิแล้ว เป็นปัญญาฉลาดสมาธิไม่ถาวร แบบนี้ใช้อาศัยได้ไม่เสียหาย แต่ไม่เที่ยงแท้ถาวร

3.สมาธิแบบพุทธ เป็นแบบเสขบุคคล

4.สมาธิแบบอเสขบุคคล อรหันต์

 

          ผู้ไม่เข้าใจลักษณะละเอียดแบบนี้ก็ไม่เข้าใจว่าควรทำให้เป็นแบบใด ต้องไม่ทำแบบธรรมชาติ หรือแบบมืด หรือแบบสะอาดสว่างสงบ ต้องเอาแบบเสขบุคคลกับแบบอรหันต์ เป็นไปตามลำดับ

          การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงต้องเข้าใจคำว่าบุญ บุญคืออะไร? ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมเพี้ยนผิดไป ไม่สามารถประพฤติให้เกิดบุญ ทำไม่ตรงไม่ถูกต้องจึงไม่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์

          ทาน เป็นสิ่งที่ขึ้นต้นและลงท้ายของมนุษยชาติ เป็นความดีเบื้องต้น จนถึงสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ก็อยู่กับทาน คือการให้ ไม่เอา จะเอาก็เพียงอาศัยเท่าที่จำเป็น ให้ร่างกายแข็งแรง ให้อยู่ได้ในปัจจัย 4 และบริขารเท่านั้นเอง นอกนั้นมีแต่ให้ ไม่สะสมไม่เป็นภาระวุ่นวาย สุดยอดมีแต่ให้ ให้คุณภาพเร่ิมต้นดีตั้งแต่ต้นจนปลายมีแต่ให้

          ในบารมี 10 ทัศ มีทาน ศีล เนกขัมมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ในบารมี 10 นี้ ปฏิบัติแล้วสุดท้ายจะเป็นคนทาน จบถ้วนรอบปรมัตถบารมีก็เป็นคนทาน โดยอาศัยเมตตากับอุเบกขาอาศัย เมตตาคือทำงานให้คนอื่นกลับมาเป็นตัวเราที่อุเบกขา

          สามเส้าของอรหันต์คือ ทาน เมตตา อุเบกขา เป็นบารมีสามทัศของอรหันต์ทุกพระองค์ เท่านั้นแล้ว ส่วนเนกขัมมะปัญญา เป็นสิ่งประกอบในการให้ทานได้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องการตอบแทนเลย ธรรมดาคนเราไม่รู้ให้ทานแล้วต้องหวังจะได้อะไรมา

          มาสู่ทานสูตร ล. 23 ข.49....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคน ในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคล บางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผล ให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่อง

การทำทานที่จะมีอานิสงส์มากทำอย่างไร

ถ้าเราทำทานไปแล้วใจเรายังมีความหวัง ตั้งความหวังไว้กับทาน (สาเปกฺโข ทาน) ทานไม่อุเบกขา แต่เป็น สาเปกขา ยังไม่หมดเยื่อใย คนมิจฉาทิฏฐิ จะไม่คิดตัดเยื่อใยในทานนั้น สูงสุดต้องไม่มีเยื่อใยในทานนั้นจึงสูงสุด ถ้าปัญญาไม่รู้อาการเยื่อใยของใจก็มีผลที่มิจฉาทิฏฐิ นั่นคือมีจิตผูกพันในผลให้ทาน(ปฏิพทฺธจิตฺโต) แล้วสะสมไว้(สนฺนิธิเปกฺโข) มุ่งการสั่งสมเลย แล้วก็อยากให้ติดไปข้ามชาติ(ปริภฺุชิสฺสามีติ)

          คนที่มีลักษณะจิต สี่แบบนี้ ตายไปจะเป็นสหายแห่ง จาตุมมหาราชิก เป็นยักษ์เขี้ยวใหญ่ โจรอำมหิตสุดยอดเลย เหมือนสายธัมมชโยทำทั้งนั้นเลย เป็นยักษ์เขี้ยวใหญ่ ชื่อว่าเทวดา แต่ ที่จริงเป็นยักษ์มารชั้นต่ำสุด จิตตะกละไม่ถ่ายถอนเลย เอาถ่ายเดียว นี่คือจอมโง่ที่สุดเลย เป็นจอมจาตุมมหาราชิกา

เทวดา 6ชั้นนี้ก็ยังเป็นภพชาติ ไม่มีทางจบ ลูกศิษย์ลูกหาธัมมชโยไม่มีทางไปนิพพานเลยมีแต่มืดกับบอด ไม่ได้ใส่ความนะนี่เตือนด้วยหวังดีนะ ให้เลิกเถอะ อย่าไปยึดถือเป็นสาวกอยู่เป็นอันขาด

บุคคล หวังให้ท่าน จิตผูกพัน สั่งสม ข้ามชาติ

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ความหมายคือแย่งเขาเก่งแย่งไม่หยุด ไม่มีจิตให้อะไรใครเลย นี่คือจิตเลวที่สุดแห่งที่สุด ผู้นี้จะทำทานด้วยอะไรก็ตาม ยังมีจิตแบบนี้ ต่อมา

 

คนที่เข้าใจแต่ว่า ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคล บางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี(สาหุ) เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและ เครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคล บางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผล ให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความ เป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

แต่ถ้ายังแย่งมากอยู่แล้วก็เอามาเสพสุขมากอยู่คนนี้ก็มีทั้งจาตุมมหาราช และพวกดาวดึงส์ รวมเรียกว่าอติวินิปาต คือพวกไม่มีนรกให้ตกอีกแล้ว ต่ำกว่าที่จะต่ำสุดแล้วนั่นเอง

 

ชั้นที่สาม เรียกว่า ยามา คือกาลเวลา คนที่หลง จาตุมฯกับดาวดึงส์ก็เหมือนคู่ที่โง่มาก เป็นสัตว์ต่ำสุดแล้วนะ แล้วเขาจะเป็นให้ยาวนาน ยามา คือกาละ เพราะหลงว่าเป็นสุขเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น ก็เลยจะเอาให้ยาวนาน สามเส้านี้คือสุดอวิชชายอดโง่ คือจาตุมมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา

มาสู่อันนี้ 4คือดุสิตา พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด เท่านี้องคุลิมาลก็มีปัญญาก็เลยหยุด แต่ธัมมชโยก็ไม่หยุด อาตมามองไม่เห็นทางว่าเขาจะดันไปได้ ถ้าเขายอมก็จะได้ใจคน แต่นี่เขาก็ดันต่อจะไม่ได้อะไรเลย ไม่มีใครเห็นใจ จะโง่ดักดานไปอีกนานแค่ไหนไม่รู้ คนรู้จักพักรู้จักพอ ดุสิตาก็ดีขึ้น แต่ถ้าเอาแต่ดาวดึงส์ยามาก็จะดันดำไปถึง นิมมานรดี ปรินิมมิตวสวัตตี ก็จะเก่งขึ้นแต่เก่งชั่วมากขึ้น

นิมมานรดีก็เก่งคนเดียวทำได้อย่างมีอำนาจบาทใหญ่ ส่วนปรนิมมิตวสวัตตีก็เก่งทั้งตนและเก่งอย่างมีบริวารด้วย มีกองทัพกองหนุนด้วย ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าเป็นจอมนรกจอมมารก็จอมมารใหญ่ที่สุดเลย มีลักษณะชั่ว แต่ถ้าเป็นลักษณะดี

 

ปรนิมมิตวสวัตตีที่เป็นตัวดีที่สุดก็ทำได้ด้วย...กลับมาเป็นผู้ที่รู้จักว่าสิ่งชั่วหยาบสุดลดลงก็ค่อยๆลดลงได้ตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ไม่กลับไปกลับมาไม่ถอยหน้าถอยหลัง แต่ยิ่งแน่นไม่เสียกาละเวลาไม่สะดุด เป็นผู้สั่งสมความเจริญได้อย่างเป็นลำดับๆ ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเป็นมหาราชแห่งการให้แห่งการไม่มี เป็นไปตามลำดับ เป็นดาวดึงส์ที่แท้ เป็นยามาที่แท้ เป็นดุสิตที่แท้เป็นนิมมานรดีที่แท้เป็น ปรนิมมิตวสวัตตีที่แท้

เน้น เนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง อย่างแท้จริง นี่คือผู้รู้ลักษณะอาการจิตแล้วรู้ความหมายดี อย่างไม่สับสนไม่ผิดพลาด อย่างถูกตรงตามลำดับ นี่คือผู้ที่รู้จักเทวดา 6 แล้วก็สอนผู้อื่นได้ คนอื่นทำได้ก็จะเข้ามาผนึกสานกันเป็น เครือแห pyramidal web ผนึกกันดี

นี่คือเทวดา 6 ชั้น ทีนี้ อย่างธัมมชโยเป็นตัวอย่างชัดของการไม่รู้เทวดา 6 แล้วทำชั่วได้ ทั้ง 6ระดับ แล้วทำชั่วได้ในชั้น 7 อีก เป็นความโง่ด้วยตนเอง โง่อย่างพิเศษ คือเมื่อเป็นผู้ที่ให้ทานโดยไม่มีหวัง ผูกพัน สั่งสม ตายไปจะได้อะไรต่อ ก็ไม่มีจิตแบบนี้แล้ว แต่ก็จะต้องทานแบบมีหมดทุกอย่างเลย คนพวกนี้มีแล้วไปทำใจในใจให้ปลื้ม

คือไม่มี สาเปกฺโข ทาน เทติ ปฏิพทฺธจิตฺโต ทาน เทติ สนฺนิธิเปกฺโข ทาน เทติ อิม เปจฺจ ปริภุญชิสฺสามีติ ทาน แต่มีใจให้ปลื้ม อตฺตมนตาโสมนสฺ คือไปยินดี แบบที่ธัมมชโยทำนี่แหละ

ผู้ใดไม่ทำทานอย่างมีจิตที่ แล้วแต่ทำจิตให้เป็น จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขาร ทาน คือปรุงแต่งจิตให้ลดความเป็นเทวดา 6นี้แล้ว จะได้เป็นสหายแห่งพรหม พระพุทธเจ้าจึงสอนอันที่ 7นี้ อาตมาว่าพระพุทธเจ้าบรรยายสุดแล้ว ท่านก็จบด้วยอันสุดท้ายนี้

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพัน ในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทาน ด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อ ตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความ เป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็น เครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ จบสูตรที่ 9

คือทำทานด้วยปัญญาของตนเอง เข้าถึงการปรุงแต่งจิต จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขาร ไม่ต้องมีเหตุอะไรนำนอกจากปัญญาเราล้วนๆเลย (อสังขาริกัง) ผู้นี้ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม คือจบหมดภพชาติของพระพุทธเจ้าทานที่ไม่มีภพชาติ

แม้แค่ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา นี่ก็บารมี 4 ใน 10 ทัศ ต่อมาวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานอีก 4 สุดท้าย เมตตา อุเบกขา สูงสุดอรหันต์อยู่กับเมตตาอุเบกขา แล้วทำอีก 8 ขั้นต้นให้สำเร็จ

ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา สุดยอดคือปัญญา คือไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าทาน คุณจะทำทานได้อย่างดี จนเกิดสละออก ใช้ภาษาไทยว่าสละออก ทานก็เพื่อสละออก ศีลก็เพื่อสละออก(เนกขัมมะ) ผู้ใดสามารถรู้ตัวแท้ของเวทนาในเวทนา

เวทนาในเวทนา 18 เป็นเนกขัมมะ 18 ลักษณะอาการ ทั้ง 18 นี้ โดยธรรมชาติสามัญปุถุชนคือเคหสิต 18 เกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สาม แล้วก็ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รวมเป็น 18 มาเรียนรู้อย่างไรคือเคหสิตเวทนาเพราะมีกิเลสก็มาทำออก เรียกว่าเนกขัมมสิตเวทนา ได้เรื่อยๆ ก็เข้าใจว่า อย่างไรคือเนกขัมมะ

ทานหรือถือศีล หรือพิธีการต่างๆ ก็เพื่อเนกขัมมะเอากิเลสออก ทานศีล ภาวนาเพื่อรู้กิเลส แล้วเอากิเลสออก เมื่อเอาออกได้ก็รู้ชัดคือปัญญา ในแต่ละศีล จบที่เอาออก คุณรู้จักเนกขัมมะหรือเอาออกได้ทั้ง 18 รู้สภาวะจริงเข้าใจทำได้จริง อาการจิตออกเป็นอย่างไรก็ทำการเอาออกเรียกว่าเนกขัมมะและมีปัญญารู้จริง ไม่ผิดเพี้ยน พ้นสงสัย สมบูรณ์แบบรู้จัก รู้แจ้งรู้จริง เมื่อคุณชัดเจนอย่างนี้

เมื่อทำได้ก็ต้องเพียรทำแล้วทำอีก ถ้าเหลืออีกก็ทำอีก ต้องเพียรทำ วิริยะ ต้องเอาจริงขันติ สัจจะ ต้องจริงไม่มีอะไรไม่จริงแม้เศษธุลีละออง ล้มก็ตั้งใหม่ อธิษฐานตั้งใหม่อีก

 

ถ้าคุณรู้จักการปรุงแต่งจิต จิตฺตาลงฺการ รู้จักเหตุปัจจัยองค์ประกอบ composition เป็น จิตฺตปริกฺขาร พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ต้องเห็นแสงอรุณ 7 ก่อน ถ้าไม่เห็นแสงอรุณก็ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่บริบูรณ์

มิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตะ ทิฏฐิ อัปปมาทะ โยนิโสมนสิการ

ศาสนาพุทธต้องรู้มาจากคนที่ทำได้มาก่อน ไม่มีรู้เองได้ พระพุทธเจ้าก็รับความรู้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร แต่รู้ที่จบได้

เรามีมิตรดีแล้วก็จะรู้ว่าศีลที่ท่านมิตรดีปฏิบัติคืออย่างไร ... เราก็จะได้เป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ที่ดี เราก็จะมีฉันทะในการปฏิบัติ แล้วก็รู้จักอัตตา เรียนรู้อัตตา 3 อ่านอาการจิตอัตตาออก ละไปตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา เอาให้หมดสิ้นเกลี้ยงตรวจสอบอรูปฌาน 4อีก หมดจากอัตตาก็มีเชิงปัญญา เป็นทิฏฐิ มีปัญญาแท้ แล้วจะไม่ประมาท เป็นตัวปลายมากเลย จะถึงชั้นไหนๆก็อย่าประมาท ประมาทแล้วมีสิทธิ์พลาดได้ ผู้ชัดเจนไม่ประมาท ก็สบาย ทำได้สมบูรณ์ แล้วตัวสุดท้ายคือโยนิโสมนสิการ คือทำใจในใจเป็นถูกต้องถ่องแท้แยบคาย มนสิการคือการทำใจในใจ

คำว่า สร้างสรร ของอาตมาไม่มี ค. การันต์ คือสร้างเป็นเจโต แล้ว สรรคือเลือกสรร เป็นปัญญา ใครสร้างสรรค์คือพวกทำตะพึดไม่มีปัญญาก็ทำ ผิดก็ทำ ไม่คัดสรรเลย

ผู้สามารถเข้าใจโยสิโสมนสิการอย่างถ่องแท้ ทำใจในใจให้ถึงที่เกิดเลย คนใดไม่เข้าใจยังไม่มีความรู้ในแสงอรุณ 7 ก็ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ไม่บริบูรณ์ จึงต้องมีสุริยเปยยาล นี้ มาก่อนที่พระอาทิตย์จะมาต้องเห็นแสงมาก่อน ถ้าไม่ได้อย่างนี้ครบไปคว้าพระอาทิตย์ก็ไหม้มือคุณเลย ก็พร่องไม่บริบูรณ์

ต้องมีเค้าให้เกิดได้ ในมูลสูตร 10

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)เป็นสมุทัยของมรรค แล้วจึงอ่านตัณหาคือสมุทัยในจิตได้ แต่ผัสสะคือสมุทัยของมรรค

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ต้องทำเวทนาให้เป็นหนึ่ง สโมสรณา

5.      มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด

8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน คำว่าโอคธาแปลว่าข้ามฝั่ง อมตะแปลว่าไม่ตายไม่เกิด

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)

เราสามารถตรวจสอบได้ว่าเรามีฉันทะไหม ถ้ามาแล้วต้องรู้ว่ามาเอาอะไร รู้ว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้วเกิดมาเป็นคน ได้เวลาสำคัญต้องมาเอา หาเวลาไม่ได้ง่ายๆนะ จะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในความเป็นมนุษยชาติ มีฉันทะเป็นมูล ในมูลสูตร 10 นี้จึงชัดเจน

มาเข้าสู่มรรค 8 คุณต้องปฏิบัติมรรค 7องค์แล้วจะเกิดสัมมาสมาธิ ใครปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิไม่เกี่ยวกับมรรค 7 องค์ก็ออกนอกพุทธ

มีสมาธิธรรมชาติ สมาธิมืด คนนั่งหลับตานั้นไม่ได้แม้แต่สมาธิเสขบุคคล ซึ่งสมาธิเสขบุคคลกับสมาธิอรหันต์เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า มีส่วนแห่งบุญ คือเครื่องมือชำระกิเลสไม่ใช่เอาบุญไปล่อว่าจะได้โลกธรรม โลกียธรรม หรือกุศลไม่ใช่เลย บุญมีหน้าที่ตัดกิเลสอย่างเดียว เสร็จแล้วไม่มีบุญ อรหันต์เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ตลอดกาล จนปรินิพพานเป็นปริโยสาน สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ท่านจะหายใจเข้าหายใจออกก็ทำกุศล จะถ่มน้ำลายรดใครก็เป็นกุศล ถ้าเข้าใจเนื้อหาแล้ว

เสขบุคคลไม่มีกุศลในการใช้บุญ กุศลก็มีต่างหาก เป็นสิ่งที่ต้องทำแล้วได้อาศัยคือกุศล เป็นความดีงามซ้อนในตัว แล้วก็ทำต่อไปจนกว่าจะหมดหน้าที่ของบุญ เศษส่วนสุดท้ายของเสขบุคคลที่จะทำก็ทำต่อ พอหมดเศษสุดท้ายก็หมดบุญด้วย ไม่มีบุญก็เป็นพระอรหันต์เลย ใครบังอาจเอาบุญไปขายไปล่อก็บาปมหาศาล ตีลังกากลับเลย บุญมาก บาปมาก คุณก็ไปหลงบุญว่ามีมากก็เลยได้บาปมากๆ หลอกว่าโป้งรวยหายใจเข้ารวยหายใจออกรวยก็ซวยๆๆๆ ไปตลอด ...

สรุปเลยว่า ความละเอียดละออมีอีกมาก ตั้งใจฟังให้ดี ธรรมะนี้

คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:47:58 )

590722

รายละเอียด

590722_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน วังน้ำเขียว แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี(บุญ7ประการ)

 มาเข้าเรื่องบุญ อาตมากำลังจะขยายความให้ชัดเจนว่า บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส แต่ถูกคนขบถ เอาบุญมาหลอกล่อขายกัน ว่าในอนาคตจะได้วิมานมากกมายจากการทำบุญนี้ แต่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ในอนาคต

แท้จริงบุญคือเครื่องมือชำระกิเลส ชำระได้หมดแล้วไม่มีต่ออีก อรหันต์จึงเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นผู้ที่มีสัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ทำได้อย่างแน่นอนมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง มีกรรมกริยาที่เป็นอกุศลถ่ายเดียว

อาตมาจะจำแนกบุญ เป็น 7 อย่าง คือ

ปุญญะ 7 อย่าง หรือ บุญ 7 ประการ

1.สันตานังปุนาติ วิโสเทติ แปลว่า บุญคือการชำระกิเลสจากจิตสันดานให้สะอาดหมดจด อันนี้เป็นพยัญชนะที่เหลือมาอยู่ในพจนานุกรมบาลี-ไทย-อังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุ

2.ปุญญาภิสังขาร คนชำระก็ต้องรู้จักทำอภิสังขาร การจัดการอย่างยิ่ง การทำงานอย่างยิ่ง ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ปรับปรุงอย่างยิ่งทำจิตของเราอย่างยิ่ง ทำให้เกิดบุญอย่างย่ิง ปุญญะแปลว่าฆ่าๆๆ ฆ่ากิเลสอย่างเดียว หมดการฆ่าแล้วไม่มีหน้าที่อีก

3.ปุญญภาคิยา คือ เริ่มต้นฆ่ากิเลสได้ 1 ครั้งเรียกว่าส่วนของบุญ(ปุญญภาค)แต่ส่วนของบุญนี้ไม่มีอะไรเลย อย่าอุตริส่งส่วนบุญไปให้ใครๆ

4.ปุญญปาปปริกขีโณ เมื่อกำจัดหรือชำระเสร็จก็กลายเป็นสิ้นบุญสิ้นบาป

5.อปุญญาภิสังขาร หรืออปุญญะ เมื่อกำจัดบาปหรือกิเลสหมดแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญอีก หรืออปุญญาภิสังขารก็ได้ เมื่อหมดแล้วก็คือ

6.สัพพาปัสสอกรณัง คือทำอะไรก็ไม่เป็นบาป

7.กุสสลัสสูปสัมปาท คือทำกรรมกริยาใดก็เป็นแต่กุศลทั้งสิ้น

 

ผู้ใดก็ดีทำสิ่งไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเอามาเปิดเผย ช่วยกันทำให้สิ้นสุด ประเทศไทยตอนนี้เข้มข้นเรื่องศาสนาพุทธเจ้า ซึ่งศาสนาพุทธจะยิ่งใหญ่ต่อไป ที่ไม่มีใครเอาไปได้หรอก ท้าให้เอาไปเลย ใครเอาไปได้เอาไปเลย แต่ใครก็จะเอาไปไม่ได้ ฟังอาตมาไว้ ใครพูดผิดก็ทวงถามได้เลย

สันตานังปุนาติวิโสเทติ คือการกิเลสเหลือเท่าไหร่ก็ล้างออกให้หมด ส่วนปุญญาภิสังขารคือทำอภิสังขาร ทำอย่างยิ่งเลย ชำระได้เป็นส่วนๆก็เป็นปุญญภาคิยา จนกว่าจะสิ้นกิเลสเป็นปุญญปาปปริกขีโณทีนี้ทำอะไรก็มีแต่กุศล ทำอะไรมีแต่สิ่งดีทั้งนั้น

ขยายกว้างมาสู่สุริยเปยยาลสูตร

หนึ่ง พวกเรามีมิตรดีไหม ในยุคกาลนี้ผู้สูงสุดที่จะเป็นมิตรดีคือใคร ผู้รองลงมาก็มีหลายคน ผู้รองลงมาก็มีมากกว่าอีก แล้วผู้น้อยกว่าก็มีเยอะก็ครบเลย อบอุ่นเลย ไม่ได้ขาดแคลนเลย ครบสมบูรณ์จริงๆ

นอกจากมีมิตรดีแล้วมีศีล ของเราขั้นไหน อย่างน้อยศีล 5 ครบกายวาจาใจ ถ้าศีลข้อเดียวก็มีแต่ไม่ฆ่าสัตว์เลิกกินเนื้อสัตว์ แต่นี่ศีล 5 มีครบเลย

เมื่อคุณสามารถปฏิบัติศีล มีมรรคผล กิเลสเราลดได้จริง ศีลข้อ 1 ทำให้กิเลสเราลด เกี่ยวกับสัตว์ คน ศีลข้อ 2 เราลดเรื่องข้าวของ ศีลข้อ 3 เราลดสัมผัสเสียดสี กามคุณ 5 ศีลข้อ 4 ก็เรื่องวาจา ศีลข้อ 5 เรื่องใจเลย

เราทำได้ลดละได้มีผลจริงก็มีฉันทะ มีฉันทะก็เพื่อเรียนรู้อัตตาต่อ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาเป็นเช่นนี้ เราก็ทำไปทีละขั้นตอน เป็นลำดับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเป็นลำดับของการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์

อาตมาพิสูจน์มาจนบัดนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มาได้ เพื่อนฝูงที่ท้อไปก็มี แต่อาตมายังไม่ถอยหลัง ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา ยังไม่ถอยหลังแม้ก้าวเดียว

เมื่อเราสามารถที่จะมีทุกอย่าง มารู้อัตตาแล้วก็พยายามปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ตรงให้จริงให้ครบ แล้วทำอย่างไม่ประมาท พากเพียรอดทน

สมมุติว่าเราอดทนจนขาดใจ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ก็ตายเลย ตายอย่างไม่แพ้ชาติต่อไปก็มีอานิสงส์ทับทวี แต่ตายอย่างแพ้กิเลสก็จะเสื่อมลงไปในชาติต่อไป ใครจะใจกลั่นทำต่อไปก็ทำเลย

สิ่งที่ลึกซ้อนจะสุดแห่งที่สุดเลยของพระพุทธเจ้า อาตมาถึงบอกว่าปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านี้จะสนุก ถ้ามีของจริงปฏิบัติจะชัดเจนมีอะไรรองรับเห็นจริง มีความจริงรองรับ ต้องมีสิ่งรองรับหากเหลือแต่อันเดียวโด่เด่ ก็ไม่ได้ ใครจะมายอมรับ ใครจะเป็นผู้ตัดสิน ใครจะเป็นผู้ให้มาถกแถลงว่า อะไรกันแน่ จะเหลืออะไร มันไม่มีคำตอบแล้ว เพราะฉะนั้นต้องมีสอง แล้วมีธาตุรู้อันสมบูรณ์ให้จบ ธาตุรู้นี้ถ้ารู้ว่ามีสองแล้วมีอะไรเหนือกว่าอะไร ก็จบ อะไรเป็นปุริสสภาวะก็ใช้ แต่ถ้าจะให้สูญเลยก็ทำให้สูญได้ แต่ว่าถ้ามีสองอย่างไรๆฉันก็หนึ่ง ๆ สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มันสุดแห่งที่สุดจริงๆ

ทุกวันนี้เมืองไทยเรามีสิ่งเหล่านี้ครบสมบูรณ์มีทั้งผู้อธิบาย ผู้ปฏิบัติผู้นำเสนอ ผู้จะขยายผล ยิ่งนับวันต่อเนื่องไปก็จะยิ่งมีของจริงปรากฏๆๆๆ อาตมาถึงตั้งชื่อวิชาการนี้ว่า ปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology ภาษาบาลีเรียกว่า ปาตุสัจจะ คือความจริงที่ปรากฏ

คนเขาแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด เราก็มั่นใจว่าอันนี้ดีที่สุด จึงไม่มีอะไรมาแย่งแข่งกับจุดนี้อันนี้เลยเรามีความฉลาดของเรา  เราก็ต้องรู้ว่าอะไรดีกว่าตอนนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรดีกว่านี้อีก ถ้ามีดีกว่าก็จะต้องเอาเลย เราประมวลตามปัญญาเลยว่าอันไหนดีกว่าอาตมาก็ต้องเลื่อนชั้นไปเอาอันนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรดีกว่านี้เลย ก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ

 

อ่านต่อที่และดาวโหลดเอกสารที่. http://www.boonniyom.net/?p=82939

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfUDBYYnVRdDFvSzg

 

หรือที่นี่ http://www.filefactory.com/file/4zpmkit8km0n/160722


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:48:32 )

590722

รายละเอียด

590722_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน วังน้ำเขียว แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี(บุญ7ประการ)

พ่อครูว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2559 พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้สัญจรมาเทศนาก่อนฉันที่ อาวาสสถานวังน้ำเขียว ซึ่งเป็นโครงการกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

วันนี้สัญจรมาบนภูเขา พวกเราเรียกว่าภูเขา อาตมาก็ท้วงว่าผิด ที่นี่มันภูเรา เราบริหารดูแลจัดการ อาศัยใช้สอยทำงานทำประโยชน์ตรงนี้ เราทำไม่ใช่เขาทำ ก็สนุกกับภาษาไป ใช้เป็นองค์ประกอบศิลป์ ใช้ปฏิภาณปัญญาเพื่อให้คนฉุกคิด มาใส่ใจ เราก็พยายามใช้เทคนิคแบบนี้เพื่อให้สนใจเพิ่มขึ้น ตลกก็ได้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้ เดี๋ยวชวนชื่นจ๊กม๊กเอาเราตาย เราก็ได้เท่านี้

ขณะนี้อาตมานั่งอยู่ที่อาคาร โซล่าเซลล์ตัวอย่าง คือศูนย์เรียกรู้พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้พลังงานของดวงอาทิตย์ทั้งหมดเลย ในตึกในอาคารนี้ แม้แต่ในสื่อสารออกอากาศไปตอนนี้ใช้พลังงานโซล่าเซลล์ของตึกนี้ เต็มรูปเลย มีทั้งห้องนี้เปิดแอร์อยู่ด้วย มีทั้งส่งเสียง ส่งคลื่นโทรทัศน์ไป ตอนนี้ใช้พลังงานดวงอาทิตย์เต็มสภาพ

อาตมาก็กำลังจะให้ทำโซล่าเซลล์ให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเต็มที่เลย เพราะว่าสะดวกกว่าพลังงานน้ำ พลังงานถ่านหิน สะดวกกว่าพลังงานฟอสซิลด้วย เพราะตอนเช้าท่านก็ส่งแสงเต็มที่ ตลอดวัน เราก็หาทางเก็บพลังงานไว้ใช้กลางคืนบ้างนิดๆหน่อยๆ สุดยอดแล้วที่เราจะเอาพลังงานมาใช้เพื่อมนุษยชาติ ถ้าพระอาทิตย์ดวงนี้แตกก่อนก็แล้วไป แต่ว่า โลกแตกก่อนพระอาทิตย์แน่ จะไปถึงยุคใดต่อไป พระอาทิตย์แตกก่อนโลกก็แล้วไป ไปไม่รอดก็แล้วแต่ ที่จริงก็มีไปอีก

แม้ว่าสมมุตินะ แม้พระอาทิตย์ดวงนี้แตก โลกจะแคว้งคว้างในอวกาศก็ไปหาพระอาทิตย์ใหม่อีก ถ้าโชคดีหรือเคราะห์ดี โลกเหวี่ยงไปมา เจอพระอาทิตย์เข้าที่เข้าทางก็รอดไป แต่ถ้านานหน่อยเราทนไม่ไหวตายก่อนก็ได้

อาตมาก็จะพยายามเทศน์ วันนี้ตั้งใจจะเทศน์เรื่องบุญ เขาตั้งหัวข้อให้อาตมาเทศน์ว่า แสงอรุณไม่มา สุริยาไม่มี

คำตรัสของพระพุทธเจ้าในสุริยเปยยาล 7 ประการ

แสงอรุณนี้มี 7 ข้อ ถ้าไม่พบแสงอรุณก่อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พบพระอาทิตย์เลย ดวงอาทิตย์เปรียบเหมือนมรรคองค์ 8 ต้องได้พบคนที่จะให้เราได้เข้าใจ

แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน 
สุริยเปยยาล (เล่ม 19  ข.129 - 136)

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ต้องพบผู้รู้ที่เป็นมิตรดี พบแล้วพอใจยินดี แล้วท่านจะให้หลักปฏิบัติคือศีล แล้วก็ด้วยยินดี(ฉันทะ) ก็ได้สามเส้าแรก เร่ิมปฏิบัติ เราจะรู้จักอัตตา

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค เราก็ใช้ทฤษฏีปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ทำให้ตรงและถ่องแท้แยบคายแหลมคมถูกต้องจริงๆ

ต้องได้พบแสงอรุณทั้ง7 จึงได้ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ถูกทาง เพราะคนเราหลงผิด ไปหลงทฤษฏีฤาษีผิดๆ คือไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่เปิดทวารนอก อันนี้ก็ผิด นั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ของพุทธ บอกย้ำอีกไม่รู้กี่ครั้ง… ไม่ใช่ Analysis เป็นแต่ Hypnosis เป็นการสะกดจิตที่ส่งผลร้ายอยู่ในปัจจุบัน

สะกดจิตมีสองสายคือสายสว่างกับสายมืด สายมืดเช่นสายอ.มั่น ไม่ไปทำร้ายใคร ส่วนสายสว่างอย่างธัมมชโยนี่มีเฉโกหลอกล่อคน ทำร้ายคนไปทั่วโลกได้เลย ก็ต้องช่วยกันเก็บกวาดล้าง ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ที่พูดนี้ไม่ได้พูดข่ม แต่พูดด้วยวิชาการ ว่าอย่างนั้นมันผิด

สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงปฏิบัติมรรค 7 องค์ ไม่ใช่เอาข้อ 8 เลยไปนั่งหลับตาไม่ทำอาชีพ

มรรค 7 องค์มี สัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน

1.      สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นประธานไปทุกมรรค

2.      สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) . เป็นประธานปฏิบัติ

3.      สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

4.      สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .

6. สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นตัวเร่งห้อมล้อม

7. สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นดวงตาห้อมล้อม .

8. สัมมาสมาธิ (สะสมลงเป็นจิตใจที่ตั้งมั่น) เป็นผล .

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 252-281) .

 

ต้องอ่านเข้าไปถึงสังกัปปะ 7 ที่มีความดำริที่เป็น ตัณหา เป็นความอยาก ในความอยากนี้มีสามอย่างคือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา(ตัณหาที่ให้หมดความอยากของกามตัณหาและภวตัณหา) ที่เกิดเมื่อเราสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แล้วเกิดเวทนาที่ประกอบมีเหตุจากตัณหา เป็น กาม กับ พยาบาทเป็นหลัก เราก็ต้องอ่านรู้แล้วทำการกำจัดด้วย ปหาน 5

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา)

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

 

มาเข้าเรื่องบุญ อาตมากำลังจะขยายความให้ชัดเจนว่า บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส แต่ถูกคนขบถ เอาบุญมาหลอกล่อขายกัน ว่าในอนาคตจะได้วิมานมากกมายจากการทำบุญนี้ แต่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ในอนาคต

แท้จริงบุญคือเครื่องมือชำระกิเลส ชำระได้หมดแล้วไม่มีต่ออีก อรหันต์จึงเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นผู้ที่มีสัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ทำได้อย่างแน่นอนมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง มีกรรมกริยาที่เป็นอกุศลถ่ายเดียว

อาตมาจะจำแนกบุญ เป็น 7 อย่าง คือ

ปุญญะ 7 อย่าง หรือ บุญ 7 ประการ

1.สันตานังปุนาติ วิโสเทติ แปลว่า บุญคือการชำระกิเลสจากจิตสันดานให้สะอาดหมดจด อันนี้เป็นพยัญชนะที่เหลือมาอยู่ในพจนานุกรมบาลี-ไทย-อังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุ

2.ปุญญาภิสังขาร คนชำระก็ต้องรู้จักทำอภิสังขาร การจัดการอย่างยิ่ง การทำงานอย่างยิ่ง ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ปรับปรุงอย่างยิ่งทำจิตของเราอย่างยิ่ง ทำให้เกิดบุญอย่างย่ิง ปุญญะแปลว่าฆ่าๆๆ ฆ่ากิเลสอย่างเดียว หมดการฆ่าแล้วไม่มีหน้าที่อีก

3.ปุญญภาคิยา คือ เริ่มต้นฆ่ากิเลสได้ 1 ครั้งเรียกว่าส่วนของบุญ(ปุญญภาค)แต่ส่วนของบุญนี้ไม่มีอะไรเลย อย่าอุตริส่งส่วนบุญไปให้ใครๆ

4.ปุญญปาปปริกขีโณ เมื่อกำจัดหรือชำระเสร็จก็กลายเป็นสิ้นบุญสิ้นบาป

5.อปุญญาภิสังขาร หรืออปุญญะ เมื่อกำจัดบาปหรือกิเลสหมดแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญอีก หรืออปุญญาภิสังขารก็ได้ เมื่อหมดแล้วก็คือ

6.สัพพาปัสสอกรณัง คือทำอะไรก็ไม่เป็นบาป

7.กุสสลัสสูปสัมปาท คือทำกรรมกริยาใดก็เป็นแต่กุศลทั้งสิ้น

 

ผู้ใดก็ดีทำสิ่งไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเอามาเปิดเผย ช่วยกันทำให้สิ้นสุด ประเทศไทยตอนนี้เข้มข้นเรื่องศาสนาพุทธเจ้า ซึ่งศาสนาพุทธจะยิ่งใหญ่ต่อไป ที่ไม่มีใครเอาไปได้หรอก ท้าให้เอาไปเลย ใครเอาไปได้เอาไปเลย แต่ใครก็จะเอาไปไม่ได้ ฟังอาตมาไว้ ใครพูดผิดก็ทวงถามได้เลย

สันตานังปุนาติวิโสเทติ คือการกิเลสเหลือเท่าไหร่ก็ล้างออกให้หมด ส่วนปุญญาภิสังขารคือทำอภิสังขาร ทำอย่างยิ่งเลย ชำระได้เป็นส่วนๆก็เป็นปุญญภาคิยา จนกว่าจะสิ้นกิเลสเป็นปุญญปาปปริกขีโณทีนี้ทำอะไรก็มีแต่กุศล ทำอะไรมีแต่สิ่งดีทั้งนั้น

ขยายกว้างมาสู่สุริยเปยยาลสูตร

หนึ่ง พวกเรามีมิตรดีไหม ในยุคกาลนี้ผู้สูงสุดที่จะเป็นมิตรดีคือใคร ผู้รองลงมาก็มีหลายคน ผู้รองลงมาก็มีมากกว่าอีก แล้วผู้น้อยกว่าก็มีเยอะก็ครบเลย อบอุ่นเลย ไม่ได้ขาดแคลนเลย ครบสมบูรณ์จริงๆ

นอกจากมีมิตรดีแล้วมีศีล ของเราขั้นไหน อย่างน้อยศีล 5 ครบกายวาจาใจ ถ้าศีลข้อเดียวก็มีแต่ไม่ฆ่าสัตว์เลิกกินเนื้อสัตว์ แต่นี่ศีล 5 มีครบเลย

เมื่อคุณสามารถปฏิบัติศีล มีมรรคผล กิเลสเราลดได้จริง ศีลข้อ 1 ทำให้กิเลสเราลด เกี่ยวกับสัตว์ คน ศีลข้อ 2 เราลดเรื่องข้าวของ ศีลข้อ 3 เราลดสัมผัสเสียดสี กามคุณ 5 ศีลข้อ 4 ก็เรื่องวาจา ศีลข้อ 5 เรื่องใจเลย

เราทำได้ลดละได้มีผลจริงก็มีฉันทะ มีฉันทะก็เพื่อเรียนรู้อัตตาต่อ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาเป็นเช่นนี้ เราก็ทำไปทีละขั้นตอน เป็นลำดับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเป็นลำดับของการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์

อาตมาพิสูจน์มาจนบัดนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มาได้ เพื่อนฝูงที่ท้อไปก็มี แต่อาตมายังไม่ถอยหลัง ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา ยังไม่ถอยหลังแม้ก้าวเดียว

เมื่อเราสามารถที่จะมีทุกอย่าง มารู้อัตตาแล้วก็พยายามปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ตรงให้จริงให้ครบ แล้วทำอย่างไม่ประมาท พากเพียรอดทน

สมมุติว่าเราอดทนจนขาดใจ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ก็ตายเลย ตายอย่างไม่แพ้ชาติต่อไปก็มีอานิสงส์ทับทวี แต่ตายอย่างแพ้กิเลสก็จะเสื่อมลงไปในชาติต่อไป ใครจะใจกลั่นทำต่อไปก็ทำเลย

สิ่งที่ลึกซ้อนจะสุดแห่งที่สุดเลยของพระพุทธเจ้า อาตมาถึงบอกว่าปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านี้จะสนุก ถ้ามีของจริงปฏิบัติจะชัดเจนมีอะไรรองรับเห็นจริง มีความจริงรองรับ ต้องมีสิ่งรองรับหากเหลือแต่อันเดียวโด่เด่ ก็ไม่ได้ ใครจะมายอมรับ ใครจะเป็นผู้ตัดสิน ใครจะเป็นผู้ให้มาถกแถลงว่า อะไรกันแน่ จะเหลืออะไร มันไม่มีคำตอบแล้ว เพราะฉะนั้นต้องมีสอง แล้วมีธาตุรู้อันสมบูรณ์ให้จบ ธาตุรู้นี้ถ้ารู้ว่ามีสองแล้วมีอะไรเหนือกว่าอะไร ก็จบ อะไรเป็นปุริสสภาวะก็ใช้ แต่ถ้าจะให้สูญเลยก็ทำให้สูญได้ แต่ว่าถ้ามีสองอย่างไรๆฉันก็หนึ่ง ๆ สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มันสุดแห่งที่สุดจริงๆ

ทุกวันนี้เมืองไทยเรามีสิ่งเหล่านี้ครบสมบูรณ์มีทั้งผู้อธิบาย ผู้ปฏิบัติผู้นำเสนอ ผู้จะขยายผล ยิ่งนับวันต่อเนื่องไปก็จะยิ่งมีของจริงปรากฏๆๆๆ อาตมาถึงตั้งชื่อวิชาการนี้ว่า ปรากฏการณ์วิทยา Phenomenology ภาษาบาลีเรียกว่า ปาตุสัจจะ คือความจริงที่ปรากฏ

คนเขาแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด เราก็มั่นใจว่าอันนี้ดีที่สุด จึงไม่มีอะไรมาแย่งแข่งกับจุดนี้อันนี้เลยเรามีความฉลาดของเรา  เราก็ต้องรู้ว่าอะไรดีกว่าตอนนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรดีกว่านี้อีก ถ้ามีดีกว่าก็จะต้องเอาเลย เราประมวลตามปัญญาเลยว่าอันไหนดีกว่าอาตมาก็ต้องเลื่อนชั้นไปเอาอันนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรดีกว่านี้เลย ก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ

ขณะนี้ก็มีซ้อนมาว่า มีคนที่คิดจะตั้งพรรคการเมือง ก็มีคนดำริตั้งพรรคการเมืองอาตมาก็ว่าเป็นสิทธิของใครๆ แต่คนจะไปตั้งก็เป็นคนเกี่ยวข้องกับเรา เพื่อจะเน้นเรื่องการศาสนาให้บริบูรณ์ให้ได้เลย อาตมาก็ว่าดีเลย อาตมาไม่ได้ไปร่วมตั้ง แต่คุณเป็นฆราวาสมีหน้าที่ตามกฏหมายได้ อาตมาก็ให้คำแนะนำได้ เมื่อตั้งมาก็ทำให้สุจริต เป็นระบบซ้อนระบบสัจธรรม ทำขึ้นไป

ก็มีการตรวจสอบ อภิปรายเลือกเฟ้นว่าอะไรดีสุดถูกสุด เราไม่ยึดมั่นตายตัวแต่อันไหนดีกว่าเราก็พร้อมทำตาม ผู้ที่จะทำนี้ก็เป็นความคิดก้าวหน้าดีก็จงทำ ข้อสำคัญต้องตรวจสอบกว่าคุณว่าจะทำดีเพิ่มขั้น แต่คุณแฝงว่าจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญซ้อนอีก มีไหม เราก็จะใช้ภูมิปัญญาเราตรวจสอบ ว่าถ้ามีแฝงเราก็ตัดทิ้ง แต่ถ้าไม่แฝงแล้วสูงกว่าเราก็ให้ทำเลย เราก็ตรวจสอบเท่าที่ภูมิปัญญาเรามี ใครจะฉลาดเกินกว่าที่ตนเองโง่ ทุกคนก็ฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ และทุกคนก็โง่เท่าที่ตนเองฉลาด

ความซ้อนลึกซึ้งขณะนี้ที่คนเอาคำว่าบุญกับคำว่าทานเอาไปหากิน โดยการไปบอกว่า ทาน นี่แปลว่าให้ ใครจะให้ใครก็แล้วแต่มีผู้ให้กับผู้รับ เมื่อผู้ใดเป็นผู้ให้ก็เป็นคุณค่า ผู้รับก็เป็นลูกหนี้ ทุกวันนี้อาตมาเป็นลูกหนี้นะ ได้แต่รับ แต่ลูกหนี้ทางวัตถุนะ แต่อาตมาว่าอาตมาเป็นเจ้าหนี้ทางความรู้อยู่นะ ก็ซับซ้อนไปไม่รู้กี่ชั้นเชิง ใครจะมาเป็นเจ้าหนี้อาตมาก็มาเลย เป็นโพธิสัตว์สูงกว่าอาตมาก็มา

ทานก็คือการให้ การทานนี้เป็นตัวจบเลย ให้กันไปมา ก็จบแค่นี้ ไม่ว่าจะทำอยู่ที่ไหน คุณสมบัติอันสุดประเสริฐนี้เรายังมีเต็มสภาพ ชีวิตเราจึงอุดมสมบูรณ์ มีกินใช้เหลือเฟือ เอามาทำงาน เป็นตั๋วแลกเงินอีกก็เหลือพอ เกิดความเกิดแรงงาน cyclic order หมุนเวียนไปตลอดกาลนานไม่หยุด

เพราะส่ิงที่จะเป็นทศนิยมแห่งทศนิยมว่า ถ้าเรายังเกิดยังปรารถนาจะมีต่อไปก็ต้องมีทศนิยม ถ้าผู้ใดไม่ขอเกิดต่อมีต่อก็หยุดไม่มีทศนิยมก็อยู่ 0 แต่ไม่จำเป็นต้องติดลบ คุณอยู่ 0 เท่านั้นก็หมดจบในตัว เป็นอันตราปรินิพพายี เป็นสุดท้ายแห่งสุดท้ายเลย ในอนาคามี 5

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

ทานคือการให้ ต้องตรวจสอบว่ามีอะไรโค้งงอมาให้แก่ตนเองเป็นบูมเมอแรง ทานที่ดีสุดคือทำทานให้ตรงที่สุด ไม่มีอะไรโค้งกลับมาให้แก่ตน ไม่มีอะไรวกกลับมาเลย ถ้าโค้งน้อยนี้ก็กว่าจะวนกลับมาก็ยาวนาน แต่ถ้าโค้งหักศอกก็จะมีผลกลับมาไว

ทานที่ให้แล้วมีผลสูงสุดคืออัตถิทินนัง การให้ที่สั้นที่สุดซื่อที่สุดไม่มีอะไรแฝงปนเลยก็จบ การให้ก็ต้องมีวิธีการให้เรียกว่ายิฏฐัง การทำพิธียืดยาดกว่าจะให้ได้ เสียเวลานาน เช่นคนจะทำทานข้าวหนึ่งกำปั้น กว่าจะใส่ก็อธิษฐานเอาหมดบ้านหมดเมือง แล้วก็เผื่อแผ่ให้ลูกหลานอีก ข้าวกำปั้นเดียวก็รอนานแสนนาน เกิดจากพระพุทธเจ้าตรัสไว้อีก 4 ขั้น

1.สร้างความหวัง

2.ผูกพัน

3.สั่งสม

4.เชื่อว่าจะได้รับต่อไปตอนตายไปแล้วไม่จบ

 

คุณต้องรู้อาการหวังว่ามีในจิตไหม ถ้าไม่รู้อาการหวังก็จะผูกพันต่อ แล้วจะสั่งสมต่อไปอีก แล้วคาดว่าจะได้ในชาติต่อไปๆๆๆ

 

ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง สามอย่างนี้ คือ ทาน พิธีการ ผลที่ได้

พิธีการที่ทำนั้นๆ ทำแล้วเกิดผลหรือไม่? ต้องเอ่านอาการอีก วิธีทำนั้นคุณปฏิบัติแล้วเกิดผลไหม? ถ้าเกิดผลก็ต้องอ่านใจให้ได้ ถ้าอ่านใจได้ก็เป็นอัตถิยิฏฐัง คือเกิดผลได้ผล(อัตถิ) ตัวอัตถิหุตังคือเป็นผลที่ได้ในจิตเลย คือจิตซ้อนลงไปในทานในวิธีปฏิบัติว่ามีผลไหมในจิต

จิตคุณมีผลคือรู้กิเลสและกิเลสออกไป คุณทำทาน หรือปฏิบัติแล้วรู้กิเลสไหม แล้วกิเลสออกไปไหม​? ลึกซึ้งมาก จบทาน​ศีลหุตัง

ต่อมาโลกนี้ โลกหน้า สัตว์โอปปาติกะ  ก็คือธาตุรู้ในจิตวิญญาณเรานี่แหละที่รู้ว่าโลกนี้คือโลกียะ โลกหน้าคือโลกุตระ รู้จักคุณสมบัติของโลกียะกับโลกุตระว่าต่างกันอย่างไร? ได้โลกธรรมยังชื่นใจอยู่ไหม ได้กามคุณ ยังชื่นใจอยู่ไหม เราก็ไม่เอาจิตเราเป็นจริงได้ก็มาสู่โลกโลกุตระ ก็รู้อยังโลโก ปโรโลโก ว่าจิตเราอยู่ในภูมิไหนแดนไหน ถ้าเราทำจิตเราให้สู่โลกุตระได้ ก็จบโลกโลกุตระได้

ธาตุที่มันยังเป็นสัตว์ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีรูปด้วยเป็นธรรมะสอง ที่คู่กับธาตุรู้

สัญญาจะใช้กำหนดรู้ สังขาร เวทนา เป็นสามเส้า รู้ว่ามันปรุงแต่งอย่างไร มันเกิดอารมณ์อะไร เราติดอารมณ์อะไร อย่างไร สัญญาต้องทำการกำหนดรู้ ต้องทำการล้างให้มันจืดจางไป เมื่อมันเฉลียวฉลาดที่รู้ว่ามันจางบางเบา สุดที่ลหุตา

ในวิการรูป จะมี 5 อย่าง

ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ กับวจีวิญญัติ

กัมมัญญตาคือการงาน ที่มีอัญญาหรือญาณปัญญาควบคู่ การทำงานที่มีญาณปัญญาอันยิ่งใหญ่ควบคุมอยู่นี่ยอดเยี่ยมสุดแล้ว กายวิญญัติคือองค์ประชุมหยาบ วจีวิญญัติก็องค์ประชุมใหญ่ ส่วนมโนนั้นเป็นตัวปรุงต้นทางภายใน

ผู้สามารถ รู้สภาวะที่อาตมาอธิบาย ขยายความก็สามารถทำตนเองให้ละเอียดถึงที่อาตมาอธิบายได้ สูงกว่านี้อาตมาหมดภูมิอธิบายได้แล้วคุณก็จะรู้อรูปของคุณเอง มันไม่มีภาษาเรียกแล้ว แต่มันยังมีสิ่งที่ถูกรู้อยู่นะ ก็สุดท้าย ก็ไม่มีพยัญชนะขยายได้ด้วยก็จบ ขยายไม่ออกก็ทิ้งให้คนปฏิบัติเอา หรือใครจะใช้บัญญัติมาขยายได้อีกก็ต่อไปได้ เช่นอาตมาได้ตั้งคำใหม่มาสองคำ คือชีวานุปาทิ กับชีรานุปาทิ คือสิ่งที่ยึดอยู่สองนัย คือนัยที่เกิด กับนัยที่เสื่อม  คือ อนุปาทิ คือการยึด ก็ยึดเกิดกับยึดเสื่อมก็มีสองคำนี้ที่อาตมาบัญญัติเอง นอกนั้นก็เอาของคนอื่นมาใช้ได้หมด

สัจจะที่อาตมาขยายความนี้รวมลงที่การเกิดผล(ภาวนา) จะเกิดผลถึงอรูป หรือเกิดเป็นภาวะ ส่ิงปรากฏ สำหรับคุณ ถ้าคุณรู้ของคุณคนเดียว สิ่งนั้นก็เป็นความรู้เรียกว่าศาสตร์ ไม่ใช่ศิลปะ ก็จมจบที่คุณ จนกว่าคุณจะมีปฏิภาณตั้งบัญญัติใหม่ให้คนอื่นคนที่สองรู้ได้ด้วยก็เป็นศิลปะขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่แค่ศาสตร์ การรู้คนเดียวเป็นสารคดี ไม่เป็นศิลปะ ต้องให้คนอื่นได้รู้ด้วยคือศิลปะ

ศิลปะที่เป็นโลกุตระไม่ใช่ศิลปะที่เพิ่มกิเลส ติดยึดในรสชาติอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นศิลปะที่ให้คนได้ลดละความติดยึด เป็นศิลปะโลกุตระ

อาตมาสื่อศิลปะโลกุตระ สื่อผ่านรูปภาพ เอางานของแสงศิลป์ มาแสดง ก็เป็นงานภาพเขียนส่วนใหญ่ แต่ก็มีงานปั้นด้วย

ศิลปะเป็นเรื่องย่ิงใหญ่ แต่ถ้าไม่มีศาสตร์ ศิลปะก็ไม่มี ศาสตร์และศิลป์ต้องพึ่งพากัน ถ้ามีแต่ศาสตร์ก็อยู่เต็มหัวหนักเปล่าๆตายทิ้งไป ไม่มีใครรับช่วงก็เสียดาย คนมีศาสตร์ก็อย่างกคนเดียวเอามาขยายผลบ้าง

 

พวกเราจะมาร่วมกันเพื่อตั้งพรรคการเมืองก็เชิญไม่เป็นปัญหา ถ้าไม่มีปัญญาตั้งชื่อพรรคการเมืองก็ให้อาตมาตั้งได้แต่ถ้ามีปัญญาตั้งได้ก็เชิญ อาตมาก็ต้องตรวจสอบว่ามาขบถหรือไม่? ถ้ามาขบถในสิ่งสูงนี้ก็ต้องจัดการ

เพื่อให้เกิดสิ่งดีงามแก่โลก ไม่เช่นนั้น ศาสนาพุทธก็ด้วนลง แล้วประโยชน์ต่อมนุษย์โลกก็ไม่มี ก็ต้องปล่อยให้ผีมารมาปกครอง ก็เหลือแต่พวกคุณนี่กัดใจกันหน่อย อะไรกันนักหนา จะเขกหัวก็เจ็บมือเปล่าทั้งดื้อดึงและแข็ง ก็เลยมาตกที่เรานี่แหละสู้ต่อไป ไม่มีทางเลือก สุดทาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เจริญไม่ดูดีนะ ก็ไม่ควรสิ้นหวังท้อถอย มันหวังได้ ทำต่อไป ตอนนี้เหตุปัจจัยทางวัตถุและคนก็มาแล้ว

เช่นเราจะมาใช้พลังงานพระอาทิตย์นี้ก็พยายามส่งเสริมกัน อย่างเช่นที่นี่เกิดแล้ว เราก็จะให้ไปทำต่อที่บ้านราชฯเอาแบบนี้ขนาดนี้ก็ได้ ให้คนมาดูได้ที่บ้านราชฯ เราไม่ใช่จะทำแค่ โมเดลนี้เท่านั้นแต่เราจะทำที่โรงเรือนใหญ่ เฮือนสวนด้วย แล้วโมเดลที่เราจะทำนี้จะอยู่หน้าเฮือนสวนเลย ที่เฮือนสวนจะใหญ่ ขนาด 11 ไร่ มีสองชั้นเลย จะเป็นห้องที่กั้นผนังเบา เพื่อความคล่องตัวทุกชนิด เพื่อจะคัดเลือกคนมาทำงาน คนทำงานนี้จะมาทำงานฟรี จะรู้มากรู้สูงเก่งอย่างใดก็ทำงานฟรี ผู้ใดใจถึงจะทำเพื่อมวลมนุษยชาติก็มาได้ ใครเก่งแต่เอาเงินเราก็ไม่มีให้ทำ

คนที่สูงสุดต้องทำงานฟรี เราก็จะได้คนสูงสุดมาทำงาน เทียบกันเลย ว่าคนทำงานฟรีกับคนที่ทำงานเอาเงินอยู่นี่ใครสูงสุดกว่า เราก็เทียบได้ เราก็ได้จบแล้วก็ควรจะจบได้แล้ว

ถ้าทำทานแล้วหวังว่าจะได้ให้หายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังพอทำเนาสุดยอดเห็นใจ แต่ถ้ายังอยากได้ยศตำแหน่งสรรเสริญก็ไปเลยๆ ก็มีอะไรต่อ คุณจะเอายศตำแหน่งไปทำอะไร?

ถ้าไม่ต้องการยกย่องเลย จะยกหรือไม่ยกก็ใจเฉยๆได้ก็ดีกว่าไหม?


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:49:20 )

590723

รายละเอียด

590723_เทศน์ก่อนฉัน สีมาอโศก สัมมาสมาธิไม่มีในการนั่งหลับตา

ถ้าวันนี้มีคนหอบเงินมาให้คุณ 10 ล้านบาท คุณก็ไม่ตกใจไม่เสียใจไม่รู้สึกวูบวาบไม่รู้สึกดีใจว่าคนเอาเงินมา 10 ล้านให้เรา แน่นอนคนเอาเงินมาให้ 10 ล้านคงไม่มีคนเสียใจหรือโกรธ หรืออาจจะมีคนรวยเป็นแสนล้านมีคนเอามาให้ 10 ล้านก็โกรธ แต่ก็คงมีน้อย แต่ถ้าจิตใจคนอยากได้ขึ้นมาก็เป็นสัตว์นรกสัตว์นรกกับสัตว์สวรรค์ก็เป็นตอนนี้แหละเป็นตอนเป็นเป็น ไม่ใช่ตอนตายไปแล้วเป็นอย่างนั้นพูดไม่รู้เรื่องแล้วไม่เข้าใจแล้ว

เช่นเขาเอาเงินมาให้ 10 ล้านกองมาให้คุณ จิตคุณก็เฉยเฉยๆไม่มีความอยากได้ไม่มีปัญหานรกก็ไม่มีอยู่ในคน ไม่ได้ตกใจเลยว่ามาอย่างไรเราก็มาให้อย่างไรพูดคุยกันเขามาให้เพราะว่าพ่อของพ่อเขาเป็นหนี้คุณก็เลยเอาเงินมาใช้หนี้ ใจคนก็ไม่มีฟูไม่มีแฟบไม่มีตื่นเต้นไม่มีตกใจอะไรนี่คือจิตใจที่มีนิพพาน แม้ที่สุดคนจะมาปล้นเอาจากเราไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่เขาเอา 10 ล้านหนีไป มาปล้นแล้วก็ไม่บอกเราก็บอกว่าเขาไปได้เราก็จำนน ใจเราก็เฉยเฉย มันก็เจอวิบากเราไม่ได้ไปทำอะไรมันมันก็มาเอาไป 10 ล้านแล้วก็ไม่บอกเราด้วย หรือเขามีปืนมาปล้นมาขู่เราไม่ให้เขาก็จะยิงตายเราก็ต้องจำนนเขาเอาไปใจเราก็ไม่ตื่นเต้นอะไร จะบอกตำรวจรายงานว่ามาปล้นเมื่อไหร่หน้าตาอย่างไรถ้าเราไม่ให้มันก็จะยิง จิตใจเราไม่มีความตื่นเต้นตกใจมีแต่ความเฉยเฉยๆให้เรียบง่ายคนใดทำได้ก็มีนิพพาน ไม่มีจิตที่ดูดผลักหรือชอบหรือชัง

นี่ไม่ใช่ตรรกะแต่เป็นสัจจะความจริงที่พูดให้ฟัง อาตมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามาก็จะรู้ทำได้แล้วผู้ใดมีจิตใจที่มีอาการเช่นนี้อ่านอาการอารมณ์ออกเราไม่ชอบไม่ใช่ไม่มีของเราของเขาเงินก็คือธนบัตรเขามาแย่งไปเขาเรามีสิทธิแต่เขามาแย่งเอาหรือว่าเราถูกโกงเราฉลาดไม่พอเขาฉลาดแกมโกงกว่า เฉกากว่ามีเล่ห์เหลี่ยมทุจริตไม่ซื่อสัตย์เราก็เสียทีเขาเสียไป 10 ล้านถูกเขาโกงเราก็จะรู้ว่าเรายังโง่นะก็ไม่ได้เสียใจอะไรจิตใจอย่างนี้ก็เป็นนิพพาน จะได้มาหรือเสียไป 10 ล้านก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร จิตใจอย่างนี้ก็นิพพาน

อาการนิพพานไม่ใช่อาการลึกลับที่พูดกันไม่รู้เรื่องสักทีอย่างที่อาตมาพูดไม่เข้าใจกันไหมทำให้ได้ ข้อสำคัญคือทำให้ใจเป็นอย่างนั้นให้ได้ ถ้ามีคนด่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ได้ยังหยาบคาย ด่าถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เอาคำสารพัดมาพูด เราก็ฟังจิตเราก็เฉย ว่าด่าแรงหรือเบาอย่างไร เคยได้ยินหรือไม่อย่างไร ด่าแรงเบาเต็มที่จนหาที่ไหนมาด่าไม่เคยได้ยิน เสร็จแล้วก็แถมบอกว่าเอ็งเป็นคนแรกที่ข้าด่าขนาดนี้นะ จิตใจเราฟังเขาด่าแล้วก็เฉยๆ ไม่โกรธเคืองถือสาอะไร เราก็เข้าใจว่าเขาด่า เราก็ฟังว่าเขามีเหตุมีผลในการด่าไหม หากมีเหตุผลพร้อมเราก็ฟังเอามาตรวจสอบตนเองว่า มันด่าถูกเลยนะ บอกเหตุผลดีด้วย เราก็ยิ่งได้ประโยชน์ใหญ่ คนนี้รู้รอบฉลาด เราไม่เคยบอกใครมาแอบรู้ได้ด้วย ฉลาดจริง ด่าได้ถูก จิตเราก็ไม่โกรธ ขอบคุณด้วยที่บอกความชั่วเลวของเรา คุณก็เอามาพูดด่าออกมา เราก็ขอบคุณเขา ด้วยใจไม่โกรธไม่ถือสา ถ้าเราแก้ไขได้ก็แก้ไขเสีย ถือว่าเขาด่าเราถูก

แต่ถ้าเขาด่าไม่ถูกแต่ก่อนเราเป็นแต่ตอนนี้เราไม่เป็นจริงแล้ว เราเลิกมา สามปี ห้าปีแล้ว เลิกด่าได้แล้ว มันผิดคน เราก็บอกได้ เพราะการด่าผิดตัวนี้เป็นบาปนะเราก็ใช้เฉยๆได้คนมีจิตใจเช่นนี้เป็นจิตใจที่มีนิพพาน พอเข้าใจไหมเข้าใจและทำให้ได้ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะสอนนิพพานจริงๆเข้าใจใช่ไหมแล้วเชื่อว่าทำได้เป็นจริงไหม นิพพานไม่ใช่เรื่องลึกลับไปนั่งหลับตาทำเอา แต่นี่เจอแล้วนิพพาน แต่ ยังเอาไม่ได้เท่านั้นแหละ เอามาทำให้ใจเราเป็นไม่ได้เท่านั้นก็ทำให้ได้สิ ขอยืนยันว่าสอนนิพพานนะ ไม่ได้สอนตื้นๆนะ

 

เขาสอนนิพพานเป็นเรื่องลึกลับยากเย็น อย่างคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เนชั่นรายสัปดาห์ คนเขียนชื่อ มนสิกุล โอวาทเพสะ เรื่อง ธรรมโอสถ เขาก็โยงมาถึงความเห็น ว่ามีสติต้องมีสัมมาทิฏฐิด้วยนะ เขาก็รู้ว่าสัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อ และพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ล.14 ข.254

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

ก็คือคนที่ทำการงานอาชีพอยู่ในชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง ก็ทำสมาธิได้ เกิดสัมมาสมาธิได้ และพระพุทธเจ้าว่าต้องอยู่ในขณะทำอาชีพไม่ใช่ขณะหลับตา ได้ยินไหมท่านผู้นั่งหลับตาทำสมาธิ เลิกเสียดี

อาตมาไม่ได้บอกว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิไม่มีประโยชน์นะ แต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเอามาใช้เป็นอุปการะได้ เป็นองค์ประกอบได้ ต้องเข้าใจสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าก่อนแล้วปฏิบัติ ก็ขอสับธงให้แหลกเลยว่า การไปนั่งหลับตาเป็นพระธุดงค์กรรมฐานเข้าป่าหรือแบบธัมมชโยที่นั่งสมาธิเป็นล้านคนแล้วทำใจใสๆ ก็เหมือนกัน ก็คือการนั่งสมาธิที่ขาด อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เขาไม่มีเลย มีความพยายามให้ไม่มีด้วย ให้มีสติเข้าไปอยู่ข้างในเท่านั้น หยุดนิ่ง ไม่ให้คิดด้วย หากคิดแล้วไม่เป็นสมาธิ เขาเข้าใจเช่นนี้อีก

คุณบังคับให้หยุดแต่พระพุทธเจ้าให้มี เพราะว่าเขาขาดสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่เร่ิมต้นแล้ว ถ้ามิจฉาทิฏฐิจะดับมรรค 6องค์แรกเลย แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิจะให้ทำมรรค 7 องค์รวมลงเป็นสมาธิ

การพูดจาก็ให้ลดละ มิจฉาวาจา 4 การคิดก็ให้ลดละ มิจฉา 3 คือ กาม พยายาม วิหิงสา อาตมานั่งพูดอยู่นี้มีคิดไปในกามไหม หรือพยาบาทไหม แม้พูดนี้จะอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ อยากเสพสัมผัสแตะต้องไหม เราพูดไป เขาชื่นใจออกมาเราก็ดีใจ พูดด้วยเสียงเช่นนี้เขาก็ดีใจเราก็ชื่นใจเป็นต้น ก็ยกตัวอย่างชัดๆให้ฟัง แต่ว่าไปปฏิบัตินั่งหลับตาก็ไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้

ข้อสำคัญคือต้องอ่านอาการยามสัมผัสว่าชอบก็คือกาม ไม่ชอบก็คือพยาบาท ต้องอ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส ว่านี่คือกามนี่คือพยาบาท ไม่มีเส้นเสียงสีสันแต่มีอาการได้ อาการชอบ อาการชังต่างกันนะ นี่คือการปฏิบัติธรรมที่ชัดเจน ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ

แล้วถ้าชอบแล้วเรามีสิทธิ์เอาไหมล่ะ หรือไม่ชอบจะไปทำร้ายหรือไม่? ใจเราไม่ชอบหรือชอบก็โง่แล้ว อยากได้ทำไม? ถ้าเขาทำได้ดี เราอยากได้เราก็ทำขึ้นมาบ้างก็เป็นสิทธิ์ของคุณเองไม่บาปไม่บุญเลย ไม่เสียหาย ไม่วุ่นวายเดือดร้อนสังคมสงบสมบูรณ์เพราะจิตแค่ละคนไม่มีกิเลสไม่ดูดไม่ผลักไม่ชอบไม่ชัง เราอยากได้ก็ไปซื้อของเขาด้วยเงินสุจริต อย่าไปโกงเขาไปปล้นเขาไปเอาเปรียบเขา

 

ผู้ไม่เข้าใจถูกต้อง ไปเข้าใจว่าการทำสมาธิคือการไปนั่งหลับตานี่แหละ ทั้งที่มีหลักฐานในพระไตรปิฏก ว่าต้องทำสมาธิขณะทำการงานอาชีพ ทำงานปกติ

ต้องพยายามปฏิบัติในขณะทำการงานอาชีพ ทำกรรมกิริยา สัมผัสภายนอกแล้วใจเราเกิดกิเลส อยากได้หรืออยากทำร้าย เราก็ต้องลดละสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละคือการทำสมาธิ ทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้านี้เกิดปัญญา ฉลาด ตรงที่ เราอ่านจิตที่โกรธ หรือโลภเป็น เราโง่แล้ว เราก็ต้องพยายามไม่ให้เกิดอาการนี้ ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่านี่คือความโลภ รู้ว่าอาการนี้โลภ เวลาสัมผัสอันนี้ แล้วอยากได้มาเป็นของเรา เราก็รู้ว่าอย่างนี้ผิด ถ้าอยากได้ก็ทำโดยสุจริต ถ้าอยากได้แล้วอย่าทำทุจริต เราก็อ่านอาการอยากได้  รู้ว่าเราเลวแล้วนะ ถ้าอ่านอาการนี้ออกแล้วลดละได้นี่คือเรากำลังสร้างฌาน สร้างปัญญาที่จะเผาความคิดที่อยากได้มาอย่างชั่วๆทุจริต ถ้าเผาได้หมดต่อไปเจอของที่ไม่ใช่ของเราเราไม่เกิดอาการอยากได้เลย ถ้าคุณดีได้ถาวร ไปพบของที่ไม่ใช่ของเราเท่าไหร่จะมีอำนาจยั่วใจเราเท่าไหร่เงิน 10 ล้านก็แรง ถ้า 100 ล้านก็แรงกว่า แล้วพันล้านแสนล้านก็ยั่วมากกว่า เราก็อ่านอาการออกเลย ว่าถ้าเราไปอยากได้ก็ซวยเราเลยนะ มันไม่ใช่ของๆเรา ถ้าเราไปทำเสียหายก็ผิดหากเรามีหน้าที่บริหารเงินนั้น เราก็พยายามไม่ให้เสียหายให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ได้คิดว่าต้องเอามาเป็นเราเป็นของเราเลย

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=82947

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYzJEV29kY0RUbFU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/6ko088p3bvzp/160723

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:49:52 )

590723

รายละเอียด

590723_เทศน์ก่อนฉัน สีมาอโศก สัมมาสมาธิไม่มีในการนั่งหลับตา

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2559 ที่พุทธสถานสีมาอโศก แรม 4 ค่ำเดือน 8 ปีวอก อาตมาสัญจรมาถึงสีมาอโศกมีญาติโยมมาใส่บาตรมาฟังธรรมรู้สึกว่าสีมาอโศกนี่จะมีประชากรมีญาติโยมมากันหนาแน่นยิ่งกว่าทุกแห่งที่อาตมาได้สัญจรผ่านมาหลายจังหวัด น่าปลื้มใจสีมาอโศกตอนนี้รุ่งเรืองมีผู้คนสนใจเรื่องของธรรมะดีมากขออนุโมทนาสาธุที่ได้พยายามพากเพียรใส่ใจ

อาตมาพูดย้ำซ้ำซากเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าชีวิตคนเราเกิดมาอย่างไรก็แล้วแต่มันไม่มีอะไรเลยที่จะดีไปกว่าที่จะต้องพากเพียรเอาธรรมะถ้าเราเองได้แต่ทำการงานอาชีพหากินใส่ปากใส่ท้องไปล่าลาภยศสรรเสริญหรือลงไปในกามคุณ 5 การแย่งลาภยศสรรเสริญนั้นมันเกินกว่าสัตว์เดรัจฉานที่มันเกิดมาก็กินขี้เยี่ยวสืบพันธุ์ชีวิตก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายก็ตายไปกับชีวิตของเดรัจฉาน คนเราถ้ามุ่งทำมาหากินใส่ปากใส่ท้องก็เหมือนกับเดรัจฉาน แล้วก็แย่งชิงกันในกามคุณ 5 โลกธรรม 8 ที่หนักหนากว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะความอวิชชาโง่เง่ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ฟังดีๆคนเรามันหน้าสะท้อนใจคือโง่ไปหลงว่าตนฉลาด ทำรูปสวยๆแล้วหลงไปกลับรูปสวยๆมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน

อาตมาก็มาแก้ไขความไม่ถูกต้องให้ถูกต้องให้ได้ผลได้ประโยชน์ แต่ผ่านมาเขาก็ทำตามความยึดนั้น ไม่เป็นผลสัมมาทิฏฐิ สัมมาปัญญา เพราะผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น อาตมาก็จริงใจที่ได้บอกขยายความตามที่เห็นว่าอะไรถูกก็บอก พออาตมาบอกว่าที่เขาถือผิด แต่เขายึดถือว่าเขาถูกเขาก็โกรธได้

อาตมาสัญจรมาแต่วังน้ำเขียว ก็ว่า สุริยีไม่มาสุริยาไม่มี คือถ้าไม่เห็นแสงอรุณ 7 เสียก่อนจะไม่มีสิทธิ์ได้ปฏิบัติมรรคให้ได้ประโยชน์ถูกต้องเพราะคุณยังไม่ได้พบแสงอรุณ 7 นี้ก่อน ก็คือคุณยังไม่มีความรู้ความเห็นเป็นตามลักษณะ 7 อย่างนี้

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

คือต้องได้พบได้เห็นได้ฟังได้พูดคุยกับมิตรดี ว่ากระทำอย่างไรดี พูดอย่างไรดี พูดอย่างไรทำให้กิเลสลด เป็นต้น มิตรดีนี้คือผู้สามารถให้เรารู้ได้ว่านี่คือกิเลสคือเหตุแห่งทุกข์ กิเลสเป็นนามธรรม เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีวัตถุภายนอกมาผสมผสานเกิดความอยากจะได้มาหรืออยากจะทำร้ายก็มี 2 ขั้วของกิเลสมันไม่ใช้เฉยๆถ้าเห็นแล้วไม่มีดูดไม่มีผลักไม่มีโลภไม่มีโกรธไม่มีราคะไม่มีโทสะก็เห็นว่าอันนี้คือนี้ อารมณ์จิตเราไม่มีความชื่นใจดีใจไม่มีความชอบใจหรือไม่มีความอึดอัดใจ อาการจิตที่ไม่มีการฟูใจหรือแฟบใจ

ถ้าวันนี้มีคนหอบเงินมาให้คุณ 10 ล้านบาท คุณก็ไม่ตกใจไม่เสียใจไม่รู้สึกวูบวาบไม่รู้สึกดีใจว่าคนเอาเงินมา 10 ล้านให้เรา แน่นอนคนเอาเงินมาให้ 10 ล้านคงไม่มีคนเสียใจหรือโกรธ หรืออาจจะมีคนรวยเป็นแสนล้านมีคนเอามาให้ 10 ล้านก็โกรธ แต่ก็คงมีน้อย แต่ถ้าจิตใจคนอยากได้ขึ้นมาก็เป็นสัตว์นรกสัตว์นรกกับสัตว์สวรรค์ก็เป็นตอนนี้แหละเป็นตอนเป็นเป็น ไม่ใช่ตอนตายไปแล้วเป็นอย่างนั้นพูดไม่รู้เรื่องแล้วไม่เข้าใจแล้ว

เช่นเขาเอาเงินมาให้ 10 ล้านกองมาให้คุณ จิตคุณก็เฉยเฉยๆไม่มีความอยากได้ไม่มีปัญหานรกก็ไม่มีอยู่ในคน ไม่ได้ตกใจเลยว่ามาอย่างไรเราก็มาให้อย่างไรพูดคุยกันเขามาให้เพราะว่าพ่อของพ่อเขาเป็นหนี้คุณก็เลยเอาเงินมาใช้หนี้ ใจคนก็ไม่มีฟูไม่มีแฟบไม่มีตื่นเต้นไม่มีตกใจอะไรนี่คือจิตใจที่มีนิพพาน แม้ที่สุดคนจะมาปล้นเอาจากเราไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่เขาเอา 10 ล้านหนีไป มาปล้นแล้วก็ไม่บอกเราก็บอกว่าเขาไปได้เราก็จำนน ใจเราก็เฉยเฉย มันก็เจอวิบากเราไม่ได้ไปทำอะไรมันมันก็มาเอาไป 10 ล้านแล้วก็ไม่บอกเราด้วย หรือเขามีปืนมาปล้นมาขู่เราไม่ให้เขาก็จะยิงตายเราก็ต้องจำนนเขาเอาไปใจเราก็ไม่ตื่นเต้นอะไร จะบอกตำรวจรายงานว่ามาปล้นเมื่อไหร่หน้าตาอย่างไรถ้าเราไม่ให้มันก็จะยิง จิตใจเราไม่มีความตื่นเต้นตกใจมีแต่ความเฉยเฉยๆให้เรียบง่ายคนใดทำได้ก็มีนิพพาน ไม่มีจิตที่ดูดผลักหรือชอบหรือชัง

นี่ไม่ใช่ตรรกะแต่เป็นสัจจะความจริงที่พูดให้ฟัง อาตมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามาก็จะรู้ทำได้แล้วผู้ใดมีจิตใจที่มีอาการเช่นนี้อ่านอาการอารมณ์ออกเราไม่ชอบไม่ใช่ไม่มีของเราของเขาเงินก็คือธนบัตรเขามาแย่งไปเขาเรามีสิทธิแต่เขามาแย่งเอาหรือว่าเราถูกโกงเราฉลาดไม่พอเขาฉลาดแกมโกงกว่า เฉกากว่ามีเล่ห์เหลี่ยมทุจริตไม่ซื่อสัตย์เราก็เสียทีเขาเสียไป 10 ล้านถูกเขาโกงเราก็จะรู้ว่าเรายังโง่นะก็ไม่ได้เสียใจอะไรจิตใจอย่างนี้ก็เป็นนิพพาน จะได้มาหรือเสียไป 10 ล้านก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร จิตใจอย่างนี้ก็นิพพาน

อาการนิพพานไม่ใช่อาการลึกลับที่พูดกันไม่รู้เรื่องสักทีอย่างที่อาตมาพูดไม่เข้าใจกันไหมทำให้ได้ ข้อสำคัญคือทำให้ใจเป็นอย่างนั้นให้ได้ ถ้ามีคนด่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ได้ยังหยาบคาย ด่าถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เอาคำสารพัดมาพูด เราก็ฟังจิตเราก็เฉย ว่าด่าแรงหรือเบาอย่างไร เคยได้ยินหรือไม่อย่างไร ด่าแรงเบาเต็มที่จนหาที่ไหนมาด่าไม่เคยได้ยิน เสร็จแล้วก็แถมบอกว่าเอ็งเป็นคนแรกที่ข้าด่าขนาดนี้นะ จิตใจเราฟังเขาด่าแล้วก็เฉยๆ ไม่โกรธเคืองถือสาอะไร เราก็เข้าใจว่าเขาด่า เราก็ฟังว่าเขามีเหตุมีผลในการด่าไหม หากมีเหตุผลพร้อมเราก็ฟังเอามาตรวจสอบตนเองว่า มันด่าถูกเลยนะ บอกเหตุผลดีด้วย เราก็ยิ่งได้ประโยชน์ใหญ่ คนนี้รู้รอบฉลาด เราไม่เคยบอกใครมาแอบรู้ได้ด้วย ฉลาดจริง ด่าได้ถูก จิตเราก็ไม่โกรธ ขอบคุณด้วยที่บอกความชั่วเลวของเรา คุณก็เอามาพูดด่าออกมา เราก็ขอบคุณเขา ด้วยใจไม่โกรธไม่ถือสา ถ้าเราแก้ไขได้ก็แก้ไขเสีย ถือว่าเขาด่าเราถูก

แต่ถ้าเขาด่าไม่ถูกแต่ก่อนเราเป็นแต่ตอนนี้เราไม่เป็นจริงแล้ว เราเลิกมา สามปี ห้าปีแล้ว เลิกด่าได้แล้ว มันผิดคน เราก็บอกได้ เพราะการด่าผิดตัวนี้เป็นบาปนะเราก็ใช้เฉยๆได้คนมีจิตใจเช่นนี้เป็นจิตใจที่มีนิพพาน พอเข้าใจไหมเข้าใจและทำให้ได้ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะสอนนิพพานจริงๆเข้าใจใช่ไหมแล้วเชื่อว่าทำได้เป็นจริงไหม นิพพานไม่ใช่เรื่องลึกลับไปนั่งหลับตาทำเอา แต่นี่เจอแล้วนิพพาน แต่ ยังเอาไม่ได้เท่านั้นแหละ เอามาทำให้ใจเราเป็นไม่ได้เท่านั้นก็ทำให้ได้สิ ขอยืนยันว่าสอนนิพพานนะ ไม่ได้สอนตื้นๆนะ

 

เขาสอนนิพพานเป็นเรื่องลึกลับยากเย็น อย่างคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เนชั่นรายสัปดาห์ คนเขียนชื่อ มนสิกุล โอวาทเพสะ เรื่อง ธรรมโอสถ เขาก็โยงมาถึงความเห็น ว่ามีสติต้องมีสัมมาทิฏฐิด้วยนะ เขาก็รู้ว่าสัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อ และพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ล.14 ข.254

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

ก็คือคนที่ทำการงานอาชีพอยู่ในชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง ก็ทำสมาธิได้ เกิดสัมมาสมาธิได้ และพระพุทธเจ้าว่าต้องอยู่ในขณะทำอาชีพไม่ใช่ขณะหลับตา ได้ยินไหมท่านผู้นั่งหลับตาทำสมาธิ เลิกเสียดี

อาตมาไม่ได้บอกว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิไม่มีประโยชน์นะ แต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเอามาใช้เป็นอุปการะได้ เป็นองค์ประกอบได้ ต้องเข้าใจสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าก่อนแล้วปฏิบัติ ก็ขอสับธงให้แหลกเลยว่า การไปนั่งหลับตาเป็นพระธุดงค์กรรมฐานเข้าป่าหรือแบบธัมมชโยที่นั่งสมาธิเป็นล้านคนแล้วทำใจใสๆ ก็เหมือนกัน ก็คือการนั่งสมาธิที่ขาด อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เขาไม่มีเลย มีความพยายามให้ไม่มีด้วย ให้มีสติเข้าไปอยู่ข้างในเท่านั้น หยุดนิ่ง ไม่ให้คิดด้วย หากคิดแล้วไม่เป็นสมาธิ เขาเข้าใจเช่นนี้อีก

คุณบังคับให้หยุดแต่พระพุทธเจ้าให้มี เพราะว่าเขาขาดสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่เร่ิมต้นแล้ว ถ้ามิจฉาทิฏฐิจะดับมรรค 6องค์แรกเลย แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิจะให้ทำมรรค 7 องค์รวมลงเป็นสมาธิ

การพูดจาก็ให้ลดละ มิจฉาวาจา 4 การคิดก็ให้ลดละ มิจฉา 3 คือ กาม พยายาม วิหิงสา อาตมานั่งพูดอยู่นี้มีคิดไปในกามไหม หรือพยาบาทไหม แม้พูดนี้จะอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ อยากเสพสัมผัสแตะต้องไหม เราพูดไป เขาชื่นใจออกมาเราก็ดีใจ พูดด้วยเสียงเช่นนี้เขาก็ดีใจเราก็ชื่นใจเป็นต้น ก็ยกตัวอย่างชัดๆให้ฟัง แต่ว่าไปปฏิบัตินั่งหลับตาก็ไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้

ข้อสำคัญคือต้องอ่านอาการยามสัมผัสว่าชอบก็คือกาม ไม่ชอบก็คือพยาบาท ต้องอ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส ว่านี่คือกามนี่คือพยาบาท ไม่มีเส้นเสียงสีสันแต่มีอาการได้ อาการชอบ อาการชังต่างกันนะ นี่คือการปฏิบัติธรรมที่ชัดเจน ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ

แล้วถ้าชอบแล้วเรามีสิทธิ์เอาไหมล่ะ หรือไม่ชอบจะไปทำร้ายหรือไม่? ใจเราไม่ชอบหรือชอบก็โง่แล้ว อยากได้ทำไม? ถ้าเขาทำได้ดี เราอยากได้เราก็ทำขึ้นมาบ้างก็เป็นสิทธิ์ของคุณเองไม่บาปไม่บุญเลย ไม่เสียหาย ไม่วุ่นวายเดือดร้อนสังคมสงบสมบูรณ์เพราะจิตแค่ละคนไม่มีกิเลสไม่ดูดไม่ผลักไม่ชอบไม่ชัง เราอยากได้ก็ไปซื้อของเขาด้วยเงินสุจริต อย่าไปโกงเขาไปปล้นเขาไปเอาเปรียบเขา

หนึ่ง นักการเมือง สองนักธุรกิจ

นักธุรกิจที่อยากได้มากโลภมาก อย่างธัมมชโยหลอกคนซ้อน ตนเองไม่ทำธุรกิจ แต่หลอกให้คนทำแล้วก็เอาเงินมาให้ตน เช่นหลอกให้ทำสหกรณ์ แล้วได้เงินมาก็เอามาถวายเราแล้วจะได้สวรรค์วิมาน คนก็เชื่อ ก็เอาเงินไปฝากสหกรณ์ เขาก็เอาเงินมาทานมาบริจาคให้ธัมมชโย แม้เขาโกงเงินมา ธัมมชโยก็ชมเชยยกย่อง เขาก็ยิ่งเอามาให้ธัมมชโยอีกๆๆ แล้วเขาสอบสวนก็บอกว่าไม่รู้ที่เขาเอามาให้ คือโง่ๆๆๆ ไม่รู้ว่าเขาเอามาให้เท่าไหร่ อาตมาเกิดมาหลายชาติก็เพิ่งเคยเจอคนชั่วแบบนี้ เคยใช้ศัพท์ว่าจอมโจมบัณฑิต ยุคนี้ถ้าปราบคนนี้ไม่ได้ก็แย่เลย

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในชีวิต ชีวิตที่มีศีล 5 เป็นปกติ ไม่มีอบายมุขได้ปกติ

เช่นคุณไปหลงติดดูบอลโลก ต้องนอนดึกตีหนึ่งตีสองก็คืออบายมุข มันเกินสามัญต้องแสวงหาลงทุนลงแรง เกินกว่าปกติ ไปเสพรสสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่เป็นอบายมุข 

ผู้ไม่เข้าใจถูกต้อง ไปเข้าใจว่าการทำสมาธิคือการไปนั่งหลับตานี่แหละ ทั้งที่มีหลักฐานในพระไตรปิฏก ว่าต้องทำสมาธิขณะทำการงานอาชีพ ทำงานปกติ

ต้องพยายามปฏิบัติในขณะทำการงานอาชีพ ทำกรรมกิริยา สัมผัสภายนอกแล้วใจเราเกิดกิเลส อยากได้หรืออยากทำร้าย เราก็ต้องลดละสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละคือการทำสมาธิ ทำสมาธิแบบพพจ.นี้เกิดปัญญา ฉลาด ตรงที่ เราอ่านจิตที่โกรธ หรือโลภเป็น เราโง่แล้ว เราก็ต้องพยายามไม่ให้เกิดอาการนี้ ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่านี่คือความโลภ รู้ว่าอาการนี้โลภ เวลาสัมผัสอันนี้ แล้วอยากได้มาเป็นของเรา เราก็รู้ว่าอย่างนี้ผิด ถ้าอยากได้ก็ทำโดยสุจริต ถ้าอยากได้แล้วอย่าทำทุจริต เราก็อ่านอาการอยากได้  รู้ว่าเราเลวแล้วนะ ถ้าอ่านอาการนี้ออกแล้วลดละได้นี่คือเรากำลังสร้างฌาน สร้างปัญญาที่จะเผาความคิดที่อยากได้มาอย่างชั่วๆทุจริต ถ้าเผาได้หมดต่อไปเจอของที่ไม่ใช่ของเราเราไม่เกิดอาการอยากได้เลย ถ้าคุณดีได้ถาวร ไปพบของที่ไม่ใช่ของเราเท่าไหร่จะมีอำนาจยั่วใจเราเท่าไหร่เงิน 10 ล้านก็แรง ถ้า 100 ล้านก็แรงกว่า แล้วพันล้านแสนล้านก็ยั่วมากกว่า เราก็อ่านอาการออกเลย ว่าถ้าเราไปอยากได้ก็ซวยเราเลยนะ มันไม่ใช่ของๆเรา ถ้าเราไปทำเสียหายก็ผิดหากเรามีหน้าที่บริหารเงินนั้น เราก็พยายามไม่ให้เสียหายให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ได้คิดว่าต้องเอามาเป็นเราเป็นของเราเลยนะ

แต่เมื่อไม่ได้เรียนรู้เช่นนี้ก็จะไปมีเล่เหลี่ยมเอามาเป็นของเราโดยไม่ต้องลงแรงเลย หลอกให้เขาเอาเงินมาไหลเข้ากระเป๋าเรา แต่ต้องคิดซับซ้อนมากเลยนะซึ่งยากมาก ทั้งที่ทำแบบสุจริตนั้นง่ายกว่ามากนัก แต่นี่เขาคิดว่าเขาฉลาดที่คิดได้ซับซ้อน ให้เขาทำสหกรณ์หลอกคนมาแล้วก็เอาเงินมาให้เขาได้ด้วย คนก็โง่ให้เขาหลอกด้วยนะ เอาคำว่าบุญมาหลอกให้คนอยากได้วิมาน เอาคำว่าบุญในอนาคตมาหลอกล่อ

คนเราหากไม่โกหกมาได้หลายร้อยครั้งแต่ถ้าโกหกครั้งหนึ่งถือว่ายังซื่อสัตย์สุจริตอยู่ไหม? เขาก็เอาคำนี้มาว่า ท่านทำดีมาตลอดชีวิตนะ แล้วท่านผิดพลาดแค่นี้ว่าท่านทำไม ท่านโกหกไม่กี่ทีว่าท่านทำไม?

ต้องอ่านอาการราคะโทสะ โมหะ อ่านได้แล้ว รู้ว่าเป็นอาการชั่วก็อย่าให้มีในเรา แต่บางทีคุณก็บอกว่า ชั่วๆก็ชั่วแต่เราก็จะทำ ทำไมหน้าด้านอย่างนี้ ก็ต้องทำใจคุณให้ดี ใจคุณจะลดอาการชั่วลงมาหรือดับได้เลย ถ้ามันเก่งมีฌานหรือปัญญาเก่งก็จะดับได้เลย

มรรค 6 องค์นี้มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน โดยมีวายามะกับสติ เป็นองค์ประกอบช่วยขณะทำอาชีพทำการงานพูดการคิดทุกสัมผัสที่มีกรรมกิริยา ทุกการพูดการฟัง การคิดการรู้ ก็รู้ตามได้ เสร็จแล้วก็วิจัยในจิตเลยว่ามี อาการกิเลสไหม อ่านจับให้ได้ กิเลสคือตัวโลภ ตัวการใหญ่ อ่านเวทนา

การปฏิบัติองค์ 6 ประธานคือเป็นสัมมาทิฏฐิ คือต้องเข้าใจ 10 อย่างนี้ คือทิฏฐิ 10 นี้ให้ได้ ทิฏฐิเป็นแสงอรุณ ข้อที่ 5 แสงอรุณคือสิ่งที่เห็นก่อนพระอาทิตย์คือมรรคมีองค์ 8 ไม่เช่นนั้นปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ถูก ต้องรู้ทิฏฐิ 10 ก่อน ต้องให้สัมมาก่อน

การทาน ต้องรู้การทำใจในใจให้การทานนั้นมีมรรคผล มีอานิสงส์ เช่นเงินปึกนี้ 10 ล้าน เอาของให้เขา แล้วใจคุณทำอย่างไร ธัมมชโยสอนว่า...ให้ตั้งจิตให้หวังในทาน สาเปกฺโข ทาน เทติ แล้วมีจิตผูกพันในผลทานนี้ ปฏิพทฺธจิตฺโต  ทาน  เทติ  ให้ทานแล้วมุ่งสั่งสม สนฺนิธิเปกฺโข  ทาน  เทติ  อิม  เปจฺจ แล้วให้ทานเพราะว่าให้ได้ตอบแทนในชาติต่อๆไป  ปริภุญชิสฺสามีติ   หรือให้ทาน  แต่มีใจให้ปลื้ม อตฺตมนตาโสมนสฺ

ที่อาตมาต้องเอาของคุณธัมมชโยมายืนยันนี้ก็เพราะว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ในพระไตรฯ ล.23 ข.49 เขาสอนทำทานให้มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสม ไปทุกชาติไป แต่พพจ.ท่านสอนให้ทำทานแล้วให้ลดละการให้มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสม แต่นี่เขาก็เฉกาหลอกคนให้ทำทานแล้วให้มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสม

เราเป็นลูกหลานพพจ. ก็อย่าไปเชื่อมารเชื่อยักษ์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อนะ ทานคือการให้อย่างบริสุทธิ์อย่าไปตั้งจิตอยากได้อะไรตอบแทน อย่าไปผูกพันว่าของข้าๆ อย่าไปสั่งสมจิตเช่นนี้ ให้เขาไปแล้วก็ยังว่าเป็นของกูอีก ตะกละมาก แล้วเขาก็หลอกว่าเป็นการทำบุญสั่งสมบุญ

แท้จริงบุญมีหน้าที่ทำลายกิเลส ทำลายบาป ทำเสร็จแล้วบุญก็สูญ หมดกิเลสทุกตัวก็เป็นอรหันต์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ บุญมีหน้าที่ชำระกิเลส สันตานังปุนาติวิโสเทติ บุญไม่มีหน้าที่สั่งสม บุญไม่ใช่สมบัติ แต่มีหน้าที่เป็นวิบัติ ทำให้กิเลสฉิบหาย

ทานอย่างไรให้สัมมาทิฏฐิ หากทำใจ ให้มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสม ก็ได้จิตเป็นยักษ์เป็นมาร ที่เขาเรียกว่าเทวดาแท้จริงคือยักษ์มาร ต้องทานอย่างไม่ให้มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสม ให้ทานอย่างไม่ต้องการภพชาติอะไร ให้แล้วจบ ไม่ต้องการแม้แต่ความปลื้มใจ เป็นสวรรค์ของเรา คำว่าปลื้มนี้พพจ.ใช้คำว่า อตฺตมนตาโสมนสฺ

คนทำทานทุกวันนี้เป็นแบบมีจิตจาตุมมหาราชิกา คือหวังภพชาติ ซึ่งเป็นแดนเลวทั้งนั้น เพราะผู้จะไปนิพพานคือผู้หมดภพชาติ แต่คนจะหวังภพชาติ ที่หลอกกันว่าเป็นเทวดาแต่แท้จริงคือสัตว์นรก เพราะตั้งจิตผิดตัวแรกก็คือสัตว์นรกเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปเป็นสิ่งผิดจากคำสอนพพจ. อย่าทำใจผิดไปจากคำสอนพพจ. ต้องทำใจให้ถ่องแท้แยบคายเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าให้มี มุ่งหวัง ผูกพัน สั่งสมในทาน ทำไปแล้วก็ยังไม่ถอดถอน ยังจะตามไปให้อีกข้ามภพชาติไม่สิ้นสุด

ในทิฏฐิ 10 ที่เขาสอนกัน ว่า ทิฏฐิ 10 สามารถนำไปใช้ในกิจการงานทุกประเภท เมื่อเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบก็สามารถคิดชอบ คือคิดได้ถูกวิธี (สัมมาสังกัปปะ 7) คือคิดเป็น แล้วพิจารณาหาเหตุผลแยกแยะแก้ปัญหาได้ถูกต้อง แล้วถูกต้องคืออย่างไรล่ะ

พพจ.ว่าต้องมีการอ่านรู้สังกัปปะ 7 จึงเป็นการคิดชอบ คือมีญาณปัญญา ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อ่านวิจัยดับเหตุแห่งทุกข์ที่ทำให้เราหลงเทวดาเก๊ เทวดาจาตุมฯ มีความเป็นตัวกูของกู แต่เมื่อคุณไม่เข้าใจศาสนาพุทธแท้ก็พูดกว้างๆ ว่าพิจารณาหาเหตุผลแยกแยะแก้ปัญหาได้ถูกต้อง (ขออภัยที่อาตมาพูดข่ม)

คุณมนสิกุล โอวาทเพสะเขาว่าต่อมาความเห็นชอบนี้ต้องเห็นด้วยปัญญาว่าผลต้องเกิดแต่เหตุ สัมมาทิฏฐินั้นมี 10​ประการ

เขาขยายไปถึงหลักการ ว่าสัมมาทิฏฐิ มี 10 ประการคือ

  1. ทานที่ให้แล้วมีผล
  2. การสงเคราะห์กันมีผล
  3. การยกย่องบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผล(หุตัง นี้ในสำนวนพระไตรฯว่าสังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล)
  4. ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
  5. โลกนี้มีที่มา(อยังโลโก ในพระไตรฯแปลว่าโลกนี้มีผล)
  6. โลกนี้มีที่ไป(ปโรโลโกในพระไตรฯแปลว่าโลกหน้ามี)
  7. แม่มี
  8. พ่อมี
  9. สัตว์ที่เกิดแบบโอปปาติกะมี
  10. พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสมีจริง

ซึ่งในพระไตรฯว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) คำว่าสยังอภิญญาคือมีจริงในตนที่เป็นของตนเองแล้ว แต่ไม่ถึงสยัมภูที่เป็นภูมิพพจ.

คำว่าแม่หรือพ่อเป็นสภาวธรรม เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมะที่พาให้เกิดจิตวิญญาณ จากสัตว์ผี มารยักษ์มาเป็นอุบัติเทพเป็นเทวดาเจริญ

พวกเราก็ทบทวนดู เปิดบุญนิยมทีวีดู อาตมาก็อธิบายเรื่อยๆ ...จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:50:21 )

590724

รายละเอียด

590724_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ความหมายของฌาน

ส.เพาะพุทธว่า....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2559 ที่สันติอโศก วันนี้พ่อครูจะได้มาสาธยายเรื่องฌาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความหมายที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าสอน และก็มีอีกหลายคำที่ผิดเพี้ยนไป เช่น คำว่าบุญ คำว่ากาย เป็นต้น

พ่อครูว่า...คำว่าฌานคือการเพ่งเผา เป็นพลังงานที่สามารถสลายไฟแห่งราคะโทสะโมหะได้ เตโชธาตุเป็นธาตุที่มีพลังงานร้อนแรงสามารถสลายอะไรได้ดีที่สุด ในบรรดาธาตุทั้ง4 ดินน้ำไฟลมพลังงานไฟนี้จึงมีประสิทธิภาพสลายอะไรอย่างอื่นได้เหนือกว่าพลังงานอื่นๆ คือคำว่า ฌา ฌาน ฌายะ ก็แจกวิภังค์ไปได้ในคำว่าฌาน ก็เกี่ยวกับพลังงานที่ใช้สลาย

ผู้ใดที่ทำให้ธาตุวิญญาณธาตุจิต ซึ่งเป็นพลังงานที่สัตว์โลกในระดับมนุษย์ใช้เป็น สัตว์โลกสูงสุดก็คือคนที่จะมีประสิทธิภาพที่จะใช้พลังงานนี้ได้ เอาพลังงานจิตมาสลายอันนี้ได้ มีคนประเมินว่าคนที่สามารถเอาพลังงานจิตมารวมได้สูงสุดสามารถทำพลังงานได้เท่าเทียมกับอาทิตย์ แล้วมันกี่ล้านองศานี่ ก็เกินเชื่อ อาตมาก็ยังไม่เชื่อเพราะยังทำไม่ได้ แต่ก็ฟังไว้ก่อน

ที่พูดนี้ไม่ต้องเอาไปละลายพลังงานอะไรหรอกแต่ให้เอาไปละลายพลังงานที่เป็นพลังงานราคะโทสะโมหะ ในตัวเรานี่แหละ เราก็พลังงานฌานมาจัดการ อันนี้อาตมาทำแล้วทำได้ทำเป็น ก็เท่าที่อาตมาทำได้

แล้วลักษณะพลังงานไฟราคะหรือกามเป็นอย่างไรเราต้องรู้ด้วยตนเองอาการนี้ออกว่าการกาม มันเกิดตอนสัมผัสเสียดสีแล้วชื่นใจ ส่วนโทสะหรือพยาบาทหรือความโกรธพลังงานนี้มันต้องการจะทำร้ายทำลายอันอื่น มันมีลักษณะของมันแต่ละอย่าง ผู้ที่มีพลังงานเหล่านี้แล้วอ่านอาการเหล่านี้ออกเข้าใจได้ว่าการอย่างนี้มันเกิดที่เรา ราคะโทสะโมหะเป็นอย่างนี้ อาการมันต่างกัน

ถ้าเราสัมผัสสิ่งใดและเกิดอาการกาม เราก็ทำอาการของฌานขึ้นมา ที่จะไปจัดการพลังงานที่มันเกิดอาการของกามราคะ ให้ลดลงหรือให้ดับสิ้นลงไปเลย เราก็จะรู้ว่าทำได้แล้วมันเป็นเช่นนี้จริงๆ ยิ่งคุณทำได้เป็นประสิทธิภาพก็จะชัดเจนว่ามันใช่เลย คุณจะไม่ได้เชื่อใครก็จะเชื่อตัวเองก็ตัวเองทำเองเป็นเองได้เอง สลายไปจนกระทั่งกามในจิตคุณไม่เกิด แม้จะมีเหตุปัจจัยนั้นๆสัมผัสกับภายนอกอยู่ ไม่ใช่ไปนึกคิดเข้าข้างในมันขึ้นมาว่ากามคืออย่างไร แต่จะต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสภายนอกด้วย แล้วเกิดอาการชอบใจหรือไม่ชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจก็เรียกว่าโทสะหรือพยาบาท

เราก็อ่านอาการให้ชัดเจนไม่เอาทั้งพยาบาทไม่เอาทั้งกาม เราปฏิบัติจนกระทั่งเราสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายเราก็อ่านอาการใจว่ามันไม่เกิดอาการ กามราคะโทสะ จิตใจเราก็ไม่เกิดอาการกามไม่เกิดพยาบาทเราก็รู้ว่าเรานี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วเป็นอรหันต์เข้าแล้วทำไมมันไม่มีอาการกามกับพยาบาท  ถ้าคุณอ่านไม่ชัดไม่ชัดเจนหลอกตัวเองก็ไม่ได้จริงแต่ถ้าเราอ่านอาการแล้วจิตใจเราว่างจริงๆจากกามกับพยาบาท ชัดเจนในสภาพที่สัมผัสจริง เมื่อมั่นใจว่า ไม่ว่าจะกระทบสัมผัสกี่อย่าง เมื่อใด ตั้งใจไม่ตั้งใจ รู้ตัวหรือทีเผลอก็ไม่เกิดอาการ เราก็จะรู้ว่าเราเป็นอรหันต์ได้รอบทิศ ทุกส่ิงในโลกหรือนอกโลกก็ไม่รู้ได้ แต่ในโลกเราสัมผัสแล้วทุกอย่าง แม้ไม่ทุกอย่างเราก็รู้ว่าเราได้ไม่น้อยแล้ว จนเกือบจะหมด จนกระทั่งหมด คุณก็อ่านของตัวเอง หรือหลงหลุดรอดไปเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่หลุดรอดก็ครบ

 

 

คนเขาแปลคำว่าฌาน เป็นลักษณะการกดข่ม สะกดจิต แต่แท้จริงฌานไม่ใช่ข่มแต่คือเพ่งรู้แล้วมีพลังงานปัญญาเผา ได้ที่ เป็นพลังงานปัญญาที่สลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เมื่อเราทำให้ไฟฌาน ไฟปัญญานี้เกิด เกิดแล้วก็สลายได้เองเลย ใครทำได้ก็จะรู้ว่าตถตาเป็นเช่นนี้เอง เห็นแล้วรู้แล้วในเราเป็นเช่นนี้เอง

เป็นเช่นนี้เอง ตถตา อาตมาเคยขยายได้ 3 แบบ

1.ตถตายถากรรม รู้เห็นเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ห่านก็คอยาวๆ

2.ตถตามิจฉาทิฏฐิ ไปเข้าใจว่าอะไรก็เป็นของมันอย่างนั้นๆ อย่าไปยุ่งกับมัน ตัดเราออกไปเลย

3.ตถตาแบบสัมมาทิฏฐิ เราเข้าไปศึกษาจนเราเป็นของเราได้เอง สูงไปกว่านั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง คือเราได้เองอันหนึ่งของเราเป็นเองที่เราเอง และสอง มันอัตโนมัติ เป็นโดยเราไม่ต้องใช้สติสัมปชัญญะเลยเป็นอัตโนมัติ สูงสุดเลย

ส.เพาะพุทธว่า… ศีลกับปัญญา เหมือนคนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า และปัญญากับฌานนั้น เป็นสิ่งคู่กัน

ดูกรภิกษุ เธอจงเพ่ง และอย่าประมาท จิตของเธอหมุนไปในกามคุณ เธออย่าเป็นผู้ประมาทกลืนก้อนโลหะอย่าถูกไฟเผาคร่ำครวญว่านี้ทุกข์ ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญาปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน

 (นตฺถิ ฌาน อปฺสฺส        ปฺา นตฺถิ อฌายโต 3

 ยมฺหิ ฌานฺจ ปฺา จ      ส เว นิพฺพานสนฺติเก ฯ)

 

พ่อครูว่า...เป็นธรรมะสองที่ทำงานแล้วจะได้อันที่สามเป็นผลขึ้นมา เป็นสามเส้าที่เกิดในมหาจักรวาล สองเส้าคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ จะบอกว่าอันไหนเด่นก็เด่นทั้งคู่ จะว่าตัวจบคือปุริสภาวะ แต่ตัวเกิดคือปุริสภาวะ ถ้าเทียบคู่โพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 เป็นคู่สำคัญ แล้วอะไรคือ แม่อะไรคือพ่อ สำหรับอาตมาโพชฌงค์7 เป็นพ่อ ส่วนมรรค 8 คือแม่ ของอาตมานะ ส่วนของคนอื่นก็แล้วแต่

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83031

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdW1OMUpsYnZXRkE

 

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/4ufuxwfnmc9b/160724

 

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:50:51 )

590724

รายละเอียด

590724_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ความหมายของฌาน

ส.เพาะพุทธว่า....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2559 ที่สันติอโศก วันนี้พ่อครูจะได้มาสาธยายเรื่องฌาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความหมายที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าสอน และก็มีอีกหลายคำที่ผิดเพี้ยนไป เช่น คำว่าบุญ คำว่ากาย เป็นต้น

 

คลาดเคลื่อนถ้อยคำ

 

คำว่า บุญ บิดเบือน เบี่ยงบ่าย

มีความหมายคับแคบแบบกุศล

คำว่า กาย หมายอ้างแค่ร่างคน

ไม่ยินยล ถึงจิต มโน วิญญาณ

 

แม้คำว่า สมาธิ ยังเปลี่ยนทิศ

สะกดจิต หลับตา น่าสงสาร

การทำใจในใจ คือ มนสิการ

มิจฉาปฏิบัติ จัดการ อยู่เกรียวกราว

(เก็บความจาก ศิลปะโลกุตระ 39-40)

 

ส่วนบุญ

 

พระเสขะ เป็นเปรต กิเลสเหลือ

รอส่วนบุญ มาจุนเจือ จิตแจ่มจ้า

เป็น ปรทัตตูชีวกเปรต สานเจตนา

ปุญญภาคิยา ยลยิน จิตวิญญาณ

 

รับส่วนบุญทุกกระบวนลดส่วนบาป

กิเลสหยาบกลางละเอียดสะอาดสะอ้าน

เมื่อโปรดเปรตกิเลสหมดจากดวงมาน

ถึงนิพพาน ผ่านฐานะ อเสขบุคคล

(เก็บความจาก ศิลปะโลกุตระ น.36-37)

 

 

พ่อครูว่า...คำว่า “ฌาน”คือการเพ่งเผา เป็นพลังงานที่สามารถสลายไฟแห่งราคะโทสะโมหะได้ เตโชธาตุเป็นธาตุที่มีพลังงานร้อนแรงสามารถสลายอะไรได้ดีที่สุด

ในบรรดาธาตุทั้ง4 ดินน้ำไฟลม พลังงานไฟนี้จึงมีประสิทธิภาพสลายอะไรอย่างอื่นได้เหนือกว่าพลังงานอื่นๆ คือคำว่า ฌา ฌาน ฌายะ ก็แจกวิภังค์ไปได้ในคำว่าฌาน ก็เกี่ยวกับพลังงานที่ใช้สลาย

ผู้ใดที่ทำให้ธาตุวิญญาณ ธาตุจิต ซึ่งเป็นพลังงานที่สัตว์โลกในระดับมนุษย์ใช้เป็น สัตว์โลกสูงสุดก็คือคนที่จะมีประสิทธิภาพที่จะใช้พลังงานนี้ได้ เอาพลังงานจิตมาสลายอันนี้ได้ มีคนประเมินว่าคนที่สามารถเอาพลังงานจิตมารวมได้สูงสุดสามารถทำพลังงานได้เท่าเทียมกับอาทิตย์ แล้วมันกี่ล้านองศานี่ ก็เกินเชื่อ อาตมาก็ยังไม่เชื่อเพราะยังทำไม่ได้ แต่ก็ฟังไว้ก่อน

ที่พูดนี้ไม่ต้องเอาไปละลายพลังงานอะไรหรอกแต่ให้เอาไปละลายพลังงานที่เป็นพลังงานราคะโทสะโมหะ ในตัวเรานี่แหละ เราก็พลังงานฌานมาจัดการ อันนี้อาตมาทำแล้วทำได้ทำเป็น ก็เท่าที่อาตมาทำได้

แล้วลักษณะพลังงานไฟราคะหรือกามเป็นอย่างไร?เราต้องรู้ด้วยตนเองอาการนี้ออกว่าอาการกาม มันเกิดตอนสัมผัสเสียดสีแล้วชื่นใจ

ส่วนโทสะหรือพยาบาทหรือความโกรธ พลังงานนี้มันต้องการจะทำร้ายทำลายอันอื่น มันมีลักษณะของมันแต่ละอย่าง ผู้ที่มีพลังงานเหล่านี้แล้วอ่านอาการเหล่านี้ออกเข้าใจได้ว่าอาการอย่างนี้มันเกิดที่เรา ราคะโทสะโมหะเป็นอย่างนี้ อาการมันต่างกัน

ถ้าเราสัมผัสสิ่งใดและเกิดอาการกาม เราก็ทำอาการของฌานขึ้นมา ที่จะไปจัดการพลังงานที่มันเกิดอาการของกามราคะ ให้ลดลงหรือให้ดับสิ้นลงไปเลย เราก็จะรู้ว่าทำได้แล้วมันเป็นเช่นนี้จริงๆ ยิ่งคุณทำได้เป็นประสิทธิภาพก็จะชัดเจนว่ามันใช่เลย คุณจะไม่ได้เชื่อใครก็จะเชื่อตัวเองก็ตัวเองทำเองเป็นเองได้เอง สลายไปจนกระทั่งกามในจิตคุณไม่เกิด แม้จะมีเหตุปัจจัยนั้นๆสัมผัสกับภายนอกอยู่ ไม่ใช่ไปนึกคิดเข้าข้างในมันขึ้นมาว่ากามคืออย่างไร แต่จะต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสภายนอกด้วย แล้วเกิดอาการชอบใจหรือไม่ชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจก็เรียกว่าโทสะหรือพยาบาท

เราก็อ่านอาการให้ชัดเจนไม่เอาทั้งพยาบาทไม่เอาทั้งกาม เราปฏิบัติจนกระทั่งเราสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายเราก็อ่านอาการใจว่ามันไม่เกิดอาการ กามราคะโทสะ จิตใจเราก็ไม่เกิดอาการกามไม่เกิดพยาบาทเราก็รู้ว่าเรานี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วเป็นอรหันต์เข้าแล้วทำไมมันไม่มีอาการกามกับพยาบาท  ถ้าคุณอ่านไม่ชัดไม่ชัดเจนหลอกตัวเองก็ไม่ได้จริงแต่ถ้าเราอ่านอาการแล้วจิตใจเราว่างจริงๆจากกามกับพยาบาท ชัดเจนในสภาพที่สัมผัสจริง เมื่อมั่นใจว่า ไม่ว่าจะกระทบสัมผัสกี่อย่าง เมื่อใด ตั้งใจไม่ตั้งใจ รู้ตัวหรือทีเผลอก็ไม่เกิดอาการ เราก็จะรู้ว่าเราเป็นอรหันต์ได้รอบทิศ ทุกสิ่งในโลกหรือนอกโลกก็ไม่รู้ได้ แต่ในโลกเราสัมผัสแล้วทุกอย่าง แม้ไม่ทุกอย่างเราก็รู้ว่าเราได้ไม่น้อยแล้ว จนเกือบจะหมด จนกระทั่งหมด คุณก็อ่านของตัวเอง หรือหลงหลุดรอดไปเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่หลุดรอดก็ครบ

 

มาอ่านบทความของ คอลัมน์สองวัย ของคุณบางกอกเกี้ยน ในนสพ.เพาะพุทธมติชนรายวัน 22 ก.ค. 59

เรื่องการทำสมาธิเป็นเรื่องเฉพาะตัวแต่ทำร่วมกันเป็นหมู่ได้ การปฏิบัติจะมากจะน้อยจะได้หรือไม่อย่างไรเร็วช้าขึ้นกับบุคคลนั้น ไม่กำหนดว่าปฏิบัติสมาธิเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงจะได้สมาธิขั้นนั้นขั้นนี้

แต่การทำสมาธิมีประโยชน์แน่นอนมากน้อยเร็วช้าขึ้นกับปัจจัยหลายประการอยากทราบว่าเป็นอย่างไรสอบถามได้ที่ครูอาจารย์ผู้รู้จะรับคำตอบที่ถูกต้อง

อีกขั้นตอนหนึ่งหลังจากปฏิบัติสมาธิแล้วเกิดกระแสจิตผ่านระหว่างดังกล่าวเมื่อวานนี้ต่อจากนั้นตามตำราจะเกิดฌาน

ฌานคือความสุขที่เกิดในในขณะทำสมาธิมี 8 ขั้นคือ (ยบ

พ่อครูว่า ฌานไม่ใช่อารมณ์แต่คุณคนนี้บอกว่าเป็นอารมณ์สุข)

ปฐมฌานหรือฌานขั้นที่ 1 ประกอบด้วยองค์5มีวิตก(คำบริกรรม) วิจาร ปีติ(เกิดแสงเกิดเหมือนตัวเบาลอย) สุข (ความเอิบอิ่มปลอดโปร่งเบากายเบาใจ) เอกัคคตา(จิตมีความเป็นหนึ่งเดียวไม่คิดฟุ้งซ่าน)

 

ทุติยฌานหรือฌานขั้นที่ 2 ประกอบด้วยองค์ 3 มีปีติสุข เอกัคคตา ตัด วิตกวิจารออก

ตติยภูมิหรือฌานขั้นที่ 3 ประกอบด้วยองค์2คือ สุข เอกัคคตา ตัดปีติออก

จตุตถฌานหรือฌานขั้นที่ 4 ประกอบด้วยองค์ 2 คืออุเบกขา เอกัคคตาเป็นจิตที่ตัดความสุขออกไปกลายเป็นการวางเฉยๆกับจิตเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อมาถึงฌานขั้นที่ 4 เป็นรูปฌานสามารถผลิตพลังจิตได้

ต่อไปขั้นที่ 5 ถึงขั้นที่ 8 เป็นอรูปฌานมีแต่ความสุขเท่านั้นแต่เป็นการสูบกินพลังจิตที่เรากระทำสะสมไว้หมดไปได้จึงไม่ควรดำรงอยู่ในฌานนี้นานเกินไปจนที่สุดเรียกว่าหลงในฌาน

ฌานขั้นต่อไปเป็นขั้นที่ 5 เรียกว่าอากาสานัญจายตนฌาน มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีอารมณ์อื่นใดมาเจือปน ความว่างเปล่าคือเป็นอากาศเป็นสิ่งที่โล่งเยือกเย็นละมุนละไมดุจปุยนุ่น

ฌานขั้นที่ 6 เรียกว่าวิญญาณนัญจายตนฌาน การกำหนดเฉพาะความรู้คือวิญญาณหมายถึงอยู่กับความรู้ในกายทิพย์

ฌานขั้นที่ 7 เรียกว่าอากิญจัญญายตนฌาน มีแต่ความว่างเปล่าจิตละจากทุกอารมณ์จนไม่มีอะไร

ฌานขั้นที่ 8 เรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สัญญาแปลว่าความหมายคือจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ จิตเข้าสู่กายทิพย์ด้วยพลังอำนาจจนไม่ต้องคำนึงถึงกายทิพย์ เพราะพลังอำนาจได้ผลักดันทุกสิ่งให้หมดความรู้สึก

ต่อไปคืออาทิสมานกายหรือกายละเอียดหรือกายทิพย์ เมื่อสะสมพลังจิตจนเพียงพอกับความต้องการ จิตสามารถสัมผัสกับกายทิพย์ได้ กายทิพย์จะอยู่ในตัวสิ่งที่มีชีวิตทุกคนแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ขณะที่ยังไม่หมดความรู้สึกจากกายหยาบ

เมื่อไม่หมดความรู้สึก จากกายหยาบเช่นนอนหลับสนิทจิตจะเข้าไปสัมผัสกายทิพย์และได้พลังงานจากกายทิพย์กลับมา เมื่อตื่นนอนจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสปลอดโปร่งมีพละกำลังจะดำเนินกิจประจำวันต่อไปได้ คือได้พลังจิตจากธรรมชาติ

เมื่อฝึกสมาธิกระทั่งได้ฌานเป็นขั้นที่ 8 แล้วรับรู้ถึงกายทิพย์ต่อไปคือเกิด ญาณ ความรู้สู่ความสำเร็จเมื่อมีพลังจิตเพียงพอจนเกิดทิพยจักษุญาณ ตาทิพย์ ผู้ปฏิบัติสามารถระลึกชาติแต่หนหลังได้รู้ในการจุติของสัตว์โลกรู้เหตุการณ์ในอดีตอนาคต รู้ในการกำจัดกิเลส

วันนี้ว่าถึงเรื่องสมาธิก่อนอย่าเพิ่งเลยไปถึงการทำวิปัสสนาซึ่งเป็นการปฏิบัติชั้นสูง

ความรู้เรื่องการปฏิบัติสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนาต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองแต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติเพื่อให้ทราบถึงวิธีการที่ถูกต้องควรเรียนรู้จากครูอาจารย์ที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าลงมือโดยไม่มีความรู้นะจ๊ะน้องหนู

 

ขออภัยคุณบางกอกเกี้ยนที่อาตมาพูดเหมือนข่มคุณ

 

_ฌาน ในความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน

 

[ชาน] น. ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เนื่องมาจากการเพ่งอารมณ์ การเพ่งอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นสมาธิ เรียกลักษณะการทําจิตให้สงบตามหลักทางศาสนาว่า เข้าฌาน เช่น พระเข้าฌาน ฤษีเข้าฌาน โดยปริยายหมายถึงนั่งหลับหรือนั่งเหม่อใจลอยไม่รับรู้อะไร เรียกว่า เข้าฌาน ฌานนั้นจัดเป็น 4 ชั้น เรียกชื่อตามลําดับที่ประณีตขึ้นไปกว่ากัน คือ ปฐมฌาน ได้แก่ ฌานที่ 1 มีองค์ 5 คือ ยังมีตรึก ซึ่งเรียกว่า วิตก มีตรอง ซึ่งเรียกว่า วิจาร เหมือนอารมณ์แห่งจิตของคนสามัญ มีปีติ คือความอิ่มใจ มีสุข คือความสบายใจอันเกิดแต่วิเวกคือความเงียบ และประกอบด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไปซึ่งเรียกว่า เอกัคตา ทุติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ 2 มีองค์ 3 คือ ละวิตกวิจารเสียได้ คงอยู่แต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคตา ตติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ 3 มีองค์ 2 คือ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุขกับเอกัคตา จตุตถฌาน ได้แก่ ฌานที่ 4 มีองค์ 2 เหมือนกัน ละสุขเสียได้กลายเป็นอุเบกขาคือเฉย ๆ กับเอกัคตา ฌานทั้ง 4 นี้จัดเป็นรูปฌาน เป็นรูปสมาบัติ มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าในรูปาวจรภูมิ. (ป.ส. ธฺยาน).

(พ่อครูอธิบายปีติว่าต้องปฏิบัติให้เกิดปีติ แต่ อย่าให้มีมากเกินแรงเกิน แต่ให้บางเบากระจายไปทั่งอาการ 32 ไม่ให้มีแรงมาก หรือให้เป็นก้อน ไม่ให้ปีติมีมากแรง แล้วเราไปติดยึด หากไม่ได้ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาซ้อนได้อีก ก็อย่าให้มีอาการเช่นนั้น)

 

_ฌาน ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ฌาน 2 (การเพ่ง, การเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ - meditation; scrutiny; examination)

       1. อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 - object-scrutinizing Jhana)

       2. ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล - characteristic-examining Jhana)

       วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์

       มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ

       ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง

       ฌานที่แบ่งเป็น 2 อย่างนี้ มีมาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา.

 

 

_ฌาน จาก โดยอาจารย์การุณย์  บุญมานุช (เอามาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ) (Gotoknow.org)

 

     ฌานเป็นแผ่นขาว ใส เกิดจากขยายดวงธรรมให้โตออกแล้วกายธรรมนั่งบนนั้น ลักษณะของฌานนั้น กลมคล้ายเขียงที่เราให้หั่นผักศูนย์กลาง 2 วา หนา 1 คืบ หากเป็นฌานของกายธรรมก็มีขนาดโตยิ่งขึ้นไป ฌานทำหน้าที่เป็นพาหนะให้แก่กายทำให้กายไปไหนมาไหนได้เร็ว

     อารมณ์ฌานกับแผ่นฌานไม่เหมือนกัน แผ่นฌานคือการขยายดวงธรรมให้โต คือวิชาที่เราจะทำต่อไปนี้ ส่วนอารมณ์ฌานนั้น เกิดจากสภาพใจที่สงบระงับ เช่น

     ปฐมฌาน มีองค์ 5 ได้แก่ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคตา

     เรามักได้ยินคำ วิตกวิจารณ์ แปลว่า เป็นทุกข์กังวลใจ อย่าปนกับวิตกและวิจาร

     คำวิตก แปลว่า ตรึก นึก ตรอง

คำวิจาร แปลว่า ใคร่ครวญโดยปัญญา

     วิตก หมายความว่า ใจประคองดวงนิมิตได้ ไม่เผลอไปเรื่องอื่นเลย อารมณ์เรายึดมั่นแต่นิมิตเท่านั้น

     มาถึงขั้นวิจาร หมายความว่า ประคองใจให้ถูกส่วนว่าจะวางใจอย่างไรเช่นไรเป็นขั้นใช้ปัญญา

     คำทางพระทั้ง 2 คำนี้ ทำความยุ่งยากใจพอสมควร นักปฏิบัติเขาไม่ห่วงเรื่องถ้อยคำ แต่นักวิชาการเขาเคร่งครัด

     อารมณ์ฌานในเรื่องวิตกก็คือ ไม่เผลอและไม่ง่วงนอน พอถึงขั้นวิจารไม่มีความลังเลสงสัย พอถึงขั้นปิติ เกิดขนลุกบ้าง เกิดความโปร่งใจบ้าง เกิดความพอใจ พอถึงขั้นสุข ก็คือสบายใจแล้วอย่างนี้ดีแล้ว พอถึงขั้นใจดิ่งคือใจเป็นหนึ่ง ก็คือขั้นเอกัคตารมณ์

     อารมณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแก่ผู้ฝึกทำภาวนาไม่ว่าสายใด ๆ แต่แผ่นฌานไม่เกิดแก่กาย ไม่รู้จักว่าฌานมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และอยู่ที่ไหนแต่การเจริญภาวนาแนว สัม มา อะ ระ หัง เราทำได้ทั้งอารมณ์ฌาณและเกิดแผ่นฌาน

     ต้องขอขอบคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำสักร้อยครั้ง เพราะใคร ๆ ก็อยากทำฌานกันทั้งนั้น เพราะสบายใจ เกิดความสุขทางใจ ไปค้นคว้าในปิฎก พบแต่เรื่องอารมณ์ฌาน ส่วนวิธีทำแนวปฏิบัติ รูปพรรณสัณฐานไม่มี และศึกษาค้นคว้าที่ใดไม่ได้ด้วย เคราะห์กรรมจึงมีแก่ผู้ใฝ่รู้ทั้งหลาย เพราะเราไม่รู้วิธีทำ ชีวิตของเราจบลงด้วยความไม่รู้ แต่ด้วยมีอุปนิสัยมาแต่ปุเรภพชาติ ค้นคว้าธรรมไปตามคติของตน พบวิชาบ้าง ก็เป็นวิชาของมารเขาหรือวิชาของพระปนของมาร บัดนี้เป็นโอกาสดีแล้ว หลวงพ่อวัดปากน้ำมาชี้ขาดในทุกเรื่องแล้ว ขอเชิญท่านเรียนได้ตามใจชอบ

     ทุติยฌาน มีอารมณ์ฌาน 3 คือ 1. ปิติ 2. สุข 3. เอกัคตา

     ตติยฌาน มีอารมณ์ฌาน 2 คือ 1.สุข 2. เอกัคตา

     จตุตถฌาน มีอารมณ์ฌาน 2 คือ 1. เอกัคตา 2. อุเบกขา

     อากาสานัญจายตนะ พิจารณาอากาศว่าเป็นความว่างเปล่าปราศจากอารมณ์โดยกำหนดให้อากาศเป็นวงกลม

วิญญาณัญจายตนะ เพ่งอากาศที่เป็นวงกลมให้ว่างจากนั้นจะเห็นความใสยิ่งกว่าอากาศ มีลักษณะเป็นวงกลมเช่นเดียวกัน เราจะเกิดความรู้สึกว่า ความใสอันเป็นวงกลมนั้นมีวิญญาณ คือมีชีวิตจิตใจอยู่ก็ไม่ใช่จะว่าไม่มีชีวิตจิตใจก็ไม่เชิง ยังคาบลูกคาบดอก

     อาจิญจัญญายตนะ เมื่อดวงกลมใสจะมีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่เชิงได้หายไปแล้ว เกิดความรู้สึกทางใจขึ้นมาใหม่ คือรู้สึกว่าไม่มีอะไรอีกแล้ว ว่างจนกระทั่งไม่มีอะไร

     เนวสัญญานาสัญญายตนะ เมื่อความรูสึกว่างจนไม่มีอะไร ได้หายไปแล้วจะเกิดอารมณ์คือความรู้สึกอย่างใหม่เกิดขึ้นคือ จะรู้สึกตัวก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้สึกตัวก็ไม่ใช่ เป็นลักษณะคาบลูกคาบดอก คือจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่จะว่าไม่มีสัญญาก็ไม่เชิง นี่คืออารมณ์ของเนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญา แปลว่า จึงได้หมายรู้

 

พ่อครูว่า… เขาก็อธิบายสิ่งที่เขารู้ เราก็อ่านก็ฟังเขาแล้วอันไหนดีตามที่เราเห็นเราก็เอา แต่ว่าอันไหนไม่ดีตามเราเห็นเราก็ไม่เอาทีนี้มาดูในพระไตรปิฏก...

 

_จากพระไตรปิฏก ล.1 ข.3

ทรงอุปมาด้วยลูกไก่

[3] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไก่ 8 ฟอง 10 ฟอง หรือ 12 ฟอง ฟองไก่เหล่านั้น อันแม่ไก่พึงกกดีแล้ว อบดีแล้ว ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลายกะเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.

ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา.

                   ทรงแสดงฌาน 4 และวิชชา 3

ภ. เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ เมื่อประชาชนผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดในฟองอันกะเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำล ลูกไก่ตัวนั้นายกะเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลกเพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้วแล ไม่ย่อหย่อน สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบ ไม่กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.

                   ปฐมฌาน

เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.

                   ทุติยฌาน

เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.

                   ตติยฌาน

เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไปได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.

                   จตุตถฌาน

เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.

 

_นอกจากนั้นยังมีในพระไตรปิฏก ล.9 ตั้งแต่สามัญผลสูตร ได้กล่าวถึงฌานไว้อีก

                            

_โสณทัณฑสูตร ล.9 ข.193

คือพระพุทธเจ้าตรัสกับโสณทัณฑพราหมณ์ว่า ไม่ว่าจะตระกูล หรือที่มา รูปร่างหน้าตา หรือความรู้ใดๆ ถ้าไม่มีก็สามารถเป็นพราหมณ์ที่แท้จริงได้ แต่ว่าศีลและปัญญานั้นผู้เป็นพราหมณ์ที่แท้จริงขาดไม่ได้

193] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ 2 นี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้วบุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เพียง 1 อาจจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่าข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้ไม่ได้ เพราะว่าปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ และศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้นปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น.

อาตมาก็เคยบอกว่าศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ทิ้งไม่ได้ จิตเป็นลูก ที่เป็นโอปปาติกสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นพ่อ มีโมคคัลลานะกับสารีบุตรเป็นแม่ ช่วยกันดูแลภิกษุให้เกิดบรรลุธรรม

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า กัสสปะนี้เทียบเท่าเรา ส่วนสารีบุตรนี้เทียบเท่าเรา นั่นคือกัสสปะ เป็นฝ่ายเจโต ส่วนปัญญาเป็นฝ่ายสารีบุตร ส่วนพระพุทธเจ้านั้นก็มีทั้งสองส่วน จึงเหนือกว่าทั้งสองท่าน

[194] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้นปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือ

[194] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้นปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น ดูกรพราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉนพราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์มีความรู้เท่านี้เอง เมื่อเนื้อความมีเช่นไร ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งแด่พระโคดมผู้เจริญเองเถิด.

[195] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดีเราจักกล่าว พราหมณ์โสณทัณฑะรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะพราหมณ์โสณทัณฑะนั้นว่า ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้นครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้วย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วย กายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศลมีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ

เป็นผู้สันโดษ.

 

คนเขาแปลคำว่าฌาน เป็นลักษณะการกดข่ม สะกดจิต แต่แท้จริงฌานไม่ใช่ข่มแต่คือเพ่งรู้แล้วมีพลังงานปัญญาเผา ได้ที่ เป็นพลังงานปัญญาที่สลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เมื่อเราทำให้ไฟฌาน ไฟปัญญานี้เกิด เกิดแล้วก็สลายได้เองเลย ใครทำได้ก็จะรู้ว่าตถตาเป็นเช่นนี้เอง เห็นแล้วรู้แล้วในเราเป็นเช่นนี้เอง

เป็นเช่นนี้เอง ตถตา อาตมาเคยขยายได้ 3 แบบ

1.ตถตายถากรรม รู้เห็นเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ห่านก็คอยาวๆ

2.ตถตามิจฉาทิฏฐิ ไปเข้าใจว่าอะไรก็เป็นของมันอย่างนั้นๆ อย่าไปยุ่งกับมัน ตัดเราออกไปเลย

3.ตถตาแบบสัมมาทิฏฐิ เราเข้าไปศึกษาจนเราเป็นของเราได้เอง สูงไปกว่านั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง คือเราได้เองอันหนึ่งของเราเป็นเองที่เราเอง และสอง มันอัตโนมัติ เป็นโดยเราไม่ต้องใช้สติสัมปชัญญะเลยเป็นอัตโนมัติ สูงสุดเลย

ส.เพาะพุทธว่า… ศีลกับปัญญา เหมือนคนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า และปัญญากับฌานนั้น เป็นสิ่งคู่กัน

ดูกรภิกษุ เธอจงเพ่ง และอย่าประมาท จิตของเธอหมุนไปในกามคุณ เธออย่าเป็นผู้ประมาทกลืนก้อนโลหะอย่าถูกไฟเผาคร่ำครวญว่านี้ทุกข์ ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญาปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน

 (นตฺถิ ฌาน อปฺสฺส        ปฺา นตฺถิ อฌายโต 3

 ยมฺหิ ฌานฺจ ปฺา จ      ส เว นิพฺพานสนฺติเก ฯ)

 

พ่อครูว่า...เป็นธรรมะสองที่ทำงานแล้วจะได้อันที่สามเป็นผลขึ้นมา เป็นสามเส้าที่เกิดในมหาจักรวาล สองเส้าคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ จะบอกว่าอันไหนเด่นก็เด่นทั้งคู่ จะว่าตัวจบคือปุริสภาวะ แต่ตัวเกิดคือปุริสภาวะ ถ้าเทียบคู่โพชฌงค์ 7 กับมรรค 8 เป็นคู่สำคัญ แล้วอะไรคือ แม่อะไรคือพ่อ สำหรับอาตมาโพชฌงค์7 เป็นพ่อ ส่วนมรรค 8 คือแม่ ของอาตมานะ ส่วนของคนอื่นก็แล้วแต่

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:51:18 )

590725

รายละเอียด

590725_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ศาสนากับการเมืองเรื่องเดียวกัน

มีเรื่องที่อาตมาอยากสำทับคือเรื่องธรรมกับการเมือง ใครอย่ามองว่าการเมืองกับธรรมะแยกกัน ศาสนาลัทธิอื่นจะเข้าใจเช่นนั้นก็แล้วไป แต่พุทธอย่าเชียว เพราะธรรมะกับเพื่อมวลประชาชนการเมืองก็เพื่อมวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

แต่เดี๋ยวนี้ธรรมะหรือการเมืองกลับเอามาทำเพื่อตัวเอง เพื่อทำมาหากิน เพื่อญาติพี่น้องเพื่อพรรคพวก ทั้งที่การเมืองและธรรมะนั้นต้องเพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 ถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็อย่าไปแยกธรรมะกับการเมืองอีก ข้อสำคัญคือเนื้อหาทำเพื่อประชาชนจริงนะ ไม่ใช่มีแฝง มีกั๊กทำเพื่อตัวอีก อันนี้คือการเมือง

อีกประเด็นที่เขาเข้าใจว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ อย่างนั้นไม่ใช่ อาตมาขอบอกว่าเข้าใจผิด เขาว่าถ้าไม่มีอำนาจก็ทำเพื่อบ้านเมืองไม่ได้ มันอธิบายเผินๆดูเหมือนใช่ แต่มันไม่ใช่ การเมืองเป็นงานทำเพื่อประชาชนไม่ใช่อำนาจ อำนาจไม่ใช่เรามี อำนาจนั้นประชาชนมี ถ้าประชาชนเห็นว่าเราทำเพื่อประชาชน ประชาชนจะให้อำนานเรามาทำงาน มีร้อยก็ให้ร้อย มีพันก็ให้พัน แต่ถ้าไปหลงว่าต้องสร้างอำนาจก่อนนั้นมันผิดแล้ว มีอำนาจเพราะว่าใช้ลาภ ยศ สรรเสริญ​หรืออำนาจเบ่งข่มอันนั้นอำนาจปลอม แต่อำนาจจริงนั้นแม้สร้างได้ยาก แต่ว่าถ้าได้แล้วได้จริงยั่งยืนสูงส่ง อย่างในหลวงเราประชาชนเต็มใจให้ ตัวอย่างมี ท่านทรงงานอย่างเดียว รักประชาชนทำเพื่อประชาชนอย่างเดียว ประชาชนก็ต้องยกให้ท่าน

เขาตอนนี้พยายามหาพวกกัน ตอนนี้มีประเด็นจะไปลงคะแนนรับหรือไม่รับประชามติ ร่างรธน. ซึ่งมีกม.บอกว่าอย่าหาเสียงนะก็เลยยาก ก็ดี กันเอาไว้ก็ดี เพราะว่าตัวโจรมีมาก แต่ผู้ที่ควรรู้ก็ต้องใส่ใจ เข้าใจด้วยปัญญา ว่าอะไรควรขนาดไหน? ขอร้องอยู่อย่างหนึ่งว่าอย่าไปนอนหลับทับสิทธ์ให้มันกระจ่างไปเลย อย่างน้อยก็ได้รู้ความจริงแม้จะแพ้ แต่อาตมาว่าคนไทยไม่โง่ ตอนนี้มีแค่สองฝ่าย มีแดงกับเหลืองเท่านั้น มันควรจะลงคะแนนให้เหลืองหรือแดงก็ไม่น่าสงสัยอะไรแล้วป่านนี้ ตอนนี้ก็มีประเด็นซับซ้อนที่ยากเข้าใจ

ถ้าเราจะรับร่างรธน.ฉบับนี้ รับก็ต้องเลือกตั้ง ตอนนี้เสือหิวจะขยุ้มปั๊บ จะคว้าทัน จะทำอย่างไรให้ชะลอไปไหม ให้ลุงตู่อยู่นานหน่อย ถ้ารับนี้มันจะเร็ว ถ้าไม่รับนี่จะชะลอเลือกตั้งไปได้ ก็ไปนั่งคิดดูดีๆ ก็รู้สึกจะใบ้หวยมากไป

การเมืองมี 29นายกฯก็มีคนนี้แหละที่ดูเป็นประชาธิปไตยที่สุด นอกนั้นก็ไม่เห็นประชาธิปไตยเลย ยิ่งคนที่ผ่านมาสองสามคนก่อนคนนี้ก็เห็นแต่เป็นยักษ์ ทั้งตัวผู้ตัวเมีย เราก็ว่าตามประสาจริงใจให้ประเทศชาติ

นี่มองไปทางด้านฝ่ายแดง ยุคนี้ อย่าว่าแต่ธัมมชโย ประสานก็ประสานเถอะ นักเลงโตได้ดีจริงๆ อีกอย่างที่เห็นคือคนยิ้มตาใส ทำนิ่งทำเฉย แต่เบื้องหลังพกหอกดาบมาเต็มเลย

ธรรมะแท้ๆก็เพื่อประชาชน การเมืองแท้ๆก็เพื่อประชาชน ดังนั้นธรรมะกับการเมืองแยกกันไม่ได้ แต่ต้องมีความจริงใจทำเพื่อประชาชนจริงๆอย่างไม่มีเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ญาติ ไม่เห็นแก่พวก อย่างมีลำเอียงใดๆ แต่เห็นแก่ประชาชนเต็มๆ อะไรจะทำให้คนเป็นเช่นนี้ได้นอกจากศาสนาที่ทำให้ได้ทั้งเจโตและปัญญา อาตมาก็ได้นำเสนอความรู้ทางธรรมะ ไม่มีหน้าที่ไปทำด้านโน้นหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ร่วมมือ แต่ร่วมมือได้แต่ไม่รับหน้าที่ตำแหน่ง แต่คนมีหน้าที่ตำแหน่งจะมาคุยด้วยเอาไปใช้ได้ก็เต็มใจ แต่ไม่ได้ไปลงหน้าที่รับผิดชอบ เพราะอาตมาเผยแพร่ธรรมะนั้นงานหนักเยอะอยู่แล้ว

อ.กฤษฎาว่า…นิมนต์พ่อครูเปรียบเทียบรัฐประหารตุรกีกับไทยต่างกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...อย่างตุรกี ยังไม่เกิดความรู้ของประชาชน ทางตุรกี ประชาชนยังเชื่อถือรัฐบาล เขาไม่เชื่อว่าคณะปฏิวัติจะดีกว่า ประชาชนไม่เชื่อ จริงๆแล้ว ปฏิวัตินี้น้อยครั้งที่จะไม่สำเร็จ ประชาชนไม่มีอาวุธไปสู้เท่าไหร่เลย สู้ทหารไม่ได้หรอก แต่ก็แสดงว่า หนึ่งจิตใจทหารเองด้วยไม่ค่อยเต็มใจปฏิวัติ ถูกบังคับเท่านั้น สองประชาชนเองชนะ ตุรกีเองปฏิวัติไม่สำเร็จ

คนไทยเลยฉวยโอกาส เขาอธิบายว่าพลังประชาชนชนะพลังทหาร ขณะนี้ไทยถูกทหารควบคุมนะ เขาว่าถ้าประชาชนรวมกันก็ชนะนะ เขาก็พูดเอาได้ ถ้าประชาชนเห็นตามเขาก็ได้แต่นี่พลังประชาชนนี่ตอนนี้อาตมาเชื่อว่าประชาชนนี้เห็นด้วยกับทหารร่วมมือกับทหารเลยนะ ทหารคือฝ่ายเหลือง กับอีกพวกฝ่ายแดง อาตมาว่าฝ่ายประชาชนเข้ากับฝ่ายเหลืองมากกว่าแน่

 

_มีคำถามว่า...ดิฉันจะไม่รับร่างรธน.ฉบับนี้ เพราะว่า ร่างกม.หลายข้อร่างมาดีมากแต่ว่าไม่แน่ใจจะทำได้ไหม และสอง พอรับร่างแล้ว นักการเมืองหลายพวกต้องเข้ามาแน่ และคนไทยจำนวนมากชอบขายเสียง ถูกซื้อได้อยู่ และและพรรคที่จะมาเป็นรัฐบาลเตรียมแสวงหาผลประโยชน์และหาวิธีคอรัปชั่นให้แนบเนียนกว่าเดิม

อาตมาว่าคสช.ทำงานมาสองปีนี่ฝีมือคอรัปชั่นไม่เอาไหนเลย ผิดกับรัฐบาลทักษิณรัฐบาลปู คสช.ทำมานี่ก็เห็นมีเล็กน้อยเท่านั้น จะเอามาตีราคาแพงไม่ได้นะ ถือว่า error เล็กๆน้อยๆ ตีราคาเทียบไม่ได้กับยิ่งลักษณ์ทักษิณ

และจม.ว่าอีกจะแก้ไขการเมืองต้องแก้ที่คุณธรรมของคนไม่ใช่แก้ที่รธน. ..ถูกต้อง ต้องแก้ที่คน แต่รธน.ก็ต้องออกไป แต่แท้จริงต้องมาแก้ไขที่คนให้ไม่อคติ ให้มีคุณธรรม

และเขาว่าอีกว่า อยากให้นายกฯประยุทธ์อยู่นานๆเพราะท่านคุมการเมืองอยู่ แล้วท่านเป็นประชาธิปไตยสูงสุดเท่าที่ดูผลงานมา และท่านจะได้สะสางสิ่งไม่ดีต่อไป ก็ถูกแล้ว และรัฐบาลของนายกฯแม้เป็นเผด็จการทหารแต่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่านายกฯที่มาจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา...จริง

และตั้งแต่ท่านประยุทธ์เป็นนายกฯสงบเรียบร้อย นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้อย่างมาก ประชาชนมีความสงบสุข….จริง

 

อ.กฤษฎาว่า...ศาสนาพุทธไม่วิงวอนอ้อนวอนร้องขอจากใครเลย

พ่อครูว่า...การอ้อนวอนร้องขอไม่ใช่ศาสนาพุทธและไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องทำดีจนคนเขาให้ทำงานเอง การหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตย ยังเก๊อยู่ อย่างอเมริกาก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย แต่เป็นทุนนิยมเต็มที่เลย เมืองไทยยังเป็นประชาธิปไตยกว่าเลย การหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตยการมีวิป ต่างๆไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นการกำหนดไว้เลยว่าไม่ให้แตกคอยากวิป ไม่มีอิสรเสรีภาพ เมืองไทยเราจะทำได้ไป ไม่ต้องมีวิป ทุกวันนี้มีแต่นายทุนเลยหาเสียงกันอย่างอเมริกา ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย

ประชาธิปไตยอย่างพระพุทธเจ้าต้องทำงานเพื่อประชาชนจริงถ้าอนาคามีไปเป็นนักการเมืองเป็นผู้บริหาร หรือเป็นลูกน้องก็ตาม แต่ทำการเมืองเพื่อประชาชน ถ้าเป็นอนาคามีเป็นต้นไป ถ้ามีมวลพอ ทำเพื่อประชาชน จะได้รับการยอมรับ เขาให้ทำงานเลยแล้วก็จะไม่เอาเงินเดือนเลย รับรองคุณได้เก้าอี้ตลอดกาลจนกว่าคุณจะขอพักเองเลย

เมืองไทยกำลังมีเค้าดี ก็ให้มาสนใจธรรมะมากขึ้น แม้แต่คุณสุเทพนะ เป็นต้น จะได้มีพลังงานบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น อยากให้ประเทศไทยมีคนบริสุทธิ์เป็นอาริยะไปบริหารบ้านเมือง จะเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งกว่าประชาธิปไตยเลย เป็นประชาธิปไตยที่เหนือกว่าประชาธิปไตย ในเมืองไทยมีเค้าเงื่อนเป็นประชาธิปไตยแท้จริงได้ ให้มาปฏิบัติให้จิตมีอาริยธรรม เมืองไทยเกิดอาริยธรรมแล้ว จะเป็นชมพูทวีปต่อไปในอนาคต อาตมาไม่ได้พยากรณ์แต่พูดตามเนื้อผ้า ความจริง แม้จะมีน้อยแต่มีจริงเป็นจริง

ธรรมะกับการเมืองไม่ได้แยกกันเช่นนี้เอง มีคุณธรรมจริง จริงใจเช่นนี้ เป็นนักการเมืองที่ดีจริงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลอก อย่างน้อยอนาคามีเป็นต้นไปท่านไม่เอาบ้านช่องเรือนชานทรัพย์สฤงคารแล้ว แล้วพิสูจน์ว่าคุณทำงานเพื่อประชาชนจริง เขาจะเลี้ยงคุณไว้ เขาไม่ให้คุณตายหรอก มีแต่สุดท้ายว่าให้ผมตายเถิด ตอนนี้ร่างผมไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องสะสมเงินทุนเลย ไม่ต้อง ออกปากหรือแสดงอาการ คนรู้คนเห็นขี้คร้านจะแย่งกันสนับสนุน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83124

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfNmUxNjRKLWtOSzQ

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1540ur9heol9/160725

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:51:43 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์